Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 32 ; ลาก่อนเจ้าความรัก
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 32 ; ลาก่อนเจ้าความรัก  (อ่าน 17535 ครั้ง)

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 30 : Mentor
«ตอบ #150 เมื่อ09-11-2025 12:01:36 »

ตอนที่ 30 : Mentor (part2/2)

“อะ คนละแก้ว” ต่อเดินกลับมาพร้อมกับแก้วพลาสติกสีแดงในมือ หลังจากแจกจ่ายแก้วให้ทุกคนมันก็ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ผม

“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าพวกเราเรียนจบแล้ว” ต้นพูดขึ้นท่ามกลางเสียงคลื่นกระทบชายฝั่ง ทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว นำเสนอ final project, งานเลี้ยงบายเนียร์ และ trip รุ่นที่กำลังจะจบลงในวันรุ่งขึ้น

“จริง ยังจำวันแรกที่เจอกันได้อยู่เลย” ผมคิดตามคำพูดของแก้ว พวกเราบังเอิญนั่งใกล้กันในวันรับน้องเลยได้จับกลุ่มกัน ผมซึ่งเคยผ่านประสบการณ์การจับกลุ่มเพื่อนในรั้วมหาลัยมาก่อนเข้าใจดีว่ากลุ่มเพื่อนที่อยู่ด้วยกันในวันแรกอาจจะไม่ใช้กลุ่มเดียวกันในวันสุดท้าย แต่ไม่น่าเชื่อว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันมาตลอด 6 ปี

“มันเป็นความต่างที่ลงตัว ... ผู้หญิงลำยองขี้โวยวาย 1 คน เจ้าชายที่เหมือนหลุดออกมาจากละครหลังข่าว 1 คน และอัศวินอย่างพวกกูอีก 2 คน ไม่น่าเชื่อว่าจะคบกันรอด” พวกเราต่างหลุดขำให้กับคำเปรียบเปรยที่ต่อเป็นคนพูดออกมา

“ทำไมกูถึงเป็นลำยอง แล้วไอ้มิลค์ได้เป็นเจ้าชายวะ” แก้วโวย

“สภาพอย่างมึงเป็นเจ้าหญิงไม่ไหวหรอก กูไม่เปรียบมึงเป็นคนใช้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว” แล้วไอ้ต่อก็ตอกกลับด้วยท่อยคำรุนแรงตามประสาเพื่อนสนิท

“บอกตรงๆ ว่าตอนที่รู้ว่ามึงเป็นใคร กูยังคิดอยู่เลยว่ามึงจะต้องเป็นพวกคุณหนูหัวสูงแล้วก็เรื่องมากสุดๆ แต่พอได้รู้จักกัน มึงเหมือนคนธรรมดามากกว่าที่กูคิด” ต้นเล่าความในใจ

“ที่จริงกูทำใจมาแล้วนะว่าอาจจะไม่สนิทกับใครเลยตลอด 6 ปี แต่พอได้อยู่กับพวกมึงแล้วมันดีวะ ต่างแต่ลงตัว ... กูขอบใจพวกมึงมากนะเว้ย โดยเฉพาะช่วงที่กูไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่” พวกมันตอบรับในลำคอ ถ้าไม่ได้พวกมันช่วยผมก็ไม่รู้ว่าจะประคองสติตัวเองให้เรียนจบได้อย่างไร

หลังจากวันนี้พวกเรา 4 คน แยกกันไปตามทางของของแต่ละคน แก้วสมัครเป็น clinician ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ผมเรียนต่อ ป. โทกับพี่เจย์ ในขณะที่ต่อกับต้นกลับไปช่วยกิจการของที่บ้าน







“กูรู้ว่ากูพูดบ่อยแล้ว แต่มึงอะ รีบ move on แล้วเริ่มต้นใหม่ซักที” แก้วพูดหลังจากที่พวกเราต่างซึมซับบรรยากาศตอนนี้ร่วมกัน

“อืม” ผมตอบรับ แล้วก็ปล่อยให้ทุกอย่างถูกพัดหายไปพร้อมกับสายลม

“จะเริ่มเลยไหม กูไปตามไอ้ออยให้ 555” พูดจบไอ้ต้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา จนกลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่ไม่ไกลหันมามอง

“พวกมึงเลิกแซวได้แล้วกูอาย” ผมแยกเขี่ยวใส่พวกมัน

“มึงแมร่ง มีผู้ชายมาจีบตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายจริงๆ” แก้วที่นั่งอยู่อีกข้างเอนตัวเอาไหล่มากระแทกกับไหล่ของผมเป็นเชิงหยอกล้อ

เหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา คืนนี้เป็นคนสุดท้ายของ trip ทุกคนในรุ่นเลยเห็นด้วยที่จะจัด party บาบีคิวริมสระว่ายน้ำ ใครอยาก show อะไรก็ขึ้นไปบนเวทีได้ บางช่วงก็ร้องคาราโอเกะ บางช่วงก็แซวกันออกไมค์ ออยเป็นนักร้องประจำรุ่น มันเป็นนักดนตรีสมัครเล่นที่นอกจากจะร้องเพลงเพราะแล้วยังเล่นกีต้าร์ได้อีกด้วย แต่ใครจะรู้ว่าอยู่ๆ มันก็เล่นเพลงจีบผมต่อหน้าคนทั้งรุ่น

“เอาจริงๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่มีคนมาร้องเพลงจีบ 555” ยอมรับเลยว่าเขิน ยิ่งตอนมันร้องท่อนฮุคแล้วมองมาที่ผม แม้มือจะเกาคอร์ดกีตาร์แต่สายตาและน้ำเสียงของออยก็ทำให้ผมใจสั่นได้ไม่น้อย

“ลองไหมมึง เขาว่าคบกับนักดนตรีแล้วชีวิตจะมีสีสันนะเว้ย” ไอ้ต่อพยายามชง

“ยังอะ ตอนนี้อยากพัก รู้สึกว่าที่ผ่านมาโคตรพัง” ผมพูดพลางก้มหน้ามองแก้วพลาสติกที่อยู่ในมือ พวกมันพยักหน้ารับรู้ แล้วเราก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

ลมทะเลพัดปรอยผมให้ปริวไสวไปตามสายลม นับจากวันที่ถูกปฏิเสธ วันนี้แม้จะยังไม่ลืมเรื่องของจีแต่ผมสามารถกลับมายืนได้ด้วยตัวเองอีกครั้ง เวลาช่วยเยียวยาให้ความรู้สึกทุกอย่างเบาบางลง ในจังหวะที่คนอื่นๆ พูดคุยและหัวเราะขำขัน ผมอาศัยช่วงเวลานี้แอบมองพวกมันทีละคนเพื่อจดจำรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ไม่รู้ว่าหลังจากวันนี้พวกเราจะได้กลับมาเจอกันอีกทีเมื่อไหร่



...



“ไอ้มิลค์มึงถือดีๆ เดียวเทียนดับ ... นั้นไงกูพูดไม่ทันขาดคำ” ไอซ์ทำสีหน้าเอือมระอา ถ้ามันกินหัวผมได้มันคงทำไปแล้ว

“มึงพูดมากไง เทียนมันถึงดับ” ผมเถียง

“ปากดีนะมึงนะ ...” มันพลักหัวผมเบาๆ ก่อนจะใช้ไฟแช็คจุดเทียนที่ดับไปให้กลับมาสว่างไสวอีกครั้ง ในมือของผมถือเค้ก dark chocolate สีขาวสะอาดขนาด 2 ปอนด์ ปักด้วยเทียนวันเกิด 9 เล่ม บนเค้กเขียนข้อความด้วยตัวอักษรสีขาว ‘Happy Birthday and Best of Luck, G’

วันนี้นอกจากจะเป็นวันเกิดของจีแล้วพวกเรายังจัด farewell party ให้กับเจ้าตัวไปที่กำลังจะเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศแถมไปด้วยอีกงาน

“... พร้อมนะ เดียวกูเคาะประตู 3 ทีแล้วเปิดเลยนะ” ผมพยักหน้า

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

แล้วประตูไม้ตรงหน้าก็ถูกเลื่อนออก

“Happy birthday to you” ผมประคองเค้กที่อยู่ในมือ พยายามเดินช้าๆ เพื่อไม่ให้เทียนดับ แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ลมจากเครื่องปรับอากาศก็เป่าลงมาทำให้เทียนดับไป 2 เล่ม

“ไอ้เหี้ยมิลค์ กูบอกถือดีๆ” เสียงกระซิบด่าของไอซ์ดังขึ้นข้างหู อยากจะหันไปด่ากลับแต่ก็กลัวจะทำเทียนดับมากกว่าเดิม

“Happy birthday to you” สายตาของจีจับจ้องไปยังเพื่อนสนิทที่เดินถือเค้กเข้ามาในห้อง เหมือนตัวเองถูกมนต์สะกดเพราะเขาไม่สามารถละสายตาจากรอยยิ้มบนใบหน้าสวยของมิลค์ได้เลย วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วแต่รอยยิ้มของมิลค์ยังสดใสเสมอในความรู้สึกของจี มิลค์เรียนจบแล้ว มันเพิ่งรับปริญญาไปเมื่อ 2 เดือนก่อน ตอนนี้เป็นคุณหมอป้ายแดงที่กำลังเรียนต่อ ป.โท ทุกอย่างเป็นไปตามที่วางแผนไว้ ยกเว้นเรื่องระหว่างเรา 2 คน

“Happy birthday to you, Happy birthday...” ภาพในความทรงจำเป็นเหมือนเทปที่ถูกเปิดย้อนกลับไปสมัยวันวาน หลายปีที่ผ่านมา มิลค์คือคนแรกที่โทรมาอวยพรวันเกิดของเขาเสมอ พูดให้ถูกคือเราต่างเป็นคนแรกที่อวยพรวันเกิดให้กันและกันมาตลอด เขาจำไม่ได้ว่ามิลค์เป็นคนถือเค้กให้ทุกปีหรือเปล่า แต่ทุกครั้งที่นึกย้อนกลับไป ภาพของเพื่อนสนิทยืนถือเค้กวันเกิดพร้อมกับรอยยิ้มหวานก็กลายเป็นภาพจำในวันเกิดของเขาไปแล้ว

“... Happy birthday, .... Happy birthday toooooo you” จีรู้สึกตัวอีกทีตอนที่มิลค์มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า สายตาของเขาไล่มองตั้งแต่นิ้วมือเรียวสวยที่ถือเค้กไว้ จากนั้นจึงไล่สายตาขึ้นไปยังลำคอรหงส์ที่ประดับด้วยสร้อยอัญมณีระยิบระยับ และไล่ขึ้นมาจนกระทั้งเขาเห็นรอยยิ้มของเพื่อนสนิท มันยิ้มกว้าง เป็นยิ้มที่สว่างไสวราวกับแสงจันทร์ในคืนเดือนหนาว เสี่ยววินาทีที่ทั่งคู่สบตากัน จีเห็นแววตาของมิลค์วูบไหวภายใต้แสงเทียน

“อธิษฐานแล้วเป่าเค้กเร็ว” จีหลับตาตามคำขอของเพื่อนสนิท ... ‘ขอให้มิลค์มีความสุขมากๆ และขอให้สุดท้ายแล้วเรา 2 คนไม่มีวันพรากจากกัน’ จีอธิษฐาน หลังจากนั้นแสงเทียนบนเค้กก็ดับลง



ผม จี ไอซ์ อาร์ม โจ ษา และออยแฟนคนปัจจุบันของไอซ์นั่งล้อมวงบนโต๊ะอาหาร เค้กขนาด 2 ปอนด์หายไปเพียงช่วงกระพริบตา ในมือของไอซ์ถือ smart phone ที่กำลังบันทึกวีดีโอช่วงเวลาสุดท้ายของงานเลี้ยง

“กูคนแรกเลยเหรอ” ผมถาม

“มึงอยู่ใกล้กูที่สุด จะให้กูเริ่มจากไอ้จีไหมละ” ไอซ์ตอบกลับมาด้วยสีหน้าประชดประชัน มันเป็นคนเสนอความคิดให้พวกเราพลัดกันอวยพร แล้วถ่ายวีดีโอเก็บเอาไว้ให้เจ้าของงานเป็นที่ระลึก และผมดวงซวยเองที่นั่งอยู่ด้านขวามือของมันเลยต้องเป็นคนพูดคนแรก

“ก็ ...” โคตรประหม่า อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนลำคอแห้งผากราวกับทะเลทราย

“... ขอให้มึงโชคดี น่าจะต้องปรับตัวหลายอย่างแต่กูรู้ว่ามึงทำได้ มึงเป็นคนเก่งอยู่แล้ว...”

“... กูเป็นกำลังใจให้เสมอ” แค่คิดว่าอีกไม่กี่วัน เรา 2 คนจะต้องห่างกันคนละทวีป อยู่ๆ ความรู้สึกที่กดเอาไว้ก็เอ่อล้นออกมา ผมพยายามประคองเสียงไว้ไม่ให้สั่นไหว

“พอๆๆ คนต่อไป” ไอซ์ที่สังเกตเห็นว่าดวงตาคู่สวยตรงหน้าเริ่มมีน้ำตาคลอรีบตัดบท เขารีบใช้เท้าสะกิดไอ้มิลค์ให้เก็บอาการ ก่อนจะโวยวายเสียงดังเพื่อช่วยกลบเกลื่อน

พวกเราพลัดกันอวยพรจนกระทั้งถึงษาที่นั่งอยู่ติดกับจีเป็นคนสุดท้าย

“ขอให้จีโชคดี ษามั่นใจว่าไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้สำหรับจี ...”

“... แม้เราจะเพิ่งคบกันได้ไม่นาน แต่ษาสัญญาว่าจะรอจีอยู่ที่นี้ ไม่ไปไหน” พูดจบเธอก็ซ้อนความเขินอายด้วยการซบหน้าฝากลงบนไหล่ของจี ผมค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกเมื่อเห็นภาพตรงหน้า แม้จะชินชาแต่ข้างในก็รู้สึกหวิวๆ อย่างบอกไม่ถูก

“อ่า กูแล้วซินะ ...” จีฉีกยิ้มกว้างให้กับกล้อง

“... ขอบคุณพวกมึงที่จัดงานวันนี้ให้ โดยเฉพาะมึง ไอ้มิลค์ ที่แม้จะยุ่งแต่ก็จัดการให้ทุกอย่าง ...” ผมยิ้มรับให้กับคำขอบคุณ

“... กูดีใจมากๆ ที่ได้เป็นเพื่อนกับพวกมึง และก็ขอบคุณมากๆ กับทุกเรื่องที่ผ่านมา ...”

“... ใจนึงก็กลัว แต่พอคิดว่ามันคงไม่ต่างจากตอนที่พวกเราแยกย้ายกันเข้ามหาลัยก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา เพราะสุดท้ายแล้ววันนี้พวกเราก็ยังอยู่ด้วยกัน ...” จีหยุดพูด ก่อนที่จะมองเพื่อนๆ ทั้ง 4 คนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม ไอซ์, อาร์ม, โจ และ ... มิลค์

“... สัญญาว่าจะรีบเรียนให้จบ แล้วกลับมาหา ... พวกมึง”



...



“แยกกันตรงนี้นะ ขอบคุณพวกมึงมากที่มาส่ง ...” จีกระชับเป้ที่ห้อยอยู่บนหัวไหล่ เป็นสัญญานของการบอกลา ผมเหมือนคนหายใจไม่ทั่วท้องมาตั้งแต่เช้า รู้สึกปวดหนึบอยู่ในอกทุกครั้งที่คิดว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายก่อนจะต้องห่างกันไกลแสนไกล

“... มิลค์ กูมีเรื่องต้องคุยกับมึง” คนรอบข้างต่างชะงักนิ่งรวมถึงตัวผมเองด้วย จบประโยคเจ้าตัวก็เดินแยกตัวออกไปรอ ผมไม่แน่ใจว่าควรจะเดินตามไปดีไหม เพราะษาก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย ผมไม่กล้าสบตากับเธอด้วยซ้ำ เลยทำได้เพียงเหลือบไปมองไอซ์เพื่อขอความเห็น มันเพยิดหน้าเป็นเชิงว่าให้ผมเดินตาม

คนตรงหน้ายิ้มบางๆ เมื่อผมเดินเข้าไปหา จีเม้มปากและส่งยิ้มให้ผมอีกครั้ง

“Milk” จีเรียกชื่อผมด้วยสำเนียง American คุ้นหู

“Stop it!!!” ผมพลักมือที่ยื่นมาตรงหน้าออก เมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่ในมือของจี

“Milk ... please” จีเอ่ยปากขอร้อง สีหน้าอ้อนวอน แววตาหวั่นไหว ยิ่งได้ยินเสียงสั่นครือจากจี ผมก็ยิ่งน้ำตารื้อ

“Don't you know what it means?” ผมดันมือของจีออกจากตัว ในมือนั้นถือ key card สำรอง penthouse ของผม

“I know but please”

“I don't want it back. I gave it to you. It's yours” ผมส่ายหน้าปฏิเสธและไม่สามารถจะกั้นน้ำตาได้อีกต่อไป สำหรับผม ตอนนี้ keycard เป็นสิ่งของชิ้นเดียวที่เป็นเครื่องยืนยันว่าจีพิเศษกว่าใคร เป็นเหมือนเส้นใยเส้นสุดท้ายที่รั้งไม่ให้ความสัมพันธ์ของเราล่มสลาย

“It is time to let go” จีอาศัยจังหวะที่ผมไม่เป็นตัวของตัวเองยัด keycard ใส่มือ มันกำมือผมไว้แน่น ยื้อกันอยู่ซักพักสุดท้ายผมก็จำยอม

“I am not ready” ผมพูดทั้งที่น้ำตานองหน้า

“Neither am I. But you must...” ผมก้าวไปข้างหน้าตามแรงดึงของจี วงแขนที่คุ้นเคยโอบกอดผมไว้ ความทรงจำนับร้อยพันวิ่งเข้ามาในห้วงของความคิด เสี่ยววินาทีนั้น ผมรู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปยังกอดครั้งแรกของเรา 2 คน มันอบอุ่นราวกับแสงแดดท่ามกลางฤดูหนาว

แล้วผมก็สะอื่นออกมาอย่างไม่อายสายตาใคร ในขณะที่จีกระชับอ้อมกอดแล้วดึงผมเข้ามาแนบชิด ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่ง เราทั้งคู่ต่างซึมซับช่วงเวลาสุดท้ายก่อนจากกันไกล ผมได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาข้างหู

“... You listen to me … please take care of yourself and remember. No matter where we are, we will still be the same as we were” ... ‘I love you, as always’ จีเอ่ยประโยคสุดท้ายในใจก่อนที่อ้อมกอดนั้นจะคลายออก



ดวงอาทิตย์นั้นยังอยู่ไกลดวงจันทร์
ดาวนับร้อยนับพันจะไกลกี่ปีแสง
แม้ไม่ได้เจอฉันคิดถึงเธอ และเฝ้ารอวันเวลาให้พ้นไป
ตราบที่ท้องทะเลยังไกลจากภูเขา
และแม้ว่าเราจะไกลสักแค่ไหน
ฉันยังเหมือนเดิมสิ่งเหล่านั้นยังเหมือนเดิม
ยังเฝ้ารอเธอคนเดียวทั้งหัวใจ

ไกล, Musketeers, 2020


----------


#Cake #Birthday #Farewell
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 31 : Farewell
«ตอบ #151 เมื่อ11-11-2025 11:51:57 »

“อะ คนละแก้ว” ต่อเดินกลับมาพร้อมกับแก้วพลาสติกสีแดงในมือ หลังจากแจกจ่ายแก้วให้ทุกคนมันก็ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ผม

“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าพวกเราเรียนจบแล้ว” ต้นพูดขึ้นท่ามกลางเสียงคลื่นกระทบชายฝั่ง ทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว นำเสนอ final project, งานเลี้ยงบายเนียร์ และ trip รุ่นที่กำลังจะจบลงในวันรุ่งขึ้น

“จริง ยังจำวันแรกที่เจอกันได้อยู่เลย” ผมคิดตามคำพูดของแก้ว พวกเราบังเอิญนั่งใกล้กันในวันรับน้องเลยได้จับกลุ่มกัน ผมซึ่งเคยผ่านประสบการณ์การจับกลุ่มเพื่อนในรั้วมหาลัยมาก่อนเข้าใจดีว่ากลุ่มเพื่อนที่อยู่ด้วยกันในวันแรกอาจจะไม่ใช้กลุ่มเดียวกันในวันสุดท้าย แต่ไม่น่าเชื่อว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันมาตลอด 6 ปี

“มันเป็นความต่างที่ลงตัว ... ผู้หญิงลำยองขี้โวยวาย 1 คน เจ้าชายที่เหมือนหลุดออกมาจากละครหลังข่าว 1 คน และอัศวินอย่างพวกกูอีก 2 คน ไม่น่าเชื่อว่าจะคบกันรอด” พวกเราต่างหลุดขำให้กับคำเปรียบเปรยที่ต่อเป็นคนพูดออกมา


----------


#ลมทะเล #แก้วพลาสติกสีแดง #Farewell
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 31 : Farewell
«ตอบ #152 เมื่อ13-11-2025 11:11:44 »

“Happy birthday to you, Happy birthday...” ภาพในความทรงจำเป็นเหมือนเทปที่ถูกเปิดย้อนกลับไปสมัยวันวาน หลายปีที่ผ่านมา มิลค์คือคนแรกที่โทรมาอวยพรวันเกิดของเขาเสมอ พูดให้ถูกคือเราต่างเป็นคนแรกที่อวยพรวันเกิดให้กันและกันมาตลอด เขาจำไม่ได้ว่ามิลค์เป็นคนถือเค้กให้ทุกปีหรือเปล่า แต่ทุกครั้งที่นึกย้อนกลับไป ภาพของเพื่อนสนิทยืนถือเค้กวันเกิดพร้อมกับรอยยิ้มหวานก็กลายเป็นภาพจำในวันเกิดของเขาไปแล้ว

“This may be goodbye for now,
but I believe we’ll find our way back to each other when the time is right.”


----------


#อธิษฐาน #ไม่มีวันพรากจากกัน #Farewell
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 31 : Farewell
«ตอบ #153 เมื่อ15-11-2025 13:43:10 »

สวัสดีครับทุกคน ผมจะมาแจ้งว่าพอดีมีปัญหากับต้นฉบับของตอนที่ 32 นิดหน่อย
จึงไม่สามารถจะเอาตอนที่ 32 มาลงให้ได้ทันในวันพรุ่งนี้
แต่จะขอแก้ตัวด้วยการส่งตอนพิเศษเล็กๆมาชดเชย

สัญญาว่าตอนที่ 32 จะมาในวันอาทิตย์หน้าอย่างแน่นอนครับ
ขอโทษทุกคนที่ทำให้ต้องรอและขอบคุณสำหรับทุกการอ่านครับ

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนพิเศษที่ 3 : วันที่ไม่มีเธอ


ชีวิตนิสิตปริญญาโทของผมวนเวียนอยู่ไม่กี่อย่าง ราวน์เคส กิน นอน แล้วตื่นขึ้นมาราวน์เคสต่อ ผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่หอพักของโรงพยาบาลประจำคณะ โดยที่แทบจะไม่ได้กลับไปนอนที่ penthouse เลย จะกลับก็เพียงแค่เพื่อหยิบเอาของใช้จำเป็นเท่านั้น กลุ่มเพื่อนมัธยมแยกย้ายไปตามทางที่ต้องเดิน ห้องที่เมื่อก่อนเคยเต็มไปด้วยสีสันและเสียงหัวเราะของพวกเราทั้ง 5 คน ตอนนี้เงียบเหงาและว่างเปล่า ผมใช้ชีวิตวนเวียนอยู่เพียงเท่านี้จนเวลาล่วงเลยมานานนับปี

“คิดไว้หรือยังว่าถ้าเรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อ” คำถามจากอาจารย์ที่ปรึกษาดังขึ้น ในขณะที่ผมกำลังเก็บ PC เข้ากระเป๋า พี่เจย์เห็นชอบกับ final draft วิทยานิพนธ์แล้ว อีกไม่นานเกินรอชีวิตนิสิตปริญญาโทของผมก็จะสิ้นสุดลง

“ยังไม่ได้คิดเลยครับ” ผมตอบตามความจริง ยังไม่ได้คิดเลยว่าหลังจากนี้จะทำอะไรต่อ

“จะเรียนเอกกับพี่ต่อไหม ... หรือจะกลับไปช่วยงานที่บริษัท”

“ผมยังไม่รู้เลยครับ”

“มิลค์”

“ครับ?”

“ใกล้จบแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำแล้วก็ได้นะ พักบ้าง แล้วก็เริ่มผ่องถ่ายงานไปที่น้องๆได้แล้ว”

“ครับ”

ผมออกจากห้องพักอาจารย์ แล้วเดินผ่านลัดเลาะไปตามโถงทางเดิน ระหว่างทางผมมองสถานศึกษาทีมีความทรงจำของผมมากมาย โต๊ะไม้ใต้ตึกเรียนที่ผม แก้ว ต่อ และต้นมักจะมานั่งรวมหัวกันเวลาทำงาน ลานกว้างหน้าตึกที่พวกเราเคยใช้เตรียมงานค่ายรับน้อง เก้าอี้ปูนใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เคยนั่งเม้าท์มอยกับน้องเพชร ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความทรงจำ

2 เท้าก้าวออกจากลิฟต์ ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องพักนิสิตปริญญาโท ห้องพักขนาด 15 ตร.ม. ที่ภายในมีแค่ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน และเตียงขนาด single bed นิ้วมือเรียวสวยหยิบจับเสื้อกานด์ยาวสีขาวขึ้นมาสวมใส่ มิลค์มองใบหน้าของตัวเองในกระจกเพียงเสี่ยววินาทีก่อนจะก้าวออกจากห้องแล้วมุ่งหน้าไปยัง ward เพื่อราวน์เคสรอบเย็นอย่างที่ทำเป็นประจำมาตลอด





“มิลค์ตื่น ไอ้มิลค์ ...”

“... ไอ้เหี้ยมิลค์!!!” เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เจ้าตัวเลยยกฝ่าเท้าที่สวมรองเท้าผ้าใบยันเข้าเต็มสีข้าง

“ฮะ!!! ...” มันสะดุ้งโหยงแล้วลุกขึ้นมานั่งตาปรืออยู่บนเตียง

“... มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเข้ามาได้ไง” มิลค์ถามเมื่อเห็นว่าคนที่ประเคนฝ่าเท้าให้เขาคือไอซ์

“กูมีปัญญาเข้ามาละกัน ... หุบปาก แล้วไปล้างหน้าแปรงฟัน เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ไอซ์พูดดักคอเพื่อนรักที่สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนที่เจ้าตัวจะเอนหลังลงกับพนักเก้าอี้แล้วนั่งไขว้ห้างเป็นสัญญานให้มิลค์ทำตามที่ตัวเองบอกก่อนถึงจะคุยธุระกัน

มิลค์พยักหน้ารับ มันลุกขึ้นจากเตียงในสภาพหัวฟูก่อนจะหยิบของใช้ส่วนตัวแล้วลสกรองเท้าแต๊ะออกจากห้องไปยังห้องน้ำรวม ... ใช่แล้ว “ห้องน้ำรวม” ใครจะคิดว่าคนเรื่องมากแบบไอ้มิลค์สุดท้ายแล้วจะปรับตัวจนสามารถใช้ห้องน้ำรวมได้ ... สายตาของไอซ์สอดส่ายดูชีวิตความเป็นอยู่ของเพื่อนรักที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของมหาเศรษฐีแสนล้าน ไฟซาลาเปาสีขาวที่เจ้าตัวแสนจะรังเกียจ เฟอร์นิเจอร์ที่ไม่มีความเข้ากันเลยแม้แต่น้อย ฟูกนอนแข็งกระด้าง ผ้าห่มที่ปราศจากความนุ่มลื่น แม้ว่าห้องจะสะอาดสะอ้าน แต่ก็ยังได้กลิ่นอับชื้นจางๆ ... สายตาคู่คมยังคงสังเกตไปรอบๆ จนกระทั้งไปสะดุดเข้ากับ keycard คุ้นตา 2 ใบที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน

“เฮ่อออออออออ!!!” ไอซ์อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ว่าไงมึง” ไม่นานเจ้าของห้องก็เดินกลับมาพร้อมกับเส้นผมที่ยังเปียกอยู่หมาดๆ

“อะ กาแฟ” ไอซ์ส่ง iced mocha แก้วใหญ่ให้เพื่อนรัก

“ขอบใจ แต่กูไม่กิน mocha มาซักพักแล้ววะ”

“แดกเข้าไป อย่าเรื่องมาก ...” เขาแยกเขี่ยวใส่คนตรงหน้า ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตาคงไม่มีใครเชื่อว่าคนอย่างมิลค์สามารถใช้ชีวิตแบบนี้มาได้เป็นปีๆ ... หลังจากได้ความหวานของ mocha เข้าไปสีหน้าของเจ้าตัวถึงได้ดูสดชื่นขึ้นเล็กน้อย

“... มึงสอบ thesis เสร็จแล้ว ทำไมยังอยู่ที่นี้อีกวะ”

“กูยังไม่ได้ส่งเล่ม thesis เลย”

“แค่รอส่งเล่ม ก็ไม่เห็นต้องกินนอนทำงานอยู่ที่นี้เหมือนเดิมหรือเปล่าวะ ...” เมื่อถูกต้อนจนมุม ไอ้มิลค์เลยเลือกที่จะเงียบแล้วดูดเครื่องดื่มในมือแก้เขิน

“... กูตกลง”

“ตกลง?” มันขมวดคิ้วจนแทบจะผูกกันเป็นโบว์

“โง่อีก ก็เรื่องที่มึงมาตามตื้อกูอยู่ไง ... กูตกลง”

“ฮะ!!! มึงพูดจริง?” มันทำตาโตเหมือนโดนผีหลอก

“มึงดูสีหน้ากู กูพูดเล่นมั้ง อีห่า!!!”

“Yes!!! ขอบใจมึงมาก” แล้วอยู่ๆ มันก็กระโดดเข้ามากอดเขาทั้งตัว ดีนะที่ไม่หงายหลังล้มลงไปทั้งคู่

ทุกคนต่างรู้ดีว่าตอนนี้มิลค์ถึงทางแยกที่จะต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางในอนาคตอีกครั้ง มันเป็นสัตวแพทย์ที่เก่ง เป็นที่รักและเป็นที่ยอมรับของทุกคนๆ แต่คนรอบกายต่างก็รู้ว่าเจ้าตัวมีความรับผิดชอบที่มากกว่านั้นรออยู่ และมิลค์เองก็รู้ว่ามันไม่สามารถหนีจากภาระหน้าที่นั้นได้ ... หลายเดือนก่อนมิลค์มาปรึกษาเขาเรื่องอนาคต หลังจากใช้เวลากับตัวเองอยู่นานในที่สุดเจ้าตัวก็ตัดสินใจจะเดินออกจาก comfort zone โดยคิดว่าการไปทำงานที่ The Nemean Group จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการก้าวออกจากวงวนเดิมๆ เขาเห็นด้วยเพราะเท่าที่ได้ยินมาจากน้องรหัสของมิลค์ การดำเนินชีวิตประจำวันของเจ้าตัวดูจะสร้างความเป็นห่วงให้กับคนรอบข้างไม่น้อย แต่ไม่รู้ว่าทำไมปรึกษากันไปๆ มาๆ อยู่ๆ เจ้าตัวก็แทบจะคุกเข่าขอร้องให้เขามาช่วย มันเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ของเขา เพราะไม่ใช้เฉพาะกับมิลค์ที่คุ้นเคยกับ comfort zone เขาเองก็เช่นกัน ลังเลอยู่นานจะสุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะลองเปิดบททดสอบใหม่ของตัวเองไปพร้อมกับมิลค์ มันคงจะท้าทายไม่น้อย

“อืม มึงรีบส่งเล่ม แล้วรีบไสหัวตัวเองเข้าบริษัทให้ไว ตอนนี้กูลาออกมาแล้ว ไม่มีอะไรจะแดกแล้วอิเหี้ยมิลค์!!!” แม้จะอยากหยุมหัวเพื่อนรักให้เส้นผมหลุดติดมือออกมา แต่ไอซ์ก็อดไม่ได้ที่จะกอดตอบและร่วมหัวเราะไปกับมิลค์ ... ถึงเวลาที่จะต้องพาเจ้าชายกลับหอคอยงาช้างซักที

หลังจากคุยรายละเอียดกันอีกเล็กน้อย ไอซ์ก็ขอแยกตัวกลับก่อน มิลค์เลยอาสาเดินมาส่งเขาที่ลานจอดรถ

"ตกลงมึงเข้ามาในหอพักได้ยังไง" มิลค์ถามขึ้นมาระหว่างทาง

"น้องรหัสมึงโทรมาหากูเมื่อวันก่อน" มิลค์พยักหน้ารับรู้ และไม่ถามคำถามอะไรเพิ่มอีก ทั้ง 2 คนเดินมาจนถึงรถ Toyota camry สีขาว

“ไอซ์” ไอซ์หันหลังกลับมาตามเสียงเรียก คิ้วคมขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นสิ่งของที่ถูกยื่นมาให้ตรงหน้า มือของมิลค์สั่นเล็กน้อย

“มึงแน่ใจ ?” เขาถาม และมิลค์ก็พยักหน้าตอบรับในทันที

“กูอยากให้มึงถือเอาไว้ ...” มิลค์พูดพลางสบตากับไอซ์ เขาซาบซึ้งใจจริงๆ ที่ไอซ์ตอบตกลง จริงอยู่ว่าเส้นทางใน The Nemean Group เต็มไปด้วยความท้าทาย แต่บททดสอบที่พวกเขาทั้ง 2 คนต้องเผชิญคงไม่ได้ราบรื่นเหมือนในนิยายชวนฝัน รู้ทั้งรู้ว่าต้องเจอกับอะไรแต่ไอซ์ก็ตอบตกลง

“... หลังจากนี้กูคงต้องพึ่งมึงในหลายๆ เรื่อง และกูขอสัญญาว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น กูจะไม่มีวันแทงมึงข้างหลัง”

“กูก็สัญญาว่าจะไม่มีวันแทงมึงข้างหลัง และจะคอยระวังหลังให้มึงตลอดเวลา ... เรื่อง key card ถ้ามึงไว้ใจ กูก็ยินดีจะรับไว้ ... แต่ถ้าให้กูแล้ว อย่ามาร้องเสียใจทีหลังนะ”

“ไม่เสียใจ ... ขอบคุณมึงมากๆ” สิ้นเสียงของมิลค์ ไอซ์กับรับเอา key card มาถือไว้ในมือ ... นี่คือสิ่งที่เคยสำคัญกับเขาในอีกบริบทหนึ่งและตอนนี้เขาตัดสินใจให้ความหมายใหม่กับมัน



‘In our lifetime, just one true friend is more than enough’


----------


#สัญญา #key card #วันที่ไม่มีเธอ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
2 เท้าก้าวออกจากลิฟต์ ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องพักนิสิตปริญญาโท ห้องพักขนาด 15 ตร.ม. ที่ภายในมีแค่ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน และเตียงขนาด single bed นิ้วมือเรียวสวยหยิบจับเสื้อกานด์ยาวสีขาวขึ้นมาสวมใส่ มิลค์มองใบหน้าของตัวเองในกระจกเพียงเสี่ยววินาทีก่อนจะก้าวออกจากห้องแล้วมุ่งหน้าไปยัง ward เพื่อราวน์เคสรอบเย็นอย่างที่ทำเป็นประจำมาตลอด


----------


#กระจก #ภาพสะท้อน #วันที่ไม่มีเธอ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“มิลค์ตื่น ไอ้มิลค์ ...”

“... ไอ้เหี้ยมิลค์!!!” เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เจ้าตัวเลยยกฝ่าเท้าที่สวมรองเท้าผ้าใบยันเข้าเต็มสีข้าง

“ฮะ!!! ...” มันสะดุ้งโหยงแล้วลุกขึ้นมานั่งตาปรืออยู่บนเตียง


----------


#Frienship #พาเจ้าชายกลับหอคอย #วันที่ไม่มีเธอ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Teaser ตอนที่ 32

รถยนต์ Maybach 62s สีขาวจอดนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าหลักของสำนักงานใหญ่ The Nemea group สายตาหลายคู่จับจ้องเพื่อรอการปรากฏตัวของเจ้าของรถยนต์คันหรูที่ยังใช้เวลาคุยธุระช่วงสุดท้ายอยู่ในภายในห้องโดยสารด้านหลัง

เป็นที่รู้กันในหมู่พนักงานว่ามิลค์ ติณสิงห์ เป็นบุคคลผู้มีอัธยาศัยดีเลิศ แม้จะเป็นทายาทเพียงคนเดียวของธุรกิจมูลค่านับแสนล้าน แต่เจ้าตัวมักจะทักทายพนักงานในบริษัทด้วยความเป็นกันเอง ไม่ว่าพนักงานคนนั้นจะเป็นแม่บ้านหรือผู้บริหารระดับสูง ภาพของ Hiso ชื่อดังยืนต่อแถวซื้อกาแฟราวกับเป็นพนักงานคนหนึ่ง หรือยกมือไหว้ป้าแม่บ้านเป็นภาพที่คุ้นชินของทุกคนเป็นอย่างดี

ไม่นานประตูรถด้านหลังฝั่งตรงข้ามคนขับก็เปิดออก มิลค์ ติฒสิงห์ในชุดสูทเต็มยศก้าวลงจากรถ เจ้าตัวหยุดยืนอยู่ข้างรถยนต์คันหรูเพื่อรอเพื่อนสนิทที่ลงจากประตูหลังอีกฝั่งหนึ่ง ไอซ์ จุลจักร เพื่อนสนิทพ่วงตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการแผนกการตลาดเดินมาประคบด้านข้าง 2 คนเอียงตัวเข้าหากันเพื่อพูดคุยอะไรบางอย่าง ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย

อาจจะดูเป็นเรื่องปกติที่คน 2 คนจะกระซิบกระซาบกันเรื่องงาน แต่ด้วยข่าวลือที่กำลังแพร่ไปทั่วสำนักงานใหญ่กลับทำให้คนที่เห็นภาพความสนิทสนมของเพื่อนรักตีความไปไกลกว่าที่ควร

ไม่ใช้เรื่องแปลกที่ผู้บริหารระดับสูงจะชักชวนคนที่ไว้ใจเข้ามาทำงานร่วมกัน แม้จะเป็นเพื่อนสนิทแต่การเข้านอกออกในห้องทำงานของลูกชายเจ้าของบริษัทเป็นว่าเล่น การไปกลับรถยนต์คันเดียวกันในบางวัน การอยู่ด้วยกันในห้องทำงาน 2 ต่อ 2 ยามวิกาล หรือแม้กระทั้งข่าวลือว่าไอซ์ถือ keycard สำรอง penthouse สุดหรูของ Hiso หนุ่ม ยิ่งเป็นเหมือนเชื้อไฟที่พัดให้ข่าวลือแพร่กระจายราวกับไฟลามทุ่ง


----------


มิลค์ : เจอกันวันพรุ่งนี้ครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือไม่อาจฝืนชะตา

#มิลค์ #ไอซ์ #เพื่อนสนิท
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 32 ; ลาก่อนเจ้าความรัก (part 1/2)


3 ปีผ่านไป

“มิลค์ กูว่ากูจะหยุดทำแบบนี้แล้วนะ” บอนพูดขึ้นในขณะที่เรา 2 คนนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงหลังใหญ่

“ฮึ? ...” ผมที่กำลังเคลิ้มๆ จะหลับถึงกับตาสว่างเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่

“... มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามในขณะที่ยันตัวลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง

“กูเจอผู้หญิงคนหนึ่ง” มันพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พร้อมกับมองลึกเข้ามาในดวงตาของผม

“อ่า!!! กูเข้าใจแล้ว”

“มึงโอเคไหม ถ้ากูจะหยุด”

“โอเคดิ เราตกลงกันแล้วไม่ใช้เหรอ” ผมก็ตอบรับด้วยรอยยิ้ม หลังจากที่ผมปฏิเสธบอนเป็นครั้งที่ 2 เจ้าตัวก็กลับไปเรียนต่อ หายไปหลายเดือนกว่ามันจะกลับมาพักผ่อนที่ไทยอีกครั้ง บอนโทรนัดผมออกมากินข้าวในฐานะเพื่อนสนิทวัยเด็ก แต่สุดท้ายเรา 2 คนก็จบลงบนเตียง เพราะเรื่องบนเตียงของเราเข้ากันได้ดีมาตลอด เราเลยตกลงว่าจะเป็น friend with benefit กัน ... ไม่รู้สึก ไม่ผูกมัด ต่างฝ่ายมีอิสระเต็มที่จะยุติความสัมพันธ์บนเตียง มันเป็นความสัมพันธ์ที่ลงตัวพอดิบพอดีระหว่างเรา 2 คน ณ ช่วงเวลานั้น

“ถ้าอนาคตกูแต่งงาน มึงมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวนะ”

“เอาจริง?” ผมถามด้วยความไม่แน่ใจ มันคงเป็นสถานการณ์ที่ประหลาดพิลึก เจ้าบ่าวกับเพื่อนเจ้าบ่าวที่เคยเป็นแฟนเก่าและ friend with benefit กันมาก่อน

“จริง วันนั้นกูอยากมองรอบๆ แล้วเห็นทุกคนที่สำคัญกับชีวิตกู ...”

“... เราอาจจะเคยทะเลาะกัน อาจจะเคยทำให้อีกฝ่ายเสียใจ แต่สุดท้ายมันก็คือความรัก แค่ตอนนั้นเรายังเด็กเกินไป ...”

“... เอาจริงกูไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็น FWB กับมึงมาได้นานขนาดนี้” มันพูดด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายกว่าเดิมพร้อมกับขยับตัวขึ้นมากึ่งนั่งกึ่งนอนที่หัวเตียง ผ้าห่มที่ร่นลงมากองบริเวณท้องน้อยเผยให้เห็นลายกล้ามเนื้ออย่างคนออกกำลังของบอนชัดเจน ... คิดไปคิดมาก็รู้สึกเสียดาย partner แบบบอนไม่ใช้จะหากันได้ง่ายๆ แต่ก็ถึงเวลาที่จะต้องปล่อยให้บอนก้าวต่อไป

“เหมือนกัน” ตอนแรกผมคิดว่ามันคงเป็นความสนุกชั่วครั้งชั่วคราวที่พอเวลาผ่านไปต่างคนก็คงเบื่อและแยกย้ายกันไป ... ไม่น่าเอว่าเราอยู่ในสถานะนี้กันมาหลายปีแล้ว

“รู้สึกผิดเหมือนกันแฮะ ... เหมือนกูเป็นคนที่ทำให้มึงใจแตกเลย”

“บ้า!!! กูต่างหากที่เป็นคนชวนมึงก่อน...” ผมคล้ายยิ้ม

“... ไปเริ่มใหม่เถอะ กูยินดีด้วย ขอให้โชคดีกับคนๆ นั้น กูตัดชุดเพื่อนเจ้าบ่าวรอเลย” นิ้วมือเรียวสวยลูปไล้ไปตามสันกรามได้รูป







“มาแล้วๆ ผู้บริหารคนดัง” ไอ้โจเอ่ยปากแซวทันทีที่ผมเดินเข้ามาในร้านข้าวต้มเจ้าเด็ดย่านพระราม 3 วันนี้มากันครบคู่ ไอซ์-ออย, โจ-ใบเฟิร์น, อาร์ม-ฟ้าใส และ จี-ปอ

ทันทีที่จีเห็นมิลค์ก้าวเข้ามาในร้าน เจ้าตัวก็ลุกขึ้นจัดแจงที่นั่งให้เสร็จสรรพ เก้าอี้พลาสติกสีแดงที่เจ้าตัวนั่งอยู่ถูกยกให้เพื่อนที่เพิ่งมาถึง ส่วนตัวเองก็เดินไปหยิบเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆ มาใช้แทน มิลค์ตอบรับการกระทำของจีด้วยรอยยิ้มโดยไม่ได้สนใจสายตาของลูกค้าคนอื่นๆ ที่กำลังแอบลอบชำเลืองมองสมาชิกใหม่ของโต๊ะอาหาร อาจจะเพราะข่าวซุบซิบในแวดวงสังคม hiso ที่เพิ่งหลุดออกมาใน social media เมื่อไม่กี่วันก่อน หรืออาจจะมาจากการแต่งตัวที่ดูยังไงก็ไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบเพราะเพิ่งเสร็จจากงานประชุมเจ้าตัวเลยมาในชุดทางการเต็มยศ รองเท้าหนังสีดำขัดเงา กางเกงสแลคสีดำ เสื้อเชิ้ตแขนยาวประดับด้วย cufflink พลอยสีเขียวสดใส

“ขอบใจมึง ...”

“... หวัดดีครับ” กับแฟนเพื่อนคนอื่นๆ ผมคุ้นเคยดีอยู่แล้ว เลยแค่ส่งยิ้มทักทาย แต่กับแฟนคนล่าสุดของจีที่เจอหน้ากันครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ผมเลยต้องเอ่ยปากทักทายเพื่อกันข้อครหาว่าผมเขม่นแฟนทุกคนของจี ... อ่อ!!! ใช่ครับ ‘คนล่าสุด’ เพราะคนก่อนที่เคยให้คำสัญญาว่าจะ ‘รออยู่ที่นี้ ไม่ไปไหน’ สุดท้ายเจ้าตัวก็ทน long distance relationship ไม่ไหว เอ่ยปากบอกเลิกเพื่อน (เคย) สนิทของผมหลังจากเจ้าตัวไปเรียนต่อได้ไม่ถึงปี

ผมไม่ได้โทษเธอที่เป็นฝ่ายถอดใจไปก่อน หากเป็นผมๆ ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะรอคอยใครบางคนได้นานขนาดนั้นไหม 3 ปีนั้นยาวนานและส่งผลต่อความสัมพันธ์ของคน 2 คนมากกว่าที่คิด หลังจากเจ้าตัวเรียนจบกลับมาเราก็ไม่สามารถเรียกอีกฝ่ายว่า ‘เพื่อนสนิท’ ได้เต็มปากอีกต่อไป

“อันนี้ของมึง กูแบ่งไว้ให้” จานอาหารถูกวางลงตรงหน้า ความแปลกคืออาหารที่อยู่ในจานมีหลากหลายชนิด บ่งบอกว่าถูกตักแบ่งมาจากจานอาหารก่อนหน้านี้อย่างละนิดอย่างละหน่อย

“ไม่ต้องก็ได้ กูกินมาแล้ว” เพราะเป็นงานประชุมกึ่งทางการเลยมีเลี้ยงอาหารเย็นด้วย

“กินแล้วก็กินอีกได้”

“อืม” ผมตอบรับในลำคอ ก่อนที่จะหยิบตะเกียบขึ้นมาคืบกระเพาะปลาผัดแห้งเข้าปาก

“ไอ้ไอซ์ ทำไมมึงไม่ไปประชุมกับเจ้านายมึงด้วยวะ” อาร์มถาม

“กูอยู่แผนก marketing ไหมมึง จะไปยุ่งอะไรด้วย” ไอซ์พูดแบบไม่ยี่ระ ในขณะที่ผมแต่งชุดเต็มยศ มันใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั่นราวกับเดิมมาของร้านขายของชำหน้าปากซอย

“มึงคิดอะไรวะไอ้มิลค์ ถึงได้มาชวนมันไปทำงานด้วย” อาร์มถาม สังเกตจากสีหน้าแล้วไม่ได้อยากได้คำตอบจริงๆ จังๆ แน่นอน

“คิดผิดไงมึง 555” ไอ้อาร์มชงมาซะเข้มขนาดนี้แล้วผมจะไม่ตบได้ยังไง

“เออ วันจันทร์กูจะไปลาออก” พูดจบแล้วมันก็ลุกขึ้นทำท่าหัวฟัดหัวเหวี่ยงเสียเต็มประดา

“โอ้ๆ มึงจะลาออกได้ยังไง มึงออกแล้วใครจะมานั่งฟังกูบ่นๆ 555” ผมรีบเอนตัวไปกอดเอวของมันไว้แน่น แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้งระหว่างผมกับไอซ์

หลังจากจบ ป.โท ที่คณะ ผมก็กลับมาทำงานที่ The Neame group และชวนไอซ์ให้มาทำงานด้วยกัน ตอนแรกมันบ่ายเบี่ยงเพราะไม่อยากถูกนินทาว่าเป็นเด็กเส้น ผมทั้งขอร้อง ทั้งอ้อนวอน จนสุดท้ายมันก็ใจอ่อน ตอบตกลง

จีอาศัยจังหวะที่ทุกคนคุยเล่นกันสนุกสนานลอบมองมิลค์ มิลค์กลับมาทำงานที่บริษัทได้ประมาณปีกว่าแล้ว วันที่เจอกันครั้งแรกหลังจากเรียนจบกลับมาเขาก็ค้นพบว่าเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่วัยเด็กไม่ใช่คนเดิมกับคนที่เขาเคยรู้จักอีกแล้ว เพื่อนสนิทที่เมื่อวันวานยังเป็นสัตวแพทย์ป้ายแดงตอนนี้เป็นผู้บริหารธุรกิจยักษใหญ่เต็มตัว เรื่องงานจีรู้แค่ตอนนี้มิลค์เป็นหัวหน้าแผนกการวางแผนและกลยุทธ สำหรับเรื่องส่วนตัวของมิลค์ จีก็เป็นเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ที่รู้จากข่าว gossip ตาม social media

ทุกอย่างที่เขาเคยรู้จักเกี่ยวกับมิลค์เปลี่ยนไปหมดแล้ว แม้จะเป็นเรื่องพื้นๆ อย่างเรื่องกาแฟ ที่มิลค์เปลี่ยนจากกาแฟแก้วโปรดอย่าง mocha มากิน americano ไม่หวานเลย ด้วยเหตุผลที่ว่ามิลค์กินกาแฟหนักมาก ถ้ายังกิน mocha เหมือนเดิมคงได้มีปัญหาสุขภาพเข้าซักวัน คนที่เคยเป็นเพื่อนไปเดินเล่นตลาดนัดจตุจักรด้วยกันในวัยเด็ก ตอนนี้วันๆ เอาแต่ใส่สูทผูกไทด์นั่งทำงานอยู่บนตึกสูงกลางใจเมือง คนที่เขาเคยเป็นเพื่อนเดินเลือกซื้อเครื่องประดับราคาถูกจากสยามสแควร์ในวันนั้น วันนี้สวม jewelry แบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า ... ที่สำคัญ ตอนนี้คนที่สนิทที่สุดของมิลค์ ไม่ใช้เขาอีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็นคนที่นั่งอยู่อีกข้างหนึ่งของเจ้าตัว ไม่กี่สัปดาห์ก่อน จีเพิ่งรู้ว่าตอนนี้ไอซ์คือคนที่ถือ keycard สำรอง penthouse ของมิลค์

พวกเรานั่งคุยกันสัพเพเหระ จนกระทั้งอาหารระรอกที่ 2 เริ่มทยอยมาเสิร์ฟ

“ไม่เอาๆ กูอิ่มแล้ว” ผมส่ายหัวปฏิเสธเมื่อจีคีบผัดผักบุ่งไฟแดงมาวางไว้บนจาน

“กินๆๆ มึงผอมไปนะ” คนข้างๆ ทำเป็นหูทวนลม แล้วใช้ตะเกียบคีบหมูสับไข่เค็มอีกครึ่งชิ้นมาให้

“มิลค์ กูอยากรู้” อยู่ๆ ไอ้โจก็โพลงออกมา

“เออๆ ถามมา” ผมเพยิดหน้าให้มัน พอเห็นสีหน้าอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามันจะถามอะไร

“ข่าวนี้จริงไม่จริงวะ”

“ข่าวไหน”

“อย่ากวนตีน”

“เอาจริง ข่าวไหน เรื่องอะไร”

“ข่าวที่มึงคบกับลูกชายเจ้าแม่อสังหาไต้หวันนะจริงหรือเปล่า” อ่ออออออ ข่าว gossip ที่ทีเพิ่งหลุดออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง

“จริง ...”

“... แต่เลิกไปซักพักนึงแล้ว” มิลค์ตอบด้วยท่าทีสบายๆ ในขณะที่ไอซ์อมยิ้มอย่างหมันไส้ ตอนนี้คนที่รู้เรื่องส่วนตัวของมิลค์ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นไอซ์

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ยืนยันได้ว่ามิลค์เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมามิลค์ไม่เคยมีความคิดว่าความรักเป็นเรื่องเล่นๆ มันจริงจังและให้คุณค่ากับความรักมาตลอด แต่ตั้งแต่เขากลับมาอยู่เมืองไทยก็ดูเหมือนมิลค์จะเปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่น มันมีข่าวกับคนทุกวงการไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ ดารา ลูกหลานนักการเมือง หรือแม้กระทั้งนักกีฬาทีมชาติ จนเพื่อนในกลุ่มแซวเจ้าตัวบ่อยๆ ว่าเป็น Cassanovee แทนไอ้ไอซ์ที่ตอนนี้เก็บเขี้ยวเล็บเพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวในอนาคตอันใกล้

“อ่าว!!! ทำไมอะ”

“ก็เลิกอะมึง ต้องมีเหตผลด้วยเหรอ” มิลค์จบบทสนทนาด้วยรอยยิ้มก่อนที่พวกเราจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา







รถยนต์ Maybach 62s สีขาวจอดนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าหลักของสำนักงานใหญ่ The Nemea group สายตาหลายคู่จับจ้องเพื่อรอการปรากฏตัวของเจ้าของรถยนต์คันหรูที่ยังใช้เวลาคุยธุระช่วงสุดท้ายอยู่ในภายในห้องโดยสารด้านหลัง เป็นที่รู้กันในหมู่พนักงานว่ามิลค์ ติณสิงห์ เป็นบุคคลผู้มีอัธยาศัยดีเลิศ แม้จะเป็นทายาทเพียงคนเดียวของธุรกิจมูลค่านับแสนล้าน แต่เจ้าตัวมักจะทักทายพนักงานในบริษัทด้วยความเป็นกันเอง ไม่ว่าพนักงานคนนั้นจะเป็นแม่บ้านหรือผู้บริหารระดับสูง ภาพของ Hiso ชื่อดังยืนต่อแถวซื้อกาแฟราวกับเป็นพนักงานคนหนึ่ง หรือยกมือไหว้ป้าแม่บ้านเป็นภาพที่คุ้นชินของทุกคนเป็นอย่างดี

ไม่นานประตูรถด้านหลังฝั่งตรงข้ามคนขับก็เปิดออก มิลค์ ติฒสิงห์ในชุดสูทเต็มยศก้าวลงจากรถ เจ้าตัวหยุดยืนอยู่ข้างรถยนต์คันหรูเพื่อรอเพื่อนสนิทที่ลงจากประตูหลังอีกฝั่งหนึ่ง ไอซ์ จุลจักร เพื่อนสนิทพ่วงตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการแผนกการตลาดเดินมาประคบด้านข้าง 2 คนเอียงตัวเข้าหากันเพื่อพูดคุยอะไรบางอย่าง ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย อาจจะดูเป็นเรื่องปกติที่คน 2 คนจะกระซิบกระซาบกันเรื่องงาน แต่ด้วยข่าวลือที่กำลังแพร่ไปทั่วสำนักงานใหญ่กลับทำให้คนที่เห็นภาพความสนิทสนมของเพื่อนรักตีความไปไกลกว่าที่ควร

ไม่ใช้เรื่องแปลกที่ผู้บริหารระดับสูงจะชักชวนคนที่ไว้ใจเข้ามาทำงานร่วมกัน แม้จะเป็นเพื่อนสนิทแต่การเข้านอกออกในห้องทำงานของลูกชายเจ้าของบริษัทเป็นว่าเล่น การไปกลับรถยนต์คันเดียวกันในบางวัน การอยู่ด้วยกันในห้องทำงาน 2 ต่อ 2 ยามวิกาล หรือแม้กระทั้งข่าวลือว่าไอซ์ถือ keycard สำรอง penthouse สุดหรูของ Hiso หนุ่มยิ่งเป็นเหมือนเชื้อไฟที่พัดให้ข่าวลือแพร่กระจายราวกับไฟลามทุ่ง

"สวัสดีครับ ... สวัสดีครับ ... วันนี้กระโปรงสวยนะครับ" มิลค์เอ่ยปากทักทางพนักงานคลอดทางตั้งแต่เดินเข้ามาในอาคาร รอยยิ้มและความสดใสของมิลค์ส่งต่อพลังบวกให้กับคนรอบข้างราวกับสายน้ำที่ล่อเลี้ยงผืนป่าใหญ่

"คนของประชาชนจริงๆ" ไอซ์อดใจไม่ไหว เขาขอแซวเพื่อนสนิทซักหน่อยในจังหวะที่ไม่มีใครอยู่ใกล้พอจะได้ยินบทสนทนาของเขา

"เป็นเพื่อนกับคนดีแบบกูก็ต้องทำใจหน่อย"

"จะอ้วก!!!"

"เข้าไม่ได้นะครับคุณป้า" เสียงเอะอะโวยวายจากพนักงานรักษาความปลอดภัยทำให้ผู้คนในบริเวณนั้นหันมามองไม่เว้นแม้แต่เพื่อนสนิททั้ง 2 คน

"หนูลูก หนู"

"เขาเรียกมึงหรือเปล่าวะ" ไอซ์เอ่ยถาม ในขณะที่สายตากำลังจับจ้องกับความวุ่นวายตรงหน้า เหมือนพนักงานรักษาความปลอดภัยกำลังกันคุณป้าคนหนึ่งที่พยายามจะเดินเข้ามาด้านหลังประตูกั้น

"ไม่แน่ใจเหมือนกัน..." ประตูลิฟต์เปิดออกในขณะที่มิลค์ชะโงกตัวออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจก้าวเดินไปยังหญิงสูงอายุคนนั้น

"... มีอะไรหรือเปล่าครับ" ความชุลมุนตรงหน้าสงบลงเมื่อทายาทของ The Nemea group เดินมาเข้ามา

"แม่เองลูก จำแม่ได้ไหม" ในขณะที่หญิงสูงอายุกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม คนรอบข้างต่างพร้อมใจกันขมวดคิ้วไม่เว้นแต่เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้าง ... Hiso เบอร์ต้นๆ ของประเทศอย่างมิลค์ ติฒสิงห์ จะรู้จักกับคุณป้าคนนี้ได้ยังไง แล้วต้องสนิทกันระดับไหนถึงแทนตัวเองว่าแม่

มิลค์นิ่งไปครู่ใหญ่ราวกับกำลังใช้สมาธิรื้อค้นความทรงจำของตัวเอง

"แม่!!!" คนรอบข้างต่างตกตะลึงจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ ทุกคนต่างสงสัยว่าคุณป้าคนนี้คือใคร มิลค์ ติฒสิงห์ถึงได้เรียกว่าแม่ และยังยกมือไหว้สวัสดีด้วยท่าทีนอบน้อม ทำเอาพนักงานรอบๆ ขมวดคิ้วไปตามๆ กัน

"ลูกทำงานที่นี้เหรอ" สิ้นประโยคของคุณป้า ทุกคนที่ได้ยินก็เกิดอาการ dead air ไปพร้อมๆ กัน ไอซ์กั้นขำจนหน้าเปลี่ยนสี พลางคิดในใจว่าคุณป้าจะทำสีหน้ายังไงเมื่อรู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือลูกชายเจ้าของตึก

"ครับ..." มิลค์ตอบพร้อมกับรอยยิ้ม ที่คุณป้าพูดมาก็ไม่ได้ผิดตรงไหน เขาไม่ใช่เจ้าของที่นี้ (อย่างน้อยก็ในตอนนี้) ปัจจุบันเขามีฐานะเป็นพนักงานประจำพ่วงด้วยสถานะผู้ถือหุ้นลำดับที่ 2 เท่านั้น

"แม่มาทำอะไรที่นี้ครับ"

"แม่มาสมัครงานแม่บ้านนะจ๊ะ"

"แล้วได้สัมภาษณ์กับแผนกบุคคลหรือยังครับ"

"ยังเลยจ๊ะ แม่เพิ่งมาถึง แล้วก็เห็นลูกเดินผ่านไปเลยรีบมาทัก ลูกสบายดีนะ"

"สบายดีครับ งั้นเดียวผมเดินไปส่งแม่ที่แผนกบุคคลนะครับ" เป็นภาพที่ประทับใจไม่น้อยเมื่อมิลค์ ติฒสิงห์ กุมมือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยจากการทำงานหนักราวกับตนเองเป็นลูกเป็นหลาน

"ขอบใจจ๊ะ"

คนที่ได้พบเห็นต่างต้องจ้องมองซำด้วยความประหลาดใจ ใครๆ ก็รู้ว่ามิลค์ ติฒสิงค์เป็นคนง่ายๆ ไม่ถือตัว แค่การพบเห็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรจูงมือคุณป้าคนหนึ่งมาสมัครงานแม่บ้านที่แผนกบุคคลก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดฝันว่าจะเกิดขึ้น พนักงานในแผนกบุคคลต่างตื่นตระหนกเมื่ออยู่ๆ ลูกชายเจ้าขององค์กรก็เดินเข้ามาในแผนก

"ยังไงผมฝากคุณป้าด้วยนะครับ" มิลค์พูดกับพนักงานแผนกบุคคลด้วยรอยยิ้ม

"ได้เลยครับคุณมิลค์ เดียวผมจะดูแลให้ครับ" มิลค์พยักหน้ารับ แม้จะไม่ได้พูดกันตรงๆ แต่ทั้งของฝ่ายก็เข้าใจความหมายแฝงของคำว่า 'ฝาก' และ 'ดูแล' เป็นอย่างดี

"งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ตอนสัมภาษณ์แม่ไม่ต้องเกรงนะครับ พนักงานแผนกนี้เขาใจดีกันทุกคน" ทุกคนยิ้มแห้งๆ ให้กับคำชมของมิลค์ เพราะแผนกบุคคลถือเป็นหนึ่งในแผนกที่ดุที่สุดขององค์กรรองมาจากแผนกการเงิน

"ลูกทำงานอยู่ตรงไหน เผื่อแม่จะแวะไปทักทาย" เป็นอีกครั้งที่ไอซ์ต้องกลั้นขำจนตัวโยน

"แม่ขึ้นไปหาผมที่ชั้น 45 ก็ได้ครับ แจ้งว่ามาพบมิลค์ ติฒสิงห์ ..."

"... ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ" พูดจบมิลค์ก็สวัสดีคุณป้าอีกครั้งก่อนจะปลีกตัวออกมา

"มึงไปรู้จักเขาได้ไงวะ" ไอซ์ถามเมื่อพวกเขาเดินออกมาจากแผนกบุคคล

“รู้จักตอนไปค่ายอาสานะ"

"ตั้งแต่สมัยโน้นอะนะ"

"อืม บังเอิญเจอกันในหมู่บ้าน กูไม่ยืมไม้กวาด แล้วป้าแกเลี้ยงน้ำเขียวกู"

"ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างมึงจะมี moment อะไรแบบนี้กับเขาด้วย ..."

“... อยากรู้เหมือนกันว่าป้าแกจะทำหน้ายังไงถ้ารู้ว่ามึงคือลูกชายเจ้าของบริษัท 555" ไอซ์พูดอย่างอารมณ์ดีในขณะที่ผมส่ายหัวอย่างเอือมระอา โตมาขนาดนี้แต่ก็ยังติดนิสัยชอบแกล้งคนเหมือนเดิม



"คุณมิลค์ครับ แม่บ้านชื่อลดามาขอพบครับ" เสียงของเลขาส่วนตัวดังขึ้นจาก intercom บนโต๊ะทำงาน ผมขมวดคิ้วแต่พอเห็นภาพในกล้องวงจรปิดคิ้วที่ขมวดเข้าหากันก็คลายออก

"ให้เข้ามาได้ครับ ..." ผมตอบกลับปลายสาย พลางลุกออกจากโต๊ะทำงาน

“... แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามเมื่อคุณป้าก้าวเข้ามาในห้อง

“คือ แม่ ป้าจะมาขอโทษคุณมิลค์ ป้าไม่รู้จริงๆ ว่าคุณมิลค์เป็นใคร”

“ไม่เลยไรเลยครับ เรื่องแค่นี้เอง แม่ไม่ต้องคิดอะไรมากนะครับ” ผมจูงมือคุณป้ามานั่งตรงโซฟารับแขก

“ไม่ต้องเรียกแม่ก็ได้คะ คนอื่นจะมองคุณมิลค์ไม่ดี”

“555 ผมชินแล้วนะครับ ถ้าแม่ไม่ชินจะเรียกผมว่าลูกเหมือนเดิมก็ได้นะครับ”

“เรียกคุณมิลค์ดีกว่าคะ”

“ได้ทุกอย่างที่แม่สบายใจเลยครับ”

“ป้าจะมาขอบคุณคุณมิลค์ด้วย ถ้าไม่ใช้เพราะคุณมิลค์ป้าคงไม่ได้งานนี้ ตอนนี้งานหายากมาก ป้าสมัครมาหลายที่แล้วที่นี้เป็นที่สุดท้าย คิดอยู่ว่าถ้าไม่ได้ก็คงจะกลับบ้านไปขายของเล็กๆ น้อยๆ”

“อะๆ ไม่ต้องไหว้ครับ...” ผมรีบกุมมือของคุณป้าเอาไว้ทันทีที่แกทำท่าจะประนมมือ

“... แม่ได้งานนี้เพราะความสามารถตัวเองมากกว่าครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย” แม้ผมจะเป็นคนเอ่ยปากฝากฝังคุณป้ากับแผนกบุคคลแต่ถ้าคุณสมบัติของคุณป้าไม่ผ่าน ฝ่ายบุคคลคงโทรขึ้นมาถามความคิดเห็นของผมตั้งแต่วันสัมภาษณ์แล้ว

“แต่ยังไงป้าก็ยังอยากขอบคุณคุณมิลค์อยู่ดี”

“ครับ ผมยินดีรับคำขอบคุณของแม่ด้วยใจจริง ...”

“... ไม่รู้ว่าแม่ยังจำได้ไหม แต่ผมยังจำรสชาติของน้ำเขียวขวดนั้นได้อยู่เลย” น้ำอัดลมขวดนั้นนอกจากช่วยดับกระหายแล้ว ยังช่วยรดน้ำเมล็ดพันธุ์ ‘น้ำใจ’ ในใจของผมให้งอกงามมาจนถึงทุกวันนี้ เรา 2 คนคุยเรื่องเมื่อครั้งในอดีตอีกเล็กน้อย ก่อนที่เลขาส่วนตัวจะเข้ามาขัดจังหวะเนื่องจากผมมีประชุมต่อช่วงบ่าย

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 32 ; ลาก่อนเจ้าความรัก (part 2/2)


“ขอแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาวด้วยครับ ... ลำดับต่อไปเป็นช่วงเวลาที่สาวๆ ทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอ ขอเชิญสาวๆ มารวมตัวกันหน้าเวทีได้เลยนะครับ หรือถ้าหนุ่มๆ สนใจก็มาร่วมวงได้นะครับ” หลังจากจบคำเชิญชวนของพิธีกรบนเวที เพื่อนๆ ของทั้งไอซ์และออยต่างก็ทยอยไปรวมตัวกันที่หน้าเวที

“ไอ้มิลค์ มึงไปซิ” โจที่ยืนอยู่ข้างๆ กระซิบ มันเอนตัวเอาหัวไหล่มากระแทกตัวผม

“ไม่เอาอะ อาย” ถ้าผมเดินออกไป มันจะต้องเด่นมากๆ เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นส่วนใหญ่แล้วมีแต่ผู้หญิง

“ไปดิวะ เผื่อวันนี้มึงจะได้เจอเนื้อคู่” ไอ้โจยังไม่หยุดเสี่ยม

“ไม่เอาอะ” คนโสดแบบผมส่ายหัวปฏิเสธ ผมเพิ่งเลิกกับแฟนคนล่าสุดไปเมื่อไม่กี่วันก่อน

“ไอ้มิลค์!!! ...” ไม่ทันไรเสียงของไอซ์ก็ดังผ่านลำโพงออกมา พอได้ยินว่ามันเรียกชื่อผมเท่านั้นแหละ รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว

“... ออกมาเลย โสดอยู่ก็ออกมา...” ไม่พูดปากเปล่ามันยังกวักมือเรียกผมอีก นั้นยิ่งทำให้ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผมมากขึ้น

“... ไม่ออกมา กูไม่เริ่ม” โคตรเหี้ย

“ไม่เอาอะมึง กูไม่อยากไป” ผมบ่นกระบอดกระแปด เมื่อถูกไอ้โจลากออกมา

“โชคดีเพื่อน” พูดจบมันก็พลักไหล่ผมเข้าไปกลางวง ผมแก้เขินด้วยการส่งยิ้มและค้อมหัวทักทายเพื่อนของบ่าวสาวที่ผมไม่รู้จักเลยซักคน

“งั้นเริ่มเลยนะครับ ขอเชิญบ่าวสาวที่หน้าเวทีเลยครับ...” ผมแหงนหน้ามองเพื่อนสนิทในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มเดินเคียงคู่มากับเจ้าสาวในชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์ ไม่น่าเชื่อว่าคู่ที่ทะเลาะกันบ่อยที่สุดอย่าง 2 คนนี้จะเป็นคนคู่แรกที่แต่งงานกัน ... ผมหันหลังกลับไปมองเพื่อนและแฟนอีก 3 คู่ด้านหลัง จนกระทั้งสายตาหยุดอยู่ที่คู่ของจี มีคนบอกว่าพอมีเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มแต่งงาน คนอื่นๆ ก็จะแต่งตามเป็นโดมิโน่ ... วันที่ผมกลัวที่สุดในชีวิต ใกล้จะมาถึงแล้วซินะ

หลังจากที่หลุดอยู่ในห้วงความคิดไปครู่ใหญ่ ผมกลับเข้าสู่โลกของความเป็นจริงอีกครั้งเมื่อเสียงโวยวายของคนรอบข้างดังขึ้น เหมือนเห็นภาพ slow motion ช่อดอกไม้สีชมพูลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ ผมตอบสนองทุกอย่างตามสัญชาตญาณ รู้สึกตัวอีกทีช่อดอกไม้ช่อนั้นก็อยู่ในมือ ... ไอ้ชิบหาย!!!

“เชิญผู้โชคดีขึ้นมาบนเวทีได้เลยครับ” ต้องขึ้นด้วยเหรอวะเนี่ย ผมมองเพื่อนสนิทที่ยืนหัวเราะอยู่บนเวที หันกลับไปทางกลุ่มเพื่อนก็เห็นภาพไม่ต่างกัน พวกมันหัวเราะกันจนตัวโยน ไอ้อาร์มโบกมือไล่ให้ผมรีบเดินขึ้นเวที ในใจคิดว่าอยากจะยัดช่อดอกไม้ใส่มือคนที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้ววิ่งหนีออกจากห้องให้รู้แล้วรู้รอด แต่สุดท้ายผมก็ต้องคอตกเดินขึ้นเวทีตามระเบียบ

มิลค์เดินขึ้นเวทีด้วยท่าทางเกร็งๆ เพราะสงสารเพื่อนสนิทไอซ์เลยขอไมค์จากพิธีกรเพื่อเป็นคนสัมภาษณ์เองน่าจะทำให้มันเกร็งน้อยลงบ้าง แม้จะต้องพูดในที่สาธารณะบ่อยครั้งแต่เจ้าตัวก็ดูจะประหม่าทุกครั้งที่ต้องตกเป็นเป้าสายตา โดยเฉพาะช่วงนี้ที่มันเพิ่งมีข่าวเลิกรากับแฟนหนุ่มดีกรีพระเอกชื่อดังและตกเป็นกระแสใน social media ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

มิลค์ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มแบบเดียวกับเขาต่างกันที่เจ้าตัวผูกไทด์สีเงินในขณะที่เจ้าบ่าวอย่างเขาผูกโบว์หูกระต่าย เพราะเป็นกลุ่มเพื่อนผู้ชายล้วน พวกเราเลยตกลงกันว่าจะตัดสูทเหมือนกันเพื่อใช้ในงานแต่งงานของทุกคนในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าว ... นอกจากโครงหน้าที่สวยราวกับปฏิมากรรมชิ้นงามแล้วสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดสายตาของทุกคนคงเป็นเข็มกลัดเพชรรูปขนนกขนาดใหญ่บนหน้าอกข้างซ้ายที่เวลาต้องแสงไฟบนเวทีแล้วส่งประกายระยิบระยับจนทำให้แขกในงานตาพร่าไปตามๆ กัน นอกจากจะเป็นที่รู้จักในฐานะ hiso หนุ่มชื่อดังแล้วมิคล์ยังถือว่าเป็น jewelry collector ตัวยงอีกด้วย

“แนะนำตัวหน่อยครับ” แม้จะมั่นใจ 100% ว่าไม่มีใครในงานไม่รู้จักมัน แต่การเริ่มต้นจากการแนะนำตัวน่าจะช่วยให้อีกฝ่ายผ่อนคลายได้ไม่มากก็น้อย

“ชื่อมิลค์ครับ เป็นเพื่อนมัธยมของไอซ์”

“แนะนำตัวเพิ่มอีกนิดได้ไหมครับ เผื่อมีคนยังไม่รู้จักคุณมิลค์” ทุกคนในงานต่างหัวเราะ ใครบ้างจะไม่รู้จักมิลค์ ติฒสิงห์ ไอซ์พูดพร้อมสีหน้าอมยิ้มที่ได้แกล้งเพื่อนสนิท ในขณะที่เจ้าตัวก็แยกเขี้ยวใส่เพราะรู้ตัวว่าถูกแกล้ง

“ชื่อมิลค์ ติฒสิงห์ สิงหนาฏครับ เป็นเพื่อนสนิทของเจ้าบ่าว รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ใครอยากรู้วีรกรรมของเจ้าบ่าวสามารถมาสอบถามหลังไมค์ได้ครับ หรือจะให้เล่าบนเวทีตอนนี้เลยก็ยินดีเหมือนกันครับ” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง มิลค์ยิ้มด้วยสีหน้าของผู้ชนะ ให้รู้กันไปว่าแม้จะเขินอายแต่คนอย่างเขาก็ไม่ตายไมค์เหมือนกัน

“มันสู้เว้ย!!! ... ไหนๆ ก็ขึ้นมาแล้ว ผมขอถือโอกาสตั้งแผงขายเพื่อนตัวเองซักหน่อยดีกว่าครับ ...”

“... ตกลงว่าตอนนี้คุณมิลค์โสดอยู่ไหมครับ”

“ก็ตามที่ทุกคนรู้จากใน social ละครับ ... โสดอยู่ครับ” มิลค์ตอบรับด้วยเสียงดังฟังชัดได้ใจความ

“ถ้าโสดก็แสดงว่าจีบได้ใช่ไหมครับ” ร้อยยิ้มมีเลศนัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไอซ์

“จีบได้ครับ ... แต่จะจีบติดหรือเปล่าก็อีกเรื่องนึงนะครับ” จบประโยคเสียงแซวก็ดังขึ้นจากกลุ่มเพื่อนๆ โรงเรียนเก่าที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่ด้านหลัง

“เป็นพยานนะครับ เจ้าตัวบอกว่าจีบได้ เพราะฉะนั้นเดียวช่วยขึ้น banner เบอร์โทรและ ID line ของคุณมิลค์ด้วยนะครับ ...”

“... แต่ขอเตือนหนุ่มๆ ไว้ก่อนว่าเห็นหน้าตาไม่มีพิษมีภัยแบบนี้ แต่หักอกใครมานักต่อนักแล้วนะครับ ... ยังไงก็ขอบคุณคุณมิลค์ที่ขึ้นมาเล่นสนุกกับเรา อันนี้เป็น gift voucher เอาไว้ไป shopping แม้ว่ามูลค่าของมันจะเทียบไม่ได้กับเข็มกลัดของคุณมิลค์ก็ตาม” ไอซ์จิกกัดเพื่อนสนิทอีกเล็กน้อยก่อนที่จะปล่อยให้มิลค์ลงจากเวที



“มีคนเข้ามาจีบมึงบ้างเปล่า” ไอซ์ถามผมในขณะที่เจ้าตัวกำลังถอดหูกระต่ายออก ส่วนสูทของเจ้าบ่าวพาดอยู่บนแขนของผม งานจบแล้ว แขกกลับกันหมดเหลือแต่พวกผมที่รอส่งเจ้าบ่าวเจ้าสาวขึ้นไปพักผ่อน

“ก็มี”

“มีใครที่มึงสนใจไหม”

“ไม่มี” ผมส่ายหัว

“ไม่มีซักคน?”

“อืม”

“ทำไมวะ profile ไม่โอเคเลยเหรอ”

“ไม่หรอก มึงก็รู้ว่ากูนิสัยเป็นยังไง คนใกล้ตัวมึงทั้งนั้น ไม่อยากให้เสียไปถึงมึง” ไอซ์พยักหน้ารับ และเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องอื่น ใจหนึ่งก็รู้สึกดีใจที่มิลค์คิดถึงเขาเป็นอันดับแรก แต่อีกใจก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ ผ่านมานานขนาดนี้แต่มิลค์ก็ไม่ยอมเริ่มต้นใหม่กับใครซักที ก่อนหน้านี้เจ้าตัวมีความสัมพันธ์แบบ FWB กับไอ้บอนมานานหลายปี จนกระทั้งบอนขอหยุดเพื่อไปเริ่มต้นใหม่ จากนั้นมิลค์ก็เริ่มมีแฟน ตอนแรกไอซ์รู้สึกดีใจที่เพื่อนสนิทมีท่าทีจะเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง แต่นานวันเขากลับรู้สึกว่าสุดท้ายมันก็วนอยู่ที่เดิม มันเปลี่ยนแฟนบ่อย คบได้ไม่นานก็เลิก โสดได้ไม่เท่าไหร่ก็คบกับคนใหม่ แม้ว่าเขาจะตามเช็ดตามล้างให้เท่าไหร่แต่ในยุคสมัยที่ข่าวสารอยู่เพียงแค่ปลายนิ้ว ปิดยังไงก็ปิดไม่หมด ข่าว gossip เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของมิลค์เลยตกเป็นประเด็นใน social media มาตลอด



...




Bon ;

การ์ดแต่งงาน

Milk ;

เฮ้ย ยินดีด้วย

Bon ;

Save the date นะมึง

ตามสัญญา มาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้กูด้วย

Milk ;

แน่นอน สัญญาไว้แล้วนิ

ให้ไปตั้งแต่งานเช้าเลยไหม

Bon ;

ถ้าสะดวกอยากให้มาทั้งเช้าทั้งเย็น

แต่ถ้าไม่สะดวกขอเป็นงานเย็นอย่างเดียวก็ได้

Milk ;

สะดวกทั้งเช้าทั้งเย็นเลย

Bon ;

งั้นเจอกันนะมึง

แต่งตัวมาได้เต็มที่ มาเป็นสีสันให้งานกูหน่อย



“พี่มิลค์ สวัสดีคะ” ผมละสายตาจากคู่บ่าวสาวที่ยืนถ่ายรูปกับแขกในงานอยู่หน้า back drop บอนสวมแจ็คเกตทักซิโด้สีขาวตัดกับกางเกงขายาวสีดำ ยืนเคียงข้างเจ้าสาวในชุดราตรีลายลูกไม้สีขาว ช่างเป็นคู่สามีภรรยาที่เหมาะเจาะลงตัว

“สวัสดีครับ จำพี่ได้ด้วยเหรอ” ผมยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ คือน้องสาวของบอน ไม่เจอกันนานเธอเปลี่ยนไปจากในความทรงจำของผมไปพอสมควร

“ใครจะจำไม่ได้ เมื่อก่อนพี่มาเล่นที่บ้านบ่อยจะตาย”

“จริงด้วยซินะ” สมัยเด็กๆ ผมมาเที่ยวบ้านบอนบ่อยมาก เลยได้มีโอกาสนั่งเล่นเกมกับน้องบ่อยครั้ง และอีกหลายครั้งที่เป็นคอยเป็นกรรมการห้ามไม่ให้ 2 พี่น้องตีกัน

“หนูประหลาดใจเหมือนกัน วันที่เฮียบอกว่าชวนพี่มาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ...”

“... หนูคิดว่าหลังจากที่พี่ 2 เลิกกัน ก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก ...”

“... ทุกคนในบ้านรู้คะว่าตอนนั้นพี่ 2 คนเป็นแฟนกัน” เธออธิบายเพิ่มเติมเมื่อเห็นผมชะงักไป

“จริงดิ??? ป๊าม๊าก็รู้เหรอ”

“รู้คะ”

“เชี่ยยยยยยย” ผมถึงกับหลุดอุทานคำหยาบออกมา เพราะเพิ่งเข้าไปสวัสดีป๊าม๊า ทั้ง 2 คนดีใจมากที่เห็นผม หลังจากที่หายหน้าหายตาไปร่วมๆ 15 ปี

“หนูดีใจที่วันนี้เห็นพี่มางาน” เธอยิ้มกว้าง นับตาเป็นประกายบ่งบอกว่าเธอหมายความอย่างนั้นจริงๆ

“บอนแต่งงานทั้งทีพี่จะไม่มาได้ยังไง” ผมหันกลับไปมองคู่บ่าวสาวอีกครั้ง บอนกำลังใช้ทิชชูซับหน้าให้เจ้าสาว

“ที่จริงป๊าม๊าไม่เห็นด้วยเลยตอนที่รู้ว่าพี่ 2 คนคบกัน แต่ทุกคนก็เห็นว่าช่วงนั้นเฮียดูเป็นผู้เป็นคนขึ้น ตั้งใจเรียนมากขึ้น เกรดก็ดีขึ้น จนม๊าแอบหวังว่าพี่บอนจะได้เรียนหมอเลยนะ”

“555 ขนาดนั้นเลยเหรอ” พอน้องพูดผมถึงจำได้ว่าม๊าเคยเปรยๆ ว่าอยากให้มีลูกซักคนเรียนหมอ

“ขนาดนั้นเลยคะ แล้วอยู่ๆ พี่ก็หายไป จากนั้นเฮียก็ซึมเป็นหมาหงอย...” ผมหัวเราะในลำคอเพราะไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าบอนจะมีช่วงซึมหลังจากเลิกกัน

“... การเรียนก็แย่ลงๆ เกรดก็ต่ำลงๆ จนม๊ายังเปรยๆ ว่าคิดถึงพี่ ... ช่วงมหาลัยเฮียก็เหมือนคนใจแตก ม๊าปวดหัวเรื่องผู้หญิงของเฮียมากๆ หนูยังเคยพูดกับม๊าเลยว่านอกจากพี่แล้ว ก็ไม่เคยมีใครเอาเฮียอยู่เลยซักคน”

“555 นี่ชมพี่อยู่หรือเปล่านะ”

“หนูดีใจมากที่เฮียมีวันนี้ วันที่เฮียบอกจะแต่งงานหนูยังคิดว่าพูดเล่น”

“พี่ก็ดีใจเหมือนกัน” ใครจะคิดว่าเสื้อผู้หญิงอย่างบอนจะหยุดเพื่อใครซักคน ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่เคยคิดว่ามันจะมีวันนี้ จนกระทั้งเห็นแววตามุ่งมั่นของเจ้าตัวในคืนนั้น

“แต่หนูเห็นนะว่าเฮียโอบเอวพี่ตอนถายรูปที่ back drop”

“555 เห็นด้วยเหรอ” ผมหัวเราะกลบเกลื่อนเมื่อถูกจับได้

“เฮียแมร่งไม่เนียนเลย ... หนูดีใจนะที่พี่กลับเข้ามาในชีวิตเฮียอีกครั้ง หนูอยากจะบอกพี่ว่า ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน เฮียก็เก็บพี่ไว้ในสถานะพิเศษเสมอ”

“ขอบคุณครับ”



...



รถ Maybach 62S สีขาวกำลังเคลื่อนตัวไปตามถนนสุขุมวิท ผมที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารด้านหลังกำลังหลับตาพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออกช้าๆ จนกระทั้งรถยนต์คันหรูจอดตรงหน้าประตูทางเข้าหลักของโรงแรม 5 ดาวย่านราชประสงค์ ... เดินเข้ามาใน lobby ก็เห็นกลุ่มเพื่อนนั่งรอกันอยู่ก่อนแล้ว พวกเรามาชุดเพื่อนเจ้าบ่าวอย่างพร้อมเพียง

“กว่าจะมาถึง” ไอซ์เอ่ยปากทักทาย

“โทษที รถติดนะ” จริงแล้วรถติดไม่ใช้สาเหตุเดียวที่ทำให้ผมมาช้า แต่สาเหตุมาจากผมใช้เวลาแต่งตัวอยู่หน้ากระจกนานมาก

“เข็มกลัดสวย” คนตรงหน้าเอ่ยปากชมเข็มกลัดมรกตที่ผมเลือกอยู่นานสองนาน ก่อนจะใช้สายตาลอบสำรวจ accessory บนตัวของผม ใจจริงไอซ์คันปากอยากจะด่าเพื่อนสนิท แต่เพราะรู้ว่าวันนี้มิลค์ต้องการความมั่นใจมากเป็นพิเศษเลยเลือกที่จะไม่พูดอะไร

“ขอบใจ”

“มึงพร้อมนะ”

“พร้อม” ผมพยักหน้ารับ เพื่อนคนอื่นๆ ต่างมองมาที่ผมพร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงให้กำลังใจ มือหนาๆ ของไอ้โจวางลงบนต้นแขนก่อนที่จะเปลี่ยนมาโอบไหล่แล้วพาผมเดินไปยังลิฟต์

ผมยืนอยู่ด้านในสุดของลิฟต์ เลข digital ที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการนับถอยหลัง จนกระทั้งลิฟต์หยุดลงที่ชั้น 20 ผมยังคงเดินรั้งเป็นคนสุดท้าย ในขณะที่พวกเราทั้ง 4 คนเข้ามาในห้อง suite สำหรับคู่บ่าวสาว

“กูอยู่ในนี้” เสียงของจีดังขึ้นจากห้องที่อยู่ทางขวา ผมเดินตามหลังโจเข้าไปในห้องเป็นคนสุดท้าย มันคือห้องนั่งเล่นที่ถูกเปลี่ยนสภาพมาเป็นห้องแต่งตัวสำหรับเจ้าบ่าว กระจกใสบานใหญ่ทำให้ห้องดูสว่างตา วิวที่เห็นจากมุมนี้คือตึกสูงระฟ้าใจกลางเมืองหลวงในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า

ผมยืนนิ่งอยู่กับที่ ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ พูดคุยทักทายเจ้าบ่าว รู้สึกเหมือนคนที่ไม่อยากมีตัวตน อยากยืนอยู่นิ่งๆ ไม่เป็นจุดสนใจของใคร หรือถ้าหายไปจากตรงได้ก็ยิ่งดี

“มิลค์”

“ฮะ?” เสียงเรียกของอารม์ดึงผมให้หลุดออกจากพวัง

“มึงอยู่เป็นเพื่อนไอ้จี พวกกูไปจัดของอีกห้อง” พูดจบพวกมัน 3 คนก็เดินจากไป ทิ้งให้ผมอยู่กับจี 2 ต่อ 2 ในห้อง

สุดท้ายผมก็เลี่ยงไม่ได้ ดวงตาคู่สวยมองเจ้าบ่าวเป็นครั้งแรกตั้งแต่พาตัวเองเข้ามายืนอยู่ในห้อง ผมแทบจะลืมหายใจทันทีที่เห็นจีในชุดทักซิโด้สีดำผูกโบว์หูกระต่ายสีขาว ทรงผมที่ถูกตัดให้สั้นลงถูก set เอาไว้เป็นทรง ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางๆ ภาพที่เห็นตรงหน้าซ้อนทับกับภาพจากจินตนาการในวัยเยาว์ของผม

“มึงหล่อมาก” ผมอมยิ้มพร้อมกับก้าวเข้ามาในห้องอีกหน่อย

“ส่วนมึง ... สวย สวยมาก ...” เป็นครั้งแรกที่จีเห็นมิลค์ไว้ผมยาว เส้นผมยาวปะบ่าที่ถูกรวบบางส่วนไว้ด้านหลังแบบไม่ตั้งใจ ทำให้หลงเหลือปอยผมด้านหน้าเอาไว้ช่วยขับให้ใบหน้าสวยดูโดนเด่นขึ้นกว่าเดิม สูทสีน้ำเงินเข้มตัดกับเครื่องประดับมรกตสีเขียวครบ set ทั้งเข็มกลัด แหวน และต่างหูทำให้มิลค์ดูสูงส่งราวกับราชนิกูล

“มึงเจาะหู?” จีขมวดคิ้วถาม เพราะครั้งสุดท้ายที่เจอกัน มิลค์ไม่ได้เจาะหู แต่นั้นก็ผ่านมานามากแล้ว

“อืม เจาะได้ซักพักแล้ว”

“มาคนเดียวเหรอ?”

“คนเดียว”

“โสดแล้ว?”

“อืม” เพราะแฟนคนล่าสุดดีกรีนักกีฬาฟุตบอลทีมชาติเพิ่งถูกผมเทไปเมื่อไม่กี่วันก่อน เดียวก็คงมีข่าว gossip หลุดออกมาเหมือนทุกครั้ง

“ง่วงไหม เมื่อเช้าตื่นแต่เช้าเลยอะดิ” เมื่อเช้ามีพิธียกน้ำชา เพื่อนเจ้าบ่าวมา stand by กันตั้งแต่ตี 5

“ไม่เท่าไหร่” ตอบปฏิเสธทั่งที่ความเป็นจริงแล้วผมไม่ได้นอนเลยตั้งแต่เมื่อคืน พูดให้ถูกคือนอนไม่ได้ ทุกครั้งที่หลับตา ภาพจำทุกอย่างก็วนกลับเข้ามาไม่จบไม่สิ้น ... ผมรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองเปราะบางเกินไป

“มิลค์ กูว่าหูกระต่ายมันเบี้ยววะ มึงช่วยกูหน่อย” จีกลับไปส่องกระจกอีกครั้งก่อนจะหันกลับมาร้องขอความช่วยเหลือ ผมกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ลำคอแห้งผากราวกับทะเลทราย แต่ก็เดินเข้าไปใกล้ตามคำขอ

“เงยหน้าขึ้น” ใบหน้าหล่อเหล่าเชิดสูงขึ้น นิ้วมือเรียวสวยช่วยจัดตำแหน่งของหูกระต่ายให้อยู่ในตำแหน่งกึ่งกลาง ก่อนที่ผมจะเหลือบไปเห็นเส้นดายบางๆ ติดอยู่ตรงข้ามแก้มของคนตรงหน้า

“มีด้ายติดอยู่ที่แก้ม” ผมบอกพลางใช้นิ้วมือชี้บอกตำแหน่ง

“เอาออกให้หน่อย ทำเองกลัวแขนเสื้อเลอะเครื่องสำอาง”

“อืม” นิ้วชี้กับนิ้วโป้งบรรจงจีบลงเพื่อจับเอาเส้นด้ายเส้นเล็กออกจากใบหน้าหล่อเหล่า ผมถึงกับต้องกั้นหายใจในเสี่ยววินาทีที่เราบังเอิญสบตากัน

“จีคะ ปอพร้อมแล้วนะคะ” เสียงเรียกของเจ้าสาวดึงผมกลับสู่โลกของความเป็นจริง ผมหันไปส่งยิ้มบางๆ ให้เธอก่อนจะเขยิบหลบมุมให้บ่าวสาวได้พูดคุยกัน

“ปอลงไปก่อนได้เลย เดียวผมขอช่วยไอ้ไอซ์เช็คของ ปิดห้องเรียบร้อยแล้วจะตามลงไป”

“จีลงไปพร้อมปอไม่ได้เหรอคะ ชุดมันเดินลำบากมากเลย” ปออยู่ในชุดเจ้าสาวประดับผ้าลูกไม้ดูสวยงามโดดเด่น

“เอ่อออออออ” เจ้าบ่าวทำท่าลังเล ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังจัดการไม่เรียบร้อย

“เดียวกูลงไปเป็นเพื่อนปอเอง” ผมรับอาสา วันนี้เป็นวันมงคงของจี อะไรที่ช่วยได้ผมก็อยากจะช่วย

“งั้นปอลงไปกับมิลค์ได้ไหมครับ”



เลข digital ที่ผนังฝั่งหนึ่งของลิฟต์กำลังลดจำนวนลงเรื่อยๆ เพราะชุดที่มีขนาดใหญ่ทำให้มีแค่ผมเท่านั้นที่เข้ามาได้ ทีมงานคนอื่นๆ ต้องรอลิฟต์ตัวถัดไป ในลิฟต์เงียบสนิท ผมมองเงาสะท้อนของปอผ่านเงาบนประตูลิฟต์

“เข็มกลัดสวย” เธอเป็นฝ่ายทำลายความเงียบระหว่างเรา

“ขอบคุณครับ ...”

“... ยินดีด้วยนะ วันนี้ปอสวยมาก” ผมกล่าวชมเธออีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม

ทั้งรองเท้าส้นสูงและกระโปรงยาวทำให้เจ้าสาวเดินลำบากพอสมควร ผมเลยช่วยประคองเธอให้ค่อยๆ ก้าวเดิน ในงานเริ่มมีแขกมาถึงแล้วผมเลยตัดสินใจยืนรอเป็นเพื่อนปออยู่หน้า back drop ไม่นานเจ้าบ่าวก็ตามมาถึง ผมเลยหลบออกมายืนเกาะกลุ่มกับเพื่อนคนอื่นๆ พวกมัน 3 คนพาแฟนมาครบคู่ วันนี้เลยมีแค่ผมที่มาตัวคนเดียว พวกเธอนัดกันแต่งชุดสีน้ำเงินเข้มเข้าธีมสีเดียวกับเพื่อนเจ้าบ่าวแบบพวกผม

“วันนี้มิลค์จะไปรอรับช่อดอกไม้ด้วยหรือเปล่า” ออยถามในขณะที่เรากำลังยืนต่อแถวเพื่อถ่ายรูปรวมกับบ่าวสาว

“ไม่อะ” ผมส่ายหัวปฏิเสธ ก่อนหน้านี้ผมมักจะถูกลากออกไปพร้อมกับแฟนเพื่อนในกลุ่มแต่ตอนนี้ทุกคนแต่งงานกันหมดแล้ว

“วันนี้จีหล่อมากเลยเนอะ”

“อืมมม หล่อมาก” ผมตอบรับ

เจ้าบ่าวเจ้าสาวกำลังยืนฉีกยิ้มถ่ายรูปกับแขกอยู่หน้า backdrop แม้จะเป็นบรรยากาศของความสุขแต่ผมกลับหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อเห็นเขา 2 คนจับมือกัน พร้อมกับเสียงในหัวที่ตอกย้ำเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานของจี

รู้ตัวอีกทีผมก็เดินตามหลังโจกลับเข้ามาในห้อง Ballroom ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก 15 action ใน 1 นาที ไม่รู้ว่าตัวเองโพสต์ท่าอะไรออกไปบ้าง

“มิลค์ ...” ต้นแขนถูกรั้งไว้ด้วยมือหนาของเพื่อนสนิท ทุกคนหันกลับมาเมื่อการก้าวเดินของผมหยุดชะงัก ไอซ์เพยิดหน้าให้คนอื่นๆ เป็นสัญญานว่าต้องการคุยกับผมแค่ 2 คน

“... มึงอยากไปถ่ายรูปเดียวกับบ่าวสาวไหม ...” คำถามของไอซ์ทำผมนิ่งไปชั่วขณะ ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน

“... ไปถ่ายเถอะ ...” คนตรงหน้าพูดต่อเมื่อเห็นผมส่ายหัวปฏิเสธ ผมจะเอาความกล้าที่ไหนไปยืนอยู่ตรงนั้น

“... มันต้องดีใจมากๆ ถ้ามึงไป”

แสงแฟลชรัวออกมาจากกล้องทันทีที่มิลค์เดินเข้ามาในเฟลม มิลค์ ติฒสิงห์ ไม่เคยทำให้ช่างภาพผิดหวังเพราะไม่ว่าจะลุคไหนเจ้าตัวก็ขึ้นกล้องจนแทบจะไม่ต้องตกแต่งภาพเพิ่มเติม ... เป็นเหมือนที่ไอซ์บอก จีกระตือรือร้นทันทีที่เห็นมิลค์ยืนอยู่หน้าสุดของแถว เจ้าตัวเดินออกจาก backdrop มารับมิลค์ถึงในแถว มือหนากุมมือของมิลค์ไว้ตลอดช่วงเวลาที่ทั้ง 2 คนยืนถ่ายรูปอยู่หน้า backdrop

“ขอท่าเฮฮาๆ หน่อยครับ” เสียงช่างภาพซักคนพูดขึ้นมาหลังจากที่เพิ่งถ่ายภาพ set ใหญ่ไป มิลค์เริ่มเกิดอาการเกรงใจเพราะรู้สึกว่าตัวเองกินเวลาของคนอื่นไปมากแล้ว

“สุดท้ายแล้วครับคุณมิลค์” ช่างภาพอีกคนกล่าวต่อราวกับรู้ว่าเจ้าตัวคิดอะไรในใจ

ภาพสุดท้ายจบลงด้วยภาพของเจ้าบ่าวโอบไหล่กอดคอ hiso หนุ่มชื่อดังด้วยท่าทีสนิทสนมจนใครต่อใครต่างเข้าใจไปทางเดียวกันว่าคู่บ่าวสาวต้องเป็นเพื่อนสนิทของมิคล์ ติฒสิงห์อย่างแน่นอน ... แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้รอยยิ้มอันสดใสนั้นกลับซ้อนไปด้วยคราบน้ำตา ... ลาก่อนเจ้าความรัก

‘The worst kind of pain is when you’ re smiling just to stop the tears from falling’


----------

#ปล่อยมือ #สมศักดิ์ศรี #ลาก่อนเจ้าความรัก
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-11-2025 10:56:14 โดย Milky_Milky_Way »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด