Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 15
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 15  (อ่าน 5630 ครั้ง)

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 10
«ตอบ #30 เมื่อ06-06-2025 15:15:29 »

ผมหยุดยืนอยู่ที่ชั้น 2 ของบ้าน ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นิ้วมือเรียวสวยถึงได้เคาะลงบนบานประตูไม้ ก่อนจะเปิดประตูเข้ามาเพราะไม่มีเสียงตอบรับจากคนในห้อง ในห้องเปิดแอร์เย็นเฉียบ ทุกอย่างเงียบสนิท เดินเข้ามาถึงได้เห็นจีนอนเอาแขนพาดปิดดวงตาอยู่บนเตียง

“กูเอง ...” ผมพูดเมื่อปลายเท้าหยุดอยู่ข้างเตียง

“... เป็นไรวะ”

“ไม่มีอะไร” จีตอบ เสียงของมันดูไม่สดใสเอาซะเลย

“กูอยู่เป็นเพื่อนมึงนะ” ผมหย่อนตัวลงนั่งบนพื้น ... จีเป็นแบบนี้เสมอ เก็บทุกอย่างไว้กับตัวเอง ไม่พูด ไม่บ่น ไม่อธิบาย แต่ผมก็ชินกับความเป็น ‘จี’ แบบนี้อยู่แล้ว ... และผมก็นั่งอยู่ตรงนั้น เงียบๆ เคียงข้างเพื่อน นานนับชั่วโมง


----------


มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์อาทิตย์นะครับ ... จากน้องมิลค์ดนเดิม เพิ่มเติมคือมาอยู่เป็นเพื่อนจี  :hao4:

#อยู่ข้างๆ #กำลังใจ #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน


ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“พวกมึงกลับกันยังไง” ผมเอ่ยถามเพื่อนๆ สภานักเรียนที่ตอนนี้ยืนรวมกันอยู่ราวสิบคนบริเวณหน้าร้านอาหาร ... พวกเราเพิ่งฉลองความสำเร็จของงานวันเกิดโรงเรียนกันมา ตลอดเวลาเกือบสามชั่วโมงในร้านอาหาร เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และบทสนทนาต่างๆ ได้ช่วยเยียวยาความเหนื่อยล้าและความเครียดตลอดช่วงเตรียมงานจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงช่วงเวลาดีๆ ให้เก็บไว้ในความทรงจำ

“เดียวพวกกูกลับ taxi ... แล้วมึงละ”

“กูกลับ BTS”

“แล้วมึงกลับไง” ใครคนหนึ่งหันมาถามเอสที่ยืนหน้านิ่งอยู่ข้างๆ ผม

“เดียวกูทำธุระก่อนค่อยกลับ” ผมขมวดคิ้ว ... ธุระอะไรของมันตอน 3 ทุ่มของคืนวันศุกร์

“เออๆ งั้นเจอกันวันจันทร์เว้ย” ผมพยักหน้า แล้วพวกเราก็ต่างแยกย้าย

“มึงมีธุระตอนนี้เนี่ยนะ” ผมถามขึ้น ตอนนี้เหลือแค่ผมกับเอสที่เดินแยกมากันอีกทาง

“มีกับมึงนั้นแหละ” มันตอบพร้อมปรายตามองมา

“กับกู?”

“มึงไม่รีบใช่ไหม”

“ก็รีบนิดหนึ่ง ดึกแล้วอะ”

“ตอแหลวะ 3 ทุ่มเอง ... มากับกูเลย” พูดจบ มือหนาก็คว้าข้อมือผมไว้ ก่อนออกแรงจูงให้เดินตาม

“ปล่อยได้แล้วมั้ง อายคนอื่นเขา ...” จะไม่ให้อายได้ยังไง ผู้ชายสองคนเดินจับมือกันกลางสยาม ท่ามกลางสายตานับร้อยนับพัน

“... กูสัญญาว่าจะไม่วิ่งหนีมึง” มันพูดพลางขมวดคิ้ว ก่อนที่จะปล่อยข้อมือผมให้เป็นอิสระ

ผมเดินตามหลังของเลขาสภามาจนถึงตึกใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านสยามสแควร์ ... 3 ทุ่มกว่าแล้ว คนเริ่มบางตา ร้านร่วงเริ่มทยอยปิด ความสงสัยเริ่มก่อเกิดในจิตใจ ... นี่มึงไม่ได้จะพากูมาทำมิดีมิร้ายใช่ไหม

“คุยกับกูแป๊บนึง” มันพูดก่อนจะหย่อยตัวลงนั่งตรงบันไดหน้าตึก ผมมองซ้ายมองขวาเหมือนไม่มั่นใจว่าถ้านั่งตรงนี้จะถูกยามไล่ไหม ... แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจนั่งลงข้างมัน

ความเงียบระหว่างเราเริ่มให้ความรู้สึกอึดอัด เอสกุมมือตัวเองแน่น ราวกับกำลังต่อสู้กับความคิดบางอย่างในใจ ทุกครั้งที่เหมือนจะเอ่ยปาก คำพูดเหล่านั้นกลับถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ

“พูดมาเถอะ ... มาถึงขนาดนี้แล้ว” บรรยากาศตึงๆ จนสุดท้ายผมก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ

“คือ ... กูชอบมึง ... คบกับกูนะ” ผมเม้มริมฝีปาก ประโยคเมื่อครู่ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของผมนัก จากท่าทางของมันตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็พอเดาออกว่ามันกำลังหาโอกาสสารภาพรัก

“กูขอโทษนะ ... แต่กูยังไม่พร้อมจะมีใครจริงๆ” เพราะว่ารู้ตัวล่วงหน้า ผมถึงได้มีเวลาคิดและไตร่ตรองความรู้สึกของตัวเอง

“ทำไมวะ ก่อนหน้านี้ มึงก็เหมือนจะมีใจ ... กูทำอะไรผิด” มันมองหน้าผม แววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความตัดพ้อ ทำให้ผมรู้สึกผิดมากกว่าที่คิด

“กูขอโทษ มึงไม่ได้ผิด ... ผิดที่กู ... กูมีความสุขมากๆ กับทุกอย่างที่ผ่านมา ... แต่กูไม่พร้อมจริงๆ”

“กูรอได้ รอให้มึงพร้อม ... นานเท่าไหร่กูก็รอได้”

“อย่าเลย ... อาจจะไม่มีวันนั้นเลยก็ได้ ...” ผมเอ่ยเสียงแผ่วเบา

“... กูมีความสุขมากกว่า กับการอยู่คนเดียว” ผมเคยคิดจริงๆ ว่าชอบเอส และจากความรู้สึกดีๆ ที่ได้รับมาตลอด ผมก็เชื่อว่ามันมากพอที่จะทำให้ผมเปิดใจและเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง แต่ทว่าอ้อมกอดนั้นกลับตอกย้ำว่าผมยังไม่พร้อม ผมเคยหวังว่าความรู้สึกที่มีให้อีกคนจะทำให้ดอกไม้ในใจกลับมาเบ่งบานอีกครั้ง แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพียงไม่กี่วินาทีที่ถูกโอบกอด มีแต่ภาพความทรงจำอันเลวร้ายระหว่างผมกับบอนไหลทะลักเข้ามาในความคิด ... ผมเองก็เสียใจที่สุดท้ายแล้ว ความกลัวมีมากกว่าความหวัง



...



ใกล้สิ้นปี บรรยากาศของวันคริสมาสต์และเทศกาลปีใหม่ที่มาพร้อมกับลมหนาวหนาวทำให้ทุกอย่างลงตัวกับช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองประจำปี

“เสร็จจากตรงนั้นแล้ว ช่วยพี่ review กิจกรรมวันงานเลี้ยงหน่อยนะ” ผมบอกกับรุ่นน้อง ม.5 พลางกระโดดขึ้นไปนั่งบนโต๊ะ สายตาจับจ้องบนกระดาน white board ขนาดใหญ่ที่เขียนรายละเอียดมากมายของงานเลี้ยงวันคริสมาสต์ที่กำลังจากมาถึง ปากกาเคมีหลากสีถูกขีดเขียนเพื่อแยะรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป

“มิลค์ มึงเซ็นนี่ให้กูหน่อย” เอสเปิดประตูเข้ามา พอก้าวมาถึงมันก็ยื่นแฟ้มอันหน้าส่งมาให้

“เบิกของเยอะจังวะ...”

“... มึงเตือนพวกมันให้ใช้ของประหยัดๆ หน่อยดิ” ผมไล่สายตาไปตามแผ่นกระดาษตรงหน้า เบิกของอะไรมากมายขนาดนี้ เดียวก็โดนครูแดงบ่นอีก

“มึงพูดอย่างกับว่าพวกมันจะฟังกู ... เขาถึงได้บอกไงว่าอย่างปล่อยแก๊งค์นางฟ้าไว้กับงาน decoration” มันยักไหล่ ท่าทางแสดงออกชัดเจนว่าไม่เก็บเอาคำพูดของผมไปคิดต่อแน่ ๆ ... ผมถอนหายใจแต่ก็จรดปากกาเซ็นชื้อกำกับ ก่อนจะส่งแฟ้มคืน

“มึงจะกลับบ้านยัง”

“เสร็จจากตรงนี้ก็ว่าจะกลับเลย ... มึงละ”

“อีกซักพัก ขอ review ตรงนี้ก่อน” ผมตอบพลางเลื่อนใบหน้ากลับมายังกระดาน white board อีกครั้ง คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเมื่อรู้สึกว่ารายละเอียดตรงหน้ายังขาดบางสิ่งบางอย่างไป ... ไม่นานเสียงปิดประตูก็ดังขึ้น ตามหลังฝีเท้าของเอสที่เดินจากไป

… ‘Ice’

“ว่าไง”

“มึงเสร็จยัง” เสียงเข้มๆ ของไอซ์ดังออกมาตามสายโทรศัพท์

“ยังอะ มีไรเปล่า”

“มึงมาดูใจเพื่อนมึงหน่อย ... สติแตก เป็นเหี้ยอะไรก็ไม่พูด”

“จีเหรอ มันเป็นไรอะ”

“ไม่รู้ อยู่ๆ ก็นอยด์แดก ... รีบมา ก่อนที่กูจะหักคอมัน”

“เออ เดียวกูไป” ผมวางสายแล้วรีบเก็บของใส่กระเป๋าเป้

“พี่มิลค์ ผมมาแล้วครับ” น้อง ม.5 เปิดประตูกลับเข้ามา มื่อเห็นผมรีบกวาดของลงกระเป๋าอย่างลวก

“พอดีพี่มีธุระวะ ... วันนี้แค่นี้ก่อนนะ” พูดจบผมก็ก้าวเท้าออกจากห้องสภาทันที

จุดหมายปลายทางคือบ้านไอ้โจ ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนเพียง BTS 3 สถานีเท่านั้น เพราะความใกล้โรงเรียน ทำให้บ้านของโจกลายเป็นแหล่งรวมตัวของพวกเราไปโดยปริยาย ... ผมเดินเข้ามาในบ้านเดี่ยว 2 ชั้นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ คนในบ้านคุ้นหน้าคุ้นตาพวกเราเป็นอย่างดี พอเปิดประตูห้องนั่งเล่น ก็เจอไอซ์ อาร์ม โจ นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นตรงหน้าจอ TV ขนาดยักษ์

“มาช้าจังวะ” ไอ้ไอซ์หันมามองแค่เสี่ยววินาทีก่อนจะหันกลับไปสนในวีดีโอเกมตรงหน้า

“จีละ ...” ผมวางกระเป๋าเป้บนโซฟา

“... ไอ้เหี้ยไอซ์ กูถาม” ผมเดินเข้าไปใกล้ ใช้เท้าสะกิดมันเล็กน้อยเพื่อเรียกร้องความสนใจ

“อยู่บนห้องไอ้โจ” มันตอบห้วนๆ เหมือนรำคาญที่ผมมาชัดจังหวะเล่นเกมของพวกมัน

“เล่ามาดิ เกิดไรขึ้น” ผมรู้แค่ว่าวันนี้จีจะไปให้ของขวัญวันเกิดน้องฝน ... โรงเรียนของน้องอยู่ไม่ไกลจากบ้านไอ้โจ เดินไป 10 นาทีก็ถึง ... เดิมทีพวกเรานัดกันว่า ผมจะตามมาสบทบหลังจากเสร็จธุระ แล้วพวกเราจะไปกินข้าวเย็นด้วยกัน

“ไม่รู้มัน อยู่ๆ ก็เครียดแดก ไม่พูดไม่จา กูถามมันก็ไม่พูด ...”

“... มึงลองขึ้นไปคุยกับมันดิ” ไอ้อาร์มเพยิกหน้าให้ผมเดินขึ้นไปชั้น 2

“เออๆ เดียวกูไปดูมันเอง”

ผมหยุดยืนอยู่ที่ชั้น 2 ของบ้าน ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นิ้วมือเรียวสวยถึงได้เคาะลงบนบานประตูไม้ ก่อนจะเปิดประตูเข้ามาเพราะไม่มีเสียงตอบรับจากคนในห้อง ในห้องเปิดแอร์เย็นเฉียบ ทุกอย่างเงียบสนิท เดินเข้ามาถึงได้เห็นจีนอนเอาแขนพาดปิดดวงตาอยู่บนเตียง

“กูเอง ...” ผมพูดเมื่อปลายเท้าหยุดอยู่ข้างเตียง

“... เป็นไรวะ”

“ไม่มีอะไร” จีตอบ เสียงของมันดูไม่สดใสเอาซะเลย

“กูอยู่เป็นเพื่อนมึงนะ” ผมหย่อนตัวลงนั่งบนพื้น ... จีเป็นแบบนี้เสมอ เก็บทุกอย่างไว้กับตัวเอง ไม่พูด ไม่บ่น ไม่อธิบาย แต่ผมก็ชิดกับความเป็น ‘จี’ แบบนี้อยู่แล้ว ... และผมก็นั่งอยู่ตรงนั้น เงียบๆ เคียงข้างเพื่อน นานนับชั่วโมง

“อะไรวะ? ...” ผมสะดุ้งตัวโยนเมื่ออยู่ๆ จีก็ลุกจากเตียง

“...มึงจะไปไหนเนี่ย” มันไม่ตอบคำถาม แต่เดินไปคว้ากระเป๋าตังค์ มือถือ แล้วก็ถุงกระดาษใบสวยที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วก็เดินออจากห้องไป ... อะไรของมันวะ

“มันไปไหนวะ” อาร์มถามเมื่อผมเดินกลับลงมาข้างล่าง

“เอาของไปให้น้องมั้ง” ผมเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง 4 โมงกว่าแล้ว น้องน่าจะเลิกเรียนแล้ว

“ไอ้ไอซ์!!! … ไปเร็ว” ผมเดินเข้าไปคว้าแขนไอ้ไอซ์ พยายามดึงให้มันลุกขึ้น

“ไปไหนวะ”

“ไปดูไอ้จีไง มึงไม่อยากรู้เหรอว่าเกิดอะไรขึ้น” ไอ้ไอซ์ทำท่าคิด ก่อนที่มันจะลุกขึ้นเต็มความสูง

“ไปดิ เรื่องเสือกขอให้บอก” แล้วผมกับมันก็รีบวิ่งตามออกไป เพราะพวกเราวิ่งในขณะที่จีเดิน และ

"มึงว่ามันเป็นอะไรวะ?" ไอซ์กระซิบถามระหว่างที่เราสองคนทำตัวเป็นนักสืบ

“ไม่รู้วะ มันไม่ได้เล่าอะไรให้กูฟังเลย”

“มึงแมร่งไม่ได้เรื่อง กูอุตสาห์ตามให้มาเสือกเรื่องของมัน”

“ควx” ผมขยับปากแม้จะไม่ได้ออกเสียง แต่จากสีหน้ายิ้มแย้มของคนข้างๆ มันคงเดาได้ว่าผมด่าอะไร

เรา 2 คนทิ้งระยะห่างจากจีพอสมควร ผมมองแผ่นหลังของเพื่อนสนิทที่เดินอยู่ข้างหน้า อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น จริงอยู่ว่าความสัมพันธ์มันกับน้องฝนขึ้นๆ ลงๆ แต่ก่อนหน้านี้ก็ดูราบรื่นดี เมื่อวานจียังเล่าให้ผมฟังอยู่เลยว่าของขวัญวันเกิดของน้องสวยมากขนาดไหน ... ดวงตาคู่สวยจ้องมองถุงกระดาษสีสันสดใสในมือของเพื่อนสนิท ... หลายสัปดาห์ก่อน ผมยังบอกเจ้าตัวอยู่เลยว่ามันไม่มีทางพับดาวกระดาษ 1000 ดวงได้ทันเวลา แต่จีก็ยืนยันว่าทำได้ และปฏิเสธความช่วยเหลือของผม ... ของขวัญชิ้นนี้ต้องใช้ความพยายามมากขนาดไหนกัน เป็นผมๆ คงโยนทิ้งตั้งแต่ 10 ดวงแรกไปแล้ว

จีเดินมาถึงจุดหนัดหมาย โดยมีผมกับไอ้ไอซ์สวมวิญญาณนักสืบโคนันแอบมอง (เสือก) อยู่ไม่ไกล ... ยิ่งเห็นสีหน้าของจี ผมก็ยิ่งหัวใจห่อเหี่ยว ทำไมถึงดูเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบขนาดนั้น ไอซ์สะกิดไหล่ผมยิกๆ เมื่อเห็นร่างบางของน้องฝนเดินเข้ามา ... สีหน้าของจีเรียบสนิท ไม่มีแม้กระทั้งเสี่ยวของรอยยิ้ม พูดกันไม่กี่ประโยค พอน้องรับถุงของขวัญไป เจ้าตัวก็หันหลังเดินจากมา ... ไอ้เชี่ยจี มึงทำอะไรของมึงวะ

“ไปเร็ว!!!” ไอซ์คว้าคอเสื้อ ก่อนจะออกแรงลากผมออกมา ... ไอ้เหี้ย กูเจ็บคอ … เรา 2 คนใส่เกียร์หมาวิ่งกลับบ้านไอ้โจ เพราะมัวแต่ยืนงงเลยไม่สามารถย้อนกลับมาทางเก่าได้โดยที่จีจะไม่สังเกตเห็น พวกเราเลยต้องอ้อมไปอีกทาง



“วันนี้มึงกินอิ่มไหม” จีถาม ในขณะที่เรา 2 คนนั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถ taxi สีเขียวเหลือง

“ก็อิ่มนะ ทำไมเหรอ”

“กูเห็นมึงไม่ค่อยกิน” พวกเราออกไปหามื้อเย็นกินตามแผนเดิม ตอนแรกโจเสนอให้ผมไปกิน Star’ s กับจี 2 คนตามธรรมเนียมเวลาจีมีเรื่องไม่สบายหัวใจ cต่ผมอยากให้พวกเราไปกันพร้อมหน้าพร้อมตากันมากกว่า... และก็เป็นอย่างที่ผมคิด เสียงหัวเราะของพวกเราช่วยดึงจีออกจากความเศร้าได้ แม้จะเป็นเพียงแค่ชั่วคราวก็ตาม

“อืมมม เป็นห่วงมึง” ผมรู้ว่าจีเป็นคนคิดมากเรื่องความรัก แต่ไม่เคยเห็นมันออกอาการหนักขนาดนี้มาก่อน สีหน้าของจีตอนยืนคุยกับน้องฝนยังติดตาผมอยู่เลย

“เฮ้ย ไม่เป็นไร กูสบายมาก” มันทำท่ากลบเกลื่อน แต่สีหน้าแววตาบ่งบอกชัดเจนมากว่าเจ้าตัวไม่โอเคกับความรู้สึกตอนนี้

“โกหกไม่เนียน”

“ไม่มีไรหรอก เดียวมันก็ผ่านไป” รอยยิ้มปลอมๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเพื่อนสนิท

“มึงเล่าให้กูฟังได้นะ ...” มันส่ายหน้าช้าๆ

“... เหมือนกูไม่ได้ช่วยอะไรมึงเลย นั่งอยู่ข้างกันแท้ๆ แต่ช่วยอะไรไม่ได้”

“แค่มึงอยู่ข้างๆ กูก็รู้สึกดีมากแหละ ...”

“... มึงว่าน้องฝนเป็นยังไง”

“น้องก็น่ารักดีนะ ตัวเล็กๆ แต่น้องเขาหันหลังให้กูเลยไม่เห็นหน้า ...”

“... ไอ้จี !!!” ผมแทบจะกระโดดข้ามฝั้งไปบีบคอคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กว่าจะรู้ตัวว่าถูกหลอกก็ช้าไปเสียแล้ว

“หลอกโคตรง่าย” มันหัวเราะออกมาเบาๆ และนี่คงเป็นเสียงหัวเราะแรกของมันในวันนี้

“มึงรู้ ?”

“มึงกับไอซ์ โคตรไม่เนียนอะ ... ยื่นหน้าออกมาขนาดนั้น ไม่เห็นก็แย่แล้ว” มันพูดพลางอมยิ้ม

“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ผมคิดว่าพวกเราก็แนบเนียนพอสมควรแล้วนะ

“มองจากดาวเสาร์ยังเห็นเลย”

“คืนนี้มึงอยากให้กูไปนอนค้างเป็นเพื่อนไหม” ผมเอ่ยปากถามเพราะในใจก็ยังเป็นห่วงจีอยู่ไม่น้อย

“ก็ได้นะ ... มีมึงนอนเป็นเพื่อนก็ดีเหมือนกัน ...”

“... มึงกับไอ้เอสเป็นไงบ้าง” คำถามของจีทำให้ผมชะงัก จริงๆ แล้วผมว่าคนอื่นต่างก็สังเกตได้ ว่าช่วงหลังๆ ผมกับเอสไม่ได้สนิทกันเหมือนเดิม แต่แค่ไม่มีใครถาม

“ก็ไม่มีอะไร”

“เลิกกันแล้วเหรอ” คำถามของจีทำให้ผมต้องกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ

“ไม่รู้จะเรียกว่าเลิกกันได้หรือเปล่า ... ยังไม่ได้เริ่มคบกันเลยด้วยซ้ำ”

“ทำไมวะ กูว่ามึง 2 คนก็ดูเข้ากันได้ดี ...” ใช้ ผมยอมรับว่ากับเอส อยู่ด้วยแล้วสบายใจมาก

“... มึงยังกลัวอยู่อีกเหรอ” สายตาที่ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างค่อยๆ หันกลับมา เรา 2 คนสบตากันผ่านแสงรำไรที่ลอดเข้ามาจากภายนอก

“กลัว ... กลัวมาก ...”

“... สุดท้ายทำไมมันถึงจบเหมือนเดิมวะ กูโคตรไม่ชอบเลย ... แอบชอบเพื่อนสนิท ...”

“...ตอนนั้น พอเลิกกันก็เสียเพื่อน ตอนนี้ พอปฏิเสธ กูก็ต้องเสียมันไปอยู่ดี” ตั้งแต่ผมตอบปฏิเสธ เอสก็เริ่มเว้นระยะห่าง พวกเราคุยกันแค่เรื่องงานเท่านั้น ไม่ได้ไปกินข้าวหรือดูหนังด้วยกันอีกเลย ... จนตอนนี้ความสัมพันธ์ของเราลดระดับลงจากเพื่อนสนิท มาเป็นแค่เพื่อนร่วมงานเท่านั้น

“ความรักมันก็แบบนี้ ไม่มีใครคาดเดาได้ ... เอสมันก็รู้ว่าเสี่ยง แต่ถ้ามึงรักใครซักคนมากๆ การเสี่ยงให้รู้แล้วรู้รอดไป อาจจะดีกว่าการเก็บไว้ในใจตลอดก็ได้นะ”

เสี่ยง ... เหมือนตอนที่ผมเอาความเป็นเพื่อนสนิทระหว่างผมกับบอนมาเสี่ยงนะเหรอ ... จนถึงวันนี้ ผมยังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าผลลัพธ์ที่ได้มันคุ้มค่าจริงๆ หรือเปล่า


----------


มิลค์ : กลัวที่จะเริ่ม เพราะยังไม่ลืมว่าครั้งที่แล้วมันเจ็บยังไง จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีแผลเป็นในใจ

#กลัว #คนพังๆ2คน #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“กูรอได้ รอให้มึงพร้อม ... นานเท่าไหร่กูก็รอได้”

“อย่าเลย ... อาจจะไม่มีวันนั้นเลยก็ได้”
 

#เพราะความรักไม่เพียงพอจะรักษาหัวใจที่แตกร้าว #คนที่ใช้ในเวลาที่ผิด #ไม่ฝืนรัก

#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 11
«ตอบ #33 เมื่อ12-06-2025 19:55:42 »

“คิดไรอยู่” เสียงของจีดึงสติของผมกลับมาจากห่วงของความคิด

“เรื่อยเปื่อย ... ไหนเอาดอกไม้มาดูดิ ...” จีส่งดอกกุหลาบสีแดงดอกโตมาตรงหน้าทันทีที่ผมร้องขอ   
 
“... โบว์มันเบี้ยว เดียวกูผูกใหม่ให้” นิ้วมือเรียวสวยยื่นไปยังดอกไม้สีแดงสดตรงหน้า โบว์สีชมพูหวานถูกคลายปมออกก่อนจะถูกผูกขึ้นใหม่อย่างทนุถนอม ... ผมอมยิ้มให้กับผลงานตรงหน้า

“ไอ้บอนมันโง่ ที่ไม่รักษาน้ำใจของมึง ...”

“... ใครได้มึงเป็นแฟน ต้องเป็นคนที่โชคดีมากๆ”


----------


มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์อาทิตย์นะครับ ... จากน้องมิลค์ดนเดิม เพิ่มเติมคือยังนั่งอยู่ข้างๆจี

#กุหลาบแดง #Valentine's #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Valentine’ s ที่ปีนี้มาพร้อมกับสายลมหนาวในช่วงปลายเหมันตฤดู ช่วยเพิ่มบรรยากาศ romantic ให้กับวันแห่งความรัก

"เพื่อนกูมันฮอตเว้ยยยยย... ตอนนี้ไม่มีใครสวยสู้มิลค์ห้อง 63 ได้แล้ว!" ผมเดินกลับเข้ามาในห้อง พร้อมกับดอกกุหลาบสีแดงดอกเล็กในมือ ย้อนกลับไปเมื่อ 5 นาทีก่อน รุ่นน้อง ม.4 มาด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าห้อง จนไอ้ไอซ์ทนรำคาญไม่ไหว มันส่งสายตากดดันให้ผมออกไปรับของแทนใจมา

“พูดดีๆ ไอ้สัส ใครสวย” ผมพูดพลางเดินกลับมานั่งโต๊ะของตัวเอง

“ก็มึงไง มีแต่คนแวะเวียนเอาของมาให้ ...” ไอ้อาร์มโต้กลับ พร้อมกับเหลือบสายตาไปมองโต๊ะข้างหลังที่มีทั้งดอกกุหลาบ การ์ด กล่องช็อคโกแลต และกล่องของขวัญอีกหลายกล่องกองสุมรวมกัน ... ผมยักไหลเหมือนไม่แคร์ ... ก็แล้วไง คนมันสวย ช่วยไม่ได้

“... สวย แต่ไม่มีผัว 555”

“ไอ้เหี้ยอาร์ม !!! ...” ผมคว้าเอากล่องขนมขว้างใส่มัน นอกจากจะไม่สะเทือนคนร่างควายแบบมันแล้ว มันยังแกะขนมกินหน้าตาเฉย

“... แซวแต่กู เดียวเย็นนี้พวกมึงก็แยกย้ายกันไปหาแฟน ทิ้งกูไว้คนเดียว” ผมกอดอกมองหน้าพวกมันเรียงตัว ... ทุกคนมีแฟนกันหมด ยกเว้นผม

“ใครทิ้ง ได้ช่วยว่ามึงจะไปเป็นเพื่อนไอ้จี” ไอ้อาร์มเถียง

“แค่รอเป็นเพื่อนไหม น้องเขามากูก็ตกกระป๋องแหละ” ผมตวัดสายตามองจีที่นั่งอยู่ด้านข้าง มันส่งยิ้มแหยงๆ กลับมาให้ ... จีนัดน้องฝนไว้เย็นนี้ มันขอให้ผมอยู่เป็นเพื่อนมันจนกว่าจะถึงเวลานัด

จีกับน้องฝนกลับมาคืนดีกันอีกครั้ง หลังจากที่ความสัมพันธ์ลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอดตั้งแต่คริสมาสต์ จนไอ้ไอซ์เอ่ยปากแซวว่าอาการรักๆ เลิกๆ ในระดับที่ไม่น่าไว้วางในขนาดนี้ ดีไม่ดี วันนี้ผมจะเป็นฝ่ายได้ดอกไม้ช่อสวยแทนน้องน้ำฝนก็เป็นได้ ... ลุ้นอยู่เหมือนกันว่า 2 คนนี้จะทะเลาะกันจน event ล่มหรือเปล่า แต่ดูจากสีหน้าของจีที่สดใสตั้งแต่เช้า คิดว่าวันนี้ทุกอย่างคงราบรื่นตามแผนที่วางไว้

เลิกเรียน ทุกคนแยกย้ายกันไปตามนัดของตัวเอง ผมกับจีนั่ง BTS มารอน้องฝนที่สถานีสยาม เรา 2 คนนั่งอยู่ตรงม้านั่งปลายชานชลา ... ผมสอดส่องสายตาไปรอบๆ สมกับเป็นวันแห่งความรัก บางคนถือดอกไม้ บางคนถือของขวัญ ชายหญิงจับมือเดินกันเป็นคู่

“คิดไรอยู่” เสียงของจีดึงสติของผมกลับมาจากห่วงของความคิด

“เรื่อยเปื่อย ... ไหนเอาดอกไม้มาดูดิ ...” จีส่งดอกกุหลาบสีแดงดอกโตมาตรงหน้าทันทีที่ผมร้องขอ

“... โบว์มันเบี้ยว เดียวกูผูกใหม่ให้” นิ้วมือเรียวสวยยื่นไปยังดอกไม้สีแดงสดตรงหน้า โบว์สีชมพูหวานถูกคลายปมออกก่อนจะถูกผูกขึ้นใหม่อย่างทนุถนอม ... ผมอมยิ้มให้กับผลงานตรงหน้า

“ไอ้บอนมันโง่ ที่ไม่รักษาน้ำใจของมึง ...”

“... ใครได้มึงเป็นแฟน ต้องเป็นคนที่โชคดีมากๆ”

แต่ก่อนที่ผมจะพูดอะไร โทรศัพท์มือถือของจีก็ดังขึ้นเสียก่อน

“น้องฝนอยู่ในรถขบวนถัดไป ...” พูดจบจีก็ยืนขึ้นเต็มความสูง ผมลุกขึ้นยืนตามคนข้างๆ

มันหันกลับมาพร้อมรอยยิ้ม เป็นยิ้มที่จริงใจที่สุดที่ผมเคยได้รับมา ไม่ทันให้ตั้งตัว จีก็ดึงผมเข้าไปในอ้อมกอด ... ร่างกายผมแข็งทื่อ เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว และแม้จะอยู่กลางสถานที่นที่ขึ้นชื่อว่ามีคนพลุกพร่านมากที่สุดในย่านสยาม แต่จีกลับกอดผมแน่นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับไม่แคร์สายตาหลายคู่ที่จ้องมองมา อ้อมกอดนั้นอบอุ่นและแนบแน่นจน เป็นสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย จนผมผลอยกแขนกอดตอบเอวมันไปอย่างลืมตัว

“... ขอบใจมึงมาก สำหรับทุกอย่าง” เสียงทุ่มกระซิบอยู่ข้างหู ในจังหวะเดียวกันกับรถขบวนที่น้องฝนนั่งมา แล่นมาถึงชานชลา

“กูควรจะไปได้แล้ว ... โชคดีนะ” เรา 2 คนผละออกจากกันด้วยรอยยิ้ม ... ผมอยากให้จีสมหวังในความรัก อยากให้มันมีความสุข
        “เจอกันที่โรงเรียน” ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่จะเดินแยกไปอีกทาง แม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่ผมก็ได้เป็นประจักษ์พยานกับช่วงเวลาสุดโรแมนติกตรงหน้า ... เพิ่งสังเกตว่าจีในชุดนักเรียนพร้อมดอกกุหลาบในมือดูเผินๆ ไม่ต่างอะไรกับพระเอกในการ์ตูนตาหวานไม่มีผิด มันเดินเข้าไปหาน้องฝนที่หยุดยืนอยู่ไม่ไกล และภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนบันไดเลื่อนจะพาผมลับสายตาไป คือ รอยยิ้มของจี ... รอยยิ้มที่มีความสุขที่สุดเท่าที่คนคนหนึ่งจะแสดงออกมาได้ จากนั้นดอกกุหลาบก็ถูกยื่นไปให้คนตรงหน้า

...



วันปัจฉิมนิเทศ วันสุดท้ายของชีวิตมัธยม … 12 ปีกับโรงเรียนที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่ 2 ที่นี้ให้ความทรงจำกับผมมากมาย ทั้งสุขและทุกข์ ไม่น่าเชื่อว่าการเดินทาง 12 ปี จะจบลงแล้ว ณ วันนี้

“ตื่นเต้นไหม” จีถาม ในขณะที่พวกเราตั้งแถวเตรียมตัวจะเดินออกจากหอประชุม เมื่อพิธีปัจฉิมนิเทศสิ้นสุดลง เป็นธรรมเนียมของโรงเรียนที่พวกพี่ ม.6 จะตั้งแถวเดินออกจากหอประชุม ด้านนอกนั้นเนืองแน่นไปด้วยเพื่อน รุ่นน้อง และครอบครัวที่มายืนรอชื่นชม มอบดอกไม้ และถ่ายภาพแสดงความยินดีกับพวกเรา

“ตื่นเต้นดิ แล้วมึงอะ” ผมถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ตื่นเต้น เวลามันผ่านไปเร็วเหมือนกันนะ ... ปีที่แล้วเรายังมาให้ดอกไม้พี่ๆ อยู่เลย ...” พูดไปก็ใจหาย เวลาผ่านไปเร็วมากจริงๆ

“... มิลค์”

“ฮึ”

“สัญญากับกู ... ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไง กูกับมึงจะเป็นเพื่อนสนิทกันแบบนี้ไปตลอด”

“กูสัญญา” สิ้นคำสัญญาของผม ไฟในหอประชุมก็ดับลงพร้อมกับเพลงประจำโรงเรียนที่ถูกบรรเลงขึ้นเพื่อส่งพวกเราออกจากหอประชุม เรา 2 คนก้าวเท้าตามคนข้างหน้า ในช่วงจังหวะก่อนจะเดินพ้นประตู ... นิ้วก้อยของเราเกี่ยวไข้วกันไว้ ... เป็นสัญญาว่าผมกับจี เราจะเป็นเพื่อนรักกัน ... ตลอดไป



ตามแผนคือพวกเราจะถ่ายรูปกันที่โรงเรียนช่วงเช้า ส่วนตอนเย็นจะมีงานเลี้ยงที่โรงแรมซึ่งโรงเรียนเป็นเจ้าภาพจัดให้พวกเรา เพราะฉะนั้นเลยมีเวลาว่างช่วงบ่ายให้ยกโขยงกันมาถ่ายรูปที่ studio ซึ่งสถานที่ยอดฮิตก็คงหนีไม่พ้นย่านสยามสแควร์ แหล่งรวมวัยรุ่นที่วันนี้หันไปทางไหนก็เจอแต่เด็กโรงเรียนผมเดินกันขวักไขว่

“เดียวรอกลุ่มนี้ถ่ายเสร็จก็ถึงคิวกลุ่มพวกเราแหละ” ไอ้โจเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับบัตรคิว

“อีกนานไหมวะ” จีถาม

“เขาบอกน่าจะประมาณครึ่งชั่วโมงมั้ง”

“เหรอ ... มิลค์มากับกูหน่อยดิ” พูดจบจีก็ลุกออกไป ผมมองหน้าเพื่อนคนอื่นเลิกลัก ... อารมณ์ไหนวะ

“กูว่าเรื่องน้องฝนชัวร์”

“วันนี้ไม่เห็นน้องมา” ผมขมวดคิ้วตามคนอื่นๆ ที่กำลังออกความเห็น เพราะเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้ไม่เห็นเงาของน้องฝนเหมือนกัน

“อืม งั้นเดียวกูตามมันไปก่อน ถึงคิวแล้วโทรตามละกัน” พวกมันพยักหน้ารับรู้ ผมเดินตามจีออกมาด้านนอก มันยืนรอผมอยู่ตรงบันได พอเห็นผมเจ้าตัวก็เดินนำขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง

“เป็นไง” ผมถามพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม สีหน้าของจีดูไม่ดีเท่าไหร่ จะว่าไปเพราะผมมัวแต่ถูกลากไปถ่ายรูปกับคนนั้นคนนี้ เลยไม่ได้สังเกตเลยว่าจีดูเงียบลงไปตั้งแต่ตอนไหน

มันถอนหายใจสั้นๆ ตามมาด้วยรอยยิ้ม ที่ต่อให้ไม่ใช้เพื่อนสนิทก็ดูออกว่าฝืนยิ้ม ... ดวงตาชั้นเดียวอันเป็นเอกลักษณ์ค่อยๆ ปิดลง ... ผมเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น เมื่อเห็นหยดน้ำใสๆ ไหลออกมาจากดวงตาคุ้นเคยคู่นั้น ... เข้าใจแล้ว... ที่ใครๆ บอกว่าการเห็นคนที่เรารักเจ็บปวด มันเจ็บปวดยิ่งกว่าความเจ็บของตัวเองหลายเท่า มันให้ความรู้สึกแบบนี้นี่เอง

“จี ...” มือบางเอื้อมไปกุมมือของคนตรงหน้า ผมออกแรงบีบมือใหญ่ของมัน หวังว่าความเป็นห่วงของผมจะแพร่ผ่านสัมผัสของเรา ... มันไม่ได้ร้องสะอื่น แต่น้ำตายังคงไหลออกมา

“... อย่าร้อง กูอยากเห็นมึงมีความสุข ...” กว่าจะได้สติก็ตอนนี้นิ้วเรียวสวยเอื้อมไปเกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าของเพื่อนสนิท พอสัมผัสได้ถึงความชื้นที่ปลายนิ้วผมถึงกับชะงักกับการกระทำที่เผลอเลอของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ ดึงมือออก แล้วส่งกระดาษทิชชูใส่มือคนตรงหน้าแทน

“... กูอยากเห็นมึงยิ้ม ยิ้มให้กูดูหน่อยนะ” ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างจีกับน้องฝน ทำไมความสัมพันธ์ของ 2 คนนี้ถึงได้ขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา ผมอยากเห็นมันมีความสุข ไม่เข้าใจว่าทั้งที่เพื่อนผมก็ดีแสนดีแต่ทำไมถึงไม่สมหวังกับความรักซักที

จีไม่ได้เล่าอะไรให้ผมฟังมากไปกว่านั้น มันใช้เวลาสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่โจจะโทรศัพท์มาตามเพราะถึงคิวถ่ายรูปของพวกเรา ผมรู้ว่ายังมีความขุ่นเคืองอยู่ในใจของจี แต่เสียงหัวเราะและความสนุกสนานจากเพื่อนๆ ก็พอจะดึงรอยยิ้มให้กลับมาแต้มบนใบหน้าของมันได้บ้าง



เวลาทั้งบ่ายจบไปกับการถ่ายรูปที่ studio ช่วงเย็นพวกเรานั่งรถไฟฟ้า BTS กลับไปยังโรงแรมที่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก ซึ่งผมในฐานะประธานนักเรียนมีหน้าที่ต้องขึ้นไปกล่าวคำขอบคุณและอำลาโรงเรียนอย่างเป็นทางการเป็นครั้งสุดท้ายก่อนสิ้นสุดชีวิตมัธยมอย่างเป็นทางการ

“.......... ผมในฐานะตัวแทนนักเรียน ม.6 รุ่น xxx ขอขอบคุณคุณครูทุกท่าน และโรงเรียนแห่งนี้ที่ได้มอบความทรงจำดีๆ ให้กับพวกเรามากมาย พวกเราขอสัญญาว่าจะเติบโตในแนวทางโรงเรียนปลูกฝังไว้ ... ขอบคุณครับ” เสียงตบมือดังลั่นห้องจัดเลี้ยง ผมก้าวถอยหลังออกจากโพเดี้ยมแล้วก้มหัวแสดงความเคารพอาจารย์หลายท่านที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหน้าเวที ถือเป็นการสิ้นสุดหน้าที่ประธานนักเรียนอย่างเป็นทางการของผม

ก่อนก้าวลงจากเวที ผมอดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองบรรยากาศรอบตัวอีกซักครั้ง รู้สึกใจหายเมื่อถึงเวลาที่จะต้องก้าวออกไปเผชิญโลกภายนอก ... เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และบรรยากาศคุ้นเคยเหล่านี้จะคงอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป

“กูพูดดีไหม” ผมถามพวกมันที่กำลังนั่งเม้ามอยเรื่องชาวบ้าน

“ดีจนกูน้ำตาจะไหล ดราม่ามากกกกกก ดึงอารมณ์ขั้นสุด” ไอ้อารม์ตอบ จะดีอยู่แล้วถ้านับท่าทางตอแหลๆ ของมัน ... ไม่เคยหาสาระจากพวกมันได้เลยจริงๆ

“เหลือแค่สอบ entrance ... สอบเสร็จแล้วไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน” โจพูดด้วยสายตาเป็นประกาย มันต้องสนุกมากแน่ๆ trip สั้งลาชีวิตมัธยมของพวกเรา

ถึงกระนั้น ผมก็อดทจะกังวลไม่ได้ ผมทำคะแนนสอบรอบแรกได้ไม่ดีเท่าไหร่ เอาเข้าจริงคือยังห่างไกลจากคณะสัตวแพทย์ของมหาวิทยาลัยในฝัน ผมคาดหวังว่าแม้พวกเราจะไม่ได้เรียนอยู่คณะเดียวกัน แต่อย่างน้อยขอให้อยู่มหาลัยเดียวกันก็ยังดี ... ยังเหลือเวลาอีกเกือบสัปดาห์ แม้จะรู้ว่าทำอะไรได้ไม่มากนัก แต่ผมก็จะพยายามทำให้เต็มที่

“สอบเสร็จแล้วไปเที่ยวทะเลกัน ที่บ้านกูมีคอนโดติดทะเลหัวหิน ไปกันซัก 5 วัน” จบประโยคทุกคนต่างหันมามองไอซ์เป็นสายตาเดียวกัน

“มีคอนโดติดทะเล!!! แล้วทำไมเพิ่งมาบอกวะ” อารม์ถามคำถามแทนใจเราทุกคน ผมก็เพิ่งรู้ว่ามันมี ก่อนหน้านี้ เวลาไปเที่ยวทะเล พวกเราก็ไปพักโรงแรมหรือบ้านพักเล็กๆ นอนกันตลอด

“พ่อกูบอกว่าต้องจบ ม.6 ก่อนถึงจะพาพวกมึงไปค้างได้” ไอซ์เฉลย

“ไอ้เหี้ย ... พวกมึงที่เหลือมี deal อะไรกับพ่อแม่ไว้ คายออกมาให้หมดเลยนะ” ไอ้อาร์มชี้หน้าพวกเราเรียงคน เริ่มต้นจากไอซ์

“ก็ตามที่บอก คอนโดที่หัวหินจะเป็น safe house ใหม่ของพวกเรา ... แม้จะไม่ได้อยู่คณะเดียวกัน แต่พวกเราจะเที่ยวที่นั้นด้วยกันทุกปิดเทอม ... สัญญา”

“สัญญา / สัญญา / สัญญา / สัญญา” พวกเราให้คำสัญญาพร้อมกัน ก่อนที่ปลายนิ้วของอารม์จะเลื่อนมาที่ไอ้โจเป็นลำดับถัดไป

“รถและความอิสระ ต่อไปนี้กูไม่ต้องขออนุญาตเวลาไปค้างบ้านเพื่อน หรือไปต่างจังหวัดอีกแล้ว” มันพูดด้วยรอยยิ้ม เพราะก่อนหน้านี้โจเป็นคนที่ต้องรายงานพ่อแม่ตลอดว่าไปไหน ทำอะไร ... จากนั้นปลายนิ้วก็เลื่อนมาที่จี

“ความอิสระ ส่วนรถน่าจะอีกซักปีหรือ 2 ปีมั้ง”

จนกระทั้งสุดท้าย ปลายนิ้วมาหยุดอยู่ที่ผม

“ก็คงไม่ต่างอะไรจากตอนนี้เท่าไหร่ ... เรื่องรถกูยังไม่รู้เลยวะ ถ้าติดมหาลัยเดียวกับพวกมึงก็ไม่ต้องใช้ แต่ถ้าไม่ เดี๋ยวค่อยดูอีกที” พวกมัน 4 คนทำคะแนนสอบรอบแรกได้ดีมาก ถ้าเทียบกับคะแนนของปีก่อนๆ ก็สามารถเข้าคณะของมหาวิทยาลัยในฝันของเด็กมัธยมทุกคนในประเทศได้สบายๆ

ผมไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังเลยใช่ไหม ... ผมเป็นลูกคนเดียว พ่อกับแม่เป็นนักธุรกิจเลยจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศตลอดเวลา ปีๆ หนึ่งจะกลับมาบ้านแค่ไม่กี่วัน เพราะอยู่ตัวคนเดียวเลยทำให้ตลอดระยะเวลาตั้งแต่เล็กจนโตผมได้รับอิสระมากมาย มีเงินค่าขนมให้ใช้จ่ายไม่เคยขาดมือ ไปไหนมาไหนไม่เคยต้องขอ ไปนอนค้างบ้านเพื่อนได้เท่าที่ต้องการ ช่วง ม.ปลาย ผมมักจะนอนที่คอนโดแถวโรงเรียน นานๆ ครั้งถึงจะกลับไปนอนที่บ้าน ที่คอนโด ผมอยู่คนเดียวโดยมีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดและเติมของสดของแห้งให้เป็นประจำ ส่วนที่บ้านก็มีแม่บ้านอยู่เป็นเพื่อน ... ผมไม่ได้สนิทกับพ่อแม่มากนัก นอกจากโทรคุยกันสัปดาห์ละไม่กี่ครั้งแล้ว พวกเขาแทบไม่ได้รับรู้เรื่องส่วนตัว หรือเรื่องเรียนของผมมากนัก พวกเขารู้แค่ว่ากลุ่มของพวกเรามีกันทั้งหมด 5 คน และจีเป็นเพื่อนที่คบกันมานานและสนิทมากที่สุด มีแค่จีเท่านั้นที่เคยเจอพ่อกับแม่ แต่ก็แค่เพียงครั้งเดียว ตอนที่พวกเขา 2 คนกลับมาพักผ่อนที่ประเทศไทยเมื่อปีก่อน ทำให้มีเวลามากพอจะขอเจอตัวเพื่อนสนิทของลูก ... พ่อแม่ผมปลื้มจีมาก พวกเขารู้จากผมอยู่แล้วว่าจีเป็นคนเรียนเก่ง พอเจอตัวจริงก็ยิ่งปลื้มและไว้ใจ

“มิลค์ กูว่ามีคนอยากคุยกับมึง..." บทสนทนาถูกเปลี่ยนกะทันหัน ผมหันหลังและมองตามสายตาของไอซ์ ... บอนยืนอยู่ตรงไม่ใกล้ไม่ไกล และทันทีที่เราบังเอิญสบตากัน มันส่งยิ้มบางๆ กลับมาให้

"... กูเห็นมันมองมึงซักพักแหละ ถ้ามึงไม่อยากคุยก็ไม่ต้องไป" ไอซ์พูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ... ผมกำลังใช้ความคิด ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน

"กูไปคุยกับมันหน่อยละกัน"

"มึงแน่ใจ?" จีทัก เพื่อนสินทแสดงออกชัดเจนว่าไม่มั่นใจกับการตัดสินใจของผม

"ไหนๆ ก็วันสุดท้ายแล้ว" ผมลุกออกจากโต๊ะ จังหวะเดียวกันบอนก็แยกออกมาจากกลุ่มเพื่อน ... เรา 2 คนเดินมาเจอกัน คนละครึ่งทาง

"ไง/ไง" อะไรจะบังเอิญขนาดพูดคำเดียวกัน พร้อมกัน

เรา 2 คนต่างอึกอักกับสถานการณ์ตรงหน้า สายตาของมันล๊อกแล๊กเหมือนไม่รู้จะโฟกัสสายตาที่ตรงไหน ในขณะที่ผมได้แต่ก้มหน้ามองพื้นอย่างทำอะไรไม่ถูก

"เรา 2 คน ไปหาที่เงียบๆ คุยกันได้ไหม..." บอนเอ่ยปาก

"... แค่คุย กูสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรให้มึงลำบากใจ" คนตรงหน้าอธิบายเพิ่ม เมื่อสังเกตเห็นความลังเลจากสีหน้าท่าทางของผม

"ได้ มึงสัญญาแล้วนะ"

"สัญญา" แล้วผมก็เดินตามหลังมันออกจากห้องจัดเลี้ยง

"มิลค์ ..." ขาทั้ง 2 ข้างหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงของเพื่อนสนิทไล่ตามมาด้านหลัง จีกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหา

"...มึงจะไปไหน" มันถามผมแต่กลับมองหน้าบอน

"ไปคุยกับบอน"

"มึงแน่ใจ?" จีขมวดคิ้ว ย้ำคำถามเดิมเป็นครั้งที่ 2

"ไม่มีอะไรหรอก แค่คุย"

"มึงอยากให้กูไปเป็นเพื่อนไหม" เจ้าตัวยังคงมองหน้าผมกับบอนสลับกันไปมา จีแสดงออกชัดเจนว่าไม่วางใจอดีตเพื่อนรัก ... ไม่ใช้แค่ความสัมพันธ์ของผมกับบอนซินะที่จบลง ความเป็นเพื่อนของจีและบอนก็สิ้นสุดลงด้วยเหลือกัน การเลิกรากับแฟนเก่าที่เคยเป็นเพื่อนสนิทกัน ส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างมากกว่าที่ผมเคยคิดไว้เสียอีก

"ไม่เป็นไร กูไปคนเดียวได้ มึงกลับไปรอที่โต๊ะเถอะ" จียอมเดินกลับไปนั่งโต๊ะเมื่อผมยืนหนักแน่นว่าสามารถคุยกับบอน 2 คนได้ ... เราเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงไปตามระเบียงทางเดินที่ทอดยาวไปตามตัวตึก

"มึง 2 คน คบกันเหรอ" บอนถามขึ้นเมื่อเรา 2 คนเดินมาถึงมุมที่สามารถคุยกันได้เงียบๆ

"กับจีเนี่ยนะ ... เพื่อนกัน เอาอะไรมาคิดวะ" ผมหลุดขำให้กับจินตนาการสุดล้ำของมัน

"ก็ดูมันหวงมึงเกินหน้าเกินตา"

"มันหวงก็เพราะมึงนั้นแหละ" คนตรงหน้าเม้มริมฝีปากแน่น ราวกับมีบางคำที่อยากจะพูด แต่สุดท้ายก็กลืนมันกลับลงไปในลำคอ... ผมไม่น่าพูดแบบนั้นออกไปเลย เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้วแท้ๆ

"มึงสบายดีนะ" บอนถามหลังจากที่เราต่างเงียบใส่กันตั้งแต่ผมหลุดปากประชดมันออกไป

"สบายดี มึงละเป็นไงบ้าง"

“สบายดี ...”

“...กูตื่นเต้นนิดหน่อย ไม่คิดว่ามึงจะยอมคุยกับกู...”

" ... กูขอโทษนะมิลค์ ..."

"... กูเป็นแฟนที่ไม่ได้เรื่อง ทำให้มึงต้องเสียใจ"

"ไม่หรอก ... กูก็ต้องขอโทษมึงเหมือนกัน ที่เป็นฝ่ายถอดใจก่อน" ผมตอบรับคำขอโทษจากบอนด้วยรอยยิ้ม

"กูไม่เคยโทษมึงเลย กูเสียใจมาตลอด เพราะความเหี้ยของตัวเอง ทำให้กูต้องเสียทั้งแฟนและเพื่อนสนิทอย่างมึงไป ... ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ กูจะรักมึงให้มากกว่านี้"

"เรื่องมันผ่านไปแล้ว มาคิดๆ ดู ทั้งกูและมึงต่างก็พยายามเต็มที่แล้ว กับสถานะการณ์ตอนนั้น"

"มันสายไปแล้วใช่ไหม ถ้าเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ... อย่างน้อยก็ในฐานะเพื่อนสนิท" ผมสบตาคนตรงหน้า ในความทรงจำของผมแววตาของบอนมักจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง แต่วันนี้แววตาที่ผมเห็นกลับดูสั่นไหว ... ผมยิ้ม ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ

“กูไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดเลยนะที่วันนั้นตกลงเป็นแฟนกับมึง ...”

“... มึงคือแฟนคนแรก เป็นคนสอนให้กูรู้จักกับความรัก ... แต่เรา 2 คนเดินมาไกลจากจุดนั้นมากแล้ว ทั้งกูและมึงต่างก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ ต่างคนต่างก็มีสังคมของตัวเอง ...”

“...หลังจากนี้ เป็นแค่เพื่อนกันธรรมดา แล้วเก็บความทรงจำดีๆ ที่เคยมีให้กันไว้ในใจ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรา 2 คน”

ความบาดหมางในใจจางหายไปตามกาลเวลานานแล้ว สิ่งที่ยังคงอยู่มีเพียงแค่ความทรงจำ เหตผลที่ผมผมยอมคุยกับบอนตามลำพังเพราะรู้ว่าเราต่างยังมีเรื่องค้างคาใจต่อกัน ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยคิดจะหาโอกาสพูดคุยกับมันดีๆ ซักครั้ง หลายครั้งที่บอนขอคืนดีแต่เป็นผมที่บ่ายเบี่ยง เพราะคิดอยู่เสมอว่ายังมีเวลาอีกเหลือเฟือ แต่หลังจากวันนี้ เรา 2 คนต่างต้องแยกกันไปคนละทาง ผมอยากจากกับบอนด้วยรอยยิ้ม เคลียร์ทุกอย่างที่ค้างอยู่ในใจ ... อย่างน้อยอีก 10 ปีหลังจากนี้ เมื่อผมคิดย้อนมาถึงชีวิตมัธยม บอนจะอยู่ในความทรงจำของผมในฐานะเพื่อนสนิทในวัยเด็กและ puppy love ครั้งแรก ... ตลอดไป


----------


มิลค์ : กอดแรกของเราสองคน  ... จากน้องมิลค์ดนเดิม เพิ่มเติมคือเรียนจบมัธยมแล้ววววววววว

#กอด #แยกย้าย #เติบโต

#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“สัญญากับกู ... ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไง กูกับมึงจะเป็นเพื่อนสนิทกันแบบนี้ไปตลอด”

“กูสัญญา”


#คำสัญญา #เพื่อนกันตลอดไป
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ผมอดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองบรรยากาศรอบตัวอีกซักครั้ง รู้สึกใจหายเมื่อถึงเวลาที่จะต้องก้าวออกไปเผชิญโลกภายนอก ... เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และบรรยากาศคุ้นเคยเหล่านี้จะคงอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป

----------


มิลค์ : ทุกเรื่องราวจะถูกบันทึกไว้ในความทรงจำตลอดไป จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย

#เรียนจบ #ความทรงจำ #มัธยม
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Writer’s talk
«ตอบ #37 เมื่อ19-06-2025 20:23:59 »

Writer’s talk
สวัสดีครับ ผู้อ่านทุกคน ก่อนอื่นเลยผมขอขอบคุณทุกคนสำหรับทุก ๆ การอ่าน ทุกแรงสนับสนุนที่ผ่านมา จนตอนนี้ยอดอ่านทะลุ 4939 read แล้ว  เป็นเวลาเกือบ 2 เดือนที่เราได้รู้จักกับมิลค์, จี, บอน, ไอซ์ และอีกหลายๆคน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราเห็นการเติบโต และเปลี่ยนแปลงของตัวละครในหลายๆด้าน

มิลค์ จากคนที่เคยร้องไห้เพราะผิดหวัง และรักจนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง ตอนนี้กลายเป็นคนที่เลือกจะให้อภัย เข้าใจ และปล่อยวาง คนที่หลายครั้งดูอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นที่พึ่งพิงทางอารมณ์ให้ใครได้ แต่พอถึงเวลา มิลค์ก็สามารถปลอบโยนได้อย่างนุ่มนวล

จี จากเพื่อนใหม่ในวันนั้น กลายมาเป็นพื้นที่ปลอดภัยในชีวิตของมิลค์แบบไม่รู้ตัว แม้จะพูดไม่เก่งแต่ทุกการกระทำของเขากลับชัดเจนกว่าคำใด ๆ หลายครั้งที่จีเป็นหลักให้มิลค์ยึดเหนี่ยว แต่จริง ๆ แล้วตัวเองก็ต้องการพื้นที่ปลอดภัยไม่ต่างกัน

บอน จากเพื่อนสนิทและแฟนคนแรกของมิลค์ ตอนนี้กลับกลายเป็นแค่เพื่อนเก่า จากคนที่เคยทำร้าย กลายเป็นคนที่เห็นคุณค่า และการยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง ซึ่งก็คือพัฒนาการที่สำคัญไม่แพ้กัน

จนถึงตอนที่ 11 เราได้ส่งน้องๆผ่านช่วงวัยมัธยมเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ตัวละครบางตัวอาจจะจางหายไป บางตัวอาจจะยังคงอยู่ บางคนมีบทบาทมากขึ้น บางคนน้อยลง และแม้ว่าบริบทของพวกเขาจะปรับเปลี่ยนไปตามการเติบโต แต่มิตรภาพของพวกเขายังคงอยู่ จากเพื่อนที่เรียนอยู่ห้องเดียวกัน เปลี่ยนมาเป็นเพื่อนที่เรียนอยู่ต่างคณะ หรือต่างมหาวิทยาลัย ความเป็นเพื่อนของพวกเขาถูกทดสอบอีกหลายครั้ง ทั้งด้วยระยะทาง เวลา และทางเดินชีวิตที่ไม่เหมือนกัน ... แล้วเรามาติดตามไปด้วยกันนะครับว่าหลังจากนี้ชีวิตจะนำพาพวกเขาไปทางไหน

ขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกๆ การอ่านของทุกคน ... ขอบคุณครับ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-06-2025 20:27:40 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 12
«ตอบ #38 เมื่อ20-06-2025 12:30:02 »

ผมนั่งไขว้ห้างอยู่ในร้านกาแฟของมหาวิทยาลัยเก่าแก่ชื่อดัง รอจนชามะนาวตรงหน้าพร่องไปเกินครึ่งแก้ว แต่เครื่องดื่มเย็นๆก็ไม่สามารถลดอาการประหม่าของผมได้ ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นจุดสนใจของคนรอบตัว ไม่รู้เป็นเพราะแว่นกัดแดดที่เสียบอยู่ตรงคอเสื้อหรือเพราะสัญลักษณ์ตรงหัวเข็มขัดที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ... วันนี้พวกเรา 5 คนนัดเจอกันครั้งแรก หลังจากแยกย้ายกันเข้ามหาวิทยาลัย รู้สึกไม่คุ้นชินกับความห่างไกลเพราะเมื่อก่อนพวกเราเจอหน้ากันทุกวัน ... นับๆดู ผมไม่ได้เจอพวกมันมาเกือบ 3 เดือน ช่องทางติดต่อเดียวที่พวกเราสามารถพูดคุยกันได้ครบทีมคือ MSN ซึ่งก็ยากเย็นเหลือเกินกว่าจะ on ได้พร้อมๆกัน

ผมโบกไม้โบกมือด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นพวกมัน 4 คนเดินมาจากระยะไกล ... อิเหี้ย เปิดตัวราวกับ F4 ... โคตรคิดถึง สารภาพเลยว่า แม้จะพอมีเพื่อนใหม่ที่คณะอยู่บ้าง แต่ก็เทียบไม่ได้กับเพื่อนอย่างพวกมัน กับเพื่อนใหม่ หลายครั้งที่ผมรู้สึกอึดอัด แปลกแยก และไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่กับพวกมัน ผมสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ ... รอยยิ้มสวยปรากฏขึ้นชัดเจนเมื่อเพื่อนทั้ง 4 คนหยุดยืนอยู่ตรงหน้า


----------

มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์อาทิตย์นะครับ ... จากน้องมิลค์ดนเดิม เพิ่มเติมคือคิดถึงเพื่อน

#คึดถึง #เพื่อน #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 12 : ผูกพัน
«ตอบ #39 เมื่อ22-06-2025 12:47:22 »

ตอนที่ 12 : ผูกพัน

ภายในร้านขายโดนัทชื่อดังที่ถือเป็นจุดนัดพบสำคัญของย่านสยามสแควร์ ผมนั่งอยู่ท่ามกลางเพื่อนๆ อีก 4 คนที่เหลือ ทุกคนใส่ชุดเหมือนกัน เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวติดกระดุมข้อมือ ไทด์สีน้ำเงินเข้มตรงกลางปักตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย กางเกงขายาวสีขาว รองเท้าหนังสีดำ เพียงแค่เห็นทุกคนก็รู้ว่าคือนิสิตใหม่ของมหาวิทยาลัยชื่อดัง

“มึงจะย้ายเข้าหอวันไหน” เสียงของเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ ดึงสติผมกลับมา

“สัปดาห์หน้ามั้ง”

“เชี่ย กูว่าจะไปช่วยมึงย้ายของเข้าหอ แต่มันตรงกับวันรับน้องพอดี ...”

“... มึงไหวไหม กูโดดได้นะ” จีถามด้วยความเป็นห่วง

“ไหวๆ เดียวแม่บ้านเข้าไปจัดห้องให้ก่อน ของไม่เยอะเท่าไหร่ แป๊บเดียวก็เสร็จ” ผม list ข้าวของเครื่องใช้ออกมาแล้ว ขนของไม่เยอะมากเท่าไหร่

“มึงไม่ได้คิดมากใช้ไหม” จีถาม ผมครุ่นคิดตามคำถามของมัน พลางกวาดสายตามองเพื่อนๆ ทีละคน ไอซ์ติดคณะบัญชี โจเข้าคณะเศรษฐศาสตร์ ในขณะที่อาร์มและจีติดคณะเดียวกันคือวิศวกรรมศาสตรื

“ไม่ได้คิดมาก” ผมส่ายหน้าพร้อมกับส่งยิ้มให้จี เพื่อยืนยันว่าผมไม่ได้กังวลอะไรอีกแล้ว ... ผมผ่านช่วงเวลาของความวิตกกังวลมาแล้ว

“มิลค์ ... มึงลองไปเรียนดูก่อน ถ้าไม่ชอบค่อยซิ่วมาสอบใหม่ อนาคตเป็นของมึง มึงกำหนดได้ด้วยตัวเอง” ผมค่อยๆ คิดตามประโยคบอกเล่าของจี ... ก็ได้ ผมตกลงจะไปเรียนดูก่อน แล้วถ้าไม่ชอบ ผมจะสอบใหม่ตามที่มันบอก

“ใช้ ถ้าไม่ชอบก็สอบใหม่ ... พวกกูจะช่วยติวข้อสอบให้มึง” เสียงของอาร์มพูดแทรกบทสนทนาระหว่างผมกับจี หันกลับมาถึงได้รู้ว่าพวกมันเลิกเม้ามอยหอยสังข์แล้วหันมาสนใจผม

“ก็ได้ ตามนั้น กูจะลองไปเรียนดูก่อน”

“ให้มันได้อย่างนี้ซิวะ” ไอ้อาร์มเอื้อมมือมาขยีหัว แต่มือหนาๆ ของมันก็ถูกจีผลักออก

“ผมมันยุ่งหมดแล้ว” จีขมวดคิ้วใส่ ในขณะที่ไอ้อาร์มส่งยิ้มล้อเลียนทันที

“หวงขนาดนี้ มึงเลิกกับน้องฝนแล้วมาคบกับไอ้มิลค์ดีกว่า”

“เสือก / เสือก” เรา 2 คนต่างนิ่งไปพร้อมกันชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จะประสาทเสียงด่าออกมาคำเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นพวกเราทุกคนต่างหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างขำขัน ... ผมยังไม่ได้เล่าให้ฟังเลยว่าตอนนี้จีกับน้องฝนเป็นแฟนกันแล้ว ตอนนี้คนข้างๆ กำลัง in love สุดๆ ... โบกมือลากับความสัมพันธ์ลุ่มๆ ดอนๆ



...



BMW 645i (E63) สีขาวชะลอความเร็วก่อนจะเลี้ยวเข้ามาในหอพัก การปรากฏตัวของรถยนต์ coupe แบรนด์หรูไม่ใช้เรื่องปกตินักสำหรับมหาวิทยาลัยย่านชานเมืองที่เงียบสงบ ไม่แปลกที่นักศึกษารวมถึงผู้คนบริเวณนั้นต่างจับจ้องและจินตนาการถึงเจ้าของรถที่กำลังจะก้าวลงมาในอีกไม่กี่อึดใจ ... ไม่นานเกินรอ ร่างโปรงในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงยีนส์สีเทาซีด สวมรองเท้าผ้าใบสีดำก็ก้าวลงมาจากรถ ผิวเหลืองขาวเปล่งประกายเมื่อสัมผัสกับแสงแดงยามบ่าย ทรงผมที่ถูกตัดซอยและ set มาเป็นอย่างดี ประกอบกับใบหน้าสวยที่แม้ส่วนหนึ่งถูกปิดไว้ด้วยแว่นกันแดดสีดำสนิทแต่ก็ไม่สามารถกลบรัศมีความดูดีลงได้

ผมก้าวลงจากรถ ... แดดโคตรแรง แถมยังร้อนจนแสบผิว ... พอสังเกตหอพักตรงหน้าแล้วก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ ก่อนจะเดินอ้อมมาหลังรถเพื่อหยิบกระเป๋าลายปักทรง holo คู่ใจมาห้อยไว้บ่นไหล่ และคว้ากระเป๋าทรง sport ลาย monogram อีกใบไว้ในมือ ผมไม่ได้มีของติดตัวมามากนักเพราะแม่บ้านเอาของใช้ส่วนตัวมาจัดให้ตั้งแต่เมื่อ 2 วันก่อนแล้ว

2 ขาก้าวยาวๆ เข้าหอพัก โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนรอบข้าง ... แม้จะเป็นหอใหม่ แต่ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับคอนโดที่ตัวเองอาศัยอยู่ตลอดช่วงมัธยม ... ร่างโปร่งเดินเข้าลิฟต์ ปลายนิ้วกดลงบนปุ่มชั้น 5 คงเพราะตอนนี้เป็นช่วงกลางวัน หอเลยประหยัดไฟโดยการดับไฟตามโถงทางเดินเหลือแต่เพียงแสงจากภายนอกที่สิ่งสว่างเข้ามา ผมเดินผ่านห้องพักที่เรียงรายทั้ง 2 ข้าง บางห้องเปิดประตูทิ้งไว้เพื่อให้อากาศถ่ายเท บางห้องแม้จะปิดประตูแต่ก็ได้ยินเสียงเพลงหนักๆ ดังรอดออกมา ... ผมเดินมาหยุดที่ห้อง ‘512’

“มาใหม่เหรอ” มือที่กำลังไขกุญแจชะงัก พอหันกลับมา 2 เท้าของผมก็ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

“ครับ” คนตรงหน้าเป็นผู้ชายตัวสูงกว่าผมเล็กน้อย ผมสีดำยาวถูกรวบไว้ด้านหลัง ผิวสีน้ำผึ้ง โครงหน้าเข้ม... เขาสวมกางเกงยีนส์ขาดๆ เปลือยท่อนบนโชว์ลายกล้ามเนื้อสวย ยืนพิงขอบประตู และกำลังมองมาที่ผมด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์

“ปี 1?”

“ครับ”

“อ่อ ขอโทษที่เสียมารยาท พี่ชื่อกาย ปี 3 คณะวิศวะ น้องชื่ออะไร”

“ชื่อมิลค์ครับ”

“ยินดีที่ได้รู้จัก มีอะไรขาดเหลือก็บอกพี่ได้ ... พี่ไม่กวนเราแล้ว”

“ครับ ขอบคุณครับ” ผมค้อมหัวลงเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะหันกลับมาไขกุญแจแล้วแทรกตัวเข้ามาข้างในและล๊อคห้องอย่างรวดเร็ว

ผมยืนนิ่งอยู่หน้าประตู สายตาไล่สำรวจห้องพักขนาด 30 ตร.ม. ภายในห้องไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรมากนัก เตียงขนาด queen size ตู้เสื้อผ้าที่มีกระจกเงาติดอยู่ตรงบานประตู 1 ตู้ โต๊ะทำงานขนาดเล็กพร้อมเก้าอี้ 1 ชุด ... ตู้เย็นขนาด 6 คิวที่วางอยู่ข้างโต๊ะทำงาน หลังตู้เย็นมีไมโครเวฟวางอยู่และซ้อนด้วยเตาอบขนาดเล็กอีกชั้น ของพวกนี้ผมซื้อมาเอง แม้จะไม่ได้ถูกใจเท่าไหร่แต่ก็ต้องอยู่ให้ชิน ... อย่างน้อยก็มีห้องน้ำในตัว ตกใจอยู่เหมือนกันเพราะตอนมาหาหอพัก บางหอเป็นห้องน้ำรวมซึ่งผมตัดออกเป็นอันดับแรกๆ ... ความเยอะของผมเรื่องหนึ่งคือ ผมชอบห้องน้ำที่แยกห้องอาบน้ำออกมาเป็นสัดส่วน เพราะไม่ชอบเวลาอาบน้ำแล้วพื้นห้องน้ำเปียกไปหมดทั้งห้อง เวลาใช้ห้องน้ำในส่วนอื่นๆ แล้วพื้นเปียกมันรู้สึกขยะแขยงเท้ายังไงบอกไม่ถูก ... แต่น่าเสียดายที่แถวนี้ไม่มีหอไหนมีห้องน้ำแบบที่ผมต้องการ

“เฮ่อออออ” ไม่รู้ว่าถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว ... มองไปทางไหนก็ไม่ถูกใจเลยซักอย่าง ... ผมนอนหงายหน้าอยู่บนเตียง จ้องมองไฟซาลาเปาแสงขาวที่ถูกติดตั้งไว้กึ่งกลางเพดาน ความเยอะอีกอย่างหนึ่งของผมคือผมไม่ชอบไฟแสงขาว มันให้รู้สึกเหมือนไฟในค่ายลูกเสือ ... ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองอยู่ยากจนกระทั้งต้องออกมาอยู่หอเองคนเดียวแบบนี้

ผมทำใจตั้งแต่เดินออกจากห้องสอบแล้วว่าไม่มีทางได้เข้ามหาวิทยาลัยในฝันแน่นอน พอประกาศผลเลยไม่ตกใจมากนักที่สอบติดที่นี้ พ่อแม่ดูไม่ได้ appreciate กับมหาลัยของผมเท่าไหร่นัก ทั้ง 2 คนเสนอให้ผมย้ายไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่ก็ยอมรับการตัดสินใจเมื่อผมยืนยันว่าจะลองมาเรียนดูก่อน และถ้าไม่ชอบจริงๆ ค่อยกลับมาสอบใหม่ปีหน้า หรือถ้าถึงที่สุดแล้วจะตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศก็ยังไม่สายเกินไป

พอรู้ว่าผมต้องย้ายมานอนหอแน่ๆ เพราะระยะห่างจากมหาวิทยาลัยกับบ้านหรือคอนโดใช้เวลาขับรถไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง ผมเลยใช้เวลาช่วงปิดเทอมเริ่มฝึกขับรถและสอบใบขับขี่ ตั้งใจจะเอารถคันเก่าที่จอดทิ้งไว้ที่บ้านมาใช้ จนกระทั้งเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน อยู่ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากเลขาของพ่อ โทรมานัดวันให้ไปรับรถป้ายแดงที่ show room

… ‘G’

“ว่าไง” ผมรู้สึกตัวตื่นเพราะเสียงมือถือที่ดังอยู่ข้างหู ไม่รู้เลยว่าตัวเองเผลอหลับไปเมื่อไหร่

“ทำไรอยู่วะ” เสียงของเพื่อนสนิทดังออกมาจากสายโทรศัพท์ พร้อมด้วยสีดังโวยวายเป็นเสียงพื้นหลัง วันนี้จีมีรับน้องคณะ บรรยากาศคงครึกครื่นน่าดู

“เผลอหลับไป เพิ่งตื่น” ผมงัวเงียลุกขึ้นมานั่งห้อยขาอยู่ข้างเตียง

“กูโทรมาปลุกมึงเหรอเนี่ย”

“ไม่หรอก จะตื่นพอดี”

“ตื่นแล้วก็ออกไปหาอะไรกินซะ”

“กี่โมงแล้วเนี่ย”

“จะทุ่มหนึ่งแล้ว” นี่ผมเผลอหลับไปเกือบ 3 ชั่วโมงเลยเหรอ

“มึงยังอยู่ที่คณะ?” ผมถามเพราะยังได้ยินเสียงดังรอดออกมาไม่หยุด

“ใช่ๆ จะเสร็จแล้วแหละ ... มึง กูต้องไปแล้ว เดียวโทรคุยกัน ... บาย”

“บาย” หลังจากวางสาย ผมเดินงัวเงียเข้าห้องน้ำไปล้างหน้า กลับออกมาถึงได้เห็นว่าด้านนอกมืดสนิท



ผมยืนนิ่งอยู่หน้าหอพัก ช่วงหนึ่งทุ่มเป็นเวลาที่บริเวณนี้คึกคักเป็นพิเศษ วัยรุ่นชายหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับผมเดินกันขวักไขว่ รถจักรยานยนต์ขับสวนกันให้วุ่นวาย ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ อยู่นาน แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนดี

"น้องมิลค์" ผมไม่ค่อยคุ้นกับน้ำเสียงนี้เท่าไหร่ แต่พอหันไปตามเสียงเรียก ก็พบว่าเป็นรุ่นพี่ที่อยู่ห้องตรงข้ามกัน

"อ่า!!! พี่?" พี่เขาชื่ออะไรนะ เหมือนชื่อพี่เขาจะติดอยู่ที่ปลายลิ้น ... เสียมารยาทชะมัด พี่เขาทักชื่อผมได้คล่อง ในขณะที่ผมกลับจำชื่อพี่เขาไม่ได้เลยสักนิด

“พี่ชื่อกายครับ...” ความรู้สึกผิดเกิดขึ้นในใจ ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไป พยายามคิดหาวิธีเพื่อแก้สถานการณ์ที่น่าอึดอัดตรงหน้า

“... นายมายืนทำหน้างงอะไรตรงนี้” ดูเหมือนพี่กายจะไม่ได้ถือสากับความขี้ลืมของผม

“ผมกำลังจะไปหาของกินครับ ... แถวนี้มีร้านอาหารไหมครับ”

“หน้า 7/11 มีเยอะเลย มีตลาดนัดด้วยนะ” พี่กายชี้ไปทางหน้าปากซอย

“ผมหมายถึงร้านอาหารนะครับ” ผมถามออกไปเพราะเห็นแต่รถเข็นขายอาหารตั้งเรียงราย

“โอ้ยยยยยย แถวนี้ไม่มีหรอก มีแต่ร้านรถเข็น ... เราอะ เป็น hiso หรือไง” พี่กายพูดติดตลกพร้อมกับส่งสายตาล้อเลียน

“งั้นไม่เป็นไรก็ได้ครับ” ผมโค้งหัวเป็นเชิงขอบคุณ คิดอยู่ว่าจะกลับขึ้นห้องไปหยิบกุญแจรถจะได้ขับออกไปหาอะไรกิน

“เคยกินหมูกระทะไหม” ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหน คนตรงหน้าก็ถามหน้านิ่งๆ

“ไม่เคยครับ”

“ไปกินกันไหม พี่เลี้ยง ถือว่าเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาใหม่ ...” ผมกำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ

“... กินไม่เป็นก็ค่อยๆ หัด จะขับออกไปกินที่ห้างทุกวันไม่ไหวหรอก ห้างใกล้สุดแถวนี้ไปกลับก็ชั่วโมงกว่าแล้ว” คนตรงหน้าพูดราวกับล่วงรู้ว่าผมคิดอะไรในใจ ... ผมคิดตามที่พี่กายพูด

“ได้ครับ แต่ต่างคนต่างจ่ายนะครับ ผมเกรงใจ” เอาก็เอาวะ

“ก็ได้ ถ้านายสบายใจแบบนั้น”

ผมยืนนิ่งอยู่หน้าถาดของสดที่วางเรียงรายละลานตา คิ้วทั้ง 2 ข้างขมวดเข้าหากัน ในมือถือจานพลาสติกสีเขียว ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะตักอะไรดีระหว่างหมูหมักซีอิ๊ว หมูหมัก (เฉยๆ) หรือหมูหมักงา เพราะนอกจากป้ายกำกับที่เขียนต่างกันแล้ว เนื้อหมูที่อยู่ในถาดทั้ง 3 ก็ดูเหมือนจะไม่แตกต่างกันเลย

“อย่าคิดมาก ตักๆ ไปเถอะ” พี่กายคว้าจานพลาสติกในมือของผมไปถือ ก่อนจะตักเนื้อหมูทั้ง 3 แบบมาผสมกัน

ผมเดินตามพี่กายกลับมาที่โต๊ะ บนโต๊ะเต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ ผักสด และของกินเล่นวางเรียงราย ... อดคิดไม่ได้ว่า แค่ 2 คน จะกินหมดนี่ได้อย่างไร ... ร้านหมูกระทะแถวนี้เป็นร้านแบบง่ายๆ ประมาณตั้งโต๊ะเสร็จก็ขายได้เลย ไม่ต้องมีแอร์ให้เปลืองไฟ พัดลมยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ อาศัยลมธรรมชาติล้วน ๆ นั่งได้ซักพัก ความร้อนจากเตาปิ้งหมูกระทะก็ทำให้ทั้งใบหน้าของผมร้อนผ่าวจนเม็ดเหงื่อเริ่มก่อตัวเป็นหยดเล็กๆ บริเวณไรผมและปลายจมูก

“ร้อนเหรอ เหงื่อออกเยอะเลย” พี่กายพูดพลางส่งกระดาษทิชชูสีชมพูในกล่องปึกหนึ่งมาให้

“ร้อนครับ” ผมพูดพลางมองกระดาษสีชมพูในมือ เคยได้ยินว่ามันทำมาจากกระดาษทิชชู recycle ไม่ค่อยถูกสุขลักษณะนัก ไม่เหมาะจะนำมาซับหน้า ... แต่ถ้าผมไม่ใช้ พี่กายเขาจะมองว่าผมเรื่องมากเกินไปหรือเปล่านะ

“ถามจริง จบมาจากโรงเรียนอะไรเนี่ย” พี่กายจ้องมองกระดาษทิชชูในมือผม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตา... เหมือนพี่เขาจะอ่านความคิดผมออก

“โรงเรียน XXX ครับ” ผมตอบพลางใช้ช้อนซื้อตัดแบ่งเนื้อหมูในจานก่อนจะกิน

“เชี่ย!!! ลูกคุณหนูนี่หว่า ... หลุดมาเรียนที่นี้ได้ยังไงวะ ...” สีหน้าของพี่กายตกใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินคำตอบของผม และเผลออุทานออกมาอย่างลืมตัว

“... ขนาดกินหมูกระทะยังดูผู้ดี ... นายทำให้พี่ดูสถุนนะ รู้ตัวไหม” พูดจบพี่กายก็ใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูชิ้นใหญ่บนเตาเข้าปากไปทั้งอย่างนั้น ผมมองพี่เขาตาปริบๆ พี่กายไม่แม้แต่จะเป่าให้หายร้อนก่อนด้วยซ้ำ ... แล้วบทสนทนาก็ถูกขัดจังหวะด้วยอาหารบนเตาที่เริ่มสุก พี่กายบอกให้รีบกินก่อนที่มันจะไหม้

“รถ BMW สีขาวที่จอดอยู่ใต้หอพัก ของนายเหรอ” พี่กันถามขณะกำลังรอให้เนื้อหมูบนเตาสุก

“ครับ”

“สวยดีนะ เหมาะกับบุคลิกของนายดี”

“ยังไงเหรอครับ”

“เชื่อพี่เถอะว่าอย่างนายไม่เหมาะจะขับกระบะหรอก 555” พูดจบพี่กายก็หัวเราะเสียงดังลั่น จนผมเองยังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะตาม ... ใช่ ผมคิดภาพตัวเองขับรถกระบะไม่ออกเลย

หลังจากกินเสร็จ พี่กายพาผมแวะตลาดนัด พี่เขาแนะนำให้ผมซื้อข้าวเช้าของวันพรุ่งนี้ไปเลยเพราะตอนเช้ามีร้านค้าเปิดน้อย ทำให้คนรอคิวเยอะ ทำไปทำมาจะไม่ได้กินข้าวเช้าเอา

“พรุ่งนี้ เปิดเทอมวันแรกพี่เตือนเราไว้อย่าง ...”

“... เลือกเพื่อนดีๆ ลองคุยกับหลายๆ คนแล้วคุยตัดสินใจว่าจะอยู่กับไหน”

“ทำไมเหรอครับ” ผมถามในขณะที่เรากำลังเดินผ่านโถงทางเดินชั้น 5 ในมือของผมถือถุงน้ำเต้าหู

“เพราะต้องอยู่ด้วยกันอีกตั้งหลายปี ...”

… ‘G’

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ขัดจังหวะบทสนทนาระหว่างผมกับพี่กาย ผมมองโทรศัพท์ในมือที่กำลังแสดงชื่อของเพื่อนสนิทบนหน้าจอสลับกับรุ่นพี่ตรงหน้าที่เหมือนจะยังคุยกันไม่จบประโยคดี

“เอาไว้เจอกันวันหลัง” ผมค้อมหัวเป็นเชิงขอบคุณให้กับประโยคจบบทสนทนาของพี่กาย ก่อนที่ต่างคนต่างหันหลังให้กันเพื่อไขกุญแจเข้าห้อง

“ว่าไงจี” ผมกดรับสายเพราะกับเปิดประตูก้าวเข้ามาในห้อง

“กินข้าวยังวะ”

“กินแล้ว”

“กินอะไรอะ”

“หมูกระทะ”

“ฮะ!!! มึงนี่นะกินหมูกระทะ” เสียงตะโกนของจีดังลั่นออกมาจากจากโทรศัพท์

“ตะโกนทำไมเนี่ย”

“ไม่น่าเชื่อว่ามึงจะกิน แล้วไปกินกับใคร อย่าบอกนะว่ากินคนเดียว”

“ไปกับรุ่นพี่ เขาอยู่ห้องตรงข้ามกับกู”

“รุ่นพี่? อย่ามึงเนี่ยนะจะผูกมิตรกับคนอื่น ... ผู้หญิงผู้ชาย ... เพิ่งรู้จักกันแล้วไปกินข้าวกับเขาเลยเหรอ” แล้วเพื่อนสนิทก็แปลงบทบาทเป็นพ่อคนที่ 2

“ผู้ชาย แล้วจะเสียงเข้มเพื่อออออ” ผมลากเสียงสูง

“เขาจีบมึงหรือเปล่า” ถามแบบนี้รับรองว่าไม่เกินพรุ่งนี้มันต้องแท็กทีมกับไอ้ไอซ์มันสัมภาษณ์ผมแน่นอน

“กูจะไปรู้เหรอ เพิ่งรู้จักกันวันนี้”

“นี่กูคิดถูกคิดผิดวะ ที่ปล่อยมึงไปล่อเสื้อล่อตะเข้ที่โน่นคนเดียว”

“พูดซะอย่างกับจะตามมาอยู่กับกู”

“อย่าท้าๆ”

“ปากดีวะ”

แล้วบทสนทนาก็ถูกขั้นด้วยสายซ้อนจากฝั่งของจี

“มิลค์ กูต้องวางสายแหละ น้องฝนโทรมา”

“เออๆ ทิ้งกูจำไว้”

“โอ้ๆๆๆ อย่างอนๆ ขี้เกียงง้อ ... กูไปแล้วนะ”

“บาย/บาย”



...



ผมนั่งไขว้ห้างอยู่ในร้านกาแฟของมหาวิทยาลัยเก่าแก่ชื่อดัง รอจนชามะนาวตรงหน้าพร่องไปเกินครึ่งแก้ว แต่เครื่องดื่มเย็นๆ ก็ไม่สามารถลดอาการประหม่าของผมได้ ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นจุดสนใจของคนรอบตัว ไม่รู้เป็นเพราะแว่นกัดแดดที่เสียบอยู่ตรงคอเสื้อหรือเพราะสัญลักษณ์ตรงหัวเข็มขัดที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ... วันนี้พวกเรา 5 คนนัดเจอกันครั้งแรก หลังจากแยกย้ายกันเข้ามหาวิทยาลัย รู้สึกไม่คุ้นชินกับความห่างไกลเพราะเมื่อก่อนพวกเราเจอหน้ากันทุกวัน ... นับๆ ดู ผมไม่ได้เจอพวกมันมาเกือบ 3 เดือน ช่องทางติดต่อเดียวที่พวกเราสามารถพูดคุยกันได้ครบทีมคือ MSN ซึ่งก็ยากเย็นเหลือเกินกว่าจะ on ได้พร้อมๆ กัน

ผมโบกไม้โบกมือด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นพวกมัน 4 คนเดินมาจากระยะไกล ... อิเหี้ย เปิดตัวราวกับ F4 ... โคตรคิดถึง สารภาพเลยว่า แม้จะพอมีเพื่อนใหม่ที่คณะอยู่บ้าง แต่ก็เทียบไม่ได้กับเพื่อนอย่างพวกมัน กับเพื่อนใหม่ หลายครั้งที่ผมรู้สึกอึดอัด แปลกแยก และไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่กับพวกมัน ผมสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ ... รอยยิ้มสวยปรากฏขึ้นชัดเจนเมื่อเพื่อนทั้ง 4 คนหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

“เชี่ยยยยยยยยย ... ไอซ์ จี ลูกสาวมึงแตกเนื้อสาวแล้ววะ รับรองว่าพ่อๆ อย่างพวกมึงได้หัวหมุ่นแน่” ไอ้อารม์เอ่ยปากแซวผมพร้อมรอยยิ้ม ในขณะที่ 2 คนที่ถูกพาดพิงเอาแต่ทำหน้านิ้วคิ้วขมวด ... ไอซ์กระเถิบมายืนตรงหน้า มือสากๆ ของมันจับใบหน้าของผมพลิกซ้ายพลิกขวา

“อะไรของมึง” ผมปัดมือมันทิ้ง พร้อมกับถลึงตาใส่

“ไหนว่าไปเรียน? … มึงไปทำอะไรมา ถึงได้แรดขึ้นขนาดนี้”

“ไม่ได้ทำอะไรมา กูไปเรียนไหม ไม่ได้ไปไถนาแทนควาย” แม้มหาลัยที่ผมอยู่จะไม่ได้ร่มรื่นเหมือนมหาลัยที่นี้แต่ผมก็ไม่ได้โดนแดดเท่าไหร่ ไปเรียนก็ขับรถตลอด

“แรดขนาดนี้ ผู้ชายตอมกันให้พรึบเลยซิ” พูดจบมันก็หยิกแก้มผม

“ไอ้เหี้ยไอซ์!!! ... ตอมใช้กับพวกมึง ไม่ใช้กู” จิกกัดกันพอหอมปากหอมคอพวกมันถึงได้หย่อนก้นลงนั่ง ไม่ใช้แต่เฉพาะผมที่เปลี่ยนไป พวกมันก็แปลกตาไปจากครั้งสุดท้ายที่เจอกันพอสมควร พอเปลี่ยนจากชุดนักเรียนขาสั้นเป็นชุดนิสิตแล้ว พวกมันต่างก็ดูดีกันทุกคน

“กูจะไปสั่งน้ำ พวกมึงเอาอะไรไหม ...” จีถาม

“... มิลค์ ไปช่วยกูถือหน่อย”

“ไปดิ” ผมลุกออกไปตามคำชวนของจี

“เอา iced mocha frappé 1, iced latte 2 และก็ iced chocolate 1 ครับ” สั่งเสร็จ เราก็เขยิบมารอเครื่องดื่มอีกฟากนึงของบาร์

“กูไม่คุ้นกับมึง look นี้เลยวะ ...” จีพูด มันใช้สายตาสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

“... มึงดูเปลี่ยนไป”

“เปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือไม่ดี” ผมถามเพราะเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง

“ถ้าตอบว่าไม่ดี ก็ดูจะโกหกได้ไม่เนียนเท่าไหร่ หลักฐานก็ฟ้องอยู่ตำตา”

“คือกำลังชมกูว่าดูดีขึ้นว่างั้น” ผมเลิกคิ้ว เหล่ตามองมันอย่างจับผิด

“แล้วแต่มึงจะคิด” คนตรงหน้ายักไหล่

“มึงก็เหมือนกัน ดูดีขึ้นกว่าเดิม” พูดจบผมถึงได้ใช้พิจารณาคนตรงหน้าแบบจริงจัง อย่างที่บอกมันดูดีขึ้น จีเป็นคนหน้าตาดีอยู่แล้ว มันเป็นคนผิวขาวตามแบบฉบับของลูกคนจีนแท้ๆ จมูกโด่งสวยรับกับใบหน้าที่คมสันขึ้นตามวัย เข้ากันดีกับผมซอยสั้นที่จัดทรงด้วย wax ดวงตาชั้นเดียวของมันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น... มองเผินๆ นึกว่าidol เกาหลีปลอมตัวมาเสียอีก

“มึง accessory เยอะขึ้น ... แรดขึ้นนะมึงอะ” มันพูดพร้อมกับคว้ามือทั้ง 2 ข้างของผมขึ้นมาพิจารณา สร้อยข้อมือสีเงินที่พันรอบบนข้อมือซ้าย เข้าชุดกับแหวนบนนิ้วกลางข้างเดียวกันและนิ้วนางข้างขวา ... ผมยิ้มรับให้กับคำชมที่คล้ายจะเป็นการจิกกัดอยู่กลายๆ ... ผมชอบ jewelry มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนมัธยมไม่เคยได้ใส่เพราะโรงเรียนมีกฎห้ามใส่เครื่องประดับทุกชนิดยกเว้นนาฬิกาข้อมือ ในขณะที่มหาวิทยาลัยไม่มีข้อจำกัดตรงนี้

“เครื่องดื่มได้แล้วคะ” บทสนทนาของเราถูกขัดจังหวะด้วยเครื่องดื่มทั้ง 4 แก้ว

“มึงกินกาแฟปะ” จีถาม

“ไม่อะ ขม”

“ลองกินของกู iced mocha frappé รับรองว่ามึงต้องชอบ ...” ผมรับแก้วกาแฟปั่นที่ถูกยื่นมาให้ จีถือถาดที่มีแก้วอีก 3 ใบที่เหลือกลับไปที่โต๊ะ

“...อร่อยไหม”

“อืม อร่อยๆ ... หวานแล้วก็ขมติดปลายลิ้นนิดๆ” ชิมเสร็จผมก็ส่งแก้วคืนให้จี

“บอกแล้วว่ามึงต้องชอบ” จียักคิ้วข้างหนึ่งให้ผม ก่อนจะก้มลงดูดกาแฟปั่นจากหลอดที่ผมเพิ่งใช้เมื่อครู่

“พวกมึง 2 คนทำไรวะ? … จูบกันผ่านหลอดกาแฟ? ...”

“... หยุดจีบกัน แล้วมาช่วยคิดว่าเย็นนี้จะแดกอะไร” ไอ้โจเอ่ยขัด มันมองพวกผมสองคนด้วยสายตาล้อเลียนอย่างโจ่งแจ้ง

“แดกอะไรดี” ไอซ์ถาม

“หมูกระทะ” ไอ้โจรีบเสนอไอเดีย

“กูขอร้องเลยนะ... อยู่ที่โน่นแดกแต่หมูกระทะ” ผมร้องโอดครวญขึ้นมาทันที

“มึงเนี่ยนะแดกหมูกระทะ...” ผมพยักหน้าหงอยๆ

“... โถววววว คุณหนูของบ่าวลำบากมากไหมเจ้าคะ” แล้วมันก็เข้ามาโอบกอดผม ราวกับแม่นมในละครหลังข่าว



พวกเราตกลงกินมื้อเย็นของวันนี้ที่ร้านบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่น ต้องขอบคุณพวกมันที่ยอมตามใจผมมากกว่าไอ้โจที่งอแงอยากจะกินหมูกระทะ พูดให้ถูกคือต้องของคุณไอซ์ที่ข้อร้องแกมขู่กรรโชก จนในที่สุดไอ้โจก็ต้องยอมจำนน ... จบมื้ออาหารคนอื่นๆ แยกย้ายกันกลับ ในขณะที่ผมขับรถมาส่งจี ... 4 ทุ่มกว่าแล้ว จากที่คิดว่าจะขับกลับไปนอนหอ ผมเปลี่ยนใจว่ากลับไปนอนคอนโด แล้วค่อยขับรถไปเรียนในเช้าวันพรุ่งนี้ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

“มึงปรับตัวเรื่องมหาลัยได้หรือยัง” จีถามขณะที่รถจอดติดไฟแดงตรง 4 แยก ผมละสายตาจากตัวเลขสีแดงบนป้ายจราจรที่กำลังนับถอยหลังมายังคู่สนทนานี่นั่งอยู่ข้างๆ

“ไม่รู้วะ บางครั้งก็รู้สึกว่าได้ แต่บางครั้งก็เหมือนอยากลาออกให้รู้แล้วรู้รอด” จีรู้ว่าผมมีปัญหาเรื่องการปรับตัว ... ผมไม่ชอบอยู่หอ และไม่บรรยากาศ รวมถึงสิ่งแวดล้อมของมหาลัย ... มันรู้สึกอึดอัด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ... ผมคุ้นชินกับชีวิตใจกลางเมืองมากกว่า

“มีเพื่อนก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเหรอ”

“ไม่เลย” จีเคยบอกว่าถ้ามีเริ่มมีเพื่อนจะปรับตัวได้เร็วขึ้น ผมก็เคยคิดแบบนั้น

“ถามจริง มึงเข้ากับเพื่อนที่มหาลัยไม่ได้เหรอ” ผมชะงักเมื่อเจอคำถามแทงใจดำ

“ก็ไม่เชิง ไม่ได้ถึงขั้นทะเลาะ หรือว่าไม่ชอบหน้ากัน แต่มันแบบ ... อึดอัดวะ เข้ากันไม่ค่อยได้ ... กูไม่รู้จะอธิบายยังไง” เพื่อนของผมไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่เพราะ lifestyle ของเราต่างกันมากเกินไป จนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเจอกันตรงกลาง มันเลยทำให้ผมทำตัวลำบาก

ผมไม่ได้อยากจะเอาเพื่อนใหม่มาเปรียบเทียบกับเพื่อนเก่า มันไม่ยุติธรรมที่จะเอาคนที่เพิ่งเจอกันได้ไม่กี่เดือนมาเปรียบเทียบกับพวกเราที่รู้จักกันมาหลายปี แต่ถึงกระนั้น ในใจผมก็ยังคงคิดถึงช่วงเวลาเก่าๆ ที่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่มีใครที่จะสามารถเข้ามาแทนที่ความรู้สึกเหล่านั้นได้เลย

“กูเข้าใจ ... มึงไหวไหม”

“ไหวแหละ กูว่าจะลองดูอีกซักหน่อย ... ถ้าไม่ไว้ก็คง drop ออกมา ent ใหม่”

“อยากให้กูช่วยอะไรก็บอก ... ขอโทษนะที่ช่วยอะไรมึงไม่ได้เลย”

“ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องที่กูต้องตัดสินใจเองอยู่ดี ... กูคิดถึงมึงนะ” รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน แม้จะสินทกันแต่การพูดคำว่า ‘คิดถึง’ ก็ทำให้รู้สึกเขินอายได้ไม่น้อย

“กูก็คิดถึงมึงเหมือนกัน” จีตอบรับผมด้วยรอยยิ้มละมุน

… ‘P’ Guy’

“พี่กายว่าไงครับ”

“นายยังไม่กลับหอเหรอ”

“ยังครับ วันนี้ผมมีนัดกับเพื่อนมัธยม คืนนี้ว่าจะนอนคอนโดแล้วค่อยกลับพรุ่งนี้เช้า”

“พี่เห็นว่าดึกแล้วยังไม่กลับห้องเลยเป็นห่วง”

“ไม่มีอะไรครับพี่ พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว”

“โอเค งั้นพี่ไม่รบกวนแล้ว ขับรถกลับดีๆ”

“ครับพี่ ... บายครับ”

“พี่กายคือพี่ห้องตรงข้ามที่มึงเคยเล่าให้ฟังปะ” จีถามขึ้นหลังจากที่ผมวางสายจากพี่กาย

“อืม”

“พี่เขาจีบมึงหรือเปล่า” มันทำหน้ากรุ่มกริมเหมือนจะล้อเลียน

“บ้า!!! …” ผมปฎิเสธ ... ไม่เข้าใจว่าจะทำเสียงสูงให้ผิดสังเกตทำไม

“... เอาจริงคือไม่รู้วะ” ผมผ่อนลมหายใจออกอย่างเชื่องช้า เล่าให้ฟังก็ได้

“แล้วมึงรู้สึกยังไงกับพี่เขา”

“ก็รู้สึกดีนะ แต่ก็ไม่ได้ดีมากขนาดนั้น”

“ค่อยๆ ดูกันไป ... แต่ถ้ามึงจะคบกับพี่เขา ต้องพามาให้กูสแกนก่อน ไม่งั้นกูไม่ยอมนะเว้ย ... ลูกสาวกูทั้งคน กูเลี้ยงของกูมาตั้งแต่เด็ก” เพราะรถยังจอดติดไปแดงอยู่ จีถึงได้โน้มตัวมาล๊อคคอผมไว้ ผมถูกโน้มตัวเข้าหาคนข้างๆ พร้อมกับมือหนาที่ขยีลงบนกลุ่มผมอย่างหยอกล้อ ... แล้วเราก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันในรถตามประสาเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนาน

“คร้าบบบบบบบบบคุณพ่อ” ผมขานรับอย่างขำๆ



... ‘G’

หลังจากเข้ามาในห้องได้ไม่ถึง 5 นาที ring tone ประจำตัวของเพื่อนสนิทก็ดังขึ้น

“ว่าไงมึง”

“ถึงยัง” จีถาม

“ถึงแล้ว เพิ่งถึงเมื่อกี้เลย มีไรเปล่า”

“ไม่มีอะไร แค่โทรมาเช็คเฉยๆ ว่ามึงอยู่ไหนแล้ว”

“เพิ่งถึงเลย”

“แล้วนี้ขึ้นมาบนห้องยัง”

“ขึ้นมาแล้ว เข้าห้องปุ๊บมึงก็โทรมาเลย”

“โอเค งั้นกูไปอาบน้ำนอนแหละ พรุ่งนี้มึงขับรถกลับมหาลัยดีๆ ... ถึงแล้วก็โทรบอกกูด้วย”

“ได้ๆ แล้วเจอกัน ... บาย”

“บาย”


----------


มิลค์ : ทุกช่วงชีวิตคือการเติบโต  ... จากน้องมิลค์ดนเดิม เพิ่มเติมคือพยายามจะเติบโตด้วยตัวเอง

#เติบโต #เล่นหัว #เลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก

#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-06-2025 08:05:16 โดย Milky_Milky_Way »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 12 : ผูกพัน
« ตอบ #39 เมื่อ: 22-06-2025 12:47:22 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 12 : ผูกพัน
«ตอบ #40 เมื่อ24-06-2025 13:03:12 »

ร่างโปรงในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงยีนส์สีเทาซีด สวมรองเท้าผ้าใบสีดำก็ก้าวลงมาจากรถ ผิวเหลืองขาวเปล่งประกายเมื่อสัมผัสกับแสงแดงยามบ่าย ทรงผมที่ถูกตัดซอยและ set มาเป็นอย่างดี ประกอบกับใบหน้าสวยที่แม้ส่วนหนึ่งถูกปิดไว้ด้วยแว่นกันแดดสีดำสนิทแต่ก็ไม่สามารถกลบรัศมีความดูดีลงได้


-----


มิลค์ : ที่นี้แหละ คือจุดเริ่มต้นของชีวิตมหาลัย จากน้องมิลค์เดิม เพิ่มเติมคือพยายามปรับตัวให้ได้ ... แต่สุดท้ายไม่ fit in  :m8:


#วันแรก #หอพัก #ความเป็นจริง
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 12 : ผูกพัน
«ตอบ #41 เมื่อ26-06-2025 16:14:43 »

ผมเดินตามพี่กายกลับมาที่โต๊ะ บนโต๊ะเต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ ผักสด และของกินเล่นวางเรียงราย ... อดคิดไม่ได้ว่า แค่ 2 คน จะกินหมดนี่ได้อย่างไร ... ร้านหมูกระทะแถวนี้เป็นร้านแบบง่ายๆ ประมาณตั้งโต๊ะเสร็จก็ขายได้เลย ไม่ต้องมีแอร์ให้เปลืองไฟ พัดลมยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ อาศัยลมธรรมชาติล้วน ๆ นั่งได้ซักพัก ความร้อนจากเตาปิ้งหมูกระทะก็ทำให้ทั้งใบหน้าของผมร้อนผ่าวจนเม็ดเหงื่อเริ่มก่อตัวเป็นหยดเล็กๆบริเวณไรผมและปลายจมูก 


----------


มิลค์ : มีคนบอกว่าหมูกระทะจะเยี่ยวยาทุกสิ่ง จากน้องมิลค์เดิม เพิ่มเติมคือกินหมูกระทะเป็นแล้ว  :hao6:

#หมูหมักซีอิ๊ว #หมูหมัก(เฉยๆ) #หมูหมักงา #กระดาษทิชชูสีชมพู
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 12 : ผูกพัน
«ตอบ #42 เมื่อ27-06-2025 16:13:17 »

ไอ้อารม์เอ่ยปากแซวผมพร้อมรอยยิ้ม ในขณะที่ 2 คนที่ถูกพาดพิงเอาแต่ทำหน้านิ้วคิ้วขมวด ... ไอซ์กระเถิบมายืนตรงหน้า มือสากๆ ของมันจับใบหน้าของผมพลิกซ้ายพลิกขวา

“แรดขนาดนี้ ผู้ชายตอมกันให้พรึบเลยซิ” พูดจบมันก็หยิกแก้มผม


----------


มิลค์ : สาบาญได้ว่าไปเรียนมาจริงๆ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือ pheromone ฟุ้งกระจาย  :pighaun:

#ไหนว่าไปเรียน #แรด
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 13
«ตอบ #43 เมื่อ28-06-2025 16:22:20 »

“มึงใส่ชุดนี้แล้วเหมือนเด็กเลยวะ” จีที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ มองผมที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงด้วยสายตาล้อเลียน

“ก็ชุดมึงนั้นแหละ ใหญ่ชิบหาย” ผมตอบพลางมองค้อนใส่มัน จะไม่ให้ตลกได้ไง ตัวมันใหญ่กว่าผม พอผมต้องมาใส่เสื้อผ้าของมัน แขนเสื้อแทบจะยาวเลยข้อศอก

“กูว่าตอนรู้จักกันใหม่ๆ กูกับมึงก็ตัวใกล้กันนะ ทำไมตอนนี้มึงตัวเล็กลงวะ” มันยิ้มพลางขยี้ผ้าขนหนูบนหัวตัวเอง

“กูตัวเท่าเดิม มึงตัวใหญ่ขึ้นไง ไอ้เหี้ย ...”

“... รีบเช็ดผม กูง่วงจะตายห่าแล้ว” ผมแยกเขี้ยวใส่ ตีหนึ่งกว่าแล้วยังไม่ได้นอนเลย

“กูอุตส่าห์ให้มึงอาบน้ำก่อน พื้นห้องน้ำจะได้ไม่เปียก ... มึงยังมีหน้ามาบ่นกูอีก” ไอ้เพื่อนเลว พูดซะกูสำนึกผิดไม่ทันเลย


----------


มิลค์ : เจอกันวันพรุ่งนี้นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือยังคงไม่ชอบพื้นห้องน้ำเปียก

#นอนค้างคืน #เสื้อตัวใหญ่ #คนใส่ตัวเล็ก
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 13 : คืนปลอบใจ
«ตอบ #44 เมื่อ29-06-2025 12:05:40 »

ตอนที่ 13 : คืนปลอบใจ

“พรุ่งนี้นายมีเรียนกี่โมง” พี่กายถามในขณะที่เรา 2 คนกำลังเดินกลับมาจากตลาดนัดหน้าปากซอย

“10 โมงครับ ... กะกว่าคืนนี้จะนอนหลับยาว”

“ถ้าพรุ่งนี้ไม่ต้องรีบตื่น คืนนี้สนใจมาดื่มกับพวกพี่ไหม”

“อย่าเลยดีกว่าครับ พวกพี่จะได้เต็มที่กัน” ผมตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

กลุ่มเพื่อนพี่กายตั้งวงกันบ่อย ผมว่าสัปดาห์หนึ่งไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง ผมรู้เพราะเวลาพวกพี่เขาตั้งวงทีไร เสียงจะดังข้ามมาห้องผมทุกที พี่กายชวนผมไปร่วมวงหลายครั้ง แต่ผมก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด ... อย่างที่จีสงสัย ผมว่าพี่กายกำลังเลียบๆ เคียงๆ ลองเชิงผม ถ้าผมแสดงออกว่าสนใจ พี่เขาก็คงเดินหน้าจีบผมเต็มตัว ... แต่ปัญหามันอยู่ที่ผม ผมยังไม่พร้อม และยังมีความสุขมากกว่ากับการอยู่คนเดียว

“นายชอบกินน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เหรอ” พี่กายถามพลางเหลือบมองถุงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ 3 ชิ้นในมือของผม

“ไม่ได้ชอบขนาดนั้น แต่มันง่ายดีครับ” จริงๆ แล้วผมชอบ American breakfast ที่สุด แต่ผมทำอาหารไม่เป็น เลยได้กินแค่เฉพาะตอนกลับบ้าน ช่วงมัธยมผมมักจะนอนค้างที่คอนโดมากกว่า มื้อเช้าเลยหนีไม่พ้น bakery กับนม เพราะง่ายและสะดวกกว่า แต่แถวนี้ไม่มีร้าน bakery เลยซักร้าน น้ำเต้าหูกับปาท่องโก๋เลยเป็นทางออกที่ดีที่สุด

“แล้วทำไมต้องปาท่องโก๋ 3 ตัว พี่สังเกตมาหลายครั้งแล้ว”

“3 ตัวกำลังพอดีครับ” เพราะ 2 ตัวก็น้อยไป ในขณะที่ 4 ตัวก็มากเกินไป

“ถึงพอดี ... ถ้าเปลี่ยนใจก็แวะมาดื่มกับพี่ได้นะ” แม้กระทั้งจังหวะสุดท้ายพี่กายก็ยังไม่วายจะชวนผมไปดื่มด้วยให้ได้ ... ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปนอกจากส่งยิ้ม แล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายเข้าห้องของตัวเอง

ถุงอาหารเช้าถูกวางไว้บนโต๊ะทำงาน ผมเปิด notebook เข้า MSN เหมือนที่ทำเป็นประจำ วันนี้มีแค่ผมคนเดียวที่ on รอประมาณ 30 นาที พอเห็นว่าไม่ใครเข้ามา ผมเลยลุกไปอาบน้ำ ไม่ใชเรื่องแปลกอะไร เพราะตอนนี้ทุกคนต่างก็แยกย้ายไปมีสังคมของตัวเอง สมัยมัธยม on MSN เมื่อไหร่ก็เจอพวกมัน แต่ตอนนี้ถ้าไม่นัดกันก่อน ก็ต้องบังเอิญจริงๆ ถึงจะ on พร้อมกัน ... โลกของพวกเราใหญ่ขึ้น และไม่ได้ซ้อนทับกันเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วถึงได้สังเกตเห็นว่ามี missed call จากไอซ์ 3 สาย

“ว่าไงมึง”

“มิลค์มึงอยู่ไหนเนี่ย กูโทรหามึงตั้งหลายรอบกว่าจะโทรกลับมา”

“อยู่หอ เพิ่งอาบน้ำเสร็จ โทษที มีไรๆ”

“มึงรู้เรื่องไอ้จีเปล่าเนี่ย”

“ฮึ ไม่รู้อะ ไม่ได้คุยกับมันมาหลายวันแล้ว” คิดๆ ดูผมน่าจะไม่ได้คุยกับจีมาเกือบสัปดาห์แล้วมั้ง

“มันเลิกกับน้องฝนแล้ว”

“ฮะ!!! ... มึงแน่ใจ ?” ในวินาทีนั้น ผมแทบจะหยุดหายใจ ... เกิดอะไรขึ้นวะ

“แน่ใจซิวะ สายกูเป็นเพื่อนของเพื่อนน้องฝน ... นี่ขนาดมึงยังไม่รู้ ไอ้เหี้ยจี!!! มีอะไรแม่งไม่เคยจะบอก”

“แล้วมันเป็นไงบ้าง”

“ไม่รู้แม่ง พวกกูเพิ่งรู้เรื่องเมื่อช่วงหัวค่ำ ใครโทรหามันก็ไม่รับ กูเลยโทรหามึงคิดว่ามึงจะรู้”

“เดียวกูไปหามันเอง”

“ตอนนี้เนี่ยนะ?”

“เออ เดียวกูเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” ผมดูนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน ... 2 ทุ่มกว่าเอง ขับออกไปตอนนี้ไม่เกิน 4 ทุ่มน่าจะถึงบ้านจี

“ได้เรื่องยังไง มึง update พวกกูด้วยนะ”

หลังจากวางสาย ผมรีบเปลี่ยนชุด ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะใส่ชุดไหน เปิดตู้ออกมา คว้าอะไรได้ก็ใส่อันนั้น

“มิลค์ นายจะไปไหนดึกๆ ดื่นๆ” เสียงของพี่กายทักขึ้นทันทีที่ผมเปิดประตูห้อง พี่เขาเปิดประตูค้างไว้ และกำลังตั้งวงกับเพื่อนๆ

“ผมจะไปหาเพื่อนนะครับ” ผมตอบพลางใส่แม่กุญแจล๊อคประตูไว้อีกชั้น

“หาเพื่อน? ตอนนี้นะเหรอ” พี่กายลุกออกจากวงเหล้าแล้วเดินมาหาผมที่หน้าประตู

“ครับ ... พี่ ผมรีบ ไว้ค่อยคุยกันนะ” ผมตัดบทเพราะตอนนี้ไม่มีกระจิตกระใจจะสนทนากับใคร ในหัวคิดถึงแต่เรื่องของจี

ระหว่างทางผมโทรหาจีหลายครั้ง แต่มันไม่รับสาย ... ไอ้เหี้ยนี่ ถ้าเจอตัวละก็น่าดู ทำให้คนอื่นเป็นห่วง ... โชคดีที่การจราจรขาเข้าช่วงหัวค่ำไม่ได้ติดขัดมากนัก ไม่นาน BMW coupe สีขาวก็ลงจากทางด่วน ก่อนจะเลี้ยวเข้ามาในหมู่บ้านที่คุ้นเคย ... ผมจอดรถหน้าบ้านเพื่อนสนิท หมู่บ้านของจีเป็น town home กำแพงบ้านเลยเป็นแค่รั้วเตี้ยๆ มองจากด้านนอกผมเห็นแสงไฟจากชั้นล่างยังเปิดอยู่ แสดงว่าป๊ากับม๊าน่าจะยังไม่นอน แม้จะรู้ว่าเสียมารยาทแต่ผมก็กดโทรศัพท์โทรหาม๊า

“ฮาโหล” เสียงผู้หญิงสำเนียงติดจีนนิดๆ ดังขึ้นจากปลายสาย

“สวัสดีครับม๊า นี่มิลค์นะครับ”

“มิลค์เหรอลูก โทรมาดึกๆ ดื่นๆ มีอะไรหรือเปล่า”

“คือมิลค์อยู่หน้าบ้านนะครับ ...” ผมชะงักไปเสี้ยววินาที เพราะเพิ่งนึกได้ว่าไม่มีเหตุผลดีๆมาใช้เป็นข้ออ้างในการโทรหาม๊าตอนเกือบจะ 4 ทุ่ม

“... มิลค์นัดจีไว้แต่โทรหาแล้วเขาไม่รับสาย เลยจะรบกวนม๊าให้คนมาเปิดประตูให้มิลค์ได้ไหมครับ”

“อยู่หน้าบ้านแล้วเหรอ เจ้าจีนิ ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ... เดียวม๊าให้คนไปเปิดให้นะ”

ผมยืนรออยู่ไม่นาน แม่บ้านก็เดินออกมาเปิดประตูให้

“ป๊าม๊าสวัสดีครับ” ผมไหว้ป๊าม้าที่นั่งดูทีวีอยู่ที่ห้องนั่งเล่น

“ขอโทษนะครับที่มารบกวนดึกๆ”

“ไม่เป็นไรๆ กินอะไรมาหรือยัง ผลไม้ไหม” ป๊ายื่นถาดส้มที่วางอยู่ใกล้ๆ มาทางผม

“ไม่เป็นไร มิลค์กินมาแล้ว ... งั้นมิลค์ขอขึ้นไปหาจีหน่อยนะครับ”

“เออๆ ไปเถอะ” ผมค้อมหัวเป็นเชิงขออนุญาต ก่อนจะก้าวยาวๆ ขึ้นไปยังชั้น 3 ของบ้าน

ก๊อกๆๆ นิ้วมือเรียวสวยเคาะลงบนประตูหลายครั้งแต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ ผมเลยถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป ... ในห้องมืดสนิท อุณหภูมิภายในเรียกได้ว่าหนาวสะท้าน เปิดแอร์เย็นขนาดนี้ เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี

“อืมมม ออกไป จะนอน ...” คนบนเตียงพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ... ผมเอื้อมไปเปิดสวิตช์ไฟข้างประตู

“... ออกไป” พอไฟเปิดจีก็พูดเสียงติดรำคาญ พร้อมกับพลีกตัวหนีไปอีกฝั่ง

“กูเอง ...” พอรู้ว่าเป็นผม เจ้าตัวถึงได้พลิกตัวกลับมา

“... จี” เมื่อได้เห็นสีหน้าของเพื่อนสนิทชัดๆ ทุกคำพูดที่เคยคิดไว้ ไม่ว่าจะเป็นคำปลอบโยนหรือด่าทอ ทุกอย่างถูกกลืนหายไปในลำคอ ... มันร้องไห้จนตาบวม น้ำมูกน้ำตาไหลจนไม่เหลือสภาพ ... ผมสงสารคนตรงหน้าจับใจ

“มิลค์ ... มึง”

“กูรู้แล้ว กูมาอยู่เป็นเพื่อนมึงแล้ว” ทันทีที่ผมปีนขึ้นเตียงไปกอด มันก็ร้องไห้โฮออกมา

“มันจบแล้วมิลค์ ทุกอย่างพังหมดแล้ว”

“ชูววววววว์ กูรู้แล้วๆ ไม่ต้องเสียใจ กูอยู่ข้างๆ มึงเสมอ” ผมกระชับอ้อมกอด หวังไว้สุดหัวใจว่ากอดของผมจะช่วยส่งต่อความเข้มแข็งไปให้มันได้บ้าง

นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมกอดจีไว้ในอ้อมแขน พอเสียงสะอื้นค่อยๆ จางหายไป ทั้งห้องก็เงียบสนิทจนได้ยินแต่เสียงของเครื่องปรับอากาศที่ยังทำงานต่อเนื่อง

“มึงหิวข้าวไหม ... ตั้งแต่เย็นกินอะไรบ้างยัง” ผมถามในขณะที่ยังกอดมันไว้

“ยังเลย” พอมันเริ่มขยับ ผมก็คลายอ้อมกอด

“ไปหาอะไรกินข้างล่างกันไหม ...” หันไปมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนต๊ะข้างหัวเตียง ใกล้จะ 5 ทุ่มแล้ว

“... ตอนนี้ป๊าม๊าขึ้นนอนหมดแล้ว”

“ก็ดี มึงอยู่ด้วย กูอาจจะมีอารมณ์กินอะไรได้บ้าง”

“งั้นมึงไปล้างหน้าล้างตาก่อน” ผมส่งยิ้มบางให้คนตรงหน้า ใบหน้าหล่อเหล่าของเพื่อนสนิทยังคงหลงเหลือร่องรอยของความโศกเศร้า



“ไหนดูซิ มีอะไรเหลือให้มึงกินบ้าง...” ผมพูดพลางลื้อตู้เย็นขนาดมโหราฬที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ในกลุ่มของพวกเรา บ้านจีขึ้นชื้อว่ามีกับข้าวให้กินตลอด 24 ชั่วโมง เพราะความมือหนักของม๊าที่ไม่เคยทำกับข้าวพอกินแค่มื้อเดียว เพราะฉะนั้นไม่แปลกเลยที่จีมักจะชวนพวกเรามาบ้านเพื่อทำภารกิจพิเศษ ... ล้างตู้เย็น

“... นี่ๆๆ กูเจอพะโล้ เขาบอกพะโล้อร่อยคือพะโล้ค้างคืนนะมึง ...” แม้จะไม่รู้ว่า ‘เขา’ ที่ว่านั้นหมายถึงใครแต่พอพูดจบผมก็ส่งชามพะโล้ให้เจ้าของบ้านที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“... เดียวๆ กูขอหาก่อน ระดับม้าแล้วต้องมีขุมทรัพย์ล้ำค่าซ่อนอยู่แน่นอน ...” ผมพูดติดตลก ได้ยินเสียงจีหลุดขำออกมา

“... เชี่ยยยยยยย กูเจอเมนู signature ... ผัดหมี่!!!” ผัดหมี่สไตล์จีนถือเป็นเมนูเด็ดของม้า เส้นหมีแบบจีนผัดกับหมูสับ เต้าหู้ก้อน และ ต้นหอม ... ผมหันกลับมาด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่พอเห็นเมนูประจำบ้านตัวเอง คนตรงหน้าก็ได้แต่ทำสีหน้าเบื่อหน่ายพร้อมกรอกตาไปมา

จีรับเอาจานผัดหมีไปต่อคิวเข้าไมโครเวฟ ในขณะที่ผมหยิบขวดน้ำเปล่าออกจากตู้เย็น แล้วเดินมานั่งรอที่โต๊ะกินข้าว โต๊ะกินข้าวบ้านจีเป็นโต๊ะไม้สีเข้มทรงกลม ตรงกลางมีจานกระจกหมุนได้ให้อารมณ์เหมือนกินโต๊ะจีน มุมหนึ่งของโต๊ะจะมีถาดพลาสติกสำหรับวางแก้วน้ำที่ยังไม่ได้ใช้ ... ผมหยิบแก้วออกมา 2 ใบ รินน้ำรอเจ้าของบ้าน

ไม่นานเสียงเปิดปิดประตูไม่โครเวฟก็ดังขึ้นพร้อมกับจีที่ยกถาดอาหารเดินออกมาจากครัว เพิ่งสังเกตว่ามันอยู่ในชุดที่โคตรจะสบายๆ กางเกงบอลและเสื้อยืดสีขาวย้วยๆ

“ตกลงกูหิว หรือมึงหิวกันแน่” มันเอ่ยปากแซวทันทีที่ผมเลื่อนจานผัดหมี่มาตรงหน้า

“กูกินเป็นเพื่อนมึงไง” ผมฉีกยิ้มกว้าง แล้วตักผัดหมี่ช้อนใหญ่ใส่จาน

“ใจเย็นไอ้มิลค์ ... นี่มึงไปตายอดตายอยากจากไหนมา” มันขำเมื่อเห็นผมทำหน้าปลื้มปริ่มทันทีที่ตักผัดหมี่เข้าปาก

“มึงสงสารกูเถอะ แถวหอกูไม่มีอะไรอร่อยๆ แบบนี้กินหรอก” ทันทีที่ลิ้นสัมผัสกับเส้นหมี่ผมก็เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ผัดหมี่ของม้ายังอร่อยเหมือนเดิม

“เออๆ อร่อยก็กินเยอะๆ” มันอมยิ้มแล้วก้มหน้าก้มตากินของตัวเอง



“อ่า!!! โคตรอิ่ม” ผมพูดพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ... อิ่มจริงอะไรจริง

“มึงยังอิ่มไม่ได้ ... แดกไอติมเป็นเพื่อนกูก่อน”

“ไม่เอา อิ่มแล้ว” อิ่มจนแทบจะลุกไม่ไหว ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจ จะขอแบ่งใส่ถุงกลับไปกินที่หอด้วย

“รส rum resin นะมึง” ผมหูกระดิกทันทีที่ได้ยินชื่อไอศกรีมรสโปรด

“แล้วไม่บอกก่อนวะ ... กูขอ 2 ลูกเลยนะ” ผมยกมือชู 2 นิ้วพร้อมส่งยิ้มหวานให้คนตรงหน้า ... มันส่ายหัวแบบเอือมระอา จีบอกเสมอว่าผมมีกระเพาะสำหรับของหวานแยกออกมาต่างหาก



“แล้วคืนนี้มึงเอาไง นอนค้างบ้านกูปะ” จีถามในขณะที่เจ้าตัวกำลังล้างจานอย่างขมักเขม่น ส่วนผมก็ยืนเอาสะโพกพิงเคาน์เตอร์ครัว กินแรงมันอยู่ด้านหลัง ... ตอนนี้เที่ยงคืนจะครึ่งแล้ว

“นอนนี้แหละ ขับกลับไปนอนที่คอนโดไม่ไหวแล้ว” ถ้านอนบ้านจีผมน่าจะประหยัดเวลาไปได้เยอะอยู่

“พรุ่งนี้มึงมีเรียนปะ” เสียงน้ำไหล และเสียงจามชามกระทบกันดังเป็น sound effect ระหว่างบทสนทนาของเรา

“มีตอน 10 โมง แล้วมึงละ”

“พรุ่งนี้กูมี lecture ตอน 8 โมงเลยวะ ... แต่มึงจะนอนตื่นสายหน่อยก็ได้นะ เดียวกูบอกป๊าม้าไว้ให้”

“ไม่เป็นไร กูตื่นพร้อมมึง ... จริงๆ กูไปส่งมึงที่มหาลัยก็ได้นะ แล้วค่อยขับกลับไปเปลี่ยนชุดที่หอ น่าจะพอดีๆ กัน”

“มึงไหวเหรอ”

“ไหวดิ พรุ่งนี้บ่ายกูว่าง ค่อยกลับมานอนได้ยาวๆ”

“เอางั้นก็ได้”



“มึงใส่ชุดนี้แล้วเหมือนเด็กเลยวะ” จีที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ มองผมที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงด้วยสายตาล้อเลียน

“ก็ชุดมึงนั้นแหละ ใหญ่ชิบหาย” ผมตอบพลางมองค้อนใส่มัน จะไม่ให้ตลกได้ไง ตัวมันใหญ่กว่าผม พอผมต้องมาใส่เสื้อผ้าของมัน แขนเสื้อแทบจะยาวเลยข้อศอก

“กูว่าตอนรู้จักกันใหม่ๆ กูกับมึงก็ตัวใกล้กันนะ ทำไมตอนนี้มึงตัวเล็กลงวะ” มันยิ้มพลางขยี้ผ้าขนหนูบนหัวตัวเอง

“กูตัวเท่าเดิม มึงตัวใหญ่ขึ้นไง ไอ้เหี้ย ...”

“... รีบเช็ดผม กูง่วงจะตายห่าแล้ว” ผมแยกเขี้ยวใส่ ตีหนึ่งกว่าแล้วยังไม่ได้นอนเลย

“กูอุตส่าห์ให้มึงอาบน้ำก่อน พื้นห้องน้ำจะได้ไม่เปียก ... มึงยังมีหน้ามาบ่นกูอีก” ไอ้เพื่อนเลว พูดซะกูสำนึกผิดไม่ทันเลย

“เออ ไม่พูดแล้วก็ได้” ผมสะบัดหน้าใส่มัน

“เถียงไม่ได้ก็เฉไฉไปเรื่อยนะมึงเนี่ย ...” เกียจมัน รู้ทันผมตลอด

“... ยิ้มแบบนี้คือแถไม่ออกใช่ไหม”

“เสือก” ผมขมุมขมิมปากพูด แต่รับรองเลยว่าเพื่อนสนิทอยากจีอ่านปากผมออกแน่นอน มันทำท่าลอยหน้าลอยตา เช็ดผมไปเรื่อย ไม่สะท้านกับคำด่าของผม

กว่าจีจะเช็ดผม ทาครีมก่อนนอนเสร็จ ผมก็แทบจะนั่งหลับอยู่บนเตียง

“มึงต้องเข้มแข็งนะ” ผมพูดขึ้นท่ามกลางความมืดสนิท

“อืม ... ตอนที่มึงเลิกกับไอ้บอน มันเจ็บแบบนี้ไหมวะ” คำถามของจีทำผมนึกย้อนไปถึงอดีต

“ไม่เลย กูรู้สึกโคตรโล่งด้วยซ้ำ ... เจ็บที่สุดคือครั้งแรกที่รู้ว่ามันมีคนอื่น”

“มึงผ่านมันมาได้ยังไง”

“เพราะมึงไง เพราะมีมึงคอยปลอบ และเพราะกูรู้ ... ไม่ว่ากูจะตัดสินใจยังไง มึงก็อยู่ข้างกูเสมอ” ผมคิดย้อนไปถึงวันที่นั่งร้องไห้ต่อหน้ามันที่ร้าน fast food ... ถ้าคนข้างๆ ไม่ใช้จี ผมคงไม่กล้าแสดงอารมณ์อ่อนไหวออกมาขนาดนั้น

“แต่ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้น”

“ใครบอก ... เราอาจจะไม่ได้เจอกันทุกวันเหมือนเดิม แต่กูอยู่ข้างมึงเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม”



“ไอ้จีตื่น ตื่นนนนน มึงไปอาบน้ำเลย” ผมยื่นมืออกมาจากนอกผ้าห่มเพื่อเขย่าตัวคนที่นอนหลับอยู่ข้างๆ

“อืมมมมมมม ... มึงอะตื่น ไปอาบน้ำก่อนเลย ห้องน้ำจะได้ไม่เปียก” พอได้ยินข้ออ้างของเพื่อนสนิทที่นอนหลับตาอยู่ข้างๆ ผมเลยต้องขึ้นไปเข้าห้องน้ำเป็นคนแรก … จะมองโลกในแง่ดีให้ก็ได้ ว่าที่ให้ไปอาบน้ำก่อนคือเสียสละ

โคตรง่วง ไม่รู้เมื่อคืนข่มตานอนได้กี่โมง ผมขอเปลี่ยนใจไม่ไปส่งมันที่มหาลัยแล้วนอนต่อได้ไหม ... กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็สายมากแล้ว สุดท้ายพวกเราเลยต้องหอบหิ้วอาหารเช้ามากินบนรถ

“ไอ้เหี้ยจี เอาใส้ให้กูด้วย ไม่ใช้ให้กูแดกแต่แป้ง” ผมที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย แยกเขี้ยวใส่คนที่นั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ

“อ้าวรู้ตัวด้วยเหรอ” มันขำ เมื่อถูกจับได้ว่าที่ป้อนใส่ปากผมตั้งแต่ขึ้นรถมามีแต่แป้งซาลาเปาทั้งนั้น ส่วนมันก็กินแต่ใส้เน้นๆ ... ต้องของคุณม๊าที่มองการณ์ไกลแล้วเห็นว่าพวกเราต้องตื่นสายแน่ๆ เลยเตรียมข้าวเช้าเป็นซาลาเปาที่ง่ายต่อการกินบนรถ

“ไอ้เลว ... แล้วมือมึงอะ อย่าเช็ดกับเบาะดิวะ เดียวกลิ่นมันติด” ผมพูดพลางส่งซองกระดาษทิชชูให้มัน

“อะๆ แดกเข้าไปจะได้ไม่ต้องบ่น ...” แล้วมันก็ยัดใส้หมูสับทั้งก่อนเข้าปากผม ... ไอ้เพื่อนเหี้ย เดียวกูก็ติดคอตายบนรถพอดี

“... แดกนมถั่วเหลืองด้วยจะได้ไม่ติดคอ” เหมือนจะรู้ทันเพราะยังไม่ทันได้กลืน มันก็เอาหลอดจิ้มเข้ามาปาก ... ไอ้เลว ... ผมว่ามันสนุกนะที่ได้ยั่วโมโหผมตั้งแต่เช้า

“กูจะติดคอตายห่าก็เพราะมึงเนี่ยแหละ ... มองหน้ากูทำไม”

“ขอบตามึงโคตรคล่ำอะ” มันพูดพร้อมกับใช้นิ้วชี้จิ้มมาที่ขอบตาล่างของผม

“ว่าแต่กู มึงก็คล่ำเหมือนกันนั้นแหละ 555” แล้วพวกเราต่างคนก็ต่างหัวเราะกับสภาพของแต่ละคน

“ผมของมึงเริ่มยาวแล้วนะ” จีทักขึ้นมาระหว่างที่รถกำลังค่อยๆ ขยับไปตามถนนเส้นหลักของเมืองหลวง ... เพราะไม่ได้ set เลยทำให้เส้นผมดูยาวกว่าปกติ

“ช่วงนี้ไม่ได้ว่างไปตัดเลย” ร้านตัดผมเจ้าประจำของผมอยู่แถวคอนโด แต่เพราะช่วงนี้ที่มหาลัยยุ่งแต่เรื่องเรียนเลยยังไม่มีเวลาได้ขับกลับมา

“ไม่คุ้นกับมึง ตอนไว้ผมยาว”

“กูหล่อใช่มะ” ผมยักคิ้วพร้อมกับยิ้มมุมปากส่งให้มัน

“เปล่า ...”

“... มึงสวย สวยมาก” มือหนาเอื้อมข้ามที่วางแขนมาเกลี่ยปรอยผมด้านหน้าที่ยาวลงมาเกือบจะถึงคิ้ว ก่อนที่นิ้วมือจะลากไปด้านข้างตามเส้นผมสีดำสลวยแล้วทัดบางส่วนไว้หลังใบหู

“จี ... กู ...”

...

... ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน เหมือนไม่แน่ใจว่าจะพูดออกไปดีไหม

...

“... กูว่าจะ drop ออกมาเตรียมตัว ent ใหม่นะ” มือข้างนั้นหยุดชะงัก ก่อนจะเลื่อนต่ำลงมาวางที่หัวไหล่

“เอาดิ เดียวกูช่วย”

ไม่นาน BMW coupe สีขาวก็เลี้ยงมาจอดอยู่หน้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ เนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ทั้ง 2 ฝากของถนนเลยปกคลุมไปด้วยต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่

“ขอบคุณมึงมากนะเว้ย” จีเอ่ยปากเมื่อผมขับรถมาจอดที่หน้าคณะ

“ไม่เป็นไร แค่นี้เอง”

“มึงขับกลับมหาลัยดีๆ ถึงแล้วโทรมาบอกกูด้วย”

“ได้ ... มึงก็ตั้งเรียน ... แล้วเจอกัน”

“แล้วเจอกัน ... น้องปี 1


----------


มิลค์ : เป็นกำลังใจให้กับการสอบใหม่ด้วยนะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคืออิพี่จีชมว่าสวย  :-[

#ผมยาว #ซาลาเปา #นมถั่วเหลือง
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 13 : คืนปลอบใจ
«ตอบ #45 เมื่อ01-07-2025 16:57:49 »

“มึงผ่านมันมาได้ยังไง”

“เพราะมึงไง เพราะมีมึงคอยปลอบ และเพราะกูรู้ ... ไม่ว่ากูจะตัดสินใจยังไง มึงก็อยู่ข้างกูเสมอ”

“แต่ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้น”

“ใครบอก ... เราอาจจะไม่ได้เจอกันทุกวันเหมือนเดิม แต่กูอยู่ข้างมึงเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม”


----------


มิลค์ : แม้ไม่เจอหน้าแต่ใจเราอยู่ใกล้กันเสมอ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือยืนอยู่ข้างๆเสมอ

#กุมมือ #กอด #กำลังใจ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 13 : คืนปลอบใจ
«ตอบ #46 เมื่อ03-07-2025 14:18:37 »

“... เชี่ยยยยยยย กูเจอเมนู signature ... ผัดหมี่!!!”

“ตกลงกูหิว หรือมึงหิวกันแน่”

“กูกินเป็นเพื่อนมึงไง”

“ใจเย็นไอ้มิลค์ ... นี่มึงไปตายอดตายอยากจาก
ไหนมา”

“มึงสงสารกูเถอะ แถวหอกูไม่มีอะไรอร่อยๆ แบบนี้กินหรอก”

“เออๆ อร่อยก็กินเยอะๆ”


----------


มิลค์ : มื้อดึกจะเยียวยาทุกสิ่ง จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือเจอผัดหมี่ของม๊าในตู้เย็น

#ไข่พะโล้ #ผัดหมี่ #ขุมทรัพย์
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-07-2025 14:36:59 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 13 : คืนปลอบใจ
«ตอบ #47 เมื่อ04-07-2025 15:54:18 »

“แล้วทำไมต้องปาท่องโก๋ 3 ตัว พี่สังเกตมาหลายครั้งแล้ว”

“3 ตัวกำลังพอดีครับ”


----------


มิลค์ : เพราะ 2 ตัวก็น้อยไป ในขณะที่ 4 ตัวก็มากเกินไป จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือกินปาท่องโก๋ 3 ตัว

#น้ำเต้าหู้ #ปาท่องโก๋ #ตลาดนัด
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-07-2025 11:25:29 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 14
«ตอบ #48 เมื่อ05-07-2025 11:33:29 »


“ไอ้จี!!! ... กูตื่นเต้นนนนนนนนนนนน” ผมนั่งกัดเล็บมืออยู่หน้าจอ computer อีกไม่กี่นาทีเท่านั้นผมก็จะได้รู้ผลลัพธ์ของความพยายามของการหลังขดหลังแข็งอ่านหนังสือมาตลอด 6 เดือน ... นิ้วชี้เรียวสวยกดที่ปุ่ม F5 เป็นระยะ

“ได้ๆ มึงติดแน่มิลค์ กูมั่นใจ” จียืนซ้อนอยู่ด้านหลัง มือหนาออกแรงนวดตรงหัวไหลทั้ง 2 ข้าง

“ไอ้เหี้ยมาแล้วววววววววววววววววววววววววววว ...” หลังจากที่กด F5 ไปครั้งหล้าสุด ในที่สุดหน้าจอก็ขึ้นให้รอผลการตรวจสอบข้อมูล

“... สาธุๆ ถ้ากูติดนะกูสัญญาจะปล่อยนกปล่อยปลา รักษาศีล 5 ...” ผมประนมมืออยู่หน้าจอ และทันทีที่ icon นาฬิกาทรายหายไป มือหนาก็ยื่นมาปังหน้าจอ ณ ตำแหน่งประกาศผลพอดี

“... มึงทำเหี้ยอะไรเนี่ย!!!” ผมแหง่นหน้ามองเพื่อนสนิท เห็นแต่ปลายคางและตอหนวดรำไร

“กูลุ้น ...” มันพูดพร้อมกับค่อยๆ เลื่อมมือลงต่ำ เผยให้เห็นชื่อนามสุกล และรหัสเข้าสอบของผมปรากฏอยู่บนบรรทัดบนสุด ... มือหนาหยุดชะงัก

“... เอาเลยนะมึง ... 1 ... 2 ... 3” แล้วมือหนาก็เลื่อนออกจากหน้าจอ

“ไอ้จี กูไม่กล้าดู” กลายเป็นผมที่หลับตาปี๊ เอามือปิดหน้า ... ไอ้เหี้ยกูกลัวววววววว


----------


มิลค์ : เจอกันพรุ่งนี้นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคนลุ้นผลสอบจนตัวเกร็ง

#Entrance #ลุ้นโว้ยยยยยย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 14
«ตอบ #49 เมื่อ06-07-2025 11:40:35 »

ตอนที่ 14 : เส้นทางแห่งการเลือก

เพราะตัดสินใจช้าไป ทำให้ผมพลาดโอกาสในการสอบ entrance รอบแรก เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่ผมสามารถทำได้ในตอนนี้คือ สอบ final ของมหาวิทยาลัยให้เรียบร้อย แล้วยื่นเรื่องขอพักการศึกษา ความตั้งใจแรกของผมคือ drop เรียนแล้วทิ้งทุกอย่างทันที แต่จีเป็นคนแนะนำให้ผมสอบ final ก่อน เพราะไหนๆ ก็เรียนมาจะครบเทอมแล้ว และพยายามตั้งใจสอบเพื่อเก็บเกรดไว้ เผื่อว่าสุดท้ายแล้วผมไปไม่ถึงฝัน แล้วต้องกลับมาเรียนที่นี้อีกรอบ ผมทำตามที่จีแนะนำ

"นายไม่เปลี่ยนใจแน่ ๆ ใช่ไหม" พี่กายถามขณะที่เจ้าตัวกำลังช่วยผมเก็บของลงลังกระดาษ

"มาขนาดนี้แล้วพี่ ผมถอยไม่ได้แล้ว" ผมคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาไว้ตั้งแต่กลางเทอมว่าถ้าสอบเสร็จจะรบกวนอาจารย์เซ็นใบอนุญาต ขอพักการศึกษาให้ ... ผมเพิ่งไปยื่นเรื่องขอพักการศึกษากับทะเบียนเมื่อช่วงสายที่ผ่านมา ตอนนี้ก็เหลือแต่ย้ายออกจากหอ

"ใจหายวะ คิดว่าจะได้ใช้เวลากับนายมากกว่าซักหน่อย..." หลังจากที่ตัดสินใจแน่วแน่และปรึกษากับจีแล้วว่าจะ drop วันรุ่งขึ้นผมก็บอกพี่กาย พี่เขาดูไม่อยากให้ผมไป แต่ก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของผม

"... มิลค์ ไหนๆ วันนี้ก็วันสุดท้ายแล้ว ถ้าไม่พูดพี่คงเสียใจไปตลอด ... พี่ ... ชอบนายนะ" เรา 2 นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นข้างเตียง โดยมีลังกระดาษขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ขั้นอยู่ตรงกลาง

"ผมรู้" ผมมองหน้าพี่กายก่อนจะระบายรอยยิ้มออกมา

"นายรู้เหรอ"

"พี่แสดงออกชัดเจนขนาดนั้น ..."

"... ผมขอบคุณพี่นะครับ พี่เป็นหนึ่งในคนที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจเวลาต้องอยู่ที่นี้ ...

"... ผมยังจำได้ วันแรกที่เจอพี่ ... แต่พี่ก็รู้ใช่ไหมว่าผมคงเป็นได้แค่น้อง" สีหน้าของพี่กายเจือนลงไปเล็กน้อย ก่อนที่สายตาดุๆ คู่นั้นจะกลับมาจ้องตาผมอีกครั้ง

"มิลค์ มึงเก็บของเสร็จยัง ..." บทสนทนาของผมกับพี่กายถูดขัดจังหวะ ... เสียงของเพื่อนสนิทดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้ามาในห้อง ก่อนหน้านี้ จีอาสายกของบางส่วนไปเก็บในรถ

"... เสร็จแล้วนิ ไปกันยัง หิวข้าวแล้ววะ ... เดียวเราแวะกินข้าวร้านโปรดมึงก่อนดีไหม"

"เอาดิ ไม่ได้กินมาซักพักแหละ"

จีเดินกอดคอผมออกมาจากหอ ในขณะที่มืออีกข้างกอดลังกระดาษไว้ โดยมีพี่กายเดิมตามมาข้างหลัง

"มึงเข้าไปนั่งรอในรถก่อน เดียวกูขอคุยกับพี่กายแป๊บ ..." จีพูดเมื่อเราเดินมาถึงลานจอดรถ

"... ไม่มีอะไร แค่จะขอบคุณพี่เขาที่ช่วย take care มึง ..." มันขยายความเมื่อเห็นคิ้วทั้ง 2 ข้างขมวดเข้าหากัน

“... เดียวกูขับกลับให้” ผมพยักหน้าก่อนจะส่งกุญแจรถให้เพื่อนสนิท

มันเดินอ้อมมาเปิดประตูด้านข้างคนขับให้ผม ก่อนจะดันตัวผมเข้ามานั่งข้างใน จากในรถ ผมเห็นจีกำลังเดินอ้อมไปพูดคุยกับพี่กายที่ยืนอยู่ด้านหลังรถ จากมุมนี้ผมเห็นแผ่นหลังของจีและสีหน้าของพี่กายที่มองคู่สนทนาไม่วางตาตลอดการพูดคุยหลายนาที

“กูเข้าใจแล้วว่าทำไมมึงถึงไม่ชอบอยู่ที่นี้ ...” จีพูดหลังจากที่เราขอบรถออกมาจากหอพักได้ไม่นาน

“... มันไม่เข้ากับ life style ของมึงเลยซักนิด”

“อืม กูพยายามปรับตัวแล้ว แต่พอคิดว่าต้องอยู่ที่นี้ไปอีก 6 ปี ... ไม่ไหววะ ...”

“... จี ... ถ้ากู ent ใหม่แล้ว fail ... พ่อจะให้กูไปเรียนต่อต่างประเทศนะ” หลังจากผมพูดประโยคสุดท้ายออกมา รอยยิ้มที่เคยอยู่บนใบหน้าของจีค่อยๆ จางหายไป บรรยากาศในรถดูอึดอัดขึ้นมาทันตา

“มึงวางแผนล่วงหน้าไว้ได้ ไม่ต้องกังวลอนาคต มึงแค่พยายามตรงนี้ให้เต็มที่”

“กูจะพยายาม”

“มึงทำได้ กูมั่นใจ”



...



“ไอ้จี!!! ... กูตื่นเต้นนนนนนนนนนนน” ผมนั่งกัดเล็บมืออยู่หน้าจอ computer อีกไม่กี่นาทีเท่านั้นผมก็จะได้รู้ผลลัพธ์ของความพยายามของการหลังขดหลังแข็งอ่านหนังสือมาตลอด 6 เดือน ... นิ้วชี้เรียวสวยกดที่ปุ่ม F5 เป็นระยะ

“ได้ๆ มึงติดแน่มิลค์ กูมั่นใจ” จียืนซ้อนอยู่ด้านหลัง มือหนาออกแรงนวดตรงหัวไหลทั้ง 2 ข้าง

“ไอ้เหี้ยมาแล้วววววววววววววววววววววววววววว ...” หลังจากที่กด F5 ไปครั้งหล้าสุด ในที่สุดหน้าจอก็ขึ้นให้รอผลการตรวจสอบข้อมูล

“... สาธุๆ ถ้ากูติดนะกูสัญญาจะปล่อยนกปล่อยปลา รักษาศีล 5 ...” ผมประนมมืออยู่หน้าจอ และทันทีที่ icon นาฬิกาทรายหายไป มือหนาก็ยื่นมาปังหน้าจอ ณ ตำแหน่งประกาศผลพอดี

“... มึงทำเหี้ยอะไรเนี่ย!!!” ผมแหง่นหน้ามองเพื่อนสนิท เห็นแต่ปลายคางและตอหนวดรำไร

“กูลุ้น ...” มันพูดพร้อมกับค่อยๆ เลื่อมมือลงต่ำ เผยให้เห็นชื่อนามสุกล และรหัสเข้าสอบของผมปรากฏอยู่บนบรรทัดบนสุด ... มือหนาหยุดชะงัก

“... เอาเลยนะมึง ... 1 ... 2 ... 3” แล้วมือหนาก็เลื่อนออกจากหน้าจอ

“ไอ้จี กูไม่กล้าดู” กลายเป็นผมที่หลับตาปี๊ เอามือปิดหน้า ... ไอ้เหี้ยกูกลัวววววววว

...

...

...

“ไอ้มิลคคคคคคคคคคคคคค์ มึงติดแล้วโว้ยยยยยยยยย!!!” จีตะโกนดังลั่นห้อง

“ฮะ!!! ...” ผมรีบเอามือออกแล้วจ้องหน้าจอตรงหน้าชัดๆ

นายติณสิงห์ สิงหนาฏ รหัส XXXXXXXXXX

อันดับที่ 1 คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย XXX

อันดับที่ 2 คณะXXX XXXX

อันดับที่ 3 คณะXXX XXXX

อันดับที่ 4 คณะXXX XXXX

“... ไอ้เหี้ย!!! กูสอบติดแล้วววววววววววววววววววววววว!!!” ผมกระโดดลุกจากเก้าอี้ โผเข้ากอดเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ ... ในที่สุดความฝันของผมก็เป็นจริง ผมสอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกับจีแล้ว



----------



“มึงแน่ใจเหรอว่าร้านนี้” ผมถามเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ ... พอรู้ผลสอบ วันรุ่งขึ้นเรา 2 คนก็มายืนอยู่หน้าตึกแถวขนาด 2 ห้องที่จีเล่าให้ฟังว่าเป็นร้านขายชุดนิสิตในตำนาน ซื้อตั้งแต่ปี 1 จีบเสื้อยังคมกริบจนถึงปี 4 (แต่บังเอิญว่าผมเรียน 6 ปี)

“ร้านนี้แหละ กูลองมาหลายร้านแล้ว ร้านนี้ดีที่สุด” คนข้างๆ รับประกัน ... จีขึ้นชื่อเรื่องความพิถีพิถัน (เรื่องมาก) ในการสรรหาของคุณภาพดี เพราะฉะนั้นเชื่อผมเถอะ อะไรที่ผ่าน QC ของมันได้ รับรองว่าไม่ธรรมดา ตามสโลแกน ... ‘อะไรดี จีก็ว่าดี’

ภายในร้านแตกต่างจากที่ผมคิดไว้แบบหน้ามือเป็นหลังมือ ในจินตนาการคือข้างในต้องไม่ต่างอะไรกับร้านขายชุดนิสิตที่เราคุ้นเคยของย่านสยามสแควร์ คืออัดแน่นไปด้วยเสื้อ กางเกง ที่มีหลากหลายเนื้อผ้าและสไตล์ แต่ผิดคาด ด้านในมีหุ่นโชว์สวมชุดนิสิตตั้งอยู่ไม่กี่ตัว

“วันนี้มีอะไรให้หนูช่วยบ้างคะ” พนักงานวัยรุ่นเดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“อยากมาดูชุดครับ” จีตอมคำถามของเธอด้วยรอยยิ้ม

“ได้เลยคะ หมูขออธิบายก่อนนะคะ ผ้าของทางร้านจะมีแบบเดียว เป็นผ้าชนิดพิเศษเฉพาะของร้านเราเท่านั้น แบบของเสื้อและกางเกงจะมีเฉพาะแบบที่ถูกต้องตามระเบียบของมหาวิทยาลัยนะคะ”

“ได้ครับ งั้นขอลองเสื้อไซต์ M แขนสั้น แขนยาว กางเกงเอว 30 สีกรมครับ” ผมบอกพนักงานถึงชุดที่ต้องการจะลอง แบบเสื้อน้อยก็ง่ายดีครับ ไม่ต้องเลือกมากให้เสียเวลา

“ขอกางเกงวันปฐมนิเทศด้วยนะครับ” คนที่อยู่ข้างๆ บอกน้องพนักงาน ... เออใช่ ผมลืมชุดปฐมนิเทศไปซะสนิทเลย ... น้องพนักงานพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปยังหลังร้าน ไม่นานก็กลับมาพร้อมเสื้อและกางเกงหลายชุด

“ห้องลองอยู่ด้านหลังนะคะ” เป็นจีที่รับชุดทั้งหมดมาแทนผม ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินนำไปยังห้องลองชุด

“เอามาให้กูก็ได้ เดียวกูเข้าไปลอง ...” ผมบอกแต่แทนที่จะส่งชุดให้ มันกลับพลักผมเข้าไปในห้องลองชุดแล้วเดินตามเข้ามา

“... มึงทำเหี้ยอะไรเนี่ย” ผมโวยวายเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อครู่เกือบสะดุดล้มหน้าคว่ำกับพื้น

“ก็มาเป็นเพื่อนมึงไง มึงลองคนเดียวสุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาแขนสั้นแขนยาว...”

“... ไซต์ M ใส่สวยไหม กางเกงฟิตไปหรือเปล่า กูเข้ามาดูด้วยนี้แหละจะได้จบๆ ไป ถ้าจะลอง size อื่นเดี๋ยวกูเดินออกไปบอกพนักงานให้ จะได้ไม่เสียเวลา ...” มันพูดพลางยักคิ้วข้างเดียว

“... ถ้าคิดคำเถียงไม่ออกก็เปลี่ยนชุด กูหิวแล้วเนี่ย” มันพูดพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก

“เออ!!!” ผมกระแทกเสียงใส่ ... หงุดหงิดโว้ยยยยยยย เถียงไม่ออก

ผมลองชุดนั้น ใส่ชุดนี้ เสื้อ size M ไม่มั่นใจ ลองมันทั้ง L และ S ... L ก็ดูจะโคร่งไป S จะพอดีตัวเกินไปหรือเปล่านะ ... กางเกงไซต์ 30 ดูย้วยๆ ไหมวะ ทำไมกางเกงปฐมนิเทศถึงได้ดูแก่ขนาดนี้เนี่ย เปลี่ยนเป็นไซต์ 29 จะสวยกว่าไหม ... ผมลอง ลอง ลอง แล้วก็ลอง ลองในห้องไม่พอ ใส่ออกมาลองกับกระจกบานใหญ่นอกห้องอีก ... ใส่เข้า ถอดออก ส่วนจีก็เดินเข้าๆ ออกๆ ห้องลองชุด

“พอแล้วไอ้มิลค์ มึงลองอีกรอบพนักงานได้กระโดดงับหัวกูพอดี” จียกมือขึ้นทำท่าปรางห้ามญาติทันทีที่ผมหันกลับมาหามันเพื่อจะขอให้เจ้าตัวเดินไปเอากางเกงมาลองเพิ่ม

“แต่กูไม่แน่ใจว่าจะเลือก size ไหนดี” ผมพูดพลางเดินตามจากออกจากห้องลอง

“เอาชุดอะไรบ้างคะ” พนักงานคนเดิมถาม เมื่อเห็นเรา 2 คนเดินออกมาจากห้องลองชุด

“เอา” ทำไงดี ผมยังตัดสินใจไม่ได้เลย

“เอา เสื้อไซต์ M แขนสั้น 3, แขนยาว 2, กางเกงไซต์ 30 สีกรมมีจีบ 3 กางเกงปฐมนิเทศ 1 ครับ ... ตามนั้นแหละครับ” ในขณะที่ผมกำลังลังเล จีก็ order ชุดให้เสร็จสรรพ น้องพนักงานตรงหน้าอมยิ้มก่อนจะเดินหายไปหลังร้าน

“จะดีเหรอ”

“เชื่อกูว่าดี ... เสื้อไซต์ M ดีแล้ว L ใหญ่ไป S ก็เล็กไป อย่าลืมว่ามึงต้องใส่นั่งเรียนทั้งวัน จะได้ไม่อึดอัด มึงใส่แขนยาวแล้วพับแขนดูดีกว่าแขนสั้น แต่อากาศมันร้อนจะได้ใส่สลับๆ กัน มีแขนยาวติดไว้ใส่กับชุดปฐมนิเทศ หรือวันที่อยากแต่งตัวก็พอ ...”

“... กางเกงไซต์ 30 กำลังพอดีเวลามึงนั่งแล้วมันไม่รั้ง เวลานั่งเรียนนานๆ จะได้ไม่อึดอัด ซื้อ 3 ตัวก็พอแล้วขึ้นปี 2 มึงก็เปลี่ยนมาใส่สีดำไม่มีจีบอยู่ดี ... จบไหม” มันถาม

“เออจบ!!!” ร่ายยาวพร้อมยกเหตผลประกอบมาขนาดนี้ผมจะไปเถียงอะไรได้

“อ่อออออ กูเตือนมึงไว้อย่าง วันไหนที่ต้องใส่กางเกงสีขาว ถ้าไม่อยากเป็น ‘หวานเย็น’ ให้ใส่กางเกงในสีอ่อน”

“อะไรคือ ‘หวานเย็น’ วะ กูไม่ get” ผมถามด้วยสีหน้างงงวย สีกางเกงในเกี่ยวอะไรกับขนมหวานวะ ... จีก้าวเท้ามายืนตรงหน้าก่อนจะก้มลงมากระซิบข้างหู

“อย่างเช่นวันนี้ คนเขารู้กันทั้งร้านแล้วมั้งว่ามึงใส่กางเกงในสีเขียว” ผมขมวดคิ้วมองสีหน้าเจ้าเล่ห์ของมัน แล้วก็เข้าใจทันทีว่า ‘หวานเย็น’ หมายถึงอะไร

“ไอ้เหี้ยจี!!! แล้วทำไมมึงไม่เตือนกู” ทันทีที่คิดออก ผมนี่แทบจะกระโดดกัดคอคนตรงหน้า บอกคำเดียวเลยว่าโคตรอาย มิน่าละทำไมตอนใส่ชุดพิธีการออกไปลองข้างนอกถึงได้รู้สึกว่ามีแต่คนมอง



...



หลังจากรู้ว่าผมสอบเข้ามหาลัยเดียวกับพวกมันได้ ไอซ์ก็ไม่รอช้าจัด event ยิ่งใหญ่แห่งปีเพื่อเลี้ยงฉลองให้ผม ... พวกเราจัด trip มาพักคอนโดของมันที่หัวหินอีกรอบ ปิดเทอมครั้งนี้พวกเรามาที่นี่กันรอบหนึ่งแล้วหลังจากผมสอบ ent เสร็จ พอรู้ผลพวกมันก็ชวนกันมาเป็นรอบที่ 2

"กูดีใจนะเว้ย ที่ในที่สุดพวกเราได้อยู่มหาลัยเดียวกัน..." ไอ้โจพูดพร้อมรอยยิ้ม

"... อยู่กับใครก็ไม่สบายใจเท่าอยู่กับพวกมึง" พวกเราต่างก็อมยิ้ม เพราะการแยกย้ายไปอยู่คนละคณะทำให้พวกเรารู้ว่าช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้กันนั้นมีค่าแค่ไหน แม้แต่จีกับอาร์มที่อยู่คณะเดียวกัน แต่ก็เรียนคนละสาขา คณะวิศวะอันกว้างใหญ่ไพศาล ทำให้มัน 2 คนแทบจะบังเอิญเจอกันนับครั้งได้

"กูก็คิดถึงพวกมึง" ผมพูดพลางยกแก้วของดื่มมึนเมาตรงหน้าขึ้นมาจิบ ... ช่วงแรกที่ย้ายไปนอนหอ ปัญหาใหญ่อันดับต้นๆ ของผมคืออาการ home sick ผมไล่โทรหาพวกมันทุกคน เพราะเหงาจนแทบอยู่คนเดียวไม่ไหว

"แน่ใจว่าคิดถึงแต่พวกกู" ไอ้โจหรี่ตามอง

"อะไรของมึง" ทำหน้าแบบนี้คงกำลังหาเรื่องแซวผมอยู่แน่ ๆ

"แหมมมมมม ปากบอกเหงา ได้ข่าวว่าพี่ห้องตรงข้ามนี้เช้าถึงเย็นถึง ..."

"... สงสัยถ้าไอ้จีไม่ไปลากมึงกลับมา ตอนนี้มึงคงมีผัวจนลืมเพื่อนไปแล้วมั้ง"

"จีมึงเล่าเรื่องพี่กายให้พวกมันฟังเหรอ" ผมหันไปถามคนๆเดียวที่รู้เรื่องของพี่กาย

"ก็พวกมันเป็นห่วง" จีตอบผมด้วนน้ำเสียงราบเรียบ พลางยกแล้วเหล้าขึ้นมาจิบ

"ปิดเงียบบบบบบบบบ ... มึงคิดเหรอว่าจะปิดพวกกูได้" พูดจบมันก็ยื่นมือมาพลักหัวผมแทบคว่ำ

"แซวแต่กู ... พวกมึงยังมีแฟนกันได้ทุกคน ..." ใช่ครับตอนนี้พวกมันมีแฟนกันทุกคน ยกเว้นผมกับจี

"... ยกเว้นมึง ... ห้ามมี!!! โสดเป็นเพื่อนกูก่อน" ผมหันไปหาเพื่อนสนิท มันไม่ตอบแต่แค่อมยิ้ม แล้วยกแก้วในมือขึ้นมาจิบ ... พวกมันที่เหลือมีแฟนกันหมด ไม่น่าเชื่อว่าขนาดคนบ้าๆ บออย่างไอ้อาร์มกับไอ้โจยังมีแฟนได้ ... แล้วดูผมซิ แห้งสนิท ... พอๆ กันกับไอ้เพื่อนหน้าตี๋ที่นั่งอยู่ข้างๆ

"มึงแน่ใจว่ามันโสด" ไอ้ไอซ์พูดขึ้น มันมองหน้าจีแล้วก็เลื่อนสายตามาที่ผม

"มึงมีแฟน ?" ผมหันไปถามจี

"ยัง มึงก็ไปฟังไอ้ไอซ์มัน" เจ้าตัวตอบปฏิเสธ

"โสด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคนมาจีบ"

"มีคนมาจีบมึงเหรอ" ผมหันไปหันมาสลับระหว่างไอ้ไอซ์กับจี

"แหมมมมมมม ไอ้มิลค์ พูดจาไม่ให้เกียรติหนังหน้าเพื่อนมึงเลย ... กูจะบอกอะไรให้ เห็นเงียบๆ แบบนี้ คนมาจีบเพียบนะคร้าบบบบบบบ" ที่ไอ้อาร์มแซวก็ถูก ผมเหล่มองเพื่อนสนิทที่อยู่ข้างตัว

"แต่มันเรื่องมากไง ใครเข้ามาจีบก็ไม่สน ระวังเถอะมึง เรื่องเยอะนักจะอยู่บนคานแบบไอ้มิลค์" ไอซ์พูด

"อ้าวไอ้เหี้ย เกี่ยวอะไรกับกู"

"ไอ้มิลค์ กูอยากรู้ ..." ไอ้อาร์มเขยิบตัวมาใกล้ๆ ทำหน้าสงสัยเสียเต็มประดา

"... มึงกับพี่กายได้กันยังวะ"

"ไอ้เหี้ย!!! มึงถามเหี้ยอะไรเนี่ย" ผมโวย

"ไอ้มิลค์ มึงมีพิรุธ ... ตอบมา" ผมมองไปรอบๆ ทำไมพวกมันมองมาที่ผมเป็นสายตาเดียวกัน

"ยัง" ผมตอบไอ้อาร์ม

"จริงดิ ? "

"จริงซิวะ มือยังไม่เคยได้จับเลยด้วยซ้ำ"

"หวงตัวขนาดนั้น" ไอ้นี่ได้ที สัมภาษณ์ผมไม่เลิก

"กูไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะไอ้เหี้ย!!!" ผมทำเสียงดังกลบเกลื่อน วกออกจากเรื่องของกูเถอะ ... ขอร้อง

"แล้วทำไมกับไอ้บอนมึงไวไฟจังวะ" แทนที่จะรอดตัว ผมกลับโดนขุดลึกลงไปเรื่อย ๆ

"สถานะการณ์มันพาไป" ผมตอบพลางหลุบตาลงต่ำ

"ยังไงวะ"

"มึงก็อย่าไปซักมันมาก ... มิลค์ มึงมาดวลเหล้ากับกูดีกว่า" ไอซ์ยกยิ้มมุมปากเมื่ออยู่ๆจีก็เบรคไอ้อาร์มหน้าคะมำ ทั้งที่เพิ่งจะเริ่มรายการเจาะใจไอ้มิลค์

ยังดีที่อามร์มันเข้าใจเจตนาแฝงของจี ถึงได้หยุดถามแล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องสัพเพเหระ ... ส่วนผมตอนนี้ก็ได้แต่มองขวดเหล้าและขวด mixer ตรงหน้าที่จีไปขนออกมาจากตู้เย็น

"พลัดกันชงคนละแก้ว จะใส่เหล้าหรือ mixer เท่าไหร่ก็ได้ ... ใครเมาก่อนแพ้" ผมพยักหน้า

"คนชนะได้อะไร"

"ไม่รู้ ... มึงชนะให้ได้ก่อนแล้งค่อยว่ากัน"

"อ้าวไอ้เหี้ย พูดแบบนี้มาเลยดีกว่า" โดนดูถูกแบบนี้มีเหรอที่ผมจะยอม ego ในตัวมันเร้าร้อนไปหมด

"แก้วแรกกูให้มึงชงให้ก่อน..." จีพูดพลางยื่นแก้วมาตรงหน้า

".... กูขอ mixer เป็นโซดานะ" ผมจัดให้ตามที่เจ้าตัว request ... ใส่น้ำแข็ง เทเหล้าลงไปเยอะๆ ... แบบนั้นแหละ 555 แล้วตามด้วยโซดาเล็กน้อย ... มึงตายแน่ไอ้จี

ชงเสร็จผมก็ส่งแก้วให้คนตรงหน้า ในใจนี่ยิ้มกรุ่มกริม คืนนี้กูต้องมอมมึงให้ได้ ... มันยื่นมือมารับ สายตาคมจ้องหน้าผม ผมฉีกยิ้มกว้าง ก่อนที่มันจะยกแก้วตรงหน้าขึ้นดื่ม

"อ่าาาาาา ทีกูบ้างละ" ผมกระพริบตาปริบๆ มองคนตรงหน้าตาค้าง มันดื่มหมดแก้วโดยไม่มีท่าทางอิดออด ... มองน้ำเมาสีทองค่อยถูกรินลงลงแก้ว จีมองหน้าผม ก่อนที่มุมปากจะยกยิ้ม

"โค้กละกัน จะได้กินง่ายหน่อย" ผมพยักหน้ารับ ... ความจริงคือผมกินของพวกนี้ไม่เก่งเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้เวลาเพื่อนๆ ที่มหาลัยเก่าตั้งวง ผมมักจะบ่ายเบี่ยงเสมอ

ผมรับแก้วมาจากมือของเพื่อนสนิท แม้ลังเลที่จะดื่มแต่ก็ต้อง keep cool เข้าไว้ ได้กลิ่นแอลกอฮอร์ลอยขึ้นมาจากแก้วจางๆ ริมฝีปากบางสวยจรดลงลบแก้วเนื้อใส สัมผัสแรกคือ รสหวานนำก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงรสขมติดปลายลิ้น ... อร่อย

"ชอบละซิ" คนตรงหน้าเอ่ยถาม เมื่อเห็นผมทำสีหน้ากรุ่มกริ่ม

จากนั้นเรา 2 คนก็ผลักกันชงเหล้าให้อีกฝ่าย ไม่นานผมก็รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า หัวใจเริ่มเต้นแรง ในขณะที่คนตรงหน้ายังดูไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก ใบหน้าสวยเริ่มขึ้นสีแดงจางๆ ดวงตาที่ปกติมักจะมีเสน่ห์อยู่แล้วตอนนี้กลับหวานเยิ้มเป็นประกาย จีมองเพื่อนสนิทตรงหน้าที่กำลังส่งยิ้มหวานมาให้

"มันเมาแล้ว?" เสียงของไอซ์ดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดิมอ้อมมามองหน้ามิลค์ มันเมาจนแทบจะตั้งตัวให้ตรงไม่ได้ นั่งโยกไปเยกมาไม่ต่างกับตุ๊กตาล้มลุก

"ใครบอกกูเมา .... จี กินอีก ชงมาให้มิลค์อีก ... มิลค์จะกินอีกกกกก" คนเมาเถียงด้วยน้ำเสียงอ้อแอ่ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง จนทำให้เพื่อนสนิททั้ง 2 คน หน้าตึงไปพร้อมๆ กัน

"สภาพแบบนี้ มึงคงไม่มีวันปล่อยให้มันไปเมาที่ไหนแน่ ๆ" ไอซ์พูดขึ้นพลางใช้ศอกสะกิดจี

"ฮึ อย่าได้หวังจะไปเมาให้ใครเห็นเลยมึง" มือทั้ง 2 ข้างชงเหล้าอย่างชำนาญก่อนจะส่งให้เพื่อนสนิท

"มึงยังจะชงให้มันอีกเหรอ" ไอซ์ทัก

"ให้มันกินไป มันจะได้รู้ว่า limit มันอยู่ตรงไหน"

"เท่าที่เห็นนี่คือ 4 แก้วก็เมาแล้วไหมวะ"

"3 นิดๆ" ดวงตาชั้นเดียว มองคนตรงหน้าอย่างเอ็ดดู

"คออ่อนสัส ... มันเอาความมั่นใจมาจากไหนวะว่าจะมอมมึงได้" ไอซ์พูดน้ำเสียงเจอปนความขบขัน

แก้วน้ำเมาแก้วแล้วแก้วเหล่าถูกส่งให้มิลค์ ในขณะที่นั่งดื่มเป็นเพื่อน คนตาชั้นเดียวอดพินิจพิจารณาเพื่อนสนิทตรงหน้าไม่ได้ เพราะที่ผ่านมามิลค์มีปัญหาเรื่องการปรับตัว เลยทำให้เจ้าตัวไม่ค่อยมีสังคมกับเพื่อนมหาลัยเดิมเท่าไหร่นัก ไม่อยากคิดเลยว่าพอกลับมาในสังคมของตัวเองแล้ว คนตรงหน้าจะโดดเด่นมากแค่ไหน ... มันเปลี่ยนไปจากสมัยก่อนราวกับเป็นอีกคน โครงหน้าที่เคยจิ้มลิ้ม ตอนนี้กลับมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เครื่องหน้าของมันสวย ปากนิด จมูกหน่อย ผิวเนียนละเอียด มือนุ่มไม่ต่างจากหมอนในโรงแรมชั้นดี ตามประสาลูกคุณหนูที่แทบจะไม่เคยหยิบจับอะไรเอง ... มันแต่งตัวเก่งขึ้น ต้องยอมรับว่ารสนิยมการแต่งตัวของมิลค์ดีขึ้นจากเดิมมาก โดยเฉพาะ sense การเลือกเครื่องประดับ สร้อยข้อมือและแหวนสีเงินที่สวมอยู่ทั้งนิ้วมือทั้งซ้ายขวาช่วยขับให้ look ของมันดูสูงเกินเอื้อมขึ้นไปอีก ... profile ของมิลค์ แน่นอนว่าไม่ธรรมดา มันเป็นลูกคนเดียว ที่บ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องรวยขนาดไหน ขับ BMW series 6 ตั้งแต่เข้าปี 1 คอนโดที่มันอยู่ช่วงมัธยมไม่ใช้ห้องขนาด 30 หรือ 75 กว่าตารางเมตรที่เห็นได้ทั่วไป แต่คือ penthouse ขนาด 300 กว่าตารางเมตรใจกลางเมือง ไหนจะบ้านหรู ใหญ่โตราวกับวังที่มีแค่แม่บ้านอยู่กับหมาชิวาว่า 2 ตัว ... แค่นี้ก็รับรองว่าได้แล้วว่าพอเปิดเทอมมันจะกลายเป็นจุดสนใจมากแค่ไหน

“จีกูไม่ไหวแล้วววววววววววว ... เวียนหัว” ความคิดฟุ้งซ่าน ถูกดึงกลับมาด้วยเสียงอ้อแอของคนตรงหน้า ใบหน้าของมันย้อมไปด้วยสีแดง ดวงตาหวานเยิ้มมมมมม และนั้นยิ่งเพิ่มเสน่ห์ดึงดูดอีกเป็นเท่าตัว

“งั้นไปนอนไหม” ดูเหมือนเท่านี้น่าจะพอให้มันรู้ว่า limit ของตัวเองคือเท่าไหร่ พอพรุ่งนี้มันตื่นมาพร้อมกับอาการ hang ผสมกับคำพูด psycho ของเขาอีกนิดหน่อย รับรองว่าคนอย่างไอ้มิลค์จะไม่มีวันปล่อยให้ตัวเองเมาต่อหน้าคนอื่นแน่นอน

“ปายยยยยยยยยย” เจ้าตัวพยายามลุกแต่เพราะเกือบจะล้มหน้าคะมำ จีเลยต้องเข้าไปช่วยพยุง

“มันไม่ไหวแล้ว ?” ไอซ์ที่เดินผ่านมาพอดีถาม

“อืม เดียวกูพามันไปนอนแล้ว”

“น่าสมเพศฉิบหาย ...” ไอซ์ยกยิ้มมุมปากให้กับสภาพของเพื่อนสนิทตัวเล็กที่ไหลไปไหลมาในออมแขนของจี

“... เมาแล้วโคตรเรื้อน ... แต่ก็น่ารักดีนะ ...” ทันทีที่ได้ยิน ‘waring word’ คนตาชั้นเดียวตวัดสายตามองแรงเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“... หวงเกินเบอร์ไปมาก ... มึงก็รู้ ถ้ากูจะเอา รับรองได้ว่าต่อให้คบกับไอ้บอนอยู่ กูก็แย้งมาได้ ...” จีหน้าตึงยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินที่ไอซ์พูด เพราะเจ้าตัวก็เคยสงสัยว่าไอซ์จะแอบคิดอะไรเกินเลยกับเพื่อนสนิทของตัวเองหรือเปล่า มันเป็นคนเจ้าชู้และนั่นเป็นสาเหตที่ไอซ์ไม่ชอบหน้าไอ้บอน มันเคยบอกว่าแค่เห็นครั้งแรกก็รู้เลยว่าสุดท้ายไอ้บอนต้องทำให้มิลค์เสียใจ

“... เอามันไปนอนไป ... แล้วมึง 2 คนอย่างทำเลอะเทอะนะ” ยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไอซ์

“สันตีน” พูดจบจีก็พยุงพามิลค์เข้าห้องนอน

อ๊อก อ๊อกกก เสียงแปลกดังขึ้นจากคนตัวเล็ก ทันทีที่ประมวลผลได้ว่าเกิดอะไรขึ้นร่างสูงก็แทบจะอุ้มคนตัวเล็กกว่าเข้ามาให้ห้องน้ำ

อ้วกกก … อ้วกกกกกกกกกกกกกก...

คนตัวเล็กแทบจะเอาหัวคว่ำมุดลงในโถชักโครก ถ้าไม่ได้จีคอยประคองไว้ มือหนาลูปหลังเพื่อนสนิทอย่างทะนุถนอม

...อ้วกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก...

สภาพไอ้มิลค์ที่แทบจะนอนกอดคอห่านเป็นภาพที่ไม่น่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ถ้าไม่ติดว่ากลัวมันจะเอาหัวมุดลงโถส้วมจริงๆ จีก็อยากจะวิ่งไปเอากล้องมาถ่ายรูปเก็บไว้

“อืมมมมมม” อ้วกเสร็จไอ้ตัวดีก็เริ่มงอแง

“หมดแล้วใช่ไหม ... จะอ้วกอีกหรือเปล่า ...” คนตัวเล็กได้แต่ส่ายหัวไปมา

“... บ้วนปากก่อน” จีพูดพลางพยุงเพื่อนสนิทขึ้นมาหน้าอ่างล้างมือ มิลค์แทบจะทรงตัวไม่อยู่ เขาเลยต้องโอบเอวเพื่อประคองเอาไว้จากด้านหลัง ... ตาชั้นเดียวมองค้างที่กระจกเงาบานใหญ่ตรงหน้า มิลค์ที่ตัวอ่อนตัวพับกำลังบ้วนปากอย่างทุลักทุเล โดยมีจีโอบเอวบางยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง และในจังหวะที่มิลค์เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของจีบังเอิญสบกับสายตาหวานเยิ้มของมิลค์ ทั้งคู่จ้องตากันผ่านบานกระจก ก่อนที่ท่อนแขนแกร่งจะกระชับเอวบางของเพื่อนสนิทเข้าหาตัวอย่างไม่อาจหักห้ามใจ


----------


มิลค์ : You can want me. You can even dream of me จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือ But unless I choose you — you don’t touch

#มือยังไม่เคยได้จับ #กอดไหล #โอบเอว
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 14
« ตอบ #49 เมื่อ: 06-07-2025 11:40:35 »





ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ้วกกก … อ้วกกกกกกกกกกกกกก...

คนตัวเล็กแทบจะเอาหัวคว่ำมุดลงในโถชักโครก ถ้าไม่ได้จีคอยประคองไว้ มือหนาลูปหลังเพื่อนสนิทอย่างทะนุถนอม
 
...อ้วกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก...

สภาพไอ้มิลค์ที่แทบจะนอนกอดคอห่านเป็นภาพที่ไม่น่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ถ้าไม่ติดว่ากลัวมันจะเอาหัวมุดลงโถส้วมจริงๆ จีก็อยากจะวิ่งไปเอากล้องมาถ่ายรูปเก็บไว้


----------


มิลค์ : หมดกันภาพลักษณ์ที่สร้างมา จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีคอห่านเป็นเพื่อนรัก

#เมา #คอห่านเพื่อนรัก
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน


ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ในจังหวะที่มิลค์เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของจีบังเอิญสบกับสายตาหวานเยิ้มของมิลค์ ทั้งคู่จ้องตากันผ่านบานกระจก ก่อนที่ท่อนแขนแกร่งจะกระชับเอวบางของเพื่อนสนิทเข้าหาตัวอย่างไม่อาจหักห้ามใจ


----------

มิลค์ :  กับคนบางคน ยืนนิ่งให้เขาโอบเอวเฉย จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือเมาไม่รู้เรื่อง

#เพื่อนสนิทครับ #โอบเอว #จ้องตา
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“ไอ้จี ออกไปเลย กูร้อน” ผมโวยเพราะนอกจากจะเหนื่อยใจเรื่องอาหารแล้ว อากาศตอนเที่ยงก็ร้อนจนแทบระเหิดกลายเป็นไอ

“หงุดหงิดจังวะ” มันมองหน้าผม ก่อนสายตาจะไล่ลงมายังกล่องอาหารที่อยู่ในมือ ... แล้วมันเขยิบออกไปนั่งกินของตัวเอง ... บทสนทนาของคนรอบตัวยังดังต่อเนื่อง ... เชี่ย!!! รสชาดแดกไม่ได้เลย ... ผมกินไปได้ไม่ถึงครึ่ง ก็ตัดสินใจยอมแพ้

“เดียวกูลุกออกไป แล้วซักพักมึงตามกูไปนะ” มันกระซิบเบาๆ ข้างหู ก่อนจะลุกเดินออกไป... ผมรอ ประมาณ 5 นาทีก่อน แล้วค่อยลุกเดินตามหลังมันไป

“ให้กูตามมาทำไมวะ” พอเดินเลี้ยวมาหลังพุ่มไม้ ก็เจอเพื่อนสนิทยืนกอดอกรออยู่

“จะพาไปโรงอาหาร”

“จริงดิ!!! แถวนี้มีโรงอาหารด้วยเหรอ” ดวงตาของผมเป็นประกายวาววับทันทีที่ได้ยินว่าจีจะพาไปโรงอาหาร รอดตายแล้วโว้ยยยยยย


----------


มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์ครับ  จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคืออากาศร้อนราวกับซ้อมตกนรก ถ้าได้ไอติมซักแท่งก็ดี

#อากาศร้อน #ใจร้อน #อารมณ์ร้อน
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 15
«ตอบ #53 เมื่อ11-07-2025 21:18:05 »

#สุขสันต์วันหยุดยาวครับ
#มาช้าแต่มานะ  :laugh:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด