ตอนที่ 13 : คืนปลอบใจ
“พรุ่งนี้นายมีเรียนกี่โมง” พี่กายถามในขณะที่เรา 2 คนกำลังเดินกลับมาจากตลาดนัดหน้าปากซอย
“10 โมงครับ ... กะกว่าคืนนี้จะนอนหลับยาว”
“ถ้าพรุ่งนี้ไม่ต้องรีบตื่น คืนนี้สนใจมาดื่มกับพวกพี่ไหม”
“อย่าเลยดีกว่าครับ พวกพี่จะได้เต็มที่กัน” ผมตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
กลุ่มเพื่อนพี่กายตั้งวงกันบ่อย ผมว่าสัปดาห์หนึ่งไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง ผมรู้เพราะเวลาพวกพี่เขาตั้งวงทีไร เสียงจะดังข้ามมาห้องผมทุกที พี่กายชวนผมไปร่วมวงหลายครั้ง แต่ผมก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด ... อย่างที่จีสงสัย ผมว่าพี่กายกำลังเลียบๆ เคียงๆ ลองเชิงผม ถ้าผมแสดงออกว่าสนใจ พี่เขาก็คงเดินหน้าจีบผมเต็มตัว ... แต่ปัญหามันอยู่ที่ผม ผมยังไม่พร้อม และยังมีความสุขมากกว่ากับการอยู่คนเดียว
“นายชอบกินน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เหรอ” พี่กายถามพลางเหลือบมองถุงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ 3 ชิ้นในมือของผม
“ไม่ได้ชอบขนาดนั้น แต่มันง่ายดีครับ” จริงๆ แล้วผมชอบ American breakfast ที่สุด แต่ผมทำอาหารไม่เป็น เลยได้กินแค่เฉพาะตอนกลับบ้าน ช่วงมัธยมผมมักจะนอนค้างที่คอนโดมากกว่า มื้อเช้าเลยหนีไม่พ้น bakery กับนม เพราะง่ายและสะดวกกว่า แต่แถวนี้ไม่มีร้าน bakery เลยซักร้าน น้ำเต้าหูกับปาท่องโก๋เลยเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“แล้วทำไมต้องปาท่องโก๋ 3 ตัว พี่สังเกตมาหลายครั้งแล้ว”
“3 ตัวกำลังพอดีครับ” เพราะ 2 ตัวก็น้อยไป ในขณะที่ 4 ตัวก็มากเกินไป
“ถึงพอดี ... ถ้าเปลี่ยนใจก็แวะมาดื่มกับพี่ได้นะ” แม้กระทั้งจังหวะสุดท้ายพี่กายก็ยังไม่วายจะชวนผมไปดื่มด้วยให้ได้ ... ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปนอกจากส่งยิ้ม แล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายเข้าห้องของตัวเอง
ถุงอาหารเช้าถูกวางไว้บนโต๊ะทำงาน ผมเปิด notebook เข้า MSN เหมือนที่ทำเป็นประจำ วันนี้มีแค่ผมคนเดียวที่ on รอประมาณ 30 นาที พอเห็นว่าไม่ใครเข้ามา ผมเลยลุกไปอาบน้ำ ไม่ใชเรื่องแปลกอะไร เพราะตอนนี้ทุกคนต่างก็แยกย้ายไปมีสังคมของตัวเอง สมัยมัธยม on MSN เมื่อไหร่ก็เจอพวกมัน แต่ตอนนี้ถ้าไม่นัดกันก่อน ก็ต้องบังเอิญจริงๆ ถึงจะ on พร้อมกัน ... โลกของพวกเราใหญ่ขึ้น และไม่ได้ซ้อนทับกันเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วถึงได้สังเกตเห็นว่ามี missed call จากไอซ์ 3 สาย
“ว่าไงมึง”
“มิลค์มึงอยู่ไหนเนี่ย กูโทรหามึงตั้งหลายรอบกว่าจะโทรกลับมา”
“อยู่หอ เพิ่งอาบน้ำเสร็จ โทษที มีไรๆ”
“มึงรู้เรื่องไอ้จีเปล่าเนี่ย”
“ฮึ ไม่รู้อะ ไม่ได้คุยกับมันมาหลายวันแล้ว” คิดๆ ดูผมน่าจะไม่ได้คุยกับจีมาเกือบสัปดาห์แล้วมั้ง
“มันเลิกกับน้องฝนแล้ว”
“ฮะ!!! ... มึงแน่ใจ ?” ในวินาทีนั้น ผมแทบจะหยุดหายใจ ... เกิดอะไรขึ้นวะ
“แน่ใจซิวะ สายกูเป็นเพื่อนของเพื่อนน้องฝน ... นี่ขนาดมึงยังไม่รู้ ไอ้เหี้ยจี!!! มีอะไรแม่งไม่เคยจะบอก”
“แล้วมันเป็นไงบ้าง”
“ไม่รู้แม่ง พวกกูเพิ่งรู้เรื่องเมื่อช่วงหัวค่ำ ใครโทรหามันก็ไม่รับ กูเลยโทรหามึงคิดว่ามึงจะรู้”
“เดียวกูไปหามันเอง”
“ตอนนี้เนี่ยนะ?”
“เออ เดียวกูเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” ผมดูนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน ... 2 ทุ่มกว่าเอง ขับออกไปตอนนี้ไม่เกิน 4 ทุ่มน่าจะถึงบ้านจี
“ได้เรื่องยังไง มึง update พวกกูด้วยนะ”
หลังจากวางสาย ผมรีบเปลี่ยนชุด ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะใส่ชุดไหน เปิดตู้ออกมา คว้าอะไรได้ก็ใส่อันนั้น
“มิลค์ นายจะไปไหนดึกๆ ดื่นๆ” เสียงของพี่กายทักขึ้นทันทีที่ผมเปิดประตูห้อง พี่เขาเปิดประตูค้างไว้ และกำลังตั้งวงกับเพื่อนๆ
“ผมจะไปหาเพื่อนนะครับ” ผมตอบพลางใส่แม่กุญแจล๊อคประตูไว้อีกชั้น
“หาเพื่อน? ตอนนี้นะเหรอ” พี่กายลุกออกจากวงเหล้าแล้วเดินมาหาผมที่หน้าประตู
“ครับ ... พี่ ผมรีบ ไว้ค่อยคุยกันนะ” ผมตัดบทเพราะตอนนี้ไม่มีกระจิตกระใจจะสนทนากับใคร ในหัวคิดถึงแต่เรื่องของจี
ระหว่างทางผมโทรหาจีหลายครั้ง แต่มันไม่รับสาย ... ไอ้เหี้ยนี่ ถ้าเจอตัวละก็น่าดู ทำให้คนอื่นเป็นห่วง ... โชคดีที่การจราจรขาเข้าช่วงหัวค่ำไม่ได้ติดขัดมากนัก ไม่นาน BMW coupe สีขาวก็ลงจากทางด่วน ก่อนจะเลี้ยวเข้ามาในหมู่บ้านที่คุ้นเคย ... ผมจอดรถหน้าบ้านเพื่อนสนิท หมู่บ้านของจีเป็น town home กำแพงบ้านเลยเป็นแค่รั้วเตี้ยๆ มองจากด้านนอกผมเห็นแสงไฟจากชั้นล่างยังเปิดอยู่ แสดงว่าป๊ากับม๊าน่าจะยังไม่นอน แม้จะรู้ว่าเสียมารยาทแต่ผมก็กดโทรศัพท์โทรหาม๊า
“ฮาโหล” เสียงผู้หญิงสำเนียงติดจีนนิดๆ ดังขึ้นจากปลายสาย
“สวัสดีครับม๊า นี่มิลค์นะครับ”
“มิลค์เหรอลูก โทรมาดึกๆ ดื่นๆ มีอะไรหรือเปล่า”
“คือมิลค์อยู่หน้าบ้านนะครับ ...” ผมชะงักไปเสี้ยววินาที เพราะเพิ่งนึกได้ว่าไม่มีเหตุผลดีๆมาใช้เป็นข้ออ้างในการโทรหาม๊าตอนเกือบจะ 4 ทุ่ม
“... มิลค์นัดจีไว้แต่โทรหาแล้วเขาไม่รับสาย เลยจะรบกวนม๊าให้คนมาเปิดประตูให้มิลค์ได้ไหมครับ”
“อยู่หน้าบ้านแล้วเหรอ เจ้าจีนิ ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ... เดียวม๊าให้คนไปเปิดให้นะ”
ผมยืนรออยู่ไม่นาน แม่บ้านก็เดินออกมาเปิดประตูให้
“ป๊าม๊าสวัสดีครับ” ผมไหว้ป๊าม้าที่นั่งดูทีวีอยู่ที่ห้องนั่งเล่น
“ขอโทษนะครับที่มารบกวนดึกๆ”
“ไม่เป็นไรๆ กินอะไรมาหรือยัง ผลไม้ไหม” ป๊ายื่นถาดส้มที่วางอยู่ใกล้ๆ มาทางผม
“ไม่เป็นไร มิลค์กินมาแล้ว ... งั้นมิลค์ขอขึ้นไปหาจีหน่อยนะครับ”
“เออๆ ไปเถอะ” ผมค้อมหัวเป็นเชิงขออนุญาต ก่อนจะก้าวยาวๆ ขึ้นไปยังชั้น 3 ของบ้าน
ก๊อกๆๆ นิ้วมือเรียวสวยเคาะลงบนประตูหลายครั้งแต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ ผมเลยถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป ... ในห้องมืดสนิท อุณหภูมิภายในเรียกได้ว่าหนาวสะท้าน เปิดแอร์เย็นขนาดนี้ เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี
“อืมมม ออกไป จะนอน ...” คนบนเตียงพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ... ผมเอื้อมไปเปิดสวิตช์ไฟข้างประตู
“... ออกไป” พอไฟเปิดจีก็พูดเสียงติดรำคาญ พร้อมกับพลีกตัวหนีไปอีกฝั่ง
“กูเอง ...” พอรู้ว่าเป็นผม เจ้าตัวถึงได้พลิกตัวกลับมา
“... จี” เมื่อได้เห็นสีหน้าของเพื่อนสนิทชัดๆ ทุกคำพูดที่เคยคิดไว้ ไม่ว่าจะเป็นคำปลอบโยนหรือด่าทอ ทุกอย่างถูกกลืนหายไปในลำคอ ... มันร้องไห้จนตาบวม น้ำมูกน้ำตาไหลจนไม่เหลือสภาพ ... ผมสงสารคนตรงหน้าจับใจ
“มิลค์ ... มึง”
“กูรู้แล้ว กูมาอยู่เป็นเพื่อนมึงแล้ว” ทันทีที่ผมปีนขึ้นเตียงไปกอด มันก็ร้องไห้โฮออกมา
“มันจบแล้วมิลค์ ทุกอย่างพังหมดแล้ว”
“ชูววววววว์ กูรู้แล้วๆ ไม่ต้องเสียใจ กูอยู่ข้างๆ มึงเสมอ” ผมกระชับอ้อมกอด หวังไว้สุดหัวใจว่ากอดของผมจะช่วยส่งต่อความเข้มแข็งไปให้มันได้บ้าง
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมกอดจีไว้ในอ้อมแขน พอเสียงสะอื้นค่อยๆ จางหายไป ทั้งห้องก็เงียบสนิทจนได้ยินแต่เสียงของเครื่องปรับอากาศที่ยังทำงานต่อเนื่อง
“มึงหิวข้าวไหม ... ตั้งแต่เย็นกินอะไรบ้างยัง” ผมถามในขณะที่ยังกอดมันไว้
“ยังเลย” พอมันเริ่มขยับ ผมก็คลายอ้อมกอด
“ไปหาอะไรกินข้างล่างกันไหม ...” หันไปมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนต๊ะข้างหัวเตียง ใกล้จะ 5 ทุ่มแล้ว
“... ตอนนี้ป๊าม๊าขึ้นนอนหมดแล้ว”
“ก็ดี มึงอยู่ด้วย กูอาจจะมีอารมณ์กินอะไรได้บ้าง”
“งั้นมึงไปล้างหน้าล้างตาก่อน” ผมส่งยิ้มบางให้คนตรงหน้า ใบหน้าหล่อเหล่าของเพื่อนสนิทยังคงหลงเหลือร่องรอยของความโศกเศร้า
“ไหนดูซิ มีอะไรเหลือให้มึงกินบ้าง...” ผมพูดพลางลื้อตู้เย็นขนาดมโหราฬที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ในกลุ่มของพวกเรา บ้านจีขึ้นชื้อว่ามีกับข้าวให้กินตลอด 24 ชั่วโมง เพราะความมือหนักของม๊าที่ไม่เคยทำกับข้าวพอกินแค่มื้อเดียว เพราะฉะนั้นไม่แปลกเลยที่จีมักจะชวนพวกเรามาบ้านเพื่อทำภารกิจพิเศษ ... ล้างตู้เย็น
“... นี่ๆๆ กูเจอพะโล้ เขาบอกพะโล้อร่อยคือพะโล้ค้างคืนนะมึง ...” แม้จะไม่รู้ว่า ‘เขา’ ที่ว่านั้นหมายถึงใครแต่พอพูดจบผมก็ส่งชามพะโล้ให้เจ้าของบ้านที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“... เดียวๆ กูขอหาก่อน ระดับม้าแล้วต้องมีขุมทรัพย์ล้ำค่าซ่อนอยู่แน่นอน ...” ผมพูดติดตลก ได้ยินเสียงจีหลุดขำออกมา
“... เชี่ยยยยยยย กูเจอเมนู signature ... ผัดหมี่!!!” ผัดหมี่สไตล์จีนถือเป็นเมนูเด็ดของม้า เส้นหมีแบบจีนผัดกับหมูสับ เต้าหู้ก้อน และ ต้นหอม ... ผมหันกลับมาด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่พอเห็นเมนูประจำบ้านตัวเอง คนตรงหน้าก็ได้แต่ทำสีหน้าเบื่อหน่ายพร้อมกรอกตาไปมา
จีรับเอาจานผัดหมีไปต่อคิวเข้าไมโครเวฟ ในขณะที่ผมหยิบขวดน้ำเปล่าออกจากตู้เย็น แล้วเดินมานั่งรอที่โต๊ะกินข้าว โต๊ะกินข้าวบ้านจีเป็นโต๊ะไม้สีเข้มทรงกลม ตรงกลางมีจานกระจกหมุนได้ให้อารมณ์เหมือนกินโต๊ะจีน มุมหนึ่งของโต๊ะจะมีถาดพลาสติกสำหรับวางแก้วน้ำที่ยังไม่ได้ใช้ ... ผมหยิบแก้วออกมา 2 ใบ รินน้ำรอเจ้าของบ้าน
ไม่นานเสียงเปิดปิดประตูไม่โครเวฟก็ดังขึ้นพร้อมกับจีที่ยกถาดอาหารเดินออกมาจากครัว เพิ่งสังเกตว่ามันอยู่ในชุดที่โคตรจะสบายๆ กางเกงบอลและเสื้อยืดสีขาวย้วยๆ
“ตกลงกูหิว หรือมึงหิวกันแน่” มันเอ่ยปากแซวทันทีที่ผมเลื่อนจานผัดหมี่มาตรงหน้า
“กูกินเป็นเพื่อนมึงไง” ผมฉีกยิ้มกว้าง แล้วตักผัดหมี่ช้อนใหญ่ใส่จาน
“ใจเย็นไอ้มิลค์ ... นี่มึงไปตายอดตายอยากจากไหนมา” มันขำเมื่อเห็นผมทำหน้าปลื้มปริ่มทันทีที่ตักผัดหมี่เข้าปาก
“มึงสงสารกูเถอะ แถวหอกูไม่มีอะไรอร่อยๆ แบบนี้กินหรอก” ทันทีที่ลิ้นสัมผัสกับเส้นหมี่ผมก็เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ผัดหมี่ของม้ายังอร่อยเหมือนเดิม
“เออๆ อร่อยก็กินเยอะๆ” มันอมยิ้มแล้วก้มหน้าก้มตากินของตัวเอง
“อ่า!!! โคตรอิ่ม” ผมพูดพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ... อิ่มจริงอะไรจริง
“มึงยังอิ่มไม่ได้ ... แดกไอติมเป็นเพื่อนกูก่อน”
“ไม่เอา อิ่มแล้ว” อิ่มจนแทบจะลุกไม่ไหว ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจ จะขอแบ่งใส่ถุงกลับไปกินที่หอด้วย
“รส rum resin นะมึง” ผมหูกระดิกทันทีที่ได้ยินชื่อไอศกรีมรสโปรด
“แล้วไม่บอกก่อนวะ ... กูขอ 2 ลูกเลยนะ” ผมยกมือชู 2 นิ้วพร้อมส่งยิ้มหวานให้คนตรงหน้า ... มันส่ายหัวแบบเอือมระอา จีบอกเสมอว่าผมมีกระเพาะสำหรับของหวานแยกออกมาต่างหาก
“แล้วคืนนี้มึงเอาไง นอนค้างบ้านกูปะ” จีถามในขณะที่เจ้าตัวกำลังล้างจานอย่างขมักเขม่น ส่วนผมก็ยืนเอาสะโพกพิงเคาน์เตอร์ครัว กินแรงมันอยู่ด้านหลัง ... ตอนนี้เที่ยงคืนจะครึ่งแล้ว
“นอนนี้แหละ ขับกลับไปนอนที่คอนโดไม่ไหวแล้ว” ถ้านอนบ้านจีผมน่าจะประหยัดเวลาไปได้เยอะอยู่
“พรุ่งนี้มึงมีเรียนปะ” เสียงน้ำไหล และเสียงจามชามกระทบกันดังเป็น sound effect ระหว่างบทสนทนาของเรา
“มีตอน 10 โมง แล้วมึงละ”
“พรุ่งนี้กูมี lecture ตอน 8 โมงเลยวะ ... แต่มึงจะนอนตื่นสายหน่อยก็ได้นะ เดียวกูบอกป๊าม้าไว้ให้”
“ไม่เป็นไร กูตื่นพร้อมมึง ... จริงๆ กูไปส่งมึงที่มหาลัยก็ได้นะ แล้วค่อยขับกลับไปเปลี่ยนชุดที่หอ น่าจะพอดีๆ กัน”
“มึงไหวเหรอ”
“ไหวดิ พรุ่งนี้บ่ายกูว่าง ค่อยกลับมานอนได้ยาวๆ”
“เอางั้นก็ได้”
“มึงใส่ชุดนี้แล้วเหมือนเด็กเลยวะ” จีที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ มองผมที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงด้วยสายตาล้อเลียน
“ก็ชุดมึงนั้นแหละ ใหญ่ชิบหาย” ผมตอบพลางมองค้อนใส่มัน จะไม่ให้ตลกได้ไง ตัวมันใหญ่กว่าผม พอผมต้องมาใส่เสื้อผ้าของมัน แขนเสื้อแทบจะยาวเลยข้อศอก
“กูว่าตอนรู้จักกันใหม่ๆ กูกับมึงก็ตัวใกล้กันนะ ทำไมตอนนี้มึงตัวเล็กลงวะ” มันยิ้มพลางขยี้ผ้าขนหนูบนหัวตัวเอง
“กูตัวเท่าเดิม มึงตัวใหญ่ขึ้นไง ไอ้เหี้ย ...”
“... รีบเช็ดผม กูง่วงจะตายห่าแล้ว” ผมแยกเขี้ยวใส่ ตีหนึ่งกว่าแล้วยังไม่ได้นอนเลย
“กูอุตส่าห์ให้มึงอาบน้ำก่อน พื้นห้องน้ำจะได้ไม่เปียก ... มึงยังมีหน้ามาบ่นกูอีก” ไอ้เพื่อนเลว พูดซะกูสำนึกผิดไม่ทันเลย
“เออ ไม่พูดแล้วก็ได้” ผมสะบัดหน้าใส่มัน
“เถียงไม่ได้ก็เฉไฉไปเรื่อยนะมึงเนี่ย ...” เกียจมัน รู้ทันผมตลอด
“... ยิ้มแบบนี้คือแถไม่ออกใช่ไหม”
“เสือก” ผมขมุมขมิมปากพูด แต่รับรองเลยว่าเพื่อนสนิทอยากจีอ่านปากผมออกแน่นอน มันทำท่าลอยหน้าลอยตา เช็ดผมไปเรื่อย ไม่สะท้านกับคำด่าของผม
กว่าจีจะเช็ดผม ทาครีมก่อนนอนเสร็จ ผมก็แทบจะนั่งหลับอยู่บนเตียง
“มึงต้องเข้มแข็งนะ” ผมพูดขึ้นท่ามกลางความมืดสนิท
“อืม ... ตอนที่มึงเลิกกับไอ้บอน มันเจ็บแบบนี้ไหมวะ” คำถามของจีทำผมนึกย้อนไปถึงอดีต
“ไม่เลย กูรู้สึกโคตรโล่งด้วยซ้ำ ... เจ็บที่สุดคือครั้งแรกที่รู้ว่ามันมีคนอื่น”
“มึงผ่านมันมาได้ยังไง”
“เพราะมึงไง เพราะมีมึงคอยปลอบ และเพราะกูรู้ ... ไม่ว่ากูจะตัดสินใจยังไง มึงก็อยู่ข้างกูเสมอ” ผมคิดย้อนไปถึงวันที่นั่งร้องไห้ต่อหน้ามันที่ร้าน fast food ... ถ้าคนข้างๆ ไม่ใช้จี ผมคงไม่กล้าแสดงอารมณ์อ่อนไหวออกมาขนาดนั้น
“แต่ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้น”
“ใครบอก ... เราอาจจะไม่ได้เจอกันทุกวันเหมือนเดิม แต่กูอยู่ข้างมึงเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม”
“ไอ้จีตื่น ตื่นนนนน มึงไปอาบน้ำเลย” ผมยื่นมืออกมาจากนอกผ้าห่มเพื่อเขย่าตัวคนที่นอนหลับอยู่ข้างๆ
“อืมมมมมมม ... มึงอะตื่น ไปอาบน้ำก่อนเลย ห้องน้ำจะได้ไม่เปียก” พอได้ยินข้ออ้างของเพื่อนสนิทที่นอนหลับตาอยู่ข้างๆ ผมเลยต้องขึ้นไปเข้าห้องน้ำเป็นคนแรก … จะมองโลกในแง่ดีให้ก็ได้ ว่าที่ให้ไปอาบน้ำก่อนคือเสียสละ
โคตรง่วง ไม่รู้เมื่อคืนข่มตานอนได้กี่โมง ผมขอเปลี่ยนใจไม่ไปส่งมันที่มหาลัยแล้วนอนต่อได้ไหม ... กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็สายมากแล้ว สุดท้ายพวกเราเลยต้องหอบหิ้วอาหารเช้ามากินบนรถ
“ไอ้เหี้ยจี เอาใส้ให้กูด้วย ไม่ใช้ให้กูแดกแต่แป้ง” ผมที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย แยกเขี้ยวใส่คนที่นั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ
“อ้าวรู้ตัวด้วยเหรอ” มันขำ เมื่อถูกจับได้ว่าที่ป้อนใส่ปากผมตั้งแต่ขึ้นรถมามีแต่แป้งซาลาเปาทั้งนั้น ส่วนมันก็กินแต่ใส้เน้นๆ ... ต้องของคุณม๊าที่มองการณ์ไกลแล้วเห็นว่าพวกเราต้องตื่นสายแน่ๆ เลยเตรียมข้าวเช้าเป็นซาลาเปาที่ง่ายต่อการกินบนรถ
“ไอ้เลว ... แล้วมือมึงอะ อย่าเช็ดกับเบาะดิวะ เดียวกลิ่นมันติด” ผมพูดพลางส่งซองกระดาษทิชชูให้มัน
“อะๆ แดกเข้าไปจะได้ไม่ต้องบ่น ...” แล้วมันก็ยัดใส้หมูสับทั้งก่อนเข้าปากผม ... ไอ้เพื่อนเหี้ย เดียวกูก็ติดคอตายบนรถพอดี
“... แดกนมถั่วเหลืองด้วยจะได้ไม่ติดคอ” เหมือนจะรู้ทันเพราะยังไม่ทันได้กลืน มันก็เอาหลอดจิ้มเข้ามาปาก ... ไอ้เลว ... ผมว่ามันสนุกนะที่ได้ยั่วโมโหผมตั้งแต่เช้า
“กูจะติดคอตายห่าก็เพราะมึงเนี่ยแหละ ... มองหน้ากูทำไม”
“ขอบตามึงโคตรคล่ำอะ” มันพูดพร้อมกับใช้นิ้วชี้จิ้มมาที่ขอบตาล่างของผม
“ว่าแต่กู มึงก็คล่ำเหมือนกันนั้นแหละ 555” แล้วพวกเราต่างคนก็ต่างหัวเราะกับสภาพของแต่ละคน
“ผมของมึงเริ่มยาวแล้วนะ” จีทักขึ้นมาระหว่างที่รถกำลังค่อยๆ ขยับไปตามถนนเส้นหลักของเมืองหลวง ... เพราะไม่ได้ set เลยทำให้เส้นผมดูยาวกว่าปกติ
“ช่วงนี้ไม่ได้ว่างไปตัดเลย” ร้านตัดผมเจ้าประจำของผมอยู่แถวคอนโด แต่เพราะช่วงนี้ที่มหาลัยยุ่งแต่เรื่องเรียนเลยยังไม่มีเวลาได้ขับกลับมา
“ไม่คุ้นกับมึง ตอนไว้ผมยาว”
“กูหล่อใช่มะ” ผมยักคิ้วพร้อมกับยิ้มมุมปากส่งให้มัน
“เปล่า ...”
“... มึงสวย สวยมาก” มือหนาเอื้อมข้ามที่วางแขนมาเกลี่ยปรอยผมด้านหน้าที่ยาวลงมาเกือบจะถึงคิ้ว ก่อนที่นิ้วมือจะลากไปด้านข้างตามเส้นผมสีดำสลวยแล้วทัดบางส่วนไว้หลังใบหู
“จี ... กู ...”
...
... ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน เหมือนไม่แน่ใจว่าจะพูดออกไปดีไหม
...
“... กูว่าจะ drop ออกมาเตรียมตัว ent ใหม่นะ” มือข้างนั้นหยุดชะงัก ก่อนจะเลื่อนต่ำลงมาวางที่หัวไหล่
“เอาดิ เดียวกูช่วย”
ไม่นาน BMW coupe สีขาวก็เลี้ยงมาจอดอยู่หน้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ เนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ทั้ง 2 ฝากของถนนเลยปกคลุมไปด้วยต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่
“ขอบคุณมึงมากนะเว้ย” จีเอ่ยปากเมื่อผมขับรถมาจอดที่หน้าคณะ
“ไม่เป็นไร แค่นี้เอง”
“มึงขับกลับมหาลัยดีๆ ถึงแล้วโทรมาบอกกูด้วย”
“ได้ ... มึงก็ตั้งเรียน ... แล้วเจอกัน”
“แล้วเจอกัน ... น้องปี 1
----------
มิลค์ : เป็นกำลังใจให้กับการสอบใหม่ด้วยนะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคืออิพี่จีชมว่าสวย

#ผมยาว #ซาลาเปา #นมถั่วเหลือง
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน