Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว  (อ่าน 16176 ครั้ง)

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 26
«ตอบ #120 เมื่อ03-10-2025 22:21:12 »

Teaser ตอนที่ 26

“แกเคยคิดบ้างไหมว่าเวลามันก็เดินเร็วเหมือนกันนะ” แก้วพูดขึ้นในขณะที่เรา 2 คนกำลังเดินเล่นฆ่าเวลาในสยาม

“อะไรของแก”

“ก็คิดดูดิ เผลอแป๊บเดียวอีกไม่กี่เดือนก็จบปี 4 แล้ว แป๊บๆ ก็ผ่านมาเกินครึ่งทางแล้ว”

“อืม ก็จริง” ผมคิดตามที่แก้วพูด เดินมาเกินครึ่งทางแล้วจริงๆ อีกไม่กี่เดือนพวกเราจะเป็นรองพี่ใหญ่ของคณะแล้ว

“แกคิดออกหรือยังว่าจะเรียนต่ออะไร” เพื่อนทุกคนในกลุ่มรู้ว่าผมอยากเรียนต่อ

“เราว่าเราอยากเรียนเกี่ยวกับฮอร์โมน”

“ฮอร์โมนเนี่ยนะ ไม่เห็นจะเท่ห์” ผมคิดอยู่มนใจว่าแล้วใครเขาเลือกเรียนต่อเพราะความเท่ห์กัน

“แล้วเป็นหมออะไรถึงจะเท่ห์”

“หมอศัลย์ไง ไม่ก็หมอ neuro”

“ไม่เอาวะไม่ชอบศัลย์ neuro ก็ยากเกิน”


----------

มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคืออยากเป็นหมอฮอร์โมน

#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier
«ตอบ #121 เมื่อ05-10-2025 10:22:01 »

ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier (Part 1/2)

“แกเคยคิดบ้างไหมว่าเวลามันก็เดินเร็วเหมือนกันนะ” แก้วพูดขึ้นในขณะที่เรา 2 คนกำลังเดินเล่นฆ่าเวลาในสยาม

“อะไรของแก”

“ก็คิดดูดิ เผลอแป๊บเดียวอีกไม่กี่เดือนก็จบปี 4 แล้ว แป๊บๆ ก็ผ่านมาเกินครึ่งทางแล้ว”

“อืม ก็จริง” ผมคิดตามที่แก้วพูด พวกเราเดินมาเกินครึ่งทางแล้วจริงๆ อีกไม่กี่เดือนพวกเราจะเป็นรองพี่ใหญ่ของคณะแล้ว

“แกคิดออกหรือยังว่าจะเรียนต่ออะไร” เพื่อนทุกคนในกลุ่มรู้ว่าผมอยากเรียนต่อ

“เราว่าเราอยากเรียนเกี่ยวกับฮอร์โมน”

“ฮอร์โมนเนี่ยนะ ไม่เห็นจะเท่ห์” ผมขมวดคิ้วและบ่นในใจว่าแล้วใครเขาเลือกเรียนต่อเพราะความเท่ห์กัน

“แล้วเป็นหมออะไรถึงจะเท่ห์”

“หมอศัลย์ไง ไม่ก็หมอ neuro”

“ไม่เอาวะไม่ชอบผ่าตัด neuro ก็ยากเกิน”

“ทำไมแกถึงชอบฮอร์โมนวะ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”

“มีดิ สนุกจะตาย”

“สนุกตรงไหน มีแต่เรื่องยากๆ”

“นั้นแหละที่สนุก ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ก็ต่อยอดไปได้อีกไกล ...”

“... อีกอยากตอนขึ้นฝึกงาน เราชอบบรรยากาศที่หน่วย พี่หมอนิสัยดี ตลก ไม่กินหัว อาจารย์ก็สอนสนุก เรียนไปหัวเราะไป”

“ก็จริง ถ้าเทียบกับแผนกอื่น เราก็ชอบแผนกนี้ที่สุด อาจารย์สอนอย่างกับจะไปเปิดตลกคาเฟ่ ...” แก้วพยักหน้าเห็นด้วยกับผม อาจารย์และ staff มีส่วนมากจริงๆ กับความชอบในตัววิชาของนิสิต

ปี 4 เทอม 2 เป็นปีที่นิสิตจะได้เรียนกับอาจารย์ครบทุกภาควิชา เท่าที่เรียนมาตอนนี้ผมชอบวิชาที่เกี่ยวกับฮอร์โมนมากที่สุด ตอนนี้ปัญหาเดียวคือผมยังไม่เจออาจารย์ที่รู้สึกว่า click กันจนจะขอเป็น advisor ได้

“... มิลค์” อยู่ๆ แก้วที่พูดคุยยิ้มแย้มกับผมมาตลอดทางก็หยุดเดินซะดื้อๆ สีหน้าของมันเปลี่ยนไปจากเดิมจนผมต้องมองตามสายตาคู่นั้น

“จี” เสียงเรียกชื่อคนคุ้นเคยหลุดลอดออกมาอย่างแผ่วเบา เหมือนโลกทั้งใบหยุดนิ่งอยู่กับที่ ... จีนั่งอยู่ในร้านอาหาร โต๊ะริมกระจกบานใหญ่ทำให้ผมเห็นเพื่อนสนิทกับใครอีกคนชัดเต็ม 2 ตา เธอผิวขาว ไว้ผมยาว มองจากด้านข้างแล้วเห็นสันจมูกยกขึ้นชัดเจน ... ในจังหวะที่ผมตั้งสติได้ แล้วกำลังจะเบี่ยงตัวหลบ เจ้าตัวก็หันมาพอดี ... เรา 2 คนสบตากัน ดวงตาชั้นเดียวคู่นั้นเบิกกว้าง ก่อนที่จีจะลุกออกจากร้านอาหารมาด้วยท่าทีร้อนรน

“เรากลับคณะก่อนนะ” แก้วที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ขอปลีกตัวออกไปเพื่อให้ผมกับจีได้คุยกัน

“มิลค์ ...”

“... มิลค์ฟังจีก่อน มันไม่ใช้แบบนั้น มันไม่ใช้แบบที่มิลค์คิด” ผมที่กำลังสมองเบลอ กว่าจะรู้ตัวจีก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า สีหน้าของเจ้าตัวดูไม่ดีเอามากๆ ท่าทางลนลานแบบนี้ สถานการณ์แบบนี้ ความรู้สึกแบบนี้ ยิ่งกระตุ้นให้กลไกการป้องกันตัวเองของผมทำงานโดยอัตโนมัติ

“กูยังไม่ได้คิดอะไรเลย” ผมพยายามตั้งสติ ทำตัวเองให้นิ่งที่สุดในสถานการณ์ตรงหน้า พยายามสุดความสามารถที่จะกลั้นน้ำตา ไม่ได้สนใจว่าน้ำเสียงที่พูดออกไปจะแย่แค่ไหน ขอแค่อย่าร้องไห้ออกมาตอนนี้ก็พอ

“มิลค์ ไม่เอาดิ ไหนว่าเราจะเลิกพูดกูมึงไง”

“กูกลับไปเรียนก่อนนะ” เป็นข้ออ้างที่ตลกมากแต่ผมก็คิดออกแค่นี้จริงๆ

“เดียวจีเดินไปส่ง ... รอตรงนี้แป๊บนึง” พูดจบเจ้าตัวก็เดินจ้ำกลับไปที่ร้าน



คิดเหรอว่าผมจะรออยู่ตรงนั้น รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ตัวเองทิ้งตัวลงบนเตียงของโรงแรมย่านราชประสงค์ ผมไม่ได้กลับคอนโด เพราะรู้ว่าจีต้องไปดักรอที่ห้อง ไม่กลับบ้านเพราะเป็นสถานที่ถัดไปที่จีจะไป หากรู้ว่าผมไม่ได้อยู่ที่คอนโด ผมมาตัวเปล่าๆ ไม่ได้เตรียมของอะไรมาเลยซักอย่าง ออกจากสยามก็ขับตรงมาที่นี้

... ‘G (^.^) v’

Smartphone ในกระเป๋ากางเกงสั่นไม่หยุด พอเจ้าตัวรู้ว่าผมไม่ได้อยู่รอ จีก็กระหน่ำโทรมาไม่ยั้ง ไหนจะ inbox ข้อความใน FB ที่เจ้าตัว DM มาทั้งขอโทษและอ้อนวอนให้ผมรับสาย ผมนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงที่นุ่มสบายราวกับนอนอยู่บนปุยเมฆ และปล่อยให้โทรศัพท์มือถือสั่นจนหยุดไปอีกครั้ง

‘G (^.^) v’ 16 missed call



... ‘Kaew’

‘Kaew’ 1 missed call

‘Kaew’

แกหายไปไหน รับโทรศัพท์ฉัน ฉันสาบาญว่าไอ้จีไม่ได้อยู่กับฉัน



... ‘Kaew’

“อืม”

“แกอยู่ไหน…”

“… มิลค์ ฉันถามว่าแกอยู่ไหน ...” แก้วถามผมเสียงเข้ม

“... ไม่บอกก็ได้ แต่อย่างน้อยบอกฉันหน่อยว่าแกปลอดภัย”

“เราโอเค แค่อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”

“ไอ้จีประสาทแดกไปแล้ว มันหาแกไม่เจอ ...”

“... รับสายมันหน่อย น้ำเสียงมันดูร้อนรนมาก...”

“... ฉันไม่รู้ว่าแกกับมันทะเลาะอะไรกัน แต่มันบอกว่ามันจะไป off shore พรุ่งนี้แล้ว ... มิลค์ ถ้าไม่คุยกันวันนี้ แกต้องรอไปอีก 3 สัปดาห์เลยนะ ... ฉันแล้วแต่แกเลย แค่ทำในสิ่งที่ตัวเองจะไม่เสียใจภายหลัง”



... ‘G (^.^) v’

“อืม” สุดท้ายผมก็ยอมรับสาย

“มิลค์ มิคล์อยู่ไหน จีรอมิลค์อยู่ที่ห้อง เย็นนี้กินข้าวเย็นด้วยกันนะ”

“ไม่ต้องรอ กูไม่กลับห้อง”

“มิลค์อยู่บ้านเหรอ จีไปหามิลค์ที่บ้านนะ”

“ไม่ได้อยู่”

“Milk, please, where are you? We really need to talk.”

“G”

“ครับ, dear”

“I am not ready. Let talk when you get back home.” พอพูดจบประโยค น้ำตาก็ไหลรินลงมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว วินาทีนั้นผมถึงเพิ่งรู้สึกตัว... นี่เป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้เพราะจี

มันเจ็บ เจ็บแบบที่ไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ยังไง แน่นอนว่าผมอยากจะใช้เวลาวันสุดท้ายกับจีแต่ที่ไม่ได้เอ่ยปากขอเพราะอยากให้เจ้าตัวใช้เวลากับที่บ้านบ้าง จีมานอนค้างกับผมตั้งแต่กลับ จนเราเพิ่งแยกกันเมื่อ 2 วันก่อน

โกรธตัวเองเพราะที่ผ่านมาผมอยู่ข้างๆ จีมาตลอดแต่กลับไม่เคยรับรู้เลยว่ามีใครอีกคนกำลังแทรกกลางระหว่างเรา สับสนเพราะไม่เข้าใจว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านคืออะไร ที่ชอบเข้ามากอด เข้ามาคลอเคลีย ที่บอกให้ผมรอ คืออะไร ทุกอย่างมันหมายความว่าอะไร ผมคิดว่าเราใจตรงกัน คิดว่าเราใกล้จะขยับสถานะจากเพื่อนสนิทเป็นคนรัก หรือจะเป็นผมที่คิดไปเองฝ่ายเดียว มีความรู้สึกหลายหลายมากมายเกิดขึ้นเกินกว่าจะข่มตาหลับได้ หยดน้ำตาไหลออกจากดวงตาคู่สวยตลอดทั้งคืน ผมเคยรู้สึกว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนมักจะประดับประดาด้วยแสงดาวระยิบระยับแต่ทำไมคืนนี้ไม่ว่าจะมองเท่าไหร่ผมก็ไม่เห็นความสวยงามที่คุ้นตานั้นอีกแล้ว



Key card ถูกวางแนบลงบนบานประตู หัวใจของผมเต้นเร็วจนสั่นระรัวในขณะที่ผลักปานประตูให้เปิดออก ขาทั้ง 2 ข้างเดินเข้ามาในห้องที่คุ้นเคย ... ภายในห้องปิดไฟมืด มีเพียงแสงสว่างรำไรที่ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาเท่านั้น ทุกอย่างเงียบสนิท ... นี่ผมกำลังคาดหวังอะไร หวังว่าพอเปิดประตูเข้ามาแล้วจะเจอจียืนรออยู่หน้าประตูงั้นเหรอ สิ่งเดียวที่บ่งบอกว่าเมื่อคืนเจ้าตัวนอนค้างที่นี้ คือคราบน้ำที่ยังเปียกอยู่ให้ห้องอาบน้ำ ... ผมกลับมาที่คอนโดในช่วงเช้าของอีกวันเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปเรียน ... จีไปแล้ว และผมต้องอยู่ตัวคนเดียวไปอีก 3 สัปดาห์

เป็น 3 สัปดาห์ที่ยาวนานและทรมานที่สุดในชีวิต แต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนอนแค่หายใจให้ทั่วท้องยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เข็มของนาฬิกาบนผนังยังคงเดินไปข้างหน้าตามจังหวะเดิม แม้ว่าผมจะภาวนาขอให้มันเร็วกว่านี้อีกซักหน่อย ... หน้าจอ smart phone ในมือเปิดค้างอยู่ที่ inbox ของ FB นิ้วโป้ง slide หน้าจอขึ้นไปบนสุดเพื่อไล่ดูข้อความเก่าๆ ที่เราส่งหากัน และเผลอยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวจนกระทั้งถึงข้อความที่จีส่งมาล่าสุดในวันที่เราทะเลาะกัน ... ห้องที่อยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้มันกว้างและเงียบเหงาเกินไปเมื่อไม่มีจีนั่งอยู่ข้างๆ



เป็นมื้ออาหารที่อึมครึมระหว่างเรา เรียกได้ว่าเป็นมื้อที่อึดอัดที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมา ถึงวันนี้ผมเพิ่งนึกได้ว่าเราไม่เคยทะเลาะกัน ไม่เคยโกรธกัน ไม่เคยมีบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้นระหว่างเรา ... น่าอึดอัดชะมัด ... เราต่างสั่งอาหารของตัวเอง ไม่มีแม้แต่กับข้าวจานกลางที่เรามักจะสั่งมากินด้วยกัน ผักในจากของคนตรงหน้ายังนอนนิ่งอยู่ที่เดิมเช่นเดียวกับกับข้าวในจานของผม ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีเสียงหัวเราะ มีแต่ความเงียบและบรรยากาศแปลกๆ ที่ไม่คุ้นชิน เหมือนว่าต่างคนต่างมีเรื่องอะไรในใจแต่ไม่มีใครเป็นฝ่ายเริ่มพูดมันออกมา ระยะเวลา 3 สัปดาห์มากพอให้ผมได้คิดทบทวนไตรตรอง ผมพร้อมที่จะฟังคนตรงหน้าอธิบาย และถ้ามันสมเหตสมผล ผมก็พร้อมจะมองข้ามทุกอย่าง ... โลกใบนี้มันเหงาเกินไปเมื่อไม่มีจีอยู่ข้างๆ

ผมนั่งอยู่ข้างหลังพวงมาลัย สายตากำลังจับจ้องไปยังไฟสีแดงที่กำลังนับถอยหลัง เสียงเพลงช่วยทำให้บรรยากาศในรถไม่อึดอัดมากกว่าที่เป็นอยู่ จนกระทั้งจบมื้ออาหารก็ยังไม่มีใครพูดความในใจออกมา

“มิลค์ ...”

“... กูว่ากูรู้สึกดีกับเขา กูจะลองคบกับเขาดู” น้ำเสียงแผ่วเบาและราบเรียบของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ดังขึ้นในขณะที่ไฟจราจรสีแดงกำลังนับถอยหลัง

5, 4, 3, 2, 1

ทุกอย่างจบลงก่อนที่จะได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ กับความรู้สึกมากมายที่ให้ใครอีกคน ถึงวันนี้ผมยังไม่เคยได้บอกรักจีเลยซักครั้ง วันนี้เรื่องราวมากมายระหว่างเราไม่มีความหมายอีกแล้ว ... ผมรับรู้ได้ว่าช่วงเวลาของความสุขจบลงแล้ว ไม่มีแล้วความรู้สึกที่สัมผัสได้ด้วยใจ ไม่มีอีกแล้วเสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่มีให้กัน ... ทุกอย่างกำลังจะจืดจางและมลายหายไป ... ราวกับความฝัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier
«ตอบ #122 เมื่อ05-10-2025 10:26:09 »

ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier (Part 2/2)

ความรู้สึกมันมากเกินกว่าที่จะรับไหว จากที่เคยคิดว่าไม่มีใครที่จะแทรกกลางความสัมพันธ์ระหว่างผมกับจีได้แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับพังทลาย ราวกับปราสาทที่ถูกก่อสร้างบนพื้นทราย ทำให้ไม่แข็งแรงพอจะต้านแรงของพายุใหญ่ ... สิ่งที่เคยเชื่อมั่นมาตลอดชีวิต วันนี้เหมือนมันไม่มีอยู่จริง ... ผมหลบหน้าและมันนำมาซึ่งความห่างเหิน

“มึงไหวแน่นะ” คำถามของไอซ์ทำให้อาร์มและโจเลิกสนใจ smartphone ในมือแล้วเปลี่ยนมาสนใจผมแทน ไม่ใช้แค่ผมคงเดียวที่งง เพื่อนคนอื่นๆ ก็งงเป็นไก่ตาแตกเมื่ออยู่ๆ จีก็เปิดตัวแฟนสาว

“ไหวดิ แค่นี้เอง”

“มึงไม่ได้เจอมันมานานแค่ไหนแล้ว”

“2 -3 เดือนแล้วมั้ง” ความห่างเหินของเรายังทำลายสถิติใหม่ไปเรื่อยๆ ผมรู้ว่าตัวเองพูดประโยคนี้บ่อยแล้ว ‘แต่เราไม่เคยห่างกันขนาดนี้มาก่อน’ ห่างในที่นี้คือไม่เจอหน้า ไม่โทรหา ไม่ DM คุยกัน ห่างกันทั้งร่างกายและจิตใจ มันเริ่มมาจากผมเทนัดดูหนังของเรา แบบที่เรียกได้ว่ามาบอกเอาหน้างานโดยให้เหตุผลกับจีแค่ว่าไม่อยากดูแล้ว เรานัดกันมานานมากว่าจะดูหนังภาคต่อเรื่องนี้ด้วยกัน ตั้งแต่ก่อนที่จีจะเปิดตัวเธอคนนั้น ผมรู้ว่าไม่ควรยกเลิกนัดในตอนที่อีกคนซื้อตั๋ว และรออยู่หน้าโรงหนังแล้ว แต่ผมผิดอะไรในเมื่ออีกฝ่ายก็ให้ผมรอเก้อเหมือนกัน

“ถ้าไม่ไหว มึงจะกลับก็ได้นะ”

“กูไม่กลับ มันจะซักเท่าไหร่กัน กูก็อยากจะเจอตัวจริงซักที” ผมพูดอย่างท้าทาย ผมไม่คิดจะหลบหน้าเธอคนนั้น ... คนอย่างมิลค์ ติฒสิงห์ไม่จำเป็นต้องหลบหน้าใครทั้งนั้น

“นี่คือสาเหตที่มึงประโคมแต่งตัวมาวันนี้ใช่ไหม ...” ไอซ์พูดพลางใช้สายตาสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

“... ถามจริงๆ ที่แต่งมาวันนี้เนี่ยกี่ล้านวะ ...” ผมแต่งตัวเพราะได้ยินมาว่าแฟนของจีเธอแต่ง brand name ทั้งตัว

“... กูถามจริง นี่มึงกำลังสู้กับเฟิร์ส หรือมึงกำลังสู้กับความรู้สึกของตัวเองกันแน่วะ?”

“ไม่ใช้เรื่องของมึง” ผมตอบอย่างกระฟัดกระเฟียดเพราะคำพูดของไอซ์ไม่ต่างอะไรจากการเอาเหล็กร้อนๆ มาขยี้ลงบนแผลสด

“เก่งให้ได้ตลอดนะไอ้มิลค์” ไอซ์พูดออกไปด้วยความหมั่นไส้ เขาไม่เข้าใจเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยซักนิด มันไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยอวด ไม่เคยเปรียบเทียบตัวเองกับใคร ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมาแข่งอะไรไร้สาระแบบนั้น คงเพราะความโกรธและความเสียใจที่ทำให้เจ้าตัวลืมไปมั้งว่าตัวเองคือมิลค์ ติฒสิงห์ แค่นี้ก็แพงจนไม่มีแก้วแหวนเงินทองที่ไหนจะเทียบเท่า

เป็นเหมือนที่คิดแฟนใหม่จีใส่ brand name มาตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่แน่นอนว่าสามัญชนคนธรรมดาอย่างเธอหรือจะสู้เจ้าชายบนหอคอยงาช้างแบบมิลค์ ติฒสิงห์ได้ แม้จะยิ้มหวานให้แต่ไอซ์กับสังเกตได้ว่าเธอแอบมองไอ้มิลค์ตั้งแต่หัวจรดเท้าเพราะกระเป๋า Chanel ที่เธอถือและร้องเท้า Dior ที่เธอใส่นั้นเทียบไม่ได้เลยกับ Rolex Daytona Rose Gold บนข้อมือซ้าย และ Cartier Juste Un Clou with pave diamonds ครบ set แหวนกำไลบนข้อมือขวาของมิลค์ เรียกได้ว่าทั้งตัวไอ้มิลค์ถอยรถ BMW ได้สบายๆ

ยกแรกไอ้มิลค์ชนะขาด ... แต่เกมนี้ไม่ได้ตัดสินกันด้วยใครแต่งตัวแพงกว่ากัน เพราะทันทีที่เธอเดินควงแขนแฟนหนุ่ม aura ที่เคยเปล่งประกายจากตัวมิลค์ก็ดูจะหม่นลงไปไม่น้อย ... มิลค์อาจจะแพงกว่า แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเธอคือแฟนของจี ดูจากสีหน้าของมิลค์ คิดว่าตอนนี้เจ้าตัวคงเข้าใจความจริงข้อนี้ไม่มากก็น้อย

“มิลค์ เราขอถ่ายรูปคู่กับมิลค์ได้ไหม มิลค์หล่อกว่าในรูปเยอะมากๆ นี่เพื่อนๆ เราตื่นเต้นมากเลยนะที่รู้ว่าจีเป็นเพื่อนสนิทของมิลค์” เป็นปกติของทุกคนที่อยากจะสร้างความสนิทสนมกับเพื่อนของแฟนโดยเฉพาะเพื่อนสนิท ส่วนตัวแล้วไอซ์รู้สึกว่าเฟิร์สทำได้ดี เธอน่ารักและยิ้มแย้มให้กับทุกคน ที่จริงเธอทยอยขอถ่ายรูปคู่กับคนอื่นๆ ครบแล้วเหลือแต่ไอ้มิลค์ ... ถูกของเธอ มิลค์เป็นคนดัง ในยุคที่ทุกคนกำลังให้ความสำคัญกับการ up status ของตัวเอง การลงรูปคู่กับคนดังอย่างมิลค์ย่อมเรียกความฮือฮาได้มหาศาล

ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ยุคของ Social media แสงไฟก็เหมือนจะตกไปที่มิลค์ ติฒสิงห์พอสมควร ทุกคนอยากรู้จักทายาทเพียงคนเดียวของ The Nemean Group ผู้ที่ใครๆ ก็มองว่าเพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง ทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ และการศึกษา ทำให้บ่อยครั้งที่รูปของมิลค์ถูกนำมาโพสต์ลงตามเพจ cute boy เพื่อเพิ่มยอด engagement

“เราขอโทษนะเฟิร์สแต่เราไม่ชอบถ่ายรูป” มิลค์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ พร้อมกับรอยยิ้ม ... ไอซ์ได้ยินเสียงเศษใบหน้าของเธอแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่แฟนของเธอทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ กับสถานการณ์ตอนนี้

“แรงไปไหมมึง” ไอซ์กระซิบเมื่อมิลค์ผละกลับมาเดินอยู่ข้างๆ กัน

“ก็กูไม่ชอบถ่ายรูป” คำตอบของมิลค์ทำให้ไอซ์หัวเราะในลำคอ ... เอากับมันซิ ทั้งน้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง มองจากดาวอังคารก็รู้เลยว่าตอแหล

“ตอแหล” สงสัยว่าไอซ์จะคิดดังไปหน่อย

“พี่มิลค์ๆ ...” เสียงใสๆ ดังขึ้นพร้อมกับกลุ่มเด็กวัยรุ่นชายหญิง 3 คนวิ่งมาทางพวกเรา

“... พวกหนูเป็นรุ่นน้องพี่ เรียนอยู่ปี 1 เพื่อนหนูคนนี้แอบปลื้มพี่มากกกกกกกก มันไม่กล้าขอพี่ถ่ายรูปคู่ พวกหนูเลยจะมาถ่ายเป็นเพื่อนมัน ...” ปลายนิ้วของเธอชี้ไปยังเด็กผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ห่างออกไป แน่นอนว่าต้องเป็นผู้ชาย ไอ้มิลค์มีแรงดึงดูดกับเพศเดียวกันเสมอ

“... นะคะพี่ ถ่ายรูปกับพวกหนูหน่อยนะคะๆๆๆ” บรรยากาศ dead air เกิดขึ้นหลังจากคำถามของน้อง เพราะทุกคนต่างพร้อมใจกันกลั้นลมหายใจเพื่อรอฟังคำตอบ

“ได้เลยครับ” แล้วไอ้มิลค์ก็เลือกที่จะเปิด war ด้วยการต้องรับพร้อมรอยยิ้ม

“ไอ้ปอนด์มาเร็ว พี่มิลค์ตกลงแล้ว” น้องผู้หญิงที่ดูจะเป็นหัวโจกของกลุ่มตะโกนเรียกเพื่อนของเธอ ก่อนที่เธอจะไปลากเพื่อนเข้ามาร่วมวงถ่ายรูป

แม้จะพยายามเก็บอาการแต่ไอซ์ก็สังเกตได้ว่าเฟิร์สแสยะยิ้ม เมื่อคนที่เพิ่งปฏิเสธการถ่ายรูปคู่กับเธอ ยิ้มแย้มถ่ายรูปกับรุ่นน้องและแสดงความเป็นกันเองถึงขนาดโอบไหล่รุ่นน้องคนนั้นจนน้องเขินตัวแข็งทื่อ

พวกเราย้ายมายังร้านอาหารที่เฟิร์สเป็นคนแนะนำ แม้ว่าเพื่อนคนอื่นๆ พยายามจะจับให้คู่อรินั่งห่างกันแต่ด้วยจังหวะที่ไม่พอดีเลยทำให้มิลค์นั่งประจัญหน้ากับเฟิร์สโดยมีจีนั่งอยู่ด้านซ้ายของเธอ ไอ้มิลค์ยังคงเล่นสงครามประสาทโดยเปิดดูเมนูประมาณ 3 รอบ และจบด้วยการไม่สั่งอาหารอะไรเลยซักอย่าง ตอนนี้คนที่น่าสงสารที่สุดคงหนีไม่พ้นจี เพราะคนหนึ่งก็เพื่อนสนิท อีกคนหนึ่งก็แฟน

ไม่นานอาหารก็เริ่มทยอยมาเสิร์ฟ

“มิลค์ กินอันนี้ ร้านนี้เขาทำอร่อยมากเลยนะ” ต้องยอมใจเฟิร์สที่แม้จะถูกไอ้มิลค์เปิด war มาตั้งแต่เย็นแต่เธอก็ยังทำใจดีสู้เสือด้วยการใช้ตะเกียบหยิบเอาตับทอดกระเทียบชิ้นโตไปวางไว้บนจานของมิลค์ ... ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดพลาดมหันต์ จริงอยู่ว่ามิลค์เป็นคนไม่เลือกกิน อาหารข้างทางมันก็กินได้ ส้มตำมันก็ใช้มือเปล่าๆ จกได้ แต่ในโลกใบนี้มีอาหารเพียงอย่างเดียวที่เจ้าตัวเกียจเข้าใส้ ... และนั้นก็คือ ... ตับ

“อืมมมมม” มันออกอาการทันทีที่ตับชิ้นนั้นถูกวางไว้บนจานตรง เจ้าตัวเอามือปิดจมูกพร้อมกับเขยิบเก้าอี้หนี มันเกียจตับ เกียจถึงขนาดที่แม้แต่กลิ่นก็ยังดมไม่ได้

“เฮ้ย!!!!! ...” ทุกอยากเกิดขึ้นเร็วมาก ถึงขนาดที่เพื่อนคนอื่นๆ ยังไม่ทันได้ออกปากห้าม

จีคือคนที่ไวที่สุด มันรีบยกจานตรงหน้าไอ้มิลค์ออก สีหน้าของมันคือตกใจมาก ซึ่งก็สมควรเพราะหากได้กลิ่นเข้าไปจังๆ ถึงขึ้นทำให้ไอ้มิลค์อ้วกแตกได้

“... มิลค์ไม่กินตับ …” จีหันไปพูดกับแฟนตัวเองเสียงเข้ม

“... ไหวไหมมิลค์” ก่อนจะหันมาพูดกับมิลค์เสียงอ่อน

“ไหวๆ ไม่เป็นไร ขอโทษ กูขอตัวไปเข้าห้องน้ำ” พอพูดจบแล้วมันก็ลุกพรวดพลาดออกไป

งานเข้าไอ้จีชนิดที่เรียกได้ว่ามโหฬาร เพราะแฟนที่นั่งอยู่ข้างๆ ดูจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่ถูกดุด้วยน้ำเสียงเข้มๆ แล้วไหนจะเพื่อนสนิทที่ลุกออกไปด้วยสีหน้านิ่งๆ ถ้าเป็นปกติไอ้จีต้องรีบกวีกวาดตามไปง้อไอ้มิลค์ แต่ตอนนี้คนมีชนักติดหลังจะทำอะไรได้นอกจากนั่งอยู่กับที่ ง้อแฟนตัวเอง

ไอ้มิลค์หายไปประมาณ 20 นาที คาดว่าน่าจะออกไป clear จมูกตัวเองให้โล่งรวมถึงสงบสติอารมณ์ มันเดินกลับเข้ามาในจังหวะที่จีกำลังใช้ตะเกียบป้อนอาหารให้แฟนสาว นั้นยิ่งทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารแย่ไปกว่าเดิม ไอ้มิลค์ที่นิ่งอยู่แล้วตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับภูเขาน้ำแข็งที่แพร่ไอเย็นไปทั่ว แต่ดูท่าว่าเฟิร์สจะเลิกให้ความสนใจกับเพื่อนสนิทของแฟนไปแล้ว เพราะหลังจากขอโทษมิลค์แบบพอเป็นมารยาทเจ้าตัวก็สร้างโลกส่วนตัวกับแฟนหนุ่มโดยไม่สนใจไอ้มิลค์อีกเลย

นิ้วมือเรียวสวยกำเข้าหากันแน่น ภาพตรงหน้ามันทำให้ผมอยากจะกรีดร้องออกมา ความใกล้ชิด รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ยิ่งเห็น ยิ่งได้ยิน ผมยิ่งอยากเอาตัวเองออกไปจากสถานการณ์ตรงนี้ เมื่อไหร่จะกินอิ่ม เมื่อไหร่จะแยกย้าย ผมรู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้อยากทำให้บรรยากาศมันแย่แต่พอเห็นเขา 2 คนเดินคู่กันมันก็เหมือนมีพายุเพลิงโหมกระหน่ำอยู่ข้างใน ความโกรธ ความผิดหวัง ความอิจฉา กำลังกัดกินผมจากภายใน ... ทุกอย่างที่เธอได้ เมื่อก่อนมันเคยเป็นของผม ... แทบจะกลั่นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอีกแล้ว

“ไอ้มิลค์ ไปเป็นเพื่อนกูสูบบุหรี่หน่อย” แต่ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาก ไอซ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ฉุดผมให้ลุกออกจากโต๊ะ ผมพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นตามแรงดึงของมัน

ผมเดินตามหลังมันออกจากร้านอาหาร เดินตามมันมาเรื่อยๆ แบบคนไร้สติ รู้ตัวอีกทีก็ยืนอยู่หน้าตึกสูงในสยามสแควร์

“กลับบ้านไหม ...” ไอซ์ถาม

“... สีหน้ามึงดูไม่ได้เลยวะ”

“วันนี้กูทำตัวแย่มากเลยใช่ไหม”

“ก็เหี้ยพอตัว กูไม่เคยคิดว่าบทจะร้ายมึงจะร้ายได้สุดขนาดนี้ ...” ผมพยักหน้ารับผิด กระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยดน้ำตาที่กำลังก่อตัว

“... แต่กูสะใจนะ ให้ไอ้จีมันโดนซะบ้าง 555” แม้จะอยู่ในโหมดเศร้าแต่ผมก็อดขำกับมุกตลกของไอซ์ไม่ได้

“รอยยิ้มนั้น เสียงหัวเราะนั้น เมื่อก่อนมันเป็นของกู กูไม่อยากแบ่งให้ใคร ...”

“... ทำไมวะไอซ์ กูทำอะไรผิด ทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้” จากที่แค่น้ำตารื้อๆ พอได้ระบายความในใจ หยดน้ำตาก็ไหลออกจากดวงตาคู่สวย เรากำลังจะคบกันไม่ใช้เหรอ ผมไม่เข้าใจว่าตัวเองทำผิดพลาดตรงไหน

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน คนที่จะตอบมึงได้คือไอ้จี มึงกล้าถามมันไหม...” ผมสายหัวพลางยกหลังมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา

“... อย่าร้อง กูไม่ใช้ไอ้จี เลยมีปัญญาปลอบมึงได้แค่นี้ ...” มันไม่ได้กอดผมเหมือนที่จีทำ ไอซ์แค่เขยิบเข้ามาใกล้แล้วลูบหลังเป็นการปลอบโยน

“... มึงรู้ใช่ไหวว่าหลังจากนี้ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันไม่ใช้จีของมึงคนเดียวอีกแล้ว มึงต้องเข้มแข็ง และยืนอยู่ให้ได้ด้วยตัวของมึงเอง” เพราะไอซ์รู้ว่าที่ผ่านมาผมพึ่งพาจีมากแค่ไหน สำหรับผมแล้วจีเป็นมากกว่าเพื่อนสนิทหรือคนที่ผมรัก เขาเป็นเหมือนอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตผม และหลังจากนี้ผมจะต้องอยู่ให้ได้โดยปราศจากครึ่งชีวิตนั้น



...



“ที่จริงพวกเรานัดเจอกันแบบนี้ก็ง่ายดีนะ” โจพูดขึ้นในขณะที่พวกเรากำลังช่วยกันเก็บจานอาหาร

“ก็ดีนะ จะได้เจอกันบ่อยๆ” อาร์มสมทบ

“เอาดิ คิดถึงพวกมึง นัดทุกสัปดาห์เลยก็ได้นะ” ผมในฐานะเจ้าของบ้านตอบรับ เมื่อเย็นอยู่ๆ ไอซ์ก็จัดแจงนัดทุกคนมากินข้าวที่ห้องของผม ผมเลยโทรบอกพี่แอนให้ช่วยเตรียมอาหารให้แล้วให้คนมาส่งที่ห้อง ผมก็ชอบไอเดียนี้เหมือนกัน คืนวันเสาร์แบบนี้อยู่กันได้ยาวๆ โดยยังมีพรุ่งนี้ให้ได้พักผ่อนอีก 1 วัน

“พี่แอนยังทำอาหารอร่อยเหมือนเดิม ... ซักวันกูจะซื้อตัวพี่แอนไปจากมึง 555” อาร์มพูดพลางลูบหน้าท้องไปมา วันนี้มีกระดูกหมูอ่อนต้มกระหล่ำปลีของโปรดมัน อาร์มเลยเจริญอาหารเป็นพิเศษ

“อย่าเลว พี่แอนไม่ไปอยู่กับมึงหรอก พี่แอนรักกู”

“ขี้หวงวะ”

“แล้วนี่ไอ้จีไปไหน” ไอ้โจถาม

“ไม่รู้มัน ชวนแล้วมันบอกไม่ว่าง” ไอซ์ตอบ

“จะว่าไปตั้งแต่วันนั้น มันก็ไม่พาเฟิร์สมากินข้าวกับพวกเราอีกเลยเนอะ” โจพูดขึ้น

“ใครจะกล้า ดูเพื่อนมึงวันนั้นซะก่อน กูคิดว่าจะลุกขึ้นมาหยุมหัวกันกลางร้านอาหาร” แม้จะพยายามทำตัวนิ่งๆ แต่ก็ไม่วายโดนไอ้ไอซ์จิกกัด

“เออกูผิด พอใจพวกมึงยัง” ผมกระแทกเสียงใส่ไอซ์

“พูดแค่นี้ทำมาเป็นน้อยใจ ... แล้วมึงเป็นไงบ้าง ตอนนี้เรียนปีไหนแล้วนะ”

“จะจบปี 4 แล้ว ยังเหลืออีก 2 ปี”

“ดีแล้วมึง อย่าเพิ่งรีบจบออกมาทำงานเลย กูนี่ยังอยากย้อนเวลากลับไปเรียนต่อ”

“พวกมึงมีแผนจะเรียนต่อหรือเปล่า” ผมถาม

“ทำงานซักพักหนึ่งก่อนแล้วค่อยหาทางเรียนต่อ” ไอซ์ตอบ ในขณะที่คนอื่นก็ตอบในทำนองเดียวกัน

“พวกมึงว่าไอ้จีกับเฟิร์สจะไปกันรอดหรือเปล่าวะ” อยู่ๆ ไอ้อาร์มก็เปลี่ยนเรื่อง

“อารมณ์ไหนของมึง” ไอซ์ถาม

“เออ ไหนๆ ก็ไหนๆ แหละ อยู่กันแค่พวกเรา 4 คน กูพูดเลยละกัน ...”

“... มันมาปรึกษา คือทะเลาะกันบ่อย ทะเลาะกันทุกเรื่อง”

“ทำไมวะ”

“เข้ากันไม่ได้มั้ง คือคนละ life style เลย ล่าสุดสัปดาห์ก่อนก็โทรมานอยด์ๆ ว่าทะเลาะกันอีกแล้ว”

“ก็อย่างว่าแหละ ใครจะไปรู้ใจไอ้จีได้เท่าไอ้มิลค์ 555” คำแซวของไอ้โจทำเอาพวกเราหัวเราะลั่น

“ไอ้เลว ไม่ต้องเอากูเข้าไปเกี่ยวเลย จะรักจะเลิกกันก็ไม่ใช้เรื่องของกู”

“แหมๆ ทำเป็นไม่รู้ ไม่สนใจ แต่พอได้ยินชื่อไอ้จีนี่หูตั้งเลยนะ ...”

“... มึงได้เจอกับมันบ้างไหม”

“อ้าว!!! ทำไมอยู่ๆ มาสัมภาษณ์กูซะงั้น” ผมถาม

“อยากเสือก ตอบมาเร็วๆ”

“อย่าว่าแต่เจอเลย แค่คุยกันยังน้อย” ช่วงหลังมานี้เราไม่ค่อยได้คุยกัน จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่คุยกันคือเมื่อไหร่

นับจากวันนั้นรายละเอียดในความสัมพันธ์ของเราก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สมัยก่อนเวลาผมขับรถไปส่ง ไม่เกิน 20 นาทีให้หลัง จีจะโทรกลับมาเช็คเสมอว่าผมกลับถึงบ้านแล้วหรือยัง แต่ตอนนี้ต่อให้รอนานเท่าไหร่เขาก็ไม่โทรมาถาม เวลากินข้าวด้วยกันจีมักจะตักโน่นตักนี่ใส่จานให้ผมเสมอ เขารู้เสมอว่าผมชอบหรือไม่ชอบกินอะไรแต่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว วันเกิดของทุกปี จีจะเป็นคนแรกที่โทรมาอวยพร แต่ปีที่ผ่านมาแม้แต่ข้อความผมก็ไม่ได้รับ ... ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว และผมรับรู้มันในทุกวินาที

“อืม กูเข้าใจ มันต้องใช้เวลา”

“มิลค์ ... มันพูดกับกูเรื่องมึงด้วยนะ”

“ฮะ?”

“มันก็แคร์ความรู้สึกมึง กูเข้าใจว่ามึงรู้สึกยังไง แต่สุดท้ายแล้วพวกเราก็เพื่อนกัน อย่าให้ใครมาทำลายความผูกพันธ์ที่มีให้กันนะเว้ย”



คำพูดของอาร์มทำให้ผมย้อนคิดถึงเรื่องในอดีต ผมยืนมองข้อความในโทรศัพท์มือถือยุค 2G ที่ตัวเองเคยใช้ สายตากำลังไล่อ่านข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาให้เมื่อ 4 ปีก่อน ... I will keep our friendship before everything, nothing will ever make us apart and I will always stay by your side until the end of time

“Hi” อยู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย

“ไม่มีอะไร โทรมาเฉยๆ ... มึงเป็นยังไงบ้าง”

“กูโอเคดี แล้วมึงละเป็นยังไงบ้าง” เราไม่ได้แทนตัวเองด้วยชื่อเล่นของกันและกันอีกแล้ว สรรพนามที่ใช้ถูกเปลี่ยนกลับมาเป็น กู-มึง เหมือนเดิม

“ก็ดี เรื่อยๆ” ใครจะเชื่อว่านี่คือบทสนทนาของคน 2 คนที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ฟังแล้วให้ความรู้สึกห่างเหินเหลือเกิน ถึงตอนนี้ผมจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเมื่อก่อนเราคุยอะไรกันได้เป็นชั่วโมงๆ

“มึงตัดสินใจได้ยังว่าจะเรียนต่ออะไร” ใจชื่นขึ้นมาหน่อยเมื่อคนปลายสายคุยเรื่องที่เราเคยช่วยกันวางแผน

“แต่ยังไม่ได้ตัดสิน ยังมีเวลา”

“จริงด้วย มึงยังมีเวลาอีกตั้ง 2 ปี”

“ทำไมเงียบจัง นี่มึงอยู่ไหน”

...

...

...

“อยู่ต่างจังหวัด ...”

“... กับเฟิร์ส ... Don't ask...”

“... the answer won't make you feel any better ...” ผมมองเงาสะท้อนของตัวเองจากกระจกหน้าต่างบานใหญ่ในห้องนั่งเล่น นี่ผมกำลังร้องไห้อยู่เหรอ ความคิดกำลังเตลิดไปไกล แค่จินตาการภาพคน 2 คนผมก็ปวดร้าวไปทั้งหัวใจ ... It hurts. It feels like my heart is being torn apart

“... กูกลับไปแล้วเราไปกินข้าวดูหนังกันไหม ช่วงนี้ไม่ได้ไปไหนมาไหนกับมึงเลย ...”

“... Milk, will you wait for me?”

“I will” … always



...



ผมกำลังยืนอยู่หน้ากระจกเงา เหตุการณ์เดิมๆ เกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากเลือกอยู่นานสองนานในที่สุดผมก็ได้ชุดที่จะใส่ไปกินข้าวกับจีเย็นนี้ ยอมรับว่าตื่นเต้นเพราะเป็นเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เราจะได้เจอกัน

... ‘G (^.^) v’

“ถึงแล้วเหรอ”

“มิลค์ ...”

“... วันนี้กูขอเลื่อนได้ไหม พอดีต้องไปทำธุระกับเฟิร์ส”

“อืม … ได้ซิ” ไม่ได้!!! มึงนัดกูก่อนแล้วจะเทกันง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง

“ขอโทษนะ เดียวกูกลับมาครั้งหน้าแล้วนัดมึงใหม่”

“อืม” เย็นนี้เป็นเย็นวันสุดท้ายก่อนที่จีจะไป off shore วันพรุ่งนี้

ผมทิ้งตัวลงนอนหงายอยู่บนเตียงทันทีที่วางสาย ไม่สนใจแล้วว่าเสื้อจะยับ เพราะวันนี้ก็คงไม่ได้ออกไปไหนอยู่ดี

... ‘G (^.^) v’

“อืม” หลังจากนั้นประมาณชั่วโมงจีก็โทรกลับมา

“กูไปได้แล้วนะ แต่เป็นช่วงค่ำได้ไหม” รู้สึกเหมือนหมาที่รอเจ้าของเพราะพอได้ยินว่านัดของเราไม่ล่ม ผมก็ผลุดลุกขึ้นมาจากโซฟา

“ได้ซิ” ผมตอบอย่างกระตือรือร้น

“งั้นเดียวเจอกัน”



ผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง

... ‘G (^.^) v’

“มิลค์ กูขอโทษไม่ได้แล้วจริงๆ วะ”



... ‘G (^.^) v’

“มึงๆ ได้ เจอกันเวลาเดิมนะ”



... ‘G (^.^) v’

“มิลค์ ขอโทษๆ จริงๆ cancel ไปก่อนนะ กลัวว่าจะไม่ทัน ไม่อยากให้มึงรอนาน”



... ‘G (^.^) v’

“มิลค์ครั้งสุดท้ายแล้ว เดียวสองทุ่มครึ่ง กูไปรับ”

“จี พอแล้ว กูไม่ไปแล้ว ครั้งหน้ามึงไปเคลียร์กับแฟนมึงให้เรียบร้อยแล้วค่อยมานัดกู” ผมพูดเสียงเข้ม ยอมรับเลยว่าตอนนี้กำลังอารมณ์เสีย คนปลายสายทำให้ผมว้าวุ่นมาตั้งแต่บ่าย เปลี่ยนชุดแล้วก็เปลี่ยนกลับไปกลับมาหลายรอบ ... กูไม่ใช่ตัวสำรองในชีวิตของมึงนะจี

“แต่กูอยากเจอมึง”

“ดึกขนาดนั้นไม่ไหวหรอก พรุ่งนี้มึงต้องตื่นแต่เช้า ส่วนกูก็ต้องไปคณะตั้งแต่เช้าเหมือนกัน” ตื่นเช้าเป็นแค่ข้ออ้าง ไม่ใช้ว่าผมไม่อยากเจอ แต่ด้วยอารมณ์ของเราตอนนี้ การเจอกันอาจทำให้อะไรๆ มันแย่ไปกว่าเดิม ผมไม่ใช้แค่โกรธ แต่มันทั้งเสียใจและน้อยใจ ผมนัดจีก่อน ส่วนอีกคนก็งอแงจนทุกอย่างวุ่นวายไปหมด แล้วเพื่อนสนิทของผมก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามอารมณ์ของเธอ ... เห็นผมเป็นตัวอะไร


----------

ไอซ์ : "You know damn well that things are going to change, and he's no longer your guiding star. It's time to shine on your own"

#The Devil Wears Cartier
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2025 10:32:18 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier
«ตอบ #123 เมื่อ07-10-2025 11:18:00 »

เป็น 3 สัปดาห์ที่ยาวนานและทรมานที่สุดในชีวิต แต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนอนแค่หายใจให้ทั่วท้องยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เข็มของนาฬิกาบนผนังยังคงเดินไปข้างหน้าตามจังหวะเดิม แม้ว่าผมจะภาวนาขอให้มันเร็วกว่านี้อีกซักหน่อย

หน้าจอ smart phone ในมือเปิดค้างอยู่ที่ inbox ของ FB นิ้วโป้ง slide หน้าจอขึ้นไปบนสุดเพื่อไล่ดูข้อความเก่าๆ ที่เราส่งหากัน และเผลอยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวจนกระทั้งถึงข้อความที่จีส่งมาล่าสุดในวันที่เราทะเลาะกัน

ห้องที่อยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้มันกว้างและเงียบเหงาเกินไปเมื่อไม่มีจีนั่งอยู่ข้างๆ


----------

#เหงาจับใจ ##The Devil Wears Cartier
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier
«ตอบ #124 เมื่อ10-10-2025 10:14:36 »

“... ถามจริงๆ ที่แต่งมาวันนี้เนี่ยกี่ล้านวะ ...” ผมแต่งตัวเพราะได้ยินมาว่าแฟนของจีเธอแต่ง brand name ทั้งตัว

“... กูถามจริง นี่มึงกำลังสู้กับเฟิร์ส หรือมึงกำลังสู้กับความรู้สึกของตัวเองกันแน่วะ?”

“ไม่ใช้เรื่องของมึง” ผมตอบอย่างกระฟัดกระเฟียดเพราะคำพูดของไอซ์ไม่ต่างอะไรจากการเอาเหล็กร้อนๆ มาขยี้ลงบนแผลสด

“เก่งให้ได้ตลอดนะไอ้มิลค์” ไอซ์พูดออกไปด้วยความหมั่นไส้ เขาไม่เข้าใจเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยซักนิด มันไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยอวด ไม่เคยเปรียบเทียบตัวเองกับใคร ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมาแข่งอะไรไร้สาระแบบนั้น คงเพราะความโกรธและความเสียใจที่ทำให้เจ้าตัวลืมไปมั้งว่าตัวเองคือมิลค์ ติฒสิงห์ แค่นี้ก็แพงจนไม่มีแก้วแหวนเงินทองที่ไหนจะเทียบเท่า


----------


#แพงข้างนอก #พังข้างใน #The Devil Wears Cartier
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier
«ตอบ #125 เมื่อ11-10-2025 11:07:10 »

Teaser ตอนที่ 27

“นั่งซิ” พี่เจย์แตะมือลงบนเก้าอี้ข้างๆ เมื่อเห็นผมเดินถือกล่องข้าวเข้ามาหา

“ขอบคุณครับ”

“แก้วไปไหนละ”

“ไปหาเพื่อนที่ห้องอาหารครับ” แก้วไปกินข้าวกับไอ้ต่อไอ้ต้น

“แล้วไม่ไปกินข้าวกับเพื่อนละ”

“ผมเกรงใจครับ ทุกคนไปกินข้าวกันหมด ไม่มีใครอยู่เฝ้าห้องเลย”

“เป็นคนดีจัง จะไปก็ได้นะ พี่อยู่ให้”

“ไม่เป็นไรครับ ไปตอนนี้ห้องอาหารคนคงเยอะมาก” ผมพูดพลางแกะข้าวกล่องในมือ

“อยู่ง่ายกินง่ายกว่าที่พี่คิดไว้เยอะเลยนะ”

“555 ครับ” ผมเกาหัวตัวเองแก้เขิน ไม่อยากจะบอกความจริงว่า พอแก้วกลับมาผมถึงจะออกไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารด้านในศูนย์ประชุมเหมือนกัน โรคไม่ชอบกินข้าวกล่องนี่แก้ยังไงก็ไม่หาย อาการหนักพอๆ กับโรคไม่ชอบพื้นห้องน้ำเปียก


----------


มิลค์ : เจอกันพรุ่งนี้นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือขอแนะนำพี่เจย์

#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 27 : ไม่รู้ว่าน้ำหรือไฟ

“อีมิลค์ ฉันตื่นเต้นจะได้อยู่ใกล้ชิดพี่เจย์” แก้วพูดขึ้นพลางยกมือขึ้นปิดหน้า ทำท่าทำทางเขินอายราวกับสาวน้อยวัยแรกแย้ม ... ซึ่งไม่ได้เข้ากับจริตของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“ตื่นเต้นอะไรวะ ที่คณะก็เดินเจอกันบ่อย”

“แค่เดินเจอไง นี่จะได้ช่วยงานพี่เขาใกล้ๆ เลยนะ โอ้ยยยยยยยยย ตื่นเต้น” พูดจบมันก็หันไปเม้าท์มอยกับเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

พี่เจย์ ดอกเตอร์ป้ายแดงที่เพิ่งบินกลับมาสดๆ ร้อนๆ เป็นอาจารย์หนุ่มไฟแรงที่ครองตำแหน่งขวัญใจมหาชนของคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มสอน ใครบ้างจะไม่ชอบพี่เจย์ หนุ่มตี๋ ผิวขาว ดูสะอาดสะอ้าน ผู้ซึ่ง lecture ด้วยน้ำเสียงสุขุมนุ่มลึก และรอยยิ้มสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์

“มาแล้วๆ” ใครซักคนพูดขึ้นในจังหวะที่พี่เจย์เดินเข้ามาในห้องด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว ทับด้วย jacket กระดุม 2 แถวสี navy ตัดกับกางเกงสีครีม ดูจากกการแต่งตัวก็รู้แล้วว่าจบมาจากอังกฤษ

“สวัสดีครับน้องๆ พร้อมกันแล้วเนอะ” พี่เจย์ถามพวกเราทุกคน และทันทีที่พี่เขายิ้ม ผมก็ได้ยินเสียงครวญครางจากไอ้แก้ว ... แรดนัก

“พร้อมครับ / คะ”

“วันนี้เป็นวันแรกของพวกเรา อะไรๆ อาจจะติดขัดไปบ้าง ถ้ามีอะไรที่ผิดไปจากแผนที่เราคุยกันไว้ขอให้ทุกคนใจเย็นๆ แล้วค่อยๆ แก้ปัญหา ทุกคนมีเบอร์พี่แล้ว มีอะไรโทรหาพี่ได้ตลอดนะครับ ยังพอมีเวลาอีก 10 นาที ยังไงทุกคน stand by ที่คอมได้เลยนะครับ”

ช่วงสัปดาห์นี้มีงานประชุมวิชาการนานาชาติของสมาคมสัตวแพทย์ซึ่งจะจัดเป็นประจำทุกปี งานนี้เป็นงานใหญ่ระดับภูมิภาค มีสัตวแพทย์ทั้งในและต่างประเทศนับพันคนเข้าร่วม แน่นอนว่างานใหญ่ขนาดนี้อาจารย์แต่ละมหาวิทยาลัยก็จะขนนิสิตนักศึกษามาช่วยงานกันอย่างคับคั่ง

“แก ฉันอยากกินกาแฟวะ”

“เหมือนกัน” ผมกับแก้วนั่งอยู่หลังหน้าจอคอม

“ช่วงว่างๆ ไปซื้อกาแฟกันนะ”

“อืม”

หลังจากนั้นพวกเราก็หัวหมุนกันอยู่หน้าคอม กว่าจะได้เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ 10 โมงกว่าแล้ว

“พี่เจย์ครับ เดียวผมกับแก้วขอเดินไปซื้อกาแฟแป๊บนึงนะครับ พี่เจย์เอาอะไรไหมครับ”

“พี่ขอ caramel macchiato แก้วใหญ่ เพิ่ม whipping cream ครับ”

“อ่อ!!! ได้ครับ”

“คิดจะกินแล้วต้องกินให้สุดครับ ...” เหมือนพี่เจย์จะรู้ว่าผมกับแก้วคิดอะไรอยู่ในใจ caramel macchiato ก็ว่าหวานแล้ว ยังเพิ่ม whipping cream ให้อ้วนขึ้นไปอีก

“... อะนี่ครับ พี่เลี้ยงมิลค์กับแก้วนะครับ” พี่เจย์ยื่นแบงก์พันส่งมาให้

“จะดีเหรอครับ”

“ดีซิ ผู้ใหญ่ให้ของแล้วห้ามปฏิเสธนะรู้ไหม เร็วเข้ารีบไปรีบมา พี่อยากกิน whipping cream แล้ว”

“ได้เลยคะพี่ ...” แก้วตอบรับก่อนที่เรา 2 คนไหว้ของคุณพี่เจย์

“... พี่เจย์นิสัยดีมากเลยอะแก ...”

“... คนอะไรทั้งหล่อ ทั้งฉลาด ทั้งใจดี แค่อยู่ใกล้ๆ ก็มีความสุขแล้ว”

“คนไหม ไม่ใช้เทวดา”

“ชิห์ แกเรียนต่อกับพี่เขาดิ”

“จริงๆ ก็คิดอยู่นะ แต่เพิ่งรู้จักพี่เขาเองเราเลยว่าจะรอดูอีกหน่อย” ตั้งแต่เจอกันในคาบ lecture ผมก็ถูกชะตากับพี่เจย์อยู่ไม่น้อย ผมชอบวิธีการสอนของพี่เจย์ ชอบความสุภาพ และเป็นกันเอง



“นั่งซิ” พี่เจย์แตะมือลงบนเก้าอี้ข้างๆ เมื่อเห็นผมเดินถือกล่องข้าวเข้ามาหา

“ขอบคุณครับ”

“แก้วไปไหนละ”

“ไปหาเพื่อนที่ห้องอาหารครับ” แก้วไปกินข้าวกับไอ้ต่อไอ้ต้น

“แล้วไม่ไปกินข้าวกับเพื่อนละ”

“ผมเกรงใจครับ ทุกคนไปกินข้าวกันหมด ไม่มีใครอยู่เฝ้าห้องเลย”

“เป็นคนดีจัง จะไปก็ได้นะ พี่อยู่ให้”

“ไม่เป็นไรครับ ไปตอนนี้ห้องอาหารคนคงเยอะมาก” ผมพูดพลางแกะข้าวกล่องในมือ

“อยู่ง่ายกินง่ายกว่าที่พี่คิดไว้เยอะเลยนะ”

“555 ครับ” ผมเกาหัวตัวเองแก้เขิน ไม่อยากจะบอกความจริงว่า พอแก้วกลับมาผมถึงจะออกไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารด้านในศูนย์ประชุมเหมือนกัน โรคไม่ชอบกินข้าวกล่องนี่แก้ยังไงก็ไม่หาย อาการหนักพอๆ กับโรคไม่ชอบพื้นห้องน้ำเปียก

“เลือกหรือยังว่าจะเรียนสัตว์เลี้ยงหรือปศุสัตว์ครับ”

“สัตว์เลี้ยงครับ”

“555 พี่ก็ถามอะไรไม่รู้เนอะ คิดภาพมิลค์ไปล้มวัว เจาะเลือดหมูไม่ออกเลย”

“ปศุสัตว์ไม่เหมาะกับ life style ของผมเท่าไหร่ครับ”

“นั้นนะซิ ... เรียน lecture ถึงตอนนี้ชอบวิชาอะไรที่สุดครับ” พี่เจย์กินไปคุยไปกับผมอย่างเป็นกันเอง เหมือนเป็นรุ่นน้องมากกว่าลูกศิษย์

“lecture ของพี่ครับ” ส่วนหนึ่งอาจจะเพื่อเอาใจ แต่ส่วนหนึ่งคือผมชอบ lecture ของพี่เจย์มากจริงๆ

“ตอบได้ดี อยู่เป็นนะเนี่ย” รอยยิ้มล้อเลียนปรากฎของบนใบหน้าของดอกเตอร์หนุ่ม พอได้คุยเรื่องทั่วไปถึงได้สังเกตเห็นว่าเวลาพูดคุยพี่เจย์ก็เล่นหูเล่นตาเก่งเหมือนกัน ผมหมายถึงการแสดงออกทางสีหน้านะ

“ถ้าชอบมาเรียนต่อกับพี่ไหม”

“555 เอาแบบนี้เลยเหรอครับ”

“แบบนี้แหละตรงๆ” นี่ผมกำลังถูกจีบให้ไปเป็นเด็กในสังกัดแบบซึ่งๆ หน้าอยู่ใช่ไหมเนี่ย

“ผมคิดๆ เรื่องเรียนต่ออยู่เหมือนกัน แต่ขอเวลาผมตัดสินใจหน่อยนะครับ”

“เอาเลยครับ พี่ไม่ซีเรียส”

“พี่คุมน้ำหนักเหรอครับ” ผมถามเพราะเห็นว่าพี่เจย์ตัดมันของหมูกรอบออกหมดเลย

“คนเริ่มมีอายุก็แบบนี้แหละครับ กินตามใจปากไม่ได้”

“พี่พูดอย่างกับตัวเองอายุ 30 ...”

“... จริงเหรอพี่”

“พี่อายุมากกว่าน้องมิลค์ 15 ปีเลยนะ”

“เชี่ยยยยย!!! … ขอโทษครับ” ผมรีบยกมือขึ้นปิดปาก รู้สึกตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะเพิ่งหลุดพูดคำหยาบต่อหน้าอาจารย์

“ไม่เป็นไรๆ อยู่กันส่วนตัวแบบนี้ พูดได้ครับ พี่ไม่ซีเรียส” พี่เจย์ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม โคตร nice เชื่อแล้วว่าทำไมถึงมีแต่คนปลื้ม

“ผมคิดว่าพี่อายุมากกว่าไม่กี่ปี” surprise มากเพราะคิดว่าพี่เจย์อายุไม่เกิน 30 ยอมรับเลยว่าพี่เจย์หน้าเด็กมาก

“อ่า ขอบคุณที่ชมครับ”







เราทุกคนต่างรู้ว่าความสัมพันธ์ของจีกับเฟิร์สขึ้นๆ ลงๆ เหมือนรถไฟเหาะ แม้จะไม่ใช้คนที่จีโทรมาปรึกษาแต่ผมก็รับรู้ได้จากคำบอกเล่าของเพื่อนคนอื่นๆ พวกเขาทะเลาะกันบ่อย ทะเลาะกันเกือบทุกเรื่อง เลิกๆ คบๆ วนไปวนมา สารภาพว่าครั้งแรกที่รู้ว่า 2 คนเลิกกัน มันมีความหวังเล็กๆ เกิดขึ้นในใจ แต่พอเขากลับมาคบกัน ดอกไม้ในใจของผมก็แห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว

แม้จะไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ เหมือนเดิม แต่เราก็ยังมีนัดกินข้าวดูหนังกันนานๆ ครั้ง ผมไม่รู้ว่าอะไรทรมานมากกว่ากัน ระหว่างความคิดถึงเมื่อเราไม่ได้พบเจอ กับความจริงที่ไม่ว่าเราจะเจอกันบ่อยแค่ไหนแต่เขาก็ไม่ใช้จีคนเดิมของผมอีกแล้ว

ผมว่าบางครั้งความเหงาก็น่ากลัว

ผมกำลังยืนรอจีอยู่ที่ตีนบันได BTS สถานีศาลาแดง วันนี้ถนนสีลมคราครำไปด้วยผู้คนเนื่องจากมีงานถนนคนเดินเป็นวันสุดท้าย เสียงพูดคุย แสงสี กลิ่นอาหารทำให้ถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยสีสันและมีชีวิตชีวา

“มิลค์” พอผมหันกลับไปตามเสียงเรียกจีก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า

“รถติดเหรอ”

“นิดหนึ่ง เอารถกลับไปจอดที่บ้าน แล้วก็รีบนั่ง MRT มาหามิลค์เลย ... หิวยัง” รอยยิ้มของมิลค์สดใสราวกับดวงอาทิตย์กลางฤดูหนาว

“หิวแล้ว ไปหาอะไรกินกัน” ผมพยักหน้าตอบรับ

เราเริ่มจากต้นถนนสีลมแล้วเดินย้อนไปทางแยกนราธิวาส แวะทุกร้านนี่อยากแวะ กินทุกอย่างที่อยากกิน ซื้อที่ทุกอย่างที่อยากซื้อ ... และรู้สึกที่อย่างที่เราอยากจะรู้สึก ราวกับว่าโลกใบนี้มีแค่เรา 2 คน

“จีว่ามิลค์ใส่เสื้อตัวนี้แล้วสวยไหม” ผมถามพร้อมกับพาดเสื้อยืดสีฟ้าสกรีนรายกราฟฟิกลงบนตัว

“อืม สวยอยู่นะ จะเปลี่ยนแนวเหรอ” หลังๆ มานี้จีสังเกตได้ว่าเพื่อนสนิทเปลี่ยนมาใช้ brand name เยอะขึ้นกว่าแต่ก่อน อย่างวันนี้แม้เจ้าตัวจะแต่งตัวสบายๆ แต่เสื้อยืนที่สวมก็สกรีนโลโก้ brand ดังอยู่กลางอก รวมถึงเครื่องประดับแบรนด์หรูอย่าง Cartier เข้า set กำไลแหวนบนข้อมือทั้ง 2 ข้าง

“ซื้อเอาไว้ใส่ตอนไปฝึกงาน” คำตอบของมิลค์ทำเอาเจ้าตัวชะงักไปเล็กน้อย เขามัวแต่ยุ่งเรื่องอื่นจนลืมไปได้ยังไงว่าตอนนี้มิลค์อยู่ปี 5 แล้ว เป็นปีที่เจ้าตัวเริ่มออกไปฝึกงานต่างจังหวัด ชุดฝึกงานต่างจังหวัดของคณะสัตวแพทย์มีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า ‘ชุดหมี’ ซึ่งดูเผินๆ ไม่ต่างอะไรจากชุดพนักงานดับเพลิงดีดีนี่เอง แม้จะเป็นชุดที่หนาและร้อนแต่มิลค์กลับต้องใส่เสื้อผ้าไว้ด้านในอีกชั้น เพราะเนื้อผ้าที่สากทำให้เจ้าตัวรู้สึกคันเวลาสวม

“ต้องซื้อกี่ตัว”

“อยากได้ซัก 4 ตัว”

“งั้นจีช่วยมิลค์เลือกนะ” จีดูจะสนุกมากกับการจับผมแต่งตัวเป็นตุ๊กตา ซื้อแค่ 4 ตัวแต่ลองเสื้อไปประมาณ 30 ตัว ใช้เวลาเลือกไปเกือบครึ่งชั่วโมง เกรงใจคนขายจนไม่กล้าต่อราคา

ซื้อเสื้อเสร็จเดินไปอีกหน่อยก็เจอร้านหมูย่าง พอได้กลิ่น แค่มองหน้า ผมก็รู้แล้วว่าจีคิดอะไร

“จะกินกี่ไม้” ผมถามในขณะที่กำลังก้าวขาไปยืนต่อแถว จีชอบกินหมูย่างมาก เป็นอีกหนึ่งเมนูประจำของเจ้าตัว

“4 ไม้ มิลค์กินกี่ไม้”

“2 ไม้พอเก็บท้องเอาไว้กินอย่างอื่น อย่างกินของทอด โอ้ย!!!” ผมมองจีตาขวาง เพราะพอพูดเรื่องของทอดเจ้าตัวก็หยิกพุงผมเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ

“เดียวจีต่อแถวให้ มิลค์ไปซื้อน้ำส้มคั้นร้านโน้นได้ปะ”

“ได้ๆ ขวดเดียว แบ่งกันเนอะ” พอจีพยักหน้าผมก็เดินไปต่อแถวร้านน้ำส้ม พอกลับมาหมูปิ้งทั้ง 6 ไม้ก็อยู่ในมือของเพื่อนสนิท

“มิลค์ถือเองได้” ผมพูดขึ้นเมื่อเจ้าตัวยื่นหมูปิ้งมาจอที่ปาก

“จีป้อน เดียวมือเปื้อน ...”

“... เร็วเข้า” ผมมองตาของเพื่อนสนิท ก่อนจะสลัดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีออกจากหัว แล้วอ้าปากงับหมูปิ้งตรงหน้า เราสลับกันกินคนละคำสองคำ ทำไปทำมาผมเหมือนผมจะกินไป 3 ไม้แทนที่จะเป็น 2 ไม้ตามที่ตั้งใจไว้

“อะจี” หลอดพลาสติดสีเขียวถูกยื่นไปจ่อปากของเพื่อนสนิท เราสอบตากันเสี่ยววินาทีก่อนที่จีจะดูดน้ำส้มหายไปเกือบครึ่งขวด

“ที่เหลือมิลค์กินเลยนะ” ผมพยักหน้าแล้วดูดน้ำส้มจากขวดที่เหลือจากหลอดเดิมจนหมด

หลังจากหมูปิ้งก็ต่อด้วยผัดไท ปาท่องโก ไก่ย่าง ชานมไข่มุก เดินผ่านอะไรที่อยากกินก็ซื้อกินโดยไม่สนใจว่าจะเป็นคาวหรือหวาน

“เฮ้ย!!! ... หลบเร็วมิลค์” ไม่ทันพูดจบประโยค จีก็คว้าขอมือของผม แล้วพาผมวิ่งออกมาจากตรงนั้น

“อะไรวะ” งงว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็วิ่งตามหลังของคนตรงหน้า จีพาผมเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาจนหลงทิศ

“เหนื่อยวะ” จนสุดท้ายเรา 2 คนก็มายืนหอบแฮ๊กอยู่หลังมุมตึก

“โคตรเหนื่อย ไม่ได้วิ่งแบบนี้มานานมาก” ผมบ่น

“ท่าทางเหมือนหมาหอบแดดเลยมิลค์” จีเอ่ยปากแซว ว่าแต่คนอื่นทั้งที่ตัวเองก็หอบไม่แพ้กัน

“เออดิ ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้น”

“เจอเพื่อนเฟิร์ส” ผมชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่จะสลัดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีออกจากหัว (อีกครั้ง)

“กลัวจะถูกจับได้เหรอ ว่าแอบหนีมาแรด” ผมยังไม่ได้เล่าใช่ไหมว่าก่อนหน้านี้จีไปไหนมา จีไปส่งเฟิร์สที่สุวรรณภูมิ เพื่อบินไปเรียนต่อที่ปริญญาโทที่ USA ผมแสยะยิ้มเพราะเมื่อคำนวณคร่าวๆ ตอนนี้เครื่องของเธอน่าจะ take off ไปแล้ว

“ก็เออดิ” แล้วเราก็หัวเราะให้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า นานเท่าไหร่แล้วนะที่เราไม่ได้หัวเราะด้วยกันแบบนี้ โคตรคิดถึงความรู้สึกแบบนี้เลย คิดถึงดวงตาชั้นเดียวคู่นั้น คิดถึงรอยยิ้ม คิดถึงเสียหัวเราะ ... คิดถึงจี

“G”

“ครับ, dear”

“I really like when we are together” ผมไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะตอบตกลง เมื่อจีโทรชวนผมมาถนนคนเดินตั้งแต่สัปดาห์ก่อน รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำหมายถึงอะไร แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจความผิดชอบชั่วดีอีกแล้ว

“Us two are the best”

“I miss you”

“And I miss us” ผมมองรอยยิ้มของเพื่อนสนิทตรงหน้า ยิ้มของจีอบอุ่นราวกับแสงแดดในฤดูหนาว

ผมว่าบางครั้งความเหงาก็น่ากลัวเพราะมันทำให้เราตัดสินใจลงมือทำในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร



..........



“ทำไมมึงมาเร็ววะ” ผมถามพลางเขยิบหลีกทางให้ไอซ์เดินเข้ามา วันนี้พวกเรานัดมา hang out กันที่ห้องของผม ไอซ์มาถึงเป็นคนแรกก่อนเวลานัดเกือบชั่วโมง

“มาคุยกับมึง” มันพูดพร้อมกับเดินนำผมเข้ามาในห้องนั่งเล่น

“มีเรื่องอะไรวะ” ผมกระโดดขึ้นมานั่งบนโซฟา เรานั่งอยู่คนละฝั่ง เผชิญหน้าเข้าหากัน

“กูถามมึงตรงๆ เลยนะ”

“อืม”

“มึงกำลังทำอะไรอยู่วะ”

“กูไม่เข้าใจว่ามึงหมายถึงอะไร”

“เรื่องไอ้จี”

“กูทำอะไร?”

“ไอ้มิลค์ อย่าตอแหล มึงคิดว่ากูไม่สังเกตเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น”

“อะไรของมึง” มึงยังคงตีหน้าซื่อเป็นผู้ร้ายปากแข็ง

“ได้!!! มึงจะเอาแบบนี้ใช่ไหม ... มึงคิดว่ากูไม่รู้เหรอว่าพวกมึง 2 คนแอบไปกินข้าวดูหนังกัน พวกมึงกลับมาเรียกชื่อเล่นกัน และกูได้ยินเต็ม 2 หูว่ามันเรียกมึงว่า dear ...”

“... นี่มันลากมึงขึ้นเตียงแล้วหรือยัง” ไอ้เหี้ยยยยย!!! ถ้าจะพูดขนาดนี้ก็ลุกขึ้นมาตบหน้ากูเลยดีกว่า

“ไอซ์!!! มึงพูดเกิดไปแล้วนะ”

“ดูพฤติกรรมตัวเองก่อนจะมาด่ากู ... นี่มึงคิดจะทำอะไร” นอกจากมันจะไม่หยุดแล้วมันยังซักผมต่อ ไอ้เพื่อนเหี้ย!!!

“กูไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น”

“ถ้าไม่คิดก็มองหน้ากู” ผมมองหน้ามัน แต่ไม่ถึง 3 วินาทีก็ต้องหลบตา คนทำผิดมักมีชนักติดหลังเสมอ

“ทำไมกูจะทำไม่ได้ ...” เมื่อหลังชนฝา ผมก็สารภาพความจริงออกมา

“... กู happy มัน happy ก็ไม่มีอะไรผิดเปล่าวะ”

“มึงพูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า”

“กู ไม่ แคร์” ผมกระแทกหลังลงกับเบาะ ยกมือขึ้นกอดอกราวกับเด็กน้อยที่ถูกขัดใจ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าที่เราทำอยู่หมายถึงอะไร

“เฮ่ออออออ ... มึงมีความสุขจริงๆ เหรอวะ ...” ไอซ์ถอดหายใจยาว เจ้าตัวนับ 1 ถึง 100 พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองไม่ให้ลุกขึ้นมาหยุมหัวไอ้มิลค์

“... กูไม่รู้หรอกนะว่าระหว่างมึง 2 คนเป็นบ้าอะไร ที่ผ่านมากู support มึงเพราะทั้งมึงและมันต่างก็ไม่มีใคร แต่ตอนนี้มันมีแฟนแล้ว และลึกๆ มึงก็รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่มันผิด ...”

“... กูรู้ว่ามึงรักมัน และถ้ามันรักมึงจริงๆ มันต้องให้เกียรติมึง มันต้องไปเลิกกับเฟิร์สแล้วมาขอคบกับมึง ไม่ใช้ทำเหมือนมึงเป็นตัวสำรองแบบนี้ ...” เหมือนโดนลากมาตบกลางสี่แยกด้วยคำว่า ‘ตัวสำรอง’

“... และกูสาบาญเลยว่าถ้าถึงวันนั้นแล้วมันไม่ยอมคุกเข่าขอมึงเป็นแฟน หรือทำตัวกั๊กมึงไปวันๆ เหมือนเมื่อก่อน ต่อให้เป็นเพื่อน กูก็จะล่อมันให้หน้ายับเลย”



..........



ผมยังคงทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อคำเตือนของไอซ์ รู้ทั้งรู้ว่ามันหวังดีและรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่มันผิด แต่ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ขอแค่ได้จับมือของจีไว้ต่อให้ต้องตกนรกหมกไหม้ผมก็ยินดี

“มิลค์ ไปกินบะหมี่ที่ทองหล่อกัน” จีพูดขึ้นในขณะที่คนอื่นๆ เตรียมตัวกลับบ้าน เข็มสั้นของนาฬิกาเลยเลข 11 มาเล็กน้อย ผมมองหน้าเพื่อนสนิทจากนั้นมองเลยไปที่ไอซ์ที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังของจี

“ไปซิ” ไอซ์มองผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนที่เจ้าตัวจะเก็บของใส่กระเป๋า มันเดินออกจากห้องเป็นคนแรกโดยที่ไม่มองหน้าผมแม้แต่น้อย



“ไม่ได้ไปกินบะหมี่เจ้านี้นานมาก” จีพูดขณะที่ Lexus IS 350 สีเทาดำกำลังเคลื่อนตัวผ่านถนนยามค่ำคืนของกรุงเทพมหานคร ร้านบะหมี่ที่จีพูดถึงเป็นร้านรถเข็นที่ตั้งอยู่ในซอยเล็กๆ ตรงข้ามกับปากซอยทองหล่อ สมัยก่อนหลังจากเที่ยวเสร็จเราชอบมาแวะกินมื้อดึกกันก่อนจะกลับบ้าน ส่วนตัวผมไม่ได้รู้สึกว่าร้านนี้อร่อยเกินมาตราฐานร้านบะหมี่ทั่วไป แต่ไม่รู้ทำไมจีถึงได้ติดอกติดใจร้านนี้นัก

“จริง ไม่ได้มานานจนมิลค์ลืมร้านนี้ไปแล้ว” ตั้งแต่พวกมันเรียนจบ ผมก็แทบไม่ได้เที่ยวกลางคืนอีกเลย

“ที่มหาลัยเป็นไงบ้าง” จีถาม

“ฝึกงานสนุกดี” ปีนี้ผมเริ่มมีวิชาฝึกงานมากขึ้น ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด

“ตอนไปต่างจังหวัดเป็นไงบ้าง ยังไม่ชอบอยู่ไหม”

“ไม่ได้รู้สึกไม่ชอบเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” ผ่านการฝึกงานที่ฟาร์มมาได้แค่นี้สบายมาก

“อีกแป๊บเดียวมึงก็เรียนจบแล้วเนอะ”

“อืม ...” ตอนนี้ปี 5 เทอม 2 แล้ว อีกไม่กี่เดือนก็เตรียมตัวขึ้นปี 6

“... ปิดเทอมใหญ่มิลค์มีค่ายอาสานะ”

“ค่ายที่มิลค์เคยพูดถึงนะเหรอ”

“อืม ค่ายนั้นแหละ” มันเป็นวิชาค่ายอาสาที่นิสิตทุกคนต้องไป

... ‘First’

บทสนทนาของเราถูกขัดจังหวะเมื่อโทรศัพท์ของจีก็มีสายเรียกเข้า จีหยิบมือถือที่วางอยู่ตรงคอนโซนหน้ารถขึ้นมาดูก่อนที่เจ้าตัวยกมือขึ้นมาทำท่าจุปากให้ผมอยู่เงียบๆ ผมพยักหน้าเป็นการตอบรับ ... โทรมาดึกขนาดนี้มีอยู่คนเดียวเท่านั้นแหละ

“Hello”

“จีอยู่ไหนแล้วคะ ถึงบ้านหรือยัง” แม้จะคุยกันไม่กี่ครั้งแต่ผมก็จำเสียงของเธอได้ขึ้นใจ โทรศัพท์มือถือของจีต่อกับ Bluetooth รถยนต์ทำให้ผมได้ยินเสียงของเธอชัดเจน

“กำลังจะกลับครับ”

... ‘Ice’

แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่ออยู่ๆ มือถือของผมก็ดังขึ้น ผมรีบหยิบมือถือออกจากกระเป๋ากางเกงและตัดสายอย่างรวดเร็ว แต่ดูท่าว่าจะสายเกินไป

“จีอยู่กับใครคะ” มันเหล่สายตามองมาทางผม ผมสัมผัสได้ว่าเราทั้งคู่ต่างกลั้นหลายใจ

“อยู่กับมิลค์”

“กับมิลค์? ดึกขนาดนี้ยังอยู่กับมิลค์อีกเหรอ ไหนบอกว่ากำลังจะกลับบ้านไง” น้ำเสียงของเธอเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่ผมจะได้ยินอะไรมากไปกว่านั้นจีก็กดปิด Bluetooth แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูทันที

“กำลังไปหาอะไรกินกับมิลค์ ... ไม่ใช้อย่างนั้น ...” ไม่ใช้แค่น้ำเสียงของเธอที่เปลี่ยนไป น้ำเสียงของจีก็เข้มขึ้นเช่นกัน

“... อืม อืม ... ไม่ใช้ ...” ผมไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไรแต่บรรยากาศในรถแย่ลงจากเมื่อ 5 นาทีก่อนราวกับพลิกฝ่ามือ

“... เฟิร์ส พูดอะไรช่วยให้เกียรติมิลค์ด้วยครับ ...” น้ำเสียงของจีเรียบนิ่ง สีหน้าแววตาฉายชัดว่าเจ้าตัวกำลังไม่พอใจ ... Winter is coming

“... อืม อืม ... ไว้คุยกันครับ” พูดจบมันก็กดวางสาย ก่อนจะโยนมือถือกลับที่เดิมอย่างไม่ใยดี

...

...

...

“กลับบ้านไหม” ผมถามเมื่อเราทั้งคู่ต่างเงียบใส่กันมาซักพัก มันส่ายหน้า แต่ยังเหม่อมองไปนอกหน้าต่างๆ

“ไม่กลับ ... อยากอยู่กับมิลค์”

“อยากอยู่กับจีเหมือนกัน” นิ้วก้อยของผมยื่นไปสัมผัสกับนิ้วชี้ของจีที่วางอยู่บนเกียร์รถยนต์ ก่อนที่ปลายนิ้วของเราจะเกี่ยวกันไว้หลวมๆ

“ทะเลาะกันมา 2 วันแล้ว จีไม่ได้คุยกับเฟิร์สมาตั้งแต่วันพฤหัส นี่เขาเป็นฝ่ายโทรมาก่อน”

“เลิกไหม รู้อยู่แล้วว่าเข้ากันไม่ได้ จีจะรั้งไว้ทำไม ... ไม่เหนื่อยเหรอ” เลิกไหม แล้วมาคบกับกู กูสัญญาว่าจะรัก และไม่ทำให้มึงเสียใจ ขอร้อง เรามาคบกับนะ ... ผมทำได้แค่กล่าวประโยคนี้ในใจ

“เหนื่อย แต่อีกใจ ... ก็รักเขา” คำตอบของจีทำเอาผมหายใจไม่ออกราวกับคนกำลังจมน้ำ ถ้าความรู้สึกที่มีให้อีกคนที่อยู่คนละซีกโลกคือความรัก แล้วความรู้สึกที่มีให้ผม คนที่นั่งอยู่ข้างเขาตอนนี้มันเรียกว่าอะไร

ตอนที่จีชวนผมออกมากินข้าวผมจินตนาการภาพว่ามันคงเป็นมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม แต่ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมคาดหวังไว้ เหมือนเราทั้ง 2 คนต่างหลุดเข้าไปในโลกของตัวเอง ต่างคนต่างกิน ไม่พูดคุย ไม่ไถ่ถาม กินเสร็จจ่ายเงินแล้วขับรถกลับ สารภาพว่าเมื่อชั่วโมงก่อนผมแอบมีความหวังว่าจีจะค้างคืนกับผม และเราจะได้ใช้ชีวิตด้วยกันจนถึงหัวค่ำของวันพรุ่งนี้ เหมือนอย่างในอดีต

Lexus สีเทาดำจอดสนิทอยู่หน้าประตูทางเข้าคอนโดย่านสาทร

“G” ผมเรียกชื่อเพื่อนสนิทด้วยสำเนียง American คุ้นหู

“ครับ, dear”

“We must stop doing this, ...” ผมหยุดพูดเพื่อผ่อนลมหายใจ ความรู้สึกกำลังเอ่อล้นจะแทบจะคุมไว้ไม่อยู่

“... I can't take it anymore. I feel like I'm falling apart” พูดจบน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม ผมสะอื่นแล้วรีบยกหลังมือของมาปาดน้ำตา ไม่เคยคิดเลยว่ากรรมจะตามสนองเร็วขนาดนี้

“I am so sorry, dear. I don’ t mean to hurt you”

“You don’ t have to. No matter what I choose, it will hurt either way”

“Milk, Can we still be best friends?”

“Always”

ตอนนี้ผมตอบตัวเองได้แล้วว่าระหว่างความคิดถึงกับความจริงอะไรเจ็บปวดมากกว่ากัน

‘Sometimes, the truth hurts the most’


----------


#Us two #I miss you # And I miss us #ไม่รู้ว่าน้ำหรือไฟ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
"My dear. the problem is that you love him so much
that you would allow him to drag you all the way to Hell
if it meant you could hold his hand on the way down"


----------


#Please, dance with me in the dark #ไม่รู้ว่าน้ำหรือไฟ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

“We must stop doing this, ...” ผมหยุดพูดเพื่อผ่อนลมหายใจ ความรู้สึกกำลังเอ่อล้นจะแทบจะคุมไว้ไม่อยู่

“... I can't take it anymore. I feel like I'm falling apart” พูดจบน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม ผมสะอื่นแล้วรีบยกหลังมือของมาปาดน้ำตา ไม่เคยคิดเลยว่ากรรมจะตามสนองเร็วขนาดนี้

“I am so sorry, dear. I don’ t mean to hurt you”

“You don’ t have to. No matter what I choose, it will hurt either way”


--------


#The truth hurts the most #ไม่รู้ว่าน้ำหรือไฟ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 28
«ตอบ #129 เมื่อ17-10-2025 23:40:25 »

Teaser ตอนที่ 28

“กลางวันไปกินข้าวไหน” แก้วถามเมื่ออาจารย์ปิดสไลด์ เป็นสัญญานว่าปล่อยนิสิตให้ไปพักกลางวันได้

“กูว่าจะไปหาอะไรกินในสยาม อยากเดินดูโน่นนี้หน่อย”

“ให้พวกกูไปด้วยไหม” ต่อเสนอตัวไปเป็นเพื่อน

“ไม่เป็นไร พวกแกไปกินที่โรงอาหารกันเถอะ เราว่าจะเดินเล่นนิดหน่อย เกรงใจพวกแก”

“เหรอ”

“อืม ไว้เจอกันคาบบ่าย” แก้วเหมือนจะอยากตามมาแต่เพราะต่อส่งสายตาเชิงห้ามปรามเจ้าตัวถึงได้ปล่อยให้ผมไปคนเดียว มัน 3 คนรู้เรื่องระหว่างผมกับจี แม้จะเป็นห่วงแต่พวกมันก็ยินดีจะเว้นระยะห่างตามที่ผมต้องการ

ช่วงหลังๆ ผมมักจะแยกตัวไปกินข้าวกลางวันคนเดียว อยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองให้มากหน่อย มีหลายเรื่องที่ต้องคิดแม้ว่าจะคิดเท่าไหร่ก็ไม่ได้คำตอบซักที เทอมสุดท้ายของปี 5 ใกล้จะจบลง อีกไม่นานผมจะก้าวขึ้นมาเป็นพี่ใหญ่ของคณะ เวลาในรั้วมหาลัยเหลือน้อยลงทุกที จากที่เคยมั่นใจว่าจะเรียนต่อตอนนี้ผมรู้สึกลังเล

ผมเดินเลาะไปตามซอยของสยามสแควร์ตั้งใจจะไปกินร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ ร้านหนึ่งที่อยู่ชั้น 2 ของร้านแว่นตา ในขณะที่กำลังเดินขึ้นชั้นบน ผมมองเข้าไปในร้าน ในจังหวะเดียวกันกับที่หนึ่งในลูกค้าเงยหน้าขึ้นมาพอดี เรา 2 คนสบตากัน รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่สุดแสนจะคุ้นเลย เขาก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงประตู

“มิลค์!!!”

“บอน!!!”


----------

มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์นะครับ จากน้องมิลค์เดิม เพิ่มเติมคือชอบกินข้าวคนเดียว

#The toxic and abusive Ex is back #Red flag
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 28
« ตอบ #129 เมื่อ: 17-10-2025 23:40:25 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 28 : แหลกละเอียด (Part 1/2)

ไม่ว่าแสงอาทิตย์จะฉาบท้องฟ้าให้มีสีฟ้าครามแค่ไหนแต่ผืนฟ้าที่เคยสวยงามตอนนี้กลับไม่สดใสเหมือนเก่า หัวใจของผมปกคุลมไปด้วยเมฆหมอกขมุกขมัว ความสัมพันธ์ของผมกับจีที่เหมือนจะกลับมาอยู่ในระดับเดิม ตอนนี้ร่วงหล่นราวกับตกเหว หลังจากวันนั้นเราก็ไม่ออกไปไหนมาไหนกัน 2 คนอีกเลย สรรพนามของเราถูกเปลี่ยนกลับมาเป็น ‘กู-มึง’ อีกครั้ง

“กลางวันไปกินข้าวไหน” แก้วถามเมื่ออาจารย์ปิดสไลด์ เป็นสัญญานว่าปล่อยนิสิตให้ไปพักกลางวันได้

“กูว่าจะไปหาอะไรกินในสยาม อยากเดินดูโน่นนี้หน่อย”

“ให้พวกกูไปด้วยไหม” ต่อเสนอตัวไปเป็นเพื่อน

“ไม่เป็นไร พวกแกไปกินที่โรงอาหารกันเถอะ เราว่าจะเดินเล่นนิดหน่อย เกรงใจพวกแก”

“เหรอ”

“อืม ไว้เจอกันคาบบ่าย” แก้วเหมือนจะอยากตามมาแต่เพราะต่อส่งสายตาเชิงห้ามปรามเจ้าตัวถึงได้ปล่อยให้ผมไปคนเดียว มัน 3 คนรู้เรื่องระหว่างผมกับจี แม้จะเป็นห่วงแต่พวกมันก็ยินดีจะเว้นระยะห่างตามที่ผมต้องการ

ช่วงหลังๆ ผมมักจะแยกตัวไปกินข้าวกลางวันคนเดียว อยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองให้มากหน่อย มีหลายเรื่องที่ต้องคิดแม้ว่าจะคิดเท่าไหร่ก็ไม่ได้คำตอบซักที เทอมสุดท้ายของปี 5 ใกล้จะจบลง อีกไม่นานผมจะก้าวขึ้นมาเป็นพี่ใหญ่ของคณะ เวลาในรั้วมหาลัยเหลือน้อยลงทุกที จากที่เคยมั่นใจว่าจะเรียนต่อตอนนี้ผมรู้สึกลังเล

ผมเดินเลาะไปตามซอยของสยามสแควร์ตั้งใจจะไปกินร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ ร้านหนึ่งที่อยู่ชั้น 2 ของร้านแว่นตา ในขณะที่กำลังเดินขึ้นชั้นบน ผมมองเข้าไปในร้าน ในจังหวะเดียวกันกับที่หนึ่งในลูกค้าเงยหน้าขึ้นมาพอดี เรา 2 คนสบตากัน รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่สุดแสนจะคุ้นเลย เขาก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงประตู

“มิลค์!!!”

“บอน!!!”

“มึงมาทำอะไร” เจ้าตัวถามพลางก้าวออกจากร้าน

“กินข้าว ... ชั้น 2 มีร้านอาหารญี่ปุ่น” ผมอธิบายเพิ่มเติม

“จริงดิ? กูกินด้วยได้เปล่า ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย หรือมึงนัดใครไว้”

“เอาดิ กูมาคนเดียวเหมือนกัน”

“งั้นรอแป๊บกูจ่ายตังค์ก่อน ...” เจ้าตัวรีบกลับเข้าไปในร้าน จ่ายเงิน รับของ แล้วเดินออกภายในระยะเวลาไม่ถึง 5 นาที

“... ไปกัน” มันพูดก่อนจะเดินตามหลังผมขึ้นมายังชั้น 2



“สั่งอะไรมากินตรงกลางไหม” บอนถามเมื่อต่างคนต่างสั่งมื้อกลางวันของตัวเองเรียบร้อย

“เอาดิ” ผมพยักหน้า แล้วเปิดเมนูหาอาหารจานกลาง

“มึงยังชอบกินของทอดอยู่ไหม”

“ชอบ”

“เอาหมู tonkatsu ครับ”

“กูสั่งอะไรมากินคู่กันหน่อยนะ” ผมถาม

“เอาเลยๆ” คนตรงข้ามตอบรับพร้อมรอยยิ้ม

“เอา Hamachi sashimi ครับ” พนักงานตอบรับด้วยรอยยิ้มก่อนจะเก็บเมนูแล้วเดินไปส่ง order

“มึงเป็นไงบ้าง ไม่เจอกันนานโคตร” บอนถามอย่างกระตือรือร้น ตั้งแต่จบมัธยม เราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ผมรู้แค่บอนเรียนต่อคณะบริหารที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง

“นานจริง กูโอเคดี ใกล้เรียนจบแล้ว”

“เออใช่ กูลืมไปเลยว่ามึงเรียนสัตวแพทย์” ผมไม่ได้แปลกใจที่บอนรู้ เราเป็น friend กันใน FB ตั้งแต่ปีที่แล้ว

“แล้วมึงละ ตอนนี้ทำไรอยู่”

“เรียนต่อ จริงๆ ตอนนี้กูเรียนต่อที่ New York แต่เป็นช่วงปิดเทอมเลยกลับมาบ้าน” รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เพราะเจ้าตัวไม่ค่อย up อะไรลง FB ผมเลยไม่รู้เรื่องชีวิตของบอนมากนัก

“เรียนบริหาร?”

“อืม บริหาร minor เป็นการเงิน”

“เหมาะกับมึง” มันยิ้มกว้างตอบรับคำชมของผม บ้านของบอนเป็นโรงงาน OEM อาหาร ผมเชื่อว่าวัยเด็กของพวกเราทุกคนต้องเคยกินอาหารที่ผลิตจากธรุกิจที่บ้านของมันมาอย่างน้อย 1 อย่าง การเรียนต่อด้านบริหารควบการเงินเป็นสาขาที่เหมาะกับผู้บริหารในอนาคตอย่างบอน

“ขำอะไรวะ” มันถามเมื่อผมหลุดขำเพราะแอบแซวมันในหัว

“ขำมึง ไม่น่าเชื่อว่าเด็กไม่ชอบเรียนหนังสืออย่างมึงจะมาไกลได้ขนาดนี้”

“ก็โตแล้วไหมวะ เรียนๆ เล่นๆ มาตลอด ถึงเวลาต้องจริงจังกับอนาคตตัวเองซักที” ผมทำสีหน้าเหลือเชื่อว่าประโยคคมๆ แบบนี้จะหลุดออกจากปากของมัน

“ม๊าคงดีใจน่าดู ... ป๊าม๊าสบายดีนะ” อาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟ ผมกับบอนเลยคุยไปกินไป

“สบายดี แล้วมึงละ จบแล้วจะทำอะไรต่อ” มันถาม

“ยังไม่ได้ตัดสินใจเลย”

“อย่างมึงเนี่ยนะ” บอนถามด้วยสีหน้าสงสัย เพราะในความรู้สึกของบอนมิคล์เป็นคนเก่งและมักจะวางแผนอนาคตของตัวเองเสมอ

“คนอย่างกูเนี่ยแหละ 555” แต่แม้จะเป็นคนเก่ง แต่คนเราก็ย่อมมีช่วงที่ไม่แน่ใจกับอนาคตของตัวเองบ้างเหมือนกัน

“มึงไม่ได้จะต้องกลับไปช่วยงานพ่อเหรอ”

“ไม่รู้ซิ? ยังคิดอยู่ว่าจะเรียนต่อเกี่ยวกับสัตวแพทย์ดีไหม ช่วงหลังๆ พ่อกูไม่เห็นพูดถึงเรื่องนี้เลย” ทั้งที่ก่อนหน้านี้พ่อมักจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าเรียนจบแล้วอยากให้ผมกลับมาทำงานที่บริษัท

“เล่าได้นะ”

“เรียนต่อ ป.โท ที่คณะก็ยื้อเวลาเป็นหมอได้อีกซัก 3 ปี”

“อยากเป็นหมอขนาดนั้น?”

“ก็อยาก แม้จะรู้ว่าสุดท้ายต้องกลับไป” เพราะรู้ว่าสุดท้ายต้องกลับไป ตอนนี้เลยเริ่มรู้สึกเหนื่อยกับการฝืนชะตาชีวิตตัวเอง

“อืมมมมมม จริงๆ ก็ไม่เห็นจะต้องคิดมากเปล่าวะ อยากเรียนก็เรียน ใช้เวลาไม่กี่ปีเอง มึงยังเหลือเวลากลับไปช่วยงานที่บ้านอีกตั้งเยอะ แต่ถ้ามึงกลับไปช่วยงานพ่อเลย มึงจะไม่ได้กลับมาเรียนสัตวแพทย์อีกแล้วนะ”

จากนั้นก็เหมือน dead air ที่เราต่างคนต่างกินอาหารของตัวเองเงียบๆ ผมกำลังคิดตามประโยคที่บอนพูดออกมา

“มองไร” มันถามเมื่อผมเผลอมองหน้ามันนานกว่าปกติ

“มึงเปลี่ยนไปเยอะมาก”

“กูหล่อขึ้นใช่มะ ...” หมันใส้ความมั่นใจของมันเหลือเกิน ผมไม่ตอบแม้ว่าเรื่องอวยตัวเองของจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม บอนสมัยยังเป็นเด็กมัธยมในความทรงจำของผมวันนั้น ตอนนี้กลายเป็นชายหนุ่มดีกรีนักเรียนนอก ไปแล้ว มันตัวหนาขึ้น ต้นแขนที่โผล่พ้นเสื้อโปโลแขนสั้นออกมาบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเจ้าตัวออกกำลังกายเป็นประจำ ใบหน้าที่คุ้นชินถูกแทนที่ด้วยโครงหน้าหล่อเหลาของผู้ใหญ่

“... ไม่อยากจะโม้ แต่ตอนมหาลัยกูรับงานเดินแบบด้วยนะ ...” ผมเผลอทำปากขมุมขมิบด้วยความหมันใส้

“... เคยสงสัยว่าจะมีโอกาสได้เจอมึงในงานบ้างไหม แต่ก็ไม่เคยเจอเลย”

“มึงดูละครมากไป กูไม่ค่อยได้ไปงานแบบนั้นหรอก” โอกาสจะเจอผมตามงานเปิดตัวสินค้าหรือตามงานสังคมต่างๆ น้อยยิ่งกว่าการเจอผมในเพจ cute boy มาก

“กินเสร็จแล้วมึงต้องกลับไปเรียนต่อหรือเปล่า ...” มันถามเมื่อมื้ออาหารของเราใกล้จะสิ้นสุดลง ผมขยับข้อมือดูนาฬิกา digital ของ Casio ที่ข้อมือซ้าย เหลือเวลาอีก 15 นาที

“... เสียดายวะ นานๆ ทีได้เจอมึงที ยังใช้เบอร์เดิมอยู่ไหม”

“เบอร์เดิม มึงละ”

“เบอร์เดิม กูว่างอีกตั้งเดือนนึง ถ้าวันไหนมึงว่างไปเที่ยวกันไหม”

“เอาซิ ...” ผมมองมันในขณะที่มีความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว

“... บอน กูไม่อยากอยู่คนเดียว กูอยากไปเที่ยว มึงพากูไปได้หรือเปล่า”



ผมกำลังก้าวเดินตามแผ่นหลังสูงใหญ่ของบอน เราเดินลัดเลาะไปตามระเบียงของโรมแรมหรูที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อก้าวเท้าออกจากตัวโรงแรมผมก็ได้กลิ่นของแม่น้ำ สายลมเอื่อยๆ ของช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ปะทะเข้ากับโครงหน้าสวย เส้นผมที่เริ่มจะยาวปลิวไสวไปตามสายลม

“ก้าวระวังนะ” บอนก้าวลงเรืออย่างมั่นคง มันหันกลับมาหาผมที่ยังยืนอยู่บนท่าเรือพร้อมกับรอยยิ้ม ผมมองฝ่ามือหนาที่ถูกยื่นมาตรงหน้า ก่อนที่รอยยิ้มหวานจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“ขอบใจ” มันกุมมือผมไว้หลวมๆ ในขณะที่ผมก้าวขึ้นเรือ

ย้อนกลับไปเมื่อกลางวันบอนนิ่งไปแค่เสี่ยววินาทีก่อนจะตอบรับคำขอแปลกประหลาดของผม เจ้าตัวทำหน้าครุ่นคิดอยู่ซักพักก่อนจะออกไปโทรศัพท์แล้วเดินกลับเข้ามาพร้อมกับบอกว่าจะพาไปเที่ยว แต่ขออุ๊บไว้ก่อนเป็น surprise บอนเอาศักดิ์ศรีเป็นประจำว่าผมจะต้องชอบสถานที่ที่มันกำลังจะพามา ... ใครจะคิดว่าเจ้าตัวจะเล่นใหญ่ถึงขนาดเหมาเรือยอร์ชส่วนตัวพาผมมาล่องแม่น้ำเจ้าพระยา

“กูไม่เคยมาล่องเรือแบบนี้มาก่อน” ผมพูดพร้อมกับหย่อนตัวลงบนเบาะนั่งข้างๆ บอน

“ชอบไหมละ”

“ชอบดิ วันนี้อากาศโคตรดี” เป็นโชดดีของผมวันนี้ที่อากาศเย็นส่งท้ายปลายฤดูหนาว

“มึงจ้างเขากี่ชั่วโมง” มันส่ายหัว

“นานเท่าทีจะทำให้มึงสบายใจขึ้น”

“โคตรป๋า ... ใช้มุกนี้จีบสาวบ่อยหรือเปล่า”

“ไม่เคยเลยเถอะ มึงชอบมองกูในแง่ร้าย”

“ใครจะไปรู้ เมื่อก่อนมึงใช่ย่อยซะที่ไหน ...”

“... พูดไปก็คิดถึงเมื่อก่อน มึงแมร่งโคตรเจ้าชู้ ชนิดที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน 555”

“เออ พูดตอนนี้แล้วก็ขำ ส่วนมึงก็โคตรขี้หึง”

“ทำไงได้ มึงเป็นแฟนคนแรกของกูนะเว้ย กูก็วาดฝันว่าโลกจะเป็นสีชมพูไหม ...”

“... ใครจะรู้ มีแฟนผิดคิดจนตัวตาย”

“มึงแมร่ง ด่ากูเจ็บตลอด...”

“... กูยังจำเรื่องห้องเก็บของหลังโรงยิมได้อยู่เลย”

“555 กูแรดเนอะ ทำไปได้ไงวะ” คิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ให้กับความแรดของตัวเอง

“แต่กูพูดจริงนะว่าไม่เคยทำแบบนี้ให้ใคร”

“กูจ่ายได้นะ เกรงใจมึง”

“ไม่เอา มิลค์ ติฒสิงห์ เอ่ยปากอยากมาเที่ยวทั้งที กูก็ต้องตอบรับให้สมศักดิ์ศรีหน่อยซิวะ”

“ขอบใจนะ”

“เพื่อมึง กูยินดีเสมอ ...”

“... กูเคยคิดว่าถ้าวันนั้นกูทำตัวให้ดีขึ้นกว่าเดิมซักหน่อย รักมึงให้มากกว่าเดิมซักนิด หรือหยุดเจ้าชู้ในวันที่มึงร้องขอ ตอนนี้เรา 2 คนจะเป็นยังไง”

“ฮึๆๆ ไม่ใช้มึงแค่คนเดียวที่คิด ...”

“... บางครั้งกูก็สงสัยเหมือนกัน ว่าถ้าตัวเองไม่เป็นฝ่ายถอดใจก่อน วันนี้เราจะเป็นยังไง แต่คิดไปก็ไม่มีใครตอบได้หรอก ... มึงอาจจะเป็นรักแท้...”

“... หรืออาจจะเป็นแฟนเหี้ยๆ ของกูเหมือนเดิม” ผมยืมประโยคที่ใครอีกคนเคยพูดไว้เมื่อหลายปีก่อนมาใช้ ผมกับบอนสบตากัน เราต่างอมยิ้ม ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง

มันเป็นเหตุการณ์ที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าวันนึงจะได้กลับมานั่งคุยเรื่องในอดีตกับแฟนเก่าคนแรก มันไม่ได้แย่อย่างที่คิด ที่จริงคือมันดีมากๆ อาจเพราะเราเคยผ่านช่วงเวลาแย่ๆ มาด้วยกัน เคยรักกันมาก และเกียจกันจนไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน แต่แล้วความบาดหมางก็เจือจางไปตามกาลเวลา จนตอนนี้เหลือทิ้งไว้แค่ความทรงจำดีๆ ที่ทำให้เรานั่งอมยิ้มทุกครั้งที่คิดถึง

เราใช้เวลาล่องเรือกันเกือบ 3 ชั่วโมง พอผมเอ่ยปากบอกว่าสบายใจขึ้นแล้ว บอนก็บอกให้คนขับหันหัวเรือกลับ ผมตอบแทนบอนด้วยการเสนอตัวเลี้ยงอาหารมื้อเย็นที่โรงแรม แม้จะคุยกันเยอะมากมาค่อนวันแล้วแต่เราก็ยังมีเรื่องให้สลับกันเล่าสู่กันฟังได้ฟังไม่รู้จบ บอนเล่าเรื่องราวโลดโผนของชีวิตในหอพักนักศึกษาให้ผมฟัง แน่นอนว่ามีทั้ง part ปกติและ part ที่ไม่น่าจะผ่านกองเซนเซอร์ ผมเพิ่งรู้ว่าหลังจากผม บอนก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ชายคนไหนอีก ที่ผ่านมาเจ้าตัวมีแฟนเป็นผู้หญิงมาตลอด

เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะยังคงดังขึ้นมาตลอดทางจากห้องอาหารไปยังตึกจอดรถ อากาศเย็นลงจากเมื่อบ่ายพอสมควร ผมสูดอากาศเข้าเต็มปอดก่อนที่จะพาตัวเองเข้ามาอยู่ในรถ BMW series 3 สีขาวสะดุดตา

“มึงจอดรถทิ้งไว้ที่สยามใช่ไหม” บอนถาม

“บอน ตอนนี้มึงมีแฟนหรือเปล่า ...” มันมองหน้าผม คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นเหมือนไม่แน่ใจว่าคำถามนี้เกี่ยวอะไรกับบทสนทนาของเรา ในรถมีแค่เสียงแอร์และเสียงจากเครื่องยนต์ และทันทีที่คนตรงหน้าส่ายหัว

“... ดี” รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมิลค์ นิ้วมือเรียวสวยคว้าเข้าที่ปกคอเสื้อโปโลสีแดงก่อนจะดึงรั้งแฟนเก่าเข้ามาประกบจูบ ... ผมรู้สึกได้ถึงแรงตอบรับที่ค่อย ๆ ทวีความลึกซึ้งขึ้น บอนไม่ดันผมออก ไม่หลบ ไม่ปฏิเสธ ... แค่ปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปเหมือนสายน้ำที่พาเรามา

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 28
«ตอบ #131 เมื่อ19-10-2025 10:20:15 »

ตอนที่ 28 : แหลกละเอียด (Part 2/2)

ผมยืดคอขึ้นเพื่อโกยอากาศเข้าให้เต็มปอด เอวบางโยกขึ้นลงตามจังหวะที่ถูกส่งมาจากคนด้านล่าง ความเสี่ยวซ่านแพร่กระสานไปทั่วร่างกาย ในบางจังหวะที่จุดอ่อนไหวด้านในถูกกระตุ้น นิ้วมือเรียวสวยถึงกับต้องจิกลงบนกล้ามอกแน่นเพื่อระบายอารมณ์ที่กำลังโหมกระหน่ำ

มือหนาคว้าหมับเข้าที่เอวคอด ก่อนที่บอนจะพลิกตัวขึ้นเพื่อสลับตำแหน่ง ท่อนขาเนียนเรียวปราศจากไรขนถูกยกขึ้นพาดบนไหล่กว้าง เรา 2 คนสบตากันอีกครั้ง

“ไหวไหม” คนด้านบนถาม พอพยักหน้าตอบรับบอนก็โถมกระหน่ำแรงลงมาจนผมต้องเอื้อมมือขึ้นไปดันหัวเตียงเอาไว้ไม่ให้ตัวเองไถลไปตามแรงกระแทก

เสียงลมหายใจ เสียงเนื้อกระทบเนื้อ เสียงเจลหล่อลื่นที่เสียดสีกับช่องทางอ่อนไหว แม้จะฟังดูหยาบโลนแต่กลับยิ่งยิ่งกระตุ้นให้อารมณ์ของเรา 2 คนเตลิดไปไกล

เพี๊ยะ!!!

ผมนิ่งงันไปชั่วขณะเพราะความตกตลึง แต่พอตั้งสติได้ความโกรธก็พุ่งทยาน

เพี๊ยะ!!!

ฝ่ามือบางตบเข้าที่แก้มของคนด้านบนเต็มแรง ใบหน้าคมหันไปตามแรงกระแทกก่อนจะเริ่มขึ้นเป็นสีแดงจางๆ กิจกรรมด้านล่างหยุดชงัก คิ้วหนาขมวดเข้าหากันบ่งบอกชัดเจนว่าบอนไม่พอใจ

“อย่าตีก้น กูไม่ใช้กระหรี่” ดวงตาด้านล่างฉายแววแข็งกร้าวไม่ต่างกัน แต่พอพูดจบผมก็คว้าคอคนของมันลงมาประกบจูบ อารมณ์ใคร่ถูกปลุกกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

เอวหนาซอยถี่ยิบ ฝ่ามือร้อนกดเอวบางจนแทบจะจมหายไปกับเตียง เสียงครางสูงต่ำดังสลับ คนด้านบนหายใจถี่เร็ว

“ทำให้กู ...” มิลค์พูดขึ้นพลางจับเอามือหนามาวางไว้ที่จุดอ่อนไหว

“... เสร็จพร้อมกัน” คนด้านบนพยักหน้ารับ เอวหนายังคงซอยถี่เร็ว ในขณะที่ฝ่ามือร้อนกุมจุดอ่อนไหวของมิลค์ไว้ในมือก่อนจะรูดขึ้นลง

“อ่า / อร่า!!!”



“มึงสวย” ผมที่กำลังนั่งเช็ดผมอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามปรายสายตาขึ้นมอง บอนที่กำลังนั่งพิงหัวเตียงอยู่มองผมไม่ละสายตา เสื้อคลุมอาบน้ำที่เจ้าตัวใส่แหกออกจนเห็นช่วงอกที่มีรอยปื้นแดงๆ พาดผ่าน เพราะไม่ได้เตรียมชุดมาพวกเราเลยต้องใช้ชุดคลุมอาบน้ำแทนชุดนอน

“ต่อให้ชมมากกว่านี้กูก็ไม่ให้อีกรอบหรอกนะ” ผมแยกเคี้ยวใส่เพราะรู้สันดานของคนตรงหน้าดี นาฬิกา digital ตรงหัวเตียงบ่งบอกเวลา 01.45 พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า บอนอาสาไปส่งผมที่คณะให้ทันก่อนคาบเช้า 8.00

“กูไม่ได้คิดแบบนั้นเลย ...” น้ำเสียงมันตัดเพ้อ บ่งบอกชัดเจนว่าให้ผมหยุดมองมันในแง่ร้ายได้แล้ว

“... มึงพูดจริงๆ เหรอว่าตั้งแต่เลิกกัน มึงไม่เคยมีแฟนอีกเลย”

“อืม ไม่เคย” ผมตอบพลางใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่ใกล้จะแห้งสนิท

“ทำไมวะ”

“ไม่อยากมี อยู่คนเดียวแล้วสบายใจกว่า”

“เดียวนะ!!! งั้นแสดงว่าถึงตอนนี้กูเป็นคนเดียวที่มึงเคยมีอะไรด้วย?” บอนตาเป็นประกายเมื่อตีความคำตอบของผมไปอีกประเด็นหนึ่งหน้าตาเฉย สีหน้าภาคภูมิใจนั้นทำให้ผมอยากจะเดินไปฟาดหน้ามันอีกซักที

“ก็ตามนั้น” ผมใช้ความนิ่งสยบแววตาเจ้าเล่ห์ของมัน ในใจรู้สึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ไอ้บอนลืมคิดไปว่านอกจากมันจะเป็นคนเดียวที่ผมเคยมีอะไรด้วยแล้ว เมื่อกี้ยังเป็น sex ครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปีของผม

“กูพูดจริงๆ นะว่ามึงสวยจริง สวยมาก สวยจนใครๆ ก็ต้องหันกลับมามอง ...”

“... รู้หรือเปล่าว่าที่ห้องอาหารคนแอบมองมึงเยอะมาก” ผมยิ้มรับ ก่อนจะลุกขึ้นเอาผ้าขนหนูผืนเล็กไปเก็บในห้องน้ำ ขณะที่เดินกลับออกมาเห็นซองถุงยางที่ถูกฉีกออกแล้ว 3 ซองนอนนิ่งอยู่ก้นถังขยะ ช่วงจังหวะหนึ่งผมอยากจะย้อนเวลากลับไปหยุมหัวตัวเอง เพราะกลัวว่าการติดสินใจเพียงชั่ววูปจะทำให้เรื่องราวต่างๆ ซับซ้อนมากไปกว่าที่เป็นอยู่

“นอนเถอะ ...” ผมทิ้งตัวลงบนเตียงในขณะที่บอนก็ไถลตัวลงมานอนอยู่ข้างๆ เรานอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน

“... ปิดไฟได้แล้ว โคตรง่วง”

“กูขอโทษนะที่ตีก้นมึง” บอนทำหน้าหมาหงอย ให้ความรู้สึกเหมือนหมา Golden retriever ที่กลัวว่าจะถูกเจ้าของดุ

“อืม ขอโทษเหมือนกันที่ตบหน้ามึง”

“กูไม่รู้ว่ามึงไม่ชอบ ...”

“... มิลค์...”

“... ลองกลับมาคบกันไหม” นั้นไง พูดยังไม่ทันขาดคำ

“อย่าเลย มึงก็รู้ว่าเมื่อกี้ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า sex” ผมปฏิเสธโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด แม้จะหายโกรธไปนานแล้วแต่ผมก็ยังจำได้ว่ามันทำให้ผมเสียใจมากแค่ไหน

“กูรู้ แต่กูอยากลองดูอีกซักครั้ง ... ตอนนี้โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้วกูไม่คว้าไว้ไม่ได้”

“กูไม่อยากทำร้ายมึง ... กูดีใจนะเว้ยที่เรากลับมาเป็นเพื่อนกันได้อีกครั้ง” ผมตอบตามความจริง ตลอดเวลาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา ผมไม่รู้ว่ามันคิดอะไรในใจ แต่สำหรับผมแล้ว มันไม่คำว่ารักปนอยู่เลยแม้แต่น้อย

“กูขอเวลาแค่เดือนเดียว ...” คนตรงหน้ายังคงยื้อ

“... ลองคบกัน แล้วเมื่อถึงเวลา กูทำให้มึงกลับมารักกูไม่ได้ ถึงตอนนั้นกูก็ไม่มีอะไรติดค้างในใจแล้ว...”

“... เราจะยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”

...

...

...

“ได้ ถ้ามึงสัญญาว่าทุกอย่างจะจบใน 1 เดือน...” มันพยักหน้ารับพร้อมมองผมด้วยดวงตาเป็นประกาย

“... แต่กูเตือนมึงไว้ก่อนว่าอย่างคาดหวังอะไรมากนัก” รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางรู้สึกอะไรมากไปกว่านี้ แต่สุดท้ายก็ตอบตกลง อยากลองทำอะไรบ้าๆ แบบไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายดูซักครั้ง



“อีมิลค์ เมื่อวานแกหายไปไหนมา” แก้วถามทันทีที่เดินเข้ามาในห้อง สีหน้ามันแสดงออกชัดเจนว่าสงสัยที่เห็นผมนั่งอยู่ในห้อง lecture ตั้งแต่ 7.30 ทั้งที่ปกติผมมักจะมาถึงเกือบๆ 8.00

“ปวดหัวหน่อยๆ เลยกลับบ้าน”

“อย่าตอแหล เมื่อวานก่อนกลับบ้านไอ้ต่อยังเห็นรถแกจอดอยู่ที่ตึก ...”

“... แล้วเมื่อเช้าใครมาส่ง ... ฉันเห็นแกลงจาก BMW สีขาว รถใคร รถไอ้จีเหรอ”

“รถเพื่อน” ผมยอมบอกอย่างเสียมิได้

“ใต้ตาแกบวมมาก เมื่อคืนได้นอนบ้างไหมวะ”

“นอนดิ แต่ดึกหน่อย” แก้วยิ้มเจือน ไม่รู้มันจินตาการสาเหตที่ทำให้ผมนอนดึกไปไกลถึงไหน

“มิลค์ ฉันจริงจังนะ ... ทุกคนเป็นห่วง ...”

“... เมื่อวานอยู่ๆ แกก็หายไป โทรไม่รับ DM ไปก็ไม่อ่าน ทิ้งรถไว้ที่คณะทั้งคืน เช้านี้มีใครไม่รู้มาส่ง ...”

“... แล้วแกจะให้ฉันคิดว่าเกิดอะไรขึ้น” ผมหลุดขำกับจินตนาการสุดจะกว้างไกลของมัน แต่เจ้าตัวกลับตวัดสายตามองผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“นี่แกคิดว่าเราไปทำอะไรมา” ผมถาม

“กับพฤติกรรมของแกช่วงนี้ ฉันไม่รู้ว่าควรจะคิดอะไรแล้ว”

“เพื่อนจริงๆ เพื่อนสมัยมัธยม บังเอิญเจอกันเมื่อวานเลยคุยกันเพลินไปหน่อย”

“คุยกันเพลินจนทิ้งรถไว้ที่ตึกเนี่ยนะ ... เฮ่ออออออออ ...”

“... แกรู้ใช่ไหมว่าคำตอบมันไม่ make sense แต่ถ้าแกบอกว่าเพื่อนฉันก็จะเชื่อ”

“เราขอโทษ แต่เราสัญญาว่าที่ผ่านไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลย”

“ช่วงนี้แกเป็นอะไรวะ มีปัญหาอะไรบอกฉันได้นะเว้ย”

“เรามีเรื่องให้ต้องคิด”

“เรื่องไอ้จี? ...” ผมพยักหน้า

“... ฉันพอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ...” ผมก็พอรู้ว่าแก้วเดาสถานการณ์ออก

"... เราช่วยอะไรแกได้บ้างไหม" ผมส่ายหน้าให้กับความหวังดีของแก้ว

"เรายังไม่พร้อมจะตัดสินใจอะไรทั้งนั้น แค่อยากอยู่กับตัวให้มากกว่านี้อีกหน่อย"



----------



“แน่ใจนะว่าจะไม่กินด้วยกัน” ผมถามในขณะที่รถกำลังเลี้ยงเข้ามาในร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านเลียบด่วน

“ไม่วะ เพื่อนมึงไม่ชอบหน้ากู โดยเฉพาะไอ้ไอซ์” เพราะไอซ์มันรู้ไงว่ามึงสันดานเหี้ย มันเลยไม่ชอบมึง 555 อย่างว่าแหละผีเห็นผี

“งั้นกินเสร็จแล้วกูโทรหา ...”

“... ไหนว่าไม่ไปกินด้วยไง” ผมถามเพราะบอนก้าวลงมาจากรถเหมือนกัน

“ก็ไม่กิน แต่จะไปส่ง”

“กวนตีนนะมึง” ผมรู้ว่ามันจงใจไปกวนตีนไอ้ไอซ์มากกว่าอยากจะไปส่งผม

อาร์มโบกมือเรียนทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามาในร้านอาหาร บรรยากาศแปลกประหลาดเกิดขึ้นเมื่อพวกมันเห็นว่าคนที่เดินตามผมเข้ามาในร้านอาหารคือแฟนเก่าที่สร้างวีรกรรมไว้มากมาย เพราะรู้จักกันมานานถึงรู้ว่าพวกมันส่งซิกกันผ่านสายตา จีและไอซ์มองหน้าผมกับบอนสลับกันไปมา

“enjoy นะมึง เสร็จแล้วโทรบอก เดี๋ยวกูมารับ” บอนเดินมาส่งผมถึงโต๊ะอาหาร

“ไม่เอา อายคนอื่นเขา” ผมขืนตัวเมื่อคนข้างๆ พยายามจะกดจมูกลงบนศีรษะ

“ฮึๆๆ” มันหัวเราะอยู่ในลำคอ ก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนหลังมือผมอย่างแผ่วเบา รู้แหละว่าตั้งใจปั่นประสาทไอซ์กับจี แต่ทำแบบนี้ต่อหน้าเพื่อนในกลุ่มก็ทำให้ผมรู้สึกเขินอายอยู่ไม่น้อย

“เล่ามา” หลับหลังบอน ผมก็ถูกพวกมันทั้ง 4 คนจ้องมองด้วยสายตาคาดคั้น

“บังเอิญเจอกันที่สยามเมื่อหลายวันก่อน” ผมตอบพร้อมกับหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบปลาดิบตรงหน้า

“อย่ากวนตีน” ไอซ์พูดเสียงเข้ม มันรู้ว่าผมจงใจเลี่ยงที่จะตอบคำถาม

“มันขอจีบ”

“แล้วมึงตกลง?”

“กูไม่เสียอะไรหรือเปล่าวะ เหลืออีกไม่ถึง 3 สัปดาห์มันก็กลับไปเรียนต่อแล้ว” ผมยักไหล่ ทำสีหน้าท่าทางว่าไม่ใช้เรื่องใหญ่อะไร

“แล้วไงต่อ”

“ก็ถ้าถึงตอนนั้นกูไม่รู้สึกอะไร ก็กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”

“เพื่อน? ...” ไอซ์ถือวิสาสะแหวกคอเสื้อผมไปด้านข้างเผยให้เห็นหลักฐานจากกิจกรรมเมื่อคืนที่ปรากฏชัดเจนบริเวณไหปลาร้าลามไปจนถึงลาดไหล่ คนข้างๆ ขมวดคิ้วทันที สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่าไม่สบอารมณ์กับภาพที่เห็น ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมาที่ช่วงอกและหน้าท้อง ผิวละเอียดของมิลค์เต็มไปด้วยร่องรอยสีแดงช้ำ

“... ตัวลายเป็นตุ๊กแกขนาดนี้ยังกล้าพูดคำว่าเพื่อน”

“วินวินไง ... ทำอย่างกับมึงไม่เข้าใจคำนี้” ถึงเวลาของผมที่จะเอาคืนไอ้ไอซบ้าง

“ยอกย้อนนะมึง ... คิดจะแรดก็อย่าลืมป้องกันตัวเองให้ดีละ”

“เออน่า กูดูแลตัวเองได้ ยังไงก็ไม่ท้องก่อนแต่ง” พูดจบผมก็ใช้ตะเกียบคีบปลาดิบอีกชิ้นเข้าปาก

“ปากดีฉิบหาย ท้องไม่ได้แต่ถ้าติดโรคขึ้นมากูจะสมน้ำหน้าให้ ไอ้เหี้ยบอนยิ่งมั่วๆ อยู่ด้วย”

จบประโยคนั้นพวกเราเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องอื่น ในจังหวะที่มิลค์ก้มหน้าก้มตากินอาหารและพูดคุยกับเพื่อนๆ ใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจองมองมาด้วยสายตาสั่นไหว และเสี่ยววินาทีที่ทั่งคู่สบตากัน สายตาจากดวงตาชั้นเดียวคู่นั้นฉายแววความไม่พอใจอยู่ในที



ประตูลิฟต์เปิดออก ณ ชั้นบนสุดของคอนโดหรูย่านสาทร เจ้าของดวงตาชั้นเดียวก้าวออกมาจากลิฟต์ คีย์การ์ดถูกวางแนบลงบนบานประตูก่อนที่ประตูไม้บานใหญ่จะปลดล๊อค แม้ช่วงหลังมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจ้าของห้องจะดูห่างเหิน และเขาเองก็ไม่ได้มาที่นี่บ่อยเหมือนเมื่อก่อนแต่การที่มิลค์ไม่ได้เอ่ยปากขอ keycard คืน ก็ทำให้จีรู้สึกใจชื่นขึ้นมาบ้างว่าระหว่างเรายังคงมีความรู้สึกบางอย่างเชื่อมถึงกันอยู่

ในห้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ไฟตามทางเดินถูกเปิดทิ้งไว้เป็นสัญญานว่าเจ้าของอยู่ในห้อง แต่พอเดินเข้ามาหัวใจของจีก็เหมือนจะร่วงหล่น บนชั้นเก็บรองเท้าช่องประจำของเขามีรองเท้าของใครอีกคู่วางอยู่ จีเดินผ่านไปตามระเบียงทางเดินที่คุ้นชิน ห้องนั่งเล่นว่างเปล่า ห้องครัวและห้องกินข้าวเงียบสนิท พอเห็นว่าประตูห้องนอนของมิลค์เปิดแง้มไว้ 2 ขาก็เดินไปทางนั้นทันที แต่ยิ่งเข้าใกล้ หัวใจก็ยิ่งเต้นถี่รัว จีได้ยินเสียงบางอย่างเล็ดรอดออกมา เสียงที่บ่งบอกว่าเขามาผิดเวลา แม้จะรู้ว่าภาพด้านหลังบานประตูคืออะไรแต่ถึงอย่างนั้น 2 เท้าก็ยังก้าวเดินไปข้างหน้า

ประตูรถ Lexus IS สีดำถูกกระแทกปิดอย่างแรงจนเสียงดังไปทั่วลานจอด กำปั้นหนักๆ ถูกฟาดลงบนพวงมาลัยอย่างไม่ออมแรง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาตะโกนออกมาเต็มเสียงอย่างสุดจะกั้น มันมากไป มากเกินไป ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เขาน่าจะหันหลังเดินกลับทางเดิม ไม่น่าพาตัวเองไปเห็นภาพตรงหน้า โกรธจนอยากจะพุ่งไปกระฉากทั้งคู่ออกจากกัน แต่สิ่งเดียวที่ทำได้คือพาตัวเองออกมา เหมือนโลกทั้งใบถล่มลงตรงหน้า น้ำตาไหลอาบแก้มจนไม่เหลือเค้าของความหล่อเหลา

จากช่องประตูที่แง้มอยู่ เขาเห็นมิลค์นั่งคร่อมอยู่บนตักของบอน ท่อนแขนที่มีกล้ามเนื้ออย่างนักกีฬากำลังโอบรอบแผ่นหลังเปลือยเปล่าของคนที่เขารักและเฝ้าทนุถนอมมาตั้งแต่เด็ก เอวบางขยับขึ้นลงตามแรงอารมณ์ ทั้ง 2 คนสอดประสานกันแนบแน่นลงตัว จีเคยจินตนาการถึงการร่วมรักครั้งแรกระหว่างเขากับมิลค์ว่าเสียงครางของอีกฝ่ายจะต้องทำให้เขาคลั่งรักจนแทบบ้า แต่ตอนนี้เสียงที่ได้ยินกลับเหมือนใบมีดที่กรีดลึกลงกลางหัวใจ ... ทุกอย่างพังทลายลงหมดแล้ว


----------


#พังหมดแล้ว #แหลกละเอียด
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน


ปล. สัปดาห์นี้ภาพเยอะหน่อยนะครับ  :hao7:

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“บอน ตอนนี้มึงมีแฟนหรือเปล่า ...” มันมองหน้าผม คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นเหมือนไม่แน่ใจว่าคำถามนี้เกี่ยวอะไรกับบทสนทนาของเรา ในรถมีแค่เสียงแอร์และเสียงจากเครื่องยนต์ และทันทีที่คนตรงหน้าส่ายหัว

“... ดี” รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมิลค์ นิ้วมือเรียวสวยคว้าเข้าที่ปกคอเสื้อโปโลสีแดงก่อนจะดึงรั้งแฟนเก่าเข้ามาประกบจูบ ... ผมรู้สึกได้ถึงแรงตอบรับที่ค่อย ๆ ทวีความลึกซึ้งขึ้น บอนไม่ดันผมออก ไม่หลบ ไม่ปฏิเสธ ... แค่ปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปเหมือนสายน้ำที่พาเรามา


----------


#ดี!!! #แหลกละเอียด
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน


ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“เพื่อน? ...” ไอซ์ถือวิสาสะแหวกคอเสื้อผมไปด้านข้างเผยให้เห็นหลักฐานจากกิจกรรมเมื่อคืนที่ปรากฏชัดเจนบริเวณไหปลาร้าลามไปจนถึงลาดไหล่ คนข้างๆ ขมวดคิ้วทันที สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่าไม่สบอารมณ์กับภาพที่เห็น ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมาที่ช่วงอกและหน้าท้อง ผิวละเอียดของมิลค์เต็มไปด้วยร่องรอยสีแดงช้ำ

“... ตัวลายเป็นตุ๊กแกขนาดนี้ยังกล้าพูดคำว่าเพื่อน”

“วินวินไง ... ทำอย่างกับมึงไม่เข้าใจคำนี้” ถึงเวลาของผมที่จะเอาคืนไอ้ไอซบ้าง

“ยอกย้อนนะมึง ... คิดจะแรดก็อย่าลืมป้องกันตัวเองให้ดีละ”

“เออน่า กูดูแลตัวเองได้ ยังไงก็ไม่ท้องก่อนแต่ง” พูดจบผมก็ใช้ตะเกียบคีบปลาดิบอีกชิ้นเข้าปาก

“ปากดีฉิบหาย ท้องไม่ได้แต่ถ้าติดโรคขึ้นมากูจะสมน้ำหน้าให้ ไอ้เหี้ยบอนยิ่งมั่วๆ อยู่ด้วย”

จบประโยคนั้นพวกเราเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องอื่น ในจังหวะที่มิลค์ก้มหน้าก้มตากินอาหารและพูดคุยกับเพื่อนๆ ใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจองมองมาด้วยสายตาสั่นไหว และเสี่ยววินาทีที่ทั่งคู่สบตากัน สายตาจากดวงตาชั้นเดียวคู่นั้นฉายแววความไม่พอใจอยู่ในที


----------

#วินวิน #ยอกย้อน #แหลกละเอียด
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
จากช่องประตูที่แง้มอยู่ เขาเห็นมิลค์นั่งคร่อมอยู่บนตักของบอน ท่อนแขนที่มีกล้ามเนื้ออย่างนักกีฬากำลังโอบรอบแผ่นหลังเปลือยเปล่าของคนที่เขารักและเฝ้าทนุถนอมมาตั้งแต่เด็ก เอวบางขยับขึ้นลงตามแรงอารมณ์ ทั้ง 2 คนสอดประสานกันแนบแน่นลงตัว จีเคยจินตนาการถึงการร่วมรักครั้งแรกระหว่างเขากับมิลค์ว่าเสียงครางของอีกฝ่ายจะต้องทำให้เขาคลั่งรักจนแทบบ้า แต่ตอนนี้เสียงที่ได้ยินกลับเหมือนใบมีดที่กรีดลึกลงกลางหัวใจ ... ทุกอย่างพังทลายลงหมดแล้ว


----------

"It broke my heart. It broke us. It broke the whole world."
#แหลกละเอียด
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 29
«ตอบ #135 เมื่อ25-10-2025 11:40:25 »

Teaser ตอนที่ 29

เปิดเทอมปี 6 บันเทิงเริงรมตามที่ทุกคนพูดกัน นอกจากวิชาการที่ต้องแน่นอยู่ในสมองแล้ว hand skill ก็เป็นอีก 1 ทักษะที่ต้องฝึกฝนไม่แพ้กัน จากนิสิตชั้นปีที่ 5 ที่ได้แต่เป็น observer ตอนนี้พวกผมต้องลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง หนังสือเป็นตั้งๆ กองอยู่ที่โต๊ะทำงาน ชีวิตของนิสิตชั้นปีที่ 6 วนเวียนอยู่แค่โรงพยาบาล ห้องสมุด และห้องนอน กลับจากฝึกงานก็ต้องอ่านหนังสือ ทำ present และทบทวนความรู้เพื่อใช้ในการ round case วันถัดไป เหนื่อย เครียด แต่ก็สนุก บรรยากาศตอนนี้ทำให้ความรู้สึกว่าอยากเรียนต่อกลับมาอีกครั้ง ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะเรียนต่อปริญญาโท แล้วถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดผมจะขอให้พี่เจย์รับเป็น advisor

เผลอแป๊บเดียวชีวิตนิสิตปริญญาตรีปีสุดท้ายก็ผ่านไปแล้วเกินครึ่งทางแล้ว พร้อมกับข่าวการเลิกราของจีกับเฟิร์ส ตอนที่ได้ยินไอ้อาร์มเอ่ยปากแซวจี ผมไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะ 2 คนนี้เลิกๆ คบๆ กันเป็นเรื่องปกติ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จียืนยันว่าเลิกกันจริง วันที่ผมรู้ ทั้ง 2 คนเลิกกันมาประมาณ 1 เดือนแล้ว จีไม่ได้เล่ารายละเอียดแต่เท่าที่จับน้ำเสียงได้คงเลิกกันไม่ดีเท่าไหร่นัก

แม้ว่าความหวังเล็กๆ เกิดขึ้นในหัวใจของผมอีกครั้ง แต่เพราะชีวิตที่วนเวียนอยู่แต่กับการฝึกงานทำให้ผมไม่ว่างจะมีสมาธิกับเรื่องอื่นนอกจากเรื่องเรียนจนเวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ

... ‘Arm’

“ว่า?” ผมถามในขณะที่กำลังพับเสื้อกาวน์เก็บเข้ากระเป๋า

“มึง เย็นนี้เจอกันที่สยาม กินข้าวกัน กูจะไปตัดผม ไอ้จีก็มาด้วย” ผมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเมื่อได้ยินชื่อใครอีกคน ช่วงหลังๆ มานี้ถ้าไม่ได้เจอพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ เราก็ไม่ได้เจอหน้าหรือพูดคุยกันเลย

“มึงจะมาถึงกี่โมง”

“ประมาณ 6 โมง” ผมเหลือมองนาฬิกา digital บนข้อมือ ตอนนี้ 4 โมงนิดๆ มีเวลาเหลือเฟือให้ผมเตรียม ตัว round case วันพรุ่งนี้จนเสร็จ

“ได้ เจอกันมึง” โชคดีที่ไม่ได้เอารถมา ไม่น่าเกิน 3 ทุ่มผมน่าจะได้กระโดดขึ้น BTS ไม่เกิน 4 ทุ่มน่าก็ถึงบ้าน ได้ทบทวนอีกหน่อย แล้วค่อยนอน อย่างช้าที่สุดไม่น่าจะดึกเกินตี 1


----------

มิลค์ : เจอกะนพรุ่งนี้นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือใกล้จะเป็นหมอเต็มตัวแล้ว

#ปี6 #เรียนหนัก
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว
«ตอบ #136 เมื่อ26-10-2025 09:31:14 »

ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว (Part 1/2)

ผมในชุดหมีสีฟ้าอมเทา สวมหมวกแก๊บสีฟ้าสดใสปักโลโก้ประจำค่ายอาสากำลังเดินผ่านแดดร้อนๆ ไปยังบ้านไม้ 2 ชั้นที่ตั้งอยู่ด้านในของหมู่บ้าน รั้วบ้านทำจากไม้ไผ่ซี่ๆ ปักไว้เพื่อกั้นแนวเขต เถาของต้นตำลึงพันเกี่ยวกับรั้วไม้จนยุ่งเหยิง ผมมองเข้าไปด้านในถึงได้เห็นว่าเป็นร้านขายของชำเล็กๆ ในชุมชน

“ขอโทษนะครับ มีใครอยู่ไหมครับ”

“จ๊า แป๊บหนึ่งนะลูก” เสียงเดินดังขึ้นจากชั้นบน ไม่นานผู้หญิงคนหนึ่งก็ก้าวบันไดลงมาจากชั้น 2

“สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้ พร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง

“สวัสดีจ๊ะ นักศึกษาที่มาค่ายอาสาใช่ไหม มีอะไรให้แม่ช่วยหรือเปล่าจ๊ะ” เธอยกมือขึ้นรับไหว้พร้อมกับต้อนรับผมด้วยรอยยิ้ม

“ผมจะมาขอยืมไม้กวาดกับที่ตักผงนะครับ” ผมฉีกยิ้มกว้างอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจเท่าไหร่

ผมถูกเพื่อนในกลุ่มส่งออกมาเพื่อตระเวนยืมอุปกรณ์ทำความสะอาดจากชาวบ้าน เพราะพวกมันลงความเห็นว่าคนอย่างผมไม่เหมาะจะทำหน้าที่ใช้แรงงาน ระหว่างเดินเข้ามาภายในบ้านผมรู้สึกตะขิดตะขวงใจไม่น้อย แค่คิดภาพว่าถ้าเป็นตัวผม แล้วอยู่ๆ มีใครก็ไม่รู้มาตะโกนเรียกอยู่นอกรั้วเพื่อขอยืมของใช้ในบ้าน ตัวเองจะรู้สึกยังไง

“ได้ซิลูก เอาผ้าเช็ดพื้นกับถังน้ำด้วยไหม” คำตอบที่ได้รับทำให้ผมตกตะลึงไม่น้อย

“เอาครับ” คิดในใจว่าโชคดีชะมัดที่ได้ทุกอย่างจากบ้านหลังเดียว เพราะตอนแรกผมตั้งใจจะไปขอยืมผ้ากับถังน้ำจากบ้านอีกหลัง

“งั้นรอแม่แป๊บนะจ๊ะ”

“ให้ผมไปช่วยถือไหมครับ”

“ไม่เป็นไรจ๊ะ รอตรงนี้แหละ” เธอยิ้มให้ผม ก่อนจะเดินหายไปด้านหลัง ผมถอดหมวกแก๊บออก ยกมือขึ้นเสยผมเพราะความรำคาญ ถ้าไม่ลืมตัดผมก่อนมาก็คงไม่เหนียวหัวขนาดนี้ อากาศข้างนอกร้อนอย่างกับเตาอบ ฤดูร้อนเดือนเมษาไม่เคยปราณีผู้ใดทั้งนั้น ว่าแล้วก็รูดซิบชุดหมีลงครึ่งหนึ่งก่อนจะรีบกระพือเสื้อยืดลายกราฟฟิกตัวในเพื่อช่วยระบายความร้อน

“ขอบคุณครับ” พอได้ยินเสียงคนเดินมาผมก็หันหลังกลับไปในจังหวะที่เธอถือของกลับมาพอดี

“ร้อนเหรอลูก” เธอถาม

“ก็ ... ร้อนครับ” ผมเสยะยิ้ม เพราะไม่ต้องการทำตัวสำอางให้ใครเห็นแต่อากาศตอนนี้ก็ร้อนราวกับซ้อมลงนรกจริงๆ

“ดื่มน้ำก่อนนะลูก” พูดจบเธอก็เดินไปเปิดตู้เย็นทรงสูงที่ได้รับ sponsor จากน้ำดื่มยี่ห้อดัง

“ไม่เป็นไรครับ ...”

“... ขอบคุณครับ ...” ผมจะเอ่ยปากห้ามแต่เธอก็เปิดขวดน้ำอัดลมสีเขียวอย่างรวดเร็ว

“... เดียวตอนเอาของมาคือผมค่อยมาจ่ายเงินได้ไหมครับ พอดีว่าผมลืมหยิบกระเป๋งตังค์มา” ผมพูดพลางคิดคำนวณอยู่ในหัวว่าในตัวมีของอะไรที่จะพอเอามามัดจำเป็นค่าน้ำอัดลมได้บ้าง

ย้อนกลับไปในสมัยที่ผมยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยย่านชานเมือง หัวค่ำวันหนึ่ง ในขณะที่กำลังขับรถกลับบ้านรถของผมเกิดยางแตกกลางทาง ความโชคดีคือเสียอยู่หน้าอู่ซ่อมรถ แต่ความโชคร้ายคือผมมีเงินสดไม่พอ เจ้าของอู่เลยยื่นข้อเสนอว่าผมสามารถเอาเงินมาจ่ายวันหลังได้แต่ผมต้องวางนาฬิกาข้อมือไว้เป็นมัดจำ ผมเลยได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไปเพราะมูลค่าของนาฬิกาข้อมือที่ผมสวมใส่นั้นน่าจะมากกว่ามูลค่ายางรถยนต์หลายเท่าตัว

“โอ้ยยย ไม่ต้องหรอก แม่เลี้ยง”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเกรงใจจริงๆ”

“แม่เลี้ยงเอง นานๆ จะมีนักศึกษามาเยี่ยม มีโอกาสแม่ก็อยากดูแล”

“งั้นขอบคุณมากนะครับ” พอได้ดูดน้ำอัดลมสีเขียวอึกใหญ่ ความหวานผสมความซ่าช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นทันตา

“ร้อนก็นั่งพักก่อน เดินกลับไปร้อนๆ แบบนี้เดียวเป็นลมแดดกันพอดี” พอได้ยินคำเตือนผมถึงได้หย่อนตัวลงที่แครไม้ไผ่ข้างๆ ส่วนเธอก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ม้าหินหน้าบ้าน เธอน่าจะอายุประมาณพี่แอน ผิวของเธอมีสีแทนน่าจะเพราะถูกแดดร้อนๆ เผา เธอสวมเสื้อยืดสีฟ้าและผ้าถุงสีน้ำตาลสลับเหลือง

“อากาศร้อนมากเลยนะครับ” ผมชวนคุยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท

“หน้าร้อนก็แบบนี้ เดือนหน้าร้อนกว่านี้อีก ...”

“... ลูกใกล้จะเรียนจบหรือยัง”

“เปิดเทอมถัดไปก็ปีสุดท้ายแล้วครับ”

“ยินดีด้วยนะ เรียนจบแล้วพ่อแม่จะได้ภูมิใจ”

“ขอบคุณครับ” ผมตอบรับคำอวยพรด้วยรอยยิ้ม

“เป็นคนกรุงเทพเหรอจ๊ะ”

“อ่อออออ ครับ คนกรุงเทพครับ”

“แม่ก็เพิ่งกลับมาจากกรุงเทพ”

“แม่ไปทำงานที่กรุงเทพเหรอครับ”

“จ๊ะ ก่อนหน้านี้แม่ไปทำงานเป็นคนงานก่อสร้างมาประมาณ 6 เดือน...”

“... งานเสร็จแล้วเลยกลับมาอยู่กับลูกหลานที่บ้าน คิดว่าพักซักเดือนแล้วค่อยกลับไปทำงานต่อ”



“ทำไมไม่นอนวะ มายืนตากน้ำค้างทำไมตรงนี้” ไอ้ต้นเรียกผมจากในห้อง

“อากาศดีนะ เลยอยากคิดอะไรเพลินๆ”

“เออๆ ระวังเป็นหวัดนะมึง”

“อืม” พูดจบแล้วมันก็กระโดดขึ้นเตียงไปคุยเล่นกับเพื่อนคนอื่นๆ ต่อ

เสียงโวยวายดังออกมาจากในห้อง ผมท้าวแขนอยู่กับราวระเบียง สายตามองออกไปด้านนอกเห็นแสงไฟจากตึกกลางของศูนย์ฝึก เลยไปด้านหลังเห็นเงาดำของภูเขาขนาดใหญ่ทอดยาวจนหายไปในความมืด แม้ว่าอากาศตอนกลางวันจะร้อนราวกับนรกแต่กลางคืนกลับหนาวจนต้องใส่เสื้อแขนยาว

หลังจากที่เตรียมตัวกันมานานหลายเดือนในที่สุดคืนสุดท้ายของค่ายอาสาก็กำลังจะผ่านพ้นไป ภารกิจเสร็จสิ้นสมบูรณ์ เมื่อหัวค่ำอาจารย์จัด party เล็กๆ ให้พวกเรา ก่อนจะกล่าวชมเชยและขอปิดค่ายอาสาอย่างเป็นทางการพร้อมกับย้ำเตือนว่า การเสร็จสิ้นของค่ายอาสาก็เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นนิสิตชั้นปีที่ 6

ความมืดยามค่ำคืนช่วยให้ผมคิดทบทวนตัวเองได้มากขึ้น ผมเป็นคนไม่ชอบทำกิจกรรมและในบรรดากิจกรรมทั้งหมด ค่ายอาสาเป็นกิจกรรมที่ไม่ชอบมากที่สุด ผมไม่ชอบความลำบาก ไม่ชอบออกค่าย นอนตามโรงเรียน อาบน้ำกลางทุ้ง แต่วันนี้พอกลับมาคิดทบทวนถึงได้รู้ว่าค่ายอาสา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาให้อะไรกับผมมากกว่าที่คาดหวังไว้ แม้จะเหนื่อย นอนดึกตื่นเช้า อากาศร้อน อาหารไม่อร่อย แต่ก็ยอมรับว่าสนุกและได้ประสบการณ์ใหม่ๆ มากมาย ได้ทำงานกับเพื่อนใหม่ ทะเลาะกันบ้าง หัวเราะร่วมกันบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของการทำงานกับคนหมู่มาก ได้เห็นเพื่อนในมุมที่ไม่เคยเห็น เห็นคนที่เรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้เล่นไพ่กินเงินตาละบาทอย่างเอาเป็นเอาตาย เห็นเพื่อนผู้ชายตัวใหญ่หุ่นนักกีฬาชวนเพื่อนทุกคนในห้องไปอาบน้ำพร้อมกันเพราะกลัวผี หลายคนบอกว่าไม่คิดไม่ฝันว่าจะเห็นผมใน look สบายๆ ใส่แว่นตา สวมเสื้อยืดกางเกงเลลงมานั่งเล่นกินขนมกับคนอื่นๆ

ยังมีอีกเรื่องที่ผมยังตราตรึงอยู่ในห้วงของความคิด ... น้ำเขียวขวดนั้น เป็นตัวแทนของคำว่า ‘น้ำใจ’ ผมไม่เคยเข้าใจคำๆ นี้จนกระทั้งได้สัมผัสกับตัวเอง รอยยิ้มของคุณป้าร้านขายของชำยังติดอยู่ในความทรงจำ เด็กในเมืองอย่างผม ไม่เคยเห็นภาพแบบนี้ ผมไม่เคยไปขอยืมของจากเพื่อนร่วมคอนโด เราต่างคนต่างอยู่ ไม่มีปฏิสัมพันธ์กัน ไม่พึ่งพาอาศัยกัน รสชาดของน้ำเขียวยังซ่าติดอยู่ที่ปลายลิ้น คิดไม่ออกว่าจะมีสถานการณ์ไหนที่จะนำพาให้คนงานก่อสร้างได้เลี้ยงน้ำมิลค์ ติฒสิงห์ เหตุการณ์วันนั้นทำให้ผมรู้ซึ้งว่า ‘น้ำใจ’ ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดในแบบเรียนแต่เป็นสิ่งที่จับต้องได้ มีอยู่จริง



...



เปิดเทอมปี 6 บันเทิงเริงรมตามที่ทุกคนพูดกัน นอกจากวิชาการที่ต้องแน่นอยู่ในสมองแล้ว hand skill ก็เป็นอีก 1 ทักษะที่ต้องฝึกฝนไม่แพ้กัน จากนิสิตชั้นปีที่ 5 ที่ได้แต่เป็น observer ตอนนี้พวกผมต้องลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง หนังสือเป็นตั้งๆ กองอยู่ที่โต๊ะทำงาน ชีวิตของนิสิตชั้นปีที่ 6 วนเวียนอยู่แค่โรงพยาบาล ห้องสมุด และห้องนอน กลับจากฝึกงานก็ต้องอ่านหนังสือ ทำ present และทบทวนความรู้เพื่อใช้ในการ round case วันถัดไป เหนื่อย เครียด แต่ก็สนุก บรรยากาศตอนนี้ทำให้ความรู้สึกว่าอยากเรียนต่อกลับมาอีกครั้ง ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะเรียนต่อปริญญาโท แล้วถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดผมจะขอให้พี่เจย์รับเป็น advisor

เผลอแป๊บเดียวชีวิตนิสิตปริญญาตรีปีสุดท้ายก็ผ่านไปแล้วเกินครึ่งทางแล้ว พร้อมกับข่าวการเลิกราของจีกับเฟิร์ส ตอนที่ได้ยินไอ้อาร์มเอ่ยปากแซวจี ผมไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะ 2 คนนี้เลิกๆ คบๆ กันเป็นเรื่องปกติ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จียืนยันว่าเลิกกันจริง วันที่ผมรู้ ทั้ง 2 คนเลิกกันมาประมาณ 1 เดือนแล้ว จีไม่ได้เล่ารายละเอียดแต่เท่าที่จับน้ำเสียงได้คงเลิกกันไม่ดีเท่าไหร่นัก

แม้ว่าความหวังเล็กๆ เกิดขึ้นในหัวใจของผมอีกครั้ง แต่เพราะชีวิตที่วนเวียนอยู่แต่กับการฝึกงานทำให้ผมไม่ว่างจะมีสมาธิกับเรื่องอื่นนอกจากเรื่องเรียนจนเวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ

... ‘Arm’

“ว่า?” ผมถามในขณะที่กำลังพับเสื้อกาวน์เก็บเข้ากระเป๋า

“มึง เย็นนี้เจอกันที่สยาม กินข้าวกัน กูจะไปตัดผม ไอ้จีก็มาด้วย” ผมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเมื่อได้ยินชื่อใครอีกคน ช่วงหลังๆ มานี้ถ้าไม่ได้เจอพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ เราก็ไม่ได้เจอหน้าหรือพูดคุยกันเลย

“มึงจะมาถึงกี่โมง”

“ประมาณ 6 โมง” ผมเหลือมองนาฬิกา digital บนข้อมือ ตอนนี้ 4 โมงนิดๆ มีเวลาเหลือเฟือให้ผมเตรียม ตัว round case วันพรุ่งนี้จนเสร็จ

“ได้ เจอกันมึง” โชคดีที่ไม่ได้เอารถมา ไม่น่าเกิน 3 ทุ่มผมน่าจะได้กระโดดขึ้น BTS ไม่เกิน 4 ทุ่มน่าก็ถึงบ้าน ได้ทบทวนอีกหน่อย แล้วค่อยนอน อย่างช้าที่สุดไม่น่าจะดึกเกินตี 1



... ‘G’

“อืม” ผมกระซิบเพราะนั่งอยู่ในห้องสมุด

“กูอยู่สยามแล้ว มึงอยู่ไหน”

“อยู่คณะ”

“เจอกันร้านตัดผมนะ ไอ้อารม์ถึงแล้ว”

“โอเค เดียวกู clear งานตรงนี้เสร็จแล้วตามไป” ผมวางสาย กด save งานลง handy drive อมยิ้มให้กับตัวเองที่ทำทุกอย่างได้ตามที่วางแผนไว้ slide สำหรับ present งานเสร็จเรียบร้อย วันนี้จะได้กินข้าวเม้าท์มอยได้อย่างสบายใจ

แม้จะไม่ได้สนิทกันเหมือนเดิมแต่ผมกับจีก็ยังคุยกันได้ตามปกติ ชีวิตนิสิตชั้นปีที่ 6 กินเวลาชีวิตของผมไปพอสมควร จากเดิมที่คิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องของจี ตอนนี้ผมยุ่งจนไม่เหลือเวลาให้คิดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องเรียน นั้นคงเป็นข้อดีอีกข้อของการเรียนหนัก ผมไม่ได้เจอจีมาซักพัก จำไม่ได้ว่านานแค่ไหนเพราะความห่างของเราทำลายสถิติใหม่ไปเรื่อยๆ จนผมเลิกให้ความสนใจเรื่องนี้ไปแล้ว

“ทำไมแต่งตัวทางการจังวะ” ผมถามเมื่อเจอหน้าจี เพราะปกติต่อให้เข้า office จีก็มักจะแต่ตัวสบายๆ แต่วันนี้มันใส่ชุดทำงานเต็มยศ เสื้อเชิ้ตสีฟ้าพับแขน กางเกงสแลคสีดำ รองเท้าหนัง

“ตอนนี้กลับมาทำงาน office เต็มตัวแล้วเลยต้องแต่งตัวเรียบร้อย” ผมขมวดคิ้วกับคำตอบที่ได้รับ

“ไม่ต้องไป offshore แล้วเหรอ”

“อืม ไม่ได้ไปมาซักพักแล้ว”

“ทำไมอะ” ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงดีใจ แต่ตอนนี้จะไป offshore หรือไม่ไป ก็มีค่าเท่ากัน

“ก็ทำงานมาจะเข้าปีที่ 3 แล้ว พอมีเด็กใหม่เข้ามาบริษัทเลยดึงตัวกูกลับมาทำงาน office” เผลอแป๊บเดียวพวกมันทำงานกันมาจะ 3 ปีแล้วเหรอ เวลาผ่านไปเร็วมากจริงๆ

“ไอ้อาร์มละ”

“อยู่ในร้านแล้ว เข้าไปทักมันหน่อยไหม” ผมพยักหน้าแล้วก็เดินตามหลังจีเข้าไปในร้าน

“หล่อแล้วๆ” ผมเอ่ยปากแซวเมื่อเห็นเพื่อนนั่งหลังตรงโดยมีช่างทำผมกำลังใช้กรรไกรซอยผมอย่างชำนาญ

“กูหล่อได้มากกว่านี้อีก ...” ผมเบ้หน้ามองบน เมื่อได้ยินคำตอบ มั่นหน้ามากกกกกกกกกก

“... พวกมึงไปเดินเล่นกันก่อนก็ได้นะ เสร็จแล้วเดียวกูโทรหา”

“ได้มึง งั้นเจอกัน ... จะไปเดินเล่นที่ไหน” ผมถามจีเมื่อเรา 2 คนเดินออกมานอกร้าน ผมไม่ได้มีอะไรอยากดูเป็นพิเศษ ช่วงนี้ใช้เงินน้อยมาก แทบจะไม่ได้ shopping เลยด้วยซ้ำ

“อยากเดินดูของ แต่กินนี่กันก่อน” พูดจบจีก็หยิบกล่องเค้กออกมาจากกระเป๋าเป้ มันเดินนำผมไปนั่งที่นั่งกินใกล้ๆ

“สภาพเค้กโคตรยับเยิน” ผมหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสภาพเค้ก อดขำไม่ได้จริงๆ ใครสั่งใครสอนให้เก็บเค้กใส่เป้ พอเปิดกล่องออกมาก็เห็นว่าหน้าเค้กไถลออกไปด้านข้างเกือบครึ่งก้อน

“ร้านนี้อร่อยนะเว้ย อยู่แถวที่ทำงาน” พูดจบเจ้าตัวก็แกะช้อนพลาสติกออกจากห่อแล้วจ้วงเค้กคำโตเข้าปากก่อนจะส่งช้อนมาให้ ... ผมลองตักมาชิมคำเล็กๆ รสชาดดี หอมเนย แต่พอจะตักเข้าปากอีกคำ smart phone ในกระเป๋าก็ดังขึ้น

... ‘Kaew’

“ว่าไงมึง”

“แกฉันจะถามเรื่อง #&^*###%$@@!%^*&*” แก้วโทรมาถามเรื่อง round case พรุ่งนี้

สมาธิของมิลค์ถูกย้ายไปอยู่กับคู่สนทนาในโทรศัพท์ บางครั้งก็ขมวดคิ้วเหมือนคิดอะไรอยู่ มียิ้มบ้าง เม้มปากบ้าง บางครั้งก็มองบน จีอาศัยจังหวะนี้ลอบสังเกตเพื่อนสนิท ใต้ตาบวมเล็กน้อย เส้นผมที่ปกติจะถูก set เป็นทรง วันนี้ถูกปล่อยให้ปิดหน้าผากอย่างเป็นธรรมชาติ คงเพราะยุ่งจนไม่มีเวลามาห่วงหล่อ แต่สิ่งหนึ่งที่จีสังเกตเห็นคือใบหน้าของมิลค์มีเค้าโครงของความเป็นผู้ใหญ่ให้เห็นชัดกว่าแต่ก่อน ปากนิด จมูกหน่อย ทำให้โครงหน้าที่สวยอยู่แล้ว สวยจนตอนที่เวลาเจ้าตัวยิ้ม รอยยิ้มนั้นสว่างไสวราวกับดวงจันทร์ในคืนเดือนมืด

ในขณะที่มิลค์ตอบคำถามคนปลายสาย สิ่งหนึ่งที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเลยคือจีตักเค้กในมือป้อนให้เรื่อยๆ หลักจากเค้กหมดก้อนจีส่งกระดาษทิชชูให้เพื่อนสนิท มิลค์รับไปเช็ดปากอย่างลวกๆ เพราะกำลังมีสมาธิอยู่กับบทสนทนาจนเขาต้องดึงทิชชูจากมือมาเช็ดคราบเค้กที่เลอะอยู่ตรงมุมปากให้ เค้กหมดไปแล้วแต่มิคล์พูดคุยกับแก้วโดยไม่มีทีท่าว่าจะจบ

จีฆ่าเวลาด้วยการมองไปรอบๆ แต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องสะดุดกับสายตาของกลุ่มของพนักงานของร้านฝั่งตรงข้าม ไม่บอกก็รู้ว่าคนกลุ่มนั้นเห็นทุกการกระทำของเขา บางคนยิ้มให้อย่างหยอกล้อ บางคนก็ทำหน้าเขินอาย จีทำได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ กลับคืนแล้วคว้าข้อมือของมิลค์เดินออกไปอีกทาง

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว
«ตอบ #137 เมื่อ26-10-2025 09:44:10 »

ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว (Part 2/2)

ผมเดินตามเงาสูงของจีไปยังตึกจอดรถ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนโดนค้อนทุบเข้ากลางศีรษะ มึนจนคิดไม่ออกว่าควรจะตัดสินใจอย่างไร ในมือของจีถือถุงกระดาษจากร้าน gift shop ชื่อดัง เมื่อเย็นระหว่างรออาร์มตัดผม จีชวนผมไปเดินเลือกซื้อของขวัญ แม้จะรู้ว่าซื้อไปทำอะไรแต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะถาม และคำตอบที่ได้ก็ทำให้ผมสมองเบลอมาจนถึงตอนนี้ ... เธอชื่อ ‘ษา’ เป็นเพื่อนที่ทำงานของจี จีสนิทสนมกับเธอมาพักใหญ่และกำลังจะขอเธอเป็นแฟนในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่กำลังจะมาถึง ทั้งคู่มีแผนจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ ที่ทำงาน

ทำไมผมถึงรู้สึกว่าช่วงหลังๆ มานี้จังหวะเวลาไม่เคยเป็นใจให้เรา 2 คนเลย ผมรู้มานานแล้วว่าจีเลิกกับเฟิร์สแต่เพราะยุ่งกับเรื่องเรียนจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น รู้สึกตัวอีกทีจีก็กำลังจะมีแฟนคนที่ 2

ตั้งแต่กลับมาจาก summer trip ผมสัมผัสได้ว่าความสัมพันธ์ของเราไม่เหมือนเดิมแต่เพราะเอาแต่กลัวเลยเลือกที่จะรอ แต่พอผมพร้อมจะก้าวไปข้างหน้าทุกอย่างกลับล่มสลายเมื่อจีมีแฟนคนแรก ผมไม่เข้าใจว่าตัวเองทำผิดตรงไหน ปล่อยให้จีรอนานไปหรือจะเป็นผมที่คิดไปเองฝ่ายเดียว เป็นเรื่องที่ผมคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ความคิดที่จะสารภาพรักกับจีมีขึ้นก่อนหน้านี้มาซักระยะ ไอซ์เชียร์ให้ผมพูดกับจีตรงๆ เพื่อทำทุกอย่างให้ชัดเจน แต่ผมไม่กล้าเพราะกลัวว่าถ้าจีไม่ได้คิดเหมือนกันแล้วผมจะเสียจีไป ไอซ์บอกกับผมว่า ‘มึงไม่ต้องคิดอะไรมาก คิดแค่ว่าถ้าพรุ่งนี้มันแต่งงาน มึงจะเสียใจไหมที่ไม่ได้บอกรักมันตั้งแต่ยังมีโอกาส’ และผมก็ตัดสินใจว่าจะสารภาพทุกอย่างหลังจากรู้ว่าจีเลิกกับเฟิร์สแต่ตอนนี้ดูเหมือนผมจะตัดสินใจช้าเกินไป

“ทำไมวันนี้ไม่ได้ขับรถมาละ” จีถามเมื่อเรา 2 คนนั่งอยู่ในรถ จีอาสาไปส่งทันทีที่เจ้าตัวรู้ว่าผมไม่ได้ขับรถมา

“เมื่อคืนนอนดึก เมื่อเช้าตื่นสายก็เลยนั่ง BTS มา”

“เรียนหนักมากเลยเหรอ”

“ก็หนักนะ”

“เรียนหนักจนหน้าโทรมแล้ว”

“อืม”

“มึงตัดสินใจเรื่องเรียนต่อได้ยัง”

“ตัดสินใจได้แล้ว”

“ดีแล้ว จะได้ทำตามฝัน”

“มึงจะขอเขาเป็นแฟนวันไหนนะ” ผมถาม พยามยามทำตัวให้เป็นปกติ ส่งยิ้มมุมปากให้คนตรงหน้าทั้งๆ ที่ในใจกำลังกรีดร้องออกมาสุดเสียง

“ถ้าเป็นไปตามแผนน่าจะวันเสาร์”

วันนี้วันพฤหัส ... ผมกั้นหายใจเมื่ออยู่ๆ ก็คิดอะไรได้จากประโยคที่เพิ่งลอยหายไปกับสายลม ... มันหมายความว่าตอนนี้จียังโสด ... จนกว่าจะถึงวันเสาร์

ความเครียดก่อตัวขึ้นอย่างมหาศาล ถ้าจะพูดตอนที่จีโสดผมเหลือทางเลือกเดียวเท่านั้นคือต้องสารภาพวันนี้ ไม่เช่นนั้นผมก็รอต่อไปเรื่อยๆ เปลือกตาเลื่อนลงปิดดวงตาคู่สวย ลมหายใจค่อยๆ ผ่อนจังหวะหายใจเข้าออก ถึงจะพยายามสงบสติมากแค่ไหน หัวใจของผมกลับเต้นถี่รัว ... แม้จะเป็นเพียงแค่ฝันลมๆ แล้งๆ แต่ผมก็ตัดสินใจจะลองเสี่ยงดู

“จี”

“ว่าไงมึง” ความกลัวก่อตัวขึ้นราวกับคลื่นยักษ์ที่สูงเสียดฟ้า ผมยังคงหลับตาเพื่อซ่อนความหวาดกลัวในใจ สั่นจนต้องกำมือทั้ง 2 ข้างเข้าหากันแน่น

“กูรักมึง ...” พูดออกไปแล้ว

“... รักมากกว่าเพื่อน” พูดออกไปทั้งหมดแล้ว

... ผมไม่เคยรู้สึกกลัวมากขนาดนี้มาก่อน ทั้งกลัวว่าจะถูกปฏิเสธและกลัวที่จะถูกตอบรับ

... ถ้าจีตอบตกลงหัวใจของผมจะพองฟูราวกับก้อนเมฆ และแม้ความสุขนั้นย่อมต้องแลกมากับโลกทั้งใบที่จะถล่มใส่ผมก็ตาม แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว

... บทสนทนาระหว่างเราเงียบหายไป ในขณะที่รถยนต์กำลังแล่นผ่านถนนยามค่ำคืนของกรุงเทพมหานคร หนึ่งวินาทียาวนานราวกับเป็นชั่วโมง

“ขอบใจ แต่กูคิดกับมึงแค่เพื่อน ไม่เคยคิดอะไรเกินเลยมากกว่านั้น” คำตอบที่ได้ยินเหมือนฟ้าผ่าเข้าที่กลางหัวใจ

แล้วผมก็ได้รู้ความจริง ... ไม่ว่าจะถูกปฏิเสธหรือตอบรับ ผมก็ถูกโลกทั้งใบถล่มใส่อยู่ดี จะต่างกันก็แค่หากถูกตอบรับผมก็จะมีจียืนอยู่ข้างๆ ... แต่ตอนนี้เหลือผม ... แค่เพียงคนเดียว

“กับเรื่องทุกอย่างที่ผ่านมา มึงใจร้ายมาก” ผมพูดทั้งที่มือยังสั่นไม่หยุด กว่าจะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ประโยคร้ายๆ ก็หลุดออกจากริมฝีปาก แม้จะเตรียมใจมาแล้วแต่การถูกปฏิเสธส่งผลให้ความมั่นคงทางอารณ์ของผมสั่นคอน

“กูขอโทษ ถ้าที่ผ่านมาทำให้มึงเข้าใจผิด ...”

“... ความฝันของกูคือแต่งงานกับผู้หญิงซักคนแล้วสร้างครอบครัวด้วยกัน” ด้วยอารณ์อ่อนไหวผมเกือบจะหลุดปากถามคนตรงหน้าไปว่า ‘ถ้าแต่งกับกูแล้วจะสร้างครอบครัวไม่ได้ตรงไหน’

... ผมนั่งนิ่ง พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองเพราะไม่อยากหลุดคำพูดร้ายๆ ออกมา

... ที่ผ่านมาผมมีความสุขมากกับสิ่งที่ได้รับ

... และผมไม่ต้องการให้เหตุการณ์เหล่านั้นถูกเปลี่ยนให้เป็นความทรงจำแย่ๆ

“กูควรจะทำยังไงต่อ กูควรจะตัดใจไหม” ผมถาม

“ตัดใจเถอะมิลค์ มันดีกว่าสำหรับมึงและกู” จีตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นี่ผมคาดหวังอะไรจากคำถามเมื่อครู่ มันแน่นอนอยู่แล้วว่าคนถูกปฏิเสธก็ต้องตัดใจ

“กูขอโทษ กูพยายามห้ามใจตัวเองแล้วแต่กูทำไม่ได้...” ในรถเงียบกริบ เสียงเพลงที่เคยเปิดคลอตอนนี้หยุดไปแล้ว

พอมิลค์หันหน้ากลับมา จีถึงได้เห็นว่าใบหน้าสวยนั้นเปรอะเปื้อนด้วยรอยน้ำตา มันพยายามกั้นสะอื้นจนตัวสั่น มือทั้ง 2 ข้างกำเข้าหากันจนเส้นเลือดที่แขนบูดโปน ... เกาะกำบังถูกทุบจนแตกละเอียด ... ไม่เหลือสภาพมิลค์ ติฒสิงห์ผู้สูงศักดิ์เลยแม้แต่น้อย

“... เราจะห่างกันไหม กูไม่อยากจะเสียมึงไปเหมือนคนอื่นๆ ที่ผ่านมา”

“ไม่หรอก กูเป็น ‘คนอื่น’ ที่ไหน กูเป็นเพื่อนสนิทของมึงนะเว้ย ถ้ามึงไม่ห่างกูก็ไม่ห่าง ...”

“... แต่ถ้าช่วงนี้มึงต้องการให้กูถอยไป บอกกูได้นะ ถึงเวลาที่มึงพร้อมกูยินดีกลับมาหามึงเสมอ”

“ไม่เอา ไม่ห่าง กูไม่อยากห่างจากมึง” ผมปฏิเสธทั้งน้ำตา แค่คิดถึงชีวิตที่ไม่มีจี ผมก็ไม่รู้แล้วว่าจะอยู่ได้อย่างไร

“ตอนแรกกูตั้งใจว่าหลังจากขอเป็นแฟน สัปดาห์หน้ากูจะพาเขามาเจอกับพวกมึง ...”

“... แต่กูว่ารออีกซักหน่อยก็ได้”

“ไม่เป็นไร มึงพาเขามาเถอะ กูขอร้อง อย่าทำแบบนั้น ... เขาเป็นอนาคตของมึง คนที่อาจจะเป็นอนาคตของมึง ส่วนกูคือคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ...” และจะเป็นคนที่จางหายไปตามกาลเวลา

แม้จะพยายามยื้อไว้มากแค่ไหนแต่ลึกๆ แล้วผมก็รู้ระยะห่างระหว่างเรากำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ในวันวานไม่รู้จะยังคงอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ ความห่างไกลที่ผมกลัว ตอนนี้มันปรากฏภาพขึ้นชัดเจนแล้ว

“... กูสัญญาว่าจากนี้จะไม่ทำให้มึงลำบากใจ”



รถ Lexus IS 350 สีเทาดำจอดนิ่งอยู่ในที่จอดรถหน้าคอนโด เรามาถึงได้พักใหญ่แล้วแต่ผมยังไม่พร้อมจะลงจากรถ เรายังคงพูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆ ในอดีต จีตอบทุกความสงสัยของผม คำปฏิเสธอย่างสุภาพออกจากปากของเพื่อนสนิทหลายต่อหลายครั้ง ... สุดท้ายผมก็ยอมรับความจริงว่าเรื่องทั้งหมดมีเพียงผมเท่านั้นที่คิดไปเองฝ่ายเดียว

“กูไปแล้วนะ” ผมพูดขึ้นเมื่อคิดว่าถึงเวลาแล้ว

“จมูกมึงยังแดงอยู่เลย”

“ถ้าจะรอจนหาย คงต้องรอถึงเช้า” แม้ผมพูดติดตลก แต่คนตรงหน้ากลับไม่ขำเลยไม้แต่น้อย มุกตลกของผมเลยลอยหายไปท่ามกลางแสงดาว

“มึงไหวนะ”

“ไหว” ปากบอกไหวแต่คิดไม่ออกเลยว่าผมจะผ่านคืนนี้ไปได้ยังไง

“มึงไม่ต้องกังวล ยังไงกูก็เพื่อนมึง กูไม่มีวันหายไปไหน จะอยู่ข้างๆ มึงตรงนี้นี่แหละ”

“ขอบใจ ...”

“... กูยอมรับได้ทุกอย่างไม่ว่ามึงจะเลือกใคร และกูคิดว่าเขาจะต้องเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกแน่นอน” พูดจบผมรีบลงจากรถก่อนที่จะร้องไห้ตาบวมอีกรอบ แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวความพยายามก่อนหน้านี้ก็ไร้ความหมาย



‘ผีตายซาก’ คือสภาพของผมตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา กินไม่ได้ นอนก็แทบไม่หลับ ไหนจะต้องฝึกงาน ไหนจะต้อง round case ต้องขอบคุณแก้ว ต่อ ต้น ที่พยายามประคองผมไว้ไม่ให้พังครืนลงมา มันทั้งปลอบ ทั้งนั่งเป็นเพื่อนเวลาร้องไห้ แบกเนื้อหา round case ในส่วนของผม ซื้อข้าวกลางวันมาให้เพื่อให้ผมเอาเวลาไปนอน ... ยิ่งโตขึ้นถึงได้รู้ว่าโลกยังคงหมุนไปเรื่อยๆ ไม่ว่าเราจะแตกสลายมากแค่ไหนก็ตาม

เวลา 1 สัปดาห์ ผ่านไปเร็วกว่าใจคิด เย็นวันเสาร์ผมเดินเข้ามาใน hypermarket ขนาดใหญ่ย่านพระราม 3 แปลกใจไม่น้อยที่สถานที่นัดกินข้าวสำหรับเปิดตัวแฟนคนที่ 2 ไม่ใช้ห้างหรูย่านสยาม - ราชประสงค์แบบครั้งแรก ผมจงใจมาสายเพราะถ้าจะต้องมานั่งรอจิตใจผมคงฟุ้งซ่านมากกว่าที่เป็นอยู่ พอเห็นชื่อร้านอาหารก็รู้สึกอุ่นใจเพราะอาหารญี่ปุ่นคงไม่มีเมนูตับ

“ษา นี่มิลค์”

“มิลค์นี่ษา”

“สวัสดีคะ / หวัดดีครับ”

เพราะกลัวว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอย ตำแหน่งที่นั่งวันนี้เลยถูกวางแผนมาล่วงหน้า มิลค์นั่งอยู่ด้านนอก ส่วนษานั่งอยู่ด้านในสุดฝั่งตรงข้าม ตอนแรกโจคิดจะให้นั่งฝังเดียวกันจะได้ไม่ต้องเห็นหน้า แต่พออาร์มทักว่าถ้าทำแบบนั้นมิลค์จะต้องนั่งติดกับจี สู่ให้นั่งเยื่องๆ กันคนละมุมน่าจะดีที่สุด

ไอซ์ลอบมองมิลค์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม มิลค์โทรมาร้องห่มร้องไห้กับเขาตั้งแต่คืนนั้น พอได้ยินเสียงไอซ์ก็รู้เลยว่ามิลค์ใกล้จะแตกสลายเต็มที สุดท้ายเขาต้องหอบเสื้อผ้าไปนอนเป็นเพื่อนตั้งแต่กลางดึกของคืนนั้นจนถึงวันนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเขานอนค้างกับมิลค์มาครบสัปดาห์ ไอซ์รับปากมิลค์ว่าจะไม่บอกใครเรื่องนอนค้าง ที่นัดกันวันนี้คือต่างคนต่างแยกกันมา ส่วนเรื่องที่มันถูกจีปฏิเสธ จากสภาพของไอ้มิลค์ในวันนี้ อารม์กับโจก็คงเดาได้ไม่ยาก

แม้จะเป็นวันเสาร์แต่มิลค์ก็ต้องไปทำงานกับเพื่อนที่คณะ ไอซ์เลยกลับบ้านช่วงกลางวันแล้วแยกกันมาเจอที่ร้านอาหาร เมื่อบ่ายเขายังหวั่นใจอยู่เลยว่าวันนี้ไอ้มิลค์จะแผลงฤทธิ์อะไรไหม แต่พอดูจากเสื้อผ้า หน้าผม และ accessory เรียบๆ ที่เจ้าตัวใส่มา ทำให้เบาใจไปได้เยอะว่าประวัติศาสตร์คงไม่ซ้ำรอย

ตั้งแต่รู้จักกันมามิลค์เป็นคนประเภทที่พยายามกลมกลืนไปกับคนรอบข้าง มันไม่ชอบทำตัวโดดเด่น ไม่ชอบเป็นจุดสนใจ แต่ยิ่งโตขึ้นทุกอย่างก็ยิ่งดูไปในทางตรงกันข้ามเพราะไม่ว่าเจ้าตัวจะพยายามเท่าไหร่แต่ในความเป็นจริงแล้วมิลค์ก็เหมือนกับดาวฤกษ์ที่โดดเด่นท่ามกลางดาวเคราะห์นับล้าน ษาตื่นเต้นและตั้งตารอที่จะได้เจอกับมิลค์ ติณสิงห์ ตัวเป็นๆ ก่อนหน้านี้เธอถามทั้งจีและคนอื่นๆ บ่อยครั้งว่าตัวจริงของมิลค์เป็นยังไง พวกเขาทุกคนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่ามิลค์ ติฒสิงห์ ตัวจริงต่างจากลูกชายเจ้าสัวแสนล้านในละครหลังข่าวลิบลับ

“มิลค์พูดน้อยมาเลยเนอะ” ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงษาก็เป็นฝ่ายพูดกับมิลค์ก่อน

พวกเราพูดคุยกันสนุกปากแต่มิลค์ดูไม่ค่อยคุยกับเพื่อนคนอื่นๆ เท่าไหร่นัก ถามคำตอบคำแล้วก้มหน้าก้มตากินอาหารในจานตัวเองเงียบๆ ซึ่งก็เข้าใจได้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น มันดูเหนื่อย เพราะความเครียดทำให้เจ้าตัวนอนไม่ค่อยหลับ aura ที่เคยเปล่งประกาย ตอนนี้ดูหม่นหมองไปพอสมควร

“เรามึนๆ นะ เพิ่งกลับจากคณะ” คำตอบของมิลค์ทำเอาอารม์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ถึงกับลอบถอดหายใจ เอาเข้าจริงทุกคนต่างก็กั้นหายใจรอฟังคำตอบเพราะกลัวว่าไอ้ตัวดีจะแสดงอภินิหารเหมือนคราวก่อน

“วันเสาร์อาทิตย์ต้องเรียนเหรอ” เธอถามต่อด้วยความสงสัย

“แล้วแต่ station ที่ขึ้นฝึกงานนะ station ของเราเดือนนี้ไม่มีขึ้น clinic วันเสาร์อาทิตย์ แต่ก็ต้องไปทำรายงานกับเพื่อนที่คณะอยู่ดี”

“เรียนหนักแบบนี้มีเวลาได้พักไหมเนี่ย”

“ก็มีนะ อย่างตอนนี้ก็ถือว่าได้พักผ่อนแล้ว”

“เราตื่นเต้นมากเลยตอนที่รู้ว่าจีเป็นเพื่อนสนิทของมิลค์ ... มิลค์ตัวจริงน่ารักมากกว่าในรูปอีก” เพื่อน 3 คนที่เหลือกั้นหายใจโดยพร้อมเพียงกันอีกครั้งเมื่ออยู่ๆ เธอก็คว้าแขนของจีเข้ามากอด

“ขอบคุณครับ” มิลค์มองภาพนั้นเพียงแค่เสี่ยววินาที ก่อนจะส่งยิ้มบางๆ แล้วกลับมาสนใจอาหารในจานต่อ

บรรยากาศบนโต๊ะเป็นไปได้ด้วยดี แต่ไอซ์สังเกตได้ว่าคนตรงหน้าเงียบลงไปกว่าเดิม จากที่กินอาหารบ้างไม่กินบ้าง ตอนนี้มันเอาแต่เขี่ยอาหารไปมา แล้วสวรรค์ก็เหมือนจะเป็นใจเมื่อแก้วเพื่อนสนิทที่คณะโทรมาคุยเรื่องงาน เจ้าตัวเลยถือโอกาสลุกออกไปคุยโทรศัพท์

Ice ;
ไหวไหม อยากกลับก่อนเปล่า

Milk ;
ไหว กลับก่อนได้ก็ดี แต่ก็เกรงใจจี

Ice ;
กลับได้ เดียวกูบอกคนอื่นๆ ให้ว่ามึงมีงานที่คณะ

Milk ;
งั้นกลับนะ

Ice ;
อืม เจอกันที่ห้องมึง
นับวันกูยิ่งเหมือนผัวเก็บมึงเข้าไปทุกทีแล้วเนี่ย
ถ้าคนอื่นรู้ว่ากูไปนอนค้างกับมึงมาทั้งอาทิตย์
คงได้เข้าใจผิดว่ากูทีท้ายครัวมึงกับจี

Milk ;
อิเหี้ยยยยยยยยยยยยยย
ใครจะเอามึง



ไอซ์อมยิ้ม ด่าได้ แสดงว่าจิตใจดีขึ้นกว่าแต่ก่อนที่นั่งนิ่งๆ ให้เขาด่าอยู่ฝ่ายเดียว ไอซ์บอกทุกคนว่ามิลค์ติดงานที่คณะเลยขอตัวกลับก่อน มีแต่ษาที่เชื่อคำโกหกของเขา ในขณะที่คนอื่นๆ รู้ว่ามิลค์ทนมองไม่ไหว แม้จะสงสารแต่ทั้งมิลค์และจีก็เพื่อนของพวกเขา คนกลางอย่างไอซ์ อาร์ม และโจเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากให้กำลังใจ ความสัมพันธ์ของคน 2 คนก็ต้องให้มิลค์กับจีหาทางออกกันเอง



“มึงเอาจริง?” ไอซ์ถามในขณะที่จ้องมองหน้าจอ smart phone ของมิลค์ เหมือนเป็น session บำบัดจิตที่ไอ้มิลค์ต้องมานั่งคุยกับเขาในห้องนั่งเล่นก่อนแยกย้ายเข้าห้องนอน ฟังดูแล้วตลกแต่มิลค์บอกว่าพอได้คุยเรื่องไร้สาระกับเขาแล้วทำให้นอนหลับง่ายขึ้น



Milk ;
ที่พี่เคยชวนผมไปอังกฤษ พี่ยังสะดวกอยู่ไหมครับ

P’ Jay ;
ยังสะดวกอยู่ครับ

Milk ;
งั้นผมไปรบกวนพี่ประมาณสัปดาห์หนึ่งนะครับ

P’ Jay ;
ยินดีเลยครับน้อง
เจอกันครับ

Milk ;
ขอบคุณครับ



“อืม”

“ไปก็ดี เปิดหูเปิดตา เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมซักหน่อยมึงน่าจะ happy มากขึ้น...”

“... แต่เรื่องจะไม่ซับซ้อนไปมากกว่าเดิมใช่ไหม ...” ผมขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจว่าอะไรจะซับซ้อนไปมากกว่าเดิม

“... กูหมายถึงจะไม่เป็นเหมือนตอนที่อยู่ๆ มึงก็กลับไปเอาไอ้บอนใช่ไหม”

“จะบ้าเหรอ มันเหมือนกันที่ไหน”

“ใครจะรู้ ก่อนหน้านี้มึงเกียจไอ้บอนเข้าไส้ อยู่ๆ กลับไปเอากับมันเฉย”

“มึงก็คิดมาก แล้วเรื่องไอ้บอนกูจัดการไม่เรียบร้อยตรงไหน”

“กูว่าจะถามนานแล้ว ตกลงว่าจบยังไงวะ” ไอซ์ถามพร้อมกับคว้าหมอนอิงขึ้นมากอด ทำท่าราวกับกำลังฟังนิทานก่อนนอน

“ก็ไม่ยังไง กูบอกตั้งแต่แรกแล้วว่ากูไม่ได้คิดอะไร แต่มันขอโอกาส ...”

“... ก่อนมันกลับก็ clear กันเข้าใจแล้ว”

“มึงบอกกับมันตรงๆ?”

“อืม ตอนแรกกูคิดว่ามันจะโวยวาย แต่มันก็ยอมรับ มันว่ามันทำใจไว้แล้ว แค่อยากลองดูอีกซักครั้ง”

“มึงรู้ตัวใช่ไหมว่าถ้ามึงไม่ได้ยึดติดกับไอ้จี ตอนนี้มึงมีแฟนไปแล้ว”

“รู้ แต่กูก็ไม่รู้จะทำยังไง มันรู้สึกไปแล้ว”

“กูจะบอกมึงว่า หายเจ็บแล้วเริ่มต้นใหม่นะ ไม่ใช้ว่าคนที่ได้เป็นแฟนไอ้จีจะเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกคนเดียว ...”

“... แต่ใครก็ตามที่มึงเลือก ก็โชคดีที่สุดในโลกเหมือนกัน … ตอนนี้คนต่อแถวรอเป็นผัวมิลค์ ติฒสิงห์ ยาวไปจนถึงดาวเสาร์แล้วมั้ง”

“มึงแมร่ง ... ขอบใจ แต่กูขอเวลาอีกซักพัก”

“เขาว่ากันว่า อังกฤษ shopping มันมากเลยนะเว้ย” ไอซ์เปลี่ยนเรื่องคุยเพราะอยากให้มิลค์คุยเรื่องสบายๆ ก่อนนอน ขนาดเจ้าตัวบอกว่านอนหลับได้ดีขึ้นแต่บางคืนเขายังแอบเห็นมันลุกขึ้นมากินน้ำอัดลมกลางดึก ไม่รู้ว่าระหว่างจิตใจกับกระเพาะของไอ้มิลค์ อะไรจะทนไม่ไหวก่อนกัน


----------

#สารภาพ #หนี #คืนไร้ดาว
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-10-2025 09:47:14 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว
«ตอบ #138 เมื่อ28-10-2025 12:35:53 »

‘ผีตายซาก’ คือสภาพของผมตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา กินไม่ได้ นอนก็แทบไม่หลับ ไหนจะต้องฝึกงาน ไหนจะต้อง round case ต้องขอบคุณแก้ว ต่อ ต้น ที่พยายามประคองผมไว้ไม่ให้พังครืนลงมา มันทั้งปลอบ ทั้งนั่งเป็นเพื่อนเวลาร้องไห้ แบกเนื้อหา round case ในส่วนของผม ซื้อข้าวกลางวันมาให้เพื่อให้ผมเอาเวลาไปนอน ... ยิ่งโตขึ้นถึงได้รู้ว่าโลกยังคงหมุนไปเรื่อยๆ ไม่ว่าเราจะแตกสลายมากแค่ไหนก็ตาม


----------

#กินไม่ได้ #นอนไม่หลับ #คืนไร้ดาว
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว
«ตอบ #139 เมื่อ30-10-2025 10:59:09 »

“มึงรู้ตัวใช่ไหมว่าถ้ามึงไม่ได้ยึดติดกับไอ้จี ตอนนี้มึงมีแฟนไปแล้ว”

“รู้ แต่กูก็ไม่รู้จะทำยังไง มันรู้สึกไปแล้ว”

“กูจะบอกมึงว่า หายเจ็บแล้วเริ่มต้นใหม่นะ ไม่ใช้ว่าคนที่ได้เป็นแฟนไอ้จีจะเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกคนเดียว ...”

“... แต่ใครก็ตามที่มึงเลือก ก็โชคดีที่สุดในโลกเหมือนกัน … ตอนนี้คนต่อแถวรอเป็นผัวมิลค์ ติฒสิงห์ ยาวไปจนถึงดาวเสาร์แล้วมั้ง”


----------


#เพื่อนแท้ #คนโชคดี #คืนไร้ดาว
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว
« ตอบ #139 เมื่อ: 30-10-2025 10:59:09 »





 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด