ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier (Part 1/2)
“แกเคยคิดบ้างไหมว่าเวลามันก็เดินเร็วเหมือนกันนะ” แก้วพูดขึ้นในขณะที่เรา 2 คนกำลังเดินเล่นฆ่าเวลาในสยาม
“อะไรของแก”
“ก็คิดดูดิ เผลอแป๊บเดียวอีกไม่กี่เดือนก็จบปี 4 แล้ว แป๊บๆ ก็ผ่านมาเกินครึ่งทางแล้ว”
“อืม ก็จริง” ผมคิดตามที่แก้วพูด พวกเราเดินมาเกินครึ่งทางแล้วจริงๆ อีกไม่กี่เดือนพวกเราจะเป็นรองพี่ใหญ่ของคณะแล้ว
“แกคิดออกหรือยังว่าจะเรียนต่ออะไร” เพื่อนทุกคนในกลุ่มรู้ว่าผมอยากเรียนต่อ
“เราว่าเราอยากเรียนเกี่ยวกับฮอร์โมน”
“ฮอร์โมนเนี่ยนะ ไม่เห็นจะเท่ห์” ผมขมวดคิ้วและบ่นในใจว่าแล้วใครเขาเลือกเรียนต่อเพราะความเท่ห์กัน
“แล้วเป็นหมออะไรถึงจะเท่ห์”
“หมอศัลย์ไง ไม่ก็หมอ neuro”
“ไม่เอาวะไม่ชอบผ่าตัด neuro ก็ยากเกิน”
“ทำไมแกถึงชอบฮอร์โมนวะ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”
“มีดิ สนุกจะตาย”
“สนุกตรงไหน มีแต่เรื่องยากๆ”
“นั้นแหละที่สนุก ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ก็ต่อยอดไปได้อีกไกล ...”
“... อีกอยากตอนขึ้นฝึกงาน เราชอบบรรยากาศที่หน่วย พี่หมอนิสัยดี ตลก ไม่กินหัว อาจารย์ก็สอนสนุก เรียนไปหัวเราะไป”
“ก็จริง ถ้าเทียบกับแผนกอื่น เราก็ชอบแผนกนี้ที่สุด อาจารย์สอนอย่างกับจะไปเปิดตลกคาเฟ่ ...” แก้วพยักหน้าเห็นด้วยกับผม อาจารย์และ staff มีส่วนมากจริงๆ กับความชอบในตัววิชาของนิสิต
ปี 4 เทอม 2 เป็นปีที่นิสิตจะได้เรียนกับอาจารย์ครบทุกภาควิชา เท่าที่เรียนมาตอนนี้ผมชอบวิชาที่เกี่ยวกับฮอร์โมนมากที่สุด ตอนนี้ปัญหาเดียวคือผมยังไม่เจออาจารย์ที่รู้สึกว่า click กันจนจะขอเป็น advisor ได้
“... มิลค์” อยู่ๆ แก้วที่พูดคุยยิ้มแย้มกับผมมาตลอดทางก็หยุดเดินซะดื้อๆ สีหน้าของมันเปลี่ยนไปจากเดิมจนผมต้องมองตามสายตาคู่นั้น
“จี” เสียงเรียกชื่อคนคุ้นเคยหลุดลอดออกมาอย่างแผ่วเบา เหมือนโลกทั้งใบหยุดนิ่งอยู่กับที่ ... จีนั่งอยู่ในร้านอาหาร โต๊ะริมกระจกบานใหญ่ทำให้ผมเห็นเพื่อนสนิทกับใครอีกคนชัดเต็ม 2 ตา เธอผิวขาว ไว้ผมยาว มองจากด้านข้างแล้วเห็นสันจมูกยกขึ้นชัดเจน ... ในจังหวะที่ผมตั้งสติได้ แล้วกำลังจะเบี่ยงตัวหลบ เจ้าตัวก็หันมาพอดี ... เรา 2 คนสบตากัน ดวงตาชั้นเดียวคู่นั้นเบิกกว้าง ก่อนที่จีจะลุกออกจากร้านอาหารมาด้วยท่าทีร้อนรน
“เรากลับคณะก่อนนะ” แก้วที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ขอปลีกตัวออกไปเพื่อให้ผมกับจีได้คุยกัน
“มิลค์ ...”
“... มิลค์ฟังจีก่อน มันไม่ใช้แบบนั้น มันไม่ใช้แบบที่มิลค์คิด” ผมที่กำลังสมองเบลอ กว่าจะรู้ตัวจีก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า สีหน้าของเจ้าตัวดูไม่ดีเอามากๆ ท่าทางลนลานแบบนี้ สถานการณ์แบบนี้ ความรู้สึกแบบนี้ ยิ่งกระตุ้นให้กลไกการป้องกันตัวเองของผมทำงานโดยอัตโนมัติ
“กูยังไม่ได้คิดอะไรเลย” ผมพยายามตั้งสติ ทำตัวเองให้นิ่งที่สุดในสถานการณ์ตรงหน้า พยายามสุดความสามารถที่จะกลั้นน้ำตา ไม่ได้สนใจว่าน้ำเสียงที่พูดออกไปจะแย่แค่ไหน ขอแค่อย่าร้องไห้ออกมาตอนนี้ก็พอ
“มิลค์ ไม่เอาดิ ไหนว่าเราจะเลิกพูดกูมึงไง”
“กูกลับไปเรียนก่อนนะ” เป็นข้ออ้างที่ตลกมากแต่ผมก็คิดออกแค่นี้จริงๆ
“เดียวจีเดินไปส่ง ... รอตรงนี้แป๊บนึง” พูดจบเจ้าตัวก็เดินจ้ำกลับไปที่ร้าน
คิดเหรอว่าผมจะรออยู่ตรงนั้น รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ตัวเองทิ้งตัวลงบนเตียงของโรงแรมย่านราชประสงค์ ผมไม่ได้กลับคอนโด เพราะรู้ว่าจีต้องไปดักรอที่ห้อง ไม่กลับบ้านเพราะเป็นสถานที่ถัดไปที่จีจะไป หากรู้ว่าผมไม่ได้อยู่ที่คอนโด ผมมาตัวเปล่าๆ ไม่ได้เตรียมของอะไรมาเลยซักอย่าง ออกจากสยามก็ขับตรงมาที่นี้
... ‘G (^.^) v’
Smartphone ในกระเป๋ากางเกงสั่นไม่หยุด พอเจ้าตัวรู้ว่าผมไม่ได้อยู่รอ จีก็กระหน่ำโทรมาไม่ยั้ง ไหนจะ inbox ข้อความใน FB ที่เจ้าตัว DM มาทั้งขอโทษและอ้อนวอนให้ผมรับสาย ผมนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงที่นุ่มสบายราวกับนอนอยู่บนปุยเมฆ และปล่อยให้โทรศัพท์มือถือสั่นจนหยุดไปอีกครั้ง
‘G (^.^) v’ 16 missed call
... ‘Kaew’
‘Kaew’ 1 missed call
‘Kaew’
แกหายไปไหน รับโทรศัพท์ฉัน ฉันสาบาญว่าไอ้จีไม่ได้อยู่กับฉัน
... ‘Kaew’
“อืม”
“แกอยู่ไหน…”
“… มิลค์ ฉันถามว่าแกอยู่ไหน ...” แก้วถามผมเสียงเข้ม
“... ไม่บอกก็ได้ แต่อย่างน้อยบอกฉันหน่อยว่าแกปลอดภัย”
“เราโอเค แค่อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”
“ไอ้จีประสาทแดกไปแล้ว มันหาแกไม่เจอ ...”
“... รับสายมันหน่อย น้ำเสียงมันดูร้อนรนมาก...”
“... ฉันไม่รู้ว่าแกกับมันทะเลาะอะไรกัน แต่มันบอกว่ามันจะไป off shore พรุ่งนี้แล้ว ... มิลค์ ถ้าไม่คุยกันวันนี้ แกต้องรอไปอีก 3 สัปดาห์เลยนะ ... ฉันแล้วแต่แกเลย แค่ทำในสิ่งที่ตัวเองจะไม่เสียใจภายหลัง”
... ‘G (^.^) v’
“อืม” สุดท้ายผมก็ยอมรับสาย
“มิลค์ มิคล์อยู่ไหน จีรอมิลค์อยู่ที่ห้อง เย็นนี้กินข้าวเย็นด้วยกันนะ”
“ไม่ต้องรอ กูไม่กลับห้อง”
“มิลค์อยู่บ้านเหรอ จีไปหามิลค์ที่บ้านนะ”
“ไม่ได้อยู่”
“Milk, please, where are you? We really need to talk.”
“G”
“ครับ, dear”
“I am not ready. Let talk when you get back home.” พอพูดจบประโยค น้ำตาก็ไหลรินลงมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว วินาทีนั้นผมถึงเพิ่งรู้สึกตัว... นี่เป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้เพราะจี
มันเจ็บ เจ็บแบบที่ไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ยังไง แน่นอนว่าผมอยากจะใช้เวลาวันสุดท้ายกับจีแต่ที่ไม่ได้เอ่ยปากขอเพราะอยากให้เจ้าตัวใช้เวลากับที่บ้านบ้าง จีมานอนค้างกับผมตั้งแต่กลับ จนเราเพิ่งแยกกันเมื่อ 2 วันก่อน
โกรธตัวเองเพราะที่ผ่านมาผมอยู่ข้างๆ จีมาตลอดแต่กลับไม่เคยรับรู้เลยว่ามีใครอีกคนกำลังแทรกกลางระหว่างเรา สับสนเพราะไม่เข้าใจว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านคืออะไร ที่ชอบเข้ามากอด เข้ามาคลอเคลีย ที่บอกให้ผมรอ คืออะไร ทุกอย่างมันหมายความว่าอะไร ผมคิดว่าเราใจตรงกัน คิดว่าเราใกล้จะขยับสถานะจากเพื่อนสนิทเป็นคนรัก หรือจะเป็นผมที่คิดไปเองฝ่ายเดียว มีความรู้สึกหลายหลายมากมายเกิดขึ้นเกินกว่าจะข่มตาหลับได้ หยดน้ำตาไหลออกจากดวงตาคู่สวยตลอดทั้งคืน ผมเคยรู้สึกว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนมักจะประดับประดาด้วยแสงดาวระยิบระยับแต่ทำไมคืนนี้ไม่ว่าจะมองเท่าไหร่ผมก็ไม่เห็นความสวยงามที่คุ้นตานั้นอีกแล้ว
Key card ถูกวางแนบลงบนบานประตู หัวใจของผมเต้นเร็วจนสั่นระรัวในขณะที่ผลักปานประตูให้เปิดออก ขาทั้ง 2 ข้างเดินเข้ามาในห้องที่คุ้นเคย ... ภายในห้องปิดไฟมืด มีเพียงแสงสว่างรำไรที่ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาเท่านั้น ทุกอย่างเงียบสนิท ... นี่ผมกำลังคาดหวังอะไร หวังว่าพอเปิดประตูเข้ามาแล้วจะเจอจียืนรออยู่หน้าประตูงั้นเหรอ สิ่งเดียวที่บ่งบอกว่าเมื่อคืนเจ้าตัวนอนค้างที่นี้ คือคราบน้ำที่ยังเปียกอยู่ให้ห้องอาบน้ำ ... ผมกลับมาที่คอนโดในช่วงเช้าของอีกวันเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปเรียน ... จีไปแล้ว และผมต้องอยู่ตัวคนเดียวไปอีก 3 สัปดาห์
เป็น 3 สัปดาห์ที่ยาวนานและทรมานที่สุดในชีวิต แต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนอนแค่หายใจให้ทั่วท้องยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เข็มของนาฬิกาบนผนังยังคงเดินไปข้างหน้าตามจังหวะเดิม แม้ว่าผมจะภาวนาขอให้มันเร็วกว่านี้อีกซักหน่อย ... หน้าจอ smart phone ในมือเปิดค้างอยู่ที่ inbox ของ FB นิ้วโป้ง slide หน้าจอขึ้นไปบนสุดเพื่อไล่ดูข้อความเก่าๆ ที่เราส่งหากัน และเผลอยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวจนกระทั้งถึงข้อความที่จีส่งมาล่าสุดในวันที่เราทะเลาะกัน ... ห้องที่อยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้มันกว้างและเงียบเหงาเกินไปเมื่อไม่มีจีนั่งอยู่ข้างๆ
เป็นมื้ออาหารที่อึมครึมระหว่างเรา เรียกได้ว่าเป็นมื้อที่อึดอัดที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมา ถึงวันนี้ผมเพิ่งนึกได้ว่าเราไม่เคยทะเลาะกัน ไม่เคยโกรธกัน ไม่เคยมีบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้นระหว่างเรา ... น่าอึดอัดชะมัด ... เราต่างสั่งอาหารของตัวเอง ไม่มีแม้แต่กับข้าวจานกลางที่เรามักจะสั่งมากินด้วยกัน ผักในจากของคนตรงหน้ายังนอนนิ่งอยู่ที่เดิมเช่นเดียวกับกับข้าวในจานของผม ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีเสียงหัวเราะ มีแต่ความเงียบและบรรยากาศแปลกๆ ที่ไม่คุ้นชิน เหมือนว่าต่างคนต่างมีเรื่องอะไรในใจแต่ไม่มีใครเป็นฝ่ายเริ่มพูดมันออกมา ระยะเวลา 3 สัปดาห์มากพอให้ผมได้คิดทบทวนไตรตรอง ผมพร้อมที่จะฟังคนตรงหน้าอธิบาย และถ้ามันสมเหตสมผล ผมก็พร้อมจะมองข้ามทุกอย่าง ... โลกใบนี้มันเหงาเกินไปเมื่อไม่มีจีอยู่ข้างๆ
ผมนั่งอยู่ข้างหลังพวงมาลัย สายตากำลังจับจ้องไปยังไฟสีแดงที่กำลังนับถอยหลัง เสียงเพลงช่วยทำให้บรรยากาศในรถไม่อึดอัดมากกว่าที่เป็นอยู่ จนกระทั้งจบมื้ออาหารก็ยังไม่มีใครพูดความในใจออกมา
“มิลค์ ...”
“... กูว่ากูรู้สึกดีกับเขา กูจะลองคบกับเขาดู” น้ำเสียงแผ่วเบาและราบเรียบของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ดังขึ้นในขณะที่ไฟจราจรสีแดงกำลังนับถอยหลัง
5, 4, 3, 2, 1
ทุกอย่างจบลงก่อนที่จะได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ กับความรู้สึกมากมายที่ให้ใครอีกคน ถึงวันนี้ผมยังไม่เคยได้บอกรักจีเลยซักครั้ง วันนี้เรื่องราวมากมายระหว่างเราไม่มีความหมายอีกแล้ว ... ผมรับรู้ได้ว่าช่วงเวลาของความสุขจบลงแล้ว ไม่มีแล้วความรู้สึกที่สัมผัสได้ด้วยใจ ไม่มีอีกแล้วเสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่มีให้กัน ... ทุกอย่างกำลังจะจืดจางและมลายหายไป ... ราวกับความฝัน