Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier  (อ่าน 14778 ครั้ง)

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 26
«ตอบ #120 เมื่อ03-10-2025 22:21:12 »

Teaser ตอนที่ 26

“แกเคยคิดบ้างไหมว่าเวลามันก็เดินเร็วเหมือนกันนะ” แก้วพูดขึ้นในขณะที่เรา 2 คนกำลังเดินเล่นฆ่าเวลาในสยาม

“อะไรของแก”

“ก็คิดดูดิ เผลอแป๊บเดียวอีกไม่กี่เดือนก็จบปี 4 แล้ว แป๊บๆ ก็ผ่านมาเกินครึ่งทางแล้ว”

“อืม ก็จริง” ผมคิดตามที่แก้วพูด เดินมาเกินครึ่งทางแล้วจริงๆ อีกไม่กี่เดือนพวกเราจะเป็นรองพี่ใหญ่ของคณะแล้ว

“แกคิดออกหรือยังว่าจะเรียนต่ออะไร” เพื่อนทุกคนในกลุ่มรู้ว่าผมอยากเรียนต่อ

“เราว่าเราอยากเรียนเกี่ยวกับฮอร์โมน”

“ฮอร์โมนเนี่ยนะ ไม่เห็นจะเท่ห์” ผมคิดอยู่มนใจว่าแล้วใครเขาเลือกเรียนต่อเพราะความเท่ห์กัน

“แล้วเป็นหมออะไรถึงจะเท่ห์”

“หมอศัลย์ไง ไม่ก็หมอ neuro”

“ไม่เอาวะไม่ชอบศัลย์ neuro ก็ยากเกิน”


----------

มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคืออยากเป็นหมอฮอร์โมน

#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier
«ตอบ #121 เมื่อ05-10-2025 10:22:01 »

ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier (Part 1/2)

“แกเคยคิดบ้างไหมว่าเวลามันก็เดินเร็วเหมือนกันนะ” แก้วพูดขึ้นในขณะที่เรา 2 คนกำลังเดินเล่นฆ่าเวลาในสยาม

“อะไรของแก”

“ก็คิดดูดิ เผลอแป๊บเดียวอีกไม่กี่เดือนก็จบปี 4 แล้ว แป๊บๆ ก็ผ่านมาเกินครึ่งทางแล้ว”

“อืม ก็จริง” ผมคิดตามที่แก้วพูด พวกเราเดินมาเกินครึ่งทางแล้วจริงๆ อีกไม่กี่เดือนพวกเราจะเป็นรองพี่ใหญ่ของคณะแล้ว

“แกคิดออกหรือยังว่าจะเรียนต่ออะไร” เพื่อนทุกคนในกลุ่มรู้ว่าผมอยากเรียนต่อ

“เราว่าเราอยากเรียนเกี่ยวกับฮอร์โมน”

“ฮอร์โมนเนี่ยนะ ไม่เห็นจะเท่ห์” ผมขมวดคิ้วและบ่นในใจว่าแล้วใครเขาเลือกเรียนต่อเพราะความเท่ห์กัน

“แล้วเป็นหมออะไรถึงจะเท่ห์”

“หมอศัลย์ไง ไม่ก็หมอ neuro”

“ไม่เอาวะไม่ชอบผ่าตัด neuro ก็ยากเกิน”

“ทำไมแกถึงชอบฮอร์โมนวะ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”

“มีดิ สนุกจะตาย”

“สนุกตรงไหน มีแต่เรื่องยากๆ”

“นั้นแหละที่สนุก ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ก็ต่อยอดไปได้อีกไกล ...”

“... อีกอยากตอนขึ้นฝึกงาน เราชอบบรรยากาศที่หน่วย พี่หมอนิสัยดี ตลก ไม่กินหัว อาจารย์ก็สอนสนุก เรียนไปหัวเราะไป”

“ก็จริง ถ้าเทียบกับแผนกอื่น เราก็ชอบแผนกนี้ที่สุด อาจารย์สอนอย่างกับจะไปเปิดตลกคาเฟ่ ...” แก้วพยักหน้าเห็นด้วยกับผม อาจารย์และ staff มีส่วนมากจริงๆ กับความชอบในตัววิชาของนิสิต

ปี 4 เทอม 2 เป็นปีที่นิสิตจะได้เรียนกับอาจารย์ครบทุกภาควิชา เท่าที่เรียนมาตอนนี้ผมชอบวิชาที่เกี่ยวกับฮอร์โมนมากที่สุด ตอนนี้ปัญหาเดียวคือผมยังไม่เจออาจารย์ที่รู้สึกว่า click กันจนจะขอเป็น advisor ได้

“... มิลค์” อยู่ๆ แก้วที่พูดคุยยิ้มแย้มกับผมมาตลอดทางก็หยุดเดินซะดื้อๆ สีหน้าของมันเปลี่ยนไปจากเดิมจนผมต้องมองตามสายตาคู่นั้น

“จี” เสียงเรียกชื่อคนคุ้นเคยหลุดลอดออกมาอย่างแผ่วเบา เหมือนโลกทั้งใบหยุดนิ่งอยู่กับที่ ... จีนั่งอยู่ในร้านอาหาร โต๊ะริมกระจกบานใหญ่ทำให้ผมเห็นเพื่อนสนิทกับใครอีกคนชัดเต็ม 2 ตา เธอผิวขาว ไว้ผมยาว มองจากด้านข้างแล้วเห็นสันจมูกยกขึ้นชัดเจน ... ในจังหวะที่ผมตั้งสติได้ แล้วกำลังจะเบี่ยงตัวหลบ เจ้าตัวก็หันมาพอดี ... เรา 2 คนสบตากัน ดวงตาชั้นเดียวคู่นั้นเบิกกว้าง ก่อนที่จีจะลุกออกจากร้านอาหารมาด้วยท่าทีร้อนรน

“เรากลับคณะก่อนนะ” แก้วที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ขอปลีกตัวออกไปเพื่อให้ผมกับจีได้คุยกัน

“มิลค์ ...”

“... มิลค์ฟังจีก่อน มันไม่ใช้แบบนั้น มันไม่ใช้แบบที่มิลค์คิด” ผมที่กำลังสมองเบลอ กว่าจะรู้ตัวจีก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า สีหน้าของเจ้าตัวดูไม่ดีเอามากๆ ท่าทางลนลานแบบนี้ สถานการณ์แบบนี้ ความรู้สึกแบบนี้ ยิ่งกระตุ้นให้กลไกการป้องกันตัวเองของผมทำงานโดยอัตโนมัติ

“กูยังไม่ได้คิดอะไรเลย” ผมพยายามตั้งสติ ทำตัวเองให้นิ่งที่สุดในสถานการณ์ตรงหน้า พยายามสุดความสามารถที่จะกลั้นน้ำตา ไม่ได้สนใจว่าน้ำเสียงที่พูดออกไปจะแย่แค่ไหน ขอแค่อย่าร้องไห้ออกมาตอนนี้ก็พอ

“มิลค์ ไม่เอาดิ ไหนว่าเราจะเลิกพูดกูมึงไง”

“กูกลับไปเรียนก่อนนะ” เป็นข้ออ้างที่ตลกมากแต่ผมก็คิดออกแค่นี้จริงๆ

“เดียวจีเดินไปส่ง ... รอตรงนี้แป๊บนึง” พูดจบเจ้าตัวก็เดินจ้ำกลับไปที่ร้าน



คิดเหรอว่าผมจะรออยู่ตรงนั้น รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ตัวเองทิ้งตัวลงบนเตียงของโรงแรมย่านราชประสงค์ ผมไม่ได้กลับคอนโด เพราะรู้ว่าจีต้องไปดักรอที่ห้อง ไม่กลับบ้านเพราะเป็นสถานที่ถัดไปที่จีจะไป หากรู้ว่าผมไม่ได้อยู่ที่คอนโด ผมมาตัวเปล่าๆ ไม่ได้เตรียมของอะไรมาเลยซักอย่าง ออกจากสยามก็ขับตรงมาที่นี้

... ‘G (^.^) v’

Smartphone ในกระเป๋ากางเกงสั่นไม่หยุด พอเจ้าตัวรู้ว่าผมไม่ได้อยู่รอ จีก็กระหน่ำโทรมาไม่ยั้ง ไหนจะ inbox ข้อความใน FB ที่เจ้าตัว DM มาทั้งขอโทษและอ้อนวอนให้ผมรับสาย ผมนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงที่นุ่มสบายราวกับนอนอยู่บนปุยเมฆ และปล่อยให้โทรศัพท์มือถือสั่นจนหยุดไปอีกครั้ง

‘G (^.^) v’ 16 missed call



... ‘Kaew’

‘Kaew’ 1 missed call

‘Kaew’

แกหายไปไหน รับโทรศัพท์ฉัน ฉันสาบาญว่าไอ้จีไม่ได้อยู่กับฉัน



... ‘Kaew’

“อืม”

“แกอยู่ไหน…”

“… มิลค์ ฉันถามว่าแกอยู่ไหน ...” แก้วถามผมเสียงเข้ม

“... ไม่บอกก็ได้ แต่อย่างน้อยบอกฉันหน่อยว่าแกปลอดภัย”

“เราโอเค แค่อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”

“ไอ้จีประสาทแดกไปแล้ว มันหาแกไม่เจอ ...”

“... รับสายมันหน่อย น้ำเสียงมันดูร้อนรนมาก...”

“... ฉันไม่รู้ว่าแกกับมันทะเลาะอะไรกัน แต่มันบอกว่ามันจะไป off shore พรุ่งนี้แล้ว ... มิลค์ ถ้าไม่คุยกันวันนี้ แกต้องรอไปอีก 3 สัปดาห์เลยนะ ... ฉันแล้วแต่แกเลย แค่ทำในสิ่งที่ตัวเองจะไม่เสียใจภายหลัง”



... ‘G (^.^) v’

“อืม” สุดท้ายผมก็ยอมรับสาย

“มิลค์ มิคล์อยู่ไหน จีรอมิลค์อยู่ที่ห้อง เย็นนี้กินข้าวเย็นด้วยกันนะ”

“ไม่ต้องรอ กูไม่กลับห้อง”

“มิลค์อยู่บ้านเหรอ จีไปหามิลค์ที่บ้านนะ”

“ไม่ได้อยู่”

“Milk, please, where are you? We really need to talk.”

“G”

“ครับ, dear”

“I am not ready. Let talk when you get back home.” พอพูดจบประโยค น้ำตาก็ไหลรินลงมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว วินาทีนั้นผมถึงเพิ่งรู้สึกตัว... นี่เป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้เพราะจี

มันเจ็บ เจ็บแบบที่ไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ยังไง แน่นอนว่าผมอยากจะใช้เวลาวันสุดท้ายกับจีแต่ที่ไม่ได้เอ่ยปากขอเพราะอยากให้เจ้าตัวใช้เวลากับที่บ้านบ้าง จีมานอนค้างกับผมตั้งแต่กลับ จนเราเพิ่งแยกกันเมื่อ 2 วันก่อน

โกรธตัวเองเพราะที่ผ่านมาผมอยู่ข้างๆ จีมาตลอดแต่กลับไม่เคยรับรู้เลยว่ามีใครอีกคนกำลังแทรกกลางระหว่างเรา สับสนเพราะไม่เข้าใจว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านคืออะไร ที่ชอบเข้ามากอด เข้ามาคลอเคลีย ที่บอกให้ผมรอ คืออะไร ทุกอย่างมันหมายความว่าอะไร ผมคิดว่าเราใจตรงกัน คิดว่าเราใกล้จะขยับสถานะจากเพื่อนสนิทเป็นคนรัก หรือจะเป็นผมที่คิดไปเองฝ่ายเดียว มีความรู้สึกหลายหลายมากมายเกิดขึ้นเกินกว่าจะข่มตาหลับได้ หยดน้ำตาไหลออกจากดวงตาคู่สวยตลอดทั้งคืน ผมเคยรู้สึกว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนมักจะประดับประดาด้วยแสงดาวระยิบระยับแต่ทำไมคืนนี้ไม่ว่าจะมองเท่าไหร่ผมก็ไม่เห็นความสวยงามที่คุ้นตานั้นอีกแล้ว



Key card ถูกวางแนบลงบนบานประตู หัวใจของผมเต้นเร็วจนสั่นระรัวในขณะที่ผลักปานประตูให้เปิดออก ขาทั้ง 2 ข้างเดินเข้ามาในห้องที่คุ้นเคย ... ภายในห้องปิดไฟมืด มีเพียงแสงสว่างรำไรที่ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาเท่านั้น ทุกอย่างเงียบสนิท ... นี่ผมกำลังคาดหวังอะไร หวังว่าพอเปิดประตูเข้ามาแล้วจะเจอจียืนรออยู่หน้าประตูงั้นเหรอ สิ่งเดียวที่บ่งบอกว่าเมื่อคืนเจ้าตัวนอนค้างที่นี้ คือคราบน้ำที่ยังเปียกอยู่ให้ห้องอาบน้ำ ... ผมกลับมาที่คอนโดในช่วงเช้าของอีกวันเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปเรียน ... จีไปแล้ว และผมต้องอยู่ตัวคนเดียวไปอีก 3 สัปดาห์

เป็น 3 สัปดาห์ที่ยาวนานและทรมานที่สุดในชีวิต แต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนอนแค่หายใจให้ทั่วท้องยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เข็มของนาฬิกาบนผนังยังคงเดินไปข้างหน้าตามจังหวะเดิม แม้ว่าผมจะภาวนาขอให้มันเร็วกว่านี้อีกซักหน่อย ... หน้าจอ smart phone ในมือเปิดค้างอยู่ที่ inbox ของ FB นิ้วโป้ง slide หน้าจอขึ้นไปบนสุดเพื่อไล่ดูข้อความเก่าๆ ที่เราส่งหากัน และเผลอยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวจนกระทั้งถึงข้อความที่จีส่งมาล่าสุดในวันที่เราทะเลาะกัน ... ห้องที่อยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้มันกว้างและเงียบเหงาเกินไปเมื่อไม่มีจีนั่งอยู่ข้างๆ



เป็นมื้ออาหารที่อึมครึมระหว่างเรา เรียกได้ว่าเป็นมื้อที่อึดอัดที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมา ถึงวันนี้ผมเพิ่งนึกได้ว่าเราไม่เคยทะเลาะกัน ไม่เคยโกรธกัน ไม่เคยมีบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้นระหว่างเรา ... น่าอึดอัดชะมัด ... เราต่างสั่งอาหารของตัวเอง ไม่มีแม้แต่กับข้าวจานกลางที่เรามักจะสั่งมากินด้วยกัน ผักในจากของคนตรงหน้ายังนอนนิ่งอยู่ที่เดิมเช่นเดียวกับกับข้าวในจานของผม ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีเสียงหัวเราะ มีแต่ความเงียบและบรรยากาศแปลกๆ ที่ไม่คุ้นชิน เหมือนว่าต่างคนต่างมีเรื่องอะไรในใจแต่ไม่มีใครเป็นฝ่ายเริ่มพูดมันออกมา ระยะเวลา 3 สัปดาห์มากพอให้ผมได้คิดทบทวนไตรตรอง ผมพร้อมที่จะฟังคนตรงหน้าอธิบาย และถ้ามันสมเหตสมผล ผมก็พร้อมจะมองข้ามทุกอย่าง ... โลกใบนี้มันเหงาเกินไปเมื่อไม่มีจีอยู่ข้างๆ

ผมนั่งอยู่ข้างหลังพวงมาลัย สายตากำลังจับจ้องไปยังไฟสีแดงที่กำลังนับถอยหลัง เสียงเพลงช่วยทำให้บรรยากาศในรถไม่อึดอัดมากกว่าที่เป็นอยู่ จนกระทั้งจบมื้ออาหารก็ยังไม่มีใครพูดความในใจออกมา

“มิลค์ ...”

“... กูว่ากูรู้สึกดีกับเขา กูจะลองคบกับเขาดู” น้ำเสียงแผ่วเบาและราบเรียบของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ดังขึ้นในขณะที่ไฟจราจรสีแดงกำลังนับถอยหลัง

5, 4, 3, 2, 1

ทุกอย่างจบลงก่อนที่จะได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ กับความรู้สึกมากมายที่ให้ใครอีกคน ถึงวันนี้ผมยังไม่เคยได้บอกรักจีเลยซักครั้ง วันนี้เรื่องราวมากมายระหว่างเราไม่มีความหมายอีกแล้ว ... ผมรับรู้ได้ว่าช่วงเวลาของความสุขจบลงแล้ว ไม่มีแล้วความรู้สึกที่สัมผัสได้ด้วยใจ ไม่มีอีกแล้วเสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่มีให้กัน ... ทุกอย่างกำลังจะจืดจางและมลายหายไป ... ราวกับความฝัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier
«ตอบ #122 เมื่อ05-10-2025 10:26:09 »

ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier (Part 2/2)

ความรู้สึกมันมากเกินกว่าที่จะรับไหว จากที่เคยคิดว่าไม่มีใครที่จะแทรกกลางความสัมพันธ์ระหว่างผมกับจีได้แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับพังทลาย ราวกับปราสาทที่ถูกก่อสร้างบนพื้นทราย ทำให้ไม่แข็งแรงพอจะต้านแรงของพายุใหญ่ ... สิ่งที่เคยเชื่อมั่นมาตลอดชีวิต วันนี้เหมือนมันไม่มีอยู่จริง ... ผมหลบหน้าและมันนำมาซึ่งความห่างเหิน

“มึงไหวแน่นะ” คำถามของไอซ์ทำให้อาร์มและโจเลิกสนใจ smartphone ในมือแล้วเปลี่ยนมาสนใจผมแทน ไม่ใช้แค่ผมคงเดียวที่งง เพื่อนคนอื่นๆ ก็งงเป็นไก่ตาแตกเมื่ออยู่ๆ จีก็เปิดตัวแฟนสาว

“ไหวดิ แค่นี้เอง”

“มึงไม่ได้เจอมันมานานแค่ไหนแล้ว”

“2 -3 เดือนแล้วมั้ง” ความห่างเหินของเรายังทำลายสถิติใหม่ไปเรื่อยๆ ผมรู้ว่าตัวเองพูดประโยคนี้บ่อยแล้ว ‘แต่เราไม่เคยห่างกันขนาดนี้มาก่อน’ ห่างในที่นี้คือไม่เจอหน้า ไม่โทรหา ไม่ DM คุยกัน ห่างกันทั้งร่างกายและจิตใจ มันเริ่มมาจากผมเทนัดดูหนังของเรา แบบที่เรียกได้ว่ามาบอกเอาหน้างานโดยให้เหตุผลกับจีแค่ว่าไม่อยากดูแล้ว เรานัดกันมานานมากว่าจะดูหนังภาคต่อเรื่องนี้ด้วยกัน ตั้งแต่ก่อนที่จีจะเปิดตัวเธอคนนั้น ผมรู้ว่าไม่ควรยกเลิกนัดในตอนที่อีกคนซื้อตั๋ว และรออยู่หน้าโรงหนังแล้ว แต่ผมผิดอะไรในเมื่ออีกฝ่ายก็ให้ผมรอเก้อเหมือนกัน

“ถ้าไม่ไหว มึงจะกลับก็ได้นะ”

“กูไม่กลับ มันจะซักเท่าไหร่กัน กูก็อยากจะเจอตัวจริงซักที” ผมพูดอย่างท้าทาย ผมไม่คิดจะหลบหน้าเธอคนนั้น ... คนอย่างมิลค์ ติฒสิงห์ไม่จำเป็นต้องหลบหน้าใครทั้งนั้น

“นี่คือสาเหตที่มึงประโคมแต่งตัวมาวันนี้ใช่ไหม ...” ไอซ์พูดพลางใช้สายตาสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

“... ถามจริงๆ ที่แต่งมาวันนี้เนี่ยกี่ล้านวะ ...” ผมแต่งตัวเพราะได้ยินมาว่าแฟนของจีเธอแต่ง brand name ทั้งตัว

“... กูถามจริง นี่มึงกำลังสู้กับเฟิร์ส หรือมึงกำลังสู้กับความรู้สึกของตัวเองกันแน่วะ?”

“ไม่ใช้เรื่องของมึง” ผมตอบอย่างกระฟัดกระเฟียดเพราะคำพูดของไอซ์ไม่ต่างอะไรจากการเอาเหล็กร้อนๆ มาขยี้ลงบนแผลสด

“เก่งให้ได้ตลอดนะไอ้มิลค์” ไอซ์พูดออกไปด้วยความหมั่นไส้ เขาไม่เข้าใจเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยซักนิด มันไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยอวด ไม่เคยเปรียบเทียบตัวเองกับใคร ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมาแข่งอะไรไร้สาระแบบนั้น คงเพราะความโกรธและความเสียใจที่ทำให้เจ้าตัวลืมไปมั้งว่าตัวเองคือมิลค์ ติฒสิงห์ แค่นี้ก็แพงจนไม่มีแก้วแหวนเงินทองที่ไหนจะเทียบเท่า

เป็นเหมือนที่คิดแฟนใหม่จีใส่ brand name มาตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่แน่นอนว่าสามัญชนคนธรรมดาอย่างเธอหรือจะสู้เจ้าชายบนหอคอยงาช้างแบบมิลค์ ติฒสิงห์ได้ แม้จะยิ้มหวานให้แต่ไอซ์กับสังเกตได้ว่าเธอแอบมองไอ้มิลค์ตั้งแต่หัวจรดเท้าเพราะกระเป๋า Chanel ที่เธอถือและร้องเท้า Dior ที่เธอใส่นั้นเทียบไม่ได้เลยกับ Rolex Daytona Rose Gold บนข้อมือซ้าย และ Cartier Juste Un Clou with pave diamonds ครบ set แหวนกำไลบนข้อมือขวาของมิลค์ เรียกได้ว่าทั้งตัวไอ้มิลค์ถอยรถ BMW ได้สบายๆ

ยกแรกไอ้มิลค์ชนะขาด ... แต่เกมนี้ไม่ได้ตัดสินกันด้วยใครแต่งตัวแพงกว่ากัน เพราะทันทีที่เธอเดินควงแขนแฟนหนุ่ม aura ที่เคยเปล่งประกายจากตัวมิลค์ก็ดูจะหม่นลงไปไม่น้อย ... มิลค์อาจจะแพงกว่า แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเธอคือแฟนของจี ดูจากสีหน้าของมิลค์ คิดว่าตอนนี้เจ้าตัวคงเข้าใจความจริงข้อนี้ไม่มากก็น้อย

“มิลค์ เราขอถ่ายรูปคู่กับมิลค์ได้ไหม มิลค์หล่อกว่าในรูปเยอะมากๆ นี่เพื่อนๆ เราตื่นเต้นมากเลยนะที่รู้ว่าจีเป็นเพื่อนสนิทของมิลค์” เป็นปกติของทุกคนที่อยากจะสร้างความสนิทสนมกับเพื่อนของแฟนโดยเฉพาะเพื่อนสนิท ส่วนตัวแล้วไอซ์รู้สึกว่าเฟิร์สทำได้ดี เธอน่ารักและยิ้มแย้มให้กับทุกคน ที่จริงเธอทยอยขอถ่ายรูปคู่กับคนอื่นๆ ครบแล้วเหลือแต่ไอ้มิลค์ ... ถูกของเธอ มิลค์เป็นคนดัง ในยุคที่ทุกคนกำลังให้ความสำคัญกับการ up status ของตัวเอง การลงรูปคู่กับคนดังอย่างมิลค์ย่อมเรียกความฮือฮาได้มหาศาล

ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ยุคของ Social media แสงไฟก็เหมือนจะตกไปที่มิลค์ ติฒสิงห์พอสมควร ทุกคนอยากรู้จักทายาทเพียงคนเดียวของ The Nemean Group ผู้ที่ใครๆ ก็มองว่าเพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง ทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ และการศึกษา ทำให้บ่อยครั้งที่รูปของมิลค์ถูกนำมาโพสต์ลงตามเพจ cute boy เพื่อเพิ่มยอด engagement

“เราขอโทษนะเฟิร์สแต่เราไม่ชอบถ่ายรูป” มิลค์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ พร้อมกับรอยยิ้ม ... ไอซ์ได้ยินเสียงเศษใบหน้าของเธอแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่แฟนของเธอทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ กับสถานการณ์ตอนนี้

“แรงไปไหมมึง” ไอซ์กระซิบเมื่อมิลค์ผละกลับมาเดินอยู่ข้างๆ กัน

“ก็กูไม่ชอบถ่ายรูป” คำตอบของมิลค์ทำให้ไอซ์หัวเราะในลำคอ ... เอากับมันซิ ทั้งน้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง มองจากดาวอังคารก็รู้เลยว่าตอแหล

“ตอแหล” สงสัยว่าไอซ์จะคิดดังไปหน่อย

“พี่มิลค์ๆ ...” เสียงใสๆ ดังขึ้นพร้อมกับกลุ่มเด็กวัยรุ่นชายหญิง 3 คนวิ่งมาทางพวกเรา

“... พวกหนูเป็นรุ่นน้องพี่ เรียนอยู่ปี 1 เพื่อนหนูคนนี้แอบปลื้มพี่มากกกกกกกก มันไม่กล้าขอพี่ถ่ายรูปคู่ พวกหนูเลยจะมาถ่ายเป็นเพื่อนมัน ...” ปลายนิ้วของเธอชี้ไปยังเด็กผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ห่างออกไป แน่นอนว่าต้องเป็นผู้ชาย ไอ้มิลค์มีแรงดึงดูดกับเพศเดียวกันเสมอ

“... นะคะพี่ ถ่ายรูปกับพวกหนูหน่อยนะคะๆๆๆ” บรรยากาศ dead air เกิดขึ้นหลังจากคำถามของน้อง เพราะทุกคนต่างพร้อมใจกันกลั้นลมหายใจเพื่อรอฟังคำตอบ

“ได้เลยครับ” แล้วไอ้มิลค์ก็เลือกที่จะเปิด war ด้วยการต้องรับพร้อมรอยยิ้ม

“ไอ้ปอนด์มาเร็ว พี่มิลค์ตกลงแล้ว” น้องผู้หญิงที่ดูจะเป็นหัวโจกของกลุ่มตะโกนเรียกเพื่อนของเธอ ก่อนที่เธอจะไปลากเพื่อนเข้ามาร่วมวงถ่ายรูป

แม้จะพยายามเก็บอาการแต่ไอซ์ก็สังเกตได้ว่าเฟิร์สแสยะยิ้ม เมื่อคนที่เพิ่งปฏิเสธการถ่ายรูปคู่กับเธอ ยิ้มแย้มถ่ายรูปกับรุ่นน้องและแสดงความเป็นกันเองถึงขนาดโอบไหล่รุ่นน้องคนนั้นจนน้องเขินตัวแข็งทื่อ

พวกเราย้ายมายังร้านอาหารที่เฟิร์สเป็นคนแนะนำ แม้ว่าเพื่อนคนอื่นๆ พยายามจะจับให้คู่อรินั่งห่างกันแต่ด้วยจังหวะที่ไม่พอดีเลยทำให้มิลค์นั่งประจัญหน้ากับเฟิร์สโดยมีจีนั่งอยู่ด้านซ้ายของเธอ ไอ้มิลค์ยังคงเล่นสงครามประสาทโดยเปิดดูเมนูประมาณ 3 รอบ และจบด้วยการไม่สั่งอาหารอะไรเลยซักอย่าง ตอนนี้คนที่น่าสงสารที่สุดคงหนีไม่พ้นจี เพราะคนหนึ่งก็เพื่อนสนิท อีกคนหนึ่งก็แฟน

ไม่นานอาหารก็เริ่มทยอยมาเสิร์ฟ

“มิลค์ กินอันนี้ ร้านนี้เขาทำอร่อยมากเลยนะ” ต้องยอมใจเฟิร์สที่แม้จะถูกไอ้มิลค์เปิด war มาตั้งแต่เย็นแต่เธอก็ยังทำใจดีสู้เสือด้วยการใช้ตะเกียบหยิบเอาตับทอดกระเทียบชิ้นโตไปวางไว้บนจานของมิลค์ ... ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดพลาดมหันต์ จริงอยู่ว่ามิลค์เป็นคนไม่เลือกกิน อาหารข้างทางมันก็กินได้ ส้มตำมันก็ใช้มือเปล่าๆ จกได้ แต่ในโลกใบนี้มีอาหารเพียงอย่างเดียวที่เจ้าตัวเกียจเข้าใส้ ... และนั้นก็คือ ... ตับ

“อืมมมมม” มันออกอาการทันทีที่ตับชิ้นนั้นถูกวางไว้บนจานตรง เจ้าตัวเอามือปิดจมูกพร้อมกับเขยิบเก้าอี้หนี มันเกียจตับ เกียจถึงขนาดที่แม้แต่กลิ่นก็ยังดมไม่ได้

“เฮ้ย!!!!! ...” ทุกอยากเกิดขึ้นเร็วมาก ถึงขนาดที่เพื่อนคนอื่นๆ ยังไม่ทันได้ออกปากห้าม

จีคือคนที่ไวที่สุด มันรีบยกจานตรงหน้าไอ้มิลค์ออก สีหน้าของมันคือตกใจมาก ซึ่งก็สมควรเพราะหากได้กลิ่นเข้าไปจังๆ ถึงขึ้นทำให้ไอ้มิลค์อ้วกแตกได้

“... มิลค์ไม่กินตับ …” จีหันไปพูดกับแฟนตัวเองเสียงเข้ม

“... ไหวไหมมิลค์” ก่อนจะหันมาพูดกับมิลค์เสียงอ่อน

“ไหวๆ ไม่เป็นไร ขอโทษ กูขอตัวไปเข้าห้องน้ำ” พอพูดจบแล้วมันก็ลุกพรวดพลาดออกไป

งานเข้าไอ้จีชนิดที่เรียกได้ว่ามโหฬาร เพราะแฟนที่นั่งอยู่ข้างๆ ดูจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่ถูกดุด้วยน้ำเสียงเข้มๆ แล้วไหนจะเพื่อนสนิทที่ลุกออกไปด้วยสีหน้านิ่งๆ ถ้าเป็นปกติไอ้จีต้องรีบกวีกวาดตามไปง้อไอ้มิลค์ แต่ตอนนี้คนมีชนักติดหลังจะทำอะไรได้นอกจากนั่งอยู่กับที่ ง้อแฟนตัวเอง

ไอ้มิลค์หายไปประมาณ 20 นาที คาดว่าน่าจะออกไป clear จมูกตัวเองให้โล่งรวมถึงสงบสติอารมณ์ มันเดินกลับเข้ามาในจังหวะที่จีกำลังใช้ตะเกียบป้อนอาหารให้แฟนสาว นั้นยิ่งทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารแย่ไปกว่าเดิม ไอ้มิลค์ที่นิ่งอยู่แล้วตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับภูเขาน้ำแข็งที่แพร่ไอเย็นไปทั่ว แต่ดูท่าว่าเฟิร์สจะเลิกให้ความสนใจกับเพื่อนสนิทของแฟนไปแล้ว เพราะหลังจากขอโทษมิลค์แบบพอเป็นมารยาทเจ้าตัวก็สร้างโลกส่วนตัวกับแฟนหนุ่มโดยไม่สนใจไอ้มิลค์อีกเลย

นิ้วมือเรียวสวยกำเข้าหากันแน่น ภาพตรงหน้ามันทำให้ผมอยากจะกรีดร้องออกมา ความใกล้ชิด รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ยิ่งเห็น ยิ่งได้ยิน ผมยิ่งอยากเอาตัวเองออกไปจากสถานการณ์ตรงนี้ เมื่อไหร่จะกินอิ่ม เมื่อไหร่จะแยกย้าย ผมรู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้อยากทำให้บรรยากาศมันแย่แต่พอเห็นเขา 2 คนเดินคู่กันมันก็เหมือนมีพายุเพลิงโหมกระหน่ำอยู่ข้างใน ความโกรธ ความผิดหวัง ความอิจฉา กำลังกัดกินผมจากภายใน ... ทุกอย่างที่เธอได้ เมื่อก่อนมันเคยเป็นของผม ... แทบจะกลั่นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอีกแล้ว

“ไอ้มิลค์ ไปเป็นเพื่อนกูสูบบุหรี่หน่อย” แต่ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาก ไอซ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ฉุดผมให้ลุกออกจากโต๊ะ ผมพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นตามแรงดึงของมัน

ผมเดินตามหลังมันออกจากร้านอาหาร เดินตามมันมาเรื่อยๆ แบบคนไร้สติ รู้ตัวอีกทีก็ยืนอยู่หน้าตึกสูงในสยามสแควร์

“กลับบ้านไหม ...” ไอซ์ถาม

“... สีหน้ามึงดูไม่ได้เลยวะ”

“วันนี้กูทำตัวแย่มากเลยใช่ไหม”

“ก็เหี้ยพอตัว กูไม่เคยคิดว่าบทจะร้ายมึงจะร้ายได้สุดขนาดนี้ ...” ผมพยักหน้ารับผิด กระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยดน้ำตาที่กำลังก่อตัว

“... แต่กูสะใจนะ ให้ไอ้จีมันโดนซะบ้าง 555” แม้จะอยู่ในโหมดเศร้าแต่ผมก็อดขำกับมุกตลกของไอซ์ไม่ได้

“รอยยิ้มนั้น เสียงหัวเราะนั้น เมื่อก่อนมันเป็นของกู กูไม่อยากแบ่งให้ใคร ...”

“... ทำไมวะไอซ์ กูทำอะไรผิด ทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้” จากที่แค่น้ำตารื้อๆ พอได้ระบายความในใจ หยดน้ำตาก็ไหลออกจากดวงตาคู่สวย เรากำลังจะคบกันไม่ใช้เหรอ ผมไม่เข้าใจว่าตัวเองทำผิดพลาดตรงไหน

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน คนที่จะตอบมึงได้คือไอ้จี มึงกล้าถามมันไหม...” ผมสายหัวพลางยกหลังมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา

“... อย่าร้อง กูไม่ใช้ไอ้จี เลยมีปัญญาปลอบมึงได้แค่นี้ ...” มันไม่ได้กอดผมเหมือนที่จีทำ ไอซ์แค่เขยิบเข้ามาใกล้แล้วลูบหลังเป็นการปลอบโยน

“... มึงรู้ใช่ไหวว่าหลังจากนี้ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันไม่ใช้จีของมึงคนเดียวอีกแล้ว มึงต้องเข้มแข็ง และยืนอยู่ให้ได้ด้วยตัวของมึงเอง” เพราะไอซ์รู้ว่าที่ผ่านมาผมพึ่งพาจีมากแค่ไหน สำหรับผมแล้วจีเป็นมากกว่าเพื่อนสนิทหรือคนที่ผมรัก เขาเป็นเหมือนอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตผม และหลังจากนี้ผมจะต้องอยู่ให้ได้โดยปราศจากครึ่งชีวิตนั้น



...



“ที่จริงพวกเรานัดเจอกันแบบนี้ก็ง่ายดีนะ” โจพูดขึ้นในขณะที่พวกเรากำลังช่วยกันเก็บจานอาหาร

“ก็ดีนะ จะได้เจอกันบ่อยๆ” อาร์มสมทบ

“เอาดิ คิดถึงพวกมึง นัดทุกสัปดาห์เลยก็ได้นะ” ผมในฐานะเจ้าของบ้านตอบรับ เมื่อเย็นอยู่ๆ ไอซ์ก็จัดแจงนัดทุกคนมากินข้าวที่ห้องของผม ผมเลยโทรบอกพี่แอนให้ช่วยเตรียมอาหารให้แล้วให้คนมาส่งที่ห้อง ผมก็ชอบไอเดียนี้เหมือนกัน คืนวันเสาร์แบบนี้อยู่กันได้ยาวๆ โดยยังมีพรุ่งนี้ให้ได้พักผ่อนอีก 1 วัน

“พี่แอนยังทำอาหารอร่อยเหมือนเดิม ... ซักวันกูจะซื้อตัวพี่แอนไปจากมึง 555” อาร์มพูดพลางลูบหน้าท้องไปมา วันนี้มีกระดูกหมูอ่อนต้มกระหล่ำปลีของโปรดมัน อาร์มเลยเจริญอาหารเป็นพิเศษ

“อย่าเลว พี่แอนไม่ไปอยู่กับมึงหรอก พี่แอนรักกู”

“ขี้หวงวะ”

“แล้วนี่ไอ้จีไปไหน” ไอ้โจถาม

“ไม่รู้มัน ชวนแล้วมันบอกไม่ว่าง” ไอซ์ตอบ

“จะว่าไปตั้งแต่วันนั้น มันก็ไม่พาเฟิร์สมากินข้าวกับพวกเราอีกเลยเนอะ” โจพูดขึ้น

“ใครจะกล้า ดูเพื่อนมึงวันนั้นซะก่อน กูคิดว่าจะลุกขึ้นมาหยุมหัวกันกลางร้านอาหาร” แม้จะพยายามทำตัวนิ่งๆ แต่ก็ไม่วายโดนไอ้ไอซ์จิกกัด

“เออกูผิด พอใจพวกมึงยัง” ผมกระแทกเสียงใส่ไอซ์

“พูดแค่นี้ทำมาเป็นน้อยใจ ... แล้วมึงเป็นไงบ้าง ตอนนี้เรียนปีไหนแล้วนะ”

“จะจบปี 4 แล้ว ยังเหลืออีก 2 ปี”

“ดีแล้วมึง อย่าเพิ่งรีบจบออกมาทำงานเลย กูนี่ยังอยากย้อนเวลากลับไปเรียนต่อ”

“พวกมึงมีแผนจะเรียนต่อหรือเปล่า” ผมถาม

“ทำงานซักพักหนึ่งก่อนแล้วค่อยหาทางเรียนต่อ” ไอซ์ตอบ ในขณะที่คนอื่นก็ตอบในทำนองเดียวกัน

“พวกมึงว่าไอ้จีกับเฟิร์สจะไปกันรอดหรือเปล่าวะ” อยู่ๆ ไอ้อาร์มก็เปลี่ยนเรื่อง

“อารมณ์ไหนของมึง” ไอซ์ถาม

“เออ ไหนๆ ก็ไหนๆ แหละ อยู่กันแค่พวกเรา 4 คน กูพูดเลยละกัน ...”

“... มันมาปรึกษา คือทะเลาะกันบ่อย ทะเลาะกันทุกเรื่อง”

“ทำไมวะ”

“เข้ากันไม่ได้มั้ง คือคนละ life style เลย ล่าสุดสัปดาห์ก่อนก็โทรมานอยด์ๆ ว่าทะเลาะกันอีกแล้ว”

“ก็อย่างว่าแหละ ใครจะไปรู้ใจไอ้จีได้เท่าไอ้มิลค์ 555” คำแซวของไอ้โจทำเอาพวกเราหัวเราะลั่น

“ไอ้เลว ไม่ต้องเอากูเข้าไปเกี่ยวเลย จะรักจะเลิกกันก็ไม่ใช้เรื่องของกู”

“แหมๆ ทำเป็นไม่รู้ ไม่สนใจ แต่พอได้ยินชื่อไอ้จีนี่หูตั้งเลยนะ ...”

“... มึงได้เจอกับมันบ้างไหม”

“อ้าว!!! ทำไมอยู่ๆ มาสัมภาษณ์กูซะงั้น” ผมถาม

“อยากเสือก ตอบมาเร็วๆ”

“อย่าว่าแต่เจอเลย แค่คุยกันยังน้อย” ช่วงหลังมานี้เราไม่ค่อยได้คุยกัน จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่คุยกันคือเมื่อไหร่

นับจากวันนั้นรายละเอียดในความสัมพันธ์ของเราก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สมัยก่อนเวลาผมขับรถไปส่ง ไม่เกิน 20 นาทีให้หลัง จีจะโทรกลับมาเช็คเสมอว่าผมกลับถึงบ้านแล้วหรือยัง แต่ตอนนี้ต่อให้รอนานเท่าไหร่เขาก็ไม่โทรมาถาม เวลากินข้าวด้วยกันจีมักจะตักโน่นตักนี่ใส่จานให้ผมเสมอ เขารู้เสมอว่าผมชอบหรือไม่ชอบกินอะไรแต่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว วันเกิดของทุกปี จีจะเป็นคนแรกที่โทรมาอวยพร แต่ปีที่ผ่านมาแม้แต่ข้อความผมก็ไม่ได้รับ ... ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว และผมรับรู้มันในทุกวินาที

“อืม กูเข้าใจ มันต้องใช้เวลา”

“มิลค์ ... มันพูดกับกูเรื่องมึงด้วยนะ”

“ฮะ?”

“มันก็แคร์ความรู้สึกมึง กูเข้าใจว่ามึงรู้สึกยังไง แต่สุดท้ายแล้วพวกเราก็เพื่อนกัน อย่าให้ใครมาทำลายความผูกพันธ์ที่มีให้กันนะเว้ย”



คำพูดของอาร์มทำให้ผมย้อนคิดถึงเรื่องในอดีต ผมยืนมองข้อความในโทรศัพท์มือถือยุค 2G ที่ตัวเองเคยใช้ สายตากำลังไล่อ่านข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาให้เมื่อ 4 ปีก่อน ... I will keep our friendship before everything, nothing will ever make us apart and I will always stay by your side until the end of time

“Hi” อยู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย

“ไม่มีอะไร โทรมาเฉยๆ ... มึงเป็นยังไงบ้าง”

“กูโอเคดี แล้วมึงละเป็นยังไงบ้าง” เราไม่ได้แทนตัวเองด้วยชื่อเล่นของกันและกันอีกแล้ว สรรพนามที่ใช้ถูกเปลี่ยนกลับมาเป็น กู-มึง เหมือนเดิม

“ก็ดี เรื่อยๆ” ใครจะเชื่อว่านี่คือบทสนทนาของคน 2 คนที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ฟังแล้วให้ความรู้สึกห่างเหินเหลือเกิน ถึงตอนนี้ผมจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเมื่อก่อนเราคุยอะไรกันได้เป็นชั่วโมงๆ

“มึงตัดสินใจได้ยังว่าจะเรียนต่ออะไร” ใจชื่นขึ้นมาหน่อยเมื่อคนปลายสายคุยเรื่องที่เราเคยช่วยกันวางแผน

“แต่ยังไม่ได้ตัดสิน ยังมีเวลา”

“จริงด้วย มึงยังมีเวลาอีกตั้ง 2 ปี”

“ทำไมเงียบจัง นี่มึงอยู่ไหน”

...

...

...

“อยู่ต่างจังหวัด ...”

“... กับเฟิร์ส ... Don't ask...”

“... the answer won't make you feel any better ...” ผมมองเงาสะท้อนของตัวเองจากกระจกหน้าต่างบานใหญ่ในห้องนั่งเล่น นี่ผมกำลังร้องไห้อยู่เหรอ ความคิดกำลังเตลิดไปไกล แค่จินตาการภาพคน 2 คนผมก็ปวดร้าวไปทั้งหัวใจ ... It hurts. It feels like my heart is being torn apart

“... กูกลับไปแล้วเราไปกินข้าวดูหนังกันไหม ช่วงนี้ไม่ได้ไปไหนมาไหนกับมึงเลย ...”

“... Milk, will you wait for me?”

“I will” … always



...



ผมกำลังยืนอยู่หน้ากระจกเงา เหตุการณ์เดิมๆ เกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากเลือกอยู่นานสองนานในที่สุดผมก็ได้ชุดที่จะใส่ไปกินข้าวกับจีเย็นนี้ ยอมรับว่าตื่นเต้นเพราะเป็นเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เราจะได้เจอกัน

... ‘G (^.^) v’

“ถึงแล้วเหรอ”

“มิลค์ ...”

“... วันนี้กูขอเลื่อนได้ไหม พอดีต้องไปทำธุระกับเฟิร์ส”

“อืม … ได้ซิ” ไม่ได้!!! มึงนัดกูก่อนแล้วจะเทกันง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง

“ขอโทษนะ เดียวกูกลับมาครั้งหน้าแล้วนัดมึงใหม่”

“อืม” เย็นนี้เป็นเย็นวันสุดท้ายก่อนที่จีจะไป off shore วันพรุ่งนี้

ผมทิ้งตัวลงนอนหงายอยู่บนเตียงทันทีที่วางสาย ไม่สนใจแล้วว่าเสื้อจะยับ เพราะวันนี้ก็คงไม่ได้ออกไปไหนอยู่ดี

... ‘G (^.^) v’

“อืม” หลังจากนั้นประมาณชั่วโมงจีก็โทรกลับมา

“กูไปได้แล้วนะ แต่เป็นช่วงค่ำได้ไหม” รู้สึกเหมือนหมาที่รอเจ้าของเพราะพอได้ยินว่านัดของเราไม่ล่ม ผมก็ผลุดลุกขึ้นมาจากโซฟา

“ได้ซิ” ผมตอบอย่างกระตือรือร้น

“งั้นเดียวเจอกัน”



ผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง

... ‘G (^.^) v’

“มิลค์ กูขอโทษไม่ได้แล้วจริงๆ วะ”



... ‘G (^.^) v’

“มึงๆ ได้ เจอกันเวลาเดิมนะ”



... ‘G (^.^) v’

“มิลค์ ขอโทษๆ จริงๆ cancel ไปก่อนนะ กลัวว่าจะไม่ทัน ไม่อยากให้มึงรอนาน”



... ‘G (^.^) v’

“มิลค์ครั้งสุดท้ายแล้ว เดียวสองทุ่มครึ่ง กูไปรับ”

“จี พอแล้ว กูไม่ไปแล้ว ครั้งหน้ามึงไปเคลียร์กับแฟนมึงให้เรียบร้อยแล้วค่อยมานัดกู” ผมพูดเสียงเข้ม ยอมรับเลยว่าตอนนี้กำลังอารมณ์เสีย คนปลายสายทำให้ผมว้าวุ่นมาตั้งแต่บ่าย เปลี่ยนชุดแล้วก็เปลี่ยนกลับไปกลับมาหลายรอบ ... กูไม่ใช่ตัวสำรองในชีวิตของมึงนะจี

“แต่กูอยากเจอมึง”

“ดึกขนาดนั้นไม่ไหวหรอก พรุ่งนี้มึงต้องตื่นแต่เช้า ส่วนกูก็ต้องไปคณะตั้งแต่เช้าเหมือนกัน” ตื่นเช้าเป็นแค่ข้ออ้าง ไม่ใช้ว่าผมไม่อยากเจอ แต่ด้วยอารมณ์ของเราตอนนี้ การเจอกันอาจทำให้อะไรๆ มันแย่ไปกว่าเดิม ผมไม่ใช้แค่โกรธ แต่มันทั้งเสียใจและน้อยใจ ผมนัดจีก่อน ส่วนอีกคนก็งอแงจนทุกอย่างวุ่นวายไปหมด แล้วเพื่อนสนิทของผมก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามอารมณ์ของเธอ ... เห็นผมเป็นตัวอะไร


----------

ไอซ์ : "You know damn well that things are going to change, and he's no longer your guiding star. It's time to shine on your own"

#The Devil Wears Cartier
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2025 10:32:18 โดย Milky_Milky_Way »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด