Episode 5 ทำไมหัวใจต้องเต้นแรงโอ่ย โอ๊ย คิดถึงจังเธอ“ไอ้น้องรัก...”เสียงจากนรก
“อะไรพี่”
“ไป” เล่นเพลงไม่ทันจบดี นรกก็จะดึงผมลงขุมแล้วครับ “โชว์กลองหน่อย”
พูดไม่ทันจบไอ้เหน่งก็เลยจัดการยกกลองที่มันพึ่งตั้งเสร็จให้พี่เม่นแกดู
เลย...
ผลั๊วะ!!
“ก็พี่บอกให้โชว์กลอง”
“สาบานว่ามึงซื่อ” ไอ้เหน่งเลยส่งยิ้มแหยๆ เป็นคำตอบให้
ผมลุกขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งตรงกลองชุด แล้วจัดการรัวกลองโชว์พี่เม่นแกไปหนึ่งชุดเล็กๆ เอาให้สมใจแก
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
“มึงนี่มันสุดยอด แปะ แปะ แปะ” สีหน้าพี่เม่นแกดูภูมิใจสุดๆ
แต่สีหน้าผมสุดๆของความเบื่อหน่าย
ที่เบื่อหน่ายเพราะตั้งแต่วันนี้ไปผมต้องแบ่งเวลามาตีกลองให้ทีมเชียร์หลังเลิกเรียนทุกวัน วันละสองชั่วโมง พอมีข่าวออกไปว่าผมรับหน้าที่ตีกลองชุดให้ทีมเชียร์ของคณะ
ก็พากันแห่มาชื่นชมกัน
ชีวิตผมเลยเริ่มวุ่นวายเพิ่มอีกหนึ่งเลเวล
“พี่ว่าเราเริ่มซ้อมกันเลยดีกว่า” พูดจบพี่คนที่เป็นประธานเชียร์เธอก็เรียกเพื่อนๆเธอมานั่งจุ้มปุ้กตรงหน้ากลองชุดกับพวกเพื่อนผม “วันนี้ซ้อมกับพวกคุมเชียร์ก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยไปซ้อมขึ้นแสตน”
ผมกับพวกรุ่นพี่เราใช้เวลาซ้อมกลองกับเพลงที่จะใช้เชียร์บนแสตนเป็นเวลาชั่วโมงกว่าๆ ร้องกันจนเจ็บคอ ที่เจ็บคอเพราะว่าต้องแหกปากแหกคอร้องแข่งกับเสียงกรี๊ด เดือดร้อนพวกไอ้เหน่งต้องหาซื้อลูกอมฮอลมาให้กินแก้เจ็บคอกัน ส่วนพี่รหัสที่แสนดีของผมแกคงเห็นว่าผมเริ่มปวดแขนเลยให้พักก่อนซักพัก
“ไอ้แต็งค์ พวกสภามาตามหามึงอ่ะ”
“มีไร”
“ไม่รู้ว่ะ” พูดจบไอ้บิวมันก็ชี้ไปยังเป้าหมายที่กำลังเดินเข้ามา
“น้องน้ำคะ”
ผล่าง!!
ไหงวกมาหากูได้วะ
“ครับพี่”
“คือ...ทางสภาม.เราตกลงกันว่าจะให้น้องน้ำช่วย เอ่อ... ช่วยเป็น...เป็นคทากรของงานกีฬาม.ปีนี้อ่ะค่ะ”
“ห๊ะ”
“ห๊า”
“หา”
ตะเถร!!
“เอ่อพี่... คือ... เอ่อ...” ผมอ้ำอึ้งยาวๆเลยเมื่อเห็นสายตากดดันของพวกสภามหาลัย “พี่เม่น พี่” วินาทีนี้ผมต้องหันหาที่พึ่งพาถึงจะไม่เคยพึ่งพาได้เลยก็เหอะ
“อะไรว๊า” เสียงใสแจ๋วเลยนะพี่มึง
“ไหนพี่บอกว่าถ้าผมตีกลองให้คณะ แล้วพวกสภาจะไม่มายุ่งกับผมไง” ผมหันไปกระซิบกระซาบ
“หรอ กูพูดแบบนั้นหรอ” อ้าวไอ้ห่าพี่ ไม่เหมือนที่คุยกันนี่หว่า
แล้วที่พึ่งพาที่พึ่งพาได้จริงๆก็มา
สายสปอยที่แท้ทรูของผม
“พี่เป็ก” ผมโบกไม้โบกมือเรียกแก ทั้งๆที่แกก็ดูเหมือนตั้งใจเดินมานี่อยู่แล้ว “พี่คุยกับเค้าให้หน่อยดิ”ผมชี้ไปทางกลุ่มก้อนของพวกสภามหาลัยที่ยืนรายเรืองกันสิบกว่าชีวิต
“เออกูคุยแล้ว”
นี่สิที่พึ่งพาตัวจริงของผม ฮ่า ฮ่า ฮ่า
“โอเค งั้นเริ่มซ้อมพรุ่งนี้ตอนเย็นเลย”
“ห๊ะ!!” ผมหันไปถามพี่คนที่พูด “ซ้อมอะไรพี่”
“ก็ซ้อมคทาไง”
เดี๋ยวนะ
พี่เป็กที่บอกคุยแล้วนี่คุยอะไรวะเนี่ย
พี่มึงทำอะไรไม่ปรึกษากูกันอีกแล้ว
“ไหนพี่บอกคุยแล้วไงพี่เป็ก” ผมหันไปถามพี่เป็กแกอย่างสงสัยด้วยสีหน้า อิหยังวะ
“ก็คุยว่ามึงตกลงไง”
วอทททททท
กูตกลงตอนน๊ายยยย
“ไอ้พี่นนท์!!!!” เป้าหมายต่อไปเลยพี่มึง มาเคลียร์เดี๋ยวนี้
“อะไรวะ”
“ไหนบอกกูตีกลองให้แล้วไม่ต้องเป็นคทากรไงวะ”
“หรอ กูพูดแบบนั้นหรอ” พี่มึงนี่ก็อปปี้คำตอบพี่เม่นมันมาหรอ
ส้นตีนนนน
เหรอหราเลยครับผม
ทำได้แค่นี้ครับ
“เอาน่าน้ำ ทำเพื่อมหาลัยของเรา” ของเรากับผีสิพี่เป็ก รู้ว่ากูไม่ชอบทำก็ขยันหามาให้กูทำกันจริงงงงง
“กูขอร้องล่ะ” สีหน้าพี่มึงนี่ยิ้มสะใจกูมากกว่าขอร้องอีก กูจะตัดขาดมึงออกจาการพี่น้องเลย ไอ้ห่าพี่นนท์
“ให้พวกพี่กราบกันเลยก็ได้นะน้ำ..” อ่าพากันโอเวอร์แอคติ้งใส่กูกันอีก
อะไรจะขนาดน๊าน
ผมยังไม่ทันพูดอะไรพวกสภาก็พากันนั่งพับเพรียบเรียบร้อยเตรียมจะกราบผม
แล้วพี่เป็กแกก็เอากับเค้าด้วย เหอะ เหอะ
แต่ เดี๋ยว
ไอ้ห่าเหน่งมึงจะนั่งพับเพรียบกับเค้าทำม๊าย!!!
โดนกดดันขนาดนี้
คือทั้งมหาลัยมีคนเยอะแยะไม่เลือก
เสือกมาเลือกกู เหอะ
แล้วผมจะทำอะได๊ นอกจาก...
“เออก็ได้พี่” ถอนหายใจสิครับ “ลุกๆกันเหอะ ผมอายเค้า”
เย๊ะ!!!!!!!
“งั้นพรุ่งนี้ตอนห้าโมงเย็นเจอกันที่สนามกลางนะ”
“น้องแต็งค์ก็ด้วยนะ”
ไอ้แต็งค์มันก็พยักหน้าหงึกๆไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ในขณะที่ผมแทบจะลงไปชักดิ้นชักงอที่พื้น
ปะ โล่ง ปะ โล่ง โป่ง ฉึ่ง ฉึ่ง ฉึ่ง โป๊ะ ฉึ่ง ฉึ่ง
“น้ำ” เสียงตะโกนแหกปากแหกคอลั่นแสตนของพี่รหัสตัวดีของผมเอง จะอะไรอีกล่ะ ก็ตอนนี้มันเป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้วไง เวลาที่ต้องลากสังขารไปลงนรกขุมที่ห้า
“เออรู้แล้วพี่”
“ให้เร็ว” เร่งกูอีก “เรียกไอ้แต็งค์ไปด้วย”
“เออ!!” ผมตะโกนกลับไปให้แกรู้ว่ารู้แล้ว
“กูพี่มึงนะ” แล้วแกก็หันมาทำหน้าเหวอใส่ผม ผมก็เลยหันไปไหวไหล่ยักคิ้วใส่แกสองจึ๊ก เป็นการกวนตีน
“ไอ้แต็งค์” มันหันมามองผม “ป่ะ”พยักหน้ารับ
สนามกีฬากลาง
“หวัดดีพี่” ผมกับไอ้แต็งค์ยกมือไหว้พวกรุ่นพี่ที่ยืนออกันเป็นกลุ่มก้อนเต็มสนามหญ้า
“ดีๆ/ดีจ้า”
“เดี๋ยววันนี้พี่จะสอนน้ำควงไม้แบบง่ายๆทีละสเต็ปก่อนนะ”
“ครับ”
“ส่วนของแต็งค์ไม่มีไรต้องซ้อมมาก วันนี้พี่แค่ให้มาลองถือดูเฉยๆ วันต่อไปก็ไม่ต้องมาแล้ว รอมาวันงานจริงทีเดียว”
“ครับ”
“งั้นผมก็ต้องมาคนเดียวหรอพี่”
“จ้า”
นรกแล้วไงกู
“แต่ไม่ต้องกลัวเหงาหรอกน่า... เดี๋ยวพอคนรู้ว่าเรามาซ้อมที่นี่ก็พากันแห่มาดูเองแหละ” เหอะ เหอะ
“เดี๋ยวมาด้วย”
ห๊ะ!!
ไอ้แต็งค์มันหันมาบอกผมด้วยสีหน้าจริงจังมากกกก
“ไม่ต้องหรอกมึง” เกรงใจมันครับแค่ทุกวันนี้ที่ทำมันทำอยู่ก็มากพอสำหรับผมที่ไม่เคยดูแลใครแล้ว “เดี๋ยวกูลากไอ้เหน่งมาเป็นเพื่อนเอง”
“มันต้องช่วยคณะ”
“แต่กู...”
มันก็ไม่คิดจะฟังอะไรผม ทำหน้าตีมึนหยิบไม้ที่ผูกธงมาทำท่าโบกไปมาให้พวกรุ่นพี่ดู
“จะหกโมงอยู่แล้วมึงไม่คิดจะหุบบ้างหรอแดด” ผมได้แต่บ่นอุบอิบ ส่วนไอ้แต็งค์ที่ยืนดูผมซ้อมควงคทาอย่างใกล้ชิด มันก็มักจะยืนถือธงอีกมือก็ดึงผ้าที่ใช้ทำเป็นธงกลางออกบังแดดให้ผมแทบจะตลอดเวลาที่ซ้อม มึงนี่มันแสนดีจริงๆ
“ทำไร” ไอ้แต็งค์มันทิ้งธงลงกับพื้นทันทีแล้วทำหน้าหงุดหงิด เอามือมาดึงชายเสื้อซับที่ซ้อนอยู่กับเสื้อช็อปผมลง เพราะผมกำลังดึงชายเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่แตกซะๆเต็มหน้า อะไรของมึงอี๊กกก
“เหงื่อกูเต็มหน้า”
มันไม่พูดอะไรครับ แต่มันเสือกเลิกชายเสื้อช็อปของมันขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผม เหอะ เหอะ
จากที่เป็นเป้าสายตาอยู่แล้ว
คราวนี้หนักเลย
และก็คงหนักตรงที่ชายเสื้อที่มันเลิกขึ้นเนี่ยมันทำให้เห็นกล้ามหน้าท้องที่เป็นลอนๆของมัน
ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ
ใจผมเต้นรัวเป็นกลองชุดเลยครับ
วอทททท
จะเต้นทำไม!!!
“ปรนนิบัติดีอย่างกับทาสในเรือนเบี้ยเลยนะมึง” เสียงแรดๆของไอ้เหน่งที่แหวดเข้ามาในหูผม ทำให้ผมต้องรีบดึงตัวเองออกห่างไอ้แต็งค์ทันที ผมรู้สึกร้อนที่หน้า ที่หู วูบวาบ ร้อนเพราะอะไรวะ
“หน้าแดง” ไอ้ห่าแต็งค์!!!
“อ่า น้องน้ำคะ เดี๋ยววันนี้พอก่อนเนาะ พรุ่งนี้ค่อยมาต่อ เวลาเดิมนะ” ดีที่รุ่นพี่แกมาตีระฆังเรียกสติผมไว้
“ครับ” ผมหันไปตอบรุ่นพี่ก่อนที่จะหันมาแค่นเสียงใส่ไอ้พวกเพื่อนตัวดี “มองห่าอะไร!! กลับ”
“เออๆ จะหงุดหงิด จะเขินเลือกซักอย่าง” ผมเลยยกตีนถีบไอ้ห่าเหน่งทันทีที่มันพูดจบ “เชี้ยยยยยน้ำ”
“มึงจะกลับมั้ย!!” ผมหันไปแค่นเสียงหงุดหงิดใส่ไอ้แต็งค์ ส่วนมันก็ทำหน้ามึนอมยิ้มกวนส้นตีนส่งกลับมาหาผม
“ไอ้เทมส์ มึงมาช่วยกูนี่เลย มาๆ” ไอ้เหน่งมันโบกมือเรียกไอ้เทมส์มาช่วยทำอุปกรณ์เชียร์
“ไอ้แคมป์ ไอ้ห่า” ไอ้ไม้กับไอ้แคมป์มันกำลังเอาพู่ของพวกเชียร์มาไล่ตีกันอย่างดุเดือด ซึ่งถ้าใครมาเห็นสภาพตอนนี้คงไม่มีใครคิดว่าพวกมันมาช่วยงาน น่าจะมาป่วนเค้ามากกว่า บรรยากาศมันช่างวุ่นวายชุลมุนที่สุด
“ไอ้โต้ง ไอ้แต็งค์ ทางนี้” ไอ้สองตัวก็ดิ่งตีนมาตามเสียงของไอ้โชคทันที
“อะไรวะ”
“มาช่วยกูยกลังนี่ดิ้”
“ทีเรื่องใช้กำลังนี่เรียกหากูเลยนะ” ไอ้โต้งกับไอ้โชคมันก็ยืนต่อปากต่อคำกันหลายนาทีกว่าจะพากันยกลังได้
“กินไรยัง” ไอ้แต็งค์มันเดินมาหย่อนตูดนั่งข้างผมแล้วยื่นถุงขนมถุงใหญ่มาให้ ตั้งแต่เป็นบัดดี้กันมามันก็คอยตามเทคผมด้วยของกินสารพัดไม่เคยขาดซักมื้อ จนผมเริ่มสงสัยแล้วว่าบ้านมันทำโรงงานผลิตขนมรึป่าว ทำไมมันซื้อได้ ซื้อดีจริง “ไม่ซ้อมกลอง?”
“ซ้อมไปแล้ว”
“ไม่ทัน..” มันมาไม่ทันได้ดู
“ก็มึงเพิ่งเลิกเรียน”
“อยากดู”
“พรุ่งนี้” มันก็หันมาทำคอตกหน้าเศร้า ที่ผมเห็นแล้วหน้าถีบมากกว่า “ห้าโมงแล้วกูต้องไปซ้อม ตรี คทา จักร สังข์”
“มึงเป็นสี่ยอดกุมารหรอวะ”
ผลั๊วะ!!
ผมเลยจัดไปหนึ่งโบกให้ไอ้เทมส์
“ป่ะ” ไอ้แต็งค์มันจัดการลุกขึ้นปัดตูดแล้วยื่นมือดึงผมลุกขึ้น
“มึงจะไปด้วย?” มันพยักหน้าหงึกๆ ผมเลยถอนหายใจโชว์มันซะเลย “เออๆ” คดีเก่ายังไม่เคลียร์เลยนะมึง
แต่ก็ขัดมันไม่ได้
ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
แต่ผมรู้สึกว่าอุ่นใจทุกครั้งที่มีมันอยู่ด้วยในตอนที่ต้องตกเป็นเป้าสายตาของใครหลายๆคนเพราะมันทำให้ผมลืมสายตาของคนพวกนั้น
แต่กลับเลือกสนใจสายตาของมัน
ตลอดเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาไอ้แต็งค์มันตามติดตูดไปปรนนิบัติผมทุกที่
ไม่ว่าจะไปซ้อมคทา
ซ้อมกลอง
รวมถึงช่วยงานของคณะ
พอมันเรียนเสร็จมันก็ดิ่งตีนมาหาผมทันที
ดูแลผมประหนึ่งลูกน้อยวัยสามขวบ
จะกลับมืดกลับค่ำ
ฝนจะตก
ฟ้าจะร้อง
พายุจะเข้า
ไม่เคยบ่นให้ได้ยิน ผมล่ะสงสารมัน ช่วยงานที่เอกตัวเองได้รับผิดชอบแล้วยังต้องมาช่วยงานในส่วนของเอกผมอีก พอบอกว่าไม่ต้องช่วยมันก็มาชักสีหน้าหงุดหงิดใส่ บางทีก็อยากยกตีนขึ้นถีบหน้ามันแต่ก็ทำไม่ได้ กลัวมันสวนกลับแล้วจะสู้ไม่ไหว
วันนี้มันก็ยังคงตามติดตูดผมเหมือนเดิม
“น้ำพี่ว่าเราใช้คทาคล่องแล้ว เดี๋ยววันต่อๆไปมาแค่ซ้อมกับวงดุริยางค์ซักสองสามรอบพอเนาะ”
“ขอบคุณครับพี่”
“งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะ บาย” เริ่มสบายขึ้นมาเลเวลนึง “บายจ้า แต็งค์” ส่วนคนที่ลำบากยังคงเป็นไอ้แต็งค์เหมือนเดิม
“แต็งค์ กูว่าจะไปกินข้าวข้างนอกแล้วค่อยกลับมาช่วยงานที่คณะ มึงไปกับกูป่ะ”
“อือ” มันพยักหน้ารับ
แล้วก็เดินนำผมไปอย่างเร็ว ไม่รู้ว่าหิว รึเบื่อสนามหญ้าเขียวๆที่เหยียบอยู่แล้ว ก็น่าเบื่ออยู่หรอกครับ มันตามมานั่งเฝ้าผมตั้งแต่ห้าโมงจนนี่ก็ทุ่มนึง นั่งเอาตีนเขี่ยดินเขี่ยหญ้ามาสองชั่วโมงแล้ว ซึ่งก็เป็นแบบนี้ทุกวัน แต่มันก็ยังเสือกตามผมมา
“กูเอาคะน้าหมูกรอบ ไข่เจียว” ผมหันไปมองมันเป็นเชิงบอกมึงจะแดกอะไร
“เหมือนมึง” ก็อปกูตลอด ตั้งแต่กินข้าวด้วยกันมาสิบกว่ามื้อกูไม่เห็นมื้อไหนมึงจะใช้ความคิดตัวเองบ้างเลยไอ้ห่า
“ป้าครับ เอาคะน้าหมูกรอบ ไข่เจียว 2”
“จ้า พ่อรูปหล่อ” ป้าแกก็หันมายิ้มหวานหยาดเยิ้มให้ผมกับมัน ดูแล้วรู้สึกชื่นใจ อืม ชื่นใจ
“แต็งค์กูว่ามึงไม่ต้องมาตามติดตูดกูแบบนี้ทุกวันก็ได้...”
“รำคาญ?” มันมองหน้าผมแล้วขมวดคิ้วยึกยือ
“ป่าว” ผมเลยต้องถอนหายใจโชว์ซักหนึ่งเฮือก “กูกลัวมึงเหนื่อย” แล้วก็อีกหนึ่งเฮือก “ทำนั่นนี่เสร็จแทนที่จะได้กลับบ้านแต่ต้องมารอกู...”
“ก็มึงสำคัญ”
ห๊ะ!!!
วอททททท
มึงว่าอะไรนะ...
ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ
“ข้าวได้แล้วจ้าสองหนุ่ม”
จากนั้นผมกับมันก็ไม่ได้พูดอะไรกันต่อ นอกจากต่างคนต่างโซ้ยคะน้าหมูกรอบกันอย่างเงียบๆ
พอกินเสร็จผมก็พามันมาเดินตลาดเปิดท้าย แหล่งรวบรวมสารพัดของกิน เป็นสถานที่ยอดฮิตสำหรับผมและเพื่อนรักทั้งห้าตัว
บรรยากาศที่นี่มันให้อารมณ์เรื่อยเปื่อยดีครับ หลอดไฟสีส้มออมเหลือง ห้อยเรียงรายต่องแต่งอยู่เหนือแผงร้านค้านับร้อย ผู้คนเดินสวนไปสวนมากันให้ขวักไขว่ ควันขมุยขุยโขงจากร้านปิ้งลูกชิ้นที่ลอยล่องไปทั่วสารทิศ มันดูธรรมดาๆแต่ในความธรรมดา มันกับพิเศษกว่าทุกครั้งที่ได้มา
ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน
“เดี๋ยวไปหาซื้อของกินให้พวกไอ้เหน่งกัน”
มันพยักหน้ารับผมแล้วเดินนำลิ่ว สรุปกูหรือมึงที่ตั้งใจมา
บอกตรงตรงตั้งแต่วันที่ได้พบเธอ
ตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไร
ใจข้างในก็ยอมแพ้
แม้เธอไม่เคยบอกอยู่ๆก็มีเสียงเพลงลอยมากระทบหู ผมเลยมองหาต้นเสียง
พอมองๆแล้วก็เจอกลุ่มคนยืนมุงอะไรกันไม่รู้ กำลังจะเดินไป แต่..
“น้ำ” เจอเบรก “มาทางนี้” แล้วมันก็จัดการดึงมือผมให้เดินตามมันไปยังกลุ่มไทยมุงอีกกลุ่มหนึ่ง
ว่าเธอคิดกับฉันว่ายังไงผมเห็นกลุ่มนักเรียนม.ปลาย กำลังแสดงดนตรีสดกัน เห็นมีกล่องรับบริจาคอยู่กล่องหนึ่ง น่าจะทำโครงการจิตอาสากันอยู่
เป็นครั้งแรกที่มันรักใครไปโดยไม่ต้องคิด
เป็นครั้งแรกที่ไม่สนว่ามันจะถูกหรือผิด
แค่ได้รักเธอต่อไป เพราะทำอย่างไรก็ห้ามใจไว้ไม่ได้
เป็นครั้งแรกที่มันรักใครไปโดยไม่ต้องคิด
ไม่สนว่าตอนสุดท้ายผลมันจะถูกหรือผิดผมกับไอ้แต็งค์ยืนฟังเพลงกันซักพัก มือมันก็ยังคงจับมือผมไว้อยู่ ราวกับกลัวว่าผมจะหาย
เธอไม่รู้ไม่เป็นไร
ขอแค่ให้ใจได้แสดงความจริงข้างในพอเห็นกลุ่มนักเรียนม.ปลายร้องเพลงเล่นดนตรีกันอย่างสนุกสนาน
ทำให้นึกถึงตัวเองตอนอยู่ม.ปลายขึ้นมาทันที
ตอนนั้น...ที่ได้ทำอะไรแบบนี้มันสนุกมาก
และก็มีความสุขมาก
“แต็งค์” ผมเอี้ยวตัวไปพูดข้างๆหูมัน เพราะตอนนี้รอบตัวเสียงดังมากกลัวมันไม่ได้ยินที่ผมพูด “มึงเชื่อป้ะ ตอนกูอยู่มัธยมอ่ะ กูมาทำแบบเด็กพวกนี้โครตบ่อย”
“เชื่อ” มันเอี้ยวตัวมากระซิบที่ข้างหูผมคืน
“ตอนนั้นกูไม่เคยสนใจเลยว่ะ ว่าตัวเองจะตกเป็นเป้าสายตา ไม่เคยสนด้วยว่าวันต่อๆมาจะมีใครมาตามวุ่นวายในชีวิตกู”
“ทำไม” มันเลิกคิ้วสงสัย
แม้เธอไม่เคยบอก
ว่าเธอคิดกับฉันว่ายังไง“กูใส่หมวกกันน็อคร้อง”
พรื้ดดด
นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงหัวเราะของมัน
ที่เป็นเสียงหัวเราะจริงๆ
เป็นครั้งแรกที่มันรักใครไปโดยไม่ต้องคิด
เป็นครั้งแรกที่ไม่สนว่ามันจะถูกหรือผิด
แค่ได้รักเธอต่อไป เพราะทำอย่างไรก็ห้ามใจไว้ไม่ได้
เป็นครั้งแรกที่มันรักใครไปโดยไม่ต้องคิด
ไม่สนว่าตอนสุดท้ายผลมันจะถูกหรือผิดมันเปลี่ยนจากจับมือผม เป็นเอามือทั้งสองข้างขึ้นมาจับที่ไหล่ แล้วดันผมให้เดินเข้าไปใกล้จุดที่พวกเด็กม.ปลาย กำลังร้องเพลงเล่นดนตรีสดอยู่
เธอไม่รู้ไม่เป็นไร
มันพาผมเข้ามาใกล้จนอยู่ด้านหน้าสุดของกลุ่มคน
ขอแค่ให้ใจได้แสดงความจริงข้างใน
ที่ฉันมีต่อเธอ (ขอบคุณเพลง กะทันหัน - ฟิล์ม บงกช/ รุจ ศุภรุจ/LOWFAT)
“รออยู่นี่”
มันพูดจบก็หยิบธนบัตรออกจากระเป๋าตังค์มัน เดินดิ่งตีนไปหากล่องบริจาคแล้วหย่อนธนบัตรลง
แต่เดี๋ยวนะ
แบงค์พัน
แบงค์พัน!!!!
มันหย่อนธนบัตรฉบับหนึ่งพันบาทลงกล่องอย่างไม่ใยดี หล่อ รวย สปอร์ตมากมึ๊งงง
มันหันมายักคิ้วลิ่วตาใส่ผม แล้วหันไปกระซิบกระซาบกับน้องที่เป็นคนร้องเพลง
ก่อนจะหันกลับมามองผมอีกที แปลกๆว่ะ รู้สึกเหมือนได้รับไอนรกอยู่ใกล้ๆตัว
แล้วมันก็เดินออกมายืนอยู่ข้างผมตามเดิม
“ต่อไป...เรามาพบกับนักร้องรับเชิญสุดพิเศษของเราดีกว่าครับ”
กรี๊ดดดดดด
วี๊ดดดดดดดด
วู้ววววววววว
มีนักร้องรับเชิญด้วย ดีๆว่ะ ผมหันไปมองไอ้แต็งค์ที่มันยิ้มมุมปากหน่อยๆ
ก่อนมันจะหันมามองผม
สายตาแบบนี้
มึงคงไม่...
“เชิญครับพี่น้ำ”
เวร!!!
กูว่าแล้วไอ้ห่าแต็งค์ ไอ้ส้นตีน
แล้วพวกน้องก็พากันส่งสายตามากดดันผม
ไม่ใช่แค่พวกน้องสิ
พวกกลุ่มไทยมุงที่ยืนมุงกันอยู่ด้วยเนี่ย
เวรแล้วไงไอ้น้ำมึง
“ทำบุญ” มันหันมากระซิบข้างหูผม บุญกับผีมึงสิ หืมมมม
“มึงไม่ทำเองล่ะ”
“ทำแล้ว” จ้าๆ “ตั้งพันนึง” จ้าพ่อ ผมได้แต่เบะปากใส่มัน
“ขอเสียงให้พี่น้ำหน่อยครับ”
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด
ไอ้นั่นก็กดดันจัง
ไอ้ห่านี่ก็น่าถีบจริง
จะปฏิเสธก็ไม่ได้ มาถึงขนาดนี้แล้ว ผมคงทำได้แต่ชูนิ้วกลางน่ารักๆให้ไอ้แต็งค์มันไป แล้วเดินไปตรงตำแหน่งที่น้องๆใช้แสดงกัน
“ร้องเพลงไรดีพี่” ทักทายเหมือนสนิทกันมาสิบปี
ผมหันไปมองไอ้คนตรงหน้า ที่ทำหน้านิ่งๆเรียบๆ และแอบอมยิ้มสะใจกับการกระทำตัวเองอยู่
“บังเอิญ โลกกลม พรหมลิขิต” ทำไมผมถึงเลือกเพลงนี้วะ “ครับ”
ไม่ทันได้ตอบคำถามตัวเองในใจ อินโทรดนตรีก็ขึ้น
เป็นความต้องการจากฟ้า หรือความต้องการจากใคร
ที่มาทำให้สองเราได้มาเจอกัน
เธอเพียงแค่เดินผ่านพ้น ฉันเพียงแค่วนผ่านไป
แต่ทำไมหัวใจเราจึงผูกพันทำไมผมถึงเลือกเพลงนี้อ่ะหรอ
หรือว่ามันคือพรหมลิขิต ที่ใครมาขีดไว้
แต่ก็ทำให้หัวใจ ได้ใช้รักใครสักคนไม่รู้สิครับ
บนโลกนี้ มีคนอยู่เป็นร้อยล้านคน
แต่วนมาได้พบเธอ ความบังเอิญ
เปลี่ยนชีวิตฉันไปแค่แรกเจอ
ที่พบเธอ ก็เหมือนเจอทุกสิ่งที่ฉันรอพอยิ่งได้ร้อง
ยิ่งได้ยินทำนองดนตรี
หลายๆอย่างในหัวผมมันก็ผลุดขึ้นมา
จะบินข้ามไปอีกฟ้า หรือว่าจะไปที่ใด
มันก็ยังไม่พ้น ให้เราต้องเจอกัน
ที่โลกมันกลมแบบนี้ คงมีเหตุผลของมัน
ที่ทำให้ฉันได้มาเจอเธอ
หรือว่ามันคือพรหมลิขิต ที่ใครมาขีดไว้
แต่ก็ทำให้หัวใจ ได้ใช้รักใครสักคนสิ่งที่ผลุดขึ้นมา มีแต่ภาพของผมกับมัน
ภาพตั้งแต่ตอนที่ไอ้เทมส์ชี้ให้ผมมองมัน
ภาพที่มันวิ่งหอบของขวัญของใครก็ไม่รู้มาให้ผม
ภาพที่ผมต้องหน้าเหวอตอนที่รู้ว่าเป็นบัดดี้กับมัน
และอีกหลายๆภาพ มากมาย
บนโลกนี้ มีคนอยู่เป็นร้อยล้านคน
แต่วนมาได้พบเธอ ความบังเอิญ
เปลี่ยนชีวิตฉันไปแค่แรกเจอ
ที่พบเธอ ก็เหมือนเจอทุกสิ่งที่ฉันรอคิดแล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้ผมกับมัน จะมีภาพจำหลายภาพขนาดนี้
หรือว่ามันคือพรหมลิขิต ที่ใครมาขีดไว้
แต่ก็ทำให้หัวใจ ได้ใช้รักใครสักคน
บนโลกนี้ มีคนอยู่เป็นร้อยล้านคน
แต่วนมาได้พบเธอ ความบังเอิญ
เปลี่ยนชีวิตฉันไปแค่แรกเจอ
ที่พบเธอ ก็เหมือนเจอทุกสิ่ง
และเพราะเธอ คือสิ่งที่ฉันรอ(ขอขอบคุณเพลง บังเอิญ โลกกลม พรหมลิขิต - โปเตโต้)
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด
“ขอบคุณครับ”
ร้องเสร็จผมก็วิ่งมาหาไอ้ตัวดีแล้วลากมันออกมาจากฝูงชน เพื่อหาซื้อของกินไปให้พวกไอ้เหน่ง ที่ป่านนี้คงนั่งหิวไส้กิ่วกันอยู่ที่ใต้ตึกคณะ
ปึง (เสียงปิดประตูรถ)
“มีความสุขจังนะมึง” ตั้งแต่ขึ้นรถมามันก็นั่งหน้านิ่งแต่แอบอมยิ้มอยู่ คงจะมีความสุขที่ได้กวนตีนผม
“อือ”
“กูจะตัดมึงออกจาการเป็นบัดดี้”
“เรื่อง?” มันถอนหายใจ “ถ้าเป็นเรื่องร้องเพลง” มันหันมามองผมแล้วก็หันกลับไปสนใจควงพวงมาลัยขับรถต่อ “มึงก็ดูมีความสุขดี”
“หน้ากูบอกแบบนั้นหรอวะ”
“อือ...” แล้วมันก็ง้างปากพูดต่ออีก “อะไรที่ทำแล้วมีความสุข ทำแล้วไม่ได้เดือดร้อนใคร ก็ไม่เห็นต้องไปแคร์คนอื่นเลยนี่วะ”
“มึงคิดงั้น?”
“กูรู้ว่ามึงไม่ชอบการตกเป็นเป้าสายตา กูเองก็ไม่ชอบ กูเข้าใจเรื่องนี้ดี” เข้าใจ แต่มึงแม่งก็ชอบหาเรื่องมาให้กู “ถ้าเราเอาแต่หนี เราไม่ต้องหนีกันไปตลอดชีวิตหรอ”
เหยดดดดด
พูดดี
“วันนี้ทำไมมึงอธิบายยาวๆได้วะ”
“ก็เพราะเป็นมึง...”
ตุบ ตุบ ตุบ
“มึงที่แม่งเข้าใจอะไรยากเย็นไง” ห่า เกือบจะหวั่นไหว
“เออๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนกูก็เอาแต่หนีอย่างที่มึงพูดแหละ” ผมถอนหายใจเบาๆ “ก็ไอ้เหน่งมันชอบสปอยกู ถ้ากูไม่โอเคมันก็หาทางหนีทีไล่ให้กูตลอด”
“ตอนนี้ก็ยังหนีอยู่”
“ก็หนีอยู่” มันหันมามองหน้าผม “แต่พอรู้ว่าตรงที่กูยืนอยู่มีมึงคอยมองอยู่กูก็ไม่คิดจะหนี” หันหน้าไปสบตามัน “ถึงจะคิดแค่แปปเดียวก็เหอะ”
“หึหึ” นี่คงเป็นการหัวเราะที่จริงใจที่สุดของมันผมรู้สึกได้
“ไอ้ห่าแต็งค์” มันมะเหงกมาที่หัวผมถึงจะเบาๆ แต่ก็อยากด่า
ตอนนี้ผมกับมันก็พากันแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่ผ่านๆมาที่ต่างคนต่างพยายามหนีการเป็นจุดสนใจของคนอื่น
มันขับรถไปหัวเราะไป
ภาพไอ้แต็งค์ในตอนนี้มันไม่ได้หน้านิ่งๆไร้ความรู้สึกใดๆเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
หน้ามันมีแต่รอยยิ้ม
ยิ้มที่เป็นยิ้มจริงๆ
จนผมรู้สึก...อยากจะเก็บรอยยิ้มนี้ไว้มองเพียงคนเดียว
ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ
ทำไมหัวใจของผมต้องเต้นแรงขนาดนี้
โดย อีช้อย