Episode 13 รักก็คือรัก (1/2)
สวัสดีวันอาทิตย์ที่แสนสดใส สดใสแค่ตอนนี้นะครับ วันนี้ไอ้แต็งค์มันบึ่งรถจากคอนโดมันมารับผมที่คอนโดตั้งแต่แปดโมงเช้าเพื่อที่จะไปบ้านมัน ซึ่งก็ไม่ได้อยู่ไกลอะไร แต่เสือกแหกหูแหกตามารับแต่เช้า จะด่ามันก็ไม่ได้ พอเห็นสีหน้าจริงจังที่เจือปนความกังวลของมันก็เลยต้องทำเป็นลูบหัวลูบหางให้อารมณ์มันได้ผ่อนคลาย ส่วนมันพอเห็นผมยอมให้จับมือจับมือก็เสือกดึงมือผมไปกอบกุมไว้ตลอดระยะทาง มือข้างนึงขับรถ อีกข้างก็กอบกุมบีบกระชับมือผมอยู่อย่างงั้น เห็นยอมหน่อยก็เอาใหญ่เลยนะมึง ตอนนี้รถของมันกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาจอดที่โรงจอดรถในบ้านของมันอย่างเรียบร้อย ผมมองสำรวจไปรอบๆบ้าน บ้านมันเป็นบ้านสองชั้นขนาดใหญ่สไตล์โมเดิร์น ตกแต่งแบบตะวันตกผสมจีนหน่อยๆ ผมแอบรู้มาว่าบ้านมันทำธุรกิจผลิตวัสดุก่อสร้าง พอดีก่อนจะมาไปแอบถามพี่แทนแกมา อยากรู้ซอกแซกเกี่ยวกับบ้านมันบ้างจะได้วางตัวหาทางหนีทีไล่ถูก
“น้ำ นั่นแม่กู” มันชี้มือไปทางหญิงวัยกลางคนที่ยืนจัดแต่งกิ่งดอกไม้ตรงสวนหน้าบ้าน
“แม่ หวัดดีครับ” แล้วมันก็พยักหน้ามาทางผม “นี่น้ำ”
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้แล้วฉีกยิ้มที่คิดว่าหวานที่สุดไปให้แม่มัน แม่ของมันก็คลี่ยิ้มหวานๆส่งกลับมา
“ดีจ้ะ” แม่ของไอ้แต็งค์วางกรรไกรลง แล้วเดินเข้ามาจับตัวผมสำรวจพลิกไปพลิกมาเหมือนกำลังหาจุดสึกหรออะไรแบบนั้น “โห ตัวจริงหล่อกว่าในรูปอีกนะเนี่ย” ผมเลยต้องคลี่ยิ้มยอมรับในความหล่อตัวเอง คริคริ “เข้าบ้านกันก่อนลูก ข้างนอกมันร้อน”
“ครับ”พอพากันเข้ามายังในบ้าน ก็พบกับการตกแต่งที่ต้องอ้าปากค้าง เพราะทุกอย่างที่ประดับประดาอยู่ในบ้านมันเนี่ย อย่างกับยกสวนต้นไม้ขนาดย่อมมาตั้งในบ้าน เหมือนมันจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ มันเลยเดินเข้ามาใกล้ๆแล้วยื่นหน้ามากระซิบ
“แม่กูชอบต้นไม้” เออดูก็รู้ ถ้าไม่ชอบคงไม่ยกมาไว้ในบ้านเยอะขนาดนี้
“เหมือนพ่อกูเลย แต่ไม่ถึงขั้นนี้ว่ะ”
“หึๆ”
“พี่แต็งค์!!” หญิงสาววัยใสที่หน้าละม้ายคล้ายไอ้แต็งค์ วิ่งลากเสียงสดใสมาแต่ไกล แต่ก็ต้องหยุดชะงัก “พี่น้ำ!!” เธอทำหน้าตาตื่นเต้นเหมือนได้เจอสิ่งมหัศจรรย์ แล้วก็ปรี่ตัวมาแทรกกลางระหว่างผมกับไอ้แต็งค์ทันที ไม่พอยังเอามือทั้งสองข้างขึ้นมาเกาะแขนผม “หนูชื่อแตงกวาเป็นน้องสาวพี่แต็งค์ค่ะ หนูเป็นแฟนคลับพี่ด้วยนะคะ” พูดจบเธอก็ดึงแขนผมมานั่งตรงโซฟาห้องรับแขก
“ครับ?”
“ก็พวกเพจ cute boy ของโรงเรียนแตงกวาชอบเอารูปพี่มาลงบ่อยๆ แตงกวาเลยสถาปนาตัวเองเป็นแฟนคลับพี่ซะเลย แล้วก็เป็นมาหลายปีแล้วด้วย” พูดไปเธอก็ทำตาปริบๆ แล้วลุกวาวขึ้น “พี่น้ำตัวจริงนี่หล่อออร่ากระฉูดมากเลยอ่ะ”
“แตงกวา” ไอ้แต็งมันคงเห็นแตงกวาเกาะแกะผมมากเกินไปมันเลยดึงมือน้องมันออกแล้วแทรกตัวมานั่งอยู่ระหว่างผมกับน้องมัน
“ขี้หวง”
“แตงกวา อย่าไปเกาะแกะพี่เค้าสิลูก” แม่ของไอ้แต็งค์หันมาดุน้องสาวมัน แต่ดุแบบไม่ได้จริงจังอะไร “เข้าไปบอกแม่บ้านให้เอาของว่างมาให้พี่เค้ากันหน่อยสิลูก”
“พี่น้ำอยากกินอะไรคะ ”เธอหันมาทำตาลุกวาวใส่ผม
“อะไรก็ไปเอามา” แล้วไอ้พี่ชายตัวดีก็เอื้อมมือไปผลักหัวน้องสาวเบาๆ ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ด้วยกัน เรานั่งคุยนั่งถามสารทุกข์สุกดิบ เรื่องเรียน เรื่องชีวิตประจำวันกัน แม่ของไอ้แต็งค์ไม่ได้มีท่าทีกดดันรึไม่พอใจอะไร ตรงกันข้ามเธอมีแต่ท่าทีที่ผ่อนคลายและเป็นกันเอง
ครืด ครืด
“แม่ขอไปคุยโทรศัพท์ก่อนนะ” เธอหันมายิ้มอ่อนโยนให้ผม แล้วลุกออกจากโซฟาไป
“แต็งค์” เหมือนมันจะรู้ว่าผมจะพูดอะไร มันเลยยื่นมือมากุมมือผมไว้
“แม่กูรู้เรื่องมึงกับกูนานแล้ว” มันบีบกระชับมือผม “แต่เค้ารับได้” มันดึงมือผมไปวางไว้บนตักมัน “ตอนแรกเค้าก็ไม่ได้รับได้ในทันทีหรอก แต่พอกูไม่ค่อยกลับบ้าน เอาแต่หนีไปคลุกตัวอยู่บ้านปู่ แม่กูก็เริ่มเปิดใจมากขึ้น คงเป็นเพราะเค้ากลัวว่ากูจะหนีจากเค้าไปตลอดชีวิต เค้าเลยพยายามทำความเข้าใจกับเรื่องของกูทีละนิดๆจนเริ่มยอมรับได้อย่างที่เห็น” มันหันมายิ้มบาง “ตอนนี้ดูเหมือนจะหลงมึงแล้ว ทั้งแม่ทั้งน้อง กูคงตกกระป๋องแล้วล่ะ”
“เวอร์” ผมหันไปคลี่ยิ้มให้ไอ้คนที่ทำเป็นพูดน้อยใจแต่สีหน้าตรงกันข้ามกับคำพูดสุดๆ
“พี่แต็งค์!!” แตงกวาเธอวิ่งลากเสียงมาจากหน้าบ้าน “ทายสิใครมา?” ผมกับไอ้แต็งค์หันไปมองที่ประตูหน้าบ้าน พบชายสูงวัยที่ยังดูแข็งแรงเดินเข้ามาตรงที่ผมนั่งกันอยู่
“ปู่” ไอ้แต็งค์มันรีบลุกจากโซฟาทันที แล้วเดินเข้าไปกอดปู่มันไว้ ดูเหมือนมันจะสนิทกับปู่มากเป็นพิเศษ ผมยกมือขึ้นไหว้ปู่มัน ส่วนปูมันก็ส่งรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นกลับมาให้ แล้วไอ้แต็งค์มันก็ผละตัวออกทันทีเมื่อเห็นชายวัยกลางคน เดินดุ่มๆมาหยุดอยู่ตรงที่เราอยู่กัน
“หวัดดีครับพ่อ” นี่พ่อมัน ผมได้แต่อ้าปากพูดอะไรไม่ออกเมื่อพ่อของมันหันมามองผม สายตาสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า
“สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้และส่งเสียงอย่างแผ่วเบา ทำตัวไม่ถูกเมื่อเจอสายตากดดันแบบนั้น ชายวัยกลางคนที่ดูท่าทางจะใจดีแต่ใบหน้าและแววตากลับดูเคร่งขรึมน่ากลัวเมื่อเห็นไอ้แต็งค์มันเดินกลับมานั่งข้างๆผม บรรยากาศในตอนนี้อึมครึมและอึดอัดมาก ผมแทบอยากจะร้องไห้ขอตัวกลับบ้านทันที
“อ้าว คุณตั้มกลับมาแล้วหรอคะ” กลายเป็นคุณแม่ที่แสนดีเข้ามาทำลายบรรยากาศอันน่าอึดอัดนี้ “สวัสดีค่ะคุณพ่อ”ปู่ของไอ้แต็งค์หันมาพยักหน้าหงึกหงักแล้วส่งยิ้มให้
“พ่ออยู่คุยกับแตงกวาไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะไปดูสวนหลังบ้านซักหน่อย” อ่ะ นั่งหัวโด่กันอยู่สองสามคน ให้นั่งคุยกับแตงกวาคนเดียว เห้อออ ผมจะผ่านด่านนี้ไปได้อย่างไร ยังมองไม่เห็นหนทาง แม่ของไอ้แต็งค์คงเห็นสีหน้าหงอยเหงาของผมเธอเลยเดินเข้ามาโอบไหล่ผมไว้หลวมๆ แล้วหันไปพยักหน้าให้ไอ้แต็งค์ นี่คงเป็นการบอกว่า ไม่เป็นไรไม่ต้องกังวล ใช่รึป่าว
“แตงกวา เดี๋ยวเราไปช่วยแม่บ้านเตรียมอาหารกับแม่”
“โอเคค่ะ” แตงกวาเธอหันมามองผมด้วยสีหน้าอ้อนวอน ก่อนจะหันบอกทำหน้าจริงจังใส่พี่ชายตัวเอง “ห้ามพาพี่น้ำหนีกลับนะ!!”
“เยอะ” ไอ้แต็งค์มันก็ยื่นมือไปดันหน้าน้องมันให้หันไปทางที่แม่พึ่งเดินไป “ไม่เป็นไร”มันหันกลับมามองผมแล้วดึงมือผมไปบีบเบาๆ
“อ่ะ แฮ่ม” เอ่อ เกือบลืมไปเลย ว่ามีปู่มันนั่งอยู่ด้วย เลยต้องส่งยิ้มเขินๆให้ปู่มันไปแล้วดึงมืออกจากมือมันทันที “ไม่เป็นไร อยู่กับปู่ทำตัวตามสบายกันเถอะ ฮ่าๆ” ปู่แกหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนได้อยู่กับคุณประณตยังไงยังงั้น “หล่อเหลาเอาเรื่องแบบนี้นี่เองเจ้าแต็งค์ถึงได้หลงจนโงหัวไม่ขึ้น”ผมที่กำลังกินน้ำอยู่ถึงกับสำลักทันที หันไปมองหน้าไอ้คนข้างๆก็ลอยหน้าลอยตา น่าถีบ
“เอ่อ คือ..”
“ไม่ต้องเกร็ง ความรักความชอบมันเป็นเรื่องธรรมชาติ เรื่องของความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้หรอก” พูดจบปู่แกก็เดินมานั่งแทรกกลางระหว่างผมกับไอ้แต็งค์พร้อมทั้งยกแขนทั้งสองข้างขี้นโอบไหล่ผมไว้ข้างไหล่ไอ้แต็งค์ไว้ข้าง “ความรักมันไม่มีผิดไม่มีถูก รักมันก็คือรัก” ปู่กอดผมสองคนโยกไปมาเบาๆ “เราทั้งสองคนต้องจับมือกันแน่นๆแล้วช่วยกันพิสูจน์ให้ไอ้คนหัวรั้นอย่างลูกชายปู่มันได้เห็นว่า ความรักมันไม่ได้มีกำหนดกฎเกณฑ์ให้แค่ผู้ชายกับผู้หญิงเท่านั้นที่คู่กัน แต่ความรักมันคือการที่คนสองคนมีความรู้สึกตรงกัน ประคับประคองกันไป อยู่เคียงข้างกันไป ผ่านวันผ่านเวลาที่ทั้งทุกข์ทั้งสุขไปด้วยกัน”
“ขอบคุณครับ” ผมยกแขนทั้งสองข้างกอดปู่แกไว้หลวมๆเพื่อซึมซับความอบอุ่นนี้ไว้ ส่วนไอ้แต็งค์มันก็เอื้อมมือมาเขกหัวผม
“นี่ปู่กู”
“ทำไมหวงรึไง” ปู่หันไปปามไอ้แต็งค์ “เรากอดมาบ่อยแล้วให้น้ำได้กอดบ้าง”
“ปู่”
“นี่คงจะหวงน้ำไม่ใช่หวงปู่หรอก” พูดจบปู่ก็หัวเราะเบาๆ แต่ผมเนี่ยดันเขินไม่เบา “มาเป็นหลานปู่อีกคนนะ”
“ครับ” ผมคลี่ยิ้มอย่างจริงใจ
“แต็งค์ไปช่วยปู่เลือกต้นไม้ตรงหน้าบ้านหน่อย ”ปู่ละแขนทั้งสองข้างออกจากตัวผมกับมัน “ปู่เอาต้นไม้มาเยอะแยะเลย ว่าจะเอาไปให้พ่อเราปลูกตรงสวนหลังบ้าน”
“ให้ผมช่วยด้วยมั้ยครับ”
“งั้นเราไปรออยู่ที่สวนหลังบ้านแล้วกัน”
“ครับ”
“แต่ ปู่..” ไอ้แต็งค์มันหันทำสีหน้ากังวลใส่ปู่ ส่วนปูก็ได้แต่ยิ้มอ่อนโยน แล้วยกมือขึ้นมาลูบหัวผม
“มันคือสิ่งที่เราต้องเผชิญ” คำพูดของปู่ผมเข้าใจความหมายดี ใช่ครับ ในเมื่อผมเลือกที่จะชอบมันแล้ว ผมก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ผมต้องเผชิญกับทุกอุปสรรคเพื่อที่จะหาหนทางผ่านด่านมันไปให้ได้ ไม่ใช่แค่เพื่อตัวผมเอง แต่เพื่อตัวไอ้แต็งค์มันด้วย ผมจะไม่มีวันปล่อยมันต้องเผชิญกับอุปสรรคเพียงคนเดียวเด็ดขาด
ผมเดินลากตีนมายังสวนหลังบ้านเดินไปสำรวจไป แล้วก็แอบมองหาพ่อไอ้แต็งค์ไป จะได้ตั้งตัวทันถ้าต้องเผชิญหน้ากันอีกรอบ แต่เดินมาจนถึงสวนแล้วแทบจะทะลุสวนออกยังรั้วบ้านแล้วก็ยังไม่เห็นใคร สงสัยพ่อมันจะเข้าไปข้างในบ้านแล้วมั้ง
“มาทำอะไร!”ผมสะดุ้งโหยงหลังจากได้ยินน้ำเสียงเข้มขรึม หันหลังกลับไปก็สบตากับดวงตาคู่เกรี้ยวกราดของชายวัยกลางคนที่รับบทบาทเป็นพ่อของไอ้แต็งค์ กำลังยืนถือกรรไกรตัดแต่งต้นไม้อยู่
“เอ่อ คือ..” ระหว่างที่อ้ำอึ้งอยู่ พ่อไอ้แต็งค์ก็ส่งสายตามากดดันผมอีกระรอก “ปู่”แล้วกูจะอำอึ้งติดอ่างทำไม ไอ้ปากไม่รักดี “ปู่ให้ผมมารอหลังบ้านครับ เห็นบอกว่าจะเอาต้นไม้มาลงที่สวน”ปลายเสียงค่อนข้างแผ่วเบา พ่อไอ้แต็งค์ไม่ได้ตอบอะไรผม นอกจากพยักหน้า ส่วนสีหน้าและแววตายังคงเคร่งขรึมอยู่เหมือนเดิม ผมเลยตัดสินใจทำลายความอึดอัดด้วยการ “ให้ผมช่วยไหมครับ”
“ทำเป็น?” พ่อแกหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ไม่เป็นครับ”แล้วแกก็หันมาขมวอดผูกโบว์ใส่ผม ให้เดาคงหาว่าผมกวนตีนอยู่แน่ๆ ผมเลยต้องปัดฝุ่นความคิดพ่อแกออก “แต่ถ้าพ่อช่วยสอนผมก็น่าจะทำได้ครับ”
“เหอะๆ” เสียงหัวเราะแบบตัวร้ายในละครไทยเลยครับ “จะมาช่วยรึมาเป็นภาระ” นั่นไง
หนึ่งดอก ชาๆอย่างกับโดนฉีดยาชาที่หน้า ผมไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร เหลือบตาไปเห็นกรรไกรอีกด้ามเลยรีบหยิบขึ้นมา แล้วสังเกตการกระทำทุกย่างก้าวของพ่อแกแล้วทำตาม ตลอดเวลาที่ผมช่วยตัดแต่งต้นไม้ ผมกับพ่อไอ้แต็งค์เราไม่ได้คุยอะไรกันเลย นอกจากตั้งหน้าตั้งตาเอากรรไกรละเลงต้นไม้ ผมพยายามชะโงกหน้ามองหาปู่กับไอ้แต็งค์ที่ไม่ยอมมากันซักที ชะโงกไปชะโงกมาก็ต้องหันกลับมาสนใจต้นไม้ต่อเพราะเจอสายตาดุๆของคนตรงหน้าไป เดี๋ยวจะหาว่าไม่ใส่ใจเลยต้องกลับมาละเลงต้นไม้ต่อ
เราสองคนงุ่นง่านอยู่นานสองนานจนตัดแต่งเสร็จเรียบร้อยตามวัตถุประสงค์ของพ่อแก เห็นท่าทีของพ่อแล้วผมเลยเดินไปหยิบขวดน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ใกล้ๆตัวมาให้แกดื่ม “คิดยังไงกับแต็งค์”เปิดประเด็นมาอย่างตรงเผลง จนผมต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ดวงตาที่จ้องเขม็งมาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน จะตอบยังไงดีๆ ถ้าตอบตรงๆจะโดนหักคอมั้ย ถ้าตอบอ้อมๆล่ะ
“คือ..”
“รู้ตัวอยู่ใช่ไหมว่ามันชอบ”
“ครับ..”
“เหอะ” พอแกได้คำตอบก็เบี่ยงหน้าออกไปอีกทาง “พ่อแม่รู้รึป่าวว่าเป็นแบบนี้”
“รู้ครับ”
“เค้ารับได้?”
“พ่อผมรับได้ครับ” ผมตอบด้วยเสียงค่อนข้างแผ่วเบา
“แล้วแม่ล่ะ”
“แม่ผมเสียไปนานแล้วครับ” คำตอบของผมทำให้คนตรงหน้าชะงักเล็กน้อย พ่อไอ้แต็งค์หันมามองหน้าผมแล้วก็หันกลับไป แววตายังคงเกี้ยวกราดไม่เปลี่ยน “ผมอยู่กับพ่อแล้วก็พี่ชายอีกสองคนครับ”
“แปลก” แกหันมามองผม แล้วเดินไปนั่งตรงโต๊ะไม้ใกล้ๆผมก็ต้องลากตีนเดินตามไปหย่อนตูดด้วย “ทั้งๆที่บ้านมีแต่ผู้ชาย แต่..”
“แต่ทำไมผมถึงชอบผู้ชายใช่มั้ยครับ”
ผมรู้ว่าสิ่งที่พูดออกไปมันอาจจะทำให้พ่อแกรู้สึกไม่ดี แต่การที่ผมไม่พูดหรือไม่ตอบโต้อะไรเลยมันอาจจะทำทุกอย่างแย่ลงก็ได้ เพราะดูแล้วพ่อแกคงจะเอาแต่คิดเองเออเองเป็นส่วนใหญ่ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมระหว่างแกกับไอ้แต็งค์ถึงห่างเหินกันเพราะเรื่องนี้ คนนึงก็เอาแต่ยึดติดกับความคิดตัวเองส่วนอีกคนก็ไม่ชอบอธิบายอะไร มันคงต้องเป็นหน้าที่ผมแล้วแหละที่ต้องช่วยประสานรอยร้าวของสองพ่อลูก
“ความจริงบ้านผมก็เลี้ยงผมมาแบบผู้ชาย ส่วนผมเองก็โตมาแบบเด็กผู้ชายทั่วไป มีเกเรบ้าง ชกต่อยบ้าง ไม่เคยมีท่าทีเบี่ยงเบนอะไรจนถึงตอนนี้ก็ไม่มี ผมยังคงเตะบอลกับเพื่อน ยังคงทำอะไรๆในแบบที่ผู้ชายเค้าทำ”ผมลอบมองใบหน้าของพ่อแกที่ยังบึ้งตึงอยู่ “ผมไม่เคยชอบผู้ชาย แล้วก็ไม่คิดที่จะชอบชาย จน..”
“จนมาเจอไอ้เจ้าแต็งค์” แกหันหน้ามาเลิกคิ้ว ทำตาเขม็งกับผม
“ตอนแรกผมก็ไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่าชอบมันตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ชอบมันไปแล้ว”
“พวกนายยังเด็ก มันอาจเกิดขึ้นเพียงเพราะแค่ถูกใจ ในอนาคตหากเจอใครที่ถูกใจกว่า พวกนายก็จะลืมความรู้สึกทั้งหมดในตอนนี้”
“สำหรับผมมันไม่ใช่ความถูกใจครับพ่อ” ผมหันหน้าไปคลี่ยิ้มบางๆ “ตัวเราเองมักจะรู้ใจเราดีที่สุดว่าความรู้สึกที่เป็นอยู่มันเรียกว่าอะไร ผมไม่เคยกังวลเลยว่าในอนาคตมันจะเป็นยังไง เพราะผมเลือกมองแค่ตอนนี้ ตอนที่มีมันอยู่”
“นายอยากให้ฉันยอมรับ?”
“ใช่ครับ” แล้วพ่อแกก็หันมาจ้องตาเกรี้ยวกราดใส่ผมอีกรอบ จนผมต้องรวบรวมความกล้าเพื่อจะง้างปากพูดต่อ “ผมทราบดีว่าสำหรับพ่อแม่บางคนมันเกินที่จะรับได้”
“ใช่นายก็รู้”
“ครับ” ผมยังคงยิ้มบางๆเพื่อกดความรู้สึกกังวลของตัวเอง “พ่อผมก็เช่นกัน ผมรู้ว่าท่านไม่สามารถรับได้ในทันทีหรอกครับ แต่ท่านก็เลือกที่จะรับฟัง และก็เลือกที่จะอยู่ข้างผม”พอคิดถึงพ่อผมก็รู้สึกตื้นตันในความอบอุ่นของคุณประณตทันที “ท่านบอกกับผมว่าความเสียใจที่สุดในชีวิตของท่านคือการสูญเสียแม่ไป เพราะแม่คือหัวใจครึ่งดวงของท่าน ส่วนผมเป็นเหมือนหัวใจทั้งดวงของท่าน” ผมลอบมองหน้าพ่อไอ้แต็งค์ที่เอาแต่จ้องมองไปยังต้นไม้ที่พึ่งตัดแต่งเสร็จ “หากต้องสูญเสียผมไปอีกคนเพียงเพราะไม่สามารถยอมรับในสิ่งที่ผมชอบได้ ท่านคงจะเสียใจมากว่าตอนที่เสียแม่ไปอีก”
“ในขณะที่คนเป็นพ่อแม่กลัวการสูญเสียลูกไป แล้วคนเป็นลูกล่ะเคยคิดอะไรบ้าง” พูดจบก็เหยียดยิ้มเป็นตัวร้ายโชว์ผม ไอ้ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งกับประโยคตอกกลับของแก
“คิดสิครับ ทั้งคิด ทั้งกังวล ทั้งเสียใจที่ไม่ได้เป็นไปอย่างที่พ่อหวัง แต่กลับเป็นพ่อผมที่มาพังทลายความคิดทั้งหมด ด้วยประโยคที่ว่าผมคือลูกของท่านต่อให้ผมจะชอบผู้หญิงหรือผู้ชายผมก็ยังคงเป็นลูกของท่าน” ผมเอนกายพิงพนักผ่อนคลายตัวเองซักพัก “มีคนคนนึงบอกผมว่าความรักมันไม่มีผิดไม่มีถูก รักมันก็คือรัก ขอแค่คนสองคนมีความรู้สึกตรงกัน ประคับประคองกันไป อยู่เคียงข้างกันไป ผ่านวันผ่านเวลาที่ทั้งทุกข์ทั้งสุขไปด้วยกัน”
“เหอะ” ตอบรับแค่นั้นแหละครับ แกก็เดินกลับเข้าบ้านไป ทิ้งไว้แต่ผมกับหัวใจเหี่ยวๆที่ไม่รู้ว่าพูดอะไรไปต้องหลายอย่างเนี่ยมันช่วยให้แกใจอ่อนบ้างได้ไหม เห้ออออออออ
และแล้วเวลาอาหารเย็นก็มาถึง ผมแอบดีใจนิดๆที่จะได้หลุดพ้นจากบรรยากาศที่น่าอึดอัดซักที ตั้งใจว่าจะรีบกิน รีบอิ่ม จะได้รีบกลับ
“เราสองคนจะนอนนี่รึป่าวลูก” หญิงใจดีหันมาถามผมกับไอ้แต็งค์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“นอนคอนโดครับ” อันนี้ไอ้แต็งค์มันตอบ
“ไม่คิดจะนอนบ้านบ้างหรอ แตงกวายังมีเรื่องอยากจะถามพี่น้ำเยอะแยะไปหมด”
“งั้นถามปู่แทนมั้ยลูก ปู่ว่าจะที่นี่นะ”
“ปู่อ่ะ มันไม่เหมือนกัน”
“อยู่นี่มันคงอึดอัด” พ่อไอ้แต็งค์ปรายตามามองผมกับมัน “มันคงทำอะไรๆไม่สะดวกเหมือนที่คอนโดสินะ” ไอ้แต็งค์มันคว้ามือผมไปจับแล้วบีบกระชับ “แต่ก็ดีแล้ว เพราะฉันคงรับไม่ได้ที่ผู้ชายสองคนจะมาทำบัดสีในบ้านหลังนี้”
“ผมกลับแล้วนะครับแม่ ปู่” พูดจบมันก็ดึงผมออกมาจากเก้าอี้ทันที แล้วดิ่งตีนมายังโรงจอดรถอย่างเร็ว โดยไม่ได้สนท่าทีตกใจของคนอื่น ส่วนผมก็ได้แต่หันหลังกลับผงกหัวหงึกหงักเป็นกล่าวลา
“คุณตั้ม คุณพูดอะไรออกมา ทำไม่นึกถึงความรู้สึกลูกบ้าง”
“แล้วมันล่ะ เคยนึกถึงความรู้สึกผมมั้ย” เสียงพ่อกับแม่ไอ้แต็งค์เถียงกันออกมาลั่นบ้าน จนผม...
“กูไม่น่าพามึงมาอึดอัดด้วยเลย” มันหันมากอดกระชับตัวผมไว้ ใบหน้าซุกลงมุ่นอยู่บนบ่าของผม “ขอโทษ”
“ไม่เป็นไร” ผมลูบหลังมันเบาๆเพื่อให้มันรู้สึกว่าผมไม่เป็นอะไรจริงๆ
“ต่อไปเราจะไม่มาที่นี่อีก กูจะพาไปบ้านปู่แทน”
“แต็งค์ มันคือสิ่งที่เราต้องเผชิญ” ผมหยุดลูบหลังมันแล้วเปลี่ยนเป็นกระชับกอดแทน “ไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน กูจะยังอยู่ตรงนี้ ข้างๆมึง”
“จูบได้มั้ย”
“ไอ้แต็งค์!! ”หน้าร้อนวูบวาบทันทีที่นึกถึงตอนที่จูบแบบสูบวิญญาณกับมันครั้งแรก
“ไม่ได้หรอ”
“มึงรีบออกรถเดี๋ยวนี้เลย” นอกจากมันจะไม่รีบแล้วยังมีหน้ามาหัวเราะผมอีก ดีนะที่อยู่บนรถเลยลดความสุ่มเสี่ยงที่คนอื่นจะได้ยิน
“หน้าแดง” เพราะใครล่ะ เพราะมึงทั้งนั้นเลยไอ้ตัวดี ว่าแล้วก็ถลึงตาใส่มันไป ทำได้แค่นี้จริงๆ
โดย อีช้อย