ท้องฟ้าอันมืดมิด ไร้ซึ่งแสงสว่างใดทั้งดวงจันทราและมวลดาราที่เคยพรั่งพราว แม้แต่มวลเมฆสีทึมเทาก็ไม่มีให้เห็น
ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดเคยโบยบินอยู่ฟากฟ้า ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดก็ตามที่เคยดังอยู่รอบข้าง ไม่มีใคร...ไม่มีอะไรให้ไถ่ถาม สองตาก็เหม่อมองไปไกลเพื่อควานหาอะไรก็ตามที่ให้คำตอบได้ สองหูสดับฟังอะไรก็ตามที่พอจะเอ่ยถามถึงคำตอบที่ตามหา ทว่าแม้จะพยายามมองค้นหาและเงี่ยหูฟังสักเพียงใด ผมก็ไม่สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้เลยว่า...
...ผมคือใคร?
Prologue
ผมคือใคร?คำถามที่ลอยวนอยู่ในสมองอันด้านชาจนไม่สามารถหาคำตอบได้ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน และกำลังจะไปที่ใดอยู่ บรรยากาศรอบข้างรายล้อมไปด้วยความมืดมิด ผมมองไม่เห็นอะไรเลยแม้กระทั่งฝ่ามือตน แต่ถึงจะไม่รู้จุดหมาย ผมก็ยังคงวิ่งต่อไปอยู่อย่างนั้น แม้จะล้มลุกคลุกคลานสักกี่ครั้ง แต่สองเท้าก็ยังคงวิ่งต่อไปเท่าที่เรี่ยวแรงจะนำพาไปได้ กระทั่งความหิวกระหายก็ได้คืบคลานเข้ามา
หิว ช่างหิวเหลือเกิน หิวจนรู้สึกแสบท้องไปหมด อาหาร...อาหารอยู่ที่ไหน?
แกรก...แกรก!แต่แล้วเสียงอะไรบางอย่างก็ดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิด ผมจึงหันไปตามที่มาของเสียงนั้นก็พบกับอะไรบางอย่างที่มาพร้อมกับมัน
...แสงสว่างแสงสว่างจ้าสีขาวนวลได้เรียกความสนใจให้เดินเข้าหา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรแต่สัญชาตญาณก็นำพาให้ผมเดินไปหามันแล้ว จนในที่สุดผมก็ได้ออกมาพบกับแสงสว่างสีขาวดวงนั้น
"...แสง" ผมพูดอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเดินเข้าไปหาเจ้าแสงสว่างดวงนั้นอย่างเชื่องช้า ทว่า...
ปัง...ปัง!ทันใดนั้น! เสียงปืนก็ดังขึ้นติดต่อกันถึงสองนัด พร้อมกับร่างของผมที่ร่วงลงกับพื้นอย่างเชื่องช้า ไร้ซึ่งความเจ็บปวด ไร้ซึ่งความรู้สึกใด แต่เลือดในร่างกายก็ได้ทะลักทลายไหลอาบไปทั่ว
ผมมองเจ้าแสงสว่างดวงนั้นด้วยความไม่เข้าใจ เพราะอะไรมันจึงทำร้ายผม แต่ในความสงสัยมันก็ได้เลือนหายไป กลายเป็นความว่างเปล่าเข้ามาในสมองแทน นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่? แล้วไอ้เจ้าแสงสว่างสีขาวนวลนี้คืออะไร แล้วผมเป็นใครกำลังทำอะไรอยู่ที่นี่ แต่ทว่าใครบางคนก็ได้โผล่เข้ามาพร้อมกับแสงสว่างดวงนั้นแล้ว
...ชายในชุดกาวน์สีขาว"หึ! ในที่สุดก็หยุดได้ซะทีนะ" โสตประสาทแสนเลือนรางของผมได้ยินเสียงผู้ชายคนนั้นพูด แม้ผมจะพยายามแหงนหน้าขึ้นไปมอง แต่ด้วยแสงสว่างจ้าที่ส่องแยงตา ก็ทำให้ผมไม่สามารถเห็นใบหน้าของเขาได้เลย
"ดร.เพชรนรินทร์เป็นคนฉลาดนะ แต่ก็ไม่ฉลาดพอจะคว้าโอกาสดีๆ เอาไว้ในมือ หึๆ โง่แบบนั้นก็สมควรตายแล้วล่ะ" ชายคนนั้นพูดพร้อมกับเดินเข้ามาแล้วย่อตัวลงพร้อมกับสายตาที่เบิกโพลงขึ้นเล็กน้อย
"หืม...ตัวมึงซีดลงผิดปกตินะ แถมผิวหนังของมึงก็บางลงจนเห็นเส้นเลือดด้วย นี่อย่าบอกนะว่าดร.เพชรนรินทร์ฉีดยาตัวนั้นให้มึงแล้วน่ะ?" แม้สองหูจะได้ยินในสิ่งที่เขาพูดชัดเจน แต่ผมก็ไม่ได้เข้าใจในคำพูดเหล่านั้นเลย เขา...กำลังพูดถึงเรื่องอะไร มันช่างเต็มไปด้วยคำถามจนยากที่สมองของผมจะหาคำตอบได้
"ฉลาดใช่เล่นที่เอายาทั้งหมดฉีดใส่ตัวแล้วให้มึงหนีไปน่ะ แต่สุดท้ายมึงก็โดนกูจับได้อยู่ดี" พลันผมก็สัมผัสได้ว่าชายคนนั้นเอามือมาจับที่แก้มของผม
"ไม่ต้องห่วง นับจากนี้ไปกูจะเป็นคนดูแลมึงเอง หึๆ ได้หนูทดลองตัวเก่งแบบนี้ รับรองว่าต่อจากนี้มึงจะทำกำไรมหาศาลให้กูแน่"
ปัง! ปัง!พูดจบเขาก็ลุกขึ้นพร้อมกับยิงผมซ้ำอีกสองนัด ตอนนี้สติของผมกำลังจะเลือนรางลงเต็มทีแล้ว แต่อะไรบางอย่างมันก็ได้โผล่เข้ามาในสมองแทน
หิว! ช่างหิวเหลือเกิน หิวจนร่างกายมันร้อนรุ่ม อาหาร...ผมต้องการอาหาร อาหารอยู่ไหน?
"!?" แต่แล้วดวงตาของผมก็เหลือบไปเห็นผู้ชายคนนั้นเข้า ชายในชุดกาวน์สีขาวผู้ที่ยิงผม
...อาหาร
พลันด้วยความหิวกระหายใคร่อยาก บวกด้วยสัญชาตญาณอะไรบางอย่างที่ตื่นขึ้นมา มันทำให้ผมลุกขึ้นมาจากกองเลือดของตนอย่างเชื่องช้า จากนั้นผมก็ได้พุ่งเข้าไปหาชายคนนั้นอย่างไวพร้อมกับฝังคมเขี้ยวลงบนแขนของเขา
"ดร.วิญญูถึงศูนย์ใหญ่ ตอนนี้ผม...อ๊าก!" แม้เขาจะร้องลั่นและพยายามสะบัดผมออก แต่ด้วยหยดเลือดที่ไหลเข้าปาก ก็ทำให้ความอยากอาหารมันไหลทะลักทะลายออกมายิ่งกว่าเดิม
"อ๊าก! ปล่อยกู ปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะ"
ปัง ปัง ปัง!ผมยังคงกัดแขนของผู้ชายคนนั้น ฉีกเอาเนื้อหนังมังสาของเขาออกมา ทั้งขบเคี้ยวและกลืนกิน ถึงผู้ชายคนนั้นจะทุบตีและใช้ปืนยิงผมอีกหลายต่อหลายนัด แต่ความเจ็บปวดก็ไม่อาจทำให้ความกระหายลดลงไปเลยแม้แต่น้อย
...ยิ่งเจ็บปวดยิ่งกัดกิน ยิ่งถูกยิงผมยิ่งอยากกินเขามากกว่านี้ ผมจึงกระชากแขนของเขาออกมาจนขาดวิ่นก่อนกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย เนื้อหนังของมนุษย์นี่ช่างหวานหอมจนอดใจไม่อยู่แล้ว
"อ๊าก! แขนกู...แขนกู!"
"อือ..."
แม้ชายคนนั้นจะพยายามกระเสือกกระสนวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่ผมก็ไม่ปล่อยให้เหยื่ออันโอชะของผมหลุดรอดไปได้ ผมวิ่งไล่ตามชายคนนั้นไปอย่างไว ก่อนจะกระโดดกัดคอของเขาจนล้มลง
ผมไม่ปล่อยให้เขาทรมานก่อนตาย ผมกัดกระชากเอาลูกกระเดือกเขาออกมาแล้วกลืนลงท้องด้วยความหิวกระหายเป็นที่สุด สองมือก็ควักลูกตาออกมาเคี้ยวเล่น พลางตะกรุยท้องจนอวัยวะภายในกระจายไปทั่ว แม้จะตกใจที่ตนเป็นแบบนั้น แต่ผมเองก็หยุดความกระหายนี้ไม่ได้แล้ว ทุกอย่างมันช่างน่ากินไปหมด น่ากิน...น่ากินจนหยุดไม่อยู่แล้ว
...อา! อร่อย...อร่อยจังเลยกร้วมๆ!เสียงเคี้ยวเนื้อหนังยังดังอยู่เป็นระยะ บ่งบอกได้ว่าเจ้าของเสียงเคี้ยวเนื้อนั้นกำลังมีความสุขกับการกินมากเพียงใด ทุกสัดส่วนในร่างกายของชายร่างท้วมในวัยกลางคน แม้มันจะเหนียวไปบ้าง แต่คมเขี้ยวของเด็กหนุ่มก็บดขยี้จนมันแหลกละเอียดแล้วกลืนลงท้องไปอย่างง่ายดาย
"อึก! อ...อา!"
แต่ทันใดนั้นเอง! ร่างที่กำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารแสนโอชะก็หยุดชะงัก เด็กหนุ่มได้แต่ล้มตัวลงพลางกุมท้องนอนตัวงอกับพื้นดินด้วยความเจ็บปวด ผิวหนังสีขาวซีดของเขาได้เปล่งแสงออกมาเป็นลวดลายไปตามเส้นเลือดภายใต้ชั้นผิวหนัง ไอร้อนเริ่มเดือดพล่านจนบังเกิดควันพวยพุ่งจากทุกอณูรูขุมขน กระทั่งในที่สุดไฟสีน้ำเงินก็ลุกพรึ่บ! ขึ้นมา
"อั้ก! อา...อา อ...อา!"
เจ้าของร่างบิดกายไปมาด้วยความทุกข์ทม มันช่างร้อนรุ่มและเจ็บปวด คล้ายว่าร่างกายของเขากำลังจะหลอมเหลวด้วยไฟบรรลัยกัลป์ กระทั่งเปลวเพลิงที่ลุกท่วมร่างก็ได้หายไป กลายเป็นของเหลวแสนเหนอะหนะได้ไหลทะลักออกมาห่อหุ้มร่างเอาไว้แทน
ของเหลวสีขุ่นได้ห่อหุ้มร่างเอาไว้คล้ายกับรังไหมที่ห่อหุ้มกายของตัวหนอน เสียงแห่งความทรมานได้หายไปพร้อมกับรอบกายที่กลับมาเงียบสงัดดังเดิม เงียบงันและแผ่วเบา ทุกอย่างช่างว่างเปล่าและวังเวงอยู่นานจนกระทั่งในที่สุด...
เปรียะ! แกรก...แกรก!พลันรังไหมที่แข็งกระด้างก็ได้ปริแตกพร้อมกับมือสีขาวซีดได้โผล่พ้นออกมา เล็บสีดำยาวเกือบหนึ่งนิ้ว ได้ตะกรุยเอาเปลือกหนาๆ ที่ห่อหุ้มตัวออก เผยให้เห็นร่างของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งทึ่ดิ้นอยู่ในนั้น
ร่างนั้นได้โผล่จากรังไหมพร้อมกับคราบเมือกอันเจิ่งนองไปทั่ว มันพยายามจะยันกายของตนให้ลุกขึ้น จากร่างกายที่เคยบอบบางของเด็กน้อย บัดนี้ก็ได้กลายเป็นร่างของอะไรบางอย่างที่คล้ายกับมนุษย์
ถึงกระนั้น...แม้จะมีหูตาจมูกปากและสัดส่วนอื่นๆ ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดา แต่เจ้าตัวประหลาดกลับมีสีผิวขาวซีดเหมือนเถ้าถ่าน เนื้อหนังบอบบางกลับหยาบกระด้างและเป็นมันเลื่อม อีกทั้งดวงตาของมนุษย์ซึ่งตอนนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนไป กลายเป็นดวงตาสีดำสนิทเต็มดวง ดูแล้วช่างไม่ต่างอะไรกับดวงตาของฉลามนักล่าเลยสักนิด
“อือ...”
เจ้าตัวประหลาดได้ครวญครางออกมาเล็กน้อย มือไม้และแขนขาในตอนนี้มันช่างอ่อนเปลี้ยเสียจนแม้แต่การยันกายของตนให้ลุกขึ้นยังยากลำบาก ถึงแม้จะมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน และรับรู้ได้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกับตน แต่ความหิวกระหายที่เคยมีมาก็ไม่ได้ลดลงไปแม้แต่น้อย
เจ้าตัวประหลาดจึงได้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดของตนยันกายให้ลุกขึ้นอีกครั้ง มันโผเข้าจัดการชิ้นส่วนที่เหลือของชายร่างท้วมนั้นต่อ อวัยวะทุกส่วนในร่างกายได้ถูกขบเคี้ยวลงคอไป จนตอนนี้ไม่เหลืออะไรนอกจากกองกระดูกอาบเลือดเพียงไม่กี่ชิ้น
ถึงกระนั้น...แม้จะสวาปามเนื้อหนังมังสาของชายคนนั้นไปแล้ว แต่มันก็ไม่ทำให้เจ้าตัวประหลาดรู้สึกอิ่มท้องเลยแม้แต่น้อย สองตาสีดำสนิทยังคงกวาดหาอะไรก็ตามที่พอกินได้ สองหูก็สดับรับฟังอะไรก็ตามที่จะกลายเป็นเหยื่อของมัน กระทั่งประสาทการดมกลิ่นของมันก็รับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่ลอยตามลม กลิ่นของสิ่งมีชีวิตที่มันปรารถนา กลิ่นของเหยื่ออันโอชะอันเป็นอาหารจานถัดไป
...กลิ่นของมนุษย์"อยู่ตรงนั้น!"
ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างจ้าหลายดวงพร้อมกับเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากเดินเข้ามา กลุ่มคนในชุดสีดำอันเต็มไปด้วยอาวุธปืนครบมือ และด้วยแสงสว่างจ้านั้นเองก็ทำให้เจ้าตัวประหลาดป้องตาของตนเอาไว้ เนื่องด้วยสายตาของมันยังไม่ชินต่อแสงสว่างสาดส่องเข้ามามากนัก
"นั่นมันตัวอะไรวะ" แม้จะตกใจต่อสิ่งที่เห็นตรงหน้า แต่หนึ่งในนั้นกลับตัดสินใจยิงปืนเข้าใส่ และนั่นเองก็ทำให้คนที่เหลือสาดกระสุนปืนใส่มัน
ปัง! ปัง! ปัง!แม้กระสุนปืนจะเจาะเข้าผิวหนัง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เจ้าตัวประหลาดรู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันกลับทำให้เจ้าของร่างรู้สึกรำคาญขึ้นมาแทน
ด้วยความหิวกระหายที่ไม่อาจถูกเติมเต็ม ในเมื่อมีบุฟเฟต์เนื้อมนุษย์ให้มันเลือกกินอยู่ตรงหน้านี้ล่ะก็ เจ้าตัวประหลาดจึงได้แยกเขี้ยวยิงฟันออก พร้อมกับกรงเล็บสีดำยาวที่ถูกกางออกมาอย่างเต็มที่ บ่งบอกได้ว่าการสังหารหมู่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
“อา...หาร...”
"อ๊ากกกกก!"
#อ้ายเก้ง present...
“My demonตัวประหลาด”
(นิยายวายเลือดสาด 18+)
.
.
.
"ไอ้หยก! มึงอย่าลืมทำรายงานที่อาจารย์สั่งด้วยนะ ถ้าอีกสามวันมึงทำไม่เสร็จล่ะก็มึงโดนพวกกูแน่"
"อ...อืม! ด...ได้สิ เดี๋ยว...เดี๋ยวเราทำให้นะ"
เพียะ!"โอ๊ย!"
เสียงตบหน้าดังฉาดใหญ่พร้อมกับร่างกายที่ถูกผลักจนล้มตึงไปกับพื้น เหมือนทุกครั้งที่คนอ่อนแออย่างผมมักจะทำได้คือการนั่งอยู่นิ่งๆ ห้ามเผยอหน้าขึ้นมา เพราะถ้าหากแสดงท่าทีหรือกิริยาใดที่ขัดหูขัดตาพวกมัน สิ่งที่ตามมาอาจจะร้ายแรงกว่าการถูกตบหน้าทุกครั้งเป็นแน่
"ไปเถอะพวกเรา ปล่อยให้ไอ้กะหร่องนี่นอนอยู่ตรงนั้นแหละ"
จนท้ายที่สุดไอ้พวกนักเลงขาสั้นก็เดินจากไป ผมจึงพยุงกายที่ไม่ได้แข็งแรงอะไรให้ลุกขึ้นอีกครั้ง ถึงตอนนี้ในห้องจะมีเพื่อนนักเรียนร่วมชั้นมากมาย แต่ก็ไม่มีใครสนใจจะช่วยผม เพราะมันไม่ใช่เรื่องตัวเอง เพราะผมไม่ใช่คนที่สำคัญอะไร ผมจึงได้แต่นึกเจ็บใจที่ตอบโต้อะไรไม่ได้นอกจากจะจำยอมอยู่แบบนั้น เพราะคนอ่อนแอก็คือคนอ่อนแออยู่วันยันค่ำ ถึงอยากจะโต้พวกมันกลับสักเพียงใดแต่สุดท้ายผมก็ไม่มีวันชนะพวกมันอยู่ดี
ผมมีชื่อว่า
หยก ผมเป็นแค่นักเรียนมัธยมหกธรรมดาที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของคนที่แกร่งกว่า โดยเฉพาะกับ
ไอ้มังกร ไอ้หัวโจกพวกเด็กอันธพาลในโรงเรียนที่ก่อเรื่องมาแล้วมากมาย โดยที่อาจารย์น้อยใหญ่เองก็ทำอะไรมันไม่ได้ อาจเป็นเพราะบารมีพ่อของมันเป็นถึงผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และคำว่า ผู้เยาว์ เองที่กฏหมายเองก็ทำอะไรพวกมันไม่ได้มากนัก
แต่เรื่องทั้งหมดของพวกมันก็คงไม่เลวร้ายที่สุดเท่ากับไอ้มังกรเพียงคนเดียว เรื่องเดียวที่มันบังคับให้ผมทำ เรื่องเดียวที่ผมไม่สามารถบอกใครได้ เรื่องเดียวที่ผมต้องจำยอมแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม
...เรื่องเดียวที่ผมไม่มีวันลืมเวลาผ่านไป...
ในช่วงเวลาเลิกเรียนเหมือนทุกวัน นักเรียนทุกระดับชั้นต่างก็พากันกรูกลับบ้านราวกับมดรังแตก แต่ก็คงจะเหลือผมและนักเรียนบางคนที่ไม่ได้รีบกลับนัก ตอนนี้ผมยังคงนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะไม้หินอ่อนตัวหนึ่งซึ่งเป็นที่ประจำของผม แต่ถึงจะนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น สองตาและหัวใจของผมกลับเฝ้ารอใครคนหนึ่งที่พิเศษสุดสำหรับตัวเองแทน
"ทำอะไรอยู่เหรอหยก?" กระทั่งเสียงของใครคนนั้นก็ดังขึ้น แม้ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ได้ในทันทีว่าเจ้าของเสียงนี้คือใคร
"ครูนพ"
ครูนพ เป็นครูฝึกสอนที่เพิ่งเข้ามาฝึกสอนในปีนี้ อาจเป็นเพราะผมไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก และไม่มีใครกล้าเป็นเพื่อนกับลิ่วล้อไอ้มังกรอย่างผมด้วย ก็นะ...ใครจะกล้ามาเป็นเพื่อนกับผมกันล่ะ แค่มีคนมาสนิทกับผมเกินไป คนๆ นั้นก็มักจะโดนพวกไอ้มังกรกลั่นแกล้งไปพร้อมกับผมด้วยทุกที ครูนพจึงเป็นคนเดียวในโรงเรียนที่ผมพอจะไว้ใจ และเป็นคนเดียวที่ทำให้ผมอุ่นใจทุกครั้งที่ได้เจอ
"เลิกเรียนแล้วยังไม่กลับอีกเหรอหยก?"
"ยังครับ ผมยังไม่รีบน่ะ"
"เหรอ ไม่ใช่ว่าแอบมารอใครอยู่เปล่า? ฮ่า ฮ่า ฮ่า!"
"คือ...” พลันผมก็ต้องรู้สึกเขินขึ้นมาเมื่อครูนพพูดแบบนั้น ผมรู้ว่าครูนพแค่พูดหยอก แต่การหยอกครั้งนี้มันกลับทำให้ผมรู้สึกเขินซะแล้วสิ
ก็นะ...การที่ผมมานั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนี้ทุกวัน ก็เพราะผมมาแอบรอใครคนหนึ่งตามที่ครูนพพูดนั่นแหละ ซึ่งคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นครูฝึกสอนที่เพิ่งเข้ามาฝึกสอนในปีนี้นั่นเอง
“ก็...มาแอบรออยู่แหละครับ แต่ว่าเขากลับไปก่อนแล้วน่ะ”
“เหรอ...ฮะ ฮะ ฮะ! อยากรู้จังเลยว่าหยกมาแอบรอใคร คนๆ นั้นคงโชคดีไม่น้อยเลยนะ”
จะเป็นอะไรมั้ยถ้าผมอยากจะบอกครูว่าคนที่ผมมาแอบรอทุกวันก็คือครูนพ ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงได้รู้สึกหวั่นไหวกับผู้ชายด้วยกัน แต่พออยู่ใกล้ชิดกับครูนพทีไร หัวใจของผมก็เต้นไม่เป็นจังหวะทุกที
ใจเต้นแรงให้กับความอบอุ่นและอ่อนโยนของครูนพ ผมรู้ว่าการที่นักเรียนอย่างผมแอบหลงรักคุณครูมันคงเป็นเรื่องผิด แต่ถ้าในเมื่อหัวใจมันได้ชอบไปแล้ว...ครั้นจะไปห้ามมันผมเองก็ทำไม่ได้เหมือนกัน
“แล้วครูนพยังไม่รีบกลับเหรอครับ?”
"ครูยังไม่รีบกลับหรอก ครูยังมีเอกสารที่ต้องจัดการให้เสร็จก่อนน่ะ"
"เหรอครับ"
"เออนี่! หยกรีบกลับหรือเปล่า? ถ้ายังไม่รีบกลับ หยกพอจะช่วยครูทำเอกสารนิดหน่อยได้มั้ย?"
"เอ่อ..."
แต่อยู่ๆ ครูนพก็เอ่ยปากขอให้ผมอยู่ช่วยงานเสียอย่างนั้น ถึงผมจะอยากอยู่กับครูนพอีกสักพักก็ตาม แต่ว่านาฬิกาข้อมือที่ตอนนี้บอกเวลาว่าเป็น 4 โมงกว่าๆ แล้วก็ทำให้ผมรู้สึกลังเลมากเลย นั่นก็เพราะบ้านของผมค่อนข้างอยู่ไกล ถึงจะไม่ได้ไกลมากแค่ 2-3 กิโลเมตรก็ตาม แต่ด้วยความที่ปั่นจักรยานมากอปรกับทางเข้าบ้านก็ค่อนข้างเปลี่ยวจึงทำให้ผมคิดหนักจริงๆ
"หยกว่างหรือเปล่า? ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ"
"ว่างครับครู ผมว่างครับ" สุดท้ายเมื่อเห็นใบหน้าผิดหวังนิดๆ ของครูนพก็ทำให้ผมรีบตอบตกลง ถึงจะกลับช้าแต่การได้อยู่กับครูนพอีกหน่อยก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
To be continued
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
นิยายเรื่องนี้ไม่มีการเม้น "ต่อ" นะครับ