ReLove3 : Reinterpreted Love - รัก...ความหมายใหม่ (ตอนที่ 9 - 6 เม.ษ. 67)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ReLove3 : Reinterpreted Love - รัก...ความหมายใหม่ (ตอนที่ 9 - 6 เม.ษ. 67)  (อ่าน 1701 ครั้ง)

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
รถยนต์สีดำเลี้ยวเข้ามาเทียบจอดริมถนนตรงหน้าที่วีร์กำลังนั่งอยู่ ฟิล์มกรองแสงไม่ได้สีเข้มมากจึงทำให้มองเห็นคนข้างในว่าเป็นใคร ถึงรูปทรงรถยนต์จะเป็นรุ่นเก่าแต่ความมันเงานั้นไม่แพ้รถยนต์ที่เพิ่งจะขับออกมาจากโชว์รูมใหม่ๆเลย

วีร์ลุกขึ้นยืนแล้วรีบเดินไปขึ้นรถยนต์ ถึงแม้ว่าจะไม่มีคนรู้จักที่ป้ายรถประจำทางอยู่เลย แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงโดยไม่จำเป็น เมื่อเข้าไปนั่งในรถยนต์แล้ววีร์ก็คาดเข็มขัดนิรภัย แล้วเขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นภายในรถยนต์ที่ดูจะเปลี่ยนไปจากครั้งก่อนที่เขาเคยนั่ง กลิ่นหอมอ่อนๆที่เขานึกไม่ออกว่าเป็นกลิ่นของอะไร

“เราจะไปกันที่ไหนเหรอครับ” วีร์ถามเมื่อชายหนุ่มร่างสูงบังคับรถยนต์ออกไปตามทางถนน

“มันเป็นโกดังเก่า ไม่ได้ใช้งานนานแล้ว มันมีลานกว้างอยู่พอให้ฝึกขับรถได้” วีส์อ้าปากหาวคำใหญ่แล้วก็หันหน้าไปมองเด็กหนุ่มที่กำลังมองดูเขาแบบแปลกๆ “ไม่ต้องห่วง มันเป็นโกดังเก่าของเครือล้ำเลิศ ดีกว่าไปฝึกขับตามท้องถนน แล้วมันก็มีแรมบ์ไว้ฝึกขับรถขึ้นเนินได้”

วีร์พยักหน้ารับแล้วก็นั่งมองดูรอบๆทางที่รถยนต์วิ่งจากหน้าหมู่บ้านของเขาผ่านตัวเมืองออกไปอีกด้านหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พ้นออกไปไกลมากนัก คนขับก็เลี้ยวลอดผ่านซุ้มประตูโค้งเข้าไปด้านในกลุ่มอาคารโรงงานขนาดใหญ่ที่สร้างติดๆกันจำนวนมาก และตลอดทางมาวีร์ก็ไม่ลืมสังเกตวิธีการขับรถยนต์ของชายหนุ่มร่างสูงไปด้วย รวมถึงที่ชายหนุ่มร่างสูงอ้าปากหาวอยู่เป็นระยะ

รถยนต์เข้ามาจอดตรงหัวมุมด้านหนึ่งของลานปูนซีเมนต์ที่มีอาคารโกดังล้อมรอบ แล้วคนขับก็ลุกออกไปจากรถยนต์โดยที่ยังติดเครื่องยนต์ไว้อยู่ เขาเดินอ้อมมาที่อีกฝั่งแล้วก็เปิดประตูออก

“มึงไปนั่งโน้น” วีส์บอกให้เด็กหนุ่มย้ายไปนั่งที่คนขับรถยนต์

“เอาเลยเหรอครับ” วีร์ลุกออกมายืนนอกรถยนต์อย่างงงๆ

“เอาเลยสิ จะฝึกขับรถแต่ไม่ลองขับเองแล้วจะขับเป็นได้ยังไง”

วีร์นึกไปว่าชายหนุ่มร่างสูงอาจจะมีการอธิบายเกริ่นนำอะไรก่อน ไม่คิดว่าจะให้ลงมือปฏิบัติเลยในทันที แต่วีร์ก็เดินอ้อมไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งคนขับแต่โดยดี

“ไม่ต้องดับเครื่องก่อนเหรอครับ” วีร์คาดเข็มขัดนิรภัยแล้วก็ตั้งท่าจับพวงมาลัยเตรียมพร้อมแบบฝึกฝนอักแรก

“ไม่ต้อง เดี๋ยวมึงก็จะได้สตาร์ทใหม่แน่ๆ” วีส์บอกปัดแล้วก็หันตัวไปทางฝั่งคนขับ “เอาละ การขับรถเกียร์กระปุกมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากกับรถเกียร์ออโต้ ก็แค่มึงต้องควบคุมคลัทช์เองเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างนึงเท่านั้น เท้าขวาไว้เหยียบคันเร่งกับเบรก ส่วนเท้าซ้ายก็ไว้เหยียบคลัทช์ เข้าใจใช่มั้ย”

วีร์พยักหน้าและก้มหน้าลงมองพื้นรถยนต์ เขาวางตำแหน่งเท้าทั้งสองข้างไปที่แป้นเหยียบทั้งสาม ลองขยับแตะเบาๆ

“คลัทช์จะเหยียบเมื่อเปลี่ยนเกียร์เท่านั้น ถ้าไม่ได้จะเปลี่ยนเกียร์ก็ไม่ต้องไปเหยียบมัน”

วีร์ได้ยินแล้วก็ยกเท้าซ้ายของเขาออกจากคันบังคับแล้ววางลงที่พื้นรถ

“ทีนี้สำหรับคนที่ไม่เคยขับเกียร์กระปุกมาก่อน ก็จะไม่ชินกับจังหวะการถอดคลัทต์กับเหยียบคันเร่ง โดยเฉพาะเวลาต้องออกรถบนทางลาดขึ้น นอกนั้นมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับรถเกียร์ออโต้”

“มันต้องถอดคลัทช์ออกหมดก่อนแล้วค่อยเหยียบคนเร่ง หรือว่าทำไปพร้อมกันๆครับ” วีร์ถามด้วยความสงสัย

“ก็ทำไปพร้อมกัน แต่จังหวะถอดจังหวะเหยียบจะรู้ได้ก็ต้องลองทำจริงดูก่อนถึงจะเข้าใจ” วีส์เอียงคอมองเด็กหนุ่มว่ายังมีข้อสงสัยอะไรอีกหรือไม่ “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นก็ลองเข้าเกียร์หนึ่งแล้วออกรถดู”

วีร์ก้มศีรษะลงมองดูเท้าของเขาอีกครั้งว่าวางตำแหน่งถูกต้องแล้วหรือไม่ มือขวาจับพวงมาลัย มือซ้ายจับคันบังคับเกียร์ เท้าซ้ายเหยียบคลัทช์ลงไป เท้าขวาวางลงบนแป้นคันเร่ง แล้ววีร์ก็ขยับคันบังคับเกียร์ไปที่เกียร์หนึ่ง สายตามองขึ้นไปข้างหน้าพร้อมกับถอดคลัทช์ออก เสียงเครื่องยนต์กระตุกดังในขณะที่ตัวรถยนต์เคลื่อนออกไปได้เพียงเล็กน้อย แล้วเครื่องยนต์ก็ดับลง

“เดี๋ยวลองใหม่” วีส์บอกด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้มีท่าทีจะซ้ำเติมว่าเขาพูดไว้ไม่ผิดคำว่าเดี๋ยวเด็กหนุ่มจะต้องติดเครื่องยนต์ใหม่แน่ๆ

วีร์กำลังจะบิดกุญแจเพื่อติดเครื่องยนต์ แต่ก็โดนร้องห้ามเสียก่อน

“เดี๋ยวสิ ยังใส่เกียร์หนึ่งอยู่เลย เดี๋ยวรถก็พุ่งไปข้างหน้าหรอก”

ข้อนี้วีร์ยอมรับผิดแต่โดยดี เพราะกำลังรู้สึกตื่นเต้นกับการได้ลองขับรถยนต์ระบบเกียร์ธรรมดาจึงมองข้ามจุดสำคัญไป ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ระบบเกียร์แบบไหน ก่อนจะจุดติดเครื่องยนต์ต้องตรวจดูให้แน่ใจว่าตำแหน่งเกียร์อยู่ที่เกียร์ว่างเสมอ

“เดี๋ยว” เสียงร้องห้ามจากชายหนุ่มร่างสูงอีกครั้ง พร้อมกับยื่นมือไปกุมทับมือของคนฝึกขับรถ “จะเปลี่ยนเกียร์ก็เหยียบคลัทช์ก่อน”

วีร์ใช้เท้าซ้ายเหยียบแป้นลงไปมิดแล้วก็ขยับคันบังคับเกียร์ให้ลงมาอยู่ตรงกลางแล้วขยับซ้ายขวาให้แน่ใจอีกครั้ง

“ลองสตาร์ทดูใหม่” วีส์พูดให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องลองฝึกอีกครั้ง

วีร์กำลังจะเริ่มฝึกตามขั้นตอนอีกรอบแต่ติดตรงที่มือข้างซ้ายของเขายังถูกกุมทับไว้อยู่ วีร์จึงหันไปมองคนข้างๆแล้วก็ย้ายสายตาลงไปที่คันบังคับเกียร์ แล้วก็เงยหน้ากลับไปหาชายหนุ่มอีกครั้ง และเหมือนว่าเขาเพิ่งจะรู้ตัวจึงได้ถอนมือของเขาออกไป แล้ววีร์ก็เริ่มกระบวนการต่อไป

ครั้งนี้เครื่องยนต์ยังกระตุกอยู่บ้าง ตัวรถเคลื่อนออกไปได้ไกลว่าเดิมเล็กน้อย แต่ว่าท้ายที่สุดเครื่องยนต์ก็ดับลงอีกครั้ง ฝ่ายครูฝึกก็บอกให้ลูกศิษย์ลงพยายามใหม่จนกว่าจะหาจังหวะเท้าทั้งสองข้างได้พอดี


*****


รถยนต์คันสีดำเคลื่อนตัวออกไปไม่เร็วมากนักไปตามความยาวของลานปูนซีเมนต์ เมื่อไปจนเกือบสุดทางก็เลี้ยวกลับรถแล้วก็ขับกลับมาจนสุดอีกทางหนึ่ง หมุนวนไปเรื่อยๆ ผู้ฝึกขับกำลังปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ชินกับการต้องบังคับรถยนต์ด้วยเท้าทั้งสองข้าง เวลาที่ต้องเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมเมื่อรถยนต์เปลี่ยนแปลงความเร็ว

หรือบางครั้งก็ถูกสั่งให้จอดรถยนต์แบบกระทันหันตรงตำแหน่งเป้าหมายที่สุ่มบอกโดยที่เครื่องยนต์ไม่ได้ดับลงไปเอง หรือไม่ก็บอกให้เข้าเกียร์ถอยหลัง ไม่ว่าจะเป็นการถอยรถยนต์ไปแบบตรงๆหรือถอยหลังเข้าซอง

วีร์เริ่มคุ้นเคยกับระบบเกียร์ธรรมดามากขึ้นหลังจากที่ขับรถยนต์วนไปมาอยู่หลายรอบแล้ว แต่เพราะพื้นที่ลานปูซีเมนต์ไม่ได้กว้างยาวมากขนาดสุดลูกหูลูกตา ถึงจะมีระยะทางยาวพอสมควรแต่ก็ไม่ได้มากพอจะให้ทำความเร็วได้มากไปกว่านี้ ดังนั้นวีร์จึงขับที่อยู่เกียร์สองเป็นอย่างมากที่สุด

เมื่อได้ลองทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่ครั้งก็เริ่มจะชำนาญมากขึ้น วีร์จึงจะหันไปถามว่าเขาควรจะทำอะไรต่อไปอีก แต่กลับพบว่าชายหนุ่มร่างสูงกำลังนั่งหลับตาก้มหน้าอยู่ ถึงไม่ต้องพิสูจน์ก็บอกได้แน่ชัดว่ากำลังหลับอยู่

วีร์จึงชะลอรถยนต์ลงจนหยุดสนิท แล้วเปลี่ยนเป็นเกียร์ว่างและดึงเบรกมือขึ้น

“คุณ” วีร์เรียกพร้อมกับเขย่าแขนไปด้วย และเรียกซ้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าไม่ได้ผลในครั้งแรก

“หือ” วีส์สะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วมองดูรอบๆ

“เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอครับ ถึงได้ง่วงขนาดนี้” วีร์ถาม

“อืม มีงานต้องรีบทำให้เสร็จ ก็เลยนอนดึกไปหน่อย” วีส์ลูบหน้าลูบตาเพื่อให้รู้สึกตื่นตัวขึ้น

“งั้น วันนี้เอาแค่นี้ก่อนก็ได้มั้งครับ ค่อยมาลองอีกทีวันหลังก็ได้” วีร์รู้สึกเกรงใจขึ้นมาที่ชายหนุ่มฝืนร่างกายมาสอบขับรถให้ อันที่จริงหากอีกฝ่ายโทรศัพท์มาขอเลื่อนนัดออกไปก่อน เขาก็เข้าใจและไม่ได้ติดขัดอะไร

“จะเอางั้นเหรอ นี่ก็...” วีส์ดูเวลาจากแผงควบคุมหน้ารถยนต์ “...ยังไม่ทันจะเที่ยงเลย” แต่เขาก็ยังอดอ้าปากหาววอดๆไม่ได้

“ไม่เป็นไรครับ เอาไว้มาลองฝึกต่อรอบหน้าก็ได้ คุณจะได้กลับไปพักผ่อนด้วย” วีร์ยังคงยืนยันความคิดของเขา โดยเฉพาะอาการเพลียของอีกฝ่ายที่เป็นปัจจัยสำคัญ

“งั้นก็... กลับกันเลยก็ได้” วีส์เห็นตามในที่สุด ถึงแม้เขาจะคิดว่าเขาก็ยังทนต่อความง่วงของเขาต่อไปได้อีกระยะหนึ่งก็ตาม

วีร์มองดูชายหนุ่มรุ่นพี่นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ขยับตัวลุกออกจากที่นั่งข้างคนขับ ในขณะที่เขากำลังจะเปิดประตูออกไปแล้ว ทำให้เขาชะงักไปเสียก่อน

“ไม่เปลี่ยนมาขับเหรอครับ” วีร์ถามอีกฝ่ายที่ยังนั่งแบบสบายใจ

“เปลี่ยนทำไม มึงขับกลับเลย ถือว่าฝึกไปในตัว” วีส์ตอบเหมือนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ ส่วนคนที่เพิ่งจะฝึกขับรถระบบเกียร์ธรรมดาครั้งแรกในชีวิตกำลังประมวลความคิดอยู่ในสมอง “ขับไปช้าๆ ไม่ต้องรีบ ส่วนคนอื่นเดี๋ยวเขาก็เขาขับแซงไปเอง”

วีร์รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาที่จะต้องขับรถคันนี้ออกถนนจริง ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาขับรถยนต์ออกไปข้างนอก แต่เป็นเพราะว่ามันไม่ใช่รถของเขาเอง เกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุสร้างความเสียหายให้กับรถ และเขาเพิ่งจะได้ลองสัมผัสการขับรถยนต์ระบบเกียร์ธรรมดามาไม่ถึงครึ่งวันจากตลอดชั่วชีวิตที่ผ่านมา ความกังวลจึงมีอยู่ไม่น้อย

“ออกรถเลยไม่ต้องกลัว ถ้าเครื่องดับก็แค่สตาร์ทใหม่ ไม่เห็นจะยากอะไร” วีส์พูดให้ความมั่นใจแก่เด็กหนุ่ม

วีร์จับพวงมาลัยไว้แน่น ตามองไปข้างหน้าที่ประตูทางออกจากบริเวณโกดังเก็บของเก่าเหล่านี้ เขาสูดหายใจลึก แล้วก็เหยียบคลัทช์และขยับเข้าเกียร์หนึ่ง รถยนต์คันสีดำมันวาวก็เริ่มขยับตัวโดยที่ไม่มีอาการกระตุกเลย

เมื่อเลี้ยวรถยนต์เข้าสู่ถนนใหญ่ วีร์ก็ค่อยๆประคองรถอยู่เลนกลาง เพราะเลนขวาสุดนั้นปล่อยให้รถที่ต้องการทำความเร็วแซงไปได้ ส่วนเลนทางซ้ายก็มีรถยนต์จอดอยู่เป็นระยะ เขามองดูรอบคันอย่างระมัดระวัง

หลังจากที่ขับรถยนต์ไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็เริ่มคุ้นชินกับจังหวะของรถยนต์ จะหยุดรถ จะออกตัว จะชะลอความเร็ว หรือแม้กระทั่งจะเพิ่มความเร็วจนขยับไปที่เกียร์สามก็ตาม วีร์เริ่มมั่นใจในการขับรถมากขึ้น จะบอกว่าอุ่นใจที่มีคนนั่งอยู่ข้างๆด้วยก็ไม่ผิดนัก ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะนั่งพิงศีรษะหลับตาอยู่ก็ตาม จะมีส่งเสียงบอกให้เปลี่ยนเกียร์บ้างเป็นครั้งคราว


*****


จนวีร์เลี้ยวรถเข้าไปในถนนหมู่บ้านของเขา จากเดิมที่คิดว่าจะลงแค่หน้าหมู่บ้านเท่านั้นแล้วค่อยเดินเข้ามาเอง แค่เมื่อคิดทบทวนแล้วก็ไม่เห็นถึงความต่างอะไร คงจะไม่มีใครในหมู่บ้านมาสนใจว่าเขาจะมากับใครเหมือนอย่างคนในโลกสื่อสังคมออนไลน์ ดังนั้นวีร์จึงขับรถมาจอดที่หน้าประตูรั้วบ้านของเขาเอง

ต้าวและเติบต่างก็มาเกาะกำแพงรั้วสอดส่องและส่งเสียงใส่รถยนต์แปลกหน้าแปลกตาที่มาจอดขวางทางด้านหน้าอาณาเขตของพวกมัน วีร์ต้องลดกระจกหน้าต่างรถลงแล้วออกคำสั่งให้พวกมันเงียบและนั่งรอ ส่วนเจ้าของรถยนต์นั้นกำลังนั่งก้มหน้าหลับตาอยู่ ไม่ได้รับรู้กับเสียงเห่าของสุนัขทั้งสองตัวเลย ดูท่าทางจะอ่อนเพลียมากกว่าที่วีร์คิดไว้ เขาจึงคิดว่าการตัดสินใจยุติการฝึกในวันนี้ไว้ก่อนน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีแล้ว

“คุณ ถึงบ้านผมแล้ว” วีร์ส่งเสียงเรียกชายหนุ่ม พลางคิดในใจว่าหรือเขาควรจะขับรถไปที่อพาร์ทเมนต์ของอีกฝ่ายแล้วค่อยหาทางกลับบ้านเอง ชายหนุ่มรุ่นพี่จะได้มีเวลาพักผ่อนได้เร็วขึ้น

“คุณ” วีร์จับที่บ่าของชายหนุ่มแล้วเขย่าเบาๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมา วีร์จึงเขย่าแรงขึ้นพร้อมกับส่งเสียงเรียก ในใจก็นึกว่ากำลังโดนแกล้งอยู่หรือเปล่า “คุณๆ”

เมื่อเรียกอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมา วีร์ก็เริ่มรู้สึกผิดสังเกต เขาปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเอง แล้วก็รีบตรวจดูอาการของชายหนุ่มร่างสูง วีร์จับตามมือ แขน ใบหน้า และซอกคอ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะมีความร้อนผิดปกติ วีร์จึงแนบหูลงไปที่กลางออกของชายหนุ่ม เขายังรู้สึกได้ว่ามีการกระเพื่อมตามการหายใจอยู่

“คุณๆ”

ในตอนนี้วีร์เริ่มรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งตัว เขาพยายามเขย่าตัวชายหนุ่ม พยายามตบใบหน้าหวังว่าจะเรียกสติของอีกฝ่ายได้ และยังหวังว่าชายหนุ่มรุ่นพี่ยังคงพยายามแกล้งเขาอยู่

“พี่ ได้ยินมั้ย พี่ๆ ได้ยินวีร์รึเปล่า”

ไม่ว่าจะทำอย่างไรชายหนุ่มร่างสูงก็ยังคงหลับตาอยู่เหมือนเดิม วีร์จึงกดแตรรถดังลั่นอยู่หลายครั้ง แล้วยื่นหน้าออกไปที่นอกหน้าต่าง

“พี่ธีร์ๆ มาเร็วๆ พี่ธีร์” วีร์ตะโกนเรียกสุดเสียง

ธีร์รีบเปิดประตูรั้วออกมา โดยมีสุนัขสีน้ำตาลและสีดำหลุดตามออกมาด้วย ธีร์วิ่งไปที่ประตูคนขับรถก็เห็นลูกชายคนโตของเขามีอาการตกใจ

“วีร์เป็นอะไร” ธีร์ถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก

“พี่เขาเป็นอะไรไม่รู้ วีร์เรียกหลายครั้งแล้ว พี่เขาไม่ยอมตื่น”

ธีร์มองเลยไปที่อีกคนที่นั่งอยู่ในรถด้วยกัน แล้วเขาก็วิ่งอ้อมรถยนต์และเปิดประตูรถออก เพื่อดูอาการของชายหนุ่มร่างสูง

“ไปโรงพยาบาลดีกว่า” ธีร์ตัดสินใจเพราะตัวเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้มาก ต้องรีบส่งต่อไปให้ผู้เชี่ยวชาญดูแลโดยเร็วที่สุดจะดีกว่า

“ได้ๆ โอเค” วีร์เห็นด้วยกับธีร์ เขาหันไปดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดไว้ เตรียมตัวจะออกรถในทันที

“วีร์” ธีร์ร้องเรียก “ลงจากรถ เดี๋ยวพี่ขับเอง” ธีร์ประเมินจากท่าทางของวีร์ในตอนนี้แล้ว หากปล่อยให้ไปเองคงจะได้นอนโรงพยาบาลกันทั้งสอง หรือเลวร้ายว่านั้นอาจจะได้ไปนอนที่วัดกันทั้งสองคน “วีร์ พี่ไปบอกวาก่อน แล้วเดี๋ยวพี่พาไป”

ธีร์ย้ำอีกครั้งก่อนที่จะรีบวิ่งเข้าไปข้างบ้าน ชั่วพริบตาเดียวก็รีบวิ่งออกมาและมีวนกรที่จับตัวธรไว้เดินตามไล่หลังมาติดๆ ธีร์เปิดประตูคนขับรถแล้วบอกให้วีร์ลุกออกไปนั่งด้านหลัง เมื่อประตูรถทุกบานปิดเรียบร้อยแล้ว ธีร์ก็รีบขับรถยนต์คันสีดำไปที่โรงพยาบาลในทันที


*****


หญิงสาวรุ่นใหญ่ในชุดราตรียาวกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามความเร็วเท่าที่รองเท้าส้นสูงจะทำให้ได้ไปตามทางเดินของชั้นห้องพักรับรองพิเศษของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ที่ตามมาติดๆกันคือเด็กหนุ่มร่างสูงที่อยู่ในชุดอย่างเป็นทางการขาดก็เพียงเสื้อตัวนอกเท่านั้น

ชื่นฤทัยผลักประตูเปิดเข้าไปในห้องโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องตรวจรายชื่อของผู้ป่วยเลย เพราะในตอนนี้ทั้งชั้นนี้มีผู้ป่วยพักอยู่เพียงห้องเดียวเท่านั้น เมื่อเดินผ่านส่วนที่พักสำรองสำหรับผู้เฝ้าไข้แล้ว ก็จะสามารถเข้าไปด้านในส่วนของที่พักผู้ป่วยในห้องพักพิเศษนี้ได้

ชื่นฤทัยรับไหว้จากเด็กหนุ่มสาวทั้งสาม วิธู แพรไหม และวีร์ แล้วก็รีบเดินไปดูคนที่ยังนอนหลังอยู่บนเตียง

“เจ้าสัวเป็นไงบ้าง” ปัญจวีส์ถามอาการพี่ชายคนรองจากพี่ชายคนเล็กของเขา

“ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว หมอบอกว่าน่าจะเป็นเพราะพักผ่อนน้อย ร่างกายเลยอ่อนเพลียมาก เลยทำให้วูบไป” วิธูพยายามอธิบายอาการของวีส์ให้ผู้มาใหม่ฟังโดยไม่ให้รู้สึกน่าหวาดวิตกอะไรมากนัก “เดี๋ยวต้องรอให้ตื่นก่อนถึงจะตรวจให้ละเอียดอีกที”

“เฮ้อ ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไรมาก” ปัญจวีส์เดินไปหาที่นั่งว่างข้างๆวิธูและแพรไหม แล้วเขาก็เอียงตัวไปแอบส่งเสียงกระซิบกับวิธู “วีร์มาได้ยังไงอะ”

“มันเป็นคนพาเจ้าสัวมาส่งที่โรง’บาล” วิธูก็แอบกระซิบเบาๆกลับ ไม่ให้เสียงดังไปถึงที่นั่งอีกฝั่งของเตียงผู้ป่วย

“แล้วเขาไปเจอกันได้ยังไง” ปัญจวีส์ถามต่อด้วยความสงสัยปนความดีใจ

“ไม่รู้” วิธูตอบสั้นๆ เพราะเขาก็ยังไม่รู้ว่าเพื่อนและพี่ชายของเขาไปเจอกันได้อย่างไรในวันนี้

“สงสัยจะนัดกันไปไหนแน่ๆ แผนของต่ายนี่ได้ผลเกินคาด”

วิธูไม่ได้ตอบกลับอะไรแต่สะกิดให้ปัญจวีส์รู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมองมากจากอีกฝั่งอยู่ ปัญจวีส์หันไปเห็นแล้วก็ยกตัวกลับมานั่งหลังตรงตามเดิม

“แล้วนี่ได้ไปงานมั้ย ถึงกลับมาเร็วขนาดนี้” วิธูถามไปถึงงานเลี้ยงที่ชื่นฤทัยจะต้องไปร่วมงานด้วยระดับความดังของเสียงปกติ

“ได้ไปแต่พิธีเช้า กำลังจะกลับไปนอนพักที่โรงแรม รอไปงานพิธีเย็นอีกทีแต่ก็มีโทรศัพท์มาซะก่อน แล้วก็รีบดิ่งกลับมาเลย” ปัญจวีส์ตอบ

“มึงขับเหยียบมิดพื้นกลับมาเลยละสิ” วิธูถามต่อเนื่อง

“ใช่ที่ไหนละ เมื่อก่อนเคยได้ยินพี่อัฐเล่าให้ฟังว่าแม่นี่คือนักซิ่งตีนผีดีๆนี่เอง วันนี้ถึงได้รู้ว่าจริง” ปัญจวีส์เปิดเรื่องเล่าสู่กันฟังแบบบุคคลในหัวข้อสนทนาก็อยู่ใกล้ๆกัน

“ทำไมอะ” แพรไหมก้มตัวไปข้างหน้าเพื่อมองข้ามผ่านแฟนหนุ่มของเธอไปถาม

“โห ก็ยังกะนั่งรถเหาะ ไม่รู้ว่าโดนจับความเร็วไปกี่ด่าน”

ชื่นฤทัยเหลือบตาขึ้นมองลูกชายคนเล็กของเธอ เธอไม่ได้ต้องการจะเอาความอะไร แค่อยากให้รู้ว่าได้ยินว่าพูดถึงอยู่

“แต่ไม่เป็นไร แค่นี้เรื่องจิบๆสบายมาก ขนหน้าแข้งยังไม่ทันจะร่วง” ปัญจวีส์ยักคิ้วหลิ่วตาให้กับแม่ของเขา “แล้วของต่ายอะ ได้ไปไหนบ้าง”

“ได้ไปไม่กี่ที่ กำลังจะจ่ายเงินค่าข้าวเที่ยงก็โดนโทรตามซะก่อน” วิธูเอียงไปป้องปากกระซิบบอกปัญจวีส์ “ตอนรับสายไอ้อ้วนแล้วมันบอกว่าพี่เป็นอะไรไม่รู้ แล้วก็มาอยู่ที่โรง’บาลแล้ว เหมือนโดนเดจาวูเลยว่ะ”

ปัญจวีส์สะบัดหันมาหาวิธูซึ่งวิธูก็พยักหน้าย้ำคำพูดของเขาว่าเป็นไปตามนั้นจริงๆ

“ไหนๆก็มาพร้อมหน้ากันแล้ว จะได้แบ่งกันว่าวันนี้ใครจะนอนเฝ้า” แพรไหมถามสองคนพี่น้องว่าจะตัดสินใจอย่างไรในฐานะน้องชายที่ดี

ทั้งวิธูและปัญจวีส์กลับมานั่งตัวตรงปกติแล้วก็มองหน้าปรึกษากันว่าจะเอาอย่างไรกันดี

“ปันปันอยู่เฝ้าได้ ยังไงพรุ่งนี้ก็วันหยุด จริงๆต่ออีกวันก็ได้เพราะปันปันไม่มีเรียนวันจันทร์” ปัญจวีส์เสนอตัวเอง

“งั้นเดี๋ยวกูกับอีดำมาอยู่พรุ่งนี้เช้า มึงจะได้กลับไปพักผ่อน แล้วค่อยรอดูว่าหมอจะว่ายังไง” วิธูรอฟังความเห็นจากน้องชายคนเล็ก ซึ่งปัญจวีส์ก็หันไปหาแม่ของเขาเพื่อถามความเห็น

“งั้นเดี๋ยวลูกขับรถกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อน แล้วค่อยกลับมาทีหลัง ทางนี้แม่อยู่ให้เอง” ชื่นฤทัยบอกปัญจวีส์แล้วก็หันไปมองดูทุกคนก่อนที่จะถามต่อไป “นี่ยังไม่ได้บอกคุณยายใช่มั้ย”

“ยังครับ ก็ว่าจะมาดูอาการของพี่ก่อน แม่จะให้ปันปันบอกคุณยายเลยมั้ยครับ” ปัญจวีส์ถามชื่นฤทัยกลับ

“ยังไม่ต้องจะดีกว่า คงจะไม่เป็นอะไรมาก เดี๋ยวจะเป็นห่วงไปเปล่าๆ”

“โอเคครับ” ปัญจวีส์ตอบแล้วก็หันไปถามคนรุ่นเดียวกัน “งั้น... เดี๋ยวคนอื่นๆจะกลับกันยังไง”

“กูนั่งรถเครื่องมากับอีดำ เดี๋ยวก็กลับกันเองได้” วิธูตอบแทนแพรไหมไปพร้อมกัน

“แล้ววีร์ละ” ปัญจวีส์มองข้ามเตียงผู้ป่วยไปถามเพื่อนของเขา

“รถพี่เขาจอดอยู่ที่อาคารจอดรถ จะเอายังไง” วีร์ถามไปถึงรถยนต์คันสีดำที่ธีร์เป็นคนขับพาพวกเขามาส่งที่โรงพยาบาล แต่ละคนต่างก็มองหน้าถามกันไปมาว่าจะทำอย่างไรดี

“อืม... จริงๆก็เอาไปจอดไว้ที่อพาร์ทเมนต์พี่ก็ได้นะ แต่ว่า...” ปัญจวีส์หันไปหาวิธูกำลังจะถามว่าใครจะเป็นคนขับไป เพราะเป็นที่รู้กันว่ารถยนต์ของพี่ชายของเขานั้นเป็นระบบเกียร์ธรรมดา

“เดี๋ยวเราขับกลับไปให้ก็ได้” วีร์เสนอตัว ทำให้ทุกคนหันมามองเขาเป็นตาเดียว “ถ้า... ไม่ติดปัญหาอะไร”

“อ๋อ ได้สิ” ปัญจวีส์ตอบแบบลังเลว่าคนอื่นๆจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครแย้งขึ้นมาแม้แต่ชื่นฤทัยก็ตาม “งั้น เดี๋ยวปันปันขับนำทางวีร์ไปให้เอง แล้วพอเอารถพี่ไปจอดเสร็จเดี๋ยวปันปันไปส่งวีร์ที่บ้านต่อเลย”

“งั้นก็เอาตามนี้” วิธูสรุปปิดท้ายเมื่อไม่มีใครเสนออะไรเพิ่มเติม

เด็กหนุ่มสาวแต่ละก็บอกลาชื่นฤทัยที่ยังอยู่ในชุดราตรียาว แล้วพากันเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไปและแยกย้ายกันกลับไปที่พักของแต่ละคน ก่อนที่จะกลับมาทำหน้าที่เฝ้าผู้ป่วยตามที่ได้ตกลงกันไว้ภายหลัง วีร์หันไปมองดูชายหนุ่มที่ยังนอนหลับตาบนเตียงผู้ป่วยอีกครั้ง แล้วก็เดินออกไปเป็นคนสุดท้าย

ชื่นฤทัยเดินจากส่วนที่พักผู้ป่วยออกไปที่ส่วนที่พักสำรอง ตรวจดูความพร้อมภายในห้องว่าต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ทั้งสำหรับผู้ป่วยและคนเฝ้า จะได้จัดเตรียมมาให้ได้ครบถ้วน แล้วจึงเดินกลับมาดูอาการลูกชายคนโตของเธออีกครั้ง

ชื่นฤทัยวางมือลงที่แขนข้างหนึ่งของวีส์ และมองดูใบหน้าที่มีสีปกติดีแล้ว

“ลืมตาได้แล้วลูก น้องๆเขาไปกันหมดแล้ว”

ชื่นฤทัยรออย่างใจเย็น จนเห็นเปลือกตาของคนที่นอนอยู่กระพริบสองสามครั้งก่อนที่จะค่อยๆเปิดกว้างเต็มที่ วีส์พยายามหันมองดูรอบห้องให้แน่ใจว่าตอนนี้มีแค่เขาและแม่ของเขาแค่สองคนเท่านั้น

“มา เล่าให้แม่ฟังสิว่าอาการเป็นยังไงบ้าง” ชื่นฤทัยยิ้มให้กับลูกชาย เธอสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนที่เธอมาถึงแล้วว่าลูกชายของเธอไม่น่าจะนอนหลับสนิทอยู่ แต่เธอไม่แน่ใจในเหตุผลว่าทำไมวีส์ถึงยังไม่อยากให้ทุกคนรู้ว่าเขาตื่นแล้ว

วีส์หายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะหันไปหาแม่ของเขา


*****


หลังจากที่ปัญจวีส์ขับรถยนต์มาส่งวีร์ที่บ้านแล้ว วีร์ก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเดิมที่ใส่ไปนั่งอยู่ในโรงพยาบาลมาค่อนวันเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นก็ลงมาให้อาหารสุนัขพันธุ์ไทยขนสั้นทั้งสองตัว ช่วงเวลาหลังจากนั้นตลอดระหว่างมื้ออาหารเย็นเรื่อยไปจนแยกย้ายเข้าห้องนอน ธีร์และวนกรไม่ได้ถามอะไรมากมายเกี่ยวกับคนป่วย

รวมถึงไม่ได้ถามด้วยว่าวีร์ไปไหนมากับชายหนุ่มรุ่นพี่ก่อนหน้านี้

วีร์นั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือภายในห้องนอนของเขา ถึงแม้ว่าจะมีหนังสือและสมุดเปิดวางไว้อยู่ มีเครื่องเขียนครบชุดเตรียมพร้อมไว้แล้ว แต่ยังความคิดยังไม่พร้อมที่จะเริ่มลงมือทำงานให้เสร็จในตอนนี้ได้

ในขณะที่สายตาของเขามองไปที่โต๊ะ แต่ภาพที่เขากำลังเห็นอยู่นั้นเป็นเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่วีรดนย์ชวนเขาไปทดลองกล้องถ่ายรูปตัวใหม่ที่เพิ่งจะซื้อมา พวกเขาตระเวนไปตามสถานที่ต่างๆตั้งแต่เช้าเรื่อยไปจนถึงยามคล้อยบ่าย

วีร์กำลังยืนอยู่ข้างรูปปั้นในสวนสาธารณะ เป็นแบบถ่ายรูปให้กับวีรดนย์ ในตอนนั้นวีร์สังเกตเห็นรอบเปื้อนสีแดงลากจากจมูกยาวไปจนเกือบครึ่งแก้มข้างหนึ่งของวีรดนย์ วีร์จึงร้องทักวีรดนย์ไป

วีร์ดนย์ก้มลงดูมือของเขาก็เห็นเป็นคราบสีแดงติดอยู่ จากเดิมที่เขาคิดว่าเป็นเพียงน้ำมูกปกติที่ไหลออกมา หลังจากนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกจะยืนไว้ไม่อยู่ โชคดีที่วีร์รีบวิ่งเข้ามาประคองตัวไว้ได้ทัน

หากเป็นแค่เลือดกำเดาไหลคงจะไม่ตกอกตกใจกันสักไหร่ เพราะว่าอากาศในช่วงวันนั้นค่อนข้างร้อนติดต่อกันมาหลายวันแล้ว แต่เพราะวีรดนย์หมดสติไปหลังจากนั้นด้วย จึงต้องรีบนำตัววีรดนย์ส่งไปที่โรงพยาบาล และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นของวีรดนย์ จนท้ายที่สุดที่เขาต้องใช้ชีวิตอยู่แค่เพียงในโรงพยาบาลนานร่วมปีก่อนที่จะจากไป

วีร์ยังไม่อยากจะคิดว่าประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยเก่า เขาจะเชื่อตามคำพูดของแพทย์ที่บอกว่าน่าจะเป็นเพราะการพักผ่อนน้อยในช่วงนี้ของวีส์เองที่ทำให้วูบหมดสติไป และไม่นานก็คงจะกลับมาเป็นปกติตามเดิม เพียงแต่ต้องใส่ใจหาเวลานอนหลับให้เพียงพอเท่านั้นเอง

หลายปีที่ผ่านมา วีร์บอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าเขาไม่เชื่อเรื่องอาถรรพ์ที่ใครต่อใครพูดถึงเขากัน ไม่ว่าจะไปได้ยินมาโดยอ้อมหรือว่าจะมาถามกันตรงๆซึ่งหน้าก็ตาม เขาไม่มีคำอธิบายใดๆให้กับคนที่ปักใจเชื่อไปในแนวทางนั้น เขาไม่อยากเสียเวลาไปกับผลลัพธ์ที่รู้อยู่แล้ว

อย่างน้อยเรื่องราวในครั้งนี้ก็ไม่ได้ถูกแพร่งพรายไปสู่คนภายนอก จึงยังไม่มีใครหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาในโลกสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งทั้งวิธูและปัญจวีส์ยังคงรักษาคำพูดของตัวเอง ทำให้เขามีเวลามานั่งคิดทบทวนกับตัวเองโดยไม่มีสิ่งรบกวนจากภายนอกมาให้ไขว้เขวรำคาญใจ

แสงสีขาวส่องสว่างจากโคมไฟที่โต๊ะเขียนหนังสือ กระจายแสงส่องพอจะไปให้ถึงทั่วทั้งห้อง เว้นก็เพียงบางส่วนที่ร่างของเด็กหนุ่มบดบังไว้ให้เกิดเป็นเงาใหญ่พาดไป ถุงที่ใส่กีตาร์ไว้ยังคงวางอยู่บนขาตั้งข้างเตียงนอนได้ถูกหยิบจับมาฝึกหัดเล่นตามวิดีโอบันทึการสอนเป็นครั้งคราว

เสียงเห่าดังของสุนัขทั้งสองตัวยามเมื่อภัยคุกคามเดินผ่านอาณาเขตของพวกมัน

วีร์สูดหายใจลึกแล้วก็พ่นลมออกมา  ตอนนี้เขาต้องรวบรวมสมาธิมาจัดการงานตรงหน้าให้เสร็จเสียก่อน เรื่องอื่นๆยังพอจะรอไว้สะสางทีหลังได้

แต่บางทีเขาควรจะลงไปจัดการกับสุนัขตัวใหญ่ทั้งสองตัวเสียก่อนจะดีกว่า ก่อนที่พวกมันจะไปส่งเสียงสร้างความรำคาญให้กับเพื่อนบ้าน


*****

#VVGo4Launch

[โปรดติดตามตอนต่อไป]

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด