Love you รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง 5ตอนพิเศษ 010922} [ยังไม่จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love you รักอยู่รู้ยัง {Up:รักอยู่รู้ยัง 5ตอนพิเศษ 010922} [ยังไม่จบ]  (อ่าน 25384 ครั้ง)

ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ

“เชี่ยไอ้สมุทร ไอ้สัดมึงจะวิ่งไปไหน” เสียงของไอ้มาร์ชที่ดังตามไล่หลังมา มันที่พยายามจะคว้าแขนผมไว้แต่ไม่ทัน ผมที่วิ่งตามพี่พระจันทร์ออกมา ห่างจากไอ้มาร์ชมากขึ้นทุกทีๆ ... ไอ้มาร์ชไม่มีทางวิ่งทันน้องสมุทรอยู่แล้ว ตอนมัธยมน้องสมุทรน่ะได้ฉายาว่า ไอ้เล็กสั้นขยันซอย!! ซอยตีนยิกๆ วิ่งหนีครู เพราะมารร.สาย กูไม่เคยทันเข้าแถวเลยสักที แสนเท่! แบดบอยรว้ายๆ



ผมที่วิ่งตามพี่พระจันทร์มา แต่มองหาแล้วไม่เจอ ไม่รู้ว่ารถพี่พระจันทร์คันไหน จนเห็นรถหรูคันนึงที่กำลังขับออกไปด้วยความไวกว่าปกติก็รู้ได้ทันที แบบนี้ผมจะปล่อยพี่พระจันทร์ไปคนเดียวได้ยังไงวะ



‘เอี๊ยดดดดด’



เสียงล้อรถบดไปกับพื้นถนนของลานจอดรถดังลั่นในตอนที่น้องสมุทรวิ่งข้ามฝั่งลานจอดไปอีกด้านของถนนที่กลับรถไปที่ทางออก ผมที่มีความกล้าบ้าบิ่นแบบสุดๆ วิ่งไปกลางถนนพร้อมกางแขนออกกว้าง ไฟหน้ารถสว่างจ้าที่สาดส่องมาทั่วทั้งตัว มองไม่เห็นอะไรด้วยซ้ำนอกจากความเป็นกับความตายที่อยู่ห่างกันแค่คืบ



“ทำเหี้ยอะไรของมึง!”



“พี่พระจันทร์” ผมที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ ขาสองข้างสั่นเหมือนเจ้าเข้า หัวใจตกลงไปถึงตีน แต่ทุกอย่างมันก็ทำลงไปแล้วแบบอัตโนมัติ ร่างสูงขายาวที่ก้าวจ้ำมาพรวดๆ ด้วยใบหน้าถมึงทึงมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความโกรธ



“สัดสมุทร!! ถ้ากูชนมึงตายจะทำยังไง เล่นเหี้ยอะไรวะ!”



“ก็น้องสมุทรอยากมาห้ามพี่พระจันทร์”



“วิธีเหี้ยอะไรของมึงไม่เข้าท่า ถ้ามึงเป็นน้องเป็นนุ่งก็จะตบให้หัวมึงโยก สัด!” สบถออกมาด้วยความโมโห ก่อนจะหันไปเตะเข้าที่ไฟหน้ารถของตัวเองแรงๆ อิเหี้ยยย รถเป็นรอยเลย ฮื่อออ รถหรูด้วยอ่ะ ...เอ่อ กูต้องห่วงตีนพี่พระจันทร์ กับชีวิตกูก่อนสินะ



“ถอยออกไป” พี่พระจันทร์จ้องหน้าผมนิ่งๆ แล้วว่าออกมาแบบนั้น เขาที่ทำท่าจะเดินกลับไปขึ้นรถ เห็นแบบนั้นน้องสมุทรก็วิ่งตามไปเปิดประตูข้างคนขับเลย



“ทำเหี้ยอะไร กูไม่มีอารมณ์เล่นกับมึงตอนนี้”



“น้องสมุทรไม่ได้เล่นนะ”



“ไม่ได้เล่นมึงก็ลงไป!”



“น้องสมุทรไม่ลง น้องสมุทรจะไปด้วย น้องสมุทรไม่ปล่อยพี่พระจันทร์ที่ขาดสติแบบนี้ไปตายห่าหรอกนะโว้ย!!” ผมที่เถียงเสียงดังกลับไป ผมพระจันทร์ที่เห็นผมตะโกนใส่ผงะไปนิดหน่อยเหมือนกับพึ่งเคยเจออะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาก็ถลึงตากลับมามองผมแบบดุๆ น้องสมุทรนี่ยิ้มแหยใส่เลย แต่ถ้าถามว่าน้องสมุทรจะลงจากรถแล้วปล่อยพี่พระจันทร์ไปไหม ก็ตอบได้เลยว่าไม่! กูดื้อด้านกว่าที่พี่มึงคิดเยอะ



“มึงแม่ง น่ารำคาญว่ะ”



“เออ รำคาญก็ได้ แต่น้องสมุทรจะไปด้วย” ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่จำใจขึ้นมาบนรถแล้วขับออกไปด้วยความแรง กระชากตัวออกแต่ละทีหัวกูเกือบพุ่งไปชนคอนโซลรถ ติดตรงที่มือพี่พระจันทร์มาขวางเอาไว้ได้ทัน



“ข...ขอบคุณครับ” ผมหันไปส่งยิ้มบางๆ ให้ พร้อมยกมือขึ้นมาดันกรอบแว่นที่หล่นลงไปจากจมูกนิดๆ พี่พระจันทร์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะใช้แขนขวายกขึ้นไปท้าวไว้กับขอบกระจก แล้วใช้มือซ้ายมือเดียวในการขับรถ



“ขนาดกูอยากหนีไปไกลๆ ก็ยังโดนมึงมาขวาง”



“ก็น้องสมุทรเป็นห่วงพี่พระจันทร์นี่”



“ห่วงกูหรอวะ ทำไมมึงต้องมาห่วงกูด้วยวะ”



“ถามโง่ๆ ทำไมอ่ะ ก็น้องสมุทรชอบพี่พระจันทร์นี่ ไม่ห่วงพี่พระจันทร์แล้วจะห่วงใคร” บอกออกไปแบบนั้นแล้วส่งยิ้มบางๆ ให้ ... คำตอบของคำว่ารักมันคืออะไรไม่รู้ แต่สำหรับน้องสมุทร ขอให้ได้ลองให้รู้ ว่าผมรักพี่อยู่แบบสุดตัว หวังว่าสักวันนึงพี่จะรู้ ว่ายังมีผมที่รักพี่อยู่ก็พอ


.

.

.

“เข้าไปดิ”



“เชี่ย พี่พาน้องสมุทรเข้าห้องหรอ เชี่ยๆ ไม่ได้เตรียมใจมาเป็นผัวเลยจริงๆ นะ” ช้อนตามองคนตรงหน้าที่เท้าแขนลงกับกรอบประตูแล้วจ้องมองหน้าผมนิ่งๆ



“ก็แค่อยากให้ตลก ขำๆ ลืมเศร้า”



“รำคาญ” พูดแค่นั้นแล้วเดินนำผมเข้าไปด้านใน ผมที่ก้าวเท้าตามเข้าไปแล้วได้แต่อ้าปากค้าง ห้องดูเพล็กซ์สองชั้นที่ถูกตกแต่งออกมาเรียบและดูดิบๆ หน่อยด้วยการตกแต่งผ้าม่านเน้นไปทางโทนสีเข้ม โซฟารูปตัวแอลกลางห้องกว้างสีดำที่หนังขัดเงามันวาว ห้องเพดานสูงแบ่งระดับเป็น2 ชั้นด้วยบันไดลอยตัว ชั้นบนคงเป็นพื้นที่ส่วนตัวและมีมุมชั้นหนังสือ ด้านล่างเป็นโซนนั่งเล่นและห้องครัว ตกแต่งห้องด้วยโคมไฟเล่นระดับและเฟอร์นิเจอร์คุมโทนสีเดียวกับผนังในโทนสีดำที่เรียบหรู มองออกไปด้านข้างถูกตกแต่งด้วยกระจกบานใหญ่สูงจรดเพดานมองเห็นวิวด้านนอกหน้าต่างในยามค่ำคืนได้อย่างชัดเจน แสงสว่างยามค่ำคืนของใจกลางกรุงเทพไม่เคยหลับไหลให้ได้เห็นชัดๆ อยู่ในตอนนี้



ก็รู้ว่าพี่พระจันทร์รวยอ่ะนะ ... แต่น้องสมุทรก็ไม่ได้คิดว่าจะรวยเบอร์นี้



เชี่ย! กูจะมีเมียรวยว่ะ



พักโหมดความเศร้าโศกของตัวเองเอาไว้ แล้วมามุ่งมั่นจะเอาพี่พระจันทร์เป็นเมียต่อเถอะว่ะไอ้น้องสมุทร มึงจะสบายไปทั้งชาติเลยนะโว้ย



“แดกเบียร์ไหม” เสียงของคนที่ผมลืมไปแล้วเดินออกมาจากครัว พร้อมเบียร์คราฟกระป๋องใหญ่ออกมาหลายกระป๋อง ยี่ห้อภาษาอังกฤษที่บอกให้รู้ว่าเป็นเบียร์นอก



“พี่พระจันทร์พักอยู่ที่นี่หรอครับ”



“อืม” ตอบออกมาแค่นั่นแล้วก็นั่งนิ่งๆ กระดกเบียร์มองออกไปนอกหน้าต่าง บรรยากาศเงียบๆ ที่ชวนให้อึดอัดทอดลงมาปกคลุมเราไว้แบบนั้น สายตาคมสวยของพี่พระจันทร์ที่เหม่อมองออกไปที่ไหนที่ผมไม่รู้ แต่เดาได้ว่าคงเป็นในอดีตสักทีนึงที่เค้าจดจำ



“ทำไมมึงถึงมาชอบคนแบบกูวะสมุทร” เค้าถามผมออกมาแบบนั้น ทำให้ผมต้องหันไปมองหน้าเค้า เสี้ยวหน้าด้านข้างที่ผมเคยมองมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผมถอนหายใจแล้วตัดสินใจลุกขึ้นยืนเดินตรงไปที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้าของพี่พระจันทร์แทน ดวงตาคมสวยที่มีขนตางอนยาวในแบบที่ผมชอบ กระพริบช้าๆ ในตอนที่เจ้าของมองมาที่ผมอย่างไม่เข้าใจ ผมเอื้อมมือลงไปประคองใบหน้านั้นเอาไว้เบาๆ



“น้องสมุทรตกหลุมรักความใจดีของพี่พระจันทร์ตั้งแต่วันที่เจอพี่ครั้งแรกแล้ว แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ น้องสมุทรก็ทำได้แค่ยืนอยู่ไกลๆ คอยมองแต่ด้านข้างกับด้านหลังของพี่เสมอเลย สักครั้งไม่ได้หรอวะ ที่น้องสมุทรจะเป็นคนเดียวที่พี่พระจันทร์จะมองหา แล้วละสายตาไปจากน้องสมุทรไม่ได้”



“ถ้าคนเราได้ทุกอย่างแบบที่ตัวเองต้องการ มันคงไม่มีคนต้องเสียใจ”



“น้องสมุทรไม่ได้ขอให้พี่พระจันทร์มารักน้องสมุทรในวันนี้นะ น้องสมุทรแค่ขอให้เปิดใจให้กันบ้างไม่ได้หรอ ขอให้ผมได้อยู่ข้างๆ พี่ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ในตอนที่พี่ไม่มีใคร”



เหมือนเป็นการเดิมพันกับตัวเองในครั้งสุดท้าย เดิมพันลงไปแบบหมดหน้าตักที่ผมจะมี ... โดยที่ผมไม่รู้ตัวเลยว่า การร้องขอในครั้งนี้ ผมจะถอนตัวกลับไปไม่ได้อีกเลย ...รวมทั้ง อาจจะไม่เหลืออะไรติดตัวผมกลับไปอีกเลย



“กูเคยบอกมึงแล้วนะสมุทร กูไม่ปฏิเสธหรอกนะถ้ามึงจะเสนออะไรมาให้ นิสัยของกูมันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว แต่มึงก็ต้องรับรู้เอาไว้ด้วยว่า นิสัยของกูอีกข้อก็คือ...ถ้าสุดท้ายกูไม่รู้สึกอะไร ต่อให้มึงจะเสียใจกูก็ไม่สนใจหรอกนะ หรือแม้แต่ถ้าวันนึงกูไม่ต้องการและบอกให้มึงไป มึงก็จะยอมหรอวะ”



“อืม ... ถ้าถึงวันนั้นน้องสมุทรจะไปเอง” ผมพยักหน้าลงช้าๆ เป็นการรับคำ พี่พระจันทร์ในตอนนี้ที่ไม่ต่างจากตอนไหนๆ ที่ผมเคยเห็น สายตาไม่แสดงออกใดๆ ยังคงจ้องมองมาที่ผม ฝ่ามือแกร่งที่เอื้อมมาเกี่ยวรั้งเอวของผมให้ขยับเข้าไปใกล้ๆ จนสุดท้ายก็เป็นผมเองที่นั่งคล่อมทับลงไปบนหน้าตักของเค้า พี่พระจันทร์ที่วางกระป๋องเบียร์กระป๋องที่สองลงบนโต๊ะกระจกตรงหน้า ปลายจมูกที่ละกรอบหน้าของผมอย่างแผ่วเบาทำให้หน้าแดงซ่าน แต่ผมก็ไม่หลบหนี มองเห็นมุมปากที่ยกยิ้มออกมาที มันทำให้หัวใจดวงนี้ของผมรู้สึกดีขึ้นมาตาม ... พี่พระจันทร์ยิ้มแล้ว เป็นยิ้มแรกหลังจากที่ออกจากร้านมาเลย เป็นรอยยิ้มที่ให้กับผม





“มึงมันดื้อเงียบสุดๆ เลยสมุทรรู้ตัวไหม” อีกคนจ้องหน้าผมแล้วเอียงหน้ามากดจมูกลงบนแก้มผมเบาๆ



“มีคนเคยบอกน้องสมุทรเอาไว้ว่า ถ้าเราใช้หัวใจให้กับใครก่อน เราก็จะได้รับมันตอบแทนกลับมาไม่ต่างกัน น้องสมุทรก็เลยตั้งใจจะลองใช้มันดูสักครั้ง กับความรักครั้งนี้กับพี่พระจันทร์ของสมุทร ... ขอแค่พี่พระจันทร์ลองเปิดใจให้กันก็พอ”



“งั้นถ้ากูบอกว่าจะลองดู มึงจะยอมไหม”



“ยอม ...ยอมอะไรหรอ?”



“ยอมเอากันกับกู...”



“ห๊ะ!” บรรยากาศแผ่วเบามลายหายไปพร้อมคำพูดตรงๆ ที่แทบจะเรียกว่าหน้าด้านถูกส่งมาจากคนตรงหน้า ผมกระพริบตาปริบๆ จ้องมองดวงตาคมสวยที่ไม่มีท่าทีจะล้อเล่น มุมปากหยักยกยิ้มขึ้นนิดๆ ตอนที่เห็นสีหน้าและท่าทางของผม



“ถ้ากูบอกว่ากูอยากเป็นคนเอามึง หัวใจมึงจะยอมให้กูไหมล่ะ กูที่เป็นคนกดไม่ใช่มึงที่จะเป็นคนทำ”



“...............”



เสียงเครื่องปรับอากาศดังแทนเสียงคำพูดของเราในตอนที่ไม่มีใครพูดอะไร และในตอนที่มันผ่านไปหลายนาที ผมที่เม้มปากนิ่งๆ เป็นความรู้สึกกระสับกระส่ายที่พี่พระจันทร์ไม่รู้สึกอะไรด้วยซ้ำ คนตรงหน้าที่นั่งจ้องหน้าผมนิ่งๆ รอคอยเหมือนรู้ว่าอีกไม่นาน เค้าจะได้รับคำตอบที่เค้าต้องการ



“แล้วถ้าน้องสมุทรบอกว่ายอม...”



“ก็เริ่มกันเลยไหมล่ะ มึงกับกู...กับการเริ่มต้นใหม่ของเราสองคน”



“งั้นก็มาเริ่มเลยละกัน” พูดจบคำนั้นก่อนจะเป็นผม ที่ยกแขนขึ้นไปคล้องเข้าที่คอของอีกฝ่าย ใบหน้าที่ดึงดูดเข้าหากันช้าๆ สายตา ลมหายใจ ริมฝีปากที่ชิดใกล้กันพร้อมๆ กับฝ่ามือแกร่งที่สอดเข้ามาใต้เสื้อของผม ลากผ่านหน้าท้องทำให้ลมหายใจกระตุก เผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดฝืด หลับตาลงช้าๆ พร้อมๆ กับหัวใจที่เต้นแรงๆ พร้อมคำพูดในหัวว่า มึงกำลังจะเป็นของเค้าแล้วนะ คนที่มึงรักมาตลอดสี่ปีน้องสมุททร ... วันนี้มึงกำลังจะเป็นของเค้า



‘ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด แกร่ก’



“กรี๊ด! เชี่ย!! ซิสจันทร์ มึงพาใครมาเอาที่ห้องของเราหรออิซิสสสส~~~~~”



ผมที่เด้งออกจากพี่พระจันทร์สุดแรงจนหงายหลังลงกับพื้นห้อง หันหน้าไปมองคนมาใหม่ที่ยืนเบิกตากว้างอยู่ตรงหน้าประตู ใบหน้าที่คุ้นเคยกันดีเหมือนกับเห็นกันบ่อยๆ ใบหน้าในแบบที่ผมชอบ ติดจะแตกต่างออกไปตรงสีผมที่คนตรงหน้าประตูนั้นทำเป็นสีชมพูพาสเทลอ่อนๆ กับริมฝีปากสีชมพูอ่อนเหมือนคนทาลิปเปลี่ยนสีให้ปากชมพู ... นั่น ...นั่นมัน...



“มึงมาตอนนี้ทำเหี้ยอะไรไอ้อาทิตย์!

#รักอยู่รู้ยัง



จริงๆในทุกครั้งในตอนที่เขียน แคทรู้สึกว่าเรื่องราวที่กำลังถ่ายทอดมันสนุกมากๆเลย เป็นความมั่นหน้ามั่นใจของตัวเองคนเดียว

จนเวลาที่ได้มาอัพเดทและลงให้คนได้อ่าน ถึงรู้ว่ามันไม่ได้สนุกอย่างที่คิด แคทเองก็อยากเป็นคนนึงที่เขียนงานออกมา

แล้วประสบความสำเร็จเหมือนใครต่อใครเหมือนกันค่ะ อยากนำพาเรื่องราวที่อยู่ในหัวนี้ไปให้สนุก

แต่มันก็ยากเหมือนกัน เวลาที่มองย้อนกลับมาที่ตัวเองว่า ฉันเขียนงานมา6 7ปีแล้ว แต่ไม่พัฒนาขึ้นเลย มันก็เป็นอะไรที่เสียใจ

แต่แคทก็รู้สึกขอบคุณคนอ่านของแคทที่คอยเป็นกำลังใจ และคอยเชียร์อัพแคทเสมอ แคทรู้สึกผิดกับคนอ่านเหล่านี้มากๆ

เค้าบอกว่างานแคทมันดีมากๆและรอมาตลอด แคทอยากจะทำให้มันสนุกจริงๆนะคะ

แคทได้แต่หวังว่า ตอนนี้มันจะไม่แย่จนเกินไป

ความรักที่ไม่ได้หวือหวา และนำพาให้เราตกลงไปในหลุมลึก ด่ำดิ่งสู่ความกล้าที่เราแทบจะไม่รู้สึกตัว

นั่นล่ะคือเรื่องราวของน้องสมุทรและพี่พระจันทร์

ปล. พี่อาทิตย์ที่ทุกคนถามหา มาแล้วจ้าทางนี้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2022 17:33:03 โดย Yoghurt »

ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ

สำหรับตอนที่7ที่ผ่านมา ขอขอบคุณ 
:impress2: :-[ :o8:
ที่ยังอยู่ด้วยกันกับแคทนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
สู้ๆครับเป็นกำลังใจให้นะครับ

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
มูฟออนสักทีเถอะพระจันทร์ จะโกรธแล้วนะ ฮึ่ยยยย  :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ
บทที่9



“น้องคนนี้คือใครวะซิส”  เสียงทุ้มเข้มน่าฟังถามออกมาแบบนั้น พร้อมๆ กับที่ปรายสายตาไปทางพี่พระจันทร์ที่นั่งทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่ในตอนนี้ ไม่หือไม่อือ แถมไม่ตอบคำถามด้วย ทำเอาผมพูดไม่ออกได้แต่นั่งทำตาปริบๆ แบบทำตัวไม่ถูกอยู่ตอนนี้



“น้องชื่ออะไร ไหนบอกพี่หน่อยสิคะ” ขายาวๆ ที่อยู่ในชุดกางเกงยีนรัดรูปสีดำขาดตั้งแต่ช่วงหน้าขาลงมาถึงหัวเข่า พร้อมกับเสื้อทรงฮาวายลายกราฟิกสีเขียวที่เปิดกระดุมสามเม็ดโชว์แผงอกนิดๆ ผมกะพริบตาปริบๆ ผ่านกรอบแว่นเลนส์ใหญ่ของตัวเองตอนที่เห็นเขาเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งชันเข่าองหน้าผมอยู่ตอนนี้ พี่อาทิตย์ส่งยิ้มนิดๆ มาให้ หน้าตาแกะกันมาเหมือนพี่พระจันทร์เด๊ะๆ แตกต่างตรงที่คนตรงหน้านี้มีรอยยิ้มประดับบนหน้ามากกว่าพี่พระจันทร์เยอะเลย



สายตาคมที่มีแพรขนตายาวกะพริบเป็นจังหวะ แต่สายตาที่มองตรงมาที่ผมกลับวาววับ ไม่ว่าสายตาคู่นี้จะมองไปตรงจุดไหนของใบหน้า ผมก็รู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาทุกครั้งจนต้องเสหน้าหลบ น้ำเสียงนุ่มๆ น่าฟังของพี่อาทิตย์ เป็นเสียงปกติที่ไม่ได้ดัดให้เป็นเสียงสองเสียงสามอะไรเวลาที่พูดกับผม เค้าแค่พูดลงท้ายด้วยคำพูดน่ารักๆ ว่าคะ ขา เวลาพูดกับผม



แล้วกูเขินอะไรกันวะเนี่ยไอ้น้องสมุทร .... ร้อนสายตาของพี่เค้า



“กลับมาห้องทำเหี้ยอะไรวะอาทิตย์”



“นี่มันก็ห้องกูเหมือนกันไหมอ่ะซิส” พี่อาทิตย์ตอบกลับแบบนั้น แล้วดัดเสียงใส่พี่พระจันทร์เป็นเสียงสองอย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะแบบนั้นเลยโดนหมอนอิงข้างตัวพี่พระจันทร์เขวี้ยงเข้าใส่ไปเต็มๆ



“อ๊ายๆ เจ็บจุง” เจ็บอะไรก่อน พี่อาทิตย์เอื้อมมือจับหมอนได้ทันก่อนจะโดนตัวเองด้วยซ้ำเถอะ



“...น้องดูมันสิ อิซิสจันทร์มันทำร้ายพี่ค่ะ” เป็นผู้ชายพูดคะขาที่ทำให้ผมรู้สึกเขินแบบแปลกๆ พี่อาทิตย์ที่โยนหมอนทิ้งแล้วเอื้อมมือมาจับมือผมเอาไว้พร้อมเขย่ามือฟ้องว่าตัวเองกำลังถูกแฝดตัวเองแกล้ง ตัวเล็กตัวน้อยอ่ะเนอะ



“อะ...เอ่อ...”



“ว่าแต่เราชื่ออะไร เรายังไม่ได้บอกพี่เลยนะคะ”



“เอ่อ ..ส สวัสดีครับ ผมสมุทรครับ” ยกมือขึ้นไหว้แบบทำอะไรไม่ค่อยถูกตอนที่โดนสายตาคนตรงหน้ามองกันไม่หยุด ... น้องสมุทรก็ยกมือไหวปลกๆ เลย



“ชื่อน่ารักเหมือนตัวนะ” ยกยิ้มมองหน้าผมตอนที่พูดแบบนั้น สายตาคมสวยของพี่อาทิตย์ที่ไล่มองไปตามหน้าผาก ตาของผม มาจนถึงริมฝีปากช้าๆ อย่างไม่รีบร้อน ท่าทางที่คล้ายกับเป็นคนใจร้อนที่พยายามใจเย็นอยู่



‘พรึบ’



“โอ๊ยยย ซิสจันทร์ มึงถีบหลังกูไอ้เหี้ย” พี่อาทิตย์ที่ล้มลงไปนอนหน้าแนบพื้นอยู่บนพรมสวยร้องออกมาเสียงดัง แต่พี่พระจันทร์คนสร้างเรื่องกลับไม่สนใจ เค้าแค่ทำหน้าตาเหม็นเบื่อใส่แฝดตัวเองแบบไม่สบอารมณ์ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหันมาดึงแขนผมให้ลุกขึ้นจากพื้นมายืนข้างๆ กัน ผมได้แต่หันซ้ายหันขวามองหน้าพี่พระจันทร์ทีมองหน้าพี่อาทิตย์ที ... น้องสมุทรทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์นี้สุดๆ



“ไป” ฝ่ามืออุ่นของพี่พระจันทร์ที่เอื้อมมาจับที่ข้อมือของผม ตามมาด้วยคำพูดสั้นๆ คำเดียวแค่นั้นที่ผมไม่ค่อยเข้าใจ



“เดี๋ยวๆ มึงจะลากน้องเค้าไปไหนคะซิส”



“เลิกเรียกกูซิสๆ สักทีไอ้ห่าอาทิตย์” พี่พระจันทร์ขมวดคิ้วใส่ มองแฝดตัวเองที่ค่อยๆ ลากสังขารขึ้นมาจากพื้นอย่างทุรักทุเล



“ทำไมอ่ะ ก็น่ารักดีมะ ... น้องสมุทรว่าพี่เรียกแบบนี้แล้วน่ารักไหมคะ” ลุกขึ้นยืนแล้วหันมาหาผม ยื่นหน้าเข้ามาถามใกล้ๆ จนผมตกใจเผลอขยับตัวหนีไปอยู่ข้างหลังพี่พระจันทร์ คนข้างหน้าตัวผมขมวดคิ้วเล็กๆ ก่อนจะใช้มือดันหน้าพี่อาทิตย์ให้ออกไปไกลๆ



“เจ็บนะไอ้แรงควาย มึงทำกับน้องที่บอบบางของมึงแบบนี้ได้ยังไง ... หึ่ย ว่าแต่น้องสมุทร ว่าไงคะ พี่เรียกมันแบบนี้น่ารักใช่ไหม” แม้ตัวอยู่ไกล แต่ยังใส่ใจผมไม่เปลี่ยน พี่อาทิตย์ยังชะเง้อคอมามองกัน แม้ว่าเจ้าตัวจะไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมแล้วก็ตาม สายตาคมสวยของพี่อาทิตย์ที่ยังจับจ้องมองมาที่ผมแบบรอคำตอบ เหมือนว่ายิ่งช้า สายตาของพี่เค้าก็ยังคงลากมองไปตามหน้า คอ หน้าอก และ...พี่พระจันทร์ยืนมาบังอยู่ข้างหน้ากู เอ่อ....



“จิ๊” พี่อาทิตย์จิ๊ปากขัดใจนิดหน่อย แล้วหันหลังเดินกลับไปกระแทกตัวลงนั่งที่โซฟาตอนที่เห็นพี่พระจันทร์ทำแบบนั้น



“นี่ซิสจันทร์”



“อะไร”



“สรุปมึงพาน้องสมุทรมาทำไม ไหนเคยตกลงกันไว้ว่าจะไม่พาใครมาเอาที่ห้องไงไอ้สัด สัญญาเมื่อสายัญตอนสมัยมึงใส่กางเกงในลายโดเรม่อนของเรามันไม่มีค่าหรอวะ”



“K! โดเรม่อนพ่อง”



พี่อาทิตย์ที่โดนด่าขมวดคิ้วนิดๆ แล้วถอนหายใจออกมาหน่อยๆ ท่าทางที่ดูหนักอกหนักใจ ก่อนจะยกมือขึ้นมาเกาหัวนิดๆ แล้วพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะมองกลับมาที่หน้าพี่พระจันทร์แบบเข้าอกเข้าใจ ก่อนจะเปิดปากพูดออกมาต่อ



“โอเคๆ จริงๆ คือลายพริตตี้เคียว ขอโทษก็ได้ที่พูดผิดลาย”



“ไอ้สัดอาทิตย์ กวนตีนแล้วนะมึง”



“จ้าๆ ว่าแต่ยังไงไหนคำตอบของมึง ทำไมพามาเอาที่ห้อง”



“เอาเหี้ยไร นี่รุ่นน้องกู” ผมหันไปมมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของพี่พระจันทร์ที่พูดออกไปด้วยสีหน้านิ่งๆ ท่าทางจริงจังที่ทำให้ผมรู้สึกหน่วงๆ ที่ใจขึ้นมานิดๆ ก่อนหน้านั้นที่บอกว่ากำลังจะเปิดใจ แต่พอได้มาฟังแบบนี้แล้วก็รู้สึกจุกนิดหน่อย แต่ว่ามันก็ถูกของพี่เค้า ... เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักอย่าง ดีแค่ไหนที่ในวันนี้พี่เค้ายังถือว่าเป็นรุ่นน้องอยู่



“รุ่นน้องอะไรทำไมกูไม่เคยเจอ” คนที่นั่งอยู่บนโซฟาหรี่ตาลงมาจับผิด



“มึงจะต้องเจอรุ่นน้องกูทุกคนหรือไงไอ้สัด”



“เอ๊ะซิส อาทิตย์เป็นน้องนะ ทิตย์ต้องรู้ทุกเรื่องของซิสด้วยจ้า”



“เสือกไอ้สัด” พี่พระจันทร์เสหน้าหนีแล้วบ่นออกมาเบาๆ ท่าทางที่ดูรำคาญมากๆ ถึงขั้นไม่อยากเสวนากับน้องตัวเองแสดงออกแบบชัดเจน แต่เหมือนพี่อาทิตย์จะไม่สนใจ



“กูได้ยินนะไอ้ซิสเหี้ย”



“พอ เลิกไร้สาระ ถ้ามึงจะมานอนก็ขึ้นไปนอน”



“แล้วน้องสมุทรล่ะ” พี่อาทิตย์เลิกคิ้วมองมาทางผมนิดๆ ผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ หันหน้ามองเสี้ยวหน้าของพี่พระจันทร์ที่ยังคงทำหน้านิ่งๆ เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนสักนิด



“ก็นอนนี่ วันนี้ดึกแล้ว จะให้มันกลับเองก็อันตราย ... อีกอย่างมันก็ช่วยมาส่งกูเพราะกูเมา” อ่อ กูมาส่งหรอ พึ่งรู้ตัว



“มึงเมา โอ้โหหห เหลือจะเชื่อ แดกไปเป็นโรงงานหรอซิส”



“ไม่เชื่อก็เรื่องของมึง กูง่วงจะไปนอน”



“นอนห้องไหน ข้างบนมีสองห้องคือห้องมึงกับกู ส่วนข้างล่างห้องแขกที่ไม่เคยทำความสะอาดเหี้ยไรเลย ฝุ่นเยอะยิ่งกว่าฝุ่นที่เชียงใหม่ตอนมีpm2.5 แล้วดึกขนาดนี้อย่ามาบอกว่าจะขยันปัดฝุ่นนะ น้ำหน้าอย่างมึงอ่ะ”



“พูดมาก ก็ให้นอนห้องกู ... ไปสมุทร”



“เดี๋ยวๆ ไหนบอกไม่เอาไงคะ!” พี่อาทิตย์แหวออกมาเสียงดังพร้อมหรี่ตามองมือพี่พระจันทร์ที่กำข้อมือของผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อยตั้งแต่ตอนที่ตั้งใจจะดึงมือผมให้เดินตามขึ้นไปชั้นบน



“ก็ไม่ได้จะเอา มึงจะเอายังไงอาทิตย์” เสียงฉุนขาดที่บ่งบอกว่าไม่อยากจะทน ไม่สบอารมณ์แบบสุดๆ



“เอาเป็นว่าให้น้องสมุทรไปนอนห้องมึง ส่วนมึงก็มานอนกับกูค่ะซิสจันทร์ ป้องกันการเอา” ว่าออกมาแบบนั้นแล้วเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟาด้วยหน้าตาสุขใจที่สุด พี่อาทิตย์ยิ้มออกมากว้างๆ อย่างชอบใจตอนที่มองตรงมาที่พี่พระจันทร์ ยักคิ้วส่งให้อีกสองที พี่พระจันทร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ตัวผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่



“เออ!”



“เย้!! ซิสจันทร์จะนอนกับน้องทิตย์แล้ว”



“K”



“กูมีนะ ใหญ่ด้วย ซิสจะดูไหม” ว่าจบก็ดึงเข็มขัดออกจากกางเกงทันทีจนผมสะดุ้ง พี่พระจันทร์จับมือผมไว้แล้วดึงตัวผมให้เดินขึ้นไปชั้นสองโดยที่ไม่สนใจเสียงของพี่อาทิตย์ที่ด่าไล่หลังตามมาอีก “อิซิสเหี้ย ทำไมไม่สนใจน้องสาวมึงค๊า”



“น่ารำคาญชะมัด”



“ปล่อยไว้แบบนั้นจะดีหรอครับ” ผมกระตุกแขนเสื้อของคนข้างตัวเบาๆ ตอนที่หันไปมองพี่อาทิตย์ที่เริ่มถอดกางเกงยีนขายาวของตัวเองออกแล้วจริงๆ



“อย่าไปสนใจมัน” บอกผมแค่นั้นแล้วดึงให้ผมเดินตามไป เพราะแบบนั้นเราเลยปล่อยพี่อาทิตย์ยืนแก้ผ้าเล่นไปคนเดียวตรงนั้น หวังว่าพี่เค้าจะไม่แก้หมดหรอกนะ ... ช่างเป็นคนที่มีเอกลักษณ์อะไรขนาดนั้น แต่ว่านะ ผมสีชมพูอ่อนๆ ของพี่เค้าก็ทำให้ผมนึกถึงพี่พระจันทร์ในครั้งแรกที่ได้เจอเลยอ่ะ



“มึงนอนห้องกูละกัน”



“โห น้องสมุทรจะได้นอนเตียงพี่พระจันทร์หรอ น้องสมุทรอยากจะกรี๊ด แต่ต้องฮึบไว้เพราะอยากเป็นผัวเท่ๆ ครับ”



“มึงอย่าเยอะได้ไหม”



“ฮ่าๆ ก็มันน่าตื่นเต้นจริงๆ นี่ น้องสมุทรไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เข้ามาในห้องพี่พระจันทร์อ่ะ โลกส่วนตัวของพี่พระจันทร์” บอกออกไปแบบนั้นแล้วมองไปรอบๆ ห้องด้วยสายตาล่อกแล่ก เอิ่ม...กูเริ่มจะดูเหมือนโจรมากกว่าคนที่อยากเป็นผัวเค้า



“นี่ผ้าเช็ดตัว แล้วก็ชุดนอน มึงเอาของกูไปใส่ก่อนละกันคืนนี้ ห้องน้ำอยู่นั่น” บอกแบบนั้นแล้วโยนเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวลงบนเตียงนอนสีน้ำเงินเข้มของตัวเอง



“ขอบคุณนะครับ”



“อืม” พี่พระจันทร์ตอบรับออกมาสั้นๆ แค่นั้น เราสองคนต่างมองหน้ากันเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรกันออกมา เป็นสถานการณ์แปลกๆ ก็เพราะก่อนหน้านี้พวกเราเกือบจะ....



“มึงนอนซะ กูจะไปจัดการไอ้เหี้ยอาทิตย์”



“พี่อาทิตย์น่ารักดีนะครับ ทำสีผมเหมือนพี่พระจันทร์ตอนที่ผมเจอพี่ครั้งแรกเลย” ผมว่าออกไปแล้วยิ้มออกมานิดๆ ที่นึกไปถึงช่วงเวลานั้น



“มึงเจอกูตอนทำผมสีชมพูหรอวะ”



“อื้ม น้องสมุทรยังไม่เคยเฉลยใช่เปล่าว่าชอบพี่ตอนไหน อิอิ จริงๆ ก็เพราะตอนนั้นที่พี่ช่วยน้องที่จะข้ามถนนน่ะ ทำเอาน้องสมุทรประทับใจมากๆ จนตกหลุมรักเลยล่ะ” บอกออกไปแบบนั้นแล้วยิ้มกว้างๆ ส่งไปให้พี่พระจันทร์ คนตรงหน้าที่มองหน้าผมนิ่งๆ ก่อนที่จะหลุบสายตาเสมองไปที่อื่นก่อนจะตอบรับออกมาเบาๆ



“งั้นหรอ”



“ครับ ตอนนั้นพี่พระจันทร์ก็น่ารักมากๆ เหมือนกันนะ” ผมบอกออกไปเพราะเห็นเค้าทำหน้าตาแปลกๆ คิดเอาเองว่าพี่พระจันทร์อาจจะหึงหวงที่คนหล่อๆ แบบกูชมแต่น้องชายเค้าอ่ะนะ อิอิ



“กูเป็นคนใจดีแบบนั้นเลย”



“ที่สุดเลยล่ะ เหมือนตอนนี้ไง พี่พระจันทร์ก็ยอมให้น้องสมุทรได้เขยิบมาใกล้ขนาดนี้แล้ว ใจดีสุดๆ เลย ... ขอบคุณนะครับ”



“กูไม่ได้ใจดีขนาดนั้นหรอกสมุทร มึงไม่ต้องมาขอบคุณอะไรกูหรอก”



“หื้ม” ผมกะพริบตาปริบๆ ผ่านแว่นตาหนาเตอะของตัวเองมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ พี่พระจันทร์ไม่ได้ตอบอะไรออกมาอีกนอกจากจะยกมือขึ้นมาวางบนหัวของผมเบาๆ ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านลงมาแบบที่ผมไม่เข้าใจ รู้แค่ว่าหัวใจของผมเองก็รู้สึกดีมากๆ จนมันเต้นไวขึ้นมา



“ไปอาบน้ำนอนซะ” บอกแค่นั้นแล้วก็หันหลังเดินหนีกันออกไป ผมยิ้มตามแผ่นหลังกว้างๆ ของอีกคนที่ในวันนี้อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง



“คืนนี้ฝันดีนะครับ” ก่อนที่พี่พระจันทร์จะเปิดประตูออกไป ก็เป็นผมเองที่โพล่งออกไปแบบนั้น ขายาวๆ นั่นชะงักไปนิด ก่อนที่เสียงเข้มๆ จะตอบกลับมาเบาๆ ให้ผมได้ยิน



“อืม ... ฝันดีสมุทร”





ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ

             หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็ออกมาเดินสำรวจห้องพี่พระจันทร์อย่างตื่นเต้น ห้องนอนสไตล์โมเดิร์น สีผนังเทาอ่อนที่ ปลายเตียงมีทีวีขนาดใหญ่วางเคียงคู่กับตุ๊กตาฟิกเกอร์ทันจิโร่ กิยู และเนซึโกะจากเรื่องดาบพิฆาตอสูร ผมแอบขำเล็กๆ กับฟิกเกอร์การ์ตูนดังที่ถูกวางอยู่อย่างไม่ค่อยเข้ากัน แต่ก็รับรู้ได้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายชอบ และเหมือนว่าพี่พระจันทร์จะเป็นแฟนพันธุ์แท้การ์ตูนดังอีกหลายเรื่อง เพราะมีฟิกเกอร์ดังๆ ตั้งไว้เยอะมากบนชั้นตู้โชว์ที่ตั้งอยู่ข้างๆ โต๊ะเขียนหนังสือสีขาวตรงมุมห้อง ผมไม่เคยคิดเลยว่าพี่พระจันทร์จะมีมุมน่ารักๆ แบบนี้กับเค้าเหมือนกัน



ผมเดินมาดูที่ตู้โชว์อีกอัน มีรูปใส่กรอบน่ารักๆ อยู่ตรงนั้นเยอะเลย เหมือนจะเป็นรูปของพี่พระจันทร์กับพี่อาทิตย์หลายช่วงเวลา เห็นที่กรอบรูปอันนึงเป็นเด็กแฝดหน้าตาน่ารักสองคนในช่วงอายุประมาณ3ขวบ คนนึงใส่ชุดเอี๊ยมยีนเสื้อด้านในเป็นเสื้อยืดสีเหลืองมีรูปแมวอยู่ที่กลางอก เด็กคนนั้นกำลังส่งยิ้มกว้างๆ มองมาที่กล้อง ส่วนอีกคนที่กำลังนั่งทำหน้านิ่งๆ มึนๆ ในชุดเอี๊ยมเหมือนกัน แตกต่างกันตรงที่เสื้อยืดข้างในเป็นสีน้ำเงินและมีรูปสิงโตอยู่กลางอกแทน



“ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าคนไหนคือพี่พระจันทร์” ก็ไอ้หน้าตาไม่สบอารมณ์แบบนั้นคงเป็นใครไปไม่ได้หรอก ทำหน้าเหมือนโดนบังคับมาถ่ายรูป ตรงนั้นยังมีกรอบรูปอีกหลายอัน หนึ่งในนั้นคือรูปของผู้ชายตัวสูงอีกสองคนที่อุ้มพี่พระจันทร์กับพี่อาทิตย์ตอนเด็กๆ ไว้แล้วส่งยิ้มมาที่กล้อง ไม่รู้เหมือนกันว่านั่นคือใคร แต่มองดูแล้วเหมือนเป็นครอบครัวที่อบอุ่นมากๆ เลย แล้วก็ยังมีรูปแปลกๆ อีกกรอบ เป็นรูปสิงโตตัวใหญ่ที่กำลังนอนอยู่บนฟูกนวมสีแดง แล้วก็มีเจ้าแมวสีขาวตัวนึงซุกขนของมันอยู่ข้างๆ ด้วย ผมมองนั่นดูนี่ไปเรื่อยๆ จนเริ่มจะง่วง มองไปที่นาฬิกาดิจิตอลที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของพี่พระจันทร์ มันบอกเวลาว่าตอนนี้ตี1กว่าๆแล้ว เพราะแบบนั้นเลยเดินกลับมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนอนหกฟุตของพี่พระจันทร์ ผ้าห่มนวมหนาๆ ที่ตัดกับบรรยากาศเย็นๆ ของเครื่องปรับอากาศทำให้หนังตาหนักลงมากๆ จนต้องเอาหน้าซุกลงไปบนหมอน มุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม



“เฮ้อออ ฟินจังเว้ย กลิ่นของพี่พระจันทร์” ดิ้นไปดิ้นมาตอนที่ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เหมือนว่าผมจะเคยได้กลิ่นแบบนี้จากตัวของพี่พระจันทร์ล่ะ เขินอ่ะๆ น้องสมุทรเขินจังโว้ย ว่าแล้วก็ซุกหน้าลงไปสูดกลิ่นอีกหนึ่งที อาการคล้ายคนโรคจิตนิดๆ แต่ฟินสุดๆ



“ฮ้า หอมหวนชวนดม กูขโมยหมอนกลับบ้านดีไหมวะเนี่ย” ผมนอนกลิ้งพลิกตัวไปซ้ายทีขวาทีอย่างสบายอารมณ์ ฟินสุดๆ กับการที่ได้นอนในห้องพี่พระจันทร์และมีกลิ่นของพี่พระจันทร์เต็มไปหมดแบบนี้ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยจริงๆ ว่าน้องสมุทรจะได้เข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเค้ามากขนาดนี้ เหมือนฝันเลยว่ะ



ผมดิ้นไปดิ้นมาก่อนที่สายตาจะไปสะดุดที่รูปภาพภาพนึงที่โต๊ะข้างๆ หัวเตียง ภาพในกรอบไม้สี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มาก เป็นรูปของคนสามคนที่อยู่ในชุดโรงเรียนมัธยมแบบที่ผมเคยใส่ ผู้ชายฝั่งซ้ายมือที่ทำผมสีชมพูอ่อนๆ กอดคอคนตัวเล็กตรงกลางและส่งยิ้มมาให้กล้อง และคนที่อยู่ฝั่งขวาก็กำลังโอบเอวบางนั่นพร้อมยกยิ้มมุมปากออกมาน้อยๆ ท่าทางที่ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมามาก แต่สายตาของเค้าก็บอกให้รู้ว่ากำลังมีความสุขมากๆ มันเป็นรูปของพี่อาทิตย์ พี่พระจันทร์...และคนตรงกลางนั่นที่ผมรู้ดีว่าคือพี่อัยย์



“คนที่อยู่ในใจของพี่พระจันทร์มาแต่ไหนแต่ไร...” ผมยิ้มออกมานิดๆ ให้ตัวเอง พี่อัยย์ก็น่ารักสมกับที่พี่พระจันทร์จะชอบจริงๆแหละ ถ้าพูดตรงๆ เค้าก็ดูเหมาะสมกันมากๆ แบบที่คนแบบผมเทียบไม่ติดเลยล่ะ ดวงตากลมโตใสแจ๋วแตกต่างจากไอ้แว่นตาโตหนาเตอะแบบผมสุดๆ ...



ผมถอดแว่นตาออกก่อนจะวางมันไว้ข้างๆ กรอบรูปนั้น ได้แต่บอกตัวเองว่าจะคิดมากไปทำไมวะ ก็ในวันนี้พี่พระจันทร์บอกแล้วว่าจะเปิดใจ เค้าที่พูดออกมาชัดๆ ต่อหน้าพี่อัยย์ว่าจะตัดใจแล้วเราก็ได้ยิน



จะมาท้อแท้กับตัวเองตอนนี้ไม่ได้นะไอ้สมุทร ...



ผมรู้ดีว่ามันไม่ง่ายหรอกที่พี่พระจันทร์จะตัดใจจากพี่อัยย์ได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยสักนิดนึงในวันนี้ ... เค้าก็บอกว่าจะทำ และหนึ่งในเรื่องราวมากมายเหล่านั้น เค้ายอมให้ผมก้าวเข้าไปยืนข้างๆ ได้ในช่วงเวลาที่เค้ากำลังจะละทิ้งใครอีกคนให้ออกไปจากใน แล้วเรื่องอะไรผมจะต้องทิ้งโอกาสนี้ ก็บอกตัวเองเอาไว้ตั้งนานแล้วว่าจะลองดู และใครจะไปรู้ว่าในตอนสุดท้าย คนที่จะได้เข้าไปยืนในใจพี่พระจันทร์ใหม่ อาจจะเป็นผม ผมคนนี้ก็ได้นะ



ผมยิ้มรับกับเรื่องราวมากมายที่ผ่านเข้ามา บอกตัวเองไว้ว่าจะไม่ถอดใจง่ายๆ อีกแล้ว ก่อนสายตาหนักๆ จะค่อยๆ ปิดลงช้าๆ พร้อมๆ กับกลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนกลิ่นน้ำหอมที่ชื่อกลิ่นว่าวู้ดเซจแอนด์ซีซอลท์ลอยฟุ้งไปรอบตัว ...

กลิ่นนั้นล่ะ กลิ่นติดตัวของพี่พระจันทร์



.

.

.


‘ยวบ’



ความรู้สึกยวบยาบของพื้นเตียงนุ่มทำให้ต้องขมวดคิ้ว เพราะเป็นคนที่ความรู้สึกไวเลยตื่นขึ้นมาแบบนั้น ผมที่กำลังจะพลิกตัวไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียง ก็ได้กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยแต่รู้สึกว่ากลิ่นมันจะชัดขึ้นมากกว่าเดิม พร้อมๆ กับวงแขนแกร่งที่สอดเข้ามาโอบกอดผมจากทางด้านหลัง



“พ...พี่พระจันทร์”



“กูทำมึงตื่นหรอ” เสียงทุ้มกระซิบเบาๆ มาจากทางด้านหลังของผมทำให้ใจสั่นขึ้นมาแปลกๆ



“เปล่าครับ ผมนอนไม่ค่อยหลับอยู่แล้ว...สงสัยแปลกที่ แหะๆ”



“อืม งั้นมึงก็นอนต่อเถอะ” บอกแบบนั้นแล้วกระชับวงแขนแกร่งมากขึ้น ผมเกร็งตัวขึ้นมาทันที แบบว่าดึกแล้วน้องสมุทรรับมือกับสถานการณ์นี้ไม่ค่อยได้ หัวสมองช้ากูคิดไม่ทันครับ



“แล้ว แล้วทำไมพี่ เอ่อ...”



“ไอ้อาทิตย์นอนดิ้นเหมือนควายเล่นโคลน นอนไม่หลับ”



“อ่า”



ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปมากกว่านั้น เพราะในตอนนี้ที่คนที่นอนซ้อนหลังกันก็ไม่ยอมผละอ้อมแขนออกจากเอวผมไปสักที ใกล้ชิดกันมากจนรับรู้ได้ถึงแผ่นอกแกร่งที่แนบชิดอยู่ที่แผ่นหลังของผมในตอนนี้



“มึงนอนได้แล้ว”



“เอ่อ...”



“กูติดหมอนข้าง ขอกอดหน่อย” พูดออกมาด้วยน้ำเสียงมึนๆ อยากจะถามว่าแค่ประโยคบอกเล่า หรือประโยคคำสั่ง แต่ไม่ว่าจะทางไหนปลายทางก็ดูจะเหมือนกันตรงที่วงแขนแข็งแกร่งนั่นไม่ยอมผละออกจากเอวของผมเลยตลอดคืน



...



‘ก๊องแก๊งๆ’



เสียงก๊อกแก๊งที่ดังมาจากในครัวตอนที่ผมเปิดประตูออกมาจากห้องนอนของตัวเองทำให้ต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก่อนจะตามมาด้วยเสียงคุ้นเคยของคนคุ้นเคยที่ผมรู้ดีว่าเป็นใครกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน



“ฮ่าๆ ถ้าพี่ว่าอร่อยผมก็ดีใจครับ”



“มาทำให้พี่กินบ่อยๆ สิ พี่ชอบนะคะ”



“พูดแบบนี้ผมดีใจแล้วนะครับ”



“พี่พูดเรื่องจริงนะ แต่ตอนนี้พี่ต้องรีบแล้ว มีเรียนเช้าค่ะ”



“งั้นรีบไปเถอะครับ ส่วนนี้ผมจะทำใส่กล่องให้นะครับ”



“น่ารักจังเลยค่ะ พี่อยากยัดใส่กระเป๋าเอาไปเล่นด้วยที่มหาลัยเลย”



“ฮ่าๆ ผมหล่อเท่มากๆ เลยนะครับ ลองมองอีกทีนะๆ”



“ถ้าน้องว่าดี พี่ก็จะไม่ขัดในจินตนาการค่ะ”



“โอ๊ย น้องสมุทรเจ็บหัวใจไปหมดเลยนะ”



“ฮ่าๆ”



เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่นานๆทีจะได้กลิ่นแบบนี้ในบ้านของตัวเองสักที ค่อยๆ ก้าวยาวๆ ในชุดนอนเดินลากเท้าลงมาช้าๆ ก็มองเห็นไอ้อาทิตย์ในชุดเสื้อช็อปแบบที่มันชอบใส่เป็นประจำ กับร่างเล็กๆ ในชุดนอนสีน้ำเงิน ผมหน้าม้าของมันที่เริ่มยาวแล้วถูกผูกเป็นจุกน้ำพุให้เห็นหน้าผากใส่ มันกำลังหันหน้าหันหลังให้วุ่นอยู่ที่หน้าเตาในครัวเปิดโล่งที่ชั้นล่าง ... ครัวที่แทบจะไม่มีใครเคยใช้



“ทำอะไร” ผมถามออกไปแบบนั้นตอนที่เดินเข้าไปใกล้ เสียงติดจะแหบนิดๆ เพราะพึ่งตื่นนอน



“อ๊ะ พี่พระจันทร์ตื่นแล้วหรอ ดื่มนี่ก่อนสิครับ” ไอ้สมุทรที่หันมาเห็นผม มันยิ้มออกมากว้างๆ แบบที่ชอบทำในทุกๆ ครั้งที่เห็นหน้าผม ไม่ว่าเมื่อไหร่มันก็จะยิ้มแบบนี้เสมอ



“อะไร”



“น้ำมะนาวครับ กำลังอุ่นๆ เลย พี่พระจันทร์กินสิ มันแก้เมาค้างได้ดีเลยนะ” มันบอกออกมาแบบนั้นแล้วยัดแก้วน้ำมะนาวอุ่นๆ มาไว้ในมือให้ผม ก่อนที่เจ้าตัวจะหันตัวกลับเข้าไปในครัวอีกรอบ ผมหันมามองไอ้คนที่ยังนั่งหน้าสลอนอยู่ที่เคาน์เตอร์ครัวแล้วเบ้หน้ามองผมอยู่ตอนนี้



“มองกูทำไมไอ้อาทิตย์”



“ซิสแย่มาก ซิสทิ้งน้องไป”



“อะไรของมึง”



“น้องตื่นมาแบบเปลี่ยวเหงา ไร้เงาซิสจันทร์ข้างกายเลยอ่ะ!” มันโวยออกมาแล้วทำหน้าเศร้า แกล้งยกมือขึ้นมาซับหัวตาที่ไม่มีน้ำตาของมันด้วยนิดนึง



“ทำไมไม่ไปเรียนสักทีวะ ไหนบอกมีเรียนเช้า”



“นี่มึงกำลังเปลี่ยนเรื่องกูนะคะซิสจันทร์” ถลึงตาใส่ผมแล้วแหวออกมาเสียงดัง ผมยักไหล่ใส่มันนิดหน่อยอย่างไม่สนใจ



“รำคาญว่ะอาทิตย์” ผมไม่ตอบมันแต่ยกแก้วน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งอุ่นๆ ของสมุทรดื่มเข้าไปแทน รสชาติเปรี้ยวๆ อมหวานหอมของน้ำมะนาวที่ไหลลงคอ ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาแบบไม่น่าเชื่อ หัวสมองโล่งขึ้น แม้ว่าจริงๆ เมื่อคืนผมจะไม่ได้เมามากมายก็ตาม ... ที่ทำให้ซึมๆ ก็น่าจะเป็นความรู้สึกบางอย่างตกค้างมากกว่า



“พี่พระจันทร์บอกพี่อาทิตย์นอนดิ้นครับ” ไอ้สมุทรเดินกลับมาพร้อมจานไข่ต้มหั่นชิ้นพอดีคำ พร้อมขนมปังโฮลวีตปิ้ง และมีกล้วยหอมราดน้ำผึ้งหั่นชิ้นส่งมาให้ผม



“เอ๊ะๆๆๆ กูนอนดิ้นหรอคะซิส” ไอ้อาทิตย์ทำหน้าทำตาแบบคนใช้ความคิดพร้อมยกนิ้วขึ้นเกี่ยวหัวสีชมพูของมันนิดๆ บ้องแบ๊วแบบสาวญี่ปุ่นที่กำลังทำหน้างง



“อืม”



“จริงเรอะ! เกิดมาก็นาน ตัวฉันพึ่งรู้ โอ้ววว” ปรายตาไปมองไอ้อาทิตย์ที่ยกมือขึ้นมาทาบอก ท่าทางที่ดูตกใจแบบปั้นแต่งของมันทำเอาผมคิ้วกระตุก



“น้องสมุทร พี่นอนดิ้นค่ะ” ยื่นหน้าไปทำตาเศร้าสร้อยใส่ไอ้สมุทรแบบขอความเห็นใจ



“ฮ่าๆ เพราะแบบนั้นไงล่ะครับ พี่พระจันทร์เลยนอนไม่หลับเลย”



“แย่จัง ไอ้อาทิตย์นี่มันแย่จริงๆ แบบนี้พี่ต้องโดนตีเพี้ยะๆ เลย น้องสมุทรตีพี่ทีค่ะ ตีที่แก้มของพี่ด้วยปากนุ่มนิ่มของหนูก็ได้ค่ะ”



‘เพี้ยะ’



“โอ๊ย! ไอ้เหี้ยซิสจันทร์ กูเจ็บนะโว้ย” มันโวยออกมาแบบนั้นตอนที่ผมยื่นมือไปตบแก้มมันทีนึง เอาให้มันได้สติตื่น



“อืม กูเตือนสติมึงไงว่ามันสายแล้ว” ปรายตามองมันนิ่งๆ ไอ้คนหน้าเหมือนกันข้างๆ นี่ก็เบ้ปากใส่



“อ๋า นี่แปดโมงครึ่งแล้วนะครับพี่อาทิตย์ รีบไปเถอะครับ”



“รถไฟฟ้าหนูด่วนปรื๊ดเดียวก็ถึง พี่ไม่รีบค่ะ”



“แต่อาจารย์มึงรีบ รีบๆ ไปได้แล้ว”



“ไล่ๆๆ ทำไมซิสชอบไล่น้อง คนเหี้ย!”



“กวนตีนกูนักนะ”



“เออๆ กูไปก็ได้! ... พี่ไปก่อนนะน้องสมุทร ไว้พี่ทักไลน์หานะคะ”



“ครับ สวัสดีครับพี่อาทิตย์” ไอ้สมุทรขำออกมานิดๆ ก่อนจะยกมือไหว้ ไอ้อาทิตย์ที่ทำสายตาละห้อย ท่าทางเหมือนอยากจะปีนโต๊ะไปจุ๊บเหม่งไอ้สมุทรสักที เห็นแบบนั้นเลยต้องเอ่ยปากไล่มันอีกที ... ไม่ได้อะไรหรอกนะ แค่คิดว่ามันสายแล้ว



“ไป!”



“ไล่อยู่ได้ไอ้ขี้เหร่”



“มึงสิขี้เหร่ ป๊าไม่น่าเก็บมึงมาจากถังขยะเลย”



“ป๊าสิเก็บมึงๆๆๆ อย่ามาว่ากูน้า!!~~”



“อะ พอๆ ครับเลิกเถียงกัน อะนี่ครับพี่อาทิตย์ สมุทรใส่กล่องแล้วก็ใส่ถุงให้แล้ว เอาไว้กินกลางวันเผื่อหิวนะครับ”



“น่ารักที่สุด ... พี่ไปก่อนนะ”



“ครับผม” อ้อยอิ่งอยู่นานกว่าจะยอมออกจากห้องไป ไอ้สมุทรที่ยืนโบกมือไล่หลังให้มันหยอยๆ ก่อนจะหันมามองผมที่นั่งมองมันอยู่ตรงนี้ รอยยิ้มค้างของมันยังมีอยู่บนใบหน้า



“เอ่อ อะไรหรอครับ...”



“เอาอะไรให้มัน”



“หื้ม” มันทำหน้างงๆ ส่งมาให้ตอนที่ถามออกไปแบบนั้น หน้าตาเหลอหลาที่คิดว่าถ้าไม่ขยายความต่อก็คงจะไม่ได้คำตอบจากมันในวันนี้



“ในถุงอ่ะ มึงทำไรให้มัน”



“อ่อ แซนวิสอะโวคาโดไข่กุ้งน่ะครับ พอดีพี่อาทิตย์บอกว่าอยากกิน สมุทรเลยทำให้”



“แล้วทำไมกูไม่มีบ้าง!”



“เอ้า...พี่พระจันทร์จะเสียงดังทำไมล่ะครับ” มันสะดุ้งนิดๆ ตอนที่ผมเผลอพูดเสียงดังใส่ แต่เห็นท่าทางของมันที่ชอบทำไรให้คนนั้นคนนี้แล้วรำคาญ กูพามานอนค้างที่ห้องแท้ๆ อ่ะ ได้แค่ขนมปังกับไข่ ไม่เห็นมีไข่กงไข่กุ้งเลยวะ กูซื้อเองแท้ๆ ไอ้ไข่กุ้งในตู้เย็นนั่นน่ะ



“เดี๋ยวน้องสมุทรทำให้น่า แต่ตอนนี้พี่กินของตรงหน้าไปก่อนเลยจะได้แก้แฮงค์” มันเดินเข้ามาใกล้และหยุดลงตรงหน้าของผมก่อนจะส่งยิ้มออกมาให้ รอยยิ้มของมันเป็นรอยยิ้มที่เปร่งประกาย มันเป็นแบบนั้นเสมอแหล่ะ ถ้าในการ์ตูนคงเห็นแสงออร่าออกมาทุกครั้งเวลาที่มันยิ้ม



“ขมวดคิ้วทำไมเนี่ย หิวหรอ โอ๋ๆ เดี๋ยวน้องสมุทรไปทำให้เดี๋ยวนี้เลย” มันว่าออกมาแบบนั้นแล้วยื่นนิ้วมาคลึงๆ อยู่ที่หว่างคิ้วของผม เอียงหน้าเล็กๆ ของมันไปซ้ายทีขวาที ท่าทางที่เหมือนอยากจะทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้น



“อึฮึ่ม ... งั้นก็รีบไปทำเลยไป” กระแอมไอออกมานิดๆ แล้วหันเก้าอี้หนี พอดีเป็นเก้าอี้ทรงสูงที่หมุนได้รอบทิศ ผมเลยหันหนีมันมางับกล้วยหอมราดน้ำผึ้งบนเคาน์เตอร์นั่นเข้าปากไป



“กล้วยหอมกินแล้วจะทำให้สดชื่นขึ้นนะครับ เค้าบอกว่า มันช่วยลดสารพิษที่ตกค้างในตับได้ด้วยน้า เพราะงั้นกินเข้าไปเยอะๆ เลยนะ”



“แดกจนหน้ากูจะเป็นลิง” บ่นออกมาแบบนั้น แล้วหยิบเข้าปากไปอีกชิ้น ไอ้สมุทรที่เดินเข้าไปในโซนครัว มันอยู่อีกฝั่งนึงของเคาน์เตอร์แล้วยกมือขึ้นเท้าคางกับเคาน์เตอร์ครัว มันที่เอียงคอแล้วส่งยิ้มมาให้ผม



“ลิงจั๊กๆ เค้าบอกว่ารักจริงๆ นะ น้องสมุทรเองก็รักอยู่นะ...รู้ยัง” มันว่าออกมาแบบนั้น มองเห็นแก้มแดงๆ ของมันที่เหมือนจะแดงขึ้นไปถึงหูเพราะคำพูดของตัวเอง



หึ...ก็น่าจะเริ่มรู้แล้วมั้ง” ยกยิ้มตอบมันออกไปแบบนั้น เราที่สบตากันนิ่งๆ เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่า การตื่นมาตอนเช้า แล้วมีอาหารเช้าแก้แฮงค์วางอยู่ตรงหน้ามันก็ไม่ได้แย่ ... อย่างน้อยก็ดีกว่าเวลานอนมองเพดานแล้วรอให้อาการมันหายไปเอง

ก็คงเรียกได้ว่า มันดีกว่าทุกวัน


#รักอยู่รู้ยัง



ขยับเข้ามาได้ไหม ขยับมาใกล้กัน ขยับความสัมพันธ์มารักกับฉันนะเธอ เอิ๊ววว~

 :3123: :pig4:

ขอขอบคุณคนอ่านในเล้าเป็ดที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ แคทดีใจที่อย่างน้อยก็ยังมีคนอ่านในนี้ค่ะ

:z6: :a5:
  มาอ่านต่ออีกนะคะ จะพยายามให้มากขึ้นนะคะ

สู้ๆครับเป็นกำลังใจให้นะครับ
  ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ขอบคุณที่มอบกำลังใจดีๆให้แคทนะคะ

มูฟออนสักทีเถอะพระจันทร์ จะโกรธแล้วนะ ฮึ่ยยยย  :katai1: :katai1:
ใจเย็นนะคะ มามูฟไปพร้อมๆกันนะคะ แต่ถ้าจะโกรธ โกรธพระจันทร์ได้เลยค่ะ อย่าโกรธแคทน้าา 5555

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Koyokid16

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ผมสีชมพู....น้องสมุทร ลูก (นี้ก็แอบเดาจากตอนแรก แล้วนะ ว่าอาจเป็นประเด็น)
ลุ้นค่าคุณแคท รอ รอ

ตัดใจได้จริงไหมเนี้ย พี่พระจันทร์ ถ้าคนนั้น อยากกลับมา ?

ดีทุกอย่างเลยคุณแคท แอบขัดใจอย่างเดียวเลย .....มาทีหลายๆ ตอนได้ไหมค้า คนอ่านจะลงแดงเพราะรอ รอ รอ  :hao5:

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
เอ็นดูน้องอาทิตย์ตัวเล็กน่ารักปุ๊กปิ๊ก :m20: :m20: :m20:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
พี่พระจันทร์หวงแหละแต่ปากแข็ง!!

ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ
บทที่10

 

เสียงดังจอแจในโรงอาหารกลางของคณะบริหารยังคงวุ่นวายเหมือนเดิมไม่ต่างไปจากในทุกๆ วันที่เคยเห็น และมันก็มักจะวุ่นวายมากขึ้นไปอีกในช่วงเที่ยงวันเหมือนเช่นตอนนี้ ผมไม่ได้ใส่ใจสายตารอบตัวที่กำลังมองมามากนัก เหมือนเป็นความเคยชินที่เจอกับตัวบ่อยๆ ตั้งแต่สมัยมัธยม แต่เหมือนว่าวันนี้จะต่างออกไปจากทุกวันตรงที่ผมดูจะยิ่งเป็นที่สนใจมากกว่าทุกที อาจเป็นเพราะ...

 

“โอ้โหไอ้เหี้ย เมื่อคืนกูโทรหากี่สาย ทำไมไม่รับ” ไอ้ปุ่นที่เดินจ้ำอ้าวเข้ามาพร้อมคำด่าที่พ่นออกมาใส่หน้ากัน มันด่าออกมาก่อนที่ตัวของมันจะทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามผมด้วยซ้ำ วางกระเป๋าลงเสียงดังแล้วทำท่าหาเรื่อง เห็นแบบนั้นเลยเลิกคิ้วมองหน้ามันนิดหน่อย

 

“กูไม่ได้ดูโทรศัพท์ โทษทีว่ะ”

 

“แม่ง แต่มึงไม่ตายกูก็ดีใจแล้วไอ้สัด”

 

“ปากมึงนะ”

 

“กูวิ่งตามมา รถมึงก็พุ่งออกไปแล้ว กูห่วงว่ามึงจะไปชนใครตายฉิบหาย” ไอ้มีนที่เดินตามเข้ามาสมทบ ด่าผมออกมาแบบนั้น มันที่วางจานข้าวไก่เทอริยากิผัดซอสของมันลงแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ไอ้ปุ่น

 

“กูไม่ชนใครตายหรอก ไม่ได้ขับเร็ว”

 

“ไม่ได้ขับเร็วก็เหี้ย คนแบบมึงอ่ะ ใจร้อนจะตายถ้าโมโห”

 

“จริง แล้วยิ่งเรื่องเมื่อคืนอ่ะ ที่มึงพูดออกไปแบบนั้น มันโอเคหรอวะ” ไอ้มีนมองหน้าผมแล้วถามออกมาตอนที่มันกำลังใช้ช้อนตักไก่เข้าปากคำโตไปด้วย

 

“สัด พูดขึ้นมาหาพ่อง” ไอ้ปุ่นหันไปตบหัวไอ้มีนแรงๆ ทีนึงจนช้อนที่มันกำลังเอาเข้าปากร่วงลงบนจานเสียงดัง

 

อายคนฉิบหาย...

 

ผมเข้าใจดีว่ามันคงไม่อยากให้ผมต้องนึกถึง แต่ต่อให้มันไม่พูดถึง ผมก็ไม่ลืมอยู่ดี ก็ยังคงเป็นแผลสดใหม่ที่พึ่งผ่านไปยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง จะให้กูไม่รู้สึกได้ยังไง

 

“ไม่เป็นไรมึง มันก็ถึงเวลาที่ต้องพูดไหมวะ มึงดูที่อัยย์พูดกับกู”

 

“คือมันก็จริง พี่อัยย์ก็พูดแรงฉิบหาย” ไอ้มีนเห็นด้วยกับที่ผมว่า มันยังคงยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองปอยๆ สงสัยจะเจ็บจากที่โดนไอ้ปุ่นตบ

 

“อัยย์ไม่ได้พูดแรงหรอก อัยย์แค่พูดเรื่องจริง” ความจริงที่ผมก็รู้ แต่แค่แกล้งทำเป็นไม่รู้

 

“แต่มึงก็นะ ปากหมาฉิบหาย กูไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่มึงกล้าพูดกับพี่อัยย์แบบนั้น” ไอ้มีนมองมาทางผมแบบเหมือนเจอเรื่องราวน่าเหลือเชื่อ

 

“อืม มึงด่าเค้าว่าเหี้ยด้วย” ไอ้ปุ่นพูดพร้อมกับใช้หลอดคนแก้วกาแฟในมือตัวเองไปด้วย

 

“กูก็แค่พูดเรื่องจริงออกมา” ผมแค้นยิ้มออกมานิดๆ ความจริงที่ว่าอัยย์ก็เห็นแก่ตัว แต่ผมไม่เคยพูดมันออกไปสักครั้งก็แค่นั้น

 

“ไอ้ความตรงๆ ของมึงนี่ล่ะน่ากลัว ซอฟหวานบ้างก็ได้ไอ้เหี้ย” ไอ้มีนถึงกับส่ายหน้าส่งมาให้ ก่อนจะหันไปแย่งแก้วกาแฟแบรนด์เงือกเขียวของไอ้ปุ่นมาดูดอย่างหน้าด้านๆ เจ้าของมอง มันก็ไม่สนหรอก

 

“แล้ววันนี้แม่งอะไรนักหนา คนมองมึงแล้วซุบซิบๆ กันเพื่ออะไรนัก”

 

“กูหล่อ”

 

“Kครับ อันนั้นกูก็หล่อเหมือนกันไหม แต่นี่มองไม่เลิกไม่ลา...”

 

“ก็จริงของไอ้มีนนะ ... หรือมึงไปสร้างเรื่องอะไรไว้อีกวะ” ไอ้ปุ่นขมวดคิ้ว หรี่ตามองผมอย่างจับผิด ได้แต่ยักไหล่ตอบกลับไปให้พวกมัน ... กูไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย

 

“พี่พระจันทร์น้ำมาแล้วจ้า น้องสมุทรไปต่อแถวมายาวมากกกก” เสียงสดใสที่ผมเริ่มจะคุ้นชินดังมาจากด้านหลังของไอ้ปุ่นและไอ้มีน นี่ล่ะมั้ง เหตุผลที่ทำให้วันนี้ผมเป็นที่สนใจมากกว่าเคย คงเป็นเพราะมัน ไอ้เด็กที่เคยแบกกีตาร์มาร้องเพลงจีบกันจนดังไปทั่วเพจมหาลัย แต่วันนี้มันกลับได้เข้าใกล้ผมมากกว่าเคยจนคนสงสัย

 

อืม คนไทยส่วนใหญ่ค่อนข้างขี้เสือก

 

“อ้าว พี่ปุ่นพี่มีนมาแล้วหรอครับ สวัสดีจ้า” ไอ้สมุทรส่งยิ้มสดใสให้กับเพื่อนผมที่กำลังทำตาปริบๆ มองผมสลับกับมันอย่างข้องใจ แต่สมุทรมันก็ไม่ได้สนใจกับท่าทางตื่นๆ ของพวกเพื่อนผม ไอ้สมุทรมันก็เป็นคนแบบนี้มาตลอด สายตาของมันไม่เคยสนใจอะไร นอกจากเอาแต่มองตรงมาที่ผม ครั้งนี้ก็เช่นกัน มันที่เดินเข้ามานั่งข้างๆ ผมแบบไม่สนใจอะไร ไม่สนใจแม้แต่คนรอบๆ โรงอาหารที่เอาแต่มองแล้วซุบซิบกัน ...

 

“พี่พระจันทร์กินนี่นะ น้องสมุทรรับรองว่าต้องสดชื่น”

 

“ขนาดนั้น” ผมปรายตามองแก้วน้ำแดงที่มันยื่นมาให้ เป็นแก้วน้ำแดงใส่ในแก้วพลาสติกธรรมดาๆ น่าจะซื้อมาจากร้านชงสักร้านในโรงอาหารนี้ที่ผมไม่เคยกิน

 

“ขนาดนั้นเลยล่ะ อากาศร้อนๆ ก็ต้องแดงโซดาดิ” มันบอกแบบภูมิใจนำเสนอ ยิ้มออกนอกหน้าจนตาปิด โคตรน่าหมั่นไส้

 

“แล้วทำไมมึงกินเขียวโซดา” เหล่ตามองไปที่อีกแก้วในมือของมันที่เป็นน้ำเขียวโซดาแบบเห็นได้ชัด เขียวมาแต่ไกลขนาดนั้น

 

“ก็น้องสมุทรชอบ”

 

“มึงชอบเขียวโซดาแล้วทำไมให้กูกินแดงโซดา”

 

“แล้วมึงเรื่องมากไรเนี่ยไอ้เหี้ยพระจันทร์ ปกติมึงก็ไม่แดกทั้งแดงทั้งเขียวอ่ะ” ไอ้มีนพูดขึ้นมาขัดแบบเสือกมากๆ มีใครขอให้มึงเสนอความคิดไม่ทราบ ปรายตาไปมองมันที่กำลังมองมาที่ผมแบบข้องใจ สายตาของมันมองกลับไปกลับมาระหว่างแก้วในมือไอ้สมุทรกับแก้วตรงหน้าของผม

 

“อ่า พี่พระจันทร์ไม่กินหรอครับของแบบนี้”

 

“ไอ้เหี้ยคุณชายนี่ไม่ชอบของหวานหรอก สันดานเข้มๆ แบบมันแดกแต่เอสเปรสโซ่เงือกเขียวจ้า” ไอ้มีนลอยหน้าลอยตาล้อผม แล้วยกแก้วของไอ้ปุ่นขึ้นมาโบกไปโบกมาให้สมุทรมันดู

 

“อ่า แบบนั้นหรอครับ” ปรายตามองไอ้เด็กข้างๆ ตัวที่ตอนนี้ยกมือขึ้นมาดันกรอบแว่นของตัวเองนิดๆ ท่าทางของมันที่บอกได้ว่ากำลังไม่มั่นใจ ผมสังเกตมาหลายที่แล้วว่าเวลาที่มันทำแบบนี้ น่าจะเป็นท่าทางของมันในตอนที่ประหม่า

 

“แต่วันนี้กูอยากแดก”

 

“หื้ม”

 

“อืม อยากแดก แต่อยากแดกเขียวโซดา” บุ้ยหน้าไปทางแก้วน้ำเขียวในมือของมัน สมุทรมันช้อนตาขึ้นมามองกันแล้วขมวดคิ้วนิดๆ ท่าทางที่ใช้ความคิดแบบสุดๆ ว่าจะยื่นมาให้ผมดีไหม

 

“งั้นเดี๋ยวน้องสมุทรไปซื้อให้ใหม่นะ”

 

“ทำไม”

 

“ก็แก้วนี้น้องสมุทรกินแล้วอ่ะดิ พี่พระจันทร์รอก่อน” มันบอกออกมาแบบจริงจัง ทำท่าจะลุกออกจากโต๊ะไปจริงๆ เห็นแบบนั้นก็อดถอนหายใจใส่มันไปไม่ได้ ดีที่คว้ามือมันไว้ได้ทัน ไม่งั้นมันคงวิ่งไปถึงร้านน้ำแล้วล่ะดูทรง

 

“พี่พระจันทร์ปล่อยน้องสมุทรซี่ นี่รีบนะ จะกินไหมน้ำเขียวน่ะ”

 

“กิน...แต่จะกินแก้วนี้” พูดจบก็คว้าแก้วมันมาดูดเข้าปาก ผมที่จ้องตามันตอนที่ริมฝีปากจรดลงไปที่หลอดของมันที่เคยดูดไปก่อนหน้านี้ มันที่ค่อยๆ เบิกตากลมๆ ที่อยู่หลังกรอบแว่นขึ้นทีละนิดๆ ก่อนที่จะได้เห็นแก้มขาวๆ ที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีไปเป็นสีแดงจนลามไปแดงถึงหู ท่าทางแบบนั้นทำให้พอใจแล้วเลยเลิกกิน

 

“อื้ม สดชื่นดี” บอกแบบนั้นแล้วปล่อยแขนมัน ก่อนจะหันกลับมาเจอเข้ากับหน้าตาตกใจเหมือนเห็นผีของไอ้มีน ส่วนไอ้ปุ่นก็มองมาที่ผมนิดๆ พร้อมยกยิ้มล้อๆ ...Kน่ารำคาญ

 

“มองเหี้ยไรไอ้สัดมีน”

 

“ไอ้เหี้ยมึงยิ้มครับเพื่อน ยิ้มหน้าเหี้ยเลย กูตกใจนึกว่าผีหลอก”

 

“สัด”

 

...

 

          น้องสมุทรเดินฮัมเพลงกลับมาที่คณะตัวเองในช่วงเวลาเที่ยงครึ่ง อากาศร้อนๆ ร้อนขนาดที่ว่าต้องตายห่าแน่ๆ ถ้ายังไม่เข้าร่ม ก้าวขายาวๆ จ้ำไปให้ถึงโต๊ะม้าหินใต้ต้นหูกว้างหน้าตึกคณะให้เร็วที่สุด พอเดินเข้าไปใกล้ก็มองเห็นไอ้เฮงที่กำลังนั่งเอาขาข้างนึงชันขึ้นมาบนเก้าอี้มาหินอย่างสบายใจ ปากก็ขยับเคี้ยวอะไรไม่รู้เสียงดังแจ๊บๆ แบบโคตรอุบาทย์ มือข้างนึงของมันกอดคอไอ้จิมเอาไว้ชิลๆ ทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้าน

 

“นู่นไง มันมานู่นละ” ไอ้มาร์ชว่าออกมาแบบนั้นแล้วพยักหน้าบุ้ยใบ้มาทางผม มองเห็นคนที่นั่งอยู่ข้างมันในชุดเสื้อช็อปสีน้ำเงินที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาดี

 

“อ้าว พี่ยอร์ช” ยกมือไหว้พี่มันไปที อีกคนก็ยิ้มรับ เป็นรอยยิ้มเท่ๆ แบบที่เคยเห็นทุกครั้ง

 

“กูมาหามึง”

 

“มาหาผม...” มาทำไมก่อนเอ่ย ชีวิตพี่มึงน่าจะรุงรังอยู่พอตัวนะ ยังจะมาหากูอี๊ก น้องสมุทรได้แต่คิดในใจ ไม่กล้าพูดออกไปหรอกครับ มันดูเสือก

 

“อืม พี่เค้าเอาอาหารมาให้ มาเร๊วน้องหมุดลูก มาแดกไวๆ นะ โม่ๆๆ” ไอ้เฮงรีบพูดออกมาเสียงดัง พร้อมทำท่าทางตบๆ มือเรียกผมไปด้วย

 

“สัด กูไม่ใช่หมานะไอ้เฮงซวย” ด่ามันออกไปแบบนั้นแล้วก็ได้รับเสียงโห่ฮาของเพื่อนเหี้ยสามตัวที่ดังออกมาครื้นเครงเป็นที่สุด ถือเป็นความสนุกของพวกมันสามตัวที่ได้กวนตีนกวนใจผมได้แหล่ะ พี่ยอร์ชมันยิ้มขำน้อยๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหาผมแทน

 

“มึงกินอะไรหรือยัง”

 

“กินแล้วพี่ อิ่มแล้วเนี่ย” กลัวมันไม่เชื่อก็ลูบท้องโชว์วันแพ็คของตัวเองไปที

 

“น่ารักนะมึงอ่ะ ยังกินได้อีกไหม”

 

“ทำไมวะ พี่เอาอะไรมาให้ผมหรอ” ถามออกไปแบบนั้น ทั้งที่จริงๆ ก็มองเห็นถุงในมือที่มันถือมาอยู่แล้ว แต่ดูแล้วมันไม่เหมือนของที่กินได้เท่าไหร่

 

“แดกไม่ได้นะ แต่เห็นแล้วคิดถึงมึง” มันบอกพร้อมทั้งยื่นถุงกระดาษที่ดูก็รู้ว่าราคาแพงส่งมาให้ รับมาแบบงงๆ เปิดออกแล้วต้องตาโต

 

“เชี่ย พี่เอามาให้ผมทำไมวะ ผมรู้จักนะยี่ห้อนี้อ่ะ แพงๆ”

 

“เมื่อวานกูไปซื้อของ เห็นแล้วคิดว่าน่าจะเหมาะกับมึง” พี่ยอร์ชว่าออกมาแบบนั้น สายตาที่ดูมีความหวังของมันทำเอาผมต้องเม้มปาก

 

“พี่เก็บไว้ใส่เองเหอะ” ไม่กล้ารับครับ ก็ถุงเสื้อยี่ห้อนี้แม่งแพง ที่สำคัญผมจำได้ด้วยว่ามันคล้ายๆ กับเสื้อของพี่มันที่ใส่เมื่อคืน แค่คนละสี ที่พี่ยอร์ชซื้อมาให้ผมคือสีขาว มีลายกราฟิกเท่ๆ

 

“ผู้ใหญ่ให้ของก็อย่าให้เสียน้ำใจสิวะ กูตั้งใจซื้อมาให้มึงจริงๆ”

 

“แต่...”

 

“รับไปเหอะน่า” มันดันถุงกระดาษแบรนด์นั้นเข้ามาที่ตัวผมอีกครั้ง กลัวหล่นจนต้องรีบรับเอาไว้ พี่ยอร์ชเห็นแบบนั้นเลยยกยิ้มถูกใจ

 

“เอาไว้ใส่ไปเที่ยวกับกู”

 

“เที่ยว เที่ยวไรวะพี่”

 

“ก็พี่เค้าชวนไปเลี้ยงวันเกิดอ่ะดิ” ไอ้จิมที่นั่งอมลิ้นไม่มีบทอยู่ตั้งนานสอดปากขึ้นมาแบบนั้น ผมหันกลับไปมองพี่ยอร์ช

 

“วันเกิดพี่หรอวะ เมื่อไหร่”

 

“อืม วันเกิดกู อีกสามวันอ่ะ...มึงต้องไปนะ กูอยากให้มึงไป” สายตาที่มองมาที่บอกได้ว่ากูห้ามปฏิเสธ

 

“อ่า...”

 

“เพื่อนๆ มึงก็ไปกันหมด กูไม่ได้หลอกมึงไปทำมิดีมิร้ายหรอกน่า” พี่มันว่าแบบนั้นแล้วยิ้มขำ ผมถอนหายใจใส่ที่นึงเลย กูไม่ได้กลัวพี่มึงทำมิดีมิร้ายโว้ย กูกลัวใครบางคนที่ไม่ถูกกับพี่มึงจะมาหยุมหัวกูต่างหากเล่า แต่ถึงแบบนั้นผมก็พยักหน้ารับแล้วตอบตกลงพี่มันไป

 

“โอเค ผมไป ... ดีนะยังไม่ถึง ต้องไปหาของขวัญให้พี่ซะแล้ว”

 

“ของขวัญอะไรไม่ต้องหรอกว่ะ แค่มึงอ่ะ ก็เป็นของขวัญที่ดีที่สุดของกูแล้ว” มันบอกออกมาแบบนั้น สายตาคมๆ ของมันที่ก็เอาแต่จ้องตาผมไม่ละไปไหน รู้สึกขนลุกขึ้นมานิดๆ จนต้องยกมือขึ้นเกาหลังคอแก้เก้อ

 

“มึงไปพูดหวานๆ ที่อื่นเลยเว้ยพี่ยอร์ช กูไม่ใช่สาวๆ ของมึงน้า”

 

“แล้วกูมีสาวที่ไหนล่ะวะ ตอนนี้กูมีแต่มึงเนี่ย” พี่มันส่ายหัวว่าออกมาขำๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมายีหัวผมเบาๆ เบาจนหัวกูเสียทรง จิ๊ปากขัดใจใส่มันไปทีหนึ่ง

 

“ฮ่าๆ มีแต่กูเลยนะ” ผมหัวเราะออกไปแบบนั้น ในหัวนึกไปถึงภาพเมื่อคืนที่มันยื้อยุดกับพี่อัยย์อยู่หน้าร้านแล้วไม่น่าพูดได้ว่ามีแต่กูอ่ะ แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่พูดออกไปดีกว่า

 

“ตอนนี้กูต้องไปละ มีเข้าช็อป ไว้เดี๋ยวกูโทรหา” มันบอกแบบนั้นตอนที่ก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเอง ผมพยักหน้าตอบรับก่อนจะยกมือไหว้มันไปที

 

“เออพวกมึง กูไปละ” พี่ยอร์ชหันไปบอกพวกเพื่อนๆ ผม ไอ้เฮงไอ้จิมเฮโลส่งเสียงพร้อมยกมือไหว้พี่มันเย้วๆ ส่วนไอ้มาร์ชก็มองหน้าพี่ยอร์ชนิ่งๆ ก่อนจะก้มหัวตอบรับนิดๆ

 

“ขอบใจนะพี่เรื่องเสื้อนี่” ผมยกมือไหว้ขอบคุณอีกรอบ อีกฝ่ายก็ทำแค่ยกยิ้มหล่อๆ แล้วเดินทำหน้าเท่ๆ จากไป มองตามไปจนเห็นพี่มันเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ฟีโน่สีชมพูแปร๊ดแล้วขับออกไป ... นึกถึงตอนนั้นมันมารับผมด้วยรถหรูมากแต่เปิดหมอลำร้องในรถ ส่วนวันนี้เอาเสื้อแบรนด์แพงฉิบหายมาให้ แต่เสือกขับมอเตอร์ไซค์สีชมพูกลับคณะ บางทีก็ไม่ค่อยเข้าใจรสนิยมของพี่ยอร์ชมันเท่าไหร่

 

“แหมๆ มันสวยมากเลยว่ะเพื่อนกู”

 

“จริงครับเพื่อนเฮง ไหนขอหยิกแก้มคนสวยหน่อยสิ ฮิ้ว” ไอ้จิมรับส่งลูกคู่กับไอ้เฮงอย่างออกรสออกชาติ พร้อมทั้งยื่นมือมาหยิกแก้มผมด้วยทีนึง ทำท่าทำทางเหมือนมันเขี้ยวมากๆ มึงเอาแก้มกูไปเล่นที่บ้านด้วยเลยดิ

 

“พอๆ พวกมึงก็ล้อมันจัง” เป็นไอ้มาร์ชที่ยกมือขึ้นปัดมือไอ้จิมออกให้ ฮื่อ มีแค่พ่อมาร์ชเท่านั้นล่ะที่ดีต่อหัวใจน้องสมุทรเสมอ

 

“แหม่ ทำลูกมันไม่ได้เลยนะครับ”

 

“ใช่ครับเพื่อนเฮง มันเป็นปกเป็นป้อง มันตีมือเพื่อนจิมดังป๊าบ เฮงๆ เป่าให้จิมหน่อยครับ” เล่นบทตัวเล็ก ทำตัวสำออย ทั้งๆ ที่ตัวแม่งใหญ่กว่าผมกับไอ้มาร์ชซะอีก ยื่นมือไปให้ไอ้เฮงเป่าให้แบบเด็กๆ

 

“กูขอถีบซักที สำออยนัก”

 

“เห้ยๆ เบาครับพ่อ กูไม่ล้อลูกมึงแล้วไอ้เหี้ย แตะนิดแตะหน่อย อารมณ์มันขึ้นว่ะ”

 

“K” สมน้ำหน้า โดนKพ่อมาร์ชกูไปเต็มหน้าเลย

 

ผมแลบลิ้นใส่ไอ้เฮงกับไอ้จิมที่โดนไอ้มาร์ชด่า ก่อนจะก้มลงมองถุงกระดาษในมืออย่างหนักใจ ราคาไม่รู้เท่าไหร่ แต่ถ้าแบรนด์นี้ผมเคยเดินผ่านในห้างใหญ่ตอนไปซื้อของกับไอ้มาร์ช ก็รู้เลยครับว่าราคาจุกๆ

 

“มึงจะทำหน้าแบบนั้นทำไมวะ” ไอ้มาร์ชมองหน้าผมแล้วถามออกมาแบบนั้น กูถอนหายใจใส่หน้าพ่อไปทีนึงเลย

 

“ก็มันแพงนี่หว่ามึง”

 

“แต่มันอยากให้ ให้ทำไงได้วะ มึงไม่ได้ไปขู่ให้มันซื้อให้นี่” ไอ้มาร์ชว่าแบบนั้นด้วยท่าทีชิลๆ มันเอื้อมมือไปจิ้มลูกชิ้นที่อยู่ในถุงตรงหน้าไอ้เฮงขึ้นมากินหน้าตาเฉย

 

“แล้วมึงรู้ได้ไงไอ้น้องหมุดว่ามันแพง ปกติกูไม่เห็นมึงจะสนใจแบรนด์อะไรเลยนี่หว่า” ไอ้จิมถามออกมาพร้อมๆ กับที่เอียงหัวหลบน้ำแข็งของไอ้เฮงที่เป่าจากหลอดมาใส่หัวมันไปด้วย กูระอาใจมาก ผมบอกแล้วว่าไอ้เฮงแม่งเฮงซวยสมชื่อและโคตรจะโสโครก

 

“แม่ง กูไม่ได้โง่นะเว้ย แบรนด์ลานวินนี่มันแพง ใช่ไหมวะไอ้มาร์ช” หันไปถามพ่อก่อน พ่อผู้ใช้ของแพงเสมอมา เพราะที่บ้านมันมีเงิน ... ไอ้มาร์ชเงยหน้าขึ้นมาจากลูกชิ้นปิ้งแล้วหันมาขมวดคิ้วมองหน้าผม

 

กูงง มึงงง มองกูทำไมก่อน

 

“แบรนด์ไรนะ”

 

“ลานวิน กูเคยเดินไปซื้อเสื้อกับมึง กูจำได้ว่าอยู่ในห้างใหญ่ที่สยาม”

 

“อืม...ลานวินเลยนะ” ไอ้มาร์ชกะพริบตาสองทีแล้วทำท่าทางกลั้นขำ มันที่หันหน้าไปมองไอ้เฮงกับไอ้จิมแบบขอความช่วยเหลืออย่างทนไม่ไหวเต็มที่ ก่อนจะเป็นไอ้จิมเองที่โพล่งออกมาแบบไม่ไหวก่อนใคร

 

“โอ๊ยย ลานวินพ่องมึงไอ้เชี่ยน้องหมุด ลองแวงไอ้สัด มันอ่านว่าลองแวง มึงจะทำให้แบรนด์ฝรั่งเศสกลายเป็นแบรนด์บ้านหนองผักกระโดนไม่ได้ ฮ่าๆๆๆ”

 

“กูยอมใจเลย” ไอ้มาร์ชตบเข้าที่ไหล่ผมปุๆ เหมือนให้กำลังใจ แต่กูเห็นมึงเกร็งจนไหล่สัด เหี้ยเหมือนกันหมด แอบขำกูจนหน้าแดง

 

“ไอ้สัดเอ๊ย อย่าไปพูดที่ไหนนะ กูอายคน”

 

“ฮ่าๆๆ”

 

“แม่ง กูจะไปรู้ได้ยังไง วันก่อนกูยังอ่านครีมแม่ว่าชื่อลานคัมอยู่เลย ... ไอ้เหี้ยเอ๊ย!” เกลียดฉิบหาย กับความหน้าแตกน่าอายของกูที่กลายเป็นที่ขบขันของหมู่คณะ ... เหยดเป็ด แล้วใครใช้ให้แม่งทำแบรนด์เป็นภาษาฝรั่งเศสล่ะไอ้เหี้ย มึงอ่านยากเอง กูไม่ผิดนะ!

 

...

 
(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-02-2022 20:04:03 โดย Yoghurt »

ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ
“พี่พระจันทร์ คิดถึงน้องสมุทรไหมคร๊าบบ~” ผมที่ตะโกนเสียงดังพร้อมวิ่งเข้าไปหาคนที่พึ่งเดินมาจากตึกเรียน และยืนเด่นสง่าอยู่ที่ขั้นบันไดหินอ่อนหน้าตึกนั่น น้องสมุทรส่งยิ้มละลายหัวใจไปให้พี่พระจันทร์ด้วยอีกหนึ่งที เป็นไงล่ะ ผัวอบอุ่น

 

“จะคิดถึงเหี้ยอะไร ตอนกลางวันก็พึ่งเจอหน้ามึง” แป่ว .. ตอบกลับมาด้วยหน้าตานิ่งๆ ตามเคย สายตาที่หลุบลงต่ำเพื่อมองหน้าผมดูเหยียดหยามจนน่าตี ปกติพี่พระจันทร์ก็สูงกว่าน้องสมุทรอยู่แล้ว นี่ยิ่งยืนที่บันไดขั้นสูงกว่าน้องสมุทรขั้นนึง ...กูดูเหมือนคนแคะเลย

 

“แต่น้องสมุทรคิดถึงพี่พระจันทร์มากมาย หัวใจอยู่ที่เธอนะ” บอกออกไปแบบนั้น พี่พระจันทร์ก็ส่ายหัวใส่กัน แต่แอบมองเห็นรอยยิ้มนิดๆ ที่ถูกจุดอยู่ตรงมุมปาก เห้ยน่ะ! เธอไหวหวั่นกับเราแล้วอ่ะดิพระจันทร์จ๋า งี้ล่ะ โดนผัวสุดคิ้วท์อ้อร้อมันก็ต้องหัวใจยวบยาบกันบ้างแหละวะ

 

“เยอะละ มึงมาทำไมอีก”

 

“ก็มารับพี่พระจันทร์ไปเดท” ตอบออกไปเสียงดังฟังชัด วันนี้ตั้งใจจะมาพาพี่พระจันทร์ไปเดทเลยนะ!

 

“เดทเหี้ยอะไร ไร้สาระ กูจะกลับบ้านไปนอน ง่วงฉิบหาย” บอกผมแบบนั้นแล้วพร้อมยกมือขึ้นมากวักไล่แบบไม่สนใจอะไร นอกจากตั้งใจอ้าปากหาวแบบไม่คิดจะรักษาภาพลักษณ์ ... เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นท่าทางแบบนี้ของอีกคน ท่าทางสบายๆ ทำตามความรู้สึกที่ไม่ได้ดีแต่ทำหน้านิ่งแบบที่ผ่านมา เห็นแบบนั้นแล้วน้องสมุทรก็อดอมยิ้มออกมาไม่ได้ ขนาดหาวอ้าปากกว้างจนแทบจะเห็นลิ้นไก่ก็ยังน่ารัก งื้อ ไอ้ต้าวน่ารักของน้องสมุทร

 

“อ้าว งั้นเดี๋ยวน้องสมุทรพาไปส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัยแทนละกัน” เป็นไงล่ะ หล่อ สปอร์ต ใจดี เทคแคร์เก่ง เรียกผมว่า ผัวน้องสมุทร

 

“จะพากูไปส่งบ้าน”

 

“ใช่ฮับ” พยักหน้าหงึกหงัก น้องสมุทรน่ะจริงจังไม่จิงโจ้ พี่พระจันทร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยตอนที่เห็นท่าทางแบบนั้น ก่อนจะก้มหน้าต่ำลงมาหากัน น้องสมุทรช้อนตามองพี่พระจันทร์แบบไม่เข้าใจ ใกล้ไปไหม ใกล้ไปแล้วนะ ... ก็ใบหน้าของอีกฝ่ายเล่นเลื่อนเข้ามาใกล้จนจมูกแทบจะชนกัน

 

“แล้วมึงจะเอารถอะไรไปส่งกู”

 

‘เพล้ง’

 

เหมือนได้ยินเสียงเศษหนังหน้าตกกระจายลงบนพื้น ... กูไม่มีรถจ้า

 

ช้อนตามองหน้าพี่พระจันทร์พร้อมยกมือดันกรอบแว่นตาแล้วยิ้มให้แหย่ๆ ในสมองก็คิดไป เอาไงดีๆๆๆ เรียกแกรปไหม ยังไง

 

“หึ มึงนี่นะ”

 

“แหะ ก็น้องสมุทรอยากทำหน้าที่คนจีบนี่ เอาไงดี กลับแท็กซี่ก็ได้ป่ะ” เสนอออกไปแบบนั้นแล้วพี่พระจันทร์ก็ถอนหายใจใส่หน้ากัน ขายาวๆ ที่ก้าวลงมายืนที่บันไดขั้นเดียวกัน

 

“กูมีรถครับ เผื่อมึงลืม”

 

“อ่า...งั้นน้องสมุทรไปส่งพี่พระจันทร์โดยรถพี่พระจันทร์ โอเคป่ะ”

 

“หึ แถไปเรื่อยนะมึง” ว่าแบบนั้นแล้วก็เอาแขนของตัวเองมาพาดลงบนบ่าของน้องสมุทร แอ๊ก! หนักจังโว้ย

 

“จะไปไหม”

 

“ไปๆ น้องสมุทรจะไปส่งพี่พระจันทร์ให้ถึงห้องเลยนะ” ร้องบอกออกไปแบบนั้น พี่พระจันทร์ที่ก้มหน้าลงมามองในตอนที่ผมแหงนหน้าขึ้นไปยิ้มให้ เค้ากระชับแขนที่กอดคอผมเอาไว้มากขึ้นอีกนิด ช้อนตาขึ้นไปมองก็เห็นพี่พระจันทร์เม้มปากนิดๆ แล้วหันหน้าหนีไปมองทางอื่น ... เป็นอะไรอ่ะ

 

“พี่พระจันทร์กลั้นยิ้มหรอ”

 

“มั่ว! กูเปล่า!”

 

“เอ้า เสียงดังทำไมตกใจหมดนะ” ตะโกนซะคนแถวนั้นหันมามอง กูงง คนรอบข้างงง ส่วนคนข้างๆ ก็กลับมาทำหน้านิ่งเหมือนเดิม ปัดโถ๊ะ

 

“พี่พระจันทร์นี่แข็งเก่งจริงๆ ... แหะๆ น้องสมุทรหมายถึงหน้าน่ะ” ยิ้มแผละตอนที่คนที่เดินอยู่ข้างๆ ตัวปรายตามองลงมา อยู่ๆ ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ แบบบอกไม่ถูก

 

“อยากรู้ไหมล่ะว่ากูแข็งเก่งแค่หน้าหรือที่อื่นด้วย” ยักคิ้วใส่กันที่นึง น้องสมุทรกลืนน้ำลายลงคอทีนึงแล้ว...

 

“ถึงรถแล้วจ้า อากาศร้อนมาก พี่พระจันทร์เปิดรถเลย!” ดันแขนของอีกคนออกแล้วสับตีนวิ่งไปที่รถทันทีเมื่อมีอาการเสียวตูด ปัดโถะเว้ย ไม่ได้หนีอะไรหรอกนะ น้องสมุทรแค่เดินมาตั้งหลัก

 

พี่พระจันทร์ที่ยืนกอดอกมองกันอยู่ที่เดิมยกยิ้มนิดๆ ตอนที่น้องสมุทรหันไป ใบหน้าร้ายๆ ที่มาพร้อมริมฝีปากที่อ่านได้ว่า ‘อ่อนเอ๊ย’

 

หึ! เค้าเรียกว่าทำการใหญ่ใจต้องนิ่งเถอะ คนสวยขาแบบพี่พระจันทร์จะไปรู้อะไร๊

 

รถคันหรูเลี้ยวเข้าจอดที่ลาดจอดรถที่ผมเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง น้องสมุทรรีบปลดสายเบลท์ออกจากตัวทันทีที่รถถอยหลังเข้าซอง ก่อนจะรีบเปิดประตูรถลงไปตอนที่รถจอดสนิท มองเห็นพี่พระจันทร์ที่ขมวดคิ้วนิดๆ มองตามผมที่วิ่งอ้อมหน้ารถมาที่ประตูข้างคนขับฝั่งพี่พระจันทร์นั่งอยู่ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับที่เปิดประตูด้วยท่วงท่าที่คิดว่าเรานี่มันผัวที่เท่ที่สุดเลยว่ะไอ้สมุทร และออกแรงเปิดประตู

 

‘กริ๊ก’

 

ประตูรถเปิดไม่ออก~~!

 

‘ฟืดดด’

 

บานกระจกด้านข้างคนขับเลื่อนลงมา พร้อมๆ กับสายตานิ่งๆ ของพี่พระจันทร์ที่มองมาที่ผมพร้อมมองมานิ่งๆ แต่สายตานั่นมันดูจะถูกอกถูกใจกับหน้าตาเหลอหลาของผมจนอ่านได้ชัด

 

“ทำอะไรของมึง”

 

“ก็...น้องสมุทรจะมาเปิดประตูให้” ย่นหน้านิดๆ แล้วตอบแบบกลับไปแบบอ้อมแอ้ม พี่พระจันทร์ยกยิ้มเหมือนสะใจนิดๆ ตอนที่เห็นท่าทีแบบนั้นของผม ก่อนนิ้วยาวสวยของพี่เค้าจะเอื้อมไปกดที่ปุ่มอะไรสักสิ่ง และน้องสมุทรก็ได้ยินเสียงดังฟังชัดเลยว่า ‘คลิ๊ก’ ...รถปลดล็อกประตูทั้งคัน

 

“ผมลงเองได้ครับไอ้หนู ถอยออกไปเลยมึง” บอกแบบนั้นแล้วเลื่อนกระจกขึ้นต่อหน้าต่อตา พร้อมเปิดประตูลงมาด้วยท่วงท่าสุดกร๊าวใจ แม่งเอ๊ย แสนอาย น้องสมุทรยืนคอตกเลย

 

“หึ” ขยี้ความหน้าแตกของกูด้วยเสียงหัวเราะสะใจกันไปอีกหนึ่งที หึ่ย

 

“อย่าพยายามเลยมึง น่าอาย”

 

“หึ่ย อย่ามาล้อน่า” เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแต่ทำอะไรไม่ได้ อย่าให้ถึงที่น้องสมุทรนะ พ่อจะจับตีก้นบนเตียงให้เจ็บๆ เลย เอิ๊ว อ๊าว

 

“ไป มึงจะยืนมึนอยู่ทำไม”

 

“ก็น้องสมุทรมาส่งแล้ว เดี๋ยวน้องสมุทรกลับเลย”

 

“กลับยังไง” ยกมือขึ้นเท้ากับหลังคารถแล้วจ้องหน้าผมแบบขอคำตอบ ผมที่กรอกตาไปซ้ายทีขวาทีแล้วก็ปิ๊งไอเดียร์

 

“เดี๋ยวเดินไปขึ้นวินตรงหน้าคอนโดพี่พระจันทร์ไปลงบีทีเอสแล้วก็กลับบ้าน”

 

“เพื่อ ไร้สาระ” ทำหน้าเหม็นเบื่อใส่คำตอบของผม แล้วก็เดินตรงมาเอาแขนพาดคอของผมแล้วลากขึ้นไปบนห้องด้วยกันหน้าตาเฉย

 

“เด...เดี๋ยวๆ เดี๋ยวก่อนเห้ย” พยายามจะยื้อตัวไว้ แบบใจเย็นกันก่อนแม่คนสวยขา แต่ว่าแรงกูมีแค่นี้ ผลสุดท้ายเลยมาหยุดยืนอยู่กลางห้องเดิมที่เมื่อเช้าพึ่งจะเดินออกไปพร้อมพี่พระจันทร์

 

“หาไรกินก่อน เดี๋ยวเย็นๆ กูไปส่ง” อยากถามว่าเย็นกี่โมงก่อนเอ่ย เหลือบมองนาฬิกาที่อยู่ในห้องรับแขกของพี่พระจันทร์บอกเวลาตอนนี้ห้าโมงครึ่ง เย็นของพี่เริ่มตอนกี่โมงวะ อยากจะถาม แต่เงียบไว้ดีกว่าตอนที่เห็นสายตานิ่งๆ ที่มองมา

 

“พี่พระจันทร์จะกินอะไร” ผมถามพร้อมวางกระเป๋าลงบนโซฟา ก่อนจะเดินเข้าไปในครัวที่ค่อนข้างจะคุ้นชิน เปิดตู้เย็นมองเห็นของสดที่เหมือนจะถูกเติมให้เต็มแล้วทั้งๆ ที่เมื่อเช้ามันยังไม่ค่อยจะมีอะไร

 

“อาเมลคงเอามาเติมให้” เหมือนนั่งอยู่ในใจ พี่พระจันทร์ก็พูดออกมาแบบนั้น

 

“อาเมล”

 

“อืม อากูเอง คนที่เลี้ยงกูมาตั้งแต่เด็ก” เค้าบอกผมแบบนั้น หันไปมองหน้าอีกคนที่นั่งลงที่เก้าอี้ทรงสูงหน้าเคาน์เตอร์ครัวเหมือนเมื่อเช้าเด๊ะๆ ผมยื่นแก้วน้ำเย็นๆ ที่พึ่งเปิดมาเทส่งไปให้เค้า พี่พระจันทร์รับมันไปดื่มก่อนจะหมุนแก้วที่ถืออยู่ในมือเล่น ผมเลือกที่จะไม่ถามอะไรต่อแต่หันกลับไปมองของในตู้เย็นแทน ... คิดว่าเรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรไปเซ้าซี้ถาม โดยเฉพาะกับเรื่องของครอบครัวคนอื่น

 

“พ่อกับแม่กูตายน่ะ อาเมลเลยเป็นคนเลี้ยงกูกับอาทิตย์มาตั้งแต่ตอนสองสามขวบ” ผมหันกลับไปมองหน้าพี่พระจันทร์นิ่งๆ ไม่ได้คิดว่าเค้าจะเปิดปากเล่าให้ฟัง ... ตอนที่เด็กขนาดนั้น และต้องห่างกับพ่อแม่แบบไม่มีวันกลับ มันจะต้องเป็นความรู้สึกที่ยากแค่ไหนกันนะ

 

“แต่กูไม่เคยรู้สึกขาดเลยมึงรู้ป่ะ อาเมลกับป๊าทัพก็คือพ่อกับแม่ของกู คือครอบครัวของกูในตอนนี้” พี่พระจันทร์พูดไปก็ระบายรอยยิ้มอ่อนๆ ออกมา เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่น เป็นอีกมุมที่ดูมีความสุขแบบที่ผมไม่เคยเห็น

 

“อากูเค้าเป็นเกย์นะ ป๊าที่กูว่าก็คือแฟนของเค้าที่ช่วยกันเลี้ยงกูมา” ผมสบตากับเค้าในตอนที่พี่เค้าบอกออกมาแบบนั้น ผมค่อนข้างจะตกใจนิดหน่อยที่ได้ยินเรื่องราวนี้ แต่ก็ไม่แปลกใจอะไร นอกจากดีใจที่พี่เค้าได้เติบโตมาเป็นเค้าในทุกวันนี้ได้ คงจะเป็นครอบครัวที่ดีมากๆ เลย

 

“ตกใจไหม”

 

“ครับ ก็นิดหน่อย” ตอบออกไปตรงๆ

 

“รังเกียจไหมล่ะ”

 

“แล้วทำไมต้องรังเกียจล่ะครับ” ผมพูดโพล่งสวนออกไปแบบนั้นพร้อมขมวดคิ้วกับคำถามแบบนั้น

 

“ผมแค่รู้สึกทึ่งมากๆ ที่พี่เติบโตขึ้นมาได้ดีขนาดนี้ จากการเลี้ยงดูของผู้ชายสองคนน่ะ มันเป็นอะไรที่สุดยอดมากเลยนะ คนชอบพูดว่าความรักของชายรักชายมันไม่ยืนยาวหรอก ผมก็สงสัยนะ คนพวกนั้นเป็นใครวะถึงมาตัดสิน ดูอย่างครอบครัวพี่ดิ เค้ายังรักกันมาอย่างยาวนานและเลี้ยงดูพี่ให้เติบโตขึ้นมาเป็นพี่ได้อย่างดีแบบนี้ แล้วคนอื่นมีสิทธิอะไร ถึงมาลงความเห็นว่ามันไม่ถูก มันน่ารังเกียจ”

 

ขมวดคิ้วและหอบหายใจตอนที่รู้สึกว่าอารมณ์เริ่มจะพลุ่งพล่าน มองหน้าพี่พระจันทร์ที่กำลังมองมา แล้วก็รู้สึกว่ากูพูดมากเกินไปแล้วว่ะไอ้น้องสมุทร เห็นแบบนั้นเลยยกมือขึ้นดันกรอบแว่น เลิ่กลั่กเลยกู

 

“หึ ขอบใจนะ” พี่พระจันทร์บอกออกมาแบบนั้นพร้อมจ้องตาผม มองเห็นรอยยิ้มที่ถูกจุดที่มุมปากของพี่เค้า สายตาที่ไม่ได้แข็งกระด้างจนอ่านไม่ออกแบบทุกทีทำให้ผมรู้ว่าเค้ากำลังขอบคุณแบบที่ว่า สายตาที่อ่อนโยนแบบนั้น เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ได้เห็น งื้อ...ใจเต้นแรงหน้าแดงอีกแล้ว

 

“น้องสมุทร...เอ่อ ทำกับข้าวต่อดีกว่า ฮ่า” หัวเราะแก้เก้อไปที หันหลังหนีอย่างไว โปรดอย่ามองน้องสมุทรด้วยสายตาแบบนั้นจะได้ไหม รู้สึกอยากเสียตัว เอ๊ย! อยากให้พี่พระจันทร์เสียตัวให้น้องสมุทรสิถึงจะถูก

 

“ถ้าคนอื่นๆ คิดแบบมึงได้ก็คงดี” ได้ยินเหมือนพี่พระจันทร์พูดอะไรสักอย่าง แต่พอหันกลับไปมอง ก็เห็นพี่พระจันทร์นั่งเล่นเกมแล้ว คิดว่าน้องสมุทรน่าจะหูเพี้ยนแหล่ะ

 

แต่วันนี้จะโชว์เสน่ห์ปลายจวักให้สุดฝีมือเลย พ่อครัวผัวป่า!!~~~

 

.

.

.


        เสียงดังของจานชามและกระทะตะหลิวที่ไม่เคยถูกใช้งาน กำลังดังประสานเป็นจังหวะที่น่ามองอยู่ในตอนนี้ ถ้าอาเอมรู้ว่าของพวกนี้ได้ใช้งานคงจะน้ำตาซึม เพราะตั้งแต่มีมันมา ก็ไม่เคยคิดจะเอามาใช้เลยสักที


“มึงทำอะไร กูช่วยไหม”

 

 

“น้องสมุทรว่าจะทำบล็อคโคลี่ผัดกุ้ง แล้วก็สเต๊กอกไก่ครับ” มันบอกออกมาแบบนั้นแล้วก็ยิ้มออกมากว้างๆ ผมสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมถึงทำเมนูพวกนี้ แต่ไม่ต้องถามต่อก็เป็นมันที่เปิดปากพูดขึ้นมาก่อน

 

“น้องสมุทรเห็นพวกดัมเบล ลูกกลิ้งเพิ่มกล้ามอะไรอยู่ตรงมุมนั้นอ่ะ เลยคิดว่าพี่พระจันทร์น่าจะไม่อยากทานอะไรหนักๆ กินพวกนี้น่าจะดี คาร์บน้อย โปรตีนเยอะ แล้วก็มีไฟเบอร์ด้วย รับรองลอนหน้าท้องพี่พระจันทร์ไม่หายหรอกครับ” ยิ้มแฉ่งตบท้ายเมื่อพูดจบ ทำท่าทำทางเหมือนกำลังภูมิใจกับความเก่งกาจของตัวเอง แต่ว่าไม่ได้ ผมไม่เคยบอกอะไรพวกนี้กับมัน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นคนช่างสังเกตและจับความรู้สึกคนได้เก่ง

 

“รู้ได้ไงว่ากูมีลอนหน้าท้อง”

 

“ปั๊ดโถะ ก็น้องสมุทรน่ะเคยเห็น แล้วก็จับมันมากับมืออ่ะดิ แข็งปั๊ก!” มันว่าแบบนั้นตอนที่สาละวนอยู่ที่หน้าเตา เห็นมันกดปุ่มเปิดฮูดดูดควันให้ทำงานตอนที่เริ่มเอากุ้งลงไปผัด

 

“มันเปิดตรงนี้หรอวะ”

 

“เชี่ย! พี่พระจันทร์จะมายืนซ้อนหลังน้องสมุทรทำไมเล่า!” มันโวยวายออกมาเสียงดัง มองจากด้านหลังแบบนี้มองเห็นหูเล็กๆ น่ารักของมันแดงขึ้นมา ท่าทางอึกอั่กที่เหมือนอยากจะหนี แต่ก็ถอยไม่ได้เพราะโดนกักไว้และอีกอย่างคงห่วงเตาไฟตรงหน้า เห็นแบบนั้นแล้วรู้สึกสนุกดี เลยเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ๆ

 

“เมื่อกี้มึงบอกว่าเคยจับ แข็งปั๊กที่ว่ามันคืออะไรหรอวะ” เลื่อนหน้ากระซิบลงเบาๆ ข้างๆ หูของมัน ตั้งใจเป่าลมเบาๆ เข้าที่ใบหูนั่นด้วย แก้มใสแดงระเรื่อขึ้นมานิดๆ ถือว่าประสบความสำเร็จ

 

“ท้องไงเล่า! น้องสมุทรไม่ได้หมายถึงจู๋พี่หรอกน่า!!” หลับหูหลับตาร้องออกมาเสียงหลง เห็นแบบนั้นแล้วมันก็อดไม่ไหว ไอ้เด็กนี่มันตลกจนต้องหลุดขำ

 

“ฮ่าๆ กูล่ะเชื่อมึงเลยว่ะ” ยกมือขึ้นยีหัวมันไปทีแบบอัตโนมัติ ไม่ได้รู้สึกอะไรนอกจากอยากยีให้หัวมันไม่เป็นทรงเล่นก็แค่นั้น

 

“อ๊ากก อย่ามาแกล้งน้องสมุทรนะ พี่พระจันทร์ถอยออกไปนั่งรอเลยไป” ไล่ด้วย อยากถามบ้านกูหรือบ้านมึง แต่แกล้งมากกว่านี้เดี๋ยวลูกกระต่ายจะเฉามือ เลยยอมเดินกลับมานั่งรอที่โต๊ะดีๆ แต่นึกขึ้นได้อย่างนึงเลยตะโกนบอกมัน

 

“เออไอ้สมุทร”

 

“จ๋าาา”

 

“กูแค่จะบอกว่า ไม่แค่ท้องกูนะที่แข็ง จู๋กูก็แข็งด้วยเหมือนกัน”

 

‘เคร้ง’

 

เสียงตะหลิวหล่นลงพื้น มองแผ่นหลังบางๆ นั่นก้มๆ เงยๆ ชนขอบโต๊ะอยู่ตอนนี้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอีกหนึ่งที เหมือนว่าการแกล้งมันได้ จะทำให้ผมลืมเรื่องบางเรื่องไปได้อย่างดีเลย

 

“มาแล้วๆ พี่พระจันทร์ รีบมากินเลยครับ ข้าวสวยร้อนๆ สวยเหมือนพี่พระจันทร์เลย มาๆ” มันว่าออกมาด้วยเสียงสดใสแบบทุกที พร้อมๆ กับจานผัดบล็อคโคลี่ใส่กุ้งหอมๆ ควันที่ลอยออกจากจานตรงหน้าก็บอกได้ว่าเป็นอาหารทำสดใหม่จริงๆ ผมไม่ค่อยได้กินอาหารทำเองสดๆ แบบนี้มานานแล้ว ปกติก็หากินข้างนอก หรือบางทีก็ซื้อพวกอกไก่ทำสำเร็จมากินก็แค่นั้น

 

“อ๊ากก น่ากินสุดๆ ไปเลยว่ะ”

 

“มึงจะไม่ให้คำชมมันมาจากกูบ้างเลยหรือไง มีอย่างที่ไหนทำเองชมเอง”

 

“ก็พี่พระจันทร์ไม่ชมสักที น้องสมุทรเลยชมนำไปก่อนไง” มันที่ตักข้าวกล้องใส่จานมาวางลงตรงหน้าผม ปริมาณไม่ได้มากนัก สมกับที่มันบอกว่าวันนี้จะเป็นคาร์บน้อยๆ

 

“พี่พระจันทร์ชิมเลยสิๆ” ท่าทางที่คาดหวังของมันจ้องตรงมาที่ผม ดวงตากลมโตหลังแว่นตานั่นจ้องกันแบบไม่กะพริบ เห็นแบบนั้นเลยตักผัดบล็อคโคลี่นั่นเข้าปากไป

 

“เป็นไงๆ อร่อยไหมครับ”

 

“อื้ม อร่อย” ท่าทางลุ้นๆ ของมันทำให้ผมแกล้งอีกไม่ลง เลยต้องบอกมันออกไปตามตรง ผักที่ผัดมารสชาติกลมกล่อมกำลังดี บวกกับผักที่สดกรอบ ไม่ได้ผัดนานจนเหี่ยวเลยยิ่งทำให้รสชาติดีบวกกับกุ้งเด้งๆ ในปากก็ยิ่งอร่อย

 

“เย้ ดีใจจังเลย” มันยิ้มออกมากว้างตอนที่ได้รับคำชม ไอ้สมุทรยกมือถือของมันขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้ ขมวดคิ้วไม่เข้าใจว่ามันทำอะไรของมัน

 

“เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำไง ก็พี่พระจันทร์บอกว่าอร่อยนี่นา” ก็ไม่อยากขัดศรัทธาเลยพยักหน้าเข้าใจมัน

 

“ส่งมาให้กูด้วยแล้วกัน”

 

“หื้ม พี่พระจันทร์หมายถึง”

 

“รูปนั่นไง มึงจะโมเมเป็นความทรงจำของมึงคนเดียวได้ไงวะ ในรูปนั่นก็มีกู” บอกมันออกไปแบบนั้นแล้วหั่นอกไก่เข้าปาก สัมผัวกลมกล่อมไม่ด้านฝืดคอเหมือนอกไก่ทั่วไป ทำให้ยิ่งเจริญอาหารมากขึ้นไปอีก เห็นไอ้สมุทรยิ้มกับมือถือของมันไปก่อนที่แจ้งเตือนมือถือของผมจะดังขึ้นข้างๆ ตัว

 

“น้องสมุทรส่งให้แล้วนะ...ความทรงจำแรกของเราที่อยู่ด้วยกัน

 

ไม่ได้พูดแย้งคำพูดของมันออกไป ก็เพราะว่าจริงแบบที่สมุทรมันว่า ... ก็นี่มันเป็นความทรงจำแรกที่น่าจดจำของเราสองคนจริงๆ

 

#รักอยู่รู้ยัง

 

สวัสดีวันที่22เดือน02ปี22ค่าาา เค้าว่ากันว่า เราต้องรออีก200ปี ถึงจะมีวันที่ตัวเลขเรียงกันดีๆแบบนี้เลยน้า

แคทเลยตั้งใจว่าจะลงตอนนี้ในวันนี้ เพื่อฉลองให้เป็นวันดีๆสำหรับคนอ่านที่น่ารักของแคททุกๆคนเลยค่ะ

หวังว่าตอนนี้ จะเป็นอีกหนึ่งตอน ที่ทำให้ทุกคนยิ้มได้ และฝากกำลังใจส่งมาให้น้องสมุทรกับพี่พระจันทร์ด้วยนะคะ

 

ปล1. น้องสมุทรอยากไปส่งสาวพระจันทร์กลับบ้าน แต่สาวพระจันทร์ขับรถให้น้องสมทุรนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถแล้วหนึ่ง

ปล.2 พี่ยอร์ชเปย์น้องหนักจังเลยจ้าา ฉันรักเค้าาาา

ใครใช้ทวิตเตอร์ ฝากคอมเม้นท์ รีวิวต่างๆ ได้ที่แฮชแท็ค #รักอยู่รู้ยังด้วยนะคะ

 :mew1: :mew3: :katai4:


ขอขอบคุณคนอ่านจากเล้าเป็ดที่ยังอยู่ด้วยกัน ตอนที่ผ่านมาคนเม้นท์เยอะกว่าทุกที แคทดีใจแล้วนะคะ

:o8: :-[ :impress2:
ขอบคุณที่อยู่ให้กำลังใจแคทในทุกๆตอนเลยนะคะ วันนี้มาอัพแล้ว มาอ่านต่อน้าา :mew1:


ผมสีชมพู....น้องสมุทร ลูก (นี้ก็แอบเดาจากตอนแรก แล้วนะ ว่าอาจเป็นประเด็น)
ลุ้นค่าคุณแคท รอ รอ

ตัดใจได้จริงไหมเนี้ย พี่พระจันทร์ ถ้าคนนั้น อยากกลับมา ?

ดีทุกอย่างเลยคุณแคท แอบขัดใจอย่างเดียวเลย .....มาทีหลายๆ ตอนได้ไหมค้า คนอ่านจะลงแดงเพราะรอ รอ รอ  :hao5:
แคทดีใจที่ได้รับคอมเม้นท์จากคุณนะคะ ดีใจจริงๆที่บอกว่ารอนิยายเรื่องนี้นะคะ ไม่รู้จะพูดอะไรเลย ดีใจที่ได้คอมเม้นท์ยาวๆบอกเล่าอารมณ์ที่รู้สึกมาให้กันนะคะ ส่วนเรื่องที่ถามน้านนน แคท...แคทไม่รู้ๆๆๆๆ (เอามือปิดปาก) อิอิ มาอ่านตอนใหม่อีกนะคะ ~~~~ :mew1:

เอ็นดูน้องอาทิตย์ตัวเล็กน่ารักปุ๊กปิ๊ก :m20: :m20: :m20:
น้องอาทิตย์ก็ตัวแค่นี้ ซิสจันทร์ก็ชอบทำรุนแรงกับน้องงงงง  :hao7:

พี่พระจันทร์หวงแหละแต่ปากแข็ง!!
  ต้องเอาอะไรไปงัดปากพี่เค้าดีคะ ต้องดักตีสักทีแล้วไหมเนี่ย  :hao3:

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-02-2022 20:02:42 โดย Yoghurt »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
โอ้ยชอบอ่ะ ชอบความอ้อล้อของน้องสมุทร ชอบนางงงง :jul3:

ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ

บทที่11

 

‘เคร้ง’

 

“เชี่ยแม่ง”

 

เสียงดังที่ทำให้ผมต้องตกใจตอนที่กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำ ตามมาด้วยเสียงสบถที่บ่งบอกอารมณ์ของคนพูดว่าเริ่มจะหงุดหงิดแล้ว ได้ยินแบบนั้นน้องสมุทรเลยรีบเดินเข้าไปดู แล้วก็ได้เห็นแผ่นหลังกว้างที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ที่อ่างล้างจาน มือข้างนึงที่ถือฟองน้ำล้างจานชูขึ้นแบบไม่รู้จะทำยังไงดี

 

“พี่พระจันทร์ทำอะไร”

 

“ล้างจาน มึงเห็นว่ากูกำลังเต้นโคฟเวอร์วงBTSอยู่หรอวะ” อะ ยอกย้อนกูไปอีก

 

ผมมองสภาพพี่พระจันทร์ตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็ต้องพยายามกลั้นยิ้มไว้จนสุดความสามารถ ไม่รู้ว่ามาล้างจานหรือมาอาบน้ำกันแน่ ยังมีฟองติดอยู่ตรงหางคิ้วด้วย แล้วเสื้อชุดนักศึกษาที่ใส่อยู่ก็เปียกไปเป็นแถบจนมองเห็นหัวนมกับซิกแพ็คเป็นลูกๆ หืดหาดดดดด ใจเย็นไอ้น้องสมุทร ถึงพี่พระจันทร์จะเซ็กซี่ฉิบหาย แต่จงบอกตัวเองเอาไว้ว่าพี่เค้าก็แค่เป็นเมียสายนักกีฬารักสุขภาพเท่านั้นล่ะ

 

“พี่พระจันทร์ออกมานี่ดีกว่าครับ เดี๋ยวน้องสมุทรทำเอง” ผมเดินเข้าไปลากตัวอีกฝ่ายให้ออกมาจากในครัว ก่อนที่อะไรสักอย่างจะพังไปมากกว่านี้ เหลือบมองเห็นจานข้าวที่พึ่งใช้กินกันไปก่อนหน้านี้มีรอยบิ่นเล็กๆ ตรงข้างจานแล้วด้วย

 

“อย่ามามองกูด้วยสายตาแบบนั้นนะมึง กูล้างเป็น”

 

“น้องสมุทรยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำเถอะ”

 

“สายตามึงมันฟ้อง มันกำลังบอกว่ากูเป็นไอ้งั่งที่แค่ล้างจานก็ทำไม่ได้ กูพูดเลยว่า กู ทำ เป็น!” เน้นๆ สามคำหลังแบบช้าๆ ชัดๆ คืออะไรมันจะขนาดนั้นว่ะนั่น ผมยังไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการพยายามไม่ขำออกมาให้พี่พระจันทร์รู้สึกเสียเซลฟ์แค่นั้นเอง

 

“ครับๆ ทำเป็นครับ”

 

“เนี่ย มึงกวนตีนกู มึงไม่เชื่อ”

 

“น้องสมุทรเชื่อน่า” บอกออกไปอีกครั้งแล้วหันไปหยิบผ้ากันเปื้อนที่ผมใส่ประจำตั้งแต่เข้าครัวที่นี่ ผ้ากันเปื้อนสีชมพูลายลูกแมว งงเหมือนกันว่าใครซื้อมาให้

 

“มึงแม่งไม่เชื่อ” เอ้า ทำเสียงหงุดหงิดกูไปอีก หันกลับไปมองก็เห็นอีกฝ่ายเดินย่ำเท้าแรงๆ ไปกระแทกตัวลงนั่งตรงโซฟาด้วยใบหน้าบึ้งๆ ผมเผลออมยิ้มออกมาแบบห้ามไม่อยู่ วันนี้น้องสมุทรจะมีความสุขมากไปแล้วไหมวะ ผมปล่อยพี่พระจันทร์ไว้ ก่อนจะหันมาจัดการจานที่พวกเราใช้ไปแล้วให้เรียบร้อย เวลาผ่านไปไม่นานผมก็ล้างจานเสร็จ

 

“เลิกทำหน้าแบบนั้นเถอะครับ น้องสมุทรน่ะเชื่อพี่พระจันทร์คนเดียวแหละน่า” ทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาข้างๆ คนที่นั่งไขว่ห้างทำหลังตรง นั่งทำหน้านิ่งอยู่ตอนนี้ ... ยโสโอหังอะไรขนาดนั้นก่อนเอ่ย

 

“เหอะ” ปรายตามามองแล้วสะบัดเสียงใส่น้องสมุทรไปอีกที นั่นแน่ะ...นี่ไงล่ะครับ เมียน้องสมุทรงอนครับ ไงล่ะ แสนน่ารักเลยว่ะ งื้ออ ไอ้ต้าวความรัก ตะมุตะมิตัวเล็กๆ สามเซ็น

 

ผมยิ้มขำกับท่าทางแบบนั้นของพี่พระจันทร์ ถือเป็นความแปลกใหม่ที่ได้เห็นท่าทางแบบนี้ของอีกคน ... ผมเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมา แล้วหยิบบางอย่างออกมาจากในนั้น แอบมองเสี้ยวหน้าของคนข้างๆ กัน ก่อนจะยื่นมันไปตรงหน้าของอีกคน

 

“อะไร” พี่พระจันทร์ว่าออกมาพร้อมขมวดคิ้วจ้องมองของตรงหน้า

 

“สร้อยข้อมือเชือกไงครับ เนี่ย พี่ดูดิ มีจี้รูปมหาสมุทรด้วยนะ น้องสมุทรตั้งใจซื้อมาให้เลยน้า ... งั้นตอนนี้เอามาง้อละกันนะ โอ๋ๆ ยิ้มหน่อยคร๊าบ~” แกว่งไปแกว่งมาตรงหน้าของคนข้างๆ พี่พระจันทร์ขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะเอนตัวมาพิงพนักพิงแล้วหันมามองหน้าผมแทน

 

“คือมึงเอามันมาง้อกู”

 

“แล้วได้ผลป่ะล่ะ”

 

“เหอะ ง้อกูด้วยของแบบนี้เนี่ยนะ” ทำเสียงสูงใส่กันแล้วปรายตามองสร้อยข้อมือในมือผมอีกที

 

“เอ้า นี่ลิมิเตดเลยนะ”

 

“ลิมิเตดเหี้ยอะไร มึงซื้อมาจากตลาดหลังม.ป่ะ ใครๆ แม่งก็มี” เบ้หน้าใส่กันพร้อมว่าออกมาแบบนั้น

 

“เห้ยอย่ามาด้อยค่ากันนะพี่ แล้วอันนี้มันก็ไม่เหมือนใครด้วย เพราะว่ามันมาจากมือน้องสมุทรที่มอบให้พี่พระจันทร์ไง มันก็ต้องลิมิเตดพิเศษใส่ไข่ใส่เครื่องในเพิ่มเส้นอยู่แล้วดิ” เถียงออกไป แต่อีกคนก็ยังมองมันนิ่งๆ ไม่ยอมรับไปใส่หรือทำอะไรสักอย่าง

 

“มันไม่น่ารักหรอ ...น้องสมุทรอุตส่าห์คิดว่าจะหาซื้ออีกลายไปเป็นของขวัญให้พี่ยอร์ชนะเนี่ย” ผมบ่นออกไปเบาๆ ...

 

“มึงว่าไรนะ จะเอาไปให้ไอ้เหี้ยยอร์ช!”

 

“เชี่ย ตกใจหมดเลย อยู่ใกล้กันแค่นี้พี่พระจันทร์ตะโกนทำไม” ผมยกมือขึ้นอุดหูซ้ายตัวเองเลย ขี้หูลุกขึ้นมาเต้นระบำเลย

 

“มึงไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง เมื่อกี้มึงบอกว่าจะเอาไอ้นี่ไปให้ไอ้ยอร์ชหรอ มึงกวนตีนกูหรอสมุทร เอามานี่! ของกู กูไม่ให้เหี้ยไรกับมันทั้งนั้นอีกแล้วเว้ย!” ทำสีหน้าขึงขังจ้องตามองผมแบบดุๆ ก่อนจะคว้าสร้อยข้อมือเชือกเส้นสีดำที่มีจี้วงกลมเล็กๆ ด้านในเป็นรูปเกลียวคลื่นตัวแทนของมหาสมุทรไปใส่ไว้ที่ข้อมือตัวเองหน้าตาเฉย ใส่เสร็จแล้วก็หันมามองกันด้วยใบหน้าถมึงทึงยิ่งกว่าเก่า

 

“แล้วมึงก็ห้ามไปซื้อเหี้ยอะไรให้มัน มันเป็นพ่อมึงหรอถึงต้องไปซื้อให้มันน่ะห๊ะ!” ตะโกนออกมาอีกด้วยเสียงที่ไม่สบอารมณ์แบบสุดๆ สายตาคมสวยนั่นจ้องมองผมแบบดุๆ ... น้องสมุทรย่นตัวห่อไหล่เลย

 

“ก็ไม่ใช่แบบนั้น...” ผมพูดเสียงอ่อย ตอนที่มองหน้าพี่พระจันทร์ที่ดูจะเริ่มอารมณ์เสียมากขึ้นไปอีก

 

“ไม่ใช่แบบนั้นแล้วมึงจะซื้อให้มันทำเหี้ยไร ไม่ต้องซื้อ!” ถลึงตาใส่ผมตอนที่ว่าออกมา

 

“แต่ว่าพี่ยอร์ชเค้าซื้อเสื้อให้สมุทรนี่ แพงด้วยอ่ะ” ก็แค่คิดว่ามันต้องมีของขวัญวันเกิดตอบแทน แล้วก็เงินไม่ค่อยจะมีอ่ะ ซื้อสร้อยคล้ายๆ แบบนี้ก็น่ารักดีแค่นั้นเอง

 

“เหอะจะแพงสักแค่ไหนวะ แล้วมึงก็อย่าเอาไปใส่นะ อี๋ เชื้อโรค” เบะปากออกมาพร้อมว่าออกมาอย่างรังเกียจ คือเค้ายังไม่ได้ใส่เลยนะ มือหนึ่งจากช็อป จะมาเชื้อโรคอะไรกันล่ะวะนั่น

 

“แล้วไอ้เหี้ยนั่นมันเอาเสื้อมาให้มึงทำไม เนื่องในโอกาสห่าอะไรไม่ทราบ” พี่พระจันทร์ทำเสียงฟึดฟัดแบบคนไม่สบอารมณ์แล้วยกมือขึ้นเสยผมของตัวเองด้วยท่าทางที่พยายามสงบสติอารมณ์ เห็นแบบนั้นน้องสมุทรเลยตอบกลับคำถามนั้นไปด้วยเสียงอ่อยๆ

 

“พี่ยอร์ชชวนไปงานวันเกิดเค้า”

 

“ไม่ต้องไป!” มองแรงใส่พร้อมตะคอกออกมาเสียงดัง ทั้งสีหน้า สายตา และน้ำเสียงมาเต็ม บ่งบอกให้รู้ว่าระวังตัวให้ดีนะไอ้น้องสมุทร พี่พระจันทร์คนสวยของมึงกำลังจะงับหัวแล้วถ้าพูดผิดหู ... ผมช้อนตามองคนข้างๆ ตัวที่ทำหน้าตาไม่เป็นมิตรอย่างทำตัวไม่ถูก ยกมือขึ้นดันกรอบแว่นนิดๆ แล้วบอกออกมาเสียงอ่อย

 

“แต่เพื่อนน้องสมุทรไปกันทุกคนเลยนะ พี่เค้าชวน”

 

“แล้วไง”

 

“มันก็ต้องไปสิ น้องสมุทรรับปากไปแล้ว”

 

“รับปากแล้วไม่ทำก็ได้!” ใครสอนพี่พระจันทร์มาแบบนั้นวะ กูล่ะอยากจะไปตีมันจริงๆ

 

“ได้ที่ไหนกันเล่า”

 

“ได้ที่นี่ ได้ที่กูนี่ไง!...นี่มึงกำลังทำให้กูหงุดหงิดนะสมุทร” เสียงเข้มๆ ที่ว่าแบบนั้นพร้อมจ้องตาผม อารมณ์ดีๆ ของเราก่อนหน้านี้ถูกทำลายด้วยพลังอารมณ์ของพี่พระจันทร์ เห็นแบบนั้นแล้วก็เสียใจนิดหน่อยที่ผมเป็นต้นเหตุให้วันดีๆ ของเค้าต้องเสียไป เฮ้อ...ไม่น่าบอกเลยไอ้น้องสมุทรเอ๊ย

 

“ทำหน้าแบบนั้นเป็นเหี้ยไร เสียใจมากหรือไงที่ไม่ได้ไปงานไอ้เหี้ยนั่น” พี่พระจันทร์ถามออกมาแบบนั้นหลังจากที่เราสองคนเงียบกันไปสักพักใหญ่ บรรยากาศน่าอึดอัดเล็กน้อย แต่ผมก็เลือกจะเงยหน้ามองพี่เค้า อดไม่ได้ที่ต้องยกมือดันกรอบแว่นของตัวเองไปด้วย

 

“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อยครับ”

 

“ไม่ใช่แล้วมึงนั่งทำแก้มอ้วนหูตกทำไม เหมือนกระต่ายอ้วนอุบาทว์ย์”

 

“เป็นกระต่ายก็ต้องน่ารักสิ อยากบอกว่าน้องสมุทรน่ารักก็บอกเถอะครับ หัวใจพี่เรียกร้อง น้องสมุทรรู้” เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ๆ พร้อมฉีกยิ้มออกมากว้างๆ อยากทำให้บรรยากาศระหว่างเรามันดีขึ้น แต่ติดตรงที่

 

“มึงไม่ต้องมาทำหน้าแป้นแล้นใส่กูเลย” ว่าแบบนั้นแล้วใช้ฝ่ามือยาวเรียวของตัวเองมาดันหน้าน้องสมุทรให้ออกไปห่างๆ เล่นเอาหน้าน้องสมุทรหงายเงิบไปข้างหลังเลยอ่ะ หึ่ย

 

“มึงอยากไปงานมันมากเลย” พี่พระจันทร์ถามออกมาพร้อมเลิกคิ้วเป็นคำถามตอนที่มองมาที่ผมด้วยสีหน้านิ่งๆ แบบที่ชอบทำ อ่านไม่ได้สักนิดว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่

 

“น้องสมุทรไม่ได้อยากไปขนาดนั้น แต่ว่าพี่ยอร์ชเค้าไม่ได้ทำอะไรไม่ดีกับน้องสมุทรนี่ อีกอย่าง น้องสมุทรรับปากเค้าไว้แล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกนะ ที่รับปากแล้วจะไม่ทำตาม”

 

“อ๋อ นี่มึงด่ากูเป็นคนเหี้ยสินะ” เอ้า ไปถึงนั่นได้ยังไงเอ่ย

 

“น้องสมุทรไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อยอ่ะ”

 

“ถ้ามึงอยากไปงานมันน่ะก็ได้...”

 

“หื้ม” ได้แต่เลิกคิ้วขึ้นแล้วมองหน้าอีกฝ่ายแบบไม่อยากจะเชื่อหู เพราะจริงๆ น้องสมุทรเข้าใจที่พี่พระจันทร์จะไม่พอใจเรื่องที่ผมจะไปงานวันเกิดพี่ยอร์ช ก็คนเขาไม่ถูกกันซะขนาดนั้น ถึงผมจะรู้แค่ผิวเผินว่าที่ทะเลาะกันคงเป็นเพราะเรื่องของพี่อัยย์ แต่แค่นั้นมันก็เข้าใจได้ที่เค้าจะไม่ชอบ

 

แต่ในความคิดของผม เรื่องนั้นมันก็เป็นเรื่องระหว่างพี่พระจันทร์ พี่ยอร์ชและพี่อัยย์ เรื่องไม่ถูกกันของพวกเค้า มันไม่ควรรวมผมไปอยู่ในนั้น ใช่ว่าคนที่เราชอบไม่ถูกกับใคร เราจะต้องไปเกลียดด้วยเสียเมื่อไหร่ล่ะ ตราบใดที่พี่ยอร์ชไม่ได้ทำอะไรไม่ดีใส่ผม เค้าก็ถือว่าเป็นคนดีที่น่าคบหาด้วยคนหนึ่ง ... แต่เรื่องนี้น้องสมุทรจะไม่พูดออกไปเพื่อเสี่ยงให้พี่พระจันทร์หักคอหรอกนะ

 

“แต่...”

 

“แต่อะไรหรอครับ” เอียงคอลุ้นตามคำว่าแต่ที่พี่แกเอาแต่ลากเสียงใส่ให้ได้ลุ้นตาม

 

“แต่กูจะไปด้วย”

 

“ห๊ะ” ผมร้องออกมาอย่างตกใจ กะพริบตาปริบๆ ส่งไปให้สองที บอกกูทีว่าเมื่อกี้น่ะแค่ล้อเล่น แต่คนตรงหน้าดูเหมือนจะไม่อยากร่วมมือด้วย ก็ในเมื่อพี่พระจันทร์ทำแค่ยกยิ้มมุมปากส่งมาให้ ท่าทางที่ดูเหมือนว่าตัวเองกำลังคิดอะไรดีๆ ได้ออกแล้ว

 

“ถ้ามึงจะไป กูจะไปด้วย กูไม่ไว้ใจให้มึงไปงานมันเองหรอว่ะ”

 

“แต่เค้าไม่ได้เชิญพี่นี่ครับ”

 

“แล้วไง กูเชิญตัวเองได้”

 

“เอ่อ...” กูล่ะเชื่อเค้าเลยจริงๆ ผมได้แต่ยกมือขึ้นเกาหัวแบบยอมใจในความเป็นพี่พระจันทร์ เจ้าตัวที่ไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกมาเป็นเรื่องใหญ่อะไรสักนิด เค้าแค่ยักคิ้วส่งมาให้ผมแล้วก็ยกยิ้มมุมปาก หน้าตาที่ดูร้ายขึ้นมาทันทีตอนที่ทำแบบนั้น มันบอกผมได้ว่า คนตรงหน้าคงกำลังคิดจะทำเรื่องไม่ดีอะไรสักอย่างอยู่แน่ๆ ...

 

“แล้วนี่อ่ะ มึงก็ห้ามซื้อให้มันนะ มันเป็นของกู” พี่พระจันทร์ว่าออกมาแบบนั้นแล้วยกมือขวาข้างที่สวมสร้อยข้อมือที่ผมให้เอาไว้มาให้ผมดู

 

“น้องสมุทรก็ไม่ได้คิดว่าจะซื้อเส้นที่มีรูปนี้ไปให้พี่ยอร์ชสักหน่อย” ผมพูดแบบนั้นแล้วยื่นนิ้วไปเขี่ยๆ ตรงจี้กลมๆ รูปมหาสมุทรนั่น ในจังหวะนั้นที่ช้อนตาขึ้นมองหน้าพี่พระจันทร์ที่ก็ก้มลงมามองหน้าผมเหมือนกัน

 

“จี้รูปสมุทร ก็ต้องเป็นของพี่พระจันทร์คนเดียวอยู่แล้วสิ” ผมบอกออกไปพร้อมส่งยิ้มไปให้นิดๆ อีกฝ่ายที่ก็ไม่ได้ถอยหน้าหนีห่างออกไป สายตาของเราสองคนที่มองกันอยู่แบบนั้น

 

“คิดแบบนั้นได้ก็ดี ... เพราะกูจะไม่ยอมให้อะไรกับไอ้เหี้ยนั่นอีกแล้ว” บอกผมออกมาแบบนั้นแล้วก็เป็นฝ่ายที่ผละออกไปนั่งเอนหลังพิงโซฟาอย่างอารมณ์ดี ไม่ค่อยเข้าใจความหมายนั่นเท่าไหร่ แต่ถึงแบบนั้นผมก็ดีใจที่พี่พระจันทร์ดูจะไม่หงุดหงิดใจเหมือนเดิมแล้ว

 

“นี่พี่พระจันทร์ดูนี่สิ น้องสมุทรก็มีนะ ใส่เป็นสร้อยคู่ไง” ผมร้องบอกออกไปตอนที่ดึงสร้อยอีกเส้นมาใส่ที่ข้อมือซ้ายของตัวเองเสร็จ แล้วยื่นไปให้พี่พระจันทร์ดู

 

“ของมึงสีฟ้า” เลิกคิ้วถามออกมา ผมก็พยักหน้าให้ยิ้มๆ

 

“หรือพี่พระจันทร์อยากได้เส้นสีฟ้าหรอ” สร้อยเชือกที่เหมือนกันทุกตรง แตกต่างแค่เส้นนึงสีดำและอีกเส้นเป็นสีฟ้าอ่อนๆ ถ้าพี่พระจันทร์ชอบเส้นนี้ น้องสมุทรก็เสียสละให้ได้นะ

 

“ไม่ล่ะ มึงใส่เส้นนั้นอ่ะดีแล้ว” เค้าบอกผมออกมาแบบนั้น ส่วนสายตาก็เอาแต่มองมาที่ข้อมือของผมไม่เลิก ... คือยังไง คือใจชอบสีฟ้าหรือเปล่า ผมที่กำลังจะถามออกไปแบบนั้นแต่ก็เป็นพี่พระจันทร์ที่พูดต่อออกมาซะก่อน

 

“เพราะมันดูสดใสเหมือนตัวมึงดี” ผมหันไปมองคนพูดที่ตอนนี้ก็เสหน้าออกไปมองกระจกบานใหญ่บานใสนั่นมองออกไปดูวิวของใจกลางกรุงเทพแทนที่จะมองหน้ากัน แต่พอสังเกตดูดีๆ ก็เห็นว่าใบหูสวยนั่นตอนนี้ขึ้นสีชมพูระเรื่อๆ อยู่เหมือนกัน ผมยิ้มออกมาเล็กๆ กับท่าทางแบบนั้นของเค้า ก่อนจะวางมือลงบนที่นั่งของโซฟาข้างๆ ตัวพี่พระจันทร์โดยที่ไม่ได้พูดล้ออะไรออกไป ก่อนจะรับรู้ถึงสัมผัสอุ่นๆ จากมือขวาของคนข้างกันที่วางทับลงบนมือของผม ก่อนที่นิ้วเรียวทั้งห้านั่นจะกระชับฝ่ามือของผมเบาๆ ผมที่หันมองภาพของจี้รูปมหาสมุทรสองอันจากมือขวาของเค้าและมือซ้ายของผมที่สัมผัสกันนิดๆ อยู่ตอนนี้ เห็นแบบนั้นแล้วก็เผลอยิ้มกว้างๆ ออกมา ...

 

มันไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกของเรา ที่เข้าใกล้กันมากขึ้นไปอีกขั้นนึงแล้วสินะ

 

.

.

.


           กรุงเทพมหานคร มหานครแห่งความวุ่นวายและรถติดฉิบหายในทุกช่วงเวลา เพราะแบบนั้นในตอนที่รถคันหรูของพี่พระจันทร์ตบไฟเลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าประตูบ้านของผม มันก็เลยเป็นเวลาสามทุ่มกว่าๆ แล้วน่ะสิ

 

“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง จริงๆ ผมกลับมาเองก็ได้”

 

“พูดมากทำเหี้ยไรล่ะ ยังไงกูก็มาจอดอยู่หน้าบ้านมึงแล้วนี่ไง” คนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ กันว่าออกมาแบบนั้นพร้อมๆ กับเท้าแขนเข้ากับพวงมาลัยรถแล้วหันมามองกัน

 

“งั้น ... ขอบคุณมากๆ นะครับที่มาส่ง” ยกมือไหว้ขอบคุณอีกฝ่ายที่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ตอนที่ลงจากรถมาแล้ว ตั้งใจจะหันกลับไปโบกมือลาก็ต้องงงตาแตกที่พี่พระจันทร์ก็เดินตามลงมาด้วยเหมือนกัน

 

“พี่ลงมาทำไม” กะพริบตาปริบๆ สองทีในตอนที่เค้าเดินมาหยุดยืนตรงหน้าของผม

 

“มึงลืม”

 

“น้องสมุทรลืมของหรอ ไม่นะ เอากระเป๋ามาแล้วนี่ไง” บอกแบบนั้นแล้วหันกระเป๋าเป้สะพายหลังให้ดูด้วยเพื่อยืนยัน น้องสมุทรสะพายอยู่จ้า ไม่ได้ขี้ลืมขนาดนั้นป่ะจ๊ะ

 

“มึงลืม” พี่พระจันทร์ยังคงย้ำคำเดิมอีกครั้งก่อนจะสาวเท้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นอีกสองก้าว

 

“ผมลืม...ลืมอะไรหรอ” ช้อนตามองอย่างไม่เข้าใจ กูลืมอะไรก่อนเอ่ย ไม่ได้ลืมนะเอาจริงๆ

 

“ลืมบอกลากูอย่างเป็นทางการ”

 

“ห๊ะ” สีหน้าหมางงได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของน้องสมุทรแล้วในตอนนี้ ตั้งใจจะอ้าปากถามออกไปแต่ทุกคำถามก็ถูกกลืนลงไปในลำคอของผมทั้งแบบนั้น ในตอนที่ริมฝีปากอุ่นของคนตรงหน้าแนบลงมาทาบทับที่ริมฝีปากของกันเบาๆ ไม่ได้รุกร้ำ ไม่ได้บังคับอะไรให้ผมทำตามใจเค้า พี่พระจันทร์แค่แนบริมฝีปากลงมาเบาๆ แต่อบอุ่นไปทั้งใจของน้องสมุทร หัวใจของน้องสมุทรสั่น มันเต้นแรงมากๆ จนกลัวว่าเค้าจะได้ยิน

 

ในตอนที่ผมลืมตาขึ้นมามอง สายตาของพี่พระจันทร์ก็มองกันอยู่ก่อนแล้วในตอนนี้ เขาที่แค่ผละริมฝีปากออกห่างน้อยๆ ให้พอแตะโดนกันบ้างไม่โดนกันบ้าง ก่อนจะถามผมออกมาเบาๆ

 

“ได้หรือเปล่า อยากจูบ” เป็นคนตรงๆ ที่ทำและพูดอะไรออกมาแบบที่ใจคิดทุกที จะถามย้ำกันอีกทีให้ผมต้องตอบทำไม แต่สายตาเชิญชวนของเค้า ก็ทำให้ผมทำได้แค่เอียงหน้าเข้าไปใกล้ เป็นการตอบรับกลายๆ ที่อีกฝ่ายก็จุดรอยยิ้มมุมปากขึ้นมาตอนที่วงแขนแกร่งเลื่อนมาโอบรอบเอวของผม ดึงรั้งตัวผมให้แนบกระชับกันมากขึ้น ฝ่ามือขวาที่เลื่อนขึ้นมาจับที่หลังคอ ใบหน้าคมสวยของพี่เค้าที่เอียงหน้าทำมุมเข้ามาพร้อมๆ กับริมฝีปากอุ่นที่กดจูบย้ำๆ ปลายลิ้นที่ค่อยๆ สอดแทรกเข้ามาในโพลงปากของผมช้าๆ แผ่วเบาแต่กลับทำให้รู้สึกร้อนผ่านไปทั้งหน้า

 

“อึก” ร้องออกมาเบาๆ ในตอนที่ลิ้นโดนเกี่ยวรัด รู้สึกเสียววาบไปทั้งตัวจนเผลอคล้องแขนเข้าที่ต้นคอของอีกคน เป็นการกระทำที่ผมห้ามตัวเองเอาไว้ไม่ได้ และเหมือนอีกฝ่ายจะชอบใจมากในตอนที่ผละริมฝีปากออกห่างกันช้าๆ ปลายจมูกโด่งนั่นที่เขี่ยไปมาอยู่ที่ปลายจมูกของผม ช้อนตามองตาของอีกคนที่ตอนนี้ก็วาววับขึ้นอย่างไม่น่าไว้ใจ

 

“ฝันดี” สองคำสั้นๆ นั่นที่ว่าออกมาแล้วผละตัวออกไป ผมยังไม่ได้สติเท่าไหร่ในตอนที่อีกคนขึ้นไปนั่งบนรถและลดกระจกลงมามองหน้ากัน

 

“อย่าเขินมาก ยุงจะกัดมึงตาย เข้าบ้านไปได้แล้ว” เค้าว่าออกมาแบบนั้นแล้วยักคิ้วใส่กันอีกหนึ่งที ท่าทางที่ดูมีความสุขแบบออกนอกหน้าของอีกคนทำผมได้สติ ก่อนที่จะได้พูดอะไรออกไป รถของพี่พระจันทร์ก็คอยๆ ขับออกไปซะแล้ว

 

“อ๊ากกก น้องสมุทรอยากตาย เขินม้วนเป็นกิ้งกือ กูแม่งเป็นผัวที่อ่อนยวบยาบมากๆ เลยโว้ย” ผมร้องออกมาแบบนั้นพร้อมยกมือปิดหน้า แต่ให้ทำไงได้วะ เขินจะตายอยู่แล้ว ปิดประตูเล็กล็อกลงกลอนอย่างใจลอย พอหันหลังกลับไปก็ต้องตกใจจนเกือบหัวใจวายตาย

 

“เชี่ย!”

 

“หนอยยย ริอาจกลับบ้านดึกๆ นะเรา! มันยังไง มันมีผู้ชายมาส่ง!” เท้าสะเอวมองหน้ากันแล้วว่าผมออกมาแบบนั้น ท่าทีที่เหมือนว่าจับได้ทำเอาเหงื่อตก

 

“มาตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

“ตั้งแต่จูจุ๊บกัน”

 

“เชี่ย!”

 

“ด่าทะเลหรอ หน็อยๆ ทะเลจะฟ้องแม่ แต่ทะเลจะไม่ฟ้องหรอกนะว่าพี่พระจันทร์จูจุ๊บ อึก อื้อออ”

 

“หุบปากไปเลยไอ้เด็กบ้า ใครใช้ให้มึงพูดออกมาห๊ะไอ้ทะเล๊” คว้าตัวมันไว้ได้ทันแล้วปิดปากมันทั้งแบบนั้น ไอ้น้องมหาภัยที่ทำตัวเหมือนแม่บวกป้าข้างบ้านทำเอาผมปวดหัว มันต้องเจอแบบนี้ แก่แดดดีนัก ปิดปากมันเอาไว้แล้วจับตัวมันโยกไปโยกมาในอ้อมกอดของผม แล้วก้มหน้าลงไประดมหอมแก้มมันให้ช้ำ ไอ้เด็กนี่มันไม่ชอบครับ มันบอกโตเป็นหนุ่มแล้ว โดนหอมแล้วมันไม่เท่ ... โถ่เอ๊ย ไอ้เด็ก

 

“อ๊ากกก ช่วยด้วยจ้า พี่สมุทรอย่ามาจูจุ๊บทะเลน้า ฮ่าๆๆ ยอมแล้วๆ”

 

“มึงต้องโดนท่าไม้ตาย ระดมจุ๊บดับวิญญาณ”

 

“อ๊ากกก ฮ่าๆๆ ทะเลยอมแล้วววว”

 

เสียงร้องขอชีวิตของไอ้ทะเล ดังคลอไปกับเสียงหัวเราะดังลั่นของผม เสียงของเราที่ดังก้องไปทั่วหน้าลานบ้าน ถือว่าเป็นความเบิกบานอีกหนึ่งอย่างที่ได้รับมาในวันนี้ ทั้งความรู้สึกดีๆ จากคนที่ผมรัก และครอบครัวที่รักเรา ครอบครัวของน้องสมุทร

 

...

 
(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ

“อะไรคือการมาเรียนเช้าขนาดนี้วะครับเพื่อน”

 

“อะไรคือการนั่งกระดิกตีนดิ๊กๆ หน้าตึกคณะในช่วงเวลาเที่ยงๆ ที่อากาศร้อนฉิบหาย แต่ทำตัวเหมือนอารมณ์ดีนักหนา”

 

“อะไรคือ.. โอ๊ย”

ไอ้มีนร้องออกมาเสียงดังตอนที่ผมเอื้อมมือไปตบหัวมันฉาดใหญ่ เป็นKอะไรพูดรับส่งกับไอ้ปุ่นอยู่ข้างหูจนน่ารำคาญ ปรายตาไปมองไอ้ปุ่นที่ยกมือขึ้นสองข้างทำท่าทางยอมแพ้

 

“น่ารำคาญ”

 

“แหม่ๆ กับกูทำมาบอกน่ารำคาญ มึงดูสภาพตัวเองก่อนครับ” มันปุ่นว่าออกมาแบบนั้นแล้วยักคิ้วให้ ท่าทางที่อ่านได้ว่า ‘กูรู้ทันมึงนะครับไอ้สัดเพื่อน’

 

“กูทำไรมึงยัง”

 

“มึงไม่ได้ทำไรกูครับ แต่มึงอัพอะไรก่อนเอ่ย”

 

“จริง กูเห็นแจ้งเตือนแล้วตกใจฉิบหาย แอคเค้าท์ แอดmoonอันเดอร์สกอร์nabchanอยู่ๆ เค้าก็อัพสตอรี่ไอจีเฉย” ไอ้มีนว่าออกมาแบบนั้นแล้วหยิบมือถือของมันมาวางลงตรงหน้าของผม ภาพตรงหน้าที่ถูกโพสต์ขึ้นเป็นรูปที่คุ้นตาดี ภาพกุ้งผัดบล็อกโคลี่กับสเต๊กอกไก่ที่มีแขนข้างนึงที่ใส่นาฬิกาที่ผมจำได้ดีว่าผมเลือกซื้อมาใส่เองกับมือ กับรูปนิ้วเรียวยาวสองนิ้วของคนที่กำลังทำท่ายอดนิยมที่มีความหมายว่าสู้ๆ นั่นก็รู้ว่าเป็นนิ้วของใคร ..

 

“มึงไปแดกข้าวกับใคร แต่กูจำได้นะว่านั่นมันโต๊ะในครัวของห้องมึง” พวกขี้เสือกก็จำดีเทลละเอียดเสมอ กลอกตาใส่ไอ้มีนไปที

 

“เสือก”

 

“อย่าเรียกว่าเสือกครับจันทร์ โปรดเรียกว่าเราใส่ใจเรื่องราวของเพื่อนอย่างใกล้ชิดจะดีกว่า” ไอ้ปุ่นว่าพร้อมยักคิ้วอีกหนึ่งที กวนตีนจนกูอยากหาอะไรมาไถขนคิ้ว

 

“ว่าไงๆ สรุปคือ...”

 

“คนที่พวกกูก็รู้ว่าใครใช่ป่ะ” ไอ้ปุ่นเอานิ้วมาเขี่ยไหล่ผมยิกๆ จ้องจะเอาคำตอบ

 

“อืม...กูแดกข้าวกับโวลเดอร์มอร์”

 

“สัด!”

 

“เฮงซวย กวนตีนจังวะ”

 

ไอ้ปุ่นกับไอ้มีนร้องออกมาแบบโมโห ผมยกยิ้มออกมาตอนที่เห็นว่าพวกมันเสียอารมณ์กันมากแค่ไหน นี่แหละนะ เวรกรรมของพวกขี้เสือก อยากรู้จนทนไม่ไหว พอไม่บอกแล้วแม่งเหมือนจะตาย

 

สมน้ำหน้ามัน

 

“เดี๋ยวๆ นั่นมึงจะลุกไปไหน” ไอ้ปุ่นร้องทักตอนที่ผมลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินออกไป

 

“ซื้อน้ำ พวกมึงจะเอาไรป่ะ”

 

“เอสเปรสโซ่แก้วดิ กูร้อนฉิบหาย ง่วงด้วย ถ้าขึ้นไปเรียนกูมีหวังหลับ” ไอ้ปุ่นบอกแบบนั้นแล้วยื่นเงินมาให้ผม แต่ผมไม่รับ

 

“โทษทีวะ ถ้ามึงอยากแดกเงือกเขียวมึงเดินไปซื้อเองเลย”

 

“เอ้าไอ้สัด ทำไมงั้น”

 

“ก็วันนี้กูไม่อยากแดกเงือกเขียว” ผมบอกออกไปแบบนั้น ไอ้มีนไอ้ปุ่นก็ขมวดคิ้วมองหน้ากันเหมือนว่าผมกำลังไม่สบายหรือผิดปกติอะไรสักอย่าง

 

“มึงไม่แดกเงือกเขียวแล้วมึงจะแดกอะไร”

 

“จริง ปกติไปไหนไม่มีเงือกเขียว ไม่มีเมซโซ่มึงบ่นฉิบหาย”

 

“วันนี้ไม่อยากแดก อยากแดกเขียวโซดา” บอกออกไปก็ได้รับคำตอบรับกลับมาด้วยเสียงตอแหลแบบที่ไอ้อาทิตย์ชอบทำบ่อยๆ เวลาที่มันกวนตีนว่า

 

“อ๋ออออ วันนี้พี่พระจันทร์เค้าจะแดกเขียวโซดา”

 

“ใช่จ๊ะ สงสัยจะติดใจอ่ะเนอะ”

 

“เออจริงจ้า แต่ไม่รู้ว่าติดใจน้ำเขียวโซดา หรือติดใจคนที่เคยมาซื้อให้อ่ะเนอะ”

 

“ฮิ้ววว/ฮิ้ววว”

 

ฮิ้วพ่อฮิ้วแม่มึง โห่แซวยิ่งกว่ามีบวชนาค ผมส่ายหัวแล้วไม่ได้พูดตอบอะไรพวกแม่งออกไปอีก รำคาญครับ พูดอะไรแม่งก็โห่ฮาไปซะหมด กูยังไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะซื้อกินเพราะไอ้สมุทรมันสักคำ

 

“อายๆ พี่พระจันทร์เค้าอายเดินหนีไปแล้วว่ะมึง”

 

“อย่าล้อเค้านะครับ เดี๋ยวหน้าเค้าแดงเป็นตูดลิง ฮ่า”

 

เสียงไอ้ปุ่นไอ้มีนดังไล่หลังมาแบบที่ว่าคนทั้งคณะคงได้ยินด้วย ผมหันกลับไปหาพวกมัน ก่อนจะยกนิ้วกลางส่งกลับไปให้ แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนกลับมาก็เป็นแบบที่คิด พวกมันไม่สนใจนิ้วกลางอะไร นอกจากหัวเราะสะใจอยู่ตรงนั้น

 

“น่ารำคาญไอ้พวกชอบแซว” ผมส่ายหน้าหน่อยๆ แต่ถึงแบบนั้นก็เผลออมยิ้มออกมาแบบไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ชอบใจหรอกนะที่ถูกล้อ ก็แค่นึกไปถึงไอ้ตัวต้นเหตุที่เป็นคนทำให้ต้องโดนล้อก็เท่านั้น

 

เผลอเลื่อนสายตาลงไปมองที่ข้อมือขวาข้างที่ตัวเองไม่ได้ใส่นาฬิกา มีสร้อยเชือกโง่ๆ สีดำเส้นนึงอยู่ตรงนั้น ผมยกมันขึ้นมาดู

 

“สร้อยโง่ๆ” อืม ... เป็นสร้อยโง่ๆ เหมือนตัวเจ้าของที่ให้มา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพอได้มองแล้วก็สดชื่นดี อาจเป็นเพราะจี้รูปมหาสมุทรที่มันบอกว่าเป็นลิมิเตดอิดิชั่นเพราะมันเป็นคนให้

 

อืม หนึ่งเดียวในโลกจริงๆล่ะมั้งที่จะให้ของขวัญมัดใจผมด้วยเชือกราคาไม่ถึงร้อยแบบนี้ ... แต่ถึงแบบนั้นก็ยอมใส่มันไว้อยู่ดี ไม่ได้ชอบอะไร ก็แค่คิดว่ามือข้างนี้ก็ว่างอยู่ ใส่ๆ ไปไม่เห็นเป็นอะไรก็แค่นั้นเอง

 

คิดแบบนั้นแล้วเดินเข้าไปในโรงอาหารกลาง ตั้งใจมองหาร้านน้ำที่สมุทรมันเคยไปซื้อให้ แต่สุดท้ายก็ต้องชะงักขาของตัวเอง หยุดยืนอยู่ตรงนี้ มองตรงไปข้างหน้าที่เห็นใบหน้าสวยของคนที่คุ้นเคยกันดี สีหน้าท่าทางที่ดูอ่อนล้า คนที่ผมไม่ได้รับสายโทรศัพท์เค้ามาหลายวันมาแล้ว

 

“พระจันทร์ ... อัยย์ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”

 

“ถ้าตอบว่าไม่ได้ อัยย์จะเดินกลับไปให้พ้นหน้าจันทร์หรือเปล่า”

 

บอกออกไปแบบนั้น มองจ้องคนตรงหน้าที่ผมเคยคิดถึงเค้าก่อนใครเสมอ ยกมือขึ้นมากอดอกตัวเองแล้วยักคิ้วส่งไปให้ ในตอนนั้นที่รูปจี้มหาสมุทรก็ขยับไปตามแรงขยับแขนของผม เผลอปรายสายตามองมันที่กระทบเข้ากับผิวเนื้อตัวเองเบาๆ เหมือนมันกำลังบอกผมว่า ผมเองก็มีใครอีกคนที่ควรนึกถึงอยู่ด้วยในตอนนี้เช่นกัน

 

#รักอยู่รู้ยัง

 

-------------------------

ไม่ยาวเท่าไหร่ แต่ก็อยากมาให้ทุกคนค่ะ

อยากบอกว่าอย่าพึ่งตัดสินนิยายเรื่องนี้เลยนะคะ นิยายของแคทมันไม่ค่อยมีอะไรเหมือนใครหรอกค่ะ

เพราะว่าเราบ้ามากกว่าใครยังไงล่ะ ฮ่าๆๆๆๆ

แคทหวังว่าทุกคนจะอยู่ด้วยกันไปจนจบเรื่อง ค่อยๆได้เรียนรู้และยิ้มไปด้วยกันจนถึงตอนสุดท้ายของเรื่องราว

หวังว่าในช่วงเวลาที่รุงรังของสภาพเศรษฐกิจ และโรคภัย นิยายเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวที่ทำให้ยิ้มได้ไม่มากก็น้อยนะคะ

ฝากแฮชแท็ค #รักอยู่รู้ยัง ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ

ไม่ว่าจะช่องทางไหน แคทก็รออ่านคอมเม้นท์ของทุกคนอยู่นะคะ

ฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ

 :mew1: :3123:

จากตอนที่10ที่อัพเมื่อวันอังคารที่220222ที่ผ่านมา แคทขอขอบคุณ

:impress2: :-[ :o8:
   มาเม้นท์ให้กันเสมอๆเลย ขอบคุณมากๆนะคะ

โอ้ยชอบอ่ะ ชอบความอ้อล้อของน้องสมุทร ชอบนางงงง :jul3:
  น้องขอสักนิดนึง เป็นคนมุ่งมั่นจะเอาพี่พระจันทร์มาเป็นเมียค่ะ 5555 ฝากรักน้องด้วยนะคะ :hao7:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-02-2022 23:10:25 โดย Yoghurt »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ

บทที่12

 

          ใบหน้าสวยได้รูปพร้อมดวงตากลมโตสวยที่กำลังมองมาที่ผมด้วยแววตาสั่นๆ กับขอบตาที่เริ่มจะแดงขึ้นเหมือนคนที่กำลังพยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหล ริมฝีปากอิ่มสีส้มสวยก็เม้มเข้าหากันอย่างอดกลั้น เป็นภาพชินตาที่ผมเคยเห็นอยู่บ่อยๆ ตอนที่เจ้าตัวเป็นเด็ก ... หรือแม้แต่เป็นตอนที่เจ้าตัวทะเลาะกับแฟนเก่าอย่างไอ้ยอร์ช ก็เห็นภาพนี้จนชิน

 

ผมถอนหายใจหนักๆ แล้วเสหน้าหนีจากภาพตรงหน้า

 

“อัยย์มีอะไร” เลือกที่จะถามออกไป อย่างน้อยก็อยากรู้ว่ามีอะไรถึงมาหากันถึงคณะ

 

“จันทร์ไม่รับสายอัยย์เลย” ว่าออกมาแบบนั้นแล้วช้อนตามองมาที่หน้าของผม ท่าทางที่อยากให้ผมหันไปสบตานั่นทำให้ผมถอนหายใจออกมาหนักๆ ไม่ได้อยากพูดถึงเรื่องวันนั้นแต่ก็จะพูดมันออกไป

 

“ก็จันทร์บอกไปแล้ว วันนั้น...”

 

“แต่อัยย์ไม่ได้หมายความว่าอัยย์ไม่อยากมีจันทร์นะ” อัยย์เถียงแทรกคำพูดของผมออกมาก่อนที่ผมจะพูดจบประโยคของตัวเองด้วยซ้ำ ท่าทางร้อนรนน่าสงสารของคนที่กำลังเสียงใจ

 

“อัยย์ไม่เคยไม่อยากมีจันทร์เลย ...” ฝ่ามือเรียวของอัยย์ที่เอื้อมมาจับมือของผมเอาไว้อย่างกล้าๆ กลัวๆ พร้อมบอกออกมาเบาๆ ท่าทางที่ทำเหมือนกับกลัวว่าผมจะสะบัดทิ้งนั่นทำให้ผมยอมหันไปมองมือสวยที่จับมือผมอยู่ตอนนี้

 

“ไม่อยากให้จันทร์โกรธอัยย์ด้วย อัยย์ขอโทษที่วันนั้นพูดไม่ดี” ค่อยๆ ขยับตัวเข้ามาใกล้ๆ กันมากขึ้นอีกนิด ส่วนผมก็ยังคงยืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้ขยับหนีไปไหน

 

“ยกโทษให้อัยย์ได้ไหมจันทร์ ขอโทษนะที่พูดจาแบบนั้นกับจันทร์นะ” เสียงเล็กๆ น่ารักนั่นพูดออกมาพร้อมๆ กับที่โถมตัวเข้ามาและวงแขนเรียวที่เอื้อมเข้ามากอดตัวผมเอาไว้ทั้งตัว หัวทุยซุกอยู่ที่อกของผมนิ่งๆ ก่อนที่จะรับรู้ได้ถึงอาการสั่นไหวของไหล่เล็กๆ นั่น มันทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้และเสียใจ น้ำตาร้อนๆ รินไหลอยู่ที่อกผมในตอนนี้ ... อัยย์เป็นแบบนี้เสมอ เค้ารู้ดีว่าอะไรที่จะทำให้ผมแพ้

 

“อัยย์”

 

“นะๆ นะจันทร์นะ” ผละตัวออกมานิดหน่อยในตอนนี้แล้วช้อนตาแดงๆ ที่น้ำตาไหลลงมาอย่างน่าสงสาร

 

“อัยย์ไม่อยากทะเลาะกับจันทร์เลย อัยย์ขอโทษนะ” ผมไม่ได้อยากจะเห็นภาพๆ นี้ น้ำตาของอัยย์ก็เป็นสิ่งที่ผมพยายามปกป้องมันมาตลอดหลายปี ได้แต่ถอนหายใจกับท่าทางแบบนั้น เอื้อมมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้คนตรงหน้าเบาๆ อยู่หลายนาที จนน้ำตาของอีกฝ่ายหยุดไหลได้ในที่สุด

 

“อย่าร้อง”

 

“ก็อัยย์เสียใจ” บอกออกมาแบบนั้นด้วยตาแดงๆ ที่บอกให้รู้ว่าเค้าเสียใจอย่างที่พูด ผมเองก็เสียใจ เลื่อนฝ่ามือลงมาเกลี่ยที่ใบหน้าช้าๆ ก่อนจะเอื้อมมือปัดเส้นผมยาวที่ละอยู่ข้างแก้มอีกฝ่ายออกให้ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นรอยอะไรบางอย่างที่ทำให้ต้องขมวดคิ้ว

 

“นี่อะไร” จ้องเขม็งไปที่คอของอีกฝ่าย

 

“ห๊ะ” อัยย์ยกมือขึ้นมาจับที่แถวด้านต้นคอของตัวเองอย่างลืมตัว ก่อนสะดุ้งตัวน้อยๆ และดวงตาสวยนั่นก็เบิกกว้างขึ้นตอนที่มองตรงมาที่หน้าของผม

 

“มะ...ไม่มีอะไร” บอกแบบนั้นแล้วขยับปกเสื้อให้มันมาปิดรอยสีจางๆ นั่นเอาไว้ ... แต่ผมเห็นชัดไปแล้ว

 

“นี่อัยย์ไปให้มันเอามาหรอวะ!” เป็นความรู้สึกที่จู่ๆ ก็เลือดขึ้นหน้า จ้องหน้าอีกฝ่ายแบบไม่อยากจะเชื่อ

 

“จันทร์...” เขาที่เรียกชื่อผมเสียงอ่อย และมือเล็กๆ นั่นที่ก็พยายามจะเอื้อมมาจับมือผมเอาไว้อีกครั้ง แต่ผมถอยหนี

 

“ไม่ต้องมาเรียก!”

 

“จันทร์ไม่เอา อย่าเป็นแบบนี้”

 

“อัยย์ มึงแม่ง โง่ฉิบหาย!” ตะคอกออกไปแบบนั้น แค่ได้รู้ว่าคนตรงหน้ากลับไปมีอะไรกับแฟนเก่าที่เลิกกันไปนานแล้วแบบนั้น พูดอะไรไม่ออกแต่โกรธจนมือสั่น คนๆ นึงแม่งจะทำตัวสิ้นคิดได้มากแค่ไหนกันวะ

 

“รู้บ้างไหมว่ามันแค่เอาเฉยๆ มันไม่ได้รู้สึกห่าอะไรนอกจากเงี่ยน!”

 

“แล้วจะให้อัยย์ทำยังไง” เถียงออกมาแบบนั้นพร้อมน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มสองข้างอีกครั้ง น้ำตาที่เมื่อกี้ผมเป็นคนเช็ดมันให้หายไป แต่ตอนนี้กลับไหลลงมาใหม่เพราะเรื่องเดิมๆ และตัวผมเองก็ได้รับคำพูดตอบกลับมาแบบเดิมๆ

 

“อัยย์เคยบอกจันทร์ว่าเสียใจเพราะมันมากแค่ไหน แล้วอัยย์ไปทำเหี้ยอะไรกับมันวะ!”

 

“ก็เรารักเค้าอ่ะ เรารักยอร์ช

 

คำตอบที่ทำเอาผมหน้าชา ผมไล่สายตามองตามรอยจางๆ นั่นแล้วก็สูดลมหายใจ เลื่อนสายตาไปมองมือเล็กที่จับแขนเสื้อของผมเอาไว้พร้อมน้ำตาไหลลงมาแบบกลั้นไม่อยู่

 

“นี่อัยย์มาหาจันทร์ เพื่อมาพูดเรื่องนี้หรอวะ เพื่อบอกว่ารักไอ้เหี้ยนั่นแค่ไหนหรอวะ มาบอกทำเหี้ยไรวะอัยย์!”

 

“ไม่...ฮึก ไม่ คืออัยย์ แค่อยากให้จันทร์เข้าใจ ฮึก อัยย์ไม่อยากเสียจันทร์ไป”

 

“ขอร้องเหอะอัยย์ ถ้าจะมาพูดแค่นี้ก็ไม่ต้องว่ะ เสียเวลาฉิบหาย” ผมบอกออกไปแบบนั้น โดยที่ไม่คิดจะระวังคำพูดเพื่อรักษาน้ำใจของคนตรงหน้า นี่คงเป็นครั้งที่สองในชีวิตของอัยย์ ที่โดนผมพูดใส่ไม่ดีขนาดนี้

 

“ไม่จันทร์ ฮึก...จันทร์พึ่งอย่าไป”

 

“ต่อจากนี้อยากทำอะไรก็ทำไป จันทร์จะไม่ยุ่งกับเรื่องของอัยย์อีก เอาให้พอใจ เชิญโง่ให้พอเหอะว่ะ กูพอละ” พูดจบแค่นั้นแล้วเดินหันหลังออกมา ได้ยินเสียงร้องไห้ดังๆ แบบไม่อายใครดังห่างออกไปจากทางด้านหลังที่ผมพึ่งเดินจากมา ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกอะไรนอกจากออกมาให้ไกลจากตรงนั้น ตรงที่มีอัยย์ยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้น คนที่ผมทิ้งไว้ตรงนั้นเสียใจมากมายแค่ไหนผมไม่รู้

 

แต่ความเสียใจของเค้า มันไม่เคยเท่ากับความเสียใจของผมเลยสักที

 

และครั้งนี้ก็เช่นกัน

 

“เห้ยๆ เกิดไรขึ้นวะไอ้จันทร์” ไอ้ปุ่นลุกขึ้นจากโต๊ะตอนที่ผมเดินเข้ามาคว้ากระเป๋าตัวเองไป

 

“เสียงดังเลยไอ้เหี้ย นั่นพี่อัยย์หรอวะ” ไอ้มีนที่ทำหน้าเลิ่กลั่กหันรีหันขวางแบบไม่รู้จะทำตัวยังไง แต่ผมไม่มีอารมณ์ตอบคำถามของใคร ไม่สนว่าเรื่องราวในวันนี้จะถูกแชร์ส่งต่อมากแค่ไหน เพราะเราทะเลาะกันที่หน้าโรงอาหาร

 

“ไอ้พระจันทร์” ไอ้ปุ่นที่พยายามจะคว้าตัวผมไว้ แต่ผมหลบมันพ้นและสุดจะทนกับตอนนี้

 

“ช่างเรื่องแม่ง!”

 

ตะคอกออกไปแบบนั้น แล้วพาตัวเองเดินออกมาจากตรงนั้น โดยที่ไม่คิดจะหันกลับไปมองมันอีกสักที

 

ปล่อยทุกอย่างทิ้งไว้ตรงนั้น

 

แต่ความเสียใจมันกลับมาอยู่ตรงนี้...

 

...

 

 

“แอมออนเดอะเนคเลวึว! ~”

 

“พอ! ขืนมึงยังร้องประโยคนี้ซ้ำอีกรอบกูโบกหัวมึงทิ่มแน่ไอ้สมุทร” ไอ้มาร์ชที่นั่งอยู่ข้างๆ ตะโกนออกมาใส่หูน้องสมุทรเสียงดัง พร้อมๆ กับที่มันก็ยกฝ่ามือขึ้นมาทำท่าจะง้างมาตบหัวกันจริงๆ เห็นแบบนั้นเลยต้องหุบปากลงทันที

 

เราสองคนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องเรียนที่ตอนนี้ยังไม่มีใครมาเพราะยังไม่ถึงเวลาเข้าคลาส พวกผมก็แค่มาก่อนเพื่อมาตากแอร์เย็นๆ

 

“ให้ทำไงได้วะ ก็ทั้งเพลงกูร้องได้แค่ประโยคเดียวอ่ะ”

 

“มึงจะร้องทั้งเพลงได้แค่ประโยคเดียวก็ได้ แต่มึงจะร้องซ้ำไปซ้ำมาด้วยประโยคเดิมๆ ทุกวินาทีไม่ได้ไอ้สัด มันน่ารำคาญ!”

 

“พ่อ นี่น้องสมุทรไง น้องสมุทรลูกพ่อมาร์ชเองไง ทำไมพ่อต้องใจร้ายกับน้องล่ะ” ช้อนตามองหน้ามันด้วยท่าทางน่าสงสาร ก่อนจะใช้หัวไปไถๆ ตรงไหล่มันแบบออดอ้อน แต่คิดว่าน่าจะเป็นอ้อนมืออ้อนตีนไอ้มาร์ชมากกว่า เพราะมันมองกลับมาแบบสายตารังเกียจกัน

 

“มีลูกแบบมึง กูขอบาย กูจะฆ่าให้ตายยังแต่คลอด”

 

“เอ้า! นี่เฉลยกูแล้วหรอว่าจริงๆ เป็นแม่ไม่ใช่พ่อมาตลอด งื้อ แม่มาร์ช~” ผมแกล้งเบิกตากว้างๆ ผละหัวที่ไถ่อยู่ที่ไหล่มันออกมามองหน้ามันแบบโอเว่อร์ ไอ้มาร์ชเลยหันมาถลึงตาใส่กัน เห็นแบบนั้นแล้วน้องสมุทรก็ชอบอกชอบใจ

 

“สวยจังเลยนะครับเพื่อนครับ แม่มาร์ชคนสวยของน้องสมุทร” หยิกแก้มมันสองข้างแล้วจับส่ายไปส่ายมา ไอ้มาร์ชมันเป็นคนตาโตครับ เวลามันถลึงตาใส่ยิ่งน่ารัก ดวงตาแป๋วแหววที่ติดจะไม่พอใจกัน ดูหยิ่งๆ ดื้อๆ แบบขี้รำคาญ แต่จริงๆ แล้วมันใจดี แล้วก็แคร์เพื่อนแบบน้องสมุทรมากๆ

 

มันเป็นคนที่แคร์ความรู้สึกผมมากกว่าใคร โดยเฉพาะในวันที่ผมไม่แคร์ความรู้สึกของตัวเอง

 

“เลิกกวนตีนกูไอ้เหี้ยนี่”

 

“เอ้าๆ มันฉุนเฉียวอะไรนักวะนั่น อะๆ กูมาแล้วครับเพื่อนครับ แดกน้ำเย็นๆ ชื่นใจก่อนครับมึง เผื่อจะอารมณ์ดีขึ้น” ไอ้จิมที่เปิดประตูเข้ามาใหม่ตะโกนออกมาแบบนั้น วันนี้ก็แต่งตัวมาแบบดูดีเหมือนเดิม เสื้อนักศึกษาทับในกางเกงดูดีสะอาดสะอ้านเช่นเคย ทรงผมทันสมัยของมันยังคงถูกเซตด้วยเจลแต่งผมแบบทุกๆ วัน และใช่ ไอ้ตัวข้างหลังที่เดินตามมันมาก็คงคอนเส็ป หล่อ เซอร์สกปรกเช่นเคย ไอ้เฮงที่ถือถุงลูกชิ้นเจ้าโปรดของมันมา และกำลังเอาไม้จิ้มฟันแคะขี้ฟันเดินตามไอ้จิมเข้ามาแบบชิลๆ

 

“อี๋ สกปรกไอ้สัด” ผมเบ้หน้าใส่ตอนเห็นแบบนั้น

 

“กูแคะฟันกู แล้วกูก็แดกเอง มึงมาเดือดร้อนอะไรด้วยไอ้สมุทร” มันขมวดคิ้วแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผม ก่อนจะยกขาขึ้นนั่งชันเข่าข้างนึงบนเก้าอี้แบบท่านเจ้าพระยาในสมัยก่อน ชอบมากท่านี้ มันบอกนั่งแล้วไข่ไม่โดนทับ เลยชอบนั่ง

 

“มึงกะไม่แบ่งใครกินด้วยเลยว่างั้น”

 

“แล้วมึงกล้าแดกป่ะล่ะ ไม้จิ้มมีไม้เดียว กูใช้แคะขี้ฟันไปแล้ว อะ เอาไปๆ แดกไหมๆ แดกสิ”

 

“อี๋ อย่าเอามา กูไม่เอาแล้วไอ้เหี้ยนี่” ดันถุงลูกชิ้นที่มันพยายามจะยื่นมาให้ออกไปให้ห่าง เฮงซวยจริงๆ สมฉายาของมัน

 

“อะ เอาไป แตงโมปั่นของเพื่อนมาร์ชที่ไลน์สั่งกูเหมือนกูเป็นเจ้าของร้าน รับไปครับไอ้สัด” ไอ้จิมยื่นแก้วแตงโมปั่นที่ถือมาให้ไอ้มาร์ช มันที่เลิกเก๊กแล้วรีบหยิบไปดูดทันที

 

“ชอบมากเลยหรอวะ” ผมถามออกไปแบบนั้น ตอนที่เห็นหน้ามันฟินสุดๆ กับน้ำแตงโมปั่นของมัน

 

“มาก กูชอบ”

 

“ไม่ต้องบอกว่ามึงชอบกูก็เห็น แดกได้ทุกวันไอ้สัด” ไอ้เฮงมองเหยียดใส่แก้วแตงโมปั่นในมือไอ้มาร์ชแล้วว่าออกไปแบบนั้น มันไม่ชอบน้ำแตงโมปั่นของไอ้มาร์ชแบบสุดๆ มันบอกมันไม่ชอบผลไม้สีเขียวแดง

 

“คนไม่ชอบแบบมึงจะไปรู้อะไรไอ้โง่ นี่มันของอร่อย หวานหอม” มันเคลมออกมาแบบนั้น ดูภูมิใจแบบสุดๆ มันเคยบอกน้องสมุทรว่าความฝันของมันตอนเด็กคืออยากมีไร่แตงโมเป็นของตัวเอง ตอนเด็กมันเคยแดกเม็ดแตงโมเข้าไปแล้วคิดว่าลูกแตงโมจะเติบโตในท้อง โถ่ๆ น้องมาร์ชนี่มันน่าเอ็นดู

 

“ว่าแต่มึงไอ้น้องหมุด หนังหน้าดูมีความสุขพิกล” ไอ้จิมนั่งลงข้างๆ ไอ้เฮงอีกที แต่ก็ยังเสนอหน้ามาถามผม ดูขี้เสือกแต่ก็จับความรู้สึกคนอื่นเก่ง

 

“ไม่อยากจะพูดเลยว่ามันอิ่มความสุขจนจะล้นออกปาก จะนอนตะแคงยังไม่ได้เลย มันจะไหลออกทางหู”

 

“สัด เวอร์ฉิบหาย”

 

“ว่าแต่มึงเป็นเหี้ยไร อย่าบอกว่ามึงได้เป็นเมียไอ้พี่พระจันทร์แล้วนะ” ไอ้มาร์ชละสายตาออกมาจากแก้วสุดรักสุดใจของมันแล้วถามออกมาแบบนั้นด้วยใบหน้านิ่งๆ

 

“ก็เหี้ยแล้วไอ้สัด!” ถ้าไม่ใช่เพื่อนกันก็อยากจะด่าว่าไอ้เหี้ย เมียพ่อง! น้องสมุทรอยากเป็นผัวพี่พระจันทร์มาตลอด ถ้าจะเป็นเมียเมื่อไหร่ก็ขอให้ได้ออกมาทำใจตั้งตัวสักแป๊บ แค่กๆ หยอกจ้า ผัวเท่านั้นที่น้องสมุทรต้องการ!

 

“ก็หน้าตามึงดูอิ่มน้ำ ก็นึกว่าได้น้ำสิวะ” ไอ้เฮงสอดปากออกมาทันทีแล้วยกยิ้ม หน้าตาหล่อๆ ของมันวาววับจนอยากจะยกตีนขึ้นมาลูบหน้า เกลียดสายตามากๆ ไอ้เหี้ย

 

“กูไม่ได้น้ำเว้ย แบบกูต้องได้ปล่อยน้ำสิวะ”

 

“อ๋อ ก็อาจจะปล่อยนะ แต่อาจจะปล่อยที่หน้าท้องพี่พระจันทร์” ไอ้จิมทำหน้ากรุ้มกริ้ม ผมอ้าปากพูดเบาๆ แบบไม่มีเสียงส่งไปให้มันว่า ‘K’ ก็ได้รับเสียงตามมาจากมันและไอ้เฮงอย่างชอบใจ

 

“ฮ่าๆๆ”

 

แม่ง ชอบล้อน้องสมุทร ล้อตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าน้องสมุทรอยากได้พี่พระจันทร์คนสวยคะคนสวยขามาเป็นเมีย น่าโมโหจริงๆ

 

“อะๆ หน้างอแล้ว แดกน้ำแตงโมปั่นของกูไหม”

 

“ไม่เอาอ่ะ กูไม่อยากแย่งเด็ก” ยกมือขึ้นดันแก้วแตงโมปั่นแสนรักของไอ้มาร์ชให้กลับไปหามัน ไม่ได้อยากกินเท่าไหร่

 

“เด็กพ่อง กูโตกว่ามึงเยอะครับไอ้หมุด ... ว่าแต่ที่มึงดูมีความสุขแบบนี้ก็เพราะไอ้เหี้ยพี่พระจันทร์หรอวะ”

 

“โปรดอย่าเรียกหวานใจกูว่าไอ้เหี้ยแบบนั้นนะ!”

 

“จริง มึงนี่ไม่รู้เรื่องเลยนะพ่อมาร์ช ไปเรียกอนาคตผัวลูกแบบนั้นได้ไงครับ” พูดออกมาแล้วหันมาพยักหน้าใส่น้องสมุทรหนึ่งที หน้าตาของไอ้เฮงที่เหมือนกำลังถามว่า กูทำดีใช่ไหมเพื่อน ... กวนตีนฉิบหาย อยากหยุมหัวไอ้เฮง

 

“แล้วยังไง วันนี้กูจะได้รู้เรื่องไหมวะ” ไอ้มาร์ชที่เริ่มหงุดหงิด ย่นหัวคิ้วหันไปมองทางไอ้เฮงกับไอ้จิมที่ยักไหล่ใส่แบบไม่สนใจท่าทีของมัน ไอ้สองตัวนั้นที่หยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาแล้วเริ่มตั้งท่าเล่นเกมโดยที่ไม่สนใจเราสองคน ผมหันไปยิ้มให้ไอ้มาร์ชน้อยๆ รู้ดีว่ามันเองก็คงเป็นห่วง

 

“กูมีความสุขดีมึง” บอกมันออกไปแบบนั้น ตอนที่เห็นสายตาของมันที่มองมานิ่งๆ แบบเป็นกังวล

 

“กูมีความสุขที่สุดเท่าที่เคยมีมาในรอบสี่ปีเลย” ผมยิ้มออกไปนิดๆ พรางนึกไปถึงช่วงเวลาสี่ปีก่อน ตอนนั้นมันก็ไม่แย่ แต่การที่ผมได้แต่แอบเดินตาม แอบมองพี่พระจันทร์ตามที่ต่างๆ ของโรงเรียนในตอนนั้น มันเทียบไม่ได้กับตอนนี้เลย ตอนนี้มันเกินความคาดหวังของผมไปเยอะเลย

 

แต่เค้าว่ากันว่า คนเรามันไม่เคยรู้จักพอ ยิ่งได้มากเท่าไหร่ เราก็รู้สึกยิ่งอยากได้มากขึ้นไปอีกเท่านั้น

 

และผมเองก็เป็นคนแบบนั้นเช่นกัน ... ใจจริงในครั้งแรกแค่คิดว่าได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ได้ลองบอกให้เค้ารู้มันก็พอแล้ว แต่พอยิ่งได้ใกล้ชิด เข้าใกล้ สัมผัส หรือแม้แต่ขยับเข้าไปในโลกของเขามากแค่ไหน ผมก็ยิ่งอยากขยับเข้าไปมากขึ้นกว่าเดิม

 

นั่นล่ะคำว่าไม่รู้จักพอ ... แต่ถามว่าความรู้สึกมันเป็นยังไง ก็คงบอกได้ว่า มันมีความสุขสุดๆ ไปเลย

 

“กูได้อยู่ใกล้เค้า และเค้าก็บอกกำลังจะเปิดใจให้กูมากขึ้น มึงว่ากูที่หวังให้มันมีวันนี้มาตลอดจะมีความสุขมากแค่ไหนวะ” หันไปมองหน้าไอ้มาร์ชที่ก็มองสบตากับผมนิ่งๆ สีหน้าที่อ่านไม่ได้ของมันเอาแต่จ้องหน้าผมอยู่แบบนั้น มันเงียบ แต่ผมเลือกที่จะยังคงส่งยิ้มไปให้ อยากให้มันรู้ และไม่เป็นห่วงว่าตอนนี้ผมมีความสุขดีจริงๆ

 

“อืม...ถ้ามึงมีความสุข มันก็ดี” มันพูดออกมาในที่สุดหลังจากที่เงียบไปหลายนาที ก่อนจะถอนสายตาหนีกลับไปนั่งมองกระดาษนิ่งๆ

 

“ขอบใจนะมึง”

 

“เรื่องไรวะ”

 

“ที่มึงอยู่เป็นเพื่อนกูมาตลอดสี่ปี คอยปลอบคอยเป็นกำลังใจดีๆ วันนี้กูมีความสุขสุดๆ เลยอยากขอบคุณมึง” ผมบอกออกไปแบบนั้น แต่ไอ้มาร์ชไม่ได้หันมามอง มองไปที่เสี้ยวหน้าด้านข้างของมันที่ก็ค่อยๆ ยกยิ้มออกมานิดๆ แล้วพยักหน้าเบาๆ

 

“ถ้ามีผัวดีๆ แล้ว กูก็จะได้เลิกห่วงมึงสักที”

 

“ผัวพ่อง กูอยากได้พี่พระจันทร์มาเป็นเมียเถอะโว้ย”

 

“อย่าพยายามให้เหนื่อยเลยไอ้ห่า เสียท่าง่ายๆ เข้าสักวันมึงจะร้องไม่ออกนะ” มันส่ายหน้านิดๆ

 

“แบบกูอ่ะหรอจะร้องไม่ออก กูจะร้องสุดเสียงขึ้นไฮโน๊ตเลยล่ะจะบอกให้” ผมตอบกลับออกไปแบบนั้น ก็ได้รับสายตามองเหยียดกลับมาเป็นคำตอบ โถ่เอ๊ย ไอ้พวกชอบดูถูกน้องสมุทร

 

“นี่ไอ้น้องหมุด มึงทำการบ้านอันนี้มายังวะ ข้อ10ต้องตอบเหี้ยอะไร” ไอ้จิมที่เงยหน้าขึ้นมาจากมือถือ หน้าตาที่เหมือนพึ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมทำการบ้านมาส่ง ตาเป็นประกายวิ้งๆ แบบคนเจอที่พึ่ง ...เป็นกูทุกที

 

“มึงสาบานมาดิว่าแค่ข้อ10”

 

“สาบานให้เกิดอะไรขึ้นกับกูครับเพิ่ล”

 

“ให้มึงเป็นเมียไอ้เฮงถ้ามึงโกหก”

 

“Kไอ้สัด กูยังไม่ได้ทำสักข้อ ขอดูหน่อยคร๊าบบ” แหกปากออกมาเสียงดังพร้อมยกมือไหว้ผมแบบยอมแพ้ ท่าทางแบบนั้นของมันทำเอาผมขำออกมา

 

“ทำไมต้องไม่อยากเป็นเมียกูขนาดนั้นครับคุณกมล” ไอ้เฮงขมวดคิ้วถามไอ้จิมที่ลุกขึ้นมาหยิบสมุดของผมกลับไปลอก ไอ้จิมมองเพื่อนรักของมันตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนตอบ

 

“เพราะคุณชนธัญKเล็กครับ ผมไม่ชอบ”

 

“สัด เดี๋ยวกูเอายัดปาก”

 

“อี๋ มึงนี่แม่งเฮงซวยสกปรกจริงๆ ไอ้สัด”

 

“แค่นี้ทำเป็นรับไม่ได้ ที่พอได้อมไม่เห็นจะพูดงี้”

 

“ไอ้สัดเดี๋ยวกูยันติดพื้น อย่ามาใกล้กูนะไอ้หน้าเหี้ย~~” ไอ้จิมที่ร้องโหยหวนแล้วพยายามเอาตีนดันไอ้เฮงที่ทำท่าจะเข้าไปกอดมันแบบสุดความสามารถ เห็นแล้วสงสาร แต่ไม่ห้ามเพราะสมน้ำหน้ามันดี ... ผมละสายตาจากพวกมันสองคนมา ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นของมันในตอนนี้ ข้อความที่โชว์ขึ้นมา เป็นชื่อสุดเจ๋งที่ผมตั้งเอาไว้สำหรับใครอีกคนที่กำลังทักมาหากันในตอนนี้

 

[[คนสวยของน้องสมุทร: มึงอยู่ไหน] ]

 

[[น้องสมุทรเอง: น้องสมุทรอยู่ในห้องเรียน] ]

 

[[น้องสมุทรเอง: ทักมาก่อนแบบนี้มีใจใช่ป่ะ ยังไง หลงเสน่ห์คนเท่แบบน้องสมุทรแล้วอ่ะดิ] ]

 

[[น้องสมุทรเอง: ยอมเป็นเมียพี่ยังจ๊ะคนสวย] ]

 

ตอบกลับไปแล้วแอ๊วเอินใส่ไปแบบนั้น น้องสมุทรเผลอยิ้มให้กับข้อความของใครอีกคนที่ทักมา แม้จะเป็นเพียงข้อความเดียว แต่น้องสมุทรก็ดีใจ เงยหน้าขึ้นมาจากแชทเพราะอีกฝ่ายยังไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ก็พบกับสายตาสามคู่จอมขี้เสือกที่หันมาจ้องกันตาเขม็ง คือไม่ทำงานทำการเล่นเกมของพวกมึงแล้วหรอครับเพื่อน

 

“มองกูอะไรกันวะ”

 

“มึงยิ้มแป้นแร้นใส่โทรศัพท์” ไอ้จิมว่าพร้อมหรี่ตามองกัน

 

“มึงคุยกับใคร” ไอ้เฮงก็เสริมต่อออกมาแบบนั้น โดยมีไอ้จิมที่นั่งอยู่ข้างๆ มันพยักหน้าเห็นด้วย

 

“ทำไมมึงสองตัวขี้เสือกจังวะ” ด่ามันออกไปแบบนั้น ไอ้จิมก็หันหน้าหนีไปสะกิดกับไอ้เฮงแล้วหันไปคุยกันสองคน

 

“มึงมาพนันกับกูไอ้เฮง กูว่ามันคุยกับพี่พระจันทร์ ใครแพ้จ่ายพันนึง”

 

“Kไรล่ะ ลงข้างเดียวกันแล้วใครจะได้เงิน”

 

ผมเลิกสนใจพวกมันสองคนไป ปล่อยให้มันเถียงไร้สาระไปแบบนั้น หันมามองคนข้างตัวที่มองกันนิดๆ แล้วมันก็ละความสนใจไป ไอ้มาร์ชแค่หยิบโทรศัพท์มากดๆ จิ้มๆ ของมันตามเรื่อง เดาเอาเองว่ามันคงรู้ว่าผมกำลังคุยกับใคร

 

ผมก้มลงไปมองข้อความแชทอีกครั้ง มันถูกอ่านแล้วแต่ยังไม่มีอะไรตอบกลับมา ... หื้ม น้องสมุทรรุกแรงไปหรอวะ พี่พระจันทร์อาจจะเขินใจเต้นรัวเลยหนีหายไปแบบนี้หรอ ฮ้วย! อิหยังนิ

 

[[น้องสมุทรเอง: พี่พระจันทร์ ไม่ชอบที่น้องสมุทรแอ๊วเอินหรอ ขอโทษครับ] ]

 

[[น้องสมุทรเอง: งั้นวันนี้น้องสมุทรไม่เต๊าะแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเต๊าะใหม่ ผ่าม! จัดไปอีกดอก] ]

 

[[คนสวยของน้องสมุทร: สมุทร] ] เค้าตอบกลับมาในที่สุด ด้วยคำสั้นๆ คำเดียว

 

[[น้องสมุทรเอง: จ๋า~~] ]

 

[[คนสวยของน้องสมุทร: มาหากูได้ไหม] ]

 

ผมขมวดคิ้วแปลกใจกับข้อความสั้นๆ ที่ส่งมาแบบนั้น พี่พระจันทร์ไม่เคยเป็นแบบนี้ ถ้าปกติดีคงด่ากลับมาว่ารำคาญ หรืออะไรเถือกๆ นั้น ผมชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะส่งตอบ

 

[[คนสวยของน้องสมุทร: อยู่ไหนครับ] ]

 

[[คนสวยของน้องสมุทร: ใต้คณะมึง] ]

 

ผมปิดแชทข้อความพร้อมๆ กับลุกขึ้นยืดแล้วเก็บกระเป๋า ไอ้มาร์ชวางมือถือของมันลงในตอนที่เห็นผมลุกขึ้นแบบนั้น

 

“มึงจะไปไหน” มันถามออกมานิ่งๆ

 

“กูฝากส่งงานด้วย ยังไงวิชานี้ก็ไม่เช็คชื่ออยู่แล้ว”

 

“เอ้า แล้วมึงจะไปไหนวะ” ไอ้จิมเงยหน้าขึ้นมาจากการลอกงานของผมถามออกมา

 

“มีธุระว่ะ”

 

“ไอ้สมุทร มึงจะไปหาไอ้พี่พระจันทร์ใช่ไหม แต่มึงมีเรียนนะไอ้เหี้ย” ไอ้มาร์ชว่าออกมาเสียงแข็ง ท่าทางที่จะไม่ยอมของมันไม่ได้ทำให้ผมเปลี่ยนใจ

 

“กูต้องไป” ผมตอบออกไปพร้อมมองหน้าพวกมันทุกคนเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง ไอ้เฮงเองก็มองกลับมาด้วยท่าทางที่ดูจะไม่เข้าใจกับการกระทำของผมแต่มันก็เลือกที่จะไม่พูด ... แต่นั่นไม่ใช่กับไอ้มาร์ช

 

“มึงอย่าโง่ให้มากได้ไหมวะสมุทร มึงจะรักแม่งอะไรมากมายนักหนา มึงวิ่งตามมันเป็นหมารู้ตัวบ้างไหม อย่าคิดว่ามึงบอกว่ามีความสุขแล้วกูจะปล่อยไปนะ สิ่งที่มึงทำอยู่มีแค่มึงที่วิ่งตามมัน หัดรักตัวเองบ้างไอ้สัด”

 

“เห้ยๆ มึงใจเย็นๆ ไอ้มาร์ช” เป็นไอ้จิมที่ทำหน้าเลิ่กลั่ก แล้วเอื้อมมือมาตบไหล่มันให้ใจเย็นๆ ผมกับมันจ้องตามองกันอยู่แบบนี้

 

“ก็มึงดูเพื่อนมึงดิ แม่งมีความรักจนโง่!”

 

“บางทีกูคงดูโง่มากเลยใช่มั้ยล่ะในสายตาของพวกมึง แต่กูรักพี่เค้ามาสี่ปีเลยนะเว้ย” ผมแค้นยิ้มออกมานิดๆ ตอนที่มองหน้าพวกมันทุกคน

 

“แล้วตอนนี้กูมีโอกาสมากกว่าเดิมตั้งเท่าไหร่ แล้วมันมีเหตุผลอะไรที่กูจะไม่คว้ามันไว้ว่ะ”

 

“แต่ว่ามึง...” ไอ้มาร์ชที่ทำหน้าไม่พอใจและพยายามจะพูดขัดออกมา

 

“เอาไว้มึงลองมีความรัก แล้วมึงจะเข้าใจเองแหละ ที่คนชอบพูดกันว่าเห็นนรกเป็นสวรรค์ มันเป็นยังไง” อีกคนเงียบลงไปตอนที่ผมพูดออกมาแบบนั้น

 

ปล่อยให้กูได้รักเค้าเถอะ กูก็แค่อยากรักเค้า ไปจนถึงวันสุดท้ายที่กูจะมีโอกาสได้รัก ปล่อยให้กูไปมีความสุขในแบบที่ใครก็มองว่ากูโง่เถอะ” ผมบอกออกไปแบบนั้นแล้วหันหลังเดินออกมา ไอ้มาร์ชที่ลุกขึ้นมา ท่าทางที่เหมือนอยากจะเอื้อมมือมาคว้าตัวของผมเอาไว้ แต่สุดท้ายก็เป็นไอ้เฮงที่ลุกขึ้นมาขวางมันเอาไว้ซะก่อน

 

“ปล่อยมันไปเถอะไอ้มาร์ช”

 

“แต่มึง...”

 

“มันเป็นเพื่อนมึงนะ ... ปล่อยให้มันได้ไปมีความสุขในแบบของมันเถอะว่ะ”

 

...

 

ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ

“พี่พระจันทร์” ผมเรียกชื่อของคนที่ยืนเอาแผ่นหลังพิงกำแพงรออยู่ที่หน้าทางลงบันไดที่ชั้นหนึ่ง ดวงตาคมสวยของเขาก็ช้อนขึ้นมองกันตอนที่ได้ยินเสียงเรียกของผม สายตาคู่คมสวยที่ดูอ่อนล้าและก็แปลกใจนิดๆ ตอนที่มองเห็นผม

 

“รอน้องสมุทรนานไหม” ผมถามออกไปพร้อมส่งยิ้มไปให้ในตอนที่เดินไปถึงตัวเขา พี่พระจันทร์ยังคงมองมาที่หน้าผมไม่เลิกสักที

 

“ทำไมถึงมาวะ” เค้าถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่เข้าใจ น้องสมุทรเองก็งงนิดหน่อยกับคำถามนี้ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังส่งยิ้มออกไปให้ก่อนจะตอบคำถาม

 

“ก็แล้วทำไมถึงจะไม่มาหาพี่พระจันทร์ล่ะครับ”

 

“แค่กูบอกให้มา มึงก็ไม่จำเป็นต้องมา”

 

“ก็แล้วทำไมถึงไม่จำเป็นต้องมาล่ะ พี่พระจันทร์เป็นคนสำคัญของน้องสมุทรนะเว้ย” ผมตอบคำถามนั่นออกไป แล้วมันยากตรงไหนกับคำถามนี้

 

“กับบางคน ต่อให้กูเรียกเค้าแค่ไหน เค้าก็ไม่มาหรอก” พี่พระจันทร์ที่เสหน้าไปทางอื่นพูดออกมาเบาๆ แต่ผมก็ยังคงได้ยินมันอยู่ดี

 

“ก็นั่นมันคนอื่น แต่นี่น้องสมุทรนะ ไม่ว่ายังไงก็ต้องมาหาพี่พระจันทร์ก่อนใครอยู่แล้วสิครับ” เค้าหันมามองหน้าผม เราที่สบตากันอยู่นิ่งๆ แบบนั้น ท่าทางที่เหมือนอยากจะพูดอะไรออกมาของเขา แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ

 

“อยากกินอะไรไหมครับ” ผมเปลี่ยนเรื่องพร้อมส่งยิ้มไปให้เค้าแทน

 

“ว่าไงครับ”

 

“อยากกินน้ำเขียวโซดา” ตอบกลับมานิ่งๆ ใบหน้าอึนๆ ที่บอกอยากกินน้ำเขียวนั่นทำเอาผมหลุดขำออกมา...น่ารักดีเหมือนกันนะพี่พระจันทร์โหมดนี้เนี่ย

 

“ติดใจอะดิ๊ โอเค เดี๋ยวน้องสมุทรไปซื้อให้ เจ้าโรงอาหารน้องสมุทรก็อร่อยไม่แพ้ของบริหารนะบอกก่อน มาๆ ตามน้องสมุทรมาเลยจ้า” บอกออกไปแบบนั้นแล้วคว้าข้อมือของอีกคนเอาไว้ ก่อนจะดึงให้อีกฝ่ายเดินตามมาด้วยกัน

 

“พี่พระจันทร์นั่งรอน้องสมุทรตรงนี้แป๊บ เดี๋ยวไปซื้อมาให้”

 

“ไม่ กูอยากไปด้วย” ผมมองหน้าคนที่ตอบกลับออกมานิ่งๆ อย่างไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายก็พยักหน้าแล้วตามใจเขา คนที่เดินตามกันมาไม่พูดอะไรนอกจากยืนอยู่ข้างๆ และในตอนที่ผมยื่นแก้วน้ำเขียวโซดาไปให้ ก็ทำแค่รับไปดูดเข้าปากเงียบๆ

 

จนตอนนี้ที่เราเดินออกมาถึงลานจอดรถที่พี่พระจันทร์จอดเอาไว้ หรือแม้แต่ตอนที่เข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยแล้ว อีกฝ่ายก็ยังทำแค่ดูดน้ำจากแก้วตัวเองต่อไปแบบนั้น

 

“น้ำเขียวโซดา มันสดชื่นนะ มันจะทำให้เราอารมณ์ดีขึ้น” หันไปบอกคนข้างๆ ตัวเพื่อทำลายความเงียบ และเพราะแบบนั้น พี่พระจันทร์เลยหันมามองหน้ากันสักที

 

“ว่าแต่ เราจะไปไหนกันดีครับ” ผมถามออกไปหันซ้ายหันขวาแบบอยากรู้อยากเห็น พี่พระจันทร์ถอนหายใจออกมานิดๆ ก่อนจะวางแก้วน้ำไว้ที่ช่องวางแก้ว

 

“มึงไม่ถามหรอ”

 

“ถาม ถามอะไรครับ” หันไปถามอีกคนที่กำลังทำสีหน้าที่ไม่สู้ดี

 

“ถามว่าทำไมกูถึงมาหามึงตอนนี้ ถามว่ากูเป็นอะไร”

 

“พี่พระจันทร์คงคิดถึงน้องสมุทรมั้ง” ผมตอบออกมาหน้าระรื่น แล้วขำออกมานิดๆ จินตนาการสำคัญกว่าความจริงนะพูดเลย

 

ผมเอื้อมมือไปจับมือของคนข้างๆ ตัว เค้าหันมามองมือของผมนิดๆ ก่อนที่ฝ่ามืออุ่นนั่นจะกระชับมือของผมให้แน่นมากขึ้น

 

“น้องสมุทรไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องก็ได้นี่จริงไหม ถ้าพี่พระจันทร์อยากบอกเมื่อไหร่ ค่อยรู้ตอนนั้นก็แล้วกัน”

 

“ขอบใจนะ”

 

“อืม เอางี้ดีกว่า เราไปหาข้าวกินกันดีกว่าครับ น้องสมุทรจะพาพี่พระจันทร์ไปเดทเองน้า” ผมยิ้มกว้างแล้วส่งหน้าระรื่นไปให้

 

“เดทอีกแล้ว เดทของมึงเป็นแบบนี้หรอวะ”

 

“ใช่สิ เดทที่พี่พระจันทร์ขับรถให้ แล้วพี่พระจันทร์ก็อาจจะต้องเลี้ยงข้าวน้องสมุทรด้วยนะ เป็นไง เท่ป่ะ” เอียงคอไปถามพร้อมยิ้มกว้างจนตาหยี พี่พระจันทร์มองหน้าผมอยู่แบบนั้น ก่อนที่สุดท้ายเจ้าตัวจะส่ายหัวออกมานิดๆ แอบเห็นมุมปากของอีกคนถูกจุดรอยยิ้มขึ้นมานิดๆ ในตอนนี้ ... พี่พระจันทร์ที่ยิ้มออกมาเป็นอะไรที่ดีต่อใจที่สุดเลย

 

          บรรยากาศภายในรถที่คลายตัวลงมานิดหน่อยหลังจากที่พี่พระจันทร์ยิ้มออกมา ผมเลยเอี้ยวตัวมาทางขวาเพื่อจะหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ตรงกลางช่องวางแก้วน้ำเพื่อยื่นให้พี่พระจันทร์อีกที หวังให้น้ำเขียวโซดาเจ้านี้ทำให้เค้าอารมณ์ดีขึ้นอีกหน่อย แต่อีกคนก็เหมือนจะมีความคิดเดียวกันเพราะแบบนั้นปลายจมูกโด่งของอีกคนถึงชนเข้ากับกับปลายจมูกของผมแบบพอดิบพอดี จังหวะเหมือนในละครที่เคยเห็นบ่อยๆ ก็ไม่คิดว่าพอเป็นชีวิตจริงแล้วมันจะทำให้รู้สึกโหวงๆ ในท้องน้อยแบบที่มีคนเคยบอกเอาไว้ได้จริงๆ ... ผีเสื้อบินรอบท้องน้องสมุทร

 

“อะ เอ่อ...”

 

“กูอยากกินน้ำเขียวโซดา”

 

“เอ่อ น้องสมุทรจะหยิบให้พอดีเลย แหะๆ” กะพริบตาปริบๆ แล้วบอกออกไปแบบนั้นด้วยใบหน้าร้อนๆ เพราะพี่พระจันทร์เอาแต่จ้องมองกันไม่เลิก

 

“อะ น้องสมุทรหยิบให้แล้ว” ยื่นแก้วส่งไปให้ แต่พี่พระจันทร์ก็ไม่ขยับตัวไปหรือรับแก้วจากมือผมสักที เค้าทำแค่ขยับใบหน้าเอียงเข้ามาใกล้ๆ เห็นแบบนั้นก็หลับตาปี๋ลงทันที ทำไงดีกับเหตุการณ์นี้ น้องสมุทรควรเอียงแก้มให้เขาเลยไหม แบบว่าหอมลงมาเลยสิจ๊ะ เอ้ย! ไม่ใช่สิเว้ย

 

“หอมนะ มึงใส่น้ำหอมหรอ” เสียงกระซิบทุ้มต่ำดังอยู่ข้างใบหู รู้สึกร้อนวาบจนขนอ่อนทั่วใบหน้าก็ลุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ลืมตาขึ้นมามองช้าๆ เห็นหน้าพี่พระจันทร์ที่ยังอยู่ใกล้ๆ และก็เป็นเราที่สบตากันอยู่ในตอนนี้ พี่พระจันทร์ยกยิ้มออกมาหนึ่งทีที่ดูจะอารมณ์ดีขึ้นมากกว่าเดิม

 

“แก้มมึงแดงว่ะ” ... กูรู้แล้วจ้า ขยี้กูเพื่ออะไรเอ่ย!

 

“ไปหาอะไรกินกันดีกว่าว่ะ เผื่อมันจะทำให้มึงเลิกแก้มแดงได้” พูดแค่นั้นก็หันตัวกลับไปเข้าเกียร์และออกรถทั้งอย่างนั้น แก้วน้ำเขียวโซดาที่ละเหยจนเป็นไอน้ำเกาะอยู่ข้างขอบแก้วแล้วตอนนี้ แต่เจ้าของมันก็ดูเหมือนเลิกสนใจที่จะกิน

 

“น้ำนั่นไม่กินแล้วนะ เพราะมันหอมไม่เท่าแก้มมึง”

 

จ้า!! ตามสบาย ขยี้ให้หัวใจกูวายตายไปเลยเถอะ!

 

.

.

.


            บรรยากาศของห้างใหญ่ใจกลางเมืองในช่วงเวลาที่ยังไม่เที่ยงแบบนี้ไม่วุ่นวายเท่าไหร่ ผมและพี่พระจันทร์ที่เดินอยู่ข้างกันอย่างไม่เร่งรีบด้วยเพราะว่าเราไม่ได้จะไปทำอะไร เลยเดินเรื่อยๆ มองนั่นมองนี่หาของกินกันไปได้อย่างสบายใจ

 

“มึงแพ้อาหารอะไรไหม”

 

“ไม่นะ น้องสมุทรกินได้ทุกอย่าง กินพี่พระจันทร์ด้วยก็ได้นะจริงๆ” เก๊กหน้าทำหน้าเท่แล้วยกยิ้มมุมปากส่งไปให้ ง่อว มันแสนจะจ๊าบใจ พี่พระจันทร์ที่เดินอยู่ข้างกันหยุดเดินแล้วปรายตามามองหน้านิดๆ

 

“กินเลยไหมล่ะ แต่ถ้ากินไม่ไหว กูกินมึงคืนนะ และรับรองกูกินหมดตัว” ว่าออกมาแบบนั้นด้วยเสียงเหี้ยม ก่อนจะยกวงแขนแกร่งขึ้นมากอดคอผมเอาไว้ พร้อมขยับให้ตัวผมไปชิดเค้ามากขึ้น อยากจะดิ้นหนี แต่ก็สู้แรงไม่ไหว ปัดโถะ

 

“อ๊าก น้องสมุทรหยอก หยอกจ้า~” ร้องออกมาพร้อมหดคอหนี ตอนที่ใบหน้าคมนั่นเอียงเข้ามาใกล้

 

“หยอกก็เรื่องของมึง กูเอาจริง”

 

“ไม่ ไม่เอาจริงสิ”

 

“อย่ามาทำเป็นเล่น ถ้ามึงสู้ไม่ไหวสมุทร” มือข้างที่กอดคอกันไว้ยกขึ้นมายีหัวผมเบาๆ เอาให้หัวกูพอเสียทรง

 

พี่พระจันทร์ไม่ได้พูดอะไรต่อ เค้าทำแค่กอดคอผมเอาไว้แล้วลากให้เดินไปพร้อมกัน โดยที่ไม่มีท่าทีว่าจะเลิกกอดคอกัน แอบช้อนตาขึ้นไปมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่ตอนนี้ก็ยกยิ้มออกมานิดๆ ... เหมือนฝันจริงๆ เลยว่ะ

 

“อยากกินอะไรไหนว่ามาดิ๊”

 

“อยากกินสปาเกตตี แต่เค้าบอกว่าเวลามาเดทอย่ากินเส้น”

 

“ทำไมวะ” พี่พระจันทร์ขมวดคิ้ว ก้มลงมามองหน้า ท่าทางที่ดูไม่เข้าใจมากๆ นั่นทำให้ผมถอนหายใจเซ็งๆ ก่อนจะอธิบาย

 

“ก็เค้าบอกว่ามันจะเลอะเทอะอ่ะดิ แบบดูดๆ เส้นแล้วน้ำสปาเกตตีกระเด็นไปเข้าตาพี่พระจันทร์ทำไงอ่ะ เนี่ย ก็ไม่โอเคป่ะ เดี๋ยวเสียภาพลักษณ์”

 

“คือมึงกลัวเสียภาพลักษณ์ต่อหน้ากู”

 

“ก็ใช่อ่ะดิ” พยักหน้าแข็งขันตอบกลับไปแบบจริงจังสุดๆ แต่อีกคนแค่ทำหน้าละเหี่ยใจส่งมาให้กันแทน

 

“มึงไม่ต้องห่วงหรอก มึงไม่เหลือภาพลักษณ์ตั้งแต่วันที่เมาแล้วเดินมาคล่อมตักจูบปากกูแล้ว นี่ยังไม่รวมที่มึงแบกกีตาร์ไปร้องเพลงที่หน้าคณะกูอีกนะ มึงมาห่วงอะไรเอาห่วงตอนนี้วะ”

 

“เอ่อ...มันก็ไม่ขนาดนั้นป่ะวะ” น้องสมุทรก็แค่เป็นคนจริงใจ กับบางช่วงบางทีก็แค่ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไปแค่นั้นเองอ่ะ

 

“ไปๆ กูจะพาไปกินร้านนั้น เดี๋ยวมึงจะติดใจ”

 

“แต่ว่า...”

 

“ไม่ต้องมางอแง จะกินไม่กิน”

 

“อร่อยแน่นะ”

 

“รับประกัน” ยักคิ้วให้กันหนึ่งทีพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ส่งมาให้ เราสองคนที่เดินเข้ามาในร้านอาหารบรรยากาศดี ที่เน้นโทนสีดำและสีอิฐเป็นหลัก เป็นร้านอาหารสไตล์อิตาเลี่ยนที่คิดว่าราคาไม่น่าจะถูก พี่พระจันทร์จัดการสั่งเมนูสองสามอย่าง โดยที่สั่งสปาเกตตีไข่กุ้งมาให้ผมโดยเฉพาะ

 

“โอ๊ยๆ หิวๆ”

 

“ลองกินดูดิ กูว่ามึงต้องชอบ” พี่พระจันทร์ที่ยกแก้วน้ำข้างตัวขึ้นดื่มด้วยท่วงท่าผู้ดี แขนกับไหล่ทำมุมองศาตกกระทบกับจานตรงหน้าได้มุมแบบสุดๆ เห็นแบบนั้นแล้วรู้สึกเกร็งขึ้นมาทันที

 

“กินไปเหอะ มึงจะเกร็งทำไม ผีเข้าหรอวะ”

 

“ก็ดูพี่ดิ พามาร้านไรวะเนี่ย แล้วเนี่ย เกิดกระเด็นใส่ทำไงอ่ะ” ผมบ่นออกไปนิดๆ แล้วหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ

 

“ถ้ากระเด็นใส่ก็เช็ดสิวะ”

 

“น้องสมุทรกลัวพี่พระจันทร์อาย ไม่อยากทำให้ขายหน้าที่พาคนเด๋อด๋ามาด้วยนี่หว่า” บ่นออกไปแบบนั้นแล้วก้มหน้าลงหมุนเส้นสปาเกตตีในจานเข้าปากแบบเรียบร้อยที่สุดในชีวิต

 

“กูเป็นคนพามึงมากูยังไม่อาย แล้วมึงจะมาอายแทนกูทำไม ตรงนี้ก็มีแค่มึงกับกูไหม สนใจแค่กูก็พอ” เค้าบอกออกมาแบบนั้น สีหน้าที่บอกชัดๆ ว่าไม่สนใจอะไร โดยเฉพาะไม่สนใจใครจริงๆ แม้ว่าตัวเค้าจะดึงดูดความสนใจของสาวๆ นักศึกษาที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตรงมุมนู้น หรือแม้แต่พนักงานที่มารับเมนูที่ส่งยิ้มหวานมาให้ก็ตาม

 

คันยุบยิบในอกจังโว้ย

 

หึ่ย ไม่สนใจแล้ว!

 

ผมก้มหน้าก้มตาลงกินแล้วพบว่า งื้ออ แสงออกปาก!~~

 

“อร่อยใช่ไหมล่ะ”

 

“อากๆ เอย”

 

“เคี้ยวก่อนสิวะแล้วค่อยพูด” บ่นออกมาแบบไม่จริงจัง พร้อมๆ กับยื่นทิชชูมาเช็ดให้ผมที่มุมปาก ผมชะงักนิดๆ ตอนที่โดนทำแบบนั้นให้ เราสบตากัน แต่พี่พระจันทร์เหมือนไม่ได้สนใจอะไร เช็ดปากให้ผมเสร็จ ก็ยื่นมือกลับไปหั่นสเต๊กอกไก่ของตัวเองกินต่อ

 

การกระทำที่เป็นธรรมชาติ ที่ทำให้หัวใจน้องสมุทรทำงานหนักชะมัดเลย

 

“โอ๊ยย อิ่มจนพุงกาง” ผมร้องออกมาแบบนั้นพร้อมลูบท้องตัวเองปอยๆ ตอนที่เราเดินออกมาจากร้านอาหาร ไม่รู้ว่าอาหารมื้อนี้ราคากี่บาท เพราะตอนจะจ่ายเงิน ก็เป็นพี่พระจันทร์ที่หยิบบิลไปก่อน พอถามว่าเท่าไหร่จะได้หารถูก พี่เค้าก็แค่ตอบกลับมาว่า ‘ไม่เป็นไร กูรวย’

 

หึ่ย... อยากตะโกนออกไปว่าชอบจังเลยนะผู้ชายนิสัยรวย! อยากได้เป็นเมีย~~

 

‘ตุบ’

 

“โอ๊ย” ผมร้องออกไปตอนที่โดนตีเข้าที่กลางหลังจากฝีมือคนข้างๆ ตัว ฝันสลายหายไปจากหัวเลยแม่ง

 

“เข้าไปดูเสื้อร้านนั้นกัน” คือเมื่อกี้สะกิดหรอ ... พี่พระจันทร์บอกออกมาแบบนั้นแล้วเดินนำผมเข้าไปในร้าน เป็นร้านเสื้อผ้าแนวสตรีทที่มีลายกราฟิกเท่ๆ เนื้อผ้านิ่มดี คิดว่าเวลาใส่แล้วน่าจะสบาย แอบเดินไปพลิกป้ายราคาดู แล้วกูวางเลย เสื้อเหี้ยอะไรราคาสี่พัน

 

“มึงชอบตัวนั้นหรอ”

 

“เปล่าอ่ะ น้องสมุทรแค่อยากดูราคา” บอกคนที่เดินกลับมาพร้อมเสื้อในมือที่ถืออยู่สองตัว

 

“แพงฉิบหาย” ผมขยับตัวกระดึบๆ ไปกระซิบใส่ข้างหูอีกฝ่ายเบาๆ ไม่อยากพูดเสียงดังเพราะพนักงานยืนเฝ้าเป็นผีเจ้าที่อยู่ใกล้ๆ ผมล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ เวลาที่เราไปเดินซื้อของ แล้วพนักงานจะต้องเดินตามตลอดแบบไม่ไปไหน อยากตะโกนบอกไปว่ากูไม่ขโมยหรอกจ้า ยิ่งทำแบบนี้มันยิ่งอึดอัดจนไม่อยากจะซื้อ เลือกแทนกูเลยไหม ถ้าจะตามติดเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันขนาดนี้

 

“ก็แพง แต่ใส่สบาย”

 

“ถ้าแพงขนาดนี้ก็ไม่เป็นไร น้องสมุทรใส่แบบไม่สบายได้” ฉีกยิ้มกว้างๆ ส่งไปให้ พี่พระจันทร์ยกยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอาเสื้อที่ถือมาทาบไปบนตัว

 

“มึงว่าสีไหนเหมาะกับกู” เสื้อลายกราฟิกเท่ๆ ที่ตัวนึงเป็นพื้นหลังสีดำ กับอีกตัวเป็นพื้นสีขาว ต่างกันก็แค่ตรงนั้น ถ้าพูดกันตามตรง ที่เค้าบอกว่า ถ้าไม้แขวนดี ใส่อะไรก็ดูดี ผมพึ่งเข้าใจวันนี้ว่ามันเป็นเรื่องจริง

 

จะสีดำสีขาว ก็ดูดีมันทั้งหมด

 

“อืม...จริงๆ ก็ดูดีทั้งสองสีเลยนะ แต่น้องสมุทรว่าพี่พระจันทร์ใส่สีดำดูขึ้นกว่านะ” ต้องยอมรับจริงๆ ว่าพอเป็นสีดำแล้วคนตรงหน้าดูเท่ขึ้นมาจนผมปฏิเสธไม่ได้ ไม่รู้ว่ามันนานแค่ไหนแล้วที่ความรู้สึกของผมยอมรับออกมาแบบนั้น กลิ่นอายที่ผมเคยนึกถึงคนผมสีชมพูมันต่างออกไปมากๆ แต่ถึงแบบนั้นคนตรงหน้าของผมในตอนนี้ ก็กลายเป็นคนที่ทำให้ใจสั่นอยู่ดี

 

“โอเค งั้นเอาตัวนี้ครับ” พี่พระจันทร์หันไปยื่นเสื้อให้พนักงาน ไม่ได้คิดว่าเค้าจะยอมเชื่อในความคิดของผมเลยจริงๆ

 

“ส่วนตัวนี้ก็เอา”

 

“อ้าว พี่พระจันทร์จะซื้อฝากพี่ทิตย์หรอครับ”

 

“มันไม่ใส่หรอกเสื้อผ้าสีปกติ เป็นมันต้องเขียวหรือสายรุ้ง” เบ้หน้าออกมาตอนที่พูดถึงน้องชายฝาแฝดของตัวเอง

 

“ตัวสีขาวเอาไซต์น้องคนนี้นะครับ” พี่พระจันทร์หันไปบอกพนักงานพร้อมชี้มือมาทางผม

 

“เห้ย พี่พระจันทร์ครับ...” ร้องออกไปแบบนั้น แต่คนข้างๆ ตัวก็เดินเข้าไปยื่นบัตรให้พนักงานรูดเรียบร้อยหน้าตาเฉย เค้าเดินกลับมาหาผมตอนที่มีถุงกระดาษสองถุงอยู่ในมือเรียบร้อย ก่อนเจ้าตัวจะยืนถุงกระดาษใบนึงส่งมาให้ผม

 

“ถ้ามึงจะคิดมากเรื่องราคา ก็ถือว่าตอบแทนกับเจ้านี่เป็นไง” พูดออกมาแบบนั้นพร้อมยกข้อมือขึ้นมาให้ผมดู เห็นสร้อยเชือกสีดำถูกสวมอยู่ที่ตรงนั้น สร้อยเส้นที่ผมให้ไว้กับพี่เค้า

 

“มันเทียบกันได้ที่ไหนเล่า”

 

“ทำไมจะเทียบกันไม่ได้วะ” เลิกคิ้วมองหน้าผมที่ตอนนี้ก็เอาแต่ทำหน้างอ ของแพงแบบนั้นใครมันจะไปกล้ารับกันล่ะวะ

 

“ก็ของที่ผมซื้อให้พี่มันแค่ไม่กี่บาท แต่เสื้อนี่มันตั้งสี่พันเลยนะครับ”

 

“แล้วมึงเป็นไรต้องเทียบของกับราคาวะ มึงให้สร้อยนี่กับกูด้วยใจไม่ใช่หรอวะ แล้วมันจะเป็นอะไรมากไหม ถ้ากูจะให้คืนกลับไปบ้าง” เค้าพูดออกมาแบบนั้น ทั้งๆ ที่มือก็ยังยื่นของถุงนั้นมาให้ผม ก้มหน้ามองมันนิ่งๆ แบบไม่กล้าที่จะรับ แม้จะรู้สึกเขินแปลกๆ กับคำพูดก่อนหน้าของพี่พระจันทร์ก็ตาม

 

“มึงกล้าปฏิเสธใจกูหรอวะ”

 

“ก็ถ้าพี่จะทำแบบนี้แล้วผมจะไม่รับได้ยังไงเล่า” ย่นหน้าใส่อีกคนนิดๆ แล้วเอื้อมมือไปรับถุงนั้นมากอดเอาไว้ มองเห็นเสื้อสีขาวลายเดียวกันกับเสื้อของพี่พระจันทร์อยู่ในถุง อดที่จะอมยิ้มออกมาไม่ได้เลยจริงๆ

 

“แบบนี้ เราก็ใส่เสื้อคู่กันไปงานไอ้เหี้ยยอร์ชได้แล้ว ส่วนเสื้อของมันที่ให้มึงมาก็เอาไปทำผ้าเช็ดตีนซะนะ ของสกปรก”

 

บอกออกมาแบบนั้นแล้วยิ้มออกมานิดๆ ....

 

ไอ้ท่าทางร้ายๆ แบบนี้มันเรียกว่าอะไรกันวะเนี่ย

 

#รักอยู่รู้ยัง

--------------------------------------

 



ขยับเข้ามาใกล้กันอีกสักนิดนึง อีกนิดดดด ... ถามใจตัวเองอีกที ว่าไม่มีน้องสมุทรอยู่ในความคิดแน่หรออิตาพระเอก!

แล้วก็อยากพูดถึงตัวละครของน้องสมุทรสักหน่อย น้องเป็นคนที่เต็มที่กับความรู้สึกของตัวเองมากๆ

และเป็นคนที่ค่อนข้างยึดติดกับความคิดของตัวเอง และในบางครั้งมันเลยทำให้น้องดูซื่อบื้อ และหัวทึบอยู่สักหน่อย

แต่เพราะเป็นคนที่มุ่งไปตามความรู้สึกของตัวเองเสมอ แคทเลยเขียนออกมาในรูปแบบนี้ค่ะ

แคทอยากให้ทุกคนได้เห็นพัฒนาการของน้องต่อจากนี้ ว่าสักวัน น้องจะข้ามสมุทรของตัวเองไปได้จริงๆ

ปล. ฝากแฮชแท็ค #รักอยู่รู้ยัง ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ

ฝากคนอ่านช่วยแชร์ ช่วยรีวิวบอกต่อนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ

แล้วก็ต้องขอโทษจริงๆที่วันส.ที่แล้วไม่ได้มาอัพต่อ พอดีดาวน์มากๆเรื่องคุณแตงโม นอนไม่หลับ ฝันยังเห็นแต่น้ำเลยค่ะ

แล้วก็ หลังจากนี้แคทตั้งใจจะอัพนิยายอาทิตย์ละ2ครั้ง หรือถ้ามาไม่ได้จริงๆ เราจะเจอกันยืนพื้นในทุกๆวันส.เช่นเดิม

ยังไงฝากทุกคนติดตามเรื่องนี้ต่อด้วยนะคะ แคทฝากจริงๆค่ะ

บางทีก็ถามตัวเองว่า จะทำยังไงให้คนอ่านกลับมาเหมือนเรื่องอื่นๆเค้า แต่ก็ยังหาคำตอบไม่เจอเลย

ได้แต่จะพยายาม แต่ก็ไม่รู้ว่ามันดีพอไหม ...


ขอขอบคุณคนอ่านจากทางเล้าเสมอที่ยังอยู่ด้วยกันในทุกๆตอนที่ผ่านมานะคะ

:o8: :-[ :impress2:
อยู่ด้วยกันมาทุกตอน ขอบคุณมากๆนะคะ

งุ้ยยยยยยยยย  :katai2-1: :katai2-1:
แคทหวังว่าจะชอบนะคะ มาอ่านอีกน้า

มาขัดอีกล่ะ
เอ้อ มาทำไม มาเอาอะไรรรรร :hao7:



ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ

บทที่13



ยังมีความรักให้เธอผู้เดียว ตั้งแต่แรกเจอ

ในใจพร่ำเพ้อละเมอถึงเธอ ทุกคืนหลับฝัน

แค่เพียงรอยยิ้มที่มันเบาบางทุกทีที่เจอ ฉันมีแต่เธอไม่อาจเปลี่ยนผัน

ยังมีความรักให้เธอผู้เดียว แม้นานเท่าใด ไม่ว่าท้องฟ้าจะเป็นเช่นไร ก็ไม่เปลี่ยนฉัน

และยังคงหวังว่ามีสักวันที่เธอเปิดใจ แม้จะวันใดฉันรอเพียงเธอ



‘ติง ติง ติ๊ง ติง ติง’



          เสียงกีตาร์ที่ถูกเล่นไปตามจังหวะของท่วงทำนอง เสียงใสๆ ที่ถูกเปร่งออกมาจากริมฝีปากสวยที่ทำให้ไม่สามารถละสายตาออกจากภาพตรงหน้าไปได้ ...จนกระทั่งเมื่อนิ้วเรียวดีดจังหวะถึงท่อนสุดท้ายของเพลง ก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่าเพลงที่กำลังฟังอยู่ได้จบลงไปแล้ว มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คนที่นั่งอยู่บนเตียงลุกขึ้นเดินไปเก็บกีตาร์ลงบนข้าตั้งกีตาร์อย่างทนุถนอมนั่นล่ะถึงได้มีสติขึ้นมา



ดูเหมือนว่ากีตาร์ตัวนั้นจะเป็นของรักของหวง



“น้องสมุทรร้องเพราะไหม”



“อืม” ตอบรับออกไปแค่นั้น อีกฝ่ายก็สาวเท้าเดินเข้ามาใกล้กัน ผมที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานที่มุมห้องของมันได้แต่มองตามเจ้าของห้องที่ตอนนี้กำลังโน้มตัวก้มลงมาจ้องหน้ากันใกล้ๆ พร้อมรอยยิ้มในแบบที่มันชอบทำ



“น้องสมุทรร้องให้พี่พระจันทร์เลยนะ ร้องจีบล่ะ” ว่าออกมาแบบนั้นแล้วทำสายตาวิบวับส่งมาให้พร้อมพยายามจะยกยิ้มมุมปากเท่ๆ มันคงคิดว่าเป็นสายตาและท่าทางที่จะทำให้ใจสั่น ... แต่มองยังไงมันก็ห่างไกลคำว่าแสนเท่ไปเยอะ



“เนื้อเพลงทั้งหมดคือความในใจน้องสมุทรเลยนะ จะช่วยทำหน้าไหวหวั่นให้กันหน่อยไม่ได้รึไง”



“ไหวหวั่นอะไรของมึง” ผมบอกออกไปแบบนั้น แล้วยกมือไปดันหน้าไอ้เด็กที่เอาแต่ยื่นหน้าเข้ามาหากันเรื่อยๆ เป็นท่าทีหลอกล่อที่ตั้งใจทำให้ผมกระโจนเข้าใส่มันได้ง่ายๆ แต่ในครั้งนี้ไม่อยากทำแบบนั้น ... รู้สึกเป็นคนไม่ดีที่จะล่อลวงเด็กมากไป โดยเฉพาะเด็กที่ในหัวคิดอะไรง่ายๆ และใสซื่อแบบมัน



ผมเลือกจะละสายตาออกจากใบหน้าใสซื่อนั่นแล้วเลือกจะมองไปรอบๆ ห้องแทน หลังจากเดินห้างจนพอใจ สุดท้ายก็ไม่มีที่ไปแล้วมาจบลงที่ตรงนี้ ...บ้านของมัน ห้องนอนของมันที่ครั้งนึงเคยมาแล้ว แต่ตอนนั้นไม่ได้ใส่ใจจะมอง



ห้องนอนขนาดไม่ใหญ่เมื่อเทียบกับห้องนอนของผม แต่มันถูกจัดแต่งออกมาได้อย่างน่ามอง เป็นห้องนอนสไตล์มินิมอลที่เดี๋ยวนี้คนชอบกัน ผนังห้องสีโทนอุ่น มีผ้าม่านสีอ่อนยาวจากเพดานจรดพื้นพร้อมด้วยไฟตกแต่งเป็นรูปดาวกับพระจันทร์หอยเรียงกันลงมาเป็นเหมือนโมบายเรียงรายตลอดแนวผ้าม่านอย่างเป็นระเบียบ เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นที่ทำให้ห้องดูโปร่งสบายส่วนใหญ่เป็นเฟอร์นิเจอร์ทำจากไม้และชั้นวางของแบบติดผนังก็วางกรอบรูปเล็กๆ และดอกไม้ประดับสีสดใส โต๊ะทำงานของมันถูกตั้งวางไว้ที่สุดมุมห้องใกล้ระเบียงที่สามารถเปิดออกไปได้ มีต้นไม้ปลอมถูกจัดใส่กระถางวางอยู่ใกล้ๆ ขาโต๊ะ บนโต๊ะมองเห็นหนังสือคอร์ดเพลงสมัยเก่าถูกจัดวางเรียงคู่กันกับหนังสือเรียนอีกหลายเล่มอย่างเป็นระเบียบ และตามมุมห้องถูกเพิ่มสีเขียวของต้นไม้ปลอมอีกหลายชิ้นให้ดูน่ามองมากขึ้นกว่าเดิม และที่สำคัญที่สุดในห้องนี้คงจะเป็นกีตาร์ตัวโปรดของมันที่ถูกวางไว้บนขาตั้งกีตาร์อย่างดีที่ข้างเตียงนอนนั่น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้ให้บรรยากาศอบอุ่น มีระเบียบ และสดใสไม่ต่างจากเจ้าของห้อง



“มึงชอบกีตาร์หรอ”



“ครับ น้องสมุทรชอบมากเลย” มันฉีกยิ้มกว้างออกมาตอนที่ตอบคำถามของผม สมุทรละสายตาจากหน้าของผมไปมองกีตาร์ตัวนั้นอีกครั้งก่อนจะเปิดปากพูดต่อ



“ที่ชอบมากๆ ก็เพราะว่าพ่อน้องสมุทรเป็นคนสอนเล่น” สายตาเป็นประกายขึ้นมาตอนที่ได้พูดถึงพ่อ



“กีตาร์ตัวนั้นก็เป็นของพ่อนะครับ แล้วพวกหนังสือเพลงเก่าๆ บนโต๊ะนั่นก็เป็นของพ่อด้วยเหมือนกัน น้องสมุทรชอบเอามาแกะคอร์ดเล่น”



“มึงคงสนิทกับพ่อมาก” เห็นท่าทางของมันแล้วก็อดพูดออกมาไม่ได้ สีหน้าแล้วสายตาเป็นประกายมีความสุขอย่างปิดไม่มิด



“พ่อเป็นไอดอลของน้องสมุทร เป็นผู้ชายที่เข้มแข็ง ใจดี แล้วคอยปกป้องน้องสมุทรและครอบครัวเราเสมอเลย” ยิ้มจนตาปิดตอนที่เล่าออกมาแบบนั้น ผมที่มองมันจากตรงนี้ เหมือนได้รู้เรื่องราวของมันมากขึ้นอีกในตอนนี้



“จนถึงวันสุดท้ายที่พ่อจากไป ก็ยังคงบอกว่าไม่เป็นไรเลย เค้าเลือกจะปกป้องความรู้สึกของผมไว้ล่ะ”



“ขอโทษทีที่ถาม” เบอกมันไปแบบนั้น ไม่ได้ต้องการไปรื้อฟืนการสูญเสียของใคร เพราะการพูดถึงคนที่จากไป คงไม่ใช่เรื่องสุขใจสำหรับคนที่สูญเสียนักหรอก



“ไม่เป็นไรเลยครับๆ” หันมาโบกไม้โบกมือปฏิเสธผมด้วยเสียงที่ร่าเริงก่อนมันจะพูดต่อ



“การที่ได้นึกถึงคนที่เรารักแต่อยู่ด้วยกันไม่ได้อีกแล้ว มันก็ไม่ได้แย่นักหรอกครับ เพราะอย่างน้อยเรื่องราวดีๆ ที่เคยมี มันยังทำให้น้องสมุทรได้คิดถึง”



“คิดถึง แต่กลับมาไม่ได้ คว้าเอาไว้เค้าก็ไม่อยู่แล้วแบบนั้น มันไม่ยิ่งทำให้เจ็บปวดหรอวะ” ฟังแล้วอดแย้งออกมาแบบนั้นไม่ได้ เพราะมันไม่จริงหรอกกับคำว่าไม่เสียใจจากสิ่งที่สำคัญของเราแต่ตอนนี้ไม่มีมันอยู่แล้ว ... ไม่ว่ายังไงมันก็ต้องเจ็บอยู่แล้ว



“พ่อเคยบอกน้องสมุทรว่า คนที่เรารักเค้าไม่เคยจากเราไปไหน มันแค่อยู่ที่ว่า เราจะเลือกเก็บเค้าเอาไว้ที่ตรงไหน เพื่อให้ชีวิตเราไปต่อได้ก็แค่นั้นเอง” มันว่าออกมาง่ายๆ เป็นคำพูดสบายๆ ที่ทำให้ใจผมกระตุก สมุทรละสายตาจากกีตาร์ตัวโปรดแล้วหันมามองหน้ากันอีกครั้งพร้อมส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้ผม สายตาท่าทางที่มองตรงมาทำให้ผมต้องเสตาหลบแล้วถอนหายใจหนักๆ ออกมาอีกที ... รู้สึกสับสนมากกว่าทุกที มากกว่าครั้งไหนๆ ในชีวิตนี้ที่เคยเป็น



“หรอ” ไม่มีคำพูดดีๆ จะตอบกลับไปมากกว่านั้น แต่เหมือนได้ตกตะกอนบางอย่างจากปากเล็กๆ นั่นที่เอาแต่พูดเรื่องที่น่าเศร้าออกมาอย่างมีความสุข เป็นคนตัวเล็กที่ดูเข้มแข็งมากกว่าที่คิด



“สมุทร”



“หื้ม ว่าไงครับ” เลิกคิ้วแล้วเอียงคอมองผมอย่างสงสัย เห็นแบบนั้นก็เดินขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆ มัน



“กูเข้ามาใกล้มึงขนาดนี้ มึงไม่รู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบบ้างหรอวะ” จ้องตาเด็กตรงหน้าที่ก็มองตอบกลับมาด้วยแววตาใสซื่อแบบไม่ได้แกล้งทำส่งมาให้เหมือนเดิม



“เสียเปรียบอะไรของพี่วะ นี่มันคือกำไรของน้องสมุทรต่างหากเล่า” ยิ้มออกมาพร้อมขำนิดๆ ท่าทางที่เหมือนกำลังบอกว่าผมพูดเรื่องไร้สาระอะไร ทำเอาต้องถอนหายใจ



“กับการที่สุดท้ายแล้วกูไม่รู้สึกอะไร จะไม่ทำให้มึงยิ่งเสียใจหรอวะ ถลำลึกมากๆ กูรู้ดีว่ามันมีแต่จะเจ็บ” กับเรื่องราวของตัวเอง พอมองมาที่สมุทรแล้ว สุดท้ายก็คิดว่าควรจะพูด ถึงยังไงผมก็โตกว่ามัน และเด็กที่ไม่คิดอะไรแบบมัน กลัวว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นมันที่ต้องเสียใจ



“เป็นห่วงน้องสมุทรหรอ”



“สมุทร” เป็นเรียกชื่อมันออกมาด้วยเสียงดุๆ ปนเหนื่อยใจ ใช่เวลาไหมกับการที่จะหยอดจีบกู



“ถามว่าเป็นห่วงน้องสมุทรหรอ” มันยังคงถามย้ำออกมาด้วยคำถามเดิม ผมถอนหายใจหน่อยๆ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยความจริง ... ยิ่งรู้จักมันมากขึ้นเท่าไหร่ ความรู้สึกที่เริ่มต้นตอนแรกกับมัน ตอนนี้มันกลับไม่เหมือนเดิม



“วันนี้กูเจออัยย์มา”



“อ๋า” มันตอบรับออกมาแค่นั้น ไม่มีท่าทางตกใจกับคำบอกเล่าที่ผมพึ่งบอกว่าเจอกับใครอีกคนนึงมาสักนิด



“กูเลยรู้ว่ามันไม่ง่ายเลยสมุทร ไม่รู้ดิ...ตอนนี้กูแค่ไม่อยากเป็นคนที่ทำให้มึงเจ็บ กูรู้ดีว่าความรู้สึกที่ต้องเจอแบบนั้นมันแย่แค่ไหน” บอกกับมันออกไปตรงๆ ผมไม่เข้าใจตัวเองดีขนาดนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ความสัมพันธ์กับคนตรงหน้ามันก้าวไปแค่ไหน แต่รู้แค่ว่า ผมไม่อยากให้มันต้องเสียใจ



ไม่มีคำพูดคุยอะไรออกมาจากปากของเราสองคนเพิ่มเติมต่อจากนี้ เหมือนเป็นช่วงเวลาหลายนาทีที่ความเงียบเข้าครอบคลุม และในทีสุดก็เป็นมันที่ขยับตัวเข้ามาหากันให้ใกล้กว่าเดิม ผมมองหน้าเด็กตาซื่อหน้าใสที่ควรจะถอยออกห่างกันให้ไกล แต่เป็นมันที่ขยับเข้ามาใกล้กันอีกแล้ว



“แล้วทำไมถึงมาหาน้องสมุทรล่ะครับ” นั่นสิ



“น้องสมุทรรู้ว่าพี่พระจันทร์มีตัวเลือกมากพอที่ไม่ต้องมาหาน้องสมุทรก็ได้ ... แต่ทำไมสุดท้ายยังมาหากันล่ะ” ฝ่ามือเรียวที่ช้อนใบหน้าของผมให้มองตรงมาที่มัน สมุทรยิ้มออกมาน้อยๆ รอยยิ้มอบอุ่นที่ทำให้หัวใจของผมสั่นแปลกๆ กับท่าที การกระทำที่เข้าใกล้กันมากอีกนิดนึง ริมฝีปากอิ่มแนบลงมาที่ริมฝีปากของผมเบาๆ ท่าทางเงอะงะของคนที่จูบไม่เก่ง แต่ก็ยังอยากจะทำ



“ก็แค่...” หยุดคำพูดลงที่ตรงนี้ สายตาที่มองกันแบบรอลุ้นคำตอบ ผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบเป็นคำไหนที่จะตรงกับใจของมัน



“อยู่กับมึงแล้วสบายใจดี” เลือกคำตอบที่ตรงใจที่สุดในตอนนี้ คนตรงหน้าที่วูบนึงสายตาของมันวูบไหว แต่ก็แว๊บเดียวเท่านั้น ก่อนที่ตาใสจะมีประกายสดใสขึ้นมาเหมือนกัน มันยิ้มออกมากว้างๆ



“พี่พระจันทร์”



“อะไร”



“ไม่รู้ตัวบ้างหรอครับ ... พัฒนาขึ้นเยอะเลยนะ ความสัมพันธ์ของเราสองคนน่ะ” มันบอกออกมาแบบนั้นแล้วส่งยิ้มให้กันกว้างขึ้นอีกหน่อย หัวใจของผมถูกบีบรัดขึ้นทีละนิด สบสายตาใสที่เหมือนน้ำเย็นๆ ที่สาดใส่กัน เป็นความรู้สึกที่เหมือนคนพึ่งโดนสะกิดให้เริ่มรู้ตัว ...



ขยับใกล้กันมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ...อาจจะเป็นตอนนี้มั้ง



ตอนที่ริมฝีปากของเด็กดื้อช่างตื๊อที่มีความมั่นใจมากๆ แบบมัน แนบลงมาที่ริมฝีปากของผมเบาๆ ท่าทางเงอะงะของคนที่ไม่เป็นงานแต่ก็ยังอยากจะทำตามใจตัวเอง เอื้อมมือไปกอดรอบเอวบางให้ขยับตัวเข้ามาใกล้กันมากกว่าเก่า แล้วปล่อยให้สมุทรนำทางไปตามใจที่มันต้องการ



“งั้นคืนนี้กูนอนนี่ได้ไหมวะ”



“ถ้าสบายใจแบบนั้น ก็นอนนี่เถอะครับ” สบตาให้กันแล้วยิ้มออกมานิดๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือความสบายใจของผมในตอนนี้



...



           ลงมาจากรถคันหรูในช่วงเที่ยงของวันศุกร์ รู้สึกสบายตูดเพราะไม่ต้องไปเบียดกับใครบนรถไฟฟ้า เพราะวันนี้มีคนขับมาส่งกันถึงหน้าคณะ บอกแล้วว่าจะเดินเข้ามาเอง แต่ติดตรงเจ้าของรถก็เอาแต่ถลึงตาใส่กันแล้วบอกกันสั้นๆ ว่า ‘อย่าดื้อ’ พูดมาขนาดนั้นแล้วก็เลยตามใจ เพราะน้องสมุทรน่ะเป็นพ่อบ้านใจกล้า ไม่ดื้อไม่สนกับคนสวยหรอกกูน่ะ



“ทำไมมาช้าจังวะวันนี้” ไอ้เฮงเจ้าเก่าเจ้าเดิมนั่งชันขายกขึ้นมากับม้าหินอ่อนใต้ต้นหูกวางแบบเดิมอย่างสบายใจ ท่านั่งที่ทำให้ไข่ได้รับลมแบบที่มันชอบ



“รถติดว่ะ”



“ทำไมน้องหมุดถึงรถติดได้ครับ รถไฟฟ้ามีไฟแดงหราสาด” ไอ้จิมที่พึ่งเดินเข้ามาก็เปิดปากเสือกเลย สองมือของมันหอบของกินมาเต็มแขน ดูก็รู้ว่ามีของกินของไอ้เฮงอยู่ด้วย



“เสือกจังวะจิ๋ม”



“จิมไอ้สัด จิ๋มนั่นแม่กูครับ” ว่าพร้อมเอื้อมมือมาตบหัวผมไปทีนึง เจ็บฉิบหาย ล้อนิดล้อหน่อยแค่นี้ต้องทำร้ายกัน ผมทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ไอ้มาร์ช มันที่นั่งอยู่นั่นมาตลอดแต่ก็ยังเงียบ เอื้อมมือไปกอดไหล่มันเหมือนปกติที่ชอบทำ



“เห้ย เงียบทำเหี้ยไรสาด” พยักหน้าให้มันไปที



“ก็เปล่า...” ว่าออกมาแบบนั้น บรรยากาศเงียบๆ ก็โรยตัวลงมาระหว่างเราสองคน น่าอึดอัดนิดหน่อยแต่น้องสมุทรก็ยังเลือกที่จะมองเมินมันไปแบบนั้น แล้วทำทุกอย่างให้ปกติ



“สมุทร”



“ว่าไงครับพ่อมาร์ช เป็นอะไรไอ้เหี้ยเรียกเสียงกูจริงจังเลย”



“เอาล่ะ กูจะทำเป็นตาบอด” ไอ้จิมว่าทะเล้นออกมาแล้วพยักหน้าพูดกับไอ้เฮง



“งั้นกูหูหนวก”



“หูหนวกแล้วพูดออกมาได้ไงวะไอ้โง่”



“เออน่า เรื่องกู หันมานี่ไอ้เหี้ยจิม เสนอหน้าไปมองเค้าทำเหี้ยไร” ไอ้เฮงที่เอื้อมมือไปกอดคอไอ้จิมให้หันหน้าไปอีกทาง มันสองคนที่เริ่มต้นแบ่งลูกชิ้นกินกันแล้วก็หันหลังให้ผมกับไอ้มาร์ช



“กูขอโทษนะมึง” ผมหันไปมองหน้าคนข้างตัวที่พูดออกมาแบบนั้น สีหน้าท่าทางที่ดูจะรู้สึกไม่ค่อยดีของมันทำให้ผมพลอยอึดอัดไปด้วย



“จริงๆ มึงไม่จำเป็นต้องขอโทษกูหรอก กูรู้มึงเป็นห่วงกู”



“อืม กูห่วง แต่บางทีก็ลืมว่าหน้าที่เพื่อนมันควรจะทำได้แค่ไหน” มันสบตากับผมตรงๆ แล้วบอกออกมาแบบนั้น



“กูก็อยากให้มึงเจอกับคนที่ดี คนที่มึงจะใช้ทุกความรู้สึกของมึงให้เค้าอย่างมีค่า”



“กูไม่รู้เรื่องอะไรพวกนั้นหรอกว่ะ ไม่รู้ว่าให้ใครไปแล้วจะมีค่ามากกว่ากัน แต่กูก็แค่เลือกให้คนที่กูรู้สึกมากที่สุดก็แค่นั้น”



“แล้วคนนั้นก็คือพี่พระจันทร์” มันเลิกคิ้วถามกัน เหมือนเป็นคำถามที่จริงๆ ตัวมันก็มีคำตอบอยู่แล้ว แต่เหมือนแค่อยากได้ยินจากปากผมชัดๆ อีกที เพราะแบบนั้นเลยเลือกจะตอบมันไป



“ใช่”



“แล้วมึงจะทำยังไงกับใครอีกคนวะ”



“มึงหมายถึง”



“ก็ไอ้พี่ยอร์ชไง มันก็ดูจริงจังกับมึงนะ แล้วกูก็คิดว่ามันก็ไม่ได้แย่”



“มึงดูเชียร์พี่ยอร์ชนะ” ผมถามตอนที่เห็นหน้าตากระตือรือร้นของมันที่อยากจะพูดถึงใครอีกคนที่จริงๆ มันเองก็ไม่น่าจะสนิทอะไร



“ก็...มันก็ดูชอบมึงจริงๆ แล้วก็เป็นคนที่กล้าเข้าหามึงโดยที่มึงไม่ต้องวิ่งตาม”



“เอาจริงๆ เหมือนมึงตะล่อมกูอ่ะ” หรี่ตามองหน้ามันแบบขอคำตอบ



“มึงก็บอกความจริงมันไปสิไอ้เหี้ย” ไอ้เฮงที่หันมาเสือก แล้วโพร่งออกมาแบบนั้น ผมเลิกคิ้วถามมัน แต่ยังไม่ทันได้คำตอบอะไร ไอ้เฮงก็โดนไอ้จิมตบหัวแรงๆ หนึ่งที



“มึงหูหนวกอยู่ไอ้เหี้ย”



“อ่อขอโทษ กูลืมบท”



“ไม่ต้องเล่นบทแล้วไอ้เหี้ย สรุปมีไร” ผมแหวใส่พวกมันที่ทำท่าทีมีลับลมคมในกันจนออกนอกหนา ปรายตามองไอ้มาร์ชที่ยกมือขึ้นเกาหัวนิดๆ



“ยังไง”



“ก็แค่...พี่มันเส้นกู...”



“กับกู”



“และก็กู”



“ด้วยอะไร” ผมหันหน้าไปมองเพื่อนๆ ผมสลับกันไปมา ไอ้สามคนที่ยิ้มแหยส่งกลับมา



“ตั๋วบอล”



“ตั๋วบอลไรวะ”



“ตั๋วแมนยูกับลิเวอร์พูล ที่จัดที่ราชมังอ่ะมึง” ไอ้มาร์ชบอกออกมาเสียงอ่อย ส่วนผมก็ตาเบิกกว้างขึ้นมาทั้งแบบนั้น ตั๋วบอลนัดนี้แม่งแพงจะตาย



“มึงได้บัตรไหนจากพี่มัน”



“ตั๋วชมพู” ไอ้จิมยิ้มแผละออกมา



“คือราคาเท่าไหร่” ผมคาดคั้น มองพวกมันทีละคนอย่างต้องการคำตอบ



“ตั๋วที่ดีที่สุด ตอนนี้อัพราคาที่ห้าหมื่นจะเพื่อน”



“เหี้ย! พ่องตาย! มึงเอาตั๋วไปคืนเลยไอ้เหี้ย” ผมตะโกนออกมาเสียงดัง ตกใจกับราคาและการแลกมาในครั้งนี้ มึงจะจับน้องสมุทรไปเซ้นไหว้ไม่ได้นะไอ้พวกเพื่อนเหี้ย



“เห้ยๆ พี่มันให้มาแบบสเน่ห์หา”



“สเน่ห์หาเหี้ยไร ไม่ตลกนะไอ้สัด พี่มันให้พวกมึงทำไร”



“เห้ยใจเย็นๆ มึง พี่มันไม่ได้ให้ทำไรหรอก” ไอ้จิมเป็นคนที่พูดออกมาแบบนั้น ท่าทางของมันที่พยายามทำให้ผมใจเย็น ผมว่ามันมากเกินไป



“กูขอความจริง ถ้ายังเห็นกูเป็นเพื่อนก็บอกกูมาดีๆ” เท้าสะเอวใส่แล้วชี้หน้ามันทีละคน ไอ้มาร์ชถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วส่งตั๋วมาให้ผม



“กูไม่ได้จะขายเพื่อนนะเว้ย แต่กูเห็นว่ามันแค่ให้กูมาพูดเชียร์มันให้ กูเลยยอมรับมา” มันว่าแบบนั้น สีหน้าที่รู้สึกผิดของมันทำให้ผมต้องถอนหายใจ



“จริงๆ กูไม่ดูก็ได้ อะ เอาไปๆ แต่อย่าโกรธพวกกูเลยนะเว้ย” ไอ้จิมรีบว่าออกมาสัมทับ มันที่ยื่นตั๋วของมันกับไอ้เฮงส่งมาให้ผมด้วยอีกคนละใบ พวกแม่งนี่จริงๆ



“พี่มันก็แค่กลัวว่ามึงจะไม่ไปงานวันเกิดมัน” ไอ้เฮงพูดออกมาแบบนั้น



“กลัวเหี้ยไร กูก็จะไปอยู่แล้ว” ใช่...แค่ไปกับพี่พระจันทร์ด้วยอีกคนเฉยๆ



“ของขวัญอะไรกูก็ซื้อแล้ว” ใช่...ถึงแม้กูจะไม่ได้เป็นคนเลือกแต่ก็มีแล้ว เพราะเมื่อวานพี่พระจันทร์เป็นคนไปซื้อไว้เรียบร้อยตอนที่ผมไปเข้าห้องน้ำที่ห้าง



“ก็คนมันไม่มั่นใจนี่หว่า”



“ไร้สาระไอ้เหี้ย พวกมึงก็อย่าไปรับอะไรแบบนี้มาสิวะ กูซื้อไม่ได้ด้วยเงินนะสัด”



“โทษๆ มึง พวกกูคิดน้อยไปหน่อย” ไอ้มาร์ชยกมือขึ้นไหว้ขอโทษกัน ผมส่ายหน้าระอาใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ไอ้สามคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก



“มึงแบกกระเป๋ากูขึ้นห้องไปด้วย เดี๋ยวกูมา”



“มึงจะไปไหน”



“เอาตั๋วเหี้ยนี่ไปคืนพี่ยอร์ช”



“งั้นกูไปด้วย” ไอ้มาร์ชทำท่าจะลุกขึ้นตาม แต่โดนผมกดไหล่ให้นั่งลงไปซะก่อน รู้ดีว่ามันมีท่าทีงี้เพราะรู้สึกผิดอยู่ด้วย จริงๆ ผมไม่ได้โกรธพวกมันสามคนหรอก ผมรู้จักนิสัยเพื่อนผมดี มันไม่ได้คิดจะขายผมเพราะแค่ตั๋วบอลหรอก พวกมันแต่ละคนก็รวยครับ ถึงแม้จะชอบทำตัวสถุนแต่จริงๆ มันมีเงิน ลูกคนมีเงินฐานะไม่แย่เลย



“ไม่ต้อง กูจัดการเอง” บอกออกไปเด็ดขาดไอ้มาร์ชเลยไม่กล้าขัด ผมรู้ดีว่าที่มันไม่ขัดเพราะมันมีชนักติดหลังตั้งสองเรื่อง เรื่องเมื่อวานที่เราเถียงกัน และวันนี้กับตั๋วบอลของพี่ยอร์ช



ผมหยิบมือถือพร้อมตั๋วบอลสามใบมา แล้วเดินมุ่งหน้าไปที่คณะวิศวะ โชคดีที่ตอนนี้ยังมีเวลา และคณะพี่มันก็ไม่ได้ห่างจากคณะผมมากเท่าไหร่เลยยังพอเดินไปได้ ถ้าให้รอรถเวียนในมอก็ไม่ต้องไปมันแล้วชาตินี้



คณะวิศวะยังคงเหมือนครั้งก่อนที่เคยมา เป็นบรรยากาศเท่ๆ ที่มีเสียงเอะอ่ะโวยวายและเสียงหัวเราะดูคึกคักตลอดเวลา ผมสอดส่ายสายตาไปตามซุ้มของคณะวิศวะ และก็เจอจริงๆ พี่ยอร์ชมันนั่งอยู่ในกลุ่มเพื่อนมันเหมือนเคย ใบหน้าหล่อเท่ที่อยู่ในชุดเสื้อช็อปนั่นยิ่งทำให้เจ้าตัวดูดี



“หวัดดีพี่ๆ” ผมทักทายออกไปแบบนั้นแล้วคนทั้งกลุ่มก็หันมามองกัน เหมือนว่าตอนนี้ทุกคนจะกำลังสนใจงานตรงหน้าของตัวเองอยู่ ผมไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เหมือนจะเป็นโมเดลอะไรสักอย่างที่มีวงจรไฟฟ้ายั้วเยี้ย



“เชี่ย มึงมาหากูหรอสมุทร” พี่ยอร์ชหันมาเจอกันแล้วเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังส่งยิ้มให้กันแบบดีใจสุดๆ ขายาวกระโดดข้ามเก้าอี้ม้าหินมา เท้าพี่แกเกือบเตะโดนหัวพี่นิว



“เหี้ยยอร์ช K ตีนเกือบโดนกู”



“มันไม่ฟังมึงหรอกสัดนิว ตอนนี้หัวใจคงติดปีกบินไปหาน้องสมุทร”



“ฮิ้ววว” เสียงโห่แซวของกลุ่มเพื่อนพี่ยอร์ชร้องเฮฮาออกมาแบบนั้น มีแกนนำคือพี่ทอยและพี่วินเจ้าเก่า พี่ยอร์ชยกยิ้มเท่ๆ ออกมาแล้วหันไปพยักหน้าให้เพื่อนๆ ของตัวเอง



“อย่าแซวครับๆ เดี๋ยวพ่อยอดนักเยดเค้าเขิน”



“เยดพ่องสัดวิน หุบปาก” พี่ยอร์ชเขวี้ยงปากกาที่อยู่ในมือตัวเองไปใส่หัวพี่วินแรงๆ ทีนึง แต่อีกฝ่ายกลับหลบทัน พี่ยอร์ชพูดเบาๆ ว่าKส่งไปให้ ก่อนที่คนตรงหน้าจะเอื้อมมือมาดึงแขนผมให้เดินเลี่ยงออกมาให้ห่างจากเพื่อนๆ ของเค้า ใบหน้าเท่ๆ ของพี่ยอร์ชยังประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้างของคนที่ดีใจที่ได้เห็นกัน



“เมื่อเช้ากูไปหามึง แต่มึงยังไม่มา”



“อ่าหะ”



“กูไม่มีตารางเรียนมึงนี่หว่า ไปรอเก้อเลย” มันบ่นออกมาอีกแบบนั้น สีหน้าท่าทางละห้อยเหมือนหมาตัวใหญ่ที่หางลู่หูตกทำผมถอนหายใจอีกครั้ง ... จริงๆ พี่เค้าเป็นคนน่ารัก



“พี่ยอร์ช”



“ว่าไง ทำไมทำเสียงแบบนั้นวะ”



“ผมเอานี่มาคืน” บอกแบบนั้นแล้วเอาตั๋วสามใบออกมาจากกระเป๋ากางเกง พี่มันมองมาก่อนจะทำสีหน้าเหวอออกมาเล็กๆ



“พี่พอเถอะผมว่า...”



“พออะไรของมึงวะสมุทร” เสียงเข้มขึ้นพร้อมมองหน้าผมอย่างคนไม่เข้าใจ



“พี่จะเอาเงินมาลงเพราะเรื่องของผมแบบนี้ไม่ได้” ผมตอบกลับไปอย่างจริงจัง ผมว่ามันมากเกินไป เค้าต้องการอะไรจากตัวผมวะ ถึงต้องมาเสียเงินที่ละมากๆ แบบนี้ บางทีมันก็ทำให้ผมอึดอัดใจ



“ทำไมจะไม่ได้ กูทำได้ ถ้ามันเป็นเรื่องของมึง กูอยากให้”



“พี่ ถ้าจะต้องจีบใครสักคนแล้วทุ่มเงินมาให้แบบนี้ ผมว่าไม่มีใครเค้าทำกันหรอก”



“ทำไมจะไม่มี...” พี่ยอร์ชมันแย้งออกมาแบบนั้นแล้วมองหน้ากันอีกที



“ไอ้พระจันทร์ก็ทำงี้กับอัยย์เหมือนกัน มึงไม่รู้หรอ” เสียงเข้มที่พูดออกมา มองหน้าของผมเหมือนกำลังถามว่าผมได้เท่าที่พี่อัยย์ได้หรือเปล่า ผมไม่เคยรู้เรื่องราวพวกนี้บางเลยหรอ ท่าทางของพี่ยอร์ชมันเป็นแบบนั้น ผมเม้นริมฝีปากเข้าหากันในตอนนี้แล้วถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด



“แล้วเพราะแบบนั้น กูเองก็ทุ่มให้มึงได้เหมือนกัน โดยที่มึงไม่จำเป็นต้องรับเศษเงินจากมันเลยก็ได้”



“พี่!...” ผมเรียกเค้าเสียงดัง ก่อนจะเงยหน้ามองคนตรงหน้านิ่งๆ อีกที



“ผมมันซื้อไม่ได้ด้วยเงินนะเว้ย!” ขมวดคิ้วจ้องหน้าพร้อมกระแทกเสียงใส่ ก็ไม่ได้คิดว่าจะมาได้ยินอะไรแบบนี้สักหน่อย



“แล้วจะบอกอีกที ผมไม่ใช่พี่อัยย์ ต่อให้พี่พระจันทร์เอาอะไรมาให้มากมายแบบนี้ ผมก็รับไว้ไม่ได้หรอกว่ะ มันเกินไป ผมไม่อยากได้” บอกแบบนั้นแล้วยัดตั๋วนั่นใส่มืออีกคนอย่างหงุดหงิดใจ ผมแค่ไม่เข้าใจว่าพี่ยอร์ชจะพูดแบบนี้กับผมทำไม อยากให้ผมเทียบตัวเองกับพี่อัยย์หรอ .... ผมไม่ได้โง่ขนาดนั้น



และคำพูดที่ฟังมา มันก็ไม่ได้บอกให้ผมรู้สึกดี



“กูไม่ได้คิดจะซื้อมึงด้วยเงินนะสมุทร” ฝ่ามือหนาเอื้อมมาดึงแขนของผมไว้ในตอนที่กำลังจะเดินจากมันไป



“แต่คำพูดของพี่แม่งทำให้ผมคิดไปแบบนั้นว่ะ” ดึงแขนของตัวเองออกจากมือของอีกฝ่าย คิดว่ายังไม่พูดกันตอนนี้คงจะดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนที่ผมหงุดหงิดแบบนี้ แต่เหมือนพี่ยอร์ชจะไม่ยอมเข้าใจ เค้ายังวิ่งมาดักหน้าของผมเอาไว้แล้วไม่ยอมถอยหนี



“ทำไมวะ ทำไมพอเป็นกูมึงต้องโกรธขนาดนี้”



“ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นพี่ผมเลยโกรธ แต่เพราะมันเป็นพี่ที่พูดแบบนี้กับผมต่างหากผมเลยโมโห พี่กลับไปทบทวนคำพูดของตัวเองก่อนไหม แล้วค่อยมาคุยกับผม”



“แล้วกูพูดอะไรผิดตรงไหน อะไรที่ไอ้พระจันทร์ทำได้ กูเองก็ทำได้เหมือนกัน”



“แล้วพี่เคยถามผมสักคำหรือเปล่าว่าต้องการแบบนั้นไหม ตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าพี่ชอบผมจริงๆ หรือพยายามหักหน้ากันและกันเพื่อความสะใจโดยใช้ผมเป็นเครื่องมือกันแน่!”



“เห้ยๆ ...กูได้ยินว่ามีเด็กมาหาหรอวะไอ้ยอร์ช ไหนๆ วันนี้กูมาทัน ขอเจอหน่อยสิจ๊ะ” เสียงของคนมาใหม่ที่ค่อนข้างจะคุ้นหูดังมาจากทางด้านหลังของผม มองเห็นพี่ยอร์ชที่ถอนหายใจหนักๆ ออกมาในตอนนี้ ผมหันหลังกลับไปตามเสียงนั่น ก่อนจะต้องเบิกตากว้างขึ้นมาในตอนที่เห็นคนที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มกว้างๆ ในชุดเสื้อช็อปแบบเดียวกันกับพี่ยอร์ช พร้อมผมสีชมพูอ่อนๆ กลับใบหน้าที่ดูคุ้นเคย ไม่ได้ต่างไปจากคนที่พึ่งส่งผมลงรถที่หน้าคณะเมื่อตอนเทียงเลยสักนิด



“พี่อาทิตย์” ผมพูดออกมาเสียงเบา ไม่เข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้าเท่าไหร่ พี่อาทิตย์แฝดพี่พระจันทร์ คนที่เกลียดพี่ยอร์ชมากขนาดนั้น แต่เค้าดันเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับพี่ยอร์ชงั้นหรอวะ



นี่มันเรื่องเหี้ยอะไรกัน



“น้องสมุทร...เชี่ย อย่าบอกนะว่านี่เด็กมึง” พี่อาทิตย์ทำหน้าอึ้งๆ เบิกตากว้างขึ้นแล้วหันไปหาพี่ยอร์ชอย่างเอาเรื่อง สีหน้าที่บอกได้ว่าไม่โอเคมากๆ นั่นกำลังทำให้ผมสงสัยและไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง หันหน้าไปมองคนที่พึ่งจะทะเลาะกันช้าๆ ก็เห็นพี่ยอร์ชแค่พยักหน้าตอบคำถามพี่อาทิตย์



“อืม ... กูชอบน้อง แต่น้องชอบแฝดมึง”



“เล่นเหี้ยไรกันเนี่ยไอ้สัด!”



อาทิตย์ด่าออกมาแบบนั้นด้วยท่าทางเอาเรื่อง เสียงเข้มๆ ที่ไม่มีคำพูดคะขาหวานๆ เหมือนที่ได้คุยกันเมื่อครั้งก่อน แทบจะเหมือนคนละคนกับที่ผมเคยเจอเลยด้วยซ้ำ ดวงตาสวยในแบบเดียวกับพี่พระจันทร์ที่ผมชอบเข้มขึ้นแล้วมองตรงไปที่พี่ยอร์ชอย่างเอาเรื่อง



ผมไม่เข้าใจว่าท่าทีแบบนี้ของพวกเค้าคืออะไร แต่บางอย่างก็สะกิดใจผมเหมือนกัน ในตอนนี้ก็อยากจะรู้เรื่องราวระหว่างพวกเค้ามากขึ้นเหมือนกัน ทั้งพี่พระจันทร์ พี่ยอร์ช พี่อัยย์และพี่อาทิตย์



#รักอยู่รู้ยัง

-------------------------------------------

สำหรับตอนนี้จะนำพาไปสู่หายนะในตอนหน้าๆนี้จ้าา

พระจันทร์: หายนะอะไรวะ ไม่ใช่กูแล้วหนึ่ง

แคท: เธอนั่นแหล่ะตัวดีเลยอิพระเอก! ว่าแต่มีเรื่องอะไรระหว่างพวกเธอกันหรอ ไหนกระซิบ

พระจันทร์: ไม่เสือกสักเรื่องได้ไหมคนเขียน

แคท: เอ้าอินี่! อยากปลดพระเอ๊ก!

สมุทร: ปลดเลยจ๊ะ แล้วขึ้นป้ายเลยว่าเรื่องนี้มัน สมุทรพระจันทร์

พระจันทร์: มั่นให้สุด แล้วหยุดที่เป็นเมียกู

ฝากแฮชแท็ค #รักอยู่รู้ยัง และคอมเม้นท์ให้กันด้วยนะคะ


ปล. สพหรับตอนที่ผ่านมา ขอบคุณคอมเม้นท์จากคุณNattie69ที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ :mew1:



ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Koyokid16

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :z3: คุณแคทททท ตัดจบได้ค้างมากค่ะ
มาต่อ มาต่อ เร็วๆนะจร้า

#รออยู่รู้ยัง 555

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
เด่วววว มันเป็นความสัมพันธ์แบบไหน ยังไงก๊อนนนนนน :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ

บทที่14

 

ในช่วงเวลาที่ชวนให้น่าอึดอัดใจที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ ผมที่ยืนอยู่ตรงกลางของสามเหลี่ยมนี้ได้แต่หันซ้ายหันขวามองภาพตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ และสุดท้ายก็เป็นผมเองที่ทนต่อไปไม่ไหวเลยเลือกจะโพร่งออกไปเพื่อทำลายความน่าอึดอัดนี้

 

“พวกพี่เป็นเพื่อนกันหรอวะ”

 

“น้องสมุทรคะ..” พี่อาทิตย์ถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วหันมาสบสายตาผม ดวงหน้าที่เป็นพิมพ์เดียวกับคนที่ผมชอบมากๆ หันมามองกัน เขาที่เลิกตีหน้าดุแล้วพูดออกมาด้วยเสียงหวานๆ นั่นอย่างคนใจเย็น แต่เหมือนว่าจะไม่มีคำพูดอะไรที่อยากจะพูดเลยได้แค่เรียกชื่อผมเท่านั้น

 

“ผมรู้มาว่าพี่พระจันทร์ไม่ชอบพี่ยอร์ชเท่าไหร่ แต่พวกพี่สองคนก็ยังเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันงั้นหรอครับ”

 

แปลกฉิบหาย อย่างน้อยผมก็ไม่เคยคิดว่าพี่อาทิตย์จะเป็นเพื่อนสนิทกับคนที่พี่ของตัวเองไม่ชอบมากขนาดนั้น

 

“มันก็ไม่เคยชอบใครนอกจากชอบอัยย์อยู่แล้ว” พี่อาทิตย์ยังไม่ทันได้พูดตอบอะไรออกมา ก็เป็นพี่ยอร์ชที่พูดแทรกออกมาแบบนั้น สายตาที่ดูจะค่อนขอดคนที่พูดถึงอยู่นิดๆ เหยียดยิ้มออกมาหน่อยๆ แล้วมองหน้าผม สายตาของพี่ยอร์ชที่มองมา เหมือนมันกำลังบอกว่าผมรู้เรื่องนี้บ้างไหม

 

“สัดยอร์ช หุบปากไปเหอะ” เป็นพี่อาทิตย์ที่พูดออกมาอย่างฉุนๆ สีหน้าสายตาที่กำลังบอกให้เพื่อนตัวเองหุบปาก แต่อีกฝ่ายก็คงไม่อยากทำตามใจ

 

“ทำไม กูพูดไม่จริงตรงไหน หรือว่าเพราะมันเป็นพี่มึง มึงเลยเข้าข้างหรอวะ”

 

“มันไม่ใช่แบบนั้น แต่มึงก็ไม่ควรพูดแบบนั้นกับน้องสมุทร” พี่อาทิตย์ว่าแบบนั้นแล้วปรายสายตามามองตั๋วฟุตบอลในมือของผม เค้าคงหมายถึงเรื่องที่บอกว่าจะให้ของแพงๆ กับผม เพราะตัวเองก็มีปัญญาให้ได้ไม่ต่างจากพี่พระจันทร์

 

“ยิ่งกับไอ้สมุทรกูยิ่งต้องพูด เพราะสมุทรมันเป็นคนที่กูตามจีบอยู่ กูอยากให้มันรู้ว่าคนที่มันกำลังวิ่งตามน่ะไม่เคยสนใจใครนอกจากอัยย์หรอก...จริงๆ ควรจะต้องสงสัยด้วยซ้ำป่ะ ว่าทำไมคนแบบแม่งถึงยอมให้สมุทรมันจีบ” ว่าออกมาแบบชัดถ้อยชัดคำก่อนจะหันมามองสบตากับผมนิ่งๆ ใบหน้าหล่อนั่นมองกันด้วยสายตาหนักแน่นที่สื่อความหมายแบบที่ผมคิดอย่างชัดเจน

 

“แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของมึง”

 

“อ๋อ กูก็เลยไม่ต้องพูดเรื่องจริงออกมางั้นหรอวะ”

 

“แล้วเรื่องจริงที่มึงว่า มึงพูดออกมาหมดไหมล่ะ”

 

“ทำไมกูจะพูดไม่หมด หรือว่ากูต้องบอกด้วยว่ามันอยากคบกับอัยย์แทบตายแต่ก็ไม่เคยได้ เลยเต้นฉิบหายแล้วพาลมาเกลียดกู”

 

“มันไม่ได้พาลไปเกลียดมึงเพราะมึงคบกับพี่อัยย์ มึงก็รู้ดี”

 

 

“กูไม่รู้ เรื่องที่กูรู้ก็เป็นแบบนี้”

 

“เหอะ ไอ้สัด งั้นมึงเคยบอกน้องมันไหมล่ะว่าจริงๆ แล้วมึงก็เป็นแฟนเก่าอัยย์ และเป็นแฟนเก่าที่ตอนนี้ก็ยังคั่วกันอยู่ แต่ก็ยังเสนอหน้าวิ่งไปจีบน้องมันน่ะ มันเพราะอะไร”

 

“ไอ้อาทิตย์ มึงจะมากไปแล้วนะ!” พี่ยอร์ชตะคอกออกมาเสียงดัง พร้อมๆ กับช่วงขายาวที่เดินตรงเข้าไปหาพี่อาทิตย์ ผมมองเหตุการณ์นี้อย่างสับสนและตกใจ ตกใจทั้งกับท่าทางของพี่ยอร์ชที่ไม่เคยเห็น รวมถึงคำพูดของพี่อาทิตย์ที่บอกออกมาแบบนั้น ... คำพูดที่ทำให้ผมนึกไปถึงใครอีกคนที่เมื่อวานนี้ดูเศร้ากว่าทุกที

 

สงสัยคงจะเป็นเพราะเรื่องนี้สินะ

 

เสียงดังโวยวายของคนสองคนที่ทะเลาะกันอยู่ตรงหน้าทำให้ผมหยุดคิดเรื่องราวนั่นไปชั่วขณะ หันไปมองเห็นพี่นิว พี่ทอยที่รีบวิ่งมาดึงตัวพี่ยอร์ชที่กำลังตรงเข้ามากระชากเสื้อพี่อาทิตย์ออก

 

“เห้ยๆ พวกมึงทะเลาะกันทำเหี้ยอะไรวะ” พี่วินที่ตามมาเป็นคนสุดท้ายยืนอยู่ตรงกลางแล้วยกมือห้ามเพื่อน สีหน้าของพวกเค้าที่บอกว่าไม่เข้าใจเรื่องราวแบบสุดๆ

 

“อะไรกันวะพวกมึง”

 

“มึงก็ถามมันดิ” พี่ยอร์ชตะคอกออกมาเสียงดัง จ้องพี่อาทิตย์ด้วยสายตาโกรธๆ แต่คนหัวชมพูในชุดช็อปก็ทำแค่ยกยิ้มไม่สะท้าน สีหน้าท่าทางที่ผมเคยเห็นว่าเป็นคนที่มีรอยยิ้มประดับเสมอตอนนี้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกวนๆ ซึ่งผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าพี่ยอร์ชจะอยากยกตีนถีบหน้า ก็แม่งน่าหมั่นไส้ฉิบหาย

 

“มาถามกูทำเหี้ยไร ก็มึงเล่นเกมส์ไม่แฟร์เองป่ะวะ”

 

“ถ้ากูไม่แฟร์ พี่มึงก็ไม่แฟร์เหมือนกันไอ้สัด แค่ไอ้สมุทรชอบมันแม่งก็ไม่แฟร์กับเกมส์นี้แล้วป่ะ”

 

เกมส์....เกมส์เหี้ยไร

 

“คำพูดของมึงที่พูดว่าไอ้พระจันทร์มันก็ไม่แฟร์เหมือนกันป่ะ มึงจะใส่ไฟยังไงก็ได้เว้ย แต่มึงก็ต้องพูดถึงมึงด้วยเหมือนกัน ว่าจริงๆ มึงเองก็ไม่ได้ดี”

 

“มึงแม่งเป็นเหี้ยไร!”

 

“พอ! พวกพี่พอให้หมดทุกคน!” เป็นเสียงของผมที่ตะโกนออกมาดังกว่าทุกที คนสองคนที่กำลังเถียงกันอย่างดุเดือดชะงักค้างไปในตอนนี้ เหมือนจริงๆ แล้วพวกเค้าก็น่าจะลืมไปแล้วว่าผมก็ยังยืนอยู่ตรงนี้

 

ยืนฟังพวกเค้าพูดถึงเรื่องที่ผมมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย แบบไม่แคร์เลยว่าผมจะรู้สึกยังไง

 

“พอสักทีเถอะ ผมก็ยืนอยู่ตรงนี้ มีความรู้สึกเหมือนกันนะเว้ย!” ว่าออกไปแบบนั้นพร้อมมองหน้าทุกคน เลื่อนสายตาช้าๆ มองแต่ละคนชัดๆ รู้สึกเหมือนมือมันสั่นจนต้องกำมือตัวเองเอาไว้แน่นๆ

 

“ผมไม่เข้าใจว่าพวกพี่พูดถึงเรื่องเหี้ยอะไรกันอยู่ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร ผมแม่งไม่ตลกด้วยเลยเว้ย! ... แล้วพี่น่ะ...” หันหน้าไปเผชิญหน้ากับพี่ยอร์ชตรงๆ จ้องหน้าเค้าผ่านแว่นตาหนาเตอะของตัวเองนิ่งๆ ก่อนจะกลั้นใจพูดต่อ

 

“ถ้าอยากจะเป็นพี่เป็นน้องเป็นคนรู้จักกันอยู่ อย่ามาซื้อของแพงๆ แบบนี้ให้ผมหรือเพื่อนผมอีก ต่อให้พี่พระจันทร์เค้าจะเคยซื้อของแพงๆ แบบนี้เพื่อซื้อใจใครก็ช่าง แต่มันใช้ไม่ได้กับผม แล้วผมก็ไม่เคยคิดจะอยากได้” พูดออกไปยาวๆ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นแร็ปครั้งแรกของกูก็ว่าได้ สูดลมหายใจเข้าปอดถี่ๆ เหมือนเวลาที่เราโกรธมากๆ แล้วจะหายใจไม่ทัน อาการผมมันก็แบบนั้นไม่ต่าง

 

“และที่สำคัญผมก็ไม่เคยขอให้พี่มาทำแบบนั้นให้ด้วย ถ้าพี่คิดว่าผมเป็นคนที่อยากได้อยากมีของหรูๆ แพงๆ พวกนั้นแล้วล่ะก็นะ พี่ก็อย่าเป็นมากกว่าคนร่วมมหาลัยกับผมเลยว่ะ”

 

ทั้งๆ ที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะแค่เอาบัตรมาคืน ไม่ได้คิดเลยว่าเรื่องมันจะเลยเถิดมาถึงตรงนี้ ผมไม่ได้คิดว่าจะต้องมาพูดอะไรแบบนี้กับพี่ยอร์ช หรือไม่แม้แต่จะคิดว่าจะได้เจอกับพี่อาทิตย์ที่นี่ ความรู้สึกตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ความรู้สึกตอนนี้ที่บอกได้แค่ว่ามันรู้สึกไม่ดี รู้สึกไม่ดีกับทั้งพี่ยอร์ชที่เค้าซื้อของแพงๆ มาให้ คำพูดที่เหมือนว่าผมอยากจะได้ อยากจะเป็นแบบที่พี่อัยย์เคยได้ ... เหี้ยไรล่ะ กูเคยบอกหรอ

 

รู้สึกไม่ดีกับทั้งคำพูดของพี่ยอร์ชที่พูดกับพี่อาทิตย์ สองคนที่กำลังพูดถึงใครอีกคนว่ามีความสำคัญกับพี่พระจันทร์มากแค่ไหน

 

“นี่ของพี่ พี่เอาคืนไปเถอะ” ยัดตั๋วใส่ในมือของพี่ยอร์ช แล้วหันหลังเดินออกมา ฝ่ามือหนาที่เอื้อมมาจะดึงแขนกันไว้ แต่ติดที่พี่อาทิตย์มาขวางเค้าเอาไว้ก่อน ซึ่งผมคิดว่าดีแล้ว เพราะต่อให้จับไว้ ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดกับเค้าในตอนนี้ ... อย่างน้อยก็ในตอนที่อารมณ์แบบนี้ ก็อย่าคุยกันเลย

 

 

...

 

“เป็นอะไรป่ะวะไอ้สมุทร” ประโยคเดิมๆ ถูกถามออกมาจากปากของไอ้มาร์ชเป็นครั้งที่ห้าตั้งแต่ผมเดินกลับมาจากคณะวิศวะนั่นเมื่อตอนกลางวัน

 

“เปล่า” และก็ยังเป็นคำตอบเดิมที่ผมตอบกลับไป

 

“แต่ตั้งแต่มึงกลับมา มึงก็มีท่าทีแปลกๆ นะเว้ย ไม่มีอะไรจริงๆ หรอวะ”

 

“อืม” ตอบรับไอ้มาร์ชกลับไปเงียบๆ ทั้งๆ ที่ยังเอาแต่นั่งเหม่อมองชีสเรียนตรงหน้า เนื้อหาไม่ได้เข้าหัวอะไร เป็นการเรียนที่แม่น่าจะอยากเอาไม้มาตี เพราะเหมือนทำงานส่งควายน้ำอย่างน้องสมุทรมาเรียน แต่โดยปกติน้องสมุทรเป็นคนตั้งใจเรียนและเรียนเก่ง แต่มันคงไม่ใช่วันนี้ ... วันที่สมาธิทั้งหมดถูกดึงไปที่บทสนทนาก่อนหน้านี้ของพี่ยอร์ชกับพี่อาทิตย์

 

‘จริงๆ ควรจะต้องสงสัยด้วยซ้ำป่ะ ว่าทำไมคนแบบแม่งถึงยอมให้สมุทรมันจีบ’

 

“ไม่มีอะไรแล้วทำไมมึงเอาแต่เหม่อวะ”

 

“มึงก็เรียนไปเถอะน่า” ไอ้มาร์ชยังเซ้าซี้ไม่เลิกลา เซ้าซี้ในระดับที่อยากจะเค้นกันให้พูดความจริงออกมาจนผมถอนหายใจออกมาหน่อยๆ

 

“กูเพื่อนมึงนะเว้ย มีอะไรก็บอกกันดิวะสมุทร” ไอ้มาร์ชเอื้อมมือมาสะกิดไหล่กันยิกๆ หันไปมองหน้ามันที่เอาแต่จ้องหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว สายตาที่กดดันให้เล่า เป็นนิสัยของมันมาแต่ไหนแต่ไร คือถ้าอยากรู้ต้องได้รู้

 

“มึง”

 

“ว่าๆ กูฟังอยู่” ตอบรับกันด้วยเสียงกระตือรือร้นแล้วขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้นอีก

 

“มึงว่า ทำไมพี่พระจันทร์ถึงยอมให้กูจีบเค้าวะ” ผมหันไปมองหน้ามันแล้งถามคำถามที่ผมอยากได้คำตอบมากๆ ในตอนนี้ จ้องตาไอ้มาร์ชอยู่แบบนั้นแล้วรอคอยคำตอบของมันที่คิดว่าจะตอบกันได้ เวลาผ่านไปหลายนาทีมันก็กระพริบตาปริบๆ สองทีก่อนจะตอบกลับมาสั้นๆ

 

“หน้ากูเหมือนไอ้พี่พระจันทร์ของมึงหรอ”

 

“ไม่ช่วยเหี้ยอะไรเลย”

 

“เอ้า”

 

ผมถอนหายใจใส่มันที่ทำแค่ยกมือขึ้นมาเกาหัว ท่าทางที่ไม่เข้าใจว่าผมกำลังเป็นอะไรทำให้ผมเสหน้าหนี หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างในตอนนี้ เสียงบรรยายของอาจารย์ที่อยู่หน้าห้องยังดังเข้าหู แต่ตัวน้องสมุทรกลับไม่เข้าใจอะไรเลย ในใจมีแต่คำถามนี้วนเวียนอยู่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยฉุกคิดอะไรเลยสักอย่าง

 

ทำไมเค้ายอมให้คนแบบกูเข้าไปใกล้ได้ขนาดนั้น ... คนแบบน้องสมุทร

 

ใช้เวลาในการเรียบคาบบ่ายอย่างยาวนาน แถมยังได้งานมาทำเพิ่มอีกหนึ่งโปรเจคใหญ่ วิชาวรรณกรรมที่ต้องเขียนโครงเรื่องส่งให้อาจารย์ตรวจ ไม่ว่าจะพล็อตเรื่องหรือแรงบรรดาลใจ งานที่เหมือนจะง่าย แต่ถ้าใครได้เรียนจริงๆ จะบอกว่า เหยดแม่ไอ้ควาย ใครจะมีแรงบรรดาลใจในงานเขียนทุกวัน

 

“วันนี้กลับบ้านเลยป่ะวะมึง”

 

“อืม กูอยากกลับไปนอนละ” หันไปบอกไอ้จิมที่เดินกอดคอผมพร้อมผิวปากลงมาจากบันได

 

“วันนี้กูขอโทษนะมึง ไม่ได้ตั้งใจให้มึงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสิ่งของหรอกนะเว้ย กูกับไอ้เฮงซวยไม่ได้ตั้งใจจริง” เหมือนเรื่องนี้เองก็ยังจะติดอยู่ในใจของพวกมัน ผมเหลือบไปมองทางด้านหลังที่ไอ้เฮงเดินตามหลังมากับไอ้มาร์ช

 

“ช่างเถอะ กูรู้ว่าพวกมึงไม่ได้คิดแบบนั้น”

 

“จริงๆ พวกกูก็แค่เห็นแก่ของฟรี เลยลืมคิดว่าจริงๆ แม่งก็เหมือนกำลังขายเพื่อนแลกของอ่ะ ขอโทษจริงๆ นะมึง” มันว่าออกมาเบาๆ สีหน้าท่าทางของคนที่กอดคอกันอยู่รู้สึกผิดจนผมต้องยิ้มออกมานิดๆ

 

“พอเหอะน่า ขอโทษมากกว่านี้กูจะคิดว่ามึงมีใจแล้วนะ” กระแซะมันออกไปพร้อมยิ้มน้อยๆ เพราะรู้นิสัยของมันดีเลยกล้าเล่นออกไปแบบนั้น ไอ้จิมส่ายหัวหน่อยๆ ก่อนมันพูดต่อ

 

“กูไม่กล้าเชื่อว่ามึงมีใจหรอกครับ ... เพราะคนที่อยู่ในใจมึง ยืนอยู่นู่นแล้ว” มันบอกแบบนั้นพร้อมทำปากยื่น ผมที่หันหน้ามองตามไป เห็นพี่พระจันทร์ยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ที่เดิม ท่าเดิม ไม่ต่างจากเมื่อวานเลยสักนิด อีกฝ่ายที่เห็นผมแล้วก็ก้าวเท้าขยับเข้ามาหากันทันที

 

“สมุทร”

 

“พี่มาที่นี่ มีเรื่องไรหรอครับ” ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะวันนี้เจอเรื่องราวมากเกินไปเลยเปิดปากถามออกไปแบบนั้น เพราะแบบนั้นเลยได้คิ้วขมวดของพี่พระจันทร์เป็นคำตอบ

 

“ไม่มีเรื่องแล้วกูมาไม่ได้หรอ” เค้าถามผมกลับเสียงแข็ง สายตาคมนั่นจ้องมองกันเขม็ง บรรยากาศแปลกๆ ที่ทำให้ไอ้จิมรีบยกแขนออกจากบ่าของผม มันหันมองไปทางพี่พระจันทร์ที่ยังทำตาแข็งอย่างเลิ่กลั่ก

 

“แหะๆ ไอ้น้องหมุด ยังไงกูกลับก่อนนะเว้ย ไปก่อนนะครับพี่พระจันทร์” ว่าแบบนั้นแล้วรีบยกมือไหว้อีกคน ไอ้จิมกวักมือเรียกไอ้เฮงให้เดิมตามมันไปไวๆ แล้วรีบสับตีนหนีไปจากตรงนี้ มืออีกข้างของมันก็เอื้อมไปคว้าแขนไอ้มาร์ชให้เดินตามมันไปด้วย ผมเห็นไอ้มาร์ชขมวดคิ้วมองนิดหน่อย แต่ก็ต้านแรงควายของไอ้จิมกับไอ้เฮงไม่ไหว

 

ผมละสายตาจากแผ่นหลังของพวกเพื่อนๆ กลับมามองหน้าคนตรงหน้าอีกครั้ง เค้าขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาดึงแขนผมให้เดินตามออกไปด้วยกัน สายตาของชาวคณะอักษรศาสตร์มองตามหลังของผมกับเค้าเป็นตาเดียว ...หลายคนคงมีคำถามสงสัย ทำไมคนหล่อจากคณะบริหาร ถึงมาจับมือไอ้เด็กแว่นอักษรกลับไปแบบนั้นได้

 

คำถามพวกนั้นก็คงไม่ต่างจากที่พี่ยอร์ชสงสัย คำถามที่ผมไม่เคยสงสัย เพราะไม่เคยเจียมตัวเอง

 

“ขึ้นรถ”

 

“พี่พระจันทร์มีอะไรหรอครับ วันนี้น้องสมุทรอยากกลับบ้านไปนอน” เลือกที่จะพูดแบบนั้น เพราะตอนนี้อยากขออยู่คนเดียวเงียบๆ ก่อน หัวใจมันถูกสั่นคลอน แบบว่าอยากขอกลับไปตั้งหลัก

 

“ขึ้นรถสมุทร” ก้าวขายาวๆ ขยับเข้ามาใกล้ตัวผมแบบกดดันกัน ผมที่ก้าวขาถอยหลังจนสุดท้ายแผ่นหลังก็ไปชนเข้ากับประตูรถของอีกคนอย่างจนใจ

 

“อย่าดื้อ” ย้ำคำสั้นๆ อีกทีพร้อมเปิดประตูให้ และสุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากก้าวขึ้นรถไป และตามมาด้วยเสียงปิดประตูรถจากคนที่ขึ้นมานั่งข้างคนขับ รับรู้ถึงสายตาของอีกคนที่เอาแต่จ้องมามองกัน แต่ถึงแบบนั้นผมก็เลือกจะหันไปมองนอกหน้าต่างแบบเงียบๆ แทน ได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนข้างตัวนิดหน่อย แต่ถึงแบบนั้น พี่พระจันทร์ก็เลือกที่จะเข้าเกียร์แล้วขับรถออกไปทั้งแบบนั้น

 

“สมุทร”

 

“ครับ” ผมขานรับคนข้างตัวในตอนที่รถเคลื่อนตัวออกมาจากมหาลัย ถนนที่กำลังบอกทางให้ผมได้รู้ว่าเป็นทางกลับบ้านของผม

 

“อาทิตย์มันโทรบอกกู” อ๋อ...เพราะแบบนี้สินะเค้าถึงมาอยู่ตรงนี้ในตอนนี้

 

“อ่อ ครับ” ผมตอบรับออกไปแบบนั้น แล้วบรรยากาศในรถก็เงียบลง พี่พระจันทร์ไม่ได้พูดต่อ เหมือนกับเค้ากำลังรอให้ผมเป็นคนพูด บรรยากาศเงียบๆ โรยตัวรอบคนรถ เป็นครั้งแรกที่เราสองคนอยู่ด้วยกันแต่ไม่มีใครพูดอะไร มาคิดๆ ดูปกติมันจะเป็นผมซะมากกว่าที่เอาแต่พูดแล้วหาทางก้าวเข้าไปใกล้เค้ามากขึ้น

 

พอผมไม่ขยับ เราก็เลยไม่ไปไกลกว่าทุกทีสินะ

 

ผมเบือนสายตาไปทางซ้าย มองออกไปนอกหน้าต่างรถ ส่วนคนข้างๆ ตัวก็ทำแค่มองตรงไปข้างหน้าที่ถนนเหมือนอย่างเคย

 


ออฟไลน์ Yoghurt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
    • แฟนเพจ
“มึงอยากจะถามอะไรกูหรือเปล่า” ผมหันไปมองหน้าคนข้างตัวที่เลือกถามกันออกมาก่อน แบบที่ผมไม่คิดว่าเค้าจะทำ คิดว่าเค้าจะแค่ปล่อยให้เราสองคนเงียบกันไปแบบนี้ มันไม่จำเป็นด้วยซ้ำที่คนถูกจีบแบบเค้า ไม่จำเป็นว่าจะต้องมาแคร์ความรู้สึกของคนแบบผม

 

“แล้วพี่ล่ะครับ มีอะไรที่จะบอกผมหรือเปล่า”

 

“ที่มึงถามกูแบบนี้ เป็นเพราะไปฟังคำพูดไอ้ยอร์ชมันมาล่ะสิ”

 

“ผม....”

 

“มันบอกมึงว่าไง ถึงได้มาสงสัยอะไรกูตอนนี้”

 

“น้องสมุทรไม่...”

 

“อย่าปฏิเสธ หน้าตามึงบอกกูว่ามึงสงสัยและไม่สบายใจ” เค้าค้านผมออกมาก่อน ทั้งๆ ที่สายตาก็ยังคงจับจ้องไปที่ถนนเหมือนเคย ... แล้วแบบนั้นมาแอบมองกันตอนไหนถึงรู้ว่าผมรู้สึกยังไงวะ

 

“น้องสมุทรแค่สงสัย”

 

“ถ้าสงสัยก็แค่ถามออกมา มึงอยู่กับกูมาระยะนึงแล้วนะ มึงเองก็น่าจะรู้ว่ากูตรงๆ อยู่แล้ว” แบบพี่พระจันทร์ใครเรียกตรงๆ เค้าเรียกปากหมา ...ขนาดพี่อัยย์ยังด่า แล้วกับน้องสมุทรจะเหลืออะไรวะ

 

“ผม...”

 

“ถ้าอึกๆ อักๆ แบบนี้กูจะจูบให้ปากแตกเลยเป็นไง รำคาญฉิบหาย”

 

“งั้นจูบก่อนเลยก็ได้ จริงๆ น้องสมุทรก็พร้อมนะ”

 

“สมุทร” เสียงเข้มที่เรียกชื่อกันเหมือนจะบอกให้ผมเลิกเล่นนั่นทำเอาผมหน้าสลด ใจอยากถามออกไป แต่จริงๆ แล้วน้องสมุทรก็แค่กลัวคำตอบในคำถามที่จะถามออกไป

 

“พี่ยอร์ชบอกว่า คนที่พี่พระจันทร์รักมาตลอดก็คือพี่อัยย์” ผมกลั้นใจถามออกไปแล้วก้มหน้านิ่ง ฝ่ามือสองข้างที่กำเข้าหากันแน่นๆ ในตอนที่รอฟัง แต่อีกคนก็เงียบไป ความเงียบโรยตัวลงมาแบบนั้นทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมามองคนข้างๆ ตัว

 

“พี่พระจันทร์...”

 

“อืม มันพูดถูก กูรักอัยย์ตลอด”

 

“อ่า...ครับ” พูดอะไรไม่ออก ทั้งๆ ที่ผมก็รู้เรื่องนี้ดีมาตลอดอยู่แล้ว ก็ตั้งแต่ม.4ก็เห็นเค้าเอาแต่มองตามแผ่นหลังบางๆ นั่นเสมอ พี่อัยย์ที่เรียนจบไปก่อนก็ยังมาที่โรงเรียนเพื่อมาหาพี่พระจันทร์ที่สนามบอลในตอนเย็นของทุกวัน เค้านั่งอยู่บนอัฒจันทร์ฝั่งซ้ายเสมอ ส่วนผมก็นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ฝั่งขวาตลอด เราสองคนมาดูพี่พระจันทร์ซ้อมบอลเหมือนกันในทุกเย็น ที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามที่ตรงกันในทุกๆ วัน แตกต่างกันเพียงอย่างเดียวก็ตรงที่ สายตาของคนในสนาม มีแต่เงยหน้ามองขึ้นไปที่อัฒจันทร์ฝั่งซ้ายมาตลอด เค้าไม่เคยหันมาที่อัฒจันทร์ฝั่งขวา ว่าจริงๆ ก็มีผมอีกคนที่มองเค้าจากตรงนี้เหมือนกัน

 

ไม่น่าถามออกไปให้ใจเจ็บเลยนะไอ้น้องสมุทรเอ๊ย

 

“แต่มันไม่ใช่ว่าวันนึงกูจะเลิกรักอัยย์ไม่ได้”

 

“คะ ครับ?”

 

“ไม่ได้ยินก็เรื่องของมึง”

 

“พี่พระจันทร์” ผมเอื้อมมือไปจับต้นแขนของคนขับแล้วเขย่าเบาๆ ไม่ใช่ว่าไม่ได้ยิน แต่อยากได้ยินให้ชัดๆ

 

เคยเป็นไหม ความรู้สึกที่เสียใจฉิบหาย เหมือนคนใกล้ตายที่หายใจไม่ออก แต่อยู่ๆ ก็ได้ถังออกซิเจนมาส่งอากาศเข้าปอด ในช่วงเวลาที่จะจากไป แต่สุดท้ายก็โดนมือใครดึงให้ตื่นขึ้น ... มันเป็นความรู้สึกของผมในตอนนี้

 

“ที่กูเคยบอกจะพยายามกูไม่ได้ล้อเล่น”

 

“แต่พี่ยอร์ชบอกว่า เกมส์นี้มันไม่แฟร์ แล้วก็น่าสงสัยที่พี่พระจันทร์ยอมให้น้องสมุทรจีบ ... น้องสมุทรแค่...”

 

“เกมส์พ่อเกมส์แม่มัน กูไม่เคยเล่นเกมส์เหี้ยอะไรกับมันทั้งนั้น แต่สำหรับมันกูไม่รู้”

 

“พี่พระจันทร์หมายถึง...”

 

“กูจะเล่าให้มึงฟังชัดๆ ก็ได้สมุทร กูกับอัยย์รู้จักกันมาแต่เด็ก เด็กมากๆ จริงๆ เค้าเป็นคนน่าสงสารนะ เป็นเด็กคนนึงที่น่ารักแต่ก็มักจะร้องไห้อยู่เสมอเลย ตอนเด็กๆ ก็ต้องวิ่งหนีหมาบ่อยๆ เพราะเมียน้อยพ่อชอบแอบมาเปิดกรง”

 

“ห๊ะ...”

 

“อืม กูเจออัยย์ครั้งแรกเพราะตกลงมาจากกำแพงบ้าน บ้านเขากับบ้านกูติดกันน่ะ” พี่พระจันทร์พูดถึงความทรงจำนั้นพร้อมรอยยิ้ม รอยยิ้มอุ่นๆ ในตอนที่เค้ากำลังคิดถึงใครอีกคน

 

“กูไม่รู้หรอกว่าจริงๆ กูรักอัยย์ตอนไหน อาจจะเพราะอยู่ใกล้กัน ความรู้สึกที่ว่า กูอยากปกป้องมันก็เกิดขึ้นมาเอง สักช่วงม.ต้นล่ะมั้ง”

 

“พี่พระจันทร์เคยบอกความรู้สึกออกไปไหมครับ”

 

“เคย”

 

“เมื่อไหร่หรอครับ”

 

“หลังจากที่มึงตะโกนบอกรักกูกลางสนามบอลวันครบรอบสถาปนา60ปีของโรงเรียนเรา”

 

“ห๊ะ....”

 

“จริงๆ กูตั้งใจว่าจะไม่ออกอะไรอัยย์ เพราะตอนนั้นยังไงมันก็ไม่ทันแล้ว มันไม่มีประโยชน์จะไปบอกชอบคนที่มีแฟนไปแล้ว แต่เพราะมึง...ความกล้าของคนที่กูมองตามหลังไม่ทัน แต่ก็ยังกล้าแหกปากบอกรักกู นั่นล่ะ...กูเลยบอกรักอัยย์ไป แต่มันก็ไม่ต่างจากเดิม เค้ารักไอ้ยอร์ช”

 

“แล้วพี่กับพี่ยอร์ช...จริงๆ เป็นเพื่อนกัน”

 

“จะพูดแบบนั้นก็ได้ ตอนช่วงม.5ป๊าส่งกูไปเรียนติว ติดที่สถาบันที่เด็กม.ปลายเค้าไปกันน่ะ” ผมพยักหน้าเข้าใจ เพราะช่วงจะเข้ามหาลัยผมก็ไปเรียนเหมือนกัน ทำยังไงได้ ในเมื่อประเทศนี้ ออกข้อสอบของประเทศจากการเรียนในห้องเรียนมันไม่เคยพอ ออกข้อสอบเหมือนตามหานายก แต่มักได้ควายไปแทนเพราะทำข้อสอบไม่ได้

 

“กูไปเรียนแล้วเจอกับมัน มันเรียนอีกโรงเรียนนึง แต่ว่ารสนิยมคล้ายๆ กัน ก็เลยคุยกันถูกคอ ไปเที่ยวเตะบงเตะบอลด้วยกัน จนวันที่มันเจออัยย์ แล้วก็ไม่รู้อิท่าไหน มันก็คบกัน...ทั้งๆ ที่มันเป็นคนแรกที่กูยอมบอกว่าชอบอัยย์ ขนาดไอ้อาทิตย์ยังรู้ทีหลังมันเลย”

 

“เชี่ย” ผมอุทานออกมาตอนได้รู้เรื่องนี้

 

“มึงคิดว่ากูจะต้องรู้สึกไง คนนึงคือคนที่กูรักมาเกือบทั้งชีวิต ส่วนอีกคนคือเพื่อนสนิทที่กูไว้ใจ”

 

“เชี่ยดี” หลุดปากพูดออกไปตามใจคิด หันมองหน้าอีกคนที่มีแววเสียใจฉาบไว้ในดวงตาคมสวยนั่น

 

“แต่ถึงอัยย์ไม่รักกู กูก็ยังอยู่ข้างเค้า คอยปลอบ คอยหาเวลาที่เค้าต้องการ เพียงเพราะกูหวังว่าสักวันมันจะมีวันของกูบ้าง แต่จนถึงตอนที่เลิกกัน อัยย์ก็ยังไม่เลิกรักมันอยู่ดี”

 

“อ่า...”

 

“กูรักอัยย์ แต่ไม่ใช่สักวันกูจะเลิกรักไม่ได้สมุทร ... กูเคยบอกมึงแล้วว่าจะพยายาม นั่นหมายความว่ามึงก็รู้ใช่ไหมว่ากูยังทำไม่ได้ในตอนนี้” เค้าหันมาสบตากับผม แววตาสื่อตรงที่ผมเองก็รู้ดี รู้ว่าเค้ายังไม่ลืมพี่อัยย์ แต่ผมก็เลือกจะเดินเข้าไปตามใจของตัวเองเหมือนกัน

 

“แต่ต่อให้กูชอบอัยย์มากแค่ไหน กูก็ไม่เคยคิดจะดึงใครเข้ามาเป็นเกมส์เพื่อทดสอบความสัมพันธ์แบบที่ไอ้หน้าเหี้ยนั่นมันพูดหรอก ... โดยเฉพาะกับมึงที่ชอบกูมาสี่ปี แค่ตอนนี้ที่มึงอยู่ข้างกัน ก็เสียเปรียบกูมากแล้ว กูไม่คิดจะทำให้มึงเสียใจมากกว่านี้หรอก”

 

“น้องสมุทรไม่ได้คิดว่าเสียเปรียบพี่พระจันทร์นะครับ ทุกวันนี้น้องสมุทรคิดว่าเป็นกำไรด้วยซ้ำ”

 

“เพราะมึงเป็นแบบนี้ไง”

 

“แบบไหนอ่ะ”

 

“โง่”

 

“เอ้า” ยกมือขึ้นดันกรอบแว่นตานิดๆ หลังโดนด่า แต่คำพูดหนักแน่นของคนที่นั่งข้างกันก็เหมือนเป้นยารักษา ที่ทำให้ความกังวลในใจที่มีมาทั้งวันหายไปแบบไม่รู้ตัว

 

“กูไม่รู้จะอธิบายเรื่องของมึงกับกูยังไง ... แต่ให้มึงรู้ไว้ ตอนนี้มึงเองก็เป็นคนนึงที่มีอิทธิพลกับใจกูเหมือนกัน”

 

“พี่พระจันทร์..อ่า เขินจัง.” ผมพูดออกมาแบบนั้นด้วยเสียงเบาๆ คำที่ทำให้หัวใจของผมสั่น และเต้นแรงมากกว่าทุกที

 

คนแบบน้องสมุทรเนี่ยนะที่มีอิทธิพลกับใจของพี่พระจันทร์ ... น้องสมุทรอย่างงั้นหรอ

 

“หึ เขินคนเดียวมั้งสัด” บ่นออกมาเบาๆ แต่ถึงแบบนั้นน้องสมุทรก็ได้ยินอยู่ดี หน้าตาของพี่พระจันทร์ที่ยังทำหน้านิ่งๆ เหมือนทุกที แต่หูสวยนั่นกลับแดงขึ้นมามากกว่าเคย ... อยากล้อจัง แต่กูก็อายมาก เลยเลิกจะเงียบและคันยุบยิบในหัวใจอยู่คนเดียวแทนละกัน

 

เสียงตบไฟเลี้ยว พร้อมๆ กับรถคันหรูที่เข้ามาจอดเทียบที่หน้าบ้านของผมอย่างคุ้นเคย ไม่คิดว่าจะถึงไวขนาดนี้ แต่บางทีก็ลืมความตีนผี และความเงียบที่ปล่อยให้เวลาเดินไปไวจนกว่าจะได้คุยกัน น้องสมุทรถอนหายใจหนักๆ ออกมาหนึ่งที แล้วละสายตาไปมองที่หน้าบ้าน ก่อนจะต้องเบิกตากว้างๆ เมื่อเห็นใครอีกคนมายืนรอกันอยู่ก่อนแล้ว

 

“ไอ้สัดที่น่าโดนต่อยปาก เสนอหน้ามาให้ตีนกูฟาดถึงที่เลย” เสียงฉุนจัดออกมาจากปากของพี่พระจันทร์ทำให้ผมหันไปมองตาม คนข้างๆ ตัวที่ก็ถอดสายเบลออกอย่างไวแล้วก้าวลงไปจากรถไปไวๆ เห็นแบบนั้นน้องสมุทรเลยทิ้งความเขินอายไว้บนรถแล้วรีบวิ่งตามอีกฝ่ายลงไป เพราะดูจากหน้าตาของพี่พระจันทร์แล้ว ผมว่านี่น่ากังวลกว่า

 

“เดี๋ยวๆ พี่ครับ” วิ่งตามคนก้าวอาดๆ ไปแล้วดึงแขนพี่พระจันทร์เอาไว้ พี่ยอร์ชที่เอาตัวยืนพิงรถอยู่พอเห็นพวกเราก็ทำแค่โยนบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้ดับไฟให้เรียบร้อย ท่าทางเอาเรื่องที่ก็เดินเข้ามาหาทันทีเหมือนกัน

 

“กูจะซัดหน้าไอ้ปากหมาเนี่ย”

 

“ไม่ๆ พี่พระจันทร์น้องสมุทรขอนะ”

 

“มึงก็มาดิ มึงคงไม่คิดว่ากูจะยอมโดนมึงต่อยคนเดียวหรอกใช่ไหม” พี่ยอร์ชเองก็ก้าวอาดๆ เข้ามาพร้อมความปากดี แต่ใช่เรื่องไหมเอ่ย พี่พระจันทร์ที่ดูของขึ้นง่ายกว่าทุกทีตั้งท่าเดินเข้าไปหา แต่น้องสมุทรก็เอื้อมมือกอดเอวเข้าไว้แน่นๆ แล้วส่ายหน้าไปมาอยู่กลางแผ่นหลังเค้าทั้งแบบนั้น ฝ่าตีนในร้องเท้าผ้าใบก็จิกเข้ากับพื้นถนนแน่นๆ .... แรงควายๆ ช่วยด้วย อย่าไป๊ๆ

 

“น้องสมุทรขอนะ นี่มันหน้าบ้านน้องสมุทรนะ” ผมบอกแบบนั้น คนที่กอดไว้ก็หยุดเดิน เค้าเอี้ยวหน้ามามองผมในจังหวะที่ผมก็ช้อนตามองพอดี

 

“นะครับ”

 

“มึงอ้อนกู”

 

“หา” กระพริบตาปริบๆ สองที คือเปล่าอ้อน น้องสมุทรแค่อ่อนใจฉิบหายในการฉุดรั้งแรงควายของพี่พระจันทร์ไม่ให้เข้าไปต่อยหน้าพี่ยอร์ชเฉยๆ ... แต่ถ้าพี่พระจันทร์คิดแบบนั้น ขอถามกันว่าได้ผลไหม?

 

“เฮ้อ แม่ง” บ่นออกมาเบาๆ พร้อมยกมือขึ้นเสยผมอย่าหงุดหงิด ท่าทางที่อ่อนลงพร้อมแรงที่อ่อนตาม เจ้าตัวที่ทำแค่ยืนตรงๆ แล้วไม่ขยับไปไหน ทำให้ผมเลิกกอดเค้าไว้ทั้งตัว ... ได้ผลหรอวะ

 

“จะพูดเหี้ยไรกับไอ้สัดนี่ก็รีบพูดดิ” บอกแบบนั้นแล้วเขม่นสายตามองพี่ยอร์ชแบบไม่เป็นมิตร

 

“กูจะคุยกับมึงสองคนสมุทร”

 

“เรื่อง Kไรล่ะ” โพล่งออกมาพร้อมกับขาที่ก้าวเดินไปจะหาเรื่องพี่ยอร์ชอีกที ผมคว้าแขนเค้าไว้ได้ทัน พี่พระจันทร์ที่หันมามองกันแล้วขมวดคิ้ว ผมส่ายหน้าหน่อยๆ เป็นคำขอ

 

“แม่ง”

 

“พี่พระจันทร์เข้าไปรอในบ้านน้องสมุทรก่อนนะ”

 

“เรื่อง!”

 

“นะครับ” ผมใช้เสียงอ่อนที่ก่อนหน้านี้ได้ผลดี ช้อนตามองเค้าผ่านกรอบแว่นหนานี้ พี่พระจันทร์ถอนหายใจเหมือนคนหงุดหงิดใส่กันอีกที แล้วสบถออกมาเสียงดัง

 

“อย่าช้านะมึง แล้วถ้าไอ้เหี้ยนี่ทำอะไรมึง แหกปากดังๆ” บอกออกมาหน้านิ่งคิ้วขมวด คำพูดคำจาของเค้าที่ทำเอาผมหลุดยิ้มออกมาน้อยๆ คำพูดคำจาที่เหมือนว่าจะเป็นห่วงกัน

 

“ครับๆ”

 

“ส่วนมึง...” หันไปหาพี่ยอร์ชแล้วใช้นิ้วชี้หน้าอีกฝ่าย

 

“ถ้ามึงกล้าแตะไอ้สมุทรสักนิดล่ะก้อนะ ... โดนตีนกูแน่”

 

พี่พระจันทร์หันหลังแล้วเดินก้าวฉับๆ เข้าไปในบ้านของผม ที่ตอนนี้มีไอ้ทะเลโผล่หัวออกมามองด้วยสายตาตื่นๆ ผมคิดว่ามันคงได้ยินเสียงเอะอ่ะ พี่พระจันทร์ที่เดินเข้าไปหาน้องผมก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวมันเบาๆ ก่อนจะจูงมือมันเดินเข้าบ้านไป หันมองตามไปก็เห็นทั้งพี่พระจันทร์และทะเลที่กำลังลากเก้าอี้ม้าหินช่วยกันให้เข้ามาใกล้กำแพงบ้าน ...ไม่เข้าใจว่าทำอะไร

 

แต่ไม่กี่วินาทีต่อไปก็เข้าใจเมื่อร่างสูงๆ ของพี่พระจันทร์ปีนขึ้นไปบนเก้าอี้แล้วกอดอกยืนมองผมจากตรงนั้น ... จับตาดูอย่างใกล้ชิด ที่แปลว่าดูติดขอบกำแพง ... ถ้าจะขนาดนี้ก็ไม่ต้องเดินเข้าบ้านไปหรอกพี่ครับ!

 

#รักอยู่รู้ยัง

 



(ปล. พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของแคท แคทหวังว่าตอนนี้จะเป็นของขวัญตอบแทนให้ทุกคนมีความสุขไปด้วยกันนะคะ)


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด