แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (20) 100% (22/02/64)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แค้นรัก...สลับภพ ภาค เมิ่งอวิ๋น (จีนโบราณ) เมิ่งอวิ๋น (20) 100% (22/02/64)  (อ่าน 10981 ครั้ง)

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

admin
thaiboyslove.com

*******************************************





      เพราะถูกคนรักฆ่าตายอย่างเลือดเย็น ทำให้วิญญาณที่ลอยออกจากร่างได้พบกับใครอีกคนที่มีชะตาไม่ต่างกัน การแลกเปลี่ยนครั้งสำคัญจึงได้เกิดขึ้น







   เซี่ยอี้เจิน ถูกคนรักวางยาพิษตายเพราะเธอรักน้องชายของเขา วิญญาณจึงหลุดลอยออกจากร่างมาพบกับ เมิ่งอวิ๋น ผู้ชายจากอีกยุคที่เจ็บปวดทรมานจากการถูกคนที่รักสังหารให้ตายอย่างเลือดเย็น

   การแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของทั้งสองจึงได้เกิดขึ้น!

   

   

   

   “เจ้าช่วยไปใช้ชีวิตแทนข้าได้หรือไม่”

   “ครับ? คุณหมายถึงอะไร?”

   “ข้าจะขอแลกกับเจ้า เมื่อเจ้าไม่ปรารถนาจะกลับไป เช่นนั้นก็ไปอยู่แทนที่ข้า ข้าเองก็ไม่ปรารถนาจะกลับไปในที่ของข้า เช่นนั้นข้าก็จะไปอยู่ในที่ของเจ้าแทน”

   “เราแลกชีวิตกันได้หรือไม่ เซี่ยอี้เจิน”


   

   

   

   สำคัญมาก

   นิยายเรื่องนี้จะมีด้วยกันสองภาคค่ะ ภาคแรกเป็นของเมิ่งอวิ๋น ภาคที่สองจะเป็นของเซี่ยอี้เจิน ซึ่งภาคแรกนั้นจะเป็นจีนโบราณ ส่วนเนื้อหาของภาคเซี่ยอี้เจินจะเป็นยุคปัจจุบันจ้า แมวจะแยกสองคนนี้ออกเป็นภาคของตัวเอง แต่จะเปิดเรื่องเอาไว้ก่อนนะคะ เสร็จเมื่อไร แมวจะมาลงให้ได้อ่านกันทันทีเลยจ้าาา

   

   

   ***นิยายเรื่องนี้อัพทุกๆวันจันทร์นะคะ***

   

   

   โปรดทราบๆ แมวไม่สันทัดกับจีนโบราณมากนัก อาจมีความผิดพลาด มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนก็ขอให้ทุกท่านโปรดอภัยให้นักเขียนตัวน้อย ๆ คนนี้ด้วยนะคะ


     
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-02-2021 17:29:03 โดย llมว_น้oe »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[0]

อรัมภบท…

ท่ามกลางกลิ่นหอมของดอกไม้ที่เบ่งบาน เซี่ยอี้เจิน ที่เกิดความอึดอัดในช่วงอกจนต้องยกมือขึ้นมากุมมันเอาไว้ โลหิตสีแดงสดล้นทะลักออกมาทีละน้อยทางริมฝีปากจนตอนนี้มันถูกย้อมไปด้วยสีแดง เซี่ยอี้เจินไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะต้องมาพบจุดจบอันแสนเลวร้ายเช่นนี้ ใครจะไปนึกว่าคนที่รักสุดหัวใจจะกล้าลงมือวางยาให้เขาตายตกไปอย่างไม่นึกสงสาร

เซี่ยอี้เจินมองสบตากลมโตที่ไร้วี่แววการสำนึกผิดใดๆ อย่างผิดหวังและเสียใจ มือที่กุมอกเอาไว้ในตอนนี้อยากจะทุบลงไปที่ตำแหน่งหัวใจแรงๆ ให้มันได้สาสมกับความโง่งมที่เกิดขึ้น

“ทะ ทำ…ไม” อันซูเหม่ยมองร่างที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะยืนอย่างรังเกียจ ริมฝีปากกระตุกยิ้มเย้ยหยันกับความโง่ของผู้ชายตรงหน้าของเธอเอง ผู้ชายที่เธอต้องจำใจทนกับสถานะคนรักทั้งที่ไม่เคยอยากจะเป็น

“เซี่ยอี้เจินนะเซี่ยอี้เจิน นายคิดจริงๆ หรือว่าฉันจะรักนาย?” เลือดสดๆ ถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากของเซี่ยอี้เเหลือเกินนเมื่อได้ยินคำถามนั้น หัวใจที่ทรมานจากพิษยังต้องมารับฟังตำพูดที่แสนเจ็บปวดพวกนี้ด้วยหรือ เขาเพียงอยากจะรู้เหตุผลเท่านั้น ทั้งที่เขาให้เธอทุกอย่าง ทำดีกับเธอทุกๆ อย่าง

แล้วเพราะอะไรล่ะ อะไรที่ทำให้ผู้หญิงที่เขารัก ลงมือฆ่าเขาได้อย่างเลือดเย็น

“จะบอกอะไรให้รู้เอาไว้นะ ว่าคนที่ฉันรักไม่ใช่นาย แต่เป็นเซี่ยเฟิงต่างหาก!” มือบางออกแรงผลักร่างของเซี่ยอี้เจินจนล้มลงไปกับพื้น สายตามองเหยียดอย่างนึกรังเกียจไม่หาย เธอมองมือที่ใช้สัมผัสร่างของเซี่ยอี้เจินก่อนจะเช็ดมันกับผ้าที่อยู่ใกล้มือที่สุดต่อหน้าต่อตาของเซี่ยอี้เจิน

ความร้อนแล่นผ่านกระบอกตา นึกอิจฉาน้องชายของตนเองที่ได้หัวใจของอันซูเหม่ยไปครอบครองถึงขนาดที่ยอมทำร้ายเขา ลงมือฆ่าเขาให้ตายเพื่อน้องชายของเขา เซี่ยอี้เจินกระอักเลือดออกมาไม่หยุด รู้สึกได้ถึงอากาศที่ใกล้จะหมดลงไปเต็มที

“ถ้าเธอ ระ รักอาเฟิง อึก! ทะ ทำไมต้องมา คะ คบกับฉัน ดะ ด้วย” เซี่ยอี้เจินพยายามอย่างยิ่งที่จะเอ่ยถามสิ่งที่คาใจ หากวันนี้จะต้องตายไปก็ไม่ขอติดค้างสิ่งใดให้ต้องพานพบกันอีก ซูเหม่ยโบกมือไปมาเพื่อดับความร้อนด้วยท่วงท่าสบายอารมณ์ ไม่สนใจร่างที่ใกล้จะตายของเซี่ยอี้เจินสักนิด

“ใครใช้ให้นายเป็นทายาทแห่งสกุลเซี่ยกันล่ะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะอาเจิน ฉันกับอาเฟิงจะดูทุกอย่างแทนนายเอง”

“…” อันซูเหม่ยขยับยิ้มออกมาส่งให้กับเซี่ยอี้เจินอย่างสดใส พร้อมกับถ้อยคำที่บาดหัวใจของเซี่ยอี้เจินจนแทบจะขาดใจตายลงไปเดี๋ยวนั้น

“เพราะงั้น…นายช่วยรีบๆ ตายๆ ไปเสียทีเถอะ!”

ทั้งที่น้ำเสียงหวานชวนฟัง แต่ถ้อยคำกลับเป็นเหมือนมีดกรีดลงไปบนหัวใจของเซี่ยอี้เจิน เขาพ่นเลือดออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ลมหายใจค่อยๆ หมดลงไปช้าๆ พร้อมกับสายตาที่พร่าเลือนก่อนจะมืดดับไป หากเขาไม่ได้ตาฝาด ร่างของคนที่วิ่งเข้ามาเมื่อครู่คงเป็นเซี่ยเฟิง น้องชายของเขาสินะ

ความตายมันช่างหนาวเหน็บและทรมานเหลือเกิน ราวกับร่างกายจดจำทุกความเจ็บปวดเอาไว้ไม่ยอมลืมเลือนมันไป

การตายของเขาคงทำให้น้องชายและคนรักของเขามีความสุขใช่ไหม

หากเป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว แค่พวกเขามีความสุขตามที่พวกเขาต้องการก็พอ

แม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยความตายของตัวเขาเองก็ตาม

“น่าสงสารนัก ท่านก็ไม่แตกต่างไปจากข้า”

“ใคร? นั่นใครกัน” รอบกายไม่มีแม้แต่แสงไฟดวงเล็ก มีเพียงเสียงของใครสักคนที่พูดออกมาด้วยความปวดร้าวและทรมานใจ

“ท่านเองก็ถูกผู้ที่รักหักหลัง ถูกผู้ที่ท่านมอบหัวใจให้สังหารจนตายมิต่างจากข้า” เซี่ยอี้เจินเจ็บแปลบในหัวใจ ยิ่งอีกคนพูดถึงความเจ็บปวดจากการถูกคนรักสังหารยิ่งทำให้เขาต้องกำมือแน่นเพื่อระงับความรู้สึกขมปร่าที่ตีขึ้นมา

“คุณเป็นใครครับ ทำไมถึงรู้ล่ะว่าผมถูกคนที่รักฆ่า” ร่างของชายหนุ่มร่างบางค่อยๆ ก้าวออกมาจากความมืด ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าที่ชวนให้เซี่ยอี้เจินตกตะลึงในความงดงามของคนตรงหน้าของเขา เส้นผมสีดำยาวสลวยแต่ดวงตาคู่หวานกลับแดงก่ำและบวมช้ำ ริมฝีปากแดงระเรื่อมีรอยแตกอยู่ แม้จะสวยจนชวนมองแต่กลับสั่นหัวใจของเขาไปด้วยความสงสารจนเผลอเอื้อมมือออกไปสัมผัส

“คุณกำลังเจ็บปวด…” เสียงของเซี่ยอี้เจินแผ่วเบาราวกับขนนกเพราะกลัวว่าแม้แต่เสียงของตนจะยิ่งทำให้ความเปราะบางของคนตรงหน้าแตกสลายลงไป

“ข้าไม่เป็นไร เจ้าช่างเป็นคนดีนัก ข้ามองดูเจ้าถูกหญิงผู้นั้นสังหารด้วยสองตา จิตใจของนางช่างต่ำช้า มิต่างจากคนที่ลงมือสังหารข้าอย่างเลือดเย็น” ดวงตาหวานกลมโตเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา แต่นัยน์ก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและเสียใจจนเต็มอก เมิ่งอวิ๋นรู้สึกทรมานไปทั้งตัว สกปรกโสมมจนปรารถนาจะตายอีกรอบเสียด้วยซ้ำ

“เธอทำแบบนั้นเพราะรักน้องชายของผม ถ้าพวกเขาสองคนมีความสุข การตายของผมก็นับว่าไม่เสียเปล่าอะไร” เมิ่งอวิ๋นยิ้มขืน เขาเองก็อยากจะคิดให้ได้เช่นนั้นเหลือเกิน เพียงแต่ความโกรธที่มีอยู่เต็มอก ความเกลียดที่มันเพิ่มพูนขึ้นมาในหัวใจ และความไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจึงทำเช่นนี้ มันกลับเป็นดั่งยาพิษที่ค่อยๆ ทำลายความดีงามทั้งหมดให้หายไปกับสายลม

“ข้าอยากทำให้ได้เช่นเดียวกับเจ้า แต่ข้าคงไม่อาจเป็นคนดี ปล่อยวางเรื่องของตนเองได้ง่ายดายเหมือนเจ้า”

ไม่อยากกลับไป หากกลับไปที่แห่งนั้น เขาคงจะต้องสังหารพวกมันทั้งหมดให้ตายตกไป ย้อมความรักของชายหญิงคู่นั้นด้วยโลหิตจากความแค้นเป็นแน่

“เจ้าจะกลับไปหรือไม่ หากกลับไปได้ เจ้าจะกลับไปอีกหรือไม่” เซี่ยอี้เจินยิ้มอ่อน แววตาสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว

“ไม่ครับ ผม…คงกลับไปที่นั่นไม่ได้อีกแล้ว ต่อให้กลับไปได้จริงๆ ผมก็คง…เลือกที่จะไม่ไป” เมิ่งอวิ๋นยิ้มออกมาด้วยหัวใจที่มีหวัง ในเมื่อเขาเองก็ไม่ปรารถนาจะกลับไปที่ที่เขาจากมา อีกคนก็ไม่ปรารถนาจะกลับไปเช่นเดียวกัน หากเป็นเช่นนั้น…

“เจ้าช่วยไปใช้ชีวิตแทนข้าได้หรือไม่”

หากเราทั้งสองต่างไม่ปรารถนาจะกลับไปยังโลกของตนเองเช่นเดียวกัน

“ครับ? คุณหมายถึงอะไร?” เมิ่งอวิ๋นกุมมือของเซี่ยอี้เจินเอาไว้แน่น สบสายตาอย่างคาดหวังในคำตอบรับ

“ข้าจะขอแลกกับเจ้า เมื่อเจ้าไม่ปรารถนาจะกลับไป เช่นนั้นก็ไปอยู่แทนที่ข้า ข้าไม่ปรารถนาจะกลับไปในที่ของข้า เช่นนั้นข้าก็จะไปอยู่ในที่ของเจ้าแทน”

เมิ่งอวิ๋นไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่น้อย สิ่งที่พูดออกมาทั้งหมดคือความจริงที่เขาคิดเอาไว้ดีแล้ว เมื่อเราทั้งสองต่างก็ทรมานใจจากโลกที่เราจากกันมา หากเป็นเช่นนั้นเราก็เพียงแลกกันด้วยความเท่าเทียม

“เราแลกชีวิตกันได้หรือไม่ เซี่ยอี้เจิน” เซี่ยอี้เจินมือไม้สั่นไปหมด แลกชีวิตกัน…มันดูไม่ง่ายเลยสักนิด

“คุณจะรับมือไหวจริงๆ นะหรือ ถ้าหากผมฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ผมหมายถึง…หากพวกเขารู้ว่าผมยังไม่ตาย คุณที่ไปแทนผม จะเป็นอันตรายได้นะ” เพราะความกลัวนี้เขาจึงไม่คิดจะกลับไป หากถูกฆ่าให้ตายอีกครั้ง หัวใจของเขาคงบอบช้ำจนวิญญาณแตกสลายเป็นแน่ แต่เมิ่งอวิ๋นกลับหัวเราะเสียงเย็น แววตาที่เคยเต็มไปด้วยความเจ็บปวดตอนนี้มีแต่ความคับแค้นใจอยู่เต็มอก

“ข้ามิใช่คนที่จะถูกผู้ใดรังแกได้ง่ายๆ อย่าห่วงไปเลย…ข้าไม่ยอมตายอีกครั้งอย่างแน่นอน” น้ำเสียงของเมิ่งอวิ๋นนั้นเต็มไปด้วยความเด็ดขาดและจริงจัง บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากตัวของคนที่มีใบหน้าแสนงดงามคนนี้ มันช่างไม่ต่างจากบรรยากาศของพวกบอดี้การ์ดของเขาในโลกก่อน เวลาที่จะสังหารศัตรู

“แล้วผม…” เมิ่งอวิ๋นมองเห็นความลังเลในดวงตาของเซี่ยอี้เจิน และเข้าใจในสิ่งที่เซี่ยอี้เจินคิดกังวลอยู่

“หากเจ้ากังวลว่าไม่คุ้นชินกับที่นั่นก็โปรดวางใจ ที่บ้านข้ารักใคร่กลมเกลียวนัก ท่านพ่อข้าเป็นพ่อค้า พี่ชายของข้าก็ล้วนแต่รักใคร่ข้ากันทั้งสิ้น” แม้จะคิดถึงมากมายสักเพียงใด ก็ไม่อาจกลับไปได้อีกแล้ว เมิ่งอวิ๋นหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม

“ได้โปรด…ดูแลพวกเขาแทนข้าด้วย”

“ดะ เดี๋ยว!”

เซี่ยอี้เจินคิดจะห้ามปราม แต่ก็ช้าไปเสียแล้วเมื่อเมิ่งอวิ๋นผลักอกของเขาอย่างแรงจนร่างกายกระเด็นไปด้านหลังอย่างรวดเร็วและไม่มีท่าทีจะหยุดลง ร่างกายที่แสนงดงามของเมิ่งอวิ๋นค่อยๆ ห่างออกไป มีเพียงรอยยิ้มบางเบาเท่านั้นที่ถูกส่งมาจนกว่าจะลับตาไป

เซี่ยอี้เจิน ใช้ชีวิตแทนข้า ดูแลท่านพ่อท่านแม่เและพี่ชายของข้า…แทนตัวข้าให้ด้วยเถิด






TBC



บทนำมาแล้วจ้าาา เปิดเรื่องมาน้องก็ตายเลยทีเดียว (ฮา) เรื่องนี้มีสองภาคนะคะ ภาคนี้จะเป้นของน้องเซี่ยในร่างของเมิ่งอวิ๋น เป็นยุคโบราณ หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
น่าสงสาร รอลุ้นตอนต่อไปเลยจ้า

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
เมิ่งอวิ๋น

มันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยยกเว้นสิ่งรอบกายในตอนนี้ แต่เซี่ยอี้เจินไม่คิดจะนอนหลับเป็นตายราวกับคนไม่เคยนอนหรอกนะ ก่อนตายเขาเองก็เป็นถึงคุณชายใหญ่แห่งสกุลเซี่ย แม้จะตายตกด้วยน้ำมือของคนที่รักและไว้ใจ แต่เขาก็ถือว่าเป็นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ มีหน้ามีตามากมายเกินกว่าจะมาขี้เกียจสันหลังยาวได้

เซี่ยอี้เจินค่อย ๆ ขยับตัวช้า ๆ อย่างยากลำบาก ร่างกายปวดร้าวไปทั้งตัวราวกับกระดูกถูกใครมาบดให้มันแตกละเอียด สองตาแทบจะลืมขึ้นมาไม่ได้ ยังดีที่ไม่ได้ถึงขั้นปูดบวมให้เกิดความสมเพชแต่ก็ถือว่าไม่ปกติจนพอจะเห็นมันได้

“นายน้อย ฮือ ๆ บ่าวสมควรตาย บ่าวสมควรตายจริง ๆ ฮือออ” เสียงร่ำไห้ที่ดังมาจากทางด้านข้าง เซี่ยอี้เจินที่เพิ่งจะพบเจอกับความเจ็บปวดหลังลืมตาก็เกิดความไม่เข้าใจมาสอดแทรก

สมัยนี้ยังมีคนแทนจนเองว่าบ่าวอีกหรือ?

ความสงสัยชวนให้เกิดคำถามมากมายทำให้เซี่ยอี้เจินต้องมองไปรอบกาย การตกแต่งแปลกตากับข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่สามารถหาชมได้ตามท้องตลาดทำให้เซี่ยอี้เจินเบิกตา จนต้องก้มลงมองเสื้อผ้าของตนเองและมองชายหนุ่มตัวบางที่ยังคงโขกศีรษะให้เขาอยู่ที่พื้น

“นี่ ที่นี่…” ที่ไหนกัน

“นายน้อย ฮึก นายท่านเป็นห่วงนายน้อยมากเลยนะขอรับ” เด็กหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นมามองเซี่ยอี้เจิน บอกเล่าความห่วงใยของพ่อแม่ที่มีต่อเขา หวังให้นายน้อยของมันได้ฟังคำเตือนของนายท่านและฮูหยินบ้าง

ตัวเสี่ยวหลงเองก็พอจะเข้าใจในตัวของเมิ่งอวิ๋นอยู่บ้าง หากนายน้อยของมันผูกสมัครรักใคร่กับผู้ใดย่อมไม่มีทางปล่อยให้คนผู้นั้นไปชอบพอใครอื่น แต่อีกฝ่ายก็มิใช่ชาวบ้านธรรมดา เป็นถึงคุณชายรองแห่งจวนแม่ทัพหลี่ที่ผู้ใดก็รู้ว่าไร้หัวใจ

เซี่ยอี้เจินขมวดคิ้วยกมือบางขึ้นกุมขมับของตนเองเอาไว้ด้วยอาการปวดหนึบ ยิ่งได้ยินเสียงร่ำไห้อย่างดีใจของเสี่ยวหลงร่างบางก็พลันยิ่งปวดหัวเข้าไปใหญ่

เซี่ยอี้เจินถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะพูดกับตนเองด้วยเสียงที่เบาหวิว “นี่มันเรื่องอะไรกัน”

“นายน้อย ท่านว่าอะไรนะขอรับ?” เสี่ยวหลงถามออกมาอย่างสงสัยเมื่อได้ยินนายน้อยของตนพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่ชัดเจน

“เอ่อ ไม่ ผม ไม่ใช่สิ ข้า ข้าไม่ได้พูดอะไร” เซี่ยอี้เจินที่มองเสี่ยวหลงได้แต่นึกย้อนเหตุการณ์กลับไปอีกครั้ง ก่อนที่ความจริงทุกอย่างจะหวนกลับมาจนเซี่ยอี้เจินได้แต่หัวเราะให้กับความโชคร้ายของตัวเอง

“เจ้า เอ่อ เจ้าชื่ออะไรนะ?” เสี่ยวหลงชะงักก่อนที่บ่อน้ำตาจะแตกจนหยาดน้ำตาไหลจนท่วมใบหน้า เสียงร่ำไห้สะอื้นดังขึ้นมาจนหนวกหู ศีรษะเล็ก ๆ ก้มลงโขกกับพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีหยุด ปากก็ร้องแต่คำว่าบ่าวสมควรตาย

“โฮๆ บ่าวผิดเอง บ่าวสมควรตาย ฮืออ” ใครจะไปตายได้ตั้งหมื่นครั้งกัน เซี่ยอี้เจินเห็นภาพตรงหน้าก็เกิดความสงสาร จากที่ทำอะไรไม่ถูกก็กลายเป็นกระอักกระอ่วนใจ พยายามจะส่งเสียงห้ามปราบ

“เจ้า คือ อย่าทำเช่นนี้เลย ข้าแค่รู้สึกปวดหัวมาก ๆ นึกอะไรไม่ค่อยออก จำสิ่งใดก็ไม่ค่อยจะได้ ข้าผิดเองที่ถามเจ้าเช่นนั้น” เสี่ยวหลงรีบส่ายหน้า คลานเข่าเข้ามาหาอย่างรวดเร็วพร้อมกับน้ำตาที่ไม่เหือดแห้งไปแม้แต่น้อย

“นาย ฮึก น้อยจำสิ่งใด ฮึก ได้บ้างหรือขอรับ” เซี่ยอี้เจินยิ้มเจื่อนๆ

“จำได้แค่ว่าข้าคือเมิ่งอวิ๋น” เขาจะบอกได้ยังไงว่าเขาคือเซี่ยอี้เจิน คือคนที่แลกเปลี่ยนวิญญาณกับเมิ่งอวิ๋นมาเพื่อดูแลทุกคนทดแทน เพื่อแลกเปลี่ยนกับการได้มีชีวิตอยู่ต่อโดยไม่มีคนที่ทำให้ปวดใจ

“บ่าว ฮือ บ่าวจะไปแจ้งนายท่าน นายท่านจะต้องหาหมอที่ดีที่สุดมารักษานายน้อยได้อย่างแน่นอน โฮๆ นายน้อยของบ่าว รอบ่าวก่อนนะขอรับ ฮืออออ นายท่านนนนนนนนน” เซี่ยอี้เจินตกตะลึง คนผู้นี้ช่างว่องไวและรวดเร็วเหลือเกิน บอกเขาจบไม่ทันจะถึงสิบวิก็หายไปจากเขาเสียแล้ว มีแต่เพียงเสียงเรียกนายท่านเท่านั้นที่ดังมากระทบหูอยู่เป็นระยะก่อนที่จะเงียบไป

เซี่ยอี้เจินลอบถอนหายใจออกมาเมื่อทางสะดวก เมิ่งอวิ๋นหรือเซี่ยอี้เจินพยายามไล่เลียงเหตุการณ์ที่เริ่มประดังเข้ามามีละน้อย ๆ ในหัวช้า ๆ แล้วก็พบว่าตนเองคือบุตรชายคนเล็กของพ่อค้าที่แสนร่ำรวยอย่างเมิ่งหยวน เมิ่งอวิ๋นนั้นเป็นคุณชายผู้เอาแต่ใจทว่ากลับหลงรักแม่ทัพใหญ่นามว่าหลี่เจี้ยนเฉิง หลี่เจี้ยนเฉิงที่ถูกรักกลับไม่มีใจแม้แต่น้อยต่อเมิ่งอวิ๋น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะตามตื้อหรือเกาะติดยังไงก็ไม่เป็นผล หลี่เจี้ยนเฉิงไม่เพียงไม่แลแม้แต่หางตา กลับขับไล่ไสส่งเมิ่งอวิ๋นอย่างไม่คิดจะไว้หน้า

เมิ่งอวิ๋นไม่เจ็บแค้น ทั้งยังทั้งรักและบูชาหลี่เจี้ยนเฉิงจนหมดหัวใจ แม้จะถูกขับไล่ออกมากี่ครั้งก็ยังคงแวะเวียนไปหาอย่างไม่ยอมหยุด แต่หลี่เจี้ยนเฉิงที่ต้องการตัดปัญหาทุกอย่างจึงได้เข้าไปยังหอฮุ่ยเหรินและได้พบกับถังเป้ยอี้ นางโลมผู้ขายเสียงพิณ ความงดงามของถังเป้ยอี้นั้นต้องตาต้องใจของหลี่เจี้ยนเฉิงอย่างมาก จึงได้เข้ามาหานางบ่อยครั้งจนเมิ่งอวิ๋นทนไม่ได้

ความรักที่บดบังดวงตาทำให้เมิ่งอวิ๋นจ่ายเงินเพื่อขอใช้เวลากับถังเป้ยอี้หนึ่งคืนด้วยเงินจำนวนมาก เมิ่งอวิ๋นว่าจ้างชายแปลกหน้ากว่าสี่คนเพื่อให้กระทำการย่ำยีถังเป้ยอี้ด้วยความเกลียดชัง แต่ยังไม่ทันที่จะเหิดเรื่องน่าเศร้า หลี่เจี้ยนเฉิงก็เข้ามาช่วยถังเป้ยอี้ได้ทันเวลา พร้อมกับว่าจ้างให้เหล่าชายแปลกหน้าที่เมิ่งอวิ๋นจ้างมาลงมือย่ำยีเมิ่งอวิ๋นแทน

เมิ่งอวิ๋นถูกกระทำอย่างป่าเถื่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายใต้สายตาคู่นั้นของคนที่ตนรักหมดหัวใจ ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะหมดไปพร้อมกับภาพที่หลี่เจี้ยนเฉิงและถังเป้ยอี้โอบกอดกันออกไปทิ้งไว้เพียงร่างกายที่ไร้ลมหายใจของเมิ่งอวิ๋น

แปลก…ทำไมในความทรงจำของเมิ่งอวิ๋นถึงมีภาพเหตุการณ์จนถึงขั้นสิ้นใจกันล่ะ?

ในเมื่อร่างกายของเขาในตอนนี้ไม่ได้มีแม้แต่ร่องรอยของการถูกย่ำยีดังในความทรงจำเลย เมิ่งอวิ๋นในตอนนี้ยังคงสะอาดผุดผ่องและงดงาม ผิวกายที่เขามองเห็นอยู่ยังคงขาวนวลและดูเปล่งปลั่ง ไร้ร่องรอยอย่างที่ติดตรึงในความทรงจำที่ไหลเข้ามา ความสงสัยทำให้เซี่ยอี้เจินขมวดคิ้ว ไม่ว่าจะคิดหาเหตุผลอะไรก็ไม่มีคำตอบที่สามารถอธิบายออกมาได้เลย นั่นจึงยิ่งทำให้ศีรษะที่ปวดอยู่แล้วกลับยิ่งปวดหนักขึ้นไปอีก

เมิ่งอวิ๋น…คุณคงทรมานใจมากจนไม่อยากกลับมาสินะ

คำฝากฝังที่ลอยมาตามสายลมยามที่เขาถูกผลักออกมายังคงดังก้องอยู่ในหู มันเป็นดั่งคำสั่งเสียที่เมิ่งอวิ๋นส่งมันมาให้เขา และเขาเองก็ควรจะต้องทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ คนผู้นั้นช่างโหดร้าย…เพื่อหญิงอันเป็นที่รักจึงต้องลงมือเหี้ยมโหด ให้คนชั่วช้าย่ำยีจนเมิ่งอวิ๋นสิ้นใจ

แปลบ

เซี่ยอี้เจินยกมือขึ้นมากุมอกตนเองเอาไว้ เพียงแค่คิดถึงเรื่องราวที่คล้ายความทรงจำที่เคยเกิดขึ้น ทว่ายังไม่เกิดขึ้นก็ทำให้หัวใจของเซี่ยอี้เจินเจ็บปวดขึ้นมาอย่างรุนแรง

หลี่เจี้ยนเฉิง คนที่สังหารหัวใจและปลิดลมหายใจของเมิ่งอวิ๋นอย่างโหดร้าย

“เสี่ยวอวิ๋น เสี่ยวอวิ๋นลูกแม่”

ร่างของหญิงวัยสามสิบกว่าๆ วิ่งเข้ามาโดยไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใด นางถลาร่างเข้ามาหาเซี่ยอี้เจินในร่างเมิ่งอวิ๋นที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตั่ง มือข้างหนึ่งกุมศีรษะตนเองเอาไว้ยิ่งทำให้นางยิ่งทวีความห่วงใยต่อบุตรชายคนนี้

“ท่าน…ท่านคือ” แม้ว่าเซี่ยอี้เจินจะได้ความทรงจำของเมิ่งอวิ๋นมาจนครบถ้วน รู้ได้แน่ชัดแล้วว่าคนผู้นี้คือมารดาของเมิ่งอวิ๋นแต่เพื่อการอยู่รอดอย่างกลมกลืน การเอ่ยอ้างถึงความจำที่หายไปมันก็เป็นสิ่งที่สมควรทำที่สุดแล้ว

อู๋ชิวอิ่งมองบุตรชายของตนอย่างสำรวจตรวจตรา ยามได้ยินคำถามราวกับไม้รู้จักมักจี่กับนางก็ยิ่งปวดใจจนแทบจะเป็นลมล้มพับไปเสียตรงนี้ บุตรชายที่นางทั้งรักทั้งทะนุถนอมมาตั้งแต่ยังเล็ก บัดนี้กลับไร้ซึ่งร่องรอยแห่งความคุ้นเคยที่มีมาตลอดสิบหกหนาว หัวใจของคนเป็นแม่ปวดร้าวจนเกินจะทนได้ไหว

“เสี่ยวอวิ๋น เจ้า เจ้าอย่าได้ล้อแม่เล่นอีกเลย” เซี่ยอี้เจินหลบตาวูบด้วยความรู้สึกผิด น้ำเสียงของอู๋ชิวอิ่งยนั้นทั้งสั่นเครือระคนปวดร้าวขนคนที่วางแผนจะใช้ความจำเสื่อมเป็นตัวช่วยให้รอดพ้นจากความแปลกแยก แทบจะล้มเลิกมันเสียตรงนี้ ขอโทษด้วยนะเมิ่งอวิ๋น แต่เรื่องนี้ผมจำเป็นต้องทำจริง ๆ เซี่ยอี้เจินได้แต่ขอโทษเมิ่งอวิ๋นในใจ

“ข้า ข้าจำ ข้าจำอะไรไม่ได้เลย ข้าปวดหัว โอ๊ย! ข้าปวดเหลือเกิน” อู๋ชิวอิ่งเห็นบุตรชายกุมศีรษะเอาไว้พร้อมกับร้องออกมาอย่างทรมานก็พลันสงสาร ได้แต่กอดร่างของเมิ่งอวิ๋นเอาไว้จนแน่นแล้วลูบหลังอย่างปลอบประโลม

“ได้ๆ เจ้าไม่ต้องคิด ลืมแล้วก็ลืมเสีย อย่างไรแม่ก็อยู่ตรงนี้ เสี่ยวอวิ๋นของแม่ แค่เจ้าปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว” เซี่ยอี้เจินถูกความรู้สึกผิดจู่โจมจนอยากจะกระอักเลือดตาย น้ำตาไหลลงบนไหล่ของอู๋ชิวอิ่งช้า ๆ อย่างคนหมดหนทางไปต่อ ในตอนนี้ความอบอุ่นของความรักที่ได้รับทำให้เซี่ยอี้เจินไม่อยากจะปล่อยให้หายไปแม้แต่วินาทีเดียว ความทรมานก่อนสิ้นใจในเวลาก่อนหน้านี้ มันถูกเลือนหายไปจนหมดเพียงถูกอู๋ชิวอิ่งโอบกอดเอาไว้ด้วยสองแขน

“ชิวอิ่ง เจ้าปล่อยเสี่ยวอวิ๋นก่อนดีหรือไม่ อย่างไรตอนนี้เขาก็เพิ่งฟื้นตัว คงจะปวดร้าวไปหมดแล้ว” ในใจของเขาประท้วงหนัก ความรักที่ไม่เคยได้รับทำให้เขาโหยหาจนไม่อยากจะปล่อยมันไป เพียงแต่หากเขาทำเช่นนั้นคงเกิดความแคลงใจหลายอย่าง ยังดีที่อู๋ชิวอิ่งเหมือนจะรู้ตัว รีบปล่อยร่างของบุตรชายแล้วถอยออกไปยืนเคียงข้างผู้เป็นสามี

“ข้าลืมไปได้อย่างไรนะว่าเสี่ยวอวิ๋นเพิ่งจะฟื้นไข้” เมิ่งหยวนส่ายหน้าน้อย ๆ ดึงมือของฮูหยินตนมากุมเอาไว้ ก่อนจะหันไปมองบุตรชายบนเตียงด้วยสายตาห่วงใย

“อวิ๋นเอ๋อร์ เสี่ยวหลงบอกว่าเจ้าจำสิ่งใดมิได้เลยจริงหรือ” เซี่ยอี้เจินลอบมองใบหน้าของเมิ่งหยวนอย่างคิดคำนวณ เมื่อมองเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายเพียงเอ่ยถามเพราะความห่วงใยจึงได้ตอบออกไป

“ข้า ข้าจำสิ่งใดไม่ได้เลย”

“ไม่ได้เลยสักนิดหรือ?” เมิ่งอวิ๋นเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าลงต่ำซ่อนพิรุธทั้งหลายเอาไว้ไม่ให้เห็น

“จำได้เพียงว่าข้าชื่อเมิ่งอวิ๋นเท่านั้นขอรับ”

ยามเห็นว่าบุตรชายตัวน้อยที่เคยเอาแต่ใจก้มหน้าลงต่ำราวกับหวาดกลัวก็พลอยใจอ่อนยวบ นัยน์ตาของเมิ่งอวิ๋นยามนี้ช่างใสซื่อและเดียงสา หากว่าลืมความทรงจำเก่าจนหมดสิ้น เช่นนั้นก็ดีแล้ว แต่จะดียิ่งกว่าหากลืมความรักที่ให้กับคนผู้นั้นไปเสียด้วย เมิ่งลู่เหยาที่มองน้องชายตนเองก็พลันร้อนใจ เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้น้องชายของเขาตกใจจนลืมเลือนทุกสิ่งไปจนหมด เขาเองก็คิดว่ามันดีแล้วไม่ต่างกัน หากเป็นเช่นนั้นก็จะได้ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนผู้นั้นอีก

“ท่านพ่อ บางทีเสี่ยวอวิ๋นอาจจะ…” เสียงของเมิ่งลู่เหยาเบาลงในตอนท้าย เพียงกระซิบข้างใบหูของผู้เป็นบิดาให้ได้ยินเบาๆ เท่านั้น เมิ่งหยวนที่ได้ฟังก็พลันยิ้มออก นัยน์ตาฉายชัดถึงความยินดีอย่างเหลือล้นที่เป็นเช่นนี้

“ดี! เช่นนั้นดียิ่งแล้ว!” เขามิเคยคิดจะห้ามบุตรชายยามชอบพอผู้ใด แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นบุรุษก็ตามที แต่เหตุการณ์วันนี้นั้นกลับทำให้เมิ่งหยวนคิดตก ยอมให้บุตรชายเจ็บปวดใจเพราะแยกจาก ดีกว่าถลำลึกแล้วยากจะถอนตัว ใครจะรู้ได้เล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้นมา คนผู้นั้นก็เป็นถึงแม่ทัพใหญ่…หากเกิดความรำคาญใจต่อบุตรชายของเขา คงไม่แคล้วถูก…

เมิ่งหยวนหวาดกลัวความคิดของตนเอง ยามเมื่อได้ยินว่าบุตรชายคนเล็กที่เขากำลังกลัดกลุ้มจากการถูกทำร้ายฟื้นคืนสติ ทว่ากลับไร้ความทรงจำใดๆ ก็เกิดความตกใจ แต่เมื่อใคร่ครวญดูแล้วก็พบว่านี่อาจเป็นโอกาสที่สวรรค์ประทานให้แก่สกุลเมิ่งอีกครา ให้เจ้าตัวน้อยของพวกเขาได้หลุดพ้นจากความรักที่ไร้แววสมหวังนั้นเสียที

“เสี่ยวอวิ๋น…หากก่อนนี้เจ้าลืมจนหมดสิ้นก็ช่างปะไร ข้า ไม่สิ พ่อจะแนะนำให้เจ้าได้จดจำมันไว้อีกคราก็แล้วกัน”

ใช่แล้ว คงามทรงจำเสียไปก็แค่สร้างใหม่ จากนี้เขาและสกุลเมิ่งจะไม่ยอมให้เมิ่งอวิ๋นเกี่ยวข้องกับชายผู้นั้นอีกแล้ว

“นี่คือท่านแม่ของเจ้า นามว่าอู๋ชิวอิ่ง” เซี่ยอี่เจินเหลือบมองคนที่ได้ชื่อว่าแม่อย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะส่งเสียงเรียกออกมาอย่างแผ่วเบา

“ทะ ท่านแม่”

“ใช่! ใช่แล้วลูกรัก ข้าคือแม่ของเจ้า ฮึก” อู๋ชิวอิ่งน้ำตาไหลอาบสองแก้ม ยามได้ยินคำเรียกขานอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ของเมิ่งอวิ๋น หัวใจของนางพลันอบอุ่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ บุตรชายของนาง ไม่ว่าอย่างไรนางก็รักทั้งสิ้น

“ข้างกายข้าคือพี่ชายของเจ้า เมิ่งลู่เหยา” เซี่ยอี้เจินหันไปมองบุรุษรูปงามร่างกายสูงใหญ่ที่ถูกแนะนำว่าเป็นพี่ชายของเขา ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ส่งให้ด้วยความรู้สึกดีจากความทรงจำ

“พี่ลู่เหยา” เมิ่งลู่เหยาแทบจะร้องไห้โฮเมื่อถูกน้องชายเรียกเสียเต็มยศ ไร้ซึ่งความสนิทสนมดังเก่าก่อน

“ปกติเจ้าจะเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ มิใช่พี่ลู่เหยา” คนเป็นพี่เอ่ยบอกด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความน้อยใจ จนคนที่เคยแต่เป็นพี่ชายอย่างเซี่ยอี้เจินทำตัวไม่ถูก ได้แต่รีบแก้คำเรียกที่ออกจากปากไปแทน

“พี่ พี่ใหญ่”

“ใช่ๆ เช่นนี้ล่ะถูกต้องแล้วน้องข้า” เซี่ยอี้เจินได้แต่รู้สึกขนลุกซู่ สายตาของคนหลงน้องอย่างเมิ่งลู่เหยาช่างชวนให้เสียวสันหลังเสียเหลือเกิน เขาไม่คุ้นชินกับความรักที่พี่มอบให้น้องเช่นนี้ ในชีวิตก่อนเขาเองก็เป็นพี่ใหญ่ มีน้องชายอยู่เพียงคนเดียวนั่นคือเซี่ยเฟิง







50%





ครึ่งแรกกันก่อนน้าา หลังจากที่อู้มาสองอาทิตย์ คือเมื่อวานนี้แมวมีแผนจะลงให้อ่านกันค่ะ เพียงแต่แมวป่วย แค่กๆ วันนี้ก็ยังไม่หายเลย แต่เราก็ไม่ทิ้งงานนะคะ ยังมาลงเสมอ แบ่งออกมาเป็น50% นะคะ เดี๋ยววันพฤหัสแมวจะมาลงครึ่งหลังจ้าาา

ฝากติดตามทวิตเตอร์และเพจของแมวด้วยน้า


เมิ่งอวิ๋น

https://twitter.com/little_kittensY




ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[1] 100%


“เอาล่ะ ต่อไปก็คือข้า เมิ่งหยวน ข้าเป็นบิดาของเจ้า เจ้าจำได้หรือยัง?” เซี่ยอี้เจินพยักหน้า แววตาใสซื่อมองบุคคลที่เป็นครอบครัวของเมิ่งอวิ๋นอย่างทรมานใจ หากพวกเขารู้ว่าเมิ่งอวิ๋นนั้นได้ตายไปเสียแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นไร ความรู้สึกรวดร้าวใจที่ต้องสูญเสีย มันคงไม่อาจลบล้างได้ง่ายดายนักหรอก

ริมฝีปากของเซี่ยอี้เจินเม้มแน่น ก้มหน้าลงต่ำซ่อนความร้าวรานในสายตาตนเองไม่ให้ผู้ใดได้เห็น แลกชีวิตกันเช่นนั้นหรือ เมิ่งอวิ๋นคุณทำใจทอดทิ้งพวกเขาได้จริง ๆ หรือ ความเจ็บช้ำของคุณคงมีมากเสียจนไม่อาจหายใจร่วมกับเขาผู้นั้นได้อีกต่อไปสินะ หากคุณไม่ไปรักเขาก็คงจะดี

“ท่านพ่อ ข้าจำได้แล้วขอรับ” จำได้จนขึ้นใจ พวกท่านคือคนที่เมิ่งอวิ๋นฝากฝังให้ดูแล

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ใบหน้าของเมิ่งหยวนค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มที่แสนพึงพอใจออกมา มือทั้งสองไพล่หลังเอาไว้ยืดอกขึ้นมาเหมือนในยามที่ไร้ความกังวลแล้ว

“เสี่ยวอวิ๋น เจ้าคงหิวแล้วใช่รึไม่ แม่จะให้เสี่ยวหลงไปยกอาหารมาให้เจ้าได้กิน”

“ขอบคุณท่านแม่ขอรับ” ยามได้ยินคำขอบคุณที่ไร้คำปฏิเสธ อู๋ชิวอิ่งก็พลันลนลานรีบออกไปสั่งการให้คนยกอาหารเข้ามาเสียยกใหญ่ มีเพียงแค่เมิ่งหยวนและเมิ่งลู่เหยาเท่านั้นที่ยังคงรอดูท่าทีของเมิ่งอวิ๋นว่าจะจำคนผู้นั้นได้บ้างหรือไม่

“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ท่านสองคนมองข้าด้วยเหตุใดหรือ?” แม้จะคาใจแต่เมิ่งหยวนก็ไม่ปรารถนาจะสะกิดใจต่อเมิ่งอวิ๋นแม้แต่น้อย ด้วยกลัวว่าหากถามออกไปจะทำให้เมิ่งอวิ๋นเกิดจำชายผู้นั้นได้ขึ้นมาอีกครั้ง

แต่ไม่ใช่กับเมิ่งลู่เหยา

“เจ้ายังจำผู้ใดได้อีกหรือไม่ คนที่เจ้ารู้จักหรือ…ชอบพออยู่” เซี่ยอี้เจินยิ้มซื่อแล้วส่ายหน้า ตอบกลับเสียงหนักแน่นเพื่อยืนยันว่าเขาความจำเสื่อมจริง ๆ

“ไม่เลยพี่ใหญ่ ข้าจำผู้ใดมิได้เลย หากข้าต้องจำใครสักคนได้ ข้าก็ควรจะจำพวกท่านที่เป็นครอบครัวของข้ามิใช่หรือ”

ใช่แล้ว คนผู้นั้นโหดเหี้ยมทำให้เมิ่งอวิ๋นต้องตายตกไปด้วยราคี ย่ำยีทั้งร่างกายและศักดิ์ศรีจนสิ้นใจ

แล้วคนผู้นั้นมันน่าจดจำที่ตรงไหนกัน ลืมๆ ไปเสียไม่ดีกว่าหรือไร

“ดี! นี่ช่างเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง สวรรค์! ท่านเมตตาต่อสกุลเมิ่งแล้ว ฮ่า ๆ” เมิ่งหยวนมองบุตรชายคนโตที่เดินออกจากห้องไปด้วยอารมณ์ที่เบิกบานก็พลันทอดถอนใจออกมา เรื่องเช่นนี้ย่อมต้องดูกันอีกนานนัก ในยามนี้แม้เมิ่งอวิ๋นจะลืมเลือนทุกสิ่งไปจริง ๆ แต่ใครจะยืนยันได้เล่าว่ามันจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป

หากวันหนึ่งเมิ่งอวิ๋นจำทุกอย่างได้เล่า เขาจะทำเช่นไร

“เจ้าพักผ่อนเสียมาก ๆ เถิด พี่ใหญ่ของเจ้าก็เป็นเช่นนี้เสมอนั่นล่ะ”

“ขอรับท่านพ่อ” เซี่ยอี้เจินแสดงท่าทางอ่อนแอเข้าไว้ ลอบมองใบหน้าที่มีหนวดเคราอยู่บ้างของผู้เป็นบิดาอย่างหวาดกลัวว่าจะถูกจับได้ แต่เมื่อพบว่าเมิ่งหยวนก้าวออกไปจากห้องเรียบร้อยแล้วจึงได้ลอบถอนหายใจออกมาเสียงดัง ความโล่งใจยังไม่ทันจะช่วยบรรเทาความตื่นเต้นภายในใจลงไปได้ เหล่าคนแปลกหน้าในชุดเก่าๆ ก็เดินเข้ามาสองสามคน แต่ละคนต่างก็มีอาหารสองอย่างอยู่ในมือ

พวกเขาเอ่ยปากขออนุญาตก่อนจะก้าวเข้ามา เซี่ยอี้เจินมองนิ่งๆ ไม่ใช่เขาไม่ชินกับเรื่องเช่นนี้ ในชีวิตก่อนคนรับใช้สกุลเซี่ยเองก็มีมากมาย เรื่องแบบนี้เขาคุ้นชินได้ไม่ยากเย็น เพียงแต่อาหารตรงหน้ามีไม่ใช่น้อย ๆ เขาคนเดียวนั้นจะไปกินหมดได้อย่างไรกัน

“นายน้อย ของพวกนี้เป็นอาหารบำรุงที่ฮูหยินให้คนเตรียมเอาไว้ให้ท่าน ท่านก็ทานเสียหน่อยเถิดขอรับ” เซี่ยอี้เจินค่อยๆ ลุกขึ้นจากตั่งโดยมีเสี่ยวหลงคอยพยุงขึ้นมาช้า ๆ ส่วนคนอื่น ๆ ล้วนแต่ออกไปจากห้องจนหมดสิ้นแล้วตั้งแต่วางอาหารมากมายเหล่านี้ลงบนโต๊ะ เขาก้าวขาเดินไปช้า ๆ ทว่าร่างกายสิ้นไร้เรี่ยวแรงจนน่าตกใจ ยังดีที่เสี่ยวหลงคอยช่วยให้เขาก้าวไปข้างหน้าได้ดีขึ้น เขาจึงสามารถมาถึงจุดหมายและนั่งลงมองอาหารเหล่านั้นได้เสียที

“นี่เป็นรากบัวตุ๋นขอรับนายน้อย ฮูหยินลงมือเคี่ยวเองเลยนะขอรับ เพื่อนายน้อยโดยเฉพาะ”

“เช่นนั้นหรือ” เพียงแค่รสชาติหวานอ่อนๆ แตะกับปลายลิ้น ในปากสัมผัสกับความอุ่นกำลังพอดีก็พลันทำให้น้ำตาคลอที่ดวงตาทั้งสองข้างได้ เซี่ยอี้เจินรู้สึกเศร้าสลดแทนเมิ่งอวิ๋นนัก รากบัวตุ๋นนี้ อย่างไรก็สามารถรับรู้ได้ถึงรสชาติแห่งความห่วงใยที่ผู้เป็นมารดามีต่อบุตรของตน

เขาเองก็เคยได้สัมผัสกับรสชาติเช่นนี้เมื่อครั้งยังเป็นเซี่ยอี้เจิน แม่บ้านใหญ่สกุลเซี่ยคอยตุ๋นน้ำแกงมาให้กับเขาเสมอยามที่เขาเจ็บป่วย รสชาติที่ไม่มีวันลืมนั้น ไม่นึกเลยว่าในโลกนี้ที่เขาไม่รู้จัก…จะยังสามารถลิ้มรสมันได้อีก

ดีเหลือเกิน

เมิ่งอวิ๋น…คุณจะนึกเสียใจหรือไม่กันนะ ที่ทอดทิ้งความอบอุ่นแห่งนี้ไป

ความอบอุ่นที่ไม่ว่าจะหาอย่างไรก็ไม่มีสิ่งใดทดแทนได้

“นายน้อย! เหตุใดจึงร้องไห้ออกมาเล่าขอรับ หรือ หรือว่าท่านจะเจ็บปวดตรงที่ใด ให้บ่าวไปแจ้งกับนายท่านดีหรือไม่ขอรับ?” เสี่ยวหลงทั้งร้อนใจและทำอะไรมิถูก แต่เมิ่งอวิ๋นเพียงส่ายหน้า ยกมือที่สั่นเทาจับช้อนตักน้ำแกงรากบัวตุ๋นที่อู๋ชิวอิ่งตั้งใจทำมาให้คำแล้วคำเล่า

“อร่อยนัก ฮึก ข้า…ชอบมันเหลือเกิน”

“นายน้อย…”

เสี่ยวหลงกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ สองนายบ่าวพากันร่ำไห้ราวกับเด็กน้อย มองเมิ่งอวิ๋นที่ค่อยๆ ทานอาหารหมดไปทีละอย่างด้วยความพอใจ แต่ก่อนนายน้อยของมันมิได้ทานมากเช่นนี้ นายน้อยที่ก่อนจะไร้ความจำเลือกทานเพียงบางอย่างที่ชอบเท่านั้น แต่นายน้อยในตอนนี้ช่างแตกต่าง นายน้อยทานทุกสิ่งที่จัดมาให้ราวกับเสียดายทุกหยาดหยดของอาหารเหล่านั้น แต่สำหรับเสี่ยวหลงแล้ว การที่นายน้อยของมันรับประทานได้มากเช่นนี้ก็นับว่าดียิ่งแล้ว ร่างกายของนายน้อยจะได้ฟื้นคืนกำลัง และหายดีในเร็ววัน

เซี่ยอี้เจินวางตะเกียบลงเมื่อทุกสิ่งตรงหน้าถูกกวาดเข้าท้องของเขาจนหมด เขาเพียงแต่เสียดายความคุ้นเคยที่ได้จากอาหารเหล่านี้จนเผลอทานมันเข้าไปจนหมดอย่างไม่รู้ตัว ความคุ้นเคยที่แสนโหยหา คงเป็นรสชาติของความรักและความห่วงใยที่อู๋ชิวอิ่งผู้เป็นแม่มีต่อเมิ่งอวิ๋น เช่นที่แม่บ้านใหญ่สกุลเซี่ยมีให้เขาเช่นกัน

ไม่รู้ว่าป่านนี้เมิ่งอวิ๋นจะเป็นอย่างไรบ้าง ที่แห่งนั้น…จะถูกทั้งสองคนลงมือสังหารอีกหรือไม่

“นายน้อย…” เซี่ยอี้เจินกำมือแน่นอย่างช่วยไม่ได้ ความกังวลและหวาดกลัวเพราะตนเองได้รับความรักอย่างดีจากบิดามารดาของอีกฝ่าย แต่ที่ที่เมิ่งอวิ๋นไปนั้นกลับไม่ต่างจากดงเสือเสียด้วยซ้ำ

“นายน้อยเป็นอะไรหรือขอรับ ไม่สบายตัวหรือ บ่าวจะได้…” เซี่ยอี้เจินเก็บสีหน้าแห่งความกังวลกลับไป ส่งยิ้มบาง ๆ ให้กับเสี่ยวหลงแทน

“ไม่มีอะไร ข้าเพียงกำลังครุ่นคิดว่าเหตุใดข้าจึงได้บาดเจ็บจนจำสิ่งใดมิได้เลย…” เสี่ยวหลงเงียบลงทันตา ใบหน้ามีแต่ร่องรอยของความกังวลที่ฉายชัดออกมา แววตาสับสนราวกับคนที่ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะทำเช่นไร นั่นยิ่งทำให้เซี่ยอี้เจินนึกสงสัย เพราะในความทรงจำของเมิ่งอวิ๋นที่มีให้เขา ไม่มีร่องรอยของความทรงจำในตอนนี้แม้แต่น้อย

เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ ทำไมศีรษะของเมิ่งอวิ๋นจึงได้รับบาดเจ็บ

“เจ้ารู้ใช่หรือไม่เสี่ยวหลง?”

“นายน้อย บ่าว บ่าวพูดไม่ได้ขอรับ” เซี่ยอี้เจินขมวดคิ้วหนัก ความลับอะไรกันถึงพูดออกมาไม่ได้ แค่สาเหตุของการบาดเจ็บเท่านั้น มันจะเป็นความลับที่สามารถทำลายประเทศเลยหรืออย่างไร

“เช่นนั้นข้าคงต้องคิดให้ออกเองสินะว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับข้า คงต้องคิดจนปวดหัวมากหน่อย แต่ก็คงต้องทำ” เสี่ยวหลงหน้าซีดเผือด มองสีหน้าซีดเซียวของนายน้อยตนเองอย่างคนที่ทำอะไรไม่ได้ หากก้าวถอยหลังก็ตาย เดินหน้าก็ตายเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจะทำเช่นไรได้ นอกจากจะเล่าความจริง ดีกว่าเสี่ยงให้นายน้อยคิดเรื่องราวต่าง ๆ ออกแล้วนายท่านมาลงโทษเขา

เสี่ยวหลงคิดด้วยความชอกช้ำใจ น้ำตาไหลรินจนแทบเป็นสายเลือดกับการบีบบังคับของนายน้อยตนเองในตอนนี้ นายน้อยช่างมากด้วยวิธีบีบให้คนตายเสียจริง ทำเช่นนี้สั่งให้เขาโขกหัวตนเองจนตายเสียยังง่ายกว่า

“บ่าวบอกแล้วขอรับ บ่าวบอกแล้ว” ร่างบางยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ เอนกายรอฟังเรื่องราวจากปากคนขี้กลัวอย่างเสี่ยวหลงด้วยอารมณ์ที่ดี

“ข้ารอฟังเจ้าอยู่”

‘โธ่…นายน้อย ท่านก็ช่างเร่งข้าเหลือเกิน’ เสี่ยวหลงได้แต่โอดครวญในใจ

“นายน้อย ท่านบาดเจ็บจากการถูกรถม้าชนขอรับ” รถม้า อา จริงสิ…ในช่วงนี้คงมีเพียงรถม้ากับเกี้ยวสินะ แต่ก็น่าแปลกใจ เมิ่งอวิ๋นเป็นบุตรชายคนเล็กของคนที่ร่ำรวยไม่น้อย แล้วเหตุใดจึงได้ถูกรถม้าชนกันล่ะ?

“ถูกชนได้เช่นไร?”

“คือ เรื่องนี้…” เสี่ยวหลงลังเลไม่น้อยเพราะกลัวว่าหากพูดออกไปจะกลายเป็นการกระตุ้นความทรงจำบางส่วนทำให้เมิ่งอวิ๋นจดจำได้ขึ้นมา

“เจ้าเล่าเถิด หยุดความคิดมากมายของเจ้า แล้วเล่าออกมาเสียที” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเสี่ยวหลงก็ทำได้เพียงกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากลำบาก ก่อนจะเปิดปากเอ่ยชื่อของคนผู้หนึ่งออกมา

ชื่อที่ถูกห้ามไม่ให้เอ่ยถึงให้นายน้อยของมันได้ยิน

“เป็นเพราะนายน้อยคิดหยุดรถม้าของท่านแม่ทัพขอรับ จึงได้ถูกชนเข้า” เซี่ยอี้เจินเม้มปาก นี่คงมิใช่เรื่องบังเอิญเช่นว่าเหยียบบางสิ่งแล้วลื่นล้มลงไปจนถูกรถม้าชนกระมัง หากจะให้เดาคงเป็นชายผู้นั้นหวังชนให้เมิ่งอวิ๋นตายตกไปเสียมากกว่า จิตใจช่างโหดเหี้ยมนัก น่าสงสารเมิ่งอวิ๋นที่มอบให้เขาทั้งหัวใจ

หลี่เจี้ยนเฉิง! แม้ว่าจะเป็นแม่ทัพแต่การมองไม่เห็นชีวิตคนเช่นที่ทำก็ไม่นับว่าเป็นคนดีที่น่ามอบใจให้สักนิด คนเช่นนั้น…อย่าพบเจอเลยเสียยังดีกว่า!

“เขาจงใจชนข้าสินะ” แค้นใจ! น่าแค้นใจแทนเมิ่งอวิ๋นเหลือเกิน

ยามนึกถึงความทรงจำที่เลวร้าย แม้ว่าหากเมิ่งอวิ๋นโชคดีรอดตายจากการถูกย่ำยี แต่ก็คงไม่อาจอยู่สู้หน้าผู้ใดได้อีก คนเช่นเมิ่งอวิ๋นคงดับชีวิตด้วยมือของตนเองเป็นแน่ เพราะแบบนั้นจึงไม่คิดอยากจะย้อนกลับมา ต่อให้รอบกายจะเต็มไปด้วยความรักมากมายเพียงใด ก็ไม่อาจทดแทนหัวใจที่แหลกสลายไปเพราะคนผู้นั้นได้

“อึก!”

“นายน้อย! นายน้อยเป็นอะไรไปขอรับ!” ยามเห็นเมิ่งอวิ๋นกุมแผ่นอกของตนเอาไว้แน่น เสี่ยวหลงก็พลันตกใจจนลืมสิ้นทุกสิ่ง สิ่งที่เสี่ยวหลงกลัวคือความทรงจำของเมิ่งอวิ๋น หากมันกลับมาคงไม่เป็นการดีต่อตัวเมิ่งอวิ๋นเอง เพราะเมิ่งอวิ๋นคงวิ่งไล่ตามชายผู้นั้นต่อโดยไม่ฟังคำห้ามปรามของผู้ใด

“ไม่ ข้าเพียงนึกแค้นใจ คนผู้นั้นนึกว่าตนมีศักดิ์เป็นถึงแม่ทัพใหญ่แล้วจะมองไม่เห็นชีวิตของข้าได้หรือ? ข้ามิได้ด้อยไปกว่าเขา เพียงมิได้มิมียศถาบรรดาศักดิ์ มิได้หมายความว่าชีวิตของข้าไร้ค่ากว่าชีวิตของเขา!! อึก แค่กๆ”

“นายน้อย!!!” เสี่ยวหลงส่งเสียงดังเมื่อเมิ่งอวิ๋นกระอักเลือดออกมา โลหิตสีแดงฉานไม่ต่างจากดวงตาทั้งสองข้างของเมิ่งอวิ๋น สีหน้ายามที่เจ็บแค้นเมื่อพูดคุยกับเขาก่อนนั้น เขายังจำมันได้ติดตา ความโกรธ ความเสียใจ และแค้นใจที่มีต่อหลี่เจี้ยนเฉิง มันมากมายจนไม่อาจบรรยายออกมาด้วยคำพูดใดได้

เซี่ยอี้เจินหัวเราะหนักๆ เดิมเขาเป็นคนดีก็จริงอยู่ ไม่นึกแค้นใจต่อใครก็ย่อมใช่อยู่ แต่นั่นคือคนที่เขาผูกพันด้วยมาตลอด คือคนที่เขารักมาก และน้องชายที่เห็นกันมาตั้งแต่เล็ก ทว่าบุรุษผู้นั้นมิใช่! คนชั่วช้าที่ลงมือทำร้ายจนเมิ่งอวิ๋นสิ้นใจตาย เขาไม่อาจให้อภัยได้ เขาทำไม่ได้จริง ๆ

ในยามนี้ถูกเมิ่งอวิ๋นส่งมาเพียงดูแลบิดามารดาและพี่ชาย เขาย่อมไม่คิดไปยุ่งเกี่ยวกับบุรุษผู้ชั่วช้าผู้นั้นอย่างแน่นอน ต่อให้หัวใจเจ็บแค้นต่อคนผู้นั้นมากมายเพียงใด อำนาจ…ก็เป็นสิ่งที่ต่อกรไม่ได้ง่ายๆ เขาย่อมรู้ดี

หากเขาตายไปใครเล่าจะดูแลบิดามารดาและพี่ชายของเมิ่งอวิ๋น

และเพื่อหลีกเลี่ยงความตายนั้น หลี่เจี้ยนเฉิงชื่อนี้ ย่อมต้องหลีกหนีให้ไกล

ไม่ว่าอีกคนจะใช้ชีวิตต่ำตมกับใครก็ไม่เกี่ยวกับความต้องการของเมิ่งอวิ๋นอยู่แล้ว

“นายน้อยขอรับ อย่าหัวเราะอีกเลย อย่าหัวเราะอีกเลย ฮือ ๆ”

แต่เซี่ยอี้เจินกลับไม่อาจจะหยุดเสียงหัวเราะของตนลงไปได้ หัวใจเจ็บยอกจนระบม พลันอดคิดถึงใบหน้าของผู้ที่ตนรักสุดหัวใจไม่ได้ เธอคนนั้นวางยาฆ่าเขาเพียงเพื่อน้องชายของเขา ทำทุกอย่างแม้แต่ต้องทำลายเขาด้วยสองมือก็ไม่คิดหวาดหวั่น รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเย้ยหยันยังคงดังอยู่ในหัวไม่หยุด ทุกคำพูดและการกระทำติดตรึงอยู่ในวิญญาณราวกับคำสาปร้าย

มันทรมานจนอยากจะตาย แต่เพราะรู้ว่าทำไม่ได้เซี่ยอี้เจินจึงได้แต่หัวเราะและกระอักเลือดออกมาด้วยความแค้นใจ

เจ็บเพราะความรัก ถูกสังหารโดยคนที่ตนรัก จะมีสิ่งใดทรมานใจไปได้มากกว่านี้อีกเล่า

เซี่ยอี้เจินค่อยๆ หลับตาลง ปล่อยให้รอบกายมีเพียงความมืดมิด ก่อนที่หยาดน้ำตาจะไหลลงไปช้า ๆ พร้อมกับความทรมานที่ไม่มีหลงเหลืออยู่อีกต่อไป ท่ามกลางสายตาของเสี่ยวหลงที่ร้อนรนแต่ก็ทำอะไรไม่ถูกอยู่ข้างๆ

เมิ่งอวิ๋น…ผมจะใช้ชีวิตแทนคุณให้เอง จะใช้ชีวิตอย่างดีและทำตามสัญญาอย่างแน่นอน

อย่าเป็นกังวลอีกเลยนะ





ฮรุกกก น้องงงงง เจ็บแทนน้องก็แม่นี่ล่ะค่ะ ลูกของแม่ทั้งสองคนช่างอาภัพ เขียนไปก็สงสารน้องไป หลี่เจี้ยนเฉิงงงงง แกไม่รักลูกฉันทำไมไม่บอกกันดีๆหา!! ทำร้ายลูกฉันทำไม!!! ย๊ากกกกกกก

ฝากติดตามทวิตเตอร์และเพจของแมวด้วยน้า


เมิ่งอวิ๋น




ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[2] 50%

เรียนรู้ชีวิตใหม่

จวนสกุลเมิ่งในยามนี้แสนวุ่นวายอย่างที่สุดเมื่อหมอคนแล้วคนเล่าเดินเข้าออกอยู่จนแทบจะชนกันล้มเสียด้วยซ้ำไป เมิ่งหยวนที่ได้รู้ว่าบุตรชายคนเล็กที่ฟื้นคืนสติขึ้นมา บัดนี้ได้สิ้นสติลงพร้อมกับเลือดอีกกองที่เปรอะเปื้อนริมฝีปากและเสื้อผ้า หัวใจของคนเป็นพ่อปวดหนึบ เจ็บแค้นในอกแต่ก็ทำอะไรมิได้

อู๋ชิวอิ่งก็ร้องไห้ปานจะขาดใจ ยังดีที่มีเมิ่งลู่เหยาคอยดูแลไม่ห่าง ความห่วงใยต่อน้องชายคนเดียวของเขาย่อมมีมาก แต่หากต้องห่วงใยแต่น้องแล้วผู้เป็นมารดาเล่า ผู้ใดจะดูแล ในยามนี้มีบิดาคอยสอดส่องตามหาหมอมารักษาอย่างเต็มที่ หากหมอเพียงหนึ่งไม่อาจช่วยเหลือเมิ่งอวิ๋นได้

เช่นนั้นก็ช่วยกันทำให้น้องเขาฟื้นขึ้นมาเสียสิ อย่างไรตำราแพทย์ก็คงมิแตกต่างกันนัก

หาจะลองดูสักครั้งก็คงพอทำได้

“ฟื้นแล้วขอรับ! คุณชายเมิ่งอวิ๋นฟื้นแล้ว!”

“จริงรึ!!” เมิ่งหยวนที่ยังไม่ทันจะได้ปลอดโปร่งใจก็พลันขยับตัวถลาร่างเข้าไปหาร่างของบุตรชายที่อยู่ในห้องทันที ใบหน้าที่เคยน่ารักน่าเอ็นดูซีดเซียวลงไปทันตา ริมฝีปากแห้งผากจนแตกเป็นขุย ดวงตาหรี่ปรือด้วยอาการอ่อนแรงจนต้องพยายามฝืนให้ตัวเองยังคงสติเอาไว้ได้

เมิ่งหยวนปวดใจนักกับสภาพของบุตรชายในยามนี้ ไม่เพียงแต่เมิ่งหยวน แม้แต่เมิ่งลู่เหยาก็ไม่อาจทนมองหน้าน้องชายได้อย่างเต็มตาโดยไม่แสดงอาการปวดร้าวในใจได้เลย

“ท่าน…พ่อ พี่…ใหญ่” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยเรียกทั้งสองคนอย่างยากลำบาก

“เหตุใดเจ้าไม่รักษาตนเองเช่นนี้ ทำไมยังปล่อยให้ตนเองโกรธจน...ฮึ่ม!” เมิ่งหยวนสะบัดแขนเสื้อด้วยความคับแค้นใจ เขาได้ฟังเรื่องราวมาจากเสี่ยวหลงแล้ว จึงได้เต็มไปด้วยโทสะเช่นนี้

“ข้าขอโทษขอรับท่านพ่อ ข้าเพียงแค่…อยากทราบถึงสาเหตุที่ข้าต้องเจ็บตัวเช่นนี้” เซี่ยอี้เจินหลุบดวงตากลมสีเกาลัดลง ใบหน้าซีดเซียวเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้ใครต่อใครต่างก็วุ่นวาย เมิ่งหยวนได้แต่ถอนหายใจออกมา แม้ว่าอยากจะโกรธบุตรชายมากมายสักเพียงใด แต่ท่าทางที่แสนน่าสงสารของเด็กชายตัวน้อย ที่เขาเฝ้าดูแลมาตั้งแต่ยังเล็กก็ทำให้เขาทำใจแข็งโกรธบุตรชายคนนี้ไม่ลง

“ช่างเถิดๆ จากนี้ไปเจ้าก็ลืมๆ มันไปเสียให้หมด มิต้องเสาะหาความจริงใดๆ อีกก็พอ เจ้ารู้หรือไม่เสี่ยวอวิ๋น…ว่าในยามนี้แม่เจ้าร่ำไห้จนแทบจะขาดใจสลบไปจนต้องพาไปพักผ่อนเพราะเป็นห่วงเจ้า!” เซี่ยอี้เจินยิ่งหดตัวลงไปอีกยามได้ฟังคำกล่าวจากปากของบิดา ในใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดจนไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าของใคร

“ท่านพ่อ ข้าว่าบางทีการที่เสี่ยวอวิ๋นได้รู้มันก็ดีนะขอรับ หากได้รู้บางทีเขาอาจจะตัดใจจากคนผู้นั้นได้บ้าง” ใบหน้าที่เคร่งขรึมเหลือบมองใบหน้าของบุตรชายคนเล็กอย่างคิดประเมินในวาจาของบุตรอีกคน แต่หากเป็นเช่นนั้นก็ใช้จะไม่ดีต่อเมิ่งอวิ๋น การที่เมิ่งอวิ๋นตัดใจได้ นั่นย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ตัวเขาเองก็เป็นเพียงคนธรรมดา จะหาอำนาจไหนใดเล่ามาช่วยบุตรขายของเขาได้ หากเกิดปัญหาใดขึ้น มิเท่ากับว่าเขาต้องยืนดูบุตรชายของตน…ตายตกไปหรอกหรือ

เพียงแค่คิดเมิ่งหยวนยังสะท้านในอกราวกับว่าเหตุการณ์ที่ว่าได้เกิดขึ้นมาแล้ว มือทั้งสองสั่นจนยากจะควบคุมได้ เมิ่งหยวนสูดลมหายใจระงับความรู้สึกรวดร้าวในหัวใจที่คล้ายกับถูกกระชากดวงใจทิ้งไปอยู่เงียบๆ

“ท่านพ่อ?” เมื่อเห็นว่าบิดาเงียบลงไป สองคิ้วยังขมวดเป็นปมและสีหน้าเริ่มย่ำแย่ยิ่งทำให้เมิ่งลู่เหยาเกิดความไม่เข้าใจ

“เสี่ยวอวิ๋น”

“ขอรับท่านพ่อ” เสียงหวานขานรับไม่ดังนัก ใบหน้างดงามค่อยๆ แหงนเงยขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อสบสายตากับผู้เป็นบิดา

“หลี่เจี้ยนเฉิง…เจ้ารู้สึกเช่นไรกับชื่อนี้”

“ท่านพ่อ!”

“เจ้าเงียบเสียอาเหยา!” เมิ่งลู่เหยาที่ส่งเสียงเรียกหวังห้ามปรามบิดา แต่ไหนเลยจะคิดว่าบิดาจะสั่งให้ตนเงียบลงเช่นนี้ การบอกเล่าเหตุการณ์เลวร้ายว่าได้ว่าเป็นเรื่องสมควรที่อาจจะเป็นผลดีต่อความรู้สึกของเมิ่งอวิ๋นได้ แต่การถามทั้งที่ยังไม่มีเรื่องมากมายมากระทบจิตใจ เขาเองก็เกิดกลัวเช่นกันว่าเมิ่งอวิ๋นอาจจะยังรักคนผู้นั้นอยู่

“ข้ามิรู้จักเขาขอรับ จึงมิอาจมีความรู้สึกใดๆ ให้ได้บอกกล่าวต่อท่านพ่อ” ได้ยินคำตอบของบุตรชายเมิ่งหยวนก็รู้สึกว่าหัวใจปลอดโปร่งด้วยความยินดี

“เป็นเช่นนั้นย่อมดี เป็นเช่นนั้นย่อมดี” เมิ่งลู่เหยาเองก็พลันโล่งใจ ส่งยิ้มให้น้องชายตัวน้อยในสายตาเขาอย่างเอาอกเอาใจ อย่างไรเสียเมื่อครั้งยังเล็ก เมิ่งอวิ๋นก็เป็นน้องชายตัวน้อยที่คอยติดตามพี่ชายอย่างเขาต้อยๆ

“เสี่ยวอวิ๋น เจ้ารู้สึกเช่นไรบ้างตอนนี้ เจ็บตรงไหนหรือไม่” เซี่ยอี้เจินส่งยิ้มบางๆ ให้กับผู้เป็นพี่ชาย หัวใจพลันรู้สึกอุ่นวาบอย่างอธิบายไม่ถูก ในชาติก่อนเขามีเพียงน้องชาย จึงมิเคยได้รับความรักและห่วงใยเช่นนี้ การถูกรักโดยผู้ที่มีฐานะเป็นพี่ มันดีเช่นนี้เองหรือ

“มิเป็นไรแล้วขอรับพี่ใหญ่ ข้าเพียงเจ็บที่อกเล็กน้อยยามที่ข้าหายใจ แต่ก็มิได้มากมายอันใดเลย ข้าสามารถวิ่งให้ท่านดูก็ได้”

“ไม่ได้นะ!” เซี่ยอี้เจินหมายความเช่นนั้นจริงๆ เขาพยายามลุกขึ้นมาจากตั่งที่ตนนอนอยู่แต่ก็ถูกหวงเลี่ยงที่เป็นหมอรีบเอ่ยห้ามปรามเสียก่อน

“หากคุณชายเมิ่งลุกขึ้นมา เกรงว่าร่างกายจะมิอาจหายดีได้”

“จริงอย่างที่ท่านหมอว่า เจ้านอนพักเสียงเถิด ไว้หายดีกว่านี้เจ้าอยากจะวิ่งเล่นที่ใดข้าก็จะให้อาเหยาพาเจ้าไป” คำกล่าวที่ว่าอยากจะไปวิ่งเล่นที่ใดก็จะให้ผู้เป็นพี่ชายพาไปนั้น ช่างเป็นคำกล่าวที่อบอุ่นหัวใจจนเซี่ยอี้เจินน้ำตาคลอเต็มสองตา เอ่ยตอบบิดาด้วยน้ำเสียงที่สั่นระริก

“ขอบคุณท่านพ่อ ช้าจะรักษาตัวจนกว่าจะหายดีอย่างแน่นอนขอรับ” ได้ยินเช่นนั้นเมิ่งหยวนก็พอใจอย่างยิ่งจึงได้สั่งกำชับบ่าวรับใช้อีกรอบ

“ดี พวกเจ้าก็ดูแลเสี่ยวอวิ๋นดีๆ อย่าให้ลูกข้าป่วยได้อีก”

“ขอรับนายท่าน” เหล่าบ่าวรับใช้ได้แต่เพียงตอบรับ แต่ไหนเลยใครจะรู้ได้ว่าสิ่งที่คิดอยู่ในใจจะเป็นเช่นไร บ่าวรับใช้ทุกผู้น้ำตาตก พวกมันหรือจะสามารถห้ามอาการป่วยไข้ของนายน้อยของมันได้ หากมันทำได้เช่นนั้นก็ไปเป็นหมอเทวดากันเสียแล้ว

“ท่านหมอ เชิญ ข้าจะไปส่ง” หวงเลี่ยงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ปรากฏรอยยิ้ม ท่วงท่าดูน่าเชื่อถืออย่างยิ่งมากกว่าหมอคนใด เขามองมือที่ผายออกเชิญให้เขาเดินนำอย่างพอใจ

“ได้ คุณชายเมิ่งทั้งสองโปรดรักษาสุขภาพด้วย” เมิ่งอวิ๋นหรือเซี่ยอี้เจินขยับยิ้มส่งให้ชายวัยกลางคนเล็กน้อยก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกไป

“ท่านพ่อช้าขออยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวอวิ๋นได้หรือไม่ขอรับ” เมิ่งหยวนมองแววตาใสของบุตรชายคนเล็กที่ปรากฏความต้องการและยินดียามที่ผู้เป็นพี่เอ่ยขออยู่ต่อด้วยความรู้สึกหวานในอกไม่น้อย

“ได้…เจ้าอยู่ดูแลน้องไปเถิด ข้าจะออกไปส่งท่านหมอหวงเอง”

“ขอบคุณท่านพ่อ!”

หลังจากเมิ่งหยวนเดินจากไป เมิ่งลู่เหยาก็เดินเข้ามาใกล้ตั่งนอนของน้องชายด้วยความระมัดระวัง มองใบหน้าที่แทบจะไร้สีเลือดด้วยความรู้สึกปวดร้าวไปทั้งอก เป็นพี่ชายแต่กลับปกป้องน้องไม่ได้เช่นนี้จะมีประโยชน์อันใดกัน คนผู้นั้นเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ มีหรือที่สกุลเมิ่งจะสามารถทำสิ่งใดต่อคนผู้นั้นได้ เขาเองก็เป็นเพียงพ่อค้าที่ช่วยท่านพ่อดูแลกิจการที่มี แม้จะร่ำรวยมากด้วยเงินทองที่ต่อให้กินใช้เช่นไรก็มิมีวันหมด แต่มีเงินมิใช่มีอำนาจ เม็ดเงินให้มากกี่สิบเท่าก็ไม่อาจเท่าอำนาจในมือของสกุลหลี่ไปได้หรอก

นึกแล้วก็น่าแค้นใจยิ่งนัก! คนผู้นั้นทำให้น้องชายของเขาเจ็บทั้งกายใจ แต่มันกลับ…

ช่างชั่วช้าเสียงยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน! น่ารังเกียจยิ่งกว่าผู้ใดเสียอีก!

“พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรหรือ” เสียงหวานหูของเมิ่งอวิ๋นเรียกสติที่กำลังจะหายไปของเขากลับมาได้ เมิ่งลู่เหยาลูบศีรษะเล็กๆ ที่ปกคลุมไปด้วยเส้นไหมแสนสลวยสีดำสนิทอย่างเบามือ ริมฝีปากแย้มยิ้มที่อ่อนโยนออกมาให้น้องได้คลายกังวล

“มิมีอะไรให้เจ้าต้องกังวลเลยเสี่ยวอวิ๋น เจ้าในยามนี้กำลังป่วย ต้องพักผ่อนให้มากๆ ที่ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ก็เพื่อจะคอยเล่าสิ่งต่างๆ ให้เจ้าได้คลายเหงาลงบ้างเท่านั้น” เซี่ยอี้เจินหัวเราะเบาๆ ดูก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายเพียงบอกปัดออกไปให้พ้นตัวเสียมากกว่า

“ได้ๆ เช่นนั้นพี่ใหญ่ก็เล่าอะไรให้ฟังหน่อยเถิด ข้าเบื่อยิ่งนัก”

“เจ้าอยากฟังอะไรเล่า พี่จะได้เล่าให้เจ้าฟังได้” เซี่ยอี้เจินแสร้งทำเป็นคิดเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มและตอบด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคง

“ข้าลืมไปหมดทุกสิ่ง เช่นนั้นเอาเป็นพี่ใหญ่เล่าเรื่องของสกุลเมิ่งของเราดีรึไม่”

“ได้ ช้าจะเล่าเอง”

เซี่ยอี่เจินขยับผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงอก พลิกกายไปด้านข้างเพื่อรอฟังนิทานที่เป็นเรื่องจริงของเมิ่งอวิ๋นเงียบๆ โดยไม่พูดสิ่งใด คอยแต่จะจำจดเอาไว้เสียมากกว่าไม่ว่าเรื่องเล็กหรือน้อยใหญ่ใดๆ

“ท่านปู่เป็นคนพเนจรผ่านทางมาที่เมืองหลวง ก่อนจะพบรักกับท่านย่าและเริ่มใช้เงินของท่านในการเปิดเหลาอาหารและเหลาสุราขึ้นมา ต่อมาท่านปู่และท่านย่าที่ช่วยกันประคับประคองดูแลกิจการมาอย่างดีก็ได้เกิดผลกำไรขึ้นมามากมาย จากคนที่พอมีข้าวกินได้มื้อต่อมื้อ ก็กลับกลายมาเป็นคนร่ำรวยในเมืองหลวง” เมิ่งลู่เหยาดึงผ้าห่มขึ้นมาให้กับเมิ่งอวิ๋นเล็กน้อยเมื่อพบว่าน้องชายของตนกำลังตั้งอกตั้งใจฟังเหลือเกิน

“พอเวลาผ่านไปสักพัก ท่านปู่กับท่านย่าก็มีท่านพ่อออกมา ท่านพ่อยังเคยบอกเลยนะว่า ท่านปู่ชอบกล่าวตำหนิอยู่เสมอว่าท่านพ่อชอบทานอาหารในเหลามากยิ่งกว่าที่ทานในบ้านเสียอีก เพราะเป็นเช่นนั้น ท่านปู่จึงเปิดเหลาอาหารให้ใหญ่ขึ้น ขยับขยายจนเหลาอาหารของเราตอนนี้ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าเหลาอาหารใด ๆ เสียอีก” เซี่ยอี้เจินที่ได้ฟังก็เบิกตากว้าง ดวงตาสีเกาลัดเป็นประกายระยิบระยับน่ามองเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“พี่ใหญ่ ข้า ข้าอยากจะไปที่เหลาอาหารของพวกเราสักครั้ง”

“เจ้าก็ไปมา อา จริงสินะ เจ้าลืมมันหมดเสียแล้วนี่” ร่างบางพยักหน้าเบาๆ แต่เมิ่งลู่เหยาก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพียงแค่มองดวงตากลมๆ ของผู้เป็นน้องชายอย่างเอ็นดู เจ็บตัวเช่นนี้ก็ไม่วายอยากจะออกไปเที่ยวเล่น เพราะหลงลืมไปเสียทุกสิ่งจึงได้กลับมาเป็นเด็กน้อยให้เขาได้ชื่นใจอีกครั้งหรือ เมิ่งลู่เหยาคิด ทว่าความจริงแล้วนั้นหารู้ไม่ว่า เซี่ยอี้เจินเพียงต้องการไปลิ้มรสอาหารในสมัยนี้ก็เท่านั้น

อุตส่าห์ได้มาถึงเมืองหลวงในสมัยที่ยังไม่มีความเจริญรุ่งเรือง แถมยังมีเหลาอาหารเป็นของตระกูล ซ้ำยังเป็นเหลาอาหารอับดับหนึ่งของเมืองหลวงอีก เช่นนี้จะไม่ให้ลิ้มลองได้อย่างไร

เซี่ยอี้เจินจินตนาการถึงอาหารน่าตาน่าทานอย่างหิวกระหาย ในตอนที่ยังเป็นเซี่ยอี้เจินที่ต้องดูแลบริษัทใหญ่โต สิ่งที่ปลอบประโลมความเหนื่อยล้าของเขาได้นั้น มีเพียงแค่อาหารจากแม่บ้านสกุลเซี่ยที่ทำมาให้เขาเท่านั้น

เมิ่งลู่เหยาหัวเราะเสียงดังอย่างชอบอกชอบใจในความตะกละของน้องชาย น้ำสีใสไหลออกมาจากมุมปากของเมิ่งอวิ๋นยามที่สายตาวิบวับนั้นแสดงออกถึงความต้องการที่จะกวาดต้อนความอร่อยเข้าสู่ท้องเล็ก ๆ นั่นให้หมด แค่เพียงเขาเอ่ยเล่าถึงเรื่องราวที่ท่านปู่เปิดเหลาอาหารเพียงเท่านี้…ก็สามารถทำให้เมิ่งอวิ๋นน้องชายตัวน้อยของเขาหิวโหยได้ขนาดนี้เชียวหรือ ทั้งที่ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เห็นจะให้ความสนใจมันเลยสักครั้ง

“เช่นนั้นก็ย่อมได้ หากเจ้าแข็งแรงในเร็ววัน พี่จะพาเจ้าไปเอง ไม่ว่าที่ใดที่เจ้าอยากไป พี่ล้วนจะพาเจ้าไปทั้งสิ้น” ได้ยินเช่นนี้เซี่ยอี้เจินก็พลันปรากฏรอยยิ้มแสนไร้เดียงสา คล้ายเด็กน้อยที่ได้ของที่ถูกใจจึงแสดงอาการดีใจไร้สิ่งปกปิด เมิ่งลู่เหยาที่มองหน้าน้องชายของตนเองอยู่ก็พลันร่างกายแข็งทื่อ ตกใจจนแทบจะลืมหายใจเสียด้วยซ้ำยามที่ได้เห็นรอยยิ้มจากน้องชายตนเองเช่นนี้

นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่เคยได้เห็นใบหน้าเช่นนี้ของเมิ่งอวิ๋น

รอยยิ้มอันแสนบริสุทธิ์ของน้องชายเขา มิเคยมีสิ่งใดเทียบได้

เมิ่งลู่เหยากล่าวกับตนเองอย่างหนักแน่นว่า แต่นี้ต่อไปเขาจะปกป้องรอยยิ้มอันแสนล้ำค่าของน้องชายไว้ให้จงได้ ต่อให้ทางข้างหน้าจะต้องถูกหอกหรือดาบทิ่มแทงจนตาย รอยยิ้มของเมิ่งอวิ๋นก็ไม่ควรถูกทำให้หายไป เพราะสำหรับสกุลเมิ่งแล้ว เมิ่งอวิ๋นนั้นเปรียบได้ดั่งแก้วตาและดวงใจของทุกคน ต่อให้ภายนอกจะเก่งกล้าเพียงใด แต่เมิ่งลู่เหยาย่อมรู้จักน้องชายของตนเองดีกว่าใคร ว่าเมิ่งอวิ๋นนั้น...อ่อนโยนยิ่งกว่าผู้ใดเสียอีก









50%





มาช้าไม่ใช่ว่าไม่มานะคะ วันนี้แค่ยุ่งๆนิดหน่อย แต่แมวก็มาแล้วววว ครึ่งหลังวันพฤหัสนะจ๊ะ รอกันได้เลย 

เมิ่งอวิ๋น

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
โธ่ น้อง ขนาดแค้นจนกระอักเลือดยังไม่วายห่วงกิน น่าเอ็นดูจริง

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ lcortsess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[2] 100%


เซี่ยอี้เจินที่เห็นพี่ชายของเมิ่งอวิ๋นเงียบลงก็นึกหวั่นใจ กลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้ความจริงเอาได้ว่าตนเองไม่ใช่เมิ่งอวิ๋นน้อยที่พวกเขาเฝ้าทะนุถนอมเอาไว้ เซี่ยอี้เจินจึงได้ยื่นมือออกไปช้า ๆ ลองสัมผัสมือของเมิ่งลู่เหยาเบาๆ เหมือนครั้งที่เซี่ยอี้เจินยังคงเป็นเซี่ยอี้เจิน เป็นพี่ชายที่ปลอบโยนน้องชายด้วยความจริงใจ

“พี่ใหญ่...ข้าทำอะไรผิดหรือ” น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นทั้งสั่นเครือและไร้ความมั่นใจ หัวใจของเมิ่งลู่เหยากระตุก นึกโกรธตนเองที่ทำให้น้องชายหวั่นใจถึงขนาดนี้

“มิใช่ๆ เจ้ามิได้ทำสิ่งใดผิด พี่ผิดเอง พี่เพียงแค่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ เท่านั้น” เซี่ยอี้เจินระบายยิ้มออกมา พรั่งพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ติดใจสงสัยสิ่งใดในตัวของเขา

เซี่ยอี้เจินลอบมองใบหน้าที่เหม่อลอยของเมิ่งลู่เหยาอย่างอดสงสารไม่ได้ หากคนที่รักและเอ็นดูน้องชายอย่างเมิ่งลู่เหยาเกิดรู้ว่าเมิ่งอวิ๋นนั้นได้ตายไปแล้ว ด้วยน้ำมือของผู้ชายที่เจ้าตัวรักมาก เมิ่งลู่เหยาคงใจสลาย คงเจ็บปวดและทุกข์ทรมานจนอยากปลิดชีพตนเองตามไป แต่เมื่อเขามาแทนที่เมิ่งอวิ๋น ในเมื่อเมิ่งอวิ๋นไม่ปรารถนาจะพบเจอบุรุษชั่วช้าผู้นั้น เซี่ยอี้เจินก็ของให้สัญญาว่า จะไม่มีวันเฉียดเข้าไปใกล้บุรุษผู้นั้นอย่างแน่นอน

ในโลกนี้ไหนเลยจะมีความรักที่มั่นคง

เงินเท่านั้นที่เชื่อมั่นได้!

ยิ่งได้ขบคิดเซี่ยอี้เจินยิ่งอยากจะออกไปที่เหลาอาหารเสียเดี๋ยวนั้น อยากจะนำความตื่นตาตื่นใจมาให้กับลูกค้าที่มานั่งรับประทานอาหาร

ได้ชื่อว่าเหลาอาหารอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง จะมีดีเพียงอาหารได้อย่างไร

ภายในหัวของเซี่ยอี้เจินขบคิดถึงวิธีการต่าง ๆ มากมายเพื่อดึงดูดใจลูกค้า ก่อนตายเซี่ยอี้เจินเองก็ไม่ใช่เด็กอมมือ เขาบริหารจัดการทุกอย่างที่เป็นกิจการในเครือของตระกูลเซี่ยอย่างดี เติมโตด้วยผลกำไรมากมายก่ายกองที่ไม่ว่าใครต่างก็อิจฉา เช่นนี้แล้ว...เพียงเหลาอาหารเขาจะทำกำไรไม่ได้เชียวหรือ

หากลองขบคิดแล้ว ตัวของเมิ่งอวิ๋นก็มีความผิดที่คิดทำร้ายหญิงผู้นั้น ผู้ที่แม่ทัพใหญ่ปรารถนาสุดดวงใจ มิแปลกที่จะถูกอีกฝ่ายโมโห หากแต่ว่าต่อให้ผิดเช่นไร...การปล่อยให้ผู้อื่นชำเราจนเมิ่งอวิ๋นสิ้นใจก็นับได้ว่า

ไร้หัวใจเกินมนุษย์

เซี่ยอี้เจินถอนใจออกมาอย่างอดไม่ได้ จากการคิดทบทวนแล้วดูเหมือนว่าการเป็นศัตรูกับแม่ทัพผู้นี้คงมิใช่เรื่องดีเท่าใดนัก แต่จะให้เขาเข้าไปกอดแข้งกอดขาเพื่ออยู่อยากอดสู่ก็คงเป็นไปไม่ได้เช่นกัน ถึงอย่างไรสำหรับเขาก็นับได้ว่าแม่ทัพใหญ่ผู้นั้นได้ดับลมหายใจของเมิ่งอวิ๋นไปเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าความจริงในเวลานี้จะยังมิเกิดเหตุการณ์นั้นก็ตามที

ยามนึกถึงเหตุการณ์อันน่าอดสู เซี่ยอี้เจินพลันเจ็บในอกจนต้องยกมือขึ้นมาลูบมันเบาๆ เพื่อปลอบประโลม ไม่ว่าจะเคยเกิดสิ่งใดขึ้นกับเมิ่งอวิ๋นคนก่อน เขาก็ไม่คิดจะใช้ชีวิตตามทางที่เมิ่งอวิ๋นเดิม ยามนี้เราแลกเปลี่ยนวิญญาณแก่กันแล้ว ชีวิตนับต่อจากนี้ไป คือของเขา ของเซี่ยอี้เจินมิใช่ของใครอีก

“เสี่ยวอวิ๋น...เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่งั้นหรือ?” เซี่ยอี้เจินหลุดออกจากภวังค์ยามได้ยินเสียงของเมิ่งลู่เหยาเรียกตน เขาเหลือบมองใบหน้าของผู้เป็นพี่ชายเล็กน้อย อยากจะบอกเหลือเกินว่าในยามนี้เมิ่งอวิ๋นจะไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว แต่เขาก็พูดไม่ออก ได้แต่ส่งยิ้มที่แสนกล้ำกลืนความชอกช้ำใจไปให้

“ข้าเพียงเบื่อหน่าย อยากออกไปข้างนอกบ้างเท่านั้น”

ไม่ใช่เลย เขาเพียงแค่คิดถึงเมิ่งอวิ๋น ไม่รู้ว่าในตอนนี้ทางนั้นจะเป็นเช่นไร จะถูกน้องชายและคนรักของเขา...ลงมือสังหารอีกครั้งหรือไม่

เซี่ยอี้เจินอดคิดไม่ได้ว่านี่อาจจะไม่ใช่การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันก็อาจจะเป็นได้ เพราะชีวิตของเซี่ยอี้เจินนั้นทุกข์ระทมยิ่งกว่า แต่ชีวิตของเมิ่งอวิ๋นที่เขาได้มาในยามนี้ กลับไร้ซึ่งทุกข์ใด ๆ มีเพียงความน่ากลัวที่ถูกจดจำเอาไว้จนฝังวิญญาณเท่านั้น หากแต่ครอบครัวของเมิ่งอวิ๋นกลับอบอุ่นเต็มไปด้วยความรัก ผิดกับชีวิตของเซี่ยอี้เจิน ที่ไม่ว่าจะมองเช่นไร...ก็มิมีความรักใคร่อยู่ในนั้น

“เช่นนั้น...พรุ่งนี้พี่จะขออนุญาตท่านพ่อพาเจ้าไปเที่ยวดีหรือไม่?” เซี่ยอี้เจินปัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัวทันทีที่ได้ยินว่าพี่ชายจะพาออกไปเที่ยว ดวงตาสีเกาลัดหรี่ลงพร้อมกับริมฝีปากที่แย้มยิ้ม

“จริงๆ นะพี่ใหญ่!” เมิ่งลู่เหยาหัวเราะออกมาเบาๆ กับความน่าเอ็นดูของน้องชาย หากเป็นก่อนที่เมิ่งอวิ๋นจะเสียความทรงจำไป เขาคงไม่มีโอกาสแม้จะได้เห็นความเป็นเด็กเช่นนี้ของเมิ่งอวิ๋นเป็นแน่

“แน่นอน เจ้าก็รีบหายเถิด หากพรุ่งนี้เจ้ายังไม่หาย ต่อให้ข้าขอท่านพ่อเช่นไร ท่านพ่อย่อมไม่มีทางยอมให้เจ้าออกไปเที่ยวอย่างแน่นอน”

คงเป็นดั่งที่เมิ่งลู่เหยากล่าวไว้ หากวันพรุ่งนี้เขายังไม่หายดีขึ้นมาคงไม่มีทางได้ก้าวออกไปจากห้อง เซี่ยอี้เจินพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำของเมิ่งลู่เหยา ขยับกายลงนอนในท่าที่สบายแล้วดึงผ้าขึ้นมาห่มก่อนจะหลับตาลง ปล่อยให้การพักผ่อนค่อยๆ รักษาตัวเขาให้ดีขึ้น ลบภาพความโหดร้ายที่เมิ่งอวิ๋นได้พานพบมาด้วยความฝันที่แสนหวาน ลบความกังวลทั้งหมดออกไปเสียก่อน เมื่อถึงเวลาของมัน ทุกอย่างคงได้คลี่คลาย













เซี่ยอี้เจินลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการสดชื่นแจ่มใส ในอกที่เคยปวดร้าวทรมาน บัดนี้หายไปมากกว่าครึ่ง หลงเหลือเพียงความเจ็บยอกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ยังพอให้รู้สึกรำคาญใจ เสี่ยวหลงเองก็คอยปลุกเซี่ยอี้เจินขึ้นมาทานยาทุกๆ สองชั่วโมง รสยานั้นมันขมยิ่งกว่าสิ่งใดที่เซี่ยอี้เจินเคยได้ลิ้มรสมาทั้งหมด เวลานี้สิ่งที่เซี่ยอี้เจินสนใจมากที่สุด คงจะเป็นการไปเที่ยวตามสัญญาของผู้เป็นพี่อย่างเมิ่งลู่เหยา

“เสี่ยวหลง เจ้าเห็นพี่ใหญ่หรือไม่?” คนถูกถามเลิกคิ้วมองใบหน้าของนายน้อยตนด้วยความแปลกใจ ร้อยวันพันปีเมิ่งอวิ๋นผู้เป็นนายของมันเคยถามหาพี่ชายคนนี้เสียเมื่อไร หากลืมตาตื่นมาแล้วนั้นมีแต่จะวิ่งออกไปหาท่านแม่ทัพเสียมากกว่า แต่ผู้ที่สวมอาภรณ์สีฟ้าที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของมันนามนี้กลับเอ่ยถามหาพี่ชาย มิใช่เรียกหามันเพื่อจะให้ติดตามไปที่จวนแม่ทัพหลี่ “ว่าอย่างไร เห็นพี่ใหญ่ข้าหรือไม่?”

เสี่ยวหลงคืนสติที่ตกตะลึงงงงันได้ทันที “เอ่อ อยู่ที่ห้องหนังสือขอรับ”

“ดี...” แต่ไม่ทันที่จะได้ก้าวขาออกไป เซี่ยอี้เจินก็พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้เสียก่อนจึงได้หันกลับมาหาเสี่ยวหลงอีกครั้ง “เจ้า...ห้องหนังสือไปทางใด?”

เสี่ยวหลงถึงกับนิ่งอึ้ง นี่มันหลงลืมไปได้อย่างไรว่านายน้อยของมันเสียความทรงจำไปแล้ว “บ่าวจะนำทางไปเองขอรับ ทางนี้ของรับนายน้อย” เสี่ยวหลงเดินนำทางให้กับเซี่ยอี้เจินอย่างแม่นยำ กล่าวตำหนิตนเองที่เผลอลืมเลือนไปได้อย่างไรว่าเจ้านายของมันนั้นถูกรถม้าชนจนสิ้นสติ ครั้งเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็เปลี่ยนเป็นคนไร้ความทรงจำ น่าเห็นใจนายน้อยยิ่งนัก

เซี่ยอี้เจินหันไปมองรอบกายอย่างต้องการสำรวจ บ้านเรือนในยามนี้นั้นไม่เหมือนกับในห้วงเวลาที่เขาจากมา อากาศเองก็ช่างสดชื่น ไร้ซึ่งมลพิษใด ๆ เจือปนให้เกิดความอึดอัด คงเป็นเพราะเหตุนี้เอง ร่างกายของเขาจึงได้ฟื้นตัวเร็วนัก หากเป็นเมื่อครั้งที่อยู่บ้านสกุลเซี่ย คงใช้เวลาร่วมเดือนกว่าจะหายดีได้

บ้านเรือนใหญ่โตถูกสร้างมาจากไม้ ไม่มีอิฐปูนดังเช่นในช่วงเวลาของเขา ทุกสิ่งมาจากธรรมชาติ อีกทั้งยังมีความเป็นอยู่อันเรียบง่าย ไม่มีการเร่งรีบจนไม่เป็นระเบียบ เซี่ยอี้เจินมองแล้วเพลิดเพลินไปกับรอบกาย

“ถึงแล้วขอรับนายน้อย นายน้อยลู่เหยาอยู่ข้างในนี้ขอรับ” เซี่ยอี้เจินมองประตูตรงหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจ

“ขอบใจเจ้ามาก อีกเดี๋ยวข้ากับพี่ใหญ่จะออกไปข้างนอก เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่?” อย่างไรเสี่ยวหลงก็เป็นคนที่คอยดูแลเมิ่งอวิ๋นมาตลอด อีกทั้งยังคอยดูแลเขาเองที่มาอยู่ในร่างของเมิ่งอวิ๋นอย่างดีด้วยเช่นกัน ถึงแม้เมิ่งอวิ๋นจะไม่ได้ใส่ใจเด็กคนนี้มากนัก แต่เมื่อเมิ่งอวิ๋นในยามนี้คือเขา เขาก็ย่อมมีสิทธิ์จะพาคนออกไปด้วยได้ ไม่น่าจะแปลกประหลาดอะไร

เสี่ยวหลงเบิกตากว้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ความตกใจจะแปรเปลี่ยนเป็นความซาบซึ้งใจ คุกเข่าลงเบื้องล่างใกล้ฝ่าเท้าของผู้เป็นนาย “บ่าวอยากไปขอรับนายน้อย”

เมิ่งอวิ๋นยิ้มบาง ๆ พยักหน้าเข้าใจและอดปวดใจเล็กน้อยไม่ได้ “เช่นนั้นก็รอตรงนี้ก่อน เดี๋ยวรอไปพร้อมกับข้าและพี่ใหญ่”

“ขอรับนายน้อย”

เสี่ยวหลงมองตามร่างของเมิ่งอวิ๋นที่เปิดประตูเข้าไปภายในเงียบๆ ประตูเพียงปิดลงหยาดน้ำตาของเสี่ยวหลงก็พลันไหลลงอาบสองแก้ม นายน้อยของมันช่างดีเหลือเกิน ดีต่อมันเหลือเกิน

เซี่ยอี้เจินเดินเข้าไปใกล้ผู้เป็นพี่ที่ยังคงวุ่นวายกับการค้นหาหนังสืออยู่ จนไม่ได้สนใจเลยว่าใครจะเข้ามาบ้าง เขามองพี่ชายอย่างจนใจ สมาธิดีเลิศอะไรปานนั้น หรือควรจะสงสารภรรยาในอนาคตของพี่ชายคนนี้ดี หากแต่งเข้ามาแล้วพี่ชายของเขาเกิดจดจ่อกับอะไรสักอย่าง แม้แต่หน้าเมียก็คงจะลืมไปเสียด้วยซ้ำ

“พี่ใหญ่ ท่านกำลังหาสิ่งใดหรือ” เมิ่งลู่เหยาหยุดชะงักมือลงทันที หันหน้ามามองน้องชายที่ยืนอยู่ภายในห้องแทน

“อา เจ้ามาแล้วหรือ รอเดี๋ยวนะ พี่ขอหาให้พบก่อน” เซี่ยอี้เจินมองภาพพี่ชายวิ่งวุ่นหาบางสิ่งอย่างอุตลุด ริมฝีปากบางแย้มยิ้มก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วเดินเข้าไปใกล้เมิ่งลู่เหยามากยิ่งขึ้น

“พี่ใหญ่ สิ่งใดกันที่ท่านกำลังหา บอกข้าเถอะ ข้าจะช่วยท่านเอง” เมิ่งลู่เหยาหยุดชะงักมือที่กำลังรื้อค้นลงกับคำพูดของเมิ่งอวิ๋น ในใจของผู้เป็นพี่เช่นเขาไหววูบ นึกเอ็นดูน้องชายเสียยิ่งกว่าก่อนเก่า ยิ่งเมิ่งอวิ๋นทำตัวดีมากเท่าใดเมิ่งลู่เหยาก็ยิ่งโกรธแค้นหลี่เจี้ยนเฉิงมากยิ่งขึ้น น้องชายของเขาดีขนาดนี้...แต่คนผู้นั้นกลับลงมือทำร้ายได้ลง นึกแล้วช่างแค้นใจ!

“พี่กำลังหากล่องไม้เก่า ๆ ถ้าเจ้าพบแล้วบอกพี่ด้วยนะ” เมิ่งอวิ๋นและเมิ่งลู่เหยาต่างก็พากันค้นหาอย่างจริงจัง ความจริงแล้วเซี่ยอี้เจินคิดจะถามเหมือนกันว่าของสิ่งนั้นสำคัญมากเลยหรือถึงต้องหาให้พบในยามนี้ อีกทั้งยังต้องค้นหาด้วยตนเองมิยอมสั่งให้ใครเข้ามาช่วย แต่ภายในกล่องไม้นั่นมีสิ่งใดอยู่กัน นั่นคือสิ่งที่เซี่ยอี้เจินได้แต่สงสัย

เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งเค่อทั้งสองก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะพบ หนังสือถูกนำออกมาทีละเล่มเพื่อดูว่าของที่หาจะอยู่ด้านหลังบ้างหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะหาเช่นไรก็ไม่พบสิ่งนั้นเลย เมิ่งลู่เหยาหัวเสีย ความหงุดหงิดเริ่มเข้ามาทดแทนอารมณ์ดีก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น เซี่ยอี้เจินเห็นความไม่สบอารมณ์ของเมิ่งลู่เหยาอย่างชัดเจนก็นึกอยากจะเอ่ยปลอบสักคำ หากแต่ไม่ว่าจะปลอบเช่นไรก็ไม่อาจจะเอ่ยออกไปได้ ด้วยเพราะเขาเองก็ไม่รู้เลยว่า สิ่งที่พี่ชายกำลังหาอยู่นั้น แท้จริงแล้วคือสิ่งใดกันแน่

“พี่ใหญ่ สิ่งที่ท่านกำลังหาสำคัญมากเลยหรือ?” เมิ่งลู่เหยาถอนหายใจออกมาอย่างแรงเพื่อระบายความหงุดหงิดในใจของตนให้หมดสิ้น ก่อนจะหันมามองสบตากับเมิ่งอวิ๋นด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้น

“มันเป็นของพี่ที่เก็บเอาไว้จะมอบให้แก่เจ้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนมันจะหายไปเสียแล้ว” น่าเสียดายนัก ทั้งที่ของสิ่งนั้นทั้งงดงามและเหมาะกับเมิ่งอวิ๋นที่สุด แต่เขากลับเลินเล่อ ทำหายไปเสียได้

เมิ่งอวิ๋นยิ้มกว้างก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื้นตันใจ “ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะเป็นอะไร ข้าย่อมต้องชอบมันอย่างแน่นอน”

ใช่แล้ว ต่อให้มันจะเป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่ง แต่สำหรับเซี่ยอี้เจินนั้นมันย่อมมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด

“เสี่ยวอวิ๋น...”

“พี่ใหญ่อย่าได้คิดกังวลเลย ไม่เช่นนั้นเอาเช่นนี้ดีหรือไม่ วันนี้ท่านสัญญาแล้วว่าจะพาข้าไปเที่ยว พี่ใหญ่ก็ลองหาของสักชิ้นซื้อให้ข้าก็ได้” สำหรับเซี่ยอี้เจินที่ไม่เคยมีพี่ชายมาห่วงใย มอบของให้เช่นนี้มาก่อนนั้น สิ่งนี้มันจึงพิเศษสำหรับเขามากเหลือเกิน แม้ว่าของชิ้นนั้นจะมีราคาถูกมากน้อยเพียงใด เซี่ยอี้เจินก็ไม่คิดจะบ่นมันสักคำ

เพียงแค่เขาได้สัมผัสถึงความรักที่ได้รับมาจากการเป็นน้อง...มันหอมหวานจนเซี่ยอี้เจินไม่ต้องการจะปล่อยมือจากมัน ในตอนนี้สิ่งนี้จะใช่ของเขาหรือไม่เขาไม่รู้ แต่เซี่ยอี้เจินสัญญาเลยว่า...เขาจะเป็นน้องชายที่ดีของเมิ่งลู่เหยาแทนเมิ่งอวิ๋นให้ได้ อย่างที่ได้ให้สัญญาต่อเมิ่งอวิ๋นเอาไว้ ตอบแทนที่อีกฝ่ายยอมมอบชีวิตนี้ให้เขา

“เช่นนั้นก็ได้ ไปเถอะ...พี่จะพาเจ้าไปขออนุญาตต่อท่านพ่อท่านแม่เสียก่อน หากท่านพ่ออนุญาตเราจะได้ไปกัน” ดวงตากลมสีเกาลัดเบิกกว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่บ่งบอกอาการตื่นเต้นของเจ้าตัวได้อย่างดี รอยยิ้มของเมิ่งอวิ๋นช่างสดใสจนเมิ่งลู่เหยานั้นอดยิ้มตามไม่ได้ มือใหญ่ยกขึ้นลูบศีรษะของน้องชายตนเอง ก่อนจะเดินนำออกจากห้องไป

เมิ่งลู่เหยาที่เหลือบมองน้องชายเป็นพัก ๆ นั้นเกิดความรู้สึกเปี่ยมล้นไปด้วยความเอ็นดู หากแม้ว่าท่านพ่อเกิดขัดขวางมิยอมให้เมิ่งอวิ๋นน้องชายที่รักของเขาได้ออกไป เขาเองก็คงต้องหาวิธีบีบท่านพ่อเสียหน่อยแล้ว แค่เพียงได้ยินว่าจะพาออกไปเสี่ยวอวิ๋นน้องรักของเขายังมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความดีอกดีใจราวกับเด็กน้อย แต่หากท่านพ่อมาขัดความสุขของน้องชายเขา...คงต้องได้เห็นดีกันเป็นแน่!

น้องชายของเขาน่ารักน่าเอ็นดูมากเช่นนี้ มีหรือที่จะสามารถปล่อยให้รอยยิ้มแสนน่ามองนั้นหายไปจากใบหน้า และถูกแทนที่ด้วยความเสียใจและความเศร้าสร้อย

เพียงแค่คิดเมิ่งลู่เหยาก็ทนไม่ได้ ความเสียใจใดๆ ก็ไม่เหมาะกับน้องชายของเขา น้องชายของเขาควรได้รับแต่เรื่องที่มีความสุข ควรได้พบแต่คนดี ๆ มิใช่คนชั่วช้าเช่นหลี่เจี้ยนเฉิงผู้นั้น ในเมื่อยามนี้เสี่ยวอวิ๋นลืมเลือนบุรุษเดนตายผู้นั้นไปแล้วอย่างหมดใจก็ดีนัก สตรีในเมืองก็มากมาย งดงามหยดย้อยยิ่งกว่าผู้ใดก็มี ถึงอย่างไรสกุลเมิ่งก็ออกจะร่ำรวย เขาไม่เชื่อหรอกว่าน้องชายของเขาจะไม่มีสตรีนางใดมาชมชอบ

หรือต่อให้น้องชายของเขามิชอบสตรีอีกแล้ว เขาก็พร้อมจะมองหาบุรุษผู้มากด้วยคุณสมบัติอันคู่ควร ทั้งรูปร่างหน้าตาและสติปัญญามากองเอาไว้ตรงหน้าของเมิ่งอวิ๋นได้อย่างแน่นอน ใต้หล้านี้เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีผู้ใดที่จะสู้หลี่เจี้ยนเฉิงผู้นั้นไม่ได้ ปฐพีกว้างไกลใครเล่าจะรู้ อาจมีใครสักคนที่จะเป็นของน้องชายเขาอย่างเต็มใจ เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติทั้งหลายก็ได้

คนเช่นหลี่เจี้ยนเฉิง ไหนเลยจะมาคู่ควรกับน้องชายของเขา

คนที่กล้าลงมือทำร้ายน้องชายของเขาจนสูญเสียความทรงจำ ลืมเลือนทุกสิ่งแม้แต่ตัวเขาที่เป็นพี่ชาย จะมีค่าอะไรมาคู่ควรกับเมิ่งอวิ๋น ดวงใจของสกุลเมิ่ง!





ใช่!!! คนอย่างหลี่เจี้ยนเฉิง ไม่คู่ควรกับน้องค่ะ แบนมันนนนน แค่กๆ ใจเย็นค่ะ แบนไม่ได้ นั่นพระเอกนะ ฮึ้บไว้ก่อนนนน อดทนและติดตามการเติบโตของตัวละครไปด้วยกันนะคะ ทุกอย่ามีคำตอบเสมอ อย่าเพิ่งตันสินมันจากเพียงตอนแรกนะคะ 

เมิ่งอวิ๋น


ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
น้องจะออกไปเรียนรู้โลกใบใหม่แล้ววว

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[3] 50%


เที่ยวเตร่

“ไม่ได้! ยังไงก็ไม่ได้!”

เสียงของเมิ่งหยวนเด็ดขาดและเต็มไปด้วยอำนาจจนสีหน้าของเซี่ยอี้เจินสลดไปอย่างช่วยไม่ได้ ดวงตากลมโตสีเกาลัดเต็มตื้นไปด้วยความน้อยใจ ก้มใบหน้าของตนลงต่ำจนดูน่าสงสาร เมิ่งลู่เหยาที่เห็นสีหน้าของน้องชายย่ำแย่ก็เกิดความขุ่นเคืองใจ ลุกขึ้นยืนแล้วตวัดสายตามองบิดาด้วยความโกรธเคือง

“ท่านพ่อ! เสี่ยวอวิ๋นเพียงต้องการออกไปเที่ยวชมเมือง เหตุใดต้องห้ามด้วยเล่าขอรับ?” น้องชายเขาหรืออุตส่าห์มีสีหน้าดีอกดีใจ ปลาบปลื้มยินดีราวกับเด็กตัวน้อยๆ ที่เขาเคยเห็นเมื่อครั้งยังเยาว์ แต่ตอนนี้กลับถูกผู้เป็นบิดาเป่ามันให้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ถูกแทนที่ด้วยความผิดหวังที่น่าสงสาร จะไม่ให้เขามีโทสะได้เช่นไร! เหตุใดท่านพ่อจึงได้...

คิดแล้วก็น่าโมโหนัก!

“พี่ใหญ่ช่างเถอะ ในเมื่อท่านพ่อไม่อนุญาต เช่นนั้นข้าไม่ไปก็ได้” น้ำเสียงของเมิ่งอวิ๋นช่างบีบหัวใจของคนเป็นพี่อย่างเมิ่งลู่เหยานัก ความคิดที่จะพาน้องไปเที่ยวเล่นเพื่อให้น้องชายคนเดียวของเขาได้อารมณ์เบิกบาน ได้คงรอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้พังทลายลงจนไม่เหลือชิ้นดี เมิ่งลู่เหยาโกรธจนอยากจะกระอักเลือด แต่ด้วยผู้ที่สั่งห้ามคือบิดา...เขาที่เป็นบุตรชายจะไปทำสิ่งใดได้

ในระหว่างที่ขบคิดถึงข้ออ้างหรือวิธีต่าง ๆ ที่พอจะช่วยให้เมิ่งอวิ๋นน้องชายของเขาได้ออกไปกับเขาได้ สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นร่างของใครคนหนึ่งที่จะสามารถช่วยพูดให้เขาและน้องชายได้อย่างแน่นอน ดวงตาของเมิ่งลู่เหยาสว่างวาบ เปล่งประกายไปด้วยความหวังอันล้นเปี่ยม หากเป็นคนที่กำลังเดินเข้ามาแล้วนั้น ท่านพ่อจะต้องยินยอมอย่างแน่นอน

“ท่านแม่!” เสียงเรียกของเมิ่งลู่เหยาไม่ได้เบาเลยสักนิด มันดังอย่างชัดเจนจนผู้เป็นมารดาอย่างอู๋ชิวอิ่งต้องเลิกคิ้วอย่างฉงนใจ

“มีสิ่งใดกันหรือ? เหตุใดเจ้าจึงเรียกแม่เสียงดังเช่นนี้” อู๋ชิวอิ่งคิดจะเอ่ยตักเตือนบุตรชายคนโตที่ส่งเสียงดังสักหน่อย แต่แล้วสายตาของนางกลับเห็นร่างของบุตรชายอีกคนที่นั่งหน้าเศร้าอยู่ข้าง ๆ บุตรชายคนโต ดวงตากลมก็พลันแสดงออกอย่างยินดีที่สุด

“เสี่ยวอวิ๋น! ลูกแม่เจ้าหายดีแล้วหรือ?”

“ขอรับท่านแม่ ข้าหายแล้วขอรับ” เมิ่งอวิ๋นที่ก้มหน้าอยู่เอ่ยตอบด้วยเสียงที่แผ่วเบาและเจือไปด้วยความเศร้าโศกจนนางต้องขมวดคิ้วแน่น

“เป็นอะไรหรือลูก เหตุใดเจ้าจึงได้เศร้าสร้อยเช่นนี้” แต่เซี่ยอี้เจินไม่ได้ตอบ เขาในตอนนี้กำลังฝืนกลืนความผิดหวังเอาไว้ในอกไม่ให้มันแสดงออกมาภายนอกให้ใครได้เห็น แต่เพราะการไม่ตอบสิ่งใดนั่นยิ่งทำให้อู๋ชิวอิ่งเริ่มร้อนรนใจ หันไปถามบุตรชายคนโตอย่างเมิ่งลู่เหยาและผู้เป็นสามีอย่างเมิ่งหยวนแทน

“ท่านพี่ลูกเป็นอะไรหรือ? อาเหยาน้องเจ้าเป็นอะไร?” เกิดอะไรขึ้นกับลูกชายตัวน้อยของนางกัน อาการบาดเจ็บมิดีขึ้น หรือมีผู้ใดทำให้บาดเจ็บหรือทุกข์ใจใด ๆ อีก? อู๋ชิวอิ่งในตอนนี้มีแต่คำถามนับร้อยพันที่ผุดขึ้นมาในหัว นางร้อนใจอย่างหนักเพราะก่อนนี้เมิ่งอวิ๋นก็เพิ่งบาดเจ็บมายังไม่ทันหายดี นางไม่ต้องการให้สิ่งใดมาทำร้ายลูกของนางอีก ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจก็ตาม

“ท่านแม่ คือว่า...” แม้จะอยากฟ้อง แต่ด้วยอีกคนก็เป็นบิดา...ไม่ว่าอะไรดูพูดได้ยากทั้งสิ้น เมื่อเห็นเมิ่งลู่เหยาลอบมองเมิ่งหยวนทีอย่างอึกอักที อู๋ชิวอิ่งก็ยิ่งร้อนใจมากยิ่งขึ้น เมิ่งหยวนหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะหันมาตอบฮูหยินของตนเองด้วยรู้ดีว่าอย่างไรเสีย อู๋ชิอิ่งก็จะต้องเห็นด้วยกับการตัดสินใจครั้งนี้อย่างแน่นอน

“เสี่ยวอวิ๋นคิดจะออกไปเที่ยวเตร่ข้างนอก แต่ข้ามิอนุญาต” ได้ยินเช่นนั้นอู๋ชิวอิ่งก็ปรากฏความดีใจขึ้นมา ก่อนที่ร่างของนางจะก้าวเข้ามาประชิดตัวของเมิ่งอวิ๋นอย่างรวดเร็ว มิคล้ายคนที่เจ็บป่วยแม้แต่น้อย

“จริงหรือ เจ้าอยากออกไปเที่ยวหรือเสี่ยวอวิ๋น เช่นนั้นแปลว่าเจ้าหายดีแล้วใช่หรือไม่?” น้ำเสียงของอู๋ชิวอิ่งเต็มไปด้วยความยินดีและแสนจะดีใจ ซึ่งเมิ่งลู่เหยาที่ลอบมองอยู่ก็สังเกตเห็นได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังนึกกระหยิ่มในใจเพราะรู้ดีว่าอย่างไรมารดาก็จะต้องให้น้องออกไปกับตอนอย่างแน่นอน

“ใช่แล้วขอรับท่านแม่ เพียงแต่ท่านพ่อมิอนุญาต ข้าจึงคิดจะพาน้องกลับไปพักที่ห้องขอรับ” สายตาหวานซึ้งที่เคยอ่อนโยนของฮูหยินแห่งจวนสกุลเมิ่งแข็งกร้าว ตวัดสายตาจับจ้องเมิ่งหยวนด้วยความกดดันที่ไม่เคยได้พานพบ เมิ่งหยวนที่ถูกมองสะดุ้งสุดตัว เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ เริ่มฝุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ได้แต่แอบเช็ดออกไปเท่านั้น

“ท่านพี่! นี่ท่านห้ามลูกหรือเจ้าคะ?” ทั้งที่เป็นประโยคคำถามที่แสนจะธรรมดา แต่เมิ่งหยวนกลับรู้สึกได้ถึงคมมีดที่จ่อคอรอจะปลิดชีวิตของเขาอยู่ในตอนนี้ เมิ่งหยวนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาอู๋ชิวอิ่งไม่เคยสักครั้งที่จะมีสีหน้าและแววตาเช่นนี้ น้ำเสียงที่เอ่ยถามในครั้งเก่า มีแต่ความอ่อนโยนที่เจือออกมาทั้งนั้น หากแต่คราวนี้กลับเต็มไปด้วยไอสังหาร

“เอ่อ ฮูหยิน...เจ้าก็รู้ว่าเสี่ยวอวิ๋นเพิ่งจะหายเจ็บป่วย เพียงวันเดียวไหนเลยจะหายได้รวดเร็วเช่นนั้น ข้าเพียงเห็นว่าลูกอาจจะยังไม่หายดี จึงไม่ได้อนุญาตไป ข้าเป็นห่วงลูกนะฮูหยินของข้า หากว่าออกไปแล้วลูกเราไปเจอคนผู้นั้นเข้าอีก ครานี้ข้ากังวลว่าลูกจะ...” เมิ่งหยวนลอบเป่าปากถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าภรรยาของตนเริ่มคล้อยตาม แต่ก็ไม่อาจโล่งใจได้นาน เพียงแค่ดวงตาของนางหันไปมองบุตรชายสุดที่รักเท่านั้น ความคล้อยตามและเหตุผลทั้งหลายคล้ายถูกปัดทิ้งไปทั้งสิ้น

“แต่เสี่ยวอวิ๋นบอกว่าหายดีแล้วนี่เจ้าคะ? ลูกอยากออกไปเที่ยวให้สบายใจ เหตุใดท่านพี่ต้องขัดขวางกัน?”

“ไม่ใช่ข้าขัดขวางนะอิ่งเอ๋อร์ ข้าเพียงกังวลว่าลูกอาจจะไปพบกับคนผู้นั้นก็เท่านั้น” หากไปพบแล้วลืมเลือนจำสิ่งใดมิได้นั่นย่อมดี แต่ถ้าหากว่าพบเจอแล้วเมิ่งอวิ๋นเกิดจำได้ขึ้นมาล่ะ? บุตรชายของเขามิต้องเอาชีวิตไปทิ้งกับคนผู้นั้นอีกหรือ เพียงแค่คิดเมิ่งหยวนก็ไม่อาจทนปล่อยให้บุตรชายอันเป็นที่รักออกไปเผชิญโลกได้

“ท่านแม่ ท่านพ่อ เรื่องนั้นท่านมิต้องห่วง คราวนี้ข้าจะดูแลน้องเป็นอย่างดีเลยขอรับ” เมิ่งลู่เหยาเองก็ไม่ปรารถนาจะให้น้องชายไปเผชิญหน้ากับคนผู้นั้นนักหรอก ตัวตนของคนผู้นั้นหากสามารถลบเลือนมันออกไปจากหัวใจของเมิ่งอวิ๋นได้มีหรือเขาจะไม่อยากทำ

เมิ่งหยวนสบตากับบุตรชายคนโตครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองพิจารณาบุตรชายคนเล็กที่ยังคงมีความเศร้าโศกบินวนอยู่รอบกายจนคล้ายจะฉุดบุตรชายให้บินออกไปจากตรงนี้ จมูกของเซี่ยอี้เจินเริ่มแดงระเรื่อจนหัวใจของผู้เป็นบิดาเริ่มอ่อนยวบ ใช่ว่าเขาจะใจจืดใจดำไม่ให้บุตรชายออกไปเที่ยวเล่นเสียเมื่อไรกัน เขาเพียงแต่ห่วงและกังวลจนไม่อาจวางใจได้ ใครจะมาเข้าใจจิตใจของเขาบ้าง หากต้องสูญเสียบุตรชายที่เฝ้าดูแลทะนุถนอมมาตั้งแต่ยังเล็ก หัวใจของเขาจะสามารถทานทนต่อเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร

เมิ่งหยวนไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมหัวใจของเขาถึงได้หวงแหนและห่วงใยเมิ่งอวิ๋นมากขึ้นกว่าเก่า ทั้งที่ก่อนนี้ยังไม่เป็นเช่นนี้มาก่อน แต่เขารู้สึกทรมานปานจะขาดใจลงเสีย เพียงแค่คิดว่าบุตรชายของเขาจะไปพบเจอกับคนผู้นั้น คนที่มากไปด้วยอำนาจที่ตัวเขาเองก็ไม่มีและหากเกิดสิ่งใดขึ้นมา เขาก็คงไม่อาจช่วยเหลือบุตรชายของเขาได้ เมิ่งหยวนรับรู้ถึงความสูญเสียราวกับว่ามันเคยเกิดขึ้นมาก่อน และเขาไม่อาจจะทนรับมันได้อีก

“อวิ๋นเอ๋อร์...”

“ขอรับ...ท่านพ่อ” เมิ่งอวิ๋นมิได้เงยหน้าขึ้นมาสบตาของบิดา แต่ก็ยังตอบรับคำเรียกขานของบิดาเช่นทุกครั้ง

“ไม่ใช่พ่อไม่อยากให้เจ้าไปนะเสี่ยวอวิ๋น พ่อเพียงแค่ห่วงเจ้า กลัวว่าหากครานี้เจ้าได้พบกับ...อันตราย เจ้าอาจจะไม่ได้กลับมาหาพ่อกับแม่อีก” คำพูดของเมิ่งหยวนสั่นจิตใจของเซี่ยอี้เจินได้อย่างดี เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงมาอยู่ในร่างของเมิ่งอวิ๋นที่บาดเจ็บเพียงถูกรถม้าชนเท่านั้น ทั้งที่ความทรงจำในครั้งที่ถูกย่ำยีมันยังอยู่ในสมองของเขา แต่มันก็คงเป็นสัญชาตญาณของผู้เป็นบิดาเช่นกันสินะ ที่ครั้งหนึ่งเคยสูญเสียเมิ่งอวิ๋นไปอย่างไม่มีวันกลับมา

ยิ่งคิด เซี่ยอี้เจินก็ยิ่งปวดใจ

“ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงข้า ข้าเข้าใจในความกังวลของท่าน”

ใช่แล้ว เขาเข้าใจดี เข้าใจดีทุกอย่าง และเพราะเหตุนั้น...เขาจึงได้มาอยู่ตรงนี้ มาทำหน้าที่แทนเมิ่งอวิ๋นอย่างไรล่ะ

“แต่ข้าเพียงออกไปกับพี่ใหญ่ ไม่ได้ไปไกลนัก ข้าเพียงอยากจะไปที่เหลาอาหารของพวกเราเท่านั้นเองขอรับ”

“ถึงจะเป็นเช่นนั้น...” เมิ่งหยวนก็ยังคงไม่อาจคลายกังวลลงไปได้ แม้บุตรชายจะบอกว่าเข้าใจในความกังวล แต่เมิ่งหยวนกลับคิดว่าเมิ่งอวิ๋นไม่เข้าใจเขาอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพราะเมิ่งอวิ๋นเสียความทรงจำไป แต่เพราะกลัวว่าจะไม่มีวันได้บุตรชายกลับคืนมามากกว่า

หากปล่อยให้ออกไปแล้วพบว่ามีเพียงแค่เมิ่งลู่เหยาที่กลับมา หัวใจของคนเป็นบิดาเช่นเขาคงไม่อาจเอาตัวเข้าไปหาคมดาบของคนผู้นั้นเป็นแน่

“ข้าให้สัญญาขอรับท่านพ่อ”

“สัญญาหรือ?” เซี่ยอี้เจินพยักหน้า ยืดอกขึ้นมานั่งตัวตรงเป็นสง่า วางท่าที่เคยทำจนติดเป็นนิสัยจากชีวิตก่อนจนเมิ่งหยวน เมิ่งลู่เหยาและอู๋ชิวอิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้เห็น

“ขอรับสัญญา....ข้าสัญญาว่าจะไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับคนผู้นั้นอีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม หากมิใช่คำสั่งของท่านพ่อท่านแม่ ข้าจะหลีกหนีเขาให้ไกล ไม่มีวันเฉียดเข้าไปใกล้เขาอีก”

จะไม่มีอีกแล้วเมิ่งอวิ๋นที่รักหลี่เจี้ยนเฉิงจนหมดหัวใจ

ไม่มีอีกแล้วเด็กน้อยที่หลงมัวเมาในความรัก

จากนี้ไปจะมีเพียงแค่เมิ่งอวิ๋นคนใหม่ เป็นผู้ที่ตั้งมั่นเอาไว้แล้วว่า จะไม่เข้าใกล้แม่ทัพไร้ใจคนนั้นอีก!

คำสัญญาที่เซี่ยอี้เจินเอ่ยมันกับตนเองอยู่ภายในใจนั้น ไม่ได้เป็นเหมือนคำสาบานใด ๆ เพียงแต่มันคือจุดมุ่งหมายของการมีชีวิตเพื่อเมิ่งอวิ๋น ชายคนนั้นที่แม้จะมองเห็นเพียงแผ่นหลังในความทรงจำของเมิ่งอวิ๋น เขาก็รู้ดีว่าคือใคร คนที่ลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมไม่นึกถึงหัวใจของเมิ่งอวิ๋นที่มั่นรักต่อคนผู้นั้นสักนิดนั้นสารเลวยิ่งกว่า เซี่ยอี้เจินกำสองมือของตนเองจนแน่น นัยน์ตาที่หลุบซ่อนอยู่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

เขานั้นรู้ดีกว่าใครว่าเมิ่งอวิ๋นรู้สึกปวดร้าวและทรมานมากมายเท่าใด เพราะเขาเองก็เจ็บปวดกับการถูกคนที่รักหักหลังและลงมือฆ่าเขาอย่างเลือดเย็นไม่แตกต่างกัน และเพราะเขารู้ดี แม้ว่าเขาจะไม่โกรธน้องชายและคนรักของเขา แต่การที่ต้องมาทนเห็นเมิ่งอวิ๋นภายในความทรงจำที่โหดเหี้ยม ถูกกระทำย่ำยีจากพวกกักขฬะที่ไม่มีแม้แต่ความเห็นใจ พวกมันทำเหมือนเมิ่งอวิ๋นเป็นเพียงนางโลมที่มีเอาไว้ระบายความต้องการทางเพศ ไม่แยแสแม้แต่ลมหายใจที่รวยริน

“อึก”

มันทั้งเจ็บปวด ทั้งรวดร้าวไปหมดทั้งตัวและหัวใจ ความรู้สึกของเมิ่งอวิ๋นในตอนนั้นมันยังชัดเจนในความรู้สึกของเซี่ยอี้เจินราวกับยืนอยู่ตรงนั้นแต่ไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดได้ ยิ่งคิดถึงความทรมานของเมิ่งอวิ๋นก่อนสิ้นลมหายใจ เซี่ยอี้เจินกลับรู้สึกว่าเขายังไม่เจ็บปวดเท่าเมิ่งอวิ๋นด้วยซ้ำ เขาไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายจะแลกร่างกายกันกับเขา เพียงเพื่อมีชีวิตและลมหายใจต่อ ขอเพียงแค่ไม่ได้อยู่ร่วมกับบุรุษที่ไร้หัวใจคนนั้น

“ได้...เช่นนั้นพ่อจะไม่ห้ามเจ้า” เมิ่งลู่เหยาแทบจะกระโดดร้องไห้ไชโยด้วยความดีใจ ในที่สุดบิดาก็ยอมให้เขาพาน้องชายออกไปเที่ยวเสียที

“ขอบคุณท่านพ่อ!”

“เจ้าก็ดูแลน้องให้ดี หากเจอคนผู้นั้นก็จงพาน้องเจ้าหลีกหนีไปให้ไกลเสีย” คำสั่งสอนของบิดาทำให้เมิ่งลู่เหยาที่ทำหน้าราวกับเด็กก่อนหน้านี้เริ่มมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา สองมือประสานกันอยู่ข้างหน้าตนเอง

“ข้าจะจดจำเอาไว้ขอรับ” อย่าให้น้องเข้าใกล้บุรุษผู้นั้นทำไมเขาจะจำไม่ได้ คนชั่วช้าที่มากอำนาจจนไม่อาจแตะต้องได้ เขาไม่มีวันลืมเลือน เขาจะไม่มีวันยอมให้เมิ่งอวิ๋นเป็นอันตรายอีก จะไม่มีวันให้เมิ่งอวิ๋นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น เขาจะดูแลน้องชายของเขาอย่างดี ไม่บยอมให้คลาดสายตาไปอีกอย่างแน่นอน

“อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าก็อย่าได้ลืม คนผู้นั้นอันตรายมาก” เซี่นอี้เจินเหยียดยิ้ม เขารู้ดีเลยว่าคนผู้นั้นที่บิดาพูดถึงโหดเหี้ยมและเลวร้ายเพียงใด และเขาเองก็ไม่คิดจะเข้าไปใกล้คนเช่นนั้นอย่างแน่นอน

“ท่านพ่ออย่ากังวล ข้าจะไม่มีวันเข้าไปใกล้เขาอย่างแน่นอน!” ได้ยินบุตรชายพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเมิ่งหยวนก็พอเบาใจลงไปได้บ้าง แม้ว่าจะไม่มากแต่ก็เพียงพอให้เขาปล่อยมือที่ยึดบุตรชายคนเล็กเอาไว้ไม่ให้ไปไหนลงได้ เขาเพียงห่วงและหวาดกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเมิ่งอวิ๋นเท่านั้น หากแต่ตอนนี้คงกังวลมากไป เพราะในสายตาของเมิ่งอวิ๋นแล้ว ชื่อของคนผู้นั้นไร้ความหมายจะให้เอ่ยถึงด้วยซ้ำ

ดีนัก เป็นเช่นนี้ดียิ่งนัก







50%







น้องจะได้เที่ยวแล้วววววว เย้~ จะออกไปแตะขอบฟ้า~ แค่กๆ กลับเข้าเรื่องค่ะ อัพแล้วนะคะ แมววางปมทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว แต่ต้องอดทนนะคะ เพราะว่าเรื่องราวจะค่อย ๆ ดำเนินไป ไม่รีบร้อนจ้าาาา 

เมิ่งอวิ๋น


ออฟไลน์ lcortsess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3

ออฟไลน์ VODKA

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[3] 100%


ต่อตรงนี้นะคะ





“เช่นนั้นก็ไปกันเสียเถิด แต่อย่าได้เถลไถลไกลนัก”

“ขอรับท่านพ่อ!” เมิ่งลู่เหยาและเซี่ยอี้เจินต่างก็พูดออกมาพร้อม ๆ กัน ก่อนที่ทั้งสองจะหันมายิ้มให้กันด้วยสีหน้าที่มีแต่ความดีใจ ตัวอู๋ชิวอิ่งเองเมื่อเห็นบุตรชายของตนทั้งสองมีความสุข หัวใจของนางเองก็เปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นกัน นางเดินเข้ามาใกล้บุตรชายทั้งสองของนาง ก่อนจะหยิบเอาถุงเงินที่นางเตรียมเอาไว้ยามที่ต้องออกไปข้างนอกมาวางไว้ในมือของเมิ่งอวิ๋นแล้วกุมมือของเมิ่งอวิ๋นเอาไว้

“เจ้าเอาเงินนี่ไปใช้นะเสี่ยวอวิ๋น อยากกินอะไร ซื้ออะไรเจ้าก็ใช้ได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวล พ่อเจ้ายังมีอีกมาก หากไม่พอเจ้าก็กลับมาเอาที่จวนนะ” เมิ่งหยวนหน้าซีด ถึงแม้เขาจะไม่ได้หวงเงินทองของนอกกายเช่นคนอื่น แต่ก็อดหวาดกลัวกับการใช้เงินของเมิ่งอวิ๋นไม่ได้

“ท่านแม่อย่ากังวล เงินนี่ก็มากมายแล้วขอรับ” เซี่ยอี้เจินแม้ไม่ได้รู้ว่าในที่แห่งนี้ของแต่ละสิ่งราคาเท่าไร แต่น้ำหนักของถุงเงินก็มิใช่จะน้อย เพราะฉะนั้นเซี่ยอี้เจินจึงมั่นใจว่าอย่างไรเสีย เงินที่ได้รับมานี่ย่อมต้องพอใช้แน่นอน อีกอย่าง...เขาเองก็อยากจะไปทานอาหารที่เหลาของตระกูล ใช่ว่าไปแล้วจะต้องจ่ายเสียหน่อย

เมิ่งหยวนได้ยินคำตอบของบุตรชายก็ลอบถอนหายใจ รู้สึกเหมือนได้ยกปัญหาใหญ่ออกไปจากอก แต่อู๋ชิวอิ่งยังไม่อาจจะวางใจได้

“ถึงเจ้าจะพูดเช่นนั้น...”

“ท่านแม่ มีข้าไปด้วยท่านอย่าห่วงไปเลยขอรับ” เมิ่งลู่เหยาเอ่ยปลอบมารดาเมื่อเห็นความกังวลที่ไม่อาจลบเลือนได้ อู๋ชิวอิ่งมองบุตรชายคนโตอย่างคลายกังวลลง ถึงอย่างไรเมิ่งลู่เหยาก็มีเงินติดตัวอยู่ คงไม่ทิ้งให้น้องต้องอดอยากหรอก

“ได้ เช่นนั้นแม่จะทำของอร่อยรอพวกเจ้าอยู่ที่นี่”

“ข้าและพี่ใหญ่จะเก็บท้องรอทานอาหารของท่านแม่อย่างแน่นอนขอรับ!” อู๋ชิวอิ่งที่ได้ยินเมิ่งอวิ๋นกล่าวออกมาเช่นนั้นก็ได้แต่ระบายรอยยิ้มเอ็นดูออกมา หัวใจของนางเต็มตื้นไปด้วยความอิ่มเอมใจ เมื่อภายในใจนางเอ่อล้นไปด้วยความสุข ร่างกายที่เคยทรุดตัวมาแต่ก่อนก็แปรเปลี่ยนเป็นมีกำลังวังชาขึ้น

นางมองภาพบุตรชายทั้งสองของนางเดินจากไปอย่างห่วงใยและกังวล แม้ว่านางจะเป็นคนบอกเองว่าให้ออกไปเที่ยวเตร่ได้ แต่ในใจของนางก็มีความกังวลเฉกเช่นเดียวกับที่เมิ่งหยวนผู้เป็นสามีของนางกังวลไม่ต่างกัน เมิ่งหยวนมองใบหน้าที่สะท้อนความห่วงใยออกมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก เขาเดินเข้ามาโอบภรรยาเอาไว้ ใช้ฝ่ามือส่งผ่านไออุ่นให้ผู้เป็นภรรยาได้คลายกังวลลง

“จะไม่เป็นไรใช่ไหมท่านพี่?” ทั้งที่หัวใจมีแต่ความกังวล แต่ก็ยังยินยอมปล่อยให้บุตรชายได้ออกไปเที่ยวเล่น ช่างเป็นมารดาที่ดีเหลือเกินจริง ๆ เมิ่งหยวนถอนหายใจออกมาเบาๆ มองออกไปยังทางที่บุตรชายทั้งสองได้ผ่านออกไปเมื่อครู่ด้วยความรู้สึกห่วงใยไม่ต่างกัน

“ข้าเชื่อว่าเสี่ยวอวิ๋นจะไม่มีวันเข้าใกล้คนผู้นั้นอีก และข้ามั่นใจว่าลู่เหยาจะดูแลน้องได้ดี”

ในเมื่อพ่อมั่นใจในตัวเจ้าขนาดนี้แล้ว ก็ช่วยดูแลน้องให้ดีด้วยนะ ลู่เหยา



อีกด้านหนึ่งร่างของสองพี่น้องอย่างเมิ่งลู่เหยาและเมิ่งอวิ๋นกำลังเพลิดเพลินไปกับสิ่งของมากมายรายทาง แต่ความจริงแล้วเรียกว่ามีเพียงแค่เมิ่งอวิ๋นเพียงคนเดียวเสียมากกว่าที่ดูจะตื่นตาตื่นใจ เซี่ยอี้เจินในร่างเมิ่งอวิ๋นมองข้าวของมากมายด้วยแววตาตื่นตาตื่นใจ สิ่งรอบกายที่เคยเห็นผ่านๆ ในละครมันดูไม่แตกต่างกันมากมายเท่าไร แต่การได้เข้ามาสัมผัสบรรยากาศจริง ๆ ด้วยตนเองแบบนี้ มันสุดยอดเสียยิ่งกว่า

เมิ่งลู่เหยาอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นดวงตาของน้องชายเปล่งประกายไปด้วยความสุข ริมฝีปากบางๆ นั้นแย้มยิ้มเสียจนผู้เป็นพี่อย่างเขาเองยังอดยิ้มตามไม่ได้ หัวใจของเมิ่งลู่เหยาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ทุกสิ่งรอบกายไม่มีอะไรดูขัดตาสักนิด สีหน้าที่น้องชายของเขาแสดงออกมา มันยิ่งทำให้เขารู้สึกได้ว่าการที่เขาพาเมิ่งอวิ๋นออกมาเที่ยวในวันนี้นั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดแล้ว

เซี่ยอี้เจินเบิกตากว้าง มองหญิงสาวใบหน้างดงามที่เดินผ่านไปมาอย่างคาดไม่ถึง แม้ว่าเขาจะพอรู้มาบ้างว่าหญิงสาวในช่วงก่อนความเจริญจะเข้ามากลืนกินนั้นงดงาม แต่ไม่คิดว่าความงามของพวกเธอจะมากมายขนาดนี้ ในชีวิตก่อนนั้นของเซี่ยอี้เจินได้พบผู้หญิงที่มีใบหน้างดงามมาก็มากมาย แต่ก็ยังไม่มีใครงดงามเท่ากับเธอคนที่อยู่ตรงหน้าของเขา

“พี่ใหญ่ เธอคือ เอ่อ ข้าอยากถามว่านั่นใครหรือ?” เซี่ยอี้เจินเกือบจะหลุดถามออกไปตรงๆ แล้วว่าเธอคนนั้นคือใครกัน ดีที่เขาสามารถยั้งตัวเองแล้วชี้ไปที่เธอได้ทันก่อนความจะแตก เมิ่งลู่เหยามองตามปลายนิ้วเรียวของน้องชายไปยังหญิงงามปริศนาแล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นสูง

“นั่นคือเยี่ยหนิงหลัน นางเป็นบุตรสาวของรองเสนาบดีเยี่ย เจ้าสนใจนางหรือ?” เซี่ยอี้เจินหน้าแดงก่ำ แม้ว่าตัวเขาในชีวิตก่อนเขาจะมีคนรัก แต่เขาก็ไม่เคยนอกใจหรือมองผู้หญิงที่ไหน เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มไร้ประสบการณ์เลยก็ว่าได้ การถูกเมิ่งลู่เหยาเย้าแหย่ด้วยใบหน้าที่ล้อเลียนเช่นนี้ เซี่ยอี้เจินจะไม่เขินอายได้อย่างไร

“ขะ ข้าเพียงคิดว่านางงดงามก็เท่านั้น”

เมิ่งลู่เหยาหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะเดินนำเมิ่งอวิ๋นเข้าไปหานางที่ตรึงตาตรึงใจน้องชายของเขา คุณชายใหญ่แห่งสกุลเมิ่งขยับกายด้วยท่วงท่าที่แสนน่าเคารพ รูปลักษณ์ที่หล่อเหลาส่งผลให้ทุกสิ่งของเมิ่งลู่เหยาน่ามองไปเสียหมดทุกส่วน สาวใช้ข้างกายเยี่ยหนิงหลันกระซิบบางอย่างกับผู้เป็นนายก่อนที่สายตาของนางจะหันกลับมาสนใจร่างกายสูงใหญ่ของบุรุษที่กำลังเดินเข้ามาใกล้นาง

เมิ่งลู่เหยาค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการทักทายพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า เยี่ยหนิงหลันเองก็ยิ้มตอบบางๆ และค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเช่นกันโดยไม่ให้น่าเกลียดนัก ทั้งสองเว้นระยะห่างกันพอควรไม่ให้ภาพที่ใครผ่านไปมาเห็นส่อไปทางไม่งาม เยี่ยหนิงหลันเหลือบมองบุรุษร่างบางที่อยู่ด้านหลังของเมิ่งลู่เหยาอย่างแปลกใจ เพราะนางไม่เคยได้เห็นใบหน้าของบุรุษใดที่งดงามหมดจรดจนชวนให้ใจเต้นขนาดนี้

งามเสียจนนางที่เป็นหญิงยังรู้สึกริษยาและใจเต้นแรง

“คุณหนูเยี่ย ไม่ทราบท่านออกมาเที่ยวชมเมืองเช่นกันหรือ?” น้ำเสียงที่เมิ่งลู่เหยาใช้เอ่ยถามนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่สายตาของเมิ่งลู่เหยากลับกำลังกระเซ้าเย้าแหย่น้องชายของตนเสียมากกว่า เยี่ยหนิงหลันมอบรอยยิ้มเบาบางให้กับเมิ่งลู่เหยาเพื่อไม่ให้เสียมารยาท

“มิใช่หรอก ข้าเพียงแค่ออกมาดูของประดับเช่นสตรีนางอื่น มิได้ออกมาเที่ยวชมเมืองแต่อย่างใด” มารยาทงดงาม การวางตัวก็แสนจะอ่อนหวาน ใบหน้าที่ปรากฏรอยยิ้มเบาบางมิได้ลดทอนความงดงามลงไปแม้แต่น้อย กลับกันเซี่ยอี้เจินกลับเห็นว่านางดูสง่างามทั้งใบหน้าและกิริยาของนางเอง

“โอ้...ข้าเองก็เช่นกัน น้องชายข้าเพิ่งหายจากอาการป่วย ของที่ข้าตระเตรียมเอาไว้ให้ก็หายไป จึงคิดออกมาดูให้เขาเสียหน่อย ไม่ทราบคุณหนูเยี่ยพอจะแนะนำของที่เหมาะกับน้องชายของข้าได้บ้างหรือไม่?” พูดไม่ทันได้ขาดคำ ร่างของเมิ่งอวิ๋นก็ถูกดันออกมายืนอยู่เบื้องหน้า สบสายตากับคนงามที่มองเขาด้วยแววตาที่สับสน หัวใจของเมิ่งอวิ๋นเต้นแรง ไม่สิ ต้องเรียกว่าหัวใจของเซียอี้เจินต่างหากที่เต้นแรงไม่ยอมหยุด

“ข้าหรือ?” เยี่ยหนิงหลันมึนงงและสับสน เพียงทักทายด้วยการสนทนาไม่ทันจะถึงสามประโยค คนที่บอกจะมาหาของให้น้องชายกลับโยนงานมาให้นางเสียอย่างหน้าไม่อาย แถมคนโยนมากลับยืนยิ้มกริ่มพึงพอใจอย่างมากจนนางเองยังไม่อาจตั้งสติได้ทัน

เยี่ยหนิงหลันมองใบหน้างามกับเส้นผมสีดำขลับด้วยความพินิจ กวาดตาไล่มองใบหน้าที่ไม่คมเข้มดั่งบุรุษทั่วไป แต่ก็ไม่อ่อนหวานเท่าสตรีนางใดอย่างครุ่นคิด ความงดงามที่ไม่อาจเทียบได้ว่าหล่อเหลาหรืองดงามดังเช่นสตรีได้นั้นทำให้เยี่ยหนิงหลันเองต้องคิดอย่างจริงจัง นางมองของประดับที่อยู่ตรงหน้าชิ้นหนึ่ง กลับมามองจ้องเมิ่งอวิ๋นอีกครั้งหนึ่ง ก็ไม่อาจหาของใดที่เหมาะกับคนตรงหน้าได้

ผิวขาวเนียนละเอียดลออ ดวงตาสีเกาลัดกลมโตคู่นั้น ให้จับจ้องนานๆ เช่นนี้ แม้จะเป็นสตรีที่มิเคยเขินอายกับบุรุษใด นางก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงระเรื่อ ยิ่งอีกฝ่ายมิได้สูงไปกว่านางนัก อีกทั้งยังหลุบสายตาราวกับไม่กล้ามองนางก็ยิ่งชวนให้หลงใหลเอ็นดู แล้วหัวใจนางที่ไร้พี่ไร้น้องร่วมมารดา จะสามารถทานทนได้อย่างไร

พี่น้องร่วมบิดานั้นนางมีมากมายนัก ทว่าแต่ละคนต่างก็ต้องการแย่งชิงความรักจากบิดาจนไม่อาจเรียกว่าพี่น้องได้เสียด้วยซ้ำ แม้นางจะเกิดจากท่านแม่ที่เป็นฮูหยินของเรือน แต่ความโปรดปรานที่ท่านพ่อมีต่อท่านแม่ไม่ได้มากมายใดๆ เลย ยังสู้อนุสาวที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่มิได้ เหตุนี้..เมื่อนางเห็นดวงตากลมสีเกาลัดที่มองตรงมาที่นางนั้น นางก็รู้สึกว่า...เขาช่างบริสุทธิ์เหลือเกิน

“ไม่ทราบว่าคุณชายทั้งสองมีนามว่าอะไรหรือ?” ถูกชะตาจึงได้เอ่ยถามทำความรู้จัก แม้รู้ว่าจะดูไม่งามนัก แต่นางเอ็นดูชายหนุ่มตัวน้อยตรงหน้าจริงๆ เมิ่งลู่เหยานัยน์ตาเป็นประกาย รีบแนะนำตนเองและน้องชายอย่างรวดเร็ว

“ข้าแซ่เมิ่ง นามว่าลู่เหยา ส่วนนี่น้องชายของข้า เมิ่งอวิ๋น ต้องขออภัยที่มิได้แนะนำตัวก่อนจนต้องให้คุณหนูเยี่ยเอ่ยปากถามเช่นนี้” เมิ่งลู่เหยาสะเพร่าจนต้องรีบเอ่ยขออภัย เพราะตัวเขาเองเดินเข้ามาทักอีกฝ่ายโดยไม่ยอมแนะนำตัว จึงต้องให้ฝ่ายหญิงถามออกมาด้วยตนเอง หากใครเอาไปพูดคงไม่ดีต่อชื่อเสียงของนางนัก

“มิเป็นไร ข้าแซ่เยี่ย มีนามว่าหนิงหลัน เมื่อครู่ท่านบอกข้าว่าจะหาของให้น้องชายของท่านหรือ” เมิ่งลู่เหยาพยักหน้าตอบรับคำอย่างยืนยัน

“ถูกต้องแล้ว รบกวนคุณหนูเยี่ยหรือไม่?” เยี่ยหนิงหลันส่ายหน้าเบาๆ พอให้รู้ว่ามิได้รบกวน

“หากจะหา ข้าเกรงว่าที่นี่คงไม่มีของที่เหมาะกับน้องชายของท่าน แต่หากท่านไม่ว่าอะไร ข้า...สามารถช่วยท่านเลือกได้ที่ร้านของเถ้าแก่ซ่ง”

เมิ่งลู่เหยาหยักหน้าอย่างเห็นด้วยในที เมื่อมองข้าวของที่ถูกเรียงรายเอาไว้แล้วก็เป็นดังที่เยี่ยหนิงหลันพูดเอาไว้ ที่นี่ไม่มีของที่เหมาะกับเมิ่งอวิ๋นน่องชายของเขาจริงๆ ของดาษดื่นที่สามารถจับจ้องได้โดยทั่วไปไม่มีวันเหมาะสมกับเมิ่งอวิ๋นอย่างแน่นอน

“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนคุณหนูเยี่ยแล้ว” เยี่ยหนิงหลันยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะออกเดินนำไปในที่สุดพร้อมกับสาวใช้ที่ติดตามมา เมิ่งลู่เหยาหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะดึงน้องชายให้เดินตามหลังนางไปเงียบๆ

สำหรับเมิ่งลู่เหยาเองอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลก ๆ ยามได้อยู่ใกล้กับเยี่ยหนิงหลัน หัวใจของเขาทำงานหนักกว่าปกติ มันเต้นดังเสียจนเมิ่งลู่เหยามิเคยเป็นมาก่อน แต่เมื่อเห็นเยี่ยหนิงหลันมองน้องชายเขา เมิ่งลู่เหยาจึงไม่อาจคิดไปไกลกว่านี้ได้ แม้ว่าจะรู้สึกมากมายเพียงใด ต้องตานางมากเพียงใด แต่เมื่อนี่คือคนที่เมิ่งอวิ๋นสนใจ เมิ่งลู่เหยาจะยอมเปิดทางให้น้องดีกว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ทำให้น้องชายของเขาต้องเจ็บปวดอีกครั้ง

แต่เมิ่งลู่เหยาไม่รู้ ไม่ว่าจะสีหน้าเช่นไรล้วนถูกเมิ่งอวิ๋นหรือเซี่ยอี้เจินมองเห็นทั้งสิ้น คนเป็นน้องมองพี่ชายที่กล้ำกลืนฝืนทำทุกสิ่งเพื่อเขาทั้งที่หัวใจแท้จริงอยากจะครอบครองบุปผางามดอกนี้ แต่กลับยอมตัดใจผลักดันให้เขาได้เป็นเจ้าของบุปผาดอกนั้นแทน เมิ่งอวิ๋นอาจจะใจเต้นกับความงามของนาง อาจจะทำตัวไม่ถูกและเขินอายกับท่าทางอ่อนหวานของนาง แต่เขาไม่ได้ต้องใจนางดังที่พี่ชายของเขาคิด

บางทีอาจจะเพราะว่าเมิ่งอวิ๋นนั้นเพิ่งจะเกิดอาการอกหักจากหลี่เจี้ยนเฉิง ผู้เป็นพี่ชายที่แสนดีอย่างเมิ่งลู่เหยาจึงได้เสียสละให้เขาเช่นนี้ บ่อยครั้งที่เดินไปแล้วเห็นเมิ่งลู่เหยาลอบมองเยี่ยหนิงหลันที่พูดคุยกับสาวใช้ด้วยท่าทางที่แสนสนุกสนาน รอยยิ้มที่พริ้งพรายอยู่บนใบหน้าทำให้เมิ่งลู่เหยาจับจ้องไปอย่างเหม่อลอย เมิ่งอวิ๋นจึงได้แต่ผลักพี่ชายออกไปอย่างแรง ให้เมิ่งลู่เหยาได้เข้าใจว่าความชื่นชมของเขาไม่ได้มีไว้ในเชิงชู้สาวเช่นที่เมิ่งลู่เหยารู้สึกต่อเยี่ยหนิงหลัน

“เจ้าผลักพี่ทำไมกันเสี่ยวอวิ๋น?” เมิ่งลู่เหยาหันมาถามเมิ่งอวิ๋นอย่างไม่เข้าใจ เซี่ยอี้เจินส่ายหน้าอย่างระอาในความทึ่มของพี่ชาย

“พี่ใหญ่หมายตานาง มีใจต่อนาง เหตุใดไม่เข้าไปคุยกับนาง เกี้ยวพานางดังเช่นที่บุรุษควรทำเล่า?” แอบมองเช่นนี้ได้หรือ เป็นบุตรชายคนโตของสกุลเมิ่งที่แสนร่ำราย แม้ไม่มากด้วยลาภยศ แต่เงินทองก็ไม่น้อยหน้าผู้ใด บารมีอาจไม่มากเท่ารองเสนาบดีเยี่ยบิดาของนาง แต่ในเมืองหลวงแล้ว เหลาอาหารของสกุลเมิ่งต่างเลื่องชื่อ เท่านี้ไม่เพียงพอให้เกี้ยวนางเชียวหรือ

“ข้าหรือ ข้ามิได้...”

“มิได้ชอบหรือ? พี่ใหญ่มองนางนานแค่ไหนรู้ตัวบ้างหรือไม่ ข้ามองอยู่ข้างๆ ยังสามารถรู้ได้ว่าท่าน...กำลังมีใจให้กับคุณหนูเยี่ย” เมิ่งลู่เหยาหน้าแดงระเรื่อ หลบสายตาน้องชายวูบใหญ่อย่างไม่ต้องการให้เห็น

“แต่เจ้า...” เมิ่งอวิ๋นถอนหายใจอย่างพอจะเข้าใจในประโยคที่หายไปในลำคอ แต่เจ้าชอบนางมิใช่หรือ? คำนี้สินะที่พี่ชายของเมิ่งอวิ๋นจะพูด

“ข้าเพียงชื่นชมนาง ก็นางงดงามทั้งกิริยาและใบหน้า ข้าชื่นชมนี่มิถูกหรือ?” ดวงตาของเมิ่งลู่เหยาฉายแววสับสนอย่างหนัก แรกเริ่มเขานึกคิดไปว่าเมิ่งอวิ๋นต้องใจคุณหนูเยี่ยผู้นี้ แต่ไฉนเลยจะรู้ว่า ผู้ที่ต้องใจนางนั้นจะเป็นเขาเสียเองที่ต้องตาต้องใจคุณหนูเยี่ยจนไม่อาจจะถอนตัวได้

“ถ้าหากเจ้าว่าเช่นนั้น...” ริมฝีปากของเมิ่งลู่เหยาขยับยิ้ม เซี่ยอี้เจินก็พลันยิ้มตาม

“ข้าชอบนางนะพี่ใหญ่ หากได้นางมาเป็นพี่สะใภ้ ข้าคงยินดีมาก” คำตอบของเซี่ยอี้เจินทำให้เมิ่งลู่เหยายิ้มกว้างออกมา ดวงตาสั่นระริกไปด้วยความยินดีที่ได้ยินน้องชายของตนเอ่ยเช่นนั้น

“ได้ พี่จะพยายาม!” เซี่ยอี้เจินมองพี่ชายของตนที่มีความกระตือรือร้นวิ่งเข้าไปชวนเยี่ยหนิงหลันพูดคุยด้วยสีหน้าอ่อนโยนระคนหน่ายใจ รู้อยู่เต็มอกหรอกว่าพี่ชายคนนี้ของเมิ่งอวิ๋นนั้นรักน้องและเสียสละให้น้องได้ทุกสิ่ง แต่การได้มาสัมผัสกับการถูกเสียสละจากที่เคยเป็นผู้เสียสละมาก่อนนั้น มันรู้สึกตื้นตันจนล้นอก

“นายน้อย...” เสี่ยวหลงที่ติดตามมาตั้งแต่ออกจากจวนของสกุลเมิ่งเพิ่งได้มีโอกาสได้เปิดปากพูด เขาถูกความรักของพี่น้องกลืนกินเสียจนกลายเป็นเศษหญ้าที่ติดอยู่ข้างรองเท้าเสียมากกว่า เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้เป็นนายกำลังคิด

“นายน้อยมิใช่ว่าต้องใจคุณหนูเยี่ยผู้นั้นหรือขอรับ?” เซี่ยอี้เจินหันมองเสี่ยวหลงอย่างสงสัย เขาแสดงออกไปเช่นนั้นหรือทำไมทั้งเมิ่งลู่เหยาและเสี่ยวหลงต่างก็คิดว่าเขาชอบนาง

“ข้าเพียงชื่นชมความงามของนางเท่านั้น มิใช่ต้องใจอย่างที่เจ้าเข้าใจหรอก” เซี่ยอี้เจินแทบจะส่ายหน้ากับความเข้าใจผิดของทั้งสอง เขาหรือเพียงแค่มองแค่สนใจ แต่กลับถูกมองว่าต้องใจเสียได้ เช่นนี้คงไม่ใช่ว่าหากเขามองผู้ใดอีกคงมิใช่ว่าเขาต้องใจพวกนางทั้งหมดหรอกนะ

“เจ้าลองมองดู พี่ใหญ่ของข้ากับคุณหนูเยี่ย เหมาะสมกันหรือไม่” เสี่ยวหลงหันมองภาพเคียงข้างกันของทั้งสองอย่างที่ผู้เป็นนายบอก และดวงตาของเสี่ยวหลงก็พลันเบิกกว้าง

“เหมาะสมกันยิ่งนักขอรับนายน้อย!”

หญิงข้างกายนามเยี่ยหนิงหลัน เป็นบุตรสาวของรองเสนาบดีเยี่ยสุ่ยนับว่างดงามทั้งการสั่งสอนและหน้าตา ส่วนเมิ่งลู่เหยาเองก็เป็นบุตรชายคนโตของสกุลเมิ่งที่เลื่องชื่อเรื่องเหลาอาหารอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ร่ำรวยไปด้วยทรัพย์สินมากมาย รูปโฉมก็ไม่ได้ด้อยกว่าผู้ใด เพียงเท่านี้ก็นับว่าเหมาะสมแล้ว

“เสี่ยวอวิ๋น ระวัง!!”

ปึก!

“อ๊ะ!”

“เจ้า...” น้ำเสียงทุ้มหูดังขึ้นมาเหนือศีรษะ สองแขนอันแข็งแกร่งโอบรัดร่างกายของเมิ่งอวิ๋นเอาไว้จนแน่น ความคุ้นเคยบางอย่างที่ร่างกายของเมิ่งอวิ๋นจดจำได้ ทำให้หัวใจไม่รักดีเต้นระรัวราวกับว่าผู้เป็นเจ้าของหัวใจนั้นได้กลับมาหามันแล้ว สัมผัสที่โหยหา กลิ่นที่ทำให้คิดถึงจนแทบบ้า เซี่ยอี้เจินที่รับการถาโถมของความรู้สึกที่ประดังเข้ามาแทบไม่ไหวนั้นต้องเงยหน้าขึ้นมองดูว่า คนที่กระตุ้นความรู้สึกของเมิ่งอวิ๋นได้นั้น ตกลงแล้วคือผู้ใดกันแน่





ใคร!! ใครมา น้องชนใคร!! กระชากหนังหัวมันออกมาเดี๋ยวนี้ค่ะ ค้างอยู่ฉากนี้ไปอีกจนถึงวันจันทร์นะคะ หลบรองเท้าที่ลอยมา ไม่ได้อยากตัดจบแบบนี้เลยน้าาา สาบาน แมวเปล่าจริงๆ มารอดูกันวันจันทร์นะคะว่าคนที่น้องชน จะใช่คนที่ทุกคนคิดหรือเปล่า คิกๆ 

เมิ่งอวิ๋น


ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
น้องออกเที่ยวแล้ว……ว

ออฟไลน์ llมว_น้oe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-4
[4] 50%

บุรุษผู้นั้น

แม้คำพูดสักคำเซี่ยอี้เจินก็ไม่สามารถเอ่ยมันออกมาจากปากได้เลย ใบเวลานี้ได้แต่ตะลึงงันกับใบหน้าของคนในความทรงจำ บุรุษชั่วช้าที่ลงมือสังหารเมิ่งอวิ๋นให้ตายลงไป แม้มิใช่ผู้ลงมือเองแต่ก็คือผู้ที่สั่งการ เพียงเพื่อหญิงอันเป็นที่รักก็ถึงกับลงมืออย่างเหี้ยมโหมกับผู้ที่มีรักมั่นต่อเขาจนสิ้นใจ

แม้แต่ในชีวิตก่อนของเซี่ยอี้เจินที่ถูกอันซูเหม่ย แฟนสาวของตนวางยาจนถึงแก่ชีวิตเขายังไม่คิดแค้นใจ นั่นเป็นเพราะหนึ่งคือหญิงอันเป็นที่รัก สองคือน้องชายที่เขาเฝ้าดูแลมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นใคร เขาก็ไม่อาจตัดใจเคียดแค้นได้ลง

แต่นี่ไม่ใช่...

เพราะเขาไม่ใช่เมิ่งอวิ๋น ไม่ใช่คนที่เคยรักบุรุษใจทมิฬผู้นี้จนสุดหัวใจ เพราะงั้น...ความแค้นที่ทำให้เมิ่งอวิ๋นไม่อยากแม้แต่จะกลับมามีชีวิต ต้องพลัดพรากจากบิดามารดาและพี่ชายที่รักเขามากกว่าผู้ใด ต้องทอดทิ้งความรักใคร่ห่วงใยอันหาได้ยากยิ่งนี้ไปอย่างไม่อาจหวนกลับ

เป็นเพราะความรักที่บุรุษผู้นี้มีต่อหญิงนางนั้น เพียงแค่นั้นถึงได้ลงมือโหดเหี้ยมไร้ปรานี!

เมื่อเซี่ยอี้เจินคิดได้เช่นนั้น ดวงตาก็พลันสะท้อนความโกรธแค้นออกมา สองมือผลักร่างหนาของบุรุษผู้ได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพใหญ่ออกไปจากร่างของตนเอง ใช้มือปัดไปตามร่างกายราวกับรังเกียจแม้แต่สัมผัสเล็กน้อยที่อีกฝ่ายทิ้งเอาไว้ เสิ่นเหยาประคองร่างกายของผู้เป็นนายเอาไว้ไม่ให้เสียหลักล้มลงไปตามแรงผลักของเมิ่งอวิ๋น สองตาแข็งกร้าวมองหน้าของเมิ่งอวิ๋นอย่างเอาเรื่อง

“เจ้า! เจ้ากล้าทำร้ายท่านแม่ทัพหรือ!” นิ้วมือขาวชี้ไปที่ใบหน้าของเมิ่งอวิ๋น แต่คนถูกชี้หน้ากลับเพียงเชิดหน้าขึ้น หาได้มีความเกรงกลัวไม่ กลับเป็นเมิ่งลู่เหยาเสียอีกที่ต้องดึงร่างของผู้เป็นน้องมาซ่อนเอาไว้ที่ด้านหลังของตน ใช้ร่างกายของตนเองปกป้องทุกคนในที่แห่งนี้

“นายน้อย เป็นอะไรหรือไม่ขอรับ ไม่บาดเจ็บนะขอรับ” เสี่ยวหลงไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่าการบาดเจ็บของเจ้านายตน ก่อนนี้เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บจากการถูกรถม้าของท่านแม่ทัพชน ไหนเลยจะรู้ว่าเพียงหายดีและนายน้อยของมันออกมาเปิดหูเปิดตาให้สบายใจ กลับต้องมาชนเข้ากับท่านแม่ทัพอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ชนคน มิใช่รถม้าเช่นครั้งก่อน

เมื่อมองสำรวจจนเป็นที่แน่ใจแล้วว่านายของมันไม่ได้บาดเจ็บใดๆ เสี่ยวหลงก็พลันถอนหายใจออกมา ใช้ตนเองเป็นเกราะกำบังอีกชั้นให้กับเจ้านายอย่างไม่คิดกลัวตาย

“ขออภัยแทนน้องชายของข้าด้วย เขาเพิ่งหายจากการถูกรถม้าชน จึงอาจจะเลอะเลือนไปบ้าง” แม้ว่าในใจจะไม่อยากแม้แต่จะพูดขอโทษอีกฝ่าย แต่เพราะอำนาจและการชี้เป็นชี้ตายของอีกฝ่ายที่มีต่อน้องชายของเขาได้ เขาจึงจำใจต้องก้มหัวลงให้คนที่มันทำร้ายน้องชายของตน

แม้จะฝืนใจก็ต้องทำ ในเมื่อเมิ่งลู่เหยามีน้องชายที่รักยิ่งเพียงคนเดียว

“เจ้าจะบอกว่าทั้งหมดล้วนแต่เป็นความผิดของท่านแม่ทัพเช่นนั้นหรือ?” เมิ่งลู่เหยาขมวดคิ้ว สองมือยังคงกุมเอาไว้เบื้องหน้า ไม่เข้าใจว่าทั้งที่ตนเองกล่าวความเป็นจริง เหตุใดคนผู้นี้จึงได้คล้ายต้องการหาเรื่องตายให้แก่เขาและน้องชายนัก

“ไม่ทราบคำใดของข้าที่ขัดหูท่านหรือ? จึงได้สรุปออกมาเช่นนั้น?”

“นี่เจ้า!”

“เอาล่ะ พอที...ช่างเถิด เรื่องเพียงแค่นี้จะเป็นอันใดไป” หลี่เจี้ยนเฉิงยืดกายขึ้นมาด้วยท่วงท่างามสง่า ดวงตามองตรงไปเพียงที่ใบหน้าของเมิ่งลู่เหยาเท่านั้น เห็นอีกฝ่ายมีท่าทางนอบน้อมไร้แววจะกล่าวคำเช่นที่เสิ่นหยวนพูดก็พอจะคลายหัวคิ้วลงไปได้บ้าง

ชั่ววูบหนึ่งของสายตาคู่นั้นของเมิ่งอวิ๋นแสดงออกถึงความโกรธแค้นอย่างที่เขาเองก็ไม่เคยเห็น เพราะไม่ว่ากี่ครั้งที่ได้พบ ดวงตาคู่นั้นก็มักจะมองเขาด้วยความรักและเทิดทูน เพียงแต่ในเวลานี้ ทั้งที่มันเพิ่งผ่านพ้นไปไม่กี่วัน แววตาที่เคยสะท้อนความรักใคร่ มันไม่มีเหลืออีกแล้ว สิ่งที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจน คือความเกลียดชังและเจ็บแค้นเสียมากกว่า

“เช่นนั้น ข้าและน้องชายขอตัวนะขอรับ”

“อืม...”

เมิ่งลู่เหยาดึงแขนของน้องชายให้เดินตามไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรเขาก็ไม่อยากจะมีปัญหากับบิดามารดา ด้วยกลัวว่าหัวใจของเมิ่งอวิ๋นอาจจะยังไม่อาจตัดขาดจากบุรุษผู้นี้ได้ ชายผู้ที่ไร้รักต่อน้องชายเขาแม้แต่เสี้ยวหนึ่งของหัวใจ ช่างไม่คู่ควรให้เมิ่งอวิ๋นไปรักเลยแม้แต่น้อย

เสิ่นหยวนเหลือบมองไปยังเมิ่งลู่เหย่าและเมิ่งอวิ๋นที่เดินห่างออกไป ท่าทีที่แสนคุกคามทางจิตใจและท่าทางหยิ่งยโสถือดีนั้น ช่างขัดหูขัดตาเสียจนอยากจะใช้ดาบบั่นคอคนให้ตายลงตรงหน้า ขนาดลมปากที่กล่าวออกมายังกล้าต่อว่าท่านแม่ทัพราวกับเป็นผู้กระทำผิด

เฮอะ! หากมิใช่น้องชายน่าตายของเจ้ารนหาที่ตายเอง มีหรือที่รถม้าจะวิ่งไปชน

มารยาเสียมากกว่า!

“ท่านแม่ทัพ ข้าคิดว่าเมิ่งอวิ๋นผู้นี้คงหวังให้ท่านสนใจ จึงได้ทำท่าทางเช่นนั้น”

สำหรับหลี่เจี้ยนเฉิงแล้วนั้นเมิ่งอวิ๋นมิเคยอยู่ในสายตาของเขาเลยด้วยซ้ำไป คนผู้นี้ดีแต่เอ่ยคำหวานพร่ำเพรื่อ แววตากระหายในตัวเขาอย่างไม่ปกปิด ไร้มารยาทจนเขาเองไม่ปรารถนาแม้แต่จะอยู่ใกล้ แม้ว่าดวงตากลมคู่นั้นจะมีความรักให้เขาอยู่จนล้น แต่คนน่ารำคาญเช่นนี้ เขาเองก็ไม่คิดจะไปวุ่นวายด้วย จึงมักเลี่ยงอีกฝ่ายมาตลอด

แต่เพียงสัมผัสร่างกายผอมบางของอีกฝ่ายเมื่อครู่ ความรู้สึกแปลกประหลาดก็แล่นเข้ามาในหัวใจจนหลี่เจี้ยนเฉิงเองยังอดแปลกใจไม่ได้

“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ?” เสิ่นหยวนเหลือบมองสายตาของหลี่เจี้ยนเฉิงที่ก้มลงมองฝ่ามือของตนไม่ยอมละสายตาอย่างประเมินความคิด แต่เมื่อไม่อาจจะเข้าใจได้จึงได้เอ่ยตอบกลับไปตามที่ตนเองคิดเท่านั้น

“ขอรับ”

หวังให้ข้าสนใจจึงได้กระทำท่าทีเช่นนั้น เพียงเพื่อดึงดูดใจข้าหรือ

หลี่เจี้ยนเฉิงได้แต่ถอนหายใจแล้วพยักหน้ารับรู้ในสิ่งที่เสิ่นหยวนกล่าว ก่อนจะหันหลังเดินจากไปอีกด้านทันที ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่นั่นไม่สำคัญสักนิด เพราะหลี่เจี้ยนเฉิงที่ไม่เคยชอบหน้าของเมิ่งอวิ๋นก็ยังคงไร้ความรู้สึกดีๆ ต่ออีกฝ่ายอยู่ดี หากจะให้สนใจท่าทีเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของอีกฝ่ายก็เกรงว่าจะสำคัญตนผิดไปเสียแล้ว

บุรุษที่เกาะติดเขาจนน่ารำคาญ เขาไม่เสียเวลามาให้ความสนใจหรอก

“คงเป็นดังที่เจ้าว่า”

“แต่แม้ว่าสกุลเมิ่งจะมีบุตรชายเช่นนั้น ทว่าเหลาจื่อเค่อของสกุลเมิ่งกลับรสชาติเป็นหนึ่งไม่มีสอง ท่านแม่ทัพไม่ทราบสนใจหรือไม่ขอรับ” แม้ตัวของหลี่เจี้ยนเฉิงจะไม่พึงใจในการกระทำทั้งก่อนหน้าและตอนนี้ของเมิ่งอวิ๋น แต่ทว่าเรื่องรสชาติเขาเองก็ต้องยอมรับว่าได้ยินเสียงล่ำลือมาอย่างหนาหู อีกทั้งหากจะตัดใจจากรสชาติล้ำเลิศเพียงเพราะเด็กหนุ่มผู้หนึ่งก็ไม่ถูกต้องนัก หากนับว่าเมิ่งอวิ๋นที่เป็นบุตรไร้ยางอาย วิ่งไล่ตามติดบุรุษที่พึงใจอย่างเปิดเผยเป็นการกระทำที่ไม่ควรแล้วใช้มันตัดสินอาหารจากเหลาของสกุลเมิ่งก็นับได้ว่าเขาโง่เขลาเกินไปเสียแล้ว

“เช่นนั้นก็ได้ ข้าเองก็มิเคยได้ลิ้มรสอาหารของเหลาสกุลเมิ่งมาก่อน แต่ก็นับว่ามีชื่อเสียงไม่ธรรมดา” เสิ่นหยวนกระตุกยิ้ม นัยน์ตาเต็มไปด้วยความยินดี

“เช่นนั้นข้าจะนำทางท่านแม่ทัพไปเองขอรับ” หลี่เจี้ยนเฉิงพยักหน้า เดินไปข้างหน้าด้วยท่วงท่าที่แสดงให้เห็นถึงความองอาจจนสายตาของผู้ที่จับจ้องอย่างเสิ่นหยวนยังเต็มไปด้วยความนับถือและเทิดทูน

สำหรับเสิ่นหยวนแล้ว การกระทำที่แสนโง่เขลาอย่างเมิ่งอวิ๋นนั้นเขาคงไม่ทำ สิ้นคิดสิ้นดีจึงได้โหมกระพือความโกรธของท่านแม่ทัพ ต้องใจบุรุษด้วยกันมิใช่เรื่องผิด

แต่สิ่งที่ผิดคือไม่รู้จักประมาณตน ทั้งที่เป็นเพียงบุตรชายพ่อค้า กลับกล้าหมายปองแม่ทัพใหญ่เช่นหลี่เจี้ยนเฉิง

เช่นนี้นับว่าสมควรตายแล้ว

เสิ่นหยวนปรากฏแววตาดุตาขึ้นมาครู่หนึ่งก่อนที่มันจะหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาเดินตามหลี่เจี้ยนเฉิงไปอย่างเชื่องช้า ทุกย่างก้าวราวกับจะติดตามไปทุกที่ไม่ว่าเป็นที่แห่งใดโดยที่ไม่รู้เลยว่า หลี่เจี้ยนเฉิงมิได้โง่ขนาดดูไม่ออก สายลมที่พัดผ่านร่างของหลี่เจี้ยนเฉิงนั้น ได้พัดเอาบรรยากาศแสนยะเยือกไปสู่เสิ่นหยวนจนขาทั้งสองข้างสั่นสะท้านอย่างไร้สาเหตุ













อีกด้านหนึ่งของเมิ่งอวิ๋นที่เดินจากเสิ่นหยวนและหลี่เจี้ยนเฉิงออกมาแล้วนั้นก็มิได้มีทีท่าเดือดเนื้อร้อนใจใดๆ ด้วยความที่ตัวของว่าเซี่ยอี้เจินในชาติก่อนก็มิได้อ่อนด้อยด้านความกดดัน ประธานบริษัทที่ต้องดูแลควบคุมลูกน้องหลายพันชีวิต มีหรือจะสู้รบตบมือกับแม่ทัพใหญ่ผู้นั้นมิได้ แม้ร่างกายเขาจะยังเยาว์วัย แต่ความบรรยากาศกดดันของบุรุษผู้นั้นนับว่าไม่เยาว์วัยเช่นอายุเลยสักนิด

เพียงพลั้งเผลอไปชั่วครู่กับความแค้นแทนเมิ่งอวิ๋นเขาก็ลืมตัว ผลักร่างกายของชายผู้พรากชีวิตของเมิ่งอวิ๋นไปอย่างแรงด้วยความรังเกียจ ทว่าก็ถูกบรรยากาศแสนน่าอึดอัดกลับมากดดันแทน แต่เมื่อเขาได้พบกับเหล่าผู้เฒ่าในสกุลเซี่ยก็ไร้สิ่งใดที่ชวนให้ขนหัวลุกและอัดอั้นจนหายใจไม่ออกอีกแล้ว

เมื่อสิ่งที่น่าหวั่นใจที่สุดเขาได้ผ่านมาแล้ว ความเจ็บปวดจนตายก็ผ่านพ้นมาแล้ว

แล้วจะมีสิ่งใดอีกเล่า ให้เขาคนนี้ต้องเกรงกลัว!

แม่ทัพหลี่ผู้นั้นนะหรือ…มิเคยอยู่ในสายตาของเขาแม้เพียงเสี้ยวเดียวด้วยซ้ำไป!

“เจ้าวู่วามเกินไปนะเสี่ยวอวิ๋น...” เพราะนึกห่วงว่าน้องชายจะเดือดร้อนกับการกระทำในครั้งนี้ เมิ่งลู่เหยาจึงเลือกจะเปิดปากตักเตือนเสียดีกว่านิ่งเฉยแล้วปล่อยปละละเลยไป

“พี่ใหญ่…ท่านคิดเช่นนั้นหรือ?” เมื่อเห็นน้องชายหันมาเลิกคิ้วถามเช่นนั้นเมิ่งลู่เหยาก็พยักหน้าเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ใช่…เจ้าก็รู้ว่านั่นคือผู้ใด ท่านแม่ทัพเชียวนะเสี่ยวอวิ๋น! เช่นนี้แล้วหากเจ้าถูกเขากล่าวโทษเล่า มิเท่ากับ…” มิเท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งหรือไร เมิ่งลู่เหยาได้แต่กลืนคำพูดลงไปอย่างเงียบๆ ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยวาจาได้ นัยน์ตาคมจึงทอประกายความกังวลออกมาจนเมิ่งอวิ๋นต้องทอดถอนใจ

จริงสินะ เมื่อก่อนเขาเป็นพี่ชาย ความรู้สึกถูกห่วงใยและปกป้องไม่เคยได้รับมาก่อน จึงได้หลงลืมไปว่าการกระทำของเขาจะทำให้ผู้ใดบ้างต้องมาห่วงใย

ลืมไปเสียสนิทว่าให้สัญญาต่อเมิ่งอวิ๋นเอาไว้เช่นไร…

ขอโทษนะ…ผมจะทำตามที่สัญญาเอาไว้ จะดูแลทั้งพ่อแม่และพี่ชายของคุณอย่างดี จะใช้ชีวิตที่เหลือแทนคุณเอง แม้ผมจะเกลียดผู้ชายคนนั้นที่ทำร้ายคุณมากแค่ไหน แต่ผมจะทำตามสัญญา ผมจะเลิกอาฆาตเขา จะไม่ให้การกระทำของผมนำหายนะมาสู่สกุลเมิ่งอย่างแน่นอน ผมสัญญา

เซี่ยอี้เจินหลับตาลงสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างแรง สองมือกำแน่นราวกับระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านเอาไว้ในอกอยู่พักหนึ่งก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมา พร้อมกับปลดปล่อยลมหายใจออกมาอย่างแรงเช่นกัน

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ เป็นข้าที่วู่วามไป หาพบหน้าอีกครา ข้าจะขออภัยแก่เขาด้วยตนเอง” เกลียดมากเพียงใดก็ต้องเก็บมันเอาไว้ หากมิอยากให้ครอบครัวต้องพบเจอหายนะครั้งใหญ่ การนอบน้อมต่อบุรุษผู้นั้น…คงเป็นสิ่งที่ควรทำ

แม้ว่าจะไม่อยากทำก็ตามที!

“เจ้าคิดได้เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เดิมทีเมิ่งลู่เหยายังคงกังวลใจว่าน้องชายของเขาจะยังคงไม่อาจตัดใจจากหลี่เจี้ยนเฉิงได้ แต่ดูแล้วเขาควรจะกังวลเรื่องนี้เสียมากกว่า เหตุใดน้องชายที่เคยเทิดทูนแม่ทัพหลี่ยิ่งกว่าชีวิต จึงได้มีท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์อีกฝ่ายอย่างน่าสงสัย

หรือน้องเขาจะคิดได้แล้ว?

นั่นช่างเป็นเรื่องน่ายินดีนัก

“เสี่ยวอวิ๋น...” เมิ่งอวิ๋นที่ถูกเรียกก็หันมามองเมิ่งลู่เหยาอย่างสงสัย ท่าทีที่บ่งบอกถึงความไม่เข้าใจมันชัดเจนเสียจนเมิ่งอวิ๋นเองยังสามารถมองเห็นมันได้ด้วยสองตา

“ขอรับ?”

“เจ้ายังมีใจให้แม่ทัพหลี่...อีกหรือไม่” คำถามนี้ดูเหมือนจะสะกิดหัวใจเสี้ยวหนึ่งของเมิ่งอวิ๋น จนมันรู้สึกคล้ายถูกผีเสื้อตัวน้อยบินวนไปมาอยู่ภายใน

“ข้าคงไม่อาจมีใจให้กับบุรุษผู้นั้นได้อีกแล้วพี่ใหญ่”

ใครจะไปรักคนแบบนั้นได้ลง!

“เจ้า...พูดจริงหรือ?” เมิ่งลู่เหยาที่คล้ายจะดีใจก็ไม่ใช่ สับสนก็ไม่เชิงดูแล้วช่างน่ารักจนเมิ่งอวิ๋นหรือเซี่ยอี้เจินยังอดยิ้มให้ไม่ได้

เมิ่งอวิ๋น...พี่ชายของคุณน่ารักจริงๆ







50%





คุณพี่ฟาดมากค่าาา +10ให้พี่ใหญ่เมิ่งพร้อมป้ายไฟแต่จะว่าไปแล้ว พี่ใหญ่ของเราน่ารักอย่างที่น้องว่าจริงๆนะคะ น่าเสียดายที่มีสาวงามในหัวใจซะแล้ว อกหักดังเป๊าะเลย แต่อย่าเพิ่งหนีไปไหนนะคะ รออ่านต่อครึ่งวันพฤหัสกันนะคะคนดี

เมิ่งอวิ๋น


ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด