ก็จะดื้อ 14
เช้าวันที่สองของภูเก็ตเริ่มต้นด้วยแสงแดดอุ่นที่ลอดผ่านผ้าม่านผืนบางปลุกร่างสองร่างที่นอนเกยกันอยู่บนเตียงใหญ่ให้ตื่นขึ้น
ภาสหยีตาเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงแดดที่ส่องแรง สัมผัสหนักบนอกนั่นไม่จำเป็นต้องสวมแว่นก็รู้ได้อยู่แล้วว่ากลิ่นแป้งเด็กแบบนี้จะเป็นใคร มือแกร่งกวาดคว้าแว่นที่วางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงขึ้นมาสวมก่อนจะกะพริบตาถี่
เมื่อวานหลับไปตอนไหนกันนะ?
พอขยับตัวเล็กน้อยภาสก็ต้องขมวดคิ้วแน่นเมื่อรู้สึกปวดแปล็บบริเวณไหล่และต้นแขน แต่พอลองนึกย้อนกลับไป สงสัยจะเป็นเพราะเนคไทด์ทำพิษ แต่ก็เอาเถอะ ถ้าเนคไทด์นั่นไม่แน่นพอ เขาอาจจะเผลอทำเจ้าแมวดื้อบนอกนี่ร้องไห้จ้าไปแล้วก็ได้
ยินยอมงั้นเหรอ?
หึ... ดื้อจริงๆ
ภาสชั้นตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะแอบมองคนบนอกชัดๆ ตะนิดยังคงติดนิสัยกอดคุณนุ่มเบอร์ห้าแน่นแต่มืออีกข้างกลับตวัดกอดเอวเขาไว้ ใบหน้าดื้อบี้ลงกับหน้าท้องเปลือยเขาจนแก้มโมจินุ่มกองเป็นก้อน ปากเล็กเคลือบไปด้วยน้ำลายพร้อมกับมีน้ำลายจำนวนหนึ่งไหลออกมาเปื้อนแผ่นหน้าท้องเขา ส่วนปลอกคอที่ควรจะขาดหลังจากที่เขาใส่แรงกัดไปเต็มที่ยังคงสภาพอยู่ดีแม้จะมีรอยเหมือนโดนแทะขาดไปบ้างก็ตาม
คุ้มราคาจนน่าหงุดหงิด
เขาล่ะอยากกัดมันให้ขาดจริงๆ
“แมวดื้อ”
“อื้อ”
“เวลานอนนี่ก็รู้ไม่พิษมีภัยแท้ๆ” ภาสหัวเราะในลำคอพร้อมกับยกนิ้วขึ้นเขี่ยแก้มนิ่มนั่นเบาๆ ตะนิดขมวดคิ้วครางอืออาขัดใจ
“อื้อ...”
“ตะนิด”
“หงึ คณิตขออีกห้านาที”
“ตะนิด”
“คณิต ชู่ๆ”
ปลุกทีไรเป็นต้องพูดประโยคนี้เสมอ แต่คราวนี้พอคนตัวเล็กพูดถึงแฝดพี่ ภาสก็แอบชะงักเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากลุ่มเพื่อนที่เหลือเมื่อวานเป็นยังไงกันบ้าง วินเซนต์ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่เพราะทำพันธะแล้วจึงไม่มีปฏิกิริยากับกลิ่นฟีโรโมนคนอื่นนอกเหนือจากคู่ตัวเอง
แต่ที่น่าเป็นห่วงคือสามคนนั่นต่างหาก
หวังว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นหรอกนะ...
“อื้อ...” เสียงครางดึงสติภาสให้กลับมา แมวดื้อหยีตาเล็กน้อยก่อนจะเบียดจมูกกับพุงเขา
“ตื่นได้แล้ว”
“อือ พี่ภาส อือ อะไรโดนมือ”
“...” แมวดื้อกะพริบตาถี่ตอนก้มลงมองไปใต้ผ้าห่มก่อนจะเงยหน้าขึ้นย่นจมูกใส่เขา
“ลามก”
“เขาเรียกว่าปฏิกิริยาทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นตอนเช้าสำหรับผู้ชาย” ภาสเกาหลังคอเก้อๆ ช่วยไม่ได้นี่นะ ผู้ชายสุขภาพดีอย่างเขามันก็ไม่แปลกหรอกที่อะไรๆ จะตื่นรับอรุณไปด้วย
ตะนิดบ่นงุบงิบก่อนจะลุกขึ้นกระโดดลงจากเตียง แมวดื้อที่สวมเสื้อนอนของเขาตัวเดียวแอบเห็นขาบอกเซอร์โผล่แล่บออกมาเล็กน้อยเดินไปโซนห้องน้ำเพื่อแปรงฟัน เห็นแบบนั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินตามไปแปรงข้างๆ
พอมองผ่านกระจกแล้วก็จะเห็นความต่างของส่วนสูงได้อย่างชัดเจน ตะนิดที่แปรงฟันฟองเต็มปากได้แต่ขมวดคิ้วขัดใจ เท้าเล็กพยายามเขย่งขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยก็หัวพ้นไหล่หน่อยก็ยังดี
แน่นอนว่าความพยายามน่ารักนั่นตกอยู่ในสายตาของภาสอย่างชัดเจน เขาหัวเราะในลำคอเล็กน้อยก่อนจะย่อตัวลง ให้ระดับหัวของเขาพอดีกับเจ้าแมวดื้อ
พอย่อตัวให้ตะนิดก็หันหน้าดื้อมาเตรียมจะโวยวาย ส่วนภาสก็เองก็หันไปเตรียมจะหยอกล้อ ตอนนั้นเองที่สายตาของทั้งคู่สบกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ตะนิดกะพริบตาปริบๆ ส่วนภาสก็ชะงักเล็กน้อย เกิดเป็นวินาทีประหลาดที่ทำให้จังหวะหัวใจของทั้งคู่เต้นเร็วขึ้น
พรวด!!!
ภาสสะดุ้งเฮือกแว่นแทบล่วงหลังจากเจ้าแมวดื้อพ่นฟองออกมาเต็มหน้าเขา ส่วนตะนิดก็ได้แต่เหวอรีบบ้วนปากก่อนจะรีบดึงแว่นคนตัวสูงออกมาล้างให้ ภาสที่ภาพเบลอรีบก้มลงล้างหน้ากับบ้วนปากตาม พอได้แว่นกลับมาใส่เขาก็สบตากับแมวดื้อที่ยืนล่กอยู่ตรงหน้า
พอได้สบตากันอีกรอบ
คราวนี้เขาและตะนิดต่างก็อมยิ้มพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“พี่ภาสที่หูมีฟองยาสีฟันติดอยู่อ่ะ”
“เราน่ะพ่นฟองใส่หน้าพี่”
“ก็ตกใจป่ะ อยู่ดีๆ พี่ภาสจะหันหน้ามาทำไม” ตะนิดโวยวายหน้าแดง
“แล้วทำไมพี่จะหันหน้าไม่ได้”
“ก็ ก็ วู้ว ไม่คุยกับพี่ภาสแล้ว” แมวดื้อพองแก้มก่อนจะกระแทกเท้าเดินออกไปห้องนั่งเล่น ภาสยกคิ้วงงแต่ก็เดินออกจากโซนห้องน้ำไปแต่งตัว วันนี้เขาจะต้องเดินทางกลับกรุงเทพแล้วเพราะพรุ่งนี้มีนัดคุยงานกับลูกค้าต่ออีก ส่วนเจ้าแมวก็ได้เวลาที่จะต้องกลับไปเตรียมตัวทำงานด้วยเหมือนกัน
ภาสเก็บของเข้าใส่กระเป๋า ตอนนั้นเองที่เขาเหลือบไปเห็นปลาฉลามหน้าโง่ตอนกลิ้งอยู่บนเตียง ปากของมันฉีกยิ้มเหมือนจะเยาะเย้ยเลยอดที่จะหยิบมันขึ้นก่อนจะเขวี้ยงใส่ประตูระเบียงไปเต็มแรง
คิดว่ากลับถิ่นทะเลแล้วจะรอดงั้นสิ?
ได้รังแกตุ๊กตาสมใจเขาก็กลับมาเก็บของตัวเองใส่กระเป๋าต่อ กว่าเขาและตะนิดจะเก็บของกินอาหารเช้าเสร็จก็ได้เวลาเชคเอาท์พอดี เขาลากกระเป๋าเดินทางของตัวเองและของตะนิดออกมาเจอกับกลุ่มเพื่อนที่ล็อบบี้ แน่นอนว่าแมวดื้อพอเห็นแฝดพี่ตัวเองก็กระโดดเข้าไปกอดทันที
“เชี่ย ตะนิดไอ้สัด เจ็บ” คณิตชะงักตัวพร้อมกับส่งสีหน้าเจ็บออกมาชัดเจน ตะนิดขมวดคิ้วงง แค่กระโดดใส่ทำไมถึงเจ็บ?
“ตะนิดครับ วันนี้เสื้อน่ารักจัง” ยังไม่ทันจะได้ถามออกไปตะนิดก็ถูกชายจับรักแร้หิ้วออกมาจากตัวแฝดพี่ก่อนจะถูกจับไปวางไว้ข้างภาสที่ขมวดคิ้วมองอยู่
“เสื้อยืดสีดำล้วนเนี่ยนะ”
“อ้อ มันน่ารักเพราะติดน่ารักแน่เลย”
“อะไรของพี่ชายอ่ะ ขนลุก เอ้ย ว่าแต่ปากพี่ชายเป็นอะไรอ่ะ” ตะนิดกะพริบตาปริบๆ มองหน้าพี่ชายที่มีรอยช้ำปากเหมือนเป็นเลือดแห้งๆ แถมยังมีรอยช่วนแถวข้างขมับอีกต่างหาก
“ฮ่ะๆ โดนหมากัดมานิดหน่อยน่ะครับ”
“เอ้ย หมาอะไรมันโหดจัง” ตะนิดยู่หน้าก่อนจะกลับไปหาแฝดพี่ “คณิตตตต”
“ตะนิดมึงห้ามโดดใส่ กูเจ็บ... ขา”
“มึงเจ็บขาได้ไง”
“กูตกบันได”
“บันไดที่ไหน”
“ที่บ้านมั้ง อย่าถามเยอะ”
... มี
... พิ
...รุธ
แมวดื้อรู้สึกได้ถึงวิญญาณฮัตโตริ เฮ๊ย์จิ และขุโด้ ชินอิจิ(สำเนียงเหน่อ) ที่เข้าสิงร่าง เขารู้สึกได้ถึงความแปลกๆ มันมีอะไรแปลกๆ ดวงตากลมหรี่ลงแบบคนจับผิด ซึ่งดูยังไงภาสว่าแมวดื้อตรงหน้าก็ดูเหมือนแมวที่กำลังสงสัยว่าอาหารเม็ดเป็นรสปลาทูหรือแซมอน
“แล้วนี่มึงใส่เสื้อใคร”
ภาสที่ลอบมองแฝดหมาแมวตรงอยู่เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนตัวเองทันที ซึ่งชายก็ทำแค่ยิ้มเบาๆ เป็นคำตอบ
“ถามเยอะ ชาติที่แล้วตายระหว่างทำแบบสอบถามเหรอ”
“มึงมีพิรุธ โกหกขอให้หัวนมบอด”
“แช่งอะไรของมึง” คณิตจิ้มหน้าผากแฝดน้องตัวเองไปหนึ่งที
“พอดีเมื่อวานคณิตตกบันไดแถวหน้าห้องพักเสื้อขาดน่ะครับ พี่เลยให้ยืมเสื้อพี่” ชายที่ยืนเงียบมานานเอ่ยปากบอก จริงๆ ก็ยังดูน่าสงสัยแต่พอเป็นพี่ชายพูดก็เลยคิดว่าน่าจะจริง แมวดื้อเลยเลิกสนใจแต่ยังคงวอแวดมแฝดพี่ตัวเองฟุดฟิดด้วยความไม่ชินกลิ่น
“ว่าแต่มึง...” คณิตขมวดคิ้วพร้อมกับจับแฝดน้องตัวเองพลิกไปพลิกมา ซึ่งแมวดื้อก็ยอมให้จับพลิกแบบงงๆ
“อะไรอ่ะ”
“ลุงนั่นมัน... ทำอะไรมึงหรือเปล่า”
“ทำ? อ๋อ ไม่ได้ทำ” พอได้ยินคำตอบคณิตก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก สิ่งเดียวที่เขากังวลมากกว่าสภาพตัวเองคือเขาเป็นห่วงน้องชายตัวเองสุดหัวใจ ตัวแฝดน้องเขาก็เล็กแค่นี้ ถ้าโดนอัลฟ่าเลือดแท้รัทใส่นอกฮีทก็คงจะได้เลือดเยอะอยู่ แต่พอเห็นไอ้หน้าดื้อวิ่งปร๋อขนาดนี้ก็เหมือนคลายความกังวลตลอดทั้งคืนที่เขากังวลมา
และถ้ามันเกิดขึ้นโดยการไม่ยินยอมของน้องเขา
... เขาไม่เอาไอ้ลุงนี่ไว้แน่
“อ้าว แมวน้อยยย~” เสียงเรียกชื่อสดใสดังขึ้นเรียกสติตะนิดให้หันไปหาต้นเสียง อาเธอร์โบกมือพร้อมกับส่งยิ้มตาปิดมาให้ แต่สิ่งที่ดึงสายตาตะนิดกลับเป็นคนข้างๆ มากกว่า
“อ้าว พี่ชินจัง!!!”
“พี่ชื่อชินเฉยๆ”
“พี่ชินเฉยๆ!!!”
“...”
“ชินจังโดนแมวน้อยกวนตีนซะแล้วว” อาเธอร์ขำเอิ๊กอ๊ากพร้อมกับวางคางลงบนไหล่เพื่อนสนิทเบต้าอย่างออดอ้อน
“พี่ชินจังมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“บินด่วนมาเมื่อคืนครับ สวัสดีครับคุณชาย คุณภาส” ชินตอบเสียงนิ่ง ดวงตาจริงจังใต้กรอบแว่นจ้องไปที่อัลฟ่าข้างตัวตะนิดอย่างภาสและชายก่อนจะโค้งหัวให้เล็กน้อยเป็นการทักทาย
“บินด่วนมาทำไมอ่ะ”
“หมาโทรมาร้องไห้ว่ากำลังจะตายครับ”
“ฮะ?” หมาไหน? ทำไมหมาตาย? หมาที่กัดพี่ชายหรือเปล่า?
“ใจร้ายจัง แต่จะตายจริงๆ นะ ถามน้องแมวก็ได้ เมื่อวานพี่เกือบตายจริงๆ ใช่มะ” หมายักษ์อย่างอาเธอร์เบะปากพร้อมกับถูคางตัวเองกับไหล่บางตรงหน้า ซึ่งชินยกมือขึ้นผลักหัวออกด้วยความรำคาญ
ตะนิดมองภาพตรงหน้าด้วยความงงเล็กน้อย เป็นเพื่อนที่สนิทที่มีความแตกต่างกันดีแฮะ พี่ชายก็ดูเป็นหมาตัวใหญ่ขี้เล่นส่วนพี่ชินก็ดูจริงจังไปทุกอย่างแต่ก็ดูเข้ากันได้ดีแบบงงๆ
ว่าแต่จะตายยังไง งง
“ไม่นี่ พี่เต้อจะตายยังไง ไม่เห็นเหมือนคนจะตายเลย”
“น้องแมวพูดแบบนี้พี่อาจจะตายตอนนี้ก็ได้ค่ะ” อาเธอร์หัวเราะพร้อมกับยกมือขึ้นจับมือชินที่กำลังจะตวัดตบหัวเขาอย่างรู้ทัน ชินถอนหายใจยาวเหยียดด้วยความเหนื่อยใจ
เอ๊ะ...
ดูมีพิรุธอีกคู่แล้ว
“ตะนิด เอาคุณนุ่มเบอร์ห้าไปถือเอง” ภาสเอ่ยสั่งให้เจ้าแมวดื้อเลิกสนใจคนอื่นเมื่อเห็นว่าเจ้าแมวดูเริ่มสวมบทบาทนักสืบ ตะนิดเอียงคอสงสัยแต่ก็ยอมวิ่งกลับมาถือสัมภาระตัวเอง
“พี่ภาสๆ”
“หืม?”
“นิดคิดไปเองไหมว่าวันนี้ทุกคนแปลกๆ” ตะนิดมองพี่ชายที่เอาแต่มองคณิตไม่วางตาส่วนพี่เต้อก็อ้อนพี่ชินจังไม่ยอมเลิก คืนที่ผ่านมาไม่เห็นเป็นงี้เลย
“นั่นสิ” ภาสตอบพลางโอบเอวเล็กให้มายืนข้างๆ
แมวดื้อน่ะมัวแต่สงสัยคู่อื่นจนไม่ได้สังเกตเลยว่าไม่ใช่แค่คู่อื่นที่แปลกไปหรอก วันนี้เขาเองก็เปลี่ยนคำแทนตัวเองด้วยเหมือนกัน แต่ดูเหมือนเจ้าแมวจะไม่แม้แต่จะผิดสังเกต
อุตส่าห์แทนตัวว่าพี่มาตั้งแต่เช้า
ไม่รู้สึกแปลกหูหน่อยเลยหรือไงกันนะ...
“อือ เอ้อ พี่ภาสแล้วพี่ลี่อ่ะ”
“วินเซนต์บอกว่าให้กลับไปก่อนเลย มันอยู่ต่ออีกคืนหนึ่ง” คนตอบคำถามตะนิดเป็นชายที่ถือมือถือคุยกับวินเซนต์ ตะนิดขมวดคิ้วอีกรอบ
“อ้าวววววว ทำไมอ่ะ มีพิรุธป่าววววว” นักสืบน้อยทำจมูกฟุดฟิดด้วยความสงสัยแต่ก็โดนอัลฟ่าหน้าดุบีบจมูกด้วยความมันเขี้ยว
“ไปดูตรงโซนของฝากกับคณิตก่อนไหม?”
“เอ้ย ดีเลย คณิตไปดูของฝากให้แม่กัน” ตะนิดดึงแขนแฝดพี่เตรียมจะลากให้วิ่งไปด้วยกัน แต่คณิตก็ชะงักพร้อมกับความรู้สึกเจ็บแปล็บอย่างรุนแรงจนต้องร้องออกมา
“โอ๊ย มึงอย่าดึงแขนไอ้อ้วน กูบอกอยู่ว่าเจ็บขา”
“แต่มึงจับก้นตัวเอง”
“กูเจ็บขากับก้น”
“ทำไมเจ็บก้นด้วยอ่ะ”
“ตะนิด ถามอีกข้อกูจะอารมณ์เสียแล้วนะ”
“โอ๋ๆ เดินช้าๆ โอบกูไว้คณิต”
สองแฝดพี่น้องเดินทุลักทุเลไปทางร้านของฝากท่ามกลางสายตาจากทุกคนที่มองก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นเพียงแต่ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา อาเธอร์ส่งยิ้มแซวเล็กน้อยไปทางชายซึ่งชายเองก็ทำแค่ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยเก้อๆ ภาสมองภาพตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมา
ถ้าแมวดื้อเข้าใจ
สงสัยได้โวยวายบ้านแตกแน่นอน
.
.
.
หลังจากทริปพักผ่อนแสนวุ่นวายที่ทะเล ตะนิดก็ต้องกลับมาพบกับโลกแห่งความจริงกับการตื่นเช้าไปทำงาน ช่วงชีวิตการทำงานในช่วงแรกของตะนิดผ่านไปไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่นัก เขาเพิ่งจะมารู้ว่างานที่อาจารย์สั่งสมัยเรียนความวุ่นวายเยอะไม่ได้เท่าครึ่งของงานที่ลูกค้าบรีฟ
ช่วงแรกๆ เขาปรับตัวไม่ได้ มีออกนอกบรีฟเล็กน้อยเพื่อใส่ความคิดเห็นเขาไปในงาน สรุปลูกค้าสั่งแก้ยับจนเขาสะอื้นในใจ แต่พี่ๆ ร่วมแผนกก็เดินมาตบบ่าแล้วบอกให้ทำใจ แบบนี้แหละ เดี๋ยวก็ชิน
ไม่เห็นจะชินเลย!!!!
อ้ออีกอย่างที่เขาไม่ชินก็คือ
พี่ชาย...
พี่ชายที่ทั้งไม่ใช่พี่ชายและที่เป็นพี่ชายจริงๆ ของเขา ถึงจะพอรู้มาจากพี่ภาสว่าพี่ชายเป็นอะไรสักอย่างกับริษัทที่ทำงานอยู่ แต่จู่ๆ พี่แกก็โผล่มาอย่างบ่อยเพื่อเดินมาทักทายเขาพร้อมกับเดินหายไปทางแผนกคณิต พี่เต้อก็บ่นอยู่บ่อยๆ ว่าพี่ชายใช้อำนาจในทางที่ผิด แต่ผิดยังไงเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
ตัดภาพมาเวลาเลิกงานที่ผมรอคอย ตะนิดได้แต่ตัวแห้งเหี่ยวเป็นถั่วงอกไร้เรี่ยวแรงหลังจากเผชิญการทำงานมาทั้งวัน ทั้งนั่งโม่ทำงานหน้าคอม ทั้งถูกพี่ที่ทำงานหนีบไปเรียนรู้การคุยงานกับลูกค้านอกสถานที่ พอกลับออฟฟิสมาก็มีตีกับการแก้บรีฟงานลูกค้าที่เหมือนต้องแก้กลับไปบรีฟแรกหลังจากที่บรีฟมาห้ารอบ
... เหี่ยวแห้ง
นั่งจ๋องดูดนมสดไข่มุกบราวน์ชูการ์อยู่หน้าบริษัทไม่นาน รถคันหรูก็ขับเทียบเข้ามาจอดตรงเวลาที่นัดไว้ ตะนิดลุกขึ้นยืนตบตูดตัวปั้ปๆ ก่อนจะเปิดประตูน้วยเข้าไปนั่งในรถ
“เหนื่อยจังพี่ภาส” แมวน้อยส่งเสียงอ้อแอ้ ใบหน้าดื้อถูไปมากับเบาะรถ
“ใส่เบลท์ดีๆ”
“อื้อออ” ถึงจะส่งเสียงขัดใจแต่ก็ยอมดึงสายคาดนิรภัยตามคำสั่ง
ภาสลอบมองแมวดื้อของเขาที่ตอนนี้หมดสภาพนอนเบะปาก ตั้งแต่ตะนิดเริ่มทำงานเขาก็ไม่ได้ไปวุ่นวายอะไรนอกเหนือจากการไปรับไปส่ง ช่วงอาทิตย์แรกๆ เจ้าแมวก็ดูคึกคักดีแต่พอผ่านไปได้สักพักก็เริ่มจะเฉาลงเรื่อยๆ จนในที่สุดพอใกล้จะครบเดือนแห่งการทำงานแมวดื้อก็เข้าสู่สภาพเหี่ยวแห้ง
“อยากไปแวะกินอะไรก่อนไหม”
“ไม่เอาแล้ววว อยากกลับบ้านนน” แมวดื้อย่นจมูก เหนื่อยจนแม้แต่นมสดบราวน์ชูการ์ก็บูทอารมณ์กลับมาไม่ได้ แต่ถ้าได้จิบเบียร์เย็นๆ คงดีขึ้น คิดอย่างนั้นแล้วเจ้าแมวดื้อก็เริ่มวางแผนในใจ
เดี๋ยวพอกลับบ้านตบตูดกล่อมพี่ภาสนอนแล้วค่อยลงมาซื้อเบียร์ที่เซเว่นขึ้นไปกินบนห้องดีกว่าาา
แมวดื้อส่งยิ้มเล็กๆ กับแผนการสุดแยบยล ส่วนภาสที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้แต่ขยับจมูกฟุดฟิดเบาๆ เมื่อรู้สึกได้ว่าวันนี้กลิ่นแป้งผสมพีชของแมวดื้อดูเหมือนจะฉุนกว่าปกติตามที่อาเธอร์ส่งข้อความมาบอก
... ใกล้ฮีทอีกรอบแล้วสินะ
แน่นอนว่าเจ้าตัวไม่แม้แต่จะรู้เรื่อง ในหัวเล็กตอนนี้มีแต่เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์สีเหลืองฟองนุ่ม เปรี้ยวปากจนอยากจะดื่มมันตอนนี้แต่ก็ต้องอดใจไว้
พอถึงห้องสิ่งแรกที่ตะนิดทำคือการกินอาหารเย็นที่อัลฟ่าหน้าดุเป็นคนสั่งมาไว้เหมือนปกติทุกวัน วันนี้เป็นข้าวผัดปู ยำหอยนางรมแล้วก็กุ้งอบวุ้นเส้น พอกินเสร็จตะนิดก็อาบน้ำแต่งตัวออกมามองเจ้าของห้องที่นั่งไถไอแพดทำงานอยู่ที่ห้องนั่งเล่น
“พี่ภาสๆ”
“หืม?”
“นอนไหมมม”
“...”
อะไร?
ภาสขมวดคิ้วงงกับประโยคเชิญชวนตรงหน้า ปกติถ้าแมวดื้อง่วงก็จะกระโดดขึ้นเตียงนอนน้ำลายยืดนำไปก่อนเองไม่เห็นจะมาชวนนอนแบบนี้
“พี่ภาสๆ แก่แล้วต้องนอนไวๆ นะ ดีต่อสุขภาพ” นอกเหนือจากคะแนนนักสืบจะน้อยแล้ว คะแนนการแสดงก็คงติดลบ พิรุธออกเยอะจนภาสต้องวางไอแพดลง
“คิดจะทำอะไรอีก”
“เห้ย เปล่าเลย ไม่ได้จะทำอะไรรร” ดวงตาดุใต้กรอบแว่นหรี่ลงเหมือนรู้ทัน แค่นั้นแมวดื้อก็ขนลุก ต่อมกลัวความผิดเต้นดังตุ้บๆ
“ตะนิด”
“...”
“วางแผนจะทำอะไรก็บอกมาเถอะ”
“เปล่านะ ใครแผน ขุนแผนหรือเปล่า แต่นิดไม่มีแผนนะ”
“ตะนิด” ถ้าเป็นปกติเขาคงปล่อยเลยตามเลยให้เจ้าแมวดื้อทำแผนให้สำเร็จ แต่ในเมื่ออยู่ในช่วงใกล้ฮีทเขาเลยไม่กล้าเสี่ยง ยิ่งเวลาดื้อชอบทำอะไรเหนือความคาดคิดด้วยเลยยิ่งน่าเป็นห่วง
“อยากกินเบียร์อ่า”
“...”
“พี่ภาสก็รู้ใช่ม้าา เวลาเหนื่อยๆ มันก็อยากกินอะไรแบบนี้” แมวดื้อยู่หน้ายู่ตายกนิ้วชี้ขึ้นจิ้มกัน
“ก็แค่นี้ ทำไมต้องวางแผนให้พี่หลับก่อน”
“ก็ ก็” แมวดื้อถึมพำในลำคอ ภาสส่ายหัวกับความดื้อนั่นก่อนจะลุกหยิบกระเป๋าตังค์เดินนำไปทางประตู ตะนิดพอเห็นว่าอีกฝ่ายอนุญาตแล้วก็กระโดดดึ๋งเดินตามไปด้วยความร่าเริง
และในที่สุดแมวดื้อก็ได้จิบเบียร์เย็นๆ สมใจในวันแสนเหนื่อย ดวงตากลมมองวิวยามค่ำคืนของกรุงเทพพร้อมกับอมยิ้มออกมาเบาๆ ส่วนภาสที่จิบวิสกี้อยู่เก้าอี้ข้างๆ ก็ลอบมองใบหน้าดื้อนั่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย กลิ่นแป้งเด็กผสมกลิ่นพีชนั่นลอยมาแตะจมูกเพิ่มความรู้สึกกังวลให้เพิ่มมากขึ้น
“ตะนิด”
“ครับ”
“เราน่ะ ใกล้จะฮีทแล้วนะ” พูดเสร็จภาสก็ยกแก้ววิสกี้ขึ้นจิบ ส่วนตะนิดก็ชะงักแก้วเบียร์ในมือ ปากบางเม้มเข้าหากันก่อนจะขดขาขึ้นชั้นวางแก้มตัวเองไว้บนเข่า
“พี่ภาส...”
“หืม”
“นิดไม่ชอบเป็นโอเมก้าเลย”
“...”
“ทำไมต้องมีการแบ่งแบบนี้ด้วย ไม่แฟร์เลยเนาะ”
“นั่นสินะ”
“พี่ภาสเคยไม่ชอบเป็นอัลฟ่าไหม” พอได้รับคำถามภาสก็เงยหน้ามองวิวตรงหน้าก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“เคยสิ”
“ยังไงอ่ะ”
“อืม ก็คงเป็นเหมือนกันมั้งที่เวลารัทจะควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ นั่นมันน่าหงุดหงิดนะ” ภาสพูดพลางจิบวิสกี้เข้าปาก ตะนิดพยักหน้าหงึกๆ เข้าใจ “แล้วก็น่าหงุดหงิดเหมือนกันเวลาที่เราทำอะไรบางอย่างสำเร็จแต่ทุกคนก็ตัดสินว่าเพราะเราเป็นอัลฟ่าถึงได้ทำมันสำเร็จได้”
“...”
“ทั้งที่จริงๆ เราพยายามทำให้มันสำเร็จแทบตาย ทุ่มเทไปแทบทั้งหมดที่ตัวเองมี แต่บางคนก็ตัดสินมันง่ายๆ แบบนั้น” เสียงดุไม่ได้ใช้น้ำเสียงหงุดหงิดอะไรออกมา แต่ตะนิดก็สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจมาจากประโยคนั้น
“ถ้าโลกเรายังกดขี่โอเมก้าเหมือนสมัยก่อนนิดว่านิดคงโคตรซวยเลย” ถึงปัจจุบันการกดขี่โอเมก้า จะกลายเป็นเรื่องล้าหลังไปแล้ว แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มอัลฟ่าหรือเบต้าที่ยังคงเหยียดโอเมก้าเป็นชนชั้นที่ต่ำกว่าตัวเองอยู่บ้าง
หลังจากบทสนทนานั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ตะนิดปล่อยให้ลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านจนผมปลิว ส่วนภาสเองก็หลับตาวางความเครียดเรื่องงานทั้งหมดลง
“พี่ภาส...”
“หืม”
“ถ้านิดไม่ใช่คู่แห่งโชคชะตาของพี่ภาส”
“...”
“ตอนนี้พี่ภาสจะยังอยากอยู่กับนิดไหม”
พอได้ยินคำถามจากปากเล็ก ภาสก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับเอียงคอกลับไปสบตากับดวงตากลม แม้ไฟระเบียงจะสว่างไม่เท่ากับไฟในห้องแต่เขาก็เห็นใบหน้าดื้อนั่นได้อย่างชัดเจน
“พี่ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าเราไม่ใช่คู่แห่งโชคชะตามันจะเป็นยังไง”
“...”
“แต่ถ้าพูดถึงตอนนี้ เวลานี้”
“อื้อ”
“พี่สบายใจ ...ที่ที่นั่งข้างๆ เป็นเรา”
“...”
“...แล้วพี่ก็ไม่ได้นึกถึงคู่แช่งโชคชะตาด้วยซ้ำจนกระทั่งเราพูดขึ้นมา”
รสชาติวิสกี้วันนี้ดูเหมือนจะหวานแล้วก็นุ่มกว่าปกติ ทั้งๆ ที่ก็เป็นวิสกี้แบรนด์เดิม เทเพียวๆ ลงบนน้ำแข็งเหมือนที่ดื่มมาตลอด ตะนิดงับปากลงกับแก้วเบียร์ก่อนจะพ่นลมในปากออกมาจนเบียร์ขึ้นเสียงบุ๋งๆ แก้มขาวแต้มสีแดงจางๆ พร้อมกับรู้สึกเห่อร้อนไปทั่วใบหน้า
“พะ พี่ภาส”
“หืม?”
“ฮีทที่จะถึงนิดว่านิดยังไม่พร้อม” แมวดื้อก้มหน้าชิดเข่าโผล่ไว้แต่หูแดงๆ
“...อืม”
“แต่ก่อนจะถึงฮีทต่อไป”
“...”
“เรามาจีบกันก่อนไหม”
ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นงงๆ การโดนจับคู่ด้วยโชคชะตา การมาอยู่ด้วยกันด้วยความไม่สมัครใจในทีแรก ตะนิดแค่รู้สึกว่าบางอย่างมันยังไม่เข้าที่ แม้ระยะเวลาที่เพิ่งอยู่ด้วยกันจะไม้ได้เยอะ แต่แค่นั้นเขาก็พอจะรู้คำตอบลึกๆ ในใจของตัวเอง
จะคู่แห่งโชคชะตาหรือไม่ก็ตาม
แต่เป็นคนนี้ มันก็ดีแล้ว
ภาสที่ได้ยินประโยคนั้นหัวเราะออกมาเบาๆ แมวดื้อมักจะพูดประโยคอะไรที่ไม่คาดคิดอยู่เสมอตั้งแต่โชว์ไฝที่ก้นจนกระทั่งประโยคเมื่อครู่
แต่ไม่ว่าจะประโยคไหน
ก็พานทำเอาใจเขาเต้นผิดจังหวะอยู่เสมอ
“เอาสิ”
“...แต่นิดไม่เคยจีบใครเลยนะ เคยแต่โดนจีบ” สิ้นประโยค ภาสที่เพิ่งหลุดหัวเราะก็เปลี่ยนอารมณ์เป็นขมวดคิ้วแน่นทันที ความรู้สึกหงุดหงิดตีขึ้นจนต้องเคี้ยวน้ำแข็งกร้วมๆ ระบายอารมณ์
“...”
“พี่ภาสๆ”
“หืม”
“โอ๊ยๆๆ เจ็บแขน รู้ไหมแขนนิดเป็นอะไรรรร” แมวดื้อยกแขนขึ้นชูกลางอากาศ ซึ่งภาสก็ขมวดคิ้วมองแขนเล็กอย่างไม่เข้าใจ
“ตะคริว?”
“...”
“...”
“ขะ แขนเป็นฟอออออออ”
“ฟอ?”
“แขนเป็นฟออออ”
“What for?”
“ฮือ พี่ภาสแก่จริงๆ” แมวดื้อหันกลับไปกระดกเบียร์ขึ้นดื่มอึ้กๆ หนีความน่าอายที่เกิดขึ้น ภาสที่โดนเล่นเรื่องอายุก็ได้แต่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ จู่ๆ ก็เล่นใหญ่เจ็บแขน เขาตกใจหมดคิดว่าเป็นตะคริว
ตะนิดยู่ยี่หน้าแต่สุดท้ายก็อมยิ้มออกมาเบาๆ เสียงหัวใจเต้นดังก้องจนต้องยกมือขึ้นตบๆ ที่อกให้มันเต้นช้าลงหน่อย ดวงตากลมตวัดมองอัลฟ่าหน้าดุที่นั่งหลับตาปล่อยให้ลมพัดผมกระจายอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันกลับมามุดหน้าหนีลงเข่าตัวเอง
เขาเองก็สบายใจเหมือนกัน
ที่ที่ข้างๆ เขาตอนนี้
... เป็นคุณนุ่มเบอร์ศูนย์