--- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]  (อ่าน 28775 ครั้ง)

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ฮืออออออ ตัดจบได้เจ็บหัวใจมักๆ  :ling3:

พีทหนอพีท อ่านตอนนี้จบรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดที่ยุ่งเหยิงก็เพราะตัวพีทเป็นเหตุด้วยละ หนึ่งคือเป็นคนที่ไม่เด็ดขาดเลยโอนอ่อนผ่อนตามคุณเล็กตลอดเพราะเรื่องลูก อยากรู้เหมือนกันว่าไปพลาดท่าเสียทีแบบไหนกันถึงทำให้มีอะไรกับคุณเล็กได้ เป็นการวางแผนจากคุณเล็กเหรอ หรืออะไร พอแต่งงานแล้วคำว่าครอบครัวมันก็เริ่มต้นแล้วทิ้งขว้างไม่ดูแลกันแบบสามีภรรยาจริงๆ แบบนี้ก็แปลกเหมือนกัน พอมามีสัมพันธ์กับคุณใหญ่เพราะโดนบังคับ อันนี้อีกละที่พีทก็ยอมเพราะอยากอยู่ใกล้ลูก โอ้ยยยย ! ยุ่งเหยิงไปหมดจริงๆ เลยพีท แล้วนี่จะยอมตามใจคุณเล็กอีก จะไปอยู่กับเขา จูบคุณเล็กประชดคุณใหญ่งี้อีก ไม่สงสารคุณเล็กเลยเหรอที่ทำแบบนี้ ไปให้ความหวังคุณเล็กทำไม !! อะไรของเธออะพีท ฉันเหนื่อย 55555555

รอติดตามนะคะ นี่รอจริงๆ นะ ทำงานยังคิดถึงแต่เรื่องนี้ 55555 สนุกมากเลยค่ะ   o18

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ casson

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เครียดแทนทุกตัวละครในเรื่องเลย

ขอบคุณนักเขียนค่ะ :pig4:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
จะคุยกันจะไปทางไหนกันดีหน้อ เลือกไม่ถูกเลย 5555 เห็นใจเข้าใจทุกคนเท่ากันอะตอนนี้ เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของไอลดานะ ไม่ว่าอะไรเธอเลย พีทเองก็เห็นใจ แต่ก็ต้องเข้าใจใหม่ว่าทั้งพี่ทั้งน้องที่แย่งกันนี่เพราะตัวเองเป็นคนสำคัญต่อพวกเขา เพียงแต่ไม่ได้เลือกด้วยตัวเอง เห็นใจตรงนี้แหละ 5555 คุณใหญ่เองก็เช่นกันบางทีก็ควรไปวัดนะ ทำใจร่มๆหน่อย ความอดทนเรามีขีดจำกัด พีทเขาทนไม่ได้จะไปกันใหญ่เลยทีนี้ ถ้าเอาแต่ขู่อยู่เรื่อย 555555 คุณเล็กมันยังมีความจริงอีกส่วนรอคุณอยู่อีกข้างหน้า เตรียมใจเถอะ ขอบอก รอยนั่นใครทำ คราวนี้แหละ บันเทิง 555555 อะๆจะไปทางไหนยังไงต่อไป รอตอนหน้าเลยค่า สนุกๆชอบๆ ขอบคุณนะคะที่มาต่อ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
สิบแปด
คนถูกหักหลัง



“เรามาคุยกันหน่อยดีไหม พีท...”

เจ้าของเรือนร่างสูงกำยำเอ่ยออกมาเสียงห้าวลึก ดวงตาดำจัดแฝงแววดุดันจนดูคุกคาม ฝ่ามือหนาวางบนบ่าของพิชญ์ก่อนจะบีบแน่นเป็นเชิงบังคับ จนคนถูกกระทำต้องนิ่วหน้าออกมาด้วยความเจ็บ แต่ถึงแม้จะเจ็บ พิชญ์ก็ยังอวดดีพอที่จะปัดมือของอริญชย์ที่วางอยู่บนบ่าออก แล้วหันกลับมาเผชิญหน้าอริญชย์ที่กำลังจ้องเขาเขม็งราวกับเสือร้ายที่เตรียมจะขย้ำลูกแกะอวดดีให้แหลกคากงเล็บ

ถ้าเป็นยามปกติ อริญชย์คงจะนึกชื่นชมท่าทียโสโอหังของพิชญ์ที่ดึงดูดสายตาเขาแทบทุกครั้ง แต่ยามนี้ ท่าทางอวดเก่งของพิชญ์รังแต่จะทำให้ขีดความอดทนของอริญชย์ลดต่ำลงเรื่อย ๆ

“คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่...”

พิชญ์เป็นคนฉลาดและเขาก็ไม่ใช่พวกที่จะมาแสร้งปั้นหน้าทำไขสือ ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าสิ่งที่อริญชย์กำลังพูดถึงอยู่คืออะไร ชายหนุ่มจ้องหน้าอริญชย์กลับ บิดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มเยาะที่คงมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่าเขากำลังเย้ยหยันตัวเองหรือเย้ยหยันอริญชย์อยู่กันแน่

“คุณใหญ่คิดว่ายังไงล่ะ”

ความอึดอัดและความรู้สึกผิดที่มีต่อไอลดายังคุกรุ่นอยู่เต็มหัวใจ และผลักดันให้พิชญ์นึกอยากจบเรื่องราวบ้าบอเหล่านี้เสียที ทุกอย่างมันเริ่มต้นมาจากอริญชย์ แต่พิชญ์ก็ต้องยอมรับว่าเขาเองก็มีส่วนผิดที่โอนอ่อนผ่อนตามอริญชย์

ตอนแรก เพราะเขาปฏิเสธไม่ได้ แต่ตอนหลัง คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธ

ทุกครั้งที่ถูกอีกฝ่ายครอบครองและแสดงความเป็นเจ้าของ แม้ริมฝีปากจะเอื้อนเอ่วถ้อยคำผลักไส แต่พระเจ้าก็รู้ว่าพิชญ์ตอบรับอริญชย์อย่างเต็มใจเสมอ

นอกจากร่างกายจะทรยศเหมือนไม่ใช่ของเขาแล้ว อริญชย์ยังคิดจะสั่นคลอนหัวใจเขาด้วยคำพูดพล่อย ๆ อีก อย่างน้อยสิ่งเดียวที่พิชญ์พอทำได้เพื่อไม่ให้ความรู้สึกผิดบาปที่มีต่อไอลดามันมากไปกว่านี้ คือเขาต้องหยุด หยุดความคิดและความรู้สึกเหล่านี้ก่อนที่ตัวเองจะตกอยู่ในวังวนของอริญชย์จนถอนตัวไม่ขึ้น

“อยากจะไปอยู่กับยัยเล็กมากสินะ”

พิชญ์หลุดยิ้มขื่นออกมา อริญชย์พูดราวกับตัวเองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขา ส่วนไอลดาเป็นคนนอก ทั้งที่ความจริงมันกลับกัน เขากับไอลดาต่างหากที่เป็นสามีภรรยา และคนนอกก็คืออริญชย์

ในเมื่อไอลดาก็เข้าใจว่าเขานอกใจเธอไปแล้ว แล้วคนอย่างพิชญ์ ภัทรกุลยังมีอะไรให้ต้องเสียอีกหรือ  ถ้อยคำที่พิชญ์เอ่ยออกไปจึงไม่ต่างอะไรกับน้ำมันที่ราดลงบนเปลวไฟ โหมเพลิงโทสะของอริญชย์ให้ลุกเป็นไฟ

“ใช่ ผมอยากจะไปอยู่กับคุณเล็ก อยู่กันสามคนพ่อแม่ลูก ไม่ต้องมีคุณมาคอยวุ่นวาย มาคอยเกี่ยวข้องกันอีก”

อริญชย์ขบกรามแน่นด้วยความโกรธที่แล่นริ้วขึ้นมาเป็นลำดับ เอื้อมมือหมายจะกระชากพิชญ์เข้ามาหาตัว แต่ดูเหมือนพิชญ์จะรู้เท่าทันความคิดเขา คนตัวเล็กกว่าถึงได้วิ่งไปเกาะขอบเตียงคนไข้ที่มีลูกสาวตัวน้อยนอนหลับอยู่ราวกับจะอาศัยเป็นเกราะกำบัง เรียกความฉุนเฉียวจากอริญชย์ให้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

อริญชย์รักพิชญ์ รักมากจนติดจะหลงในบางทีเสียด้วยซ้ำ แต่ประสบการณ์ทุกอย่างที่หล่อหลอมให้เขาเป็นตัวเขาอย่างทุกวันนี้มันสอนเขาว่า แค่คำว่ารักมันยังไม่เพียงพอ มันต้องอาศัยความเด็ดขาดมาปราบพยศลูกแกะที่ริอ่านเอาหนังแมวป่ามาห่มแล้วยืนขู่เขาฟ่อ ๆ อยู่ตรงหน้าด้วย

“คิดว่าการไปยืนแอบข้างเตียงน้องหนูมันจะช่วยให้นายรอดงั้นเหรอ”

“ถ้าคุณทำอะไรผม ผมจะกดกริ่งเรียกนางพยาบาลให้เข้ามา”

อริญชย์เหยียดยิ้มร้ายก่อนจะหัวเราะเสียงต่ำในลำคออย่างลำพองใจ ไม่ต้องรอให้พิชญ์มีโอกาสลงมือทำอย่างที่ปากพูด เขาก็ก้าวพรวดเดียวเข้าประชิดตัว แล้วอาศัยแรงที่มากกว่ากระชากพิชญ์ออกมาจากข้างเตียงน้องหนู โดยไม่ลืมที่จะกระชากผ้าม่านกั้นเตียงมาปิดเพื่อเป็นหลักประกันว่าพิชญ์จะไม่เข้าไปรบกวนการนอนหลับของน้องหนูอีก

ฝ่ามือหนากำรอบข้อมือเล็กจนมิด ลากอีกคนถูลู่ถูกังมาตามทางโดยไม่สนใจอาการขืนตัวของคนถูกลากแม้แต่น้อย ก่อนจะเหวี่ยงร่างเล็กกว่าลงบนโซฟาไม่แรงนัก

ทันทีที่แผ่นหลังสัมผัสกับพนักพิงโซฟา พิชญ์ก็ตั้งท่าจะผุดลุกขึ้นมาทันที ดวงตาเรียววาววับด้วยแรงโทสะไม่ต่างกัน แต่เขายังไม่ทันได้ทำอย่างใจคิด พิชญ์ก็ถูกผลักให้ล้มกลับลงไปก่อนจะถูกกักเอาไว้ใต้วงแขนแข็งแรง

“คุณใหญ่ ปล่อยผม”

เจ้าของชื่อทำหูทวนลมราวกับเสียงของพิชญ์เป็นแค่เสียงนกเสียงกา อริญชย์ไล่สายตาไปตามโครงหน้าของพิชญ์ก่อนจะหยุดที่ริมฝีปากบาง

เขาไม่รู้ว่าพิชญ์คุยอะไรกับไอลดาก่อนที่เขาจะมา แต่ท่าทีแข็งกร้าวแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ และที่สำคัญ...

กล้าดียังไงถึงเอาริมฝีปากที่เป็นสิทธิ์ของเขาไปจูบไอลดา!

“เอาสิ กดกริ่งเรียกพยาบาลเลยสิ”

แม้ถ้อยคำของอริญชย์จะฟังดูยั่วเย้า แต่คนฟังก็รู้ดีว่าคนพูดไม่ได้มีอารมณ์ขันแม้แต่น้อย พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น เมื่อสำนึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบ แต่ยังไม่วายเชิดหน้าด้วยความอวดดี

“ถ้าสิ่งที่คุณทำกับผมอยู่มันเรียกว่าความรัก งั้นก็ช่วยเอาความรักงี่เง่าของคุณกลับคืนไปเถอะ”

“แล้วต้องทำแบบไหน ทำเหมือนที่นายทำกับยัยเล็กใช่ไหม”

อริญชย์บีบปลายคางพิชญ์แน่น ปลายนิ้วไล้ไปตามริมฝีปากแดงระเรื่อ ภาพที่พิชญ์จูบกับไอลดายังติดตาและคอยแต่จะโหมกระพือความโกรธของเขาให้เพิ่มมากขึ้น

“ใช่ คุณเล็กเท่านั้นที่ผมจะแสดงความรักด้วย อย่าลืมสิคุณใหญ่ ว่าผมกับคุณเล็กเป็นสามีภรรยากัน ส่วนคุณน่ะ...มันเป็นแค่คนนอก!”

ความพยายามที่จะยั่วโมโหอริญชย์ของพิชญ์ดูเหมือนจะได้ผลเป็นอย่างดี ไม่ว่าเจ้าตัวจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม อริญชย์บีบปลายคางพิชญ์เอาไว้ก่อนจะกดริมฝีปากลงไปอย่างรุนแรง คนถูกกระทำได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น ไม่ยอมให้อริญชย์ได้รุกรานเข้ามาอย่างที่ต้องการ อริญชย์บีบปลายคางพิชญ์ให้เปิดริมฝีปาก แต่พิชญ์ก็เอาแต่ส่ายหน้าหนี จนชายหนุ่มต้องถอนริมฝีปากออกมา สบถอย่างหัวเสียเมื่อเห็นอาการดื้อแพ่งของพิชญ์

ในเมื่อบีบบังคับให้เขาต้องใช้ไม้แข็ง เขาก็จะสนองให้

ในเมื่อคิดว่าเขาเป็นคนเลว เขาก็จะเลวให้มากกว่าที่เป็นอยู่

คนอย่างพิชญ์ไม่มีอะไรจะเสีย ส่วนคนอย่างอริญชย์ก็จะไม่ยอมเสียพิชญ์ไป

อริญชย์กระตุกยิ้มร้ายก่อนปลายนิ้วแข็งแรงจะเอื้อมไปบีบจมูกพิชญ์เอาไว้ คนตัวเล็กกว่าถึงกับหน้าแดงก่ำ รีบเผยอริมฝีปากออกมากอบโกยอากาศเข้าเต็มปอด แม้จะรู้ว่าเป็นเล่ห์กลของอริญชย์ แต่คนอย่างพิชญ์ก็ไม่มีทางเลือก และมันก็เท่ากับเป็นการเปิดทางให้อริญชย์สอดลิ้นเข้าไปควานหาความหอมหวานจากโพรงปากของพิชญ์

สัมผัสหยาบกระด้างและจาบจ้วงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง ทันทีปลายลิ้นอ่อนนุ่มสัมผัสซึ่งกันและกัน ไม่ต่างอะไรจากแม่เหล็กต่างขั้วที่ดึงดูดเข้าหากัน อริญชย์เพียรดูดซับความหอมหวานจากริมฝีปากของพิชญ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใช้ริมฝีปากของเขาสะกดกลั้นถ้อยคำผรุสวาทและลบล้างสัมผัสของไอลดาออกไป

ของ ๆ เขา...ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นของเขาอยู่วันยังค่ำ!

สำนึกอันเลือนลางของพิชญ์ตอกย้ำให้รู้ว่าเขากำลังอยู่ที่โรงพยาบาล แต่อากัปกิริยาแหงนหน้ารับจูบของอริญชย์กลับเป็นไปโดยธรรมชาติ อริญชย์ขบเม้มริมฝีปากพิชญ์ก่อนจะกัดแรง ๆ จนเลือดไหลซึมออกมา เสียงห้าวกระซิบดุดันชิดริมฝีปากแดงก่ำ ราวกับเป็นคำสั่งที่คนฟังต้องปฏิบัติตามอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

“อย่าเอาริมฝีปากนี้ไปจูบใครอีก...เข้าใจไหม”

ปลายลิ้นอุ่นร้อนค่อย ๆ ไล้เลียเลือดที่ซึมออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับสัมผัสของปีกผีเสื้อที่ปัดป่ายอยู่บนริมฝีปากจนพิชญ์สั่นสะท้านไปทั้งร่าง ทั้งที่อยากจะหยุด อยากจะผลักไส แต่อารมณ์ของเขากลับเตลิดไปไกลจนกู่ไม่กลับ

ทั้งที่รู้ว่าที่นี่คือโรงพยาบาล หมอกับพยาบาลจะโผล่เข้ามาตอนไหนก็ไม่รู้ แล้วยังตุลย์ที่เดินไปส่งไอลดาอีกละ...

ชื่อของไอลดาที่ผุดขึ้นมาค่อย ๆ ฉุดรั้งสติของพิชญ์ให้หันมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่ เมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวพรมจูบไล่เรื่อยลงมาตามลำคอของเขา พิชญ์ก็แทบลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง จดจ่ออยู่แค่เพียงสัมผัสจากอริญชย์ สัมผัสที่ทำให้เขาร้อนรุ่มและหวามไหว จนได้แต่แหงนเงยให้อีกฝ่ายทิ้งร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของตามต้องการ

อริญชย์ผุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก ฝ่ามือลูบไล้ไปตามร่างกายที่สั่นระริกของพิชญ์ ก่อนจะเอนตัวลงบนโซฟาแล้วพลิกเอาร่างเล็กกว่าขึ้นมาทาบทับอยู่บนตัว พิชญ์รีบคว้าแขนเสื้อของอริญชย์ไว้แน่น ยึดเหนี่ยวเอาไว้ไม่ให้ตัวเองร่วงหล่นลงไปบนพื้น

“ยัยเล็กทำให้นายอ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟอย่างนี้หรือเปล่า...”

ถ้อยคำถามอาจฟังดูเหมือนกระเซ้าเย้าแหย่ แต่พิชญ์รู้ว่าอริญชย์ไม่ได้รู้สึกรื่นรมย์อย่างที่พูดเลย อีกฝ่ายต้องการทรมานเขา ให้เขาต้องเป็นฝ่ายวอนขอและบิดเร่า ๆ อยู่ใต้ร่างอริญชย์

ฝ่ามือร้อนผ่าวสอดเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตของพิชญ์ ปลายนิ้วบดคลึงยอดอกเบา ๆ จนพิชญ์เผลอหลุดเสียงครางออกมาก่อนจะรีบสะกดกลั้นเอาไว้ เมื่อสำนึกได้ว่าเขาไม่ได้อยู่กับอริญชย์ตามลำพัง แต่ยังมีน้องหนูที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่ในห้องด้วย และที่สำคัญ...

นี่ไม่ใช่เตียงนอนหนานุ่มในห้องนอนของอริญชย์ แต่เป็นโซฟาเล็ก ๆ ในห้องพักคนป่วยของโรงพยาบาล

รอยแดงระเรื่อปรากฏอยู่ทั่วแก้มขาว เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังทำตัวน่าอายมากแค่ไหน พิชญ์ขยับจะพาตัวเองลงจากตัวอริญชย์ ก่อนจะต้องตัวสั่นระริก เมื่อปลายนิ้วที่หยอกเย้าอยู่กับยอดอกของเขาลดต่ำลงจนสอดมือเข้าไปกอบกุมส่วนอ่อนไหวข้างในกางเกง พิชญ์กัดริมฝีปากแน่น พยายามสะกดเสียงร้องครางของตัวเองเอาไว้อย่างยากลำบาก อริญชย์ละมือข้างที่โอบประคองเอวพิชญ์มาบังคับให้อีกฝ่ายแหงนหน้ารับจูบของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ปลายลิ้นร้อนผ่าวเกี่ยวกระหวัดรัดกัน ดูดซับความหอมหวานอย่างไม่รู้จักอิ่มเอม ฝ่ามือร้อนหยอกเย้า กอบกุม รูดรั้งความแข็งขืนจนพิชญ์แทบจะดิ้นพล่าน

ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาล ลืมว่าน้องหนูนอนอยู่ด้วย ลืมว่าประตูห้องไม่ได้ล็อก

สิ่งเดียวที่ชัดเจนคงมีแค่รสสัมผัสจากอริญชย์ที่กำลังปรนเปรอจนเขาสูญสิ้นความเป็นตัวของตัวเอง จวบจนกระทั่ง...

“พี่พีทคะ...” เสียงเรียกของไอลดาดังแทรกโสตประสาทของพิชญ์เข้ามา ก่อนจะตามด้วยเสียงร้องที่ไม่เบานัก “นี่มันอะไรกัน...”

ไอลดายืนนิ่งงันอยู่ตรงกรอบประตู ข้าวของที่ถือมาร่วงกระจัดกระจาย แต่ก็ไม่อาจดึงความสนใจของเธอได้เท่ากับภาพที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้า หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเพื่อสะกดกลั้นเสียงกรีดร้องเอาไว้ อริญชย์ที่ได้สติก่อนเป็นฝ่ายพลิกกายทาบทับบดบังพิชญ์เอาไว้จากสายตาของน้องสาว

“ทำไม...”

คำถามของไอลดาเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบแม้แต่น้อย เธอไม่ได้ตาบอดและโง่พอจะดูความสัมพันธ์ของพี่ชายกับสามีตัวเองไม่ออก โลกเหมือนถล่มทลายลงมาตรงหน้า แค่จะทรงตัวยืนให้อยู่ยังยากลำบาก จะให้เธอทนดูคนสองคนที่เธอรักหักหลังเธอได้อย่างไร

ไอลดาหมุนตัวกลับ ผลักตุลย์ที่ยืนขวางประตูให้หลบพ้นไป ก่อนจะผลุนผลันออกไปจากห้อง ทิ้งไว้แค่เพียงเสียงแผ่วระโหยของพิชญ์ที่ดังไล่หลังตามมา

“คุณเล็ก...”

พิชญ์รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดผลักอริญชย์ออกไปให้พ้นจากตัว เขาลุกขึ้นจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะเงยหน้ามองคนที่นั่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวด้วยดวงตาเจ็บช้ำ

“คุณมันเลว เลวที่สุด!”

แม้จะนึกอยากสรรหาถ้อยคำมาประณามการกระทำอันร้ายกาจของอริญชย์ แต่สิ่งสำคัญสำหรับพิชญ์ตอนนี้มีแค่ความรู้สึกของไอลดา พิชญ์ผลุนผลันออกจากห้องไปตามหาไอลดา ทั้งที่ไม่รู้ว่าเธอไปไหน

เขาไม่ได้ต้องการตามไอลดาไปเพื่อแก้ตัว แต่เขา...แค่อยากจะยอมรับในความผิดทั้งหมด

ประตูห้องคนป่วยถูกปิดตามหลังพิชญ์เบา ๆ ตุลย์รู้ดีว่าผู้เป็นนายคงไม่คิดจะตามไอลดากับพิชญ์ไปอีกคน เขาลอบมองอริญชย์ด้วยสายตาตำหนิ จนคนเป็นนายต้องปรายตามองแวบหนึ่ง

“ไม่ต้องมามองฉันด้วยสายตาแบบนี้ ฉันไม่ได้เลี้ยงยัยเล็กมาให้อ่อนแอขนาดนั้น”

“คุณใหญ่ ไม่มีใครที่เข้มแข็งได้ตลอดเวลาหรอกนะครับ”

แม้จะเป็นคนสนิท แต่บางครั้งตุลย์ก็ไม่เข้าใจความคิดของอริญชย์เท่าไหร่นัก มันอาจจะมีไม่กี่วิธีที่จะสามารถจัดการเรื่องบ้า ๆ นี่ได้ แต่การปล่อยให้ไอลดามาเห็นทุกอย่างกับตาตัวเอง บางทีตุลย์ก็ยังนึกสงสัย ว่าคนเข้มแข็งอย่างไอลดาจะทนได้แค่ไหนกัน

เธออาจจะทนอยู่กับคนที่ไม่รักกันอย่างพิชญ์ได้ แต่เธอจะทนได้หรือถ้ารู้ว่าพิชญ์มีความสัมพันธ์กับพี่ชายตัวเอง

“ยัยเล็กไม่ใช่กลาง ไม่ได้อ่อนแออย่างที่นายคิด”

“แล้วคุณใหญ่ไม่ห่วงความรู้สึกของคุณพีทเลยหรือครับ”

อริญชย์ตวัดตามองตุลย์แวบหนึ่ง เขาเองก็ห่วงทั้งความรู้สึกของพิชญ์และไอลดาไม่น้อยไปกว่าตุลย์ และเขาเองก็คิดไม่ต่างกันว่าเรื่องบ้า ๆ นี้มันควรจะถึงเวลาสะสางได้เสียที เพียงแต่วิธีที่เขาใช้มันอาจจะดูหักดิบเกินไปในความคิดของตุลย์

“ฉันเองก็ถูกมองเป็นคนเลวอยู่แล้ว ถ้าจะเลวขึ้นอีกหน่อยจะเป็นอะไรไป”

และเขาต้องก็ชดใช้ให้กับความเสียใจของไอลดา ด้วยการอยู่กับความเกลียดชังของพิชญ์ที่กำลังจะตามมาในไม่ช้า



.

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25


พิชญ์วิ่งตามมาจนเจอไอลดายืนเกาะราวระเบียงอยู่ เขายืนหอบด้วยความเหนื่อยก่อนจะก้าวเข้าไปหาเธอ ทอดสายตามองแผ่นหลังของไอลดาที่ดูบอบบางเหมือนทุกวัน แต่วันนี้พิชญ์กลับรู้สึกว่ามันยิ่งเปราะบางเหมือนแก้วร้าวที่พร้อมจะแตกหักได้ทุกเมื่อ ทั้งหมดนี้จะโทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเขา

ไอลดายังคงยืนนิ่ง ๆ ราวกับไม่รับรู้การมาถึงของพิชญ์ แม้จะได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ หญิงสาวกัดริมฝีปากตัวเองจนรู้สึกเจ็บ แต่ความเจ็บทางร่างกายยังไม่อาจเทียบได้กับความเจ็บในใจที่เธอกำลังรู้สึกอยู่

ต่อให้คนทั้งโลกเป็นศัตรูกับเธอ ไอลดาก็มั่นใจมาตลอดว่าอริญชย์จะเป็นคนสุดท้ายที่จะหักหลังเธอ

แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้กลับสั่นคลอนความเชื่อมั่นของเธอที่มีต่อพี่ชายจนไม่มีชิ้นดี

แค่ต้องมารับรู้ว่าพิชญ์มีความสัมพันธ์กับคนอื่น มันก็หนักหนาสาหัสสำหรับเธอแล้ว ความรักที่เคยวาดฝันเอาไว้ไม่ได้จบลงเหมือนในเทพนิยายที่เธอชอบดูตอนเด็ก ๆ สุดท้ายเจ้าหญิงแสนสวยก็ไม่มีใคร ไม่มีแม่เลี้ยงใจร้าย มีแต่เจ้าชายที่ไร้หัวใจ

ไอลดายิ้มออกมาด้วยความขมขื่น พยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้รินไหล แม้อยากจะตีโพยตีพายมากแค่ไหน แต่เธอไม่ได้ถูกสอนมาให้เป็นแบบนั้น เธอเป็นลูกพ่อเท่า ๆ กับอริญชย์ พ่อที่เคยบอกเธอว่า...

‘ถ้าคิดว่ายังทนไหว ก็อย่าปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมา’

เจ็บแค่นี้เธอยังทนไหว ยังหายใจและใช้ชีวิตต่อไปได้อยู่ แล้วทำไมเธอถึงจะต้องปล่อยให้น้ำตาของตัวเองรินไหลออกมา

ไอลดาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เธอไม่ได้นึกอยากมองท้องฟ้าแต่อย่างใด แค่อยากให้น้ำตามันไหลย้อนกลับเข้าไป ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนที่เธอรัก หญิงสาวมองสบตากับพิชญ์ด้วยดวงตาแดงก่ำ ริมฝีปากบิดออกเป็นรอยยิ้มแห่งความขมขื่น

“คุณเล็ก...” พิชญ์หลุดเสียงครางออกมา

ความรวดร้าวในแววตาของไอลดาเมื่อเช้ายังไม่อาจเทียบเท่าตอนนี้ ไอลดาเจ็บช้ำน้ำใจมากแค่ไหน ทำไมพิชญ์จะไม่รู้

“ทำไม...ทำไมถึงทำกับเล็กแบบนี้...”

พิชญ์ขยับจะเดินเข้าไปหาหญิงสาว แต่ไอลดากลับถอยห่างคล้ายจะรังเกียจจนพิชญ์ชะงัก

ความผิดของเขาคงมากมายเกินกว่าจะได้รับการให้อภัย ผิดที่หักหลัง ผิดที่ทรยศต่อความไว้ใจ

“พี่ใหญ่กับพี่พีทหักหลังเล็กทำไม...”

“ผมขอโทษ..”

ไอลดาเหยียดยิ้มออกมาด้วยความสมเพช ขอโทษ...ขอโทษทั้งที่ทำผิดอยู่ตลอด แล้วคำขอโทษของพิชญ์จะมีความหมายอะไร ให้พิชญ์มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่น เธอยังเจ็บน้อยกว่าที่ต้องรู้ว่าพิชญ์มีความสัมพันธ์กับอริญชย์

ตอนเขาบอกว่าไม่รักกัน ผลักไสกัน เธอก็เจ็บ เฝ้าคิดว่าเขาไม่มีหัวใจ

แต่กับพี่ชายของเธอ ทำไม...

ไอลดาไม่ได้ตาบอดจนมองไม่เห็น แม้จะเพียงชั่วแวบเดียวก่อนที่ทุกอย่างจะถูกอริญชย์บดบัง แต่เธอก็เห็นชัดว่าผู้ชายตรงหน้าที่เอาแต่ผลักไสเธอ กลับไม่ผลักไสหรือขัดขืนอริญชย์แม้แต่น้อย ทุกการกระทำมันเป็นไปโดยธรรมชาติ จนกลายเป็นเธอเองที่ถูกผลักออกมาเป็นส่วนเกินอยู่ข้างนอก ทั้ง ๆ ที่เธอมีสิทธิ์ในตัวเขาทุกประการ สิทธิ์ของความเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย แล้วทะเบียนสมรสของเธอจะมีประโยชน์อะไร

เพียะ!!

พิชญ์สะบัดหน้าไปตามแรงตบ เขาไม่คิดจะร้องขอความเห็นใจจากไอลดา ในเมื่อรู้อยู่เต็มอกว่าความผิดของเขาไม่ควรได้รับการให้อภัยแม้แต่น้อย เขาเจ็บตัวยังไม่อาจเทียบกับไอลดาที่เจ็บใจ

“หักหลังเล็กกันมานานแค่ไหนแล้ว...”

แม้น้ำตาของไอลดาจะไม่ได้ไหลออกมาอีก แต่พิชญ์คงไม่รู้ว่าหยาดหยดแห่งความเสียใจมันกลั่นตัวทับถมอยู่ในอกของไอลดามากเท่าไหร่

ไอลดาไม่ได้รังเกียจความรักของเพศเดียวกัน เธอเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่พอ และที่สำคัญ อะไรที่เป็นความสุขของพี่ชาย เธอย่อมเห็นดีเห็นงามด้วยเสมอ แต่ทำไมความสุขของอริญชย์คือการพรากเอาความสุขของเธอไป

“พี่พีทรู้ไหมว่าเล็กเจ็บ เจ็บจนแทบจะขาดใจ”

พิชญ์ได้แต่ยืนนิ่ง จนด้วยคำพูด จะเอ่ยถ้อยคำใดออกไปก็คงไม่ต่างอะไรกับการแก้ตัว จะพร่ำขอโทษซ้ำ ๆ มันก็คงไม่มีความหมายอะไร

“คุณเล็ก...”

“เล็กโกรธ เล็กเสียใจ เล็กเจ็บ จนอยากจะให้พี่พีทเจ็บเหมือนกัน อยากจะฆ่าพี่พีทให้ตายคามือเล็ก แต่เล็กก็ทำไม่ได้ เพราะอะไรรู้ไหมคะ...” เธอยิ้มขื่นเมื่อเห็นพิชญ์ส่ายหน้า “เพราะเล็กรักพี่พีทมากเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้ ที่ผ่านมาเล็กถึงได้ยอมเจ็บมาตลอด แค่ขอให้มีพี่พีทอยู่ข้าง ๆ”

พิชญ์อยากเอื้อมมือไปปลอบไอลดาเหมือนที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ ฝ่ามือและอ้อมกอดของเขาคงไม่อาจให้ความอบอุ่นกับไอลดาได้อีกแต่ไป รังแต่จะทำร้ายเธอให้เจ็บช้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายแล้วจึงทำได้เพียงทิ้งแขนสองข้างลงแนบลำตัว

ไอลดาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เธอนึกอยากให้พิชญ์มีความสัมพันธ์กับคนอื่น ใครก็ได้ที่ไม่ใช่อริญชย์ อย่างน้อยเธอจะได้ไม่ต้องรู้สึกเหมือนกำลังถูกหักหลังอยู่แบบนี้ และที่สำคัญ ถ้าเป็นคนอื่นเธอคงไม่ต้องมีความเกรงใจใด ๆ ให้ แต่เพราะอีกฝ่ายคืออริญชย์ พี่ชายที่เป็นเหมือนพ่อ เป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ สิ่งเดียวที่ไอลดาจะทำได้ ก็คือการใช้ศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดแล้วเลือกที่จะเป็นฝ่ายเดินจากไป แค่ต้องทนเห็นหน้าอริญชย์กับพิชญ์ ต้องคิดถึงสิ่งที่พวกเขาทำกับเธอ เธอก็เจ็บจนแทบทนไม่ได้

ไอลดาเคยจินตนาการถึงคนที่จะมาเป็นพี่สะใภ้ไว้หลากหลายแบบ แต่ให้ตาย ยังไงก็ไม่ใช่พิชญ์ ไม่ใช่ผู้ชายของเธอ

เขาว่ากันว่าพี่น้องมักจะมีอะไรบางอย่างที่คล้ายกัน แต่ทำไม...ทำไมเธอกับพี่ชายถึงต้องรักผู้ชายคนเดียวกัน

“อย่าหวังให้เล็กให้อภัยง่าย ๆ เลย เล็กทำไม่ได้จริง ๆ และเล็กก็คงทนอยู่กับอะไรเดิม ๆ ไม่ได้”

“แล้วคุณเล็กจะไปอยู่ที่ไหน”

“เล็กยังไม่รู้ แต่คงเป็นที่ ๆ ที่ไม่มีพี่ใหญ่ ไม่มีพี่พีท ไม่มีคนสองคนที่หักหลังเล็กมาตลอด”

ทุกถ้อยคำที่หลุดออกมาจากริมฝีปากบาง แทนคำยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าไอลดาคงไม่คิดที่จะให้อภัยพิชญ์ง่าย ๆ กับอริญชย์ เธออาจจะตัดพี่ชายอย่างเขาไม่ขาด แต่สำหรับพิชญ์ เธอยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้าและอยู่ใกล้ ๆ เขาในตอนนี้

ไม่ใช่แค่พิชญ์คนเดียวที่ไม่รักเธอ วันนี้ไอลดารู้แล้ว ว่าแม้แต่เธอก็ไม่เคยรักตัวเอง

เธอถึงได้ปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความเจ็บปวด อยู่กับคนที่ไม่รักกันอย่างพิชญ์มานานขนาดนี้

“เล็กไม่ได้รังเกียจความรักเพศเดียวกัน แต่ทำไม...ทำไมต้องเป็นพี่พีทกับพี่ใหญ่...”

“ผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย”

“ถ้าอีกคนไม่ใช่พี่ใหญ่ เล็กอาจจะทำอะไรร้าย ๆ จนพี่พีทคาดไม่ถึงก็ได้ แต่เล็กก็ไม่กล้ารับประกันเหมือนกัน เพราะงั้นให้เล็กไปเถอะ”

“แล้วผมจะติดต่อคุณเล็กได้ยังไง”

“ไม่ต้องติดต่อเล็กหรอกค่ะ เล็กไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะลืมอะไรร้าย ๆ และทำใจยอมให้อภัยพี่พีทกับพี่ใหญ่ได้ ยังไงก็ฝากดูแลน้องหนูด้วย ถึงพี่พีทจะเป็นสามีที่เลว แต่เล็กรู้ว่าพี่พีทเป็นพ่อที่ดีมาตลอด ช่วยเป็นพ่อที่ดีต่อไปด้วยนะคะ เล็กอาจจะเห็นแก่ตัวที่ทิ้งน้องหนูไป แต่พี่พีทก็เห็นแก่ตัวกับเล็กไม่ต่างกันหรอก...จริงไหมคะ”

“แล้วคุณใหญ่กับคนอื่น ๆ ล่ะครับ”

“พี่ใหญ่เขารู้ดีว่าเขาไม่จำเป็นต้องห่วงเล็ก”

ที่ผ่านมาไอลดาอาจจะตัดสินใจผิดพลาดมาตลอด แต่อย่างน้อยการตัดสินใจพาตัวเองออกมาจากความเจ็บปวดต่าง ๆ ในครั้งนี้ อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตเธอ คงจะไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีก แม้อยากจะกอดพิชญ์มากแค่ไหน เธอก็ได้แต่ห้ามใจไว้แล้วเอ่ยออกมาเสียงเรียบ ๆ

“ฝากดูแลน้องหนูด้วยนะคะ เล็กคงไม่อวยพรให้พี่ใหญ่กับพี่พีทโชคดี เพราะเล็กไม่เคยอยากให้สามีกับพี่ชายตัวเองรักกัน...ไม่เคยเลยซักครั้ง”

พิชญ์ได้แต่ยืนนิ่ง จิกเล็บเข้ากับฝ่ามือตัวเองจนเจ็บ เขาในวันนี้ไม่มีเรี่ยวแรงจะทัดทานไอลดา ทำได้เพียงปล่อยให้ไอลดาเดินจากไป

ไอลดาฉลาด ที่เลือกจะกดพิชญ์ให้จมอยู่กับความรู้สึกผิดช้า ๆ และความรู้สึกผิดบาปในใจของพิชญ์คงไม่มีวันเลือนหายไปจนกว่าไอลดาจะกลับมา

ไอลดาปล่อยให้พิชญ์ยืนจมอยู่กับความคิดของตัวเองตามลำพังก่อนจะเดินจากมา ทุกย่างก้าวของหญิงสาวมั่นคง บ่งบอกว่าเจ้าตัวตัดสินใจแน่วแน่แล้วที่จะเดินจากไป แม้ข้างในใจจะเจ็บปวดจนแทบจะล้มทั้งยืน หญิงสาวพาตัวเองเดินมาตามทางช้า ๆ ก่อนจะต้องหยุดชะงักเมื่อเจอกำแพงสูงใหญ่ขวางเอาไว้

ดวงตาสองคู่มองสบกัน คนเป็นน้องสาวมองพี่ชายอย่างตัดพ้อก่อนจะเบือนหน้าหนี เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น ความเข้มแข็งต่าง ๆ ก็เหมือนถูกพังทลาย ไอลดาโผเข้ากอดพี่ชายตัวเองแน่น กำปั้นเล็ก ๆ ระรัวทุบอกพี่ชายตัวเองไปมาโดยที่อริญชย์เองก็ไม่ได้ขัดขืน

“ถ้าทำร้ายพี่แล้วเธอสบายใจขึ้นก็ทำไปเถอะ...”

“เล็กเกลียดพี่ใหญ่ เกลียดที่สุด!” หญิงสาวกระซิบเสียงอู้อี้อยู่กับอกของผู้เป็นพี่ชาย น้ำตาที่แห้งเหือดไป รินไหลลงมาอีกครั้ง

“เกลียดให้ตาย พี่ก็เป็นพี่เธอ”

ผู้ชายคนที่แย่งเอาคนรักเธอไป สุดท้ายก็คือผู้ชายคนเดียวที่เธอรักและรักเธอที่สุด

“จะทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รักเธอไปทำไม”

“พี่ใหญ่ใจร้าย แย่งของ ๆ เล็ก”

“ของที่ไม่คู่ควรกับเธอ เธอจะเก็บเอาไว้ทำไม แล้วที่สำคัญ ถึงพ่อจะเคยสอนว่าเป็นพี่ต้องรักน้อง แต่พ่อไม่เคยสอนให้พี่เสียสละให้น้อง เราต่างมีของที่ควรจะเป็นของเรา เพียงแต่เธอยังหาของ ๆ เธอไม่เจอ”

“เล็กเกลียด เกลียดพี่ใหญ่ที่สุด!” ไอลดาแผดเสียงออกมาเหมือนยามเป็นน้องน้อยตัวเล็ก ๆ ที่พอไม่ได้ดั่งใจก็จะกระทืบเท้าเร่า ๆ

ถ้าผู้ชายที่กำลังกดเธอให้จมลึกลงไปในอ้อมกอดอันอบอุ่นไม่ใช่พี่ชายของเธอ รับรองเลยว่าไอลดาจะไม่มีทางยอมให้เขามาทำกับเธอแบบนี้แน่ ๆ แต่เพราะเป็นอริญชย์ สุดท้ายคนที่ต้องเป็นฝ่ายเดินจากไปจึงเป็นเธอ

เธอไม่ได้ยอมแพ้ แต่เธอสู้ไม่ได้และเธอก็ไม่คิดที่จะสู้ แค่ผู้ชายคนนี้เท่านั้นที่ไอลดาไม่คิดอยากจะสู้ด้วย

ไอลดาดันตัวเองออกจากอ้อมกอดแข็งแรง ยกมือปาดน้ำตาช้า ๆ มองสบตาพี่ชายเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ อริญชย์ก็รับรู้ถึงความตั้งใจของน้องสาวได้เป็นอย่างดี เขาปล่อยให้เธอเดินจากไปเงียบ ๆ

“ถ้าสบายใจเมื่อไหร่ก็กลับมา...”

ไม่ใช่ว่าไม่เป็นห่วง แต่อริญชย์รู้ดีว่าต่อให้ไอลดาจะหนีไปไกลแค่ไหน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะหาเธอเจอ

ในเวลานี้ สิ่งที่ไอลดาต้องการมีแค่เพียงการพักผ่อนและทบทวนความคิดของตัวเองเงียบ ๆ แล้วเธอจะได้รู้ว่าเจ็บปวดที่สุดครั้งเดียวในวันนี้ดีกว่าต้องทนเจ็บตลอดไป ในเมื่ออะไร ๆ ก็ไม่อาจหวนกลับไปแก้ไขได้แล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือพยายามเรียนรู้และอยู่กับมัน ในเมื่อเขาไม่มีวันปล่อยพิชญ์ไป ไอลดาก็ต้องยอมรับความสัมพันธ์ของเขากับพิชญ์ให้ได้ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ตาม

อริญชย์รักน้องสาวมาก แต่ขณะเดียวกัน...เขาก็รักพิชญ์มากเช่นกัน

เขาเป็นพี่ชายที่ดีพอที่จะเปิดโอกาสให้น้องสาวก่อน ในเมื่อไอลดาไม่สามารถทำให้พิชญ์รักได้ โอกาสจึงถูกส่งต่อมาที่เขา แม้คำว่ารักจะไม่เคยหลุดออกมาจากริมฝีปากพิชญ์ แต่อาการโอนอ่อนและตอบสนองพิชญ์ก็ทำให้อริญชย์มั่นใจว่าตัวเองกำลังถือไพ่เหนือกว่า

หลังจากนี้...เขาเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องของเขากับพิชญ์แค่สองคน



.



ฝ่ามือหนาแตะลงบนบ่าของพิชญ์เบา ๆ เจ้าของบ่าสะดุ้งสุดตัว พอหันกลับมาเห็นว่าเป็นอริญชย์ก็ถอยหลังหนีทันที ก่อนจะรู้ตัวว่าหมดทางหนีก็ตอนที่หลังของเขาสัมผัสกับราวระเบียง

“จะเอาอะไรกับผมอีก ยังไม่สาแก่ใจคุณหรือไง ทุกอย่างมันพังทลายลงไปหมดแล้ว”

ฝ่ามือแข็งแรงเอื้อมากระชากทีเดียว พิชญ์ก็ปลิวเข้ามาในอ้อมกอดของอริญชย์ พิชญ์เป็นผู้ชายที่รูปร่างสูงตามมาตรฐานชายไทยทั่วไป แต่พอมาเทียบกับคนที่รูปร่างสูงใหญ่อย่างอริญชย์แล้ว เขาจึงดูตัวเล็กไปถนัดตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่ถูกอีกฝ่ายกอดจนจมไปกับอกอย่างตอนนี้

“หยุดมองฉันในแง่ร้ายซักครั้งได้ไหม”

“คุณทำร้ายผมยังไม่พอ คุณทำร้ายคุณเล็กทำไม”

อริญชย์เหยียดริมฝีปากเป็นเส้นตรง ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่กรีดลงกลางใจพิชญ์

“ใครกันแน่ที่ทำร้ายยัยเล็ก นายต่างหากที่ไม่ได้รักยัยเล็ก แต่ไม่เคยคิดที่จะปล่อยยัยเล็กไป เพราะห่วงแต่ความรู้สึกของน้องหนู แล้วตอนนี้นายจะมาเสียใจทำไม ในเมื่อที่ผ่านมานายก็ไม่เคยรักยัยเล็กเลย เราแต่ละคนก็เห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งหมดนั่นแหล่ะ”

ทุกสิ่งที่อริญชย์พูดมาถูกต้องทุกอย่าง ถึงแม้พิชญ์จะไม่เคยรักไอลดา แต่พิชญ์ก็ไม่คิดอยากหย่าขาดจากเธอ ไม่อยากสูญเสียเธอไป เพราะน้องหนู พิชญ์รักน้องหนูมากเกินกว่าจะยอมเห็นลูกสาวตัวน้อยเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นการทำร้ายไอลดา แต่เขาก็ยังทำ

ท้ายที่สุดแล้ว พิชญ์เองก็ผิดไม่ต่างจากอริญชย์ ถ้าเขาเลือกที่จะปฏิเสธอริญชย์ในวันนั้น วันที่อีกฝ่ายหยิบยื่นข้อเสนอแกมบังคับให้เขาแต่งงานกับไอลดา ทุกอย่างคงไม่เป็นอย่างวันนี้ เขาเองก็มีส่วนที่ทำให้เรื่องทุกอย่างต้องดำเนินมาถึงจุดที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น พิชญ์ก็ยังเลือกที่จะโทษว่าความผิดส่วนใหญ่มันเป็นของอริญชย์

“ผมเกลียดคุณ!”

“เกลียดแค่ไหน ฉันก็จะไม่ยอมปล่อยมือจากนายเด็ดขาด” เขาหมายความตามที่ตัวเองพูดทุกอย่าง

พิชญ์ไม่รู้ว่าหลังจากนี้เรื่องราวระหว่างเขาและอริญชย์จะเป็นอย่างไรต่อไป พิชญ์รู้แค่เพียงอย่างเดียวว่า...เขาจะรักอริญชย์ได้อย่างไร ถ้าไอลดายังไม่ให้อภัยเขาสองคน




TO BE CONTINUE



ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ค่า ^^
คุณใหญ่แกล้งน้อง คุณใหญ่ไม่อ่อนโยนเลย
ตอนนี้ต้องกอดปลอบคุณเล็ก ปมจะเริ่มเฉลยทีละนิดแล้วค่า

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ Tassanee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
บอบช้ำทั้งกายและใจ    แต่อย่างน้อยทุกอย่างก็ชัดเจน

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
..​ถึงพ่อจะเคยสอนว่าเป็นพี่ต้องรักน้อง แต่พ่อไม่เคยสอนให้พี่เสียสละให้น้อง..!!

พี่ใหญ่อย่างโหดเลย ทำกับน้องเล็กได้แสบมาก
แต่ก็เป็นการดีแล้วที่จะไม่คาราคาซังเป็นรักสามเศร้าอยู่แบบนี้ ขอให้คุณเล็กโชคดีเจอคนรักจริงนะ ส่วนพีทดูแล้วคงยังดื้อกับคุณใหญ่ต่อไปเรื่อยๆ แน่ เหนื่อยหน่อยนะคุณใหญ่จอมเจ้าเล่ห์ :z1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ casson

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คุณใหญ่โหดจริง

แล้วพีทจะทำยังไงต่อไป

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เห้ออ *ถอนหายใจ* แต่ดีแล้ววันนี้มาถึงสักที ให้รู้จบๆกันไปเลย เห็นใจทุกคนอะนะ ยังไงก็ขอให้ไอลดาทำใจและยอมรับมันในเร็ววันละกัน มันไม่ใช่ก็คือมันไม่ใช่ หลังจากนี้มันก็เป็นแต่เรื่องของเรา ของคุณใหญ่คนเดียวซะมากกว่านะ 555555 จะยังไงต่อไปละเนี้ย เส้นทางความรักนี้อีกยาวไกล นี่ดีนะ ช่วงนี้งานไม่เข้าจากศัตรู ถ้าเข้าพร้อมกัน ปัญหาภายนอกภายใน คุณใหญ่กุมขมับ 5555555 ขอบคุณนะคะที่แต่งมาาต่อ สนุกมาก ชอบ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
สิบเก้า
คนข้างหลัง


ตุลย์เพิ่งจะวางสายโทรศัพท์จากกริชได้ห้านาที ตอนเห็นไอลดาเดินเร็ว ๆ ผ่านหน้าเขาพร้อมคราบน้ำตาที่เอ่อคลอดวงตาคู่สวย คนสนิทของอริญชย์เผลอหลุดสบถออกมาเบา ๆ ในลำคอ ขยับขาเตรียมจะก้าวตามหลังคนที่เขารักและเอ็นดูเหมือนน้องสาวด้วยความเป็นห่วง แต่คำสั่งดุดันจากอริญชย์ยังดังก้องอยู่ในหู บังคับให้ตุลย์ต้องฝืนตรึงตัวเองอยู่กับที่

‘ถ้าไม่ยอมเจ็บปวดวันนี้ แล้วเมื่อไหร่จะแยกความฝันออกจากความจริงได้’

สิ่งที่อริญชย์พูดมาล้วนแล้วแต่ถูกต้องจนตุลย์ไม่สามารถหาเหตุผลมาหักล้างได้ ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่ไขว่คว้าอยู่มันเป็นแค่เพียงความฝัน ไอลดาก็ยังยึดติดอยู่กับมันจนไม่ยอมหันกลับมามองความเป็นจริง แต่อย่างน้อยอริญชย์ก็ควรจะรู้ว่าไอลดาเป็นผู้หญิง ถึงจะถูกเลี้ยงดูมาให้เข้มแข้งมากแค่ไหน เนื้อแท้แล้วเธอก็เป็นแค่เพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่เหล็กไหลที่ไม่รู้จักเจ็บไม่รู้จักปวด ในเมื่อไม่อาจยื่นมือเข้าไปก้าวก่ายได้อย่างที่ใจคิด ตุลย์จึงทำได้เพียงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดเบอร์เดิมซ้ำ หวังจะให้อีกคนทำหน้าที่แทนเขา

“คุณเล็กออกไปแล้ว ตามไปห่าง ๆ แล้วคอยส่งข่าวมาบอกฉันเป็นระยะ”

ตุลย์ไม่ได้ทำเกินหน้าที่เลยแม้แต่น้อย เพราะอริญชย์เป็นคนมอบหมายให้กริชคอยดูแลไอลดาให้ดี ในฐานะพี่ชายอีกคนที่รักและเป็นห่วงไอลดา ตุลย์ก็แค่โทรไปกำชับกริชอีกครั้ง เขาคุยกับกริชอยู่อีกสองสามประโยคก่อนจะวางสายเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายเจอไอลดาแล้ว

ตุลย์ยัดโทรศัพท์มือถือกลับเข้ากระเป๋ากางเกงลวก ๆ เตรียมจะหันหลังกลับเข้าห้องไปเฝ้าน้องหนูต่อ แต่ยังไม่ทันได้เปิดประตูกลับเข้าไปในห้องพักคนป่วยอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ เขาก็เกือบจะหลุดเสียงสบถออกมาอีกรอบ เมื่อคราวนี้เป็นพิชญ์ที่ก้าวเร็ว ๆ มาเปิดประตูห้องตัดหน้าเขา ก่อนจะปิดประตูกระแทกใส่หน้าตุลย์

ไม่มีเวลาให้งง ไม่มีเวลาให้สงสัย ร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นนายก็เดินตามหลังพิชญ์มาติด ๆ ประตูห้องพักคนป่วยถูกกระชากให้เปิดออกอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้อริญชย์ไม่ได้ปิดมันใส่หน้าเขา ตุลย์เลยรีบก้าวเท้าตามเข้าไปก่อนจะต้องถอนหายใจออกมาแรง ๆ เมื่อเจอบรรยากาศอึมครึมภายในห้อง

พิชญ์ที่เดินเข้าห้องมาเป็นคนแรก พุ่งตัวไปยึดที่ว่างข้างเตียงคนป่วย ลากเก้าอี้มานั่งใกล้ ๆ แล้วกุมมือน้องหนูขึ้นมาแนบแก้มโดยไม่สนใจไยดีอะไรอีก ราวกับในห้องนี้มีเพียงแค่เขากับน้องหนู ส่วนเจ้านายคนดีของตุลย์ก็ทำทีเป็นทิ้งตัวลงบนโซฟาแรง ๆ จนเกิดเสียงดัง แต่ก็ยังไม่อาจเรียกร้องความสนใจจากพิชญ์ให้หันมามองได้

ตุลย์ถอนหายใจยาว นึกอยากจะกลั้นใจตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไป เผื่อฟื้นขึ้นมาอีกที อะไร ๆ อาจจะดีขึ้น เขาได้แต่ยืนสังเกตสถานการณ์อยู่ห่าง ๆ ถึงไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่เขาก็พอจะเดาเรื่องราวทั้งหมดได้

บทละครเรื่องนี้ของอริญชย์มันไม่มีทางออกอย่างอื่น นอกเสียจากมีใครคนหนึ่งต้องจากไป ไอลดาไม่ได้ถูกวางตัวมาให้รับบทนางเอกผู้เสียสละตั้งแต่แรก แค่คนที่รู้จักนิสัยใจคอของน้องสาวตัวเองดีอย่างอริญชย์ เป็นฝ่ายใช้ศักดิ์ศรีที่กินไม่ได้มาบีบบังคับให้เธอต้องจากไปทางอ้อม ส่วนเรื่องราวหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับใจของพิชญ์และอริญชย์เท่านั้น

และถึงแม้ไอลดาจะเป็นฝ่ายเลือกเดินจากไป แต่เธอก็ฉลาดพอที่จะทิ้งก้อนเนื้อแห่งความรู้สึกผิดเอาไว้ในใจของพิชญ์

อาจจะต้องใช้เวลา อาจจะต้องใช้ความพยายาม หรือแม้กระทั่งเล่ห์กลต่าง ๆ แต่ตุลย์รู้ดีกว่าใครว่า ถ้าคนอย่างอริญชย์เทลงไปหมดหน้าตักแล้ว เขาจะไม่ยอมสูญเสียอะไรไปอีก

อริญชย์คว้ารีโมทมากดเปิดโทรทัศน์โดยไม่ลืมที่จะหรี่เสียงให้เบาลง อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าหลานสาวตัวน้อยกำลังนอนหลับอยู่ อริญชย์กดเปลี่ยนช่องไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีเป้าหมาย ก่อนจะกดหยุดที่ช่องข่าว แต่สาบานเถอะ ความสนใจของอริญชย์ไม่ได้อยู่ที่ข่าวในโทรทัศน์เลยแม้แต่น้อย มันเทไปอยู่ที่พ่อของหลานสาวตัวน้อยที่กำลังนั่งหันหลังให้เขาราวกับไม่อยากจะเห็นหน้ากัน

เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีใครคิดจะพูดอะไร มีเพียงความอึดอัดของตุลย์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องขยับตัวไปมา ให้อริญชย์กับพิชญ์ลุกขึ้นมายืนเถียงกันหน้าดำหน้าแดง ตุลย์ยังรู้สึกดีกว่าการที่ต่างฝ่ายต่างเงียบจนมีแค่เพียงเสียงของความอึดอัดที่ดังก้องกังวาน แม้อยากจะพาตัวเองออกไปจากบรรยากาศอึมครึมตรงหน้ามากแค่ไหน แต่ตุลย์ก็จำเป็นต้องอยู่ เขาไม่รู้ว่าอริญชย์จะบ้าดีเดือดขึ้นมาอีกเมื่อไหร่

...อริญชย์ไม่ใช่คนบ้า ยกเว้นแค่เรื่องของพิชญ์

พอเป็นเรื่องของพิชญ์ขึ้นมาทีไร เจ้านายคนเก่งของตุลย์ก็มักจะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองได้ง่าย ๆ

หลังจากทนนั่งอยู่ด้วยความอึดอัดมาเกือบค่อนวัน โดยไม่มีใครคิดจะเอ่ยอะไรออกมา ราวกับสงครามจิตวิทยาที่กำลังหาว่าใครจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเป็นคนแรก ในที่สุดพระเจ้าก็เห็นใจตุลย์ที่รับใช้เจ้านายด้วยความซื่อสัตย์และภักดีมาตลอด เสียงเคาะประตูห้องถึงได้ดังขึ้นตอนบ่ายแก่ ๆ ก่อนที่คุณหมอเจ้าของไข้และคุณพยาบาลจะเยี่ยมหน้าเข้ามาเพื่อดูอาการคนไข้ตัวน้อยที่ยังคงนอนหลับสนิท

รีโมทในมือถูกอริญชย์ใช้กดปิดโทรทัศน์ทันทีทันใดราวกับกำลังรอจังหวะนี้อยู่ ส่วนพิชญ์ก็ค่อย ๆ ขยับตัวออกห่างจากเตียง เปิดทางให้คุณหมอได้เข้าไปดูอาการของน้องหนูได้อย่างถนัด

“หลับตั้งแต่ทานยาเลยใช่ไหมครับ”

“ครับ”

คนตอบไม่ใช่พ่อของน้องหนู แต่เป็นคุณลุงที่ปราดมายืนข้างคุณหมอด้วยความรวดเร็ว น้องหนูขยับตัวน้อย ๆ เมื่อถูกคุณหมอตรวจร่างกาย ดวงตากลมโตปรือขึ้นมามองเพียงชั่วครู่ก่อนจะผล็อยหลับต่อด้วยความอ่อนเพลียจากฤทธิ์ยา

“อาการดีขึ้นกว่าเมื่อเช้าแล้ว  แต่หมอคงต้องขอให้อยู่ดูอาการอีกซักหน่อย เผื่อมีอาการแทรกซ้อนจะได้รีบรักษาได้ทันท่วงที”

“แล้วจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่ครับ”

“ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนให้น่าเป็นห่วง มะรืนนี้ก็กลับได้แล้วครับ เดี๋ยวตอนเย็นพยาบาลจะแวะเอายาหลังอาหารเข้ามาให้อีกที ค่อยปลุกแกขึ้นมาทานยาตอนนั้นก็ได้ครับ ตอนนี้คงต้องให้นอนพักผ่อนเยอะ ๆ”

“ครับ ขอบคุณคุณหมอมากนะครับ”

คล้อยหลังคุณหมอกับพยาบาลไม่ทันไร ห้องทั้งห้องก็กลับมาอยู่ภายใต้บรรยากาศอึมครึมอีกครั้ง ตุลย์ที่ยืนอยู่มุมห้องได้แต่นึกอิจฉาน้องหนูที่นอนหลับไม่รู้เรื่องขึ้นมาตงิด ๆ อย่างน้อยก็ไม่ต้องมารับรู้เรื่องราวของพวกผู้ใหญ่ที่ไม่รู้ว่าจะระเบิดอารมณ์ขึ้นมาตอนไหน

พิชญ์เองก็ขยับตัวไปมาด้วยความอึดอัดไม่ต่างจากตุลย์ เขายังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับอริญชย์ ไม่พร้อมจะสนทนากัน ไม่พร้อมจะอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม คนที่หักหลังและทรยศไอลดาอย่างเขา ไม่มีหน้ามายืนอยู่ตรงนี้เลยจริง ๆ สิ่งเดียวที่ทำให้พิชญ์ยังหน้าด้านหน้าทนอยู่ต่อไปแม้จะนึกละอายแก่ใจตัวเองก็คงเป็นเพราะน้องหนู

สุดท้ายพิชญ์ก็ต้องยอมพ่ายแพ้แก่ความอึดอัดในใจ ชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียง กำลังจะเดินผ่านหน้าอริญชย์ที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ถูกอีกฝ่ายรั้งข้อมือเอาไว้ ดวงตาดำจัดจ้องมองพิชญ์เขม็งพร้อม ๆ กับเพิ่มแรงบีบที่ข้อมือ น้ำเสียงที่เอ่ยถามดุดันพอ ๆ กับสายตาที่มองมา

“จะไปไหน”

“ผมจะลงไปดูของกินข้างล่าง” พิชญ์เอ่ยตอบเสียงเรียบ ๆ โดยไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าอริญชย์

“อยู่ที่นี่ จะเอาอะไรเดี๋ยวให้ตุลย์ไปซื้อให้”

พอได้ยินคำสั่งเชิงบังคับของอริญชย์ พิชญ์ก็สะบัดมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายทันที เขาหันมาจ้องตาอริญชย์ด้วยความโมโห แต่ทำได้เพียงชั่วครู่ก็ต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี พยายามสะกดกลั้นโทสะที่แล่นริ้วขึ้นมาให้มอดดับลงไปเพราะนึกเกรงใจตุลย์ที่อยู่ในห้องด้วย

“หยุดทำเหมือนผมเป็นนักโทษเสียทีเถอะคุณใหญ่” พิชญ์เอ่ยทิ้งท้ายเอาไว้เสียงห้วนก่อนจะเดินออกจากห้อง ปล่อยน้องหนูเอาไว้กับอริญชย์และตุลย์

อริญชย์ที่ตั้งสติได้ขยับจะก้าวขาตามพิชญ์ไปติด ๆ อย่างที่ใจคิด ก่อนจะต้องตวัดตามองตุลย์ที่เอาตัวเข้ามาขวางทางเขาอย่างโกรธ ๆ

“หลบไป!”

ตุลย์ได้แต่ถอนหายใจออกมา มันผิดจากที่เขาปรามาสไว้เสียที่ไหนล่ะ พอเป็นเรื่องของพิชญ์ขึ้นมา อริญชย์ก็บ้าดีเดือดได้โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน

“คุณใหญ่จะตามคุณพีทไปทำไม คุณพีทไม่ใช่นักโทษนะครับ”

“ฉันก็ไม่ได้คิดว่าพีทเป็นนักโทษ ฉันแค่เป็นห่วง เห็นท่าทางเหนื่อย ๆ หน้าซีด ๆ แบบนั้น เกิดไปล้มคว่ำอยู่ข้างล่างขึ้นมาจะทำยังไง”

ตุลย์เกือบจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ดีว่ายั้งตัวเองไว้ทัน ทีแบบนี้ทำมาเป็นห่วงร่างกายของพิชญ์ ทีเวลาทำร้ายจิตใจพิชญ์ ทำไมอริญชย์ถึงไม่เคยนึกห่วงความรู้สึกอีกฝ่ายบ้าง

“คุณพีทเขาไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอกครับ แล้วที่สำคัญ...” ตุลย์เว้นช่วงคำพูดไว้เล็กน้อยก่อนจะเอ่ยให้ผู้เป็นนายได้ฉุกใจคิด “...ตอนนี้เขาคงอยากอยู่คนเดียวมากกว่า”

อริญชย์ขยับจะเถียง แต่เถียงไปก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะดูแล้วตุลย์คงไม่ยอมให้เขาตามพิชญ์ไปง่าย ๆ อยากรู้จริง ๆ ว่าตกลงแล้วใครเป็นเจ้านายใครเป็นลูกน้องกันแน่

“นายนี่รู้ใจพีทดีจนฉันชักเริ่มจะระแวงแล้วนะ”

ตุลย์ยิ้มเรื่อย ๆ เข้าใจอารมณ์พาลพาโลของเจ้านายเป็นอย่างดี เลยไม่คิดถือสาหาความคำพูดของอริญชย์

“ผมก็แค่พูดในสิ่งที่คุณใหญ่มองข้ามไปหรืออาจจะไม่ได้ทันฉุกใจคิด”

อริญชย์เหยียดยิ้มออกมา เขารู้ว่าแท้ที่จริงแล้วตุลย์เองก็เป็นห่วงเขา ไม่อยากให้เขาทำทุกอย่างพังเพราะอารมณ์ร้อน ๆ ของตัวเอง อริญชย์ยอมรับตามตรงเลยว่า พอเป็นเรื่องของพิชญ์ทีไร เขาก็มักจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ กลัวไปหมดทุกอย่างกับความรักครั้งนี้ที่ทุ่มเทลงไป กลัวแม้กระทั่งยอมทำอะไรร้าย ๆ หวังเพียงให้ได้อยู่ใกล้พิชญ์

อริญชย์ยอมทิ้งตัวลงบนโซฟาเหมือนเดิม เขาไม่ได้คิดว่าพิชญ์เป็นนักโทษแม้แต่น้อย ก็แค่ห่วง ห่วงมากจนไม่อยากให้คลาดสายตาไปไหน ชายหนุ่มสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านราวกับเด็กหนุ่มวัยรุ่นริรักของตัวเอง มือหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แค่ทำท่าจะกดหมายเลขโทรออก ตุลย์ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างรู้ใจ

“ผมโทรไปกำชับกับกริชแล้วว่าให้คอยตามดูคุณเล็ก กริชเพิ่งส่งข้อความมาบอกผมว่าคุณเล็กจองตั๋วเครื่องบินไปฝรั่งเศสเมื่อชั่วโมงที่แล้ว”

“ก็ดี ปล่อยให้ไปพักผ่อนเสียบ้าง เผื่อกลับมาแล้วจะดีขึ้น”

อริญชย์รู้ดีว่าเขาเป็นพี่ชายใจร้าย ผลักไสให้ไอลดาออกไปยืนหยัดตามลำพัง แต่ไอลดาอยู่กับความฝันลม ๆ แล้ง ๆ มานานมากพอแล้ว ความฝันมันมักจะดูสวยงามจนทำให้คนเรามองข้ามความจริงที่อยู่ตรงหน้า ทั้ง ๆ ที่รู้ ทั้ง ๆ ที่สอนไอลดาไปอย่างนั้น แต่อริญชย์ก็ต้องแค่นยิ้มออกมาด้วยความสมเพชตัวเอง

เพราะไม่ใช่แค่ไอลดาคนเดียวที่ยึดติดอยู่กับความฝันลม ๆ แล้ง ๆ เขาเองก็ไม่ต่างกัน เฝ้าฝันว่าซักวันพิชญ์จะหันมารักกันบ้าง

อริญชย์รู้ดีว่าตัวเองเป็นคนโลภมาก เขาไม่ได้ต้องการแค่ขอบใจ ไม่ใช่แค่อยากอยู่ในสายตา แต่เขาต้องการทั้งหมดของพิชญ์...ทั้งตัวและหัวใจ!



.



ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25

พิชญ์กดลิฟต์ลงมาชั้นล่างของโรงพยาบาล เห็นเงาตัวเองสะท้อนออกมาจากกระจกในลิฟต์แล้วก็ต้องยิ้มขื่น ๆ อย่างนึกสมเพช หน้าตาเขาตอนนี้ทั้งซีดเซียวและอิดโรยยิ่งกว่าคนป่วยเสียอีก

พอประตูลิฟต์เปิดออก พิชญ์ก็เดินเรื่อย ๆ มาตามทาง ที่บอกกับอริญชย์ว่าจะลงมาดูของกินมันก็เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น เขาแค่อยากหลบหน้าอริญชย์ออกมา พิชญ์ถอนหายใจช้า ๆ ในเมื่อไม่คิดจะไปเดินดูของกินข้างนอกโรงพยาบาล เขาเลยเลือกที่จะเดินเลี้ยวเข้าร้านคอฟฟี่ช็อปเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของโรงพยาบาล หยุดยืนไล่สายตาไปตามรายการเครื่องดื่มที่ติดอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ ก่อนจะตัดสินใจสั่งกาแฟแก้วโปรดของตัวเอง

“ขอคอร์ตาโดที่นึงครับ”

พิชญ์ประคองแก้วกาแฟร้อนไว้ในอุ้งมือก่อนจะเดินมานั่งตรงมุมในสุดของร้าน อย่างน้อยถ้าเกิดอริญชย์ตามเขาลงมาจะได้มีเวลาให้เขาได้เตรียมตัวเตรียมใจบ้าง พิชญ์ไม่ได้นึกกลัวอริญชย์แม้แต่น้อย คนอย่างเขายังมีอะไรให้ต้องหวาดกลัวอีก เขาแค่อยากอยู่ตามลำพัง ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอริญชย์หรือแม้กระทั่งตุลย์ในตอนนี้

ความรู้สึกผิดบาปยังเกาะกินอยู่เต็มหัวใจ แม้อยากจะเอื้อมมือไขว่คว้าไอลดากลับมาแค่ไหน แต่พิชญ์ก็รู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิด เขาจะกล้าดึงเธอกลับมาได้อย่างไร ในเมื่ออ้อมกอดของเขาไม่เคยให้ความอบอุ่นเธอได้เลย รังแต่จะทำให้เธอต้องทนเหน็บหนาวไม่รู้จบ

กลิ่นหอม ๆ ของกาแฟที่ลอยขึ้นมาแตะจมูกไม่สามารถทำให้พิชญ์รู้สึกผ่อนคลายได้อย่างที่ควรจะเป็น เขาเอาช้อนพลาสติกคันเล็กคนกาแฟในแก้วไปมาอย่างเหม่อลอย สัมผัสของเอสเปรซโซผสมนมอุ่น ๆ จนออกมาเป็นคอร์ตาโดแก้วโปรดคงเหมือนกับสิ่งที่อริญชย์กำลังกระทำอยู่

นมอุ่น ๆ ที่ถูกใส่ลงไปทีหลัง ไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจกลบความเป็นเอสเปรซโซได้ เช่นเดียวกับคำว่ารักที่เพิ่งเอื้อนเอ่ยออกมา ไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจลบเลือนความร้ายกาจที่อริญชย์เคยทำเอาไว้ได้

แม้พิชญ์จะพยายามก่อกำแพงขึ้นมาเพื่อขวางกั้นความรู้สึกของอริญชย์เอาไว้ แต่มันช่างดูยากเย็นเหลือเกิน เมื่ออีกฝ่ายดูเหมือนจะมีอิทธิพลกับเขาไปเสียทุกอย่าง แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังคอยแต่จะเข้ามาวนเวียนอยู่ในความคิด ทั้ง ๆ ที่พิชญ์ยังไม่พร้อมที่จะรับรู้ความรู้สึกใด ๆ ของอริญชย์ จะหาว่าเขาใจร้ายก็ได้ แต่มันก็สาสมกันกับสิ่งที่อริญชย์ได้ทำเอาไว้ไม่ใช่หรือ

...ต่อให้คำว่ารักมันดังกังวานจนคนทั้งโลกรับรู้ แต่มันก็เปลี่ยนแปลงความจริงที่เป็นอยู่ไม่ได้

พิชญ์ถอนหายใจยาว เขาตั้งใจจะนั่งอยู่ข้างล่างตามลำพังจนกว่ากาแฟจะหมดแก้ว ถ้ากาแฟแก้วนี้หมดเมื่อไหร่ เขาก็คงต้องกลับขึ้นไปเผชิญหน้ากับอริญชย์อีกครั้ง แต่ดูเหมือนความคิดที่จะอยู่ตามลำพังของพิชญ์จะไม่เป็นผล พระเจ้าคงไม่ได้ยินคำขอของเขาเลยแม้แต่น้อย ถึงได้ส่งใครบางคนให้มาปรากฏตัวต่อหน้าพิชญ์

“พีท...”

คนที่กำลังละเลียดกาแฟร้อนชะงัก ก่อนอาการตัวแข็งทื่อจะค่อย ๆ ผ่อนคลายลงตามลำดับเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่อริญชย์หรือตุลย์ แต่กระนั้นความประหลาดใจก็ยังฉายอยู่ในแววตาของพิชญ์ ยามเอ่ยทักแขกไม่ได้รับเชิญที่ถือชานมเย็นอยู่ในมือ

“อ้าว ดิน ไปยังไงมายังไงล่ะ”

ปฐพีไม่ได้เอ่ยตอบในทันที แต่กลับถือวิสาสะเลื่อนเก้าอี้ตรงข้ามพิชญ์ก่อนจะนั่งลงโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากเชิญ พิชญ์ดูเหมือนจะไม่ได้ติดใจอะไร แม้กระทั่งตอนที่ปฐพีเป็นฝ่ายถามเขาแทนที่จะตอบคำถามที่เขาได้ถามไปก่อนหน้า

“แล้วพีทมาทำอะไรที่โรงพยาบาลล่ะ”

“ลูกป่วยน่ะ”

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า หายดีหรือยัง”

ท่าทางปฐพีดูตกใจจนพิชญ์เกือบจะหลุดหัวเราะขำออกมา ลืมความอึดอัดในใจไปได้ชั่วคราวยามได้เจอกับเพื่อนเก่า

“ไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่ไข้หวัดเฉย ๆ แต่พอดีหมอให้อยู่ดูอาการน่ะ แล้วนายล่ะ...”

“ฉันแวะมาตรวจร่างกายประจำปีน่ะ”

พิชญ์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายโบกซองสีขาวที่มีชื่อโรงพยาบาล ซึ่งคาดว่าน่าจะบรรจุใบรับรองแพทย์เอาไว้ให้ดู เขาก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรอีก

“เรียบร้อยดีใช่ไหม”

“ก็ดี ฉันแค่ตรวจเป็นพิธีตามกฎบริษัทเฉย ๆ แล้วนี่ทิ้งลูกอยู่คนเดียวเหรอ”

“เปล่าหรอก พอดีลุงเขาเฝ้าอยู่ แต่อีกเดี๋ยวฉันก็จะขึ้นไปแล้ว ว่าง ๆ ก็แวะมากินข้าวด้วยกันสิ เบอร์โทรฉัน นายก็มีแล้วไม่ใช่เหรอไง”

“ช่วงนี้ฉันยังไม่ค่อยว่างเลย”

“งานยุ่งมากเลยหรือ”

“ก็พอตัว ฉันได้ข่าวว่าโกดังของบริษัทนายเพิ่งโดนไฟไหม้ไป ไม่ได้เสียหายอะไรมากใช่ไหม”

พิชญ์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อปฐพีเอ่ยถึงปัญหาที่ยังไม่ได้สะสางให้เรียบร้อยดี เรื่องไฟไหม้โกดังคราวก่อน จนถึงบัดนี้ก็ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ ถึงอริญชย์จะปักใจเชื่อว่าเป็นฝีมือของราชันย์ แต่สำหรับพิชญ์แล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกับการกล่าวหาอีกฝ่ายลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐานอะไร

“ก็เสียหายไปเยอะพอสมควรเหมือนกัน แต่ทางบริษัทกำลังเช็กกับทางประกันอยู่ว่ากรมธรรม์ที่ทำเอาไว้ครอบคลุมหรือเปล่า” ทั้ง ๆ ที่ความเสียหายที่เกิดขึ้นมันแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่พิชญ์กลับเลือกที่จะตอบปฐพีออกไปอีกอย่าง

“งั้นเหรอ แย่จังเลยนะ”

“มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เป็นธรรมดาของการทำธุรกิจ”

“แล้วรู้หรือเปล่าว่าเกิดจากอะไร”

“ก็คงอุบัติเหตุทั่วไปในโรงงาน คนงานอาจจะสะเพร่ามากไปหน่อยหรือนายคิดว่ายังไงล่ะ...” พิชญ์เอ่ยถามปฐพีเสียงเรื่อย ๆ เหมือนชวนคุยทั่ว ๆ ไป

“ไม่รู้สิ ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่หรอก”

“ถ้าไม่ใช่อุบัติเหตุ...” พิชญ์เว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อน “...ก็คงจะมีคนจงใจล่ะมั้ง”

“ขนาดนั้นเชียว ยังไงนายระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะพีท ตอนได้ยินข่าวฉันเองก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่” ปฐพีเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วงเพื่อนก่อนจะทำทีเป็นก้มลงดูนาฬิกา “ขอตัวก่อนนะ เดี๋ยวฉันต้องกลับเข้าไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศต่อ ไว้ว่าง ๆ จะแวะมาเยี่ยมลูกนายอีกทีละกัน”

“ไม่ต้องลำบากนายหรอกดิน อีกวันสองวัน น้องหนูก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว”

“งั้นฉันไปก่อนนะ”

พอพิชญ์พยักหน้าให้ ปฐพีก็หันหลังเดินออกมา โดยไม่ลืมที่จะคว้าแก้วชานมติดมือมาด้วย โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขาสั่นครืดคราดจนน่ารำคาญ แต่เจ้าของเครื่องก็ไม่ได้คิดจะหยิบมันขึ้นมารับราวกับรู้ว่าใครเป็นคนโทรมา เขารีบเดินเร็ว ๆ ตรงไปยังลานจอดรถที่บอกแท็กซี่ให้จอดรอเขาทำธุระ แทนที่จะได้เจอแท็กซี่คันที่เรียกมาจากคอนโด กลับกลายเป็นรถเบนซ์สีดำติดฟิล์มหนาทึบ ทะเบียนตอง ซึ่งนั่นยังไม่น่าตกใจเท่าคนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างรถ

“เฮีย...”

ปฐพีเรียกชื่อคนที่ยืนอยู่ออกมาด้วยความตกใจ เหมือนเด็กที่ทำความผิดแล้วถูกจับได้คาหนังคาเขา

คนถูกเรียกเพียงแค่มองด้วยหางตาก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่ลงกับถังขยะที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ มืออีกข้างที่สอดอยู่ในกระเป๋ากางเกงล้วงหยิบกุญแจอัตโนมัติออกมาปลดล็อคประตูรถ เพียงเท่านี้ปฐพีก็รู้ว่าแล้วตัวเองต้องทำอะไรต่อ เขาเปิดประตูขึ้นไปนั่งเบาะข้างคนขับอย่างรู้หน้าที่ ก่อนประตูฝั่งคนขับจะถูกเปิดออกพร้อมกับที่เจ้าของรถก้าวขึ้นมา

ราชันย์ปรายตามองปฐพีแวบหนึ่งโดยไม่ได้เอ่ยอะไร เขาเพียงแค่สตาร์ทรถแล้วขับออกจากโรงพยาบาลช้า ๆ สายตาจับจ้องอยู่ที่ท้องถนน ไม่คิดที่จะหันมามองคนข้างกายแม้แต่น้อย ปฐพีได้แต่ลอบมองใบหน้ากระด้างติดจะเย็นชา เมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรออกมา เขาก็ต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นเอง

“เฮีย...”

“.....”

“เฮีย...”

“เรียกแล้วก็พูด”

ปฐพีเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น เขาอยู่กับราชันย์มานานจนรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจอยู่ เขาไม่ได้อยากจะฝ่าฝืนคำสั่งของราชันย์แม้แต่น้อย แต่เขาเป็นห่วงพิชญ์ ห่วงคนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไร ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับใครเขาอย่างพิชญ์ ราชันย์ไม่ควรดึงพิชญ์ลงมาในหมากเกมนี้เลย

“ผมขอโทษ...”

“อย่าแม้แต่คิดที่จะทำให้ทุกอย่างพัง นายควรจะรู้ว่าฉันรอเวลานี้มานานแค่ไหน”

“แต่พีท...”

“ถ้ามีเวลามากพอที่จะไปห่วงคนอื่น ก็เก็บมาห่วงตัวเองก่อนเถอะ”

คนถูกต่อว่ากลาย ๆ ได้แต่นั่งนิ่งอย่างยอมจำนน ที่ราชันย์พูดมาก็ถูกหมดทุกอย่าง ลำพังแค่ตัวเขาเองยังแทบจะเอาตัวไม่รอด แต่กลับเที่ยวไปห่วงคนนั้นคนนี้ อย่างน้อยพิชญ์ก็ยังมีอริญชย์ อีกฝ่ายคงไม่ใจร้ายขนาดปล่อยให้พิชญ์เป็นอะไรไปง่าย ๆ แน่ แต่ตัวเขาเองนี่สิ ปฐพีอยากรู้เหลือเกิน...

...ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา ราชันย์จะยื่นมือเข้ามาช่วยหรือว่าจะดีใจที่ได้สลัดเขาไปให้พ้นเสียที

มันเป็นคำถามที่ปฐพีนึกสงสัย แต่ก็กลัวเกินกว่าจะหาคำตอบ



.



พิชญ์กลับขึ้นมาบนห้องคนไข้อีกทีด้วยสีหน้าที่ดีกว่าเดิมเล็กน้อย อย่างน้อยการนั่งคุยกับปฐพีก็พอจะทำให้เขาหยุดคิดเรื่องอริญชย์กับไอลดาไปได้ชั่วครู่ เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังลอดออกมาจากห้องพักคนไข้จนเขาอดขมวดคิ้วด้วยความสงสัยไม่ได้ พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นน้องหนูตื่นแล้วและกำลังนั่งอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงตุลย์ทำอะไรกุกกักดังมาจากในห้องน้ำ ส่วนอริญชย์ก็ยึดครองเก้าอี้ข้างเตียงที่เคยเป็นของเขาไปเป็นของตัวเอง ทั้งยังชวนหลานสาวตัวน้อยดูทีวีแล้วหัวเราะกันอย่างออกรส พอน้องหนูเห็นพิชญ์เดินเข้ามาก็ยิ้มกว้างก่อนจะกวักมือเรียกผู้เป็นพ่อหยอย ๆ

“ตื่นนานแล้วเหรอครับ คนเก่ง” พิชญ์เอ่ยถามน้องหนูก่อนจะเลือกยืนอีกฝั่งของเตียง ที่ไม่ใช่ฝั่งเดียวกันกับอริญชย์

“เพิ่งตื่นเมื่อกี้เองค่ะ พ่อพีทไปไหนมาคะ”

“พ่อพีทลงไปดูขนมข้างล่างมาครับ”

เหมือนจะรู้สึกถึงสายตาคมกริบที่มองมายังเขาเป็นเชิงถาม ว่าทำไมถึงไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาด้วย คนที่เพิ่งกลับมาเลยลูบหัวน้องหนูช้า ๆ พลางเอ่ยต่อ แต่เนื้อความตั้งใจให้สื่อไปถึงคนที่นั่งอยู่อีกฟากของเตียง

“แต่ไม่มีอะไรที่อยากกิน พ่อพีทเลยไม่ได้ซื้ออะไรกลับมา”

ไม่ใช่แค่น้องหนูที่ร้องอ๋อออกมาเสียงยาว แม้แต่ลุงของน้องหนูก็ผงกหัวน้อย ๆ เป็นเชิงรับรู้ มือเล็ก ๆ ยื่นมาจับแขนพิชญ์เอาไว้ก่อนจะถามคำถามที่พิชญ์ไม่อยากตอบ

“พ่อพีทจ๋า ลุงใหญ่บอกว่าแม่เล็กไปทำงานต่างประเทศอีกแล้ว จริงเหรอคะ”

คำถามนี้ของน้องหนูทำเอาพิชญ์ต้องหันขวับไปสบตากับอริญชย์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง อริญชย์มองสบตากับพิชญ์ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงอ่อน ๆ

“แม่เล็กเขามีงานด่วนพอดี คราวนี้คงจะหลายวันหน่อย ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยเมื่อไหร่ก็กลับมา”

“จริงเหรอคะพ่อพีท”

“ก็ตามที่ลุงใหญ่พูด...” พิชญ์ได้แต่อ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง

เขาไม่รู้ว่าไอลดาเดินทางไปต่างประเทศจริงหรือว่ามันเป็นแค่ข้ออ้างที่อริญชย์บอกน้องหนู แต่ก็อดหวังไม่ได้ว่า ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยเมื่อไหร่ ก็ขอให้ไอลดารีบกลับมาอย่างที่อริญชย์พูดเถอะ จะให้อภัยเขาหรือไม่ให้อภัยก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยก็ขอให้เธอกลับมา

พอน้องหนูได้ยินที่พิชญ์พูดก็ถึงกับหน้าเศร้าลงทันที จนพิชญ์ต้องเอ่ยถามลูกสาวตัวน้อยเสียงอ่อนด้วยความเป็นห่วงจับใจ

“คิดถึงแม่เล็กเหรอครับ...”

คนถูกถามพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะช้อนตาขึ้นมองผู้เป็นพ่อสลับกับผู้เป็นลุง แล้วเอ่ยประโยคที่ทำเอาทั้งพิชญ์และอริญชย์ถึงกับนิ่งงัน ไม่เว้นแม้กระทั่งตุลย์ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ

“น้องหนูไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะมีพ่อพีท ลุงใหญ่ อาตุลย์คอยอยู่กับน้องหนู แต่แม่เล็กอยู่คนเดียวต้องเหงาแน่ ๆ เลยค่ะ”

พิชญ์ได้แต่คว้าลูกสาวตัวน้อยที่เปรียบเสมือนตัวแทนของไอลดาเข้ามากอดแนบอก หวังให้ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของเขาที่มีให้กับน้องหนูเดินทางไปถึงใครอีกคนที่เพิ่งจากไป ไม่ว่าตอนนี้ไอลดาจะอยู่ที่ไหน อย่างน้อยก็ขอให้เธอรู้ไว้ว่า...

...พี่ชายคนนี้เป็นห่วงเธอเหลือเกิน

อริญชย์ที่นั่งอยู่อีกฝั่งเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของพิชญ์ เขาถึงได้ลุกขึ้นเดินอ้อมมายืนซ้อนอยู่ข้างหลังพิชญ์ ฝ่ามือใหญ่แตะลงบนไหล่ของพิชญ์เบา ๆ ก่อนจะเอื้อนเอ่ยประโยคสั้น ๆ หวังจะบรรเทาความกังวลที่อัดแน่นอยู่ในใจของพิชญ์

“ยัยเล็กปลอดภัยดี”

น้องหนูได้แต่มองพ่อพีทกับลุงใหญ่ไปมาก่อนจะเอ่ยถามตามประสาเด็ก

“พ่อพีทกับลุงใหญ่ก็คิดถึงแม่เล็กเหมือนกันใช่ไหมคะ”

พิชญ์ยิ้มให้กับคำถามของลูกสาวตัวน้อย แม้มันจะดูฝืดเฝื่อนเต็มทน เขาไม่ได้เอ่ยตอบคำถามของน้องหนู ได้แต่ปล่อยให้คำตอบมันดังก้องอยู่ในใจ

...ถึงแม้จะไม่ได้รักกันฉันท์ชู้สาว แต่พี่ชายคนนี้ก็คิดถึงและเป็นห่วงเธอเหลือเกิน...ไอลดา



TO BE CONTINUE



ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์และทุกคนที่ติดตามค่า ^^
บางตอนอาจจะเอื่อย ๆ ไปนิด อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ
เอาใจช่วยให้คุณใหญ่หาทางออกให้ได้ และให้พีทใจอ่อนไว ๆ ค่ะ

ออฟไลน์ Tassanee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอติดตามตอนต่อไปคร่าาา

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
อ่านตอนนี้ละสงสารตุลย์จังเลย หันไปทางไหนก็มีแต่ความอึมครึมเต็มไปหมด ทั้งอึดอัดแต่หนีออกไปจากตรงนี้ไม่ได้ ทนๆ เอาหน่อยละกัน :katai1:

...​จากที่พีทเจอดินวันนี้ เป็นเจตนาของดินใช่มั้ยที่มาพบพีทโดยไม่ใช่เรื่องบังเอิญ อยากให้ดินอย่าหักหลังพีทเลยนะ มีอะไรก็ช่วยเพื่อนเถอะ  :mew2:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ต้องอยู่กับความอึมครึมนี้ไปอีกนานเท่าไหร่~~555 หายไวๆนะน้องหนูจะได้กลับไปอยู่บ้านกับลุงใหญ่พ่อพีทช่วยเป็นสะพานเชื่อมสองคนนี้ให้ดีขึ้นหน่อยด้วยนะ มันเหี่ยวแห้งหัวใจฉันละเกิน อึดอัดไปกับตุลย์ 55555 เว้นช่องว่างหน่อยเถอะคุณใหญ่ขา คึคึ เออ!!มันเป็นความจงใจของดิน โอเคก็ยังดีที่นึกห่วงเพื่อน แต่แล้วยังไงสุดท้ายก็.......... หึ เราก็อยากจะรู้เหมือนกันถ้าดินเป็นไรไป เฮียของนายจะเป็นยังไง หึหึ!! รออ่านคู่นี้นะ(ถ้ามี) 5555 จะเป็นยังไงต่อละเนี้ย ไอลดาก็หนีไปทำใจแล้ว อย่างน้อยก็หายห่วงกังวลไปอีกคนถ้าศัตรูจ้องเล่นงานตอนนี้ ก็มีแต่พีทกับน้องหนูที่ต้องคอยคุ้มกัน สนุกกกกก ชอบบบบบ ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รรรรรตอนหน้าเลยค่า อยากอ่านๆ 55 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
ยี่สิบ
อิสรภาพ



คีย์การ์ดห้องชุดราคาแพงถูกแตะลงบนแผงเหนือลูกบิด ก่อนที่เจ้าของห้องจะกดรหัสรักษาความปลอดภัยตาม พอเสียงสัญญาณปลดล็อคดัง ราชันย์ก็เปิดประตูแล้วเดินตรงดิ่งเข้าห้อง ทิ้งปฐพียืนละล้าละลังอยู่หน้าห้องก่อนจะรีบก้าวเท้าตามเข้ามาติด ๆ และเพียงแค่เขาหันหลังให้ราชันย์เพื่อจัดการล็อคประตูห้อง พอหันกลับมาอีกทีก็พบแต่เพียงความว่างเปล่า...

สิ่งที่ราชันย์พูดมามันก็ถูก...ก่อนที่จะห่วงพิชญ์ อย่างน้อยเขาควรจะห่วงตัวเองเสียก่อน

พิชญ์ยังมีอริญชย์ ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ภรรยากับน้องเขยคู่นั้นจะดูพิลึกพิลั่นจนเลยขอบเขตศีลธรรมอันดีงามของสังคม แต่อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าสถานะของเล่นฆ่าเวลาอย่างเขาเป็นไหน ๆ

ปฐพีเดินเข้าห้องครัว แล้วหยิบเหยือกน้ำเก๊กฮวยเย็นจัดที่เขาเป็นคนต้มเองออกมาจากตู้เย็นขนาดสี่ประตู จัดแจงรินลงแก้วก่อนจะหยิบน้ำแข็งใส่ตามอีกสองก้อน จากนั้นก็เดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องทำงานที่ปิดสนิท

ปฐพียืนเม้มริมฝีปากแน่นอย่างชั่งใจอยู่หน้าห้อง ก่อนจะยื่นมือไปเคาะประตูห้องเป็นจังหวะสามที สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงความเงียบ แต่เขาก็ชินเสียแล้ว เลยหมุนลูกบิดที่ไม่ได้ล็อคออก เสียงห้วนจัดของราชันย์ที่กำลังเอ่ยสังงานดังออกมาจนเขาถึงกับสะดุ้ง แค่ฟังอยู่ตรงนี้ ปฐพีก็พอรู้ว่าราชันย์กำลังคุยอยู่กับใคร คงหนีไม่พ้นคนสนิทอย่างปกรณ์ตามเคย

“ส่งคนคอยตามไว้เหมือนเดิม ถ้ามีอะไรผิดสังเกตให้รีบรายงานฉันทันที”

ปฐพียืนรอจนราชันย์คุยโทรศัพท์และวางสายเรียบร้อยแล้ว เขาถึงทำใจดีสู้เสือ ยกแก้วน้ำเก๊กฮวยไปวางบนโต๊ะทำงานที่มีเอกสารวางกระจัดกระจาย ถ้าหากมีคนบอกว่าวันนี้เป็นวันซวยของปฐพี เขาก็คงเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย

หลังจากจานรองแก้วสัมผัสกับโต๊ะทำงานไม่ถึงหนึ่งนาที มือเจ้ากรรมก็เผลอปัดแก้วทิ้งเสียอย่างนั้น ถึงจะรีบคว้าเอาไว้ มันก็ยังไม่ทันการณ์ น้ำเก๊กฮวยค่อย ๆ ไหลซึมเปื้อนเอกสารหลายใบ ก่อนที่ราชันย์จะตรงเข้ามาคว้าเอกสารไปถือไว้ทั้งปึกพร้อมกับมองปฐพีด้วยสายตาเย็นชา

“ออกไป!”

“เฮีย ผมขอโทษ เดี๋ยวผมรีบเก็บให้นะ”

ปฐพีละล้าละลังคว้ากระดาษทิชชู่มาซับคราบน้ำบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะต้องหน้าชากว่าเดิมเมื่อราชันย์เอ่ยสำทับคำเดิมซ้ำ

“ออกไป!”

“เฮีย...” ปฐพีครางออกมาเสียงแผ่ว

“จะเรียกซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทำไม ออกไป แล้วไม่ต้องเข้ามาอีกจนกว่าฉันจะเรียก”

แม้อยากจะดึงดันอยู่ต่อ แต่สายตาเย็นชาที่มองมาที่เขาก็บ่งบอกว่าราชันย์เอาจริง ถ้ายังไม่อยากเจ็บตัว เขาก็ควรจะรีบออกไปจากห้องนี้ ปฐพีคว้าทั้งแก้วทั้งจานรองขึ้นมาถือไว้ก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาเดินออกมาจากห้อง

เขารู้ว่าเขาผิด แต่เขาไม่ได้ตั้งใจ...

ถึงแม้สายตาจะเหลือบแลไปเห็นหัวเอกสารที่เลอะเทอะแค่เพียงผ่าน ๆ แต่ปฐพีก็รู้ดีว่ามันสำคัญกับราชันย์มากแค่ไหน

คนอย่างเขาเคยมีประโยชน์อะไรบ้าง ไม่ต่างอะไรจากสัตว์เลี้ยงข้างทางที่ถูกเก็บมาฟูมฟัก ไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้ราชันย์แม้แต่น้อย มีแต่คอยตักตวงผลประโยชน์จากราชันย์ ประโยชน์อย่างหนึ่งที่เขาพอจะมีอยู่บ้าง ก็คงจะเป็นเครื่องระบายความใคร่ราคาแพง ที่นอกจากจะไม่ทำกำไรแล้วยังทำให้ราชันย์ขาดทุนติดลบจนผิดวิสัยนักธุรกิจหน้าเลือด

เม็ดเงินที่ราชันย์เอามาลงทุนในตัวเขา มันช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย

คิดแล้วปฐพีก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความสมเพชตัวเอง ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนโซฟา ปล่อยความคิดล่องลอยไปไกล

ความทรงจำวันแรกที่พบกันระหว่างเขากับราชันย์ยังคงแจ่มชัด เหมือนทุกอย่างมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน


...

สำหรับปฐพีแล้ว เขาเคยคิดว่าวันนั้นเป็นวันที่เขาเลวร้ายที่สุดในชีวิตเขา จนกระทั่งผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งเดินตรงดิ่งเข้ามาหาเขา ในตอนที่เขาเกือบจะถอดใจยอมแพ้แล้ววิ่งกลับบ้าน ริมฝีปากหยักของคนอายุมากกว่าบิดเป็นรอยยิ้มเย็นชา คล้ายจะเยาะหยันยามที่เอ่ยถามเขาว่า...

‘มานั่งอยู่ตรงนี้ ขายหรือไง...’

ปฐพีเกือบจะส่ายหน้าปฏิเสธไป แต่เมื่อถูกความเป็นจริงกระแทกเข้ากลางหน้าผากจังใหญ่ เขาก็ต้องหรุบสายตาลงต่ำ พยักหน้ารับช้า ๆ แม้จะอับอายกับสายตาเหยียดหยามที่อีกฝ่ายมองมามากแค่ไหน

‘หึ!’

คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแค่นเสียงในลำคอคล้ายจะสมเพช จนปฐพีรู้สึกว่าตัวที่เล็กของเขา มันยิ่งเล็กลงไปกว่าเดิมอีก ถ้าเลือกได้ เขาก็ไม่อยากจะทำแบบนี้เลย แต่เพราะเขาไม่มีทางเลือก

ใบหน้าซีดเซียวของพ่อที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลบีบบังคับให้เขาต้องทำแบบนี้ ปฐพีปัดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทิ้งไปจากหัว ฝืนเงยหน้าขึ้นสบตาดวงตาคม แม้จะหวาดหวั่นจนร่างกายสั่นระริก

เขาไม่รู้เลยว่า ร่างกายที่กำลังสั่นเทาอยู่นี้ มันเพราะความกลัวในเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดิน หรือเพราะสายตาเย็นชาที่กำลังมองมาที่เขากันแน่

‘ขายเท่าไหร่ล่ะ...’

นิ้วมือหยาบกร้านทั้งห้านิ้วถูกชูขึ้นมา เรียกอาการเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจจากร่างสูงได้ทันควัน

‘ห้าพันงั้นหรือ กล้าดีนี่’

‘ไม่ใช่ห้าพัน ห้าหมื่น’

เสียงสั่นพร่าดังออกมาแทบไม่พ้นลำคอคนพูด แต่ราชันย์ก็ได้ยินมันชัดเจน ถ้าเป็นเวลาที่เขาอยู่ในอารมณ์ปกติ ราชันย์อาจจะหัวเราะขำกับมุกตลกร้ายของเด็กผู้ชายท่าทางปอน ๆ ตรงหน้า

เด็กผู้ชาย เพศเดียวกับเขา ที่อยู่ในชุดเสื้อนักศึกษาเก่า ๆ กับกางเกงสแล็คหลวมโคร่ง ไม่มีสิ่งไหนที่ดึงดูดหรือกระตุ้นให้เขาเกิดอารมณ์ทางเพศแม้แต่น้อย รังแต่จะทำให้เขาหมดอารมณ์เสียด้วยซ้ำ ดูท่าทางตื่นกลัวราวกับจะถูกหลอกไปข่มขืนนั่นสิ ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายเอ่ยปากบอกว่าขายเองแท้ ๆ

แต่ให้ตายเถอะ คงมีแค่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ ว่าทำไมตัวเองถึงหยิบยื่นข้อเสนอที่เด็กหนุ่มตรงหน้าถึงกับต้องเบิกตากว้างออกมา

‘ฉันจะให้เท่าที่นายต้องการ ห้าหมื่น ห้าแสน ห้าล้าน แต่มีข้อแม้...’

อาจจะเป็นท่าทางไร้เดียงสา ที่ถึงแม้เจ้าตัวจะพยายามทำให้ตัวเองดูกร้านโลกมากแค่ไหนก็ไม่อาจหลอกสายตาของราชันย์

หรืออาจจะเป็นแววตาสั่นระริกที่แฝงไว้ด้วยความหวาดหวั่น ยามจ้องมาที่เขาอย่างกริ่งเกรง

ทุกอย่างมันเหมือนกับ ‘ใครคนนั้น’ จนเขายอมจ่ายเงินมากมายเพื่อซื้อความไร้เดียงสานี้เอาไว้

ไม่ใช่เพื่อรักษา แต่เพื่อทำลายให้ย่อยยับลงไปด้วยน้ำมือของเขาเอง

เขาเกลียด...เกลียดความไร้เดียงสา!!

...



ปฐพีสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนหกโมงเย็นหลังจากเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว เห็นท้องฟ้าที่มืดสนิทจากหน้าต่างห้องก็ตกใจจนรีบลุกพรวดขึ้นมา ก่อนจะต้องชะงักเมื่อสัมผัสถึงผ้าห่มสีเข้มที่คลุมอยู่บนตัวเขา จะเป็นฝีมือใครไปได้ ถ้าไม่ใช่คนที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียง

ริมฝีปากสีสดกดลึกเป็นรอยยิ้ม ความอ่อนโยนเล็ก ๆ เหล่านี้ที่อีกฝ่ายมีให้ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม มันเป็นยิ่งกว่าพันธนาการชั้นดีที่เหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ให้ไปไหนไม่รอด

ปฐพีก้มลงเก็บหมอนกับผ้าห่มที่กองอยู่บนโซฟาให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องครัวเล็ก ๆ เพื่อจัดการทำอาหารเย็นง่าย ๆ อย่างรู้หน้าที่ โดยไม่คิดจะรบกวนคนที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ด้านนอก

แค่ความอบอุ่นเพียงน้อยนิด ก็ทำให้เขาลืมความเย็นชาที่ได้รับ จนบางครั้งถึงกับหลงละเมอเพ้อพกไป ว่าจะละลายก้อนน้ำแข็งได้ด้วยไฟอุ่น ๆ แต่ปฐพีคงมองข้ามความจริงบางข้อไปว่า...

หัวใจของราชันย์ไม่ได้เย็นชา แต่มันตายด้านไปนานแล้ว

ปฐพีใช้เวลาเพียงชั่วครู่ในการเตรียมอาหารเย็นง่าย ๆ เพื่อไม่ให้ราชันย์ต้องรอนาน ตอนที่เขาทยอยยกอาหารทั้งหมดออกมาวางบนโต๊ะ ราชันย์ก็เดินกลับเข้ามาในห้องพอดี กลิ่นนิโคตินจาง ๆ ผสมกับกลิ่นเหงื่อเรียกรอยระเรื่อให้แต่งแต้มบนใบหน้าเขาอย่างไม่มีเหตุผล ก่อนที่ต่างคนต่างนั่งลงตรงที่ของตัวเอง

ราชันย์ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาตลอดมื้ออาหาร เขาเพียงแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวเงียบ ๆ ปฐพีเลยไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปเช่นกัน

หลังจากเก็บของทุกอย่างจนเรียบร้อย ปฐพีก็เตรียมตัวจะเดินเข้าห้องนอนของตัวเองเพื่ออาบน้ำ ก่อนจะต้องชะงัก เมื่อได้ยินคำสั่งเรียบ ๆ ดังมาจากคนที่นั่งทำงานอยู่ตรงโซฟารับแขก

“มานั่งนี่”

ดูเหมือนราชันย์จะอารมณ์ดีกว่าเมื่อตอนเย็นแล้ว ปฐพีเลยเดินไปนั่งลงข้าง ๆ เขาอย่างไม่อิดออด ทีแรกปฐพีตั้งใจจะเอื้อมมือไปหยิบรีโมทมาเปิดดูข่าวรอบดึก แต่พอนึกได้ว่าราชันย์กำลังนั่งทำงานอยู่ อาจจะต้องใช้สมาธิ มือที่เอื้อมออกไปเพื่อหยิบรีโมทเลยเปลี่ยนป็นคว้าหนังสือเล่มเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะมาอ่านแทน มันเป็นหนังสือที่ปฐพีเพิ่งซื้อมาไม่นาน

...ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ...

ทั้งที่ตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือเงียบ ๆ ระหว่างที่ราชันย์นั่งทำงาน แต่ปฐพีก็อดคิดไปถึงเรื่องอื่นที่รบกวนเขาอยู่ในตอนนี้ไม่ได้ เขาขยับจะเอ่ยปาก แต่ก็ไม่กล้าจนต้องเม้มริมฝีปากแน่น เป็นอย่างนี้อยู่สองสามรอบจนราชันย์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สังเกตเห็น เลยละสายตาขึ้นมาจากหน้าจอโน้ตบุ๊คแล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ ๆ

“เป็นอะไร”

“เปล่าเฮีย”

“อย่าโกหกฉัน”

เสียงที่เอ่ยมายังคงเรียบสนิทเหมือนท้องทะเลยามปราศจากคลื่นลม แต่ปฐพีรู้ดี ในยามที่คลื่นลมสงบอย่างนี้ เขาไม่ควรอวดดีไปท้าทายจนอีกฝ่ายกลายเป็นทะเลคลั่ง เพราะการปิดบังความจริงจากราชันย์ นอกจากจะไม่ส่งผลดีแล้ว ยังส่งผลร้ายต่อตัวเขาเสียด้วยซ้ำ

เขาอยู่กับราชันย์มานานจนรู้ว่า การจะโกหกคนอย่างราชันย์ มันยากพอ ๆ กับการทำให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคนที่ริอ่านโกหกคือเขา เพราะถ้าจะเปรียบตัวเขาเองเป็นหนังสือ ปฐพีก็คงเป็นหนังสือที่อ่านง่ายและถูกราชันย์อ่านทะลุปรุโปร่งจนเดาตอนจบออกแทบทั้งหมดนานแล้ว แต่ทั้ง ๆ ที่รู้อย่างนั้น เขาก็ยังยอมและเต็มใจให้มันเป็นแบบนี้

คนอย่างปฐพีมันไม่มีอะไรดี ถ้าจะมี...ก็คงมีแค่ความรักและภักดีที่ราชันย์แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น หรือบางทีอาจจะเห็น แต่มันไม่มีค่ามากพอให้ต้องใส่ใจ

“ผม...คิดถึงน้อง”

“พูดอะไรงึมงำอยู่ในลำคอ ดัง ๆ หน่อยได้ไหม”

“ผมคิดถึงน้องครับ”

“เมื่อไม่กี่เดือนก่อนก็เพิ่งเจอกันไม่ใช่หรือไง”

ปฐพีเกือบจะพ่นลมหายใจออกทางปากเบา ๆ เมื่อคาดเดาคำตอบของราชันย์ได้ไม่ผิดเพี้ยน ดีว่าเขายั้งตัวเองไว้ได้ทัน ถึงจะบอกว่าไม่กี่เดือนก่อน แต่ไม่กี่เดือนก่อนของราชันย์ก็กินเวลาเกือบครึ่งปีแล้ว มันเป็นเวลานานมากพอที่ปฐพีจะคิดถึงน้องชายคนเดียวของเขา แม้จะรับรู้ข่าวคราวต่าง ๆ ของชลธีจากปกรณ์อยู่เสมอ แต่ในฐานะคนเป็นพี่ ปฐพีก็ยังอดห่วงน้องไม่ได้

น้องชายที่เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของเขา ถึงปกรณ์จะคอยยืนยันให้เขาสบายใจว่าชลธีสบายดีอยู่เสมอ แต่ปฐพีก็ยังอยากพบ อยากเจอ อยากเห็บกับตาตัวเองว่าชลธีสบายดีจริง ๆ

ราชันย์เห็นปฐพีนิ่งไปก็แทบจะเดาความคิดของปฐพีออกหมด เขาไม่ได้รู้ใจปฐพี แต่ปฐพีน่ะ...ดูออกง่ายเกินไปต่างหาก

“รอให้จบเรื่องวุ่น ๆ นี่ก่อน แล้วจะพาไปหา”

“นานไหมเฮีย”

“อะไร”

“อีกนานไหม กว่าที่เรื่องวุ่น ๆ ของเฮียจะจบ”

ราชันย์บิดริมฝีปากน้อย ๆ ก่อนจะเหยียดมันออกอย่างเย็นชา ความเย็นชาที่ปฐพีเห็นมานานหลายปีจนเคยชิน หลายครั้งยังอดถามตัวเองไม่ได้ว่า หากวันใดวันหนึ่งข้างหน้า ความเย็นชาเหล่านี้หายไป ตัวเขาจะร้อนรุ่มทุรนทุรายแค่ไหนกัน

“อีกไม่นานหรอก”

ปฐพีเกือบจะยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบว่าเรื่องบ้า ๆ ที่คาราคาซังมานานหลายปีกำลังจะจบลงเสียที แต่ยังไม่ทันได้ยิ้มให้เต็มปาก เขาก็ต้องตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาปเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

“นายเองก็จะได้ไปมีชีวิตของตัวเองเสียที”

“เฮีย...”

ปฐพีครางออกมาเสียงแหบระโหย แทบจะสิ้นเรี่ยวแรงเอาเสียเดี๋ยวนั้น เขาเข้าใจความหมายของประโยคที่ราชันย์เพิ่งเอ่ยออกมาเป็นอย่างดีโดยไม่ต้องตีความซ้ำ

ชีวิตของตัวเองที่ราชันย์หมายถึงก็คือชีวิตที่ไม่มีราชันย์

บทสนทนาในวันนั้น วันที่เขาเลือกจะวางอนาคตตัวเองลงในกำมือผู้ชายแปลกหน้า วนเวียนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้งราวกับกรอเทป

‘ผมต้องอยู่กับคุณนานแค่ไหน...’

‘จนกว่าฉันจะไม่ต้องการ’


ทั้งที่เคยบอกเขาไว้แบบนั้น แต่การเอ่ยปากบอกว่าจะให้อิสระกันในวันนี้ ก็เพราะว่าไม่ต้องการเขาแล้วใช่ไหม

ราชันย์เองจะรู้บ้างไหม ว่าอิสระที่คิดจะหยิบยื่นให้ปฐพีนั้น วันนี้เจ้าตัวกลับไม่ต้องการมันเลยแม้แต่น้อย ต่างจากใครอีกคนที่โหยหาอิสระสุดหัวใจ

พระเจ้าเบื้องบนไม่เคยเป็นใจ...

หยิบยื่นอิสระที่ปฐพีไม่ต้องการมาให้ แต่กลับกักขังพิชญ์เอาไว้ภายใต้กงเล็บของเสือร้าย

เหตุใดจึงไม่ให้สิ่งที่ต่างคนต่างต้องการ



.

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25


ผ้าห่มผืนหนาของโรงพยาบาลถูกคลุมลงบนตัวคนที่นอนหลับคอพับคออ่อนด้วยความอ่อนเพลีย อริญชย์จับหัวพิชญ์ให้เอนมาพิงไหล่เขาดี ๆ คนที่เผลอหลับเพียงแค่ครางฮือในลำคอเบา ๆ แต่ไม่ได้ลืมตาขึ้นมามอง เรียกรอยยิ้มเอ็นดูให้จุดขึ้นที่มุมปากของหมอนกิตติมศักดิ์

แค่อริญชย์เอียงหน้าเพียงนิดเดียว ริมฝีปากอุ่นจัดก็แตะลงบนหน้าผากพิชญ์แผ่ว ๆ แววตาที่ทอดมองคนข้างตัวทั้งอ่อนหวานและลึกซึ้ง

การมีพิชญ์อยู่ในอ้อมกอดอย่างที่เป็นอยู่นี้ มันไม่ใช่สิ่งที่อริญชย์ฝัน เขายอมรับเลยว่าเขาฝันไกลมากกว่านี้ เขาไม่ได้อยากมีพิชญ์อยู่ในอ้อมกอดแค่เพียงวันนี้เท่านั้น แต่เขาอยากมีพิชญ์อยู่ข้างกายตลอดไป

ที่ผ่านมาอริญชย์รู้ดีว่าเขาทำไม่ถูก ตอนนี้เขาอยากจะเริ่มต้นใหม่ ทุ่มทั้งตัวและหัวใจลงไปให้สมกับที่ไอลดายอมหลีกทางให้ แม้การได้ตัวและหัวใจของพิชญ์มาจะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดเสียใจของไอลดา แต่ถ้าย้อนเวลากลับไป อริญชย์ก็ยังยืนยันที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้พิชญ์เป็นของเขา

ริมฝีปากหยักเผลอคลี่ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตัวเองจะทำต่อไปหลังจากนี้ เขาจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพิชญ์ แต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าอริญชย์ก็ยังคงเป็นอริญชย์อยู่วันยังค่ำ เพียงแค่พิชญ์หลุดเสียงละเมอออกมาแผ่ว ๆ รอยยิ้มก็พลันเลือนหายไปจากใบหน้า อริญชย์ถึงกับตัวชาเมื่อได้ยินเสียงละเมอของพิชญ์ชัดเจน

“คุณ...เล็ก...”

ทำไมชื่อที่พิชญ์ร้องเรียกทั้งยามหลับและยามตื่นถึงเป็นไอลดา

เมื่อไหร่ถึงจะเป็นเขาที่พิชญ์ร้องเรียกหา เมื่อไหร่แววตาของพิชญ์ถึงจะสะท้อนแต่ภาพเขา

อริญชย์พยายามข่มกลั้นอารมณ์ร้อน ๆ ของตัวเองเอาไว้อย่างยากลำบาก เขาเอื้อมปลายนิ้วไปไล้น้ำตาออกจากหางตาของพิชญ์ แต่สัมผัสของเขามันคงไม่นุ่มนวลนักจนคนที่หลับอยู่ถึงกับตื่นขึ้นมา

พิชญ์กระพริบตาถี่ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาตื่นจากฝันร้าย ชายหนุ่มกวาดสายตาไปมา ลำดับความคิดช้า ๆ เมื่อเห็นว่าตัวเองอยู่ในห้องพักคนไข้ของลูกสาวตัวน้อยก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ แต่พอเลื่อนสายตาลงมาแล้วเห็นว่าตัวเองกำลังอยู่ในอ้อมแขนของอริญชย์ พิชญ์ก็รีบกระถดตัวหนีทันที

“รังเกียจกันมากหรือไง”

คนที่เพิ่งตื่นขึ้นมาถึงกับทำหน้าหน่าย ๆ เมื่อลืมตาตื่นไม่ทันไรก็ต้องมาเจออารมณ์พาลพาโลของอริญชย์ พิชญ์เสเบือนหน้าหนีไปทางอื่น พอสายตาปะทะเข้ากับนาฬิกาแขวนผนัง เขาก็หันกลับมาหาคนที่ยังนั่งเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่ข้างตัว

“คุณใหญ่...”

“ทำไม...”

“พรุ่งนี้คุณมีประชุมตอนเช้า”

“ฉันจำได้”

“ตอนนี้จวนจะสามทุ่มแล้ว”

“ฉันใส่นาฬิกาอยู่”

พิชญ์พยายามข่มอารมณ์โมโหที่เริ่มจะแล่นขึ้นมาตงิด ๆ เขาเกือบจะหลุดเสียงสบถด้วยความหงุดหงิดออกมาแล้ว ดีว่ายั้งตัวเองไว้ได้ทัน ถ้าถามว่าหงุดหงิดใคร พิชญ์ตอบได้เลยว่า เขาหงุดหงิดตัวเองและหงุดหงิดอริญชย์ เขาอาจจะผิดที่พูดจาอ้อมค้อม แต่ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของอริญชย์มันชวนโมโหน้อยเสียเมื่อไหร่กัน

พิชญ์ยกมือขึ้นมาคลึงขมับตัวเองเบา ๆ เริ่มจะปวดหัวตุบ ๆ ทั้งที่เพิ่งลืมตาตื่นได้ไม่นาน ผลงานโบว์แดงชิ้นนี้จะเป็นความดีความชอบของใครไปไม่ได้เลยนอกเสียจากอริญชย์

“เมื่อไหร่คุณจะกลับบ้านเสียที”

มันไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่เป็นประโยคคำสั่งกราย ๆ ที่ตัวคนพูดเองคงไม่ทันได้สังเกต

“ฉันบอกตอนไหนว่าจะกลับ”

“คุณใหญ่!”

“อย่าเสียงดังสิ ไม่เห็นหรือไงว่าน้องหนูหลับอยู่”

อริญชย์ที่เริ่มจะอารมณ์ดีขึ้นมา หลังจากเห็นท่าทางฮึดฮัดของพิชญ์ ทำทีเป็นบุ้ยปากไปยังร่างเล็กที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง

สาบานได้เลยว่าถ้าตุลย์อยู่ด้วย เขาคงต้องค่อนขอดเจ้านายตัวเองว่าเป็นพวกอารมณ์แปรปรวนแน่ ๆ เมื่อไม่ถึงสิบนาทีที่แล้วยังน้อยอกน้อยใจที่พิชญ์ร้องละเมอหาไอลดา มาตอนนี้กลับอารมณ์ดีพียงเพราะได้ต่อปากต่อคำกับพิชญ์ แต่ดูเหมือนคนที่อารมณ์ดีจะมีแค่อริญชย์คนเดียว ผิดกลับพิชญ์ที่พยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ อย่างน้อยพิชญ์ก็ยังไม่อยากฟาดปากกับอริญชย์ที่นี่ตอนนี้ พิชญ์กัดริมฝีปากตัวเองแน่นเพื่อข่มอารมณ์โมโห แต่การกระทำแบบนี้กลับให้ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง

“เอะอะก็กัด ไม่สงสารปากตัวเองบ้างหรือไง”

ใครใช้ให้อริญชย์เอานิ้วมาไล้ริมฝีปากเขาเบา ๆ แบบนี้ ไม่รู้หรือไงว่าแทบจะทำให้สติของพิชญ์กระเจิดกระเจิง แค่สัมผัสเพียงผิวเผิน มันก็ร้อนรุ่มไปถึงหัวใจ ราวกับสิ่งที่กำลังสัมผัสริมฝีปากของเขาอยู่ไม่ใช่ปลายนิ้วของอริญชย์ แต่เป็นริมฝีปากของอริญชย์เองที่มักจะพรากลมหายใจของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ก๊อก ๆ ๆ

เสียงเคาะประตูดังเป็นมารยาทก่อนตุลย์จะโผล่หน้าเข้ามา บังคับพิชญ์ให้ผลักอริญชย์ออกไปให้พ้นตัว

“อะแฮ่ม จะกลับกันหรือยังครับ คุณใหญ่”

ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณที่ส่งตุลย์เข้ามาขัดจังหวะได้ทันเวลา ก่อนที่พิชญ์จะเผลอตัวและเผลอใจให้กับสัมผัสที่คุ้นเคยของอริญชย์อย่างน่าไม่อาย

ตุลย์ขยับยิ้มเผล่ออกมาอย่างน่าหมั่นไส้ เมื่อสบตากับผู้เป็นนายที่มองมาดุ ๆ เขาแสร้งผงกหัวน้อย ๆ เป็นเชิงขอโทษขอโพยอย่างที่อริญชย์รู้ดีว่าลูกน้องคนสนิทแกล้งทำ

พิชญ์เบือนหน้าหนีสายตาคมปลาบของอริญชย์และดวงตาพราวระยับของตุลย์ด้วยความเก้อกระดาก ทำทีเป็นก้มลงลูบหัวลูกสาวตัวน้อยที่นอนหลับปุ๋ยอยู่เบา ๆ แต่ก็ยังไม่วายเอ่ยปากสนทนากับตุลย์โดยพาดพิงไปถึงผู้ชายตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างตัว

“คุณตุลย์มาก็ดีเลย ผมเห็นคุณใหญ่เพิ่งบ่นแหม็บ ๆ ว่าง่วง ท่าทางคงอยากกลับบ้านนอนแล้วมั้ง”

ลูกชายของแม่พลอยแกล้งลืมคำสอนของผู้เป็นแม่ชั่วคราว เอานิ้วชี้กับนิ้วกลางไขว้กันแล้วโป้ปดมดเท็จออกไปคำโต ตุลย์ก็ช่างเป็นลูกน้องแสนดี รับลูกที่ส่งมาจากพิชญ์ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

“ผมกำลังคิดเหมือนคุณพีทเลย เห็นท่าทางคุณใหญ่ดูเพลีย ๆ สงสัยจะง่วงมากจริง ๆ”

“งั้นรีบพาคุณใหญ่กลับบ้านเถอะครับ คุณเองจะได้กลับไปพักผ่อนด้วยเหมือนกัน”

ถึงคราวที่อริญชย์ต้องยืนกัดฟันกรอด เลือกไม่ได้ว่าจะจัดการกับลูกน้องคนสนิทอย่างตุลย์หรือจะจัดการกับพิชญ์ก่อนดี แต่ที่แน่ ๆ เล่นแท็คทีมกันมาแบบนี้ มันแทบจะไม่มีช่องว่างให้เขาโต้กลับเลย

“กลับกันเถอะครับคุณใหญ่ ผมเองก็ชักจะง่วงเหมือนกัน ขืนช้ากว่านี้ผมคงขับรถกลับไม่ไหวแน่ ๆ”

พูดปากเปล่าก็กลัวจะไม่สมจริง ตุลย์เลยยกมือขึ้นปิดปากหาว แบบที่ดูแล้วนอกจากจะไม่น่าเห็นใจ มันยังน่าหมั่นไส้เหลือเกินในสายตาของอริญชย์

ไม่ใช่ตุลย์หรอกหรือที่รู้เห็นเป็นใจ หรืออีกนัยหนึ่งคือขัดเขาไม่ได้ ปล่อยให้เขาอยู่ในห้องกับพิชญ์ตามลำพังตั้งแต่พิชญ์หลับจนกระทั่งพิชญ์ตื่น มาตอนนี้ดันกลับลำ หันไปยกหางพิชญ์เสียอย่างนั้น คนเป็นนายได้แต่นึกพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“กลับก็กลับ นายเองจะได้นอนพักผ่อนต่อด้วย” ประโยคแรกอริญชย์พูดกับตุลย์ แต่ประโยคหลังเขาหันมาพูดกับพิชญ์

ตุลย์ค้อมหัวให้พิชญ์น้อย ๆ เป็นเชิงบอกลา ก่อนจะชิงเดินหนีออกจากห้องไปก่อน โดยไม่คิดจะรอผู้เป็นนายที่ยังทำทีเป็นยืนอ้อยอิ่งอยู่ข้างเตียง อริญชย์ก้มลงลูบหัวหลานสาวที่ยังคงหลับสนิทเบา ๆ แล้วถึงเงยหน้าขึ้นมาสบตาพ่อของหลานที่เดินมายืนอยู่อีกฟากของเตียง

“พรุ่งนี้ประชุมเสร็จแล้ว เดี๋ยวฉันจะรีบมารับ รออยู่ที่นี่ล่ะ ถ้ามีอะไร...” อริญชย์เว้นช่วงไปอึดใจหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “...ให้รีบโทรหาฉันทันที”

พิชญ์พยักหน้ารับช้า ๆ คร้านจะเอ่ยปฏิเสธให้เสียเวลา ตัวเองก็ไม่วายเอ่ยกำชับอีกฝ่าย

“คุณเองก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ดึกป่านนี้แล้ว พรุ่งนี้ยังมีประชุมแต่เช้าอีก”

อริญชย์กระตุกยิ้มเบา ๆ ที่มุมปาก เขาดึงพิชญ์เข้ามากอดไว้หลวม ๆ โดยที่เจ้าตัวไม่ทันได้มีโอกาสขัดขืน พอคนถูกกอดได้สติก็ยกมือเตรียมจะผลักอริญชย์ออก แต่ยังช้ากว่าอริญชย์ที่เป็นฝ่ายคลายวงแขนออกเอง เขาไม่ได้เอ่ยล่ำลาพิชญ์ เพียงแค่หันหลังแล้วเดินออกมาเฉย ๆ แต่ถ้าอริญชย์หันมามองซักนิด เขาก็คงได้เห็นดวงตาเรียวที่มองตามแผ่นหลังเขาก่อนที่มันจะถูกแทนที่ด้วยบานประตู

พระเจ้า พิชญ์เป็นคนเลวใช่ไหม

ทั้งที่ไอลดาต้องแบกความเจ็บช้ำน้ำใจหนีหน้าเขาไปไกลแสนไกล แต่พิชญ์กลับหวั่นไหวให้กับความอ่อนโยนของอริญชย์

ได้โปรด อย่าอ่อนโยนไปมากกว่านี้เลย เขายังไม่อยากให้ความอ่อนโยนของอริญชย์เข้ามาแทนที่ความรู้สึกผิดที่มีต่อไอลดา ขอให้พิชญ์ได้ใช้เวลาจมอยู่กับความรู้สึกผิดของตัวเองหน่อยเถอะ



.



ทันทีที่รถยนต์สีดำติดฟิล์มหนาทึบรอบคันเคลื่อนตัวออกจากโรงพยาบาล ท่าทางขี้เล่นของตุลย์ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด คนสนิทของอริญชย์ลอบมองสบตาผู้เป็นนายผ่านกระจกมองหลังก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ ๆ

“ผมเจอคุณรัญญาที่โรงพยาบาลเมื่อช่วงเย็น”

“รัญญางั้นหรือ” อริญชย์ทวนชื่อที่หลุดออกมาจากริมฝีปากตุลย์อย่างงุนงง ก่อนจะนึกออก “หลิว น้องของไอ้เล้งน่ะหรือ”

“ครับ”

พอคนสนิทเอ่ยยืนยัน อริญชย์ก็ขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย แม้ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของอริญชย์กับราชันย์จะบาดหมางมานานหลายปี แต่ก็ไม่ได้ทำให้อริญชย์ลืมเรื่องราวต่าง ๆ ของราชันย์รวมถึงคนรอบข้างราชันย์แม้แต่น้อย

เรื่องที่ตุลย์เอ่ยมา ฟังเผิน ๆ แล้วดูเหมือนเรื่องบังเอิญทั่วไป ถ้าเจอคนอื่นที่โรงพยาบาล อริญชย์ก็คิดว่าไม่แปลก แต่ต้องไม่ใช่สมาชิกในตระกูลกมลวิลาศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ผู้หญิงที่ชื่อรัญญา กมลวิลาศน์

โรงพยาบาลที่น้องหนูนอนพักฟื้นอยู่ นอกจากจะอยู่ห่างจากบ้านใหญ่ของตระกูลกมลวิลาศน์คนละมุมเมืองแล้ว ที่นี่ยังไม่ใช่โรงพยาบาลประจำของรัญญาที่ราชันย์เคยเปรยให้อริญชย์ฟังถึงความเรื่องมากของน้องสาว สมัยที่ยังสนิทสนมกันอยู่อีกด้วย

“แล้วมีอะไรผิดสังเกตบ้างไหม” อริญชย์เอ่ยถามด้วยท่าทีสบาย ๆ ไม่ได้เคร่งเครียดเท่าตุลย์

“คุณรัญญาเป็นฝ่ายเดินเข้ามาทักผมก่อน อันนี้ผิดสังเกตไหมครับ”

อริญชย์ขมวดคิ้วเล็กน้อย จะบอกว่ารัญญาอัธยาศัยดีก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะลักษณะนิสัยของรัญญาเท่าที่เคยได้ยินมาจากราชันย์ประกอบกับที่เขาเคยพบเจอด้วยตัวเอง ต้องบอกเลยว่าน้องสาวของอดีตเพื่อนรักที่ปัจจุบันกลายมาเป็นคู่อริน่ะ... ‘ถือตัว’ เอาเรื่องเลยทีเดียว

“ทักว่า”

“ก็ทั่วไปครับ ถามว่าผมมาทำอะไรที่โรงพยาบาล”

“แล้วนายตอบไปว่ายังไง”

“ยังไม่ทันได้ตอบหรอกครับ คุณรัญญาเธอมีสายเรียกเข้าเสียก่อน พอวางสายเสร็จก็ขอตัวทันที ผมเองยังไม่ทันได้ถามอะไรเหมือนกัน”

อริญชย์ผงกหัวรับ ก่อนจะปัดเรื่องของรัญญาทิ้งไป ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม แต่ก็ไม่ได้สลักสำคัญพอให้เขาเก็บเอามาเป็นประเด็นตอนนี้ อริญชย์ค่อย ๆ เอนหลังลงพิงพนักเบาะ แล้วหลับตาลงช้า ๆ เลยไม่ทันได้เห็นแววตาที่แฝงความกังวลของตุลย์

...กับคนที่ภักดีอย่างที่สุด บางครั้งก็ยังมีเรื่องที่ต้องปิดบังกันบ้าง...

ตุลย์เกือบจะถอนหายใจออกมาแล้ว ดีแต่ว่าเขายังกลั้นเอาไว้ได้ทัน เขาจะไม่หนักใจเลยแม้แต่น้อย ถ้ารัญญาไม่ได้ทิ้งท้ายประโยคเอาไว้ให้เขาต้องเก็บเอามาเป็นกังวลแบบนี้

‘ฝากความคิดถึงถึงคุณพีทด้วยนะคะ...’

ทำไมตุลย์จะไม่รู้ว่าพิชญ์ไม่ได้มีความสนิทสนมอะไรกับรัญญาเลย แต่เขาไม่เข้าใจว่าที่รัญญาเอ่ยฝากถึงพิชญ์แบบนี้ เธอมีจุดประสงค์อะไร อย่างน้อย เขาก็อยากจะรอให้ตัวเองแน่ใจเสียก่อนว่าอะไรเป็นอะไรแล้วถึงค่อยบอกอริญชย์ เพราะถ้าเป็นเรื่องของพิชญ์ขึ้นมาเมื่อไหร่ คำว่าเหตุผลก็ไม่เคยมีความหมายสำหรับอริญชย์เลยซักครั้ง

ทั้งที่บอกตัวเองแบบนั้น แต่ตุลย์กลับสังหรณ์ใจแปลก ๆ ความรู้สึกมันคล้ายกับว่าท้องฟ้าที่ยังไม่ทันจะสว่างสดใสดีนัก ตอนนี้กลับเริ่มมีเมฆดำทะมึนก่อตัว เป็นสัญญาณว่าพายุฝนเริ่มตั้งเค้ามาแล้ว...



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่า
เฉลยแล้วเนอะว่าเฮียกับดินมาเจอกันยังไง
ชีวิตดินนี่ดราม่าพอ ๆ กับพีทเลยค่ะ



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Tassanee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :hao7:  รอต่อไปคร่าาาาา
เมื่อไหร่สงครามระหว่างเฮียกะอริญจน์ จะจบน้อออออ
เป็นห่วง คนรอบตัวทุกคนเลยย

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ราชันย์ไม่รักดินซักนิดเลยเหรอ....​
อ่านถึงตรงนี้ก็สงสารดินเหมือนกันนะ
รักเขาเข้าอย่างจังขนาดนี้ ถ้าเขาปล่อยให้เป็นอิสระแล้วดินจะอยู่ยังไงต่อได้ละทีนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องปัจจัยเท่านั้น... มันคือเรื่องหัวใจล้วนๆ  :m15:

เป็นไปได้ไหมว่าเรื่องที่คุณกลางโดนทำร้ายนั้นเกิดจากความตั้งใจของรัญญา?? เราเริ่มระแวงยัยรัญญาเข้าแล้วนะ ตุลย์ก็น่าจะบอกความจริงกับคุณใหญ่ซะ แบบนี้แล้วคุณใหญ่ก็ไม่ระวังหลังให้พีทอะดิ และก็พีทอีกคนไปพบกับรัญญาโดยไม่บอกใครอีก กลัวจะโดนแบบคุณกลางจริงๆ   :ling1:

ทำไมเธอ 2 คนต้องมีความลับกับคุณใหญ่ด้วย  :katai1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-06-2020 21:31:34 โดย mab »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เออตุลย์ใกล้ละ พายุกำลังจะมา ทอร์นาโดเลยละ 55 โห้ยยยถ้าคุณใหญ่จับจุดพีทได้คือมีชัยไปเลย พีทแพ้ความอ่อนโยนของเขาดีๆนี่เอง อะคริๆ 55 ตอนตุลย์มาเปิดประตูชวนไปนอนนี่บับขัดจังหวะจริง อยากโบกสักป๊าบ นึกว่าจะได้เห็นคนจูบกัน ดีใจหมด เก้อเลย ไม่เป็นไรวันหน้ายังมี 55555 //อยากให้ตัวมีราคาเป็นประโยชน์ก็วิ่งรับลูกกระสุนแทนเขาซะนะ จ่ายด้วยชีวิตไปเลย ตายหายศพไม่เจอ ผ่านไป5ปีมาเจอกันอีกทีคราวนี้ละรักแท้ รักจริงรักกันไหม ได้คำตอบแน่ 5555 หรือไม่ก็พอรับกระสุนแทนเขาแล้ว ก็ทวงสัญญาที่เขาให้ไว้ว่าจะปล่อยกันไป แล้วจากไปมีชีวิตเป็นของตัวเองเพราะต้องมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อน้อง แต่สุดท้ายอยากให้สองคนนี้มีโอกาสเป็นคู่รักกันนะ แต่จะมาวิธีไหนยังไงคือไม่รู้แล้วแต่ผู้แต่ง 55555555 แต่แบบอยากให้ห่างกันไปสักพักเพื่อที่จะได้รู้ใจตัวเองแต่ละคน สนุกมากๆรออ่านตอนหน้าเลย น้องหนูจะหายยัง อีกไม่นานๆอีกเท่าไหร่ รีบๆมาเคลียร์กันเถอะ แต่อีกนานกว่าพายุจะสงบอะนะ 5555 ขอบคุณนะคะที่มาต่อ อ่านเพลินเลย  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
ยี่สิบเอ็ด
ความทรงจำสีจาง



          ...ซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย...

          อพาร์ทเมนต์ขนาดสองห้องนอนบนถนนโอแฟร์เรลมีแขกจากต่างแดนเดินทางมาเยือนอย่างกะทันหัน สุภาพสตรีวัยห้าสิบเศษที่ยังคงดูสาวและสวยเหมือนอายุเพียงต้นสี่สิบรีบกระวีกระวาดลงมาจากอพาร์ทเมนต์ หลังได้ยินเสียงอินเตอร์คอมจากคนดูแลอพาร์ทเมนต์แจ้งว่ามีคนเอเชียมารอพบอยู่หน้าอพาร์ทเมนต์ คุณอำพรเผลอคลี่ยิ้มออกมาน้อย ๆ เมื่อคาดเดาเอาเองว่าคนเอเชียที่มาขอพบคงจะเป็นคนเดียวกับทุกครั้งที่ผ่านมา

          ...ลูกชายคนโตของ ‘เขา’...

          แม้จะนึกแปลกใจกับการมาเยือนอย่างกะทันหัน ชนิดที่ไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า เพราะทุกครั้งที่อริญชย์มาซานฟรานซิสโกเพื่อเยี่ยมอธิษฐ์ อีกฝ่ายมักจะโทรศัพท์มาบอกเธอล่วงหน้าก่อนเสมอ แต่คุณอำพรก็แก้ตัวให้ว่าอริญชย์อาจจะแวะมาธุระแถวนี้แล้วเลยมาเยี่ยมเธอกับอธิษฐ์ก็เป็นได้ ทว่าการคาดเดาคราวนี้ของเธอกลับผิดความจริงไปไกลโข เมื่อคนที่ยืนกอดอกตัวสั่นน้อย ๆ อยู่นอกอพาร์ทเมนต์ไม่ใช่คนที่เธอคิด แต่กลับเป็นหญิงสาวรูปร่างผอมบางที่ยืนอยู่กับกระเป๋าเดินทางใบย่อม

          ไม่ใช่อริญชย์ที่มักจะมาเยี่ยมอธิษฐ์อยู่เสมอ แต่กลับเป็นไอลดาที่เบือนหน้ามาหาเธอด้วยท่าทางอิดโรย

           “คุณเล็ก...” คุณอำพรครางชื่อลูกสาวคนเล็กของผู้ชายที่เธอเคยมีความสัมพันธ์ด้วยออกมาเบา ๆ

          ไอลดาเพียงแค่พยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะนิ่งเงียบ ริมฝีปากบางเฉียบเม้มเข้าหากันอย่างไม่รู้จะเอ่ยถ้อยคำใดออกมา รู้ดีว่าตัวเองบ้ามากแค่ไหนที่บินลัดฟ้ามายืนอยู่ตรงหน้าผู้หญิงที่เธอนึกชิงชังนักหนา

           “ไปยังไงมายังไงคะ” คุณอำพรเอ่ยถามอย่างแปลกใจระคนตกใจ

          คุณอำพรเองก็รู้ว่าไอลดาไม่ใช่อริญชย์ที่ยอมรับเธอและอธิษฐ์เป็นสมาชิกในครอบครัว นอกจากจะไม่ยอมรับแล้วยังนึกชิงชังเธอกับลูกชายเสียด้วยซ้ำ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำเอาเธอถึงกับแปลกใจและคาดไม่ถึงเมื่อเห็นอีกฝ่ายมาปรากฏตัวต่อหน้า อย่าว่ากระนั้นเลย แม้เธอเองจะไม่ใช่ผู้ให้กำเนิดโดยสายเลือด แต่สัญชาติญาณความเป็นแม่ที่มีอยู่ก็บอกให้เธอรับรู้ว่า...

          ไอลดาที่ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเธอตอนนี้ ไม่ต่างอะไรจากนกปีกหักที่กำลังมองหาที่พึ่งพิง

          คุณอำพรเอื้อมมือออกไปหมายจะแตะหัวไหล่ที่กำลังสั่นน้อย ๆ ของไอลดาด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะต้องเป็นฝ่ายชะงักด้วยความเก้อเสียเอง เมื่อหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวลูกเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือของเธอแล้วเอ่ยออกมาเสียงเรียบ ๆ

           “ฉันมากะทันหันไปหน่อย แต่ขอค้างซักคืนได้ไหม แล้วพรุ่งนี้จะออกไปหาโรงแรมอยู่เอง”

          คำขอของไอลดาทำเอาคุณอำพรต้องแปลกใจเป็นคำรบสอง แต่ก็คร้านจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นที่เมืองไทย นับตั้งแต่เธอพาอธิษฐ์หนีมาจากความทรงจำอันโหดร้ายและสภาพแวดล้อมเดิม ๆ เหล่านั้น เธอกับลูกก็ปิดหูปิดตา ไม่รับรู้ข่าวสารใด ๆ จากทางเมืองไทยอีก และที่สำคัญ ต้นสายปลายเหตุที่ไอลดามาหาเธอถึงที่นี่คงไม่สำคัญเท่ากับการเยียวยาแม่นกน้อยปีกหักตรงหน้าเธอเสียก่อน แม้จะนึกตงิดอยู่ในใจว่าเรื่องร้ายแรงอะไรกันที่ทำให้ไอลดาเลือกบ่ายหน้ามาหาเธอแทนที่จะเป็นอริญชย์ แต่คุณอำพรก็ไม่คิดที่จะเอ่ยถามออกไป

           “ถ้างั้นก็เข้าไปนั่งข้างในก่อนเถอะ อากาศข้างนอกเย็น ๆ เดี๋ยวคุณจะไม่สบายเสียก่อน”

          ไอลดาพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เธอไม่ได้คาดคิดว่าลมที่ซานฟรานฯ จะแรงสมกับที่เป็นเมืองติดทะเล เลยเตรียมมาแค่คาร์ดิแกนตัวบาง ๆ จนต้องมายืนหนาวสั่นอยู่หน้าอพาร์ทเมนต์ให้อีกฝ่ายต้องนึกสมเพช ยังไม่ทันได้ก้าวขาขยับตัวไปตามคำชวน ริมฝีปากบางก็ขยับเอ่ยถามเบา ๆ คล้ายกับไม่แน่ใจ

           “เขาอยู่ไหม”

           “ไปทำงานที่ร้านอาหารไทย ดึก ๆ ถึงจะกลับมาน่ะ”

          ถ้าหูไม่ได้แว่วไปเอง คุณอำพรยอมรับเลยว่าเธอได้ยินเสียงถอนหายใจคล้ายกับโล่งอกดังมาจากคนที่เดินตามหลัง จนอดคลี่ยิ้มออกมาน้อย ๆ ด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ความที่เป็นผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน เหตุใดจะไม่เข้าใจอะไรทะลุปรุโปร่ง

          เด็กหนอเด็ก นี่คงกลัวว่าจะเข้าหน้ากับเจ้าลูกชายของเธอไม่ติดล่ะสิ

          ถ้าไม่ติดว่าไอลดาไม่ชอบเธอ คุณอำพรเองก็นึกอยากจะบอกอีกฝ่ายให้คิดว่าเธอเป็นแม่อีกคน แต่เธอรู้ว่าไอลดาคงไม่มีวันยอมแน่ ๆ เธอก็แค่อยากชดเชยให้ อย่างน้อยก็ในฐานะที่ไอลดาเป็นน้องสาวของอธิษฐ์

          อพาร์ทเมนต์ที่คุณอำพรกับอธิษฐ์อาศัยอยู่ด้วยกันสองคนแม่ลูกเป็นอาคารสี่ชั้น ดังนั้นตัวอาคารจึงไม่มีลิฟต์ ลำบากไอลดาให้ต้องแบกกระเป๋าเดินทางขึ้นบันไดอย่างทุลักทุเล โชคดีที่กระเป๋าเดินทางของเธอใบไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็ถือว่าเหนื่อยเอาเรื่องสำหรับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่มักจะมีคนอื่นคอยทำให้อยู่ไม่น้อย

          ถึงแม้อพาร์ทเมนต์ของคุณอำพรจะเป็นอพาร์ทเมนต์ธรรมดาที่ไม่ได้หรูหรามากมายในสายตาของไอลดา แต่เมื่อลองเปรียบเทียบกับทำเลและความสะดวกสบายต่าง ๆ แล้ว หญิงสาวก็นึกรู้ว่าราคาค่างวดของมันคงจะไม่น้อยแน่ ๆ ถ้าเป็นยามปกติ ไอลดาคงอดไม่ได้ที่จะค่อนขอดว่าเงินค่าเช่าอพาร์ทเมนต์แห่งนี้ก็ล้วนแล้วแต่มาจากทรัพย์สินของพ่อเธอทั้งนั้น แต่ยามนี้เธอทั้งเหนื่อยทั้งล้า เลยเลือกทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเงียบ ๆ ไม่อยากจะถือสาหาความอีกฝ่ายอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต

          คุณอำพรปล่อยให้ไอลดานั่งอยู่ที่ห้องรับแขกตามลำพัง ส่วนตัวเธอเองเดินหายเข้าไปในห้องครัวเล็ก ๆ ซึ่งแยกออกมาเป็นสัดส่วน แขกที่มาเยือนอย่างกะทันหันเลยถือโอกาสกวาดสายตาสำรวจไปรอบ ๆ อพาร์ทเมนต์ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มออกมาอย่างฝืดฝืน มันไม่ใช่รอยยิ้มแห่งความปรีดา แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่คล้ายจะสมเพชตัวเอง

          ทั้ง ๆ ที่หัวใจก็รู้ดีว่าเขาไม่เคยมีที่สำหรับเธอ แต่เธอก็ยังฝันลม ๆ แล้ง ๆ สุดท้ายพอถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากฝันกลางวัน ถึงได้รู้ว่ามันเจ็บเจียนตายขนาดนี้

          เธอทั้งบ้า ทั้งโง่ ที่เฝ้ายึดติดกับความรักที่ไม่มีวันเป็นจริง

          ไอลดาเกือบจะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา แต่ในเมื่อบอกตัวเองว่าจะไม่ร้องแล้ว จึงได้แต่ฝืนกลั้นเอาไว้

           ...ผู้ชายคนแรกที่เธอนึกรักอย่างจริงใจ และการอกหักครั้งแรกอย่างหมดรูป...

          อีกนานเท่าไหร่กว่าหัวใจจะชินชาจนบากหน้ากลับไปพบพี่ชายและพิชญ์ได้...

          ตอนที่เลือกเป็นฝ่ายจากมา เหตุใดน้องสาวอย่างเธอจะไม่รู้ว่าพี่ชายอย่างอริญชย์ต้องคอยเช็กความเคลื่อนไหวของเธออยู่แล้ว หญิงสาวเลือกจองตั๋วไปฝรั่งเศสในครั้งแรก ก่อนจะตัดสินใจทิ้งตั๋วใบเดิม แล้วซื้อตั๋วใบใหม่เพื่อบินมาที่ซานฟรานฯ แทน พี่ชายคงคาดไม่ถึงแน่ ๆ ว่าเธอจะมาปรากฏตัวที่นี่ สถานที่สุดท้ายบนโลกนี้ที่อริญชย์คิดว่าไอลดาจะมา แต่เธอก็มาแล้ว หอบเอาหัวใจที่แหลกสลายข้ามฟ้ามาไกลถึงซานฟรานฯ

          กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของโกโก้ร้อนที่เพิ่งชงจนควันฉุยลอยมาแตะจมูก ก่อนถ้วยโกโก้จะถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มนุ่มนวล เรียกไอลดาให้เงยหน้ามองเจ้าของความหวังดี หญิงสาวเอื้อมมือไปรับโกโก้ร้อนมาจากคุณอำพร ริมฝีปากบางพึมพำขอบคุณเบา ๆ เรียกให้รอยยิ้มฉาบอยู่บนริมฝีปากคนสูงวัยกว่า ที่อย่างน้อยไอลดาก็ไม่ปฏิเสธความหวังดีของเธอ

           “คุณเล็กจะมาอยู่กี่วันล่ะ ไม่ต้องไปนอนโรงแรมให้ลำบากหรอก มาพักกับน้าที่นี่สิ”

          ไอลดาชะงักมือที่กำลังยกโกโก้ร้อนขึ้นจิบ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองคุณพรเหมือนไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน

           “ฉันไม่อยากรบกวน...”

           “รบกวนอะไรกัน ถึงน้าจะไม่ได้เป็นอะไรกับคุณเล็ก แต่คุณเล็กก็เป็นน้องของกลาง น้ารู้ว่าเวลานี้คุณเล็กไม่อยากอยู่คนเดียวหรอก มาอยู่ด้วยกันเถอะ...”

          คุณอำพรพูดออกมาเหมือนเข้าไปนั่งอยู่กลางใจไอลดา เธอไม่ได้อยากอยู่คนเดียวเลยจริง ๆ ยิ่งอยู่คนเดียวมากเท่าไหร่ ไอลดาก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ปล่อยตัวเองให้จมปลักอยู่กับความทรงจำแสนหวาน ยึดติดกับมัน จนสุดท้ายก็ไม่อาจตัดใจได้

           “แต่ที่นี่มีแค่สองห้องนอน”

          คุณอำพรคลี่ยิ้มออกมาอย่างนุ่มนวล ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนแม่ แม่ที่ในความทรงจำช่างลางเลือนเหลือเกินสำหรับไอลดา ถ้าแม่อยู่ด้วยกันกับเธอตอนนี้ จะดีแค่ไหนกันนะ

           “ถ้าคุณไม่อยากนอนกับน้า เดี๋ยวน้าไปนอนกับเจ้ากลาง แล้วคุณนอนห้องน้าก็ได้”

          ทั้งที่ความตั้งใจเดิมคือการมาขอค้างด้วยแค่คืนเดียว ก่อนที่เธอจะออกไปหาโรงแรมอยู่เองพรุ่งนี้ แต่ตอนนี้ไอลดากลับพยักหน้ารับช้า ๆ ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีทางเลือก แต่เธอแค่อยากลองเลือกเชื่อในสิ่งที่พ่อและพี่ชายเชื่อมาตลอด

           “ถ้ากลางกลับมาแล้วเจอคุณ เขาต้องดีใจมากแน่ ๆ”

          ไอลดาฟังเงียบ ๆ โดยไม่ได้เอ่ยตอบรับอะไรอีก เพียงแค่ผงกหัวน้อย ๆ

          หลังจากที่เดินออกมาจากปัญหาตามลำพัง อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว





          .





          ทางด้านกรุงเทพมหานคร หลังจากคุณหมอเจ้าของไข้เข้ามาตรวจอาการน้องหนูและสั่งยาให้น้องหนูเอากลับไปกินที่บ้าน ก็ถึงเวลาที่น้องหนูจะได้ออกจากโรงพยาบาลเสียที พิชญ์หยิบกระเป๋าใบเล็กมาเก็บข้าวของจุกจิกต่าง ๆ ขณะที่คนเพิ่งหายป่วยนั่งดูการ์ตูนตาแป๋วอยู่บนเตียง ในมือถือขวดนมรสหวาน ไม่ยอมดื่ม แต่ก็ไม่ยอมปล่อย พอเก็บของและตรวจเช็กความเรียบร้อยต่าง ๆ เสร็จแล้ว พิชญ์ก็เอี้ยวตัวไปปิดโทรทัศน์ เล่นเอาน้องหนูส่งค้อนขวับ ๆ ให้กับคุณพ่อทันที

           “จะกลับบ้านหรือจะดูการ์ตูนอยู่ที่นี่คะ”

          เท่านั้นแหล่ะ เจ้าตัวเล็กของพิชญ์ก็รีบยิ้มประจบประแจงก่อนจะส่ายหน้าหวือ เป็นอันรู้กันว่ากลับไปดูที่บ้านก็ได้ พิชญ์คลี่ยิ้มออกมาก่อนจะอุ้มน้องหนูลงมาจากเตียง แวบหนึ่งที่อดไม่ได้จนต้องเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา พอเห็นเข็มสั้นจวนจะเดินไปถึงเลขหนึ่ง พิชญ์ก็เม้มริมฝีปากแน่น แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาให้ลูกสาวตัวน้อยนึกสงสัย

          ฝ่ามืออบอุ่นของผู้เป็นพ่อกอบกุมมือเล็กหลวม ๆ จับจูงเจ้าตัวจ้อยของเขาเดินมาตามทาง คนที่เพิ่งหายป่วยดูร่าเริง ผิดกับผู้เป็นพ่อที่เริ่มจะหงุดหงิดนิด ๆ ตามเข็มนาฬิกาที่เดินไปข้างหน้า ถึงแม้พิชญ์จะรู้อยู่แก่ใจว่าอริญชย์มีประชุมตอนเช้าและอย่างน้อย ๆ ก็น่าจะลากยาวมาจนถึงเที่ยง แต่ตอนนี้ก็ปาเข้าไปจะบ่ายสองแล้ว ทว่ายังคงไร้วี่แววของคนที่กำชับเขานักหนาว่าให้รออยู่ที่โรงพยาบาล

          พิชญ์จูงน้องหนูเข้ามานั่งรอที่ร้านขนมเล็ก ๆ บริเวณล็อบบีชั้นล่างของโรงพยาบาล ตั้งใจว่าถ้าบ่ายสองแล้วอริญชย์ยังไม่โผล่หัวมา พิชญ์ก็จะกระเตงน้องหนูขึ้นแท็กซี่กลับบ้าน ไม่ใช่ว่าเขาเป็นพวกงี่เง่าที่รอนิดรอหน่อยไม่ได้ แต่สุขภาพและความสะดวกสบายของน้องหนูย่อมมาเป็นอันดับแรก พิชญ์ไม่ยอมให้ลูกสาวตัวน้อยที่เพิ่งหายป่วยหมาด ๆ มานั่งรออริญชย์นานเกินควรเด็ดขาด คุณพ่อลูกหนึ่งนึกหมายมาดอยู่ในใจ

          นมสดอุ่น ๆ ถูกยกมาวางตรงหน้าน้องหนูพร้อมด้วยขนมบิสกิตรูปตัวอักษรภาษาอังกฤษชิ้นเล็ก ๆ ขณะที่ของพิชญ์เป็นกาแฟร้อน น้องหนูก้มลงมองนมสดของตัวเองที่พ่อพีทเป็นคนสั่งให้ ก่อนจะหันไปมองตู้ไอศกรีมตาละห้อย แล้วก็ต้องหน้ามุ่ยหนักกว่าเดิม เมื่อพ่อพีทคนดีของน้องหนูมองตามสายตาแล้วก็เอ่ยออกมาอย่างรู้ทัน

           “เพิ่งหายป่วย ห้ามกินไอศกรีมเด็ดขาด”

           “น้องหนูแค่มองเฉย ๆ”

          เจ้าตัวเล็กแก้ตัวเสียงอ่อย ปากรูปกระจับยื่นน้อย ๆ อย่างน่ารักน่าชัง จนคนเป็นพ่อนึกอยากคว้าเข้ามาฟัดแรง ๆ ด้วยความมันเขี้ยว

           “ถ้าไม่อยากโดนคุณพยาบาลเอาเข็มจิ้มอีก น้องหนูต้องเชื่อฟังคุณหมอเข้าใจไหมลูก”

          น้องหนูพยักหน้าหงึกหงัก ยอมไม่ทานไอศกรีมก็ได้ เพราะเอาเข้าจริงแล้ว น้องหนูก็ไม่ชอบโรงพยาบาลเท่าไหร่ แถมไม่อยากโดนคุณพยาบาลเอาเข็มจิ้มเหมือนวันก่อนด้วย เมื่อเช้าตอนที่คุณอาหมอบอกให้น้องหนูกลับบ้านได้ น้องหนูดีใจจนแทบจะกระโดดกอดพ่อพีทเลยทีเดียว

           “พ่อพีทจ๋า ทำไมลุงใหญ่มาช้าจังคะ”

           “ลุงใหญ่ติดประชุมอยู่ครับ ถ้าบ่ายสองแล้วลุงใหญ่ยังไม่มารับ เรานั่งแท็กซี่กลับบ้านกันเนอะ”

           “ยังงี้ลุงใหญ่มาถึงก็ไม่เจอน้องหนูกับพ่อพีทสิคะ” เจ้าตัวเล็กยังมีแก่ใจห่วงลุงใหญ่

           “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพ่อพีทให้น้องหนูโทรบอกลุงใหญ่ว่าเราจะกลับกันก่อน”

          พอฟังที่ผู้เป็นพ่อบอก น้องหนูที่ไม่ค่อยได้ยึดติดกับอะไรมากนักตามประสาเด็กเล็กก็เลิกถาม เด็กหญิงค่อย ๆ ก้มหน้าลงละเลียดนมสดอุ่น ๆ ตรงหน้าตัวเอง เหมือนลูกแมวน้อยที่ค่อย ๆ เล็มนมสด เสร็จแล้วก็คว้าบิสกิตใส่ปาก กำลังจะส่งนิ้วมือเลอะ ๆ เข้าปากตามหลังบิสกิตก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นพ่อพีทจ้องเขม็ง เจ้าตัวเลยยิ้มแหยก่อนจะเช็ดนิ้วกับกระดาษทิชชู่ที่พิชญ์ดึงส่งให้ คนเป็นพ่อคลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ เขาไม่ได้เข้มงวดอะไรมากนัก แค่ไม่อยากให้น้องหนูทำบ่อย ๆ จนติดเป็นนิสัย

           “ถ้าน้องหนูเป็นเด็กดี พอหายดีแล้ว พ่อพีทจะพาไปเที่ยวนะคะ”

           “หนูเป็นเด็กดี พ่อพีทพาหนูไปเที่ยวนะ”

          พิชญ์ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับลูกสาวตัวน้อย นึกอยากคว้าเจ้าตัวเล็กของเขาเข้ามากอดให้จมลงไปกับอก แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างใจคิด มิหนำซ้ำยังเผลอนิ่วหน้าออกมาเมื่อโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นครืดคราด ทั้งพ่อทั้งลูกชะโงกหน้ามองชื่อคนโทรเข้าพร้อมกัน น้องหนูยิ้มแป้นเมื่อเห็นหน้าคนคุ้นเคยโชว์หรา ขณะที่คนเป็นพ่อปั้นหน้านิ่งก่อนจะกดรับสาย ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าปลายสายคงไม่เห็นสีหน้าของเขาในตอนนี้

           “ครับ...”

           “ยังอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่ใช่ไหม”

           “ก็คุณสั่งให้ผมรอ...”

          พิชญ์เลือกที่จะตอบไปแค่นั้น ไม่ได้บอกว่าเขากับน้องหนูกำลังวางแผนที่จะโบกแท็กซี่กลับบ้าน ปลายสายเงียบไปอึดใจ ได้ยินเสียงทุ่มเถียงดังแว่วมาจากอีกฝั่ง คงไม่พ้นว่าการประชุมยังไม่เสร็จสิ้นลงแน่ ๆ

           “อีกสิบนาที ตุลย์น่าจะไปถึง รอหน่อยแล้วกัน” อริญชย์เอ่ยออกมาในที่สุด “แค่นี้นะ...”

           “เดี๋ยวคุณใหญ่...”

           “ทำไม”

           “ยังประชุมไม่เสร็จอีกหรือครับ”

           “ไว้ถึงบ้านแล้วจะเล่าให้ฟัง แค่นี้ก่อนนะ”

          พิชญ์มองหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับไปแล้วอย่างอดเป็นกังวลไม่ได้ ไมได้ห่วงอริญชย์เลย เขาแค่ห่วงงาน ห่วงการประชุมที่กำลังดำเนินอยู่ เพราะอันที่จริงแล้ว ตัวเขาก็เป็นหนึ่งคนที่ต้องเข้าร่วมประชุมวันนี้ด้วยเหมือนกัน แต่เอาเถอะ เดี๋ยวค่อยถามตอนที่อีกฝ่ายกลับมาถึงบ้านแล้วก็ได้

          หลังวางสายจากอริญชย์สิบนาทีไม่ขาดไม่เกิน โทรศัพท์มือถือของพิชญ์ก็สั่นอีกครั้ง คราวนี้เป็นสายเรียกเข้าจากตุลย์ที่พิชญ์นึกชื่นชมความตรงต่อเวลาของอีกฝ่าย สมแล้วที่เป็นคนสนิทของอริญชย์ หลังจากนัดแนะกับตุลย์ว่าจะเจอกันตรงประตูทางเข้า พิชญ์ก็จัดการเคลียร์บิลค่าขนมและเครื่องดื่มแล้วจูงน้องหนูออกมาจากร้าน

          ตอนที่พิชญ์จูงน้องหนูเดินมาถึงหน้าประตูทางเข้าโรงพยาบาล รถเบนซ์ เอสคลาสสีดำก็จอดรออยู่แล้ว คุณบุรุษพยาบาลรีบเดินมาเปิดประตูให้เลยได้รับคำขอบคุณจากคนไข้ตัวน้อยจนต้องยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู พอขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อย ตุลย์ก็กระชากรถออกทันที เขามองพิชญ์กับน้องหนูผ่านกระจกมองหลังก่อนจะเอ่ยทักยิ้ม ๆ ทั้งที่ดวงตามีร่องรอยของความเคร่งเครียดแฝงอยู่จาง ๆ

           “คุณหนูหายดีแล้วหรือครับ”

           “หายดีแล้วค่ะอาตุลย์ พ่อพีทบอกว่าจะพาน้องหนูไปเที่ยวด้วย”

          ตุลย์เบนสายตาไปมองพิชญ์อย่างแปลกใจ ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เลือกที่จะเงียบเสีย

          ถ้าไม่ติดว่ามีน้องหนูอยู่ด้วย พิชญ์ก็คงจะเอ่ยปากถามเรื่องงานจากตุลย์แล้วเหมือนกัน แต่เพราะว่ามีน้องหนูอยู่ พิชญ์ถึงเลือกที่จะนั่งคุยกับลูกสาวตัวน้อยมากกว่า น้องหนูนั่งเกาะหน้าต่าง เอ่ยถามถึงสิ่งที่ผ่านตาไม่ขาดปาก ซึ่งคนเป็นพ่อก็ตอบให้ทุกครั้งด้วยความเต็มใจ จนตุลย์ยังอดชื่นชมในความใจเย็นของพิชญ์ไม่ได้

          ถึงจะไม่ใช่สามีที่ดี แต่ตุลย์รู้ว่าพิชญ์เป็นพ่อที่ดีมาก

          ตลอดทางจากโรงพยาบาลถึงบ้าน มีแต่เสียงเจื้อยแจ้วของน้องหนูดังสลับกับเสียงตอบคำถามของพิชญ์ เล่นเอาคนขับรถอย่างตุลย์ถึงกับยิ้มไปตลอดทาง

          ถ้าอริญชย์เดินหมากในเกมนี้ดี ๆ ตุลย์มั่นใจยิ่งกว่าใคร ว่าถึงแม้จะต้องเดิมพันหมดหน้าตัก แต่อริญชย์จะไม่มีวันเสียอะไรไป ไม่ว่าจะเป็นไอลดา น้องหนู หรือแม้กระทั่งตัวพิชญ์เอง

          ขอแค่ใช้ใจ ใช้เหตุผล อย่าใช้อารมณ์มาแก้ปัญหา





          .

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
          หลังจากส่งพิชญ์และน้องหนูถึงบ้านแล้ว ตุลย์ก็วนรถกลับไปรับอริญชย์ที่บริษัท พอกลับไปถึงก็เห็นอริญชย์ออกมายืนคอยเขาอยู่แล้ว คนเป็นนายกำลังยืนสูบบุหรี่รอเขาอยู่ แขนเสื้อสองข้างถูกถลกขึ้นมากองอยู่ที่ข้อศอก เนคไทด์ถูกคลายออกหลวม ๆ

          พอเห็นจากหางตาว่าตุลย์มาถึงแล้ว บุหรี่ในมือก็ถูกขยี้ดับทันที ประตูด้านหลังถูกกระชากเปิดออกก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของคนเป็นนายจะก้าวขึ้นมา ไม่ต้องเอ่ยปากถาม ตุลย์ก็รู้จุดหมายของอริญชย์

           ‘บ้าน’...ที่มีพิชญ์และน้องหนูอยู่

           “พีทกับน้องหนูล่ะ”

           “ตอนผมออกมารับคุณใหญ่ คุณพีทกำลังเอาคุณหนูเข้านอนอยู่ครับ”

          อริญชย์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ราวกับพอจะคาดเดาคำตอบจากตุลย์ได้อยู่แล้ว น้องหนูเพิ่งจะหายป่วยและออกจากโรงพยาบาลหมาด ๆ ถ้าเขาเป็นพิชญ์ก็คงจะเอาเจ้าตัวเล็กเข้านอนเหมือนกัน

          พอกลับมาถึงคฤหาสน์แล้วพบแต่เพียงความเงียบ อริญชย์เลยไม่นึกแปลกใจเท่าไหร่ ป้าน้อยที่ยกน้ำมาเสิร์ฟก็รีบรายงานผู้เป็นนายอย่างรู้ใจว่าพิชญ์พาคุณหนูเข้านอนห้องเล็ก เจ้าของบ้านได้ยินดังนั้นก็ตรงไปยังห้องเล็กทันที โดยไม่คิดที่จะนั่งพักเหนื่อยให้เสียเวลา

          ประตูห้องนอนของน้องหนูถูกเจ้าของบ้านเปิดออกอย่างเงียบกริบ เพราะเกรงว่าอาจจะปลุกหลานสาวตัวน้อยตื่น ภาพหลังบานประตูที่ปรากฏแก่สายตาทำเอาอริญชย์เกือบหลุดเสียงหัวเราะออกมา ดีว่าเขากลั้นเอาไว้ทันเสียก่อน คนที่ควรจะนอนหลับอย่างหลานสาวตัวน้อยของเขา ตอนนี้กลับนั่งสะลึมสะลืออยู่บนเตียง ยกมือขยี้ตาอย่างงัวเงีย เดาว่าคงเพิ่งตื่นขึ้นมาไม่เกินสิบนาที ส่วนคนเป็นพ่ออย่างพิชญ์กลับยึดเตียงน้องหนูนอนหลับปุ๋ยไปแล้ว ดูท่าแล้วคงจะหลับไล่หลังน้องหนูไม่นาน

          ริมฝีปากหยักขยับเป็นรอยยิ้มน้อย ไม่แปลกที่พิชญ์จะนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย ตอนนอนเฝ้าน้องหนูที่โรงพยาบาล พนันได้เลยว่าพิชญ์คงไม่ได้นอนเต็มอิ่มเท่าไหร่ เห็นอย่างนี้แล้วอริญชย์เลยไม่คิดที่จะปลุกพิชญ์ให้ตื่นขึ้นมา แต่เลือกเดินอ้อมไปอีกด้านของเตียงแล้วอุ้มน้องหนูขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน เจ้าตัวเล็กยิ้มหวานก่อนจะวาดมือโอบรอบคอเขา

           “ไปข้างล่างกัน ปล่อยพ่อพีทเขานอนไปก่อน”

          น้องหนูพยักหน้ารับ ไม่มีอิดออด พอลงมาข้างล่าง อริญชย์ก็วานป้าน้อยให้หาของว่างมาให้น้องหนูรองท้อง ก่อนจะเรียกนวลมาช่วยดูแลน้องหนูอีกแรง พอเห็นน้องหนูนั่งเล่นเพลิน ๆ กับนวล อริญชย์เลยถือโอกาสกลับขึ้นไปบนห้องน้องหนูอีกครั้ง คราวนี้เขาก็ยังคงเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกับครั้งแรก เพราะไม่อยากปลุกคนที่กำลังนอนหลับด้วยความอ่อนเพลียให้ตื่น

          อริญชย์เดินเข้าไปนั่งบนเตียงอีกฝั่งที่ยังว่าง ทอดสายตามองคนที่นอนหลับสนิท หายใจสม่ำเสมอ ท่าทางจะเพลียมากจริง ๆ ถึงไม่รู้สึกตัวทั้งที่เขาอยู่ใกล้ขนาดนี้ ฝ่ามือหนาเอื้อมไปเกลี่ยไล้ปอยผมที่เลื่อนลงมาปรกหน้าพิชญ์ออกอย่างเบามือ ดวงตาที่มองทุกคนบนโลกอย่างเย็นชา ยามนี้กลับทอดสายตามองพิชญ์ด้วยความอ่อนโยน เปิดเผยทุกความรู้สึกที่เขากักเก็บอยู่ข้างใน

           ...ถ้าการรักพิชญ์มันผิดมหันต์ เขาก็จะยอมเป็นคนผิด
 
          แต่สองมือนี้จะไม่มีวันปล่อยพิชญ์ไป...ไม่ว่าต้องใช้วิธีไหนก็ตาม


          ความทรงจำวันแรกที่พบกันยังคงชัดเจนอยู่เสมอ เพราะการตกหลุมรักใครซักคนมันช่างง่ายดาย ตัวเขาเองถึงได้ปล่อยใจเผลอไผลไปกับดวงตาดื้อรั้นที่มักมองเขาอย่างอวดดี ทั้งที่เขาเคยเลือกที่จะเก็บสิ่งเหล่านั้นไว้ในซอกลึกสุดของความทรงจำ แต่เหตุผลทั้งมวลก็ถูกทำลายลงเมื่อหวนกลับมาพบกันในครั้งที่สอง

           ครั้งแรก อริญชย์ยังไม่คิดที่จะไขว่คว้า ถึงได้ยอมปล่อยพิชญ์ไป

          แต่เมื่อโชคชะตาพาพิชญ์เข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง อริญชย์ก็สาบานว่าจะไม่มีทางปล่อยให้พิชญ์เดินหนีไปอีกแล้ว


          ความรักไม่มีเหตุผลฉันใด ตัวเขาก็ไม่มีเหตุผลฉันนั้น หรืออาจจะเคยมีก่อนที่จะถูกเขาโยนทิ้งไป

          ถ้าการเลิกรักมันง่ายเหมือนตอนเริ่มรัก อริญชย์คงไม่ปล่อยให้ทุกอย่างถลำลึกจนทำร้ายใครต่อใครมากขนาดนี้ แต่เพราะมันไม่ง่ายอย่างใจคิด เขาจึงต้องยื้อความรักครั้งนี้ไว้ไม่ให้หลุดมือไป

          ริมฝีปากร้อนรุ่ม ทว่าอบอุ่นแตะแผ่วเบาลงบนหน้าผากเกลี้ยง สัมผัสอ่อนโยนคราวนี้ทำเอาคนที่เผลอหลับกระพริบตาถี่ ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นมามองสบตากับอริญชย์ พิชญ์เบิกตากว้างขยับจะเบี่ยงตัวหนี แต่อะไรบางอย่างในแววตาของอริญชย์กลับตรึงเขาให้อยู่กับที่

           “คุณใหญ่...”

          สายตาอ่อนโยนของอริญชย์ที่ก้มลงมองพิชญ์แทนถ้อยคำมากมายที่เจ้าตัวไม่เคยพูด แต่กลับมีอิทธิพลต่อหัวใจของคนที่ถูกมองจนไม่อาจขยับเขยื้อน ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยดวงตาอันทรงพลังคู่นั้น แล้วคำถามที่พิชญ์ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ยินก็ดังออกมาจากริมฝีปากหยัก จนคนที่เพิ่งตื่นขึ้นมาชักไม่แน่ใจ ว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ความอ่อนโยนที่สัมผัสได้ แท้จริงแล้วมันคือความจริงหรือเป็นเพียงฝันกลางวันของเขา

           “จำได้ไหมว่าเราเจอกันครั้งแรกเมื่อไหร่...” คำถามของอริญชย์นุ่มนวลอย่างที่พิชญ์ไม่ได้ยินบ่อยนัก

          คนที่ยังนอนอยู่บนเตียงช้อนตามองอย่างสงสัย คล้ายกับไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนกันแน่ แต่สุดท้ายก็เอ่ยย้อนถามกลับไป

           “ตอบแล้วผมจะได้อะไร”

          ริมฝีปากหยักยิ้มพรายอย่างอารมณ์ดี เป็นภาพที่พิชญ์ไม่มีโอกาสได้เห็นบ่อยนัก ความมั่นใจของอริญชย์ก้ำกึ่งอยู่ตรงกลาง ส่วนหนึ่งมั่นใจว่าพิชญ์คงตอบไม่ถูกแน่ ๆ แต่อีกส่วนหนึ่งลึก ๆ ข้างในกลับนึกลังเล แต่สุดท้ายส่วนแรกก็มีอำนาจเหนือกว่า มันคือการเดิมพันเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขากับเรื่องราวระหว่างเขากับพิชญ์

          อริญชย์แค่อยากรู้ สำหรับพิชญ์แล้ว บันทึกความทรงจำของพิชญ์เริ่มขึ้นพร้อมกันกับเขาหรือไม่

           “พรหนึ่งประการดีไหม”

          คำถามคล้ายยั่วเย้า แต่พิชญ์รู้ คนอย่างอริญชย์พูดจริงทำจริง จนบางครั้งเขาเองยังนึกกลัว เขาแค่นยิ้มออกมาให้กับข้อเสนอของคนที่ริอ่านทำตัวเป็นยักษ์ในตะเกียงวิเศษ หยิบยื่นพรหนึ่งประการให้เขา แต่ถ้าอยากให้สมจริงคงต้องเป็นพรสามประการ แต่เอาเถอะ แค่พรข้อเดียวจากอริญชย์มันก็มากเกินพอแล้ว

          วูบหนึ่ง เขานึกสงสัย หากขออะไรก็ได้ดังใจปรารถนาจริง ถ้าเขาร้องขออิสระ อริญชย์จะกล้าหยิบยื่นมันให้เขาไหม และที่สำคัญ ตัวเขาเองจะกล้าเดินออกไปจากกรงทองนี้หรือไม่

          แม้แรกเริ่มกรงทองของอริญชย์จะร้อยรัดพันเกี่ยวด้วยลวดหนาม กีดขวางไม่ให้เขาหาทางทะยานออกไป แต่พอนานวันเข้า ลวดหนามเหล่านั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นดอกไม้ส่งกลิ่นหอมยั่วเย้าคล้าย มอมเมาเขาให้หลงไหลอยู่ในกรงทองจนแทบลืมว่าเคยอยากหนีออกไป

          พิชญ์มองสบตาอริญชย์อย่างค้นหา ก่อนจะเอ่ยตอบคำถามออกไป

          ทั้งตื่นเต้น ทั้งรอคอย ทั้งหวาดหวั่น

           “เราเจอกันครั้งแรกที่มหาวิทยาลัย”

          เพียงแค่เห็นริมฝีปากหยักขยับยิ้มกว้างขวาง หัวใจที่กำลังบีบรัดก็คล้ายจะโล่งอก

          พิชญ์คนโง่เอ๋ย เหตุใดถึงดีใจที่ไม่ได้รับพรวิเศษจากอริญชย์ ทั้งที่เคยเฝ้าร้องขอและไขว่คว้ามาตลอด

           “ผิด”

           “ทำไม...” พิชญ์เอ่ยถามเสียงสั่น เมื่อฝ่ามืออบอุ่นเอื้อมมาไล้แก้มเขาเบา ๆ ราวกับจะหยอกเอิน

          ดูเหมือนเจ้าของคำถามจะพอใจที่เขาตอบผิดไม่น้อย ส่วนตัวเขาเอง...ทั้งโล่งใจ ทั้งสงสัย

           “ผมเจอกับคุณที่มหาวิทยาลัย ตอนที่ทางคณะเชิญคุณมาบรรยายพิเศษไม่ใช่เหรอ”

          อริญชย์ส่ายหน้าน้อย ๆ เขาโน้มตัวลงมากักอีกคนไว้ด้วยวงแขนสองข้าง

           “ตอนนั้นเราเจอกันก็จริง แต่ไม่ใช่ครั้งแรก”

           “แล้วครั้งแรกคือตอนไหน”

          ริมฝีปากสีแดงใกล้เข้ามาจนพิชญ์เผลอหลับตา ก่อนมันจะโฉบผ่านแก้มเขาไปกระซิบอยู่ข้างหู

           “เรื่องบางเรื่อง ถ้าไม่นึกให้ออกด้วยตัวเอง มันก็ไม่มีความหมายหรอกพีท”



TO BE CONTINUE



ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์นะคะ
พอคุณเล็กไม่อยู่แล้ว คุณใหญ่รุกคืบใหญ่เลยค่า
โหมดละมุน ๆ คุณใหญ่เขาก็มีนะเออ



ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
คุณเล็กไปอยู่กับคุณกลางและคุณอำพรก็ดีแล้ว ถ้าคุณใหญ่รู้จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง.. แต่คุณเล็กไม่บอกให้รู้นี่สิ ใจแข็งทั้งพี่ทั้งน้องเลย อยากรู้จังตอนคุณกลางกลับบ้านมาเจอคุณเล็กจะเป็นยังไงบ้างนะ  :mew2:

...​เห็นความอ่อนโยนที่คุณใหญ่เริ่มแสดงออกต่อพีทบ้างแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย แต่อยากรู้จังว่าทั้งสองคนเจอกันครั้งแรกที่ไหนนะ เฉลยหน่อยสิคุณใหญ่ คนอ่านก็อยากรู้เหมือนกันนะ  :katai1:

ออฟไลน์ Tassanee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 o18  คุณใหญ่ ทำไมน่ารักอย่างนี้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด