ASHTRAY
ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้
ตอนที่ 45
Warning: Sensitive Content - Abortion Mentioned แดดจ้าร้อนแรงแผดเผาทั้งที่เป็นปลายฤดูฝนจะเข้าสู่หน้าหนาว รอบข้างเต็มไปด้วยผู้คนจนรู้สึกตาลาย ทั้งบัณฑิตในชุดครุยขาวทอง ทั้งผู้ปกครองพี่น้องพร้อมญาติ ไหนจะเพื่อนที่มาร่วมแสดงความยินดี
โชคกับมิกซ์ในชุดพิธีการสีขาวแต่ไม่ได้เรียบร้อยนักกับครุยที่พาดทบอยู่บนท่อนแขน พากันขยับคอเสื้อระบายความร้อนทั้งที่เพิ่งลงจากรถที่วนหาที่จอดกันอยู่กว่าครึ่งชั่วโมง พวกเขาก้าวเดินตรงไปยังเขตคณะ สู่ตึกหลักอันเป็นจุดนัดรวมตัวแรกของเหล่าบัณฑิตทุกคน ระหว่างทางก็เจอกับคนรู้จักให้ได้ทักทายบ้างประปราย
“อ้าว พี่โชค พี่มิกซ์ เพิ่งมาเหรอครับ พวกพี่บัณฑิตคนอื่นไปรวมรอเข้าฮอลกันหมดแล้วนะ” เป็นรุ่นน้องที่เดินสวนมาเอ่ยบอก ดวงตาคมทว่ากลมโตมองพวกเขาเปล่งประกายอย่างกระตือรือร้น จนโชคอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปขยี้หัวคนเด็กกว่าที่สูงถึงแค่ใต้จมูกเขา
“เออ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวค่อยเจอกันตอนออกมาก็ได้” มิกซ์ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะอย่างไรเสียก็นัดรวมตัวกันอีกครั้งหลังออกจากพิธีอยู่แล้ว
“แล้วนี่เราจะไปไหน” โชคถามรุ่นน้องกลับบ้าง และเมื่อไม่เห็นอีกสองชีวิตที่มักจะตัวติดกันเป็นกลุ่มทรีโอ้ ซึ่งอีกสองคนนั้นคือน้องสายรหัสของเขากับของมิกซ์เลยถามถึง “ไม่ได้อยู่กับปั้นกับนิวเหรอ”
“อ่อ พวกนั้นยังอยู่ใต้ตึกอยู่พี่ แต่เดี๋ยวผมไปหาพี่สาวผมก่อน แม่โทรมาบอกว่าเขาปล่อยพวกรับช่วงเช้าออกมาแล้ว” ชายหนุ่มตัวเล็กตอบ ก่อนบอกลาเสียงใส “ไว้เจอกันอีกทีตอนรวมนะครับ”
ใกล้ชิดเป็นรุ่นน้องที่ถัดจากพวกเขาลงไปสามรุ่น ซึ่งภายนอกดูคล้ายกับมิกซ์อยู่ไม่น้อย ทั้งใบหน้าที่ดูน่ารัก ผิวขาวตาโต รูปร่างผอมโปร่งพิมพ์นิยม ทั้งยังนิสัยร่าเริงสดใส เข้ากับคนง่ายและจริงใจที่ราวกับถอดกันมา และอาจจะเป็นเพราะอย่างนั้นโชคถึงได้รู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน เอ็นดูมากเสียยิ่งกว่าน้องคนไหนในสายของตัวเองเสียอีก
สองรุ่นพี่ไม่ได้รั้งตัวหนุ่มน้อยไว้นานไปกว่านั้น แต่ก่อนจะเดินเลี้ยวพ้นทางแยกเพื่อเข้าสู่ตัวคณะ เสียงเรียกตามหลังก็ทำให้ต้องหันกลับไป
“พี่โชค! พี่มิกซ์!” รอยยิ้มสวยระบายออกมากว้างอย่างน่ามอง “ยินดีด้วยนะครับที่เรียนจบ”
“ขอบใจ” เป็นมิกซ์ที่ตอบกลับไปด้วยเสียงดังและมีชีวิตชีวาพอๆ กัน ในขณะที่โชคได้แต่ยืนนิ่ง แย้มยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อยอย่างประหม่าโดยไม่รู้สาเหตุ
ราวกับตกอยู่ในภวังค์ของรอยยิ้มเจิดจ้า
...บางทีมันอาจจะเป็นอะไรบางอย่างในดวงตากลมสุกสกาวคู่นั้น
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อรุ่นน้อง มันชัดเจนว่าไม่ใช่ความขัดเขินชวนหวั่นไหวในหัวใจอย่างที่โชครู้สึกกับแก้ว แต่ก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไรที่ติดใจเขาอยู่
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่สักพักจนมันสลายไปกับความชุลมุนของการร่วมแสดงความยินดีกับคนรู้จัก ถูกลากไปถ่ายรูปกลางแจ้งจนเพลียแดด ก่อนจะยกกันไปกินข้าวกลางวันเป็นหมู่คณะจนแน่นร้าน บทสนทนา ความวุ่นวาย และบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง...
โชคไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องนั้นอีกเลย
จนกระทั่งยามบ่ายแก่ที่แดดอ่อนลงแต่ยังคงร้อนอยู่ เหล่าบัณฑิตในพิธีช่วงบ่ายก็ถูกปล่อยออกมาถ่ายรูปเก็บความทรงจำกันต่อจากเมื่อเช้าที่ยังไม่หนำใจ
โชคเดินเข้าไปร่วมเฟรมบันทึกภาพกับเพื่อนเกือบทุกกลุ่ม ก่อนจะถูกสายรหัสที่รวมถึงพี่ที่จบไปแล้วกลับมาร่วมแสดงความยินดีด้วยแยกออกจากเพื่อนสนิทที่ไปรวมกับสายของตัวเองเหมือนกัน
บัณฑิตจบใหม่ได้รับช่อดอกไม้และของขวัญมาเต็มอ้อมแขน พูดคุยเอ่ยขอบคุณรุ่นพี่รุ่นน้องพร้อมส่งยิ้มให้กล้องกันไม่ว่างเว้น จากนั้นก็วนกลับไปสู่การถ่ายรูปกับเพื่อนรายคนจนแสงเริ่มโรยรา
“พี่โชคครับ!” เสียงตะโกนเรียกพร้อมรอยยิ้ม โชคหันกลับไปคลี่ยิ้มตอบ
กลางสนามกว้างใหญ่ ใต้ท้องฟ้าสีส้มอมแดง ในสายลมเย็นเบาบาง
โลกของโชคหยุดเคลื่อนไหว ...ในเสี้ยวนาทีที่ใกล้ชิดเดินเข้ามา
แต่มันไม่ใช่เพราะคนตรงหน้า สายตาของเขาจับจ้องไปที่หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังรุ่นน้องพร้อมครอบครัวของเธอ ความรู้สึกมากมายปั่นป่วนอยู่ในช่องท้องจนเหมือนกับลืมหายใจไปชั่วขณะ
เรือนผมยาวหยักศก ใบหน้าสะสวย รูปร่างเพรียวระหง ผิวนวลละเอียด
เขาไม่มั่นใจนัก แต่กลับแน่ใจ เมื่อมันราวกับเป็นภาพสะท้อน
ดวงตาคู่สวยของผู้หญิงคนนั้นมันเหมือนกันกับที่เขาเห็นทุกวันในกระจก
ดวงตาของเขาที่พ่อบอกว่ามันช่างเหมือนกันกับแม่...
ในระหว่างที่ยังคงหลงทางอยู่กลางความสับสน โชคก็มาถึงร้านเหล้าที่เหมาเอาไว้เลี้ยงส่งชาวสถาปัตย์ นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเพื่อนสนิท รับเอาแก้วน้ำเมาที่ถูกหยิบยื่นมาให้ คนคุ้นหน้ามากมายเข้ามาชวนชน ยกกระดกดื่มลงคอไปด้วยกันอย่างสนุกสนาน
เหล้าชงเข้มข้นขมปร่ารสร้อนแรง แต่กลับไม่รู้สึกถึงอะไรเลยนอกจากความฝาดเฝื่อนที่บาดลึกลงไปถึงในอก
โชคหันไปมองโต๊ะของรุ่นน้องที่ตั้งห่างออกไปไกลพอสมควร จ้องมองชายหนุ่มผู้พาหญิงสาวที่ละม้ายคล้ายกับมารดาในความทรงจำอันเลือนรางของเขามาด้วยในดวงตาคู่นั้น
แข็งกร้าวทว่างดงาม เปล่งประกายเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แตกต่างไปจากความโศกาช้ำชอกและรอยน้ำตาของแม่ที่เขาจดจำได้โดยสิ้นเชิง
ทว่าแม้จะแตกต่างเสียขนาดนั้นก็ยังรู้สึก ...รู้สึกคุ้นเคยกับมันเหลือเกิน
ชั่วพริบตาที่ได้สบตากับแม่ของใกล้ชิด โชคเหมือนย้อนกลับไปเป็นเด็กชายวัยสี่ขวบปีที่ทำได้เพียงนั่งฟังเสียงของแม่ที่กำลังร้องไห้ กลับไปเป็นเด็กชายโชคที่เดียวดายอยู่ในห้องโกโรโกโส กลับไปเป็นโชคที่เกิดขึ้นมาในสลัม ผลผลิตจากกามารมณ์ของคนที่ชื่อขามกับช้อย
และทั้งที่มันไม่มีอะไรดีเลย เขาก็ยังคงโหยหา...
ชายหนุ่มเบนสายตากลับมาที่ปากแก้ว มองลึกลงไปถึงก้นที่ยังคงเหลือก้อนน้ำแข็งบนแอ่งน้ำสีเหลืองทอง ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังโหยหาอะไรอยู่ สมองของมนุษย์เราจะพัฒนาระบบความจำได้อย่างเต็มที่ตอนอายุประมาณสี่ปี และมันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ช้อยทิ้งโชคไป นั่นทำให้แม่ในความทรงจำตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเขาพร่าเบลอ
บางทีมันอาจจะแค่เรื่องบังเอิญที่แม่ของรุ่นน้องมีดวงตาคล้ายคลึงกับเขาเสียจนน่ากลัว ก็เลยเผลอคิดไปว่ามันอาจจะใช่ เหมาเอาไปซ้อนทับกับภาพวาดในหัว ประกอบชิ้นส่วนของแม่ตัวเองขึ้นมาจากความว่างเปล่า ด้วยความหวังที่ว่าภาพนั้นจะสมบูรณ์ได้ในสักวัน
แต่เรื่องบังเอิญก็เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ...
“เต้” โชคเรียกเพื่อนที่นั่งฝั่งตรงข้าม รู้สึกเมามายทั้งที่สติแจ่มใส “มึงพี่สายใกล้ชิดใช่ไหม”
ถ้าหากเขาไม่ขุดค้นให้ลึกลงไปมากกว่านี้
สี่ทุ่มคืนนั้นฝนเทกระหน่ำลงมา หลังจากขับรถฝ่าพายุฝนที่ทำให้เบื้องหน้าพร่ามัวด้วยม่านน้ำโชคก็มาถึงบ้าน เขาลงจากรถเดินตากฝนไปยังประตูรั้ว ปลดโซ่คล้องออกแผ่วเบาอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่ดูเหมือนคนในบ้านที่ยังไม่ขึ้นนอนจะได้ยินเสียงเลยออกมาดู
“โชค” แก้วเอ่ยเรียก และเจ้าของชื่อก็เงยหน้าขึ้นสบตา พยายามจะยิ้มแต่กลับรู้สึกร้อนฉ่า
หยดน้ำฝนวันนี้ร้อนกว่าที่จดจำได้ยามมันไหลผ่านแก้ม
แก้วเดินทั้งเท้าเปล่าลงมาช่วยชายหนุ่มเปิดประตูรั้ว ดึงรั้งเด็กน้อยของตนเข้าสู่อ้อมแขน กอดเอาไว้แนบแน่นด้วยกลัวว่าหากเขาปล่อยมือไปโชคจะแตกกระจาย
...เหมือนหัวใจที่แหลกสลายอยู่หลังนัยน์ตาแดงก่ำ
“น้าแก้ว” เสียงสั่นเครือกับความเปียกชุ่มอุ่นร้อนบนบ่า
“อืม” แก้วตอบรับ แม้โชคจะยังไม่ได้พูดอะไร แต่เขาก็ตอบรับมัน เขาจะตอบรับและช่วยแบกรับทุกความรู้สึกในใจของอีกฝ่าย
เพราะมันเป็นหน้าที่ที่เขาสมัครใจจะทำในฐานะคู่ชีวิต
การตากฝนในช่วงปลายฤดูไม่ได้เนิ่นนานนัก แม้โชคจะร้องไห้จนในหัวตื้อตัน แต่เขาก็ยังรับรู้ได้โดยไม่ต้องไตร่ตรองว่าร่างกายของแก้วมันไม่ได้แข็งแรงเช่นแต่ก่อน
ในห้องน้ำคับแคบไปทันตาเมื่อมีสองร่างเบียดกันใช้ คนแก่กว่ายกมือขึ้นช่วยสระผมให้เด็กขี้แยที่ยังคงร้องไห้อย่างเงียบงันตรงหน้า ระบายยิ้มอ่อนจางขณะลูบปาดฟองบนหน้าผากคนสูงกว่าออกก่อนที่มันจะไหลเข้าตาบวมแดงให้ยิ่งแสบขึ้นไปอีก
“หลับตานะ” กระซิบบอกอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหมุนก๊อกเปิดน้ำจากฝักบัวให้ชโลมรดลงมาล้างฟองของสบู่กับแชมพูกลิ่นฟุ้งให้ไหลลงสู่ท่อระบายน้ำ
“แก้ว...”
“หืม”
“แก้ว”
“อืม”
“แก้ว”
“เด็กดี เธอต้องเช็ดตัวก่อน”
ห้องนั่งเล่นเหน็บหนาวแม้ไม่ได้เปิดกระทั่งพัดลม โชคนั่งอยู่บนพื้นปล่อยให้คนบนโซฟาช่วยเช็ดผมให้ โมกโผล่หน้ามาทักทายก่อนจะกลับไปนอนบนเบาะอุ่นใต้บันได ทิ้งบ้านทั้งหลังเอาไว้ในสายฝน และคนสองคนที่ยังเปียกปอนแม้ใส่ชุดใหม่ที่แห้งสนิท
“น้าแก้ว” โชคคว้าจับมือเรียวที่เย็นเฉียบเพราะความชื้นเอาไว้ หลับตาแล้วเอนหัวพิงเข้ากับเข่าแข็ง แต่กลับมองเห็นเข็มของนาฬิกาเหนือจอโทรทัศน์ในความมืดมิดชัดเจน... ชัดเจนเหมือนกับความคิดในหัวที่ขึ้นรูปร้อยเรียงสร้างเรื่องราวขึ้นมาจากหมอกควันและคำบอกเล่าที่ได้ฟังมา
“ฉันฟังอยู่” เสียงของแก้วแผ่วเบาขณะเอ่ยบอก รับรู้ได้ถึงความอุ่นร้อนจากอุ้งมือใหญ่ และความเหน็บหนาวจากเส้นผมชื้นน้ำใต้ผ้าขนหนู
“ผม...คิดว่าผมเจอแม่” ประโยคบอกเล่าเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่าย ไม่สะดุดไม่สั่นไหว “แต่ผมไม่รู้หรอกว่าใช่จริงรึเปล่า แก้วจำรุ่นน้องที่ชื่อใกล้ชิดได้ไหมครับ...”
ชายหนุ่มเล่าเรื่องวันนี้ที่ได้เจอกับหญิงวัยกลางคนที่มีดวงตาคมคู่สวย ผู้หญิงที่โชคคิดว่าอาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ จนกระทั่งได้ฟังประวัติครอบครัวเชิงลึกของใกล้ชิดที่ถูกบอกเล่ามาเพียงผิวเผิน แต่กลับสอดคล้องลงตัวไปเสียทุกอย่างจนอยากจะหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมๆ กัน
โชคคิดว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ช้อย เพราะเธอมีลูกสาวคนโตที่อายุไล่เลี่ยกันกับเขาอยู่ ครอบครัวแสนสุขสันต์ พ่อแม่ลูกสาวลูกชาย ไม่มีที่ตรงไหนที่เขาจะแทรกตัวเข้าไปได้ เช่นเดียวกับความหม่นหมองและรอยคราบน้ำตาที่เคยติดอยู่เป็นนิจบนใบหน้าของสาวงามคุ้มริมน้ำ
แต่เรื่องราวของชีวิตก็พลิกผันได้อย่างง่ายดายเพียงชั่วอึดใจที่ได้ยินคำนั้น...
ใกล้ชิดกับจันทร์เจ้าไม่ใช่พี่น้องกันโดยสายเลือด
ชายหนุ่มเป็นลูกติดแม่ และหญิงสาวเป็นลูกติดพ่อ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เติบโตมาด้วยกันฉันท์พี่น้อง ด้วยตั้งแต่จำความได้ใกล้ชิดก็มีพี่เจ้าเป็นพี่สาวมาโดยตลอด ...พ่อของจันทร์เจ้าแต่งงานกับแม่ของใกล้ชิดตอนเด็กชายได้ขวบกว่า
ช่างเป็นเวลาที่พอเหมาะพอเจาะกับที่น้องชายครึ่งหนึ่งวัยใกล้ครบปีของเขาจากไปพร้อมกับแม่ ทิ้งเขาเอาไว้กับพ่อและถ้อยคำที่ไม่ได้ตั้งใจจะจำ แต่กลับยังชัดเจนไม่ผิดเพี้ยน
‘มันไม่ได้รักมึงเลยไอ้โชค มันรักแต่ไอ้ชิดลูกกับชู้มันนู่น แหกตาดูซะบ้าง หอบข้าวหอบของหนีไปแต่ทิ้งมึงเอาไว้ให้เป็นภาระกู’ ไอ้ชิดลูกชู้... น้องใกล้ชิดที่มีรอยยิ้มสดใส
ดูห่างไกลราวฟ้ากับเหว แต่ก็คล้ายกับเป็นคนคนเดียวกัน
แล้วผู้หญิงคนนั้นชื่อช้อยหรือเปล่า แต่ชื่อนั้นสำคัญตรงไหนหากทิ้งมันไปกับชีวิตเก่าทั้งหมดแล้ว ก็แค่ฝังกลบชื่อเดิมลงไปพร้อมกับเหล่าผู้คนที่ไม่อยากจดจำ แล้วไปเริ่มต้นใช้ชีวิตเป็นคนใหม่กับผู้คนดีๆ ที่เลือกเองเสียก็พอแล้วนี่
ส่วนคนที่ถูกทอดทิ้งเอาไว้เบื้องหลังกับอดีตเลวร้ายนั้นก็ไม่รู้ ไม่รู้หรอกว่ามันใช่จริงหรือเปล่า เขาไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น และเพื่อนของเขาคนนั้นเองก็ไม่ได้มีคำตอบอะไรจะให้ไปมากกว่านี้ โชคแค่เก็บเศษเสี้ยวของเรื่องราวเอามาผูกโยงกัน
มันอาจจะเป็นเรื่องเพ้อเจ้อที่คิดไปเอง หรืออาจจะเป็นเรื่องจริงที่แสนเศร้า
เขาไม่รู้หรอก เพียงแต่ว่าในตอนนั้น...
‘ยินดีด้วยนะจ๊ะ’ เธอยิ้มให้โชค อย่างอ่อนโยนขณะที่ก้าวมาหยุดยืนเคียงข้างลูกชาย เสียงของเธออ่อนหวานและฟังดูใจดี ...เหมือนกับแววตา
‘ขอบใจที่ช่วยดูแลลูกชายแม่มาตลอดนะคะ’ “เขายิ้มให้ผม น้าแก้ว... เขายิ้มให้ผม...” โชคหันมาสบตากับคนที่รับฟังเงียบๆ โผเข้ากอดเอวอุ่นไว้แน่นในขณะที่ร่างกายสั่นไหวไปถึงขั้วหัวใจ “...ยิ้มแบบที่แม่ไม่เคยยิ้มให้ผมตอนเด็กเลย”
รอยยิ้มเดียวใต้แสงอาทิตย์อัสดง ณ ใจกลางเมือง
เป็นทั้งสายฝนชุ่มฉ่ำและเพลิงโหมลุกโชนแผดเผาหัวใจให้มอดไหม้ เขารักรอยยิ้มของผู้หญิงที่เป็นดั่งร่างอวตารของแม่ และโกรธแค้นมันไปในเวลาเดียวกัน
ถ้าหากว่านั่นคือช้อยจริงๆ โชคก็หวังว่าเขาจะไม่ได้เห็นมันเลยเสียยังจะดีกว่า
เพราะแม่ยิ้ม ยิ้มกว้างอย่างสดสวย ส่งความสุขไปถึงดวงตา ทั้งยามที่มอบมันให้กับลูกชายอย่างใกล้ชิด ลูกเลี้ยงอย่างจันทร์เจ้า และคนแปลกหน้าอย่างเขา
ราวกับมันเป็นเพียงรอยยิ้มราคาถูก ...ที่เด็กชายโชควัยสี่ปีไม่มีปัญญาจ่ายให้ได้มันมาแม้สักครั้ง
“โชค” แก้วลูบแผ่นหลังปลอบโยนเด็กชายของเขาที่ร่ำไห้ออกมาได้ร้าวรานยิ่งกว่าสายฝนนอกหน้าต่าง รู้ว่าตนไม่อาจทำอะไรกับบาดแผลในใจเรื่องแม่ของอีกฝ่ายได้เลย เขาทำได้เพียงรับฟังความเจ็บปวดที่สาดซัดขึ้นมาจากทะเลความรู้สึก
“ผมไม่ชอบเลย ไม่อยากเห็นแม่ยิ้มแบบนั้นเลย...” เสียงสั่นเครือแตกพร่า แต่กลับดั่งกึกก้องอย่างเจ็บปวดไปทั่วทั้งบ้าน “ถ้ามีความสุขขนาดนั้นแล้วทำไมถึงไม่พาผมไปด้วยล่ะ ทำไมถึงทิ้งผมเอาไว้! ทำไมถึงไม่เคยกลับมา! ทำไม! ...ทำไมถึงลืมผม”
โชคชิงชังรอยยิ้มหวานหยดของแม่ ทว่าก็รู้ดีว่าสักแห่งในตัวเขาร่ำร้องบอกว่าแม้จะเป็นเพียงครั้งเดียวนี้ เขาก็จะหวงแหนมันเอาไว้ในความทรงจำจนวันตาย
เขาโกรธตัวเองที่ดีใจเมื่อได้เห็นมัน
ชายหนุ่มสะอื้นฮัก ดวงตาคู่สวยซึ่งถอดมาจากมารดาแดงก่ำ แน่นหน้าอกจนทรมานเมื่อหัวใจบีบรัดส่งเลือดทั้งหมดขึ้นมากลั่นเป็นหยดน้ำตา
โชคร้องไห้ ร้องไห้ แล้วก็ร้องไห้... เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้
แก้วปล่อยให้ตัวเองถูกดึงรั้งลงมาคร่อมตักคนบนพื้น ขยับขาวาดไปเกี่ยวทิ้งไว้หลังสะโพกชายหนุ่มเพื่อให้นั่งถนัด สองแขนยกขึ้นโอบกอดโชคเอาไว้มั่น ออกแรงกระชับให้มันแนบแน่นที่สุดเท่าที่ร่างกายเขาจะมีแรงไหว เพื่อบอกให้รู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้ ...จะอยู่กับโชคตรงนี้ในตอนนี้ไม่จากไปไหน
เนิ่นนานจนหยาดน้ำตาแห้งเหือด
ท้องฟ้ายังเป็นผู้ชนะ สายฝนยังคงร่วงโปรยลงมา ราวกับเป็นการบอกลาของหน้าฝน
“น้าแก้ว” เสียงแหบแห้งเปล่งผ่านลำคอแสบระบม โชคยังคงซุกหน้าอยู่ข้างคอของคนรัก สูดกลิ่นของความปลอดภัยและสบายใจเข้าไปให้ใจสงบ
“ว่าไง” เจ้าของชื่อขานรับ คางที่เกยบนบ่าขยับตามจังหวะที่ริมฝีปากอ้าเปิด
“ผมไม่รู้ว่าเขาใช่แม่ผมจริงๆ ไหม แต่ถ้าใช่เขาก็ดูมีความสุขมาก” คำพูดถูกกลืนหายไปชั่วขณะที่สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะหลั่งไหลออกมาพร้อมกับความรวดร้าวอย่างสงบนิ่ง “มากจนผมคิดว่าถ้าผมไม่ได้เกิดมา แม่จะมีความสุขแบบนั้นมาตั้งนานแล้วรึเปล่า”
ความเงียบงันนั้นยาวนาวในความรู้สึก แก้วครุ่นคิดอย่างจริงจังถึงคำตอบที่จะมอบให้ไป เขารู้ว่าโชคไม่ได้หวังคำปลอบโยนหวานหูที่กลวงเปล่า แต่กำลังหาเหตุผลและคุณค่าให้กับชีวิตที่ถูกโยนทิ้งขว้างเอาไว้ และเพราะมันเป็นเรื่องสำคัญถึงขนาดนั้นเขาเลยต้องพูดออกไป
แม้มันจะทำให้ลมหายใจของโชคสะดุดขาดช่วง และหัวใจร่วงลงไปยังก้นเหวก็ตาม
“นั่นสินะ ก็อาจจะใช่”
เพราะไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่อยากจะเป็นแม่ เช่นเดียวกับที่ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนจะเป็นแม่ได้
ความรับผิดชอบ เงินตรา ความรู้ เวลา... มันมีปัจจัยมากมายในการเป็นแม่ที่ดีของใครสักคน
ชีวิต ความฝัน วัยสาว สุขภาพ... รวมถึงสิ่งที่ต้องสูญเสียเพื่อการนั้นด้วย
เช่นนั้นแล้วแก้วจึงพูดแทนช้อยไม่ได้ เขาไม่รู้จักเธอ ไม่รู้ว่าในตอนนั้นเธอมีความพร้อมต่อการเป็นแม่สักแค่ไหน และไม่รู้ว่าเธอเสียอะไรไปบ้างกับการคลอดเด็กสักคนหนึ่งออกมา เพราะเธออาจจะเป็นหญิงสาวที่ประสบความสำเร็จหากมีโอกาสเข้าถึงการศึกษา อาจเป็นภรรยาที่มีความสุขที่สุดในโลกหากได้มีเวลาได้ศึกษาดูใจกับชายหนุ่มที่คู่ควร และอาจจะเป็นมารดาที่รักลูกสุดหัวใจหากได้ตั้งท้องในเวลาที่เหมาะสม
เธออาจได้เป็นผู้หญิงคนนั้น ...เหมือนกับที่ผู้หญิงทุกคนอาจได้เป็น
หากเธอมีโอกาส เวลา และความพร้อม
ทว่านั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่แก้วจะหาคำตอบได้ ไม่มีใครตอบได้ และไม่แม้แต่ตัวช้อยเอง เขาจึงไม่มีสิทธิ์ไปว่าร้ายเธอ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่คิดสรรเสริญสิ่งที่เธอทำ มันเป็นเพียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตแสนห่างไกล และได้แต่หวังว่าในอนาคตผู้หญิงทุกคนจะได้มีสิทธิ์ตัดสินใจเลือกเป็นแม่ได้ด้วยตัวเอง
ไม่ใช่สังคม ไม่ใช่กรอบจารีต ไม่ใช่กฎหมาย ที่จะมามีสิทธิ์ลงโทษและประณามพวกเธอด้วยการยัดเยียดความเป็นแม่ให้ เรียกร้องหาความรับผิดชอบจากฝ่ายหญิงทั้งที่ผู้กระทำร่วมอีกคนยังคงใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย
เด็กๆ ที่เกิดมาจากความพลาดพลั้งอาจไม่โชคดีเหมือนอย่างโชค
...ที่แม้ถูกทอดทิ้งก็มีแก้วที่โอบอุ้มขึ้นมาส่งเสียเลี้ยงดู มีธีร์ที่คอยสอนสั่ง มีป้าดาที่คอยดุเตือน มีป้าธัญที่คอยแนะนำ มีคุณปู่คุณย่าที่เอ็นดู มีปรางเป็นพี่ มีมิกซ์เป็นเพื่อน มีคนดีๆ มากมายเข้ามาในชีวิต
“แม่ของเธออาจจะมีความสุขมากกว่าถ้าเขาแท้งเธอไปตั้งแต่แรก หรือไม่เคยท้องเธอเลยก็อาจจะดีกว่า” แก้วผละออกจากอ้อมกอด ถอยห่างมากพอให้สบตากับชายหนุ่มของเขาได้อย่างชัดเจน สองมือประคองใบหน้าหล่อเหลาของเด็กน้อยผอมแห้งที่เติบโตขึ้นมาได้อย่างงดงาม จ้องตรงเขาไปยังดวงตาคู่สวยที่มองเขาอย่างเปี่ยมรักอยู่เสมอ
ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนจะโชคดีเหมือนอย่างโชค
แต่เพราะโชคเป็นเด็กที่โชคดีคนนั้น...
“แต่ฉันดีใจที่เธอได้เกิดมานะโชค” ถ้อยคำเรียบง่าย จริงใจ ไร้การปรุงแต่งให้เลิศหรู แค่คำพูดที่สื่อความหมายเช่นเดียวกับคำอวยพรวันเกิดตลอดสิบเจ็ดครั้งที่ผ่านมา
สุขสันต์วันเกิด... ยินดีด้วยที่เธอได้เกิดมา
ฉันดีใจที่เธอได้เกิดมา “น้าแก้ว...” หยดน้ำตาร่วงเผาะ แต่ในอกไม่ได้รู้สึกเหน็บหนาวอีกต่อไป ความอบอุ่นจากมือที่ยื่นมาให้ในคืนฝนตกซึมซาบเข้าไปเติมเต็มทุกช่องว่างข้างในหัวใจของโชค
“หืม” คนถูกเรียกครางรับ จรดริมฝีปากลงกลางกระหม่อมคนใต้ร่าง พรมจูบไปทั่วอย่างรักใคร่ เขาไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่พี่ชาย ไม่เคยใช่ เขาเป็นเพียงผู้ปกครองของเด็กชายในวันวาน และกลายเป็นคนรักในวันนี้ แต่ความรักที่มอบให้ไปไม่ว่าในรูปแบบไหนก็เพียงพอต่อหัวใจดวงนั้นแล้ว
ไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อแม่ลูก ไม่ต้องเป็นพี่น้อง ไม่ได้จำกัดแค่ด้วยสายเลือด
คนเราจะเลือกครอบครัวของตนด้วยตัวเอง
“น้าแก้ว”
“หืม”
“แก้ว”
“อือ”
“ขอบคุณครับ”
“ฉันรักเธอโชค ฉันรักเธอ”
“ผมก็รักแก้ว”
“ฉันรู้”
“แก้ว”
“อืม”
“แก้ว...”
เสียงหนึ่งเอ่ยเรียก และอีกเสียงก็ขานตอบ
ไม่เคยเหนื่อยหน่าย ไม่เคยจากไปไหน และไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย
ในบ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังนี้ ...โชคจะยังคงมีแก้วอยู่ด้วยเสมอ
...TBC
ผู้หญิงคนหนึ่งต้องสูญเสียหลายสิ่งเพื่อการเป็นแม่คน เช่นเดียวกับเด็กคนหนึ่งอาจไม่มีโอกาสได้รับสักอย่างหากเกิดมาจากหญิงสาวที่ไม่พร้อมหรือไม่ต้องการเป็นแม่ โดยเฉพาะในสังคมที่คาดหวังความดีงามขาวสะอาดผุดผ่องจากเพศหญิง กดทับผู้คนด้วยขนบปิตาธิปไตยเชิดชูชายเป็นใหญ่เช่นนี้ แต่กลับหลงลืมหรืออาจจะแค่ทำเป็นมองข้ามไปว่าการตั้งท้องนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็จำเป็นต้องมีฝ่ายชายร่วมกระทำด้วย และยิ่งย่ำแย่เลวร้ายเข้าไปอีกกับสารพัดคำพูด อย่างที่รีนเคยได้ยินมากับหูตัวเองเลยว่า "จะเอาอะไรกับผู้ชายมันมาก สันดานผู้ชายมันก็อย่างนี้ ยังไงผู้หญิงเราก็เป็นแม่ก็ต้องเลี้ยงดูลูกไป" ซึ่งนั่นไม่ใช่เหตุผลและไม่ควรถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างแต่อย่างใดเลยค่ะ
ส่วนตัวรีนสนับสนุน #ทำแท้งถูกกฎหมาย ค่ะ นักอ่านหลายคนอาจจะเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ หรือแนวคิดนี้อาจจะผิดกับความเชื่อในหัวใจของคุณ รีนจะไม่บังคับให้คุณยอมรับนะคะ แต่ก็อยากจะบอกว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนตั้งใจท้องเพื่อไปทำแท้งหรอกค่ะ หากจะมีก็คงจะน้อยนิดมากเหลือเกิน การทำแท้งไม่ใช่เรื่องง่ายดายและไม่ใช่เรื่องสนุก มีความเสี่ยงทั้งในด้านของสุขภาพร่างกายไปจนถึงสภาพจิตใจ และหากจะบอกว่ามันเป็นบาปกรรม ก็อยากให้มองเหล่าเด็กที่เกิดมาแล้วเผชิญกับความโหดร้ายของโลกใบนี้ด้วยวัยเพียงไม่กี่ปีกันสักหน่อยค่ะ หากคุณสงสารน้องโชคในนิยายเรื่องนี้ รีนก็อยากจะบอกว่าในชีวิตจริงยังมีเด็กอีกมากมายที่ต้องเจอกับความเลวร้ายมากกว่าน้องโชค พวกเขาซึ่งเป็นคนจริงๆ และไม่ได้โชคดีอย่างเด็กชายโชคคนนี้ในนิยาย หากการทำแท้งเป็นบาปกรรมอันใหญ่หลวง แล้วเหล่าเด็กที่ต้องเกิดมาทนทุกข์เช่นนั้นเพียงเพื่อให้ศีลธรรมในใจของคนในสังคมสงบสุขมันคือเรื่องดีงามงั้นหรือคะ บทสรุปของเรื่องนี้แท้จริงแล้วอาจจะไม่มีคำตอบที่ถูกต้องหรือถูกใจคนทุกคนอยู่เลยก็เป็นได้ ทว่าถึงอย่างนั้นรีนก็ยังคงเชื่อมั่นในเสรีภาพเหนือร่างกายตนที่จะทำให้ผู้หญิงอีกหลายล้านคนในประเทศนี้ได้มีสิทธิ์ตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตที่แสนสำคัญเช่นนี้ได้ด้วยตัวเองค่ะ
หากเนื้อหาในตอนนี้และในทอล์กของรีนทำให้คุณไม่สบายใจ รีนก็ต้องขอโทษในฐานะนักเขียนที่ไม่สามารถมอบเพียงความสนุกสนานให้กับคุณได้ แต่รีนจะไม่ขอโทษในฐานะคนคนหนึ่งที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันนะคะ
ทอล์กไปยาวมากๆ เลย แล้วก็ยังมีต่ออีกล่ะค่ะ
จากตอนที่แล้วรีนเห็นหลายคนกังวลเป็นห่วงน้าแก้วกันใหญ่ รู้สึกเหมือนแกงคนอ่านเลยค่ะ เพื่อนคนที่คอยอ่านพรูฟให้ตอนอ่านเองก็บอกว่า "โดนสาปแน่มึง นักอ่านเกียมตีมุงแล้วแน่ๆ" แง้ แต่ประเด็นนี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่รีนอยากจะบอกเล่าค่ะ ไม่รู้ว่าสื่อสารออกมาได้ดีพอไหม เพราะช่างเป็นหนึ่งตอนที่รวดเร็วและเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ดูรวบรัด และถึงอย่างนั้นรีนก็ใส่ทุกสิ่งของรีนลงไปแล้ว ยังไงก็ยังหวังว่าทุกคนจะ enjoyed reading นะคะ
ขอให้มีวันที่ดี
ขอบคุณทุกการอ่าน คอมเมนต์ และกำลังใจ
ขอบคุณค่า
เจอกัน MONDAY นะคะ