[นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 51 [31.12.20] -END-
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [นิยายดราม่า] ASHTRAY ขี้เถ้ากับการเผาไหม้ : ตอนที่ 51 [31.12.20] -END-  (อ่าน 32413 ครั้ง)

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โอ๊ยยยยยยอบอุ่นขึ้นมามากๆเลย มีแมวมาเลี้ยง โชคจะได้มีเพื่อนตอนรอน้าแก้วเลิกงาน เป็นอะไรที่น่าเอ็นดูจริง 2คน1แมวนอนบนโซฟาอย่างสบายใจรออีกคนกลับบ้าน น้าแก้วเห็นแบบนี้ หายเหนื่อยทันทีเนอะ 555 สนุกกกกกกก ชอบจริง  o13 ขอบคุณนะคะที่แต่งมาอัพต่อให้ได้อ่านกัน รอตอนต่อไปเลยค่ะ ep.หน้าเจอกันจะเกิดไรขึ้นบ้าง อยากอ่านๆๆ (ฮา)  :pig4: :pig4: :pig4:   

ออฟไลน์ t152_rakjai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 11

 

 

          ตั้งแต่ที่โชคขึ้นชั้นประถมสาม อาธีร์ของเขาก็ดูเหมือนไม่ค่อยว่างแวะเวียนมาเล่นด้วยสักเท่าไหร่ นานๆ ทีจะถึงแวะมาค้างด้วย แต่ยังดีที่เด็กชายมีมะลิ แม่แมวสาวที่เพิ่งคลอดลูกครอกที่สองออกมาสี่ตัวถึงได้ไม่เหงานัก ส่วนน้าแก้วก็ยังคงยุ่งเหมือนเคย เพราะลูกค้าบ้านจัดสรรรายเดิมนั้นถูกใจเลยให้ดูแลโครงการใหม่ที่กำลังจะเปิดจองเร็วๆ นี้ด้วย

 

          “น้าแก้ว” เด็กชายเกาะขอบประตูห้องทำงานเรียกคนที่กำลังทำงานเสียงใส แก้วครางรับในคอแต่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากกระดาษเอสามที่วางอยู่ตรงหน้า “ไปกินข้าวกัน”

 

          “เสร็จแล้วเหรอ” ในที่สุดก็ยอมเงยหน้าขึ้น เหลือบมองนาฬิกาบนผนังห้องบอกว่าเลยเวลากินข้าวปกติมานานโขแล้ว ชายหนุ่มก้มลงไปขีดเขียนต่อคล้ายว่าจะทำส่วนนั้นให้เสร็จก่อน “เธอกินไปก่อนเลย”

 

          “ผมรอน้าแก้ว” โชคยังคงยืนยันจะรอ แก้วเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากวางดินสอในมือแล้วลุกขึ้นปิดขี้เกียจ ยอมออกไปกินข้าวแต่โดยดี

 

          พักหลังมานี้เด็กชายจะเป็นคนเตรียมอาหารเย็นแทนชายหนุ่มที่ไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก เมนูอาหารเลยมักจะเป็นอะไรง่ายๆ หรือไม่บางวันก็เป็นของซื้อสำเร็จมาจากข้างนอกแล้วให้เด็กชายจัดเตรียมใส่จาน แก้ววางมือบนศีรษะเล็กที่ใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อนพอสมควร ลูบผมสั้นเกรียนเพลินมือระหว่างที่เดินไปห้องครัวด้วยกัน รู้สึกผิดเล็กน้อยที่ต้องให้เด็กตัวเท่านี้มาช่วยรับผิดชอบเรื่องอาหารการกิน แต่อีกใจก็คิดว่าดีแล้วที่ให้เด็กชายได้มีหน้าที่รับผิดชอบในบ้าน โตไปจะได้ดูแลตัวเองได้ไม่น่าเป็นห่วง แล้วโชคก็ดันทำทุกอย่างออกมาได้ดีเสียด้วย

 

          “น้าแก้ว” บทสนทนาบนโต๊ะอาหารไม่ใช่ข้อห้ามสำหรับบ้านนี้

 

          “หืม”

 

          “อาธีร์บอกว่าปิดเทอมแล้วจะพาพี่ปรางมาเล่นด้วย”

 

          “อืม ก็ดีแล้ว”

 

          “อยากปิดเทอมเร็วๆ จัง” แก้วระบายยิ้ม ถึงแม้ว่าเด็กชายจะเติบโตขึ้น แต่เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี

 

 

 

          คนที่บอกจะมามาตามที่พูดไว้จริงๆ หลังจากเด็กประถมปิดเทอมไปได้ไม่ถึงอาทิตย์ น้าหลานจากตระกูลหน้าตาดีก็มาโผล่ที่นอกรั้วด้วยรถยนต์สีขาวคันเดิม ธีร์ยิ้มให้เพื่อนสนิทที่เป็นคนออกมาไขกุญแจรั้วให้ ส่วนน้องปรางหลังจากไหว้ย่อสวัสดีน้าแก้วอย่างสวยงามแล้วก็พุ่งเข้าไปในบ้านทันที เพื่อไปหาน้องชายสุดที่รักกับบรรดาลูกแมวที่ยังอยู่ในช่วงกินนมแม่อยู่

 

          “งานยุ่งไหมช่วงนี้” คนตัวใหญ่กว่าเป็นคนถาม

 

          “ไม่ค่อยแล้ว เคลียร์เสร็จเมื่อวันก่อน” เจ้าของบ้านตอบ ขณะรนไฟที่ปลายมวนกระดาษ เดินอ้อมเฉลียงหน้าบ้านไปที่ลานอิฐ เมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งเอาเก้าอี้ม้าหินอ่อนมาลงไว้ตัวหนึ่งกับโต๊ะกระจกตัวเล็ก เอาไว้เป็นที่สูบบุหรี่นอกบ้าน

 

          “สูบอีกละ” ธีร์เดินตามเจ้าของบ้านมานั่งลงบนม้าหินข้างกัน แก้วพ่นควันอย่างเหม่อลอย มองเลยกิ่งก้านต้นแก้วขึ้นไปบนท้องฟ้าสีใสในขณะที่อากาศกำลังเย็นลงเพราะเข้าสู่ฤดูหนาว

 

          “เหงาไหม”

 

          “อะไร”

 

          “กูไม่ค่อยได้มาหา เหงาไหม” แก้วหัวเราะในคอ หันมาสบตาคนถาม “ไม่ค่อย แต่โชคเหงา”

 

          ธีร์ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่แย่งบุหรี่ที่เผาไหม้ไปครึ่งมวนในมือเพื่อนไป ริมฝีปากได้รูปจรดลงตรงก้นกรอง สูบควันหม่นมัวเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนปล่อยออกมาให้ลอยเคว้งอยู่ตรงช่องว่างระหว่างกัน

 

          “นึกว่ามึงเลิกสูบไปตั้งนานแล้ว”

 

          “เลิกแล้ว” แก้วไม่ได้ถามว่าแล้วทำไม แต่ธีร์ก็บอกออกมาเอง “แค่นานๆ ทีมันก็คิดถึง”

 

          บุหรี่ถูกส่งคืนเจ้าของ และพื้นที่ก็กลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง แก้วไม่ได้ถามถึงความหมายของสิ่งที่เพื่อนบอกว่าคิดถึง แต่ก็รับรู้ได้ถึงน้ำหนักที่อิงซบลงมาบนบ่า ควันลอยอ้อยอิ่ง ต่างจากดอกไม้สีขาวที่ร่วงโรยลงพื้นอย่างรวดเร็ว

 

 

 

          สองน้าหลานกลับไปในตอนโพล้เพล้ ไม่ได้อยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน แต่เด็กชายก็รู้สึกอิ่มเอมใจที่ได้เล่นกับพี่สาวที่ไม่ได้เจอกันมานาน หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้วโชคก็รีบขึ้นไปชั้นสอง หมกตัวอยู่บนนั้นจนดึกดื่น แก้วไม่ได้ตามขึ้นไปส่งนอนเหมือนแต่ก่อนเพราะถึงเวลาแล้วที่เด็กชายอายุสิบขวบต้องนอนคนเดียวให้ได้

 

          เกือบเที่ยงคืนแล้วในตอนที่โชคค่อยๆ แอบย่องลงมา เสียงฝนโปรยกระทบหลังคาไม่ดังนัก แก้วยังคงดูหนังดังรอบดึกที่ฉายในโทรทัศน์อยู่บนโซฟา กลิ่นของนิโคตินและการเผาไหม้ยังคงเหลืออยู่ในอากาศ บ่งบอกว่าเจ้าตัวเพิ่งขยี้บุหรี่ให้มอดดับไปได้ไม่นาน โชคชินกับกลิ่นบุหรี่ของชายหนุ่มแล้ว และรู้ว่าน้าแก้วไม่ชอบใจนักถ้าเขาเข้าใกล้ในเวลาที่กำลังสูบ

 

          “น้าแก้ว”

 

          “ว่าไง” แก้วขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งจากนอนเหยียดเต็มโซฟาเป็นนั่งเอนหลังพิงพนักเพื่อให้มีที่ว่างให้อีกคน ก่อนจะบอกเสียงเนือยๆ “เปิดพัดลมด้วย”

 

          เด็กชายทำตาม กดปุ่มเปิดพัดลมตรงข้างเก้าอี้ไม้แม้ว่าอากาศจะเย็นชื้นก็ตาม ปล่อยให้มันพัดพาเอากลิ่นไอขมุกขมัวให้จางลงก่อนจะขยับเข้าไปนั่งตรงที่ที่ถูกเว้นไว้ให้ตัวเอง แม่แมวสาวที่พาลูกน้อยนอนในกล่องตรงข้างประตูครัวเยื้องย่างออกมาดูเจ้านาย ก่อนจะเดินอาดๆ มากระโดดขึ้นแทรกตรงกลางระหว่างทั้งสอง

 

          “ไง มะลิ ลูกนอนแล้วเหรอ” ชายหนุ่มเป็นคนถาม เกาคางนุ่มนั้นจนแม่แมวแหงนคอขึ้นหาวหวอด ส่งเสียงร้องตอบราวกับคุยกันรู้เรื่อง ในขณะที่โชคขยับตัวยุกยิก ซ่อนมือเอาไว้ด้านหลัง แก้วสังเกตเห็นเลยเลิกคิ้วถาม “โชค เป็นอะไร”

 

          เด็กชายก้มหน้าหงุด นั่งคุกเข่าอยู่บนโซฟาหันหน้ามาทางเขา ปากเล็กอ้าออก แล้วก็หุบ แล้วก็อ้าใหม่ แต่กลับไม่พูดสักที แก้วอดทนรอจนเด็กชายหาเสียงตัวเองเจอแล้วโพล่งออกมาเสียงดัง “น้าแก้ว!”

 

          “ว่าไง”

 

          “นี่” กลิ่นหอมจางลอยฟุ้งเมื่อเด็กชายยื่นมือมาตรงหน้า ดอกไม้สีขาวบอบบางขนาดเล็กถูกถักร้อยต่อกันเป็นวงไม่ค่อยสมบูรณ์นัก รูปร่างบิดเบี้ยวชอบกลแต่ก็ยังมองออกได้ชัดเจนว่าคนทำนั้นตั้งใจแค่ไหน ก้านดอกแก้วสั้นนิดเดียว การที่จะเอามาร้อยทำเป็นมงกุฎนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่เจ้าตัวก็ยังพยายามต่อมันตามที่พี่ปรางสอนมาเมื่อกลางวันให้มันเป็นวงกว้างพอที่จะวางบนหัวผู้ใหญ่ได้พอดี โชคยิ้มด้วยท่าทีขัดเขินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ผมทำให้น้าแก้ว”

 

          “เหรอ ทำให้ฉันเหรอ” เสียงตอบรับเบาบางแต่อ่อนโยน ไม่ต่างจากแววตาที่ทอดมองมา แก้วค้อมหัวไปรับมงกุฎดอกแก้วจากมือเล็ก โชคยิ้มร่าอย่างภาคภูมิใจกับผลงาน บรรจงวางเครื่องหัวหอมฟุ้งลงบนกลุ่มผมนุ่มสีดำขลับอย่างเบามือ คนที่ได้รับของขวัญสุดพิเศษนั้นเงยหน้าขึ้นมา โน้มใบหน้าเข้าประทับจูบแผ่วเบาบนหน้าผากเล็ก “ขอบใจนะ”

 

          โชคแก้มแดงปลั่งเมื่อได้รับจุมพิตตอบแทน ยิ้มอย่างขัดเขินแต่ก็ชอบใจเหลือเกิน ร่างเล็กขยับเข้าไปใกล้ ซุกอิงแอบเอาไออุ่นจากร่างกายของชายหนุ่มแย่งกันกับแม่แมวสาวที่จับจ้องพื้นที่บนตักไว้ก่อนแล้วนั้น เสียงฝนพรำดังกลบเสียงพัดลม หน้าจอโทรทัศน์ยังคงฉายภาพเคลื่อนไหวไปมาสว่างจ้าในความมืด แก้วกอดเด็กชายและแมวเอาไว้ คิดย้อนกลับไปถึงคำถามของเพื่อนเมื่อกลางวัน

 

          เขาไม่คิดว่าเขาเหงา.. ห่างไกลกับคำว่าเหงาไปเยอะเลย

 




 

          ตุลาคมเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว และในปีนี้สายฝนก็จากไปช้าเช่นเดียวกับทุกปี ท้องฟ้าขมุกขมัว อากาศชื้นแฉะ ผนวกเข้ากับสายลมหนาวที่พัดมาทำเอาหนาวไปถึงกระดูก ถึงกระนั้นในห้องนั่งเล่นที่เปิดหน้าต่างไว้ครบทุกบานที่ควรจะหนาวเย็น กลับอบอุ่นด้วยเปลวไฟจากเทียนวันเกิด

 

          “แฮปปี้เบิร์ตเดย์น้าแก้ว!”

 

          “แฮปปี้เบิร์ตเดย์นะแก้ว”

 

          สองเสียงนั้นดังขึ้นคนละช่วงจังหวะ เพื่อให้เจ้าตัวได้มีโอกาสยื่นกล่องของขวัญที่ต่างคนต่างเตรียมมาให้เจ้าของวันเกิด แก้วรับมา แต่เลือกแกะห่อสีฟ้าลายการ์ตูนของเด็กชายก่อน ซึ่งเรียกให้เจ้าตัวยิ้มหน้าบานหันไปเยาะเย้ยคุณอาคนโปรดทันที ธีร์หัวเราะ ขยี้หัวเล็กอย่างมันเขี้ยว

 

          ของขวัญจากเด็กชายเป็นของทำมือ กรอบรูปทำจากไม้อัด ดูแล้วคงได้คนแถวนี้ช่วยด้วย แต่การตกแต่งนั้นทำเองคนเดียว เปลือกหอยที่เก็บสะสมจากชายทะเลที่ได้ไปในวันหยุดฤดูร้อนทั้งสองครั้งก่อนถูกเอามาใช้ประดับ แก้วอมยิ้มเมื่อเห็นรอยแหว่งหลายจุดบนช่องว่างที่คนทำคงตั้งใจให้มันเปลือกหอยมันชิดสนิทกันแต่ก็ทำไม่ได้ แต่สุดท้ายมันก็ออกมาสวยงามน่าพึงพอใจ โดยเฉพาะรูปที่ถูกใส่มาแล้วราวกับบังคับว่าต้องใช้รูปนี้เท่านั้น

 

          รูปของแก้ว โชค และธีร์ในชุดสีแดง ทั้งสามคนนั่งอยู่บนโซฟาโดยที่เด็กชายอยู่บนตักซานต้าคลอสหน้าหล่อ และเจ้าของบ้านหนุ่มอยู่ในวงแขนใหญ่ที่โอบรอบคอ ซึ่งถูกถ่ายไว้เมื่อวันคริสมาสต์ปีที่แล้ว พวกเขายิ้ม มันไม่ใช่ยิ้มที่สวยงามเพอร์เฟ็ก แต่เป็นรอยยิ้มตลกๆ เพราะกะจังหวะการลั่นชัตเตอร์ของกล้องที่ตั้งเวลาไว้ไม่ได้ต่างหาก ถึงอย่างนั้นแก้วก็ชอบ เช่นเดียวกับทุกคนในห้องนั้น ที่จดจำได้ว่าความสุขในค่ำคืนนั้นเป็นอย่างไร

 

          “ขอบใจนะ” คล้ายว่าเคยพูดแบบนี้ไปเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ แต่ท่าทีตอบรับของคนฟังก็เป็นเช่นครั้งก่อนแม้ไม่มีรอบจูบอุ่นบนหน้าผาก โชคขวยเขินและภาคภูมิไปพร้อมกัน

 

          “เปิดของผมบ้างสิครับคุณแก้ว” ผู้ใหญ่ขี้อิจฉากระเง้ากระงอดด้วยถ้อยคำสุภาพเพราะไม่อยากใช้คำสรรพนามติดปากที่ค่อนข้างหยาบต่อหน้าเด็กชาย ในขณะดวงตาที่จ้องมองมายิ้มเช่นเดียวกับริมฝีปาก

 

          “อะไรอีกคราวนี้ เล่นของแพงอีกล่ะสิมึงน่ะ” ธีร์จิ๊ปากใส่คนที่หลุดคำหยาบไม่จริงจังนัก แก้วหัวเราะร่วนพลางเอื้อมไปหยิบกล่องสี่เหลี่ยมขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แต่มีน้ำหนัก

 

          กล่องของธีร์ไม่ได้ห่อกระดาษ เพียงแค่ผูกริบบิ้นสีเงินตัดกับตัวกล่องสีดำสนิท แก้วเปิดมันอย่างไม่คาดหวังนัก เพราะทุกปีก็ได้ของขวัญจากเพื่อนคนนี้จนไม่รู้ว่าจะมีอะไรแปลกใหม่ให้ต้องตื่นเต้นอีกแล้ว แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ของขวัญไม่ได้น่าตื่นเต้นหรืออลังกาลใดๆ ในนั้นมีที่ทับกระดาษคริสตัล แต่แม้จะดูธรรมดา แก้วก็รู้ว่ามันคงราคาไม่น้อยเลยเมื่อมาจากมือคนอย่างธีร์ และจริงดังนั้น พอเขาหยิบก้อนคริสตัลออกมาก็รู้ได้ว่าไม่ใช่ของดาษๆ แบบของชำร่วยขายยกโหล มันถูกสั่งทำพิเศษเพื่อเขาโดยเฉพาะ ดอกแก้วเบ่งบานลอยอยู่ใจกลางก้อนคริสตัลใส ด้านในมันถูกแกะสลักเป็นลายดอกไม้ที่มาของชื่อเขา

 

          “เว่อร์ตลอด” คนได้ของขวัญว่า แต่ตายิ้ม มันอาจจะดูเป็นของขวัญที่ไร้ประโยชน์ แต่ชายหนุ่มได้ใช้จริง

 

          “ก็เห็นบอกอันเก่าตกแตกไปแล้ว”

 

          “อืม” แก้วรับคำในคอ ยังคงจ้องมองลวดลายด้านในนั้นด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก แต่ก็เดาได้ว่ากำลังมีความสุขอยู่ มันอาจจะเป็นเพราะเขาไม่คิดว่าเพื่อนที่ช่วงนี้ยุ่งจนไม่ค่อยมีเวลาได้เจอกันคนนั้นจะจำสิ่งที่เขาบ่นไปเพียงครั้งเดียวได้ แต่ธีร์ก็จำได้ “ขอบใจ”

 

 

 

          คืนนั้นแขกประจำที่ห่างหายไปนอนค้างด้วย งานเลี้ยงวันเกิดจบลงไปตั้งแต่สี่ทุ่มกว่า โชคอาบน้ำและขึ้นนอนตามเวลาปกติที่เด็กควรนอน โดยมีอาธีร์ของเขาขึ้นไปส่ง นอนอ่านหนังสือให้ฟังราวกับย้อนกลับไปตอนที่เขาเด็กกว่านี้ ธีร์ยังคงชอบกิจกรรมก่อนนอนนั้นอยู่ ถึงแม้ว่าแก้วจะบอกให้เลิกเพื่อที่เด็กชายจะได้ไม่ติดนิสัย แต่นานๆ ทีเขาก็จะแวะไปอยู่ดี

 

          เกือบห้าทุ่มแล้วตอนที่ธีร์ลงมา แก้วไม่ได้เปิดทีวีดูหนังรอบดึกอย่างเคย เพียงเอนตัวนอนราบไปบนโซฟา พ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นวงแหวน

 

          “ทำได้ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”

 

          “นานแล้ว”

 

          “ไม่เห็นเคยทำ”

 

          “กูทำตอนเบื่อๆ”

 

          ธีร์ยิ้ม เดินไปยกขาที่พาดยาวเต็มพื้นที่ขึ้นพาดตักตัวเองเมื่อแทรกตัวนั่งลงได้สำเร็จ กาลเวลาเหมือนผ่านไปเนิ่นนาน แต่เข็มนาฬิกากลับขยับช้าเสียจนไม่แน่ใจว่ามันตายแล้วหรือเปล่า

 

          “แก้ว”

 

          “หืม”

 

          ร่างสูงใหญ่ขยับขึ้นทอดเงาทาบทับคู่สนทนา บุหรี่ถูกริบไปขยี้ทิ้งในที่เขี่ยบนโต๊ะแล้ว แต่ความอบอุ่นในปากยังคงอยู่ แผ่ซ่านกระจายไปทั่วอย่างอ้อยอิ่ง

 

          “ขึ้นไปบนห้องกัน”

 

 

 

          เช้าวันต่อมาโชคตื่นขึ้นมาในบ้านที่เงียบสงัด สองคนในห้องนอนใหญ่ยังไม่มีใครออกมา เด็กชายไม่ได้เดือดร้อนเรื่องการหาอาหารเช้ากินจึงไม่ได้ขึ้นไปปลุก รอจนสายก็เห็นแขกกิตติมศักดิ์ลงมา ทักทายเขาด้วยเสียงอ่อนล้าแต่ยังคงมีรอยยิ้มเช่นเดิม ก่อนเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำแล้วกลับขึ้นไปอีกครั้ง รออีกสักพักชายคนเดิมก็กลับลงมาในชุดใหม่

 

          ธีร์เดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างเด็กชายบนโซฟาที่ประจำ วางมือลงบนผมสั้นที่เริ่มยาวเพราะไม่ได้ตัดตั้งแต่ปิดเทอม ขยับลูบอย่างอ่อนโยน เหมือนกับแววตา เหมือนกับรอยยิ้มที่ระบายอยู่บนหน้า ทุกการกระทำล้วนเหมือนปกติทุกอย่าง แต่โชคกลับรู้สึกเหมือนมันแปลกประหลาด แต่ผิดแปลกไปตรงไหนเขาก็ไม่รู้

 

          “อาธีร์” เด็กชายเรียก อยากจะถามแต่ไม่รู้คำถามเลยเงียบไป

 

          “ว่าไงครับ โชค” โชคช้อนตาขึ้นสบดวงตาคม มองอย่างไม่เข้าใจ เขาชอบเวลาที่ถูกเรียกด้วยเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนของคนตรงหน้า แต่วันนี้มันกลับรู้สึกหนักๆ ในอกอย่างบอกไม่ถูก เช่นเดียวกับแววตาที่มองมา มันยังคงเต็มไปด้วยความรักใครเอ็นดู แต่ก็ดูอ้างว้างจนเกินไป

 

          “ทะเลาะกับน้าแก้วเหรอ”

 

          ถูกถามหัวเราะในคอ แต่ดวงตาไม่ได้หัวเราะไปด้วย “เปล่าหรอก ถ้าทะเลาะกันอาจจะดีกว่านี้”
         
 

          “ทะเลาะกันมันไม่ดีไม่ใช่เหรอ”

 

          “ก็ส่วนใหญ่ล่ะนะ” เด็กชายถูกดึงเข้าไปกอดแน่น แต่ไม่ถึงกับอึดอัด “แต่บางครั้งที่คนเราทะเลาะกัน ก็เพราะเราสนิทกันมาพอให้ทะเลาะ”

 

          สำคัญมากพอให้ทะเลาะ ประโยคหลังเขาไม่ได้พูดออกไป

 

 

 

          ธีร์ออกจากบ้านไปแล้วตอนที่แก้วลงมา เจ้าของบ้านหนุ่มไม่ได้พูดอะไรสักคำ ชุดนอนที่ถูกคลุมทับด้วยเสื้อคลุมยังคงไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อคืน แก้วทิ้งตัวลงนั่งชันเข่าอยู่บนโซฟามุมประจำ เอนลำตัวข้างหนึ่งพิงพนัก ดวงตาจับจ้องมองไปในสวน มองต้นมะม่วงใหญ่ มองชิงช้าอันใหม่ที่เชือกเริ่มด่างเป็นสีเหลือง แท่งบุหรี่ยังคงคั่นระหว่างริมฝีปากแต่ไม่ได้จุดสูบเมื่อมีเด็กชายอยู่ใกล้ๆ กลิ่นอายบางอย่างแผ่ออกมาจากแผ่นหลังนั้น และเหมือนว่าทุกคนจะสัมผัสมันได้ ไม่เว้นแม้แต่แม่แมวสาว

 

          โชคขยับเข้าไปนั่งชิด ให้อุณหภูมิของร่างกายส่งผ่านไปหาอีกคน ส่วนมะลิกระโจนขึ้นไปแทรกตัวอยู่ในช่องว่างเล็กๆ ตรงหน้าท้องแน่น โดยที่ไม่รู้ว่าลำพังไออุ่นจากร่างกายเล็กๆ จะสามารถทดแทนความอบอุ่นจากร่างของคนตัวใหญ่คนนั้นได้เปล่า แต่มันก็คงดีกว่าปล่อยให้คนสำคัญของพวกเขาถูกความหนาวเหน็บกัดกินเพียงลำพัง

 

 

 

          ต้นเดือนพฤศจิกายน โรงเรียนของประถมเปิดภาคการศึกษาใหม่แล้ว แต่เด็กชายกลับได้หยุดในวันพฤหัสบดี เขาถูกจับสวมชุดไทยหล่อเหลาคู่กับพี่ปรางคนสนิท ยืนอยู่ในงานพิธีที่ไม่คุ้นเคยในบ้านหลังใหญ่ พอตกบ่ายก็เปลี่ยนเป็นชุดสูทคู่กับเจ้าหญิงในชุดกระโปรงฟูฟ่อง เดินถือตะกร้ากลีบดอกไม้ให้อีกฝ่ายโปรยตามทางเดิน

 

          อาธีร์อยู่ที่นั่น กับผู้หญิงที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่ก็ละม้ายคล้ายใครบางคนที่เขารู้จัก ตรงสุดทางเดินฝั่งตรงข้ามกับที่น้าแก้วยืนอยู่ เขารู้จากชายหนุ่มว่าคุณอาคนโปรดของเขากำลังจะไปสร้างครอบครัวของตัวเอง โชคไม่เข้าใจคำบอกเล่านั้นอย่างลึกซึ้ง แต่ก็รับรู้ได้ว่าชายหนุ่มร่างใหญ่กำลังจะไปมีชีวิตแบบที่เคยใช้กับเขาและน้าแก้วในบ้านไม้สองชั้น แต่เป็นกับคนอื่น และในบ้านหลังอื่น

 

          เด็กชายวิ่งกลับไปหาแก้วหลังจากที่งานที่ถูกมอบหมายมาเสร็จสิ้นลง มือเล็กกำมือใหญ่ที่เย็นเฉียบเพราะยืนตากลมหนาวเอาไว้แน่น เขารู้ว่าชายหนุ่มไม่ถูกกับอากาศหนาวเย็นแบบนี้ เช่นเดียวกับที่เจ้าของงานรู้ ธีร์เดินเข้ามาหาเมื่อว่างจากแขกเรื่อที่มาแสดงความยินดี ริมฝีปากยกยิ้มแต่ดวงตาไม่ มือใหญ่เอื้อมมาแตะมือเย็นอีกข้าง

 

          “มือเย็นแล้วนะ”

 

          “อืม” เจ้าของมือตอบรับเพียงเท่านั้น ปล่อยให้อีกฝ่ายยกขึ้นไปอังลมหายใจอุ่นร้อน ปล่อยให้ความอบอุ่นที่คุ้นเคยแล่นจากปลายนิ้วเข้าสู่กลางอก โชคมีคำถาม แต่ก็รู้ได้ว่าไม่ควรถามออกไป เขาเลยได้แต่ขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงในชุดสีขาวอีกนิด ยกมืออีกข้างคว้าจับมืออุ่นที่ยังว่าง มือใหญ่บีบตอบ ก่อนที่ธีร์จะก้มลงมาส่งยิ้มให้เขา เป็นยิ้มจริงใจทว่าปวดร้าว โชคชอบรอยยิ้มของคนตรงหน้าเสมอ แต่ครั้งนี้เขากลับไม่ชอบมันเอาเสียเลย

 

          “ธีร์” เสียงเอ่ยเรียกชื่อนั้นเบาหวิว แต่ไม่ได้สั่นไหว

 

          “แก้ว” เสียงตอบรับก็เช่นกัน

 

          “ยินดีด้วยนะ”

 

          “ขอบใจ”

 




 

          ฤดูหนาวส่งท้ายปีมาพร้อมกับงานรื่นเริง ในบ้านไม้สีขาวสองชั้นยังคงมีต้นสนพลาสติกที่ถูกรื้อออกมาจากห้องเก็บของตั้งอยู่ตรงมุมประจำของมัน ของตกแต่งและไฟประดับถูกแขวนเกี่ยวด้วยมือเล็ก ในขณะที่คนโตกว่าปีนขึ้นติดพู่ตามผนัง บ้านทั้งหลังถูกแต่งเสร็จตั้งแต่วันที่ยี่สิบสาม

 

          และในคืนวันที่ยี่สิบสี่อาหารมากมายก็ถูกวางลงบนโต๊ะหน้าทีวี โชคแกะห่อของขวัญที่ได้รับจากชายหนุ่ม ปีนี้เขาได้โมเดลไดโนเสาร์ตัวใหญ่ที่กำลังสนใจเพราะติดสารคดีย้อนยุคดึกดำบรรพ์อยู่พอดี โชคยิ้มร่าให้คนให้ แก้วยิ้มอย่างพอใจที่เจ้าตัวเล็กชอบ แต่ยังมีของขวัญอีกห่อที่ถูกส่งมาเมื่อเช้า โดยรถยนต์สีบรอนซ์เงินคันใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่คนส่งของกลับเป็นคนคุ้นเคย เป็นคนเดียวกับที่เคยใส่ชุดซานต้าสีแดงเข้ามาส่งของขวัญในห้องนี้ เวลานี้ ของปีก่อนและก่อนๆ

 

          ของขวัญจากอาธีร์ยังคงเป็นของน่าสนใจและโปรดปรานโดยเด็กชายเช่นเคย เพียงแต่ความรู้สึกตอนแกะกระดาษห่อสีเขียวประกายวิววับนั้นแตกต่างจากทุกปีที่จะมีสายตาลุ้นระทึกกับรอยยิ้มคาดหวังถูกส่งมาให้ งานคริสต์มาสที่มีคนสามคนนั้นดูครึกครื้นกว่านี้ ทั้งที่จำนวนคนลดไปเพียงคนเดียว แต่ที่ว่างกลับดูกว้างใหญ่เหลือเกิน

 

          คริสต์มาสที่สี่ของบ้านหลังนี้...ไม่มีซานตาคลอสอีกต่อไป

 

 

 

          แก้วส่งเด็กชายเข้านอนทั้งที่เลิกทำมานานแล้ว เพราะในใจลึกๆ รู้ว่าค่ำคืนนี้มันเหงาเกินกว่าจะปล่อยให้เด็กชายข่มตาหลับเพียงลำพัง หนังสือเกี่ยวกับไดโนเสาร์ถูกเลือกขึ้นมา แต่เด็กชายกลับส่ายหน้า แล้วเลือกเอาเรื่องของวาฬสีน้ำเงินที่ได้ฟังมานับสิบครั้งแล้วแทน แก้วยอมตามใจ ขยับตัวขึ้นไปนอนข้างเด็กชายวันสิบขวบ อ่านตามตัวอักษรเดิมๆ ที่บางช่วงก็จำได้ขึ้นใจไปแล้ว

 

          “คืนนี้น้าแก้วนอนกับผมไหม” หลังจากเรื่องราวของวาฬเจ้าสมุทรจบลง ดวงตาใสแจ๋วจับจ้องมาเป็นคำอ้อนวอน

 

          “อยากให้ฉันนอนด้วยเหรอ”

 

          “ครับ”

 

          “ทำไมล่ะ” ปากถาม แต่มือกลับเลิกผ้าห่มขึ้นคลุมตัว ขยับหาองศาที่นอนสบายบนหมอนคนละใบกับเจ้าของห้อง

 

          “นอนด้วยกันมันอุ่นกว่า” คำว่านอนด้วยกันดึงเอาภาพจำบางอย่างขึ้นมาบนเตียงขนาด 5.5 ฟุต ต่างกันก็เพียงแต่คืนนั้นอยู่ในหน้าร้อน แต่ถึงจะร้อนก็ยังคงนอนเบียดกันจนถึงเช้า

 

          “ราตรีสวัสดิ์ โชค”

 

          “ราตรีสวัสดิ์ครับ น้าแก้ว”

 

          ราตรีสวัสดิ์อีกคนในความทรงจำ

 

          แก้วขยับตัวเข้าไปเบียดเด็กชายทั้งที่พื้นที่เตียงเหลืออีกตั้งมาก โอบกอดก้อนอบอุ่นเอาไว้ราวกับจะให้มันเติมเต็มช่องว่างภายในที่มันยับเยินไปในวันนั้น

 

          ...คืน 18 ตุลาคมหัวใจเขาฟูฟ่อง และเมื่อเข้าสู่วันที่ 19 มันก็แตกละเอียด

 

 

TBC...


          เอาล่ะค่ะ เนื้อเรื่องเดินมาถึงจุดเปลี่ยนแรกแล้ว แง้ เป็นตอนที่เขียนไปปวดใจไป แต่จะเป็นอย่างไรต่อก็ต้องติดตามกันต่อไปยาวๆ เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของน้องโชค หรือความสัมพันธ์ระหว่างน้าแก้วกับอาธีร์ เป็นนิยายที่รีนวางไว้ยาวมากจริงๆ ยังไงก็อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ มาค่อยๆ เผาไหม้ไปด้วยกันบนมวนบุหรี่ที่แสนยาวไกลนี้กันเถอะค่ะ
         
          ถ้าว่างๆ ก็ไปพูดคุยกันได้ในทวิตเตอร์ #น้าแก้วของโชค นะคะ

          ขอบคุณทุกคอมเม้นและทุกการอ่านเลยค่ะ


          See you on Thursday เจอกันวันพฤหัสบดีหน้าค่า
 



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2020 19:22:24 โดย FebruarySea »

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ทำไมใจร้ายยยยยยย โฮรร TT ตอนแรกคิดว่าธีร์เป็นฝ่ายใจร้ายนะ แต่ลองคิดดูอีกที หรือน้าแก้วเองที่เป็นฝ่ายใจร้ายกับธีร์ 555 แต่ที่รู้คือทั้งสองเจ็บไม่ต่างกัน น้าแก้วจะทำอะไรได้ถ้าครอบครัวเขาต้องการให้แต่งงาน ก็เลยไม่คิดรั้ง ไม่ทะเลาะ ยินยอมปล่อย  อีกคนก็คงอยากให้รั้งเหมือนว่าเป็นคนสำคัญ แต่ว่านะบางทีไม่แสดงออกก็ใช่ว่าไม่รักไม่เจ็บ เลี้ยวโค้งหักศอกเลย ตั้งตัวไ่ม่ทัน หัวโขกเลย 5555 แผลใจน้าแก้วนี้โชคจะเยียวยาให้เองเนอะ เอ็นดูโชคตอนให้ของขวัญวันเกิดน้าแก้ว ให้กรอบรูปเขานะแต่ก็ใส่รูปมาด้วย 55555 เวลามันผ่านไปเร็วจริงแปปๆป.3 แปปๆสิ้นปี อยากเห็นโชคตอนโต เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อจากนี้นะ อยากรู้มากๆอยากอ่านต่ออีกแล้ว 5555 สนุกมากกกกก ชอบจริง ภาษาดีอ่ะ ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนต่อไปเยจะเกิดไรขึ้นบ้าง  :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2020 23:12:19 โดย blove »

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 12

 

 

       โชคขึ้นป.สี่แล้ว สูงขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ยังตัวเล็กอยู่ดี ส่วนแก้วยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่ทำงานหนักขึ้น และสูบบุหรี่จัดกว่าเก่า ไม่ถึงกับย้อนไปในช่วงวันทำงานแรกๆ ที่แทบจะอมควันทั้งวัน แต่ก็บ่อยกว่าที่เด็กชายเคยจดจำได้ มะลิเพิ่งคลอดลูกครอกล่าสุดไปเมื่อสองเดือนก่อน ตอนนี้ลูกๆ ถูกคนอื่นรับไปเลี้ยงหมดแล้ว ทั้งที่เจ้าของบ้านกะจะให้แม่แมวสาวมีลูกเพียงสักสองครอก แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้เจ้าเหมียวได้เป็นแม่มากกว่านั้นอยู่ดี

 

       เหมี๊ยว...

 

       เสียงครางเครือ มะลิบิดขี้เกียจจนก้นโด่ง ก่อนจะเดินนวยนาดเข้าไปคลอเคลียขาของชายหนุ่มที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ตรงม้าหิน แก้วขยับขาหยอกล้อเล่นด้วย ไม่นานก็ฉวยอุ้มขึ้นไปวางบนตัก ลูบไล้ไปตามแนวขนนุ่ม ปล่อยเวลาให้จมอยู่ในลานอิฐ ที่ซึ่งมีบางสิ่งลอยฟุ้งมากกว่าแค่ม่านหมอกสีหม่นมัว

 

       โชคไม่รู้ว่าในเวลาแบบนี้เขาจะเข้าหาน้าแก้วอย่างไรดี ในช่วงเวลาที่ราวกับอีกคนหลุดเข้าไปในโลกอีกใบ เขาไม่รู้ว่าจำต้องทำอย่างไรจึงจะไล่ตามไปถึง เด็กชายจึงได้แต่นั่งอยู่บนตั่งไม้หน้าบ้าน แกว่งขาไปมาตีอากาศ ร่วมแบ่งปันความเงียบงันอยู่อย่างนั้น




 

       “โชค” เจ้าของชื่อกำลังจะขึ้นบันไดไปทำการบ้านในห้องของตัวเอง แต่ถูกเรียกรั้งไว้โดยคนที่กำลังสูบบุหรี่อยู่หน้าทีวีที่ประจำ “เสาร์นี้อยากไปไหนรึเปล่า”

 

       “เสาร์นี้เหรอ”

 

       “ของขวัญวันเกิดเธอล่วงหน้า” แก้วยิ้ม พูดถึงวันเกิดครอบรอบสิบเอ็ดปีของเด็กชายที่จะมาถึงในวันอังคารของสัปดาห์ถัดไป โชคยิ้มกว้าง และตอบกลับมาอย่างไม่ลังเล

 

       “อควาเรียม”

 

       “อคาเรียมเหรอ”

 

       “ที่น้าแก้วเคยบอกว่าจะพาไปไง” ชายหนุ่มนิ่งงันไปเล็กน้อยราวกับกำลังคิดย้อนกลับไปในความทรงจำ แต่เพียงไม่นานก็ยิ้มพลางพยักหน้ารับปาก เด็กชายยิ้มกว้างกว่าเดิม ก่อนจะกระโดดขึ้นบันไดทีละสองขั้นขึ้นชั้นบนไปอย่างมีความสุข

 

 

 

       ช่วงสายวันเสาร์ที่รถราไม่ถึงกับแน่นขนัด แต่ก็ไม่ได้โล่งสะดวกนัก แก้วกับโชคมายืนอยู่หน้าทางเข้าอควาเรียมใหญ่ยักษ์ที่ตั้งอยู่ในห้างกลางเมือง มีผู้คนเข้าชมค่อนข้างหนาตาแต่ไม่ถึงกับพลุกพล่านนัก เพราะเป็นวันเสาร์ที่ไม่ใช่วันพิเศษอะไร

 

       “ตื่นเต้นเหรอ” ชายหนุ่มถามคนตัวเล็กกว่าที่เอามองซ้ายขวาไม่หยุด โชคไม่ได้ตอบ แค่อมยิ้มสบตาแวบเดียวแล้วหันหนีไปมองอย่างอื่นต่อ แก้วหัวเราะน้อยๆ ก่อนพาเด็กชายเดินเข้าไปด้านใน สถานที่ซึ่งเขาเคยสัญญาเอาไว้ แต่กลับใช้เวลาหลายปีกว่าจะเดินทางมาถึง ทั้งที่ก็ไม่ได้อยู่ไกลอะไรเลยแท้ๆ

 

       ภายในนั้นถูกตบแต่งด้วยโทนสีน้ำเงินเพื่อให้บรรยากาศของท้องทะเลลึก ลึกลับชวนค้นหา งดงามทว่าอันตราย แต่ในพื้นที่จำลองแห่งนี้ไม่ได้ทำให้เด็กชายรู้สึกกลัวความมืดทึมทึบนั้นเลย โชคตื่นตาตื่นใจไปกับทุกสิ่งอย่าง สองเท้าสาวเร็วถี่เพื่อพุ่งไปดูตู้โชว์ฝังผนังใบใหญ่ ปลาตัวน้อยสีส้มลายขาวที่เขาเคยเห็นจากที่อื่นว่ายวนไปมาแถวปะการัง

 

       “น้าแก้ว” เด็กชายกวักมือเรียก แก้วเดินไปยืนอยู่ข้างๆ มองปลาตัวจิ๋วที่เคยเป็นดาราหนังการ์ตูนโด่งดังเมื่อไม่กี่ปีก่อน “เหมือนที่นั่นเลยเนอะ”

 

       “อืม” แก้วขยี้หัวเล็ก ตอบรับทั้งที่ความจริงแล้วตู้โชว์และฝูงปลาของที่นี่ล้วนอลังการยิ่งกว่าที่ที่พวกเขาเคยไป

 

       แก้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา เหลือเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าโชว์พิเศษประจำวันจะเริ่มขึ้น เลยปล่อยให้เด็กชายเดินสำรวจตู้โน้นทีตู้นี้ที เดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่เร่งรีบ หยุดยืนอ่านป้ายให้ความรู้ไปพร้อมกับฟังเสียงเจื้อยแจ้วอ่านออกเสียงอย่างชัดเจน

 

       “ปลาไหลมอเรย์เป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร ออกหากินในเวลากลางคืน..”

 

       ดวงตาเป็นประกายวาววับขณะจับจ้องเจ้าปลาไหลตัวยาว หน้าตาน่ากลัวและอันตราย ถึงแม้จะไม่ได้มีนิสัยดุร้ายก็ตาม โชคหันมายิ้มเมื่ออ่านสาระน่ารู้หน้าตู้กระจกจบ หางตาเหลือบไปเห็นแท็งก์ทรงกระบอกที่ตั้งโดดเด่นกลางห้องโถงในโซนถัดไป มือเล็กคว้าให้คนโตกว่าก้าวตามไปทันที

 

       สิ่งมีชีวิตที่กระจ่างใสและดูนุ่มนิ่มเด้งดึ๋งลอยไปมาอย่างอิสระในแท็งก์น้ำสีม่วงคราม ริ้วรยางค์ยาวออกมาจากส่วนบนที่โค้งมนคล้ายร่ม พลิ้วไหวสะท้อนแสงไฟหลากสีที่ส่องลงมาดูเหมือนชายผ้าแพรเบาบางของนักแสดงที่กำลังร่ายรำในสายน้ำเยียบเย็น

 

       “สวยจังเลยเนอะน้าแก้ว” พูดทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากแมงกะพรุนในตู้โชว์ เด็กชายจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวในนั้นอย่างตั้งใจ ภาพจริงที่เห็นด้วยตาตรงหน้างดงามกว่าที่เฝ้ามองผ่านจอโทรทัศน์อย่างเทียบไม่ติดเลยสักนิด

 

       แก้วบีบมือที่เย็นเฉียบเพราะความตื่นเต้นเบาๆ ขณะที่จับจ้องไปยังทัศนียภาพเดียวกันนั้น ส่งผ่านอุณหภูมิจากตัวเองผ่านปลายนิ้วไปสู่อีกคน โชคชอบทะเล ชอบท้องทะเลมากจริงๆ

 

       “อืม สวยมากเลย”

 

 

 

       บ่ายสองหลังจากโชว์ให้อาหารสัตว์น้ำจบลง เด็กชายและผู้ปกครองของเขาเดินวนเวียนดูปลาในตู้กระจกที่ถูกจัดแสดงไว้เต็มพื้นที่ที่ยังไม่ได้เดินสำรวจต่อ แก้วปล่อยให้โชคเดินเล่นตามสะดวก โดยเดินทอดน่องตามอย่างช้าๆ ในขณะที่ตัวเองไม่ได้สนใจสัตว์น้ำเหล่านั้นเลยสักนิด จนกระทั่งมาถึงอุโมงค์ใต้น้ำยาวเหยียด ขาทั้งสองข้างก็หยุดลง ปล่อยให้เด็กชายวิ่งนำออกไปยังปลายทางอีกฝั่งเพียงลำพัง

 

       ‘รู้ไหมว่าม้าน้ำจับคู่แค่ครั้งเดียวจนตาย’

 

       โชคย้อนกลับมาหลังจากหายไปสำรวจพื้นที่อีกฝั่งสักพัก เมื่อรู้สึกตัวว่าคนที่มาด้วยกันไม่ได้ตามเขามา น้าแก้วของเขาหาเจอได้ไม่ยากนัก ชายหนุ่มยืนอยู่ในอุโมงค์สีทึม ริ้วแสงที่ลอดลงมาจากผิวน้ำด้านบนพลิ้วไหวตามแรงกระเพื่อมจากเครื่องทำออกซิเจนในแท็งก์เหนือหัวส่องกระทบใบหน้าเรียบเฉย

 

       มวลน้ำมหาศาลกำลังเคลื่อนไหวในความสงบนิ่งที่ผู้คนมองเห็น ดวงตาสีเข้มจับจ้องไปยังสีฟ้าที่ไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือเพราะการตกแต่งถึงทำให้สีมันชัดเจนถึงขนาดนั้น หากดูเผินๆ คงคิดว่าเขากำลังดูฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่ภายในกระแสน้ำเย็นเฉียบ แต่แท้จริงแล้วนัยน์ตาคู่นั้นกลับไม่ได้โฟกัสสิ่งใดอยู่เลย

 

       โชคไม่รู้ว่าชายหนุ่มกำลังจ้องมองอะไร แววตาคู่นั้นถึงได้สะท้อนความรู้สึกออกมามากมายขนาดนั้น มากมายจนไม่อาจนิยามได้หมด มันทั้งอ้างว้าง หม่นมัว โดดเดี่ยว แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความคิดถึง และเหนือสิ่งอื่นใด ...เปี่ยมรัก ราวกับกำลังจ้องมองไปในอากาศ ข้ามผ่านวันเวลา ย้อนกลับไปในความทรงจำสีจางที่แสนห่างไกล เด็กชายไม่อาจรู้ได้เลย แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้ เขารู้ว่าตัวเองกำลังจ้องมองอะไรอยู่ ในสายตาของเขามันจับจ้องไปยังที่เดียว

 

       มันมีเพียงน้าแก้วที่อยู่ในนั้น

 

       เงาของฉลามขาวที่ว่ายผ่านเหนือหัวบดบังแสงที่ส่องลงมาตกกระทบชายหนุ่ม แต่เพียงชั่วขณะเดียวก็ผ่านพ้นไป ใบหน้าที่ไม่ถึงกับหล่อเหลา แต่ก็ชวนมองนั้นเด่นชัดขึ้นอีกครั้งเมื่อต้องแสงสว่าง มือเรียวยกขึ้นสัมผัสปลายเส้นผมที่ไว้ยาวระกรอบหน้าของตน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยในองศาที่คล้ายกับเป็นรอยยิ้ม ดวงตาสีเข้มทอประกายวาบหวามแบบที่โชคไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วทุกอย่างก็หยุดนิ่งลงตรงนั้น

 

       ความรู้สึกอบอุ่นไหลวูบจากอกไปถึงปลายนิ้ว เรียบง่ายและชัดเจน แม้จะไร้เดียงสาเกินจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง แต่เขาก็ไม่ได้ต้องการคำอธิบาย

 

       โชคเดินเข้าไปยืนเคียงข้างชายหนุ่ม มองเงาสะท้อนของตัวเองที่สูงยังไม่ถึงอกของเขาคนนั้น รอยยิ้มแปลกประหลาดผุดขึ้นมาบนใบหน้ายามเอื้อมมือไปคว้าจับมืออุ่น สอดประสานนิ้วทั้งห้าเข้าด้วยกัน ใบหน้าแดงซ่านจนต้องก้มคางชิดอกมองปลายเท้า

 

       “โชค” คนเหม่อลอยคล้ายได้สติกลับมาแล้ว แก้วหันมามองเด็กชายที่จับมือเขาแน่นแต่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตา ไม่ค่อยเข้าใจนักว่าคนตัวเล็กต้องการอะไรกันแน่ แต่ก็บีบกระชับมือที่ถูกฉวยไปกุมไว้ให้แนบแน่นกว่าเดิม เพียงแค่นั้นโชคก็เหมือนลูกโป่งที่ถูกสูบลมเข้าไป พองโตฟู่ฟ่องจนเหมือนจะล่องลอยขึ้นไปบนชั้นฟ้า

 

       ...การตกหลุมรักของเด็กชาย มันเกิดขึ้นง่ายดายเช่นนั้นเอง

 

 

 

       แก้วกับโชคกลับมาถึงบ้านในตอนหัวค่ำ เพราะหลังจากออกจากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแล้วพวกเขาก็ไปกินข้าวและซื้อของในห้างกันต่อ เมื่อเจ้าของบ้านกลับมา มะลิที่ถูกทิ้งไว้ตัวเดียวทั้งวันก็เดินมาล้มตัวนอนแผ่หงายท้องลงแทบเท้า แก้วก้มลงไปลูบท้องนุ่มฟูเพื่อทักทายเพียงเล็กน้อยแล้วผ่านไป ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเด็กชายที่จะเข้ามาหยอกล้อกับสัตว์เลี้ยงแทน

 

       คืนนั้นโชคเอามะลิขึ้นไปนอนด้วยกันในห้อง กอดก้อนขนนุ่มอุ่นเอาไว้แนบอก เหม่อมองเพดานในความมืดที่มีแสงสลัวจากไฟถนนลอดขอบบานหน้าต่างไม้เข้ามาเพียงน้อยนิด

 

       “มะลิ”

 

       เหมี๊ยว..

 

       “มะลิ”

 

       กรร...

 

       “มะลิ” เสียงครางเครือในลำคอขานรับอีกครั้ง เด็กชายเงียบงันไปเนิ่นนานพอที่ดวงตาคมของนักล่าจะปิดลงคล้ายหลับไปแล้ว ก่อนที่เสียงพึมพำแผ่วเบาจะกระซิบบอกความลับบางอย่างให้แมวสาวฟังในห้วงฝันที่ไม่ปะติดปะต่อ “...น้าแก้ว”

 




 

       วันอังคารมาถึง เด็กชายอายุครบสิบเอ็ดปีในวันนี้ ตอนเช้าพอไปถึงโรงเรียน เพื่อนสนิทก็เอาพวกกุญแจปลาดาวมาห้อยกระเป๋านักเรียนให้เป็นของขวัญวันเกิด ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ตเดย์เพี้ยนๆ ให้ฟังตั้งแต่ยังไม่เคารพธงชาติ ตอนพักกลางวันก็แบ่งไข่ผะโล้ในถาดอาหารมาให้เขาอีกครึ่งหนึ่ง พร้อมรอยยิ้มจริงใจและสดใสเสมอ โชครู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีที่มีเพื่อนอย่างมิกซ์

 

       ตกเย็นแก้วขับรถมารับเด็กชายกับเพื่อนไปส่งที่โรงเรียนสอนเทควันโด้ วันนั้นแก้วไม่มีงานอะไรให้ต้องสะสางที่ออฟฟิศแล้วจึงมานั่งรอเด็กๆ ที่เก้าอี้ม้าหินริมรั้วสังกะสีที่กั้นเขตก่อสร้างตรงตึกเลยสถาบันมานิดหน่อย บุหรี่ถูกจุดขึ้นสูบเพื่อฆ่าเวลา แต่เหมือนว่าม่านควันที่บดบังทัศนวิสัยเบื้องหน้านั้นจะลักพาตัวชายหนุ่มไปในสถานที่อันห่างไกลอีกแล้ว แต่แก้วก็ไม่ได้เดินทางในหมอกจางนั้นนานนักเมื่อเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ในกางเกงดังขึ้น

 

       ...เบอร์เดิมที่คุ้นเคย และชื่อที่บันทึกไว้ไม่เคยเปลี่ยน

 

       “ฮัลโหล”

 

       “ฮัลโหล แก้ว” เสียงปลายสายยังคงสดใสเช่นเคย เหมือนทุกครั้งที่โทรมาหา “โชคล่ะ”

 

       “เรียนเทควันโด้อยู่”

 

       “อ่อ วันนี้วังอังคารสินะ” ปลายสายเงียบไป แก้วขยี้บุหรี่ใกล้มอดลงกับพื้นฟุตบาท ดีดก้นกรองลงถังขยะข้างทางขณะที่รอให้อีกฝ่ายพูดต่อ “งั้นไว้เดี๋ยวเลิกแล้วกูโทรหาใหม่”

 

       “อืม”

 

       “โอเค”

 

       “...” บทสนทนาจบลงแล้ว แต่สัญญาณกลับยังไม่ถูกตัดไปคล้ายรอให้ชายหนุ่มเป็นคนกดตัดสาย ธีร์ทำอย่างนี้เสมอ แต่เขาก็ยังไม่กด ยืนแนบหูฟังเสียงลมหายใจที่ผ่านมาโดยคลื่นวิทยุทางอากาศ ซึ่งบ่งบอกว่าปลายทางอีกฝั่งเองก็กำลังทำแบบเดียวกันอยู่

 

       “น้าแก้ว! เลิกแล้วครับ” เสียงใสกับเด็กชายสองคนที่เดินตรงมา คนที่เรียกคือมิกซ์ที่ยิ้มร่าหิ้วถุงชุดพาดบ่าอย่างอารมณ์ดี

 

       “จะคุยกับโชคเลยไหม เลิกพอดี” ชายหนุ่มพูดกับคนในสาย ยิ้มให้กับเพื่อนของเด็กในปกครองเขาบางๆ คล้ายรับคำที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่

 

       “ได้ๆ ..” โชครับโทศัพท์ที่ส่งมาให้ มองสบตาน้าแก้วอย่างงุนงง แต่ก็พอจะเดาได้เพราะคนที่โทรมาคุยกับเขาผ่านมือถือเจ้าตัวบ่อยๆ ก็มีแค่คนเดียว

 

       “อาธีร์เหรอครับ”

 

       “ใช่แล้วครับ” เสียงปลายสายเว้นช่วงไป ก่อนจะกล่าวอวยพรด้วยเสียงนุ่มนวลอบอุ่นเช่นเดียวกับวันนี้ในปีที่แล้ว “สุขสันต์วันเกิดนะโชค”

 

       แก้วรับโทรศัพท์มาหลังจากที่เด็กชายยื่นคืนเป็นเชิงว่าธุระจบลงแล้ว เขาพอจะเดาได้ว่าธีร์คงโทรมาอวยพรวันเกิดให้โชค เขากดตัดสายในที่สุด เก็บมันเข้าไปไว้ในกางเกงอย่างเดิม กุมมือเด็กทั้งสองคนละข้างพาข้ามถนน ขับรถไปส่งมิกซ์ที่บ้านเจ้าตัวแล้วจึงค่อยมุ่งหน้ากลับบ้านตัวเอง กล่องเค้กช็อกโกแลตวางอยู่เบาะหลัง เค้กหนึ่งปอนด์ที่มากเกินไปสำหรับคนสองคน

 

       รถยนต์สีดำแล่นเข้ามาจอดตรงลานว่างเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามกับบ้าน ไฟถนนตรงบริเวณนั้นเสียจึงทำให้มองรอบข้างได้ไม่ถนัดนัก แต่ทันทีที่แสงไฟในรถติดขึ้นพร้อมประตูที่เปิดออก เงาร่างสูงใหญ่ที่ยืนส่งยิ้มกว้างมาให้จากข้างรถคันแปลกตาแต่กลับดูคุ้นเคยราวกับว่ามันเคยเกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนนั้นก็ชัดเจน

 

       “ทำไมมาอยู่นี่”

 

       “คิดถึง..”

 

       “อาธีร์!” โชคกระโดดเข้าหาอ้อมแขนใหญ่คุ้นเคยนั้นทันที ธีร์ยกเด็กชายที่ตัวหนักขึ้นทุกวันขึ้นอุ้มได้โดยง่ายราวกับว่าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย “ผมนึกว่าอาจะไม่มา”

 

       “ไม่มาได้ไง วันเกิดเราทั้งที” เด็กชายยิ้มกว้าง เช่นเดียวกับคนพูด แก้วเก็บของลงจากรถเงียบๆ แล้วเดินนำไปไขกุญแจรั้ว สีหน้าเรียบเฉยแต่แววตากลับวูบไหว

 

       งานฉลองวันเกิดครบสิบเอ็ดปีของเด็กชายถูกจัดขึ้นง่ายๆ ในห้องนั่งเล่น มื้ออาหารที่แวะซื้อจากร้านข้างทาง น้ำผลไม้ที่แช่ทิ้งไว้ในตู้ เค้กช็อกโกแลตที่เจ้าของบ้านหนุ่มซื้อมาวางคู่กับเค้กครีมที่แขกอีกคนถือมาด้วย โชคเป่าเทียนที่แบ่งปักก้อนละหกเล่มอย่างมีความสุข

 

       เค้กหนึ่งปอนด์มันมากเกินไปสำหรับคนสองคน แต่เค้กสองปอนด์กลับพอดีกับจำนวนคนสามคนอย่างน่าประหลาด

 

 

 

       “เอามะลิไปนอนด้วยได้ไหม น้าแก้ว” โชคถามชายหนุ่มที่กำลังล้างจานอยู่ในครัว เด็กชายสวมชุดนอนเรียบร้อย ในอ้อมแขนมีแมวสาวถูกหิ้วหนีบเอาไว้ ดวงตาจ้องรอคำอนุญาตอย่างออดอ้อน

 

       “ได้ แต่อย่าเล่นจนดึกนะ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน” เด็กชายพยักหน้ารับ หันไปยิ้มให้ร่างสูงใหญ่ที่ยืนพิงราวบันไดรอขึ้นไปส่งเขาเข้านอน นานแล้วนับจากครั้งสุดท้ายที่น้าแก้วยอมนอนเป็นเพื่อนเขา โชคนอนคนเดียวได้ แต่ถ้าเลือกได้ เขาก็ชอบให้มีคนนอนข้างๆ จนกว่าจะหลับมากกว่าอยู่ดี

 

       “อาธีร์” ในความมืดสลัวเหลือเพียงไฟหัวเตียงที่เปิดเอาไว้ โชคเอ่ยเรียกคนข้างตัวเบาๆ

 

       “ว่าไงครับ”

 

       “อารู้ไหมว่าม้าน้ำตัวผู้จะอุ้มท้องแทนตัวเมียแหละ” เด็กชายเล่าถึงเกร็ดความรู้ที่ได้มาจากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ได้ไปมาก่อนหน้านี้ไม่นาน “แล้วมันก็จะมีคู่แค่ตัวเดียวตลอดชีวิตเลยด้วย”

 

       “โรแมนติกจังเลยเนอะ” ธีร์กระซิบเสียงเบาจนเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าตอบอีกฝ่าย มือใหญ่ลูบขนนุ่มของแมวสาวที่นอนตรงกลางระหว่างเขากับเด็กชาย เป็นเพราะแสงที่ส่องมาทางด้านหลังของเขาอีกแล้วที่ทำให้โชคไม่รู้ว่าดวงตาคมที่หลุบต่ำลงนั้นกำลังฉายแววความรู้สึกแบบไหนออกมา

 

       “ใช่ไหมล่ะ” เด็กชายเข้าใจคำว่าโรแมนติก แม้จะเพียงแค่ผิวเผินก็ตาม “ทำไมคนเราถึงไม่เป็นแบบม้าน้ำบ้างนะ”

 

       “ที่ให้ผู้ชายท้องแทนน่ะเหรอ” ธีร์เย้ากลั้วหัวเราะเบาๆ แต่คำตอบที่สวนกลับมาทันทีกลับทำให้เสียงนั้นจางหายไปในลำคอ

 

       “ที่มีคู่เดียวตลอดชีวิตต่างหาก”

 

       “นั่นสินะ”

 

       ความเงียบงันเกิดขึ้นภายในห้องหลังจากเสียงแผ่วเบานั้นจางหายไปในอากาศ เนิ่นนานจนคล้ายว่าคนบนเตียงต่างหลับไปแล้ว จนกระทั่งได้ยินเสียงสวบสาบจากการพลิกตัวของร่างเล็ก

 

       “อาธีร์”

 

       “ว่ายังไงครับ”

 

       “คืนนี้อาธีร์จะไปนอนเป็นเพื่อนน้าแก้วด้วยรึเปล่า”

 

       “...”

 

       “เหมือนเมื่อก่อน”

 

 

 

       ธีร์กลับลงมาชั้นล่างหลังจากที่โชคหลับไปแล้ว เจ้าของบ้านยังคงอยู่ตรงนั้น บนโซฟานุ่มตัวยาว กับควันขาวจากการเผาไหม้ที่ปลายบุหรี่ ระยะห่างระหว่างพวกเขาลดลงเมื่อร่างสูงใหญ่เดินไปนั่งลงข้างๆ แต่ความเงียบงันกลับทำให้มันเหมือนไกลห่างจนไม่อาจเอื้อมถึงกันได้เลย

 

       “เนตรเป็นไงบ้าง” ในที่สุดก็มีคนทำลายความเงียบ แก้วขยี้บุหรี่ลงกับที่เขี่ยพลางเอ่ยถามถึงภรรยาของอีกฝ่าย

 

       “ก็เหมือนเดิมแหละ ขี้บ่น”

 

       “เหรอ คิดว่าเป็นคนเงียบๆ ซะอีก”

 

       “อืม เมื่อก่อนน่ะใช่ แต่พอแต่งงานแล้วไม่รู้ทำไมถึงเปลี่ยนไป”

 

       “ปกติของมนุษย์เมียล่ะมั้ง” รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนใบหน้า ในขณะที่อีกคนหลุดหัวเราะเบาๆ บรรยากาศห่างเหินที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ค่อยๆ ละลายหายไป

 

       หลังจากที่พูดคุยกันอยู่นานจนเข็มนาฬิกาชี้เลยเลขสิบเอ็ด และก้นกรองในที่เขี่ยบุหรี่เพิ่มขึ้นอีกอัน แก้วขยับตัวซบหัวกับพนักพิงโซฟา ดวงตาสีเข้มมองสบกับตาคม เอ่ยถามคำถามที่ไม่ค่อยได้เป็นฝ่ายเสนอก่อนออกมา

 

       “คืนนี้ค้างไหม”

 

       “ไม่รู้สิ” คำตอบกลับมาเบาหวิว เช่นเดียวกับดวงตาคมที่ฉายแวววูบไหว “ค้างได้รึเปล่าล่ะ”

 

       สายฝนโปรยลงกระทบหลังคาแผ่วเบาแทนคำตอบ ก่อนจะโหมกระหน่ำซัดลงมาจนดังกึกก้องห้องนั่งเล่นที่มีเพียงเสียงลมหายใจจากคนสองคน

 

 

 

       เช้าวันพุธโชคตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีสี่ครึ่งเพราะเจ้าเหมียวที่เอาไปนอนด้วยตะกรุยประตูแทนคำสั่งให้ปล่อยตัวเองออกไป เด็กชายจึงเดินลงบันไดมาพร้อมกับมะลิ ทั้งบ้านยังคงมืดสนิท แต่ในความมืดที่สายตาของเขาคุ้นชินแล้วนั้นปรากฏภาพเงาอย่างชัดเจน

 

       บนโซฟาตัวยาว แก้วตื่นนอนแล้วหรืออาจจะตื่นมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมลุกจากอ้อมแขนที่โอบรอบเอวตัวเองเอาไว้ ดวงตาสีเข้มจ้องมองใบหน้ายามหลับของอีกฝ่าย ไล่สายตาไปตามโครงสร้างงดงามของคนตรงหน้าราวกับกำลังเก็บรายละเอียด คิ้ว ดวงตา สันจมูก ริมฝีปาก มือเรียวทาบลงบนแก้มอุ่น ก่อนจะซุกตัวเข้าไปซบฝังจมูกลงบนอกแกร่ง เบียดตัวเข้าหาความอบอุ่นที่ห่างหายไปแสนนานนั้นให้มากที่สุด

 

       โชคไม่รู้ว่าน้าแก้วกำลังทำอะไรอยู่ เขาเห็นเพียงแผ่นหลังของคนที่ซุกตัวเข้าหาร่างใหญ่โตของอาธีร์ แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าไม่ควรเข้าไปแทรก เลยได้แต่ฉวยแมวสาวขึ้นมาอุ้มแล้วพาย่องกลับขึ้นห้องไปด้วยกันอย่างเงียบเชียบ นานแล้วที่ธีร์ไม่ได้มาค้างที่บ้านหลังนี้ ตั้งแต่วันเกิดเจ้าของบ้านหนุ่มปีที่แล้ว เด็กชายจึงปล่อยให้ค่ำคืนของสองคนบนโซฟายาวนานขึ้นอีกหน่อย ปล่อยให้น้าแก้วของเขาได้มีความสุขนานขึ้นอีกนิด

 

       เด็กชายลงมาชั้นล่างอีกทีตอนฟ้าสางตามเวลาปกติของวันไปโรงเรียน ธีร์กลับไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงความอบอุ่นจากควันบุหรี่บางเบาที่พ่นออกจากปากของคนที่ยังอยู่ ดวงตาสีเข้มยังคงมองออกไปตามทางที่ใครอีกคนจากไป

 

       ฟ้ายามเช้าหม่นหมองหลังคืนฝนตก มันช่างดูปวดร้าวและเดียวดาย ...ทั้งท้องฟ้าทั้งชายหนุ่ม

 

       โชคชอบอาธีร์ ชอบมากมาตลอด แต่ตอนนี้กลับนึกเกลียดผู้ชายคนนั้นขึ้นมาหน่อยแล้ว เพราะเมื่อธีร์จากไป เขาก็จะพรากประกายในดวงตาคู่นั้นของแก้วไปด้วย

 

       “น้าแก้ว” เจ้าของชื่อหันกลับมา รอยยิ้มจางเพียงริมฝีปากถูกส่งมาให้ พลันในอกของเด็กชายก็บีบรัดแน่นจนได้ยินเสียงปริแตกของบางสิ่งภายในนั้น

 

       โชคเดินเข้าไปหาคนที่ยังคงสูบบุหรี่อยู่กับความอ้างว้าง ถึงจะรู้ว่าคงโดนดุแน่ เพราะอีกฝ่ายไม่ชอบให้เขาเข้าใกล้ในตอนที่ยังกรุ่นควันพิษ แต่เขาก็ยอม เด็กชายคุกเข่าลงกับพื้นหน้าโซฟา ซุกหน้าเข้ากับหน้าท้องอุ่น สองแขนโอบรัดรอบเอวแก้วไว้แน่น หวังให้กอดของตัวเองเพียงพอที่จะแทนที่เงาของคนๆ นั้น

 

       “เป็นอะไรไป หืม” บุหรี่ถูกดับแล้ว และแก้วไม่ได้ดุเด็กชายอย่างที่เจ้าตัวคิดเอาไว้ มีเพียงสัมผัสอ่อนโยนที่ลูบไล้ผ่านเส้นผมสั้นทรงนักเรียนของเขาเท่านั้น

 

       “ต่อไปผมจะกอดน้าแก้วเอง” เสียงอู้อี้ตอบกลับมา เรียกรอยยิ้มอ่อนจางจากคนฟัง แก้วโน้มตัวลงไปซบหน้าบนแผ่นหลังเล็ก สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิของร่างกายและเสียงของหัวใจที่เต้นระรัว แก้วไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กชายคิด แต่ก็ยินดีรับความอบอุ่นที่อีกคนหยิบยื่นมาให้

 

       “ตัวแค่นี้จะกอดฉันไหวเหรอ”

 

       “เดี๋ยวผมก็โตแล้ว!” โชคตอบกลับเสียงดังชัดเจน ก่อนจะกลับไปงึมงำอีกครั้งเมื่อแก้วหัวเราะขบขัน “เดี๋ยวผมก็โต เดี๋ยวผมก็ตัวใหญ่ขึ้น แล้วตอนนั้นผมก็จะกอดน้าแก้วเอาไว้เอง น้าแก้วจะได้ไม่ต้องเหงาอีกต่อไป”

 

       “ฉันดูเหงาเหรอ” ดวงตาสีเข้มหรี่ลงขณะเอ่ยถาม

 

       “อื้อ”

 

       “ขอโทษนะ” เด็กชายผละจากตักอุ่น หลุดออกจากอ้อมกอดกันและกัน ดวงตาใสซื่อจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

 

       “น้าแก้วขอโทษทำไม”

 

       “ขอโทษที่ทำตัวเป็นคนเหงาไง”

 

       “ทำไมต้องขอโทษล่ะ” คิ้วเล็กขมวดมุ่นหนักเข้าไปใหญ่ แก้วหัวเราะในลำคอน้อยๆ นิ้วเรียวจิ้มเข้าที่หน้าผาก ตรงหว่างคิ้วที่ยับย่น ไล้วนให้มันคลายออกจากกัน

 

       “เพราะว่าฉันไม่ควรเหงาน่ะสิ” ชายหนุ่มยิ้มออกมา จากทั้งริมฝีปากและดวงตา “ฉันมีเธออยู่ทั้งคน”

 

       คำตอบนั้นไม่ได้ไขข้อข้องใจของเด็กชาย แต่เขากลับดีใจทั้งที่ไม่รู้ความหมาย

 

 

 

TBC...

       มาถึงตอนที่ 12 กันแล้วนะคะ น้องโชคเองก็ป.4 แล้ว ค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ เลย ความรู้สึกในหัวใจก็เริ่มเติบโตไปเป็นอย่างอื่นแล้วววว ส่วนน้าแก้วกับอาธีร์ก็ยังคงอยู่ในความสัมพันธ์ที่เหมือนหมอกควัน รู้สึกลึกซึ้งแต่ก็แสนอ้างว้าง เป็นตอนที่รีนชอบมากๆ อีกตอนหนึ่งเลยค่ะ
       และถ้าหากใครที่รอโมเม้นโรแมนติกระหว่างตัวเอกอยู่ก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ เพราะยังอีกยาวไกลเลยค่า!!!  :katai1:
       ก่อนอื่นเลยก็คือต้องรอให้น้องโตก่อน และเพราะเรื่องนี้เป็น slow burn ที่เทคไทม์ยาวนานถึง 20 ปี ตอนนี้ก็เลยได้แต่ติดตามการเติบโตของเด็กชายกันไปก่อนนะคะ
​       
       ขอบคุณทุกการอ่านและคอมเม้นเลยค่ะ

       ปล.โดยเฉพาะคุณ blove ขอบคุณที่คอมเม้นมาตลอดนะคะ น่ารักมากๆ ใส่ใจรายละเอียดในทุกๆ ตอนเลย รีนชอบอ่านมากๆ เลยค่ะ อ่านซ้ำตั้งหลายรอบ ขอบคุณนะคะ  :mew1:


      เจอกันอีกครั้งวันพฤหัสบดีหน้าค่ะ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เนอะน้าแก้ว มีโชคอยู่ทั้งคนไม่ควรเหงาสิ ค่อยๆปล่อยใจเขาไป แม้เจ็บก็ต้องทำ เพราะเขามีเมียแล้ว ไม่สะดวกใจเชียร์(ยกเว้นหย่า) 55555 กายอยู่กับคนนั้น แต่ใจอยู่กับคนนี้ อาธีร์โชคว่ามันไม่ใช่แล้วละ 55555 ถ้าตัดสินใจไปแบบนั้นแล้วก็ต้องตัดความสัมพันธ์ที่มันคลุมเครือเหลือไว้เพียงแค่เพื่อนไปมาถามไถ่ทุกข์สุขดิบพอ รอให้โชคโตเร็วๆอย่างที่ว่านะจะได้มากอดน้าแก้วเอง ทีมโชคละนี่ 5555 น่าเอ็นดูจริงๆเวลาพาไปดูอะไรที่ชอบจะตื่นเต้นประกายตาวาวเชียว มองดูแล้วก็ยิ้มๆตามนะ มีความสุขไปด้วย 5555 รู้สึกว่าโชคเป็นคนที่อบอุ่นมากเลยนะ ชอบความที่โชคจับความรู้สึกของน้าแก้วอ่ะมองจากตาเห็นด้วยใจแล้วบรรยายบรรยากาศรอบตัวออกมาได้ลึกซึ้งดี และรู้จังหวะการเข้าหาน้าแก้ว เวลาเขาเหม่อก็ช่วยดึงสติกลับมาด้วยวิธีน่ารักๆอย่างจับมือประสานนิ้ว คอยสะกิดตลอดก็เพราะด้วยความเป็นห่วงความรู้สึกเขานั่นเอง อบอุ่นที่สุดเลย โชคอย่าปล่อยให้น้าแก้วเหงานะ อีกปีสองปีจะก็จะจบประถมแล้ว ขึ้นมัธยมเจอโลกกว้างกว่านี้ ความสัมพันธ์จะพัฒนาไปทางไหน แล้วจะรอไม่ไหวแล้วค่ะ ติดงอมแงมเลย 55555 สนุกจริง แต่งดี ชอบภาษาบรรยายมาก รรรรรรตอนหน้าเลยจ้า จะเป็นยังไงบ้าง ขอบคุณที่แต่งมาต่อให้ได้อ่าน ไม่ลืมไม่เทกันนะ 5555  :pig4: :pig4: :pig4: กลัวอย่างเดียวคือกว่าโชคจะโต น้าแก้วจะไม่เป็นมะเร็งปอดนะ บุหรี่เพลาๆบ้างก็ดีน้าแก้ว อยากให้อยู่กับโชคไปนานๆ  :กอด1:

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 13



          หลังจากวันนั้นไม่นานก็มีข่าวดี แม้ตอนที่ชายหนุ่มได้รู้ผ่านสายเรียกเข้าจากเพื่อนสนิทจะมีเพียงเสียงของฝนที่ซัดกระหน่ำลงมา หนักหนาเสียจนสัญญาณโทรศัพท์ติดขัด คำยินดีจึงถูกส่งผ่านไปอย่างสั่นเครือ และในเดือนเมษายนปีถัดมาก็มีเด็กชายอีกคนลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้



          น้องเมษา.. ลูกชายของอาธีร์



          แก้วพาโชคออกจากบ้านในตอนบ่าย แวะซื้อของในห้างระหว่างทาง เด็กชายเข็นรถเข็นตามคนโตกว่าไปถึงแผนกของใช้เด็กอ่อน เพื่อหาของขวัญรับขวัญหลานคนใหม่



          “น้าแก้วจะซื้ออะไรอะ”



          “ไม่รู้สิ เด็กแรกเกิดนี่ต้องใช้อะไรบ้าง” หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ยืนอยู่หน้าชั้นวางสินค้าที่เรียงรายไปด้วยผ้าอ้อม ชุดขวดนม ชุดเครื่องนอนและเสื้อผ้าของเด็กแรกเกิด แต่ไม่มีใครในนี้เลยที่จะรู้ว่าพวกเขาควรหยิบอะไรไปจ่ายตัง



          “อันนี้ไหม” เด็กชายคว้าเอาแปรงล้างขวดนมขึ้นมาเสนอ ชายหนุ่มครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้า มันดูค่อนข้างจะเป็นของที่คิดข้ามขั้นเกินไปหน่อย



          “อันนี้อะไร” เด็กชายยังคงขยันหยิบ แก้วรับเอาของรูปร่างแปลกตาในมือเล็กมาพลิกอ่านฉลากด้านหลัง



          “ที่ดูดน้ำมูก”



          “ไว้ใช้ทำอะไร”



          “ดูดน้ำมูกไง”



          “เอาอันนี้ไหม” แก้วส่ายหัวแบบไม่ต้องคิด ถึงมันจะเป็นของที่ใช้ได้จริง แต่คงไม่เหมาะจะให้เป็นของขวัญสักเท่าไหร่



          พวกเขาเสียเวลาอยู่ตรงนั้นอีกเกือบชั่วโมง หยิบของชิ้นนั้นชิ้นนี้มาแล้ววางกลับไป เสื้อผ้าก็คงมีแล้ว ผ้าอ้อมก็คงซื้อแล้ว ชุดเครื่องนอนทางบ้านนั้นก็คงหาไว้แล้ว แก้วคิดไม่ออกเลยว่ามีอะไรที่คนอย่างธีร์จะยังไม่ได้เตรียมไว้รับลูกของตัวเอง ในเมื่อผู้ชายคนนั้นน่ะเฝ้ารอมาตลอด...



          ‘แก้ว มึงชอบเด็กรึเปล่า’



          ‘เฉยๆ ไม่ได้เกลียด แค่ไม่ชอบตอนเด็กร้อง’ รอยยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบของเขายังเปล่งประกายในความทรงจำ



          ‘แต่กูชอบมากเลยนะ’



          ‘เด็กตอนร้องไห้น่ะเหรอ’ ธีร์ในชุดนักเรียนม.ปลายหัวเราะเบาๆ ยื่นมือมาวางบนหัวเขา โยกคลอนไปมาเหมือนหยอกเด็ก



          ‘ไม่ใช่สิ แต่ก็ไม่ได้เกลียดหรอก ถ้าเห็นเด็กร้องกูก็อยากปลอบ’ มือที่วางบนหัวเลื่อนลงมาแนบที่ข้างแก้ม รอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้า แววตาที่จ้องมองมาจริงจัง แต่ยังคงหวานหยดย้อยชวนให้ฝันไปกับคำที่ราวกับเป็นสัญญาบางอย่างระหว่างกัน ‘กูชอบเด็ก แล้วถ้ามึงก็โอเค...’



          ‘กูอยากมีลูก’



          ...ธีร์อยากมีลูก







          สุดท้ายแก้วก็เลือกเอาโมบายแขวนเตียงที่มีสัตว์นาๆ ชนิดห้อยต่องแต่งเป็นสวนสัตว์ใส่รถเข็นไปจ่ายเงิน ด้วยเหตุผลที่ง่ายที่สุดว่ามันน่ารักดี และอีกอย่างคือเขาคิดว่าคนอย่างธีร์คงเลือกซื้อโมบายดวงดาวก้อนเมฆที่ดูเรียบหรูมากกว่าลายสัตว์สีสันฉูดฉาดแน่ๆ จะได้เอาไว้เผื่อวันไหนน้องเมษาเบื่อดาวสีจืดของปะป๊าแล้วจะได้มีเปลี่ยน



          และแก้วก็คิดถูก เมื่อเขามาถึงบ้านของพ่อแม่เพื่อนสนิทที่แสนคุ้นเคย ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวแยกบ้านไปแล้ว แต่กลับมาอยู่เพื่อให้คุณย่าช่วยดูหลานในช่วงแรกๆ ที่พ่อแม่มือใหม่ยังไม่ชิน แก้วมองสำรวจไปรอบๆ ถึงจะไม่ได้มาเหยียบหลายปีแล้วก็ตาม แต่เขายังคงจำได้หมดว่าอะไรอยู่ตรงไหน และมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย เจ้าของบ้านออกมาต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มแล้วสวมกอดแน่น แม่ของธีร์เอาแต่ถามไถ่ชายหนุ่มไม่หยุดปาก ส่วนพ่อก็ยิ้มกว้างเมื่อได้เห็นหน้าลูกชายอีกคนที่ไม่เจอกันนาน โชคเองก็มีพี่ปรางเข้ามาพูดคุยเล่นด้วย บรรยากาศอบอุ่นเป็นมิตร ทุกคนเข้าไปรวมกันอยู่ในห้องนั่งเล่นใหญ่โต ที่กลางห้องมีเปลเด็กเล็กอันใหม่ตั้งอยู่ โดยที่เหนือเปลนั้นมีโมบายก้อนเมฆสีขาวกับดวงดาวสีทองค่อยๆ หมุนตามกลไกภายใน



          “ออกมาสามพันแปด ตอนแรกก็กลัวกันว่าจะไม่แข็งแรงเพราะแม่เริ่มอายุมากแล้ว แต่กลับออกมาตัวใหญ่ขนาดนี้” คำบอกกล่าวออกมาจากปากคนเป็นย่า แก้วยิ้มขณะที่มองทารกน้อยในเปลอยู่ห่างๆ เด็กชายผู้เกิดในหน้าร้อน มีหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักถอดแบบผู้เป็นแม่มา คงมีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ถอดทรงมาจากพ่อ



          โชคยืนเกาะขอบเปล จ้องมองสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เพิ่งกำเนิดขึ้นมาไม่กี่วันก่อน ร่างกายเล็กจิ๋วขยับยุกยิกเล็กน้อยใต้ผ้าห่อตัว เด็กชายตาลุกวาว หันมาสบตากับแก้วอย่างสนอกสนใจ ก่อนจะหันกลับไปมองเจ้าตัวน้อยต่อ ธีร์นั่งอยู่บนโซฟาใกล้กับเด็กชาย มือใหญ่วางลงบนศีรษะที่ขนาดใกล้พอดีกับมือเขาแล้วขยี้เบาๆ



          “น้องมองเห็นผมไหม” โชคหันมาถาม



          “เห็นสิ แต่ต้องเข้าไปใกล้หน่อย” ธีร์ตอบ



          “ลองอุ้มดูไหมจ๊ะ” คราวนี้เป็นคนแม่ที่นั่งอยู่ไม่ห่างเปลถามยิ้มๆ เด็กชายส่ายหน้าหวือ เขาไม่กล้าแตะของที่ดูบอบบางพังง่ายแบบนั้นหรอก เนตรเลยหันมาถามอีกคนต่อ “แก้วลองดูไหม”



          “ไม่ดีกว่า ไว้ให้โตกว่านี้ก่อนแล้วกัน” ชายหนุ่มเองก็ปฏิเสธ แต่ก็ขยับเข้าไปมองเด็กเล็กในเปลใกล้ขึ้น นิ้วเรียวเขี่ยอุ้มมือเล็กใต้ถุงมือผ้าเบาๆ เจ้าตัวเล็กตอบสนองด้วยการกำปลายนิ้วเขาเอาไว้ แก้วระบายยิ้มอ่อนโยน ขณะที่หันมาพูดคุยกับเด็กชายข้างๆ ที่ตื่นเต้นสนใจไปหมดทุกอย่าง มือเล็กยื่นไปให้มือที่เล็กกว่าจับบ้าง พอสมใจแล้วก็ชอบใจใหญ่ ระบายยิ้มแฉ่งสดใสออกมาเต็มหน้า



          ธีร์ยิ้มบางให้กับภาพตรงหน้า ก่อนจะเบนสายตาไปสบกับภรรยาแล้วระบายยิ้มให้กว้างขึ้น



          “น้องหน้าเหมือนน้าแก้วเลยเนอะ” อยู่ๆ เสียงใสก็เรียกความสนใจจากทั้งห้อง ปรางโตขึ้นมากแล้ว เป็นสาวน้อยอายุย่างสิบสาม แต่ยังคงมีแววตาซุกซนของเด็กอยู่ เธอยืนเท้าแขนกับขอบเปลอีกฝั่งพลางก้มเงยมองใบหน้าของเด็กเล็กกับชายหนุ่มสลับกัน



          “ก็คล้ายๆ อยู่นะ” คราวนี้เป็นเสียงสนับสนุนจากคุณย่า และคุณปู่เองก็พยักหน้าเห็นด้วยแล้วพูดเสริมอีกอย่าง



          “พ่อว่าหนูเนตรเองก็หน้าคล้ายแก้วอยู่เหมือนกัน”



          “อืม จะว่าไปรูปตานี่ทรงเดียวกันเลยนะ ปากก็คล้ายๆ ถ้าแก้วเป็นผู้หญิงก็คงเหมือนเนตรนี่แหละ” แก้วยิ้มแห้งรับสิ่งที่แม่เพื่อนสนิทพูดถึงตน เหลือบไปสบตากับคนที่ถูกพาดพิงอีกคนแล้วก็ได้แต่หัวเราะให้กันเบาๆ จนกระทั่งประโยคสุดท้ายที่ทำให้รอยยิ้มแห้งของเขาฝืดฝืนยิ่งกว่าเดิม



          “ถ้าแก้วเป็นผู้หญิงก็คงได้แต่งกับธีร์มันไปตั้งนานแล้วล่ะเนอะ”



          อยู่ๆ ทั้งห้องก็เงียบลง แววตาหลายคู่ฉายแววแตกต่างกันออกไป แก้วหันไปสบตาคมโดยที่ไม่รู้ตัว แววตาที่มองกลับมานั้นอ่านไม่ออก เช่นเดียวกับของเขาเอง แต่เขาก็รู้ว่าในดวงตาของตน มันคงมีความขมขื่นและร้าวรานผสมอยู่ด้วย



          อุแว้!!!



          แก้วไม่เคยชอบเสียงร้องไห้โยเยของเด็ก แต่กลับรู้สึกว่าครั้งนี้ไม่น่ารำคาญอย่างที่คิด คุณแม่มือใหม่รีบเข้าไปดูลูกน้อยในเปลพร้อมกับผู้เป็นพ่อ



          “คงหิวแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวเนตรขอให้นมลูกแปบนึงนะคะ” หญิงสาวหันมาบอก และไม่ต้องให้อธิบายเพิ่มแก้วก็สะกิดให้โชคเดินออกไปจากบริเวณนั้นด้วยกัน ว่าจะพาเด็กชายไปเดินเล่นรอบๆ บ้าน แต่กลับถูกแย่งตัวไปโดยเด็กสาวที่เกาะไหล่เล็กแล้วดันให้เดินไปด้วยกันแทน



          “เดี๋ยวหนูพาน้องไปเล่นข้างหลังนะคะ” แก้วได้แต่พยักหน้ารับเมื่อเจอกับดวงตาวาววับออดอ้อน คิดว่าดีแล้วเหมือนกันที่ให้ทั้งสองคนได้มีเวลาเล่นด้วยกันบ้าง ให้เหมือนกับเมื่อก่อน เพราะเผลออีกแค่แปบเดียว เด็กทั้งคู่ต่างก็จะเติบโตเกินไปจนห่างเหินกันในที่สุด







          โชคเดินตามพี่สาวที่ยังคงสูงกว่าเขาไปที่สวนหลังบ้าน บ้านอาธีร์หลังใหญ่มาก มากกว่าบ้านน้าแก้วตั้งสามเท่าหรือมากกว่านั้น ที่ด้านหลังจึงมีบ่อน้ำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ซึ่งในนั้นมีปลาคาร์ฟหลากสีว่ายวนอยู่ ในขณะที่เขาฟังเรื่องเล่ามากมายของเด็กสาวที่กำลังจะขึ้นชั้นมัธยมในโรงเรียนแห่งใหม่ กลิ่นควันฝาดเฝื่อนเบาบางก็ลอยมาตามลม



          แก้วนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของไม้ระแนงอีกฝั่ง แสงแดงวูบวาบที่ปลายมวนวิ่งเข้าหาโคนเมื่อสูดลมเข้าปอด ลมหายใจสีขาวพ่นผ่านออกมาทางจมูก แดดส่องผ่านซี่ไม้ลงมาบนใบหน้าที่แหงนขึ้นมองฟ้า แต่เพราะแสงจ้าเกินไปดวงตาสีเข้มจึงต้องหรี่ลงจนในที่สุดเปลือกตาก็ปิดสนิท ไฟยังคงลามเลียกระดาษ ขี้เถ้าจากการเผาไหม้หล่นลงบนพื้นปูน แตกกระจายเป็นวงคล้ายดอกไม้ไฟสีเทา



          โชคยังคงได้ยินเสียงของปราง แต่สมองกลับไม่รับรู้เรื่องราวเลยสักนิด เอาแต่จดจ่ออยู่กับร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในฉากตรงหน้า มือใหญ่ฉวยเอาบุหรี่ออกไปขยี้ลงบนทรายในถาดดินเผาแถวๆ นั้นได้ทันก่อนที่ความร้อนจะลามถึงเรียวนิ้วของเจ้าของ แก้วลืมตา มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง



          เด็กชายไม่รู้ว่าสองคนนั้นคุยอะไรกันถึงได้หลุดขำออกมา ธีร์ทิ้งตัวนั่งข้างเพื่อนสนิท เงยขึ้นมองลอดซี่กรงของไม้ระแนงขึ้นไปสู่ท้องฟ้าจ้าและแดดจัดจนตาหยีเหมือนกับที่คนข้างๆ ทำก่อนหน้านี้ สองไหล่เอนพิงกันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ดวงตาสองคู่ปิดลงอย่างสงบ ราวกับกำลังหลบหนีไปอยู่ในที่แสนไกลกันเพียงลำพัง



          โชคชอบช่วงเวลานี้ เขาชอบเวลาที่ทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกัน เพราะมันทำให้น้าแก้วของเขามีความสุข แม้มันจะคงอยู่เพียงชั่วคราวก็ตาม



          แม่ของธีร์เดินออกมาตามลูกชายให้เข้าไปช่วยลูกสะใภ้ดูแลลูก แก้วไม่ได้เข้าไปด้วยเพราะตัวเขาติดกลิ่นบุหรี่ ไม่เหมาะจะเข้าใกล้เด็กเล็ก เลยได้แต่นั่งรับลมอยู่ตรงนั้น โชคเพิ่งรู้ว่าตัวเองจ้องชายหนุ่มนานเกินไปแล้วเมื่อพี่สาวข้างๆ นั่งยองลงมาให้ระดับสายตาตรงกับเขา ก่อนชะโงกหน้ามาบดบังจุดหมายของสายตาให้เห็นเพียงดวงหน้าน่ารักที่กำลังยับยู่อย่างไม่พอใจ



          “น้องโชคได้ฟังพี่ปรางพูดรึเปล่าคะ” เด็กชายสะดุ้งน้อยๆ หลบตาพี่สาวอย่างคนทำผิดที่โดนจับได้



          “ขอโทษครับ” เสียงพูดอุบอิบกับสีหน้าน่าสงสาร ปรางจงใจถอนหายใจหนักเพื่อให้คนที่ไม่สนใจเธอได้ยิน แม้ในดวงตาสีน้ำตาลใสกระจ่างจะไร้แววหม่นมัวเพราะไม่ได้รู้สึกไม่พอใจจริงจังอะไรอยู่แล้ว เธอก็แค่ชอบแกล้งน้องโชคเท่านั้นเอง



          ปรางดึงตัวกลับไปนั่งยองกอดเข่ามองภาพเดียวกับที่เด็กชายจับจ้องมาตลอด ก่อนที่ใบหน้าสวยหวานจะทิ้งแก้มแนบลงบนแขนขณะที่รอให้เด็กชายหันกลับมาสบตา และเมื่อโชคหันมา เด็กสาวถามก็เอ่ยถามด้วยเสียงราบเรียบ



          “ชอบมากเลยเหรอ”



          “ชอบอะไรเหรอ” โชคกระพริบตาปริบ ไม่ค่อยเข้าใจคำถามไม่มีที่มาที่ไปนั้นสักเท่าไหร่



          “น้าแก้ว โชคชอบน้าแก้วมากเลยเหรอ”



          “อื้ม ชอบมากเลย” เสียงที่ตอบกลับนั้นไม่ดังนักแต่ก็ได้ยินชัดเจนเพราะระยะห่างของทั้งสอง ปรางกับโชคหันกลับไปมองชายหนุ่มที่หลับตาพริ้มอยู่ใต้ร่มระแนงไม้ผู้เป็นหัวข้อสนทนาของพวกเขา



          “ทำไมล่ะ”



          “น้าแก้วใจดี”



          “แค่นั้นเหรอ”



          “ใจดีที่สุดเลย”



          “น้าธีร์ก็ใจดีนะ”



          “อื้อ แต่อาธีร์ชอบหายไป”



          “หายไปเหรอ”



          “ชอบหายไป แล้วก็ทำให้น้าแก้วเหงา”



          “เหรอ” เด็กสาวรับคำ แม้เธอจะไม่เข้าใจที่น้องชายต่างสายเลือดคนนี้พูด แต่ก็พอรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ในสายตาคนนั้นดูอ้างว้างจริงๆ เมื่อไร้เงาน้าชายของเธอ “นั่นสินะ นิสัยไม่ดีเลยเนอะ”



          สิ้นเสียงหวานก็กลายเป็นเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กทั้งสอง เด็กสาวเอนตัวทิ้งน้ำหนักลงพิงร่างเล็กข้างๆ และเด็กชายเองก็เอนหัวมาซบไหล่บางของเธอคืน พลางพูดคุยไร้สาระกันไปเรื่อยใต้ท้องฟ้าใสกระจ่าง โชคกับปราง น้องชายกับพี่สาว ได้ย้อนเวลายามบ่ายกลับไปเป็นเด็กตัวน้อยด้วยกันอีกครั้ง







          พอเข้าช่วงเย็นทุกคนก็กลับเข้าไปในบ้าน แขกผู้มาเยือนจะอยู่กินมื้อค่ำด้วยเพราะเจ้าของบ้านสูงวัยทั้งสองเอ่ยปากชวนแกมบังคับ ปรางกับโชคเปิดซีดีการ์ตูนค่ายดังเกี่ยวกับครอบครัวฮีโร่ดูบนจอโทรทัศน์ยักษ์ในห้องนั่งเล่น แก้วเองก็นั่งอยู่มุมหนึ่งของโซฟาหนังสีขาวสะอาด ดวงตาจ้องภาพเคลื่อนไหวในทีวีแต่ไม่ได้สนใจรายละเอียดมากนัก เช่นเดียวกับเพื่อนสนิทของเขาที่นั่งอยู่อีกฟาก จนกระทั่งคุณแม่ป้ายแดงลงบันไดมาพร้อมลูกน้อยในอ้อมแขน



          “อ๊ะ คุณแม่ เดี๋ยวหนูช่วยทำกับข้าวนะคะ” เนตรรีบเอ่ยปากอาสาช่วยทันทีที่เห็นแม่ย่าเดินออกมาจากครัวทั้งผ้ากันเปื้อน “ธีร์ มาเอาลูกเรอหน่อย ให้นมไปสักพักแล้วแหละ”



          คนถูกเรียกใช้เอี้ยวตัวข้ามพนักพิงโซฟาไปรับลูกมาอุ้มไว้ ท่อนแขนแข็งแรงที่ใช้ประคองเด็กทารกไว้เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะอุ้มขึ้นซบบ่ากว้างที่พาดผ้าอ้อมเนื้อนิ่มรองไว้ก่อนแล้ว มือใหญ่ลูบแผ่นหลังเล็กเบาๆ อย่างรักใคร่ ธีร์โยกตัวเล็กน้อยเป็นจังหวะ ไม่นานน้องเมษาก็เรอออกมาเสียงดัง



          “เก่งมาเลยครับคนดีของป๊า” คำชมที่มาพร้อมกับแววตาเอ็นดู เด็กสองคนที่นั่งอยู่ด้วยหันไปสนใจการกระทำนั้น



          “ทำไมต้องทำให้น้องเรอด้วยล่ะคะ น้าธีร์” ปรางเป็นคนถาม



          “ก็เพราะเวลาน้องกินนมจะมีลมเข้าไปในท้องด้วยน่ะสิคะ ถ้าไม่จับเรอน้องจะปวดท้องเอา” ธีร์ยิ้มพลางอธิบาย ใบหน้าเล็กของเด็กหญิงเด็กชายพยักหงึกหงักเป็นเชิงว่ารับรู้แล้วหันกลับไปสนใจการ์ตูนในจอต่อ



          มีเพียงแก้วที่ยังคงจ้องมองไปยังสองพ่อลูก ธีร์อุ้มเด็กน้อยขึ้นตรงหน้าพลางรองคอเล็กที่ยังไม่แข็งแรงนักเอาไว้อย่างทะนุถนอม เอนซบหน้าผากตัวเองกับหนังนิ่มบนหน้าผากของอีกฝ่าย หยอกล้อลูกชายด้วยรอยยิ้ม สีหน้า แววตาและน้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความสุข



          ...อบอุ่น มากเสียจนแผดเผาอยู่หลังแววตาผู้เฝ้ามองให้ร้อนฉ่าไปทั้งกระบอกตา



          “แก้ว” ไม่รู้ว่าชายหนุ่มติดอยู่กับภาพนั้นนานแค่ไหน จนไม่รู้ตัวว่าคนในภาพนั้นขยับลุกเดินมายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว



          “ว่าไง” แก้วเงยหน้าขึ้นสบกับตาคมที่หลุบมองลงมา ประกายความอ่อนโยนและเปี่ยมรักในนัยน์ตายังคงส่องประกาย



          “อุ้มไหม”



          “ไม่ดีกว่า กูเหม็นบุหรี่”



          “เหรอ” น้ำเสียงนั้นเจือด้วยความขี้เล่น คนตัวโตโน้มลงมาใกล้ ขยับจมูกสูดกลิ่นฟุดฟิดคล้ายกับจะพิสูจน์คำพูดนั้น “ไม่เห็นได้กลิ่นเลย”



          “จมูกมึงพังแล้วไง” คนถูกดมขยับตัวเบี่ยงหนีพร้อมกับดันใบหน้าหล่อเหลาให้ถอยห่าง



          “เพราะอยู่กับมึงไง” ธีร์ตอบกลัวกลั้วหัวเราะเบาๆ แต่ก็ยอมถอยออกไปนั่งบนโซฟาตัวเดียวกันโดยเว้นระยะห่างออกไปพอที่ทารกน้อยจะไม่ถูกรบกวนด้วยกลิ่นของนิโคตินบนตัวของเพื่อน “แต่กูชอบนะ”



          “กลิ่นบุหรี่น่ะเหรอ”



          “อืม กลิ่นบุหรี่บนตัวมึง”



          “...” ทั้งสองเงียบงัน ธีร์ลูบหัวเล็กของเด็กแรกเกิดในอ้อมกอดแผ่วเบา โดยที่อยู่ในสายตาของอีกคนตลอดเวลา



          “แก้ว”



          “หืม”



          “ไว้คราวหน้ามึงมาอุ้มเมษาก่อนค่อยสูบนะ” ธีร์หันมาสบตา เอ่ยขออย่างจริงจังกว่าครั้งไหนๆ



          “ทำไมถึงอยากให้กูอุ้มขนาดนั้น” แก้วถามพลางยื่นมือไปเขี่ยเท้าน้อยใต้ถุงเท้าทรงกลมคู่เล็ก



          “กูแค่อยากเห็นมึงอุ้มเด็ก.. อยากเห็นมึงอุ้มลูกกู”



          “อืม ไว้คราวหน้านะ”



          “กูจะรอ”



          “อืม”







          แก้วกับโชคกลับออกจากบ้านธีร์ตอนหัวค่ำหลังจากอาหารเย็นมื้อใหญ่ ขณะที่กำลังจะขึ้นรถ ตรงบานกระจกใสของห้องนั่งเล่นก็มีเงาของคุณพ่อที่อุ้มลูกน้อยมาโบกมือให้แทนคำกล่าวลา เปลนอนที่อยู่ใกล้ๆ นั้นมีโมบายแขวนอยู่สองอัน อันหนึ่งเป็นดวงดาวสีทองและก้อนเมฆขาว ส่วนอีกอันสีสดใสเต็มไปด้วยตุ๊กตาสัตว์ เด็กชายโบกมือตอบก่อนจะเข้าไปนั่งประจำที่ข้างคนขับ แต่ที่หลังพวกมาลัยข้างเขากลับยังคงว่างเปล่า



          “น้าแก้ว..” ส่งเสียงเรียกออกไปได้เพียงแผ่วเบาเมื่อเห็นแววตาของคนที่เปิดประตูรถค้างไว้แต่ยังไม่เข้ามาเสียที มันทอดมองสองพ่อลูกอย่างอ่อนโยนแต่ก็แฝงความรู้สึกบางอยู่ด้วย เป็นความรู้สึกซับซ้อนที่เด็กชายไม่เข้าใจ แต่ก็สัมผัสได้ว่าไม่ใช่ความเปลี่ยวเหงาหรือปวดร้าวเหมือนเวลาที่ธีร์จากไปในตอนเช้าตรู่ จนกระทั่งมีผู้หญิงอีกคนเดินเข้าไปยืนอยู่ตรงนั้น ข้างสามีและลูกชายของเธอ ดวงตาสีเข้มจึงค่อยหลุบต่ำลงแล้วหันกลับมา



          ระยะทางกลับบ้านวันนี้ดูยาวไกลและเนิ่นนานกว่าทุกที เมื่อเด็กชายเอาแต่จ้องมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของสารถี เสียงเพลงสากลจากวิทยุดังคลอไปกับไฟถนนที่สาดผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามาย้อมผิวขาวนวลด้วยสีส้มให้ดูมีชีวิตชีวาท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน และนัยน์ตาที่สะท้อนแสงวาววับคู่นั้นไม่ได้ฉายแววเจ็บปวดแล้ว แต่โชคกลับรู้สึกว่ามันเย็นเฉียบ ไฟข้างทางสีอุ่นไม่ได้ช่วยละลายน้ำแข็งในหัวใจของชายหนุ่ม น้าแก้วยังคงถูกทิ้งไว้เดียวดายในความเหน็บหนาวเมื่อปราศจากไออุ่นของอาธีร์



          ทำไมคนๆ หนึ่งถึงทำให้ใครอีกคนมีความสุข แต่ก็เจ็บปวดไปพร้อมกันได้มากมายขนาดนี้กันนะ



          โชคไม่เข้าใจเลย





TBC...


          ตอนที่ 13 ก็ยังคงเป็นเรื่องราวของแก้วกับธีร์ไปซะเยอะเลยนะคะ ความรู้สึกขมปนเหงาของน้าแก้วเป็นอะไรที่ทำให้ใจเจ็บมากเลย
          จริงๆ เรื่องนี้จะว่าเป็นเรื่องของน้องโชคกับแก้วก็คงไม่ถูกนัก เหมือนเป็นเรื่องของน้าแก้วกับธีร์ที่มีโชคเข้ามาต่างหาก 5555555 เป็นเรื่องราวความรักความสัมพันธ์ของคนสามคนและอาจจะมากกว่านั้น ซึ่งตอนนี้รีนก็ยังสรุปนิยามของเรื่องนี้ไม่ได้เลยค่ะ ทั้งที่เห็นภาพยาวไปถึงตอนจบชัดเจนมากๆ แล้วก็ตาม แหะๆ
          ก็คงต้องฝากให้นักอ่านทุกคนติดตามอ่านไปจนจบแล้วให้ความหมายกับนิยายเรื่องนี้เองแล้วล่ะค่ะ
  :L2:
         
          [จากนี้จะเป็นการบ่นงอแงนะของรีนนะคะ]
          เมื่อวานนี้ในตอนที่เขียนน้องโชควัยสิบเจ็ดอยู่ รีนก็รู้สึกท้อขึ้นมา รู้สึกว่าเขียนไม่สนุกเลย แล้วก็นอยด์กับตัวเองเลยกลับมาย้อนอ่านคอมเม้นตั้งแต่เม้นแรกจนถึงเม้นสุดท้ายในทุกๆ แพตฟอร์มที่รีนลงเลยค่ะ แล้วก็ได้พลังกลับมา รีนเลยอยากบอกอีกครั้งค่ะ ว่าขอบคุณมากๆ จริงๆ ในทุกๆ คอมเม้นเลย แม้จะเป็นคอมเม้นสั้นๆ ก็มีความหมายมากๆ นะคะ
          ส่วนอีกเรื่องคือรีนคงโกหกถ้าบอกว่าไม่ได้คาดหวังการตอบกลับเลย แต่การที่คุณเข้ามาอ่านงานของรีน เห็นยอดวิวที่เพิ่มขึ้นแม้จะทีละหลักหน่วยก็ตาม มันทำให้รีนมีกำลังใจในการเขียนต่อค่ะ

          เช่นนั้นแล้วก็ขอขอบคุณในทุกๆ การอ่าน และคอมเม้นจากใจจริงอีกครั้ง
          ขอบคุณค่ะ  :pig4:

          See You on Thursday เจอกันวันพฤหัสหน้าค่ะ



ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ก็เพราะโชคยังเด็ก ประสบการณ์ชีวิตและความนึกคิดยังไม่เยอะ รอโตโชคจะเข้าใจมันทุกอย่างเพียงแค่มองตาเท่านั้น โว้ยยยยแม่เอ๊ยยยมันหน่วง มันอึมครึมคล้ายสีควันบุหรี่จริง แววตาของแก้วที่ไม่สะท้อนความเจ็บปวดออกมาเมื่อเห็นแล้วว่ามีพ่อแม่ลูกอยู่ตรงนั้น มันสะท้อนอะไรบางอย่าง ทำให้เริ่มจะคิดได้ว่าควรจะตัดใจจริงๆหลังจากนี้ไหม มาบ้านธีร์ครั้งนี้ในใจเหมือนมาตัดขาดความสัมพันธ์ที่มันชอบทำให้ตัวเองเจ็บปวดออกเลย เพราะสายตาก่อนไปคือเย็นชาว่างเปล่า มันคืออะไร๊? อย่าว่าแต่โชคที่ไม่เข้าใจ พี่เองก็เหมือนกันนะโชค มะเข้าใจเลอ 5555 มันคือการปล่อยอย่างแท้จริง??? อยากให้ปล่อยนะ เห็นน้าแก้วเศร้าเจ็บปวดแบบนี้ โชคจะนอนไม่หลับเพราะเป็นห่วง 555 ยินดีกับธีร์ที่ได้ลูกชายสมดังใจที่อยากมีลูก หน้าตาเหมือนแก้วนี่ทำให้คิดนะ คิดลึก คิดไม่ไกลเลยละ ละยังคะคั้นคะยอให้อุ้มอีกนี่บับ เฮ้ยๆพอๆ คิดไปได้มันคงไม่.. 55555555 ชอบนะความอึมครึมของสองคนนี้แต่อยากให้แก้วเย็นชาต่อธีร์อีกระดับเบาๆ 5555 หรือว่านี่มันคือการเอาคืนในรูปแบบของธีร์วะ สรุปทั้งสองใจร้ายต่อกันพอกันเลย 5555 สนุกกมากว้อยยยย ชอบอะชอบ เห็นอัพนะแต่ไม่ยอมอ่านเลย กลัวจบเร็วแล้วมันค้างรอนาน ขนาดนั้นเลย 555555 เนื้อเรื่องยังไม่ถึงไหนนี่ว่าจะกลับไปอ่านซ้ำอีกแล้ว คือชอบไง ถ้าชอบก็จะอ่านวนอยู่นั่นแหละ 55555 ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนหน้าเลยจ้าจะเกิดไรขึ้นบ้าง เป็นกำลังใจและรออ่านเสมอค่า  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 14


 

       สุดท้ายเวลาก็ผ่านไปอีกปี เด็กทารกเติบโตขึ้นจนเริ่มเดินได้แล้ว แต่แก้วก็ยังไม่เคยได้อุ้มหลานชายคนนั้นเลย เหตุผลก็เพราะหลังจากที่ไปเยี่ยมเยียนในวันนั้น งานที่บริษัทเขาก็ยุ่งขึ้นมาก เพราะบ้านจัดสรรโครงการใหม่ของลูกค้าประจำเจ้าเก่ามีเข้ามาอีกแล้ว แถมรอบนี้มุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มครอบครัวคนมีฐานะเสียด้วย สเกลงานใหญ่ขึ้น อลังการขึ้น ชายหนุ่มจึงต้องเข้าออฟฟิศแต่เช้า แล้วหอบงานกลับมาทำที่บ้านจนดึกดื่นอยู่เสมอ ส่วนทางด้านพ่อเด็กอย่างธีร์เองพอภรรยาหมดช่วงลาคลอด เขาก็ต้องรับหน้าที่ดูแลลูกแบบฟูลไทม์ตามประสาเจ้าของธุรกิจส่วนตัวที่มีเวลาอยู่บ้าน แต่ถึงจะดูเหมือนว่าง แต่เจ้าตัวก็ยุ่งกับการตรวจบัญชีของร้านอาหารของตัวเองจนหัวหมุนอยู่เหมือนกัน เพื่อนสนิทที่เคยไปมาหาสู่จึงทำได้เพียงยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหากันไม่ให้ขาดการติดต่อบ้างนานๆ ครั้งเท่านั้น

 

       “เมษาเดินเองได้แล้วนะ”

 

       “เหรอ อีกหน่อยมึงก็ไล่จับไม่ทันแล้วสิ”

 

       “กูยังไม่แก่ขนาดนั้นสักหน่อย”

 

       “สามสิบสี่กันแล้วนะ แก่แล้วเถอะ”

 

       “แต่ยังวิ่งไหวอยู่ เตะปี๊บดังด้วย” แก้วหัวเราะให้กับปลายสายเบาๆ เขาพ่นควันสีหม่นให้ลอยออกไปนอกหน้าต่าง มองทิวทัศน์ดอกแก้วร่วงโรยกลางลานอิฐด้านนอกห้องทำงาน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อคนเราโตเป็นผู้ใหญ่ ภาพที่เคยเกิดขึ้นบนม้าหินตัวนั้นชัดเจนเหมือนกับเมื่อวาน แต่ก็ไกลห่างจนซีดจางไปหมดแล้ว

 

       “กูทำงานต่อแล้ว แค่นี้นะ”

 

       “อืม อย่าโหมโต้รุ่งอีกล่ะ ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว”

 

       “เมื่อกี้ใครมันบอกว่ายังไม่แก่” มีเพียงเสียงหัวเราะตอบกลับมา และสัญญาณโทรศัพท์ที่รอคอยให้เขาเป็นคนกดตัดเช่นเคย แก้วพับฝามือถือเป็นการจบบทสนทนา แต่กลับไม่ได้รีบกลับไปทำงานอย่างที่บอกอีกฝ่ายไป ร่างสูงสูบควันเข้าอีกรอบ ปล่อยมันลอยคว้างกลางอากาศเป็นม่านบาง ยืนพิงตัวเข้ากับมุ้งลวดหน้าต่าง ปล่อยให้แสงจันทร์ที่สาดลงมาผสมกับไฟนีออนข้างทางไล้ผ่านใบหน้าจนเกิดเป็นเงาตกกระทบสีดำสนิท

 

       โชคยืนอยู่ตรงนั้น หน้าบานประตูที่กั้นกลางแต่ไม่ได้ปิดสนิท รับฟังบทสนทนาและเฝ้ามองเจ้าของบ้านหนุ่มในความเงียบอยู่มุมนั้น ปล่อยให้น้าแก้วตกตะกอนความคิดเรียบร้อยจนขยับตัวกลับมานั่งบนเก้าอี้เตรียมทำงานต่อค่อยเคาะประตู แล้วเข้าไปด้านในพร้อมอาหารเย็นของอีกฝ่าย

 

       “วันนี้มีแกงส้มกับไข่เจียวชะอมนะครับ” แก้วมองของกินในถาด ซึ่งมีข้าวหนึ่งจาน แกงส้มในถ้วย กับไข่เจียวอีกจาน แกงส้มเป็นของที่เขาซื้อติดมือกลับมา ส่วนไข่เจียวชะอมหน้าตาน่ากินเป็นฝีมือของเด็กชาย

 

       “ขอบใจนะ แล้วเธอทำการบ้านเสร็จรึยัง”

 

       “เสร็จแล้วครับ” โชคตอบคำถามพร้อมรอยยิ้มกว้าง และก่อนจะออกจากห้องไปก็หันมาขออนุญาตชายหนุ่มอีกอย่าง “ผมอยู่ดูหนังก่อนได้ไหม”

 

       “หนังเรื่องไรล่ะ” แก้วถามขณะที่ตักข้าวเข้าปากไปด้วย

 

       “เรียกเขาว่าอีกา”

 

       “มีแผ่นเหรอ” เด็กชายส่ายหน้าก่อนจะตอบ

 

       “โปรแกรมหนังรอบดึกเอามาฉายในทีวี ที่น้าแก้วชอบดูเมื่อก่อนอะ”

 

       “อ่อ” แก้วตักข้าวแก้งส้มขึ้นซด เหลือบตามองนาฬิกาบนชั้นเก็บเอกสารติดผนังห้อง แล้วพยักหน้าเบาๆ “เอาสิ พรุ่งนี้วันหยุดอยู่แล้วด้วย เธอไม่ต้องออกไปไหนใช่ไหม”

 

       “ตอนบ่ายมิกซ์ชวนไปว่ายน้ำครับ แต่ไม่รู้ว่าแม่มิกซ์จะพาไปบ้านป้ารึเปล่า”

 

       “ถ้าตอนบ่ายก็ไม่เป็นไรหรอก เปิดไฟตอนดูทีวีด้วยล่ะ”

 

       “ครับน้าแก้ว”

 

       โชคออกไปแล้ว ไม่นานก็มีเสียงจากโทรทัศน์ดังมาให้ได้ยินแว่วๆ แก้วเลื่อนถาดใส่กับข้าวที่กินเสร็จออกไปไว้มุมโต๊ะด้านหนึ่งเพื่อให้มีพื้นที่ทำงานต่อ ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อในห้องมืดๆ ที่มีเพียงแสงสว่างจ้าจากโคมไฟส่องแผ่นกระดาษเอสามตรงหน้าเท่านั้น กว่าจะเงยหน้าขึ้นมาอีกที เข็มนาฬิกาก็บอกเวลาล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว ชายหนุ่มวัยสามสิบกว่าขยับบิดตัวคลายกล้ามเนื้อจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นกรอบ เขาคงจะเริ่มแก่แล้วจริงๆ

 

       แก้ววางดินสอพร้อมปิดโคมไฟเป็นอันว่างานวันนี้พอแค่นี้ก่อน มือเรียวคว้าเอาถาดใส่มื้อเย็นของเขาเตรียมเอาไปเก็บในครัว พลันหางตาเหลือบไปเห็นกรอบรูปที่ล้มคว่ำอยู่ในกองเอกสารใกล้ๆ กับคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าที่เปิดไม่ติดแล้ว แต่ก็ไม่มีเวลาขนออกไปทิ้งเสียที

 

       กรอบรูปไม้อัดตกแต่งด้วยเปลือกหอยล้อมรอบรูปถ่ายในคืนคริสต์มาสของคนสามคน แก้วหยิบมันตั้งขึ้นในมุมเดิมของมัน มุมที่เขาสามารถมองเห็นได้ชัดเจนเสมอจากเก้าอี้ทำงาน

 

 

 

       “หนังยังไม่จบเหรอ” แก้วถามเด็กชายที่นอนเหยียดเต็มพื้นที่โซฟาโดยมีมะลิ แมวเพศเมียโตเต็มวัยนอนให้ลูบเล่นอยู่บนหน้าท้อง แต่เข้ากลับไม่ได้รอฟัง เดินเอาถาดมื้อค่ำไปเก็บในครัวก่อนแล้วจึงค่อยกลับมาเอาคำตอบทีหลัง

 

       “ใกล้แล้วน้าแก้ว หลังโฆษณารอบนี้ก็ตอนสุดท้ายแล้ว” โชคขยับตัวลุกขึ้นนั่งเพื่อให้มีที่ว่างสำหรับคนที่เดินเข้ามาหา แก้วทิ้งตัวลงข้างเด็กชาย ยื่นมือไปเกาคางแมวสาวจนมันแหงนคอสูงคล้ายชอบใจ

 

       สองคนในห้องนั่งเล่นจับจ้องไปที่จอโทรทัศน์เมื่อหนังกลับมาฉายหลังจากพักโฆษณา ฉากการโรมรันต่อสู้ท่ามกลางสายฝนของเหล่าเด็กหนุ่มนั้นตรึงสายตาพวกเขาไว้ ถึงทั้งคู่จะไม่ใช่พวกนิยมความรุนแรง แต่ฉากการวิวาทของลูกผู้ชายแห่งโรงเรียนอีกานั้นก็ยังคงทำให้รู้สึกได้ถึงความสุดยอดบางอย่างในการเป็นวัยรุ่นเลือดร้อนที่พร้อมเข้าปะทะทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

 

       เมื่อหนังจบแล้วก็ถึงเวลาขึ้นนอน แต่กลับไม่มีใครขยับไปจากตรงนั้น รายการทีวีตัดเข้าสู่ข่าวสั้นรอบดึก มีเพียงแมวสาวที่กระโจนหนีจากตักเด็กชายแล้วเดินนวยนาดไปยังเบาะนอนของตัวเองที่ใต้บันได

 

       “โชค”

 

       “ครับ” ดวงตาคู่สวยเหมือนมารดาที่คมขึ้นตามกาลเวลาหันมาสบ มืออุ่นวางลงบนหัวเกรียนทรงนักเรียนเบาๆ

 

       “ขอโทษนะที่ตอนปิดเทอมไม่ได้พาไปทะเล” เด็กชายยิ้มออกมาแทบจะทันที ขยับตัวเข้าไปทิ้งหัวลงบนตักคนพูดแล้วส่ายหัวคล้ายจะบอกว่าไม่เป็นไร

 

       โชคชอบทะเล ทุกหน้าร้อนตลอดห้าปีมานี้แก้วจะพาเขาไปเที่ยวตามจังหวัดแนวชายฝั่งเสมอ แต่เพราะเมื่อปิดเทอมครั้งล่าสุดนั้นแก้วงานยุ่งมากจนไม่มีเวลาหยุด ทั้งหน้าร้อนปีที่สิบสองของเด็กชายจึงถูกใช้ไปกับสระว่ายน้ำและบ้านไม้สองชั้นหลังนี้เพียงสองที่ แต่โชคก็ไม่เสียใจเลย สำหรับเขาแล้วไม่ว่าจะไปที่ไหน ขอแค่ได้อยู่ใกล้ๆ น้าแก้วเขาก็มีความสุข ต่อให้เป็นเรื่องเล็กๆ อย่างการทำอาหารง่ายๆ ให้ชายหนุ่มก็กลายเป็นเรื่องสนุกขึ้นมา

 

       ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เด็กชายเริ่มมีความคิดแบบนี้ ความคิดที่อยากจะช่วยแบ่งเบาภาระที่ตัวเองพอทำได้จากอีกฝ่าย อยากทำอะไรหลายๆ อย่างให้เพื่อไม่ให้อีกคนต้องเหนื่อยเกินไป อาจจะเพราะช่วงหลังมานี้สถาปนิกหนุ่มงานยุ่งมากแทบจะตลอดเวลา เขาก็เลยรู้สึกอยากดูแลขึ้นมา

 

       อยากดูแลน้าแก้วบ้าง เหมือนกับที่น้าแก้วช่วยดูแลเขามาตลอด

 

       “ไว้ปิดเทอมหน้าไปเที่ยวไกลๆ กันไหม” เป็นคำถามที่คล้ายกับเป็นการบอกเล่าเสียมากกว่า เจ้าของประโยคนั้นได้ตัดสินใจไปแล้ว

 

       “ไปไหนเหรอ”

 

       “ญี่ปุ่นไหม”

 

       “ญี่ปุ่นเหรอ” ดวงตาใสวาววับเมื่อคิดถึงฉากในหนังที่เพิ่งดูจบไป “ผมอยากไปนะ”

 

       “อืม ไว้ไปกัน”

 

       “ครับ”

 

       เวลายังคงไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า เสียงจากทีวียังคงขับกล่อมให้บ้านไม่เงียบเหงา แต่ก็ไม่มีใครสนใจจะฟังเนื้อหาของมัน โชคนอนหนุนตักแก้ว ยึดเอามือเรียวอบอุ่นข้างหนึ่งไว้ในมือตัวเอง ลูบไล้สำรวจมันอย่างที่เจ้าตัวชอบทำมาตั้งแต่เด็ก โดยที่เจ้าของมือนั้นก็ไม่ได้ทักท้องอะไร เพียงทอดสายตามองมือที่เล็กกว่าขยับไปตามเรียวนิ้วตนทีละข้อ กระทั่งมีเสียงหยดน้ำโปรยลงมาจากฟ้า กระทบหลังคาดังระงมก็ยังไม่ผละจากกันไปไหน ปล่อยให้ความอบอุ่นลอยอวลไล่ความเย็นชื้นเหมือนย้อนกลับไปยังบ่ายวันหนึ่งในความทรงจำเก่าเก็บ

 

       สัญญาในเดือนกรกฎา ฝนตกลงมาอีกแล้ว




 

       ต้นเทอมสองของปีการศึกษาระดับประถมปีสุดท้ายของเด็กชาย แดดยังคงร้อนแรงแม้จะเข้าหน้าหนาวแล้วก็ตาม

 

       “บาย” โชคโบกมือให้มิกซ์หลังจากยกมือไหว้ป้าดา แม่ของเพื่อนสนิทที่ขับรถเอสยูวีคันใหม่มาส่งที่หน้าบ้าน พอหันกลับมาเปิดรั้วก็เจอน้าแก้วยืนพิงกรอบประตูไม้บานพับบนเฉลียงทางเข้าบ้านรออยู่แล้ว “น้าแก้วกลับเร็วจังวันนี้”

 

       “ปิดโปรเจ็คแล้วน่ะ เลยลาพักยาวถึงอาทิตย์หน้าเลย” แก้วอธิบาย ดวงตาสีเข้มระบายยิ้มออกมาแม้ริมฝีปากจะเรียบเฉย “วันเสาร์นี้ไปเที่ยวกันไหม”

 

       “ไปครับ!” น้าเสียงร่าเริงตอบกลับไปทันที แต่ไม่นานก็สลดลงเมื่อคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “วันเสาร์สัญญากับมิกซ์ไว้ว่าจะไปเล่นเกมที่บ้านมิกซ์”

 

       “งั้นก็ชวนมิกซ์ไปเที่ยวด้วยกันสิ”

 

       “ได้เหรอครับ”

 

       “ได้สิ” ดวงตาเป็นประกายสดใสอีกครั้งเมื่อได้ยินดังนั้น โชคยิ้มกว้างก่อนจะเดินฮัมเพลงเข้าบ้านไปอย่างอารมณ์ดี

 

 

 

       วันเสาร์ทั้งสามคนจึงมานั่งอยู่บนรถเก๋งสีดำที่อายุการใช้งานใกล้ครบกำหนดที่จะต้องเปลี่ยน แต่ยังคงสภาพดีอยู่ มุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่เพิ่งตัดสินใจกันได้เมื่อครู่ที่หน้าบ้านของมิกซ์ ซึ่งป้าดาเป็นคนช่วยออกความคิดให้

 

       “ที่นั่นมีนั่งรถดูสิงโตด้วย เห็นโคตรใกล้เลย” เด็กชายผิวขาว หน้าตาจิ้มลิ้มแต่นิสัยเอาเรื่องเริ่มเล่าถึงสถานที่ที่กำลังไปกันจากความทรงจำของตัวเอง

 

       “แล้วมันไม่กัดเหรอ” เด็กชายอีกคนถาม

 

       “เราอยู่ในกรง มันเข้ามาไม่ได้”

 

       “เราอยู่ในกรงเหรอ”

 

       “อื้อ”

 

       “เหมือนสลับกันเลยเนอะ” มุมปากของสารถียกขึ้นน้อยๆ ขณะเหลือบมองเด็กสองคนบนเบาะหลัง โชคพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ส่วนมิกซ์ขมวดคิ้งงุนงงยังไม่เข้าใจความหมาย

 

       “ยังไงอะ”

 

       “ก็เหมือนเราถูกจับใส่กรงให้พวกสัตว์ดูเราแทนไง” คิ้วเรียวเล็กยังคงขมวดเป็นปมในตอนแรก แต่ไม่นานก็คลายออก มิกซ์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนหัวข้อสนทนาจะถูกเปลี่ยนไปตามแต่คนช่างพูดจะสรรหา บางครั้งโชคก็เป็นฝ่ายหยิบยกประเด็กขึ้นมา ซึ่งแก้วรู้สึกได้เลยว่าเด็กชายของเขาช่างพูดขึ้นมากจริงๆ

 

 

 

       สวนสัตว์เปิดขนาดใหญ่เปิดให้ผู้เข้าชมได้ใกล้ชิดกับสัตว์สมชื่อ เด็กชายทั้งสองพากันเดินวุ่นวายไปหมด แวะชมทุกจุด ให้อาหารสัตว์ทุกชนิดที่ให้ได้ เผลอแปบเดียวก็ผ่านไปเกือบสามชั่วโมงแล้ว แต่ดูเหมือนเด็กๆ จะยังมีแรงเหลือจากข้าวเช้าที่กินเมื่อตอนสายๆ อยู่ ผิดกับคนที่เป็นผู้ใหญ่ แก้วทิ้งตัวนั่งบนม้านั่งระหว่างทาง ยกขวดน้ำเปล่าขึ้นกระดกทีเดียวครึ่งขวด ทั้งที่เข้าหน้าหนาวแล้วแท้ๆ แต่อากาศตอนกลางวันยังคงร้อนแผดเผาดึงเอาความชื้นในร่างกายให้ระเหยออกมาเป็นหยาดเหงื่อ

 

       “น้าแก้ว” สรรพนามเรียกเขานั้นคุ้นหู แต่มาจากเสียงที่แตกต่างจากที่คุ้นเคย

 

       “ว่าไง มิกซ์” เด็กชายที่ย้อนกลับมาทิ้งตัวลงนั่งข้างเขา โน้มตัวฟุบลงไปกับตัก แต่ดวงตากลมยังคงจ้องมองเขา คล้ายกำลังพยายามมองชายหนุ่มจากหลายๆ มุม แก้วเริ่มรู้สึกอึดอัด เขาไม่ใช่คนที่เข้ากับเด็กได้ดี ถึงแม้จะเลี้ยงเด็กชายคนหนึ่งมาเกือบเจ็ดปี แต่นอกจากกับโชคแล้ว เขาก็ยังคงเป็นแก้วคนเดิมคนนั้นอยู่

 

       “โชคไปไหนแล้วล่ะ” ชายหนุ่มถามเพื่อคลายบรรยากาศแปลกๆ นี้ลง ซึ่งได้ผล เด็กชายที่เขาคุ้นหน้า แต่ไม่ถึงกับคุ้นเคยเด้งตัวกลับขึ้นไปนั่งเอนหลังทิ้งน้ำหนักลงบนท่อนแขนเรียวเล็กที่ค้ำไปด้านหลัง สองขาแกว่งเล่นไปมาขณะเอ่ยตอบอย่างเป็นกันเอง

 

       “ไปเข้าห้องน้ำครับ เดี๋ยวก็มา”

 

       “อืม” ชายหนุ่มตอบไปเพียงเท่านั้น ประโยคสนทนาระหว่างพวกเขาจึงจมลงสู่ความเงียบอีกครั้ง แต่ก็เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้นเมื่อเด็กช่างพูดเอ่ยเรียกชื่อเขาอีกครั้ง

 

       “น้าแก้ว”

 

       “หืม”

 

       “น้าแก้วไม่ใช่น้าจริงๆ ของโชคใช่ไหม” แก้วหันมาสบกับดวงตากลมที่มองเขาอยู่ก่อนแล้วเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ มิกซ์ไม่ได้คำตอบเลยเป็นฝ่ายพูดต่อเอง “ก็น้าแก้วไม่เห็นหน้าเหมือนโชคเลยนี่”

 

       “อืม ไม่ใช่หรอก” แก้วระบายยิ้มบางขณะกล่าว

 

       “แล้วทำไมโชคถึงมาอยู่กับน้าแก้วล่ะ”

 

       “เพราะฉันอยากดูแลเขาก็เลยชวนมาอยู่ด้วยกันน่ะสิ”

 

       “แล้วพ่อแม่โชคล่ะ” คำถามยิงมาอย่างต่อเนื่อง ดวงตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อยขณะคิดถึงคำตอบที่เขาจะบอกกับเด็กชายข้างๆ เขารู้ว่าแม่ของโชคทิ้งไปตอนเด็กชายอายุได้สี่ขวบ ส่วนพ่อก็ติดคุกหลังจากที่พวกเขารู้จักกันได้สักพัก แล้วล่าสุดที่ได้ยินมาก็เสียไปแล้วเพราะใช้ยาเกินขนาดขณะที่ไปรับจ้างทำงานแถวชายแดน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาควรบอกเพื่อนของเด็กชายในตอนนี้

 

       “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เขาไม่อยากให้แววตากลมโตสดใสและแสนร่าเริงที่มองเด็กชายของเขาเปลี่ยนไป เขาไม่อยากให้โชคถูกมองด้วยสายตาเวทนาและสงสาร โดยเฉพาะจากเพื่อนที่แสนสำคัญของเจ้าตัวคนนี้

 

       “น้าแก้วก็ไม่รู้เหรอ” มิกซ์พยักหน้ารับอย่างง่ายดาย แต่ยังคงพูดต่อ “คนอื่นชอบพูดกันว่าคนไม่มีพ่อกับแม่น่าสงสาร”

 

       “น่าสงสารเหรอ” เสียงนั้นแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แก้วมองผู้คนเดินผ่านหน้าไปมาแต่ไม่ได้โฟกัสกับสิ่งใด

 

       “อื้อ” เด็กชายพยักหน้าแรง คิ้วเรียวขมวดมุ่นดูคล้ายไม่ชอบใจคำพูดพวกนั้น

 

       “แล้วเธอคิดว่ายังไงล่ะ”

 

       “ผมว่าถึงไม่มีพ่อกับแม่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย” ใบหน้าน่ารักที่มีรอยแผลเป็นตรงคิ้วข้างซ้ายเงยขึ้นมาหาชายหนุ่ม พร้อมยิ้มโชว์เขี้ยวเล็กๆ ด้วย “ผมก็มีแค่แม่ แต่ผมก็มีความสุขดี โชคเองก็มีน้าแก้วเหมือนกัน เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก คนอื่นจะพูดยังไงก็ช่างหัวมันสิ”

 

       “ไม่เป็นไรหรอก..เหรอ” แก้วยิ้มนิดๆ รู้สึกขอบคุณเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ที่เด็กคนนี้เป็นเพื่อนกับเด็กชายของเขา ถึงจะหยาบคายไปบ้าง แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยอย่างที่เด็กชายบอก ต่อให้ถ้าวันหนึ่งโชคกลายเป็นเด็กหยาบคายที่มีความสุข มันก็ไม่เป็นไรหรอก

 

       “อื้อ เพราะว่าถ้าได้อยู่กับคนที่เราชอบ เราก็จะมีความสุขใช่ไหมล่ะ” เด็กชายตอบรับและถามคำถามในทีเดียว

 

       “อืม คงงั้นมั้ง”

 

       “งั้นโชคก็มีความสุข เพราะโชคชอบน้าแก้วมาก”

 

       “ชอบฉันมากเลยเหรอ” แก้วยิ้มออกมาด้วยแววตาอบอุ่นที่ทอดมองไปยังร่างเล็กคุ้นตาที่กำลังเดินตรงมาทางพวกเขา รอยยิ้มจากริมฝีปากและดวงตาที่เด็กข้างๆ ไม่เคยเห็น และในตอนนั้นเองมิกซ์ก็เริ่มเข้าใจนิดหน่อยแล้วว่าทำไมเพื่อนเขาถึงชอบชายคนนี้นัก




 

       ปิดเทอมหน้าร้อนสุดท้ายของระดับประถมศึกษาของโชคหมดไปกับการเตรียมตัวเข้าโรงเรียนมัธยมแห่งใหม่ โรงเรียนชายล้วนกางเกงดำที่ตั้งอยู่ใกล้กับวัดชื่อเดียวกัน โดยที่เหตุผลในการเลือกนั่นก็เพราะมิกซ์ถูกป้าดาส่งไปเข้าเรียนที่นั่น โดยฟังมาจากคนรอบข้างอีกทีว่าโรงเรียนนี้ดี ดัดนิสัยเด็กดื้อได้อยู่หมัด

 

       “หนังสือเอาลงมาหมดแล้วใช่ไหม” แก้วถามเด็กชายที่หอบหิ้วถุงใส่หนังสือเข้ามาในบ้าน หลังจากที่เขาถือถุงชุดเครื่องแบบเข้ามาก่อน

 

       “เอามาหมดแล้วครับ” แก้วพยักหน้ารับรู้ ขณะที่กดรีโมตสั่งล็อกรถจากระยะไกล รถเก๋งสี่ประตูสีดำเหมือนเดิมแต่เป็นรุ่นใหม่มีแสงไฟกระพริบวาวจากลานว่างเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามบ้าน

 

       “เสื้อจะเอาไปปักพร้อมกับมิกซ์ใช่ไหม”

 

       “อื้อ พรุ่งนี้จะไปว่ายน้ำกัน แม่มิกซ์บอกว่าให้ถือไปด้วย เดี๋ยวแม่เอาไปส่งร้านให้”

 

       “โอเค งั้นตอนได้คืนมาค่อยเอาลงซักแล้วกันนะ” เด็กชายรับคำ ก่อนจะขนของขึ้นไปเก็บบนห้องตัวเอง ในขณะที่เจ้าของบ้านเดินมาทิ้งตัวนั่งบนโซฟา เสียงใสกิ๊งจากการเปิดฝาไฟแช็กสีทองดังขึ้นในความเงียบสงบยามบ่าย ไอแดดอุ่นถูกลมพัดพาเข้ามาวูบหนึ่งแล้วจากไปพร้อมกับควันบุหรี่สีเทา

 

       เด็กชายอายุสิบสาม ในขณะที่เขาย่างสามสิบหก เวลาไหลผ่านไปไวเกินกว่าที่จะทันได้รู้สึกตัว แก้วทิ้งหัวลงพิงพนักโซฟา มองภาพบนชั้นโชว์ที่มีมากขึ้นทุกปี เผลอแปบเดียวก็เจ็ดปีแล้ว

 

       ในหน้าร้อนปีที่สิบสามของโชค เขายังไม่ได้ไปญี่ปุ่นอย่างที่สัญญาเอาไว้

 


​TBC...

       น้องโชคก็โตขึ้นอีกปี กำลังจะเข้าชั้นมัธยมแล้วล่ะค่ะ โตขึ้นทีละนิดละหน่อย แล้วนี่ก็ใกล้วันเกิดน้องโชคแล้วด้วย น่าเสียดายที่วันที่ 22 ไม่ตรงกับวันพฤหัสบดีนะคะ แต่ไม่เป็นไร ของขวัญที่รีนจะให้น้องได้ก็คงเป็นการเขียนเรื่องนี้จนจบ แม้จะยากเย็นเหลือเกินในช่วงตอนท้ายเรื่อง  :z3:
       
       ขอบคุณที่ยังคงติดตามอ่านงานของรีนและให้กำลังใจตลอดเลยนะคะ ขอบคุณเสมอ อ่านคอมเม้นเป็นอย่างดีเลยล่ะค่ะ
       และขอบคุณทุกการอ่าน

       เจอกันใหม่วันพฤหัสบดีหน้าค่ะ


ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เอาไว้ว่างติดต่อกันหลายวันรอบใหม่อีกทีละกันนะค่อยไปเที่ยวญี่ปุ่น โชคห่างจากน้าแก้วยี่สิบสามปี ถ้าโชคยี่สิบกว่าน้าแก้วก็สี่สิบปลาย ว๊าวมันกร๊าวใจดีแท้ มันใช่ 55555 //โชคจะเข้าช่วงอีกวัยแล้วเป็นเด็กม.ต้นก็คงเจออะไรหลายอย่าง สังคมที่เปลี่ยน ความคิดก็เริ่มโตแล้ว อยากจะแบ่งเบาภาระดูแลน้าแก้ว โชคทำได้ดีนะ น้าแก้วก็ยังคงเป็นน้าแก้วที่ไม่สันทัดกับเด็ก ขำตอนมิกซ์มาชวนน้าแก้วคุย 5555 เด็กมิกซ์น่ารักมาก เป็นเด็กคิดบวกจริง เนาะ ถ้าได้อยู่กับคนที่เรารักก็เพียงพอแล้วที่จะมีความสุข จากวันนั้นมาถึงวันนี้ก็หลายปีแล้วสินะ น้าแก้วคนจริงเลี้ยงเด็กมาจนโตทั้งคน รู้สึกขอบคุณน้าแก้วที่เอาโชคมาเลี้ยงดูอย่างดี ตอนไปจะเป็นยังไงกันบ้างนะ งื้ออชอบมากเลย ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รออ่านอยู่เสมอไม่ทิ้งไม่เทกันนะคะ 555 เป็นกำลังใจให้ในการแต่งทุกๆตอน ฮึบๆ :pig4: :pig4: :pig4: :กอด1:

ทักท้อง=ทักท้วง
ประเด็ก=ประเด็น  o13
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-06-2020 23:23:06 โดย blove »

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 15



          ชีวิตมัธยมในรั้วโรงเรียนชายล้วนไม่ได้แตกต่างจากตอนประถมนัก เพียงแค่เพื่อนร่วมชั้นเป็นเด็กผู้ชายกันหมด โชคและมิกซ์ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้เป็นอย่างดี หลังเปิดเทอมไปสองอาทิตย์พวกเขาก็มีเพื่อนเพิ่มขึ้นเป็นกลุ่มเจ็ดคน เมื่อคนเยอะความวุ่นวายก็ตามมา เวลาพักเที่ยงโต๊ะม้าหินอ่อนใต้ร่มต้นสาละข้างสนามไม่เคยเงียบเหงา ติดจะโหวกเหวกโวยวายจนน่าปวดหัว แต่มันก็เจือด้วยเสียงหัวเราะอยู่ไม่ขาดเช่นกัน



          “ทำไรวะมึง” ต้น หนึ่งในกลุ่มเพื่อนชะโงกหน้าเข้าไปดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือหน้าจอสัมผัสรุ่นใหม่ของนัท เพื่อนอีกคนอย่างละลาบละล้วง แต่คนถูกแอบดูไม่ได้ติดใจเอาความ ทำเพียงรัวนิ้วพิมพ์ข้อความใส่ช่องแชทพร้อมกับตอบเสียงเรียบ



          “คุยกับแฟน” เสียงโห่แซวตามมาเซ็งแซ่จากรอบตัว โชคไม่ได้ร่วมไปด้วยแต่ก็ระบายยิ้มออกมาตาม



          “ใครวะ” หนึ่งในคนข้างๆ รีบเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ นัทผู้เป็นเป้าสายตากดล็อกหน้าจอเครื่องมือสื่อสารแล้ววางลงบนโต๊ะพลางเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ริมฝีปากเหยียดเป็นรอยยิ้มยียวน



          “เสือก”



          “โหย ขี้งกว่ะ” หลังจากนั้นก็มีเสียงหัวเราะร่วนจากทุกคนร่วมกัน จนกระทั่งได้ยินเสียงออดบอกหมดเวลาพักค่อยย้ายร่างพากันกลับขึ้นอาคารเรียน



          โชคเดินตามอยู่หลังสุด สะกิดไหล่ของเพื่อนสนิทข้างหน้าให้หันมาสนใจระหว่างที่กำลังขึ้นบันได



          “ว่าไง” ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอีกเล็กน้อยตอนหันมาสบตาเป็นคำถาม



          “เป็นแฟนกันหมายความว่าไง” สิ้นคำถามเหลือเพียงดวงตาสองคู่ที่จ้องมองกันอยู่กะพริบปริบๆ มิกซ์ชะงักค้างไปนิดหน่อยคล้ายคิดคำตอบ แต่สุดท้ายจนถึงหน้าห้องเรียนแล้วก็ยังไม่ได้ตอบคำถามนั้น โชคเลยต้องเก็บความสงสัยเอาไว้กับตัวเองก่อน แต่จนกระทั่งถึงเวลากลับบ้าน ระหว่างทางบนรถยนต์เอสยูวีของป้าดา มิกซ์ก็ยังไม่ได้บอกคำตอบกับเขาเลย







          “กลับมาแล้ว” เสียงเหนื่อยอ่อนของคนที่เพิ่งเลิกงานกลับมาตอนหัวค่ำดังมาจากห้องนั่งเล่น ไม่นานก็เดินไปโผล่หน้าเข้าไปในครัวที่เด็กชายกำลังตั้งเตาต้มแกงจืดสำหรับมื้อเย็นอยู่ “โชค”



          “ครับ” โชคสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนเพิ่งได้สติจากการเหม่อลอยชั่วขณะ



          “วันนี้ทำไรกิน”



          “แกงจืดฟักกับหมูผัดพริกครับ”



          “อืม” แก้วพยักหน้ารับ แต่ไม่ได้เดินออกไปจากบริเวณนั้น เขากอดอกพิงไหล่เข้ากับกรอบประตูไม้สีเข้มที่ไม่มีบานประตูของห้องครัว มองเด็กชายจุดเตาแก๊สอีกฝั่งเพื่อทำหมูผัดพริกแกงจากด้านหลัง สองปีมานี้โชครับผิดชอบทำข้าวเย็นบ่อยครั้งจนคุ้นเคยกับการทำอาหารมากเสียยิ่งกว่าคนที่เคยรับผิดชอบหน้าที่นี้มาเกินครึ่งทศวรรษอย่างเขา แต่วันนี้กลับดูเหมือนว่าเด็กชายจิตใจจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่



          “โชค” เจ้าของชื่อหันมาอีกครั้งโดยที่ครั้งนี้ไม่ได้สะดุ้งจนตัวโยนอย่างครั้งก่อน แต่ก็ไม่ได้ดูปกติดีสักเท่าไหร่



          “ครับ”



          “วันนี้ที่โรงเรียนเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”



          “ครับ?”



          “วันนี้มีเรื่องอะไรรึเปล่า” คนถูกถามครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ ดวงตาคมใสกระจ่างจ้องมองคนถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่



          เมื่อเด็กชายปฏิเสธ แก้วก็ได้แค่พยักหน้ารับก่อนจะปลีกตัวออกไปเก็บของในห้องทำงานเพื่อรอเวลาอาหารจัดขึ้นโต๊ะ



          มื้อเย็นของบ้านหลังนี้ยังคงสงบเป็นส่วนใหญ่ การพูดคุยของพวกเขามักเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างวันนี้เป็นไงบ้าง ที่โรงเรียนสนุกไหม เพื่อนเป็นยังไง จากนั้นก็กินข้าวกันอย่างเงียบๆ เมื่อหมดเรื่องให้เล่า แต่วันนี้มันกลับเงียบกว่าปกติจนแก้วรู้สึกได้ทั้งที่เขาเป็นพวกเฉื่อยชาที่โปรดปรานความเงียบแท้ๆ



          ดวงตาสีเข้มมองเด็กชายตรงหน้าที่กำลังเขี่ยข้าวในจานใส่ช้อนอย่างอ้อยอิ่งผิดวิสัย



          “โชค”



          “ครับน้าแก้ว”



          “คิดอะไรอยู่” คำถามธรรมดาแต่คนถูกถามกลับหน้าแดดแปร๊ดขึ้นมาทันที ชายหนุ่มผู้เป็นคนเอ่ยถามนิ่งงันกับภาพตรงหน้า ส่วนเด็กชายที่หน้าขึ้นสีเรื่อก้มหน้าลงซ่อนแก้มแดงๆ ของตัวเอง แต่เพราะความร้อนมันแล่นไปทั่ว ใบหูจึงขึ้นสีชัดเจนจนปิดไม่มิดอยู่ดี



          “โชค”



          “ผม..” เสียงอึกอักดูเหมือนลำบากใจที่จะตอบ แก้วเลยได้แต่ถอยหายใจแล้วก้มลงกินข้าวในจานตัวเองต่อ



          “ช่างมันเถอะ”







          ตกดึกใกล้ถึงเวลาผลัดเปลี่ยนวัน แก้วยังคงนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ สูบบุหรี่ไปพร้อมกับลูบขนนุ่มของมะลิไปด้วย รายการทีวีเคเบิ้ลที่เพิ่งติดตั้งเมื่อไม่นานมานี้พร้อมกับอินเทอร์เน็ตบ้านมีหนังให้ดูตลอดเวลา เขาไม่ได้มีเรื่องไหนที่อยู่ในใจเป็นพิเศษ เลยกดสุ่มๆ ขึ้นมาสักช่องหนึ่ง



          “น้าแก้ว” เสียงเรียกแผ่วเบาของเด็กชายที่ควรเข้านอนไปแล้วแต่กลับมาปรากฏตัวที่หน้าบันได แก้วขยับโน้มตัวไปขยี้บุหรี่ใส่ที่เขี่ยบนโต๊ะก่อนจะพิงหลังกลับที่เดิม



          “มานั่งนี่สิ”



          เด็กชายทำตามอย่างว่าง่าย ทิ้งตัวลงนั่งห่างจากอีกคนไม่มากนัก แมวสาวกระโจนไปคลอเคลียกับมือคนมาใหม่อย่างออดอ้อน แต่ก็คล้ายกำลังช่วยปลอบโยนอยู่ในที หนังบนจอที่เกี่ยวกับการชิงบัลลังก์ราชวงศ์ทางยุโรปยังคงดำเนินเรื่องต่อไป



          “น้าแก้ว” เจ้าของชื่อรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของคนข้างๆ แต่เขาไม่ได้รีบร้อนจะเค้นเอาความอะไร ชายหนุ่มทิ้งหัวลงบนพนักพิง เรือนผมสีดำแผ่สยายบนหนังสีอ่อน ดวงตาจับจ้องไปยังภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า



          “ว่าไง”



          “ผม..” คำพูดขาดช่วงไป แต่ไม่นานก็มาต่อหลังจากที่เด็กชายหาคำพูดที่จะพูดเจอแล้ว “เป็นแฟนกันหมายถึงอะไรเหรอครับ”



          “หืม แฟนเหรอ”



          “อื้อ มิกซ์บอกว่าคนเป็นแฟนกันคือคนที่..มีอะไรกันแบบผูกขาดโดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน” โชคเลือกใช้คำที่เบากว่าที่ได้ยินมากับหู เพราะรู้สึกกระดากเกินกว่าจะพูดออกมาชัดถ้อยชัดคำอย่างเพื่อนสนิทที่แอบมากระซิบข้างหูเขาตอนกำลังลงจากรถเมื่อตอนเย็น



          “งั้นเหรอ หึ” เสียงหัวเราะในลำคอหลุดออกไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่หลังจากนั้นมันก็หลุดออกมาตามๆ กัน แก้วหัวเราะเพียงแผ่วเบาแต่ก็หยุดไม่ได้ไปพักหนึ่ง



          คนถูกหัวเราะใส่ทำตัวไม่ถูก หน้าร้อนวูบวาบ ความกล้าที่รวบรวมมาเอ่ยถามถดถอยจนแทบหมดสิ้น แต่แก้วไม่ได้ทิ้งให้เขารู้สึกอย่างนั้นนานนัก มือเรียวอบอุ่นวางลงบนหัวเด็กชาย ทิ้งไว้อย่างนั้นคล้ายเรียกร้องให้หันไปมองเจ้าตัว แต่ก็ใช้เวลาเนิ่นนานพอดูกว่าโชคจะกล้าเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาสีเข้มคู่นั้น



          แววความขัดเขินและกระดากอายยังคงฉายชัดอยู่บนพวกแก้มสีเรื่อ คิ้วขมวดมุ่นไม่ค่อยพอใจนัก แต่ในดวงตาใสก็ไม่ได้มีแววขุ่นมัวขัดเคืองใจอะไร ข้อดีของเด็กชายคือเขาเป็นคนใจเย็นและโกรธยาก



          “ขอโทษทีนะ ไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะเธอหรอก แค่มัน.. ผูกขาด มิกซ์นี่เข้าใจคิดคำดีนะ” แก้วยกยิ้มบางให้คนตรงหน้า โชคดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ชายหนุ่มออกแรงมือเพียงเล็กน้อยก็ดึงเอาศีรษะของอีกฝ่ายให้เอนลงมาหนุนอยู่บนตักตัวเองได้ง่ายๆ ก่อนจะทวนคำถามของเด็กชายอีกครั้ง “แฟนหมายความว่าไงงั้นเหรอ”



          แก้วคิดหาคำตอบที่จะบอกกับเด็กชาย เขาคิดว่าเด็กของเขาเติบโตแล้ว แต่จริงๆ ก็ยังเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น ส่วนคำว่า ‘แฟน’ ที่เอ่ยถามมานั้นก็คงไม่ใช่ว่าอ่อนต่อโลกมากจนไม่รู้จัก โชคได้ยินคำนี้บ่อยครั้ง เพียงแต่สภาพแวดล้อมของเขาไม่มีกรณีที่จะทำให้คุ้นเคยกับคำนั้นได้บ้างเลย ในเมื่อคนรอบตัวนั้นไม่มีใครอยู่ในสถานะแบบนั้นสักคน



          แก้วโสดมาตลอดช่วงเวลาที่โชคมาอยู่กับเขา



          อาธีร์ที่แต่งงานกับอาเนตรไปก็เป็นสามีภรรยา



          ป้าดาแม่ของเพื่อนสนิทก็เป็นแม่หม้าย



          ส่วนพ่อแม่ของโชค... เรียกว่าคบหากันยังไม่ได้เลย



          การที่เด็กชายจะไม่เห็นภาพความสัมพันธ์ฉันท์แฟนนั้นจึงสามารถเข้าใจได้ ดังนั้นหน้าที่ของเขาคือการอธิบายกับอีกฝ่ายในฐานะผู้ปกครองและผู้ใหญ่คนหนึ่ง



          “แฟนก็คือคนรักกันสองคนตกลงจะอยู่ในสถานะที่เปิดเผยต่อคนรอบข้างโดยที่ยังไม่ได้ผูกมัดกันตามกฎหมายน่ะ” คำอธิบายของแก้วซับซ้อนไปหน่อย ซึ่งเจ้าตัวก็รู้สึกได้จึงพูดต่อไปอีก “จริงๆ ก็คือคนรักนั่นแหละ คบหาดูใจกัน ศึกษากัน ลองใช้ชีวิตด้วยกัน ไม่ได้มีแต่เรื่องบนเตียงหรอกนะ”



          เด็กชายหน้าร้อนวูบอีกแล้ว แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามันฟังดูน่าอายเหมือนอย่างตอนที่เพื่อนของเขาพูดออกมา อาจจะเพราะการเลือกใช้คำ หรือน้ำเสียง หรือบาทีอาจจะเป็นเพราะสีหน้าแววตาที่พูดมันออกมาอย่างสบายๆ คล้ายเป็นเรื่องธรรมดาของน้าแก้วเอง



          “แล้วคนเป็นแฟนกันเขาต้องทำอะไรบ้างเหรอครับ”



          “ทำอะไรบ้าง.. ไม่รู้สิ แต่ละคู่ก็มีเรื่องราวของตัวเองแตกต่างกันไปล่ะนะ” คำตอบของชายหนุ่มนั้นเป็นการตอบแบบกว้างๆ เพราะเอาเข้าจริงแล้วคำตอบของคำถามนี้ก็ไม่มีอยู่จริงๆ นั่นแหละ มันปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์และตัวบุคคลเสมอ แต่ก็อาจจะมีจุดร่วมบางประการอยู่บ้าง “ส่วนใหญ่ก็ดูแลกัน เป็นห่วงกัน อยู่ข้างๆ อยากให้อีกคนมีความสุข.. ละมั้งนะ”



          โชคพยักหน้าหงึกหงัก แก้วมองออกว่าอีกฝ่ายคงเข้าใจแค่ครึ่งเดียวเท่านั้นแหละ แต่ก็ไม่เห็นต้องไปเร่งให้รับรู้ทุกอย่างตอนนี้เลยนี่ เด็กชายของเขายังมีเวลาให้ได้เรียนรู้อีกมาก เมื่อเติบโตคนเราก็จะซึมซับสิ่งต่างๆ เข้ามาเองในเวลาที่เหมาะสมกับตัวเองนั่นแหละ



          ซีรีส์ฝรั่งบนจอกำลังฉายฉากเลิฟซีนอยู่พอดี เจ้าของบ้านหนุ่มดูด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในขณะที่คนเด็กกว่าหน้าร้อนฉ่าเล็กน้อย พวกเขาดูฉากร่วมรักนั้นเงียบๆ ไม่มีการกดเปลี่ยนหรือพยายามเบี่ยงประเด็นอะไรทั้งนั้น แก้วรู้ว่าเจ้าหมาน้อยของเขาเติบโตถึงวัยนั้นแล้ว วัยที่กำลังอยากรู้อยากเห็นเรื่องแบบนี้ เขาจึงไม่ได้คิดจะห้ามหรือปัดมันทิ้งทั้งนั้น



          เซ็กส์..เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ หน้าที่เขาไม่ใช่การกันเด็กชายให้ออกห่างจากเรื่องสามัญเช่นนั้น แต่เป็นการสั่งสอนชี้แนะให้มันเป็นไปในทางที่ถูกที่ควรต่างหาก



          ฉากร้อนแรงวาบหวิวจบไปแล้ว และไม่นานหลังจากนั้นก็จบตอนของวันนี้ แก้วลูบหัวที่นอนหนุนตักเขาเล่น สัมผัสของผมสั้นเกรียนสากมือแต่ให้ความรู้สึกดีแปลกๆ ในขณะที่เจ้าของหัวนั้นลูบไล้กลุ่มขนนุ่มฟูสีขาวแต้มน้ำตาลส้มอ่อนจางของแมวเหมียวบนหน้าท้องตน



          แก้วไม่รู้ว่าโชคกำลังคิดอะไรอยู่ พวกแก้มถึงได้ขึ้นสีเรื่อขณะที่ริมฝีปากอมยิ้มบาง ดวงตาสุกใสแวววาวมองสบกับมะลิอย่างเนียมอาย ...อาจจะกำลังคิดถึงเรื่องอย่างว่าอยู่ล่ะมั้ง ชายหนุ่มคิดพลางเหลือบตาไปมองรูปถ่ายในกรอบบนชั้นวางของ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ ด้วยสินะ



          ส่วนคนที่โดนกล่าวหาในใจนั้นกลับลืมเรื่องนั้นไปหมดแล้ว ฉากรักร้อนจางหายไปแทบจะทันทีที่มันจบลง ในหัวเขากำลังคิดวนถึงเรื่องแฟนที่อีกฝ่ายบอกต่างหาก



          ...ดูแลกัน เป็นห่วงกัน อยู่ข้างๆ อยากให้อีกคนมีความสุข



          ถ้าอย่างนั้นแล้ว ตอนนี้เขาได้เป็นแฟนของน้าแก้วรึยังนะ?









          เมื่อเดือนกุมภาพันธ์มาถึง ชีวิตของเด็กมัธยมปีที่หนึ่งก็เข้าสู่ช่วงท้ายของเทอมสอง



          “น้าแก้ว”



          “หื้ม”



          “ผมไปโรงเรียนก่อนนะครับ” เด็กชายร้องตะโกนบอกคนที่ยังอยู่ในห้องน้ำเมื่อที่หน้าบ้านมีรถของบ้านเพื่อนสนิทจอดรออยู่ วันนี้มีกิจกรรมตอนเช้าทำให้ต้องไปก่อนเวลาปกติ ป้าดาเลยอาสามาแวะรับเด็กชายให้ติดรถไปด้วยเพราะเธอต้องไปเปิดร้านแต่เช้าอยู่แล้ว แก้วเองก็จะได้ไม่ต้องเร่งตัวเองนัก



          “เอ้านี่ อันนี้ของโชค” หญิงสาววัยสี่สิบกว่าหันมายื่นห่อขนมหวานสีน้ำเงินเข้มให้เขาขณะที่รถติดไฟแดง



          “ขอบคุณครับ” เด็กชายรับของมางงๆ เพื่อนสนิทหันมายิ้มแป้นให้ก่อนจะช่วยอธิบาย



          “วันนี้วันวาเลนไทน์ แม่เลยซื้อช็อกโกแลตให้” จากคำบอกกล่าวของเพื่อน โชคก็คิดขึ้นมาได้ว่าวันนี้คือวันที่ 14 ของเดือนกุมภาพันธ์ และกิจกรรมยอดฮิตประจำเดือนนี้ก็หนีไม่พ้นวันวาเลนไทน์



          เด็กชายก้มมองห่อขนมผิวเรียบลื่นอีกครั้ง วาเลนไทน์ที่ผ่านมาของเขาคือการแปะสติ๊กเกอร์รูปหัวใจให้กันโดยมักเริ่มมาจากพวกเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นผู้หญิง เคยมีได้ขนมมาบ้างแต่ก็เป็นเพียงลูกอมรสหวานที่ซื้อมาแจกคนทั้งห้อง แต่เท่าที่เขารู้มาคือจริงๆ แล้วมันควรจะพิเศษกว่านั้น มันควรเป็นการให้ของขวัญแทนใจแก่คนที่ชอบ



          ...คนที่ชอบ







          พักเที่ยงวันวาเลนไทน์ในรั้วโรงเรียนชายล้วนเองก็ดูคึกคักอยู่ไม่น้อย ไม่ได้ดูหวานแหว๋วทุกคนแปะสติ๊กเกอร์หัวใจสีแดงหรือแจกลูกอมให้กันอย่างที่อยู่ในความทรงจำของเด็กชาย มันเป็นความคึกคักในเชิงการแข่งขันมากกว่า อย่างเช่นว่าใครได้ของมามากกว่ากัน แต่ส่วนใหญ่แล้วนั่นก็เป็นเรื่องของพวกรุ่นพี่ม.ปลายที่โด่งดังในหมู่เด็กสาวโรงเรียนใกล้เคียง ไม่ใช่เด็กม.หนึ่งอย่างพวกเขา



          “กูได้มาสองอันเมื่อเช้า” บิ๊ก เพื่อนตัวโตสมชื่อเดินเข้ามารวมกลุ่มที่โต๊ะประจำพร้อมกับโยนห่อขนมช็อกโกแลตเข้าไปกลางวง



          “โห ได้จากใครวะเนี่ย” ภูมิที่นั่งอยู่ใกล้จุดตกกระทบของห่อขนมรีบคว้าหมับไปแกะห่อยัดเข้าปากทันที



          “น้องสาวกู”



          “โบว์กับบิวอะนะ” คราวนี้เป็นแสนที่นั่งฝั่งตรงข้าม หยิบห่อช็อกโกแลตทำมือขึ้นพลิกดู



          “เออ เมื่อคืนก็บังคับกูกินจนจะอ้วกแล้ว พวกมึงช่วยกินหน่อย” เจ้าของขนมหวานนั้นบอกเซ็งๆ



          โชคอ้าปากรับช็อกโกแลตที่ถูกส่งมาป้อนถึงปากด้วยมือของมิกซ์ เคี้ยวแล้วก็กลืน รสชาติมันหวานจนแสบคอไปหมด แต่เมื่อเห็นกระดาษห่อที่ถูกพับมาอย่างสวยงามและประณีตก็รับรู้ได้ว่าคนทำตั้งใจมากแค่ไหน เด็กชายเงยหน้าขึ้นไปมองเพื่อนที่ชื่อบิ๊กเล็กน้อย ในสีหน้าเซ็งๆ นั้นยังคงมีแววของความรู้สึกดีๆ ฉาบอยู่ขณะที่โยนช็อกโกแลตหวานเจี๊ยบชิ้นสุดท้ายเข้าปากตัวเองไป



          การได้รับของขวัญจากใครสักคนก็ต้องทำให้รู้สึกดีอยู่แล้ว



          วันนั้นระหว่างทางกลับบ้านที่ป้าดาพาแวะซื้อของในร้านสะดวกซื้อยี่สิบสี่ชั่วโมง โชคเลยตั้งใจหยิบห่อสีน้ำตาลเข้มของช็อกโกแลตเข้มข้นที่เจือความหวานเพียงเล็กน้อยไปจ่ายเงิน เขาตั้งใจจะให้มันกับน้าแก้วที่ไม่ชอบกินของหวานของเขา พลางจินตนาการถึงตอนที่อีกฝ่ายได้รับไป ชายหนุ่มคงจะเผยรอยยิ้มเพียงบางเบาแล้วกล่าวขอบคุณเขาพร้อมกับฝ่ามืออุ่นที่วางลงบนศีรษะ และแค่เพียงเท่านั้นก็สามารถทำให้หัวใจของเด็กชายพองโตได้แล้ว



          แต่ช็อกโกแลตห่อนั้นมันก็ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางสักที เพราะจนกระทั่งเข็มนาฬิกาบอกเวลาเลยเลขสิบและอาหารเย็นที่เตรียมไว้ก็เย็นชืด ก็ยังไม่มีโทรศัพท์กลับมาที่บ้านสักสายเดียว



          เช่นเดียวกับคนที่เขาเฝ้ารอ...







TBC...


          เจ้าหมาน้อยขึ้นม.1 แล้วนะคะ อีกประเดี๋ยวเดียวก็กลายเป็นหนุ่มแล้วโตเร็วจนรีนรู้สึกแก่เลยล่ะค่ะ  :hao5:

          เนื้อเรื่องก็ยังคงเดินแบบเอื่อยๆ เรื่อยๆ เหมือนเดิม กลัวทุกคนเบื่อจังค่ะ แต่จริงๆ แล้วมันก็คงเป็นเสน่ห์ของนิยายเรื่องนี้กระมังคะ 555555

          ตอนนี้รีนเขียนไปถึงโค้งสุดท้ายแล้วล่ะค่ะ เขียนถึงประโยคโปรยของเรื่องนี้แล้ว เย้!! ลากเลือดมากๆ เลย แต่ก็สนุกมากเช่นกันค่ะ

          ปล1.หากเจอคำผิดต้องขอโทษด้วยนะคะ บางตอนก็ลงแบบรีบมากจนไม่ได้เช็คเลย แต่ก็ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเขียนเนื้อเรื่องหลักจบแล้วจะทยอยตรวจทานอีกทีค่ะ ถ้าเจอจุดผิดก็สามารถคอมเม้นบอกไว้ได้เลยนะคะ

          ปล2.รีนทอล์กท้ายตอนเยอะไปรึเปล่าคะ รีนรู้สึกอยากเล่าอะไรหลายๆ อย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่านักอ่านจะรำคาญรึเปล่าที่นักเขียนขี้ฝอย 555555 คิดเห็นยังไงก็คอมเม้นบอกไว้ได้เลยเช่นกันนะคะ


          ขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกกำลังใจและการอ่านเลยค่ะ


          เจอกันใหม่วันพฤหัสบดีหน้าค่า






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
อื้ออออน้าแก้วไปไหน ทำไมกลับช้า โชครอให้ของขวัญวันวาเลนไทน์อยู่ จะรอเก้อไหมเนี้ย  :mew2: ขำคำผูกขาดของนิยามแฟน คิดได้นะมิกซ์ 5555 แฟนคือต้องตกลงกันสองคน มันจะมีความรักอีกแบบหนึ่งที่จะเป็นแฟนกัน และถ้ารักแบบแฟนเพียงฝ่ายเดียวเขาเรียกว่าแอบรัก รออีกหน่อยโชคจะเข้าใจมัน โตเป็นหนุ่มแล้วโชค อีกหน่อยก็คงมีคนมาจีบ คราวนี้ละจะได้รู้ว่าแฟนคืออะไร 555 ขอบคุณนะคะที่มาต่อให้ได้อ่าน รอตอนหน้าเลยจะเป็นยังไงต่อไป จะขึ้นม.2แล้ว เร็วแปปๆ  :กอด1: :pig4: :pig4: :pig4:

พวกแก้ม=พวงแก้ม
หรือบาทีอาจจะเป็นเพราะสีหน้าแววตา=หรือบางที

ชอบอีกอย่างคือเจอคำผิดน้อยมาก   o13 ถ้าเจอเลยจะแก้ให้ไปด้วย (:

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 16



          น้าแก้วเข้าโรงพยาบาล โชคได้รู้เรื่องนั้นตอนเกือบห้าทุ่มเมื่อพี่ปุณ รุ่นน้องและลูกน้องที่ทำงานของแก้วปรากฏตัวที่หน้าบ้าน พร้อมกับบอกให้เขาไปเก็บเสื้อผ้าแล้วพาขึ้นรถ ก่อนจะมาโผล่ที่หน้าห้องพิเศษของโรงพยาบาลเอกชนไม่ไกลจากที่ทำงานของสถาปนิกหนุ่มนัก

 

          “น้าแก้ว” เจ้าของชื่อขยับตัวขึ้นนั่งพิงหมอนแล้วหันมาส่งยิ้มที่ดูเหนื่อยล้าให้เด็กชาย โชคตรงเข้าไปเกาะขอบเตียงเย็นเฉียบเพราะแอร์ที่เปิดเอาไว้พลางชะโงกหน้าสำรวจร่างกายของอีกฝ่าย

 

          “ฉันไม่เป็นไร แค่ช่วงนี้นอนน้อยไปหน่อยเลยเป็นลมน่ะ” มือข้างที่ถูกเจาะสายน้ำเกลือเข้าไปในเส้นเลือดถูกประคองไว้แผ่วเบาในขณะที่ขอบตาคนฟังเริ่มแดงเรื่อ แก้ววางมืออีกข้างลงบนหัวเด็กชาย ดึงเข้ามาซบลงบนบ่าตัวเอง ลูบท้ายทอยสากมือเพื่อปลอบขวัญ “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว”

 

          “พี่แก้ว” อีกคนในห้องเอ่ยเรียก ส่งโทรศัพท์คืนให้เจ้าของ พลางเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “ไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม”

 

          “อืม หมอบอกว่าช่วงนี้คงเครียดกับงานมากไป บวกกับนอนน้อยด้วยเลยเป็นลมน่ะ”

 

          “เฮ้อ งั้นก็ดีแล้ว ตอนกลับเข้าออฟฟิศไปเห็นพี่ฟุบอยู่กับพื้น ผมนี่ใจหายหมด” ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ปุณเป็นคนที่ย้อนกลับเข้าไปเอาของในออฟฟิศตอนสามทุ่มกว่าแล้วพบว่ารุ่นพี่ของเขาสลบเหมือดอยู่กับพื้น ลองเขย่าปลุกดูแก้วก็สะลึมสะลือตื่นขึ้นมา แต่เพราะใบหน้าซีดเผือดอ่อนแรงนั้นเขาเลยไม่วางใจรีบพามาโรงพยาบาล แล้วในตอนที่หมอตรวจอาการก็ถูกไหว้วานให้ไปรับเด็กชายเลยไม่รู้ว่าสรุปแล้วรุ่นพี่ของเขาอาการดีแย่แค่ไหน

 

          “ขอบใจมากนะ” คนบนเตียงเอ่ย ใบหน้ายังคงซีดเซียวแต่ดูดีขึ้นมากกว่าเดิมเยอะแล้ว

 

          “ไม่เป็นไรพี่ แค่นี้เอง” ปุณบอก พลางยกข้อมือดูนาฬิกาเห็นว่าเลยเวลาเยี่ยมมาสักพักแล้ว “งั้นผมกลับก่อนนะครับ ถ้ายังไงพรุ่งนี้พี่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศหรอก เดี๋ยวผมบอกพี่เก่งให้เอง”

 

          “อื้ม ขอบใจ” หนุ่มรุ่นน้องโบกมือปัดคล้ายบอกว่าเรื่องเล็กน้อย ก่อนจะหายออกจากบานประตูสีขาวไป เหลือทิ้งไว้แค่แก้วกับโชคในห้องพิเศษของโรงพยาบาลที่ยังคงมีกลิ่นยาฆ่าเชื้อลอยเจือจางในอากาศ

 

          “กินข้าวรึยัง” แก้วถามหลังจากที่ผละจากเด็กชายแล้ว โชคอ้าปากจะตอบ แต่ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าออกมาพร้อมรอยยิ้มบางๆ

 

          “กินแล้วครับ”

 

          “เหรอ”

 

          “ครับ”

 

          “โชค” น้ำเสียงที่ใช้เรียกชื่อนั้นเข้มขึ้นเล็กน้อย เด็กชายก้มมองปลายนิ้วตัวเองที่เกี่ยวกันอยู่บนตักขณะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วย โชคโกหก เขายังไม่ได้กินข้าว เพราะเขารอที่จะกินมันพร้อมกับคนที่ไม่ได้กลับบ้านคนนี้อยู่ แต่เพราะเขาไม่อยากให้น้าแก้วเป็นห่วงเลยคิดว่าโกหกไปน่าจะดีกว่า แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะแก้วจับได้ จับได้เสมอเวลาที่เขาปิดบัง “เธอโกหกไม่เก่งเลยนะ”

 

          “ผมยังไม่ได้กินข้าวครับ” ดวงตาหลุบต่ำอย่างคนทำผิดยังคงไม่เงยขึ้นมา แก้วถอนหายใจยาว แต่ไม่ได้ดุด่าอะไรเพิ่มเติม

 

          “หิวไหม” มือเรียวยกขึ้นชี้ไปยังตู้เย็นตรงใต้ชั้นข้างทีวีแบบบิ้วอิน เด็กชายเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเมื่อไม่ถูกต่อว่า “ในนั้นมีขนมอยู่ ไปเอามากินสิ”

 

          โชคทำตามที่อีกฝ่ายบอกอย่างว่าง่าย เอาขนมปังในตู้เย็นกับน้ำผลไม้ออกมานั่งกินพลางดูทีวีที่เปิดช่องสารคดีไปด้วย กินเสร็จก็นั่งสักพักก่อนเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด กว่าจะเสร็จทุกอย่างเวลาก็ล่วงเลยไปเที่ยงคืนกว่าแล้ว

 

          “นอนได้แล้ว” คนป่วยบนเตียงบอก ก่อนจะกดรีโมตปิดทีวีแล้วทิ้งตัวลงนอนห่มผ้า

 

          “ครับ” เด็กชายรับคำ เดินไปกดปิดสวิตช์ไฟห้องให้ดับลง แล้วคลำทางกลับไปที่โซฟาที่ถูกจัดเตรียมเป็นที่นอนไว้แล้วแทรกตัวเข้าไปในกองผ้าห่ม

 

          ห้องทั้งห้องมืดสนิทเพราะหน้าต่างถูกม่านทึบรูดปิดเอาไว้ มีเพียงแสงไฟจากทางเดินที่ส่องผ่านกระจกตรงประตูเข้ามา แต่ก็ไม่ได้สว่างมากพอจะทำให้มองเห็นอะไรได้

 

          “น้าแก้ว” เด็กชายเรียก

 

          “หืม” เจ้าของชื่อครางตอบ

 

          “ราตรีสวัสดิ์ครับ”

 

          “อืม ราตรีสวัสดิ์”








          หน้าร้อนมาเยือนอีกครั้ง แก้วถูกรุ่นพี่ที่ถือหุ้นร่วมกันอย่างพี่เก่งสั่งให้พักผ่อนหลังจากที่ปิดโปรเจ็กใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว เดือนเมษายนสั้นๆ แสนยาวนานของสองคนในบ้านจึงเริ่มต้นขึ้น เมื่อผลการเรียนของโชคออกมาว่าวิชาภาษาอังกฤษทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เด็กชายจึงถูกส่งไปเรียนพิเศษพร้อมกับคู่หูที่คะแนนตีคู่กันมา แก้วไม่ได้เป็นคนบังคับให้ไปหรอก แต่เป็นป้าดาต่างหากที่ประกาศประกาศิตส่งทั้งสองคนไปเรียนโดยห้ามโต้แย้งใดๆ เป็นอันขาด

 

          “น้าแก้วมีเพลงฝรั่งที่ชอบไหม” อยู่ๆ เด็กชายก็ถามขึ้นในตอนบ่ายของวันศุกร์ที่ไม่มีเรียน

 

          คนถูกถามหยุดคิดคิดสักพักก่อนตอบพร้อมถามกลับ “ไม่..น่ามีนะ ถามทำไม”

 

          โชคทิ้งตัวลงไปนอนคว่ำซุกหน้าเข้ากับท้องแมวสาวบนพื้นอย่างสิ้นเรี่ยวแรง แขนขาแผ่เป็นปลาดาวเพื่อให้กระเบื้องเย็นๆ ช่วยคลายความร้อน อู้อี้ตอบกลับมา

 

          “ครูที่เรียนพิเศษบอกให้ไปหาเนื้อเพลงอังกฤษมาแปลด้วยกันในห้อง แต่ผมไม่รู้จักสักเพลงเลย”

 

          “ลองหาในเน็ตดูสิ” แก้วช่วยเสนอความคิดเห็น เมื่อเห็นว่าเจ้าหมาน้อยที่ชักจะตัวโตขึ้นทุกวันของเขากำลังทำหางลู่หูตกอยู่

 

          “ผมไม่รู้จะหาว่าอะไร” ดวงตาใสที่คมขึ้นจนเกือบเหมือนแม่ผู้ให้กำเนิดแล้วคู่นั้นช้อนขึ้นมองคนบนโซฟาอย่างออดอ้อนปนสิ้นหวัง คนโดนอ้อนมองยิ้มๆ ก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจ

 

          “ไปเปิดคอมหากัน” คำพูดเรียบง่ายกับน้ำเสียงอ่อนโยนเรียกรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าเด็กชาย โชครีบลุกตามเจ้าของบ้านหนุ่มเข้าห้องทำงานไปทันที

 

          บ่ายวันศุกร์หนึ่งของเดือนเมษายน พวกเขารู้สึกว่ามันก็ไม่ได้น่าเบื่อนักเมื่อได้ใช้เวลาทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ด้วยกัน

 

 

 

          กลางเดือนเมษาหลังหมดเทศกาลปีใหม่ไทยไปได้ไม่กี่วัน ฝนก็โหมกระหน่ำลงมาในช่วงสายที่ร้อนอบอ้าวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เช่นเดียวกับร่างสูงใหญ่ของคนคุ้นเคยที่ห่างหายไปนานปรากฏตัวขึ้นหน้าประตูรั้วสีขาว เรือนผมเปียกลู่แนบลงมาปิดซ่อนดวงตาคมไว้ในเงา แต่รอยยิ้มจากริมฝีปากคู่สวยนั้นยังคงแย้มออกในองศาที่น่ามองไม่เปลี่ยนจากเดิมสักนิด

 

          แก้วไม่ได้พูดอะไรสักคำกับภาพที่เห็นตรงหน้า บุหรี่ที่เตรียมจุดสูบถูกเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง เขาย้อนกลับเข้าไปในบ้าน คว้าเอาร่มสีดำออกมากาง ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินไปยื่นมันกันหยดน้ำที่ยังคงร่วงกราวไม่ให้โดนตัวแขกที่โผล่มาโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าของเขาอีกต่อไป มือใหญ่ซีดเซียวและเย็นเฉียบเพราะตากฝนเลื่อนมาสัมผัสมือเรียวข้างที่เพิ่งไขกุญแจรั้วเสร็จ

 

          “อุ่นจัง” ธีร์พูดยิ้มๆ เสียงเบาหวิวจนแทบจางหายไปในสายฝน แต่แก้วก็ได้ยินชัดเจน และแม้จะมองไม่เห็นแววตาหลังเส้นผมที่บดบังอยู่ เขาก็รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังเปราะบาง

 

          เงาของร่มที่คลุมตัวทั้งสองคนหายไปกองอยู่บนพื้นเพราะแก้วไม่อยากปล่อยมืออีกฝ่ายเลยต้องทิ้งร่มแล้วใช้มือข้างนั้นเปิดประตูออกแทน ความอบอุ่นโอบรอบตัวธีร์เมื่อสองแขนเอื้อมไปคว้าเขาเข้ากอด น้ำฝนจากทั้งบนฟ้าและร่างกายเปียกปอนของอีกคนซึมผ่านเสื้อผ้าเข้าไปถึงผิวเนื้อเจ้าของอ้อมแขนจนรู้สึกเย็นเฉียบ แก้วกระชับกอดให้แน่นขึ้น ซุกใบหน้าเข้ากับลำคอชื้นแฉะ ในขณะที่อีกคนก้มลงมาฝังจมูกลงบนกลุ่มผมที่เริ่มเปียกจนได้กลิ่นแชมพูชัดเจน

 

          “ก็เพราะมึงตัวเย็น”

 

 

 

          บรรยากาศในห้องนั่งเล่นหม่นมัวทั้งที่สายฝนด้านนอกจากไปแล้ว

 

          ธีร์นั่งบนเก้าอี้ไม้ หยดน้ำจากตัวเขาหยดลงบนพื้นกระเบื้องจนเจิ่งนองเป็นวง โชคอยู่ที่นั่นด้วย เด็กชายเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นหน้ารั้วไม้ผ่านบานหน้าต่าง จนกระทั่งถึงตอนที่ผู้ใหญ่ทั้งสองคนกลับเข้ามาในบ้าน เขามีคำถามมากมาย แต่ก็รู้ว่าเขาไม่ควรอยู่ตรงนั้นอีกต่อไปเมื่อแก้วเดินลงมาในชุดใหม่ พร้อมกับเสื้อผ้าแห้งและผ้าขนหนูในมือสำหรับอีกคน

 

          “ไปเปลี่ยนชุดก่อน” แก้วพาดผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ลงบนศีรษะเพื่อนสนิท พร้อมกับยื่นชุดในมือให้ เป็นจังหวะเดียวกับที่โชคเดินสวนเขาไปเพื่อขึ้นชั้นสอง ดวงตาสีเข้มเหลือบไปสบตากับเด็กชาย โชคผงกหัวให้เป็นเชิงบอกว่าจะขึ้นไปอยู่บนห้องตัวเองอย่างรู้งาน แก้วพยักหน้าตอบ ส่งยิ้มบางคล้ายว่าไม่มีอะไรต้องกังวล

 

          หลังจากที่โชคไปแล้ว ในห้องเหลือแค่สองเพื่อนสนิท มือใหญ่ยื่นออกมา แต่ไม่ได้รับเสื้อผ้าไปเปลี่ยนตามที่อีกคนบอก ธีร์คว้ามือเรียวแล้วดึงให้แก้วขยับเข้าไปใกล้ แนบหน้าผากลงมันหลังมือแข็ง สัมผัสหยาบกร้านของฝ่ามือที่ไม่ได้กอบกุมมานานทำให้เขารู้สึกสงบลง

 

          “ธีร์” แก้วเอ่ยเรียกเสียงอ่อนเมื่อคนตัวเปียกยังไม่ยอมลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า หนำซ้ำยังโอบรอบเอวเขาแล้วซบหน้าเข้ากับท้องเขาจนเสื้อตัวใหม่ที่เพิ่งไปเปลี่ยนมาเริ่มชื้น

 

          “ขออยู่แบบนี้อีกสักพักได้ไหม” คำขอร้องนั้นราวกับกำลังอ้อนวอนเมื่อเสียงที่เปล่งออกมามันสั่นเครือ

 

          “..อืม” แก้วครางรับแผ่วเบา สองมือที่เป็นอิสระเมื่อมือใหญ่ทั้งสองข้างกำผละไปโอบแผ่นหลังเขาไว้อยู่ เจ้าของบ้านหนุ่มค่อยๆ ขยี้ผ้าขนหนูผืนใหญ่เช็ดผมที่เปียกชุ่มให้อย่างเงียบงัน

 

          ธีร์กับเนตรมีปัญหาเรื่องความเข้ากันของนิสัยกันมาสักพักแล้ว แต่ไม่เคยมีใครรู้เลยตามนิสัยของคนตัวใหญ่ที่ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็ซ่อนเร้นมันไว้เบื้องหลังรอยยิ้มเจิดจ้า จนกระทั่งมันค่อยๆ ปริแตกจนกลายเป็นรอยร้าวใหญ่โตถึงขนาดที่ฝ่ายหญิงขอเลิกและจะเอาสิทธิการเลี้ยงดูบุตรไปด้วย

 

          “ถ้าฟ้องร้องกันจริงๆ กูก็อาจจะมิสิทธิ์ชนะเพราะหลังจากเนตรกลับไปทำงาน กูก็ได้อยู่กับลูกมากกว่า” ธีร์ว่า หลังจากที่เขาลุกไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำเสร็จแล้วก็กลับมานอนหนุนตักคนสูบบุหรี่บนโซฟา ปล่อยให้เรียวนิ้วนั้นไล้สางผมเขาไปเรื่อย

 

          “แล้วมึงจะเอาไงต่อ”

 

          “ไม่รู้ว่ะ กูไม่อยากฟ้อง” ดวงตาคมมองควันลอยอ้อยอิ่งจากปลายแท่งนิโคตินที่อีกฝ่ายคาบไว้ในปาก มันฟุ้งไร้ทิศทางเหมือนกับความคิดของเขาในตอนนี้ “ถ้าพ่อแม่ฟ้องแย่งลูกกัน มึงคิดว่าเด็กจะรู้สึกยังไงวะ กูไม่อยากให้เมษาโตขึ้นมากับเรื่องแบบนั้น”

 

          “...”

 

          “กูไม่อยากให้เขาจดจำภาพครอบครัวที่มีพ่อหรือแม่เลือนรางว่ะ”

 

 

 

          ค่ำคืนนั้นธีร์ไม่ได้กลับบ้านตัวเอง มื้อเย็นในบ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังนี้จึงย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนอีกครั้ง ในตอนที่มันมักจะมีคนสามคนอยู่เสมอ

 

          “สูงขึ้นอีกแล้วนะเรา” ธีร์ยังคงใส่ใจตักกับข้าวไปวางใส่จานให้เด็กชายเช่นเคย เขาไม่ได้เจอโชคมานานแล้ว แต่เพราะทุกวันนี้มีช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายขึ้น เขาเลยได้ติดตามการเติบโตของเด็กชายผ่านรูปภาพที่บังคับให้เพื่อนสนิทถ่ายส่งไปให้ดูอยู่เสมอ

 

          “ก็ผมจะสิบห้าแล้วนี่” โชคทำแก้มพอง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มตอบกลับไป “อาเถอะ ปีนี้สามจะสิบเจ็ดแล้ว ยังเหมือนเดิมอยู่เลย”

 

          “เหมือนตรงไหน อาว่าอาอ้วนขึ้นตั้งเยอะ”

 

          “ไม่เห็นอ้วนเลย พุงก็ไม่เห็นมี”

 

          “จริงเหรอ แสดงว่าอายังหล่ออยู่สินะ” พอถึงตรงนี้เด็กชายไม่ตอบ เม้มปากหรี่ตาทำหน้ากวนเพื่อหยอกอีกฝ่าย ธีร์หัวเราะร่วน แก้วเองก็ยิ้มตาม โชคโตขึ้นมาก นิสัยบางอย่างก็เปลี่ยนไปเช่นกัน อาจจะเพราะสังคมมัธยมที่มีคนหลากหลาย แถมกลุ่มเพื่อนเขาก็เป็นพวกตัวแสบ เด็กชายเลยซึมซับเอานิสันทะเล้นแบบนั้นมาด้วย

 

          โชคไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมทั้งๆ ที่เขากำลังมีความสุขกับมื้ออาหารที่ได้ทานพร้อมหน้าสามกันคนหลังจากที่ห่างหายไปนานเช่นนี้ แต่ข้าวในปากกลับกลืนลำบากกว่าที่เคย

 

          หน้าร้อนปีที่สิบสี่ โชคใช้มันไปกับการเฝ้ามองน้าแก้วที่เอาแต่รอคอยให้ใครบางคนปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู

 

 

 

TBC...

 

          อาธีร์กลับมาอีกแล้วค่าาาาาาา ค่าตัวถูกก็เลยโผล่มาบ่อยเหลือเกิน เพิ่งหายไปแปบๆ เอง 555555 แต่การกลับมาครั้งนี้จะเป็นยังไง เรื่องราว ความสัมพันธ์ของทั้งสามคนจะเป็นไปในทิศทางไหน ก็ฝากติดตามตอนต่อไปกันด้วยนะคะ

          ยังไงก็แวะไปคุยกันในทวิตเตอร์ #น้าแก้วของโชค กันได้นะคะ เงียบเหงามากเลย พอๆ กับยอดอ่านที่น้อยลงเรื่อยๆ  :hao5:

          แต่ถึงอย่างไรรีนก็จะพยายามฮึบแล้วเขียนจนจบให้ได้ค่ะ  o13


          ขอบคุณทุกคอมเม้นและการอ่านเสมอค่ะ

          เจอกันใหม่วันพฤหัสบดี

 



ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
งื้อออโชคคคค ได้แต่เฝ้ามองเขาคอยอีกคน  :mew2: ยังไงค่ะธีร์ ยึกๆยักๆ แก้วเลยต้องเป็นงึกๆงักๆไปด้วย มันเป็นบ่ซื่นบ่ซ่วง (ยังอึนๆ) 555555 แม้ฝนหยุดตก ท้องฟ้าก็ยังอึมครึมไม่สร่าง ไม่รู้ว่าวันแดดจ้า สดใสจะมาเมื่อไหร่ กับใจทั้งสามคน เราก็ได้แต่ตามต่อรอคอยเช่นกัน พักผ่อนเยอะๆนะน้าแก้ว โชคเป็นห่วงมากกว่าใดๆ จะเอายังไงไปทางไหนดี รอตอนหน้าพรุ่งนี้เลยจ้า มาต่อๆ ขำตอนที่บอก คู่หูที่คะแนนตีคู่กันมา 55555 อิ้งร่อแร่แบบนี้เลยได้เรียนพิเศษซะ 555  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 17

 

        เดือนกว่าแล้วนับจากวันที่ธีร์กลับมาพร้อมกับพายุฤดูร้อน หลังจากวันนั้นเจ้าตัวก็หายไปสักพักเพื่อจัดการเรื่องที่ค้างคา จนได้ข้อสรุปว่าชายหนุ่มกับภรรยาจะแยกกันอยู่โดยที่ยังไม่จดทะเบียนหย่า ธีร์สามารถไปหาลูกได้เสมอที่บ้านซึ่งตอนนี้เขายกให้เนตรกับเมษา โดยที่ตัวเขาย้ายกลับไปบ้านพ่อแม่ตัวเองแทน พอเคลียร์เรื่องทุกอย่างลงตัว แขกประจำก็แวะเวียนมาหายังบ้านไม้สองชั้นหลังนี้บ่อยครั้งจนเหมือนย้อนกลับไปวันเก่าๆ มันจึงเป็นภาพปกติที่เมื่อโชคกลับมาถึงบ้าน เขาจะเห็นอาธีร์นั่งเล่นกับมะลิอยู่ที่ตั่งไม้บนเฉลียง

 

        “วันนี้เป็นไงบ้างครับโชค” ธีร์เอ่ยทักถามถึงวันแรกของการเปิดเรียนชั้นมัธยมปีที่สองของเด็กชาย

 

        “ก็ดีครับ วันแรกยังไม่ค่อยได้เรียนเท่าไหร่” เด็กชายวางกระเป๋าพิงขาตั่งแล้วนั่งลงกับพื้นเพื่อเล่นกับแมวสาวบ้าง

 

        “ครั้งก่อนที่อาเห็นเราใส่ชุดนักเรียนยังเป็นชุดเด็กประถมอยู่เลยแท้ๆ แปบเดียวโตเป็นหนุ่มแล้วนะ” ฝ่ามือใหญ่เลื่อนวางลงบนศีรษะที่เคยเล็กกว่ามือเขา แต่ตอนนี้กลับใหญ่พอดีแล้ว

 

        “ผมเพิ่งม.สองเอง น้าแก้วบอกยังเด็กอยู่เลย” ประโยคหลังโชคลดระดับเสียงลงราวกับพึมพำกับตัวเอง ธีร์หัวเราะน้อยๆ กับท่าทางของอีกฝ่าย ขยี้หัวเด็กชายด้วยความมันเขี้ยว

 

        “เป็นเด็กอีกไม่นานหรอก เดี๋ยวก็โตทันอาแล้ว”

 

        “ถึงตอนนั้นอาก็แก่แล้วสิ”

 

        เสียงหัวเราะร่าเริงดังมาจากเฉลียง ปกคลุมบ้านทั้งหลังให้หวนกลับไปสู่วันเก่าๆ ในความทรงจำ เด็กชายเติบโตขึ้นมาก แต่โชคก็ยังเป็นเด็กน้อยคนเดิมที่ชื่นชอบและนับถือคุณอาคนโปรด ส่วนธีร์เองก็ยังคงเป็นชายคนนั้นที่ยังคงประดับด้วยรอยยิ้มและแววตาแสนอบอุ่น...


        อบอุ่นเสียจนโชครู้สึกร้อนในท้องอย่างบอกไม่ถูก

 

        “โชค” เจ้าของชื่อหลุดออกจากห้วงความคิดที่ฟุ้งกระจายสะเปะสะปะกลับมาหาต้นเสียงที่ยังคงรอยยิ้มเจิดจ้า

 

        “ครับ”

 

        “เหม่อๆ นะเรา คิดอะไรอยู่”

 

        “..ผมกำลังคิดว่าเย็นนี้จะทำอะไรกินดี” โชคตอบออกไปเสียงใส ทิ้งหัวลงไปพิงกับเข่าแข็งของคู่สนทนาขณะที่ยื่นมือไปเกาคอมะลิเล่นไปด้วย



 



        เมื่อเข้าสู่อาทิตย์ที่สามของเดือนมิถุนายน เด็กชายก็อายุครบสิบห้าปี งานเลี้ยงฉลองถูกจัดขึ้นที่หน้าทีวีเช่นเคย พิซซ่าถาดใหญ่กับไก่ทอด และสปาเก็ตตี้บนโต๊ะถูกจัดการเรียบในเวลาเพียงไม่นานนัก หลังจากนั้นเค้กครีมก้อนใหญ่กว่าของปีก่อนเล็กน้อยปักเทียนตัวเลขสิบหกที่มากกว่าอายุจริงไปหนึ่งปีก็ถูกนำออกมา เสียงร้องเพลงวันเกิดจากผู้ใหญ่ทั้งสองคนซ้อนทับกับคืนวันที่เด็กชายอายุแปดขวบ ในงานวันเกิดครั้งแรกของเขาที่มีอาธีร์เป็นนักร้องนำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง และน้าแก้วที่ร้องคลอตามเพียงแผ่วเบาด้วยแววตาอ่อนโยน

 

        “แฮปปี้เบิร์ตเดย์นะครับโชค” ของขวัญชิ้นแรกถูกส่งมาให้โดยคนตัวใหญ่ ถุงกระดาษสีเข้มถูกแกะออกดูของข้างในทันที

 

        “ขอบคุณครับอาธีร์” เด็กชายตาลุกวาวเมื่อเห็นของข้างใน ของขวัญจากอาธีร์ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังจริงๆ กล่องสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่กำลังฮิตกันในหมู่วัยรุ่น ซึ่งราคาไม่ได้เหมาะกับวัยรุ่นด้วยเลยสักนิดนอนนิ่งอยู่ก้นถุง โชครีบล้วงออกมาแกะดูข้างในอย่างตื่นเต้น

 

        “อาเลือกสีดำมาให้ ชอบรึเปล่า” เจ้าของของขวัญเท้าคางมองเด็กชายพร้อมรอยยิ้มกว้าง เอ่ยถามทั้งที่มั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องชอบมันแน่ๆ อยู่แล้ว

 

        “อื้ม ชอบครับ ขอบคุณนะครับอาธีร์” เด็กชายที่กลายเป็นเด็กหนุ่มแล้วยิ้มร่าตอบ จะสีอะไรเขาก็ชอบหมดนั่นแหละ ในเมื่อมันเป็นของที่เขาอยากได้ แต่ไม่เคยกล้าเอ่ยปากขอมาตลอดนี่

 

        โชคกำลังรื้อตัวเครื่องออกมาสำรวจดู แต่ไม่นานก็เก็บลงไปเช่นเดิมเมื่อคิดขึ้นได้ว่ายังมีอีกคนที่รอให้ของขวัญเขาอยู่ แก้วยิ้มบางเมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาสบตาตน ดวงตาคมคู่สวยทอประกายวิบวับด้วยคาดหวังเต็มเปี่ยม

 

        “ของฉันไม่ได้เว่อร์เท่าของธีร์หรอกนะ แต่คิดว่าเธอน่าจะได้ใช้” แก้วบอกขณะที่ยื่นถุงกระดาษใบใหญ่ข้ามโต๊ะไปให้เด็กหนุ่ม เขารู้ว่าสำหรับโชคแล้ว ไม่ว่าของที่ได้จะราคาถูกหรือแพงแค่ไหน โชคก็จะรักษาของทุกชิ้นที่ได้รับมาเป็นอย่างดีเท่ากันหมด และนั่นเป็นหนึ่งในข้อดีมากมายของเด็กชายที่เขาเลี้ยงมา “สุขสันต์วันเกิด”

 

        “ขอบคุณครับน้าแก้ว” คนที่ได้รับของขวัญไปกอดถุงใบใหญ่นั้นไว้แนบอก กล่าวขอบคุณด้วยเสียงสดใสเช่นเดียวกับสีหน้าตื่นเต้นดีใจเหมือนตอนเด็กไม่มีผิด โดยเฉพาะในดวงตาคู่นั้นที่ฉายแววออกมาอย่างซื่อตรง

 

        “เปิดดูก่อนสิ” แก้วเอนหลังพิงโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ เช่นเดียวกับธีร์ที่ขยับมานั่งข้างเพื่อนสนิทในท่าเดียวกัน

 

        “น้าแก้วให้อะไรมาผมก็ชอบหมดนั่นแหละ” โชคพึมพำขณะที่เปิดดูของข้างใน

 

        ของขวัญจากแก้วเป็นรองเท้ากีฬาแบรนด์ดัง แต่เป็นดีไซน์ที่เอาไว้ใส่แฟชั่นมากกว่าเล่นกีฬาจริงๆ สีที่ชายหนุ่มเลือกมานั้นก็เป็นสีพื้นที่ใส่ได้ง่ายในชีวิตประจำวัน เป็นของที่ใช้งานได้จริงที่ผ่านการคิดไตร่ตรองมาดีแล้ว โชคไม่ได้สนใจเรื่องแบรนด์รองเท้ามากนัก แต่เขาก็ชอบรองเท้าคู่นี้ เพราะมันสมกับเป็นของขวัญจากน้าแก้วดี

 

        “ชอบไหม”

 

        “ชอบครับ ชอบมากเลย”

 

        “ชอบก็ดีแล้วล่ะ”

 

        ภายในห้องนั่งเล่นของบ้านไม้สีขาวสองชั้นยังคงมีเสียงพูดคุยและเสียงโทรทัศน์ดังออกมาให้ได้ยินจนดึกดื่น หลังจากที่เด็กชายลองรองเท้าที่ได้จากน้าแก้วแล้ว ธีร์ก็ช่วยเอาโทรศัพท์เครื่องใหม่ของเด็กชายไปเสียบชาร์จแบตไว้ และเริ่มสอนวิธีใช้คร่าวๆ ให้จากเครื่องของตัวเองที่เป็นรุ่นเก่ากว่าเล็กน้อย แต่ฟังก์ชั่นส่วนใหญ่ยังคงเหมือนกัน

 

        เจ้าของบ้านหนุ่มยืนกอดอกพิงบานประตูหน้าบ้านอยู่ด้านนอก ปล่อยควันสีหม่นไหลผ่านริมฝีปากให้ลอยล่องไปในสายลมชื้นจากละอองฝนที่ตกเมื่อตอนเย็น ดวงตาสีเข้มจับจ้องภาพของชายสองคนในบ้านของเขาที่เคยเห็นอยู่เป็นประจำ แต่ก็ยังคงรู้สึกคิดถึงอย่างบอกไม่ถูก

 

        จะเป็นเพราะช่องว่างเกือบห้าปีนั้น ที่ทำให้เขารู้สึกว่าภาพตรงหน้าไม่ใช่ความจริง และหวาดกลัวว่ามันจะเป็นแค่ความฝันของเขาเอง

 

        ความรู้สึกสีควันบุหรี่อยู่กับแก้วไม่นานนักเมื่อมีสัมผัสอุ่นนุ่มคลอเคลียอยู่ที่เท้า

 

        “ว่าไงมะลิ” แก้วย่อตัวลงนั่งยองเพื่อลูบขนสวยของแมวสาวใหญ่ ดวงตาสีเขียวเหลืองจ้องสบกับเขาราวกับล่วงรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเจ้านาย “มาปลอบใจฉันเหรอ”

 

        เหมี๊ยว..

 

        แก้วคีบบุหรี่ไว้ในมือข้างที่รองคางตัวเอง ส่วนมืออีกข้างไล้ขนฟูจากลำคอขึ้นไปเกาคางให้แมวสาว ก่อนจะกระซิบออกมาแผ่วเบา “ขอบใจนะ”

 

 

 

        ห้าทุ่มกว่าแล้วในตอนที่พวกเขาเริ่มเก็บกวาด และเพราะวันถัดไปเป็นวันหยุด เด็กนักเรียนจึงไม่ได้ถูกไล่ให้รีบขึ้นไปนอนเหมือนวันปกติ เจ้าของบ้านรับหน้าที่เป็นคนรอล้างจานอยู่ในครัว โดยมีเพื่อนสนิทและเด็กหนุ่มเก็บรวบรวมถ้วยจานไปให้ จากนั้นทั้งสองคนก็กลับไปเก็บขยะเช็ดโต๊ะช่วยกันจนสะอาดหมดจรดพอดีกับที่แก้วล้างจานเสร็จ

 

        “โชค” เจ้าของชื่อชะงักเท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันได หันกลับมาสบตากับต้นเสียง

 

        “ครับน้าแก้ว”

 

        แก้วไม่ได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปทันที แต่กลับยืนมือไปวางบนศีรษะของเด็กหนุ่มที่สูงเกือบถึงปลายคางเขาแล้ว “โตขึ้นมากเลยนะ”

 

        “..ครับ” เสียงตอบรับนั้นเจือด้วยความงุนงงอยู่บ้าง แต่โชคก็ยังคงยิ้มกว้างให้ชายหนุ่ม เฝ้าจดจ้องเงาสะท้อนของตนบนนัยน์ตาสีเข้มที่ทอดมองมาอย่างเงียบงันจนเสี้ยวนาทีนั้นดูยาวนานกว่าความเป็นจริง

 

        “โชค” แก้วเรียกชื่อเขาซ้ำอีกครั้ง แววตาอ่อนโยนทอประกายเช่นเดียวกับรอยยิ้มบางและน้ำเสียงที่พูดออกมาอย่างหนักแน่นชัดเจน “เธออยากเป็นลูกฉันไหม”

 

        “...ครับ?” ครั้งนี้เสียงของโชคสูงขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถามมากกว่าตอบรับ เด็กหนุ่มรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะเพราะตามสิ่งที่คนตรงหน้าพูดไม่ทัน

 

        “อยากมาเป็นลูกฉันไหม” แก้วเอ่ยย้ำคำเดิมอีกครั้ง ก่อนจะอธิบายต่อเมื่อเด็กหนุ่มยังคงนิ่งงันคล้ายว่ายังไม่เข้าใจความหมายที่เขาถาม “ลูกบุญธรรมตามกฎหมายน่ะ เธอจะได้มีสิทธิ์ทุกอย่างเหมือนเป็นลูกแท้ๆ ของฉัน”

 

        ดวงตาใสซื่อของเจ้าหมากระพริบปริบๆ คล้ายกำลังประมวนผล แก้วไม่ได้เร่งเร้าเอาคำตอบทันที เช่นเดียวกับคนในห้องน้ำที่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดแต่ยังคงไม่ออกมาขัดจังหวะของเจ้าบ้านทั้งสอง มันเป็นเรื่องของแก้วและโชคที่ธีร์ไม่เกี่ยว ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างเพราะเพื่อนสนิทไม่เคยพูดเรื่องนี้มาก่อนเลยก็ตาม

 

        “เป็นลูกน้าแก้วเหรอครับ” โชคพึมพำกับคนตรงหน้า แต่ก็เหมือนพูดกับตัวเองลำพัง ในหัวของเด็กหนุ่มกับลังวิ่งวุ่น และเมื่อจับใจความได้แล้วใบหน้าครุ่นคิดเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้าง ริมฝีปากเผยออ้าออกเตรียมตอบกลับไปอย่างมั่นใจ

 

        “...” แต่สุดท้ายกลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดจากลำคอเด็กหนุ่มเลย ใบหน้าที่ฉีกยิ้มกว้างหม่นลงเมื่อหัวใจเขาตีความรู้สึกสวนทางกับสมอง

 

        “โชค?”

 

        “ทำไม...” โชคเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้ปกครองที่กำลังขออนุญาตเป็นพ่อเขาด้วยแววตาสับสน มีแต่คำถามว่าทำไมเต็มไปหมด แต่ไม่ใช่คำถามที่เขาอยากถามน้าแก้ว เขาอยากถามตัวเองมากกว่าว่าทำไม...

 

        ทำไมเขาถึงได้ลังเลที่จะตอบตกลง ทั้งที่หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงดีใจไปสามวันที่จะได้เป็นครอบครัวเดียวกับน้าแก้วจริงๆ เสียที

 

        ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเหมือนคนกำลังจมน้ำ มันอึดอัดจนหายใจไม่ออก และความปวดร้าวก็แล่นริ้วไปทั่วทั้งอกจนรู้สึกแสบตาไปหมด

 

        และทำไม..เขาถึงรู้สึกถึงคำตอบของคำถามทั้งหมดนั้นได้ชัดเจนขนาดนี้

 

        เขาไม่ได้อยากให้น้าแก้วเป็นพ่อของเขาอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาก็ไม่ได้อยากเป็นแค่ลูกของน้าแก้วเหมือนกัน
 


        “ทำไมอะไรเหรอ” แก้วถามถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกมาก่อนหน้านี้ มืออุ่นเลื่อนลงมาสัมผัสข้างลำคอคู่สนทนา เรียวนิ้วแตะผิวแก้มนุ่มที่มีรอยนูนจากสิวตามวัยอยู่ประปรายอย่างแผ่วเบา รอคอยให้ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นผ่อนคลายลงแล้วเอ่ยตอบกลับมา

 

        โชคหลุบตาลงเมื่อความคิดในหัวชัดเจนแล้ว เขาไม่กล้าสู้หน้าชายหนุ่มเพราะรู้สึกหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะล่วงรู้ว่าเบื้องหลังแววตาของเขาซุกซ่อนความรู้สึกแบบไหนเอาไว้อยู่ เด็กหนุ่มจึงได้แต่ถามคำถามที่โผล่เข้ามาในจังหวะนั้นออกไปแทน

 

        “ทำไมอยู่ๆ ถึงถามล่ะครับ”

 

        “อืม ก็ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ก็ถามหรอก ฉันคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนเข้าโรงพยาบาลแล้ว” ชายหนุ่มผละมือจากตัวเด็กหนุ่มแล้วเดินนำไปที่ห้องนั่งเล่นเป็นเชิงว่าเรื่องที่เขาจะพูดคงไม่เหมาะให้ยืนคุยกันที่หน้าบันไดสักเท่าไหร่ ระหว่างทางตอนผ่านหน้าห้องน้ำก็บังเอิญสบตากับคนข้างในที่เปิดประตูไว้อยู่แล้วเข้า ในแววตาของธีร์มันดูตัดพ้อและเต็มไปด้วยคำถาม แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา และไม่ได้เดินตามเข้าไปในห้องนั่งเล่นด้วย ชายร่างสูงทำเพียงแค่เดินสวนพวกเขาขึ้นไปชั้นสองของบ้าน โดยที่ยังไม่วายส่งฝ่ามือใหญ่มาขยี้หัวเด็กหนุ่มพร้อมรอยยิ้มที่ชวนให้รู้สึกปลอดภัยมาให้ด้วย

 

        ในห้องนั่งเล่นเงียบงันเมื่อเหลือเพียงเจ้าบ้านสองคน แก้วนั่งลงที่โซฟามุมประจำ ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังลังเลว่าควรนั่งตรงไหนดี

 

        “นั่งสิ” คนโตกว่าเป็นฝ่ายเอ่ยปาก ตบที่ว่างข้างตัวเพื่อเป็นสัญญาณให้เด็กหนุ่มนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน

 

        โชคนั่งลงที่สุดขอบโซฟาคนละฝั่งกับแก้ว ซุกมือลงตรงหว่างขา ไล้นิ้วสัมผัสกับวัสดุหุ้มหนังสีอ่อนอย่างทำตัวไม่ถูกนัก เป็นครั้งแรกเลยที่เขารู้สึกแบบนี้ และเด็กหนุ่มก็ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ที่ว่าเลยสักนิด

 

        “ตอนอยู่ที่โรงพยาบาล..” แก้วเริ่มพูดขึ้น เขาอยากสบตากับคู่สนทนา แต่ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการแบบเดียวกันในตอนนี้ "ตอนนั้นฉันเกิดกลัวขึ้นมาน่ะ ถ้าฉันไม่โชคดีแค่พักผ่อนน้อยจนเป็นลมไป แต่เป็นโรคร้ายแรง หรืออาจจะเกิดอุบัติเหตุแล้วฉันตายไปขึ้นมา ถึงตอนนั้นเธอจะอยู่ยังไง”

 

        “...เพราะเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันตามกฎหมายเลย” ฝ่ามืออุ่นที่คุ้นเคยวางลงในตำแหน่งเดิมเป็นครั้งที่นับพันนับหมื่น ลูบเรือนผมสั้นเกรียนอย่างอ่อนโยน “โชค ถ้าฉันตายไปตอนนี้ บ้านหลังนี้ เงินทั้งหมดที่ฉันมี ทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน มันจะไม่เหลืออะไรไว้ให้เธอเลย ฉันไม่อยากทิ้งเธอเอาไว้แบบนั้น อย่างน้อยฉันก็อยากเหลือสิ่งที่ฉันสร้างมาทั้งหมดนี้ไว้ให้กับเธอ”

 

        “..ทำไมน้าแก้วพูดเหมือนตัวเองกำลังจะตายแบบนี้ล่ะ” คนฟังที่เอาแต่เงียบพึมพำออกมาแผ่วเบา แต่ความขุ่นเคืองและสั่นเครือในน้ำเสียงกลับชัดเจน

 

        “ฉันแค่พูดเผื่อไว้ก่อน ความตายมันไม่ได้บอกเราล่วงหน้าหรอกนะโชค ถ้าวันนั้นมาถึงฉันอาจจะไม่มีโอกาสได้บอกลาเธอด้วยซ้ำ”

 

        “ผมไม่อยากให้น้าแก้วตาย”

 

        “ฉันก็ไม่อยากตายเหมือนกัน”

 

        “ผมไม่ชอบที่น้าแก้วพูดว่าตัวเองจะตายด้วย”

 

        “แต่สักวันคนเราต้องตาย เธอเองก็ด้วย”

 

        “ทำไมล่ะ” เด็กหนุ่มเสียงสั่น รอบดวงตาคู่สวยแดงเรื่อ ก่อนที่หยดน้ำจะรินไหลออกมา หยดแล้วหยดเล่า แต่ก็ยังไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ภาพของเด็กหนุ่มในวันนี้ซ้อนทับกับเด็กชายตัวเล็กที่กลั้นเสียงสะอื้นไห้เมื่อเก้าปีก่อนอย่างไม่ผิดเพี้ยน

 

        “นั่นสินะ” แก้วขยับเข้าไปโอบเด็กน้อยของเขาเข้ามาแนบอก ลูบแผ่นหลังสั่นเทาเพื่อปลอบโยน พอดีกับที่สายฝนทิ้งตัวลงมาจากหมู่เมฆสีดำ คำถามและคำตอบที่เหมือนจะเคยออกจากปากพวกเขามาแล้ว แต่ก็เนิ่นนานจนเลือนรางไปแล้วเช่นกัน

 

 

 

        โชคนอนมองเพดานห้องในความมืด มีเพียงแสงสลัวจากเครื่องปรับอากาศ และดวงดาวสีเขียวส่องแสงจางๆ ที่เขาและน้าแก้วเอามาแปะไว้เมื่อตอนที่เขาอายุได้สิบเอ็ดปี

 

        ‘เธอคงสับสนที่อยู่ๆ ฉันก็พูดเรื่องนี้ ขอโทษนะ แต่ที่ฉันมาถามเธอวันนี้ก็เพราะฉันอยากให้เธอตัดสินใจด้วยตัวเอง ไว้เอาไปคิดดูก่อนแล้วค่อยตอบก็ได้’

 

        น้าแก้วบอกกับเขาแบบนั้น เกือบสี่เดือนแล้วหลังจากที่ชายหนุ่มเข้าโรงพยาบาล ความคิดที่จะรับเด็กชายเป็นบุตรบุธรรมตามกฎหมายเขาก็ได้ตัดสินใจไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่เหตุผลที่เขารอจนถึงวันนี้ก็เพื่อให้เด็กหนุ่มมีสิทธิ์ตัดสินใจเอง เพื่อให้โชคได้มีสิทธิ์เซ็นเอกสารยินยอมด้วยตัวเองเมื่ออายุครบสิบห้าปี

 

        โชคพลิกตัวตะแคงมองชั้นหนังสือเตี้ยๆ ข้างเตียงนอน คว้าเอาสมุดภาพเล่มเก่าเก็บแต่ยังสภาพดีอยู่ออกมาเปิดดูซ้ำ เรื่องของวาฬสีน้ำเงินที่เขาชอบมากที่สุด และสิ่งที่เขาชอบมากกว่าเรื่องราวในนั้น ก็คงเป็นเสียงของน้าแก้วเวลาที่อ่านให้เขาฟัง ดวงตาสีเข้มจับจ้องตัวอักษรบนแผ่นกระดาษในช่วงแรกๆ แต่พอนานวันเข้าก็เริ่มละสายตาจากในนั้นหันมาสบตากับเขาเป็นระยะจนจบเรื่อง

 

        จากวันนั้นมันใช้เวลากี่ปีกันนะกว่าชายหนุ่มจะจำเรื่องราวของวาฬเจ้าสมุทรได้ขึ้นใจ แล้วมันกี่ปีแล้วกันนะที่เขาได้เฝ้ามองใบหน้าด้านข้างของชายคนนั้น

 

        จากเด็กชายจนกลายเป็นเด็กหนุ่ม โชคคิดว่ามันก็เป็นระยะเวลาที่นานพอดูเลยทีเดียว

 

        แต่ตอนไหนในระหว่างการเติบโตกัน ที่เขาไม่ได้มองอีกฝ่ายเป็นผู้ปกครองที่แสนดีอีกต่อไป เมื่อไหร่กันที่น้าแก้วไม่ได้เป็นแค่น้าคนโปรด แต่กลายมาเป็นคนโปรดของเขา

 

        และเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ภาพใบหน้าที่ถูกริ้วแสงตกกระทบใต้อุโมงค์อควาเรียมยักษ์ก็เด่นชัดขึ้นมาทันที ในตอนนั้นโชครู้สึกตัวชัดเจนว่าเขาตกหลุมรักเข้าแล้ว แต่เพิ่งจะมาตระหนักถึงความหมายของคำว่ารักที่แตกต่างไปจากเดิมได้เอาตอนนี้เอง

 

        ใบหน้าเด็กหนุ่มเห่อร้อนขึ้นมาทันที ความรู้สึกประหลาดวิ่งเต้นไปทั่วทุกส่วนราวกับไหลเวียนผ่านไปกับเส้นเลือด รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิดพร้อมกับหัวใจ

 

        เขินอาย ประหม่า และรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน

 

        เขาไม่ควรมีรู้สึกในเชิงนั้นให้กับน้าแก้ว ไม่ควรเลยจริงๆ

 

        โชคยกหมอนขึ้นปิดหน้า บดบังภาพเบื้องหน้าให้มืดสนิท เช่นเดียวกับที่ปิดซ่อนใบหน้าเขาไว้ไม่ให้ใครได้เห็น ความรู้สึกของเขาจะไม่ทำร้ายใครหากมันถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในที่ของมัน จนกว่าวันที่ความรู้สึกผิดที่ผิดทางนี้จะจางลงไปตามกาลเวลา จนกว่าวันที่เขาจะสามารถมองหน้าอีกฝ่ายได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจอีกต่อไปจะมาถึง

 

        จนกว่าจะถึงตอนนั้นเขาก็จะซ่อนมันเอาไว้ให้ลึกที่สุด

 

 

 

        “คุยกันเสร็จแล้วเหรอ” ร่างสูงใหญ่ของแขกประจำก้าวเข้ามาในเขตห้องนั่งเล่น แต่ไม่ได้ตรงไปทิ้งตัวลงนั่งข้างเพื่อนสนิทที่กำลังสูบบุหรี่อยู่อย่างที่เคย ธีร์ยืนพิงฉากไม้โปร่งที่ช่วยบังสายตาของคนในห้องนั่งเล่นกับบันไดออกจากกันด้วยท่าทางสบายๆ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับไม่สบายตามเลยสักนิด

 

        “อืม แต่โชคยังไม่ตอบหรอก” แก้วตอบพร้อมไอควันที่พรูออกมาพร้อมคำพูด

 

        “เริ่มเข้าวัยนั้นแล้วก็คงต้องใช้เวลาหน่อย” ธีร์บอกยิ้มๆ แต่แก้วกลับไม่รู้สึกชอบรอยยิ้มแบบนั้นของอีกฝ่ายเลย

 

        “ธีร์”

 

        “หืม”

 

        “เป็นอะไร”

 

        “ไม่รู้สิ” คำตอบไม่ช่วยให้คิ้วที่ขมวดมุ่นของเจ้าของคำถามคลายลงแม้แต่น้อย ธีร์เม้มปากครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “อาจจะน้อยใจ แล้วก็หงุดหงิดนิดหน่อย”

 

        “ที่กูไม่ปรึกษามึงเรื่องนี้น่ะเหรอ”

 

        “เปล่า ไม่เกี่ยวกันเลย” เพราะเสียงของแก้วเริ่มจะแข็งกร้าวขึ้นอย่างหาได้ยาก ธีร์เลยยอมข่มอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเองแล้วตอบเสียงอ่อนลง ขยับกายเข้าไปนั่งลงข้างๆ คว้าเอามือข้างที่ว่างของอีกคนมากุมไว้หลวมๆ “เรื่องของมึงกับโชคเป็นเรื่องของมึงกับโชค กูเข้าใจว่าทำไมมึงถึงตัดสินใจไปแบบนั้น แล้วต่อให้กูไม่เข้าใจ กูก็รู้ว่ามึงคิดมาดีแล้ว”

 

        แก้วไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรอีก เมื่อไหล่ถูกคนตัวใหญ่โถมน้ำหนักทิ้งหัวลงมาซบอิงเอาไว้ มือเรียวยื่นบุหรี่ไปขยี้ลงบนที่เขี่ย ก่อนจะย้อนกลับมาโอบกอดแผ่นหลังของคนตรงหน้า เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าธีร์หมายถึงเรื่องไหน และใจเย็นมากพอที่จะรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากออกมาเอง

 

        “มึงเข้าโรงพยาบาลตอนไหน”

 

        “กุมภา”

 

        “ทำไมกูไม่รู้เรื่องเลย”

 

        “กูไม่ได้บอกมึง”

 

        “แล้วทำไมถึงไม่บอก”

 

        “กูไม่ได้เป็นไรมาก แค่เป็นลมเพราะช่วงนั้นอดนอนติดกันเฉยๆ”

 

        “แก้ว” ไอร้อนของลมหายใจที่ทอดถอนออกมาจากปลายจมูกลามเลียผิวอ่อนตรงลำคอเจ้าของชื่อ ธีร์ผละถอยไปให้ไกลพอที่จะสบตากันได้ชัดเจน “โทรหากู”

 

        “...”

 

        “ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กแค่ไหน โทรหากูนะ”

 

        “กูไม่ได้เป็น...”

 

        “ขอร้อง” เพราะเสียงของธีร์ชัดเจนหนักแน่น แต่ก็สั่นเครือด้วยอารมณ์มากมายในนั้น แก้วเลยได้แต่ทิ้งหัวลงไปแนบหน้าผากกับแผ่นอกอุ่น ปล่อยตัวเองไว้ในอ้อมกอดที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยมากกว่าที่ใดบนโลกใบนี้

 

        และเพราะเป็นผู้ชายคนนี้ แก้วถึงปฏิเสธไม่ได้เลย

 

        “อืม ไว้จะโทร”

 

 

 

        โชคนั่งอยู่บนขั้นบันได เอนหัวพิงราวไม้อย่างเลื่อนลอย เขาตั้งใจจะลงไปหาอะไรดื่มเพื่อให้ลำคอที่แห้งผากชื้นขึ้นสักหน่อย แต่บังเอิญได้ยินบทสนทนาของผู้ใหญ่สองคนที่ไม่น่าเข้าไปรบกวนพอดีเลยได้แต่นั่งรออยู่อย่างนั้น และเพราะฉากไม้โปร่งที่กั้นบังสายตาของคนในห้องนั่งเล่นไม่ได้บังสายตาของคนอีกฝั่ง เขาจึงมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน

 

        น้าแก้วที่อยู่ในอ้อมกอดของอาธีร์ ดูผ่อนคลายกว่าเวลาที่อยู่ในอ้อมแขนเล็กๆ ของเด็กชายและแมวตัวจ้อยในวันหลังคืนพายุโหมนัก เช่นเดียวกับที่ในดวงตาสีเข้มยามสะท้อนภาพชายคนนั้น ที่มันช่างหวามไหวและเปี่ยมรัก

 

        รัก...ในแบบที่แตกต่างจากความรักที่เขามีให้เด็กหนุ่มอย่างสิ้นเชิง

 

        และโชคก็รู้ดี ว่าที่ตรงนั้นจะไม่มีวันเป็นของเขา ในหัวใจของแก้วจะเป็นที่ของธีร์ตลอดไป

 

        โชคหลับตาลง เมื่อก่อนเขาชอบเวลาที่ได้เห็นสองคนนั้นอยู่ด้วยกัน เพราะมันจะมีความสุขลอยฟุ้งอยู่ในอากาศอย่างบอกไม่ถูก น้าแก้วของเขาจะดูมีความสุขเสมอเมื่อมีอีกคนอยู่ใกล้ๆ แต่ตอนนี้เขากลับไปไม่ชอบมันเลย ไม่อยากเห็นเลย ไม่อยากรับรู้เลย เพราะมันทำให้หัวใจของเขา...เจ็บ

 

        ในขณะที่ความคิดในหัวกำลังก่อร่างขึ้นมาอย่างบิดเบี้ยว ก้อนขนอุ่นนุ่มก็แทรกตัวขึ้นมาบนตัก มะลิซุกตัวเข้าหาเด็กชายของเธอ ถูไถใบหน้าเรียวเล็กเข้ากับท่อนแขนมนุษย์อย่างออดอ้อน

 

        โชคก้มลงมองแมวสาวตัวโตที่อ้าปากหาววอด ลูบสัมผัสกับขนอ่อนนุ่มและอุ่นร้อนจากอุณหภูมิของสัตว์เลือดอุ่น

 

        “มะลิ” เด็กหนุ่มซุกหน้าเข้ากับแมวเหมียวในอ้อมกอด พึมพำกระซิบอู้อี้แผ่วเบาถึงสิ่งที่อยู่ในหัวให้อีกฝ่ายช่วยรับฟัง “ฉันชอบน้าแก้ว ชอบมากจริงๆ นะ”

 

        และก็เพราะว่าชอบมากเหลือเกิน เขาจึงจะยอมเป็นในสิ่งที่เขาได้รับอนุญาตให้เป็น เพื่อที่อย่างน้อยมันจะยังคงมีบางสิ่งผูกโยงเขากับน้าแก้วไว้ด้วยกันอยู่บ้าง...

 

 

 

        “ผมอยากเป็นครอบครัวเดียวกับน้าแก้วนะ” นั่นคือสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกไปในลานอิฐที่มีดอกแก้วสีขาวโปรยลงสู่พื้นที่ยังคงเหลือร่องรอยความชุ่มฉ่ำของหยาดฝน แสงแรกของวันส่องลงมาไล่ไอหมอกแต่ยังไม่ทำให้รู้สึกร้อนสักเท่าไหร่

 

        “งั้นเหรอ” รอยยิ้มที่ฉาบด้วยแววของความดีใจส่องผ่านดวงตา สว่างจ้าและอบอุ่นกว่าแสงอาทิตย์ในความรู้สึกของคนที่มองอยู่ “ฉันดีใจนะ”

 

        “อื้ม ผมก็ดีใจ” ที่จะได้อยู่เคียงข้างน้าแก้ว ...ไม่ว่าจะในสถานะอะไรก็ตาม

 

        วันนั้นเป็นวันหนึ่งกลางฤดูฝนที่ท้องฟ้าแจ่มใส และไม่มีฝนตกลงมาเลย

 

 

 

 

TBC...

        อาธีร์กลับมาแบบเต็มตัวแล้ววว น้องโชคก็กลายเป็นลูกชายโซนของน้าแก้วเต็มตัวแล้วเหมือนกัน หนทางยังอีกยาวไกลเลยล่ะค่ะ  :z3: แต่อย่าเพิ่งเบื่อกันเลยนะคะ อยู่ด้วยกันไปนานๆ น้า  :mew1:


        ปล.อย่าลืมช่วยกันติดตาม ผลักดัน และสนับสนุน #สมรสเท่าเทียม ให้เกิดขึ้นจริงในสังคมไทยด้วยนะคะ เพราะนี่เป็นเรื่องสิทธิพื้นฐานที่ทุกคนควรจะได้รับอยู่แล้ว และมันส่งผลต่อชาว LGBTQ+ โดยตรงจริงๆ เพราะเหมือนกับที่น้าแก้วบอกกับโชค ว่าเพราะไม่มีความเกี่ยวพันธ์กันทางกฎหมาย ทรัพสินย์ทั้งหมด หรืออำนาจการตัดสินใจทางการแพทย์และเรื่องอื่นๆ ทางกฎหมายอีกมากมายก็ทำให้พวกเขาไม่สามารถตัดสินใจร่วมกันหรือตัดสินใจแทนกันได้ ทั้งที่ใช้ชีวิตร่วมกันแท้ๆ เช่นนั้นแล้วก็อย่าลืมช่วยกันเป็นเสียงเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยนะคะ

        รีนเองก็ตั้งใจจะกล่าวถึงประเด็นนี้ในนิยายเรื่องนี้ โดยหวังว่าจะช่วยให้กลุ่มคนที่ได้อ่านตระหนักถึงประเด็นนี้ขึ้นมาไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว และในตอนนี้ก็พอดีกับที่มีโซเชี่ยลมูฟเม้นในเรื่องนี้พอดีเลย อย่างไรก็ขอฝากไว้ด้วยนะคะ มาช่วยกันทำให้โลกใบนี้สวยงามมากขึ้นสำหรับทุกคนกันเถอะค่ะ  o13
 

        ขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกกำลังใจ และการอ่านเสมอค่ะ

 

        See you on Thursday เจอกันวันพฤหัสบดีหน้าค่า!!


ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โฮรรรอกหักแทนโชค  :hao5: โชคเข้าใจความรู้สึกตัวเองชัดเจนแล้ว และที่กำลังทำอยู่นี้สื่อถึงรักบริสุทธิ์ รักที่เสียสละไม่ใช่การอยากครอบครอง มีแต่ความหวังดี เมื่อเห็นแล้วว่าไม่มีทางที่จะได้รับรักแบบเดียวกันตอบกลับมา ก็ให้น้าแก้วมีความสุขกับน้าธีร์ไป จะไม่ทำให้อึดอัด จะเก็บห้วงรักนี้ไว้ในซอกหลึบของหัวใจเพียงคนเดียว  :mew4: เข้าใจความรู้สึกของโชคเลย และก็เข้าใจน้าแก้วด้วย มันก็จริงหากน้าแก้วเป็นไรไป มันก็จะยากหากโชคไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทางกฎหมาย ก็เลยต้องออกมาในรูปแบบนี้ ก็ถือว่าโอเค เข้าใจโชคเข้าใจน้าแก้วแต่ไม่เข้าใจอาธีร์เลย ต้องการอะไรคะ ถึงมาตัดพ้อน้อยใจเขา 555 สรุปแล้วคือ แก้วธีร์ สินะ  :กอด1: 5555 ขอบคุณนะคะที่มาอัพต่อตามนัด รอตอนหน้าเลยค่ะ เป็นกำลังใจในการแต่งทุกๆตอน รอลุ้น จะเป็นยังไงต่อไปกับเส้นทางรักของแต่ละคน อย่าหักโหมในการแต่งนิยายมากนะคะ พักผ่อนเยอะๆ  :กอด1: :pig4: :pig4: :pig4:

กับลังวิ่งวุ่น=กำลังวิ่งวุ่น

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 18

 

       ปลายเดือนกันยายน ในคืนที่ฝนตกลงมาตอนหัวค่ำหลังจากกลางวันที่ร้อนอบอ้าว โชคตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะเสียงกวักประตูของแมวสาวที่กำลังหาที่กำบังจากเสียงฟ้าร้องดังลั่น เขาเปิดให้มะลิเข้ามาในห้อง บานหน้าต่างสุดทางเดินนั้นถูกปิดสนิท โถงที่ทอดยาวไปถึงบันไดจึงเห็นเพียงเลือนรางในความมืด แต่เด็กหนุ่มก็รับรู้ถึงตำแหน่งของประตูห้องนอนอีกห้องได้อย่างชัดเจน

 

       และค่ำคืนนี้ข้างในห้องนั้นไม่ได้มีน้าแก้วเพียงลำพัง

 

       เสียงอื้ออึงของสายฝนดังระงมกลบเสียงที่มักจะเล็ดลอดออกมาจากห้องนอนใหญ่ในคืนที่มีแขก เสียงพูดคุยที่เจือด้วยเสียงหัวเราะแผ่วเบา เสียงกระซิบกระซาบฟังไม่ได้ศัพท์แต่ก็รับรู้ได้ถึงความอ่อนหวานจับใจ และบางครั้งก็เป็นเสียงครางเครือแหบแห้ง

 

       เด็กหนุ่มละสายตาจากบานประตูในความมืดมิด กลับเข้ามาทิ้งตัวลงบนเตียงในห้องของตัวเอง หมอนใบที่เขามักใช้หนุนนอนทางฝั่งที่ติดกำแพงถูกยึดไปโดยแมวสาวตัวใหญ่ โชคเลยต้องซุกหัวลงบนหมอนอีกใบที่มีกลิ่นของใครอีกคนติดอยู่จางๆ

 

       เนิ่นนานแค่ไหนแล้วไม่รู้ที่ไม่มีคนมาส่งเขาเข้านอน ปลอกหมอนก็ถูกซักเปลี่ยนใหม่แทบทุกเดือน แต่กลิ่นอายเลือนรางของน้าแก้วยังคงอยู่ ติดอยู่ที่ปลายจมูกและในห้วงความทรงจำอย่างชัดเจน

 

       เด็กหนุ่มหลับตาลง พยายามบังคับตัวเองให้จมดิ่งลงสู่ห้วงนิทราเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องคิดถึงอะไรอีก

 

       เพราะโชคเติบโตมากพอที่จะรู้แล้วว่าหลังบานประตูที่ปิดสนิทนั้นมีอะไรเกิดขึ้นได้บ้าง

 




 

       “กลับยังโชค” เด็กชายหน้าตาน่ารักรูปร่างผอมบางเดินเข้ามาหาเพื่อนสนิทที่ข้างสนามหลังจากที่เตะบอลจนเหงื่อชุ่มเสื้อนักเรียนไปหมด มิกซ์ยังคงตัวเล็กเหมือนเดิม แต่ใจก็ยังใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง เอ่ยถามเด็กหนุ่มที่อายุนำหน้าเขาไปเกือบรอบปีแต่เรียนชั้นเดียวกันมาตั้งแต่ประถม

 

       “อือ ไปดิ” โชคคว้ากระเป๋าสองใบบนโต๊ะม้าหินอ่อนติดมือมาด้วยระหว่างที่ออกเดินไปพร้อมกับเพื่อนรักที่ตัวเล็กกว่าเขาอยู่พอสมควร พอมิกซ์เช็ดเหงื่อที่ไหลตามกรอบหน้าและลำคอออกเรียบร้อยแล้วค่อยยื่นกระเป๋าเป้คืนให้เจ้าของ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ความสูงของเขาเพิ่มขึ้นจนทิ้งห่างกันมากมายขนาดนี้

 

       “เป็นไรอะ”

 

       “อะไรเหรอ” โชคหันไปสบตากับเพื่อนตัวเล็กที่อยู่ๆ ก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยขณะที่เดินไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก

 

       “มึงดู.. ไม่ค่อยมีความสุข” มิกซ์เอียงคอมองช้อนขึ้นมาจากองศาที่ต่ำกว่าเมื่อทั้งคู่หยุดรอสัญญาณไฟข้ามถนน ดวงตากลมโตคู่สวยจ้องสบค้นหาความขุ่นมัวที่ซ่อนอยู่หลังแววตาของเด็กหนุ่ม เขาเป็นเพื่อนกับโชคมานานมากพอที่จะสามารถพูดได้เต็มปากว่าหากเพื่อนของเขาแปลกไป แม้จะเล็กน้อยแค่ไหน เขาก็รู้สึกได้

 

       “ไม่นี่ ไม่ได้เป็นไร”

 

       “เหรอ”

 

       “อือ”

 

       “เหรอ”

 

       “อืม”

 

       “เหรอ”

 

       “เราดูไม่มีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอ” หลังจากถูกย้ำด้วยน้ำเสียงกดดันซ้ำๆ โชคก็เอ่ยถามออกมาอย่างยอมจำนนต่อคำกล่าวหาของเพื่อน

 

       “ไม่หรอก ไม่ขนาดนั้น” มิกซ์เว้นช่วงไปเมื่อไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดงบอกให้รถหยุด ก้าวนำอีกคนข้ามทางม้าลายไปจนถึงอีกฝั่งถนนแล้วจึงค่อยพูดต่อ “มึงดูไม่มีความสุขแค่นิดหน่อย แต่กูแค่รู้ว่ามึงไม่ปกติมากๆ”

 

       “ยังไง” โชคถามอย่างงุนงงกับคำตอบที่ได้รับ

 

       “ทะเลาะกับน้าแก้วมาเหรอ” คนตัวเล็กกว่าไม่ได้ตอบแต่ย้อนถามกลับมา ในขณะที่พวกเขาก้าวขาเหยียบขั้นบันไดที่เลื่อนลงไปสู่ชั้นใต้ดินที่แอร์เย็นเฉียบจนโชครู้สึกสะท้านวูบในอก ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะอุณหภูมิที่ลดต่ำฉับพลัน หรือเป็นเพราะคำถามของมิกซ์กันแน่

 

       “เปล่า ไม่ได้ทะเลาะ”

 

       “หรือทะเลาะกับอาธีร์?”

 

       “ไม่ ไม่ใช่” โชคพึมพำแผ่วเบาเมื่อพวกเขาเคลื่อนตัวลงมาจนสุดทางเลื่อนหลุบตามองต่ำ รู้สึกเหมือนกำลังโกหกทั้งที่ก็พูดความจริงแท้ๆ

 

       “เหรอ” คราวนี้น้ำเสียงที่ตอบกลับมาไม่ได้คาดคั้นเหมือนอย่างครั้งก่อน มิกซ์พยักหน้าเหมือนรับรู้แต่ไม่ได้ใส่ใจนัก แล้วบทสนทนาหลังจากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น การ์ตูน เกม ดินฟ้าอากาศ จนกระทั่งพวกเขามาถึงสถานีจุดหมาย ต่อรถเมล์ประจำทางที่จะผ่านซอยบ้านของมิกซ์ก่อนจะถึงหน้าทางเข้าหมู่บ้านของโชค ซึ่งตั้งแต่ที่เด็กๆ เข้าสู่เทอมสองของชั้นมัธยมปีแรก ผู้ปกครองสองบ้านก็เลิกไปรับไปส่งทำให้พวกเขาก็ต้องเดินทางกันเองอย่างนี้เป็นจนกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว

 

       “บาย” โชคบอกลาเพื่อนสนิทพลางขยับขาเพื่อให้คนที่นั่งติดหน้าต่างออกได้สะดวก แต่มิกซ์กลับไม่ยอมเดินออกไปสักทีทั้งที่ใกล้จะถึงจุดลงแล้ว “มิกซ์?”

 

       “ปะ ลงเล่นบ้านกูก่อน” โชคเงยหน้าขึ้นสบกับแววตาที่จ้องมองมา มันใสกระจ่างและเต็มไปด้วยความเข้าใจในตัวเขาอย่างลึกซึ้ง “ยังไม่อยากกลับบ้านไม่ใช่รึไง”

 

       “เดี๋ยว..” ยังไม่ทันได้ตอบตกลง โชคก็ถูกอีกคนลากจูงลงรถไปด้วยแล้ว

 

       ที่ป้ายรถเมล์เก่าสภาพตามอายุการใช้งาน เด็กชั้นม.ต้นสองคนยืนมองรถโดยสารประจำทางสีแดงแล่นห่างออกไปด้วยความเร็วที่ไม่ได้เหมาะกับสภาพจราจรของเมืองหลวงแห่งนี้นัก

 

       “แล้วเราจะกลับยังไง” เด็กตัวสูงถาม

 

       “เดี๋ยวให้แม่ไปส่ง” และเด็กตัวเล็กกว่าก็ตอบอย่างสบายๆ พร้อมรอยยิ้มกว้าง โชคเลยได้แต่กดพิมพ์ข้อความส่งไปบอกน้าแก้วว่าตัวเองจะกลับช้าพร้อมกับคิดเมนูอาหารเย็นไปด้วย

 

       เด็กสองคนที่เติบโตผ่านวัยเด็กมาด้วยกันเดินเคียงไหล่ไปตามทางที่คุ้นเคย พูดคุยเรื่องไร้สาระเรื่อยเปื่อยในแสงอาทิตย์ยามเย็นที่ย้อมให้ทุกสิ่งเป็นสีของมัน

 

       นั่นเป็นครั้งแรกที่โชคกลับบ้านช้าโดยที่ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรทั้งนั้น

 



 

       กลางเดือนตุลาคมที่ละอองฝนหลอมรวมกับไอหนาว แก้วก็อายุสามสิบแปดปีเต็ม งานวันเกิดเล็กๆ จัดขึ้นตรงที่ประจำในห้องนั่งเล่น เค้กช็อกโกแลตสั่งทำพิเศษให้หวานน้อยกว่าปกติถูกตัดแบ่งหลังเจ้าของวันเกิดเป่าเทียนแล้ว เสียงพูดคุยเคล้าเสียงโทรทัศน์ ของขวัญจากเพื่อนสนิทและเด็กหนุ่มถูกยื่นส่งให้พร้อมกับคำอวยพร

 

       “แฮปปี้เบิร์ตเดย์นะ”

 

       “สุขสันต์วันเกิดครับ”

 

       “ขอบใจ” เจ้าของวันเกิดระบายยิ้มบางพร้อมกับดวงตาสีเข้มที่ทอประกายอ่อนโยน แล้วโชคก็จมลงไปในภาพตรงหน้านั้น เนิ่นนานจนคนถูกมองหันมาสบตาเข้าถึงค่อยรู้สึกตัวแล้วฉีกยิ้มกว้างกลบเกลื่อนความวูบโหวงในหัวใจ

 

       น้าแก้วของเขาไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดในสายตาของเจ้าตัว

 

       เช่นเดียวกับแววตาที่ทอดมองไปยังชายอีกคน...ที่มันไม่เคยแปรเปลี่ยนไปเลย

 

       แม้ว่ารุ่งสางของค่ำคืนนี้เมื่อห้าปีก่อน หัวใจของชายหนุ่มนั้นจะพังยับเยินมากแค่ไหนก็ตาม มันก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

 

       เด็กหนุ่มเบนสายตาหนีเมื่อธีร์วาดแขนขึ้นพาดโซฟาด้านหลังของแก้วจนดูคล้ายว่าเจ้าตัวกำลังโอบกอดชายหนุ่มอยู่ โชครู้ว่ามันดูไร้สาระที่เขาเพิ่งจะมารู้สึกไม่ชอบใจกับความสนิทสนมที่ดูคุ้นเคยกันดีของสองคนนี้ เพราะทุกการวางสัมผัสลงบนร่างกายของกันและกันของคนทั้งสองที่ดูนุ่มนวลและเป็นธรรมชาติราวกับเคยเกิดมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วแบบนั้น ทั้งที่มันก็ไม่ได้ดูประเจิดประเจ้ออะไรเลยแท้ๆ แต่เขาก็ยังรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

 

       โชคเลยได้แต่มองออกไปยังไฟนีออนบนเสาหน้าบ้านผ่านมุ้งลวดหน้าต่าง ก้อนแสงสีขาวสว่างฟุ้งเป็นดวงในม่านฝนจนรู้สึกตาพร่าเมื่อจ้องมองนานๆ ที่ตรงนั้น ใต้เสาไฟข้างถังขยะสีเหลืองในคืนฝนตก...

 

       ถ้าเขาได้เจอกับน้าแก้วเร็วกว่านี้สักสิบยี่สิบปี เขาจะสามารถแทนที่อาธีร์ได้รึเปล่านะ

 

       แต่ก็เพราะมันเป็นความคิดเรื่อยเปื่อยที่ไม่อาจเป็นจริง เด็กหนุ่มเลยปัดมันทิ้งไป แล้วเบนสายตากลับมานั่งเท้าคางมองใบหน้าเปี่ยมสุขของผู้ใหญ่สองคนตรงหน้า ส่งยิ้มฝาดเฝื่อนให้เวลาที่ใครสักคนหันมาสบตา

 

       เขายังคงชอบน้าแก้วกับอาธีร์เหมือนเดิม แต่ไม่ชอบเลยจริงๆ เวลาที่สองคนนี้อยู่ด้วยกัน

 



 

       ปลายเดือนธันวาเป็นช่วงที่หนาวที่สุดของปี และคริสต์มาสก็เวียนมาถึงอีกครั้ง

 

       ในห้องนั่งเล่นที่ถูกตกแต่งด้วยสายรุ้งวิววับและต้นคริสต์มาสประดับประดาด้วยไฟหลากสี บรรยากาศเดิมๆ เหมือนกับปีก่อน เพียงแต่ค่ำคืนนี้ซานตาคลอสหนุ่มของพวกเขากลับมาแล้ว แม้จะไม่ได้ใส่ชุดสีแดงและแบกถุงของขวัญเหมือนอย่างเคย แต่ธีร์ก็ยังคงพกพาความสุขติดตัวมาสู่บ้านหลังนี้ด้วยเสมอ

 

       และความสุขนั้นก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนบนใบหน้าของเจ้าของบ้าน

 

       “วันนี้กินข้าวน้อยจังเลยนะ” ธีร์ถามขึ้นขณะที่เขากับเด็กหนุ่มกำลังต่อเครื่องเล่นวิดีโอเกมเข้ากับจอทีวีสี่สิบนิ้วที่เพิ่งซื้อมาเปลี่ยนแทนที่เครื่องเก่าที่สายช็อตดับไปไม่กี่สัปดาห์ก่อน เมื่อในระหว่างมื้อค่ำเขาเห็นโชคเอาแต่เขี่ยอาหารในจานไปมาทั้งที่เพิ่งกินไปได้ไม่ถึงครึ่ง

 

       คนถูกทักประหลาดใจนิดหน่อยที่ธีร์สังเกตเห็นเรื่องเล็กน้อยแบบนั้น แต่เมื่อมาคิดดูอีกทีมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ในเมื่ออาธีร์ก็เป็นอย่างนี้มาตลอดอยู่แล้ว ทั้งสว่างไสวและเอาใจใส่ผู้คนรอบตัวอยู่เสมอ เหมือนกับดวงอาทิตย์สีทองที่กลางฟ้า ส่องประกายเจิดจ้าเสียจน...น่าอิจฉา

 

       “ก็เมื่อตอนเลิกเรียนผมกับเพื่อนไปกินก๋วยเตี๋ยวกันมาแล้วรอบนึง เลยไม่ค่อยหิวอะครับ” โชคเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มพลางระบายยิ้มกลบเกลื่อนความผิดปกติของตัวเอง

 

       “งั้นเหรอ งั้นถ้ากินไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนหรอก แต่วัยกำลังโตอย่างเราต้องกินให้อิ่มนะรู้ไหม” คุณอาวัยใกล้เลขสี่ไม่ได้คาดคั้นอะไรต่ออีก เพียงแค่ส่งยิ้มอบอุ่นและแววตาห่วงใยเช่นเดียวกับวันแรกที่ได้เจอกันมาให้เขาอย่างอ่อนโยน

 

       “ครับ” เด็กหนุ่มรับคำด้วยรอยยิ้ม ทว่ามันไม่ได้เป็นรอยยิ้มซื่อตรงอย่างที่เด็กชายตัวน้อยเคยมีให้กับชายหนุ่มในวันวาน แต่เป็นรอยยิ้มที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่สับสนซ้อนทับกันอยู่ มันมีทั้งความใสซื่อและจริงใจ แต่ก็ฝืดฝืนและขุ่นเคืองในเวลาเดียวกัน

 

       ระยะห่างและรอยร้าวค่อยๆ ก่อตัวขึ้นบนความสัมพันธ์อย่างเงียบงัน ในค่ำคืนหนึ่งกลางฤดูหนาวแสนสงบ ท่ามกลางแสงไฟหลากสีที่กระพริบเป็นจังหวะในห้องนั่งเล่นของบ้านไม้สีขาว ซึ่งอบอวลไปด้วยไออุ่นอันเหน็บหนาว

 



 

       แก้วเกิดในช่วงต้นของหน้าหนาว ในขณะที่ธีร์เกิดในตอนปลายของฤดูกาล...เดือนกุมภาพันธ์ วันที่สิบ

 

       แก้วกับโชคไม่เคยได้จัดงานวันเกิดให้กับธีร์เพราะเจ้าตัวมักจะกลับไปใช้เวลากับพ่อแม่เสมอ ทุกปีจึงมีเพียงโทรศัพท์หนึ่งสายจากคนสองคนต่อตรงไปอวยพรกับของขวัญที่ให้ย้อนหลังเท่านั้น แต่ไม่ใช่ปีนี้ ในวันเกิดอายุครบสามสิบแปดปี หลังจากช่วงเช้าที่ใช้ไปกับบุพารีที่บ้านแล้ว ตอนบ่ายนิดๆ ร่างสูงใหญ่ก็กลับมาโผล่ที่หน้ารั้วไม้สีขาวพร้อมกับเด็กชายตัวเล็กในอ้อมแขน

 

       “สวัสดีครับรึยังครับคนเก่ง” ธีร์ในร่างคุณพ่อบอกลูกชายตัวเองให้ทักทายเจ้าของบ้านหนุ่มขณะปล่อยให้ลงเดินเองเมื่อมาถึงเฉลียง

 

       “สะหวัดดีคับ” เด็กน้อยยกมือไหว้พร้อมกับพูดเสียงดังชัดเจนและแจกรอยยิ้มสดใสไปด้วย เมษาเป็นเด็กร่าเริง ไม่กลัวคนแปลกหน้าและกล้าแสดงออก ทำให้รู้ได้เลยว่าถูกเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรักและความเอาใจใส่ ถึงแม้ว่าธีร์กับเนตรจะแยกทางกันโดยพฤตินัยไปแล้ว แต่ทั้งคู่ก็ยังคงทำหน้าที่ของพ่อและแม่ได้เป็นอย่างดี

 

       “สวัสดีครับเมษา” แก้วยิ้มตอบ จ้องสบกับดวงตากลมโตใสแป๋วของลูกชายเพื่อนอย่างเอ็นดู ก่อนจะหันมาถามคนพ่อ “อายุเท่าไหร่แล้วนะ สาม? หรือสี่?”

 

       “เมษาอายุสามขวบแล้วคับ” เจ้าตัวเล็กเจื้อยแจ้วตอบแทนพ่อพร้อมกับชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้วประกอบคำตอบ

 

       “เมษานี้ก็สี่ปีเต็มแล้ว” ธีร์ช่วยขยายเพิ่มพลางใช้มือประคองแผ่นหลังเล็กให้ก้าวเดินตามเพื่อนสนิทตนเข้าไปในบ้าน

 

       “แล้ววันนี้ไม่กินข้าวกับแม่เหรอ” แก้วถามขึ้นเมื่อแขกของบ้านต่างจับจองพื้นที่ในห้องนั่งเล่นตามสะดวกกันแล้ว โดยที่มีเขานั่งบนโซฟาที่ประจำ ส่วนคุณพ่อตัวโตนั่งลงบนพื้นกระเบื้องเย็นฉ่ำเพื่อคอยดูลูกน้อยที่กำลังเดินสำรวจไปทั่ว

 

       “แม่บอกเบื่อหน้าแล้ว เจอกันทุกวัน” ธีร์ตอบตามความจริงที่มารดาสุดที่รักของเขาบอกทุกประการเรียกให้มุมปากคู่สนทนายกขึ้นน้อยๆ อย่างขบขัน ดวงตาสีเข้มที่มักจะเฉื่อยชาฉายแววซุกซนน้อยๆ ออกมา ก่อนที่ริมฝีปากจะขยับพูดเย้า

 

       “กูก็เบื่อแล้วเหมือนกันนะ”

 

       “อย่าพูดคำหยาบต่อหน้าเด็กสิ” ปะป๊าน้องเมษายกมือขึ้นปิดหูลูกชายพลางดุผู้ใหญ่ไม่รู้ความตรงหน้า แต่ทว่าน้ำเสียงกลับยียวนไร้ความจริงจัง ก่อนจะช้อนตาคมวาววับขึ้นมาสบกับคนที่นั่งสูงกว่าในองศาที่ดูออดอ้อนจนน่าหมั่นไส้ “แล้วแก้วเบื่อผมแล้วจริงๆ เหรอครับ”

 

       แก้วยังไม่ได้ตอบคำถามที่คำตอบมันแน่ชัดอยู่แล้ว เด็กชายตัวน้อยก็โผเข้าไปเกาะขาชายหนุ่มแปลกหน้าที่ดูคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูกคนนั้นเอาไว้แน่น ดวงตาใสซื่อจ้องมองเพื่อนสนิทของคุณพ่อไม่วางตาขณะเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล

 

       “ไม่ชอบปะป๊าธีร์เหรอคับ”

 

       “หืม” แก้วมองใบหน้าเล็กสลับกับผู้เป็นพ่อที่ยกยิ้มอย่างพึงพอใจกับคำถามของลูกชาย เมษาหน้าเหมือนเนตรที่เป็นแม่ แต่ดวงตากลับเหมือนของธีร์ไม่มีผิด ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าชายหนุ่มถูกดวงตาคมสวยสองคู่จับจ้อง หนึ่งแพรวพราววาววับแสนเจ้าเล่ห์ กับอีกหนึ่งที่รอคอยและคาดหวังอย่างซื่อตรง

 

       “ไม่ชอบปะป๊าของเมษาเหรอ” เจ้าตัวเล็กย้ำถามอย่างร้อนรน เด็กชายไม่อยากให้ใครเกลียดพ่อของเขา โดยเฉพาะคนตรงหน้า ถึงแม้เขาจะไม่ได้เข้าใจอะไรนักตามประสาเด็กหัดเดิน แต่เด็กน้อยก็รู้ว่าคนๆ นี้สำคัญกับปะป๊าของเขา เพราะว่าปะป๊าธีร์ยิ้ม

 

       ...ยิ้มที่ทั้งอบอุ่นแล้วก็ทำให้รู้สึกดีกว่ารอยยิ้มไหนๆ ยิ้มในแบบที่เมษาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

 

       “เปล่า ไม่ได้ไม่ชอบหรอกนะ” แก้วลูบหัวเด็กชายอย่างเอ็นดู ระบายยิ้มอ่อนโยนให้ก่อนจะโน้มตัวมากระซิบบอกบางอย่างเพียงแผ่วเบาที่ข้างหูเล็กให้รู้กันแค่สองคนเท่านั้น

 

       แต่ถึงจะไม่ได้ยินสิ่งที่แก้วบอกกับลูกชาย ธีร์ก็ยังคงระบายยิ้มขณะเฝ้ารอให้ดวงตาสีเข้มเหลือบมาสบกับตน และเมื่อแก้วเผลอสบเข้ากับแววตาวาบหวามลึกซึ้งที่รอคอยเขาอยู่ ความรู้สึกร้อนวูบก็แล่นไปทั่วอกจรดปลายนิ้วจนต้องเบนหน้าหลบเพื่อซ่อนสองแก้มที่กำลังแผดเผาตัวเองให้พ้นจากสายตาตัวต้นเหตุ

 

       เจ้าของแววตาหวานหยดหัวเราะในลำคอเมื่อโดนเจ้าของบ้านเมินหนี ธีร์รู้ว่าแก้วบอกอะไรกับเมษา ถึงจะไม่เคยได้ยินจากปากของเจ้าตัว เขาก็รู้ ...เพราะมันชัดเจนมาตั้งนานแล้ว และไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยตลอดยี่สิบปี

 

 

 

       บ่ายสามโมงโชคกลับมาจากเรียนพิเศษคณิตศาสตร์ที่ต้องไปประจำทุกวันเสาร์ เด็กหนุ่มแปลกใจที่แขกของบ้านวันนี้เป็นเด็กชายตัวน้อยที่กำลังนอนกอดมะลิแน่น ขณะที่ดูการ์ตูนในโทรทัศน์ด้วยตาปรือต่ำจนแทบจะปิดอยู่ข้างๆ เจ้าของบ้านหนุ่ม แทนที่จะเป็นแขกประจำตัวโตอย่างธีร์ที่ตอนนี้หายออกไปซื้อของข้างนอกอยู่ แต่ถึงจะไม่คุ้นนักเขาก็ยังพอจำเด็กชายที่มีใบหน้าถอดแบบผู้เป็นแม่มา ซึ่งคล้ายคลึงกับใบหน้าของคนที่เขาคุ้นเคยที่สุดในโลกได้ แม้จะเลือนรางเต็มที เพราะครั้งแรกและครั้งเดียวที่เขาได้เจอกับลูกชายของอาธีร์ น้องเมษายังเป็นเพียงทารกน้อยในเปลอยู่เลย

 

       “น้องโตขึ้นเยอะเลยนะครับ” หลังจากที่เอากระเป๋าไปเก็บบนห้องแล้วกลับลงมา โชคก็มานั่งแหมะลงตรงหน้าโซฟา เอนหัวซบกับขาของน้าแก้ว ตาก็จ้องมองเด็กชายที่หลับไปแล้ว

 

       “ก็นะ ตอนนั้นเพิ่งคลอดได้ไม่กี่วันเองนี่” แก้วลูบหัวเจ้าหมาน้อยตัวโข่งของเขา โชคในวัยสิบห้าปีเศษเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่กี่เดือนก็สูงพรวดพราดขึ้นมาจนเกือบจะเท่าเขาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยังคงเป็นแค่เด็กน้อยในสายตาของเขาอยู่ดี “ตอนที่ฉันเจอเธอครั้งแรก ตัวเธอก็ไม่ได้ใหญ่กว่านี้มากหรอกนะ”

 

       “ก็ตอนนั้นผมยังเด็ก” โชคบอกพร้อมขยับหัวถูไถไปมาในอุ้งมืออบอุ่น เขาชอบมือของน้าแก้ว มันใหญ่พอที่เมื่อเขากอบกุมแล้วจะทำให้เขารู้สึกปลอดภัย และก็อบอุ่นเหมือนกับวันแรกที่มือข้างนั้นถูกยื่นมาตรงหน้าเขาไม่เคยเปลี่ยนเลย

 

       พวกเขาพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยโดยมีเสียงของการ์ตูนในทีวีที่ไม่มีใครสนใจจะดูดังเป็นฉากหลัง โชคคิดถึงบ่ายวันหยุดธรรมดาๆ ที่ได้ใช้ไปด้วยกันอย่างสงบแบบนี้เหลือเกิน คิดถึงช่วงเวลาที่มีแค่เขากับน้าแก้วเพียงสองคน

 

       แต่ช่วงเวลาแสนสุขนั้นก็สั้นนิดเดียวเมื่อเด็กน้อยลืมตาตื่นขึ้นมา เมษาช่างพูดและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานเหลือล้น พอตื่นขึ้นมาก็รีบทำความรู้จักพี่ชายหน้าใหม่ จากนั้นก็เรียกร้องให้พาตนออกไปเล่นในสวน โชคมองมือแก้วอย่างอาลัยอาวรณ์ เขาอยากจับมันไว้ให้เนิ่นนาน ตลอดกาลเลยยิ่งดี แต่สุดท้ายต้องก็ยอมแพ้ให้กับดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อย กับรอยยิ้มเอ็นดูที่ระบายอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่ม

 

       “พาน้องออกไปเล่นหน่อยสิ”

 

       “ครับ”

 

       สวนข้างบ้านในพื้นที่จำกัดไม่ได้มีอะไรให้น่าสนใจนักสำหรับเด็กหนุ่ม แต่กับเด็กชายวัยสามขวบเศษกลับเห็นเป็นโลกใบใหม่ที่น่าค้นหาไปเสียทุกส่วน โชคเลยปล่อยให้เมษาวิ่งสำรวจไปรอบๆ โดยที่ตัวเองนั่งแกว่งชิงช้าเอื่อยๆ คอยดูไม่ให้อีกฝ่ายเข้าไปยุ่งกับอะไรจะเป็นอันตราย

 

       “ยิ้มหน่อยสิ” เสียงของน้าแก้วดังขึ้นหลังจากเสียงแผ่วเบาของการลั่นชัตเตอร์ครั้งแรก โชคหันไปหาชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนเฉลียงกับกล้องตัวเก่าอายุกว่าครึ่งหนึ่งของตัวเขาในมือ แก้วยกกล้องขึ้นมาอีกครั้ง ระบายยิ้มผ่านริมฝีปากที่คาบบุหรี่ปลายแดงฉานเอาไว้บางๆ แล้วกดปุ่มบันทึกภาพเสี้ยววินาทีเดียวที่จะเคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้เอาไว้

 

       โชคสบตากับเลนส์กล้อง จ้องมองผ่านไปถึงดวงตาคนด้างหลัง จ้องมองค้างอยู่อย่างนั้นแม้ตากล้องจะละสายตาจากเขาไปแล้ว

 

       น้าแก้วหลังม่านควันเบาบางสีขาว กับรอยยิ้มอ่อนโยนในแสงอาทิตย์สีทองยามบ่ายแก่ ช่างเป็นภาพที่งดงามเสียยิ่งกว่าทิวทัศน์ของท้องทะเลกว้างใหญ่ที่เขาเคยเห็นเสียอีก

 

       ...งดงามอย่างที่ไม่มีอะไรเทียบเคียงได้เลย

 

       “พี่โชค” เจ้าของชื่อหันกลับมาสนใจเด็กชายตัวเล็กที่เรียกหาเขา พอเห็นรอยยิ้มสดใสและแววตาใคร่รู้ที่ดูสนุกสนานก็รู้สึกเหมือนมีภาพซ้อนทับขึ้นมา

 

       ภาพของเด็กชายวัยหกขวบกว่าที่เดินเล่นไปทั่วทั้งสวน เอ่ยถามคำถามมากมายที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลยสักนิด แต่ชายหนุ่มที่นั่งสูบบุหรี่อยู่บนบันไดทางขึ้นบ้านก็ยอมตอบมันไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายไม่รู้จบ

 

       “ว่าไงครับ”

 

       “นี่ดอกอะไรคับ”

 

       “นั่นชื่อว่าดอกเฟื้องฟ้าครับ” โชคลุกจากชิงช้าทำมือที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อเขา ขยับเข้าไปใกล้ร่างเล็กแล้วนั่งยองลงเคียงข้าง พร้อมกับแนะนำดอกไม้นาๆ สายพันธุ์ที่ผลิบานอยู่ในสวนแห่งนี้ให้เด็กชายได้รู้จักด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างที่ตนเคยได้รับมา

 

       บ่ายวันนั้นท้องฟ้าใสกระจ่างไม่ต่างจากวันนี้เลย

 

 

 

       ตกค่ำหลังมื้อเย็นและการเป่าเค้กที่เจ้าของวันเกิดถูกแย่งหน้าที่ไปโดยเจ้าตัวเล็ก ทุกคนก็มานั่งรวมตัวกันอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่ได้มีกิจกรรมพิเศษหรืออะไรที่แตกต่างไปจากปกติ เพียงแค่ดูหนังไปด้วยกันโดยมีเสียงพูดคุยขึ้นมาบ้างเป็นระยะเท่านั้น งานวันเกิดครั้งแรกของธีร์ที่จัดขึ้นในบ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังนี้เป็นไปอย่างเรียบง่ายสามัญ

 

       “เดี๋ยวจะกลับแล้วนะ” ธีร์หันมาบอกเจ้าของบ้านหลังจากเหลือมองนาฬิกาบนผนัง เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้วในตอนนั้น

 

       “อืม จะปลุกไหม” แก้วพยักหน้ารับ ก่อนถามถึงลูกชายเจ้าตัวที่ยืมตักเขาต่างหมอนอยู่

 

       “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวอุ้มไปขึ้นรถเลย” คุณพ่อยื่นมือไปจะอุ้มลูก แต่ก็เปลี่ยนใจเสียก่อน “อุ้มไปส่งหน้าบ้านหน่อยสิ เดี๋ยวจะไปเลื่อนรถมารับ”

 

       “อือ ไปดิ” แก้วช้อนตัวเมษาขึ้นอุ้มแนบอกเดินตามเพื่อนออกไป

 

       ทั้งที่ระยะทางจากประตูบ้านถึงรั้วไม้ไม่ได้มากมายอะไรเลย และน้ำหนักของคนในอ้อมแขนก็ไม่ได้เยอะสักหน่อย แต่แก้วกับคนข้างๆ กลับใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะก้าวขาเดินไปถึงที่หมาย

 

       “เกือบสี่ปี” ธีร์พูดเมื่อพวกเขามาถึงประตูรั้ว

 

       “อะไร” แก้วหันไปสบกับตาคมที่จ้องมองมาก่อนแล้วอย่างงุนงง

 

       “ที่กูรอให้มึงมาอุ้มเมษา” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยบอก ธีร์มองหน้าแก้ว ก่อนจะหลุบต่ำลงไปมองดวงหน้าเล็กที่ซุกอยู่ในอกของคนตรงหน้า “นานเหมือนกันนะ”

 

       “อืม ตอนนี้ก็อุ้มแล้วไง” แก้วหรี่ตาลงมองตามคนตัวใหญ่ เด็กชายที่หน้าเหมือนภรรยาของธีร์ทุกกระเบียดนิ้วยามที่ดวงตาคู่สวยปิดสนิทอยู่ในอ้อมแขนของเขา ทั้งที่เมษาตัวไม่หนักเลยแท้ๆ แต่หัวใจเขากลับรู้สึกหนักอึ้ง

 

       “อืม เห็นแล้ว” ธีร์คลี่ยิ้มขณะที่ยื่นมือมาเกลี่ยแก้มนุ่มนิ่มเบาๆ

 

       “ธีร์”

 

       “หืม”

 

       “ทำไมถึงอยากให้กูอุ้มลูกมึงล่ะ” คำถามถูกถามออกไปโดยที่เจ้าของคำถามไม่ได้เงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนา มีเพียงเจ้าของคำตอบเท่านั้นที่กำลังเฝ้ามองอีกฝ่ายอยู่

 

       “นั่นสิ” ธีร์ตอบเสียงแผ่ว มองภาพตรงหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน “บางทีอาจจะเป็นเพราะกูอยากให้เป็นมึงมาตลอด”

 

       คำตอบที่ดูคล้ายว่าไม่ตรงกับคำถามนั้นไม่ได้ถูกขยายต่อว่าหมายความว่าอย่างไร และแก้วไม่ได้ซักไซ้ต่อไปอีก จนหลงเหลือเอาไว้เพียงเสียงของลมหายใจที่ได้ยินชัดเจนขึ้นทุกขณะ

 

       “ขออีกอย่างสิ” ธีร์คลี่ยิ้มผ่านดวงตาในระยะที่ใกล้จนแก้วมองเห็นไม่ชัดนัก

 

       “อะไร”

 

       “จูบได้ไหม”

 

       “อืม”

 

       แสงไฟขาวจากหลอดนีออนส่องลงมาเหนือสองร่างที่แนบชิดกันเพียงริมฝีปาก นุ่มนวลแผ่วเบา แต่ก็แนบแน่นอ้อยอิ่งพอจะทิ้งร่องรอยความร้อนเอาไว้แม้ผละจากกันไปแล้ว

 

       “ขอบใจสำหรับของขวัญวันเกิด” ธีร์ยิ้มร่าพร้อมกระซิบบอก

 

       “สุขสันต์วันเกิด” และแก้วก็กระซิบตอบด้วยรอยยิ้มบาง

 

 

 

TBC...

       อาธีร์กับน้าแก้วเป็นคู่ที่เขียนสนุกแล้วก็ทำให้รีนเขินมากๆ เลยล่ะค่ะ  :o8: ทีมน้องโชครอก่อนนะคะ รอให้เด็กมันโตก่อน!!!! 555555

       ตอนนี้ก็เป็นตอนที่ไม่ได้เล่าเรื่องต่อเนื่องอะไรเท่าไหร่เลยค่ะ เป็นเรื่องราวในแต่ละวันแต่ละช่วงของปีที่บอกเล่าอะไรหลายๆ อย่างในตัวของมันเองทีละเล็กละน้อย หวังว่าจะไม่เบื่อกันนะคะ มาค่อยๆ เดินไปพร้อมกับตัวละครและรีนกันเถอะค่ะ ตอนนี้รีนก็ยังคงติดอยู่กับน้องโชควัย 17 ที่ค้างคามาเนิ่นนาน อยากเขียนให้จบไวๆ จังเลยค่ะ จะได้เอามาอัพสัปดาห์ละสองตอนสักที จะพยายามกระดึ๊บไปเรื่อยๆ นะคะ เพื่อที่สักวันจะได้ทอล์กท้ายตอนว่าเขียนจบแล้วบ้าง แง้  :z3:

       ปล.รีนไม่ได้หักโหมนะคะ อย่างช่วงนี้ก็พักแบบพักยาวเลยจริงๆ 55555 ขอบคุณจริงๆ นะคะที่เป็นกำลังใจดีๆ เสมอเลย  :mew1:

 

       ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเม้น และการอ่านเสมอเลยค่ะ

 

       เจอกันใหม่วันพฤหัสบดีหน้านะคะ

 



ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
อุต๊ะ!  :o8: ชัดเจนกันแล้วดิ รึไง  :hao4: วันเวลาก็เปลี่ยนไปตามกาล ต่างคนก็ต่างโตขึ้น หวังว่าโชคจะเปลี่ยนความรู้สึกกับน้าแก้วได้ในเร็ววัน เอาใจช่วยนะจะได้มีความสุขยิ้มได้ปลอดโปร่งสักที  :katai2-1: จะเป็นยังไงต่อแต่ละคน ขอบคุณนะคะที่มาต่อตามวันสม่ำเสมอ รอตอนหน้าเลยค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:

ด้วยความที่นิยายเรื่องนี้มันไม่ใช่วายจ๋า มันเหมือนเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่กับเด็กคนนึงซึ่งก็คือน้าแก้วกับโชค มันก็เลยอาจจะไม่ค่อยตรงกับเป้าหมายที่คนต้องการอ่านวาย ซึ่งชอบอ่านวายจ๋าไปเลย ชี้ชัดพระนายชัดเจน แม้ในเรื่องกว่าพระเอกจะโผล่มาหรือกว่าจะระบุได้ว่าใครรุกรับแต่ก็ยังรู้พระนายคือใคร ถ้าเรื่องนี้เป็นของน้าแก้วกับธีร์ไปเลย อาจจะเวิร์คกว่า เพราะว่าวายกับคู่น้าแก้วธีร์มันมีน้อย แต่ความดราม่าของคู่นี้คือให้เลย ผ่าน ไม่มีอะไรต้องปรับปรุงเพราะแต่งดีแล้ว ชอบภาษาสำนวนการแต่งและความดราม่าอึมครึมนี้มาก คำผิดก็น้อย  o13 o13 o13 ถ้าหากจบเรื่องนี้ อย่าเพิ่งไปไหนนะคะ อยู่เขียนผลงานต่อไปแต่เอาแบบวายๆเลย วายจ๋า ยังคงความดราม่า โรแมนติก อยากจะอ่านสักเรื่องหรือหลายเรื่อง มันดีมากๆแน่ เพราะชอบสไตล์การแต่งจริงๆ :katai2-1: :katai2-1: พักผ่อนเยอะๆนะคะ เป็นกำลังใจแต่งทุกๆตอน  (:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 19

 

          เช้าวันอาทิตย์ที่ท้องฟ้าแจ่มใสตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง โชคตื่นขึ้นมาทันเห็นตั้งแต่มันยังไม่สว่าง เด็กหนุ่มนั่งอยู่หน้าบานหน้าต่างที่เปิดกว้างเหนือโต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่ที่ถูกวางแทนที่โต๊ะเล็กตัวเก่า ภาพที่เห็นจากหน้าต่างบานนั้นคือต้นแก้วในลานอิฐเช่นเดียวกับบานที่อยู่สุดทางเดินใกล้กับประตูห้อง แต่เพราะมันมีมุ้งลวดกั้นเอาไว้ ดอกไม้สีขาวนั้นเลยไม่เคยปลิวเข้ามาในห้องเขาเลย

 

          โชคพรูลมหายใจออกมายาวเหยียดราวกับจะให้มันช่วยคลายมวลความอึดอัดในอกลงบ้างสักนิด ซบหน้าลงกับผิวโต๊ะปล่อยให้แดดอุ่นอาบไล้จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นไอร้อนจึงค่อยลุกหนี

 

          กว่าเด็กหนุ่มจะลงมาชั้นล่างยามเช้าของวันก็ล่วงเลยไปกว่าครึ่งแล้ว จึงไม่แปลกอะไรที่เขาจะเห็นน้าแก้วนั่งอยู่ที่โซฟามุมประจำ พร้อมกับแก้วกาแฟที่วางอยู่ข้างที่เขี่ยบุหรี่ ดวงตาสีเข้มเหลือบขึ้นมามองเขาก่อนเจ้าตัวจะคลี่ยิ้มอ่อนโยนแทนคำทักทาย

 

          โชคพยายามจะยิ้มตอบ แต่มุมปากกลับฝืดฝืนเสียจนยกไม่ขึ้น สุดท้ายก็ได้แต่เอ่ยถามออกไปผ่านลำคอแห้งผาก “...ตื่นนานแล้วเหรอครับ”

 

          “อืม สักพักแล้ว” แก้วสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มแปลกไปจากปกติ แต่เขาก็เบนสายตาลงมองหนังสือพิมพ์ในมือทำเป็นไม่รู้อะไร เพราะมันชัดเจนเหลือเกินว่าอีกฝ่ายพยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้

 

          “ครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยรับคำเพียงแผ่วเบาแล้วหายเข้าไปในห้องครัวทันที

 

          โชครู้ว่าเขากำลังทำตัวประหลาด แต่เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงให้เป็นปกติ เหมือนว่าอยู่ๆ ก็ลืมไปแล้วว่าที่ผ่านมาเขามองตาน้าแก้วยังไง ทำสีหน้าแบบไหน ยิ้มออกมาได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้ในหัวเขามันไม่อาจลบภาพที่เห็นออกไปได้เลย และความรู้สึกที่พยายามวิ่งหนีมาตลอดมันก็ยิ่งชัดเจน...

 

          ภาพของอาธีร์กับน้าแก้วในแสงสลัวยังคงแผดเผาอยู่หลังนัยน์ตา และความหึงหวงที่สุดท้ายก็ท่วมท้นจนแทบสำรอกออกมา

 

          เสียงตะหลิวกระทบกับกระทะเงียบลง เด็กหนุ่มดับเตาแก๊สแล้วตักข้าวผัดใส่จาน เก็บเข้าไปไว้ในตู้กับข้าวเพื่อเอาไว้เป็นมื้อเที่ยงของชายหนุ่ม จากนั้นก็กลับขึ้นไปอยู่บนห้องของตัวเองตลอดทั้งวันที่เหลือ รวมถึงปฏิเสธมื้อเย็นที่ถูกเรียกให้ลงไปกินโดยชายอีกคนที่ร่วมเป็นต้นเหตุของม่านหมอกในหัวใจของเขาด้วย

 

          โชคพยายามที่จะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองแล้ว แต่ว่ามันไม่ง่ายเลย ไม่ง่ายเลยจริงๆ




 

          “กลับมาแล้วเหรอ” แก้วเดินออกจากห้องทำงานมาเจอเข้ากับเด็กหนุ่มที่เพิ่งกลับถึงบ้านพอดี ช่วงนี้โชคกลับบ้านค่ำบ่อยขึ้นกว่าปกติ แต่แก้วก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร ขอเพียงแค่ส่งข้อความหรือโทรมาบอกเขาไว้ก่อนก็พอ

 

          “ครับ” โชคตอบรับ กำลังจะเดินขึ้นบันไดเพื่อเอากระเป๋าไปเก็บ แต่เหลือบเห็นแก้วกาแฟว่างเปล่าในมืออีกฝ่ายก่อนเลยยื่นมือไปคว้ามาไว้เอง “เดี๋ยวผมไปชงมาให้นะครับ”

 

          แก้วไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้เด็กหนุ่มหายไปในครัว ส่วนตัวเขาเดินออกจากบ้านไปสูบบุหรี่เพื่อคลายบรรยากาศอุดอู้หลังจากหมกตัวทำงานอยู่ในห้องมาหลายชั่วโมง ชายหนุ่มกลับเข้าบ้านหลังขยี้ก้นกรองทิ้ง เวลาที่มวนบุหรี่เผาไหม้จนถึงโคนนั้นไม่นานนัก แต่ในตอนที่เขากลับเข้ามามันก็เหลือเพียงแก้วกาแฟกรุ่นไอร้อนที่ถูกวางไว้ข้างที่เขี่ยบุหรี่แล้ว

 

 

 

          โชคกลับขึ้นมาบนห้องทันทีที่เขาเอาแก้วกาแฟไปวางไว้ให้น้าแก้ว โยนกระเป๋าทิ้งไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ ก่อนจะทิ้งตัวลงบนที่นอนทั้งที่ยังใส่ชุดนักเรียน ซึ่งมันผิดไปจากตัวเขาตามปกติ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่มีแรงกระตุ้นอะไรที่ทำให้อยากลุกไปเก็บกระเป๋าเข้าที่หรือเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยสักนิด ได้แต่นอนแผ่หลาอยู่บนเตียงเหมือนคนไร้เรี่ยวแรงให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนรู้สึกเบื่อก็เลยล้วงเอาโทรศัพท์เครื่องสีดำออกมากะจะเล่นเกมฆ่าเวลาสักหน่อย แต่เพราะใบหน้าคนให้ลอยขึ้นมาเลยได้แต่ซุกมันเข้าไปไว้ใต้หมอนแทน

 

          โชคไม่ชอบชอบความรู้สึกแบบนี้เลย

 

          ไม่ชอบตัวเองในตอนนี้เลย




 

          ปลายเดือนมีนาก็เข้าสู่ปิดเทอมใหญ่ก่อนขึ้นชั้นมัธยมปีที่สาม ตั้งแต่วันหยุดวันแรกโชคก็ออกไปเล่นที่บ้านมิกซ์ตั้งแต่เช้าจนค่ำทุกวัน ป้าดาแม่เพื่อนสนิทที่เป็นเจ้าของบ้านนั้นยินดีต้อนรับเด็กหนุ่มอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นเด็กที่เคยติดบ้านและแทบไม่ห่างจากแก้ว เอาแต่แวะเวียนมาจนผิดสังเกตก็อดเป็นห่วงไม่ได้

 

          “ทะเลาะกับน้าแก้วเหรอ” คำถามนั้นมาจากปากเพื่อนสนิทที่ถูกแม่ฝากฝังกำชับให้มาถามอีกที

 

          “ไม่นะ ไม่ได้ทะเลาะ” โชคตอบขณะที่มองไปยังคนที่นอนอ่านการ์ตูนอยู่บนเตียงอย่างประหลาดใจที่อยู่ๆ อีกฝ่ายก็ถามขึ้นมา

 

          “แล้วเป็นไรไม่อยากอยู่บ้าน” มิกซ์กลิ้งตัวมานอนคว่ำให้ใบหน้าอยู่ใกล้กับคนที่นั่งบนพื้นเพื่อสนทนาอย่างจริงจัง แต่ก็ยังไม่ละสายตาจากหนังสือในมือ

 

          “ก็ไม่ได้เป็นไร” เด็กหนุ่มว่า ก่อนวางการ์ตูนเรื่องเดียวกับเด็กหนุ่มอีกคน แต่เป็นเล่มก่อนหน้าลงเมื่อเขาอ่านจบพอดี “แค่อยู่บ้านมันไม่มีอะไรให้ทำเฉยๆ”

 

          “เหรอ”

 

          “อืม” โชคเอนหลังพิงขอบเตียง เหม่อมองเพดานขณะรอเล่มต่อในมือเพื่อน คิดถึงคำถามเดียวกันนี้ที่มิกซ์เคยถามเขาเมื่อนานมาแล้ว และในตอนนั้นคำตอบของเขาก็ไม่ได้ต่างกับตอนนี้เลย เขาไม่ได้ทะเลาะกับน้าแก้ว ไม่เคยทะเลาะเลยด้วยซ้ำ แต่กลับรู้สึกห่างไกลจนกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว

 

          ‘ถ้าทะเลาะกันอาจจะดีกว่านี้’ อยู่ๆ โชคก็คิดถึงคำพูดของธีร์ ก่อนที่เจ้าตัวจะจากไปในตอนเช้าที่อากาศหม่นมัว และเขาในวัยเด็กที่ยังไม่เข้าใจอะไรนักจึงเอ่ยถาม ‘ทะเลาะกันมันไม่ดีไม่ใช่เหรอ’

 

          โชคในวันนี้เองก็ไม่ได้เติบโตจนเข้าใจอะไรไปมากกว่าในวันนั้นนัก แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เขาเริ่มเข้าใจและเห็นด้วยกับคำพูดของอาธีร์ขึ้นมา

 

          ถ้าทะเลาะกันมันอาจจะดีกว่านี้ เพราะถ้าทะเลาะกันก็ยังหาทางคืนดีกันได้

 

          แต่เพราะเขาไม่ได้ทะเลาะกับน้าแก้ว...

 

          “อะ จบแล้ว” เสียงของมิกซ์และน้ำหนักของหนังสือการ์ตูนที่ถูกวางแหมะลงบนหัว ทำให้โชคหยุดความคิดที่กำลังลอยฟุ้งเอาไว้เท่านั้น

 

          ตลอดทั้งบ่ายที่เหลือ เด็กหนุ่มทั้งสองต่างจดจ่อกับเนื้อเรื่องในแผ่นกระดาษตรงหน้าตัวเอง หลุดเข้าไปในโลกของการ์ตูนที่พวกเขาออกเงินหารกันยืมมาจากร้านหน้าโรงเรียน ที่มีโปรยืดระยะยืมได้ยาวเป็นหนึ่งสัปดาห์ในช่วงปิดเทอมใหญ่นี้ด้วยกัน ...ในห้องที่ไม่มีเงาของคนที่ทำให้หัวใจของโชคต้องหนักอึ้ง

 

          ในห้องที่ไม่มีกลิ่นอายของน้าแก้วกับอาธีร์




 

          กลางฤดูร้อนก่อนถึงสงกรานต์ไม่กี่วัน ป้าดาก็พามิกซ์กลับไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัดและจะอยู่ที่นั่นยาวไปจนหมดเทศกาล เด็กหนุ่มเลยหมดข้ออ้างที่จะออกจากบ้าน แต่เพราะแก้วไปทำงานตั้งแต่เช้าทุกวันอยู่แล้ว พวกเขาเลยไม่ได้เจอกันบ่อยนัก และนั่นก็เป็นสิ่งที่โชคต้องการ

 

          เด็กหนุ่มออกจากครัวมาหลังกินมื้อเที่ยงที่ช้ากว่าเวลาไปมากโขเสร็จ สองขากำลังก้าวตรงจะขึ้นบันไดกลับไปอยู่บนห้องนอนอย่างที่เขาทำตลอดช่วงหลังมานี้ แต่เพราะอะไรบางอย่างดึงสายตาให้เขาหันกลับไปมองในห้องนั่งเล่นที่เงียบงัน พลันภาพของใครบางคนก็ซ้อนทับขึ้นมา

 

          ที่ตรงนั้น บนโซฟามุมประจำ กับร่างสูงของชายหนุ่มที่นั่งสูบบุหรี่ และดวงตาสีเข้มที่มักมองออกไปนอกหน้าต่าง

 

          ไม่ทันรู้ตัวเด็กหนุ่มก็เดินมาหยุดหน้าโซฟาตัวนั้นเสียแล้ว ทิ้งตัวนั่งลงแทนที่ของคนในความคิด ลองทอดสายตาออกไปตามทิศที่ชายคนนั้นเฝ้ามองอยู่เสมอในความทรงจำ แต่โชคก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าจากตรงนี้ น้าแก้วของเขามองเห็นอะไร เพราะในแววตาของชายหนุ่ม มันจับจ้องออกไปไกลแสนไกล ไกลเกินกว่าจะเห็นแค่ต้นมะม่วงและชิงช้าสีซีดที่ห้อยอยู่ในสวนเท่านั้น

 

          ท้องฟ้าเปลี่ยนสี ปล่อยให้ม่านราตรีเข้าปกคลุม โชคเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็เป็นตอนที่เจ้าของบ้านหนุ่มและแขกขาประจำคนเดิมกลับมาถึง

 

          “เผลอหลับไปเหรอ ถึงว่าทำไมอยู่มืดๆ” สัมผัสอบอุ่นแนบลงบนหน้าผาก โชคเปิดเปลือกตาขึ้นมาก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของคุณอาเป็นอย่างแรก เด็กหนุ่มผงะถอยพร้อมปัดมือที่สัมผัสตนออกอย่างแรง จนแมวสาวรุ่นใหญ่ที่แอบปีนขึ้นมาซุกบนตักตอนเขาหลับตกใจกระโจนหนี

 

          เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะที่หลอดไฟเหนือหน้าต่างนอกบ้านกระพริบก่อนติดสว่างจ้า โชคนิ่งงันอย่างทำตัวไม่ถูกเช่นเดียวกับเจ้าของมือใหญ่ที่ค้างเติ่งอยู่บนอากาศ มีเพียงแก้วที่ไปกดสวิตช์ไฟตรงแผงติดผนังแล้วตรงเข้าครัวไปทันทีที่ไม่รับรู้ถึงบรรยากาศกระอักกระอ่วนที่เกิดขึ้นในห้องนั่งเล่น

 

          “โทษทีที่ทำให้ตกใจ” เป็นธีร์ที่ระบายยิ้มออกมาก่อน “แต่ถ้าจะนอนก็เปิดพัดลมดีๆ สิ เหงื่อออกจนเปียกไปหมดแล้วนะ”

 

          “เอ่อ.. ครับ ผมเพิ่งตื่นเลยมึนๆ อยู่ ขอโทษครับ” โชคยกมือขึ้นลูบหน้า พยายามหลบเลี่ยงที่จะสบตากับอีกฝ่าย ธีร์หัวเราะแผ่วเบาในคอแทนคำตอบรับ วางมือลงขยี้หัวเด็กหนุ่มอย่างเอ็นดู ก่อนจะเดินจากไปช่วยคนในครัวเทกับข้าวที่ซื้อมาใส่จานสำหรับมื้อเย็นด้วยท่าทางสบายๆ ไม่ติดใจอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

          ห้องนั่งเล่นกลับมาอยู่ในความเงียบอีกครั้งหลังธีร์จากไป แต่ยังคงมีเสียงพูดคุยดังแว่วออกมาจากห้องครัวให้ไม่เงียบเหงาเกินไปนัก โชคนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ดวงตาคมจ้องมองมือตัวเอง สัมผัสยามปัดมือใหญ่ข้างนั้นให้พ้นตัวยังชัดเจนในความรู้สึก

 

          แสบ...หลังมือมันแสบชาไปหมด ไม่ต่างจากในอกเขาเลย

 

          “ไปล้างหน้าล้างตาก่อนสิ” แก้วบอกเด็กหนุ่มเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นเจ้าตัวยืนอยู่ตรงกรอบประตู ก่อนจะสังเกตเห็นใบหน้าที่ดูซีดกว่าปกติกับแววตาลังเลสับสนอย่างที่เขาไม่อาจเข้าใจได้จนน่าเป็นห่วง “โชค เป็นอะ..”

 

          “ผมไม่ค่อยหิว” แก้วยังพูดไม่ทันจบประโยค โชคก็โพล่งขึ้นมารัวเร็ว แล้วเดินหนีขึ้นบันไดไปโดยทิ้งไว้แค่เสียงตามหลัง “ผมขอขึ้นไปนอนเลยนะครับ”

 

          ผู้ใหญ่สองคนที่เหลือได้แต่หันมามองหน้ากันอย่างงุนงง พวกเขาทั้งคู่ต่างรับรู้ได้ว่าโชคเปลี่ยนไปในระยะหลังมานี้ ทั้งหลบหน้าทั้งตีตัวออกห่าง แต่เพราะเด็กหนุ่มเองก็ถึงวัยที่คงอยากมีเวลาส่วนตัวขึ้นมาแล้วเลยไม่ได้พูดอะไรออกไป

 

          “วัยต่อต้านสินะ” ธีร์พูดขณะเทข้าวในจานที่ไม่ต้องใช้แล้วกลับลงหม้อ

 

          “เด็กๆ นี่โตเร็วจังนะ” แก้วพึมพำ ทั้งที่ยังคงมองตามทิศที่เด็กหนุ่มเดินหนีไป

 

 

 

          กลางดึกคืนนั้นอากาศร้อนอบอ้าว และบนชั้นสองของบ้านไม้สีขาวก็เปิดไฟสว่างจ้า ธีร์กับแก้วเดินเข้าออกห้องนอนเล็กกันไม่หยุด

 

          “อะ ที่วัดไข้” คนตัวใหญ่วางกะละมังน้ำลงข้างเตียง ก่อนจะยื่นปรอทวัดไข้ที่ลงไปเอามาจากตู้ยาชั้นล่างให้กับพยาบาลจำเป็นมือหนึ่ง

 

          โชคไม่สบาย คงเป็นเพราะอุณหภูมิกลางหน้าร้อนปีนี้พุ่งสูงขึ้นกว่าทุกปี แถมเจ้าตัวยังเผลอไปนอนหลับในห้องนั่งเล่นโดยไม่เปิดพัดลมให้อากาศได้ถ่ายเทอีก ความร้อนเลยสะสมอยู่ในร่างกายจนเป็นหวัดแดดขึ้นมา โชคดีที่ธีร์บังเอิญสังเกตเห็นว่าหน้าผากเด็กหนุ่มร้อนผะผ่าวกว่าปกติตั้งแต่ตอนที่กลับมาถึงบ้าน พอกินข้าวเสร็จเลยตามขึ้นไปเช็คดูอีกที หลังจากที่เคาะประตูเรียกอยู่นานแต่ก็ไม่มีแม้แต่เสียงตอบรับ เขาเลยให้แก้วใช้กุญแจไขเปิดเข้าไป ก็เลยได้เห็นคนป่วยนอนซมเหงื่อหายใจแรงอยู่บนเตียง

 

          “เป็นไงบ้าง” ธีร์เอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวไม่สู้ดีของเด็กหนุ่ม ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาไม่เคยเห็นโชคป่วยแบบนี้เลยสักครั้ง อย่างมากก็แค่ตัวรุมๆ ดูเซื่องซึมไปนิดหน่อย และหลังจากนอนพักสักคืนก็จะหายดีเป็นปลิดทิ้ง

 

          “สามสิบแปดองศา” แก้วอ่านค่าจากปรอทวัดไข้ ถือว่าเป็นอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติ แต่ยังไม่ถึงกับเลวร้าย

 

          “พาไปโรงพยาบาลเลยไหม” คนตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ปลายเตียงเสนอ พอดีกับที่โชคขยับตัวสะบัดผ้าห่มออกเพราะรู้สึกร้อน แต่ไม่นานก็ปัดป่ายคลำหาผืนผ้านวมอีกครั้งเมื่อทั่วร่างกลับหนาวสะท้านขึ้นมา

 

          “วันนี้เช็ดตัวกับเฝ้าไข้ไปก่อน ถ้าตอนเช้าไม่ดีขึ้นค่อยพาไป” แก้วดูนาฬิกาจากโทรศัพท์มือถือ เวลาตอนนี้สามทุ่มเศษแล้ว และเด็กหนุ่มเองก็ไม่ได้ดูอาการร้ายแรงอะไรมาก ถ้าพาไปโรงพยาบาลก็อาจจะได้แค่นอนหยอดน้ำเกลือเฉยๆ อยู่ดี สู้ดูอาการคืนนี้เองก่อน หากเช้าแล้วยังอาการไม่ดีขึ้นค่อยพาไปจะดีกว่า

 

          ธีร์พยักหน้ารับ พร้อมขยับเข้าไปพยุงจับเด็กหนุ่มขึ้นถอดเสื้อผ้าชุ่มเหงื่อออก เพื่อให้อีกคนช่วยเช็ดตัวได้สะดวก โชคโตขึ้นมาก แขนขายาวขึ้น น้ำหนักก็เพิ่ม ไม่ใช่เด็กชายตัวน้อยที่ธีร์อุ้มได้ด้วยแขนข้างเดียวอีกต่อไปแล้ว ในตอนแรกมันจึงติดๆ ขัดๆ อยู่บ้าง แต่ไม่นานพยาบาลจำเป็นทั้งสองก็เริ่มคุ้นชิน สุดท้ายก็เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนป่วยได้สำเร็จ

 

          “เดี๋ยวลงไปเปลี่ยนน้ำมาให้” เป็นอีกครั้งที่แขกประจำเอ่ยปากอาสา ก้มเก็บเสื้อผ้าเปียกชื้นขึ้นพาดแขนก่อนจะยกเอากะละมังน้ำลงไปเปลี่ยนกลับขึ้นมาให้ใหม่ ส่วนแก้วที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงก็มีหน้าที่คอยปั้นผ้าไล่เช็ดระบายความร้อนให้เด็กหนุ่มอยู่อย่างนั้น ซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งน้ำเย็นในกะละมังเปลี่ยนเป็นอุณหภูมิห้อง ธีร์ก็จะเป็นคนเอาลงไปเทเปลี่ยนมาให้ใหม่วนไปทั้งคืน

 

 

 

          แสงแรกของวันเพิ่งจับเส้นขอบฟ้า โชคปรือเปลือกตาหนักอึ้งขึ้นมาในตอนเช้าตรู่ กระพริบตาสองสามทีเพื่อปรับโฟกัสให้ชัดเจน สิ่งแรกที่เขาเห็นคือเรือนผมสีดำแผ่อยู่บนผ้าปูที่นอนสีอ่อน น้าแก้วฟุบหน้าหลับอยู่บนฟูกเตียง มือข้างหนึ่งวางอยู่ใกล้กับปรอทวัดไข้ ส่วนอีกข้างวางทิ้งไว้ไม่ไกลจากเด็กหนุ่มนัก

 

          เย็น... มือของแก้วเย็นเฉียบเพราะสัมผัสกับน้ำอยู่ทั้งคืน แต่พอเขากุมมือข้างนั้นไว้ไม่นานมันก็เริ่มอุ่นขึ้นมา โชคเลยขยับตัวเข้าใกล้ขึ้นอีกนิด แนบหน้าผากตัวเองเข้ากับความเย็นที่กำลังพอดีจากฝ่ามือข้างนั้น หลับตาแล้วภาวนาให้ช่วงเวลานี้ยาวนานขึ้นอีกสักหน่อย เพราะอีกไม่นานมือที่เขากอบกุมเอาไว้ก็คงจะกลับไปอยู่ในมือของคนอื่นแล้ว

 

          และคนอื่นที่ว่านั้นก็กำลังฟุบหลับอยู่ที่ปลายเตียงของเขา ด้วยใบหน้าอ่อนล้าทั้งที่คิ้วยังขมวดด้วยความกังวล ไม่ห่างจากกองเสื้อผ้าที่ถูกเปลี่ยนรอบสองตอนตีสี่ และกะละมังน้ำที่ใช้เช็ดตัวให้เขาจนถึงเช้า ความร้อนวิ่งวูบขึ้นมาคลอที่ดวงตา ก่อนจะกลั่นตัวไหลออกมาอย่างเงียบเชียบ

 

          โชคไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่ หลังจากคืนที่สะลึมสะลือเพราะพิษไข้ กับโลกในห้วงฝันแสนยาวนาน และยามเช้าที่ตื่นมาเจอกับคนทั้งสองที่เฝ้าไข้เขาไม่ห่าง

 

          ในความฝันแสนเลือนรางสีซีดจาง แต่ก็สว่างไสว เด็กหนุ่มเห็นตัวเองยืนอยู่หน้าบ้านไม่สีขาวสองชั้น จากนั้นก็เดินทางอยู่ในความทรงจำที่ไม่ปะติดปะต่อ ภาพจำมากมายที่เคยลืมเลือนไปแล้วโผล่มาทักทาย เช่นเดียวกับความรู้สึกที่จางหายไปตามกาลเวลาก็กลับมาชัดเจนอีกครั้ง อย่างในวันนั้น ยามบ่ายแก่ที่แดดร่มลมตก บนถนนในซอยที่ทอดยาว บนจักรยานสองล้อที่เขาปั่น โดยมีจุดหมายคือชายผู้ยืนกอดอกสูบบุหรี่รออยู่ที่ประตูรั้วไม้ และชายอีกคนที่คอยก้าวตามอยู่ด้านหลังเพื่อกันไม่ให้เขาล้มคะมำหน้าคว่ำเวลาที่ตัวสั่นจนเสียหลัก

 

          ถึงแม้ว่าในตอนนี้มันจะบิดเบี้ยวไปตามระยะทางการเติบโตของความรู้สึกในใจเด็กหนุ่มแล้ว แต่ความสุขแสนอบอุ่น ความอ่อนโยนที่ได้รับ และความรักที่เคยเกิดขึ้นครั้งนั้นมันก็เป็นของจริงอยู่ดี ช่างน่าสับสน ในเมื่อความรู้สึกรักที่เขามีให้กับคนทั้งสอง มันมากมายพอๆ ความความเกลียดชัง ถึงจะอุ่นซ่านแต่ก็แผดเผาหัวใจให้กลายเป็นจุณ เป็นความรู้สึกน่ารังเกียจที่ชวนให้สำลัก แต่ก็อยากจะไขว่ค้าเอาไว้ไม่ให้หลุดมือ

 

          โชครักแก้ว ด้วยทุกอย่างที่เขามี แต่ก็เกลียดชัง เมื่อความรักที่ได้รับกลับนั้นไม่ใช่รักในแบบที่เขาต้องการ

 

          โชครักธีร์ อย่างที่ลูกชายคนหนึ่งจะรักพ่อ แต่ก็เกลียดชัง อย่างชายคนหนึ่งที่เป็นผู้พ่ายแพ้ในความรัก

 

          และทั้งที่เป็นอย่างนั้น น้าแก้วกับอาธีร์ก็ยังอยู่ตรงนั้นเสมอ ในเวลาที่ต้องการ...แม้ไม่ได้เรียกหา



 

          หลังเทศกาลปีใหม่ไทยจบลง หวัดฤดูร้อนของโชคก็หายดี และแก้วก็กลับไปทำงานตามปกติหลังวันหยุดยาว ส่วนมิกซ์ เพื่อนสนิทที่ไปต่างจังหวัดก็ยังไม่กลับมากรุงเทพฯ เด็กหนุ่มจึงควรจะได้ใช้เวลาช่วงปิดเทอมใหญ่ในบ้านที่มีเพียงเขาและแมว แต่มันกลับไปเป็นอย่างนั้น

 

          เด็กหนุ่มตื่นตั้งแต่เช้า แต่กว่าจะลงมาก็สายแล้ว ที่ชั้นล่างของบ้านว่างเปล่าไร้เงาสิ่งมีชีวิตอื่น โชคลองเดินไปส่องดูในครัวก็ยังไม่เห็นใคร ประตูห้องน้ำที่แง้มไว้ก็ไม่มีคนใช้อยู่ ในห้องทำงานของแก้วก็เงียบสงัด แต่เขาก็รู้ดีว่าอาธีร์คงอยู่ที่ไหนสักแห่งในบ้านหลังนี้

 

          โชคเดินออกมาอยู่บนเฉลียงหน้าบ้าน ยังไม่ทันมองหาเงาร่างสูงใหญ่ กลิ่นนิโคตินมอดไหม้ก็ลอยมาจากฝั่งลานอิฐ ควันขาวลอยเอื่อยขึ้นสูงเป็นสายจากตรงที่สูบบุหรี่ประจำของเจ้าของบ้าน โชคเห็นภาพของชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมยาวระต้นคอนั่งลูบขนแมวสาวบนตัก พลางพ่นลมหายใจเจือกลิ่นขมปร่า กับดวงตาสีเข้มจับจ้องมองฟ้าผ่านม่านฝนดอกแก้วที่ร่วงโรยสู่พื้น แต่ตอนนี้น้าแก้วไม่อยู่ ตรงหน้าเขามีเพียงอาธีร์

 

          ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นในองศาที่แสงแดดส่องผ่านแมกไม้ลงมาตกกระทบพอดี ดวงตาคมหลับพริ้มในขณะที่ปล่อยให้ไอขมุกขมัวลอยเคว้ง เป็นครั้งแรกที่โชคเห็นธีร์สูบบุหรี่

 

          “อาสูบด้วยเหรอครับ” เด็กหนุ่มเท้าแขนกับขอบเฉลียงไม้ เบนสายตาจากคนเบื้องล่างที่ยังคงไม่ลืมตาขึ้นไปมองฟ้า ทิวทัศน์เดียวกับที่ทั้งสองคนนั้นมอง แต่สิ่งที่เห็นก็คงแตกต่างกันออกไปอยู่ดี

 

          “เดี๋ยวควันเข้าตาเอานะ” เสียงทุ้มอ่อนโยนเช่นเดียวกับแววตาที่ลืมขึ้นมอง ธีร์ขยี้ดับบุหรี่ทันทีที่รู้ว่าเด็กหนุ่มเข้ามาอยู่ใกล้ก่อนค่อยตอบคำถาม “เมื่อก่อนสูบ แต่ก็เลิกไปนานแล้วล่ะ”

 

          “แล้วทำไมวันนี้ถึงสูบล่ะครับ” โชคยังคงถามต่อ ก้มสงมาสบตา ไม่คิดหนีอย่างเคยแล้ว

 

          “นานๆ ทีมันก็คิดถึงขึ้นมา...ล่ะมั้ง” คำตอบไม่จริงจังกับเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ โชคเคยชอบเสียงแบบนั้นของอาธีร์ ก่อนที่ก็เกลียดมัน แล้วตอนนี้ก็เริ่มจะกลับมาชอบนิดหน่อยแล้ว เด็กหนุ่มสูดลมหายใจ ไม่เข้าใจว่าตอนนี้ความรู้สึกที่มีให้คนตรงหน้าเป็นแบบไหน แต่ถึงจะยังไม่รู้เขาก็มีสิ่งที่อยากจะพูดกับอีกฝ่ายอยู่

 

          “อาธีร์”

 

          “หืม”

 

          “ขอบคุณครับ” คนได้รับคำขอบคุณนิ่งงันไปเล็กน้อย ก่อนรอยยิ้มจะผลิบานสดใสบนใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้ง

 

          “ครับ”

 

          ฤดูร้อนปีที่สิบห้า เด็กหนุ่มใช้มันไปกับการหาคำตอบให้หัวใจยุ่งเหยิงของตนเอง

 

 

 

TBC...

          น้องโชคเติบโตขึ้นอีกนิดแล้วค่ะทุกคน ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปอย่างช้าๆ ตามจังหวะของชีวิต หัวอกทีมคุณแม่นั้นแสนจะภูมิใจ  :hao5:

          น้าแก้วก็ยังคงเป็นน้าแก้ว และธีร์ก็ยังคงเป็นผู้ชายแสนดีคนเดิมเลย ตอนต่อไปจะมีสาวสวยโผล่มาด้วยล่ะค่ะ ฝากติดตามกันด้วยน้าาาาา

          ปล.เรื่องราวของน้องโชคยังอีกยาวไกลเลยนะคะ รีนเคยคิดว่าคงจบที่ 30 ตอนกว่าๆ แต่เขียนไปเขียนมาน่าจะทะลุไปเกือบ 40 ตอนเลยล่ะค่ะ กลัวจะเบื่อจังเลยค่ะ แต่อย่าเพิ่งทิ้งรีนไปไหนเลยนะคะ อยู่ด้วยกันก่อน  :mew2:

 

          ขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกกำลังใจ และทุกๆ การอ่าน

          ขอบคุณค่ะ

 

          See you on Thursday เจอกันวันพฤหัสบดีหน้าค่า

 


ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โถถถถโชค จะจัดการกับความรู้สึกตัวเองยังไงดีละเนี้ย ไหวไหม เป็นไข้เลย ไข้ใจสินะ เราจะผ่านไปด้วยกันโชค *ตบบ่าปุปุ* 555 อาธีร์ก็ขยันมาจังเลยน๊า อิอิ จะเป็นยังไงต่อจบม.3แล้ว เป็นหนุ่มมากนะเนี้ยเรา รอตอนเลยต่อไปเลยค่ะ จะแต่งกี่ตอนก็ไม่ว่าเลยค่ะ เอาให้เคลียร์ไม่ต้องรีบตัดจบก็ได้ ตามอ่านเสมอค่ะ ชอบบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1:  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 20

 

          เมื่อเปิดเทอมชั้นมัธยมปีที่สาม สิ่งที่แตกต่างไปจากปกติอย่างแรกสำหรับโชค คือการไปโรงเรียนที่ไม่ต้องเดินหรือติดรถแก้วไปรอขึ้นรถประจำทางหน้าปากซอยแล้ว

 

          “ใส่หมวกกันน็อกด้วย” แก้วออกมาส่งเด็กหนุ่มที่หน้าบ้าน รู้สึกกังวลนิดหน่อยเมื่อเห็นนักบิดมือใหม่ป้ายแดงนั่งคร่อมมอเตอร์ไซต์รออยู่นอกรั้ว

 

          “สวัสดีครับน้าแก้ว!” มิกซ์ยิ้มกว้างโชว์ฟันเขี้ยวให้กับผู้ปกครองของเพื่อนราวกับจะบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเขาฝึกขี่รถสองล้อนี่ตลอดปิดเทอมมาจนชำนาญแล้ว แถมยังได้ใบขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราวมาแล้วด้วย

 

          “ไปก่อนนะครับน้าแก้ว” โชคบอกลาชายหนุ่มหลังจากคว้าหมวกกันน็อกขึ้นสวมหัว แล้วจึงค่อยจับล็อกสายคาดคางระหว่างที่เดินตรงไปยังหน้าประตูรั้วที่เพื่อนนักบิดของเขารออยู่ “ปลอดภัยแน่นะ”

 

          “โหย ระดับกู สอบรอบเดียวผ่านนะครับผม” มิกซ์หัวเราะร่ากับสายตาไม่ค่อยจะวางใจเท่าไหร่ของเพื่อน พลางสตาร์ทเครื่องรถไปด้วย

 

          โชคหันไปมองแก้วที่ยังไม่กลับเข้าบ้าน ส่งยิ้มแบบเดียวกับที่เคยส่งให้ทุกเช้าก่อนไปโรงเรียนตั้งแต่เด็กไปให้ ก่อนจะก้าวขาขึ้นนั่งซ้อนท้ายวินมอ’ ไซต์ส่วนตัว ไม่นานก็รู้สึกได้ถึงแรงบิดของเครื่องยนต์ในจังหวะก่อนที่จะพุ่งทะยานไปข้างหน้า พร้อมกันกับได้ยินเสียงคุ้นเคยดังไล่หลังมาว่า “ขี่รถกันดีๆ”




 

          ปลายเดือนพฤษภาคมลมฝนเริ่มตั้งเค้า พร้อมกับที่เด็กสาวคนหนึ่งโผล่หน้ามาทักทายในวันหยุดสุดสัปดาห์ ปรางในวัยสิบเจ็ดย่างสิบแปดก้าวเข้ามาในบ้านพร้อมกับน้าชายของเธอ เสียงหวานเอ่ยทักทายเจ้าของบ้าน ก่อนจะหันมาทางเด็กหนุ่ม ใบหน้าสะสวยกับผมสีอ่อนแปลกตา แต่โชคก็ยังจำรอยยิ้มที่ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดนั้นได้ดี

 

          “ไง ไม่เจอกันนานมากเลยเนอะ” ปรางขยับเข้าไปหาเด็กหนุ่ม ยกมือขึ้นวัดความสูงเทียบกับน้องชายที่เคยตัวเล็กกว่า ตอนนี้เธอสูงแค่หูอีกฝ่ายเสียแล้ว “สูงขึ้นเยอะเลย มีสาวมาจีบบ้างเปล่าเนี่ย”

 

          “ไม่มีหรอก” โชคหัวเราะบอกปฏิเสธอย่างขัดเขิน เด็กหนุ่มไม่ค่อยมีเพื่อนสาวนักเพราะเขาเรียกโรงเรียนชายล้วน เพื่อนจากสมัยประถมก็แค่เป็นเพื่อนกันในโซเชี่ยลมีเดีย ไม่ได้พูดคุยอะไร กับสาวสวยตรงหน้าที่ถือได้ว่าเป็นผู้หญิงที่เขาใกล้ชิดที่สุดก็ห่างกันไปนานแล้ว ครั้งล่าสุดที่ติดต่อกันเมื่อปีที่แล้วก็มีแค่บอกข่าวว่าเจ้าตัวไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ “แล้วพี่ปรางล่ะ อยู่นู่นเป็นไงบ้างครับ”

 

          “ก็มีแหละ แต่ก็คบๆ ไปงั้น กลับไทยก็เลิก” พี่สาวตอบสบายๆ คล้ายไม่ได้สนใจความสัพพันธ์ที่เคยเกิดขึ้นนั้นจริงๆ แต่โชคก็ยังมองเห็นความวูบไหวในแววตาคู่นั้นอยู่แวบหนึ่ง

 

          “งั้นปรางอยู่เป็นเพื่อนน้องแล้วกันนะคะ น้าไปก่อน ใกล้ถึงเวลางานแล้ว” น้าชายหันมาบอกหลานสาว ขณะที่ยกข้อมือดูนาฬิกา พอดีกับแก้วที่ขึ้นไปเปลี่ยนชุดบนบ้านกลับลงมาพอดี พวกเขาต้องไปร่วงงานเผาศพแม่ของเพื่อนในกลุ่มสมัยมัธยม เด็กสองคนเลยถูกทิ้งให้รออยู่บ้านเพียงลำพัง

 

          “ถ้าหิวก็กินข้าวกันก่อนเลยนะ” แก้วบอกกับคนของตนบ้าง พลางยกมือขึ้นลูบหัวเด็กหนุ่มเบาๆ ก่อนเดินตามร่างสูงใหญ่ออกไป

 

          เด็กสองคนไม่ได้เดินตามออกไปส่ง มีเพียงสายตาของโชคที่มองตามแผ่นหลังของน้าแก้วไป จนมันหายขึ้นรถยุโรปสี่ประตูสีขาวคันใหญ่ของอาธีร์ แล้วแล่นหายไปจากคลองจักษุจึงค่อยหันกลับมา โดยมีใบหน้าสวยหวานยื่นเข้ามารอเสียใกล้อยู่ก่อนแล้ว

 

          “อะ..อะไร พี่ปรางทำไร” โชคสะดุ้งถอยหลังไปหลายก้าวจนหลังชนตู้วางทีวี ส่วนตัวต้นเหตุกลับเหยียดยิ้มมุมปาก พร้อมหรี่ตาลงอย่างคนขี้แกล้งไม่ต่างจากในวัยเด็กเลยสักนิด

 

          “ไปเล่นข้างบ้านกัน” ปรางเอ่ยชวนพร้อมกับก้าวเดินนำออกไป โดยไม่ให้เวลาเด็กชายได้อ้าปากแย้ง

 

          ข้างบ้านที่ปรางพูดถึงผิดจากที่โชคคิดเอาไว้ ปกติพี่สาวคนละสายเลือดของเขามักจะชอบไปนั่งเล่นอยู่ที่ชิงช้าใต้ต้นมะม่วงอยู่ตลอด แต่วันนี้กลับมาโผล่อยู่ใต้ต้นแก้วในลานอิฐแทน เด็กสาวนั่งยองลง ก้มเก็บเอาดอกไม้บอบบางสีขาวขึ้นมาทีละดอกอย่างเบามือ

 

          “จำได้ไหม ที่พี่เคยสอนเราทำมงกุฎดอกไม้” เสียงหวานเอ่ยถาม ฟังดูนุ่มนวลและเต็มไปด้วยความคิดถึง

 

          “อื้อ ตอนนั้นผมป.สาม” โชคนั่งยองลงข้างๆ เริ่มเก็บดอกไม้เล็กๆ เหล่านั้นตามอีกคนโดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม บางทีอาจจะเป็นเพราะพวกเขาต่างคิดถึงความทรงจำที่แสนห่างไกล ...ครั้งสุดท้ายที่ปรางได้มาเล่นที่บ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังนี้

 

          “อันที่โชคบอกว่าจะทำให้น้าแก้วได้ทำต่อไหม” ปรางถาม เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าวันนั้นเธอกลับไปก่อนที่มงกุฎดอกไม้ของน้องชายตัวเล็กจะเสร็จเต็มวง

 

          “อ่อ เสร็จอยู่ แต่ไม่ค่อยสวยหรอก” โชคหัวเราะแผ่วเบาเมื่อนึกถึงรูปร่างบิดเบี้ยวแปลกประหลาดที่วางลงบนกลุ่มผมนุ่มสีดำสนิทในคืนนั้น ก่อนที่แก้มจะร้อนฉ่าเมื่อคิดไปถึงสิ่งตอบแทนที่ได้รับมา

 

          “แล้วได้ให้ไปรึยัง”

 

          “ให้ไปแล้วครับ”

 

          “น้าแก้วชอบรึเปล่า”

 

          “ก็ชอบอยู่..มั้งครับ”

 

          “เหรอ” หลังจากที่เก็บดอกแก้วได้เต็มอุ้งมือ เด็กสาวกับเด็กหนุ่มก็ขยับขึ้นมานั่งบนม้าหิน ปลายนิ้วขยับจับก้านดอกบิดคล้องกันไปมาโดยระวังน้ำหนักมือไม่ให้แรงมากจนทำตัวดอกหลุดออกจากขั้ว “แล้วโชคล่ะ”

 

          “ผมทำไมเหรอ” ดวงตาคมละสายตาจากพวงดอกไม้ในมือ หันมองคนข้างกายอย่างไม่เข้าใจคำถาม

 

          “ชอบรึเปล่า” ปรางยังคงไม่หยุดมือ ถักร้อยดอกไม้กลิ่นหอมจางต่ออย่างชำนิชำนาญขึ้นกว่าในวัยเยาว์นัก เช่นเดียวกับริมฝีปากที่ยังขยับพูดต่อไป “น้าแก้วน่ะ”

 

          โชคชะงัก หัวใจเต้นระรัว สองแก้มร้อนฉ่าจนเหมือนจะมอดไหม้ ส่วนในลำคอก็แห้งผากจนไม่มีเสียงจะเอ่ยตอบ หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเขาพูดตอบออกไปอย่างซื่อตรงกับความรู้สึกที่มีจริงๆ ข้างในไม่ได้ต่างหาก

 

          ปรางเงยหน้าขึ้นมาเมื่อเด็กหนุ่มเงียบไปนาน แต่เมื่อเห็นแววตาสั่นไหวและริมฝีปากที่เม้มเน้นอย่างครุ่นคิดแล้วเธอก็เข้าใจได้ทันที เป็นอย่างที่คิดไว้เลย น้องชายของเธอน่ะ...

 

          “หมายถึงยังชอบน้าแก้วที่สุดเหมือนเดิมรึเปล่า ที่เราเคยคุยกันตอนเด็กๆ ไง” ปรางช่วยขยายความ ดึงย้อนเอาบทสนทนาในสวนหลังบ้านอาธีร์ขึ้นมาให้เด็กหนุ่มตอบง่ายขึ้นอีกสักหน่อย

 

          “เอ่อ ก็..ครับ” โชคพึมพำตอบเสียงเบาหวิว หลุบตาต่ำคล้ายกำลังหลบหนี แต่ถึงอย่างไรคำตอบของเขาก็เป็นความจริง

 

          “นั่นสิเนอะ” ปรางตอบรับ ดวงตาโตใสกระจ่างเบนจากเด็กหนุ่มไปมองต้นไม้ที่กำลังทิ้งดอกโรยลงสู่พื้นแทน รอยยิ้มสดใสเปล่งประกายพร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบา “ก็น้าแก้วของโชคใจดีที่สุดเลยนี่”




 

          เดือนมิถุนายน ในวันเกิดของโชค เด็กหนุ่มไม่ได้ฉลองครบรอบสิบหกปีที่ห้องนั่งเล่นของบ้านไม้สีขาว แต่กลับมายืนอยู่ในสนามบินพร้อมกับน้าแก้วและคณะครอบครัวอาธีร์ เพื่อรอส่งพี่สาวที่เพิ่งกลับจากแลกเปลี่ยนมาได้ไม่นาน แต่ตัดสินใจว่าอยากเรียนไฮท์สคูลต่อที่อเมริกามากกว่ากลับมาเรียนที่ไทย พอคุยกับที่บ้านได้ก็รีบติดต่อญาติฝั่งพ่อที่มีบ้านอยู่ที่นั่นทันที เรื่องเอกสารที่จัดทำอย่างเร่งรีบมีปัญหาหลายอย่าง เพราะรัฐที่ปรางเคยไปแลกเปลี่ยนกับที่กำลังจะไปอยู่เป็นคนละรัฐ เวลาเปิดปิดเทอมจึงไม่ตรงกัน แต่สุดท้ายมันก็ผ่านไปได้ด้วยดีแบบฉิวเฉียด

 

          “ไปนะ” ปรางหันมาบอกน้องชายที่ตอนเด็กเธอไม่เคยคิดว่าจะได้มี ยื่นมือไปแตะกับปลายนิ้วที่ใหญ่กว่าเธอเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เกี่ยวขึ้นมาทาบทับเทียบขนาดกันตรงหน้า เกือบสิบปีที่เธอรู้จักเด็กคนนี้มา และเกือบครึ่งหนึ่งของเวลานั้นที่ไม่ได้พบเจอกันเลย พวกเขาต่างเติบโตขึ้นมาก แต่น้องชายก็ยังคงเป็นน้องชายของพี่สาวอยู่ดี “Happy birthday”

 

          “ขอบคุณครับ” โชคยิ้ม ขยับมือสอดประสานกับมือบางเอาไว้แล้วบีบเบาๆ “โชคดีนะพี่ปราง”

 

          “อื้อ” เสียงหวานใสดังขึ้นข้างหูเมื่อเด็กสาวโถมตัวเข้ากอดเขาแน่น เป็นครั้งแรกเลยที่พวกเขาแนบชิดกันขนาดนี้ แต่โชคก็ไม่ได้ขัดเขินหรือลังเลที่จะยกแขนขึ้นโอบตอบ ในหัวใจรู้สึกวูบโหวงขึ้นมานิดหน่อยเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายกำลังจะบินห่างไปแสนไกล แต่มันก็ยังคงพองฟูเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังดีและความห่วงใยที่มีให้กัน “ไว้เจอกันนะ”

 

          “ไว้เจอกันครับ”

 

 

 

          คืนนั้นหลังออกจากสนามบินตอนหัวค่ำ ธีร์กับแก้วแวะซื้อเค้กปอนด์กลับมาปักเทียนฉลองวันเกิดให้เด็กหนุ่ม เพียงแต่ไม่มีมื้ออาหารเช่นเคยเพราะไปกินกันมาตอนเลี้ยงส่งปรางแล้ว และเมื่อกินเค้กกันเสร็จตอนใกล้จะสามทุ่ม ธีร์ก็กลับบ้านตัวเองเพราะวันถัดไปมีงานที่ต้องเข้าไปร้านแต่เช้า ทั้งบ้านตอนนี้จึงเหลือเพียงเจ้าของบ้าน เด็กหนุ่ม แล้วก็แมว

 

          “เหงารึเปล่า” แก้วถามขึ้นมาขณะที่ทอดสายตามองคนข้างๆ ที่ดูห่อเหี่ยวนิดหน่อย เพราะช่วงสามสัปดาห์มานี้จะมีพี่สาวแวะเวียนมาเล่นด้วยอยู่เป็นประจำ แต่หลังจากนี้คงไม่ได้เจอกันอีกนาน

 

          “ก็ไม่ได้เหงาหรอกครับ” โชคเงยหน้าขึ้นมาตอบ คลี่ยิ้มนิดๆ ที่ดูแล้วไม่เห็นเป็นอย่างปากว่า “ผมแค่คิดว่าพอคนเราโตก็ต้องห่างกันไปสินะครับ ทั้งที่เคยสนิทกันมาก แต่สุดท้ายก็ต้องแยกกันไปมีชีวิตของตัวเองอยู่ดี”

 

          “อืม ก็ปกติล่ะนะ” คนที่โตจนเป็นผู้ใหญ่แล้วเอ่ยตอบ ยื่นมือไปคว้าศีรษะเด็กหนุ่มที่ยังคงอยู่ในช่วงเรียนรู้เพื่อที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ในสักวันให้ลงมานอนหนุนตัก มันเป็นการแสดงออกถึงความใกล้ชิดเล็กๆ น้อยๆ ที่โชคชื่นชอบตอนยังเด็ก และในตอนนี้ก็ยังชอบอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะมีเสียงของหัวใจเต้นโครมครามและความรู้สึกวูบวาบที่แล่นไปตามกระดูกสันหลังกับช่องท้องเพิ่มขึ้นมาก็ตามที

 

          “แล้วผมกับน้าแก้วล่ะ” โชคเอ่ยด้วยเสียงสั่นน้อยๆ ทั้งด้วยหัวใจที่เต้นแรงอยู่ในอก และความรู้สึกวูบโหวงที่ซึมเข้ามาพร้อมกับคำตอบรับของชายหนุ่ม เรียวคิ้วเหนือดวงตาสีเข้มเลิกขึ้นน้อยๆ อย่างครุ่นคิด แก้วใช้เวลาสักพักก่อนจะให้คำตอบ

 

          “นั่นสินะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ความเงียบงันกัดกินเสี้ยวนาทีให้ยาวนานในความรู้สึกของเด็กหนุ่ม ก่อนที่แก้วจะวางมือทิ้งไว้บนหน้าผากที่เคยเล็กนิดเดียว แต่ตอนนี้กลับเต็มมือเขาแล้วด้วยความเอ็นดู “วันนึงที่เธอโตเป็นผู้ใหญ่ เธอก็อาจจะออกไปสร้างบ้าน มีครอบครัวของเธอเอง แล้วก็คงห่างจากฉันไป.. แต่ว่านะ โชค ถึงตอนนั้นฉันก็ยังจะอยู่ที่นี่ แล้วที่นี่ก็จะยังเป็นบ้านของเธออยู่ไม่ว่าเธอจะจากมันไปไกลแค่ไหน เธอกลับมาหาฉันได้ตลอดนั่นแหละนะ”

 

          แก้วระบายยิ้มให้กับเด็กหนุ่ม เป็นรอยยิ้มที่ทำให้โชคจมลงไปในความอบอุ่นที่สว่างไสว แม้จะไม่ใช่รอยยิ้มเจิดจ้าแบบที่อาธีร์ครอบครอง แต่รอยยิ้มของน้าแก้วก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาตาพร่า

 

          “เพราะงั้นมันไม่เป็นไรหรอก ต่อให้สักวันเราต้องห่างกันไป ฉันกับเธอก็ไม่ได้ห่างไกลกันจริงๆ”

 

          “ตลอดไปเลยรึเปล่าครับ” โชคพึมพำ ฟังดูคล้ายคำอ้อนวอนมากกว่าเอ่ยถาม

 

          “ตลอดไปไม่ได้หรอก แต่ฉันก็อยากให้มันนานที่สุดเท่าที่ทำได้” แต่แก้วก็ตอบอยู่ดี



 

          การสอบปลายภาคเรียนที่หนึ่งอยู่ในช่วงต้นเดือนตุลาคม โชคกับมิกซ์จึงถูกป้าดาส่งไปติวพิเศษเสริมหลังเลิกเรียนตั้งแต่เดือนกันยา กว่าเด็กหนุ่มจะกลับถึงบ้าน ฟ้าก็มืดเหลือเพียงแสงจากหลอดไฟให้ความสว่างแล้ว ที่หน้าบ้านกับห้องนั่งเล่นเปิดไฟไว้รอเขา แต่ข้างในกลับเงียบเหงาไม่มีคนอยู่เลย

 

          โชคพอจะเดาได้ว่าน้าแก้วคงอยู่ในห้องทำงานตามปกติ แม้มองจากข้างนอกจะไม่เห็นไฟเปิดก็ตาม ส่วนอาธีร์ถ้าวันไหนอยู่ที่บ้านก็จะเห็นอยู่ในห้องนั่งเล่น ดูทีวีหยอกมะลิไปตามเรื่องเพื่อรอเขากลับถึงบ้านแล้วค่อยกินข้าวเย็นพร้อมกัน แต่ถ้าไม่เห็นอยู่แถวนี้ก็คงไม่ได้มา

 

          เพราะคิดอย่างนั้นโชคเลยตรงไปที่หน้าประตูห้องทำงานเพื่อที่จะบอกเจ้าของบ้านหนุ่มว่าเขากลับมาแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ยกมือเคาะตามมารยาท เสียงที่ดังลอดออกมาก็ทำให้เขาต้องลดมือลง แม้บทสนทนาจะงึมงำแผ่วเบาจนเขาฟังไม่ได้ศัพท์ เสียงถอนสัมผัสฉ่ำชื้นนั้นกลับชัดเจน

 

          เด็กหนุ่มรีบหนีขึ้นไปอยู่บนห้อง ปิดขังตัวเองไว้ให้ความขุ่นเคืองบรรเทาลง น้าแก้วกับอาธีร์ไม่เคยพูดถึงความสัมพันธ์ของพวกตนออกมา แต่ก็ไม่เคยปิดบังเลยเช่นกัน สำหรับโชคแล้วมันจึงเป็นความคลุมเครือที่แสนชัดเจน

 

          และเพราะความคลุมเครือ เขาจึงทำเป็นมองข้ามเพื่อให้หัวใจของตัวเองไม่เจ็บปวดนัก

 

          และก็เพราะความชัดเจน เขาถึงได้ทำใจให้ยอมรับเพื่อให้คนสำคัญของเขามีความสุข

 

          มันไม่ใช่ความผิดของแก้วกับธีร์ที่เขาต้องเจ็บปวด เช่นนั้นแล้วมันถึงเป็นโชคเองที่ต้องจัดการกับความรู้สึกของตัวเองให้ได้




 

          หลังสอบปลายภาคก็เข้าสู่การปิดเทอมเล็ก โชคแวะไปบ้านมิกซ์บ้างเป็นครั้งคราวยามที่ว่างจนไม่มีอะไรทำ แต่วันนี้กลับกันตรงที่หน้าบ้านเขามีมอเตอร์ไซต์คันคุ้นตา กับเพื่อนสนิทที่ยืนยิ้มร่าอยู่นอกรั้วพร้อมกับเป้ใบใหญ่ที่สะพายติดหลังมาด้วย

 

          “คืนนี้ขอนอนด้วยดิ”

 

          ตอนที่มิกซ์มาถึงเป็นช่วงสิบเอ็ดโมงเช้า โชคเลยทำอาหารเที่ยงง่ายๆ กินกันสองคน พอตกบ่ายก็เอาเครื่องเกมที่ธีร์ซื้อมาติดบ้านไว้ให้เขาออกมาต่อกับจอทีวีเล่นกัน สลับกับอ่านหนังสือการ์ตูนที่เด็กหนุ่มอีกคนเอาติดตัวมาด้วยจนมืดค่ำ

 

          “เมี๊ยวๆๆๆๆ” มิกซ์ที่เบื่อกับการเล่นเกมและกองหนังสือแล้วเลื้อยตัวลงไปนอนบนพื้นกระเบื้อง หยิบของเล่นแมวทำมือขึ้นมาโบกล่อให้มะลิมาเล่นด้วยแทน

 

          “อย่างจับแรงนะ มะลิท้องอยู่” โชคหันมาเตือนเพื่อนเมื่อแมวสาวเดินเข้ามาทิ้งตัวลงคลอเคลียกับแขกที่นานๆ ครั้งจะโผล่มา แต่ก็แวะเวียนมาเรื่อยจนคุ้นหน้าคุ้นกลิ่นตลอดหลายปีที่เธออยู่ในบ้านหลังนี้

 

          “แม่มะลิคนสวย ไปท้องกับใครมาอีกแล้วเนี่ย” เด็กหนุ่มร่างเล็กก้มลงไปใช้จมูกดุนเนินท้องนูนใต้กลุ่มขนนุ่ม พูดถามแม่แมวด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ ก่อนจะโดนอุ้งเท้านิ่มแปะลงบนหน้าคล้ายโดนดุเบาๆ ว่าเสียมารยาท ทำเอาเจ้าตัวหัวเราะคิกคักก่อนจะแกล้งเป่าลมใส่คืน เป็นจังหวะเดียวกับที่ทุกคนได้ยินเสียงประตูรั้วด้านนอกเปิดออก

 

          “กลับมาแล้ว” แก้วถือถุงกับข้าวเข้ามาเอ่ยบอก ก่อนจะชะงักไปนิดหน่อยเมื่อเห็นแขกที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอในเวลานี้ของวัน “มิกซ์ก็อยู่ด้วยเหรอ”

 

          “สวัสดีครับน้าแก้ว” เจ้าของชื่อทกทายเสียงใส ขณะที่โชคเดินไปรับถุงอาหารเย็นจากคนที่เพิ่งกลับมา

 

          “ผมส่งข้อความไปบอกน้าแก้วแล้วนะว่าคืนนี้มิกซ์มานอนด้วย”

 

          “อ่อ โทษที ฉันไม่ได้เปิดดูน่ะ” แก้วพยักหน้ารับ วันนี้เขาค่อนข้างจะยุ่ง แถมนิสัยส่วนตัวก็ไม่ค่อยติดโทรศัพท์เสียด้วย โชคผงกหัวหงึกหงักเดินเข้าครัวไปเตรียมจัดสำรับมื้อเย็น ได้ยินเพียงเสียงสดใสร่าเริงของมิกซ์ที่ทักทายคนตัวใหญ่ที่เดินหอบกระบอกแปลนกับกระเป๋าเอกสารของเจ้าของบ้านตามเข้ามาทีหลัง ทำให้รู้ว่าเขาควรจะตักข้าวไว้กี่จาน

 

 

 

          โชคที่ลงไปอาบน้ำต่อจากมิกซ์กลับขึ้นมาบนห้องในตอนที่เพื่อนสนิทเพิ่งวางสายโทรศัพท์จากแม่พอดี เพราะป้าดาต้องไปทำธุระทำให้ที่บ้านเหลือเด็กหนุ่มเพียงคนเดียว เลยต้องฝากฝังให้มานอนค้างที่นี่เพื่อความสบายใจตามประสาคนเป็นแม่

 

          “ป้าดาเหรอ” โชคถามทั้งที่เดาได้อยู่แล้วเมื่อเพื่อนหันมาสบตาพอดี

 

          “อื้อ โทรมาสั่งว่าให้ทำตัวดีๆ นี่แม่เห็นกูเป็นคนยังไงวะ” คำพูดของลูกชายตัวแสบทำให้โชคยิ้มขบขันน้อยๆ

 

          “คนดื้อ”

 

          “โห มึงพูดซะน่ารักเลย” มิกซ์หัวเราะกับคำของเพื่อน เขาเป็นคนโผงผางเหมือนแม่ แถมยังหัวดื้อกว่าใคร คำพูดคำจาจึงค่อนข้างจะรุนแรงตามประสาเด็กหนุ่มกำลังโต ผิดกับโชคที่จนถึงตอนนี้ คำหยาบคายที่สุดที่หลุดจากปากก็มีแค่สรรพนามแทนตัวอย่างกูกับมึงเท่านั้น

 

          “ก็น้าแก้วกับอาธีร์ไม่ชอบให้พูดคำหยาบ” โชครู้ว่าในตอนที่เขายังเด็ก ผู้ใหญ่ทั้งสองไม่อยากให้เขาเติบโตมาเป็นคนหยาบคายเลยพยายามสอนให้เขาพูดจาดีๆ มาตลอด จนพอเริ่มโตสองคนนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรเรื่องนี้อีก ปล่อยให้เขาเรียนรู้และคิดเองว่าอะไรควรไม่ควรไปตามวัย ซึ่งต่อให้ตอนนี้เขาจะพูดคำหยาบบ้างกับเพื่อนฝูงก็คงไม่โดนดุอะไร แต่ยังไงเขาก็ไม่อยากให้ใครมาบอกว่าที่บ้านไม่สั่งสอนอยู่ดี “แล้วกูก็ไม่อยากพูดด้วย”

 

          “อืออออ เด็กดี” มิกซ์ครางรับยาวๆ ในคออย่างยอมแพ้ให้กับนิสัยติดตัวที่เขาก็ไม่ได้ไม่ชอบใจอะไรของเพื่อนคนนี้ และโดยที่ไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มเองก็ได้รับอิทธิพลจากความสุภาพของอีกฝ่ายมาไม่น้อย อย่างในเวลาที่อยู่ด้วยกันแบบนี้ เขาก็แทบจะไม่มีคำหยาบหลุดออกมาจากปากเลยเหมือนกัน “เออ มึง”

 

          “หื้อ” โชคขานรับ เมื่อดูเหมือนว่าเพื่อนสนิทจะคิดขึ้นได้ว่ามีอะไรที่อยากพูดอยู่อีก

 

          “น้าแก้วกับอาธีร์คบกันเหรอ”

 

          คำถามนั้นทำเอาคนถูกถามหายใจสะดุด ท่ามกลางความเงียบที่โรยตัวลงมาอย่างน่าอึดอัด โชคได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศปนกับเสียงลมหายใจของตัวเอง ผิดกับมิกซ์ที่ยังคงนั่งตาใสรอคำตอบอย่างไม่คิดอะไรมาก

 

          “ทำไม...” โชคถามกลับ แต่เป็นคำถามที่ไม่จบประโยค เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากจะพูดอะไรกันแน่

 

          “ห้ะ ก็ไม่ทำไม กูแค่คิดว่าน้าแก้วกับอาธีร์ทำตัวเหมือนแฟนกันเฉยๆ” แม้คำถามจะคลุมเครือ มิกซ์ก็ยังตอบกลับมาแบบสบายๆ ตามที่ตัวเองเข้าใจ และด้วยท่าทีของเจ้าตัวนั่นเองที่ช่วยให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าบรรยากาศมันผ่อนคลายลงจนเขาเริ่มหายใจได้คล่องขึ้นนิดหน่อย

 

          “ก็ไม่รู้สิ สองคนนั้นไม่เคยพูดอะไรเรื่องนี้เลย” โชคเบนสายตาหลบขณะที่พูดออกไป รู้สึกเหมือนโกหกทั้งที่พูดความจริง อาจเพราะมันเป็นความจริงที่ทั้งสองคนนั้นไม่เคยพูด แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจ

 

          มิกซ์พยักหน้ารับ แล้วหันกลับไปสนใจอย่างอื่นต่อราวกับเรื่องที่พูดคุยกันไปไม่ได้สำคัญอะไรมาก แต่สำหรับโชคแล้วมันไม่ใช่ สำหรับเขามันสำคัญ และเขายังมีคำถามที่ไม่เคยเอ่ยถามใครได้เลยอยู่

 

          “มิกซ์”

 

          “ห้ะ”

 

          “แล้วถ้าน้าแก้วกับอาธีร์คบกันจริงๆ ..” โชคเว้นช่วงไปอย่างลังเลว่าควรถามออกไปรึเปล่า แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะพูด เมื่อสายตาของมิกซ์มันบอกว่าไม่ว่าเขาจะถามอะไร เจ้าตัวก็จะตอบมันกลับมาอย่างซื่อตรง “มันไม่แปลกเหรอวะ”

 

          “ก็คงแปลกแหละ” คำตอบทันทีทันใดทำเอาหัวใจเด็กหนุ่มหล่นวูบ แต่ประโยคต่อมาก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป “แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยเปล่าวะ มันก็อาจจะแปลกๆ สำหรับคนอื่น แต่ถ้าสองคนนั้นมีความสุขแล้วมันจะทำไม คนเราก็รักคนที่ตัวเองรักกันทั้งนั้นแหละ”

 

          “อืม นั่นสินะ” โชคพึมพำ กับขอบตาที่ร้อนผะผ่าว เขายังมีสิ่งที่อยากจะบอกคนตรงหน้าอีก และรู้ว่าต่อให้บอกไปเพื่อนสนิทของเขาก็คงจะยอมรับมันได้อย่างง่ายดาย

 

          ...แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้

 

 

 

TBC...

          และสาวสวยที่กลับมาเยี่ยมเยียนก็คือพี่ปรางนั่นเองค่า :katai2-1: หายไปนานเลยสำหรับเด็กสาวแสนสวยคนนี้ พี่ปรางมีส่วนในการเติบโตของเด็กชายโชคมากจริงๆ นะคะในตอนยังเด็ก เพื่อนคนแรกอะเน้ออ ส่วนน้องมิกซ์เองก็เป็นอีกคนที่ทำให้รีนรู้สึกภูมิใจเหลือเกินที่สร้างเขาขึ้นมา ทั้งนิสัย ความคิด และจิตใจ ช่างเป็นเด็กที่ดีจริงๆ เลยค่ะ ฮรืออออ

          ในตอนนี้น้องโชคก็ยังคงอยู่ในช่วงการจัดการความรู้สึกนะคะ น้องพยายามทำใจ แต่ก็ยังคงเจ็บปวด เป็นความปกติธรรมดาของคนที่ยังรักอยู่ เอาใจช่วยน้องกันด้วยนะคะ :mew1:

 

          ขอบคุณทุกคอมเมนต์ กำลังใจ และการอ่าน

          ขอบคุณค่ะ

 

          See you on วันพฤหัสบดีน้าาาา

ออฟไลน์ narongyut

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-1
 :hao4: โชคเติบโตขึ้นแล้ว คงเข้าใจทุกอย่างมากกว่านี้

ออฟไลน์ manarina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อ่านแล้วอินค่ะ แง  :o12:
เหมือนกะลังสิงน้องโชคอยู่ เลยอดอินกะความหวานชื่นเลยอะ แต่ก็ยังอยากให้ทั้งสองคนมีความรักที่ราบรื่นนะคะ อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะคุณน้าคุณอา
เอาเป็นว่าสู้ๆ นะคะน้องโชค กอดๆ นะ

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 21
 



          ปิดเทอมเล็กสามสัปดาห์แสนสั้น พอเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน เด็กนักเรียนก็ต้องกลับไปเรียนเทอมที่สองกันแล้ว

 

          วันแรกของการเปิดเทอมของโชคยังคงเหมือนกับทุกที แก้วจะออกมาส่งเด็กหนุ่มที่หน้าประตู จนคล้ายเป็นธรรมเนียมประจำบ้านไปเสียแล้ว

 

          “ค่าขนมพอไหม” ชายหนุ่มถามเด็กในปกครองของเขา ตั้งแต่ขึ้นชั้นมัธยมมาเขายังไม่เคยปรับขึ้นค่าขนมให้อีกฝ่ายเลยสักครั้ง

 

          “พออยู่ครับ ไม่ต้องจ่ายค่ารถแล้วเลยเหลือตั้งเยอะ” โชคตอบพลางสวมรองเท้าไปด้วย พอเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้ “ผมไปนะครับ”

 

          “อื้ม” แก้วมองตามร่างสูงของเด็กหนุ่มที่วิ่งเยาะๆ ออกไปกระโดดขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซต์เพื่อนสนิท แล้วก็ได้แต่คิดว่าเด็กๆ นั้นเติบโตกันเร็วมากจริงๆ “ขี่รถกันดีๆ ล่ะ”

 

          “ครับ”

 

          “คร้าบ”

 

 

 

          ก่อนจะเข้าโรงเรียน มิกซ์แวะซื้อหมูปิ้งข้างทางเจ้าประจำที่มาตั้งแผงอยู่แถวหน้าประตูอย่างทุกทีเป็นการต้อนรับเทอมใหม่ ส่วนโชคที่กินข้าวเช้ามาจากบ้านก็จะนั่งกอดกระเป๋ารออยู่ที่รถจนเป็นกิจวัตร คอยผงกหัวเอ่ยทักทายเพื่อนร่วมห้องร่วมชั้นหรือรุ่นพี่รุ่นน้องคนรู้จักที่เดินผ่านบ้างตามเรื่องตามราว

 

          เพียงแต่วันนี้คนที่เข้ามาทักทายเขาไม่ได้มีแค่เด็กจากโรงเรียนชายล้วนด้วยกัน

 

          “น้องโชคคะ” เด็กสาวในชุดนักเรียนม.ปลายของโรงเรียนสหศึกษาห่างไปไม่ไกลเอ่ยทัก เสียงใสสั่นเล็กน้อย แต่ก็ดังชัดเจน กับผิวแก้มขึ้นสีเรื่อจางอย่างขัดเขิน

 

          “อะ ครับ” โชคประหลาดใจนิดหน่อยที่โดยทักโดยคนแปลกหน้า แต่ก็ขานรับพร้อมรอยยิ้มไป

 

          “เอ่อ.. คือ..” เด็กสาวยิ้มแหยอย่างทำตัวไม่ถูก รู้สึกเหมือนมือไม้เกะกะไปหมด ทั้งลำคอก็แหบแห้งเสียจนเสียงหาย แต่เธอก็ตัดสินใจมาแล้วว่าจะบอกออกไป แม้หัวใจจะเต้นโครมครามแค่ไหน ก็พยายามบังคับเสียงที่พูดออกไปให้สงบนิ่งที่สุด “พี่ชอบโชคนะคะ ชอบมานานแล้ว”

 

          คราวนี้คนที่ทำตัวไม่ถูกกลายเป็นเด็กหนุ่มเอง โชครู้สึกว่าแก้มร้อนวูบและท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมา แต่ไม่เหมือนกับที่เขาประหม่าตอนอยู่กับน้าแก้ว มันเป็นความขัดเขินอีกแบบหนึ่งที่ยังไม่เคยได้รู้จัก และเพราะอย่างนั้นเขาเลยไม่ได้พูดอะไรออกไปเลยสักคำเดียว

 

          “อ๊ะ พี่ชื่อแพรนะ มันคงแปลกๆ แหละเนอะที่อยู่ๆ ก็มาพูดแบบนี้” เด็กสาวที่เพิ่งแนะนำตัวเสร็จพูดรัวเร็วอย่างเขินอาย กอปรกับที่เวลาก่อนเข้าเรียนเหลือไม่มากแล้ว เธอเลยยิ่งดูร้อนรนนิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าและความหวังในนัยน์ตาก็ยังไม่คลายลง “ไว้พรุ่งนี้เช้าพี่ขอมาหาอีกนะคะ”

 

          โชคได้แต่มองตามแผ่นหลังบอบบางที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางโรงเรียนของเจ้าตัวอย่างงงๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้มันรวดเร็วมากจนเขาตามไม่ทัน ผิดกับเพื่อนรักที่ซื้อหมูปิ้งเสร็จแล้วกลับมาทันฉากสำคัญพอดี แต่ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าที่ได้ยินมานั้นถูกต้องหรือเปล่า

 

          “เมื่อกี้ใครวะ”

 

          “พี่เขาบอกว่าชื่อแพร”

 

          “อาฮะ”

 

          “แล้วก็บอกว่าชอบกู”

 

          “แล้วมึงว่าไง”

 

          “ไม่ว่าไง”

 

          “ห้ะ”

 

          “ไม่ว่าไง ก็กูไม่ได้ชอบเขา” หลังจากโชคตอบแบบนั้นออกไปด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง มิกซ์ก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้

 

          และในเช้าวันต่อมา เด็กสาวก็มารอเจอโชคที่เดิมอย่างที่บอกเอาไว้

 




 

          ต้นเดือนธันวาอากาศยังไม่หนาวมาก แต่ในตอนเช้าก็ยังพอมีลมเย็นๆ พัดผ่านมาพอให้ได้รู้สึกถึงฤดูกาลอยู่ หน้าโรงเรียนจึงเต็มไปด้วยเหล่าเด็กนักเรียนที่สวมเสื้อกันหนาวหลากสีเดินกันเพ่นพ่าน และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่มีเด็กสาวรุ่นพี่มายืนรอโชคอยู่ข้างร้านหมูปิ้งเจ้าประจำของเพื่อนสนิท

 

          “หวัดดีครับพี่แพร” เสียงแรกที่ทักทายไม่ใช่ของโชค แต่เป็นมิกซ์ที่โบกมือพร้อมยิ้มร่าก่อนเดินเลยสาวเจ้าไปซื้อหมูปิ้ง ทิ้งให้เพื่อนอยู่กับสาวเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา

 

          “สวัสดีครับพี่แพร” โชคลงจากรถ ไปยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลคนที่มารอตน แพรอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกแล้ว เทอมนี้จึงเป็นเทอมสุดท้ายของชีวิตมัธยม และเป็นเหตุผลเดียวกับที่เธอตัดสินใจมาสารภาพความรู้สึก

 

          “อื้ม ขี่มอ’ ไซต์มากันไม่หนาวเหรอ” ไม่พูดเปล่า มือเรียวบางเอื้อมมาแตะผิวแก้มเย็นเฉียบให้ร้อนวูบจากอุณหภูมิที่ต่างกันชัดเจน “แก้มเย็นมากเลยนะ”

 

          “ก็..ครับ” โชคไม่ได้ปฏิเสธสัมผัสเบาบางนั้นตรงๆ เพียงแค่ยกคอเสื้อกันหนาวขึ้นมาปิดถึงจมูก ให้ความร้อนจากลมหายใจแล่นวนอยู่ใต้เนื้อผ้าหนาช่วยคลายความเย็นบนใบหน้าหลังจากที่ตากลมมา

 

          “วันเสาร์นี้น้องโชคว่างรึเปล่าคะ” แพรยังคงถามต่อด้วยรอยยิ้ม ถดมือกลับอย่างเข้าใจการปฏิเสธแบบอ้อมๆ นั้น

 

          “วันเสาร์ผมมีเรียนพิเศษตอนบ่าย แต่วันอาทิตย์ว่างทั้งวันครับ” โชคตอบตามจริง และมันก็ช่วยให้รอยยิ้มบนใบหน้าเด็กสาวมีชีวิตชีวาขึ้นไปอีก

 

          “งั้นวันอาทิตย์ไปเที่ยวกันไหม”

 

          “...ครับ ได้ครับ” โชคตอบรับคำชวน สำหรับเขาแล้วการอยู่ใกล้ๆ กับผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร แพรเป็นคนร่าเริง แถมยังคุยสนุก และถึงการแสดงออกของอีกฝ่ายจะชัดเจนแค่ไหน แพรก็ไม่ได้ยัดเหยียดอะไรให้เขาต้องลำบากใจเลยสักครั้ง

 

 

 

          เช้าวันอาทิตย์ที่นัดไว้มาถึง โชคตื่นเช้ากว่าปกติที่เคยตื่นในวันหยุดนิดหน่อย ชั้นล่างของบ้านยังคงเงียบสนิทเมื่อเจ้าของบ้านอีกคนยังหลับอยู่ จนกระทั่งเด็กหนุ่มอาบน้ำสระผมแล้วกลับขึ้นไปแต่งตัวในชุดที่ดูดีกว่าชุดอยู่บ้านเสร็จแล้ว แก้วถึงค่อยออกจากห้องลงมา

 

          “แต่งตัวหล่อเชียวนะ” แก้วเอ่ยแซวยิ้มๆ เมื่อรู้จากเด็กหนุ่มแล้วว่าวันนี้เจ้าตัวจะไปเที่ยวกับสาวรุ่นพี่ต่างโรงเรียน

 

          “ก็ปกตินี่ครับ” โชคหันมาตอบสบายๆ เมื่อการไปเที่ยวกับแพรสำหรับเขาแล้วก็เหมือนไปเที่ยวกับเพื่อน ก่อนจะกลับไปสนใจข้าวต้มในหม้อต่อ “น้าแก้วเอากาแฟไหม เดี๋ยวผมชงให้”

 

          “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันชงเอง” ชายหนุ่มปฏิเสธคนที่กำลังทำอาหารเช้าอยู่หน้าเตา เดินไปกดน้ำร้อนใส่กาแฟสำเร็จรูปจากกระติกไฟฟ้าที่อีกคนเสียบปลั๊กไว้รอให้ก่อนแล้ว “จะไปเที่ยวไหนกันบ้างล่ะ”

 

          “ไม่รู้เหมือนกันครับ พี่แพรบอกแค่ว่าจะไปดูหนัง แล้วก็ไปกินเค้กที่ไหนสักที่แถวๆ นั้นแหละ” โชคว่าตามที่ฝ่ายสาวเจ้าบอกมาในแชทที่คุยกันเมื่อคืน ก่อนจะปิดเตาแก๊สแล้วตัดข้าวต้มแบ่งใส่สองถ้วยให้แก้วด้วย

 

          มื้อเช้าในวันหยุดของพวกเขาดำเนินไปอย่างสงบสุขเหมือนทุกเช้าวันหยุดที่ผ่านมาตลอดหลายปี แก้วยังคงเป็นคนพูดน้อยเหมือนเคย เพียงแต่โชคที่เติบโตขึ้นแล้วชวนคุยเก่งขึ้นกว่าเก่า ระหว่างมื้ออาหารจึงมีเสียงพูดคุยเรื่อยเปื่อยเพิ่มเติมเข้ามาให้บ้านทั้งหลังดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

 

          “ผมไปก่อนนะครับ” โชคโผล่หน้าข้ามระเบียงเฉลียงไม้มาบอกคนที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ในลานอิฐข้างบ้านเมื่อใกล้ถึงเวลาต้องออกเดินทาง แก้วที่นั่งอยู่บนม้าหินเงยหน้าขึ้นสบตากับเด็กหนุ่มจากองศาที่ต่ำกว่า โชคหัวใจกระตุก รู้สึกร้อนวูบและหนึบชาในเวลาเดียวกัน แต่ตัวต้นเหตุกลับไม่รู้เลย และเพราะไม่รู้แก้วถึงได้ระบายยิ้มซุกซนอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก

 

          ริมฝีปากที่คาบมวนบุหรี่ไว้หมิ่นเหม่แย้มยิ้ม ดวงตาสีเข้มที่ช้อนขึ้นสบทอประกายแวววาวเมื่อริ้วแสงส่องลงมาทอดกายเหนือใบหน้าชวนมองพอดี ทุกอย่างในวินาทีนั้นล้วนสมบูรณ์แบบสำหรับโชค ทั้งลมหนาวที่พัดผ่านมาอ้อยอิ่ง ทั้งกิ่งต้นไม้กลางลานที่โยกไหวบิดเบือนแสงแดดให้เต้นระบำ ทั้งดอกไม้สีขาวที่โปรยปรายลงเป็นฉากหลัง และผู้ชายที่อยู่ในม่านควันเบาบาง

 

          ทั้งหมดนั้นช่างสมบูรณ์แบบ...

 

          ภาพของน้าแก้วยังเป็นภาพที่งดงามที่สุดในสายตาเขาเสมอ

 

          “โชค” เด็กหนุ่มหลุดจากภวังค์สีทองของแสงตะวันในห้วงของการตกหลุมรักซ้ำๆ กลับมาสู่ความเป็นจริงที่แก้วลุกยืนเต็มความสูงจนใบหน้าเลยขอบเฉลียงขึ้นมาอยู่ในระยะที่แขนของเด็กหนุ่มเอื้อมถึง แต่โชคก็รู้ว่าเขาคว้าไม่ถึงอยู่ดี

 

          “ครับน้าแก้ว” โชคกลืนความรู้สึกที่ล้นอยู่ในอกกลับลงไป เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปกติที่เขาใช้เวลาเกือบปีกว่าจะทำให้มันเป็นธรรมชาติในเวลาแบบนี้ได้ขนาดนี้

 

          “อะ เอาไป” แก้ววางเงินแบงก์สีเทาลงในมือเด็กหนุ่ม เห็นโชคจะอ้าปากปฏิเสธก็ชิงพูดดักก่อน “เผื่อไว้ถ้ามันจำเป็นจะได้มีใช้ ถ้าเหลือยังไงก็ค่อยเอามาคืน โอเคไหม”

 

          “...โอเคครับ” และโชคก็ทำได้แค่งึมงำตอบ ก่อนจะออกจากบ้านมาโดยมีเจ้าของรอยยิ้มกลิ่นควันบุหรี่มองส่งจนลับตา

 

 

 

          โชคนั่งรถโดยสารประจำทางไปลงสถานีรถไฟฟ้า แล้วต่อตรงไปลงใกล้ห้างดังย่านกลางเมือง ใช้เวลาไม่นานเลยที่จะตามหาคนที่นัดเขาไว้ให้เจอเมื่ออีกฝ่ายมายืนรอตรงจุดนัดพบอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังแต่งหน้าแต่งตัวมาอย่างที่ดูก็รู้ว่าตั้งใจมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้มากไปจนเกินพอดี

 

          “น้องโชค” เมื่อเห็นเด็กหนุ่มแพรก็ยิ้มสดใส รีบเดินเข้ามาหาทันที “กินข้าวมารึยังคะ ใกล้เที่ยงแล้ว หิวรึเปล่า”

 

          “ผมกินข้าวเช้ามาแล้วครับ แต่ถ้าพี่แพรหิวแล้วเราไปกินข้าวเที่ยงเลยก็ได้” โชคตอบ ก้าวเท้าเดินเคียงข้างร่างกายที่เล็กกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัดไปตามที่อีกฝ่ายนำ

 

          แพรเป็นคนตัวค่อนข้างเล็ก ใบหน้าเรียวรูปไข่กับเครื่องหน้าอย่างละนิดละหน่อยทำให้ดูน่ารักมากกว่าสวย ในเรื่องของหน้าตาสำหรับโชคแล้วแพรสวยไม่สู้ปรางที่เขาโตมาด้วยตั้งแต่เด็ก รายนั้นจัดว่าเป็นพวกหน้าตาดีมาตั้งแต่ดีเอ็นเอ ตอนเด็กก็เป็นสาวน้อยน่ารัก โตมาเป็นสาวสวยพราวเสน่ห์ แต่ก็เพราะแตกต่างโชคถึงได้รู้สึกว่าคนข้างๆ มีอะไรให้สังเกตมากกว่าความสวยทุกมุมมองอย่างที่เขาเคยเห็นมา

 

          “กินร้านนี้ดีไหมคะ หรือน้องโชคอยากกินอย่างอื่น” แพรหันมาถามเมื่อถึงหน้าร้านอาหารญี่ปุ่นจานข้าวที่ราคาไม่ถึงกับฉีกกระเป๋าเด็กมัธยมอย่างพวกเขา

 

          “เอาร้านนี้ก็ได้ครับ” โชคพยักหน้า กดปุ่มเปิดประตูกระจกบานเลื่อนให้เด็กสาวเข้าไปก่อน แล้วตัวเองค่อยตามเข้าไป

 

          นอกจากโชคที่สังเกตอีกฝ่ายในมุมต่างๆ แพรเองก็สังเกตเห็นความเอาใจใส่เล็กๆ น้อยๆ ที่เด็กหนุ่มแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน

 

          หลังจากกินข้าวเที่ยงกันเสร็จแล้ว โชคกับแพรก็ไปดูหนังด้วยกัน มันเป็นหนังญี่ปุ่นที่เน้นเรื่องราวของครอบครัวและมิตรภาพ บรรยากาศหลังออกจากโรงจึงเต็มไปด้วยความอบอุ่นหัวใจ และแพรก็ได้เห็นโชคยิ้ม ยิ้มแบบที่ไม่ใช่ยิ้มที่มอบให้เธอหรือใครอื่นที่เธอเคยเห็น มันเป็นรอยยิ้มที่ทั้งรักใคร่และมั่นคงจนแก้มเธอร้อนผ่าว แม้มันจะไม่ได้ส่งมาให้เธอก็ตาม

 

          “น้องโชคชอบหนังครอบครัวเหรอคะ” แพรถามหลังจากที่แยกกันไปเข้าห้องน้ำมาแล้ว แต่อารมณ์ที่ยังคงตกค้างอยู่ในดวงตาคมคู่สวยก็ยังฉายชัด

 

          โชคนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบ ด้วยแววตาที่ลึกซึ้งเกินกว่าแพรจะเข้าใจได้ “ครับ มันทำให้รู้สึกอบอุ่นดี”

 

          “นั่นสิเนอะ เหมือนแดดตอนบ่ายที่ส่องเข้ามาในห้องนั่งเล่นเลย” โชคยิ้มกับคำพูดของเด็กสาว เพียงแต่ภาพของเขามันไม่ใช่แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาอาบไล้ห้องนั่งเล่น แต่เป็นกลางดึกที่พายุฝนโหมกระหน่ำ กับมือข้างหนึ่งที่ยื่นมาตรงหน้า

 

 

 

          เดตของหนุ่มสาวจบลงหลังการไปกินขนมหวานและเดินเที่ยวตามร้านขายของต่างๆ ห้าโมงเย็นของหน้าหนาวมืดเร็วกว่าเวลา แพรเลยได้ใช้ช่วงเวลาไม่กี่นาทีสุดท้ายกับเด็กหนุ่มใต้ท้องฟ้าสีม่วงเทา บนบาทวิถีขณะรอรถประจำทางสายที่ผ่านบ้านเธอแล่นเข้าเทียบป้าย

 

          “น้องโชค”

 

          “ครับ”

 

          “พี่ชอบโชคนะ” แพรบอกความรู้สึกของเธอออกไปอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้จังหวะลมหายใจไม่สะดุด และเสียงไม่สั่นเหมือนกับครั้งแรกแล้ว ทั้งที่ความตื่นเต้นยังเด้งโครมครามอยู่ในอก แต่ในใจกลับรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด “ชอบมากเลยจริงๆ”

 

          “ครับ” คำตอบรับสั้นๆ ที่ไม่มีการตอบกลับ แพรเคยได้ยินมาว่ารับรู้แต่ไม่ได้รักนั้นเจ็บปวด แต่สำหรับเธอแล้วมันไม่เห็นจะร้าวรานอย่างนั้นเลย

 

          “น้องโชค” ความตั้งใจสุดท้ายที่เตรียมมาในวันนี้ทำให้ใบหน้าน่ารักหันมองขึ้นไปยังดวงดาวคู่หนึ่งซึ่งตรึงหัวใจของเธอเอาไว้ จ้องสบกับนัยน์ตาพราวระยับของชายที่เธอตกหลุมรัก เอ่ยถามด้วยความหวังทั้งหมดที่ตนมี “คบกับพี่ได้ไหมคะ”

 

          โชคไม่ได้ให้คำตอบทันที เขาหยุดมองดวงตาที่สะท้อนภาพตนในนั้น เห็นว่ามันวูบไหวแม้จะมุ่งมั่งเพียงใด เห็นพวงแก้มที่ขึ้นสีเรื่อจางใต้บลัชออนสีอ่อน เห็นกลีบปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีหวานสั่นไหวน้อยๆ แพรเป็นคนกล้าหาญในสายตาของเขา เอ่ยบอกความรู้สึกอย่างซื่อตรง เอ่ยขอซึ่งสิ่งที่ตนต้องการอย่างซื่อสัตย์ แต่ก็ยังคงเผื่อใจที่จะยอมรับความผิดหวัง

 

          “พี่แพร” โชคเอ่ยชื่อเด็กสาวเสียงอ่อน เข้าใจเหลือเกินว่าอีกฝ่ายรู้สึกแบบไหน เข้าใจว่าการชอบใครสักคนมากๆ มันเป็นยังไง และเพราะอย่างนั้นเขาถึงต้องตอบไปตามตรง “ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”

 

          “แล้วเขาว่ายังไงคะ” คำที่ถามกลับมาชวนให้หัวใจจุกเสียด แพรไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายโชค คำถามนั้นเป็นเพียงสิ่งที่เธออยากรู้จริงๆ

 

          “เขา..เขาไม่รู้” และถึงรู้ เขาก็คงไม่ตอบรับ ประโยคหลังโชคทิ้งมันเอาไว้เพียงในใจ พยายามยกยิ้มให้อีกฝ่าย แต่มันกลับอ่อนล้าและอ้างว้างจนคนมองปวดร้าวตาม

 

          “งั้นเหรอ” เด็กสาวยิ้มเศร้า แต่ก็ยังคงซุกซ่อนมันเอาไว้ได้ดีกว่าเด็กหนุ่ม “แล้วน้องโชคคิดจะบอกเขาไหมคะ”

 

          “ไม่ครับ ผมบอกไม่ได้” โชคตอบคำถาม ทั้งที่จะเงียบไปเสียเลยก็ได้ แต่เมื่อเป็นกับผู้หญิงตรงหน้าแล้วเขารู้สึกว่าเขาอยากจะบอก อยากจะพูดออกไป อาจจะเป็นเพราะเขากำลังทำให้อีกฝ่ายเสียใจเลยอยากชดใช้ให้คืน

 

          “ถ้าอย่างนั้นสำหรับพี่แล้วมันก็ไม่เป็นไรหรอกนะคะ” แพรคว้ามือโชคขึ้นมากุมไว้หลวมๆ อุณหภูมิเย็นเฉียบทำให้โชครู้ว่าอีกฝ่ายใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการเอ่ยพูดแต่ละคำ “ถึงโชคจะยังไม่ชอบพี่ ถึงโชคจะยังชอบคนๆ นั้นอยู่ก็ไม่เป็นไร พี่ขอแค่ให้พี่มีโอกาสที่สักวันเราอาจจะหันมาชอบพี่บ้างก็พอแล้วค่ะ”

 

          รถประจำทางสายที่รอคอยแล่นมาจอดเทียบพอดี แพรผละจากเด็กหนุ่มไปขึ้นรถที่รีบร้อนออกตัวจนไม่มีเวลาให้ผู้โดยสารก้าวขึ้นลงมากนักทันที เพราะกลัวจะพลาดรถเที่ยวนี้แล้วต้องรออีกคันที่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ เด็กสาวส่งยิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นโบกลาเบาๆ ให้โชคในจังหวะที่หันมาสบตาพอดีขณะที่รถเมล์สีแดงเคลื่อนตัวผ่านไป โชคทำได้แค่ยกยิ้มตอบ ก่อนจะเดินไปขึ้นบีทีเอสเพื่อกลับบ้านตัวเองบ้าง

 

          ตลอดทางบนขนส่งสาธารณะวันนั้น โชคได้แต่คิดถึงคำสารภาพรักของแพรที่วนเวียนอยู่ในหัว รวมถึงประโยคสุดท้ายที่ทิ้งไว้ก่อนที่เธอจะไป

 

          ‘ไม่ต้องฝืนตอบรับความรู้สึกของพี่หรอกค่ะ แต่ยังไงพรุ่งนี้เช้าช่วยยิ้มให้พี่เหมือนเดิมทีนะคะ’

 

          โชคลุกให้กับเด็กวัยประถมต้นที่เดินเข้ามาพร้อมกับผู้ปกครองแล้วย้ายตัวเองไปพิงกระจกใสกั้นตรงสุดที่นั่งแทน เหม่อมองออกไปยังทิวทัศน์ของเมืองใหญ่ที่ทอดตัวอยู่เบื้องหลังรูช่องว่างของสติ๊กเกอร์โฆษณาที่ห่อหุ้มรถไฟฟ้าขบวนนี้อยู่เงียบๆ

 

          โชคเข้าใจคำพูดของแพรแทบทุกอย่าง เป็นเพราะชอบมากถึงได้คาดหวัง และแม้จะผิดหวังก็ยังคงอยากยืนอยู่ตรงนั้น อยู่ในที่ๆ ได้รับรอยยิ้มจากคนที่ทำให้หัวใจเรายิ้มตามได้เสมอ

 

          ...แม้จะไม่มีวันได้ครอบครองก็ตาม

 




 

          คริสต์มาสปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ ที่บ้านไม้สีขาวซึ่งไม่มีคริสเตียนอยู่เลยสักคนกลับวุ่นวายตั้งแต่เช้าวันเสาร์ เพราะแขกประจำกับลูกชายวัยสี่ขวบกว่าของเขาโผล่มาที่หน้าประตูตั้งแต่แปดโมง แก้วหาววอดเพราะเขาเพิ่งนอนไปตอนตีสี่ ขณะนั่งมองเด็กชายตัวน้อยหยิบของประดับต่างๆ ไปส่งให้เด็กหนุ่มที่นั่งประจำที่คอยจับแขวนของตกแต่งเข้ากับต้นสนปลอม ส่วนตัวคนที่ไปยกของลงมาก็มานั่งเอนหลังพิงพนักโซฟาอยู่ไม่ห่าง

 

          “ง่วงเหรอ” ผู้บุกรุกตัวโตถาม แต่แก้วไม่ตอบเป็นคำพูด ม้วนตัวลงซุกหัวกับไหล่กว้าง ผ่อนลมหายใจเป็นจังหวะแล้วหลับไปทั้งอย่างนั้น ธีร์หัวเราะน้อยๆ ยกมือขึ้นลูบปลายผมที่ยาวระต้นคอเจ้าตัวก่อนจะกระซิบบอกฝันดีแผ่วเบา

 

          ทุกอย่างเกิดขึ้นเงียบงันอยู่ด้านหลัง แต่โชคก็ยังเห็นมันผ่านเงาสะท้อนบนลูกบอลประดับเคลือบเงาสีทองอยู่ดี และสิ่งที่เด็กหนุ่มทำได้ก็มีเพียงเบนสายตาหนีไปจดจ่ออยู่กับการแขวนกล่องของขวัญสีแดงใบเล็กลงบนกิ่งก้านของต้นคริสต์มาสต่อเท่านั้น

 

          “ปะป๊า!” เสียงใสของเมษาเอ่ยเรียกคุณพ่อ แต่เพราะเสียงดังไปเลยโดนธีร์ยกนิ้วขึ้นจุ๊ปากปรามเบาๆ ไม่ให้รบกวนคนหลับ พอเด็กชายเห็นว่าเจ้าของบ้านหนุ่มหลับอยู่บนไหล่กว้างของพ่อ ก็ทิ้งริบบิ้นยาวที่ถือแล้วปีนขึ้นไปครองพื้นที่บนตักอุ่นเพื่อส่องดูแก้วใกล้ๆ ทันที “ปะป๊าแก้วหลับแล้วเหรอ”

 

          “ครับ เมื่อคืนปะป๊าแก้วไม่ได้นอนเลยง่วงมาก”

 

          “หรอ” เมษายื่นมือไปจับปอยผมที่ปรกข้างแก้มคนหลับออกให้อย่างตั้งอกตั้งใจจนมือสั่นน้อยๆ พอส่งเส้นผมพ้นกรอบหน้าชายหนุ่มแล้วจึงหันมายิ้มร่าให้พ่อ พร้อมกับเอ่ยถาม “แล้วทำไมปะป๊าไม่อุ้มปะป๊าแก้วไปนอนในห้องนอนล่ะครับ”

 

          ดวงตากลมโตใสซื่อจ้องมองอย่างรอคอยคำตอบ คิดว่าถ้าหากมีใครหลับปะป๊าของเขาก็จะอุ้มไปส่งถึงเตียงนอนอย่างที่ทำกับตน ธีร์ได้แต่ยิ้มขบขัน ลูบหัวเจ้าตัวเล็กแล้วค่อยตอบ “เพราะว่าปะป๊าแก้วจะได้อยู่กับเมษาแล้วก็พี่โชคด้วยไงครับ ไม่ต้องขึ้นไปนอนเหงาอยู่คนเดียวข้างบน”

 

          “งั้นเมษาก็จะนอนเป็นเพื่อนปะป๊าแก้วด้วย” ว่าจบก็ซบหัวลงกับอกคุณพ่อตัวใหญ่ จับจองพื้นที่ของตนโดยเหลือไหล่กว้างอีกข้างไว้ให้พี่ชายคนโปรด “พี่โชคมานอนด้วยกันเร็ว”

 

          โชคมองภาพตรงหน้าด้วยหลากความรู้สึก สรรพนามที่เด็กชายใช้เรียกเพื่อนของพ่อนั้นไม่ได้แปลกอะไร แต่มันฟังดูจั๊กจี้ในหัวใจเขายังไงไม่รู้ เพราะมันช่างดูอบอุ่นและชวนให้ยิ้มเหมือนหนังครอบครัวแสนสุขที่เขาไปดูมา แต่ก็ช่างห่างไกลเหมือนเขาเป็นได้แค่คนดูที่มีสิทธิ์เพียงเฝ้ามองอยู่หน้าจอกว้าง

 

          “พี่มีเรียนพิเศษตอนบ่ายครับ เดี๋ยวต้องไปอาบน้ำเก็บของเตรียมออกไปแล้ว”

 

          น้าแก้วมีอาธีร์ที่เป็นความสุขของน้าแก้วอยู่แล้ว ตัวเขาเองก็ควรจะก้าวต่อไปเหมือนกัน

 

 

 

          วันจันทร์สุดท้ายของปีอากาศหนาวเหน็บ หน้าโรงเรียนยามเช้ายังคงมีเด็กสาวยืนคอยอยู่ที่เดิม โชคเดินเข้าไปยืนข้างเธอขณะรอเพื่อนที่เดินเลยไปซื้อหมูปิ้งเหมือนกับทุกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เขาเป็นคนยื่นมือออกไปหาอีกฝ่าย

 

          “มายืนรอผมแต่เช้าเลย หนาวไหมครับ” มืออุ่นแนบลงข้างใบหูเปลือยเปล่าเพราะผมยาวถูกรวบไปด้านหลังตามระเบียบโรงเรียน มันเย็นเฉียบ แต่ไม่นานก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเหมือนสองแก้มอย่างขวยเขิน

 

          “ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง” แพรยิ้มกว้าง เอียงคอแนบอุ้งมืออุ่นซ่านที่พาให้หัวใจเต้นแรง สัมผัสเพียงแผ่วเบาแสนอ่อนโยนของเด็กหนุ่มทำให้เธอตกหลุมรักเข้าอีกแล้ว เหมือนกับในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วเลย...

 

          แพรเจอกับโชคครั้งแรกตอนเปิดเทอมสองของชั้นมัธยมปีที่ห้า ที่ทางม้าลายข้ามแยกไฟแดง ในระหว่างที่รอให้สัญญาณทางเท้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว ท่ามกลางผู้คนมากมายโดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่กำลังเร่งรีบ มันเป็นแค่เสี้ยวนาทีที่ไม่สลักสำคัญอะไร จนกระทั่งสายตาของเธอเหลือบไปเห็นตอนที่เด็กผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งก้มตัวลงจับลูกแมวที่กำลังจะพุ่งลงถนนไว้ได้ทัน จากนั้นไฟจราจรก็เปลี่ยนเป็นสีให้คนเดินข้ามได้ แต่เธอก็ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มองดูเด็กหนุ่มอุ้มแมวน้อยอย่างทะนุถนอมไปส่งคืนให้เจ้าของที่เปิดร้ายขายยาอยู่ไม่ไกล

 

          ทั้งหมดนั้นเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในยามเช้าของวันปกติ แต่มันก็เป็นเหตุผลที่เธอตกหลุมรักเช่นกัน

 

          “พี่แพร” เด็กหนุ่มคนเดียวกับในเช้าวันนั้นของเธอเอ่ยเรียก แพรเบนสายตาขึ้นสบเป็นแทนคำตอบรับ แล้วโชคก็พูดต่อ “ที่พี่เคยถามว่าคบกันไหม”

 

          “อื้ม” ดวงตาของเด็กสาวเปล่งประกายขึ้นมาอย่างมีความหวัง รอคอยให้อีกฝ่ายพูดต่อด้วยหัวใจฟูฟ่อง

 

          “พี่บอกว่าถึงผมจะชอบคนอื่นอยู่ก็ไม่เป็นไร..”

 

          “ไม่เป็นไร” แพรพูดซ้ำราวกับจะย้ำให้รู้ว่าเธอหมายความตามนั้นจริงๆ

 

          “งั้นถ้าพี่โอเคผมก็..” โชคเว้นช่วงไปคล้ายกำลังหาคำพูดเหมาะๆ ทิ้งให้หัวใจคนรอสั่นไหวจนมวนท้องไปหมด ก่อนจะระเบิดตู้มเมื่อเขาพูดประโยคถัดมา “ผมก็โอเค”

 

          ฤดูหนาวปีที่สิบหก โชคมีแฟนคนแรก

 

 

 

TBC...

          น้องโชคมีแฟนแล้วค่าาาาา ทุกคน เจ้าเด็กของเราเติบโตแล้วนะคะ  :กอด1:

          ตัวละครใหม่อย่างพี่แพรได้เปิดตัวเสียที เป็นเด็กผู้หญิงที่มุ่งมั่นมากๆ เลยล่ะค่ะ เปิดฉากรุกโต้งๆ สมเป็นสาวสมัยใหม่ 

          ฝากติดตามเอาใจช่วยให้หัวใจทุกดวงไม่ต้องเจ็บช้ำกันด้วยนะคะ

 

          ขอบคุณทุกคอมเมนต์ กำลังใจ และการอ่านเสมอ

          ขอบคุณค่ะ

 


          SEE YOU on วันพฤหัสบดีนะคะ


ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ต่อ2ตอนยาวๆ อุบ๊ะ!!เป็นเด็กแว้นซ์กันแล้ว 5555 อาร๊ายยยยโชคมีแฟนแล้ว >//< พี่แพรน่ารักนะ ขอเพียงได้รัก แม้จะไม่ได้รับรักตอบ ก็ยินดีที่จะยิ้มให้ ไม่หวังครอบครอง จนกว่าจะได้มาเอง ความรักของพี่แพรที่ให้โชคกับความรักของโชคมีให้น้าแก้ว มันคล้ายๆกันนะพอดูแล้ว ลองคบดูจะเป็นยังไงต่อไป เส้นทางอีกยาวไกล รอตามตลอดค่า ขอบคุณนะคะที่มาต่อตามกำหนดสม่ำเสมอ น่ารักมาก  :katai2-1:  :pig4: :pig4: :pig4: รอตอนต่อไปเลยค่ะ

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0


ASHTRAY

ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้

ตอนที่ 22

 

          หลังจากหยุดช่วงปีใหม่ไป ทุกอย่างก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม แพรยังคงมารอโชคที่หน้าโรงเรียนในตอนเช้า และพูดคุยกันผ่านข้อความในแอปพลิเคชั่นสีเขียวทุกคืน การคบหากันดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนไปมากนักสำหรับเด็กหนุ่ม

 

          “คุยกับแฟนอยู่เหรอ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว” ธีร์เอ่ยทักเมื่อเห็นเด็กหนุ่มนั่งจิ้มโทรศัพท์ไปยิ้มไป โชคเงยหน้าขึ้นมาสบตาคุณอาแวบหนึ่งแล้วก้มลงไปอมยิ้มกับจอมือถือต่อ

 

          “ครับ”

 

          “คบกันแล้วเหรอ” คราวนี้เป็นน้าแก้วที่นั่งข้างคนตัวใหญ่เอ่ยถาม แก้วหันมาสนใจเด็กหนุ่มที่เขาเพิ่งรู้ว่ามีแฟนแล้ว “กับคนที่ไปเที่ยวด้วยกันใช่ไหม”

 

          “ใช่ครับ คนนั้นแหละ” โชคตอบรับอย่างขัดเขินนิดหน่อย รู้สึกว่าพอพูดออกมาแบบนี้แล้วมันประหม่ายังไงไม่รู้ ทั้งที่คิดว่าไม่ได้ชอบ แต่แพรก็เป็นผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกดีด้วยจริงๆ

 

          “อืม แล้วชื่อไรนะ แพร?”

 

          “ครับ ชื่อแพร”

 

          หลังจากที่แก้วครางตอบเป็นอันว่ารับรู้แล้ว ทุกคนก็กลับไปสนใจสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ต่อ โชคกลับไปคุยกับแพร แก้วหันกลับไปดูทีวีเช่นเดียวกับธีร์ เพียงแค่คนตัวโตกำลังบีบนวนท่อนขาของเจ้าของบ้านที่พาดทับตัวเองอยู่ไปด้วยเท่านั้น

 

          เย็นวันนั้นทุกอย่างในบ้านไม้สีขาวเป็นไปอย่างปกติธรรมดาเหมือนครอบครัวหนึ่งที่มีลูกชายวัยว้าวุ่น

 




 

          สุดสัปดาห์กลางเดือนมกราคม แก้วตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า ลงมานั่งสูบบุหรี่อยู่ที่โซฟาพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่างจนเด็กหนุ่มลงมาในช่วงสายถึงได้รู้สึกตัว

 

          “น้าแก้วตื่นนานยัง” โชคทักทายเป็นคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง ขยับเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้วจึงสังเกตเห็นว่าบนโต๊ะหน้าโซฟานั้นมันมีอะไรหายไป “เอากาแฟไหมครับ”

 

          “อืม ขอบใจ” แก้วพูดตอบ พลางทิ้งก้นบุหรี่ลงไปบนกองขี้เถ้าในที่เขี่ย เขามีเรื่องที่จะต้องพูดกับโชค แต่เขายังไม่รู้จะเริ่มยังไงดี

 

          “น้าแก้วอยากกินไรตอนเที่ยง” โชคกลับมาพร้อมแก้วกาแฟกับขนมปังปิ้งทั้งในส่วนของแก้วและตัวเอง เอ่ยถามถึงมื้อเที่ยงที่อีกไม่นานก็จะถึงเวลา

 

          “ฉู่ฉี่ปลา ในตู้มีของรึเปล่า” แก้วริบกาแฟไปจิบ บอกเมนูที่คิดว่าอยากจะกินออกไป ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ว่าโชคจะทำอะไรมาเขาก็กินได้หมดทั้งนั้น เพียงแต่เพราะแก้วเป็นคนแบบที่ถ้าอีกฝ่ายถามมา เขาก็ควรจะตอบ

 

          “มีปลาอยู่ครับ พริกแกงกับกะทิก็น่าจะเหลืออยู่” โชคว่า จากนั้นก็ล้วงเอาโทรศัพท์ที่สั่นเป็นสัญญาณเตือนข้อความเข้าจากคนๆ เดิมออกมากดอ่าน แก้วลอบมองเด็กหนุ่มเงียบๆ เห็นหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ก่อนจะคลายออกพร้อมมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อย

 

          “โชค”

 

          “ครับน้าแก้ว” เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนเรียก แก้วมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาอ่อนโยนกับรอยยิ้มบาง แต่โชคกลับรู้สึกว่ามันดูเหงาจนหัวใจเขาหล่นวูบ

 

          “เธอชอบแพรมากเลยสินะ”

 

          “ไม่ ผม.. เอ่อ ก็ชอบ แต่ไม่..ขนาดนั้น” โชคโพล่งตอบปฏิเสธออกมา ก่อนจะตะกุกตะกักอธิบายเสียงแผ่วลงเรื่อยๆ จนท้ายประโยคแทบไม่ได้ยิน

 

          “ฉันไม่ได้จะว่าอะไร ไม่ต้องเขินขนาดนั้นก็ได้” มืออุ่นยื่นไปวางลงบนหัวเด็กหนุ่มแล้วลูบปลอบอย่างเอ็นดู เสียงหัวเราะขบขันในลำคอลอดออกมาให้ได้ยินเพียงแผ่วเบา กับรอยยิ้มที่ดูเหมือนไม่ได้คิดอะไรจริงๆ ช่วยคลายความร้อนรนของโชคลง แต่ในขณะเดียวกันก็ทิ้งความหนึบชาเอาไว้ในหัวใจของเขา

 

 

 

          คืนวันนั้นในตอนที่ยังไม่ดึกมาก แก้วมาเคาะประตูห้องของเด็กหนุ่ม พอเขาเปิดรับก็เข้าไปนั่งประจำบนเตียง โดยที่เจ้าของห้องย้ายตัวเองไปนั่งเก้าอี้โต๊ะเขียนหนังสือแทน โชคงุนงงและอึดอัดกับบรรยากาศที่กลืนกินทุกอย่างให้อยู่ในความเงียบ น้าแก้วดูจริงจังกว่าปกติ คิ้วเรียวขมวดมุ่นอยู่เหนือดวงตาเข้มที่หรี่ลงอย่างครุ่นคิด

 

          “โชค” โชคยืดหลังตรงขึ้นเองโดยอัตโนมัติเมื่อถูกเรียก สายตาของแก้วที่มองมาดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะตัดสินใจได้แล้ว “มานั่งนี่สิ”

 

          เด็กหนุ่มขยับตามอย่างว่าง่าย ทิ้งตัวลงนั่งปลายเตียงตรงข้ามกับชายหนุ่ม “ครับน้าแก้ว”

 

          “เรื่องที่ฉันจะคุยด้วยมันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่พวกเด็กๆ อยากได้ยินจากผู้ปกครองของตัวเองกันเท่าไหร่หรอกนะ เธออาจจะรู้สึกอึดอัดบ้าง แต่ว่ามันสำคัญ..” พูดจบก็วางซองสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆ สองสามอันกับขวดพลาสติกขุ่นขนาดพอดีมือที่ตั้งใจถือติดมาด้วยลงตรงหน้า “ก่อนอื่นก็วิธีวัดไซส์ถุงยาง”

 

          “...” โชคเงียบงัน ไม่ได้ตอบรับอะไร รู้สึกแปลกประหลาดที่อยู่ๆ ก็ต้องมาคุยเรื่องแบบนี้กับชายหนุ่มตรงหน้า เป็นความประหม่าที่น่ากระอักกระอ่วนใจแบบที่บอกไม่ถูกเลยทีเดียว และแก้วก็รู้ว่าเด็กหนุ่มรู้สึกอย่างไร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จะต้องพูด มันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะสอนวิธีการมีเซ็กส์แบบปลอดภัยให้กับอีกฝ่ายในฐานะผู้ปกครอง และเพราะเขาครุ่นคิดถึงวิธีที่จะสอนมากมายดูแล้ว แต่ด้วยนิสัยหลายๆ อย่างของตัวเขาเอง ทั้งที่เป็นคนพูดน้อยแล้วยังพูดอ้อมค้อมไม่เก่ง ตรงไปตรงมาไม่ชอบทำอะไรวกวนเสียเวลา สุดท้ายก็เลยมีแค่วิธีนี้ที่เขาทำได้

 

          “ปัญหาท้องไม่พร้อมส่วนหนึ่งมาจากการที่เด็กเลือกไซส์ถุงยางไม่เป็น เพราะงั้นเธอต้องต้องลองวัดของตัวเองดูแล้วก็ซื้อให้ตรง” แก้วพูดต่อไปรัวๆ จากข้อมูลที่ศึกษามาผสมกับประสบการณ์ของตัวเอง โดยมีเด็กหนุ่มนั่งคุกเข่ารับฟังเงียบๆ “วิธีการวัดก็ต้องวัดตอนที่มันตื่นตัวเต็มที่ ใช้สายวัดตัวที่อยู่ในกล่องเย็บผ้าก็ได้ เอามาพันวัดความยาวรอบ..ตรงนั้น แล้วก็หารสองแล้วจะได้ขนาดของถุงยางที่พอดีกับของเธอ”

 

          “เรื่องต่อมาก็เรื่องวิธีใส่ถุงยาง เวลาฉีกซองออกมาให้ระวังมันขาดด้วยล่ะ บางทีเล็บไปเกี่ยวโดนนิดเดียวถุงก็ขาดแล้ว” ไม่พูดเปล่า ผู้ปกครองดีเด่นแกะซองถุงยางออกมาประกอบการสอนด้วย “อันนี้ 54 ส่วนอีกอัน 56 มันใหญ่กว่ามาตรฐานทั่วไปของคนไทยนิดหน่อย ไม่รู้ว่าเธอจะใช้ได้ไหม แต่ตอนนี้ที่บ้านก็มีแค่นี้ ถ้าไม่พอดีก็ไปซื้อใหม่ ไม่ต้องเขินเพราะมันเป็นเรื่องปกติ”

 

          “แล้วก็วิธีใส่ ตรงปลายมันจะมีติ่งเล็กๆ แบบนี้ ต้องบีบไล่ลมก่อนจะสวมเข้าไปนะ ไม่งั้นมันจะมีลมข้างใน แล้วตัวถุงจะไม่แนบกับของเราทำให้มันหลุดง่าย หรือไม่ถุงก็อาจจะแตกตอนกำลังสอดใส่อยู่” เรียวนิ้วขยับจับท่าจับทางบีบส่วนกระเปราะปลายถุงยางสาธิต โชครู้สึกร้อนวูบไปทั่วร่างจนต้องเบนสายตาหลบอย่างกระดากอาย “เสร็จแล้วก็เอามาใส่ตรงปลายแล้วรูดลง ถ้ารูดไม่ลงแสดงว่าใส่ผิดด้าน เพราะงั้นก็ดูดีๆ ด้วยล่ะ”

 

          “ส่วนอันนี้ปกติผู้หญิงเขาจะมีสารคัดหลั่งตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีพอที่จะใช้หล่อลื่นได้ไปจนจบ บางคนที่มีน้อยมากๆ เวลาที่ผู้ชายฝืนใส่เข้าไปมันจะเจ็บ แล้วก็อาจจะทำให้เป็นแผลฉีกจนเลือดออกได้ ต้องระวังให้ดี” ของชิ้นต่อมาที่แก้วหยิบขึ้นมาเป็นขวดเจลหล่อลื่น คำอธิบายที่เลือกคำให้เข้าใจง่ายเต็มไปด้วยความใส่ใจ “แต่จริงๆ เจลหล่อลื่นนี่ไม่ได้จำเป็นต้องใช้แค่กับคนที่สารคัดหลั่งน้อยหรอกนะ ในซองถุงยางเองก็มีน้ำใสๆ ลื่นๆ มาด้วยใช่ไหมล่ะ มันจะช่วยให้สอดใส่ได้ง่ายขึ้น เพราะงั้นก็ใช้อันนี้ด้วยแต่แรกไปเลยก็ดี ผู้หญิงเขาจะได้ไม่เจ็บแล้วมีอารมณ์ร่วมไปด้วย”

 

          “การมีเซ็กส์น่ะไม่ใช่แค่ว่าเรารู้สึกดีอยู่ฝ่ายเดียวแล้วพอ แบบนั้นคือคนเห็นแก่ตัว เซ็กส์ที่ดีเธอต้องใส่ใจคู่นอนด้วย ต้องดูว่าเขาโอเครึเปล่า ชอบหรือไม่ชอบอะไร ถ้าไม่รู้ก็ต้องถามออกไป ผู้หญิงจะเสร็จยากกว่าผู้ชายมาก แล้วก็ดูออกยากด้วย เพราะงั้นถ้าไม่มั่นใจอะไรก็พูดไปเลย ไม่ต้องกลัวเสียหน้าหรอก ครั้งแรกของทุกคนมันก็ดูตลกเหมือนกันหมดนั่นแหละ" แก้วเว้นช่วงไปเล็กน้อยเพื่อคิดว่ามีอะไรที่เขาอยากพูดอีกบ้าง “แล้วก็สิ่งสำคัญที่สุดคือความสมัครใจ ถ้าเขาบอกว่าไม่หรือให้หยุดก็ต้องหยุด การที่ฝืนดันทุรังทำต่อโดยที่คิดว่าเดี๋ยวเขาก็รู้สึกดีน่ะมันเรียกว่าข่มขืน มันเป็นอาญากรรม และเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นในชีวิตผู้หญิงคนหนึ่ง จำเรื่องนี้ไว้ให้ดี”

 

          ทั้งห้องกลับมาเงียบสนิทอีกครั้งหลังแก้วพูดจนเสียงแหบแห้ง โชครับฟังทุกคำพูดของน้าแก้วเป็นอย่างดี แต่เขามีคำถามหนึ่งที่ติดอยู่ใจมาตั้งแต่ต้นแล้ว

 

          “น้าแก้ว”

 

          “ว่าไง”

 

          “ทำไมอยู่ๆ ก็มาพูดเรื่องนี้กับผมล่ะครับ”

 

          “เพราะเธออายุสิบหกแล้ว แล้วก็มีแฟนแล้วด้วย ฉันห้ามไม่ให้เด็กๆ ทำอะไรแบบนี้ลับหลังไม่ได้ ที่ฉันทำได้คือสอนให้เธอทำมันให้ถูกต้อง” คนเป็นผู้ปกครองตอบ กระแอมเล็กน้อยเมื่อเสียงเริ่มหาย นี่อาจจะเป็นครั้งแรกเลยที่เขาพูดเสียยาวเหยียดขนาดนี้

 

          “ผมไม่ได้จะ...” คำพูดเด็กชายหล่นหายไปกลางทาง แต่แก้วก็ยังรอคอยอย่างใจเย็น “ไม่ได้คิดจะทำอะไรแบบนั้น”

 

          “ฉันรู้ แต่ต่อให้เธอยังไม่คิดตอนนี้ ฉันก็ต้องสอนไว้อยู่ดี” คำพูดของชายหนุ่มสะท้อนบางสิ่งผ่านแววตา มีคำพูดหนึ่งที่เขาเคยพูดไว้เมื่อนานมาแล้วกับพี่สาวของเพื่อนสนิท “มันเป็นหน้าที่ของฉัน... ที่พยายามจะเลี้ยงดูเธอให้เติบโตไปให้ได้ดีที่สุดเท่าที่ฉันทำได้”

 

          แก้วยังคงพยายามที่จะเป็นผู้ปกครองที่ดีที่สุดให้กับโชคมาตลอด เกือบสิบปีแล้วที่เขาดูแลเด็กชายมา เป็นช่วงเวลาที่เนิ่นนาน แต่ก็เหมือนเพียงชั่วพริบตาเดียว เด็กชายตัวน้อยของเขาเติบโตเป็นเด็กหนุ่ม และอีกไม่นานก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ พอถึงตอนนั้นเจ้าหมาน้อยของเขาก็จะเดินจากไป คิดมาถึงตรงนี้มันก็แอบรู้สึกเหงาขึ้นมาจนได้

 

          แก้วในวัยสามสิบเก้าได้สัมผัสอีกความรู้สึกหนึ่งของคนเป็นพ่อเป็นแม่

 

          ลูกๆ นั้นโตขึ้นอย่างรวดเร็ว...เร็วจนเกินไปเสมอ

 

 

 

          หลังจากวันนั้นแก้วก็ไม่ได้พูดอะไรเรื่องนี้กับโชคอีก มีเพียงแค่สายวัดตัวจากกล่องเก็บอุปกรณ์เย็บผ้าที่แขวนรอเด็กหนุ่มอยู่ที่ลูกบิดประตูห้องเท่านั้น และโชคก็ย้ายมันเข้าไปไว้ในบนโต๊ะหนังสือ แต่ยังไม่ได้หยิบมาใช้ตามวิธีที่ชายหนุ่มเคยสอน เพราะเขายังทำใจไม่ได้ยังไงไม่รู้

 

          “น้องโชค วันอาทิตย์นี้ว่างไหมคะ” เสียงจากปลายสายเอ่ยถาม เวลาสองทุ่มครึ่งของทุกวันเด็กสาวจะโทรมาหาแฟนหนุ่มของเธอ

 

          “ก็ว่างอยู่ครับ พี่แพรจะชวนไปเที่ยวเหรอ” โชคตอบพร้อมถามกลับ พอจะเดาได้อยู่แล้วว่าแฟนสาวถามไปทำไม ถึงแม้ว่าช่วงหลังมานี้พวกเขาจะได้เจอกันบ่อยขึ้นเพราะแพรได้มหาวิทยาลัยไปตั้งแต่รอบรับตรงแล้ว จากที่เคยเจอกันแค่ตอนเช้า เดี๋ยวนี้บางวันเด็กสาวก็มาหาเขาหลังเลิกเรียนเพื่อไปเที่ยวตามประสาคู่รักวัยรุ่นบ้าง

 

          “อื้อ เพื่อนพี่บอกว่าร้านขนมที่เปิดใหม่อร่อยมากเลย ก็เลยอยากไปกับโชคน่ะ”

 

          “อ่อ ไปสิครับ เจอกันกี่โมงดี”

 

          “สักสิบโมงก็ได้จ้า โชคว่าพี่ใส่กระโปรงไปดีไหม”

 

          “ตัวที่บอกว่าเพิ่งซื้อมาน่ะเหรอ..” บทสนทนายืดยาวกินเวลาไปอีกกว่าชั่วโมงจากนั้น ทั้งที่มีแต่เรื่องไร้สาระเรื่อยเปื่อย แต่โชคกลับไม่ได้รู้สึกรำคาญ เช่นเดียวกับเด็กสาวอีกฝั่งสัญญาณที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

 

          หนึ่งเดือนของความสัมพันธ์ โชครู้สึกว่ามันดีกว่าที่เขาคิดเอาไว้

 




 

          เข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์แห่งความรัก บรรยากาศยามเช้าที่ลมหนาวยังพัดแผ่ว แพรสวมเสื้อคลุมไหมพรมตัวบางมายืนรอโชคอยู่ที่ประจำ

 

          “วันพุธหน้าก็วาเลนไทน์แล้วเนอะ” เด็กสาวกล่าวถึงวันแห่งความรักที่กำลังจะมาถึงอย่างตื่นเต้นนิดหน่อย ถึงแม้ประเทศไทยจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์จริงจังนัก แต่ในรั้วโรงเรียนมัธยมของหนุ่มสาววัยใสก็ยังคงมีการมอบขนมช็อกโกแลตแทนใจกับคนที่ชอบให้เห็นอยู่บ้าง

 

          “อื้อ พี่แพรอยากได้อะไรรึเปล่า” เด็กหนุ่มถามออกไปตรงๆ ก่อนจะรู้สึกว่าไม่ควรพูดแบบนั้นเลย เพราะมันเหมือนเขาบอกว่าแพรยกประเด็นขึ้นมาเพราะอยากได้ของขวัญเลยน่ะสิ แต่ไม่ทันที่โชคจะได้อ้าปากอธิบาย แฟนสาวของเขาก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

 

          “ไม่นะ ไม่มีอะไรที่อยากได้เลยตอนนี้” เด็กสาวทำหน้าคิดอย่างจริงจัง ก่อนจะหันมายิ้มเขินๆ “แค่พี่มีโชคอยู่ด้วยแบบนี้ก็พอแล้วค่ะ”

 

          โชคถูกจู่โจมด้วยออร่าสีชมพูที่แผ่ออกมาจากรอยยิ้มของแฟนสาวโดยไม่ตั้งตัว หัวใจเต้นแรงกับคำหวานที่ชวนให้รู้สึกขัดเขิน ไหนจะใบหน้าน่ารักที่ขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะซบอิงลงบนหัวไหล่ ปลายนิ้วมือเกาะเกี่ยวประสานกันจนถึงเวลาต้องแยกกันไปเข้าโรงเรียนจึงค่อยผละออก

 

          ในตอนนั้นโชคคิดว่าเขาคงชอบแพรอย่างที่อีกฝ่ายชอบเขาแล้ว

 

 

 

          วันเสาร์ที่สองของเดือนกุมภาตรงกับวันที่สิบ วันเกิดของธีร์เวียนมาถึงเป็นรอบที่สามสิบเก้า วันที่เขาจะอายุเท่ากับแก้ว งานเลี้ยงปีนี้ก็ยังคงเรียบง่ายเช่นเคย ตอนกลางวันชายหนุ่มอยู่กับพ่อแม่และลูกชาย ตอนเย็นก็มานอนค้างที่บ้านเพื่อนสนิท

 

          “งั้นผมขึ้นห้องก่อนนะครับ” เวลาสองทุ่มเด็กหนุ่มขอตัวจากปาร์ตี้ข่าวภาคค่ำที่ชายวัยใกล้เลขสี่ทั้งสองคนดูอยู่เพื่อกลับขึ้นห้องนอน ทั้งที่เป็นวันหยุดแท้ๆ แต่ในช่วงเปิดเทอมโชคก็มักจะนอนก่อนเที่ยงคืนเสมอ และอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาอยากแยกตัวไปอยู่ลำพังก็เพราะใกล้ถึงเวลาที่แฟนสาวของเขาจะโทรมาแล้วด้วย

 

          “คุยกับแฟนล่ะสิ” เจ้าของวันเกิดแซวนิดๆ อย่างรู้ทัน โชคได้แต่ยิ้มกรุ้มกริ่มแทนคำตอบก่อนจะปลีกตัวออกมา

 

          บทสนทนาระหว่างหนุ่มสาวยังคงฝากรอยยิ้มเอาไว้บนริมฝีปาก หลังจากที่วางสายไปในตอนที่ตัวเลขบนหน้าจอบอกเวลาสามทุ่มสี่สิบ โชคลงมาอาบน้ำเปลี่ยนชุดในขณะที่บนโซฟาหน้าทีวียังคงมีสองร่างนั่งเคียงกันดูรายการโทรทัศน์ไปเรื่อยเปื่อย... เหมือนคู่แต่งงานวัยกลางคนทั่วๆ ไป

 

          โชคมองเห็นความสุขในดวงตาของคนทั้งคู่ยามที่ร่างกายแตะสัมผัสกัน แม้จะเล็กน้อยเพียงปลายนิ้ว มันก็ยังคงแจ่มชัดหลังม่านควันเบาบางกลิ่นฝาดเฝื่อนที่ชวนให้ดวงตาพร่ามัว

 

          แต่เขาก็ไม่ได้เบนสายตาหนีอีกต่อไปแล้ว

 

          ความรู้สึกที่เคยล้นจนแทบสำลักออกมาถูกฝังกลบลงไปโดยรอยยิ้มของเด็กสาว ช่วงเวลาที่ได้ใช้ไปกับแพรทำให้โชคเข้าใจความรู้สึกของน้าแก้วกับอาธีร์ขึ้นมา ความรู้สึกของการถูกรัก และมันเป็นความรู้สึกที่ดี มากมายเพียงพอที่จะช่วยทำให้เขาเข้าใจว่าเหตุใดที่ตรงนั้นมันจึงเป็นของเขาไม่ได้

 

          จนกระทั่งกลางดึกที่เด็กหนุ่มแง้มประตูออกมา ตั้งใจจะลงไปชั้นล่างเพื่อหาน้ำดื่มดับความแห้งผากในลำคอ แต่เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากห้องนอนใหญ่ในค่ำคืนที่ไร้สายฝนช่วยกลบนั้นมันชัดเจนเกินไป ชัดเจนจนสองแก้มร้อนฉ่า สองขาก้าวไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูบานนั้นที่กั้นกลางเอาไว้ไม่ให้เขาเห็นว่าคนในห้องกำลังทำอะไรกันอยู่

 

          แต่เขาก็รู้ได้จากเสียงของการขยับไหวเป็นจังหวะที่รับกับเสียงหอบครางขาดช่วง รับรู้ได้จากเสียงกระซิบปลอบโยนแผ่วเบาก่อนที่ทุกอย่างจะสงบ และก็ได้รู้...

 

          ว่าการเข้าใจได้ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เจ็บปวด

 




 

          เช้าวันพุธมาถึง มันเป็นเช้าของวันวาเลนไทน์ที่หน้าโรงเรียนชายล้วนดูคึกคักกว่าปกติ เมื่อมีเด็กสาวต่างถิ่นมาเยี่ยมเยือนอยู่ประปรายพร้อมของขวัญเล็กน้อยที่ติดมือมา แพรเองก็เป็นหนึ่งในเด็กสาวที่มาพร้อมกล่องของขวัญสีหวาน และคำบอกกล่าวที่ว่าจะมาหาอีกทีในตอนเย็น

 

          “วันนี้มึงไปเที่ยวต่อกับพี่แพรเปล่า” เพื่อนสนิทที่ควบตำแหน่งสารถีประจำถามขึ้นในตอนพักเที่ยง เพื่อที่เจ้าตัวจะได้รู้ว่าต้องรอรับเด็กหนุ่มกลับด้วยกันไหม

 

          “คงไปแหละ พี่เขาบอกจะมาหาอีกตอนเย็น” โชคตอบพลางตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก พอดีกับที่เสียงโห่แซวของกลุ่มเพื่อนดังขึ้น

 

          “ฮั่นแน่ น้องโชคเด็กดีของพี่แพร”

 

          “จะไปไหนกันคร้าบ วาเลนไทน์ทั้งที ขอสัมภาษณ์หน่อย”

 

          “กูไม่เคยคิดเลยนะว่าไอ้โชคจะมีแฟนก่อนกู”

 

          “กูก็ไม่คิดเหมือนกัน” กับอีกสารพัดคำหยอกเย้ากลั้วเสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มกลุ่มใหญ่ โชคยิ้มตอบปัดๆ เพราะเขินบ้าง รำคาญบ้างตามประสา จนกระทั้งมีคำถามหนึ่งหลุดออกมา

 

          “มึงกับพี่แพรถึงไหนกันแล้ววะ”

 

          “ถึงไหนอะไร” โชคเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มือถือที่กำลังพิมพ์ตอบแชทแฟนสาวอยู่

 

          “ก็แบบที่...เคยมีอะไรกันยังอะ”

 

          ทุกคนในวงสนทนาพร้อมใจกันเงียบรอฟังคำตอบ โชคพลันหูแดงวาบขึ้นมา ก่อนที่สมองจะย้อนกลับไปคืนวันเสาร์ที่เขายืนอยู่หน้าห้องนอนใหญ่บนชั้นสองของบ้านไม้สีขาว ทั้งที่เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับแพรเลยสักนิด แต่เด็กหนุ่มกลับคิดถึงมันขึ้นมา ความร้อนที่วิ่งพล่านค่อยๆ สงบลงจนรู้สึกว่าร่างกายเย็นเฉียบ

 

          “บ้า ไม่มีหรอก ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นกันสักหน่อย” สิ้นคำปฏิเสธเสียงกริ่งบอกเวลาก่อนหมดพักเที่ยงก็ดังขึ้นพอดี กลุ่มเด็กหนุ่มเลยต้องลุกจากที่นั่งเพื่อเอาจานไปเก็บแล้วกลับเข้าห้องเรียนอีกครั้ง ทิ้งให้เรื่องส่วนตัวของโชคยังเป็นของโชคต่อไปโดยไม่มีใครเค้นถามอะไรอีก

 

          ตลอดทั้งคาบบ่าย โชคจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เรื่องที่น้าแก้วกับอาธีร์มีความสัมพันธ์ทางกายแนบชิดกันนั้นทิ้งความรู้สึกปั่นป่วนเอาไว้ในตัวเขา มันทั้งทำให้รู้สึกวูบวาบในช่องท้องและวูบโหวงในหัวใจไปพร้อมกันอย่างบอกไม่ถูก

 

 

 

          แพรมาหาเด็กหนุ่มตอนเลิกเรียนอย่างที่บอกไว้ อาจจะเป็นเพราะใกล้ปิดเทอมใหญ่แล้ว เด็กชั้นมัธยมศึกษาปีสุดท้ายจึงว่างกว่าเด็กชั้นปีอื่นๆ แพรถึงได้มีเวลามาหาเขาได้บ่อยๆ แถมยังมาถึงก่อนเวลานิดหน่อยอีกต่างหาก

 

          “หวัดดีครับพี่แพร” เสียงทักทายจากนักเรียนชายกลุ่มใหญ่ที่เดินออกมาพร้อมกับโชค เหล่าเด็กหนุ่มที่ยังโสดยังว่างรวมตัวกันไปจะเที่ยวเล่นเกมเซ็นเตอร์ที่ห้างใกล้ๆ แต่ก่อนไปก็ยังไม่วายขอแวะมาทักทายแฟนสาวรุ่นพี่ของเพื่อนเสียก่อน

 

          “สวัสดีค่า วันนี้พี่ขอยืมน้องโชคก่อนนะคะ” แพรยิ้มสดใสตอบพร้อมเอ่ยปากขอยืมแฟนหนุ่มจากกลุ่มเพื่อน

 

          “โหยพี่ เอาไปเลยไม่ต้องขอ ของพี่อยู่แล้ว” เสียงหัวเราะร่าของเด็กๆ กับรอยยิ้มเอียงอายของคนที่ถูกยกให้เป็นเจ้าของช่วยพัดเอาความรู้สึกที่ตกค้างอยู่ในอกของโชคให้จางหายไป

 

          “กูไปนะ” เด็กหนุ่มบอกลาเพื่อนๆ พร้อมกับจับมือแฟนสาวเดินไปตามบาทวิถีมุ่งตรงไปอีกทาง

 

          แพรกับโชคเดินไปเรื่อยๆ พลางคุยกันเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งถึงร้านที่เด็กสาวบอกเอาไว้ ร้านขนมหวานสัญชาติญี่ปุ่นกรุ่นกลิ่นขนมปังอบใหม่ พวกเขาใช้เวลาอยู่ที่นั่นเนิ่นนานจนท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีของกลางคืนที่ยังไม่มืดสนิท

 

          “วันนี้อยู่ด้วยกันนานๆ ได้ไหม” คำถามของเด็กสาวขณะรอรถคล้ายมนต์สะกดให้โชคคล้อยตาม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรอยยิ้มหรือดวงตาคู่นั้น แต่มันฉายแววเหงาหงอยชัดเจนไม่ต่างกันเลย

 

          “ครับ” โชคก้าวขึ้นรถประจำทาง ยืนเกาะราวข้างที่นั่งของแฟนสาว โดยที่มือข้างหนึ่งถูกมือที่เล็กกว่ากอบกุมเอาไว้อย่างทะนุถนอมไปตลอดทาง จนถึงบ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านจัดสรรแถวชานเมือง จากนั้นก็ถูกจูงให้เดินตามขึ้นไปถึงห้องนอนบนชั้นสองของบ้านที่เงียบสงัดโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว

 



...

ออฟไลน์ FebruarySea

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
...





          กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยขึ้นมาจากผ้าปูที่นอนสีสะอาดตาเบื้องล่าง และจากร่างกายของเด็กสาวที่คร่อมทับเขาอยู่ด้านบน

 

          “พี่แพร” เอ่ยเรียกออกไปด้วยเสียงสั่นไหว ถึงโชคจะยังไม่ประสา แต่ก็ไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าสถานการณ์ล่อแหลมตรงหน้านี้กำลังจะพาไปสู่อะไร

 

          “คะน้องโชค” เสียงตอบกลับมาเองก็สั่นไหวไม่แพ้กัน แพรซบหน้าลงบนแผงอกคนใต้ตัว พยายามจะซุกซ่อนความประหม่าเอาไว้ให้สมกับที่ตนโตกว่าอีกฝ่าย แต่ทำยังไงหัวใจก็ไม่ยอมสงบเลย โชครับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจใต้ก้อนเนื้อนุ่มนิ่มที่ทาบทับเขาอยู่ รู้ว่ามันเต้นแรงจะแทบกระโดดออกมาจากปากแฟนสาวอยู่แล้ว และเขาเองก็ไม่ต่างกัน

 

          โชคยกมือขึ้นลูบหัวแฟนสาว ไล้นิ้วสางเรือนผมยาวที่ไม่ได้ถูกมัดไว้เป็นทรงหางม้าตามกฎโรงเรียน แพรเป็นคนผมเส้นเล็กและมีสีออกน้ำตาล ยามที่มันร่วงหล่นจากมือเมื่อสางจนสุดความยาวจึงทิ้งไว้เพียงความอ่อนนุ่มชวนให้สัมผัสซ้ำอีกครั้ง และเด็กหนุ่มก็ทำเช่นนั้นซ้ำไปซ้ำมา จนกระทั่งสัมผัสนุ่มนิ่มจากสิ่งอื่นแนบชิดลงมาบนริมฝีปากแทน

 

          พวกเขาจูบกัน มันเป็นจูบที่ประดักประเดิดและชวนให้รู้สึกขบขัน แต่ก็ทิ้งรสชาติของจูบแรกเอาไว้อย่างนุ่มนวล ก่อนจะผละออกห่างพอให้สบตา แล้วแนบชิดเข้าหากันอีกครั้ง โดยที่ครั้งนี้วาบหวามกว่าครั้งก่อน เรียวลิ้นขยับรุกไล้กับกลีบปากที่เผยอออกรับอย่างเก้ๆ กังๆ สี่มือที่ค่อยๆ ช่วยกันปลดเปลื้องเสื้อผ้าอย่างติดๆ ขัดๆ จนกระทั่งเปลือยเปล่านั้น มันก็ทั้งตลกทั้งน่าอาย

 

          ‘ครั้งแรกของทุกคนมันก็ดูตลกเหมือนกันหมดนั่นแหละ’

 

          คำพูดของน้าแก้วที่เคยบอกกับเขาดูเหมือนจะจริงอย่างว่า

 

          และเมื่อคิดถึงน้าแก้ว ร่างกายมันก็ดันแข็งทื่อขึ้นมา ฝ่ามือที่กำลังลูบไล้แผ่นหลังเนียนละเอียดหยุดชะงัก อุณหภูมิที่กำลังทะยานขึ้นสูงในร่างกายดับวูบลง ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่เกิดขึ้นส่งผลถึงคนในอ้อมแขน แพรหยัดตัวขึ้นนั่งเช่นเดียวกับโชคที่ยันตัวขึ้นตาม

 

          “พี่แพร...” เสียงเรียกแหบแห้งเต็มไปด้วยความรู้สึก ซุกซบใบหน้าลงบนฝ่ามือที่ยกขึ้นมาปิดบังแววตาที่สะท้อนภาพของคนอื่น “ผมขอโทษ”

 

          “...ไม่ต้องขอโทษหรอกนะ” น้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเดียวกับสัมผัสที่ประคองสองมือเขา ค่อยๆ ขยับเข้าไปแทรกกำฝ่ามือใหญ่แล้วดึงออกจากใบหน้า เผยให้เห็นดวงตาคมสวยที่เธอตกหลุมรัก แพรก้มลงจูบปลายนิ้วในอุ้งมือราวกับจะส่งผ่านความจริงใจไปพร้อมกับถ้อยคำ “คิดว่าพี่เป็นคนที่โชคชอบก็ได้”

 

          “พี่แพร..” เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกชื่อ แต่ก็ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาอีก เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าอยากจะพูดอะไร อีกทั้งปากยังถูกปิดด้วยริมฝีปากของอีกคนที่โถมร่างเข้ามาแนบชิด

 

          โชคถูกดึงให้ให้ล้มลงไปคร่อมทับอยู่เหนือร่างเปลือยของเด็กสาววัยกำลังผลิบานเต็มที่ ผิวเนื้อเนียนนุ่ม กลุ่มผมสีน้ำตาลกระจายอยู่บนผ้าปูที่นอนสีอ่อน ใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อยชวนมอง เอวคอดบางเป็นเส้นเว้นระหว่างเนินเนื้อขนาดพอดีตัวกับสะโพกผ่ายตามสรีระเพศหญิง แพรมีเสน่ห์เย้ายวนมากพอที่จะทำให้ผู้ชายมากมายคล้อยตามบรรยากาศชวนเตลิดนี้ไป

 

          เพียงแต่ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่โชค...

 

          เพราะแพรบอกว่าให้เขาคิดถึงคนที่เขาชอบ เขาเลยทำไม่ได้ น้าแก้วไม่ใช่สาวน้อยวัยใสผิวนุ่มเนียน เรือนผมยาวเพียงประบ่าสีเข้มจนเกือบดำสนิท ใบหน้าคมสันของบุรุษมักเฉยชาอยู่เป็นนิจ มีเพียงยามที่อยู่กับใครอีกคนเท่านั้นที่มันจะแผดเผาตัวเองจนร้อนฉ่า และเรือนร่างของผู้ชายที่แบนราบไปเสียเกือบทุกส่วนก็ล้วนแตกต่างจากคนตรงหน้า แม้โชคจะไม่เคยเห็น แต่เขาก็พอจะจินตนาการออกว่ามันคงเป็นเช่นนั้นในสายตาของอาธีร์

 

          “พี่แพร ผมทำไม่ได้” โชคกระซิบแผ่วเบา ทั้งที่ยังคงใช้แขนยันร่างไว้เหนืออีกฝ่าย

 

          “พี่บอกแล้วว่าคิดถึงคนที่เราชอบก็ได้ พี่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” แพรยิ้มตอบแผ่วเบาเช่นกัน ยกมือขึ้นวางทาบแก้มคนด้านบน สบตายืนยันในคำเดิม

 

          “...มันไม่ใช่แบบนั้น” เด็กหนุ่มผละถอยไปนั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้าง เด็กสาวลุกตามไปนั่งเผชิญหน้าแล้วรอคอยโดยไม่พูดอะไร “ผมขอโทษ”

 

          “น้องโชคขอโทษทำไมคะ” เจ้าของชื่อทรุดตัวลงไปหมอบกับตักตัวเอง ได้ยินเสียงสะอื้นที่ชวนให้ใจเธอสลายเล็ดลอดออกมา แพรทำได้แค่เอ่ยถามกับวางมือลงบนแผ่นหลังสั่นเทา

 

          “คนที่ผมชอบเขาเป็นผู้ชาย”

 

          โลกของแพรหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะเมื่อได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิดมาก่อน ทุกอย่างอื้ออึงไปพร้อมกับดวงตาพร่ามัว แต่เมื่อเธอเห็นเด็กหนุ่มที่หมอบคู้กายอยู่ตรงหน้า กำลังสั่นไหวเพราะแรงสะอื้น หูที่ดับไปก็ได้ยินเพียงเสียงของโชคซ้ำๆ

 

          “ผมขอโทษ พี่แพร ผมขอโทษ”

 

          “ไม่เป็นไรค่ะ น้องโชค ไม่เป็นไรเลย”

 

          แพรเอ่ยตอบ โน้มตัวลงไปโอบกอดเด็กหนุ่มเอาไว้ รับรู้ได้ถึงสองแขนที่เลื่อนขึ้นมากอดเอวเธอแน่นเช่นเดียวกัน บนตักเปียกชื้นด้วยหยาดน้ำตา ไม่ต่างกับแผ่นหลังที่เธอใช้ซบใบหน้าลงไปเลย ท่ามกลางคำกล่าวขอโทษและคำปลอบโยนที่ตอบกลับไป พวกเขาโอบกอดกันไว้ได้แนบชิดกว่าครั้งไหนๆ ด้วยหัวใจที่เปลือยเปล่าเสียยิ่งกว่าร่างกาย

 


 

 

          เกือบสามทุ่มแล้วกว่าน้ำตาบนใบหน้าจะแห้งเหือด โชคกับแพรนั่งพิงหมอนอยู่ข้างกัน มือเล็กเกี่ยวไล่ไปตามเรียวนิ้วของอีกฝ่ายอย่างเลื่อนลอย

 

          “พี่ถามได้ไหมคะว่าคนๆ นั้นเขาเป็นใคร”

 

          “ผม..” โชคลังเล แต่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ เจ้าของศีรษะที่ทิ้งลงบนไหล่ก็ช่วยให้มันง่ายขึ้น

 

          “นั่นสิเนอะ มันก็คงพูดออกมาไม่ได้ง่ายๆ สินะ” โชคครางรับในคอ พลิกฝ่ามือขึ้นสอดประสานกับมือของเด็กสาว เอนหัวลงไปพิงทิ้งไว้กับคนที่ยืมไหล่เขาอยู่ ทิ้งให้กาลเวลาล่วงเลยไปอย่างเชื่องช้าในความเงียบงัน

 

          “ขอโทษนะครับ” คำขอโทษหลุดออกมาอีกครั้ง โดยที่ไม่รู้ว่าหมายถึงเรื่องไหนกันแน่ โชคอยากขอโทษสำหรับทุกอย่าง เขาทำผิดกับแพรไปมากมายจนหาจุดเริ่มต้นไม่เจอแล้ว แต่แพรก็ยังคงส่ายหน้าไม่รับมันไป “ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษ โชคไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”

 

          “ผมน่าจะบอกพี่ตั้งแต่แรก” เด็กหนุ่มยังคงรื้อฟื้นหาต้นตอความผิดของตัวเองอยู่

 

          “เราก็บอกพี่ตั้งแต่แรกแล้วนี่” และแพรก็ยังคงรอยยิ้มยืนยันว่ามันไม่มีอยู่จริงเอาไว้ “เราบอกพี่ว่าเรามีคนที่ชอบอยู่แล้ว เป็นพี่เองที่บอกว่าไม่เป็นไร”

 

          “แต่ผมก็ทำให้พี่เสียใจอยู่ดี”

 

          “ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่ความผิดของโชคสักหน่อย” เด็กสาวขยับตัวเปลี่ยนท่า แต่ยังคงกอบกุมมือของเด็กหนุ่ม และทิ้งหัวไว้บนบ่าอีกฝ่ายเหมือนเดิม “พี่เป็นคนที่บอกว่าไม่เป็นไรแล้วเดินเข้ามาทั้งที่รู้ว่ามันอาจจะเจ็บ มันเป็นความสมัครใจของพี่เอง พี่ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองเลือก เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอกนะ ไม่ต้องโทษตัวเองหรอก”

 

          ความเด็ดเดี่ยวในถ้อยคำของอีกฝ่ายทำให้โชคได้แต่พยักหน้ารับ เพราะมันคงจะเป็นการดูถูกเด็กสาวผู้กล้าหาญและแข็งแกร่งคนนี้ถ้าเขาปฏิเสธมัน

 

          “แต่พี่ก็โล่งใจนะที่เราไม่ได้ทำอะไรกันไปมากกว่านี้น่ะ” แพรพูดขึ้นในตอนที่พวกเขาเก็บเสื้อผ้าบนพื้นขึ้นมาใส่ “ตอนแรกพี่คิดว่าถ้าพี่ได้นอนกับโชค พี่จะได้หัวใจเรามาบ้าง ถึงจะทีละนิดละหน่อยก็ช่าง...”

 

          ในช่วงจังหวะที่ถูกเว้นไป โชคหันมาสบตากับเด็กสาว ใบหน้าน่ารักที่ดวงตายังคงฉ่ำชื้นอยู่เล็กน้อยระบายยิ้มกว้างออกมา

 

          “แต่ว่าความรักมันไม่ได้ทำงานแบบนั้นสักหน่อย”

 

          ความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวยาวนานเพียงห้าสิบเอ็ดวัน แต่พวกเขากลับได้เรียนรู้มากมายเหลือเกิน

 

 

 

TBC...

          ความสัมพันธ์จบลงไปในระยะเวลาเพียงน้อยนิดระหว่างการเป็นวัยรุ่น

          น้องแพรเป็นตัวละครที่สำคัญอีกตัวหนึ่งสำหรับการเติบโตของน้องโชคเลยล่ะค่ะ และเป็นตัวละครที่เราชอบมากๆ (ซึ่งจริงๆ ก็ชอบทุกตัวแหละค่ะ อุอิ) แต่น้องแพรเป็นตัวละครหญิงที่แข็งแกร่งมากๆ เลย เป็นสาวน้อยใจเด็ดเดี่ยว เป็นตัวแทนของคนที่กล้าหาญในความรัก หวังว่าทุกคนจะเอ็นดูน้องแพรของรีนนะคะ

          ส่วนในตอนนี้รีนใส่อะไรหลายๆ อย่างที่อยากจะพูดถึงลงไปเลยค่ะ ทั้งเรื่องของเพศศึกษา เรื่องของมุมมองความรักกับเซ็กส์ จริงๆ ในเรื่องนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากที่รีนสอดแทรกเอาไว้ อย่างที่เคยมีใครสักคนเคยว่าไว้ ว่างานเขียนถ่ายทอดส่วนหนึ่งของผู้เขียนออกมา รีนเองก็ใส่ความเป็นตัวเองลงไปในนิยายเรื่องนี้เยอะมากๆ เลยล่ะค่ะ อาจจะมีผิดบ้างถูกบ้าง แต่ถ้ามันบ้งก็สามารถทักท้วงมาพูดคุยกันได้เลยนะคะ

          และในตอนนี้มีอีกเรื่องที่อยากจะแชร์ คือประโยคสุดท้ายของน้องแพรค่ะ ที่บอกว่า “ตอนแรกพี่คิดว่าถ้าพี่ได้นอนกับโชค พี่จะได้หัวใจเรามาบ้าง ถึงจะทีละนิดละหน่อยก็ช่าง แต่ว่าความรักมันไม่ได้ทำงานแบบนั้นสักหน่อย” ประโยคนี้เป็นการตีความของรีนที่มาจากเพลงเพลงหนึ่งค่ะ ชื่อเพลงว่า Downtown - Allie X เป็นเพลงที่รีนชอบมากๆ ไปหาฟังกันได้นะคะ

 

          ขอบคุณทุกการอ่าน คอมเมนต์ และกำลังใจ

          ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ

 

          เจอกันใหม่วันพฤหัสบดีหน้าน้าาาา   :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-08-2020 21:44:47 โดย FebruarySea »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด