ASHTRAY
ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้
ตอนที่ 5
“อะ สอนโชคให้ด้วย” แก้วยื่นถุงทรงสี่เหลี่ยมให้เพื่อนสนิทที่โผล่มาที่บ้างเขาในช่วงสายของวันหยุด ธีร์รับถุงมาเปิดดู สมุดภาพหลายเล่มที่ฝ่ายเจ้าของบ้านไปเลือกซื้อมาจากร้านหนังสือนอนนิ่งอยู่ในนั้น ทั้งสมุดฝึกเขียน ก.-ฮ. A-Z และเลข 1-100 นอกจากนี้ยังมีพวกสมุดระบายสีรูปร่างเราขาคณิต รวมภาพสัตว์โลก และอีกมากมายหลากหลายให้เลือกสรรได้ตอบใจผู้สอน
“อะไรเนี่ย”
“ก่อนเข้าเรียนต้องมีพื้นพวกนี้ก่อน โชคไม่ได้เรียนอนุบาลเลยต้องมาฝึกเอง” แก้วอธิบาย ตอนแรกเขากะจะสอนเอง แต่เพราะมีงานค้างอยู่ และประจวบเหมาะพอดีกับที่เพื่อนผู้แสนรักเด็กของเขาโผล่มา เลยมอบหน้าที่ที่เจ้าตัวน่าจะชื่นชอบนี้ให้
ใบหน้าหล่อเหลายับย่นน้อยๆ เขามาเพื่อมาเล่นกับเด็กชายและเจ้าของบ้าน แต่กลับถูกใช้งานเสียอย่างนั้น ธีร์ถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปเรียกเด็กชายให้มานั่งกับพื้นข้างโต๊ะหน้าโซฟาด้วยกัน แล้วเริ่มหยิบเอาคู่มือการเรียนรู้ออกมาให้เด็กชายเลือกว่าอยากทำเล่มไหนเป็นอันดับแรก
แก้วพ่นลมหายใจเจือไอขมุกขมัวออกมาก่อนจะเดินเข้าห้องทำงานชั้นล่างไป รู้สึกว่าเพื่อนสนิทของเขาดูจะเหมาะกับการเลี้ยงเด็กมากเลยทีเดียว และเช่นเดียวคนที่หน้ายู่เมื่อกี้ พอเห็นแววตาเปล่งประกายสนอกสนใจของเด็กชายแล้วก็เริ่มรู้สึกว่า บางทีการใช้เวลาวันหยุดไปกับการสอนหนังสือให้เด็กชายก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
“หลับแล้วเหรอ” เป็นคำถามที่ไม่ได้หมายถึงเจ้าตัว เมื่อเห็นเพื่อนสนิทที่พาเด็กชายขึ้นไปส่งนอนทั้งที่ไม่จำเป็นเดินลงบันไดมา
“หลับแล้ว” ร่างสูงก้าวยาวๆ เข้ามาทิ้งตัวลงที่ว่างข้างเจ้าของบ้าน เอนหัวซบพนักโซฟาหันหน้าไปมองดุแบบไม่จริงจังนักใส่คนที่สูบบุหรี่อีกแล้ว ก่อนจะเริ่มเล่ากิจกรรมล่าสุดที่ได้ทำกับเด็กชายให้เขาฟัง “วันนี้กูอ่านนิทานที่แถมมากับสมุดไดโนเสาร์ให้ฟังด้วย ชอบใหญ่เลย”
“ก็ดีแล้ว”
“มึงน่าจะทำบ้างนะ”
“กูเล่านิทานไม่เป็น”
“อ่านเอาก็ได้”
ดวงตาสีเข้มหรี่ลงคล้ายพิจารณาแต่ไม่รับปาก ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องอื่นแทน
“จะค้างไหม”
“อืม แต่กูไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาด้วยนะ”
“ไปหาเอาในตู้ น่าจะมีของมึงอยู่”
“ครับผม” ธีร์ยิ้มรับคำ แต่ก็อ้อยอิ่งอยู่เนิ่นนานจนอีกคนขยี้บุหรี่ลงบนที่เขี่ยแก้วบนโต๊ะ แล้วจึงค่อยลุกเดินกลับขึ้นชั้นสองของบ้านไปด้วยกัน
ฟ้ายังไม่ทันสว่างแก้วก็ถูกปลุกด้วยการขยับตัวลุกของคนข้างๆ ธีร์บอกให้เขานอกต่ออีกหน่อย แต่เจ้าบ้านปฏิเสธ เขาลงมาส่งเพื่อนสนิทถึงประตูรั้วเพื่อที่จะได้คล้องโซ่ปิดหลังอีกคนออกไป รอจนรถเก๋งสีขาวคันใหญ่แล่นพ้นจากสายตาแล้วจึงค่อยเดินกลับเข้าไปในบ้าน มวนบุหรี่ถูกจุดขึ้นอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้บนโซฟาตัวเดิม มุมเดิมๆ แก้วนั่งชันเข่าพิงตัวด้านข้างกับพนักพิง มองผ่านมุ้งลวดกันยุงออกไปทางหน้าต่างที่เปิดเอาไว้เสมอยกเว้นเวลาที่ฝนตก
สวนขนาดไม่ใหญ่แต่ก็มีพื้นที่พอให้ใช้สอยได้ยังคงร่มรื่นเขียวขจี ทิวทัศน์สีเขียวเริ่มเด่นชัดเมื่อแสงแรกของวันเริ่มรำไรอยู่ที่เส้นขอบฟ้า ดวงอาทิตย์ใช้เวลาไม่นานนักก็กลืนกินทั้งท้องฟ้า ส่องสว่างไล่น้ำค้างให้ค่อยๆ จางหายไป แต่ก็เนิ่นนานพอที่บุหรี่ในมือของชายหนุ่มจะมอดจนถึงโคน
แก้วไม่ได้จุดบุหรี่มวนใหม่หลังจากที่ทิ้งก้นกรองลงในที่เขี่ย เขาเพียงแค่หลับตาลง ปล่อยให้ลำแสงอบอุ่นอาบไล้ใบหน้าซีกหนึ่งอย่างอ่อนโยน
“น้าแก้วทำอะไร” เด็กชายที่ตื่นแล้วลงมาชั้นล่างในตอนสายๆ ได้ยินเสียงกุกกักจากในสวน พอเดินออกมาชะโงกหน้าดูตรงประตูก็เห็นชายหนุ่มเจ้าของบ้านกำลังปีนบันไดขึ้นไปแกะปมเชือกสีขาวที่เปรอะจนสีเปลี่ยนให้หลุดจากกิ่งต้นมะม่วง
“มันพังแล้ว เลยเอาออก” แก้วว่าขณะก้าวลงจากบันไดขั้นสุดท้ายมาเหยียบพื้นอย่างปลอดภัย แล้วขยับบันไดไปอีกนิดเพื่อปีนขึ้นไปแก้ปมอีกฝั่งที่เหลือ โชคใส่รองเท้าแตะเดินลงมาเก็บเชือกเก่าเปื่อยยุ่ยที่กองอยู่ขึ้นมาเล่น แต่ด้วยปลายเชือกถูกยึดติดกับแผ่นไม้กระดานและยังคงเชื่อมอยู่กับเชือกอีกเส้นที่ยังไม่ถูกปลดลงมา เขาเลยยังไม่สามารถลากมันเดินไปรอบๆ สวนได้อย่างที่ใจนึก เล่นต้องนั่งยองลงคลี่ปลายรุ่นแล้วดึงเล่นอยู่ตรงนั้นแทน
ปลายเชือกอีกฝั่งที่ยึดโยงกับกิ่งไม้ใหญ่ถูกปลดลงมาได้สำเร็จ ซากชิงช้าเก่ากองอยู่บนพื้น แก้วปล่อยให้เด็กชายได้สำรวจมันเต็มที่ เด็กชายหยิบแผ่นไม้กระดานขึ้น ถอยหลังออกไปไกลจนเชือกที่ขดอยู่เหยียดออกจนสุดดูคล้ายหาง แล้วออกวิ่งวนไปในสวนขณะที่มองมายังหางสองเส้นที่ไล่ตาม เขาพึงพอใจกับของเล่นชิ้นใหม่ แต่เมื่อมองไปยังใต้ต้นมะม่วงที่ว่างเปล่า หัวใจดวงน้อยก็วูบไหวด้วยความรู้สึกที่ยังไม่รู้จักชื่อเรียก
“เพราะมันพังเลยต้องทิ้งเหรอ” เด็กชายถาม
“อืม ถ้าปล่อยไว้สักวันก็ขาดตกลงมาเองอยู่ดี” ชายหนุ่มตอบ เขาเห็นแววตาเศร้าสร้อยมองขึ้นไปยังร่องรอยบนกิ่งไม้ที่เกิดจากการถูกเชือกเส้นหนาผูกรัดมันมานานหลายปี มืออบอุ่นที่เด็กชายชื่นชอบจึงวางลงบนศีรษะเล็ก “แล้วฉันก็ว่าจะทำอันใหม่ไว้ให้เธอเล่นน่ะ”
บ่ายวันนั้นหลังจากที่ทั้งสองขับรถออกไปซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็นกลับมาแล้ว ในสวนเล็กๆ ที่เคยเงียบสงบก็มีเสียงเครื่องมือและเสียงพุดคุยดังระงมให้ไม่เงียบเหงาจนท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดง ใต้ต้นมะม่วงใหญ่ก็มีชิงช้าทำจากแผ่นไม้กระดานและเชือกเส้นใหญ่สีขาวอันใหม่ห้อยอยู่ตรงที่เดิม
อากาศยังคงหนาวเย็นในช่วงเวลาส่งท้ายปี เสื้อแขนยาวตัวหนาถูกสวมทับชุดนอนของเด็กชายอีกชั้น เช่นเดียวกับคนที่ใส่ให้เขา ซึ่งวันนี้ก็เพิ่มเสื้อคลุมตัวยาวทับเสื้อยืดกับกางเกงที่ใส่นอนเป็นประจำขึ้นมาอีกตัว
“อาธีร์จะมาไหม” โชคถามอย่างตื่นเต้น
“มาสิ เดี๋ยวก็มา” แก้วอุ่นนมมาให้เด็กชายดื่มคลายหนาว ขณะที่กำลังรอตัวต้นคิดที่บอกว่าอยากให้เด็กชายได้รู้จักวันคริสต์มาส ทั่วทั้งบ้านจึงเต็มไปด้วยของตกแต่งสีเขียวแดงและขาวให้เข้ากับบรรยากาศของเทศกาล อีกทั้งยังมีต้นสนปลอมขนาดสูงท่วมหัวเด็กชายซึ่งถูกประดับประดาด้วยไฟและของแวววาวตั้งอยู่ที่มุมข้างชั้นวางทีวี
“อาธีร์บอกว่าจะมีลุงใส่ชุดแดงเอาของขวัญมาให้” เด็กชายยังคงพูดด้วยประกายวิววับในดวงตา เขาไม่เคยได้จัดงานอะไรแบบนี้มาก่อน สำหรับเขาแล้วมีเพียงวันปีใหม่ที่ยายหอมจะทำอาหารมากกว่าสองอย่างให้กินเท่านั้นที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นการฉลองวันสำคัญ
“ตื่นเต้นเหรอ”
“อื้ม” เด็กน้อยพยักหน้าแรง แก้วกำลังจะพูดต่อ แต่ร่างสูงในชุดแดงกับถุงย่ามสีเดียวกับชุดใบใหญ่ก็โผล่ขึ้นที่หน้าประตูเสียก่อน
ธีร์มาในชุดซานต้าคลอส แต่กลับเป็นลุงซานต้าที่หุ่นดีและไร้หนวดเคราสีขาวอย่างที่ตำนานเล่ากันมา เขาไม่ได้พยายามจะปิดบังตัวเองเพื่อที่จะปลอมตัวเป็นนักส่งของขวัญจากขั้วโลกเหนือต่อหน้าเด็กชายเลยสักนิด แต่เด็กชายก็ยังคงตาโตด้วยความประหลาดใจและวิ่งเข้าหาอย่างกระตือรือร้น
“ซานต้าทำไมไม่มีหนวด” แก้วแซะเมื่อเพื่อนเขาโผล่มาด้วยใบหน้าเกลี้ยงเกลาจนเหมือนจะไปให้ของขวัญสาวๆ มากกว่ามาไล่แจกของขวัญให้เด็ก
“ที่นี่ไม่มีคริสต์เตียน ซานต้าไม่มาหรอก” ธีร์ยักไหล่ ก่อนจนหันไปขยี้หัวเล็กของเด็กชายที่แววตาเริ่มสั่นคลอนเมื่อเขาบอกว่าซานต้าจะไม่มาผิดจากที่เคยเล่าให้ฟังครั้งก่อน “แล้วที่นี่ก็ไม่ต้องการซานต้าด้วย เพราะว่ามีอาธีร์อยู่นี่แล้วไง”
แก้วถอนหายใจกับท่าทางที่อ้าแขนออกกว้างราวกับจะประกาศการมาถึงของตัวเองของเพื่อนสนิท แต่กลับมีแฟนคลับที่ด้วยตาเป็นประกายจ้องมองอย่างชื่นชมอยู่คนหนึ่ง
“น้องโชคเป็นเด็กดีรึเปล่าครับ” ซานต้าหนุ่มหล่อถามด้วยรอยยิ้มกว้างไม่แพ้เจ้าตัวเล็กพระเอกของงาน คนถูกถามพยักหน้าหงึกหงัก แล้วหันไปคล้ายจะขอคำยืนยันจากคนข้างหลัง แก้วพยักหน้าพร้อมกับหัวเราะออกมาน้อยๆ ขณะที่มองดูหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กที่กำลังคุ้ยเอากล่องของขวัญใบน้อยใหญ่ออกมาจากถุงย่ามยักษ์
อากาศหนาวเย็น แต่ในห้องนั่งเล่นบ้านเขากลับอบอุ่น
ภายในห้องนั่งเล่นเหลือเพียงเจ้าบ้านสองคน เพราะแขกกิตติมศักดิ์กำลังใช้ห้องอาบน้ำอยู่ โชคยังคงถือหุ่นยนต์ของเล่น หนึ่งในของขวัญที่เขาชอบที่สุดที่ได้รับจากอาธีร์ไว้ ดวงตาเปล่งประกายดูมีความสุขจนคนที่นั่งมองอดรู้สึกยินดีตามไปด้วยไม่ได้
“ชอบเหรอ”
“ชอบครับ”
“แล้วจิ๊กซอว์ที่ฉันให้ล่ะ”
“...ก็ชอบอยู่” เสียงเล็กตอบอู้อี้ ไม่กล้าสบตาคนถาม เขาชอบของขวัญที่ได้จากน้าแก้ว แต่เด็กอายุเจ็ดปีก็คงไม่สามารถชอบจิ๊กซอว์สามร้อยชิ้นได้มากกว่าหุ่นยนต์ของเล่นอยู่แล้ว
แก้วหัวเราะกับท่าทางร้อนรนของเด็กชาย ยื่นมือออกไปวางบนหัวเล็กแล้วพูดประโยคที่คิดจะพูดออกไปก่อนหน้านี้ แต่โดนขัดด้วยการปรากฏตัวของซานต้าครอสเสียก่อน
“ชอบคริสต์มาสรึเปล่า”
“ชอบครับ” คราวนี้เด็กน้อยตอบเสียงดังฟังชัด หันมายิ้มแฉ่งให้น้าแก้วคนโปรด
“งั้นปีหน้าจัดกันอีกนะ”
“อื้ม” โชคพยักหน้าแรงจนน่ากลัวว่าคอจะหลุด เพื่อยืนยันคำตอบ เขาชอบคริสต์มาสมากจริงๆ
ค่ำคืนวันส่งท้ายปีเก่าของโชคไม่ครึกครื้นเท่าคืนคริสต์มาส เพราะขาดตัวสร้างสีสันอย่างธีร์ที่ติดเลี้ยงฉลองกับครอบครัวไป แต่เด็กชายก็ยังมีความสุขกับมื้ออาหารเงียบๆ ในห้องครัวที่มีเพียงเขากับน้าแก้วสองคน
“น้าแก้วจะไปไหน” เด็กชายถามคนที่ลุกออกจากห้องนั่งเล่นตรงไปที่ประตูบ้าน
“สูบบุหรี่” แก้วชูซองบุหรี่กับไฟแช็กอันใหม่ในมือให้เด็กชายดู โชคพยักหน้าแล้วกลับไปสนใจสมุดระบายสีของตัวเองต่อ
คนออกมาหน้าบ้านกระชับเสื้อคลุมตัวนอกเมื่อปะทะกับสายลมหนาว คาบมวนบุหรี่ไว้ในปาก เสียงใสยามเปิดฝาไฟแช็กราคาแพงดังกังวาน เขารนไฟที่ปลายแท่งยาสูบ สูดเอาควันอุ่นเขาไปร่างกาย ขณะที่มองออกไปยังท้องฟ้ามืดสนิทของค่ำคืนสุดท้ายแห่งปีด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก
โชคแอบมองชายหนุ่มจากในบ้าน เขาไม่รู้ราคาของวัตถุโลหะสีทองอันนั้น แต่ก็รับรู้ได้ว่าน้าแก้วมีความสุขทุกครั้งที่ใช้มันจุดไฟ
เมื่อเข็มนาฬิกาติดผนังบอกเวลาใกล้วันใหม่ เจ้าของบ้านหนุ่มจับเด็กชายใส่เสื่อกันหนาวตัวใหญ่ก่อนจะพาออกไปยืนหน้าบันไดขึ้นบ้าน รอจนได้ยินเสียงเซ็งแซ่ของบ้านข้างๆ ที่จัดงานเลี้ยงฉลองกันเฮลั่น พลุไฟลูกแรกก็พุ่งขึ้นไปบนฟ้า แตกกระจายออกเป็นดอกไม้ไฟสดสวยย้อมราตรีกาลให้มีสีสัน ก่อนที่จะตามมาอีกเป็นชุด เบ่งบานสว่างไสวเพียงชั่วครู่แล้วดับสูญกลางเวิ้งนภากว้างใหญ่
ดวงตาคู่สวยที่ถอดแบบจากมารดาแวววาวสะท้อนแสงไฟหลากสี แก้วยืนกอดอกมองเด็กชายที่แหงนคอจนสุดอย่างเอ็นดู ก่อนร่างเล็กจะถูกยกลอยขึ้นสูง แก้วออกแรงแขนมากกว่าปกติเพื่อยกเด็กชายขึ้นให้พ้นหัว โชคตกใจคว้าเอาเส้นผมสีดำสนิทที่ไว้ยาวระต้นคอเอาไว้พร้อมกับหลับตาปี๋
“โชค” น้ำเสียงอ่อนโยน มืออุ่นข้างหนึ่งจับขาเด็กชายไว้ อีกมือเอื้อมไปกุมมือเล็กเพื่อปลอบให้ผ่อนคลายลง เด็กชายซุกหน้าลงมากลางศีรษะคนที่ให้เขาขี่คอ ยังไม่ยอมลืมตาสักทีจนแก้วหัวเราะออกมา “ถ้าไม่รีบลืมตาพลุจะหมดก่อนนะ”
เด็กชายเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาเล็กเปิดปรืออย่างไม่แน่ใจนัก แล้วสิ่งที่รออยู่ก็เบื้องหน้าก็คือทะเลดอกไม้ไฟบนท้องฟ้าเปิดโล่งที่เห็นได้ชัดเจนกว่ามุมมองจากความสูงร้อยสิบสี่เซนติเมตรของตัวเอง โชคมองแสงวูบวาบจนมันสลายไปด้วยความตื่นเต้น
“สวยไหม”
“สวยมากๆ เลย” แก้วยิ้มตามรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเด็กชาย ถึงดอกไม้ไฟจะร่วงโรยไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงปล่อยให้โชคยืมคอเขาเป็นฐาน เพื่อมองไปยังท้องฟ้าสีดำที่ยังคงเหลือเงาความทรงจำสุกสกาวในแววตาคู่นั้นต่ออีกสักพัก
สามอาทิตย์แรกของปีใหม่ผ่านไปอย่างเรียบง่ายเหมือนเดิม วันทำงานแก้วจะออกจากบ้านแต่เช้า แล้วกลับมาในตอนเย็น ส่วนเด็กชายก็จะตื่นขึ้นมาในช่วงสายหน่อย ลงมากินข้าวที่ชายหนุ่มเตรียมไว้ให้แล้วหาอะไรเล่นแก้เบื่อ โดยที่ตกลงกันไว้ว่าเขาจะต้องคัดตัวอักษรในสมุดฝึกคัดให้ได้อย่างน้อยสามตัว ส่วนในวันหยุดแก้วจะตื่นสายกว่าปกติ แล้วลงมากินข้าวเช้าพร้อมกับเด็กชาย ก่อนจะหายเข้าไปทำงานในห้องทำงาน หรือบางทีก็นั่งเคลียร์เอกสารอยู่ที่ห้องนั่งเล่น โดยมีเด็กชายวนเวียนอยู่ใกล้ๆ แต่ก็ไม่เคยส่งเสียงดังรบกวน
บ้านไม้สีขาวสองชั้นจังมักจะเงียบสงบอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่วันนี้
“ไม่!!!! หนูจะไปกับแม่!” เสียงกรี๊ดร้องแหลมสูงของเด็กผู้หญิงในชุดกระโปรงฟูฟ่องสีฟ้าทำเอาโชคตกใจหลบไปอยู่ข้างหลังน้าแก้วที่ยืนข่มไมเกรนอยู่หน้าประตูบ้าน
“ไหนเราคุยกันแล้วไงคะ ว่าวันนี้น้องปรางจะเป็นเด็กดีน่ะ” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เป็นที่คุ้นเคยของเจ้าบ้านทั้งสองดี ธีร์กำลังพยายามปลอบสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มที่ร้องไห้จนตาแดงให้สงบลง แก้วมองความชุลมุนตรงหน้าอย่างอ่อนใจ เขาไม่ถูกโรคกับเสียงกรีดร้องงอแงสักเท่าไหร่ โชคดีที่เด็กชายของเขาไม่ใช่เด็กที่เมื่อไม่พอใจก็ร้องไห้โยเยแบบนั้น
“น้าแก้ว เขาร้องไห้ทำไม” เด็กชายกำชายเสื้อเขาไว้แน่น “เขาเจ็บเหรอ”
“ไม่หรอก น่าจะเพราะถูกขัดใจมากกว่า” แก้วตอบโดยเดาจากที่หลานสาวสุดที่รักของเพื่อนสนิทที่ปกติติดน้าชายของตัวเองอย่างกับอะไรดีกำลังกรีดร้องอยู่แบบนี้
“อาธีร์จะไม่ตีเขาใช้ไหม” คำถามใสซื่อที่บ่งบอกถึงอดีตเลวร้ายทำให้แก้วต้องก้มลงไปมอง เด็กชายเกาะเขาไว้แน่น แต่ในแววตาสั่นไหวคู่นั้นฉายแววเป็นห่วงเป็นใยแต่ไม่ได้หวาดกลัวเหมือนเมื่อก่อนนี้แล้ว
“ไม่ตีหรอก” มืออุ่นจับมือเล็กให้เดินตามออกไปหาอีกสองคนที่ยังเถียงกันไม่จบไม่สิ้น อันที่จริงเป็นหลานสาวคนเดียวต่างหากที่โวยวายใส่น้าชาย ส่วนธีร์นั้นได้แต่ยิ้มแหยพลางยกเรื่องสัญญาว่าจะพาไปกินไอศกรีมของโปรดเพื่อดับความเกรี้ยวกราดของสาวน้อยลง
“อ๊ะ นี่ไงหลานน้าแก้ว น้องเขาเด็กกว่าปรางปีนึง” ธีร์รีบเบี่ยงเบนความสนใจของเด็กหญิงไปสู่สิ่งใหม่ แต่เด็กชายไม่คุ้นเคยกับคนอื่นมาใหม่ จึงเอาแต่หลบอยู่หลังเจ้าของบ้าน
“สวัสดีค่ะน้าแก้ว” เด็กสาวสูดขี้มูกพรืดใหญ่พลางเช็ดน้ำตาก่อนจะเดินไปตรงหน้าชายหนุ่ม ยกมือไหว้พร้อมกล่าวทักทายอย่างสวยงามตามที่ถูกสั่งสอนมา
“สวัสดีครับน้องปราง” แก้วยิ้มให้เด็กสาว ก่อนจะมองเลยไปยังผู้ใหญ่ด้านหลังอย่างหาคำอธิบาย
“เจ๊ธัญฝากดูน่ะ เจ๊แกต้องพาแม่ย่าไปโรงพยาบาล” ธีร์ยิ้มกว้างขณะพูด เพราะว่าพี่สาวเพียงคนเดียวของเขาต้องพาแม่สามีไปตรวจสุขภาพประจำปี เขาจึงเต็มใจรับฝากลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่ถูกเลี้ยงมาราวกับเจ้าหญิงคนนี้ไว้ และเหตุผลที่เขาพาหลานสาวมาที่นี่แทนที่จะไปเที่ยวเล่นในห้างอย่างที่เด็กสาวต้องการ ก็เพราะเขาอยากให้เด็กทั้งสองคนได้เจอกัน
สำหรับปรางที่เข้าโรงเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลนั้น เธอมีเพื่อนเยอะแยะและเป็นเด็กร่างเริง ต่างกับโชคที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมไม่สู้ดีนัก ทั้งชีวิตนอกจากพ่อแม่ที่ทิ้งขว้าง เขาก็มีแค่ยายข้างบ้านที่เสียไปแล้ว กับแก้วและธีร์เพียงสองคนเท่านั้น เด็กชายไม่เคยมีเพื่อนวัยเดียวกันเลยสักคน เพราะอย่างนั้นธีร์ถึงอยากพาหลานสาวของตัวเองมาเจอกับโชค เพื่อให้เด็กชายได้มีเพื่อนคนแรก
“พี่ชื่อปรางนะ น้องชื่ออะไรคะ” เด็กสาวฉีกยิ้มทักทายเสียงใสราวกับเมื่อครู่ไม่ได้ร้องไห้จนตาเปียก
“บอกพี่เขาไปสิ” แก้วดันหลังน้อยๆ ให้ออกจากที่ซ่อน แต่ยังคงแตะแผ่นหลังเด็กชายไว้เพื่อให้เด็กชายไม่รู้สึกว่าถูกผลักไส เด็กชายประหม่าด้วยความไม่คุ้นชิน แต่ก็ยอมตอบออกไปแม้จะไม่เต็มเสียงนัก
“ชื่อโชค..ครับ”
“น้องโชค” มือนุ่มนิ่มคว้าเอามือเล็กไปจับไว้หลวมๆ รอยยิ้มกว้างจริงใจช่วยทำให้บรรยากาศอึดอัดระหว่างคนแปลกหน้าละลายสิ้นไป “เรียกพี่ว่าพี่ปรางนะคะ”
“พี่ปราง”
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง เด็กทั้งสองก็เข้ากันได้ดีราวกับรู้จักกันมานาน นั่นอาจจะเป็นข้อดีของวัยเด็ก พวกเขาสามารถผูกมิตรได้อย่างรวดเร็ว ไว้วางใจกันโดยปราศจากเงื่อนไข
แก้วหนีบแก้วพลาสติกสองใบด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างถือกล่องน้ำผลไม้รสหวานที่ซื้อมาไว้ให้เด็กชายกินออกมาหน้าบ้าน ธีร์ช่วยรับแก้วสองใบนั้นไปถือไว้รองให้อีกคนรินน้ำใส่ ทั้งที่ดวงตายังจับจ้องไปยังสองร่างเล่นๆ ที่เดินวิ่งเล่นไปทั่วสวนท่ามกลางแสงแดดอบอุ่นยามบ่ายของฤดูหนาว
“เด็กๆ สนิทกันเร็วดีเนอะ”
“อืม สนิทกันได้ก็ดีแล้ว”
“กูเพิ่งเคยเห็นโชคคุยกับเด็กด้วยกันครั้งแรกเลยนะเนี่ย” ธีร์พูดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มประจำตัว ก่อนจะตะโกนเรียกเด็กๆ ให้มาดื่มน้ำเติมพลังแล้วกลับไปเล่นกันต่อ เด็กหญิงยอมให้เด็กชายนั่งชิงช้าก่อนแล้วช่วยแกว่งให้ด้วยเพราะถือว่าเป็นพี่ แก้วมองรอยยิ้มสดใสนั้นด้วยแววตาอ่อนโยน
“ธีร์” เขารอจนเจ้าของชื่อหันมาสบตา แล้วจึงค่อยพูดต่อ “ขอบใจ”
“เรื่องอะไร”
“ที่พาเพื่อนมาให้โชค”
“อือ ปรางเองก็จะได้มีน้องชายเหมือนกัน”
สองผู้ปกครองนั่งมองเด็กๆ อยู่บนบันไดขึ้นบ้าน ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก แต่ก็เสียงหัวเราะคิดคักสดใสที่ช่วยให้ไม่เงียบเหงา ธีร์บ่นอุบเช่นเคยเมื่อเพื่อนสนิทพ่นควันบุหรี่ออกจากปาก แต่ก็ไม่ยอมลุกหนีไปไหน และไม่ได้ไล่ให้อีกคนไปสูบไกลๆ ด้วย
เจ้าของบ้านหนุ่มรับรู้ได้ถึงน้ำหนักของร่างที่เอนมาพิงซบตัวเอง เขาปรายตามองเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ใช้เขาเป็นที่ค้ำหลับตาพริ้ม ก่อนจะเบนกลับออกไปมองท้องฟ้าสีสดใส รู้สึกว่าบ้านของเขามันชักจะอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ
TBC...
ตอนที่ 5 แล้ว แต่เรื่องยังเดินเอื่อยๆ อยู่เลย ขอโทษด้วยนะคะถ้ามันน่าเบื่อ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องยาวเรื่องแรกของรีน ปกติแล้วจะถนัดเขียนเรื่องสั้นมากกว่าน่ะค่ะ ถ้ามันไม่สนุกก็ขอโทษด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ ขอบคุณค่ะ
ฝากคอมเม้นติชมกันด้วยนะคะ