Universe 23th : ความทรงจำครั้งใหม่
หลังจากวันที่พี่ภูพาผมไปที่ร้านไอศครีม ใจผมก็หนักอึ้ง ผมไม่รู้ว่าควรรู้สึกอะไรก่อนดี
ผมควรเสียใจไหมที่พี่ภูลืมผมง่ายๆ แบบนั้น หรือผมควรจะดีใจ ที่ลึกๆ แล้วเขาก็ยังจำผมได้อยู่ .. ลึกๆ แล้วผมก็ยังเป็นความทรงจำดีๆ ที่เขาอยากจะรักษาไว้ แม้จะเว้าแหว่งไม่สมบูรณ์ แต่เพียงแค่ถูกกระตุ้นเล็กน้อย มันก็พร้อมจะปรากฎตัว
แต่สุดท้ายผมก็อดปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าไม่น้อยใจ เพราะที่จริงแล้วผมน้อยใจมาก พี่ภูแทบจะลืมผมทันทีด้วยซ้ำที่เขามีคนรัก ในขณะที่ผมกลับผูกพันตัวเองไว้ด้วยสัญญาที่พี่ภูเคยให้ ผมทะนุถนอมของแทนใจทุกอย่างที่เราส่งให้กัน ของขวัญทุกชิ้นที่พี่ภูส่งฝากไว้ให้ที่ร้านไอศครีม โพสต์อิททุกแผ่น ผมเก็บรักษามันอย่างดี
เหมือนๆ กับหัวใจที่ไม่เคยเปิดรับใครเข้ามา ยังคงรอแต่เขา ทั้งๆ ที่เขาทำผมหล่นหายออกไปจากชีวิต
ผมนั่งมองพวงกุญแจรูปเด็กผู้ชายที่กำลังยิ้มแฉ่ง กับเด็กผู้ชายที่กำลังร้องไห้ พลางถอนหายใจ ไหนจะสร้อยข้อมือถักที่มีเส้นเดียวในโลกอีก .. แต่มีเส้นเดียวในโลกแล้วมันจะมีความหมายอะไรล่ะ ในเมื่อคนให้เขาแทบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำ
ผมระบายลมหายใจยาวเหยียด ตั้งใจว่าจะไม่งี่เง่าแต่ก็อดไม่ได้ ยิ่งพักหลังมานี้พี่ภูดีกับผมมากขึ้น ผมก็ยิ่งเหมือนคนโลภและคนเอาแต่ใจ มันเหมือนกับว่าความต้องการของผมมันไม่มีที่สิ้นสุด และมีแต่จะอยากได้นั่นนี่เพิ่มมากขึ้นทุกที
ผมเอื้อมมือไปตั้งใจจะหยิบโทรศัพท์มาโทรหาพี่เทมส์ คิดว่าถ้าได้ยินเสียง ถ้าได้ระบายให้พี่ชายฟังอาการผมอาจจะดีขึ้น แต่จู่ๆ โทรศัพท์ผมกลับสั่นเพราะมีสายเรียกเข้าเสียก่อน พอเห็นว่าใครโทรมาผมก็ถึงกับถอนหายใจ โชคดีที่พี่ภูออกไปทำงานแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าเขาได้เห็นว่าผมมีโทรศัพท์เข้า หรือคุยโทรศัพท์กับใครก็ได้มองตาขวางอีก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ออกไปตรวจตราดูข้างนอกห้องว่าพี่ภูออกไปแล้ว และไม่ได้ย้อนกลับมาเอาของหรืออะไรจริงๆ
เวลาที่เขาโมโหเพราะเข้าใจผิดไปเองว่าผมมีคนนู้นคนนี้น่ากลัวน้อยที่ไหนล่ะ พี่ภูเคยโพล่งออกมาตรงๆ ด้วยซ้ำว่าผมเป็นของเขา และเขาเองก็ไม่ยอมให้ผมไปยุ่งกับใคร ผมใจเต้นแรงแทบบ้า ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเขาก็แค่หวงเพราะผมเป็นสมบัติชิ้นใหม่สำหรับเขาก็แค่นั้น แต่ผมก็กลับยังรู้สึกดี และแทบอยากจะบอกออกไปว่าพีาภูแทบจะไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย เพราะทั้งตัวทั้งใจผมเป็นของเขามานานแล้ว เป็นของเขาตั้งแต่สิบปีที่แล้วจนวันนี้
“ว่าไงลม ทำไมถึงโทรมาล่ะ มีอะไรด่วนหรอ?”
ผมถามปลายสายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง อาจเพราะมีเรื่องต้องให้คิดมากมาย และอีกอย่างผมก็เคยบอกลมแล้วว่าไม่ต้องโทรมา ผมจะเป็นคนโทรไปหาเอง ยกเว้นว่ามีเรื่องสำคัญจริงๆ
(เอ่อ... คือเปล่าหรอก ไม่ได้มีอะไรสำคัญ ลมแค่เห็นไนล์หายไปหลายวัน ไม่ได้โทรมาลมเลยเป็นห่วง)
เสียงของลมหงอยลงไปถนัดตอนตอบคำถามของผม ผมไม่ได้ตั้งใจและไม่ได้ทันคิดว่าการพูดกับเพื่อนสนิทตัวเองแบบนั้นจะทำให้อีกฝ่ายเสียใจ เพราะถ้าตัดประเด็นที่ลมชอบผมออกไป การที่เขาจะเป็นห่วงผมที่เป็นเพื่อนนั้นก็ไม่แปลก และผมก็ไม่ควรถามเขาแบบนั้น แม้จุดประสงค์ในการถามของผมจริงๆ นั้น ไม่ได้คิดหรือตั้งใจจะต่อว่าอะไรเขาก็เถอะ
“เราขอโทษนะ ขอโทษที่ไม่ได้โทรไปเลยทำให้ลมเป็นห่วง แล้วก็ขอโทษที่ถามไม่รู้จักคิด อย่าถือสาเราเลยนะลม”
ผมพูดเสียงอ่อย หวังจะให้เพื่อนสนิทเข้าใจ และลมก็ยังเป็นลมคนที่แสนดี และพร้อมเข้าใจผมเสมอ
(ไม่เป็นไรเลยไนล์ ไม่ต้องขอโทษหรอก ลมเข้าใจ) น้ำเสียงลมสดใสขึ้นจนเกือบจะปกติ ให้ผมได้ยิ้มออก (ว่าแต่เครียดเรื่องงานหรอ ทำไมเสียงหงอยแบบนั้นล่ะ)
“ก็นิดหน่อยแหละ มีอะไรยังไม่ลงตัวหลายอย่าง แต่เราก็พยายามทำให้ดีที่สุดอยู่”
(ไนล์อย่าเครียดมากจนเกินไปนะ ทำเท่าที่ไนล์ทำไหว เพราะลมรู้ดีว่าไนล์จะทำมันเต็มที่ แล้วการที่ไนล์ทำมันเต็มที่นั่นก็ดีที่สุดแล้วไม่ใช่หรอ)
ผมนิ่ง และคิดตามที่ลมพูด ซึ่งถึงแม้ว่าผมกับลมจะไม่ได้หมายถึงเรื่องเดียวกัน แต่นั่นก็เพียงพอที่จะกระตุกใจให้ผมฉุกคิดได้
“จริงสินะ แค่เราทำให้เต็มที่ก็พอ” ผมพึมพำ พลางตกตะกอนความคิดตัวเองในใจ
(อื้ม ไนล์ของลมเก่งอยู่แล้ว อย่าเครียดเกินไปนะ ลมเป็นห่วง) น้ำเสียงของปลายสายเข้มขึ้นอีกนิด เพื่อบอกให้ผมรู้ว่าเขาคิดแบบนั้นจริงๆ (ยิ่งอยู่ห่างกันแบบนี้ แบบที่ลมตามไปดูแลไนล์ไม่ได้ ลมยิ่งห่วง)
ผมหัวเราะเบาๆ ตอนที่ได้ยินลมพูดแบบนั้น เขายังเป็นลมคนเดิม คนที่อยู่กับผมมาตลอดสิบปี
ซึ่งบางทีผมก็เคยแอบคิด ถ้าผมรักลม พยายามรักลมให้ได้ เรื่องมันจะง่ายกว่านี้ไหม แต่ความรักที่ต้องพยายามมันใช่ความรักแน่หรอ? แล้วผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าความพยายามที่จะรักของผม จะไม่ทำร้ายลมทีหลัง หากเพราะมันไม่ใช่ความรักที่เกิดจากความรู้สึกจริงๆ
แต่สุดท้ายผมก็ได้รู้ว่าเราสองคนไปได้ไกลมากที่สุดก็แค่ความเป็นเพื่อน ผมรักลมแบบนั้นไม่ได้จริงๆ
“เราดูแลตัวเองได้ ลมไม่ต้องห่วงนะ อีกอย่างที่นี่ก็มีคุณฤดีอยู่ด้วย ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก”
(เฮ้อ.. แล้วลมจะขัดอะไรไนล์ได้) คนปลายสายแสร้งทำเสียงอ่อนอกอ่อนใจใส่ผม ให้ผมได้หลุดหัวเราะอีกครั้ง (แต่ถ้าไนล์มีอะไรให้ลมช่วย ไนล์โทรหาลมได้ตลอดนะ ลมพร้อมไปหามาก ออสเตรเลียใกล้แค่นี้เอง)
“พูดไปเรื่อยเถอะปราณนต์ ระวังพี่เทมส์รู้แล้วจะมาแหกอกเอา โทษฐานทำผิดข้อตกลง” ผมแกล้งว่าทีเล่นทีจริง พยายามไม่พูดตรงๆ แต่ก็ย้ำข้อตกลงของเราทั้งคู่อยู่ในที
(ตัดบทกันดื้อๆ เลยนะไนล์ เฮ้อ… ใจร้ายเหลือเกินคุณนทีธัชช์เนี่ย) ผมหัวเราะ แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อได้ยินประโยคถัดมา (รู้ทั้งรู้ว่ายังไงผมก็หยุดรักคุณไม่ได้ สิบปียังตัดใจจากคุณไม่ได้ สามเดือนจะมีประโยชน์อะไรกัน)
“ลม…”
(เฮ้ย.. อย่าคิดมากนะไนล์ ลมไม่ได้จะกดดันอะไร แค่บอกออกไปตามที่ใจคิดเฉยๆ) ลมพยายามพูดให้ผมรู้สึกดีขึ้น แต่ก็ช่วยไม่ได้มากนัก
“เราถามจริงๆ นะลม ลมไม่ได้มองใครเผื่อไว้บ้างเลยหรอ? หลังจากที่พี่เทมส์บอกข้อเสนอและข้อตกลงพวกนั้นไปน่ะ”
(แล้วไนล์ล่ะ ได้ลองไปทบทวนความรู้สึกตัวเองดูบ้างรึป่าว ว่าพอจะรักลมแทนพี่ภูได้ไหมตั้งแต่ไนล์ไปออสเตรเลียเนี่ย)
“ลม… เราถามลมนะ ไม่ได้ให้ลมมาย้อนเราแบบนี้สักหน่อย” ผมเสียงแข็ง นึกโมโหที่เจอลมย้อนเข้าให้แบบนี้
แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เพื่อนสนิทผมพูดให้ได้คิด
(ลมไม่ได้จะย้อนยอกให้ไนล์โกรธ ลมแค่อยากจะบอกไนล์ว่าคำถามที่ไนล์ถาม มันมีคำตอบแบบเดียวกันกับที่ไนล์จะตอบตอนที่ลมถามเรื่องพี่ภูนั่นแหละ)
“…” ผมเงียบ เมื่อเข้าใจที่ลมจะสื่อ
(การเลิกรักใคร โดยพยายามมองหาคนใหม่ หรือคนมาทดแทนมันไม่ได้ทำง่ายขนาดนั้นหรอกไนล์ก็รู้ แล้วยิ่งรักที่มันผูกแน่นมานานหลายปีแบบนั้น มันยิ่งตัดใจลำบาก ลมพูดถูกไหม?)
ผมกลืนน้ำลายลงคอ รู้ดีว่าคำถามต่อไปจะต้องบาดใจเพื่นสนิทไม่น้อย แต่ผมก็ยังคงที่จะอยากรู้คำตอบ
“ในเมื่อลมเองก็รู้ ว่าสามเดือนนี้ไม่นานพอให้เราตัดใจจากพี่ภูได้แน่ๆ แล้วทำไมลมถึงยอมรับข้อเสนอของพี่เทมส์ เพราะแน่นอนว่าต่อให้หลังจากนี้เรากลับไป เรายอมเปิดโอกาสให้ลม แต่ลึกๆ แล้วยังไงเราก็คงลืมพี่ภูไม่ได้ แล้วทำไมลมถึง..?”
ลมพูดสวน โดยที่ผมยังไม่ทันพูดจบด้วยซ้ำ (เพราะลมคิดว่าลมสร้างความทรงจำใหม่ร่วมกับไนล์ได้ไง)
“สร้งความทรงจำใหม่?” … ให้ตาย คำพูดของลมสะกิดใจผมอีกครั้ง และมันก็แย่มากเมื่อผมฉกฉวยเอาความคิดของเพื่อนสนิทมาเทียบกับเรื่องของตัวเองและพี่ภู
(ใช่… สร้างความทรงจำใหม่ เพราะลมไม่ได้คาดหวังอะไรกับอดีตของไนล์ มันผ่านมาแล้วก็ต้องปล่อยให้ผ่านไป ในเมื่อวันนี้ตอนนี้ไนล์เลือกจะให้โอกาสกับลม ลมก็มั่นใจว่าลมจะสร้างความทรงจำใหม่ๆ ดีๆ กับไนล์ได้ เพราะลมแก้ไขอะไรอดีตไม่ได้ ลมก็ขอเลือกที่จะทำปัจจุบันให้ดีและมีค่ากับไนล์ก็พอ )
“….”
(และพอเรามีความทรงจำใหม่ๆ ดีๆ ร่วมกัน อดีตก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็นและสำคัญอะไรอีกต่อไป)
“ลม เรา.. เราขอโทษ” ผมพึมพำขอโทษเพื่อนสนิทตัวเอง และเดาว่าปลายสายคงงงงไม่น้อย
(ไนล์ขอโทษลมทำไม ไม่มีอะไรต้องขอโทษเลยนะ) ผมกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ ความรู้สึกผิดท่วมท้น
จะไม่ให้ผมขอโทษลมได้ยังไง เมื่อผมเอาคำพูดที่ลมตั้งใจทำให้ผมมาคิดเรื่องตัวเองกับพี่ภูและผมก็คิดได้ว่าผมไม่ควรจะจมปลักอยู่แต่กับอดีต ในเมื่อความตั้งใจหลักของผมไม่ใช่การมาเพื่อแค่ให้พี่ภูจำได้ ผมมาเพื่อรัก เพื่อดูแล และเพื่อมีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกับเขา แล้วผมจะมาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่ร้านไอศครีมทำไมกัน
และคนที่ทำให้ผมตระหนักถึงข้อนี้ได้ก็คือลม เพราะจากคำพูดของลมทั้งนั้น
“เราขอโทษสำหรับอะไรหลายๆ อย่างน่ะ มาคิดๆ ดู เราก็เห็นแก่ตัวกับลมหลายเรื่องจริงๆ” เสียงผมเบาลงเพราะรู้สึกผิดจริงๆ
(อย่าพูดแบบนั้นสิไนล์ ยังไงเราก็เพื่อนกันนะ)
ผมยิ้ม พอลมพูดคำว่าเพื่อนออกมา มันอุ่นใจจริงๆ นะ ที่ได้รู้ว่าเขาเป็นเพื่อน … เพื่อนที่ดีที่สุดในโลกของผม
“อื้ม ขอบใจนะ ลมคอยอยู่ข้างๆ เราตลอดเลย ไม่ว่าจะตอนมีปัญหาหรือตอนมีความสุข”
(ว่าได้ที่ไหน เพราะไนล์ไล่ลมก็ไม่ไปหรอก) ทั้งผมและลมแทบจะหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน (อย่าคิดมากนะไนล์ ตั้งใจทำงานรู้ไหม)
“โอเค เราจะตั้งใจทำงาน ลมเองก็ดูแลตัวเองด้วยนะ ไว้เราว่างๆ เราจะโทรหา” ผมบอกเมื่อเห็นเวลาว่าคุยกับลมมาพักใหญ่แล้ว
(ได้ครับ ไนล์ก็ดูแลตัวเองเหมือนกันนะ.. ลมคิดถึง) ผมยิ้มบาง เพราะผมเองก็คิดถึงลมไม่น้อยเหมือนกัน แม้จะคิดถึงกันคนละแบบก็เถอะ
“เราก็คิดถึงลมเหมือนกัน” ผมบอกทั้งที่ริมฝีปากยังมีรอยยิ้ม
(อื้ม) เสียงลมสดใสขึ้นทันตาพอได้ยินผมบอกแบบนั้น (แล้วไว้อีกเดือนนึงเจอกันนะ)
ผมชะงัก เมื่อเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ “อื้อ.. อีกเดือนเจอกัน”
ลมวางสายไปแล้ว ในขณะที่ผมยังคงมองอุปกรณ์สื่อสารที่อยู่ในมือของตัวเองนิ่งพลางทบทวน
ใช่.. เหลืออีกแค่หนึ่งเดือนที่ผมจะได้อยู่กับพี่ภู อีกแค่หนึ่งเดือนที่เราจะได้สร้างความทรงจำใหม่ๆ ดีๆ ด้วยกัน และอีกแค่หนึ่งเดือนที่ผมจะได้รัก ได้ทำตามใจตัวเอง โดยที่ต้องเลิกเอาอดีตมากดดันตัวเองสักที
.
.
.
Kirin’s Partสองสามวันมานี้ไนล์ดูแปลกไป เขาดูหงอยๆ … จะว่าไปเขาก็หงอยตั้งแต่กลับมาจากร้านไอศครีมวันนั้นนั่นแหละ ผมถามว่าเขาเป็นอะไร เขาก็เอาแต่ยิ้มและปฏิเสธ และบอกว่าผมคิดมากไป เขาไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น แต่ผมอยู่กับเขามาสองเดือนทำไมผมจะมองไม่ออก และเพราะเหตุนี้ผมเลยนึกไม่ชอบใจ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมไม่สนหรอกว่าเขาจะรู้สึกอะไรยังไง แต่ไม่ใช่กับตอนนี้ ตอนที่ผมแคร์ความรู้สึกเขา มากพอๆ กับที่อยากเห็นรอยยิ้มหวานๆ ของเขาแนที่จะเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสร้อยเศร้าแบบนี้
“ไนล์ มาหาฉันหน่อยมา”
ผมเรียกเจ้าตัวเล็กที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอนผมที่เขาเข้าไปทำความสะอาด จัดการเอาผ้าปูที่นอนออกมาซัก ดูดฝุ่นตามพื้น ทั้งที่ผมบอกไปแล้วว่าไม่ต้องทำก็ได้ เพราะตอนนี้ผมแทบจะอาศัยอยู่ในห้องไนล์มากกว่าห้องของตัวเองด้วยซ้ำ
“พี่ภูมีอะไรหรอครับ?” ไนล์เอียงคอถาม ทำท่าทางสงสัยได้น่าฟัดมาก
“มานี่” ผมกวักมือเรียก “มานั่งตรงนี้มา”
ไนล์เดินงงๆ เข้ามาหาผม และพอเขาทำท่าจะทรุดลงนั่งข้างผม ผมก็เกี่ยวเอวของร่างเล็กกว่าเข้าหาตัว แล้วจับเขานั่งลงบนตักตัวเอง
“พะ พี่ภู” ไนล์แก้มแดงทันทีที่ถูกผมกอด เขาเป็นอย่างนี้เสมอ แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมกอดเขาก็ตาม
ผมยื่นหน้าไปหอมแก้มเขาเบาๆ อดมันเขี้ยวไม่ได้เวลาผมเห็นเขาเขินขนาดนี้ จากนั้นก็กอดกระชับเขาไว้แน่น พลางวางคางไว้บนไหล่เล็กๆ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
“นายเป็นอะไร?”
“ครับ?” ไนล์ตอบกลับงงๆ ผมเลยต้องถามย้ำเขาอีกครั้ง
“นายเป็นอะไร หงอยๆ มาสองสามวันแล้ว ข้าวปลาก็กินน้อยลงด้วย” คนในอ้อมกอดผมตาโต ไนล์ทำท่าจะปฏิเสธ ผมเลยต้องขู่ “ถ้าบอกว่าไม่เป็นอะไรอีกที รับรองวันนี้ฉันได้ขังนายไว้บนเตียงทั้งวันแน่ เอาไหม?”
ไนล์ส่ายหน้าเป็นพัลวัน เจ้าตัวเล็กหน้าแดงก่ำ ทั้งที่รู้ว่าไนล์มักจะเขินอายกับเรื่องนี้เสมอแต่ผมก็ยังคงชอบแกล้งเขา
“คือ.. ไนล์”
“หืม? ว่าไง ตกลงจะบอกฉันได้รึยังว่าเป็นอะไร?” ไนล์คิดนิดหนึ่งมก่อนจะตอบออกมาเบาๆ
“ไนล์คิดถึงบ้านครับ คิดถึงพ่อ แม่ แล้วก็พี่ชายที่บ้าน”
ใจผมกระตุกตอนที่ได้ยินไนล์พูดว่าคิดถึงบ้าน แค่คิดว่าถ้าเขาขอผมกลับไป ผมจะยอมให้เขาไปรึป่าว ในเมื่อตอนนี้ผมแทบจะไม่อยากห่างเจ้าตัวเล็กนี่เลยแม้แต่วันเดียว
ถามว่าผมรู้สึกกับไนล์มากแค่ไหน ยอมรับตามตรงว่าผมเองก็ยังตอบไม่ได้ ผมรู้แค่เพียงว่าผมอยู่กับเขาแล้วผมสบายใจ และผมก็ไม่พร้อมจะเสียไนล์ไปตอนนี้
ใครจะว่าผมเห็นแก่ตัวผมก็ยอม
“เอางี้.. เผื่อจะทำให้นายคิดถึงบ้านน้อยลง เราลองเปลี่ยนบรรยากาศกันดูไหม?” ไนล์เอี้ยวหน้ามามองผม ทั้งที่ผมยังวางคางไว้บนไหล่ของเขา และริมฝีปากสีแดงๆ บางๆ ก็ทำให้ผมอดใจไม่ไหว ต้องยื่นหน้าไปจูบเบาๆ ทีนึง
จุ๊บ~
“พี่ภู.. อย่าแกล้งสิครับ” ไนล์ปฏิเสธเสียงเบา ให้ผมได้หัวเราะในลำคอ “ ว่าแต่ เปลี่ยนบรรยากาศอะไรหรอครับ”
“ก็เปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวต่างประเทศ ต่างจังหวัดอะไรงี้ไง นายจะได้ไม่อุดอู้อยู่แต่บ้าน พาลให้หงอยคิดถึงครอบครัวแบบนี้.. เอาไหม เดี๋ยวฉันพาไป ไปเกาหลี ญี่ปุ่นใกล้ๆ นี่ก็ได้ สักสามสี่วันก็กลับ”
ไนล์ส่ายหน้าปฏิเสธทันที พอได้ยินผมเสนอ … แทงหวยทำไมไม่ถูกแบบนี้บ้างนะ
“ไม่ดีหรอกครับ แบบนั้นมันรบกวนพี่ภูเกินไป แค่นี้พี่ภูก็ทำงานหนักทุกวัน จะให้ไนล์รบกวนให้พี่ภูพาไปเที่ยวอีก ไม่เอาดีกว่าครับ”
“จะรบกวนอะไร ก็ฉันอยากพานายไป ถ้างั้นไปใกล้ๆ ในประเทศก็ได้ ถ้านายไม่อยากให้ฉันเหนื่อย”
“แต่ว่า.. พี่ภูครับ..” ไนล์พยายามจะแย้ง ผมเลยต้องชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อม
“อาทิตย์นี้มีวันหยุดตั้งสี่วัน ให้ฉันได้ผ่อนคลายหน่อยเถอะ เครียดเรื่องงานมาติดๆ กันแล้ว ฉันก็อยากจะปล่อยสมองให้โล่งๆ บ้าง”
เพราะพอเป็นเรื่องของผม สถานการณ์ของเรื่องจะเปลี่ยนทันที
“พี่ภูอยากไปพักผ่อนหรอครับ?” ไนล์อ้อมแอ้มถาม เขาดูอ่อนลงทันทีพอเป็นความต้องการของผม
“ใช่ เพราะฉะนั้นนายเลือกมาว่าจะไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ” ผมถามกึ่งบังคับ และสุดท้ายไนล์ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะตอบ
“ไปแค่ต่างจังหวัดได้ไหมครับ ไนล์อยากไปทะเล”
ผมยิ้มตอนเห็นตากลมใสแวววาวอยู่ครู่หนึ่งหลังจากที่เจ้าตัวเลือกได้ว่าจะไปไหน ท่าทางจะเป็นที่ที่ไนล์อยากไปจริงๆ
“เอาสิ ไปทะเลก็ทะเล ฉันตามใจนาย” ผมกระชับอ้อมกอดกอดร่างเล็กกว่าให้แน่นขึ้น ก่อนจะสูดดมกลิ่นหอมประจำตัวไนล์เจ้าปอด “งั้นไปหัวหินกัน จะได้ขับรถไปไม่ไกลมาก”
“ครับ ที่ไหนก็ได้ ไนล์แล้วแต่พี่ภู”
เจ้าตัวเล็กยิ้มกว้างจนตาหยี ท่าทางหงอยเหงาดูดีขึ้น และผมก็คิดว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิด ตอนเห็นรอยยิ้มของเด็กตรงหน้า
.. ไนล์น่ะ เหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าใบหน้าเศร้าๆ เป็นไหนๆ
“งั้นพรุ่งนี้นายเก็บกระเป๋าเตรียมไว้นะ มะรืนเป็นวันหยุด เราจะได้ออกแต่เช้า ค้างสักสามคืนสี่วัน โอเคไหม”
“โอเคครับพี่ภู”
หวังว่าในสี่วันนี้ผมจะทำให้ไนล์ยิ้มได้กว้างมากกว่าที่เคย หรืออย่างน้อย ทำให้เขาหายคิดถึงบ้านก็ยังดี
.
.
.
(อ่านต่อด้านล่าง)