เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 50 P.7 Up 6 ก.ค. 64
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 50 P.7 Up 6 ก.ค. 64  (อ่าน 28748 ครั้ง)

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 35. It starts with a kiss.

              งานกีฬามหา’ลัยผ่านพ้นไปด้วยดีพร้อมกับพิธีรับน้องอย่างเป็นทางการโดยที่ผมไม่ได้เข้าร่วม เพราะรู้แก่ใจว่าไม่มีใครจะรับแกะดำอย่างผมเป็นรุ่นน้องหรอก แต่มันก็ไม่ทำให้ไอ้หนึ่ง เอกราชคนนี้เสียขวัญสักเท่าไหร่เพราะหลังจากนั้นทั้งรายงานเอย เตรียมสอบเอย ไหนจะต้องเป็นสารถีส่วนตัวของไอ้ตงก็วุ่นจนหัวหมุนเสียแล้ว นี่ยังไม่นับว่าแอบเข้าเรียนแทนพ่อดารางานชุกเพื่อเก็บชีทและมาติวให้มันในเวลาว่างอีกนะ หนึ่งชีวิตน้อยๆทำไมต้องแบกรับภาระอะไรขนาดนี้ด้วยเนี่ย

“ขี้บ่น” นั่นไง คำตอบของพ่อตัวดีที่กำลังอ่านชีทวิชายากที่มันไม่เข้าเรียนมาแล้ว 3 ครั้ง วิชาอะไรก็ไม่รู้ยากจนงง ยังดีนะที่ผมเรียนวิชานี้อยู่ด้วย และอาศัยขวัญใจสาวสวยประจำกลุ่มแฟนไอ้โทติวให้ก่อนจะเอามาติวตงฉินอีกที ไม่อย่างนั้นคงนั่งงงในดงกองถ่ายเป็นแน่

“บ่นไม่ได้รึไง นี่เหลือแค่จดทะเบียนสมรสเท่านั้นมั้งที่ยังไม่ได้ทำกับมึงน่ะ” ผมย้อน

“ใครจะจดกับมึง” อ้าว ปาก...

“รีบอ่าน ไม่เข้าใจให้ถาม ว่างแค่ชั่วโมงเดียวนะ” ผมเร่ง ช่วงพักกองสามชั่วโมงนั้นไม่ได้นานอย่างที่คิด ซีรี่ย์วายของตงฉินออกอากาศไปแล้วและได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจนต้องถูกเรียกมาถ่ายทำเพิ่มเติมตามคอมเม้นต์ที่มีในโซเชียล เช่น ทำไมฉากจูบกันน้อยจัง หรือไม่ก็ ทำไมพระเอกไม่ทำแบบนี้ ทำไมบทไม่สนุกเลย ... นั่นแหละครับ กองถ่ายเลยต้องเรียกตัวนักแสดงมาถ่ายและปรับบทเพื่อให้สนุกมากขึ้น เรียกได้ว่าถ่ายไปออนแอร์ไปก็ไม่ผิด ตงฉินเลยวิ่งวุ่นเพราะแทบไม่ได้พักเนื่องจากมันเป็นงานแทรก ไหนจะมีงานแฟนมีตติ้ง โชว์ตัวตามห้างสรรพสินค้า งานถ่ายแบบคู่กับนายเอกซีรี่ย์ แม้กระทั่งโฆษณาสินค้าหลายตัวที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวจนแทบไม่มีเวลาว่างเลยช่วงนี้

“น้องตงคะ อีกครึ่งชั่วโมงซ้อมหน้าเซ็ตนะคะ” เสียงพี่ทีมงานบอกผ่านวิทยุสื่อสาร ยังดีที่พระเอกนายเอกได้พักในพื้นที่ส่วนตัวมีแอร์เย็นฉ่ำ ผมติวเนื้อหาที่เรียนมาให้จนครบ(คิดว่านะ) ก่อนจะปล่อยตัวให้อีกคนได้พักสายตาชั่วขณะ

“โห น้องหนึ่งนี่ดีจัง ดูแลตงไม่ขาดเลยอะ อิจฉาตงแล้วสิ” เสียงของพี่ไนล์ นายเอกของซีรี่ย์ที่พักอยู่ในห้องเดียวกันทักหลังจากที่พวกเราติวเสร็จแล้ว พี่ไนล์เป็นผู้ชายตัวสูงแต่ก็ยังไม่เท่าตงฉิน แต่สำหรับผมที่เพิ่งสูงแตะ 170 เซ็นติเมตรอย่างลุ้นระทึกก็ต้องบอกว่าระดับความสูงของพี่ไนล์ถือว่าโดดเด่น ด้วยความที่ใบหน้าดูเด็กกว่าที่จะอายุ 23 ปี การมารับบทนักศึกษาแพทย์ปี 1 ของเขาจึงไม่มีอะไรขัดหูขัดตา ใบหน้าหล่อมากกว่าจะหวานจิ้มลิ้มชวนใจสั่นไม่น้อย พี่ไนล์เป็นคนผิวขาวไม่ได้ออกสีแทนแบบตงฉิน ใบหน้ายาวได้รูปมีเหลี่ยมที่คางทำให้องศาการมองยิ่งชวนหลงไหล คิ้วหนายาวเรียงตัวกันเป็นระเบียบ หัวคิ้วแทบจะชนกันกับจมูกที่โด่งเป็นสัน ดวงตาชั้นเดียวแต่ไม่ได้เล็กตี่กลับชวนมอง หากไม่ยิ้มแววตานั้นจะดุดัน แต่ใบหน้าหล่อปากกระจับนั้นยิ้มแย้มตลอดเวลาจึงเป็นคนที่น่าเข้าหา ดูเป็นมิตรและเป็นคนที่มารยาทดีจนน่าเกรงใจ ไม่แปลกใจหรอกว่าพี่เขาเลือกจะเงียบระหว่างที่พวกเราติวบทเรียนกัน และทักทายหลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว

“พี่ก็ยอผมเกินไป” ได้แต่ตอบแบบเขินๆ จะว่าไปพี่ไนล์ก็เป็นชายในฝันผมได้เลยนะเนี่ย ชาติก่อนคงทำบุญมาดีเลยได้พบเจอแต่กับคนหน้าตาหล่อเหลา (แต่ทำไมตัวเราไม่หล่อบ้างล่ะ...)

“ไม่เกินไปหรอก นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้ชาย พี่คิดว่าเราสองคนเป็นแฟนกันนะเนี่ย” หืม...ปกติพี่ไนล์ไม่เคยแซวแบบนี้นะ แกรักษาระยะห่างและวางตัวดีจนไม่กล้าเล่นด้วยมาตั้งนาน แต่การถามเหมือนโยนหินถามทางก็ชวนคิดไปเอง(อีกแล้ว)

“ไม่หรอกพี่ หน้าตาแบบผมน่ะเหรอจะเตะตาไอ้ตงมัน เป็นเพื่อนกันครับ” รีบบอกปัดไปก่อน อีกคนก็ไม่ได้ขัดอะไร

“จริงดิ” รอยยิ้มหวานนั้นชวนละลายอีกแล้ว ผมได้แต่เกาหัวด้วยสีหน้าเขินๆ

“ครับ ไอ้ตงมันหล่อขนาดนี้ มันไม่คว้าผมเป็นแฟนหรอก”

“พูดเหมือนน้องหนึ่งมีใจให้ตงฉินงั้นแหละ” พี่ไนล์มาแปลก มาล้ำ มาเหนือจนตามไม่ทัน

“อะ เอ่อ มะ ไม่หรอกครับ เพื่อนกัน ผู้ชายด้วยกันอีก” ผมตอบด้วยเสียงแปร่ง

“แน่ใจเหรอ” พี่ไนล์ผู้แสนเรียบร้อยส่งแววตาเจ้าเล่ห์มาราวกับไม่ใช่คนเดิม

“คะ ครับ”

“งั้นแสดงว่าพี่ก็มีสิทธิ์จีบเราใช่ไหม” เสียงนุ่นนั้นดังเข้าโสตประสาทราวกับพูดกระซิบข้างหู ผมเบิกตาโพลงมองแววตาที่จริงจังบนใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง แววตาแข็งกร้าวดุดันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนส่งมาแทนที่ “ได้มั้ย”

“อะ เอ่อ...” ผมอึกอัก ไม่คิดมาก่อนเลยว่าพี่ไนล์จะมีรสนิยมเพศเดียวกัน บุคลิกที่มาดแมนและการวางตัวดีทำให้ไม่เคยสังเกต แต่อีกรายคงเฝ้ามองผมมาสักระยะได้แล้วล่ะมั้ง ที่เขาบอกว่าผีเห็นผีก็คงไม่เกินจริงมากนัก การที่พี่ไนล์มองออกก็แปลได้อย่างเดียว คือแกก็เป็นเกย์เช่นกัน

“หนึ่ง หิวน้ำ” ก่อนที่จะได้ตอบอะไรกลับไปเสียงเรียกจากคนที่นอนนิ่งแทรกขึ้นมาก่อน ผมขอตัวจากพี่ไนล์เพื่อเอากระบอกสุญญากาศไปเติมน้ำมาให้คนร้องขอ หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีโอกาสคุยกับพี่ไนล์อีกเลยจนกระทั่งการถ่ายทำจบลง

             พอกลับถึงคอนโดผมก็ปล่อยให้ไอ้ตงได้พัก ยังดีที่วันนี้ถ่ายถึงแค่สี่โมงเย็น (แต่เริ่มถ่ายหกโมงเช้า ต้องไปรอตั้งแต่ตีสี่) เวลามีเหลือมากพอที่จะไปตามนัดที่ตกลงไว้เมื่อสามชั่วโมงก่อนหน้า พ่อดาราหนุ่มหลับเป็นตายด้วยความเหนื่อยล้า ส่วนผมก็ยังไม่ถึงเวลาได้พัก เดินตัวปลิวอย่างไร้สติมาเรียกแท็กซี่หน้าคอนโดไปหาเพื่อนสนิทต่างคณะที่โทรตามสายแทบไหม้

“ถึงแล้ว มึงจะโทรตามยิกๆอะไรขนาดนี้” ผมบ่นใส่โทรศัพท์และกดวางสาย ร้านกาแฟเงือกน้อยที่ปกติผมไม่เข้ามาเฉียดใกล้เนื่องจากราคาแพงเกินเอื้อมในห้างสรรพสินค้าชื่อดังไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ที่พวกเรานัดหมายกันวันนี้ ไอ้ทอยนั่งฉายความหล่อที่โต๊ะด้านในสุด ถึงแม้จะแต่งตัวง่ายๆแค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์และร้องเท้าแตะ คนในร้านยังมองตาเป็นมันขนาดนี้ พอเห็นผมไอ้ทอยก็โบกมือเรียก ผมเดินตามทางไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จิบเครื่องดื่มที่มันสั่งมาเผื่อดับกระหาย

“กว่าจะมาได้นะมึง ดูแลเมียจนลืมเพื่อน” พอเห็นหน้าก็เริ่มบ่นทันที

“บ่นอยู่ได้ไอ้สัส มีไร เรียกกูยิกๆ” ผมวางกระเป๋าสะพายข้างใบเก่าบนโต๊ะที่มีแต่แก้วเครื่องดื่ม 2 ใบ

“คือ...”

“มึงเรียกกูมาฟังมึงอารัมภบทใช่มั้ย” ผมแหว

“เดี๋ยวสิ ขอกูเรียบเรียงก่อน” ไอ้ทอยมีสีหน้าลำบากใจ ท่าทางเหมือนกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเห็นได้ชัดจนผมต้องสงบเสงี่ยม

“อะ กูรอได้” ผมหยิบมือถือมาไถหน้าฟีด รอให้มันตกผลึกให้ได้ก่อนจนกระทั่งไม่มีอะไรให้อัพเดตอีกแล้วแถมอีกฝ่ายก็ยังไม่พูดอะไร ผมเลยต้องกระตุ้นอีกที “เรื่องไอ้ฉัตร ใช่มั้ย”

“อื้อ” มันยอมปริปากในที่สุด ลีลามากนักต้องให้จี้ใจก่อนถึงจะยอมเล่า

“เล่ามา กูฟังอยู่” ผมวางมือถือและจับจ้องใบหน้าหล่อๆนั้น ถ้าไม่ติดว่ามีไอ้ตงผมคงจะจีบมันเป็นแฟนไปแล้ว ถึงแม้มันจะเคยอ้วนแถมหน้าปรุด้วยเม็ดสิวมาก่อนก็เถอะ แต่ตอนนี้มันหล่อโคตรๆ หล่อไม่เกรงใจสารรูปผมเลยสักนิด

“กู เอ่อ” มันอึกอัก ผมเลยส่งตาดุๆไปให้จนมันเริ่มพูดจริงๆ “คือ กูไม่แน่ใจว่ากูยังรู้สึกกับฉัตรเหมือนเดิมมั้ย”

“อ้าว ทำไมงั้นล่ะ” ผมล่ะนับถือใจฉัตรพงษ์พี่ชายฝาแฝดของไอ้ฉัตรชัยอยู่ไม่น้อย เพราะพวกคณะสายสุขภาพน่ะจะเรียนอีกฝั่งของมหา’ลัยเลยนะ พวกเราเหมือนอยู่คนละโลกก็ว่าได้ พวกแพทย์ พยาบาล เภสัชฯ หรืออื่นๆในเครือจึงไม่ค่อยตกมาถึงท้องพวกนักศึกษาฝั่งศิลป์กันเท่าไหร่ พวกคนเหล่านี้ถึงเป็นแฟนกันเองเสียส่วนมาก ยกเว้นฉัตรพงษ์ที่ตามมาดูแลไอ้ทอยแทบทุกวันจนแอบคิดว่ามันโดดเรียนมาหรือเปล่าไปแล้ว

“คือ จะพูดไงดีล่ะ ตอนที่รู้ความจริงว่าคนหักอกคือคนน้องไม่ใช่คนพี่ กูก็ดีใจมากนะที่เข้าใจผิดไปเอง แต่มึงเข้าใจปะ กูอกหักเอง หนีไปเองเพราะคิดว่าโดนเทแล้วแน่ๆ ต้องหลบไปเลียแผลใจคนเดียว ร้องไห้คนเดียว ทำใจให้ชินกับความเจ็บจนผอมฮวบๆ ต้องเปลี่ยนเป้าหมายที่อยากเรียนมาลงอีคอน ทุกอย่างเริ่มจะดี กูว่ามันดีขึ้นมากแล้วด้วยตั้งแต่เจอมึงในคลาส เป็นเพื่อนที่กูรู้สึกสนิทด้วยจริงๆไม่ใช่เพราะว่ากูหล่อหรือกูรวยอะไรทั้งนั้น” มึงพูดเนี่ยถามกูก่อนมั้ยว่ากูคิดหรือไม่คิดน่ะ

“แล้ววันหนึ่ง ฉัตรก็กลับมาพร้อมความจริงว่ากูคิดไปเอง เขาไม่เคยเลิกรักกูเลย คอยแต่จะตามหากู แต่มึงเข้าใจปะ ว่ากูน่ะทำใจได้แล้ว มูฟออนไปแล้ว ตอนแรกที่เจอกันกูคิดว่าความรู้สึกเดิมๆมันกลับมาอีก แต่...”

“หืม แต่อะไรล่ะ มึงจะเว้นระยะทำไม” ผมของขึ้น

“แป๊บ คอแห้ง” มันหยิบน้ำมาดูด “กูเริ่มได้สติก่อนปีใหม่ ไม่รู้สิ อยู่ๆมันก็แว้บมาในหัวว่ากูรักฉัตรจริงๆหรือแค่ยึดติดกับอดีตที่เคยผิดหวังกันแน่ แต่มันยังไม่ชัดไง แต่ทุกอย่างมันเริ่มเข้าที่เข้าทางตอนที่เราไปเชียงใหม่ ตอนที่อยู่ในผับ”

“อื้อ” ผมนึกภาพตาม ระหว่างที่จูบไอ้ตง หางตาผมก็มองฉัตรพงษ์และไอ้ทอยนัวเนียกันอยู่ด้วยในคืนข้ามปี

“กูจูบกับฉัตร แทนที่กูจะรู้สึกดี ใจเต้นและมีอารมณ์แบบว่า เออ นั่นแหละ”

“แต่มึงกลับไม่มีอะไรเลย”

“อื้อ” ทอยยอมรับ ผมมองใบหน้าเรียบเฉยของมันอย่างพูดไม่ออก ไม่แน่ใจว่าตามทันคำพูดทั้งหมดที่เพิ่งได้ยินไหม แต่ก็พอเข้าใจความรู้สึกของคนๆหนึ่งที่ต้องหลบไปดามใจเกือบหายดีแล้วต้องกลับมาอ่านหนังสือเล่มเดิมที่คิดว่าไม่น่าจะไปรอดอีก

“แล้ว ไอ้ฉัตรล่ะ”

“เฮ้อ... กูยังไม่ได้คุยกันเลย กูอยากคุยกับมึงก่อนว่ากูเป็นอะไรวะ” เออ ดีเนาะ ถามกู จะรู้มั้ยว่ามึงเป็นไร

“หรือมึงแค่สับสน หรือไม่ก็กลัวว่าจะโดนทิ้งอีกรอบ” ผมลองเดา

“สับสนไม่น่าใช่ เพราะกูไม่ได้อยากกอดฉัตรหรืออยากนัวเนียเชิงชู้สาวด้วยเลย เรื่องจะโดนทิ้ง กูว่าไม่มีทาง กูเคยโดนมาแล้ว กูมีภูมิคุ้มกัน”

“แล้วกูต้องพูดอะไรวะ” ผมเลยถามมันไปตรงๆ เกิดมาไม่เคยมีความรักเป็นรูปเป็นร่างมาก่อน อ้อ ไม่นับพี่เจดนะ รายนั้นไปคบกับเดือนมหา’ลัยปีสองไปแล้ว แถมหวานออกสื่อจนมีแฟนคลับตามติดเป็น #เจดเคมีเอฟซี ไปแล้ว

“แค่ฟังก็พอ” มันตอบ ก่อนจะเสริมมาด้วย “มึงว่ากูเป็นไรวะ” เออ...วนลูป

“อืมมมมมม พวกมึงเคยไปเดตกันสองต่อสองปะ” ไอ้ทอยพยักหน้า “แล้วเคยมีอะไรกันมั้ย”

“มึงฟังกูมั้ยเนี่ย กูบอกว่าไม่มีอารมณ์กับฉัตรเลย” เออ ว่ะ ลืมๆ ...

“ไม่เลย สักนิดก็ไม่เลย” ผมถามย้ำ

“เออ” มันตอบห้วนๆ ผมละคิดมากเลย

“เอางี้มั้ย มึงลองจูบกับคนอื่น แล้วมาเทียบความรู้สึกกับตอนที่จูบกับไอ้ฉัตร”

“เชี่ยละ กูจะไปจูบกับใครล่ะครับ จูบมั่วๆก็โดนตีนพอดี”

“ก็จริงของมึง โอ๊ย ทำไมชีวิตมึงมันยากอย่างนี้วะเนี่ย” ผมปวดหัวตึ้บ แค่เรื่องเรียนและดูแลไอ้ตงก็ยุ่งสายตัวแทบขาด

“มึงต้องช่วยกูสิ กูเพื่อนมึงนะ” มันชอบเอาประโยคนี้มาอ้าง อยากถามกลับว่าให้กูเป็นผัวมึงเลยแต่ก็ได้แค่คิด

“เห้อ” พวกเราถอนหายใจพร้อมกันก่อนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“คิดไม่ออก กลับกันก่อนมั้ย กูง่วง” ผมเสนอ เมื่อเช้าตื่นตีสองครึ่งทั้งที่เข้านอนห้าทุ่ม ร่างกายตอนนี้เริ่มไม่ไหว

“เออ ตามึงดูง่วงๆ ว่าจะทักแต่ก็ลืม” ไอ้ทอยเข้าใจ พวกเราเลยเดินออกจากห้างสรรพสินค้า มันพาผมเดินไปลานจอดรถก่อนขับออกมา แต่ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รถจอดสนิทที่ลานจอดรถไม่คุ้นตา มีไออุ่นมากระทบแก้มเป็นจังหวะหายใจ ริมฝีปากถูกอะไรบางอย่างประกบอยู่ พอได้สติเต็มร้อยก็พบว่าใบหน้าหล่อๆของไอ้ทอยแนบชิดอย่างแผ่วเบา

“ตื่นแล้วเหรอ”

“ห๊ะ เอ่อ อื้ม” มันถามแบบไม่แคร์เลยว่าเพิ่งขโมยจูบผมเมื่อครู่ แถมใบหน้ายังเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกด้วย

“ลงมาสิ คอนโดกูเอง กูขี้เกียจปลุกเห็นมึงหลับอยู่เลยขับยาวมา” คอนโดผมอยู่ก่อนถึงคอนโดมันเสียอีก เลยได้แต่ทำใจกล้าเดินตามไปติดๆ ในใจระส่ำระสายคิดไม่ตกกับเหตุการณ์เมื่อครู่

“มึง คือ...”

“อะไรของมึงเนี่ย เข้ามา” มันลากแขนผมเข้าไปในลิฟต์ก่อนกดชั้นที่ต้องการ รู้ตัวอีกทีผมก็นั่งโซฟาในห้องมันแล้ว

“ดื่มอะไรมั้ย”

“ไม่อะ กูโอเค มึง...” ผมพูดจบแค่นั้นจนไอ้ทอยย้ายร่างสูงๆของมันมานั่งเบียด

“มึงอยากรู้ใช่มั้ยว่าทำไมกูถึงจูบมึง” เจ้าของห้องถามหน้าตาย ผมเสียอีกที่เสียอาการ

“อะ อื้อ” ยอมรับก็ได้วะ อยากรู้แต่ไม่กล้าถาม

“ก็ทำตามที่มึงแนะนำไง ลองจูบคนอื่น” มันทำหน้าทะเล้น

“บะ บ้า กูหมายถึงคนอื่น คนอื่นน่ะ คนอื่นที่ไม่ใช่กู” เสียงร้อนรนมากครับ คุมไม่ได้ด้วย

“เอาน่า มึงเพื่อนกู ถือว่าช่วยกัน”

“ไอ้เชี่ย แล้วมึงสปาร์กปะล่ะจูบกับกูน่ะ” ผมมองหน้ามันที่นิ่งเงียบ

“ไม่ว่ะ” มันตอบพลางส่ายหน้า ผมเลยถอนหายใจอย่างโล่งอก ดวงตาปิดสนิทเพราะความง่วง ปล่อยให้เจ้าของห้องทำธุระของตัวเองตามสบาย ก่อนสติจะดับวูบไปทั้งที่พิงโซฟาอยู่อย่างนั้น


#### ####

[อัคคี]

             ผมมองใบหน้าที่นอนหลับลมหายใจราบเรียบอย่างระบุอารมณ์ไม่ถูก จากที่ไม่เคยคิดเลยว่าจะเริ่มรักใครใหม่อีกครั้งก็กลับมาหวั่นไหว ไอ้หนึ่งมันซื้อบื้อปนโง่ที่มองไม่ออกว่าตงฉินน่ะรักมัน และแน่นอนว่ามันก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกผมก็เปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่มันคอยให้กำลังใจเรื่องที่เคยเจอมาเมื่อต้นปีก่อน ยิ่งนานวันที่ใกล้ชิด ผมก็ห้ามใจตัวเองยากขึ้นทุกที น้ำเสียงและท่าทางจริงใจของมันคือเสน่ห์ที่ผลักไสให้ตกหลุมรักอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้มันจะดูถูกตัวเองว่าไม่หล่อหรือจนอยู่ไม่ขาดปาก แต่สำหรับผมแล้ว การกระทำของมันหล่อกว่าใครที่เคยรู้จักด้วยซ้ำไป

“กูจะทำยังไงกับมึงดีวะ” ผมยืนมองร่างที่หลับและพึมพำกับตัวเองอยู่ห่างๆ จูบแรกที่ผมลองกับมันในรถกระตุ้นความรู้สึกตื่นเต้นจนใจสั่นเหมือนครั้งที่นอนกอดกับฉัตรพงษ์ไม่มีผิด ทั้งที่รู้ว่าคนเบื้องหน้ามีเจ้าของแล้วก็ตามที

“ฉัตร เรามีเรื่องอยากคุยด้วย” ผมกดส่งข้อความส่งไปก่อนที่อีกฝ่ายเป็นฝ่ายโทรกลับ เมื่อเห็นว่าไอ้หนึ่งหลับสนิท ผมเลยถือโอกาสออกไปเพื่อเคลียร์กับอดีตคนรักให้ทุกอย่างมันชัดเจนและไม่ติดค้างอะไรต่อกันอีก


#### ####

[ตงฉิน]

             สะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะความเย็นเกาะกุมจนหนาว สายตาที่ปรับสภาพได้แล้วก็พบว่าที่ข้างๆว่างเปล่า ผมเปิดไฟที่หัวเตียงเพื่อไล่ความมืดมิด สลัดความง่วงงุนออกให้หมด หยิบมือถือที่บอกเวลาสี่ทุ่มครึ่งก่อนเดินออกมาที่ห้องรับแขกว่างเปล่า ไม่มีเงาของคนตัวเล็กที่นอนกอดแม้แต่น้อย ห้องนอนเล็กก็เงียบและมืดสนิทไร้เงาสิ่งมีชีวิตเช่นกัน พอมองไม่เห็นใครความโดดเดี่ยวก็แล่นพล่านเกาะกุมหัวใจเสียอย่างนั้น มือใหญ่ทำท่าจะกดโทรหาแต่ก็ถูกจิตใจฝั่งคนดีบอกให้หยุด เขาอาจกลับบ้านหรือมีธุระ แต่จิตใจฝั่งคนเลวก็คอยยุยงให้โทรตามตัวกลับมาทันที

             ผมดื่มนมเปรี้ยวดับความหิวแสบท้องก่อนนั่งเงียบบนโซฟาเปล่าเปลี่ยว ห้องกว้างใหญ่ที่ไม่มีอีกคนอยู่ด้วยมันเงียบเชียบถึงเพียงนี้เชียวเหรอ ผมไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าสิ่งของหรูหราวางเกลื่อนห้องจะชวนอ้างว้างและหดหู่ใจถึงเพียงนี้ มือถือในมือเงียบกริบ แต่ในหัวผมกลับเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยดังลั่น ลองเปิดโทรทัศน์ที่วางไว้เฉยๆมาเป็นปีเพื่อหารายการสนุกดูก็ไม่ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ซีรี่ย์ที่ผมแสดงอยู่ออกอากาศเวลานี้พอดีฉายภาพเห็นใบหน้าหล่อของพี่ไนล์ที่แสดงร่วมกันจนทำให้คิดถึงเรื่องเมื่อกลางวัน ตอนนั้นผมแค่หลับตาแต่ไม่ได้หลับ ยังมีสติและได้ยินบทสนทนาที่นายเอกซีรี่ย์คู่ขวัญที่แฟนๆจิ้นให้เป็นแฟนกันจริงๆกำลังพูดจาแทะโลมเพื่อจะจีบไอ้หนึ่งอย่างออกนอกหน้า ผมฟังอยู่นานจนเริ่มทนไม่ได้จึงได้บอกให้มันไปเอาน้ำมาให้ดื่ม พอลืมตาก็พบว่าใบหน้าหล่อฉายแววไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

“คนนี้พี่ขอนะ” คำพูดนั้นตรงจนน่าโมโห ผมไม่ตอบเว้นวรรคให้อีกคนร้อนรนจนกระทั่งได้ยินเสียงของไอ้หนึ่งวิ่งใกล้เข้ามา

“พี่มาขอจากผมทำไมล่ะครับ หนึ่งไม่ใช่สิ่งของที่ผมจะเที่ยวยกให้ใครต่อใครได้นะ และอีกอย่าง พี่ก็ดูเอาเองละกันว่าสายตาของหนึ่งน่ะมองใคร ผมคงไม่ต้องตอบหรอกนะครับ คิดว่าพี่ไนล์คงเห็นมานานแล้วถึงได้กล้าเข้าหา” แล้วไอ้เตี้ยก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม ผมหยิบกระบอกน้ำมาดื่มและยิ้มกลับโดยไม่ลืมพูดขอบคุณ อีกคนท่าทางแปลกใจแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาแต่ถือวิสาสะมานั่งเบียดบนโซฟาทั้งที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง พี่ไนล์ไม่พูดอะไรอีกแต่ก็ไม่มีท่าทีโกรธขึ้ง ผมเข้าใจว่ารายนั้นคงอยากบริหารเสน่ห์เหมือนที่เคยทำมาตลอดนั่นแหละ แต่ดีที่ไอ้หนึ่งมันไม่ชายตามองใครเลยนอกจากผม

...จะว่ามั่นใจ ก็ไม่ผิดหรอกนะครับ คนมันมีดีให้รักให้หลงนี่นา....

“อยู่ไหนเนี่ย ทำไมยังไม่กลับบ้าน” ผมถามทันทีที่ปลายสายกดรับ เสียงงัวเงียก็ตอบกลับ

[อยู่คอนโดไอ้ทอย เจอมันตอนเย็นน่ะ ง่วงเลยเผลอหลับ]

“แล้วจะค้างที่โน่นเลยไหม” ผมถามแม้น้ำเสียงจะปกติ แต่ตอนนี้ในใจร้อนรุ่มแทบบ้า มันเป็นอาการที่ไม่เคยเป็นมาก่อนด้วย

[กลับๆ ไม่อยากกวนมัน เดี๋ยวเจอกัน] ปลายสายตอบ ตามด้วยเสียงยวบยาบน่าจะเพราะเปลี่ยนท่านอนมานั่ง

“ส่งโลเคชั่นมา เดี๋ยวไปรับ” ผมหลุดปาก ตกใจตัวเองเหมือนกันที่ถามออกไปแบบนั้น

[ไม่ต้องหรอก ดึกแล้วเดี๋ยวนั่งแท็กซี่ไป]

“งั้นเจอกันที่ร้านข้าว xxx นะ หิวอะ” ผมบอก

[ให้แวะซื้อมั้ย กำลังจะออกไปละ]

“ออกไปกินเองดีกว่า นอนอุดอู้จนเบื่อละ” ความจริงคือมันเหงาจนไม่อยากอยู่ห้องต่างหาก

[ตามใจ เดี๋ยวเจอกัน]

“ชวนทอยมาด้วยสิ” อยากตบปากตัวเองจังวะ

[มันไม่อยู่ ไม่รู้ไปไหน] แล้วไอ้หนึ่งก็วางสาย ผมแอบถอนหายใจเมื่อรู้ว่าเจ้าของห้องไม่อยู่ ไอ้ความคิดแปลกๆที่ว่าสองคนนั้นจะทำอะไรกันก็หายวับพร้อมกับความโล่งอก ผมเดินไปเปิดไฟจนสว่างทั่วห้อง เดินไปสำรวจสภาพตัวเองในห้องน้ำ ผมเผ้าฟูกระเซิงจนต้องหาหมวกมาสวม ไม่อยากเสียเวลาจัดทรงใหม่ เสื้อผ้ายับย่นไม่เป็นปัญหาเพราะค่อนข้างดึก ร้านประจำของกลุ่มเราที่อยู่ไม่ไกลจากมหา’ลัยเปิดจนถึงเที่ยงคืน มีอาหารหลากหลายให้เลือก อร่อยและราคาย่อมเยา เมื่อคว้ากุญแจรถได้ผมก็ฮัมเพลงเดินไปที่ลิฟต์จนกระทั่งถึงลานจอดรถ

“รอนานมั้ย โทษทีๆหาแท็กซี่ยากน่ะ” ไอ้หนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาที่ร้าน ทรงผมหยิกหยองที่ฟูฟ่องบวกใบหน้าเหรอหราจนกลั้นหัวเราะไม่ได้ทำให้มันนั่งด้วยสีหน้าบึ้งตึง “หัวเราะอะไรไม่ทราบ”

“หัวเราะมึงนั่นแหละ รีบมากใช่ปะ หัวฟูเลย” ผมแซว คนที่นั่งอีกฝั่งรีบใช้สองมือสางจัดทรงแต่ก็ดูจะไม่เป็นผล

“เอามานี่เลย” มันอาศัยจังหวะเผลอกระชากหมวกผมไปสวม ก่อนจะหัวเราะที่เห็นสภาพกระเซิงไม่ต่างกัน

“หยุดเลยนะมึง ห้ามขำ” ผมดึงหมวดกลับมาสวมโดยที่มันไม่ได้ห้าม แล้วกับข้าวก็มาเสิร์ฟเพราะผมสั่งไว้ก่อนแล้ว เราสองคนต่างหยุดพูดและหันมาสนใจกับความอร่อยตรงหน้า มันเป็นมื้อธรรมดา แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันอร่อยจนหยุดกินไม่ได้ ใบหน้าอ่อนล้าของคนหัวฟูตั้งใจตักกับข้าวมาใส่จานผมยิ่งทำให้ใจเต้นแรงขึ้นไปอีก นี่คงเป็นเพราะผมอินกับบทบาทที่แสดงล่ะมั้ง ไม่ใช่ความรักหรอกเนอะ ... บ้าจริง หยุดยิ้มไม่ได้เลย...

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
น้องหนึ่งสเน่ห์แรงจริงๆ ใครๆ ก็เข้ามาจีบ พ่อหนุ่มเนื้อหอม

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 36. จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า ขอข้าวขอแกง ...

              ผมเองครับ เอกราชเจ้าเก่า จะเรียกหนึ่งหรือไอ้เตี้ยก็ได้ตามสะดวก ช่วงนี้มีหยุดยาวให้นักศึกษาพักหายใจก่อนสอบปลายภาค พวกเราเลยตัดสินใจย้ายสถานที่อ่านหนังสือจากห้องสมุดมหา’ลัยเป็นริมทะเลที่เกาะเสม็ดตามไอเดียของไอ้ตง เริ่มแรกมันโทรไปชวนพี่เอก (พี่ชายไอ้โทและเป็นแฟนพี่ต่อพี่ชายไอ้ตงนั่นแหละ) แต่รายนั้นไม่ว่าง...ผมเลยเอ็ดมันไปยกหนึ่งว่าทำไมต้องตามแกล้งพี่ต่อขนาดนั้น แทนที่มันจะสำนึก เปล่าเลย ตอบกลับหน้าตาเฉยว่า

“กูอยากแกล้ง ชอบหวงก้างดีนัก” นั่นล่ะไอ้ตงล่ะ แต่มันก็ไม่ได้คิดจะจีบพี่เอกแบบจริงจังนะครับ แค่หมาหยอกไก่ แล้วผมก็ไม่ได้คิดมากด้วย เพราะรู้ดีว่าพี่เอกไม่ปันใจมาหาคนน้องหรอก คนพี่อย่างพี่ต่อพงษ์ทั้งหล่อกว่า สูงกว่า เพียบพร้อมกว่าชนิดที่ว่าไอ้ตงเทียบไม่ติดเลยก็ว่าได้

             หลังจากดื่มด่ำกับทะเล แสงแดดและหาดทราย พวกเราก็หามุมสงบติวหนังสือกันอย่างตั้งใจ(งั้นเหรอ) ยกมาทั้งแก๊งยกเว้นฉัตรพงษ์พี่ชายฝาแฝดของฉัตรชัยที่หายหน้าไปสักพัก พอถามก็ไม่มีใครตอบอะไรเลยทั้งไอ้ทอยและไอ้ชัย แถมทั้งสองคนก็เหมือนจะตึงๆใส่กันอีกด้วย ห้าสาว ขวัญใจ ยุนอา มะเหมี่ยว วาวาและน้องฟางมากันครบ ผมล่ะนับถือน้ำใจแฟนเด็กของไอ้คิ้วมันจริงๆนะครับที่ยอมแอบมาเที่ยวตามมันต้อยๆ

“มึงมองแฟนกูทำไมไอ้เตี้ย” นั่นไง แค่มองก็ไม่ได้ กูไม่นิยมหอยโว้ย

“มองไม่ได้รึไง น้องฟางน่ารัก” ผมกวน

“แค่น่ารักเหรอคะพี่หนึ่ง ว้า” นั่นไง แก่แดดจริงๆเด็กสมัยนี้

“ฟางมาเที่ยวกับพี่ๆแบบนี้พ่อแม่ไม่ว่าเหรอ” ผมลองถาม

“ไม่ว่าหรอกค่ะ เพราะบ้านฟางกับพี่คิ้วรู้จักกันเห็นกันมาตั้งแต่เกิด แล้วช่วงนี้ที่บ้านก็วุ่นๆเพราะพี่สาวฟางไม่ค่อยสบายด้วย” น้องเล็กสุดอธิบายอย่างน่ารัก มิน่าล่ะไอ้คิ้วถึงตกหลุมรักหัวปักหัวปำ

“อ้อ พี่สาวเป็นอะไรอ่า ขอให้หายไวๆนะ” ผมอวยพรแต่ก็ไม่วายเผือก

“พี่เฟียสเป็นมะเร็งค่ะ กำลังรักษาอยู่” กริบสิเมื่อน้ำเสียงของน้องฟางดูเศร้า พวกเราเลยแก้เก้อด้วยการปลอบใจว่าการแพทย์สมัยนี้ก้าวหน้าแล้ว ไม่นานก็หาย ปลอบอยู่นานจนสีหน้าน้องดีขึ้นก็พากันเดินเล่นรอบหาดเพราะไม่มีสมาธิอ่านหนังสือกันแล้ว

             หลังจากไอ้ทอยจูบผมวันก่อน มันก็ไม่แสดงทีท่าอะไรที่ผิดแปลกไปจากเดิม เราเลยมองหน้ากันได้อย่างสนิทใจได้อีกครั้ง แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือการหายตัวไปของฉัตรพงษ์ที่แม้แต่ไอ้ชัยยังไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไรชวนให้ขบคิด ผมคิดว่ารู้คำตอบเพราะคืนที่ไอ้ทอยพาไปที่คอนโดมัน ผมออกมากลางดึกโดยที่เจ้าของห้องไม่อยู่ด้วยซ้ำ และวันถัดมาก็ไร้เงาของฉัตรผู้พี่ พอปะติดปะต่อได้ก็เริ่มเข้าเค้าว่าไอ้ทอยคงไปบอกเลิกอย่างเป็นทางการเข้าแล้ว

ตุบ!

“เชี่ย” ผมสบถเมื่ออยู่ๆก็เดินชนแผ่นหลังเพื่อนในกลุ่มที่หยุดเดินเอาดื้อๆ เพื่อนพ้องต่างพากันหยุดตามเมื่อเห็นท่าทางแปลกๆของไอ้คิ้ว สายตามันจับจ้องไปยังเก้าอี้ชายหาดที่มีผู้ชายสองคนกำลังนอนกกกันอย่างไม่แคร์สายตาคนเดินผ่านไปผ่านมา เห็นคนตัวโตกว่าที่นอนข้างล่างแล้วผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่เลยครับ หน้าตาหล่อมากแถมยังขาวจัดจนสะท้อนแสงได้เลยล่ะ กล้ามแน่นทุกส่วนแถมตรงกลางลำตัวนูนเด่นชัดแม้มองจากระยะไกลเช่นนี้ ความสูงที่มากมายจนไม่เผื่อแผ่ผมเลยชวนอิจฉา ด้านบนมีร่างผู้ชายรูปร่างดีหน้าตาหล่อดูคุ้นตานอนทับโดยไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่ใช่เพื่อนกันธรรมดาแน่ๆ

“พะ พี่...” น้องฟางพูดตะกุกตะกัก ท่าทางช็อกไม่ต่างกับไอ้คิ้วชวนให้สงสัย

“เป็นไรวะ” เสียงหนึ่งถาม ผมจำไม่ได้ว่าใครเพราะเราเดินเป็นกลุ่มใหญ่ ไอ้คิ้วไม่ตอบแต่เดินไปตรงผู้ชายสองคนนั้นอย่างเลื่อนลอย ใบหน้าบอกอารมณ์หลากหลาย ไม่ว่าจะแปลกใจ เสียใจหรือโกรธขึ้ง

“พี่คิง” เสียงของมันสั่นเครือก่อนที่ผู้ชายที่นอนอยู่ด้านบนจะลืมตามามองและสะดุ้งสุดตัว

“คิ้ว!”


#### ####

             ผมนั่งมองเพื่อนที่ไม่ยอมหยุดถอนหายใจตั้งแต่ไปเจอพี่ชายที่มันยึดถือเป็นไอดอล ดาร์ก ทอล หล่อ ล่ำ มาดแมนกอดก่ายกับผู้ชายหน้าตาหล่อหุ่นบึกเหมือนนักกล้ามเมื่อตอนบ่าย ถึงแม้จะคุยกันเสร็จและเรื่องจบด้วยดีก็เถอะ ท่าทางของมันยังช็อกอยู่ไม่น้อย ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจนักหรอก ถ้าเป็นตัวเองเจอเข้าแบบนี้คงไปไม่เป็นเหมือนกัน

“มึงจะพ่นลมอีกนานมั้ย แดกๆๆ” ไอ้ฉัตร เอ๊ย ชัยที่สนิทกับมันมาตั้งแต่มัธยมคุมสติได้ดีกว่า เขย่าร่างเพื่อนเรียกสติ ถึงแม้มันจะจะตกใจไม่ต่างกันก็ตาม แต่การที่เพิ่งมารู้ว่าพี่ชายฝาแฝดตัวเองเป็นเกย์ก่อนหน้านี้ไม่นานเลยทำใจได้ไวกว่า ผิดกับไอ้คิ้วที่ยังอึ้งกับภาพและเรื่องราวที่ได้พบเจอจนเงียบกริบเหมือนหุ่นยนต์ตลอดเวลาที่กำลังปาร์ตี้กันอยู่

“เฮ้อ” ยังไม่หยุดถอนหายใจ

“มึงจะคิดมากทำไมวะ พี่มึงมีแฟน มึงควรยินดีด้วยสิถึงจะถูก” ไอ้โทออกความเห็นโดยมีสาวๆพยักหน้าเห็นด้วย

“ใช่แล้วพี่คิ้ว อย่างน้อยพี่คิงก็มีคนดามใจแล้วไง” น้องฟางต้องมาปลอบใจแฟนหนุ่มซะงั้น เรื่องราวที่เหมือนนิยายน้ำเน่าที่ได้ฟังจากปากของทั้งคู่ยังติดในสมอง ไอ้คิ้วมีพี่ชายชื่อคิง และฟางมีพี่สาวชื่อเฟียซ พี่ของทั้งคู่หมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ฝ่ายหญิงขอถอนหมั้นเพราะป่วยเป็นลูคีเมียทำให้ฝ่ายชายเป๋และโดนเด็กหนุ่มหน้าตาดีตามขายขนมจีบจนตกเป็นแฟนกันโดยที่ทั้งไอ้คิ้วและฟางต่างไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน เพราะพี่คิงมาดแมนไม่เคยมีวี่แววจะนิยมบริโภคไส้กรอกมาเลยตลอดเวลาสามสิบกว่าปี มันจึงทำให้ไอ้คิ้วปวดกบาลไม่หยุดหย่อนอยู่เช่นนี้

“แต่ โอ๊ย นั่นพี่กูไง พี่ชายกู อยู่ๆก็มีผัว ให้กูปลงง่ายๆได้ไงวะ” ไอ้คิ้วยังไม่สงบ ท่าทางจะช็อกไม่หาย

“มึงรู้ได้ไงว่าพี่เค้ามีผัว พี่เค้าอาจมีเมียก็ได้นี่หว่า” ไอ้ฉัตรที่กำลังเมาได้ที่ย้อน ผมเลิ่กลั่กมองหน้าไอ้ตงที่ปิดปากเงียบ แต่ไอ้โทดันโพล่งมาประโยคคล้ายของเดิมราวกับเดจาวู

“ใช่ๆ มึงดูไอ้หนึ่งกับไอ้ตงสิ ไอ้ตงตัวโตกว่าตั้งเยอะยังเป็นเมียเลย”

“ไอ้โท ไอ้สัส” ผมด่าและพุ่งไปปิดปากมันไว้ แต่ถูกขวัญใจแงะมือผมออกอย่างหวงแหน ปกป้องกันเข้าไปสิ

“เออ ก็จริง” วาวาสนับสนุนเสียอีก ดีนะที่สาวๆในกลุ่มไม่ปากโป้งเรื่องที่ไอ้ตงเป็นเกย์กับคนอื่น

“จริงเหรอวะไอ้ตง” ไอ้คิ้วหันมาคาดคั้นจนคนถูกยิงคำถามอึกอัก

“เออ” และยอมรับในท้ายที่สุด คงเพราะสงสารเพื่อน ไอ้ตงเลยยอมกลืนศักดิ์ศรีตัวเองทิ้ง

“แต่ทำไมต้องมีแฟนเป็นผู้ชายด้วยล่ะ พี่กูแมนๆเตะบอลนะเว้ย ไอดอลกู ไอดอล...อืออออออออ”

“โอ๊ย แค่เค้ามีแฟนเป็นผู้ชายมันบาปหนักเหรอไอ้คิ้ว หรือว่ามึงรังเกียจเกย์” ไอ้ทอยที่อินดี้นั่งนิ่งมาตลอดเวลาพูด

“ก็ ไม่ใช่ดิ กูแค่สับสน ไม่ได้รังเกียจหรืออะไรหรอก”

“เออ ก็ดี ไม่งั้นมึงคงได้เกลียดกู ไอ้ตง ไอ้หนึ่งแน่ๆ” ไอ้ทอยพูดรัว ไม่รู้ว่าเพราะเมาหรือเพราะโดนคำพูดไอ้คิ้วกระตุ้นกันแน่

“ห๊ะ ไอ้ทอย มะ มึงก็...” ไอ้ชัยทำท่าไม่เชื่ออย่างตอแหล ผมเลยปาหัวกุ้งใส่หน้ามันอย่างหมั่นไส้ ท่าทางสะดีดสะดิ้งของมันที่โดนปาของใส่น่าขันจนพวกเราพากันหัวเราะออกมาได้ในที่สุด ส่วนไอ้คิ้วก็ดูจะสบายใจมากขึ้นโดยมีแฟนสาวกุมมือให้กำลังใจอยู่ไม่ห่าง

             ยิ่งดึกยิ่งเงียบเหงา เมื่อแผนการเปลี่ยนสถานที่อ่านหนังสือล้มพับกลายเป็นสถานที่ดื่มจนเมามายล้มพับกันไปหมด ยังดีที่พอจะปลุกให้แยกย้ายเข้าไปห้องพักของแต่ละคนได้ไม่ยากเย็นนัก เราจองบ้านพักเป็นหลังที่สามารถจุคนสิบกว่าคนได้ มีห้องนอนสามห้องแบบเตียงรวมนอนได้ 3-4 คนต่อห้องแล้วแต่ใครจะนอนกับใคร ผมที่เริ่มสร่างเพราะลากร่างไอ้โทที่เมาป้อแป้ไปที่นอนจนเหงื่อชุ่มก็เลยออกมาสูดอากาศเค็มชื้นเลียบหาด แสงไฟรอบๆต่างปิดกันแทบทุกแห่ง แต่แสงสว่างจากดวงจันทร์พอให้เห็นภาพทะเลสีดำส่งเกลียวคลื่นมาไม่ขาดสาย ทรายเนื้อละเอียดกระเด็นเข้ามาในร้องเท้าแตะจนคันยุบยิบ

“ทำไมมาคนเดียวล่ะ”

“เชี่ย ตกใจหมด” ผมผงะเมื่อถูกมือใหญ่คว้าที่ไหล่ ตงฉินในเสื้อกล้ามสีขาวกับบ็อกเซอร์ลายจุดสีดำเดินตามมาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ เสียงคลื่นกระทบฝั่งคงกลบเสียงฝีเท้าจนไม่ทันสังเกต “ตามมาทำไม ไม่ง่วงเหรอ”

“ใครตาม กูแค่นอนไม่หลับเลยออกมาเดินเล่น” จ้ะ...หาดตั้งกว้าง แต่เดินเล่นมาทางเดียวกันเนี่ยนะ เชื่อได้จริงๆ

“ไม่เมาเหรอ” ผมไม่พูดในสิ่งที่คิด แต่ถามในสิ่งที่อยากรู้

“ก็มึนๆ” ท่าทางปกติไม่บอกว่ามึนเลยสักนิด

“จับมือได้มั้ย” ผมคว้ามือคนตัวสูงอย่างไม่รอคำตอบ ฤทธิ์แอลกอฮอล์คงไม่หมดไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าขอและทำแบบนี้

“ห๊ะ” เสียงตกใจแต่กลับไม่ชักมือกลับ เราเดินเงียบเชียบให้ลมทะเลพัดกรูผสานเสียงคลื่นซัดสาดไปมาอย่างผ่อนคลาย นิ้วมือสอดประสานกันแน่นส่งเสียงคุยกันไม่หยุด พวกเราจึงไม่ปริปากออกมาเพราะต่างปล่อยใจไปตามธรรมชาติในค่ำคืนนี้ โขดหินที่อยู่รายล้อมมีคู่รักจับจองแอบอิงกันหลายคู่ เสียงครางกระเส่าดังแทรกมาจนต้องหยุดเดิน

“ดะ ได้ยินใช่มั้ย” ผมถาม มองตากันเลิ่กลั่ก

“อะ อื้อ” ไอ้ตงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ลืมนึกไปเลยว่าฉายาเกาะนี้คือ เสม็ด เสร็จทุกราย นี่เราเดินมาไกลจนมาเห็นอะไรแบบนี้เลยหรือนี่ “กะ กลับเถอะ” ไอ้ตงชวน

“อะ เออ กลับๆ” ผมตอบรับเงอะๆเงิ่นๆ รู้สึกหน้าร้อนไปหมด ทำตัวไม่ถูกเหมือนวันรุ่นเพิ่งเรียนรู้ความรัก ทั้งๆที่มีอะไรกับคนที่เดินข้างๆมาหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม

“ง่วงแล้วอะ” ตงฉินพูด แต่ผมว่ามันกลบเกลื่อนความกระดากมากกว่า

“งั้นกลับไปนอนกัน” แล้วมือที่ผละจากกันตรงโขดหินก็มาสอดประสานกันอีกครั้ง “ตง”

“หืม”

“เคยคิดมั้ยว่าจะได้มาเดินเล่นกันแบบนี้” อยู่ๆผมก็ถามออกไปทั้งที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน

“ไม่อะ” มึงก็ตอบตรงป๊ายยยยยยยยย

“แล้วชอบมั้ย” ผมถามและกระชับมือที่จับให้แน่นกว่าเก่า

“ชอบอะไร” มันถามแต่ไม่มองหน้าผม สายตาจับไปที่พื้นที่สีดำเวิ้งว้างของน้ำทะเล

“ที่ได้มาเดินเล่นแบบนี้ไง” ผมใจสั่น นี่กูจะถามให้ได้อะไรวะ คาดหวังอะไรวะเนี่ย

“ก็โอเคนะ ไม่ได้แย่” ตอบสไตล์ดาราหนุ่มผู้เย่อหยิ่งอีกละ

“อยากเดินด้วยกันไปนานๆมั้ย” กึก... สองขาหยุดเดินไปดื้อๆ

“หืม นานแค่ไหนวะ แค่นี้ก็เมื่อยละ” ผมนี่อยากเอาทรายยัดปากมันจริงๆเลยครับ

“มึงแม่ง” ผมงอแง แต่ก็เก็บอาการไปก่อน แสงจันทร์นวลสาดส่องมากระทบใบหน้าคนตัวสูงที่หันออกทางทะโดยมีผมยืนสบตาไม่ห่างชวนให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ความหล่อเหลาของมันไม่เคยน้อยลงเลยแถมยังทำให้ความรู้สึกของผมพุ่งขึ้นทุกวินาทีที่อยู่ใกล้

“มองอะไรเนี่ย” มันถามเก้อๆ สายตายังมองไปที่ทะเลสีมืดทะมึน

“มองมึงไง ไม่ได้เหรอ” ผมยิ้มกริ่ม มองคนหน้าตายที่กำลังเก็บอาการอย่างนึกขำ รอดูว่ามันจะเสแสร้งไปได้กี่น้ำ

“ไม่ได้ เดี๋ยวสึกหมด” อยากกระแทกเข่าเข้าลิ้นปี่มันจัง

“ไม่มองก็ได้ งั้นเราลองทำนอกสถานที่เหมือนที่เค้าทำที่โขดหินบ้างมั้ย”

“ไม่เอาไม่สัส” มันตบกบาลผมหนึ่งทีด้วยแหละ ดาวเต็มหน้าเลย

“งั้นแค่จูบได้มั้ย” ผมลองแหย่ต่อ ดูท่าทีว่าจะตอบโต้ยังไง

“จูบทำไม ไม่ได้เป็นอะไรกัน”

“เหอะ เอากันจนพรุนแล้วนะ” ผลั่ก! นั่นไง กำปั้นฮุกที่หน้าท้องจุกไปหมด

“สัส” มันด่าซ้ำ

“จะ จุก มึงแม่งใจร้ายว่ะ กูผัวมึงนะ” ผมแกล้งหายใจแรงๆหวังให้มันสำนึก แต่...

“สมน้ำหน้า ใครใช้ให้มึงหน้าด้านออกอาการหื่นล่ะ”

“เดี๋ยวกูจัดให้เดินไม่ได้เลย” ผมขู่ไปงั้น พอทำจริงมันก็เดินไม่ได้ทุกครั้งแหละ

“โว้ย มึงนี่แม่ง กูไปละ” มันสะบัดมือทิ้งและเดินหนี ผมจึงต้องรีบวิ่งไปง้อ ฉุดกระชากกันอยู่สักพักกว่ามันจะยอมให้จับมืออีกครั้ง เหงื่อไหลเลยสิ อยู่ดีไม่ว่าดีอยากไปล้อเลียนมันดีนัก เหนื่อยมั้ยล่ะไอ้หนึ่ง

“ขอโทษ ดีกันๆๆๆ”

“เลี่ยนว่ะ ทำยังกะง้อแฟน”

“ก็ใช่ไง”

“”หืมมมมมมมมมมมม ใครแฟนมึง”

“มึงไง” ผมตอบแบบไม่คิด มองใบหน้าที่ตกใจของมันอย่างใจแป้ว “มึงได้ยินไม่ผิดหรอก มึงไงแฟนกู”

“กูเป็นแฟนมึงตอนไหนไม่ทราบ” มันกวน

“ตอนที่กู...”

“สัส ไม่ต้องพูด” มันเอามือข้างที่เหลือมาปิดปาก พอเห็นว่าผมไม่พูดอะไรแล้วถึงได้ปล่อยให้เป็นอิสระ

“ตง”

“หืม อะไรอีก กูง่วงแล้ว” มันเดินลิ่วๆเลยครับ ช่วงขาที่ยาวกว่าทำให้ผมต้องแทบจะวิ่งตามเพราะสองมือยังจับกันอยู่

“หยุดก่อน” ผมรั้ง กว่ามันจะยอมหยุดก็เห็นรีสอร์ตเราในสายตาแล้ว

“มีอะไรอีก” น้ำเสียงดูหงุดหงิด

“กูพูดจริงๆนะ เรื่องเมื่อกี้”

“เรื่องเอ๊าท์ดอ (outdoor) น่ะเหรอ”

“ไม่ใช่โว้ย” เจอมันกวนแบบนี้ก็ชักจะงุ่นง่านละ “เรื่องแฟน...”

“ไม่จบอีกนะมึงน่ะ”

“ยังไม่ได้เริ่มเลย จะจบได้ไงวะ” ผมสบตามันด้วยแววตาแน่วแน่ ก่อนจะทรุดตัวคุกเข่าบนพื้นทรายเหมือนละครที่ดูมา

“มึงจะนอนตรงนี้ไม่ได้นะไอ้หนึ่ง”

“ไอ้สัส กูอุตส่าห์บิ๊วอารมณ์ มึงนี่แม่งกวนตีน”

“เออๆ มึงจะทำไรวะ ลงไปนั่งทำไม” ถ้ามันไม่ซื่อบื้อหรือโง่ขนาดหนักก็คงเขินจนต้องแสดงออกกลบเกลื่อนแหละวะ

“ตง”

“เออ” ดูมันตอบสิ

“กูรู้ว่ากูไม่หล่อ บ้านก็จน เรียนก็ไม่เก่ง ปากก็หมา หน้าก็ด้าน”

“หื่นอีกต่างหาก”

“เออ อะไรก็แล้วแต่ ถึงกูไม่ได้เฟอร์เฟ็กเหมือนคนอื่นๆ แต่...กู...เอ่อ มึงจะเป็นแฟนกูได้มั้ย”

“...” อย่าเงียบสิ ใจคอไม่ดีเลย หน้าตาก็เดายากอีกว่าคิดอะไรยิ่งทำให้ใจเสีย โว้ยกู คิดว่าบรรยากาศเอื้อแล้วแท้ๆ

“กูรู้นะว่าสเป๊กมึงสูง กูอาจไม่ใช่ชายในฝันของมึง แต่ที่ผ่านมากูรักมึงมาตลอด กูรักมึงมากจนกู...” ทำไงดี จะร้องแล้วนะ ใจคอจะให้พูดคนเดียวอีกนานมั้ยเนี่ย กูคุกเข่าแถมยังขอมึงเป็นแฟนแล้วนะ จะรักไม่รัก จะเป็นหรือไม่เป็นก็ตอบๆมาเถอะ เว้นช่องนานขนาดนี้กูคิดไม่ดีจนท้อแท้แล้วนะ น้ำตาจะไหลแล้วเนี่ย โอย...พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย หนูใจคอไม่ดีเลย

“มึงแน่ใจเหรอว่ามึงอยากเป็นแฟนกูจริงๆ กูนิสัยแย่ขนาดนี้เนี่ยนะ”

“สำหรับกู มึงคือคนที่กูรัก ถึงคนอื่นจะมองว่ามึงเป็นยังไงแต่กูก็ไม่เคยเกลียดที่มึงเป็นมึง” ผมย้ำ เอาให้ชัดเลยเว้ย “ถึงมึงจะดูหยิ่ง เอาแต่ใจ ไม่ยอมคน ไม่มีเวลาให้ จะคบกันต้องปิดเป็นความลับ จะต้องทำเป็นไม่ได้เป็นอะไรกันต่อหน้าคนอื่น ถึงจะต้องคอยตามใจหาข้าวหาน้ำให้ เข้าเรียนแทนและต้องตามไปติวให้ที่กองถ่าย คอยรองรับเยี่ยวมึงตอนเมา...”

“พอๆๆๆ ยิ่งฟังกูยิ่งเกลียดตัวเองว่ะ” ดีนะที่ห้ามไว้ก่อน ไม่งั้นได้พูดอีกเยอะ

“แต่กูรับทุกอย่างที่เป็นมึงได้ กูอยากมีสถานะกับมึงว่ะ ไม่อยากเป็นแค่คู่ขาหรือรูมเมตแล้ว”

“หนึ่ง...”

“กูโอเคถ้ามึงไม่อยากเป็นแฟนกับกูนะ กูก็แค่อยากขอมึงให้เป็นเรื่องเป็นราว ให้มันชัดเจนดีกว่าค้างๆคาๆกันแบบนี้ กูไม่อยากแค่มีอะไรกับมึงแต่ไม่ได้คบกัน กูไม่อยากไร้ตัวตนขนาดนั้นอีกแล้ว”

“กูขอโทษ” เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยย เตรียมจะร้องแล้วนะ

“ถ้ามึงไม่รับรัก กูสัญญาว่าจะไม่รบเร้ามึงอีก แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวและจะเป็นครั้งสุดท้ายที่กูจะพูดเรื่องนี้อีก” ผมใจอ่อนยวบ น้ำตาเริ่มไหลจนต้องก้มหน้ามองทรายสีทึบ กลั้นใจไม่ให้สะอื้นจนกลายเป็นกดดันคนที่ยืนอยู่อย่างหนักหน่วง

“กูขอโทษนะ” ไอ้ตงพูดเสียงสั่น

“ไม่เป็นไร กู...” น้ำตาไหลอาบแล้วสาดดดดด เสียใจโว้ย เสียใจ แต่ไม่ใช่คือไม่ใช่...อย่าร้องนะไอ้หนึ่ง อย่าร้อง

“ที่ผ่านมากูเหี้ยเองที่ทำให้มึงต้องคิดมาก กูไม่ดีเอง”

“ไม่หรอก มึงไม่ได้ทำผิดอะไร กูต่างหากที่คิดไปเอง” เสียงสั่นจนคุมไม่ได้แล้วนะ

“กูไม่รู้เลยว่ากูจะเป็นต้นเหตุให้มึงคิดแบบนั้น กูขอโทษ...” น้ำตาไหลแล้วเสียงสะอื้นก็ดังจนกลั้นไม่อยู่ แค่คำว่าขอโทษนะที่พูดซ้ำไปซ้ำมาก็หดหู่จนเกินกลั้นแล้ว ไหนว่าจะทำใจได้ไงวะ ทำไมกูต้องร้องไห้หนักขนาดนี้ด้วยวะเนี่ย

“หนึ่ง อย่าร้องสิวะ ฟังกูก่อน กูขอโทษ” ไอ้ตงทรุดมากอดและลูบหลังผมที่ปล่อยโฮอย่างไม่อายแล้วตอนนี้ เสียงฝีเท้าหลายคู่วิ่งตึกตักมาทางเราไม่ทำให้ผมหันไปมองด้วยซ้ำ ความเสียใจมันมากมายจนไม่อาจกักเก็บไว้ได้อีก ... อกหักโว้ยยยยยยย

“ไม่ต้องพูดหรอก กูเข้าใจ ไม่รักคือไม่รัก กูไม่ว่าอะไรมึงหรอก” ผมยังร้องไห้ไม่หยุด ไม่อยากฟังคำตอบว่าไม่ออกจากปาก

“โว้ย ฟัง” ไอ้ตงขึ้นเสียง ผมหยุดสะอื้นแล้วมองหน้ากันชั่วครู่ สายตาดันมองผ่านไหล่ไปเห็นเพื่อนๆที่วิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากห้องพักด้วยความตกใจที่ได้ยินเสียงร้องไห้ลั่นหาดเป็นแน่ ดีนะที่เราเหมาไว้ ไม่งั้นแขกคนอื่นคงวิ่งตามเป็นพรวนไอ้ตงได้เป็นข่าวใหญ่ลงสื่อหราทุกสำนัก

“กูขอโทษที่ทำให้มึงคิดมากจนคิดไปว่าไร้ตัวตน สำหรับกู มึงไม่เคยไร้ตัวตนนะไอ้หนึ่ง” ห๊ะ... หมายความว่าไง “ให้เวลากูคิดหน่อยสิโว้ย อยู่ๆมึงก็คุกเข่าและโพล่งมาดื้อๆ กูเมาอยู่ สมองไม่ได้ประมวลผลไวขนาดนั้นนะ”

“เอ่อ ขอโทษได้ปะล่ะ” ผมปาดน้ำตาทิ้ง

“กู ...”

“ไม่เป็นไร กูโอเคถ้ามึงจะไม่ตกลง” ผมฝืนยิ้มให้ครับ แต่น้ำตาเม็ดเบ้งเอ่อเต็มเบ้าพร้อมจะร่วงทุกขณะ

“มึงแน่ใจนะว่าโอเค”

“อื้อ” ผมพยักหน้า แล้วน้ำตาก็ไหลมาอีกระลอกจนได้

“แต่กูไม่โอเค”

“ห๊ะ”

“กูไม่โอเค มึงจะยอมแพ้ในตัวกูไม่ได้ มึงหลอกฟันกูมาหลายเดือนแล้วคิดจะถอดใจง่ายๆได้ไงวะ มึงต้องรับผิดชอบกูสิ”

“ห๊ะ” ผมยังงงอยู่

“มีงจะงงเหี้ยอะไรไอ้หนึ่ง ไอ้ตงมันยอมมึงแล้ว” เพื่อนผมด่าเตือนสติ

“ห๊ะ จริงดิ” ผมหันไปสบตามันเพื่อถามย้ำ

“อื้ม เป็นก็เป็นวะ ไหนๆก็ได้กันมานานแล้วนี่หว่า”

“จริงนะ จริงดิ โว้ย กูมีแฟนแล้วโว้ย ฮ่าๆๆๆ” ไม่แค่พูดนะ ผมกระโดดตัวลอยแล้วคว้าตัวไอ้ตงมาจูบอย่างไม่เกรงใจสายตาคนอื่น เพื่อนๆต่างปรบมือร้วมยินดีกันยกใหญ่ต่างคนต่างกรูมากอดพวกเราที่เพิ่งเปลี่ยนสถานะมาเป็นแฟนกันหมาดๆ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะทำให้ผมรู้ว่าไม่ใช่ความฝัน ไอ้ตงงตกลงเป็นแฟนผมแล้ว มันเหลือเชื่อสุดๆที่ดาราหนุ่มหน้าตาหล่อเหลายอมตกลงแบบนี้ ผมดีใจจนตัวลอยยิ้มแก้มปริจนเมื่อยหน้าแต่ก็ไม่หยุดความดีใจดีพร้อมกับผองเพื่อนที่กรูมาร่วมวง

....ยกเว้นไอ้ทอยที่มีใบหน้าหงอยเหงาและเดินกลับไปที่รีสอร์ตอย่างเงียบเชียบ

“ต้องฉลองๆๆๆ” เพื่อนส่งเสียง

“ตีสามแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากันนะ ไปนอนก่อนๆๆๆ” อีกเสียงทักท้วง

“ดีใจด้วยนะไอ้เตี้ย มึงก็สอยดอกวัดได้แล้ว” ไอ้โทเองครับ

“ดอกฟ้าโว้ยไอ้สัส” ผมตบมุก กอดร่างสูงไว้แน่นราวกับว่ามันจะติดปีกบินหนีไป

“โอ๊ย อิจฉา เบะปากค่ะ” สาวๆที่ไร้คู่ส่งเสียงมาบ้าง และมันก็เรียกเสียงหัวเราะได้อีกครั้ง ตอนนี้น้ำตาแห้งไปแล้ว มีแต่รอยยิ้มแต่งแต้มทั่วใบหน้า ผมดีใจจนตัวแทบจะลอยได้ มองใบหน้าหล่อเหลาของคนข้างๆอย่างไม่วางตา ... คุณแฟน ^^

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
งู้ยยยยย เค้าเป็นแฟนกันแล้ว จุดฟลุฉลองให้ดีมั๊ย  :laugh:

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 37. ฉีกสัญญา

             หลังจากที่ได้สถานะกับไอ้ตง พวกเราก็เหมือนได้ปลดล็อกความรู้สึก ถึงแม้จะยังรู้สึกเหมือนฝันที่ดอกฟ้าแบบมันจะยอมตกลงอย่างง่ายดายก็ตามที พี่เอก(พี่ชายของไอ้โทและเป็นแฟนของพี่ชายไอ้ตง)ทำหน้าเหรอหราเมื่อได้รู้ว่าสองพี่น้องตระกูลเสถียรภาพไพบูลย์ต่างโดนพวกเราสอยมาเป็นแฟนราวกับนิยาย เรื่องของพวกเรานั้นมีคนรับรู้ในวงแคบๆ อย่างน้อยก็แค่ในกลุ่มที่สนิทและครอบครัวของพวกเรา ถึงแม้คุณท่าน(พ่อของไอ้ตง)จะไม่ค่อยปลื้มก็ตาม เนื่องจากลูกชายคนโตดันมีแฟนเป็นคนขับรถเพศเดียวกัน ต่อมาก็ตงฉินลูกชายคนเล็กที่หมายมั่นปั้นมือให้เข้าไปดูแลกิจการต่อหลังจากเรียนจบ แกคงคิดตามประสาคนจีนที่ต้องการให้มีทายาทสืบสกุลนั่นแหละ พอได้รู้ว่าตงฉินไม่กินหอยอีกแล้วก็ออกอาการบึ้งตึงไปชั่วขณะ จนกระทั่งถูกเตือนความจำว่ามีสองหมู ลูกชายวัยกระเตาะของตงฉินทำหน้าที่แทนเลยไม่ออกมาหวงห้ามอะไรอีก

             ส่วนครอบครัวของผมนั้น รับรู้มาตั้งแต่เด็กแล้วว่าลูกชายคนโตนั้นไม่เหมือนคนอื่น ทั้งพ่อและแม่ก็รับได้ไม่เคยจะห้าม แถมออกจะชอบใจเสียอีกที่แฟนลูกชายเป็นดารา ตื่นเต้นยิ่งกว่าถูกหวยด้วยซ้ำ(ถึงแม้ไม่เคยถูกหวยก็ตาม) พ่อของผมลงทุนขอลางานเพื่อนั่งรถทัวร์กลับมาเจอกับไอ้ตง ก่อนจะค้นพบว่าไอ้ตงทำตัวดี(หลอก)กับผู้ใหญ่จนหลงมันหัวปักหัวปำ

“จะจบปีหนึ่งแล้วโว้ยยยยยย” ผมวางชีทวิชาการตลาดลงกับพื้นก่อนจะพิงท้ายทอยกับท่อนขาของตงฉินที่นอนอ่านหนังสือบนโซฟาในห้องรับแขก หลังจากรู้แล้วว่าการไปอ่านหนังสือนอกสถานที่เหมือนครั้งที่ไปเสม็ดนั้นไม่ก่อประโยชน์ เพราะหลังจากที่ไอ้คิงเจอความลับของพี่ชายมันก็เศร้าไปพักใหญ่ พวกเราจึงตกลงกันว่าจะตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือในห้องตัวเองนี่แหละดีที่สุด หรือถ้าเบื่อมากก็ไปนั่งอ่านที่ร้านโมเอะเอา

“ก่อนจบ มึงต้องสอบก่อน จะเอฟมั้ยเทอมนี้” ฉึก! น้ำเสียงราบเรียบไม่มีความหวานของเมียตัวใหญ่กระตุกความดีใจทรุดฮวบ

“กูไม่เคยเอฟ” ผมเถียง ถึงเกรดจะไม่สวยงามแต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่ ผิดกับอีกคนที่เกรดเทอมแรกสวยกว่าผมไปหลายขุม

“ไม่เคยแต่ก็เกือบๆ” ผมมองค้อน ก่อนจะผุดไปนอนทับตัวมัน “ออกไป หนัก”

“ไม่ออก ไม่ชอบเหรอผัวทับ” เพี้ยะ! นั่นไง มันเอาชีทมาฟาดกบาลผมจนได้

“ถ้าไม่อ่านดีๆกูจะไม่ให้มึงทับเหมือนเมื่อคืนอีก” มันยื่นคำขาด จะว่าผมหื่นก็ได้นะ พอได้ยินมันพูดแบบนี้ก็อยากจะลากมันเข้าห้องเลย แต่ท่าทางตั้งใจอ่านหนังสือทำให้ต้องระงับสติอารมณ์ไว้ เมื่อคืนก็จัดหนักจัดเต็มไปแล้ว ด้วยความที่ยังเป็นวัยรุ่นจุดติดง่าย เรื่องบนเตียงไม่เคยขาดสักวันจนกลายเป็นเหมือนสิ่งเสพติดของพวกเราไปแล้ว

“หิวยัง ไอ้โทไลน์มาถามว่าจะไปกินข้าวเย็นกันมั้ย” ผมหยิบมือถือมาอ่าน กลับมานั่งกับพื้นเช่นเคย

“เอาดิ วันนี้พอแค่นี้ก็ได้” ตงฉินหลับตา ท่าทางอ่อนล้า ซึ่งไม่แปลกหรอกที่มันจะเหนื่อย ไม่รู้ว่าเป็นดาราหรือหุ่นยนต์ เพราะต้องเรียน อ่านหนังสือสอบ มีอะไรกับแฟน(ซึ่งห้ามขาด) ยังต้องอ่านบทเพื่อเตรียมถ่ายซีรี่ย์อีก คงเป็นเพราะซีซั่นแรกกระแสตอบรับแรงมาก ทางผู้จัดจึงตัดสินใจทำภาคต่อทันที ที่ผ่านมาได้ตงก็ต้องทำงานตัวเป็นเกลียว ทั้งการออกรายการทางทีวี เกมโชว์ และออกงานคู่กับพี่ไนล์ตามห้างสรรพสินค้า เวลาที่จะสวีตกันของพวกเราแทบจะไม่มี แต่ผมเข้าใจเรื่องนี้อยู่แล้ว ที่ผ่านมาก็ไม่เคยงอแง เลยทำให้ไร้ปัญหาเรื่องปกปิดสถานะ

“จะอาบน้ำก่อนมั้ย หรือไปเลย”

“ไปเลยก็ได้ อยากกลับมานอนไวๆ” ไอ้ตงลุกจากโซฟา ตัวมันสูงต่างกับผมอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าหล่อๆดูโรยราเพราะไม่ค่อยได้พัก ผมพิงศีรษะกับต้นขามันเหมือนลูกแมวอ้อนเจ้าของ มือใหญ่เอื้อมมาลูบเส้นผมอย่างคุ้นเคย พวกเราไม่ได้แสดงความหวานต่อกันเช่นคู่อื่น เนื่องจากไอ้ตงมันติดนิสัยเดิมๆอยู่ นั่นก็คือ ขี้รำคาญ ห้ามยุ่งตอนหงุดหงิดและอีกสารพัด แต่ผมก็รู้ว่าเวลาไหนควรจะอ้อน เวลาไหนควรจะออกห่าง


#### ####

             หลังจากสอบเสร็จไอ้ตงก็ต้องเข้าออฟฟิศของโมเดลลิ่งที่สังกัดเพื่อเซ็นสัญญาถ่ายซีรี่ย์ ทางผู้จัดการส่วนตัวจัดแจงทุกอย่างพร้อมสรรพ ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้ต้องไปที่อื่นต่อ ไอ้ตงคงให้พี่จีน่า (ผจก.ตุ๊ดคนสวย)เอาเอกสารไปให้เซ็นถึงคอนโดเช่นเคย

“ให้รอตรงนี้หรือให้ตามเข้าไป” ผมถามหลังจากจอดรถคันหรูตรงล็อกวีไอพี

“ตามมาก็ได้ คงใช้เวลาสักพัก” ผมดับเครื่องยนต์อย่างประหลาดใจ ปกติมันยอมให้เดินตามเข้าไปเสียที่ไหน พอได้เป็นแฟนแค่นั้นแหละจ้า จากที่ไม่ยอมก็ไม่เคยห้าม ผมว่าไอ้ตงมันแค่คนปากแข็งเฉยๆนะ เนื้อแท้มันคือคนขี้เหงาคนหนึ่งเลยแหละ สังเกตจากที่มันไม่ด่าตอนผมเข้าไปออเซาะมันระยะหลังๆ

“อ้าวน้องตง มาแล้วเหรอคะ นั่งรอก่อนนะ น้องหนึ่งมาด้วยเหรอ มาๆ” พี่จีน่าเป็นผู้หญิง(ข้ามเพศ) ที่หน้าตาสละสวยและเป็นคนที่นิสัยดีมากถึงมากที่สุด ก่อนหน้านี้พวกเราเคยเจอกันที่กองถ่ายมาแล้วจึงทักทายกันอย่างคุ้นเคยได้ ตงฉินเคยบอกว่าถ้าไม่ใช่เพราะพี่จีน่าเข้ามาแทนผู้จัดการส่วนตัวคนก่อนมันคงจะฉีกสัญญาทิ้งยอมจ่ายค่าปรับหลายล้าน ผมเคยถามว่าเพราะอะไรแต่มันก็อึกอักจึงไม่ซักไซร้เรื่องนี้ต่อ “ดื่มอะไรกันก่อนมั้ย รอพี่แป๊บนึงนะคะ”

“ขอเหมือนเดิมก็ได้ครับ ขอบคุณครับ” ตงฉินเป็นคนตอบ ก่อนจะพากันเข้ามานั่งในห้องประชุมที่ตกแต่งเหมือนห้องรับแขกมากกว่า มีโซฟาสีแดงตัดกับสีสว่างในห้องจนโดดเด่น ถัดไปเป็นห้องครัวขนาดย่อมแบบบิลด์อิน โทรทัศน์เปิดรายการของช่องที่อยู่ในเครือของบริษัทไว้ มีภาพของตงฉินขนาดย่อมติดผนังราวกับว่าเป็นห้องส่วนตัว หากแต่ไม่ใช่แบบนั้นเพราะรูปของดาราในสังกัดคนอื่นก็มีแขวนไว้จนแทบกินพื้นที่เกือบทั้งห้อง จากความสุนทรีย์กลายเป็นเหมือนแกลอรี่แสดงภาพดาราไปเสียแล้ว

             พนักงานนำน้ำอัดลมที่พวกเราชอบมาเสิร์ฟถึงที่ก่อนจะเดินหายออกไป ไม่นานนักพี่จีน่าก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งที่ผมพอจะรู้จักบ้าง(จากคำบอกเล่าของตงฉิน) พวกเราลุกขึ้นและยกมือไหว้ผู้อาวุโสก่อนจะกลับมานั่งล้อมวงอย่างไม่เกร็ง(ผมเลียนแบบท่าของไอ้ตง) คุณสุชาติ เจ้าของบริษัทถึงขั้นลงมาต้อนรับเอง คงให้เกียรติไอ้ตงไม่น้อย นอกจากนั้นก็มีคนอื่นๆที่ไม่คุ้นหน้าอีก ผมได้แต่แอบสังเกตการณ์เงียบ ปล่อยให้คุณแฟนโซโล่เอง

“เอาล่ะค่ะ น้องตงได้อ่านเนื้อหาในสัญญาหรือยังคะ” พี่จีน่าเป็นคนเปิดประเด็น ผมลอบสังเกตสีหน้าไอ้ตงที่เหมือนไม่สบอารมณ์กับสายตาของคุณสุชาติที่นั่งฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาดูกรุ้มกริ่มชวนให้อึดอัด ผมหายใจแรงเป็นพักๆอย่างขัดใจ

“อ่านแล้วครับพี่ แต่มีประเด็นอยากปรับนิดหน่อย ตามนี้เลยครับ” ตงฉินหยิบเอกสารในเป้มาวางตรงโต๊ะเบื้องหน้า มือของคุณสุชาติเอื้อมมาหยิบเอกสารปาดหน้าผู้จัดการคนสวยเสียดื้อๆ กวาดสายตามองเนื้อหาที่ถูกขีดเขียนด้วยปากกาสีแดงอย่างตั้งใจ แววตาที่ดูผ่อนคลายกลายเป็นขมวดคิ้ว

“ที่น้องตงปรับมาพี่โอเคนะ แต่ข้อนี้...” ผมมองเอกสารที่วางกลับมา ในนั้นระบุเรื่องการต่อสัญญากับบริษัทอีก 5 ปีอัตโนมัติหลังจากถ่ายซีรี่ย์จบ แต่ไอ้ตงไม่ได้แก้อะไร นอกจากขีดทิ้งด้วยปากกาสีแดง

“ทำไมเหรอครับพี่” ตงฉินเหมือนจะไม่สบอารมณ์เช่นกัน

“คือพี่ว่า...”

“เราคุยกันแล้วนะครับพี่สุชาติ อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำ ถ้าไม่ตกลง ผมก็ไม่ถ่าย” ตงฉินพูดอย่างไร้เยื่อใย ใบหน้าของพี่จีน่าซีดเพราะตกใจ คุณสุชาติหน้าเคร่งขรึมบ่งบอกว่าโกรธ พอจบประโยคไอ้ตงก็สะกิดให้ผมลุกและเดินตามออกจากห้องนี้ไปโดยไม่บอกลา ไอ้เราที่ไม่รู้เรื่องก็เดินตามออกมาอย่างเงอะงะ

“ทะ ทำไมมึงไม่อยากต่อสัญญาวะ” ผมถาม นึกว่ามันชอบการเป็นดารามากเสียอีก แต่เหตุการณ์วันนี้กลับผิดคาดไปเยอะ

“เบื่อ” ตอบตามไสตล์ตงฉิน

“ตง” ผมหยุดเดินและจับชายเสื้อมันไว้จนคนเดินนำหันมามอง “มึงรู้ใช่มั้ยว่ามึงคุยกับกูได้ทุกเรื่อง”

“อื้อ” สีหน้าที่อึมครึมผ่อนคลายลงจนแววตาเปลี่ยนไป ผมยิ้มให้ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ ตอนมาไม่ทันสังเกตว่าภายนอกเป็นอย่างไร ตอนนี้จึงขอแอบมองเสียหน่อย ประตูกระจกบานใหญ่ตรงทางเข้าออฟฟิศอยู่ตรงข้ามกับโต๊ะประชาสัมพันธ์พอดี ซ้ายมือเป็นบันได ลิฟต์และห้องทำงาน ด้านขวามือคือห้องประชุมที่เราเพิ่งเข้ามาเมื่อกี้ ถัดอีกหน่อยจะเป็นที่รับรองผู้มาติดต่อ และนั่นเองทำให้ผมได้เห็นร่างสูงที่คุ้นตา

“ไอ้ทอย”  คนถูกเรียกละสายตาจากมือถือ มันน่าจะเพิ่งมาถึงเพราะตอนที่เข้าห้องประชุมนั้นยังไม่เห็น ตงฉินหันไปมองเพื่อนในกลุ่มและส่งเสียงทัก หน้าตาสงสัยของพวกเราถามไอ้ทอยออกไปแล้วโดยไม่ต้องใช้เสียง

“กูมาเซ็นสัญญาน่ะ” ไอ้ทอยตอบคำถาม มันเล่าเรื่องแอบไปแคสติ้งในซีรี่ย์ที่ไอ้ตงจะต้องแสดงภาคสองและได้รับเลือกเป็นคู่รอง ไม่น่าแปลกใจนักหรอกถ้ามันจะได้รับเลือกเพราะหน้าตามันดูดีมากอยู่แล้ว ที่แปลกใจคือมันเคยบอกว่าไม่อยากเป็นดารา

“เก็บเงียบเลยนะมึง ไอ้สัส” ผมด่า

“ทีแรกกูก็ไม่ได้อยากมาหรอก แต่ช่วงนี้ไม่มีอะไรทำเลยลองสมัครน่ะ ไม่คิดว่าจะได้” ไม่คิดกะผีน่ะสิ นั่งตรงข้ามกับไอ้ตงน่ะ ไอ้ทอยหล่อกว่าเห็นๆ คิดจะกลบรัศมีพระเอกของเรื่องเป็นแน่ แต่ขอโทษ ยังไงตงฉินก็มีเสน่ห์กว่า(เข้าข้างแฟน)

“เซ็นสัญญาแสดงหรือสัญญาเข้าสังกัด” ไอ้ตงถาม

“ทั้งคู่” มันตอบ ผมงงกับเรื่องสัญญาพอสมควร แต่พอรู้คร่าวๆว่า(ไม่รู้ว่าข้อมูลถูกรึเปล่านะเพราะผมไม่ใช่ดารา) นักแสดงต้องเซ็นสัญญาถ่ายทำก่อน ในนั้นจะระบุเรื่องผลตอบแทนชัดเจน(สัญญาพวกนี้แตกต่างกันแล้วแต่ผู้จัด บางค่ายก็ไม่มี บางค่ายก็มีให้เซ็นเป็นตอนๆ) นักแสดงที่เซ็นสัญญาแล้วมีหน้าที่จะต้องปกปิดเรื่องราวของละครเป็นความลับ ห้ามนำมาเผยแพร่ก่อนออกอากาศและต้องรับผิดชอบถ่ายให้จบเรื่อง(เคยมีประเด็นถอนตัวกันมากมาย ผมคิดว่าน่าจะไม่มีผลถ้าถ่ายไม่จบ) ส่วนสัญญาสังกัดค่ายหรือโมเดลลิ่งนั้นมีไว้สำหรับดาราหน้าใหม่ หรือดาราที่อยากมีคนดูแลไม่ต้องคอยรับคิวงานเอง โดยจะระบุระยะเวลาที่จะให้สังกัดดูแล ผลตอบแทนที่ได้รับ ค่านายหน้าที่จะโดนหักว่าจะกี่เปอร์เซ็นต์ และอื่นๆสารพัด หากใครไม่ชอบผูกมัดก็ไม่ต้องเซ็นก็ได้ เป็นนักแสดงอิสระ เซ็นสัญญาถ่ายเป็นงานๆไป

“มึงเก็บเงียบเลยนะ ไม่ปรึกษาไอ้ตงเลยเหรอมันก็อยู่ที่นี่นะ” ผมออกความเห็น

“พอดีกูยุ่งๆน่ะ รู้ตัวอีกทีก็ถึงวันนัดแล้ว”

“ถ้าอยากรู้อะไรก็ถามกูได้นะ” ไอ้ตงเสนอตัว ผมได้แต่อึดอัดกับท่าทีของทั้งสองคน จะว่าไปมันก็เกิดจากผมนั่นแหละที่ดันขี้เหร่มากจนสองคนนี้มาชอบ ไอ้ทอยมันบอกเลิกฉัตรพงษ์ไปแล้วตั้งแต่วันที่มันแอบจูบผมที่คอนโด หลังจากวันนั้นดูเหมือนไอ้ตงจะสังเกตท่าทีที่เปลี่ยนแปลงของไอ้ทอยได้แล้วมาคาดคั้นกับผม โชคดีที่เรื่องไม่มีอะไรต่อจากนั้น แต่ไอ้ทอยก็เหมือนตีตัวออกห่างกลุ่มของพวกเราไปทีละน้อย จนกระทั่งได้กลับมาเจอมันวันนี้

“ขอบใจ”

“ไม่มีอะไรแล้ว กลับเถอะ” ไอ้ตงเอ่ย และก้าวขายาวไปทันที สายตาไอ้ทอยที่มองมาเหมือนมีอะไรจะพูด แต่พี่จีน่าก็เดินมาเสียก่อน

“น้องตงคะ อย่าเพิ่งกลับ อ้าวน้องไฟมาแล้วเหรอ พอดีเลย จะได้มาคุยกันพร้อมหน้าทีเดียว นะคะพี่ขอ” สุดท้ายพวกเราก็ต้องกลับเข้าไปในห้องประชุมเดิมอีกครั้งเพราะตงฉินสงสารผู้จัดการคนสวยที่ทำหน้าเว้าวอนตาปริบๆ


#### ####

             ผมบังคับพวงมาลัยรถยนต์คันหรูให้เทียบกับที่จอดของคอนโดอย่างเชี่ยวชาญ หลังจากรับหน้าที่เป็นทั้งเพื่อน แฟนและคนขับรถมาสักระยะ ไอ้ตงก็ขี้เกียจขับรถไปเสียอย่างนั้น มันบอกว่าทีพี่ต่อพงษ์(พี่ชายของมัน)ยังมีพี่เอกเป็นคนขับรถแถมยังเป็นแฟนด้วย ทำไมผมจะเป็นแบบนั้นไม่ได้ ... ถึงมันจะพูดอย่างนั้น แต่ผมก็รู้แหละว่ามันเขินที่จะบอกกันตรงๆว่าอยากให้ผมคอยดูแล

“ถึงแล้ว ตื่นๆ” ผมปลดเข็มขัดนิรภัยและหันมาเขย่าตัวคนตัวสูงที่นอนหลับมาตลอดทางอย่างแผ่วเบา วันนี้ค่อนข้างหนักสำหรับไอ้ตง นอกจากเรื่องสัญญากับโมเดลลิ่งแล้วก็ต้องวิ่งไปถ่ายแบบจนดึกดื่น ต่อให้ยังหนุ่มแค่ไหนก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา

“อื้อ หิวอะ” มันงอแง

“ขึ้นห้องก่อน เดี๋ยวทำอะไรให้กิน อยากกินอะไร”

“อะไรก็ได้” มันยังไม่ยอมลืมตา แต่ผมก็ดับเครื่องและเดินออกนอกรถเสียก่อน กวาดพวกเสื้อผ้า เอกสารและกระเป๋าเป้ที่เบาะหลังมาถือพะรุงพะรังรอคนง่วงเดินงัวเงียออกมา ตงฉินหาวอ้าปากกว้างแบบไม่เกรงใจสายตาผมแม้แต่น้อย

             หลังจากจบมื้อเย็น ไอ้ตงก็ไปอาบน้ำและเข้านอนทันทีเพราะเพลียจัด ผมหยิบสัญญาฉบับแก้ไขใหม่ที่ทางโมเดลลิ่งยินยอมที่จะแก้ตามข้อเรียกร้องของมันอย่างตั้งใจ บางจุดมีภาษาที่ยากจนมึนๆแต่ก็พอเข้าใจภาพรวม แต่กระนั้นผมก็ยังแปลกใจว่าทำไมตงถึงไม่ต่อสัญญาทั้งๆที่ชีวิตการงานของมันกำลังรุ่ง ผมเคยเห็นในข่าวบันเทิงอยู่บ่อยครั้งเวลาที่นักแสดงไม่ต้อสัญญา จะโดนเอาไปเขียนว่าเนรคุณบ้างล่ะ หรือสร้างกระแสบ้างล่ะ ปกติตงฉินแคร์ภาพลักษณ์อยู่เสมอ ไม่น่าจะยอมให้โดนสาดสีใส่ไข่ตีข่าวเป็นอันขาด แต่การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้ผิดคาดไม่น้อย

             ผมไม่มีโอกาสได้คุยกับไอ้ทอยหลังจากจบการประชุม เพราะทางพี่จีน่าได้พามันไปถ่ายรูปโปรโมตต่อ ระยะห่างระหว่างเราค่อนข้างน่าอึดอัด จากที่เป็นเพื่อนสนิทตัวติดกันกลับทำตัวห่างเหิน ไอ้ความรู้สึกที่ไม่เท่ากันของคนสองคนช่างน่ากลัวเสียจริง เราห้ามมันไม่ได้แถมยังมีผลกระทบความสัมพันธ์แง่อื่นเสียอีก

“ยังไม่นอนอีกเหรอ” ตงฉินพลิกตัวหันหน้ามาทางฝั่งผม สองมือกอดเอวเอาไว้แน่นเหมือนจะรอให้มีไออุ่นไปสวมกอด

“จะนอนแล้ว หนาวเหรอ”

“อื้อ” มันตอบรับด้วยเสียงงัวเงีย “คิดอะไรอยู่”

“ก็หลายเรื่องแหละ” ส่วนใหญ่คือเรื่องของมึง ...

“กูคิดไว้นานแล้วว่าอยากออกจากที่นั่น” ตงฉินพูด แม้จะไม่ลืมตาก็ตาม

“กูถามได้มั้ยว่าทำไม” ถึงแม้เราจะมีสถานะเป็นแฟน แต่มันควรมีขอบเขตความเป็นส่วนตัวที่ไม่ควรก้าวล่วง

“อื้อ ได้ดิ ทำไมจะไม่ได้” ผมขยับตัวจากท่านั่งพิงหัวเตียงมานอนข้างๆ กลิ่นกายและไออุ่นของตงฉินเฉียดกรายระยะประชิดอย่างอบอุ่น ถึงแม้ผมยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมมันถึงยอมเป็นแฟนกับผมก็ตาม การที่มันลดท่าทางเข้าถึงยากลงไปก็ดีแล้ว

“ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ กูไม่อยากให้มึงฝืนใจ”

“ไม่ฝืนหรอก กูแค่ง่วง” มันตอบ ก่อนขยับตัวให้ผมกอดร่างสูงอย่างดิบดีในท่าหันหลังให้ ท้ายทอยน่าขบชิดจมูกจนต้องซุกลงไปดอมดม เส้นผมยาวชี้เด่แหย่รูจมูกจนน่ารำคาญ แต่ผมก็ไม่ยอมปล่อยอ้อมแขน “กูเกลียดไอ้สุชาติ...”

             ผมได้แต่นอนนิ่งหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากคนในอ้อมกอด จังหวะลมหายใจราบเรียบบอกว่าเจ้าตัวหลับสนิทไปแล้ว แต่เรื่องที่เพิ่งได้ฟังมันก่อกวนจนจิตใจไม่สงบ คุณสุชาติเจ้าของโมเดลลิ่งคือคนที่เคยข่มขืนไอ้ตง ผมไม่น่าลืมเรื่องนี้เลย มันเคยพลั้งปากเล่าตอนไหนสักครั้งนี่แหละ แต่ก็ไม่คิดว่าคนที่ล่วงเกินมันยังวนเวียนในชีวิต การมีชื่อเสียงโด่งดังที่ต้องแลกมากับอะไรแบบนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นไม่ว่ากับใคร ถ้าไอ้ตงไม่ใช่คนแรกล่ะ ดาราคนในสังกัดคนอื่นๆจะโดนแบบนี้ด้วยไหม...

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
น้องหนึ่งต้องคอยดูแลคุณแฟนสายติสต์ดีๆ นะ แล้วก็เตือนทอยเรื่องอีตาสุชาติหน่อยก็ดี

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 38. คนที่ไม่ใช่

             ปิดเทอมใหญ่เป็นช่วงเวลาที่นักศึกษาส่วนใหญ่มีเวลาว่างมากที่สุดของปี สำหรับคนที่อยากลงเรียนซัมเมอร์ก็สามารถลงทะเบียนและไปเรียนได้เลย แต่ทั้งกลุ่มเพื่อนสนิทต่างเลือกที่จะไปใช้ชีวิตแบบสบายๆมากกว่าจะทุ่มให้กับตรงนั้น ส่วนผมก็ตอบง่ายๆเลยว่าไม่เรียน ต้องดูแลมนุษย์แฟนที่กำลังแปลงร่างเป็นยักษ์แล้วตอนนี้ เพราะหลังจากสอบเสร็จ ทางกองถ่ายก็เรียกไปประชุมเพื่อบรีฟการถ่ายทำ นัดวันถ่ายภาพโปรโมตรวมถึงถ่ายเรื่องย่อของซีรี่ย์เพื่ออัพลงยูทูป ชีวิตหลังจากการสอบเลยไม่เคยว่างเลยสักวัน แม้กระทั่งวันบวงสรวงเปิดกล้องเหล่านักแสดงยังต้องฉีกยิ้มเพื่อถ่ายรูปแจกลายเซ็นให้กับแฟนคลับที่มาเฝ้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผมเห็นภาพแล้วต้องยกธงขาว ไม่เคยมีความคิดที่จะต้องคอยวิ่งตามดาราเลยสักครั้ง

“น้องหนึ่งเหนื่อยมั้ยครับ ตามมาดูแลตงฉินทุกวันเลยน่าอิจฉาตงฉินจังเลยเนาะ” พี่ไนล์ นายเอกของซีรี่ย์วิศวะล่ารักภาค 2 เดินเข้ามาทักทายบริเวณห้องพักนักแสดงนำ ผมถอดหูฟังออกเพื่อให้ได้ยินเสียงสนทนาชัดเจน

“ไม่เหนื่อยหรอกครับ มีความสุขดีออก” ผมตอบความจริง การที่ได้ดูแลแฟนมันเป็นเรื่องดีจริงๆนะ

“โอยยยยย หวานกันเข้าไป พี่อิจฉา จะเข้าไปแทรกตรงไหนได้บ้างเนี่ย”

“ไม่ได้หรอกครับ ผมรักเดียวใจเดียว” พี่ไนล์ยักไหล่บ่งบอกว่าไม่แคร์ หลังจากที่ไอ้ตงบอกแกไปอย่างชัดเจนว่าผมเป็นอะไรกับมัน พี่ไนล์ก็ลดท่าทีกรุ้มกริ่มไปเยอะ

“เห็นแล้วอยากมีแฟนเลยอะ ไม่น่าเจอน้องหนึ่งช้าเลย” เจ้าตัวพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางเป็นกันเอง คงเพราะเจอกันบ่อย

“เราไม่ใช่เนื้อคู่กันไงพี่” ผมตอบและหัวเราะกลบเกลื่อน ในใจยังไม่หายข้องใจที่คนหน้าตาดีสมัยนี้นิยมของแปลกกันเหรอ

“ท่าทางจะรักน้องตงมากเลยนะเราน่ะ” พี่ไนล์ถาม รอยยิ้มแกไม่ได้ออกแนวคุกคามเช่นเดิม เหมือนพี่ชายคนหนึ่งมากกว่า

“ที่สุดเลยล่ะครับ”

เพล้ง!

             เสียงแตกของอะไรบางอย่างทำให้ผมหันไปมอง ไอ้ทอยยืนหน้าประตูทางเข้าห้องโดยมีแก้วกาแฟร้อนตกเกลื่อน ใบหน้าของมันดูผิดหวัง แต่ก็เก็บอาการไว้ได้ทัน พี่ไนล์รีบลุกไปขวางไม่ให้รุ่นน้องนักแสดงใหม่ก้าวเท้ามาเหยียบเศษแตกหัก ผมรีบวิ่งไปหาไม้กวาดมาเก็บจนเกลี้ยง พอเงยหน้ามาก็เห็นหนุ่มหล่อสองคนนั่งเงียบในห้องพักด้วยบรรยากาศประหลาด

“เจ็บตรงไหนมั้ยวะ” ผมเป็นคนทำลายความเงียบนั้น ไอ้ทอยเงยหน้ามามองแล้วส่ายหัว

“ไม่โดนลวกใช่มั้ย” พี่ไนล์ถาม น้ำเสียงแกนุ่มอยู่แล้ว พอได้ฟังก็ชวนหลง

“ผมไม่เป็นอะไรครับ ขอบคุณมากครับที่เป็นห่วง” น้ำเสียงไอ้ทอยแย่แต่ก็ไม่น่าสงสัย พี่ไนล์เลิกคิ้วสำรวจรุ่นน้องเงียบเชียบ

“เดี๋ยวกูไปขอกาแฟมาให้มึงใหม่ละกัน”

“ไม่ต้องหรอก ใกล้คิวถ่ายแล้ว กูไปเตรียมตัวก่อน” ไอ้ทอยก้มหัวให้พี่ไนล์เป็นเชิงขอตัว ผมถอนหายใจมองตามแผ่นหลังเพื่อนที่ครั้งหนึ่งเคยสนิทกัน

“ทะเลาะกันเหรอ” พี่ไนล์ถามเมื่อเห็นท่าทีของเราทั้งคู่

“ไม่เชิงหรอกครับ แค่...” มันชอบผมและแอบจูบผม ...

“คนไม่ใช่ ยังไงก็ไม่ใช่ สักวันเขาจะเข้าใจความหมายของประโยคนี้” พี่ไนล์พูด แต่เหมือนไม่ได้คุยกับผม ร่างสูงตบไหล่เบาๆก่อนจะเดินออกไปจากห้องพัก ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวกับความคิดที่เต็มสมองไปหมด

             พวกเรา(หมายถึงผมกับไอ้ทอยนะครับ)ได้คุยกันล่าสุดหลังจากวันที่เจอกันที่โมลเดลลิ่งแค่ครั้งสองครั้งทางโปรแกรมแช็ต และแน่นอนว่าเป็นผมที่ทักไปหาก่อนโดยอีกฝ่ายก็ทำตัวนิ่งใส่ ถามคำตอบคำ ไม่แม้กระทั่งรับสายที่พยายามโทรไปหา ไอ้ตงมันรับรู้สถานะการณ์นี้ตั้งแต่ต้น เลยไม่ออกอาการหึงหวงอะไรที่ผมพยายามยื้อมิตรภาพระหว่างเราเอาไว้ แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งห่างจนกระทั่งผมรู้สึกว่ามันมากเกินไปจนเกรงใจตงฉินเลยหยุดการติดต่อ

“พรุ่งนี้ไอ้คุณสุชาตินัดนักแสดงซีรี่ย์ไปเลี้ยงนะ มึงจะไปมั้ย” ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าหล่อๆที่นั่งนิ่งอยู่ในรถตั้งแต่ขับออกจากกองถ่าย ท่าทางครุ่นคิดบอกได้ว่าไม่สะดวกใจที่จะไป แต่ก็ต้องไปตามมารยาท เพราะตอนนี้ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงในสังกัด

“กี่โมงนะ”

“สองทุ่ม ที่โรงแรม xxx”

“อื้มไป มึงไปด้วยนะ พรุ่งนี้ไปหาซื้อชุดกัน”

“ทำไมต้องซื้อด้วยวะ เสื้อยืดกางเกงยีนส์ก็พอแล้ว”

“หึ อยากเป็นแกะดำก็ตามสบาย” ตงฉินดักทาง ก่อนที่จะนิ่งและเขี่ยไอจีสักพักจนกระทั่งหยุดที่รูปหนึ่ง “ดู”

“โอ้” ผมร้องตอบ ในนั้นคือรูปงานเลี้ยงของเหล่านักแสดงแทบจะทั้งหมดของโมเดลลิ่ง แต่ละคนแต่งกันแบบจัดเต็มมาก ชุดราตรีกรุยกรายบนเรือนร่างของดาราสาวบ่งบอกรสนิยมที่ดีเยี่ยม ด้านฝ่ายชายก็แต่งเต็มยศแบบชุดสูทสากล มีการแต่งหน้ากันมาจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ไหนจะมีบรรดาสื่อหลายสำนักที่ยื่นไมค์สำภาษณ์คนโน้นคนนี้อีก

“งานไม่มีตีม (Theme)ก็จริง แต่จะแต่งตัวธรรมดาไม่ได้หรอก มีนักข่าวมาด้วย เขาตั้งใจจะจัดงานเลี้ยงเพื่อโปรโมตดารา” ตงฉินเฉลย ผมเลยได้แต่รับคำแบบเงียบเชียบ มันเป็นเรื่องไกลตัวเสียเหลือเกินสำหรับคนธรรมดาอย่างไอ้หนึ่ง แต่เพื่อไม่ให้ดาราหนุ่มขายหน้า อะไรที่ยอมได้ก็ต้องทำ

             วันต่อมา ผมก็ได้เข้าใจเรื่องในวงการบันเทิงเพิ่มมากขึ้น เมื่อคำพูดที่ว่าไปหาซื้อชุดของไอ้ตงหมายถึงการที่ร้านดังต่างโทรหาตั้งแต่เช้าเพื่อนัดให้มาลองชุดที่ออฟฟิศ เจ้าตัวบอกว่ามันสะดวกกว่าการเดินไปที่ร้านตามห้างหรือนัดให้ไปที่คอนโด ออฟฟิศเลยเป็นศูนย์กลางที่สะดวกสำหรับทุกฝ่าย เมื่อเดินเข้ามาในห้องประชุมครั้งก่อน กองทัพชุดหรูต่างแขวนรออยู่แล้ว พี่ไนล์และไอ้ทอยรวมไปถึงดาราชายคนอื่นๆต่างก็เลือกและลองสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดังที่ตัวเองชอบเป็นที่เรียบร้อย ผมอ่านชื่อยี่ห้อไม่เป็นก็จะขอละเรื่องนี้ไว้แค่นี้นะครับ ก่อนที่จะยืนบื้อไปอีกนาน ไอ้ตงก็กระทุ้งชายโครงให้เดินตามเข้าไป

“ต๊าย มาแล้ว สวัสดีค่ะน้องตง รอบนี้เลือกแบรนด์พี่เหมือนเดิมใช่มั้ยคะ” ผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่แต่งหน้าเข้มสวมชุดเดรสสีดำเช้ารูปเดินมาทักทายอย่างสนิทสนม ข้างกายมีราวเล็กที่แขวนสูทหลากหลายแบบเรียงรายเป็นระเบียบ

“แน่นอนสิครับ” ตงฉินฉีกยิ้มแบบที่คนชอบเรียกว่า รอยยิ้มการค้า ไปให้ ... มันไม่ใช่รอยยิ้มจริงใจแบบที่ผมได้รับ แต่มันจะแฝงไปด้วยสายตาที่แวววับราวกับกำลังอ่อยเหยื่อให้ตายใจ “รอบนี้ขอสองชุดได้มั้ยครับ พอดีมีผู้ติดตามด้วย”

“โอ๊ย สบายมาก แค่ได้น้องตงมาใส่ชุดแบรนด์พี่ มากกว่านี้ยังได้” ผมล่ะทึ่งที่สามารถเลือกชุดที่ตัวเองชอบโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท วงการบันเทิงนี่ดีขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย ... ถ้ารู้มาก่อนชาติที่แล้วคงทำบุญหนักๆเผื่อจะเกิดมาหล่อแบบเขาบ้าง ... หลังจากได้ชุดที่ชอบและพอดีตัวแล้ว พวกเรายังสามารถเลือกเครื่องประดับได้อีก ตงฉินเลือกตุ้มหูระย้าที่ผมมองว่าเกะกะ เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้เลือกอะไร มันเลยเลือกสร้อยข้อมือและนาฬิกาเรือนหรูมาให้

“โหย ไม่เอา ถ้าทำหายกูไม่มีปัญญาหาใช้คืนเค้า”

“ก็อย่าทำหายสิ ใส่ไว้ห้ามเถียง” มันบังคับ ผมเลยได้แต่ยอมเออออ “ทำไมต้องมาเลือกชุดวันนี้ด้วยวะ งานเลี้ยงคืนนี้ไม่ใช่เหรอ”

“ปกติก็เลือกกันก่อนแหละ แต่ยุ่งกับการถ่ายซีรี่ย์ไงเลยปลีกตัวก่อนไม่ได้ ไม่เห็นเหรอว่ามีแต่ทีมนักแสดงวิศวะล่ารัก”

“เออ ก็จริง” ผมตอบหลังจากหันไปมองรอบๆ ไอ้ทอยหายไปจากห้องนี้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้เพราะไม่เห็นแม้แต่เงา พวกเราคงง่วนกับการลองชุดจนลืมสังเกตผู้คนรอบข้าง


#### ####

             งานเลี้ยงภายในไม่ได้เป็นแบบที่คิดไว้เลยแม้แต่น้อย มันเหมือนงานเลี้ยงเฉลิมฉลองบริษัทเสียมากกว่า เพราะนอกจากนักแสดงของค่ายจะมากันอย่างพร้อมเพรียงแล้ว กองทัพนักข่าวยังแห่แหนมาอย่างเนืองแน่น นอกจากนั้นยังมีดาราต่างค่ายมาร่วมด้วย ผมได้ข้อสรุปว่านี่มันคืองานเลี้ยงโปรโมตซีรี่ย์ของค่ายและเปิดตัวนักแสดงใหม่อย่างไอ้ทอย ที่ตอนนี้ถูกเชิญขึ้นไปพูดบนเวที ร่างสูงที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มใสชุดสูทสากลสีขาวเข้ากันกับผิวพรรณของคนใส่เป็นที่สุด แสงแฟลชต่างส่องประกายวูบวาบ ถึงแม้จะมีนักแสดงหลายคนยืนตรงนั้น แต่ออร่าของไอ้ทอยกลับเด่นที่สุด

“ตอนแรกๆมึงต้องขึ้นเวทีแบบนี้มั้ยวะ”

“อื้อ” ตงฉินตอบสั้นๆ ท่าทางเหนื่อยล้าเพราะกว่าจะได้เข้ามานั่งก็ถูกกลุ่มนักข่าวรุมถ่ายรูปคู่กับพี่ไนล์หลายสิบนาที แถมยังต่อด้วยการยืนให้สัมภาษณ์หน้าแบ็กดร็อปที่ตั้งเด่นตรงประตูทางเข้านานสองนาน ผมมีซีนแค่ยืนห่างๆอย่างห่วงๆคอยประคองไม่ให้มันเซในช่วงชุลมุนที่มีคนกรูเข้าหา

“แล้วหลังจากนั้นต้องไปไหนต่ออีกปะ” ผมถามไปอย่างนั้นแหละ อาหารตรงหน้าไม่ได้น่าสนใจเท่าเหล่าดาราชายหล่อๆที่เดินทั่วงานเพื่อหาจังหวะให้ใครสักคนมาขอถ่ายรูปและสัมภาษณ์

“ก็...” ไอ้ตงกำหมัดแน่น หน้าตาที่เคยซีดเซียวเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว

“มึงโอเครึเปล่าวะตง ออกไปห้องน้ำก่อนมั้ย” ผมไม่รอให้มันตอบ แต่ใช้แรงที่มีฉุดแขนให้ลุกและเดินตามออกจากห้องจัดเลี้ยง เสียงเพลงที่ดังเริ่มเงียบเมื่ออยู่ไกลออกไป ห้องน้ำหรูหราเปิดไฟสว่าง ตงฉินตรงไปล้างหน้าจนเปียกชุ่มอย่างไม่สนใจว่าเครื่องสำอางจะหลุดลอก

“มึงโอเคมั้ยวะ”

“กู...” มันไม่ตอบ ผมเลยได้แต่หยิบผ้าขนหนูที่ทางโรงแรมพันวางไว้ที่ตะกร้าสานขึ้นมาซับหยดน้ำที่เกาะขอบหน้าให้

“ไม่เป็นไร กูอยู่ตรงนี้แล้วนะ” มือของผมกุมทั้งสองมือของมันไว้ แววตาอ่อนล้าฉายวับกลับมาอีกครั้ง หากจำไม่ผิด ตงฉินเข้าวงการเมื่ออายุ 13-14 ปี แต่มีการเปิดตัวกับสื่อตอนอายุ 15 ซึ่งตอนนั้น...

“ไอ้สุชาติมันจัดงานเลี้ยงเพื่อบังหน้า” ตงฉินพูดขึ้นมาท้ายที่สุด “มันตั้งใจจะมอมคนที่มันเล็งๆไว้แล้วก็พาไป...”

“ไม่ต้องเล่าแล้ว ไม่ต้องเล่า” ผมคว้าคนตัวโตกว่า 20 เซ็นติเมตรมากอด ร่างสูงโย่งโน้มเข้ามาอย่างง่ายดายราวกับกำลังรอจังหวะนี้อยู่แล้ว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นจนแดงก่ำทำให้แรงหายใจดังหอบถี่ ผมใช้มือลูบหลังมันอย่างช้าๆจนแรงสั่นกระเพื่อมที่หนักหน่วงเมื่อครู่เริ่มเบาลง “กูจะไม่ยอมให้มันมาทำอะไรมึงได้อีก กูสัญญา”

 แกร็ก ... เสียงลูกบิดประตูทำให้พวกเราต้องผละจากกัน เราอยู่ในนี้ร่วมสิบนาที จนลืมไปว่ามันเป็นห้องสาธารณะ พอจัดแจงเสื้อผ้าให้หายยับเสร็จนั่นแหละถึงได้มีโอกาสมองร่างสูงที่เพิ่งเดินเข้ามาด้านใน ตงฉินแตะไหล่ผมแผ่วเบาเป็นการบอกว่าจะออกไปรอด้านนอก ตอนนี้จึงเหลือแค่คนสองคนคือไอ้หนึ่งกับคนที่เพิ่งเดินมา

“ว่าไง” ผมหันไปสบตาไอ้ทอยที่กำลังเดินมาล้างมือที่อ่างล้างหน้า ตรงที่ไอ้ตงเคยพิงเมื่อครู่พอดี

“อืม” มันรับคำสั้นๆง่ายๆ สายตาไม่ชำเลืองมาทางผมเลยสักนิด

“ทอย มึงเป็นอะไรไปวะ แม่ง...” ผมชักจะโกรธ เพราะคนที่ถูกจูบคือผม แถมแฟนยังรู้อีก ถ้าไอ้ตงมันขี้หึงกว่านี้อีกหน่อยคงไม่มีโอกาสได้เป็นแฟนกันหรอกเหรอ

“กะ กูงี่เง่าเองแหละ กูขอโทษนะ” น้ำเสียงมันแผ่วเบา แต่ผมกลับได้ยินเต็มสองหู ไอ้คนอินดี้แบบไอ้ทอยกำลังขอโทษผมอยู่

“เออ มึงงี่เง่า แต่ให้กูทำไงได้วะ กูเป็นเพื่อนมึงนี่นา” ผมยิ้มอย่างใจชื้น เหมือนกับว่าน้ำเมาจะปลดทิฐิมันลงได้

“เตี้ยด้วย”

“ไอ้สัสทอย” แล้วพวกเราก็หัวเราะกันอย่างไม่มีสาเหตุ รอยร้าวที่มีเริ่มเลือนหายไป มิตรภาพของเพื่อนมันยิ่งใหญ่กว่าจะมีอะไรมาทำลายลงได้ ผมโอบไหล่ของมันอย่างยินดีกับตัวเองที่ได้เพื่อนกลับมาเสียที มันอาจจะดูง่ายดาย แต่นี่แหละ...ผู้ชายไม่ค่อยหยุมหยิมแบบผู้หญิง แค่พูดกันตรงๆ ขอโทษกันง่ายๆ เรื่องที่เคืองกันอยู่ก็หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น

“มึงเมาปะวะ” ผมเป็นคนถาม หลังจากเสียงหัวเราะสงบลง

“เออดิ พี่สุชาติแม่งให้กูยกไม่หยุด มอมกูชัดๆ”

“ห๊ะ มึงว่าอะไรนะ” สิ่งที่ตงฉินพูดก่อนหน้านี้วิ่งเข้าหัว พอเดินออกจากห้องน้ำก็พบว่ามนุษย์แฟนตัวสูงยืนรออยู่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันไม่เคยทำแบบนี้กับผมมาก่อน สีหน้าเรียบเฉยจนน่ากลัว

“กูขอโทษนะที่ดึงตัวแฟนมึงไว้” ไอ้ทอยเป็นคนออกปาก

“ขอโทษทำไมวะ เพื่อนกัน อยากลากมันไปไหนก็ตามสบาย” นั่นไง ไอ้คนปากไม่ตรงกับใจ

“อยากกลับยัง” ผมลองถาม

“เอาดิ” แล้วพวกเราก็บอกลาไอ้ทอยกันตรงหน้าห้องน้ำนั่นเอง


#### ####

[อัคคี]

             เรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะจูบ... หลังกลับจากเชียงใหม่ผมก็ตัดสินใจบอกเลิกกับฉัตรพงษ์ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเสียใจมากแค่ไหนก็ตาม แต่ผมไม่ต้องการให้เขามาเสียเวลากับคนที่ไม่ได้รู้สึกเหมือนเดิมอีกต่อไป ชีวิตเรามันสั้น อะไรที่มันไม่ใช่ก็ไม่ควรฝืน ทั้งหัวใจตัวเองและเวลาของคนอื่น

             หลังจากนั้นฉัตรพงษ์ก็ตามมาง้ออยู่เรื่อยๆ แต่ความรู้สึกผมเปลี่ยนไปแล้ว ถึงแม้จะรู้ว่าระหว่างไอ้หนึ่งมันเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยผมก็รู้ก่อนและได้ทำใจ ทุกอย่างเหมือนง่ายดายแต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยสักนิด ผมร้องไห้และซึมไปเป็นอาทิตย์ก่อนที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองโดยเริ่มจากลองหาอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อนเข้ามารบกวนเวลาที่ต้องฟุ้งซ่าน และช่วงนั้นเองซีรี่ย์เรื่อง วิศวะล่ารัก กำลังเปิดรับสมัครนักแสดงหน้าใหม่สำหรับซีซั่น 2 พอดี

“ไฟ...เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม เรารักนายนะ เราขาดนายไม่ได้” เบื้องหน้าของผมคือฉัตรพงษ์ที่ใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ เพราะความใจอ่อนจึงตกลงรับนัดให้มาเจอกันที่ร้านโมเอะในยามที่ลูกค้าไม่มีเช่นนี้ กาแฟร้อนส่งกรุ่นไอสีขุ่นลอยในอากาศจนกระทั่งความร้อนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นสนิท ไม่มีใครอยากหยิบแก้วของตัวเองมาดื่ม

“เราว่าเราคุยเรื่องนี้กันแล้วนะฉัตร” ผมเป็นคนตรงๆ บางทีมันก็เหมือนจะดูรุนแรงและทำร้ายความรู้สึกของคนอื่น แต่ความไม่ชัดเจนยิ่งเลวร้ายกว่า มันเหมือนเราหยิบยื่นโอกาสที่ริบหรี่และเป็นไปไม่ได้ให้อีกฝ่ายรอคอยอย่างมีความหวัง ซึ่งท้ายที่สุดมันก็ต้องจบลงที่ความจริงว่า คนที่ไม่ใช่ก็คือคนที่ไม่ใช่อยู่ดี

“แต่...” น้ำตาไหลอาบแก้มชวนน่าสงสาร ฉัตรพงษ์ที่เคยเข้มแข็งและร่าเริงไม่เหลือเค้าเดิมในยามนี้ ผมมองภาพเบื้องหน้าด้วยความสงสาร แต่ความสงสารไม่ใช่ปัจจัยให้กลับไปรักได้อย่างเดิมอีกแล้ว

“เราขอโทษนะฉัตร แต่เรากลับไปไม่ได้อีกแล้ว นายไม่ได้ผิดอะไรเลย เราต่างหากที่ไม่ดี เราแค่ไม่ได้รักนายแล้ว และนายไม่ได้ผิดอะไร” ผมย้ำว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดสองรอบเพื่อหวังว่าฉัตรพงษ์จะเข้าใจและไม่คิดโทษตัวเอง ก่อนที่จะใจอ่อนเพราะความเวทนากับร่างสูงที่กำลังสะอื้น ผมลุกออกมานอกร้านอย่างไม่สนใจอดีตคนรักอีกต่อไป

“มึงแม่ง” ฉัตรชัย ฝาแฝดของฉัตรพงษ์จ้องหน้าผมอย่างเดือดดาล ผมคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราคงจบแค่นี้ มันคงจะเป็นการดีถ้าจะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการออกห่างจากกลุ่มของไอ้หนึ่ง เพราะหัวใจผมแอบยกให้มันไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ก่อนที่จะต้องเจ็บอีกครั้ง ผมขอเลือกทางออกนี้เพื่อรักษาหัวใจให้หายดีเสียก่อน

“ฝากดูแลด้วยนะ กูขอโทษจริงๆที่เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้”

ผลัก...

   ฉัตรชัยเดินกระแทกไหล่ผมอย่างแรงก่อนเปิดประตูร้านเข้าไปหาแฝดคนพี่ที่กำลังร้องไห้อย่างหนัก ผมมองภาพนั้นอย่างสะท้อนใจ แต่ต้องทำเป็นใจแข็ง ไม่อย่างนั้นเรื่องราวมันคงคาราคาซังไปอีกนาน...เรื่องมันเกิดที่ผม ก็ให้มันจบที่ผมเช่นกัน


#### ####

             ของแข็งบางอย่างสอดแทรกเข้ามาที่บั้นท้ายจนสะดุ้ง ผมพยายามลืมตาอย่างหนักเพื่อหาสาเหตุแต่ก็เหมือนจะไร้ผล ภาพสุดท้ายที่จำได้คือคุณสุชาติเข้ามาประคองเมื่อเห็นว่าผมเมาหนัก เพื่อนนักแสดงต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอัคคีเมามากแล้ว เจ้าของโมเดลลิ่งจึงอาสาพาผมไปพัก ซึ่งไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน ผมไม่รู้ตัวเลยว่างานเลี้ยงก่อนหน้านี้จบเมื่อไหร่ หลังจากนั้นเราไปไหนกันต่อ ภาพมันเลือนลางจนพร่ามัวไปหมดราวกับมีอะไรกดประสาทจนขยับตัวแทบไม่ได้

“อย่าดิ้นนะครับน้องไฟ ไม่งั้นจะเจ็บตัวได้นะ” เสียงหื่นกามนั้นฟังดูคุ้นเคยไม่น้อย ผมขยับบั้นท้ายอย่างอ่อนแรง พอจะรู้แล้วว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้น ไอ้ที่อยู่ในตัวผมคงเป็นนิ้วของมันเป็นแน่ ผมพยายามร้องขอความช่วยเหลือ แต่ก็เหมือนลำคอตีบตันไร้สรรพเสียงลอดผ่าน “ไม่เอาไม่ร้องนะครับคนดี พี่รับรองว่าพี่จะทำเบาๆ”

“ออกไป ฮือๆ ออกไป” เสียงสั่นเครือมันเหมือนดังมาจากที่ที่ไกลแสนไกลราวกับไม่ใช่เสียงของตัวเอง ความกลัวเกาะกุมจนร่างกายสั่นสะท้าน ความเจ็บตึงที่บั้นท้ายจากแรงเสียดสีเข้าออกเพื่อเปิดทางแคบให้รองรับไอ้สิ่งน่ารังเกียจนั้นทำให้น้ำตาไหลไม่ยอมหยุด ในใจมีแต่ความสิ้นหวังครอบงำจนต้องหลับตาเพื่อหวังว่าจะหลับและไม่รู้สึกอะไรอีกเลย พอตื่นมาตอนเช้า เรื่องทุกอย่างมันก็จะจบลง ... ขอแค่นี้ แค่หลับตาและอดทนกับความปวดปร่าให้ได้ก็พอ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
อ้าว ไหงเป็นงี้. ทำไมหนึ่งไม่เตือนทอยอ่ะ

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.
ตอนที่ 39. บทเรียนที่เจ็บปวด

[ตงฉิน]

             หลังออกจากงานเลี้ยงพวกเราขับรถกลับคอนโดตามปกติ แต่สิ่งที่ผิดปกติในวันนี้คือท่าทางหงอยเหงาของคนที่กำลังขับรถอยู่ รายนี้คงไม่รู้ตัวหรอกว่าถอนหายใจมากกว่าร้อยครั้งแล้วตั้งแต่จับพวงมาลัย ถามคำก็ตอบคำเหมือนไม่ใช่ไอ้หนึ่งคนเดิมที่คอยกวน ใบหน้าเรียบเฉยเหมือนมีอะไรให้คิดทำให้ผมต้องปิดปาก รอให้มันตกผลึกได้ก่อนค่อยคุยยังไม่สาย แต่ท่าทางแบบนี้ชวนหงุดหงิด เพราะผมแคร์มันมากกว่าเดิมด้วยมั้ง ถ้าปล่อยผ่านเลยก็เหมือนเป็นคนใจดำเกินไป หากเป็นแต่ก่อนคงไม่เก็บเอามาคิดให้รกสมองหรอก ผมเป็นใคร นายตงฉิน ดาราดังนะครับ ทำไมจะต้องสนใจท่าทางของคนๆหนึ่งด้วย

“จะถอนหายใจอีกนานมั้ย” ท้ายที่สุดผมก็ทนไม่ไหว

“รำคาญเหรอ ขอโทษทีนะ” เสียงตอบกลับแผ่วเบาเหมือนสติไม่ได้อยู่ตรงนี้ยิ่งชวนให้มีอารมณ์โมโห

“จะถอนหายใจก่อนหรือจะตั้งใจขับรถดีๆเลือกสักอย่าง ถ้าไม่อย่างนั้นก็จอดรถเดี๋ยวขับเอง”

“อื้อ” มันรับคำอย่างง่ายดายก่อนจะตบไฟเลี้ยวหักพวงมาลัยจอดข้างทางแทบจะทันที

“เป็นอะไร” พอรถจอดสนิทความเงียบมันก็ทำงานสวนทางกับเสียงเครื่องยนต์บนถนนใหญ่ แสงไฟวูบวาบแล่นผ่านไปมาชวนแสบตา

“ตง คือ...” ท่าทางของไอ้หนึ่งเหมือนจะลังเล ผมสะกดอารมณ์ขุ่นขึ้งเพื่อลดความกดดันที่อีกคนกำลังเผชิญอยู่

“มึงรู้ใช่มั้ยว่าเราเป็นแฟนกัน” มันพยักหน้ารับ “แล้วรู้ใช่มั้ยว่ามึงคุยกับกูได้ทุกเรื่อง”

“อืม แต่กูไม่แน่ใจว่ามึงจะโอเคไหมน่ะสิถ้ากูบอกมึงตรงๆ”

“ทำไมวะ มึงคิดถึงผู้ชายคนอื่นอยู่รึไง” อันนี้แกล้งแซว

“ก็ทำนองนั้น” แต่คำตอบของมันทำเอาผมอารมณ์ขึ้นอีกรอบ นี่สินะที่เรียกว่าความหึง

“ขะ ใคร” เสียงพูดมันลอยหายไปไหนแล้วไม่รู้ มันฟังดูแหบแห้งเหมือนไม่ใช่คำที่เปล่งออกมา

“ไอ้ทอย”

“หื๊อ” เครื่องหมายคำถามเต็มหน้าผมไปหมดแล้วตอนนี้ ความจุกหน่วงที่หน้าอกมันหมายความว่าอะไรกันแน่นะเนี่ย

“คือ กูไม่ได้คิดถึงมันในแง่นั้น ... แง่นั้นน่ะนะถ้ามึงเข้าใจ” ผมพยักหน้าและรอฟัง “กูคิดกับไอ้ทอยแค่เพื่อน ไม่เคยคิดมากไปกว่านั้น แค่...เอ่อ”

“พูดมาเถอะ กูฟังได้” ผมรู้สึกหนาวไปทั่วทั้งตัว ความหวั่นไหวแปลกๆนี้มันสื่อถึงอะไรกัน

“กูคิดว่าคุณสุชาติอะไรนั่น เล็งจะกินตับไอ้ทอยว่ะ” เนื้อตัวผมเย็นเยือกไปทั่วราวกับถูกแช่ในช่องฟรีซขนาดใหญ่ ความหวาดกลัวเกาะกุมเมื่อคิดถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง อารมณ์ไหวหวั่นเมื่อครู่มันคงสะท้อนออกมาเพราะความทุกข์ที่ถูกเก็บไว้ในส่วนลึกของความทรงจำ ถึงแม้ไอ้หนึ่งไม่พูด แต่ผมก็พอจะมองออกว่าไอ้นั่นคิดอะไรอยู่ เพียงแต่ผมไม่อยากจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนพรรค์นั้นอีก จึงได้ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับท่าทีคุกคามที่เขาแสดงออกทางสีหน้าและแววตาให้กับไอ้ทอย สายตาแพรวพราวและหวังผลนั้นผมเคยเห็นมาก่อน และมันก็จบลงด้วยการที่ผมต้องสูญเสียตัวตนไป

“มึงโอเคมั้ยวะตง”

“กะ กู ไม่รู้” ผมหน้ามืด ลมหายใจขาดห้วง แค่คิดภาพของไอ้สุชาติกำลังนัวเนียเรือนร่างของทอยก็ยิ่งทำให้หายใจติดขัด

“ใจเย็นๆก่อนนะ กูอยู่ตรงนี้แล้ว กูอยู่กับมึงตรงนี้นะ ไม่มีใครทำอะไรมึงได้หรอก กูจะปกป้องมึงเอง” ร่างเล็กโผมาคว้าตัวผมไปกอด แม้ว่าจะหวาดหวั่นเพียงไหน แค่ได้รับไออุ่นจากคนๆนี้ก็ทำให้ใจชื้นขึ้นได้อย่างน่าประหลาด ความรักเป็นเรื่องแปลก บางครั้งก็ไม่มีเหตุผลว่าทำไมต้องรักใครสักคน ผมเคยถามตัวเองว่าทำไมถึงตกลงปลงใจเป็นแฟนกับไอ้หนึ่ง ทั้งที่ไม่มีอะไรเลยที่เป็นภาพน่าจดจำระหว่างเรา ทุกอย่างมันเริ่มจากเซ็กซ์และก็เป็นไปตามนั้นมาตลอด แต่พอรู้สึกตัวอีกที บนเตียงผมก็มีอีกคนนอนอยู่ข้างๆ ตื่นนอนยามเช้าก็เจอใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของมันเป็นสิ่งแรก แม้กระทั่งตอนที่หนาวเหน็บก็มีอ้อมกอดอุ่นๆให้ซุกใบหน้ากับช่วงอก หรือแม้กระทั่งการได้จับมือกันเงียบเชียบในห้องนอนพร้อมกับดูซีรี่ย์ไปเรื่อยๆก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ

“ขอบคุณนะ” ลมหายใจกลับมาเป็นปกติ ผมขยับตัวเพื่อคลายอ้อมกอด “ไปกันเถอะ”

“ไปไหน”

“ไปดูว่าไอ้ทอยยังโอเครึเปล่า” แม้จะกลัวว่าอาจต้องพบกับภาพที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น รวมไปถึงความกลัวว่าตัวเองจะยังไม่เคยก้าวข้ามเรื่องแย่ๆนี้จะกลับมาหลอกหลอนจนนอนไม่หลับอีกครั้ง แต่ผมก็ไม่ต้องการให้ใครต้องตกเป็นเหยื่อได้อีก


#### ####

[หนึ่ง เอกราช]

             ผมเหยียบคันเร่งจนมิดด้วยความร้อนใจ ระยะทางที่รถแล่นบนท้องถนนคล้ายจะไกลขึ้นกว่าเดิมจนน่าโมโหเพราะไม่ทันใจ ตงฉินพยายามกดโทรหาไอ้ทอยแต่ก็เหมือนไม่ได้ผล มือถือของมันน่าจะถูกปิดไว้ไม่ให้ใครรบกวนช่วงเวลา เวลาที่ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกแย่ ความกลัวพลุ่งพล่านจนต้องขยับนิ้วเคาะพวงมาลัยดังกึกๆอย่างร้อนรนตลอดเวลา

“อีกไกลมั้ยวะ”

“อีก 2 ไฟแดง” ตงฉินตอบคำถาม ผมขับตามทางกลับไปยังออฟฟิศของไอ้สุชาติและเลี้ยวเข้าไปยังถนนเพชรบุรี รถรายังคงติดแน่นขนัดถึงแม้เวลาจะล่วงมาดึกมากแล้ว ใจผมฝ่อไปหมดเมื่อคิดว่าเรื่องร้ายๆอาจจะเกิดหรืออาจะเกิดขึ้นไปแล้วกับเพื่อนสนิท มันจะเสียใจขนาดไหนถ้าพบว่าตัวเองถูกล่วงละเมิดทางเพศ ผมจะทำอย่างไรให้มันรู้สึกดีขึ้น ถ้าไอ้ทอยตกเป็นเหยื่อจริงๆ ความผิดส่วนหนึ่งก็มาจากผมที่ไม่กล้าคุยเรื่องนี้กับไอ้ตงตั้งแต่แรก ผมแค่กลัวว่าไอ้ตงจะไม่พอใจที่ให้ความสำคัญกับไอ้ทอย กลัวว่ามันจะคิดว่าผมกุเรื่องนี้ขึ้นมาเองเพราะแค่ระแวงไอ้สุชาติที่เคยทำกับมันมาก่อน

“ซ้ายๆ ถึงแล้ว” ผมหักพวงมาลัยเมื่อถึงหน้าหมู่บ้านจัดสรรหรูหราแห่งหนึ่งย่านคลองตัน รปภ.ให้แลกบัตรเข้าภายในอย่างคุ้นเคยกับระบบรักษาความปลอดภัยที่หนาแน่น

“มึงโอเคใช่มั้ย” ผมเป็นฝ่ายถาม เพราะใบหน้าของอีกคนนั้นดูซีดเซียวจนน่าเป็นห่วง

“กูไหว แค่กลัวว่าไอ้ทอยมัน...”

“เราต้องช่วยมันได้ มันอาจไม่เป็นอะไรหรือไม่งั้นกูก็แค่ระแวงไปเอง ไอ้ทอยมันอาจจะแบตหมดแล้วเผลอหลับที่บ้านก็ได้”

“อื้อ” เสียงตอบรับสั่นเครือ แต่ก็ยังบอกทางได้จนกระทั่งรถยนต์คันหรูจอดสนิทหน้าบ้านหลังหนึ่ง แสงไฟในห้องนอนชั้นสองเปิดทิ้งไว้ทั้งที่เวลาล่วงเลยมาขนาดนี้แล้ว รถยนต์ของเจ้าของโมเดลลิ่งจอดหน้าประตูรั้วบ้านที่เปิดทิ้งเอาไว้คล้ายกับรีบเร่ง พวกเราก้าวลงจากรถอย่างเงียบเชียบและเดินอย่างระแวดระวังไปยังประตูไม้ของตัวบ้าน มันไม่ได้ล็อก แต่ความมืดภายในกลัวชวนหวาดหวั่น

“เราจะถูกจับข้อหาบุกรุกมั้ยวะ”

“อย่าเพิ่งปอดแหกสิ ใจเย็นๆก่อน ทางนี้” ถึงแม้ในตัวบ้านจะมืดมิดแต่ไอ้ตงกลับเอื้อมมาจับข้อมือผมเอาไว้แน่นและพาเดินขึ้นบันไดที่ไร้เสียงฝีเท้า ฝ่ามือของคนเดินนำทางเอาจัด ผมสัมผัสถึงกลิ่นอายแห่งความหวาดกลัวแฝงมาโดยง่าย

“อื้อ อื้อ...” เสียงครางแผ่วหวิวดังมาจากห้องนอนใหญ่ ผมพุ่งตัวเพื่อจะเข้าไปห้ามแต่ถูกใครอีกคนฉุดไว้

“ทำอะไรวะ” น้ำเสียงผมเกือบหลุดจากคำว่ากระซิบ แต่โชคดีที่มือใหญ่ของไอ้ตงมาปิดไว้เสียก่อน

“ชวู่ๆ เบาๆสิ อย่าใจร้อนเดี๋ยวจะเสียเรื่อง” พวกเราต่างยืนหน้าห้องนอนใหญ่ แสงสว่างลอดผ่านพอให้เห็นภาพที่กำลังเกิดขึ้นในนั้น ยิ่งมองก็ยิ่งร้อนรนราวกับมีไฟล่องหนเผาไหม้ความอดทนจนเหือดหาย

“แต่นั่นเพื่อนกูนะ” ผมเกือบจะตะคอกใส่ไอ้ตง

“กูรู้ แต่มึงจะเข้าไปเฉยๆไม่ได้ กูอยากได้หลักฐาน กูคิดมานานแล้วว่าถ้ามีหลักฐานสักนิด ไอ้สุชาติมันต้องถูกจับ แต่ที่ผ่านมาไม่มีใครยอมปริปากเรื่องที่เกิดขึ้นเลยสักคน” น้ำเสียงมันแผ่วเบาก็จริง แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหนักแน่น

“อื้อ มึงคิดจะทำอะไร” ตอนนี้ผมกำหมัดไว้แน่น มองเสี้ยวแผ่นหลังของไอ้สุชาติอย่างเดือดดาล

“เรามีไอ้นี่” มันหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดขึ้นมา “ตีงูต้องตีให้ตาย”

“พร้อมนะ” ผมถามย้ำ ก่อนที่เราจะพยักหน้าให้กันแทนคำตอบ

             พวกเราทั้งคู่ค่อยๆแง้มประตูห้องนอนเพื่อไม่ให้เกิดเสียงรบกวน ภาพที่ปรากฎบนเตียงนั้นชวนสะอิดสะเอียน แต่ต้องสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้เพื่อให้ไอ้ตงจับภาพของผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่กำลังเพลิดเพลินกับเรือนร่างของเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่กำลังนอนนิ่งอย่างไม่สนใจโลกภายนอก เสียงดูดเลียอย่างลามกชวนสะอิดสะเอียน ใบหน้าอวบอูมนั้นโน้มแนบชิดตามตัวขาวเนียนของคนที่หลับสนิท มือใหญ่ล้วงลึกเข้าไปในพื้นที่สงวนกลางสองขาที่แหวกกว้างเป็นรูปตัวเอ็ม ใบหน้าเหยเกของไอ้ทอยส่งเสียงครางราวกับเจ็บปวดเนื่องบั้นท้ายกลมกลึงถูกสิ่งแปลกปลอมแหวกว่ายเข้าออกอย่างน่าสังเวช ไอ้สุชาติที่ตัวเปลือยเปล่าไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญกำลังบันทึกภาพพฤติกรรมสกปรกเอาไว้ ไอ้ตงมันฉลาดพอที่จะบันทึกเป็นคลิปสั้นๆและส่งเข้าไลน์ผมเพื่อป้องกันหากมือถือถูกชิงไป

“หยุด!” พวกเราชะงัก เพราะเสียงนั้นดังมาจากหน้าประตูห้อง ไอ้สุชาติหน้าเหวอหันมาตามเสียงตะโกนพร้อมทั้งขยับตัวลงจากเตียงปล่อยให้ไอ้ทอยนอนราบเปลือยเปล่า พวกเราตัวแข็งทื่อเพราะไม่คิดว่าจะมีใครตามมา ถ้านั่นคือบอดี้การ์ดของไอ้สุชาติ หมายความว่าพวกเราคงไม่รอดไปโดยง่าย

“พะ พวกมึง” เสียงสั่นเปล่งออกมาจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของโมเดลลิ่งชื่อดัง หน้าตาหวาดกลัวปิดไม่มิดเมื่อเห็นเราและ...

“ไอ้เหี้ย!” ร่างสูงที่มาทีหลังพุ่งไปหาร่างอ้วนที่เปลือยกายอยู่ข้างเตียง เสียงหมัดหนักๆกระหน่ำเข้าใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นอย่างไม่ปราณี เลือดสีแดงไหลตามรอยปริแยก บาดแผลจากแรงเหวี่ยงของหมัดผู้ชายวัยรุ่นดูหนักหนาไม่น้อย ไอ้ตงได้สติก่อนรีบเข้าไปหาเสื้อผ้าของไอ้ทอยมาสวมใส่อย่างลวกๆ

“พอก่อน พี่ไนล์หยุดก่อน” ผมที่เพิ่งได้สติจึงวิ่งเข้าไปห้าม ร่างของไอ้สุชาตินอนคุดคู้ตัวงอกับพื้นร้องขอชีวิตอย่างน่าสังเวช แต่การกระทำที่ต่ำช้าของมันกลับทำให้ผมอยากกระทืบซ้ำจนมันตายตรงนี้ อุณหภูมิจากร่างสูงร้อนระอุ เหงื่อไคลไหลหยดลงเป็นทางเพราะออกแรงไปค่อนข้างเยอะ สภาพเจ้าของบ้านสะบักสะบอมตาปูดโปนอาบไปด้วยเลือด

“มึงออกไป อย่าห้ามกู” พี่ไนล์เหมือนสติหลุดไปแล้ว แรงกระชากสะบัดไปมาจนใบหน้าผมถูกแรงเหวี่ยงจากหมัดและแขนล่ำจนเจ็บไม่น้อย โดนแค่หางเลขยังรู้สึกขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยที่สภาพไอ้สุชาตินั้นเหมือนขยะนอนจมกองเลือด

“ใจเย็นๆพี่ ถ้ามันตายพี่จะกลายเป็นฆาตกรนะ มันคุ้มเหรอวะ” ผมตะคอกเพื่อให้อีกฝ่ายฉุกคิด เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

“คุ้มสิ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะไอ้เหี้ยนี่ตัวเดียว เพราะมัน ครอบครัวกูถึงเป็นแบบนี้” พี่ไนล์พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ใบหน้าแข็งกร้าวราวกับไม่ใช่ผู้ชายคนที่มีรอยยิ้มเปื้อนใบหน้าตลอดเวลา แววตาดุดันคล้ายนักล่าบ่งบอกให้รู้ว่าอยากกระชากร่างอีกคนมากเพียงไหน

“แต่ถ้าพี่ทำแบบนี้ คิดเหรอว่าครอบครัวพี่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ถ้ามันตาย พี่จะติดคุกนะ พี่ไม่ห่วงที่บ้านรึไง”

“กู..” พี่ไนล์สงบนิ่งในอ้อมแขนในท้ายที่สุด ใบหน้าขึงขังเปลี่ยนแปลงไปคล้ายคนกำลังสับสน

“พี่ไนล์ แจ้งความด้วย” เมื่อคลายแรงกอดรัดออกให้พี่ไนล์เป็นอิสระ ผมใช้เสื้อเชิ้ตของเจ้าของบ้านมามัดสองแขน ก่อนจะหาอย่างอื่นที่พอจะใช้มัดขาได้มาเพื่อป้องกันการหลบหนี

             รถตำรวจและรถพยาบาลมาถึงที่นี่ในอีกเกือบหนึ่งชั่วโมง มีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบมาสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพวกเราทั้งสามคนคร่าวๆก่อนจะใส่กุญแจมือไอ้สุชาติและพาขึ้นรถตำรวจ ร่างของไอ้ทอยถูกนำส่งโรงพยาบาลทั้งที่ยังไม่ได้สติ ไอ้ตงสันนิษฐานว่าอาจเป็นผลมาจากยานอนหลับที่ผสมลงกับเครื่องดื่ม (ผมก็เชื่อเพราะมันเคยเจอเรื่องนี้มากับตัว) พี่ไนล์เหมือนจะถูกตั้งข้อหาทำร้ายร่างกายและบุกรุก เพียงแต่หลักฐานที่พวกเรามีนั้นพอจะรับประกันได้ว่าไม่ได้มีเจตนา แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็เชิญตัวพวกเราไปให้ปากคำต่อที่โรงพัก แม้จะง่วงกันมากแค่ไหน แต่ผมกลับอยากเล่าเหตุการณ์ที่ได้เห็นให้เจ้าหน้าที่บันทึกไว้เป็นหลักฐาน

“ไหวมั้ย” ผมจับมือเย็นเฉียบ นิ้วของพวกเราสอดประสานกันไว้แนบแน่น ใบหน้าหล่อที่ดูอ่อนเพลียยิ้มกลับมา

“สบายมาก”

“ไม่ต้องกลัวนะ กูอยู่นี่แล้ว”

“กูรู้” มันตอบสั้นๆก่อนจะเดินไปยังรถยนต์ที่จอดหน้าประตูบ้าน ไทยมุงร่วมสิบชีวิตมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้อออยู่ด้านนอกรั้ว ไอ้ตงหันขวับ พี่ไนล์ที่เดินตามมาก็ยื่นผ้าขนหนูที่แอบหยิบมาด้วยเพื่อให้ผมปิดใบหน้าของตงฉินเอาไว้ก่อน เช่นเดียวกับพี่ไนล์ที่ทำแบบเดียวกัน โชคดีที่มีตำรวจคอยแหวกทางให้จึงไม่มีใครสามารถเข้ามาถึงตัวพวกเราทั้งสามคนได้

“มึงโอเคแน่นะ” ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ คนถูกถามหันมายิ้มบางให้อย่างไม่มีความหงุดหงิดที่ถูกถามเรื่องเดิมซ้ำๆ หากเป็นแต่ก่อนผมคงถูกด่าเปิงไปแล้ว ตงฉินเวอร์ชั่นนี้มีแต่ความอ่อนโยนที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เห็น

“จริงๆก็ไม่ กูไม่โอเค” แล้วร่างสูงที่นั่งเบาะข้างๆก็โน้มมาซบไหล่ผมอย่างไม่ให้สัญญาณ กลิ่นน้ำยากแต่งผมยังฉุนลอยเข้าจมูก แต่ผมก็ยินดีที่จะกดใบหน้าซึมซับบรรยากาศอ่อนไหวเช่นนี้เอาไว้เป็นความทรงจำ “กูเกลียดตัวเองที่ตอนนั้น...”

“คนที่ควรเกลียดคือไอ้นั่นต่างหาก มึงไม่ได้ทำอะไรผิดเลยเว้ย มึงแค่โชคร้ายที่ไม่มีกูอยู่ข้างๆตอนที่มึงถูกทำร้าย แต่ตอนนี้มึงมีกูแล้วนะ ไอ้เตี้ยคนนี้แหละที่จะปกป้องมึงเอง กูสัญญาว่าจะไม่ยอมให้ใครหรืออะไรมาทำร้ายมึงอีก”

“หนึ่ง” เสียงสั่นเครือแผ่วเบาพร้อมกับใบหน้าที่ซุกกับต้นแขนซ้ายของผม ร่างสูงสั่นสะอื้นราวกับพยายามสะกดกลั้นอารมณ์

“กูอยู่นี่แล้วไง กูอยู่นี่แล้ว” ผมใช้มือข้างที่ว่างลูบเส้นผมของมันแผ่วเบา ภายนอกรถนั้นค่อยๆสงบลงหลังจากที่รถพยาบาลเคลื่อนที่ออกไป พี่ไนล์ก็ขับรถไปสถานีตำรวจก่อนหน้านี้แล้ว ในหัวผมมีแต่คำถามว่าพี่ไนล์รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร แล้วทำไมถึงตามมาถึงที่นี่ได้โดยที่เราไม่รู้ตัว คนที่ท่าทางเป็นมิตรอย่างพี่ไนล์นั้นดูดุดันราวกับไม่ใช่คนเดิมที่ได้พบเจอทุกวัน

“จะกลับบ้านเลยมั้ย” ผมเป็นฝ่ายถามเมื่ออีกอาการสะอื้นของอีกคนหายไป

“ยัง ไปให้ปากคำก่อน” แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ผมก็ไม่ทัดทานอะไรออกไป ช่วงเวลานี้ไอ้ตงคงยังสับสน การตัดสินใจจึงไม่แน่วแน่เช่นเคย ผมที่อยู่ข้างๆทำได้เพียงสนับสนุนอยู่ใกล้ๆ และหวังว่าปมในใจอันนี้จะเลือนหายไปจากใจมันในเร็ววัน

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
คนในครอบครัวพี่ไนล์ก็โดนไอ้นี่ทำร้ายด้วยหรือเปล่า.  :monkeysad:

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.
ตอนที่ 40. คนอื่นมองก็ต้องจิ้น

             เรื่องอื้อฉาวของคุณสุชาติถูกเปิดโปงจากสื่อต่างๆจนเกิดเป็นกระแสโด่งดังและส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ทุกสำนักข่าวต่างรายงานเรื่องนี้อยู่เกือบเดือน มีสกู๊ปพิเศษแฉวงการนี้ออกมาอย่างเผ็ดร้อน ตำรวจจึงต้องทำสำนวนคดีอย่างละเอียดถี่ถ้วนโดยที่มีผมและไอ้ตงเป็นพยานที่ไม่เปิดเผยตัว ยกเว้นพี่ไนล์ยินดีที่จะออกหน้าในเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียวแถมโกรธจัดที่ได้รู้เรื่องที่ไอ้ตงเคยพบเจอ จึงได้เล่าเรื่องราวอันน่าเศร้าที่เกิดกับพี่ชายแท้ๆของแกให้พวกเราฟังว่าโดนไอ้สุชาติล่วงละเมิดตอนที่เพิ่งเข้าวงการบันเทิงเมื่อหลายปีก่อน หากแต่พี่ชายของแกนั้นรับไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นจึงคิดสั้นฆ่าตัวตาย ตั้งแต่นั้นมาครอบครัวของพี่ไนล์ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ตอนเกิดเรื่องนั้นพี่ไนล์ยังเด็ก จึงไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่พอเริ่มโตขึ้นก็รับรู้เรื่องราวที่พี่ชายต้องเผชิญจึงปฏิญาณกับตัวเองว่าจะต้องจัดการไอ้คนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ให้ได้

“กูตามสืบเรื่องนี้มานานแล้ว คืนนั้นกูก็ขับรถตามมาแต่น้ำมันหมดเลยต้องแวะเติมเลยคลาดกัน กูต้องขับวนหาหลายรอบจนเกือบจะถอดใจละ แต่พอดีเห็นรถตงฉินลิบๆเลยรีบเหยียบคันเร่งตาม ถ้าไม่ติดไฟแดงนะ กูคงไปถึงพอๆกับมึง”

“นี่ใช่พี่ไนล์ตัวจริงมั้ยวะครับ ขึ้นมึงกูกับน้องหนึ่งซะแล้ว” ผมแซวเชิงประชดเมื่อธาตุแท้ที่ไม่ใช่พี่ชายวัยใส แต่เป็นไอ้ไนล์ขาโหดที่ซ้อมคนปางตาย ไอ้สุชาติกระดูกหักหลายจุด จมูกเบี้ยว ซี่โครงร้าวเพราะแรงเตะอัด ยังดีที่สมองไม่เป็นอะไรเพราะตอนที่ล้มกับพื้นนั้นมีแขนข้างที่หักรองไว้ กว่าจะกลับมาหายขาดได้คงใช้เวลาอีกหลายเดือน

             นับว่าเป็นโชคดีของไอ้ตงที่ไม่มีสื่อคนไหนไปกับตำรวจในคืนเกิดเหตุ แถมไทยมุงก็ไม่ได้สนใจถ่ายรูปพวกเราทั้งสามคนเอาไว้เนื่องจากพุ่งความสนใจกับคนที่ถูกควบคุมตัวในกุญแจมือ ในเมื่อตงฉินเต็มใจที่จะให้เครดิตทั้งหมดกับพี่ไนล์ ผมก็ไม่ติดขัดอะไรตรงนั้น เพียงแต่ผมจะต้องให้การเป็นพยานกับทางเจ้าหน้าที่หากมีการไต่สวนในอนาคต ไอ้ตงค่อนข้างอึดอัดที่จะเป็นพยานเพื่อให้การกล่าวหาไอ้สุชาติทั้งที่เคยออกตัวว่าจะให้ปากคำอย่างเต็มที่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็คิดได้ว่าเรื่องนี้มันกระทบหลายฝ่าย ชื่อเสียงของตัวเองยังไม่เท่าไหร่ แต่ชื่อเสียงของที่บ้านนั้นไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยง เลยตัดสินใจว่าจะไม่ไปให้ปากคำอีก แต่เมื่อถูกผมกล่อมก็ยอมตกลงแต่โดยดีด้วยคำว่า...พยานนิรนาม (ซึ่งผมก็ไม่มั่นใจว่าเรื่องนี้จะปิดได้จริงหรือเปล่า)

“เป็นช่วงปิดเทอมที่โคตรยุ่งเลยเนาะ” ผมแซวแฟนหนุ่มที่วิ่งหัวหมุนมาถ่ายซีรี่ย์เรื่องใหม่ หลังจากวิศวะล่ารักถูกระงับการถ่ายทำเนื่องจากกรณีอื้อฉาว รวมไปถึงนายเอกอย่างพี่ไนล์นั้นถูกเชิญไปออกรายการต่างๆและไม่อยากถ่ายทำต่ออีกแล้ว ทางผู้จัดเลยต้องพับโครงการไว้ก่อน ชื่อเสียงของโมเดลลิ่งดิ่งลงเหวจนต้องปิดบริษัทไปเสียดื้อๆ

“เหนื่อยสิ ใครแม่งรับงานให้กูวะ” มันทำท่าจะด่า แต่ผมก็กระแอมใส่เสียก่อน

“ทีมงานวอมาแล้ว พระเอกเข้าฉาก” มันทำหน้าย่นและชูนิ้วกลางมาให้ก่อนออกไปเข้าฉากต่อไป ผมยิ้มแฉ่งกลับไปให้

“กวน ตีน” มันขยับปากด่าแบบไร้เสียงออกมา ยิ่งทำให้ผมต้องหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่

             ตงฉินรับงานแสดงอีกครั้ง กับซีรี่ย์ของช่องโทรทัศน์ชื่อดังในบทพระเอกอย่างเต็มตัว ถึงแม้เจ้าตัวจะบอกว่าอยากออกจากวงการนี้แล้วก็ตาม แต่ทางผู้ใหญ่ให้โอกาสอันดี มันจึงรับงานนี้เพราะเกรงใจ ผมมองแผ่นหลังของแฟนหนุ่มอย่างบอกไม่ถูก ที่ผ่านมาไอ้ตงจะเจ็บปวดมากแค่ไหนกันนะ แล้วไอ้ทอยล่ะ ... มันจะก้าวข้ามเรื่องนี้ได้ในเร็ววันนี้ไหม?


#### ####

หนึ่งเดือนต่อมา ...

             บรรยากาศจอแจที่โรงอาหารของคณะบริหารธุรกิจยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ที่ต่างออกไปก็คือตอนนี้พวกเราเป็นรุ่นพี่ปี 2 แล้ว กิจกรรมรับน้องใหม่เวียนกลับมาอีกครั้ง ไอ้คิ้วถูกเลือกให้เป็นประธานรุ่นของชั้นปี โดยมีวาวา(แฟนฉัตรชัย)เป็นประธานร้องเพลงเชียร์ ขวัญใจกับไอ้โทอาสาช่วยเรื่องดูแลทีมเชียร์หลีดเดอร์ ส่วนไอ้ตงนั้น รุ่นพี่ให้อยู่เฉยๆเป็นมาสค็อตของคณะเพื่อดึงให้รุ่นน้องเข้าร่วมกิจกรรมที่จัดให้มากที่สุด หน้าที่ของมันก็คือ ยืนทำหน้าหล่อๆอยู่หลังโต๊ะลงทะเบียนให้สาวๆกรี๊ด หรือไม่ก็ยืนเป็นนายแบบหลอกล่อให้น้องๆเข้าไปซ้อมร้องเพลงเชียร์ในห้องเรียนก่อนจะถูกพี่ว๊ากเข้าไปก่อกวน

             ส่วนเอกราชนั้นไม่ขอทำกิจกรรมอะไรเนื่องจากยังมีรุ่นพี่บางคนที่ยังไม่พอใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ผมได้แต่มองบนและปล่อยให้มันผ่านไปอย่างไม่แยแส ถ้าเขาอยากจะเก็บเรื่องไม่เป็นเรื่องให้รกสมองก็ปล่อยไปเถอะ กิจกรรมรับน้องที่เพื่อนๆต่างวิ่งวุ่นเพื่อให้งานมันออกมาดีที่สุดจะขาดผมไปสักคนงานมันคงไม่ล่มหรอก ... ใช่ซะที่ไหน

“ไอ้เตี้ย กูบอกให้เตรียมน้ำแข็งใส่ตู้แช่ไว้ แล้วมันอยู่ไหน น้องๆจะเป็นลมกันหมดแล้ว” เสียงประธานรุ่นดังโหวกเหวกมาแต่ไกล ทั้งๆที่ผมคิดว่าตัวเองจะสบายไม่ต้องเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของคณะแล้วก็ตาม แต่ถูกไอ้คิ้วตามจิกให้มาช่วยทำเรื่องงานสันทนาการ จัดหาของว่าง ขนม อาหารเลี้ยงรุ่นน้อง เครื่องดื่มและน้ำแข็งพร้อมอุปกรณ์แช่เย็นที่ต้องบากหน้าไปขอยืมกองกิจการนักศึกษาของคณะมาใช้ตลอดช่วงเวลานี้ ไหนจะต้องดูแลมนุษย์แฟนที่ระยะหลังมานี้ขี้อ้อนเป็นพิเศษอีกด้วย

“กำลังมาโว้ย มึงใจเย็นดิวะ สั่งเมื่อกี้จะเอาเดี๋ยวนี้ กูจะเสกมาได้ไง”

“ไม่รู้แหละ กูให้มึงช่วยดูแลเรื่องนี้ หน้าที่ของมึงคือทุกอย่างต้องพร้อม” โอ้...คุณพระ นี่ใช่ไอ้คิ้วเพื่อนผมจริงๆปะเนี่ย

“สัส” ผมชูนิ้วกลางให้ก่อนวิ่งลงไปชั้นล่างเพื่อช่วยยกถุงน้ำแข็งที่มาส่ง สวนกับรุ่นพี่ปีแก่เก๊กมาดขรึมเป็นพี่ว๊ากเดินเป็นกลุ่มไปที่ห้องประชุมเชียร์ กลิ่นตัวแต่ละคนนั้นเหม็นจนไส้สั่น ทำไมต้องหมักหมมความสกปรกขนาดนี้กันด้วยวะเนี่ย

             จบจากซ้อมเชียร์ก็ยังไม่จบจริงๆเพราะขวัญใจดึงตัวตงฉินไปช่วยดูรุ่นน้องซ้อมหลีด ผมก็เลยต้องตามต้อยๆมาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกพี่เปรี้ยวแทบจะไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำเพราะวีระกรรมที่ก่อไว้ แต่ผมไม่แคร์มาที่นี่เพื่อดูแฟนล้วนๆ

“ดื่มน้ำหน่อย” ผมยื่นน้ำดื่มเย็นเจี๊ยบให้ตงฉิน ร่างสูงในชุดเชียร์ดูดีจนน่าตะลึง (เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีชมพูอ่อนปักสัญลักษณ์พี่เชียร์กับกางเกงยีนส์เข้ารูป) ทั้งที่พี่เชียร์คนอื่นๆก็แต่งตัวคล้ายๆกัน แต่ไม่มีใครที่หล่อออร่ากระจัดกระจายเทียบเท่ากับแฟนผมได้

“อื้อ ขอบใจ” ใบหน้าเรียบเฉยหันมายิ้มให้ก่อนหยิบขวดน้ำไปกลอกเข้าปาก รุ่นน้องผู้หญิงที่จับตามองต่างมีท่าทีแปลกๆและรวมกลุ่มกันกระซิบกระซาบเป็นระยะ

“เหนื่อยมั้ยวันนี้”

“ไม่ค่อยนะ หิวยัง” ตงฉินตอบและถามกลับ จากที่ตอนแรกไม่ชินกับท่าทีห่วงใยของมันก็กลายเป็นคุ้นเคยเสียอย่างนั้น ตงฉินปรับตัวเป็นแฟนที่ดีอย่างคาดไม่ถึง จากที่ไม่เคยถามว่าผมจะหิวไหม อยากกินอะไรหรือเปล่าเมื่อก่อนก็หายไปจากคนๆนี้

“นิดนึง มึงล่ะ กูเก็บข้าวกล่องให้แล้วจะกินเลยมั้ย”

“อืม กินก็ได้ รองท้อง” ผมพยักหน้าและเดินนำออกมาที่ม้านั่งหินอ่อนที่ตั้งเรียงรายอยู่มุมหนึ่งของใต้ถุนคณะ ยังพอมีที่ว่างเหลือให้เราไปนั่ง โต๊ะส่วนใหญ่นั้นถูกข้าวของของทีมหลีดวางไว้หมด อีก 3-4 ตัวที่ตั้งไม่ห่างกันก็เป็นพวกรุ่นพี่ปีแก่และรุ่นน้องที่มาดูคนหน้าตาดีซ้อมสะบัดมือกันคับคั่ง อีกหลายสิบชีวิตที่ไม่มีโต๊ะนั่งก็ยืนออหรือไม่ก็นั่งลงกับพื้น ดังนั้นจึงมีสายตานับร้อยจับจ้องมาทางเราอย่างมีเลศนัย ตงฉินนั่งลงฝั่งตรงข้ามของโต๊ะม้าหินอ่อน ผมแกะห่อข้าวยื่นให้และรับรอยยิ้มที่ส่งกลับมาอย่างเต็มใจ

“กูว่าพวกรุ่นน้องน่ะจิ้นเรื่องของเราไปไกลแล้วนะ” พูดจบก็ลอบมองใบหน้าหล่อที่นิ่งเรียบ

“อื้ม” คนตรงข้ามตอบกลับมาอย่างไม่แยแส

“มึงไม่กลัวตกเป็นข่าวเหรอวะ” ผมเสียอีกที่คอยระแวดระวังแทน

“ข่าวอะไรวะ” สายตาเฉี่ยวตวัดมามองชั่วขณะและก้มไปสนใจกับข้าวกล่องต่อ ... เป็นห่วงเก้อสินะไอ้หนึ่ง

“ก็ข่าวดาราดัง ตัวย่อ ต. แอบแซ่ปกับเพื่อนนักศึกษาชายหน้าตาดี” ผมพูดและยิ้มไปด้วย

“เพ้อเจ้อ” มันตอบเหมือนด่า “อย่างมึงต้องบอกว่าเตี้ย ไม่ใช่หน้าตาดี”

“อ้าว ไหงกูโดนด่า กูเป็นห่วงนะเลยถาม” หุบรอยยิ้มแทบไม่ทัน

“ห่วงตัวเองเถอะ ถ้าเทอมนี้เกรดไม่ดีอีก มึงเตรียมโดนแม่บ่นหูชาได้เลย” แม่ผมสนิทกับไอ้ตงพอสมควรเพราะมันเป็นดารา แต่ที่มากไปกว่านั้นคือมันมักจะหาข้ออ้างไปนอนค้างที่บ้านผมช่วงวันหยุดเสมอ กลายเป็นลูกคนโปรดไปเสียอย่างนั้น ผมและน้องๆกลายเป็นหมาหัวเน่าอย่างสมบูรณ์แบบ แถมสองแม่ลูกยังคุยกันเข้าขา คนที่โดนหนักคือผมที่โดนด่ายับ

“โอยยยย เพิ่งต้นเทอมเอง เดี๋ยวก่อนสอบกูให้ขวัญใจช่วยติวให้ สบายมาก”

“หึ” มันแค่นยิ้มก่อนจะตักอาหารเข้าปากอย่างหิวโหย เม็ดข้าวติดมุมปากราวกับเด็กน้อย

“ยื่นหน้ามา” ตงฉินทำตามอย่างว่าง่าย ผมยื่นมือไปหยิบเม็ดข้าวนั้นออกมาท่ามกลางสายตาของทุกคน เสียงฮือฮาดังกระหึ่มเมื่อไอ้ตงเลื่อนใบหน้ากลับไปที่เดิม

“กรี๊ดดดดดดดด มึงๆๆๆ เค้าเช็ดปากให้กันด้วย”

“แฟนแหละ กูว่าแฟน”

“โอย ฟินมากจ้า เรือหนูแล่นแล้วพี่จ๋า”

“บ้า เค้าสนิทกัน”  และอื่นๆ ฯลฯ

“ยังไงก็ก็ทำใจเชื่อไม่ลงหรอกว่าแค่เพื่อน นั่นแฟนกันชัดๆ” เสียงซุบซิบดังไปทั่ว ผมหน้าเหวอเพราะกลัวไอ้ตงจะไม่พอใจ แต่สีหน้าเมินเฉยของอีกคนก็ทำให้หายใจคล่องมาบ้าง

“มึงไม่โกรธเหรอวะที่เค้าพูดๆกันน่ะ”

“โกรธทำไม เรื่องจริงนี่หว่า” มันตอบหน้าตาย แถมท้ายด้วยรอยยิ้มมุมปาก ใจผมกระตุกฮวบจนหน้าแดงร้อนไปหมด

“มึงนี่แม่ง” เออ... ผมพ่ายแพ้กับรอยยิ้มคูลๆของมันเสียแล้ว


#### ####

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-04-2021 14:19:24 โดย จากต้นจนอวสาน »

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
             สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในกิจกรรมรับน้องนั่นคือการเลือกดาวเดือนเพื่อเป็นตัวแทนคณะเข้าประกวดในงานเฟรชชี่ไนท์ ปีนี้ไม่มีคนที่โดดเด่นออร่ากระจายเหมือนตงฉินปีที่แล้ว แต่ด้วยจำนวนเด็กปีหนึ่งที่มีมากกว่าสี่ร้อย ทำให้คณะเรามีตัวเลือกที่เหลือเฟือในการส่งเข้าชิงตำแหน่งอีกครั้ง ด้วยความที่มีดีกรีเป็นแชมป์เก่าเดือนมหา’ลัย รุ่นพี่ปีสองอย่างพวกผมเลยถูกกดดันจากปีแก่ให้เฟ้นหาคนที่มีศักยภาพในการป้องกันศักดิ์ศรีแชมป์ให้ได้อีกปี การคัดเลือกจึงดุเดือดกว่าเดิมหลายเท่าตัว

“น้องเอื้อง 109 ก็หล่อนะมึง” ห้องเรียนของคณะถูกใช้เป็นที่ประชุมของพี่ปีสอง มีทีมเชียร์มากันครบ แถมยังมีเพื่อนร่วมรุ่นที่ชื่นชอบในการทำกิจกรรมอีกหลายสิบคนมานั่งฟังด้วย ภายในห้องจึงดูแคบไปถนัดตา ส่วนที่เหลือก็คอยดูแลน้องปีหนึ่งอยู่ลานใต้ถุนของคณะ พวกพี่เชียร์กำลังประชุมลับเพื่อเลือกตัวแทนฝ่ายชายโดยเฉพาะ โดยฝ่ายดาวคณะจบไปตั้งแต่ห้านาทีแรก

“หล่อจริง แต่เตี้ยไปหน่อยว่ะ อยากให้สูงกว่านี้สัก 10 เซ็น” เพื่อนร่วมชั้นปีแสดงความเห็น ผมได้แต่มองรูปรุ่นน้องที่ชื่อเอื้องบนสไลด์ที่ฉายบนกระดานในห้องเรียน ไม่เคยคิดเลยว่าเพื่อนๆจะจริงจังกับเรื่องพรรค์นี้ แต่กลับเรื่องการเรียนไม่เห็นจะซีเรียส

“คนนี้ก็ได้นะ น้องนัท 099 ดีกรีนายแบบ สูง ตี๋ หล่อ” หืม ... โคตรดี สเป๊กสุดๆ

“ก็โอเคนะ แต่น้องเขม 222 ก็โอเคมากนะมึง นิ่ง เงียบ น่าค้นหา” ผมมองรูปรุ่นน้องอย่างผ่านๆและอ้าปากหาวจนไอ้ตงที่นั่งติดกันต้องดึงแขนเสื้อ

“ปิดปากด้วยสิ แมงวันเข้าปากแล้ว” มันบ่น ผมยิ้มแหยๆให้ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องมาเฝ้าแฟน ไอ้เอกราชคนนี้คงไม่มานั่งหงอยหูลู่ไหล่ตกแบบนี้ ตงฉินเป็นหนึ่งในกรรมการคัดเลือกตัวแทนคณะเพราะเป็นคนชนะปีที่แล้ว

“ก็กูง่วงนี่หว่า ให้กูกลับก่อนได้ปะ”

“กลับไปเลย แล้วก็นอนห้องเล็กนะคืนนี้” อ้าว...กรรม ตั้งแต่คบกันมา ห้องนอนเล็กที่คอนโดกลายเป็นห้องร้างไปแล้ว เสื้อผ้าของผมถูกย้ายมารวมกับเจ้าของห้องอย่างมีอภิสิทธิ์ ถ้าตงฉินตอบแบบนี้ก็หมายความว่า ไม่ให้กลับก่อน ผมเลยเกยคางไว้กับโต๊ะเรียนตัวจิ๋วอย่างเบื่อหน่าย

“เอาล่ะ งั้นตกลงตามนี้นะ” วาวาเป็นแม่งานเนื่องจากตำแหน่งประธานนำร้องเพลงเชียร์ ถ้าไม่ได้มาในห้องนี้ผมคงเข้าใจต่อไปว่าผลการคัดเลือกดาวเดือนมาจากการลงคะแนนของรุ่นน้องล้วนๆ พอได้มาเห็นอะไรแบบนี้ก็เบิกเนตรในทันทีเพราะพวกรุ่นพี่ต่างมีธงในใจว่าจะให้ใครเข้าชิงบ้าง ถึงแม้จะให้รุ่นน้องเป็นคนเสนอชื่อก็ตาม แต่ก็มีพี่แฝง(รุ่นพี่ปีสองปลอมเป็นปีหนึ่ง)คอยยุหรือไม่ก็เป็นคนเสนอคนที่รุ่นพี่เลือกไว้แล้วแต่รุ่นน้องไม่ได้เลือกมารวมอยู่ด้วย ... โปร่งใสสุดๆ

             และแล้วผลการคัดเลือกก็เป็นไปตามคาด ดาวคณะปีนี้ชื่อน้องเอวา ลูกครึ่งไทย - ฝรั่งเศส ที่หน้าตาค่อนมาทางเอเชียมากกว่า ฝั่งเดือนคณะเชือดเฉือนกันระหว่างสองหนุ่ม น้องนัทและน้องเขม รุ่นพี่ปีสองนั้นเลือกไม่ถูกว่าจะให้ใครได้ตำแหน่งเพราะต่างก็หล่อคนละแบบ รุ่นน้องปี 1 จึงมีโอกาสได้โหวตกันอีกครั้ง

“เอาล่ะค่ะ ผลการคัดโหวตเดือนคณะบริหารออกมาแล้วนะคะ อยากรู้กันมั้ย” วาวายืนถือไมโครโฟนไร้สายอยู่ด้านหน้าของลานใต้ถุนคณะโดยมีรุ่นน้องนั่งเรียงกันจนเต็มพื้นที่ ปีนี้มีเด็กๆผ่านการคัดเลือกมาเรียนเยอะขึ้นส่วหนึ่งก็มาจากชื่อเสียงของตงฉิน ซึ่งตอนนี้กำลังยืนเก๊กหน้าหล่อยืนข้างวาวาพร้อมถือสายสะพายที่รุ่นพี่ลงขันกันทำขึ้นมาเป็นครั้งแรก

“อยากกกกกกกกกกกกกก” เสียงเซ็งแซ่ตอบมาพร้อมๆกัน ผมกวาดสายตามองน้องๆ บ้างก็มองไปที่เพื่อนที่กำลังยืนประหม่าอยู่ด้านหน้าแถว บ้างก็ก้มหน้ามองพื้นด้วยความเบื่อหน่าย และส่วนที่เหลือมองตงฉินตาเป็นมัน

“เดือนคณะของเราได้แก่ น้องเขม 222 ค่าๆๆๆๆๆ” สิ้นเสียงประกาศ เด็กปีหนึ่งก็ปรบมือเฮกันลั่น ผมอ่านป้ายชื่อและรหัสของเดือนคณะคนล่าสุดก็ไม่แปลกใจเลย เพราะเป็นสายรหัสของตงฉินโดยตรง แต่พวกเรายังไม่ได้เปิดสาย น้องๆจึงไม่รู้เรื่องนี้ รหัส 222 ได้ตำแหน่งเดือนคณะสองปีซ้อนแบบนี้ ต้องเรียกว่าเป็นสายรหัสเทวดาได้แล้วมั้ง … ตงฉินเดินมายืนข้างกับน้องเขมด้วยรอยยิ้มการค้าจนผมต้องแอบหัวเราะ สองคนนี้มีความสูงไล่เลี่ยกัน แต่ความหล่อนั้นกินกันไม่ลง คนหนึ่งหล่อแบบตี๋ล่ำ อีกคนหล่อแบบคมเข้มหน้าไทย เมื่อสวมสายสะพายแล้วก็มีการถ่ายรูปคู่ สองคนนั้นยืนชิดจนแขนแนบสนิท ผมจ้องเขม็งกำหมัดแน่น

“หึงเหรอมึง” ไอ้โทพี่ชายตัวดีกระซิบ

“หึงพ่อง” ผมตอบห้วนๆ ปากบอกว่าไม่ แต่พอเห็นรอยยิ้มหวานๆของไอ้น้องเขมแล้วก็รู้สึกไม่ถูกชะตาเอาดื้อๆ

“ขนาดไม่ถึงหน้ามึงยังตึงขนาดนี้เลยนะ” มันจงใจยุแยงต่อ

“พูดมาก” ผมด่า แต่ดูเหมือนคนโดนด่าจะไม่สนใจ

“โหย แม่ง เคมีโคตรดีอะ คนนึงตี๋ๆคนหนึ่งเข้มๆ” ไอ้โทยังคงราดน้ำมันต่อไป

“เข้ากันพ่องสิไอ้ชัย เดี๋ยวต่อยปากแตก” ผมทำตาขวางใส่เพื่อน พวกนั้นทำหน้ากลั้นขำเพื่อยั่วโมโห และมันก็ได้ผลเพราะตอนนี้สายตาผมจับจ้องไปที่สองหนุ่มหล่อด้านหน้าอย่างขัดใจ ตงฉินหันมาสบตาแล้วระบายยิ้มน้อยๆมาให้ เพียงแค่นี้ก็ทำให้ผมใจเย็นลงและยิ้มกว้างอย่างพ่ายแพ้

“มึ๊งงงงงงง เห็นมั้ย เค้ายิ้มให้กันด้วย” รุ่นน้องที่เห็นเหตุการณ์พากันกระซิบ แต่เสียงก็ไม่ได้เบานะครับ

“งื้อออออออออ กูว่าจริงแหละ พี่ตงก็โคตรหล่อ พี่หนึ่งก็โคตรน่ารัก” แหม่... ว่าจะไม่สนใจแล้วนะ พอได้ยินแบบนี้ก็หุบยิ้มไม่ได้เลย ใครที่บอกว่าไอ้หนึ่งไม่หล่อ เปลี่ยนความคิดได้แล้วนะ ตอนนี้หล่อแล้ว(หล่อด้วยตัวเอง)

“ไอ้หนึ่ง กลับมาๆ อย่าเพิ่งลอยไอ้สัส” พี่ชายตัวดีตบหน้าเปาะแปะจนเจ็บทำให้ผมรู้สึกตัวว่าแอบเหม่อเพราะมีคนชม

“มึงจะตบกูทำไมไอ้สัส เรียกดีๆก็ได้” ผมตบกบาลมันหนึ่งทีเป็นการเอาคืน

“กูสะกิดเรียกจนปากแฉะ มึงก็เหม่อส่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างกับคนบ้า” มึงมันขี้เหร่ ไม่เข้าใจหัวอกคนหน้าตาดีแบบกูหรอก....

“กลับยัง หิวแล้ว” เพราะมัวแต่ต่อปากต่อคำกับเพื่อนๆทำให้ไม่ทันสังเกตว่าตงฉินย้ายร่างมาท้ายแถวและบอกความต้องการ

“อะ อื้อ ไปดิ เสร็จแล้วเหรอวะ”

“เสร็จแล้ว เค้าบอกจะมีเลี้ยงดาวเดือนกันต่อ แต่กูบอกไปว่าพรุ่งนี้มีงานเช้าเลยไม่ไป”

“แต่พรุ่งนี้มึงว่า...” มันรีบเอามืออุดปากและส่งสายตาดุๆมาให้

“กรี๊ดดดดดดดดด มึง กูจิ้นมาก เค้าจะจุ๊บกันๆๆๆๆ” ภาพที่ปรากฎสู่สายตาน้องๆเป็นแบบนี้สินะ ผมได้แต่เกาหัวแกรกๆตอบโต้อะไรไม่ได้เพราะโดนปิดปากอยู่ ส่วนอีกคนที่ยืนบังตัวผมจนมิดก็ไม่มีทีท่าจะหงุดหงิดแต่อย่างใด

“ไปเอารถมา กูหิว” พอปล่อยมือก็ยื่นกุญแจรถมาให้ ทั้งที่ปกติจะต้องเดินไปที่รถด้วยกันแท้ๆ แต่วันนี้มาแปลก

“เออ รออยู่นี่นะ เดี๋ยวมา” ผมผละออกมาจากกลุ่มเพื่อนที่เป็นเหมือนอากาศธาตุทันทีที่ตงฉินเดินมาหา สายตาแต่ละคนกำลังแซวอย่างหนัก ผมได้แต่ชี้หน้ารายบุคคลเพื่อคาดโทษและรีบวิ่งไปลานจอดรถ ถึงแม้จะถูกใช้เหมือนเบ๊ แต่ผมกลับยิ้มกริ่มเนื่องจากพรุ่งนี้ไอ้ตงไม่มีคิวงานทั้งวัน การที่มันบอกปัดงานเลี้ยงคืนนี้ก็หมายความได้ว่า มันอยากอยู่ด้วยกันคืนนี้ ... แบบนี้แล้วจะให้คิดมากทำไมล่ะว่ามันจิกหัวใช้งาน ... ในหัวตอนนี้คิดเรื่องดีๆไม่ได้แล้ว

             สายตาของรุ่นน้องที่มายืนออส่งตงฉินขึ้นรถเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น รุ่นพี่คงปล่อยให้พักทานของว่างก่อนจะเข้าไปห้องเชียร์เลยทำให้พวกหนุ่มวายสาววายมาจับจ้องร่างสูงของแฟนสุดหล่อตอนก้าวมาที่รถ มันยืนนิ่งอยู่หลายวินาทีโดยไม่มีทีท่าจะเปิดประตูเข้ามานั่ง ผมจึงต้องเดินออกไปเปิดประตูให้ ก่อนที่พ่อตัวดีจะหันมามองแล้วยิ้มแบบที่ไม่ใช่ยิ้มการค้าจนผมใจสั่นก่อนเข้าไปนั่งในรถ เสียงกรีดร้องของสาวๆดังมาแต่ไกล ผมได้แต่ส่ายหัวอย่างอารมณ์ดีเพราะไอ้ตงตั้งใจจะให้ทุกคนเห็นภาพนี้ มันคงไม่ได้ทำเพราะกันไม่ให้มีคนเข้ามาจีบผมหรอก ที่ทำแบบนี้เพราะตงฉินกันคนที่จะมาจีบตัวเองต่างหาก



ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
ติ๊ง

หนุ่มงานดีมีบอกต่อ : เอาล่ะค่ะคุณขา ใครไม่จิ้นแอดจิ้นเองค่า ดูเอาเถอะว่าเค้าสวีตกันขนาดไหน

*** รูปที่ผมเปิดประตูรถให้และตงฉินยิ้มกว้าง ***

376 Like 200 Comments 52 Shares

ตัวประกอบหนึ่ง : งื้ออออออ พี่ตงของน้อง มีเจ้าของแล้ว

ตัวประกอบสอง : งานนี้เรือ #ตงไนล์ ล่มแล้วสินะ T___T

ตัวประกอบสาม : เค้าเป็นใครอะ ทำไมพี่ตงมองด้วยสายตาละมุนได้ขนาดนั้น อินฉา

The One Ekkapab : ถามคนนี้เลย Tongchin SAT. หนึ่งโทสองโท เอกภาพ

Kwanjira Kwan : The One Ekkapab ว่างเหรอคะมาตอบเม้นต์น่ะ

Cute Sira : 555 The One Ekkapab มีคนโดนแฟนด่าออกสื่อว่ะ มึงมาดู Chai Chatchai

Tongchin SAT. : *** ส่งสติ๊กเกอร์ขยิบตา ***

“อ่านอะไรอยู่เหรอ” ผมหันไปถามเมื่อเห็นว่าคนที่บ่นหิวนั่งจ้องมือถือไม่วางตา

“คอมเม้นต์ของเพจหนุ่มงานดีน่ะ”

“มีอะไรน่าสนใจวะ” ร้อยวันพันปีไม่เคยจะสนใจเข้าไปอ่านอะไรแบบนี้

“ก็ไม่มีอะไรหรอก” มันปิดหน้าจอก่อนหลับตาลงโดยไม่สนใจว่าผมมองด้วยสีหน้าอยากรู้สุดขีด

“ใจร้ายว่ะ มึงนี่แม่ง” เนื่องจากรถราในมหา’ลัยค่อนข้างหนาแน่น แต่พอเคลื่อนตัวไปได้เรื่อยๆทำให้ผมไม่มีโอกาสจับมือถือขึ้นมาดูว่ามีอะไรน่าสนใจถึงขั้นนั้น “เออ แล้วทำไมวันนี้ถึงทำตัวเหมือนแฟนได้วะ”

“ก็ไม่มีอะไร” ถามขนาดนี้แล้วยังไม่ลืมตามาคุยกันอีก

“ตง”

“เออ ก็ไอ้น้องเขมอะไรนั่นแหละ มันบอกว่าชอบกู ขอไลน์ขอเบอร์กูบอกว่าจะปรึกษาเรื่องประกวดดาวเดือน นี่ขนาดยังไม่เฉลยสายรหัสเลยนะยังรุกขนาดนี้ ถ้ามันรู้ว่าเป็นน้องรหัสกูเมื่อไหร่ คงมีปวดหัว”

“ฮ่าๆๆๆ อย่างมึงเนี่ยนะกังวลเรื่องอะไรแบบนี้ ปกติใครมาจีบมึงก็อ่อยกลับตลอด” ผมแซว

“นั่นมันแต่ก่อนมั้ยล่ะ ตอนนี้กูมีแฟนแล้ว”






รูปประกอบมิได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในนิยายแต่อย่างใด

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 41. คนอยู่ก็เสียใจ คนจากไปก็ปวดร้าว

“เออ ก็ไอ้น้องเขมอะไรนั่นแหละ มันบอกว่าชอบกู ขอไลน์ขอเบอร์กูบอกว่าจะปรึกษาเรื่องประกวดดาวเดือน นี่ขนาดยังไม่เฉลยสายรหัสเลยนะยังรุกขนาดนี้ ถ้ามันรู้ว่าเป็นน้องรหัสกูเมื่อไหร่ คงมีปวดหัว”

“ฮ่าๆๆๆ อย่างมึงเนี่ยนะกังวลเรื่องอะไรแบบนี้ ปกติใครมาจีบมึงก็อ่อยกลับตลอด” ผมแซว

“นั่นมันแต่ก่อนมั้ยล่ะ ตอนนี้กูมีแฟนแล้ว”  ตงฉินตอบหน้าตาเฉย แต่ผมสิอึ้งรับประทานเลยตอนนี้... มันพูดว่าอะไรนะ ผมหูฝาดหรือเปล่า คือ โอ๊ย ใจสั่น ขับรถไปด้วยหัวใจเต้นแรงไปด้วยแบบนี้จะชนคันอื่นมั้ยวะ แล้วทำไมไอ้ตงมันพูดแบบนี้ทั้งๆที่หลับตาอย่างกับคนไม่คิดมากได้ยังไงกัน แต่คนฟังนี่คิดไปไกลแล้วนะ แถมปากก็แยกเขี้ยวยิ้มจนปวดกรามไปหมดแล้วด้วย

“มึงนี่แม่ง” ผมพูดไปงั้นแหละ ตอนนี้ยังหยุดยิ้มไม่ได้เลย อีกคนไม่ตอบอะไรกลับมาอีกปล่อยให้ผมจดจ่อกับการขับรถ ก่อนสัมผัสอุ่นๆจากฝ่ามือแตะที่ต้นขาอย่างอ่อนโยนราวกับไม่ใช่ตงฉินคนเดิม ถ้ามันไม่ได้รักผมมาก ก็คงกินอะไรผิดสำแดงมาแน่ๆ


#### ####

ครืด ครืด ครืด ...

             ผมตื่นขึ้นมากลางดึกเนื่องจากเสียงสั่นครืดๆของโทรศัพท์มือถือที่วางไว้หัวเตียง ตงฉินนอนเปลือยเปล่าในห้วงนิทราด้วยความอ่อนเพลีย ใครให้มันทำตัวน่ารักและยั่วผมมาตลอดทางกันล่ะ ไม่ใช่ความผิดของไอ้เอกราชคนนี้แน่ๆที่จัดการคนขี้ยั่วจนสลบคาเตียง พอปรับสายตาในความมืดได้ดีขึ้นมือข้างที่ควานสะเปะสะปะก็คว้าต้นตอของเสียงรบกวนมาได้ แสงฟ้าจากหน้าจอจ้าจนต้องหรี่ตาดูว่าใครโทรมาดึกดื่น

“โหล” น้ำเสียงงัวเงียแถมคอแห้งเป็นผง

[นอนแล้วเหรอ] น้ำเสียงแผ่วเบานั้นอึกอัก ความกดดันส่งผ่านสัญญาณมือถือมาถึงที่ผมนอนเสียแล้ว

“อื้อ นี่มันตีสามแล้ว มึงโทรมาทำไมวะไอ้ทอย” ถึงแม้จะถามแบบนี้ แต่น้ำเสียงของผมกลับไม่ได้หงุดหงิดอะไร

[เรา...] ราวกับว่ามีอะไรจุกที่ลำคอจนไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไอ้ทอยโทรมาในเวลานี้เพื่อต้องการอะไรบางอย่างที่ผมเลี่ยงมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้คงไม่ง่ายอย่างนั้นอีกแล้ว หลังจากทำใจมานานทำให้ผมตัดสินใจได้

“เฮ้อ มึงต้องนอนนะไอ้ทอย เดี๋ยวพรุ่งนี้กูไปหา” ปลายสายไม่ตอบอะไรอีก แต่บทสนทนาเมื่อครู่ทำให้ผมหลับไม่ลงอีกต่อไป

             เสียงขยับตัวของคนที่นอนข้างกายทำให้ผมรีบวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมก่อนจะมุดตัวใต้ผ้าห่ม ร่างอุ่นๆของตงฉินพลิกมานอนตะแคงหันหน้ามาชนกัน ลมหายใจร้อนผ่าวสาดรดต้นคอระยะประชิด ผมสอดแขนเข้าใต้ลำคอแกร่งและดึงตัวเข้ามากอด เสียงหัวใจเต้นตึกตักดังลั่นราวกับมันหลุดออกมาเต้นข้างๆหู

“ไอ้ทอยโทรมาเหรอ” ตงฉินถามด้วยน้ำเสียงงัวเงียหนักกว่าผมเมื่อครู่เสียอีก

“อื้อ ไม่มีอะไรหรอก นอนเถอะ” ไออุ่นของตงฉินบวกกับกลิ่นหอมๆของมันทำให้จิตใจผมสงบอย่างน่าประหลาด

“อืม ปวดอะ” น้ำเสียงอ้อนๆงัวเงียในอ้อมกอดชวนให้หลงหนักไปอีก

“ปวดตรงไหน” ผมถือโอกาสจูบไรผมและแก้มหอมอย่างรักใคร่ แขนยาวล่ำของอีกคนซุกตรงหน้าอกผมราวกับเป็นลูกแมวตัวน้อยที่ควานหาไออุ่น

“ตรงตูด มึงไม่ถนอมกูเลย” ผมฟังแล้วก็ยิ้ม ง่วงหนักขนาดนี้ยังมีกะใจฟ้องอีก

“งั้นเดี๋ยวหมอฉีดยาให้เอามั้ย จะได้หาย”

“ไม่เอาแล้ว ฉีดยาทีไรเจ็บทุกที กอดแน่นๆก็พอ” ผมส่ายหัวเบาๆและแนบร่างของเราให้ชิดกันจนแทบไม่มีช่องว่าง ลมหายใจของตงฉินเริ่มปรับระดับเป็นราบเรียบ ให้เดานะ ถ้าไม่รู้สึกตัวตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ ผมคิดว่ามันคงละเมอคุย

             พอได้จอดรถไว้ที่ลานจอดชั้นใต้ดินของตึกสูงหลังจากใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีในการขับวนไปมา ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะหงุดหงิดกับการเสียเวลาหาที่จอด วันนี้มีคนใช้บริการจำนวนมากเพราะยังไม่ใช่วันหยุด รถยนต์หลายยี่ห้อจอดเรียงรายแทบจะไม่เหลือที่ว่างจึงต้องอาศัยดวงล้วนๆ พอเดินออกมาจากรถไอร้อนก็ปะทะตัวแทบจะทันที ยังดีที่มาคนเดียว เพราะตงฉินเหมือนจะไม่ค่อยสบายเลยพักที่คอนโด ผมไม่ลืมหาข้าวเช้าและยาแก้ไข้ให้เสร็จสรรพก่อนออกมาตั้งแต่เช้าเพื่อจะได้รีบมาตามนัดและรีบกลับไปหาคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง

             ห้องตรวจคนไข้ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งคลาคล่ำไปด้วยคนหลายสิบชีวิตที่ต่างมานั่งรอเข้ารับการรักษา ใบหน้าแต่ละคนแตกต่างกันไป บ้างก็ดูหม่นหมอง บ้างก็เรียบเฉย น้อยคนนักที่ตะมีรอยยิ้ม เมื่อกวาดสายตาไปเจอแผ่นหลังที่คุ้นเคยผมก็แอบถอนหายใจและยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น มองอยู่นานสองนานก่อนตัดสินใจเข้าไปเลือกที่นั่งบนเก้าอี้สีฟ้าแบบพาดเรียงกันเป็นแนวยาวเชื่อมด้วยเหล็กหรือโลหะอะไรสักอย่างที่เวลาเราขยับที่นั่งตัวเอง เก้าอี้ตัวที่เหลือก็จะขยับไปด้วย คนที่นั่งอยู่แล้วสะดุ้ง

“อ้าวมาแล้วเหรอหนึ่ง” เสียงร่าเริงนั้นทัก ผมพยักหน้า ไม่ได้ทักกลับเนื่องจากไม่มั่นใจว่าน้ำเสียงนั้นร่าเริงจริงหรือเปล่า เหมือนคนที่นั่งรออยู่แล้วจะอ่านใจผมออกเลยตอบคำถามที่ยังไม่ทันได้ส่งเสียง “เข้าห้องตรวจไปแล้ว เดี๋ยวคงออกมา”

“มาถึงนานรึยังวะ”

“ก็มาตั้งแต่หกโมงเช้าแหละ นายก็รู้ว่าต้องมาเอาคิวก่อน” ผมพยักหน้าเพื่อบอกว่าเข้าใจ โรงพยาบาลของรัฐก็เป็นแบบนี้เสมอ

“สบายดีมั้ย ... ฉัตร” ฉัตรพงษ์ ฝาแฝดของฉัตรชัยยิ้มมาให้ แต่มันดูอ่อนล้าผิดกับท่าทางที่แสดงออกลิบลับ

“ก็ ... เหมือนเดิมแหละ” ความร่าเริงชั่ววูบหายวับราวกับเป็นละอองไอที่บางเบาในอากาศ

“แล้วพวกมึง เอ่อ...”

“กลับมาคบกันน่ะเหรอ...” คนถูกถามถอนหายใจ “ไม่รู้สิ เราไม่อยากเร่งรัดอะไรกับไฟเท่าไหร่ แค่ได้ดูแลแบบนี้ก็ดีแล้ว”

             น้ำเสียงของฉัตรพงษ์ดูเหนื่อยแต่ไร้ซึ่งความท้อแท้ ตั้งแต่เกิดเรื่องกับไอ้ทอย ผมก็เห็นคนหน้าคุ้น(จะไม่คุ้นได้ไงเพราะหน้าเหมือนฉัตรชัยอย่างกับแกะ)มาป้วนเปี้ยนอยู่ไม่ห่าง ท่าทางร้อนรนและเสียใจชวนสงสารยังติดตาอยู่เสมอ เมื่อเห็นไอ้ทอยนอนนิ่งบนเตียงผู้ป่วย ฉัตรเป็นคนเดียวที่ร้องไห้และโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ถึงแม้ผมจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องโทษตัวเองขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดทักท้วงอะไรออกมา

             ไอ้ทอยหลับไปประมาณสองวันเพราะช็อกกับเรื่องที่เกิดขึ้น ผลตรวจร่างกายไม่มีอะไรผิดปกติ มันยังไม่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ เพียงแต่มีร่องรอยบาดเจ็บบริเวณบั้นท้ายเล็กน้อยจากการใช้นิ้ว ผมไม่อยากคิดเลยว่าถ้าไปช้ากว่านี้อีกนิด ชีวิตของไอ้ทอยจะเปลี่ยนไปขนาดไหน

             ฉัตรพงษ์เป็นคนที่อาสามาดูแลคนป่วยโดยไม่ฟังคำทัดทานจากฝาแฝดตัวเอง ที่กลัวว่าพี่ชายตัวเอง(เอ๊ะหรือน้องชายวะ)จะทำใจไม่ได้เพราะไอ้ทอยบอกเลิกไปแล้ว แต่คิดหรือว่าพี่น้องหัวแข็งทั้งสองคนจะยอมกันง่ายๆ เมื่อห้ามไม่ได้ ฉัตรชัยก็ได้แต่ฮึดฮัด (แต่ก็ยังเป็นห่วงอยู่ห่างๆ) แต่ในส่วนลึกแล้วผมคิดว่าไอ้ชัยมันคงรู้สึกผิดกับเรื่องนั้นอยู่ไม่น้อยจึงไม่ห้ามอีก

“อ้าว มาแล้วเหรอหนึ่ง” หลังจากผ่านเรื่องราวแย่ๆมา ไอ้ทอยเหมือนจะเปลี่ยนไปจากเดิมราวกับคนละคน พวกเราเคยสนิทกันช่วงหนึ่ง ก่อนจะห่างกันเพราะสิ่งที่มันรู้สึกกับผม แล้วก็เหมือนจะกลับมาสนิทกันอีก จนกระทั่งวันหนึ่งที่มันตื่นขึ้นมาและพูดกับผมด้วยภาษาสุภาพ ถึงแม้จะพยายามพูดแบบเดิมใส่ แต่อีกคนนั้นเหมือนจะไม่ใช่คนเดิมที่เคยสนิทกันอีกแล้ว

“อืม เป็นไงบ้าง”

“ก็ดี” ร่างสูงนั้นเหมือนจะผอมลงจนแทบเหลือแต่กระดูก ใบหน้าหล่อเหลาซูบซีดจนเหลือแต่โครงหน้า ถึงแม้ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปด้วยดี แต่ความรู้สึกหวาดกลัวยังเกาะกินใจคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องตรวจไม่ไปไหน พวกเราได้แต่สบตากันอย่างเก้อเขินราวกับคนแปลกหน้า

“มียามั้ย เดี๋ยวเราไปเอาให้” ฉัตรพงษ์เอื้อมมือไปรับบัตรรับยาก่อนเดินหายไป ปล่อยให้พวกเรายืนมองกันไปมา

“นั่งก่อนมั้ย ท่าทางมึง เอ่อ นายดูไม่ค่อยดี”

“เราสบายดี” ไอ้ทอยฝืนยิ้ม แต่ผมกลับปวดใจอย่างบอกไม่ถูก

“แล้วนายโทรหาเรา เอ่อ...” มันเป็นคำถามที่อยากรู้คำตอบ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะถามจนจบไหม ผมกลัวว่ามันจะคิดว่าผมเร่งรัดหรืออยากไปจากตรงนี้ แต่สายเมื่อคืนก็ไม่ใช่ครั้งแรก และหากผมไม่มาวันนี้ มันคงจะโทรหาอยู่เรื่อยๆ

“ไม่มีอะไรหรอกอย่าคิดมากเลย ตรงนี้คนเยอะคุยไม่สะดวกไปนั่งร้านกาแฟมั้ย” ผมพยักหน้าก่อนจะลุกตามร่างสูงผอมอย่างว่าง่าย ไอ้ทอยไม่ได้ป่วยกายแต่จิตใจของมันไม่เหมือนเดิมหลังจากเจอเรื่องแย่ๆ เป็นโรคที่ผมไม่เข้าใจเลยสักนิดตอนที่ฟังชื่อครั้งแรก ‘ภาวะซึมเศร้าหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง’ คือสิ่งที่หมอวินิจฉัย ทำให้มันต้องเข้าๆออกๆโรงพยาบาลจิตเวชอยู่เสมอ

“ก่อนหน้านั้นป้าก็คิดว่าไฟอาการดีขึ้นแล้วเลยไม่เอะใจอะไร ไม่ได้พามาตรวจ แต่พอมีเรื่องนี้อีก คุณหมอบอกว่าสภาพจิตใจถูกกระทบกระเทือนหนักจนอาการแย่ลง” แม่ของทอยเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ผมได้แต่นั่งนิ่งอยู่ข้างเตียงคนป่วยที่นอนหลับสนิท แม้แผลตามร่างกายจะหายแล้ว แต่อาการหม่นหมองหมือนคนเสียใจตลอดเวลาทำให้พวกเรารับรู้ว่าไอ้ทอยป่วยเป็นโรคซึมเศร้าตั้งแต่ตอนเลิกกับฉัตรพงษ์แล้ว ร่างกายผมชาไปทั่วเพราะรู้สึกผิดที่ตลอดเวลาไม่เคยสังเกตเลยว่าคนที่หัวเราะอยู่ข้างๆมีปัญหาทางจิตใจหนักหนาขนาดนี้ ทั้งๆผมที่เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของมัน...

“นายเอาอะไรมั้ย” ทอยหันมาถาม

“เอ่อ เดี๋ยวกู เอ่อ เราสั่งเอง นายไปนั่งเถอะ” ผมเดินไปสั่งเครื่องดื่มที่แคชเชียร์รอจนเมนูทำเสร็จจึงถือมานั่งตรงข้ามอีกคน

“ขอบใจ นายกับตงเป็นไงบ้าง” เสียงมันสั่นเมื่อพูดชื่อแฟนของผม แต่ถูกกลบเกลื่อนด้วยการจิบช็อกโกแล็ตร้อนที่ผมสั่งมาให้

“ก็ดี” ผมตอบแค่นั้น ไม่อยากบรรยายอะไรให้เสียบรรยากาศ

“อันที่จริง” อัคคีวางแก้วลง สูดหายใจอย่างไม่มั่นใจก่อนจะพูดต่อด้วยรอยยิ้มที่ผิดแผกออกไป “ที่เรานัดนายมาวันนี้ เราแค่อยากจะบอกนายว่า เราโอเคขึ้นแล้ว เราอยากให้นายมาเห็นกับตาว่าเราหมายความอย่างที่พูดจริงๆเลยอยากเจอ” ผมได้แต่กอดอกนั่งฟังอย่างตั้งใจ ปล่อยให้ลาเต้ร้อนปล่อยไอเอื่อยออกมา

“เราจะมาลา อย่าเพิ่งพูดอะไรนะ” ไอ้ทอยรีบห้ามเมื่อเห็นว่าผมขยับตัวทำท่าจะอ้าปาก “เราขอโทษ เพราะความรั้นของเราเองมันเลยทำให้มีแต่เรื่องแย่ๆตามมาจนนายกับตงฉินต้องมาเดือดร้อนพัวพันไปด้วย” ผมรู้ว่ามันอยากจะขอบคุณด้วย แต่มันพูดคำนี้มานับพันๆครั้งจนผมเคยสั่งห้ามไม่ให้มันพูดอีก

“ตอนที่นอนพัก เรายื่นคะแนนอีกรอบ แล้วเราก็ทำได้” มันเว้นวรรค “เราลาออกจากคณะแล้วนะ และเข้าเรียนที่ใหม่แล้วด้วย ที่ผ่านมา เราขอบ... เอ่อ ... เราดีใจนะที่ได้รู้จักนาย”

“ทำไมวะ” ผมถามเสียงเข้ม รู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าว

“มันมีเหตุผลหลายร้อยเหตุผลเลยล่ะหนึ่ง แต่เหตุผลเดียวที่เราทำแบบนี้เพราะเราอยากโตขึ้น เราอยากหายจากการป่วย แต่ถ้าเรายังอยู่แบบนี้...” คำว่า ‘เรา’ อันล่าสุด หมายถึง ความเป็นเพื่อนของผมกับมัน  “เราคงก้าวข้ามทุกอย่างไม่ได้ เราเลยเลือกที่จะลาออกแล้วไปเรียนที่ใหม่ อยากเริ่มต้นใหม่...”

             ผมไม่ได้ร้องไห้กับสิ่งที่ได้ฟังจากปากของไอ้ทอยในร้านกาแฟ มันมีแต่ความรู้สึกหน่วงที่หน้าอกจนหายใจแทบไม่ออก ขอบตาร้อนคล้ายคนกำลังเสียใจแต่กลับไม่มีน้ำตาหยดออกมาแม้สักน้อย สมองตื้อไปหมด จำไม่ได้เลยว่าเดินออกมาที่รถตอนไหน รู้สึกตัวอีกครั้งก็คือตอนที่รถจอดสนิทบนลานจอดรถของคอนโด ภายในรถยนต์คันหรูเงียบเชียบจนผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแม้แต่เสียงหายใจของตัวเอง


#### ####

[อัคคี]

             ผมเห็นใบหน้าเจ็บปวดของเพื่อนสนิทเดินอย่างไร้เรี่ยวแรงออกไปด้วยความรู้สึกย่ำแย่ ในหัวมีแต่คำถามว่าทำแบบนี้มันถูกต้องแล้วเหรอตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา สายตาเหม่อมองถ้วยลาเต้ที่เคยส่งไอระเหยมาอยู่เบื้องหน้าอย่างปวดหน้าอก ไอ้หนึ่งไม่ดื่มเลยสักอึก มีแค่ใบหน้าบิดเบ้คล้ายคนจะร้องไห้ตอนที่ฟังผมพูดเรื่องแย่ๆใส่

             อาการป่วยครั้งนี้มันรุนแรงกว่าเดิมจนผมไม่อยากจะมีลมหายใจอีกต่อไป กลางดึกก็สะดุ้งตื่นด้วยความหวาดผวากับฝันร้ายซ้ำๆโดยมีภาพใบหน้าโกรธจัดของไอ้หนึ่งอยู่ในนั้น ผมรู้ว่ามันโกรธไอ้คนนั้นแต่กลับสลัดความคิดว่ามันโกรธที่ผมไม่ยอมเชื่อมันจนเกิดเรื่องแย่ๆออกไปได้ ผมโทษตัวเองจนสภาพจิตใจย่ำแย่หนักขึ้นจนไม่อยากตื่นมาเจอกับโลกใบนี้อีก ผมนอนนิ่งบนเตียงมากกว่า 16 ชั่วโมงต่อวันจนร่างกายซูบผอมเพราะไม่แตะต้องอาหารเท่าไหร่นัก

“อยู่นี่เอง หาตั้งนาน” ใบหน้าหล่อเหลาดูร้อนรนเมื่อมาถึงที่โต๊ะ ฉัตรพงษ์เป็นคนหนึ่งที่ผมบอกเลิกไปอย่างไร้เยื่อใย แต่เขากลับเป็นคนที่ไม่ยอมปล่อยมือ “แล้วหนึ่งล่ะ”

“อื้ม กลับเถอะ” ผมไม่ตอบคำถาม ได้แต่บอกความต้องการของตัวเองไปอย่างเอาแต่ใจ ตอนนี้ผมไม่พร้อมที่จะรับอะไรหนักๆได้อีกแล้ว ชีวิตมันต้องดำเนินต่อ และผมจะต้องก้าวผ่านไปให้ได้ การเลือกเดินออกมาจากชีวิตใครสักคนทำไมมันเจ็บขนาดนี้

“เดินไหวมั้ย เดี๋ยวนายรอตรงนี้ก็ได้ เราจะวนรถมารับ” ผมยิ้มตอบ มองแผ่นหลังกว้างนั้นวิ่งออกไปด้านนอกด้วยจิตใจที่ว่างเปล่า ผมรู้ว่าตัวเองเห็นแก่ตัวมากแค่ไหนที่ยอมให้เขากลับมาทั้งที่ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกเก่าๆจะกลับมาได้อีกหรือเปล่า

“ถึงนายจะไม่รักเราก็ไม่เป็นไร แต่เราขอร้อง ให้เรากราบก็ได้ อย่าไล่เราไปอีกเลยนะ” น้ำเสียงสั่นเครือกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาของฉัตรพงษ์ยังแจ่มชัด ถึงแม้ฉัตรชัยจะพยายามฉุดกระชากให้พี่ชายตัวเองลุกขึ้นยังมีน้ำตาอาบแก้ม สายตาที่ไร้ความหวังของฉัตรทำให้หัวใจผมสั่นคลอนได้อย่างน่าประหลาด ... ผมยิ้มเยาะตัวเองที่นึกถึงภาพวันวาน

“ขอให้เราดูแลนายเถอะนะ เราจะไม่ขอให้นายกลับมารักหรือมาเป็นแฟนเราก็ได้ ขออย่างเดียว นายอย่าไล่เราไปเลยนะ” ถ้าถามว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของใคร ทุกคนอาจจะบอกว่ามันเป็นเพราะไอ้คนชั่วที่ชื่อสุชาติ แต่สำหรับผม เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะตัวเองทั้งหมด ผมปล่อยมือจากฉัตรพงษ์ เผลอใจให้ไอ้หนึ่ง อยากเอาชนะตงฉินจนพาตัวเองเข้าไปพัวพันเรื่องทั้งหมด

             ตอนที่ผมบอกลาหนึ่งเมื่อครู่ ในใจของผมร่ำร้องราวกับเด็กน้อย หวังว่าเขาจะทำแบบเดียวกับฉัตรพงษ์ในตอนนั้น หวังว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยมือไปง่ายๆ หวังว่าเขาจะเข้าใจว่าที่พูดไปทั้งหมดก็แค่เรียกร้องความสนใจ อยากให้เขารู้สึกผิดเหมือนที่ผมรู้สึก แต่มันกลับไม่ใช่อย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย แววตาที่ปวดร้าวของไอ้หนึ่งมีแต่ความเสียใจและตีความว่าผมไม่อยากเป็นเพื่อนมันอีกแล้ว ... เขาคิดถูกแค่ครึ่งเดียว ผมไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับเขา แต่ผมยังอยากเป็นมากกว่านั้น

...แต่ผมรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว....

“หิวมั้ย อยากกินอะไรหรือเปล่า” ฉัตรพงษ์ถามและส่งยิ้มมาให้เมื่อผมเข้าไปนั่งในรถ เวลานี้ผมนึกอะไรไม่ออก ไม่อยากพูดคุยกับใครทั้งนั้น

“งั้นไปกินก๋วยเตี๋ยวไก่ร้านเดิมที่นายชอบมั้ย” ผมไม่ตอบ ได้แต่หลับตานิ่ง ปล่อยให้อีกคนพูดคนเดียวไปตลอดทาง 

“รับน้องเป็นไงบ้าง พวกเพื่อนๆเราชมนายไม่หยุดเลยว่าหล่ออย่างนั้นหล่ออย่างนี้ เห็นบอกว่าจะให้นายคัดเลือกเดือนคณะด้วยนะ” แม้ฉัตรพงษ์จะรู้ดีว่าคนที่นั่งข้างๆไม่ได้รักตนอีกแล้ว แต่การที่ผมย้ายไปเรียนคณะเภสัชศาสตร์ตามความฝันก็เหมือนให้ความหวังกับเขา ถึงอยากจะค้านแค่ไหนแต่ตอนนี้ผมอ่อนแอมากเกินกว่าจะแสดงออกว่าเป็นคนดีได้อีก บางทีผมควรจะคิดถึงตัวเองให้มากขึ้นเริ่มต้นใหม่อย่างที่ตั้งปณิธานไว้ และสักวันหนึ่งผมจะกลับมาเป็นอัคคีคนเดิมที่ยิ้มได้อย่างสบายใจอีกครั้ง

... บางครั้งการปล่อยมือใครสักคนมันก็อาจจะส่งผลดีต่อเขามากกว่าที่เราจะคิดไว้เสียอีกด้วยซ้ำ ...


#### ####

[ตงฉิน]

             ผมตื่นมาตอนสายด้วยอาการเจ็บร้าวไปทั้งตัว หลังๆมานี้ไอ้หนึ่งไม่ค่อยถนอมเท่าไหร่ ตะบี้ตะบันใส่เข้ามาสุดแรงเกิดจนขาสั่นแถมยังเสียดตรงนั้นจนแทบลุกไม่ขึ้น ภาพตัดไปตั้งแต่ตอนไหนยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ มองเตียงข้างๆที่ว่างเปล่าแล้วรู้สึกร้อนวูบวาบจนนอนต่อไม่ได้

             เมื่อจัดการมื้อเช้าที่คนใจโหดเตรียมไว้ให้ก็มานั่งที่โต๊ะทำงานเพื่อเคลียร์รายงานที่ยังทำไม่เสร็จ ช่วงหลังๆนี้ผมรับงานแสดงน้อยลงและหันมาใส่ใจกับการเรียนมากขึ้น พยายามปล่อยวางเรื่องข่าวซุบซิบตามเพจต่างๆเรื่องดาราหนุ่มอนาคตไกลไม่สนใจชะนี (และอีกหลายๆพาดหัวข่าว) ไอ้หนึ่งเคยถามว่าทำไมผมถึงเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนผมระวังตัวแจ ไม่ยอมให้มีข่าวเสียๆหายๆเลยสักนิด ผมได้แต่ยิ้มและไม่ตอบอะไร ทั้งๆที่คำตอบมันก็เห็นกันอยู่แล้วว่าเพราะมันทั้งนั้น

             ความสัมพันธ์ของผมกับเขา(หรือใช้คำว่ามันดีนะ) เริ่มต้นจากความอ่อนไหวทางอารมณ์และฤทธิ์ของเบียร์จนทุกอย่างเลยเถิด แม้ว่ามันทำให้รู้สึกดีมากเพียงไหนก็ตาม แต่ที่ผ่านมาผมไม่กลับไปมี One Night Stand กับคนเก่าเพื่อเลี่ยงความผูกพันทางอารมณ์ แต่กับคนที่ชื่อเอกราชนั้นต่างออกไป เพราะผมเองนั่นแหละที่ใจร้อนกลัวพ่อไม่ยอมให้อยู่คอนโดเลยออกปากชวนคนแปลกหน้าสองคนมาอยู่ด้วยกับเงื่อนไขที่ค่อนข้างเสียเปรียบ การที่ได้เจอกันทุกวันทำให้สิ่งที่อยากหลีกเลี่ยงทำได้ยาก พวกเรามีอะไรกันมากกว่าหนึ่งครั้ง และอีกหลายๆครั้งเป็นต้นมา

             หากถามว่าทำไมผมถึงยอมตกลงเป็นแฟนไอ้หนึ่งน่ะเหรอ ตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่ารู้สึกอย่างไรกับมัน ด้วยหน้าตาที่ไม่น่าดึงดูดแถมยังเตี้ยกว่าผมเกือบ 20 เซ็นติเมตรนั้นทำให้พวกเราต่างกันราวฟ้ากับเหว ตอนเปิดเทอมมันลากผมไปคุยกับพวกไอ้คิ้ว ไอ้ฉัตรทั้งๆที่ไม่เคยจะคุยกัน แถมยังเป็นตัวตั้งตัวดีรวมกลุ่มเหมือนสนิทกันมาตั้งแต่เกิด ทำให้ทั้งผมและขวัญใจมีเพื่อนเพิ่มขึ้นโดยปริยาย นับเป็นครั้งแรกที่ผมมีเพื่อนที่เป็นเพื่อนจริงๆ ไม่ใช่เพื่อนที่คอยเกาะหาผลประโยชน์หรือเพื่อนที่คอยพาไปมั่วสุมอย่างที่มีมาโดยตลอด ความอบอุ่นใจมันเริ่มตอนไหนผมก็ตอบตัวเองไม่ได้ อาจจะเริ่มตอนที่ผมนอนหลับในห้องเรียนแล้วไอ้หนึ่งพูดห้ามไม่ให้คนอื่นแอบถ่ายรูป หรือไม่ก็อาจจะเป็นตอนที่มีเรื่องในผับ แต่พอรู้ตัวอีกที ผมก็ปล่อยให้เขาอยู่ข้างๆเสียแล้ว

“อยู่ไหนแล้ว” ผมต่อสายไปหาคนในความคิด เมื่อเห็นใน Find My ว่าพิกัดของเขาอยู่ที่คอนโดมาร่วมสิบนาทีแต่ก็ไม่มีวี่แววจะเข้าห้อง

[อยู่ในรถ กำลังไป] แล้วเสียงเนือยๆนั้นก็วางสายไป

“มึงรู้มั้ยตง กูชอบมากเลยนะตอนที่มึงครางชื่อกูอะ” ผมนึกถึงคำพูดหลังจากที่พวกเรามีอะไรกัน

“มึงไม่ต้องพูดออกมาก็ได้มั้ย กูก็อายเป็นนะเว้ย”

“นี่อายแล้วเหรอวะ เมื่อกี้ยังบอกว่าขออีก ขออีก แรงๆเลยหนึ่ง”


   ป๊าบ.... ผมฟาดกบาลมันอย่างหงุดหงิด ความจริงคือเขินจนพูดไม่ออกต่างหาก เวลาที่อยู่ด้วยกันมีแต่ความสบายใจ ผมไม่ต้องเก๊กว่าตัวเองคือนายตงฉิน เสถียรภาพไพบูลย์ ดาราหนุ่มอนาคตไกล มีแต่ไอ้ตงที่สามารถนอนอ้อนให้มันกอด หรืออ้อนให้มันทำกับข้าวให้กินอย่างไม่อิดออดได้

   เวลาอยู่ด้วยกันทำให้ผมลืมไปเลยว่าทำไมถึงตกหลุมมันได้ ที่ผ่านมาผมเคยสร้างภาพว่าไม่สนใจคนตัวเล็กนี้เลยสักนิด ถึงแม้จะมีคนชื่อเจดมาพัวพัน หรือแม้กระทั่งไอ้ทอยที่คิดไม่ซื่อ ผมพยายามทำเป็นใจเย็นไม่สนใจ แต่มันยิ่งเหมือนไฟที่เผาความอดทนไปเรื่อยๆ ผมหงุดหงิดที่มันยิ้มให้ใครต่อใคร ไม่พอใจที่มีแต่คนมารุมชอบ ความรู้สึกงี่เง่านี้ผมเองก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่ามีมาตั้งแต่ตอนไหน แต่พอรู้ตัวอีกทีผมก็ลากมันไปกองถ่ายด้วยทุกครั้งที่ทำได้ ให้มันอยู่ใกล้ตัวอย่างเห็นแก่ตัว

แกร็ก... “กลับมาแล้ว” ร่างเล็กเดินเข้ามาในห้องนอนด้วยสภาพที่ดูไม่ดีเอาเสียเลย ผมปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์และลุกไปหาคนที่กำลังนั่งลงที่ปลายเตียง

“กอดหน่อย”

“หืม” จากแววตาที่หงอยเหงา กลับเปลี่ยนเป็นตกใจอย่างน่าขัน

“นะ กอดกูหน่อย”

“อ้อนเอาไรเนี่ย” น้ำเสียงของมันผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่เอาอะไร เอากอด” ผมนั่งลงชิดกับอีกคน ไอร้อนจากตัวน่าอึดอัดแต่กลับไม่นึกรังเกียจ หนึ่งหันมามองแล้วยิ้มบางๆและใช้แขนมารวบตัวผมไปในอ้อมกอดที่อบอุ่น

“ตัวหอมจัง”

“หอมก็กอดแน่นๆสิ” ผมกอดกลับไป ท่าทางตึงเครียดผ่อนคลายลง ใบหน้าเอ๋อๆนั้นซุกที่ซอกคอผมเพื่อสูดกลิ่นที่ถูกใจ

‘“รู้มั้ยว่าอ้อนแบบนี้ ไม่รับรองความปลอดภัยนะ” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อคนตัวเล็กจับมือผมไปตะปบพลังงานบางอย่างที่อยู่ใต้ร่มผ้าด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับสุนัขจิ้งจอก ...





ภาพประกอบไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในนิยาย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เรื่องนี้อัพถึงตอนที่ 43 แล้วนะครับ
แต่ในระบบสนับสนุน
หากใครอยากอ่านล่วงหน้า
ฝากติดตามได้ที่ FB นะครับ

https://www.facebook.com/Begintillanend

สำหรับคนที่รอได้ พบกันเสาร์หน้ากับตอนที่ 42 นะจ๊ะ

:mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.


ตอนที่ 42. เรื่องบนเตียง

[ตงฉิน]

   ใบหน้าหื่นกามของไอ้หนึ่งทำให้ผมเสียวสันหลังวาบ เพราะเมื่อคืนเพิ่งผ่านศึกหนักมา แล้วกลายเป็นว่าผมยั่วมันเสียอย่างนั้นแถมตอนนี้พวกเราก็กอดกันอยู่บนเตียงนุ่มๆ อ้อมกอดที่รัดแน่นเริ่มเกาะแกะเลาะเลื้อยมาใต้ร่มผ้า ความสากของฝ่ามือไล้ตามแนวซี่โครงก่อนจะจบที่เม็ดเล็กที่ทรวงอก

“อื้อ หนึ่ง ไม่เอา อา” ถึงปากจะบอกว่าไม่ แต่ผมกลับยอมยกมือขึ้นให้มันถอดเสื้อตัวบางอย่างว่าง่าย สายตาเว้าวอนและหื่นกระหายสบส่องมาจนต้องขยับท่านั่งให้เป็นท่านอนราบกับพื้นนุ่ม ลมหายใจอุ่นร้อนทาบทับมาที่ใบหูจนเสียววาบ

“ไหนบอกว่าไม่ไง แต่ไหงอ่อยขนาดนี้”

“อะ อ่อยตรงไหนวะ” ผมรู้ว่าตัวเองปากแข็งนะ แต่พอโดนมันแทะโลมด้วยคำพูดและริมฝีปากก็เผลอไผลให้อีกคนนอนทับบนร่างกายอย่างไม่ต่อต้าน แก่นกายแข็งขืนของไอ้หนึ่งเสียดสีไปมากับส่วนลับของผมที่ผงาดตัวเต็มที่เช่นกัน

“ก็ตรงนี้ไง หูมึงแดงจนร้อน ซอกคอมึงหอมแถมเส้นเลือดตอดตุบๆ หน้าอกมึงหอบเฮือก หัวนมมึงแข็งจนบีบถนัดมือ” ผมได้แต่เงียบเพราะทุกอย่างที่มันพูดมาคือความจริงทั้งหมด ทำได้แต่คว้าคอมันมาประกบจูบดูดดื่มราวกับไม่เคยทำแบบนี้กันมาก่อน ความวาบหวามวิ่งวุ่นเมื่อวพกเราสอดผ่านความเร่าร้อนในโพรงปากอย่างหนักหน่วง แรงดูดทึ้งทำให้ผมดิ้นพล่านจนแข้งขาอยู่ไม่สุข กางเกงขาสั้นถูกรั้งลงจนหลุดจากตัวเผยส่วนลับสีเข้มที่ขนาดไม่น้อยหน้าใครอย่างบ้าบิ่น แต่กลับเทียบความอลังการของคนตัวเล็กไม่ติดเลยสักนิด ราวกับว่าน้องชายของมันขยายตัวขึ้นจากแต่ก่อนจนน่าผวา  “ตรงนี้ของมึงก็ยั่วกู”

“หนึ่ง อา...” ผมครางกระเส่าเมื่อมือสากเกาะกุมแก่นกายไว้แน่น ริมฝีปากของเราประกบกันอีกครั้งอย่างหิวโหย ผมเสียววูบจนตัวกระตุกเมื่อถูกจู่โจมทั้งบนและล่าง แรงขยับขึ้นลงถี่ยิบทำให้หัวใจเต้นจนแทบหลุดมากองด้านนอก

“แฮ่กๆ พอแล้ว เดี๋ยวกูแตก กะ ก่อน...” ผมผละรสจูบรุนแรงนั้นเพื่อห้ามการกระทำของมัน สายตาที่ส่งมาให้ฉายแววโรจน์ราวกับสัตว์ป่า ลมหายใจหอบพร่าของเรากระทบกันไปมา ไม่ต้องพูดจาอะไรให้มากความเมื่อคนหิวกระหายยกสองขาผมพาดคออย่างรวดเร็ว

“มะ ไม่ต้องใช้นิ้ว กูอยากได้ ฮึก...ของมึง” ผมร้องขออย่างไร้ยางอาย มองความใหญ่โตที่ผงกตัวอย่างองอาจอย่างเว้าวอน เส้นเลือดปูดโปนรายล้อมยิ่งทำให้น่าหวาดหวั่นแต่ผมกลับไม่กลัวเลยสักนิดอยากได้ความแข็งแรงนั้นสอดแทรกเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

“แต่...”

“กูไหว เข้ามาเถอะ อ๊า...” เมื่อส่วนปลายส่งแรงกดที่ช่องทางลับ ผมหลับตาแน่นและยกแยกสองขาให้เปิดกว้าง ส่วนบานเบอะแผ่อำนาจเข้ามาในตัวอย่างหนักแน่นจนจุกไปทั่งร่าง

“เข้ามาอีก เข้ามา...” ผมเรียกร้องไม่ขาดปาก ไม่ต้องการสารหล่อลื่นใดๆจากความไร้สติในครั้งนี้ ในเมื่อร่องรอยของเมื่อคืนยังอยู่ในตัวจนไม่สบายท้องแต่ผมอยากสัมผัสความเจ็บปวดที่เร่าร้อนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

กึก.... เสียงวงแหวนที่ถูกแหวกว่ายกอดรัดส่วนแรกที่เข้าไปเต็มกำลังดังมาในโสตประสาท ผมได้แต่หลับตาแน่นเพราะเจ็บราวกับเป็นครั้งแรกที่ได้เจอประสบการณ์นี้ “ไหวมั้ย ให้กูเอาออกก่อนมั้ย”

“ไม่ เอามาอีก อย่าหยุดนะ” ผมผวาตัวกอดรัดลำคอของแฟนหนุ่มไว้แน่น โน้มใบหน้าของเราให้ชิดกันก่อนจะกัดริมฝีปากร้อนฉ่าอย่างยั่วยวน ไอ้หนึ่งปรนเปรอด้วยการจูบอย่างหวานวาบอีกครั้งจนลืมความเจ็บแน่นที่ช่วงล่าง ความร้อนระอุทะยานตัวเข้าไปด้านในลึกขึ้นเรื่อยๆ ระยะทางของมันเท่ากับความต่างของส่วนสูงของเราทั้งคู่ ผมเจ็บตึงแต่กลับชอบความรู้สึกนี้มากจริงๆ

“อ๊า หนึ่ง แรงอีก แรงอีก” ผมไม่สนใจว่ามันจะเสียหายหรือเปล่า มันมีแต่ความต้องการล้วนๆที่ควบคุมสำนึกชั่วดี คนร่างเล็กออกแรงกระแทกเข้าออกอย่างหนักหน่วง เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นห้องอย่างน่าเกลียด แต่ผมกลับหวีดร้องอย่างสุขสม ความเสียวสะท้อนไปทั่วร่าง

“ตรงนั้น ฮ้า แรงๆ หนึ่งแรงๆ” ผมสะใจที่ถูกย่ำยีแบบนี้ ความใหญ่โตสอดเร้นไปในส่วนลึกสุด โชคดีที่ความไหลลื่นจากสงครามของเมื่อคืนยังคงอยู่ ไม่อย่างนั้นส่วนคับแคบคงจะฉีกขาดไม่เหลือชิ้นดี

“ทำไมวันนี้ มึง ฮึก ...”

“อย่าถาม อ๊า กูแค่อยากให้มึงสัมผัสตัวกูแบบที่ไม่เคยมาก่อน ฮื้อ ใหญ่สัสๆ โอ๊ย...” ผมร้องไปด้วย สบถไปด้วยอย่างบ้าคลั่ง

“กูชอบนะ ไม่ต้องใช้นิ้วก่อน ไม่ต้องใช้เจลแบบนี้ ของมึงแม่งแน่นกว่าเดิมอีก มึงตั้งใจให้กูหลงมึงจนโงหัวไม่ขึ้นใช่มั้ย”

“อะ อื้อ คุ้มมั้ยล่ะ”

“ที่สุดเลยตง มึงตอดกูโคตรแน่น ฮะ ฮ้า...” ไอ้หนึ่งครางกระเส่าเมื่อถูกส่วนลับด้านในบีบรัด ความเจ็บปวดคลายลงไปจนสิ้นเหลือเพียงความเสียวซ่านจนต้องใช้สองขาที่เลื่อนมาเกาะเอวเกี่ยวกระหวัดให้แน่นกว่าเก่า แรงกระแทกอย่างป่าเถื่อนยังไม่มีทีท่าจะจบสิ้น ผมมีความสุขจนแทบขาดใจตายเสียให้ได้เพราะไอ้หนึ่งมันรู้ว่าจุดไหนที่ทำให้ผมถึงฝั่งฝัน และตอนนี้มันก็กำลังตอกย้ำที่เดิมซ้ำๆจนความสุขถึงขีดสุด ผมพยายามเอื้อมมือรูดของสงวนแต่ถูกมันจับไว้และส่งแรงอัดอย่างไม่ลืมหูลืมตา

“หนึ่ง อ๊า ไม่ไหวแล้ว กูไม่ไหวแล้ว ฮ้าๆๆๆๆๆๆ” ผมครางลั่นเมื่อถูกปลุกปั่นจากภายในจนถึงจุดสุดยอด แก่นกายที่แข็งขืนบีบรัดตัวและปลดปล่อยความอุ่นข้นจนเปรอะหน้าท้องที่เต็มไปด้วยกล้ามของมนุษย์แฟนสายหื่น

“ฮื้อ มึงก็ตอดกู จน ฮะ ฮ้า...” เพียงไม่นานหลังจากที่ผมถึงจุดหมาย ไอ้หนึ่งก็กระตุกตัวและแช่คาความใหญ่โตไว้จนมิดด้าม ผมพยายามดันออกแต่มันกลับยิ้มเยาะและปลดปล่อยทุกอย่างเข้ามาภายในอย่างล้นทะลัก


#### ####

[หนึ่ง เอกราช]

             พอจบกิจกรรมรับน้องในห้องว้ากก็มีการเฉลยสายรหัส แน่นอนว่าเดือนคณะปี 1 ที่ชื่อเขมอะไรนั่นทำหน้าดีใจจนออกนอกหน้าเมื่อได้รู้ว่าพี่รหัสเป็นใคร ยิ่งตอนที่ให้แต่ละสายยืนประกบน้องแล้วยิ่งชวนหงุดหงิด เพราะออร่าความหล่อของทั้งสองคนรุนแรงจนใจแป้วจากระยะไกลเพราะสายรหัสของผมยืนอีกมุมหนึ่งของลานคณะใกล้ๆกับไอ้โท

“มึงจะยืนหึงอีกนานมั้ย หวงเค้าก็ไปยืนข้างๆดิวะ” ไอ้โท พี่ชายตัวดีสะกิดเมื่อเห็นว่าผมทำหน้ามุ่ย อันที่จริงผมไม่ได้อินกับเรื่องรับขวัญน้องอะไรนี่หรอก ถ้าไม่ใช่เพราะตงฉินลากมาด้วย ป่านนี้คงตีป้อมเพลินๆไปแล้ว บรรยากาศใต้ถุนคณะในเวลาเกือบสองทุ่มแบบนี้ยังคงร้อนอบอ้าวเหมือนฝนจะตก อีกทั้งยังมีประชากรชาวคณะบริหารฯตั้งแต่ปี 1 ถึง 4 มาร่วมรับขวัญด้วยการผูกสายสิญจน์ที่ข้อมือ ตามด้วยการรวมกลุ่มสายรหัส ผมกับไอ้โทรหัสติดกันได้รุ่นน้องผู้ชายหน้าตาดียืนไม่ห่าง

“ไปให้หมองทำไมวะ” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด หากเป็นช่วงปกติคงไปเกาะแกะใกล้ๆ แต่ตอนนี้สายรหัสมันมากันครบ ถ้าเข้าใกล้ตอนนี้ผมคงโดนกันท่าออกมา อีกอย่างก็ยังเกรงใจสายรหัสตัวเองที่รู้ทั้งรู้ว่าผมไม่ชอบร่วมกิจกรรมแต่ก็ยังดูแลอย่างดีจนน่าเกรงใจ

“น้องรหัสไอ้คิ้วเป็นดาวคณะด้วยว่ะ โคตรอิจฉา” ไอ้โทกระซิบ

“อิจฉาก็ขอย้ายสายรหัสสิคะ” ขวัญจิรายืนกอดอกพูดเสียงเข้ม

“มะๆๆ ไม่จ้า ไม่ย้ายหรอก” บทพ่อบ้านใจกล้าก็มา ปากดีแต่ขี้หงอ...เบื่อพวกกลัวเมียว่ะ

“แล้วน้องรหัสมึงล่ะ” ผมถามไอ้ชัยที่บังเอิญเดินผ่านมา

“ไม่รู้ว่ะ พอดีกูไปขี้ กลับมาอีกทีก็หายไปแล้ว” ความอินดี้ของสายนี้เป็นอันเลื่องลือ มีแต่ไอ้ฉัตรชัยนี่แหละที่แปลกกว่าชาวบ้าน

“น้องรหัสขวัญก็สวยนะ สวยทั้งพี่ทั้งน้องเลย” ผมแซว เพราะดูท่าจะยังเคืองไอ้โทไม่หาย

“แหมหนึ่งก็ เราก็รู้อยู่แหละ” นี่ใช่ขวัญใจคนเดิมที่กูรู้จักปะวะ พอชมก็อมยิ้มอย่างไม่ถ่อมตัวแต่ไอ้โทก็ขยิบตาเชิงขอบคุณมาให้

“เออ น้องๆแนะนำตัวหน่อยครับ พอดีพวกพี่ๆเนี่ยสนิทกัน ถ้าจะนัดเลี้ยงคงจะโคสายกันตามนี้เลย” ไอ้คิ้วที่เดินแยกตัวจากรุ่นพี่พาน้องรหัสตัวเองมาแนะนำกับพวกเราที่ยืนเด่นตรงนี้

“สวัสดีค่ะ เอวาค่ะ อยู่เอกการตลาด น้องรหัสพี่คิ้ว” ดาวคณะคนใหม่ยกมือไหว้ยิ้มหวาน สวยคนละสไตล์กับขวัญใจจริงๆ

“สวัสดีค่ะ ลัดดาค่ะ น้องรหัสพี่ขวัญคนสวย อยู่การจัดการค่ะ” คนนี้ก็สวย ละลานตา

“สวัสดีครับ เป๊กครับ เอกระหว่างประเทศ น้องรหัสพี่โทครับ” ผมเงยหน้ามองไอ้เด็กนี่ จะสูงไปไหนวะ

“ผมโอเว่นครับ น้องรหัสพี่หนึ่ง เอกการเงิน” น้องๆทั้งสี่แนะนำตัวอย่างเป็นกันเองเพราะไม่ต้องเกร็งต่อหน้าพี่ว้ากที่สวมเสื้อช็อปสีเข้มรอบตัวอีกต่อไป พอจบกิจกรรมพวกหน้าโหดก็แปรสภาพเป็นนักศึกษาไม่เต็มบาทกันอย่างสนุกสนาน พอน้องแนะนำตัวเสร็จ พวกเราก็แนะนำตัวเองกลับและพูดคุยกันอย่างเป็นมิตร (ถึงแม้ผมจะเตี้ยสุดในกลุ่มก็ตาม)

“เออ เดี๋ยวกูไปลากน้องกูมาก่อน” ไอ้ชัยขอตัวเมื่อเห็นกลุ่มสายรหัสตัวเองลิบๆ ผมเห็นมันแวะสะกิดไอ้ตงจนคนสูงเด่นหันมาสบตาและลากแขนน้องรหัสหน้าหล่อมาทางนี้ ผมถอนหายใจฟึดฟัดเพราะท่าทีดีใจหน้าบานของไอ้คนหล่อชื่อเขมนั่นแหละ

“หงุดหงิดล่ะสิที่เค้าเกาะแขนกันมา” ผมอยากจะเขกกบาลพี่ชายตัวเองจริงๆ ยุแยงเก่ง

“นี่น้องรหัสเรา แนะนำตัวสิครับ” ตงฉินยืนข้างๆไอ้หน้าหล่อ ผมกวาดสายตาพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่ถูกชะตา แต่ก็ได้แต่ทำตัวเงียบๆ กอดอกข่มไว้ก่อน เพราะยังไงคนที่ได้กอดไอ้ตงก็คือผม หึหึหึ...หัวเราะแบบพระเอกหนังไทยสมัยก่อน

“สวัสดีครับ ผมเขมนะครับ เป็นคนสุโขทัย เป็นน้องรหัสพี่ตงฉิน เรียนเอกระหว่างประเทศครับ” ผมเบะปากเมื่อรู้ว่ารุ่นน้องคนนี้เรียนเอกเดียวกันกับแฟนตัวเอง อะไรโลกมันจะสรรสร้างให้มีอะไรคล้ายกันเหมือนพรหมลิขิตขนาดนี้นะ

“ตาเขียวแล้วมึง” ไอ้โทกระซิบ ผมรีบกะพริบตาปริบๆไล่อาการหึง

“ไอ้ชัยมาพอดี ไหนวะน้องรหัสมึง” ไอ้คิ้วเป็นคนทัก

“อยู่โน่น กำลังเดินตามมา ชื่อเอื้องที่เป็นรองเดือนคณะน่ะ”

“หืม มึงไม่ได้รหัส 109 นะ ทำไมได้น้องเค้าล่ะ” ผมถามด้วยความแปลกใจ

“สายรหัสกูแหว่งว่ะ น้องไม่มารายงานตัวเข้าเรียน กูก็เพิ่งรู้ว่าเค้าจับฉลากน้องที่ไม่มีสายปี 2 เหมือนกัน”

“แล้วพวกปี 3 ล่ะ”

“กูจะรู้มั้ย เค้าคงยึดปี 2 เป็นหลักแหละ เพราะต้องดูแลแนะนำเรื่องการเรียน” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะปีที่แล้วก็ได้พวกชีทเอกสารวิชาต่างๆมาเต็มกล่องกระดาษใหญ่ๆ

“หนึ่ง เป็นอะไร” ตงฉินหันมาถามเสียทีหลังจากที่ปล่อยให้ทำหน้าบึ้งนานสองนาน

“เปล๊า” ผมตอบ แต่สายตามองไปที่มือของมันที่ยังจับแขนรุ่นน้องหน้าหล่ออยู่ พอเห็นสายตาดุๆมันก็รีบปล่อยมือทันที ไอ้น้องเขมอะไรนั่นทำหน้าเสียดายจนผมหมั่นไส้

“เดี๋ยวแลกไลน์แลกเบอร์กันไว้นะน้องๆ พี่จะสร้างกลุ่มไว้เผื่อนัดติดต่อกัน ยังไงพวกเราก็ต้องโคกันอยู่ดี” ฉัตรชัยเป็นคนเสนอ

“แล้ววาวาและผองเพื่อนล่ะวะ”

“เดี๋ยวมามั้ง เห็นเม้าท์มอยกันสนุกสนานอยู่ฝั่งโน้น” ไอ้ชัยตอบเรื่องแฟนด้วยน้ำเสียงงอนๆ สงสัยวาวาจะเมินแฟนชั่วคราวเพราะได้น้องรหัสหน้าตาดี

“น้องๆคะ คืนนี้อย่าเพิ่งกลับกันนะ ไหนๆก็รับขวัญกันเสร็จแล้ว ต้องไปตื๊ดคลายเครียดกันหน่อย” เสียงประกาศจบก็ตามด้วยเสียงเฮจากรุ่นพี่รุ่นน้องดังลั่น โดยปกติเราจะไปเฉลยสายรหัสนอกสถานที่ แต่สองปีมานี้ทางอาจารย์ฝ่ายกิจกรรมไม่อยากให้นักศึกษาต้องเรี่ยไรแล้วเอาเงินมาใช้อย่างเปล่าประโยชน์ เพราะคณะของเราคนเยอะถ้าขนไปทุกชั้นปีก็เป็นพันคน หากจะแยกเป็นรับน้องแต่ละสาขาก็ทำไม่ได้อีก เพราะน้องรหัสกับพี่ปี 2 ส่วนมากก็ไม่ได้อยู่สาขาเดียวกัน การเดินทางไปไหนมาไหนจึงใช้งบที่ค่อนข้างสูงและการดูแลก็อาจไม่ทั่วถึง ถ้าดูแลกันไม่ดีอาจเกิดปัญหาด้านความปลอดภัยด้วย

“น้องๆคนไหนสนใจ เราจะไปบาร์ xxx ข้างมอนะคะ พี่ให้เวลา 1 ชั่วโมงในการกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเจอกันที่ร้าน งานนี้ไม่ได้บังคับนะคะ แต่ถ้าใครไม่ไปก็เตรียมเคลียร์กับพี่รหัสตัวเองดีๆนะ ส่วนพี่ปี 3 และปี 4 ถ้าไปจะต้องเลี้ยงนะ” วาวาพูดขู่ออกไมโครโฟนคงเพราะอยากไปกันแค่เพื่อนร่วมรุ่นกับรุ่นน้องปี 1 เท่านั้น เป็นที่รู้กันว่าพวกปีแก่ดื่มจัดขนาดไหน งานนี้ผมคิดว่าจะบายเพราะเดาว่าไอ้ตงคงอยากพัก มองไอ้โทที่ทำหน้าเหม็นเบื่อเนื่องจากเป็นผับที่มันเคยไปมีเรื่องตอนปี 1

“พี่ตงไปนะครับ เดี๋ยวเจอกัน” ไอ้เดือนคณะมันทำเสียงอ่อนหวาน ตางี้เยิ้ม ถ้าอ้าปากกว้างกว่านี้คงเขมือบแฟนผมไปแล้วล่ะ

“อ๊ะ อืม ได้ๆ” แล้วผมก็ต้องเปลี่ยนใจทันทีเมื่อมนุษย์แฟนรับปากไอ้เดือนคณะปีหนึ่งที่หน้าบานเป็นกระด้ง อยากตบหัวมัน

“พวกมึงมีใครไปมั้ย” ไอ้ชัยถามรุ่นน้องสายรหัสพวกเราที่ยืนอิดออดด้วยวาจาระดับพ่อขุน ปกติแล้วพวกปี 1 น่ะไม่ค่อยอยากไปเที่ยวเท่าไหร่หรอก ความเสี้ยนมันมาจากพวกปี 2 กันทั้งนั้น ซึ่งเด็กปี 1 ที่บ้านอยู่กรุงเทพก็จะกลับบ้านเลยและก็มีในสัดส่วนที่ค่อนข้างเยอะเพราะทางมหา’ลัยไม่ได้บังคับให้เด็กปี 1 ต้องอยู่หอในมอแล้ว ส่วนที่ไปจะเป็นพวกเด็กหอในมากกว่าที่จะออกท่องราตรีกัน อย่าถามว่าอายุถึงกันไหมนะครับ ถ้าตำรวจลงคงโดนทั้งคณะ(ไม่แนะนำให้ทำตามนะ ไม่ดีๆ)

             พอไปถึงร้านก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองที่มีทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องมากันจนเต็มแน่น ปกติกลุ่มพวกเราจะชอบโซนดนตรีสด แต่ทางร้านคงต้องงดจัดโซนไปก่อนเพราะคนเยอะจนล้น ผมพยายามโทรหาเพื่อนๆที่มากันก่อน แต่เสียงเพลงก็ดังจนต้องยอมแพ้

“ค่อยๆเดินนะ คนเยอะ” ผมแหวกทางเดินนำไปก่อน แค่ทางเข้าคนก็เต็มแล้ว ไม่อยากคิดเลยว่าข้างในจะเบียดเสียดแค่ไหน

“อืม” ตงฉินรับคำและเดินตามมา แต่กว่าจะเดินไปได้ก็ใช้พลังชีวิตแทบเกลี้ยง มีแต่คนทักทายและลากแฟนผมไปชนแก้วไม่ขาดสาย จากคนหน้านิ่งก่อนเข้ามาในร้าน ตอนนี้หน้าตาเริ่มเปลี่ยนสีไปเสียอย่างนั้นเพราะมีแต่คนยื่นแก้วมาให้ไอ้ตงจิบ

“เห้ย ทางนี้” เสียงตะโกนจากไอ้โทพร้อมการโบกมือเรียกทำให้พวกเราเจอจุดหมายที่จะไป โต๊ะวางเครื่องดื่มถูกจับจองไปหมดทั้งร้าน เวลายืนก็รวมกันคละรุ่น พอจะแหวกไปตามเสียงเรียกแค่นั้นแหละคนข้างหลังก็ถูกคว้าแขนไว้แน่น

“พี่โตงงงงงง มาชนแก้วกันหน่อยยยยย” นี่มึงเมาไฟหรือเมาเหล้าวะ เพราะหน้าตาของน้องรหัสแฟนผมดูไม่เหมือนเดิม

“อะครับ ชนๆ” ตงฉินยิ้มแหยๆ พอจิบน้ำสีอำพันพอเป็นพิธีก็ทำท่าจะขอตัว

“พี่โตงอยู่ด้วยกันก่อนสิครับ นี่พี่รหัสกูเว้ย โคตรหล่อ เป็นดาราด้วยนะ” ไอ้เดือนคณะมันไม่ได้แค่ลากแขนแล้ว ตอนนี้มันโอบเอวเกาะแขนเกาะไหล่จนผมหน้าร้อนวูบวาบไปหมด รุ่นน้องทั้งโต๊ะต่างพากันทักทายและชนแก้วอีกครั้งแถมบังคับให้ดื่มจนหมดแก้วอีก ผมได้แต่ฮึดฮัดโดยไม่มีใครสนใจเลยว่ามีผมยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ด้วย

“มาครับพี่โตง ผมชงให้” ไอ้น้องเขมไม่ได้แค่พูด มันคว้าแก้วไปอย่างไว ไอ้ตงอ้าปากห้ามไม่ทันก็ได้แต่หันมาทำหน้าเจื่อนเป็นเชิงขอโทษผมที่ยืนหงุดหงิดอยู่ข้างๆ

“ทำไมหน้าบูดเป็นตูดหมาแบบนี้ล่ะวะ แฟนไปไหน” ไอ้พี่ชายตัวดีถาม ผมคิดว่ามันเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแหละ ที่ถามนี่คือจงใจแซะ อากาศในร้านดูเหมือนจะอบอ้าวมากขึ้นหลายเท่าตัว คนที่เริ่มเมาก็โยกย้ายส่ายสะโพกตามจังหวะเพลงและเบียดเสียดจนผมหายใจไม่ค่อยสะดวก

“ไปไหนก็ช่าง แม่ม” ผมคว้าแก้วมันมากลอกปากจนเกลี้ยง รู้สึกโมโหอย่างควบคุมไม่ได้

“เอาของมึงมาด้วยไอ้ชัย” ผมแย่งมาอีกหนึ่ง

“ชัยพ่อง นี่ไอ้ฉัตร ไอ้ชัยมันไปเข้าห้องน้ำ” ไอ้โทตะโกนบอกแข่งกับเสียงเพลง

“อ้าว โทษทีมึง ไม่คิดว่ามึงจะมา” ผมรีบคืนแก้วเปล่ากลับไปให้

“ไม่เป็นไร พอดีไอ้ชัยมันลากมาน่ะ” ใบหน้าหล่อดูหมองลงสามระดับ ผมพอจะเดาได้ว่าสาเหตุมันมาจากอะไร

“ไอ้คิ้วล่ะวะ” เปลี่ยนประเด็นด่วน

“โน่น ไปสุมหัวอยู่กับพวกประธานรุ่นปีแก่ๆโน่น สงสัยโดนเรียกไปบรี๊ฟ ฮ่าๆๆๆ” พี่ชายตัวดีชี้ไปมุมไกลลิบๆ

“มาแล้วเหรอครับมึง ไหงหน้าบูดเป็นขี้เลยล่ะ” ฉัตรชัยทักฉัตรพงษ์

“ขี้พ่องมึงสิไอ้ชัย” ไอ้ฝาแฝดตัวแสบเดินแหวกทางกลับมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ พอยืนคู่กันมันเหมือนกันมากจริงๆนะ

“เป็นไงบ้างฉัตร” ผมไม่ได้ถามตามารยาท ดีที่เรายืนติดกันจึงคุยกันสะดวก ไม่ต้องกังวลว่าใครจะรู้เรื่องนี้ เสียงกระหึ่มจากลำโพงกลบมิด ถ้าไม่ใช่คนหูทิพย์ล่ะก็ไม่มีทางจับใจความได้

“ก็เรื่อยๆ หรือนายหมายถึง...” ผมพยักหน้า “รายนั้นก็เหมือนเดิมแหละ”

“มันใจอ่อนยังวะ” แล้วฉัตรพงษ์ก็ส่ายหัวและทำหน้าเศร้าไปอีก “ให้เวลามันหน่อยนะ มันเจออะไรมาเยอะ”

“อื้ม เราเข้าใจ เราเองก็จะพยายามให้มากขึ้น เรื่องนี้มันผิดที่เรา” ฉัตรพงษ์โทษตัวเองอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ใบหน้าบ่งบอกความรู้สึกผิดอย่างหนักหน่วง มือบีบแก้วในมือจนสั่น ผมจึงต้องรีบคว้าเอาไว้ก่อนที่แก้วจะแหลกคาที่

“ทำอะไรน่ะ” เสียงเย็นชาดังขึ้นพอจะให้หันไปมอง สายตาดุๆของมนุษย์แฟนส่งมาคล้ายจะขยี้ตัวผมให้เละคาโต๊ะ เวลาโกรธตงฉินจะกอดอก ... ซึ่งครั้งนี้มันก็กำลังกอดอกด้วยสายตาเพชรฆาต ...



ซวยแล้วไอ้หนึ่ง!




ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ใครจะงอน ใครจะง้อ น่าจะเห็นกันอยู่นะ.  :laugh:

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.


ตอนที่ 43. บรรยากาศมาคุ


             ใครไม่เคยเห็นตงฉินโกรธคงไม่รู้หรอกว่าน่ากลัวขนาดไหน เพราะหลังจากที่ผมดึงมือกลับจากการห้ามฉัตรพงษ์ไม่ให้บีบแก้วก่อนแตกคามือ คนตัวสูงก็หน้าตาไม่เป็นมิตรและเดินแหวกออกไปทางหลังร้านแทบจะทันที จังหวะเดินพรวดๆว่องไวราวกับไม่มีคนจำนวนมากขวางทางไว้ คงเพราะรังสีอันน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากตัวทำให้รุ่นพี่รุ่นน้องต่างพากันเปิดทางให้อย่างพร้อมเพรียง ผมได้แต่ยืนอึ้งจนคนข้างๆทั้งฉัตรพงษ์และเอกภาพ(ไอ้โท)พากันสะกิด

“ไม่รีบตามเหรอวะ”

“ขอทำใจแป๊บ” ผมยกแก้วมาซดโฮกจนหมด หน้าตาคงดูไม่ได้เพราะเพื่อนๆต่างมองอย่างเวทนา

“ให้เราไปช่วยอธิบายมั้ย” ฉัตรพงษ์เสนอตัว แต่ผมส่ายหน้า

“ไม่เป็นไร เราจัดการเอง” ผมพูด แต่น้ำเสียงไม่ได้หนักแน่นเลยสักนิด คนที่ดูเหมือนจะรู้สึกผิดทำหน้าแย่ชวนสงสาร แค่เรื่องไอ้ทอยก็ดูดพลังชีวิตเยอะมากแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้ามาดื่มคนเดียวท่ามกลางเด็กคณะบริหารฯล้นร้านแบบนี้

“งั้นกูไปสูบบุหรี่ดีกว่า” ไอ้ชัย แฝดอีกคนที่เพิ่งกลับมาที่โต๊ะหาทางหนี

“กูไปด้วย” ไอ้คิ้วที่อยู่ๆโพล่งมาแบบไม่ทันรู้ตัวว่ามาตั้งแต่ตอนไหนเออออ สองคนนี้สนิทกันเรียกได้ว่าตัวติดเป็นปาท่องโก๋ ปกติสองหน่อไม่ได้สูบบุหรี่เท่าไหร่หรอก จะหยิบมาสูบตอนเมาเท่านั้น พี่ชายผมมองแล้วส่ายหน้า

“ไปเถอะ กูเฝ้าโต๊ะเอง”

“สู้ๆนะหนึ่ง” ขวัญใจกำมือทำท่าเหมือนจะทุบ(ท่าที่บอกว่าสู้ๆนั่นแหละ)

“อืม” ผมตัดสินใจเดินออกไปตามหลังแฟนหนุ่มตัวสูงที่ไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่นัก แม้จะมีคนแหวกทางให้ก็ตาม คงเป็นเพราะคนเยอะเป็นเหตุ

             ตงฉินเดินออกทางหน้าร้าน แต่กลับเดินวนไปที่หลังร้านราวกับกำลังหลบหน้า ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ โชคดีที่ตัวเขาสูงเลยเห็นแผ่นหลังไวๆตอนที่จ้ำอ้าวออกมา แต่สำหรับผมที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งมานี่สิ หอบรับประทานเสียแล้ว

“ตง โกรธเหรอ”

“เปล่า แค่หงุดหงิด” ผมขมวดคิ้ว ... สองอย่างนี้มันต่างกันตรงไหนฟระ

“แต่เราไม่ได้คิดอะไรกับฉัตรเลยนะ”

“เรารู้” พอทะเลาะกันทีไรต้องพูดสุภาพทุกทีเลย ไม่เข้าใจ

“แล้วเดินออกมาทำไมอ่า” ผมเข้าไปใกล้ คนที่หยุดในมุมมืดไม่ได้ถอยหนี เพียงแต่ขยับไปชิดกับกำแพงหยาบแข็ง

“ไม่รู้เหมือนกัน แค่ไม่อยากอยู่ตรงนั้น มันหงุดหงิดงุ่นง่าน” เขาเรียกว่าหึงครับที่รัก

“มึงหึง” ผมเปลี่ยนสรรพนาม

“ทำนองนั้น” มันยอมรับแต่โดยดี

“กูขอโทษ กูแค่เห็นไอ้ฉัตรมันบีบแก้วจนมือแดง กูกลัวมันจะแตกแล้วบาดมือ”

“ให้เดานะ เรื่องทอยใช่มั้ย”

“อืม” ผมตอบแต่โดยดี

“เมื่อไหร่มึงจะหลุดพ้นจากคนๆนี้วะหนึ่ง” อยู่ๆตงฉินก็หลุดความคิดที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจของมา เรื่องระหว่างหนึ่ง ทอย และฉัตรเป็นเรื่องที่กวนใจมาโดยตลอด ทำไมคนชื่อทอยจะต้องมาวนเวียนกับแฟนของเขา ทั้งๆที่คนชื่อฉัตรพงษ์พยายามงอนง้อขอคืนดีขอโอกาสมานานมากแล้ว แต่ทั้งเขาและหนึ่งก็ยังไม่หลุดจากคนๆนี้เสียที ... ในหัวของเขากำลังประมวลผล

“กู....”

“เฮ้อ” ตงฉินถอนหายใจ ไม่ขัดขืนเมื่อถูกอีกฝ่ายดึงมือไปเกาะกุม ตรงนี้ค่อนข้างมืด แม้เสียงเพลงจะดังกระหึ่มแต่ก็ไม่ต้องตะโกนคุยกัน “กูเข้าใจนะว่ามึงไม่ได้คิดอะไรกับไอ้ทอย แต่จะให้กูเข้าใจตัวมึงไปเรื่อยๆโดยที่มึงยังวนเวียนกับมัน ความอดทนกูคงจะหมดไปสักวัน”

“กูเข้าใจ กูขอโทษ” ผมทำหน้าตาเหยเกเหมือนคนจะร้องไห้

“ที่ผ่านมา พวกเราไม่ได้สวีตหวาน ไม่ได้จีบกันแบบคู่อื่นๆ มันเริ่มจากเซ็กซ์ มันขาดความโรแมนติก แต่กับไอ้ทอย มันเหมือนเรื่องราวในนิยายวายที่เคยอ่าน ผู้ชายหน้าตาดีที่ผิดหวังกับความรักมาเจอผู้ชายอีกคนที่เข้าใจและพร้อมอยู่ข้างๆ กูคิดแล้วก็ก็หงุดหงิดตัวเองว่ะ หงุดหงิดที่ยอมมีอะไรกับมึงก่อนจะได้ออกเดตหรือ...อุ๊บ” ตงฉินดูตกใจไม่น้อยที่ถูกคว้าคอไปประชิดแล้วผมกดริมฝีปากดูดกลืนความหึงหวงอย่างเร่าร้อน คนโง่อย่างผมไม่เคยรู้เลยว่าคุณชายน้ำแข็งอย่างตงฉินนั้นก็รู้สึกแย่กับการข้ามขั้นในความสัมพันธ์ของเรา ผมคิดเข้าข้างตัวเองไปว่าคนอย่างตงฉินไม่คิดอะไรมากหรอกเพราะท้ายที่สุดเราก็ได้เป็นแฟนกัน

“กูขอโทษ ต่อไปกูจะเอาใจใส่มึงให้มากกว่านี้” ผมคว้าร่างสูงมากอด เสียงหัวใจเต้นรัวของอีกฝ่ายดังกระทบใบหู กว่าเขาจะกอดกลับก็ใช้เวลาเกือบนาที แต่ผมไม่สนแล้วว่าเขาจะยังโกรธหรืองอนอยู่ การที่ตงฉินพูดความในใจออกมาแบบนี้ก็ถือว่าผมสามารถทะลายกำแพงที่มองไม่เห็นในใจเขาได้แล้ว

“พรุ่งนี้ไปเดตกันมั้ย” ผมถามเสียงเบา

“หืม” ตงฉินส่งเสียงเป็นคำถามแทนคำตอบ

“ก่อนหน้านี้มึงมีงานจนแทบไม่ได้พัก พอจบจากงานถ่ายละครก็เปิดเทอมแล้ว คิดไปคิดมาพวกเราไม่ค่อยมีเวลาออกเดตเหมือนคนอื่นๆจริงๆด้วยแหละ” ผมเงยหน้าไปมองความหล่อเหลาที่กำลังยิ้มกว้าง

“คำตอบล่ะ” ผมเร่งรัด

“ก็...ไปก็ได้มั้ง” เบื่อเสียจริง ไอ้คนขี้เก๊ก

             พวกเราทั้งคู่ยืนพิงกำแพงรั้วอยู่หลังร้านในความมืดอีกพักใหญ่ สองมือจับกันไว้แน่นราวกับเพิ่งได้จับเป็นครั้งแรก ไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่กลับให้ความอบอุ่นหัวใจจนพองโต

“เสียงใครคุยอะไรกันแว่วๆ” ตงฉินไม่ได้พูด

“หูคนปะเนี่ย ได้ยินอะไรไปเรื่อย” นี่ตงฉินตัวจริงพูด

“จริงๆนะ เสียงคุ้นๆเหมือนพวกไอ้คิ้ว” ผมลากคนตัวโตไปตามทางมืดหลังร้านที่มีประตูเปิดไว้สำหรับพวกขาสูบ พอได้ยินประโยคหนึ่งผมก็หยุดและบอกให้ตงฉินหลบอยู่ข้างหลัง...

“กูทนต่อไม่ไหวแล้วว่ะไอ้ชัย กูรู้สึกผิดจนแทบไม่กล้าสู้หน้าไฟเค้าอีกแล้ว” ผมเดาว่านั่นเป็นเสียงของฉัตรพงษ์

“มึงต้องทน ฟังกูนะไอ้ฉัตร เรื่องทั้งหมด มึงไม่ผิด ที่มึงทำก็เพื่อกู” ฉัตรชัยตอบกลับยิ่งทำให้ผมงงกว่าเดิมเสียอีก

“ใจเย็นๆก่อนฉัตร มึงทำดีที่สุดแล้ว อย่าคิดมาก” เสียงไอ้คิ้วให้กำลังใจก็ยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจหนักกว่าเดิม ทำไมพี่น้องสองฉัตรกับไอ้คิ้วพูดจาแปลกๆ แถมใบหน้าของฉัตรพงษ์ก็ย่ำแย่กว่าตอนอยู่ในร้านมากเพียงนี้ เรื่องที่พวกนั้นพูดเกี่ยวข้องกับไอ้ทอยแน่นอน

“อย่า” ตงฉินยื้อผมไว้เมื่อเห็นว่าทำท่าจะลุกไปถาม

“ทำไมวะ”

“เชื่อใจกูมั้ย” ตงฉินถามแปลกๆ แต่ผมคิดว่ามันน่าจะรู้อะไรสักอย่างอยู่แล้ว เพียงแต่รอเวลาจะพูดออกมา คนอย่างตงฉินจะไม่พูดเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีหลักฐาน เรื่องในหัวของตงฉินตอนนี้คงไม่พ้นเรื่องที่เราเพิ่งเคืองกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

“อื้อ”

“งั้นตามมา ไม่ต้องพูดอะไร กูจัดการเอง” ตงฉินก้าวขาออกมาจากความมืด เร่งฝีเท้าตรงไปยังสามหนุ่มที่ยืนล้อมวงกับที่เขายบุหรี่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“อะ ไอ้ตง ...”


#### ####

[ตงฉิน]

“เออ กูเอง” หลังจากที่ได้ฟังบทสนทนาทั้งหมด ผมก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้ครบ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมฉัตรพงษ์ถึงได้เสียใจและรู้สึกผิดต่อคนชื่อไฟ(หรือทอย)มากขนาดนี้ แล้วทำไมฉัตรชัยถึงไม่เคยห้ามเวลาที่พี่ชายฝาแฝดของตัวเองเทียวไปเทียวมาเพื่อง้ออดีตคนรักแทบทุกวัน ทั้งๆที่มันอยู่ในเหตุการณ์ที่ทอยหักอกพี่ชายอย่างไม่ใยดี

“มะ มาตั้งแต่ตอนไหน”

“ก็” ผมหันไปสบตากับแฟนที่เพิ่งเคลียร์กันเมื่อกี้ “ตั้งแต่แรก” ได้ผล เพราะทั้งสามคนหน้าซีดเผือด มันยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่ผมคิดไว้ค่อนข้างถูกต้องมากกว่า 75% แล้ว

“พวกมึงมีอะไรจะเล่าให้กูฟังมั้ย” ผมโยนหินถามทาง อย่างน้อยก็ไม่อยากใช้ถ้อยคำบังคับ “ในฐานะเพื่อนสนิท”

“คือ...” ทั้งสามอ้ำอึ้ง ผิดกับฉัตรพงษ์ที่ทำท่าหวาดกลัวผิดสังเกต

“งั้นไม่ต้องเล่า มึงฟังข้อสันนิษฐานจากกูเอาก็ได้ ถ้าตรงไหนไม่ถูก พวกมึงค่อยแย้งเอานะ”

“ตง...”

“กูเคยคิดนะ ว่าทำไมคนหน้าตาหล่อๆแบบฉัตรพงษ์ถึงไม่ตัดใจจากทอยเสียที ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย แต่ยิ่งแปลกใจที่คนห่ามๆแบบมึงน่ะไอ้ชัยกลับไม่เคยโวยวายหรือห้ามสักครั้ง แถมยังคอยเป็นสารถีพาฉัตรพงษ์ไปหาทอยอยู่ไม่ขาด ทั้งๆที่มึงโคตรจะหวงพี่ชาย และออกตัวแทนตลอดเวลาที่พี่ชายมึงทำอะไรแบบนี้” ฉัตรชัยเม้มปากเพราะเถียงไม่ออก

“ปกติแล้ว คนอกหักหรือเลิกกัน ง้อแค่เดือนเดียวก็ถือว่ามากแล้วนะ แต่ฉัตรกลับไม่ยอมหยุด มันยิ่งสะกิดใจเรา” ผมเปลี่ยนสรรพนามเมื่อพูดกับคนหน้าเสีย

“เรื่องมันเกิดขึ้นตอนไหน... ไม่ต้องตอบกูหรอก กูพอจะเดาได้” ผมกอดอกมองทั้งสามคน ในหัวมันแล่นเกินคำพูดไปแล้ว

“อะไรกันวะตง” แฟนผมที่หัวช้ากว่าถามด้วยความงุนงง

“มันเริ่มตั้งแต่ตอนสอบแอดมิชชั่นใช่ไหม”

“ตง” ทั้งสามคนที่เงียบกริบต่างพากันโพล่งชื่อผมเสียงดัง

“แสดงว่าใช่สินะ” ผมมองใบหน้าที่เริ่มผิดแปลกไปของทุกคนด้วยความกระอักกระอ่วน แต่ผมก็ต้องพูดให้จบ

“กูถามจริงๆนะ ที่ผ่านมา พวกมึงเห็นกูเป็นเพื่อนจริงหรือเปล่า” ผมกระตุ้นต่อมโมโหของทุกคน

“ทำไมมึงพูดหมาๆแบบนี้ล่ะวะ” ฉัตรชัยทำท่าเหลืออด

“ใจเย็น” หนึ่งเข้ามาห้ามเมื่อเห็นท่าไม่ดี

“กูปากหมา กูยอมรับ กูแค่ไม่แน่ใจ ว่ามึงเห็นพวกกูเป็นอะไรกันแน่ เพื่อนงั้นเหรอ เพื่อนเค้าไม่โกหกกันนะเว้ย”

“กะ โกหกอะไร” หนึ่งทำหน้างุนงงกว่าเดิม

“โกหกทุกเรื่อง” ผมตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ

“ที่ฉัตรพงษ์รู้สึกผิดกับทอย ไม่ใช่เพราะไอ้ชัยไปทำตัวแย่หลังสอบแอดมิชชั่นหรอก แต่คนที่ทำน่ะ คือตัวนายเองใช่ไหม ฉัตรพงษ์” ผมสบตาคนที่หน้าซีดเหมือนเด็กที่ทำผิดแล้วโดนพ่อแม่จับได้

“เห...” เอกราชอุทานและทำตาโตอย่างไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน

“มะ มึงพูดอะไร” ฉัตรชัยออกตัว

“พูดความจริงไงชัย ความจริงที่พวกมึงรู้และไม่ยอมบอกใคร” คนถูกพาดพิงกำหมัดแน่น จนเพื่อนสนิทอย่างคิ้วต้องคว้าแขนไว้

“กูตะหงิดๆตั้งแต่รู้เกรดของมึงตอนปี 1 แล้วไอ้ชัย ทำไมมันน้อยจนผิดสังเกตขนาดนั้น ทั้งๆที่มึงสอบติดคณะนี้ด้วยคะแนนอันดับต้นๆ” สามคนหน้าซีดและนั่งลงอย่างไม่สนใจว่าจะมีอะไรรองรับตูดอยู่หรือเปล่า

“มึงไม่ใช่คนเรียนเก่ง กูเข้าใจ แต่การที่มึงสอบเข้าที่นี่ได้ต่างหากที่ทำให้กูคิดไม่ตก จนกระทั่งได้ฟังพวกมึงคุยกันเมื่อกี้ มันสะกิดใจกูขึ้นมา” ผมหันไปหาฉัตรพงษ์ที่นั่งลงกับขอบอะไรสักอย่างด้วยท่าทางอ่อนล้า

“วันที่พวกนายเล่าว่าทอยโดนต่อยเพราะไปสารภาพรักผิดคน จริงๆแล้ว” ผมถอนหายใจ “ทอยไม่ได้สารภาพรักผิดคนใช่ไหม”

“....” ใบหน้าของฉัตรพงษ์ขาวโพลนไปแล้วเมื่อโดนผมยิงคำถาม

“ไม่ตอบแสดงว่าจริงสินะ”

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่วะ” หนึ่งยังคงไม่ทัน

“มึงโง่ขนาดนี้เลยเหรอวะไอ้หนึ่ง” ผมด่า แต่ก็หันไปพูดกับทั้งสามคนต่อ “ไอ้ชัย ... มึงให้พี่ชายฝาแฝดมึงเข้าสอบแทนมาตลอดใช่ไหม ไม่อย่างนั้นมึงคงไม่ได้คะแนนดีขนาดนั้น”

“มึงพูดอะไรของมึง” ฉัตรชัยพยายามเสียงดัง แต่เหมือนจะไม่ได้ผลเพราะความอึกอักที่หลุดออกมา

“จนถึงตอนนี้ พวกมึงยังไม่คิดจะเล่าความจริงให้พวกกูฟังอีกเหรอ พวกมึงเห็นกูเป็นเพื่อนจริงๆใช่มั้ยวะ” ผมตวาด

“ตงใจเย็น” แฟนผมคว้าแขนไว้ “ค่อยๆพูด”

“ส่วนมึง ไอ้คิ้ว มึงรู้เรื่องทุกอย่าง ถ้าให้เดานะ มึงเป็นคนคิดแผนนี้ เพราะคนบื้ออย่างไอ้ชัยคงคิดไม่ได้ขนาดนี้หรอก อย่างมากไอ้ชัยมันก็เรียนอะไรที่ไหนก็ได้ แต่มึงเห็นว่าฉัตรพงษ์เรียนเก่งกว่า เลยวางแผนนี้เพราะรู้ว่ายังไงพี่น้องเค้าก็ต้องช่วยกัน”

“จริงเหรอวะ” หนึ่งช็อกไปแล้ว

“แผนของพวกมึงไม่มีใครจับได้ เพราะหน้าตาของพวกมึงคล้ายกันมากจนแทบแยกไม่ออก แต่วันสอบวันสุดท้าย ดันเจอปัญหาใหญ่ขึ้นมา เพราะทอยจำแฟนตัวเองได้ นายหลอกทอยว่าติดสอบอีกที่หนึ่ง แต่ความจริงแล้วนายไม่ได้สมัครสอบตั้งแต่แรกเพราะนายได้ที่เรียนแล้วตั้งแต่สอบโควต้าของมหา’ลัย ... เราพูดถูกใช่ไหม ฉัตรพงษ์” เรื่องนี้ผมวานเพื่อนที่ไม่ค่อยสนิทกันช่วยไปสืบมาแล้ว คณะเภสัชฯไม่ได้รับนักศึกษาปีละ 400 แบบบริหาร พวกปี 1 เลยรู้จักกันเกือบหมด

“อะ อื้อ” แม้จะกลืนน้ำลายไปก่อนหน้า แต่คำตอบที่หลุดออกมาเหมือนมีบางอย่างตีบตันในลำคอ

“พอเห็นทอยมาทักและจะมาสารภาพรัก พวกมึงกลัวความลับจะแตก จะหมดอนาคตกันทั้งหมด” ผมกวาดสายตามองเพื่อนทุกคนอีกครั้งอย่างอ่อนล้า ทั้งที่ไม่อยากทำแบบนี้ แต่ผมก็ไม่พอใจที่ทุกคนยังวนเวียนและลากแฟนผมไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้น ความอดทนคนเรามันมีขีดจำกัด แล้วคนที่ไม่เคยอดทนกับอะไรได้นานๆแบบผมเลยมีขีดจำกัดที่ค่อนข้างต่ำ

“ตอนนั้น นายเลยต้องทำเป็นว่าตัวเองเป็นฉัตรชัย นายเป็นคนฉลาด ย่อมรู้ดีว่าถ้าน้องชายตัวเองเจอแบบนี้ต้องทำยังไง ... แล้วนายก็ทำแบบนั้นจริงๆ นายต้องปกป้องฉัตรชัย มันเลยเกิดเรื่องเพราะนายคือคนที่ต่อยแฟนตัวเองและด่าอย่างไม่มีชิ้นดี ... ใช่ไหมฉัตรพงษ์”

“ห๊ะ” หนึ่งตกใจจนปากค้างไปอีกแล้ว

“เราคิดว่าทอยรู้ว่าคนที่ต่อยตัวเองคือใคร ทอยเองก็ฉลาดและปะติดปะต่อเรื่องทุกอย่างได้ไม่ยาก เลยตัดสินใจหนีไปที่อื่นและยื่นคะแนนคณะอีคอนแทนที่จะเป็นเภสัชฯ เพราะทอยยังรักนายอยู่เสมอ แต่คงทำใจไม่ได้ ถ้ามาเจอกันอีกคนที่เจ็บก็คงไม่พ้นทอย รายนั้นเลยต้องหนี แต่พวกนายต่างไม่รู้ว่าสอบติดที่มหา’ลัยเดียวกัน” ฉัตรพงษ์ขอบตาแดงและเริ่มมีน้ำใสๆหยาดรินลงมา

“แต่ใครจะคิด ว่าพวกนายจะกลับมาเจอกันอีก เพราะทอยกับไอ้หนึ่งเรียนวิชาเดียวกันเลยรู้จักกัน การที่ไปเจอกันที่ร้านหมูกระทะทำให้เรื่องที่ทุกคนพยายามปกปิดกลับมาอีกครั้ง ตอนนั้นทอยเลยต้องรีบหนีออกไป” ผมหยุดหายใจ

“แต่ทอยยังคงรักนายอยู่แต่คงทำใจไม่ได้ที่แฟนตัวเองใช้ความรู้แบบผิดๆ ถึงแม้จะรัก แต่ให้อภัยคงยาก แถมนายยังเข้าหาเรื่อยๆจนทอยต้องหันมาสนิทกับหนึ่งเชิงชู้สาวเพื่อใช้หนึ่งมากันท่าให้นายเลิกตามตื๊อ เพราะทอยเองอาจกลัวว่า เขาอาจจะไม่หายโกรธและหลุดเรื่องนี้ออกมา...ท้ายที่สุด ทอยมันก็ยังแคร์มึง”

“ม่ะ หมายความว่า กะ กูโดนหลอกใช้เหรอ” หนึ่งหน้าเสีย ตอนพี่เจดหลอกใช้ยังไม่ค่อยคิดมาก แต่กับไอ้ทอยแล้วมันต่างกัน

“กูเดาเองนะ แต่ก็ไม่น่าจะผิดไปจากนี้” ผมตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่คงกอบกู้ความรู้สึกของเขากลับมาไม่ได้แล้ว

“หนึ่งเคยบอกว่า ทอยอินดี้ ไม่ชอบเป็นจุดสนใจ แต่กลับไปแคสติ้งซี่รี่ย์ มันยิ่งมากวนใจกูอีกรอบ ตอนนี้กูเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไร เพราะมึงคอยยุทอยใช่ไหมไอ้คิ้วแล้วขอให้ไอ้ชัยและฉัตรช่วยอีกแรง มึงคิดว่าทอยคงหลงรักไอ้หนึ่งจริงๆเลยพยายามให้ทอยกลับมาอยู่กับมัน ทั้งที่ความจริงแล้ว ทอยมันไม่เคยเลิกรักนายเลยนะฉัตร”

“นายรู้ได้ยังไง” คิ้วกับฉัตรพงษ์ถามขึ้นมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

“หรือว่านายไม่รู้ การที่ทอยมาแคสติ้งเป็นนักแสดง คือสิ่งที่ทอยอยากทำจริงๆหรือเพราะคำพูดของใครกันแน่” ได้ผล เมื่อฉัตรพงษ์เงียบกริบด้วยสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก “การที่ทอยทำแบบนั้นเพื่ออยากเอาใจนาย ตามใจนาย แต่นายดันไม่รู้”

“มึงมั่วรึเปล่าไอ้ตง ไอ้ฉัตรมันรักไอ้ทอยจะตาย ทำไมต้องผลักไสให้ไปหาไอ้หนึ่งด้วยล่ะ” ไอ้คิ้วที่เงียบมาตลอดถาม

“กูก็บอกไปแล้วไง ว่าไอ้ฉัตรมันรักไอ้ทอย แต่มันก็รู้สึกผิดเรื่องที่เคยทำไว้ มันคงไม่มีหน้าไปยื้อหรอกโดยเฉพาะถ้ามีพวกมึงทั้งสองคนคอยยุแยงให้ทำแบบนั้น การไล่ไอ้ทอยให้เข้าใกล้ไอ้หนึ่งเพราะคิดว่าไอ้ทอยรักไอ้หนึ่งจริงๆ มันคงดีกว่า เพราะถ้าสองคนนี้ลงเอยกัน พวกมึงคงคิดแผนไว้แล้วว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ไอ้หนึ่งฟัง และขอร้องไอ้หนึ่งให้ช่วยดูแลไอ้ทอยให้ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับ”

“จะ จริงเหรอวะ” แฟนผมหน้าเสียยิ่งกว่าตอนที่ผมดุซะอีก

“ไอ้หนึ่งมันเป็นคนดี พวกมึงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี มีอะไรมันก็คอยทุ่มเทช่วยเหลือเพื่อนแบบไม่ลืมหูลืมตาอยู่แล้ว การทำแบบนี้ก็เพื่อรักษาอนาคตของพวกมึงไว้ แม้แต่ฉัตรพงษ์เองก็ต้องยอมปล่อยมือจากทอย เพราะความรักมันกินไม่ได้ แต่ถ้าสูญเสียเรื่องการเรียนมันเสียหายหนักกว่าหลายเท่า”

“พวกมึง...” หนึ่งมีสีหน้าโกรธจัด

“แต่พอเกิดเรื่องกับทอยอีกครั้ง คราวนี้นายยิ่งรู้สึกแย่ที่เป็นคนผลักใสคนที่ตัวเองรักตกนรกทั้งเป็นถึงสองครั้งสองครา นายเลยทำเป็นไปงอนง้อขอโทษทอย ทั้งที่ความจริงแล้ว นายแค่ไปคุมไม่ให้ทอยพูดความจริงออกมาต่างหาก”

“พวกมึง ทำแบบนี้ได้ไงวะ ไอ้ทอยก็เพื่อนมึงนะ ไอ้ฉัตร ไหนมึงบอกว่ามึงรักมันนักหนาไงวะ ไอ้เหี้ย!”

“ใจเย็นก่อนหนึ่ง” ผมคว้าตัวแฟนเอาไว้ ขืนปล่อยไปคงมีเรื่องปะทะกันอีก ใบหน้าของหนึ่งแดงก่ำไปด้วความโกรธ ขณะที่ฉัตรพงษ์ร้องไห้ไม่หยุด ฉัตรชัยเม้มปากจนห้อเลือด ส่วนศิระหรือไอ้คิ้วก็ทำสีหน้าแบบคาดเดาไม่ถูก

“กูถามพวกมึงนะ ที่ผ่านมา พวกมึงเคยคิดว่าพวกกูเป็นเพื่อนจริงๆมั้ย” ผมถามเสียงราบเรียบ แต่ก็ไม่ยืนรอคำตอบ เพราะอยากพามนุษย์แฟนที่หน้าเสียเพราะโดนหลอกใช้ไปให้พ้นจากตรงนี้ ... หนึ่งคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองนั้นซื่อมากแค่ไหน มองตรงๆ พูดตรงๆ ทุ่มเทให้คนอื่นอย่างจริงใจ แต่คนอื่นมันโหดร้ายกว่าที่เราคาดคิดไว้มากนัก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ถูกคนอื่นหลอกใช้เช่นนี้หรอก ไม่ว่าจะเป็นคนชื่อเจด รวมถึงไอ้ชัยและไอ้คิ้ว...





ภาพประกอบมิได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในนิยายตอนนี้แต่อย่างใด

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
โอ้...ตงฉินหรือโคนัน เห็นเฉยๆเก็บรายละเอียดมาครบทุกเม็ดเลย งานนี้คนที่น่าสงสารที่สุดคงเป็นน้องหนึ่งคนซื่อสินะ

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
โอ้...ตงฉินหรือโคนัน เห็นเฉยๆเก็บรายละเอียดมาครบทุกเม็ดเลย งานนี้คนที่น่าสงสารที่สุดคงเป็นน้องหนึ่งคนซื่อสินะ

โคนันมาเองเลยครับ  :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 44. มิตรภาพที่สั่นคลอนกับความลับของตงฉิน

   ปีที่แล้วในวันแรกของการรายตัวสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของคณะบริหารธุรกิจค่อนข้างวุ่นวายเพราะคนจำนวนมาก แต่ละคนมาจากต่างสถานที่ต่างโรงเรียน บ้างก็มาจากต่างจังหวัด ทางคณะจึงต้องมีรุ่นพี่มาคอยช่วยเหลือในเรื่องการเอกสาร การจัดแถวหรือทำกิจกรรมสันทนาการเล็กๆน้อยๆเพื่อให้เด็กใหม่ไม่รู้สึกแปลกแยก

“มึงมองหาใครวะไอ้หนึ่ง” เอกภาพในชุดนักเรียนถูกระเบียบถามน้องชายที่ชะเง้อคอยาวเป็นกะเหรี่ยง

“ก็หาไอ้หล่อนิสัยเสียนั่นไง มันบอกว่าถ้าถึงแล้วให้ไลน์หา กูไลน์ไปหลายรอบละยังเงียบกริบ” ผมนายเอกราช นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของคณะบริหารธุกิจกำลังยืนงงในดงผู้คนอย่างหลงทิศ ไอ้คนที่ชวนให้ไปเป็นรูมเมตที่คอนโดด้วยนัดให้มาเจอกันที่หน้าคณะเวลานี้ แต่เจ้าตัวกลับหายเงียบ

“ไวไฟนะมึง เห็นคนหล่อเป็นไม่ได้” ผมไม่ตอบได้แต่ชูนิ้วกลางให้พี่ชายคนสนิท

“โทรไปก็ไม่รับ ดี๊ดีนะมึง” ผมบ่นใส่โทรศัพท์ วันนี้ปีหนึ่งมารายงานตัวกันก่อน อีกสองสามวันถึงจะเป็นวันประชุมผู้ปกครอง การรายงานตัวก็เพื่อยื่นเอกสารยืนยันว่าจะมาเรียนที่นี่จริงๆ ต้องเตรียมอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างจนหงุดหงิด แต่ยิ่งงุ่นง่านที่คนที่นัดไว้ยังไม่มา

“บ่นมากทำไมวะ มันไม่มาเราก็เข้าไปนั่งรอตรงนั้นก่อนก็ได้” ไอ้โทลากผมเข้าไปที่ลานใต้ถุนคณะที่เต็มไปด้วยผู้คนที่สวมชุดนักเรียนปะปนกับพวกรุ่นพี่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อย เสียงโหวกเหวกผ่านโทรโข่งเพื่อเตรียมเข้าแถวดังแข่งกับเสียงพูดคุยกัน คนที่มาจากโรงเรียนเดียวกันเหมือนจะจับกลุ่มคุยกันเป็นกลุ่มใหญ่จนไม่กล้าเข้าไปแทรก พวกเราทั้งสองคนเลยยืนแกร่วท่ามกลางคนแปลกหน้า พอได้ที่นั่งก็หย่อนตูด หยิบเอกสารมาเช็คความเรียบร้อยอีกครั้ง

“เออ นายมีลิขวิดปะ” อยู่ๆเสียงทักแบบกันเองก็ดังขึ้นมา

“มีๆ แป๊บนะ หาก่อน” ผมควานหาในเป้ใบเก่าก่อนจะยื่นสิ่งนั้นออกไปให้

“ขอบใจ เราฉัตรนะ ฉัตรชัย นี่ไอ้คิ้วเพื่อนเรา” ใบหน้าเปื้อนสิวของคนขอยืมของแนะนำตัว

“อ้อ เออ เราหนึ่ง นี่โทพี่ชายเรา” ผมแนะนำตัวกลับ

“ทำไมน้องชื่อหนึ่ง แล้วพี่ชื่อโทวะ” โท แปลว่า สอง

“อ๋อ ลูกพี่ลูกน้องน่ะ เราเป็นลูกคนโต แต่ไอ้โทเป็นลูกคนที่สองของป้าเรา” ผมอธิบาย

“อ๋อ ไม่บอกนี่งงตายห่.. เอ๊ย โทษทีๆ” คนชื่อฉัตรชัยเกือบหยาบใส่

“ไม่เป็นไร พูดมึงกูก็ได้ พวกกูไม่ติด” ผมเสนอ

“เออ ดีหน่อย จะได้ไม่ต้องสร้างภาพ”

“มึงมาจากไหนวะ”

“มาจากโรงเรียน xxx น่ะ แป๊ะนะ กูแก้เอกสารก่อน”

“อืม แล้วนายล่ะ ชื่อคิ้วใช่ปะ” ไอ้โทหันไปคุยกับอีกคนหนึ่งที่กำลังง่วนกับการตรวจเอกสารเช่นกัน ...

แล้วบทสนทนาอีกมากมายของพวกเราเริ่มต้นจากตรงนี้...

RRRRRRRRRRRrrrrrrrrr

[อยู่ไหน ทำไมไม่รอหน้าคณะ] เสียงเข้มๆดุมาตามสัญญาณโทรศัพท์ ขนาดไม่เจอหน้ายังจินตนาการออกเลยว่าหน้าบูดอยู่

“กูรอแล้ว แต่มึงไม่มาซะที ไลน์ไปก็ไม่ตอบ แถมกูร้อน” ผมตอบอย่างหงุดหงิด ตอนนี้ไอ้โทกับเพื่อนใหม่ต่างคุยกันสนุกเพราะชอบอะไรคล้ายๆกัน อย่างน้อยก็ฟุตบอล ทั้งสามนัดกันไปดวลลำแข้งที่สนามแล้ว

[กูถามว่าอยู่ไหน] ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ผมชะโงกไปดูที่หน้าคณะ เห็นคนตัวสูงลิบๆกำลังหน้าบึ้งจริงด้วย แต่ก็ยังคงรักษาภาพพจน์ดาราหนุ่มอยู่ดี พวกรุ่นพี่และเด็กร่วมรุ่นต่างมองตาเป็นมัน ออร่าคนหล่อนี่มันรุนแรงจริงๆ

“ลานใต้ถุนคณะ มึงล่ะ” แกล้งถามไปงั้นแหละ

[เดี๋ยวเจอกัน] แล้วบทสนทนาก็จบแค่นี้เมื่อมันวางสายไป

“คิดว่ามึงหล่อมากรึไงห๊ะ มารยาทถึงไม่ต้องมีก็ได้” ผมด่าใส่มือถือตัวเองอีกรอบ

“มึงด่าใครวะ” ไอ้คิ้วที่เพิ่งสนิทกันถามขึ้นมา มันคิ้วสมชื่อจริงๆนะ Cute ที่แปลว่าน่ารักอะ ... มันไม่ได้สวยหวาน แต่มันคมๆเข้มๆ ออกแนวผู้ชายที่ควรจะหล่อ แต่จะพูดว่าหล่อก็กระดากปาก เพราะเบ้าหน้ามันน่ารัก มองแล้วใจสั่นนิดๆ แต่ขอโทษทีผมไม่ชอบสายนี้ ขอแบบขาวตี๋หล่อๆแบบตงฉินก็พอ ... ไม่ได้หวังสูงไปใช่ไหม

“ด่าไอ้คนนิสัยเสียน่ะ โน่นไง เดินมาแล้ว” ผมพยักเพยิดหน้าไปยังร่างสูงที่เดินมากับออร่าแผ่กระจาย เสียงอึกทึกที่เคยมีกลายเป็นเงียบกริบพร้อมสายตาที่พุ่งเป้าไปยังดาราหนุ่มอย่างสนอกสนใจ แต่อีกฝ่ายกลับเดินมาดนิ่งอย่างไม่สนโลกภายนอกก่อนจะมาจบตรงที่พวกเราทั้งสี่คนยืนอยู่ ประชาชนที่เคยจับๆจ้องๆมันอยู่หน้าคณะต่างกรูเข้ามาแถวนี้จนเนืองแน่น

“เออพวกมึง นี่ตงฉิน” ผมแนะนำ “ตงฉิน นี่ไอ้คิ้ว นี่ไอ้ฉัตร”

“หวัดดี” ตงฉินตอบหน้าเรียบแบบไม่เป็นมิตร หน้าตาเหมือนคนเพิ่งตื่นหรือไม่ก็แฮ้งก์

“หวัดดี เราขวัญนะ เป็นเพื่อนสนิทตงฉิน” ผู้หญิงหน้าตาสวยใสส่งเสียงทักทายขึ้นมา ผมยอมรับว่าไม่เคยแลสายตามองเลย ถ้าไม่มากับตงฉินผมคงไม่ทันสังเกตการมีตัวตนของเธอ แต่พี่ชายผมหน้าแดงไปแล้วตอนนี้

“สะ สะ สวัสดีครับ ผมโทครับขวัญ” เห็นมั้ย ไอ้โทเขินจริงด้วย ขวัญใจยิ้มและทักทายกลับ สองหนุ่มที่นั่งด้วยก็เช่นกัน

“เห้ย นี่ตงฉิน ตงฉินที่เป็นดาราใช่ปะ” ฉัตรชัยถามเสียงตื่นเต้น

“อืม” ตงฉินตอบด้วยเสียงราบเรียบ คงจะเจอคำถามนี้รอบที่หลายพัน

“เชี่ย น้องสาวกู เอ๊ย ใช้กูมึงได้ปะ” ตงฉินพยักหน้า ฉัตรชัยเลยพูดต่อ “น้องๆกูชอบมึงมากเลยนะ ไอ้เชี่ย กูโทรไปอวดน้องแป๊บ”

“เว่อร์ชิบหายเลยนะมึงเนี่ย” คิ้วแซว

“เออ แล้วนี่รายงานตัวกันเสร็จรึยังคะ” ขวัญใจถามบ้าง

“ยังเลยอะ เรากำลังแก้ข้อมูลอยู่ ไอ้คิ้วรอเรา ส่วนไอ้หนึ่งกับไอ้โทไม่รู้ เพิ่งเจอกัน” ฉัตรชัยคือคนที่พูดมามาตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน

“อ๋อ ไหน ขาดเหลืออะไรกันบ้าง เดี๋ยวขวัญช่วยดูให้” ไอ้โทรีบยื่นเอกสารของตัวเองตัดหน้าคนอื่นอย่างน่าหมั่นไส้ ผมส่งสายตาแซวอย่างกรุ้มกริ่มจนไอ้พี่ชายตัวดีต้องส่งสายตาดุๆมาให้

....แล้วพวกเราทั้ง 6 คนก็เริ่มต้นมิตรภาพกันในวันนั้น....


#### ####

             ผมเคาะนิ้วกับประตูรถแท็กซี่ฝั่งผู้โดยสารอย่างเลื่อนลอยหลังจากได้ฟังสิ่งที่ตงฉินพูดเมื่อไม่นานมานี้ ไอ้ความรู้สึกหวิวโหวงแบบนี้มันหมายความว่ายังไงก็ไม่รู้ มีสิ่งเดียวที่คิดออกก็คือ ที่ผ่านมาทุกคนจริงใจกับผมบ้างไหม มิตรภาพที่มีมันเป็นความจริงงั้นหรือ

หมับ ... ตงฉินที่นั่งติดกันไม่พูดอะไรสักคำตั้งแต่เดินออกมาจากหลังร้าน ตอนนี้กลับใช้มือเย็นเฉียบมากุมมือผมไว้

“กูไม่เข้าใจ” ผมพูดได้แค่นี้ ถ้อยคำที่เหลือมันจุกในอกไปหมด ตงฉินไม่ได้ถามอะไรออกมา ราวกับว่าปล่อยให้ผมได้ใช้ความคิดอย่างเต็มที่โดยมีเขาอยู่ข้างๆ

             แสงไฟในห้องสว่างแต่ความรู้สึกผมดำมืด มันคงจะเป็นอย่างที่ตงฉินพูดไว้ ผมคงจะดูซื่อบื้อหลอกง่าย จนใครต่อใครพากันอาศัยความโง่เง่านี้เอาเปรียบ ตลอดเวลาผมเข้าข้างพี่เจดและให้อภัยเขาที่ทำท่าเหมือนจะขอคืนดีแล้วกลับมาคบกัน พอรู้ทีหลังว่าผมก็แค่ไม้กันหมา พี่เจดชอบคนอื่นแต่ถูกกีดกันและต้องแยกตัวออกมาทำให้ต้องทำแบบนั้น ผมยังไม่โกรธไม่เกลียดพี่เจดเลยสักนิด (แต่ก็แก้แค้นด้วยการไปมีอะไรกับพี่เคมีในห้องน้ำผับแล้ว)

             แต่การที่เรื่องราวที่ผมคิดว่าน่าเห็นใจจนต้องลงมือลงแรงเข้าไปช่วย ความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงของไอ้ทอย ฉัตรพงษ์และฉัตรชัย กลับกลายเป็นว่าผมคือคนนอกที่แท้จริง พวกเขามีเหตุผลและผมก็เคารพสิ่งนั้น มีสิ่งเดียวที่ไม่เข้าใจคือ ทำไมต้องทำกับผมแบบนี้ ผมทำผิดอะไรนักหนา

“ดื่มอะไรหน่อย” แก้วชาญี่ปุ่นที่ตงฉินซื้อมาตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นวางลงที่โต๊ะเบื้องหน้าส่งควันฉุย น้ำชาสีเขียวขุ่นร้อนได้ที่

“ขอบใจ” ผมหยิบมาดื่มอย่างใจลอย “อ๊ะ ร้อน...”

“เป่าก่อนสิ” ตงฉินไม่ดุเหมือนทุกครั้ง แต่เอื้อมมือมาแย่งแก้วชาร้อนไปเป่า ผมมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างอิ่มใจ ก่อนจะขยับตัวเองไปซบไหล่คนตัวสูง

“รักมึงจัง”

“หืม” ตงฉินตกใจ สงสัยผมไม่เคยบอกรักมันมาก่อน

“ขอบใจนะที่อยู่ด้วยกัน” ผมพูดตามที่รู้สึก

“ก็แฟนกันนี่ ไม่อยู่กับมึงจะให้ไปอยู่กับใคร” มันตอบแบบเก้อเขินและยิ่นแก้วชามาให้ผมจิบ

“กูโง่มากเหรอวะ ทำไม...” ผมถอนหายใจแล้วเปลี่ยนประโยค “พวกมันยังเห็นกูเป็นเพื่อนอยู่มั้ย”

“ถามตัวเองสิหนึ่ง ว่ามึงคิดว่าพวกมันเป็นเพื่อนอยู่ไหม” ผมผละจากไหล่กว้างของแฟนหนุ่มและมาสบตาอย่างจริงจัง

“ทำไมถามแบบนี้ล่ะ” ตงฉินไม่ได้ยิ้ม แต่แววตากลับอ่อนโยนจนใจหวิว

“มึงรู้มั้ย ทำไมกูถึงไม่ค่อยเข้าไปยุ่งกับสองหมูมากนัก” อยู่ๆตงฉินก็ยกเรื่องลูกชายฝาแฝดของตัวเองขึ้นมาพูด

“ไม่รู้ มึงไม่เคยเล่า”

“กูเคยเล่า แต่เล่าไม่หมด เพราะกูไม่รู้ว่าควรจะเล่าให้ใครฟังดีไหม” ตงฉินถอนหายใจและทำหน้าเศร้า

“ถ้ามึงอยากเล่า กูอยู่ตรงนี้”

“อืม ... สองหมูไม่ใช่ลูกของกู”

“ห๊ะ” ผมตาโต ตามความเข้าใจที่มีมาตลอดคือ ตงฉินมีอะไรกับนางแบบชื่อเดซี่จนท้อง พอคลอดออกมาทางพ่อของมันจัดแจงให้พี่สาวคนโตรับเด็กๆเป็นลูกบุญธรรมและกันตงฉินออกมาไม่ให้เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดู ในความคิดของสองหมู ตงฉินคือน้า

“ตอนแรกกูก็ไม่คิดอะไรที่พ่อยอมให้เดซี่เข้ามาอยู่ที่บ้านด้วยในฐานะแม่ของลูก แถมยังเสนองานประจำที่บริษัทให้ทำอีกด้วย เพราะข่าวเรื่องท้องก่อนแต่งมันกระทบกับชื่อเสียง กูก็ได้แต่เออออ เพราะต้นเหตุทั้งหมดของเรื่องก็คือกู แต่มันมีจุดเปลี่ยนที่ทำให้กูสงสัย”

“อะไรวะ” ผมให้ความสนใจเรื่องนี้อย่างเต็มที่

“ตอนนั้นกูก็แค่คิดไปเรื่อยเปื่อย ว่าทำไมเดซี่ดูไม่เกรงใจพ่อกูเลย มีงานป้อนเป็นพรีเซ็นเตอร์แล้วแต่ก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง แต่พ่อกูก็อดทนมาได้ตั้งนานสองนาน จนวันหนึ่งกูเข้าไปในห้องทำงานของพ่อเพื่อหาสูติบัตรของสองหมู ก็เลยพบอะไรบางอย่าง” ตงฉินส่งยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่เจ็บปวด

“กูเจอเอกสารสัญญาที่เดซี่ต้องยกสองหมูให้บ้านกู และห้ามยุ่งเกี่ยวอีก”

“อันนั้นมึงเคยบอกแล้วนี่” ผมจำเรื่องนี้ได้

“อืม แต่กูบอกไม่หมด” มันยังจะมีอะไรหักมุมไปกว่านี้อี๊ก “พอกูได้อ่านเอกสารก็สับสน แต่เห็นลายเซ็นของเดซี่แล้วก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมพ่อต้องพยายามกีดกันเดซี่ออกไปทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ยอมทนมาตลอด ที่พ่อกูทนก็เพราะเดซี่ยังไม่เซ็นเอกสารยินยอม กูไม่รู้ว่ามันจะมีผลทางกฎหมายหรือเปล่านะ แต่ท่าทีของพ่อเปลี่ยนไปตั้งแต่วันนั้น และไม่นานเดซี่ก็หายไปจากชีวิตพวกเรา”

“...” ฟังแล้วเหมือนนิยายไม่มีผิด

“กูยังเด็ก ตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจอะไรมากหรอก แต่กูก็มีเรื่องคาใจ เลยขอให้ญาติคนหนึ่งของกูช่วย”

“ช่วยอะไรวะ”

“ตรวจดีเอ็นเอ”

“ห๊ะ” ผมอึ้งอีกรอบ

“กูเอาตัวอย่างดีเอ็นเอของสองหมูกับของกูไปขอให้อาหมอพรรณรายช่วยส่งตรวจ” พี่เอกภพแฟนของพี่ต่อพงษ์ก็รู้จักคุณอาคนนี้ของตงฉิน “รู้มั้ย ผลตรวจออกมาว่าไง”

“ว่าไง...”

“สองหมู ไม่ได้เป็นลูกของกู แต่ผลตรวจออกมาตรงกันว่าเป็นพี่น้อง”

“ฮื้ออออออออออออ” ผมถึงขั้นไปไม่เป็น “พี่น้อง แบบพี่ต่อ พี่แก้วน่ะเหรอ”

“ใช่ แบบนั้นแหละ พี่น้องต่างแม่” ใบหน้ายิ้มนั้นฉาบความเจ็บปวดอย่างน่าสงสาร

“ม่ะ หมายความว่า”

“อืม สองหมูเป็นลูกแท้ๆของพ่อกูกับเดซี่ ไม่ใช่ลูกกู”

“ละ แล้ว...” ในหัวผมมีอีกร้อยคำถาม แต่ไม่รู้ว่าควรถามอะไรก่อนดี

“กูไม่เคยบอกใคร มึงเป็นคนแรก”

“แล้วพี่ต่อ”

“กูไม่กล้าเล่า กูไม่รู้ว่าพ่อวางแผนเรื่องนี้ตอนไหน แล้วแม่กูรู้เรื่องด้วยหรือเปล่า ถ้าแม่ไม่รู้เรื่องแล้วรับไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น กูกลัวไปหมด แม่กูก็ไม่ค่อยแข็งแรง จะปรึกษาพี่ต่อก็ไม่อยากเอาเรื่องแบบนี้ไปกวนใจ แค่นี้พี่ต่อก็ยุ่งจนไม่รู้จะยุ่งยังไงแล้ว”

“ละ แล้ว พี่แก้วล่ะ...”

“หึ” ตงฉินส่งเสียงประชด “กูคิดว่าพี่แก้วร่วมมือกับพ่อมาตั้งแต่ต้น” ผมชาวาบไปทั้งตัวเมื่อได้ฟังเรื่องราวที่ไม่คาดคิด ชีวิตคนรวยมันน้ำเน่ายิ่งกว่าละครเสียอีก

“...” พูดไม่ออก

“ตอนนั้นกูก็มีคำถามร้อยแปดในหัว แต่กูดันเข้าใจสิ่งที่พ่อกูทำนะ แกคงเห็นแล้วว่ายังไงกูก็ไม่ได้ชอบผู้หญิง ส่วนพี่ต่อก็หมกมุ่นกับการตามหาคนขับแท็กซี่จนไม่สนใจจะหาลูกสะใภ้เข้าตระกูล คนจีนหัวเก่าแบบพ่อกูจะหวังพึ่งใครได้ล่ะ เขาไม่ยอมให้นามสกุลของตัวเองจบแค่รุ่นนี้หรอก มันจะอะไรนักหนา ก็แค่เสถียรภาพไพบูลย์” ผมกุมสองมือคนหน้าเศร้าไว้แน่น

“กูขอโทษที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน” คิดแล้วรู้สึกแย่ชะมัด ผมคิดมาตลอดเลยว่าชีวิตตงฉินแสนสบาย

“รู้มั้ย กูคิดมาตลอดนะ ว่าพ่อทำแบบนี้ พ่อเห็นว่ากูเป็นลูกบ้างมั้ย เหมือนมาหลอกใช้...” ตงฉินหยุดพูดและโน้มศีรษะมาซบที่ไหล่ ละอองอุ่นที่หยดมาจากดวงตาร่วงบนหลังมือของผมที่กุมมือใหญ่ไว้ ตงฉินไม่ได้สะอื้น แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความเศร้านี้

“กูนั่งคิดเรื่องนี้อยู่นานเป็นปี จนสุดท้ายกูก็ตอบตัวเองได้ว่าที่ควรถามไม่ใช่เรื่องที่ว่าพ่อยังเห็นกูเป็นลูกอยู่ไหม เพราะความจริงเขาก็คือพ่อของกู แต่สิ่งที่ควรถามมันควรจะเป็นคำถามนี้...”

“ถามว่าอะไร” เมื่อเห็นอีกคนทิ้งช่วงผมจึงถามออกไป

“... กูควรเห็นเขาเป็นพ่ออยู่ไหม ... เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของกู 100% แต่มันก็กระทบกับตัวตนของกูอยู่ไม่น้อยจนเป๋ไปเป็นปี แล้วรู้มั้ย สุดท้ายกูก็ตอบตัวเองออกไปโดยที่ไม่ต้องคิดว่า ใช่ กูยังเห็นเขาเป็นพ่อเหมือนเดิม”

“ทะ ทำ...” ผมเกือบจะถามไปละว่าทำไม ถามให้ได้อะไรเพราะพ่อลูกยังไงก็ตัดกันไม่ขาด ไม่ว่าไอ้ตงจะคิดแบบนั้นออกมา แต่ความจริงมันก็คือความจริงเป็นยังค่ำ

“มันอาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องของมึงกับไอ้ชัยเท่าไหร่นะ แต่มึงจำที่กูถามก่อนหน้านี้ได้มั้ย” ผมนั่งนึก...

“ที่ว่า กูคิดว่าพวกนั้นเป็นเพื่อนอยู่มั้ยน่ะเหรอ”

“อืม” แล้วตงฉินก็เลื่อนใบหน้าออกและชักมือออกมาปาดน้ำตา ขอบตาแดงก่ำไม่มีรอยยิ้ม

“แบบที่มึงคิดเรื่องพ่อ...” ผมส่งสายตาไปถามอย่างไม่เข้าใจ “มันคนละอย่างเลยนะตง นั่นพ่อ นี่เพื่อน..”

“ไม่หรอกหนึ่ง มันเรื่องเดียวกัน” ร่างสูงขยับมาใกล้ คราวนี้ซบลงที่หน้าอกเพื่อออดอ้อนราวกับเด็กน้อย

“มันไม่ใช่เรื่องคำถามหรือสิ่งที่คิดหรอกนะ แต่มันเป็นแค่เรื่องง่ายๆที่คนมักจะลืมกันมากกว่า”

“เรื่องง่ายๆ” ผมทวนคำ ยังไม่หายงุนงง

“อื้ม เรื่องง่ายๆ อย่างที่กูผ่านมาได้เรื่องพ่อกับเดซี่ไง” ยิ่งพูดก็ยิ่งงง เมื่อเห็นว่าผมไม่ถามต่อ ตงฉินก็เลยเฉลยออกมา

“ให้อภัย” เขาจับไหล่ผมแน่น “กูแค่ให้อภัยในเรื่องที่มันเกิดขึ้น ก็แค่นั้น”

“มึงจะให้กูให้อภัยพวกนั้น...”

“เปล่า กูไม่ได้คิดแทนมึง ถ้ามึงจะโกรธ เกลียด น้อยใจหรือจะอะไรกับไอ้ชัยไอ้คิ้วรวมไปถึงไอ้ทอยก็แล้วแต่ กูไม่มีสิทธิ์ไปคิดแทนหรอก ไม่ได้ขอร้องให้มึงให้อภัยแทนพวกนั้นด้วย...” ตงฉินกระชับอ้อมกอดและขยับตัวไปมา ผมได้สติจึงเข้าไปกอดร่างสูงใหญ่ที่ทำตัวตะมุตะมิไว้แน่น

“กูแค่บอกมึงเฉยๆ ว่าถ้ามึงจะก้าวข้ามเรื่องนี้ มึงก็แค่ให้อภัย ส่วนจะกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกมั้ย กูแล้วแต่มึง กูแค่อยากให้มึงวางหินที่ทับตัวมึงลงกับพื้น แล้วมึงจะรู้ว่าความเบาสบายเป็นยังไง” ตงฉินไม่เคยทำให้ผมหยุดทึ่งในตัวเขาเลยจริงๆ


#### ####

             แสงไฟในห้องมืดมิดไปนานแล้ว แต่ผมยังนอนไม่หลับ ความคิดตีรวนในหัวไม่หยุดหย่อน มือถือสั่นระงมมาตั้งแต่ตอนที่กลับมาถึงคอนโดยังไม่หยุดสั่นจนกระทั่งตอนนี้ ผมรู้ว่าพวกนั้นคงพยายามติดต่อมา แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะพูดอะไรกับใครทั้งนั้น

“นอนไม่หลับเหรอ ขยับจนเตียงสั่นแล้วเนี่ย” ตงฉินส่งเสียงหงุดหงิดมาถาม รายนั้นนอนนิ่งมาตลอด

“อืม ตื่นเลยเหรอ ขอโทษที”

“คิดมากอยู่ใช่ปะ”

“ทำนองนั้น” ผมยอมรับ “แต่ยังไม่ง่วงมากกว่า”

“ก็คิดมากจนนอนไม่หลับไง พูดให้งงทำไม” ตงฉินหาว

“นอนเถอะ เดี๋ยวกูไปนอนห้องเล็กจะได้ไม่กวนมึง”

“ไม่ต้องไปหรอก กูมีวิธีให้มึงง่วง”

“ไม่เอานมอุ่นนะ”

“ใครบอกว่านมอุ่นกัน” ในความมืด ตงฉินผุดลุกมานั่ง ผมเห็นเงารางเลือน และนั่นยิ่งทำให้ผมตาสว่าง

“ทำอะไรน่ะ” ถึงจะเห็นว่าตงฉินกำลังทำอะไรแต่ก็ยังไม่วายจะถาม

“ถอดเสื้อผ้าไง มากูช่วย” กลายเป็นว่าผมกำลังโดนแฟนตัวเองปลุกปล้ำ “นมอุ่นๆจะสู้ความอุ่นในตัวกูได้ปะล่ะ”

“มึงหาเรื่องเจ็บตัวเองนะ” ตงฉินไม่ตอบ มีแต่เสียงหัวเราะดังขึ้นมาก่อนที่ผมจะโถมตัวเองคร่อมกับคนขี้อ่อยทันที...

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด