เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 50 P.7 Up 6 ก.ค. 64
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 50 P.7 Up 6 ก.ค. 64  (อ่าน 28824 ครั้ง)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ตงฉินเจอเรื่องราวอะไรมาเยอะจัง ชีวิตไม่ได้สุขสบายเลยน้อ แถมยังต้องมาเป็นยานอนหลับให้หนึ่งอีก  o18

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.


ตอนที่ 45. ปล่อย

             คำพูดสวยหรูกับความเป็นจริงมันแตกต่างกันเสมอ เราไม่มีทางที่จะเข้าใจประโยคปลอบใจได้ครบ 100% นอกเสียจากว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตเราโดยตรง ... ความหมายง่ายๆที่ผมจะสื่อก็คือ ถ้าคุณคือคนนอก คุณย่อมมีคำปลอบใจให้ แต่คนที่เจอเรื่องนั้นกับตัวมันยากที่จะทำใจได้แค่ชั่วข้ามคืน

“หน้าหงอยเป็นหูดหมาเลยนะมึง”

“ปากหมาแต่เช้าเลยไอ้สัส” ใครบอกว่าไอ้หนึ่งจะยอมโดนด่าแล้วปล่อยผ่าน กวนมากวนกลับไม่โกง ตงฉินนั่งเงียบอยู่ที่โต๊ะเรียนซ้ายมือของผม คนปากหมาที่เพิ่งทักทายมาคือไอ้โทที่นั่งลงฝั่งขวาโดยมีขวัญใจ ยุนอา วาวานั่งคั่นปล่อยให้ฉัตรชัยและคิ้วอยู่ห่างออกไป มีบางวิชาที่ต้องเรียนร่วมกัน ห้องสโลปขนาดใหญ่คลาคล่ำไปด้วยนักศึกษาที่ส่วนใหญ่เป็นชั้นปีที่สอง

“ไอ้ตงเป็นอะไรวะ ทำไมดูง่วงๆ” ร้อยวันพันปีไอ้โทจะถามความเป็นไปของแฟนผมสักที วันนี้ฝนน่าจะตกหนัก

“ก็เหมือนเดิม ห้องเชียร์ ดูซ้อมหลีด ดูแลความเรียบร้อยเดือนคณะก่อนขึ้นเวที” ยังมีเรื่องที่ผู้จัดเพิ่งติดต่อให้กลับไปเล่นซีรี่ย์เรื่องใหม่ด้วยที่ผมไม่อยากจะพูดออกไป

“ใครว่าเกิดมาหล่อแล้วจะสบายวะ” ดูปากมันสิ

“มิน่า กูเลยลำบาก” คำพูดผมเองครับแล้วไอ้พี่ชายมันก็ทำหน้ายู่

“แล้วมึงเอาไง เรื่องที่บ้าน” ไอ้โทถามเหมือนไม่รู้จักกัน แต่ก็นั่นแหละ ด้วยความที่เป็นญาติสนิท เรื่องมันเกิดมาแล้วก็ต้องอยากรู้เป็นธรรมดา ผมรับรู้ถึงน้ำเสียงห่วงใยของพี่ชายตัวดีอยู่แต่ก็ไม่อยากจะทำเป็นซึ้ง เพราะมันไม่ชิน

“ก็ไม่เอาไง เดี๋ยวอีกสามสี่เดือนพ่อกูย้ายกลับมาประจำที่สำนักงานใหญ่ น้องๆกูก็อยู่ ไม่น่าห่วง”

“ไม่ห่วงจริงเหรอวะ นั่นแม่มึงนะ”

“ก็เพราะเป็นแม่กูไงถึงไม่น่าห่วง แม่กูไม่ต้องไปนอนผ่าตัดเหมือนแม่มึงซะหน่อย” ปีที่แล้วคุณอาของผม(หรือแม่ของไอ้โท) ผ่าตัดนิ่วที่ไตแล้วมีอาการแทรกซ้อนเพราะลิ่มเลือดแข็งตัวขวางทางเดินปัสสาวะจนต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่นาน

“แต่...”

“ไอ้โท แม่กูแค่ท้อง ไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย”

“หืม อะไรนะ” ตงฉินลืมตาหันมามองและถามด้วยใบหน้าที่บอกว่าไม่น่าเชื่อ

“อ้าว กูยังไม่ได้บอกมึงเหรอ แม่กูท้อง จะสี่เดือนละ ทีแรกนึกว่าเมนส์ไม่มาเป็นปกติ พอไปตรวจเลยรู้ว่าท้อง”

“หืมมมม พ่อมึงเชื้อแรงเอาเรื่องนะ” ไอ้ตงกระซิบข้างหูล้อเลียน คงเป็นช่วงที่พ่อกลับมาบ้านครั้งล่าสุดนั่นแหละ

“สัส พูดมาก”

“แล้วไหวเหรอวะ แม่มึงก็ไม่ใช่สาวๆแล้วนะ”

“มึงว่าแม่กูแก่เหรอวะ แม่กูยังไม่ 50 ด้วยซ้ำ” ถ้านับตามลำดับญาติที่อาจจะงงๆนะครับเพราะกระผมนายเอกราชไม่ค่อยใส่ใจเรื่องแบบนี้เท่าไรนักหรอก ผมขี้เกียจลำดับญาติ ดังนั้นแม่ผมยังสาวอยู่ อย่างน้อยก็สาวกว่าแม่ของมัน(นิดหน่อย)

“แต่แค่นี้ บ้านมึงก็...”

“คนเยอะๆสิดี กูชินแล้ว ไม่เหมือนบ้านมึงมีแค่พี่เอกกับมึง บ้านกูนี่มีไอ้สอง ไอ้สาม แล้วกูคิดว่าในท้องแม่น่าจะชื่อไอ้สี่”

“คนจีนถือนะ คำว่าสี่ไม่ดี” ขวัญใจพูดขึ้นมา “มันคล้ายๆกับคำว่าซี้ที่แปลว่าตายน่ะ” แล้วเธอก็ทำหน้าแหยๆ

             ถูกต้องแล้วครับ ตอนนี้ชีวิตผมมีเรื่องให้ต้องกังวลมากกว่าแค่เรื่องของไอ้ชัย ไอ้คิ้วและไอ้ทอยแล้ว เพราะคุณแม่วัยใกล้เลข 5 ดันโทรมาบอกว่าเพิ่งรู้ตัวว่าตั้งท้องได้ 4 เดือนเมื่อวานนี้เอง เรื่องนี้ทำเอาพวกเราอึ้งกันทั้งบ้าน เพราะแค่นี้ก็ลำบากจะแย่ พ่อทำงานอยู่ไกลเงินเดือนก็น้อย ก็ยังดีที่ทำเรื่องขอย้ายกลับมาตั้งแต่สามปีที่แล้วเพิ่งได้รับการอนุมัติ ที่บ้านก็มีลูกอยู่แล้วสามหน่อ อายุปูนนี้แล้วยังหาเรื่องใส่ตัวไม่เลิก

“สวัสดีครับนักศึกษา เอาล่ะ วันนี้เราจะมาเริ่มเรียน case study เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ถุงยางอนามัยในยุคที่คนไทยส่วนใหญ่ยังมองว่าเป็นเรื่องน่าอายที่จะต้องเดินเข้าไปในเซเว่นเพื่อหยิบหรือบอกกับพนักงานว่าอยากได้...”

.... อาจารย์แม่ง ตอกย้ำสภาพจิตใจอย่างกับตาเห็น....


#### ####

             มันเป็นค่ำคืนที่น่าสนุกเหมือนปีที่แล้วไม่มีผิด ยกเว้นแต่ว่าตำแหน่งเดือนคณะปีนี้ตกไปเป็นของคณะเภสัชศาสตร์อย่างเหนือความคาดหมาย ทั้งๆที่หนุ่มวิศวะเป็นตัวเก็งมาตลอด ตามด้วยคณะบริหารธุรกิจน้องรหัสตงฉิน แต่ปีนี้นายอัคคี หรือ ไฟ หนุ่มหน้าหล่อที่ซิ่วไปเรียนปี 1 กลับคว้าชัยไปครองอย่างงงๆ

“เห็นมั้ย กูว่าแล้ว ไอ้ทอย เอ๊ย ไอ้ไฟชนะแน่ๆ เอามา 200” ผมหยิบเงินให้พี่ชายตัวเองอย่างเซ็งในอารมณ์ เพราะดันลงไปว่าวิศวะจะได้ “พวกมึงด้วยจ่ายมา” แน่นอนว่าไอ้ชัย ไอ้คิ้วก็ต้องจ่ายเช่นกัน

“รวยใหญ่แล้วนะมึง” ผมแซว

“เออดิ ไปกินหมูกระทะมั้ยล่ะ กูเลี้ยง”

“ไม่เอาอะ กูไปเฝ้าแฟนดีกว่า” ผมโบกมือลา ความสัมพันธ์ของผมกับคู่เพื่อนซี้อย่างคิ้วชัยไม่มีอะไรคืบหน้า มันค่อนข้างกระอักกระอ่วนที่พวกเราไม่คุยกัน แต่ผมก็ไม่อยากสร้างความลำบากใจให้ไอพี่ชายตัวดีที่ยังโอเคกับพวกนั้น ถึงแม้จะรู้เรื่องการโกงของไอ้ชัยก็ตาม อันที่จริงเราควรจะรักษาความถูกต้องโดยการแจ้งให้กับอาจารย์หรือทำอะไรสักอย่าง แต่พอนึกถึงผลที่จะตามมา มันเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าจะผลีผลามทำอะไรลงไปเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ถึงไม่ถูกลงโทษจากทางมหา’ลัย แต่อย่างน้อยผมก็พอรู้ว่าไอ้ชัยก็ถูกลงโทษด้วยความรู้สึกผิด ... ผมก็หวังว่ามันจะรู้สึกผิดจริงๆน่ะนะ

             หลังเวทีค่อนข้างวุ่นวายเพราะพวกพี่เลี้ยงและตัวแทนดาวเดือนแต่ละคณะที่บ้างก็ยืน บ้างก็นั่ง บางคนที่คาดหวังมากแล้วพลาดตำแหน่งก็มาร้องห่มร้องไห้ให้รุ่นพี่คอยปลอบใจ ส่วนบนเวทีก็มีแค่ผู้ชนะและรองทั้งสองยืนให้ถ่ายรูป เมื่อเห็นว่าตงฉินก้าวลงมาแล้วผมเลยถือโอกาสเทเพื่อนเพื่อมาอยู่ด้วย

“หิวน้ำ” ตงฉินแต่งหน้าอ่อนๆและเซ็ตผมจนหล่อมีแต่เหงื่อเต็มใบหน้า การจัดงานกลางแจ้งแบบนี้ไม่ค่อยเวิร์คถึงแม้จะจัดกลางคืนก็ตาม แต่กรุงเทพไม่ใช่เมืองหนาว การสวมชุดพิธีการเต็มยศด้วยเนื้อผ้าที่ไม่ระบายอากาศยิ่งทำให้ดูอึดอัด

“นั่งรอก่อนเดี๋ยวไปเอามาให้ นี่พัดลม” ผมยืนพัดลมจิ๋วที่ลงทุนไปหาซื้อก่อนวันงานมาให้ ถึงแม้จะไม่ช่วยให้เย็นลงทันทีแต่ก็พอจะช่วยดูดไอเย็นๆจากพัดลมไอน้ำตัวใหญ่ที่ทำงานหนักมาได้บ้าง แค่เดินออกมาไม่กี่ก้าวตัวปัญหาก็ตามมา

“พี่ตงงงงง ผมขอโทษ” ผมกลอกตาแทบจะ 360 องศากับมารยาไอ้รุ่นน้องชื่อเขมที่พลาดตำแหน่งเดือนมหา’ลัยปีนี้ ถ้ามันแค่เรียกชื่อก็คงพอทนได้ แต่นี่นั่งลงแทบจะแนบเนื้อ ผมล่ะอยากจะปาขวดน้ำใส่กบาลมันจริงๆ

“ขอโทษพี่ทำไม ไม่ต้องหรอก”

“ก็ผมรักษาแชมป์ให้พี่ไม่ได้อ่า” น้ำเสียงมึงออดอ้อนจริงนะ ไม่ได้ดูขนาดตัวเลย โตยังกับยักษ์

“โอ๊ย พี่ไม่คิดมากหรอก แพ้ชนะเรื่องปกติ” ตงฉินขยับเก้าอี้พลาสติกให้ออกห่าง ดูเหมือนไอ้รุ่นน้องมันยังไม่ทันสังเกต

“น้ำมาแล้ว” ผมส่งเสียงดังอย่างอารมณ์ดี(แต่กำลังสะกดความหงุดหงิดไว้)ไปก่อนแล้วพุ่งไปหายื่นน้ำอัดลมที่ตงฉินชอบให้

“แล้วของผมล่ะครับ”

“อ่อ พอดีพี่เอามาให้แฟนน่ะครับ น้องเดินไปหยิบเอาก็ได้นะ อยู่ตรงนั้นเอง” ผมย้ำคำว่าแฟน ยิ้มระยิบระยับแบบตอแหลและชี้มือไปทางตู้แช่เย็นที่อยู่ไม่ไกล

“พี่ตง..” น้องเขม น้องรหัสตงฉินหันขวับด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถามร้อยแปด แต่รุ่นพี่กลับยกขวดน้ำกลอกลงคออึกๆจนหมด

“หืม” ตงฉินปิดฝาขวดเปล่าแล้วหันไปหารุ่นน้องที่ขมวดคิ้วรอท่า

“พะ พี่กับพี่คนนี้...” กูชื่อหนึ่งโว้ย “เป็นแฟนกันจริงๆเหรอครับ”

“อ่อ” ตงฉินฉีกยิ้ม “น้องมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”

“มี เอ๊ย ไม่มีครับ แต่พี่ยังตอบไลน์ผม....” หน้าหล่อๆเจื่อนลงไป ยิ่งมองยิ่งสาแก่ใจ

“อ๋อ ไอ้แช็ตพวกนั้นน่ะเหรอ พี่ไม่ได้ตอบเองหรอก พี่หนึ่งเขาตอบให้น่ะ พี่ขี้เกียจมีปัญหากับแฟน เลยให้แฟนพี่จัดการเอาเอง”

“ห๊ะ” เขมหันมามอง ผมยิ้มกลับ แต่เป็นรอยยิ้มแบบเย้ยหยันอย่างไม่ปกปิด ไอ้รุ่นน้องคนนี้พยายามส่งข้อความมาจีบไอ้ตงตั้งแต่วันแรกที่เจอแล้วครับ แต่ด้วยนิสัยของตงฉินน่ะนะ มันยื่นโทรศัพท์มาให้ผมจัดการตอบเองด้วยความเคยชินเนื่องจากผมคอยตอบเรื่องงานของมันอยู่แล้ว

“อ้าว น้องไม่รู้เหรอครับว่าพวกพี่เป็นแฟนกันน่ะ อ้อ ขอโทษทีพี่ลืมบอกน่ะ” ผมพูดอย่างอารมณ์ดี

“พอดีพี่ไม่ชอบป่าวประกาศว่าคบกับใครออกสื่อน่ะ กลัวกระทบเรื่องงาน” ตงฉินรับอย่างเข้าขา

“ถ้ารู้แล้ว งั้นต่อไปไม่ต้องไลน์มาเนาะ พี่ขี้เกียจพิมพ์ตอบ” ผมยืดอก

“หนึ่ง ปวดขา กลับกันเถอะ” ตงฉินตัดบท นิสัยเสียแก้ไม่หายคือไม่ชอบอธิบายอะไรยาวๆกับคนอื่น

“ปะ ไปสิ” ปกติแล้วตงฉินไม่ใช่คนที่ชอบแสดงความรักในที่สาธารณะ มากที่สุดก็แค่การอยู่ใกล้ๆกัน นั่งกินข้าวมองหน้ากันไปมา แต่ตอนนี้มนุษย์แฟนคนนี้กำลังยื่นมือมาให้จับ ผมรั้งน้ำหนักของคนที่นั่งฉุดให้ลุกและพากันเดินออกมาโดยไม่สนใจว่ารุ่นน้องหน้าหล่อที่ทำหน้าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

“ร้ายนักนะ” ผมแซวเมื่อเราเดินออกมาจากหลังเวทีเรียบร้อยแล้ว สายตารุ่นพี่รุ่นน้องมองตามอย่างมีคำถาม แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

“ไม่ร้าย ก็ไม่ใช่ตงฉินดิ”

“คนนิสัยไม่ดีแบบนี้ ต้องโดนทำโทษนะ”

“ขอหนักๆน่ะ อยากโดนทำโทษจะแย่แล้ว” นั่นไง มียั่ว ผมตาลุกวาวเปลี่ยนจากเดินอ้อยอิ่งเป็นคว้าแขนของคนข้างๆแล้ววิ่งไปที่ลานจอดรถอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่ามันจะเปลี่ยนใจกลางทาง


#### ####

[อัคคี]

ก่อนการประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัย 2 ชั่วโมง ....

             ช่างแต่งหน้าที่เป็นนักศึกษาชายแต่จิตใจเป็นหญิงสาละวนกับการปาดอะไรสักอย่างบนใบหน้าพร้อมกับชมไม่ขาดปากว่าหล่ออย่างนั้นหล่ออย่างนี้ แถมยังพูดจาเกี้ยวพาราสีจีบกันซึ่งๆหน้า ผมได้แต่ยิ้มแต่ไม่พูดอะไรเพราะไม่ต้องการสร้างปัญหาอะไรกับรุ่นพี่ อย่างน้อยก็เพราะอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเสียใหม่ แม้จะไม่มากแต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

“แต่งใกล้เสร็จยังหยาง” เสียงคุ้นๆถามช่างแต่งหน้าประจำตัว

“หยางอะไร ชั้นชื่อแยมมี่ย่ะ เรียกว่าหยางอีกทีแม่จะตบด้วยบรัชออนเลยนี่” พี่แยมมี่หรือหยาง สาวหมวยตัวโตใจหญิงวีน

“ขอโทษๆ แต่งหน้าเจ้าไฟเสร็จยังครับคุณแยมมี่”

“เสร็จแล้วย่ะ” ผมลืมตามองภาพรุ่นพี่ชื่อหยางเดินสะบัดบั้นท้ายด้วยจริตหญิงและสบตากับใบหน้าที่คุ้นเคยส่งยิ้มหวาน

“อะไร” ผมถามเมื่อช่อดอกกุหลาบสีแดงถูกยื่นมาให้

“ไม่มีอะไรหรอก แค่กำลังใจน่ะ” ฉัตรพงษ์มาในชุดลำลอง กางเกงยีนส์สีดำแนบกับท่อนขาส่วนท่อนบนเป็นเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งที่เห็นจนชินตา

“ขอบใจ” ผมไม่ได้มองช่อดอกไม้เท่าไรนัก แต่ก็วางไว้บนตัก

“แหมมมมมมม หวานกันขนาดนี้ ไม่เกรงใจพวกชั้นเลยใช่มั้ย” เสียงรุ่นพี่ปีสองของคณะเภสัชศาสตร์แซวมา เป็นครั้งแรกที่ผมสังเกตว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย ฉัตรทำหน้าเขินจนเห็นได้ชัด

             ผมมีคำถามในหัวตลอดเวลาว่าเรื่องราวของเรา ผมหมายถึงฉัตรพงษ์กับอัคคีน่ะครับ จะเป็นอย่างไร ที่ผ่านมามันเหมือนหลุมดำที่กลืนกินความจริงเอาไว้และซ่อนมันในส่วนลึกที่สุดในห้วงนั้น ไม่เคยคิดว่าจะมีใครค้นพบความจริงที่พยายามซุกซ่อน จนกระทั่งได้เจอกับคนที่ไม่คิดว่าจะเจอในวันก่อนที่โรงพยาบาล เราได้เจอกันอีกครั้งหลังและเขาก็มาคนเดียวเช่นเคย

“กูขอถามมึงตรงๆได้มั้ยไอ้ทอย” ใบหน้าของหนึ่งราบเรียบ แต่แววตานั้นฉายแววไม่มั่นใจอย่างเห็นได้ชัด

“อืม อาจจะได้นะ” พวกเรานั่งอยู่ที่ร้านกาแฟของโรงพยาบาลเดิมที่ผมต้องไปติดตามการรักษา เราอาศัยจังหวะที่ฉัตรพงษ์ไปรอรับยาเพื่อสนทนากัน กาแฟที่สั่งมาเพื่อเช่าสถานที่ไม่มีใครแตะต้องมันเลยสักนิด

“มึงคิดจะบอกความจริงกับกูบ้างมั้ย สักครั้งก็ยังดี” แววตานั้นดูมั่งมั่นกว่าเดิม แต่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด

“....”

“กูคิดมาตลอดเลยนะว่ามึงเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของกู แต่พอเกิดเรื่องหลายๆอย่างขึ้นมา กูไม่มั่นใจเลยว่ะ”

“หนึ่ง กู...” ผมถอนหายใจ เรื่องราวที่ปกปิดไว้มาตั้งแต่ต้นมันถูกเปิดเผยหมดแล้ว เมื่อฉัตรชัยมาร้องห่มร้องไห้ขอโทษผมถึงที่คอนโด ทั้งที่ความจริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องมาอธิบายอะไรทั้งนั้น เพราะผมรู้เรื่องทุกอย่างตั้งแต่ต้น

“ไม่เป็นไร”

“แต่มึงเป็น” ผมรั้งข้อมือคนที่กำลังจะลุกเอาไว้

“เฮ้อ” เอกราชถอนหายใจและนั่งลงเช่นเดิม

“กูไม่รู้ว่าจะต้องเล่าหรืออธิบายยังไง เพราะเรื่องที่มึงรู้มามันจริงทุกอย่าง กูไม่มีอะไรจะแก้ตัว นอกจากขอโทษ กูขอโทษที่เป็นเพื่อนเหี้ยๆของมึง” ผมเริ่มเปิดปาก

“มึงยังไม่ตอบคำถามของกู” คนมาเยี่ยมทวง

“กูตอบไปแล้ว ว่ากูขอโทษที่ทำตัวแบบนั้น”

“หมายความว่าไง” หนึ่งหยุดพูดและครุ่นคิด “มึงไม่เคยคิดจะบอกกูมาตั้งแต่ต้นสินะ”

“...” ผมไม่ได้ตอบออกไป มีแค่การพยักหน้ายอมรับความจริง เมื่อมีแต่ความเงียบ อีกฝ่ายจึงระบายออกมา

“กูเคยคิดนะ ว่ามึงแตกต่างจากคนอื่น กูคิดว่ามึงกำลังแตกสลาย แต่เปล่าเลย มึงไม่ได้เป็นอะไรเลยทั้งนั้น มึงแค่อยากเป็นที่ 1 ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม มึงต้องมาก่อน ไม่ว่าจะเรื่องไอ้ฉัตร ที่มึงหนีไปตอนนั้นเพราะมึงอยากให้ไอ้ฉัตรเป็นบ้าเพื่อตามหามึง หรือเรื่องไอ้ตง ที่มึงบอกว่าชอบกูเพราะมึงอยากให้กูเห็นว่ามึงสำคัญกว่าตงฉิน ที่มึงบอกว่าป่วย เพราะมึงแค่ต้องการความสนใจจากคนรอบข้าง และที่มึงมาหาหมอตอนนี้ มึงแค่สานต่อเรื่องโกหกที่มึงสร้างขึ้นมาเพื่อป่วนกูกับไอ้ฉัตร”

“...” ผมขยับท่านั่ง จับจ้องแววตาปวดร้าวอย่างเงียบงัน

“สำหรับกู มึงไม่ได้ป่วย มึงไม่ได้บ้า แต่มึงแค่...รักแต่ตัวเอง มึงไม่เคยรักใครเลย นอกจากตัวมึงเอง”

“...” ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ทำหน้าอย่างไรเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น แต่ใบหน้าของหนึ่งดุดันและเดือดดาล

“ขอบคุณที่ทำให้กูตาสว่างนะทอย ที่จริงมึงไม่ได้เป็นของเล่นของใครเลยเว้ย ชื่อทอยที่มึงไม่ยอมเปลี่ยนทั้งที่เคยบอกว่าเกลียด ที่กูเข้าใจว่ามึงเกลียดชื่อนี้เพราะถูกรังแกมาก่อนสมัยที่มึงบอกว่าเคยอ้วน แต่เอาเข้าจริง พอได้รู้อะไรๆกูเข้าใจแล้วว่าชื่อทอยมันหมายถึงคนอื่น มึงเห็นคนอื่นเป็นของเล่น และกูก็เป็นหนึ่งในนั้น” หนึ่งหายใจแรง ความโกรธมีมากเกินกว่าจะพูดจาตอบโต้

“...”

“กูดีใจนะที่วันนี้กูรู้เรื่องทุกอย่าง อย่างน้อยกูก็ยังมีคนที่เห็นความสำคัญของกูมากกว่าเห็นกูเป็นแค่ของเล่น แต่สำหรับมึงนะทอย กูขอให้มึงโชคดี หวังว่าไอ้ฉัตรจะหน้ามืดตามัวและมองไม่เห็นธาตุแท้ระยำนี้จนหนีมึงไปอีกคนล่ะ” หนึ่งไม่ได้มีสายตาเกรี้ยวกราดหรือน้ำเสียงไม่ได้กระโชกโฮกฮากอีกแล้ว มีแต่เสียงโมโนโทนของคำพูดพรั่งพรูให้ได้ยินชัดถ้อยชัดคำ

“...”

“เพราะถ้าไอ้ฉัตรมันรู้ว่ามึงแค่ต้องการผลประโยชน์จากความรักของมันเมื่อไหร่ สุดท้ายมึงจะไม่เหลือใครอีกเลย”

             ผมนิ่งไปนานแค่ไหนไม่รู้บนเก้าอี้ที่นั่งแต่งหน้า เสียงจอแจของห้องแต่งตัวดังแทรกมาเป็นระยะยังไม่สามารถดึงความสนใจผมได้แม้แต่น้อย สายตาก้มมองช่อกุหลาบสีแดงที่ส่งกลิ่นหอมแตะจมูกชวนสดชื่นอย่างเลื่อนลอย ไม่ใส่ใจว่าจะมีใครแซวเรื่องที่ผมกับฉัตรคบกันอย่างเปิดเผย หนึ่งพูดถูก... ผมเป็นคนแบบนั้นจริงๆ ผมไม่เถียง เพราะทุกอย่างที่ทำก็ทำด้วยเจตนาเช่นนั้นจริงๆ ป่วยการที่จะอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก ถ้าการมีอยู่ของผมเป็นมะเร็งของชีวิตมัน การยอมรับทุกอย่างและปล่อยให้มันเดินจากไปย่อมเป็นทางแก้ที่ดีที่สุดก็ได้

“เหนื่อยมั้ย ตื่นเต้นรึเปล่า” ฉัตรพงษ์ลากเก้าอี้พลาสติกมานั่งประชิด มือหนามากุมเหมือนอ่านสีหน้าผมออกว่ากำลังคิดอะไร

“ไม่เลย” ผมฝืนยิ้ม มองใบหน้าของแฟนหนุ่มอย่างไร้ความรู้สึก ...

“ดีแล้ว นายทำได้ นายชนะแน่ๆเชื่อเรา” ผมรู้ว่าฉัตรพงษ์ไม่ใช่คนโง่ แต่เพราะเขารักผมมากเกินไปจนยอมมองข้ามทุกอย่างได้

“อื้ม” ผมรับกำลังใจนั้นมาอย่างเต็มใจ ... หนึ่งอาจจะพูดถูก แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ... ผมป่วยจริงไม่ได้ป่วยการเมือง ผมเคยชอบมันจริงๆจนเกือบลืมความรู้สึกที่เคยมีให้ฉัตรพงษ์ไปด้วยซ้ำ ชอบถึงขั้นเอาตัวไปเสี่ยงเรื่องของไอ้สุชาติ แต่ท้ายที่สุดแล้ว หนึ่งไม่ใช่คนที่อยู่เคียงข้างผมตลอดเวลา การมีอยู่ของฉัตรพงษ์ทำให้ผมรู้ว่า ที่ผ่านมาผมทำผิด ฉัตรชัยทำผิด ฉัตรพงษ์ก็มีส่วนผิด ... ไม่มีใครไม่เคยทำผิด แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ตัวว่าทำผิดและพยายามแก้ไข

... ผมเป็นคนหนึ่งที่อยากจะแก้ไขเรื่องที่ตัวเองทำพลาดไป แต่ด้วยแรงทั้งหมดที่มี ผมคงกอบกู้กลับมาได้แค่บางส่วน และต้องทิ้งบางส่วนออกไป ถึงแม้จะต้องเสียใจภายหลังก็ตาม


#### ####

[หนึ่ง เอกราช]

             เราทั้งสองคนแทบไม่สนใจเลยว่าจะมีคนมาเห็นช่วงเวลาที่ริมฝีปากทั้งคู่ประกอบกันอย่างดูดดื่มหน้าห้องพักที่คอนโดหรือเปล่า ความร้อนรุ่มในทรวงอกมันมีอิทธิพลเหนือความกังวลต่างๆไปเสียแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ผมกระชากชุดนักศึกษาเต็มยศของแฟนหนุ่มด้วยมือเปล่าจนกระดุมหลุดกระเด็นและถอดมันโยนไปทางห้องรับแขกอย่างไม่ใยดี ก่อนที่ตงฉินจะใช้สองมือเกาะแกะและถอดเสื้อยืดสีซีดของผมออกอย่างรีบร้อนไม่ต่างกัน

             ท่อนบนเปลือยเปล่าเบียดเสียดกันไม่ต่างกับจังหวะจาบจ้วงในโพรงปาก คนตัวสูงต้องโน้มใบหน้าลงมาเพื่ออำนวยความสะดวกและถูกผมตรึงท้ายทอยเอาไว้ไม่ให้หนีออกจากแรงกดเกี่ยวกระหวัดหวามหวานนี้ไปได้ ระยะทางจากประตูห้องไปถึงห้องนอนใหญ่มันเหมือนจะไกลขึ้นเป็นสองเท่าในเวลาเช่นนี้ แต่สี่ขาที่ย่ำลงพื้นตึงตังก็พาเราเข้ามาได้ ไม่มีใครเอื้อมมือไปกดสวิตช์ไฟเพราะต่างลูบโลมเรือนร่างกันไปมาอย่างหิวกระหาย เสียงลมหายใจหอบถี่ฟ้องได้ว่าคงามต้องการมันพุ่งถึงขีดสุด

“ฮื้อ อย่าขบ” เสียงสั่นของตงฉินร่ำร้องเมื่อปากหนาของผมขย้ำที่หัวนมที่แข็งตัวน่าย่ำยี ร่างสูงนอนราบบิดตัวไปมาดุจกวางน้อย เนื้อตัวสั่นระริกยั่วยวนแม้จะมองไม่เห็น ผมอยากมองทุกอณูขุมขนของเขามากเสียจนเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟหัวเตียง แววตาฉ่ำวาวเยิ้มไปด้วยความต้องการสบส่งกันไปมา ปากเจ่อเห่อแดงเพราะแรงบดเบียดเร่าร้อนเมื่อครู่ยิ่งชวนให้หลงใหล

“มึงมันคนไม่ดี ต้องโดนทำโทษ”

“กูไม่ดีตรงไหน อ๊า” เสียงร้องครางดังถี่เมื่อผมซุกใบหน้ากับเป้ากางเกงของแฟนหนุ่มแล้วเสียดสีไปมาอย่างเร็วรี่ ภายในแข็งขืนร้อนระอุส่งกลิ่นความเป็นชายผ่านเนื้อผ้าที่ปกคลุมมายั่วยวนจนต้องใช้ปากครอบดูดเฟ้นอย่างมึนเมา ฟันแกร่งขบตัวลำไปมาคอยกระตุ้นให้อีกฝ่ายยิ่งโหยหา

“ตรงที่มึงยั่วกูบ่อยเกินไปไง”

“ไม่ดีรึไง ฮื้ออออ หนึ่ง...” ผมใช้ความชำนาญถอดกางเกงขายาวตัวหนาออกไปอย่างเร็ว แรงกระชากทำให้บ็อกเซอร์ตัวเล็กหลุดไปด้วย ความเป็นชายของตงฉินสวยงามยืนหยัดสู่สายตาจนอดใจไม่อยู่

“หนึ่ง ฮ้าาาาาาาาาาาาาาา” ผมดูดดุนแก่นกายใหญ่โตอย่างหิวกระหาย แรงขบเม้มรูดคลึงขึ้นลงอย่างรู้จังหวะทำให้ตงฉินต้องส่งสองมือมาขย้ำเส้นผมหยิกฟูของผมอย่างแรงและมันยิ่งกระตุ้นสัญชาติญาณดิบของผมให้ยิ่งพลุ่งพล่าน

“พลิกตัวหน่อยสิ” ตงฉินทำตามอย่างว่าง่าย บั้นท้ายกลมกลึงสองก้อนเผยความเนียนใส ผมใช้มือแยกให้เห็นช่องว่างตรงกลางอย่างเต็มตา แรงขมิบชวนให้อยากกระแทกตัวเข้าไปแทบจะทันทียั่วยวนจนเกือบห้ามไม่อยู่ ใบหน้าโน้มลงประชิดสูดกลิ่นเหม็นอับอันเป็นเอกลักษณ์อย่างไม่รังเกียจก่อนจะฉกลิ้นตรงขอบย่นละเลงป้ายขึ้นลงวนเวียนไปมา

“ฮ้า หนึ่ง ไม่เอาแบบนี้ เสียว ฮ้า”

“ไม่ชอบจริงเหรอ”

“ฮื้อ ชะ ชอบ แต่มันเสียว ฮ้า ใส่เข้ามาเถอะ ขอร้อง” ดูเหมือนตงฉินจะหน้ามืดจนข้ามขั้นไปเยอะ แต่ผมก็ใช่ว่าจะใจดีทะนุถนอมเสียเมื่อไหร่ เมื่อมีการเรียกร้องก็ย่อมมีการตอบสนอง กางเกงยีนส์ของผมถูกทึ้งออกไปแล้วและขวดเจลหล่อลื่นก็อยู่ในมือภายในไม่กี่วินาทีก่อนจะเปิดฝาและราดรดแท่งเนื้อที่มันแข็งขืนอย่างเต็มที่ ผมเสียดสีลำแกร่งกับช่องว่างระหว่างก้อนกลมทั้งสองไปมาโดยที่คนใต้ร่างขยับโยกเพื่อหาส่วนแรกให้เจอเพื่อแทรกกายเข้าไปในตัวอย่างโหยหา

“อย่าทรมานกูเลย ขอร้องล่ะหนึ่ง”

“ของกูใหญ่นะ ใส่เข้าไปเลยมึงจะเจ็บมากเผลอๆอาจจะฉีกเอาได้นะ”

“ไม่ต้องสนใจมัน ใส่เข้ามาเถอะ กูขอร้อง หนึ่ง เข้ามาซะที” ตงฉินส่งเสียงสั่นดังลั่นคล้ายตวาด ยิ่งกระตุ้นให้ผมอยากยั่วยุต่อไป

“งั้นแหวกแก้มก้นมึงออกสิ ให้กูดูหน่อยว่ามึงพร้อมแล้ว” สองมือเงอะงะจับบั้นท้ายของตัวเองแหวกทางสีชมพูอ่อนหวานให้เห็นเต็มตา หลังจากผ่านศึกด้วยกันมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ปากทางแคบนั้นยังแนบชิดราวกับไม่เคยมีอะไรล่วงล้ำมาก่อน

“พร้อมมั้ย” ผมขยับโยกบั้นท้ายให้ส่วนแข็งขึ้งเบียดเสียดกับช่องแคบอย่างเพลิดเพลิน

“อะ อื้อออ ฮึก...” ผมกดน้ำหนักให้ส่วนแรกใหญ่โตประกบลงไปแนบแน่น แรงทึ้งบั้นท้ายช่วยให้รูที่ปิดสนิทมีรอยแยกพอให้ออกแรงส่งฝืดเคืองพาความเป็นชายของผมเข้าไปภายใน

“โอว๊ หนึ่ง เข้ามาเลย เอามาให้หมด อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาา” ผมกระแทกบั้นท้าย มองรอยจีบที่เคยสมานตัวเปิดอ้ารับความใหญ่โตเข้าไปจนขยายตัวผิดรูปไม่เหลือเค้าเดิม มันตึงแน่นราวกับจะกัดกินสิ่งแปลกปลอมให้หมดสิ้น แต่แปลกที่พวกเราต่างยอมให้มันเกิดขึ้นอยู่ซ้ำๆ และไม่นาน ทุกอย่างก็เข้าที่ เมื่อภายในที่ตอดรัดยอมแพ้และเปิดทางให้ผมดันเข้าไปจนสุดลำ...







ภาพประกอบมิได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในนิยายแต่อย่างใด

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
เรื่องมันซับซ้อนเข้าไปอีก  คนหนอคนช่างมีหลากหลายจริงๆ ส่วนตงฉินเดี๋ยวนี้ยั่วเก่งจริงๆ  o18

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เรื่องนี้อัพถึง ตอนที่ 47 แล้วนะครับ
ใครที่ใจร้อน สามารถไปตำกันก่อนได้เลย
FB : https://www.facebook.com/Begintillanend/


ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.


ตอนที่ 46. คนคิดมาก

[ตงฉิน]

“มึงคิดว่าคู่เราจะคบกันนานแค่ไหนวะ” อยู่ๆคนตัวเล็กที่นอนข้างตัวก็ถามขึ้นมาในตอนเช้าหลังจากผ่านเซ็กซ์อันดุเดือดมาทั้งคืน ผมที่ใกล้ลืมตายังไม่ทันได้งัวเงียก็ต้องเปิดดวงตาทั้งสองข้าง

“หืมมมม” ไอ้หนึ่งนอนตะแคงใช้มือขวาดันคางเอาไว้เพื่อประคองใบหน้าให้สูงขึ้น ใบหน้าของคนถามไม่ได้แฝงด้วยอารมณ์ที่ชวนคิดไปในแง่ร้ายแต่อย่างใด แววตานั้นมีแต่ความอยากรู้และคิดมาก

“กูนอนมองมึงหลับ ใบหน้าของมึงยังหล่อกระชากใจกูไม่หยุดหย่อน ใจกูเต้นไม่เป็นจังหวะตอนอยู่กับมึงไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน กูเปล่าคิดนะว่ากูไม่เหมาะสมกับมึง กูแค่คิดว่าคนอย่างมึง กูหมายถึง...คนพรีเมี่ยมแบบมึงจะรักกูได้นานแค่ไหน”

“สรุปก็คือ มึงคิดว่ากูหล่อ” ผมอมยิ้ม สีหน้าบูดบึ้งเพราะถูกเย้าของแฟนหนุ่มชวนให้ขบขัน

“กูจริงจังนะไอ้ตง ตั้งแต่คบกันมาชีวิตมึงเหมือนมีแต่เรื่องอัปมงคลเข้ามาไม่หยุดหย่อน งานละครก็หดหาย งานเดินแบบหรือออกงานก็แทบไม่มี ยังมีเรื่อง...” ผมเอานิ้วชี้แตะริมฝีปากที่ขยับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยนั้นไว้

“หยุดคิดได้แล้ว เรื่องใช้สมองไม่ใช่ทางของมึงหรอกนะ” ผมบิดขี้เกียจขืนตัวขึ้นมานั่งพิงกับหัวเตียง รู้สึกปวดหน่วงๆตรงจุดซ่อนเร้นเพราะเมื่อคืนโดนจัดหลายชุด ท้องไส้ปั่นป่วนเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะไปจัดการเอาอะไรต่อมิอะไรที่คนเจ้าปัญหาทิ้งไว้

“ตง กูซีเรียส ถามจริงๆว่ามึงอยากเลิกเป็นดาราจริงๆเหรอ แล้วหลังจากนั้นล่ะ มึงอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร”

“ก็...ไปทำงานที่บริษัทของพ่อกูไง” ผมตอบในสิ่งที่คิด

“มึงต้องการแบบนั้นจริงๆเหรอ งานที่นั่นพี่ต่อก็ดูแลอยู่ ทำได้ดีซะด้วย แถมยังมีพี่เอกช่วยดูอีกคน” หนึ่งพาดพิงถึงพี่ชายผมที่ชื่อต่อพงษ์และแฟนหนุ่มของเขาที่ชื่อเอกภพ ทั้งคู่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมาได้ปีกว่าแล้ว ถึงแม้พี่เอกจะเรียนมาน้อย แต่ก็พยายามหาความรู้เพิ่มเติมเอามาช่วยเหลืองานของพี่ต่ออยู่เสมอ

“แล้วมึงล่ะหนึ่ง มึงอยากเป็นอะไร” ผมแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมที่ผ่านมาถึงไม่เคยคุยกันเรื่องนี้เลยสักครั้ง

“กูเหรอ ความฝันของกูก็แค่เรียนให้จบ ไม่ให้ลำบากพ่อแม่ มีการงานทำเป็นหลักแหล่ง มีคนรักอยู่ด้วย...”

“มึงอายุ 19 หรือ 59 เอาดีๆ” ผมถามแซว เพราะความฝันอันแสนธรรมดาของมันเหมือนคนหมดไฟใกล้เกษียณรอมร่อม

“ไม่ใช่กูไม่เคยฝัน กูมีความฝัน อยากเที่ยวรอบโลก อยากเป็นนักข่าว อยากก่อตั้งบริษัทของตัวเอง แต่มึงรู้มั้ยว่าครอบครัวกูไม่ใช่กลุ่มคนที่เอื้อให้กูทำตามความฝันได้โดยง่าย พวกเรายังปากกัดตีนถีบอยู่เลย แล้วมึงดูกูนี่” หนึ่งขยับตัวให้ใบหน้ามาแนบแก้มของผม มันบังสายตามากกว่าจะช่วยให้มองเห็นได้ชัด

“กูคือคนธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษเลยสักอย่าง แล้วดูมึงสิ มึงอะ”

“กูหล่อกูเข้าใจ แล้วสรุปว่ามึงอยากรู้เรื่องอะไรกันแน่ จะคบกันนานแค่ไหน หรือโตขึ้นอยากเป็นอะไร” ผมถามแล้วซุกหน้าแนบอกแกร่ง ได้ยินเสียงหัวใจเต้นโครมครามแบบที่มันพูดจริงๆ

“กูแค่อยากรู้ว่ะตง ว่ากูเป็นตัวถ่วงในชีวิตมึงหรือเปล่า ตอนปี 1 ก็มีข่าวหลุดเม้าท์ว่ามึงเป็นเกย์ ปีนี้ก็มีข่าวเรื่องไอ้สุชาติจนซีรี่ย์หยุดถ่ายภาคต่อ งานโปรโมทคู่กับพี่ไนล์ก็โดนเลื่อนออกไป กระแสของมึงแผ่วลงถึงขั้นเดินสวีตกับกูนักข่าวยังไม่เอาไปทำสกู๊ปเลยนะ” อ่า... ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือมันเป็นห่วงผมสินะ แฟนผมน่ารักตรงนี้แหละ มันดูแลอย่างดีจะไม่ให้รักได้ไง

“กูไม่รู้”

“หะ” น้ำเสียงของมันตกใจจริงๆ

“ให้ตอบตรงๆกูไม่รู้ว่ะ พ่อแม่กูเลี้ยงกูมาแล้วพร่ำสอนว่าโตขึ้นจะต้องไปช่วยพี่เอกดูแลบริษัท แต่กูก็นอกคอกไปเป็นดารา จนพี่เอกที่กำลังไปได้สวยในวงการต้องถอยออกมาเพื่อไปเรียนเฉพาะทางเพื่อมาดูแลรับช่วงต่อจากพ่อ พอเห็นพี่เอกไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วพ่อกูไม่ให้กูไป กูก็ทำตัวแย่ๆโดยการไปมีอะไรกับเจ้าของโมเดลลิ่งให้เขาป้อนงานจนดัง มีคนเข้าหา ทำตัวเหลวแหลกไปวันๆ เมาตั้งแต่เช้าจนเย็นจนไม่รู้เลยว่าลูกในท้องของผู้หญิงที่เคยคิดจะจริงจังด้วยเป็นลูกของพ่อกู...”

“ตง...” สายตาอ่อนโยนช่วยให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย มือหนาที่ไล้ไรผมปลอบประโลมความผิดหวังที่เกาะกินมานานจนจางหาย

“กูเคยเหี้ย กูยอมรับ พ่อไม่ยอมให้กูมาอยู่คอนโดใกล้มหา’ลัยถ้าไม่มีคนอยู่ด้วยเพราะกลัวกูออกนอกลู่นอกทาง กูก็แก้เกมโดยการชวนคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันวันแรกมาอยู่ด้วย แถมคิดค่าเช่าเหมือนให้อยู่ฟรี แต่มึงรู้มั้ย ว่าเรื่องที่กูคิดว่าตัดสินใจโคตรไม่ได้เรื่องตอนนั้นทำให้กูมีมึง” หนึ่งพรมจูบศีรษะผมอย่างทะนุถนอม อ้อมกอดแกร่งรัดกล้ามเนื้อถ่ายเทไอร้อนระหว่างกันไปมา พลางนึกถึงวันที่เจอหนึ่งและโทที่คณะและตัดสินใจแบบไม่คิดถี่ถ้วนชวนมาเป็นรูมเมต

“มึงช่วยกูมาตลอด ทำให้กูสัมผัสความจริงใจสักครั้งหนึ่งในชีวิตที่ไม่คิดว่าจะมีใครให้กูได้ พ่อแม่และพี่แก้วรวมหัวกันปกปิดเรื่องสองหมู ทำเหมือนกูเป็นคนนอกแล้วหลอกกูมาหลายปีว่าเด็กๆคือความผิดพลาดในการใช้ชีวิต นั่นไม่ใช่บทเรียนนะ มันคือการโกหกคำโตที่ผู้ใหญ่ใช้เป็นข้ออ้างในการเอามาดัดสันดานเด็ก” ผมไม่แน่ใจว่าแม่รู้เรื่องไหม แต่พี่แก้วพี่สาวคนโตรู้เรื่องนี้แน่

“กูเนี่ยนะ” ไอ้หนึ่งพูดคล้ายไม่เชื่อตัวเอง

“อือ มึงนี่แหละ มึงเข้ามาในชีวิตกูถูกที่ถูกเวลา อยู่กับกู รับฟังกูจนกูยังคิดไม่ตกเลยว่าไปชอบมึงตั้งแต่ตอนไหน แต่กูอยากให้มึงรู้เอาไว้นะ ว่ามึงไม่ใช่ตัวถ่วงในชีวิตกู ที่กูไม่รับงานเพราะกูอยากโฟกัสกับการเรียน กูอยากเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา กูเลือกรับงานน้อยลงเพราะอยากมีเวลาส่วนตัวกับมึงมากขึ้น มึงไม่ได้ทำให้ชีวิตกูแย่ลงเลยนะหนึ่ง กูต่างหากเป็นผู้เป็นคนขึ้นก็เพราะมึง”

“เชี่ย เขินเลยว่ะ” เอกราชหน้าแดงลามไปถึงใบหู ยิ่งมองก็ยิ่งตลกจนผมหัวเราะดังลั่น

“ส่วนคำถามที่ว่า เราจะคบกันนานแค่ไหนน่ะ...” หัวเราะเสร็จก็ปวดท้อง แต่ยังพยายามตอบ

“มึงไม่รู้” หนึ่งตอบออกมาแทน

“อื้อ ... มึงก็ไม่รู้ไม่ใช่เหรอ” คนถูกถามพยักหน้าตอบรับ “ถ้าไม่รู้ ทำไมต้องคิดมากด้วยล่ะ”

“กู คือ กูไม่แน่ใจ” หนึ่งถอนหายใจ

“ไม่แน่ใจว่ากูรักมึงหรือเปล่า งั้นเหรอ” ผมถาม น้ำเสียงหงุดหงิดระดับ 1

“เปล่าๆๆๆๆ กูไม่ได้ข้องใจเรื่องนั้น กูแค่ไม่มั่นใจว่า ถ้ากูคิดจะมีความฝันสักอย่างในชีวิต กูควรมีมึงในนั้นมั้ย”

“ก็ลองฝันแล้วไม่มีกูดูสิ มึงจะรู้ว่านรกมีจริง” ผมไม่ได้พูดเล่นนะ

“เฮ้ออออออออออออ”

“ถอนหายใจทำไมวะ” ผมผละตัวออกห่าง ท่าทางของมันไม่ปกติมาตั้งแต่อ้าปากถามประโยคแรกแล้ว

“เปล่า”

“ไอ้หนึ่ง พูด” ผมส่งเสียงดุระดับ 2 ออกมาขู่ ใบหน้าเหรอหราของมนุษย์แฟนทำท่าคิดมากจนน่าเขกกบาล

“1..” ผมเริ่มนับ

“เออ โอเคๆๆๆ” แฟนหนุ่มหัวฟูที่ร่างกายเปลือยเปล่าพลิกตัวไปหยิบมือถือและเปิดหน้าจอยื่นมาให้ผมได้อ่าน

‘ดาราหนุ่มดาวร่วง ต. งานหด แฟนคลับหาย ซีรี่ย์ภาคต่อถูกยกเลิก ....’  พอได้อ่านข่าวบันเทิงของโปรแกรมแช็ทยอดนิยมจนจบก็เข้าใจว่าทำไมนายเอกราชถึงได้รู้สึกไม่ดีจนต้องถามซอกแซ่กไม่จบสิ้นแบบนี้ ผมยื่นมือถือกลับไปมองสบตาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“มึงโอเคมั้ย”

“ทำไมต้องไม่โอเคด้วยวะ” ผมถามกลับ

“ก็...”

“วงการบันเทิงอะเนาะ มึงควรรู้สึกดีสิว่าเขายังเขียนถึงกู เชื่อสิว่ามันเป็นเรื่องดีมากกว่า”

“ทำไมล่ะ” สีหน้างุนงงอีกแล้ว

“มึงเพิ่งพูดไปเองว่ากูงานหด ข่าวก็หาย พอมีคนเขียนเรื่องกูก็ดันคิดมากอีก ถามจริง มึงเป็นไบโพล่าร์เหรอ”

“แซะเก่งงงงงงงงงงงงงงง” หนึ่งลากเสียงยาว

“เชื่อกูเถอะ พอกูเปิดโทรศัพท์เท่านั้นแหละ มึงเตรียมตอบคำถามรับงานแทนกูไม่ทันแน่นอน” ผมอมยิ้ม อย่างสุขใจที่เห็นแฟนเดือดร้อนเรื่องของตัวเองแทนแบบนี้ ผมโกหกมันนิดหน่อยเรื่องความฝัน ผมยังอยากเป็นดาราอยู่เพราะมันทำเงินได้มากกว่าที่คิด ผมลองหยั่งเชิงเรื่องทั้งหมดนี้กับมนุษย์แฟนเพื่อดูว่ามันมีท่าทียังไง ไอ้หนึ่งก็ยังคงเป็นไอ้หนึ่ง ความเซ่อซ่าของมันทำให้ผมเลิกรักมันไม่ได้จริงๆ

“เชี่ยๆๆๆๆ ข้อความรัวไม่หยุดจริงๆว่ะ” ไอ้หนึ่งคว้าโทรศัพท์ผมไปเปิดตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ แต่ตอนนี้มันกำลังทำหน้าตกใจตาเหลือกที่เห็นข้อความในโปรแกรมแช็ท ข้อความ SMS ที่ส่งเข้ามานานนับนาที

“บอกแล้วไง” ผมจุ๊บแก้มมันเบาๆแย่งมือถือก่อนพุ่งไปเข้าห้องน้ำ บทสนทนาชวนให้ปวดหัวและปวดท้องหน่วงๆ ลูกๆของไอ้หนึ่งหลายสิบล้านตัวกำลังทำพิษจนท้องไส้ปั่นป่วนและต้องรีบกำจัดด่วนที่สุด โดยที่ไม่ลืมส่งข้อความไปขอบคุณพี่ไนล์เรื่องสกู๊ปข่าวบันเทิงที่ขอให้แกช่วยเหลือเมื่อหลายวันก่อน


#### ####

[เอกราช]

             หลังจากบทสนทนาของเราทั้งคู่จบลง ผมรู้สึกดีและเบาใจขึ้นเยอะเมื่อได้รู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนก่อปัญหาให้กับแฟนหนุ่มหน้าตาดี ความหวั่นใจและคิดไปเองบรรเทาเบาบางเหมือนสายหมอกในยามสายที่ถูกแสงแดดขับไล่จนเห็นภาพที่เคยมืดมัวได้เด่นชัด ตงฉินเข้าไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเงียบเชียบ ผมมองภาพสวยงามนั้นอย่างไม่ละสายตา

“จะมองอีกนานมั้ย ไม่ไปเรียนรึไง” ตงฉินถามทั้งที่ไม่มองมาที่เตียงนอนด้วยซ้ำ

“อ้าว วันนี้มีเรียนด้วยเหรอ” ผมบิดขี้เกียจ นึกว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์

“จะโดดก็แล้วแต่ ถ้าจะไปก็ให้รีบ มึงมีเรียนวิชาครูโหดนะ” ตงฉินพูด ตารางเรียนของพวกเราจะถูกแปะไว้ที่ตู้เสื้อผ้า วิชาแรกของเช้าวันจันทร์ของผมเริ่มต้นด้วยความโหดหินเนื่องจากอาจารย์ค่อนข้างเจ้าระเบียบและชอบหักคะแนนเป็นว่าเล่น

             ผมกระโจนออกจากที่นอนอุ่นไปคว้าผ้าเช็ดตัวที่พันท่อนล่างของแฟนขี้บ่นมาใช้ต่อ เพราะของตัวเองเลอะอ้วกยังไม่ได้ซัก ไอ้ตงตกใจและยกขาเหมือนจะไล่ถีบ แต่ผมไวกว่ารีบวิ่งเข้าห้องน้ำโดยไม่ลืมโผล่หน้าออกมามองแฟนตัวเองอย่างกระลิ้มกระเหลี่ย

“มึงแม่งโคตรน่าฟัด รู้ตัวมั้ยไอ้ตง”

“ไอ้สัส” ตงฉินเขิน สังเกตได้จากใบหน้าที่แสดงออกตอนนี้ มันเขิน ผมดูออก

             ตงฉินจอดรถยนต์คันหรูของตัวเองตรงลานจอดรถของคณะ เมื่อก้าวยายาวๆออกมาสายตาของผู้คนรายรอบต่างจับจ้องราวกับเป็นอาหารมื้ออร่อย มันฉีกยิ้มการค้าให้กับคนที่ทำท่าเหมือนจะมาทักทาย ความฮ็อตของตงฉินยังดึงดูดสายตาใครต่อใครอยู่เสมอ พวกเราเดินเข้าอาคารเรียนโดยมีไอ้โท ขวัญใจ ฉัตรชัยและคิ้วรออยู่แล้ว

             เมื่อเห็นยิ้มการค้าของตงฉินที่ยังระบายเต็มใบหน้าก็ทำให้นึกถึงรอยยิ้มและเสียงครางสุดเซ็กซี่ยามที่อยู่ด้วยกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งชวนให้เบิกบานในอารมณ์จนริมฝีปากยกแยกฉีกยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว แถมสายตาอิจฉาของคนที่พอจะรู้เรื่องผมกับตงฉินที่มองมาก็ยิ่งชวนให้ฮึกเหิมเหมือนแม่ทัพชนะสงครามไม่มีผิด

“เป็นอะไรของมึงวะไอ้เตี้ย ยิ้มหน้าบานยังกะคนบ้า” ไอ้โททักมาแต่ไกล ผมหุบยิ้มแทบไม่ทัน

“บ้าพ่องมึงสิ กูอารมณ์ดีต่างหาก”

“กูว่าบ้า” ฉัตรชัยโพล่งออกมา ผมมองด้วยสายตาดุๆจนมันหน้าจ๋อย ความสัมพันธ์ของพวกเราเริ่มดีขึ้นทีละน้อย ผมไม่ต้องการคำขอโทษหรือเปิดใจคุยแบบแมนๆ เพราะผมเป็นเกย์ ผมมีความละเอียดอ่อนและขอเวลาคิดทบทวนเรื่องต่างๆด้วยตัวเองก่อน ถึงแม้จะคล้ายคลึงกับนิสัยผู้หญิงอยู่บ้าง(นิดเดียว) แต่ผมก็มีสิทธิ์ที่จะไม่พอใจในการกระทำของพวกนั้นไม่ใช่หรือ

“ตง ไอ้หนึ่งพี้ยามาเหรอ” ไอ้พี่ชายตัวดียังไม่เลิก

“พี้ยาพ่องมึงสิไอ้โท นี่น้องมึงนะ คิดแต่กับกูแต่ละอย่างดีๆทั้งนั้น” ผมด่าคนที่เริ่มแซวอย่างหงุดหงิด คนจะอารมณ์ดีบ้างไม่ได้รึไง คิดถึงเรื่องที่คุยกับตงฉินเมื่อวันก่อนก็ยิ่งดีใจ รอยยิ้มที่หายไปก็กลับมาอีกครั้ง

“กูว่ามันบ้า พาไปโรง’บาลเหอะ” ฉัตรชัยเปลี่ยนมากระซิบกับไอ้โทแทนโดยมีไอ้คิ้วพยักหน้าเห็นด้วย

“ตัวก็ไม่ร้อนนะ แถมวันนี้อากาศก็ไม่ร้อนด้วย หนึ่งไม่น่าเป็นบ้านะ” ดีมากขวัญใจ ขอบคุณที่คอยสนับสนุน

“ตัวเองว่างั้นเหรอ” ไอ้โทเสียงสองถามแฟน

“ใช่ๆ คิดดูว่าหน้าแบบหนึ่งถ้าบ้าเนี่ย ชาติที่แล้วคงทำกรรมหนักมาแน่”

“เอ๊ะ นี่ขวัญหมายความว่าไงเหรอ” ผมหันขวับ ในใจกำลังถอนคำขอบคุณที่คิดว่าหน้าสวยๆคิดปกป้อง

“เปล๊า โทไปเถอะ เดี๋ยวไม่มีที่นั่ง คาบนี้อาจารย์เช็คชื่อด้วย” ขวัญใจรีบฉุดแขนพี่ชายผมแล้วจ้ำอ้าวโดยไม่หันมามอง

“นี่ รอด้วยสิวะ กูกับมึงเรียนด้วยกันนะโว้ยไอ้โท แม่ง” ผมส่งเสียงไล่หลัง

“หนึ่ง..” ตงฉินทักมาก่อนี่จะได้วิ่ง ผมหันกลับไปสบตาเป็นคำถามว่าเรียกทำไม แต่ไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกมานอกจากเสียงหัวเราะหึหึเบาๆในลำคอและมือหนาที่ตบไหล่ผมสามครั้งเหมือนให้กำลังใจก่อนจะเดินเข้าห้องเรียนของตัวเองพร้อมกับฉัตรชัยและศิระ ผมยืนอึ้งอยู่สามวินาทีเพื่อประมวลผลว่าพลาดอะไรไปหรือเปล่า

“เชี่ย หมายความว่าไงวะ หน้าแบบกูถ้าเป็นบ้าคงทำกรรมหนักมา สัส ด่ากูว่าขี้เหร่ตรงๆเถอะให้กูคิดมากทำไมวะ” ผมสบถกับตัวเองอย่างอารมณ์เสีย มองเวลาในมือถือแล้วต้องรีบวิ่งตาเหลือกเพราะอีกไม่กี่นาทีจะเริ่มเรียนแล้ว อาจารย์ยิ่งดุๆอยู่ด้วยและไอ้พี่ชายตัวดีที่เรียนด้วยกันก็ไม่คิดจะรอ

ถึงขาจะสั้น แต่ต้องรีบโกยแล้วล่ะวินาทีนี้.... กรรมหนักงั้นเหรอ มีแฟนหล่อระดับเทพให้ได้แบบไอ้หนึ่งก่อนค่อยมาว่านะ


#### ####

[ตงฉิน]

             บรรยากาศในห้องเรียนเงียบเหงา ปกติผมไม่ใช่คนเฮฮาที่จะชวนคนโน้นคนนี้คุย ยิ่งตอนเรียนแบบนี้ผมก็ปิดปากเงียบมองไปข้างหน้าอย่างตั้งใจโดยไม่สนใจเพื่อนทั้งสองคนที่นั่งติดกัน

“ตง”

“หืม”

“นายคิดว่าไอ้หนึ่งมันจะหายโกรธพวกเรายังวะ” ฉัตรชัยเป็นคนถาม

“ไม่รู้สิ ทำไมไม่ถามมันเองล่ะ”

“ก็เราคิดว่า เอ่อ นายกับมัน คือแบบ คุยกันเรื่องนี้บ้างอะไรแบบนี้น่ะ” คิ้วที่ขนาบด้านซ้ายพูด

“เท่าที่จำได้ ไม่ได้คุยอะไรกันนะ ถ้านายอยากรู้ว่ามันหายโกรธหรือยัง ถามเจ้าตัวได้เลย”

“เห้ออออ” ผมรู้ว่าตัวเองไม่ได้ช่วยอะไร แต่เห็นท่าทางหงอยๆของสองหนุ่มที่นั่งขนาบสองข้างแล้วก็อดสงสารไม่ได้

             สำหรับผม เรื่องที่ฉัตรชัยโกงการสอบไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เพราะมันเป็นเรื่องที่ผมตามสืบเองจึงมีเวลาทำความเข้าใจในเหตุผล(ที่ผิดๆ)ของเพื่อนคนนี้ ถ้าจะโกรธก็คงเป็นเรื่องที่ดึงหนึ่งไปพัวพันจนเกือบแงะไม่ออก ส่วนเรื่องที่ผ่านมาผมไม่ได้ถือโทษเพราะเชื่อว่ามันคงรู้สึกผิดไม่น้อย ผมไม่ได้สนับสนุนการทำผิด แต่ผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปชี้นำหรือบังคับให้ไปสารภาพ เรื่องนี้มันกระทบหลายคน นอกจากฉัตรชัยแล้วยังมีฉัตรพงษ์อีกคนที่อาจจะหมดอนาคต คนที่มีเอี่ยวแบบคิ้วและทอยคงจะถูกสอบสวนไปด้วย ฝาแฝดคู่นี้ทำผิด ผมรู้ว่าผิด แต่ผมก็ไม่ต้องการทำลายอนาคตของใคร

“ให้เวลามันหน่อย เป็นนายจะไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ” ผมถามเสียงเข้ม

“เห้อ” ทั้งสองคนถอนหายใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

“ขอบใจมากนะตงที่ไม่โกรธพวกเรา”

“ใครว่าเราไม่โกรธ แต่เราไม่ได้โกรธเรื่องนายโกง เราโกรธที่นายปกปิดและหลอกหนึ่ง” ผมตอบความจริง และทั้งสองคนก็ก้มหน้านิ่งเหมือนหมาหงอย

“เรารู้สึกผิด จริงๆนะ” ฉัตรชัยพูดด้วยเสียงสั่นเครือคล้ายคนจะร้องไห้

“นายไม่ต้องบอกเราหรอก คนที่นายควรจะพูดด้วยคือแฟนเราต่างหาก” สองหนุ่มเงยหน้ามามองผมราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง ปกติแล้วผมไม่ชอบบอกใครต่อใครว่าเป็นแฟนกับหนึ่ง แม้กับเพื่อนในกลุ่มก็เช่นกัน ผมปากหนัก มาดนิ่ง ดูหยิ่งจนคนนอกเข้าไม่ถึง จึงไม่แปลกใจเท่าไรนักที่ได้เห็นใบหน้าเหวอๆของเพื่อนทั้งสองคนที่นั่งขนาบอยู่ข้างๆ ด้วยรอยยิ้มมุมปากตลอดทั้งคาบ

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.


ตอนที่ 47. เรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิด

[เอกราช]

             พวกเราใช้เวลาไม่นานจริงๆในการเปิดอกคุยกันและขอโทษสำหรับเรื่องที่ทำผิดพลาด ไอ้โทเป็นกาวใจในเรื่องนี้เพราะไม่อยากเห็นความมึนตึงระหว่างกลุ่มพวกเราที่มีคนคบอยู่แค่นี้ ผมใช้เวลาขจัดอคติในใจมาสักระยะก็พอทำใจและรับฟังเหตุผลของทั้งฉัตรชัยและคิ้วตั้งแต่ต้นจนจบ เรื่องโกงการสอบนั้นพวกมันผิดเต็มประตูแต่ผมก็ไม่มีหน้าที่ยกโทษให้ เรื่องที่เคืองใจมีแค่การถูกหลอกเหมือนเป็นคนโง่มาหลายเดือนคือสิ่งเดียวที่อยู่ใต้การตัดสินใจของผมที่จะมองข้ามและลืมมันไป ไม่ใช่เพราะว่าผมเป็นคนดีเหมือนพระเอกละครหลังข่าว แต่ผมเชื่อว่าทุกคนสมควรได้รับโอกาสจากความผิดพลาดที่ไม่รุนแรงและสามารถแก้ไขได้ ตงฉินไม่ขัดข้องในเรื่องนี้และยอมรับการตัดสินใจ และสุดท้ายพวกเราก็กลับมาคุยและสนิทกันอีกครั้งเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ... นี่แหละมั้งความหมายของคำว่าเพื่อน

             พอเทศกาลรับน้องจบสิ้น พวกเราก็ต้องก้มหน้ารับชะตากรรมกับการสอบที่กำลังจะมาถึง ด้วยความที่ผมกับไอ้ตงเรียนคนละสาขา จำนวนวิชาและเวลาที่สอบไม่ค่อยตรงกันเสียส่วนใหญ่ แถมต้องแยกกลุ่มกันติวโดยไอ้ตงกับไอ้คิ้ว(ประธานรุ่น)ต้องไปอ่านกับพวกสาขาการค้าระหว่างประเทศ ที่เหลือนั้นก็มาสุมหัวติวกันที่คอนโดไอ้ตงอย่างสบายใจเพราะสะดวก ใกล้มหา’ลัย มีแอร์ฟรี(ที่ผมจ่ายเงินค่าไฟ) แถมห้องยังใหญ่สุมหัวกันได้ไม่อึดอัด และเป็นปกติของทุกครั้งก่อนสอบที่ขวัญใจจะทำหน้าที่คอยติวให้เพื่อนๆ แต่คืนนี้มีหลายคนติดธุระจึงเหลือแค่ผมกับไอ้ฉัตรชัยเท่านั้นที่มาฟัง (ไม่ต้องบอกหรอกเนอะว่าไอ้โทมาหรือเปล่า รายนั้นหวงและตัวติดแฟนจะตาย)

“ขวัญ ทำไมหน้าดูซีดๆ” ไอ้ฉัตรเป็นคนทัก เพื่อนคนสวยยิ้มเจื่อน ผมก็เพิ่งสังเกตว่าขวัญใจเหมือนคนจะเป็นลมจริงๆ

“พอดีเครียดๆน่ะ โรคกระเพาะเลยกำเริบ” เจ้าตัวตอบก่อนจะดึงสมาธิกับการติวหนังสือกันต่อ ภาคการตลาดมีสอบเยอะพอๆกับการทำโครงงาน เมื่อเวลาเรียนและทบทวนบทเรียนถูกเจียดไปให้กับงานกลุ่มที่ค่อนข้างยุ่ง พวกเราจึงอาศัยการติวจากคนเรียนเก่งแบบขวัญใจนี่แหละเพื่อให้คะแนนไม่ขี้เหร่เกินไป ปีนี้ยังไงผมจะต้องรอดคำด่าจากตงฉินให้จงได้...

“มึงดูแลแฟนดีๆหน่อยดิวะ” ผมกระซิบข้างหูไอ้โทที่กำลังจดจ่อกับเนื้อหาที่ติว

“กูก็ดูแลดีอยู่ แต่ช่วงนี้งานเยอะนี่หว่า กว่าจะได้นอนกันก็ดึกดื่น” ผมล่ะเข้าใจคำตอบของพี่ชายเลยครับเพราะตัวเองก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน หลายครั้งที่ต้องทำงานกลุ่มถึงตีหนึ่งตีสองก่อนจะต้องกลับมานอนเพื่อตื่นไปเรียนในตอนแปดโมงเช้า สภาพทุกคนจึงไม่ต่างจากซากศพ ยกเว้นไอ้ตงที่ไม่ยุ่งเท่า ใบหน้าจึงหล่อออร่ากระจายข่มทุกคนอย่างน่าหมั่นไส้

“ว่าแต่ว่า ขวัญใจไหวแน่นะ ดูท่าทางไม่ค่อยดีเลย เหมือนคนอยากอ้วก” ไอ้ชัยถามต่อ

“อุ๊” พูดยังไม่ทันจบ ขวัญใจก็ผุดลุกโดยใช้มือข้างหนึ่งปิดปากไว้แน่นก่อนวิ่งในห้องนอนใหญ่แถมยังเตะถังขยะที่ขวางทางจนของข้างในตกเกลื่อน แต่ก็ไม่ทำให้ความเร็วในการวิ่งไปห้องน้ำลดลงเลย ไอ้โทรีบพุ่งตัวตามไปติดๆ เหลือแต่ผมกับไอ้ฉัตร(ชัย)ที่มองตามตาปริบๆ

“หรือว่า” ไอ้ฉัตร(ชัย)มันตั้งข้อสังเกตอีกแล้ว พวกเรากันมาสบตากันอย่างไม่ได้นัดหมาย

“กูว่ากูไปดูขวัญใจด้วยดีกว่า” ผมเลี่ยงไม่พูดสิ่งที่คิด แต่มันก็ชวนให้อดคิดไม่ได้ คนที่นั่งอยู่ก็เลยเดินตามมาเพราะไม่รู้ว่าจะนั่งคนเดียวทำไม แฟนของมันกับเพื่อนสาวไปติวอีกกลุ่มหนึ่งเลยไม่ได้มาด้วย ผมแอบโล่งใจเพราะคนยิ่งน้อยยิ่งดี

“ไอ้เหี้ย พวกมึงใช้ถุงยางแล้วขว้างลงถังแบบนี้เลยเหรอวะ” ไอ้ชัยที่เดินตามก็ตาเหยี่ยวเสียจริง เจือกไปเห็นของใช้แล้วที่ตกเกลื่อนจากถังขยะเมื่อครู่

“ถ้าไม่ขว้างลงถังจะให้กูขว้างไปไหนวะ”

“ก็ เออ... ก็จริง แต่เชี่ย ถุงยางแตกด้วยเหรอวะ” มันเอาเท้าที่สวมรองเท้ากันลื่นรูปหมีสีน้ำตาลของตงฉินเขี่ยๆพร้อมทำหน้ารังเกียจ ... แล้วมึงจะเขี่ยทำม๊ายยยยยยยยยยยยย

“มึงจะจับผิดถุงยางพวกกูอีกนานมั้ยวะ” ผมกร่นด่า พาลนึกด่าขวัญใจที่วิ่งเข้าห้องน้ำในห้องนอนใหญ่แทนที่จะใช้ห้องน้ำที่ห้องรับแขก สิ่งที่ไอ้ชัยมันเห็นก็เพราะว่าไม่ได้มีแค่อันเดียวเสียด้วย ก็อย่างว่านั่นแหละ ใครใช้ให้ไอ้ตงมันน่าฟัดขนาดนี้ด้วยล่ะ หุ่นก็ดี หน้าก็หล่อ แถมยังขี้อ้อนมากอีกด้วย ถ้าไม่จัดบ่อยๆก็เสียของเปล่าๆ ท่าทางเซ็กซี่ตอนที่มันอยู่บนตัวผมนั้นยังโลดแล่นเมื่อมองไปที่เตียงขนาดคิงไซส์

“เอ่อ กูว่าวันนี้พอแค่นี้เถอะว่ะ ขวัญไม่ไหวแล้ว” ไอ้โทเดินออกมาจากห้องน้ำก่อนที่พวกผมจะเดินไปถึงเสียอีก เสียเวลาเรื่องถุงยางอนามัยใช้แล้วกับไอ้ชัยอยู่นานสองนาน

“ไปหาหมอมั้ยวะ เดี๋ยวกูพาไป” ไอ้ชัยอาสา

“ไม่เป็นไรหรอก คงเครียดลงกระเพาะน่ะ กินยาแล้วพักซักหน่อยคงดีขึ้น” นายแพทย์เอกภาพวินิจฉัย ผมได้แต่มองหน้ามันอย่างเต็มไปด้วยคำถาม ไอ้ชัยเลยขอตัวกลับบ้านก่อน(ผมรู้ว่ามันจะไปหาแฟน แต่ชอบเอาที่บ้านมาอ้าง) เมื่อเก็บเศษขยะที่หกใส่ที่เดิมแล้ว ขวัญใจก็เดินอิดโรยออกมาจากห้องน้ำ พี่ชายผมประคองอยู่ไม่ห่าง

“ไหวมั้ยขวัญใจ นอนที่นี่ก่อนก็ได้นะ” ผมเสนอ แต่ทั้งคู่ต่างขอตัวก่อนทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวอย่างงงๆ

“แน่ใจนะว่าไหว ไม่ไปหาหมอใช่มั้ย” ผมถามย้ำ แต่พี่ชายตัวดีก็ตอบเสียงหนักแน่น ไอ้ชัยก็เลยต้องขอตัวกลับก่อน สงสัยคงอยากจะไปหาวาวาที่ติวอยู่กับเพื่อนอีกกลุ่ม เมื่อทุกคนออกไปหมดแล้ว ห้องก็เหมือนใหญ่ขึ้นจนไม่ชินเอาเสียดื้อๆ ผมหยิบมือถือจะกดโทรหาตงฉินแต่ก็เกรงว่าจะไปรบกวนสมาธิ ทำได้แค่ส่งข้อความไปหา ถ้ามีเวลาเจ้าตัวคงจะตอบมาเอง

หนึ่งโทรสองโทร(มีแฟนแล้ว) : อยู่ไหนแล้ว จะเสร็จยัง

TongCh. : ยัง มึงเสร็จละเหรอ
... ใช้เวลาแค่ไม่นาน อีกคนก็ตอบกลับมาราวกับรออยู่ไม่มีผิด

หนึ่งโทรสองโทร(มีแฟนแล้ว) : อื้อ วันนี้เสร็จไว

TongCh. : คำว่าเสร็จของมึงความหมายเดียวกับกูมั้ยวะ

หนึ่งโทรสองโทร(มีแฟนแล้ว) : เออดิ ก็เสร็จด้วยกันทุกคืน จะไม่เหมือนกันได้ไง

TongCh. : ไอ้สัส กวนตีน

หนึ่งโทรสองโทร(มีแฟนแล้ว) : โอ๋ๆไม่เล่นละ ติวเสร็จแล้ว ขวัญใจไม่สบาย

TongCh. : เป็นอะไรมากมั้ย

หนึ่งโทรสองโทร(มีแฟนแล้ว) : เห็นว่าเครียดลงกระเพาะแล้วก็อ้วก แต่กูว่า...

TongCh. : ว่า?

หนึ่งโทรสองโทร(มีแฟนแล้ว) : มึงไม่ต้องมาแบ๊ว มึงไม่ได้ใสซื่อแบบที่คนอื่นคิดนะเว้ย

TongCh. : ไอ้เตี้ย คืนนี้มึงนอนห้องเล็กไปเลยนะ

หนึ่งโทรสองโทร(มีแฟนแล้ว) : โอ๊ยๆๆๆ อย่าดิ ผัวขอโทษ ไม่เล่นแล้วก็ได้

หนึ่งโทรสองโทร(มีแฟนแล้ว) : กูกับไอ้ชัยคิดว่า ขวัญใจน่าจะท้อง

TongCh. : ห๊ะ

TongCh. : ***สติ๊กเกอร์รูปหมีตกใจ****


RRRRRRRrrrrrrrrrrr

[มึงพูดบ้าอะไรเนี่ย] ตงฉินคงร้อนใจไม่น้อยเพราะขวัญใจคือเพื่อนสนิทคนเดียวที่คบมานาน มันรีบโทรมาทันที

“กูไม่ได้พูดบ้าๆ กูแค่สันนิษฐาน” ผมขึ้นไปนอนบนโซฟา มองหนังสือและกองชีทวิชาที่จะสอบวางเกลื่อนพื้นห้อง

[เชี่ย] มันสบถ ก่อนจะได้ยินมันขอตัวกลับก่อนกับเพื่อนที่ติวด้วยกัน

“ให้ไปรับมั้ยวะ”

[ไม่ต้อง กูขับรถมา เห็นมึงหลับอยู่ตอนออกมา] เมื่อคืนจัดหนักไปจริงๆ สามยกติดแถมถุงแตกไปอีกสอง

“ขับรถดีๆนะ มีคนเคาะห้องแค่นี้ก่อน” ผมกดวางสายและเดินไปเปิดประตู ร่างที่คุ้นเคยของไอ้โทยืนหัวโด่อยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หน้าตามันไม่เคยเครียดขนาดนี้มาก่อนจนผมใจคอไม่ดีเอามากๆ

“กูมาเอาชีทน่ะ” มันบอกเจตนาก่อนจะเดินเข้ามาเก็บบทเรียนที่วางทิ้งไว้ ผมไม่พูดอะไรเลยนอกจากมองตามการเคลื่อนไหวของลูกพี่ลูกน้องอย่างไม่ละสายตา “มึงจะพูดอะไรก็พูด ไม่ต้องมองขนาดนี้ก็ได้ กูเสียว”

“เสียวเหี้ยอะไรของมึง นี่น้องหนึ่งเอง”

“ถุ๊ย” สีหน้ามันผ่อนคลายกว่าเดิมนิดหน่อย ก่อนที่จะนั่งลงบนโซฟาเต็มแรงและถอดหายใจเฮือกใหญ่

“กูพอช่วยอะไรมึงได้มั้ยวะ” ผมนั่งลงข้างๆพร้อมตบไหล่มันอย่างที่เคยทำตอนเป็นเด็กเวลาเห็นไอ้โทไม่สบายใจ

“กูไม่รู้ว่ะไอ้หนึ่ง ตอนนี้กูก็คิดไม่ตกเหมือนกัน” เสียงของมันประหม่าและกังวลอย่างปิดไม่มิด

“เรื่องขวัญใจใช่มั้ย” ผมหยั่งเชิง

“อื้อ” มันรับแต่โดยง่าย ทั้งที่คิดไว้ว่ามันจะไม่ยอมปริปากเสียอีก “กูคิดว่าขวัญน่าจะท้อง”

“ไอ้สาด” ผมหน้าเสีย ถึงแม้จะคิดเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากให้เป็นเรื่องจริง ถ้าขวัญใจท้องนี่เรื่องใหญ่เลยนะครับ ป๊าของเธอโคตรดุ ถึงแม้จะไม่ได้รังเกียจที่มาคบกับไอ้โทก็ตาม แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้บอกที่บ้านว่าอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่คบกันแรกๆ

“ตรวจแล้วเหรอวะ ชัวร์เหรอวะ แม่กูน่ะกว่าจะรู้ว่าท้องก็ตั้งหลายเดือน ไปตรวจยัง” ไอ้โทส่ายหน้าแทนคำตอบ

“กูไม่กล้าว่ะไอ้หนึ่ง กูกลัวว่าถ้าขวัญท้องจริงๆกูจะต้องทำยังไงวะ อนาคตกูกับขวัญจะเป็นยังไงต่อไป มันมีแต่เรื่องให้คิดเต็มไปหมด เห้อ...” พี่ชายผมถอนหายใจยาวและพิงหลังอย่างคนอ่อนแรง

“ใจเย็นๆก่อนไอ้โท สิ่งแรกที่มึงควรทำคืออยู่ข้างๆขวัญ คอยให้กำลังใจ..”

“กูก็ทำอยู่”

“แต่มีอีกอย่างที่มึงต้องทำ”

“อะไรวะ”

“ใช้ถุงยาง”

“ไอ้สัส กูก็ใช้อยู่มั้ย ไอ้ห่านิ คนกำลังเครียด เล่นอยู่ได้” นั่นไงกู โดนแล้วครับ อยู่ดีไม่ว่าดี

“ขอโทษๆๆๆ กูไม่อยากให้มึงคิดมากเฉยๆ” ผมตบไหล่มันเบาๆอีกหลายครั้ง “มึงใช้ถุงยางแน่นะ”

“เออดิ” มันตอบห้วนๆอย่างคนอารมณ์ไม่ดี

“แล้วจะท้องได้ไง ถึงมันจะไม่ช่วยป้องกัน 100% ก็เหอะ” ได้ผล พี่ชายผมนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะคิดอะไรออก

“เชี่ย กูจำได้แล้ว เดือนที่แล้วกูทำถุงยางแตก” สิ่งที่ผมภาวนาไว้ว่าอย่าเกิดขึ้นกลับถูกสารภาพออกจากปากผู้ต้องหาแล้ว

“งั้นสิ่งที่มึงต้องทำให้ด่วนที่สุดเลยนะไอ้โท” มันหันมามองหน้าผมอย่างกังวลใจ “มึงต้องพาขวัญไปตรวจ”

“กูไม่กล้า กูกลัว” มันกุมขมับ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นไอ้โทมีท่าทางสิ้นหวังเช่นนี้มาก่อน ด้วยฐานะทางบ้านที่เพิ่งจะเริ่มดีขึ้นมาหลังจากที่พี่เอกพี่ชายคนโตของมันได้แฟนรวย (อันนี้ไม่เกี่ยวเท่าไหร่เรื่องแฟนรวย) แต่เพราะพี่เอกมีงานประจำและรายได้ค่อนข้างดีทำให้ทางบ้านไม่ลำบากเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างมันจะเพียบพร้อมถ้าไอ้โทจะต้องกลายเป็นพ่อคนตั้งแต่อายุเท่านี้

“ใจเย็นๆก่อน มึงรอไอ้ตงก่อนมั้ยล่ะ มันน่าจะช่วยมึงได้” ผมนึกถึงสองหมูคู่แฝดลูกชายของไอ้ตงที่เกิดกับนางแบบที่ชื่อเดซี่ตั้งแต่มันเพิ่งเข้าวงการบันเทิงใหม่ๆ หลังจากที่มันพบเจอเรื่องเลวร้ายจากน้ำมือของไอ้สุชาติ ตงฉินเลยประชดชีวิตด้วยการนอนกับคนไม่เลือกหน้าจนถูกนางแบบคนสวยปล่อยท้อง...ยังดีที่มันไม่ติดโรคนะ (แต่ความจริงคือสองหมูเป็นลูกของพ่อตงฉินกับเดซี่ต่างหาก ชีวิตของมันน่าเอาไปทำละครที่สุด หักมุมแล้วหักมุมอีก)

“กูยังไม่พร้อมว่ะ” มันตอบ “มึงว่ากูเป็นคนขี้ขลาดมั้ยวะไอ้หนึ่ง”

“อ้าว อยู่ๆมาถามอะไรกู” ผมนิ่วหน้า คำถามนี้ละเอียดอ่อนแค่ไหนวะ ถึงแม้จะสนิทกัน โตมาด้วยกัน แต่จะตอบยังไงดีล่ะ เพราะถ้าเอาตรงๆกับที่คิด ผมก็คิดว่ามันค่อนข้างขี้ขลาดที่ไม่กล้าแม้จะพาแฟนสาวไปตรวจให้แน่นอน แต่พอมีเหตุผลแวดล้อมมาประกอบด้วยก็เข้าใจอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของมันพอสมควร

“ตอบมาเหอะ” คนถามคะยั้นคะยอ

“กูไม่ตอบ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องว่ามึงขี้ขลาดหรือเปล่า แต่มันอยู่ที่ว่า มึงจะรับผิดชอบยังไงมากกว่านะ”

“อื้อ ขอบใจว่ะ กูอิจฉามึงนะเนี่ยที่เมียมึงท้องไม่ได้” วกกลับมาเรื่องกูได้ไงวะ

“ไอ้สัส กูกำลังอิน กลับมากวนกูซะได้” ใบหน้าของคนโดนด่าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“อย่างน้อยกูก็ได้รู้ว่ามึงมีความคิดดีๆจากสมองขี้เลื่อยบ้างแหละ ไม่เสียแรงที่แม่มึงส่งมาเรียน”

“ไอ้สัสโท มึงว่ากูโง่เหรอ”

“กูไม่ได้ว่า ขวัญก็ว่า ตงก็ว่า คนอื่นๆก็ว่า”

“ไอ้สัส” วันนี้สบถไปกี่รอบแล้วเนี่ย แต่พอเห็นใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของพี่ชายตัวเองก็ทำให้สบายใจมาเปราะหนึ่ง

“กูไปละ ขอบใจมากที่ให้คำแนะนำ”

“หืม คำแนะนำอะไรวะ” ผมถามแบบงงๆ เพราะนึกไม่ออกว่าให้คำแนะนำอะไรไป

“เห็นมั้ย มึงไม่มีสมองจริงๆด้วย ฮ่าๆๆๆ”

“อ้าว ไอ้โท ไอ้พี่เหี้ย แน่จริงมึงอย่าหนีดิ มาให้กูเตะซะดีๆ” ตอนที่ผมตะโกนลั่น ไอ้โทก็รีบวิ่งออกจากห้องไปโดยไวราวกับว่ามีเรื่องด่วนพิเศษให้ต้องทำ ... หวังว่าเรื่องทุกอย่างมันจะออกมาดีนะ

             ทิ้งเวลาไม่นานร่างสูงที่คุ้นเคยก็เดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าหล่อดูร้อนรนน่าจะมีเหตุผลมาจากเรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้ ตงฉินวางเป้ที่ยัดเอกสารประกอบการเรียนที่เอาไปติวลงกับโต๊ะกระจกของห้องรับแขก เราสบตาโดยที่ต่างไม่พูดอะไร ผมยิ้มอ่อนให้ จับจ้องหุ่นนายแบบที่สวมแค่เสื้อคอกลมสีขาวขนาดใหญ่กว่าตัวเองประมาณสองไซส์ สวมกางเกงขาสั้นเกือบถึงเข่าสีดำและรองเท้าแตะแบบสานที่ดูเก่าซอมซ่อที่ราคาหลักพัน(ที่ถูกถอดไว้แล้ว)กำลังเดินมาใกล้และนั่งลงข้างๆกัน

“เหนื่อยมั้ย หิวหรือเปล่า”

“ไม่” ตงฉินตอบสั้นๆตามเคย ก่อนจะโน้มมาซบที่ไหล่อย่างไม่ต้องร้องขอ

“คิดมากเรื่องขวัญใจใช่ไหม”

“อือ”

“จะลงไปหามั้ย”

“ไปมาแล้ว แต่โทบอกว่าขวัญนอนแล้วเลยขึ้นมานี่แหละ”

“เมื่อกี้ไอ้โทก็มาหา” ผมเล่าเรื่องที่คุยกับพี่ชายให้ตงฉินฟังจนจบ

“หนึ่งคิดว่าโทจะพาขวัญใจไปตรวจมั้ย”

“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงดีใจ แหมมมม...ก็นานๆทีแฟนเรียกชื่อผม ปกติเรียก มึงๆ หรือไม่ก็ไอ้เตี้ย

“เห้อ”

“เอาน่า ใจเย็นๆก่อน เราไม่รู้ซะหน่อยว่าขวัญใจจะ เอ่อ เป็นแบบที่เราคิดมั้ย อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลยนะ”


#### ####

[ตงฉิน]

             ผมนึกย้อนไปครั้งที่ยังเด็ก ตอนนั้นน่าจะชั้นประถมนี่แหละที่ได้เจอกับขวัญใจเป็นครั้งแรก เพราะพ่อของพวกเรารู้จักกันในฐานะคู่ค้าทางธุรกิจ การที่ถูกพาไปโน่นมานี่ด้วยบ่อยครั้งเลยทำให้พวกเราทั้งคู่ได้เป็นเพื่อนเล่นกันเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอผู้ใหญ่นั่งล้อมวงคุยเรื่องน่าเบื่ออยู่นานสองนาน จากที่ไม่ชอบที่ถูกพ่อหิ้วไปออกงานพบปะย่อมๆก็เริ่มเปลี่ยนความคิดเพราะได้เจอกับเด็กผู้หญิงน่ารักไว้ผมยาวและผูกโบว์สีเหลืองเป็นเอกลักษณ์แถมมียิ้มหวานฟันหลอที่ชอบหาเกมใหม่ๆมาให้เล่นเสมอ

   นานวันเข้า การพบปะของผมกับขวัญใจก็เปลี่ยน จากการติดสอยห้อยตามไปประชุมกับพวกผู้ใหญ่กลายเป็นการไปมาหาสู่กันของสองบ้าน วันไหนผมเบื่อก็ให้คนขับรถพาไปเล่นที่บ้านโน้น เราจึงสนิทกันมากขึ้นและโตมาด้วยกันจนกระทั่งชั้นมัธยมต้นก็สอบติดโรงเรียนเดียวกันและอยู่ห้องเดียวกันมาตลอด ความชอบและความสนใจที่มีก็คล้ายๆกันแม้กระทั่งเรื่องการเลือกเรียนในระดับม.ปลาย รวมไปถึงมหา’ลัย (เรื่องแฟนก็รสนิยมแย่เหมือนกันคือเลือกพี่น้องหนึ่งโทนี่แหละ) เราโตมาด้วยกันเห็นการเปลี่ยนแปลงของกันและกันมาทุกช่วงชีวิต พอวันหนึ่งที่ได้รู้ความน่าจะเป็นเรื่องขวัญใจอาจจะท้อง สมองมันตื้อไปหมดเพราะเรามองว่าเพื่อนเราเหมือนนางฟ้าคนหนึ่ง สุดท้ายแล้วเมื่อตื่นมาพบว่าคนที่เรามองว่าขาวสะอาดมาตลอดไม่ได้เป็นแบบที่เราคาดหวังไว้ก็พลอยผิดหวัง ทั้งที่มันไม่ใช่ความผิดของขวัญใจเลยสักนิด แต่เป็นที่ผมเองที่มองภาพเพื่อนสนิทเป็นแบบนั้น

             อาการของผมมันคล้ายคนอกหักเมื่อได้รู้ว่าเธออาจจะกลายเป็นคุณแม่ตั้งแต่ยังสาว ประหนึ่งจงอางหวงไข่ ไม่อยากเห็นเพื่อนสนิทคนเดียวของเราออกเรือนไปมีลูก การที่ขวัญใจไปมีแฟนก็รู้สึกโหวงเหวงอยู่แล้ว พอคิดว่าเธอจะมีเลือดเนื้อเชื้อไขให้รักเพิ่มอีก 1 คนก็ยิ่งทำให้ผมสะเทือนใจแปลกๆ อาจเป็นเพราะผมไม่อยากถูกลดความสำคัญในสายตาของขวัญใจ...มั้ง

“ยังคิดมากอยู่อีกเหรอ” เสียงงัวเงียของคนตัวเล็กกว่าถามขึ้นมา คงเป็นเพราะผมคิดและพลิกตัวไปมาหลายครั้ง

“นิดหน่อย ขอโทษนะที่ทำให้ตื่น” ผมนอนตะแคงหันหลังให้ อ้อมกอดที่อบอุ่นก็สอดเข้ามา

“มีอะไรก็เล่าให้ฟังได้นะ ไม่อยากเห็นมึงเป็นแบบนี้เลย” สัมผัสจั๊กจี้ที่ท้ายทอยจากริมฝีปากที่พรมจูบซ้ำๆทำให้จิตใจปั่นป่วน

“ไม่มีอะไรมากหรอก แค่คิดไปเรื่อยเปื่อยเรื่องขวัญใจ” อ้อมกอดนั้นกระชับแน่น มือข้างหนึ่งลูบไล้หน้าอกผมจนเคลิ้ม

“อื้อ” แรงดูดเฟ้นที่ไหล่ทำให้สติเกือบหลุดลอย

“จะไม่ถามเหรอว่าคิดอะไร”

“อยากเล่าหรือเปล่าล่ะ” คนที่กำลังจู่โจมอย่างแผ่วเบาหยุดการไล้ริมฝีปาก

“ก็ไม่เชิง กลัวมึงรำคาญ” ผมจับมือของอีกคนเอาไว้เพื่อหยุดการสัมผัสที่ลูบไล้จากหน้าอกลงมาที่หน้าท้อง

“กูเคยรำคาญมึงด้วยเหรอวะ” ไอ้หนึ่งตอบแทบจะทันที

“เท่าที่จำได้ก็ไม่นะ” ผมพลิกตัวกลับไปนอนตะแคงหันหน้าไปทางไอ้หนึ่งเงาสลัวของห้องนอนมืดมิดยังพอให้เห็นประกายในตา อีกคนยอมคลายแรงกอดรัดเพื่อรอให้ผมปรับท่าทางให้ลงตัวอย่างเงียบเชียบไร้การตอบกลับ “หนึ่ง นอนแล้วเหรอ”

“ยัง ก็รออยู่ว่ามึงจะพูดหรือเล่าอะไรมั้ย”

“กอดกูหน่อย” ผมไม่อยากจะเล่าอะไรทั้งนั้น เพราะความคิดตอนนี้มันสับสนไปหมด แถมเรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะจริงมากหรือน้อยแค่ไหน ผมไม่อยากตีตนไปก่อนไข้ อย่างน้อยได้ไออุ่นของอ้อมกอดของคนที่นอนด้วยทุกคืนก่ายไว้ก็พอจะคลายความกังวลไปได้บ้าง

“เดี๋ยวนี้อ้อนเก่งนะเนี่ย”

“ก็อ้อนมึงคนเดียวมั้ยล่ะ” ผมหลับตา รู้สึกโล่งอกที่ทุกอย่างมันมืดมิดมากพอจะกลบความร้อนผ่าวที่ใบหน้า อกแข็งๆของไอ้หนึ่งแนบชิดเข้ามาจนสามารถจับจังหวะการเต้นของหัวใจที่รุนแรง ไม่ใช่แค่ผมที่กำลังฟินอยู่ตอนนี้

“อย่าอ้อนบ่อยเกินไปล่ะ”

“ทำไมเหรอ”

“อ้อนบ่อยๆไม่กลัวเสียตัวรึไง”

“เคยกลัวที่ไหนล่ะ”

“ฮึ่มๆ งั้นไม่ต้องนอนมันละคืนนี้” ไอ้คนหื่นกามเปิดไฟที่หัวเตียงจนสว่างโร่ สายตาฉ่ำหวานส่งมายั่วยุก่อนลมหายใจอุ่นๆจะแนบชิดกับใบหน้า กลีบปากของมันบดเบียดอย่างเนิบนาบปล่อยให้ความโหยหานำทางไปโดยอัตโนมัติ สองมือใหญ่เกาะกุมลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างจนชุดนอนของผมหลุดรุ่ย ขาแกร่งแหวกว่ายจัดแจงแทรกกลางให้ช่วงล่างของผมออกห่างกัน เสียงดูดเฟ้นของพวกเราดังอื้ออึงในลำคอ ความหวานปลายลิ้นถูกกระหน่ำจ้วงหนักหน่วงจนเกิดน้ำลายไหลยืดส่งผ่านไปมา เมื่อตักตวงความอิ่มเอมจากรสจูบแล้ว แฟนหนุ่มของผมที่คร่อมตัวอยู่ด้านบนก็เริ่มเล้าโลมอย่างหิวกระหาย แรงดูดทรวงอกดังลั่นจนผมต้องกลั้นเสียงครางที่สุดสยิวเอาไว้ไม่ให้มันได้ใจ แต่แรงบุกเบิกที่เบื้องล่างฝืดคับจนเจ็บปร่า

“น่ะ หนึ่ง ใช้เจลเถอะ กูเจ็บ” คนที่หน้ามืดอยู่ชะงักและผละไปหยิบหลอดบรรจุของเหลวที่ใช้ร่วมกันมาชะโลมที่นิ้วหยาบแรงกดเข้ามาในกายตรงส่วนปลายของนิ้วทำให้ผมสะท้าน ปากทางแคบไม่เคยต้านทานความปรารถนาได้เลยสักครั้ง ใบหน้าของพวกเราเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่ออะดรีนาลีนฉีดพุ่ง ลมหายใจหอบพร่าชวนให้จิตใจวาบหวิว นิ้วแกร่งแหวกว่ายลึกสุดถึงโคนส่ายสอดเข้าออกอย่างไม่ถนอม ไม่นานนักสิ่งแปลกปลอมก็เพิ่มเข้ามาทีละหนึ่งจนกระทั่งที่ทางแคบนั้นไม่สามารถเปิดกว้างได้มากไปกว่านี้อีกแล้วนั่นแหละ คนที่นำทางอยู่ด้านบนกลับมาประกบดูดดื่มความหวานในช่องปากของผมอีกครั้ง สองขาถูกยกพาดกับไหล่กว้างจนกระทั่งก้อนกลมกลึงของบั้นท้ายยกตัวเปิดเป็นทาง เสียงฉีกถุงยางอนามัยไซส์พิเศษดังแผ่วเบา ส่วนแรกใหญ่โตทะยานเข้ามาอย่างยากลำบาก ผมหอบหายใจแรงเพื่อสะกดกลั้นความตึงปร่าที่กำลังไหลลื่นเข้ามาในตัวอย่างช้าๆ

“อื้อ ใจเย็น มันจุก”

“ผ่อนคลายหน่อยนะตง ให้หนึ่งเข้าไปนะ”

“อื้อ” ผมเปลี่ยนจังหวะลมหายใจให้ยาวกว่าเดิม แรงเสียดสีขนานใหญ่รุกล้ำเข้ามาจนร่างกายของสองเราแนบชิด รับรู้ถึงความแข็งขืนที่ขยายตัวคับพื้นที่จนจุกตึงจนไม่อาจเปล่งคำพูดออกมาได้ แล้วแรงขยับเข้าออกช้าๆก็ดำเนินมาอย่างมีจุดหมาย ผมครางถี่ๆเมื่อรสรักแสนสุขแปรเปลี่ยนเป็นพายุโหมรุนแรง เสียงเนื้อกระทบกันดังหยาบโลน แต่ยิ่งส่ายสอดเข้ามาหนักหน่วงเท่าไหร่ ความกังวลในใจที่เคยเกาะกุมก็แห้งหายไปมากเท่านั้น แม้จะดึกดื่นยามนี้ แต่บทรักมันเพิ่งเริ่มเท่านั้น และผมก็ยินดีถ้านี่จะไม่ใช่ครั้งเดียวของวัน สองขาเกี่ยวกระหวัดต้นคอแกร่งเอาไว้เมื่อแรงถาโถมทำให้จิตใจหวิวโหวง

“มากกว่านี้ มากกว่านี้”






ภาพประกอบมิได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในนิยายแต่อย่างใด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 48. โศกนาฏกรรมอันโหดร้าย

             ในที่สุดพี่ชายผมก็พาแฟนสาวไปตรวจที่คลีนิกแห่งหนึ่ง ทั้งผมและตงฉินต่างถือวิสาสะไปด้วยโดยไม่ฟังคำทัดทานของทั้งคู่ นั่นเป็นเพราะตงเป็นห่วงเพื่อนสนิทเป็นอย่างมาก นอนไม่หลับมาหลายคืนจนผมต้องออกกำลังกายบนเตียงให้เขาเหนื่อยจัดๆถึงจะหลับไปโดยง่าย ระหว่างที่รอเรียกนั้นพวกเราทุกคนต่างก็อยู่ไม่สุข โทกับขวัญใจจับมือกันแน่น ตงฉินนั่งนิ่งแต่สั่นขาไม่หยุดอย่างประหม่า แม้แต่ผมที่เคยคิดว่าตัวเองรับมือไหวก็ไม่รอด ฝ่ามือชื้นแฉะเต็มไปด้วยเหงื่อจนชุ่ม

“ขวัญใช้ที่ตรวจครรภ์แล้ว แต่ผลออกมาไม่เหมือนกัน อันนึงบอกไม่ท้อง อันนึงบอกว่าท้อง กูเลยคิดว่าจะพาไปตรวจให้รู้แล้วรู้รอด” นั่นเป็นเหตุผลของพี่ชายตัวดีของผมนั่นเองครับ ความจริงแล้วไอ้โทก็คงอยากรู้ไม่ต่างกันว่าขวัญใจเป็นอะไรกันแน่ ช่วงนี้กำลังจะถึงช่วงสอบ ขวัญใจที่เครียดมากอยู่แล้วจิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนอ่านหนังสือไม่ได้ ทั้งสองคนเริ่มมีปากเสียงกันเพราะต่างก็เป็นห่วงอนาคตของตัวเอง

“ไปเถอะ เดี๋ยวกูไปด้วย ไอ้ตงมันก็อยากไป” ผมพูดเชิงให้กำลังใจ ถึงแม้จะรู้ว่ามันไม่ทำให้สภาพจิตใจไอ้โทดีขึ้นเท่าไหร่ก็ตาม

“ไม่ต้องเลย พวกกูไปกันเองดีกว่า”

“เมื่อกี้ไม่ใช่คำขอร้องนะ แค่ประโยคบอกเล่า” ผมตอบกลับ ไอ้โทส่ายหัวแต่ก็ไม่พูดอะไรอีก จนกระทั่งพวกเรามานั่งอยู่ในคลีนิกเล็กๆแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างไกลจากมหา’ลัยเพื่อหลบเลี่ยงสายตาหรือคนรู้จักที่อาจจะมาพบ เก้าอี้สีขาวที่ตั้งอยู่ในห้องถูกจับจองจากผู้มารอใช้บริการจนเกือบเต็ม หลังจากรอเกือบ 15 นาที พยาบาลก็มาเรียกเพื่อนสาวของพวกเราให้เข้าไปในห้องตรวจ

“เราไปด้วย” ตงฉินนั่งไม่ติด ร่างสูงรีบผุดลุกและเดินตามไปที่ห้องตรวจ ผมที่กำลังงงอยู่ก็รีบวิ่งตามไปแทบจะทันที พยาบาลแจ้งว่าให้ญาติรอด้านนอก แต่ไอ้ตงใช้หน้าตาความเป็นดาราเข้าแลก บอกว่าเป็นห่วงเพื่อนสนิทคนนี้มากจนรอไม่ไหวแล้ว ท้ายที่สุดพวกเราก็เข้าไปนั่งฟังผลในห้องตรวจพร้อมกันหมด

             คุณหมอเป็นหญิงรูปร่างท้วมแต่ใบหน้าดูใจดีแจ้งผลการตรวจออกมา และเป็นสิ่งที่พวกเราต่างไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ขวัญใจตั้งท้องอย่างที่คาดไว้ อาการต่างๆก็มาจากการแพ้ท้อง เราทั้งสี่คนหน้าซีดเผือด ไม่มีใครเปล่งเสียงใดๆออกมาสักคน พี่ชายจับมือแฟนสาวไว้แน่น ใบหน้าสวยมีน้ำตาคลอหน่วยก่อนจะหยดลงอาบแก้มอย่างไม่อาจคาดเดาได้ว่าเป็นเพราะเสียใจ ผิดหวังหรือดีใจกันแน่ ตงฉินนั่งเขย่าขาจนน่าหงุดหงิด ผมคว้ามือที่เย็นเฉียบมาจับ ร่างสูงหยุดเขย่าและปล่อยให้ผมจับมืออยู่อย่างนั้นโดยไม่ห่วงว่าคุณหมอจะคิดอย่างไร

“หมอเข้าใจนะคะว่าตอนนี้น้องๆรู้สึกอย่างไร แต่ตอนนี้หมอขอแนะนำ...” คุณหมอมากฝีมือเริ่มให้คำปรึกษาว่าที่คุณแม่มือใหม่ ต้องมีการฝากครรภ์ ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ ผมฟังไปอย่างมึนงง ความสับสนมากมายโฉบเข้ามาครอบครองความคิด เมื่อหันมองคนอื่นนั้นก็แทบไม่ต่างกัน ใบหน้าเหม่อลอยขณะรับฟังคุณหมอพอจะบอกได้ว่าตอนนี้ทุกคนต่างตกอยู่ในห้วงความกังวล

“ถ้าอย่างนั้น หนูมานอนตรงนี้ได้เลยค่ะ” คุณหมอยังใจเย็นและคอยกำกับให้ขวัญใจขึ้นไปนอนบนเตียงยกสูง บนนั้นมีเครื่องมือหลายอย่างที่ผมไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่พอเห็นคุณหมอหยิบอุปกรณ์ขึ้นมาจ่อกับหน้าท้องที่ชุ่มไปด้วยเจลใส ภาพขาวดำที่ปรากฎบนจอบ่งบอกว่าเป็นการอัลตร้าซาวด์ เรานั่งอยู่ที่เดิมโดยที่สองมือยังเกาะกุมกันไว้ ส่วนไอ้โทนั้นไปยืนข้างเตียงไม่ห่าง

“เอ...” คุณหมอขยับอุปกรณ์ในมือไปมาหลายต่อหลายทีก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ เมื่อทาบและขยับชุดตรวจอีกสองครั้งก็หยุดและหันมาสบตากับพี่ชายผมเป็นครั้งแรก

“มะ มีอะไรรึเปล่าครับคุณหมอ” ไอ้โทถามเสียงอึกอัก เรื่องนี้มันปอดแหกเกินกว่าจะปรึกษาพี่เอกพี่ชายแท้ๆของมันเลยทีเดียว

“คือ แฟนของน้องท้องนะคะ แต่ว่า”

“แต่ว่าอะไรคะคุณหมอ” ขวัญใจที่นอนนิ่งอยู่ถามขึ้นมาอย่างร้อนใจ

“แต่ว่าเด็กไม่มีสัญญาณชีพแล้วค่ะ หมอเสียใจด้วยนะคะ” เมื่อได้ยินดังนั้น เสียงถอนหายใจของตงฉินดังมาทันที พร้อมกับน้ำตาที่ไหลเอ่อทั่วใบหน้าของทั้งไอ้โทและแฟนสาว สองคนโผกอดกันและร้องไห้อย่างหนัก

“หมอเสียใจด้วยนะคะ” เสียงปลอบใจจากคุณหมอดังขึ้น แต่หากผมยังกังขาอยู่ว่าที่ทั้งสองคนร้องไห้นั้นมาจากสาเหตุใด เป็นเพราะความเสียใจที่สูญเสียลูกในท้องหรือว่าโล่งใจที่เรื่องกลายเป็นแบบนี้

             คุณหมอไม่ได้จัดยาอะไรให้นอกจากอุปกรณ์ที่ใช้รองเพื่อซับเลือด เนื่องจากเด็กได้จากไปแล้ว ร่างกายของผู้หญิงก็จะกลับมาเป็นปกติในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ประจำเดือนที่หายไปจะกลับมาและขับทุกอย่างออกมาจนหมดไปเอง ใบหน้าสวยของขวัญใจยังเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ไม่มีใครพูดอะไรกันตลอดทางกลับจากคลีนิกราวกับว่ากำลังซึมซับกับเหตุการณ์ทั้งหมดนี้อย่างถ่องแท้ ผมไม่โกรธหรือเสียใจหรือผิดหวังอะไรทั้งนั้น เพราะก็กังวลใจไม่ต่างจากทุกคน กลับรู้สึกโล่งอกเสียด้วยซ้ำที่ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ ... เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ผมก็เริ่มเข้าใจได้ว่าทำไมทุกคนต่างไม่พูดอะไร นั่นเป็นเพราะพวกเราต่างจมอยู่กับความคิดเช่นนี้ ความโล่งใจที่เด็กจากไปแล้ว มันเลยทำให้ดูเหมือนว่าพวกเราเป็นคนไม่ดีที่ยินดีกับความสูญเสีย กระทั่งสามัญสำนึกโจมตีขึ้นมาจนพูดไม่ออก ความรู้สึกนี้ชวนให้ปวดปร่าไปทั้งใจ ความยินดีที่ไม่ควรเกิดขึ้นมันทำให้ผมรู้สึกผิดมากจริงๆ


#### ####

             เมื่อผ่านพ้นช่วงสอบไปแล้ว พวกเราก็เริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางจนเกือบจะเป็นเหมือนเดิม ก่อนหน้านี้มีความหน่วงที่มองไม่เห็นระหว่างไอ้โทกับแฟน ขวัญใจกับตงฉิน จนผมที่เป็นเหมือนตัวกลางพลอยอึดอัดไปด้วย ผมไม่รู้ว่าจะต้องปลอบทุกคนยังไง และไม่รู้ด้วยว่าสองคนนั้นปรับสภาพจิตใจกันอย่างไร ความสัมพันธ์ของขวัญใจกับไอ้โทดูเปลี่ยนไปจากเดิมจนสังเกตได้ เพราะหลังจากสอบเสร็จมันก็ระเห็จกลับมานอนในห้องนอนเล็กเช่นเคย

“มึงกับขวัญยังโอเคปะ” ผมถาม

“อืม มั้ง”

“สรุปโอเคหรือไม่โอเควะ”

“กูก็ไม่รู้ว่ะหนึ่ง พอเรื่องมันเป็นแบบนี้ ทั้งกูและขวัญก็เหมือนจะมองหน้ากันไม่ติด”

“ทำไมวะ”

“บอกไม่ถูกว่ะ มันเหมือนว่าทั้งกูและเค้าต่างโล่งใจที่ลูกจากไป พอหลังจากนั้นขวัญก็เหมือนจะตกใจทุกครั้งที่กูแตะเนื้อต้องตัว แม้แต่จะกอดยังทำไม่ได้ พวกกูแทบไม่คุยกันเลยตั้งแต่กลับมาจากคลีนิกวันนั้น แถมกูก็ไม่อยากจะถามว่าเขาเป็นอะไร เหมือนต่างกันต่างถอยห่างออกจากกัน”

“มึงไม่รักขวัญแล้วเหรอวะ”

“ไม่รู้ดิ รักแหละมั้ง แต่มันแฝงไปด้วยความรู้สึกผิด ถ้าไม่มีกู ขวัญก็คงไม่ต้องเจอกับอะไรแบบนี้ ขวัญเป็นเหมือนผ้าขาว ไม่ควรจะมาแปดเปื้อนเรื่องพรรค์นี้เพราะกู” ไอ้โทร่ายยาวด้วยใบหน้าเจ็บปวด ผมได้แต่ลูบหลังเป็นกำลังใจอยู่เงียบๆ ความรู้สึกผิดฉาบทั่วใบหน้าของพี่ชายคนนี้

“กูดูแย่มากใช่มั้ยวะ ที่ดีใจกับเรื่องที่ขวัญ...”

“ถ้าเด็กยังอยู่ มึงจะดีใจงั้นเหรอ”

“....” พี่ชายผมส่ายหน้า ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเข้าใจ เพราะไม่ว่าจะทางไหน มันก็ดูไม่ดีทั้งนั้น เรื่องนี้จะโทษไอ้โทก็ไม่ได้เต็มปากเนื่องจากมีการป้องกันตอนมีอะไรกัน แต่มาพลาดเพียงเพราะถุงยางอนามัยแตก มันเหมือนเป็นบทเรียนที่ฟ้าตั้งใจให้เกิดหรือเปล่าหนอ คนบนนั้นอาจจะอยากสั่งสอนเรื่องนี้ให้กับคู่รักวัยเรียนที่ใช้ชีวิตคู่ในสังคมเหมือนเป็นเรื่องปกติ หากโชคดีก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าดวงซวยก็คงจะเจอกับเหตุการณ์เหมือนไอ้โทกับขวัญใจก่อนหน้านี้ เพียงแต่ว่าเรื่องของทั้งคู่ไม่อาจรู้ได้ว่าจะนับเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่

“แล้วมึงจะทำยังไงต่อไปวะ”

“เฮ้อ กูก็ไม่รู้ว่ะ คิดไม่ตกจริงๆ” พูดจบมันก็นอนราบกับเตียงนุ่ม ผมมองอย่างเหนื่อยใจเพราะไม่รู้จะสรรหาอะไรมาปลอบได้อีก เมื่อเปลือกตาสองข้างปิดสนิทราวกับว่าอยากอยู่คนเดียว คนไม่จำเป็นอย่างผมจึงเดินออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ ได้แต่หวังว่าทั้งสองคนนี้จะหาทางออกเจอเร็ววัน


#### ####

[ขวัญจิรา]

“โทคะ ขวัญว่าเราเลิกกันเถอะ” ...

             ห้องรับรองของสายการบินระดับห้าดาวเงียบเหงาราวกับความรู้สึกของขวัญในตอนนี้ หลังจากร่ำลาและแยกย้ายกับญาติๆตอนยังไม่เที่ยงคืนก็ทำการเช็กอินและผ่านด่านตรวจเพื่อมาหาที่นั่งพักหรืออาจจะงีบหลับได้สักหน่อย แต่แสงไฟที่ส่องสว่างจนไม่สามารถปิดเปลือกตาลงได้ทำให้ขวัญจำเป็นต้องนั่งเหม่อสำรวจบรรยากาศหงอยเหงายามนี้

“นอนก่อนมั้ยลูก เดี๋ยวประกาศเรียกขึ้นเครื่องป๊าจะปลุกเอง” เสียงของป๊าแว่วมาราวกับเสียงกระซิบ ขวัญส่ายหน้าแทนคำตอบ การเดินทางไกลครั้งนี้กินเวลาร่วม 20 ชั่วโมง ด้วยความที่อยากไปแบบเงียบๆจึงตัดสินใจเลือกไฟลท์ดึกตอนตีสาม บินไปพักและเปลี่ยนเครื่องรวมเวลารอไฟลท์ต่อไปก็ประมาณ 6-7 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็นั่งยาวอีก 14 ชั่วโมงจนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทางที่สนามบินเจเอฟเคของมหานครนิวยอร์กช่วงบ่ายแก่ๆ ด้วยความที่เป็นผู้หญิงที่ป๊าหวงมาก การเดินทางครั้งนี้จึงไม่โดดเดี่ยวแบบที่ตั้งใจไว้

             โทรศัพท์มือถือยังคงสั่นไม่หยุดจากข้อความของใครคนนั้น คนที่ขวัญรักและทำผิดต่อเขาอย่างไม่น่าให้อภัยได้ ภาพความทรงจำที่แสนหวานระหว่างเรายังแจ่มชัดในความทรงจำ แต่ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งเจ็บปวดจนไม่กล้าจะจับมือเพื่อเดินร่วมทางกันได้ ผู้ชายธรรมดาที่แสนพิเศษคนนั้นชื่อ เอกภาพ ใบบุญ เป็นรักแรกของหัวใจที่สอนให้ขวัญเติบโต เรียนรู้และเผชิญปัญหา

... และขวัญตัดสินใจยุติความสัมพันธ์หลังเกิดเรื่องทั้งหมด

“อย่าทำแบบนี้เลยนะขวัญ โทขอร้องล่ะ” น้ำเสียงสั่นเครือปนกับแรงสะอื้นไห้ของชายคนรักที่นั่งคุกเข่าอ้อนวอนอย่างน่าเวทนายิ่งทำให้สภาพจิตใจหดหู่ ประสาทการรับรู้ของขวัญพร่าเลือนไปหมด ความคิดทุกอย่างว่างเปล่าอย่างไร้สาเหตุ มีเพียงน้ำตาที่ไหลรินออกมาเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่าความเจ็บปวดมันยังทรงอานุภาพอย่างน่าหวั่นเกรง

“เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย นะ โทขอร้อง” น้ำเสียงเศร้าสร้อยน่าหดหู่จนแทบจะล้มลงไปประคองกอดคนที่ฟุบหน้าลงกับพื้นห้อง แต่ความรู้สึกผิดที่เกาะกินจิตใจมันมากเกินที่จะยอมรับได้อีกต่อไป

             ตั้งแต่ที่รู้ว่าตัวเองมีอาการผิดปกติ ขวัญพยายามคิดว่ามันก็เป็นแค่โรคกระเพาะอาหารที่เกิดจากความเครียดสะสม ทำให้กินไม่ได้ มีอาการเวียนหัวอยากอาเจียน แต่เวลาผ่านไปโดยไร้ประจำเดือนที่เคยมาตรงเวลาก็เริ่มฉุกคิด ความกังวลใจเริ่มเพิ่มพูนจนแทบกระทบกับการอ่านหนังสือสอบ ช่วงเวลานั้นเองที่แฟนหนุ่มของขวัญดูแลเป็นอย่างดี แต่ภายใต้ใบหน้าอ่อนโยนนั้นมันฉายแววหวาดหวั่นไม่ต่างกันแม้แต่น้อย ความกังวลเกาะกินจิตใจของเราจนแทบไม่คุยกันราวกับว่าต่างต้องการพื้นที่เงียบๆในการคิดตรึกตรอง ยิ่งเวลาผ่านพ้นไปในแต่ละวัน ความคิดนั้นกลับสะสมจนครอบงำความสุขจนแห้งหายไปแล้ว ... และสุดท้าย ขวัญตัดสินใจไปตรวจและพบว่าตั้งท้องเหมือนที่คิดไว้

             แต่...การตั้งท้องไม่ใช่เรื่องแย่ที่สุด วินาทีที่คุณหมอแจ้งผลการตรวจ ใบหน้าของโทกลับหม่นหมองคล้ายคนสิ้นหวัง ซึ่งขวัญคิดว่าสภาพของตนก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ความกลัวที่มีมาตลอดนับเดือนมันกลายเป็นเรื่องจริงราวกับฝันร้าย ในหัวคิดถึงแต่เรื่องแย่ๆเต็มไปหมด ทั้งครอบครัวที่จะต้องผิดหวังในตัวลูกสาวคนนี้ หรือแม้กระทั่งการเรียน ทุกอย่างถาโถมเข้ามาพรวดเดียวจนร่างกายรับไม่ไหว มันหนักหนาเสียจนอยากให้คนที่กุมมืออย่างแน่นหนานั้นปลอบใจด้วยรอยยิ้มและแววตาที่จะทำให้ขวัญเชื่อมั่นได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ใช่เรื่องผิด

             เมื่อคุณหมอแจ้งว่าเด็กในท้องไม่มีการตอบสนอง ความหวาดกลัวที่เคยมีพลันเหือดหายอย่างไม่อาจควบคุมได้ เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของพวกเราทั้งสองคนประสานกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ใบหน้าคล้ำเครียดแปรเปลี่ยนเป็นสดใสอย่างช้าๆ มันยิ่งทำให้ขวัญรู้สึกย่ำแย่มากขึ้นไปอีกที่ตัวเองกลายเป็นคนใจร้ายที่ดีใจเมื่อได้รู้ว่าลูกในท้องจากไปแล้ว

“ไปที่โน่นคิดรึยังว่าจะเรียนอะไร” ป๊าถามเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงแม้มันกระทันหัน แต่ก็ไม่มีใครห้ามลูกสาวคนนี้แม้แต่น้อย

“ขวัญว่าจะเรียนภาษาก่อนแล้วไปสอบ TOEFL และ SAT ก่อนว่าคะแนนผ่านมั้ย ตอนนี้ขวัญยังไม่รู้ว่าอยากเรียนอะไร”

“ใจเย็นๆ ค่อยๆคิด ป๊าอยู่กับขวัญได้เป็นปีเลยล่ะ เดี๋ยวป๊าแนะนำเอง”

“แล้วงานของป๊าล่ะคะ”

“ไม่ต้องห่วง ป๊ามีมือขวาคอยช่วย” สิ่งหนึ่งที่ป๊าทำมาตลอดคือให้ความอบอุ่น และเข้าใจในตัวลูกสาวคนนี้อย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าขวัญจะทำอะไรที่ไร้เหตุผล แต่ป๊าก็ไม่เคยตั้งคำถามหาเหตุผลมารองรับ ป๊าจะสนับสนุนในสิ่งที่ขวัญตั้งใจทำอย่างเต็มที่ ไม่เคยสักครั้งที่จะมองหน้าขวัญด้วยแววตาเจ็บปวดหรือหวาดกลัว

             ประจำเดือนของเรากลับมาอีกทีหลังจากวันที่รู้ผลการตรวจในอีก 4 วันให้หลัง ขวัญรับรู้ได้ถึงแรงขับเคลื่อนมหาศาลที่ผลักเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองให้หลุดร่วงราวกับเส้นผมที่ไร้ประโยชน์ อาการปวดท้องครั้งนี้มากกว่าทุกครั้งที่มีวันนั้นของเดือน ถึงแม้โทจะคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง แต่ระยะห่างของสองเรากลับมากขึ้นอย่างไม่ทันสังเกต ความสบายใจที่เคยมีได้ลดทอนไปจนสิ้น มีเพียงความรู้สึกผิดส่งผ่านมาระหว่างพวกเราทั้งคู่อย่างน่าอึดอัด คำพูดแสนหวานกลายเป็นอาการประดักประเดิด ความรู้สึกผิดของพวกเราทั้งคู่นั้นเหมือนกันจนไม่อาจมีใครคนใดคนหนึ่งจะก้าวข้ามและปลอบประโลมซึ่งกันและกัน เมื่อเริ่มพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ยิ่งทำให้พวกเราทั้งคู่จมอยู่กับความผิดบาปที่ต่างดีใจเมื่อเสียลูกในท้องไป และนั่นเองทำให้พวกเราจมจ่ออยู่ในห้วงของความเศร้า ก่ายกอดกันร้องไห้จนกระทั่งเผลอหลับไปในแต่ละวันราวกับค่อยๆขุดหลุมลึกและพากันลงไปซุกซ่อนตัวหลบหนีความรู้สึกผิดที่ไล่ล่าราวกับคนขี้ขลาด

             และสุดท้าย ขวัญก็ตัดสินใจที่จะจบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องการเรียน และความรัก ทุกอย่างมันหนักหนาเกินไปที่จะอยู่เผชิญหน้าราวกับอัศวินผู้กล้าหาญ ขวัญเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความรัก แต่ยิ่งรักก็ยิ่งเจ็บปวด เรื่องทั้งหมดนี้มันคือความผิดร่วมของเราสองคน โทไม่ได้ทำผิดหนักหนาจนไม่อาจให้อภัยได้ แต่เป็นเพราะขวัญไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ต่างหากถ้ายังยื้ออยู่กับแฟนหนุ่มคนนี้อย่างมีความสุขราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น การสูญเสียครั้งนี้ทำให้ขวัญไม่อาจรับได้ถ้าพวกเรายังมีกันและกันโดยปล่อยเรื่องร้ายให้เป็นแค่ความหลังที่ไม่ควรจดจำ

             การเลือกเดินออกมาจากตรงนั้นไม่ได้การันตีว่าขวัญจะให้อภัยตัวเองได้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ไม่ต้องรู้สึกผิดเพิ่มมากขึ้น เวลาจะค่อยๆเยียวยาสภาพจิตใจของพวกเราทั้งคู่ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่ามันจะนานแค่ไหน แต่ก่อนจะถึงวันนั้น เราต้องเริ่มทำอะไรบางอย่างเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิต เพื่อสิ่งที่เลือกนั้นจะนำพาเราไปสู้จุดที่ดีกว่าการหยุดอยู่ตรงนี้

             เครื่องบินลอยลำเหนือน่านฟ้าที่ไกลแสนไกลร่วมแปดชั่วโมงหลังจากเราแวะพักเพื่อเปลี่ยนเครื่องจนเบื่อหน่าย ท้องไส้ที่ปั่นป่วนยิ่งทำให้นอนไม่หลับ ในใจสั่นไหวราวกับเอะใจบางอย่าง ขวัญพยายามข่มตานอน แต่ก็ทำไม่ได้ ท้องฟ้ามืดมิดเริ่มมีเสียงร้องครืนๆอยู่ด้านนอกก่อนกัปตันจะประกาศเป็นภาษาอังกฤษให้รัดเข็มขัดและอยู่กับที่เนื่องจากกำลังบินผ่านพื้นที่อากาศแปรปรวน แล้วเครื่องบินก็เริ่มสั่น

             พลันเครื่องบินก็ทรุดฮวบ ขวัญหวีดร้องสุดเสียง ผู้โดยสารต่างตื่นตระหนกหวีดร้องเสียงดังลั่น แต่ละคนเริ่มสวดภาวนาเมื่อการเคลื่อนที่วูบแรงๆของนกยักษ์ไม่มีท่าทีจะปกติ ตัวเครื่องสั่นราวกับมีแรงเขย่ามหาศาลจนทำให้คนที่ไม่ยอมคาดเข็มขัดถูกแรงเหวี่ยงไปหลุดจากเก้าอี้จนได้รับบาดเจ็บ ความชุลมุนจากท้ายเครื่องดังเอะอะมาถึงตรงนี้แล้วเสียงระเบิดตูมพร้อมเสียงร้องอย่างตกใจของพนักงานต้อนรับทำให้ความหวาดกลัวฉีดวาบเข้าก้านสมอง หน้ากากอ็อกซิเจนหลุดร่วงและแกว่งไกวยากจะคว้าได้โดยง่าย มือของขวัญสั่นเงอะงะยามยื่นไปฉุดหน้ากากลงมาครอบจมูก

“ป๊า ตื่น ป๊า” ขวัญพยายามเขย่าร่างที่นอนนิ่ง แต่ศีรษะเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลเจิ่งนอง เสียงวูบของลมยามที่เครื่องบินดิ่งลงเบื้องล่างทำให้รู้สึกสิ้นหวัง ความรู้สึกนี้แทบไม่ต่างกับตอนที่รู้ว่าตัวเองท้อง และตอนที่บอกเลิกกับแฟนเลยแม้แต่น้อย

             เสียงกรีดร้องระงม ปนเปกับเสียงสวดมนต์หลากหลายภาษาดูคล้ายภาพสโลว์โมชั่นในภาพยนต์ยามที่ตัวเอกกำลังเผชิญสภาวะวิกฤติ เพียงแต่ว่าบนเครื่องบินลำนี้ไม่มีฮีโร่ที่จะเข้ามาแก้ไขเหตุการณ์เลวร้ายได้ เสียงระเบิดเมื่อครู่ทำให้เครื่องยนต์เกิดขัดข้อง แรงลมกรูกระชากตัวเครื่องให้ขาดจากกันก่อนส่วนท้ายที่ปลิดปลิวจะระเบิดตูมกลางอากาศ ขวัญร้องไห้อย่างหมดหวัง รู้สึกพ่ายแพ้กับชะตาชีวิตของตัวเอง สองมือคว้าไขว่ไปกับอากาศที่เย็นยะเยือกยามที่ลอยเคว้งคว้างดิ่งลงเบื้องล่าง หยดน้ำมหาศาลเปรอะทั่วใบหน้า ร่างของคนหมดสติหลายคนลอยลิ่วออกไปราวปุยนุ่น เสียงฟ้าคำรามและสายฟ้าแลบแปลบปลาบยิ่งตอกย้ำความหวังให้ริบหรี่ นี่หรือวาระสุดท้ายของชีวิต มนุษย์เราสามารถตายได้ง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ

“ฮืออออออออ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด” เสียงเครื่องยนต์ที่ระเบิดมาจากตรงไหนก็ไม่รู้ทำให้ยิ่งตกใจจนร้องไห้ เสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวเต็มเสียงคล้ายรอความหวังให้ตัวเองยังคงมีชีวิตอยู่ แต่จังหวะดำดิ่งด้วยแรงดึงดูดมากขึ้นจนกระทั่งหน้ากากที่สวมหลุดออก สติเริ่มเลือนลางจนทุกอย่างค่อยๆจางหายไป ความร้อนวูบวาบจากประกายไฟพวยพุ่งจนแสบปร่า

“ขวัญ! ขวัญ!” เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังมาจากที่ไกลแสนไกล แม้ร่างกายไร้ความเจ็บปวดแต่ก็ไม่สามารถขยับได้ดังใจนึก นี่หรือโลกหลังความตาย ขวัญจำได้ว่าตัวเองกำลังอยู่บนเครื่องบินมุ่งหน้าไปนิวยอร์คซึ่งเกิดขัดข้องทางเทคนิคและกำลังจะตก

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” เสียงหวีดร้องดังจากปากที่ขยับไม่ได้ ร่างกายจับเกร็งคล้ายคนเป็นลมชักถูกเขย่ารุนแรง

“ขวัญ ตื่น ขวัญ!”

พรึ่บ... แสงไฟแยงตาเจิดจ้าจนต้องหรี่มองโดยรอบ ภาพที่คุ้นเคยประจักษ์แก่สายตา ใบหน้าตื่นกลัวของคนรักคร่อมด้านบน สัมผัสปวดร้าวจากแรงบีบที่แขนทั้งสองข้างทำให้สติกลับมาอีกครั้ง

“ทะ โท” เสียงของขวัญสั่นเครือ น้ำตาหยาดรินอาบแก้มไหลลงเบื้องล่าง

“ฝันร้ายเหรอครับ...  โอ๋ ไม่ร้องนะ โทอยู่นี่แล้ว มันเป็นแค่ฝัน แค่ฝัน” ร่างแกร่งคว้าตัวขวัญไปกอดแนบอก ไออุ่นของโท แรงหอบหายใจและจังหวะการเต้นในอกซ้ายทำให้ขวัญคลายความตระหนก

“โท ขวัญกลัว ขวัญฝันว่าขวัญบอกเลิกโทแล้วลาออกจากมหา’ลัย แล้ว แล้ว ป๊าก็พาไปอเมริกาเพื่อหาที่เรียนใหม่ แล้ว แล้ว แล้ว เครื่องบินตก ขวัญเห็นภาพทุกอย่างชัดมาก มันเหมือนจริงมาก ขวัญกลัว ฮือ ขวัญกลัว”

“ไม่เป็นไรแล้วนะ ขวัญไม่ได้ไปไหน เราไม่ได้เลิกกัน เราแค่พูดกันน้อยลงเฉยๆ แต่โทก็อยู่กับขวัญตลอดเวลา” เสียงปลอบนุ่มทุ้มทำให้ผ่อนคลาย ความหวาดกลัวที่เกาะกินใจเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ มือหนาลูบไล้เส้นผมอย่างทะนุถนอมทำให้จิตใจอบอุ่นขึ้น

“โท อย่าไปไหนนะ อย่าทิ้งขวัญไปไหนนะ”

“ไม่มีทาง โทไม่มีทางทิ้งขวัญแน่นอน” เขารับคำหนักแน่น ขวัญยกสองแขนที่อ่อนเปลี้ยขึ้นมากอดร่างแกร่งนี้ไว้ ความรู้สึกย่ำแย่ที่ผ่านมาคลี่คลายไปอย่างง่ายดายแค่ได้ยินคำว่าโทไม่มีวันทิ้งขวัญไปไหน

“ขวัญขอโทษที่ไม่คุยกับโท ขวัญขอโทษเรื่องลูก ขอโทษ ขอโทษ” ไม่รู้ว่าขวัญพร่ำเพ้อคำว่าขอโทษนานแค่ไหน มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนอยู่เสมอ นั่นคือความรักของโทที่มีให้ ไม่ว่าจะเผชิญกับปัญหาอะไรในอนาคต ขวัญมั่นใจว่าตัวเองเลือกคนไม่ผิด

... บทเรียนเรื่องการท้องมันหนักหนา แต่เราต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้ ใช้ชีวิตกับคนที่เรารัก หรือไม่ก็ยอมจมอยู่กับฝันร้ายที่จะเกาะกินจิตวิญญาณของเราไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น และขวัญตัดสินใจแล้วว่าจะก้าวผ่านเรื่องราวร้ายๆไปกับคนๆนี้




ภาพประกอบมิได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในนิยายแต่อย่างใด

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน

ยังมีคนติดตามเรื่องนี้กันอยู่มั้ยน้ออออออ
ขอคนละเม้นต์เพิ่มกำลังใจให้คนเขียนหน่อยนะครับ

ขอบคุณครับ
 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
บทพิสูจน์ความรักของโทกับขวัญใจสินะ   :m15:

ออฟไลน์ Bullboygear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
    • พนันบอลออนไลน์

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 49. นรกมาเยือน

[เอกราช]

             ผมลืมตาโพลงในความมืดโดยมีร่างกำยำของตงฉินนอนหายใจราบเรียบอยู่ในอ้อมกอด คิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดอย่างอ่อนล้า ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายและไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นโดยมีผมเข้าไปพัวพันอยู่ในนั้น สมองพยายามประมวลผลหาสาเหตุของเรื่องต่างๆ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งเจอทางตัน เมื่อยิ่งเจอทางตันก็ยิ่งฟุ้งซ่าน

             พี่เจดหายไปจากวงจรชีวิตของผมร่วมปีแล้ว แต่พวกเรายังเป็นเพื่อนกันทางโซเชี่ยลและดูเหมือนกำลังไปได้ดีกับแฟนหนุ่มชื่อเคมีที่เคยมาจีบขวัญใจ มีเรื่องกับไอ้โท และมีเซ็กซ์อย่างบ้าคลั่งกับผมในห้องน้ำของบาร์ ผมตัดสินใจเก็บเรื่องของพี่เคมีไว้เป็นความลับ เพราะมันทำให้รู้สึกว่าได้ลงโทษพี่เจดทางอ้อมแล้วกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น

             สำหรับทอยนั้น พวกเราขาดการติดต่อกันอย่างเด็ดขาดไปแล้ว ผมให้อภัยฉัตรชัยได้ แต่ไม่อยากเข้าไปวนเวียนกับอัคคีและฉัตรพงษ์อีก ภาพพจน์ของคนที่ถูกทำร้ายถูกเปิดโปงจนไม่หลงเหลือความน่าสงสารอีกต่อไป ไอ้ทอยน่ากลัวเกินกว่าจะเอาตัวเองไปยุ่งด้วย ที่ผ่านมาผมไม่แน่ใจเลยว่ามีเรื่องไหนจริงบ้าง เรื่องราวมันเปราะบางจนไม่อาจไว้เนื้อเชื่อใจได้อีกแล้ว วิธีแก้แค้นที่ดีที่สุดคือการเอาตัวเองออกห่างจากคนๆนั้นและใช้ชีวิตให้ดี เพราะเนื้อร้ายมันย่อมเป็นเนื้อร้ายวันยังค่ำ

“ไม่นอนเหรอ” ตงฉินพลิกตัวและถามด้วยเสียงงัวเงียเมื่อผมพลิกตัวผละอ้อมกอดออก

“คิดอะไรเพลินๆน่ะ”

“เลิกคิดได้แล้ว เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่คุ้มที่จะหาเหตุผลหรอก หยุดคิดแล้วมากอดกูเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงเข้มออกคำสั่งทั้งที่ยังไม่ลืมตา ผมยิ้มและพลิกตัวกลับคว้าร่างหอมๆและอบอุ่นมาซุกลำตัวอีกครั้ง

... ตงฉินพูดถูก ผมควรหยุดคิดและนอนได้แล้ว


#### ####

             เสียงดังจอแจของผู้คน ณ โรงอาหารของคณะยังเหมือนเดิม ขวัญใจกับไอ้โทกลับมาหวานชื่นกันอีกครั้งหลังจากผ่านเรื่องนั้นไม่นานนัก ซึ่งผมก็ไม่มีโอกาสได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งคู่กันแน่ ความอยากรู้มีมากจนอึดอัดแต่เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนกำลังมีความสุข ผมจึงต้องปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไป

“ทำไมผัดกะเพราต้องใส่ถั่วฝักยาวด้วยวะ” ฉัตรชัยบ่นอุบและเขี่ยส่วนเขียวๆชิ้นจิ๋วให้อยู่ขอบจาน

“มึงแม่งเรื่องมาก” ผมด่า

“โตป่านนี้แล้วยังเลือกกินเป็นเด็กอีก” คิ้วซ้ำเติม

“จริง โตป่านนี้แล้วยังทะเลาะกันเป็นเด็กไปได้” ตงฉินพูดประโยคเดียวพวกเราเงียบไปทั้งโต๊ะ ช่วงนี้งานละครของมนุษย์แฟนชุกจนไม่สามารถโฟกัสเรื่องเรียนได้เท่าที่คาดหวัง ถึงแม้ผมจะพยายามเข้าเรียนแทนบางวิชา แต่การควบทุกหน้าที่ทั้งแฟน ตัวแทนเข้าเรียน คนขับรถพาไปกองถ่ายและผู้จัดการส่วนตัวก็ไม่เอื้อให้ทำทุกอย่างได้ดีมากนักเช่นกัน

“ไปเรียนก่อนนะทุกคน ปะตงไป เดี๋ยวสาย” ผมรีบฉุดแขนคนตัวสูงที่หน้าตางัวเงียออกจากตรงนี้ เพื่อนๆส่งสายตาขอบคุณมาทางผมราวกับเป็นฮีโร่ ยิ่งทำงานหนัก เวลานอนแทบจะไม่มียิ่งทำให้ตงฉินหงุดหงิดง่ายและจิกกัดคนอื่นไปทั่ว

“แม่มึงจะคลอดเมื่อไหร่” เดินกันไม่กี่ก้าว คนตัวสูงก็ถามมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ผมหันไปมองใบหน้าหล่อที่อ่อนแรงอย่างคาดไม่ถึง ความอิดโรยฉายแววทั่วใบหน้า

“เดือนหน้า”

“วันนี้ไปหาซื้อของรับขวัญน้องกัน”

“หืม อารมณ์ไหน” ผมตามไม่ทันจริงๆ

“อารมณ์ปกติ สามสี่เดือนมานี้กูยุ่งจนไม่ได้ไปบ้านมึงเลย กว่าจะปิดกล้องก็อีกสิบวัน”

“ไว้ค่อยไปหาซื้อหลังปิดกล้องก็ได้”

“ไม่” ตงฉินยืนยันหนักแน่น

“ทำไมล่ะ” ผมกอดอก เฝ้ามองร่างสูงที่อยู่ๆก็หยุดเดิน

“บอกว่าจะไปก็ไปสิ จะเซ้าซี้ถามทำไม” นั่นไง เวอร์ชั่นซาตานมาแล้ว

“ตงฉิน” แต่เชื่อเถอะว่าผมสามารถทำให้มันหยุดได้โดยการทำเสียงดุๆ “ทำไมต้องไปวันนี้”

“ก็...” แววตาคนหล่อดูลังเล และผมก็คิดไม่ผิดว่ามันมีเจตนาอื่นแอบแฝง

“ไม่บอกก็จะไม่พาไป” ผมยื่นคำขาด

“คือ ... พ่อกับแม่กูอยากเจอมึง” ผมอ้าปากค้างกรามแทบจะกระทบพื้นแข็งๆได้เลยล่ะ

“วะ วันนี้”

“อื้อ”

“ละ แล้วทำไมเพิ่งมาบอก” ผมเริ่มโวยวาย ถึงแม้จะเคยไปเจอะเจอท่านทั้งสองมาบ้างแล้ว แต่เหมือนกับว่าวันนี้มันดูแปลกๆ

“ก็พี่ต่อเพิ่งโทรมาบอก ว่าพ่ออยากเจอแฟนกู...” นั่นไงล่ะ คิดไว้ไม่มีผิด ร้อยวันพันปีพ่อแม่มันไม่เคยจะถามหา ทำไมต้องมาอยากเจอไอ้หนึ่งวันนี้ด้วยวะ

“ทำไมพ่อมึงถึงอยากเจอกูล่ะ”

“มึงไปถามพี่เอกกับพี่ต่อโน่น ไม่รู้ไปโม้อีท่าไหนพ่อกูถึงอยากเจอมึงนัก” พี่ต่อคือพี่ชายแท้ๆของตงฉิน ส่วนพี่เอกคือพี่ชายของไอ้โทจึงมีศักดิ์เป็นพี่ชายผมอีกคน และพวกเราทั้งสองคนต่างได้เป็นแฟนกับลูกชายทั้งสองคนของบ้านนี้

“เชี่ยๆๆๆๆ” ผมเดินวนไปมาเหมือนหนูติดจั่น “ไม่ไปได้มั้ยวะ”

“ป๊อด”

“เออ กูป๊อด แต่มึงคิดเหรอว่าพ่อแม่มึงจะชอบกูลงน่ะ”

“ไม่รู้ดิ ชอบไม่ชอบก็ช่างเขาดิ กูรักของกูก็พอแล้วมั้ย” ตงฉินพูดแล้วเดินลิ่วออกไป

“ห๊ะ มึงว่าไงนะ เอาใหม่ซิ” ผมตะลึง เอานิ้วแคะหูไปมาแล้วรีบวิ่งตามหลังคนตัวสูงที่แทบจะวิ่งเปี้ยวซะแล้ว หลังหูของคนข้างหน้าดูแดงๆผิดปกติ ผมหยุดวิ่งตามเพราะเหนื่อยและมันเข้าห้องเรียนไปแล้ว

ติ๊ง ...

TongCh. : ต้องซื้อถุงยางเพิ่งด้วย มันหมดแล้ว

... เชี่ยเอ๊ยยยยยยย ต้องตกนรกก่อนใช่ไหมถึงจะได้ขึ้นสวรรค์


#### ####

             บรรยากาศบนโต๊ะอาหารราวกับอยู่บนยอดเขาเอฟเวอร์เรส สภาพร่างกายเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ สภาพจิตใจอ่อนล้าแทบจะกระโดดลงไปจากตรงนี้ สายตาคมกริบจับจ้องมาจนเย็นวาบไปทั่วสันหลัง ท่านประธานกับคุณนายมีราศีที่คนทั่วไปไม่มี และมันทำให้คนที่อยู่ด้วยรู้สึกอึดอัดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากเป็นแต่ก่อนที่เข้าออกบ้านนี้ในฐานะเพื่อน ทั้งสองท่านดูใจดีกว่าตอนนี้หลายแสนเท่า แต่พอมานั่งร่วมโต๊ะในฐานะแฟนของลูกชายคนสุดท้อง บรรยากาศมันอึมครึมจนนั่งแทบไม่ติด

“เรียนจบแล้วอยากทำอะไรล่ะเราน่ะ” อยู่ๆท่านประธานก็ถาม ผมที่กำลังตักกับข้าวต้องชักมือกลับส่งยิ้มเจื่อนไปทางหัวโต๊ะ

“คะ คือ ยังไม่ได้คิดเลยครับ” ผมตอบ และอยากตบปากตัวเองที่สุด

“อีกปีนิดๆก็จะจบกันแล้ว ยังไม่มีแผนกันอีกเหรอ” เสียงเข้มๆและมาดขรึมๆยิ่งทำให้ใจแป้ว

“พ่อ จะคาดคั้นไอ้หนึ่งมันทำไมล่ะ” ตงฉินนั่งอยู่ด้านซ้ายมือของผมซึ่งอยู่ตรงข้ามกับคุณนายแม่ ฝั่งตรงข้ามของผมคือพี่แก้วที่ทำหน้าเคร่งเครียดกดดันอยู่โดยมีพี่พันธุสามีของแกนั่งหน้านิ่งข้างกัน

“เงียบก่อนตงฉิน”

“ไม่ ทำไมพ่อ...”

“ตง ลูก เงียบก่อนนะ” คุณนายส่งเสียงปราม มันอ่อนโยนมากกว่าจะเป็นการดุ คนที่กำลังจะเดือดดาลก็เงียบลงทันใด

“พวกเธอสองคนคบกัน ฉันไม่มีปัญหาอะไรด้วยหรอกนะ แต่เธอรู้ใช่ไหมว่าต่อไปตงฉินจะต้องมาดูแลบริษัท..” ผมพยักหน้า

“เธอคิดว่าเธอจะดูแลลูกชายฉันได้ดีแค่ไหนกันพ่อหนุ่ม แค่ฉันถามเรื่องอนาคตอันใกล้เธอยังตอบฉันไม่ได้เลย แล้วแบบนี้เธอจะให้ฉันมั่นใจได้อย่างไรว่าเธอจะดูแลลูกชายฉันได้” ผมก้มหน้า รู้สึกชาราวกับถูกตบซ้ายขวาไม่ยั้งหลายร้อยครั้ง

“ผมดูแลไอ้หนึ่งได้” ตงฉินพูดแทน

“พ่อกับแม่รู้ว่าเราดูแลได้ แต่แม่ถามจริงๆนะตง ว่าคนเป็นสามีจะยินดีให้ภรรยาหาเลี้ยงดูแลงั้นเหรอ”

“ห๊ะ” เสียงของพวกเราทั้งคู่ดังพร้อมกัน หน้าตาเหรอหราไม่ต่างกัน

“มะ แม่” ตงฉินดูเหมือนจะช็อก ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อหูว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้ ... ทุกคนรู้ลึกขนาดนี้เลยรึ

“พวกเธอคิดว่าพวกเราเต่าล้านปีขนาดนั้นเชียวรึ” ท่านประธานดูผ่อนคลายขึ้น

“ไอ้พี่ต่อใช่ไหมพี่แก้ว” ตงฉินหันไปแยกเขี้ยวใส่พี่สาวคนโต

“เปล๊า พี่ไม่รู้” เฉไฉหน้าตาเฉยมาก

“ทีแรกแม่ก็คิดว่าตงเป็น เอ่อ สามีนะ แต่พอรู้ว่าไม่ใช่ก็...” คุณนายพูดอ้อมแอ้ม

“พ่อก็เลยเรียกผมกับไอ้หนึ่งมาซักประวัติใช่มั้ย” ตงฉินถาม

“พ่อก็แค่อยากรู้ ว่าแฟนลูกจะดูแลลูกพ่อได้ดีแค่ไหน...” น้ำเสียงที่เคยดุดันกลับลดระดับลง ผมแอบถอนหายใจเพราะมันต่างจากที่คิดไว้ราวฟ้ากับเหว นึกว่าจะถูกพ่อแม่ของแฟนกดดันให้เลิกกันเสียอีก

“ถึงแม่จะเข้าใจว่ารักกัน แต่แม่ก็เติบโตมาคนละยุคกับพวกเรานะ ในฐานะภรรยา แม่ก็อยากมีคนดูแล จะให้แม่ปล่อยวางแค่เพราะพวกเราเป็นผู้ชายทั้งคู่แม่ก็ทนไม่ได้หรอก แม่เลี้ยงตงฉินมาอย่างดีราวกับไข่ในหิน จะมีสามี เอ๊ย แฟนทั้งที สินสอดแม่ก็ไม่ได้ แถมว่าที่ลูกเขยยังไม่วางแผนอนาคตตัวเองเลย แล้วแบบนี้แม่ ... “

“แม่ ไม่เอาอย่าร้อง” ตงฉินรีบลุกไปหาผู้หญิงที่ผมขาวโพลนฝั่งตรงข้ามและกอดอย่างรักใคร่ ผมทำได้แต่หน้าเจื่อนเพราะพูดอะไรไม่ออก


#### ####

             บทสนทนาบนโต๊ะอาหารยังดังก้องในโสตประสาท ถ้ามองในแง่ร้ายคือพ่อแม่ของตงฉินกำลังกีดกันพวกเราอยู่อ้อมๆ แต่ทั้งสองท่านมีมารยาทมากพอที่จะไม่พูดตรงๆหรือไล่ผมออกจากชีวิตลูกชายคนสุดท้องเยี่ยงหมูหมา แต่ถ้ามองโลกในแง่ดีก็จะเข้าใจว่าทั้งสองท่านพยายามเตือนสติให้ผมโตเป็นผู้ใหญ่เสียที ไม่ใช่ทำตัวลอยไปลอยมาไร้อนาคตแบบนี้

“ฉันไม่ได้รังเกียจหรือตัดสินคนอื่นจากฐานะหรอกนะ เพราะต้นตระกูลของฉันก็ลำบากมาก่อน ฉันแค่อยากมั่นใจว่าลูกชายฉันจะคบกับคนที่สามารถดูแลตัวเองและคนข้างตัวได้อย่างไม่ลำบาก ตั้งแต่เด็กจนโต ตงฉินไม่เคยลำบาก ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่พ่อที่ดีที่สุดในโลก แต่ฉันก็ไม่เคยหยุดเป็นห่วงลูกชายฉันได้เลยสักวัน” เสียงของท่านประธานอ่อนโยนยามเอ่ยถึงตงฉิน มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองโหลยโท่ยไปกันใหญ่

“ผมขอโทษครับ”

“หนึ่ง” ตงฉินกลับมานั่งข้างๆบีบมือผมเอาไว้แน่น

“ตอนนี้ผมอาจจะยังเด็ก เลยยังไม่ทันคิดถึงเรื่องอนาคต แต่ผมสัญญานะครับว่าผมจะตอบคำถามท่านให้ได้ ว่าเรียนจบแล้วผมจะทำอะไร จะเป็นอะไร วันนี้ผมขอโทษที่ตอบท่านไม่ได้ แต่ผมขอเวลาคิดหาคำตอบ และผมจะขออนุญาตตอบท่านอีกครั้งนะครับ”

“หึหึหึหึ” เสียงหัวเราะร่วนอย่างพึงพอใจจากคนที่นั่งหัวโต๊ะทำผมแปลกใจไม่น้อย นึกว่าจะโดนไล่ตะเพิดเสียอีก

“พ่อ พอได้แล้ว เลิกแกล้งเด็กๆซะทีเถอะค่ะ” พี่แก้วที่เงียบมาตลอดทำลายความเงียบ

“นั่นสิครับคุณพ่อ ผมเก๊กขรึมจนเมื่อยกรามไปหมดแล้วนะครับ” พี่พันธุเออออ

“ม่ะ หมายความว่าไงเนี่ย” ตงฉินก็งงงวยเช่นกัน

“อะ โอเค ฉันขอโทษนะพ่อหนุ่ม ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าที่ลูกเขยหนึ่งใช่มั้ย” เห......... ผมงงเป็นไก่ตาแตก

“ไม่ต้องตกใจไปหรอก ฉันก็แค่อยากรู้ว่าเธอจะจริงจังกับลูกชายฉันมากแค่ไหนเท่านั้นเอง ที่ผ่านมามันทำตัวเหลวแหลกแค่ไหนทำไมฉันจะไม่รู้ การที่ฉันไม่พูดไม่ได้หมายความว่าฉันไม่เป็นห่วงแกนะตงฉิน ฉันให้อิสระแกเต็มที่จนบางทีมันก็มากเกินจนแกไม่เคยคิดจะหยุดคบใครจริงจังเสียที แต่กับพ่อหนุ่มคนนี้แกกลับหยุดวอกแวก ไม่ออกนอกลู่นอกทางจนฉันอยากรู้ว่าเขามีดีอะไรถึงสยบแกซะอยู่หมัด”

“อะไรของพ่อเนี่ย ไอ้หนึ่งเนี่ยนะจะมีอะไรดี หล่อก็ไม่หล่อ เรียนก็แย่ อนาคตก็มืดมน...”

“เดี๋ยวๆๆๆ ตง นี่หนึ่งเอง แฟนตงไง” ผมรีบสะกิดเตือนความจำ เพราะแต่ละคำที่หลุดออกมาไม่ทำให้คะแนนนิยมผมดีขึ้นเลย

“อ่อ เอ่อ ขอโทษที” ตงฉินหยุดพูด ทำหน้าเชิงขอโทษ

“ทานข้าวกันเถอะทุกคน บรรยากาศกร่อยมานานแล้ว ฉันหิว อ้อ หนึ่ง..”

“ครับท่านประธาน” ผมสะดุ้ง

“เรียกฉันว่าพ่อก็ได้” ใบหน้านิ่งเรียบมีรอยยิ้ม “ฉันไม่ได้เห็นด้วย 100% กับเรื่องของพวกเธอทั้งสองคนหรอกนะ แต่ฉันยอมให้พวกเธอคบกันเพราะเหตุผลที่ฉันบอกเมื่อกี้ พ่อหนุ่มทำให้ลูกชายฉันเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น และฉันก็ไม่อยากเป็นคนทำลายการเปลี่ยนแปลงนี้ วันนี้เธอติดค้างฉันเรื่องที่ฉันถามไปนะ ฉันให้เวลาจนจบปี 3 ถ้าถึงตอนนั้นเธอไม่มีคำตอบอะไรให้ อย่าว่าฉันใจร้ายละกัน” นี่ไง ... คำขู่ตรงๆออกมาแล้ว พญาราชสีห์ชัดๆ

“ครับ คะ คุณพ่อ” ผมกลืนน้ำลายอย่างลำบาก ทุกคนดูยิ้มแย้มตักกับข้าวทานกันอย่างมีความสุข แต่ผมนี่สิดันไม่รู้รสชาติของสิ่งที่ตักเข้าปากเลยสักคำ

ปิ๊น...

“ใจลอยไปไหนวะเนี่ย ไฟเขียวแล้ว” ตงฉินด่า ผมตื่นจากภวังค์และรีบเปลี่ยนเกียร์รถยนต์ หลังจากโดนคันหลังบีบแตรไล่

“ไม่ต้องคิดมากหรอก นี่แหละพ่อแม่กู” ตงฉินเริ่มติดเกมมาสักพักแล้ว ตอนที่พูดก็กดมือถือมือเป็นระวิง

“ไม่ให้คิดมากได้ไงวะ มึงไม่ได้ยินแม่มึงพูดเหรอว่ามึงคบกับกู สินสอดก็ไม่ได้”

“พ่อกูพูดตั้งเยอะ แต่มึงคิดได้แค่เรื่องสินสอดเองเหรอ มึงนี่แม่ง ... ไอ้แท้งก์แม่งห่วย ไอ้สัส” ตงฉินไม่ละสายตาจากมือถือเลยตอนพูด แถมอินกับเกมจนสบถด่าตลอดทางอย่างขัดใจ


#### ####

             ไม่กี่วันหลังจากเจอพ่อแม่แฟน ผมก็หาโอกาสนัดเจอพี่ชายทั้งสองที่ห้างสรรพสินค้าในวันหยุดเพื่อขอคำปรึกษา จะว่าคิดมากก็ไม่ผิด เพราะผมคิดไม่ตกว่าจะต้องทำยังไงเพื่อหาคำตอบที่ถูกใจพ่อแม่แฟนได้ พี่เอกมาพร้อมกับพี่ต่อแฟนหนุ่มที่ความหล่อออร่ากระจัดกระจายจนกลบรัศมีของผมกับไอ้โทเสียเกลี้ยง พี่เอกดูหล่อขึ้นจากการแต่งตัวและดูแลตัวเองจนเปลี่ยนเป็นคนละคน การมีแฟนคอยดูแลมันดีได้ขนาดนี้เชียวเหรอ เสื้อผ้า หน้าตา ทรงผมเปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้

“เดี๋ยวผมไปเดินดูของรอละกันนะครับพี่เอก ถ้าเสร็จแล้วโทรมานะครับ” พี่ต่อดูเหมือนลูกแมวเชื่องๆตอนอยู่กับแฟนหนุ่ม ถึงแม้จะรักตงฉินไปแล้ว แต่การได้เจอพี่ชายแฟนตัวเป็นๆระยะประชิดแบบนี้อีกครั้งก็อยากจะเปลี่ยนใจไปหาคนตรงหน้าแทนเสีย

“ไม่นั่งด้วยกันเหรอคุณต่อ” พี่เอกถาม เสียงนี่แบบอ่อนหวานอย่างที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน

“ผมไม่รบกวนดีกว่าครับ นานๆทีพี่จะได้เจอน้องๆ คุยให้กันสนุกดีกว่า” พี่ต่อยิ้ม ยิ่งส่งประกายความหล่อจนตาแทบบอด ตงฉินที่ว่าหล่อยังแทบหมอง พี่ต่อขาวแบบขาวโอโม่ สูงชะลูดอย่างกับนายแบบ ยิ่งแต่งตัวลำลองง่ายๆยังหล่อจนคนมองตามไม่ละสายตา พี่น้องบ้านนี้ทำบุญด้วยอะไรกันหนอ ทั้งผมและไอ้โทไหว้ส่งก่อนที่ร่างสูงจะเดินไปจากตรงนี้

“แม่ง พี่ต่อโคตรหล่ออะ” ผมเปิดประเด็น

“ไอ้ตงก็หล่อไหม” ไอ้โทเตือนสติ

“พี่เอก แลกแฟนกันมั้ย”

“น้อยๆหน่อยไอ้หนึ่ง ทะลึ่งนะมึง” นั่นไง พี่เอกเวอร์ชั่นปกติมาแล้วครับท่าน “นัดกูมามีอะไร”

“คือ...” แล้วผมก็เล่าเรื่องวันที่ไปเจอพ่อแม่ตงฉินให้ฟังอย่างละเอียด

“ฮ่าๆๆๆๆ...” เสียงหัวเราะดังลั่นโต๊ะ ยามนี้พวกเราเพิ่งทานมื้อเที่ยงแบบง่ายๆเสร็จ ถึงแม้จะบอกว่าง่าย แต่ราคาก็ไม่ได้ทำใจให้ควักเงินง่ายๆเลย ยิ่งเป็นนักศึกษาแบบพวกเราด้วยแล้ว กินมื้อนี้เหมือนใช้เงินไปแล้วครึ่งเดือน

“หัวเราะทำไมอะพี่เอก ไอ้โท”

“หัวเราะที่มึงโง่ไง” ไอ้โทตอบ

“ทำไมงั้นวะ” ผมเกาหัวแกรกๆ

“คืองี้” พี่เอกพยายามหยุดหัวเราะ พอสงบลงได้ก็เริ่มพูดต่อ “ท่านประธานกับคุณนายน่ะไม่ได้กดดันอะไรมึงเลยไอ้น้อง มึงน่ะกดดันตัวเองล้วนๆ”

“ยังไงวะพี่ เขารู้ด้วยนะว่าผมเป็นผัวลูกชายเขา ตัดพ้ออีกว่าจะไม่ได้ค่าสินสอด แถมยังถามว่าจบไปจะทำงานอะไรอีก นี่ไม่เรียกกดดันเหรอพี่”

“ใจเย็นๆไอ้หนึ่ง กูรู้ว่ามึงโง่ แต่ก็ไม่คิดว่าจะโง่ขนาดนี้นะ”

“พี่เอก” ผมเสียงดัง ตัดพ้อน้อยใจในโชคชะตาที่เกิดมาไม่หล่อแถมโง่ ไอ้โททำหน้าล้อเลียนเพราะเห็นด้วยกับพี่ชายตัวเอง

“มึงก็รู้ใช่มั้ยว่าพี่กับคุณต่อก็คบกัน”

“รู้ดิ ตอนรู้ครั้งแรกนะตกใจจนหัวใจจะวาย ไม่คิดมาก่อนเลยว่าพี่เอกจะคบผู้ชายได้”

“กูก็ไม่คิด แต่ก็คบแล้วไง” พี่เอกทำหน้าเขินๆ “แต่มึงรู้มั้ยว่าท่านประธานกับคุณนายไม่ว่าอะไรเรื่องนี้เลยนะ”

“ก็จะว่าได้ไง พี่เอกช่วยชีวิตคุณนายไว้นะ” ไอ้โทพูด พี่ต่อหลงรักพี่เอกเนื่องจากพี่เอกช่วยพาคุณนายไปหาหมอได้ทันท่วงทีตอนที่โรคประจำตัวกำเริบตอนที่พี่ต่อขับรถหลงทางจนคุณนายเกือบไม่รอด

“กูไม่ได้พูดถึงประเด็นนั้น ที่กูจะบอกคือ กูเนี่ยเป็นแค่คนขับรถ คุณต่อเป็นลูกชายประธานบริษัท แต่พวกท่านๆไม่เคยรังเกียจเลยนะ มึงคิดว่าเพราะอะไรล่ะ”

“เพราะ...” ไอ้เอกภาพอ้าปากจะตอบ

“ไอ้โทมึงเงียบก่อน กูถามไอ้หนึ่ง อยากรู้ว่ามันจะหายง่าวรึยัง” ผมส่ายหัว เพราะคิดไม่ออกจริงๆว่าเพราะอะไร และนั่นก็ไม่ช่วยอะไรเลยสักนิด นอกจากใบหน้าเอือมระอาของพี่ชายทั้งสองที่สบตากันและส่ายหน้าไปมาอย่างคนหมดหวังในชีวิต

“ง่าวจริงๆ” ไอ้โทด่าอย่างออกรส ผมได้แต่ทำหน้างุนงงแต่ก็ไม่ได้คำตอบจากพี่เอกเสียที

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 50. ไอ้เตี้ยผู้ไม่เคยหึงแฟน

[ตงฉิน]

             ผมหัวเราะจนท้องแข็งเมื่อได้เห็นหน้าบอกบุญไม่รับของไอ้เตี้ยที่นั่งข้างตัวบนโซฟาห้องรับแขกหลังกลับมาจากกิจกรรมรวมญาติสาม “เอก” อันได้แก่ เอกภพ เอกภาพและเอกราชเมื่อช่วงบ่ายของวัน ผมเปิดห้องเข้ามาก็เห็นคนหน้าบูดนอนกลิ้งอยู่แล้ว พี่ต่อส่งไลน์มาเล่าเรื่องคร่าวๆให้ฟังน่าจะได้ยินจากพี่เอกแฟนแกอีกที เลยทำให้ผมกลั้นขำไม่อยู่

“มึงจะหัวเราะอีกนานมั้ย” หนึ่งถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“ขอโทษที หยุดขำไม่ได้จริงๆ พี่เอกกับไอ้โทด่าว่าไงนะ จ๊าดงาว งั้นเหรอ ฮ่าๆๆๆ” จ๊าดง่าว ภาษาเหนือแปลว่า โคตรโง่

ตุบ!... หมอนพิงหลังจากมือคนตัวเล็กฟาดเต็มหน้า ถึงจะเจ็บแต่ผมยังไม่หยุดหัวเราะ

“มึงไม่เข้าข้างกู” ไอ้หนึ่งงอน หน้าตาตอนงอนไม่ได้ดูดีเลยสักนิด

“กูเข้าข้างมึงตลอดแหละ แต่เรื่องนี้ขอเข้าข้างพี่เอกนะ ฮ่าๆๆๆ”

“คืนนี้มึงไม่ต้องมาให้กูกอดเลย” มันยื่นคำขาด

“ได้” ผมตอบชัดถ้อยชัดคำ

“ไม่ได้ งื้ออออออออออ” เอกราชหน้าเบ้เพราะถูกผมขัดใจ

“ก็มึงพูดเอง” ผมกวน

“กูไปอาบน้ำละ” สิ้นคำ คนตัวเตี้ยก็กระโดดลงจากโซฟากระทืบเท้าเข้าห้องนอนโครมคราม ผมไม่กลัวพื้นห้องสึกหรอกนะ กลัวส้นเท้ามันจะแตกเสียมากกว่า งอนสะบัดเหมือนเด็กไปโน่นแล้ว


#### ####

   ห้องเรียนรวมของวิชาบังคับสำหรับพวกปี 2 คลาคล่ำไปด้วยนักศึกษาจำนวนมาก ถึงแม้จะใช้คำว่าวิชาบังคับ แต่ก็มีคนจากสาขาอื่นและคณะอื่นมาร่วมเรียนด้วยอยู่ดี ตรงมุมหนึ่งของห้องเป็นกลุ่มนศ.แพทย์ที่กระชากมีนพุ่งพรวดจากการสอบกลางภาคที่ผ่านมา ทั้งที่ปกติแล้วอาจารย์จะตัดเกรด A ที่ 85 คะแนน แต่เทอมนี้น่าจะตัดที่ 95 คะแนน เพราะมีคนได้คะแนนเต็มหลายสิบคน และทุกคนล้วนมาจากคณะแพทย์ที่ผมแอบมองด้วยความโมโหว่าทำไมต้องเรียนร่วมคลาสกันด้วย

“เป็นอะไรตง ทำไมหน้าดูเหนื่อย” เพื่อนร่วม section ถาม

“ง่วงนิดหน่อย” หน้าตาผมคงดูเหม่อลอยไปหน่อย

“โหมถ่ายละครอีกอะดิ”

“อื้ม” ผมตอบแบบขอไปที ใครจะกล้าบอกตรงๆวะว่าโดนผัวจัดหนักจัดเต็มยันเช้า โทษฐานไปกวนตีนมันเมื่อเย็นวาน

“จริงเหรอวะ” ไอ้คิ้วหันมากระซิบและยักคิ้วกวนๆให้ ผมหน้าแดงซ่านลืมไปว่ามีคนรู้เรื่องนี้นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อตอบโต้อะไรไม่ได้ก็กระทุ้งศอกเข้าชายโครงมันจนจุก

“คิ้วเป็นไร” เพื่อนคนเดิมที่ถามผมเมื่อครู่หันไปสนใจไอ้เพื่อนทรยศเสียแล้ว พอขึ้นปีสองเราต้องเรียนตามเมเจอร์ของตัวเองเสียส่วนใหญ่ ในกลุ่มนี้นอกจากไอ้คิ้วแล้วก็ไม่มีใครมานั่งเรียนด้วย จึงจำเป็นต้องผูกมิตรกับเพื่อนร่วมรุ่นเอาไว้เพื่อทำงานกลุ่มกัน หนึ่งในเด็กการค้าระหว่างประเทศที่พอจะเข้าขากันได้ก็คือ นน หรือ ธนนท์ คนนี้

“ปละ เปล่า” คิ้วตอบแบบจุกๆ

“เออนน รายงานส่วนของเราส่งไปแล้วนะ ลืมบอก” ผมหันกลับมาบอก

“อ้าว ตงส่งมาตอนไหน เราไม่เห็นเมล์ตงเลย” ธนนท์รีบเปิดโน้ตบุ๊กเพื่อเช็คอีเมล์ ผมกวาดตามองตอนที่เลื่อนหน้าจอลงเรื่อยๆ

“นี่ไง” ผมชี้ไปที่อีเมล์นั้น

“อ้าว นี่อีเมล์ตงเหรอ แต่ทำไมมันชื่ออะไรเนี่ย อัก กะ ราด เหรอ” ชิบหาย... ลืมไปว่างานนี้ให้หนึ่งทำและส่งให้

“เปล่า ของ ผะ...อุ๊ปส์” ผมใช้สันมือฟาดเข้าที่กล้ามท้องไอ้คิ้วจนมันต้องหุบปากก่อนหลุดคำว่าผัวออกมา ถึงแม้จะไม่ได้ปกปิดว่าคบกับผู้ชาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาป่าวประกาศไหม ถ้าหลุดถึงหูนักข่าวยังคิดคำตอบดีๆไม่ได้เลย

“ของรูมเมตเราน่ะ พอดีเราลืมรหัสเข้าอีเมล์” ดีนะกูเป็นดารา การแสดงเลยเนียน

“อ่อ โอเค งั้นเดี๋ยวเราดาวน์โหลดและเอามารวมไฟล์เลย” ธนนท์ตอบ แล้วบทสนทนาของเราก็หยุดเมื่ออาจารย์เดินเข้าห้องมา

             คลาสบรรยายนี้เป็นวิชาหลักของเด็กระหว่างประเทศ เนื้อหาอัดแน่นและต้องนั่งเรียนครั้งละ 3 ชั่วโมง เมื่อหมดเวลา นักศึกษาแต่ละคนต่างก็แตกฮือเพราะความง่วงและเบื่อหน่าย ผมบิดขี้เกียจและหยิบมือถือขึ้นมาดู ไม่มีข้อความจากไอ้แฟนตัวดีเลยสักข้อความ สงสัยจะเรียนหนัก หรือไม่ก็ยังไม่ตื่นเพราะเมื่อคืนมันเล่นผมจนระบมไม่หาย

“เที่ยงแล้ว กินอะไรดี” คิ้วถาม เพื่อนที่นั่งรอบๆต่างเสนอสิ่งที่อยากกิน สุดท้ายก็จบที่โรงอาหารคณะเพราะมีเรียนกันต่อช่วงบ่าย ถ้าออกไปทานข้างนอกจะกลับมาไม่ทัน

“ตงๆ เราขอถ่ายรูปด้วยหน่อยสิ แม่เราไม่เชื่อว่าเพื่อนเราเป็นดารา” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งขอถ่ายรูปด้วย ผมไม่ว่าอะไรเพราะชินกับเรื่องนี้อยู่แล้ว พอถ่ายคนแรก คนต่อๆไปเลยตามมาไม่ขาดกว่าจะจบก็เกือบ 20 นาที ยังดีที่ไอ้คิ้วและธนนท์ยังยืนรออยู่

“เกิดมาดังอะเนอะ เลยต้องเหนื่อย”

“ชิลๆ” ผมตอบไอ้คิ้ว “ขอโทษนะนน ทำให้รอนานเลย”

“โอ๊ย ไม่เป็นไร เราไม่รีบอยู่แล้ว” เพื่อนคนนี้ตอบ พอร่างผมยืนประชิด ความสูงของเขาก็ลดเหลือแค่ระดับไหล่เท่านั้น

“ไปเหอะ กูหิว” ไอ้คิ้วตัดบท พวกเราเดินอ้อยอิ่งออกจากห้องเรียนไปยังลิฟต์ที่อยู่ไม่ไกล รอบเที่ยงมีคนใช้ลิฟต์เยอะ แต่ก็รอไม่นานเนื่องจากมีหลายตัว แถมยังเสียเวลาเซอร์วิสแฟนคลับอยู่นาน คนเลยเบาบางลงไปพอสมควร

“เอ่อ ตงครับ” ผมหันไปตามเสียงเรียก แม้จะอยู่ในลิฟต์แคบๆ คนแน่นๆก็เหอะ

“ครับ”

“พอดีมีคนฝากของมาให้น่ะครับ” ผมทำท่าจะรับของจากผู้ชายหน้าตาดีที่พิงหลังอยู่ด้านในสุด แต่เพราะพื้นที่มันแคบเขาจึงเอาของให้ไม่ได้ คนที่อยู่ในลิฟต์ไม่ได้สนใจเรื่องที่มีผู้ชายเอาของมาให้ผมเท่าไหร่ เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ชาวคณะบริหารฯเห็นจนคุ้นตา แฟนคลับหลากหลายวัยมักจะเข้ามาเพื่อขอถ่ายรูปหรือไม่ก็เอาของมาให้เสมอ เราเงียบไปจนลิฟต์ถึงชั้น 1

“อ่อ ขอบคุณครับ” ผมหยิบถุงผ้าขนาดใหญ่จากมือเขาหลังออกมาจากลิฟต์แล้ว ดูระยะใกล้ๆนึกว่าเป็นดาราเหมือนกันซะอีก หน้าตาหล่อออร่าที่สาวๆต่างหันมามองตอนที่เราอยู่กันสองคน หุ่นก็สูงและดูดี ไหล่กว้างเหมือนนักกีฬา

“พี่ชื่อเวลล์ (Well) นะครับ อยู่อีคอนปี 4” หืม หน้าตาไม่ได้ดูแก่แบบพวกปี 4 ที่รู้จักเลยแฮะ

“อ่อ ครับพี่เวลล์ ขอบคุณสำหรับของขวัญนะครับ” ผมกล่าวอย่างเกรงใจ คิ้วและธนนท์เดินลิ่วไปที่โรงอาหารแล้วเพื่อจองที่นั่ง

“คือ..” ใบหน้าหล่อๆนั้นดูลังเล ผมได้แต่นึกหาประโยคเพื่อจะขอตัวแต่ก็นึกไม่ออก “... เมื่อกี้ที่พี่บอกว่ามีคนฝากมาน่ะ จริงๆพี่เองแหละที่เอามาให้”

“ขอบคุณมากเลยนะครับพี่เวลล์” คิดแล้วไม่ผิด มาแนวนี้คือจะมาจีบอีกล่ะสิ ทำไมช่วงหลังๆผู้ชายเข้าหาเยอะกว่าผู้หญิงอีกนะ หรือว่ากลิ่นไอ้หนึ่งติดตัวมา คนเขาเลยกล้าเข้ามาจีบกัน พอมองดูดีๆพี่เวลล์หล่อมากเหมือนกันนะ

“เอ่อ จะเป็นอะไรมั้ยครับถ้าพี่จะขอไลน์น้องตง เอาไว้...” มือถือราคาแพงรุ่นล่าสุดถูกล้วงและยื่นมาให้ ปกติแล้วผมไม่ค่อยให้ข้อมูลติดต่อพวกไลน์ เฟซบุ๊ก ไอจี ส่วนตัวกับใครหรอก ที่เปิดให้ตามๆกันส่วนใหญ่จะเป็นแบบเอาไว้ติดต่องานมากกว่า

“รีบๆให้พี่เค้าสิ หิวแล้ว” เสียงคุ้นๆดังมาจากด้านหลัง ผมหันขวับ

“ต้องขอโทษทีนะครับพี่เวลล์ พอดีผมไม่สะดวกจริงๆ ขอโทษนะครับ” ผมมองใบหน้าราบเรียบของมนุษย์แฟนที่ยืนไม่ห่าง สงสัยไอ้คิ้วใช้ให้มาตามเพราะยังไม่ได้เดินไปที่โรงอาหารเลย พี่เวลล์ไม่ว่าอะไรนอกจากยิ้มเก้อๆก่อนจะขอตัวเดินจากไป

“ทำไมไม่ให้พี่เค้าไปล่ะ หล่อดีออก” ไอ้หนึ่งถามตอนที่เดินจ้ำไปด้วยกัน

“ให้ทำไมวะ เค้ามาจีบกูนะ มึงไม่เห็นเหรอ” ผมละทึ่งที่ได้ยินคำถาม

“เห็น”

“เห็นแล้วทำไมยังบอกให้กูเอาให้อีกล่ะ” ดันกลายเป็นผมที่หงุดหงิดเสียแล้ว

“ก็ให้ๆจะได้จบๆ กูรอนานจนหิวแล้วเนี่ย” มันตอบหน้าตาเฉย เสียงจอแจของโรงอาหารดังมาแต่ไกล

“มึงไม่หึงกูเลยเหรอวะ มีผู้ชายหน้าตาหล่อมาจีบกูนะ”

“ไม่อะ กูชิน ถ้ากูต้องคอยหึงกับคนมาจีบมึงทุกคนนะปวดหัวตายห่..พอดี เอามายืนเรียงแถวกันคงยาวไปถึงคณะวิศวะได้เลยมั้ง” จากคณะผมไปวิศวะก็แค่ 2 กิโลเมตรเองนะ

“กวนส้นตีน นี่มึงไม่หึงจริงดิ”

“อื้ม คิดมากก็ปวดหัว คนจีบมึงมีทุกวัน ขืนกูคอยวิ่งไล่ต้อยๆก็ไม่ต้องทำอะไรมันละวันๆน่ะ”

“ชิ” ผมจิ๊ปาก คำตอบของมันก็จริงอยู่นะครับ แรกๆหนึ่งยังมีท่าทางงุ่นง่านอยู่บ้าง แต่พอคบกันมาสักระยะมันก็เริ่มชินชา เลยกลายเป็นว่าเราไม่เคยทะเลาะกันเรื่องหึงหวงเลยสักครั้ง  “มึงมีเรียนด้วยเหรอวันนี้”

“ไม่มี แต่อาจารย์นัดคุยเรื่องโครงงานเลยต้องมา” มิน่าล่ะถึงแต่งตัวเต็มยศ ตอนผมออกมาเมื่อเช้ามันยังนอนอุตุอยู่เลย

“โอ๊ย กว่าจะมานะพวกมึง” ไอ้ชัยปากเปราะส่งเสียงด่า ท่าทางจะรอนานจริงๆนั่นแหละเพราะจานข้าวแต่ละคนว่างเปล่าไปแล้ว

“เออดิ ไอ้ตงมันลีลาไม่ยอมให้ไลน์คนมาจีบ” ไอ้หนึ่งสาธยายเหมือนเป็นเรื่องปกติ

“เนื้อหอมนะเราน่ะ” ไอ้โทแซว หน้าตากรุ้มกริ่มของมันทำให้อยากโบกสักป๊าบ

“เอาไร เดี๋ยวกูไปซื้อให้” ไอ้หนึ่งถาม สีหน้าแววตาของมันปกติทุกอย่าง ผมตอบสิ่งที่อยากกินแล้วมองตามก้นคนตัวเตี้ยที่วิ่งไป

“ตงสนิทกับหนึ่งจังเลย” ผมลืมไปเลยว่าวันนี้ธนนท์มานั่งด้วย ผมยิ้มแหยๆแต่ไม่ตอบอะไรไปให้

“เออ นน ข้อมูลส่วนของกูน่ะ เดี๋ยวส่งให้คืนนี้นะ” ไอ้คิ้วพูดไปด้วยเคี้ยวข้าวไปด้วย มารยาทมันทรามขัดกับความหล่อชิบหาย

“อื้อได้ๆ ส่งมาแล้วก็ไลน์บอกเราด้วยนะ” ธนนท์เป็นคนสุภาพ หน้าตาไม่ได้โดดเด่นและเพื่อนน้อย ตอนแรกที่เจอในห้องเรียนผมนึกว่าเขาเป็นคนหยิ่ง มารู้ทีหลังว่าเป็นเด็กเนิร์ดคนเลยไม่ค่อยเข้าหาก็เลยชวนมาทำงานกลุ่มด้วย หลังจากนั้นก็คุยกันมากขึ้นเลยพามาแนะนำให้ไอ้พวกนี้รู้จัก เนื่องจากทุกคนไม่ได้เป็นคนเข้าถึงยากเจอใครใหม่ก็คุ้นเคยได้แทบทันที

“ขาดของใครอีกมั้ย” ผมถาม

“นอกจากของคิ้วก็มีอีก 2 คน” ธนนท์ตอบอย่างอารมณ์ดี ถึงแม้จะใกล้เวลาส่งงานแล้วก็ตาม แต่ยังใจเย็นได้ทุกขณะ

“อิจฉาว่ะ ทำไมเอกกูไม่มีคนเก่งแบบธนนท์บ้างวะ ทำรายงานทีมีแต่ตัวอะไรไม่รู้ เอกราชงี้ เอกภาพงี้” ไอ้ชัยบ่น เอกภาพหรือโทเหลือบตามองอย่างเหยียดหยามคนที่เพิ่งเปล่งคำออกมา

“ทำไมวะ อยู่กลุ่มเดียวกับกูไม่ดีตรงไหน อย่างน้อยกูก็ฉลาดกว่าไอ้หนึ่งนะเว้ย” นั่นไง ไอ้โท เกทับน้องชายตัวเองซะงั้น

ป๊าบ...

“สัส กูไม่อยู่แป๊บเดียวนินทากูใหญ่เลยนะ แฟนไม่อยู่เหงาปากเหรอมึง” หนึ่งเดินถือข้าวมาสองจาน เสียงป๊าบที่ได้ยินคือการสะกิดจากปลายเท้ากับแผ่นหลัง เรียกง่ายๆคือ ถีบหลังนั่นเอง

“ไอ้เชี่ยเตี้ย ถีบมาได้ หน้ากูเกือบคว่ำลงชามก๋วยเตี๋ยว” โทโวยวาย

“กูถีบหลัง ไม่ได้ถีบยอดหน้ามึงซะหน่อย” หนึ่งวางจานและนั่งข้างผมอย่างไม่ทุกข์ร้อน ผมมองภาพสองพี่น้องแยกเขี้ยวใส่กันอย่างนึกขำ ยิ่งมีไอ้คิ้ว ไอ้ชัยคอยยั่วยุโดยการปาขนมใส่ทั้งคู่อีก ดูแล้วเหมือนอยู่โรงเรียนอนุบาล

“พวกมึงหยุดเล่นดิ๊ กูจะกินข้าว เกรงใจธนนท์บ้าง” ผมปราม

“มึงโอเคมั้ยนน” ใครสักคนถามแบบกันเอ๊งกันเอง

“อะ อื้ม เราโอเค สนุกดี” ธนนท์นั่งเงียบมาตลอดตอบ ถ้าไม่มีเรียนวิชาเดียวกันผมก็ไม่เคยเห็นเขามานั่งทานข้าวที่โรงอาหารเลยสักครั้ง เคยคิดจะถามแต่ก็กลัวจะไปสะกิดปมในใจเรื่องเพื่อนน้อยของเขา

“เห็นมั้ย มึงอะคิดมากไอ้ตง รีบแดกมึงมีเรียนต่อนะ” ไอ้คิ้วเตือนสติ ตารางเรียนวันนี้โหดมากเพราะต้องเรียนแต่เช้ายันเย็น

“เออ แป๊บ” ผมรีบจ้วงอาหารเข้าปาก “หนึ่งมีเรียนอีกมั้ย”

“ไม่มีแล้ว คาบบ่ายอาจารย์งด” แฟนตัวดีหันมาสนใจ

“ฝากของกลับไปด้วยได้ปะ” ผมเหลือบตามองถุงผ้าใบใหญ่ที่วางกับพื้นอย่างไม่มีใครใยดี ความจริงคือผมยังไม่ได้เปิดดูด้วยซ้ำว่าข้างในเป็นอะไร เพราะกลัวว่าไอ้หนึ่งมันจะหึงตอนที่พี่เวลล์จีบซึ่งๆหน้า

“เอาเดะ เดี๋ยวไอ้ชัยไปส่ง กูเก็บให้” ยังดีนะที่มีรถยนต์ขับไปส่ง ปกติมันจะเอารถผมไปแล้วค่อยกลับมารับตอนเรียนเสร็จหรือไม่ก็ไปเตร็ดเตร่ที่ร้านโมเอะหลังมอเพื่อเล่นเกมหรืออ่านหนังสือรอกับเพื่อนๆ

“มึงจะพากันเล่นเกมอีกแล้วใช่มั้ย” ผมถาม ไอ้หนึ่งเบ้หน้าเหมือนโดนจับได้

“เออดิ ตีป้อมหน่อย ไอ้หนึ่งแม่งโคตรอ่อน เล่นด้วยแล้วหัวร้อน” โทเป็นคนตอบ

“ก็พวกมึงให้กูเล่นตำแหน่งอะไรล่ะ กูถนัดฟาร์ม มาให้กูเล่นแครี่ ไหวไหมบอก” ไอ้หนึ่งเถียง

“มึงมันกาก” ผมสำทับ เพราะเห็นฝีมือมันเล่นแล้วก็ช่วยเถียงไม่ได้จริงๆ

“ตงๆ ทิชชู่” ผมหันไปทางธนนท์ที่นั่งติดกัน กระดาษสีชมพูถูกยื่นมา และมืออีกข้างของเขาชี้ไปที่มุมปากตัวเอง ผมรีบรับและซับตรงตำแหน่งที่เพื่อนบอก

“ขอบใจมากนะนน” คราบสีส้มๆจากพะแนงหมูถูกเช็ดเกลี้ยง เป็นดาราไม่จำเป็นต้องอดๆอยากๆเนาะ แพนงหมูไม่ได้ทำให้เราอ้วน ที่ทำให้เราน้ำหนักขึ้นคือตาชั่งต่างหาก ... คำพูดปลอบใจของไอ้หนึ่งมันน่ะ

“กูไปซื้อน้ำก่อนนะ” อยู่ๆมนุษย์แฟนก็ลุกพรวด ทั้งๆที่มีน้ำแดง ชามะนาว นมเปรี้ยวที่คนอื่นซื้อมาวางอยู่เต็มโต๊ะ

“มันเป็นอะไรของมันวะ” โทกันมาถาม

“ไม่รู้ดิ สงสัยเจ้าเข้า” ผมตอบ ไม่ได้เห็นท่าทางฟึดฟัดแบบนี้มานานแล้ว


#### ####

             ผมเรียนเสร็จเกือบสองทุ่มเพราะอาจารย์ขออัดเนื้อหาเนื่องจากจะมีการงดคลาสอาทิตย์หน้า เพื่อนแต่ละคนต่างร้องโอดโอยลั่นห้องไม่เว้นตัวผมเอง แกบอกว่าไม่ได้บังคับ ใครอยากเลิกตามเวลาก็ทำได้ ผมคงจะรีบลุกไปแหละแต่ดันมีการเช็คชื่อรอบสอง ซึ่งมันพัวพันกับคะแนนจิตพิสัย 10% ของคะแนนตัดเกรดร่วมด้วย ต้องจำใจนั่งต่อและส่งข้อความไปหาไอ้หนึ่งที่หายเงียบไปตั้งแต่บ่าย

“ช่วยลากกูทีไอ้ตง หมดพลัง” ไอ้คิ้วนอนคว่ำหน้ากับโต๊ะเรียนสีขาวขนาดเล็ก พวกเราแต่ละคนต่างรู้สึกไม่ต่างกัน

“เรียนขนาดนี้ สมองกูต้องบวมไปแล้วแน่ๆ” วิชานี้มีไอ้โทร่วมด้วย มันเข้าเรียนแทนขวัญใจที่ติดธุระกับที่บ้าน ดีนะที่สมัยนี้เทคโนโลยีการเช็คชื่อมันดี แค่สแกนคิวอาร์โค้ดก็จบแล้ว ถ้าอาจารย์ขานชื่อทีละคนไอ้โทคงโดนจับได้

“มึงกับไอ้หนึ่งนิสัยเดียวกันเป๊ะ” ไอ้คิ้วแซว

“แต่กูฉลาดกว่ามันนะ ใช่มั้ยตง”

“ไม่ต้องลากกูไปยุ่งเลย” ผมชิ่ง

“มึงนี่แม่ง” ไอ้โทด่า มันขยับปากแบบไร้เสียงซึ่งสามารถอ่านได้ว่า คนกลัวผัว ...

“ไอ้สัส” ผมด่าสั้นๆเพราะไม่รู้จะสรรหาคำไหนแล้วเนื่องจากมันจี้ใจดำ ปกติแล้วผมไม่ใช่คนหยาบคายแบบนี้เลยนะเพราะต้องรักษาภาพพจน์ดารา แต่พอคบพวกนี้นานเข้านิสัยก็เริ่มเปลี่ยน ตอนนี้เริ่มกลัวแล้วว่าจะโดนเอาไปโพสต์ลงโซเชียลหรือเปล่า

“โห เพิ่งเห็นตงฉินเวอร์ชั่นนี้” ธนนท์โพล่งมาจนสะดุ้ง นึกว่าอยู่กับวิญญาณ

“เวอร์ชั่นอะไรเหรอ”

“ก็เวอร์ชั่นด่าคนอื่นไง เรานึกว่าเป็นดาราต้องรักษาภาพลักษณ์ซะอีก” นี่ไปอยู่หลังเขาลูกไหนมาครับธนนท์

“โห มึงรู้จักมันน้อยไปไอ้นนท์” ไอ้คิ้วตัวแสบรีบเสริม

“กูกลับดีกว่า ไอ้หนึ่งมารอแล้ว มึงจะกลับมั้ยไอ้โท” ผมรีบลุก ไม่อยากโดนทำลายภาพพจน์ดีๆในสายตาเพื่อนร่วมชั้นมากไปกว่านี้ นอกจากธนนท์แล้วยังมีคนอื่นๆที่นั่งเรียนด้วยกันอีกหลายคน ถึงไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่แต่ก็รู้จักกันหมด

“ไปดิ”

“เจอกันคลาสหน้านะนน ไปไอ้คิ้วมึงจะนอนอีกนานมั้ย” ผมบอกลาคนอื่นๆที่นั่งด้วยกันแล้วเดินออกไปจากห้องเรียนอย่างรีบเร่งจนถึงรถยนต์ที่จอดนิ่งในความมืดตรงลานจอดรถ

“ไหนมึงบอกไอ้หนึ่งมารับไม่ใช่เหรอวะ ไหนล่ะ” ไอ้โทถาม

“กูลืมว่าวันนี้มันกลับไปกับไอ้ชัยแล้ว” ผมตอบเสียงเรียบ ปกติไอ้หนึ่งจะมารับ มันเลยทำให้ผมชินกับเหตุการณ์นี้ เลยติดปากลืมตัวบอกคนอื่นไปแบบนั้น

“มึงก็เอ๋อนะเนี่ย สงสัยไอ้หนึ่งให้แดกสมอง” นี่มันว่าหนึ่งโง่หรือผมติดเชื้อโง่จากแฟนตัวเองมากันแน่นะ

“สมองพ่อง” ผมเปิดรถ

“ถ้าไม่ให้แดกสมอง มันจะให้แดกอะไรว้าาาาาาาาาาาาา” น้ำเสียงโคตรล้อเลียน ผมล่ะเกลียดมันจริงๆที่รู้เรื่องส่วนตัวของผมกับไอ้หนึ่งเยอะจนเกินไป ไอ้พี่น้องสองคนนี้เหมือนจะทะเลาะกันตลอด แต่ก็ดันสนิทกันมากจนเล่าอะไรต่อมิอะไรกันอย่างไม่มีอาย ผมกดปุ่มสตาร์ทรถและไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเพื่อนคนนี้อีก มีแต่เสียกับเสีย






ภาพประกอบเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านเท่านั้น

มิได้เกี่ยวข้องกับบุคคลในภาพและเนื้อหาในนิยายแต่อย่างใด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-07-2021 17:39:20 โดย จากต้นจนอวสาน »

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด