พิมพ์หน้านี้ - เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 50 P.7 Up 6 ก.ค. 64

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 06-02-2020 15:14:33

หัวข้อ: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 50 P.7 Up 6 ก.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 06-02-2020 15:14:33
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

********************************************

เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.


บทนำ
             เรื่องรักวุ่นๆในรั้วมหา’ลัยของนายหนึ่ง เอกราช เจ้าของฉายาไอ้เตี้ย ที่นอกจากจะไม่หล่อ ฐานะก็ยังไม่ดี แต่ดันมีหนุ่มฮ็อต ดีกรีเดือนมหา’ลัยปีล่าสุด กับอดีตเดือนมหา’ลัยปี 3 ตามมาพัวพันจนวุ่นไปหมด คนหนึ่งเป็นดาราดังอนาคตไกลชื่อตงฉิน ที่เป็นเพื่อนร่วมห้อง เพื่อนร่วมคณะ แต่สถานะยังไม่ใช่เพื่อนที่รู้ใจ กับพี่เจด อดีตแฟนสมัยม.ปลายที่ห่างกันไปสักพัก แต่สถานะยังไม่ได้เลิกกัน งานนี้ไอ้เตี้ยของเราไปไม่เป็นเลยทีเดียว

             มาลุ้นกันว่า ใครจะสามารถพิชิตใจไอ้เตี้ยของเราไปได้ เมื่อทั้งสองคนต่างก็หน้าตาหล่อ ดีกรีไม่เป็นรองกัน หากแต่คนหนึ่งก็ปากแข็งและพร้อมจะเทอย่างไม่ใยดี ส่วนอีกคนก็แสนดี พร้อมจะกลับมาสานสัมพันธ์ที่เคยทำหล่นหาย

             ถ้าคุณเป็นไอ้เตี้ย ... คุณจะเลือกใคร?



คำโปรย...

“ว่ากูเตี้ย เตี้ย เตี้ย ย้ำอยู่นั่นแหละ ... เตี้ยแล้วไง เตี้ยๆแบบกูก็เป็นผัวมึงได้นะ”



(https://cdn-th.tunwalai.net/files/member/971823/1641544600-member.jpg)

*** นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น
มิได้ลอกเลียนหรือดัดแปลงมาจากเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งโดยเฉพาะ
ภาพประกอบ ชื่อ และสถานที่อ้างอิงเป็นเพียงการสมมุติ
มิได้มีเจตนาอื่นใดนอกจากแต่งเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ***
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 1 P.1 Up 6 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 06-02-2020 15:16:35
สารบัญ


เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 1 - 7 หน้า 1

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71558.0


ตอนที่ 8 - 14 หน้า 2

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71558.30



ตอนที่ 15 - 20 หน้า 3

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71558.60




ตอนที่ 21 -27 หน้า 4

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71558.90




ตอนที่ 27(ช่วงหลัง) - 34 หน้า 5

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71558.120




ตอนที่ 35 - 41 หน้า 6

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71558.150#gsc.tab=0



ผลงานอื่นๆของไรต์


1. สัญญาธนการ (จบแล้ว)

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52913

2. บังเอิญรักโดยตั้งใจ (จบแล้ว)

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65595.0

3. จะรักนาย เท่าชีวิต - Only You ภาค 1 (จบแล้ว)

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64729.0

4. จะรักนาย เท่าชีวิต - Only You ภาค 2 (ยังไม่จบ)

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71132.0

5. Personal Driver : คนขับ(รัก)ส่วนบุคคล (ยังไม่จบ)

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71432.0


ติดตามผลงานอื่นๆที่ FB นี้เลยครับ
https://www.facebook.com/Begintillanend




หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 1 P.1 Up 6 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 06-02-2020 15:17:01
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

********************************************
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 1 P.1 Up 6 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 06-02-2020 15:23:48
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 1. การเปิดตัวแบบธรรมดามันน่าจดจำซะที่ไหน

             เสียงดนตรีในโดมที่ใช้จัดแสดงแฟชั่นโชว์ดังกระหึ่ม จังหวะคึกคักแบบอีดีเอ็ม(EDM) แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นเพลงเต้นจังหวะเร็วๆ ชวนให้แขกเหรื่อในงานโยกย้ายไปมาได้ แต่ด้วยพื้นที่ที่จำกัด และส่วนใหญ่ถูกบังคับให้นั่งตามแถวที่จัดไว้จึงทำได้แค่โยกตัวไปมาตามเสียงเพลง แคทวอล์กยาวหลายสิบเมตรปูด้วยพรมสีแดงเพื่อเข้ากับเทรนด์สีในปีนี้ เบื้องหน้าแขกผู้มีเกียรติฟร้อนท์โร (Front row)นั้นเข้างานมาครบหมดแล้ว แต่หลังฉากยังวุ่นวายไม่เลิก

“นี่ นายแบบนางแบบแต่งตัวแต่งหน้าเสร็จยังคะ” เสียงสไตลิสต์ตะโกนถาม ความโกลาหลพุ่งมาหลายระลอกจนชินตา

“ยังค่ะ เหลืออีกนิดนึง” ช่างแต่งหน้าตอบกลับ เหล่านางแบบที่เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วต่างยืนเข้าแถวรอเช็คคิว

“อีก 3 นาที ให้ไวค่ะ”

“ค่า” เสียงช่างคนเดิมตอบกลับ มองใบหน้าหล่อเหลาของนายแบบคนสุดท้ายที่เดินชุดฟินาเล่ของงานอย่างหลงไหล หล่อ ตี๋ แทน สูง ล่ำ กล้ามแน่น...

“พี่จ้องขนาดนี้ กินผมเลยก็ได้นะครับ”

“แหมมมม น้องตงล่ะก็ แซวซะ...” ช่างแต่งหน้าเสียงใหญ่ลูกกระเดือกโตแต่ออกอาการตุ้งติ้งทำท่าเขินอาย “แต่กินได้จริงๆนะ”

“นังชะมด เสร็จยัง มัวแต่อ้อร้อ”

“ค่า จะเสร็จแล้วค่าพี่ต๋อง แหม เร่งยิกเชียว” ชะมด หรือ มด ช่างแต่งหน้าที่กำลังอ่อยเหยื่อหันไปตอบสไตลิสต์คนเก่งที่ออกสาวไม่แพ้กัน

“คนอื่นจะเกลี่ยหน้าสามสิบวิ ทีน้องตงล่ะ จัดไปสามสิบนาที อีห่า”

“เจ๊ จะบ่นทำไมเนี่ย หล่อๆแบบนี้น้องขอจัดหนักๆหน่อยไม่ได้เหรอ” มดตอบอย่างยียวน

“นี่ นังมด น้องตงเค้าหล่อเบอร์นี้แล้ว หล่อนจะฉาบแป้งกับรองพื้นใส่อีกทำไม หล่อนจะฝึกฝีมือก่อนไปรับงานก่อสร้างเหรอยะ”

“แหมเจ๊” มดวางอุปกรณ์แต่งหน้าอย่างขัดใจ ก่อนเพ่งดูความเรียบร้อยของผลงานชิ้นเอก

“เสร็จแล้วค่าน้องตง หืมมม หล่อมาก”...



             เสียงกรีดร้องดังกระหึ่มเมื่อถึงคิวของตงฉิน เสถียรภาพไพบูลย์ ดาราหนุ่มขวัญใจมหาชนที่มารับงานเดินแบบของเสื้อผ้าแบรนด์ดังที่เจ้าของรู้จักกับพี่สาวตน ชายหนุ่มรูปร่างสูง ด้วยความสูง 188 เซ็นติเมตร บวกกับรูปร่างกำยำจากการขยันออกกำลังกาย ใบหน้าหล่อออกแนวตี๋และผิวสีแทนที่เจ้าตัวพยายามอาบแดดมานานส่งให้เป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ จังหวะของเพลงนั้นส่งเป็นหนึ่งเดียวกับจังหวะการเดิน สูทสีแดงที่ใส่โดยไม่มีเชิ้ตด้านในและไม่ติดกระดุมโชว์กล้ามแน่นๆที่ทำให้สาวๆกระหน่ำกรีดร้อง

“กรี๊ดดดดดดดดดด ตงฉิน ตงฉิน หล่อมาก” เสียงเชียร์จากแฟนคลับที่ยอมควักเงินซื้อบัตรเข้าร่วมงาน หรือทำทุกวิถีทางให้ได้บัตรเชิญส่งเสียงดังลั่น ตงฉินเผลอยิ้มให้อย่างทะนงตัว มองป้ายไฟที่ชูขึ้นมาอย่างงุนงง ไม่คิดว่าจะมีคนเอาเข้ามาได้

ก็คนมันหล่อนี่เนอะ... ชายหนุ่มคิดและเดินกลับไปหลังเวทีเพื่อรอเดินรอบสุดท้าย



             หลังงานเลิก เหล่านายแบบนางแบบต่างก็ล้างเครื่องสำอางและแต่งตัวเพื่อเตรียมกลับ ยกเว้นตงฉินที่ถูกลากให้ออกไปสัมภาษณ์ที่แบ็กดรอปขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงประตูทางเข้างานตรงลานกว้างหน้าห้างสรรพสินค้า แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปยิงรัวจนตาพร่า ไมโครโฟนหลากหลายแบบของสื่อมวลชนต่างก็กรูเข้าหา คำถามเป็นชุดพุ่งเข้ามาไม่ขาดสาย

“น้องตงคะ จริงเหรอคะที่ว่าน้องตินติน กับ น้องแตมแตม เป็นลูกของน้องตง ไม่ใช่ของพี่สาวตามที่แจ้งไว้น่ะค่ะ” นักข่าวคนหนึ่งถาม ชายหนุ่มยิ้มแบบใจเย็นสื่อถึงความเป็นมิตร ในใจเริ่มเบื่อ เพราะตอบคำถามจนคอแห้งไปหมด แถมบรรยากาศตอนนี้ก็ร้อนอบอ้าวจนอยากกลับไปนอนที่บ้าน

“สองหมูนั่นเหรอครับลูกผม ไม่จริงหรอกพี่ ผมเพิ่ง 18 เองนะครับ จะเอาเวลาไหนไปปั๊มลูกกัน ว่ามั้ยครับ” เสียงหัวเรากลบเกลื่อนชวนให้นักข่าวต่างหัวเราะตามกัน

“แต่ก่อนหน้านั้น พี่สาวน้องตงไม่มีทีท่าว่าจะท้องหรืออะไรเลยนะคะ แต่อยู่ๆก็มีลูกแฝดโผล่มา...”

“แหม่ ผมล่ะอิจฉาเจ้าสองหมูนั่นจัง” ตงฉินพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ขนาดไม่ได้มายังมีแต่คนถามถึง”

“พี่ๆคะ เดี๋ยวขอตัวให้น้องตงไปพักผ่อนก่อนนะคะ ต้องขอบคุณพี่ๆทุกคนมากนะคะที่สนับสนุนน้องมาตลอด” ผู้จัดการของงานเข้ามาแทรก เพราะคำถามมันล้วงลึกไปจนดาราหนุ่มหน้าเจื่อน สองขาวยาวก้าวฉับไปในห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านราชประสงค์แทบจะทันที ไม่วายจะมีแฟนคลับเดินตามมากรี๊ด บ้างก็ขอถ่ายรูป บ้างก็ขอลายเซ็น หลายคนยังเอาของขวัญหลากหลายชนิดมาฝากอีกด้วย

             ตงฉินรีบเดินไปที่ชั้นใต้ดินอย่างเหนื่อหน่าย ไหนจะต้องไปถ่ายละคร ไหนจะต้องไปงานโชว์ตัว จนสุดท้ายจบที่งานเดินแบบ วันวุ่นๆยังมีพวกนักข่าวมาขุดคุ้ยเรื่องตินตินกับแตมแตมอีก ดาราหนุ่มเลยหัวเสียไม่น้อย เพราะไม่คิดว่านักข่าวจะกระหายเนื้อได้ถึงเพียงนี้ ความผิดพลาดของตนเมื่อสามปีก่อนยังตามมาแบบไม่ให้คาดสายตา

             ย้อนไปเมื่ออายุ 15 ตงฉินเป็นเด็กหนุ่มที่นมเพิ่งแตกพาน แต่ด้วยความหล่อเป็นทุนเดิมเลยถูกชักจูงจากแมวมองให้มาเทสต์หน้ากล้อง ก่อนจะมีผลงานโฆษณาและละครตามมา พอเริ่มมีชื่อเสียง ก็มีคนมาชวนไปเดินแบบ จนได้พบกับนางแบบรุ่นพี่ชื่อ เดซี่ ที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงของอาชีพการงาน เนื่องจากนิสัยขี้โวยวาย เจ้าอารมณ์ มาทำงานสาย ไม่เคารพผู้ใหญ่ และยังมีข่าวลือว่าใช้ยาเสพติดจนสมองเบลอจนทำงานแทบไม่ได้ แต่เคมีของพวกเขาเข้ากันได้เป็นอย่างดี หลังจากเดินแบบงานแรกก็ไปต่อกันที่คอนโดของนางแบบสาว ตงฉินที่อยู่ในวัยรุ่นก็หลงหัวปักหัวปำจนไม่ไปเรียน เรื่องร้อนไปถึงหูพ่อกับแม่เลยทำให้ท่านทั้งสองไม่ชอบใจเดซี่เท่าไรนัก แต่พอตงฉินขอโอกาสและกลับไปเรียน คลื่นก็สงบลง..

             แต่ก็ไม่นาน เมื่อคุณพ่อที่เป็นประธานกรรมการบริษัทอาหารได้ออกสินค้าตัวใหม่สำหรับคนที่รักสุขภาพ ตงฉินจึงเสนอเดซี่ให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อหวังจะดันให้กลับมาดังเช่นเคย แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะนางแบบสาวเบี้ยวงานหลายต่อหลายครั้งจนคุณพ่อไม่พอใจอย่างหนัก ถึงขั้นถอดออกจากสื่อทั้งหมด สร้างความเสียหายไปหลายสิบล้านบาท เพราะมีการจองงานต่างๆไว้หมดแล้ว

...สุดท้าย เดซี่ก็ตั้งท้อง คุณพ่อกับคุณแม่ของตงฉินลมจับ ไม่ยอมให้ลูกชายคนเล็กต้องรีบแต่งงานตั้งแต่อายุเท่านี้ จึงให้เงินนางแบบไปอยู่ต่างประเทศจนกว่าจะคลอดลูก เมื่อเด็กลืมตาดูโลก พี่ตรึงจิต(หรือชื่อใหม่ แก้วกานดา) ก็รับเป็นลูกเพราะแต่งงานมาสักระยะแล้วยังไม่มีทายาทเลย

“โหล ว่าไงพี่ กำลังกลับ” ชายหนุ่มหอบหิ้วของพะรุงพะรัง แถมยังต้องรับสายที่โทรมาอีก วันนี้ที่บ้านจะมีงานเลี้ยงเล็กๆให้กับตนในวาระที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะแค่มหาวิทยาลัยรัฐถูกๆ ฐานะอย่างเขาไปเข้าเอกชนดีๆดังๆหรือไปเรียนต่างประเทศแบบพี่ชายยังได้

[เออ ให้ไว พ่อกับแม่รออยู่] ตงฉินรับปากและทำท่าจะวางสาย ด้วยความไม่ระวังจึงไปชนกับอะไรเข้าสักอย่าง

ตุบ!

“เชี่ยเอ๊ย เดินยังไงวะไม่ดูตาม้าตาเรือ” คนถูกชนที่แทบล้มคว่ำด่าด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ตงฉินมองผู้ชายคนนั้นตั้งแต่หัวจรดเท้า เสื้อยืดเก่าๆกับกางเกงยีนส์รัดแน่น รองเท้าผ้าใบสีขาวมีรอยขาด แต่งตัวเหมือนพวกขับมอเตอร์ไซค์ซิ่งไม่มีผิด

“...”

“มองเชี่ยอะไร ชนแล้วยังไม่ขอโทษอีก” อีกฝ่ายยังโวยวาย ตงฉินทำหน้าเหม็นเบื่อมองคนตรงหน้าจนไม่ได้สังเกตว่ามากัน 2 คน

“คุณครับ ชนเพื่อนผมแล้ว ควรจะขอโทษสิครับ” ตงฉินหันไปมองตามเสียงพูด รูปร่างคนนี้สูงกว่า แต่ใบหน้าคล้ายคลึงกัน การแต่งกายคล้ายกันอีก น่าจะมาจากแหล่งเดียวกัน

“ตัวเท่าเนี้ย ใครจะมองเห็น ใจลอยเหรอเลยไม่เห็นคนตัวเท่ายักษ์เดินมาน่ะ” ตงฉินตั้งใจกวน

“มึง”

“ใจเย็นไอ้หนึ่ง” เพื่อนของคนที่โดนชนลากตัวคนเมื่อครู่ที่ทะยานตัวมาด้วยความไม่พอใจ

“พูดจาให้มันดีๆนะไอ้ยักษ์ ชนคนอื่นแล้วปากแกว่งหาส้นอีก”

“มีปัญญาใช้ส้นเหรอ ไอ้เตี้ย ตัวแค่นี้ทำปากดี” ตงฉินมองเมิน ไม่สนใจใบหน้าแดงก่ำของคนที่กำลังโมโหจัด

ปี๊น!

             เสียงแตรรถดังขึ้นมาทำให้ดาราหนุ่มละสายตาจากคนทั้งคู่ นอกจากไม่ขอโทษแล้วยังขว้างข้าวของที่ได้รับมาจากแฟนคลับลงในถังขยะที่อยู่ใกล้ที่สุดและเดินไปขึ้นรถอย่างไม่ใส่ใจเสียงด่าเป็นขบวนที่ไล่หลังตามมาแม้แต่น้อย

“แม่ง ไอ้สัด ถือว่าใหญ่โตมาจากไหนวะ ชนแล้วไม่ยอมขอโทษ นิสัยแย่ชิบหาย”

“มึงจะบ่นทำไมวะไอ้หนึ่ง บ่นยังกับมันไปฆ่าพ่อมึงงั้นแหละ”

“ไอ้สัดโท พ่อกูก็ลุงเขยมึงมั้ย” คนชื่อหนึ่งด่าลูกพี่ลูกน้องตัวเอง

“พอได้แล้วไอ้ห่า มึงจะด่ามันให้ได้อะไรขึ้นมา แม่งหน้าตาก็ดี สันดานเสียชิบ”

“เออสิ แม่งอย่าให้กูเจออีกทีนะ” หนึ่งกรนด่าอย่างขัดใจ “แล้วมันเป็นใครวะหน้าตาคุ้นๆ แถมยังเอาของดีๆพวกนี้มาทิ้งอีก”

“ไม่รู้แม่ง ดารามั้ง”

“ถ้าดาราทำตัวเชี่ยขนาดนี้ กูคงทำใจให้ชื่นชอบไม่ลงหรอก” หนึ่งพูดก่อนหยิบมือถือมาถ่ายรูปของขวัญที่ตกอยู่ในถังขยะ

“ลงไอจีแม่ง เอาแคปชั่นว่าอะไรดีวะ”

“แล้วแต่มึงเลยละกัน โดนชนแบบนี้แล้วยังมีกะใจอัพไอจีอีก”

“มึงนี่นับวันจะจู้จี้ขี้บ่นเหมือนพี่เอกเข้าไปทุกวันแล้วนะ” หนึ่งด่าอีกฝ่าย

“เชื้อไม่ทิ้งแถวปะวะ พี่เอกก็พี่ชายกู เลี้ยงกูมาแต่เล็ก”

“แล้วไหนล่ะพี่เอกอะ บอกว่าจะมารับกลับบ้าน หายต๋อม” หนึ่งเป็นคนถาม

“เห็นบอกว่าใกล้ถึงละ รถติดนิดหน่อย มึงก็ใจเย็นๆและเดินไปหน้าห้างสิ”

“เออ แม่ง ซวยชิบ นอกจากจะไม่ได้ชุดที่อยากได้แล้วยังเดินหลงจนโดนไอ้ควายนั่นชนอีก” หนึ่งบ่นไปเรื่อยอย่างไม่หยุดปาก พวกเขาเดินออกมาด้านนอกของห้างสรรพสินค้า มองดูการจราจรอันหนาแน่นของถนนพระราม 1 อย่างเหนื่อยหน่าย ไม่นานนักรถแท็กซี่สีขุ่นที่คุ้นเคยก็กระพริบไฟหน้ารถเป็นสัญญาณว่ามาถึงแล้ว ทั้งคู่จึงรีบวิ่งเข้าไปนั่งด้านในช่วงที่รถจอดติดไฟแดงอย่างรวดเร็ว...

(https://cdn-th.tunwalai.net/files/member/971823/421156079-member.jpg)
#ทีมตงฉิน
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 1 P.1 Up 6 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-02-2020 18:33:01
 :L1: :pig4:

ติดตามเหมือนเคย
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 1 P.1 Up 6 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-02-2020 23:21:17
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 1-2 P.1 Up 7 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 07-02-2020 10:26:27
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 2. ตงฉิน เสถียรภาพไพบูลย์

[ตงฉิน]

             ผมเดินเข้าไปในบ้านอย่างเหนื่อยหน่าย วันนี้งานยุ่งมากถึงมากที่สุดจนไม่มีพักผ่อน กลับมาก็ยังต้องมาร่วมงานเลี้ยงที่พ่อกับแม่ภูมิใจนักหนาในการนำเสนอ ตอนได้ยินพี่ต่อบอกว่าเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ผมอยากจะหัวเราะให้ฟันร่วง คนหน้าใหญ่ใจโตอย่างพ่อไม่มีทางจะจัดงานเล็กๆหรอก

             พอเปิดประตูเข้าไปก็เป็นไปตามคาด แขกเหรื่อในงานเต็มห้องรับแขกไปหมด แถมส่วนใหญ่ก็เป็นรุ่นพ่อรุ่นแม่กันทั้งนั้น มีตรงไหนที่สื่อความหมายว่าเป็นงานเลี้ยงของผมบ้าง นอกจากป้ายแบนเนอร์ขนาด 1x3 เมตรเด่นหรา กับเพลงที่ยังร่วมสมัย ดีนะที่ไม่เปิดสุนทราภรณ์ ไม่งั้นคงคิดว่ามาผิดงาน

“น้าตง น้าตงมาแล้ว” ไอ้สองหมูที่อายุใกล้จะสามขวบพากันวิ่งมาเกาะขา คงจะมีแค่เจ้าสองตัวนี่แหละที่ยินดีกับการกลับบ้านของผมในแต่ละวัน มันคงเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งถ่ายทอดกันทางสายเลือดก็ได้ที่ทำให้เด็กสองคนนี้รักและติดคนที่เจ้าตัวเรียกว่าน้าแจ หรือไม่ก็เป็นเพราะโดนน้าในนามชื่อตงฉินสปอยล์จนติดใจก็ไม่รู้

“อ้าว เจ้าของงานมาแล้ว” เสียงพี่เขยพูดออกไมค์ตอนที่อุ้มสองหมูจนเต็มแขน กะจะมาเงียบๆแล้วเฟดตัวไปนอน ไอ้พี่เขยแม่งก็ตาไวเกิ๊น ผมเลยต้องเดินไปในกลุ่มคุณหญิงคุณนายฉีกยิ้มจนปากแทบฉีกไหว้ทักทายจนมือหงิก

“ไงวะไอ้ตง ส่งยิ้มกระจายเลยนะ” พี่ต่อ หรือ ต่อพงษ์ พี่ชายแท้ๆของผมทักมาออกแนวประชด ก็แหงล่ะ ใครมันจะมีกะใจยิ้มแย้มแจ่มใสแบบจริงใจให้วะ วันนี้เหนื่อยสายตัวแทบขาด การเป็นดารานี่ไม่ใช่งานสบายเลย ยิ่งในช่วงออกกอง มิน่าล่ะพี่ชายผมเลยถอยออกมา

“เงียบไปเลยพี่ ฝากอุ้มเจ้าหมูด้วย” ผมยื่นแตมแตมให้พี่ชายไปอุ้ม ลูกชายผมคว้าคอลุง(แต่ต้องเรียกว่าน้า)และกอดรัดฟัดเหวี่ยงอย่างคุ้นเคย “ได้ข่าวว่าพี่หาคนขับรถใหม่ได้แล้วเหรอ”

“ข่าวไวดีนี่” พี่ชายยกมาร์ตินี่ในมือมาจิบ

“พี่ก็รู้ว่าบ้านเราเป็นยังไง แล้วคิดว่าคนนี้จะอยู่นานมั้ย” ผมพิงหลังกับผนังแบบเดียวกับที่พี่ต่อทำ สองหมูดิ้นหลุดจากวงแขนวิ่งเข้าไปหาพี่แก้วกานดาที่รับอุปการะเป็นแม่อย่างเริงร่า

“ไม่นานก็ต้องนานแหละ กูตามหาเค้ามาตั้งนาน”

“หืม หมายความว่าไงพี่” ฟังแล้วชักสงสัย

“ก็คนนี้ไง คนขับแท็กซี่ที่ช่วยพาแม่ไปโรงพยาบาลตอนงานแต่งงานพี่แก้ว พี่ลองตามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอตัว แต่ดันไปเจอโดยบังเอิญตอนไปแถวมหาชัย”

“โห ยังกะพรหมลิขิต”

“หึหึ ก็ไม่แน่หรอก สเป๊กกูด้วย”

“เห้อ ดูดีๆนะพี่ ไม่ใช่ไปคว้าคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ไหนมาซะล่ะ ดูอย่างผมสิ มีเมียเป็นนางแบบหน้าตาสละสวย สุดท้ายเป็นไง พ่อไม่ปลื้มก็ต้องเลิก”

“ไม่ต้องห่วง คนนี้กูรู้จักชื่อ เอกภพอะไรนี่แหละ เอกภพ ใบบุญมั้ง ถ้าเค้ามีกะใจช่วยแม่เราก็คงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอก แถมเล่าให้แกฟังแล้วด้วย แม่บอกว่าไม่ติดอะไร ออกจะดีซะด้วยซ้ำที่เจอคนที่เคยช่วยเหลือยามลำบาก” พี่ชายตอบอย่างอารมณ์ดี ท่าทางเป็นเอามาก

“เออ แล้ววันประชุมผู้ปกครองพี่จะไปหรือพ่อจะไป” ผมเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากจะฟังเรื่องบุญคุณต้องทดแทนอะไรของพี่แก

“ไปถามพ่อเองสิ เออ แกเรียกหาตัวอยู่ ท่าทางโมโห ไปก่อเรื่องอะไรไว้อีกวะเนี่ย” พี่ต่อบอก จากที่มองหาในงานก็ไร้วี่แววของพ่อเลยเดินเข้าไปในบ้าน คิดว่าคงจะอยู่ที่ประจำแก คือ ห้องทำงาน

ก๊อก ก๊อก

“เข้ามา” เสียงทุ้มด้านในตอบรับ ผมเปิดประตูเข้าไปเห็นภาพพ่อที่ผมขาวไปทั้งหัวนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ ถึงแม้จะดึกดื่นป่านนี้ก็ยังไม่เลิกบ้างาน

“นั่งก่อน ขอสามนาที” ผมหย่อนกายลงนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม มองใบหน้าเหี่ยวย่นอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่ใช่ลูกคนโปรด ตั้งแต่เด็กพ่อจะโอ๋พี่ต่อมากกว่า เพราะเป็นลูกชายคนโตของครอบครัว มีอะไรจะประเคนให้พี่ต่อก่อน ไหนจะเรื่องเรียนต่างประเทศ พี่ต่อก็ได้ไป ส่วนผมน่ะเหรอ...เรียนในไทยก็พอ

             แต่นั่นก็ยังไม่ตอกย้ำเท่ากับตอนที่ผมไปคว้าเดซี่มาเป็นเมียจนทำให้เกิดเจ้าสองหมู ทายาทของตระกูล ถึงแม้จะเห่อหลาน แต่ก็เหมือนพ่อก็ยังไม่ค่อยพอใจในตัวผมเช่นเคย เมื่อบีบให้แม่ของหลานๆให้ออกไปจากชีวิตลูกชายคนเล็กได้แล้ว ก็ยังคอยบงการให้ผมเข้าเรียนในคณะที่เอื้อต่อการกลับมาทำงานช่วยที่บ้านอีกต่างหาก

“อะ นี่หมายความว่าอะไร” เมื่อครบสามนาที พ่อก็วางเอกสารในซองสีน้ำตาลบนโต๊ะทำงานดังโครม ผมคว้ามาเปิดดูด้านในก่อนจะถึงบางอ้อ

“ก็ไม่มีอะไร” ผมตอบเรียบๆ

“ไม่มีอะไรงั้นเหรอ ไอ้คอนโดใหม่ที่เอาชื่อพ่อไปซื้อนี่หมายความว่าไง” นั่นไง เริ่มเดือดใส่อีกละ

“ก็ไม่มีอะไรไง ผมจะเข้ามหา’ลัยแล้ว ก็จะไปอยู่แถวนั้น”

“ทำอะไรทำไมไม่ปรึกษา บ้านรึก็มี คนขับรถก็เรียกใช้ได้ จะไปนอนที่คอนโดทำไมอีก หรือจะไปหาแม่พันธุ์ทำลูกอีก ห๊า!” หน้าพ่อแดงก่ำ ผมมองอย่างเฉยชา เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนว่า

“พ่อ จากบ้านไปมหา’ลัยเนี่ยไปกลับร้อยกว่าโล ช่วงเย็นยังต้องมีรับน้องอีก บางวันผมก็ต้องไปถ่ายละคร ใจคอจะให้ไปกลับจริงดิ”

“...”

“แล้วอีกอย่าง ผมก็โตแล้วนะ อีก 2 ปีก็บรรลุนิติภาวะละ ผมไม่ทำตัวเหลวไหลเหมือนครั้งก่อนหรอกน่า ลูกผมก็มีแล้ว คงไม่ไปหามาใส่ตัวอีกหรอก”

“...”

“พ่อไม่ต้องห่วงนะ คอนโดนี้ผมแชร์กับเพื่อนๆ ไม่ได้อยู่คนเดียว หมดห่วงเรื่องพาผู้หญิงมาปั๊มลูก” ผมรัวเป็นชุด ขัดจังหวะของพ่อที่กำลังจะอ้าปากพูดจนต้องเงียบคำลง

“แน่ใจนะว่าอยู่กับเพื่อน เพื่อนคนไหน ชื่ออะไร” ชิบหาย ผมล่ะลืมคิดไปเลย

“อย่ามาโกหกพ่อแกนะไอ้ตง อย่างเพื่อนๆเอ็งนะรึจะไปอยู่คอนโด แต่ละคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ” อื้อ ... พูดแบบนี้หมายความว่าถ้ามีเพื่อนมาแชร์ห้องพ่อจะให้ไปแน่นอน

“มีแล้ว” ผมตอบ ใจหายแว้บว่าจะไปหามาจากไหน “เนี่ยเดี๋ยวพามาให้รู้จัก เป็นเพื่อนที่คณะนั่นแหละ”

“เออ งั้นก็ได้ อย่าให้รู้นะว่าแอบไปทำตัวเหลวไหลอีก” พ่อผมยื่นคำขาด แปลกแฮะ ยอมง่ายจัง...

“แต่พ่อจะไม่ให้เงินเอ็งแล้วนะ”

“อ้าว พ่อ” ผมโวยวาย ทั้งที่จริงผมก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องนี้หรอก เพราะการเป็นดารามานานทำให้ผมเก็บได้เยอะอยู่

“ถือเป็นค่าคอนโดที่เอ็งแอบเอาเงินพ่อไปซื้อ” ชิ! ผมขัดใจแต่ก็ไม่พูดอะไร พวกเราคุยกันต่ออีกไม่นานผมก็ขอตัวไปนอน จนลืมไปถามเรื่องประชุมผู้ปกครอง

TongChin พี่ต่อ พี่ไปเป็นผู้ปกครองให้ผมนะ

Torpong S. อืม ได้

ข้อความสั้นๆส่งผ่านไปในไลน์ถึงพี่ชายตัวเองได้รับการตอบรับ ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรน่าห่วงนอกจากเรื่องการหารูมเมตให้ไว้ที่สุด



[ฮัลโหลว่าไงตง] เสียงใสจากปลายสายทักมา ผมกดเบอร์ที่คุ้นเคยเพื่อขอคำปรึกษา

“ขวัญ ช่วยหน่อยดิ”

[หืม ช่วยอะไรอีก] ขวัญจิรา หรือเพื่อนๆชอบเรียก ขวัญใจ เพื่อนสนิทคนสวยของผมตั้งแต่เด็ก คนที่คอยช่วยให้ผมสอบติดมหา’ลัยเดียวกัน คณะเดียวกันกับเธอ คนที่แอบชอบพี่ต่อตอนที่พี่ต่อเป็นดาราช่วงหนึ่ง คนที่อกหักเองเพราะไม่กล้าบอกความในใจ คนที่ผมไม่กล้าจีบ เพราะกลัวจะไปทำร้ายจิตใจ ความเป็นเพื่อนระหว่างเรามันมีความหมายเกินกว่าจะเอามาเสี่ยงกับสถานะอื่น อีกอย่าง ขวัญไม่ใช่สเป๊กด้วย เพราะใสซื่อเกินไป

“คือพ่อเราอะดิ ไม่ยอมให้เราอยู่คอนโดถ้าไม่มีเมต ขวัญมาเป็นเมตเราได้มั้ย”

[บ้าเหรอ เดี๋ยวพ่อเราก็โวยวายบ้านแตกหรอก ตงลืมไปรึไงว่าเราเป็นผู้หญิงนะ] สวยด้วย ... ผมคิด

“เออว่ะ เอาไงดี ขวัญพอจะถามใครได้บ้างมั้ย คนที่เรียนแถวๆนั้นน่ะ”

[ไม่มีหรอก เท่าที่รู้ก็มีแค่ตงกับเราสอบติดที่นั่น คนอื่นเรียนเอกชนกันหมด] คิดไว้แล้วเชียว เบื่อไอ้พวกคุณหนูว่ะ

“เอาไงดีหว่า”

[อืมมม เอางี้ดิ ตงก็ไปถามเพื่อนใหม่ที่คณะดูมั้ย เผื่อจะมีใครอยากแชร์]

“จะดีเหรอขวัญ ให้ไปเอาใครก็ไม่รู้มาเป็นเมตเนี่ยนะ”

[หรือตงจะยอมไปกลับ] จึก.... มันไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้เหรอวะ ผมมองเอกสารสำหรับนักศึกษาใหม่ที่วางบนหัวเตียง

“เดี๋ยวเราคิดแป๊บ แค่นี้ก่อนนะขวัญ” ผมวางสายโดยไม่รอฟังค่ำร่ำลา หยิบเอกสารขึ้นมาพลิกอ่านจนกระทั่งเห็นข้อความ

...นัดรับน้องก่อนเปิดเทอม.....

เอาวะ รีบไปหาเพื่อนใหม่จากงานนี้ก่อน เผื่อจะเจอคนที่หน่วยก้านและหน้าตาไว้ใจได้


(https://cdn-th.tunwalai.net/files/member/971823/786015884-member.jpg)
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 1-3 P.1 Up 7 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 07-02-2020 11:36:59
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 3. ทำไมต้องมาทำกิจกรรมก่อนเปิดเรียนด้วยวะ

[หนึ่ง เอกราช]

             ผมกำลังงัวเงียตื่นตอนที่เสียงเคาะห้องรัวๆปลุกจนสะดุ้ง เจ้าของหน้าตาบ้านๆชื่อ โท หรือ เอกภาพ ลูกพี่ลูกน้องของผมผลักประตูเข้ามาพรวดใหญ่ พร้อมคำถามเชิงด่า

“มึงจะล็อกประตูทำซากทำไมวะ”

“มึงมาทำอะไรแต่เช้า คนจะนอน” ผมถามอย่างหัวเสีย

“เช้าพ่อง นี่จะเก้าโมงแล้ว มึงลืมเหรอว่าวันนี้มีนัดที่คณะ” ผมกับไอ้โทสอบติดที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกันที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งชายเมืองกรุงเทพฯ บ้านของพวกเราอยู่แถวเอกชัย-บางบอน ถึงถือว่าไกลมากจากมหา’ลัย

“ชิบหาย ลืมสนิทเลยว่ะ” ผมลนลาน

“เออ พี่เค้านัดไปละลายพฤติกรรมก่อนรับน้องจริง ไปอาบน้ำแต่งตัวเร็ว” ไอ้โทมันเร่ง ผมรีบพุ่งเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันอย่างลวกๆ น้ำท่าไม่อาบแม่งละ..รีบ

             สุดท้ายก็ได้แท็กซี่ของพี่เอก พี่ชายไอ้โทนี่แหละที่ขับมาส่ง จากที่คิดว่าจะสายก็ไม่ได้สายเท่าไหร่ แต่เมื่อไปถึงที่คณะ กลับเจอบรรยากาศเงียบกริบเหมือนไม่มีใครมาสักคน

“ไหนวะ ที่บอกจะมีกิจกรรมอะไรไง” ผมถามไอ้โท

“นั่นดิ กูว่ากูจำไม่ผิดนะ ยังเซฟใส่มือถืออยู่เลย”

“มึงแม่ง” ผมหงุดหงิด แทนที่จะได้ใช้เวลาบนเตียงนานกว่านี้อีกหน่อย ดันโดนลากมาที่นี่ซะได้

เอี๊ยด... เสียงจอดรถดังลั่นจนผมต้องหันไปมอง รถยนต์สีดำยี่ห้อบีเอ็มจอดเทียบที่ลานจอดรถริมถนนหน้าคณะนิ่งสนิททั้งที่มันไม่ใช่ลานจอด ก่อนที่คนข้างในจะเปิดออกมาจากฝั่งคนขับ ร่างสูงโปร่งจนน่าอิจฉา ผิดกับสภาพเตี้ยม่อต้อที่สูงแค่ 168 เซ็นติเมตรของผมชวนให้น้อยใจอย่างหนัก ทำไมไม่ได้ความสูงแบบพี่เอกหรือไอ้โทมาบ้างวะทั้งๆที่เป็นญาติกันแท้ๆ ต้องโทษพ่อนั่นแหละที่ทำให้เป็นแบบนี้

“มึง คนนั้นหน้าคุ้นๆปะวะ” ไอ้โทมันกระทุ้งที่สีข้างจนต้องหันไปเพ่ง

“อ๊ะ ใช่ ไอ้ยักษ์ที่ชนกูวันก่อนปะ อย่าบอกนะว่า...”

“เอ่อ สวัสดีครับรุ่นพี่ ไม่ทราบว่ากิจกรรมรับน้องอยู่ตรงไหนครับ” น้ำเสียงสุภาพเชียวนะมึง ชนกูครั้งก่อนยังไม่เห็นจะขอโทษซักคำ แต่เดี๋ยวนะ เรียกใครพี่วะ

“ไม่รู้ดิ มาก็ไม่เจอใครเหมือนกัน” ไอ้โทมันตอบไป คงคิดว่าที่ผมเงียบเพราะกำลังโกรธอยู่ “เราชื่อโทนะ อยู่ปี 1 นายล่ะ”

“อ้าว รุ่นเดียวกันเหรอ โทษที นึกว่ารุ่นพี่ เราตงฉิน” ไอ้ยักษ์นั่นถอดแว่นตากันแดดออก ออร่าดาราแผ่กระจายกลบพวกเรามิด

“นี่ไอ้หนึ่ง คนที่นายเดินชนวันก่อนที่ห้าง” ไอ้ยักษ์มันหันมาสำรวจผมอีกครั้งตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นเคย ก่อนที่จะพูดออกมา

“อ๋อ ไอ้เตี้ยคนนั้นน่ะเหรอ จำไม่ได้เลยว่ะ”

“อะ ไอ้...” ผมล่ะจี๊ดใจเลยครับ โดนเรียกไอ้เตี้ยมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นยังไม่วายโดนบูลี่ (Bully)

“สรุปว่าไม่มีกิจกรรมใช่มั้ย จะได้กลับ” คนร่างใหญ่ถาม พวกเรามองหน้ากันเหรอหราเพราะต่างไม่มีใครรู้

“พวกน้องๆสามคนนั้นน่ะ มาทำอะไรที่คณะ” เสียงของรปภ.ตะโกนถามจากหน้าประตู

“พวกผมมาทำกิจกรรมกับรุ่นพี่น่ะครับ” ไอ้โทตอบ

“อ้าว ไม่ได้อ่านประกาศเหรอว่าอาจารย์ไม่อนุมัติให้จัดงานก่อนเปิดเทอม นี่ไม่มีใครมาเลยสักคน”

“อ้าว” พวกเราพูดพร้อมกัน ต่างก็ยังมองหน้ากันไม่หยุดด้วยความเลิ่กลั่ก

“เอาไงต่อดีล่ะ พี่เอกก็ไปซะแล้ว” ไอ้โทบ่น ผมก็จนใจ เพราะบ้านก็ไกลมาก

“จะไปไหนกันเหรอ ติดรถไปก็ได้นะ” ตงฉินเสนอตัวอย่างมีน้ำใจ ผมล่ะแปลกใจนึกว่าคนละคนกับที่เดินมาชนตอนนั้นเพราะการแสดงออกต่างกันลิบลับ

“ไม่รู้เหมือนกัน จะกลับบ้านก็ไกลชิบ” ผมบ่น

“บ้านอยู่ไหนล่ะ”

“บางบอน”

“เชี่ย ไกลสัด แล้วนี่จองหอพักรึยัง”

“เชี่ย ยังเลยว่ะ” ไอ้โททำหน้าเหมือนคิดออก “กูยังไม่ได้จองหอเลยนี่หว่า ซวยละ”

“จริงจังแค่ไหนวะไอ้สัด” ผมใจแป้ว เพราะถ้าไม่มีที่พักหอใน คงต้องไปเสียค่าเช่าห้องแพงโขของหอนอก

“มึงเปิดเว็บมหา’ลัยซิ” ไอ้โททำตามที่ผมว่า ก่อนจะเลือกบริการจองหอพักแล้วพบว่า...

“ห้องเต็ม”

“อื้อ” เสียงไอ้โทมันล่ะครับ

“ไอ้สัด เอาไงดีล่ะเนี่ย มึงนี่น้า ไว้ใจให้ทำเรื่องสำคัญๆไม่เคยจะได้” ผมด่า

“กูขอโทษษษษ กูลืม”

“จะยืนเถียงตรงนี้อีกนานมั้ย ร้อน” ตงฉินทำลายบรรยากาศ “ไปหาร้านกาแฟนั่งดีกว่ามั้ย” มันว่าก่อนไปสตาร์ทรถยนต์หรู พวกผมยืนนิ่งมองหน้ากันอย่างขอความเห็น จนคนในรถเลื่อนรถมาใกล้ๆและลดกระจกลงมา

“จะไปมั้ย ยืนบื้อเป็นบ้านนอกเข้ากรุงไปได้ไอ้เตี้ย”

“ไอ้สัด” ผมว่ามันจงใจกวนบาทาผมครับ แต่สุดท้ายก็โดนดันให้ไปนั่งข้างคนขับโดยที่ไอ้โทนั่งเป็นคุณชายที่เบาะหลัง

“เออ ตงฉิน เราถามหน่อยสิ นายเป็นดาราเหรอ” ไอ้โทถามเพื่อสยบความเงียบในรถ แอร์เย็นฉ่ำกับเพลงเพราะๆชวนง่วงชิบ

“อื้อ กูเป็นดารา เคยเห็นเหรอ” มันตอบซะเป็นกันเองเลย

“ไม่ว่ะ เราไม่ชอบดูทีวี แต่ก็พอเห็นผ่านๆ” ไอ้โทพูด

“ใช้กูมึงก็ได้ ไหนๆก็มาด้วยกันละ เป็นเพื่อนกันเถอะ” ตงฉินเสนอ

“เออ ได้ แบบนี้ค่อยชินปากหน่อย” ไอ้โทตอบ

“ว่าแต่มึงจะพาพวกกูไปไหนวะ” มันยังถามต่อ หนังตาผมหนักอึ้งเลย

“ว่าจะไปหาร้านกาแฟนั่ง พวกมึงล่ะ จะไปด้วยกันมั้ย”

“ก็อยากไป แต่พวกกูต้องไปหาหออยู่ก่อน” ไอ้โทมันออกความเห็น

“งั้นไปที่กองกิจการนักศึกษามั้ยล่ะ ไปถามเผื่อมีห้องว่าง” ไอ้ตงฉินเสนอไอเดีย นึกว่าจะจะหล่อแบบไร้สมอง แต่ที่ไหนได้ มีความคิด...

             แต่สุดท้าย...ห้องพักนักศึกษาก็เต็มเอี้ยด...

“ซวยชิบ” ไอ้โทบ่น ก่อนจะกดมือถือไปหาพี่ชายมัน

“โดนด่ายับเลยมั้ย” ผมถาม

“เออดิ พี่เอกยิ่งขี้บ่นอยู่”

“ทำไมวะ” ตงฉินถาม ตอนนี้พวกเราอยู่บนรถแล้ว

“คือ กูกับไอ้หนึ่งเนี่ย บ้านไกล ต้องอยู่หอในเพราะมันถูก แต่ตอนนี้เต็ม เลยต้องหาหอนอกเอา ไอ้โทมันไม่มีปัญหาหรอก แต่กูเนี่ยหนัก เพราะพี่กูหาเงินคนเดียว จะใช้เงินเปลืองก็ไม่ได้”

“อืม”

“อืมเชี่ยอะไรอีก” ผมถามอย่างหงุดหงิด

“ไม่ช่วยอะไรก็เงียบไปไอ้เตี้ย” นั่นไง ด่ากูอีก “พวกมึงมาแชร์ห้องกับกูมั้ยล่ะ กูเช่าไว้ นอนสามคนสบายๆ” มันถามด้วยรอยยิ้มแปลกๆ แต่ก็ไม่อยากติดใจอะไร

“หืม” เสียงไอ้โท

“มึงกล้าชวนคนแปลกหน้าไปแชร์ห้องกับมึงง่ายๆแบบนี้เลยเหรอวะ” ผมถามอย่างแปลกใจ คนเรามันจะเชื่อใจกันง่ายๆงี้เลยเรอะ

“เอ้า ตอนนี้กูกับมึงก็รู้จักกันแล้วปะ แถมเรียนคณะเดียวกันอีก กูไม่ได้ให้มึงพักฟรีซะหน่อย หารกัน” [ตงฉิน] ว่าจะมาหาเมตตอนทำกิจกรรมดันไม่มีใครมา ดั๊นมาเจอคู่อริที่เคยเดินชนวันก่อนอีก แม่งเอ๊ย จะรอเปิดเทอมก็ไม่ได้ พ่อก็ถามยิกๆว่าไหนรูมเมต



[หนึ่ง เอกราช]

“อันนี้ก็รู้ปะวะ”

“ไม่ต้องห่วง มึงเบี้ยวกูเมื่อไหร่กูก็แค่จ้างคนงานที่บริษัทพี่กูไปกระทืบมึงถึงบ้านก็ได้” แหม่ คิดว่าคนอย่างกูจะกลัวรึไง

“สัดนี่ โหดว่ะ” ไอ้โทเออออตามน้ำ

“มึงรู้จักไอ้ตงน้อยไป” มันบอกอยางภาคภูมิใจ

“กูก็รู้แค่ว่ามึงเป็นดารา หน้าตาดี นิสัยแย่ ชนคนแล้วไม่ขอโทษ”

“บ่นอะไรไอ้เตี้ย” อ้าว ด่ากูทำไมวะ “มึงนี่จำเรื่องไร้สาระแม่นเนอะ ทีเรื่องสำคัญอย่างจองห้องพักดันไม่จำ”

“สาดดดด” ผมจนคำพูด เพราะฝากไอ้โทไว้ก็ไม่คิดจะจำแล้วล่ะเรื่องนี้

“เอางี้ เดี๋ยวกูพาพวกมึงไปดูห้องก่อน ถ้าโอเคก็มาแชร์กับกูได้” มันพูดเหมือนถามความเห็น แต่ก็หักพวงมาลัยรถไปอีกทางหนึ่ง หอพักที่ปลูกเรียงรายใกล้กับมหา’ลัยมีหลากหลายแบบ แต่รถยนต์ของมันก็ขับผ่านไปหมดจนกระทั่งถึงที่หมาย

             คอนโดหรูที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่ถึงปีคือสถานที่ที่มันพามา พวกผมอึ้งกันไปหมด นึกว่าหอพักของมันจะเป็นแบบถูกๆพออยู่ได้และราคาไม่แพง แต่พอมาเจอแบบนี้ ตายแน่กูไอ้หนึ่ง พ่อด่าแม่ด่ายับแน่ถ้าขืนแชร์ห้องกับมัน ไม่ต่ำกว่าเดือนละหมื่นหรอก

“มะ มึงแน่ใจเหรอวะ ว่าที่นี่น่ะ”

“เออดิ ไม่แน่ใจกูจะพามึงมาทำไมวะไอ้เตี้ย” คำก็เตี้ย สองคำก็เตี้ย ไอ้โทมันยังสูงไล่เลี่ยกับมัน แต่ผมนี่สิยืนด้วยกันนี่เป็นหลุมเลย “เร็วๆลิฟต์จะปิดแล้ว” ผมพุ่งตัวเข้าไปตามไอ้ทั้งสองคนที่ยืนด้านในแล้ว ใจลอยไปถึงไหนวะกู...

             ห้องของไอ้ตงอยู่ชั้น 15 จากคอนโดสูง 20 ชั้น เป็นแบบสองห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น ห้องน้ำในห้องนอนใหญ่หนึ่งและด้านนอกอีกหนึ่ง ภายในตกแต่งหรูหราพร้อมอยู่ ห้องเล็กนั้นอยู่ติดกับห้องนอนใหญ่โดยวิวห้องเห็นมหา’ลัยชัดแจ๋ว

“เชี่ย มึงไม่บอกพวกกูก่อนวะว่าห้องมึงโคตรหรู” ไอ้โทบอก กลืนน้ำลายอึกใหญ่ หน้าเสียไม่น้อย เพราะพี่ชายมันคงไม่ยอมให้อยู่แน่ๆ

“หรูอะไรวะ ก็ปกติ” ปกติพ่อง ห้องมึงนี่ยังใหญ่กว่าพื้นที่บ้านกูอีกนะ

“แม่ง แพงเปล่าวะ พวกกูไม่มีตังจ่ายค่าเช่าแหงๆ”

“ไม่รู้ว่ะ พ่อกูซื้อ กูมีหน้าที่แค่มานอนและไปเรียน” มันนอนพิงโซฟา เงยหน้าให้ช่วงท้ายทอยแนบกับที่พิง

“มึงนี่รวยสัด”

“ดีหรือไม่ดีวะ รวยสัด” มันถาม “ตกลงพวกมึงจะอยู่มั้ย”

“เชี่ย พวกกูไม่มีปัญญาหรอก แพงไป”

“แพงห่าอะไร กูบอกค่าเช่ามึงยัง” มันย้อน

“ห้อง 70 ตารางเมตรใหญ่ขนาดนี้ ตกแต่งพร้อม วิวดี มึงคิดว่าปล่อยเช่าจะเท่าไหร่วะ” ไอ้โทถาม

“อืมมม คงสามถึงสี่หมื่นล่ะมั้ง”

“เออสิ หารกันก็คนละหมื่น ยังไม่รวมค่าน้ำค่าไฟอีก” หน้าเสียแล้วเพื่อนผม

“ใจเย็นดิวะ นี่ห้องกู ซื้อแล้ว พ่อกูจ่าย ค่าน้ำไฟก็ฟรีปีนึงเพราะเป็นโปรโมชั่นของคอนโด เหลือก็แค่ค่าส่วนกลางตารางเมตรละ 75 บาทเอง”

“ตารางเมตรละ 75 บาท ห้องนี้ 70 ตารางเมตร ทั้งหมดก็ 5,250 บาท... อันนี้ต่อปีเหรอวะ”

“ได้ก็ดีสิ ถุ๊ย ต่อเดือนโว้ย แต่โอนจ่ายไปแล้วล่วงหน้า ถ้าพวกมึงอยู่ กูให้ผ่อนได้สองคนห้าพันกว่านั่นน่ะ”

พวกเรามองหน้ากันอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“สติมึงดีอยู่ปะเนี่ย”

“นั่นสิ หรือว่ามึงเป็นพวกคนโรคจิต ชอบจับผู้ชายมาแล้วฆ่าหมกโถส้วม” ไอ้โทถาม

“ไอ้สัด พวกมึงดูซีรี่ย์เยอะไปปะวะ คิดอะไรเป็นตุเป็นตะ”

“ก็มันเชื่อยากนี่หว่า” ผมตอบ พลางครุ่นคิด

“เอางี้ แลกเบอร์กัน ถ้าได้คำตอบแล้วโทรมาบอกกูก็ได้” พวกผมหยิบมือถือมาเมมเบอร์มันไว้

“มึงมีไลน์มั้ยวะ เผื่อเอาไปแช็ตแทนโทร มันเปลืองค่าโทร”

“มึงแม่งเขี้ยวว่ะ” ไอ้ตงฉินด่าไอ้โท แต่ก็เปิดคิวอาร์โค้ดให้พวกเราแอด

ตึ๊ง หนึ่งโทรสองโท ... ได้เชิญคุณเข้ากลุ่ม หนุ่มฮ็อต

“ฮ็อตพ่อง” ผมกดรับเข้ากลุ่ม

TongChin เข้ากลุ่ม

TongChin : สร้างไวชิบหาย

หนึ่งโทรสองโท : หล่อไม่กลัว กลัวช้าโว้ย

TongChin : เออ เอาเข้าไป

“นี่พวกมึง” ทั้งสองคนเงยหน้ามามองผม “อยู่กันแค่เนี้ยะ ใจคอจะพิมพ์คุยกันจริงดิ” นั่นแหละ ไอ้สองคนนี้ถึงวางมือถือลงก่อนที่ไอ้ตงมันจะขับรถพาพวกเราไปส่งที่บีทีเอสนานา เพราะใกล้บ้านมันที่สุด

“ขอบใจนะเว้ย” ไอ้โทพูด

“ไม่เป็นไร กลับดีๆล่ะ”

“...”

“มึงมองกูอยู่ได้ไอ้เตี้ย จะพูดอะไรก็รีบพูด” มันกวนผม

“สัด” นั่นแหละครับที่ผมบอกมัน สุดท้ายจากที่ต้องไปทำกิจกรรมกับทางคณะ ก็กลายเป็นว่าได้เพื่อนใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน แถมปากหมา หน้าไม่อาย กวนตีนสุดๆ

...ชีวิตปี 1 ของไอ้หนึ่งจะเป็นยังไงน้อออออออ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 1-3 P.1 Up 7 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-02-2020 13:02:40
 :pig4: :pig4: :pig4:

จักรวาลพี่น้องตัว ต. ก็มาหล่ะ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 4 P.1 Up 8 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 08-02-2020 14:12:57
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 4. เปิดเทอมที่แสนวุ่นวาย

             ผมกับไอ้โทย้ายข้าวของที่มีอยู่น้อยนิดมาที่คอนโดไอ้ตงแล้วตั้งแต่เมื่อวานเพราะวันนี้เปิดเทอมแล้ว แต่ไอ้เจ้าของห้องยังไม่ย้ายมา เจอครั้งล่าสุดก็ตอนงานประชุมผู้ปกครองพร้อมกับพี่ชายของมันที่หล่อแบบพระเอกละครเลยนะ หล่อกว่าไอ้ตงฉิน แถมสูงกว่าอีกด้วย บ้านนี้เค้าคัดยีนกันยังไงวะถึงได้ผลิตลูกหน้าตาดีระดับนี้ออกมา หันมามองตัวเองที่เตี้ย ดำ ผอมกะหร่องอย่างอนาถใจ ไม่กล้านึกถึงบรรดาน้องๆที่บ้านอีก ... เอาเบ้าหน้าส่วนดีๆมารวมกันยังไม่เท่าข้อศอกไอ้ตงมันเลยมั้ง

   ปัง!        เสียงเปิดประตูดังจนสะดุ้ง ผมยื่นหน้าไปดูก็เห็นคนที่นึกอิจฉาในใจเดินอาดๆเข้ามา แม่งรู้ว่าหล่อ รู้แล้วว่าเป็นดารา แต่มึงก็ไม่ต้องเก๊กหล่อในห้องก็ได้มั้ง เห็นแล้วเมื่อยแทน

“มองกูขนาดนี้ ชอบกูล่ะสิไอ้เตี้ย” มันยักคิ้วให้และกวนบาทาใส่ ผมล่ะเบื่อเลยได้แต่เดินกลับไปที่ห้องตัวเอง

“กวนตีน กูแค่มองว่าใครมาทุบห้องเฉยๆปะวะ” เมื่อไอ้โทยังแต่งตัวไม่เสร็จ ผมเลยยืนพิงประตูห้องตอบกลับ

“ทุบอะไรวะ กูแค่ไม่ชินมือเลยออกแรงเยอะไปหน่อย”

“แรงวัวแรงควายสิไม่ว่า ตอนที่ชนกูนี่ยังแทบล้มเลย” ทวงความหลังซะหน่อย

“กูไม่ได้แรงวัวแรงควาย แต่มึงน่ะเตี้ยเป็นหมากระเป๋าเองต่างหาก”

“หมาพ่อง” ผมตอบ เบื่อไอ้นี่ชิบ

“นี่พวกมึงจะกัดกันอีกนานมั้ย จะสายแล้วนะโว้ย รีบแต่งตัว” ไอ้โทรีบห้ามทัพ พวกเราอยู่ห้องนอนเล็กกันสองคน ถึงจะแคบหน่อยแต่ก็ดีกว่าสภาพของหอในที่เคยได้ยินกิตติศัพท์มา

“กูเสร็จแล้ว มึงไม่แต่งเหรอไอ้ตง” ผมทั้งตอบไอ้โทและถามไอ้ตงไปพร้อมกัน

“เออแป๊บ” มันเดินอาดๆเข้าห้อง ประตูก็ไม่ปิด ก่อนโยนข้าวของโครมใหญ่บนที่นอน ถอดเสื้อออกเผยให้เห็นกล้ามแน่นเหมือนที่เห็นในละครที่มันแสดงเอาไว้...ใช่ครับ ผมแอบไปดูผลงานมันก่อน เพราะไม่อยากจะเชื่อว่าจะมาอยู่ร่วมห้องกับดาราดังจริงๆ พอใส่เสื้อแล้วมันก็ถอดกางเกงเหลือแต่กางเกงในสีขาว ผู้ชายอยู่ด้วยกันไม่มีความอายหรอก แต่มันก็รีบเป็นกันเองมากไปปะวะ แถมแต่งตัวเนี่ยน้ำท่าไม่อาบ...ดาราเชี่ยอะไรซกมกชิบ

ติ๊ง ต่อง ...

             เสียงออดหน้าห้องดังขึ้นมาหลังจากที่ไอ้โทที่แต่งตัวเสร็จ ผมเดินไปเปิด ร่างบางของเพื่อนสนิทตงฉินที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นมัธยมยืนยิ้มอยู่ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องอย่างคุ้นเคย

“หนุ่มๆยังไม่เสร็จอีกเหรอเนี่ย” เสียงใสร้องทัก ไอ้ตงรีบโผล่หัวออกมาต้อนรับแทบจะทันใด

“เสร็จแล้ว ทำไมมาไวจังอะขวัญ” ไอ้ตงฉินพูดเพราะเลยนะมึง

“ตื่นเต้นน่ะ อื้อออ นอนไม่หลับเลย ไม่รู้ว่าจะโดนอะไรบ้าง” คนสวยพูดเป็นกันเอง อื้อหือ ยิ่งดูยิ่งสวย

“เคลิ้มเลยนะมึง” ไอ้โททัก “มึงว่าขวัญเค้าจะชอบคนบ้านๆอย่างกูปะ” ผมมองมันหัวจดเท้า

“ไม่มีทาง อย่างขวัญต้องคู่กับกูนี่”

“เตี้ยม่อต้ออย่างมึงน่ะเหรอ ยากว่ะ แค่ขวัญใส่ส้นสูงมึงก็แค่ไหล่เค้าเองมั้ง”

“ไอ้โท ไอ้สาด นี่กูน้องมึงนะ” ผมเตือนความจำ

“น้องกูแค่ไม่กี่เดือนกูไม่นับ อื้ออออ สวยอ่า ขวัญจ๋า...” เพ้อใหญ่เลยไอ้โท “หลบไปไอ้เตี้ย บังกูอยู่ได้” นั่งไง เอาอีกละ แม่ง อยากยิงกบาลทิ้ง ถ้าไม่ติดว่าแม่ผมกับพ่อมันเป็นพี่น้องกัน ผมตบคว่ำจริงๆนะ

“มึงอยากจีบเหรอ” ได้ไอเดียละ หึหึหึ

“เออสิ” ไอ้โทตาลอย

“เอางี้สิมึง ถ้าจีบเฉยๆไม่มีภาพจำ ผู้หญิงเค้าไม่สนหรอก เราต้องทำให้เค้าจดจำเราไม่มีวันลืม”

“ยังไงวะ” ไอ้โทถาม ผมยิ้มกรุ่มกริ่มเลยครับ เจือกมาว่ากูเตี้ยดีนัก

             พวกเราเดินจากที่จอดรถของคณะที่อยู่ด้านหลังผ่านตัวอาคารที่คลาคล่ำไปด้วยนักศึกษาใหม่ที่ต่างจับกลุ่มกัน มีรุ่นพี่ปีสองที่ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีชมพูอ่อนสกรีนคำว่า พี่เชียร์ ตัวเบ้งติดไว้ด้านหลังถือโทรโข่งประกาศรวมพลที่ใต้ถุนคณะ ไอ้ตงมันเป็นดารา ตอนเดินตามทางก็มีแต่คนหันมอง บางคนก็กระซิบกระซาบ บางคนก็ยิ้มทักทาย ท่าทางตื่นเต้นราวกับคาดไม่ถึงว่าจะมีดาราระดับนี้มาเรียนที่นี่

“แกๆ นั่นไงๆๆๆ ตงฉินน่ะ อื้อหือ ตัวจริงหล่อจัง”

“ไม่น่าเชื่อ นึกว่าดาราระดับนี้จะไปเรียนพวกเอกชนซะอีก งานดี๊ดี”

“เอาล่ะค่ะ น้องๆคะ เงียบกันก่อน ใจเย็นนิดนึง เดี๋ยวพวกพี่ปล่อยให้ทำความรู้จักกันแน่นอน ก่อนอื่น พี่ก็ขอต้อนรับน้องๆเฟรชชี่ของคณะบริหารธุรกิจทุกคนเข้าสู่อ้อมอกอ้อมใจพี่ๆและคณาจารย์ค่า” เสียงปรบมือดังลั่น ส่วนใหญ่มาจากพี่ปีสองที่ใส่เสื้อเชียร์

“พี่ชื่อ หนู เป็นประธานเชียร์ของปี 2 นะคะ วันนี้พี่จะให้ทุกคนแนะนำตัวกันก่อนว่าใครเป็นใคร ตามรหัสนักศึกษานะคะ ไหนใครไม่รู้รหัสตัวเองบ้าง” กริบ...ไม่มีใครยกมือหรือพูดอะไร แหมป้ายชื่อพร้อมรหัสห้อยคอขนาดนี้ ไม่รู้ก็แปลกละ

“โอเค งั้นดีละ ก่อนที่จะนั่ง เดี๋ยวพี่จะให้แนะนำตัวและนั่งเรียงตามรหัสนักศึกษาเริ่มจาก 001 ใครคะ”

“ผมครับ” เจ้าของรหัส 001 ยกมือ และเดินไปด้านหน้าของกลุ่มเฟรชชี่ที่ยืนออกันอยู่

“เอาค่ะ แนะนำตัวหน่อย ถ้าไม่ถูกใจ พี่จะให้ทำซ้ำ”

“โหยยยย ไรอ่า” เสียงน้องปีหนึ่งอื้ออึงไปหมด

“ใจเย็นค่ะ ใจเย็น เอางี้ เพื่อไม่ให้น้องๆเขินหรืออาย พี่จะให้เดือนคณะเราปีที่แล้วออกมาแสดงให้ดูก่อน”

“กรี๊ดดดดดดดดด” สาวๆกรี๊ดลั่น เมื่อหนุ่มหล่อที่เกือบเทียบเท่าตงฉินเดินลงมาจากชั้นบนราวกับรู้จังหวะ

“โอเย่ โอเย่ โอ้ โอ้ เย่...กระผม นายตุลย์ บริภาคภิบาล รหัส 999 มาจากปากเกร็ด นนทบุรี ครับ” แล้วพี่ตุลย์ก็ตะเบ๊ะท่าแบบทหาร สาวๆหลายคนร้องระงมเพราะความหล่อ

“เห็นตัวอย่างแล้วนะคะ เริ่มเลยค่ะจากน้อง 001” ผมมองเพื่อนร่วมคณะคนแรกแนะนำตัวอย่างเก้ๆกังๆหลายต่อหลายรอบเพราะไม่คุ้นกับการทำอะไรแบบนี้ ไอ้รหัส 394 อย่าผมคงอีกสักพักโน่นแหละจะถึงคิว เลยหลบมุมไปหาที่นั่งรอ

“มานั่งทำไมตรงนี้ไอ้เตี้ย”

“สัด เรียกชื่อกูไม่เป็นรึไง”ผมย้อนคนที่มานั่งด้วย ตัวเบียดกันจนต้องขยับห่าง

“อีกนานเลยสิมึงอะ” ผมมองป้ายชื่อกับรหัสของตัวเอง ถอนหายใจยาว

“เออดิ มึงคงไม่นานมั้ง รหัสสวยด้วย” ป้ายชื่อมันคือ ตงฉิน ด้านล่างชื่อเขียนตัวเลขรหัส 222 มันพลิกป้ายชื่อของตัวเองแล้วยักไหล่

“ไม่ได้สังเกตเลยว่ะว่าเลขสวย” อืม จ้ะ ... เรารอกันไปสักพัก

“221 ดวงดาว พินิจจันทรา มีส อมก๋อย เชียงใหม่ค่าๆๆๆๆๆ” พอรหัสก่อนหน้าพูดจบ คนที่เคยนั่งข้างๆก็เดินพรวดไปแนะนำตัว เห็นคนอื่นออกท่าทางตั้งมากมาย แต่ไอ้คนนี้กลับยืนยิ้มเฉยๆ

“ผมตงฉิน รหัส 222 จากกรุงเทพครับ”

“กรี๊ดดดดดดดดดดด อร๊ายยยยยยยยยยย หล่อ” เสียงมาจากไหนบ้างไม่อาจระบุ แค่มันทำแค่นี้สาวๆยังร้องระงมไปทั่ว พี่เชียร์ต่างก็พร้อมใจพามันไปนั่งต่อจากรหัสก่อนหน้าที่ต้องออกท่าหลายสิบแอ็คจนหน้าเจื่อน ... ความยุติธรรมอยู่ไหนวะ

...กว่าจะถึงคิวผม แม่งรอจนง่วง

             คณะของเรามีหลายภาควิชา ได้แก่ การตลาด การเงินและการธนาคาร การบัญชี การค้าระหว่างประเทศ การจัดการทั่วไป การจัดการขนส่ง การจัดการอุตสาหกรรม และอีกสองสามภาคที่จำไม่ได้ ซึ่งแต่ละภาคจะรับนักศึกษาไม่เท่ากัน ผม ไอ้โท ขวัญ ไอ้ฉัตรอยู่การตลาด ส่วนไอ้คิ้วเพื่อนซี้ไอ้ฉัตรและไอ้ตงอยู่การค้าระหว่างประเทศ แต่ทางคณะไม่ได้แบ่งรหัสนักศึกษาตามภาควิชา เพราะปี 1 จะเรียนรวมกันก่อน พอขึ้นปี 2 ค่อยไปเจาะลึกตามเอกที่เลือก ถ้าคนไหนเกิดอยากเปลี่ยน ก็ไปติดต่อที่ภาควิชาได้ เลยทำให้รหัสนักศึกษาของพวกเราไล่เรียงมาตั้งแต่ตัวอักษร ก จนถึงตัว อ ... ถ้ามีคนชื่อว่า เฮลิคอปเตอร์คงเป็นคนสุดท้ายของคณะแน่ๆ

“เอาล่ะค่ะ ในเมื่อแนะนำตัวกันครบแล้ว พี่จะแจกสมุดรุ่นให้น้องๆคนละ 1 เล่ม ให้เวลาน้องๆทุกคนตั้งแต่ตอนนี้ถึงห้าโมงเย็นก่อนเลิกคลาส ไปจดชื่อ นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ ไลน์และเฟซบุ๊กของเพื่อนๆทุกคนให้เสร็จ”

“โหย อะไรอ่า คนตั้งสี่ร้อย จะทันได้ไง”

“นั่นสิ พี่อ่า” เสียประท้วงของปี 1 อื้ออึงจนพี่หนูต้องห้ามทัพ

“เดี๋ยวค่ะ ใจเย็นๆค่ะ วันนี้คณะเราทุกคนมีประชุมรวมตัวกับเหล่าอาจารย์ที่อาคารเรียนรวม ห้องสโลปใหญ่จุได้ทุกคนนะคะ ตอนนั้นแหละค่ะ น้องจะได้ใช้เวลาทำที่พี่สั่งได้”

“พี่ครับ แล้วอาจารย์จะไม่ว่าเหรอครับที่เราไม่สนใจฟัง เอาแต่ถามชื่อเพื่อน” เพื่อนคนหนึ่งถาม

“ใช่ค่ะพี่ แถมคนตั้งสี่ร้อยกว่า เขียนลงไปทุกคนมือหงิกพอดี”

“ช่ายยย” เสียงเห็นด้วยดังพร้อมกัน

“หยุดก่อนจ้าหยุด” พี่หนูส่งเสียงห้าม แต่ไม่มีใครฟังเลยสักคน

“เดี๋ยวก่อน เอางี้มั้ย” อยู่ๆผมก็ลุกพรวด ไม่รู้คิดอะไรกันแน่วะกู “คือถ้ามันจะจดจริงๆก็จดไปเถอะ เอาที่อ่านออก แต่เราอยากแนะนำว่าถ้าไม่อยากให้วุ่นวายตอนประชุมรวมน่ะ เราจะสร้างไฟล์ในกูเกิ้ลด็อกให้แต่ละคนพิมพ์รายละเอียดของตัวเองลงในนั้น แล้วคนอื่นๆก็มาจดเอา โอเคมั้ย” ไงล่ะ หล่อมั้ยกู

“เออ ไอเดียดีนะไอ้เตี้ย” ผมหันขวับ ไอ้ตงมันยิ้มเยาะที่ได้เรียกชื่อเล่นแบบนั้นดังลั่นก่อนจะถามต่อ

“ใครว่าไอเดียไอ้เตี้ยเข้าท่าบ้าง ขอเสียงหน่อย”

“เย้” เสียงเพื่อนๆดังพร้อมกัน เห็นด้วยกันหมด

“เตี้ยเก่งมากเลย” เพื่อนร่วมคณะพูด

“ใช่ๆ เราคิดไม่ถึงเลย เตี้ยคิดได้ไงอะ”

 “เดี๋ยวนะเพื่อนๆ เราชื่อหนึ่งนะ ไม่ใช่เตี้ย...” ผมอ้าปากจะแย้ง

“ขอบใจมากเตี้ย ช่วยชีวิตพี่ไว้” อ้าวพี่หนู พี่ก็อีกคนเรอะ ไอ้ตง ไอ้ฉิบหาย!

ผมมองหน้าไอ้คนต้นเรื่องที่กำลังทำท่าทวนบาทา ในใจร้อนรุ่มอยากจะเอาเท้ายัดปากมันอย่างที่สุด


(https://cdn-th.tunwalai.net/files/member/971823/588736154-member.jpg)

#ทีมเตี้ย #ทีมหนึ่งเอกราช
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 4 P.1 Up 8 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-02-2020 18:06:17
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 4 P.1 Up 8 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-02-2020 23:50:54
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 5 P.1 Up 12 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 12-02-2020 09:20:11
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.


ตอนที่ 5. เป็นคนดี นิสัยดี มีความหวังดีกับเพื่อน

             หลังจากนั้นมา ทุกคนก็พร้อมใจเรียกผมว่า เตี้ย... แม่งเอ๊ย นึกว่าจะหนีพ้นฉายานี้ได้แล้วซะอีก แต่ดันมีเจ้ากรรมนายเวรที่มาในรูปแบบของเพื่อนร่วมห้อง ร่วมคณะ อวยยศให้อย่างพร้อมเพรียงกันอีก ผมหน้ามุ่ยตลอดทางกลับคอนโดเลยแหละ ผิดกับไอ้โทที่เอาเรื่องนี้ไปแชร์บนเฟซบุ๊กจนมีเพื่อนใหม่ร่วมคณะเข้าไปกดแชร์ให้ทั่ว

“สนุกมั้ยไอ้สาดโท” ผมถามมัน

“เออดิ แม่ง เห็นมะว่ามึงเหมาะกับชื่อเตี้ยที่สุดละ” จึก! อันที่จริงผมก็ไม่ได้น้อยอกน้อยใจหรือคิดมากอะไรกับชื่อเตี้ยหรอกนะครับ แต่มันเป็นฉายาที่เพื่อนๆตั้งแต่สมัยมัธยมพร้อมใจกันเรียกเพราะผมเป็นคนตัวเล็กที่สุดในห้อง คนอื่นยังไม่หยุดสูงก็สูงพรวดๆ แต่ผมเหมือนจะหยุดที่ 164 เซ็นติเมตรตอนจบม.ปลาย ยังดีหน่อยที่พุ่งมาอีก 4 เซ็นตอนก่อนเปิดเทอมที่มหา’ลัย ... แต่มันก็ยังไม่สูงอยู่ดี

“ไอ้เชี่ย ต้องขอบคุณไอ้ตงมันนะ อุตส่าห์ขุด”

“ไม่ขำ ไอ้สัด” ผมด่าไอ้โทไม่ยั้ง

“นั่นสิ โทอย่าว่าหนึ่งเลยน้า” ขวัญใจไอ้โทเตือน นอกจากหน้าจะสวยแล้วยังจิตใจดีอีกต่างหาก

“เงียบเลยยัยนมแบน”

“ห๊ะ...” ขวัญตกใจลั่นสิครับ ผมน่ะกลั้นหัวเราะไว้จนหน้าแดงไปหมด “ทะ โทเรียกเราว่าอะไรนะคะ” ดูก็รู้ว่าขวัญกำลังนับ 1 ถึง 10 ในใจ

“นอกจากนมจะแบนแล้วยังหูตึงอีกเหรอ” เอาเข้าไป ผมแค่แนะนำมันว่าให้แซวอะไรก็ได้พอให้ขวัญจำ แต่มันดันจี้ใจจนคนที่นั่งคู่กับคนขับหันมาจ้องเขม็ง

“แบนตรงไหนยะ เนี่ยคัพบีแล้วนะ ของแท้แม่ให้มา โถ มองไม่ออกเหรอไอ้ดำ”

...อื้ออออออออออ มวยถูกคู่ไปอี๊ก.......

“ใครดำ ในรถนี้มีดำตั้งสองคน อย่าว่าไอ้เตี้ยแบบนี้สิ แค่มันเตี้ยก็บาปมากละ”

“บาปพ่อง” ผมชูนิ้วกลางให้ ที่คิดว่าจะช่วยกู้สถานะการณ์ให้ก็พับโครงการไปเลย

“คนอะไร ดำแล้วยังปากไม่ดีอีก ตงคะ ขวัญจะไม่ทน รีบขับค่ะ ขวัญจะกลับห้อง” ไอ้ตงที่นิ่งเงียบอยู่โดนหางเลขไปด้วย ขวัญโมโหจนหน้าแดงไปหมด แต่ยังคงความสวยไว้อยู่ พวกเรา 4 คนติดรถไอ้ตงกลับคอนโดเพราะว่าอยู่ทางเดียวกัน ไปด้วยกันสะดวกกว่า

“มึงว่าขวัญเค้าจดจำกูได้ปะวะ” ไอ้โทสะกิดถามเสียงกระซิบตอนที่ทุกคนต่างพร้อมใจกันเงียบ

“จดจำสัดๆเลยมึงเอ๊ย จำไม่ลืมแน่”

“เขร้! ดีเลย กูมีหวังแล้วใช่มะ”

“มีหวังพ่อง” ผมตอบ นี่มึงไม่รู้จริงๆเหรอวะว่าห้ามทักผู้หญิงเรื่อง สิว ผิวพรรณ นมไม่มี และอ้วนน่ะ

“ไรวะ” ไอ้โทเกาหัวแกรก ผมได้แต่ส่ายหัว มึงมาถูกทางแล้วไอ้โทเอ๋ยยยยย ทางที่เค้าจะเกลียดมึงน่ะ



             พอถึงคอนโด พวกผมก็นอนแผ่ที่โซฟา เปิดแอร์ฉ่ำและนอนดูทีวีอย่างเริงร่า วันนี้ไม่มีงานรับน้องหลังเลิกเรียน แต่ตารางกิจกรรมจะเริ่มพรุ่งนี้ยาวไปจนถึงวันศุกร์ ไอ้ตงเดินเข้าห้องไปสักพักก่อนจะเปลี่ยนชุดหล่อเฟี้ยวหยิบกุญแจรถราวกับจะออกไปข้างนอก

“ไปไหนวะมึง” ผมถาม

“เสือก” อ้าว ไอ้สัด ถามดีๆ กวนตีน

“ฮ่าๆๆๆ หน้าเหวอเชียวนะไอ้เตี้ย กูมีถ่ายละคร น่าจะลับดึกๆ พวกมึงไม่ต้องรอนะ” มันบอก ก่อนยักคิ้วให้ผมอย่างกวนๆ

...กูจะแก้เผ็ดไอ้นี่ยังไงดีวะ...



             แล้วไอ้ตงก็กลับมาตอนตีสี่ ผมรู้เพราะว่าออกมาเข้าห้องน้ำพอดี เห็นเงาตะคุ่มๆตอนแรกนึกว่าผี พอไฟสว่างผมก็เห็นสภาพอิดโรยของมัน ทรงผมที่ถูกเซ็ตไว้จนแข็งอยู่ทรงเต็มไปด้วยเศษเล็กๆคล้ายเถ้าถ่านเกาะอยู่ ใบหน้าที่พิงกับโซฟาเต็มไปด้วยเครื่องสำอางค์ที่ยังไม่ได้ล้าง เสื้อของมันใส่แบบลวกๆติดกระดุมแค่ 2 เม็ดเปิดโชว์แผงอกอย่างไม่สนใจโลกภายนอก กลิ่นตัวเหม็นหึ่งน่าจะติดมาจากกองถ่าย

“ไอ้ตง ไอ้ตง” ผมเขี่ยมันที่นอนนิ่งไม่สนใจโลก

“อื้อ จะนอน อย่ากวน”

“ไปอาบน้ำก่อน ใจคอมึงจะนอนตรงนี้จริงๆเหรอวะ”

“อื้อ เรื่องของกู” สัด...กูไม่น่าคิดจะหวังดีกับมึงจริงๆนะ

“อย่างน้อยก็เช็ดหน้าเช็ดตาก่อนมั้ยวะ พรุ่งนี้ตื่นมาสิวเห่อแน่ๆ”

“ช่างมัน อย่ากวน กูจะนอน” เออ ให้มันได้อย่างนี้สิ ผมมองสภาพมันอย่างเหนื่อยใจ ไม่คิดเลยว่าการเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยจะหมดสภาพได้เพียงนี้ นึกว่าเป็นดารางานจะง่ายเสียอีก ใจนึงก็สมน้ำหน้า ปากหมาดีนัก แถมยังตั้งฉายาให้ผมอีกต่างหาก แต่อีกใจนึงก็สงสารมันนะที่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ เอาวะ ช่วยสักหน่อย ถือว่าตอบแทนที่มันให้พวกผมเช่าห้องหรูราคาถูกขนาดนี้

“อื้ออออ เย็น อย่ากวน” มันปัดมือสะเปะสะปะตอนที่ผมใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้ อย่างน้อยก็พอยับยั้งสิวที่จะเห่อตอนตื่นนอนได้บ้างก็ยังดี

“อยู่เฉยๆสิวะ นี่กูช่วยมึงป้องกันสิวอยู่นะเว้ย”

“อื้อ ไม่อาววว” มันพยายามพลิกตัว ผมต้องใช้สองมือรั้งไหล่กว้างให้กลับมานอนหงายแทน กว่าจะลากมาได้ก็ทุลักทุเลไปหมด

“นอนเฉยๆสิวะแม่ง เหนื่อยนะเว้ย” ผมบ่น ไอ้เครื่องสำอางค์เนี่ย เช็ดเท่าไหร่ก็ไม่ออก มีแต่คราบเทาๆหลุดมานิดหน่อย เช็ดไปได้สักพักผมก็ยอมแพ้ ปล่อยให้มันนอนหลับคาโซฟาต่อไป

             ตื่นนอนตอนเช้าผมก็ต้องสะดุ้งเพราะคนที่นอนข้างๆไม่ใช่ไอ้โท แต่กลายเป็นไอ้ตงที่เข้ามาตอนไหนก็ไม่รู้ มันไม่นอนเปล่า ยังลากตัวผมไปกอดเป็นหมอนข้างด้วย พอได้สติเลยดิ้นให้หลุดจากวงแขนมันและโวยวายลั่น

“ไอ้ตง ไอ้เชี่ย มานอนห้องกูทำไมวะ ห้องมึงมีทำไมไม่ไปนอน”

“อื้อ บ่นอะไรนักหนาวะมึงเนี่ย” มันงัวเงีย หน้าตายังเต็มไปด้วยคราบเครื่องสำอางค์ แม้แต่ตอนเพิ่งตื่น สภาพมันยังหล่อจริงๆ เห็นแล้วอิจฉาชิบหาย

“บ่นมึงไง แม่งไม่ไปนอนห้องมึงวะ มานอนกอดกูทำไมเนี่ย” ผมปาหมอนข้างใส่มัน

“ห้องมึงอะไร นี่ห้องกู มึงนั่นแหละมานอนห้องกูทำไม แถมแย่งหมอนข้างกูไปกอดด้วย” พอมันตอบผมก็มองไปรอบๆ เชี่ย...ห้องไอ้ตงจริงๆด้วย หน้าแตกยับ

“ละ แล้วมึงทำไมไม่ปลุกกูวะ”

“ปลุกได้ที่ไหน มึงแม่งขี้เซาชิบหาย ขนาดกูจะดึงหมอนข้างมากอดมึงยังไม่ให้เลย” ผมมองหมอนข้างที่ปาใส่มันเมื่อครู่ด้วยใบหน้าเจี๋ยมเจี้ยม

“เออ นั่นแหละ แล้วมึงมานอนกอดกูทำไมวะ” ผมหาเรื่องแถ

“ก็กูติดหมอนข้าง ไม่ได้กอดจะนอนไม่หลับ นี่กูถึงขั้นต้องลากสังขารมาในห้องเพื่อการนี้โดยเฉพาะเลยนะ แต่มีไอ้เตี้ยที่ไหนไม่รู้มาแย่งหมอนข้างกูไป”

“...” ชิบหาย จะแถอะไรอีกดีวะกู

“เมื่อคืนมึงเมาเหรอวะ ถึงได้มานอนห้องกูเนี่ย” ไอ้ตงถามจี้ใจฉึก ผมล่ะหน้าละห้อย เพราะเมื่อคืนงัวเงียมากตอนที่ตื่นไปเข้าห้องน้ำ แม้กระทั่งตอนที่เช็ดหน้าให้มันยังสะลึมสะลือไม่น้อย ไม่แปลกหรอกที่จะเบลอจนเข้าห้องผิด

“เอ่อ...”

“ช่างแม่ง มึงจะนอนต่อก็นอน จะนอนไหนก็ตามใจละกัน แต่ห้ามแย่งหมอนข้างกู”

“สัด ก็จะนอนนี่ทำไม ห้องกูก็มี”

“ให้มันจริงเหอะไอ้เตี้ย” มันกวนตีน ทั้งๆที่หลับตาไปแล้วนะ ผมมองด้วยอาการตัวสั่น จะโมโหก็ว่าได้ จะขัดใจก็ไม่ผิด แต่แม่ง...อายตัวเองมากกว่าที่เข้าผิดห้องแล้วมาก่อเรื่องอีก

“ขอบใจนะ” อยู่ๆมันก็เปลี่ยนเรื่องจนงงไปหมด

“ขอบใจอะไรวะ”

“ก็ที่มึงพยายามเช็ดหน้าให้กูไง”

“มึงรู้ตัวด้วยเหรอ”

“นิดหน่อย กูแค่ง่วงนะไม่ได้เมา” มันยังกวนไม่เลิก

“เออ พอดีกูเป็นคนดีน่ะ เห็นแมมมอธนอนใกล้ตายจะไม่ช่วยคงไม่ได้”

“ปากดีนักนะไอ้เตี้ย”

“คำก็เตี้ย สองคำก็เตี้ย ไอ้สัด” ผมยอกย้อน

“ฮ่าๆๆๆ มึงนี่ยั่วขึ้นชิบ”

“สาด”

“ขอบใจนะ แต่ทีหลังจะเช็ดน่ะ ช่วยใช้คลีนนิ่งล้างเครื่องสำอางค์กระปุกสีฟ้าบนโต๊ะกระจกด้วยนะ” ผมหันไปมองที่มันบอก เห็นขวดอะไรไม่รู้สีฟ้าตั้งตระหง่าน

“ใครบอกมึงว่าจะมีคราวหน้า ฝันไปเถอะ” ผมผุดลุก แต่ถูกมันรั้งข้อแขนไว้ “อะไรของมึงอีก”

“มึงจะนอนต่อห้องนี้ก็ได้ กูไม่ว่า” มันยังงัวเงียอยู่

“นอนต่อเชี่ยอะไร มีเรียนแปดโมงเช้านะ นี่เจ็ดโมงห้าสิบแล้ว”

“เชี่ย” ไอ้ตงลุกพรวดหน้าตาตื่น ก่อนจะแยกกันไปเข้าห้องน้ำห้องใครห้องมันอย่างรีบร้อน
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 5 P.1 Up 12 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-02-2020 09:36:50
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่....พี่ตง   
พี่ตงนี่ลับฝีปากกับหนึ่งตลอดเลยนะ 
แต่ไม่เห็นจะลับฝีปากกับเจ้าโทเลย
คิดอะไรอยู่น้า ไปนอนกอดกันทั้งคืนเลย  คริคริ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 5 P.1 Up 12 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-02-2020 00:43:09
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 5 P.1 Up 12 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 13-02-2020 22:32:07
โทเอ้ย ขวัญจดจำจนวันตาย
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 5 P.1 Up 12 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 13-02-2020 22:50:11
อันนี้ก็หลักสูตรเดียวกัน คือทำให้จดจำใช่ไหม "เตี้ย"
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 5 P.1 Up 12 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 14-02-2020 07:36:18
มีมวยสองคู่แล้วจ้า ท่าจะสนุกนะก๊วนนี้  :laugh:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 5 P.1 Up 12 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: pkjoe ที่ 17-02-2020 23:09:31
อยากอ่านต่อแล้ว
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 6 P.1 Up 18 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 18-02-2020 10:32:24
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 6. ใจบาง

             กว่าจะถึงตึกของคณะเพื่อเรียนวิชาแรกพวกเราก็สายไปแล้ว 10 นาที ยังดีหน่อยที่ไอ้ตงมันไม่ต้องทำอะไรมาก แค่แปรงฟัน เช็ดหน้าให้เกลี้ยงและพรมน้ำหอม หน้าตาท่าทางมันก็หล่อเหลาดูดี ผิดกับผมที่ต้องทั้งอาบน้ำ ขัดตัว จัดทรงผม จนแล้วจนรอดก็เหมือนจับกังอยู่ดี

“เชี่ยดีนะอาจารย์ยังไม่มา ถ้าโดนเช็กชื่อขาดกูจะเตะพวกมึง” ไอ้โทมันบ่นครับ มันบอกว่าพยายามเคาะเรียก โทรปลุกผม แต่มือถือผมอยู่ในห้องเล็ก โทรปลุกไอ้ตงก็ไม่ติดเพราะแบตหมด เคาะห้องจนมือช้ำไปหมด ส่วนขวัญ วันนี้ไม่ได้มาด้วย สงสัยจะเคืองไอ้โทไม่หาย

“กูขอโทษ แม่งใครจะไปรู้วะว่าเข้าห้องผิด” ผมตอบ มองไปทางไอ้ตงที่นอนฟุบที่โต๊ะเรียนอย่างหมดสภาพ สงสัยจะเหนื่อยจัดจริงๆได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง

“มึงไหวมั้ยเนี่ยไอ้ตง” ไอ้โทถาม

“ไหว” เสียงตอบอู้อี้เชียวนะมึง

“เมื่อคืนมันกลับมาตอนไหนวะ” มันหันมาถามผมแทน

“ตีสี่มั้ง กูออกไปเยี่ยวพอดีตอนมันมา”

“แล้วมึงไปเยี่ยวท่าไหนวะถึงไปนอนห้องมันได้”

“เยี่ยวท่าลิงอุ้มแตงมั้ง สัด กูเมาขี้ตาเลยเข้าห้องผิด”

“ไม่ใช่ว่ามึงแอบไปลักลับมันหรอกนะไอ้หนึ่ง” ไอ้โททำเสียงเล็กเสียงน้อย ผมใช้หนังสือเรียนฟาดหน้าไปทีนึง

“สัด อย่างไอ้ตงเนี่ยนะ ไม่ใช่สเป๊กกูว่ะ” ... มั่นได้อี๊ก

“หึหึ แล้วกูจะคอยดู อย่าให้รู้นะว่าแอบซั่มกันลับหลังกูน่ะ”

“ไอ้เชี่ยโท มึงนี่แม่ง” ผมปัดรำคาญ เพราะความสนิทกันมากเลยไม่ถือโทษโกรธกัน มันรู้กำพืดผมหมดแหละว่าเป็นอย่างไร ไม่เว้นแม้กระทั่งรสนิยมเรื่องทางเพศ

             ใช่ครับ ผมเป็นเกย์ แต่จริงๆไม่ได้มั่นใจว่าเป็นชัวร์ไหม เพราะที่ผ่านมามีแฟนเป็นผู้หญิงมาเกือบทุกคน ยกเว้นคนสุดท้ายตอน ม.4 ที่ลองคบกับผู้ชายดู เป็นรุ่นพี่ชั้นม. 6 ผมลองจีบผ่านไอ้โทนี่แหละ เพราะมันอยู่ชมรมฟุตบอล เลยมันลองแนะนำพี่ในชมรมให้ ทีแรกนึกว่าจะโดนต่อยปาก แต่ที่ไหนได้ดันจีบติดคบกันยาวจนกระทั่งพี่เขาเรียนจบ ก็เลยห่างๆกันไปทั้งที่ยังไม่เคยบอกเลิกกัน แต่เมื่อขาดการติดต่อไปเป็นปี นั่นก็คงจะมากพอที่จะทำให้เข้าใจว่าเลิกกันไปแล้ว

             ที่ผมไม่มั่นใจว่าตัวเองเป็นเกย์จริงไหม เพราะว่า

หนึ่ง. ผมยังมองผู้หญิงอยู่ คนไหนสวยเข้าตาก็ยังพอมีอารมณ์ร่วม เช่น คนสวยแบบขวัญเป็นต้น ที่ทั้งขาว ทั้งสวย ตัวเล็กๆน่ารักๆ

สอง.ตั้งแต่เลิกกับแฟนคนล่าสุด ผมก็ไม่เคยไปจีบผู้ชายคนไหนอีกเลย และก็ไม่มีผู้ชายหน้าไหนมาจีบด้วย เพราะเหตุผลข้อที่

สาม. ผมไม่มีท่าทีออกสาว และที่ผ่านมาก็ไม่ได้เก๊กหรือแอ๊บ แต่ด้วยสิ่งแวดล้อมแถวบ้าน เราอยู่ชุมชนที่เรียกว่าไม่ได้ดีเลิศ ต่างคนต่างต้องปากกัดตีนถีบ เลยทำให้ติดนิสัยห่ามๆมา จนแยกแยะไม่ออกว่าเป็นชายจริงหรือว่าเก้งปลอมตัวมา

“มึงทำมาว่ากู อย่าให้กูสะกิดแฟนเก่ามึงมานะ”

“เชี่ยแม่ง มึงหยุดเลย พี่เค้าจำกูไม่ได้แล้วมั้ง ไม่ได้คุยกันเป็นปี” ผมตอบ นึกถึงใบหน้าของแฟนเก่าแทบไม่ออก มันเลือนลางจนกลายเป็นภาพเบลอในสมองเสียแล้ว

“เอาเหอะ กูเห็นมึงมีเป้าหมายใหม่กูก็ดีใจด้วยนะ” มันพยักเพยิดหน้าไปหาคนที่นอนฟุบอยู่

“พ่อง สนใจแต่เรื่องกู มึงไม่สนใจเรื่องพี่เอกของมึงวะ รายนั้นสามสิบแล้วนะ ลูกเมียยังไม่มี ยังไงกูก็มั่นใจว่าพี่มึงไม่ชอบผู้หญิง”

“ไอ้ห่านี่ อยู่ๆมาลามปามพี่กู ปล่อยพี่กูไปเถอะ”

“คุยอะไรกันวะ” อยู่ๆไอ้ตงก็งัวเงียตื่น

“ไม่มีอะไร คุยเรื่องพี่ชายไอ้โทมันน่ะ” ผมตอบ

“อื้อ คนที่ขับแท็กซี่มารับตอนประชุมผู้ปกครองใช่ปะ” ไอ้ตงมันถามเนื่องจากเคยเห็นพี่เอกภพ พี่ชายของไอ้เอกภาพหรือไอ้โทแค่ครั้งนั้นครั้งเดียว ตอนที่ย้ายเข้าคอนโดก็ไม่พึ่งพี่เอก เพราะไอ้โทมันไปโกหกว่าพักหอใน ถ้าขืนพี่เอกมาส่งความแตกตั้งแต่ยังไม่เปิดเทอมแน่นอน

“เออ นั่นแหละ”

“อ่อ ชื่อพี่เอกเหรอ” ไอ้ตงทำหน้าดูสนใจ

“ใช่ ทำไมวะ”... แล้วผมก็รู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน เมื่อไอ้ตงที่นอนซ้ายมือผมถามเรื่องพี่เอกกับไอ้โทที่นั่งด้านขวา นี่ถ้ามันเอาหน้ามาแนบ น้ำลายคงติดเต็มหน้าผมไปละ

             เมื่อไม่มีใครคุยด้วย ผมเลยหยิบมือถือมาเปิดไอจีเล่น อาจารย์ยังไม่เข้ามาอีก ตอนนี้ช้าไปแล้วยี่สิบนาที แต่นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่แต่งกายด้วยชุดสุภาพ มีป้ายชื่อติดที่คอก็นั่งรออยู่ บ้างก็คุยกันเสียงดังลั่น มือผมเลื่อนฟีดไปเรื่อยๆจนกระทั่งเจอรูปหนึ่งที่คุ้นๆ

             มันเป็นรูปคนๆหนึ่งที่ถูกถ่ายจากคนที่นั่งโต๊ะข้างหน้า ผมจำสภาพทรงผมได้ว่าเป็นของไอ้ตงที่นอนฟุบไปก่อนหน้านี้ คนที่โพสต์คงเห็นเลยแอบถ่ายและเอาไปลงไอจี พร้อมแคปชั่นที่ว่า ...ดาราหนุ่มหล่อ หลับคาห้องเรียนแต่เช้า...

“มึง ดูนี่” ผมสะกิดไอ้ตงมาดูมือถือ มันหยิบไปดูใกล้ก่อนส่งคืนและถอนหายใจ

“มึงจะไม่ทำอะไรหน่อยเหรอวะ” ไอ้โทถาม ไอ้ตงส่ายหน้า

“ทำอะไรได้วะ กูเป็นดารา คนเขาก็อยากถ่ายรูป จะไปขอให้เขาลบ ก็เหมือนกูเป็นคนหยิ่งอีก อยู่นิ่งๆดีกว่า” เอาเข้าจริงๆผมก็ไม่เข้าใจวงการนี้หรอกนะ แต่ก็พอจะนึกภาพได้ว่าการที่ดาราคนหนึ่งจะไปโวยวายหรือบอกให้คนที่ถ่ายรูปตนลบออก เหมือนกับดาราคนนั้นกำลังขัดความชื่นชอบของแฟนคลับ แต่อีกมุมหนึ่ง ถ้ามีคนจำได้ว่าคนในรูปเป็นใคร ไอ้ตงมันก็คงจะโดนเอาไปเขียนข่าวสนุกแน่

“มึงจะไปไหนวะ” ไอ้โทถามตอนที่เห็นผมลุกขึ้น

“เอาน่า แป๊บนึง” ผมเดินไปโต๊ะแถวหน้า มองหาเจ้าของไอจีก่อนจะไปขอร้องให้ช่วยลบรูปนี้หน่อยโดยอ้างว่าเดี๋ยวนักข่าวเอาไปเขียนข่าวบิดเบือน ไอ้ตงจะเสียหาย ถ้าอยากได้รูปคู่น่ะ มันไม่ขัดหรอก...ยังดีที่เพื่อนร่วมรุ่นคนนี้เข้าใจ ลบโพสต์และลบรูปให้ ผมเลยกลับมานั่งที่โต๊ะ

“เรียบร้อย” ผมยิ้ม

“มึงไปทำอะไรมาวะ” ไอ้ตงถาม

“ไม่มีอะไร” ผมตอบยิ้มๆ รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดีจังวะ

“อ้าว โพสต์หายไปละ” ไอ้โทเปิดไอจีของมันเลื่อนหาโพสต์เมื่อครู่ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้โพล่งขึ้นมา “มึงไปขอให้เค้าลบเหรอวะ”

“เออ” ผมตอบสั้นๆ ไม่อยากนับเป็นความดีความชอบอะไร

“มึงไปพูดยังไงวะ” ไอ้นี่ ยังไม่เลิกถามอีก

“ก็ไม่มีอะไร แค่บอกว่ากลัวนักข่าวเอารูปนี้ไปใส่ไข่ ถ้าอยากถ่ายรูปคู่ ก็มาขอถ่ายกับไอ้ตงเลย มันไม่ว่าอะไรหรอก”

“มึงนี่ ฉลาดเนาะ” ไอ้โทชม ผมนี่ไม่ค่อยปลื้มคำชมมันหรอก ไอ้นี่ไม่ค่อยจริงใจ

“ขอบใจนะ” ไอ้ตงไม่ได้พูดอะไร มันกระซิบข้างหูผมเบาๆแค่นี้ก่อนที่อาจารย์จะเดินเข้าห้องมา

             พอจบคาบ เรามีเวลาอีก 15 นาทีในการย้ายห้องเพื่อไปเรียนวิชาถัดไป ยังดีที่ห้องเรียนมันติดกัน เลยพอมีเวลาให้เพื่อนๆกรูมาขอถ่ายรูปกับไอ้ตงอย่างคับคั่ง ผิดกับพวกเราที่ชินชากับใบหน้าหล่อๆนั้นก็ได้เลยไม่คิดจะตื่นเต้นกับความเป็นดาราของมัน หรือไม่ก็เป็นเพราะผมเหม็นขี้หน้าไอ้ตงตั้งแต่ตอนแรกที่โดนมันชนจนเกือบล้มที่ห้างก่อนเปิดเทอม พอมาเจอมันเรียกไอ้เตี้ยไม่หยุดปากเลยทำให้เหมือนสนิทกันโดยปริยายก็ได้ แต่ถามกูหน่อยเถอะว่าอยากสนิทไหม...

“ชอบเค้าแล้วล่ะซี้” เสียงแซวของไอ้โทดังข้างๆหู ผมล่ะอยากต่อยปากมันจริงๆ

“ชอบพ่อง” ผมตบกบาลมันป๊าบใหญ่ โทษฐานกวนโมโห

“เชี่ย กูพี่มึงนะไอ้หนึ่ง” มันทวงความอาวุโสเลยครับ เมื่อวานมันยังบอกอยู่เลยว่ากูเกิดช้ากว่าแค่ไม่กี่เดือน ไม่ถือว่าเป็นน้อง...

“เห้ยๆ ไปเรียนๆ พวกมึงกัดกันเก่งชิบหาย” ไอ้ตงมาตอนไหนไม่รู้ดันหลังพวกผมให้เดินนำไปที่ห้องเรียนที่อยู่ถัดไป ใบหน้ามันดูล้าจนสังเกตได้ แต่ก็ยังต้องฝืนยิ้มกับเพื่อนร่วมคณะ รุ่นพี่ที่มาขอถ่ายรูป รวมไปถึงนักศึกษาคละรุ่นต่างคณะที่เข้ามาเรียนวิชาเลือกที่ตึก พวกเราเดินไปนั่งตรงที่ว่างข้างขวัญจิรา แต่ทุกคนพร้อมใจเรียกว่าขวัญใจมากกว่าเนื่องจากใบหน้าสละสวยเป็นขวัญใจของชาวคณะได้ไม่ยาก พอไอ้โทนั่งเก้าอี้ ขวัญก็ลุกและแลกที่นั่งกับไอ้ตงแทน

   ตอนนี้พวกเราก็นั่งกันแบบนี้ครับ ไอ้คิ้ว ฉัตร ผม ไอ้โท ไอ้ตง ขวัญ ... ไอ้คนปากหมาอย่างไอ้โทหน้าจ๋อยสิเมื่อสาวสวยเมินแถมยังย้ายที่หนี

“ไอ้หนึ่ง ไหนมึงบอกว่าขวัญจะจำกูได้ไงวะ” มันกระซิบถาม

“ก็จำได้ไง ถึงได้ย้ายโต๊ะหนีน่ะ” ผมแอบขำ ไม่รู้สึกผิดหรอกที่ได้แกล้งมัน มาว่าผมเตี้ยทำไมล่ะ

“ไอ้สาด ไหนมึงบอกว่าวิธีนี้จะช่วยให้กูได้ใกล้ชิดขวัญไงวะ”

“...” ผมไม่ตอบ ถลึงตาใส่มันและชี้ไปที่อาจารย์ที่กำสอนอยู่หน้าห้อง มันทำท่าขัดใจก่อนจะหันไปนั่งแกร่วที่โต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์

“ไอ้เตี้ย มึงไปแกล้งอะไรไอ้โทมันวะ” ไอ้ตงหันมาถาม ผมล่ะเหนื่อยใจจริงๆ ดันมานั่งติดเจ้าหนูจัมมัยทั้งซ้ายและขวา

“เปล๊า” ผมกระซิบตอบเสียงสูง ไอ้ตงทำหน้าไม่เชื่อ มันหันไปถามขวัญเอง

“มึงนี่แสบว่ะ” ไอ้ตงหันมาพูดกับผมหลังจากขวัญตอบคำถาม “สงสารไอ้โทชิบ”

“มึงสงสารก็ช่วยให้มันสมใจหน่อยสิ นานๆไอ้โทจะเจอสาวถูกใจ”

“ทำไมกูต้องช่วยด้วยวะ” ไอ้ตงกวน

“ขวัญเป็นเพื่อนสนิทมึง ไอ้โทก็เพื่อนมึง มึงจะไม่ช่วยเหรอวะ” ผมย้อน

“ช่วยแล้วกูจะได้อะไรล่ะ”

“อยากได้อะไรมึงก็ถามมันเอาเองดิ”

“ไม่ว่ะ มึงเป็นคนขอร้อง มึงต้องตอบแทนกูดิ” มันว่าแล้วยักคิ้ว

...เกลียดรอยยิ้มแบบนี้ชิบหาย

#ใจบาง
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 6 P.1 Up 18 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-02-2020 19:09:13
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่  มีแต่โมเมนท์ตงหนึ่ง  ไม่เห็นมีโมเมนต์ตงโทเลย

น้องหนึ่งจะให้พี่ตงไปถามเรื่องผลตอบแทนจากพี่โทได้ไงหล่ะ  จิงป่ะ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 6 P.1 Up 18 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 18-02-2020 21:21:55
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 6 P.1 Up 18 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 19-02-2020 07:46:52
ขวัญ-โท คู่นี้ก็น่าจะสนุกนะ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 6 P.1 Up 18 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 20-02-2020 14:03:43
ติดตามจ้า  :mew2:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 7 P.1 Up 20 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 20-02-2020 16:16:15
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 7. ใจหวิว

             ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องเดา เป็นไปตามคาดว่าฝ่ายเดือนคณะบริหารธุรกิจได้แก่ ตงฉิน ... ชนะไปแบบไร้คู่แข่ง เพราะไม่มีคนไหนกล้าเสนอใครมาต่อกรได้เลย แต่ฝ่ายหญิงพอได้ลุ้นบ้างแต่สุดท้ายก็ตกเป็นของ ขวัญใจของพวกเรานั่นเอง พอยืนคู่กันแล้วทั้งคู่ดูเหมาะสมกันมาก มากจนอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมไม่คบกันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ตอนนี้พวกเรานั่งเรียงแถวตามรหัสนักศึกษาทำกิจกรรมรับน้องที่ลานใต้ถุนคณะ มีรุ่นพี่ปี 2 ยืนล้อมวงเต็มไปหมด บังอากาศ ฮ่วย ร้อนเด้อ!

“เอาล่ะค่ะ เมื่อวานพวกเราก็ได้ดาวและเดือนคณะสำหรับเข้าร่วมประกวดดาวเดือนมหา’ลัยในคืนเฟรชชี่ไนท์แล้ว อย่างที่ทุกคนคงจะรู้กันดีว่าช่วงตอนต้นปีหน้าเราจะมีงานกีฬามหา’ลัยสำหรับน้องๆเฟรชชี่อีกงานนึง นอกจากนักกีฬาคณะแล้ว เรายังต้องคัดเชียร์หลีดเดอร์ คนถือป้าย คนถือธง คฑากรอีก”

“แล้วที่เหลือล่ะคะพี่หนู” เสียงปีหนึ่งยกมือถาม

“ที่เหลือจะต้องขึ้นสแตนด์ คอยแปรอักษรและร้องเพลงเชียร์นักกีฬาค่ะ” หลายคนร้องอ๋อ เพราะเคยเห็นบรรยากาศงานกีฬาเฟรชชี่มาแล้วจากการแชร์โพสต์ในอินเตอร์เน็ต

“เดี๋ยวพี่ๆทีมหลีดปี 2 จะมาคัดน้องๆที่หน่วยก้านดีไปคัดเลือกหลีดแยกต่างหากนะคะ หลังจากนั้นเราจะเปิดให้ลงชื่อสำหรับน้องๆที่สนใจเล่นกีฬา ส่วนคนที่ไม่ทำกิจกรรมอะไรก็มาเป็นกองเชียร์ค่ะ”

             ไม่นานนักเหล่าเชียร์หลีดเดอร์รุ่นพี่หน้าตาดีก็พากันเดินเข้ามา รุ่นน้องถูกสั่งให้นั่งตัวตรง คนไหนที่หน่วยก้านดีก็ถูกขานชื่อให้ไปยืนอยู่ด้านหน้า โดยรอบแรกจะคัดคนเข้าไปคัดตัวก่อนเพื่อเอาไปซ้อมหาคนที่เหมาะสม เมื่อฝ่ายหญิงครบ 20 คนแล้วก็มาถึงฝ่ายชายบ้าง

“ฉัตรชัย”

“เอาแล้วไง ไอ้ฉัตรก็โดนด้วยโว้ย” ไอ้โทที่นั่งหน้าผมหันมาสะกิดด้วยท่าทางตื่นเต้น

“ศิระ ศิลาอาจน์ น้องคิ้ว”

“หืม ไอ้คิ้วโดนด้วย” ไอ้โทยังตื่นเต้นไม่เลิก

“น้องตงฉินค่ะ ออกมาด้านหน้าค่ะ” เอาล่ะครับ กลุ่มผมไปหมดเลย ไอ้ฉัตร ไอ้ตง ไอ้คิ้ว

“เอกภาพ ใบบุญ น้องโท 393 ค่ะ”

“ห๊ะ” คนโดนเรียกทำหน้างง ไม่แปลกหรอกครับเพราะหน้าตามันไม่ได้แย่ ติดที่ดำนิดหน่อยเท่านั้น แถมส่วนสูงยังได้อีกต่างหาก

             แล้วการคัดเลือดเชียร์หลีดเดอร์ก็งวดขึ้น เมื่อฝ่ายชายคัดไปแล้ว 18 คน ผมมองเพื่อนๆอย่างขันๆเพราะรู้ดีว่าเตี้ยขนาดผมไม่เป็นที่น่าสนใจหรอก มองไปทางไอ้ตงที่ทำท่ากระซิบกับรุ่นพี่ปีสองที่ยื่นใกล้ๆอย่างฉงนแต่ก็ไม่ได้เอามาคิดอะไร จนเพื่อนคนที่ 19 โดนขานชื่อไป

“เอาล่ะค่ะ คนสุดท้ายของผู้ชาย เอกราช สุขสมหวัง น้องเตี้ย 394 ค่ะ”

“หะ” ผมเบิกตาโพลง “พี่เรียกผิดหรือเปล่าครับ” ผมถามด้วยน้ำเสียงติดตลก “เตี้ยๆแบบนี้พี่จะเอาไปทำไมครับ อุ้มใครก็ไม่ได้”

“ไม่ผิดค่ะ น้องนั่นแหละค่ะ ออกมาก่อน” เชร็ด! เป็นไปได้ไงวะ กูเนี่ยนะ ดำก็ดำ เตี้ยก็เตี้ย เอิ่ม...คนที่เหลือมองมาที่ผมด้วยสายตาเร่งเร้า ส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากเป็นหรอกครับหลีดคณะ เพราะต้องซ้อมหนักกว่าชาวบ้าน แถมยังโดนด่าอีกต่างหาก เมื่อมายืนแทรกระหว่างไอ้ตงกับไอ้โทเหมือนเป็นหลุมดำเลยจ้าไอ้หนึ่งเอ๋ย ... ทั้ง 40 คนถูกแยกมาที่ลานจอดรถหลังคณะ ตรงนี้ร่มรื่นและมีพื้นที่กว้างพอจะลองทดสอบ

“เอาล่ะค่ะ น้องๆทั้ง 40 คน พี่ชื่อเปรี้ยวนะคะ เป็นหัวหน้าหลีดปี 2 ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะคะ” พวกเรายกมือไหว้หลังจากพี่เปรี้ยวคนสวยแนะนำตัว รูปร่างของพี่เปรี้ยวเพรียว สมส่วน คะเนส่วนสูงพอๆกับผมเห็นจะได้ แต่พอยืนบนส้นสูงเลยทำให้ดูเด่นขึ้นมา พี่เปรี้ยวแต่งหน้าบางๆแต่ขับให้ผิวเนียนใสโดดเด่น ใบหน้ารูปไข่ลงตัวกับดวงตากลมนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าแอบเอานิ้วมือมาเทียบขนาดใบหน้าพี่เค้า สามนิ้วของผมคงปิดมิดแล้วล่ะ คนอะไรหน้าเล็กนิดเดียวเอง

“ก่อนอื่น พี่ขอแจ้งน้องๆตรงนี้เลยนะคะว่า เราจะเริ่มซ้อมกันเลยตั้งแต่วันนี้ โดยพี่ๆจะมองหน่วยก้านน้องๆทุกคนแล้วจะคัดเลือกคนที่เหมาะสมมาทั้งหมด 14 คน ชายและหญิงเท่าๆกัน”

ฮือ ฮา... เสียงของปี 1 ทั้ง 40 คนกระซิบกันดังประสานขึ้นมา

“ใจเย็นๆค่ะ จำไว้นะคะว่า เราจะดูหลายๆอย่างประกอบกัน ใครที่คิดว่าจะแกล้งทำไม่ได้เพื่อไม่ให้ถูกคัดเข้าทีม จงคิดใหม่นะคะ พวกพี่จะพากันเลือกเอง จนได้คนที่เหมาะสม”

“ไอ้ตง มึงบอกกูมานะว่าเมื่อกี้กระซิบอะไรกับพี่หลีดปี 2” ผมสะกิดถามคนที่ยืนเด่นอยู่ข้างๆ มันก้มมามองด้วยใบหน้ายียวน

“ไม่มีอะไร แค่บอกว่ามึงน่ะเต้นเก่ง เคยเป็นหลีดตอนมอปลายมาด้วย”

“ไอ้สัด กูเคยที่ไหนล่ะ มึงนี่มัน” ผมโมโห

“อ้าวๆ น้องตงน้องเตี้ยคะ อย่าทะเลาะกันค่ะ”

“อะ ห๊ะ” งงเป็นไก่ตาแตกสิครับ เมื่อโดนพี่เปรี้ยวเรียกฉายาแทนชื่อ จะไม่มีใครเรียกชื่อจริงๆของผมเลยใช่มั้ยเนี่ย

“ขอโทษครับ” พวกเราตอบเสียอ่อย ก่อนจะถูกแบ่งเป็น 4 กลุ่มเพื่อฝึกท่าเบสิก แค่ท่าเดียวผมก็ชูมือค้างไว้จนปวดตรงไตรเซปไปหมดละ อิจฉาคนอื่นๆชะมัดที่ไม่ต้องมาทำอะไรกันแบบนี้ แค่เดินไปเข้าห้องเชียร์แค่นั้นเอง

“น้องเตี้ยคะ นิ่งๆค่ะ อย่าเพิ่งขยับแขน” นั่นไง โดนอีกละ พวกพี่ทีมหลีดแม่งเฮี้ยบ!

             กว่าจะซ้อมเสร็จพวกเราก็แทบกระอักเลือด พี่ๆเลยปล่อยให้กลับไปนั่งที่ใต้ถุนคณะ เสียงร้องเพลงเชียร์ที่เคยดังมาเงียบไปแล้ว พวกเรานั่งหอบแฮ่กกันที่ลานกิจกรรมต่ออีกหน่อย เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลเข้าตาจนแสบไปหมด ไม่ต้องบรรยายก็พอจะเห็นภาพนะครับว่าชุดนักศึกษามีแต่เหงื่อไหลซึมจนเห็นทะลุไปถึงข้างใน

             ผมมองไปยังไอ้โทที่มันมีใส่เสื้อกล้ามเพื่อซับในกำลังถอดเสื้อนักศึกษาออกและเดินไปอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นกลุ่มผู้หญิงนั่งพักผ่อน ก่อนที่มันจะพูดอะไรก็เอาเสื้อเชิ้ตของมันคลุมที่ร่างของขวัญใจอย่างรวดเร็ว

“อ๊ะ” ขวัญมองหน้าไอ้โทอย่างเหรอหรา คงจะงงกับท่าทีที่มันแสดงออก ก่อนหน้านี้ไปด่าเค้าว่านมแบน แต่ตอนนี้กลับถอดเสื้อไปปิดรอยสายบราให้

“ฮิ้ววววววววววววววววววว” เสียงแซวดังลั่นจนไอ้โทหน้าแดงเป็นลูกตำลึงและรีบวิ่งกลับมานั่งข้างผมโดยไม่ได้พูดอะไรกับขวัญใจของตัวเอง อีกคนน่ะเหรอ ได้แต่ก้มหน้างุดไปเหมือนกัน คงเพราะอายที่โดนแซวจากคนอื่น

“เยี่ยม ใจกล้ามาก”

“เกิดเลยนะมึง”

“แหมมมม ไอ้นี่ เคลมไวตลอด ดาวคณะเชียวนะ” เสียงใครต่อใครแซวมันจนไอ้โทได้แต่ยิ้มแก้เก้อ ท่าทางเขินอายของมันชัดเจนมากจนทุกคนรับรู้ว่ามันชอบขวัญใจ

“พอเถอะพวกมึง กูเขิน” มันตอบก่อนจะหันมาหลบหลังผม ไม่หลบเปล่า ยังเอาหน้ามาซุกอีก...เหงื่อย้อยติ๋งๆจนคันหลังไปหมดละ

“ไอ้เชี่ยออกไป กูร้อน” ตัวผมดิ้นยุกยิกเพื่อสลัดไอ้คนที่โดนแซวให้ขยับหนี เหงื่อโชกขนาดนี้ยังมาเบียดอยู่ได้

“มึงอย่าใจร้ายกับกูไอ้หนึ่ง กูเขิน”

“สัด แมนๆหน่อยสิวะ ดูโน่น ขวัญก้มหน้างุดแล้วน่ะ” ได้ผลครับ

เมื่อไอ้โทมันเงยหน้าไปมองคนสวยของมันก่อนจะกลับมาหน้าแดงอีกครั้ง  “เค้าจะประทับใจมั้ยวะ”

“กูจะรู้มั้ยล่ะ” ผมตอบมัน

“เห้อ กูอาย”

“อายพ่อง ก่อนทำทำไมไม่คิด”

“ไม่ทันคิด แค่เห็นสายเสื้อในโผล่กูก็ว่าหวงแล้วนะ แต่เห็นสายตาพวกผู้ชายมองแบบหื่นๆกูยิ่งหวงไปใหญ่”

“หึหึหึ ชอบเค้าจริงๆแล้วอะดิ๊” ผมได้ทีแซวมันกลับ

“อื้อออออ” มันตอบครับ ไม่เคยคิดเลยว่ามันกะจะสอยดาวคณะ

“ไอ้ตง ช่วยกูที กูรำคาญไอ้โท” ผมขอร้องคนตัวใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล

“ไม่ว่ะ กูไม่ยุ่ง” ไอ้ชิบหาย ... ไม่ได้มีน้ำใจเล้ยยยยยยยยยยยย

“เอาล่ะค่ะน้องๆ วันนี้พอกันแค่นี้ก่อนนะคะ พรุ่งนี้ให้เตรียมชุดมาเผื่อซ้อมด้วย เสื้อขอเป็นเสื้อยืดสีเข้มนะคะ เน้นดำ น้ำเงินเข้ม อะไรพวกนี้ ส่วนกางเกงขอเป็นกางเกงวอร์มขายาวที่ใส่แล้วคล่องตัวนะคะ” พี่เปรี้ยวปรบมือเป็นสัญญาณให้น้องๆยืนเรียงแถวให้เป็นระเบียบก่อนจะนัดหมายการซ้อมวันพรุ่งนี้

“ครับ / ค่ะ” พวกเราพร้อมใจกันตอบ

“เอาล่ะค่ะ แยกย้าย” พวกเราชูมือทำท่าเบสิกที่ถูกสอนมาและตะโกนพร้อมกันว่า “หลีดแอ็คบา ลั้ลลา ฮูเร่” เสียงดังฟังชัด

ไอ้ตงทำท่าจะชิ่งไปที่รถทันที่ที่รุ่นพี่ปล่อยตัว แต่ช้ากว่ามือผมที่ฉุดแขนมันไว้อย่างแน่นหนา  “ปล่อยกู”

“ไม่ปล่อย ไอ้เชี่ยตง มึงมีเรื่องต้องเคลียร์กับกู” ผมยื่นคำขาด ความโกรธที่เดือดปุดๆเพราะโดนมันแกล้งให้ติดเป็นหนึ่งในทีมหลีดนั่นแหละ

“เรื่องอะไร กูไม่มีเรื่องอะไรกับมึง ไอ้เตี้ย”

“จริงเหรอ” ผมเลื่อนหน้าไปหา แต่เอาสิ ความสูงที่ต่างกัน 20 เซ็นติเมตรเหมือนผมเอาหน้าไปชนภูเขายังไงยังงั้น

“ตัวเท่าลูกหมาจะมากร่าง ถอยไปไอ้เตี้ย”

“ไอ้สัด มึงแกล้งกู” ผมโพล่งอย่างขัดใจ ตั้งแต่โดนมันเดินชนแล้วไม่ขอโทษแล้วนะ ยังดีที่มันเอื้ออาทรโดยการชวนไปอยู่คอนโดเดียวกับมันเลยหยวนให้ แต่มันก็ยังเหิมเกริมเป็นตัวตั้งตัวดีให้คนอื่นเรียกผมว่าเตี้ย ... ฉายาที่ผมอยากฝังกลบไว้ให้ลึกสุดๆ วันนี้ยังมาโดนมันแกล้งอีก ใครจะทนได้วะ

“แกล้งอะไร” มันเดินหนี ผมเดินตามเพราะรั้งแขนมันไว้จนมาถึงลานจอดรถที่มืดมิด

“ก็แกล้งให้คนอื่นเรียกกูว่าไอ้เตี้ย แล้วยังลากกูมาพัวพันกับหลีดคณะนี่อีกโดยไม่ถามความสมัครใจกูสักคำ”

“มึงคิดว่าพี่ๆหลีดเค้าถามความสมัครใจพวกกูงั้นเหรอ” ผมชะงัก

“กลุ่มเรามาคัดตัวกันหมดเลยนะ เหลือแต่มึงคนเดียว คนอื่นเค้าก็สนิทมีกลุ่มก้อนไปหมดละ ถ้ามึงไม่มาอยู่นี่แล้วมึงจะไปคุยกับใครตอนเข้าห้องเชียร์วะ” อะ...อ้าว ทำไมคิดไปคิดมาเหมือนมันช่วยเหลือผมทางอ้อมวะ

#ใจหวิว
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 7 P.1 Up 20 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 20-02-2020 22:12:14
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 7 P.1 Up 20 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 20-02-2020 22:21:41
ตงตง คงเป็นห่วงถ้าหนึ่งต้องไปอยู่กับคนอื่นแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 7 P.1 Up 20 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-02-2020 22:29:57
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 7 P.1 Up 20 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 20-02-2020 22:49:45
เอิ่ม. ห่วงหรือหวงกันจ๊ะ   :hao3:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 7 P.1 Up 20 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-02-2020 23:31:02
 :pig4: :pig4: :pig4:

เป็นห่วงว่าไม่มีเพื่อนให้คุย

หรืออยากให้มาอยู่ใกล้ ๆ จ๊ะ  พ่อตงฉิน
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 7 P.1 Up 20 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 23-02-2020 02:06:14
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 7 P.1 Up 20 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 25-02-2020 10:49:01
เอิ่ม. ห่วงหรือหวงกันจ๊ะ   :hao3:


:pig4: :pig4: :pig4:

เป็นห่วงว่าไม่มีเพื่อนให้คุย

หรืออยากให้มาอยู่ใกล้ ๆ จ๊ะ  พ่อตงฉิน



นั่นสิ....อิอิอิอิ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 8 P.2 Up 27 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 27-02-2020 16:34:42
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 8. ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป

[ขวัญจิรา ภัทรสุนทร]

             ตั้งแต่เกิดมาขวัญไม่เคยโดนใครด่าหรือล้อเลียนอะไรมาก่อน คงเพราะนิสัยที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย แถมใครว่าอะไรมาก็ไม่เคยโกรธ ไม่เคยไปจับกลุ่มกับเพื่อนผู้หญิงนินทาใคร ทำกิจกรรมทุกอย่างอย่างเต็มที่ มีตงฉินเป็นเพื่อนสนิททำตัวเหมือนบอดี้การ์ดเลยไม่มีคนกล้าแหยม ยกเว้น...

ไอ้คนชื่อ เอกภาพ ใบบุญ!

..อยู่ๆก็มาเรียกขวัญว่า ยัยนมแบน งื้ออออออออออ แบนตรงไหน แม่ให้มาแค่นี้ //ขยับสองเต้าชิดๆก็ไม่ได้แบนนะคะ

...ยังไม่พอ ยังมาหาว่าขวัญหูตึงอีก ฮื้อออออออออออออ ไอคนบ้า หน้าตาก็ไม่หล่อ ดำก็ดำ ปากหมาอีกต่างหาก

ขวัญจะไม่ทน... ไม่เสวนากับคนพรรค์นี้เด็ดขาด //ปาหมอนข้าง ... ปาไปไหนเนี่ย

[ตงคะ วันนี้ขวัญไปเรียนเองนะคะไม่ต้องรอ]

             หลังจากส่งข้อความหาเพื่อนสนิทแล้วก็เดินไปที่ล็อบบี้เพื่อรอสาระถีมารับ ขวัญจะไม่เสียเวลาไปสนใจไอ้คนปากปีจอคนนั้นหรอก ในเมื่อผู้ชายที่เทียวมารับถึงคอนโดคือเดือนมหา’ลัยปีที่แล้วจากคณะวิศวะขวัญใจสาวๆ ชื่อพี่เคมี เราเจอกันที่โรงอาหารของคณะบริหาร พี่เคมีมากับกลุ่มเพื่อน น่าจะมาอ่อยสาวหรือมาส่งเพื่อนมาหาแฟน อันนี้ก็ไม่ได้ถาม หิวอยู่...ตอนนั้นขวัญก็โดดเด่นนั่งกับกลุ่มตงฉิน หลายคนคงเข้าใจว่าเราเป็นแฟนกัน เพราะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เลยทำให้ขวัญไม่มีโอกาสไปสนิทกับเพื่อนผู้หญิงรุ่นเดียวกันเลย

             พี่เคมีหล่อจนใจละลายไปเลยค่ะ แถมฐานะดีสุดๆ ขับรถออดี้มารับมาส่งตลอดไม่ต้องง้อบริการของตงฉินที่ไปกับไอ้คนปากเสียนั่นละ เริ่มแรกพี่เคมีเนียนเข้าหาตอนที่ขวัญไปต่อคิวซื้อน้ำ ก่อนที่แกจะใจป๋าชิงจ่ายเงินค่าน้ำให้ก่อน

“อุ๊ย ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ต้องก็ได้นะคะ ขวัญเกรงใจ” เราเป็นผู้หญิงรุ่นใหม่ค่ะ ไม่ชอบให้ใครมาเปย์

“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากเลี้ยง” ยิ้มหวานจนหน้าแดงไปหมด งื้อออออออออออออออ

“พี่ชื่อเคมีนะครับ อยู่วิศวะปี 2 น้องชื่ออะไรครับ”

“คะ เอ่อ ขวัญค่ะ” จะเอาผมทัดหูทำไมเนี่ยยัยขวัญเอ๊ย

“น้องขวัญ รหัส 026”

“หืม” เราก้มดูป้ายชื่อ โอ้โห หลอกถามเราทั้งๆที่แขวนป้ายชื่อไว้อยู่เนี่ยนะ

“เรียนเอกอะไรเหรอครับ”

“เอ่อ การตลาดค่ะ” //เอาผมทัดหู

“แล้วสนใจตลาดวิศวะบ้างมัยครับ” อื้ออออออออ จู่โจมขนาดนี้ ไวไปค่ะ

“อะ คะ...” แกล้งเอ๋อค่ะ เอาจริงๆคือคิดคำตอบไม่ทัน

“จะเป็นอะไรมั้ย ถ้าพี่จะขอไลน์น้องขวัญ” นี่ไง มาแล้ว ยัยขวัญเอ๊ย ใจแข็งไว้ค่ะ ใจแข็งไว้ ก็แค่สูง หล่อ ล่ำ ผิวสีแทน ตัดผมสั้น หน้าตาสะอาดสะอ้าน แต่งตัวดี มีรถขับ(ตอนนั้นคิดเอง) ไม่ใช่สเป๊กเลย...(อันนี้โกหกนะคะ)

“จะ จะดีเหรอคะ” ขวัญมองมือถือราคาแพงที่เปิดโปรแกรมไลน์รอแล้วในมือใหญ่นั้น ในใจตบตีกันหนักหน่วงไม่อยากให้ กลัวพี่เค้าจะคิดว่าเราใจง่าย

“ดีไม่ดี ของแบบนี้ต้องให้เวลาพิสูจน์นะครับ” ฉีกยิ้มอีก โอย ยัยขวัญเอ๊ย ขวัญมา...

“ค่ะ” สุดท้าย ก็แลกไลน์กันจนได้....



             ขวัญไม่เคยมองว่าตัวเองสวยหรือหน้าตาดีกว่าคนอื่นเลยสักครั้ง เพราะไม่อยากให้เรามีสิทธิประโยชน์อะไรที่เหนือกว่าคนอื่น (จริงๆควรใช้คำว่า อภิสิทธิ์ แต่พอดีไม่สนใจเรื่องการเมืองค่ะ) แต่การที่มีเดือนมหา’ลัยเทียวไล้เทียวขื่อเป็นประจำนั้นก็เป็นที่โจษจันไม่น้อยเลย มีหลายๆคนก็มาถาม ก็เพื่อนๆในคณะนี่แหละค่ะ ...

“ขวัญจิรา รหัส 026”

“คะ” พอโดนเรียกชื่อตอนนั่งรวมพลหลังเลิกเรียนก็ลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติ ยังดีที่พี่ๆบังคับให้ปี 1 แต่งกายในชุดสุภาพ กระโปรงต้องยาวถึงข้อเท้า เวลานั่งเลยไม่ต้องคอยห่วงว่าจะโป๊

“เพื่อนเสนอชื่อน้องเข้าชิงตำแหน่งดาวคณะ ช่วยออกมาข้างหน้าด้วยครับ” เสียงพี่ปี 2 เรียก ไอ้เรามัวแต่ใจลอยจนไม่รู้เลยว่าตอนนี้ทำอะไรกันอยู่ มือถือก็ถูกรุ่นพี่เก็บไว้อีกต่างหาก มายืนเรียงกับเพื่อนคนอื่นแล้วเราดูจืดไปเลยค่ะ เพราะขนาดตัวที่ไม่ได้สูงเด่น หน้าตาหมวยตามแบบฉบับลูกคนจีน ยิ่งตอนไม่ได้แต่งหน้าแบบนี้ สภาพเหมือนซิ่มมากค่ะ

             เพื่อนๆทั้งหมดรวมตัวขวัญด้วยมี 10 คน จาก 10 ภาควิชาของคณะบริหารธุรกิจ แต่ละคนถูกเสนอชื่อให้เป็นตัวแทนเอกของตนให้มาชิงตำแหน่งดาวคณะที่จะต้องไปประกวดต่อในงานเฟรชชี่ไนท์เดือนหน้า(ถ้าจำไม่ผิดนะคะ) การคัดเลือกก็ไม่มีอะไรมาก ใครที่เพื่อนๆเห็นว่าสวยก็จะถูกโหวตให้ออกมาและตอบคำถาม ง่ายๆ...มั้งคะ

“เอาล่ะค่ะ มาถึงคำถามของน้องขวัญกันแล้วนะคะ เลือกซองคำถามเลยค่ะ” หืม ยังกะประกวดนางงาม จิ้มเอาที่ใกล้ที่สุดละกัน “คำถามนี้ไม่ยากค่ะ สูดลมหายใจเข้าลึกๆนะคะ พร้อมแล้วตั้งใจฟัง”

หืมมมมมมมม มาบิ๊วอะไรกันเบอร์ใหญ่ขนาดนี้คะ //สูดลมหายใจเต็มปอด

“คำถามคือ ถ้าน้องขวัญเป็นผู้ชายวันนึง แล้วต้องเข้าห้องน้ำไปฉี่ ... ให้น้องขวัญโชว์ท่าฉี่ที่คิดว่าแมนที่สุดค่ะ”

“ห๊ะ” กรี๊ด ใครคิดคำถามเนี่ย ตอนที่ขวัญทำหน้างงอยู่ เพื่อนๆรวมทั้งรุ่นพี่ต่างพากันหัวเราะลั่น คำถามนี่มันต่ำตมมากๆ

   พ่อแก้วแม่แก้วช่วยขวัญด้วย....ตอนนี้ทำหน้าไม่ถูกแล้วค่ะ ไม่เคยเห็นเลยว่าผู้ชายยืนฉี่กันท่าไหน เพราะที่บ้านทุกคนจะปิดประตูมิดชิดตอนเข้าห้องน้ำกัน เพื่อนๆที่คบกันมาก็ไม่เคยจะทำตัวห่ามๆใส่เลยสักครั้ง จะว่าใสก็ได้นะคะ หรืออาจเข้าขั้นซื่อบื้อเลยก็ไม่แปลก... เหงื่อแตกไปหมดแล้ว ขวัญจิราเอ๊ยยยยยยยยยยย....

             แล้วไอ้คนที่รหัส 393 ลุกขึ้นจากที่นั่งจากแถวมุมในสุด ทำท่ายืนตัวงอเล็กน้อยใช้สองมือทาบที่หว่างขากางเกงและส่ายโยกไปมาช้าๆ ก่อนที่รุ่นพี่ที่อยู่ใกล้ๆจะอนุญาตให้เค้าวิ่งออกไปด้านนอกได้

ขวัญจิรา...เลียนแบบท่าของเอกภาพเลยค่ะ... ได้ผล...ท่านี้เรียกเสียงฮาจากเพื่อนๆได้สนั่นหวั่นไหวจนมงต้องลงหัวแล้วค่ะ

...มันบังเอิญหรือเปล่านะ ที่ไอ้คนปากเสียขอไปเข้าห้องน้ำในจังหวะนี้พอดี....

“ยินดีกับดาวคณะบริหารคนสวยของพี่นะครับ” พี่เคมีมารับพร้อมกับดอกไม้ช่อใหญ่ อื้อ ทำน้องคนนี้ใจสั่นไปอีก... หลังจากบอกลาเพื่อนๆหลังเลิกรับน้องวันนี้ก็มีนัดไปกินนมหลังมอกับพี่เคมีสุดหล่อ แต่จะให้ไปสภาพนี้จริงๆเหรอ เนื่องจากอยู่คอนโด ขวัญเลยไม่ได้เอาหนังสือเรียนไปเก็บที่ห้อง ได้แต่เตร็ดเตร่แถวๆนี้เพื่อรอทำกิจกรรมเลย ในมือตอนนี้ก็มีทั้ง กระเป๋าเครื่องสำอางค์ ถุงผ้าใส่หนังสือ และดอกไม้ช่อใหญ่(มากกกกกกกกกก) ที่คนหล่อให้มา

“ฮัด เช้ย..” จามสิคะ ขวัญแพ้เกสรดอกไม้

“อ้าว น้องขวัญเป็นอะไรครับ ไม่สบายรึเปล่า” น้ำเสียงห่วงใยส่งมาอย่างกับพระเอกละครแน่ะ ขืนบอกว่าแพ้เกสรดอกไม้พี่เคมีคงจะเสียใจไม่น้อยเชียว //อดทนค่ะ ศรีทนได้

“ขวัญแพ้อากาศน่ะค่ะ ช่วงนี้ฝุ่นเยอะ” ว่าแล้วก็รีบคว้าหน้ากากอนามัยมาครอบจมูก อื้อหือ...จะพกอะไรมาเยอะแยะยะนังขวัญเอ๊ย!

“อ๋อ พี่นึกว่าป่วย จะได้พาไปหาหมอ”

“ไม่เป็นไรจริงๆค่ะ” รีบปฏิเสธไปก่อน สายตาแพรวพราวของพี่เค้านี่ทำแข้งขาสั่นไปหมดแล้วค่า ///ขวยเขิน

“เออขวัญ พวกเรากลับคอนโดก่อนนะ” เสียงตงฉินตะโกนมาบอกพร้อมเหล่าสมุนสองคนเช่นเคย จากที่ไม่คิดว่าพวกนั้นจะเข้ากันได้ แต่กลายเป็นว่าดูสนิทกันเหมือนรู้จักกันมานานแล้วงั่นแหละ นี่ล่ะมั้งนิสัยพวกผู้ชาย... แล้วหนึ่งในนั้นก็เดินจ้ำมาทางนี้และคว้าดอกไม้ในมือไป

“เห้ย” พี่เคมีดูจะไม่ค่อยพอใจทำท่าเหมือนจะไปยื้อช่อดอกไม้กลับมา

“เดี๋ยวเอาไปเก็บที่คอนโดให้ก่อน ขวัญถือของเยอะแล้ว” เสียงของคนที่มาแย่งช่อดอกไม้บอก เราก็ใจหายใจคว่ำหมดกลัวว่าพี่เคมีจะไม่พอใจ แต่พอมองข้าวของที่พะรุงพะรังของขวัญแล้ว รุ่นพี่เดือนมหา’ลัยก็ยอมลดการ์ด

“เอาหนังสือเรียนมาด้วยดิ จะได้ไปเดตกับพี่เค้าคล่องตัวหน่อยไม่ต้องคอยถือของ” ไอ้คนปากเสียไม่ได้พูดเฉยๆ มือที่ว่างคว้าหนังสือที่หอบไว้ไปหมดเลย แล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเดินจากไปแบบขวัญเองยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย

“ขะ ขอบใจ” ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมโทถึงทำแบบนี้...แต่กว่าจะจบประโยค คนที่หิ้วของไปแล้วคงไม่ได้ยิน



[วันนี้พี่เลิกดึกนะครับ คงไปรับไม่ได้] ขวัญอ่านข้อความของพี่เคมีที่ส่งมาด้วยอารมณ์บอกไม่ถูก ไม่เชิงว่าขัดใจหรืออะไร แค่ไม่ชินที่อยู่ๆพี่เค้าไม่โทรมาบอกเหมือนเดิม แต่เลือกที่จะส่งข้อความมาแทน คงเป็นเพราะช่วงนี้ที่คณะมีรับน้องหนัก พี่เคมีได้เป็นพี่ว้ากด้วย ต้องอยู่คอยคุมน้อง กว่าจะเลิกก็สามทุ่มโน่น ซึ่งมันก็ไม่ได้เป๊ะทุกคืน บางคืนก็สี่ทุ่มห้ามทุ่ม แล้วแต่ว่าจะมีประชุมกันต่อหรือเปล่า

             หลังจากซ้อมหลีดรอบแรกผ่านไปเหงื่อทุกคนก็ไหลโชกเลย วันนี้ลืมหยิบเสื้อซับในมาซะด้วย ไม่รู้มาก่อนว่าจะต้องได้มาซ้อมทันทีที่ถูกเลือกเข้ารอบคัดตัว จะกลับเลยก็ไม่ได้เพราะรุ่นพี่ยังไม่ปล่อย แต่ถ้าอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ คนอื่นก็เห็นบราหมดสิ ... ขวัญต้องทำตัวลีบเลยค่ะ ไม่อยากให้มีคนมองเท่าไหร่ จะไปแอบข้างหลังเพื่อนคนอื่นก็ไม่สะดวก เพราะถ้าลุกขึ้น ส่วนที่เปียกด้านหน้าก็จะเผยให้คนอื่นเห็นหมดพอดี ... ไอ้คนที่ว่าเรานมแบนน่ะนะ มองยังไง ใช้ส่วนไหนมอง นึกแล้วอยากดันหน้าอกโชว์ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย....แต่ก็ได้แค่คิดล่ะค่ะ เพราะตอนนี้นั่งหลบตัวลีบไปก่อน

พรึ่บ

“อ๊ะ” พอมองไปที่คนเอาเสื้อเชิ้ตของตัวเองมาคลุมไหล่ให้ก็ตกใจ ใบหน้าที่คุ้นเคยเพราะว่ารู้จักกันมาตั้งแต่วันเปิดเทอมดูนิ่งเฉยแต่กลับดูเขินอายปิดไม่มิด ยิ่งนับวันยิ่งงงกับการกระทำของคนๆนี้ ถ้าคิดจะทำดีเพื่อจะให้ยกโทษที่มาด่าเราว่าเรานมบนล่ะก็อย่าได้หวัง ขวัญจิราไม่ใช่ปลาทองนะ ที่จะได้ลืมง่ายดายแบบนั้น นี่ก็แยกตัวไม่มาเรียนพร้อมตงฉินก็เพราะไม่อยากทนเหม็นขี้หน้าคนปากเสียนี่แหละ ... เสื้อเชิ้ตนักศึกษาสีขาวตัวใหญ่คลุมตัวขวัญได้สนิท ไม่มีคราบเหงื่อเลย คงเป็นเพราะมีเสื้อกล้ามของเขากันไว้ กลิ่นกายของโทที่ติดมากับเสื้อนั้นทำขวัญใจสั่น มันเป็นกลิ่นเหงื่อตามธรรมชาติของผู้ชายห่ามๆคนหนึ่ง

“ฮิ้วววววววววววววววววววววววว” ว้าย เสียงหวีดร้องแซวดังลั่น จะต้องทำหน้ายังไงดีล่ะเนี่ย จะต้องยิ้มสู้มั้ย หรือว่าจะต้องก้มหน้าแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่เอานะ หน้าชั้น ห้ามแดงนะ...อย่าน้า....

...ไม่ได้ผลค่ะ ใบหูร้อนวาบไปหมด ดีนะที่เส้นผมปกปิดไว้ ก้มหน้าไว้ก่อน ไม่มีใครจับสังเกตได้หรอก ทำไมขวัญจะต้องเขินด้วยนะ ... ทำไมไม่เคยรู้สึกใจสั่นแบบนี้ตอนอยู่กับพี่เคมีเลยล่ะ ทั้งๆที่พี่เค้าหล่อกว่า ตำแหน่งเป็นถึงเดือนมหา’ลัย บ้านก็รวย มีรถขับ ... เทียบกับคนที่เคยด่าว่าขวัญนมแบนแล้วคนละเรื่องเลยเหอะ....

ฮื้ออออออออออ ไม่เข้าใจตัวเองเลย  บ้าๆๆๆๆๆๆๆ เป็นบ้าอะไรเนี่ย

             พอพี่ๆปล่อยให้แยกย้ายกลับ ขวัญเลยเดินตามหลังคนที่สวมเสื้อกล้ามตัวจิ๋วไปติดๆ รอให้เขาคุยโทรศัพท์เสร็จก่อนค่อยเอาเสื้อไปคืน ไม่อยากขัดจังหวะ กลัวเขาคิดว่าเสียมารยาท...

....มองใบหน้าด้านข้างนั้นก็ดูคมเข้มไม่น้อย ออกไปทางคนใต้มากกว่าจะเป็นคนกรุงเทพอย่างที่รู้มา ... ความสูงก็พอไปวัดไปวาได้ ถึงแม้จะไม่เท่าพี่เคมี แต่ก็ไม่ถือว่าแย่ ที่แย่ก็จะมีแค่ปากแค่นั้นแหละ

...พอเขาวางสาย ขวัญก็เดินเข้าไป ใบหน้าของโทดูหล่อขึ้นในสายตาขวัญตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

แต่ตอนนี้ใบหน้านั้นกำลังร้องไห้....
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 8 P.2 Up 27 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-02-2020 16:45:21
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 8 P.2 Up 27 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-02-2020 21:56:55
 :pig4: :pig4: :pig4:


อ่า.....ตัดจบซะดื้อ ๆ เลย

โทร้องไห้ทำไม?
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 8 P.2 Up 27 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 28-02-2020 07:49:53
โทร้องไห้ตอนแม่เข้าโรงพยาบาลป่ะ

น้องขวัญน่าจะสัมผัสได้ถึงความเอาใจใส่ของใจนายโทแล้วก็เป็นด้าย.  :hao3:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? [My Dearest 20 cm.] | นิยาย Y ตอนที่ 8 P.2 Up 27 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-02-2020 08:23:23
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? -My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 9(NC+) P.2 Up 27 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 28-02-2020 09:22:22
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 9. เสียเอกราช...

[หนึ่ง เอกราช]

             ผมมองใบหน้าหล่อๆของไอ้คนตัวสูงกว่าในความมืด ลานจอดรถตอนนี้ไม่มีคนแล้ว เพราะเพื่อนๆปี 1 ส่วนใหญ่จะเรียกแกรปหรือไม่ก็พากันเดินกลับหอพักในมหาวิทยาลัย มีส่วนน้อยที่จะขับรถมา นอกจากรุ่นพี่แล้วก็ไม่มีรถใครจอดตรงนี้อีก

“มะ เมื่อกี้ว่าไงนะ”

“มึงนี่แม่ง” ไอ้ตงมันถอนหายใจ ผมละงงอยู่ มันบอกว่ากลัวผมเหงาเหรอถึงลากมาคัดตัวหลีดด้วย ... มันทำเพื่อผมงั้นเหรอ ทำไมล่ะ?

“ปล่อยกูได้ยังไอ้เตี้ย”

“ไอ้สัด คำก็เตี้ยสองคำก็เตี้ย กูไปเตี้ยบนหัวมึงรึไงวะ” ผมสบถกลับ

“มึงขึ้นมาบนหัวกูให้ได้ก่อนเหอะ” มันกวน ผมปรี๊ดเลยครับ เอื้อมมือไว้กะจะตบกบาล แต่ระยะมันไกลเกินไปหน่อยเจ้าตัวเลยหลบทันและหันมาจับแขนข้างนั้นไว้จนผมต้องปล่อยข้างที่เคยเกาะมันออกมาจะทำเช่นเดิม...

....ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิมครับ ตอนนี้ไอ้ตงมันจับสองแขนที่ชูขึ้นของผมไว้แน่น แถมจ้องตาผมอย่างกวนประสาท อย่าคิดนะว่าไอ้เอกราชจะยอมแพ้ จ้องมาจ้องกลับไม่โกง .... ไม่โกงอะไรล่ะ ในเมื่อสายตามันเปลี่ยนไปจากเมื่อกี้ลิบลับ แววตาของมันแพรวพราวหวานเยิ้มจนใจผมงี้สั่นไปหมด จากที่มองว่ามันหล่ออยู่แล้วก็ยิ่งชัดเจนขึ้น รู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงไปหมดตอนที่มันเลื่อนหน้ามาใกล้ ผมถอยตัวจนไปชนประตูรถฝั่งคนขับหมดทางหนี กลิ่นตัวหอมๆของมันลอยมาติดจมูก ใบหน้าดาราหนุ่มโน้มมาเรื่อยๆ

ใกล้เข้ามา...

ตึกๆ ตึกๆ

ใกล้เข้ามา....

หื้อออออออออ ไม่ไหวแล้ว

   ลมหายใจร้อนผ่าวใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กระผมหลับตาแน่นเลยครับ รู้สึกเกร็งไปหมดจนไม่ทันสังเกตว่ามันปล่อยมือออกจากแขนตอนไหน แถมตอนนี้ประตูรถก็ถูกเปิดออกแล้วโดยที่สองมือผมยังชูบนอากาศและร่างใหญ่ของไอ้ตงมันถอยหลังไปก้าวนึง

“มึงจะยกแขนอีกนานมั้ย หลบไปกูจะกลับบ้าน”

“อะ ไอ้ตง” ไอ้สัด มันจงใจแกล้งผมชัดๆ

RRRRRRrrrrrrrrrrr

“ว่าไงขวัญ” ไอ้หน้าหล่อกดรับสาย

[ตงกลับไปก่อนนะ ไม่ต้องรอเรา]

“อ้าว เหรอ พี่เคมีว่างละเหรอ”

[เปล่าๆ พอดีแม่ของโทป่วยน่ะ ตอนนี้อาการไม่ดี เหมือนเลือดไหลไม่หยุด เรากำลังไปกับเค้า]

“อะไรนะ ไปไหน แล้วทำไมไม่ให้เราไปส่ง” ผมเงี่ยหูฟังใหญ่เลยครับ แต่ก็นะ มันสูงเกินที่ผมจะเอาหูไปใกล้ๆได้

[เรารู้ว่าตงเหนื่อย เมื่อคืนก็ไปถ่ายละครมาจนดึกไม่ใช่เหรอ ไม่เป็นไรหรอก เรานั่งแกรปไปกันเองได้]

“มีอะไรเหรอ” ผมถามไอ้ตงที่ยืนทำหน้าบอกไม่ถูกอยู่ตอนนี้ด้วยความอยากรู้สุดขีด

“แม่ของโทป่วยเข้าโรงพยาบาลน่ะ ขวัญเลยไปส่งโทที่นั่น”

“ห๊ะ” ผมตกใจสิครับ แม่ของมันก็เป็นคุณอาผมเอง พอได้ข่าวเลยรีบกดเบอร์หาไอ้โท แต่ดันไม่รับ กดหาพี่เอกก็ไม่ติด ผมเลยโทรหาแม่ตัวเอง

“แม่ อาเป็นไร อาเป็นไร” เสียงผมสั่นมาก จนคุมสติไม่อยู่ อย่างน้อยแม่ไอ้โทก็ดีกับผมรักผมเหมือนลูกคนหนึ่ง

[ไม่รู้ลูก หมอกำลังดูอาการอยู่]

“มีใครโทรหาพี่เอกรึยัง”

[โทรไม่ติดเลย] แม่ผมตอบกลับมา เอาล่ะสิ ใจคอไม่ดีอีกแล้ว รู้แค่ว่าอาอ่อนผ่าตัด อาการไม่ได้หนักหนาเท่าไหร่ แล้วทำไมตอนนี้ไอ้โทถึงรีบตาลีตาเหลือกไปโดยไม่บอกผม ทั้งๆที่สนิทตัวติดกันขนาดนี้ ถ้าไม่มีอะไรน่าห่วงมันคงไม่ทิ้งผมไว้แบบนี้

“มึง ไอ้ตง โทรหาพี่มึงซิ ทางบ้านกูติดต่อพี่เอกไม่ได้” ผมหันไปสั่งไอ้คนตัวสูง แม่ผมกดวางสายไปแล้วคงเพราะใจเสียกันอยู่

“ไม่ติดว่ะ สงสัยไม่มีสัญญาณ”

“แม่ง” ผมร้อนใจ กดส่งข้อความหาไอ้โทว่าให้ติดต่อพี่เอกให้ได้

“ใจเย็นๆก่อนไอ้เตี้ย” ตงฉินจับตัวผมที่กำลังสั่นเป็นเจ้าเข้า “ไอ้เตี้ย ไอ้หนึ่ง เห้ย ไอ้เตี้ย!”

“อ๊ะ อื้อ” สติผมกลับเข้าร่าง มองคนตรงหน้าอย่างใจหวิว เป็นห่วงอาการของคุณอาสุดๆแล้ว

“ใจเย็นๆก่อน มีอะไรไปรอที่คอนโดนะ” มันบอกผม

“แต่ ...” ใจมันอยากกลับบ้านที่บางบอนแล้ว

“งั้นเดี๋ยวกูไปส่ง” มันเสนอตัว แต่ท่าทางของมันที่เหนื่อยล้าจนเห็นได้ชัดนั้นก็ทำให้ต้องปฏิเสธไป

“ไม่ต้องหรอก กลับคอนโดเถอะ”

“มึงแน่ใจนะ” มันถามตอนที่เราอยู่บนรถแล้ว ผมนิ่งเงียบตลอดทางเพราะยังไม่ได้ข่าวคราวอะไรจากไอ้โท พี่เอกยังติดต่อไม่ได้เช่นเคย รู้สึกตัวอีกทีก็นั่งบนโซฟาในห้องแล้ว

“ดื่มหน่อย จะได้สงบใจ” ไอ้ตงหยิบเบียร์ในตู้เย็นมาให้ครับ แถมเอามาแนบหน้าอีกต่างหาก แม่งกูกังวลใจอยู่ มึงเสือกเอาเบียร์มาให้เนี่ยนะ

“กินก่อน แล้วค่อยคิด” มันกรอกเข้าปากอึกใหญ่เลยครับ ผมเลยทำปาก ความขมผ่านลิ้นไหลลงคอจนรู้สึกซาบซ่าน เลือดลมไหลเวียนสูบฉีดจนผ่อนคลายลงไปได้เยอะ มันพูดเหมือนที่เคยบอก ว่าถึงผมจะไปที่โน่นก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก สู้อยู่ที่นี่รออัพเดตดีกว่า ถ้าไอ้โทมันต้องอยู่ดูแลคุณอา ผมจะได้ช่วยลาอาจารย์ให้ได้

“ดีขึ้นมั้ยล่ะ”

“อื้อ” ผมตอบสั้นๆก่อนที่พวกเราจะพากันมอมตัวเองต่อไป

             กระป๋องเบียร์เปล่ากองเรียงรายอยู่เต็มพื้น ตอนนี้ไอ้ตงนั่งแช่ที่พื้นโดยชันแขนมาพิงกับโซฟาด้วยท่าทีสบายๆ ผมนั่งข้างบนระยะไม่ไกลกัน คงเป็นเพราะผมตัวเล็กกว่า เลยรู้สึกว่ามันนั่งในระนาบเดียวกันเลยว่ะ มันเงยหน้ามามองผมที่นั่งอยู่สลับกับหันไปสนใจกระป๋องเบียร์ในมือ ทรงผมของมันเรียบแปล้เพราะไม่ได้เซ็ต แต่ถึงมันจะทำทรงไหน เบ้าหน้าของมันก็เรียกได้ว่าหล่อสุดๆอยู่แล้ว

“ไอ้ตง กูถามมึงจริงๆนะ ทำไมมึงชอบแกล้งกูจังวะ” ความกรึ่มๆทำให้ผมกล้าขึ้นเยอะ เมื่อลองเอามือแตะที่เส้นผมแล้วมันไม่ว่าอะไร

“ก็มึงน่าแกล้งนี่หว่า แกล้งสนุกดี อึ๊ก!” มันสะอึก แต่ก็ตอบมาได้ ไม่ว่าอะไรที่มือผมยังยีหัวมันเล่นอยู่

“น่าแกล้งพ่อง มีแต่คนบอกว่ากูหน้าโหด มีแต่มึงนี่แหละมาว่ากูหน้าแกล้ง” ตอนนั้นแหละที่เพิ่มแรงทึ้งผมมันไปมา จะว่ายีผมก็ไม่ใช่เพราะว่าออกแรงหนักกว่านั้นหน่อย

“ปล่อยกูไอ้เตี้ย อย่ามาเล่นหัวผู้ใหญ่” กูทำมาสักพักละเพิ่งบ่น สงสัยจะเริ่มเมาเลยรู้ตัวช้า

“ผู้ใหญ่พ่อง มึงกะกูก็รุ่นเดียวกันปะวะ”

“แต่มึงเตี้ยไง”

“ไอ้สาด” ผมปะทะคารมกับมัน “เออ มึงว่าไอ้โทมันจะจีบขวัญติดปะวะ”

   เปลี่ยนเรื่องดีกว่า ขี้เกียจทะเลาะ เบียร์ก็อร่อย คนนั่งด้วยก็หล่อ บอกตรงๆเลยว่ามันน่ะโคตรของโคตรสเป๊ก แต่ไม่อาจเอื้อมไปเต๊าะหรือจีบหรอก อย่างไอ้ตงน่ะมันอยู่สูงเกินเอื้อม ไม่ใช่แค่ส่วนสูงที่ต่างกันขนาดนี้หรอก ทั้งฐานะและชื่อเสียงของมันก็คนละระดับกันแล้ว เคยลองถามว่าทำไมถึงเอาพวกผมมาเป็นรูมเมตทั้งๆที่ไม่รู้จักกันมาก่อน มันก็ตอบแค่ว่า อยากมาอยู่ข้างนอกเพราะเบื่อที่บ้าน แต่พ่อยื่นคำขาดว่าให้หารูมเมตก่อนถึงจะมาอยู่ได้...แล้วบังเอิ๊ญ(เสียงสูง)มันเจอผมกับไอ้โทพอดีตอนที่ไปคณะตอนนั้น

“กูไม่รู้ว่ะ เพื่อนมึงดันไปปากหมาใส่เค้าเฉย” ไอ้ตงออกความเห็น ยิ่งมองหน้ามันยิ่งหล่อ จากมุมสูงก็ยังดูดี

“แล้วมันไม่ใช่เพื่อนมึงรึไง” ผมย้อน อาการกรึ่มๆทำให้ใจกล้ามากกว่าเดิม

“ก็ใช่ ขวัญก็เพื่อนกูเปล่าวะ ถ้าไม่ติดว่าไอ้โทมันเป็นเพื่อนกูด้วยอีกคนคงมีตบกะโหลก” มันตอบและจิบเบียร์ ผมได้แต่มองบน

“แล้วมึงอะไอ้ตง หล่อระดับนี้ มึงยังไม่มีสาวๆที่ไหนมาจีบเรอะ” ลองเลียบๆเคียงๆถามคงไม่รู้หรอกว่าอยากได้

“สาด กูต้องเป็นคนจีบปะวะ” มันยกเบียร์เทเข้าปากอีกอึกทิ้งระยะไม่นาน “ไม่มี กูไม่อยากมีใคร อึ๊ก” สะอึกอีกละ ผมยื่นน้ำเปล่าให้มัน

“ทำไมวะ ถ้ากูหล่อแบบมึงป่านนี้คงกกได้เป็นโหลแล้ว” ใบหน้าหล่อๆยกขวดน้ำมาซดอึกใหญ่เกือบครึ่งขวด

“เคยอยู่ ไม่ใช่ไม่เคย” มันเสียงอ้อแอ้ “แต่เพราะทำตัวแบบนั้นไง เลยได้ลูกมาสองคน”

“ห๊ะ” ไม่ต้องบอกนะครับว่าหน้าตาของไอ้เอกราชเป็นยังไงตอนนี้ ถ้าคำว่า เตี้ยหมาตื่น มันแทนได้ผมก็ยินดีใช้คำนั้นอธิบาย

“เออ กูมีลูกแล้ว ชื่อตินตินกับแตมแตม” มันเปิดมือถืออย่างขลุกขลักเพราะความเมา “นี่ไง น่ารักปะลูกกูเอง”

“ม่ะ มึงมีเมียตั้งแต่ตอนไหนวะเนี่ย” ผมอึ้งนิดๆ ไม่คิดว่ามันจะมีลูก และไม่คิดว่ามันจะบอกเรื่องนี้

“ไม่นานมานี้เอง พ่อกับแม่กูด่ายับ กูเลยจะกลับตัวเป็นไอ้ตงคนใหม่ จะตั้งใจเรียนให้พ่อกับแม่เห็นว่ากูไม่ใช่คนแย่ๆคนเดิมที่สร้างแต่ปัญหา” เสียงมันดูน้อยใจมากเลยครับ เลยเปลี่ยนจากแรงทึ้งเป็นลูบเส้นผมมันแทน ไอ้ตงมันค่อนข้างอ่อนไหวกับเรื่องที่บ้านครับ เพราะมีพี่ชายชื่อ ต่อพงษ์ เป็นตัวเปรียบเทียบ ทั้งเรื่องการเรียน การงานและหลายๆอย่าง ไอ้ตงมันเลยรู้สึกว่าตัวเองเป็นหมาหัวเน่า

“คิดมากน่ามึง”

“ตั้งแต่เด็ก พ่อกับแม่ก็เอาแต่โอ๋พี่ต่อ อะไรดีๆก็ประเคนให้พี่ต่อ แต่กับกู มีแต่คำดุคำด่า” เอาล่ะสิ มันดราม่าแล้ว

“อย่าคิดมากสิวะ พ่อกับแม่รักลูกทุกคนนั่นแหละ”

“ไม่จริงหรอก” มันปาดน้ำตา  “ชนสิวะจะรออะไร” ใบหน้าหล่อเงยมามองผม ขอบตาแดงจนน่าสงสาร

“ถ้ามึงอยากร้อง มึงร้องมาได้เลยนะ กูไม่ว่าอะไรหรอก”

“ร้องเชี่ยอะไรล่ะ กูไม่ร้องไห้ง่ายๆหรอก” ตอนที่มันพูดน่ะ น้ำตามันไหลออกมาจากดวงตาไม่ขาดสายแล้วครับ

....อื้อ เวลาที่มันเศร้า แววตามันอ่อนโยนจนน่าสงสารจริงๆนะครับ ริมฝีปากที่ขยับไปมาก็ดูเซ็กซี่ไปอีก ไม่รู้เพราะว่าเศร้าหรือความเมา ผมโดนสายตาประหัตประหารจับจ้องจนใจหวิวไปหมดแล้ว เราสบตากันไม่รู้ว่านานแค่ไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโน้มใบหน้าไปใกล้มันได้อย่างไร มันเหมือนมีแรงดึงดูดฉุดให้เลื่อนลงไปช้าๆจนกระทั่งลมหายใจเราผสานกัน ริมฝีปากเย็นเฉียบสัมผัสแผ่วเบาและค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น ลมหายใจแรงขึ้นหอบพร่า ผมลองบดริมฝีปากเข้าไปอีกจนไอ้ตงเปิดอ้าให้ลิ้นของอุ่นฉกฉวยโอกาสสัมผัสความหวานขมด้านในอย่างช้าๆ จังหวะตอบกลับสอดรับกันจนหลงระเริง สองมือของมันดันตัวให้มาอยู่นั่งบนโซฟากลายเป็นตัวสูงใหญ่ของมันโน้มหน้ามาจูบและกดทับตัวผมให้จมลงบนผืนผ้านุ่นนั้นแทน

             ผมโดนมือใหญ่ที่ไล้ลูบปลดกระดุมออกทีละเม็ด ปลายนิ้วเขี่ยที่เม็ดไตบนหน้าอกจนเสียวแปลบ เมื่อโดนจู่โจมเช่นนี้มีหรือจะยอมแพ้ ผมรั้งตัวมันเข้ามาก่อนจะผลักออกให้ร่างของมันนอนราบลงบ้าง เสื้อเชิ้ตผืนบางถูกแกะออกจนเผยผิวสีแทนแน่นขนัดอวดสู่สายตา ผมละฝีปากจากรสจูบเร่าร้อนมาเป็นโลมเลียเนื้อเนียนที่นอนดิ้นพล่าน เนื้อตัวหอมหวานกรุ่นกลิ่นผู้ชายเจ้าเสน่ห์ ลิ้นหนาเลียวนชิมรสชาติของร่างกายที่แสนสมบูรณ์แบบนี้อย่างตื่นเต้น มื้อไม้สั่นไม่หยุด แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา ผิวพรรณของไอ้ตงมันเนียนละเอียดแต่เปี่ยมไปด้วยมัดกล้ามเนื้อลีนขึ้นรูปสวย ขนสะดือที่ปีนป่ายเลยขอบกางเกงมาทำให้ยิ่งเซ็กซี่

“อะ ไอ้เตี้ย อื้อ” มันครางเสียงกระเส่าเมื่อลิ้นแฉะผมฉกที่หัวนมเม็ดใหญ่ของมันจนขึ้นรูป ใช้เวลาครอบดูดตรงนี้เนิ่นนานจนร่างกายไอ้ตงบิดเร่า บั้นเอวลอยเด่นโดยมีส่วนแข็งขืนเสียดสีที่หน้าขาผมไปมา

“อื้อ ไอ้เตี้ย กะ กูเสียว อื้อ ไอ้เตี้ย”

“ว่ากูเตี้ย เตี้ย เตี้ย ย้ำอยู่นั่นแหละ ... เตี้ยแล้วไง เตี้ยๆแบบกูก็เป็นผัวมึงได้นะ” เมื่อผละจากหน้าอกผมก็ไล้ลงไปที่แผงกล้ามหน้าท้อง กางเกงสีดำถูกปลดออกเผยให้เห็นก้อนนูนเด่นแข็งปั๋งในกางเกงในสีขาว รอยเยิ้มฉ่ำเปื้อนจนเห็นได้ชัดเจนดูเย้ายวนไปหมด

“อย่างมึงอะนะ จะมาเป็นผัวกู อ๊า....” ผมครอบปากกับดุ้นยาวใหญ่ของมัน กลิ่นสาปที่เกิดจากการหมักหมมมาทั้งวันโชยคลุ้งกระตุ้นให้วาบไหวยิ่งกว่าเดิม รสเฝื่อนจากของเหลวที่เยิ้มออกมาถูกดูดกลืนไปหมด คนตัวใหญ่ดิ้นพล่านราวกับคนไม่ประสา แต่เท่าที่รู้มา ไอ้ตงมันเจ้าชู้ใช่ย่อย และผมไม่คิดว่านี่เป็นครั้งแรกของมันที่มีอะไรกับผู้ชายหรอกนะ

“ไอ้เตี้ย อ๊า อื้อ” มันครางโหยหวนเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย แรงดันที่ทะลักทลายถูกผมรีดเฟ้นกลืนกินจนแห้งเหือด ดาราหนุ่มหล่อนอนแผ่บนโซฟาอย่างเย้ายวน สองมือผมรีบพลิกตัวมันให้หันหลังอย่างง่ายดายราวกับมันพึงพอใจกับสิ่งที่โดนปรนเปรอให้

...เชี่ย ไม่มีเจล... ผมคิด แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าในห้องไอ้ตงมีอะไรแบบนี้อยู่จึงรีบวิ่งไปคว้ามา ... ไหนมึงบอกว่าจะกลับตัวพิสูจน์กับพ่อแม่ไงวะ ทำไมมีเจลหล่อลื่นหน้าโต๊ะเครื่อแป้งมึงได้ล่ะ

             เมื่อชะโลมของเหลวหนืดใสลงบนนิ้วก่อนจะเขี่ยบั้นท้ายของมันที่เด้งรับอย่างรู้หน้าที่ ใช้เวลากับตรงนี้ให้นานหน่อย ปล่อยให้ปลายนิ้วสอดแทรกลึกลงไปพร้อมกับเสียงครางไม่เป็นจังหวะ

“อื้อ อ๊า” ไอ้ตงยกก้นตัวเองเด้งรับ ผมสาละวนกับส่วนนี้นานพอสมควร จากหนึ่งเป็นสอง ท้ายที่สุด...นิ้วที่สามเข้าไปจนสุด

“กูขอนะไอ้ตง” เสียงกระซิบนั้นแทบจำไม่ได้ว่าเปล่งออกมาจากปากตัวเอง ผมตื่นเต้น ดีใจ และต้องการมันอย่างที่สุด

“อะ อื้อ มะ ไม่เอา กะ กูไม่ชอบผู้ชาย” มันตอบทั้งๆที่บั้นท้ายมันไม่ขยับหนีแม้แต่น้อย xxอยากปากตอแหลนะมึง

“เหรอวะ แต่ทำไมก้นมึงเด้งรับดีจังวะ” ผมยัดนิ้วเข้าไปอีกครั้ง

“อ๊า อื้อ” เสียงครางของมันเล่าความจริงเสมอ ผมจับบั้นท้ายมันให้ลอยเด่น หลังจากที่หยิบหมอนที่ประดับโซฟามารองที่หน้าท้องมันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้ไอ้เอกราชหน้ามืดไปหมด เบื้องหน้าคือสวรรค์ของคนที่หล่อจนตะลึง ไอ้คนตัวเตี้ยจับจ่อพลังงานบางอย่างที่ปากถ้ำก่อนที่จะ..

“อ๊า ไอ้เตี้ย มึงยัดอะไรมาในก้นกูวะ โอ๊ย เชี่ย เจ็บ มึงเอาไม้แข็งๆมายัดก้นกูทำไม โอ๊ย” ไอ้ตงกรีดร้องลั่น แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเพราะกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำในสิ่งที่คนทั่วไปไม่กล้าทำกับดาราหนุ่มหล่อคนนี้

“อ๊า เจ็บ เอาออกไป เชี่ย อะไรวะใหญ่ชิบหาย เอาออกไป๊” มันดิ้นขยับตัวหนี แต่โดนผมรั้งให้กลับมา แรงกระแทกส่งผลให้ตัวมันสอดพรวด

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก” น้ำตามันไหลไม่ขาดสายครับ เพราะบั้นท้ายมันรับไอ้นั่นของผมไปหมดแล้ว เหมือนที่จินตนาการไว้เลยครับ ข้างในมันร้อนเร่า ยืดหยุ่น คับแน่นจนเสียวไปหมด บรรยายอย่างไรก็คงไม่อาจตรงกับความรู้สึกของผมในตอนนี้ เมื่อแท่งร้อนๆขนาดใหญ่ของไอ้เตี้ยปักในตัวของคนที่หมายปองจนสุดกำลัง แรงกระตุกภายในหนุบหนับจนขยับไม่ไหว มันร้อนเร่าราวกับถูกลาวาร้อนแผดเผาให้มอดไหม้ ก่อนจะพุ่งทะยานจนทะลุปรอทและกลับมาโหมโรมรันอย่างเร่าร้อนวนลูปไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ...

“ตอดชิบ” ผมสบถแผ่วเบา นอกจากจะต้องสะกดกลั้นอารมณ์แล้วยังต้องสะกดกลั้นไอ้หนึ่งน้อยให้ใจเย็นๆอย่าเพิ่งแตกอีกด้วย

“อื้อ เอาออกก่อน กูเจ็บ” มันร้องขอความเห็นใจ

“มึงเอาอะไรยัดมาวะ กูเจ็บ ไม่เคยมีอะไรใหญ่ขนาดนี้ยัดก้นกูมาก่อน อึ๊ก” มันร้องโหยหวน ผมได้แต่แค่นยิ้ม

“แสดว่าที่ผ่านมามึงเคยเจอมีแต่เล็กๆงั้นเหรอ” ผมถาม มันไม่ตอบครับ สงสัยจะอายตัวเองเพราะเพิ่งบอกเองว่าไม่ชอบผู้ชาย ในเมื่อท่าทางมันเป็นแบบนี้ ไอ้กระผมต้องสั่งสอนสักหน่อย

ป๊าบ!

“ฮ๊า ไอ้เชี่ย จุก”

“มึงก็ตอบกูมาสิ”

“เออ กูเคยรับแต่อันเล็กๆ อันขนาดนี้กูไม่เคย” ผมยิ้มครับ ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือสะใจ

“งั้นดีเลย กูนี่แหละจะทำให้มึงลืมผู้ชายคนอื่นให้หมด”

“อื้อ อ๊า” ไอ้ตงครางลั่นห้องเมื่อผมเริ่มจังหวะบรรเลงเพลงรักที่อัดแน่น ความสุขสมล้นปรี่จนต้องจัดให้มันชุดใหญ่ ให้สาสมกับความหล่อของมัน ให้สาสมกับที่มันชนผมแล้วไม่ยอมขอโทษ คิดดอกเบี้ยตอนที่มันแกล้งผมอีก จะเอาให้มันลุกไปไหนไม่ได้เลยอีก 3 วัน คอยดูฝีมือไอ้เตี้ยคนนี้ละกัน....



[โท เอกภาพ]

             เครื่องยนต์ที่แล่นอย่างเงียบกริบ กับไอเย็นของแอร์รถยนต์ที่ปะทะใบหน้าไม่ทำให้ผมคลายความเครียดได้เลยแม้แต่น้อย ตอนที่ได้รับสายจากโรงพยาบาลว่าแม่ที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดเอานิ่วออกมาวันก่อนอาการไม่ดีเพราะเลือดไหลไม่หยุด แค่นั้นแหละ น้ำตามันก็ไหลออกมาเองอย่างห้ามไม่ได้

“โท โทเป็นอะไร” เสียงใสของคนที่ผมแอบชอบถามอย่างเป็นห่วง เมื่อหันไปสบตาก็เห็นแววตาอบอุ่นส่งมา ใบหน้าที่ส่งผ่านความสับสนงุนงงพ่วงความสงสารมาทำให้แทบสะอื้นออกมา

“แม่เรา แม่เราอาการไม่ดี” ผมตอบไปแบบนั้น ในหัวคิดอะไรแทบไม่ออก “ต้องไปหาแม่ เราต้องไปหาแม่”

“โทใจเย็นๆ แม่อยู่ที่ไหน”

“...”

“โท ตอบมาก่อน ที่ไหน”

“อ๊ะ...” ผมบอกชื่อโรงพยาบาลไป ขวัญใจหยิบมือถือมาเปิดแกรปเพื่อเรียกรถให้ไปส่ง ผมได้ยินบทสนทนาของขวัญกับตงฉินและไอ้หนึ่งก็พอเบาใจ ตอนที่ยืนรอรถมารับก็พยายามติดต่อพี่ชายตัวเอง

[เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้]

....


(https://s3.ap-southeast-1.amazonaws.com/media.fictionlog/chapters/5e587b0e162e32001ad44ef6/5e587defO4ehameY.jpeg)
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? -My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 9(NC+) P.2 Up 27 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-02-2020 09:58:50
 :pig4: :pig4: :pig4:

อ่าววววว  ผิดคาด

อาตงโดนเจ้าเตี้ยเสียบซะงั้น
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? -My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 9(NC+) P.2 Up 27 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 28-02-2020 22:18:26
จัดรีแมตช์ให้ตงด้วยหน่อนนะแบบแฟร์ๆกับหนุ่มๆทุกคนหน่อยพี่โทกับคุณต่อด้วย  :impress2:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? -My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 9(NC+) P.2 Up 27 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 29-02-2020 10:40:04
ผิดตาดเลย น้อยเตี้ยดุจริงๆ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? -My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 9(NC+) P.2 Up 27 ก.พ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 29-02-2020 12:41:20
คิดว่าเป็นครั้งแรกของตง ที่ไหนได้เคยเจอแต่เล็กๆ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 10 P.2 Up 4 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 04-03-2020 09:26:27
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 10. คอมโบ้เซ็ต เข็ดไปอีกนาน

[โท เอกภาพ]

             เครื่องยนต์ที่แล่นอย่างเงียบกริบ กับไอเย็นของแอร์รถยนต์ที่ปะทะใบหน้าไม่ทำให้ผมคลายความเครียดได้เลยแม้แต่น้อย ตอนที่ได้รับสายจากโรงพยาบาลว่าแม่ที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดเอานิ่วออกมาวันก่อนอาการไม่ดีเพราะเลือดไหลไม่หยุด แค่นั้นแหละ น้ำตามันก็ไหลออกมาเองอย่างห้ามไม่ได้

“โท โทเป็นอะไร” เสียงใสของคนที่ผมแอบชอบถามอย่างเป็นห่วง เมื่อหันไปสบตาก็เห็นแววตาอบอุ่นส่งมา ใบหน้าที่ส่งผ่านความสับสนงุนงงพ่วงความสงสารมาทำให้แทบสะอื้นออกมา

“แม่เรา แม่เราอาการไม่ดี” ผมตอบไปแบบนั้น ในหัวคิดอะไรแทบไม่ออก “ต้องไปหาแม่ เราต้องไปหาแม่”

“โทใจเย็นๆ แม่อยู่ที่ไหน”

“...”

“โท ตอบมาก่อน ที่ไหน”

“อ๊ะ...” ผมบอกชื่อโรงพยาบาลไป ขวัญใจหยิบมือถือมาเปิดแกรปเพื่อเรียกรถให้ไปส่ง ผมได้ยินบทสนทนาของขวัญกับตงฉินและไอ้หนึ่งก็พอเบาใจ ตอนที่ยืนรอรถมารับก็พยายามติดต่อพี่ชายตัวเอง

[เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้]

“รถมาแล้ว ขึ้นรถเร็ว” ขวัญใจกระชากแขนล่ำของผมให้เข้าไปนั่งด้านใน กว่าจะรู้สึกตัวพวกเราก็มาไกลถึงทางสะพานพระราม 9 แล้ว ...

“ขวัญมากับเราแบบนี้แล้วจะกลับยังไงล่ะ” เมื่อใจสงบก็เริ่มคิดได้ บ้านของขวัญกับทางที่กำลังไปนั้นคนละทางเลยนะ

“ไม่ต้องห่วงเราหรอก เดี๋ยวเราเรียกแกร็บกลับเอง”

“ไม่ห่วงได้ไงล่ะ แถวนั้นไม่ค่อยมีรถเลยนะ แถมตอนนี้ก็ดึกแล้ว เราจะปล่อยให้ขวัญกลับเองได้ยังไง เราเป็นห่วง” รู้ตัวว่าย้ำคำว่า เป็นห่วง มากกว่าหนึ่งรอบ คนที่นั่งข้างๆก็จ้องหน้าเขม็งเลย

“โทเป็นห่วงเราขนาดนั้นเลยเหรอ” เอาแล้วไง ตอนนี้จะเริ่มว้าวุ่นใจอีกครั้งแล้วนะโว้ย

“อะ อื้อ” แมนๆครับ ยอมรับตามตรง แต่ทำไมกลายเป็นอีกคนที่หน้าแดงไปซะอย่างงั้น ในรถมืดนะครับ แต่ผมยังเห็นอาการเขินของเธอได้ชัดเจน

“แล้วทำไมตอนนั้นโทถึงมาว่าเรา เอ่อ...”

“ปละ เปล่า เราไม่ได้ตั้งใจว่านะ” ผมนึกถึงวันก่อนที่เรียกขวัญว่ายัยนมแบน “คือไอ้หนึ่งมันแนะนำว่าถ้าอยากให้คนที่ชอบจำเราได้ เราต้องสร้างความต่างอะ”

“ห๊ะ...” อ้าว เชี่ย...พลาด

“เอ่อ...” ไอ้โทเอ๊ย มึงเพิ่งหลุดปากบอกว่าชอบไปนะ

“....”

“เรา คือ ... แค่อยากให้ขวัญจำเราได้ คือเราไม่ใช่คนหล่อ ไม่มีรถขับ เห็นคนอื่นมารุมจีบขวัญเราก็ใจแป้วแล้ว”

“...”

“พอไอ้หนึ่งมันแนะนำแบบนั้นมา เราก็เลย...ขอโทษนะที่เราปากไม่ดี” ไหนๆก็ไหนแล้วนี่นะ สารภาพไปตรงๆละกัน



[ขวัญจิรา]

             อื้อหือ....ดาเมจแรงมากค่ะ ใครจะไปคิดว่าดาวคณะบริหารธุรกิจกำลังถูกผู้ชายที่เคยด่าว่านมแบนสารภาพความในใจบนรถแบบนี้ น่าแปลกใจยิ่งกว่าก็คือขวัญดันใจเต้นไม่เป็นจังหวะเสียด้วย อยากจะเปิดประตูแล้วบินตรงกลับบ้านให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

RRRRRRRRRRRRR

             เสียงโทรศัพท์ดังมาได้จังหวะพอดี ไม่งั้นคงต้องก้มหน้างุดด้วยความเขินไปอีกนานแน่นอน พอดูชื่อคนที่โทรเข้ามาก็พาลไม่อยากรับไปเสียอย่างนั้น ...

“ใจคอจะปล่อยให้มันดังไปเรื่อยๆเหรอ” โทเอ่ยปากถาม ขวัญเลยกดที่ปุ่มด้านข้างมือถือให้เสียงเรียกเข้าเงียบไป

“ไม่รับสายพี่เค้าแบบนี้ ไม่กลัวเค้าน้อยใจเหรอ” ยังจะมาถามอีก ถ้าขืนรับสายตอนนี้ก็ได้รู้หมดว่าเสียงสั่น

“ไม่เป็นไรหรอก ...มั้ง” ที่ตอบไปนี่ก็ไม่มั่นใจเหมือนกันนะ



 [ตงฉิน]

             ผมตื่นมาตอนเช้าด้วยอาการปวดหัวอย่างแรง คงเพราะเมื่อคืนซดเบียร์ไปทั้งๆที่ท้องยังว่าง ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหนด้วยซ้ำ เมื่อสะบัดหัวขับไล่ความเจ็บก็ลุกขึ้นมาแล้วความเจ็บอีกจุดหนึ่งก็แล่นพรวดจนจี๊ดไปหมด

“เชี่ย อูยยยย เจ็บก้นสัด” ผมลูบก้นตัวเองครับ แล้วมันก็เป็นอย่างที่คิด ของเหลวที่แห้งกรังตรงขอบบอกว่าไอ้ตงฉินคนหล่อตกเป็นเมียของใครสักคนอีกแล้ว แต่ทำไมครั้งนี้มันเจ็บจังวะ ขนาดโดนเปิดตอนอายุ 15 ยังไม่เจ็บขนาดนี้เลย ความปวดระบมมันเล่นงานจนต้องค่อยๆลุกขึ้นมา ตอนนั้นแหละที่สังเกตว่ามีคนนอนกอดผมอยู่ เมื่อมองลงไปก็ทำให้ตกใจแทบเป็นลม

“อะ ไอ้เตี้ย”

“อื้อ จะนอน” ไอ้หนึ่งมันนอนหลับสนิท ไอ้ที่อยู่กลางตัวมันน่ะแข็งปึ๋งและใหญ่มากจนน่ากลัว

“ชะ เชี่ยละ” ผมคิดทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น จำได้ว่ายื่นเบียร์ให้ไอ้หนึ่ง คุยกันเรื่อยเปื่อย ผมร้องไห้ มันก็มาจูบปลอบใจ แล้วหลังจากนั้น....

“อ๊า ไอ้เตี้ย มึงยัดอะไรมาในก้นกูวะ โอ๊ย เชี่ย เจ็บ มึงเอาไม้แข็งๆมายัดก้นกูทำไม โอ๊ย” ผมนึกถึงเสียงร้องระงมเมื่อคืนอย่างอับอาย นึกว่ามันแกล้งโดยการใช้ไม้อะไรแข็งๆใหญ่ใส่เข้ามา แต่พอมองสิ่งที่พ่อมันให้มาแล้วก็ใจกระตุกวาบ มึงเล่นใหญ่ขนาดนี้กูจะเหลือความฟิตเหรอวะ

“อุ๊บ” เพี้ยะ! ผมทรุดกองกับพื้นตอนที่ลุกออกมาจะไปเข้าห้องน้ำ มือฟาดที่หน้าไอ้คนทำร้ายผมจนยับให้ตกใจตื่น

“ไอ้สัด เจ็บ” มันผุดนั่งลูบหน้าอย่างเจ็บปวด

“เจ็บแค่นั้นไม่ตายหรอก อูยยยย” ผมนี่สิ ยอกไปทั้งตัว

“เป็นไรวะ” มันถามที่เห็นอาการของผม

“เจ็บสิวะ ถามได้” นั่นไง ทำหน้างงครับ

“เจ็บ”...มันคิดครู่หนึ่ง “อ๋อ เชี่ยกูเกือบลืม ไหนเป็นไรมากปะวะ”

“ไม่ต้องมายุ่ง” ผมปัดมือมันออก เอาตรงๆคือเขินมากกว่า แต่ความเจ็บก็ยังมีอยู่เยอะ

“อย่าดื้อ” มันรั้งตัวจนทรุดนอนกองกับโซฟาในท่าพิลึกพิลั่น ครึ่งตัวผมแนบบนโซฟา แต่ครึ่งล่างกับไม่มาด้วย กลายเป็นชูก้นให้มันสำรวจซะอย่างงั้น....ฮืออออ มึงช่วยให้เกียรติอาชีพกูด้วย ไอ้เตี้ย!

“ไม่มีอะไรน่าห่วง ไม่มีเลือด แค่บวมๆกับแฉะๆ”

“ไม่ต้องบรรยายก็ได้มั้ยไอ้สัด” ผมพยุงร่างตัวเองไปที่ห้องน้ำด้านนอก ตอนนี้ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด อาการท้องเสียหลังจากดื่มของมึนเมาทำพิษซะแล้ว เป็นตอนไหนไม่เป็น ดันมาเป็นตอนนี้

....ตอนที่โดนไอ้เตี้ยสอยตูด

“อื้อออออออออออออ” ผมเบ่งสุดตัวครับ ไม่ใช่อะไร มันเจ็บและแสบมาก น้ำตาหยดแหมะเลยครับ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาเจอของใหญ่อะไรขนาดนี้ ท้องไส้ก็ไม่ดีอีกต่างหาก พรั่งพรู ...

“อื้ออออออออ เชี่ย แสบโว้ยยยยยยยยย” ผมตะโกนอย่าไม่อายใครละ ห้องกูเองนี่หว่า

“ไอ้ตง ไหวมั้ยวะ เป็นอะไรมั้ย” ไอ้เตี้ยเคาะประตูห้องน้ำรัวๆถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“มึงไม่ต้องมายุ่ง อื้ออออ ไอ้เชี่ย มึงน่ะตัวดีเลย” ผมกร่นด่า ใครจะคิดวะ ว่าตัวเท่าลูกหมาจะอลังการงานสร้างได้ถึงเพียงนี้

“ไอ้ตง เปิดประตู ให้กูเข้าไป”

“พะ พ่อง มึงจะเข้ามาทำไม กูขี้ อื้ออออออออออออ ย่ะ อยู่”

“ขี้เชี่ยอะไรวะ ทำไมมึงร้องครางขนาดนี้”

“ก็กูแสบก้นไงไอ้สาด ผีมือมึงนั่นแหละ อูยยยยยยยยยย” ผมตะโกนตอบ นึกเจ็บใจที่ตัวเองพลาดท่าเสียทีจนได้ ... เมื่อเสร็จกิจก็เดินกระเผลกมานอนคว่ำที่โซฟา โดยมีไอ้เตี้ยที่เดินแกว่งตุ้มไปมาหากระดาษมาเช็ด

“อูย เบาๆไอ้สัด กูเจ็บ” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อมันเช็ดตรงที่แสบ

“เห้อ กูก็นึกว่ามึงโดนมาจนชิน ที่ไหนได้วะ”

“ชินพ่องมึงสิ กูโดนแค่ไม่กี่ครั้งเอง ที่เหลือกูจัดหมด” ผมว่าของผมก็ไม่น้อยละนะ แต่ดันมาแพ้ไอ้เตี้ยนี่ซะได้

“ไม่ต้องห่วงหรอก ต่อแต่นี้ไป มึงจะไม่ลืมรสชาติของกูไปอีกนาน”

“มั่นใจนะไอ้สัด” ผมผุดนั่ง แต่กลับโดนมันดันให้นอนดังเดิม

“ไม่มั่นใจก็ไม่ใช่ไอ้หนึ่งสิครับ ถึงกูจะเตี้ยกว่ามึง 20 เซ็น แต่กูก็มีอย่างอื่นที่ยาว 20 เซ็นมาทดแทนนะเว้ย” มันไม่แค่พูดแต่กำลังบดอะไรบางอย่างที่ปากถ้ำผมอยู่อะดิ

“อะ ไอ้เตี้ย มะมึงจะทำอะไรวะ ย่ะ อย่า ... อ๊อกๆ อื้ออออออออ” ดูท่าว่ามันจะไม่ยอมให้ผมลืมเลือนรสชาติของมันแล้วจริงๆสินะ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 10 P.2 Up 4 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-03-2020 21:49:30
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 10 P.2 Up 4 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-03-2020 23:43:39
 :pig4: :pig4: :pig4:

เคะตัวใหญ่เมะตัวเล็กเหรอเนี่ย
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 10 P.2 Up 4 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 05-03-2020 00:28:20
อื้อหือ น้องเตี้ยไม่ธรรมดาจริงๆ.  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 10 P.2 Up 4 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 05-03-2020 19:03:53
ตงคงไม่ลืมง่ายๆ แน่
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 11 P.2 Up 6 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 06-03-2020 10:25:59
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 11. พัง

[ตงฉิน]

             ผมตื่นมาอีกทีก็สายมากแล้วจากเสียงเตือนจากมือถือ ปกติลงคิวถ่ายงานไว้ในนั้นหมดและเปิดให้แจ้งเตือนครั้งแรกอย่างน้อย 3 ชั่วโมง กันพลาด แต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมีงานเลยจริงๆ เมื่อกดมาดูแล้วก็ต้องรีบลุกสิครับ วันนี้มีถ่ายละครอีกด้วย

“อื้อออออออออ” เจ็บครับ ไอ้เตี้ยมันจัดคอมโบ้เซ็ตเลยเมื่อเช้า

“ไปไหนวะ” มันลืมตามาถาม

“ไปอาบน้ำ วันนี้กูมีถ่ายละคร”

“มึงไหวเหรอวะ ขอลาสักวันสิ” มันออกความเห็น

“ขอบใจนะสัด แต่จะลาได้ไงล่ะ กองเค้าไม่ได้นัดแค่กูนะเว้ย มีดาราคนอื่นเพียบ ไหนจะตากล้อง ช่างไฟ ทีมงานอีกหลายชีวิต ขืนกูไม่ไปมีหวัง...”

“แต่มึง...” ไอ้หนึ่งพูดแค่นั้นและเพ่งมาที่ก้นผม

“ห่วงกูเหรอ” มันพยักหน้า “มึงห่วงประสาอะไรวะ อัดจนกูยับเยินแบบนี้” มันเกาหัวแก้เก้อ ผมส่ายหน้าอย่างระอาก่อนพาร่างไปที่ห้องน้ำโดยมีไอ้เตี้ยช่วยพยุง



             กองถ่ายวันนี้เริ่มถ่ายฉากของผมตอนบ่าย ละครเรื่องนี้เกี่ยวเป็นละครย้อนยุคที่ผมต้องแสดงเป็นคนจน อาชีพพ่อค้าที่ต้องแต่งตัวด้วยชุดซอมซ่อ และถีบจักรยานไปขายของ...

“เชี่ย มึงไหวแน่นะ” ไอ้หนึ่งที่เป็นห่วงและเป็นต้นตอของเรื่องทั้งหมดตามมาด้วยครับ เพราะสภาพผมนี่ไม่ไหวจริงๆ ยังดีนะที่มันยอมลงทุนไปซื้อผ้าอนามัยมารองก้นผมไว้เพื่อกันกระแทก “รู้งี้กูซื้อแบบมีปีกมาก็ดี”

“มีปีกพ่อง” ผมตวาดมันครับ แต่ลืมว่าเขาเปิดไมค์แล้ว

“ปีกอะไรครับน้องตง ในบทไม่มีนะครับ”

“มะ ไม่มีอะไรครับ” ผมตอบแค่นี้ เพราะไม่รู้ว่าจะแถอะไรดี

“เอาล่ะ ซ้อมก่อนนะคะ น้องตงมาตรงนี้ค่ะ ... เอ วันนี้ไม่สบายรึเปล่าคะ ทำไมเดินแปลกๆ” พี่ผู้ช่วยถามเมื่อเห็นท่าเดินของผม ไม่ให้แปลกได้ไงล่ะครับ ในก้นก็มีผ้าอนามัยแปะอยู่ แถมความเจ็บแสบยังไม่ค่อยหายดี ยิ่งเดินก็ยิ่งตึงรั้ง ท่าเดินเหมือนเป็ดที่โยกย้ายไปมาดุ๊กดิ๊กๆ

“ฉากนี้น้องตงจะต้องขี่รถจักรยานจากตรงนี้ไปตรงนั้นนะคะ แล้วจอดที่กลุ่มชาวบ้านที่กำลังมุงดูของ กล้องจะตามไปด้านนี้ และด้านนี้ น้องตงอย่าหลุดไปมองที่อื่นนะคะ”

“ครับ” ผมใจสั่น เพราะคิดสภาพแล้ว...

“เอาค่ะ ซ้อมนะคะ เทควัน” ผมก้าวขึ้นจักรยาน แค่จังหวะแรกก็ร้าวไปหมด ต้องฝืนตัวเองสุดๆไม่ให้แสดงอาการเจ็บปวดออกมา

“คัตค่ะ น้องตงอย่าหลับตาสิคะ ลองใหม่ช้าๆ” ไม่ให้หลับตาได้ไงวะ ก็มันเจ็บ...ขึ้นนั่งแล้ว พอก้นมันติดเบาะแค่นั้นแหละ

“อื้อ” ร่างกายมันกระตุกเองเพราะความเจ็บ

“น้องตงคะ ในบทไม่มีว่าต้องกระตุกแบบนั้นนะคะ” พี่ผู้ช่วยตะโกนบอกมาผ่านโทรโข่ง ผมมองไปไอ้ตัวต้นเหตุที่เหมือนจะกลั้นหัวเราะจนหน้าแดงไปหมด คอยดูเถอะมึง...กูจะหาทางเอาคืนให้สาสม

“เห้ย แต่ผมว่าดีนะ ดูมันแบบเรียลดี” ผู้กำกับบอกกับผู้ช่วยที่กำลังทำหน้างง

“เรียลยังไงวะ”...แต่คำพูดนี้ก็ไม่ได้พูดออกไป

             หลังจากซ้อมไปสองรอบ และถ่ายจริงอีกสามรอบเพราะผู้กำกับอยากได้ภาพหลายๆมุม ผมก็เดินอย่างไร้เรี่ยวแรงมายังที่นั่งพัก ยังดีหน่อยที่ออกกองคราวนี้มีห้องพักนักแสดงให้ เลยได้เข้ามาหลบมุมในนี้ ลองคิดว่าถ้าตัวเองไม่ดังหรือเป็นแค่ตัวประกอบสิ ป่านนี้คงนอนเฉาไปละ เจ็บก็เจ็บ ร้อนก็ร้อน 

“ไหวแน่นะมึง” น้ำเสียงมันถามดูห่วงใย แต่อาการขำก่อนหน้านี้คืออะไรวะ

“เออ” ผมตอบคนถามอย่างรำคาญ แม่งนึกว่าตายไปละ ทำกูเจ็บได้ขนาดนี้เลยนะเนี่ย

“อะนี่น้ำ กูไปขอพี่ทีมงานมาให้” ไอ้หนึ่งยื่นแก้วน้ำเก็บความเย็นที่ติดชื่อตงฉินมาให้ ผมดูดอึกใหญ่อย่างกระหายเนื่องจากเสียพลังงานกว่าปกติหลายเท่า ไหนจะต้องเจ็บยอกตอนขึ้นไปนั่งบนเบาะและถีบรถไปมาอีก “ปิดไมค์ยังเนี่ย”

“ปิดแล้ว” ผมไม่มีทางพลาดอีก แค่นี้ก็กลัวคนจะรู้ชิบหายแล้วล่ะ ไอ้หนึ่งเอามือมาแตะหน้าผาก ผมทำหน้าสงสัยส่งไปให้

“ไม่มีไข้ ดีหน่อย”

“จะมีไข้ได้ไงล่ะวะ”

“ก็ไม่รู้สิ นึกว่าโดนจัดไปขนาดนั้นแล้วจะป่วย” เชี่ย ผมเกลียดใบหน้าเหมือนผู้ชนะของมันในตอนนี้ชิบหาย...

“จัดเชี่ยอะไรของมึง”

“หืม อย่าบอกนะว่าจำไม่ได้ งั้นให้กูทวนความจำหน่อยดีมั้ย” มันไม่แค่พูด แต่โน้มหน้ามาประชิดเลยครับ ผมขยับตัวไม่รอดแล้ว ถึงตัวจะโตกว่า แต่รุกเข้ามาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงก็พลาดพลั้งได้เหมือนกัน .. มันประกบจูบเลยจ้า

ผมดิ้นไปมา พอมีแรงฮึดก็ผลักมันออกก่อนต่อยปากไปทีนึง

“อย่ามาทำรุ่มร่ามแถวนี้นะ ในกองถ่ายคนเยอะแยะ ถ้ามีข่าวหลุดไปจะซวยเอา” 

มันมองหน้าผมอย่างคนสำนึกผิด ...

“อีกอย่าง กูไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้ อย่ามาทำกับกูอีก” ผมเดินออกจากห้องพักอย่างรวดเร็วด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ไม่รู้เพราะโกรธที่มันทำรุ่มร่ามไม่เลือกที่ หรือว่าโกรธที่ตัวเองพูดใส่มันแบบนี้กันแน่...

             จบฉากสุดท้ายตอนเที่ยงคืนพอดี วันนี้เรี่ยวแรงหมดเกลี้ยงแทบเดินไม่ไหว หลังจากร่ำลาพี่ๆทีมงานเสร็จสรรพก็ขนของมาที่รถ ตั้งแต่ผมตวาดใส่มันไปตอนนั้น ไอ้หนึ่งก็ไม่อยู่แล้ว ... ไอ้เราก็มัวแต่ยุ่งเลยไม่ได้โทรหรือส่งข้อความอะไรไปหา แต่ช่างเถอะ ... มันผิดจริงๆนี่หว่า ทำอะไรไม่เลือกที่

             ผมก้าวขึ้นรถอย่างทุลักทุเลจากอาการบาดเจ็บ รู้สึกตัวรุมๆเหมือนเป็นไข้อีกด้วย ปวดขมับและเปลือกตาไปหมด ขอบตาร้อนผ่าวเหมือนคนจะร้องไห้ คงเป็นเพราะพิษไข้ แอร์รถยนต์ที่เปิดเพียงน้อยนิดกลับทำให้หนาวจนตัวสั่น ครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมดจนอยากสลบไปให้รู้แล้วรู้รอด...พอพิงหัวกับเบาะรถยนต์เท่านั้นแหละ ภาพทุกอย่างก็ดับมืดลง

แปะ แปะ แปะ ... ผมสะดุ้งตื่นจากแรงตบเบาๆที่แก้ม แค่ลืมตายังยากเลยเพราะตอนนี้เพลียกายไปหมด หนักอึ้งจนไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นนอกจากนอนนิ่งๆ

“ไอ้ตง ไหวมั้ย ไอ้ตง” เสียงคุ้นเคยนั้นถาม แต่ผมไร้เรี่ยวแรงจะตอบ

“อื้อ”

“มึงไม่สบายเหรอวะ...เชี่ย ตัวร้อน... ขยับไปนั่งฝั่งโน้นเดี๋ยวกูขับเอง”

“อื้อ” ผมงัวเงียและหงุดหงิดจากแรงผลักจากเจ้าของเสียงแต่ก็ต้องยอมจำนนเลื่อนตัวไปที่เบาะข้างอย่างทุลักทุเล ไหนจะหัวชนเพดาน เข่าเคาะกับเกียร์ แถมรองเท้าหลุดหายไปตอนไหนก็ไม่รู้ ... ลำบากชิบ

“ไข้สูงมาก ไปโรงพยาบาลนะ”

“อื้อ” จะบอกว่าไม่ไป แต่ส่งเสียงได้แค่นี้ ก่อนจะหลับวูบไปอีกครั้ง



             ผมวางนิตยสารซุบซิบวงการบันเทิงอย่างหัวเสีย อาการไข้ผมดีขึ้นแล้วหลังจากนอนซมมา 2 วัน โชคดีหน่อยที่พี่หมอเป็นญาติของขวัญใจ เรื่องเลยง่ายขึ้น ไม่ต้องส่งไปตรวจภายในหรือทำอะไรให้นักข่าวเอาไปเขียนข่าวได้ แต่ก็ไม่วาย....มีข่าวผมพาดหน้า 1 ดาราหนุ่ม ต. มีหนุ่มปริศนาเทียวไปรับ-ส่งถึงกองถ่าย งานนี้แม่ยกว่าไง

“เชี่ย”

“คะ” พยาบาลที่เช็ดตัวให้สะดุ้งเฮือกจนผมต้องขอโทษเป็นการใหญ่

“ก่อเรื่องอะไรอีกวะ” ไอ้หนึ่งก้าวเข้ามาในห้องโดยที่ผมไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูด้วยซ้ำ ในมือหิ้วของกินมาเพียบ เห็นแล้วน้ำลายไหล

“นี่ไง” ผมโยนนิตยสารให้มัน

“กูอ่านแล้ว” มันตอบแค่นี้ ใบหน้าไม่ได้เดือดร้อนอะไรด้วยซ้ำ

“แล้ว...” ถามไปแบบไม่คาดหวังว่ามันจะต้องเข้าใจหัวอกผมหรอก ไอ้การที่มีข่าวซุบซิบออกมามันมีผลดีมากกว่าผลเสียตลอดอยู่แล้ว ด้วยอาชีพที่ต้องออกสื่อตลอดเวลาเช่นนี้ การที่ไม่มีข่าว เท่ากับว่าไม่มีใครสนใจ

“กูต้องถามมึงมากกว่ามั้งว่าอ่านแล้วเป็นไง”

“กูก็เพิ่งหลุดเชี่ยออกมาไง” ถ้าจะให้ได้อรรถรสมากกว่านี้ แนะนำให้เปลี่ยน ตัว ช เป็น ห เปลี่ยนไม้เอกเป็นไม้โท ที่คำว่า เชี่ยนะครับ

“คือมึงไม่พอใจที่มีข่าวหลุดเพราะกูเฝ้ามึงถ่ายละครว่างั้น” มันถามและยักไหล่ ยิ่งทำให้อยากถีบยอดหน้า แต่พักก่อน ตอนนี้ยังยกขาไม่ขึ้น

“ช่างเหอะ” ผมเบื่อที่จะต่อล้อต่อเถียง มันไม่จบสิ้นหรอก ยังดีที่รูปถ่ายมันเบลอๆเลยไม่เห็นว่าใครเป็นใคร

“ไอ้ตง”

“หืม”

“ไอ้ตง”

“อะไรอีก” ผมตอบด้วยความรำคาญ มันคือต้นเหตุที่ทำให้ป่วยขนาดนี้ แถมยังพาซวยเป็นข่าวด้วยกันอีก

“...”

“มึงกลับไปก่อนไป กูจะนอน” ตอนนี้ไม่อยากรับรู้หรือคิดอะไรอีกแล้ว ผมหันหลังให้มัน ข่มตาลงไปและไม่รู้สึกตัวอีกเลย
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 11 P.2 Up 6 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-03-2020 11:59:45
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 11 P.2 Up 6 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 06-03-2020 23:07:13
มีภาพหลุด น้องตงจะว่างัยจ๊ะ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 11 P.2 Up 6 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-03-2020 23:13:40
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 11 P.2 Up 6 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 07-03-2020 18:27:36
มีภาพหลุด น้องตงจะว่างัยจ๊ะ


ตงคงโวยวายบ้านแตกแน่ๆ  :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 11 P.2 Up 6 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 07-03-2020 21:37:40
หนึ่งต้องง้อเมียด่วน
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 12 P.2 Up 9 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 09-03-2020 10:29:54
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 12. บรรยากาศมันพาไป

[โท เอกราช]

             ตั้งแต่ไอ้ตงออกจากโรงพยาบาล พวกเราก็เหมือนอยู่ในสภาวะอึมครึมแปลกๆ ช่วงนี้ไอ้โทมันไปไหนมาไหนกับขวัญใจชนิดที่ว่าตัวติดน้ำตาลหยดจนมดตาม วีระกรรมตามจีบดาวคณะโด่งดังพอดู เพราะมันโค่นคู่แข่งอย่างเดือนมหา’ลัยปีที่แล้วอย่างราบคาบ ระยะเวลาแค่ไม่กี่อาทิตย์ แต่มันก็พิชิตใจสาวสวยไปได้...ผมล่ะยอมมันจริงๆ

             มีแต่ผมกับเรื่องคาราคาซังนี่แหละที่ยังหาทางออกไม่ได้ ช่วงนี้ต่างฝ่ายต่างหลบหน้ากันไปก่อน ไอ้ตงมันขับรถไปเรียน ผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์เอา ไม่อยากนั่งรถกับมันสองต่อสอง แค่เรื่องข่าวซุบซิบก็ทำมันเกือบพังไปแล้ว ดีหน่อยที่ไม่มีนักข่าวสาวมาถึง เพราะดาราคนอื่นที่มีข่าวว่าเป็นเกย์รับเคราะห์ไปแทน

ปึก

“เชี่ยอะไรวะ” หนังสือเรียนเล่มใหญ่ฟาดที่หัวจนเจ็บ พอมองที่คนฟาดมาก็อยากจะด่า

“มึงเป็นอะไรไอ้หนึ่ง ช่วงนี้เหม่อจังวะ”

“หึ สังเกตด้วยเหรอ นึกว่าติดสาวจนลืมกูไปซะละ”

“ปากมึงนี่นะ เดี๋ยวเจอถีบ” ไอ้โทตอบก่อนนั่งลงที่ม้าหินอ่อนหน้าคณะ ช่วงนี้เราว่าง มีเรียนอีกทีคือตอนบ่ายเลย

“ลมอะไรหอบมึงมาห๊ะ ไม่ตามแฟนไปไหนมาไหนเหรอออออ” ผมแซวไป ไม่รู้ว่าคบกันหรือแค่คนคุย ไอ้เราก็เชียร์อยู่...

“แหมมมม เดี๋ยวนี้ดังหรา มาหาไม่ได้เนี่ย...ขวัญไปทำรายงาน กูขี้เกียจไปเฝ้า” มันตอบและเอาน้ำเก๊กฮวยผมไปดูดจนเกลี้ยง

“มึงแม่ง” อันนี้บ่นให้กับน้ำหวานที่หมดไป “สรุปเรื่องที่กูไลน์ไปถามว่าไงวะ”

“นี่แหละที่กูจะคุย” มันทำหน้าจริงจังขึ้นมาบ้าง...ประมาณ 3%

(-_-)’ >> หน้าผม

“มึงมีปัญหาอะไรกับไอ้ตงรึเปล่าวะ” มาแล้วไงคำถามที่ไม่อยากตอบ ถึงไอ้โทมันจะรับรู้รสนิยมทางเพศของผม แต่มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่ผมจะต้องไปบอกว่าไอ้ตงเป็นแบบไหน แต่การที่ไม่ได้เล่าอะไรเลยมันทำให้รู้สึกโคตรอึดอัด

“เปล่า กูแค่อยากย้ายมาอยู่หอใน มันสะดวกกว่า” แถครับ แถ

“มึงก็รู้ว่าไอ้ตงมันขอให้เราอยู่กับมันเพราะพ่อมันคาดโทษไว้ ถ้าเราเสือกออกตอนนี้มันก็ต้องระเห็จกลับไปอยู่บ้านใช่มั้ยล่ะ”

“อื้อ” อันนี้ก็ยอมรับ ถึงแม้เหตุผลของมันดูเบาบาง แถมการที่พวกเราได้ไปอยู่กับมันเพราะเป็นสองคนแรกที่มันเจอก่อนรายงานตัวซะอีก ยังเคยคิดนะ ถ้ามันเกิดเจอไอ้คิ้วหรือไอ้ฉัตรก่อน พวกเราทั้งคู่คงไม่ได้อาศัยอยู่คอนโดมันเป็นแน่

“แล้วอยู่ๆมึงจะย้ายออก ... มึงบอกกูมาเดี๋ยวนี้ว่าพวกมึงทะเลาะอะไรกัน”

“ไม่มี๊” เสียงจะสูงทำไมวะ “ก็แค่...”

“มึงอย่าคิดว่ากูโง่นะ กูกินข้าวไม่ได้กินหญ้าที่จะไม่รู้เรื่องที่พวกมึงมึนตึงใส่กันและแยกกันมาเรียนคนละคันน่ะ” ไอ้ตงรถยนต์หรู ไอ้กระผมมอ’ไซค์เก่าๆ

“....”

“จะเล่าไม่เล่า ถ้ามึงไม่เล่า กูก็ไม่ย้าย อยู่กับไอ้ตงดีจะตาย ใกล้ขวัญด้วย” นั่นไงธาตุแท้พี่กู มันอยากอยู่คอนโดเดียวกับแฟนมันชัดๆ ... สายตาที่มองมาแบบคาดคั้นทำให้รู้สึกลำบากใจเข้าไปอีก

“...”

“แล้วมึงอย่าริคิดออกไปอยู่คนเดียวนะ ทำแบบนั้นพี่เอกรู้เรื่องแล้วลากตัวกูไปอยู่กับมึงแน่ๆ ห้ามพรากกูกะขวัญนะ เข้าจั๊ย” โห ไอ้สาด บล็อกกูทุกทาง พี่เอกพี่ชายไอ้โทนั้นก็เฮี้ยบ ไม่ได้ใจดีเท่าไหร่หรอก มีดีอย่างเดียวคือ ซื่อไปหน่อย

“เชี่ย มึงนี่แม่ง” ในใจก็ยอมจำนนครับ แต่ก็ยังหวั่นๆ

“สรุปมึงจะไม่เล่า” มันถามต่อ เหมือนคำถามสุดท้าย ถ้าผมไม่ตอบ มันก็จะไม่เซ้าซี้เหมือนที่ทำๆมา

“ก็ไม่มีอะไร คือ....” ผมเริ่มเล่า เริ่มต้นจากวันที่ไอ้โทหนีกลับบ้าน เรื่องดื่มเบียร์ที่ห้อง ข้ามเรื่องอย่างว่าไปหน่อย ไปเฝ้าไอ้ตงถ่ายละครและเป็นข่าว

“ชะ เชี่ย ไอ้ตงมันคิดยังไงถึงยอมจูบกับมึงวะ” ไอ้โทรู้แค่นี้แหละครับว่าเราแค่จูบกัน ไม่ได้สาธยายเรื่องใต้สะดือเข้าไป

“กูทำไมวะ หน้าตาอย่างกูจูบใครไม่ได้ว่างั้น”

“ก็เปล่า แต่แม่ง...น้ำเมานี่ไม่เป็นผลดีจริงๆ”

“พูดจายังกะคนแก่ พูดอย่างกับมึงไม่ดื่ม” ไอ้โทมันตัวดีเลยล่ะเรื่องขี้เมาเนี่ย

“สรุปคือ ข่าวที่ซุบซิบคือเรื่องของมันกับมึง”

“เออ”

“แต่ไหงข่าวที่ออกมาเป็นสัมภาษณ์คนอื่นละวะ”

“กูจะรู้มั้ย กูไม่ได้เป็นนักข่าว”

“อืมมมม สรุปพวกมึงมีปัญหาอะไรกันแน่วะ”

“อ้าว ไอ้นี่” เปลืองน้ำลายชะมัด



             ตอนเย็นเป็นช่วงเวลาที่อึดอัดอีกช่วงหนึ่ง เพราะทีมหลีดที่ตอนนี้เหลือ 39 คน ไอ้โทขอถอนตัวเนื่องจากเหตุผลทางบ้าน มีแต่ผม ไอ้คิ้ว ไอ้ฉัตรและไอ้ตงที่ถือว่าเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่น หลังจากผ่านการซ้อมมาได้เกือบสองอาทิตย์ พี่ๆทีมหลีดก็จะประกาศผลการคัดเลือก ในใจผมนี่โคตรตื่นเต้น ก็คนไม่เคยเป็นหลีดมาก่อนนี่หว่า ความสูงระดับฮอบบิทไม่เคยนำพาชีวิตของไอ้หนึ่งออกมาสู่สายตามวลมนุษยชาติแบบนี้เลยสักครั้ง

“เอาล่ะค่ะน้องๆ วันนี้พี่จะมาประกาศผลการคัดเลือกทีมหลีดของคณะในงานกีฬามหา’ลัยปีหน้า ก่อนอื่นพี่ก็ต้องขอขอบคุณน้องๆทุกคนที่เสียสละเวลามาร่วมซ้อม พี่รู้ว่ามันเหนื่อยและค่อนข้างยาก ความทุ่มเทของน้องๆนั้นทำให้พี่ลำบากใจที่สุดที่จะต้องคัดคนที่เหมาะสมเข้าทีม” พี่เปรี้ยว หัวหน้าทีมหลีดปี 2 เกริ่นยาวเหยียด เอาเข้าจริงน้องเกือบทุกคนไม่ได้อยากเป็นหลีดหรอก เพราะต้องซ้อมหนักและเหนื่อย

“รายชื่อที่พี่จะประกาศต่อไปนี้ คือรายชื่อของทีมเชียร์หลีดเดอร์ปี 1 ของคณะบริหารธุรกิจนะคะ” พี่เปรี้ยวเริ่มจากฝั่งผู้หญิงก่อน แน่นอนว่าขวัญใจของพวกเราก็เป็นหนึ่งในนั้น พอประกาศจบ พี่เปรี้ยวก็เริ่มอ่านรายชื่อฝ่ายชาย

“คนที่ 1 ตงฉินค่า” ไม่ต้องเดาไม่ต้องลุ้น คนหล่อระดับเทพโดนขานชื่อคนแรกเลยครับ เวลาผ่านไปจนถึงคนที่ 6 ไม่มีชื่อไอ้คิ้ว ไอ้ฉัตรและแม้กระทั่งผม ใจนึงก็แอบลุ้น ใจนึงก็โล่งเพราะไม่อยากเข้าทีมกับไอ้ตง ตอนนี้ยังตึงๆกันอยู่

“และคนสุดท้าย ... น้องเตี้ย เอกราชค่า”

“ห๊ะ” เอาแล้วไงกู คือ...บรรดาหลีดชายทั้งหมด กูเตี้ยสุดเลยนะ เอาไปเป็นหลุมเหรอพี่

“ไปดิ ชื่อมึงอะ” ไอ้ฉัตรผลักผมให้ออกไปยืนเข้าแถวกับคนอื่นๆ แม่ง....จะต้องรู้สึกยังไงดีวะ ไอ้คนที่หล่อกว่า สูงกว่าดันไม่เอา มาเอาเตี้ยๆอย่างกูเนี่ยนะ

“เอาล่ะค่ะ เป็นอันว่าครบแล้วนะคะสำหรับทีมเชียร์หลีดเดอร์ในปีนี้....” พี่เปรี้ยวร่ายยาวหลังจากประกาศผล พร้อมทั้งนัดแนะเรื่องการซ้อม ก่อนหน้านี้พวกเราไม่ต้องเข้าห้องเชียร์ แต่หลังจากนี้ทีมหลีดจะต้องมาซ้อมหลังจากเลิกเชียร์ด้วย ทำเอาพวกเราบ่นอุบ ไหนจะต้องเรียน เข้าห้องเชียร์เจอพี่ว้าก ออกมาซ้อมหลีดต่อ...ถถถถถ ชีวิต

“แม่ง นึกว่าจะรอด พวกพี่ๆเค้าใช้อะไรเลือกวะ”

“ส้นตีน...มั้งครับ” ไอ้ฉัตรเป็นคนตอบ

“ครับไอ้สัด”

“สัดพ่อง กูชื่อฉัตร”

“เอาน่าไอ้เตี้ย อย่างน้อยมึงก็ยังมีไอ้ตงอยู่ซ้อมเป็นเพื่อนนะ” ไอ้คิ้วออกความเห็น มันหน้าตาค่อนไปทางคมเข้มและหล่อเอาการ ความสูงก็เกือบ 180 แต่ทำไมดันไม่ติดวะ “เออ ไอ้ตง คืนนี้พวกกูไปกินเหล้านะ ไปปะ”

“ที่ไหนวะ” คนถูกถามเปิดปากถามกลับหลังจากเงียบมานาน รู้สึกว่ามันกับผมมีระยะห่างที่มองไม่เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ

“ที่เดิม xx บาร์” ไอ้ฉัตรหันมาตอบ ร้านนี้เป็นร้านโปรดของเหล่าเด็กมหา’ลัย เพราะราคาไม่แพง บรรยากาศดี และอยู่ไม่ไกลมาก ที่สำคัญคือไม่ต้องตรวจบัตร

“เออ กี่โมงก็บอกละกัน” ไอ้ตงรับคำ

“มึงไปมั้ย ไอ้เตี้ย ไอ้โท”

“กูไม่ไปว่ะ คืนนี้กลับไปเฝ้าแม่” ไอ้โทชิงตอบ เหลือแต่ผมนี่แหละที่ต้องหาข้ออ้างที่ฟังขึ้นเพื่อจะได้ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับไอ้ตง

“กูมีนัด”

“มึงเนี่ยนะมีนัด วันๆเห็นเกาะแต่ไอ้โทไม่ก็ไอ้ตง” ไอ้คิ้วพล่าม ไอ้ชิบหาย

“มึงห้ามเบี้ยวกูนะ หลายรอบแล้วนะมึงน่ะ” ไอ้ฉัตรสนับสนุน แม่งไอ้เพื่อนเวร ผมมองหน้าไอ้โทอย่างขอความช่วยเหลือ แต่มันก็เมินใส่...ดีจังเลยนะมึง

“เออ ไปก็ได้” แค่รับปากพวกมันก็เฮลั่น หลังจากนัดแนะเวลาเสร็จสรรพพวกเราก็ต่างแยกย้ายกลับ ไอ้โทกลับกับขวัญใจและคงเลยไปที่โรงพยาบาลต่อ ส่วนผมน่ะเหรอ ต้องเดินต๊อกๆมาที่ลานจอดมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ถัดจากลานจอดรถยนต์ไม่กี่เมตร

บรื้น.... “ติดสิวะลูกพ่อ”

แต็กๆ ... เสียงรถมันฟ้องว่าอาการไม่ดีอีกแล้วครับท่าน เพิ่งเปลี่ยนหัวเทียนไปเมื่อเดือนก่อนเองจะมาทำพ่อขายหน้าแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย ...ผมพยายามสตาร์ทเครื่องต่อเนื่องจนปวดขาไปหมด รถก็ยังไม่ยอมติด ... จะว่าน้ำมันหมดรึก็ไม่ใช่เพราะเพิ่งเติมมา น่าจะหัวเทียนบอด

             ทีนี้ทำไงล่ะ หวังจะพึ่งพาแกรบก็ยังไม่ไหวเพราะเดือนนี้เหลือเงินไม่กี่บาทเอง คืนนี้จะต้องไปเมากับไอ้พวกนั้นอีก ดีไม่ดีอาจจะเนียนไม่จ่าย ยกยอดไปทีเดียวตอนสิ้นเดือน หลังจากตัดสินใจได้ว่าจะไปขึ้นรถฟรีที่หน้าหอสมุดเยื้องๆกับคณะแล้วค่อยต่อรถรับจ้างกลับคอนโด ผมก็พาตัวเองเดินต๊อกต๋อยตามทางเปลี่ยวไปเรื่อยๆ เพราะมันมีทางลัดจากคณะเพื่อไปถึงที่หมายได้ไวกว่า

ปี๊น!!

             ผมสะดุ้งจนตัวโยนเมื่อเสียงแตรรถยนต์ดังลั่นในยามนี้ หน้าหอสมุดมีแสงไฟน้อยนิดเนื่องจากมีการปิดปรับปรุงจึงงดให้บริการหลังหกโมงเย็น เสียงล้อรถเบรกเอี๊ยดลั่นถนนเหมือนจะหยุดรถกระทันหันทำให้ต้องหันไปมอง

“ไปไหน” เสียงคุ้นเคยนั้นทักมาหลังเปิดกระจก ผมหันไปสบตาคนขับที่สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ

“กลับคอนโด”

“แล้วรถไปไหน” มันยังถามอยู่ ยังดีที่รู้ว่ากูมาเรียนยังไง

“สตาร์ทไม่ติด”

“ขึ้นมาสิ”

“...” หืม...อึ้งสิครับ อึ้ง

“ขึ้นมาเหอะ รถบริการไม่มาง่ายๆหรอก” ไอ้ตงเป็นคนชวนผมขึ้นไปนั่งบนรถมัน เมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วไม่มีวี่แววผู้คนและรถรางรับส่งนักศึกษา ก็เลยต้องจำใจเข้าไปนั่งในรถ

             เสียงเพลงในรถคลอเคลีย จังหวะเหมือนเพลงบัลลาดกึ่งๆกับอาร์แอนด์บี ท่วงทำนองฟังแล้วเหงาปนเศร้า ถึงแม้จะไม่ค่อยรู้ความหมายและไม่เคยฟังมาก่อน แต่ก็ติดหูไม่น้อย...

All along it was a fever

 A cold sweat hot-headed believer

 I threw my hands in the air, said, "Show me something"

 He said, "If you dare, come a little closer"

Round and around and around and around we go

 Oh now, tell me now, tell me now, tell me now you know

Not really sure how to feel about it

 Something in the way you move

 Makes me feel like I can't live without you

 It takes me all the way

 I want you to stay

 

“เพลงอะไรวะ เพราะดี” ในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบที่เกิดขึ้น ไอ้ตงขับรถหลังตรงไม่แลหางตา

“Stay ของ Rihanna”

“ทำไมมันฟังดูเศร้าๆจังวะ มึงชอบแนวนี้เหรอ”

“ก็เพลงเศร้านี่หว่า เหมาะสำหรับคนอกหัก” มันตอบเสียงเรียบ

“มึงอกหักเหรอวะ” มันไม่ตอบ ได้แต่ยักไหล่ ผมก็ไม่ถามอะไรต่อ ถ้าเขาไม่อยากพูด ก็ไม่อยากซักไซร้เพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ตอนนี้ได้แต่กดค้นหาเนื้อเพลงในอินเตอร์เน็ตและพยายามร้องคลอเบาๆ

Not really sure how to feel about it

 Something in the way you move

 Makes me feel like I can't live without you

 It takes me all the way

 I want you to stay

Ooh, ooh, ooh, the reason I hold on

 Ooh, ooh, ooh, 'cause I need this hole gone

 Funny you're the broken one but I'm the only one who needed saving

 'Cause when you never see the light it's hard to know which one of us is caving




ความหมายดีแฮะ... เมื่อเราไม่เห็นแสงสว่าง มันก็ยากจะรู้ว่าคนไหนยังข้ามผ่านไม่ได้ ฟังแล้วลองแปลดูมันทำให้จี๊ดที่ใจจังเลยวะ

“ไอ้เตี้ย เอ่อ ไอ้หนึ่ง” ไอ้ตงลดเสียงเพลงและหันมาเรียกชื่อผม เป็นครั้งแรกที่มันแก้ไขจากคำว่าไอ้เตี้ย เป็นชื่อจริงๆแทน

“หืม”

“มึง เอ่อ หลบหน้ากูเหรอวะ” น้ำเสียงมันดูไม่มั่นใจ ผมก็เช่นกัน

“ปละ เปล่านี่ ทำไมมึงคิดงั้นวะ” ตอนนี้ในใจมันเต้นระส่ำระสายผิดจังหวะไปหมด นี่กูแสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอวะ

“ไม่มีอะไร” มันเลือกจะเงียบ ไม่ถามอะไรต่อ บางครั้งผมก็สับสนกับท่าทีของมัน หลายครั้งมันก็มั่นใจในตัวเองสูงมาก แต่ก็มีมุมที่อ่อนไหวให้เห็นเหมือนกัน

“มึง...” ผมเค้นคำพูด ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนดี ด้วยความที่พยายามหลบหน้ามาหลายวัน พอถึงเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังก็ยิ่งทำให้พูดไม่ออก

“...”

“กูขอโทษ” กลายเป็นว่าผมพูดได้แค่นี้ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงพูดมันออกไป หรือผมอาจจะรู้สึกผิดที่ไปมีอะไรกับมัน ทำมันบาดเจ็บจนเข้าโรงพยาบาล หรือไม่ก็เป็นคนที่ทำให้เกิดข่าวหลุดออกมา

“ช่างมันเถอะ” ไอ้ตงตอบแค่นี้ ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่าเราโกรธกันเรื่องอะไร แต่ความห่างเหินที่มีอยู่ตอนนี้มันก็ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

             เสียงเพลงในรถยังดังต่อเนื่อง จบเพลงของริฮานน่าก็ต่อด้วยเพลง Somebody that I used to know ของ Gotye ศิลปินชาวออสเตรเลียที่อยู่ๆก็ดังเป็นพลุแตก เดิมทีรสนิยมไอ้โทไอ้หนึ่งไม่ได้ชอบเพลงสากล แต่เพราะไอ้ตงมันหัวนอกชอบแนวนี้ เปิดในรถตอนขับไปไหนมาไหนตลอด การที่ไปด้วยกันบ่อยขึ้นพวกเราก็เลยค่อยๆซึมซับและชินหูในการฟังเพลงฝรั่ง ผมรู้สึกว่าเพลงมันไม่เคยเก่า ไม่ว่าจะยกเพลงปี 1997 มาฟังตอนนี้ ก็ยังรู้สึกว่ามันร่วมสมัย ไม่รู้ว่ามันไพเราะ หรือเพราะเราแปลไม่ได้กันแน่ที่ทำให้ฟังเท่าไหร่ก็รู้สึกไม่ตกยุคเลย

But you didn't have to cut me off

 Make out like it never happened and that we were nothing

 And I don't even need your love

 But you treat me like a stranger and that feels so rough

 No, you didn't have to stoop so low

 Have your friends collect your records and then change your number

 I guess that I don't need that though

 Now you're just somebody that I used to know

 Now you're just somebody that I used to know

 Now you're just somebody that I used to know




“ไอ้ตง...มึงว่าตอนนี้กูเป็นแค่คนเคยรู้จักของมึงรึเปล่าวะ” ผมตัดสินใจถาม ด้วยเพราะอารมณ์เพลง หรือเพราะความเคลือบแคลงใจ หรือไม่ก็เพราะบรรยากาศระหว่างพวกเราดูแปลกไปก็ไม่รู้

“ไม่นี่”

“แต่ทำไม มึงกับกูถึงดูห่างเหินกันเหลือเกินวะ” เกิดความเงียบครู่ใหญ่ขึ้นในรถ เหมือนเวลามันหยุดเดินไปนานแสนนาน มีเพียงเสียงลมหายใจและเสียงเพลงเท่านั้นที่เปล่งออกมา ผมเหม่อมองวิวผ่านกระจกด้านซ้ายมือ ไม่คาดหวังว่ามันจะตอบอะไร แค่ได้พูดก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว

“ไอ้หนึ่ง ... กู ... ไม่อยากให้พวกเราเอ่อ...”

“มีอะไรกัน” ผมสวน

“อืม” มันตอบสั้นๆ เสียงเพลงท่อนสุดท้ายดังขึ้นบาดหู

Somebody (I used to know)

 (Somebody) Now you're just somebody that I used to know

 Somebody (I used to know)

 (Somebody) Now you're just somebody that I used to know

 I used to know, that I used to know, I used to know somebody

 

ผมนิ่งเงียบ...เพราะคำตอบมันบาดใจ

ทำไมมันเจ็บจี๊ดขนาดนี้วะ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 12 P.2 Up 9 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-03-2020 10:49:02
 :pig4: :pig4: :pig4:

มีอะไรกันเนี่ย  มันมีหลายความหมายนาจา
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 12 P.2 Up 9 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 09-03-2020 19:41:17
 :z3:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 12 P.2 Up 9 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 10-03-2020 00:52:31
มันอะไรยังงัยกันน้อ  :hao4:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 13 P.2 Up 16 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 16-03-2020 15:29:17
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 13. รู้ตัวช้า

             แผ่นหลังกว้างเดินนำมาตลอดทาง ไม่มีคำพูดใดๆเปล่งออกมาจากปากพวกเราอีกนับตั้งแต่มันบอกความต้องการออกมา มันก็ไม่แปลกหรอกที่ไอ้ตงมันจะไม่อยากมีอะไรกับผมอีกแล้ว มันบอกมาตลอดว่าไม่ชอบแบบนี้ ทั้งๆที่เสียงครางของมันโคตรเซ็กซี่ก็ตาม มันยืนยันว่าชอบผู้หญิง และก็มีผู้หญิงเข้ามาเกาะแกะมันไม่ขาดสาย การที่พวกเรากลายมาเป็นรูมเมตกันมันก็น่าเหลือเชื่อเกินพอแล้ว จะให้ขยับสถานะให้ลึกซึ้งมากกว่านี้ มันคงเป็นไปไม่ได้อย่างสุดโต่ง

“อ้าว ไอ้โท ทำไมยังอยูนี่ล่ะ” น้ำเสียงของไอ้ตงดูแปลกใจไม่ต่างจากผมที่ได้เห็นเพื่อนสนิทในคราบของลูกพี่ลูกน้องนั่งเล่นเกมที่โซฟา

“ลืมไปว่าแม่กูกลับบ้านแล้ว” มันตอบ แต่มันยอมหันมามองพวกเรา “คืนนี้พี่กูไปค้างที่บ้าน กูไม่ต้องไปก็ได้”

“เออ แล้วขวัญใจล่ะ” ผมถอดรองเท้าวางที่พื้นก่อนไปนั่งข้างๆมันคอยกวนตอนมันกดหน้าจอมือถือ

“อย่ายุ่งสิไอ้หนึ่ง ... ขวัญกลับห้องไปแล้ว มีอะไรเปล่า”

“คืนนี้พวกไอ้คิ้วไอ้ฉัตรชวนไปล่า มึงไปปะล่ะ” ผมถาม

“ไม่รู้ว่ะ ถามขวัญก่อน” ไอ้นี่ ติดหญิงชิบหาย

“เดี๋ยวกูถามให้” ไอ้ตงตัดบท เพราะเข้าใจดีว่าคนจะเล่นเกมคงไม่มีอารมณ์ทำอย่างอื่น และเดินเข้าห้องนอนของมันไป

“พวกมึงมีอะไรกันอีกรึเปล่าวะ” ไอ้โทมันถามทั้งๆที่สองตามันจดจ่อที่จอมือถือ

“ไม่มี” คำตอบที่ให้ คือความต้องการที่ผมอยากให้เรื่องจริงมันเป็นแบบนั้น



             สองทุ่ม....พวกเราทุกคนพร้อมแล้วที่จะออกล่า คืนนี้ขวัญใจไปด้วย เพราะไม่อยากอยู่ห้องคนเดียว และไม่อยากกลับบ้าน เมื่อสมาชิกครบทีม ก็ได้เวลาออกเดินทาง หลังจากเรียกรถได้แล้วก็พากันอัดแน่นในนั้นจนกระทั่งถึงร้าน ...

             บรรยากาศของร้านนั้นดูเป็นกันเอง ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป มีโซนให้เลือกคือ โซนดนตรีสดและโซนดีเจ พวกเราจับกลุ่มที่ฝั่งดนตรีสดก่อนเพราะยังไม่มีใครกินอะไรมาเลย กองทัพต้องเดินด้วยท้องก่อนเสมอ หลังจากกับข้าวหลายอย่างมาครบ อาการแร้งลงก็ปรากฎให้เห็น ทุกอย่างหมดเกลี้ยงในเวลาไม่กี่นาที

“นี่น้องฟาง แฟนกู” ไอ้คิ้วแนะนำเด็กสาวที่อายุน่าจะยังไม่ถึง 18 ให้รู้จัก ใบหน้าสละสวยราวกับตุ๊กตาของน้องฟางทำให้เคลิ้มตามไม่ยาก โต๊ะเราตอนนี้มีสมาชิกมากกว่า 20 คน เพราะไอ้ฉัตรมันเปิดชวนคนอื่นๆในเฟสบุ๊กด้วย เพื่อนร่วมคณะเลยแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน เสียงเพลงยังโดนเสียงกลุ่มเรากลบมิด

“สวัสดีค่ะ” น้องฟางยกมือไหว้พวกเรารอบโต๊ะ

“น้องฟางน่ารักขนาดนี้ คิดยังไงเป็นแฟนกับไอ้นี่ได้ครับน้อง”

“นั่นสิ วันก่อนพี่ยังเห็นมันไปหม้อสาวบัญชีอยู่เลย”

“ถ้าไอ้คิ้วมันทำให้น้องเสียใจ หันมาซบไหล่พี่ได้นะ” เสียงแซวดังก้อง น้องฟางได้แต่เขินหน้าแดงอายม้วน ผิดกับไอ้คิ้วที่พยายามยืนและไล่ตบกบาลคนปากไม่ดี โดนบ้างพลาดบ้างปะปนกันไป เรียกเสียงหัวเราะได้เป็นอย่างดี ไม่รู้เหมือนกันว่าแฟนมันจะเข้าใจรึเปล่าว่าเป็นแค่คำแซว

“นี่ๆ เลิกยุ่งกับคู่ไอ้คิ้ว มาจัดการคู่นี้กันดีกว่า” ไอ้คนต้นเรื่องผายมือไปที่ไอ้โทและขวัญใจที่นั่งเงียบอยู่ตั้งนาน

“จัดการอะไรวะ” ไอ้โทออกโรงจะปกป้อง

“แหมมมมมม ใครๆก็รู้ปะว่ามึงอะเจ๋งขนาดไหน สอยดาวเป็นแฟนหน้าตาเฉย”

“นั่นสิ กูยังตกใจเลยตอนที่รู้ข่าว นึกว่าข่าวลวง”

“ทำไมมึงคิดงั้นวะ” เพื่อนคนหนึ่งเปิด

“ก็ดูหน้ามันกับขวัญสิ คนละโลกเลย” คนหนึ่งตบจนไอ้โทหน้าตึง

“หน้าแบบกูแล้วเป็นไงวะ เค้าเรียกว่าหล่อฝังในเว้ย”

“ฝังลึกปะ” ใครสักคนถาม ตอนนี้เริ่มทะลึ่งละ ขวัญใจถึงกับหน้าแดงเถือก

“ลึกพ่อง” ไอ้โทแก้เก้อก่อนจะบอกให้ชนแก้วเพื่อเปลี่ยนบทสนทนา

             พอกรึ่มๆ โต๊ะที่เต็มไปด้วยซากอาหารก็ถูกเก็บกวาดให้เหลือเพียงแก้วเครื่องดื่ม ระหว่างที่รอโต๊ะในโซนดีเจว่างพวกเราก็คุยแหย่กันไปมาตามประสา ถึงแม้หลายต่อหลายคนจะจับกลุ่มก้อนกันไปแล้ว แต่เมื่อถึงคราวจับกลุ่มเมา แต่ละคนต่างก็พูดคุยราวกับสนิทกันมานับ 10 ปี แล้วจู่ๆ ไอ้ตงก็ลุกขึ้นและมองไปทางประตูร้าน พวกเราเลยมองตามพร้อมอ้าปากค้างเมื่อเห็นนางแบบดังเดินนวยนาดเข้ามาในชุดเดรสรัดรูปสีแดงเลือดนกสั้นจู๋มาใกล้กลุ่มเราเรื่อยๆและยิ้มให้ไอ้คนที่ยืนรออย่างอารมณ์ดี

“พวกมึง นี่แอนนา แอนนา นี่เพื่อนๆที่คณะ”

“ไฮ ทุกคน” เสียงใสตอบรับพร้อมเสียงอื้ออึงของไอ้พวกหื่นกาม แอนนาเป็นนางแบบดังที่เห็นได้ตามนิตยสาร ด้วยความสูงที่โดดเด่นและใบหน้าเก๋ โครงหน้าชัดแต่งหน้าจัดเต็มและทาปากสีแดงชาดขับให้ใบหน้าชวนหลงใหลยิ่งกว่าเดิม ตามหน้าปกหนังสือว่าสวยมากแล้ว เจอตัวจริงก็ยิ่งสวยคูณร้อย เรียกได้ว่าดาวคณะหมองไปเลย

“แม่ง เจ๋งว่ะ” ไอ้โทหันมากระซิบกับผมที่รู้สึกไม่ต่างกัน ไอ้ตงมันคลอเคลียกับแอนนาแบบไม่สนใจคนอื่นไปละ ทั้งหยอกล้อไปมาราวกับโลกนี้มีกันแค่สองคน เดี๋ยวหอม เดี๋ยวจมูกแนบลำคออย่างน่าอิจฉา

“เจ๋งจริง” ผมได้แต่มองตาปริบๆ นึกไม่ถึงเลยว่าคนที่เคยเป็นเมียวันก่อนจะควงสาวอ็อตปรอทแตกในวันนี้

“มึงโอเคปะ”

“อื้อ กูโอเค” ปากตอบไป แต่ใจคัดค้าน ตอนนี้หน่วงชิบหาย จะต้องทำหน้ายังไงดีวะเนี่ยที่เห็นภาพนั้น ตอนแรกก็คิดว่าแค่ถูกใจหน้าหล่อตรงสเป๊กของมันเฉยๆ แต่ตอนนี้ในใจว้าวุ่นจนนั่งแทบไม่ติด “กูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ผมลุกพรวดและจ้ำไปที่ห้องน้ำทันควัน

ตุบ

“โอ๊ย” ผมร้องลั่นเมื่อโดนชนอย่างแรงหน้าห้องน้ำ ประตูห้องน้ำชายมันทำมุมแปลกๆ คนข้างในจะมองไม่เห็นคนกำลังจะเดินเข้า ถ้าไม่ระวังก็จะโดนชนกระเด็น...แบบผมนี่แหละ

“ขอโทษครับๆๆๆ ผมไม่ทันมอง” น้ำเสียงคนชนเอ่ยปากขอโทษอย่างละล้าละลัง ยังดีหน่อยที่มีกะใจขอโทษ

“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ไม่ระวังเช่น... พี่เจด” เมื่อหันไปมองคนชน เราทั้งคู่ต่างก็ตกใจไม่น้อยไม่กว่ากัน จากดวงตาที่เบิกโพลงทั้งคู่เป็นหลักฐานชิ้นเอก

“น้องหนึ่ง” น้ำเสียงหล่อทุ้มยังเหมือนเดิม แถมยังเจือด้วยความดีใจอย่างปิดไม่มิด

“แป๊บนะพี่ ผมปวดฉี่ เดี๋ยวออกมาคุยด้วย” ก่อนอื่นต้องจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จ หลังจากล้างมือและเดินออกมาก็ไม่คิดว่าพี่เขายังอยู่ที่เดิม

“สบายดีไหม” พี่เจดถาม ใบหน้านั้นยังหล่อเหลาไม่สร่างซา ร่างกายเหมือนจะสูงใหญ่ขึ้นกว่าเก่า ผิวพรรณขาวเนียนแบบลูกคุณหนูเชื้อสายจีนผิดกับผมลิบลับ ถึงแม้จะแก่กว่าผม 2 ปี แต่หน้าตากลับดูเด็กกว่าจนนึกว่าเป็นรุ่นน้อง

“สบายดีครับ พี่ล่ะ” ผมถามต่อ พลางนึกย้อนไปเมื่อก่อน



             พี่เจด หรือ นายชิติพัทธ์ เล็กสุขเจริญ เป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่าในชมรมฟุตบอล ด้วยใบหน้าขาวตี๋และลีลาการเล่นตำแหน่งกองหน้าเก่งแบบหาตัวจับยากจึงทำให้เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาสาวๆ(และหนุ่มๆ)ทั้งโรงเรียน ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบและขอให้ไอ้โทที่มันจับพลัดจับผลุเข้าชมรมฟุตบอลของโรงเรียนได้เป็นพ่อสื่อ หลังจากที่ได้คุยกันและเป็นโชคดีที่สุดของผม พี่เจดก็ตกลงใจคบเป็นแฟน

             เหมือนที่เคยได้บอกไว้นะครับ ว่าพี่เจดเรียนจบออกมาก่อน และตอนนั้นผมก็ยังวัยรุ่นมากเกินกว่าจะคอยติดตามว่าพี่เขาสอบติดที่ไหน ชีวิตเป็นอย่างไร ตอนที่พี่เจดเครียดเรื่องอ่านหนังสือสอบ พวกเราก็เลยห่างกันไปโดยปริยาย และไม่ได้ติดต่อกันเลยตั้งแต่นั้นมา สถานะแฟนของเราก็เหมือนจะจบลงไปทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มต้นอะไรกันเท่าไหร่

“ก็ดี แล้วนี่มากับใครเนี่ย”

“มากับไอ้โทและเพื่อนร่วมคณะครับ พี่ล่ะ”

“โน่น” พี่เจดชี้ไปที่กลุ่มคนนับสิบที่มองเห็นผ่านมุมนี้ “เพื่อนที่คณะเหมือนกัน”

“หืม พี่เจดเรียนที่ xxx เหมือนกันเหรอครับ”

“อืม เราไม่รู้เหรอ น่าน้อยใจว่ะ”

“โหยพี่” ในใจนึกอยากจะขอโทษ แต่อะไรไม่รู้ค้ำคอให้ไม่เอ่ยออกไป

“หนึ่งเรียนคณะอะไรล่ะ”

“ผมเหรอ บริหารครับ พี่ล่ะ” ระหว่างทางเดินกลับโต๊ะ พวกเราก็สนทนากันมาขึ้น แม้เสียงดนตรีจะเริ่มดังมากขึ้น แต่ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันก็ทำให้เราลืมทุกอย่าง...เหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย

“วิศวะ”

“อ๋อ หนุ่มมีเกียร์” ผมแซว “แล้วมีเมียรึยังครับ” ทำไมพี่เจดต้องจ้องหน้าผมขนาดนี้ด้วยนะ แววตาที่เคยสดใสมันหายไปไหนแล้วอะ

“ยังหรอก แต่พี่มีแฟนแล้วนะ” อึ้งสิครับ ก็ไม่แปลกใจหรอกที่พี่เขาจะมีแฟน เพราะด้วยรูปร่างหน้าตาแล้ว ไม่น่ารอด

“ครับ”

“แต่แฟนพี่เค้าไม่ติดต่อมา 2 ปีแล้วอะ นี่ก็รอแล้วรออีกว่าเมื่อไหร่มันจะรู้ตัวซะที”

“...” ห๊ะ...อะไรนะครับ พี่พูดแบบนี้หมายความว่าไงเหรอ แฟนพี่มีกี่คนอะ แล้วไอ้คนไหนที่มันปล่อยให้พี่รอตั้ง 2 ปี ไม่ใช่ผมใช่มั้ย...ไม่ใช่แน่ๆ

“พี่ยังใช้เบอร์เดิมนะ” พูดจบแล้วพี่เจดก็เดินผละไปที่กลุ่มเพื่อน ทิ้งผมให้ยืนงงในดงวิศวะอย่างหายใจไม่ออก
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 13 P.2 Up 16 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-03-2020 20:22:54
 :pig4: :pig4: :pig4:

งุ้ย ๆ  แฟนเก่าที่ขาดการติดต่อไปบอกว่า  ยังรอแฟนเก่าคนนั้นอยู่  คริคริ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 14 P.2 Up 23 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 23-03-2020 14:56:42
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.


ตอนที่ 14. การกลับมาของใครคนนั้น

             หลังจากยืนอึ้งไปพักใหญ่ ผมก็ลากสังขารกลับไปที่โต๊ะอีกมุมหนึ่งของห้องน้ำ ทั้งห่างไกลเวที อยู่ในมุมลิบๆเหมือนมุมส่วนตัว ผองเพื่อนต่างกรึ่มๆกันไปบ้างแล้ว ไอ้ตงยืนควงแอนนาอย่างมีความสุข เห็นแล้วก็รู้สึกจี๊ดในอก ไอ้โทมันจิบๆแถมข้างๆมีสาวสวยระดับดาวคณะยืนประกบ เหมือนกิ่งทองกับใบหนาดพิกล ผมเดินไปสะกิดหลัง มันหันมาแต่ก็ไม่สนใจอะไร

“ไอ้โท”

“หืม” ไอ้นี่ เรียกดีๆไม่หัน ต้องแบบนี้

หมับ!

“มึง เดี๋ยวก่อน เป็นอะไร ปล่อยกู๊ จะลากกูไปไหน” ไอ้โทเอะอะเพราะโดนลากตัวมันออกมาจากกลุ่มเพื่อน ที่มันโวยวายเพราะไม่อยากห่างขวัญใจคนสวยต่างหาก ไม่ใช่เพราะห่วงจะกินเหล้า

“มึงอย่าถามมากน่า ตามกูมาก่อน” โต๊ะของวิศวะกับบริหาร(ปี 1) นั้นอยู่คนละมุม ผมตั้งใจลากไอ้โทมาซุ่มมองคนสูงๆที่ยืนอย่างหล่อเอาเป็นเอาตายอยู่ตรงนั้น ในโต๊ะวิศวะเหมือนจะรวมคนหน้าตาดี แต่ละคนสูงหล่อราวกับนายแบบ สาวๆทั้งร้านมองตามไม่ละสายตา แถมยังมีคนเข้าไปขอชนแก้วอีกนับไม่ถ้วน

“อะไรของมึงเนี่ย พากูมาที่นี่ทำไม” เราอยู่ห่างจากกลุ่มวิศวะไม่ไกลมากครับ แต่ก็ไม่ได้ใกล้จนมองไม่เห็น

“ดูนั่น” ผมชี้ไปที่โต๊ะนั้น

“ดูอะไรวะ”

“นั่นไง คนที่ใส่เสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์ขาดเข่าน่ะ”

“ใครวะ หน้าคุ้นๆ”

ป๊าบ ... ผมตีหัวมันเรียกความทรงจำ

“พี่เจดไง มึงจะไม่ได้เหรอ”

“เจดไหนวะ”

“พ่อง ชีวิตนี้มึงจะรู้จักผู้ชายที่ชื่อเจดกี่คนวะ”

“ก็คนนึง ตอนมอปลาย ... อย่าบอกนะว่า”

“เออ คนเดียวกัน แฟนเก่ากูไง”

“เชร็ดดดดด โลกกลมจังวะ”

“เออสิ”

“มึงเจอได้ไง” มันถาม ท่าทางดูสนใจมากขึ้น

“ในห้องน้ำ พวกกูเดินชนกัน”

“แม่ม ยังกะซีรี่ย์เกาหลี” เกาหลีพ่อง...

“พล่ามพอยัง มึง กูสับสน”

“สับสนเชี่ยอะไรอีก”

“ก็พี่เจดอะดิ แม่ง...” ผมเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้าให้ฟัง

“อ้าว เช็ดแม่ม หมายความว่าพี่เค้ารอมึงไงวะ ไอ้ฟาย”

“ด่าซะกูเสียความมั่นใจหมดไอ้ห่า”

“เออเดะ ขนาดมึงไม่ติดต่อเค้าตั้ง 2 ปี เค้าพูดอ่อยขนาดนี้ มึงยังเสือกโง่ ตีความไม่ออกอีก มึงมันโง่”

ด่ากูขนาดนี้ยัดกูกลับเข้ารังไข่แม่กูเถอะ

“แต่...”

“แต่อะไรอีก” ไอ้โทมันถามแบบหัวเสีย

“กูไม่แน่ใจว่ารู้สึกกับพี่เค้าแบบเดิมรึเปล่าน่ะสิ”

“ฟวย มึงแม่ง”

“มึงงงงงงงง กูควรทำไงดีวะ”

“ถามจริงไอ้เตี้ย ที่มึงสับสนเนี่ย เพราะพี่เจดเข้ามาอ่อย หรือเพราะสำนึกผิดที่ไม่ได้ติดต่อพี่เค้าหลายปี หรือว่าเพราะเหตุผลอื่นวะ” ไอ้โทมันถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เหตุผลอื่น อะไรวะ” ผมเกาหัวแกรกๆ

“ฟวย มึงนี่มัน... เอางี้ กูถามใหม่ ลองจินตนาการผู้ชายคนหนึ่งนอนเปลือยที่เตียงมึงนะ”

“ไอ้ฟาย” เอะอะลากกูเข้าเรื่อง 18+ ตลอด

“มึงอย่าเพิ่งขัดเสะ ...” มันด่ากลับ “จินตนาการมา ว่าผู้ชายที่นอนแก้ผ้าอ่อยมึงบนเตียง เป็นใคร ใช่พี่เจดหรือเปล่า”

...ผมลองทำตามที่มันบอก มองรูปร่างสูงชะลูดของวิศวะหนุ่มหล่อประกอบกัน จิตนาการถึงกล้ามแน่นๆ และซิกแพ็กที่เต็มหน้าท้อง กล้ามเนื้อน่องแน่นๆเพราะเป็นนักกีฬาฟุตบอล สะโพกกลมกลึงแน่นขนัด ...

“อืมมมม”

“คิดนานไปละนะมึง”

“เดี๋ยวสิ”

“ไอ้หนึ่ง”

“ว่า...”

“มึงมองพี่เจดขนาดนี้ ถามจริง ในหัวมึงตอนนี้ใช่พี่เค้ามั้ยวะ”

“คือ...”

“นั่นไงไอ้ควาย คำตอบอยู่ในหัวมึงแล้ว”

“...” เชี่ยเอ๊ย... ขนาดมองจนแทบจะเข้าไปสิงร่างได้แล้ว คนในจินตนการกลับเป็นใครคนหนึ่ง...ที่ผมเพิ่งติดรถกลับมาที่คอนโดเมื่อเย็นนี้เอง

             แล้วไอ้โทมันก็ลากผมกลับโต๊ะก่อนทิ้งไปหาสุดสวยของมัน ปล่อยให้ผมยืนละเลียดน้ำเมาไปเรื่อยเปื่อย ตอนนี้ไม่มีกะใจจะคุยกับใคร เพราะภาพของไอ้ตงกับนางแบบคนสวยก็บาดตา คำพูดของพี่เจดก็ชวนให้คิดไปไกล เอากงๆนะครับ ทั้งสองคนน่ะหน้าตาออกไปแนวเดียวกันหมดเลย สูง หล่อ ตี๋ แต่ไอ้ตงเนี่ยจะผิวสีแทนหน่อย เพราะมันต้องใช้ถ่ายแบบ แต่พี่เจดคือขาวใสกริ๊บยังกับราชนิกูล ความหล่อไม่ต้องพูดถึง หล่อขั้นเทพทั้งคู่ จัดอันดับกันเนี่ยแฟนคลับมีมึน เพราะไม่รู้จะโหวตให้ใครชนะดี

“เป็นอะไรวะไอ้เตี้ย ดูซึมๆ” ไอ้คิ้วหันมาทัก กอดคอและชนแก้ว

“ไม่มีไร แค่คิดอะไรเพลินๆ”

“หรา นึกว่าไปเจอใครหักอกที่ห้องน้ำ ไปนานซะจนคิดว่าแอบหนีกลับไปละ”

“หนีพ่อง กูแค่หาโต๊ะไม่เจอนี่หว่า พวกมึงเล่นย้ายมาหลบมุมขนาดนี้” ผมแก้ตัวงั้นแหละ ก่อนจะยกแก้วไปชนกับคนอื่นๆเพื่อแสดงออกว่าสนุกได้ที่

             เสียงเพลงจากบู๊ธดีเจดังกลบเสียงพูดคุยหมดแล้ว ยิ่งดึกก็ยิ่งคึกคักเพราะต่างคนต่างเมาไม่เหลือสภาพ ใครมีแรงเต้นก็เต้นยังกับบอยแบนด์ ใครที่มาดนิ่งๆก็แค่โยกๆพอเป็นจังหวะ ไอ้ฉัตรโดนสาวที่ไหนก็ไม่รู้สอยไปละ ตอนนี้กำลังนัวเนียกันมันหยด คนอื่นๆที่หน้าตาพอไปวัดไปวาได้ก็คั่วกับสาวโต๊ะข้างๆ ผมได้แต่มองภาพความสนุกอย่างเงียบๆก่อนที่จะสะดุ้งเฮือกเพราะความเย็นแตะที่ต้นคอ

“พี่เจด มาได้ไงพี่” ตอนนี้ต้องตะโกนคุยกันแล้ว เพราะดนตรีเสียงดังมาก

“ก็อยากมาหา” ว่าแล้วก็ยักคิ้วให้ แม่งหล่อสัด

“ห๊ะ อะไรนะครับ”

“ก็อยากมาหา” ผมยังไม่ค่อยได้ยิน พี่เจดส่ายหน้าอย่างระอาก่อนจะคว้าข้อแขนผมเดินออกไป

“พะ พี่เจด”

“...” ไม่มีคำพูด มีเพียงร่างใหญ่ที่เดินเบียดฝูงชนที่คับคั่งตอนนี้ออกไปหน้าร้านที่มีคนยืนสูบบุหรี่ประปราย เสียงเพลงจากข้างในดังออกมาแต่ก็ไม่สะเทือนหูเหมือนเคย

“ไม่สนุกเหรอ เห็นยืนยิ่งๆในร้าน” พี่เจดถาม ควักมาร์โบโร่ขึ้นมาสูบ

“ก็สนุกนะพี่ ขอมวนดิ” พี่เจดยืนมวนที่จุดเสร็จแล้วมาให้ จูบทางอ้อมรึเปล่าวะ

“เห็นทำหน้าหงอยๆ ไม่สมกับเป็นเราเลย”

“เปล่าหรอกพี่ แต่โตขึ้นมั้ง เลยไม่ค่อยอินกับเพลง” แก้ตัวได้โคตรมั่วอะ โตแค่ไหนมึงก็ยังไม่ถึง 20 ปะ

“งั้นเหรอ” พี่เจดจุดมวนใหม่และอัดควันเต็มปอด ไอสีหม่นพวยพุ่งออกมาจากปากและจมูกโด่งนั้น

“...”

“เมายังเนี่ย”

“นิดหน่อยครับ” ผมอัดนิโคตินเข้าไปบ้าง ยิ่งสูบยิ่งเมากว่าเดิมเข้าไปอีก

“ไม่นึกเลยว่าหนึ่งจะมาเรียนที่นี่ด้วย” พี่เจดพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“ฮ่าๆๆๆ บังเอิญจังเลยเนาะ” ผมหัวเราะแก้เก้อ

“ไม่หรอก พรหมลิขิตมากกว่า”

“...” หืมมมมมมมมมมมมมมมม รู้สึกเหมือนถูกจีบ

“กลับเข้าไปข้างในกันเถอะ” พี่เจดทิ้งบุหรี่ที่เหลือมากกว่าครึ่งลงกับพื้น

“ไม่กลับได้มั้ยอะ” ผมดูดมวนเล็กนี้อีกครั้ง “ไม่อยากเข้าไปแล้วอะ”

             พี่เจดหันมา เราสบตากันอยู่อย่างนั้น เนิ่นนาน ไม่รู้ว่านานแค่ไหน... สุดท้ายพวกเราก็พากันเดินออกจากตรงนี้และขึ้นแท็กซี่ออกไปอย่างไม่รู้จุดหมาย



[ตงฉิน]

อึดอัด....

             กฎของผมมีอยู่ว่า ... หนึ่ง. ต้องไม่มีเซ็กซ์กับเพื่อนหรือคนสนิท สอง. อย่าตกหลุมรักใคร เพราะพวกมันแค่อยากได้ตัวผมไปเชยชมแค่นั้น สาม. อย่ากลับไปมีอะไรกับคนเดิมซ้ำสอง เพราะเหมือนกับว่าเราจะเอาตัวไปประเคนถึงที่ ดีไม่ดีอาจเผลอใจด้วย

แต่... ผมดันไปมีอะไรกับรูมเมต

และ... มีอะไรกันมากกว่า 1 ครั้งด้วย

แหกกฎไปแล้ว 2 ข้อในระยะเวลาแค่ไม่นาน ... มันชื่อ ไอ้เตี้ย เอกราช ... นักศึกษาปีที่ 1 คณะบริหารธุรกิจที่หน้าตาค่อนไปทางภูธรหน่อยๆ ผิวสีเข้ม ปากดำ ทรงผมฟูยาวไม่เป็นทรง ตัวเตี้ยกว่าผมตั้ง 20 เซ็นต์ ..

แต่มันเป็นผัวผม...

(-_-)’’ -- > ทำหน้าเอือมระอาตัวเอง

เชี่ย ... ทำไมต้องรู้สึกแปลกๆตอนที่มันถามว่าพวกเราเป็นแค่คนเคยรู้จักกันหรือเปล่า ... คำตอบที่ให้ก็ต้องตอบว่าไม่ ... แต่ว่าในใจมันกลับรู้สึกแย่หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ว่าทำไม หลังจากมีอะไรกัน...และเป็นเซ็กซ์ที่สุดยอดที่สุดนับตั้งแต่เคยมีมา... ผมก็ไม่กล้าจะสานต่อ ผมกลัว กลัวมากว่าตัวเองจะถลำลึกลงไป กลัวตัวเองจะตกเป็นข่าว กลัวว่าตัวเองจะถูกลดบทบาทจากงานที่กำลังไปได้สวย

ใช่...ผมนึกถึงแต่ตัวเอง ไม่เคยคำนึงถึงจิตใจใครมาก่อน แต่ใบหน้าหงอยๆของมันก็ทำให้เจ็บแปลบเหมือนกัน หากพวกเรายังมีอะไรกันมากกว่าคำว่ารูมเมต ผมนี่แหละจะสูญเสียตัวตนที่เคยมี แค่มันไปเฝ้าตอนถ่ายละครยังมีภาพหลุด ถ้าพวกเราใกล้ชิดกันกว่านี้ มีหวังเรื่องใหญ่แน่ๆ

“ตง ยูไม่สบายรึเปล่า ไม่จอยเลยอะ” แอนนากระซิบถาม ใครจะคิดว่าสาวสวยตัวท็อปของวงการนางแบบมานั่งดื่มในร้านที่แทบจะเรียกว่า Low สุดๆแบบนี้ หากไม่ใช่เพราะคำชวนจากปากผม เธอคงจะไม่ยอมลดระดับตัวเองมาที่นี่แหงๆ

             แอนนาเป็นหนึ่งในคนที่ผมเคยควงและมีอะไรด้วย หลังจากที่ผิดกฎกับไอ้เตี้ยไปแล้ว จะแหกอีกรอบคงไม่หนักหนาอะไรหรอก เพราะแอนนาเป็นคนง่ายๆไม่เรื่องมาก เซ็กซ์ของพวกเราเร่าร้อน รุนแรงและโรมรันจนร่างกายแทบหลอมละลาย แต่เมื่อเสร็จสิ้น พวกเรากลับคุยกันอย่างเพลิดเพลินราวกับว่าเป็นแค่เซ็กซ์เฟรนด์กันเท่านั้น ... มันไม่อึดอัด และผมก็ชอบที่เป็นแบบนี้

“ไอเบื่อน่ะ” ผมตอบ

“ยูมีของติดมาด้วยปะ”

“ไม่มี กลัวโดนค้น ร้านนี้ยิ่งไม่ตรวจบัตรอยู่ด้วย” แอนนาทำหน้าผิดหวัง ของที่เธอถามหาคือยากระตุ้นที่พวกเรามักจะกินร่วมกับการดื่ม ฤทธิ์ของมันจะทำให้เราคึกและสนุกกับทุกอย่างรอบตัวอย่างสุดเหวี่ยง ก่อนจะจบที่บนเตียงอย่างเคย

“ไอก็ว่า” แอนนาหยิบมือถือขึ้นมาดูข้อความเข้า “มีพาร์ที่ที่คอนโดแซม ยูสนใจมั้ย ไอว่าของเพียบ”

“ฟังดูดีนะ” ผมยิ้มก่อนที่พวกเราจะจูบกันเบาๆอย่างไม่สนใจสายตาและเสียงโห่ด้วยความอิจฉาของเพื่อนร่วมโต๊ะ

             ฉับพลันหางตาก็มองเห็นร่างของคนที่ทำให้อึดอัดเดินตามใครคนหนึ่งออกไปด้านนอก แค่มองเผินๆยังพอรู้ว่าคนมาเยือนหน้าตาหล่อบรรลัย หล่อวัวตายควายล้ม หล่อแบบผู้รากมากดี หล่อแบบยังรู้สึกอายตัวเองที่หล่อไม่เท่าเขา พอผละร่างแอนนาออกก็นั่งกระดกน้ำเมาเข้าปากโฮกๆ

“ยูเป็นไร” แอนนาถาม ปากซีดจางไปหมดเพราะจูบนัวเนียมากไป

“เปล่า”

“เฮ้อ ยูก็เป็นซะอย่างงี้” แอนนาบ่น ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินอะไรแบบนี้

“ไอเป็นยังไง” ผมถาม แต่อีกฝ่ายกลอกตาไปมา

“ไอไปเติมลิปละ แล้วจะออกไปคอนโดแซม ยูจะไปมั้ย” ผมส่ายหัว ปล่อยให้ร่างบางของสาวสวยเดินนวยนาดเข้าไปที่ห้องน้ำ ก่อนจะยกแก้วที่เต็มไปด้วยน้ำสีอำพันมาดื่มรวดเดียวจนหมด จิตใจไม่สงบอย่างไม่รู้สาเหตุ รู้แต่ว่าตอนนี้อยากเมา อยากเมาให้ปลิ้น เมาและหลับโดยไม่ต้องรับรู้อะไรอีกเลยก็พอ

             สายตาผมจับจ้องไปที่ประตูของร้านหลายต่อหลายรอบ ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าจะจ้องตรงนั้นทำไม แต่ใจมันบอกว่ารู้สึกหวิวๆเหมือนกำลังจะเสียอะไรไปสักอย่าง... ผมลุกยืนเดินโซเซโดยไม่มีใครถามว่าจะไปไหน เพราะต่างก็เมาหนักกันแทบทั้งนั้น พยายามประคองตัวให้เดินไปตามทางจนถึงหน้าร้าน ถ้ามองไม่ผิด ใบหน้าของไอ้เตี้ยกำลังยิ้มอย่างมีความสุขและพากันเดินขึ้นแท็กซี่ไปจนลับตา...
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 14 P.2 Up 23 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-03-2020 23:36:14
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 14 P.2 Up 23 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 23-03-2020 23:53:51
สับสนกันทั้งคู่ ห่างๆ กันไปก่อนนะ รู้ใจตัวเองเมื่อไหร่ค่อยว่ากันเนอะ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 14 P.2 Up 23 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 24-03-2020 21:11:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 14 P.2 Up 23 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 24-03-2020 22:00:25
ถ้าไม่อยากเสียไป ตงต้องยอมรับสถานะกับหนึ่งนะ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 14 P.2 Up 23 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 25-03-2020 21:10:11
รู้สึกยังไงก็บอกนะครับ อย่ารอให้ทุกอย่างมันสายเกินแก้เลย :o12:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 15 P.3 Up 31 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 31-03-2020 15:57:01
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 15. What’s wrong with me?

             เรื่องมันเกิดขึ้นเร็วมากจนตั้งตัวไม่ติด ทั้งผมและพี่เจดที่กำลังนั่งแท็กซี่เพื่อไปหาที่เงียบๆคุยกันต่างกดรับสายจากเพื่อนที่ยังอยู่ในร้านเหล้าที่กระหน่ำโทรมา

[มึง พวกวิดวะรุมไอ้โท]

“ห๊ะ” ผมตกใจ ทางฝั่งพี่เจดก็คงไม่ต่างกัน เพราะสามารถเดาจากหน้าตาที่กำลังตื่นตระหนกได้ เราทั้งคู่จึงต้องให้พี่คนขับเลี้ยวรถกลับที่เดิมอย่างเร่งรีบ คืนนี้รู้แค่ว่าพวกเด็กวิศวะมาดื่มที่ร้านเดียวกัน ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แถมกลุ่มนั้นยังเป็นเพื่อนพ้องของพี่เจดคนหล่อที่นั่งข้างกันอีกด้วย

“มึงรู้มั้ยว่าเพราะอะไร” ผมถามปลายสาย

[น่าจะเรื่องขวัญใจ เพราะคนเริ่มคือไอ้เคมีปี 2] นั่นไง ซื้อหวยไม่เห็นถูกเหมือนเดาเรื่องนี้เลย

“เออ กูกำลังไป ตอนนี้เป็นกันไงบ้าง”

[แม่งร้านถล่มสิวะ อยู่ๆยกพวกมาหาเรื่องกัน...] ปลายสายพูดยาวเล่าเรื่องให้ฟังราวกับว่าเป็นหนังบู๊แอ็คชั่นเรื่องหนึ่ง

“เราโอเคนะ” พี่เจดถาม ใบหน้านั้นรู้สึกผิดราวกับว่าตัวเองเป็นคนก่อเรื่อง

“ผมไม่เป็นไรครับ” ตอนที่ตอบออกไปก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แต่มีมือใหญ่ที่อบอุ่นเข้ามาเกาะกุมแทนที่ ใบหน้าหล่อยิ้มให้จนใจแทบละลาย

             พอมาถึงที่ร้านสภาพแต่ละคนก็เละเทะไม่น้อย พวกผีเสื้อราตรีต่างเกาะกลุ่มมองภาพนั้นอย่างเหนื่อยหน่ายใจเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกกับการเมาแล้วทะเลาะวิวาทกัน การ์ดของร้านต้อนพวกวิศวะกับกลุ่มเพื่อนผมให้ออกห่างกัน ใบหน้าแต่ละคนบูดบี้ไม่เหลือเค้า ไอ้โทปากแตก คิ้วแตกโดยมีขวัญใจยืนร้องไห้ตัวสั่นอยู่ไม่ห่าง ไอ้คิ้วที่กอดแฟนเด็กพยักหน้าให้ตอนผมเดินเข้าร้าน มันนั่นแหละที่โทรมาบอกข่าว

“ไอ้เจด มึงดูพวกรุ่นน้องมึงหน่อยสิวะ” เสียงผู้จัดการร้านด่าลั่นเมื่อเห็นหน้าหล่อๆ น่าจะเป็นรุ่นพี่คณะที่เรียนจบแล้วมาเปิดร้าน “แค่นี้ยังคุมไม่ได้ มึงจะเป็นหัวหน้าพี่ว้ากได้ไงวะ”

“ขอโทษครับพี่” ผมเพิ่งรู้ว่า นอกจากพี่เขาจะเป็นเดือนมหา’ลัยปี 3 แล้วยังเป็นหัวหน้าทีมว้ากอีกด้วย

“เป็นไงบ้างวะ” มือตบไปที่ไหล่ไอ้โทที่ตอนนี้ตายังแดงก่ำเพราะความเมาหรืออาจเพราะออกแรงต่อยกลับคนมาหาเรื่อง ที่มองยังไงไอ้โทก็เสียเปรียบด้วยรูปร่างที่เล็กกว่า

“กูโอเค” มันตอบ แต่สายตาไม่ได้มองมาทางนี้เลยสักนิด สองแขนมันกอดกุมแฟนแน่นจนน่าหมั่นไส้ ถ้ามึงจะมีเวลาสวีตหวานกันอยู่ก็คงไม่มีอะไรหนักหนาสาหัสหรอก....แม่ง กูต้องระเห็จกลับมาเพื่อ???

“พวกมึง” เสียงทุ้มนั้นดูไม่เป็นมิตร “ตามกูมา” พี่เจดออกคำสั่ง ผมละทึ่งที่แกมีอำนาจถึงขนาดนี้ หรือว่าเพราะระบบโซตัสแบบเคร่งครัดของพวกวิศวะกันแน่วะ

“เดี๋ยวพี่ส่งค่าเสียหายมาหาผมนะครับ วิศวะรับผิดชอบเอง” พี่เจดคุยกับผู้จัดการร้านที่มีสีหน้าบึ้งตึง ก่อนหันมาบอกกับผม

“พี่ขอโทษแทนเพื่อนๆพี่ด้วยนะครับ ไว้เราค่อยนัดกันใหม่” สิ้นคำว่านัดกันใหม่ ใจผมพองจนตัวแทบจะลอยได้

“กลับได้ยังวะ จะยิ้มอีกนานมั้ยไอ้เตี้ย” เสียงไอ้ตงดังขึ้นมาอย่างหงุดหงิด ใครแม่งเหยียบหางมันวะ หรือว่าไปกินอะไรผิดสำแดงมา สงสัยจะเพราะนางแบบสุดสะบึมคนนั้นไม่อยู่แล้ว มันเลยอารมณ์ขึ้นเป็นหมาบ้าแบบนี้

“มึงจะขอโทษมันทำไมวะ อึ๊ก” เสียงนั้นดังขึ้นก่อนที่พวกเพื่อนๆของคนต้นเรื่องจะรีบปิดปาก

“ขอโทษครับพี่เจด เพื่อนผมมันเมาจนลืมตัวไปหน่อย” เพื่อนของไอ้คนที่ชื่อเคมีออกตัวแทน สงสัยจะเมาจัดจริงๆถึงได้กล้าเรียกรุ่นพี่ว่ามัน

“พวกมึงออกไปข้างนอก” พี่เจดไม่ตอบ แต่กลับออกคำสั่งเสียงแข็ง แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มแหยส่งมาให้ผมก่อนจะเดินออกจากร้านไป สภาพของกลุ่มเพื่อนผมไม่ได้หนักหนาจนน่าห่วง คงเพราะการ์ดของร้านมาแยกตัวได้ทัน หรือไม่ก็เพราะต่างก็เมาจนออกหมัดวืดใส่กันมากกว่า

“ไหวปะวะ ไปหาหมอมั้ย” ผมถามไอ้โทที่สภาพแย่กว่าใครเพื่อน

“ไหว กูไม่อยากไปหาหมอ กลัวเรื่องใหญ่” แหงล่ะ ดีนะที่ไอ้ตงมันไม่โดนหางเลขไปด้วย ไม่งั้นนักข่าวเล่นข่าวสนุกไปเลย แล้วพี่เอกพี่ชายไอ้โทคงไม่อยู่นิ่งแน่ๆ

“งั้นกลับกันเถอะ กูเรียก GrabVan ละ คืนนี้ไปค้างห้องกูกันหมดนี่แหละ” ไอ้ตงโชว์หน้าจอมือถือแสดงระยะทางของรถที่กำลังเคลื่อนตัวมารับโดยไม่สนใจว่าทางร้านจะเละเทะแค่ไหน เสียงคนซุบซิบเบาลงแล้ว แสงไฟที่สาดสว่างทำให้คนในร้านที่ยังเหลืออยู่พุ่งเป้ามาที่ดาราหนุ่มที่กำลังเก็บกดความเมาไว้ มันเดินดุ่มๆออกไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะมีใครมีสติและแอบถ่ายรูปหรือคลิปมันลงโซเชี่ยล

“พวกมึงไปกับมันเลยนะ กูต้องไปส่งน้องฟางก่อน” ไอ้คิ้วขอตัวไปแล้วหนึ่ง

“กูก็ต้องกลับบ้านเหมือนกันว่ะ” ไอ้ฉัตรบอกกล่าว แต่พวกเรารู้ว่ามันไม่ตั้งใจจะกลับบ้านหรอก เพราะมีสาวสวยอกบึ้มยืนควงแขนมันอยู่ เพื่อนร่วมคณะที่เหลือต่างก็ขอตัว ผมมองกลุ่มก้อนของเพื่อนๆหลายสิบคนก็พอเข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้โทถึงไม่สาหัส พวกเรามีคนเยอะกว่า ถึงแม้จะไม่ได้สนิทกันทั้งหมด แต่ก็มากพอที่จะต่อกรกับไอ้พวกวิศวะที่มาหาเรื่อง

             พวกเราเงียบกันตลอดทางกลับคอนโด ไอ้ตงนั่งแถวหน้าสุดของรถตู้โดยมีขวัญใจกับไอ้โทนั่งแถวถัดมา ทั้งคู่ไม่ห่างกันสักนาที แถมยังดูแลกันจนออกนอกหน้า โดนตีนยำนะ ไม่ได้โดนระเบิด ทำไมถึงได้โอ๋มันอย่างกะลูกแบบนั้นล่ะขวัญ... นี่เป็นความคิดของผมที่นั่งอยู่แถวสุดท้าย เมื่อถึงห้อง ขวัญใจอยากจะพาไอ้โทไปที่ห้อง แต่โดนไอ้ตงห้ามไว้ก่อน เพราะไม่อยากให้อยู่กันสองต่อสอง ... ทีอย่างงี้ล่ะหวงเพื่อน



[ตงฉิน]

             ผมมองขวัญใจกับโทเดินไปที่ห้องเล็กก่อนจะนั่งพิงโซฟาตัวโปรดที่ห้องรับแขก คนที่นั่งรอท่าอยู่แล้วทำหน้าเหรอหราจนไม่อยากจะมอง แต่เพราะไอเดียตัวเองที่ให้ขวัญค้างห้องนี้ ไอ้เตี้ยก็เลยต้องไปนอนกับผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“กูไปอาบน้ำก่อนนะ มึงไปนั่งที่ห้องรอก็ได้”

“เห้ยไม่เป็นไร กูนอนโซฟาได้” กูรู้มึงนอนได้ แต่ดูสภาพห้องสิวะ รกยังกะรังหนูขนาดนี้

“อย่าเรื่องมาก กูไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกแฟนใหม่มึงหรอก” เชี่ย...หลุด

“หืม ใครแฟนใหม่กูวะ” ไอ้เตี้ยเลิกคิ้วมองหน้าผมอย่างสงสัย นึกแล้วอยากตบปากตัวเอง

“ก็ไอ้รุ่นพี่วิศวะคนนั้นไงวะ” ไหนๆก็หลุดมาละ พูดไปเลยละกัน

“อ๋อ พี่เจดน่ะเหรอ” ผมพยักหน้า “ไม่ใช่แฟนใหม่กูหรอก”

“...” ห้ามยิ้ม จะยิ้มทำไม ไม่ได้เป็นอะไรกัน

“แต่เค้าเป็นแฟนกูมาตั้งแต่ตอนมอปลายละ ยังไม่เลิกกันเลย”

“...” ไม่รู้จะตอบอะไรเลยแบบนี้ มีแต่ความรู้สึกร้อนรุ่มในใจปะทุไปมาจนอยากหลบไปให้พ้นจากตรงนี้ สองขายาวๆก้าวฉับๆไปที่ห้องน้ำเพื่อให้ความเย็นมันช่วยระบายความรู้สึกที่ไม่อาจเข้าใจได้ในตอนนี้

“มึงเป็นอะไรเนี่ยไอ้ตง หน้าตาไม่รับแขกทั้งคืน”

“เรื่องของกู”

“แล้วแต่” มันยักไหล่และล้มตัวลงนอน หน้าตามันไม่ได้หล่อเหลาหรืออะไรเลย แต่ว่าลีลาบนเตียงโคตรเด็ด ... เห้ย ไม่ใช่สิวะ ... ผมดึงสติตัวเองพาร่างที่สร่างเมาเข้าไปอาบน้ำให้หายงุ่นงาน รุ่นพี่วิศวะคนนั้นแม่งก็หล่อ ความสูงก็ไม่ใช่เล่น ทีแรกนึกว่าไอ้เตี้ยมันไม่อะไรกับพี่เค้า แต่พอมันบอกว่าเคยเป็นแฟนกันมาก่อนแถมสถานะยังไม่เคยเลิกกันก็ทำให้จิตใจอยู่ไม่สุข

...นี่ผมเป็นอะไรไปวะเนี่ย
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 15 P.3 Up 31 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 31-03-2020 18:37:03
 :pig4: :pig4: :pig4:

หึงเขาไง พ่อตงฉิน  อิอิ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 15 P.3 Up 31 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 31-03-2020 21:47:37
ตงฉินต้องยอมรับสถานะตัวเองนะ ว่าชอบเขาเข้าให้แล้ว
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 15 P.3 Up 31 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 31-03-2020 22:18:49
 :katai2-1:



หึง แหละ ดูออก !
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 15 P.3 Up 31 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 31-03-2020 22:23:00
ชอบน้องเตี้ยเข้าแล้ว หรือติดใจลีลาเด็ดกันจ๊ะพ่อนายแบบ.  :hao3:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 15 P.3 Up 31 มี.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 01-04-2020 21:48:46
มันต้องมีตัวกระตุ้น ถึงจะรู้ใจตัวเอง
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 16 P.3 Up 7 เม.ษ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 07-04-2020 13:25:39
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.


ตอนที่ 16. คำสารภาพ (NC)

[ตงฉิน]

             ห้องของผมเป็นแบบสองห้องนอนของคอนโดที่เกือบจะอยู่ชานเมืองของกรุงเทพ แต่ราคาไม่ได้ถูกเท่าไรถ้าเทียบกับขนาดที่ได้มา ห้องของผมอยู่ชั้น 24 จากทั้งหมด 37 ชั้น เป็นห้องมุมฝั่งทิศตะวันออก ถ้าเปิดประตูห้องเข้ามา จะเจอห้องนั่งเล่นที่มีบันไดต่างระดับแบบเตี้ยสองสามขั้นคล้ายๆเวิ้งน้ำ(ที่ไม่มีน้ำ) พื้นที่นี้กินเกือบ 40% ของห้องทั้งหมด โดยที่รอบๆจะเป็นทางเดินเล็กๆ ในเวิ้งมีโซฟาสีฟ้าที่ดูไม่ออกว่าจะออกไปทางสีฟ้าน้ำทะเลหรือสีฟ้าเข้มค่อนไปทางน้ำเงิน มีชั้นตู้หนังสือขนาดย่อมสำหรับวางของ หนังสือ เครื่องเล่นดีวีดีและทีวีจอแบบขนาด 40 นิ้ววางเด่น และข้าวของอื่นๆที่พวกเราสรรหามาวางทิ้งไว้

             ถัดไปด้านใน จะเป็นห้องนอนสองห้องที่หันศีรษะไปทางทิศตะวันออกรับแสงยามเช้าเต็มๆ ห้องใหญ่อยู่ซ้ายมือ เป็นห้องของผม มีห้องน้ำในตัว ห้องตรงข้ามคือห้องของไอ้เตี้ยและไอ้โท มีขนาดเล็กกว่า ประตูอยู่ตรงข้ามกัน คั่นด้วยทางเดินขนาดพอดีคนสองคนเดินสวนกันได้ ถัดประตูทางเข้าห้องด้านซ้ายมือเป็นห้องน้ำสำรอง สำหรับคนในห้องเล็กและเพื่อนๆที่มาสุมกันที่นี่ ถัดห้องน้ำก็จะเป็นครัวขนาดย่อม มีประตูกั้นไว้เป็นสัดส่วน เป็นมุมที่ไม่ค่อยจะมีใครมาใช้งานเท่าไรนัก

   ผมเดินมาที่โซฟาหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ข้าวของระเกะระกะตามทางเดินดูขัดหูขัดตาไปหมด ห้องผู้ชายมันรกเป็นปรกติอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร มองอะไรก็รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านไปหมด ไฟที่ห้องรับแขกปิดสนิทแต่แสงสลัวที่ออกมาจากห้องนอนใหญ่ยังพอส่องให้เห็นร่างคนตัวเตี้ยนอนหลับนิ่ง

“ไอ้เตี้ย ตื่น ไปอาบน้ำ” ใช้เท้าเขี่ยๆแทนการก้มลงไปแตะ

“อื้อ ไม่เอา ง่วง” น้ำเสียงงัวเงียตอบกลับมาและพลิกตัวนอนหันหลังให้

“ไปนอนในห้อง” ผมสะกิดต่อ นี่กูต้องมาตามง้อมึงทำไมวะ

“ไม่เอา นอนนี่แหละ” เสียงยานเพราะง่วงและเมาของไอ้เตี้ยตอบมา ยิ่งทำให้ขัดใจ ...

“ลุก” ผมกระชากมันตกโซฟาดังตุบ

“เป็นเชี่ยอะไรเนี่ยไอ้ตง” มันลุกนั่งกับพื้น แววตาฉายความโกรธที่ถูกรบกวนส่งผ่านมาในแสงสลัว

“...”

“เป็นเชี่ยอะไรวะ ถามก็ไม่ตอบ” มันถามอีกรอบ

“ช่างเหอะ” ผมหันกลับจะเดินเข้าห้อง จะอาบไม่อาบ จะนอนไหนก็ช่างแม่ง ไม่สนใจแล้ว

หมับ...

“สรุปมึงเป็นอะไร” มันลุกขึ้นคว้าแขนผมไว้

“ช่างเหอะ กูง่วงแล้ว” ผมพยายามสะบัดแขนแต่ไอ้เตี้ยมันออกแรงบีบแน่น

“ทีแรกกูก็ไม่อยากคิด แต่พอเห็นมึงแบบนี้แล้วมันก็อดคิดไม่ได้” สายตามันดูจริงจัง เสียงหัวใจผมเต้นตึกตักรัวย้ำ

“คิดอะไรวะ” ผมถามแบบส่งๆ ไม่ได้ต้องการคำตอบอะไรจากมัน

“ว่ามึง...” เราสบตากันครู่หนึ่ง “หึงกู” ... ตึก ตึก ตึก ตึก ...

“หึง เชี่ยไร” ผมสะบัดแขนหลุดจากการเกาะกุมของมัน “เมาปะเนี่ย”

“แน่ใจ๊” มันถามเสียงสูง แถมเขย่งเท้าเอาหน้ามาใกล้จนได้กลิ่นแอลกอฮอล์กรุ่น

“อะ เออ” ร่างเล็กกว่าขยับประชิด ผมถอยร่นเรื่อยๆผ่านขั้นบันไดเตี้ยๆสำหรับเดินขึ้นลงระหว่างห้องนั่งเล่นกับห้องนอนจนตัวติดผนัง “เมาก็ไปนอนไป๊”

“ถ้ามึงแน่ใจ แล้วมึงหงุดหงิดอะไรทั้งคืนวะ”

“ระ เรื่องของกู” ทำไมต้องตะกุกตะกักด้วยวะไอ้ตง ใบหน้ามันฉายแววยิ้มเยาะ เบ้าหน้ามึงไม่ได้หล่อขนาดที่กูต้องไปหึงมั้ยวะ

“มึงคิดว่ากูจะเชื่องั้นเหรอ” มือสากๆของมันสอดใต้เสื้อบาง คืนนี้ผมใส่ชุดนอนตัวโปรด เสื้อสีฟ้าตัวบางๆกับกางเกงสีเดียวกันเข้าชุด ซึ่งก็บางไม่แพ้กัน... มือของไอ้หนึ่งไล้จากหน้าท้องเรื่อยมาจนถึงร่องอก

“มะ มึงจะทำอะไร” นิ้วใหญ่เขี่ยเม็ดแข็งที่ยอดอก ส่วนที่อ่อนไหวอันดับต้นๆของร่างกายเลยนะเนี่ย

“ทำแบบที่เราเคยทำกันไง”

“มะ ไม่” ปากบอกปัด แต่กลับยื่นทื่ออยู่ที่เดิมไม่ไปไหน จนไอ้เตี้ยมันได้ใจถลกกางเกงผมกองกับพื้น แม่งเกลียดชุดนอนแบบนี้จังวะ ไม่มีสายรัดปกป้องกูเล้ยยยยยยยยยยยยยยยยย

“ปากมึงว่าไม่ แล้วทำไมตรงนี้ของมึงสู้ล่ะ”

“กู อื้อออออ” ปากเย็นของมันครอบทับส่วนที่แข็งขืนกลางตัวจนมิด รูดเฟ้นจนตัวสั่นไปหมด รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มันละจากตรงนั้นและโน้มคอผมไปบดริมฝีปากถ่ายทอดไออุ่นไปมาเนิ่นนาน ไม่สนใจว่าเดินมาหน้าห้องตอนไหน ประตูห้องเปิดไปเมื่อไหร่

   พวกเราก้าวช้าๆไปที่เตียง ผมสะดุดปลายเตียงและล้มตัวลงไป...ไม่ได้สมยอมนะ ชนแล้วล้ม...จริงๆ .. ร่างเล็กกว่าทาบทับซุกไซร้โลมเลียตั้งแต่ติ่งหูจนถึงหน้าท้องแกร่งของผมอย่างไม่อาจต้านทานได้ อารมณ์ครุกรุ่นถูกปลุกให้โชติช่วงจนจับเกร็งไปหมด สองขาถูกยกสูงโดยมีหมอนใบเก่งรองที่บั้นท้าย

“มึงหึงกูกับพี่เจดใช่มั้ย” มันถามตอนที่ละเลงลิ้นกับจุดอ่อนไหวเบื้องล่าง ผมครางอื้อในลำคอเมื่อความหนาสากฉกเข้าด้านใน

“อึ๊ก เปล่า อื้ออออออออ” มันสอดนิ้วแรกเข้ามาจนต้องครางเพราะเจ็บ เชี่ยแม่ง ไม่ได้มีความอ่อนโยนสักนิด

“ก็ได้...กูจะทำให้มึงหายปากแข็งเอง” ไอ้หนึ่งสอดนิ้วที่สองเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวจนสะดุ้งเฮือก

“อึ๊ก กะ กูเจ็บ” แรงเสียดสีเข้าออกของสองนิ้วทำให้อารมณ์แปรเปลี่ยนกระทันหัน ผมได้แต่นอนจิกผ้าปูที่นอนแน่นจนชาไปหมด ปล่อยให้คนที่นั่งอยู่ตรงหว่างขาจัดแจงตัวเองอย่างเต็มที่

“เดี๋ยวมึงได้เจ็บกว่านี้แน่”

“ฮื้อออออออออออออออออออ” ผมจุกจนน้ำตาเล็ดเมื่อมันอัดนิ้วที่สามเข้ามาอีก แรงสอดเสียดยังไม่เท่าการบดหมุนไปมาในช่องแคบ สะโพกผมร่อนไปตามแรงจาบจ้วง เมือกเย็นไหลเอ่อผ่านร่องก้นจนซึมเข้าหมอนที่รองไว้ สามนิ้วงอครูดกับเนื้อในจนรู้สึกจี๊ดขึ้นสมอง ร่างกายไร้แรงต่อต้านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกราวกับตรงนั้นแปรสภาพเป็นผลส้มปอกเปลือก มีนิ้วใหญ่คว้านด้านในจนฉ่ำแฉะ

“พร้อมมั้ย” มึงยังมีหน้ามาถามอีกเหรอวะ

“...”

“กูจะถามอีกรอบนะ ว่าที่มึงหงุดหงิดทั้งคืน เพราะหึงกูใช่มั้ย” มันใช้ของแข็งทู่ๆของมันจ่อมาแล้วครับ

“มะ ไม่ อ๊า เบาๆ เชี่ย แหกหมดแล้ว” ไอ้หนึ่งอัดส่วนแรกเข้ามาจนตึงไปหมด ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองแดงก่ำเพราะความเจ็บ มันเคยอ่อนโยนกว่านี้ แต่ครั้งนี้กลับมุทะลุเหมือนเป็นคนละคน และที่สำคัญ ขนาดของมันก็ไม่ใช่เล็กๆ

“ไม่ใช่งั้นเหรอ อึ๊บ”

“โอว๊ ไอ้เตี้ย อื้อออออออออ” มันพุ่งทะลวงจนสุด ผมหน่วงหนึบในช่องท้องคล้ายคนปวดฉี่และปวดอึไปพร้อมๆกัน ไอ้ท่อนที่เข้ามานี่ก็ใหญ่มากแถมยังแข็งยังกับสากครกหินอ่างศิลาเสียอีก (ถึงแม้ไม่เคยใช้สากครกมาก่อนในชีวิตก็ตาม) ก้นกบสั่นระริก แข้งขาเปลี้ยไปหมดเมื่อไอ้เตี้ยอัดของแข็งพรวดใหญ่ นิ้วจับเกร็งหาที่จับเกาะ สุดท้ายจบที่แผ่นหลังคนตัวเล็กที่บุกรุกเข้ามาในกาย

“เจ็บเหรอ” มันเหมือนชะงักและหันมาถาม

“อะ อื้อ” ผมพยักหน้า ผละแผ่นหลัง ก่อนยกสองแขนพาดไขว้กันปิดหน้าตาที่เหยเกของตัวเอง ร่างเล็กดันสองขาให้โน้มมาด้านหน้ายังกับผมเป็นนักยิมนาสติกลีลา บั้นท้ายโก่งขึ้นแต่ไอ้ที่คาอยู่ในตัวมันไม่ได้หลุดออกเลยสักนิด

“มึงจะตอบกูได้รึยังล่ะ ว่ามึงเป็นอะไร”

“มะ ไม่ อ๊า” ยังไม่ทันได้ตอบ ไอ้เตี้ยก็ถอดถอนกายและดันกลับมาจนจุกไปหมด

“กูให้โอกาสมึงอีกครั้ง”

“ก็กูบอกแล้วไงว่า มะ...อวู๊” มันกระแทกสุดโคนอีกครั้ง คราวนี้ตึงจนเห็นดาวลอยไปมา

“มึงจะปากแข็งต่อไปก็เรื่องของมึง แต่ทุกครั้งที่มึงตอบโกหก กูจะอัดมึงแบบนี้เรื่อย”

“อะ ไอ้ เลว อ๊ะ อ๊ะ ฮ๊า กะ กู จุก อื้อ ย่ะ อย่า แรงไป อ๊า” มันตะบี้ตะบันกระเด้งบั้นท้ายเข้าออกในตัวผมสุดโคนยาวจนจุกไปหมด

“มึงจะตอบกูได้หรือยังว่ามึงหึงกูกับพี่เจดใช่มั้ย”

ป๊าบ

“อะ ไอ้เชี่ย กูไม่รู้ กูไม่รู้ กูแค่หงุดหงิด กูแค่ไม่พอใจที่เห็นพวกมึงคุยกัน พอใจมึงยัง” ผมตะโกนสุดเสียงและยกสองแขนดันหน้าอกมันไว้ คนที่ทำท่าจะบุกชะงักโดยที่ค้างอะไรบางอย่างไว้มากกว่าครึ่งในก้นผม

“...”

“กูไม่รู้ว่ามันคืออะไร กูไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน อื้อ ย่ะ อย่า อ๊า” มันเปลี่ยนจังหวะสอดใส่เข้ามาอย่างช้าๆ ในตัวผมรับรู้ทุกสัมผัสที่สอดลึก มันร้อนฉ่า แสบเสียด ปวดตึง แต่กลับให้ความสุขสมอย่างน่าประหลาด ...นี่ผมกำลังทำผิดกฎของตัวเองอีกครั้งแล้วสินะ

“มึงแม่ง”

“กูทำไม อื้อ ย่ะ อย่าแหย่ตรงนั้น กูเสียว”

“อาการของมึงน่ะ แถวบ้านกูเรียกว่าหึง” มันพูดและร่อนบั้นเอวไปมาจนตัวผมสั่นไปหมด

“กะ กู อึ๊ก” ไอ้เตี้ยไม่ปล่อยให้ผมพูดต่อ เมื่อมันดันร่างของมันประชิดและจูบผมอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้เอวผมแทบหักเพราะมันดันจนตัวโค้งเกือบสามร้อยหกสิบองศา แถมยังไม่เลิกเด้งเข้าออกในตัวผมอีก ....เสียตัวอีกจนได้...

             ผมนอนลืมตามองเพดานอยู่ในความมืด หลังจากที่โดนไอ้เตี้ยข่มเหง(ใช้ภาษาอย่างกับเป็นหญิงสาวร่างบาง) พวกเราก็นอนก่ายกอดกันโดยมีอะไรแฉะๆเลอะทั่วก้นไปหมด แต่ผมไม่มีแรงลุกไปทำความสะอาด และไอ้เตี้ยก็ทั้งเมาและเหนื่อยจนหลับพับไป แขนของมันก่ายกอดร่างผมไว้แน่นราวกับว่ากลัวผมจะหายไป

             บั้นท้ายที่เจ็บจุกแต่เปี่ยมด้วยความสุขสมทำให้ผมต้องกลับมานั่งคิดถึงคำถามที่มันถามย้ำๆและอาการที่ตัวเองเป็นเมื่อคืน ผมยอมรับว่าพาแอนนามาด้วยเพื่ออยากโชว์ให้คนอื่นเห็นว่าดาราหนุ่มหน้าตาระดับผมจะควงใครก็ได้ แค่ผมเอ่ยปากก็มีแต่คนอยากพลีกายให้ ยิ่งตอนที่ได้เห็นท่าทางบึ้งตึงของไอ้หนึ่งก็รู้สึกสะใจนิดๆ

           แต่สุดท้ายผมกลับงุ่นง่านมากกว่าเมื่อได้เห็นหนุ่มหล่อระดับเดือนมหา’ลัยปี 3 อย่างพี่เจดมาทักทายและพูดคุยกับมันอย่างสนิทสนม ไม่นานก็ผละกันออกไปข้างนอกและไม่เข้ามาอีกเลย เพลงของร้านที่มันสุดเหวี่ยงกลับกร่อยจนไม่อยากจะอยู่ต่อ ในใจร้อนรุ่มจนจะเป็นบ้า ความมืดสลัวในร้านมากพอที่จะทำให้ผมปาแก้วในมือออกไปอย่างลืมตัว

เพล้ง!

             เสียงฮือดังลั่นและตามมาด้วยกลุ่มวิศวะหน้าตาไม่รับแขก พวกมันตะโกนปาวๆหาที่มาของแก้วที่ปาข้ามมุมไปตกอีกฝั่งอย่างเหมาะเหม็ง ก่อนที่ไอ้คนที่ชื่อเคมีจะปราดเข้ามากระชากคอไอ้โทไปยำ พวกเราที่เหลือต่างตกใจแต่ก็พากันลุกฮือไปช่วยเหลือเพื่อน ส่วนผมน่ะเหรอ นั่งนิ่งด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ไม่ได้สนใจเลยว่าตอนนี้ใครจะรบรากับใคร

.... อย่างกูเนี่ยนะจะหึงมึง?

มึงมีอะไรดีวะไอ้เตี้ย... บ้านก็จน หน้าตาก็เถื่อนๆ ตัวก็ดำ ที่สำคัญ เตี้ยกว่ากูตั้ง 20 เซ็น ... มีข้อดีอะไรบ้างวะจะมาเทียบผม

“ไม่มั่นใจก็ไม่ใช่ไอ้หนึ่งสิครับ ถึงกูจะเตี้ยกว่ามึง 20 เซ็น แต่กูก็มีอย่างอื่นที่ยาว 20 เซ็นมาทดแทนนะเว้ย” ทำไมพอคิดถึงข้อดีของมัน จะต้องคิดถึงคำพูดมันในตอนนั้นด้วยวะ...

#หล่อไม่เข้าใจ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 16 P.3 Up 7 เม.ษ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-04-2020 14:56:12
 :pig4: :pig4: :pig4:

น่ามสาร  นุ้งตง   ต้องตกเป็นเมียตัลหลอด
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 16 P.3 Up 7 เม.ษ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 07-04-2020 23:16:27
 :hao6:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 16 P.3 Up 7 เม.ษ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-04-2020 23:37:22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 16 P.3 Up 7 เม.ษ. 63
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 09-04-2020 23:57:05
สับสนต่อไปนะน้องตง  :laugh:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 17 P.3 Up วันสงกรานต์ 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 13-04-2020 11:56:54
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 17. เฟรชชี่ไนท์

[หนึ่ง เอกราช]

             เฟรชชี่ไนท์.... เอาเหอะ ในเมื่อมันมาถึงจุดๆนี้แล้ว ก็ต้องยอมรับผลการตัดสินของคณะกรรมการสินะ แต่มันก็ต่างกับที่คิดไว้มากเกินไป คนของเราก็เป็นตัวเก็ง ทั้งตงฉินและขวัญใจ เลยไม่เผื่อใจเลยว่าจะพลาดตำแหน่ง เห็นหน้าหงอยๆบนเวทีตอนประกาศผลเสร็จก็พอจะเข้าใจอยู่ แค่เสี้ยววินาทีก็เปลี่ยนเป็นยิ้มร่าเหมือนเดิม เข้มแข็งเหลือเกิน

ป้าบ!

“ตบหัวกูทำไมวะไอ้โท” ผมหันไปเขกกะโหลกมันคืน คนกำลังอิน

“ทำหน้ายังกะหมาเมาแฟ้บ โคตรตลก” ตลกพ่อง...ไอ้ญาติคนนี้มันน่าจะโดนกระทืบให้จมดินไปเลยตอนนั้น แม่งนึกอยากยุพวกวิศวะมาสอยไปอีกรอบ

             หลังจากเกิดเรื่องที่ผับ พี่เจดก็โทรมาขอโทษไอ้โทและนัดหมายให้คนที่ก่อเรื่องมาเคลียร์กันให้จบ ทีแรกก็คิดว่าไอ้พวกพี่เคมีหมั่นไส้ไอ้โทที่แย่งขวัญใจไปจากอก แต่เปล่าเลย พวกวิศวะอารมณ์ขึ้นเพราะมีแก้วปาใส่โต๊ะ แถมมาเจอไอ้โททำหน้ากวนตีน (ซึ่งเป็นหน้าปกติของมัน) ก็เลยเข้าใจผิดว่ามันหาเรื่อง ... สุดท้ายก็จบกันโดยดี เพราะยังไงพวกวิศวะก็ผิดที่เริ่มก่อน แถมไอ้เคมีก็ดูจะเกรงใจพี่เจดอยู่ไม่น้อย

“มึงไม่เสียใจเหรอวะที่เราพลาดตำแหน่ง” พวกผมนั่งเรียงตัวอยู่หน้าเวทีประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัย หลังจากที่เก็บตัว ถ่ายแบบและเดินโปรโมตมาหลายวันก็มีการประกวดขึ้นเสียที ปีนี้ก็เช่นเคย เวทีเป็นแบบ outdoor ยกสูงเกือบเท่าหัวผมก็ว่าได้ แสงเสียงกระหึ่มจัดเต็ม มีเก้าอี้พลาสติกสีแดงหม่นวางเรียงไปแถวให้นักศึกษามาชมอย่างใกล้ชิด ไม่จำกัดชั้นปี ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเฟรชชี่ไนท์ก็ตาม

             ถนนรอบมหา’ลัยถูกเนรมิตให้เป็นตลาดนัดขนาดย่อมโดยพวกรุ่นพี่ปีที่จัดกิจกรรมหาเงินเข้าคณะหรือไม่ก็ชมรมที่ตนอยู่ ดีหน่อยที่ปี 1 ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวตรงนี้ เพราะทางมหา’ลัยอยากให้พวกเราสนุกกันให้สุดเหวี่ยง หลังจากประกวดจบจะมีคอนเสิร์ตที่ผมรอคอย แต่ตอนนี้ต่างมานั่งจับจองที่เพราะต้องให้กำลังใจดาวเดือนของคณะที่ขึ้นเวทีประกวด ผลก็เพิ่งออกเมื่อครู่ หลังจากลุ้นมาหลายอึดใจ

“เสียใจทำไมวะ” ไอ้โทถาม

“อ้าว ก็เสียใจที่แฟนมึงชวดตำแหน่งดาวมหา’ลัยไง” ผมชี้ไปบนเวที ดูสาวๆหนุ่มๆหน้าตาดีบนนั้น ถัดไปก็มีโปสเตอร์ออกแบบชื่องานเฟรชชี่ไนท์กับรูปประกอบที่แสนอินดี้จนไม่สามารถบรรยายออกมาได้ มีหยดสีตกพรมไปทั่วป้าย เหมือนจงใจตวัดแปรงสีให้เลอะๆไปงั้น

“มึงโง่ปะเนี่ยไอ้หนึ่ง”

“อ้าว ไอ้ชิบหาย ถามแค่นี้ถึงขั้นด่ากู สัด”

“ก็มึงโง่จริงนี่หว่า มึงดูสารรูปมึงกะกูซิ มีตรงไหนที่บอกว่าคู่ควรกับคนหน้าตาสวยแบบนั้นบ้าง” ผมมองสำรวจ หน้าตาเราก็คล้ายๆกัน สีผิวนี่ไม่ต้องพูดถึง แต่ดีหน่อยที่ไอ้โทมันสูงกว่าผมไปเยอะ

“ชิ” ผมเดาะลิ้นส่งเสียงไม่พอใจ ก็ไม่พอใจจริงๆแหละ เกิดมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน แต่ทำไมมีแต่ผมที่เตี้ยได้ขนาดนี้วะ ตอนไปถ่ายบัตรประชาชนรอบแรก ก็นึกว่าเส้นบอกส่วนสูงมันผิด เพราะนั้นผมกับไอ้โทก็โตมาด้วยกัน ส่วนสูงก็ไล่เลี่ยกัน แต่พอไปถ่ายบัตรประชาชนแค่นั้นแหละ ผมสูงแค่ 163 เซ็นติเมตร แต่ไอ้โทสูงแตะ 170

... ตอนนี้มาหยุดที่ 165 โดยที่ไอ้โทมันแตะ 175 ไปแล้ว...อีก 2 ปีจะถึง 20 กูคงสูงได้อีก...ปลอบใจตัวเองไปวันๆ

“ดีแล้วที่ขวัญใจไม่ได้ แค่นี้คนก็เข้ามาจีบจนปวดหัวละ” ไอ้โทพล่ามต่อ ก็สมควรแล้วล่ะ ขวัญใจสวยขนาดนั้น แถมได้รองดาวมหา’ลัยอีก ขี้หมาแห้งอย่างไอ้โทน่ะมีดีแค่ดวง อย่างอื่น...อย่าได้หวัง

“มึงไม่เอาดอกไม้ไปให้เหรอวะ” ดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ที่ไอ้โทมันลงทุนเก็บหอมรอมริบเอามาซื้อวางบนตักมาตั้งแต่แรกส่งกลิ่นหอมกระจาย ที่มันอ้อยอิ่งอยู่ตรงนี้ก็พอจะเข้าใจแหละว่ามันกำลังเขิน

“เดี๋ยวสิ ให้กูทำใจก่อน”

“อย่าทำใจนานนะมึง เห็นปะว่ามีคนเอาดอกไม้ให้แฟนมึงหลายคนแล้วนะ หล่อๆทั้งนั้น”

“มึงจะบิ๊วกูทำไมห๊ะไอ้สัด”

“เปล๊า กูไม่ได้บิ๊ว แค่พูดตามที่เห็น” ได้ผลครับ เมื่อไอ้โททำตาขวางใส่ก่อนจะลุกยืนเต็มความสูงโดยที่มือถือช่อดอกไม้สวยไว้ คืนนี้พวกเราต้องแต่งชุดนักศึกษาแบบเต็มยศเพราะเป็นประเพณีว่าปี 1 ต้องใส่พร้อมแขวนป้ายห้อยคอ พวกเราลากสังขารไปตัดผมตั้งแต่เช้า ลาก่อนทรงผมยาวประบ่าอันแสนกระเซิงที่ไว้มาตั้งหลายเดือน .... ช่างสมัยนี้ก็ไม่เข้าใจคำว่าเอาออกนิดเดียว แม่งไถจนกูจำหน้าตัวเองแทบไม่ได้

“ไอ้เตี้ย”

“ไร” ไอ้โทมันใช้มือตบไหล่ผมรัวๆเป็นเชิงให้ลุกไปเป็นเพื่อน “ไม่เอา”

“เห้ย เอาหน่อยน่า กูไม่กล้าไปคนเดียว”

“เรื่อง” ตอบวอนบาทามันครับ

“ถ้ามึงไม่ไปกับกู กูจะปล่อยคลิปเสียงมึงกับ...” มันเหล่ไปมองเดือนมหา’ลัยที่ยืนเด่นบนเวที ใช่ครับ ไอ้ตงชนะตามคาด

“อะ ไอ้เลว” ผมด่า รู้สึกพลาดมากที่โวยวายกันตอนเช้าหลังจากมีอะไรกันกับไอ้ตง ประตูห้องไม่ได้ปิดสนิท และเป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้โทเดินออกมาเข้าห้องน้ำ เรื่องที่โวยวายก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ

“อูยยย ไอ้เตี้ย มึงแม่งไม่คิดจะถนอมกูเลยใช่มั้ย” ไอ้ตงตื่นก่อนเอาหมอนฟาดหน้าผมเต็มรักจนสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ

“ทำไรวะมึง เจ็บชิบ”

“มึงเจ็บแค่นี้ อูยยย แต่กูสิ บวมหมดแล้วมั้ง ใจคอมึงจะไม่เล้าโลมเหมือนในหนังในละครบ้างรึไง”

“ไหนดูซิ” ผมผุดลุก เราทั้งคู่ต่างเปลือยเปล่า เรือนร่างไอ้ตงแม่งสวยชิบหาย กล้ามหน้าอกแน่น หัวนมสีเข้มน่าเย้ายวน กล้ามหน้าท้องเรียงตัว ไลน์กล้ามเนื้อและวีเชฟคือน่ากลืนกินไปทั้งตัว

“ดูเชี่ยไร”

“ก็ดูก้นมึงไงว่าบวมมั้ย”

“ไอ้ห่า ไม่ต้อง อื้อออ” ไม่ได้ผลหรอก เหมือนตงฉินจะเจ็บหรือไม่ก็หมดแรงหลังจากเจอศึกใหญ่ แรงฉุดของผมทำให้มันพลิกตัวโชว์ก้นแน่น ผมสำรวจรอยจีบย่นที่ขมิบไปมาอย่างยั่วยวน น้ำลายสอไปหมดแล้ววววว...

“จะดูอีกนานมั้ยไอ้เตี้ย” หืมมมมมม ขัดจังหวะกูจังวะ

“มันไม่บวมหรอก อาการปกติ”

“ปกติพ่อง กูเจ็บชิบหาย” มันบ่น สบถไม่ยั้ง

“จริง ไม่เชื่อกูถ่ายรูปให้ดูมั้ย”

“มะ ไม่ต้อง”

“ไม่อยากเห็นเหรอ” ผมยิ้มด้วยความสะใจที่ได้แกล้ง

“อยากตายเหรอมึงน่ะ”

“ตายคาก้นมึง กูยอมนะ”

“พ่อง อ๊ะ อย่าสิวะ”

“ก็ก้นมึงสวยอะ รูก็อ้า...”

“ไอ้เตี้ย!” คนหล่อตะโกนลั่น สงสัยจะอายที่ผมแซวเรื่องหูรูดมัน ก็เรื่องจริงนิครับ มันยังไม่ปิดเหมือนตอนแรกเลย

“เรียกผัวเหรอ”

“อะ ไอ้สัด อ๊า” ผมหมั่นไส้มันมากจนลืมตัว จัดดาบทู่ยัดเข้าไปอีกรอบ ดีนะที่ยังพอมีอะไรหลงเหลือเป็นตัวนำทาง

“อื้อ แน่นชิบหาย”

“อะ ไอ้ สะ สัด โอว๊....” 
ที่เหลือขอไม่บรรยายนะครับ พอหมดยกแค่นั้นแหละ มีไลน์เด้งขึ้นมาจากไอ้โท เป็นคลิปเสียงที่มันแอบมาอัดไว้ตอนไหนไม่รู้ แถมยังมีตอนที่ผมบังคับให้ไอ้ตงเรียกว่าผัวด้วย... ร้ายนัก...เพราะตอนนี้มันกำลังเอาเรื่องนี้มาขู่

“เออ ก็ไปก็ได้” จำใจและจำไว้นะ

“เห้ยมึง ไปเป็นเพื่อนพวกกูหน่อยสิ” ผมถามไอ้ฉัตร ไอ้คิ้วที่นั่งหาวรอคิวคอนเสิร์ต

“ขี้เกียจว่ะ มึงไปเถอะ พวกกูจะจองที่ให้” ผมเดาะลิ้นอย่างขัดใจ ไอ้คิ้วรีบยื่นช่อดอกไม้มาให้

“อะไรวะ”

“ของไอ้ตงมัน แฟนคลับฝากมา แต่กูขี้เกียจเอาไปให้”

“มึงก็เก็บไว้ให้มันหลังงานจบสิวะ”

“ได้ไง ไม่ให้ตอนนี้ก็ไม่อินเดะ” อินเชี่ยอะไรวะ ผมมองช่อดอกไม้อย่างหนักใจ สุดท้ายก็คว้าหมับเอามา “จิ๊!”

             เสียงพิธีกรบนเวทียังดำเนินต่อไป เพราะคณะสื่อมวลชน(จากชมรมถ่ายภาพ) กำลังรัวชัตเตอร์ใส่คณะดาวเดือนไม่ยั้ง ดาวคณะปีนี้มาจากคณะพยาบาล สวยคมตามแบบฉบับสาวใต้ ขวัญใจขาวหมวยได้แค่รอง 1 ส่วนเดือนไม่ต้องพูดถึง ไอ้ตงมันนอนมาตั้งแต่เลือกตำแหน่งเดือนคณะแล้ว แชมป์เก่าปีที่แล้วอย่างวิศวะ ปีนี้ส่งหนุ่มหล่อมมาก็จริง แต่ก็สู้ออร่าไอ้ตงไม่ได้

“ตอนนี้หน้าเวทีเราคลาคล่ำไปด้วยสื่อและผู้ชมที่มาร่วมยินดี แฟนคลับที่จะมอบดอกไม้ พวงมาลัยเชิญขึ้นบนเวทีนะครับ เรียงแถวมาทีละคน ดาวยืนตรงนี้ กลางเวทีเลยครับ ส่วนเดือนก็มายืนข้างๆกันเลย” พิธีกรบนเวทีทำหน้าที่ตัวเองต่อไป

             ผมล่ะเซ็งชีวิตจริงๆ ก่อนหน้านี้พวกแฟนคลับให้ดอกไม้หรือของขวัญหน้าเวทีโดยมีดาวเดือนก้มมารับ แต่พอใกล้ช่วงคอนเสิร์ตจะมา นักศึกษาพวกปีแก่ก็กรูมาจับจองพื้นที่จนเต็มไปหมด พิธีกรเลยต้องเปลี่ยนให้แฟนคลับเดินขึ้นมาบนเวทีและเดินลงที่บันไดฝั่งตรงกันข้าม ไอ้โทมันดันหลังให้ผมรีบขึ้นไปบนนั้น และแยกกันไปเพราะขวัญใจอยู่ด้านหลังของดาวเดือนมหา’ลัย มีแต่ผมที่เดินดุ่มๆไปยังหนุ่มหล่อสาวสวยกลางเวที ทำไมไม่กวาดทุกคนลงมา หรือพาไปหลบข้างหลังก็ไม่รู้ บันไดไม้ก็ชันและดูบอบบาง กดน้ำหนักลงไปแต่ละทีนึกว่าจะหัก

“โอ้โห หนุ่มหล่อคนนี้มาจากคณะอะไรครับ หิ้วช่อดอกไม้มาให้กำลังใจช่อเบ้อเริ่ม” อะ ไอ้พิธีกร ทำไมมึงต้องมาแซวกันตอนนี้ด้วยวะ “ไม่ต้องอายหรอกครับ ดาวมหา’ลัยของเราไม่ดุ”

...เสียงโห่จากข้างล่างเวทีทำเอาผมแทบซุกหน้ากพื้นเวที มันจะบังเอิญอะไรเบอร์นี้วะ จะแซวคนก่อนหน้าหรือไม่ก็คนต่อแถวกูไม่ได้รึไง

“ว่าไงครับ ชื่ออะไร มาจากคณะไหนครับ” เชี่ย เอาไมค์มาจ่อปาก แสงไฟบนเวทีก็สาดมาใส่เต็มที่ ไอ้ตงทำหน้านิ่งงันแต่ผมเห็นมันแอบชำเลืองมามองเป็นระยะ

“อะ เอ่อ ชื่อ โทครับ มาจาก...” เสียงกรี๊ดมาจากไหนเยอะแยะวะ วันนี้แค่ตัดผมมาใหม่ เซ็ตให้เป็นทรงและใส่ชุดทางการเท่านั้น ตัวก็ยังดำเหมือนเดิม

“มึงชื่อหนึ่ง ไอ้เตี้ยอย่าเนียน กูต่างหากชื่อโท” อ้าว ไอ้สัด กูนึกว่ามึงลงเวทีไปแล้ว ไอ้ตงหลุดขำที่เห็นผมโดนเปิดโปง

“โป๊ะนะครับ ไม่เนียนนะน้องหนึ่ง” ผมหน้าแหย แทนที่จะปล่อยผ่าน ไอ้พิธีกรยังแซวไม่เลิก จังหวะนี้แหละผมรีบก้าวขาเพื่อเอาดอกไม้ไปให้ไอ้ตงให้จบๆ แต่ขาเจ้ากรรมของพิธีกรดันมาขวางทางจนผมสะดุดหน้าคว่ำ มือที่ว่างอยู่กระชากเนกไทของไอ้ตงสุดแรงจนร่างใหญ่ล้มตึงมาทับ หัวผมกระแทกพื้นเวทีโครมใหญ่ ยังไม่เจ็บเท่าจังหวะที่ปากของไอ้ตงกระแทกลงมาที่ปากผมอย่างพอดิบพอดี

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด พวกเค้าจูบกัน”

แชะ แชะ แชะ ... เสียงชัตเตอร์รัวถี่ยิบ ... หมดกัน ความสงบในปี 1 ของไอ้เตี้ย

T____T

             และเป็นไปตามคาด ทางเพจ CuteBoy เอารูปที่พวกเราฟาดปากกันลงหรา แถมยังมีคนกระหน่ำไลค์ไม่หยุดแตะหลักหมื่นภายในคืนเดียว ยังดีที่มีคนเอารูปตอนที่ผมเลือดกบปากมาแก้ข่าว พวกแฟนคลับที่จิ้นก็เริ่มมาแซว คนที่เข้าใจและบอกว่าสงสารก็เยอะอยู่ ไอ้ตงปากเจ่อไม่แพ้กันแต่มันไม่ได้เลือดแบบผมนี่หว่า ข่าวบันเทิงก็เอารูปนี้ไปแซวยกใหญ่ แต่ดีหน่อยที่คาดหน้าตาผมไว้ ไม่งั้นดังแน่ๆไอ้เตี้ย ... ไอ้ตงเหมือนจะงอนผมไปสักพัก ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ไอ้ตัวต้นเหตุอย่างไอ้คิ้วก็ได้แต่ขำตอนที่เล่าที่มาที่ไปของดอกไม้ในมือผมให้ไอ้ตงฟัง ไม่รู้รายนั้นจะเข้าใจแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ มันเงียบใส่มาได้สองวันละ

ก๊อกๆ ... “เข้ามา” เสียงเจ้าของห้องตอบรับเสียงเคาะประตู

“อะ ไอ้ตง” ผมค่อยๆเปิดประตูห้องนอนและเรียกมันด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ มองร่างสูงที่นอนแผ่บนเตียงอย่างไร้อารมณ์

“มีไร” นั่นไง ยังไม่หายงอน ปากก็ยังเจ่ออยู่

“คะ คือพวกกูจะไปกินข้าว มึงไปด้วยกันมั้ย”

“ไม่อะ กูไม่หิว” อื้อออออออออออออ งอนจริง

“อะ...”

“กูบอกว่าไม่หิวไง” เออ เรื่องของมึง... ผมปิดประตูโครมใหญ่ กร่นด่ามันในใจอย่างหัวเสีย
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 17 P.3 Up วันสงกรานต์ 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-04-2020 12:55:13
 :pig4: :pig4: :pig4:

อาตงงอนเรื่องไร?

งอนที่ช่อดอกไม้นั้น จริง ๆ แล้วไม่ใช่ของหนึ่งใช่ป่ะ?  อิอิ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 17 P.3 Up วันสงกรานต์ 63
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 13-04-2020 14:25:29
555 มีงอนด้วย
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 17 P.3 Up วันสงกรานต์ 63
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-04-2020 15:41:22
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 17 P.3 Up วันสงกรานต์ 63
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 16-04-2020 21:31:59
รออ่าน
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 17 P.3 Up วันสงกรานต์ 63
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 16-04-2020 22:16:39
คนหล่อไมขี้วอนจัง
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 18 P.3 Up 17 เม.ย. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 17-04-2020 17:28:07
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 18. ลอกคราบหนอนผีเสื้อ


             สิ่งที่น่าเบื่ออย่างหนึ่งในชีวิตก็คือ การรู้สึกว่าตัวเองไร้ตัวตน เหมือนเป็นส่วนเกิน... ผมเข้าใจคำๆนี้ดีเลยล่ะ หลังจากที่โดนไอ้ตงทำเสียงดุใส่ก็หัวเสียมากพอแล้ว มื้อเที่ยงแม่งโคตรไม่อร่อย ใจหนึ่งก็รู้สึกผิด แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องโกรธเคืองอะไรขนาดนี้ ... แต่ยังไม่เท่าอารมณ์ไร้ตัวตนในตอนนี้หรอก

“ไอ้โท ถ้ามึงจะสวีตกันขนาดนี้ ทีหลังไม่ต้องชวนกูมาก็ได้นะ” นี่แหละครับต้นตอของความหมั่นไส้ พวกเรามานั่งกินพิซซ่าที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ ยิ่งตอนที่เห็นสองคนนั้นตักให้กัน มีป้อนกันไปมาก็ยิ่งรู้สึกเป็นส่วนเกินไปซะงั้น นั่งมองอยู่นานจนทนไม่ได้ เผลอบ่นไอ้โทไปหนึ่งดอก

“อิจฉาเหรอ อิจฉาก็หาแฟนสักคนสิ” ไอ้โทตอบ โดยมีขวัญใจพยักหน้ายิ้มรับ ...

หมาหัวเน่าที่แท้ทรู...

“กินเสร็จไปไหนต่อ” ผมถามห้วนๆ

“พวกกูว่าจะไปดูหนังอะ มึงจะดูด้วยกันมั้ย” แหมมมม ทำเป็นชวน แต่หน้าตามึงไม่เป็นมิตรนะไอ้หนึ่ง

“ไม่อะ ขี้เกียจไปเป็น กขค”

“กขค อะไรจ๊ะหนึ่ง ไม่ใช่หรอก” นานๆขวัญใจจะเอ่ยปาก สวยระยับเลย แม่งไอ้โทมันโชคดี

“ขวัญใจไปดูกับมันเถอะ เราเหม็นความรัก” ผมทำหน้าบู้

“อิจฉาล่ะสิ”

“ไอ้สาดโท” มันทำหน้าเหรอหราล้อเลียน ยิ่งทำให้หงุดหงิดไม่หยอก “งั้นมื้อนี้มึงเลี้ยง” ไม่รอให้มันตอบหรอก ผมรีบลุกและเดินออกมาจากร้านพิซซ่าอย่างไม่สนใจคำด่าของญาติสนิทของตัวเอง

             วันหยุดแบบนี้ ไอ้ตงมันรับงานถ่ายแบบช่วงบ่าย ไอ้นี่มันทำตัวเหมือนนักแสดงอิสระ ผู้จัดการส่วนตัวก็ไม่มี ไหนจะต้องเรียนให้ทันเพื่อนอีก ไม่รู้ว่ามันทำได้อย่างไร แต่ก็ต้องนับถือที่มันสามารถบริหารเวลาได้อย่างดีเยี่ยม ... เชี่ย คิดถึงเรื่องมันอีกละ

ตุบ... นี่มันละครชัดๆ ใจลอยแล้วไปชนใครบางคน

“เป็นไรหนึ่ง ใจลอย” เสียงคุ้นหูทักทาย ผมเงยหน้าไปมองความหล่อบาดตานั้น

“พี่เจด” อ้าปากค้างสิครับ วันนี้พี่เจดหล่อสุดๆ เคยเห็นแกแต่งตัวสบายๆมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้กลับดูพิเศษจนหายใจติดขัด เสื้อยืดหลวมโคร่งสีขาวกลมกลืนกับสีผิวที่ขาวจัดอย่างลงตัว กางเกงยีนส์รัดรูปสีดำเข้มคาดด้วยรอยขาดที่ต้นขาและหัวเข่าเผยความเนียนละเอียดของผิวจนอดไม่ได้ที่จะจับจ้อง

“ชนพี่ซะแรง แถมจ้องขนาดนี้ คิดอะไรกับพี่รึเปล่า” นั่นไง...โดนดอกแรกไปละ

“คิด เอ๊ย มะ..” คือ ถ้าตอบว่าไม่คิดจะผิดมั้ยวะ

“หืม...” พี่เจดทำสีหน้าสงสัย แววตาดูมีความหวังว่าผมพูดต่อให้จบประโยค

“ มะ ไม่กล้าคิด” ผมลอบถอนหายใจ อย่างน้อยก็ต้องไหลไปตามน้ำบ้าง

“อยากให้คิดนะ” พี่เจดโน้มมากระซิบข้างหู ก่อนจะแจกรอยยิ้มบาดใจมากระชากวิญญาณผมแทบหลุดจากร่าง...ดอกสอง

“พี่เจดมาเที่ยวเหรอครับวันนี้” ก่อนจะเขินไปมากกว่านี้ เราควรเปลี่ยนเรื่องคุย

“ไม่เชิงครับ พอดีที่คณะมีงานออกค่าย พี่ดูแลพวกอุปกรณ์ตกแต่งน่ะ เลยออกมาหาซื้อ”

“โห เจ๋งอะพี่ ออกค่ายที่ไหน แล้วพี่ต้องซื้ออะไรบ้าง คือ ไปกันเยอะมั้ยครับ...”

“หยุด” พี่เจดยกมือห้าม “ถามขนาดนี้พี่จะตอบข้อไหนก่อนล่ะ” ผมยิ้มเจื่อนๆยกมือขวาลูบท้ายทอยแก้เก้อ

“...”

“แล้วเรามาทำอะไรเหรอ”

“อ๋อ ผมมากินข้าวกับไอ้โทและแฟนมันน่ะครับ”

“อ้อ พี่เห็นเดินใจลอยอยู่...” ผมเดาว่าพี่เจดคงเห็นผมก่อนและตั้งใจเดินมาให้ชน -- > เข้าข้างตัวเองสุดๆ

“ผมแค่รำคาญไอ้โทมันน่ะครับ สวีตกับแฟนจนรู้สึกเหมือนเป็นคนนอก พี่เจดจะไปดูของที่ไหนอะครับ” เมื่อเห็นสายตาพี่เขาสอดส่อง ผมก็เลยถามเผื่อจะขอตัวแยก

“ไปดูแผนกเครื่องเขียนล่ะมั้ง ...” พี่เจดชี้ไปทางร้านขายอุปกรณ์สำนักงานก่อนหันมายิ้มให้จนใจสั่น “โทมันมีแฟน แล้วหนึ่งล่ะ”

“เอ่อ” นี่อุตส่าห์ถามเปลี่ยนเรื่องไปแล้วนะ “ขี้เหร่แบบผมใครจะยอมเป็นแฟนด้วยล่ะ”

พี่เจดชี้ไปที่หน้าอกตัวเอง “พี่ไง”

“...” //หน้าแดง ... รู้สึกเหมือนกำลังโดนจีบ ... ดอกที่สาม

“หนึ่งไม่ได้ขี้เหร่หรอก ตาก็กลมโต คิ้วก็หนา จมูกก็โด่ง แถมยังผิวสีแทน คมเข้ม ตัดผมทรงนี้นะ โคตรหล่อ”

อื้ออออออออออ... ใจบางไปหมดแล้ว ไอ้หนึ่งจะลอย...

“เว่อไปพี่” ดอกที่สี่สินะ โดนแซวซึ่งๆหน้าแบบนี้ถึงกับไปไม่เป็น

“จริงๆ ไม่เชื่อมานี่มา” ไม่พูดเปล่า พี่เจดก็ลากแขนผมเดินเข้าแผนกเสื้อผ้าผู้ชายในตัวห้างทันที ร่างสูงก้าวเท้ายาวแต่ลงจังหวะให้ผมก้าวตามได้ทันอย่างไม่ต้องเร่งจังหวะ ไม่เหมือนไอ้ตงที่ก้าวยาวๆไปก่อนโดยไม่สนใจขาสั้นๆของผมที่แทบจะวิ่งตามให้ทันมัน ...

“แพงไปเปล่าครับพี่” ผมดูป้ายราคา ตัวเลขที่เห็นนั้นทำให้ปาดเหงื่อไม่หยุด แค่เสื้อสูทธรรมดาตัวเดียวก็เกือบหมื่นเข้าไปละ ยังไม่รวมกางเกงสแล็กสีเข้มลายทางที่เข้ากันนะ

“ไม่แพงหรอก” พี่เจดยิ้ม และคะยั้นคะยอให้ผมเอาชุดไปลอง มันเป็นสูทสีเข้มโทนน้ำเงินลายขวางสีขาวกึ่งลำลอง ไม่แค่นั้น พี่เจดยังหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวมาให้ลองสวมอีกด้วย ไอ้เราก็เข้ามาในห้องลองชุดอย่างงงๆ รู้ตัวอีกทีก็เปลี่ยนชุดเสร็จสรรพ

ก๊อกๆ

“ไหน พี่ขอดูหน่อยซิครับหนึ่งว่าเป็นไงบ้าง”

“ครับ” ผมตอบรับ นึกแปลกใจว่าพี่เจดเข้ามาในห้องลองชุดได้ยังไง ก่อนจะถามอะไรออกไปเสียงเคาะประตูก็ดังอีกครั้ง ผมเลยรีบเปิดออกมา

...ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าพี่เจดดูตะลึงที่ได้เห็นผมในชุดนี้ แต่แววตาและรอยยิ้มหล่อๆนั้นทำให้ใจชื้นไม่น้อยว่าใส่ชุดนี้แล้วไอ้เตี้ยไม่ขี้เหร่แน่นอน “ปะ เป็นไงบ้างครับ”

“หล่อ สุดยอด” พี่เจดไม่ได้แกล้งชมแน่ๆ เพราะแกดันจ้องมาแบบไม่วางตา

“ฮ่าๆ พี่อย่าอำ”

“ไม่ได้อำ...มานี่” พี่เจดเหมือนจะชินกับการลากแขนและให้ผมเดินตาม แรงฉุดแกไม่ใช่น้อยๆ กระชากทีร่างเกือบพัง

“พะ พี่เจด จะไปไหน ยังไม่ได้เปลี่ยนชุดเลย” ผมประท้วง

“ไม่ต้องเปลี่ยน ใส่ชุดนี้แหละ พี่จ่ายเงินแล้ว”

“ห๊ะ พะ พี่” แม้จะพยายามขืนตัวเท่าไหร่ก็เหมือนไม่ได้ผล เพราะพี่เจดแรงเยอะกว่ามาก ทำไมช่างแตกต่างกับไอ้ตงจังวะ รายนั้นตัวสูงใหญ่ แต่เหมือนคนไร้เรี่ยวแรง เวลาผมกระชาก ดึง หรือ.... มันก็ทำท่าเหมือนคนไม่มีแรงสู้กลับยังไงยังงั้น

...คิดถึงมันรอบที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย...

(https://cdn-th.tunwalai.net/files/member/971823/420094966-member.jpg)
(หนึ่ง เอกราช)

             ผมเดินกึ่งวิ่งตามพี่เจดมาติดๆ ขออนุญาตถอนคำพูดว่าพี่เจดเดินทิ้งจังหวะรอ เพราะตอนนี้ขาวยาวก้าวฉับๆจนเดินตามแทบไม่ทันพวกเราลัดเลาะตามทางเดินภายในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ วนไปเวียนมาจนถึงลานจอดรถ คนกลุ่มหนึ่งกำลังมุงดูอะไรสักอย่าง จนเมื่อเข้าไปใกล้จึงเห็นว่าเป็นพวกเด็กวิศวะแต่งตัวดูดีกันทุกคนกำลังโพสต์ท่าให้เด็กที่เดาว่าจากคณะสื่อสารฯถ่ายภาพนิ่ง

“เห้ย กูพานายแบบมาเพิ่มให้พวกมึงแล้ว” พี่เจดส่งเสียงดังจนทุกคนหันมามองผมเป็นตาเดียวกัน ยิ่งทำให้อึดอัดไปอีก

“เชี่ยยยย ไปหานายแบบมาจากไหนวะ โคตรหล่อ” ช่างแต่งหน้า(ดูจากอุปกรณ์ในมือ)ถาม

“แถวๆนี้แหละ” พี่เจดยิ้มให้ผม

“มานั่งตรงนี้ค่ะ”

“ตะ แต่...” ผมพยายามบอกว่าตัวเองไม่ใช่นายแบบ แต่พี่เจดพยักเพยิดหน้าให้จนปฏิเสธไม่ได้

“เดี๋ยวลงแป้งหน่อย เซ็ตผมอีกนิด รับรองหล่อกระชากใจแน่ๆ” พี่ช่างแต่งหน้าพูดไม่หยุดตอนที่ละเลงผงแป้งและอะไรๆอีกหลายอย่างมาที่หน้า คำสั่งให้หลับตาทำให้ผมเกือบงีบ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีคนมาสะกิด

“เดี๋ยวไปถ่ายหน้าห้างนะ ตรงต้นไม้ อาจจะร้อนไปบ้าง ทนเอาหน่อยนะน้องๆ” เสียงตากล้องหรือไม่ก็ผู้จัดการกองเป็นคนบอก ผมลุกและปราดไปหาพี่เจดที่ยืนหล่อกลางดงวิศวะอย่างเก้ๆกังๆ เสียงพูดคุยเงียบทันทีที่ไปถึง

“สัด หล่อชิบ” เพื่อนพี่เจดพูดออกมา

“เห็นมั้ยล่ะ” พี่เจดยิ้มร่าถูกใจ

“พี่เจด...” ผมเรียกด้วยสีหน้าบ่งบอกว่าไม่เข้าใจ เขาปลีกตัวออกมาจากกลุ่มและเดินไปตามทางกับกองทัพตากล้อง

“คือ” พี่เจดทำท่าจะพูด

“ครับ”

“พี่ขอโทษที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า พอดีมันเป็นงานของเพื่อนพี่อีกทีน่ะที่ต้องทำโปรเจ็กส่ง” ผมกอดอกขณะฟัง

“จริงๆงานนี้พี่จะต้องถ่ายเองแหละ แต่ตอนที่ไปเข้าห้องน้ำแล้วเจอเราพอดี ตอนที่เราลองชุด ...”

“...”

“พี่เลยปิ๊งไอเดียนี้ขึ้นมา” ยิ้มทำไม คิดว่ายิ้มแล้วผมจะยกโทษให้งั้นเหรอ

“ไหนพี่บอกว่ามาหาซื้ออุปกรณ์...”

“ก็ส่วนหนึ่ง จริงๆพี่ซื้อเสร็จแล้วแหละ แค่หาเรื่องคุย” ดูเหมือนว่าคนหล่อกำลังหน้าแดง

“ผม ไม่เข้าใจ”

“ก็ คือ แบบว่า” พี่เจดประกบสองมือและถูไถไปมาเหมือนหาไออุ่นช่วงหน้าหนาว ... แต่เวลานี้คือร้อนระอุจนแทบไหม้

“พี่เจด”

“พี่แค่...พี่ขอโทษ” แกไม่ยอมอธิบาย “ถ้าหนึ่งไม่โอเค จะกลับพี่ก็ไม่ว่านะครับ”

“...” ผมถอนหายใจ เราสบตากันชั่วครู่ ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูสำนึกผิด แต่กลับฉายแววเซ็กซี่จนละสายตาไม่ได้ “ถ้าพี่ยอมบอกเหตุผลดีๆกับผม ผมช่วยเป็นนายแบบก็ได้ครับ”

“จริงดิ” โอยยยย ทำไมต้องยิ้มแล้วโลกสดใสขนาดนี้ด้วยวะพี่เจด

“เหตุผลดีๆนะครับ” ผมย้ำ ไอ้เราก็แค่เบื่อที่เห็นเพื่อนสนิทสวีตกับแฟน เลยผละออกมาจนบังเอิญเจอแฟนเก่า โดนเขาลากไปลองชุด และพามาถ่ายแบบการกุศลให้กับเพื่อน... คำถามคือ...ทำไมต้องผม

“คือ พี่ไม่แน่ใจว่ามันจะสมเหตุสมผลมั้ยนะครับ” พี่เจดทำท่าทางไม่มั่นใจ ผมจับจ้องพี่เขาอย่างไม่วางตา

“ไม่เอาเหตุผลว่าผมหล่อนะครับ อันนั้นผมก็พอรู้”

“ฮ่าๆๆ” พี่เจดหัวเราะแก้เก้อ แกเป็นแบบนี้มานานแล้ว หลายๆเรื่องก็เลือกที่จะเงียบหรือไม่ก็หัวเราะกลบเกลื่อน ผิดกับไอ้ตงที่มันคิดอะไรก็พูดออกมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อม

“ฮึ่ม” พี่เจดเห็นผมทำหน้านิ่งเลยกระแอมไอและหยุดไปครู่หนึ่ง...

“เหตุผล?”

“พี่แค่” คราวนี้ดูเหมือนแกจะหาข้ออ้างเจอแล้ว เอาจริงๆผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรที่มันต้องดีเด่โดนใจหรอก แค่อยากให้แกช่วยอธิบายที่มาที่ไปบ้าง ไม่ใช่ทำเหมือนผมเป็นตุ๊กตาที่จับใส่เสื้อผ้าแล้วเอามาถ่ายรูปอวดใครแบบนี้

             เพื่อนของพี่เจดรวมไปถึงน้องๆพากันเดินผ่านจุดที่เรายืนคุยกันอยู่จนต้องเงียบกันไปชั่วอึดใจ ตอนนี้ผมเหม่อไปด้านล่าง ผู้คนต่างคลาคล่ำเดินเข้ามาในห้างสรรพสินค้าเพื่อหลบร้อน หรือไม่ก็มาจับจ่ายใช้สอย มุมต้นไม้เรียงรายดูสดชื่นมีผู้คนจับจองพื้นที่อยู่ประปราย กองถ่ายที่ประกอบไปด้วย ตากล้อง ช่างแต่งหน้า ช่างไฟ และกลุ่มนายแบบสมัครเล่นต่างก็ยืนออกันมุมนั้น

“ไปกันเถอะครับ” ผมเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ เลิกคาดหวังว่าพี่เจดจะพูดจาหวานๆหรือให้เหตุผลดีๆไปแล้ว

“หนึ่ง” พี่เจดรั้งชายสูท ผมตอบครับและหันไปสบตานิ่งงัน ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้แสดงออกเช่นเคย มันดูจริงจังผิดกับที่ผ่านมา


“เรากลับมาคบกันได้ไหม” ....
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 18 P.3 Up 17 เม.ย. 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-04-2020 21:38:51
 :pig4: :pig4: :pig4:

คบกับพี่เจต หนึ่งอาจจะเพลี่ยงพล้ำตกเป็นฝ่ายรับนา  แต่ถ้าเลือกอาตงฉินได้รุกชัวร์  อิอิ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 18 P.3 Up 17 เม.ย. 63
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 17-04-2020 21:40:45
แหล่ว ๆ แล้ว จะยอมกลับไปคบกับแฟนเก่าไหม
ระวังเจออิทธิฤทธิ์เมียปัจจุบันนะ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 18 P.3 Up 17 เม.ย. 63
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-04-2020 23:32:43
 :m31:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 19 P.3 Up 21 เม.ย. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 21-04-2020 11:34:43
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 19. ไปนั่งเล่นที่ห้องพี่ก่อนมั้ย
             ชะงัก... ทุกสิ่งเหมือนหยุดเคลื่อนไหว หลังจากคำพูดจากปากสุดเซ็กซี่นั่นหลุดออกมา ถ้าพูดให้ถูกต้องคือ ตัวผมนั่นแหละที่แน่นิ่งไปเลย จากที่โดนแซวไปหลายดอก จนมาถึงดอกนี้...นับว่ามีอานุภาพทำลายล้างได้อย่างที่สุด อาการชะงักงันที่แสดงออกนั้นคงทำให้อีกฝ่ายจับอาการได้ไม่ยาก นอกจากพี่เจดจะไม่พูดอะไรต่อแล้วยังชิงเขินหน้าแดงเข้าไปอีก แต่กระนั้นก็จับแขนผมและลากไปจนถึงกองถ่ายที่ตั้งอยู่ใต้ร่มไม้จนได้

“พวกมึง กูเปลี่ยนใจละนะ ไม่ให้น้องเค้าถ่ายแบบแล้ว” เสียงพี่เจดบอกเพื่อนทีมงาน

“อ้าว ทำไมวะ”

“กูหวง” พี่เจดพูด ไม่สนใจเสียงแก้วแตกเพล้งจากด้านหลังพร้อมเสียงเอะอะว่าเลือดใครบางคนไหล ผมได้แต่อึ้ง บอกตรงๆว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยโดนใครรุกเร้าจนเสียอาการได้ขนาดนี้ “ไปกันเถอะ” เสียงนั้นกระซิบ ผมจำไม่ได้ด้วยว่าได้ตอบออกไปหรือเปล่า รู้ตัวอีกทีก็มานั่งในรถหรูของพี่เจดเสียแล้ว

“...”

“พี่พูดจริงๆนะ” พอผมได้สติ พี่เจดก็พูดขึ้นมา แอร์ในรถเย็นฉ่ำจนหนาวสั่น แต่ตัวผมกลับร้อนโดยเฉพาะใบหน้า

“คระ ครับ”

“ที่ว่าอยากกลับมาคบกับหนึ่งอีกครั้ง...” ไม่เข้าใจ ผมไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้ายนะครับ แต่ว่าเราไม่ได้ติดต่อกันมา 2 ปีเต็มๆ จะให้ต่อติดทันทีเลยก็เป็นไปได้ยาก แถมสารรูปผมนั้นแตกต่างกับพี่เจดฟ้ากับเหว ถึงแม้จะใส่สูทเซ็ตผมก็ไม่ได้ครึ่งของความหล่อของพี่เขาเลยสักนิด นักศึกษาคณะวิศวะ ดีกรีเดือนมหา’ลัยปี 3 มันต่างจากคนมอซอแบบเอกราชคนนี้สุดๆ

“พี่เจด” อ้ำอึ้ง

“หนึ่งไม่ต้องรีบตอบก็ได้ พี่รอได้” ใบหน้าหล่อนั้นตอบกลับ ยิ่งทำให้หัวใจอ่อนแอเข้าไปอีก “หนึ่งอยากไปไหนเป็นพิเศษมั้ยครับ”

“ครับ” จะตอบยังไงดีล่ะ ปกติก็ไม่เคยได้ไปเที่ยวไหนหรอก ไม่มีงบ “ไม่มีครับ”

“อืมมมม นี่ก็บ่ายแก่แล้ว” พี่เจดทำท่าคิดสักพัก “ไปนั่งเล่นห้องพี่ก่อนมั้ย”

“ห๊ะ”



[ตงฉิน]

             ผมนอนพักอย่างอ่อนแรงที่ห้องจนบ่าย รู้สึกเบื่อและหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้กลับรู้สึกไม่ดีที่ตัวเองตวาดไล่ไอ้เตี้ยก่อนหน้านี้ ตอนที่มันเดินคอตกออกไปก็ยิ่งรู้สึกผิด แต่ก็เพราะมันนั่นแหละจอมก่อเรื่อง หาเรื่องให้เป็นข่าวได้ตลอด หลังจากมีข่าวและรูปจูบบนเวทีประกวดดาวเดือนของมหา’ลัยหลุดก็ทำให้กระแสนิยมพุ่งพรวดอย่างผิดคาด จากที่เคยคิดว่าอาจจะโดนผู้ใหญ่เรียกไปอบรมกลับเป็นได้งานมาเพิ่มเฉย 

“ผู้หญิงสมัยนี้ชอบแนวนี้กันหมดแหละ น้ำขึ้นต้องรีบตัก” เสียงของผู้บริหารที่ผมสังกัดยังก้องในหัว บทซีรี่ย์ใหม่วางอยู่ข้างๆ ผมอ่านรวดเดียวจบตั้งแต่กรุงเทพจนถึงที่นี่

“ซีรี่ย์ชายรักชายน่ะเหรอครับ”

“ใช่ แนวนี้กำลังนิยมเลย ยิ่งเรามีรูปหลุดแบบนี้แฟนคลับยิ่งชอบ” ผมอ่านคอมเม้นต์ในโซเชียลมาบ้าง กลุ่มแฟนคลับที่เรียกตัวเองว่าสาววายนั้นต่างชื่นชอบ เหมือนโลกมันหมุนกลับด้านยังไงก็ไม่รู้ ที่ความนิยมชมชอบกลายเป็นการจิ้นระหว่างผู้ชายด้วยกัน

“ไม่ต้องคิดแล้วตง พี่คิดว่าบทนี้เหมาะกับตงมาก” ผมได้แต่รับบทมาอ่าน ไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรเพิ่ม แม้กระทั่งนักแสดงที่จะมาร่วมงานด้วย

“ถ้าพี่ว่าดี ผมก็ไม่ติดอะไรครับ” พี่สุชาติ ผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงตบไหล่ผมอย่างเป็นกันเอง แม้จะพยายามหลบเลี่ยง แต่ก็ไม่พ้นแววตากรุ้มกริ่มนี่อยู่ดี ได้แต่นิ่งและกำหมัดแน่น ไม่ชอบการกระทำกึ่งรุ่มร่ามแบบนี้เลยสักนิด

“ตกลงตามนี้นะ ว่าแต่คืนนี้น้องตง...”  ผมเข้าวงการตั้งแต่อายุ 14-15 เพราะตอนนั้นพี่ต่อรับงานด้านนี้เลยพ่วงน้องชายแบบผมเข้ามาด้วย สุดท้ายพี่ต่อก็เลือกที่จะไปโฟกัสเรื่องเรียนที่ต่างประเทศหันหลังให้วงการบันเทิง แต่ผมยังยืนหยัดอยู่ที่เก่า ด้วยบุคลิกที่ดูเงียบขรึม เลยทำให้ไม่ค่อยมีใครเอ็นดูป้อนงานให้ มีแต่พี่สุชาตินี่แหละที่คอยผลักดัน จนทำให้ผมมีชื่อเสียงขึ้นมา

             ใครที่กำลังคิดว่าผมชื่นชมชายคนนี้ บอกเลยว่าคิดผิด เพราะไอ้เชี่ยสุชาตินี่แหละ ที่ทั้งผลัก ทั้งดัน เป็นการส่วนตัวหลายต่อหลายยกกว่าจะยอมมอบบทดีๆให้ ด้วยความที่ยังเด็ก ตอนนั้นก็แค่อยากมีอะไรสักอย่างเป็นผลงานให้พ่อได้ภูมิใจ ไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วนว่าจะต้องเอาตัวเข้าแลกหรืออะไร แต่พอมันเลยเถิดก็ต้องปล่อยไปตามนั้น ผมอยากจะลาออกจากสังกัดนี่ชิบหาย แต่ยังทำไม่ได้ เพราะติดสัญญาถึงปีหน้า ตอนนี้ผมโตขึ้น มีวุฒิภาวะมากกว่าแต่ก่อน เลยทำให้หาข้ออ้างมาขัดเรื่องอย่างว่าที่เจ้าของสังกัดพยายามอ่อยอยู่เสมอ

“ผมขอตัวก่อนดีกว่าครับพี่ พอดีเย็นนี้มีงานที่มหา’ลัยด้วย” ไม่รอคำตอบ ผมยกมือไหว้และเดินออกมาอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นรัวจากความอึดอัด อยากไปให้พ้นจากตรงนี้ แม่งเอ๊ยยยย ...



[หนึ่ง เอกราช]

             ผมได้แต่นั่งอึ้ง วันนี้อึ้งหลายรอบมาก ไม่คิดว่าพี่เจดจะรุกหนักแบบนี้ แกหันมาสบตา พลางยิ้มตาหยี หน้าตาหล่อเหลาแบบอ๊ปป้าเกาหลีทำใจสั่นไปหมดตอนนี้ ฟันขาวสะอาดเรียงรายราวกับเปิดแฟลชได้สะท้อนจนตาพร่ามัวไปหมด เจอรอยยิ้มขนาดนี้เข้าก็ไปไม่เป็น นั่งเงียบตลอดทางจนมาถึงคอนโดหรูที่อยู่ไม่ไกลจากมอมากนัก ... พี่เจดเปิดประตูห้อง ผมเดินตามช้าๆ ขาสั่นไปหมดแล้ว ไม่คิดว่าตัวเองจะได้มาถึงตรงนี้ ประตูสีดำบานใหญ่เปิดอ้า พร้อมเสียงร้องเตือนที่ดังลั่นจากระบบประตูที่เปิดค้างไว้นาน

“หนึ่ง เข้ามาสิ ประตูร้องลั่นแล้วเนี่ย”

“เอ่อ ครับ” เอาวะ เป็นไงเป็นกัน

             ห้องพี่เจดมีขนาดประมาณ 41 ตารางเมตร จัดเป็นสัดส่วนลงตัวตามแบบฉบับของคอนโดมิเนียมทั่วไป ประตูห้องน้ำอยู่ด้านซ้ายมือติดกับประตูห้อง พื้นที่ตรงหน้ามากกว่าครึ่งเป็นห้องนั่งเล่นที่มีโซฟาขนาดใหญ่เท่ากับเตียงขนาด 6 ฟุตวางอยู่ ชั้นวางหนังสือและตู้กระจกใส่ของเล่นวางติดผนังระนาบเดียวดับประตูห้องน้ำ เดินไปอีกหน่อย เป็นประตูบานเลื่อนของห้องครัวที่อยู่ซ้ายมือแนวเดียวกับห้องน้ำ เปิดไปด้านหลังจะเป็นระเบียงแคบมีเครื่องซักผ้าตั้งอยู่ ห้องนอนพี่เจดเรียบง่าย แต่รกระเกะระกะด้วยชีทที่แกน่าจะนั่งอ่านและวางทิ้งไว้ ผมสังเกตเห็นเพราะประตูมันไม่ได้ล็อก พี่เจอยิ้มแหยก่อนจะดึงตัวผมไปนั่งที่โซฟานุ่ม เสียงแอร์เริ่มทำงานปล่อยไอเย็นมาคลายร้อน แต่ใจผมยังเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะเช่นเคย

“เอาอะไรมั้ย”

“อะ เอา...” ผมเลิ่กลั่ก

“พี่หมายถึงดื่มอะไรมั้ย” ยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนี้หมายความว่าไง

“ไม่เป็นไรครับ”

“โค้กหรือน้ำเปล่า” พี่เจดไม่ได้ฟังกูเหรอครับ แหม่... เดินไปเปิดตู้เย็นในห้องครัวเฉ้ย

“โค้ก” แต่ไอ้คนเห็นแก่กินก็ตอบกลับอยู่ดี

             ร่างสูงของเจ้าของห้องนั่งลงข้างๆ ผมรับโค้กกระป๋องแดงมาดื่มจนหมดเพราะกระหายค่อนข้างมาก ดูท่าทางคนพามาจะไม่ตื่นเต้นอะไรเลย เพราะยื่นแขนขวาวางพาดกับขอบโซฟาผ่านต้นคอผมไป แถมยังปล่อยนิ้วมาแตะไหล่อีกต่างหาก วินาทีนั้นรู้สึกราวกับว่ากลายเป็นเจ้าหญิงผู้แสนจะบอบบางเลย ถุ๊ย!

“หนึ่งเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมดูเกร็งๆ”

“เอ่อ เปล่าครับ” แก้เก้อด้วยการยกโค้กมาจ่อปาก แต่ลืมไปว่ามันหมดแล้ว เลยต้องวางลงอย่างเขินๆ

“กลัวพี่เหรอ”

“เปล่าพี่ คิดมาก” ไม่ได้กลัว แต่... เออ นั่นแหละ ใจมันเต้นตุบๆ แถมพี่เล่นมานั่งแนบชิดซะขนาดนี้ ใครบ้างจะไม่หวั่นไหววะ หล่อระดับมหา’ลัย ถึงแม้จะตั้งแต่ 3 ปีที่แล้วก็เถอะ

“ไม่กลัว แล้วทำไมนั่งตัวลีบขนาดนี้ล่ะ” พี่เจดถามด้วยน้ำเสียงขบขัน ผมมองท่านั่งตัวเองก็เข้าใจที่โดนแซว สองขาหนีบแนบชิด แถมสองมือจับกุมกันวางตรงไข่ราวกับเป็นนายเจี๋ยมเจี้ยม

“อะ อากาศมันร้อนน่ะพี่” สึด! ข้ออ้างไม่ได้ฟังขึ้นเลย

“ฮ่าๆๆๆ ไม่ต้องเกร็ง พี่ไม่คิดจะพาหนึ่งมาทำมิดีมิร้ายหรอก”

ฟู่! เสียงถอนหายใจครับ

“หรือว่าหนึ่ง...” พอเลย สายตาเจ้าชู้เนี่ย

“ผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” ไม่ไหวแล้วกู ยิ่งพี่เจดโน้มหน้ามาใกล้พ่นลมหายใจอุ่นๆมา ขนกายก็ลุกเกรียวกราวแล้ว กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆที่ติดตามตัวก็ยิ่งกระตุ้นให้หวั่นไหวไปอีก ผมล้างหน้าเพื่อสงบจิตสงบใจ กับไอ้ตงไม่เห็นจะมีอาการประหลาดแบบนี้เลยสักครั้ง ถึงแม้บางทีจะอึดอัดกับความเมินเฉยบึ้งตึงของมันก็ตาม แต่ผมไม่ต้องทำตัวลีบเล็กหรือสั่นไหวได้เพียงนี้ อยากพูดอะไรก็พูด อยากเถียงอะไรก็เถียง ไม่สนใจว่ามันจะรับได้หรือไม่ได้ เป็นตัวของตัวเองใส่มันสุดๆ

...นี่ผมคิดถึงมันอีกแล้วเหรอ...

“ดูหนังมั้ย” พี่เจดเปิด NetFlix รออยู่แล้ว ผมลงไปนั่งที่โซฟาตัวเดิม แถมทิ้งระยะห่างอีกสองคืบ

“ได้ครับ”

“อยากดูเรื่องไหนเป็นพิเศษมั้ย”

“แล้วแต่พี่เลยครับ” พี่เจดกดเลื่อนดูไปเรื่อยๆจนมาหยุดที่หนังรักเรื่องหนึ่ง 500 days of Summer ก่อนจะเปิดมันขึ้นมา

             ผมดื่มด่ำเรื่องราวของหนังไม่น้อย เป็นเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งชื่อทอมผู้หลงรักผู้หญิงที่ชื่อซัมเมอร์ พวกเขามีความสัมพันธ์ทางกายที่แนบแน่น ทอมนั้นคิดว่าซัมเมอร์เป็นผู้หญิงในฝันและตกหลุมรัก แต่ความจริงแล้วช่างต่างไปกว่านั้น เพราะซัมเมอร์ไม่เชื่อในความรัก ไม่ต้องการมีแฟน เมื่อความต้องการของคนทั้งคู่เป็นเส้นขนาน ยิ่งทำให้ทอมผิดหวังทบทวี

             เสียงลมหายใจราบเรียบของพี่เจดที่ซบไหล่ผมปลุกออกจากภวังค์ เนื้อเรื่องมันช่างตรงกับชีวิตช่วงนี้ อินจนน้ำตาจะไหล ถ้าเปรียบกันแล้ว ผมคงเป็นไอ้ทอม ที่รู้สึกรัก...เอ่อ ไม่สิ ไม่น่าจะถึงขั้นนั้น ... เอาเป็นว่ารู้สึกดีไปก่อน ... กับไอ้ตง ที่เป็นเหมือนซัมเมอร์ในหนัง ที่ดูดี มีเสน่ห์ และมีความสัมพันธ์กับผมแค่ทางกาย แต่ไม่ได้อยากจะสานต่อให้มันมากขึ้น

จุก....

“ถ้าอยากร้อง ก็ร้องมาเถอะ พี่ไม่เห็นหรอก” เสียงทุ้มของพี่เจดพูดขึ้นราวกับปลอบใจ แกยังอยู่ในท่าเอนตัวมาซบไหล่ผมอยู่ แต่กลับเอ่ยคำออกมาราวกับรับรู้ว่าตอนนี้ผมรู้สึกแบบไหน น้ำตาไหลรื้นอาบแก้มอย่างแผ่วเบา มีเพียงเสียงสูดลมหายใจเท่านั้นที่บ่งบอกว่าไอ้หนึ่งกำลังอินจนน้ำตาไหล

             พี่เจดไม่พูดอะไรอีก ได้แต่นอนท่าเดิมอย่างนั้น ก่อนจะคว้ามือซ้ายของผมที่อยู่ใกล้ๆไปเกาะกุม มันอบอุ่นจนรู้สึกได้ ถึงแม้จะรู้สึกเศร้าเพียงไหนก็ตาม แต่กลับสัมผัสถึงน้ำหล่อเลี้ยงความสุขในใจจนเอ่อล้น ผมไม่ได้ดึงมือกลับ ปล่อยให้พี่เจดลูบไล้มันตามต้องการ ก่อนจะใช้มือข้างที่เหลือปาดน้ำตาให้หมด ผมไม่อยากร้องไห้หนักเพราะเรื่องแค่นี้ มันเป็นเพียงความหวั่นไหวทางอารมณ์ที่ได้ดูอะไรบางอย่างที่ฉุดรั้งจิตใจให้ดำดิ่งแค่ชั่วครู่ ชั่วยาม

             หนังจบไปแล้ว พวกเราปล่อยให้ดนตรีประกอบดำเนินต่อไปจนถึงเอนด์เครดิต ไม่มีใครพูดอะไรเลยจนกระทั่งพี่เจดปิดทีวีและลุกมานั่งมองใบหน้าผมด้วยแววตาที่อ่อนโยน ใจหวามหวิวอย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ยอมรับแต่โดยดีเลยว่า พี่เจดเป็นผู้ชายในสเป้กที่แท้ทรู ใบหน้าหล่อ ขาวตี๋ รอยยิ้มมีเสน่ห์ นิสัยดี อบอุ่น ถ้าย้อนเวลาได้ผมก็จะกลับไปจีบพี่เขาเช่นเดิม แต่จะไม่ยอมปล่อยให้พวกเราต้องแยกจากกันเช่นนี้แน่ๆ

“พี่เจด” เราสบตากัน ผมหายใจขัดๆ ใจเต้นรัว

“ครับ”

“ที่พี่ถามผมกะ ก่อนหน้านี้...”

“ครับ” ผมรู้ว่าพี่เจดเข้าใจเรื่องที่ผมกำลังจะพูด



[ตงฉิน]

             ผมเลี้ยวรถยนต์คันใหม่ที่เพิ่งได้มาจากพี่ชายเข้าไปจอดหน้าโรงแรมหรูก่อนจะโยนกุญแจรถให้กับพนักงานนำไปจอด อีก 15 นาทีจะถึงเวลานัด นักศึกษาปี 1 ทุกคนจะต้องทำกิจกรรมร่วมกับทางมหาวิทยาลัยเพื่อเก็บหน่วยกิจกรรมตามหลักสูตร ผมในฐานะเดือนปี 1 ก็ได้คะแนนมากโขจากการชนะการประกวด แต่หลังจากได้ตำแหน่งมันไม่ได้จบแค่นั้น เพราะต้องเดินสายออกงานตามที่กองกิจการนักศึกษาจัดให้ ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ก็เลยขอทำหน้าที่นี้ดีกว่าไปนั่งขัดส้วม หรือเดินขบวนร้อนๆ

             วันนี้เป็นงานบายเนียร์ของคณะวิศวะกรรมศาสตร์ ซึ่งปกติจะเชิญดาวและเดือนมหา’ลัยมาร่วมงานเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะแต่ละปี คณะนี้จะได้ตำแหน่งไม่เคยขาด อย่างปีที่แล้วกับปีก่อนก็ได้ตำแหน่งเดือน 2 ปีติด ทางคณะเลยดีลกับกองกิจการฯไว้ล่วงหน้าเพราะมั่นใจมากว่าคณะของตัวเองจะครองตำแหน่งได้ 3 ปีซ้อน

“อ้าว น้องตง มาพอดีเลย มาๆ เติมหน้าหน่อยค่ะ” พี่ๆในกองพาผมไปนั่งแต่งหน้าและทำผม เนื่องจากเป็นงานบายเนียร์ เลยไม่ต้องใส่ชุดนักศึกษาเต็มยศ ผมยิ้มและทักทายดาวมหา’ลัยคนสวยที่นั่งแต่งหน้าทำผมรออยู่แล้ว เราพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง เพราะตลอด 1 ปีนี้จะต้องร่วมกิจกรรมกันอีกหลายงาน

“เออตง เราขอไลน์ตงหน่อยสิ เผื่อมีอะไรจะได้ทักไปหา” โมนา หรือชื่อที่เพื่อนเรียกสั้นๆว่าโม เป็นผู้หญิงสวยคมแบบฉบับคนใต้ ผิวสีน้ำผึ้งขับใบหน้าให้ยิ่งสวยบาดใจ โมเป็นผู้หญิงที่กระหายอยากเข้าวงการถึงขั้นเคยไปประกวดนางงามมาก่อนแล้ว แต่ยังไม่เคยได้ตำแหน่งสูงสุดเสียที จนมาชนะการประกวดดาวมหา’ลัยในปีนี้ เลยทำให้มีแฟนคลับเริ่มติดตาม

“ได้สิ เราเปิดคิวอาร์โค้ดนะ” ผมกดโปรแกรมไลน์ก่อนยื่นหน้าจอให้คนสวยแอด เสียงเตือนดังมาเมื่อโมส่งสติ๊กเกอร์หมีมาทัก

“แอดแล้ว” เสียงหวานนั้นพูด เรายิ้มให้กันก่อนที่ผมจะต้องเงียบเพราะช่างแต่งหน้ากำลังลงรองพื้นบริเวณปาก

“หน้าน้องตงเนี้ยน เนียน แต่งง่ายด้วย” พี่ช่างแต่งหน้าที่เป็นผู้ชายร่างเล็กแต่เสียงหวานท่าทางอ้อนแอ้นชมไม่ขาดปาก

“อ้าว แล้วหนูละพี่เต้ย” โมนาแซวอย่างเป็นกันเอง

“หล่อนก็สวยค่ะ แต่พี่ไม่นิยมชะนี” พี่เต้ยแซวอย่างออกรส

“แหมมมม น้อยใจค่ะ” โมนาตัดพ้อ แต่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ผมอดยิ้มตามไม่ได้

“วันนี้น้องตงแต่งตัวหล่อมาก” พี่เต้ยยังชมไม่หยุด ผมก็แต่งตามปกตินะ เสื้อยืดสีขาวคอกลมธรรมดา สวมทับด้วยสูทสีน้ำเงินเรียบ สวมกางเกงสีขาวที่ยาวถึงแค่ข้อ รองเท้าสีขาวเข้าชุด

“หล่อแต่เสื้อผ้าเหรอครับ”

“แหมมมม หน้าตาก็หล่อค่ะ แถมแต่งแบบนี้มาอีก มันเข้ากันดีมากๆเลย”

“น้องๆคะ พร้อมยัง เดี๋ยวงานจะเริ่มแล้วนะ” เสียงรุ่นพี่คณะวิศวะดังขึ้น พวกเราเลยยุติบทสนทนาไว้เพียงแค่นี้ ก่อนจะเตรียมตัวไปร่วมงาน
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 19 P.3 Up 21 เม.ย. 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-04-2020 12:25:49
 :pig4: :pig4: :pig4:

ลุ้นกันต่อไป

ขณะที่อยู่ในห้องสองต่อสองกับพี่เจต

หนึ่งเอกราช  จะกลายเป็น  หนึ่ง(เสีย)เอกราช  หรือ  หนึ่ง(ได้)เอกราช   อิอิ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 19 P.3 Up 21 เม.ย. 63
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-04-2020 16:15:38
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 20 P.3 Up 29 เม.ย. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 29-04-2020 12:44:41
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 20. ให้อารมณ์เหมือนพาไปเปิดตัวยังไงก็ไม่รู้
[หนึ่ง เอกราช]

             ตอนนี้ผมกำลังยืนงงอยู่ที่งานบายเนียร์ของคณะวิศวะครับ หลังจากที่เราคุยกันที่ห้อง พี่เจดก็ชวนผมเป็นคู่ควงมางาน ทีแรกก็ว่าจะชิ่ง แต่เห็นใบหน้าหล่อที่เว้าวอนอยู่ก็ใจอ่อน มองดูชุดที่ตัวเองใส่ก็เกรงใจ เพราะพี่แกพาไปลอกคราบจนผิดกับตัวจริงยิ่งโยชน์ งานบายเนียร์ปีนี้จัดเร็วกว่าเดิม เนื่องจากทางคณะจะเป็นเจ้าภาพจัดงานสานสัมพันธ์อะไรสักอย่างที่ตารางงานมันชนกัน พวกน้องๆเลยเร่งหาสถานที่จัดงานจนมาจบที่โรงแรมหรูแห่งนี้

             หน้าซุ้มทางเข้าประดับด้วยดอกไม้หลากสี ดูอ่อนหวานผิดคอนเซ็ปต์เถื่อนๆของคณะไม่น้อย ด้านหน้าจะมีจุดลงทะเบียนและบริการถ่ายรูป พี่เจดเป็นคนดัง จึงไม่แปลกที่จะถูกคนโน้นคนนี้ดึงตัวไปเข้าเฟรม แต่ไม่วายจะลากผมไปด้วยราวกับกลัวผมจะหงอย แต่เปล่าเลย งานสนุกมาก เพลงดังกระหึ่มในจังหวะที่ชวนโยกตัวหลากหลายแนวพาให้อยากออกลวดลาย ถ้าไม่เกรงใจว่านี่ไม่ใช่คณะตัวเองล่ะก็ ไอ้เตี้ยคนนี้จะโชว์สเต็ปร่อนๆให้ยลกันแน่นอน

             ผมกัลพี่เจดถูกดึงไปถ่ายรูปคู่จากกล้องถ่ายรูปตัวใหญ่แต่จะอัดรูปออกมาเหมือนถ่ายจากกล้องโพลาลอยด์ สามารถแอคได้สามท่าต่อใบ หนึ่งคู่ได้ 2 ใบ ปรินท์ออกมาเรียบร้อย แถมยังอัพโหลดที่เว็บไซต์ของร้านถ่ายรูปให้เราไปดาวน์โหลดมาใส่อินสตาแกรมหรือเฟซบุ๊กได้ พอได้รูปผมก็ถือมาดูอย่างเขินๆ นอกจากความสูงจะต่างกันมากแล้ว พี่เจดยังหล่อจนน่าหวั่นไหว แถมยังทำท่าแบ๊วๆใส่กันไปมาเหมือนคนรักก็ไม่ผิด มัวแต่มองรูปถ่ายจนไม่รู้ตัวเลยว่าโดนลากเข้ามาในงานตั้งแต่ตอนไหน

“หนึ่งดื่มอะไรมั้ย” พี่เจดถามก่อนจะออกไปหาเครื่องดื่ม พวกเราเพิ่งจะมาถึงก็จริง แต่กลับได้รับการต้อนรับอย่างดีมาก ทุกคนรู้จักพี่เจด เลยมีคนทักทายไม่ขาด แถมแต่ละคนก็มองผมด้วยใบหน้าสงสัย ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะก่อนหน้านี้ไอ้เตี้ยยังหัวฟูกระเซิง หน้าดำหยาบกร้าน แต่งตัวมอซออยู่ แต่คืนนี้กลับเป็นคุณหนึ่ง น้องหนึ่ง คนที่สวมสูทราคาแพง แต่งทรงผมเปิดหน้าผากจนจำหน้าแทบไม่ได้ แถมพี่เจดยังลงครีมให้อีก ... แต่ผมคิดว่าที่เขามองเพราะมากับสุดหล่อคนนี้ต่างหาก

“น้องหนึ่งรู้จักเจดมานานรึยังคะ” รุ่นพี่คณะถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ใบหน้าไม่ได้สวยมากแต่มีเสน่ห์ชวนมอง

“ครับ”

“ปกติมันไม่เคยพาใครมางานเลย เพิ่งเห็นครั้งนี้แหละที่มันพาคนนอกคณะมาด้วย” พี่สาวก็ยังพูดไม่หยุด จริงๆงานนี้มันสมควรเป็นงานภายในของคณะ แต่ก็ไม่มีใครห้ามว่าไม่ได้พาคนอื่นมาด้วย ผมยิ้มเขินแก้เก้อ

“...”

“เป็นแฟนกันรึเปล่า”

“อ๊ะ เอ่อ เปล่าครับ ยะ...”

“คุยอะไรกัน” เจ้าตัวเดินมาพร้อมกับแก้วเบียร์เต็มสองมือก่อนยื่นให้ผมหยิบมาจิบ

“ไม่มีอะไร แค่อยากรู้สถานะของมึงกับน้องหนึ่ง” อ้าว พี่สาว ขึ้นกูมึงเฉย

“เสือก” นั่นไง พี่เจด ตอบแบบไม่สนใจเหง้าหน้าพี่สาวเลย

“โอ๊ย ให้ชั้นได้เสือกหน่อยเถอะ ปกติมึงเคยพาใครมาซะที่ไหน นึกว่าชีวิตนี้จะตัดทางโลกซะแล้ว”

“มึงเอาเวลาที่สนใจกูไปสนใจผัวมึงดีกว่ามั้ยไอ้ปิ๊ง” พี่สาวชื่อพี่ปิ๊งเหรอเนี่ย

“เออ ช่างแม่ง อกหักมาไม่ต้องมาให้กูปลอบนะ”

“เสือก” พี่เจดยังยืนยันคำเดิม ปล่อยให้พี่ปิ๊งกลอกตาแรง

“โดนไอ้ปิ๊งแกล้งอะไรมั้ย” พี่เจดหันมาถาม แถมยังเบียดไหล่มาชิดกันอีกด้วย

“ไม่นี่ครับ พี่ปิ๊งชวนคุยต่างหาก”

“จริงเหรอเนี่ย ปกติมันไม่ค่อยคุยกับคนแปลกหน้าเลยนะ”

“แหมมมม นินทา กูยังอยู่ตรงนี้นะคะ” พี่ปิ๊งจิบไวน์ในมือ สายตามองไปที่กลุ่มผู้ชายที่ยืนคุยกันอยู่อีกมุมโน่น

“มองหาผัวขนาดนี้ก็ไปหาเถอะ ไม่ต้องยืนเหี่ยวตรงนี้ก็ได้” พี่เจดแซว

“ขี้เกียจ ปล่อยให้นางสนุกกับเพื่อนๆไปเถอะ” พี่ปิ๊งยิ้มหวาน ช่างเป็นผู้หญิงแกร่งเสียจริงไม่ง้อผู้ ผมมองในกลุ่มคนที่พี่สาวลอบมอง หนุ่มๆคณะวิศวะน่าจะคละชั้นปีคุยกันเสียงดังมีหัวร่อกันอย่างออกรส ผมสะดุดสายตากับร่างสูงในทันที พวกเราสบตากันชั่วครู่ ใบหน้าไม่เป็นมิตรฉายแววชัดเจน แต่มีเหรอที่ไอ้หนึ่งจะหลบ มองมามองกลับไม่โกง มันใช้มือข้างที่ปิดผ้าพันแผลยกแก้วเบียร์มาดื่ม ก่อนจะหันไปคุยกับเพื่อนในกลุ่มต่อ ... ผมจำมันได้แม่นเลยล่ะ ไอ้คนที่หาเรื่องกลุ่มเราในร้านเหล้า ไอ้เคมี

             เสียงหวีดของลำโพงบนเวทีดังขึ้น ทำให้เสียงพูดคุยก่อนหน้านี้เบาบางลงไปบ้าง พิธีกรในงานเริ่มดำเนินการ ผมเพิ่งเคยมางานแบบนี้เป็นครั้งแรก ไม่คิดฝันว่าคณะวิศวะจะกลมเกลียวกันได้ถึงเพียงนี้ ปกติจะต้องมีการว้ากกันทั้งเทอม แต่เพราะกฎของมหา’ลัยที่เพิ่งประกาศใช้ ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการรับน้อง ลดการใช้ถ้อยคำและวิธีการรุนแรง

“เอาล่ะค่ะ ก่อนที่จะไปพบการแสดงของน้องๆปี 1 ภาควิชาต่างๆ เป็นธรรมเนียมของคณะเรานะคะที่จะต้องมีการโชว์ตัวของหนุ่มหล่อ สาวสวยระดับเดือนมหา’ลัยปีนี้”

วี๊ดดดด วิ้วววววว

             เสียงโห่เชียร์ดังก้อง พี่เจดถูกกลุ่มคนดันมาอยู่ชิดผมมากกว่าเดิม พวกเราโดนต้อนด้วยฝูงชนนับพันจนมาออกันหน้าเวที ไอ้เราก็ได้แต่ชุลมุนกับการจัดแจงท่ายืนที่ถูกเบียดมา เลยไม่ทันสังเกตว่าดาวเดือนปีนี้กำลังเดินบนเวทีอยู่

“เดือนมหาลัยปีนี้ น้องตงฉิน จากคณะบริหารค่า”

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด ... เสียงผู้หญิงกรีดร้องดังลั่น ใครว่าวิศวะไม่มีผู้หญิงนี่คิดใหม่เลยนะครับ แต่พวกผู้ชายก็ไม่น้อยหน้าหรอก ส่งเสียงหวีดร้องสาวแตกสนั่นหวั่นไหว ผมได้แต่เอานิ้วอุดหู เพราะอยู่ใต้ลม เอ๊ย อยู่ในระดับที่รับเสียงชัดแจ๋วระบบ Full HD

             ไอ้ตงยืนหล่ออยู่บนเวที ใบหน้ายิ้มแย้มยิ่งฉุดให้ผมหวิวไหวทั้งที่เมื่อกี้ยังใจสั่นให้คนอื่นหยกๆ พี่เจดจับมือผมไว้ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ เหมือนแกจะเอะใจว่าระหว่างผมกับมันมีซัมติงกัน เพราะสายตาที่จับจ้องไปบนนั้นคงปิดความหมายไม่มิด ยิ่งมองยิ่งรู้สึกห่างไกล ไอ้ตงมันเป็นคนของประชาชน ไปไหนมาไหนมีแต่คนรู้จัก ผิดกับผมที่เพิ่งลอกคราบมายังไม่ถึงวัน เสื้อผ้าหน้าผมไม่ใช่ตัวตนของตัวเองเลยสักนิด ผู้คนที่จับจ้องทักทายเป็นเพราะมากับพี่เจด ไม่ใช่เพราะผมเป็นไอ้หนึ่ง ไอ้เตี้ยที่แต่งตัวเซอร์ๆลวกๆ

             บนเวทียังสนุกกับการพูดคุยและมีการแสดงเล็กน้อยของสองดาวเดือน ก่อนที่พิธีกรจะประกาศตัวเรียกดาวเดือนของคณะทุกชั้นปีขึ้นเวที พี่เจดปล่อยมือและยิ้มให้ก่อนแหวกฝูงชนขึ้นไปบนนั้น แค่แว้บเดียว ผมเห็นไอ้ตงมองมาตรงนี้ ตรงที่ผมยืนอยู่ ก่อนที่มันจะหันไปโฟกัสมุมอื่น ปล่อยให้ผมเป็นแค่ไอ้เตี้ยที่มันไม่เคยมองเห็นเช่นเดิม

“เมายังจ๊ะสุดหล่อ” พี่ปิ๊งเดินมาทักและชนแก้วพร้อมกับแฟนหนุ่ม ที่รู้ก็เพราะเดินโอบเอวจนแทบจะนัวเนียกันมาแล้ว

“ยังครับพี่” น้ำเสียงผมอ้อแอ้ แต่ก็ยังพอมีสติ ยกมือไหว้ผู้ชายที่มาด้วย

“นี่พี่ฟิสิกส์ แฟนพี่เอง” ผมยิ้มหน้าแหยๆให้ รู้สึกหน้าตึงๆ

“ดีครับน้อง ยินดีที่ได้รู้จักนะ” พี่ฟิสิกส์ยื่นแก้วมาชน ใบหน้าแกหล่อเหลาไม่น้อย ดูคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน รอยยิ้มบางๆดูเหมือนคนนิ่งๆยิ่งทำให้ดูมีเท่ห์ ส่วนสูงน่าจะมากกว่า 180 พี่ปิ๊งที่ยืนข้างๆก็แทบไม่ต่าง ผมรู้สึกเป็นตอม่อไปเลย

“เรียนภาคอะไร พี่ไม่เคยเห็น”

“บ้า น้องไม่ได้เรียนคณะเรา” พี่ปิ๊งแก้ต่าง

“อ้าวเหรอ มิน่า ถึงว่าไม่คุ้น”

“จะคุ้นได้ไงล่ะ นี่น้องหนึ่ง แฟนไอ้เจดมัน” พี่ปิ๊งบอก ใบหน้าพี่ฟิสิกส์นิ่งเฉยแทบจะทันที

“หืม เปล่านะค้าบบบ” ผมแก้ต่าง

“จริงอะ” พี่ปิ๊งแซว

“จริงสิ” พี่สาวทำหน้าไม่เชื่อ แต่แฟนพี่ทำหน้ายักษ์ผิดกับก่อนหน้านี้ลิบลับ

“เดี๋ยวไปบนเวทีก่อนนะ” เสียงแฟนหนุ่มกระซิบบอก พี่ปิ๊งตอบรับก่อนจะมาคุยกับผมอย่างออกรส

“แฟนพี่หล่อดีนะครับ”

“ไม่หล่อได้ไง เดือนคณะปี 4 น่ะ” อ่ออออ พวกพี่นี่เลือกคบคนที่หน้าตารึเปล่าครัช

“ทำไมผมคุ้นหน้าพี่เค้าจัง” เพราะความมึนแหละเลยทำให้ผมกล้าคุยมากขึ้น

“ใคร ฟิสิกส์น่ะเหรอ”

“ฮับ” ตายละกู ลิ้นพัน

“เรารู้จักใครที่วิศวะมั้ยล่ะ” พี่ปิ๊งถาม ผมยืนนึกตัวโงนเงน

“กะ ก็ พี่เจด พี่ปิ๊ง และ เอื๊อก ไอ้เคมี” ว่าจะไม่เอ่ยถึงแล้วเชียว แต่ก็ไม่พูดไม่ได้ มันคือคู่แค้นของไอ้โทเพื่อนสุดที่รักของผม วันนี้มันก็มา แถมยังพันมือจะแน่นหนาทั้งๆที่แผลตอนต่อยกันที่ร้านมันน่าจะหายดีแล้ว

“อ๋อ มิน่าล่ะ ไม่แปลกหรอกที่จะคุ้นน่ะ” พี่ปิ๊งชี้มือไปทางผู้ชายร่างสูงระดับเดียวกันที่ยืนคุยรวมกันบนเวที

“ใครเหรอครับ” ผมเพ่งสายตามองตาม ท่าทางจะเมาหนักเพราะผมเห็นเหมือนภาพซ้อนของคนสองคนยืนใกล้กัน

“ก็พี่ฟิสิกส์กับเคมีไง คล้ายกันปะ”

“อือ”

“เนี่ย เค้าเป็นพี่น้องกัน”

ห๊ะ... ผมนี่แทบสร่างเมา นี่มันอะไรกันวะเนี่ย...

โลกกลม ... “จริงเหรอพี่”

“จริงสิจ๊ะ พี่จะหลอกเราให้ได้อะไร แล้วหนึ่งเป็นอะไรเหรอ ทำหน้าแปลกๆ”

“อ๊ะ เปล่าครับ คือ...” จะบอกว่าไงดีล่ะ เพิ่งเคยเจอกันแล้วจะบอกว่าพี่ปิ๊งครับ น้องชายแฟนพี่มันเคยจีบแฟนของพี่ชายผมจนมีเรื่องต่อยกันที่ผับงั้นเหรอ พูดไม่ออกอะ ได้แต่กวาดสายตามองตามร่างรูงที่กลับยืนอยู่ด้านบน สองพี่น้องฟิสิกส์เคมีคุยกันหน้าเครียด คนน้องยกแก้วเครื่องดื่มซดโฮกจนหมดก่อนถูกพี่เจดเบียดให้ไปหลบมุม

“...” พี่ปิ๊งทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถาม ผมไม่ตอบอะไร แกล้งสะอึกทำหน้าเมามองไปที่เวทีแทน สายตาเจ้ากรรมก็ยังหนีไม่พ้นภาพพี่เจดคุยอะไรบางอย่างกับไอ้ตงจนมันหน้ามุ่ย ไม่นานพวกดาวเดือนคณะก็ลงจากเวที เหลือเพียงสองหนุ่มสาวยืนโชว์ตัวอยู่ ไม่นานพี่เจดก็กลับมายืนข้างๆ

“คุยอะไรกันอยู่ หืม”

“เรื่อยเปื่อยน่ะมึง”

“แล้วทำไมหนึ่งทำหน้าแปลกๆล่ะ เมาเหรอ” พี่เจดหันมาถาม ในใจอยากจะบอกว่าเมาก็บ้าแล้วเพิ่งจิบแก้วแรก แต่เลือกที่จะนิ่งดีกว่า

“เออ เดี๋ยวไปดูน้องๆซ้อมแสดงก่อนนะ” พี่ปิ๊งขอตัว ส่งยิ้มหวานมาให้ก่อนเดินออกไปหลังเวที อีกสักพักจะมีการแสดงของพวกปี 1 จากแต่ละสาขา พี่เจดบอกว่าพี่สาวคนสวยที่อยู่อุตสาหการเป็นตัวนำและกำกับการแสดงของน้องๆในภาค พอใกล้เวลาแสดงก็ต้องรีบไปกำกับ เพราะนอกจากสาขาที่ชนะจะได้รางวัลแล้ว สาขาที่แพ้ก็จะโดนลงโทษเช่นกัน เช่น อาจจะโดนซ่อม หรือหนักสุดอย่างปีที่แล้วคือให้รุ่นพี่ที่ดูแลการแสดงดื่มเหล้าเพียวๆ 1 ขวด

“โหด” ผมพึมพำหลังได้ฟัง “พี่เจดเคยแพ้บ้างมั้ยครับ” แพ้ในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงการแสดง แต่หมายถึงเรื่องชีวิต เรียน แฟน หรืออะไรต่างๆ เพราะพี่เจดหน้าตาดี นิสัยดี แถมหัวดีอีกต่างหาก ผิดกับตัวเองลิบลับ มองไปทางไหนก็ไม่เห็นความเหมาะสมระหว่างเราทั้งสองคน

“ไม่เคย เพราะพี่เป็นเดือนมหา’ลัยเลยไม่ต้องมาแสดง” เหมือนว่าพี่เจดจะไม่รู้ความหมายที่ผมถาม แต่ก็ไม่แปลกหรอก ใครมันจะคิดเรื่อยเปื่อยแบบผมล่ะ

ตึ๊ง! เสียงเตือนดังมาจากมือถือพี่เจด พอกดอ่านแล้วก็หน้าเครียดไปเลย

“พี่มีธุระอะไรรึเปล่าครับ”

“มะ ไม่มี...”

“ถ้ามีก็ไปทำก่อนได้นะครับพี่ ไม่ต้องห่วงผมหรอก อยู่ในงานนี่แหละ” ทำเป็นพูดให้อีกคนสบายใจไปงั้น แต่ไม่รู้ทำไมอยู่ๆกลับคิดมาก หรือเพราะได้เห็นพี่เจดกับไอ้ตงยืนข้างกันบนเวทีโดยที่ผมยืนเป็นหลุมอยู่ข้างล่าง มองไปยังไงมันก็ไกลแสนไกล ยิ่งยืนคู่กันก็ยิ่งส่งเสริมความหล่อให้กัน ผิดกับผมที่ยืนกับใครก็มีแต่จะดับรัศมีคนนั้น ... คิดมากทำไมวะ พี่เจดกับไอ้ตงไม่มีทางชอบกันหรอก

“ก็แค่น้อยใจที่ตัวเองไม่หล่อล่ะมั้ง” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินไปคว้าแก้วเครื่องดื่มและหาที่หลบมุมสักพัก



[ตงฉิน]

             ผมนั่งเก้าอี้หน้าเวทีที่ทางผู้จัดงานจัดให้อย่างเบื่อหน่าย แก้วเบียร์ในมือพร่องไปเกือบหมดเพราะกระดกไม่ยั้ง การแสดงขำขันของพวกปี 1 ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ตอนนี้ในหัวผมตีกันวุ่นไม่ได้มีสมาธิสนใจกับเรื่องภายนอกเท่าไหร่ อยากจะหาเหตุผลว่าทำไมต้องหงุดหงิดขนาดนี้ แต่ก็ตอบไม่ได้ เพราะมันยังมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งตีกันไปมา

             สายตาผมจับจ้องไปที่มุมเดิมที่เขาเคยยืนอยู่ ไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่ตอนไหน ยิ่งทำให้ขัดใจมากกว่าเก่า รุ่นพี่หน้าตาดีที่เป็นดาวมหา’ลัยปีที่แล้วชวนคุยและรินเบียร์เพิ่มให้ โต๊ะของเราไม่ต้องไปหยิบเครื่องดื่มเอง เลยประหยัดเวลาเมาไปได้เยอะ พอหมดแก้วก็มีของใหม่เติมเรื่อยๆจนรู้สึกมึนหัวไปหมด

             ตอนที่อยู่บนเวที เดิมเลยผมยืนชิดกับคู่อริของเพื่อนสนิทอย่างไอ้โท มันชื่อพี่เคมี ถึงแม้จะมีพลังงานแฝงมาคุอยู่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด แต่พอพี่เคมีถูกสลับตำแหน่งให้ไอ้หน้าหล่อเดือนมอปีสามมาแทนที่ ในใจผมก็รู้สึกหน่วงอย่างบอกไม่ถูก เหม็นขี้หน้าเสียเหลือเกินทั้งๆที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน ไม่ชอบสายตาของมันที่มองไปด้านล่างเวทีเป็นระยะ แม้ความสูงของพวกเราจะไล่เลี่ยกัน แต่ด้วยขนาดตัวแล้วมันตัวใหญ่กว่า รูปร่างดีกว่า แถมยังควงคนคุ้นหน้าออกงานอย่างเริงร่า ไอ้เตี้ยมาในชุดสูทอย่างดีสีเข้ม จากข้างบนนี้ผมมองไม่ออกว่าสีอะไร แต่มันดูเข้ากับรูปร่างแบบพอดีพอเหมาะ ทรงผมที่จัดมาก็รับกับใบหน้า ผิดจากสภาพที่ดูไม่ได้ตลอดเวลาหลายเดือนที่อยู่ด้วยกันมาอย่างลิบลับ

“ขอโทษนะครับ อย่ามองคนของผมได้ไหม คนนี้ผมหวง” เสียงทุ้มหันมากระซิบข้างหู ไม่มีเสียงตอบโต้ ได้แต่ทำหน้าบึ้งอย่างช่วยไม่ได้ บนเวทียังมีเสียงพิธีกรพูดดำเนินงานต่อเนื่อง แต่ตอนนี้ผมไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว แค่อยากไปให้พ้นจากตรงนี้ ไม่อยากเห็นสายตาที่พวกเขาทั้งคู่มองกัน มันน่ารำคาญ!

“ถ้าไม่ให้มองก็ล่ามไว้ที่บ้านสิครับ” ผมกวนบาทา พลางนึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นใบหน้าหล่อๆนี้มาแล้วตอนไปผับ ใช่...ผมจำหน้าคนไม่เก่ง อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาผมไม่ต้องเข้าหาใครมั้งครับ อยากได้อะไรก็โดนตามใจ อยากขึ้นเตียงกับใครก็ไม่มีใครขัด นางแบบหรือคนสวยๆเดินพาเหรดมาเสนอตัวไม่ขาดสาย ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป บางคนผมยังไม่รู้จักชื่อเสียด้วยซ้ำ

“ถ้าทำได้ทำนานแล้ว ไม่ปล่อยให้คุณจ้องขนาดนี้หรอก” ผมละอยากจะถามว่าจ้องขนาดนี้มันขนาดไหน แต่ก็เงียบ ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด เพราะในสมองตอนนี้คือ ทำไมจะต้องมาต่อปากต่อคำกันไปมาเรื่องของคนที่ชื่อ หนึ่ง เอกราชด้วยวะ

“ถ้าคุณไม่ชอบคนนี้ ผมขอนะครับ” เกลียด... ไอ้ตงเกลียดคำพูดแนวนี้มาแต่ไหนแต่ไร คนที่พูดประโยคนี้ออกมาแสดงว่าจะต้องรู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเราเป็นแบบไหน หรือไม่ก็ต่างคนต่างมีอิทธิพลต่อกันมากพอที่จะมาขอกันดื้อๆ แต่สำหรับผมแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น พวกเราก็แค่มีอะไรกัน ไม่ได้มีความชอบหรือผูกพันต่อเนื่อง มากที่สุดคือเพื่อนร่วมห้อง ไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้น ผมจิ๊ปากอย่างขัดใจเพราะถูกเข้าใจผิด ในหัวยังมีคำถามว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงเจาะจงมาขอไอ้เตี้ยจากผม

หรือว่าเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้น....

“ไม่ตอบ ผมถือว่าคุณตกลงนะ” ที่ไม่ตอบเพราะกำลังคิดอยู่โว้ย ว่าอะไรทำไม แต่คนร่างสูงไม่พูดอะไรต่อนอกจากเอามือตบไหล่สองทีเบาๆและเดินลงจากเวที ปล่อยให้เหลือแค่ผมกับดาวมหาลัยคนสวยที่ต้องมีการพูดอะไรนิดหน่อย ไม่นานก็มานั่งตรงนี้

“เมาหรือเปล่าคะน้องตง” พี่ที่เป็นดาวมหา’ลัยปีสูง (ไม่แน่ใจว่าปี 3 หรือ 4) มาร่วมงานนี้ด้วยในฐานะผู้ดูแลกลุ่มดาวเดือน ผมพยายามนึกชื่อแต่ก็นึกไม่ออกเลยส่งยิ้มหล่อๆไปให้แทน

“นิดหน่อยครับพี่ พี่ล่ะครับ”

“เริ่มกรึ่มๆละ” ท่าทางไม่ได้บอกว่ามีอาการแบบที่พูดเลยสักนิด แต่เอาเถอะ อยากเอาหัวมาซบเอานมมาถูแขนผมก็ไม่ห้าม ดีเสียอีกคืนนี้จะได้มีอะไรทำ

“ปกติพี่ดื่มหนักมั้ยครับ” ผมถามด้วยน้ำเสียงหล่อๆกับคนที่เอนมาซบไหล่ ร่องอกเผยความอวบอิ่มที่แม่ให้มาเยอะอย่างปิดไม่มิด นึกชอบชุดราตรีแบบเกาะอกขึ้นมาอีกเยอะ

“ไม่ค่อยหรอก พี่น่ะคออ่อน” หึ... คออ่อน ... ใครวะที่กระดกเหล้าเพียวกับพวกหนุ่มวิศวะก่อนมานั่งตรงนี้น่ะ ถึงผมจะไม่ได้อยู่ร่วมวงแต่ก็มองเห็นจากบนเวทีนะเว้ย

“คอ...อ่อน จริงปะ”

“คอ...พี่อ่อนมากๆเลยอะ” น้ำเสียงยั่วๆกับการเว้นจังหวะคำว่า คอ มันก็สื่อสารในเชิง xx ได้ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องให้พูดอะไรต่อ พวกเราแลกไลน์และนัดแนะจะออกไปข้างนอกผมเลยขอตัวเข้าห้องน้ำก่อน

             ผมหันหน้าที่โถฉี่เพื่อทำธุระ แต่หางตาแว้บไปเห็นคนที่รูปร่างคล้ายไอ้เตี้ยเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว พอหันมามองก็ไม่เห็นตัวอีกแล้ว หลังจากเสร็จกิจ ผมล้างมือและส่องกระจกพินิจใบหน้าหล่อเหลาที่ออกสีแดงจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่เทเข้าปาก ในหัวมึนๆอย่างบอกไม่ถูกเพราะอัดลงไปหลายแก้ว น้ำเย็นๆของโรงแรมเลยถูกเอามาชะล้างใบหน้าเพื่อหวังจะให้สดชื่นขึ้น กลายเป็นว่าเครื่องสำอางที่พอกไว้หลุดออกมาจนต้องเสียเวลาเอาผ้าเช็ดมือผืนเล็กที่เตรียมไว้ในตะกร้าไม้แบบสานที่วางตรงริมสุดของอ่าง ไรผมเปียกชื้น ดวงตาสีแดงระเรื่อบ่งบอกว่าเมา แก้มที่แดงเข้มก็ให้การยืนยันว่าสติผมไม่เหมือนเดิม แต่ถ้ายังทรงตัวได้ถือว่ายังไหว พอโยนผ้าที่ใช้เช็ดหน้าลงถังผมก็ก้าวออกไปด้านนอก

             เสียงดนตรีในงานยังดังกระหึ่ม เสียงเตือนในไลน์ก็ดังและสั่นมาในกางเกงจนต้องหยิบมาอ่าน เป็นข้อความเชิญชวนของรุ่นพี่คนสวยคนนั้นบอกว่ายังรออยู่ที่เดิมจะรอไปพร้อมกัน ผมกดอ่านแต่ไม่ตอบ รู้สึกเบื่อหน่ายอย่างไม่มีสาเหตุ เลยเดินออกไปในทิศที่ตรงกันข้ามกับห้องจัดเลี้ยงไปที่ถนนข้างโรงแรมที่ติดกับห่างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เวลานี้รถยนต์ที่เข้าออกห้างยังพอมี แสงไฟสาดสว่างไปทั่ว ผมพยายามเดินเลี่ยงแสงไปตามความมืดสลัวเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย

             ตอนแรกก็คิดว่าเป็นผี แต่พอมองอีกทีก็รู้ว่าไม่ใช่ แค่เงาของคนสองคนกำลังทำอะไรกันอยู่อย่างลับๆล่อๆ ในใจก็อยากจะหลบและเดินกลับไปที่งาน แต่อีกใจหนึ่งก็บอกให้ลองเดินไปต่อเผื่อจะเห็นอะไรดีๆ...แล้วผมก็เห็นอะไรดีๆเข้าอย่างจัง เพราะภาพที่ฟ้องคือร่างสูงของไอ้เดือนมหาลัยปี 3 กำลังโน้มมาจูบปากดูดดื่มกับเพื่อนร่วมห้องของผมในมุมมืดตรงนี้

“เห้ย ทำไรกันน่ะ” ทั้งสองรีบผละออกจากกันอย่างลนลาน ไอ้เตี้ยมองผมอย่างตกตะลึง แต่อีกคนกลับส่งยิ้มแปลกๆมาให้

“มะ ไม่มีอะไร” ไอ้หนึ่งตอบตะกุกตะกัก ผมมองมันอย่างไม่วางตา รู้สึกว่าตัวเองกำหมัดแน่นจนเจ็บไปหมดอย่างไร้เหตุผล
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 20 P.3 Up 29 เม.ย. 63
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-04-2020 21:57:26
 :katai1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 20 P.3 Up 29 เม.ย. 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 29-04-2020 23:34:48
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถๆๆๆๆๆ  อาตงฉินไม่รู้เหรอว่า  อาการที่เป็นอยู่นะ  เขาเรียกว่า "หึง"
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 20 P.3 Up 29 เม.ย. 63
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 30-04-2020 23:09:30
น้องหนึ่งจะเลือกเดือนคนไหนนะ หนักใจแทน  :hao4:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 21 P.4 Up 25 พ.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 25-05-2020 11:54:17
มาต่อแล้วครับ ไม่ได้หายไปไหน พอดีกระทู้โดนพักที่ห้องพักนิยายชั่วขณะครับ
ตอนนี้แก้ไขแล้ว กลับมาอ่านกันได้แล้วนะครับ


เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 21. เรียนผูกต้องเรียนแก้

[หนึ่ง เอกราช]

ชิบหาย!

             คำนี้เป็นคำแรกที่โผล่มาในหัวตอนที่ไอ้ตงเดินมาเจอสภาพผมกับพี่เจดกำลังแลกเปลี่ยนน้ำลายกันอยู่หลังตึกสูง ไม่รู้จะทำหน้ายังไงและจะพูดยังไงให้มันเข้าใจ แต่ถึงมันจะไม่เข้าใจก็ไม่ใช่ความผิดของมัน เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกันแบบที่มันเคยพูดเอาไว้ และความจริงก็ฟ้องจะจะแก่สายตาอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร

             ใช่...พวกเราจูบกัน มันเป็นจูบที่หอมหวานชวนฝัน กลิ่นไวน์แดงในปากของพี่เจดล้วงลึกถ่ายโอนความหอมละมุนจนเกินต้าน ลมหายใจหอบกระเพื่อมของเราสองคนสอดประสานเป็นจังหวะเดียวกับปลายลิ้นสัมผัสจนเกิดไฟฟ้าสถิตย์แล่นแปลบปลาบทั่วร่าง ตอนที่ผมบุกพี่เจดก็จะถอยร่นราวกับยั่วยวนให้ต้องคล้อยตามวังวนที่แกล่อลวงไว้ แต่ผมกลับประชิดหาอย่างเต็มใจ ส่งผ่านความอบอุ่นให้กันจนเปียกชื้น ดูดกลืนความหวานกรุ่นอย่างโหยหา จนกระทั่งได้ยินเสียงหนึ่งที่ดังมาขัดจังหวะ...

“เห้ย ทำอะไรกันน่ะ” เสียงนั้นนั้นไม่ใช่เสียงตะโกน ไม่ได้กังก้อง แต่ก็เพียงพอที่จะให้ผมรีบผละตัวออกจากพี่เจดอย่างเร็วรี่ ใบหน้าเรียบเฉยของคนที่มาเห็นราบเรียบนิ่งเฉยจนผมหวั่นใจ กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนจะตอบออกไปอย่างคนติดอ่าง

“มะ ไม่มีอะไร” มันคงเชื่อ ผมคิดแบบนั้น แต่คิดอีกทีมันคงไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีอะไรกันจริงๆ ผมยืนนิ่งมองใบหน้าหล่อเหลาของคนตัวสูงที่อยู่ข้างๆ พี่เจดส่งยิ้มแปลกๆให้อีกคน สายตาบ่งบอกว่าห้ามเข้าใกล้

“มี คนกำลังจูบกัน น้องมีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ”

“มีสิ ก็ไอ้เตี้ย...”

“ใคร อ๋อ น้องหนึ่งน่ะเหรอ ทำไมเหรอครับ น้องหนึ่งเป็นอะไรกับน้องรึเปล่า” พี่เจดตั้งใจเน้นเสียงที่ประโยคสุดท้าย ไอ้ตงอ้าปากแต่ไม่มีคำพูดเล็ดลอดออกมา ไม่รู้ว่าเพราะถูกถามแทรกหรือเปล่า ท่าทางเลยดูโกรธมากกว่าเก่า

“เป็นอะไรมันเกียวอะไรกับพี่ครับ” ไอ้ตงมันยังสุภาพ แต่ท่าทางไม่ใช่เลยสักนิด เพราะสายตาที่มองเขม่นกันไปมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อทำให้ผมยิ่งทำตัวไม่ถูก คนหนึ่งก็พี่เจด อีกคนก็รูมเมตชื่อตงฉิน ผมไม่เข้าใจว่าจะทำท่าทางขู่กันไปมาเหมือนหมากันทำไม มันไม่มีเหตุผลเลยให้ตายสิ...

“พอก่อนครับ พอ” ผมห้ามทัพ “ไม่มีอะไรกันทั้งนั้นแหละไม่ต้องจ้องเขม็งกันขนาดนั้น”

“...” ทั้งคู่ไม่มีใครตอบอะไรกลับมา แต่สายตายังฟาดฟันกันไม่เลิก

“ตงมึงเมาแล้ว กลับบ้านเถอะ” ผมบอกเพื่อนที่ยืนโงนเงน ถ้าไม่สังเกตดีๆก็ไม่รู้ว่ามันเมา แต่ท่ายืนที่มันไม่นิ่งก็พอจะเดาได้

“พี่เจด เราค่อยนัดกันใหม่นะพี่ แต่ไอ้ตงมันเมามากแล้ว ผมจะพามันกลับห้องก่อน มันคงขับรถไม่ไหว” ผมใช้สายตาเว้าวอน

“แต่..” พี่เจดพยายามขัดขวาง

“เอาน่าพี่ ผมกับมันเป็นเพื่อนกัน อย่างน้อยก็รูมเมต พี่คงไม่คิดว่าผมจะใจดำปล่อยให้มันขับรถกลับเองหรอกนะครับ” ผมให้เหตุผล พี่เจดทำหน้านิ่งครู่ใหญ่ก่อนจะพยักหน้าตกลง

“งั้นเดี๋ยวค่อยนัดเจอกัน” แกพูดพลางยิ้ม ผมละดีใจที่พี่เจดเข้าใจ

“ขอบคุณมากสำหรับวันนี้นะครับพี่ ผมสนุกมาก ไปก่อนนะครับ” ไม่รอให้พี่เจดเดินผ่านไอ้ตงหรอก กลัวจะกระทบไหล่กันแล้วเรื่องจะยาว ผมลากตัวเพื่อนตัวดีไปอย่างลำบากเพราะมันขัดขืน ทางเดินจากมุมนี้ไปในตัวโรงแรมไม่ไกลมาก แต่ก็พอทำให้เหนื่อยได้เหมือนกันเพราะอีกคนไม่ให้ความร่วมมือเดินมาดีๆ

“ปล่อยกู กูไม่เมา” มันสะบัด ผมเลยปล่อยแขนมันจนตัวเซเกือบล้มหน้าคว่ำ ยังดีที่มีเสาประตูขนาดยักษ์ให้มันพิง

“ไม่เมาพ่องมึงสิ ยืนยังไม่ตรงเลย”

“ไม่ต้องเสือก” เอ๊า...ไอ้ห่านี่

“กูไม่เสือกก็ได้ ใครอยากจะเสือกเรื่องของมึงครับ กูแค่ไม่อยากให้มึงขับรถไปชนใครเค้าต่างหาก” ผมล้วงกุญแจรถจากกระเป๋ากางเกงแต่ก็หาไม่เจอ ตอนนี้ผมลากมันอย่างทุลักทุเลจนมาถึงหน้าโรงแรมแล้วครับ เหงื่อนี่เปียกทั่วหลังเลยเพราะอากาศร้อน

             ไม่นานนักรถยนต์ของไอ้ตงก็ถูกขับมาจอดที่หน้าประตู ผมลากตัวคนขี้เมาที่กำลังนอนคอพับยัดลงในรถ หยิบใบสีเทาจากกระเป๋าสตางค์ของมันอย่างถือวิสาสะยื่นให้พนักงานก่อนจะไปนั่งเป็นคนขับ ใบหน้าหล่อเหลาของมันนิ่งซบกับกระจก แต่หลังเต่าของถนนทำให้หัวโขกหลายทีเลยเอนมาฝั่งนี้จนเกือบจะซบที่ไหล่ผมเข้าเสียแล้ว

             ระหว่างทางกลับคอนโดไม่มีเสียงพูดคุยจากเราทั้งสองคน มันควรจะเป็นเช่นนั้นแหละเพราะไอ้ตงมันหลับ หน้าตาตอนที่อยู่นิ่งๆก็ดูไร้เดียงสาดีหรอก แต่พอมีสติเท่านั้นแหละ สารพัดความเอาแต่ใจโผล่มาเพียบ ไม่อยากจะนึกเลยว่าคนที่จะมาเป็นแฟนมันจะเจอกับอะไรบ้าง ผมอมยิ้ม...เชี่ย กูอมยิ้มทำไมวะ แค่มองหน้ามัน!



[เจด ชิติพัทธ์]

             ผมตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย ใช้มือขยี้ตาไปมาทั้งๆที่ยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ มันคงจะเช้ามากเพราะรู้สึกปวดหัวหนึบ เมื่อคืนมีเรื่องในผับ ไม่รู้มีมือดีที่ไหนเขวี้ยงแก้วมาที่โต๊ะของกลุ่ม ทำเอาไอ้เคมี (รุ่นน้องที่ค่อนข้างสนิทกันเพราะผมกับไอ้ฟิสิกส์พี่ชายมันเป็นสายรหัสกัน) ถึงขั้นอารมณ์หลุด พุ่งตัวไปหาเรื่องโต๊ะของเด็กปี 1 คณะบริหารจนเกิดการตะลุมบอนขนานใหญ่ ทั้งๆที่ยังจับไม่ได้เลยว่าใครเป็นมือมืดขว้างแก้วมาทางนี้ แต่คงเป็นเพราะไอ้เคมีมันเขม่นกับหนึ่งในกลุ่มนั้นอยู่แล้วในข้อหาแย่งผู้หญิงที่มันจะจีบ พอมีอะไรกระทบนิดหน่อยสติก็หลุด ส่งผลให้เกิดเรื่องจนร้อนถึงผมต้องกลับเข้ามาเคลียร์ทั้งๆที่นั่งแท็กซี่ออกไปกับใครบางคนแล้ว

“พวกมึงทำเหี้ยอะไรกัน” ผมตะโกนลั่นตอนที่ออกมาแล้ว เรากลับมารวมกลุ่มกันที่ลานเกียร์ของคณะ โดยไอ้เคมียังทำหน้าตาบูดบึ้ง

“อยากโดนคาดโทษไล่ออกกันนักเหรอ ห๊ะ” ไม่ใช่แค่ผมที่ปวดหัว เพื่อนผมที่ไปด้วยอีกหลายคนที่พยายามห้ามก็พลอยจะได้รับผลกระทบเข้าไปด้วย ที่สำคัญคือพวกรุ่นพี่ปี 4 อาจจะโดนทัณฑ์บนหนักถึงขั้นพักการเรียนจนอาจเรียนไม่จบพร้อมเพื่อนร่วมรุ่นได้

“พวกมึงแม่ง” พี่ฟิสิกส์ รหัสผมหน้าแดงก่ำ ยังดีที่ผมรู้จักกับเจ้าของร้าน ไม่อย่างนั้นเรื่องคงถึงตำรวจ น้องๆปี 1 และ 2 ก้มหน้านิ่ง หลายคนเอ่ยปากขอโทษและสำนึกผิด เว้นแต่ไอ้ตัวก่อเรื่อง

“มึงล่ะ ว่าไงไอ้เค็ม” เพราะมันชื่อเคมี เวลาเรียกสั้นๆเลยกลายเป็นเค็มเหมือนชื่อวิชาที่ผมแสนเกลียดตอนสมัยมอปลาย

“...” มันไม่ตอบ พี่รหัสผมยังส่ายหน้าทำท่าจะเงื้อหมัดใส่จนพวกเราต้องลากตัวออกไปก่อน

“มึงดูน้องไปนะ เดี๋ยวกูพาพี่เค้ากลับเอง” ไอ้ปิ๊งเพื่อนสนิทผมที่เป็นแฟนกับพี่ฟิสิกส์พูด ก่อนจะพาร่างสูงไปที่อื่น ผมได้แต่ถอนหายใจ ปรึกษาเพื่อนๆว่าจะเอายังไงแต่ก็ไม่มีข้อสรุป

“พวกมึงกลับบ้านก่อน ไว้ค่อยว่ากัน ส่วนมึงไอ้เค็ม ตามกูมา” ผมพูดเสียงแข็ง แม้รุ่นน้องคนนี้จะดื้อรั้นแค่ไหน แต่มันก็เกรงใจผมอยู่บ้าง นอกจากฐานะสายรหัสพี่ชายตัวเองแล้ว พวกเรายังสนิทกันตั้งแต่ปีที่แล้วจากการที่เป็นเดือนคณะ และผมเป็นเดือนมหา’ลัย ก่อนจะขึ้นประกวดผมก็ต้องดูแลและเทรนมันพอสมควร เราเข้าขาได้กันได้ เพราะมันเป็นคนง่ายๆ ออกจะหัวอ่อนด้วยซ้ำ แต่คงเป็นเพราะเรื่องความรักไม่เข้าใครออกใครล่ะมั้ง เลยทำให้ไอ้คนที่เคยทำตัวดีกลายร่างเป็นเด็กเจ้าปัญหาแบบนี้ไปซะได้

             ร่างสูงของเคมีเดินตามต้อยๆ ผมเปิดประตูรถเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ ลดกระจกมองคนที่ยืนบิดไปมาเก้ๆกังๆอย่างนึกรำคาญ คืนนี้มันคงไม่อยากกลับบ้านหรอก เพราะหน้าตามันก็เละน่าดู มีรอยแตกที่หางคิ้วซ้าย รอยช้ำใต้ตาขวา มุมปากมีเลือดไหลกลบออกมาทั้งสองข้าง ไม่นับรวมมือที่แดงและมีรอยเนื้อลอกจากการเข้าไปตะบันหน้าคนอื่น ท่าทางคงเจ็บน่าดู แต่คงจะไม่น่าดูถ้ากลับบ้านแล้วพ่อกับแม่มาเจอสภาพมันแบบนี้

             ส่วนพี่ฟิสิกส์ก็ไปกับไอ้ปิ๊ง แฟนสาวที่คบกันมา 2 ปีเห็นจะได้ ท่าทางคงจะไม่กลับบ้านเช่นกัน และมันคงไม่เหมาะถ้าจะให้ไอ้เคมีตามไปที่คอนโดไอ้ปิ๊งด้วย คนอื่นๆก็พาน้องที่กลับบ้านไม่ได้ไปนอนที่ห้องตัวเองแล้ว ในฐานะที่ผมกับมันค่อนข้างใกล้ชิด เลยจำใจพามันกลับไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ขึ้นมาสิ จะยืนทั้งคืนรึไง” ผมถามก่อนที่ร่างสูงจะเปิดประตูเข้ามานั่งในรถอย่างเงียบเชียบ เราไม่คุยอะไรกันเลยตั้งแต่ตอนนั้น จนกระทั่งถึงห้องผมนี่แหละ ไอ้เค็มนั่งบนโซฟาที่ห้องรับแขกอย่างคุ้นชิน ปล่อยให้เจ้าของห้องเดินไปมาหาของโน่นนั่นนี่และกลับมานั่งข้างๆ

ปัง... เสียงวางกล่องยาทำเอามันหันมาสบตากับผมเป็นครั้งแรก

“มีอะไร” ผมถามเสียงห้วน มันไม่ตอบ เอาแต่นิ่ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมก็ไม่ใส่ใจจะถาม

“โอ๊ะ” มันร้องสะดุ้งเพราะความเจ็บเมื่อโดนสำลีชุบแอลกอฮอล์ล้างแผลเช็ดรอบๆบริเวณรอยแตก เลือดแห้งไปแล้ว มีซึมออกมาบ้างแต่ก็ไม่หนักหนา ไม่ต้องพาไปโรงพยาบาล แค่ใส่ยาและกินยาดักก็น่าจะหายดี

“เจ็บเหรอ”

“ครับ” ผมลดแรงกดให้แผ่วมือมากขึ้น เบตาดีนแฉะๆป้ายที่แผลอย่างทั่วถึง ห้องผมไม่มีผ้าพันแผล เลยใช้แค่พลาสเตอร์แปะลงเท่าที่ทำได้ แต่ตรงกระดูกที่มือคงจะต้องปล่อยไว้อย่างนั้น เพราะปิดพลาสเตอร์ทีไรมันก็เด้งหลุด

“เสร็จแล้ว เจ็บมากมั้ย”

“ไม่แล้วพี่ ขอบคุณครับ”

“เห้อ มึงก็เป็นซะอย่างงี้ แทนที่จะใจเย็นๆ”

“ก็...” ผมถลึงตา มันหุบปาก

“กูรู้ว่ามึงอกหัก แล้วดันไปเจอทั้งสองคนที่ร้าน แล้วไงวะ แค่มีแก้วตกลงมามึงต้องไปเจาะจงหาเรื่องกลุ่มนั้นกลุ่มเดียวด้วย” ผมรู้แหละว่ามันไม่ทันได้คิด แต่มันก็แสดงออกโจ่งแจ้งเกินไปว่าไม่พอใจน้องผู้หญิงคนสวยที่มันเคยจีบแต่ถูกคนในคณะตัดหน้าคว้าไปครอง การทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังทำให้เรื่องมันบานปลาย เป็นห่วงก็แค่ไอ้พวกพี่ๆปี 4 ที่ใกล้จะจบแล้ว ถ้าเกิดทางคณะรู้เรื่อง ชะตาขาดกันหมดแน่ๆ

“อีกอย่าง มึงหุนหันแบบนี้ ไม่แคร์พี่มึงเลยเหรอวะ อีกปีเดียวก็จะจบแล้ว ถ้าโดนพักการเรียนหรือไล่ออกมาจะทำยังไง” วัยรุ่นน่ะมันเลือดร้อน ผมก็หนึ่งในนั้น แต่ก็ไม่รุนแรงระดับต่อยไม่เลือกแบบนี้ รุ่นน้องเม้มปากเหมือนจะเริ่มคิดได้ ดวงตามันแดงๆเหมือนคนจะร้องไห้ ผมถอนหายใจลุกไปเก็บกล่องยาแล้วเปิดตู้เย็นหาอะไรมาดับร้อน

“เอามั้ย” เบียร์กระป๋องเขียวเข้มในมือผมแกว่งไปมาสองครั้ง ไอ้คนที่นั่งบื้อคว้าไปเปิดและส่งเข้าปากอึกใหญ่

“เห้ยๆๆๆ ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็เมาอีกหรอก”

“เมาก็ดีสิ อึ๊ก จะได้ลืมๆไปซะ แม่ง อึ๊ก” มันสะอื้นครับ ไม่ใช่สะอึก ท่าทางจะเครียดและกดดันมากพอดู ไหนจะอกหัก ไหนจะมีเรื่อง ไหนจะพี่ชายมันที่ทำท่าจะต่อยมันอีก เป็นใครก็คงคุมอารมณ์ได้ยาก ไอ้เคมีมทันยังไม่ครบ 20 ปีเลยครับ เพราะมันเรียนเร็วกว่าเกณฑ์ ถึงแม้จะอยู่ปี 2 แล้วก็ตาม มันเลยยังดูเป็นเด็กน้อยในสายตาผมเสมอ

“เออ กินๆไปเถอะ เมาแล้วไปอ้วกในห้องน้ำนะ อย่าเรี่ยราด” ผมกำกับ มันพยักหน้าหงึกๆตอบรับ เราชนแก้วคุยกันไปมาจนเบียร์ในตู้เย็นพร่องจนหมด

             ผมว่าผมฝัน ในฝันมันช่างแสนประหลาด ภาพในฝันเริ่มต้นที่เราสองคนวางกระป๋องเบียร์โครมใหญ่ลงบนโต๊ะ หลังมือพวกเราแตะกันแล้วมีกระแสไฟฟ้าไหลแล่นทั่วตัว โซฟาที่ห้องผมมีตัวเดียวเราเลยนั่งไม่ห่างกัน ทำให้การมองตากันครั้งนี้เป็นระยะที่ใกล้กว่าที่เคย แววตาของไอ้เคมีหวานฉ่ำจากความเมาปนกับความเศร้าสร้อย ริมฝีปากหยักได้รูปสวยสีชมพูทำท่ากลืนน้ำลายลงคอชวนมองจนต้องเขยิบหน้าเข้าใกล้อย่างช้าๆ ภาพสโลว์โมชั่นนั้นชวนให้กลั้นหายใจแต่ก็พ่ายแพ้แก่ไออุ่นที่ออกมาจากจมูกของอีกคน ริมฝีปากของผมเคลื่อนคล้อยแตะที่ปากกระจับนั้นแผ่วเบา ค่อยๆกดแรงลงไปจนอีกฝ่ายร้องคราง

             สองมือของพวกเราก่ายกอดถอดแกะชุดที่สวมใหญ่อย่างสะเปะสะปะ ริมฝีปากยังบดเบียดกันไปมาหนักหน่วง ลมหายใจพวยพุ่งรุนแรงอย่างหิวกระหาย สี่ขาก้าวเดินพาร่างที่นัวเนียอย่างโลภมากมาจบที่เตียงนอนนุ่ม ผมโดนร่างใหญ่คร่อมไว้ ริฝีปากสวยล้วงลึกเข้ามาอย่างเร่าร้อน กระตุ้นความกำหนัดภายในคุโชน ไออุ่นของร่างกายที่แนบชิดกันส่งผ่านไปมาจนร่อนเร่า กล้ามเนื้อหนาแน่นของพวกเรากอดรัดกันไปมาอย่างแนบชิด ผมพลิกร่างของรุ่นน้องให้นอนราบเรียบ ไล้ลิ้นโลมเลียซอกคอลงมาจรดเม็ดแข็งที่ยอดอก แรงฉกเลียทำให้มันแข็งขืน

“อื้ออออ” เสียงครางอย่างสะกดกลั้นคล้ายเสียงยั่วยวนทำให้ไม่อาจหยุดเคลื่อนไหว สบฟันขบยอกอดแผ่วเบาจนร่างนั้นสั่นไหว ผมเลื้อยตัวมาจบที่หน้าท้อง กระชากกางเกงในผืนบางทิ้งไปอย่างไม่ใยดีก่อนจะเกาะกุมความต้องการที่ชูชันรอท่าอย่างไม่รังเกียจ

“ฮื้ออออ” เคมีร้องครางในลำคอเมื่อปากอุ่นครอบดูดดุนความแข็งขืนอย่างช่ำชอง ลิ้นหนาเกี่ยวกระหวัดฉกเลียโลมเร้าอย่างโหยหา ร่างแกร่งนอนแผ่กระตุกตัวไปมาตามจังหวะเร่งเร้า ผมขยับใบหน้าห่อปากครอบดูดอมรูดถลาขึ้นลงเป็นจังหวะเชื่องช้าสลับกับเร่งรุดรุนแรงจนเมื่อยปาก เจ้าของแก่นกายหอบพร่าส่งเสียงครางอื้ออึง สองมือจิกทึ้งเส้นผมของคนที่ดูดอมที่แก่นกลางอย่างเว้าวอน ผมใช้จังหวะนี้แหวกแก้มก้นกลมกลึงไปพลาง ส่งหัวแม่มือใหญ่เข้าไปในช่องแคบที่รัดทึ้งจนเจ้าตัวกระตุกเพราะความเจ็บตึง ก่อนจะผละนิ้วจากรูน้อยมากดนวดขอบรูอย่างใจเย็น พร้อมกับรูดห่อปากขึ้นลงไปมาถี่ยิบขึ้นเรื่อยๆ ร่างใหญ่สะท้าน แรงหอบกระเพื่อมจนซิกแพ็คขยับขึ้นลงชวนมอง แม้จะอยู่ในความมืดสลัว แต่ผมคิดว่ามองเห็นภาพนี้อย่างชัดเจน เรือนร่างของเคมีสวยงามน่าดึงดูดทุกสัดส่วน แรงรูดเฟ้นทำให้บั้นท้ายขมิบแรงดูดรัดนิ้วฝืดที่แตะต้องจุดอ่อนไหว ยิ่งรูดเฟ้น เร็วแรงบั้นท้ายก็ขยับส่ายยกส่งจังหวะดูดดึงให้ผสานเชื่อมเป็นหนึ่งเดียว ผมออกแรงเม้มปากห่อรูดขึ้นลงเร็วขึ้น เร็วจนแรงทึ้งเส้นผมขยับหนักหน่วง ลมหายใจที่หอบถี่กับร่างกายที่จับเกร็งชวนสยิวไหวหวามบิดเร่า ผมดูดเน้นหนักในจังหวะกระตุกตัวก่อนที่ทุกอย่างจะล้นทะลักออกมาอย่างมากมาย

“อ๊าาาาาาาาาาาา” เสียงครางลั่นของคนที่ถึงฝั่งฝันดังกลบทุกสิ่งในห้อง ผมดูดเฟ้นทุกหยาดหยดอย่างไม่รังเกียจ เคมีนอนแผ่หราปล่อยให้บั้นท้ายชูเด่นจากสองขาที่ถูกยกแยกโดยไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมปล่อยความแข็งขืนให้เป็นอิสระ คายความสุขล้นคุคาวออกมาบนฝ่ามือ ชะโลมมันที่นิ้วและกดแทรกเข้าไปอย่างช้าๆ

             คงจะเป็นเพราะความเมา หรือไม่ว่าเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ผมกลั้นความอยากของตัวเองมานานเนิ่นจนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เมือกขุ่นที่หลงเหลือถูกทาทาบลงบนความแข็งแกร่งที่ดุดันและพร้อมออกศึกแล้ว แม้ขนาดของพวกเราจะไม่ต่างกัน แต่มันก็ถือว่าเป็นขนาดที่น่ากลัวไม่น้อย แต่วินาทีนั้นผมไม่สนใจเรื่องใดอีกแล้วนอกจากต้องการปลดปล่อยความครุกรุ่นของรสรักให้หมดสิ้น สองขาแกร่งถูกยกพาดที่ไหล่อย่างยากลำบาก เคมีนอนนิ่งเพราะความเมาแต่ก็พอมีสติช่วยเหลือยกขาตัวเองอย่างไม่คำนึงถึงชะตากรรม ผมจับจ่อความใหญ่โตที่ปากทางก่อนจะกดเข้าไปในตัวช้าๆ

“อ๊ะ ฮื้อ....” คนที่กำลังถูกบดบี้ร้องคราง ริมฝีปากเม้มอย่างหนักหน่วงพร้อมใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ความแน่นหนึบถาโถมทันที่ที่ผมยัดเยียดมันเข้าไปช้าๆ ความร้อนผ่าวชะโลมไหลกอดรัดความแข็งแกร่งที่แทรกกายไปอย่างไม่ลดละ แต่ละคืบที่เข้าไปก็ยิ่งถูกบีบรัดจนแทบบ้า ร่างใหญ่ที่นอนอยู่พยายามยกมือห้ามอย่างไร้ทิศทางจนผมต้องกระชับข้อมือให้ราบลงกับที่นอนและยกตัวไปประชิด ริมฝีปากผมทาบทับลงไปอีกครั้ง เราส่งผ่านความหอมหวานและเร่าร้อนกันอย่างออกรส ปล่อยให้ความใหญ่โตสอดส่ายเข้าไปจนสุดทาง ผมส่งผ่านตัวตนเข้าไปอย่างหนักหน่วง เสียงร้องของพวกเราสอดรับไปกับจังหวะกระแทกกระทั้น

             ในฝันที่เหมือนจริง ผมจบท่าแรกอย่างสุขสมและพลิกร่างใหญ่ที่นอนหายใจโรยรินให้นอนคว่ำก่อนจะเริ่มบทใหม่อย่างดุดัน เนื้อตัวแกร่งปนเปกับกลิ่นเหงื่อของวัยหนุ่มที่แสนเย้ายวนจนหักห้ามใจไม่ไหว แรงส่งผ่านความใหญ่โตบุกล้วงอย่างง่ายดายเพราะมีตัวช่วยที่คั่งค้างอยู่ด้านใน แรงขมิบตอดรัดยังหนักหน่วงแม้จะถูกสอดแทรกมาแล้วยกหนึ่งก็ตาม บั้นท้ายกลมกลึงพยายามหลบหนี เสียงร้องเพ้อบ่นว่าเจ็บไม่เป็นอุปสรรคให้ผมเดินหน้า ร่างแกร่งถูกย้ำถี่หนักหน่วงขึ้นลงอยู่อย่างนั้นจนกระทั้งผมถึงฝั่งเป็นรอบที่สอง

             ผมตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย ใช้มือขยี้ตาไปมาทั้งๆที่ยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ มันคงจะเช้ามากเพราะรู้สึกปวดหัวหนึบ เมื่อคืนมีเรื่องในผับ ไม่รู้มีมือดีที่ไหนเขวี้ยงแก้วมาที่โต๊ะของกลุ่ม ทำเอาไอ้เคมี (รุ่นน้องที่ค่อนข้างสนิทกันเพราะผมกับไอ้ฟิสิกส์พี่ชายมันเป็นสายรหัสกัน) ถึงขั้นอารมณ์หลุด พุ่งตัวไปหาเรื่องโต๊ะของเด็กปี 1 คณะบริหารจนเกิดการตะลุมบอนขนานใหญ่ ทั้งๆที่ยังจับไม่ได้เลยว่าใครเป็นมือมืดขว้างแก้วมาทางนี้ แต่คงเป็นเพราะไอ้เคมีมันเขม่นกับหนึ่งในกลุ่มนั้นอยู่แล้วในข้อหาแย่งผู้หญิงที่มันจะจีบ พอมีอะไรกระทบนิดหน่อยสติก็หลุด ส่งผลให้เกิดเรื่องจนร้อนถึงผมต้องกลับเข้ามาเคลียร์ทั้งๆที่นั่งแท็กซี่ออกไปกับใครบางคนแล้ว

             แต่ภาพที่ตัวเองฝันกลับโผล่มาอย่างชัดแจ้ง ร่างกายผมเปลือยเปล่าอยู่ใต้ผ้าห่มผืนโปรดในห้องนอนของตัวเอง กลิ่นคาวคลุ้งไหลเวียนจนหน้าชาไปหมด ความเมื่อยขบฟ้องว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น บางอย่างที่ไม่น่าเกิด บางอย่างที่ผิด ผิดมากๆ ผิดจนไม่น่าให้อภัย...

             สายตาผมเลื่อนไปมองที่นอนข้างๆ ร่างใหญ่ที่หลับไหลหายใจราบเรียบหันหลังอย่างสงบ ผมเผ้ารุงรังปกปิดใบหน้าหล่อจนแทบมองไม่เห็น ผมหายใจตีบตันก่อนกระชากผ้าห่มให้ออกไปห่างตัว

พรึ่บ!

“เชี่ย” ผมสบถร้องกับตัวเองเมื่อได้เห็น ภาพร่างแกร่งขาวเนียนของเคมีนอนคว่ำ บั้นท้ายกลมกลึงเผยให้เห็นความเนียนละเอียดน่าสัมผัส แก้มก้นทั้งสองข้างแดงช้ำเป็นหลักฐานชิ้นดีว่าเกิดอะไรขึ้น ยังมีคราบเมือกไหลเยิ้มออกมาจนเปียกชุ่มจากรูน้อยยืนยันอีกจนดิ้นไม่หลุด สองขาแกร่งแหวกกว้างพอที่จะเห็นว่าหูรูดนั้นยับเยินเพียงไหน เลือดที่ไหลซึมเหมือนจะหยุดไปแล้ว แต่เจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น

“ค่ะ เค็ม” ผมเรียก บ้าเอ๊ย เสียงสั่นไปหมด ... นี่เรื่องจริงเหรอวะ หรือว่ากูฝัน ... ชิบหาย ดันมีอะไรกับน้องชายพี่รหัสตัวเอง ผมดันไปมีอะไรกับชายแท้ ... เย็บแม่ง จะโดนตีนก็คราวนี้แหละไอ้เจดเอ๊ย...

“...” ไม่มีเสียงตอบรับ ผมเลยเอื้อมมือไปแตะร่างนั้นช้าๆ มือจะสั่นทำไมวะ...

“ตัวร้อนนี่หว่า เค็ม” ผมแต่หน้าผาก ก่อนจะจับไหล่หนาขยับไปมา

“อื้อ ไม่อาววว ปวดหัว จะนอน อื้อ” ร่างใหญ่พลิกตัว เผยความแข็งแกร่งของเพศชายที่ผงาดตัวตอนเช้าอย่างรู้งาน ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ถ้าเมื่อคืนมันมีสติแล้วผมเป็นฝ่ายโดน ชะตากรรมคงไม่ต่างกับไอ้เคมีตอนนี้

             ผมกดโทรศัพท์หาพี่ฟิสิกส์ แต่ไม่มีใครรับ ในใจร้อนเร่าอย่างที่สุด นึกไม่ออกว่าจะต้องทำยังไง มีอะไรกันไม่พอยังทำเขาป่วยอีก แม่งเอ๊ย... เกิดมาไม่เคยเปิดซิงใครก็งี้แหละ ชีวิตไอ้เคมี ได้กับคนนั้นคนนี้เสร็จก็จบ แยกทาง ไม่เคยมีใครจะต้องมานอนซมป่วยอยู่บนเตียงแบบนี้มาก่อน ลนลานไปหมดไม่รู้จะต้องทำยังไง

“กูเกิ้ล!” ผมวิ่งไปหาโน้ตบุ๊กที่วางบนโต๊ะทำงาน กดค้นหาลงไป แต่ก็ไม่ช่วยอะไรมากนัก

ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี ... ผมคิดอย่างร้อนรน มองใบหน้าหล่อที่มีบาดแผลอย่างรู้สึกผิด หยิบมือถือขึ้นมาไล่ดูรายชื่อในนั้นไปเรื่อยๆจนถึงชื่อๆหนึ่ง

โป๊ะเชะ! เพื่อนสมัยมอปลายของผมเองครับ มันเรียนหมออยู่ปี 3 เหมือนกัน ...

             ผมออกไปซื้อยาตามที่เพื่อนผมแนะนำ ไม่วายจะโดนด่าเปิงเรื่องที่ทำลงไป แต่ผมก็ไม่แคร์หรอกว่ามันจะด่ายังไง ตอนนี้ห่วงแค่คนที่นอนป่วยอยู่จะไหวไหมเท่านั้น ตอนที่โผเข้าไป ร่างสูงยังไม่ตื่น ผมเลยหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวแผ่วเบา ทำความสะอาดจนเกลี้ยงและทายาขี้ผึ้งตรงขอบรอยจีบบั้นท้ายแผ่วเบา ก่อนจะใส่ยาสอดเม็ดสีขาวในรูจนเจ้าของพื้นที่ร้องอื้อในลำคอ

“ไม่รู้จะได้ผลรึเปล่านะ แต่ตอนที่กูเป็นริดสีดวงก็ใช้ยาสอดนี่แหละ” เพื่อนที่ผมโทรไปปรึกษาตอบมา มันยังไม่ได้เรียนเฉพาะทางเลยให้คำแนะนำจากประสบการณ์ตรงของตัวเอง ใช่แล้วครับมันเป็นเกย์เหมือนผมนี่แหละ แต่เป็นเกย์รับ เลยรู้ว่าตอนที่โดนครั้งแรกมันเจ็บสาหัสเพียงไหน ต้องกินยาอะไร ทายาอะไร และต้องรักษาตัวยังไง มันบอกผมละเอียดยิบ

“เค็ม ตื่นมากินยาก่อน” ครั้นจะปลุกให้ตื่นมากินข้าวคงยาก ผมเลยปลุกให้เจ้าตัวมากินยาแก้ไขและแก้อักเสบไปก่อน ไม่กลัวว่าโรคกระเพาะจะถามหา กลัวว่ามันจะเกิดการอักเสบและติดเชื้อต่างหาก เมื่อคืนก็แม่งไม่ทันคิด เสียบสดไปอีก

“อื้อ หนาว” มันร้องเสียงสั่น คงจะหนาวจริงๆเพราะไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ผมหาชุดใหม่มาเปลี่ยน คอยเช็ดตัวให้ ปล่อยให้มันนอนและคว้าตัวไปกอดอย่างไม่อาจเลี่ยง ไหนๆก็ป่วยเพราะกูแล้วนี่หว่า จะยอมเป็นหมอนข้างให้ละกัน

             ไอ้เคมีป่วยต่อไปอีก 3 วัน แต่มันรู้เรื่องตั้งแต่วันแรกที่ตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บแล้วล่ะครับ มันโกรธผมมากจนแทบจะประเคนบาทาให้กิน แต่ดีที่มันเจ็บ มีอาการป่วยเลยไม่มีแรง ได้แต่ด่าผมไม่หยุดอยู่อย่างนั้น แถมยังเข้าใกล้ไม่ได้ เพราะใกล้ที่ไรมันก็พยายามประเคนหมัดทุบตัวผมจนช้ำ ทีแรกก็สงสารหรอกนะ แต่พอเจอแบบนี้ก็เริ่มโมโหเหมือนกัน ครั้นจะตอบโต้ก็ทำไม่ลง มองสภาพที่เละเทะของมันยิ่งรู้สึกแย่

             ตลอดเวลาสามวันมานี้มันไม่ยอมพูดกับผมจนผมอยากจะบ้าตาย ถ้ามันต่อยตีหรือด่าทอเหมือนตอนแรกผมคงจะรู้สึกดีกว่านี้ ไม่ใช่ทำท่าทางเย็นชาห่างเหินกันขนาดนี้ เป็นใครก็อึดอัดคุณว่าไหม แววตาที่มองมาเหมือนกับผมเป็นตัวเชื้อโรคนั้นก็ยิ่งทำให้ระยะห่างของพวกเรามากขึ้น ใบหน้านิ่งเรียบจนน่าขนลุกทำให้ไม่อยากเข้าใกล้ แต่เพราะภาระหน้าที่ ผมจึงทำใจดีสู้เสือ คอยป้อนข้าว ป้อนยาจนกระทั่งมันหายดีในวันที่ 5

             ผมกลับเข้ามาที่ห้องหลังจากเรียนเสร็จและพบกับความว่างเปล่า ก่อนหน้านั้นผมส่งใบลาของเคมีไปก่อนแล้ว ไม่มีใครถามซอกแซกเพราะต่างเข้าใจว่ามันหลบหน้าจากเหตุการณ์ในผับ แค่วางของไม่นานเสียงเคาะประตูก็ลั่นห้อง ผมเดินไปเปิดอย่างหัวเสีย ก่อนที่จะโดนร่างใหญ่ซัดหมัดเข้ามาไม่ยั้งจนเซล้ม ไอ้ฟิสิกส์พี่รหัสผมเองครับ มันคงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เลยมายำผมจนเละ พอสาแก่ใจมันก็ปล่อยผมนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น

“ขอโทษพี่ ผมขอโทษ” ไม่รู้ว่าจะต้องพูดยังไง ได้แต่ขอโทษซ้ำๆอยู่อย่างนั้น และหวังว่าจะได้ยินคำว่า ไม่เป็นไร

             ผ่านมาเกือบเดือนกว่าพวกเราจะเคลียร์กันลงตัว ผมเจ็บจนต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปเป็นอาทิตย์ ไอ้เคมีมาเห็นสภาพที่พี่มันยำผมจนเละก็ยอมยกโทษให้ แต่ไม่ขอกลับมาสุงสิงด้วย พี่รหัสผมก็มาขอโทษ มันบอกว่าเคืองผมมากที่ไปทำน้องมัน แต่ถ้าไอ้เคมีไม่ติดใจอะไรมันก็ว่าตามนั้น พวกเราเลยปรับความเข้าใจกันใหม่ นับเป็นครั้งแรกที่พี่รหัสผมรู้ว่าผมเป็นเกย์ (แถมยังล่อตูดน้องชายมันอีกด้วย)

“มึงต้องเลิกยุ่งกับน้องกู” พี่ฟิสิกส์ยื่นคำขาด

“ผมรู้”

“เลิกยุ่งเด็ดขาด” จะย้ำทำไมวะ รู้แล้ว “มึงต้องมีแฟน ไอ้เจด รีบมีแฟนแล้วออกห่างจากชีวิตน้องกูซะ”

“ครับ” ผมรับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้ จะต้องทำยังไงล่ะ ในเมื่อชีวิตจริงมันไม่เหมือนในนิยาย ที่มีอะไรกับชายแท้แล้วเขาหันมาหลงรัก ถึงแม้ผมจะเผลอใจไปกับกลิ่นกายหอมกรุ่นของไอ้เคมีไปแล้ว ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ ผมก็ต้องทำอะไรสักอย่าง ... แล้วใบหน้าของรุ่นน้องที่เจอกันที่ผับก็โผล่เข้ามาในหัว หนึ่ง เอกราช....




 

(https://cdn-th.tunwalai.net/files/member/971823/1615964347-member.jpg)
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 21 P.4 Up 25 พ.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 25-05-2020 12:09:03
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 21 P.4 Up 25 พ.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-05-2020 19:18:10
 :pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมกระทู้  ถึงถูกย้ายห้องไปพักไว้?  ผิดกฎหรือมีกรณีพิพาทอะไรเหรอ?
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 21 P.4 Up 25 พ.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 25-05-2020 22:54:10
อ้าวที่แท้พี่เจดมีคดีติดตัวนี้เอง ถึงมาตามตื้อหนึ่ง
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 21 P.4 Up 25 พ.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 25-05-2020 23:58:19
ว่าแล้วต้องมีเงี่ยนงำ  :laugh:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 22 P.4 Up 26 ธ.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 26-12-2020 21:19:56
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 22. หาเหตุผลไม่ได้

[ตงฉิน]

             ผมสะดุ้งตื่นจากแรงเขย่าของคนที่เพิ่งถอยรถเข้าที่จอด พอปรับสายตาได้แล้วก็ค่อยๆเปิดประตูเดินไปที่ลิฟต์ของลานจอดรถโดยไม่รอคนข้างหลัง มันวิ่งตามและเข้ามาประคองโดยจับที่บั้นเอวผมไว้

“ปล่อย”

“ยืนไม่ไหวอยู่แล้วยังจะปากดี” มันตอบ ผมได้แต่ถอนหายใจอย่างขัดขึ้งบ่งบอกว่าไม่พอใจ แต่เหมือนมันจะไม่แคร์สักนิด ผมเลยปล่อยให้มันจับและพาเข้าไปในลิฟต์ คอพับมาจนกระทั่งร่างผมกระทบกับที่นอนนุ่มนั่นแหละเลยกลับมารู้ตัวอีกที

“อื้ม ไม่เอา ไม่ถอด” ผมรู้ว่าใครที่กำลังถอดเสื้อผ้าให้ ถึงแม้จะมีอะไรกันมาก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะเป็นอะไรกัน ผมไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรจากมัน ไม่ต้องการให้มันมายุ่งกับเนื้อตัวของผมเหมือนที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ เลยขยับตัวดิ้นไปมาเพื่อขัดขวางคนที่กำลังคอยถอดเสื้อผ้าอยู่

“เห้ย อย่าดิ้นสิ เปลี่ยนชุดก่อน”

“ม่าย ต้อง ยุ่ง” ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเมาได้ขนาดนี้ แค่ดื่มไม่ยั้งไม่กี่แก้วเองนะ

ครืดดดดดดดดดดดดดดดดด... เสียงโทรศัพท์ดังสั่นจนสะดุ้ง ผมเอื้อมไปหยิบจากกระเป๋ากางเกง แต่พอเรานิ่ง อีกคนก็ถกกางเกงผมออกไปเองเสียเลย

“อาว ทอ สับ มา” ผมทำท่าจะลุก แต่มึนหัวไปหมด สองตาปรือมองเห็นว่ามันกดรับสาย เสียงคุยขาดๆหายๆ พอจับใจความได้เล็กน้อย

“อ๋อ ตงนอนแล้วครับ... เมาน่ะครับ ... มันนัดคุณไว้เหรอ ... สงสัยมันลืม ... เดี๋ยวผมบอกให้นะครับ....” ผมตั้งใจฟังสุดๆแล้วก็ได้แค่นี้ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่านัดกับใครไว้ รู้แต่ว่าตอนนี้มึนหัว

“น้ำ หิวน้ำ” ผมบ่นพึมพำ แต่ปากก็ไม่ยอมขยับตอนที่แก้วน้ำมาจ่อ

“เปิดปากหน่อย ดื่ม” ผมส่ายหน้า หิวน้ำมาก แต่ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น

“หิวน้ำ”

“มึงนี่แม่ง” ไอ้เตี้ยบ่นอะไรสักอย่าง

“อึ๊ก” ผมโดนบีบคางก่อนจะถูกอะไรอุ่นๆทาบทับลงมาก่อนที่ของเหลวไร้รสจะไหลลงคอให้กลืนลงไปจนหมด

“อื้ออออ” ผมร้องครางเมื่อมันป้อนน้ำมาอีกสองครั้งก่อนจะประกบดูดดื่มในโพรงปากผมนานเนิ่น

“ร่านนักใช่มั้ยมึงน่ะ” เสียงมันพึมพำเหมือนอยู่ที่ไกลๆ “เมาขนาดนี้ยังมีหน้านัดหญิงอีกเหรอวะ มึงแม่ง...”

แล้วมันก็จัดการผมทั้งๆที่เมาไม่รู้เรื่องอย่างนั้นแหละ....

             ที่ผมเล่าได้เพราะตอนนี้ตื่นแล้ว เจ็บก้นกบชิบหาย ไอ้หนึ่ง ไอ้เชี่ย ผมโดนมันจัดตอนเมาจนได้ นึกแล้วเจ็บใจชิบหาย เมื่อวานนัดพี่ดาวมหา’ลัยไว้แต่ดันเมาสติหลุด นอกจากจะไม่ได้แล้วยังมาเสียตัวให้มันอีกต่างหาก คิดแล้วแค้นชิบหาย

พลั่ก! ผมถีบมันตกเตียง

“เชี่ย เจ็บ” ไอ้เตี้ยมันสะดุ้งพรวด เรือนร่างเปลือยเปล่าเผยแก่สายตา ตัวแค่นี้ แต่พิษสงเยอะชิบหาย เอาซะเจ็บไปหมด

“ออกไป” ผมไล่

“มึงบอกกูดีๆก็ได้มั้ยวะ จะถีบเพื่อ”

“กูไม่อัดหน้ามึงก็บุญแล้วไอ้สัด ใครใช้ให้มึง ...” ผมหยุดพูด ไม่อยากนึกถึงเรื่องเมื่อคืน

“ให้เอามึงน่ะเหรอ” ไอ้เชี่ย ไอ้หน้าด้าน พูดมาได้ไม่อายปาก

“ออกไป”

“ไม่ ขอโทษกูก่อน”

“ขอโทษทำไม กูทำไรผิด มึงสมควรโดน”

“สมควรอะไร กูอุตส่าห์หอบมึงมา พามึงเข้าห้อง ดูแลมึง และเอามึง”

“ไอ้สัด” ผมปาหมอนไปอย่างหงุดหงิด แม่งยั่วโมโหเก่งชิบหาย “ใครขอร้องมึงไม่ทราบ”

“มึงว่ากูเสือกเหรอ”

“เออสิ” ผมตวาด

“ใครเสือกกันแน่วะ มึงคิดดูดีๆ ใครวะแม่งมาขัดจังหวะ” ผมมองมันอย่างหงุดหงิดใจ ภาพที่มันจูบกับผู้ชายคนนั้นแว้บเข้ามา

“กะ กู ...” จะตอบว่าไงดีวะ

“มึงขัดจังหวะกูก่อนนะ แถมเมายังกะหมา เดินทีแทบจะล้ม กูต้องพามึงกลับมาเนี่ย”

“ละ แล้วไงวะ มึงอารมณ์ค้างมึงก็ไปเอาออกเองสิ ไม่ใช่ว่า...”

“จะเอามึงน่ะเหรอ”

“หุบปาก ถ้ามึงไม่หยุดจะโดนถีบอีกรอบ”

“ถีบไหวเหรอ” มันยกยิ้มหน้าตาเจ้าเล่ห์ พาร่างของมันมาที่เตียง คลานสี่ขาเหมือนคอร์กี้หางสั้นเหมือนจะจู่โจม

“ไหว อ๊ะ เชี่ย...” ผมร้องเพราะเจ็บ อย่าให้พูดนะครับว่าเจ็บตรงไหน ตอนแรกที่ถีบเพราะโมโหที่ตื่นมาพบว่าตัวเองโดนอะไร แต่พอมีสติมากขึ้น ความเจ็บมันก็มากขึ้นตามไปด้วย

“เห็นมั้ยว่ามึงยกขาไม่ไหวแล้ว”

“อะ ออกไป มะ มึงจะทำอะไร” ผมมองอย่างผวา ตอนที่มันโน้มหน้ามากระซิบข้างหู ไอ้สองแขนที่ยาวกว่ามันเหมือนจะไม่มีเรี่ยวแรงเอาดื้อๆ เสียงกระเส่าของมันทำให้ขนกายลุดชูชันไปหมด ไออุ่นจากลมหายใจแล่นผ่านชวนสยิวไม่น้อย

“ทำเหมือนที่ทำเมื่อคืนไง”

“มะ ไม่เอา” ผมพยายามห้าม แต่สายตากรุ้มกริ่มของมันบอกว่าไม่ได้ล้อเล่น

“เมื่อคืนมึงไม่มีสติ แต่ตอนนี้มึงตื่นแล้ว” มันเลียริมฝีปาก

“พะ พูดเชี่ยอะไรของมึง”

“ก็ตอนมึงเมา มึงยังตอบสนองกูซะดิบดีเลย กูเลยอยากรู้ว่าตอนที่มึงมีสติแบบนี้ จะตอบสนองได้ถึงใจเหมือนเดิมมั้ย”

“มะ ไม่เอา ออกไป” ผมดันตัวมันให้ถอยห่าง แต่กลับถูกตรึงไว้ด้วยใบหน้าที่ไม่คุ้นชิน สายตามันดูหวานเยิ้มเต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการ คิ้วหนาที่ยักย้ายไปมาเหมือนกำลังถูกใจกับของเล่น จมูกโด่งเป็นสันคมรับกับรูปหน้า ริมฝีปากอวบอิ่มได้รูปชวนหวั่นไหวขยับไปมาส่งเสียงเหมือนเชื้อเชิญ

“แน่ใจเหรอว่าให้กูออกไปน่ะ” ใบหน้าที่ผมไม่เคยมองว่าดูดีมาก่อน ทำไมวันนี้กลับดูหล่อเหลาจังวะ หรือเพราะทรงผมที่ตัดและเซ็ตมาใหม่ ก็ไม่น่าใช่นะ เพราะมันชี้โด่เด่ไม่เป็นทรงไปแล้ว หรือเพราะสูทที่มันใส่เมื่อคืน ก็ไม่น่าจะใช่อีก เพราะตอนนี้มันโป๊อยู่ แล้วเพราะอะไรล่ะ ทำไมมันถึงดูดีขนาดนี้ ปากมันใกล้เข้ามา อีกนิด ทีละนิด จนกระทั่งเราสองคนแนบชิดกัน

“อื้อ...” ผมได้แต่ครางในลำคอ เมื่อโดนมันสอดส่ายความหวานหอมเข้ามา เรี่ยวแรงที่เคยมีหดหายไปหมดเมื่อตอนที่มันโลมเลียที่ยอดอก และยิ่งหอบพร่าตอนที่มือหนาเกาะกุมของสงวนส่วนแข็งขืนของผมไว้อย่างทะนุถนอมก่อนรูดเฟ้นขึ้นลงเป็นจังหวะ และยิ่งเสียวซ่านเมื่อมีความใหญ่โตแข็งแกร่งสอดผ่านเข้ามาในตัว ผมไร้แรงต่อต้านเมื่อถูกถาโถมอย่างรุนแรงจนต้องครางครวญอย่างโหยไห้ ความเจ็บปวดเลือนหายเหลือไว้แต่ความอิ่มเอมและสุขล้นที่ถูกคนตัวเล็กคร่อมเหนือร่างและส่งผ่านความเป็นชายเข้ามาอย่างดุดัน

...นี่ผมเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย ไอ้ตงเอ๊ย

[เจด ชิติพัทธ์]

             ผมวางโทรศัพท์ด้วยอารมณ์หดหู่อย่างอธิบายไม่ถูก ไม่รู้ว่าเรื่องที่ทำในตอนนี้มันถูกต้องไหม ตอนแรกที่ได้เจอกับน้องหนึ่งแฟนที่เคยคบกันสมัยมอปลายก็รู้สึกถูกชะตา มันเหมือนได้เจอความสบายใจเดิมที่คุ้นเคยน่ะนะ แต่พอเรื่องผมกับไอ้เคมีมีอะไรกันเข้าหูพี่ฟิสิกส์ พี่รหัสผมแต่เป็นพี่ชายแท้ๆของไอ้เคมีเรื่องมันเลยยุ่งปนเปกันไปหมด หลังจากที่โดนยื่นคำขาดจากพี่รหัสผมก็ไม่ได้ติดต่อกับน้องชายเขาอีกเลย

             จนได้ไปเจอน้องหนึ่งโดยบังเอิญที่ห้างสรรพสินค้านั่นแหละ เลยปิ๊งไอเดียจะขอยืมควงเพื่อบอกใครต่อใครว่ามีตัวจริงแล้วนะ เผื่อเรื่องต่างๆมันจะจบง่ายขึ้น ผมกับเคมีคงจะกลับมามองหน้ากันได้อีกครั้ง แต่เปล่าเลย เรื่องเหมือนจะยุ่งไปกว่าเดิมเมื่อไอ้ดาราหน้าหล่อดันมาเห็นตอนที่พวกเราจูบกัน

             ผมไม่ใช่คนโง่ที่จะดูไม่ออกว่าน้องหนึ่งชอบใคร คำตอบมันไม่ใช่ผมแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่หาข้ออ้างเพื่อไปส่งคนที่พูดจาหาเรื่องได้ตลอดหรอก ในใจผมก็ยังอ่อนแอกับปัญหาตัวเองจนคิดไม่ตก มองแผ่นหลังของทั้งคู่เดินกลับที่โรงแรมอย่างว่างเปล่า ไม่ได้รู้สึกเหมือนโดนอกหักแม้แต่น้อย ... เหมือนตัวเองเป็นคนเลวที่หลอกใช้คนอื่นยังไงไม่รู้

“ไงมึง จ๋อยเลยสิ” ไอ้ปิ๊ง เพื่อนสนิทเข้ามาแตะไหล่ คงเห็นผมกระดกเหล้าอยู่เงียบๆในงานบายเนียร์คนเดียวอยู่นานสองนาน

“จ๋อยอะไรของมึง” ผมปากแข็ง

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่อง คนเขาเห็นทั้งงานว่าคู่ควงมึงน่ะลากเดือนมหา’ลัยขึ้นรถไปแล้ว”

“แล้วไง”

“มึงไม่รู้สึกอะไรเลยว่างั้น สองคนนั่นท่าทางจะสนิทกันน่าดูเลย เฟรชชี่ไนท์ก็เป็นข่าวใหญ่” น่าจะเรื่องที่ทั้งสองคนล้มแล้วจูบกัน

“กูจะต้องรู้สึกยังไงวะ” ผมยกแก้วซดน้ำเมาอึกใหญ่ มือบางรั้งไว้จนต้องลดระดับแขนลง

“มึงจะบอกว่าที่ยัดๆๆๆอยู่เนี่ยไม่ใช่เพราะโกรธ งอน น้อยใจ หรือเสียใจที่น้องหนึ่งไปกับคนนั้น” ปิ๊งถามเสียงสูง

“อืม” ผมตอบไปตรงๆ รู้ดีว่าถ้าโกหกมันก็ต้องจับได้อยู่ดี ไม่ช้าหรือเร็ว

“แล้วทำไมมึงถึงซังกะตายแบบนี้วะ” ท่าทางเป็นห่วงแบบจริงใจของมันทำให้ผมชั่งใจ

“กู...” ใบหน้าหล่อเหลาของเดือนคณะเมื่อปีที่แล้วตอนที่ร้องครวญครางใต้ร่างฉายซ้ำมาในหัว

“มึงเล่าให้กูฟังได้ทุกเรื่องนะ มึงรู้ใช่มั้ย” ผมพยักหน้า กว่าเราจะรู้ว่ารู้สึกชอบหรือรักใคร มันต้องเกิดเรื่องหนักหนาก่อนทุกทีสิน่า ... เพื่อนสาวฟังผมเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาอย่างตั้งอกตั้งใจ สองแขนเรียวกอดอก แววตาจริงจังนั้นชวนให้ผมผ่อนคลาย

“สรุปว่า มึงคิดจะหลอกจีบน้องหนึ่ง ควงเค้าเพื่อจะให้พี่ฟิสิกส์สบายใจ”

“ทำนองนั้น”

“โหย พ่อพระ มึงจะเอาใจพี่เค้าทำไม” อ้าว...กูเอาใจแฟนมึงก็ไม่ได้

“...”

“คนที่มึงควรจะเอาใจน่ะ คือตัวมึงเอง ถามใจมึงเองว่ารักใครชอบใคร” ต้องถามอีกเหรอวะ กูซึมขนาดนี้ล่ะนะ

“มึงก็รู้ว่าพี่...”

“อย่าเอาพี่ฟิสิกส์มาอ้าง เค้าไม่อยากให้มึงไปยุ่งกับน้องเค้ามันก็เรื่องของเค้า แต่มึงเคยคุยกับเคมีรึยังล่ะ ว่าเห็นด้วยกับพี่ชายตัวเองรึเปล่า”

“เอ่อ...” ผมฉุกคิด ทั้งหมดทั้งมวลมีแค่ใบหน้าบึ้งตึงจากไอ้เคมีเท่านั้น คำพูดห้ามและกีดกันมาจากปากอีกคนนี่นา

“มึงนี่ได้เกียรตินิยมจริงๆเหรอวะ ถึงได้โง่ขนาดนี้”

“นี่ไอ้ปิ๊ง นี่เพื่อนเอง เพื่อนมึงไง”

“เออ ก็เพราะเห็นมึงเป็นเพื่อนนี่แหละกูถึงพูด” ไอ้ปิ๊งท่าทางจะเดือดจัด มือเรียวคว้าแก้วน้ำเมาในมือผมไปกระดกเรียบ ผมได้แต่มองมันอย่างอึ้งๆ เพราะไม่คิดว่ามันจะฉลาดได้แบบนี้

“ไม่ต้องมอง กูรู้กูสวยและฉลาด” นี่มึงอ่านใจกูได้ด้วยเหรอวะ

“กูต้องทำยังไงวะ” ผมยังคิดไม่ตก จะเริ่มต้นยังไง จะต้องคุยยังไง เกิดมาไม่เคยต้องตามง้อใครสักที

“ใช้สมองสิ อย่าใช้แต่ไอ้นั่นแก้ปัญหา” มันชี้ที่เป้ากางเกง

“ใช้ซิปแก้ปัญหาเหรอ ยังไงวะ” อันนี้ผมตั้งใจกวนมันครับ

“ซิปพ่อง” มันด่า พลางชูนิ้วกลางมาให้ “มึงก็แค่ ทำตามหัวใจของมึงสิ กล้าทำกล้ารับ พูดไปเลยว่ามึงคิดยังไง”

“กับผัวมึงน่ะนะ”

“ไอ้เจด นี่กูซีเรียสนะ” ไอ้ปิ๊งมันแหว ผมได้แต่ขำ อย่างน้อยก็อารมณ์ดีขึ้นมาเปราะหนึ่งล่ะ



[ขวัญจิรา]

             คุณแม่ของโทหายป่วยแล้ว แต่ต้องติดตามอาการเป็นระยะ ช่วงแรกโทต้องไปกลับระหว่างบ้านและมหา’ลัยจนเราต้องห่างไปพักใหญ่ พอคุณแม่อาการดีขึ้นก็กลับมานอนคอนโด เลยไม่ต้องไปๆกลับๆเพราะพี่ชายโทจ้างคนมาช่วยดูแลแล้ว

“ขวัญ แม่บอกว่าอยากเจอน่ะ” สิ่งหนึ่งที่โทเปลี่ยนไม่ได้จริงๆคือความทื่อและซื่อนี่แหละ จะพูดอะไรก็เป็นขวานผ่าซากเลย

“ห๊ะ วันไหน” เราตกใจเสียงดัง ดีนะที่นั่งทำรายงานที่ม้านั่งใต้คณะ ถ้าอยู่ในห้องสมุดคงโดนเอ็ดไปแล้ว

“พรุ่งนี้” น้ำเสียงตอบเรียบๆ แต่จิตใจเราสงบไม่ได้เลยตอนนี้

“ห๊า” เอาล่ะค่ะ ดิฉันคงจะใจเย็นไม่ไหวแล้ว คือๆๆๆๆ ไม่ใช่ครั้งแรกนะคะที่เจอกับคุณแม่ของโท แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เจอนอกโรงพยาบาลไง แล้วยังไงดีล่ะ ยังไม่ได้เตรียมตัวเลย ผมยังไม่ได้ตัด รอยแตกปลายยับเยินไปหมด ไหนจะคิ้วที่ไม่ได้กันมาเป็นเดือนอีก แล้วช่วงนี้เป็นเมนส์กินเยอะ นั่งทีพุงย้วยไปหมด จะทำไงดี จะทำไงดี เล็บอีก ที่ไปทำมาสีลอกหมด หึ้ยยยยย!

“อย่าคิดมาก แม่เราเป็นคนสบายๆ ขวัญก็รู้”

“...” นิ่วหน้าตาขวางใส่เลยค่ะ ต่อให้สบายๆแค่ไหนเราก็ต้องสวยก่อนไหม ความประทับใจแรกน่ะสำคัญมากนะคะ

RRRRRRRRRRRRR…

   ยังไม่ทันตอบอะไรเลย สายเข้าซะก่อน โท...ชายผู้สอยดาวคณะนั่งข้างๆจดจ่อกับรายงานที่ต้องทำเพื่อนำเสนออาทิตย์หน้า ตงฉินและหนึ่งนั่งตรงข้าม ฉัตรกับคิ้วเป็นแผนกตุนเสบียงตอนนี้ยังไม่กลับเข้ามา เราคุยสายจบ ทั้งโต๊ะยังไม่มีใครสนใจเลยว่าคุยสายกับใครคุยอะไรมัวแต่นั่งหน้าเครียดเพราะวิชานี้โหดหิน ใครพรีเซ้นต์ไม่ดีอาจารย์กดคะแนนต่ำกว่ามีนอีก

“โท” เราสะกิดเรียกคุณแฟนที่หน้าตายอยู่ข้างๆ ทิ้งระเบิดใส่แล้วนิ่งเลยนะ

“จ๋า” สายตาไม่หวาน แต่ปากหวานพอทนได้

“คือ เมื่อกี๊ป๊าเราโทรมาน่ะ”

“อ่อ” ปากตอบรับนะ แต่สายตาไม่ได้มองมาทางนี้เลย แม่อยากจิ้มตาแตก

“ไม่อยากรู้เหรอว่าป๊าโทรมาทำไม”

“อื้อ อยากดิ” ช่วยทำหน้าสนใจเหมือนคำพูดหน่อยได้มั้ย แต่ช่างเถอะ คิดมากไม่ดี คืนนี้ต้องไปทำสวยเพื่อเจอคุณแม่โทก่อนแล้วค่อยคิดบัญชีกับพ่อตัวดีนี้ทีเดียว

“ป๊าบอกว่าวันมะรืนป๊าจะพาม้าไปทานข้าวนอกบ้าน” เรามองมนุษย์แฟนที่ขยับเม้าส์ไปมาเพื่อแก้ไขงาน “ป๊าบอกให้ชวนโทด้วยนะ”

“ห๊ะ อะไรนะ” นี่แหละ ใบหน้าของขวัญจิราเมื่อกี้นี้ โทตกใจตาตื่น เหงื่อผุดไปทั่วหน้าอย่างครุ่นคิด คงรู้แล้วสินะว่านัดเราไปเจอพ่อแม่ในเวลากระชั้นชิดนะเป็นยังไง

“ตามนี้เลย ป๊ากำชับว่าโทต้องมานะ .. โทรู้ใช่มั้ยว่าป๊าไม่ชอบคนขัดใจ” เราส่งยิ้มหวาน ดีจังเลยที่ป๊าช่วยหนูแก้เผ็ดพ่อตัวดี ฮิฮิ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 22 P.4 Up 26 ธ.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-12-2020 21:36:31
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 22 P.4 Up 26 ธ.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 27-12-2020 00:33:19
แล้วพี่เจดจะทำยังงัย น้องหนึ่งดันมีคนที่ชอบซะแล้ว
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 23 P.4 Up 30 ธ.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 30-12-2020 17:33:32
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.


ตอนที่ 23. ไม่ชัดเจน

             ผมเองครับ ตงฉิน หลังจากที่พลาดท่ากับรูมเมตคนเดิมอีกรอบผมก็เริ่มตีตัวออกห่าง คงเพราะช่วงนี้ใกล้ถึงวันเกิดตัวเองแล้ว ทางบ้านอยากให้จัดงานเลี้ยงให้ทั้งที่ไม่เคยถามเลยว่าผมอยากให้จัดไหม แต่จะไปขัดพ่อกับแม่ก็ทำได้ยาก รายนั้นต้องการจัดงานอะไรสักอย่างเพื่ออวดลูกหรือไม่ก็ฐานะทางสังคมของตัวเองก็เท่านั้น ช่วงนี้ผมต้องเรียน ซ้อมหลีด มีงานถ่ายแบบประปราย และต้องอ่านบทซีรี่ย์วายที่ทางพี่สุชาติได้ยัดเยียดมาให้แต่ปากบอกว่าพี่ขอร้องเราให้แสดงเรื่องนี้หน่อยนะ... ผู้ใหญ่แม่งกลับกลอก

             พองานรัดตัว ผมเลยต้องขอลาออกจากการเป็นเชียร์ลีดเดอร์ หลายต่อหลายครั้งที่โดนเบียดเบียนเวลาซ้อมเพื่อไปทำหน้าที่เดือนมหา’ลัยออกงานต่างๆที่ทางกองกิจการนักศึกษาจัดแจงให้ ทั้งงานเลี้ยงอำลาอาจารย์คณะโน้นคณะนี้ ไหนจะงานเดินขบวน ถือป้ายและอื่นสารพัด พี่ๆต่างเข้าใจและยอมให้ผมลาออกอย่างว่าง่าย ผมล่ะโล่งใจเหมือนยกภาระออกจากบ่าตัวเองหนึ่งเปราะ

“เห้ยไอ้ตง นี่มึงจริงเหรอวะ” ผมถูกสะกิดถามแผ่วเบาในชั่วโมงเรียนจากไอ้คิ้วเพื่อนในกลุ่มที่ถูกจิ้มให้ไปซ้อมเชียร์ลีดเดอร์แทน มันโชว์รูปที่ผมถึงบางอ้อทันที่ที่จ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือ

“เออ กูเอง”

“ฉิบหาย มึงแม่งเจ๋งว่ะ” มันชม ตอนนี้เพื่อนคนอื่นๆไม่ได้สนใจบทสนทนาของเราเพราะตั้งใจเรียนกันหมด วันนี้นั่งเรียนที่อาคารเรียนรวมเป็นแบบห้องสโลปขนาดใหญ่จุคนได้หลายร้อย ผมนั่งขวาสุดของแถวที่เกือบจะไกลสายตาอาจารย์ติดกับไอ้คิ้ว ที่เหลือต่างก็นั่งเรียงกันไปแถบ ผมไม่ได้สนใจเรื่องที่เพื่อนมันถามเท่าไหร่ เพราะรู้ดีว่ามันเป็นงาน

“มึงโคตรใจกล้า เป็นกูนะไม่ยอมถ่ายหรอก” มันเลื่อนหน้าจอไปดูรูปอื่นๆอีกจนผมต้องบอกให้มันหยุด รู้สึกแปลกๆที่เพื่อนสนิทมานั่งดูรูปตัวเองในชุดว่ายน้ำ

“ก็ของมึงเล็กไง” ผมแซวกลับ ... ใช่ครับ ผมอยากประท้วงพี่สุชาติที่ยัดเยียดบทบาทเกย์ให้เลยไปรับงานถ่ายแบบชุดว่ายน้ำ ทีแรกก็กะแค่เอาสนุก แต่ไม่คิดว่าจะได้รับกระแสตอบรับในแง่บวกมากกว่าจากแฟนคลับ ถึงขั้นตั้งชมรมคนรักตงฉินแถมยังพากันลงรูปเซ็กซี่นั้นให้ทั่ว จากที่คิดว่าทีมงานซีรี่ย์คงจะถอนชื่อผมออกเพราะมีภาพแนวนี้ แต่กลายเป็นว่าได้รับบทพระเอกเลยโดยไม่ต้องไปแคสติ้ง ... ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือคิดถูก

“เล็กพ่อง ของกูไม่โชว์ใครพร่ำเพรื่อโว้ย เอาไว้ให้แฟนดูก็พอ”

“แฟนเด็กของมึงน่ะนะ ระวังติดคุก” ผมแซว เพราะแฟนของไอ้คิ้วยังเด็กจริงๆ

“คุกพ่อง” มันด่าก่อนจะสะกิดไอ้ฉัตรที่นั่งข้างมันให้ดูรูป ก่อนจะกระซิบแซวผมหนักข้อ แต่เสียงกริ่งหมดเวลาเรียนดังขึ้นเลยไม่ได้ส่งรูปต่อให้คนอื่น

             เสียงเซ็งแซ่ของเหล่านักศึกษาชั้นปี 1 หลายคณะดังขึ้นทันทีหลังจากอาจารย์ออกจากห้องเรียนไป ผมบิดขี้เกียจเพื่อจะลุกไปหามุมเงียบๆทำรายงานที่ค้างไว้ แต่ถูกกลุ่มเพื่อนร่วมคลาสที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงมาขอถ่ายรูป หลายคนให้กำลังใจเรื่องซีรี่ย์ที่ยังไม่มีกำหนดเปิดกล้อง ผมล่ะทึ่งในความสามารถในการขุดค้นเรื่องไม่เป็นเรื่องของพวกเธออย่างมาก ถ้าเอาเวลาที่ตามดาราไปตั้งใจเรียน เราคงเห็นนักศึกษาได้เกียรตินิยมกันมากกว่านี้เป็นแน่

“พวกกูไปก่อนนะ” พอปลีกตัวจากแฟนคลับได้เพื่อนที่รออยู่ก็ลากไปกินข้าวที่โรงอาหารก่อนจะแยกย้ายในช่วงบ่าย ผมไม่มีเรียนแล้ววันนี้ แต่ภาคอื่นยังพอมีเลยต้องรีบไป เหลือแต่รูมเมต 2 คนและขวัญใจคนสวยที่กำลังละเลียดมื้อเที่ยง

“เออ เจอกันพรุ่งนี้” ผมโบกมือให้อย่างไม่สนใจ และหันไปถามสองพี่น้องหนึ่งโท “มึงจะกลับพร้อมกูมั้ย”

“ไม่ว่ะ กูไปดูหนังกับขวัญ” ไอ้โทตอบ หลังจากเพื่อนสนิทผมรับรัก สองคนนี้ก็ตัวติดกันหนึบ ปล่อยให้อีกคนนั่งเงียบ

“มึงล่ะ” ผมถามแต่ไม่ได้สบตา ยอมรับว่ายังคิดถึงเรื่องบนเตียงที่สุดยอดนั้นอยู่ ไอ้หนึ่งไม่ได้ตอบทันทีเพราะมัวแต่เล่นเกมจนไอ้โทสะกิดเลยเงยหน้ามาสบตากัน แววตาวิบวับของมันทำให้ผมไปไม่เป็น จะต้องทำหน้ายังไงดีวะเพราะสลัดภาพที่มันบุกเร้าเข้ามาในตัวไม่หลุดซะที

“อะ อะไรนะ”

“กูถามว่าจะกลับคอนโดด้วยกันมั้ย” ผมยืนขึ้นสักพักก็เริ่มเมื่อย มองคนตัวเล็กด้วยใบหน้าเฉยชา

“ไม่ว่ะ กูต้องไปทำงาน” ไอ้หนึ่งตอบ หน้าผมเกิดเครื่องหมายคำถามแหละ

“อ้าว นึกว่ามึงรู้ ไอ้หนึ่งมันทำงานพิเศษที่คาเฟ่หลังมอน่ะ มึงลองไปนั่งดูมั้ย เผื่อชอบ ร้านสวยดี” ไอ้โทเป็นคนอธิบาย

“ใช่ๆ เราก็เคยไปนั่งกับโท เค้กอร่อยมากเลยนะ” ขวัญใจเสริมทัพ ก่อนจะตักข้าวเข้าปาก รายนี้กินช้ากว่าใครเป็นปกติ

“อ่อ ไว้ว่างๆจะลองดู”

“มึงก็ไปตอนนี้เลยสิ ว่างไม่ใช่เหรอวะ” อะ...ไอ้โท มึง

“ก็ดีนะ จะได้ไปส่งหนึ่งด้วย วันนี้ไม่ได้เอามอเตอร์ไซค์มาพอดีนี่” รถไอ้หนึ่งเสียตั้งแต่ครั้งนั้นยังไม่ได้เอาไปซ่อม หลังๆเลยติดรถขวัญใจมาเรียนเพราะตารางเรียนภาคผมกับการตลาดไม่ตรงกันเสียส่วนมาก

“ไม่เป็นไร กูไปเองได้” ไอ้หนึ่งบอกปัด

“เอาน่าหนึ่ง ตงฉินว่างพอดีใช่มั้ยคะตง” ใจผมนี่อยากจะบีบคอขวัญใจคนสวยให้สลบจริงๆ

“อื้อ ไปดิว่างพอดี” ผมลุกไม่ต้องรอให้อีกคนต่อรองหรือบอกปฏิเสธ ไม่นานเสียงฝีเท้าก็เดินไล่หลังจนถึงรถ เรานั่งเงียบกันเกือบสุดทาง ความรู้สึกกระอักกระอ่วนนี้ช่วยอึดอัด

“มึงจอดตรงนี้ให้กูก็ได้นะ” อยู่ๆคนที่มาด้วยก็ทำลายความเงียบ ผมมองทาง ยังไม่ถึงกลางมหา’ลัยเลย แถวนี้ไม่ได้มีสถานีรถรางด้วย ถ้าจะเดินไปก็ไกลไม่หยอก

“ทำไมวะ” ผมลองหยั่งเชิงถามหาเหตุผล ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ

“ก็หน้ามึง” ผมมองกระจกหลังอย่างเร็วหลังได้ยินคำตอบ อยากรู้จังว่าหน้าตอนนี้เป็นยังไง

“หน้ากูทำไมวะ” เมื่อไม่เห็นอะไรผิดปกติก็เลยถามไป

“ก็หน้ามึง...อึดอัด” มันตอบ เสียงเบาคล้ายไม่มั่นใจ ผมได้แต่เงียบทำไมกลายเป็นคนเก็บความรู้สึกไม่เก่งไปซะได้

“คิดมาก” ตอบแบบพยายามบ่ายเบี่ยง ไอ้หนึ่งมองซีกหน้าผมก่อนละสายตาไป เราสองคนต่างนิ่งเงียบสุดทาง

“ขอบใจมากนะที่มาส่ง” มันปลดล็อกเข็มขัดนิรภัย คาเฟ่น่ารักที่เพิ่งเปิดใหม่หลังมหา’ลัยมีคนไม่เยอะ ที่นั่งยังเหลือเพียบเพราะเป็นช่วงกลางวันที่นักศึกษายังเข้าเรียนอยู่

“มึงไม่มีเรียนช่วงบ่ายเหรอวะ” ผมถาม เหมือนหาเรื่องคุยมากกว่า เพราะโทบอกแล้วว่าว่าง

“ไม่มี” มันตอบสั้นๆ ผมเลยอ้าปากค้าง ไม่รู้จะคุยอะไรต่อ

“กะ กาแฟร้านนี้อร่อยมั้ย” อยากตบปากตัวเอง ทำไมต้องหาเรื่องคุยต่ออีกวะเนี่ย

“ไอ้ตง”

“หืม” ผมหันไปสบตาเคร่งขรึมของมัน ทำไมต้องทำหน้าจริงจังด้วยวะ

“ถ้ามึงอึดอัดเรื่องของเรา กูขอโทษนะ คือกูผิดเองที่ไม่ห้ามตัวเองทั้งที่รู้ว่ามึงไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้” มันเริ่มรายยาว ผมอึกอักเพราะไม่รู้จะต้องตอบยังไงดี เลยปล่อยให้มันพูดต่อ

“ถ้ามึงลำบากใจ กูย้ายออกก็ได้นะ ตอนนี้กูเริ่มทำงานพิเศษแล้วคงพอหาที่อยู่ใหม่ได้”

“มึง...”

“กูไม่อยากให้มึงเป็นแบบนี้ ไม่ชอบเลยที่มึงทำท่าเหมือนจะหลบหน้ากู ตอนอยู่ห้องมึงก็ไม่เคยออกมาสุงสิงกับพวกกู”

“เอ่อ...”

“กูเลยออกมาทำงาน ถ้ากูเก็บเงินได้อีกหน่อย กูย้ายออกเอง มึงจะได้ไม่ต้องลำบากใจ” มันพูดจบก็เปิดประตูรถออกไปโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดอะไรเลย ร่างเล็กเดินหายไปทางหลังร้านผมก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ทำไมมันรู้สึกเหมือนโดนทิ้งแบบงงๆก็ไม่รู้ ความแปลบปลาบในอกมันหมายความว่าอะไรกัน ผมชอบมันเหรอ...ก็ไม่ใช่ แต่ทำไมต้องเก็บคำพูดของมันมาคิดมากด้วยวะ

             ผมมองร่างของไอ้หนึ่งวิ่งไปมาในร้านอยู่สักพัก มันดูมีความสุขที่ได้เช็ดโต๊ะ กวาดร้านหรือเสิร์ฟเค้กด้วยรอยยิ้ม ไม่เหมือนใบหน้าบึ้งตึงตอนที่อยู่กับด้วยกัน เรื่องระหว่างเรามันก็ไม่ใช่ความผิดของมันฝ่ายเดียว ผมก็มีส่วนเพราะไม่ปฏิเสธให้เด็ดขาด คงเป็นเพราะฮอร์โมนด้วยแหละ พอถูกสะกิดมันก็เลยต้องตอบสนอง ไม่ใช่พระอิฐพระปูนหรือนางเอกในละครที่ต้องมารักนวลสงวนตัวรอวันแต่งงานเข้าหอหรอกนะ ที่ผ่านมาผมก็ผ่านประสบการณ์มาไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงไง กับผู้ชายน่ะ ... ละไว้ในฐานที่ไม่เข้าใจก็แล้วกัน

“ถอนหายใจอะไรขนาดนี้วะ” พี่ชายคนโตของผมทัก เมื่อไม่รู้จะทำอะไรก็ขับรถวนไปวนมา ขึ้นทางด่วนมาตั้งแต่ตอนไหนยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ อ่านป้ายอีกทีก็เกือบสุดทางซะละ ในเมื่อมันใกล้บริษัทของพ่อก็ถือโอกาสแวะเวียนมาเยี่ยมหน่อยละกัน

“เปล่า” ผมนั่งทำรายงานที่โต๊ะว่างตรงข้ามโต๊ะทำงานของคุณ ต่อพงษ์ พี่ชายแท้ๆ

“หึ หน้าตายังกะคนอกหัก” พี่มันทักครับ ผมยกยิ้ม รู้สึกหมั่นไส้คนมีความรักและทำเป็นรู้ดี

“ใครจะหน้าแป้นแล้นแบบพี่ล่ะครับ แหม่...” ได้ผล พี่ต่อหน้าแดง มีไม่กี่ครั้งที่จะได้เห็นมุมละมุนละไมของพี่ชายตัวเองแบบนี้ อานุภาพของความรักนี่รุนแรงจังแฮะ “ถึงไหนกันละ”

“ยุ่ง” นั่นไง ดีนะไม่ว่าผมเสือก... ผมเซฟงานและปิดโน้ตบุ๊ก

“เบื่อคนมีความรัก กลับละ”

“หืม มาแค่เนี้ย ถ่อมาตั้งไกลอะนะ”

“แล้วให้ผมทำอะไรล่ะ ให้ทำงานแทนพี่เลยมั้ย เอ๊ะ หรือว่าไปแอ๊วพี่เอกดีนะ” ผมแกล้งแซวไปงั้นแหละ เพราะรู้ดีว่าพี่เอกภพ คนขับรถส่วนตัวพี่ต่อไม่เล่นด้วยหรอก แต่พี่ต่อท่าทางฟึดฟัดเลยอยากแกล้ง เรื่องที่คิดมากในหัวจะได้ผ่อนคลายลงไปบ้าง

“มึงกลับไปเลย ไปๆ”

“แน่ะ ไล่ ... นี่น้องนะ น้องพี่” เอาจริงๆผมยังไม่ได้พี่เอกตัวเป็นๆเลย เห็นแต่ในรูปที่ไอ้โทให้ดู แต่รู้เรื่องพี่เอกละเอียดมากกว่าเจ้าตัวอีกเพราะพี่ชายตัวดีนี่แหละที่ขอร้องแกมบังคับให้ผมช่วยสืบ

“น้องกูก็ไม่เว้นถ้ามาตอแยพี่เอกของกู” ขึ้นมึงกูเลยเชียว ผมอมยิ้มอย่างอารมณ์ดีและเดินออกจากห้องทำงานผู้บริหาร วันนี้พี่ต่อขับรถมาทำงานเอง ไม่รู้ว่าทำไมถึงยอมให้พี่เอกลางานได้ แต่การที่พี่ต่อพยายามให้ผมสืบเรื่องพี่เอกกับไอ้หนึ่งไอ้โทก็พอจะรู้ว่ารายนี้หลงรักคนขับรถส่วนตัวไปแล้วแน่ๆ แถมยังขี้หวงอีกต่างหาก ... ขี้งก!

“เออพี่ อย่าลืมงานวันเกิดผมนะ แม่บอกแล้วใช่ปะ” ผมเปิดประตูกลับมาบอกคนตัวโตที่นั่งทำงานหน้ายุ่ง

“เออว่ะ เกือบลืม เดี๋ยวกูไป”

“ให้มันได้อย่างนี้สิน่าพี่กู” ผมสวนกลับ ปิดประตูปังใหญ่ก่อนเดินไปที่รถ

             ต้องทำหน้ายังไงดีนะ ถ้าต้องเจอรูมเมตคืนนี้...

#### ####

[เอกราช]

             ผมง่วนอยู่กับการเก็บกวาดร้านหลังลูกค้าคนสุดท้ายลุกออกไป คาเฟ่น่ารักชื่อโมเอะตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่น มีรูปตัวการ์ตูน ตุ๊กตาแนวคิกขุตกแต่งเกือบทั้งร้าน เจ้าของร้านชื่อพี่นิตยา รายนั้นชอบการ์ตูนญี่ปุ่น เปิดร้านนี้เพื่อสนองความต้องการของตัวเองล้วนๆ ทั้งที่ทำเลก็ไม่ค่อยดี คนผ่านไปมาแทบไม่รู้จัก ลูกค้าที่เข้าร้านก็น้อยดูแล้วไม่น่าจะทำรายได้เป็นกอบเป็นกำแต่ก็ยังใจดีจ้างลูกน้องตั้งชั่วโมงละ 35 บาท ถ้าวันไหนผมทำตั้งแต่บ่ายโมงถึงเวลาสามทุ่มแบบนี้ ก็ได้วันละ 280 บาท ทำสักเดือนละ 20 วันก็พอมีเงินหลายพัน แต่มันก็ไม่ใช่ทุกวันที่จะได้ทำครบ 8 ชั่วโมงนะ วันไหนที่ต้องมาเปิดร้านแต่เช้า ก็อาจจะได้ทำแค่ไม่กี่ชั่วโมงเนื่องจากต้องไปเรียน ส่วนเสาร์อาทิตย์คนบางตาเพราะนักศึกษาที่เป็นลูกค้าหลักกลับบ้านหรือไม่ก็ไปเดินห้าง พี่นิตยาก็มาดูเอง นานๆครั้งถึงจะโทรขอให้ลูกน้องมาช่วยเหลือ 

“ผมกลับก่อนนะครับพี่นิด” เจ้าของร้านแวะมานับเงินตามปกติ ผมถอดผ้ากันเปื้อนและบอกลาเจ้านายอย่างร่าเริง

“จ้า ขอบใจมากนะวันนี้ เหนื่อยแย่เลย”

“สบายมากครับ” ผมตอบความจริง ยกมือไหว้ขอบคุณกับเค้กสองชิ้นในกล่องกระดาษ พี่นิตยาชอบหยิบยื่นให้เป็นประจำอยู่แล้ว แกไม่ชอบให้ขายเค้กที่มันค้างคืน ทั้งที่รสชาติมันไม่เปลี่ยนเลยถ้าอยู่ในตู้แช่

“อ้อ นี่ทิปนะ พี่แบ่งส่วนเราไว้ละ” ผมรับเงินในซองขาว มันหนักเพราะมีเหรียญอยู่เยอะ ในร้านมีพนักงาน 3 คน รวมเจ้าของก็ 4 เรามีกล่องทิปรวมหน้าโต๊ะแคชเชียร์ จะแบ่งกันตอนกลางเดือนและสิ้นเดือนเหมือนเป็นเงินพิเศษ กระตุ้นให้มีกำลังใจทำงาน

“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ ก่อนคว้าเป้ใบเก่าออกทางหลังร้าน ถ้าทำงานที่นี่ต่ออีก 2 เดือน ผมก็จะมีเงินเก็บหมื่นกว่าบาท น่าจะพอสำหรับการออกไปหาหอพักแถวมหา’ลัยได้ อาจจะชวนไอ้โทไปอยู่ด้วย เพราะยังไงก็ญาติกัน ถึงจะติดแฟนแต่มันก็คงไม่ทิ้งผมหรอก จ่ายค่ามัดจำคนละครึ่ง ยังพอมีเงินเหลือใช้ ถ้าทำงานไปเรื่อยๆก็ไม่ลำบากอะไร

             ครอบครัวผมไม่ใช่คนมีฐานะร่ำรวยอะไร แต่ก็ไม่ได้ขัดสน ด้วยความที่แม่มีลูกหลายคน ภาระเลยยังมีเยอะ พ่อของผมทำงานหนัก เราไม่ค่อยได้เจอกันเลยจนหลายคนคิดว่าพ่อทิ้งเราไปแล้ว แต่เงินที่ส่งมาทุกเดือนก็ทำให้รู้ว่าพ่อยังคิดถึงเรา ผมไม่รู้ว่าพ่อไปทำงานที่ไหน ถามแม่ก็ไม่รู้เรื่องบอกแค่ว่างานพ่อน่ะอยู่ไกลละแวกนั้นก็ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถืออีกต่างหาก ผมละไม่เข้าใจเลยว่า ทุกวันนี้พ่อทำงานอะไร...หรือจะเป็นมือปืนรับจ้าง... ก็ไม่น่านะ พ่อไม่ใช่คนตัวสูงล่ำ ความเตี้ยส่งผ่านมาถึงผมเนี่ยก็มาจากพ่อและแม่นั่นแหละ

RRRRRRRRRRRRRRR

“ว่า” ผมรับสายน้องชายที่มักจะต่อสายมาคุยด้วยแทบทุกวัน

[แม่จะคุยด้วย]

“ครับแม่”

[เออ หนึ่ง พ่อกลับบ้านนะ จะแวะมามั้ย]

“จริงเหรอแม่ แล้วพ่อจะอยู่นานมั้ยรอบนี้”

[นานมั้ง แม่ไม่แน่ใจ ไว้มาถามเอาเองนะ] เห็นมั้ยว่าแม่คือคนที่ไม่สนใจผัวที่แท้จริง

“ครับๆ งั้นผมกลับบ้านศุกร์นี้นะ” เราคุยกันอีกสองสามนาทีก่อนวางสาย ผมยิ้มอย่างดีใจ ไม่ได้คุยกับพ่อหลายเดือนแล้วเหมือนกันนะเนี่ย

             ห้องเงียบกริบเช่นเคย ผมเอื้อมไปเปิดสวิตช์ไฟก่อนมองความรกรุงรังอย่างเหนื่อยหน่าย จะสี่ทุ่มแล้ว ไอ้โทคงขลุกอยู่กับแฟน กว่าจะกลับมาก็เกือบเที่ยงคืน ตอนเช้าก็ตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า ไม่รู้ว่ามันทำได้ไง หรือว่ามันมีพลังพิเศษ ไม่เหนื่อย แรงเยอะ แบบนี้เหรอ... ส่วนเจ้าของห้อง น่าจะไปท่องราตรีตามเคย คนรวยนี่ดีจัง เรียน เที่ยว แถมหาเงินง่ายอีกเพราะหน้าตาดี

ติ๊ง!

             เสียงไลน์ดังเตือนมาทันทีที่ผมเปิดเสียงมือถือ ส่วนใหญ่จะปิดเสียงรบกวนไว้ตั้งแต่เข้าห้องเรียน ยิ่งช่วงทำงานผมไม่ได้จับมาเล่นเลย จนบางทีก็ลืมเปิดเสียงไปหลายวัน ยังดีหน่อยที่เก็บไว้ใกล้ตัว ใครโทรเข้ามาก็รู้ได้เพราะระบบสั่น แสงฟ้าสว่างในห้องมืด ผมอาบน้ำแต่งตัวเตรียมสลบ กะจะใช้เวลาไม่นานสำรวจโลกภายนอกเสียหน่อย

... พี่เจดส่งข้อความมาตั้งแต่เช้า ผมก็ไม่ได้เปิดอ่าน หลังจากพาไปเปิดตัวที่งานบายเนียร์ เราก็เหมือนจะคลาดกันซะเฉยๆ คงเพราะผมเรียนและทำงานไปด้วย พี่เจดก็คงจะยุ่งกับโปรเจ็กที่ต้องรีบทำให้เสร็จ เวลาเลยไม่ตรงกัน มากสุดก็แค่วีดีโอคอลกันแป๊บๆ มันเลยยิ่งทำให้ผมสับสนว่าระหว่างเรามันคืออะไร ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นมันหมายความว่ายังไง จูบในคืนนั้นคืออะไรก็ไม่รู้ หรือเพราะเราทั้งคู่ต่างก็เมา

... กลุ่มไลน์เพื่อนสนิทบอกตัวเลขแจ้งเตือน 999+ ผมไล่อ่านตั้งแต่ต้นก่อนสะดุดกับรูปที่ไอ้คิ้วส่งมาตอน 11.43 น. จับจ้องภาพนั้นด้วยอารมณ์หลากหลาย ภาพของตงฉิน คนที่ผมกกกอดกันครั้งก่อนในชุดว่ายน้ำสุดเซ็กซี่ กล้ามเนื้อแกร่งอวดโฉมอย่างยั่วยวน ผมหน้าแดงด้วยความเร่าร้อน เรือนร่างสวยงามนี้เคยบิดส่ายยามที่ผมครอบครองอย่างเต็มที่ ความโหยหาพลุ่งพล่านภาพหยาบโลนผุดในสมองอย่างเกินต้าน ความต้องการพวยพุ่งจนต้องเลื่อนมือไปเกาะกุมความแข็งขืนเบื้องล่าง สายตาจดจ่อกับเรือนร่างของเพื่อนสุดหล่อ มือใหญ่กำรูดแน่นเร็วแรงปล่อยลมหายใจหอบถี่ จินตนาการถึงเรือนร่างไร้ที่ตินั้นกำลังแดดิ้นใต้สัมผัสเร่งเร้าที่ผมส่งเข้าออก นึกถึงกลิ่นกายที่ชุ่มโชกด้วยเม็ดเหงื่อ เสียงครางหอบพร่ากระตุ้นความหื่นโหยจนต้องออกแรงเคลื่อนไหวดุดัน ผมเร่งจังหวะอย่างหนักหน่วง ลมหายใจแทบแห้งเหือด ความสุขสมทะยานก่อตัวไปมาอย่างสุดกู่ มันพุ่งทะยานเร็วรี่ก่อนตกกระทบกล้ามเนื้อที่นอนนิ่ง กลิ่นคาวลอยแตะจมูก ผมคว้ากระดาษชำระมาเช็ดอย่างลวกๆ

             พลันความรู้สึกก็เปลี่ยนเป็นโกรธขึ้ง ความหึงหวงเข้ามาแทนที่ ผมจับจ้องเรือนกายที่เคยครอบครองอย่างหวงแหน ไม่อยากให้ตงฉินเป็นของใคร อยากเก็บเอาไว้คนเดียว แต่มันก็คงเป็นได้แค่ความคิดที่เป็นไปไม่ได้ เราสองคนมาจากพื้นฐานครอบครัวที่ต่างกันมากเกินไป แค่ได้เชยชมชั่วครู่ชั่วยามมันก็คือกำไรชีวิตแล้ว จะให้คิดมากไปกว่านี้ก็ดูจะไม่เจียมตัว หมาวัดมันก็คือหมาวัด ต่อให้ใส่สูทผูกไทแต่งตัวหล่อเหลา ก็ไม่อาจลบล้างความจริงได้เลยว่า เราต่างกันเกินไป

“เชี่ย ไอ้หนึ่ง มึงชักว่าวเหรอวะ” ผมสะดุ้ง ไอ้โทเปิดประตูพรวด ดีนะที่เก็บของลับไว้แล้ว

“อะ ไอ้สัส เข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง” ผมอึกอัก จะอายก็ไม่ใช่ พวกเราสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เห็นอะไรจนเบื่อแล้ว

“มึงไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง ไอ้สัส เหม็นว่ะ” มันบ่น ทั้งที่เรื่องการช่วยตัวเองมันคือเรื่องปกติของวัยเราๆก็เถอะ แต่กลิ่นไม่พึงประสงมันไม่จางหายไปในอากาศแทบจะทันทีเสียหน่อย ผมมองเวลาเพิ่งผ่านไปแค่ 20 นาทีเท่านั้น ไม่ใช่เวลาปกติที่ญาติผมจะกลับมา

“ทำไมมึงกลับเร็ววะ”

“อ้าว กูกลับเร็วก็ว่า กลับช้าก็ถาม อะไรของมึง” มันกวน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชุดลำลองและออกไปที่ห้องรับแขก ผมลุกตามหลังผงะตัวสุดแรงเมื่อเห็นแขกที่ไม่คิดว่าจะมาเต็มห้อง

“อะ ไอ้คิ้ว ไอ้ฉัตร ขะ ขวัญใจ..” และอีกหลายคนที่อยู่ปี 1 ร่วมคณะ มาเป็นสิบ...

“อ้าวไอ้หนึ่ง ล้างตัวยังวะ” ไอ้เพื่อนตัวดีแซวมา แสดงว่าที่ไอ้โทมันด่าผมเสียงดังก็เพื่อ...

“ไอ้โท ไอ้สัส ไอ้พี่ทรพี” ผมด่ามันยับครับ หน้าแดงไปหมด ถ้ามีแค่เพื่อนผู้ชายผมคงไม่อายเท่านี้หรอก แต่นี่เพื่อนผู้หญิงมากันหลายคน แต่ละคนอมยิ้มกรุ้มกริ่มตอนสบตากันอีก ให้ตายสิ ... ทำไมจะต้องมากันวันนี้ด้วยวะ “มาให้กูเตะซะดีๆ”

“ใจเย็นๆ” ไอ้โทมันวิ่งหนีรอบห้อง ตะโกนห้ามไม่ให้ผมเตะก้นมัน แขนล่ำของผมล็อกคอมันไว้ เขกมะเหงกที่หัวมันไม่ยั้งให้สาสมกับที่มันแฉผมเมื่อกี้

“พอแล้วหนึ่ง เดี๋ยวโทฉี่รดที่นอนนะ”

“ใช่ๆ เดี๋ยวกลิ่นฉี่กูไปตีกับกลิ่นน้ำ...”

“ไอ้สัส พอ” ผมห้าม มองขวัญใจตาขวางที่ปกป้องแฟน พอรู้สึกตัวก็กวาดตามองเพื่อนๆที่มานั่งๆนอนๆที่ห้อง

หมดกัน... ชื่อเสียงที่สะสมมาดิบดี
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 23 P.4 Up 30 ธ.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 30-12-2020 19:24:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 23 P.4 Up 30 ธ.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าน้อย ที่ 31-12-2020 06:19:53
อยากอ่านตอนต่อไปมาก
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 23 P.4 Up 30 ธ.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 31-12-2020 13:58:51
อยากอ่านตอนต่อไปมาก

รอแป๊บนะครับ อีกไม่นาน อิอิ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 23 P.4 Up 30 ธ.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าน้อย ที่ 31-12-2020 21:50:41
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 23 P.4 Up 30 ธ.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 03-01-2021 07:00:06
อ้าวๆ ยังไงกันล่ะเนี่ย คือต่างคนต่างเริ่มมีใจแต่ยังไม่รู้ตัวว่างั้น  :hao4:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 23 P.4 Up 30 ธ.ค. 63
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 04-01-2021 00:28:30
ไอ่เตี้ย เสน่ห์แร๊ง
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 24 P.4 Up 4 ม.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 04-01-2021 14:47:29
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.


ตอนที่ 24. เข้าหา

             พอทำใจได้ก็แกล้งทำหน้าขรึม สายตาเพื่อนแต่ละคนยังไม่หยุดล้อ ต้องหาทางเปลี่ยนเรื่อง ไม่อย่างนั้นจะโดนแซวไม่เลิก ไอ้โทยังยิ้มเยาะเย้ย ผมทำปากขมุบขมิบบอกให้มันระวังตัวให้ดี ต้องหาทางเอาคืนมันให้ได้

“แล้วมาทำอะไรกันน่ะ เต็มห้องขนาดนี้” เกือบลืมถามไปเลย

“อ้าว มึงไม่ได้อ่านไลน์เหรอวะ” ไอ้ฉัตรถามกลับ ผมส่ายหัวเป็นคำตอบ อ่านแหละ แต่ยังอ่านไม่จบก็ทำอย่างอื่นก่อน

“ไม่อ่านไลน์แต่ทำอย่างอื่นได้นะ” เพื่อคนหนึ่งแซวมา ผมล่ะอายหน้าแดง แม่งพลาดจริงว่ะคืนนี้

“คืนนี้จะรู้คำตอบมั้ยเนี่ยว่ามากันทำไม” ผมเสียงแข็งถาม ต้องขึงขังใส่สินะ

“ก็คืนนี้เราจะไปเมากันไง” ไอ้คิ้วเฉลย “พวกกูนัดกันตั้งแต่บ่าย นัดรวมตัวที่ห้องมึงก่อนเนี่ย”

“ทำไมต้องห้องกูวะ” ผมถามเหมือนตัวเองเป็นเจ้าของห้อง ทั้งๆที่ตัวจริงยังไม่กลับ

“ก็ไอ้ตงมันบอกให้มาที่นี่ไง มันบอกว่าจะจัดพาร์ที่ที่ดาดฟ้าคอนโด”

“ห๊ะ มันทำได้เหรอวะ” ผมข้องใจ

“ไม่รู้ แต่มึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าไป จะห้าทุ่มแล้ว” เสียงใครสักคนนี่แหละไล่ ก่อนที่ผมจะเข้าห้องนอน มองคราบที่เปื้อนก่อนรีบเช็ด

             พอออกมาก็พบว่างานล่ม ฝนดันตกหนักจนเปียกชุ่ม มันเหมือนสวรรค์แกล้ง เพราะตกแค่ไม่นานก็หยุด แต่ก็จัดงานอะไรต่อไม่ได้ เพื่อนๆเลยบ่นกันใหญ่ ไอ้ตงที่มาเตรียมงานที่ดาดฟ้าเลยเสนอว่าให้ไปร้านเหล้าร้านเดิม ... ร้านที่ไอ้โทโดนยำครั้งนั้น ฝนฟ้าทำให้การเดินทางขลุกขลัก นี่วันธรรมดานะ แต่บรรดาวัยรุ่นทั้งหลายต่างพากันเห็นด้วย ไม่นานก็กรูกันไปจับจองที่นั่งในโซนดนตรีสดที่ค่อนข้างว่าง แอลกอฮอล์ราคาแพงถูกลำเลียงมาไม่ขาดสาย มิกเซอร์หลายชนิดพร้อมของขบเคี้ยว แต่ละคนซดโฮกคล้ายคนตายอดตายอยากมาแต่ชาติปางก่อน ผมจิบพอเป็นพิธี ก่อนที่จะหันไปเห็นกลุ่มคนที่เข้ามาล่าสุด

“เชี่ย วิศวะมาว่ะ” เพื่อนๆกระซิบ แต่ความดังมันก็มากพอที่จะได้ยินกันหมด

“จะมีเรื่องอีกมั้ยวะ” มีแต่สายตากังขาหลังได้ยินคำถาม กลุ่มวิศวะร่วมสิบเดินอาดๆไปนั่งมุมประจำ ผมสบสายตาคนที่ชื่อเคมีก่อนเฉไปทางอื่น ภาวนาว่าอย่ามีเรื่องกันเลย ไม่อยากโดนจับ ... บรรยากาศตึงจนกร่อยเพราะต่างพากันระแวง

“เอ่อ...” หนึ่งในกลุ่มวิศวะที่ผมคุ้นหน้าเดินมาช้าๆ ผมจำหน้าได้แต่จำชื่อไม่ได้ เป็นหนึ่งในกลุ่มไอ้เคมีนั่นแหละ

“ครับ” ไอ้โทมันหน้าใหญ่ออกตัวรับหน้า

“พี่จะขอโทษเรื่องครั้งนั้นอีกครั้งนะครับ แล้วอยากชวนพวกเราชนแก้วหน่อย” รุ่นพี่ตัวแทนกลุ่มชูแก้วในมือขึ้นมา

“ขอให้ลืมเรื่องครั้งที่แล้วได้ไหมครับ ชนแก้วแล้วผูกมิตรกัน” ไอ้คิ้วไปแตะไหล่ไอ้โท คนที่เคยโดนทำร้าย ผมลุกไปยืนข้างกายเพื่อนสนิท คำพูดมันจะเชื่อได้แค่ไหนกัน หรือถีบหัวแล้วลูบหลังหรือเปล่าวะเนี่ย ไม่น่าไว้ใจจริงๆ

“พี่รู้ว่าน้องอาจจะยังโกรธ พี่ขอโทษจริงๆนะครับ” ไอ้เคมีคนก่อเรื่องยื่นหน้าหล่อๆมาพูด  ท่าทางมันไม่ได้หาเรื่อง แถมยังดูจริงใจ น่าจะโดนพี่เจดเล่นงานมาหนัก ไม่งั้นพวกวิศวะเกรียนๆคงไม่คิดจะมาขอโทษ ไอ้โทหน้าตึงนิดหน่อยก่อนจะถอนหายใจ

“ก็ได้ครับ ผมไม่ติดใจอะไรแล้ว” พอพูดจบ พวกวิศวะต่างเฮลั่นร้าน แต่ละคนพุ่งมาชนแก้วกอดคอกันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอเมาได้ที่ต่างก็พากันคุยออกรส ลืมไปเลยว่าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง คงเพราะคณะผมไม่ได้เคร่งครัดแบบพวกวิศวะ เลยไม่ต้องคลานเข่าเข้าหา พอทุกอย่างดูคลี่คลายผมก็เบาใจ สองกลุ่มเลยรวมโต๊ะ เก้ากี้ถูกลากไปกองที่มุมของร้าน ผมคว้าได้หนึ่งตัววางไว้มุมลำโพงมืดติดกับประตูห้องน้ำ วันนี้เบื่อ ไม่มีกะใจจะเสวนากับใคร มองหน้าไอ้ตงเงียบเชียบโดยที่มันไม่เคยมองกลับ

“หนึ่งใช่มั้ย” เสียงนุ่มทุ้มดังข้างหู ใบหน้าหล่อที่แดงจากน้ำเมาไม่ได้ยิ้มขยับมาใกล้ ผมจ้องตากลับ พี่เคมีเริ่มขยับมาใกล้  ผมขยับหน้าหนี แต่หน้าหล่อๆของพี่เคมีก็เคลื่อนมาเรื่อยๆจนแทบจะชน บรรยากาศครึกครื้นรอบกายดังลั่น ไม่มีใครสนใจโมเม้นต์แปลกๆที่ผมกำลังเจออยู่นี้แม้แต่น้อย ปากสวยขยับไปมา แววตาที่ขึงขังนั้นชวนให้ผมหลงไหลได้ง่ายเลยนะ ใครจะว่าใจง่ายก็ช่างเถอะ แต่พี่เคมีคือเดือนมหา’ลัยปีก่อนเชียวนะ คนตามในอินสตาแกรมเป็นหมื่น ฮ็อตปรอทแตกขนาดนี้กำลังพ่นลมหายใจใส่หน้าอยู่ ตาหวานเยิ้มบอกอาการเมามายแทบไม่ได้สติรอมร่อ

“พะ พี่มีไร” ผมยกแก้วมาคั่นจมูกโด่งที่รุกหนัก ความเย็นคงทำให้อีกคนรู้สึกตัว

“ปละ เปล่า” เขายกแก้วตัวเองขึ้นไปซดเกินครึ่ง ร่างสูงที่เคยโน้มมายืนโงนเงนจะล้มเลยสละเก้าอี้ให้ พอยืนประจัญหน้าผมก็กลายเป็นคนแคระ

“นั่งก่อน พี่เมา” ผมเสนอ ลากแขนให้นั่งนิ่งๆ

“ม่ายๆๆๆ” ไอ้คนหล่อโงนเงนตอบขืนตัว ไอ้โทปรี่มาหาผมถามว่ามีอะไร พอตอบว่าเปล่ามันก็มองร่างสูงนั้นก่อนจะกลับไปนั่งชิดกับขวัญใจเช่นเคย 

“แล้วพี่จ้องอะไรผมขนาดนั้น”

“อึ๊ก ก็อยากมอง ไม่ได้เรอะ” ผมว่ามันต้องมีอะไรสักอย่าง กลิ่นตุๆ แต่คิดไม่ออกหรอกว่าทำไมผู้ชายแมนๆหน้าตาดีระดับเทพแบบพี่เคมีถึงได้มาสบตาเหมือนจะอ่อยเบอร์แรงเช่นนี้ คงไม่คิดเปลี่ยนรสนิยมกระทันหันหรอกมั้ง ก่อนหน้านี้ก็จีบขวัญใจอยู่นี่นา แถมหลังๆยังมีข่าวว่าควงดาวพยาบาลออกสื่ออยู่เลย

“มองได้ผมไม่ว่าอะไรหรอก ผมแค่สงสัยว่าพี่จะมองทำไมนักหนา” ความเมาแหละเลยทำให้เราพูดอะไรตรงๆแบบไม่คิดได้

“อะโห กูก็แค่มอง ไม่ได้ไง” เห้อ...ถามก็เหมือนพายเรือในอ่าง คนเมาแบบนี้ท่าทางสติจะหลุดไปละ

“แล้วแต่ เอ้า ชนแก้ว” ผมเปลี่ยนเรื่อง ไอ้พี่เคมีก็ชนแก้วก่อนจะหันไปเรียกเพื่อนๆมาชนกันเสียงเฮลั่นร้าน ยังดีหน่อยที่เป็นวันธรรมดา ลูกค้าโต๊ะอื่นไม่เยอะ แถมต่างก็เมา เลยไม่มีท่าทางว่าจะรำคาญ หรือไม่ก็เพราะกลุ่มเราใหญ่ที่สุดในร้านแล้วตอนนี้

“ถ่ายรูปๆๆๆ กูจะเอาลงไอจี” รุ่นพี่วิศวะพากันกอดคอพวกเราถ่ายรูปร่วมเฟรม ผมโดนเบียดจนหน้าแนบกับพี่เคมีจนแน่น กลิ่นตัวคนหล่อนี่หอมแบบนี้ทุกคนเลยเหรอวะ ไอ้ตงก็กลิ่นหอม ดมทีไรก็มีอารมณ์ทุกที พอได้กลิ่นพี่เคมีก็... ฉิบหายละ!!

             ผมรีบใช้มือข้างที่ว่างจับปลาชะโดตัวเขื่องให้มุดกลับเข้าไป วันนี้ใส่กางเกงผ้าแถมไส่แค่บ็อกเซอร์ ถ้าเกิดคนอื่นเห็นว่ามันตั้งโด่ตอนนี้คงได้ขายหน้าอีกรอบ ผมหันไปสบตาไอ้ตงที่นั่งมุมตรงข้ามแว้บหนึ่ง มันเหมือนจับสังเกตได้ว่าผมทำอะไรแต่ก็นั่งนิ่งหยิบแก้วตัวเองมาจิบต่อ ผมเลยต้องรีบนั่งยัดสองขาเข้าใต้โต๊ะให้มากที่สุด พี่เคมีที่ยืนโงนเงนใกล้ๆดันเบียดมาอีกเพราะโดนแทรกตอนถ่ายรูป เพื่อนคนหนึ่งของแกขยับมายืนเบียดด้วย ตัวหอมๆเลยเสียดสีไหล่ผมไปมาจนขนลุก

“ระ ร้อน” ผมผลักตัวต้นเหตุเบาๆให้ขยับ แต่เหมือนจะผิดจังหวะเมื่อร่างที่โงนเงนอยู่แล้วเซมาจนหน้าเกยไหล่ผม

“โอย ไม่ไหวเลยไอ้เค็ม เมาแล้วเลื้อย” เพื่อนของพี่เขาดึงตัว แต่เหมือนคนหล่อจะร่วงแล้ว ผมได้แต่นิ่งเพราะหนัก จะขยับตัวก็ยังไม่ไหว ไอ้น้องชายไม่รักดีมันยังผงาด แถมคนเมาก็หายใจรดซอกคอจนแทบลืมหายใจอีก มือใหญ่แกว่งไปมาจนแก้วในมือถูกเพื่อนในกลุ่มแย่งไปวางที่โต๊ะเพราะกลัวตกแตก ผมค่อยๆขยับแต่แรงกดจากคนเมาก็หนักหน่วง

“พะ พี่ ลุกก่อน ผมหนัก” ผมประท้วง แต่เหมือนรายนั้นใกล้จะสลบเต็มที่

“อื้อ แป๊บเนิงงงงง” พี่เคมีเสียงเมามาก เพื่อนแกแต่ละคนก็เมามาก สภาพเละไม่ต่างกัน ผมกวาดตาขอความช่วยเหลือจากคนอื่น แต่ละคนเต้นเด้งหน้าเด้งหลังไม่สนใจโลกกันสุดๆ ไอ้โทพี่ชายแสนเลวก็หายไปตั้งแต่ตอนไหนละไม่รู้ สงสัยจะกลับไปกับขวัญใจโดยไม่บอกกล่าว ไอ้ตงมองมาทางนี้อย่างเมินเฉย ร่างสูงวางแก้วและลุกออกไปนอกร้าน ผมได้แต่มองตามตาละห้อย แขนล่ำกวัดแกว่งไปมาใต้โต๊ะคว้าหมับที่ต้นขา...

เฮือก!!!

             ผมสะดุ้งสิครับ มันใกล้มาก ความอุ่นร้อนที่จับมาใกล้จุดยุทธศาสตร์เป็นที่สุด ไอ้ที่แข็งมานี่ก็ดื้อไม่ยอมสงบซะทีแถมมือใหญ่นั้นก็เคลื่อนไปมาอยูไม่สุข คงเพราะเมานั่นแหละเลยทำให้คว้าจับไปเรื่อยเพื่อประคองตัวให้มั่นคง แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าพี่เลื่อนไปจับโต๊ะแทนที่จะเลื่อนเข้าใกล้น้องชายผมนะเว้ย

“มึง ลุกๆ” เพื่อนของพี่เคมีช่วยชีวิตไว้ แต่รายนั้นก็เมาไม่น้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผมที่เคยเมาก็ตาค้างเลยเพราะโดนกระตุ้น ถ้าไม่เกรงใจประชาชีจะจับทำเมียซะเดี๋ยวนี้เลยคอยดูสิ

“พะ พี่” ผมตกใจเสียงหลง เมื่อมือใหญ่คว้าหมับที่แก่นกาย แรงกระตุ้นไหลพล่านเลยครับแถมมือนั้นยังจับแน่นซะด้วย หน้าหล่อหลับตาพริ้มไม่สนใจโลก แต่มือนี่เหมือนจะกลั่นแกล้งเด็กชายหนึ่งตาดำๆหนักหน่วง จากที่จับแน่นก็เขี่ยวนไปมาก่อนจะรูดขึ้นลงจนผมขนตั้งไปหมด รู้สึกว่ามันเริ่มแฉะจนนั่งไม่ติดแล้ว

“หยุด กะ ก่อน” ผมพยายามห้ามแต่เหมือนคนเมาจะไม่สนใจ มือใหญ่เล่นของแข็งนอกร่มผ้าก่อนจะสอดเข้ามาตรงขอบเอวกางเกง สัมผัสร้อนระอุรุนแรงจนผมกระตุก แรงขยับไปมาในความสลัวทำให้แรงหายใจหอบถี่ มันหมายความว่าไงวะเนี่ย ทำไมผู้ชายแมนๆแบบพี่เคมีต้องมาทำอะไรบ้าๆกลางร้านเหล้าด้วยวะ ผมกลั้นใจสะกดความเสียวจับมือใหญ่นั้นไว้ แรงปะทะของพวกเราขลุกขลักจนโต๊ะดิ้น จนสะบัดมือหนาออกได้ในที่สุด พี่เคมีโถมร่างทับผมจนมิด เหมือนกำลังก่ายกอดกันไม่ผิดเพี้ยน ผมได้แต่พยายามเคลื่อนหนี แต่ขนาดตัวมันต่างกันเกินไปทำให้โดนบังจนไม่มีใครเห็น พอรุ่นพี่คนหนึ่งจ่ายเงินค่าเสียหายคืนนี้คนอื่นค่อยๆบอกลาและเดินออกจากร้าน เสียงเพลงดังกลบจนไม่มีใครสังเกตว่าผมโดนกกอยู่ตรงนี้

“โอยพี่ ปล่อยก่อน” ผมดันตัวแกให้หลุดออก กลายเป็นว่ามุมที่ผมอยู่มันเป็นจุดบอด เงามืดกระทบแต่กลับเห็นแววตาแวววับของคนเมาได้แจ่มชัด ร่างผมถูกดันให้เข้าไปในมุมมืดมากกว่าเดิม ถ้าไม่เมานี่พ่อจะต่อยปากแตก แต่ก็ทำไม่ลงเพราะพี่เขาหล่อ ก่อนจะคิดอะไรได้ริมฝีปากสวยก็ประกบลงมาดุนดันลิ้นสากร้อนระอุอย่างร้อนเร่า ผมตกใจสุดตัวพยายามมองหาตัวช่วยแต่ก็เหมือนไม่มีใครสนใจ พอเก้ากี้ถูกเลื่อนจนติดผนังผมก็ดิ้นขืนตัวลุกยืน ร่างของคนตัวโตโถมทับสุดกำลัง พอก้าวถอยหลังก็เดินตามจนสุดทางเดิน ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกพร้อมกับพวกเราทั้งคู่ ตอนนี้ผมสติหลุดแล้ว ไม่สนใจเหตุผลอะไรทั้งนั้น

             แววตาหื่นกระหายของรุ่นพี่ฉายแวววับ แสดงว่าไม่ได้เมาจริงเป็นแน่ ผมได้แต่เก็บความแปลกใจนี้ไว้ ทำไมต้องเข้าหาด้วยนะ เขาต้องการอะไรกันแน่ แต่ความอยากมันครอบงำ ผมดึงหน้าหล่อมาประกบจูบดูดดื่ม ผลักประตูห้องน้ำปิดฝาชักโครกเข้าไปนั่งก่อนเบียดเสียดสองร่างในความคับแคบ ดึงประตูมาปิดและล็อกห้องอย่างดี ก่อนจะโลมเลียร่างสูงที่พยายามรุกรานทั่วตัว แต่ความเชี่ยวชาญมันต่างกัน ผมเกิดมาเพื่อเป็นผัวเท่านั้น พอร่างสูงพลั้งก็ถูกจับพลิกตัวให้หันหน้าเข้าผนัง ลำตัวโก้งโค้ง ผมถกกางเกงยีนส์หลวมโพรกนั้นลงเผยความกมกลึงสวยงาม ร่างสูงไม่ทันได้สติก็ถูกลงลิ้นเข้ากับส่วนลึกลับอ่อนไหวอย่างเร่งเร้า

“อื้อ อ๊า” ร่างสูงของคนมาดแมนสั่นระริก ความบวมช้ำเป็นที่สังเกตได้จนผมหายสงสัย พี่เคมีน่าจะเพิ่งผ่านการมีเซ็กซ์กับใครสักคนมาหรือไม่ก็ใช้ของปลอมช่วยตัวเองก่อนมาที่นี่ เพราะผมไม่ได้กลิ่นถุงยางอนามัยหรือกลิ่นคาวของใครหลงเหลือในนี้ มีแต่เมือกหนืดๆที่แห้งรายรอบกลีบสีสด ลิ้นควานเข้าไปเจอความเปียกแฉะภายในชวนคลั่ง

             ผมเปิดประตูอย่างเร่งเร้าควานหาเหรียญเพื่อกดเอาถุงยางอนมัยจากตู้ที่แขวนไว้ มันหล่นร่วงมาอย่างไม่ทันใจ ก่อนคว้ามาฉีกซองและกลับไปจัดการกับคนที่ยืนหันหลังท่าเดิม ไม่สนใจแล้วว่าจะเข้าได้หรือเปล่า ในเมื่อมากระตุ้นอารมณ์ผมก็ต้องโดนลงโทษให้สมสมใจเสียหน่อย

             สองมือประคองแก้มก้นให้นิ่งเพื่อจ่อความใหญ่โตเกินตัวพรวดพราด พี่เคมีร้องอ๊ากดังลั่นแต่ดีที่ผมเอื้อมไปอุดปากได้ทัน เสียงร้องอู้อี้สุดกำลังน่าจะมาจากความเจ็บปวดที่โดนแหวกว่ายเข้าไป ผิดกับผมที่เสียวจนแทบกลั้นไม่ไหว ภายในแน่นหนึบรอดทึ้งจนร้อนไปทั้งตัว ผมดันเข้าอย่างไม่ย่อท้อ ความฝืดเคืองเป็นฝ่ายยอมแพ้ สองขาที่เกือบร่วงยอมแยกกว้างปล่อยให้ความหนุ่มแน่นทะยานไปจนสุดแรง

“อื้อ เบาๆ เจ็บ ฮ้าๆๆๆๆ” เสียงร้องเบาหวิว ใบหน้าบิดเบ้มีน้ำตาไหลพรากชวนสงสาร แต่ผมก็ไม่หยุดแค่นี้ โลกที่สดใหม่ชวนให้วาบหวิว ความหอมหวานของกลิ่นหนุ่มหล่อชวนเพลิดเพลิน แรงสอดเสียดเชื่องช้าล้วงร่องน้อยจนเปิดกว้าง ผมส่งบั้นท้ายตัวเองเข้าออกให้สุดความยาว ร่างสูงกว่าสั่นสะท้าน ลมหายใจหอบพร่า ใบหน้าและลำคอแดงเถือก ยกเข่าขวาวางที่ฝาครอบชักโครกเพื่อค้ำยันตัวเองไม่ให้ร่วงกับพื้น ผมสอดแทรกตัวตนดุดันเดือดดาลจนก้นแน่นไหววับ เนื้อในสีสวยสดครูดคราดเข้าออกคล้ายจำนนต่อบทรักที่รุนแรงเช่นนี้

“สุดยอด เสียวชิบหาย” ผมครางอื้อ ชื่นชมบั้นท้ายนี้ไม่ขาดปาก อยู่ๆก็มีลาภลอยมาให้สบายตัว

“เบาๆ จุก อ๊า เจ็บๆๆๆ อื้อๆๆๆๆ” ผมเร่งเร้า แรงเสียดทานเร็วรี่ เหงื่อของพวกเราไหลย้อยท่วมทั่ว แรงกระเด้งใส่ความคับฝืดไม่หยุดหย่อน แก้มก้นถูกกระทบเปลี่ยนสีชวนเร่งจังหวะ ความเสียวแปลบพลุ่งพล่านมันก่อตัวในกายก่อนจะขยายมวลจนล้นทะลัก ผมเกินกลั้นความอิ่มเอมในครั้งนี้ แรงส่งเฮือกสุดท้ายสุดแรงดังปัง ร่างใหญ่สะท้านดิ้นพล่าน ความสุขสมล้นทะลักถุงยางอนามัยที่เล็กผิดไซส์ร้อนฉ่า ผมคาแก่นกายจนกระทั่งมันหยุดกระตุกก่อนดึงมันออกอย่างยากเย็น

“อ๊า” เสียงหลุดดังโผละก่อนจะเผยให้เห็นความเสียหายเปิดกว้างที่บั้นท้าย พี่เคมีร่วงกับพื้นแต่ยังดีที่คว้าไว้ได้ รอยบวมแดงช้ำชวนให้เวทนาแต่กลับเร่งเร้าอารมณ์ขึ้นมาอีกรอบ ผมรีบหักห้ามใจดึงกางเกงของเขาให้กลับเข้าที่ พาร่างสูงมาล้างหน้าอย่างทุลักทุเล

“ไหวมั้ย”

“อะ อืม” ใบหน้าหล่อเหลาเหมือนรู้สึกผิด ลมหายใจค่อยๆเป็นปกติ ท่าทางยังเจ็บอยู่ไม่น้อยสังเกตจากอาการนิ่วหน้า

“ทำไม” ผมอยากจะถาม แต่ก็พูดไม่ออก

“อย่าบอกเรื่องนี้กับใครนะ” สายตาอ้อนวอนส่งมา มันไม่ใช่คำสั่ง แต่เป็นการขอร้อง ผมถอนหายใจ เก็บทุกคำถามไว้

“ครับ”

“พยุงหน่อย พี่เดินไม่ไหว” ผมต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ สองขาสั่นระริกเดินอย่างช้าๆไปในร้าน เพื่อนๆพี่เคมีที่ยังไม่กลับเต้นไม่หยุด คนที่เมาก็นอนฟุบคาโต๊ะ เพื่อนผมกลับไปเกือบหมด ยกเว้น... ตงฉิน

             เราสบตากันเนิ่นนาน ผมรั้งร่างสูงที่อ่อนยวบไปช้าๆปล่อยให้นั่งเก้าอี้อย่างสงสาร แรงกดทับทำให้พี่เคมีกระตุกร้องเจ็บอย่างลืมตัว สายตาผมยังจับจ้องไปที่รูมเมต แววตาที่ส่งมานั้นอ่านไม่ได้ ไม่มีคำพูดหรือท่าทีอะไรหลุดออกมาแม้แต่น้อย ปล่อยพี่เคมีให้เอนหลัง ตอนนี้โล่งไปหมดเพราะไม่ต้องพยุงใครอีก พอหันกลับมา ร่างสูงของตงฉินก็หายไปแล้ว

“เฮ้ย ไหวมั้ยวะ” กลายเป็นว่าพี่เจดเดินเข้ามาในร้านอย่างรีบร้อน แกส่งเสียงมาก่อนเห็นตัวด้วยซ้ำ และทำหน้าประหลาดใจที่เจอผม

“น่ะ หนึ่ง”

“พี่มา...” ผมจะต้องถามอย่างไรดี คนที่ไม่ค่อยว่างกลับมาร้านเหล้าในเวลาเกือบตีสองได้

“คือพี่มา...” ผมเห็นสายตาที่จับจ้องก็พอเข้าใจ

“พอดีพี่เคมีเมาหนักน่ะพี่ ช่วยดูเขาหน่อยละกัน”

“ครับ แล้วหนึ่งล่ะ” ใบหน้าหล่อเหลาถามอย่างห่วงใย ผมไม่แน่ใจหรอกว่าพี่เขาห่วงใยใครกันแน่

“ผมโอเค ไม่เมาแล้ว เดี๋ยวกลับละ ไอ้ตงรอหน้าร้าน”

“อ๋อ พี่เดินสวนเมื่อกี้เอง”

“งั้นผมไปก่อนนะพี่” ตอนนี้ก็พอเข้าใจอะไรๆมากขึ้น พี่เจดที่ผมคิดว่าเป็นผู้ชายที่แสนดีกำลังประคองร่างสูงของพี่เคมีอย่างรักใคร่ ความอ่อนโยนนั้นส่งผ่านสายตาและการกระทำที่เคยเห็นมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงต้องควงผมไปเปิดตัวในงานบายเนียร์ ทำไมต้องจูบ ทั้งหมดเป็นเพราะพี่เจดกำลังหนีความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อรุ่นน้องชื่อ เคมี

             พอเดินออกมานอกร้านไม่เห็นแม้แต่เงาของตงฉินที่เดินออกมาก่อน ความเหงาแล่นพล่านเกาะกินหัวใจจนเกือบร้องไห้ ทั้งที่เมื่อไม่กี่นาทีมีร่างหนึ่งร่ำร้องอยู่ใต้อาณัติ แต่ตอนนี้กลับออกมาเดินโดดเดี่ยวริมถนน ผมปล่อยไอชื้นของสายฝนที่ตกมาก่อนหน้าลอยกระทบ สองขาก้าวย่างอย่างไม่เร่งรีบ รถยนต์แล่นผ่านเป็นระยะ แสงไฟส่องสว่างตามรายทาง ในใจอยากจะสูบบุหรี่สักซองเพื่อกลบความหดหู่ที่เป็นอยู่ แต่เมื่อไม่มีอะไรอยู่กับตัวก็ต้องก้มหน้าเดินไปเรื่อยๆ จนมาหยุดที่หน้าคอนโดหรู ... ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับที่นี่เอาเสียเลย

#### ###

[เจด ชิติพัทธ์]

             ผมตั้งใจจะไม่ติดต่อทั้งน้องหนึ่งและเคมี เพราะอยากหาคำตอบให้ตัวเองก่อนว่าผมรู้สึกกับใครกันแน่ ถึงแม้จะเคยชอบหนึ่งอยู่มาก แต่ในใจกลับโหยหาคนอื่น ยิ่งการได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมึนตึงใส่ก็ยิ่งปวดใจ อยากจะเข้าไปกอด อยากสัมผัสลูบไล้เรือนร่างแน่นนั้นอีกครั้ง แต่ผมไม่ต้องการจะผิดใจกับพี่รหัสที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายของเคมี ระยะหลังเลยจำใจตัดขาดจากทุกอย่าง ทุ่มความสนใจทั้งหมดกับโปรเจ็กที่ได้รับมอบหมายจนลืมเวลา มีบางครั้งที่อยากจะเคลียร์กับแฟนเก่าที่ถูกผมหลอกให้ไปเป็นคู่ควงในงานบายเนียร์ของคณะ แต่พอโทรไปคุยก็พูดอะไรไม่ออก ใบหน้าซื่อๆนั้นทำให้ผมทำร้ายเขาไม่ลง

             สุดท้ายก็มานั่งเขี่ยไอจีไปมาคนเดียวในห้อง ไม่สนใจเพื่อนๆที่โทรมาชวนไปเที่ยวแม้แต่น้อย พ่นลมหายใจหนักๆหลายเฮือกไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย เหงาจนอยากจะออกไปหาแสงสีแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ คิดถึงใครคนนั้นที่ผมพลั้งเผลอไปมีความสัมพันธ์ด้วยเมื่อไม่นานมานี้ อยากเจอเหลือเกิน... มือหยุดเลื่อนหน้าฟีด กดขยายรูปที่เพิ่งอัพลงไม่นานจากรุ่นน้องคณะ ใบหน้าแดงก่ำของเคมียิ้มกว้างข้างตัวเบียดกับร่างเล็กของน้องหนึ่งอย่างใกล้ชิด เช็กอินที่ร้านเดิมที่เคยมีเรื่องกันครั้งนั้น

             ผมรู้ตัวอีกทีก็คว้ากุญแจรถและวิ่งออกจากห้องไปอย่างไม่สนใจว่าล็อกประตูห้องหรือเปล่า ...
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 24 P.4 Up 4 ม.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-01-2021 19:20:59
 :pig4: :pig4: :pig4:

หง่ะ...ตัดจบแบบค้างคา
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 24 P.4 Up 4 ม.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าน้อย ที่ 05-01-2021 11:13:57
กำลังสนุกเลยรีบมาต่อนะ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 24 P.4 Up 4 ม.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 05-01-2021 22:03:56
จะเคลียร์กันได้ทั้งสองคู่ไหมนะ.  :hao4:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 24 P.4 Up 4 ม.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 06-01-2021 08:10:47
 o13 o13
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 25 P.4 Up 10 ม.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 10-01-2021 15:22:29
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 25. อ๊าฟเตอร์ช็อก

[เคมี]

             แสงแดดแผดส่งไอร้อนเข้ามาในห้องจนเหงื่อท่วมไปหมด ความปวดหัวหนึบเล่นงานทันทีที่พยายามลืมตา เมื่อคืนหนักเอาการเพราะอยากปลดปล่อยความอัดอั้นที่มีมาหลายวัน พอลืมตาเต็มที่ก็เห็นเพดานคุ้นเคยในห้องที่นอนมาตั้งแต่เด็ก สงสัยแม่จะเข้ามาปิดแอร์ให้ตอนเช้า เหงื่อซึมทั่วตัวกับแสงอาทิตย์ชวนให้ไม่สบายกายกระตุ้นให้อยากอาบน้ำ แต่ยังลุกไม่ไหว อาการมึนรั้งไว้ ค่อยๆผุดลุกมามองเนื้อตัวท่อนบนที่เปลือยเปล่า ยังดีที่กางเกงยีนส์ตัวเดิมยังอยู่

“โอ๊ย” ผมสะดุ้งร้อง ความเจ็บหน่วงที่บั้นท้ายทำให้ต้องแผ่ร่างล้มนอนเช่นเคย มันปวดหน่วงข้างในแถมเฉอะแฉะน่าอึดอัด รู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างคาไว้ในตัวจนขัดไปหมด ความหน่วงหนึบนี้เคยเกิดขึ้นไม่นานนี้ เพราะความเมา ความโกรธและอยากลองดี จนเกิดความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพี่ชายที่สนิทกันมาตั้งนานอย่างพี่เจด ที่ตอนนี้เหมือนจะตีตัวออกห่างไปเป็นที่เรียบร้อย

             หลังจากส่งแรงฮึดพาตัวเองเข้ามาอาบน้ำและล้างความเหนอะหนะในตัวจนหมดก็รู้สึกปวดหัวหนักกว่าเก่า ท่าทางจะมีไข้เพราะเมื่อคืนดันไปเผลอมีอะไรกับเด็กของพี่เจดที่ชื่อหนึ่ง ทีแรกก็แค่อยากยั่วเพราะรู้ว่ารายนั้นชอบผู้ชาย ไม่รู้ว่าทำไปทำไมเหมือนกัน แค่รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ใครบางคนรู้สึกเจ็บปวดบ้างถ้าต้องถูกแย่งคนสำคัญ ... แต่ใครจะคิดว่าความเมาจะลงเอยโดยการถูกจับทำเมียไปเสียได้

             ผมชื่อเคมี เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ของคณะยอดนิยมอย่างวิศวะ อดีตเดือนมหา’ลัยปีที่แล้ว นิสัยเอาแต่ใจ ใจร้อน ขี้เบื่อ ชอบจีบหญิงไปทั่วแต่ก็ไม่คิดจริงจังกับใคร นิสัยห่ามๆตามสไตล์ผู้ชายปกติ มีพี่ชายหนึ่งคนชื่อฟิสิกส์ มีน้องชายอีกหนึ่งคนชื่อชีวะ ไม่เคยหลงตัวเองว่าหล่อ แต่ก็ใช้หน้าตาให้เกิดประโยชน์มาตลอด ชีวิตค่อนข้างสบาย พ่อแม่มีฐานะ ถึงแม้จะไม่ได้รวยล้นฟ้าแต่ก็ไม่ลำบาก เลยเติบโตมาอย่างไม่กังวลเรื่องอะไร เข้าขั้นคุณหนูคนหนึ่ง ปกติชอบอยู่บ้าน แต่ถ้าเบื่อบ้านก็ไปอยู่คอนโดแถวมหา’ลัยที่พ่อซื้อให้พี่ชายคนโตที่ตอนนี้ยกให้ผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

             หลังจากโมโหจนเข้าไปทำร้ายรุ่นน้องคณะบริหารเมื่อครั้งก่อนและตกเป็นเมียของพี่ชายที่สนิท ชีวิตผมก็ค่อนข้างเปลี่ยน จากที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเกย์ก็เริ่มไขว้เขว ประสบการณ์ที่สุดสยิวนั้นเหมือนเป็นการเปิดโลกใหม่ มันเจ็บปวดในตอนแรก แต่พอถูกรสจูบหวานละมุนกระตุ้นให้สติเลือนลาง ความดุดันลดดีกรีกลายเป็นจังหวะนุ่มนวล ยามที่กล้ามเนื้อเสียดสีกันยิ่งก่อประกายวูบวาบอย่างน่าพิศวง เรือนร่างใหญ่โตส่งผ่านความสุขล้นแทรกกายสู่ความเร้นลับที่ไม่เคยเปิดตัวให้ใครเชยชมมาก่อนแผดเผาความผิดชอบชั่วดีจนหมดสิ้น พี่เจดปฏิบัติตัวราวกับผมเป็นเจ้าหญิงร่างเล็ก ความวาบหวามชวนหวั่นไหวมากล้นจนต้องลดการ์ดป้องกันที่ต่อสู้ขัดขืนหายเกลี้ยง เสียงพร่ำเพ้อครวญครางสอดประสานของพวกเราเป็นหนึ่งเดียวอย่างสุขล้น

             ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งทำให้สับสน ในสมองมันบอกว่าเราเป็นผู้ชาย ไม่ใช่เกย์ มันก็แค่ความหลงใหลชั่ววูบ มันก็แค่ความผิดพลาดครั้งหนึ่งของชีวิตที่ไม่นานก็ผ่านไป แต่ร่างกายกลับร้อนเร่าจากมโนภาพที่ได้เห็น เรือนร่างแข็งแกร่งที่ขยับโยกทำให้เกิดความรู้สึกแปลกที่ช่วงขา ร่องหลืบแคบคับก็ขมิบไปมาอย่างเกินต้านเหมือนมันต้องการรสชาติเช่นนั้นอีกครั้ง ของเล่นที่ถูกสั่งซื้อมาจากอินเตอร์เน็ตเพื่อทดสอบว่าตัวเองไม่ได้กลายเป็นเกย์ถูกวางในลิ้นชักลึกสุดในตู้เสื้อผ้า ผมทดลองใช้มันก่อนที่จะออกไปเที่ยวเมื่อคืน มันเจ็บปวดแต่กลับเติมเต็มความโหยหาได้ไม่น้อย...แต่ก็ไม่ทั้งหมด ความต้องการที่ล้นทะลักมันบอกว่าอยากได้มากกว่านั้น อยากได้ความอบอุ่น เรือนร่างแข็งแกร่งที่ก่ายกอด เป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องที่ทำให้มานั่งเครียดในตอนนี้

“เมื่อคืนใครมาส่งผมวะพี่” หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้วก็ลงมาหาอะไรรองท้องในห้องครัว พี่ชายคนโตสวมชุดนักศึกษาเต็มยศ น่าจะมีพรีเซ้นต์งานที่คณะช่วงบ่ายกำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวที่แม่บ้านออกไปซื้ออยู่ก่อนหน้า เราหน้าตาไม่คล้ายกันเท่าไหร่ เพราะผมหน้าตาคล้ายแม่ แต่เพราะยีนส์ของพ่อแม่นั้นดี ลูกแต่ละคนเลยเกิดมาหล่อกันทั้งบ้าน

“กูจะรู้มั้ย” พี่มันตอบ “ถ้าคิดจะเมามึงก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้หน่อยสิวะ” นั่นไง บ่นอีกละ

“เออ ขี้บ่นว่ะ” ผมนั่งอย่างแรงจนสะดุ้ง ความเจ็บแล่นพล่านจนหน้าแดงไปหมด

“เป็นไรวะ ทำหน้าเหมือนขี้ติดตูด”

“มึงพูดเรื่องขี้ได้หน้าตาเฉยตอนกินข้าวเนี่ยนะ” ผมเบี่ยงประเด็น “สงสัยป่วยว่ะ ตัวรุมๆ”

“ไหนดูดิ๊” มันเป็นพี่ที่ปากหมา แต่มันเป็นห่วงผมมากนะครับ เพราะตอนเด็กร่างกายผมไม่ค่อยแข็งแรง สามวันดีสี่วันไข้ ฟิสิกส์คอยดูแลมาตลอด ทั้งๆที่เป็นพี่ แต่ไอ้ชีวะก็ยังต้องประคบประหงมผมอีกคน “เออ กินยาด้วยล่ะ ไม่ไหวก็โทรมาจะได้พาไปหาหมอ”

“กินยาเดี๋ยวก็หายน่า จะไปหาหมอทำไม” ผมปัดมือที่จับต้นคอออก ถ้วยก๋วยเตี๋ยวต้มยำสีแดงสดวางตรงหน้า ผมขอบคุณแม่บ้านก่อนตักกินอย่างหิวจัด แม่ง...เผ็ดฉิบหาย ก้นกู...ระบมแน่ๆ

“เออ ไม่ไหวอย่าฝืน กูไปคณะก่อน คืนนี้ไม่แน่ในจะกลับกี่โมง แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆก็โทรมา เดี๋ยวกูบอกไอ้ชีให้”

“โอยไม่ต้องหรอก กูไม่ใช่เด็กขี้โรคคนเดิมแล้วนะ ตัวก็สูงพอๆกับมึงแล้ว” ช่างสุภาพจริงๆพี่น้องคุยกัน

“ตามใจมึงละกัน กูไปละ” มันวางถ้วยที่อ่างล้างจานก่อนเดินหายไปนอกบ้าน ผมซดน้ำต้มยำไปอีกไม่กี่คำก็รู้สึกอิ่มตื้อ วางถ้วยทิ้งไว้ก่อนเดินไปหยิบยาแก้ไข้มาสองเม็ดกลอกเข้าปากพร้อมน้ำ อากาศข้างนอกเหมือนจะร้อน แต่ตอนนี้กลับหนาว เหงื่อที่เคยไหลก่อนหน้านี้ไม่มีอีกแล้ว เหมือนร่างกายปรวนแปรไปหมดแล้ว มองเวลายังไม่บ่ายโมง วันนี้ไม่มีเรียน เลยพาตัวเองไปนอนในห้องตามเคย

RRRRRRRRRRR

[ไอ้เค็ม เย็นนี้มีว้ากนะ มาด้วย] เพื่อนตัวดีไม่ได้ทักทายเหมือนคนทั่วไป มีแต่คำพูดตรงๆไม่อ้อมค้อมเหมือนกลัวเปลืองค่าโทรศัพท์ชิงส่งเสียงมาก่อน

“อ้าวเหรอ เดี๋ยวกูไป ขอนอนแป๊บ” ผมเสียงแหบ กระแอมไอเพราะยังไม่ได้ดื่มน้ำ

[นอนห่าอะไรนักหนา เมื่อคืนแดกเหล้ายังกะน้ำไอ้สัส]

“ก็เพราะแดกเยอะไง ปวดหัวจี๊ดเลยเนี่ย กูมีไข้หน่อยๆขอนอนแป๊บเดี๋ยวไปตอนเย็น”

[เป็นไข้ด้วยเหรอวะ]

“มึงจะทวนทำไมวะ แค่นี้ กูจะนอน” ผมกดวางสาย ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ช่วงเย็นก่อนเปิดโหมดห้ามรบกวน อากาศในห้องอบอ้าวแต่กลับหนาวสั่นจนต้องห่มผ้า ความปวดหน่วงบั้นท้ายลุกลามไปทั่วตัว ความง่วงงันครอบงำจนหลับไป

             มันเหมือนความฝัน หรือไม่ก็เป็นความฝันเสมือนจริง เตียงนอนยุบยวบมีใครสักคนกำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดตามตัวจนหนาวสั่นหนักกว่าเก่า ความเย็นเยือกลูบไล้ไปทั่ว รับรู้ถึงของเหลวไร้รสที่เข้าในโพรงปากอย่างอบอุ่นก่อนไหลกลืนลงคอ สัมผัสแผ่วเบาเลื่อนไปมาทั่วร่าง จุดซ่อนเร้นบวมช้ำถูกสัมผัสอย่างหวิวไหว ผมร้องสะอึกคล้ายคนละเมอเมื่อความอึดอัดส่งผ่านเข้ามาด้านใน แรงเคลื่อนขยับไปมาคล้ายคนกำลังกวาดล้างของเสียให้สะอาด ไอแอร์เย็นฉ่ำปะทะหว่างขาเปลือยเปล่าจนต้องควานหาผ้าห่มมาปิดทับ ริมฝีปากที่ว่างเปล่าถูกความหอมหวานแตะต้องอย่างลังเล ลมหายใจร้อนฉ่าพวยพ่นปะทะใบหน้า ความวาบหวามถูกส่งถ่ายเข้ามาในโพรงปากจนต้องเผยอปล่อยให้ความอิ่มเอมนั้นหลั่งไหลเข้ามาไม่ยั้ง

             แล้วร่างที่ผมเห็นอย่างพล่าเลือนก็ผละออก กลิ่นที่คุ้นเคยแนบชิด มือใหญ่ลูบไล้ใบหน้าจนรู้สึกผ่อนคลาย ผมยกยิ้มอย่างเป็นสุข เปลือกตายังหนักอึ้งจนลืมตาไม่ได้ มองแผ่นหลังลางเลือนนั้นลุกขึ้นและเดินจากไปอย่างเงียบงัน

ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด ...

             เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นพร้อมกับแรงสะดุ้ง ผมลืมตามองเพดานอย่างเลื่อนลอย รู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อตอนกลางวันจนแทบไม่รู้สึกว่าป่วยอีกแล้ว พอลุกขึ้นมาก็เห็นยาแก้อักเสบสีแสบสดในซองขาวที่ข้างเตียง ลายมือหวัดเขียนว่าให้กินก่อนอาหารเช้าเย็น ผมหยิบมามองคิดไม่ออกว่าใครซื้อมาให้กันแน่ พี่ฟิสิกส์คงบอกให้ไอ้ชีวะซื้อมา... คิดแบบนี้แล้วสบายใจก็แต่งตัวไปคณะ

#### ####

[หนึ่ง เอกราช]

             วันนี้ต้องอยู่เย็นเพื่อซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ จากที่ต้องไปทำงานก็ต้องลา รุ่นพี่โทรตามหลายวันแล้วเพราะขาดซ้อมไปเฉยๆโดยไม่บอกกล่าว พอมาวันนี้ก็เลยโดนซ่อมหนักกว่าคนอื่น ยังดีที่มีเพื่อนในกลุ่มอย่างไอ้คิ้วโดนด้วย มันมาแทนไอ้ตงที่ขอถอนตัวไปเนื่องจากภาระกิจมันเยอะ พอลองขอถอนตัวบ้างก็โดนพี่เปรี้ยวมองตาเขียวปั๊ดแถมยังโดนด่ากราด ท่าทางเมนส์แกจะมาเลยไม่ฟังเหตุผลของผม

“น้องเตี้ยคะ มีแรงแค่นี้เหรอคะ” นั่นไง พูดไม่ขาดคำก็โดนด่าอีกละ คนไม่ใช่ทำอะไรก็ผิด

“เอ่อ ขอโทษครับ” ผมได้แต่กล้ำกลืนความหงุดหงิด เวลานี้ควรทำงานอยู่ที่ร้าน เสิร์ฟกาแฟ คิดเงินลูกค้า หารายได้เพื่อจะไถ่ตัวเองออกจากคอนโดไอ้ตง แต่ต้องมาติดอยู่กับกิจกรรมบ้าๆนี่อย่างหัวเสีย แววตาและท่าทางไม่เป็นมิตรของรุ่นพี่ก็ส่งมาไม่ขาดสายราวกับว่าผมเป็นตัวถ่วง

“ตั้งใจหน่อยค่ะ แค่นี้ก็ถ่วงคนอื่นเยอะแล้วนะคะ” เสียงแหลมชวนหงุดหงิด ผมเม้มปากเพื่อสงบความโกรธ ไม่อยากมีปัญหากับใครตั้งแต่ชั้นปี 1

“ไหวมั้ยวะไอ้หนึ่ง” ไอ้คิ้วมันหน้านิ่วหันมาถาม ท่าทางมันก็เหนื่อยแต่ไม่ได้ถูกดุว่าเหมือนผมนี่หว่า

“ไม่ไหวก็ต้องไหวว่ะ” ผมตอบแบบพระเอก ทั้งที่ในใจเดือดปุดๆ

“ทำไมมึงไม่บอกพี่เค้าล่ะวะว่ามึงต้องไปทำงานพิเศษ” มันถาม ผมมองรุ่นพี่กลุ่มเชียร์ที่บ้างก็ยืน บ้างก็นั่งตรงลานกิจกรรมใต้คณะอย่างสิ้นหวัง

“กูยังไม่ทันอ้าปากเลย ด่ากูเป็นชุด” ไอ้คิ้วพยักหน้าเข้าใจ มันคงเห็นใจผมไม่น้อยเพราะยังไม่ทันบอกเหตุผลอะไรเลยก็โดนว่า

“มึงไหวแน่นะ”

“เออ..” จริงๆไม่อยากไหวหรอกครับ แต่ก็ไม่รู้จะต้องทำยังไง ในใจที่เดือดอยู่พาลไปถึงไอ้เพื่อนตัวดีอย่างตงฉินที่แม่งเสนอชื่อผมให้เข้ามารับการคัดเลือก สุดท้ายมันก็ถอนตัว แต่คนที่ไม่อยากจะเป็นเชียร์ลีดเดอร์แบบผมต้องมาซ้อม จะไปทำงานก็ไม่ได้

“น้องหนึ่งคะ ท่าแค่นี้ยังไม่ได้อีกเหรอคะ” ผมอึดอัด เหมือนโดนจับตามองจากรุ่นพี่มากกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว พี่เปรี้ยวประธานหลีดก็คนหนึ่งล่ะที่บ่นไม่หยุด นี่ยังต้องมาเจอแรงกดดันจากคนอื่นในทีมอีก

“กินแรงเพื่อนนะคะ ตั้งใจหน่อย ท่าง่ายๆแค่นี้ยังทำไม่ได้ แบบนี้จะทำอะไรกิน” ผมสะดุดกึก...รู้สึกว่าคำพูดมันแรงเกินไป แค่ซ้อมยกแขนวาดวงไปมาในอากาศมันเกี่ยวอะไรกับการทำมาหากินวะ ผมมาเรียนบริหาร ไม่ได้มาเรียนเต้น

“น้องหนึ่ง ยืดอีก แม่งแรงน้อยกว่าผู้หญิงอีก” เสียงรุ่นพี่ผู้ชายอีกคนกดดัน ร่างสูงเข้ามาประชิดด้วยใบหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ผมจ้องตากลับอย่างไม่ลดละ ถือว่าเป็นรุ่นพี่จะด่าจะว่าอะไรก็ได้เหรอ นี่มันยุคไหนกันแล้ววะเนี่ย

“ทำไม่ไหวก็ลาออกไปเลย” นี่มันพี่เชียร์หรือพี่ว้ากกันแน่วะ ด่าไม่พอ กดดันหนักอีกต่างหาก อากาศก็ร้อนเหงื่อไหลเยิ้ม เพื่อนร่วมรุ่นที่ซ้อมอยู่ต่างยกแขนไว้นิ่งเพราะถูกสั่งให้ค้างไว้ให้ชิน ก่อนที่รุ่นพี่คนอื่นๆจะกรูเข้าล้อมตัวผมจนอึดอัด

“แค่นี้ก็ทำเพื่อคณะไม่ได้ สปิริตน่ะคุณมีมั้ย”

“ขาดซ้อมมากี่วันแล้ว มาซ้อมแค่นี้ก็ยังถ่วงคนอื่น คุณไม่คิดเหรอว่ากินแรงคนอื่นเค้า”

“ทุกคนเหนื่อย แต่เขาก็ตั้งใจซ้อม ถ้าคุณไม่เห็นใจเพื่อน คุณไม่ไหว ลาออกไปเลย” ผมเข้าใจนะว่าเป็นการแสดง เขาคอยกดดันเพื่อให้ตั้งใจซ้อมมากกว่านี้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตจนต้องมารุมว้ากกันฉอดๆ เกิดมาพ่อกับแม่ยังไม่เคยด่ากันขนาดนี้เลยสักครั้ง พวกเขาแก่กว่าผมแค่ 1-2 ปี มีอภิสิทธิ์อะไรถึงมาด่าอย่างเอาเป็นเอาตาย

“เออ ได้ งั้นผมลาออก” ผมพูดเสียงเข้ม ใบหน้าไม่ได้สลด มีแต่ความโกรธเต็มไปหมด ถ้าตักเตือนกันด้วยดี ผมคงรู้สึกแย่และพยายามฮึด แต่การตะโกนใส่ ตะคอกด่าแบบนี้มันเกินเหตุไปมาก สิ้นเสียงพูด รุ่นพี่ต่างนิ่ง ผมแหวกกลุ่มที่ล้อมตัวออกมาเพื่อรับอากาศให้หายอึดอัด เดินไปหยิบข้าวของ

“คุณจะไปไหน” รุ่นพี่ถามเสียงดังลั่น “ใครอนุญาตให้คุณไป” ผมหันไปมองกลุ่มคนที่ยืนทำหน้าเหี้ยมกอดอก เพื่อนๆร่วมชั้นปียืนรวมกันอีกมุมหนึ่งราวกับประเมินว่ามันจะมีเรื่องไม่ดีอะไรอีกหรือเปล่า ไอ้คิ้วที่นิ่งเงียบเดินมาทางที่ผมยืนอยู่

“ใจเย็นๆนะมึง พี่เค้าแค่อยากให้เราตั้งใจซ้อม” ผมเข้าใจเจตนาและท่าทางที่พยายามปลอบ แต่ไม่ชอบวิธีการและคำพูด

“เออ กูใจเย็นละ” ผมตอบเพื่อน ก่อนหันไปมองรุ่นพี่ที่ยืนนิ่งตีหน้ายักษ์ไม่ไกล ถามมาได้...เมื่อกี้เพิ่งไล่กูให้ลาออกเอง

“งั้นมึงก็วางของแล้วกลับมาซ้อม...” ไอ้คิ้วยื่นมือมาจับข้าวของ แต่ผมขืนไว้ไม่ให้มันเอาไปวางไว้ได้

“ไม่ว่ะ” ผมยกมือห้าม ไอ้คิ้วเงียบ “กูว่ากูไม่เหมาะกับอะไรแบบนี้”

“ไอ้คนเห็นแก่ตัว ไม่แคร์เพื่อนๆที่ทุ่มเทซ้อมเลยเหรอ” เสียงรุ่นพี่ยังดังต่อเนื่อง ช่างไม่รู้กาละเทศะเอาจริงๆ

“คนแบบนี้จบไปจะมีเพื่อนมั้ย งานง่ายๆยังไม่มีความเสียสละเลย”

“ใช่ จบไปจะทำงานได้เหรอ โดนด่าแค่นี้ยังไม่เท่าตอนทำงานจริงๆซะหน่อย ทำเป็นทนไม่ได้” เสียงนกเสียงกายังกดดันไม่เลิก ผมที่นับหนึ่งใกล้ถึงร้อยก็เลิกนับ ก่อนเดินย่ำเท้าเสียงดังไปทางคนที่ส่งเสียง

“ขอโทษนะครับคุณรุ่นพี่ พวกคุณเคยทำงานเหรอครับถึงได้รู้ดีจัง” หน้าตาผมโหดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถึงแม้จะตัวเล็กแต่ก็พร้อมบวกเสมอนะครับ นิสัยกระแนะกระแหนและการพูดจาแย่ๆคือสิ่งที่ผมไม่ชอบและไม่เคยคิดจะพูดหรือทำกับใคร แน่นอนว่าไม่ต้องการให้ใครมาทำแบบนี้เช่นกัน

“พวกคุณเกิดมาก่อนผมแค่ไม่กี่วัน มีศักดิ์แค่รุ่นพี่ แต่ทำเหมือนตัวเองเก่งคับโลกเลยนะครับ”

“ไอ้หนึ่ง พอ..” ไอ้คิ้วพยายามห้าม มันดึงตัวผมให้ออกห่างเพราะรุ่นพี่ที่ไม่พอใจก็ก้าวขาออกมาเหมือนกัน

“นิสัยแบบคุณ ใครจะรับเข้าทำงาน เป็นผมก็ไม่รับ” ไอ้รุ่นพี่มันยังไม่หยุด

“คุณไปทำงานกันก่อนเถอะค่อยมาดูถูกผม พูดจาหมาไม่แดกแบบนี้ผมขอลาล่ะครับ” ผมไม่พูดต่อ ขี้เกียจอธิบายเหตุผล ในเมื่อพวกเขามีธงในใจแล้วว่าจะทำยังไงกับผมหรือรุ่นน้องคนอื่นๆ...ในแบบที่ผมไม่โอเค...ทำไมจะต้องอดทน

             เสียงเอะอะดังไล่หลัง ผมไม่ได้สนใจจะรับฟัง มันหงุดหงิดงุ่นง่านไปหมด ได้แต่เดินจ้ำอ้าวโดยไม่มองทาง แค่อยากไปให้ไกลจากตรงนี้ ไม่สนใจหรอกว่าพรุ่งนี้พวกรุ่นพี่หรือเพื่อนร่วมคลาสจะมองด้วยสายตาแบบไหน ทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง เมื่อเหตุผลที่ผมมีมันไม่เป็นที่ต้องการของคนอื่น ทำไมจะต้องสละเวลาตัวเองให้ด้วย

ปี๊นนนนนนนนนนนนนนน!!

เอี๊ยดดดดด...

             ผมสะดุ้งเฮือก แต่สองขากลับก้าวไม่ออก แสงไฟหน้ารถยนต์หรูสาดส่องไปทั่ว ผู้คนที่เดินริมทางหันมามองอย่างตระหนก ไอขาวพุ่งจากตัวรถ กลิ่นยางรถคล้ายถูกเผาเหม็นแตะจมูก ผมตาค้างเพราะสองขาห่างกับกระโปรงรถแค่คืบ คงเป็นเพราะโมโหมากจนเดินใจลอยไม่สนใจทาง เลยเดินข้ามฝั่งทั้งที่ไม่มองซ้ายขวาก่อนว่ามีรถมาหรือเปล่า

“แม่งเอ๊ย เดินยังไงวะไม่ดูทางเลย” คนขับเปิดประตูเดินออกมา เสียงปิดดังปังบอกได้ว่าโมโหสุดขีดเช่นกัน

“ขะ ขอโทษครับ ผมใจลอยเอง” ร่างสูงเดินมาก่อนจะปรับสายตาได้ก็เห็นว่าเป็นใคร “พี่เคมี”

“เอ่อ นะ น้องหนึ่ง” ใบหน้าของเขาตกใจไม่ต่างกัน ช่วงนี้มีแต่เรื่องบังเอิญให้ได้เจอ ล่าสุดก็เมื่อคืนที่ร้านเหล้า

“ผมขอโทษนะครับ ผมไม่ทันระวัง” งานนี้เราผิด ผมสะกดความหงุดหงิดที่ยังหลงเหลือและกล่าวขอโทษ

“ไม่เป็นไรใช่มั้ย” ผมส่ายหน้าตอบ “ระวังหน่อยสิ ถ้าพี่เบรกไม่ทันเราไปเจอยมบาลแล้วนะ”

“ขอโทษจริงๆครับพี่” เห็นรอยล้อรถเป็นทางก็พอจะรู้ ท่าทางจะขับมาเร็วไม่น้อยเช่นกัน

“จะไปไหนเหรอ พี่ไปส่งมั้ย”

“เอ่อ มะไม่เป็นไรครับ ผมว่าจะไป...” แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าไม่รู้จะไปไหน มองคนตัวสูงกว่าที่สวมเสื้อช็อปสีเข้มพอเดาได้ว่าน่าจะไปรับน้องที่คณะ

ปี๊นๆ... เสียงรถคันหลังดังขึ้นเพื่อบอกให้ช่วยหลีกทาง รถติดไปค่อนข้างไกลเพราะพี่เคมีจอดขวางถนนไว้

“ขึ้นมาก่อน ไปไหนค่อยว่ากัน ชาวบ้านบีบแตรด่าละ” เสียงนั้นสั่ง ผมเดินไปที่รถอย่างไม่เข้าใจตัวเอง ก่อนยัดตัวลงไปนั่งในความสบายที่เย็นฉ่ำ เสียงเครื่องยนต์ดังก้อง ก่อนทะยานออกไป

             เราไม่คุยกันเสยสักคำ ปกติจากคณะผมไปคณะวิศวะก็เกือบ 10 นาทีเนื่องจากเป็นช่วงเย็นที่การจราจรในรั้วมหา’ลัยคับคั่ง รถค่อนข้างติดหนึบเนื่องจากถนนหลักที่ติดกับประตูทางออกมีรถติดหนาแน่น ช่วงเลิกงานของพนักงานออฟฟิศส่งผลกระทบต่อการเดินทางในมอไม่น้อย ... เสียงเพลงดังคลอกล่อมเบาๆชวนผ่อนคลาย ความเหนื่อยล้าที่สะสมตั้งแต่ไปกินเหล้าเมื่อคืน ต้องตื่นมาเรียนซ่อมตั้งแต่เช้าถึงเย็น แถมยังไปซ้อมหลีดอีกทำให้ผมง่วง เปลือกตาปิดสนิทตั้งแต่ตอนไหนยังไม่รู้
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 25 P.4 Up 10 ม.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-01-2021 18:43:40
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 25 P.4 Up 10 ม.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 10-01-2021 22:03:13
เอิ่ม.....พี่เคมีจะเคลียร์กะน้องหนึ่งยังงัยดีคะ

แล้วคนที่มาดูแลเคมีถึงบ้านคือพี่เจดใช่ป่าว  :hao4:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 26 P.4 Up 16 ม.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 16-01-2021 13:34:39
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 26. ความหึงหวงของเจด (มีประกาศสำหรับตอนที่ 27 ท้ายบทนะครับ)

             รู้สึกตัวอีกทีเมื่อรถจอดสนิทในลานจอดรถของตึกไหนสักแห่งในมหา’ลัย มันค่อนข้างมืดเพราะนโยบายประหยัดไฟของคณะล่ะมั้ง ไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของคนใช้รถเลย...ผมบ่นในใจที่เห็นลานโล่งบนตึกมีแค่แสงส่องสลัวเท่านั้น เมื่อขยับตัวในท่านั่งปกติก็นึกขึ้นได้ว่าอยู่กับใคร

“ตื่นแล้วเหรอ พอดีเห็นว่านอนสบายเลยไม่อยากปลุก” เสียงนุ่มบอก ผมเพิ่งสังเกตว่าใบหน้าหล่อนั้นดูซีดเซียว

“เราอยู่ที่ไหนครับพี่” ผมมองใบหน้าหล่อที่นั่งหลังพวงมาลัยอย่างเคอะเขิน ทั้งเรื่องเมื่อคืนกับเรื่องเดินข้ามถนนไม่ดูทางอีก

“ลานจอดรถคณะพี่เอง พี่ต้องเข้าห้องเชียร์เลยต้องพาเรามาที่นี่ก่อน” พอเห็นผมตื่นรุ่นพี่ต่างคณะก็กดปุ่มดับเครื่องยนต์

“ไม่เป็นไรพี่ แค่นี้ก็รบกวนมากแล้วครับ ไหนจะก่อเรื่องเมื่อกี้อีก” ผมพูดอย่างสำนึกผิด

“ข้างห้องประชุมเชียร์มีที่นอน ไปพักก่อนก็ได้นะ” เขายื่นข้อเสนอ

“ไม่รบกวนดีกว่า เดี๋ยวผมกลับละ” ขยี้ตาให้หายง่วงก่อนจะเปิดประตูรถออกไป เสียงฝนกระหน่ำหนักจนไอน้ำสาดกระทบเย็นเฉียบทำให้ต้องผงะ ถ้ากลับตอนนี้เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแน่ๆ

“ฝนตกน่ะ แถมพี่ไม่มีร่มด้วย กลับตอนนี้เราเปียกทั้งตัวแน่” น้ำเสียงบอกว่าเป็นห่วง ยิ่งทำให้ผมเกรงใจมากกว่าเดิมเท่าตัว

“เดี๋ยวรอฝนซาแล้วค่อยกลับก็ได้” ผมต่อรอง ดูท่าทางแล้วจะตกทั้งคืนเป็นอย่างน้อย

“แล้วแต่ละกัน พี่ไปก่อนนะ อ๊ะ...” ร่างสูงทรุดฮวบกองกับพื้น ผมรีบวิ่งไปฝั่งตรงกันข้ามก่อนจะถือวิสาสะพยุงคนตัวสูงขึ้นมา

“พี่ไม่สบายเหรอ” แค่แตะที่แขนก็รับรู้ถึงไอร้อนพุ่งจากตัว หน้าซีดเซียวเด่นชัด ผมเผลอหลับจนไม่สังเกตว่าพี่เคมีป่วย

“นิดหน่อย กินยาไปแล้วเมื่อกี้เดี๋ยวก็ดีขึ้น” อดีตเดือนมหา’ลัยพิงหลังกับประตูรถหรู ท่าทางอิดโรยสวนทางกับคำพูดเป็นอย่างมาก ผมไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองหรอกนะ แต่การป่วยครั้งนี้ต้นเหตุอาจจะมาจากเรื่องเมื่อคืนก็ได้...

“พี่ป่วยแบบนี้ เพราะ...เอ่อ...” ยังไม่ทันพูดอะไรคนตรงหน้าก็หน้าแดงก่ำ ท่าทางจะจี้ถูกจุด คนที่เคยมาดแมนจีบขวัญใจเพื่อนในกลุ่มผมครั้งก่อนดูบอบบางเหมือนเป็นคนละคน ไม่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผู้ชายเพียบพร้อมเช่นนี้เปลี่ยนใจมานิยมเพศเดียวกันไปเสียได้

“พี่ไปก่อนนะ” ท่าทางหลบเลี่ยงคงเพราะไม่อยากตอบคำถาม พอเห็นแบบนั้นก็เลยตัดสินใจได้ว่า

“งั้นผมไปด้วย” ประคองร่างสูงที่เดินแปลกๆ ท่าทางจะหนักพอดู เพราะถึงขั้นป่วย รู้สึกผิดซ้ำซ้อนอีกละ

“ไหนบอกจะกลับแล้ว พี่โอเคไม่ต้องห่วงหรอก”

“ใครบอกว่าผมห่วง” ปากแข็ง พอไม่มีท่าทีจะโยนความผิดมาให้ ไอ้เรากลับรู้สึกแย่เสียเอง ไอ้ท่าทางยั่วยุเมื่อคืนน่ะเหมือนแกล้งทำมากกว่า แต่ดันมาเจอคนจริงแบบไอ้เอกราชเลยจัดหนักอย่างไม่ยั้ง ความกระชับจากการสัมผัสบอกให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้ผ่านเรื่องแบบนี้มาไม่เท่าไหร่ ยิ่งทำให้รู้สึกผิดเพิ่มขึ้นไปอีกที่ไม่ได้ถนอมพี่เคมีสักนิด

“พี่โอเคน่า”

“เมื่อกี้พี่ยังชวนผมอยู่เลย ทำไมไล่ซะล่ะ” ผมถามกวนๆ คนตัวสูงมองอย่างเอือมระอาแต่ก็ยอมให้ไอ้เตี้ยคอยประคองตัวให้เดินไปอย่างช้าๆ เสียงฝนกระทบตึกดังไปทั่ว ไออุ่นของเราแนบชิดจากแรงเบียด จากแค่พยุงก็กลายเป็นว่าผมโอบเอวหนาไว้แน่น แขนยาวของอีกฝ่ายก็พาดไหล่ผมเช่นกัน ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ใบหน้าคนป่วยดูมีเลือดฝาด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการไข้เริ่มดีขึ้น หรือกำลังเขินกับการกระทำของพวกเราจากเมื่อคืนและตอนนี้กันแน่

             เสียงรุ่นพี่คณะวิศวะที่เตรียมตัวเข้าห้องเชียร์ดังมาแต่ไกล เราจึงผละออกจากกันอย่างอัตโนมัติ แต่ผมก็คอยจับตัวพี่เคมีไม่ให้ล้มอยู่ห่างๆ พอเข้าใกล้ฝูงชน สายตาแปลกใจของทุกคนต่างเพ่งมาที่เราอย่างไม่ปกปิด ผมพยายามไม่สนใจ แต่ก็รู้สึกอึดอัดที่ตกเป็นเป้าสายตาแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ พี่เคมีบอกให้เข้าไปนอนรอในห้องเรียนติดกันก่อนจะเดินไปทางกลุ่มพี่ว้ากที่ทำหน้าตาขึงขังอีกมุมหนึ่งของอาคารเรียน

“มากับใคร...” เสียงสนทนาดังมาจากด้านนอก น่าจะเป็นใครสักคนกำลังซักไซ้เรื่องที่เห็นผมเดินมากับแก

“ใช่คนที่พี่เจดควงมาครั้งก่อนปะวะ” ผมพยายามไม่สนใจ แต่ก็อดไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องของตัวเองโดยตรง แต่จะให้ออกไปตอบคำถาม ก็ไม่รู้ว่าจะต้องตอบอย่างไร ตอบไปเพื่ออะไร เรื่องที่เจอจากคณะเมื่อกี้นี้ก็ชวนปวดหัวมากแล้ว พรุ่งนี้จะต้องเจอสายตาแบบไหนจากเพื่อนร่วมคณะ รวมไปถึงพวกรุ่นพี่อีก แล้วดันมาติดแหง็กเพราะฝนห่ายักษ์ที่คณะวิศวะเสียด้วย ให้มันได้อย่างนี้สิน่า ... ดวงดีจริงๆไอ้หนึ่งเอ๋ย

             ผมเผลอหลับไปอีกครั้งไม่รู้ว่านานแค่ไหน ก่อนจะสะดุ้งเพราะเสียงฝีเท้าหนักๆเดินมาประชิด ลืมตางัวเงียก็พบร่างที่คุ้นเคยยืนตรงหน้า ใบหน้าและแววตานั้นดูผิดแผกไปจากเดิมราวกับไม่ใช่คนคุ้นเคยมาก่อน ร่างสูงนั่งอย่างไร้คำพูด เราสบตากันอย่างเงียบเชียบกระทั่งเสียงกระแอมไอของเขาดังขึ้น ข้างนอกมืดสนิท ในห้องนี้ก็เปิดไฟแค่ทางเข้า มันเลยสลัวจนหม่น

“เรามา ... เอ่อ หนึ่งมาที่นี่ได้ไงครับ” น้ำเสียงนั้นเหมือนเจือด้วยความสงสัย กังวลและไม่พอใจอย่างแจ่มแจ้ง

“พอดีเจอพี่เคมีระหว่างทางเลยติดรถมาน่ะครับ” ผมตอบตามตรง ไม่หลบสายตาที่มองเหมือนพิจารณาหัวจรดเท้า

“แล้ว...” ใบหน้าเคร่งขรึมพูด ท่าทางบอกชัดเจนว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“พี่เจดมีอะไรก็พูดตรงๆก็ได้นะครับ” เมื่อท่าทีชวนอึดอัดส่งผ่านมา ผมก็ไม่อยากให้มันอ้อมค้อมอีก

“พี่ไม่รู้นะว่าหนึ่งกับเค็มรู้จักกันในฐานะอะไร แต่พี่ไม่สบายใจที่เห็นเราสองคนสนิทกันแบบนั้น”

“แบบนั้นที่พี่ว่าน่ะแบบไหนเหรอครับพี่เจด” ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ อยากรู้เหมือนกันว่าท่าทางหึงหวงของคนตรงหน้าเนี่ย มีให้ใคร

“ก็แบบ ... ช่างเถอะ”

“พี่หึง” ผมจี้จุด ในเมื่อเขาไม่ยอมพูดจาแบบตรงไปตรงมา ผมก็ต้องจัดการให้มันกระชับ

“...” ท่าทางอึกอักที่แสดงออกก็บอกความจริงหมดแล้ว ผมจับจ้องร่างของรุ่นพี่ปี 3 ที่เคยเป็นแฟนกันสมัยชั้นมัธยมปลายขยับยุกยิกไปมาไม่เหลือมาดเคร่งขรึมอีกต่อไป

“ผมไม่เข้าใจ พี่ควงผมออกงานเหมือนบอกทุกคนว่าผมกับพี่เป็นอะไรกัน แล้วพี่ก็เงียบไม่ค่อยติดต่อมา หายไปเหมือนกับว่าระหว่างเราไม่มีอะไรทั้งนั้น แล้วตอนนี้พี่ก็มานั่งสอบสวนผมเหมือนคนร้ายว่าเป็นอะไรกับรุ่นน้องที่คณะของพี่งั้นเหรอ”

“...” แววตาคมกริบนิ่งเรียบ แต่นัยน์ตากลับฉายแววหวั่นไหว

“พี่หึงผม งั้นเหรอ” ที่ถามเพราะรู้ว่าไม่ใช่ ถามเพื่อให้พี่เจดที่นิ่งเงียบตอบความจริงออกมาให้ชัด ไอ้ความใกล้ชิดแบบลักปิดลักเปิดแบบที่ผ่านมามันทำให้รู้สึกย่ำแย่ และผมก็ไม่ต้องการแบบนี้

“หนึ่ง คือ...”

“ผมไม่ใช่เด็กอายุ 16 คนเดิมนะพี่ ผมโตพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว” พูดพลางบิดขี้เกียจ ขยี้ตาเพื่อให้ตื่นเต็มที่

“พี่รู้ แต่ว่าพี่ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มยังไง” ท่าทางหงอยๆของพี่เจดทำให้ผมลดความโมโหลง

“เริ่มจาก พี่รู้สึกยังไงกับผม พี่จะทำตัวกั๊กๆแบบนี้มันไม่แฟร์เลยนะพี่”

“พี่ขอโทษ พี่แค่กลัวจะทำให้เราเสียใจ”

“ผมไม่เสียใจหรอกถ้าพี่ไม่รักผม แต่จะเสียใจมากกว่าถ้าพี่ยังไม่เลิกหลอกใช้กันแบบนี้” น้ำเสียงผมบ่งบอกว่าไม่แคร์

“หนึ่ง” พี่เจดหน้าสลด กลืนน้ำลายอึกใหญ่ “พี่ขอโทษ”

“พี่รักพี่เคมีใช่ไหม” ผมคาดคั้น ส่งสายตาเคร่งเครียดไปให้ อดีตแฟนสบตานิ่ง ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปปั้นนั้นแสดงออกว่าไม่สบายใจอย่างเด่นชัด แต่สายตาที่ผมจับจ้องเพื่อกดดันยังไม่ลดละ พี่เจดเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่ชัดเจน และชอบหนี

“อื้ม” ตอบและพยักหน้า ผมล่ะโล่งอก

“รักเขาก็จีบดิ จะมาซักไซ้และตามหึงหวงกับผมจะได้อะไร” นอกจากจะไม่โกรธแล้วผมยังใจดีแนะนำอีกด้วย พ่อพระสุดๆเลยไอ้หนึ่งเอ๋ย ...

“มันไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิ” พี่เจดท่าทางผ่อนคลายลงหลังจากสารภาพความในใจ

“ความรัก ถ้าพี่คิดว่ามันง่าย มันก็ง่าย แต่ถ้าพี่ถอดใจก่อนจะเริ่ม มันก็จะยากแบบนี้แหละ” พี่เจดกุมขมับทันทีที่ผมพูดจบ หน้าตากังวลชวนให้สงสาร ผมไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรระหว่างทั้งสองคนนี้ แต่จะให้พูดโพล่งไปว่าลุยจีบเลย พี่เคมีชอบผู้ชายแล้ว ผมมั่นใจ เพราะเมื่อคืนเพิ่งได้กันมา...เอ่อ มันก็ไม่เกิดผลดีเป็นแน่ ใช่ไหมล่ะ

“...”

“ถ้าพี่ไม่จีบ งั้นผมจีบนะ”

“ไม่ได้” น้ำเสียงเข้ม ดังฟังชัด แจ่มแจ้งผิดกับท่าทางเมื่อครู่ลิบลับ

“ก็พี่มัวแต่ทำลีลา พี่เคมีน่ะทั้งหล่อ ทั้งรวย คุณสมบัติครบขนาดนี้ ถ้าเค้าสนใจผมขึ้นมา พี่ก็ห้ามไม่ได้หรอกนะ”

“หนึ่ง” แววตานั้นสลดมากกว่าจะโกรธ ท่าทางมีเรื่องกลุ้มใจ

“เล่ามา ผมฟังอยู่” เห็นทำท่าอ้าปากจะพูดแล้วหุบไปเฉยๆหลายครั้งทำให้ต้องเค้นคอคนตรงหน้า

“เล่าอะไร”

“อะไรก็ได้” ผมตอบ ยกแขนมาบิดขี้เกียจอีกที “ถ้ากว้างไป ก็เล่าเรื่องพี่กับพี่เคมีมาว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่ถึงไม่กล้าจีบ”

“มะ ไม่มีอะไร..”

“ถ้าพี่ไม่เล่า ผมไม่รับประกันนะว่าจะเลิกยุ่งกับพี่เค้า ดูอย่างวันนี้สิ ยังได้ติดรถมาแถมยังต้องแกร่วรอที่นี่อีก” ผมใช้แผนยั่วยุ เอาให้คิดมากจนอกแตกตายไปเลยจะดีกว่า ถ้าถามแล้ว ผมว่าพี่เคมีคงจะมีใจให้พี่เจดไม่มากก็น้อย แค่เพราะนิสัยชอบหนีปัญหาของบุรุษหนุ่มหล่อที่นั่งตรงหน้านี่แหละ ทำให้เรื่องที่ควรง่ายมันผูกปมยุ่งเหยิงไปอีก

“ถ้าพี่เล่า หนึ่งจะ..”

“ผมไม่บอกใครหรอกพี่ เผลอๆผมอาจจะช่วยพี่ได้อีกนะ” ออกตัวไปงั้นแหละ เอาจริงๆพี่เคมีก็หล่อ ดี(เรื่องอย่างว่า) ได้ควงออกงานคงดีไม่น้อย ไอ้เอกราชคนนี้คงดังคับมอเป็นแน่ที่ได้ควงเบ้าหน้าแบบนี้ ถึงแม้จะมีอะไรกันแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องรู้สึกหลงรักผู้ชายทุกคนที่เข้ามานะครับ ความใคร่กับความรัก มันคนละประเด็นกัน บางคนผ่านมาก็เพื่อช่วยผ่อนคลายความต้องการ แต่ไม่ต้องสานต่อความสัมพันธ์ใดๆทั้งนั้น สำหรับพี่เคมีก็เช่นกัน ถึงแม้ผมจะชอบหน้าตา ชอบรสสัมผัสยามเนื้อแนบกันมาก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกมากเกินกว่าคนหล่อคนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกดีชั่วครั้งชั่วคราว

“คือ...” ผมนั่งฟังพี่เจดเล่าความในใจอย่างตั้งใจ รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ได้รู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรกับเราตั้งแต่แรก การเผลอไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับน้องรหัส เอ๊ะ หรือแค่รุ่นน้องที่สนิทวะ... เอาเถอะ เอาเป็นว่าเพราะเรื่องนี้ พี่เจดเลยรู้ใจตัวเองว่ารักรุ่นน้องคนนี้มานานแล้ว แต่ไม่กล้าทำอะไรเพราะเห็นว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ก็แหงล่ะ แค่มองไม่มีทางรู้หรอกว่าพี่เคมีจะเป็นเมียใครได้ เพราะเรื่องวิวาทในครั้งนั้นทำให้ทั้งคู่มีอะไรกัน แต่ปัญหาหลักคือ พี่ฟิสิกส์ ที่ยื่นคำขาดให้พี่เจดเลิกยุ่งกับพี่เคมี

“ไร้สาระ” ผมสรุปสั้นๆหลังจากฟังทุกอย่างจบแล้ว ตัดความหงุดหงิดเรื่องที่โดนหลอกไปเป็นคู่ควงในงานบายเนียร์ออกไปแล้วด้วยนะ

“ระ ไร้สาระยังไง” แกดูลนลานเหมือนหนูติดจั่น ผมมองแบบหยั่งเชิงและชั่งใจว่าควรจะพูดต่อดีไหม

“พี่เจด” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่มาก มองหน้าคนหล่อ เรียนเก่งแต่กลับโง่เรื่องหัวใจอย่างเอือมระอา

“หืม”

“พี่รักพี่เคมีมั้ย”

“ก็รักสิ” ตอบมาทันทีแทบไม่ได้คิด

“พี่รักพี่ฟิสิกส์มั้ย”

“รัก แบบไหนวะ” น้ำเสียงดูงุนงง ครุ่นคิดมากกว่าคำถามก่อนหน้า

“แบบที่รักพี่เคมีน่ะ” ผมสังเกตใบหน้าจริงจังนั้นอย่างถี่ถ้วน หล่อสมบูรณ์แบบจริงๆ หล่อกว่าตงฉินเสียอีก

“ไม่” ตอบชัดเจนมากนะครับ

“เออนั่นสิ พี่รักพี่เคมี แต่กลับหนีหัวใจตัวเองเพราะพี่เค้าห้าม”

“ก็พี่นับถือ..”

“ไร้สาระ” ผมพูดคำเดิม ตอกย้ำ มองอีกฝ่ายที่ทำหน้างุนงง ก่อนที่จะถือโอกาสพูดต่อ

“เรื่องนี้เป็นเรื่องของพี่กับพี่เคมี พี่ฟิสิกส์เป็นพี่ชาย ไม่ใช่เจ้าของชีวิตใคร ถ้าพี่เคมีเขาชอบพี่รักพี่ พี่คิดเหรอว่าพี่ชายเขาจะห้ามได้”

“พี่เจดที่ผมรู้จักน่ะ เป็นคนที่เคยกล้าหาญมากกว่านี้นะ” อันนี้พูดเองแล้วก็ไม่มั่นใจเองด้วยนะผมน่ะ

“ถ้าพี่เอาแต่หนี พี่ก็ไม่มีสิทธิ์จะตามหึงผมหรือใครก็ตามที่มาป้วนเปี้ยนใกล้ตัวพี่เคมีนะครับ เพราะถือว่าพี่เลือกที่จะเฉยเอง ปล่อยโอกาสหลุดลอยไปเอง ไม่ใช่เพราะมีคนอื่นมาจีบปาดหน้าหรอก”

“แต่พี่...”

“ลืมคนชื่อฟิสิกส์แล้วเข้าไปคุยกับพี่เคมีซะ ถ้าพี่ไม่ทำ ผมจีบพี่เค้าจริงๆนะ” จากที่จะขู่ ตอนนี้คิดจะทำจริงละเพราะรำคาญ

“ไม่ได้”

“ไม่ได้ แต่ก็ไม่ทำอะไรเลยเนี่ยนะ ... ไร้สาระ” ผมพ่นลมหายใจแรงๆอย่างขัดใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องด้วยความหงุดหงิด เกลียดความไม่ชัดเจนแบบนี้เป็นที่สุด มันมีเยอะจนทำให้พาลนึกถึงคนที่ไม่อยากจะนึกถึง ใบหน้าของตงฉินลอยมาจนงุ่นง่าน แนะนำคนอื่นเสียดิบดี แต่เรื่องตัวเองยังคาราคาซังไม่เลิก ใจลอยได้ไม่นานก็มีคนทักมา

“อ้าวหนึ่ง ตื่นแล้วเหรอ”

“ครับพี่” เสียงพี่เคมีที่เพิ่งเดินเหงื่อท่วมออกจากห้องเชียร์ทักมาแต่ไกล ผมหยุดเดินก่อนหันไปยิ้มให้ ลอบมองแฟนเก่าที่นั่งจมจ่ออยู่ที่เดิมในห้องพักสต๊าฟด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“กลับเลยมั้ย เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“ผมกลับเองได้พี่ ฝนซาละ” อยากเปิดโอกาสให้พี่เจดได้คุยเปิดใจกับแกมากกว่า แต่คนนี้ท่าทางจะไม่รู้เรื่อง

“ไปเถอะ พี่ไปส่งได้ ทางผ่านพอดี”

“แต่พี่ไม่สบายนะครับ ผมว่าให้ผมขับรถไปส่งพี่ที่บ้านดีมั้ย” อันนี้แค่อยากกระตุ้นพี่เจดเฉยๆ ไม่ได้คิดจะขับไปส่งเองหรอกครับ ค่ารถกลับคอนโดคงหลายร้อย

“พี่ไหวน่า กินยาแล้ว สบายๆ” มนุษย์หนุ่มหล่อตัวสูงใบหน้าซีดๆฝืนยิ้มตอบ ผมได้แต่ส่ายหน้า

“บ้านพี่อยู่แถวไหนครับ”

“ราชพฤกษ์”

“โห ไกลมากนะพี่ ไม่ค่อยสบายแถมขับรถไกลอีก ให้ผมไปส่งมั้ย” เมื่อคนในห้องนั่งไม่ติด ต้องแกล้งซ้ำ

“มะ...”

“ไม่ต้องหรอก หนึ่งขับรถพี่ไปจอดที่คอนโดเรานะพี่ฝากไว้ก่อน” เสียงเข้มๆของผู้ชายหน้าจ๋อยเมื่อครู่แทรกขึ้น ผมไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำว่าพี่เจดเดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ คว้ากุญแจรถยนต์ที่โยนมาอย่างเงอะงะ ผู้ชายเบ้าหน้าหล่อเทพส่วนสูงโดดเด่นสองคนยืนประจัญหน้ากันชวนอิจฉา ทำไมพระเจ้าถึงไม่แบ่งอะไรดีๆมาให้ผมบ้างนะ คิดแล้วก็น้อยใจนะเว้ย!

“พี่จะทำอะไรน่ะ” เสียงพี่เคมีลนลานถามเมื่อโดนมือใหญ่ของรุ่นพี่ล้วงฉกกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์แนบเนื้อ

“ปะกลับ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“เห้ยพี่ ไม่ต้องผมกลับเองได้” พี่เคมีโวยวายและขัดขืน ขนาดตัวพอกันเลยทำให้ขลุกขลักไปหมด คนหนึ่งจะลาก คนหนึ่งจะหนี

“อย่าขัด ไม่งั้นพี่จะอุ้มเรานะ” อุ้มเลย อุ้มเลย อยากเห็นยักษ์อุ้มยักษ์

“ไม่ต้อง ผมเดินเองได้” พี่เคมีหน้าแดง ผมอมยิ้มก่อนจะยักคิ้วส่งให้พี่เจดที่กำลังร่าเริงอย่างผิดหูผิดตา มือใหญ่คว้าข้อแขนคนที่ยืนโงนเงนก่อนถูกสะบัด

“บอกว่าอย่าขัดไง หรือจะให้พี่ตะโกนบอกทุกคนว่าเค็มเป็นเมียพี่ แถมตอนนี้กำลังป่วย ผัวเลยต้องดูแล”

“ใครเมียพี่” ถึงน้ำเสียงจะเข้มเชิงด่าแต่พี่เคมีหูแดงไปหมด พี่เจดขยับปากเป็นคำว่าขอบคุณมาทางนี้ ผมยิ้มร่าก่อนจะจ้ำอ้าวออกจากที่นี่ เหม็นเบื่อความรัก ... เอาตรงๆคืออิจฉา เห็นผู้ชายสองคนเดินเคียงกันไปอย่างแง่งอนแล้วกรุ้มกริ่มหัวใจเบิกบาน หวังว่าผลบุญที่ทำวันนี้ จะช่วยลบล้างบาปกรรมที่แอบไปซั่มกับเมียพี่เจดได้บ้างไม่มากก็น้อยนะ

#### ####

[เจด ชิติพัทธ์]

             ผมจอดรถคันงามหน้ารั้วบ้านที่ปิดไฟมืดสนิท กว่าจะฝ่าสายฝนจากมหา’ลัยชานเมืองมายังฟากฝั่งราชพฤกษ์ก็ดึกเอาการ คนข้างๆหลับตั้งแต่ขึ้นรถ ผมปรับแอร์ให้อุ่นเพราะกลัวอาการไข้จะย่ำแย่ มองใบหน้าหล่อที่หลับไหลอย่างหวิวใจ ทำไมผมถึงไม่กล้าทำตามหัวใจตัวเองนะ ทำไมจะต้องกลัวกับคำขู่ของพี่รหัสตัวเองที่พูดไว้ด้วย ทั้งที่ความจริงก็เหมือนที่น้องหนึ่งพูดเอาไว้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของผมกับเคมีเท่านั้น ถ้าไม่คุยกันก็เท่ากับว่าผมปล่อยเขาให้หลุดลอยไปเอง ไม่ใช่เพราะคำสั่งพี่ชายคนสนิท ... ตัวไม่ร้อนเท่าตอนกลางวันพอให้เบาใจลงมาหน่อย อยากเช็ดตัวให้อีกครั้งจัง

“พี่ต้องทำยังไงดีวะเค็ม” ผมลูบไรผมตรงหน้าผากอย่างแผ่วเบา ลมหายใจราบเรียบแสดงให้รู้ว่ายังหลับลึก เสียงประตูรั้วเปิดกว้าง ผมเข้าเกียร์และพารถไปจอดอย่างคุ้นเคย ร่างสูงของพี่ฟิสิกส์จับจ้องมาเหมือนมีอะไรจะพูดด้วย ผมไม่ดับเครื่องแค่เปิดประตูและลงมาคุยกับพี่รหัส

“มึงยังวุ่นวายกับน้องกูอีกทำไมวะ” น้ำเสียงดุดัน ผมได้แต่เงียบ เราเคยสนิทกันมาก แต่พี่ฟิสิกส์นั้นไม่รู้เลยว่าผมชอบเพศเดียวกัน ท่าทางที่แกแสดงออกนั้นมันคือเจ็บปวด โมโหและน้อยใจที่ผมไม่เคยบอกอะไรเลย

“ผมขอโทษพี่ แต่ผม...” ถ้าไม่พูด ถ้าหนี ผมก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว ... “ผมรักเค็ม”

“มึงบอกกูทำไม” ร่างสูงพอกันกระชากคอเสื้อผลักผมไปชนกับกำแพงหนาจนเจ็บไปหมด

“ผมขอโทษ ผมห้ามใจตัวเองแล้ว แต่ผมทำไม่ได้” ผมสบสายตานั้นอย่างเว้าวอน หวังว่าจะได้รับความเห็นใจกลับมา

“คนอย่างมึงแม่ง” พี่ฟิสิกส์ปล่อยมือ ใบหน้าแดงเต็มไปด้วยโทสะ “ไม่น่าเป็นน้องกูเลยจริงๆ”

“ผมขอโทษพี่” มันมีแต่คำนี้ที่พูดออกมาได้ อยากให้มีคำพูดมากกว่านี้ออกมาเพื่อขอความเห็นใจ แต่ผมก็ทำไม่ได้ “ผมขี้ขลาด ผมมันเลว ที่ผ่านมาผมหนีความจริง ผมไม่เคยบอกพี่ว่าผมเป็นเกย์เพราะกลัวพี่จะรังเกียจ กลัวพี่จะรับไม่ได้ว่าน้องรหัสที่พี่สนิทด้วยเป็นแบบนี้ ผม...”

“มึงกลับไปก่อนเถอะ กูยังไม่อยากคุยอะไรตอนนี้”




ประกาศจ้า.....สำหรับนิยายเรื่อง เตี้ยนักจะรักปะล่ะ
วันนี้ (16/1/64) ไรต์เพิ่งลงตอนที่ 26 ให้ได้อ่านฟรีไปแล้ว
แต่....สำหรับตอนที่ 27 นั้น
แฟนๆสามารถอ่านตอนต่อไปในระบบสนับสนุนได้ล่วงหน้า 7 วันได้แล้ว
ถึง 4 เว็บด้วยกัน
.
.
#หมายเหตุ :: สำหรับคนที่รอได้ สามารถอ่านตอนที่ 27 แบบฟรีๆในวันเสาร์หน้านะครับ
ได้แก่
.
.

1. Fictionlog :: https://fictionlog.co/c/60028eb6cdc38c001bb8f287
.
2. ธัญวลัย :: http://www.tunwalai.com/chapter/5615219/%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88-27-%e0%b8%a5%e0%b8%b0%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%9e%e0%b8%a4%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1
.
3. readAwrite :: https://www.readawrite.com/c/159f09cdd65ec101d2de64c607c2f3c9
.
4. Kawebook :: https://www.kawebook.com/story/4275/240877/%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2/%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B0--My-Dearest-20-cm/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-27-%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1
.
.
ฝากนิยายฟินๆไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนด้วยนะครับ
.
.
#จากต้นจนอวสาน #นิยายวาย #นิยายวัยทำงาน
#นิยายY #นิยายรัก #SexyGuys
#นิยายน่าอ่าน #นิยายฟรี #นิยายดีๆ
#นิยายดี #นิยายฟินๆ #นิยายฟิน
#เตี้ยนักจะรักปะล่ะ #MyDearest20cm
#นิยายวัยรุ่น #เฟรชชี่ #รักวัยเรียน #รักต่างไซส์
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 26 P.4 Up 16 ม.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 16-01-2021 21:41:35
น้องหนึ่งแมนมากอ่ะ ถ้าพี่เจดใจแมนๆ แบบน้องหนึ่งอาจจะได้เป็นแฟนกับเคมีไปแล้ว  ส่วนน้องหนึ่งกลับไปเคลียร์เรื่องตัวเองให้เรียบร้อยได้แล้วนะ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 26 P.4 Up 16 ม.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าน้อย ที่ 18-01-2021 06:51:31
ตอน27ฟินมาก รอตอนต่อไปอยู่คนค่ะ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 27 P.4 Up 23 ม.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 23-01-2021 12:45:02
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 27. ละลายพฤติกรรม

[ตงฉิน]

             นับแต่เดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่มายังไม่มีใครรับรู้การมาถึงของผมแม้แต่น้อย เอาเถอะ...มันไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับลูกชายคนเล็กของบ้านที่ไม่ค่อยมีคนรักอยู่แล้ว นิสัยผ่าเหล่าผ่ากอมันมาเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น ทั้งเรื่องการไปเป็นดารา มีลูกก่อนวัยอันควร หรือแม้กระทั่งการหนีไปอยู่คอนโด ผมทำทั้งหมดเพื่ออะไรกันหนอ บางครั้งก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ ที่รู้ก็มีเพียง อยากให้ใครสักคนสนใจและเป็นห่วง ทั้งที่รู้เต็มอกว่าเป็นไปได้ยากแค่ไหน

             วันนี้ผมไม่มีเรียนช่วงบ่าย หลังจากอึดอัดเพราะไอ้หนึ่งเอาแต่หลบหน้า แถมไอ้โทก็ขลุกอยู่ห้องของขวัญใจจนเหลือเราสองคนใช้ชีวิตแบบแกนๆในห้องสี่เหลี่ยม ปกติไอ้หนึ่งเป็นคนพูดเก่ง แต่หลังจากผมโพล่งกับมันไปว่าไม่ชอบการกระทำที่เกิดขึ้น มันก็เปลี่ยนไป เหลือแต่ความเย็นชา หน้าตาที่อึดอัดตอกย้ำว่ามันอยากจะย้ายออกจากคอนโดมากแค่ไหน ที่ยังทำไม่ได้ก็เพราะมันยังขาดเงินในการมัดจำที่พักใหม่ ยิ่งกลางเทอมเช่นนี้ ห้องพักราคาประหยัดต่างถูกจับจองไปหมดแล้ว เหลือแต่ห้องพักที่ราคาแพง มันไม่ค่อยมีทางเลือกเท่าไหร่นอกจากทนอยู่ด้วยกันไปก่อน

             ท่าทีห่างเหินของพวกเราไม่มีใครรับรู้ เพราะปกติผมจะไม่ค่อยได้เข้าเรียนเนื่องจากติดถ่ายละครหรือไม่ก็เมาจนลุกไปเรียนไม่ได้ ต่อให้ไปเรียนพร้อมกันแต่พวกเราก็เว้นระยะห่างตั้งแต่แรก ไม่มีใครเอะใจในความสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่เกิดขึ้น เวลาอยู่กันเป็นกลุ่มก็ไม่ค่อยได้คุยกัน มันไม่รู้ว่าเริ่มจากตรงไหน แต่มันก็เป็นไปแบบนี้มาตลอด

“ใจลอยอะไรวะไอ้ตง” ไอ้คิ้ว เพื่อนในกลุ่มที่นั่งเรียนคาบเช้าอยู่ข้างๆถามออกมาเมื่อเห็นว่าผมเหม่อ ไม่ได้จดที่อาจารย์สอน

“ปละ เปล่า ง่วงนิดหน่อย” พวกมันชินกับนิสัยขี้เกียจเข้าเรียนของผมเสียแล้ว พอไอ้คิ้วเงียบ เสียงอาจารย์ที่กำลังบรรยายอยู่ก็เข้าโสตประสาท ความง่วงเริ่มเข้ามาเกาะเปลือกตา พอสะบัดหน้าไปมาก็พอช่วยได้ สายตาผมลอบมองใบหน้าไอ้หนึ่งที่กำลังจับมือถือเลื่อนดูอะไรบางอย่าง...แล้วมือถือที่วางไว้ข้างหนังสือเรียนก็สั่นขึ้นมา

หนึ่งโทรสองโท : **ส่งรูป**

(https://s3.ap-southeast-1.amazonaws.com/media.fictionlog/chapters/60028eb6cdc38c001bb8f287/600bb972FM19VXkP.jpeg)

หนึ่งโทรสองโท : มึงไปถ่ายแบบชุดว่ายน้ำตอนไหนวะ

TongChin : สักพักละ

หนึ่งโทรสองโท : ไหนมึงบอกว่าจะไม่ถ่ายแนวนี้

TongChin : ทำไมจะถ่ายไม่ได้ล่ะ

หนึ่งโทรสองโท : เออ ช่างเถอะ


             เราสองคนสบตากันหลังจบบทสนทนา มันทำหน้านิ่งเรียบ แต่แววตาฉายแววโกรธ เรื่องนี้ผมเองที่ผิดเพราะไปสัญญากับมันว่าจะไม่ถ่ายแบบแนวเซ็กซี่หรือชุดว่ายน้ำหลังจากที่มีอะไรกันครั้งก่อนๆ เพราะมันบังเอิญเห็นข้อความชักชวนที่ส่งจากทีมงานนิตยสารจึงบอกว่าไม่ชอบที่เห็นคนของตัวเองถ่ายภาพโชว์เรือนร่างให้ใครต่อใครเห็น หลังจากนั้นพวกเราก็มึนตึงกัน ผมจึงตัดสินใจรับงานถ่ายแบบชุดว่ายน้ำนี้ ซึ่งกระแสตอบรับดีมากจากแฟนคลับ ... แต่ก็ไม่ใช่กับไอ้หนึ่ง

“เย็นนี้เจอกัน” หลังจบคลาสพวกเราก็ออกมาหาอะไรกินง่ายๆที่โรงอาหารรวม ไม่นานผมก็บอกลาเพื่อนๆที่มีเรียนต่อ เรานัดแนะเวลาและสถานที่กันเรียบร้อยเนื่องจากที่บ้านจะจัดงานฉลองวันเกิดให้ เมื่อทุกคนเดินพ้นสายตาผมก็เดินไปที่รถ

ก๊อกๆ ...

             เสียงเคาะกระจกฝั่งตรงข้ามดังขึ้น ผมปลดล็อกอย่างเคยชิน ใบหน้าบึ้งตึงของไอ้หนึ่งสบตาและเข้ามานั่งในรถอย่างคุ้นเคย ไม่มีใครพูดอะไรกันตลอดทาง มีแต่เสียงเพลงจากวิทยุทำลายความเงียบที่แสนอึดอัดนี้ โชคดีที่ช่วงบ่ายรถไม่ติดมากนัก เราจึงใช้เวลาแค่ 10 นาทีก็ถึงคอนโด

             ประตูห้องปิดสนิทและเสียงล็อกอัตโนมัติทำงานบ่งบอกว่าเรายืนมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วนที่ทางเดิน ไม่มีใครเอ่ยอะไรทั้งนั้น ใบหน้าของอีกคนก็ยังเฉยเมย ผมถอนหายใจกับอาการที่เห็น รู้สึกหงุดหงิดใจบ้างที่มันทำตัวราวกับเป็นเจ้าเข้าเจ้าของชีวิต หรือคำพูดที่บอกไปยังไม่ชัดเจนว่าผมไม่ต้องการสานต่อความสัมพันธ์ใดๆกับมันอีก แต่การที่ปล่อยให้มันขึ้นรถมาด้วยแบบนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่แปลก ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ทำ เมื่อต่างคนต่างอึดอัด ผมเลยเดินออกมาจากตรงนั้นเพื่อไปเก็บของในห้องนอน

หมับ!

“อื้อ ทำอะไรวะ” ผมโวยวายเพราะถูกแรงจับนั้นเหวี่ยงจนล้มบนเตียง ไอ้หนึ่งตัวเล็กกว่าผมตั้ง 20 เซ็นติเมตร แต่แรงกระชากนั้นเกินตัวอย่างน่าตกใจ มันไม่ตอบคำถามแต่กลับคร่อมบนตัวผมที่ไม่ทันตั้งตัว บั้นท้ายของมันกดน้ำหนักลงเอวจนขยับลำบาก มือทั้งสองบีบข้อมือผมไว้แน่นในท่าที่คุ้นตา ใบหน้าเราทั้งคู่แทบจะชนกัน ลมหายใจร้อนแรงรดรินกระทบซึ่งกันและกัน

“จะทำอะไรวะ ปล่อย” ผมดิ้น แต่กลับสู้แรงมันไม่ได้ ใบหน้าของคนข้างบนบ่งบอกว่าไม่เป็นมิตรเพราะแดงไปหมด มันแสยะยิ้มในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แววตากราดเกรี้ยวชวนให้ขนลุกอย่างสยอง ไม่มีการตอบกลับจากคนๆนี้ มันซุกใบหน้ามาไซร้ที่ใบหู ผมร้องลั่นอย่างโมโหเพราะไม่ชอบที่ถูกจู่โจมแบบนี้ แต่ไอ้รูมเมตกลับเลียหลังหูจนขนลุกวาบไปทั้งตัว มันรู้ว่าตรงไหนคือจุดอ่อนของผมเป็นอย่างดี แรงขัดขืนยังมีมากแต่แรงฉุดรั้งกลับมากกว่า ใบหน้าคุ้นเคยของมันดอมดมละเลงลิ้นซอกคอจนเสียวไปหมด ลมหายใจผมหอบถี่อย่างคนแพ้ จุดอ่อนถูกเล่นงานจนอ่อนเปลี้ย

             กลีบปากของมันระดมจูบริมฝีปากที่ไร้เสียงของผมอย่างบ้าคลั่ง แรงบดเบียดรุนแรงกว่าครั้งไหนๆ มันดุนดันดูดกลืนสติของผมจนแห้งเหือด ข้อมือที่เป็นอิสระกลับลูบไล้แผ่นหลังของคนตัวเล็กที่กระชากเสื้อจนกระดุมหลุดรุ่ย ใบหน้าฉายแววหื่นกระหายอย่างเย้ายั่วก่อนผละรสจูบเลียลิ้นไล้ไปตามแนวร่างกายผ่านลูกกะเดือกจรดหน้าอกที่ไหวระริก ใบหน้าของนักล่าสูดดมกลิ่นกายผมอย่างสยิว แรงต่อต้านแปรเปลี่ยนเป็นความต้องการที่ปลดเปลื้อง

“อ๊า...” ผมร้องเสียงกระเส่าเมื่อถูกดูดคลึงที่ยอดอก สองแขนขยับกระชากเส้นผมของอีกฝ่ายไปมาอย่างเสียวซ่าน บั้นท้ายบิดยกตามแรงกระชากจนกางเกงสแล็กหลุดไปอยู่มุมหนึ่งของเตียง ลิ้นสากของไอ้หนึ่งยังฉกเวียนว่ายไปทั่ว ผมกลั้นหายใจเมื่อจมูกโด่งของคนตัวเล็กดอมดมกับแก่นกายที่แข็งขืน แรงดูดเฟ้นโลมเลียส่วนหัวทำให้ตัวบิดงอ สองขาโยกยกเป็นตัวเอ็มตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ นิ้วมือของมันปาดไปมาเสียดสีกับปากทางแคบไปมาจนสะโพกกลมกลึงส่ายร่อน

“อย่า อ๊า อ๊า...” แรงรูดคลึงเข้าออกของปากหนาเร่งเร้า ผมตาพร่ามัวอย่างหลงระเริง ความเสียวกระสันโจมตีจนหนีไปไหนไม่รอด ตั้งแต่พลาดท่าให้พี่สุชาติไปเมื่อนานมาแล้ว ผมก็เอาตัวรอดจากแกมาได้โดยตลอด ไม่ว่าจะถูกจู่โจมหรือหลอกล่ออย่างไรก็ไม่เคยตกอยู่ในสถานะการณ์เช่นนี้เลยสักครั้ง แต่กลับถูกผู้ชายที่รูปร่างเล็กกว่าตัวเองตั้งมากจัดการอย่างง่ายดาย

“เอาเจลมาหน่อย” เสียงสั่นเครือกึ่งอู้อี้ของไอ้หนึ่งสั่งมาทั้งที่ยังมีของสงวนผมคาปากนั้น ร่างกายร้อนผ่าวบิดไปมาอย่างคนบ้ากลับใช้มือควานไปทั่วหัวเตียงอย่างไม่เข้าใจตัวเอง แขนยาวของผมจับกระปุกพลาสติกสีโทนม่วงขนาดเกือบจะเท่าของคนที่กำลังโลมเล้าไปยื่นให้ ความเย็นของเมือกทำให้บั้นท้ายตอดขมิบอย่างไม่ตั้งตัว ผมหวิวโหวงทั่วทรวงอกเหมือนหายใจไม่ทันก่อนจะถูกแรงบดเบียดกระชากให้ลมหายใจที่อัดอั้นทอดถอนสุดแรง

“อ๊า ย่ะ อย่า มันเสียว” นิ้วหนาของไอ้หนึ่งสอดคว้านในตัวผมอย่างบ้าคลั่ง มันไม่รอท่าใดๆกลับกดย้ำตรงจุดกระสันจนเคลิ้ม ความเจ็บแปลบปลาบปนเปกับความเสียวซ่านจนทำตัวไม่ถูก แรงตอดรัดถาโถมใส่นิ้วที่สองที่ถูกแทรกมาไม่กี่วินาทีหลังจากนิ้วแรก

“เฮือก! อื้ออออออออออออ” ผมร้องครางอย่างปวดปร่า มันแน่นในตัวไปหมด นิ้วของมันไม่ใช่เล็กๆแต่กลับแทรกเข้ามาในตัวอย่างรวดเร็วจนต้องผวา ความเจ็บตึงเหมือนกล้ามเนื้อฉีกขาดทำให้น้ำตาไหลอย่างไม่รู้ตัว ผมหลับตาแน่นพลางผ่อนลมหายใจให้ช่วงล่างคลายอาการบีบตัว ไอ้หนึ่งบิดนิ้วไปมาจนแสบไปทั่วตรงจุดนั้น ผมร้องครางกระเส่าเป็นจังหวะตามแรงสอดใส่ เสียงของเหลวไหลเข้าออกตามแรงขยับดังน่าเกลียด สองมือผมจิกไหล่หนาของรูมเมตไว้แน่นเพื่อระบายความคับข้อง เวลาเหมือนผ่านนานเท่าไหร่ไม่รู้แต่ร่องแคบที่เคยฝืดคับกลับคุ้นเคยแรงบุกรุกตัวเข้าออก ของเหลวเย็นยะเยือกถูกราดลงมาซ้ำจนต้องขมิบก่อนนิ้วที่สามจะแหวกว่ายมาสมทบ

“ฮื้อออออออออออ เจ็บ อ๊า” ผมร้องลั่น ความเจ็บแล่นพล่านไปทั่วบั้นท้าย ลุกลามมาตามแนวกล้ามเนื้อต้องกัดปากจนห้อเลือด ผนังแคบถูกขยายที่ทางจนตึงปร่า ผมกลั้นลมหายใจหนักหน่วงรับรู้ถึงความแสบของเหงื่อที่ไหลโทรมเข้าตาอย่างเลี่ยงไม่ได้ สองขาบิดไปมาที่คอแกร่งของคนโหดร้ายคนนั้น แก่นกายที่เคยผงาดกลับสลบแน่นิ่ง

“อื้อ อื้อ อื้อ” ผมร้องครางอย่างอ่อนแรงปล่อยให้เพื่อนสนิทใช้เวลากับตรงนั้นอย่างเต็มที่ เรี่ยวแรงที่จะต่อต้านเหือดหายไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ รู้เพียงว่าจะต้องให้มันทำเช่นนี้ก่อนเพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากไอ้นั่นของมัน

             ตัวผมโล่งสบายขึ้นเมื่อนิ้วที่รุกรานถอนตัวออก สองขาที่ถูกวางพาดคอยกสูงตามจังหวะขยับ ไอ้หนึ่งโน้มตัวมาทับโดยที่บั้นท้ายผมถูกยกขึ้น เข่าทั้งสองแนบอกจนหายใจติดขัด ใบหน้าเราประชิดกันอีกครั้ง แต่ครานี้แววตาของมันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เราจับจ้องกันอยู่ไม่นานก่อนจะตะกายตัวเพื่อแลกรสจูบที่เร่าร้อนอย่างหิวกระหาย สองแขนผมคว้าคอมันไว้แน่น ตอนนี้ทั้งขาและแขนผมเกี่ยวกระหวัดตัวของมันอย่างแน่นหนา รับรู้ถึงแรงกระชับที่แก้มก้นทั้งสองราวกับดอกไม้คลี่บาน

“อ๊ะ อื้อออออออออออออออออ” ผมร้องอื้ออึงและบดปากตัวเองอย่างหนักหน่วงกว่าเดิมเมื่อส่วนบานใหญ่มุดเข้ามาในตัวได้ มันแน่นขนัดและฝืดคับแหวกช่องน้อยให้เปิดขยายอย่างไม่ปราณี กล้ามเนื้อที่ถูกรุกรานเจ็บแสบไปหมดเนื่องจากไม่ชินชากับขนาดอันใหญ่โตที่ผ่านเข้าไป ผมจิกมือกับแผ่นหลังของเพื่อนสนิทอย่างแรงหวังให้อีกฝ่ายลดแรงดึงดัน แต่กลับกลายเป็นว่ามันส่งแก่นกายใหญ่โตเข้ามาพรวดพราด แรงกระแทกหนักหนาจนขาสั่นไปหมด ช่องแคบตอดรัดเบิกอ้าโอบอุ้มความแข็งขืนอย่างอ่อนล้า บั้นท้ายของคนที่อยู่ด้านบนยกห่างก่อนจะส่งความกำยำไหลรูด ผมผวาเฮือกอย่างบอบช้ำ

“อื้อ อื๊อๆๆๆๆๆๆ” เสียงจูบของเราดังมากแต่ยังไม่เท่าเสียงครางที่พยายามเปล่งออกมา ร่างกายผมเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อไหลเยิ้มบิดไปมาอย่างยอมจำนน เรือนร่างแข็งแรงของคนตัวเล็กเคลื่อนไหวเป็นจังหวะยาวโยก แก่นกายเขื่องเคลื่อนที่เข้าไปอย่างไม่ลดละจนต้องยอมแหวกสองขาให้มากขึ้น

“เฮือก!” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อแรงอัดสุดท้ายกระทบด้านในอย่างแรง ความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามสอดกายเข้ามาจนมิด แรงเบียดเสียดของเส้นขนกับปากทางแคบคันยุบยิบ

“อื้ออออออ อื้อๆๆๆๆ” ผมทุบหลังมันไปมาเมื่อบั้นท้ายของไอ้หนึ่งบดเบียดปากทางราวกับกำลังวาดวงกลม แรงเสียดสีทำให้ความคันยิบๆเปลี่ยนเป็นความเสี่ยวซ่านอย่างไม่เคยได้รับมาก่อน ความใหญ่โตในตัวก็ขยับไปมาอย่างไร้ความสงสาร ผมดิ้นพล่านคล้ายกำลังจะสิ้นใจเสียตรงนั้น

สวบ!

“อ๊าๆๆๆๆๆ” แรงถอนกายจนไหลหลุดก่อนแทงย้ำเข้ามาจุดเดิมทำให้ผมผละการจูบและร้องลั่น ก่อนจังหวะถอนกายเข้าออกเกือบจะสุดลำกระหน่ำมาถี่ยิบทำให้เสียงครางพร่าเลือนไปหมด รู้สึกแสบร้อนที่ปากถ้ำอย่างหนักคาดว่าความเสียหายน่าจะไม่น้อย ไอ้หนึ่งถาโถมความดิบเถื่อนใส่ตัวอย่างไม่ลดละ แรงปะทะของพวกเราก่อให้เกิดเสียงคำรามกึกก้อง เรือนร่างสอดประสานอย่างไร้ที่ติ ความขุ่นเคืองแห้งหาย ผมครางกระเส่าอย่างเคลิ้มใจ

“มึงเป็นของกู” ไอ้หนึ่งเริ่มพูด ผิดกับผมที่มีแต่เสียงคราง “มึงเป็นของกูคนเดียวเท่านั้นไอ้ตง”

“อื้อ อื้อ...” ได้ยินประโยคแสดงความเป็นเจ้าของชัดเจนแต่กลับไม่อาจโต้ตอบอะไรได้ ความเสียวซ่านโลดแล่นมากเกินไป

“มึงจะเป็นของใครอีกไม่ได้ มึงเข้าใจมั้ย”

“อื้ออออออออออออ”

“เข้าใจมั้ย” ครั้งนี้มันตะคอก พร้อมกับส่งแรงอัดจนจุกท้องน้อยไปหมด ผมอ้าปากหวอเพราะมันแรงจนตาเบิกกว้าง

“อ๊ะ อื้อ ขะ เข้าใจ อ๊าๆๆๆๆๆ” ผมเป็นคนตัวสูงใหญ่ กล้ามเนื้อสวย ไม่ใช่ผู้ชายบอบบางที่ต้องได้รับการดูแลแถมยังมั่นใจว่าตัวเองแข็งแรงมากอีกด้วย แต่จังหวะขยับไหวโยกจากการถูกทิ่มแทงหนักหน่วงเช่นนี้ทำให้ต้องคิดใหม่ ความเจ็บปวดหนึบหนับเปลี่ยนเป็นความสุขที่เอ่อล้นบีบรัดรุนแรงจนเกินห้ามใจได้ กลิ่นกายยั่วยวนของรูมเมตกระตุ้นแรงปรารถนาที่ซุกซ่อนไว้ในส่วนลึกให้เผยตัว ผมร้องลั่นห้องอย่างไม่อายหากจะมีใครเข้ามาเห็นจังหวะกระแทกกระทั้นนี้

“มึงบอกมาสิ ว่ามึงเป็นของใคร”

“อื้อ ขะ ของมึง อ๊า” ผมหมดแรงต่อต้าน บทรักดุดันลดทอนอีโก้ของตัวเองจนหมดสิ้น เหลือเพียงเชื้อไฟแห่งความต้องการมากกว่านี้ฉายวาบเผาไหม้ตัวตนที่ปกปิดไว้จนหมด ผมออกแรงเฮือกสุดท้ายจนคนที่คร่อมอยู่หยุดจังหวะจาบจ้วง

“จะทำอะไร” มันถามด้วยแววตาสงสัย ผมไม่ตอบ ขืนตัวเองให้ลุกเพื่อผลักอีกคนให้นอนหงายราบลงกับที่นอน

“มึงทำให้กูเป็นแบบนี้เองนะ มึงต้องรับผิดชอบ” มือใหญ่ของผมเกาะกุมแก่นกายของมันไม่มิด สะโพกกลมแน่นที่เป็นอิสระจากแรงเคลื่อนไหวจดจ่อไปที่ส่วนบานใหญ่โตนั้น ผมคร่อมตัวมันไว้อย่างแน่นหนาสบสายตาเว้าวอนหยาดเยิ้มของคนที่นอนราบอย่างหวาดหวิว ความเจ็บปร่าแล่นพรวดเมื่อกดน้ำหนักลงไปกอดกระชับความร้อนระอุนั้น ร่างกายสั่นเทาราวกับจะฉีกเป็นเสี่ยงๆ สัมผัสหยาบโลนทะยานความยาวลึกมาเรื่อยๆจนต้องกลั้นลมหายใจหลายต่อหลายครั้ง

“ย่ะ ใหญ่ชิบ อ๊า”

“ชอบมั้ยล่ะ” มันถามทั้งที่หน้าบิดเหยเกจากความเสียว

“มาก อื้อ อ๊า”

“มึงเป็นของกู อื้อ”

“ใช่ อ๊า...” ผมหวีดลั่นเมื่อส่วนสุดท้ายไหลครูดมาจนหมด ทรุดตัวแนบกับร่างแกร่งที่อยู่เบื้องล่างอย่างอ่อนล้า ความเจ็บปวดที่เล่นงานอยู่นี้มากมายจนขยับไม่ได้ แต่ไอ้หนึ่งใจร้ายมากกว่านั้น มันใช้สองมือกระชับที่บั้นท้ายให้อยู่กับที่ก่อนจะส่งแรงอัดจากด้านล่างกระทบจนท้องน้อยจุกแน่นเปลี่ยนเป็นเสียววาบอย่างที่สุด

#### ####

ก๊อกๆ

“ใคร” ผมหยุดความคิดที่แล่นในหัวและปล่อยแก่นกายให้เป็นอิสระ ก่อนเอามาห่มมาคลุมตัว ห้องนอนเย็นจนหนาวเพราะไอแอร์ที่ทำงานมาตั้งแต่ชั่วโมงก่อน

“ป้าเองค่ะคุณตง คุณท่านเรียกหาคุณตงน่ะค่ะ” แม่บ้านส่งเสียงบอกมาจากด้านนอก ผมตอบรับอย่างหงุดหงิดเพราะกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนจะกลับมาบ้าน รอให้ทุกอย่างสงบก็เดินขัดๆไปที่ห้องทำงานของประมุขของบ้าน แสงไฟในบ้านเปิดสว่างไปทั่ว ไฟกระพริบส่องประกายวิบวับอยู่ตรงสนามหญ้าด้านนอกส่งผ่านกระจกบานใหญ่ขึ้นมา เวทีเล็กๆถูกจัดเตรียมอย่างดี ประดับด้วยซุ้มดอกไม้ราวกับเป็นงานแต่งงานมากกว่างานวันเกิด ลูกชายทั้งสองของผมวิ่งเล่นซุกซนไปมาท่ามกลางการดูแลของพี่สาวคนโต แขกเหรื่อของพ่อกับแม่ทะยอยมากันบ้างแล้ว คุณนายของบ้านเลยต้องออกไปรับแขก พอเดินมาไม่นานก็ถึงห้องทำงานขนาดใหญ่ของพ่อ

“ป๊าเรียกเหรอ”

“เคาะประตูก่อนเป็นมั้ย” ด่าอีกละ ผมเลยประชดโดยการเคาะปังๆๆๆๆ เสียงดังลั่น

“พอ” น้ำเสียงหนักแน่นสั่ง ผมเดินอาดๆไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ระยะห่างของเรามีแค่โต๊ะทำงานไม้สีน้ำตาลเข้มเท่านั้นที่กั้นไว้

“ป๊ามีอะไร” น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นจงใจจะกวนโมโห นั่งบนเก้าอี้อย่างแรงจนก้นกระแทก ความเจ็บเล่นงานจนแทบสะดุ้ง

“นี่” ผมรับเอกสารที่ถูกโยนมาอ่าน มันเป็นบทซีรี่ย์เรื่องใหม่กับบทชายรักชาย ไม่แปลกใจหรอกที่พ่อจะรู้และได้บทมาก่อนผม เพราะรวยและอำนาจล้นมือขนาดนี้ “บอกปัดไปซะ”

“ป๊าทำแบบนี้ทำไม” ถึงผมจะมีงานแสดงอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่เคยได้รับบทบาทแบบนี้มาก่อน พอได้อ่านบทแล้วน่าสนใจ มันเป็นเรื่องของหนุ่มหล่อเดือนวิศวะตกหลุมรักคุณหมอตัวเล็ก พล็อตเรื่องออกจะน่าเบื่อแต่ตัวบทน่ารักมาก

“ยังจะถามอีกว่าทำไม ใจคอเอ็งจะให้คนเค้ามองตระกูลเรายังไงห๊ะ” เสียงนั้นเปลี่ยนเป็นตะคอกในช่วงท้าย

“ก็แค่ละคร” มันมีบทจูบ มีฉากเลิฟซีนเบาๆที่ต้องแสดง ผมไม่คิดมากเรื่องพรรค์นี้หรอก แต่ผู้เป็นพ่อนั้นคิดต่างออกไป สิ่งที่แกเป็นห่วงคือ พี่ต่อ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแล้วก็นามสกุลของตัวเองเท่านั้น

“ถ้ามันเป็นแค่ละคร เอ็งก็บอกปัดไปสิ” ผมกำหมัดแน่น หน้าร้อนวาบไปหมดเพราะความโกรธ มันไม่แปลกหรอกที่พ่อจะบงการชีวิต ที่ผ่านมาผมก็ไม่ใช่ลูกรักอยู่แล้วนี่ ในหัวพาลนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาในอดีต ตอนที่ผมร้องไห้ขอร้องว่าอยากไปเรียนที่อเมริกากับพี่ต่อ แต่ผู้เป็นพ่อกลับทัดทานอย่างหนัก ผมประชดด้วยการไปแคสติ้งเป็นดาราจนกระทั่งเสียตัวให้ผู้บริหารของค่ายเสียได้

“ก็ได้ ถ้าป๊าต้องการแบบนั้น” เมื่อป่วยการที่จะขัด การเลือกที่จะเออออกับสิ่งที่เขาต้องการมันดีกว่าเป็นไหนๆ ผมไม่ใช่เด็กที่จะต้องร้องไห้ร้องขออนุญาตจากผู้ปกครองคนนี้อีก ถ้ายืนกรานจะทำก็ไม่พ้นโดนด่า มันเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบ มันกัดกินความสุขของตัวเองไปเปล่าๆ ใช่ว่าไม่ได้แสดงเรื่องนี้จะไม่มีเรื่องอื่นเสนอมาอย่างงั้นแหละ

“สักวันแกจะเข้าใจ” ท่าทางอารมณ์จะเย็นลงเพราะผมตอบรับแทนที่จะต่อต้าน สังเกตจากสรรพนามที่เปลี่ยนไป

“...” แววตาของพ่อเปลี่ยนไป ผมมองใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นอย่างใจหาย พ่อดูแก่ลงไปมากจากความทรงจำในครั้งก่อน ไม่รู้ว่าแกแก่มานานแล้วแต่ผมไม่เคยสังเกตความเปลี่ยนแปลงตรงนี้เพราะอีโก้ของตัวเองหรือว่าเพราะความเหน็ดเหนื่อยในการดุด่าลูกชายคนเล็กกันแน่

“และนี่” ผมรับซองเอกสารที่ถูกโยนมาเปิดอย่างไม่รีบร้อน คงไม่พ้นเช็กเงินสดเป็นของขวัญวันเกิดอีกตามเคย “สุขสันต์วันเกิด” เสียงของพ่ออ่อนโยนจนน่าแปลกใจ แต่คนที่แปลกใจมากกว่ากลับกลายเป็นผมเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในนั้น

“ป๊า...”

“โตแล้วนะ ปีนี้ก็ 19 แล้ว ดูแลมันดีๆล่ะ”

“ผม...” เอกสารโอนคอนโดที่อาศัยตอนนี้ได้เปลี่ยนชื่อเจ้าของจากพ่อเป็นผมตั้งแต่เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนวางบนโต๊ะ ใบหน้าของพ่อดูใจดี ไม่เหมือนคนที่คอยเอาแต่ดุด่าผมเลยสักนิด

“แกโตแล้วนะตง ที่ผ่านมาพ่ออาจจะไม่ใช่พ่อที่ดีนัก ชอบบังคับแกให้ทำโน่นนี่ แต่พ่อก็อยากให้รู้ไว้นะว่าที่ทำไปเพราะว่าแกเป็นลูกพ่อ”

“ป๊า...” ผมน้ำตาคลอ ไม่เคยคิดว่าจะมีโมเม้นต์อะไรแบบนี้ มันเกินคาดไปมาก

“พ่อรู้ว่าแกอยากไปเรียนต่างประเทศเหมือนเจ้าต่อ แต่พ่อก็ห้าม ไม่ใช่เพราะไม่รักแกนะ แต่เพราะว่ารักแกมากจนไม่อยากให้แกไปไหนไกลๆต่างหาก” สายตาผมไล่เรื่อยจนจบที่แก้วคริสตัลสีใสบรรจุของเหลวสีอำพันที่พร่องไปเยอะ พ่อคงดื่มย้อมใจก่อนจะรวบรวมความกล้าเพื่อพูดสิ่งที่ต้องการให้ผมรับฟังวันนี้หลายแก้วแล้ว ใบหน้าแดงระเรื่อเป็นหลักฐานที่ดี

“ที่พ่อจ้ำจี้จ้ำไชกับแกก็เพราะห่วง แกมันไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมใครหรอก มีแต่มองโลกในแง่ดีจนบางทีอะไรหลายๆอย่างก็เลยเถิด มันเป็นความผิดของพ่อกับแม่เองที่ไม่ดูแลแกให้ดีกว่านี้” แกตั้งใจบ่นเรื่องนี้เพราะผมเคยพลาดไปทำผู้หญิงท้องตั้งแต่ยังเป็นนักเรียน แถมคลอดออกมาเป็นฝาแฝดน่ารักจนแกหลงหัวปักหัวปำจนรับเป็นหลานแต่ให้แจ้งเกิดเป็นลูกของพี่สาวคนโตแทนที่จะเป็นชื่อผม แกจงใจทำแบบนี้เพราะต้องการปกป้องผมงั้นเหรอ...

“แต่ที่พ่อทำไป พ่อมีเหตุผลนะ พ่อแค่อยากให้แกรู้ไว้...” น้ำตาผมไหลอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้ฟังคำพูดยาวๆที่ออกจากปากผู้เป็นพ่อ ที่ผ่านมาผมคิดมาตลอดว่าตัวเองไม่ใช่ลูกรัก แต่ลืมมองในมุมของพ่อว่าแกรักและเป็นห่วงผมมากแค่ไหน นอกจากจะเข้าใจแกผิดแล้วยังก่อเรื่องไม่ขาด ทั้งเรื่องมีลูกก่อนจะเรียนจบ หรือเรื่องไปเป็นนายแบบถ่ายรูปโชว์เนื้อหนังอีก

“ป๊า ผมขอโทษ” ไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้ผมวิ่งมากอดป๊าราวกับตัวเองอายุ 10 ขวบอีกครั้ง....

หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 27 P.4 Up 23 ม.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 23-01-2021 12:45:42
#### ####

             งานวันเกิดผ่านพ้นไปอย่างอิ่มเอม ไม่เคยโล่งอกแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต ไอ้สองหมูลูกชายที่ผมผลิตมาเพราะความผิดพลาดในอดีตต่างก็มีความสุข ผมไม่เคยบอกกับลูกๆว่าตัวเองเป็นพ่อที่แท้จริงเลยสักครั้ง เพราะผมกลัวว่าคนอย่างผมคงจะเป็นพ่อที่ดีให้กับใครไม่ได้หรอก เวลาเห็นลูกๆมีความสุขกับพี่สาวตัวเองในฐานะแม่ก็มีความสุขมากแล้ว

“ใจลอยไปไหนวะไอ้ตง” ร่างสูงใหญ่ของคุณต่อพงษ์ รองประธานบริษัทและพี่ชายแท้ๆของผมเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับคนขับรถส่วนตัวที่ยืนรอหน้าประตูแบบเคอะเขิน ผมมองใบหน้าพี่ชายตัวเองแบบงงๆเพราะทั้งคู่กลับไปบ้านฝั่งตรงข้ามแล้วครู่ใหญ่ ทำไมถึงได้วกกลับมาได้

“มีไร” ผมขยับหนีเมื่อพี่ชายตัวโตนั่งเบียดข้างๆ ที่นั่งออกจะกว้างดันล้มตัวมาตรงนี้ ผมขยับหนีไปนั่งโซฟาสีขาวมุกฝั่งตรงข้าม กลิ่นแอลกอฮอล์พ่นไอไปทั่ว

“ต้องมีอะไรด้วยเหรอถึงจะได้คุยกันน่ะ” พี่ต่อยกแก้วไวน์มาจิบ ก่อนยิ้มแพรวพราว

“กวน” ผมยกแก้วเครื่องดื่มที่ยังพอเหลือจากงานเมื่อครู่มาจิบ พี่ต่อยังหล่อเหลาแม้จะดูเหนื่อยล้า

“คุยกับป๊ายัง”

“คุยแล้ว พี่รู้....อ๋อ เพราะพี่สินะ” เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมจู่ๆพ่อถึงได้มาปรับความเข้าใจ เจอแรงยุจากลูกรักนี่เอง

“เปล๊า กูไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น” เสียงสูงเชียวนะ

“ถ้าโกหกขอให้พี่เอกมาตกหลุมรักผมแทน” ใบหน้าพี่ชายเปลี่ยนเลยครับเมื่อพาดพิงคนขับรถส่วนตัวที่หวงนักหวงหนา

“ฟ้ากกกก”

“ขอบคุณนะพี่” เอาวะ ก่อนจะกวนบาทากัน อย่างน้อยผมก็เป็นหนี้บุญคุณเขาไม่น้อย เลือกวันได้ดีด้วยนะ วันเกิดผมเสียด้วย

“เรื่องไร ไม่มี๊ ไม่ได้ท๊ำ” ท่าทางตอแหลแบบกู่ไม่กลับผิดกับมาดแมนๆขรึมๆชะมัด “อะป๊าฝากมาให้”

“หืม” ผมหยิบบทละครมาพิจารณาอย่างสงสัย

“ป๊าบอกว่าจะรับงานนี้ก็ได้แล้วแต่มึง”

“หืม” ตกใจกว่าเดิมอีก ก่อนหน้านี้ยังเรียกไปด่าเลย

“แต่...” พี่ชายตัวดีเป็นจังหวะ “มึงรู้ใช่มั้ยว่าป๊าเป็นห่วง”

“ก็รู้” ผมยอมรับเสียงเบาหวิว

“จะทำอะไรก็คิดดีๆละกัน” พี่ต่อตบไหล่ผมเบาๆสามทีก่อนจะลุกเดินตัวปลิวไปคว้าตัวพี่เอกภพที่กำลังละเลียดบลูฮาวายไม่หยุดปาก ผมมองภาพน่ารักแล้วต้องอมยิ้ม รู้สึกอยากจะแกล้งพี่ต่อหนักๆบ้าง เผื่อจะได้หายโมโหนิสัยบ้าๆของมัน

“พี่ต่อ” ผมร้องเรียก ร่างสูงหยุดชะงักและหันมาทำหน้ากวนใส่

“ไม่ต้องขอบใจหรอก พี่เป็นคนดีพี่รู้”

“เปล่า แค่จะฝากบอกป๊าด้วยว่าปีนี้ผมอายุ 18 ไม่ใช่ 19” แล้วรอยยิ้มกวนๆก็หุบไปก่อนจะลากบุรุษหนุ่มหล่อที่เมาป้อแป้เดินออกไป ...คอยดูเถอะ ไอ้ตงจะแกล้งจีบพี่เอกให้หึงอกแตกตายไปเลย หึหึหึ ....

RRRRRRRRRRRRRRRRR

             เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเรียกเข้า งานเลี้ยงเลิกราไปนานแล้ว พอทุกอย่างตกอยู่ในความสงบก็กลับมาที่ห้องเพื่ออาบน้ำแต่งตัวเตรียมเข้านอน ความอ่อนเพลียเล่นงานอย่างหนักเพราะศึกหนักเมื่อตอนบ่าย แถมยังต้องมาปั้นหน้ายิ้มให้กับแขกเหรื่อในงานอีก แม้จะหงุดหงิดแค่ไหนเพราะความง่วงงันแต่พอดูหน้าจอว่าใครโทรมาก็อมยิ้มก่อนจะเปิดไฟที่หัวเตียงเพื่อกดรับสาย ขยี้ตาและสะบัดผมให้เข้าที่และมองวีดีโอในกรอบสี่เหลี่ยมนั้น

[นอนแล้วเหรอ] คนปลายสายส่งเสียงทักทาย รอบกายมืดสนิทน่าจะยังไม่เข้าในตัวบ้าน

“อื้อ มึนๆน่ะ” ผมตอบ ถดตัวซุกในผ้าห่มให้เหลือแค่ครึ่งหน้าโผล่เข้ากล้อง

[ถึงบ้านแล้วนะ] อีกฝ่ายบอกด้วยน้ำเสียงเคอะเขิน

“นานจัง” ผมเหลือบดูเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์ เกือบสองชั่วโมงเชียว

[บ้านไกลก็งี้แหละ]

“บ้านนอกไง” ผมแซว “เจอพ่อยัง”

[ชิ...ยัง เพิ่งลงจากแท็กซี่ก็โทรหาเลย] น้ำเสียงขุ่นเคืองแบบไม่จริงจังตอบคำถามที่ชวนให้ใจสั่น

“อื้อ” ทำไมต้องหน้าแดงด้วยวะ

[ตง]

“หื้อ”

[คิดถึง]

“อะ...” โอย หน้าร้อนไปหมดแล้ว

[คิดถึงกูมั้ย] มาไม้ไหนเนี่ย ทำไมอยู่ๆมาอ้อนซะได้ ไม่ชิน

“ถามอะไรเนี่ย”

[ตอบก่อนนนนนน]

“ไม่ตอบ” ผมปั้นหน้านิ่ง แต่ในใจกลับเต้นโครมคราม

[ยิ้มหวานให้ก็ได้ถ้าคิดเหมือนกัน]

“พูดมาก จะวางละนะ”

[ไม่คิดถึงจริงดิ ผัวอุตส่าห์คิดถึง]

“ผัวพ่อง” ผมหน้าแดงจนแทบจะมุดหน้าเข้าผ้าห่มให้หมด หลังจากมีเซ็กซ์เพื่อปรับความเข้าใจกันเมื่อตอนบ่าย พวกเราก็เลยตกลงกันได้ว่าจะลองเปิดใจเรียนรู้กันให้มากขึ้น แต่ไม่คิดว่ามันจะจู่โจมหนักหน่วงขนาดนี้

[คิดถึงผัวมั้ย]

“โอ๊ยยยยยย พอเถอะ กูเขิน” ผมโวยวาย

[เขินทำไมจ๊ะเมียจ๋า]

“ไอ้หนึ่ง”

[จ๋าที่รัก] โอ๊ย ขนลุก ...

“มึง” ผมทำหน้าหงุดหงิด แต่พอเห็นใบหน้าหงอเหมือนลูกหมาโดนทิ้งก็ยอมใจอ่อน “เอาแต่ใจใหญ่แล้วนะมึงน่ะ”

             ปากดีจังเลยนะมึง...ผมคิด...หมายถึงตัวเองนี่แหละ ผมไอเล็กน้อยเพื่อไล่ความเขิน รู้สึกไม่ชินกับสถานะใหม่ที่เพิ่งให้มันไปเลยสักนิด แต่เหมือนอีกคนจะรุกหนักชนิดไม่สนใจเกียร์ถอย หวังว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะไม่ผิดนะ ผมกดวางสายทั้งที่มันยังรอคุยอยู่...ยกมือถือมาเล็งรูปหน้าหล่อๆที่โดนเงาสี่เหลี่ยมพาดทับบางส่วนก่อนจะถ่ายรูปที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มส่งไปให้คนทางโน้น...

...ก็คิดถึงนิดๆแหละ ไม่ได้มากเท่าไหร่...

หนึ่งโทรสองโท : **ส่งสติกเกอร์**

หนึ่งโทรสองโท : ฝันดีนะครับ อยากกอดแล้วอะ


             โอยยยยยยย .... แค่ข้อความบ้าบอ ทำไมใจสั่นได้ขนาดนี้เลยวะ ผมตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ แต่กลับอ่านข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมาราวกับเป็นน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงความสุข รอยยิ้มกว้างฉายเต็มใบหน้าอย่างนั้นจนเหงือกแห้ง ไม่รู้เลยว่าเผลอหลับไปตอนไหน รู้แต่ว่ามีความสุขแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน...
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 27 P.4&5 Up 23 ม.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 23-01-2021 23:06:12
ตงเขินแหละ 
น้องหนึ่งอ้อนเมียหน้าตาเฉย.  o18
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 27 P.4&5 Up 23 ม.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 24-01-2021 11:23:55
 :hao5: :-[ :mew1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 27 P.4&5 Up 23 ม.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-01-2021 15:29:24
 :pig4: :pig4: :pig4:

อาตงฉินกลายเป็นสาวน้อยคอย-ัวไปซะได้
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 28 P.5 Up 31 ม.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 31-01-2021 13:03:20
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 28. คนที่ไม่รู้ใจตัวเอง

[เจด ชิติพัทธ์] ... หลังจากนั้น 3 วัน

             ผมเดินหงุดหงิดงุ่นง่านหน้าบ้านพี่รหัสอยู่เกือบชั่วโมง บ้านหรูตั้งอยู่ในบ้านจัดสรรแถวราชพฤกษ์มีผังหมู่บ้านที่เป็นระเบียบ บ้านแต่ละหลังพื้นที่กว้างขวางสมฐานะของคนละแวกนี้ ถนนภายในหมู่บ้านสีเก่าหม่นแต่ก็ดูดีกว่าลูกรังแถบต่างจังหวัด ผมจอดรถไว้ริมทางและเดินเป็นหนูติดจั่นตรงนี้ก็ไม่มีวี่แววว่าผู้คนละแวกใกล้ๆจะสนใจออกมาเปิดดู จะกดกริ่งรึก็ไม่กล้า ไม่ได้กลัวพ่อหรือแม่หรอกนะครับเพราะก่อนหน้านี้เข้าๆออกๆเป็นว่าเล่น ทั้งตอนตั้งวงกินเหล้า หรือตอนประชุมพี่ว้าก แต่ตอนนี้กลัวจะเจอพี่รหัสตัวเองเสียมากกว่า ไม่อยากโดนขัดขวางตั้งแต่แรก

แกร็ก...

   เสียงประตูเล็กเปิดกว้าง ร่างสูงที่คุ้นเคยสวมเสื้อยืดแมนยูฯตัดกับกางเกงบอลเชลซีทำหน้าตกใจที่เห็นผมยืนอยู่เบื้องหน้า เคมีปรับสายตาตกใจให้เป็นปกติ ใบหน้าเรียบเฉยหยั่งเชิงในท่ากอดอก สายตาเราทั้งคู่ประสานกันอย่างเงอะเงิ่น ไม่มีใครเริ่มทักทายกันก่อน ความสดใสของเคมีชวนให้วาบหวิวอย่างช่วยไม่ได้ ริมฝีปากกระจับสวยได้รูปนั้นปิดสนิท หน้าอกแน่นนูนเด่นเพราะกล้ามที่ออกกำลังกายอย่างหนักมีเม็ดเล็กๆโผล่พุ่งในร่มผ้า รู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวเมื่อจับจ้องท่อนล่างที่แกว่งไกว ท่าทางจะไม่ตั้งใจจะออกจากบ้านไปไหนเพราะหนุ่มหล่อตรงหน้าไม่ใส่กางเกงใน อะไรๆที่นอนนิ่งจึงขยับไหวตามจังหวะการเดิน ผมสะกดกลั้นความหื่นของตัวเองโดยการมองไปที่ขาสวยสีแทนที่เต็มไปด้วยขนหน้าแข้งหนาเรียงตัว

“มองอะไรไอ้หื่น”

“ห๊ะ” สงสัยหน้าตาผมจะหื่นจริงๆไม่งั้นคงไม่โดนทักแบบนี้

“มาด้อมๆมองๆบ้านคนอื่นทำไม เป็นโรคจิตเหรอ” เคมีไม่ได้เดินเข้ามาใกล้ ส่วนผมก็ไม่ได้ถามว่าเขาเปิดประตูมาทำไม ไม่นานเสียงมอเตอร์ไซค์ก็วิ่งมาพร้อมกับส่งอาหารเลยทำให้รู้เหตุผล

“พ่อแม่ไม่อยู่เหรอ” บ้านนี้ดีอยู่อย่างหนึ่งคือ มีคุณแม่ทำอาหาร แถมฝีมืออร่อยด้วย ถ้าลูกชายออกมาสั่งเองแบบนี้คงไม่ต้องให้บอกหรอกนะว่าอยู่หรือเปล่า ผมรู้แหละ แต่ถามเพราะไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนายังไงต่างหาก

“พี่ไม่อยู่” เหมือนเราจะสนทนาเรื่องเดียวกันเลยนะ ... เคมีพูดก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน ผมละล้าละลังก่อนจะวิ่งพรวดรั้งขอบประตูที่กำลังจะปิดลงไว้ได้

“งั้นพี่เข้าไปได้ไหม”

“ตามสบาย” แววตานั้นไม่ได้บ่งบอกความรู้สึก คิดแล้วก็ปวดร้าวไม่หยอก ไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมน้องถึงไม่ห้าม เพราะผมมาที่นี่บ่อยมาก มาเองหรือไม่ก็มากับไอ้ปิ๊ง การที่พี่รหัสไม่อยู่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าไปรอไม่ได้

“เอ่อ” ผมไม่ทันจะพูดอะไร ร่างสูงก็เดินเข้าไปในบ้านหรู ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้เหงื่อไคลที่ไหลย้อยเริ่มแห้ง ผมไอเสียงดังเพราะคันคอเนื่องจากอากาศรอบกายเปลี่ยน

“อะ” น้ำดื่มถูกยื่นมาให้ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปที่ครัว เทข้าวผัดของโปรดผมวางไว้ในจานเปล่า ข้างกันมีข้าวหมูกระเทียมไข่ดาว

“อยู่คนเดียวทำไมซื้อมาสองที่ล่ะ” ผมเดินไปที่ครัวอย่างวิสาสะ บอกแล้วว่ามาบ่อย

“หิวน่ะ” เคมีเขี่ยข้าวในจานเหมือนคนไม่อยากอาหารเสียมากกว่า เพิ่งสังเกตคนตรงหน้าได้อย่างเต็มตา เขาดูผอมลงไปนิดหน่อย แอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าเจ้าของบ้านคงเห็นผมเดินไปเดินมาหน้าประตูเป็นชั่วโมงจนถึงเที่ยงก็ยังไม่กลับ เลยซื้อเผื่อ ... ขอให้เป็นแบบที่คิดด้วยเถอะ เพี้ยง!

“หิวแล้วทำไมไม่กินล่ะ” ผมถาม เด็กหนุ่มหน้าหล่อหันมาสบตา พลังงานวูบวาบแล่นพล่านจนผมหน้าแดงไปหมด ภาพเรือนร่างเปลือยเปล่าของเขาแว้บมาอีกครั้ง

“มองอะไรขนาดนี้” เคมีเขี่ยข้าวในจานซ้ำไปมา ใบหน้าหล่อด้วยดวงตาคมกริบรับกับจมูกโด่งงอนราวกับหมอเสกให้ หลายคนเลยเข้าใจผิดว่าเคมีไปทำมาทั้งหน้า เพราะไม่ว่าจะมองส่วนไหนมันคือความลงตัวทั้งหมด รูปกรามที่เป็นกรอบชัดแถมได้ระยะที่เท่ากันไม่ผิดเพี้ยน วางด้วยปากสวยน่าจูบ เคมีเป็นคนผิวสองสี ไม่ขาวไม่ดำ ออกเหลืองหน่อย ผิดกับฟิสิกส์ที่เป็นคนขาว พี่น้องบ้านนี้หล่อแต่คนละแบบกัน พี่ชายจะไม่หล่อจัดจ้านแต่มีเสน่ห์มาก ไม่ว่าใครอยู่ใกล้จะต้องตกหลุมรัก ผิดกับเคมี ที่หล่อกระชากใจตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เจอ แถมยังคารมดี จีบใครก็ติด ถึงชื่อเสียงจะกระฉ่อนก็ยังมีคนให้ควงไม่ขาด

“มองคนหล่อ ไม่ได้เหรอ”

“เลี่ยนว่ะ พี่มีธุระอะไร” ผมนั่งตรงข้ามบนโต๊ะอาหาร จานข้าวผัดถูกเลื่อนมาวางตรงหน้า

“ซื้อมาให้เหรอ” เคมีไม่ตอบ ตักข้าวและเคี้ยวอย่างเชื่องช้า “ขอบคุณนะ” ผมยิ้มก่อนจะจ้วงมื้อแรกของวันอย่างหิวโหย

             ผมวางจานที่ล้างเสร็จอย่างเรียบร้อยก่อนจะหันมองบรรยากาศเงียบสนิท เจ้าของบ้านคงขึ้นห้องไปแล้ว หลังจากเช็ดมือจนแห้งก็คิดชั่งใจว่าจะตามไปดีไหม ผมเกลียดท่าทางนิ่งเฉยแบบนี้มาก เพราะไม่รู้ว่าเขาคิดยังไง คำถามมันก็เลยว่ายวนในหัวไม่จบสิ้น เคมียังโกรธเรื่องตอนนั้นอยู่ไหม เขาจะรังเกียจเราไหม หรืออะไรอีก 108 ที่มาในแง่ลบทั้งนั้น

...แล้วแบบนี้จะให้ทำไงวะ เกิดมาไม่เคยง้อใครนะเว้ย ตอนที่คบกับน้องหนึ่งก็ทีนึงละ เขาไม่ติดต่อมา ทำไมจะต้องติดต่อไปด้วยล่ะ เป็นเพราะทิฐิแบบนี้แหละ เลยทำให้ต้องเลิกกันไป ผมไม่ใช่คนขี้เหร่นะครับ เป็นเดือนมหา’ลัย เป็นนักฟุตบอลคณะ เป็นประธานว้ากปี 3 ดีกรีดีขนาดนี้มีแต่คนพลีกายให้ ... แต่ทำไมตอนนี้ถึงว้าวุ่นได้ขนาดนี้นะ...

ก๊อกๆ

             ผมเคาะประตูก่อนเปิดเข้าห้องลูกชายคนรองของบ้าน ประตูไม้เงาวับไม่ได้ล็อกเช่นเคย เคมีนั่งเด่นอยู่ที่โต๊ะทำงานจดจ่อกับเกมต่อสู้ยอดฮิตบนหน้าจอขนาดใหญ่อย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง สองมือง่วนกับแป้นพิมพ์ ใส่หูฟังครอบไว้แต่เสียงเอ็ฟเฟ็กในเกมก็ดังกระหึ่มเล็ดลอดมาเผื่อแผ่ ผมเดินเงียบเชียบไปนั่งที่ปลายเตียงก่อนจะปล่อยกายให้ไหลไปนอนบนที่นอนนุ่ม ไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานแค่ไหนก่อนที่จะมีแรงเขย่าปลุกให้ตื่นจากความง่วนงัน

“ค่ำแล้ว กลับบ้านไป” เคมีดูเงียบขรึมกว่าเก่า เราเคยสนิทและเล่นหัวกันได้สนิทใจมากกว่านี้ ร่างสูงไม่ได้อยู่บนเตียง แค่โน้มตัวเขย่าตัวอยู่ข้างๆ ผมหาว ขยี้ตาก่อนจะทำเรื่องที่คิดไว้มานาน

จุ๊ฟ... ขนาดหน้าสดๆยังหอมเลย

“พี่ทำบ้าอะไรเนี่ย” เคมีโวยวายลั่น จากที่เก๊กขรึมก็หลุดอาการประหม่า ผุดลุกไปยืนข้างเตียงด้วยใบหน้าแตกตื่น

“ทำสิ่งที่อยากทำไง” ผมยิ้ม รอแค่ว่าเขาจะหวดหมัดมาประเคนหน้าตอนไหน ... แต่เปล่า ร่างสูงนั้นนิ่งเงียบไป

“โกรธพี่เหรอ พี่ขอโทษ” ผมลุกมาประชิด แววตาหนักใจของอีกฝ่ายทำให้ต้องอึกอัก นี่ทำอะไรผิดอีกแล้วเนี่ย พอเข้าใกล้ อีกฝ่ายก็เดินหนี เหมือนกำลังเดินไล่จับกันรอบเตียง ใบหน้าแสดงออกว่าไม่เชื่อใจนั้นชวนให้ปวดใจแปลบปลาบ คิดถึงบรรยากาศเมื่อก่อนที่เราเล่นกัน บางทีเคมีก็กระโดดขี่หลังตามประสาเด็กมัธยมที่สนิทกับพี่ชายอีกคน

“พี่ขอโทษเรื่องอะไรล่ะ” ผมรั้งแขนหนานั้นไว้ได้ เราต่างหยุดอยู่กับที่ เสียงลมกรรโชกด้านนอกมาพร้อมกับเสียงฟ้าคำรามครืนใหญ่ เสียงของเหลวตกจากฟากฟ้ากระทบตัวบ้านเปาะแปะทำลายความเงียบ อากาศเย็นลงจากเดิมเนื่องจากไอฝน ฟ้าแลบวูบวาบไปมาชวนให้หวาดหวั่น ฝนเทกระหน่ำทั้งที่ไม่มีเค้ามาก่อนชวนให้เหงาจับใจแม้จะอยู่กับคนพิเศษก็ตาม

“ก็ เรื่องจูบเมื่อกี้ไง” ผมตอบตามจริง

“งั้นพี่กลับไปเหอะ” รุ่นน้องคนสนิทเอ่ยปาก ร่างสูงทรุดนั่งบนเตียงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“เดี๋ยวสิ” ผมจับข้อมือหนาไว้แน่นก่อนจะนั่งยองๆตรงหน้า ทำไมต้องทำท่าทางโกรธขนาดนี้ด้วยล่ะ “พี่ เอ่อ...”

             เป็นผมเองที่นิ่งเพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไง คำพูดไอ้ปิ๊งที่เตือนสติในคืนบายเนียร์ และคำพูดก่อกวนใจของน้องหนึ่งตอนที่คุยกันวันก่อนทำให้ต้องพาตัวเองมาที่นี่ แต่ก็ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็เผลอหลับ แถมตื่นมาก็ขโมยจูบเจ้าของบ้านหน้าตาเฉย ดีเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่กระทืบ เพราะที่ผ่านๆมา เคมีมันก็จัดว่าเป็นผู้ชายสายโหดเช่นกัน

“ไม่มีอะไรจะพูดก็ไม่ต้องพูด พี่กลับไปเถอะ” น้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ทำให้ผมใจหาย ทำไมจะต้องมึนตึงกันขนาดนี้ด้วยวะ

“เคมี” ผมลองปรับกลยุทธ์ “มึงรู้ใช่มั้ยว่ากูพูดไม่เก่ง โง่เรื่องความสัมพันธ์ ดีแต่แหกปากว้าก”

“อืม”

“ที่ผ่านมา กูควงคนโน้นคนนี้เพราะเขาเข้าหากูเอง กูไม่เคยต้องลงแรงจีบ ไม่เคยต้องสนใจตามเทคแคร์อะไร” ผมรู้ นี่แหละนิสัยผมล่ะ ผิดกับเคมี ถึงมันจะดูเจ้าชู้ แต่มันก็รู้จักเข้าหาสาวๆ รู้จักวิธีจีบและเอาใจ มันเป็นคนที่ค่อนข้างเฟอร์เฟ็ค ต่างกับผมที่ค่อนข้างจะเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง

“อือ”

“กูเลยไม่รู้ว่า กูต้องพูดหรือทำยังไงดี เรื่อง ... เรื่องระหว่าง เอ่อ... เรา” เสียงพูดตะกุกตะกักแผ่วเบา บังคับเสียงไม่ให้สั่นยังยากเลยวินาทีนี้ แต่ผมไม่อยากให้เรื่องของเราเป็นแค่ความผิดพลาดแค่ชั่วครั้งชั่วคราว

“ไม่รู้จะพูดอะไรก็ไม่ต้องพูดไง ให้มันจบๆไป” ผมตาค้าง นี่คือสิ่งที่น้องเค้าคิดจริงๆเหรอ แต่ใบหน้านั้นกลับฉายแววเจ็บปวดเสี้ยววินาทีก่อนจะกลับไปเรียบเฉย ผมใจชื้นขึ้นและคิดเข้าข้างตัวเองว่าคนตรงหน้าอาจจะหวั่นไหวเช่นกัน ถึงแม้ความเป็นไปได้อาจจะน้อยกว่า 1% แต่ถ้าไม่ลองก็เท่ากับว่าทิ้งโอกาสที่มี...แม้จะน้อยนิดแค่ไหนก็ตาม

“มึงคิดแบบนี้จริงๆใช่มั้ย” ผมถามทวน “นึกว่าที่มึงหลบหน้ากูเพราะพี่มึงสั่งห้าม” เมื่อโพล่งความอัดอั้นออกมาทุกอย่างก็เงียบ มีเพียงสายฝนที่ตกหนักเท่านั้นที่เปล่งเสียงทั่วบริเวณ หนุ่มหล่อก้มหน้าและกลับมาสบตาในที่สุด

“พี่ฟิสิกส์ไม่ได้ห้าม” เคมีพลั้งปาก แล้วก็เงียบก้มหน้างุด...

“กูนึกว่าพี่มันห้ามมึงเหมือนห้ามกู” แววตาประหลาดใจของเคมีทำผมแปลกใจ

“พี่ว่าอะไรนะ” เขาถามซ้ำ ผมกำลังประมวลผลในหัวไปมา

“เอ่อ ขะ คือ กูบอกว่า กะ กูน่ะอยากมาพูดขอโทษเรื่องของเราตั้งนานแล้ว แต่พี่ชายมึงห้ามกูไว้” ผมพูดตรงๆ เพราะไม่รู้จริงๆว่าตัวเองโดนห้ามฝ่ายเดียวหรือเปล่า “พี่ฟิสิกส์สั่งห้ามไม่ให้กู เอ๊ย พี่เข้ามายุ่งกับเรา”

“แล้วพี่ก็เชื่อ”

“คือ ...” ผมไม่รู้จะพูดอะไร “กู เอ๊ย พี่ขอโทษว่ะ ขอโทษกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น”

ฟู่ ... เสียงถอนหายใจของเคมีทำให้ผมประหม่าอีกครั้ง “จะกูก็กู ไม่ต้องฝืน ... แล้ววันนี้พี่มาที่นี่ทำไม”

“ก็” ตอบอะไรดีวะ ช่วยผมคิดหน่อยได้ไหม คนเราไม่ได้ฉลาดทุกเรื่องนะเว้ย

“พี่กลับก่อนเถอะ ค่ำแล้ว” ทั้งบ้านเงียบสนิท เหมือนกับว่าไม่มีใครกลับมาเลยสักคน กลับไปตอนนี้รถติดแน่นอน

“ถ้ากูพูดอะไรออกไปแล้วมึงไม่พอใจ มึงต่อยกูได้นะ” ผมตัดสินใจแล้ว ไหนๆจะเสี่ยงแล้วก็เอาให้สุด ไอ้ปิ๊ง น้องหนึ่งช่วยกูด้วย...

“...” เคมีขยับไปยืนพิงผนัง ร่างสูงเต็มไปด้วยมัดกล้ามดึงดูดสายตาจนละไม่ได้ ผมหวั่นไหวกับแววตาดุดันนั้นตั้งแต่ตอนไหนกันแน่วะ ตอนที่เราเผลอไผลได้กันหรือว่าตั้งแต่ผมเป็นพี่เลี้ยงตอนประกวดเดือนมหา’ลัยปีก่อน หรือว่าตอนที่มาบ้านนี้ครั้งแรกตอนชิติพัทธ์อยู่ปี 1 เพื่อมาส่งพี่รหัสที่เมาปลิ้นจนต้องค้างที่นี่อย่างเลี่ยงไม่ได้

“กูเป็นเกย์” ผมพูดในสิ่งที่คนฟังน่าจะรู้อยู่แล้ว “ที่ผ่านมากูไม่ได้ตั้งใจจะหลอกมึงนะ แต่กูไม่อยากให้มึงหรือพี่ชายมึงรังเกียจตัวกู” ผมหายใจหอบถี่ แต่ก็ยังพูดต่อ

“กูรู้ว่าเรื่องที่กูทำกับมึงมันเหี้ย แม่งแย่ ที่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือทุกอย่างจนมึง...”

“เป็นเมียพี่” มันพูดเสียงเรียบ ผมสะอึกมองสายตาที่อ่านไม่ออกนั้นอย่างกระอักกระอ่วน สองมือกำหมัดแน่น

“กูผิดเอง กูขอโทษ กูแม่งเลว กูมันชั่วเองที่ทำแบบนั้นกับมึงแถมยังขี้ขลาดไม่กล้ามาขอโทษซึ่งๆหน้า”

ผลัก!

             เป็นไปตามคาดครับ หมัดดุ้นใหญ่ประเคนแก้มซ้ายจนหน้าบิด ตัวเซกองลงกับพื้น ผมค่อยๆลุกขึ้นมาเพื่อรอแรงปะทะรอบต่อไป ไม่เสียชื่อนักมวยจริงด้วย แค่หมัดแรกปากก็แตกเสียแล้ว แต่เพื่อไถ่โทษ เจ็บแค่ไหนก็ต้องอดทน

“นี่สำหรับที่พี่ทำไว้กับผม”

ผลัก!

“นี่สำหรับที่พี่แม่งขี้ขลาด” คนออกหมัดท่าทางจะเหนื่อยเพราะส่งมาสุดแรง ผมแสบปากแถมมีเลือดเค็มปะแล่มไหลเข้ามาปนกับน้ำลายจนต้องกลืนมันลงคอ มองคนที่ยืนหยัดมาต่อยสองหมัดติดด้วยแววตาละห้อย ความเจ็บที่กายไม่เท่ากับความปวดใจตอนนี้เลยสักนิด

“กูขอโทษ” ผมอยากจะใช้คำว่าพี่เพื่อให้รู้ว่าเขาคือคนพิเศษ แต่การใช้กูมึงกับเขา ก็เพื่อให้คนฟังได้รู้ว่าเราเคยสนิทกันมาก่อน

“อย่าไปทำแบบนี้กับใครอีกนะ” มันบอก

“ไม่ทำ สัญญา” ผมรีบยกสามนิ้วรับคำ “มึงหายโกรธกูยังวะ ถ้ายังต่อยกูอีกได้นะ” แม้จะเจ็บ แต่ก็ต้องทำใจดีสู้เสือ

“ต่อยอีกพี่ก็หน้าแหกพอดี ลืมไปแล้วเหรอว่าผมเป็นนักมวยนะ” รู้ดิ หน้าชาไปหมดแล้วเนี่ย

“มึงกับกู โอเคแล้วใช่มั้ยวะ”

“พี่ว่าพี่โอเคใช่ไหมล่ะ ถ้ากลับไปเป็นแบบเดิม” มันถาม ผมนิ่ง ... แบบเดิม คือ พี่น้องที่สนิท

“พี่น้อง” ผมพูดแผ่วเบา เหมือนใจลอยหายไปไหนแล้วไม่รู้

“อื้อ พี่น้อง ถ้าพี่โอเคผมก็ อุ๊บ...” จังหวะนั้นไม่รู้อะไรดลใจ ผมพุ่งตัวประชิดกดริมฝีปากลมกลีบปากเย้ายวนที่กำลังเปล่งเสียงตรงหน้า แรงเบียดไปมาชวนวาบหวามก่อนจะดุนดันความเร่าร้อนให้มากขึ้น แววตาตกใจของเคมีเบิกกว้าง มือใหญ่พยายามรั้งตัวผมให้ผละออก แต่เรี่ยวแรงที่มากพอกันทำให้มันชุลมุนจนกลายเป็นพลั้งเผลอ ลิ้นสากผมว่ายเวียนในโพรงอุ่นอย่างสุขสันต์ แรงดูดเฟ้นส่งประสานกันไปทั่วปาก น้ำเหนียวยืดย้อย แรงฮึดขัดขืนแปรเป็นกอดรัดกันอย่างหิวกระหาย ความปรารถนาป่าเถื่อนปะทุคลั่ง ร่างของพวกเราแนบชิดแรงกระชากไปมารั้งร่างให้ล้มบนที่นอนหนานุ่ม เสียงดูดดุนถี่ยิบรุนแรงจนแทบลืมหายใจ

“พี่ไม่โอเคว่ะ แฮ่กๆๆ พี่ไม่โอเค” ผมผละความหอมหวานก่อนจะสบตาที่แสนนิ่งงันนั้นอย่างเนิ่นนาน แม่งกว่าจะรู้ใจตัวเองก็แทบจะเสียเขาไปงั้นเหรอ ถ้าเคมีจะไม่ยอมรับหรือพัฒนาความสัมพันธ์ใดๆ ผมก็จะยอมรับถ้าเราทั้งคู่จะมองหน้ากันไม่ติด

“พี่แม่ง พูดเอาแต่ได้ว่ะ” คนที่นอนใต้ร่างผมตัดพ้อ ปากแดงเจ่อเพราะแรงปะทะเมื่อครู่เย้าอารมณ์ไม่หยุดหย่อน

“พี่ขอโทษ แต่พี่ไม่อยากเสียเราไป” ผมพูดตามที่รู้สึก “พี่คิดว่าพี่รักเรา รักมากด้วย” ผมก้มหอมแก้มที่นิ่งงัน

“พี่รักผม?” น้ำเสียงไม่เชื่อถามย้ำ “ตั้งแต่ตอนไหน...ถ้ารักเพราะได้ผมเป็นเมียแล้วคิดจะรับผิดชอบไม่ต้องก็ได้นะ” เคมีพูดออกมาอย่างไม่เชื่อคำพูดที่ได้ยิน แต่ใบหน้าที่เคยเฉยชากลับมีประกายระเรื่อออกมา

“ไม่” ผมรีบตอบ “พี่รักเคมี ไม่รู้ว่าตอนไหน พี่รู้แค่ว่าตลอดสามปีที่ผ่านมา สายตาพี่มีแต่เรา”

แววตานิ่งเรียบเปลี่ยนเป็นแวววับ ใบหน้าหล่อเหลายิ้มกว้างอวดฟันสวยเรียงเป็นระเบียบ “พี่...อื้ออออ”

   ผมไม่รอคำตอบอะไรแล้ว กดกลีบปากตัวเองกระชับความหอมหวานอย่างหนักหน่วง ลูบไล้มือไปทั่วร่างแกร่งอย่างรักใคร่ ความต้องการปะทุลุกโชนยากจะต้าน เคมีกระชับอ้อมแขนกอดรัดต้นคอไว้แน่น ลมหายใจรุนแรงหอบถี่สอดประสานอย่างวาบหวิว แก่นกายผุดตัวตื่นใต้ร่มผ้าเสียดสีกันไปมาอย่างร้อนเร่า น้ำลายไหลยืดถูกดูดกลืนราวกับน้ำเชื่อมหอมหวาน ผมล้วงใต้กางเกงผืนบางสะกิดกับความร้อนระอุที่ขยายตัวราวกับหิน สัมผัสร้อนระอุทั่วทั้งความยาวกระตุ้นให้รสจูบฟาดฟันรุนแรงกว่าเก่า ขยับตัวที่แนบชิดบนร่างของเคมีออกเพื่อปลดปล่อยความใหญ่โตที่ถูกรูดเฟ้นให้เผยตัว ขนาดของมันช่างน่าดึงดูดเป็นอย่างยิ่ง แรงเขย่าขึ้นลงจนเจ้าตัวบิดกายไปมาอย่างซ่านเสียว

   เคมีกดริมฝีปากหนักหน่วง ใบหน้าหล่อเหลายกขึ้นมาดันให้ผมค่อยๆเปลี่ยนมานอนราบให้ร่างสูงขยับมาเป็นฝ่ายทาบทับ ช่วงล่างเปลือยเปล่าเพราะมือใหญ่รูดซิปกางเกงของผมให้หลุดออก ความสยิวจนต้องร้องครางอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อมือนุ่มนั้นครอบครองความแข็งขืนของผมไว้อย่างแผ่วเบา นิ้วโป้งเขี่ยวนตรงส่วนปลายเปิดจนตัวกระตุก ของเหลวใสที่หยาดเยิ้มทำให้สัมผัสนั้นไหลลื่นยิ่งขึ้น จมูกโด่งงอนซุกไล้ตรงแก้มซ้ายและไหลเรื่อยจบที่ซอกคอ ผมร้องอย่างพึงพอใจกับสัมผัสวาบหวามที่ได้รับ ปากสวยดูดเฟ้นไหล่หนาอย่างรุนแรง เจ็บหน่วงแต่กลับล่องลอยด้วยความอิ่มเอม ปล่อยให้เคมีครอบครองยอดอกสีนวลอย่างหวิวไหว น้ำลายเย็นแตะเม็ดแข็งชูชันจนขนกายลุกไปทั่ว มือผละจากท่อนเนื้อใหญ่โตมาโอบกอดคนที่โลมเลียอย่างรักใคร่ เคมีไม่ใช่ผู้ชายไร้เดียงสา ชื่อเสียงเรื่องผู้หญิงของรุ่นน้องคนนี้มีมานานแล้ว แต่กับเพศเดียวกันอาจจะเงอะเงิ่นไปบ้างในตอนแรกที่ผมล่วงเกินเขา แต่ครั้งนี้มันเกิดจากการสมยอมของทั้งสองฝ่าย แรงซุกไซร้โหมเปลวไฟในตัวลุกโชติช่วง ผมอ่อนระทวยยิ่งขึ้นเมื่อถูกปลุกปั่นอย่างช่ำชอง

   เคมีดึงใบหน้ากลับมาแนบชิดก่อนกดรสจูบหอมหวานมาอีกหลายครั้ง ผมสบตาเป็นประกายอย่างระทวย เขายกยิ้มกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงสั่นเทาด้วยแรงปรารถนา “รอบนี้ผมทำพี่นะ”


แจ้งข่าวตอนที่ 29 นะครับ
Update ตอนล่าสุดแล้วกับนิยายสุดฟิน
#เตี้ยนักจะรักปะล่ะ ชื่อตอนหวานๆว่า #วันธรรมดากับคนพิเศษ
อ่านกันได้ในระบบสนับสนุนนะครับ
ไรต์แปะลิงค์ 4 เว็บตามนี้เลยจ้า ไล่เรียงอ่านได้ตามสะดวกครับ
#ใครที่อดใจรอได้ตอนที่ 29 จะเอามาลงที่เล้าเป็ดเสาร์หน้านะครับ

.
.
1. #ธัญวลัย tunwalai.com :: http://www.tunwalai.com/chapter/5663017/%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88-29-%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%98%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%94%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%84%e0%b8%99%e0%b8%9e%e0%b8%b4%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a9
.
.
2. #Fictionlog  :: https://fictionlog.co/c/6012629c650e37001b5a86de
.
.
3. #readAwrite  :: https://www.readawrite.com/c/809eeaea70c09fb7aba29f0109c62633
.
.
4. #Kawebook  :: https://www.kawebook.com/story/4275/246087/%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2/%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B0--My-Dearest-20-cm/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-29-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9
.
.
เช่นเคยนะครับ ถ้าอ่านแล้วถูกใจ ฝากเม้นต์ให้กำลังใจไรต์ด้วยนะครับ
หรือสามารถแนะนำเพื่อนๆสายวายมาอ่านกันเยอะๆนะ
อย่าลืมตามไปกดติดตามผมได้ที่ FB >> https://www.facebook.com/Begintillanend/
.
.
#จากต้นจนอวสาน #นิยายวาย #นิยายวัยทำงาน
#นิยายY #นิยายรัก #SexyGuys
#นิยายน่าอ่าน #นิยายฟรี #นิยายดีๆ
#นิยายดี #นิยายฟินๆ #นิยายฟิน
#เตี้ยนักจะรักปะล่ะ #MyDearest20cm
#นิยายวัยรุ่น #เฟรชชี่ #รักวัยเรียน #รักต่างไซส์
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 28 P.5 Up 31 ม.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 31-01-2021 13:49:13
 :pig4: :pig4: :pig4:

พี่เจดอยู่กับเคมี  ยังดีที่ได้รุก

ถ้าอยู่กับหนึ่ง  คงตกเป็นรับอย่างเดียว  555
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 28 P.5 Up 31 ม.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 01-02-2021 00:43:37
ลุ้นว่าอิพี่เจดจะกล้าพูดว่าชอบเคมีไหม เกือบไม่รอดนะพี่เจด
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 29 P.5 Up 6 ก.พ. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 06-02-2021 10:59:10
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 29. วันธรรมดากับคนพิเศษ

[หนึ่ง เอกราช]

   จบเทอมแรกไปอย่างสะบักสะบอมกันทุกคน เกรดที่ออกมาไม่แย่แต่ก็ไม่ใช่ท็อปของคณะ ยกเว้นขวัญใจและไอ้โทคนทรยศที่แอบไปติวกันสองคนจนเกรดพุ่ง มันโดนผมด่าชุดใหญ่ที่สนใจแต่แฟนจนละเลยคนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิด หลังสอบเสร็จก็ปิดเทอมประมาณ 2 อาทิตย์ ผมเลยใช้เวลาว่างนี้ไปเยี่ยมพ่อที่ประจำการอยู่บนเกาะกลางทะเล หลังจากที่เจอกันเมื่อสองเดือนก่อนและได้พูดคุยมากขึ้น ผมก็รู้ว่าพ่อทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลอุทยาน เดิมทีนั้นอยู่ไม่ไกลแค่กาญจนบุรี แต่พอทางใต้คนไม่พอจึงถูกเรียกไปประจำการชั่วคราว แต่คงจะชั่วคราวนานไปหน่อย เพราะปาเข้าไปปีที่ 5 แล้วแถมสัญญาณโทรศัพท์บนเกาะแทบจะไม่มี โทรหาใครก็ไม่ได้ อยู่ได้แค่ 5 วันก็ต้องรีบกลับ เพราะทนคิดถึงไอ้ตงไม่ไหว...ยอมรับตรงๆแมนๆ

             ถ้าถามถึงเรื่องรับน้องคณะ...ตอนนี้ผมกลายเป็นแกะดำของพวกรุ่นพี่โดยสมบูรณ์แบบเพราะเรื่องที่ลาออกจากการเป็นเชียร์หลีดเดอร์นั่นแท้ๆ แม้ว่าเพื่อนๆในกลุ่มบอกว่าจะออกหน้าช่วยพูดแต่ผมก็ห้ามไว้ การอยู่แบบนี้มันสบายใจมากกว่าด้วยซ้ำ อยู่กับเพื่อนสนิทไม่กี่คน ไม่ต้องสนใจคนรอบข้าง ไปไหนมาไหนคนเดียวก็ถูกมองเป็นอากาศ พอไม่มีใครสนใจผม การที่อยู่กับไอ้ตงเลยไม่มีใครสังเกตว่าเราเป็นอะไรกัน อย่าถามว่าไอ้พวกในกลุ่มจะรู้ไหม พวกนี้หัวทื่อตามประสาผู้ชาย ไม่ได้สนใจจับจ้องเรื่องส่วนตัวของกันและกันเท่าไหร่ เจอกัน ไปเล่นเกม ไปเตะบอล กินหมูกระทะหรือไปเที่ยวกันตามประสาคนเถื่อนดีกว่าเยอะ

“ทำไมดำอย่างนี้เนี่ย” เสียงคนมารับทักทายอย่างเป็นมิตร (เหรอ) ผมก้มสำรวจตัวเองก็พบว่าสีผิวเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ช่วงที่อยู่บนเกาะก็ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นที่ไหนนอกจากใช้แรงงานในการตัดหญ้า แผ้วถางทางเดินเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว มีไปว่ายน้ำเล่นบ้าง ส่วนใหญ่ก็เป็นเบ๊รองมือรองเท้าพี่ๆที่เป็นเพื่อนร่วมงานของพ่อ ลำบาก แต่สนุกไปอีกแบบ

“โหย แทนที่จะทักว่า คิดถึงจัง อะไรแบบนี้” ผมยัดตัวเองเข้าไปในรถหรู แอร์เย็นกระทบร่างอย่างสบายตัว ส่องกระจกมองความยับเยินจากการนั่งรถไฟชั้นสามเป็นเวลา 24 ชั่วโมงอย่างปลงตก คนข้างๆที่มองบนอย่างเอือมระอา การแต่งตัวหล่อเหลาบอกได้เลยว่าอยู่คนละระดับกันนั้นทำหน้ายู่ใส่

“คิดถึงทำไม ไปแค่ไม่กี่วันเอง” ก็จริงนะ ก่อนสอบไอ้ตงก็มีไปถ่ายละครต่างจังหวัดเกือบสิบวัน พอสอบเสร็จก็ไม่ได้เจอกันเลยเนื่องจากติดละครอีกเรื่องที่เชียงใหม่ มันเพิ่งกลับมาเมื่อวานนี้เอง ยังดีที่ผมส่ง sms บอกวันเวลากลับกรุงเทพให้มันได้ การโทรหากันนั้นทำไม่ได้เลยเพราะเหตุผลที่เคยบอก ช่วงที่ไม่ได้เจอกันผมคิดถึงมันใจจะขาด แต่เหมือนคนมารับจะไม่คิดแบบนั้น

“ไม่คิดถึงก็ไม่ต้องคิด” ผมตัดพ้อ รู้นิสัยปากหนักของคนข้างๆดีอยู่แล้ว เมื่อคำพูดไม่ทำให้สะทกสะท้าน ผมเลยคว้ามือมันมาจูบ ใบหน้าหล่อเห่อแดงเป็นลูกตำลึง พอเห็นก็เริ่มได้ใจที่มันไม่ห้ามเลยเอี้ยวตัวไปหอมแก้มฟอดใหญ่

“ไอ้หนึ่ง” ได้ผล มันโวยวายลั่น หน้าแดงเพิ่มขึ้นแถมหน้าตื่นตกใจ ผมหัวเราะอย่างสะใจที่เห็นอาการร้อนรนของดาราหนุ่มหล่อ

“คิดถึงก็ยิ้มกว้างๆมาให้ก็ได้” รีบชิงพูดก่อน ไม่อย่างนั้นมันจะโวยวายไม่จบ ไอ้ตงถอนหายใจ เราออกมาจากสถานีรถไฟกันได้สักพักโดยสองมือประสานจับกันแน่น ผมจับจ้องใบหน้าหล่อๆอย่างไม่เบื่อหน่าย ตงฉินย่นจมูกไปมาเหมือนจะจาม มันคืออาการเขินและทำตัวไม่ถูก ยิ่งมองก็ต้องอมยิ้มไม่หยุด ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมาและส่งยิ้มกว้างที่หล่อที่สุดมาให้

“น่ารักนะเรา” ผมแซว

“หุบปาก” ไอ้ตงแหวใส่ ผมพยุงตัวไปหอมแก้มมันอีกครั้งพร้อมกับเสียงโวยวายอีกระลอก ถ้าไม่สนิทขนาดนี้จะไม่มีทางรู้เลยว่าไอ้ตงมันเป็นคนขี้อายและไม่กล้าแสดงอารมณ์ ซึ่งผิดแผกกับภาพลักษณ์คุณชายผู้เย่อหยิ่งยิ่งนัก “หิวมั้ย”

“ก็นิดหน่อย” ผมตอบคำถาม ทั้งที่ความจริงคือหิวมาก อาหารบนรถไฟแพงจนไม่กล้าสั่งมาเยอะ เลยทนอดเพื่อรอมากินกับคนสนิทดีกว่า

“อยากกินอะไร”

“ง่ายๆก็ได้” ผมตอบ ตงฉินพยักหน้าว่ารับรู้ก่อนจะจ่ายเงินค่าทางด่วน เราจบที่ร้านอาหารตามสั่งในมหา’ลัยแบบเดิมและกลับคอนโดที่จากไปหลายวันอย่างเป็นสุข

“ไปอาบน้ำก่อน” ไอ้ตงบ่นที่เห็นผมทิ้งร่างบนเตียงนุ่ม ตอนนี้เราทั้งคู่นอนห้องเดียวกันแล้ว แถมห้องเล็กก็ปล่อยว่างเพราะไอ้โทไปอยู่กับขวัญใจถาวรเช่นกัน ยังเหลืออีกหลายวันก่อนจะเปิดเทอม ผมเลยอยากใช้วันว่างกับดาราหนุ่มหล่อเสียหน่อย ถ้าแม่รู้ว่ากลับมาแต่ไม่เข้าบ้านคงด่ายับ แต่ต้องยอมแหละ อยากอยู่กับตงฉินมากกว่านี่นา

“อาบให้หน่อยสิ” ผมทำเสียงอ้อน

“ไม่” ไอ้ตงก็คือไอ้ตง มันปฏิเสธเสียงแข็ง

“นะนะตงจ๋า อาบน้ำให้หน่อย” ผมลุกไปยืนประกบคนตัวสูง ขยับช่วงล่างไปมาเสียดสีกับบั้นท้ายกลมกลึง ความยาวช่วงขาก็พอๆกันนะ แต่ทำไมช่วงตัวผมสั้นได้ขนาดนี้เลยวะเนี่ย คิดแล้วก็น้อยใจตัวเองไม่น้อยเช่นกัน

“หยุด ไม่ต้องเอาไข่มาเบียด” มันผลักตัวผมออก สายตาจังจ้องความนูนเด่นอย่างเขินอาย คนปากแข็งแบบตงฉินต้องแบบการยั่วยุแบบนี้แหละ

“ไม่สนใจจริงๆเหรอ” ผมทำเสียงตัดพ้อ แต่กลับถอดกางเกงออกจนเปลือยเปล่า ปล่อยให้ความใหญ่โตผงาดสู่สายตาอีกคนอย่างจงใจ

“มันไม่ได้ใช้งานตั้งนาน มันบ่นคิดถึงเมียตลอดเวลาเลยนะ” ผมบิดสะโพกไปมาให้น้องชายผมแกว่งไกว ตงฉินกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ถ้ามันไม่ใช่พระอิฐพระปูนคงจะห้ามใจไม่ได้หรอก วัยรุ่นแบบพวกเราเนี่ยพลังงานล้นเหลือ ความต้องการพลุ่งพล่านเสมอ สะกิดนิดสะกิดหน่อยก็ปะทุ แล้วเกย์เต็มขั้นแบบไอ้หนึ่งก็รู้ว่ามีคนต้องการปลดปล่อยความหิวกระหายอยู่เช่นกัน เพียงแต่ต้องเก๊กมาดทำขรึมเพื่อรักษาภาพ ทั้งที่เสียงครางกระเส่าและเรือนร่างบิดเร่าอย่างโหยหวนรองรับความใหญ่โตขนาดเท่าระยะห่างทางความสูงของพวกเรานั้นยังติดตาตรึงใจ

   ผมเลียปากเพื่อยั่วยุก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำอย่างเชื่องช้า ลมหายใจของตงฉินฟึดฟัด ผมเปิดน้ำอุ่นให้ไหลรินรดทั้งตัว ลูบไล้กล้ามเนื้อที่แน่นขนัดอย่างหวิวไหว ใครจะคิดว่าคนที่ยั่วยุอีกฝ่ายอย่างผมกลับรู้สึกร้อนรุ่มไม่น้อย เสียงน้ำดังเอื่อยไม่ได้กลบเสียงประตูห้องน้ำที่เปิดและปิดสนิท ร่างสูงเปลือยเปล่าชวนมองเดินมาใกล้อย่างประหม่า ผมโลมเลียสายตากับความงดงามที่สมบูรณ์แบบอย่างโจ่งแจ้ง ยื่นมือไปหาคนที่เดินเชื่องช้า แขนยาวยื่นมาทางนี้เช่นกัน ผมกระชากให้ร่างเราประกบกัน คนสูงกว่าโน้มแนบใบหน้าส่งผ่านความโหยหาในโพรงปากอย่างเรียกร้อง แก่นกายแข็งขืนถูไถหน้าท้องผมจนจุกแน่น ลิ้นของเราสอดประสานกันเร็วรี่ เสียงน้ำไหลรินอย่างไม่ขาดสายเบาบางลงเมื่อเสียงครางสั่นเครือของพวกเราล่องลอยมาแทนที่

#### ####

[ตงฉิน]

             ผมตื่นมาอีกทีก็บ่ายโมงแล้ว บั้นท้ายปวดหนึบจนลุกแทบไม่ไหว รู้ทั้งรู้ว่าไอ้หนึ่งมันไม่ธรรมดาแต่ผมก็ยังยอมให้มันจัดการอย่างหนักหน่วงหลายต่อหลายยกราวกับคนตายอดตายอยาก นี่แค่ไม่เจอกันไม่กี่วันยังบอบช้ำได้ขนาดนี้ ถ้าต้องห่างกันเป็นเดือนผมไม่ต้องเจ็บปวดจนต้องร้องขอชีวิตเลยเหรอ

             ชีวิตของพวกเราก็วนเวียนอยู่แค่ ตื่นนอน ไปเรียน กลับคอนโด มีอะไรกัน กินข้าว ดูหนัง ทำรายงาน อ่านหนังสือ พอไม่ง่วงก็มีอะไรกันอีกรอบ ถามว่าผมเบื่อหรือเปล่า ตอบได้เลยว่าไม่ คงเพราะมันเป็นความสบายใจที่ได้ทำแบบนี้กับมันด้วยแหละพอได้ใกล้ชิดมีอะไรกันมันก็ช่วยปลดเปลื้องความเครียดที่สะสมอย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งคนที่ต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยแบบนี้แล้ว ปล่อยให้ตัวเองเครียดจะส่งผลเสียต่อการทำงาน พอมานึกย้อนไปก็พอจะรู้ว่าทำไมตอนนั้นผมถึงชอบไปงานปาร์ตี้ เล่นยาและมีเซ็กซ์กับนางแบบมากหน้าหลายตา

             หากจะพูดว่า ผมกับไอ้หนึ่งอยู่ในสถานะ Friends with benefits ก็คงไม่ผิดมากนัก เพราะเราไม่เคยจีบกัน ไม่เคยเดตแบบคู่อื่นๆ เพราะตัวตนของผมที่ทำให้ต้องปกปิดเพศสภาพไม่ให้กระทบภาพพจน์ตัวละครที่แสดง เราทั้งคู่จึงมีชีวิตรัก(?)ในห้องสี่เหลี่ยมเท่านั้น พอไปเรียนหรืออยู่กับคนหมู่มาก ต่างก็นิ่งเฉยไม่แสดงออกว่าเป็นอะไรกันให้ใครรับรู้ ... ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าถ้าจะต้องจีบกันต้องทำอย่างไรบ้าง เราข้ามขั้นจากเพื่อนมาเป็นคู่นอนกันเลยตั้งแต่วันแรกๆที่รู้จักกัน มันเริ่มจากแอลกอฮอล์ หลังจากนั้นก็มีครั้งที่สองสามตามมาจนตอนนี้นับไม่ไหวแล้วว่าผ่านมากี่ครั้ง ถ้าถามถึงสถานะระหว่างเราคงมีแต่คำว่า F.B.W. นี่แหละที่พอจะใช้บรรยายกันได้

“ตื่นนานแล้วเหรอ” เสียงของคนตัวดำดังงัวเงีย คงตื่นเพราะไอเย็นจากแอร์เครื่องใหญ่รบกวน โดยปกติแล้วจะนอนกอดกันแทบตลอดเพราะผมเป็นคนตัวอุ่น และอ้อมกอดของไอ้หนึ่งก็อุบอุ่น กลิ่นกายเฉพาะของมันก็ชวนผ่อนคลาย จากที่ไม่ชอบให้ใครมาเกาะแกะตอนนอนก็คุ้นเคย หากต้องแยกกันนอนก็นอนไม่หลับเพราะรู้สึกว่าห้องนอนมันหนาวเกินไป คงเหมือนกับไอ้หนึ่งที่สะดุ้งตื่นตอนนี้นั่นแหละ เมื่อไร้ไออุ่นจากตัวผมก็จะนอนไม่สบาย เหมือนว่าเราต่างเสพติดกันและกันเข้าไปแล้ว

“เพิ่งตื่นเอง”

“ยังเจ็บอยู่มั้ย” ดูมันถามสิ ไม่เจ็บก็ไม่ใช่คนแล้วมั้ง เล่นแทงมาจนขาสั่นแบบนั้น “ไหนดูความเสียหายหน่อย”

“ไม่ต้อง” ผมขยับตัวหนีจนหลุดออกจากผ้าห่ม สำรวจรอยแดงตามตัวและแขนขาอย่างตกใจ นอกจากจะใส่ไม่ยั้งแล้วยังทำรอยยับเยินอีกด้วย “บอกว่าอย่าทำรอย ฟังกันบ้างมั้ยเนี่ย” ผมด่า

“ฟัง แต่ใครใช้ให้มึงน่ากินน่าขย้ำขนาดนั้นล่ะ”

“ไอ้...” อยากจะกระชากหัวมันแล้วถูหน้าลงกับพื้นเสียจริง แต่ติดที่กลัวพื้นเป็นรอยจึงได้แค่คิด พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะสำรวจบั้นท้ายตัวเองก็ลุกไปแต่งตัว เข้าไปจัดการของที่หลงเหลือในตัวในห้องน้ำอย่างอึดอัด ความง่วงงุนทำให้เผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น ความเจ็บแสบเล่นงานหนักเอาการ น่าจะบวมไม่น้อยเลยแหละ แถมยังสดไม่ใส่ถุงอีก อะไรต่อมิอะไรตกค้างจนแทบไม่ต้องออกแรงเบ่ง พอปลดปล่อยไปได้เยอะแล้วค่อยหายใจสะดวกหน่อย อยากจะต่อยตัวเองชะมัดที่ไปหลงกลกับแรงยั่วของมัน ยอมให้มันทำร้ายโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยอีก ถึงผมและไอ้หนึ่งจะเชื่อใจกันว่าต่างฝ่ายจะไม่มีคนอื่น แต่มันก็เสี่ยงมากเช่นกัน คิดไปก็ปวดหัว คงต้องซื้อถุงยางอนามัยไซส์มันมาตุนไว้ซะละ

             คนร่างเล็กแต่งตัวในชุดใหม่เอี่ยม ถึงผิวมันจะเข้มเพราะไปทะเลมาแต่ก็ไม่ทำให้มันขี้เหร่ ถึงแม้มันจะชอบคิดว่าตัวเองไม่หล่อแถมเตี้ยอีกต่างหาก แต่ความจริงหน้าตามันไม่ได้แย่เลยสักนิด มันมีแฟนคลับติดตามในเพจหนุ่มหล่อในมอเราไม่น้อยจากการปล่อยรูปที่ถูกถ่ายจากงานบายเนียร์ของพวกวิศวะเมื่อหลายเดือนก่อน ไอ้หนึ่งแต่งตัวในชุดสูทเข้ารูป หน้าตาสะอาดสะอาดเหมือนถูกแต่งแต้มโดยช่างแต่งหน้าชวนมอง คิ้วหนาเรียงเป็นแพรับกับตาสองชั้นกลมโต เวลาส่งยิ้มจะหวานเยิ้มเพราะขนยายาวนั้นช่วยขับความหล่อ สันจมูกโด่งผิดแผกกับไอ้โทที่เป็นลูกพี่ลูกน้องที่สันจมูกไม่ได้คมสันแบบนี้ ใบหน้ารูปไข่ยาวรับกันกับปากอิ่มที่ชวนหวั่นไหวทุกครั้งที่โดนมันจูบ

“มองขนาดนี้ หลงเสน่ห์แล้วล่ะสิ” น้ำเสียงมันดูภูมิใจเสียเหลือเกิน

“หลงตัวเอง” ผมหรี่ตาและตอบแก้เก้อ คงจะมองมันเพลินจนเกินไปจริงๆ “แต่งตัวจะไปไหน”

“ไปซื้อของใส่ตู้เย็นอะดิ ไม่อยู่แค่ไม่กี่วันไม่มีของสดทำกับข้าวเลย” ไอ้หนึ่งมันทำกับข้าวเป็นครับ อร่อยด้วย ทีแรกผมก็ไม่เชื่อแต่พอได้ลองแล้วก็ติดใจเลยล่ะ มันบอกว่าทำกับข้าวเองน่ะกินได้หลายมื้อ ประหยัดกว่าออกไปกินตามห้างอีก

“ก็มึงไม่อยู่ จะให้ซื้อมาทำไมล่ะ” ผมตอบข้างๆคูๆ นึกถึงฝีมือเจียวไข่ของตัวเองแล้วก็สยอง

“จะไปด้วยกันมั้ย หรือจะนอนพัก” ปกติแล้วผมจะให้มันขับรถไปเอง เพราะกลัวว่าจะไปเจอพวกแอบถ่าย ครั้งก่อนที่ไอ้หนึ่งไปเฝ้าที่กองถ่ายละครก็ถูกเอาลงปกนิตยาสารมาแล้ว คนที่ไม่ชอบตอบคำถามนักข่าวแบบผมเลยขอหลีกเลี่ยงความเสี่ยงมากกว่า

“อืม ไปด้วยดีกว่า อยากไปดูของใช้ด้วย” ความจริงแล้วไอ้หนึ่งมันดูแลทุกอย่างเลยครับ ทั้งสบู่ แชมพู ผงซักฟอกรวมไปถึงครีมทาผิวต่างๆที่ผมใช้ประจำ มันบอกว่ายินดีจ่ายเพราะเงินเหลือเนื่องจากไม่ต้องจ่ายค่าเช่าห้องแพงๆ มีแต่ครีมบางตัวที่ราคาหลักหมื่นเท่านั้นแหละที่ผมซื้อเอง ไม่อยากรบกวนมัน

“วันนี้มาแปลก” มันพูดขำๆก่อนจะคว้ากระเป๋าสะพายเก่าเก็บมาพาด

“ตัดผมด้วยมั้ย ผมมึงยาวมากเลยนะ” ผมทัก ผมหยิกฟูหยิกหยอยยาวไม่เป็นทรงจนนึกรำคาญแทน

“ไว้ยาวดีมั้ย อินดี้ๆหน่อย”

“นึกถึงสภาพหนังหน้าตัวเองด้วย” ผมตอกย้ำ มันชอบคิดว่าตัวเองไม่หล่อ ถ้าทำอะไรมาแล้วจะดูแย่มันจะไม่ทำเด็ดขาด

“เออ ตัดดีกว่า” นั่นไง มันก็หลอกง่ายอยู่นะ ...

   ใช้เวลาไม่นานก็ได้ที่จอดรถในห้างสรรพสินค้าหรูไม่ไกลจากคอนโด ผู้คนยังพลุกพล่านถึงแม้จะเป็นวันธรรมดา แต่คงเพราะเป็นช่วงปิดเทอมนักเรียนนักศึกษาเลยมีเวลาออกเดินเที่ยว พอก้าวเข้าไปก็เจอกับแสงสว่างจนแสบตาและความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ ผมแต่งตัวให้ธรรมดาที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ ตามปกติพวกดาราวัยรุ่นมักจะแต่งตัวแบบคูลๆล้ำๆ เสื้อตัวโคร่งๆจากห้องเสื้อชั้นนำแขนยาวสีขาวหรือสีแสบตา กางเกงโคร่งๆสีพาสเทลกับรองเท้าคู่แพงเหมือนจะมาเดินแฟชั่นโชว์ก็ไม่ผิดนัก แต่ผมกลับหยิบเสื้อยืดสีดำแขนสั้นขนาดพอดีตัวโชว์ความราบเรียบของหน้าท้องที่ต้องอดอาหารตามที่เทรนเนอร์ฟิตเนสจัดให้และออกกำลังกายหนักๆเพื่อคุมมวลกล้ามเนื้อ แขนเสื้อรัดกล้ามแขนให้น่าดู พอให้คนที่เดินผ่านหยุดมองหรือไม่ก็แอบกระซิบกระซาบกับเพื่อนๆที่เดินมาด้วยกันแล้วหัวเราะคิกคัก ... แต่ผมไม่ชอบเป็นจุดสนใจจริงๆนะ

“จะกินอะไรก่อนไหม” เดินชูคอจนลืมไปเลยว่ามากับใครอีกคน พอได้ยินคำถามท้องก็ร้องลั่น

“อาหารญี่ปุ่นมั้ย ไม่ได้กินมานานแล้ว” ผมเสนอ นานๆทีกินหรูไอ้หนึ่งไม่ว่าหรอก มันออกจะตามใจผมจนเคยตัวด้วยซ้ำ

“เอาดิ รู้ใจนะเราน่ะ” มันส่งยิ้มให้ ผมเบ้ปากกลับ พากันเดินเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังก่อนจะจัดการมื้อเที่ยงอย่างหิวโซ ผมสั่งข้าวหน้าปลาดิบ ส่วนอีกคนสั่งซูชิที่ดูน่ากิน แถมยังมีของกินเล่นจำพวกทาโกะยากิ หนวดปลาหมึกทอด ที่ชวนอ้วนทั้งนั้น ผมได้แต่มองตาปริบๆเพราะอยากกิน แต่ก็กลัวเทรนเนอร์ดุ

“อยากกินก็กิน” ไอ้หนึ่งคีบซูชิและหนวดปลาหมึกทอดมาให้

“กินได้ไง ยังไม่ถึงวันชีทเดย์” (Cheat day – วันที่คนคุมน้ำหนักสามารถกินอะไรตามใจปากได้โดยไม่ห่วงว่าจะอ้วน)

“กินๆไปเถอะ อ้วนกว่านี้อีก 10 กิโลยังน่ารักเลย”

“ห๊ะ...” ผมอึ้งไปเลยที่ได้ยิน นี่มันหยอดกันแบบหน้าไม่อายเลยเหรอ

“หรือจะให้ป้อน” มันทำท่าจะคีบผมรีบใช้ตะเกียบตัวเองกดตะเกียบมันไว้

“กินเองๆๆ” ว่าแล้วก็รีบคีบของทอดเข้าปาก อื้อหือออออ....อร่อย น้ำตาจิไหล...

“ดูแลตัวเองหน่อยสิ ผอมจะแย่แล้วเนี่ย” ไอ้หนึ่งเริ่มบ่น ผมทำเป็นไม่สนใจ “ผอมจนนมหายไปเยอะแล้วนะ ขยำไม่สะใจเลย”

“อะ ไอ้บ้ากาม” ผมแกล้งสะดีดสะดิ้ง สองมือไขว้กันทาบหน้าอกในท่าป้องกันตัว

“เพิ่งรู้เหรอ” มันยิ้มก่อนหัวเราะหึหึเหมือนคนโรคจิต ไอ้เราได้แต่ก้มหน้าสะกดความเขินไว้ ขยำไม่สะใจตรงไหนวะ นี่ยังเจ็บหน้าอกไม่หาย ไอ้ซาดิสต์

             พออิ่มก็พากันเดินไปร้านตัดผมที่มีหลายร้านเปิดเรียงกัน ปกติผมจะเข้าไปดัดร้านดังแถวพร้อมพงษ์เพราะมีช่างประจำที่รู้ใจกันอยู่ ครั้นจะให้ถ่อสังขารไปถึงโน่นคงมืดพอดี การจราจรของกรุงเทพมันปกติที่ไหน วันธรรมดาใช่ว่ารถราละน้อยลงเมื่อไหร่ เราสองคนยืนเก้ๆกังๆไม่รู้ว่าจะเข้าร้านไหน เดินไม่นานก็มีพนักงานต้อนรับของร้านหนึ่งเดินมาทักทายและขอถ่ายรูปเลยถือโอกาสใช้บริการร้านนี้เสียเลย พี่ๆช่างตัดผมกระวีกระวาดเข้ามาบริการอย่างอบอุ่น แถมขอถ่ายรูปผมอย่างเป็นกันเองหลายต่อหลายรูป ไอ้หนึ่งพลอยได้ผลบุญไปด้วยเพราะพี่ๆต่างพากันแนะนำทรงผมที่เข้ากับรูปหน้ามันให้แถมยังบอกว่าตัดให้ฟรีถ้าผมอนุญาตให้เอารูปตัวเองแปะโชว์หน้าร้าน

“อื้อหือ หล่อเลยค่า” ช่างตัดผมชมไอ้หนึ่งไม่ขาดปาก ทรงผมที่ไม่เป็นทรงก่อนหน้านี้ถูกตัดเข้ารูปจัดทรงเสยเปิดหน้าผากโล่งหวีเปียกลู่ไปด้านหลังรับกับใบหน้ามันเป็นที่สุด ผมมองแล้วใจสั่นกับมันอย่างบอกไม่ถูก ไอ้หนึ่งขยิบตาให้และมองอย่างกวนๆจนต้องเมินหน้าหนี อาการหายใจไม่ทั่วท้องตอนมองหน้ามันเกิดขึ้นตอนไหนไม่รู้ จากที่เคยชอบไอ้หนึ่งเพราะเรื่องเซ็กซ์ ตอนนี้กลับชอบเวลาที่ตัวเองได้เป็นตัวของตัวเองโดยที่มันไม่คิดขอร้องให้เปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง

“จะซื้อของเลยมั้ย” ผมเป็นคนถามหลังจากเดินออกมาจากร้านตัดผม ผู้คนต่างมองมาทางเราไม่ขาดสาย คงรู้ว่าผมเป็นดาราแหละ แถมเพิ่งตัดผมและเซ็ตมาอย่างเนี้ยบออร่าเลยเปล่งประกายเพิ่มอีกเท่าตัว แต่ออร่าของคนที่เดินข้างๆก็ใช่ว่าจะขี้เหร่ มันกวาดสายตามองรอบๆ ท่าทางไม่เร่งรีบ

“ยังไม่มืดเลย รีบมั้ยล่ะ”

“ไม่รีบ” ผมไม่ต้องกลับไปนอนบ้านเพราะเกรดออกมาน่าพอใจ แต่ถ้าให้กลับคอนโดเลยก็มีหวังโดนไอ้หนึ่งจับกินตับไม่ได้หยุด ดูแววตาหื่นๆก็รู้แล้วว่ามันจ้องจะงาบผมอยู่ เดินแกร่วที่นี่อีกสักหน่อยก็เข้าท่า ถือว่าเช็กเรตติ้งตัวเองไปในตัว

“งั้นไปดูหนังมั้ย มีเรื่องที่อยากดูอยู่พอดี” มันเสนอ ร้อยวันพันปีไม่เคยชวน อาจเป็นเพราะเพิ่งจะเคยมาเดินด้วยกันสองคน

“หืม”

“ถ้าไม่อยากดูก็ไม่เป็นไรนะ” มันบอก น้ำเสียงไม่ได้ตัดพ้อหรืออะไร มีแต่ผมนี่แหละที่ยังไม่ชิน นี่เราออกมาซื้อของหรือว่ามาเดตกันแน่นะ

“เอ่อ ก็ได้นะ ไม่ได้เข้าโรงหนังมานานแล้วเหมือนกัน” ผมใจเต้นโครมครามอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นรอยยิ้มดีใจของมัน

“เหมือนมาเดตกันเลยเนาะ” โอ๊ยยยยยยยยยยยย ไม่ต้องพูดก็ได้มั้ย ไม่อยากหน้าแดงกลางห้างนะเว้ย!

“พูดไร ไร้สาระ”

“หึ ไร้สาระก็อย่าหน้าแดงสิ” มันแซวตอนที่เราเข้าไปในลิฟต์แล้ว ผมมองซ้ายขวาหลบฉากจากกล้องถ่ายวีดีโอก่อนจะตบกบาลมันไปทีนึง

“พูดมาก”

“ชอบความรุนแรงเหรอ ได้ เดี๋ยวผัวจัดให้” มันลูบหัวตัวเองไปมาและทำหน้าหื่นๆใส่ ผมมองบนจนปวดตาไปหมด นี่กูคิดผิดหรือคิดถูกเนี่ยที่ยอมมากับมัน

“มึงไปซื้อป๊อบคอร์นกับน้ำมานะ เดี๋ยวกูซื้อตั๋วเอง” ผมสั่ง มันเดินไปทางเคาเตอร์ขายของกินเล่นอย่างว่าง่าย รอบใกล้เย็นแบบนี้คนไม่เยอะ มีเวลาอีก 5 นาทีก่อนหนังจะฉาย ผมจึงตัดสินใจเลือกที่นั่งวีไอพีด้านบนสุดเพราะที่นั่งกว้างขวางและสบายกว่า ถึงแม้ราคาจะถีบตัวเป็น 2 เท่าของที่นั่งปกติก็ตาม พอได้ตั๋วมาแล้วพร้อมกับรอยยิ้มเขินๆจากพนักงานขายตั๋วที่จ้องตาเป็นมันผมก็เดินไปทางไอ้เตี้ยที่ยืนเงอะงะดูตัวอย่างหนังบนหน้าจอขนาดใหญ่

“มายืนทำไมตรงนี้ ไป...เข้าโรง” ผมใช้ไหล่สะกิดตัวมัน ไม่อยากแสดงออกโจ่งแจ้งว่าเป็นผัวเมียกัน ภายนอกจึงดูเหมือนผู้ชายแมนๆสองคนมาดูหนังแค่นั้น...ต่อให้สมัยนี้คนเขาจะรู้ก็ตามว่าผู้ชายมากันสองคนมันต้องมีอะไรมากกว่าแค่คำว่าเพื่อนก็ตาม

“ก็ยืนรอไง โรงอะไรเนี่ย” ผมยื่นตั๋วให้มันดูรายละเอียด ไอ้หนึ่งเดินนำทางไปอย่างชำนาญโดยไม่ต้องมองป้ายบอกทาง ในโรงหนังสลัวๆเพราะแสงไฟที่ผนังส่องสว่างประปราย เราเดินไปยังที่นั่ง นึกแปลกใจที่มีคนทะยอยมาไม่ขาดสายทั้งที่ก่อนหน้านี้โรงยังว่างอีกเยอะ ถ้าคิดเข้าข้างตัวเองสักหน่อย ก็อาจจะเป็นเพราะผมก็ได้ คนเลยแอบซื้อตั๋วตามมา (มั่น)

“วีไอพีเลยเหรอวะ แพงไปมั้ย” ไอ้หนึ่งบ่น

“เอาน่า กูไม่ชอบโดนคนแปลกหน้าเบียด”

“แต่ชอบกูเบียด” ไม่ใช่แค่คำพูดนะ มันทำหน้าหื่นกามใส่จนต้องดุ

“ไอ้สัส” ผมด่า ดีนะที่มันค่อนข้างมืดเลยไม่มีใครเห็นว่าตอนนี้หน้าร้อนแค่ไหน

“กินมั้ย” มันหยิบป๊อบคอร์นมาจ่อที่ปาก พอจะหยิบเองมันก็ใช้มืออีกข้างมารั้งไว้โดยไม่สนใจว่าผมทำตาเขียวใส่ ดูท่าว่ามันก็ไม่ยอมเช่นกันเลยจำใจเปิดปากให้มันป้อนกลิ่นชีสหอมๆเข้ามา

“พอแล้ว กูกินเองได้” ผมส่งเสียงห้ามเมื่อมันป้อนไม่หยุด

“งั้นกูจับมือมึงนะ” มันยื่นข้อเสนอ “พอดีมือว่างไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน”

“วางไว้ข้างตัวมึงนั่นแหละ” ผมสวนกลับ แต่เหมือนไอ้คนนี้จะหน้าหนา มันคว้ามือไปเกาะกุมเรียบร้อย

“มันมืด ไม่มีคนเห็นหรอก แถมกูมีเสื้อแขนยาว” ผมล่ะทึ่งที่มันสามารถพกเสื้อแขนยาวตัวบางจิ๋วในเป้มาด้วย กลิ่นหอมละมุนนั้นบอกว่าไม่ใช่ของคนที่นั่งข้างๆเป็นแน่

“เสื้อใคร”

“ถามเสียงแข็งเลยนะ หึงเหรอ” มันย้อน

“เปล่า กลัวเชื้อโรคมาติดมือ”

“จ้ะ พ่อคนสะอาด นี่เสื้อขวัญใจน่ะ ไอ้โทมันฝากไว้แต่ลืมเอาไปคืน” พอได้ยินผมก็แอบยิ้ม แล้วก็ต้องสะบัดหัวตั้งสติ ทำไมต้องดีใจที่เป็นเสื้อของขวัญใจแทนที่จะเป็นของผู้หญิงที่ไหน

“พูดมาก ดูหนัง” ผมเสเปลี่ยนเรื่อง ปล่อยให้มืออุ่นเกาะกุมตัวเองไว้อย่างนั้นใต้เสื้อคลุมผืนบาง ไม่มีใครสังเกตว่าเราทำอะไรกันตรงนี้ แถมไม่มีใครเห็นว่าผมกำลังยิ้มกว้างอย่างไม่รู้ตัวอีกด้วย

“ขอบคุณนะ” เสียงนั้นแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน ตัวอย่างหนังนั้นเสียงดังจนแทบกลบสนิท

“ขอบคุณอะไร” ผมโน้มหน้าลงไปถามไม่อยากใช้เสียงดังรบกวนคนอื่น

“ขอบคุณที่มาดูหนังด้วยกัน ขอบคุณที่ให้จับมือ...”

“พูดมาก”

“เขินล่ะสิ” มันโต้กลับ

“ไม่มีทาง” ผมชักมือหนี แต่มันรั้งไว้ทัน

“ไม่แซวแล้วๆๆๆ” มันพร่ำบอก ผมเลยปล่อยแรงขืนให้มือหนาเกาะกุมเช่นเดิม

             หนังสนุกมาก ไม่รู้ว่าผมไม่ได้ดูหนังในโรงใหญ่แบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว บรรยากาศของการเสพความสนุกมันเป็นอย่างนี้เองสินะ ที่ผ่านมามัวแต่ทำงาน จบแล้วก็ไปต่อที่ปาร์ตี้มั่วสุม ตื่นขึ้นมาอีกวันที่คอนโดใครก็ไม่รู้ ต้องแอบย่องออกมาอย้างเงียบเชียบไม่ให้ใครเห็น คิดว่ามันคือความสนุกและตื่นเต้นเลยทำซ้ำๆ ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสมาดูหนังกับใครสักคน ใช้เวลาอย่างอบอุ่นโดยไม่เร่งร้อน ไม่มึนเมาและสบายใจอย่างน่าประหลาดใจ

             ใช่ว่าไอ้หนึ่งมันจะยอมให้ผมหยิบป๊อบคอร์นกินเอง มันนั่งฝั่งขวาของผม มือซ้ายเกาะกุมมือขวาผมไว้แน่น แต่ข้างที่เหลือก็คอยหยิบของขบเคี้ยวป้อนมาไม่หยุดหย่อน พอห้ามมันก็ทำเสียงขู่เหมือนไซบีเรียนฮัสกี้ จะโต้กลับก็ไม่ได้กลัวหลุดตวาดเสียงดัง ได้แต่ยอมให้มันเอาใจแต่โดยดี ... สถานะการณ์มันบีบบังคับหรอกนะ ไม่ได้เต็มใจเสียหน่อย
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 29 P.5 Up 6 ก.พ. 64
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-02-2021 11:17:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 29 P.5 Up 6 ก.พ. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 06-02-2021 22:04:01
แหม่.....พอเคลียร์ใจกันได้ก็จีบกัน ชวนกันไปเดทหวานเลยนะ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 29 P.5 Up 6 ก.พ. 64
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 06-02-2021 22:31:23
 :o8: :o8: :-[
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 29 P.5 Up 6 ก.พ. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 08-02-2021 18:17:51
ประกาศก่อนอ่านตอนที่ 31 เรื่อง การลงตอนใหม่ให้อ่านล่วงหน้า 2 อาทิตย์

ทางไรต์ขอประกาศเรื่องการเก็บค่าสนับสนุนนิยายเรื่อง เตี้ยนักจะรักปะล่ะ ดังนี้ครับ



ปกติ อ่านฟรี 1 ตอน ทุกวันเสาร์

ตัวอย่าง เสาร์ที่ 6 ก.พ. เปิดให้อ่านตอน 29 ฟรี (หลังจากติดเหรียญมา 1 อาทิตย์)

เปิดอ่านล่วงหน้า 1 อาทิตย์ ราคา 300 เหรียญทอง (หรือ 5 กุญแจ)

ตัวอย่าง เสาร์ที่ 6 ก.พ. เปิดให้อ่านตอนที่ 30 ล่วงหน้า 1 อาทิตย์ ในราคาที่กำหนด

เปิดอ่านล่วงหน้า 2 อาทิตย์ เฉพาะเหรียญทอง 700 เหรียญ

ตัวอย่าง เสาร์ที่ 6 ก.พ. เปิดให้อ่านตอนที่ 31 ล่วงหน้า 2 อาทิตย์ ในราคาที่กำหนด



สำหรับคนที่รอได้ สามารถรออ่านฟรีได้นะครับ ตามปกติ
แต่สำหรับคนที่ใจร้อน อยากอ่านก่อน สามารถใช้เหรียญเปิดอ่านได้จ้า
สามารถตามไปสนับสนุนได้ที่เดิมนะครับ ธัญวลัย หรือ readAwrite หรือ Kawebook จ้า

และไรต์ขอขอบคุณสำหรับทุกแรงสนับสนุนนะครับ

#จากต้นจนอวสาน
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 30 P.5 Up 13 ก.พ. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 13-02-2021 01:12:41
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 30. เพื่อนใหม่ สายอินดี้

             พอเข้าเทอม 2 พวกเราต่างมีตารางเรียนที่ต้องห่างกันมากขึ้น เพราะแต่ละสาขาจะมีวิชาบังคับที่ต้องผ่านให้ได้ก่อนแยกสาขาจริงตอนปี 2 ตอนนี้กลุ่มผมเลยเหลือขวัญใจ ไอ้โท ไอ้ฉัตรและผมที่ต้องเรียนการวิเคราะห์การตลาดด้วยกัน ส่วนไอ้ตงกับไอ้คิ้วแยกไปเรียนการขายระหว่างประเทศเบื้องต้น แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด มีผมคนเดียวที่ชื่อหลุดจาก section เดียวกับสามคนนั้น เนื่องจากภาคการตลาดคนเยอะและมีนักศึกษาต่างคณะที่ลงทะเบียนมาก็ไม่น้อย วิชานี้จึงสามารถเปิดได้ 3-4 sections ต่อเทอม

   พอหลุดไปเรียนคนละห้องแถมเพื่อนร่วมคณะหลายคนและรุ่นพี่ยังไม่ชอบขี้หน้า จนถึงตอนนี้การรับน้องแบบโซตัสยังไม่จบ เมื่อคนเข้าห้องเชียร์ไม่ครบ คนที่เหลือจึงโดนซ่อมจนเหนื่อยไปตามๆกัน ส่วนใหญ่จะเพ่งเล็งมาที่ผม เพราะเป็นคนที่ขาดซ้อมทั้งห้องเชียร์และเชียร์หลีดเดอร์ ทั้งที่คนอื่นหนีว้ากกันบ้าง แต่ไม่ได้เป็นจุดสนใจหนักเท่าคนชื่อเอกราช ทั้งหมดทั้งมวลที่แหละจึงกลายเป็นไอ้เตี้ยหัวเดียวกระเทียมลีบตั้งแต่ต้นเทอม ... แต่ไม่ทุกวิชานะครับ มีวิชาพื้นฐานต่างคณะหลายตัวที่เป็นวิชาบังคับ เช่น เศรษฐศาสตร์ สถิติ แคลคูลัส กฏหมาย จิตวิทยา เป็นต้น ที่พวกเราสามารถลงทะเบียนเรียนด้วยกันได้ตามปกติ

   เปิดเทอมมาได้ 2 อาทิตย์กับการต้องเรียนวิชาบังคับของคณะคนเดียว ดีหน่อยที่อาจารย์เน้นสอนและให้วิเคราะห์พร้อมควิซย่อยเก็บคะแนน ไม่มีรายงานกลุ่มที่ต้องทำ เพราะคงไม่มีใครอยากร่วมงานกับผมเป็นแน่ ชื่อเสียมากมายขนาดนั้น คิดจะกู้คืนคงไม่ไหว แถมในห้องนี้ กว่า 80% คือเด็กจากคณะบริหาร ที่เหลือมาจากคณะอื่นที่ต่างก็มากันเป็นกลุ่ม วันนี้เข้ามาในห้องเรียนก่อนเวลาแค่ 5 นาที สายตาหลายสิบคู่มองมาอย่างเย็นชาเป็นปกติ ผมเดินอย่างไม่สนโลกไปยังที่ว่างเกือบหลังห้อง ทุกทีจะพยายามนั่งข้างหน้าเนื่องจากปัญหาเรื่องส่วนสูง การนั่งเรียนช่วงหลังห้องจะถูกคนตัวสูงบังหน้าจอ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าที่หลังๆคนตัวสูงใหญ่จะจับจองที่นั่งแถวหน้าไว้หมด แกล้งกันหรือเปล่า...อันนี้ก็ไม่แน่ใจ

“เอ่อ นั่งด้วยคนนะ” เสียงไม่คุ้นทำให้หยุดใจลอย ที่ว่างเหลือไม่มากเพราะนักศึกษาไม่กล้าขาดเรียนวิชานี้เนื่องจากกลัวอาจารย์ให้ทำควิซโดยไม่แจ้งล่วงหน้า หนำซ้ำยังให้ทำควิซตั้งแต่อาทิตย์แรกที่เปิดเทอมคนที่ขาดเรียนเพราะคิดว่าไม่สำคัญเลยอดได้คะแนนตามระเบียบ คนมาใหม่นั่งลงทันทีที่พูดจบ โดยที่ไม่ต้องรอคำอนุญาต ผมขยับตัวนิดหน่อยเนื่องจากไอร้อนของคนนั่งข้างรุนแรงมาก คงกลัวว่าจะเข้าเรียนสายและวิ่งมา

“เอาดิ” ผมตอบไปตามารยาทไปงั้นแหละ เพราะเขานั่งลงก่อนจะได้อ้าปากพูดอะไรด้วยซ้ำ

“เราทอยนะ จากอีคอน” คนนั่งซ้ายมือแนะนำตัว เป็นครั้งแรกที่ผมหันไปมองเขาอย่างเต็มตา ทอยแต่งกายในชุดนักศึกษาที่ไม่ถูกระเบียบมากนัก เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวเปิดกระดุมสามเม็ดโชว์อกขาวเนียนคล้ายพวกเพลย์บอย หน้าตาออกไปทางลูกคนจีน ดวงตาสองชั้นแต่ไม่ได้โตแบบของผม รูปหน้าคมกรอบหน้าเหลี่ยมเล็กและสมมาตรคล้ายโครงหน้าของนายแบบ จมูกโด่งเป็นสันตรงเหมือนผ่านมือหมอนั้นดูเป็นธรรมชาติซึ่งคิดว่าน่าจะของจริง คิ้วหนาเรียงตัวสวย ริมฝีปากบางแต่น่าจูบ ทั้งเนื้อทั้งตัวขาวเนียนราวกับว่าไม่เคยอยู่กลางแดด กางเกงยีนส์รัดรูปสีดำมีรอยขาดเป็นขีดๆที่ต้นขาโชว์ความเนียนใสจนลืมหายใจ

...หล่อ ฉิบ หาย ...

“อะ เอ่อ เราหนึ่ง อยู่บริหารปี 1” ผมแนะนำตัวอย่างเงอะงะ เพราะยังตะลึงความหล่อของเพื่อนใหม่ไม่หาย

“อ้าวปีเดียวกัน ใช้มึงกูได้ปะ จะได้สนิทกันไว้”

“ตามสบาย” ผมพยายามนิ่ง ทั้งที่ตอนนี้ใจเต้นโครามครามเอามากๆ จะว่าผมเจ้าชู้ก็ได้นะ...ไม่เถียง แต่ขอแย้งนิดนึงว่าตอนนี้สถานะคือยังโสด ความสัมพันธ์กับไอ้ตงก็คือคู่นอน เคยพาไปเดตก่อนเปิดเทอมเพราะนึกว่าจะได้ขยับสถานะขึ้นบ้างแต่ก็เปล่า เราก็ยังเหมือนเดิม นอนด้วยกัน ตื่นด้วยกัน มีอะไรกัน เวลาว่างมันก็ไปถ่ายแบบถ่ายละคร ผมก็แกร่วไปสนามบอลกับไอ้โทตามประสา อาทิตย์หนึ่งจะเจอและอยู่ด้วยกันแค่ 1-2 วันเท่านั้น เพราะไอ้ตงติดถ่ายละครจนดึกขับรถกลับไม่ไหวก็หานอนเอาตามสะดวก ซึ่งคงไม่พ้นคอนโดของพวกดาราหรือไม่ก็นางแบบที่มันนัวเนียประจำนั่นแหละ

“ทำไมมึงมานั่งตรงนี้คนเดียววะ พวกบริหารนั่งสลอนเต็มแถวหน้าเลย” คนชื่อทอยถามอย่างไม่เกรงใจความหล่อ ผมอึกอัก ไม่รู้ว่าควรตอบดีไหม เรียนวิชานี้ทีไรน้ำลายบูดทุกทีเพราะไม่มีคนคุยด้วย เคยคิดจะย้าย section แต่ก็ทำไม่ได้ มันเป็นวิชาบังคับจึงไม่มีใครถอนการลงทะเบียน เต็มแล้วเต็มเลย

“นั่งตรงนี้สบายกว่าน่ะ” ผมปด

“ปกติมึงนั่งหน้าไม่ใช่เหรอวะ”

“หืม มึงสังเกตด้วยเหรอ” ผมหันไปสบตา

“ก็เออ หน้าตามึงเด่นจะตาย มีแต่คนมอง” ผมขมวดคิ้ว เด่นด้านไหนวะ ปกติขี้เหร่ติดอันดับต้นๆของโลก

“เด่นหรือประหลาด”

“เด่นดิ หล่อ คม เข้ม” มันพูดด้วยท่าทางผ่อนคลาย เหมือนไม่ได้คิดเลยว่าพูดในเชิงหยอกผมอยู่

“แปลกคนเนาะมึงเนี่ย ชมผู้ชายด้วยกันหน้าตาเฉย” ผมพูดกลับ

“อ้าว ก็กูคนตรง หล่อก็บอกว่าหล่อ” สายตามันแน่วแน่มากครับ ยิ่งมองนานๆเข้าก็ยิ่งใจสั่น

“แล้วมึงล่ะ ทำไมมาเรียนคนเดียว” ผมถามกลับบ้าง นึกแปลกใจที่ไม่เคยเจอหน้ามันเลยตลอด 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา

“เพื่อนไม่คบ” มันตอบหน้าตาเฉยอีกแล้ว

“พูดเล่นน่า หน้าตาและท่าทางเป็นมิตรแบบมึงเนี่ยนะไม่มีใครคบ หน้าตาแบบกูว่าไปอย่าง”

“เอ้า ไม่เนียนเหรอวะ” มันหัวเราะแก้เก้อ “มึงหน้าตาดีนะไอ้หนึ่ง อย่าพูดไปเรื่อย”

“เออ กูจะจำไว้ละกันว่ากูหล่อ” ผมตัดบท ไม่ทันพูดอะไรต่ออารจารย์ก็เข้ามาในห้อง เลยไม่รู้เลยว่าทำไมไอ้ทอยมาเรียนวิชานี้คนเดียว

             หลังจากทำควิซเสร็จก็ส่งคำตอบและเดินออกจากห้อง ถ้าตั้งใจฟังที่อาจารย์สอนก็จะเข้าใจและทำโจทย์ได้ไม่ยากนัก นับเป็นข้อดีของการมาเรียนคนเดียวเลยไม่ต้องโดนขัดสมาธิระหว่างคาบ ควิซสั้นๆไม่กี่ข้อเลยง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก อากาศนอกห้องเรียนร้อนราวกับไม่ใช่เดือนธันวาคมอย่างนั้นแหละ แค่ลมร้อนพัดผ่านเหงื่อก็ไหลหยดตามตัวจนอึดอัดไปหมด ยังไม่ทันเดินไปไหนไกลก็มีมือใหญ่มาพาดไหล่เหมือนสนิทกันมานาน

“ควิซง่ายเหรอวะ ทำเร็วเชียว” ไอ้ทอยนั่นเอง ตอนนี้มันเดินกอดคอผมอย่างไม่เคอะเขิน กลิ่นหอมของมันแตะจมูกจนฟินไปหมด นี่ถ้าเจอตอนเมาจะลากเข้าห้องให้รู้แล้วรู้รอด

“ก็พอได้” ผมไม่แกะแขนมันออก จะทำอะไรทำ เพราะมันหล่อ

“หิวว่ะ ไปกินข้าวกันมั้ย” มันชวน

“เอาดิ แต่กูกินที่ตึกนี้นะ นัดพวกเพื่อนๆไว้ มึงจะไปด้วยกันปะ” ผมชวนมันกลับ มองใบหน้าหล่อที่หุบยิ้มอย่างงุนงง

“อ่า ไม่ดีกว่า กูเข้าสังคมไม่เก่ง”

“มึงอย่ามาหลอกกู ทักกูกอดคอกูขนาดนี้เนี่ยนะเข้าสังคมไม่เก่ง” ผมสับสนกับความย้อนแย้งของมัน

“ก็กูเห็นมึงนั่งหงอยคนเดียวตั้งนาน นึกว่าไม่มีใครคบ” มันจี้จุด

“เพื่อนกูก็มี แค่เรียนคนละเซ็กชั่นเท่านั้นแหละ”

“อาภัพนะมึงเนี่ย” มันทำเสียงเยาะเย้ย แต่หน้าตาหล่อชวนฟินจนโกรธไม่ลง

“กวนตีน” ผมตอบไป มันหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “สรุปจะไปมั้ย”

“เอาก็เอาวะ จะได้รู้ว่าเพื่อนมึงน่ะสายไหน”

             เอาจริงๆไอ้ทอยมันเป็นอย่างปากว่าไม่ผิดเพี้ยน ท่าทางเฮฮาเป็นมิตรนั้นเหือดหายไปตอนพาไปเจอกับพวกไอ้ตง มันแนะนำแล้วพูดจาค่อนข้างสุภาพจนผมต้องคอยละลายพฤติกรรม ใบหน้าหล่อเหลานั้นนิ่งเรียบเหมือนไม่สนใจโลก ท่าทางเข้าถึงยากเหมือนคนเย่อหยิ่งชวนให้น่าอึดอัดก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมมันถึงบอกว่าไม่มีคนคบ

“มึงรู้ใช่มั้ยว่าเพื่อนๆกูไม่กัด” ผมกระซิบข้างหู อยากให้มันเป็นกันเองมากกว่านี้

“อืม แต่กูไม่รู้จะคุยอะไรอะดิ” มันตอบหน้าตาเฉย ถ้าเอาหน้าตามันเทียบกับไอ้ตงนะ สูสีเลยล่ะ แต่เพื่อนใหม่ขาวกว่า ไอ้ตงมันบ้าทำผิวแทน จะได้เหมาะกับบทพระแมนมาดแมน (มันว่างั้น)

“เอางี้ มึงชอบอะไร”

“ห๊ะ” ท่าทางดูงงๆ

“งานอดิเรกมึงน่ะ ชอบอะไร” ผมเลยต้องอธิบายต่อ

“อ๋อ เตะบอล นอน ดูหนัง เลี้ยงแมว”

“สัส ไม่เข้าสังคมแต่ชอบเตะบอล” ผมสบถใส่หูมันก่อนจะหันมาคุยกับคนอื่นๆ

“ไอ้ทอยมันชอบเตะบอลด้วยนะ” ได้ผล เพราะไอ้โทพี่ชายตัวแสบและเพื่อนสนิทที่เหมือนจะอึดอัดเพราะท่าทีของไอ้ทอยเริ่มกล้าที่จะชวนคุย พวกมันเริ่มเอาทีมฟุตบอลในดวงใจมาข่มกันยกใหญ่ ไอ้ผมก็ได้แต่ทำหน้าเหรอหราเพราะไม่ใช่สายนั้น พอเพื่อนใหม่เข้ากับคนอื่นได้เลยมีจังหวะสบตากับไอ้ตงที่นั่งเงียบมานานอีกครั้ง แววตาของมันแข็งกร้าวแปลกๆ ไม่ยิ้มตอบอีกด้วย

“มึงลงกีฬามหา’ลัยมั้ยวะ” ไอ้ฉัตรที่ไม่ค่อยเล่นหัวใครก็เหมือนจะถูกใจเพื่อนใหม่ไม่น้อย แน่นอนล่ะ พวกสาวกเชลซีนี่หว่า

“ลงๆ เตะบอลนี่แหละ” แววตานั้นดูแข็งกร้าวตอนตอบไอ้ฉัตร แต่แค่ชั่ววินาทีก็เปลี่ยนไปเป็นนิ่งเฉย

“อีคอนกระจอก” นั่นไงไอ้คิ้วเกทับ คณะบริหารก็ใช่ว่าจะเคยได้แชมป์

“ปีที่แล้วพวกกูเข้ารอบรองนะเว้ย” ไอ้ทอยหมายถึงรุ่นพี่มันน่ะ กีฬามหา’ลัยใกล้เข้ามาแล้ว พวกปี 1 ต่างเข้าห้องเชียร์กันไม่ขาด มีแต่ผมนี่แหละที่ว่างไม่ต้องทำตามใคร ร้านโมเอะก็อาการร่อแร่เพราะลูกค้าไม่ค่อยมี เลยต้องออกจากงานก่อนเนื่องจากรายได้ของร้านไม่พอค่าใช้จ่าย เจ้าของร้านจึงมาดูแลเองไปพลางและน่าจะปิดตัวเร็ววันนี้

“ปีนี้ตกรอบแรกชัวร์” ไอ้โทแช่ง

“คอยดู” ไอ้ทอยเหมือนหัวเดียวกระเทียมลีบเลยครับ มันดูสดใสกว่าตอนแรกหน้ามือเป็นหลังมือ “อีคอนแชมป์โว้ย”

“มึงลงอะไรมั้ยไอ้หนึ่ง” แล้วก็หันมาเจาะจงถามผมอีกด้วย

“ไม่ว่ะ ขี้เกียจ” จะบอกว่าไม่มีใครคบก็ใช่ที

“แสดงว่าว่างอะดิ มึงมาดูกูซ้อมก็ได้นะ ช่วงเย็นน่ะที่สนามมอ” หืม...

“ไปทำไมวะ กูไม่รู้จักใครซะหน่อย” ผมตอบกลับ

“ไปเชียร์กูไง” อ๊ะ... หมายความว่าไงวะ

“กูไปนะ มีงานช่วงบ่าย” ไอ้ตงที่นั่งเงียบมาตลอดลุกขึ้นพรวด ความสูงของมันเหมือนจะเพิ่มมาอีกหน่อย ไม่รู้ว่าจะแตะ 190 แบบพี่ชายมันหรือเปล่า แต่ทุกวันนี้ก็สูงเป็นเปรตอยู่แล้ว ร่างสูงเดินลิ่วไปทันทีที่พูดจบ ทุกคนต่างก็เงียบกับท่าทางของมันแต่ก็ไม่พูดอะไร จะว่าชินหรือก็ไม่ใช่ ปกติไอ้ตงจะขับรถไปส่งพวกเราที่ตึกเรียนวิชาต่อไปก่อนเสมอ

“มันรีบไปไหนวะ” ไอ้ฉัตรทำหน้างง ไอ้คิ้วและไอ้โทก็ไม่ต่าง

“อ้าวตงไปไหนแล้วอะ” ขวัญใจผู้กินช้าเพิ่งจะรู้ตัวว่าเพื่อนสนิทหายไปแล้ว ข้าวในจานยังไม่พร่องเหมือนดมกลิ่นเฉยๆ

“ไปทำงานน่ะ รีบกินตัวเอง วันนี้ต้องไปเรียนกันเองไม่มีคนไปส่ง” ไอ้โทตอบแฟนตัวเองด้วยเสียงหวานเลี่ยนจนผมเบะปากใส่

#### ####

[ตงฉิน]

             ผมเหวี่ยงเป้ราคาแพงไปเบาะหลังอย่างหงุดหงิด ท่าทางสนิทสนมของไอ้หนึ่งกับไอ้เพื่อนใหม่หน้าหล่อนั้นทำให้ไม่สบอารมณ์มากนัก ปกติไอ้หนึ่งมันไม่ใช่คนป๊อบให้ใครต่อใครเข้าหา แต่พอสลัดคราบผู้ชายบ้านๆจากเทอม 1 ทิ้งด้วยทรงผมใหม่และการแต่งตัวที่เนี้ยบขึ้นก็ดันมีเพื่อนใหม่ตามตูดมาด้วยซะงั้น ผมเร่งแอร์ในรถให้เย็นฉ่ำเพื่อหวังให้หายงุ่นง่าน แต่ก็เหมือนจะไม่ค่อยได้ผล ภาพสองคนนั้นก้มหน้ากระซิบคุยกันยังบาดตา

...หรือว่าผมกำลังหึงไอ้หนึ่งวะ

...ไม่น่าใช่

...แล้วทำไมต้องโกรธด้วยล่ะ

...อากาศคงร้อนแหละ .... ผมส่งกระจกในรถก็ไม่เห็นว่าจะมีเหงื่อสักเม็ด

...โว้ยยยยยยยย หงุดหงิด....

             กองถ่ายละครวันนี้อยู่ไกลถึงคลองสาม จ.ปทุมธานี ผมเหยียบคันเร่งเพื่อระบายความงุ่นง่านจนเข็มไมล์แตะเข้าเลข 200 เสียงเตือนในรถดังขึ้นจนสะดุ้ง มันเป็นระบบอะไรก็ไม่รู้ที่พ่อเอามาติดตั้งเพื่อควบคุมไม่ให้ขับเร็วเกินไป เสียงบี๊บจะดังเตือนแค่สามครั้งก่อน หากไม่ลดความเร็วก็จะเตือนถี่ๆและส่งข้อมูลไปยังมือถือของนายใหญ่ของบ้าน

RRRRRRRRRRRRRRR ... นั่นไง ยังไม่ทันไรเลย

“ครับป๊า” ผมกดที่หน้าจอแสดงผลที่คอนโซลเพื่อรับสาย น้ำเสียงป๊าดุแถมด่าจนหูชาไปหมด

[...ถ้ายังขับเร็วพ่อจะยึดรถ] นั่นไง ยื่นคำขาดมาจนได้ หลังจากวางสายก็ต้องสะกดอารมณ์ก่อน ไม่อย่างนั้นโดนริบเครื่องมือทำมาหากินไปจะไม่คุ้ม

             ตั้งแต่เราเดตกันก่อนเปิดเทอม สถานะระหว่างผมกับไอ้หนึ่งก็ไม่ได้ขยับเป็นอย่างอื่น ที่ผ่านมาผมโอเคมากนะถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องยึดติดหรือผูกมัด มันก็แค่เซ็กซ์เพื่อปลดปล่อยความต้องการตามประสาชายหนุ่มวัยรุ่นตอนกลางที่สะกิดปุ๊บก็ติดปั๊บ การเปลี่ยนแปลงก็จะมีแค่พวกเราทั้งสองนอนร่วมห้องกัน กอดกันและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างไม่เคอะเขินเหมือนก่อน ตื่นมาก็เจอหน้าหล่อๆของไอ้หนึ่งนอนอยู่ข้างตัว ตอนเช้าถ้าคนตัวเล็กไม่ขี้เกียจก็จะเข้าครัวทำอาหารง่ายๆให้รองท้องก่อนไปมหา’ลัย มันเป็นความสบายใจที่ทำให้คุ้นเคยจนกระทั่งไม่ได้สนใจว่าพวกเราไม่ได้เป็นอะไรกัน

             ถามว่าอยากเป็นแฟนกับมันไหม ตงฉินคนนี้ตอบได้เลยว่า...ไม่รู้ครับ... ด้วยอาชีพที่คนรู้จักมากมายก็เป็นเหตุผลหลักให้ต้องคิดถ้วนถี่ แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็ทำให้คิดมากแล้ว สาเหตุอื่นๆไม่มีผลกับความรู้สึกแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาของไอ้หนึ่งเอง ฐานะเอย นิสัยใจคออีก ทุกอย่างมันก็ไม่ได้แย่ ผมไม่รังเกียจมันนะครับ ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมมีอะไรด้วยตลอด (แถมมันยังเด็ดสุดๆอีกด้วย) ... แล้วทำไมผมจะต้องคิดว่าควรเป็นแฟนกับมันด้วยล่ะ นี่ตงฉินไง...ดาราหนุ่มอนาคตไกล นายแบบเบอร์ต้นๆของประเทศ หนุ่มโสดในฝันของสาวๆไปไหนมาไหนมีแต่คนขอถ่ายรูป ... แล้วไอ้หนึ่งเป็นใคร

“น้องตงคะ อย่าเม้มปากค่ะ พี่ทาลิปไม่ได้” ช่างแต่งหน้าของกองถ่ายสะกิดไหล่ไปด้วยตอนพูด พอรู้ตัวก็ปล่อยกลีบปากเจ่อเป็นอิสระ ใบหน้าที่ดูโทรมก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นสดใสจากปลายขนแปรง

“อ่า ขอโทษครับ”

“ไม่ต้องขอโทษค่า วันนี้ใจลอยนะคะเนี่ย” ช่างคนเดิมพูดต่อ คงจะเพิ่งมาทำงานได้ไม่นานเพราะผมไม่คุ้นหน้า

“พอดีใกล้สอบน่ะครับ” ผมตอบไปเพื่อเลี่ยงคำถามที่จะตามมา พออีกฝ่ายเงียบก็สามารถหลับตาได้ร่วมสิบนาทีก่อนไปซ้อมบท

#### ####

[หนึ่ง เอกราช]

             ผมเดินอย่างไม่รีบร้อนจากป้ายจอดรถบริการด้านข้างของมหา’ลัยเพื่อมุ่งตรงไปที่สนามฟุตบอลขนาดใหญ่ แสงแดดยังเจิดจ้าสาดมาจากทิศตะวันตกที่อยู่เบื้องหลังจนเงาทอดยาวนำทางไปก่อน นักศึกษาที่รักสุขภาพต่างพากันเดินเข้าด้านในอย่างคึกคัก บ้างก็มาเป็นกลุ่ม บ้างก็มาเป็นคู่ๆ ชุดกีฬาหลากสีดูเข้ากับสถานที่ผิดกับชุดของผมที่เป็นแค่เสื้อยืดแขนสั้น กางเกงผ้ายืดย้วยๆคร่อมเข่าและรองเท้าคีบสีขาวเก่าซอมซ่อ ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มาที่นี่ แต่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกผิดที่มาตรงนี้

“ไหนรองเท้ากีฬา” พี่รปภ. เฝ้าทางเข้าทักเมื่อเห็นสภาพ นึกว่าแค่โชว์บัตรนักศึกษาก็เข้าได้เลย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ใส่คัทชูสีดำยังมาเดินขบวนได้ไม่มีห้ามนี่หว่า

“อ่อ อยู่ที่เพื่อนครับ ฝากมันเอามาให้” เลยต้องโกหกเพื่อเอาตัวรอดมาก่อน ยังดีที่พี่รปภ.แค่มองแรง ไม่ได้ว่าอะไรตอนที่เดินผ่าน เสียงผู้คนดังเป็นระยะ บ้างก็มาจากโค้ชนักกีฬาวิ่งที่ตะโกนกระตุ้นกำลังใจให้ทำความเร็ว ทีมฟุตบอลกำลังโลดแล่นในสนามหญ้าสีเขียว เนื่องจากมหา’ลัยมีหลายคณะ จึงต้องทำตารางฝึกซ้อมให้นักกีฬาล่วงหน้า แต่ก็ยังดีที่เรามีอีก 3 สนามขนาดย่อมที่พอเป็นที่แก้ขัดไปได้ คณะที่ไม่มีคิวซ้อมก็ไปสนามอื่น แต่ถ้าไม่พอจริงๆก็ต้องไปเช่าสนามที่อยู่ไม่ไกลนัก วันนี้คณะบริหารซ้อมคู่กับคณะเศรษฐศาสตร์พอดี ผมเห็นรุ่นพี่และเพื่อนๆร่วมคณะยืนสลอนก็ไม่อยากเข้าไปแล้วจึงตัดสินใจหันหลังกลับ แต่ดันเจอกับไอ้ทอยเพื่อนใหม่วิ่งเหยาะๆมาพอดี

“เห้ย ไปไหน มาดูกูก่อน” มันบังคับด้วยเสียงหอบเหนื่อย น่าจะโดนรุ่นพี่ให้ซ่อมโดยการวิ่งรอบสนาม ออร่าความหล่อของมันพุ่งเข้าใส่จนแสบตาไปหมด ชุดบอลสีขาวกับคนผิวขาวจัดมันช่างมีอานุภาพทำลายล้างยิ่งนัก สองขาที่ยาวสวยได้รูปมีกล้ามเนื้อแน่นๆไร้ขนเนียนละเอียดจนอยากจับพาดไหล่ หล่อจนละสายตาไม่ได้จริงๆ

“มองขนาดนี้ กินกูเลยมั้ย” มันแซว ผมได้แต่อึกอักตอบแก้เก้อ

“กินได้แน่นะ”

“ขึ้นอยู่กับว่ามึงอยากกินปะล่ะ” ไอ้สัส นี่จงใจยั่วใช่มั้ยวะ เจอแบบนี้ผมก็ไปไม่เป็นนะครับ ใช่ว่าคนหื่นจะตื่นเต้นไม่ได้ซะหน่อย

“กูล้อเล่น มึงนี่ทำหน้าตลกชิบ” ไอ้ทอยตบไหล่ดังปั้ก ... นี่ถ้าไม่ติดว่าหล่อกูตบกบาลคืนเลยนะ

“แกล้งกูได้นี่สนุกมั้ย”

“ก็สนุกดี มาๆ ไปยืนข้างสนาม” ไอ้ทอยลากแขนผมไปอย่างไม่แคร์สายตาคนอื่น ไอ้เราก็ได้แต่สับสนว่าทำไมท่าทีมันต่างกันสุดขั้วตอนที่อยู่กับกลุ่มเพื่อนผมเมื่อกลางวัน พอกวาดสายตามองไปก็พบกับกลิ่นมาคุกลายๆจากบรรดาสาวๆที่มองตามตาเป็นมัน ไอ้ทอยคงค่อนข้างป๊อบแหละ หล่อขนาดนี้ แถมลากแขนผมเดินตามลิ่วๆยิ่งเป็นจุดเด่น รุ่นพี่ของคณะบริหารพากันมองและซุบซิบเห็นแล้วน่าหงุดหงิด

“นั่งดูกูตรงนี้นะ” มันหยิบเก้าอี้พับขนาดเล็กมาให้

“ไม่เอา เก้าอี้พี่ๆคณะมึงไม่ใช่เหรอวะ” ผมปฏิเสธ

“นั่งไปเหอะ อันนี้กูเอามาเอง” มันตอบก่อนจะวิ่งไปสมทบกับเพื่อนร่วมทีมที่กำลังประชุมก่อนเริ่มแข่งนัดกระชับมิตร สายตาของเพื่อนร่วมคณะมองมาทางนี้อย่างคาดเดาไม่ได้ แต่ไอ้โท ไอ้คิ้วและไอ้ฉัตรต่างชูนิ้วกลางมาจนต้องส่งกลับ ท่าทางพวกมันจะรู้แล้วล่ะครับว่าผมนิยมชาย การที่โดนลากมานั่งฝั่งตรงข้ามคณะตัวเองมันก็คงโจ่งแจ้งไม่หยอก

             เกมในสนามดำเนินไปอย่างสนุก ด้วยความที่ไม่ชอบดูกีฬาก็เลยไถมือถือเล่นไปพลาง หน้าฟีดเฟสบุ๊กเพจหนุ่มๆอะไรสักอย่างแสดงภาพผู้ชายสองคนกำลังเดินโดยคนในชุดนักบอลจับแขนคนที่ตัวเตี้ยอยู่ลิบๆ ยังดีที่ภาพค่อนข้างมัวเลยเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่ออร่าความขาวของไอ้ทอยยังทะลุนอยซ์มาได้

“น้องเป็นอะไรกับน้องทอยหรือเปล่าคะ” เสียงรุ่นพี่คณะอีคอนรวบรวมความกล้ามาถาม แววตาสาวๆอีกหลายคนที่มาเชียร์ทีมตัวเองต่างจับจ้องมาทางนี้อย่างคาดคั้น

“อ่อ เอ่อ เป็นเพื่อนกันครับ พอดีเรียน...”

“เห้อ โล่งอก พี่นึกว่าจะต้องเสียสมบัติคณะไปซะละ ท่าทางสนิทกันมานานนะ ปกติน้องทอยไม่สุงสิงกับใครเลย” รุ่นพี่คนเดิมร่ายยาวมาเลยครับ ไม่ถามความสมัครใจกูเลยสักนิดว่าอยากรู้เรื่องด้วยไหม เมื่อกลุ่มนี้ได้คำตอบที่ต้องการก็เลิกสนใจคนที่นั่งแกร่ว ผมคลิกรูปที่เปิดทิ้งไว้มาขยาย ใบหน้าผมดำมืดจนมองไม่ออกว่าเป็นใคร จำนวนไลค์ขึ้นหลักพันในเวลาไม่นาน มีคอมเมนต์หลายร้อยซึ่งส่วนใหญ่จะถามว่าคนในรูปคือใคร ผมเลื่อนฟีดนี้ทิ้ง ไม่อยากรับรูว่าแต่ละคนพิมพ์อะไรลงไปให้กวนใจ

RRRRRRRRRRRRRRRR

“เออ ว่า” ผมยกโทรศัพท์แนบหูแทบทันทีที่เห็นชื่อคนโทรเข้า

[มึงอยู่ไหน] ปลายสายถามมาด้วยเสียงแข็งๆ

“สนามบอลใหญ่”

[ไปทำไรวะ]

“มาดูไอ้ทอยซ้อม”

[อืม] ตอบสั้นจังวะ มีอะไรปะเนี่ย

“มีไรวะ ถ่ายละครเสร็จละเหรอ” ผมถามปลายสาย

[กูหิว ไปกินข้าวเป็นเพื่อนหน่อย] นอกจากจะไม่ตอบคำถามแล้ว มันยังบังคับผมเป็นปกติ คำว่าไปกินข้าวเป็นเพื่อนหน่อย ไม่ใช่คำขอร้อง แต่เป็นคำสั่งที่ต้องทำตาม ไม่อย่างนั้นไอ้ตงจะโกรธ บางทีผมก็ไม่เข้าใจอาการแบบนี้เลยสักนิด การที่ไม่ไปกินข้าวกับมันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายขนาดนั้นเลยเหรอวะเนี่ย

“อืม ให้ไปเจอที่ไหน” ผมตอบรับเช่นเคย

[อีก 15 นาทีจะถึง รอที่สนามไปก่อน] ไอ้ตงวางสายโดยไม่รอคำตอบ ผมได้แต่งงกับมัน

“เบื่อมั้ยวะ” นักฟุตบอลอีคอนเดินออกจากสนามหลังหมดครึ่งแรก ไอ้ทอยเปียกโชกทั้งตัวหลบมายืนค้ำหัวผม

“ก็นิดหน่อย”

“มึงไม่ชอบดูบอลเหรอ” มันถามต่อ ขนาดท่ากินน้ำยังหล่อเลย แถมเสื้อขาวเปียกชุ่มนั้นแนบเนื้อจนเห็นหัวนมจิ๋วทะลุมาอีก กล้ามท้องมันแน่นเป็นลอนตามเนื้อผ้าที่แนบชิด ใจคอไม่ดีเลยเรา...

“กูไม่ชอบดูกีฬาอะไรเลยต่างหาก” ผมตอบความจริง

“ไม่ดูกีฬา แต่ดูนักกีฬาแทนดิ”

“เออ เข้าท่านะ ดูใครดี” ผมกวนกลับ

“ก็นี่ไง” มันชี้ที่ตัวเอง ผมขมวดคิ้ว ใช่ว่าจะไม่คิดอะไรนะ ตอนนี้ใจสั่นมากกว่า

“ตลกละ” ผมแก้เก้อ “เพื่อนนุ่งกูไม่ชอบ ชอบแบบไม่นุ่ง” เอามาจากมุก น้องนุ่ง ... นี่แหละ

“อะ เดี๋ยวกูถอด..”

“ไม่ต้อง” ผมรีบดึงชายเสื้อมันไว้ ท่าทางจริงจังชวนจินตนาการไปไกล “กูชอบดูในที่ลับ”

“ไอ้สัส มึงมันลามก” มันเปลี่ยนหัวข้อ

“ยั่วมายั่วกลับกูไม่โกง” เราสบตากันนิ่ง หัวใจผมเต้นรัวจนแทบจะหลุด มันคือชายในฝันเลยนะครับ ท่าทางมาดแมนแบบนี้แต่ดันพูดจาสองแง่สองง่ามใส่ เกย์ตัวน้อยๆอย่างไอ้หนึ่งจะไหวไหมถามใจดู

“เออ เลิกซ้อมแล้วไปกินข้าวกันมั้ย” ไอ้ทอยชวน ท่าทางมันจะไม่มีคนคบจริงๆ

“ไม่ได้ว่ะ พอดีมีนัดแล้ว”

“อ่อ เออ ไม่เป็นไร คราวหน้า” มันตอบ ท่าทางดูผิดหวังนิดหน่อย ก่อนจะส่งยิ้มกลับมา

“เอาไลน์มาดิ๊ เดี๋ยวกูแอดไป” ผมเปลี่ยนเรื่อง ไหนๆรู้จักกันแล้ว ยังไม่มีช่องทางติดต่อกันเลย

“เอามือถือมาดิ” ยื่นสิ่งที่มันขอไปให้ มือสวยพิมพ์ยุกยิกๆไม่ถึงนาทีก็ส่งคืน

“ให้หมดเลย ไลน์ เฟส ไอจีและเบอร์โทร”

“ให้เยอะขนาดนี้ อ่อยกูรึไง” ผมลองเชิง

“ประสาท มึงเป็นรึไง”

“เออดิ มึงมองไม่ออกเหรอ” ปกติก็ไม่ปกปิดอยู่แล้วเวลามีคนถาม

“ก็พอจะดูออกนะ แค่ไม่มั่นใจ” มันตอบหน้าตาเฉย

“แสดงว่ามึงก็...”

“เสียใจ กูไม่นิยมโดนเอา” มันตอบทีเล่นทีจริง หน้าตาทะเล้นจนอยากถีบ

“แสดงว่าเอาผู้ชายได้ดิ” ผมยิงคำถามจุกๆ

“ขึ้นอยู่กับว่า เป็นใคร” อะ... ไอ้ทอย ทำกูใจสั่นหน้าตาราบเรียบแบบนี้ได้ไงวะ

“จบ กูสายปฏิบัติ ไม่ใช่สายนอนเฉยๆ” แล้วพวกเราต่างหัวเราะอย่างไม่มีสาเหตุ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันน่าขำตรงไหน แต่รู้สึกดีที่ได้คุยกับมันไม่น้อย






(https://s3.ap-southeast-1.amazonaws.com/media.fictionlog/chapters/601e5376a98eda001bdbd99e/6026c66ajd4p32ma.jpeg)
ภาพประกอบ มิได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในนิยายแต่อย่างใด
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 30 P.5 Up 13 ก.พ. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 13-02-2021 17:26:55
แหม่...สเน่ห์แรงนะน้องหนึ่ง
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 31 P.5 Up 20 ก.พ. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 20-02-2021 15:03:59
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 31. ความลับของฉัตร และความหลังของทอย

             ผมนั่งรอไอ้ตงจนมืด มันโทรมาบอกว่ารถติดตรงทางลงทางด่วนทำให้เสียเวลามากกว่าที่คิดไว้ ไอ้เราก็ใจกว้างนะ นอกจากไม่บ่นแล้วยังเดินไปซื้อน้ำเย็นจากตู้อัตโนมัติมารออีกต่างหาก ในเมื่อเจ้าตัวยืนกรานว่าจะเข้ามาดูเพื่อนๆซ้อมที่สนามด้วย เริ่มครึ่งหลังไปได้ 10 นาที ร่างสูงเด่นของตงฉินก็ปรากฎสู่สายตาประชาชน สาวๆทั้งสนามต่างพากันจับจ้องราวกับไฮยีนาจ้องเหยื่อตัวโปรด ไอ้ตงเดินไปทางกองเชียร์ของบริหาร มันกดส่งข้อความว่าผมอยู่ไหน ท่าทางเหรอหราที่หาไม่เจอชวนขำ

TongChin : ไปนั่งเหี้ยทำไมตรงนั้น

หนึ่งโทรสองโท : ไอ้ทอยลากมา

TongChin : มานี่ดิ

หนึ่งโทรสองโท : ไม่ไป ไม่อยากเจอสายตาเกี้ยวกาด

             ผมรู้แหละว่าพิมพ์ผิด แต่ก็ขี้เกียจแก้ ไอ้คนฝั่งตรงข้ามเชิดหน้าแต่สายตายังจับจ้องมาฝั่งนี้ มันทำท่าทางให้ผมไปเจอมันอีกฝั่งหนึ่ง แทนที่มันจะเดินมาทางนี้นะ ไอ้คนเอาแต่ใจ

“หิว” มันโพล่งขึ้นมา

“ก็ไปดิปะ” ผมไม่ต่อความยาวอะไร ใบหน้าดูงุ่นง่านของมันชวนให้ไม่สบอารมณ์

“อยากกินไร” ดีที่ยังมีกะใจถาม

“หมูกระทะ” ผมกวนบาทามันไป ปกติไอ้ตงจะเลี่ยงของกินแนวนี้เพราะคุมน้ำหนัก

“เออ ได้ งั้นรอไอ้พวกนั้น” มันหมายถึงไอ้คิ้ว ไอ้โทและไอ้ฉัตร “เดี๋ยวกูชวนขวัญก่อน” มันไม่รอคำตอบจากผมหรอก มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวเดือนกันยายนที่ผ่านมาแนบใบหู บทสนทนาจบลงอย่างรวดเร็ว ทำไมวันนี้ถึงไม่ขัดเรื่องกินล่ะเนี่ย

“ต้องไปรับขวัญใจมั้ย”

“ไม่ต้อง ขวัญไปกับแก๊งสาวๆ” ยังดีที่ขวัญใจมีเพื่อนผู้หญิงคบนะ ปกติเห็นขลุกอยู่แต่กับไอ้โท

“กูชวนไอ้ทอยไปด้วยได้ปะ” คิดถึงคำชวนเมื่อกี้ก็เลยตัดสินใจถาม

“ตามใจดิ ถามกูทำไม” ไอ้ตงตอบแค่นี้ ก่อนเดินกลับไปทางกลุ่มกองเชียร์ของคณะปล่อยผมยืนงงในดงเปลี่ยวคนเดียว สุดท้าย บริหารก็เอาชนะไปด้วยผล 2-1 ประตู ไอ้ทอยบ่นอุบที่ตัวเองตีเสมอได้แต่ถูกกรรมการเป่าล้ำหน้า ผมฝังอย่างงงๆเพราะไม่รู้กติกาของฟุตบอลเท่าไหร่ เพื่อนใหม่ขอตัวไปเปลี่ยนชุดที่ห้องน้ำ ผมเลยเก็บเก้าอี้ที่มันให้เพื่อจะถือไปด้วย

“ไม่ต้องเอาไป ของคณะกู”

“อ้าว ไหนมึงบอกว่าเอามาเอง” ผมแทบจะยกมาฟาด

“ถ้าไม่บอกแบบนี้มึงจะนั่งเหรอวะ” เออ หาเหตุผลมาแก้ต่างเก่ง “มึงยังไม่ไปกินข้าวเหรอวะ ไหนบอกมีนัด”

“เปลี่ยนแผนนิดหน่อย ไปกินหมูกระทะ มึงสนใจมั้ย”

“อืมมมม ไปกะใครวะ มึงก็รู้...”

“ว่ามึงหยิ่ง” ผมกวน

“หยิ่งพ่อง กูแค่ไม่ชอบคนเยอะ”

“ก็ก๊วนเดิมเมื่อตอนบ่าย สนปะล่ะ”

“ชวนเหรอ”

“ไม่ชวนมั้งไอ้สัส ถามเยอะ สรุปจะไม่ไป?”

“ไปดิ” มันกวนตีนกลับ ผมถอนหายใจก่อนจะยืนพิงหน้าห้องน้ำรอ ระหว่างนั้นกลุ่มบริหารก็เดินมา ไอ้เพื่อนตัวดีต่างถามกันยกใหญ่ว่าผมกับไอ้ทอยเป็นอะไรกัน ทำไมดูสนิทขนาดนั้น แถมยังไม่เชื่ออีกว่าเพิ่งจะเคยเจอกันครั้งแรก

“สเป๊กมึงเลยนี่หว่า” ไอ้โท พี่ชายปากปีจอแซว เสียงโห่สนับสนุนดังจนอยากแทรกแผ่นดินหนี

“เออ พี่ชายกูขอไปด้วย ได้ปะวะ” ไอ้ฉัตรถามกลางวง กลิ่นเหงื่อของพวกมันเหม็นหึ่งจนอยากจะไล่ให้ไปอาบน้ำก่อน

“มึงมีพี่ชายด้วยเหรอวะ นึกว่าพ่อแม่มึงหยุดปั๊มเพราะได้มึงเป็นลูก”

“ไอ้คิ้วเหี้ย กูเป็นคนดีนะเว้ย” ฉัตรชัยด่าพร้อมชูนิ้วกลางใส่

“พี่มึงก็เรียนที่นี่เหรอวะ ทำไมพวกกูไม่เคยเจอ” ผมถาม นึกสงสัยเหมือนกันว่าทำไมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย

“พวกมึงเคยเห็น” ไอ้ฉัตรตอบชวนงง “อยู่เภสัชฯ”

“ตอนไหนวะ”

“พวกมึงจะอีกนานมั้ย กูหิว” ไอ้ตงแทรกออกมา ท่าทางไม่เป็นมิตรจนวงแตก ไม่นานสมาชิกก็เปลี่ยนเสื้อผ้าสลัดคราบมอมแมมออกจนหมดจด เนื่องจากไอ้คิ้วจอดรถไว้ที่คณะเพราะรุ่นพี่ให้วิ่งวอร์มอัพมาที่สนาม รถไอ้ตงเลยต้องนั่งอัดกันแน่น ไอ้ฉัตรที่ตัวโตกว่าคนที่เหลือถูกบังคับให้นั่งด้านหน้า ไอ้คิ้วกับไอ้โทเบียดกันที่เบาะหลัง โดยมีผมที่ตัวเล็กสุดนั่งตักไอ้ทอย

“อย่าดิ้นนะมึง เดี๋ยวมันแข็งขึ้นมามึงไม่รอดแน่” ไอ้ทอยกระซิบข้างหู ไออุ่นกระทบจนขนกายลุกชัน กลิ่นกายอับๆเนื่องจากไม่ได้อาบน้ำชวนให้เคลิ้มไปอีก อย่าว่าของมันจะขึ้นเลย ของผมเนี่ยตั้งเด่ตั้งแต่นั่งตักมันละ กล้ามขามันแน่นแนบบั้นท้ายแถมหน้าอกยังแนบแผ่นหลังผมอีก ไอร้อนจากร่างกายเพื่อนใหม่ส่งผ่านไปมาจนสติใกล้แตก สองมือจับเอวเอาไว้เพราะพื้นที่ค่อนข้างเบียด ผมได้แต่เกร็งแก้มก้นจนปวดไปหมดแล้วตอนนี้ ต้องนิ่งไว้ก่อนถึงแม้จะอยากถูไถมากแค่ไหนก็ตาม ผมบ่นไอ้คิ้วยกใหญ่ที่ไม่ยอมให้วนรถกลับไปคณะเพื่อแบ่งจำนวนคนลดความแออัด โดยมันเถียงกลับว่าช่วงนี้รถราเยอะ กว่าจะไปถึงคณะ กว่าจะไปถึงร้าน ไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงแน่นอน

“แข็งไม่กลัวกลัวเล็ก” ผมหยอกกลับ ไอ้ทอยเลยกระเด้าพรวดจนหัวผมชนกับเพดานรถยนต์ดังลั่น

“ใจเย็นพวกมึง อย่าเพิ่งเงี่ยน กินข้าวก่อนนะ” ไอ้โทแซวแรงจนผมส่งสายตาดุดันไปด่า แทนที่มันจะสำนึกดันหัวเราะชอบใจอีก

“เชี่ย ท่านี้เหมาะจริงๆว่ะไอ้ทอย เหมือนมึงเป็นผัวไอ้หนึ่งเลย” ไอ้คิ้วได้ทีแซวต่อเนื่อง

“ไหนๆ ดูบ้าง” ไอ้ฉัตรผสมโรง เอี้ยวมามองก่อนจะบอกว่าเห็นด้วย

เอี๊ยดดดดดดดดดด... “เห้ย!!” แต่ละคนต่างร้องลั่น หัวโขกตามตัวรถแรงพอดูเมื่ออยู่ๆไอ้ตงก็เหยียบเบรกกระทันหัน

“เออ โทดที กูขับเลยร้านน่ะ” มันพูดเสียงสะใจมากกว่าจะสำนึกผิด

“ใจเย็นๆดิวะ ถ้าหน้าหล่อๆกูพัง แฟนกูจะเสียใจเอานะเว้ย” ไอ้คิ้วบ่น ผมได้แต่จับเบาะหน้าไว้แน่น กลัวเอาหน้าผากไปทุบกับอย่างอื่นอีก

“เดี๋ยวกูฉุดมึงไว้เอง” ไอ้ทอยไม่พูดเปล่า มันเอาสองมือมากอดเอวเสียแน่น ผมตกใจจนเสียอาการ เพราะตอนนี้สายตาของไอ้เพื่อนใจทรามกำลังแซวผมอย่างหนัก

             ร้านหมูกระทะเจ้าประจำอยู่ไม่ไกลจากมหา’ลัยมากนัก แต่เพราะการจราจรที่แน่นขนัดช่วงเย็นๆทำให้เสียเวลาอยู่พอสมควร ไอ้ทอยถึงขั้นร้องโอดโอยหลังจากตักเป็นอิสระจากแรงกดทับของผม มันเดินขาถ่างๆเพราะเหน็บกินจนต้องแกล้งโดยการเตะ เสียงเอะอะลั่นแถมยังบอกว่าไม่ยอมให้ผมนั่งตักอีกปล่อยมาเป็นชุด

“ไหนพี่มึงวะ” ไอ้โทเป็นฝ่ายถามเมื่อเห็นว่าคนที่นัดไว้อีกคนยังไม่มา ตอนนี้เตาหมูกระทะทั้ง 2 ร้อนได้ที่แล้ว สงครามชิงเนื้อกำลังเกิดขึ้น หมูหั่นชิ้นพอดีคำวางไปไม่ถึงนาทีก็ถูกมือดีคีบใส่ปาก พวกพลทหารเหล่านี้คงหิวโซอย่างหนักเพราะไม่มีใครคุยอะไรกันเลยในช่วง 15 นาทีที่ผ่านมา ผมวางเนื้อบนเตามือเป็นระวิง คีบอันที่สุกแล้วใส่จานไอ้ตงอย่างเคยชิน

“กำลังมา” ไอ้ฉัตรตอบง่ายๆ มันหันไปจัดการกับของสดต่อ ท่าทางหิวจัดกันทุกคน

“คีบให้กูมั่งดิ” ไอ้ทอยเอ่ยปาก

“โตแล้ว คีบเองเดะ แขนมึงก็ออกจะยาว” เคี้ยวไปด้วยคุยไปด้วยน้ำลายกระเด็นเพิ่มความอร่อยอีก 30%

“ตงฉินก็โต แขนยาวกว่ากูอีก มึงยังคีบให้เลย” ถ้าบอกว่าไอ้ตงน่ะเมียกูเอง ทุกคนจะทำหน้ายังไงวะ

“เออ มึงนี่ยังกะอายุ 5 ขวบ” ผมบ่นแต่ก็ยังคีบหมูนุ่มให้มัน

“เย้” อาการดีใจเป็นเด็กชวนให้หมั่นไส้

“เออ ไอ้ทอย มึงหน้าตาคุ้นๆนะ เราเคยเจอกันปะ” หลังจากหมูในจานหมด ไอ้ฉัตรก็ชวนคุย แววตาของคนถูกถามแข็งกร้าวแว้บหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้ม ผมลอบมองอย่างงงๆ นึกสังเกตมาตลอดว่าไอ้ทอยไม่ค่อยคุยกับไอ้ฉัตรเท่าไหร่ ต่อให้คุยก็ตอบกวนๆไปงั้น แล้วก็ไม่ต่อบทสนทนากันอีก

“กูหล่อแหละ มึงเลยคุ้น” แล้วไอ้ทอยก็ย่างหมูบนเตาอย่างไม่ใยดีไอ้ฉัตรอีก เพราะอีกฝ่ายมีสายเข้าพอดี

“เออๆ เข้ามา กูอยู่ตรงนี้” ฉัตรชัยวางสายก่อนโบกมือให้พี่ชายมันที่เดินเข้ามาในร้าน พวกเราต่างอ้าปากค้างกันยกกลุ่มที่เห็นหน้าคุ้นเคยนั้นมาใกล้จนกระทั่งนั่งลงข้างๆน้องชายตัวเอง

“นี่ฉัตร พี่ชายกูเอง” ไอ้ฉัตรแนะนำ

“เดี๋ยวๆ ทำไมพวกมึงชื่อเหมือนกันเลยวะ” ไอ้โทเป็นงง

“เออ นั่นดิ”

“ถามมาก” ไอ้ฉัตรคนน้องตอบ ก่อนที่คนพี่จะตอบบ้าง

“เราชื่อฉัตร แต่ไอ้เนี่ยมันชื่อชัย มันไม่ชอบชื่อชัยเลยขอแลกชื่อเล่นน่ะ”

“สาด มึงไม่ต้องบอกก็ได้นะไอ้ฉัตร” ไอ้ฉัตรคนน้องที่ชื่อเล่นจริงๆว่าชัยทำตาขวาง

“อ๋อ ชื่อชัยนี่เอง” ผมแซว

“คุยธรรมดาไม่ต้องสุภาพก็ได้ รุ่นเดียวกัน” พวกเราเห็นด้วย ฉัตรพงษ์ หรือ ฉัตร พี่ชายของไอ้ฉัตรหรือชัย โอ๊ย...เริ่มงง .. ฉัตรพงษ์ พี่ชายของ ฉัตรชัย นั่งข้างๆกันพยักหน้า ก่อนที่สายตาจะหยุดที่คนนั่งติดกับผม

“อ๊ะ ไอ้ไฟปะ” ผมมองสองคนสลับไปมาอย่างไม่เข้าใจ ทำไมฉัตรพงษ์ถึงเรียกไอ้ทอยว่า ไฟ ได้วะ...

“อะ อืม” ไอ้ทอยหน้าเปลี่ยนเป็นอึดอัดใจจนเห็นได้ชัด คนอื่นๆต่างพากันงงเช่นกัน

“รู้จักกันด้วยเหรอวะ” ผมถาม

“ก็ทำนองนั้น” ไอ้ทอยตอบ

“เชี่ย ไอ้ไฟเหรอ มิน่ากูถึงคุ้นหน้า” ไอ้ฉัตร เอ๊ย ไอ้ชัยพูดเสียงดัง ท่าทางเหมือนจะนึกอะไรออก

“อ้าว มึงก็รู้จักเหรอวะ” งงมากไปอีกสิครับ

“เออดิ กูว่าแล้วว่าทำไมหน้าคุ้นจังวะ” ไอ้ชัยพูดต่อ โดยไม่สนใจฉัตรพงษ์ที่ทำท่าจะห้าม

“เออ โลกกลมดี” ไอ้คิ้วตัดบท “แดกก่อนมั้ย แล้วค่อยคุย”

             ท่าทางของไอ้ทอยเงียบจนสังเกตได้ตั้งแต่พี่ชายของไอ้ฉัตร เอ๊ย ไอ้ชัยเข้ามานั่ง หลังจากปรับอารมณ์ได้แล้วก็มีเวลามองสองพี่น้องที่หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ ใช่ครับ ฉัตรพงษ์กับฉัตรชัยเป็นฝาแฝดกัน ถึงแม้จะมีจุดต่างกันบ้างแต่ถ้ามองผ่านๆแทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ด้วยรูปร่างที่ใกล้เคียงกัน ฉัตรชัยหรือไอ้ชัย จะตัวหนากว่าเนื่องจากชอบออกกำลังกาย แต่หน้าตาของฉัตรพงษ์ หรือ ฉัตรตัวจริง ดูนิ่งและสะอาดสะอ้านมากกว่า ทรงผมที่เซ็ตอย่างดีทำให้แยกความต่างได้

“มึงโอเคมั้ยวะ” ผมกระซิบถามคนข้างๆที่นั่งนิ่งไม่แตะของกินอีกเลยตั้งแต่ฉัตรเดินเข้าร้าน

“สบายๆ” ไอ้ทอยตอบ แต่สีหน้าไม่ได้เห็นด้วยกับคำตอบ “เดี๋ยวกูกลับก่อนนะ” มันพูดเสียงเบาก่อนจะลุกพรวดออกไปโดยไม่บอกลาคนที่เหลือ ผมได้แต่มองตามอย่างไม่เข้าใจเหตุการณ์ ก่อนจะถูกมือใหญ่ของไอ้ตงที่นั่งติดกันอีกฝั่งฉุดขอบกางเกงย้วยๆเอาไว้ ถ้าลุกตอนนี้คือหลุดมาทั้งพวงนามสกุลเป็นแน่

“เดี๋ยวมานะทุกคน” ฉัตรพงษ์บอกพวกเราอย่างสุภาพ คงเพราะยังไม่ทันได้คุยหรือสนิทกันก็ลุกตามไอ้ทอยไปติดๆ

“นี่มันเรื่องอะไรกันวะไอ้ชัย”

“มึงเรียกกูว่าฉัตรก็ได้ไอ้คิ้ว” มันแหว ท่าทางจะอยากชื่อฉัตรจริงๆ

“คอวอยอ มึงสมควรชื่อไอ้สัส” คู่นี่เริ่มเถียงกันอีกละ “สรุปกูจะรู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น” ไอ้คิ้วถามต่อ

“กูว่าแล้วทำไมคุ้นหน้าไอ้ทอย แถมตอนกลางวันมันก็มองกูแปลกๆเหมือนโกรธกันมาแต่ชาติปางก่อน”

“อามิตตาพุทธ” ไอ้โทส่งมุก

“พ่อง...” ไอ้ชัยตบกลับ “โลกกลมชิบหายเลยว่ะ”

“มึงช่วยเล่านะ ไม่ใช่คุยกับตัวเอง” ไอ้ตงที่นิ่งเงียบด่า

“สม กวนตีนดีนัก” ผมทับถม

“เออๆๆ เล่าๆ คือกูกับไอ้ฉัตรเป็นแฝดกันใช่ปะ แล้วตอนมอปลายน่ะพวกกูอยู่คนละห้อง ไม่ค่อยได้เจอกัน ...”

#### ####

[ฉัตรชัย & ฉัตรพงษ์]

             สองพี่น้องฝาแฝดเรียนคนละห้อง คนพี่เรียนสายวิทย์ โดยคนน้องนั้นเรียนศิลป์คำนวณ ด้วยโควต้านักเรียนเก่า นักเรียนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเรียนจึงไม่มีใครไม่รู้ว่าสองคนนี้เป็นคู่แฝดกัน (ถึงแม้หน้าตาจะไม่เหมือน 100% แต่ก็มากพอที่จะให้คนจำสับกันได้) ยิ่งเรียนคนละห้องคนละสาย ความยากของแต่ละวิชาก็ต่างกันทำให้ทั้งคู่ไม่เคยไปไหนมาไหนด้วยกัน ฉัตรพงษ์เรียนหนักกว่าแถมยังต้องไปเรียนพิเศษแทบไม่ได้พัก ผิดกับฉัตรชัยคนน้อง ที่การเรียนไม่เน้น การเล่นมาก่อน ด้วยใบหน้าที่ไม่หล่อเหลาติดอันดับของโรงเรียน แต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่จนหาแฟนไม่ได้ คนน้องจึงมีแฟนไม่ขาดสาย โดยอีกคนก็ใกล้แต่งงานกับการเรียนอยู่รอมร่อ

             ในช่วงม.5 มีนักเรียนใหม่ย้ายมาตั้งแต่ต้นเทอมในห้องเดียวกับฉัตรพงษ์ ชื่อ ไฟ หรือ นายอัคคี ที่มีข่าวลือว่าย้ายหนีพวกนักเรียนนักเลงที่คอยแกล้งจนเรียนที่เดิมไม่ไหว อัคคีในตอนนั้นเป็นคนอวบเกือบเข้าขั้นอ้วน พุงใหญ่แต่ไม่ถึงกับย้วย ยังดีที่เป็นคนสูง ใบหน้าขาวกลมเป็นลูกซาลาเปาเต็มไปด้วยผื่นสิว แว่นตาหนาเตอะกับท่าทางเงอะงะบ่งบอกให้รู้ว่าไม่ใช่คนที่เข้มแข็งอะไร ไม่แปลกใจที่จะกลายเป็นตัวตลกให้เพื่อนๆล้อตั้งแต่ย้ายมาวันแรก หลายคนเรียกว่า ทอย ที่แปลว่าของเล่นแทนชื่อจริงจนติดปาก

             อัคคีเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเพราะถูกล้อเลียนรูปลักษณ์ภายนอกมาตั้งแต่จำความได้ สมัยเด็กนั้นมันก็น่าหยิกน่าหยอกอยู่หรอก แต่พอโตขึ้นแถมน้ำหนักก็ยังเพิ่มขึ้นตามไปด้วยกลับกลายเป็นปมด้อย จากที่พูดน้อยก็ยิ่งเก็บกดกว่าเดิมเนื่องจากการถูกบูลลี่อยู่เสมอ เขามีเพื่อนสนิทไม่มากนัก แต่ละคนก็ไม่สามารถปกป้องได้เนื่องจากเป็นเด็กเนิร์ดเสียหมด เด็กหนุ่มย้ายมาไม่นานก็ยังไม่มีใครพูดด้วยนอกจากจะใช้งานและแกล้งล้อ จนกระทั่ง ฉัตรพงษ์ เป็นคนแรกที่ชวนเข้ากลุ่ม

             เนื่องจากน้ำหนักตัวที่เกินเกณฑ์ อัคคีจึงขอให้ฉัตรพงษ์ช่วยสอนวิธีลดน้ำหนัก ทั้งคู่จึงใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น ถึงแม้จะต้องรอจนดึก อัคคีก็ไม่อิดออดที่จะรอไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสพร้อมเพื่อนใหม่ ระยะแรกนั้นเด็กหนุ่มล้มเลิกความตั้งใจหลายครั้ง แต่เพราะแรงกระตุ้นจากฉัตรพงษ์ทำให้เกิดแรงฮึดจนผ่านช่วงวิกฤติมาได้ หลังจากใช้เวลาอยู่ด้วยกันจากวัน เป็นเดือนและผ่านมาครบรอบปี อัคคีก็รู้ตัวว่าแอบมีใจให้เพื่อนสนิทไปแล้ว ถึงแม้จะมั่นใจว่าฉัตรพงษ์เป็นผู้ชาย แต่ก็ห้ามความหวั่นไหวไม่ได้ เด็กหนุ่มที่รูปร่างเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นก็เริ่มมีความมั่นใจมากกว่าเดิม เพื่อนร่วมชั้นก็ไม่ค่อยแกล้งอะไรอีกเนื่องจากเกรงใจกลุ่มของฉัตรพงษ์ แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือชื่อเช่นที่ทุกคนต่างเรียกว่า ทอย จนติดปาก

“อย่าคิดมากดิ ยังไงมึงก็ชื่อไฟนี่นา จะเรียกอะไรก็ช่างแม่ง” บทสนทนาปลอบใจยิ่งทำให้อัคคีตกหลุมรักเพื่อนสนิทมากขึ้น เวลามีกิจกรรมก็ชวนฉัตรพงษ์ไปค้างที่บ้านตนเองเนื่องจากอยู่ใกล้โรงเรียนมากกว่า กลางดึกของคืนหนึ่งเด็กหนุ่มที่นอนไม่หลับแอบขโมยจูบเพื่อนสนิทที่หลับไหลอย่างตื่นเต้น ลองสอดแขนกอดร่างกายที่แน่นด้วยกล้ามเนื้อสวยแบบกล้าๆกลัวๆแผ่วเบา กลัวว่าอีกคนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจะตกใจหรือไม่ก็โกรธและอาจเลิกคบ เมื่อฉัตรพงษ์ไม่ได้ต่อต้านอะไร พวกเขาจึงกอดกันจนถึงเช้า

             ช่วงเทอมแรกของชั้น ม.6 นักเรียนสายวิทย์คณิตเจอตารางเรียนแสนโหด เนื่องจากต้องอัดเนื้อหาของเทอม 2 มาด้วย เพื่อให้มีเวลาว่างช่วงปลายภาคเรียนสุดท้ายในการอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ทั้งฉัตรพงษ์และอัคคีต่างตัวติดกัน พ่วงกันไปทั้งกลุ่มที่ถือว่าสนิทกัน อัคคีไม่เคยมีเพื่อนที่สนิทกันเป็นกลุ่มใหญ่แบบนี้มาก่อนก็รู้สึกดีใจมาก เขาเป็นคนเรียนเก่งและช่วยติวให้กับทุกคนอย่างไม่หวงวิชา ยิ่งวันไหนติวหนักก็พากันไปนอนค้างที่บ้านตนเสมอ แน่นอนว่าฉัตรพงษ์ยอมเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดเป็นประจำ           

             ในคืนหนึ่งหลังจากเพื่อนๆกลับบ้านกันหมดแล้ว เหลือเพียงฉัตรพงษ์ที่บ้านไกลที่สุดขอค้างด้วย เจ้าของบ้านดีใจและยินดีเป็นอย่างยิ่ง คืนนั้นเขานอนไม่หลับเช่นเคยเพราะตื่นเต้นเรื่องสอบบวกกับใจเต้นรัวเพราะได้กอดด้านหลังคนที่ชอบ ดวงตาเป็นประกายเปิดกว้างมองท้ายทอยเพื่อนสนิทอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย วินาทีที่คนในอ้อมกอดเปลี่ยนท่าหันหน้ามาจนจมูกเกือบชนกัน สายตาของฉัตรพงษ์ยังไม่ปิด ด้วยความที่คุ้ยเคยกับความมืดเพราะต่างฝ่ายต่างลืมตาอยู่นาน จึงได้นอนสบตากันอยู่อย่างนั้น อ้อมกอดของอัคคียังอยู่ท่าเดิม เขากระชับร่างเพื่อนสนิทมาชิดจนแทบไร้ช่องว่าง ริมฝีปากของอัคคีสั่นระริกไม่ต่างกับร่างกายที่สั่นเทายามนี้ แม้จะหักห้ามใจมากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่อาจต้านทานความเย้ายวนที่อยู่ตรงหน้าได้เลย กลีบปากเย็นเฉียบแตะเบาๆที่ปากของอีกฝ่าย มันค้างเติ่งอยู่เกือบนาทีก่อนที่อัคคีจะมั่นใจว่าเพื่อนสนิทก็มีใจให้เขาเช่นกัน

             รสจูบหอมหวานทำให้ทั้งคู่หลับฝันดีท้ายที่สุด อัคคีที่ตอนนี้ใบหน้าเริ่มเข้ารูป น้ำหนักตัวที่เกิน 90 ก็ลดลงมาจนแทบเป็นคนละคน รอยสิวจางหายลงไปมากแล้วก็ฉายแววว่าเป็นคนหน้าตาดีมากคนหนึ่งวางแผนว่าจะสารภาพรักกับเพื่อนสนิทและขอคบเป็นแฟนในวันสอบวันสุดท้าย แผนการถูกตระเตรียมเป็นอย่างดีในหัว ใจเต้นโครมครามนึกอยากให้ถึงวันนั้นโดยเร็ว

             ฉัตรชัย แฝดผู้น้องไม่รู้เลยว่าพี่ชายฝาแฝดนั้นมีรสนิยมทางเพศแบบไหน คงเป็นเพราะโตมาด้วยกันอยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลานั่นแหละ เวลาเจอสาวสวยๆก็พากันแซวด้วยกันไม่เคยขาด ฉัตรชัยเป็นคนเจ้าชู้คารมดี ผิดกับฉัตรพงษ์ที่ดูนิ่งเงียบมากกว่า พี่น้องหยินหยางเลยไม่ค่อยใช้เวลาด้วยกันเหมือนสมัยเด็ก เพราะเพื่อนที่คบก็นิสัยแตกต่างกันไป ฉัตรชัยมีเพื่อนสนิทชื่อศิระ หรือ คิ้ว หนุ่มฮ็อตเบอร์ต้นๆของโรงเรียน แก๊งนั้นจะชอบแนวหลีหญิงไม่ค่อยตั้งใจเรียน ผิดกับแก๊งของแฝดผู้พี่

             วันสอบแอดมิชชั่นวันสุดท้าย อัคคีที่ไปถึงห้องสอบเกือบสายไม่ทันได้สังเกตเลยว่าตัวเองสอบคนละที่กับฉัตรพงษ์ แต่เมื่อเห็นฉัตรชัยนั่งระบายกระดาษคำตอบอยู่อีกสามแถวถัดไปก็ดีใจและตั้งใจทำข้อสอบ เขาอยากยื่นคณะเภสัชศาสตร์เหมือนกับฉัตรพงษ์ ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาทำข้อสอบจนหมดเวลา ร่างที่คุ้นเคยของฉัตรชัยก้าวออกจากห้องสอบไปก่อน อัคคีรีบเก็บอุปกรณ์และไปรับเป้ที่เตรียมของมาเซอร์ไพรส์เพื่อนสนิทจึงเสียเวลาไปพอสมควร หลังจากที่วิ่งตามมาสุดแรง เขาก็คว้าไหล่คนคุ้นเคยไว้ได้ตรงทางเดินที่นักเรียนต่างเดินสวนไปมาขวักไขว่

“หืม มีอะไร” ฉัตรชัยมองคนตัวสูงกว่าอย่างไม่พอใจมากนัก แต่ก็ใจเย็นรอจนอัคคีหยุดหอบ

“นี่” คนที่มายื้อยื่นกล่องของขวัญเล็กๆให้ ฉัตรชัยทำหน้างงหนัก

“อะไร ให้ทำไม”

“คือ กู เอ่อ เรา...” อัคคีข่มความประหม่า ใบหน้าหล่อเหลาแดงระเรื่อแต่ก็ตัดสินใจพูดไปในที่สุด

“เราชอบ เอ่อ กูรักมึงว่ะ ไอ้ฉัตร ถ้ามึงคิด...” ผลั่ก!

             หมัดดุ้นใหญ่กระแทกหน้าขาวเสียงดังลั่นก่อนจะได้พูดอะไรอีก ร่างสูงของอัคคีร่วงกับพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว กล่องของขวัญสีฟ้าพาสเทลตกร่วงกลิ้งไปอีกทาง ใบหน้าเดือดดาลของเพื่อนสนิททำให้งุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าใจไม่ตรงกันก็ไม่เห็นต้องต่อยกันก็ได้ แถมแววตาที่มองมาคือความโกรธและสมเพชชวนปวดใจจนไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกขึ้น ความเสียใจก่อตัวอย่างห้ามไม่ได้ น้ำใสๆไหลเอ่อนองสองแก้ม

“กูไม่รู้ว่ามึงเป็นใครนะ แต่อย่ามายุ่งกับกู ไอ้เหี้ย ไอ้ตุ๊ด กูไม่ได้ชอบมึง” เสียงด่ากราดดังไปทั่ว ยังดีที่มีคนมาห้ามและกันพวกเขาออกจากกัน อัคคีร้องไห้อย่างหนัก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากลับมาถึงบ้านได้อย่างไร กระเป๋าเป้ที่เปิดกว้างไม่มีข้าวของเหลืออยู่สักชิ้นถูกวางไว้มุมห้อง ร่างสูงนั่งเงียบปล่อยน้ำตาไหลอยู่อย่างนั้น ความเจ็บปวดเกาะกุมจนทนไม่ไหว มองบนเตียงมืดมิดด้วยหัวใจที่แตกสลาย ภาพใบหน้าของคนที่แสนรักในอ้อมกอดตรงนั้นหลอกหลอนจนหายใจแทบไม่ออก จูบแรกที่สอดประสานเต็มไปด้วยความรู้สึกดีทั้งสองฝ่ายติดในความทรงจำจนสลัดไม่ได้จึงทนอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกแล้วแม้แต่นาทีเดียว อัคคีเปิดไฟในห้องและเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางจนเต็มแน่น ก่อนลงไปคว้ากุญแจรถและตะโกนบอกพ่อแม่ว่าจะไปอยู่บ้านญาติที่ระยองจนกว่าผลแอดมิชชั่นจะออก

             ตลอดเวลาที่อยู่ระยอง อัคคีไม่ได้ติดต่อเพื่อนคนไหนอีกเลย โทรศัพท์มือถือได้ตกหายไปตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ได้ซื้อเครื่องใหม่มาอีก หัวใจของเขาบอบช้ำได้แต่เฝ้าถามตัวเองซ้ำๆว่าผิดอะไร ทำไมฉัตรพงษ์ถึงต้องทำร้ายกันเช่นนี้ ความรักที่มากล้นแปรเปลี่ยนไปทีละน้อยเพื่อป้องกันตัวจากความเจ็บที่มีมากเกินรับไหว จนท้ายที่สุด อัคคีก็เปลี่ยนความรักเป็นความเกลียดชังและขังตัวเองอยู่กับความผิดหวังซ้ำๆ เขาเปลี่ยนไปยื่นคะแนนในคณะอื่นและมหา’ลัยอื่นเพื่อไม่ต้องได้เจอกับคนๆนั้นอีกครั้ง ก่อนปิดหัวใจไม่เปิดรับใคร แยกตัวออกจากสังคมเพื่อหลีกเลี่ยงคนเข้าหา เขาไม่อยากเผลอใจจนเจ็บอีกครั้ง

             จนกระทั่ง...ต้นเทอมที่ 2 ในวิชาเลือกเสรีของคณะ อัคคีสะดุดกับใบหน้าหล่อเหลาแต่นิ่งเงียบของเพื่อนร่วมคลาส เขาลอบมองใบหน้าเศร้าหมองและแปลกแยกจากกลุ่มคนอยู่นานถึง 2 อาทิตย์จนกระทั่งรวบรวมความกล้าไปคุยด้วย อัคคีรู้สึกสบายใจที่ได้คุยกับเพื่อนใหม่คนนี้ คงเพราะแววตาที่เหงาหงอยนั่นแหละเป็นตัวดึงดูดให้เข้าหา ชายหนุ่มไม่ได้คิดในแง่ชู้สาวในช่วงแรก แต่นับวันก็ยิ่งรู้สึกดีก่อตัวเงียบๆ ... เพื่อนใหม่คนนี้ชื่อ เอกราช หรือไอ้หนึ่ง มันพาเขาไปเจอเพื่อนคนอื่น และหนึ่งในนั้นคือฉัตรพงษ์ คนที่ตนไม่อยากพบเจอที่สุดในชีวิต อีกทั้งคนๆนั้นกลับทำท่าทางว่าไม่รู้จักตนโดยสิ้นเชิงยิ่งทำให้อึดอัด หากไม่ใช่เพราะรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่กับไอ้หนึ่ง อัคคีคงจะไม่ติดสอยห้อยตามคนกลุ่มนี้มาตั้งแต่แรก

             และแล้วเขาก็ต้องประหลาดใจยิ่งกว่าเก่า เมื่อเห็นใบหน้าที่เหมือนกันอย่างกับแกะของฉัตรพงษ์เดินมาในร้านและนั่งฝั่งตรงข้าม อัคคีหายใจติดขัดนึกสับสนว่ามันเป็นเรื่องตลกร้ายใช่ไหม และเมื่อคนมาใหม่ทักทายโดยคนที่หน้าเหมือนกันที่นั่งรออยู่แล้วเอ่ยว่าคุ้นหน้าขึ้นมา ภาพความทรงจำที่อยากจะลืมเมื่อต้นปีกลับมาตีทรวงอกอีกครั้ง ในใจเขาพร่ำบอกตัวเองไม่ขาดสาย ...ไอ้โง่ ไอ้ไฟ มึงมันโง่...

             ความเสียใจที่เคยมีมากมายก่อนหน้านี้ทำให้รู้สึกอับอายและอึดอัด อัคคีไม่ใช่คนโง่ที่จะเดาไม่ออกว่าตัวเองไปสารภาพรักผิดคนจนโดนต่อย และใช้เวลาหลายเดือนจ่มจ่อกับความเกลียดชังในตัวฉัตรพงษ์ที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรแม้แต่น้อย เขาตัดการติดต่อทุกคนจนหมด เพื่อจะหนีความเจ็บปวดที่เกิดจากความโง่เง่าของตัวเอง ... สุดท้ายเขาก็รีบวิ่งออกมาจากตรงนั้น ความเกลียดที่เกาะกุมใจสลายไปจนหมด เหลือแค่ความละอายใจจนไม่กล้าสู้หน้าคนๆนั้นได้อีก สองขาวิ่งอย่างไม่รู้ทิศทาง ไม่รู้จุดหมาย รู้แค่ว่าต้องไปให้ไกลจากตรงนั้น ไม่สนใจผู้คนที่เดินขวักไขว่ตามฟุตบาทที่หักพัง ไม่สนใจว่ามีใครอีกคนวิ่งตามมาตั้งแต่แรก ก่อนจะถูกแรงกระชากรุนแรงรั้งไว้จนต้องหยุดวิ่ง แล้วสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามมากมายก็มองมา...

“มึงมันเหี้ย” พวกเราต่างเห็นด้วยกับคำด่าที่ออกจากปากไอ้คิ้ว

“ก็ใครจะไปรู้ล่ะครับ ว่าพี่ชายกูจะนิยมชายด้วยกันน่ะ กูอยู่กับมันมาตั้งแต่เกิดก็เพิ่งรู้เมื่อตอนต้นปีนี่แหละ”

“ไม่รู้ไม่ว่า แต่มึงก็ใจทรามสัส ไปต่อยหน้าไอ้ทอยได้ไงวะ” ผมบ่นปนถาม

“ก็กูตกใจนี่หว่า อยู่ๆมีใครก็ไม่รู้ตัวสูงใหญ่แถมเป็นผู้ชายเหมือนกันอีกมาบอกรัก”

“แต่มึงก็ทำเกินไปนะ” ไอ้ตงที่นิ่งเงียบอยู่ออกความเห็น

“แล้วพี่ชายมึงรู้เรื่องนี้มั้ยเนี่ย” ไอ้โทถามบ้าง

“ตอนแรกไม่รู้แหละ เพราะกูไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง แต่หลังสอบเสร็จ กูเห็นมันหงอยผิดปกติเหมือนคนอกหักเลยถามว่าเป็นอะไร ทีแรกมันก็ไม่ยอมตอบหรอก แต่เค้นไปเค้นมาเลยรู้ว่ามันติดต่อเพื่อนสนิทคนหนึ่งไม่ได้”

“แล้วไงต่อวะ” ผมถาม เพราะอยากรู้มาก

“ก็ไม่แล้วไงหรอก มันเอารูปไอ้ทอยให้ดู ก็เลยถึงบางอ้อ กูเลยเล่าเรื่องวันนั้นให้ฟัง”

“กูว่าพี่มึงต่อยมึงยับ” ไอ้โทเดา

“เปล่า นอกจากมันไม่ต่อยแล้วยังไม่คุยกับกูอีกเป็นเดือนๆ กว่ามันจะทำใจเรื่องนี้ได้ กูต้องง้อมันยิ่งกว่าง้อแฟนซะอีก”

“สมน้ำหน้า ใครให้มึงชั่วล่ะ” ไอ้คิ้ว เพื่อนสนิทของฉัตรชัยโพล่งออกมา

“แล้วทำไมมึงถึงเพิ่งนึกออกว่าไอ้ทอยคือคนที่มาสารภาพรักกับมึงวะ” ผมถาม

“กูจำหน้ามันแทบไม่ได้เลย ตอนนั้นเลือดขึ้นหน้าต่อยร่วงไปแล้วแทบจะไม่ก้มไปมองด้วยซ้ำ แถมรูปร่างหน้าตาของมันเปลี่ยนไปยังกับคนละคน สมัยนั้นมันอวบๆ แต่ตอนนี้หุ่นดี หน้าใสยังกะดารา” มันสารภาพ

“มึงคิดว่าไอ้ทอยจะโกรธพี่ชายมึงปะ” ไอ้โทลองถาม ไม่คิดเลยว่าต่อมเผือกแต่ละคนจะเยอะขนาดนี้

“ถ้าไอ้ทอยมันรู้ว่าไอ้ฉัตรทุ่มเทในการตามหามันมากแค่ไหน มันจะใจอ่อนเองแหละ อีกอย่างคนที่ผิดคือกูไม่ใช่มัน”

“แล้วทำไมมึงยังนั่งบื้ออยู่ตรงนี้อีกวะ ไม่ไปช่วยพี่ชายมึงปรับความเข้าใจรึไง” ไอ้คิ้วด่าเพื่อนซี้ และเหมือนไอ้คนต้นเรื่องเพื่อคิดได้ มันผุดลุกและวิ่งตามสองคนนั้นไปทันที ไม่รู้ว่าจะทันหรือเปล่านะ เพราะมันก็ล่วงมาเกือบ 20 นาทีแล้ว
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 31 P.5 Up 20 ก.พ. 64
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-02-2021 15:49:30
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 31 P.5 Up 20 ก.พ. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 20-02-2021 16:02:14
เพราะความเข้าใจผิดแท้ๆ. ใครจะเป็นคนง้อล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 31 P.5 Up 20 ก.พ. 64
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 21-02-2021 07:43:07
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 32 P.5 Up 27 ก.พ. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 27-02-2021 15:55:10
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 32. ความรู้สึกประหลาดนี้มันคืออะไร

[เจด ชิติพัทธ์]

             หลังจากคลื่นลมสงบ บทรักหนักหน่วงแสนสาหัสจบลงพร้อมกับความเหนื่อยล้าและเจ็บตึงพวกเราก็ต่างพากันหลับไปอย่างอ่อนล้า กลิ่นเหงื่อและกลิ่นคาวไม่มีผลกับต่อมรับรู้ในตอนนี้ เคมีที่เหนื่อยเพราะออกแรงกดและดันอย่างไม่สงสารบั้นท้ายของผมก็เป็นฝ่ายกอดกระชับจากด้านหลังโดยที่พลังงานแข็งๆยังติดในตัว ถึงแม้จะเจ็บจี๊ดแต่ก็ไม่มีแรงห้าม ความง่วงมีอิทธิพลมากกว่าอารมณ์ใดๆในตอนนี้ มารู้สึกตัวอีกทีในตอนเช้า สภาพผมก็เหมือนคนใกล้ตายเพราะระบมไปหมดทั้งร่าง แถมไอ้เคมีที่นอนหลับสนิทโดยที่พลังงานใหญ่โตขยายตัวตามปกติของผู้ชายจิ้มเข้ามาในตัวจนกระตุกวาบรบกวนการนอนจนต้องแหกขี้ตาตื่น พอหลุดจากกันแค่นั้นแหละ ความเจ็บแปลบก็เล่นงานจนต้องทรุดนั่งอย่างหมดแรง แถมยังแสบทั่วรูตลอดเวลาเพราะมีอะไรไม่รู้หนืดๆไหลออกมาไม่ขาดสาย ไอ้คนร้ายนอนนิ่งไม่รู้เรื่องมองแล้วชวนหงุดหงิด บั้นท้ายผมไม่เคยตกเป็นของใครมาก่อนแต่มันก็ไม่ถนอมกันเลยสักนิด

             เมื่อกลั้นความเจ็บและทำใจสักพักก็ลากสังขารที่เหมือนคนแก่เดินเซไปเข้าห้องน้ำที่อยู่นอกห้องนอน นึกบ่นในใจว่าทำไมไม่ทำห้องน้ำในตัววะบ้านก็ออกจะใหญ่ เดินเสียดไปมาช้าๆโดยมีแค่ผ้าขนหนูพันตัวไว้หยุดที่หน้าห้องน้ำชั้นบนของบ้าน พอจะเปิดเข้าไปกลับมีเสียงเปิดจากด้านในมาเสียก่อน

“พี่ ฟะ ฟิสิกส์” ผมตะลึงตาค้าง ไม่ต้องบอกก็เดาได้จากสภาพที่ยับเยิน ตามตัวเป็นรอยดูดแดงจ้ำ หัวฟูเพราะเพิ่งตื่นตอน สองขายืนสั่นแถมมีของเหลวไหลเป็นคราบเกาะทั่วขนหน้าแข้งอีก

“เออ กูเอง มึง ... เชี่ย” พี่รหัสดูสภาพหัวจรดเท้าแล้วก็สบถลั่น

“เดี๋ยวค่อยคุยนะพี่ ขอเวลาแป๊บ” ผมลากสังขารเข้าไปในห้องน้ำ นั่งบนชักโครกอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องมาเจอกับพี่รหัสในยามนี้ ท่าทางของแกเดายากไม่รู้ว่าโกรธหรือสงสารที่เห็นสภาพผมกันแน่ ไอ้เราก็ได้แต่เครียดเนื่องจากกลัวว่าจะโดนห้ามเหมือนครั้งก่อน แถมไอ้ที่ค้างในตูดกูเนี่ยแม่งเยอะฉิบหาย นั่งถ่ายไปแสบก้นไปน่าสังเวช

             พอได้อาบน้ำก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง แม้จะยังเจ็บหน่วงที่ก้นแถมเวลาเดินยังขัดๆ แต่ก็ดีกว่าเมื่อกี้เยอะ ผมเดินกุมท้องน้อยเพราะมันหน่วงๆเหมือนมีอะไรทิ่มอยู่ตลอดเวลาไปที่ห้องนอนของเคมี ร่างสูงของพี่น้องยืนกอดอกคุยกันหน้าเครียดชวนอึดอัด ก่อนที่คนน้องจะมาประคองพาไปนั่งที่ปลายเตียงนุ่ม

“สรุปว่าพวกมึงคบกัน” ไอ้พี่รหัสถามมาดื้อๆ ไม่มีอารัมภบท

“เอ่อ ปะ เปล่าครับ...”

“ใช่ เราเป็นแฟนกัน” เสียงดังฟังชัดจากปากเคมีกลบคำตอบผมไปเสียหมด ตอนนี้ทำได้เพียงอ้าปากค้างเพราะไม่คิดว่าอีกคนจะตอบแบบนี้ ตอนที่อาบน้ำก็ได้แต่คิดว่ามันคงเป็นอารมณ์ชั่ววูบเพราะไอ้เคมีคงไม่นิยมเพศเดียวกันหรอก หรือที่มันทำไปเพื่อแก้แค้นที่ผมไปทำมันก่อนก็ได้

“ห๊ะ” กลับกลายเป็นผมเองที่ตกใจกับคำตอบที่ได้ แววตาสับสนมองหน้าสองพี่น้องสลับไปมา พี่ฟิสิกส์คลายอ้อมกดจากอก ท่าทางดูผ่อนคลายกว่าเดิม

“กูไม่รู้นะว่ามึงเป็นเกย์ตั้งแต่ตอนไหน แต่มึงโตแล้ว เรื่องนี้กูไม่ยุ่ง” เขาหันไปพูดกับน้องชายก่อนจะก้มมาทางนี้

“ส่วนมึง กูไม่ได้รังเกียจที่มึงเป็นเกย์หรอกนะ ยังไงมึงก็เป็นน้องรหัสกู ไหนๆก็เป็นน้องสะใภ้กูแล้ว ก็ฝากดูแลน้องชายกูด้วยล่ะ” พี่รหัสพูดด้วยใบหน้าเขินๆ ไอ้เราก็ฟังด้วยอาการไม่เชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ทำไมยอมรับกันง่ายดายจังเลยวะ ตอนแรกยังกีดกันจนไอ้เจดเครียดแล้วเครียดอีก

“ไม่ต้องยุ่งหรอก เมียผม ผมดูแลได้” เคมีตอบกลับแต่อีกฝ่ายเดินออกห้องไปอย่างไม่สนใจ

“มะ เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น” ผมงงกับเรื่องทั้งหมดอย่างหนัก

“ก็ไม่มีอะไรหรอก มันถามว่าเกิดอะไรขึ้นน่ะ” น้องชายบ้านนี้แทนตัวพี่ชายตัวเองด้วยคำว่า มัน ...

“แล้วมึง อ๊ะ เค็มตอบไปว่าไง” จะว่าเขินก็เขินไม่น้อยนะ มีผัวคนแรกแล้วโดนพี่ชายเขาจับได้คาหนังคาเขาแบบนี้

“ผมก็ตอบความจริง”

“ความจริงอะไร” ผมถามต่ออย่างงุนงง

“ก็เรื่องบนเตียงเมื่อคืนไง พี่โดนไปกี่ยก ท่าไหนบ้าง..” มันตอบสบายๆแถมกลั้นหัวเราะอีก

“ห๊ะ จริงดิ ไม่ขำนะเว้ย” ผมโวยวาย จะลุกก็ไม่ได้เพราะตึงบั้นท้าย

“ไม่ขำ ผมจริงจัง” เกลียดชะมัดเวลาที่หน้าหล่อๆของรุ่นน้องมองมาอย่างหวานชื่น คนที่รู้สึกรักมาตั้งนานแบบผมได้แต่นั่งเขินใกล้ละลายอยู่รอมร่อ ที่ผ่านมาเป็นผัวชาวบ้านมาตลอด พอตกเป็นเมียบ้างก็ดันไม่เสียใจซะงั้น

“จะ จริงจังอะไร” เสียงตะกุกตะกักถามออกไปในที่สุด

“พี่เจด เป็นแฟนผมนะ ถึงผมจะเจ้าชู้ ควงสาวมานับไม่ถ้วนก็เถอะ แต่พี่ให้โอกาสผมนะ”

“อ๊ะ” ผมตกใจ ไม่คาดคิดว่าจะโดนขอเป็นแฟนแบบโต้งๆเช่นนี้

“ผมไม่รอคำตอบนะ เพราะยังไงผมก็เป็นผัวพี่แล้ว” ริมฝีปากบางบดที่ลำคอจนตัวสั่น แรงสยิวแล่นไปมาอย่างลุกโชนก่อนจะถูกร่างใหญ่ที่สวมแต่กางเกงกีฬาตัวเก่าเมื่อวานกดให้นอนราบกับพื้น รสจูบวาบหวามสอดประสานกับลมหายใจอุ่นร้อน เรือนร่างของพวกเราแนบชิดจนแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่ง สี่ขาก่ายกอดสอดรัดพัลวันจากแรงกระตุ้นที่หอมหวาน

“อื้อ เก่งเกินไปแล้วนะเราน่ะ” ผมแซวเมื่อรสจูบร้อนเร่าผละจากกัน

“ก็พอตัว” เคมีตอบยียวน รอยยิ้มกว้างฉาบหน้าหล่อให้ชวนมองมากกว่าเก่า

“อื้อ พอก่อน พี่เจ็บ” ผมรีบห้ามเมื่อนิ้วมือสากเขี่ยเลาะที่ปากทางด้านหลัง “พังหมดแล้วให้มันพักบ้าง”

“แต่ผม” รายนั้นไม่พูดเปล่า ดึงมือผมไปจับแก่นกายที่แข็งตัวอัดแน่นทะลุกางเกง

“งั้น ให้พี่เป็นผัวเราบ้างนะ”

“เออะ” ท่าทางตกใจนั้นชวนขำ ถึงจะโดนซ้ำไม่ได้ แต่ถ้าให้เป็นผู้นำก็พอจะทนไหวแหละน่า

“ไม่ได้เหรอ พี่เสียใจนะเนี่ย” ผมทำเสียงงอนๆ จนแฟนหมาดๆนั้นก็ทำหน้าครุ่นคิด และถอนหายใจ

“ก็ได้ ผมยอมพี่คนเดียวนะ”

“อื้ม พี่ก็ยอมเราคนเดียวเหมือนกัน” แล้วบทรักบทใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเร่าร้อน เหมือนเคมีจะติดใจกับมันไม่น้อย เรือนร่างแข็งแกร่งจับเกร็งสั่นสะท้านเมื่อถูกแหวกว่ายความคับข้องเต็มช่องทางด้านใน เสียงครวญครางหอบพร่าสอดประสานอย่างยั่วยวน ภายในคับแน่นติดรัดจนขยับแทบไม่ได้ ครั้งก่อนผมได้ผู้ชายคนนี้ด้วยการบีบบังคับ แต่ครั้งนี้เกิดจากความเต็มใจกันทั้งคู่ ความอ่อนโยนในช่วงแรกชวนอบอุ่นอิ่มเอม ก่อนจะเปลี่ยนจังหวะโหมรุกเร้าอย่างบ้าคลั่งเพื่อแสดงให้เห็นว่าเราต่างเป็นเจ้าของกันและกัน

             แล้วสถานะว่ามีแฟนแล้วของเคมีและเจดก็ปรากฏทั่วเฟสบุ๊กในวันนั้น แฟนคลับที่เป็นสาวๆต่างอกหักทั่วมหา’ลัยที่ผู้ชายหล่อขั้นเทพสองคนดันมากินกันเอง แถมยังประกาศตัวออกสื่ออย่างไม่แคร์สังคมอีกด้วย มีคนกดไลค์เกือบห้าพัน คอมเม้นต์อีกสองพันกว่า ส่วนใหญ่จะเป็นการตัดพ้อและเสียดายความหล่อของทั้งคู่ ...

#### ####

[หนึ่ง เอกราช]

             หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ไอ้ตงก็เหมือนจะไม่ทำตัวงี่เง่าแบบแปลกๆอีก แต่ผมชอบนะที่มันเป็นแบบนั้น เพราะอาการมันเหมือนกำลังหึง ทั้งที่ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่กลับดีใจจนตัวแทบจะลอยไปแล้ว ร่างใหญ่ที่ซุกอกอยู่หายใจราบเรียบคงจะเหนื่อยจากการใช้ชีวิตแบบหุ่นยนต์มาหลายวัน ไหนจะเรียน ต้องไปถ่ายละคร และยังไปกินหมูกระทะและส่งเพื่อนแต่ละคนไปขึ้นรถไฟฟ้าและวนกลับไปสิ่งไอ้คิ้วที่คณะอีก

“อื้อ เช้าแล้วเหรอ” ตงฉินงัวเงียส่งเสียงถาม ผมหอมหัวหอมๆนั้นอย่างชื่นใจ

“เช้าแล้ว หิวมั้ยเดี๋ยวทำอะไรให้กิน”

“ยังอ่า ขอกอดก่อนกำลังอุ่น” มันทำเสียงอ้อนจนใจอ่อนยวบ ทำไมต้องทำตัวน่ารักแบบนี้ด้วยวะ

“กอดอยู่นี่ไง” ผมกระชับอ้อมกอด แม้จะตัวเล็กกว่าแต่ก็ไม่เป็นปัญหาถ้าเมียอยากจะซุก “วันนี้มีคิวถ่ายมั้ย”

“ไม่มี”

“งั้นนอนต่อนะ หิวก็บอกจะได้ไปทำอะไรให้กิน”

“อื้อ” ตงฉินครางตอบในลำคอ ผมจับจ้องใบหน้าหล่อๆที่นอนนิ่งอย่างอิ่มใจ เหมือนกำแพงที่สูงลิ่วของคนในอ้อมกอดจะลดระดับมาเยอะจนแทบจะไม่มีเหลือ ถึงแม้จะไม่เคยบอกว่าชอบหรือรักกันเลยสักครั้ง แต่การแสดงออกของผมก็น่าจะทำให้อีกคนรับรู้ได้ไม่ยากนะว่ารู้สึกยังไง ...

             แล้วเสียงกรนเบาๆก็ดังขึ้น ไม่นานร่างสูงก็เปลี่ยนเป็นนอนหันหลังให้ แผ่นหลังกว้างในชุดนอนบางแนบเนื้อมีไออุ่นแผ่ออกจนแทบไม่อยากลุกหนีไปไหน สุดท้ายก็ทนต่อไม่ได้เลยจำใจมาเข้าห้องน้ำก่อนจะเดินไปที่ห้องครัวทำกับข้าวให้รูมเมตที่นอนฝันดีอยู่นั่นเอง



 
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 32 P.5 Up 27 ก.พ. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 27-02-2021 15:55:46
[ตงฉิน]

             ไอเย็นเฉียบแตะตัวจนหนาวรบกวนการนอนจนต้องตื่น เมื่อหันไปมองที่นอนเปล่าข้างๆก็ต้องผุดลุก การนอนคนเดียวไร้ไออุ่นคือฝันร้ายของไอ้ตงชัดๆ ยิ่งปล่อยให้ความเคยชินนี้ทำงานไปเรื่อยๆก็ยิ่งจะถลำตัวลึกจนอาจจะถอนตัวไม่ขึ้น ความหวั่นไหวที่ก่อตัวจนน่าตกใจนี้ชวนให้หวาดหวั่น แค่ความสัมพันธ์ทางกายไม่น่าจะทำให้รู้สึกใจสั่นเวลาที่อยู่ใกล้กันได้ แต่มันเกิดขึ้นแล้ว นับวันจะยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างไม่น่าไว้วางใจ

“ตื่นแล้วเหรอ ไปอาบน้ำไป กับข้าวใกล้จะเสร็จแล้ว” ผมมองคนตัวเล็กที่สวมแต่กางเกงบ๊อกเซอร์เดินออกไปจากห้อง แผ่นหลังแกร่งที่เห็นรอยข่วนของตัวเองชวนอึดอัด แต่ก็หวิวในใจไม่น้อย ไอ้อาการแบบนี้มันแย่มาก ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ตงฉินคงไปไหนไม่รอดแน่ๆ

“มีอะไรกินบ้างอะ” ผมเดินมานั่งที่โต๊ะกินข้าวหลังจากจัดการตัวเองเสร็จสรรพ ในมือยังถือผ้าขนหนูเช็ดเส้นผมเปียกชื้น

“มีของโปรดมึงทั้งนั้นแหละ” ไอ้หนึ่งตอบก่อนจะยกหมูกระเทียมสีทองอร่ามส่งกลิ่นหอมยั่วจนท้องร้องลั่น กับข้าวอีก 2-3 อย่างบนโต๊ะดูน่ากินไปหมด

“ทำเยอะขนาดนี้เลยเหรอ”

“ก็ไม่รู้ว่าอยากกินอะไรเลยทำไปก่อน เหลือค่อยเก็บใส่ตู้เย็นไว้” พ่อครัวเดินอ้อมมาด้านหลัง มันสวมผ้ากันเปื้อนทับทั้งที่ไม่ได้ใส่เสื้อชวนให้คิดไม่ดีจนนั่งไม่ติด แรงกดที่ไหล่ทำให้ต้องนั่งลงทั้งที่จะลุกหนีที่เห็นมันเดินมา

“ทะ ทำไร”

“เอามานี่ กินข้าวไป เดี๋ยวเช็ดให้” ไอ้หนึ่งคว้าผ้าขนหนูในมือมาเช็ดหัวให้ ปากก็บ่นไม่หยุดว่าทำไมไม่ใช้ไดร์เป่าผมในห้องเป่าให้แห้งเสียก่อน

“ขี้บ่น คนกำลังจะกิน” ผมด่ากลับ แทนที่จะหยุด มันกลับขยี้แรงจนเจ็บ “โอ๊ย”

“สมน้ำหน้า” มันหัวเราะร่วน ไม่ได้สนใจแววตาเขียวปั๊ดที่มองค้อนเลยสักนิด “อร่อยมั้ย”

“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง” ผมแหว แต่อีกคนก็ไม่สะทกสะท้าน เมื่อเห็นว่าผมเริ่มแห้งดีแล้วก็เดินไปเก็บผ้าขนหนู

“ไม่อร่อยก็ไม่ต้องกิน” มันทำท่าดึงจานข้าวออกห่าง

“บอกตอนไหนว่าไม่อร่อย” ผมรีบใช้สองแขนโอบกับข้าวบนโต๊ะไว้ไม่ให้คนทำแตะต้อง

“อร่อยก็กินเยอะๆสิ ผอมจะแย่แล้วน่ะ”

“ผอมตรงไหนเนี่ย ผู้กำกับบ่นด้วยซ้ำว่าหน้าบวมขึ้น”

“เดี๋ยวพาไปออกกำลังกาย ตอนนี้กินเยอะๆ” ผมมองหน้าคนพูดที่ตอนนี้นั่งตักกับข้าวเข้าปากที่ฝั่งตรงข้ามอย่างงงๆ

“ไปฟิตเนสเหรอ ไม่เอาอะ เหนื่อย” หลังจากใช้ชีวิตหนักๆมาทั้งอาทิตย์ก็ไม่อยากออกไปไหน อยากนอนโง่ๆที่บ้านมากกว่า

“ไปทำไมฟิตเนส ออกกำลังกายที่ห้องก็ได้”

“ได้ยังไงวะ” ผมถาม ก่อนจะฉุกคิด

“ก็...” ไอ้หนึ่งเลียปาก

“หยุดความคิดนั้นเดี๋ยวนี้” ผมด่าลั่น แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าเป็นไม่สนใจอาการเต้นเร่าของไอ้ตงเลยสักนิด

“หยุดไม่ได้หรอก เดี๋ยวมึงลืมรสชาติกู” มันตอบหน้าเฉย “มึงบอกว่าแซ่ปไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวจัดให้หนักๆ”

“อะ ไอ้...” ผมได้แต่ชะงักสิ จะสวนกลับก็กลัวจะเข้าตัว เพราะปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่ามันเด็ดเผ็ดมันมากแค่ไหน

             สุดท้ายแล้ว ความคิดที่จะขัดขืนถ้าไอ้หนึ่งจะเริ่มก่อสงครามก็หายวับไปกับตาเมื่อถูกสายตายั่วยวนนั้นจับจ้องจนใจสั่นไปหมด ทั้งที่ผมตัวสูงใหญ่กว่า แต่กลับถูกเปลื้องผ้าอย่างง่ายดายเสียอย่างนั้น แรงถาโถมเข้าใส่นุ่มนวลในช่วงแรกก่อนจะแผดเผาความกระดากอายจนหมดสิ้น เสียงครางดังอื้ออึงเร่งเร้าให้เสียงกล้ามเนื้อกระทบกันปึงปังดังกว่าเก่าอย่างหยาบโลน จากยกแรกที่อิ่มเอมก็ต่อด้วยแรงสอดเสียดรอบแล้วรอบเล่าจนกระเพาะอาหารที่เคยแน่นกลับมาหิวโซอีกครั้ง

RRRRRRRRRRRRRRRRRRR

             เสียงโทรศัพท์แผดลั่นจนสะดุ้งตื่น กล้ามเนื้อปวดเมื่อยจนแทบขยับไม่ไหวเป็นอุปสรรคเสียเหลือเกิน ผมเอื้อมมือสะเปะสะปะเพื่อหาต้นตอของเสียง นึกกร่นด่าในใจว่าทำไมต้องโทรมาตอนที่กำลังฝันหวานด้วยวะ แต่ก็เอาเถอะผมควานหามือถือทั้งที่สองตาปิดสนิทจนมันเงียบเสียงไป มือที่งุ่นง่านก็สงบนิ่งวางบนหน้าท้องคนที่นอนอยู่ไม่ห่าง

             ความหิวทำให้ต้องลืมตาตื่นอย่างหงุดหงิด มองที่นอนว่างเปล่าข้างตัวอย่างหวิวใจก่อนลุกไปอาบน้ำอีกรอบเพื่อชำระล้างคราบไคลให้หมดจด เวลาผ่านไปเร็วจนอยากหยุดเอาไว้แค่ตอนนี้ ผมใช้ชีวิตเอ้อระเหยอย่างไม่ต้องดิ้นรนเหมือนที่ผ่านมาอย่างโล่งใจ ตื่นนอนตอนเช้าก็อาบน้ำมีคนทำกับข้าวไว้รอ หลังจากนั้นก็ร่วมรักกันจนเผลอหลับ ตื่นมาอีกทีก็วนลูปเข้าห้องน้ำ ตอนนี้ท้องที่ร้องลั่นบังคับให้สองขาพาร่างสูงโย่งที่สวมแต่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวจิ๋วออกจากห้อง กลิ่นอาหารหอมฉุยแตะจมูก ท่าทางจะไม่ใช่ของเหลือจากมื้อเช้า เพราะมันมีทั้งกลิ่นปลาร้า กลิ่นของย่างโชยมายั่วยวนจนน้ำลายสอ

“ตื่นแล้วเหรอ ทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าดีๆก่อน” แทนที่จะบอกให้มากินข้าว ไอ้คนตัวเล็กกลับมาบ่นเรื่องการแต่งตัวของผมซะงั้น

“ไม่ได้ออกไปไหนซะหน่อย แต่งง่ายๆก็ได้” ผมตอบง่ายๆ ไม่ทันสังเกตว่ามีคนอื่นนั่งอยู่ที่ห้องรับแขกหน้าสลอน

“หืมมมม หุ่นดีชิบหาย” เสียงแซวดังขึ้น ผมตกใจจนผงะ ไม่คิดว่าเพื่อนพ้องจะมากันพร้อมหน้า

“พะ พวกมึงมาทำไรกันวะ” ปกติผมก็หน้าด้านอยู่หรอก กับแค่การใส่กางเกงบางๆปล่อยเบื้องล่างโทงเทงไปมาต่อหน้าเพื่อนผู้ชายน่ะไม่ใช้สาระสำคัญอะไร แต่ไม่ใช่ตอนที่มีขวัญใจกับเพื่อนผู้หญิงที่ไม่คุ้นหน้าอีกสามคนจับจ้องเรือนร่างราวกับกำลังข่มขืนผมทางสายตาเช่นนี้

“กูโทรหาแล้ว มึงไม่รับสาย” ไอ้คิ้วเป็นคนตอบ ข้างตัวมีแฟนสาววัยมัธยมนั่งประกบไม่ห่าง

“กะ กูหลับ”

“เออ นั่นแหละ มึงลืมใช่มั้ยว่าวันนี้ต้องทำงานกลุ่มกันน่ะ” เสียงของมันทำให้ผมเข้าใจเรื่องทั้งหมด

“เช็ด กูลืมจริง” ผมยอมรับแต่โดยดี วิชาที่เราเรียนด้วยกันมีการพรีเซ็นต์วันจันทร์ที่จะถึงนี้ ถ้านับคนทั้งหมดตอนนี้ก็รวมแล้ว 2กลุ่มได้ ฉัตรชัย ขวัญใจและโทอยู่กับเพื่อนผู้หญิงอีก 2 คน ผมกับไอ้หนึ่งอยู่กับคิ้วและเพื่อนผู้หญิงคนที่สาม ห้องรับแขกที่มีคนนั่งรออยู่แล้ว 9 คนดูแคบไปถนัดตา

“กินข้าวก่อนพวกมึง เดี๋ยวค่อยไปหาข้อมูลทำงานกัน” เป็นเสียงไอ้หนึ่งที่โพล่งออกมา ใบหน้าคุ้นเคยพยักเพยิดให้ผมรีบกลับเข้าไปในห้องเพื่อเปลี่ยนชุด หมดกันภาพลักษณ์ดาราหนุ่มหล่อสุดเนี้ยบ ดีนะที่ยังคว้ากางเกงมาใส่ ไม่งั้นคงได้โชว์ตงฉินน้อยสู่สายตาประชาชนเป็นแน่แท้

             หลังจากสุมหัวกันกำจัดมื้อเที่ยงแสนอร่อยที่เพื่อนๆซื้อตามคำสั่งไอ้หนึ่งระหว่างทางมาคอนโดของผม ส้มตำ น้ำตก ไก่ย่างและอาหารอีสานอีกหลายอย่างหมดเกลี้ยงราวกับฝูงแร้งลงแทะ การที่ทุกคนมาที่ห้องนี้ก่อนก็เพราะว่าคอนโดผมและขวัญใจอยู่ใกล้มหา’ลัยมากที่สุด การที่ไม่ไปขลุกห้องของเพื่อนสนิทผมก็คงเพราะไม่อยากให้คนอื่นรับรู้ว่าตอนนี้มีแฟนหนุ่มที่นั่งหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวชื่อโทไปอาศัยอยู่ด้วยแบบถาวรแล้ว

             หลังจากเก็บกวาดเศษซากอาหารกลางวันเสร็จสิ้น พวกเราก็ตกลงกันว่าจะไปทำรายงานกันที่ร้านคาเฟ่โมเอะที่ไอ้หนึ่งเคยทำงานพาร์ทไทม์ที่นั่น เพราะมันโทรไปถามเจ้าของร้านแล้วว่าโต๊ะว่างมากถึงมากที่สุด พอถึงร้านก็พบกับความวังเวงที่แท้จริง แต่การตกแต่งด้วยตุ๊กตา ภาพการ์ตูนสีสันสวยงามก็พอให้ชื่นใจบ้างว่าไม่ได้วังเวงเกินไป พวกเราทั้ง 11 คนพากันจับจองโต๊ะจนเกือบเต็มร้าน อุปกรณ์ต่างๆที่ต้องใช้ในการทำงานต่างวางเรียงรายเต็มพื้นที่ หนังสือที่หอบมาคนละเล่มสองเล่มก็เบียดเบียนที่ว่างจนแทบไม่มีช่องพอจะวางเครื่องดื่มและเบเกอรี่

“ร้านน่ารักอะ ทำไมไม่เคยมาก็ไม่รู้” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนพูด จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าชื่อวาวา อยู่ภาคการเงินที่ไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนชมไม่ขาดปาก ก่อนจะหยิบมือถือมาเก็บภาพความน่ารักไปทั่วร้าน

“ร้านโดนบังน่ะ ทำเลตรงนี้ถ้าไม่สังเกตจริงๆก็ไม่เห็นนะ” ไอ้หนึ่งเป็นคนตอบ

“ทำไมไม่ทำป้ายหรือโปรโมตร้านบ้างล่ะ” ไอ้ฉัตร เอ๊ย ชัยเป็นคนตั้งคำถาม

“ไม่รู้ดิ พี่เขาบอกว่ามันแพงน่ะ ไหนจะต้องจ้าง ต้องทำโน่นนี่นั่นอีก”

“แต่มึงก็เคยทำงานที่นี่ไม่ใช่เหรอวะ ไม่เสียดายเหรอที่ต้องหยุด” ไอ้โท พี่ชายคนสนิทของไอ้ตัวเล็กพูดออกมา

“ก็เออสิ ใจหายเหมือนกันนะ แต่จะให้ทำไงล่ะ กูก็แค่ไอ้หนึ่งคนจนๆ” น้ำเสียงมันดูท้อแท้นะ แต่หน้าตากลับไม่ได้บอกอย่างนั้น

“เอางี้สิ” เพื่อนผู้หญิงอีกคนที่ชื่อ มะเหมี่ยว ลองเสนอ “ลองให้ตงถ่ายรูปแล้วเช็คอินร้านดู ไม่แน่นะ คนอาจจะแน่น”

“เอ่อ...” ไหงงานมาเข้าที่ผมจนได้วะเนี่ย

“ไม่เป็นไรหรอกค่า พี่ไม่มีเงินจ้างคุณตงเขาหรอก แค่น้องๆคิดจะช่วยพี่ก็ดีใจแล้ว” พี่นิตยาเจ้าของร้านมาเสิร์ฟขนมหวานด้วยตัวเองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ผมสังเกตว่าไอ้หนึ่งมองใบหน้าใจดีนั้นอย่างเศร้าสร้อย คงผูกพันกับร้านนี้ค่อนข้างมาก

“น่าเสียดายเนอะ” เพื่อนๆต่างเห็นด้วยกับคำรำพันนี้ ผมได้แต่นั่งนิ่ง คิดสะระตะว่าควรจะช่วยดีไหม ถ้าช่วยแล้วจะได้อะไรกลับมา เพราะชื่อเสียงที่สร้างมามันไม่ใช่คว้ามาได้แค่ข้ามวัน ต้องทำงานหนักและสูญเสียอะไรหลายๆอย่างเพื่อแลกมาจนเป็นที่รู้จักจนทุกวันนี้ การทำงานฟรีมันคือสิ่งดี แต่มันไม่ช่วยให้อิ่มท้อง

ติ๊ง!

หนึ่งโทรสองโท : ถ้ากูจะขอให้มึงช่วย แค่อัพไอจีจะได้มั้ยวะ

TongChin : ทำไมล่ะ

หนึ่งโทรสองโท : กูสงสารพี่นิตว่ะ พวกเค้กที่กูเอาไปแช่ตู้เย็นห้องเราพี่เค้าก็ให้ฟรี

TongChin : จริงดิ


           ผมชั่งใจ ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าขนมนมเนยที่รูมเมตพกไปฝากไม่เคยขาดนั้นมาจากไหน แถมสายตาเว้าวอนของคนที่นั่งตรงข้ามจับจ้องมาจนนั่งแทบไม่ติด ใบหน้าผมร้อนผ่าวไม่รู้ว่าเพราะอึดอัดหรือเขิน มันน่าแปลกที่ไม่มีอารมณ์โกรธขึ้งเพราะโดนมัดมือชกแม้แต่น้อย ทั้งที่ตงฉินตัวจริงคงอาละวาดใส่ไปแล้วถ้าได้ยินเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ ผมไม่ได้อ่อนโยนขึ้น แต่เพราะแววตาคู่นั้นที่มองมาไม่ขาดระยะชวนให้ใจอ่อนไปหมด สมองที่แล่นอยู่ดีๆก็ตื้อไปหมด มือใหญ่กดพิมพ์ตอบในโปรแกรมไลน์แล้วใบหน้าหม่นหมองนั้นกลับยิ้มร่า

             ตลอดเวลาร่วม 4 ชั่วโมงที่ต่างพากันตั้งใจทำรายงานและเตรียมตัวนำเสนอนั้น ร้านโมเอะที่อยู่ในซอกหลืบของถนนกลับมีลูกค้าหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย รอยยิ้มของไอ้หนึ่งฉาบเต็มใบหน้า พี่นิตยาต้องรีบโทรหาพนักงานพาร์ทไทม์ที่เคยทำงานให้กลับมาช่วยเป็นการด่วน อิทธิพลของสื่อในมือมันทรงอานุภาพเหลือเกิน รุ่นพี่รุ่นน้องหรือแม้กระทั่งคนที่ติดตามไอจีของผมที่อยู่แถวนี้ต่างมาใช้บริการไม่ขาดสาย เพื่อนร่วมกลุ่มที่รู้ว่าผมช่วยโปรโมตร้านก็ไม่มีใครบ่นเรื่องที่มีคนมาขอถ่ายรูปด้วยจนแทบไม่ได้ช่วยงานเลย และแล้วพวกเราก็แยกย้ายกันกลับตอนทุ่มนึงพอดี แต่ลูกค้าในร้านก็ยังมาไม่ขาดสาย

“ขอบใจนะ” ไอ้หนึ่งกระซิบระหว่างที่เดินไปขึ้นรถ ทุกคนต่างอิ่มกับอาหารและขนมที่ร้านจากการอภินันทนาการจากพี่นิตยาจนไม่ต้องไปหาอะไรกินต่อก็แยกย้ายกันตามสะดวก

“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าตงเป็นคนใจดี” ขวัญใจที่นั่งรถกลับมาด้วยเป็นคนพูด

“โห พูดแบบนี้ทำร้ายจิตใจกันชัดๆ” ผมตอบเสียงน้อยใจ

“ปกติตงฉินจะต้องคิดคำนวณแล้วว่าคุ้มมั้ยนี่นา แต่วันนี้มาแปลก” เพื่อนสนิทคนสวยยังคงพูดต่ออย่างไม่สนใจความรู้สึกผม

“คนเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปไง ไม่ดีเหรอที่เราเป็นคนดี”

“ก็ดี แต่ไม่คุ้น”

“ขวัญ” ผมแหว แต่เสียงหัวเราะของคนพูดดังลั่นจนโกรธไม่ลง ชิ! ถือว่าได้ที เผากันยกใหญ่

“แต่ดีจัง ที่หนึ่งอยู่ด้วยแบบนี้ ตงเลยอ่อนโยนขึ้นเยอะเลย”

“หือ เกี่ยวอะไรกับเราด้วยอะขวัญ” ไอ้หนึ่งหันไปมองหน้าสวยๆที่มีพี่ชายของมันซบไหล่ปิดตานิ่ง

“ไม่รู้สิ เวลาที่พวกเธออยู่ด้วยกัน เคมีมันได้อะ”

“คะ เคมีอะไร” ไอ้โทดันตื่นมาในจังหวะนี้พอดี “ไอ้เคมีมันมาวอแวที่รักเหรอ”

“โอ๊ยโทก็ ใช่ที่ไหน เราหมายถึงตงฉินกับหนึ่งต่างหาก อยู่ด้วยกันแล้วมันชวนฟินอะ เคมีเข้ากันดีต่างหาก”

“อ๋อ” โทร้องรับ “ก็ปกติของคนรักกันนี่” แล้วก็วางระเบิด

“ห๊ะ อะไรนะ” ขวัญใจ หนึ่ง และผมพูดประโยคเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าตกใจของผมคงแสดงออกมากไปหน่อย

“หึหึหึ พวกมึงอย่าคิดว่าจะปกปิดสายตากูได้นะเว้ย กูเป็นใคร ไอ้โท พี่ชายไอ้ฟายเตี้ยเลยนะ”

“มะ มึงพูดอะไร” ผมถาม แม่งเสียงมันสั่นทำไมวะ

“อุ๊ย จริงเหรอ ขวัญตกขาวเหรอ”

“ตกข่าว” ไอ้หนึ่งตบมุก จะแซวยังไม่วายเล่นมุกห้าบาทสิบบาท

“อิอิ มิน่าล่ะ เวลาพวกเธอมองกันไปมา สายตางี้หว๊านหวาน” พวกคุณเคยอยากบีบคอเพื่อนสนิทให้ตายๆไปซะบ้างมั้ยครับ

“ว่ะ หวานตรงไหน” เฮือก ผมได้แต่กลืนน้ำลายอึกใหญ่

“ไม่ต้องปิดแล้วไอ้ตง พวกมึงน่ะแอบคบกันแหงๆ” ไอ้โทไอ้ตัวดี ตอกย้ำมาอีกละ

“ปละ เปล่าซะหน่อย” ทำไมมีแต่ผมที่ร้อนตัววะ ไอ้คนที่นั่งข้างๆไม่เห็นจะช่วยพูดอะไรเลย

“ไม่ต้องเขินหรอกตง รับรองเราไม่บอกใครหรอกน่า...เนอะ” ขวัญใจพูดและหันไปขอเสียงสนับสนุนจากมนุษย์แฟนที่นั่งข้างกันที่เบาะหลัง

“ช่ายยยย แค่ได้เห็นไอ้หนึ่งเด็ดดอกวัดมาได้ก็ดีใจตายห่าละ”

“ดอกฟ้ารึเปล่าวะ ดอกวัดเหี้ยไรมึง” ไอ้หนึ่งพูดบ้าง แต่ก็ไม่ช่วยแก้ตัวอะไรทั้งนั้น

“โอ๊ย พวกมึง” ผมร้องอย่างฟึดฟัด ใจคอจะขยี้เรื่องนี้ให้ได้จริงๆใช่ไหม

“ใจเย็นๆก่อนไอ้ตง คบกับไอ้หนึ่งไม่ดีตรงไหน”

“ใช่ๆ โทพูดถูก ตั้งแต่อยู่กับหนึ่งนะ ตงน่ะใจเย็นกว่าเดิม อ่อนโยนขึ้นเยอะ แถมยังขยันเรียนมากกว่าเดิมอีก” ใครก็ได้ลากสองคนนั้นไปทิ้งที

“เอ่อ...” จุกสิจ๊ะ จะพูดอะไรอีกล่ะ

“กูดีใจนะ ที่มึงคบกับน้องกูน่ะ” ไอ้โทพูด ไม่ได้สนใจเลยว่าผมจะแก้ตัวยังไง

“ขวัญก็ดีใจนะ อย่างน้อยตงก็เป็นผู้เป็นคนขึ้น ไม่ไปมั่วกับคนกลุ่มนั้นอีก” ขวัญใจจี้ได้ตรงประเด็น เพราะผมห่างหายจากงานปาร์ตี้กับพวกนายแบบนางแบบมานานแล้ว เลิกยุ่งเกี่ยวกับสารอันตรายต่างๆได้อีกด้วย

“พวกมึงใจเย็นก่อน” ไอ้หนึ่งที่เงียบมานานพูด “พวกกูไม่ได้เป็นแฟนกันซะหน่อย”

“ใช่ๆ” ผมพูดเสริม

“ไม่ได้เป็นแฟนกัน เพราะไม่ได้มีอะไรกันแบบว่า xxx หรือไม่ได้เป็นแฟนกันเพราะไม่มีใครขอเป็นแฟนวะ” ไอโท มึ้งงงงง

“ไม่ได้มีอะไรกัน” ผมตอบ

“ไม่ได้ขอ” ไอ้หนึ่งตอบ

“นั่นไง มีพิรุธ” ขวัญใจยิ้มเยาะ ไอ้เตี้ย พ่อง!!!

“มึงอย่าลืมนะ กูมีคลิปเสียง” ไอ้โทพูดอย่างได้เปรียบ ผมละหน้าเสียเพราะลืมไปเลยว่าเคยพลาดโดนมันอัดเสียงไว้ตอนที่มีอะไรกับไอ้เตี้ยที่นั่งนิ่งอยู่ตรงนี้ ทำไมรถต้องมาติดตอนนี้ด้วยวะ อยากถึงคอนโดไวๆแล้วโว้ย จะได้ไม่ต้องโดนขยี้แบบนี้

“งั้นตงก็โกหกน่ะสิ นิสัยไม่ดี” ขวัญบ่น ผมล่ะอยากเอาหัวโขกกับพวงมาลัยให้สลบจริงๆ

“ไม่หรอก ตงไม่ได้โกหก” หนึ่งออกโรงปกป้อง แต่ไม่เป็นผลหรอก

“หนึ่งหยุดพูด นี่รอตงขอเป็นแฟนอยู่ใช่มั้ย” ขวัญใจเอ่ยด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ ผมได้แต่หันขวับมองหน้าคนที่ฉีกยิ้มหน้าเป็นเพราะเข้าใจผิดว่า “คนเป็นภรรยาจะต้องให้สามีขอคบใช่มั้ยล่ะ ขวัญรู้” เออ มึงรู้ แต่รู้ไม่หมด

“งั้นคนเป็นสามีต้องขอใช่มั้ย” ไอ้หนึ่งถาม

“ใช่สิ แบบที่โทขอเราเป็นแฟนไง” พูดเองก็หน้าแดงเอง ขวัญใจเอ๋ย

“อืมมมมมมม ทำไงดีน้า” ไอ้หนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงและหน้าตายิ้มยั่วจนน่าหมั่นไส้

“ตง เธอรักหนึ่งมั้ย ถ้ารักก็ขอเป็นแฟนซะสิ”

“โว้ย ทำไมต้องขอล่ะ” ผมเสียงดุ แต่กลับไม่มีใครสนใจ เพราะสายตาสามคู่จับจ้องมาอย่างคาดคั้นราวกับว่าผมเป็นคนร้าย

“ก็ตงเป็นสามีไง หนึ่งตัวเท่านี้เอง จะเป็นสามีตงงั้นเหรอ” อยากรู้จังเลยว่าขวัญใจไปเอาข้อมูลแบบนี้มาจากไหน หรือเพราะกระแสสาววายมาแรงวะ

“เห้อ...” ไอ้แต่ถอนหายใจตอบไป

“งั้นขอถามพวกมึงทั้งคู่นะ ถ้ามีคนขอเป็นแฟนก่อน พวกมึงจะตกลงมั้ย” ไอ้โท แม่งงงงงงงงงง

“ใช่ ตอบมา” ขวัญใจคาดคั้นอีก ทำมาหากินเป็นครอบครัวกลมเกลียวเชียวนะ

“ตอบอะไรล่ะ”

“ตงอย่าเฉไฉ งั้นตงตอบก่อน ถ้าหนึ่งขอเป็นแฟนจะตกลงมั้ย” โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยย อยากเรียกว่าไอ้ขวัญมากตอนนี้

“ไม่ตอบดิ” ผมเสียงอ่อย

“งั้นหนึ่งตอบก่อน ถ้าตงขอเป็นแฟนจะตกลงมั้ย” นั่นไง หันไปคาดคั้นอีกคนจนได้

“โห ถามยากอะ อย่างไอ้ตงน่ะเหรอจะขอคนอื่นเป็นแฟน เป็นไปไม่ได้เลยสักนิดขวัญก็รู้” ไอ้หนึ่งตอบเอาตัวรอด

“ก็จริง คุณชายหล่อเลือกได้นี่นา งานยากแน่ๆที่จะเอ่ยปากก่อน” อ้าว ไหงไปเข้าข้างมันซะงั้น

“งั้นตงล่ะ ถ้าหนึ่งขอเป็นแฟน จะตอบว่าไง”

“อะ เอ่อ..” ทำไมความกดดันจะต้องมากองที่ตัวกูด้วยฟะ! “ไม่รู้สิ มันไม่เคยขอนี่”

“สมมุติไง สมมุติ” ขวัญใจไม่เลิกรา

“เห้ยไอ้หนึ่ง ลองซิ” ไอ้โทยุ

“กูเนี่ยนะ” ผมขยับตัวบนเบาะคนขับจนหลังตรง หายใจติดขัดใจเต้นตึกตักอย่างรอคอยว่าไอ้คนที่โดนพาดพิงจะมาไม้ไหน เหงื่อดันหยดติ๋งๆทั้งที่แอร์ในรถเย็นเฉียบ ใบหน้านิ่งมองข้างหน้าตรงแหน่วแสร้งว่าตั้งใจขับรถ

“เออ มึงเคยลองขอตงเป็นแฟนมั้ยล่ะ” ไอ้โทถาม

“ไม่เคยว่ะ ดูหน้ากูด้วยดิ ไอ้ตงจะอยากคบเหรอวะ” หื้ออออ มึงจะพูดทำไม

“ไม่ลองไม่รู้ไง อย่างน้อยพวกมึงก็ดูโอเคเวลาอยู่ด้วยกันนะ”

“ใชๆ เห็นด้วยเลย อย่างที่บอก เคมีเข้ากันมากๆเลยอะ” ขวัญใจยิ้มปริ่ม

“ลองดูก่อน” ไอ้โทยุอีก

“นะนะ ไม่ลองไม่รู้” โอ๊ย ใครก็ได้เอาไอ้ผัวเมียคู่นี้ไปเก็บที

“ตง”

“หะ ห๊ะ” ไอ้สัสอยู่ๆก็เรียก ตกใจสิวะงานนี้

“ถ้าสมมุติว่ากูขอมึงเป็นแฟน มึงจะตกลงมั้ย”

“ไม่”

“อ้าว ทำไมล่ะ” ขวัญใจโพล่งถาม สงสัยจะลุ้นมากพอดู

“ก็สมมุติไง มันไม่ใช่เรื่องจริงซะหน่อย” ผมแถเอาตัวรอด

“แล้ว ถ้าไม่ใช่เรื่องสมมุติล่ะ” ไอ้หนึ่งทำให้ผมหันไปสนใจใบหน้ามันจนได้ “ตงฉินครับ เป็นแฟนกับหนึ่งได้มั้ยครับ” เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 32 P.5 Up 27 ก.พ. 64
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 27-02-2021 23:22:54
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 32 P.5 Up 27 ก.พ. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 28-02-2021 22:25:00
น้องหนึ่งใช้น้ำเสียงละมุนมาขอเป็นแฟน ตงฉินจะว่ายังไงล่ะจ๊ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 33 P.5 Up 7 มี.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 07-03-2021 14:37:17
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 33. สถานะของสองเรา

[โท เอกภาพ]

             นักศึกษาแต่ละชั้นปีต่างก็ออกไปฉลองตามร้านเหล้าที่อยู่รอบมหา’ลัยหลังจากปลดแอกจากการสอบกลางภาคเรียนที่ 2 ร้านประจำที่เต็มไปด้วยความหลังของพวกเราก็คลาคล่ำไปด้วยผู้เยาว์ที่มาจับจองพื้นที่ตั้งแต่ยังไม่มืด และหนุ่งในนั้นก็คือกระผมเอง นายโท เอกภาพ พี่ชายและเพื่อนสนิทของไอ้หนึ่ง แฟนสุดหล่อของขวัญจิราดาวคณะบริหารนั่นเอง เหตุผลก็คือเพื่อนๆโหวตให้มาจองโต๊ะเนื่องจากอยู่ใกล้ที่สุด ทั้งๆที่ขวัญใจ ไอ้โทและตงฉินก็อยู่คอนโดเดียวกัน แต่พวกนั้นมีข้ออ้างที่ฟังขึ้น ไอ้หนึ่งไปเฝ้าไอ้ตงที่มีถ่ายแบบและจะตามมาทีหลัง ส่วนขวัญใจก็ต้องไปแต่งหน้าทำผมกับเพื่อนสาวก่อน เนื่องจากปล่อยตัวจนโทรมช่วงที่อ่านหนังสือสอบ สุดท้ายคนกรรมหนักอย่างผมก็ต้องมารับหน้าที่นี้แทน

“พี่เอกจะกลับบ้านมั้ยอาทิตย์นี้” ระหว่างรอผมก็โทรไปหาพี่ชายคนโตเสียหน่อย รายนั้นได้ดิบได้ดีเพราะเจ้านายหนุ่มหล่อที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายของตงฉินเพื่อนสนิทผมจับจองเป็นแฟนไปเรียบร้อยโดยที่แม่ไม่ขัดขวางเลยสักนิด ส่วนตัวแล้วผมก็ไม่ติดอะไร คนเรามันมีความรักอะเนอะ จะเพศไหนก็น่ายินดีด้วยกันทั้งนั้นแหละ

[ไม่ได้กลับว่ะ คุณต่อจะไปต่างจังหวัด]

“คุณต่อไปคนเดียวแล้วทำไมพี่ไม่กลับบ้านล่ะ แม่บ่นคิดถึง”

[ไปคนเดียวอะไรล่ะ กูต้องไปด้วยสิ]

“แล้วก็ไม่พูดให้เคลียร์ เออๆ ว่างก็กลับบ้านหน่อยนะพี่ แม่บ่นจนผมหูชาแล้วเนี่ย”

[นี่มึงเป็นน้องหรือพี่กูวะเนี่ย สั่งให้กลับบ้านยิกๆ]

“ก็พี่ไม่โดนแม่โทรหาทุกวันแบบผมนี่นา โทรหาลูกคนเล็กแต่ถามถึงแต่ลูกคนโต คือไร ทำไมไม่โทรหากันเอาเอง” ผมบ่น

[เออๆ เดี๋ยวกูจัดการเอง แค่นี้นะ ขับรถอยู่] แล้วพี่ชายตัวดีก็ตัดสายทิ้ง ผมได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองแสงโพล้เพล้ด้านนอกผ่านกระจกใสของร้านอย่างเบื่อหน่าย จะต้องรออีกนานมั้ยเนี่ยกว่าเพื่อนๆจะมากันจนครบ

             ระหว่างที่รอก็ขอสั่งของว่างมาละเลียดซะหน่อย ใครมาช้าไม่ได้กินแต่โดนจับหารให้หมด โทษฐานที่ปล่อยให้สุดหล่ออยู่คนเดียว เบียร์ขวดที่สามเริ่มพร่องพร้อมกับสติที่อ่อนลง สักพักกลุ่มวิศวะที่เรียกได้ว่ากลายเป็นเพื่อนในร้านเหล้ากรูเข้ามาไม่ขาดสาย หน้าตาหล่อๆของไอ้เคมียังกวนบาทาอยู่ไม่หาย ตั้งแต่ที่มันประกาศตัวว่าคบกับพี่เจดเมื่อต้นเดือนผมก็เบาใจเพราะไม่มีใครจะมาเกาะแกะกับขวัญใจของผมอีก รู้สึกดีเหมือนกันแฮะที่คนรอบกายเป็นเกย์กันเกือบหมด อุปสรรคด้านความรักลดลงไปจนเหี้ยน

“คิดอะไรอยู่วะ ทำหน้าชั่วไม่หยุด”

“ชั่วพ่อง” ผมตอบพลางตบกบาลไอ้ฉัตร เอ๊ย ไอ้ชัยที่เพิ่งเดินมาถึงก็วอนหาเรื่อง

“สัส เจ็บ” มันบ่น ก่อนจะนั่งลงที่ว่าง ผมเพิ่งสังเกตว่ามันมากับพี่ชายฝาแฝดและเพื่อนของไอ้หนึ่งที่ชื่อทอยด้วย

“ดีมึง ไม่เจอกันตั้งนาน” ไอ้ทอยดูเปลี่ยนไปเยอะจากวันแรกที่เจอกันที่สนามบอลและร้านหมูกระทะ มันแต่งตัวด้วยเสื้อยืดคอกลมสีเทาเข้ารูปกับกางเกงยีนส์สกินนี่รัดแน่นที่ยาวยังไม่ถึงตาตุ่ม รองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังสีขาวเรียบเผยความขาวของข้อเท้านั้นดูเหมือนนายแบบจากนิตยสารไม่ผิดเพี้ยน มองภาพคนหล่อกับคนพยายามหล่อแบบตัวเองก็แอบท้อ ใครใช้ให้มึงใส่กางเกงขาสั้นมาวะไอ้โท

“เออ ดีๆ” ผมทักตอบง่ายๆ ทั้งสองคนที่นั่งถัดไปจากไอ้ชัยต่างก็พยักหน้าตอบรับ

“สั่งไรบ้างยังวะ กูหิวฉิบหาย” ไอ้ชัยบ่นอุบ ก่อนจะเรียกพนักงานมาสั่งโดยไม่รอคำตอบจากผม

“สรุปว่าพี่มึงกับไอ้ทอยนี่ยังไงวะ” ผมกระซิบถาม จะว่าเผือกก็ยอมนะ เพราะเราก็อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นพอดี แถมไอ้ชัยก็เล่าความหลังซะละเอียดยิบราวกับอยู่ใต้ซอกเตียงของสองคนนั้นก็ไม่ผิด

“ไม่รู้ว่ะ เห้ยพวกมึง สรุปว่าคบกันยังวะ” ไอ้ฉิบหาย มันดันโพล่งถามสองคนนั้นโต้งๆ

“สวัสดีทุกคน มาแล้วค่า” เสียงหวานของขวัญใจดังมาจากด้านหลัง สุดสวยของผมสวมเดรสสีแดงรัดรูปเน้นสัดส่วนโคตรเซ็กซี่จนลืมไปเลยว่าเมื่อกี้อยากรู้เรื่องของคนอื่นอยู่ แล้วเพื่อนผู้หญิงอีกสี่ห้าคนเดินตามมาติดๆ ยังไม่ทันจะคุยอะไรกันต่อ ไอ้คิ้วก็เดินเข้าร้านพร้อมกับก๊วนนักบอลที่คุ้นหน้า

“ตัวเอง เค้าสวยมั้ยวันนี้”

“อื้อ สวยที่สุด” ผมไม่ได้ตอบเอาใจ แต่แฟนของผมสวยมากอยู่แล้ว ยิ่งมาเที่ยวยิ่งแต่งหน้าแต่งตัวแบบจัดเต็มยิ่งสวย ถึงจะหวงมากก็เถอะ แต่จะขัดใจไม่ให้แต่งงานก็คงกร่อย เผลอๆไม่ได้มาเที่ยวกันทั้งคู่เพราะทะเลาะกันแทน

#### ####

[หนึ่ง เอกราช]

             ผมหัวเสียเพราะสภาพการจราจรที่ติดขนัดตั้งแต่จับพวงมาลัย ไอ้ตงหลับสนิทอยู่เบาะข้างๆด้วยความอ่อนเพลีย เมื่อคืนโหมอ่านหนังสือจนถึงเที่ยงคืนเพื่อไปสอบตอนเก้าโมงเช้า พอเสร็จก็ต้องรีบมาถ่ายแบบที่ใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงในการแต่งหน้า เปลี่ยนชุด ลบหน้าแล้วแต่งใหม่เพื่อถ่ายแบบชุดต่อไป กว่าจะจัดแสง กว่าจะบรีฟกันกว่าจะได้ถ่ายผมนั่งรอจนปวดก้นกบกระทั่งหมดคิวก็มืดสนิท แถมรถติดจนแทบไม่ขยับชวนหัวเสียนี่อีก

“ใจเย็นๆนะ” เสียงงัวเงียพูดเหมือนจะปลอบ ผมได้แต่ถอนหายใจยอมรับชะตากรรม

“ตื่นแล้วเหรอ นอนอีกหน่อยก็ได้ เดี๋ยวขึ้นทางด่วนได้ก็ขับเร็วได้ละ”

“อื้อ ห๊าววววว มันง่วงนะแต่ไม่อยากนอนแล้วอะ” ตงฉินตอบ วันนี้ดูหล่อเหลามากกว่าเดิมไม่ได้ลบเครื่องสำอางที่แต่งแต้มออกเพราะรีบไปให้ทันนัดกับผองเพื่อน ระยะหลังมานี้ผมมักจะติดสอยห้อยตามมันมาที่กองถ่ายอยู่เสมอเพราะมันเหนื่อยจากการเรียนและการทำงานจนขับรถไม่ไหว อีกทั้งผมก็ไม่อยากให้มันต้องไปแวะค้างที่อื่นเลยเสนอตัวมาเป็นสารถีให้อยู่แบบนี้

“ฟังเพลงมั้ย”

“ไม่อะ อยากอยู่เงียบๆแบบนี้มากกว่า” ผมไม่ได้ตอบอะไร มือซ้ายที่ว่างอยู่คว้ามือเย็นของอีกคนมาจับโดยไร้แรงขัดขืน

“หิวมั้ย”

“นิดหน่อย” ถ้าหิวมากก็คงแปลกเพราะพวกเราทานรองท้องมาตั้งแต่อยู่กองถ่าย

             ผมตั้งใจขับรถต่อ หลังจากหลุดพ้นช่วงรถติดก็ขึ้นทางด่วนทำความเร็วได้มากกว่าเดิมจนหายหงุดหงิด มาติดอีกทีแถวทางแยกไปดินแดงแต่รถก็เคลื่อนตัวได้เรื่อยๆ พอลงจากทางด่วนก็ติดอีกทีบนถนนวิภาวดีรังสิต ผมบังคับพวงมาลัยให้รถวิ่งซอกแซกไปมาจนเกือบถึงที่หมาย คนข้างตัวก็นอนนิ่งไปอีกครั้งโดยที่มือยังถูกเกาะกุมอยู่ไม่ห่าง

             ใบหน้าที่ดูอินโนเซ้นต์ของตงฉินยามหลับยังหล่อเหลา ออร่าดารานี่รุนแรงเหลือเกิน ไม่แปลกเลยที่ไปไหนมาไหนจะต้องมีคนเข้ามาขอถ่ายรูปหรือขอลายเซ็นไม่ขาด ช่วงหลังนี้มันรับละครน้อยลงเพื่อทุ่มกับการเรียนมากกว่า แต่ก็ยังมีงานเดินแบบถ่ายแบบอยู่สม่ำเสมอ สารถีอย่างผมเลยมีโอกาสไปดูเบื้องหลังการทำงานทุกซอกมุมจนอดทึ่งไม่ได้ว่ามันต้องทำงานหนักขนาดนี้เลยหรือนี่ ใครบอกว่าเป็นดาราสบายควรคิดใหม่ได้แล้ว

“อื้อออ” เสียงงัวเงียปลุกผมจากภวังค์ ใบหน้าหล่อค่อยๆลืมตา “ยิ้มอะไร”

“มองหน้าคนหล่อไง”

“มองแล้วยิ้ม โรคจิตปะเนี่ย”

“หึหึหึ คืนนี้ลองเป็นคนโรคจิตไล่กินตับผู้ชายดีมั้ย”

“ไอ้หื่น” ตงฉินตอบโต้เสียงดัง ท่าทางจะไม่ง่วงอีกแล้ว

“หื่นมากด้วย แต่หื่นแค่กับตงนะ”

“เลี่ยนว่ะ ไม่ชินเลย” มันไม่ชินกับการพูดชื่อแทนคำว่า กูมึง ที่พวกเราเคยใช้มาตลอด หลังจากโดนไอ้โทและขวัญใจคาดคั้นในรถช่วงก่อนสอบ พวกเราก็ดูจะเขินกันเองไปเสียอย่างนั้น จะพูดคำหยาบก็ตะหงิดใจ แต่พูดกันแบบไพเราะเพราะพริ้งก็ไม่ชินปาก เรียกได้ว่าอยู่ในขั้นปรับตัวก็ไม่ผิด

“เหมือนกัน” แล้วพวกเราก็หัวเราะเสียงดัง สองมือใหญ่ผละออกจากกันหลังจากจอดรถในซอยมืดได้ พวกเราเดินเคียงกันไปยังร้านประจำ ซอยนี้มืดจนสามารถเดินเบียดคนตัวสูงได้โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาเห็น

“เดินดีๆสิ จะมาเบียดทำไม” นั่นไง บ่นมาซะงั้น

“ก็อยากเบียดตงอะ” ผมอ้อน มองไม่ออกเลยว่ามันทำหน้ายังไงในตอนนี้

“ใช้กูมึงกันมั้ย แบบนี้ไม่ชินเลยว่ะ” อีกฝ่ายเสนอ

“ก็ได้นะ แต่มันจะดูไม่พิเศษอะดิ”

“จะให้พิเศษขนาดไหนกันห๊ะ แค่นี้ก็พิเศษกว่าคนอื่นแล้ว”

“จริงอะ”

“อื้ออออ” ตงฉินตอบ ผมว่าหน้ามันต้องแดงแป๊ดแน่ๆเพราะพยายามหลบหน้าอยู่ ท่ามกลางเสียงรถราดังผ่านไปมาที่ถนนใหญ่ สองเราเดินเคียงกันในซอยมืดมิด นิ้วก้อยของผมที่เดินอยู่ด้านนอกเพื่อกันรถราวิ่งผ่านแตะกับนิ้วก้อยซ้ายของคนตัวสูงแผ่วเบา ผมเขี่ยวนไปมาอย่างนั้นโดยที่ตงฉินไม่ได้ชักมือกลับก็ใจชื้นมีกำลังใจเกี่ยวนิ้วกันแน่น ไม่มีใครพูดอะไรตลอดทางจนกระทั่งถึงถนนใหญ่ที่รถยนต์คลาคล่ำก็ผละออกจากกัน รอยยิ้มของเราฉาบบางๆที่ใบหน้า แค่นี้ก็อิ่มใจไม่น้อย ภาพวันนั้นที่โดนคาดคั้นก็โผล่มาในสมองแจ่มชัดอีกครั้ง...

“ถ้าสมมุติว่ากูขอมึงเป็นแฟน มึงจะตกลงมั้ย” ผมที่เงียบอยู่นานอาศัยจังหวะนี้สร้างโอกาสให้ตัวเอง เราสี่คนนั่งในรถโดยตงฉินเป็นคนขับ ผมนั่งเบาะหน้า ขวัญใจและไอ้โทนั่งคะยันคะยอเรื่องขอเป็นแฟนที่เบาะหลัง

“ไม่” แต่คำตอบที่ได้มากลับบาดใจเหลือเกิน ใจคอจะให้เราเป็นผัวเมียกันแบบไร้สถานะต่อไปเหรอวะ

“อ้าว ทำไมล่ะ” ขวัญใจโพล่งถาม สงสัยจะลุ้นมากพอดู ผมอมยิ้มที่อย่างน้อยยังมีคนเชียร์

“ก็สมมุติไง มันไม่ใช่เรื่องจริงซะหน่อย” คำตอบของไอ้ตงชวนให้คิด หรือมันคิดว่าผมแกล้งทำเลยตอบแบบนั้นกันแน่วะ แต่ไอ้โทกับขวัญใจบอกว่าลองสมมุติดูก่อนนี่หว่า แล้วผมต้องทำไงล่ะทีงี้ ก็ลองถามไปแล้วมันตอบว่าไม่ท่าเดียว หรือต้องตีหัวลากเข้าห้องแล้วไปจบเหมือนทุกที ... แต่ ถ้าไม่ใช่เรื่องสมมุติล่ะ จะกล้าเสี่ยงดีมั้ย โอย... ผมคิดหนักเอาการนะเนี่ย เพราะถ้ามันตอบมาอีกว่าไม่ ความสัมพันธ์ทั้งหมดอาจสั่นคลอนจนเข้าหน้ากันไม่ติดอีกรอบก็ได้นะ ผมคงจะเสียใจจนอยากจะย้ายออกจากคอนโดอีกครั้งเป็นแน่ ใครจะทนได้ถ้าคนที่นอนกับเราทุกคืนไม่อยากมีสถานะที่ชัดเจนกับเรากันล่ะ

“แล้ว ถ้าไม่ใช่เรื่องสมมุติล่ะ” เอาวะ ตายเป็นตาย พอพูดจบไอ้ตงก็หันมาสบตาทันที “ตงฉินครับ เป็นแฟนกับหนึ่งได้มั้ยครับ” เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!

             เสียงล้อรถเบียดถนนเสียงดังลั่น กลิ่นเหม็นไหม้โชยแตะจมูก ดีนะที่รถที่ตามมาชะลอได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงเกิดอุบัติเหตุกันยาวเหยียด ไอ้ตงหน้าเหวอเหยียบเบรกและหักพวงมาลัยรถมาจอดฝั่งซ้ายสุดของถนนอย่างรวดเร็วจนทุกคนต่างร้องตกใจ ขวัญใจถึงขั้นน้ำตาคลอกอดกับไอ้โทแน่น

“อะไรของมึงเนี่ย ดีนะรถไม่ชน” ผมด่า

“กูมากกว่าต้องถาม อะไรของมึงเนี่ย อยู่ๆมาขอกันแบบนี้” อ้าว... กูผิด

“กูก็แค่ถาม แต่ใครให้มึงปาดหน้าชาวบ้านมาจอดตรงนี้ล่ะ”

“ก็กูตกใจ ไอ้สัส อยู่ๆมาขอเป็นแฟน ล้อเล่นรึไง” เสียงมันโมโห

“ล้อเล่นเหี้ยอะไรล่ะ มึงไม่คิดเหรอว่าที่กูเอามึงทุกวันนี้เพราะแค่เงี่ยน ถ้าแค่นั้นกูไปเอาคนอื่นก็ได้มั้ย”

“ห๊ะ อะไรนะ หนึ่งเป็นคนเอาตงฉินเหรอ” ขวัญใจหน้าเหรอหราจนลืมความตกใจเมื่อกี้จนหมด

“โว้ย มึงจะพูดทำไมเนี่ย” ไอ้ตงโวยวาย หน้าแดงชัดเพราะเขินที่โดนเปิดเผยความจริง

“เห็นมั้ยเค้าบอกแล้วว่าไอ้หนึ่งเป็นผัว” เสียงของไอ้โทค่อนข้างเบา แต่ก็ได้ยินกันทุกคน ขวัญใจมีแววตาดีใจที่ได้ยินว่าพวกเรากันมีอะไรกันแล้ว ทั้งๆที่ตัวเองเป็นเพื่อนสนิทกับตงฉิน แต่กลับเหมือนเอาใจช่วยผมอยู่ไม่มีผิด

“พวกมึง แม่ง..” ไอ้ตงเม้มปาก คงจะเขินสุดขีดจริงๆ

“ตง”

“อะไร” น้ำเสียงยังไม่เป็นมิตร

“กูไม่ได้พูดเล่น และมันไม่ใช่เรื่องสมมุตินะ ที่ผ่านมากูไม่ได้พูดเพราะกูคิดว่ากูไม่มีอะไรที่คู่ควรกับมึงเลยสักอย่าง” ต้องบังคับเสียงตัวเองอย่างหนักไม่ให้สั่น

“มึงทั้งหล่อ รวย แถมยังเป็นดารามีชื่อเสียงอีก แล้วดูกูสิ ไอ้คนโนเนมหน้าตาบ้านๆฐานะก็ไม่ดีอีก แค่ได้มึงเป็นเมียก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว กูเลยไม่กล้าจะคิดไปไกลกว่านี้”

“ฮื้อออออออออออออออ” ขวัญใจร้องงื้อเพราะเขินแหละ ดูออก ท่าทางจะลุ้นหนักจริงๆ

“ไหนๆไอ้โทและขวัญใจก็ช่วยเปิดทางแล้ว กูก็อยากลองทำตามใจกูบ้างสักครั้ง ถึงแม้ว่าผลลัพธ์มันจะเสี่ยงมากก็ตาม” พูดเสร็จก็สูดลมหายใจยาวเหยียด

“ตงฉิน เป็นแฟนหนึ่งได้มั้ย”

“ฮิ้วววววววววววววววววววว” เสียงแซวจากเบาะหลังดังลั่น คนที่นั่งนิ่งหลังพวงมาลัยตาโตราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ส่วนผมก็ได้แต่นับหนึ่งถึงร้อยในใจไปเรื่อยๆ ใจเต้นโครมครามเตรียมรับมือความผิดหวังที่อาจจะได้รับ เวลาผ่านไปไม่ถึงนาที แต่มันกลับรู้สึกว่านานชั่วนิรันดร์

“มะ มึงรักกูเหรอ ตั้งแต่ตอนไหนวะ ละ แล้วทำไม...”

“ตงใจเย็นๆ สู้ๆ” ขวัญใจแทรกอย่างน่ารัก

“จะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยก็ไม่ใช่แหละ ถ้าไม่รู้สึกดีๆด้วยกูก็ไม่ยอมมีอะไรด้วยหรอก แต่กูเข้าใจนะถ้ามึงไม่ได้ชอบหริอคิดแบบเดียวกัน มันเป็นเรื่องที่บังคับไม่ได้” พูดเองก็เจ็บแปลบเอง หน้าอกแน่นจุกราวกับโดนกรีดใจยับเยิน

“กู คือ กู...” แววตานั้นสับสนไม่น้อย สองคนที่นั่งลุ้นเบาะหลังก็บีบมือกันไว้แน่นเหมือนเป็นคนขอเป็นแฟนเสียอย่างนั้น

“ไม่เป็นไรหรอก กูโอเค ขับรถเถอะ” ผมเปลี่ยนเรื่อง พยายามส่งยิ้มแหยๆที่โคตรจะฝืนไปให้ ร่างสูงนั่งนิ่งอย่างใช้ความคิด กัดริมฝีปากแน่นจนรู้สึกเจ็บแทน

“คือ กูไม่รู้ว่ะว่ารู้สึกแบบเดียวกับมึงไหม เพราะกูไม่รู้ว่ามึงรักกูรึเปล่า แต่กูรู้แค่ว่ากูรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่กับมึง กูสามารถทำอะไรก็ได้ เป็นตัวเองในแบบที่ไม่ต้องกลัวว่ามึงจะตัดสินกูแบบคนทั่วไปทำมาตลอดเพียงเพราะกูเป็นดารา” มันอธิบายยาวเหยียด ผมได้แต่กลั้นลมหายใจรับฟังอย่างจดจ่อ

“แต่มึงรู้ใช่มั้ย ว่าถ้าเราเป็นแฟนกัน มันจะมีเรื่องอึดอัดตามมาอีกมาก”

“อื้อ รู้สิ” ผมตอบอย่างเข้าใจความคิดของอีกคน

“ถ้าคบกันจริงๆ ต้องปกปิดว่าเป็นแฟนกันเพราะจะกระทบกับงาน มึงจะทนอึดอัดได้เหรอ แถมไปไหนมาไหนก็ต้องคอยระวังตัวว่าจะถูกตามแอบถ่ายเอาไปทำข่าวอีก ไหนจะเรื่องเวลาที่ไม่แน่นอนของกูอีก...”

“นี่มึงอธิบายเหมือนกลัวว่าไอ้หนึ่งจะทิ้งมึงงั้นแหละ”

“โทก็ อย่าเพิ่งขัดสิ” ขวัญใจดุแฟน

“กูเข้าใจ ใช่ว่ากูไม่รู้เรื่องพวกนี้ซะหน่อย เราอยู่ด้วยกันมาจะเจ็ดเดือนแล้วนะตง” ผมตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“สรุปว่ามึงรับได้...”

“แน่นอนสิ” ผมย้ำหวังให้คนถามแน่ใจ

“งั้น” ไอ้ตงหยุดพูด

“คำตอบคืออออออ” ขวัญใจถามแทรก ท่าทางลุ้นระทึกนั้นน่ารักมากกว่าจะน่าหมั่นไส้

“ไม่เป็นแฟนกันนะ” อะ อ้าว... ใจแป้วสิครับ น้ำตาจะไหลแล้วเนี่ย

“โธ่” ทั้งไอ้โทและคนสวยเอื้อมมาบีบไหล่ให้กำลังใจผมที่คอตกอยู่ตอนนี้

“ตอนนี้ไม่เป็นแฟนกัน แต่อยากให้เราลองใช้เวลาจีบกันอีกหน่อยได้มั้ย คะ คือกูยังรู้จักมึงแค่ไม่นานเอง ยังไม่เคยเรียนรู้นิสัยใจคอกันเท่าไหร่เลย”

“เอากันสนั่นห้องแล้วน่ะนะ”

“ไอ้โท เงียบ” ผมด่า ไอ้นี่ขัดจังหวะ “ตงหมายความว่าจะให้เราจีบตงก่อนงั้นเหรอ”

“กะ ก็ทำนองนั้น” โว้ยยยยย น่ารัก ใครจะคิดว่าพ่อคนหัวสมัยใหม่จะมีมุมแบ๊วๆรอคนมาจีบเหมือนกัน

“ทำไมวะ” ไอ้โทถามออกมาแทน นี่สรุปว่าใครอยากรู้เรื่องนี้กันแน่วะ กูหรือมัน

“พวกมึงอาจจะคิดว่ากูไร้สาระนะ ทั้งๆที่ได้เสียกันแล้วก็เหอะ” ไอ้ตงเริ่มอธิบาย “แต่มึงรู้มั้ย ตั้งแต่เล็กจนโตเนี่ย กูไม่เคยจีบใคร ไม่เคยโดนใครจีบเลยนะ มีแต่คนมาอ่อยแล้วก็ได้กันให้มันจบๆไป พอกูเห็นมึงอะไอโท คอยตามจีบขวัญใจแล้วกูแอบอิจฉา ทำไมกูไม่มีคนมาเทียวไล้เทียวขื่อแบบนั้นบ้างวะ กูก็อยากมีคนใส่ใจแบบนั้นบ้าง”

“ทุกวันนี้กูไม่เอาใจใส่มึงเหรอ” ผมถามอย่างน้อยใจ “ทั้งซักผ้า ทำกับข้าว เตรียมชีท ดูแลตารางเรียนและงาน”

“ก็ใช่ แต่มึงกับกูดันข้ามขั้นไง ไม่เคยจีบกัน รู้ตัวอีกทีก็ได้กันเฉยเลย”

“มึงยั่วกูเองนี่หว่า” ผมบ่นเบาๆ มันคงไม่ได้ยินเพราะไม่ได้ส่งสายตามาด่า

“ตงนี่โรแมนติกนะเนี่ย ไม่น่าเชื่อเลย” ขวัญใจแซวอย่างดีใจ แต่ผมน่ะตะหงิดๆนิดหน่อย

“หนึ่งขอถามหน่อยได้มั้ย” ตงฉินพยักหน้า “ตอนนี้ถ่ายละครเรื่องอะไร”

“ก็เรื่อง วิศวะล่ารัก” อ๋อ ซีรี่ย์วายที่ตงฉินรับเล่นนี่เอง กว่าจะได้ถ่ายทำก็เปลี่ยนบทกันหลายรอบ แถมเปลี่ยนชื่อเรื่องอีกด้วย ผมเคยอ่านบทแล้วมันค่อนข้างฟินมากทีเดียว ไอ้ตงแสดงเป็นพระเอกที่อยู่คณะวิศวะที่ตกหลุมรักนายเอกรุ่นน้องจากคณะแพทย์ ในเรื่องพวกเขาไม่ชอบขี้หน้ากัน แต่ก็ดันมีเหตุให้เจอกัน บ่อยเข้าพระเอกก็ตกหลุมรักนายเอกและคอยจีบคอยหยอดจนได้เป็นแฟนกัน

“กูว่าละ”

“อะไรวะ” มันถามด้วยท่าทางแปลกใจนิดๆ

“ที่มึงอยากได้คนมาจีบน่ะ กูรู้เหตุผลละ” ผมยิ้มอย่างมั่นใจ “มึงอินกับบทอยู่นั่นเอง ปกติมึงเคยหวานแหววแบบนี้ซะที่ไหน”

“เออ ท่าจะจริง” ขวัญใจที่คอยเข้าข้างก็ส่งเสียงสนับสนุน

“มึงคิดดูนะตง ที่ผ่านมาเนี่ยหลังจากได้กันแรกๆมึงไล่กูให้ไปนอนอีกห้องใช่มั้ย กว่ามึงจะยอมให้กูค้างด้วยก็ใช้เวลาตั้งนานเพราะมึงบอกว่าไม่ชินที่มีคนนอนข้างๆ แถมตอนที่อ่านบทซีรี่ย์ก่อนถ่ายทำ มึงยังบ่นจะอ้วกอยู่เลยเพราะมันหวานจนเลี่ยน”

“อะ เอ่อ...” มันนิ่ง

“กูก็ว่าทำไมมึงมีท่าทีแปลกๆหลังไปถ่ายละคร มึงดูอ่อนโยนกับกู ยอมให้กูกอดทั้งคืน แถมยังชอบมาซุกอกกูด้วย”

“ซุกอก ว้ายยยยยย น่ารักอะ”

“ขวัญ เงียบ” ไอ้ตงเสียงดัง คนแซวทำหน้ายู่แต่ก็ยังยิ้มระเรื่อ

“กูขอได้มั้ยวะตง ให้มึงถ่ายเรื่องนี้จบก่อน แล้วค่อยตอบกูก็ได้ว่าอยากเป็นแฟนกูมั้ย เอาให้มึงหายอินจนบทละครมันไม่มีอิทธิพลกับความคิดมึงก่อนแล้วค่อยตอบกูก็ได้ คำถามกูยังเหมือนเดิม และกูก็อยากเป็นแฟนมึงเหมือนเดิม”

             ตงฉินไม่ตอบ แต่แววตาที่เคยหวั่นไหวนั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นมั่นคงราวกับเพิ่งได้สติ ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่มันจะอินกับตัวละครที่ต้องคลุกคลีร่วมเดือนเพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุด ตงฉินต้องเข้าใจบทบาทของตัวละครที่เล่นแถมยังต้องซึมซับความรู้สึกของตัวละครหลักที่ต้องรับส่งอารมณ์กันอีก มันต้องใช้เวลาอีกสักพักให้หายอิน ดึงสติเป็นตัวเองจริงๆให้ได้ก่อน ถึงจะสามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างปราศจากอคติ

“คิดอะไรเนี่ย เงียบเชียว” เสียงที่คุ้นเคยทักขึ้น ภาพเรื่องราวของวันวานเลือนหายไปทันที

“ห๊ะ เอ่อ” ผมสะดุ้งหลังจากกลับมาสู่เวลาปัจจุบัน สองร่างขนาดต่างกันเดินบนทางเท้าขรุขระจนเกือบจะถึงร้านเหล้าโดยไม่มีการสนทนากันเลยสักนิด

“หน้าเครียดๆนะเนี่ย คิดไร” ตงฉินถามอีกรอบ ท่าทางเหมือนจะรอแซวหรือไม่ก็รอทับถม

“อยากรู้เหรอ”

“ไม่อยากก็ได้” มันเชิดหน้าหนี ท่าทางเย่อหยิ่งแบบตงฉินออริจินัล

“โอ๋ๆ ไม่งอนนะ บอกก็ได้”

“ใครงอนวะ คิดไปเอง”

“ฮ่าๆๆๆ มึงนั่นแหละงอน” ผมแซว รู้สึกสนุกที่ได้แกล้งมัน “บอกก็ได้ กูคิดถึงเรื่องที่ถามมึงไว้น่ะ”

“หืม เรื่องอะไร” มันทำหน้าเหรอหรา ท่าทางจะลืมไปแล้ว

“กูขอมึงกี่เรื่องวะ” ผมย้อนถาม มันทำหน้าตกใจทันทีที่คิดออก

“ชะ เชี่ย มึงจะเอาคำตอบตอนนี้เลยเหรอวะ” เสียงมันสั่นๆแบบไม่มั่นใจ ผมกอดอกทำหน้าเฉยชากดดัน

“ไม่ได้เหรอ มึงก็ถ่ายซีรี่ย์จบจนใกล้ออนแอร์แล้ว อย่าบอกนะว่ามึงยังอินกับบทอยู่”

“ก็ไม่ขนาดนั้น เพียงแต่”

“อือ ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรหรอก กูเข้าใจ” ผมก้มหน้าเดินคอตกอย่างซึมๆ ใครบ้างจะไม่คาดหวังล่ะ หลังจากนั้นพวกเราก็ยังนอนร่วมเตียงกันเสมอจนแทบจะคิดว่าเป็นแฟนกันไปแล้วตอนนี้

“หนึ่ง” มันเอื้อมมาจับแขนผมไว้ สายตาเราประสานกันอย่างมีความหมายก่อนที่มันจะเปล่งคำพูดออกมา “คือ...”
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 33 P.5 Up 7 มี.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-03-2021 16:50:53
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 33 P.5 Up 7 มี.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 07-03-2021 23:20:00
ค้างงงงงอ่ะค่ะ.  :katai1:

อยากรู้คำตอบตงฉิน
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 34 P.5 Up 13 มี.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 13-03-2021 16:12:20
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 34. ส่งท้ายปี

[หนึ่ง เอกราช]

             ใครจะคาดคิดว่าวันสิ้นปีเช่นนี้พวกเราจะระเห็จมาเที่ยวกันถึงเชียงใหม่ บรรยากาศคึกคักของนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาชวนให้หลงระเริง ไฟหลากสีประดับประดาบนต้นคริสมาสต์รวมไปถึงตัวร้านค้าที่เรียงรายกันตั้งแต่แยกรินคำเรื่อยไปตามถนนนิมมานเหมินท์จนสว่างจ้า รถแดงวิ่งขวักไขว่รับส่งนักท่องเที่ยวไม่ขาดสาย อากาศในยามค่ำคืนที่ควรจะหนาวกลับไม่เป็นเช่นนั้น เสื้อกันหนาวที่ขนมาหลายตัวถูกซุกในกระเป๋าเดินทางไม่หยิบมาสวมใส่

   พวกเราขับรถมาจากกรุงเทพโดยมีผมกับไอ้ตงสลับกันขับพร้อมกับไอ้โทและขวัญใจที่นั่งมาด้วย รถอีกคันก็มีไอ้คิ้วขับมือเดียวโดยมีแฟนเด็กหน้าตาน่ารักนั่งให้กำลังใจ มีวาวาและยุนอา สองสาวคนสนิทของขวัญใจนั่งในรถคันนั้น และขาดไม่ได้คือรถของไอ้ทอยที่โดนผมบังคับมาด้วย แต่ดีหน่อยที่ฉัตรพงษ์พี่ชายฝาแฝดของฉัตรชัยสลับกันขับ ส่วนไอ้ชัยเพื่อนตัวดีก็อี๋อ๋อกับมะเหมี่ยวที่แอบซุ่มคุยกันตั้งแต่ทำงานกลุ่มครั้งนั้นอยู่อย่างไม่อายสายตาของคนที่อยู่เบาะหน้า ท่าทางไอ้ฉัตร เอ๊ย ชัยจะถอดเขี้ยวเล็บและปักหลักกับมะเมี่ยวจริงจังแล้วล่ะ เนื่องจากเธอเป็นคนดุจนไอ้ชัยหงอเป็นลูกหมาตัวน้อยๆเลยทีเดียว

“คนอื่นๆล่ะ” เสียงของไอ้ทอยถามหลังจากเดินมาสมทบกับคนที่แต่งตัวเสร็จแล้วที่ล็อบบี้ของโรงแรมที่พวกเราจองมาอย่างยากลำบาก มันเป็นการเที่ยวที่วางแผนกันฉุกละหุก โรงแรมดีๆเลยไม่มีห้องว่าง ยังดีที่โรงแรมนี้พอว่างให้คน 12 คนได้พัก ถึงแม้จะเก่าและโทรมไปหน่อยก็ตาม

“ยังไม่ลงมากันเลย” ผมไม่ได้มองหน้ามันด้วยซ้ำตอนที่ตอบไปเพราะมัวแต่จดจ่อกับเกมในมือถือที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ไอ้ทอยนั่งลงข้างๆหยิบโทรศัพท์มาเขี่ยเล่นเพื่อรอเวลา พวกผู้ชายมาครบแล้วเหลือแต่สาวๆที่กำลังแต่งองค์ทรงเครื่องกันอยู่ หลังจากที่ตกลงกันได้ว่าจะไปเค้าดาวน์ที่ผับชื่อดัง ทุกคนก็ตื่นเต้นกันยกใหญ่ (หลายคนหวังว่าจะไม่ต้องจองและไม่มีการตรวจบัตร)

“เชี่ย ตายแล้วกู” ผมวางมืออย่างหัวร้อน ไอ้คนที่เหลือต่างส่งเสียงเยาะเย้ยที่ผมฝีมือกากจนเป็นภาระ เมื่อเงยหน้ามามองเพื่อนสนิทต่างคณะที่เคยแอ๊วกันในช่วงแรกสลับกับมองหน้าหนุ่มเภสัชฯที่จ้องเขม็งมาทางเราจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเลยต้องขยับตัวออกห่างมันอีกหน่อย

“อย่าเบียด เดี๋ยวกูตาย” ไอ้ตงไล่ เลยจำใจนั่งติดกับไอ้ทอยอย่างเลี่ยงไม่ได้

“มึงจะหนีกูทำไมวะ” มันกระซิบถาม

“ถามยังกะไม่รู้ ดูสายตาพ่อมึงสิ”

“ช่างแม่งสิ ใครแคร์” แหม ตอบแบบไม่ใยดีเลยนะ ใครน้อที่เศร้าเพราะโดนไอ้ฉัตรชัยหักอกจนต้องเปลี่ยนมาเรียนคณะเศรษฐศาสตร์แทนที่จะเรียนเภสัชตามที่หวังไว้ พอรู้ความจริงก็ทำเป็นเล่นตัวใส่อีก ถือว่าหล่อมากใช่มั้ยมึง

“กูจะคอยดู ถ้าเกิดมีคนมาชอบไอ้ฉัตรแล้วมันเล่นด้วย จะสมน้ำหน้ามึงให้”

“กล้าก็ลองดูสิ” ไอ้ทอยตอบแบบไม่ใยดีเช่นเคย ความอินดี้ครอบงำอีกละเหรอ

“หึงเค้าแต่เล่นตัวใส่แบบนี้มันเข้าท่าเหรอวะ”

“มึงขี้บ่นจังวะ” มันด่าด้วยน้ำเสียงฟึดฟัด

“มึงก็ดูสิไอ้ทอย สายตาที่มองมาทั้งรักทั้งหวงขนาดนี้ ถ้ากูกอดคอมึงคงโดนกรอกยาพิษแหงๆ”

“ไอ้เว่อร์” พูดแล้วก็หัวเราะ ผมว่าไอ้ทอยมันชอบใจแหละที่ฉัตรพงษ์ตามหวงแบบนี้ ผมไม่รู้หรอกว่าสองคนนี้ตกลงคบกันหรือยัง แต่ท่าทางลอยไปลอยมาของไอ้ทอยก็ชวนให้คิดว่ายังไม่ถึงไหน แต่ฉัตรพงษ์ที่คอยตามมาวอแวไม่ลดละก็ชวนให้สงสาร ไอ้ทอยทำตัวเหินห่างเพื่อลงโทษทั้งที่คนทำผิดคือฉัตรชัยแฝดผู้น้องต่างหาก

“มาแล้วจ้า ขอโทษที่ช้านะ” เสียงหวานของสาวๆดังมาแต่ไกล หนุ่มๆแบบพวกเราต่างลุกยืนอย่างพร้อมเพรียง แต่ละคนแต่งตัวสวยจนนึกว่าเป็นคนละคนกับสภาพนอนหลับอ้าปากอยู่ในรถตอนขามา

“มองปากค้างแบบนี้ สวยล่ะสิ” สาวๆแซวมา พวกเราหัวเราะแก้เก้อก่อนที่ไอ้พวกมีคู่จะพากันควงคู่ตัวเองอย่างไม่รีรอ

“ทำไมเหลือเราสองคนล่ะวาวา” ยุนอาตัดพ้อ

“พวกเรามันคนโสดไง เลยต้องอยู่ด้วยกันแบบนี้ ฮือๆ” วาวาก็ตอบพลางแซวพวกเราถ้วนหน้า ถึงแม้จะไม่ได้บอกใครแต่ทุกคนก็พอจะมองออกว่าผมกับตงฉินนั้นค่อนข้างสนิทกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันแทบจะ 24 ชั่วโมงเป็นที่คุ้นตา เพื่อนร่วมรุ่นและรุ่นพี่ในคณะที่เคยแบนผมก็ลดความตึงเครียดลงไปค่อนข้างมากเพราะไอ้เตี้ยคนนี้ไม่เคยเก็บเรื่องพวกนี้มาใส่ใจ นานวันเข้าคนก็พากันลืมว่าต้องบึ้งตึงใส่ผม การที่นั่งเรียนกับตงฉินเลยโดนใช้เป็นสะพานในการขอเบอร์ ขอไลน์หรือเอาของมาจีบไม่ขาดสาย นี่สินะ...อานุภาพของความหล่อมีมากกว่าความโกรธ ทุกคนคงรู้แหละว่าถ้าไม่ผ่านผมก็ไม่มีใครช่วยเหลือให้สามารถเข้าใกล้ตงฉินหนุ่มฮ็อตได้แล้ว

             รถแดงที่เหมามาจากหน้าโรงแรมจอดนิ่งหน้าผับชื่อดัง ผู้คนเดินทางมาไม่ขาดสายราวกับมดงานที่เข้าแถวเพื่อไปหาพื้นที่เหมาะๆพร้อมปลดปล่อยและเฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ด้วยหน้าตาและอานุภาพของดาราอย่างตงฉิน พวกเราเลยได้โต๊ะวีไอพีที่คนภายนอกมองกันอย่างอิจฉา โซนดนตรีอีดีเอ็ม(EDM)เล่นเพลงชวนโยก จังหวะมันๆเริ่มตั้งแต่ยังไม่เมาจนกระทั่งเวลาผ่านไปจนใกล้เที่ยงคืนนั่นแหละ เพลงที่เคยดังสนั่นก็ถูกปิดแล้วแทนที่ด้วยเสียงดีเจ

             โต๊ะที่เราอยู่นั้นอยู่ในซอกด้านในสุดของผับ มันค่อนข้างลับตาและเป็นส่วนตัว ไอ้ตงขออยู่แบบหลบมุมเพราะไม่อยากให้มีคนมาก่อกวนเวลาที่กำลังสนุกโดยมีผมยืนประกบ โต๊ะกลมสูงเกือบถึงอกตัวเล็กสองตัวถูกรายล้อมด้วยคนเป็นโหลที่กำลังร้องเล่นเต้นกันสนุกสนาน ขวดเหล้าสีอำพันราคาแพงขวดที่สามวางตระหง่าน แก้วรูปเหลี่ยมกระทบแสงไฟระยิบระยับ(หรืออาจจะเพราะเมาเลยเห็นประกายในหัวตัวเองก็ไม่รู้) ผมกรึ่มได้ที่แต่ก็มีสติแอบมองแต่ละคนที่เข้าคู่ ขวัญใจอยู่ถัดจากตงฉินด้านซ้ายมีไอ้โทยืนประกบไม่ห่าง ด้านขวาของผมก็คือไอ้ทอยและแน่นอนมีพี่น้องสองฉัตรยืนเรียงไป ไอ้คิ้วยืนติดกับไอ้โทโดยมีน้องฟางแฟนสาวขนาบไม่ห่าง ผมยังนึกแปลกใจเลยว่าอายุแค่นี้เข้ามาในร้านได้อย่างไร ถัดจากนั้นก็คือวาวา ยุนอา และมะเหมี่ยวที่โดนฉัตรชัยกอดเอวแน่นตลอดเวลา ใบหน้าพวกเราไม่เหมือนเดิม บ้างก็แดงบ้างก็ซีดแถมยังยืนเซไปมาอีกด้วย

             คนในร้านแน่นมากถึงมากที่สุด แต่ละโต๊ะต่างพากันมาเป็นคู่เป็นก๊วนยืนเบียดเสียด สองสาวโสดอย่างวาวากับยุนอาเลยตบยุงเล่นเพราะไม่มีใครเดินมาจีบแม้แต่น้อย ถ้าร้านโล่งกว่านี้คงมีคนมาทักบ้างแหละ แต่ไม่ใช่สำหรับคืนนี้

“เอาล่ะครับ นับถอยหลังพร้อมกันนะครับทุกคน” เสียงดีเจดังขึ้นพร้อมกับเสียงเฮลั่นร้านกระหึ่ม ผมมองเวลาในมือถือที่สัญญาณหายไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้มันแสดงตัวเลข 31 Dec : 23.59 p.m.

“สิบ เก้า...” เสียงดีเจนำโดยพวกเราต่างร่วมใจกันเปล่งเสียงตาม แรงเบียดจากโต๊ะอื่นที่นับด้วยโยกตัวด้วยทำให้ร่างผมชิดกับตงฉินมากกว่าเก่า มือใหญ่แตะนิ้วอย่างลังเลก่อนที่ผมจะคว้ามาจับ ความมืดและความเมามันดีอย่างนี้นี่เอง คนที่ห่วงภาพลักษณ์อย่างตงฉินมาเกี่ยวก้อยก่อนจนได้ เราแนบร่างหันหน้าเข้าหากันโดยคู่อื่นๆก็ทำด้วยราวกับเป็นท่าบังคับ ใบหน้าหล่อๆฉายออร่าแม้อยู่ในความมืดมิดก้มมาสบตาผมอยู่อย่างนั้น

“...สาม สอง หนึ่ง Happy New Year!” เสียงพลุกระดาษดังลั่นพร้อมเสียงเฮตะโกนอวยพรปีใหม่ทั่วทั้งร้าน แต่ผมกลับไม่ได้ตะโกนอะไรทั้งนั้นเพราะมือหนาคว้าต้นคอคนตัวสูงให้โน้มมาชิดก่อนลมหายใจอุ่นๆจะกระทบใบหน้าแล้วสองเราก็กดกลีบปากเกี่ยวกระหวัดอย่างวาบหวิวโดยไม่สนใจว่าจะมีใครจับจ้อง รสจูบหวานวาบนัวเนียจนหายใจติดขัด เสียงใจเต้นระส่ำของตงฉินทำให้ผมมั่นใจว่าคนตรงหน้ามีใจให้ไม่น้อยไปกว่ากัน พอเสียงเฮเปลี่ยนเป็นเสียงเพลงพวกเราก็ผละความหอมหวานจากกันอย่างเสียดาย พอหันไปโดยรอบ พบว่าวาวากับยุนอายืนกอดอกและทำหน้ายู่ยับเหมือนคนกำลังเหม็นเบื่อความรักเต็มประดา

“คุณคะ เกรงใจหัวอกคนโสดบ้างสิคะ” ยุนอาตะโกนแข่งกับจังหวะสนุกสนานของเพลงที่กำลังกระหึ่ม พอเห็นภาพตรงหน้าโดยรอบแล้วก็แอบเซ็งที่ผละจากปากหวานๆของตงฉินเร็วเกินไป เพราะแต่ละคู่ยังกอดและนัวเนียกันไม่เลิก ที่ผิดคาดไปกว่านั้นคือไอ้ทอยที่ปากแข็งแต่ใจโคตรกากช้อนหน้าของฉัตรพงษ์มาจูบแทบจะกลืนกินทั้งตัว

“อีกรอบได้มั้ยอะ” ผมกระซิบข้างหูของคนข้างๆแต่กลับถูกข้อศอกกระทุ้งชายโครงจนจุก

“ไม่ได้ เดี๋ยวคนมอง” นี่ตอบเพราะเขินหรือเพิ่งได้สติกันเนี่ย

“มืดขนาดนี้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าใครเป็นใคร” ผมแกล้งยั่ว

“ไม่ได้คือไม่ได้” ตงฉินยืนกรานเสียงแข็งจนใจแป้ว “ค่อยต่อกันที่ห้องนะ” ห๊ะ...อะไรนะ เย้ๆๆๆๆๆ นี่ไอ้ตงมันให้ท่าอยู่ใช่มั้ย ผมควรทำหน้ายังไงดีล่ะเนี่ย หรือควรจะขอตัวกลับก่อนเพราะตอนนี้กลั้นแทบไม่ไหวแล้ว ไอ้คนต้นเรื่องก็หันหลังให้จนต้นขามันเบียดกับหนึ่งน้อยที่แข็งจนปวดไปหมด

“ไอ้ลามก” ตงฉินโน้มมากระซิบ ผมได้แต่ยักคิ้วใส่มันคงรู้แหละเลยทำท่าทางเมินเฉยมาซะดื้อๆ

“อะไรอะ ปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน” ผมแซะแบบไม่จริงจังเท่าไหร่หรอก ชินกับนิสัยแบบนี้ของมันซะแล้ว “กลับกันมั้ย”

“ฮึ อะไรของมึง” ไอ้ตงทำเสียงดุ หน้าหงอยเลยไอ้หนึ่ง ... เสียงเพลงกลับมาคึกคักอีกครั้ง เวลาผ่านเที่ยงคืนได้ไม่กี่นาทีเท่านั้นแต่เวลาเปลี่ยนเป็นปีทีเดียว ผมกวาดสายตามองกลุ่มเพื่อนที่ไม่คิดว่าจะมารวมตัวกันได้อย่างสบายใจ ฉัตรพงษ์และฉัตรชัย ฝาแฝดที่นิสัยต่างกันสุดขั้ว คนพี่เงียบขรึมดูเป็นผู้ใหญ่แต่มีความอาทรให้กับไอ้ไฟ(หรือทอย) คนรักที่เข้าใจผิดเมื่อปีที่แล้วและกำลังตามง้ออยู่ ไม่รู้ว่าจะออกมาท่าไหน แต่เห็นจากการที่สองคนนี้จูบกันเมื่อกี้ก็พอให้ใจชื้นว่าโอกาสจะรีเทิร์นก็มีไม่น้อย ส่วนแฝดคนน้องน่ะเหรอ...พ่อมาลัยลอยไปลอยมายังดีที่เจอชะนีดุแบบมะเหมี่ยว ผมก็หวังว่าทั้งสองคนจะไปด้วยกันได้ดีนะ

             ฟากฝั่งของพี่ชายตัวดีของผมอย่างไอ้โทกับคู่ขวัญ ขวัญใจเดือนคณะนั้นผมไม่เป็นห่วงเลยเพราะฝ่ายหญิงนั้นดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี แถมยังคอยช่วยเหลือให้คนเหลวไหลอย่างมันตั้งใจเรียนจนเกรดออกมาสวยอย่างน่าพอใจอีกด้วย ที่น่าห่วงคือไอ้คิ้วนี่แหละ ผมไม่รู้หรอกนะว่าแฟนเด็กวัยมัธยมของมันหาข้ออ้างอะไรถึงได้มานอนค้างอ้างแรมกับพวกเราไกลถึงเชียงใหม่ได้ หวังว่ามันจะไม่มีปัญหาอะไรตามมาภายหลัง

“เหม่ออะไร” ตงฉินตะโกนถามข้างหูเพื่อแข่งกับเสียงเพลงที่ดังลั่นร้าน ผมส่ายหัว

“เปล่า แค่คิดว่าคืนนี้จะจัดท่าไหนดี”

“อะ ไอ้ลามก” หน้าตาของมันเหรอหราจนต้องหัวเราะออกมา ท่าทางโกรธของคนตัวสูงยิ่งชวนขัน มันชี้หน้าทำปากขมุบขมิบก่อนจะเดินออกจากกลุ่มไปทางห้องน้ำ ผมเลยเดินตามเจ้าของต้อยๆ เสียงเพลงจากโซนดนตรีสดดังกว่าฝั่งอีดีเอ็มเสียอีก ตงฉินพยายามเดินแทรกฝูงชนมหาศาลอย่างยากลำบาก แม้เจ้าตัวจะสูง 189 แต่ก็ไม่สามารถแหวกทางได้โดยง่าย จำนวนคนเบียดเสียดล้วนแต่เมามายแทบไม่สนใจว่าใครจะเดินไปเดินมา ขอเพียงที่ยืนและไม่ล้มไปกองกับพื้นก็ดีมากแล้ว แต่ความเมาก็ใช่ว่าจะเป็นอุปสรรค เพราะหลายคนต่างกรูเข้ามากอด บ้างก็ลูบตามเนื้อตัวของคนตัวสูงแบบไม่เกรงใจเลย ตงฉินได้แต่ทำหน้าแหย จะปัดมือทิ้งก็ดูไม่สุภาพ คนเดินตามก้นมาไม่ห่างอย่างผมเลยรู้สึกขุ่นเคืองแทน เลยคว้าข้อมือคนที่กำลังโดนลวนลามให้วกกลับและฝ่าฝูงชนมาจนถึงหน้าร้าน

“ลากมาทำไม ปวดฉี่” มันบ่น

“ไม่ลากมาจะรอดถึงห้องน้ำเหรอวะ แม่งแต่ละคนยังกะแร้งทึ้ง”

“ขะ ขอบใจ” เป็นครั้งแรกมั้งที่มันพูดดีใส่

“ไปฉี่ที่โรงแรมเถอะ” ผมเสนอ

“บ้าเหรอ ยังไม่ตีหนึ่งเลย คนอื่นๆอีก”

“พวกมันโตกันหมดแล้ว อีกอย่างคนทะยอยมาเรื่อยๆจนร้านจะระเบิดแล้ว แน่ใจนะว่าจะฝ่าเข้าไปอีก” ผมพูดและอีกคนกวาดสายตามองไปโดยรอบ นักท่องเที่ยวต่างเดินเข้ามาไม่ขาด สายตาแต่ละคนจับจ้องมาทางเราแบบแปลกๆ

“ปล่อยมือกูก่อน” ไอ้ตงรีบสะบัด มิน่าล่ะคนเลยมองเราแปลกๆ

“สรุปว่า..” ผมถาม

“กลับก็กลับ” มันไม่เถียงครับ ผมเดินไปเรียกรถแดงและโดนราคาเหมาจนแทบสร่าง แต่ต้องยอมจ่ายเพราะมันค่อนข้างดึกแล้วจริงๆ ระหว่างทางเราไม่พูดอะไรกันเท่าไหร่ ร่างสูงที่นั่งฝั่งตรงข้ามพิงหลังตัวรถ ท่าทางง่วงหรือไม่ก็เมาเพราะเปลือกตาปิดแน่น

“ถึงแล้ว ตงๆ” ผมเขย่าก่อนที่คนง่วงจะลืมตาแดงก่ำเดินลงจากรถอย่างอืดอาด “ไม่ปวดฉี่ละเหรอ”

“ปวด แต่ง่วงด้วย”

“งั้นรีบไปเข้าห้องน้ำไป จะอาบน้ำอีกมั้ย” ผมถาม โรงแรมของเราเงียบมาก สภาพเก่าจนน่ากลัว ลิฟต์สภาพแย่พาเรามาถึงชั้นที่ต้องการโดยใช้เวลาไม่นาน ตงฉินซบไหล่ผมตั้งแต่ในลิฟต์ ต้องออกแรงลากพอสมควรกว่าจะถึงห้อง

“อื้อ ไม่ถอด” เสียงคนเมายังงัวเงีย ท่าทางจะง่วงหรือไม่ก็เมามาก เอาแต่จะนอนท่าเดียวไม่สนใจว่าตัวเองปวดฉี่เสียแล้ว

“อย่าดื้อสิ ถอดกางเกงก่อนเดี๋ยวพาไปห้องน้ำ”

“ฉี่ตรงนี้ก็ได้”

“ไม่ได้ ตง อย่าดื้อ”

“ดื้อแล้วจะไม่รักเหรออออ” ห๊ะ... อึ้งสิครับที่ได้ยินแบบนี้ ทำไมจะต้องทำตัวน่ารักแบบนี้ด้วยวะเนี่ย ไอ้เราก็พยายามสะกดอารมณ์ที่โดนยั่วยุอยู่ด้วย ท่าทางจะตบะแตกในอีกไม่ช้า

“รักสิ แต่ตอนนี้ตงต้องไปฉี่ก่อน” กางเกงยีนส์ตัวเล็กที่รัดแน่นถูกโยนกองกับพื้น กางเกงในสีขาวถูกถอดตามออกมา ตงฉินน้อยสีเข้มนอนหลับในพงหญ้ารกยั่วยวนจนเลือดกำเดาจะพุ่ง รู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้มาเห็นและเป็นคนใกล้ตัวแบบสุดๆเช่นนี้ ดาราหนุ่มหล่อกำลังนอนเมาและดิ้นไปมาเพราะโดนลากไปห้องน้ำอย่างทุลักทุเล

“นั่งลง” ผมวางคนตัวโตกับชักโครก มองภาพตงฉินเหี่ยวพาดขอบโถอย่างระอา ทำไมไม่ปักหัวลงล่ะวะ ลำบากไอ้หนึ่งต้องมาจัดท่าให้อีก “ฉี่ก่อน ฉี่....ฉี่...”

“ม่ายอยากฉี่”

“ตง อย่าดื้อสิ”

“อยากดื้อ อยากดื้อ ดื้อแล้วจะทำไม” เออ ตามสบายเถอะ เมาแล้วดื้อได้ขนาดนี้แทบไม่ต่างกับตอนสภาพปกติ ระหว่างนั้นก็พยายามให้คนเมาพ่นน้ำออกมาอย่างใจเย็น มือขวาของผมจับของสงวนให้ลงล็อก มืออีกข้างต้องดันไหล่คนที่คอยจะโน้มตัวฟุบลงกับพื้นห้องน้ำไว้ ใครมาเห็นภาพนี้คงบอกว่าพิลึกพิลั่น แต่เอาเถอะพอเสียงจ๊อกๆไหลมาผมก็แทบจะลุกขึ้นเต้น แต่...

“ไม่เอา ไม่ฉี่” ไม่พูดเปล่า ตงฉินผุดลุกมาเต็มความสูง ของเหลวสีเหลืองกลิ่นฉุนพุ่งราดตั้งแต่หัวจรดเท้าจนผมพุ่งหลบจนไปชนกับผนังห้องน้ำ สีหน้าเมาจัดกับท่าทางดื้อๆชวนให้โมโหแต่ก็ทำไม่ลงนั้นไม่ได้สติ ตงฉินยังฉี่ราดต่อเนื่องรอบห้องน้ำ ผมได้แต่วิ่งไล่จับแต่ก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งหยดสุดท้ายหยุดลงนี่แหละ คนตัวสูงถึงได้สงบ แต่สภาพผมคือ...เปียกเละ

“ไอ้ต๊งงงงงงงงงงงงง” ผมตะโกนลั่นห้อง กลิ่นฉี่ฉุนกึกราดเต็มชุดเที่ยว จังหวะนี้ไม่อาบน้ำก็คงไม่ได้ คนเมาก็ร่วงไปกองใต้ฝักบัวเป็นที่เรียบร้อย สภาพคือท่อนบนแต่งเต็ม แต่ท่อนล่างเปลือยเปล่า ... ลำบากชีวิตกูจัง

#### ####

[ตงฉิน]

             ตื่นมาอีกทีตอนเกือบเที่ยงของวันที่ 1 มกราคม ด้วยสภาพเปลือยล่อนจ้อนในอ้อมกอดของไอ้เตี้ย ภาพตัดไปตั้งแต่ขึ้นรถแดงกลับจากผับเมื่อคืน จำไม่ได้เลยว่าเดินขึ้นห้องมาได้อย่างไรและแก้ผ้าตอนไหน ปวดหัวจนลุกไม่ขึ้นเพราะไม่ได้ดื่มมาสักระยะแล้ว นอกจากนั้นยังปวดเมื่อยตามตัวเหมือนไปชนกับของแข็งๆจนระบม ผมลืมตาพรึ่บใช้มือสำรวจบั้นท้ายทันที

“อื้อ ว่าละ โคตรแฉะ” เจ็บหน่วงจริงๆ ตอนเมาก็ยังไม่เว้นเนาะไอ้หนึ่ง ผมพลิกตัวและผลักร่างคนที่หลับกลิ้งตกเตียง

“โอ๊ย ทำไรเนี่ย” มันสะดุ้งตื่นมาโวยวาย ถึงแม้มันจะไม่สูงแต่ไอ้ที่แข็งชี้หน้าผมอยู่เนี่ยโคตรสวนทางกันเลย

“กูต่างหากที่ต้องถาม เมื่อคืนมึงทำไรเนี่ย คนเมาก็ไม่เว้น” ผมด่ากลับบ้าง ไอ้คนฉวยโอกาส

“หึ ต้องถามมึงมากกว่าว่าเมื่อคืนเป็นไร ถึงได้เมาสิ้นสติขนาดนั้น” ไอ้คนตัวเล็กโวยวายกลับ ผมถึงกับอึ้งเพราะนานๆทีจะเห็น

“กะ กูทำอะไร” ผมถาม ร่างเล็กเดินลิ่วไปในห้องน้ำก่อนหยิบอะไรบางอย่างมาปาใส่

“นี่ไงผลงานมึง ดมสิ หอมชื่นใจมั้ย” ผมทำจมูกฟุดฟิด “อี๋ เยี่ยวนี่หว่า มึงเยี่ยวราดชุดตัวเองเรอะ”

“กูที่ไหนล่ะ มึงต่างหากที่เยี่ยวราดตัวกูเนี่ย” เฮือก...

“พูดอะไรเนี่ย บ้าไปละ”

“บ้าเหรอ จะให้กูบรรยายภาพเมื่อคืนให้ฟังมั้ย อ้อ กูมีคลิปด้วยนะ” มันหยิบมือถือมาเปิด เป็นสีดีโอสั้นๆที่ผมเมามายและวิ่งรอบห้องน้ำ ไม่บอกก็รู้ว่าฉี่ไปด้วย แม้จะไม่เห็นท่อนล่างก็เถอะ

“ชะ เชี่ย...” เสียงผมเองครับ ที่กูทำบ้าอะไรลงไปเนี่ย

“ไงล่ะ พ่อดาราดัง” ไอ้เตี้ยเยาะ

“เงียบเลยนะ แต่ก็เหอะ มึงก็ไม่ควรฉวยโอกาสมาลักหลับกูนะ” ผมเปลี่ยนเรื่อง

“เหอะ ... ใครกันแน่ มึงคิดดีๆสิ หลังอาบน้ำเสร็จแล้วมึงก็สร่างเมาแล้วนะ” ไอ้หนึ่งตอบ ผมลองนึกย้อนไปเมื่อคืน น้ำเย็นเฉียบราดตัวจนสะดุ้งดิ้นพล่านเพราะเครื่องทำน้ำอุ่นพัง หลังจากโดนคนที่เท้าสะเอวด่าที่ปลายเตียงจัดการล้างคราบไคลจนหมดจดก็เดินตัวเปล่ามาในห้อง ลำบากไอ้หนึ่งต้องไล่ตะครุบตามเช็ดตัวผมจนนัวเนียกันบนเตียงนุ่ม กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันจนตัวมันนอนราบและผมคร่อมทับอยู่ด้านบน มองริมฝีปากสวยนั้นอย่างหวิวใจแปลกๆ แล้วก็กดใบหน้าตัวเองแนบลงไปกวาดความหวานหอมอย่างลืมตัว แรงตอบรับวาบหวามชวนให้เผลอใจ

             เมื่อผละจากริมฝีปากก็ไล่ลิ้นตามร่างกายแน่นขนัด รู้สึกหวิวโหวงกับเรือนร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อนี้อย่างมาก แก่นกายใหญ่ผุดตัวเสียดสีกับบั้นท้ายชวนสยิวผมร่อนบั้นท้ายกลมกลึงของตัวเองไปมาเพื่อให้ความแข็งแกร่งนั้นเสียดสีกับตัวเองอย่างนั้น มือใหญ่ควานล้วงกระชับแท่งเนื้อไว้เต็มมือก่อนจะรูดขึ้นลงเป็นจังหวะ ในตอนนั้นไม่รับรู้เลยว่าจะมีเสียงครางของใครดังเล็ดลอดออกมาบ้าง สองหูเหมือนดับสนิท มีเพียงร่างกายสั่นระริกเท่านั้นที่กำลังมองหาความร้อนเร่าเพื่อปรนเปรอความต้องการที่ปะทุอย่างหนักในตอนนั้น ไม่รู้ว่าเอาเจลหล่อลื่นมาจากไหน รู้อีกทีก็สัมผัสถึงความลื่นไหลทั่วแก่นกายแน่นแล้ว บั้นท้ายงอนขยับเบียดบดกับมือใครก็ไม่รู้กำลังแหวกสองฝั่งกลมนั้นให้แยกออก เอวหนายกสูงเพื่อให้พลังงานแข็งแกร่งจดจ่อกับประตูแคบอย่างไม่กลัวจะสิ้นใจเพราะความเจ็บตึง แรงส่งที่หวิวไหวแผ่วพริ้วชวนให้โมโหเพราะไม่ทันใจจนต้องกดน้ำหนักให้ความเป็นชายของคนนอนเบื้องล่างสอดผ่านทะยานตัวเบียดเสียดความแนบแน่นฝืดคับจนสุดทาง

“อ๊าาาาาาาาาาาา จะ จุก อื้อ จะ เจ็บ” เป็นเสียงผมเองที่ร้องลั่นเมื่อถูกของใหญ่โตกวาดล้างความสดใสในตัวอย่างเต็มลำ แรงตอดรัดทำงานเป็นจังหวะเพื่อบีบเค้นให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออก หากแต่ร่างกายกลับไม่ทำตามใจสั่ง แรงขยับโยกตรงบั้นท้ายขึ้นลงโดยมีมือหนากระชับเอวไว้แน่นไม่ให้ผุดลุกจนปล่อยให้ความแข็งแกร่งนั้นเป็นอิสระ เมื่อร่างสูงผุดลุก มือหนาทั้งสองก็รั้งเอวให้กดทับจุดเดิมเสียงดังปึงปัง แล้วจังหวะรุนแรงก็ถาโถมอย่างบ้าคลั่ง แรงทะยานส่งกระทบจนมวนท้องและเต็มอิ่มไปด้วยรสรักที่เผ็ดจัดจ้าน ปลายทางหฤหรรษ์ใกล้เข้ามาเมื่อดาบยักษ์ส่งแรงกระแทกยี่ยิบจนแทบทรุดร่างลงไปกองกับหน้าอกหนา บั้นท้ายเจ็บแสบจนลืมไปเลยว่าครั้งหนึ่งเคยปิดสนิทถูกบุกฝ่าเข้ามาอย่างสาหัส แรงกระตุกตัวบีดรัดแน่นเมื่อไออุ่นร้อนจากส่วนปลายทะลักเข้ามาจนเสียววาบที่ท้องน้อย ผมกลั้นลมหายใจแน่นเมื่อความเสียวพุ่งจนขีดสุด แรงขับมหาศาลถูกส่งออกจากแก่นกายที่พาดหน้าท้องแข็งจนเปรอะไปทั่วในเวลาไล่เลี่ยกัน แล้วสติที่เหลืออยู่น้อยนิดก็ดับวูบ

“ทำหน้าแบบนี้ นึกออกแล้วใช่มั้ย” หนึ่งเข้ามาซุกใต้ผ้าห่มอยู่ข้างตัวตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ แต่เสียงที่แซวมาทำให้อายจนหน้าแดง

“นะ นึกอะไร ไม่มี๊” เออ เสียงสูงเข้าไป

“หึหึหึ งั้นให้ทบทวนความจำมั้ย” เสียงหื่นไม่น่ากลัวเท่าหน้าหื่นๆของมันที่โน้มมาหา

“มะ ไม่เอา จะ จะ จะ ทำอะไร”

“ก็ทำแบบเมื่อคืนไง เผื่อจะจำได้ว่าทำอะไรกันบ้าง” ผมจะเอ่ยปากห้าม แต่ไม่ทันเพราะใบหน้าคุ้นเคยประชิดและขโมยจูบจนเปล่งเสียงไม่ได้ ร่างสูงใหญ่ของผมดิ้นไปมา(พอเป็นพิธี)เพื่อขัดขืน แต่ก็ไม่ได้ผลักไสคนที่รุกรานให้ผละออกห่าง เอาเถอะ ไหนๆก็ไหนๆละ ยอมๆไปเถอะ ...
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 34 P.5 Up 13 มี.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 13-03-2021 20:34:08
 :hao6: :mew1: :-[
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 34 P.5 Up 13 มี.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 14-03-2021 00:02:40
แหมๆๆๆ ไม่ได้สมยอมอ่ะเน๊อะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 34 P.5 Up 13 มี.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-03-2021 21:06:52
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 34 P.5 Up 13 มี.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 16-03-2021 15:29:03


เรื่องนี้ผมอัพเดตถึงตอนที่ 36 แล้วนะครับ
ตอนที่ 34 อ่านฟรี
ตอนที่ 35 ติดเหรียญ 50%
ตอนที่ 36 ติดเหรียญเช่นกัน สำหรับคนใจร้อนอยากอ่านล่วงหน้า 2 อาทิตย์

ถ้าใครใจร้อน อยากอ่านก่อน กด https://www.facebook.com/Begintillanend/ (https://www.facebook.com/Begintillanend/)
เพื่อติดตามการอัพเดตที่ FB fanpage ของผมได้เลยครับ

หวังว่าผู้อ่านทุกคนจะชื่นชอบและสนับสนุนผลงานผมไปเรื่อยๆนะครับ
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 35 P.5 Up 20 มี.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 20-03-2021 15:01:33
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 35. It starts with a kiss.

              งานกีฬามหา’ลัยผ่านพ้นไปด้วยดีพร้อมกับพิธีรับน้องอย่างเป็นทางการโดยที่ผมไม่ได้เข้าร่วม เพราะรู้แก่ใจว่าไม่มีใครจะรับแกะดำอย่างผมเป็นรุ่นน้องหรอก แต่มันก็ไม่ทำให้ไอ้หนึ่ง เอกราชคนนี้เสียขวัญสักเท่าไหร่เพราะหลังจากนั้นทั้งรายงานเอย เตรียมสอบเอย ไหนจะต้องเป็นสารถีส่วนตัวของไอ้ตงก็วุ่นจนหัวหมุนเสียแล้ว นี่ยังไม่นับว่าแอบเข้าเรียนแทนพ่อดารางานชุกเพื่อเก็บชีทและมาติวให้มันในเวลาว่างอีกนะ หนึ่งชีวิตน้อยๆทำไมต้องแบกรับภาระอะไรขนาดนี้ด้วยเนี่ย

“ขี้บ่น” นั่นไง คำตอบของพ่อตัวดีที่กำลังอ่านชีทวิชายากที่มันไม่เข้าเรียนมาแล้ว 3 ครั้ง วิชาอะไรก็ไม่รู้ยากจนงง ยังดีนะที่ผมเรียนวิชานี้อยู่ด้วย และอาศัยขวัญใจสาวสวยประจำกลุ่มแฟนไอ้โทติวให้ก่อนจะเอามาติวตงฉินอีกที ไม่อย่างนั้นคงนั่งงงในดงกองถ่ายเป็นแน่

“บ่นไม่ได้รึไง นี่เหลือแค่จดทะเบียนสมรสเท่านั้นมั้งที่ยังไม่ได้ทำกับมึงน่ะ” ผมย้อน

“ใครจะจดกับมึง” อ้าว ปาก...

“รีบอ่าน ไม่เข้าใจให้ถาม ว่างแค่ชั่วโมงเดียวนะ” ผมเร่ง ช่วงพักกองสามชั่วโมงนั้นไม่ได้นานอย่างที่คิด ซีรี่ย์วายของตงฉินออกอากาศไปแล้วและได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจนต้องถูกเรียกมาถ่ายทำเพิ่มเติมตามคอมเม้นต์ที่มีในโซเชียล เช่น ทำไมฉากจูบกันน้อยจัง หรือไม่ก็ ทำไมพระเอกไม่ทำแบบนี้ ทำไมบทไม่สนุกเลย ... นั่นแหละครับ กองถ่ายเลยต้องเรียกตัวนักแสดงมาถ่ายและปรับบทเพื่อให้สนุกมากขึ้น เรียกได้ว่าถ่ายไปออนแอร์ไปก็ไม่ผิด ตงฉินเลยวิ่งวุ่นเพราะแทบไม่ได้พักเนื่องจากมันเป็นงานแทรก ไหนจะมีงานแฟนมีตติ้ง โชว์ตัวตามห้างสรรพสินค้า งานถ่ายแบบคู่กับนายเอกซีรี่ย์ แม้กระทั่งโฆษณาสินค้าหลายตัวที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวจนแทบไม่มีเวลาว่างเลยช่วงนี้

“น้องตงคะ อีกครึ่งชั่วโมงซ้อมหน้าเซ็ตนะคะ” เสียงพี่ทีมงานบอกผ่านวิทยุสื่อสาร ยังดีที่พระเอกนายเอกได้พักในพื้นที่ส่วนตัวมีแอร์เย็นฉ่ำ ผมติวเนื้อหาที่เรียนมาให้จนครบ(คิดว่านะ) ก่อนจะปล่อยตัวให้อีกคนได้พักสายตาชั่วขณะ

“โห น้องหนึ่งนี่ดีจัง ดูแลตงไม่ขาดเลยอะ อิจฉาตงแล้วสิ” เสียงของพี่ไนล์ นายเอกของซีรี่ย์ที่พักอยู่ในห้องเดียวกันทักหลังจากที่พวกเราติวเสร็จแล้ว พี่ไนล์เป็นผู้ชายตัวสูงแต่ก็ยังไม่เท่าตงฉิน แต่สำหรับผมที่เพิ่งสูงแตะ 170 เซ็นติเมตรอย่างลุ้นระทึกก็ต้องบอกว่าระดับความสูงของพี่ไนล์ถือว่าโดดเด่น ด้วยความที่ใบหน้าดูเด็กกว่าที่จะอายุ 23 ปี การมารับบทนักศึกษาแพทย์ปี 1 ของเขาจึงไม่มีอะไรขัดหูขัดตา ใบหน้าหล่อมากกว่าจะหวานจิ้มลิ้มชวนใจสั่นไม่น้อย พี่ไนล์เป็นคนผิวขาวไม่ได้ออกสีแทนแบบตงฉิน ใบหน้ายาวได้รูปมีเหลี่ยมที่คางทำให้องศาการมองยิ่งชวนหลงไหล คิ้วหนายาวเรียงตัวกันเป็นระเบียบ หัวคิ้วแทบจะชนกันกับจมูกที่โด่งเป็นสัน ดวงตาชั้นเดียวแต่ไม่ได้เล็กตี่กลับชวนมอง หากไม่ยิ้มแววตานั้นจะดุดัน แต่ใบหน้าหล่อปากกระจับนั้นยิ้มแย้มตลอดเวลาจึงเป็นคนที่น่าเข้าหา ดูเป็นมิตรและเป็นคนที่มารยาทดีจนน่าเกรงใจ ไม่แปลกใจหรอกว่าพี่เขาเลือกจะเงียบระหว่างที่พวกเราติวบทเรียนกัน และทักทายหลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว

“พี่ก็ยอผมเกินไป” ได้แต่ตอบแบบเขินๆ จะว่าไปพี่ไนล์ก็เป็นชายในฝันผมได้เลยนะเนี่ย ชาติก่อนคงทำบุญมาดีเลยได้พบเจอแต่กับคนหน้าตาหล่อเหลา (แต่ทำไมตัวเราไม่หล่อบ้างล่ะ...)

“ไม่เกินไปหรอก นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้ชาย พี่คิดว่าเราสองคนเป็นแฟนกันนะเนี่ย” หืม...ปกติพี่ไนล์ไม่เคยแซวแบบนี้นะ แกรักษาระยะห่างและวางตัวดีจนไม่กล้าเล่นด้วยมาตั้งนาน แต่การถามเหมือนโยนหินถามทางก็ชวนคิดไปเอง(อีกแล้ว)

“ไม่หรอกพี่ หน้าตาแบบผมน่ะเหรอจะเตะตาไอ้ตงมัน เป็นเพื่อนกันครับ” รีบบอกปัดไปก่อน อีกคนก็ไม่ได้ขัดอะไร

“จริงดิ” รอยยิ้มหวานนั้นชวนละลายอีกแล้ว ผมได้แต่เกาหัวด้วยสีหน้าเขินๆ

“ครับ ไอ้ตงมันหล่อขนาดนี้ มันไม่คว้าผมเป็นแฟนหรอก”

“พูดเหมือนน้องหนึ่งมีใจให้ตงฉินงั้นแหละ” พี่ไนล์มาแปลก มาล้ำ มาเหนือจนตามไม่ทัน

“อะ เอ่อ มะ ไม่หรอกครับ เพื่อนกัน ผู้ชายด้วยกันอีก” ผมตอบด้วยเสียงแปร่ง

“แน่ใจเหรอ” พี่ไนล์ผู้แสนเรียบร้อยส่งแววตาเจ้าเล่ห์มาราวกับไม่ใช่คนเดิม

“คะ ครับ”

“งั้นแสดงว่าพี่ก็มีสิทธิ์จีบเราใช่ไหม” เสียงนุ่นนั้นดังเข้าโสตประสาทราวกับพูดกระซิบข้างหู ผมเบิกตาโพลงมองแววตาที่จริงจังบนใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง แววตาแข็งกร้าวดุดันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนส่งมาแทนที่ “ได้มั้ย”

“อะ เอ่อ...” ผมอึกอัก ไม่คิดมาก่อนเลยว่าพี่ไนล์จะมีรสนิยมเพศเดียวกัน บุคลิกที่มาดแมนและการวางตัวดีทำให้ไม่เคยสังเกต แต่อีกรายคงเฝ้ามองผมมาสักระยะได้แล้วล่ะมั้ง ที่เขาบอกว่าผีเห็นผีก็คงไม่เกินจริงมากนัก การที่พี่ไนล์มองออกก็แปลได้อย่างเดียว คือแกก็เป็นเกย์เช่นกัน

“หนึ่ง หิวน้ำ” ก่อนที่จะได้ตอบอะไรกลับไปเสียงเรียกจากคนที่นอนนิ่งแทรกขึ้นมาก่อน ผมขอตัวจากพี่ไนล์เพื่อเอากระบอกสุญญากาศไปเติมน้ำมาให้คนร้องขอ หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีโอกาสคุยกับพี่ไนล์อีกเลยจนกระทั่งการถ่ายทำจบลง

             พอกลับถึงคอนโดผมก็ปล่อยให้ไอ้ตงได้พัก ยังดีที่วันนี้ถ่ายถึงแค่สี่โมงเย็น (แต่เริ่มถ่ายหกโมงเช้า ต้องไปรอตั้งแต่ตีสี่) เวลามีเหลือมากพอที่จะไปตามนัดที่ตกลงไว้เมื่อสามชั่วโมงก่อนหน้า พ่อดาราหนุ่มหลับเป็นตายด้วยความเหนื่อยล้า ส่วนผมก็ยังไม่ถึงเวลาได้พัก เดินตัวปลิวอย่างไร้สติมาเรียกแท็กซี่หน้าคอนโดไปหาเพื่อนสนิทต่างคณะที่โทรตามสายแทบไหม้

“ถึงแล้ว มึงจะโทรตามยิกๆอะไรขนาดนี้” ผมบ่นใส่โทรศัพท์และกดวางสาย ร้านกาแฟเงือกน้อยที่ปกติผมไม่เข้ามาเฉียดใกล้เนื่องจากราคาแพงเกินเอื้อมในห้างสรรพสินค้าชื่อดังไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ที่พวกเรานัดหมายกันวันนี้ ไอ้ทอยนั่งฉายความหล่อที่โต๊ะด้านในสุด ถึงแม้จะแต่งตัวง่ายๆแค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์และร้องเท้าแตะ คนในร้านยังมองตาเป็นมันขนาดนี้ พอเห็นผมไอ้ทอยก็โบกมือเรียก ผมเดินตามทางไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จิบเครื่องดื่มที่มันสั่งมาเผื่อดับกระหาย

“กว่าจะมาได้นะมึง ดูแลเมียจนลืมเพื่อน” พอเห็นหน้าก็เริ่มบ่นทันที

“บ่นอยู่ได้ไอ้สัส มีไร เรียกกูยิกๆ” ผมวางกระเป๋าสะพายข้างใบเก่าบนโต๊ะที่มีแต่แก้วเครื่องดื่ม 2 ใบ

“คือ...”

“มึงเรียกกูมาฟังมึงอารัมภบทใช่มั้ย” ผมแหว

“เดี๋ยวสิ ขอกูเรียบเรียงก่อน” ไอ้ทอยมีสีหน้าลำบากใจ ท่าทางเหมือนกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเห็นได้ชัดจนผมต้องสงบเสงี่ยม

“อะ กูรอได้” ผมหยิบมือถือมาไถหน้าฟีด รอให้มันตกผลึกให้ได้ก่อนจนกระทั่งไม่มีอะไรให้อัพเดตอีกแล้วแถมอีกฝ่ายก็ยังไม่พูดอะไร ผมเลยต้องกระตุ้นอีกที “เรื่องไอ้ฉัตร ใช่มั้ย”

“อื้อ” มันยอมปริปากในที่สุด ลีลามากนักต้องให้จี้ใจก่อนถึงจะยอมเล่า

“เล่ามา กูฟังอยู่” ผมวางมือถือและจับจ้องใบหน้าหล่อๆนั้น ถ้าไม่ติดว่ามีไอ้ตงผมคงจะจีบมันเป็นแฟนไปแล้ว ถึงแม้มันจะเคยอ้วนแถมหน้าปรุด้วยเม็ดสิวมาก่อนก็เถอะ แต่ตอนนี้มันหล่อโคตรๆ หล่อไม่เกรงใจสารรูปผมเลยสักนิด

“กู เอ่อ” มันอึกอัก ผมเลยส่งตาดุๆไปให้จนมันเริ่มพูดจริงๆ “คือ กูไม่แน่ใจว่ากูยังรู้สึกกับฉัตรเหมือนเดิมมั้ย”

“อ้าว ทำไมงั้นล่ะ” ผมล่ะนับถือใจฉัตรพงษ์พี่ชายฝาแฝดของไอ้ฉัตรชัยอยู่ไม่น้อย เพราะพวกคณะสายสุขภาพน่ะจะเรียนอีกฝั่งของมหา’ลัยเลยนะ พวกเราเหมือนอยู่คนละโลกก็ว่าได้ พวกแพทย์ พยาบาล เภสัชฯ หรืออื่นๆในเครือจึงไม่ค่อยตกมาถึงท้องพวกนักศึกษาฝั่งศิลป์กันเท่าไหร่ พวกคนเหล่านี้ถึงเป็นแฟนกันเองเสียส่วนมาก ยกเว้นฉัตรพงษ์ที่ตามมาดูแลไอ้ทอยแทบทุกวันจนแอบคิดว่ามันโดดเรียนมาหรือเปล่าไปแล้ว

“คือ จะพูดไงดีล่ะ ตอนที่รู้ความจริงว่าคนหักอกคือคนน้องไม่ใช่คนพี่ กูก็ดีใจมากนะที่เข้าใจผิดไปเอง แต่มึงเข้าใจปะ กูอกหักเอง หนีไปเองเพราะคิดว่าโดนเทแล้วแน่ๆ ต้องหลบไปเลียแผลใจคนเดียว ร้องไห้คนเดียว ทำใจให้ชินกับความเจ็บจนผอมฮวบๆ ต้องเปลี่ยนเป้าหมายที่อยากเรียนมาลงอีคอน ทุกอย่างเริ่มจะดี กูว่ามันดีขึ้นมากแล้วด้วยตั้งแต่เจอมึงในคลาส เป็นเพื่อนที่กูรู้สึกสนิทด้วยจริงๆไม่ใช่เพราะว่ากูหล่อหรือกูรวยอะไรทั้งนั้น” มึงพูดเนี่ยถามกูก่อนมั้ยว่ากูคิดหรือไม่คิดน่ะ

“แล้ววันหนึ่ง ฉัตรก็กลับมาพร้อมความจริงว่ากูคิดไปเอง เขาไม่เคยเลิกรักกูเลย คอยแต่จะตามหากู แต่มึงเข้าใจปะ ว่ากูน่ะทำใจได้แล้ว มูฟออนไปแล้ว ตอนแรกที่เจอกันกูคิดว่าความรู้สึกเดิมๆมันกลับมาอีก แต่...”

“หืม แต่อะไรล่ะ มึงจะเว้นระยะทำไม” ผมของขึ้น

“แป๊บ คอแห้ง” มันหยิบน้ำมาดูด “กูเริ่มได้สติก่อนปีใหม่ ไม่รู้สิ อยู่ๆมันก็แว้บมาในหัวว่ากูรักฉัตรจริงๆหรือแค่ยึดติดกับอดีตที่เคยผิดหวังกันแน่ แต่มันยังไม่ชัดไง แต่ทุกอย่างมันเริ่มเข้าที่เข้าทางตอนที่เราไปเชียงใหม่ ตอนที่อยู่ในผับ”

“อื้อ” ผมนึกภาพตาม ระหว่างที่จูบไอ้ตง หางตาผมก็มองฉัตรพงษ์และไอ้ทอยนัวเนียกันอยู่ด้วยในคืนข้ามปี

“กูจูบกับฉัตร แทนที่กูจะรู้สึกดี ใจเต้นและมีอารมณ์แบบว่า เออ นั่นแหละ”

“แต่มึงกลับไม่มีอะไรเลย”

“อื้อ” ทอยยอมรับ ผมมองใบหน้าเรียบเฉยของมันอย่างพูดไม่ออก ไม่แน่ใจว่าตามทันคำพูดทั้งหมดที่เพิ่งได้ยินไหม แต่ก็พอเข้าใจความรู้สึกของคนๆหนึ่งที่ต้องหลบไปดามใจเกือบหายดีแล้วต้องกลับมาอ่านหนังสือเล่มเดิมที่คิดว่าไม่น่าจะไปรอดอีก

“แล้ว ไอ้ฉัตรล่ะ”

“เฮ้อ... กูยังไม่ได้คุยกันเลย กูอยากคุยกับมึงก่อนว่ากูเป็นอะไรวะ” เออ ดีเนาะ ถามกู จะรู้มั้ยว่ามึงเป็นไร

“หรือมึงแค่สับสน หรือไม่ก็กลัวว่าจะโดนทิ้งอีกรอบ” ผมลองเดา

“สับสนไม่น่าใช่ เพราะกูไม่ได้อยากกอดฉัตรหรืออยากนัวเนียเชิงชู้สาวด้วยเลย เรื่องจะโดนทิ้ง กูว่าไม่มีทาง กูเคยโดนมาแล้ว กูมีภูมิคุ้มกัน”

“แล้วกูต้องพูดอะไรวะ” ผมเลยถามมันไปตรงๆ เกิดมาไม่เคยมีความรักเป็นรูปเป็นร่างมาก่อน อ้อ ไม่นับพี่เจดนะ รายนั้นไปคบกับเดือนมหา’ลัยปีสองไปแล้ว แถมหวานออกสื่อจนมีแฟนคลับตามติดเป็น #เจดเคมีเอฟซี ไปแล้ว

“แค่ฟังก็พอ” มันตอบ ก่อนจะเสริมมาด้วย “มึงว่ากูเป็นไรวะ” เออ...วนลูป

“อืมมมมมม พวกมึงเคยไปเดตกันสองต่อสองปะ” ไอ้ทอยพยักหน้า “แล้วเคยมีอะไรกันมั้ย”

“มึงฟังกูมั้ยเนี่ย กูบอกว่าไม่มีอารมณ์กับฉัตรเลย” เออ ว่ะ ลืมๆ ...

“ไม่เลย สักนิดก็ไม่เลย” ผมถามย้ำ

“เออ” มันตอบห้วนๆ ผมละคิดมากเลย

“เอางี้มั้ย มึงลองจูบกับคนอื่น แล้วมาเทียบความรู้สึกกับตอนที่จูบกับไอ้ฉัตร”

“เชี่ยละ กูจะไปจูบกับใครล่ะครับ จูบมั่วๆก็โดนตีนพอดี”

“ก็จริงของมึง โอ๊ย ทำไมชีวิตมึงมันยากอย่างนี้วะเนี่ย” ผมปวดหัวตึ้บ แค่เรื่องเรียนและดูแลไอ้ตงก็ยุ่งสายตัวแทบขาด

“มึงต้องช่วยกูสิ กูเพื่อนมึงนะ” มันชอบเอาประโยคนี้มาอ้าง อยากถามกลับว่าให้กูเป็นผัวมึงเลยแต่ก็ได้แค่คิด

“เห้อ” พวกเราถอนหายใจพร้อมกันก่อนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“คิดไม่ออก กลับกันก่อนมั้ย กูง่วง” ผมเสนอ เมื่อเช้าตื่นตีสองครึ่งทั้งที่เข้านอนห้าทุ่ม ร่างกายตอนนี้เริ่มไม่ไหว

“เออ ตามึงดูง่วงๆ ว่าจะทักแต่ก็ลืม” ไอ้ทอยเข้าใจ พวกเราเลยเดินออกจากห้างสรรพสินค้า มันพาผมเดินไปลานจอดรถก่อนขับออกมา แต่ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รถจอดสนิทที่ลานจอดรถไม่คุ้นตา มีไออุ่นมากระทบแก้มเป็นจังหวะหายใจ ริมฝีปากถูกอะไรบางอย่างประกบอยู่ พอได้สติเต็มร้อยก็พบว่าใบหน้าหล่อๆของไอ้ทอยแนบชิดอย่างแผ่วเบา

“ตื่นแล้วเหรอ”

“ห๊ะ เอ่อ อื้ม” มันถามแบบไม่แคร์เลยว่าเพิ่งขโมยจูบผมเมื่อครู่ แถมใบหน้ายังเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกด้วย

“ลงมาสิ คอนโดกูเอง กูขี้เกียจปลุกเห็นมึงหลับอยู่เลยขับยาวมา” คอนโดผมอยู่ก่อนถึงคอนโดมันเสียอีก เลยได้แต่ทำใจกล้าเดินตามไปติดๆ ในใจระส่ำระสายคิดไม่ตกกับเหตุการณ์เมื่อครู่

“มึง คือ...”

“อะไรของมึงเนี่ย เข้ามา” มันลากแขนผมเข้าไปในลิฟต์ก่อนกดชั้นที่ต้องการ รู้ตัวอีกทีผมก็นั่งโซฟาในห้องมันแล้ว

“ดื่มอะไรมั้ย”

“ไม่อะ กูโอเค มึง...” ผมพูดจบแค่นั้นจนไอ้ทอยย้ายร่างสูงๆของมันมานั่งเบียด

“มึงอยากรู้ใช่มั้ยว่าทำไมกูถึงจูบมึง” เจ้าของห้องถามหน้าตาย ผมเสียอีกที่เสียอาการ

“อะ อื้อ” ยอมรับก็ได้วะ อยากรู้แต่ไม่กล้าถาม

“ก็ทำตามที่มึงแนะนำไง ลองจูบคนอื่น” มันทำหน้าทะเล้น

“บะ บ้า กูหมายถึงคนอื่น คนอื่นน่ะ คนอื่นที่ไม่ใช่กู” เสียงร้อนรนมากครับ คุมไม่ได้ด้วย

“เอาน่า มึงเพื่อนกู ถือว่าช่วยกัน”

“ไอ้เชี่ย แล้วมึงสปาร์กปะล่ะจูบกับกูน่ะ” ผมมองหน้ามันที่นิ่งเงียบ

“ไม่ว่ะ” มันตอบพลางส่ายหน้า ผมเลยถอนหายใจอย่างโล่งอก ดวงตาปิดสนิทเพราะความง่วง ปล่อยให้เจ้าของห้องทำธุระของตัวเองตามสบาย ก่อนสติจะดับวูบไปทั้งที่พิงโซฟาอยู่อย่างนั้น

#### ####

[อัคคี]

             ผมมองใบหน้าที่นอนหลับลมหายใจราบเรียบอย่างระบุอารมณ์ไม่ถูก จากที่ไม่เคยคิดเลยว่าจะเริ่มรักใครใหม่อีกครั้งก็กลับมาหวั่นไหว ไอ้หนึ่งมันซื้อบื้อปนโง่ที่มองไม่ออกว่าตงฉินน่ะรักมัน และแน่นอนว่ามันก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกผมก็เปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่มันคอยให้กำลังใจเรื่องที่เคยเจอมาเมื่อต้นปีก่อน ยิ่งนานวันที่ใกล้ชิด ผมก็ห้ามใจตัวเองยากขึ้นทุกที น้ำเสียงและท่าทางจริงใจของมันคือเสน่ห์ที่ผลักไสให้ตกหลุมรักอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้มันจะดูถูกตัวเองว่าไม่หล่อหรือจนอยู่ไม่ขาดปาก แต่สำหรับผมแล้ว การกระทำของมันหล่อกว่าใครที่เคยรู้จักด้วยซ้ำไป

“กูจะทำยังไงกับมึงดีวะ” ผมยืนมองร่างที่หลับและพึมพำกับตัวเองอยู่ห่างๆ จูบแรกที่ผมลองกับมันในรถกระตุ้นความรู้สึกตื่นเต้นจนใจสั่นเหมือนครั้งที่นอนกอดกับฉัตรพงษ์ไม่มีผิด ทั้งที่รู้ว่าคนเบื้องหน้ามีเจ้าของแล้วก็ตามที

“ฉัตร เรามีเรื่องอยากคุยด้วย” ผมกดส่งข้อความส่งไปก่อนที่อีกฝ่ายเป็นฝ่ายโทรกลับ เมื่อเห็นว่าไอ้หนึ่งหลับสนิท ผมเลยถือโอกาสออกไปเพื่อเคลียร์กับอดีตคนรักให้ทุกอย่างมันชัดเจนและไม่ติดค้างอะไรต่อกันอีก

#### ####

[ตงฉิน]

             สะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะความเย็นเกาะกุมจนหนาว สายตาที่ปรับสภาพได้แล้วก็พบว่าที่ข้างๆว่างเปล่า ผมเปิดไฟที่หัวเตียงเพื่อไล่ความมืดมิด สลัดความง่วงงุนออกให้หมด หยิบมือถือที่บอกเวลาสี่ทุ่มครึ่งก่อนเดินออกมาที่ห้องรับแขกว่างเปล่า ไม่มีเงาของคนตัวเล็กที่นอนกอดแม้แต่น้อย ห้องนอนเล็กก็เงียบและมืดสนิทไร้เงาสิ่งมีชีวิตเช่นกัน พอมองไม่เห็นใครความโดดเดี่ยวก็แล่นพล่านเกาะกุมหัวใจเสียอย่างนั้น มือใหญ่ทำท่าจะกดโทรหาแต่ก็ถูกจิตใจฝั่งคนดีบอกให้หยุด เขาอาจกลับบ้านหรือมีธุระ แต่จิตใจฝั่งคนเลวก็คอยยุยงให้โทรตามตัวกลับมาทันที

             ผมดื่มนมเปรี้ยวดับความหิวแสบท้องก่อนนั่งเงียบบนโซฟาเปล่าเปลี่ยว ห้องกว้างใหญ่ที่ไม่มีอีกคนอยู่ด้วยมันเงียบเชียบถึงเพียงนี้เชียวเหรอ ผมไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าสิ่งของหรูหราวางเกลื่อนห้องจะชวนอ้างว้างและหดหู่ใจถึงเพียงนี้ มือถือในมือเงียบกริบ แต่ในหัวผมกลับเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยดังลั่น ลองเปิดโทรทัศน์ที่วางไว้เฉยๆมาเป็นปีเพื่อหารายการสนุกดูก็ไม่ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ซีรี่ย์ที่ผมแสดงอยู่ออกอากาศเวลานี้พอดีฉายภาพเห็นใบหน้าหล่อของพี่ไนล์ที่แสดงร่วมกันจนทำให้คิดถึงเรื่องเมื่อกลางวัน ตอนนั้นผมแค่หลับตาแต่ไม่ได้หลับ ยังมีสติและได้ยินบทสนทนาที่นายเอกซีรี่ย์คู่ขวัญที่แฟนๆจิ้นให้เป็นแฟนกันจริงๆกำลังพูดจาแทะโลมเพื่อจะจีบไอ้หนึ่งอย่างออกนอกหน้า ผมฟังอยู่นานจนเริ่มทนไม่ได้จึงได้บอกให้มันไปเอาน้ำมาให้ดื่ม พอลืมตาก็พบว่าใบหน้าหล่อฉายแววไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

“คนนี้พี่ขอนะ” คำพูดนั้นตรงจนน่าโมโห ผมไม่ตอบเว้นวรรคให้อีกคนร้อนรนจนกระทั่งได้ยินเสียงของไอ้หนึ่งวิ่งใกล้เข้ามา

“พี่มาขอจากผมทำไมล่ะครับ หนึ่งไม่ใช่สิ่งของที่ผมจะเที่ยวยกให้ใครต่อใครได้นะ และอีกอย่าง พี่ก็ดูเอาเองละกันว่าสายตาของหนึ่งน่ะมองใคร ผมคงไม่ต้องตอบหรอกนะครับ คิดว่าพี่ไนล์คงเห็นมานานแล้วถึงได้กล้าเข้าหา” แล้วไอ้เตี้ยก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม ผมหยิบกระบอกน้ำมาดื่มและยิ้มกลับโดยไม่ลืมพูดขอบคุณ อีกคนท่าทางแปลกใจแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาแต่ถือวิสาสะมานั่งเบียดบนโซฟาทั้งที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง พี่ไนล์ไม่พูดอะไรอีกแต่ก็ไม่มีท่าทีโกรธขึ้ง ผมเข้าใจว่ารายนั้นคงอยากบริหารเสน่ห์เหมือนที่เคยทำมาตลอดนั่นแหละ แต่ดีที่ไอ้หนึ่งมันไม่ชายตามองใครเลยนอกจากผม

...จะว่ามั่นใจ ก็ไม่ผิดหรอกนะครับ คนมันมีดีให้รักให้หลงนี่นา....

“อยู่ไหนเนี่ย ทำไมยังไม่กลับบ้าน” ผมถามทันทีที่ปลายสายกดรับ เสียงงัวเงียก็ตอบกลับ

[อยู่คอนโดไอ้ทอย เจอมันตอนเย็นน่ะ ง่วงเลยเผลอหลับ]

“แล้วจะค้างที่โน่นเลยไหม” ผมถามแม้น้ำเสียงจะปกติ แต่ตอนนี้ในใจร้อนรุ่มแทบบ้า มันเป็นอาการที่ไม่เคยเป็นมาก่อนด้วย

[กลับๆ ไม่อยากกวนมัน เดี๋ยวเจอกัน] ปลายสายตอบ ตามด้วยเสียงยวบยาบน่าจะเพราะเปลี่ยนท่านอนมานั่ง

“ส่งโลเคชั่นมา เดี๋ยวไปรับ” ผมหลุดปาก ตกใจตัวเองเหมือนกันที่ถามออกไปแบบนั้น

[ไม่ต้องหรอก ดึกแล้วเดี๋ยวนั่งแท็กซี่ไป]

“งั้นเจอกันที่ร้านข้าว xxx นะ หิวอะ” ผมบอก

[ให้แวะซื้อมั้ย กำลังจะออกไปละ]

“ออกไปกินเองดีกว่า นอนอุดอู้จนเบื่อละ” ความจริงคือมันเหงาจนไม่อยากอยู่ห้องต่างหาก

[ตามใจ เดี๋ยวเจอกัน]

“ชวนทอยมาด้วยสิ” อยากตบปากตัวเองจังวะ

[มันไม่อยู่ ไม่รู้ไปไหน] แล้วไอ้หนึ่งก็วางสาย ผมแอบถอนหายใจเมื่อรู้ว่าเจ้าของห้องไม่อยู่ ไอ้ความคิดแปลกๆที่ว่าสองคนนั้นจะทำอะไรกันก็หายวับพร้อมกับความโล่งอก ผมเดินไปเปิดไฟจนสว่างทั่วห้อง เดินไปสำรวจสภาพตัวเองในห้องน้ำ ผมเผ้าฟูกระเซิงจนต้องหาหมวกมาสวม ไม่อยากเสียเวลาจัดทรงใหม่ เสื้อผ้ายับย่นไม่เป็นปัญหาเพราะค่อนข้างดึก ร้านประจำของกลุ่มเราที่อยู่ไม่ไกลจากมหา’ลัยเปิดจนถึงเที่ยงคืน มีอาหารหลากหลายให้เลือก อร่อยและราคาย่อมเยา เมื่อคว้ากุญแจรถได้ผมก็ฮัมเพลงเดินไปที่ลิฟต์จนกระทั่งถึงลานจอดรถ

“รอนานมั้ย โทษทีๆหาแท็กซี่ยากน่ะ” ไอ้หนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาที่ร้าน ทรงผมหยิกหยองที่ฟูฟ่องบวกใบหน้าเหรอหราจนกลั้นหัวเราะไม่ได้ทำให้มันนั่งด้วยสีหน้าบึ้งตึง “หัวเราะอะไรไม่ทราบ”

“หัวเราะมึงนั่นแหละ รีบมากใช่ปะ หัวฟูเลย” ผมแซว คนที่นั่งอีกฝั่งรีบใช้สองมือสางจัดทรงแต่ก็ดูจะไม่เป็นผล

“เอามานี่เลย” มันอาศัยจังหวะเผลอกระชากหมวกผมไปสวม ก่อนจะหัวเราะที่เห็นสภาพกระเซิงไม่ต่างกัน

“หยุดเลยนะมึง ห้ามขำ” ผมดึงหมวดกลับมาสวมโดยที่มันไม่ได้ห้าม แล้วกับข้าวก็มาเสิร์ฟเพราะผมสั่งไว้ก่อนแล้ว เราสองคนต่างหยุดพูดและหันมาสนใจกับความอร่อยตรงหน้า มันเป็นมื้อธรรมดา แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันอร่อยจนหยุดกินไม่ได้ ใบหน้าอ่อนล้าของคนหัวฟูตั้งใจตักกับข้าวมาใส่จานผมยิ่งทำให้ใจเต้นแรงขึ้นไปอีก นี่คงเป็นเพราะผมอินกับบทบาทที่แสดงล่ะมั้ง ไม่ใช่ความรักหรอกเนอะ ... บ้าจริง หยุดยิ้มไม่ได้เลย...
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 35 P.6 Up 20 มี.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 20-03-2021 20:27:44
 :-[ :o8: :mew1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 35 P.6 Up 20 มี.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 20-03-2021 21:08:24
น้องหนึ่งสเน่ห์แรงจริงๆ ใครๆ ก็เข้ามาจีบ พ่อหนุ่มเนื้อหอม
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 36 P.6 Up 27 มี.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 27-03-2021 14:35:38
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 36. จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า ขอข้าวขอแกง ...

              ผมเองครับ เอกราชเจ้าเก่า จะเรียกหนึ่งหรือไอ้เตี้ยก็ได้ตามสะดวก ช่วงนี้มีหยุดยาวให้นักศึกษาพักหายใจก่อนสอบปลายภาค พวกเราเลยตัดสินใจย้ายสถานที่อ่านหนังสือจากห้องสมุดมหา’ลัยเป็นริมทะเลที่เกาะเสม็ดตามไอเดียของไอ้ตง เริ่มแรกมันโทรไปชวนพี่เอก (พี่ชายไอ้โทและเป็นแฟนพี่ต่อพี่ชายไอ้ตงนั่นแหละ) แต่รายนั้นไม่ว่าง...ผมเลยเอ็ดมันไปยกหนึ่งว่าทำไมต้องตามแกล้งพี่ต่อขนาดนั้น แทนที่มันจะสำนึก เปล่าเลย ตอบกลับหน้าตาเฉยว่า

“กูอยากแกล้ง ชอบหวงก้างดีนัก” นั่นล่ะไอ้ตงล่ะ แต่มันก็ไม่ได้คิดจะจีบพี่เอกแบบจริงจังนะครับ แค่หมาหยอกไก่ แล้วผมก็ไม่ได้คิดมากด้วย เพราะรู้ดีว่าพี่เอกไม่ปันใจมาหาคนน้องหรอก คนพี่อย่างพี่ต่อพงษ์ทั้งหล่อกว่า สูงกว่า เพียบพร้อมกว่าชนิดที่ว่าไอ้ตงเทียบไม่ติดเลยก็ว่าได้

             หลังจากดื่มด่ำกับทะเล แสงแดดและหาดทราย พวกเราก็หามุมสงบติวหนังสือกันอย่างตั้งใจ(งั้นเหรอ) ยกมาทั้งแก๊งยกเว้นฉัตรพงษ์พี่ชายฝาแฝดของฉัตรชัยที่หายหน้าไปสักพัก พอถามก็ไม่มีใครตอบอะไรเลยทั้งไอ้ทอยและไอ้ชัย แถมทั้งสองคนก็เหมือนจะตึงๆใส่กันอีกด้วย ห้าสาว ขวัญใจ ยุนอา มะเหมี่ยว วาวาและน้องฟางมากันครบ ผมล่ะนับถือน้ำใจแฟนเด็กของไอ้คิ้วมันจริงๆนะครับที่ยอมแอบมาเที่ยวตามมันต้อยๆ

“มึงมองแฟนกูทำไมไอ้เตี้ย” นั่นไง แค่มองก็ไม่ได้ กูไม่นิยมหอยโว้ย

“มองไม่ได้รึไง น้องฟางน่ารัก” ผมกวน

“แค่น่ารักเหรอคะพี่หนึ่ง ว้า” นั่นไง แก่แดดจริงๆเด็กสมัยนี้

“ฟางมาเที่ยวกับพี่ๆแบบนี้พ่อแม่ไม่ว่าเหรอ” ผมลองถาม

“ไม่ว่าหรอกค่ะ เพราะบ้านฟางกับพี่คิ้วรู้จักกันเห็นกันมาตั้งแต่เกิด แล้วช่วงนี้ที่บ้านก็วุ่นๆเพราะพี่สาวฟางไม่ค่อยสบายด้วย” น้องเล็กสุดอธิบายอย่างน่ารัก มิน่าล่ะไอ้คิ้วถึงตกหลุมรักหัวปักหัวปำ

“อ้อ พี่สาวเป็นอะไรอ่า ขอให้หายไวๆนะ” ผมอวยพรแต่ก็ไม่วายเผือก

“พี่เฟียสเป็นมะเร็งค่ะ กำลังรักษาอยู่” กริบสิเมื่อน้ำเสียงของน้องฟางดูเศร้า พวกเราเลยแก้เก้อด้วยการปลอบใจว่าการแพทย์สมัยนี้ก้าวหน้าแล้ว ไม่นานก็หาย ปลอบอยู่นานจนสีหน้าน้องดีขึ้นก็พากันเดินเล่นรอบหาดเพราะไม่มีสมาธิอ่านหนังสือกันแล้ว

             หลังจากไอ้ทอยจูบผมวันก่อน มันก็ไม่แสดงทีท่าอะไรที่ผิดแปลกไปจากเดิม เราเลยมองหน้ากันได้อย่างสนิทใจได้อีกครั้ง แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือการหายตัวไปของฉัตรพงษ์ที่แม้แต่ไอ้ชัยยังไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไรชวนให้ขบคิด ผมคิดว่ารู้คำตอบเพราะคืนที่ไอ้ทอยพาไปที่คอนโดมัน ผมออกมากลางดึกโดยที่เจ้าของห้องไม่อยู่ด้วยซ้ำ และวันถัดมาก็ไร้เงาของฉัตรผู้พี่ พอปะติดปะต่อได้ก็เริ่มเข้าเค้าว่าไอ้ทอยคงไปบอกเลิกอย่างเป็นทางการเข้าแล้ว

ตุบ!

“เชี่ย” ผมสบถเมื่ออยู่ๆก็เดินชนแผ่นหลังเพื่อนในกลุ่มที่หยุดเดินเอาดื้อๆ เพื่อนพ้องต่างพากันหยุดตามเมื่อเห็นท่าทางแปลกๆของไอ้คิ้ว สายตามันจับจ้องไปยังเก้าอี้ชายหาดที่มีผู้ชายสองคนกำลังนอนกกกันอย่างไม่แคร์สายตาคนเดินผ่านไปผ่านมา เห็นคนตัวโตกว่าที่นอนข้างล่างแล้วผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่เลยครับ หน้าตาหล่อมากแถมยังขาวจัดจนสะท้อนแสงได้เลยล่ะ กล้ามแน่นทุกส่วนแถมตรงกลางลำตัวนูนเด่นชัดแม้มองจากระยะไกลเช่นนี้ ความสูงที่มากมายจนไม่เผื่อแผ่ผมเลยชวนอิจฉา ด้านบนมีร่างผู้ชายรูปร่างดีหน้าตาหล่อดูคุ้นตานอนทับโดยไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่ใช่เพื่อนกันธรรมดาแน่ๆ

“พะ พี่...” น้องฟางพูดตะกุกตะกัก ท่าทางช็อกไม่ต่างกับไอ้คิ้วชวนให้สงสัย

“เป็นไรวะ” เสียงหนึ่งถาม ผมจำไม่ได้ว่าใครเพราะเราเดินเป็นกลุ่มใหญ่ ไอ้คิ้วไม่ตอบแต่เดินไปตรงผู้ชายสองคนนั้นอย่างเลื่อนลอย ใบหน้าบอกอารมณ์หลากหลาย ไม่ว่าจะแปลกใจ เสียใจหรือโกรธขึ้ง

“พี่คิง” เสียงของมันสั่นเครือก่อนที่ผู้ชายที่นอนอยู่ด้านบนจะลืมตามามองและสะดุ้งสุดตัว

“คิ้ว!”

#### ####

             ผมนั่งมองเพื่อนที่ไม่ยอมหยุดถอนหายใจตั้งแต่ไปเจอพี่ชายที่มันยึดถือเป็นไอดอล ดาร์ก ทอล หล่อ ล่ำ มาดแมนกอดก่ายกับผู้ชายหน้าตาหล่อหุ่นบึกเหมือนนักกล้ามเมื่อตอนบ่าย ถึงแม้จะคุยกันเสร็จและเรื่องจบด้วยดีก็เถอะ ท่าทางของมันยังช็อกอยู่ไม่น้อย ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจนักหรอก ถ้าเป็นตัวเองเจอเข้าแบบนี้คงไปไม่เป็นเหมือนกัน

“มึงจะพ่นลมอีกนานมั้ย แดกๆๆ” ไอ้ฉัตร เอ๊ย ชัยที่สนิทกับมันมาตั้งแต่มัธยมคุมสติได้ดีกว่า เขย่าร่างเพื่อนเรียกสติ ถึงแม้มันจะจะตกใจไม่ต่างกันก็ตาม แต่การที่เพิ่งมารู้ว่าพี่ชายฝาแฝดตัวเองเป็นเกย์ก่อนหน้านี้ไม่นานเลยทำใจได้ไวกว่า ผิดกับไอ้คิ้วที่ยังอึ้งกับภาพและเรื่องราวที่ได้พบเจอจนเงียบกริบเหมือนหุ่นยนต์ตลอดเวลาที่กำลังปาร์ตี้กันอยู่

“เฮ้อ” ยังไม่หยุดถอนหายใจ

“มึงจะคิดมากทำไมวะ พี่มึงมีแฟน มึงควรยินดีด้วยสิถึงจะถูก” ไอ้โทออกความเห็นโดยมีสาวๆพยักหน้าเห็นด้วย

“ใช่แล้วพี่คิ้ว อย่างน้อยพี่คิงก็มีคนดามใจแล้วไง” น้องฟางต้องมาปลอบใจแฟนหนุ่มซะงั้น เรื่องราวที่เหมือนนิยายน้ำเน่าที่ได้ฟังจากปากของทั้งคู่ยังติดในสมอง ไอ้คิ้วมีพี่ชายชื่อคิง และฟางมีพี่สาวชื่อเฟียซ พี่ของทั้งคู่หมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ฝ่ายหญิงขอถอนหมั้นเพราะป่วยเป็นลูคีเมียทำให้ฝ่ายชายเป๋และโดนเด็กหนุ่มหน้าตาดีตามขายขนมจีบจนตกเป็นแฟนกันโดยที่ทั้งไอ้คิ้วและฟางต่างไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน เพราะพี่คิงมาดแมนไม่เคยมีวี่แววจะนิยมบริโภคไส้กรอกมาเลยตลอดเวลาสามสิบกว่าปี มันจึงทำให้ไอ้คิ้วปวดกบาลไม่หยุดหย่อนอยู่เช่นนี้

“แต่ โอ๊ย นั่นพี่กูไง พี่ชายกู อยู่ๆก็มีผัว ให้กูปลงง่ายๆได้ไงวะ” ไอ้คิ้วยังไม่สงบ ท่าทางจะช็อกไม่หาย

“มึงรู้ได้ไงว่าพี่เค้ามีผัว พี่เค้าอาจมีเมียก็ได้นี่หว่า” ไอ้ฉัตรที่กำลังเมาได้ที่ย้อน ผมเลิ่กลั่กมองหน้าไอ้ตงที่ปิดปากเงียบ แต่ไอ้โทดันโพล่งมาประโยคคล้ายของเดิมราวกับเดจาวู

“ใช่ๆ มึงดูไอ้หนึ่งกับไอ้ตงสิ ไอ้ตงตัวโตกว่าตั้งเยอะยังเป็นเมียเลย”

“ไอ้โท ไอ้สัส” ผมด่าและพุ่งไปปิดปากมันไว้ แต่ถูกขวัญใจแงะมือผมออกอย่างหวงแหน ปกป้องกันเข้าไปสิ

“เออ ก็จริง” วาวาสนับสนุนเสียอีก ดีนะที่สาวๆในกลุ่มไม่ปากโป้งเรื่องที่ไอ้ตงเป็นเกย์กับคนอื่น

“จริงเหรอวะไอ้ตง” ไอ้คิ้วหันมาคาดคั้นจนคนถูกยิงคำถามอึกอัก

“เออ” และยอมรับในท้ายที่สุด คงเพราะสงสารเพื่อน ไอ้ตงเลยยอมกลืนศักดิ์ศรีตัวเองทิ้ง

“แต่ทำไมต้องมีแฟนเป็นผู้ชายด้วยล่ะ พี่กูแมนๆเตะบอลนะเว้ย ไอดอลกู ไอดอล...อืออออออออ”

“โอ๊ย แค่เค้ามีแฟนเป็นผู้ชายมันบาปหนักเหรอไอ้คิ้ว หรือว่ามึงรังเกียจเกย์” ไอ้ทอยที่อินดี้นั่งนิ่งมาตลอดเวลาพูด

“ก็ ไม่ใช่ดิ กูแค่สับสน ไม่ได้รังเกียจหรืออะไรหรอก”

“เออ ก็ดี ไม่งั้นมึงคงได้เกลียดกู ไอ้ตง ไอ้หนึ่งแน่ๆ” ไอ้ทอยพูดรัว ไม่รู้ว่าเพราะเมาหรือเพราะโดนคำพูดไอ้คิ้วกระตุ้นกันแน่

“ห๊ะ ไอ้ทอย มะ มึงก็...” ไอ้ชัยทำท่าไม่เชื่ออย่างตอแหล ผมเลยปาหัวกุ้งใส่หน้ามันอย่างหมั่นไส้ ท่าทางสะดีดสะดิ้งของมันที่โดนปาของใส่น่าขันจนพวกเราพากันหัวเราะออกมาได้ในที่สุด ส่วนไอ้คิ้วก็ดูจะสบายใจมากขึ้นโดยมีแฟนสาวกุมมือให้กำลังใจอยู่ไม่ห่าง

             ยิ่งดึกยิ่งเงียบเหงา เมื่อแผนการเปลี่ยนสถานที่อ่านหนังสือล้มพับกลายเป็นสถานที่ดื่มจนเมามายล้มพับกันไปหมด ยังดีที่พอจะปลุกให้แยกย้ายเข้าไปห้องพักของแต่ละคนได้ไม่ยากเย็นนัก เราจองบ้านพักเป็นหลังที่สามารถจุคนสิบกว่าคนได้ มีห้องนอนสามห้องแบบเตียงรวมนอนได้ 3-4 คนต่อห้องแล้วแต่ใครจะนอนกับใคร ผมที่เริ่มสร่างเพราะลากร่างไอ้โทที่เมาป้อแป้ไปที่นอนจนเหงื่อชุ่มก็เลยออกมาสูดอากาศเค็มชื้นเลียบหาด แสงไฟรอบๆต่างปิดกันแทบทุกแห่ง แต่แสงสว่างจากดวงจันทร์พอให้เห็นภาพทะเลสีดำส่งเกลียวคลื่นมาไม่ขาดสาย ทรายเนื้อละเอียดกระเด็นเข้ามาในร้องเท้าแตะจนคันยุบยิบ

“ทำไมมาคนเดียวล่ะ”

“เชี่ย ตกใจหมด” ผมผงะเมื่อถูกมือใหญ่คว้าที่ไหล่ ตงฉินในเสื้อกล้ามสีขาวกับบ็อกเซอร์ลายจุดสีดำเดินตามมาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ เสียงคลื่นกระทบฝั่งคงกลบเสียงฝีเท้าจนไม่ทันสังเกต “ตามมาทำไม ไม่ง่วงเหรอ”

“ใครตาม กูแค่นอนไม่หลับเลยออกมาเดินเล่น” จ้ะ...หาดตั้งกว้าง แต่เดินเล่นมาทางเดียวกันเนี่ยนะ เชื่อได้จริงๆ

“ไม่เมาเหรอ” ผมไม่พูดในสิ่งที่คิด แต่ถามในสิ่งที่อยากรู้

“ก็มึนๆ” ท่าทางปกติไม่บอกว่ามึนเลยสักนิด

“จับมือได้มั้ย” ผมคว้ามือคนตัวสูงอย่างไม่รอคำตอบ ฤทธิ์แอลกอฮอล์คงไม่หมดไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าขอและทำแบบนี้

“ห๊ะ” เสียงตกใจแต่กลับไม่ชักมือกลับ เราเดินเงียบเชียบให้ลมทะเลพัดกรูผสานเสียงคลื่นซัดสาดไปมาอย่างผ่อนคลาย นิ้วมือสอดประสานกันแน่นส่งเสียงคุยกันไม่หยุด พวกเราจึงไม่ปริปากออกมาเพราะต่างปล่อยใจไปตามธรรมชาติในค่ำคืนนี้ โขดหินที่อยู่รายล้อมมีคู่รักจับจองแอบอิงกันหลายคู่ เสียงครางกระเส่าดังแทรกมาจนต้องหยุดเดิน

“ดะ ได้ยินใช่มั้ย” ผมถาม มองตากันเลิ่กลั่ก

“อะ อื้อ” ไอ้ตงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ลืมนึกไปเลยว่าฉายาเกาะนี้คือ เสม็ด เสร็จทุกราย นี่เราเดินมาไกลจนมาเห็นอะไรแบบนี้เลยหรือนี่ “กะ กลับเถอะ” ไอ้ตงชวน

“อะ เออ กลับๆ” ผมตอบรับเงอะๆเงิ่นๆ รู้สึกหน้าร้อนไปหมด ทำตัวไม่ถูกเหมือนวันรุ่นเพิ่งเรียนรู้ความรัก ทั้งๆที่มีอะไรกับคนที่เดินข้างๆมาหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม

“ง่วงแล้วอะ” ตงฉินพูด แต่ผมว่ามันกลบเกลื่อนความกระดากมากกว่า

“งั้นกลับไปนอนกัน” แล้วมือที่ผละจากกันตรงโขดหินก็มาสอดประสานกันอีกครั้ง “ตง”

“หืม”

“เคยคิดมั้ยว่าจะได้มาเดินเล่นกันแบบนี้” อยู่ๆผมก็ถามออกไปทั้งที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน

“ไม่อะ” มึงก็ตอบตรงป๊ายยยยยยยยย

“แล้วชอบมั้ย” ผมถามและกระชับมือที่จับให้แน่นกว่าเก่า

“ชอบอะไร” มันถามแต่ไม่มองหน้าผม สายตาจับไปที่พื้นที่สีดำเวิ้งว้างของน้ำทะเล

“ที่ได้มาเดินเล่นแบบนี้ไง” ผมใจสั่น นี่กูจะถามให้ได้อะไรวะ คาดหวังอะไรวะเนี่ย

“ก็โอเคนะ ไม่ได้แย่” ตอบสไตล์ดาราหนุ่มผู้เย่อหยิ่งอีกละ

“อยากเดินด้วยกันไปนานๆมั้ย” กึก... สองขาหยุดเดินไปดื้อๆ

“หืม นานแค่ไหนวะ แค่นี้ก็เมื่อยละ” ผมนี่อยากเอาทรายยัดปากมันจริงๆเลยครับ

“มึงแม่ง” ผมงอแง แต่ก็เก็บอาการไปก่อน แสงจันทร์นวลสาดส่องมากระทบใบหน้าคนตัวสูงที่หันออกทางทะโดยมีผมยืนสบตาไม่ห่างชวนให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ความหล่อเหลาของมันไม่เคยน้อยลงเลยแถมยังทำให้ความรู้สึกของผมพุ่งขึ้นทุกวินาทีที่อยู่ใกล้

“มองอะไรเนี่ย” มันถามเก้อๆ สายตายังมองไปที่ทะเลสีมืดทะมึน

“มองมึงไง ไม่ได้เหรอ” ผมยิ้มกริ่ม มองคนหน้าตายที่กำลังเก็บอาการอย่างนึกขำ รอดูว่ามันจะเสแสร้งไปได้กี่น้ำ

“ไม่ได้ เดี๋ยวสึกหมด” อยากกระแทกเข่าเข้าลิ้นปี่มันจัง

“ไม่มองก็ได้ งั้นเราลองทำนอกสถานที่เหมือนที่เค้าทำที่โขดหินบ้างมั้ย”

“ไม่เอาไม่สัส” มันตบกบาลผมหนึ่งทีด้วยแหละ ดาวเต็มหน้าเลย

“งั้นแค่จูบได้มั้ย” ผมลองแหย่ต่อ ดูท่าทีว่าจะตอบโต้ยังไง

“จูบทำไม ไม่ได้เป็นอะไรกัน”

“เหอะ เอากันจนพรุนแล้วนะ” ผลั่ก! นั่นไง กำปั้นฮุกที่หน้าท้องจุกไปหมด

“สัส” มันด่าซ้ำ

“จะ จุก มึงแม่งใจร้ายว่ะ กูผัวมึงนะ” ผมแกล้งหายใจแรงๆหวังให้มันสำนึก แต่...

“สมน้ำหน้า ใครใช้ให้มึงหน้าด้านออกอาการหื่นล่ะ”

“เดี๋ยวกูจัดให้เดินไม่ได้เลย” ผมขู่ไปงั้น พอทำจริงมันก็เดินไม่ได้ทุกครั้งแหละ

“โว้ย มึงนี่แม่ง กูไปละ” มันสะบัดมือทิ้งและเดินหนี ผมจึงต้องรีบวิ่งไปง้อ ฉุดกระชากกันอยู่สักพักกว่ามันจะยอมให้จับมืออีกครั้ง เหงื่อไหลเลยสิ อยู่ดีไม่ว่าดีอยากไปล้อเลียนมันดีนัก เหนื่อยมั้ยล่ะไอ้หนึ่ง

“ขอโทษ ดีกันๆๆๆ”

“เลี่ยนว่ะ ทำยังกะง้อแฟน”

“ก็ใช่ไง”

“”หืมมมมมมมมมมมม ใครแฟนมึง”

“มึงไง” ผมตอบแบบไม่คิด มองใบหน้าที่ตกใจของมันอย่างใจแป้ว “มึงได้ยินไม่ผิดหรอก มึงไงแฟนกู”

“กูเป็นแฟนมึงตอนไหนไม่ทราบ” มันกวน

“ตอนที่กู...”

“สัส ไม่ต้องพูด” มันเอามือข้างที่เหลือมาปิดปาก พอเห็นว่าผมไม่พูดอะไรแล้วถึงได้ปล่อยให้เป็นอิสระ

“ตง”

“หืม อะไรอีก กูง่วงแล้ว” มันเดินลิ่วๆเลยครับ ช่วงขาที่ยาวกว่าทำให้ผมต้องแทบจะวิ่งตามเพราะสองมือยังจับกันอยู่

“หยุดก่อน” ผมรั้ง กว่ามันจะยอมหยุดก็เห็นรีสอร์ตเราในสายตาแล้ว

“มีอะไรอีก” น้ำเสียงดูหงุดหงิด

“กูพูดจริงๆนะ เรื่องเมื่อกี้”

“เรื่องเอ๊าท์ดอ (outdoor) น่ะเหรอ”

“ไม่ใช่โว้ย” เจอมันกวนแบบนี้ก็ชักจะงุ่นง่านละ “เรื่องแฟน...”

“ไม่จบอีกนะมึงน่ะ”

“ยังไม่ได้เริ่มเลย จะจบได้ไงวะ” ผมสบตามันด้วยแววตาแน่วแน่ ก่อนจะทรุดตัวคุกเข่าบนพื้นทรายเหมือนละครที่ดูมา

“มึงจะนอนตรงนี้ไม่ได้นะไอ้หนึ่ง”

“ไอ้สัส กูอุตส่าห์บิ๊วอารมณ์ มึงนี่แม่งกวนตีน”

“เออๆ มึงจะทำไรวะ ลงไปนั่งทำไม” ถ้ามันไม่ซื่อบื้อหรือโง่ขนาดหนักก็คงเขินจนต้องแสดงออกกลบเกลื่อนแหละวะ

“ตง”

“เออ” ดูมันตอบสิ

“กูรู้ว่ากูไม่หล่อ บ้านก็จน เรียนก็ไม่เก่ง ปากก็หมา หน้าก็ด้าน”

“หื่นอีกต่างหาก”

“เออ อะไรก็แล้วแต่ ถึงกูไม่ได้เฟอร์เฟ็กเหมือนคนอื่นๆ แต่...กู...เอ่อ มึงจะเป็นแฟนกูได้มั้ย”

“...” อย่าเงียบสิ ใจคอไม่ดีเลย หน้าตาก็เดายากอีกว่าคิดอะไรยิ่งทำให้ใจเสีย โว้ยกู คิดว่าบรรยากาศเอื้อแล้วแท้ๆ

“กูรู้นะว่าสเป๊กมึงสูง กูอาจไม่ใช่ชายในฝันของมึง แต่ที่ผ่านมากูรักมึงมาตลอด กูรักมึงมากจนกู...” ทำไงดี จะร้องแล้วนะ ใจคอจะให้พูดคนเดียวอีกนานมั้ยเนี่ย กูคุกเข่าแถมยังขอมึงเป็นแฟนแล้วนะ จะรักไม่รัก จะเป็นหรือไม่เป็นก็ตอบๆมาเถอะ เว้นช่องนานขนาดนี้กูคิดไม่ดีจนท้อแท้แล้วนะ น้ำตาจะไหลแล้วเนี่ย โอย...พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยหนูด้วย หนูใจคอไม่ดีเลย

“มึงแน่ใจเหรอว่ามึงอยากเป็นแฟนกูจริงๆ กูนิสัยแย่ขนาดนี้เนี่ยนะ”

“สำหรับกู มึงคือคนที่กูรัก ถึงคนอื่นจะมองว่ามึงเป็นยังไงแต่กูก็ไม่เคยเกลียดที่มึงเป็นมึง” ผมย้ำ เอาให้ชัดเลยเว้ย “ถึงมึงจะดูหยิ่ง เอาแต่ใจ ไม่ยอมคน ไม่มีเวลาให้ จะคบกันต้องปิดเป็นความลับ จะต้องทำเป็นไม่ได้เป็นอะไรกันต่อหน้าคนอื่น ถึงจะต้องคอยตามใจหาข้าวหาน้ำให้ เข้าเรียนแทนและต้องตามไปติวให้ที่กองถ่าย คอยรองรับเยี่ยวมึงตอนเมา...”

“พอๆๆๆ ยิ่งฟังกูยิ่งเกลียดตัวเองว่ะ” ดีนะที่ห้ามไว้ก่อน ไม่งั้นได้พูดอีกเยอะ

“แต่กูรับทุกอย่างที่เป็นมึงได้ กูอยากมีสถานะกับมึงว่ะ ไม่อยากเป็นแค่คู่ขาหรือรูมเมตแล้ว”

“หนึ่ง...”

“กูโอเคถ้ามึงไม่อยากเป็นแฟนกับกูนะ กูก็แค่อยากขอมึงให้เป็นเรื่องเป็นราว ให้มันชัดเจนดีกว่าค้างๆคาๆกันแบบนี้ กูไม่อยากแค่มีอะไรกับมึงแต่ไม่ได้คบกัน กูไม่อยากไร้ตัวตนขนาดนั้นอีกแล้ว”

“กูขอโทษ” เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยย เตรียมจะร้องแล้วนะ

“ถ้ามึงไม่รับรัก กูสัญญาว่าจะไม่รบเร้ามึงอีก แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวและจะเป็นครั้งสุดท้ายที่กูจะพูดเรื่องนี้อีก” ผมใจอ่อนยวบ น้ำตาเริ่มไหลจนต้องก้มหน้ามองทรายสีทึบ กลั้นใจไม่ให้สะอื้นจนกลายเป็นกดดันคนที่ยืนอยู่อย่างหนักหน่วง

“กูขอโทษนะ” ไอ้ตงพูดเสียงสั่น

“ไม่เป็นไร กู...” น้ำตาไหลอาบแล้วสาดดดดด เสียใจโว้ย เสียใจ แต่ไม่ใช่คือไม่ใช่...อย่าร้องนะไอ้หนึ่ง อย่าร้อง

“ที่ผ่านมากูเหี้ยเองที่ทำให้มึงต้องคิดมาก กูไม่ดีเอง”

“ไม่หรอก มึงไม่ได้ทำผิดอะไร กูต่างหากที่คิดไปเอง” เสียงสั่นจนคุมไม่ได้แล้วนะ

“กูไม่รู้เลยว่ากูจะเป็นต้นเหตุให้มึงคิดแบบนั้น กูขอโทษ...” น้ำตาไหลแล้วเสียงสะอื้นก็ดังจนกลั้นไม่อยู่ แค่คำว่าขอโทษนะที่พูดซ้ำไปซ้ำมาก็หดหู่จนเกินกลั้นแล้ว ไหนว่าจะทำใจได้ไงวะ ทำไมกูต้องร้องไห้หนักขนาดนี้ด้วยวะเนี่ย

“หนึ่ง อย่าร้องสิวะ ฟังกูก่อน กูขอโทษ” ไอ้ตงทรุดมากอดและลูบหลังผมที่ปล่อยโฮอย่างไม่อายแล้วตอนนี้ เสียงฝีเท้าหลายคู่วิ่งตึกตักมาทางเราไม่ทำให้ผมหันไปมองด้วยซ้ำ ความเสียใจมันมากมายจนไม่อาจกักเก็บไว้ได้อีก ... อกหักโว้ยยยยยยย

“ไม่ต้องพูดหรอก กูเข้าใจ ไม่รักคือไม่รัก กูไม่ว่าอะไรมึงหรอก” ผมยังร้องไห้ไม่หยุด ไม่อยากฟังคำตอบว่าไม่ออกจากปาก

“โว้ย ฟัง” ไอ้ตงขึ้นเสียง ผมหยุดสะอื้นแล้วมองหน้ากันชั่วครู่ สายตาดันมองผ่านไหล่ไปเห็นเพื่อนๆที่วิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากห้องพักด้วยความตกใจที่ได้ยินเสียงร้องไห้ลั่นหาดเป็นแน่ ดีนะที่เราเหมาไว้ ไม่งั้นแขกคนอื่นคงวิ่งตามเป็นพรวนไอ้ตงได้เป็นข่าวใหญ่ลงสื่อหราทุกสำนัก

“กูขอโทษที่ทำให้มึงคิดมากจนคิดไปว่าไร้ตัวตน สำหรับกู มึงไม่เคยไร้ตัวตนนะไอ้หนึ่ง” ห๊ะ... หมายความว่าไง “ให้เวลากูคิดหน่อยสิโว้ย อยู่ๆมึงก็คุกเข่าและโพล่งมาดื้อๆ กูเมาอยู่ สมองไม่ได้ประมวลผลไวขนาดนั้นนะ”

“เอ่อ ขอโทษได้ปะล่ะ” ผมปาดน้ำตาทิ้ง

“กู ...”

“ไม่เป็นไร กูโอเคถ้ามึงจะไม่ตกลง” ผมฝืนยิ้มให้ครับ แต่น้ำตาเม็ดเบ้งเอ่อเต็มเบ้าพร้อมจะร่วงทุกขณะ

“มึงแน่ใจนะว่าโอเค”

“อื้อ” ผมพยักหน้า แล้วน้ำตาก็ไหลมาอีกระลอกจนได้

“แต่กูไม่โอเค”

“ห๊ะ”

“กูไม่โอเค มึงจะยอมแพ้ในตัวกูไม่ได้ มึงหลอกฟันกูมาหลายเดือนแล้วคิดจะถอดใจง่ายๆได้ไงวะ มึงต้องรับผิดชอบกูสิ”

“ห๊ะ” ผมยังงงอยู่

“มีงจะงงเหี้ยอะไรไอ้หนึ่ง ไอ้ตงมันยอมมึงแล้ว” เพื่อนผมด่าเตือนสติ

“ห๊ะ จริงดิ” ผมหันไปสบตามันเพื่อถามย้ำ

“อื้ม เป็นก็เป็นวะ ไหนๆก็ได้กันมานานแล้วนี่หว่า”

“จริงนะ จริงดิ โว้ย กูมีแฟนแล้วโว้ย ฮ่าๆๆๆ” ไม่แค่พูดนะ ผมกระโดดตัวลอยแล้วคว้าตัวไอ้ตงมาจูบอย่างไม่เกรงใจสายตาคนอื่น เพื่อนๆต่างปรบมือร้วมยินดีกันยกใหญ่ต่างคนต่างกรูมากอดพวกเราที่เพิ่งเปลี่ยนสถานะมาเป็นแฟนกันหมาดๆ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะทำให้ผมรู้ว่าไม่ใช่ความฝัน ไอ้ตงงตกลงเป็นแฟนผมแล้ว มันเหลือเชื่อสุดๆที่ดาราหนุ่มหน้าตาหล่อเหลายอมตกลงแบบนี้ ผมดีใจจนตัวลอยยิ้มแก้มปริจนเมื่อยหน้าแต่ก็ไม่หยุดความดีใจดีพร้อมกับผองเพื่อนที่กรูมาร่วมวง

....ยกเว้นไอ้ทอยที่มีใบหน้าหงอยเหงาและเดินกลับไปที่รีสอร์ตอย่างเงียบเชียบ

“ต้องฉลองๆๆๆ” เพื่อนส่งเสียง

“ตีสามแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากันนะ ไปนอนก่อนๆๆๆ” อีกเสียงทักท้วง

“ดีใจด้วยนะไอ้เตี้ย มึงก็สอยดอกวัดได้แล้ว” ไอ้โทเองครับ

“ดอกฟ้าโว้ยไอ้สัส” ผมตบมุก กอดร่างสูงไว้แน่นราวกับว่ามันจะติดปีกบินหนีไป

“โอ๊ย อิจฉา เบะปากค่ะ” สาวๆที่ไร้คู่ส่งเสียงมาบ้าง และมันก็เรียกเสียงหัวเราะได้อีกครั้ง ตอนนี้น้ำตาแห้งไปแล้ว มีแต่รอยยิ้มแต่งแต้มทั่วใบหน้า ผมดีใจจนตัวแทบจะลอยได้ มองใบหน้าหล่อเหลาของคนข้างๆอย่างไม่วางตา ... คุณแฟน ^^
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 36 P.6 Up 27 มี.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 27-03-2021 21:07:29
 :o8: :mew1: o13
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 36 P.6 Up 27 มี.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 30-03-2021 07:35:33
งู้ยยยยย เค้าเป็นแฟนกันแล้ว จุดฟลุฉลองให้ดีมั๊ย  :laugh:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 37 P.6 Up 3 เม.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 03-04-2021 13:48:09
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 37. ฉีกสัญญา

             หลังจากที่ได้สถานะกับไอ้ตง พวกเราก็เหมือนได้ปลดล็อกความรู้สึก ถึงแม้จะยังรู้สึกเหมือนฝันที่ดอกฟ้าแบบมันจะยอมตกลงอย่างง่ายดายก็ตามที พี่เอก(พี่ชายของไอ้โทและเป็นแฟนของพี่ชายไอ้ตง)ทำหน้าเหรอหราเมื่อได้รู้ว่าสองพี่น้องตระกูลเสถียรภาพไพบูลย์ต่างโดนพวกเราสอยมาเป็นแฟนราวกับนิยาย เรื่องของพวกเรานั้นมีคนรับรู้ในวงแคบๆ อย่างน้อยก็แค่ในกลุ่มที่สนิทและครอบครัวของพวกเรา ถึงแม้คุณท่าน(พ่อของไอ้ตง)จะไม่ค่อยปลื้มก็ตาม เนื่องจากลูกชายคนโตดันมีแฟนเป็นคนขับรถเพศเดียวกัน ต่อมาก็ตงฉินลูกชายคนเล็กที่หมายมั่นปั้นมือให้เข้าไปดูแลกิจการต่อหลังจากเรียนจบ แกคงคิดตามประสาคนจีนที่ต้องการให้มีทายาทสืบสกุลนั่นแหละ พอได้รู้ว่าตงฉินไม่กินหอยอีกแล้วก็ออกอาการบึ้งตึงไปชั่วขณะ จนกระทั่งถูกเตือนความจำว่ามีสองหมู ลูกชายวัยกระเตาะของตงฉินทำหน้าที่แทนเลยไม่ออกมาหวงห้ามอะไรอีก

             ส่วนครอบครัวของผมนั้น รับรู้มาตั้งแต่เด็กแล้วว่าลูกชายคนโตนั้นไม่เหมือนคนอื่น ทั้งพ่อและแม่ก็รับได้ไม่เคยจะห้าม แถมออกจะชอบใจเสียอีกที่แฟนลูกชายเป็นดารา ตื่นเต้นยิ่งกว่าถูกหวยด้วยซ้ำ(ถึงแม้ไม่เคยถูกหวยก็ตาม) พ่อของผมลงทุนขอลางานเพื่อนั่งรถทัวร์กลับมาเจอกับไอ้ตง ก่อนจะค้นพบว่าไอ้ตงทำตัวดี(หลอก)กับผู้ใหญ่จนหลงมันหัวปักหัวปำ

“จะจบปีหนึ่งแล้วโว้ยยยยยย” ผมวางชีทวิชาการตลาดลงกับพื้นก่อนจะพิงท้ายทอยกับท่อนขาของตงฉินที่นอนอ่านหนังสือบนโซฟาในห้องรับแขก หลังจากรู้แล้วว่าการไปอ่านหนังสือนอกสถานที่เหมือนครั้งที่ไปเสม็ดนั้นไม่ก่อประโยชน์ เพราะหลังจากที่ไอ้คิงเจอความลับของพี่ชายมันก็เศร้าไปพักใหญ่ พวกเราจึงตกลงกันว่าจะตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือในห้องตัวเองนี่แหละดีที่สุด หรือถ้าเบื่อมากก็ไปนั่งอ่านที่ร้านโมเอะเอา

“ก่อนจบ มึงต้องสอบก่อน จะเอฟมั้ยเทอมนี้” ฉึก! น้ำเสียงราบเรียบไม่มีความหวานของเมียตัวใหญ่กระตุกความดีใจทรุดฮวบ

“กูไม่เคยเอฟ” ผมเถียง ถึงเกรดจะไม่สวยงามแต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่ ผิดกับอีกคนที่เกรดเทอมแรกสวยกว่าผมไปหลายขุม

“ไม่เคยแต่ก็เกือบๆ” ผมมองค้อน ก่อนจะผุดไปนอนทับตัวมัน “ออกไป หนัก”

“ไม่ออก ไม่ชอบเหรอผัวทับ” เพี้ยะ! นั่นไง มันเอาชีทมาฟาดกบาลผมจนได้

“ถ้าไม่อ่านดีๆกูจะไม่ให้มึงทับเหมือนเมื่อคืนอีก” มันยื่นคำขาด จะว่าผมหื่นก็ได้นะ พอได้ยินมันพูดแบบนี้ก็อยากจะลากมันเข้าห้องเลย แต่ท่าทางตั้งใจอ่านหนังสือทำให้ต้องระงับสติอารมณ์ไว้ เมื่อคืนก็จัดหนักจัดเต็มไปแล้ว ด้วยความที่ยังเป็นวัยรุ่นจุดติดง่าย เรื่องบนเตียงไม่เคยขาดสักวันจนกลายเป็นเหมือนสิ่งเสพติดของพวกเราไปแล้ว

“หิวยัง ไอ้โทไลน์มาถามว่าจะไปกินข้าวเย็นกันมั้ย” ผมหยิบมือถือมาอ่าน กลับมานั่งกับพื้นเช่นเคย

“เอาดิ วันนี้พอแค่นี้ก็ได้” ตงฉินหลับตา ท่าทางอ่อนล้า ซึ่งไม่แปลกหรอกที่มันจะเหนื่อย ไม่รู้ว่าเป็นดาราหรือหุ่นยนต์ เพราะต้องเรียน อ่านหนังสือสอบ มีอะไรกับแฟน(ซึ่งห้ามขาด) ยังต้องอ่านบทเพื่อเตรียมถ่ายซีรี่ย์อีก คงเป็นเพราะซีซั่นแรกกระแสตอบรับแรงมาก ทางผู้จัดจึงตัดสินใจทำภาคต่อทันที ที่ผ่านมาได้ตงก็ต้องทำงานตัวเป็นเกลียว ทั้งการออกรายการทางทีวี เกมโชว์ และออกงานคู่กับพี่ไนล์ตามห้างสรรพสินค้า เวลาที่จะสวีตกันของพวกเราแทบจะไม่มี แต่ผมเข้าใจเรื่องนี้อยู่แล้ว ที่ผ่านมาก็ไม่เคยงอแง เลยทำให้ไร้ปัญหาเรื่องปกปิดสถานะ

“จะอาบน้ำก่อนมั้ย หรือไปเลย”

“ไปเลยก็ได้ อยากกลับมานอนไวๆ” ไอ้ตงลุกจากโซฟา ตัวมันสูงต่างกับผมอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าหล่อๆดูโรยราเพราะไม่ค่อยได้พัก ผมพิงศีรษะกับต้นขามันเหมือนลูกแมวอ้อนเจ้าของ มือใหญ่เอื้อมมาลูบเส้นผมอย่างคุ้นเคย พวกเราไม่ได้แสดงความหวานต่อกันเช่นคู่อื่น เนื่องจากไอ้ตงมันติดนิสัยเดิมๆอยู่ นั่นก็คือ ขี้รำคาญ ห้ามยุ่งตอนหงุดหงิดและอีกสารพัด แต่ผมก็รู้ว่าเวลาไหนควรจะอ้อน เวลาไหนควรจะออกห่าง

#### ####

             หลังจากสอบเสร็จไอ้ตงก็ต้องเข้าออฟฟิศของโมเดลลิ่งที่สังกัดเพื่อเซ็นสัญญาถ่ายซีรี่ย์ ทางผู้จัดการส่วนตัวจัดแจงทุกอย่างพร้อมสรรพ ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้ต้องไปที่อื่นต่อ ไอ้ตงคงให้พี่จีน่า (ผจก.ตุ๊ดคนสวย)เอาเอกสารไปให้เซ็นถึงคอนโดเช่นเคย

“ให้รอตรงนี้หรือให้ตามเข้าไป” ผมถามหลังจากจอดรถคันหรูตรงล็อกวีไอพี

“ตามมาก็ได้ คงใช้เวลาสักพัก” ผมดับเครื่องยนต์อย่างประหลาดใจ ปกติมันยอมให้เดินตามเข้าไปเสียที่ไหน พอได้เป็นแฟนแค่นั้นแหละจ้า จากที่ไม่ยอมก็ไม่เคยห้าม ผมว่าไอ้ตงมันแค่คนปากแข็งเฉยๆนะ เนื้อแท้มันคือคนขี้เหงาคนหนึ่งเลยแหละ สังเกตจากที่มันไม่ด่าตอนผมเข้าไปออเซาะมันระยะหลังๆ

“อ้าวน้องตง มาแล้วเหรอคะ นั่งรอก่อนนะ น้องหนึ่งมาด้วยเหรอ มาๆ” พี่จีน่าเป็นผู้หญิง(ข้ามเพศ) ที่หน้าตาสละสวยและเป็นคนที่นิสัยดีมากถึงมากที่สุด ก่อนหน้านี้พวกเราเคยเจอกันที่กองถ่ายมาแล้วจึงทักทายกันอย่างคุ้นเคยได้ ตงฉินเคยบอกว่าถ้าไม่ใช่เพราะพี่จีน่าเข้ามาแทนผู้จัดการส่วนตัวคนก่อนมันคงจะฉีกสัญญาทิ้งยอมจ่ายค่าปรับหลายล้าน ผมเคยถามว่าเพราะอะไรแต่มันก็อึกอักจึงไม่ซักไซร้เรื่องนี้ต่อ “ดื่มอะไรกันก่อนมั้ย รอพี่แป๊บนึงนะคะ”

“ขอเหมือนเดิมก็ได้ครับ ขอบคุณครับ” ตงฉินเป็นคนตอบ ก่อนจะพากันเข้ามานั่งในห้องประชุมที่ตกแต่งเหมือนห้องรับแขกมากกว่า มีโซฟาสีแดงตัดกับสีสว่างในห้องจนโดดเด่น ถัดไปเป็นห้องครัวขนาดย่อมแบบบิลด์อิน โทรทัศน์เปิดรายการของช่องที่อยู่ในเครือของบริษัทไว้ มีภาพของตงฉินขนาดย่อมติดผนังราวกับว่าเป็นห้องส่วนตัว หากแต่ไม่ใช่แบบนั้นเพราะรูปของดาราในสังกัดคนอื่นก็มีแขวนไว้จนแทบกินพื้นที่เกือบทั้งห้อง จากความสุนทรีย์กลายเป็นเหมือนแกลอรี่แสดงภาพดาราไปเสียแล้ว

             พนักงานนำน้ำอัดลมที่พวกเราชอบมาเสิร์ฟถึงที่ก่อนจะเดินหายออกไป ไม่นานนักพี่จีน่าก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งที่ผมพอจะรู้จักบ้าง(จากคำบอกเล่าของตงฉิน) พวกเราลุกขึ้นและยกมือไหว้ผู้อาวุโสก่อนจะกลับมานั่งล้อมวงอย่างไม่เกร็ง(ผมเลียนแบบท่าของไอ้ตง) คุณสุชาติ เจ้าของบริษัทถึงขั้นลงมาต้อนรับเอง คงให้เกียรติไอ้ตงไม่น้อย นอกจากนั้นก็มีคนอื่นๆที่ไม่คุ้นหน้าอีก ผมได้แต่แอบสังเกตการณ์เงียบ ปล่อยให้คุณแฟนโซโล่เอง

“เอาล่ะค่ะ น้องตงได้อ่านเนื้อหาในสัญญาหรือยังคะ” พี่จีน่าเป็นคนเปิดประเด็น ผมลอบสังเกตสีหน้าไอ้ตงที่เหมือนไม่สบอารมณ์กับสายตาของคุณสุชาติที่นั่งฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาดูกรุ้มกริ่มชวนให้อึดอัด ผมหายใจแรงเป็นพักๆอย่างขัดใจ

“อ่านแล้วครับพี่ แต่มีประเด็นอยากปรับนิดหน่อย ตามนี้เลยครับ” ตงฉินหยิบเอกสารในเป้มาวางตรงโต๊ะเบื้องหน้า มือของคุณสุชาติเอื้อมมาหยิบเอกสารปาดหน้าผู้จัดการคนสวยเสียดื้อๆ กวาดสายตามองเนื้อหาที่ถูกขีดเขียนด้วยปากกาสีแดงอย่างตั้งใจ แววตาที่ดูผ่อนคลายกลายเป็นขมวดคิ้ว

“ที่น้องตงปรับมาพี่โอเคนะ แต่ข้อนี้...” ผมมองเอกสารที่วางกลับมา ในนั้นระบุเรื่องการต่อสัญญากับบริษัทอีก 5 ปีอัตโนมัติหลังจากถ่ายซีรี่ย์จบ แต่ไอ้ตงไม่ได้แก้อะไร นอกจากขีดทิ้งด้วยปากกาสีแดง

“ทำไมเหรอครับพี่” ตงฉินเหมือนจะไม่สบอารมณ์เช่นกัน

“คือพี่ว่า...”

“เราคุยกันแล้วนะครับพี่สุชาติ อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำ ถ้าไม่ตกลง ผมก็ไม่ถ่าย” ตงฉินพูดอย่างไร้เยื่อใย ใบหน้าของพี่จีน่าซีดเพราะตกใจ คุณสุชาติหน้าเคร่งขรึมบ่งบอกว่าโกรธ พอจบประโยคไอ้ตงก็สะกิดให้ผมลุกและเดินตามออกจากห้องนี้ไปโดยไม่บอกลา ไอ้เราที่ไม่รู้เรื่องก็เดินตามออกมาอย่างเงอะงะ

“ทะ ทำไมมึงไม่อยากต่อสัญญาวะ” ผมถาม นึกว่ามันชอบการเป็นดารามากเสียอีก แต่เหตุการณ์วันนี้กลับผิดคาดไปเยอะ

“เบื่อ” ตอบตามไสตล์ตงฉิน

“ตง” ผมหยุดเดินและจับชายเสื้อมันไว้จนคนเดินนำหันมามอง “มึงรู้ใช่มั้ยว่ามึงคุยกับกูได้ทุกเรื่อง”

“อื้อ” สีหน้าที่อึมครึมผ่อนคลายลงจนแววตาเปลี่ยนไป ผมยิ้มให้ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ ตอนมาไม่ทันสังเกตว่าภายนอกเป็นอย่างไร ตอนนี้จึงขอแอบมองเสียหน่อย ประตูกระจกบานใหญ่ตรงทางเข้าออฟฟิศอยู่ตรงข้ามกับโต๊ะประชาสัมพันธ์พอดี ซ้ายมือเป็นบันได ลิฟต์และห้องทำงาน ด้านขวามือคือห้องประชุมที่เราเพิ่งเข้ามาเมื่อกี้ ถัดอีกหน่อยจะเป็นที่รับรองผู้มาติดต่อ และนั่นเองทำให้ผมได้เห็นร่างสูงที่คุ้นตา

“ไอ้ทอย”  คนถูกเรียกละสายตาจากมือถือ มันน่าจะเพิ่งมาถึงเพราะตอนที่เข้าห้องประชุมนั้นยังไม่เห็น ตงฉินหันไปมองเพื่อนในกลุ่มและส่งเสียงทัก หน้าตาสงสัยของพวกเราถามไอ้ทอยออกไปแล้วโดยไม่ต้องใช้เสียง

“กูมาเซ็นสัญญาน่ะ” ไอ้ทอยตอบคำถาม มันเล่าเรื่องแอบไปแคสติ้งในซีรี่ย์ที่ไอ้ตงจะต้องแสดงภาคสองและได้รับเลือกเป็นคู่รอง ไม่น่าแปลกใจนักหรอกถ้ามันจะได้รับเลือกเพราะหน้าตามันดูดีมากอยู่แล้ว ที่แปลกใจคือมันเคยบอกว่าไม่อยากเป็นดารา

“เก็บเงียบเลยนะมึง ไอ้สัส” ผมด่า

“ทีแรกกูก็ไม่ได้อยากมาหรอก แต่ช่วงนี้ไม่มีอะไรทำเลยลองสมัครน่ะ ไม่คิดว่าจะได้” ไม่คิดกะผีน่ะสิ นั่งตรงข้ามกับไอ้ตงน่ะ ไอ้ทอยหล่อกว่าเห็นๆ คิดจะกลบรัศมีพระเอกของเรื่องเป็นแน่ แต่ขอโทษ ยังไงตงฉินก็มีเสน่ห์กว่า(เข้าข้างแฟน)

“เซ็นสัญญาแสดงหรือสัญญาเข้าสังกัด” ไอ้ตงถาม

“ทั้งคู่” มันตอบ ผมงงกับเรื่องสัญญาพอสมควร แต่พอรู้คร่าวๆว่า(ไม่รู้ว่าข้อมูลถูกรึเปล่านะเพราะผมไม่ใช่ดารา) นักแสดงต้องเซ็นสัญญาถ่ายทำก่อน ในนั้นจะระบุเรื่องผลตอบแทนชัดเจน(สัญญาพวกนี้แตกต่างกันแล้วแต่ผู้จัด บางค่ายก็ไม่มี บางค่ายก็มีให้เซ็นเป็นตอนๆ) นักแสดงที่เซ็นสัญญาแล้วมีหน้าที่จะต้องปกปิดเรื่องราวของละครเป็นความลับ ห้ามนำมาเผยแพร่ก่อนออกอากาศและต้องรับผิดชอบถ่ายให้จบเรื่อง(เคยมีประเด็นถอนตัวกันมากมาย ผมคิดว่าน่าจะไม่มีผลถ้าถ่ายไม่จบ) ส่วนสัญญาสังกัดค่ายหรือโมเดลลิ่งนั้นมีไว้สำหรับดาราหน้าใหม่ หรือดาราที่อยากมีคนดูแลไม่ต้องคอยรับคิวงานเอง โดยจะระบุระยะเวลาที่จะให้สังกัดดูแล ผลตอบแทนที่ได้รับ ค่านายหน้าที่จะโดนหักว่าจะกี่เปอร์เซ็นต์ และอื่นๆสารพัด หากใครไม่ชอบผูกมัดก็ไม่ต้องเซ็นก็ได้ เป็นนักแสดงอิสระ เซ็นสัญญาถ่ายเป็นงานๆไป

“มึงเก็บเงียบเลยนะ ไม่ปรึกษาไอ้ตงเลยเหรอมันก็อยู่ที่นี่นะ” ผมออกความเห็น

“พอดีกูยุ่งๆน่ะ รู้ตัวอีกทีก็ถึงวันนัดแล้ว”

“ถ้าอยากรู้อะไรก็ถามกูได้นะ” ไอ้ตงเสนอตัว ผมได้แต่อึดอัดกับท่าทีของทั้งสองคน จะว่าไปมันก็เกิดจากผมนั่นแหละที่ดันขี้เหร่มากจนสองคนนี้มาชอบ ไอ้ทอยมันบอกเลิกฉัตรพงษ์ไปแล้วตั้งแต่วันที่มันแอบจูบผมที่คอนโด หลังจากวันนั้นดูเหมือนไอ้ตงจะสังเกตท่าทีที่เปลี่ยนแปลงของไอ้ทอยได้แล้วมาคาดคั้นกับผม โชคดีที่เรื่องไม่มีอะไรต่อจากนั้น แต่ไอ้ทอยก็เหมือนตีตัวออกห่างกลุ่มของพวกเราไปทีละน้อย จนกระทั่งได้กลับมาเจอมันวันนี้

“ขอบใจ”

“ไม่มีอะไรแล้ว กลับเถอะ” ไอ้ตงเอ่ย และก้าวขายาวไปทันที สายตาไอ้ทอยที่มองมาเหมือนมีอะไรจะพูด แต่พี่จีน่าก็เดินมาเสียก่อน

“น้องตงคะ อย่าเพิ่งกลับ อ้าวน้องไฟมาแล้วเหรอ พอดีเลย จะได้มาคุยกันพร้อมหน้าทีเดียว นะคะพี่ขอ” สุดท้ายพวกเราก็ต้องกลับเข้าไปในห้องประชุมเดิมอีกครั้งเพราะตงฉินสงสารผู้จัดการคนสวยที่ทำหน้าเว้าวอนตาปริบๆ

#### ####

             ผมบังคับพวงมาลัยรถยนต์คันหรูให้เทียบกับที่จอดของคอนโดอย่างเชี่ยวชาญ หลังจากรับหน้าที่เป็นทั้งเพื่อน แฟนและคนขับรถมาสักระยะ ไอ้ตงก็ขี้เกียจขับรถไปเสียอย่างนั้น มันบอกว่าทีพี่ต่อพงษ์(พี่ชายของมัน)ยังมีพี่เอกเป็นคนขับรถแถมยังเป็นแฟนด้วย ทำไมผมจะเป็นแบบนั้นไม่ได้ ... ถึงมันจะพูดอย่างนั้น แต่ผมก็รู้แหละว่ามันเขินที่จะบอกกันตรงๆว่าอยากให้ผมคอยดูแล

“ถึงแล้ว ตื่นๆ” ผมปลดเข็มขัดนิรภัยและหันมาเขย่าตัวคนตัวสูงที่นอนหลับมาตลอดทางอย่างแผ่วเบา วันนี้ค่อนข้างหนักสำหรับไอ้ตง นอกจากเรื่องสัญญากับโมเดลลิ่งแล้วก็ต้องวิ่งไปถ่ายแบบจนดึกดื่น ต่อให้ยังหนุ่มแค่ไหนก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา

“อื้อ หิวอะ” มันงอแง

“ขึ้นห้องก่อน เดี๋ยวทำอะไรให้กิน อยากกินอะไร”

“อะไรก็ได้” มันยังไม่ยอมลืมตา แต่ผมก็ดับเครื่องและเดินออกนอกรถเสียก่อน กวาดพวกเสื้อผ้า เอกสารและกระเป๋าเป้ที่เบาะหลังมาถือพะรุงพะรังรอคนง่วงเดินงัวเงียออกมา ตงฉินหาวอ้าปากกว้างแบบไม่เกรงใจสายตาผมแม้แต่น้อย

             หลังจากจบมื้อเย็น ไอ้ตงก็ไปอาบน้ำและเข้านอนทันทีเพราะเพลียจัด ผมหยิบสัญญาฉบับแก้ไขใหม่ที่ทางโมเดลลิ่งยินยอมที่จะแก้ตามข้อเรียกร้องของมันอย่างตั้งใจ บางจุดมีภาษาที่ยากจนมึนๆแต่ก็พอเข้าใจภาพรวม แต่กระนั้นผมก็ยังแปลกใจว่าทำไมตงถึงไม่ต่อสัญญาทั้งๆที่ชีวิตการงานของมันกำลังรุ่ง ผมเคยเห็นในข่าวบันเทิงอยู่บ่อยครั้งเวลาที่นักแสดงไม่ต้อสัญญา จะโดนเอาไปเขียนว่าเนรคุณบ้างล่ะ หรือสร้างกระแสบ้างล่ะ ปกติตงฉินแคร์ภาพลักษณ์อยู่เสมอ ไม่น่าจะยอมให้โดนสาดสีใส่ไข่ตีข่าวเป็นอันขาด แต่การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้ผิดคาดไม่น้อย

             ผมไม่มีโอกาสได้คุยกับไอ้ทอยหลังจากจบการประชุม เพราะทางพี่จีน่าได้พามันไปถ่ายรูปโปรโมตต่อ ระยะห่างระหว่างเราค่อนข้างน่าอึดอัด จากที่เป็นเพื่อนสนิทตัวติดกันกลับทำตัวห่างเหิน ไอ้ความรู้สึกที่ไม่เท่ากันของคนสองคนช่างน่ากลัวเสียจริง เราห้ามมันไม่ได้แถมยังมีผลกระทบความสัมพันธ์แง่อื่นเสียอีก

“ยังไม่นอนอีกเหรอ” ตงฉินพลิกตัวหันหน้ามาทางฝั่งผม สองมือกอดเอวเอาไว้แน่นเหมือนจะรอให้มีไออุ่นไปสวมกอด

“จะนอนแล้ว หนาวเหรอ”

“อื้อ” มันตอบรับด้วยเสียงงัวเงีย “คิดอะไรอยู่”

“ก็หลายเรื่องแหละ” ส่วนใหญ่คือเรื่องของมึง ...

“กูคิดไว้นานแล้วว่าอยากออกจากที่นั่น” ตงฉินพูด แม้จะไม่ลืมตาก็ตาม

“กูถามได้มั้ยว่าทำไม” ถึงแม้เราจะมีสถานะเป็นแฟน แต่มันควรมีขอบเขตความเป็นส่วนตัวที่ไม่ควรก้าวล่วง

“อื้อ ได้ดิ ทำไมจะไม่ได้” ผมขยับตัวจากท่านั่งพิงหัวเตียงมานอนข้างๆ กลิ่นกายและไออุ่นของตงฉินเฉียดกรายระยะประชิดอย่างอบอุ่น ถึงแม้ผมยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมมันถึงยอมเป็นแฟนกับผมก็ตาม การที่มันลดท่าทางเข้าถึงยากลงไปก็ดีแล้ว

“ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ กูไม่อยากให้มึงฝืนใจ”

“ไม่ฝืนหรอก กูแค่ง่วง” มันตอบ ก่อนขยับตัวให้ผมกอดร่างสูงอย่างดิบดีในท่าหันหลังให้ ท้ายทอยน่าขบชิดจมูกจนต้องซุกลงไปดอมดม เส้นผมยาวชี้เด่แหย่รูจมูกจนน่ารำคาญ แต่ผมก็ไม่ยอมปล่อยอ้อมแขน “กูเกลียดไอ้สุชาติ...”

             ผมได้แต่นอนนิ่งหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากคนในอ้อมกอด จังหวะลมหายใจราบเรียบบอกว่าเจ้าตัวหลับสนิทไปแล้ว แต่เรื่องที่เพิ่งได้ฟังมันก่อกวนจนจิตใจไม่สงบ คุณสุชาติเจ้าของโมเดลลิ่งคือคนที่เคยข่มขืนไอ้ตง ผมไม่น่าลืมเรื่องนี้เลย มันเคยพลั้งปากเล่าตอนไหนสักครั้งนี่แหละ แต่ก็ไม่คิดว่าคนที่ล่วงเกินมันยังวนเวียนในชีวิต การมีชื่อเสียงโด่งดังที่ต้องแลกมากับอะไรแบบนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นไม่ว่ากับใคร ถ้าไอ้ตงไม่ใช่คนแรกล่ะ ดาราคนในสังกัดคนอื่นๆจะโดนแบบนี้ด้วยไหม...
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 37 P.6 Up 3 เม.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 03-04-2021 20:37:24
 :mew2: :mew2: :hao7:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 37 P.6 Up 3 เม.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 04-04-2021 12:49:07
น้องหนึ่งต้องคอยดูแลคุณแฟนสายติสต์ดีๆ นะ แล้วก็เตือนทอยเรื่องอีตาสุชาติหน่อยก็ดี
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 38 P.6 Up 10 เม.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 10-04-2021 14:15:29
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 38. คนที่ไม่ใช่

             ปิดเทอมใหญ่เป็นช่วงเวลาที่นักศึกษาส่วนใหญ่มีเวลาว่างมากที่สุดของปี สำหรับคนที่อยากลงเรียนซัมเมอร์ก็สามารถลงทะเบียนและไปเรียนได้เลย แต่ทั้งกลุ่มเพื่อนสนิทต่างเลือกที่จะไปใช้ชีวิตแบบสบายๆมากกว่าจะทุ่มให้กับตรงนั้น ส่วนผมก็ตอบง่ายๆเลยว่าไม่เรียน ต้องดูแลมนุษย์แฟนที่กำลังแปลงร่างเป็นยักษ์แล้วตอนนี้ เพราะหลังจากสอบเสร็จ ทางกองถ่ายก็เรียกไปประชุมเพื่อบรีฟการถ่ายทำ นัดวันถ่ายภาพโปรโมตรวมถึงถ่ายเรื่องย่อของซีรี่ย์เพื่ออัพลงยูทูป ชีวิตหลังจากการสอบเลยไม่เคยว่างเลยสักวัน แม้กระทั่งวันบวงสรวงเปิดกล้องเหล่านักแสดงยังต้องฉีกยิ้มเพื่อถ่ายรูปแจกลายเซ็นให้กับแฟนคลับที่มาเฝ้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผมเห็นภาพแล้วต้องยกธงขาว ไม่เคยมีความคิดที่จะต้องคอยวิ่งตามดาราเลยสักครั้ง

“น้องหนึ่งเหนื่อยมั้ยครับ ตามมาดูแลตงฉินทุกวันเลยน่าอิจฉาตงฉินจังเลยเนาะ” พี่ไนล์ นายเอกของซีรี่ย์วิศวะล่ารักภาค 2 เดินเข้ามาทักทายบริเวณห้องพักนักแสดงนำ ผมถอดหูฟังออกเพื่อให้ได้ยินเสียงสนทนาชัดเจน

“ไม่เหนื่อยหรอกครับ มีความสุขดีออก” ผมตอบความจริง การที่ได้ดูแลแฟนมันเป็นเรื่องดีจริงๆนะ

“โอยยยยย หวานกันเข้าไป พี่อิจฉา จะเข้าไปแทรกตรงไหนได้บ้างเนี่ย”

“ไม่ได้หรอกครับ ผมรักเดียวใจเดียว” พี่ไนล์ยักไหล่บ่งบอกว่าไม่แคร์ หลังจากที่ไอ้ตงบอกแกไปอย่างชัดเจนว่าผมเป็นอะไรกับมัน พี่ไนล์ก็ลดท่าทีกรุ้มกริ่มไปเยอะ

“เห็นแล้วอยากมีแฟนเลยอะ ไม่น่าเจอน้องหนึ่งช้าเลย” เจ้าตัวพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางเป็นกันเอง คงเพราะเจอกันบ่อย

“เราไม่ใช่เนื้อคู่กันไงพี่” ผมตอบและหัวเราะกลบเกลื่อน ในใจยังไม่หายข้องใจที่คนหน้าตาดีสมัยนี้นิยมของแปลกกันเหรอ

“ท่าทางจะรักน้องตงมากเลยนะเราน่ะ” พี่ไนล์ถาม รอยยิ้มแกไม่ได้ออกแนวคุกคามเช่นเดิม เหมือนพี่ชายคนหนึ่งมากกว่า

“ที่สุดเลยล่ะครับ”

เพล้ง!

             เสียงแตกของอะไรบางอย่างทำให้ผมหันไปมอง ไอ้ทอยยืนหน้าประตูทางเข้าห้องโดยมีแก้วกาแฟร้อนตกเกลื่อน ใบหน้าของมันดูผิดหวัง แต่ก็เก็บอาการไว้ได้ทัน พี่ไนล์รีบลุกไปขวางไม่ให้รุ่นน้องนักแสดงใหม่ก้าวเท้ามาเหยียบเศษแตกหัก ผมรีบวิ่งไปหาไม้กวาดมาเก็บจนเกลี้ยง พอเงยหน้ามาก็เห็นหนุ่มหล่อสองคนนั่งเงียบในห้องพักด้วยบรรยากาศประหลาด

“เจ็บตรงไหนมั้ยวะ” ผมเป็นคนทำลายความเงียบนั้น ไอ้ทอยเงยหน้ามามองแล้วส่ายหัว

“ไม่โดนลวกใช่มั้ย” พี่ไนล์ถาม น้ำเสียงแกนุ่มอยู่แล้ว พอได้ฟังก็ชวนหลง

“ผมไม่เป็นอะไรครับ ขอบคุณมากครับที่เป็นห่วง” น้ำเสียงไอ้ทอยแย่แต่ก็ไม่น่าสงสัย พี่ไนล์เลิกคิ้วสำรวจรุ่นน้องเงียบเชียบ

“เดี๋ยวกูไปขอกาแฟมาให้มึงใหม่ละกัน”

“ไม่ต้องหรอก ใกล้คิวถ่ายแล้ว กูไปเตรียมตัวก่อน” ไอ้ทอยก้มหัวให้พี่ไนล์เป็นเชิงขอตัว ผมถอนหายใจมองตามแผ่นหลังเพื่อนที่ครั้งหนึ่งเคยสนิทกัน

“ทะเลาะกันเหรอ” พี่ไนล์ถามเมื่อเห็นท่าทีของเราทั้งคู่

“ไม่เชิงหรอกครับ แค่...” มันชอบผมและแอบจูบผม ...

“คนไม่ใช่ ยังไงก็ไม่ใช่ สักวันเขาจะเข้าใจความหมายของประโยคนี้” พี่ไนล์พูด แต่เหมือนไม่ได้คุยกับผม ร่างสูงตบไหล่เบาๆก่อนจะเดินออกไปจากห้องพัก ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวกับความคิดที่เต็มสมองไปหมด

             พวกเรา(หมายถึงผมกับไอ้ทอยนะครับ)ได้คุยกันล่าสุดหลังจากวันที่เจอกันที่โมลเดลลิ่งแค่ครั้งสองครั้งทางโปรแกรมแช็ต และแน่นอนว่าเป็นผมที่ทักไปหาก่อนโดยอีกฝ่ายก็ทำตัวนิ่งใส่ ถามคำตอบคำ ไม่แม้กระทั่งรับสายที่พยายามโทรไปหา ไอ้ตงมันรับรู้สถานะการณ์นี้ตั้งแต่ต้น เลยไม่ออกอาการหึงหวงอะไรที่ผมพยายามยื้อมิตรภาพระหว่างเราเอาไว้ แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งห่างจนกระทั่งผมรู้สึกว่ามันมากเกินไปจนเกรงใจตงฉินเลยหยุดการติดต่อ

“พรุ่งนี้ไอ้คุณสุชาตินัดนักแสดงซีรี่ย์ไปเลี้ยงนะ มึงจะไปมั้ย” ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าหล่อๆที่นั่งนิ่งอยู่ในรถตั้งแต่ขับออกจากกองถ่าย ท่าทางครุ่นคิดบอกได้ว่าไม่สะดวกใจที่จะไป แต่ก็ต้องไปตามมารยาท เพราะตอนนี้ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงในสังกัด

“กี่โมงนะ”

“สองทุ่ม ที่โรงแรม xxx”

“อื้มไป มึงไปด้วยนะ พรุ่งนี้ไปหาซื้อชุดกัน”

“ทำไมต้องซื้อด้วยวะ เสื้อยืดกางเกงยีนส์ก็พอแล้ว”

“หึ อยากเป็นแกะดำก็ตามสบาย” ตงฉินดักทาง ก่อนที่จะนิ่งและเขี่ยไอจีสักพักจนกระทั่งหยุดที่รูปหนึ่ง “ดู”

“โอ้” ผมร้องตอบ ในนั้นคือรูปงานเลี้ยงของเหล่านักแสดงแทบจะทั้งหมดของโมเดลลิ่ง แต่ละคนแต่งกันแบบจัดเต็มมาก ชุดราตรีกรุยกรายบนเรือนร่างของดาราสาวบ่งบอกรสนิยมที่ดีเยี่ยม ด้านฝ่ายชายก็แต่งเต็มยศแบบชุดสูทสากล มีการแต่งหน้ากันมาจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ไหนจะมีบรรดาสื่อหลายสำนักที่ยื่นไมค์สำภาษณ์คนโน้นคนนี้อีก

“งานไม่มีตีม (Theme)ก็จริง แต่จะแต่งตัวธรรมดาไม่ได้หรอก มีนักข่าวมาด้วย เขาตั้งใจจะจัดงานเลี้ยงเพื่อโปรโมตดารา” ตงฉินเฉลย ผมเลยได้แต่รับคำแบบเงียบเชียบ มันเป็นเรื่องไกลตัวเสียเหลือเกินสำหรับคนธรรมดาอย่างไอ้หนึ่ง แต่เพื่อไม่ให้ดาราหนุ่มขายหน้า อะไรที่ยอมได้ก็ต้องทำ

             วันต่อมา ผมก็ได้เข้าใจเรื่องในวงการบันเทิงเพิ่มมากขึ้น เมื่อคำพูดที่ว่าไปหาซื้อชุดของไอ้ตงหมายถึงการที่ร้านดังต่างโทรหาตั้งแต่เช้าเพื่อนัดให้มาลองชุดที่ออฟฟิศ เจ้าตัวบอกว่ามันสะดวกกว่าการเดินไปที่ร้านตามห้างหรือนัดให้ไปที่คอนโด ออฟฟิศเลยเป็นศูนย์กลางที่สะดวกสำหรับทุกฝ่าย เมื่อเดินเข้ามาในห้องประชุมครั้งก่อน กองทัพชุดหรูต่างแขวนรออยู่แล้ว พี่ไนล์และไอ้ทอยรวมไปถึงดาราชายคนอื่นๆต่างก็เลือกและลองสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดังที่ตัวเองชอบเป็นที่เรียบร้อย ผมอ่านชื่อยี่ห้อไม่เป็นก็จะขอละเรื่องนี้ไว้แค่นี้นะครับ ก่อนที่จะยืนบื้อไปอีกนาน ไอ้ตงก็กระทุ้งชายโครงให้เดินตามเข้าไป

“ต๊าย มาแล้ว สวัสดีค่ะน้องตง รอบนี้เลือกแบรนด์พี่เหมือนเดิมใช่มั้ยคะ” ผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่แต่งหน้าเข้มสวมชุดเดรสสีดำเช้ารูปเดินมาทักทายอย่างสนิทสนม ข้างกายมีราวเล็กที่แขวนสูทหลากหลายแบบเรียงรายเป็นระเบียบ

“แน่นอนสิครับ” ตงฉินฉีกยิ้มแบบที่คนชอบเรียกว่า รอยยิ้มการค้า ไปให้ ... มันไม่ใช่รอยยิ้มจริงใจแบบที่ผมได้รับ แต่มันจะแฝงไปด้วยสายตาที่แวววับราวกับกำลังอ่อยเหยื่อให้ตายใจ “รอบนี้ขอสองชุดได้มั้ยครับ พอดีมีผู้ติดตามด้วย”

“โอ๊ย สบายมาก แค่ได้น้องตงมาใส่ชุดแบรนด์พี่ มากกว่านี้ยังได้” ผมล่ะทึ่งที่สามารถเลือกชุดที่ตัวเองชอบโดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท วงการบันเทิงนี่ดีขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย ... ถ้ารู้มาก่อนชาติที่แล้วคงทำบุญหนักๆเผื่อจะเกิดมาหล่อแบบเขาบ้าง ... หลังจากได้ชุดที่ชอบและพอดีตัวแล้ว พวกเรายังสามารถเลือกเครื่องประดับได้อีก ตงฉินเลือกตุ้มหูระย้าที่ผมมองว่าเกะกะ เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้เลือกอะไร มันเลยเลือกสร้อยข้อมือและนาฬิกาเรือนหรูมาให้

“โหย ไม่เอา ถ้าทำหายกูไม่มีปัญญาหาใช้คืนเค้า”

“ก็อย่าทำหายสิ ใส่ไว้ห้ามเถียง” มันบังคับ ผมเลยได้แต่ยอมเออออ “ทำไมต้องมาเลือกชุดวันนี้ด้วยวะ งานเลี้ยงคืนนี้ไม่ใช่เหรอ”

“ปกติก็เลือกกันก่อนแหละ แต่ยุ่งกับการถ่ายซีรี่ย์ไงเลยปลีกตัวก่อนไม่ได้ ไม่เห็นเหรอว่ามีแต่ทีมนักแสดงวิศวะล่ารัก”

“เออ ก็จริง” ผมตอบหลังจากหันไปมองรอบๆ ไอ้ทอยหายไปจากห้องนี้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้เพราะไม่เห็นแม้แต่เงา พวกเราคงง่วนกับการลองชุดจนลืมสังเกตผู้คนรอบข้าง

#### ####

             งานเลี้ยงภายในไม่ได้เป็นแบบที่คิดไว้เลยแม้แต่น้อย มันเหมือนงานเลี้ยงเฉลิมฉลองบริษัทเสียมากกว่า เพราะนอกจากนักแสดงของค่ายจะมากันอย่างพร้อมเพรียงแล้ว กองทัพนักข่าวยังแห่แหนมาอย่างเนืองแน่น นอกจากนั้นยังมีดาราต่างค่ายมาร่วมด้วย ผมได้ข้อสรุปว่านี่มันคืองานเลี้ยงโปรโมตซีรี่ย์ของค่ายและเปิดตัวนักแสดงใหม่อย่างไอ้ทอย ที่ตอนนี้ถูกเชิญขึ้นไปพูดบนเวที ร่างสูงที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มใสชุดสูทสากลสีขาวเข้ากันกับผิวพรรณของคนใส่เป็นที่สุด แสงแฟลชต่างส่องประกายวูบวาบ ถึงแม้จะมีนักแสดงหลายคนยืนตรงนั้น แต่ออร่าของไอ้ทอยกลับเด่นที่สุด

“ตอนแรกๆมึงต้องขึ้นเวทีแบบนี้มั้ยวะ”

“อื้อ” ตงฉินตอบสั้นๆ ท่าทางเหนื่อยล้าเพราะกว่าจะได้เข้ามานั่งก็ถูกกลุ่มนักข่าวรุมถ่ายรูปคู่กับพี่ไนล์หลายสิบนาที แถมยังต่อด้วยการยืนให้สัมภาษณ์หน้าแบ็กดร็อปที่ตั้งเด่นตรงประตูทางเข้านานสองนาน ผมมีซีนแค่ยืนห่างๆอย่างห่วงๆคอยประคองไม่ให้มันเซในช่วงชุลมุนที่มีคนกรูเข้าหา

“แล้วหลังจากนั้นต้องไปไหนต่ออีกปะ” ผมถามไปอย่างนั้นแหละ อาหารตรงหน้าไม่ได้น่าสนใจเท่าเหล่าดาราชายหล่อๆที่เดินทั่วงานเพื่อหาจังหวะให้ใครสักคนมาขอถ่ายรูปและสัมภาษณ์

“ก็...” ไอ้ตงกำหมัดแน่น หน้าตาที่เคยซีดเซียวเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว

“มึงโอเครึเปล่าวะตง ออกไปห้องน้ำก่อนมั้ย” ผมไม่รอให้มันตอบ แต่ใช้แรงที่มีฉุดแขนให้ลุกและเดินตามออกจากห้องจัดเลี้ยง เสียงเพลงที่ดังเริ่มเงียบเมื่ออยู่ไกลออกไป ห้องน้ำหรูหราเปิดไฟสว่าง ตงฉินตรงไปล้างหน้าจนเปียกชุ่มอย่างไม่สนใจว่าเครื่องสำอางจะหลุดลอก

“มึงโอเคมั้ยวะ”

“กู...” มันไม่ตอบ ผมเลยได้แต่หยิบผ้าขนหนูที่ทางโรงแรมพันวางไว้ที่ตะกร้าสานขึ้นมาซับหยดน้ำที่เกาะขอบหน้าให้

“ไม่เป็นไร กูอยู่ตรงนี้แล้วนะ” มือของผมกุมทั้งสองมือของมันไว้ แววตาอ่อนล้าฉายวับกลับมาอีกครั้ง หากจำไม่ผิด ตงฉินเข้าวงการเมื่ออายุ 13-14 ปี แต่มีการเปิดตัวกับสื่อตอนอายุ 15 ซึ่งตอนนั้น...

“ไอ้สุชาติมันจัดงานเลี้ยงเพื่อบังหน้า” ตงฉินพูดขึ้นมาท้ายที่สุด “มันตั้งใจจะมอมคนที่มันเล็งๆไว้แล้วก็พาไป...”

“ไม่ต้องเล่าแล้ว ไม่ต้องเล่า” ผมคว้าคนตัวโตกว่า 20 เซ็นติเมตรมากอด ร่างสูงโย่งโน้มเข้ามาอย่างง่ายดายราวกับกำลังรอจังหวะนี้อยู่แล้ว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นจนแดงก่ำทำให้แรงหายใจดังหอบถี่ ผมใช้มือลูบหลังมันอย่างช้าๆจนแรงสั่นกระเพื่อมที่หนักหน่วงเมื่อครู่เริ่มเบาลง “กูจะไม่ยอมให้มันมาทำอะไรมึงได้อีก กูสัญญา”

 แกร็ก ... เสียงลูกบิดประตูทำให้พวกเราต้องผละจากกัน เราอยู่ในนี้ร่วมสิบนาที จนลืมไปว่ามันเป็นห้องสาธารณะ พอจัดแจงเสื้อผ้าให้หายยับเสร็จนั่นแหละถึงได้มีโอกาสมองร่างสูงที่เพิ่งเดินเข้ามาด้านใน ตงฉินแตะไหล่ผมแผ่วเบาเป็นการบอกว่าจะออกไปรอด้านนอก ตอนนี้จึงเหลือแค่คนสองคนคือไอ้หนึ่งกับคนที่เพิ่งเดินมา

“ว่าไง” ผมหันไปสบตาไอ้ทอยที่กำลังเดินมาล้างมือที่อ่างล้างหน้า ตรงที่ไอ้ตงเคยพิงเมื่อครู่พอดี

“อืม” มันรับคำสั้นๆง่ายๆ สายตาไม่ชำเลืองมาทางผมเลยสักนิด

“ทอย มึงเป็นอะไรไปวะ แม่ง...” ผมชักจะโกรธ เพราะคนที่ถูกจูบคือผม แถมแฟนยังรู้อีก ถ้าไอ้ตงมันขี้หึงกว่านี้อีกหน่อยคงไม่มีโอกาสได้เป็นแฟนกันหรอกเหรอ

“กะ กูงี่เง่าเองแหละ กูขอโทษนะ” น้ำเสียงมันแผ่วเบา แต่ผมกลับได้ยินเต็มสองหู ไอ้คนอินดี้แบบไอ้ทอยกำลังขอโทษผมอยู่

“เออ มึงงี่เง่า แต่ให้กูทำไงได้วะ กูเป็นเพื่อนมึงนี่นา” ผมยิ้มอย่างใจชื้น เหมือนกับว่าน้ำเมาจะปลดทิฐิมันลงได้

“เตี้ยด้วย”

“ไอ้สัสทอย” แล้วพวกเราก็หัวเราะกันอย่างไม่มีสาเหตุ รอยร้าวที่มีเริ่มเลือนหายไป มิตรภาพของเพื่อนมันยิ่งใหญ่กว่าจะมีอะไรมาทำลายลงได้ ผมโอบไหล่ของมันอย่างยินดีกับตัวเองที่ได้เพื่อนกลับมาเสียที มันอาจจะดูง่ายดาย แต่นี่แหละ...ผู้ชายไม่ค่อยหยุมหยิมแบบผู้หญิง แค่พูดกันตรงๆ ขอโทษกันง่ายๆ เรื่องที่เคืองกันอยู่ก็หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น

“มึงเมาปะวะ” ผมเป็นคนถาม หลังจากเสียงหัวเราะสงบลง

“เออดิ พี่สุชาติแม่งให้กูยกไม่หยุด มอมกูชัดๆ”

“ห๊ะ มึงว่าอะไรนะ” สิ่งที่ตงฉินพูดก่อนหน้านี้วิ่งเข้าหัว พอเดินออกจากห้องน้ำก็พบว่ามนุษย์แฟนตัวสูงยืนรออยู่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันไม่เคยทำแบบนี้กับผมมาก่อน สีหน้าเรียบเฉยจนน่ากลัว

“กูขอโทษนะที่ดึงตัวแฟนมึงไว้” ไอ้ทอยเป็นคนออกปาก

“ขอโทษทำไมวะ เพื่อนกัน อยากลากมันไปไหนก็ตามสบาย” นั่นไง ไอ้คนปากไม่ตรงกับใจ

“อยากกลับยัง” ผมลองถาม

“เอาดิ” แล้วพวกเราก็บอกลาไอ้ทอยกันตรงหน้าห้องน้ำนั่นเอง

#### ####

[อัคคี]

             เรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะจูบ... หลังกลับจากเชียงใหม่ผมก็ตัดสินใจบอกเลิกกับฉัตรพงษ์ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเสียใจมากแค่ไหนก็ตาม แต่ผมไม่ต้องการให้เขามาเสียเวลากับคนที่ไม่ได้รู้สึกเหมือนเดิมอีกต่อไป ชีวิตเรามันสั้น อะไรที่มันไม่ใช่ก็ไม่ควรฝืน ทั้งหัวใจตัวเองและเวลาของคนอื่น

             หลังจากนั้นฉัตรพงษ์ก็ตามมาง้ออยู่เรื่อยๆ แต่ความรู้สึกผมเปลี่ยนไปแล้ว ถึงแม้จะรู้ว่าระหว่างไอ้หนึ่งมันเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยผมก็รู้ก่อนและได้ทำใจ ทุกอย่างเหมือนง่ายดายแต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยสักนิด ผมร้องไห้และซึมไปเป็นอาทิตย์ก่อนที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองโดยเริ่มจากลองหาอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อนเข้ามารบกวนเวลาที่ต้องฟุ้งซ่าน และช่วงนั้นเองซีรี่ย์เรื่อง วิศวะล่ารัก กำลังเปิดรับสมัครนักแสดงหน้าใหม่สำหรับซีซั่น 2 พอดี

“ไฟ...เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม เรารักนายนะ เราขาดนายไม่ได้” เบื้องหน้าของผมคือฉัตรพงษ์ที่ใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ เพราะความใจอ่อนจึงตกลงรับนัดให้มาเจอกันที่ร้านโมเอะในยามที่ลูกค้าไม่มีเช่นนี้ กาแฟร้อนส่งกรุ่นไอสีขุ่นลอยในอากาศจนกระทั่งความร้อนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นสนิท ไม่มีใครอยากหยิบแก้วของตัวเองมาดื่ม

“เราว่าเราคุยเรื่องนี้กันแล้วนะฉัตร” ผมเป็นคนตรงๆ บางทีมันก็เหมือนจะดูรุนแรงและทำร้ายความรู้สึกของคนอื่น แต่ความไม่ชัดเจนยิ่งเลวร้ายกว่า มันเหมือนเราหยิบยื่นโอกาสที่ริบหรี่และเป็นไปไม่ได้ให้อีกฝ่ายรอคอยอย่างมีความหวัง ซึ่งท้ายที่สุดมันก็ต้องจบลงที่ความจริงว่า คนที่ไม่ใช่ก็คือคนที่ไม่ใช่อยู่ดี

“แต่...” น้ำตาไหลอาบแก้มชวนน่าสงสาร ฉัตรพงษ์ที่เคยเข้มแข็งและร่าเริงไม่เหลือเค้าเดิมในยามนี้ ผมมองภาพเบื้องหน้าด้วยความสงสาร แต่ความสงสารไม่ใช่ปัจจัยให้กลับไปรักได้อย่างเดิมอีกแล้ว

“เราขอโทษนะฉัตร แต่เรากลับไปไม่ได้อีกแล้ว นายไม่ได้ผิดอะไรเลย เราต่างหากที่ไม่ดี เราแค่ไม่ได้รักนายแล้ว และนายไม่ได้ผิดอะไร” ผมย้ำว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดสองรอบเพื่อหวังว่าฉัตรพงษ์จะเข้าใจและไม่คิดโทษตัวเอง ก่อนที่จะใจอ่อนเพราะความเวทนากับร่างสูงที่กำลังสะอื้น ผมลุกออกมานอกร้านอย่างไม่สนใจอดีตคนรักอีกต่อไป

“มึงแม่ง” ฉัตรชัย ฝาแฝดของฉัตรพงษ์จ้องหน้าผมอย่างเดือดดาล ผมคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราคงจบแค่นี้ มันคงจะเป็นการดีถ้าจะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการออกห่างจากกลุ่มของไอ้หนึ่ง เพราะหัวใจผมแอบยกให้มันไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ก่อนที่จะต้องเจ็บอีกครั้ง ผมขอเลือกทางออกนี้เพื่อรักษาหัวใจให้หายดีเสียก่อน

“ฝากดูแลด้วยนะ กูขอโทษจริงๆที่เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้”

ผลัก...

   ฉัตรชัยเดินกระแทกไหล่ผมอย่างแรงก่อนเปิดประตูร้านเข้าไปหาแฝดคนพี่ที่กำลังร้องไห้อย่างหนัก ผมมองภาพนั้นอย่างสะท้อนใจ แต่ต้องทำเป็นใจแข็ง ไม่อย่างนั้นเรื่องราวมันคงคาราคาซังไปอีกนาน...เรื่องมันเกิดที่ผม ก็ให้มันจบที่ผมเช่นกัน

#### ####

             ของแข็งบางอย่างสอดแทรกเข้ามาที่บั้นท้ายจนสะดุ้ง ผมพยายามลืมตาอย่างหนักเพื่อหาสาเหตุแต่ก็เหมือนจะไร้ผล ภาพสุดท้ายที่จำได้คือคุณสุชาติเข้ามาประคองเมื่อเห็นว่าผมเมาหนัก เพื่อนนักแสดงต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอัคคีเมามากแล้ว เจ้าของโมเดลลิ่งจึงอาสาพาผมไปพัก ซึ่งไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน ผมไม่รู้ตัวเลยว่างานเลี้ยงก่อนหน้านี้จบเมื่อไหร่ หลังจากนั้นเราไปไหนกันต่อ ภาพมันเลือนลางจนพร่ามัวไปหมดราวกับมีอะไรกดประสาทจนขยับตัวแทบไม่ได้

“อย่าดิ้นนะครับน้องไฟ ไม่งั้นจะเจ็บตัวได้นะ” เสียงหื่นกามนั้นฟังดูคุ้นเคยไม่น้อย ผมขยับบั้นท้ายอย่างอ่อนแรง พอจะรู้แล้วว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้น ไอ้ที่อยู่ในตัวผมคงเป็นนิ้วของมันเป็นแน่ ผมพยายามร้องขอความช่วยเหลือ แต่ก็เหมือนลำคอตีบตันไร้สรรพเสียงลอดผ่าน “ไม่เอาไม่ร้องนะครับคนดี พี่รับรองว่าพี่จะทำเบาๆ”

“ออกไป ฮือๆ ออกไป” เสียงสั่นเครือมันเหมือนดังมาจากที่ที่ไกลแสนไกลราวกับไม่ใช่เสียงของตัวเอง ความกลัวเกาะกุมจนร่างกายสั่นสะท้าน ความเจ็บตึงที่บั้นท้ายจากแรงเสียดสีเข้าออกเพื่อเปิดทางแคบให้รองรับไอ้สิ่งน่ารังเกียจนั้นทำให้น้ำตาไหลไม่ยอมหยุด ในใจมีแต่ความสิ้นหวังครอบงำจนต้องหลับตาเพื่อหวังว่าจะหลับและไม่รู้สึกอะไรอีกเลย พอตื่นมาตอนเช้า เรื่องทุกอย่างมันก็จะจบลง ... ขอแค่นี้ แค่หลับตาและอดทนกับความปวดปร่าให้ได้ก็พอ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 38 P.6 Up 10 เม.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 11-04-2021 06:48:13
 :mew2: :hao7:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 38 P.6 Up 10 เม.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 11-04-2021 09:29:47
อ้าว ไหงเป็นงี้. ทำไมหนึ่งไม่เตือนทอยอ่ะ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 39 P.6 Up 17 เม.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 17-04-2021 12:24:39
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.
ตอนที่ 39. บทเรียนที่เจ็บปวด

[ตงฉิน]

             หลังออกจากงานเลี้ยงพวกเราขับรถกลับคอนโดตามปกติ แต่สิ่งที่ผิดปกติในวันนี้คือท่าทางหงอยเหงาของคนที่กำลังขับรถอยู่ รายนี้คงไม่รู้ตัวหรอกว่าถอนหายใจมากกว่าร้อยครั้งแล้วตั้งแต่จับพวงมาลัย ถามคำก็ตอบคำเหมือนไม่ใช่ไอ้หนึ่งคนเดิมที่คอยกวน ใบหน้าเรียบเฉยเหมือนมีอะไรให้คิดทำให้ผมต้องปิดปาก รอให้มันตกผลึกได้ก่อนค่อยคุยยังไม่สาย แต่ท่าทางแบบนี้ชวนหงุดหงิด เพราะผมแคร์มันมากกว่าเดิมด้วยมั้ง ถ้าปล่อยผ่านเลยก็เหมือนเป็นคนใจดำเกินไป หากเป็นแต่ก่อนคงไม่เก็บเอามาคิดให้รกสมองหรอก ผมเป็นใคร นายตงฉิน ดาราดังนะครับ ทำไมจะต้องสนใจท่าทางของคนๆหนึ่งด้วย

“จะถอนหายใจอีกนานมั้ย” ท้ายที่สุดผมก็ทนไม่ไหว

“รำคาญเหรอ ขอโทษทีนะ” เสียงตอบกลับแผ่วเบาเหมือนสติไม่ได้อยู่ตรงนี้ยิ่งชวนให้มีอารมณ์โมโห

“จะถอนหายใจก่อนหรือจะตั้งใจขับรถดีๆเลือกสักอย่าง ถ้าไม่อย่างนั้นก็จอดรถเดี๋ยวขับเอง”

“อื้อ” มันรับคำอย่างง่ายดายก่อนจะตบไฟเลี้ยวหักพวงมาลัยจอดข้างทางแทบจะทันที

“เป็นอะไร” พอรถจอดสนิทความเงียบมันก็ทำงานสวนทางกับเสียงเครื่องยนต์บนถนนใหญ่ แสงไฟวูบวาบแล่นผ่านไปมาชวนแสบตา

“ตง คือ...” ท่าทางของไอ้หนึ่งเหมือนจะลังเล ผมสะกดอารมณ์ขุ่นขึ้งเพื่อลดความกดดันที่อีกคนกำลังเผชิญอยู่

“มึงรู้ใช่มั้ยว่าเราเป็นแฟนกัน” มันพยักหน้ารับ “แล้วรู้ใช่มั้ยว่ามึงคุยกับกูได้ทุกเรื่อง”

“อืม แต่กูไม่แน่ใจว่ามึงจะโอเคไหมน่ะสิถ้ากูบอกมึงตรงๆ”

“ทำไมวะ มึงคิดถึงผู้ชายคนอื่นอยู่รึไง” อันนี้แกล้งแซว

“ก็ทำนองนั้น” แต่คำตอบของมันทำเอาผมอารมณ์ขึ้นอีกรอบ นี่สินะที่เรียกว่าความหึง

“ขะ ใคร” เสียงพูดมันลอยหายไปไหนแล้วไม่รู้ มันฟังดูแหบแห้งเหมือนไม่ใช่คำที่เปล่งออกมา

“ไอ้ทอย”

“หื๊อ” เครื่องหมายคำถามเต็มหน้าผมไปหมดแล้วตอนนี้ ความจุกหน่วงที่หน้าอกมันหมายความว่าอะไรกันแน่นะเนี่ย

“คือ กูไม่ได้คิดถึงมันในแง่นั้น ... แง่นั้นน่ะนะถ้ามึงเข้าใจ” ผมพยักหน้าและรอฟัง “กูคิดกับไอ้ทอยแค่เพื่อน ไม่เคยคิดมากไปกว่านั้น แค่...เอ่อ”

“พูดมาเถอะ กูฟังได้” ผมรู้สึกหนาวไปทั่วทั้งตัว ความหวั่นไหวแปลกๆนี้มันสื่อถึงอะไรกัน

“กูคิดว่าคุณสุชาติอะไรนั่น เล็งจะกินตับไอ้ทอยว่ะ” เนื้อตัวผมเย็นเยือกไปทั่วราวกับถูกแช่ในช่องฟรีซขนาดใหญ่ ความหวาดกลัวเกาะกุมเมื่อคิดถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง อารมณ์ไหวหวั่นเมื่อครู่มันคงสะท้อนออกมาเพราะความทุกข์ที่ถูกเก็บไว้ในส่วนลึกของความทรงจำ ถึงแม้ไอ้หนึ่งไม่พูด แต่ผมก็พอจะมองออกว่าไอ้นั่นคิดอะไรอยู่ เพียงแต่ผมไม่อยากจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนพรรค์นั้นอีก จึงได้ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับท่าทีคุกคามที่เขาแสดงออกทางสีหน้าและแววตาให้กับไอ้ทอย สายตาแพรวพราวและหวังผลนั้นผมเคยเห็นมาก่อน และมันก็จบลงด้วยการที่ผมต้องสูญเสียตัวตนไป

“มึงโอเคมั้ยวะตง”

“กะ กู ไม่รู้” ผมหน้ามืด ลมหายใจขาดห้วง แค่คิดภาพของไอ้สุชาติกำลังนัวเนียเรือนร่างของทอยก็ยิ่งทำให้หายใจติดขัด

“ใจเย็นๆก่อนนะ กูอยู่ตรงนี้แล้ว กูอยู่กับมึงตรงนี้นะ ไม่มีใครทำอะไรมึงได้หรอก กูจะปกป้องมึงเอง” ร่างเล็กโผมาคว้าตัวผมไปกอด แม้ว่าจะหวาดหวั่นเพียงไหน แค่ได้รับไออุ่นจากคนๆนี้ก็ทำให้ใจชื้นขึ้นได้อย่างน่าประหลาด ความรักเป็นเรื่องแปลก บางครั้งก็ไม่มีเหตุผลว่าทำไมต้องรักใครสักคน ผมเคยถามตัวเองว่าทำไมถึงตกลงปลงใจเป็นแฟนกับไอ้หนึ่ง ทั้งที่ไม่มีอะไรเลยที่เป็นภาพน่าจดจำระหว่างเรา ทุกอย่างมันเริ่มจากเซ็กซ์และก็เป็นไปตามนั้นมาตลอด แต่พอรู้สึกตัวอีกที บนเตียงผมก็มีอีกคนนอนอยู่ข้างๆ ตื่นนอนยามเช้าก็เจอใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของมันเป็นสิ่งแรก แม้กระทั่งตอนที่หนาวเหน็บก็มีอ้อมกอดอุ่นๆให้ซุกใบหน้ากับช่วงอก หรือแม้กระทั่งการได้จับมือกันเงียบเชียบในห้องนอนพร้อมกับดูซีรี่ย์ไปเรื่อยๆก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ

“ขอบคุณนะ” ลมหายใจกลับมาเป็นปกติ ผมขยับตัวเพื่อคลายอ้อมกอด “ไปกันเถอะ”

“ไปไหน”

“ไปดูว่าไอ้ทอยยังโอเครึเปล่า” แม้จะกลัวว่าอาจต้องพบกับภาพที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น รวมไปถึงความกลัวว่าตัวเองจะยังไม่เคยก้าวข้ามเรื่องแย่ๆนี้จะกลับมาหลอกหลอนจนนอนไม่หลับอีกครั้ง แต่ผมก็ไม่ต้องการให้ใครต้องตกเป็นเหยื่อได้อีก

#### ####

[หนึ่ง เอกราช]

             ผมเหยียบคันเร่งจนมิดด้วยความร้อนใจ ระยะทางที่รถแล่นบนท้องถนนคล้ายจะไกลขึ้นกว่าเดิมจนน่าโมโหเพราะไม่ทันใจ ตงฉินพยายามกดโทรหาไอ้ทอยแต่ก็เหมือนไม่ได้ผล มือถือของมันน่าจะถูกปิดไว้ไม่ให้ใครรบกวนช่วงเวลา เวลาที่ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกแย่ ความกลัวพลุ่งพล่านจนต้องขยับนิ้วเคาะพวงมาลัยดังกึกๆอย่างร้อนรนตลอดเวลา

“อีกไกลมั้ยวะ”

“อีก 2 ไฟแดง” ตงฉินตอบคำถาม ผมขับตามทางกลับไปยังออฟฟิศของไอ้สุชาติและเลี้ยวเข้าไปยังถนนเพชรบุรี รถรายังคงติดแน่นขนัดถึงแม้เวลาจะล่วงมาดึกมากแล้ว ใจผมฝ่อไปหมดเมื่อคิดว่าเรื่องร้ายๆอาจจะเกิดหรืออาจะเกิดขึ้นไปแล้วกับเพื่อนสนิท มันจะเสียใจขนาดไหนถ้าพบว่าตัวเองถูกล่วงละเมิดทางเพศ ผมจะทำอย่างไรให้มันรู้สึกดีขึ้น ถ้าไอ้ทอยตกเป็นเหยื่อจริงๆ ความผิดส่วนหนึ่งก็มาจากผมที่ไม่กล้าคุยเรื่องนี้กับไอ้ตงตั้งแต่แรก ผมแค่กลัวว่าไอ้ตงจะไม่พอใจที่ให้ความสำคัญกับไอ้ทอย กลัวว่ามันจะคิดว่าผมกุเรื่องนี้ขึ้นมาเองเพราะแค่ระแวงไอ้สุชาติที่เคยทำกับมันมาก่อน

“ซ้ายๆ ถึงแล้ว” ผมหักพวงมาลัยเมื่อถึงหน้าหมู่บ้านจัดสรรหรูหราแห่งหนึ่งย่านคลองตัน รปภ.ให้แลกบัตรเข้าภายในอย่างคุ้นเคยกับระบบรักษาความปลอดภัยที่หนาแน่น

“มึงโอเคใช่มั้ย” ผมเป็นฝ่ายถาม เพราะใบหน้าของอีกคนนั้นดูซีดเซียวจนน่าเป็นห่วง

“กูไหว แค่กลัวว่าไอ้ทอยมัน...”

“เราต้องช่วยมันได้ มันอาจไม่เป็นอะไรหรือไม่งั้นกูก็แค่ระแวงไปเอง ไอ้ทอยมันอาจจะแบตหมดแล้วเผลอหลับที่บ้านก็ได้”

“อื้อ” เสียงตอบรับสั่นเครือ แต่ก็ยังบอกทางได้จนกระทั่งรถยนต์คันหรูจอดสนิทหน้าบ้านหลังหนึ่ง แสงไฟในห้องนอนชั้นสองเปิดทิ้งไว้ทั้งที่เวลาล่วงเลยมาขนาดนี้แล้ว รถยนต์ของเจ้าของโมเดลลิ่งจอดหน้าประตูรั้วบ้านที่เปิดทิ้งเอาไว้คล้ายกับรีบเร่ง พวกเราก้าวลงจากรถอย่างเงียบเชียบและเดินอย่างระแวดระวังไปยังประตูไม้ของตัวบ้าน มันไม่ได้ล็อก แต่ความมืดภายในกลัวชวนหวาดหวั่น

“เราจะถูกจับข้อหาบุกรุกมั้ยวะ”

“อย่าเพิ่งปอดแหกสิ ใจเย็นๆก่อน ทางนี้” ถึงแม้ในตัวบ้านจะมืดมิดแต่ไอ้ตงกลับเอื้อมมาจับข้อมือผมเอาไว้แน่นและพาเดินขึ้นบันไดที่ไร้เสียงฝีเท้า ฝ่ามือของคนเดินนำทางเอาจัด ผมสัมผัสถึงกลิ่นอายแห่งความหวาดกลัวแฝงมาโดยง่าย

“อื้อ อื้อ...” เสียงครางแผ่วหวิวดังมาจากห้องนอนใหญ่ ผมพุ่งตัวเพื่อจะเข้าไปห้ามแต่ถูกใครอีกคนฉุดไว้

“ทำอะไรวะ” น้ำเสียงผมเกือบหลุดจากคำว่ากระซิบ แต่โชคดีที่มือใหญ่ของไอ้ตงมาปิดไว้เสียก่อน

“ชวู่ๆ เบาๆสิ อย่าใจร้อนเดี๋ยวจะเสียเรื่อง” พวกเราต่างยืนหน้าห้องนอนใหญ่ แสงสว่างลอดผ่านพอให้เห็นภาพที่กำลังเกิดขึ้นในนั้น ยิ่งมองก็ยิ่งร้อนรนราวกับมีไฟล่องหนเผาไหม้ความอดทนจนเหือดหาย

“แต่นั่นเพื่อนกูนะ” ผมเกือบจะตะคอกใส่ไอ้ตง

“กูรู้ แต่มึงจะเข้าไปเฉยๆไม่ได้ กูอยากได้หลักฐาน กูคิดมานานแล้วว่าถ้ามีหลักฐานสักนิด ไอ้สุชาติมันต้องถูกจับ แต่ที่ผ่านมาไม่มีใครยอมปริปากเรื่องที่เกิดขึ้นเลยสักคน” น้ำเสียงมันแผ่วเบาก็จริง แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหนักแน่น

“อื้อ มึงคิดจะทำอะไร” ตอนนี้ผมกำหมัดไว้แน่น มองเสี้ยวแผ่นหลังของไอ้สุชาติอย่างเดือดดาล

“เรามีไอ้นี่” มันหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดขึ้นมา “ตีงูต้องตีให้ตาย”

“พร้อมนะ” ผมถามย้ำ ก่อนที่เราจะพยักหน้าให้กันแทนคำตอบ

             พวกเราทั้งคู่ค่อยๆแง้มประตูห้องนอนเพื่อไม่ให้เกิดเสียงรบกวน ภาพที่ปรากฎบนเตียงนั้นชวนสะอิดสะเอียน แต่ต้องสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้เพื่อให้ไอ้ตงจับภาพของผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่กำลังเพลิดเพลินกับเรือนร่างของเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่กำลังนอนนิ่งอย่างไม่สนใจโลกภายนอก เสียงดูดเลียอย่างลามกชวนสะอิดสะเอียน ใบหน้าอวบอูมนั้นโน้มแนบชิดตามตัวขาวเนียนของคนที่หลับสนิท มือใหญ่ล้วงลึกเข้าไปในพื้นที่สงวนกลางสองขาที่แหวกกว้างเป็นรูปตัวเอ็ม ใบหน้าเหยเกของไอ้ทอยส่งเสียงครางราวกับเจ็บปวดเนื่องบั้นท้ายกลมกลึงถูกสิ่งแปลกปลอมแหวกว่ายเข้าออกอย่างน่าสังเวช ไอ้สุชาติที่ตัวเปลือยเปล่าไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญกำลังบันทึกภาพพฤติกรรมสกปรกเอาไว้ ไอ้ตงมันฉลาดพอที่จะบันทึกเป็นคลิปสั้นๆและส่งเข้าไลน์ผมเพื่อป้องกันหากมือถือถูกชิงไป

“หยุด!” พวกเราชะงัก เพราะเสียงนั้นดังมาจากหน้าประตูห้อง ไอ้สุชาติหน้าเหวอหันมาตามเสียงตะโกนพร้อมทั้งขยับตัวลงจากเตียงปล่อยให้ไอ้ทอยนอนราบเปลือยเปล่า พวกเราตัวแข็งทื่อเพราะไม่คิดว่าจะมีใครตามมา ถ้านั่นคือบอดี้การ์ดของไอ้สุชาติ หมายความว่าพวกเราคงไม่รอดไปโดยง่าย

“พะ พวกมึง” เสียงสั่นเปล่งออกมาจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของโมเดลลิ่งชื่อดัง หน้าตาหวาดกลัวปิดไม่มิดเมื่อเห็นเราและ...

“ไอ้เหี้ย!” ร่างสูงที่มาทีหลังพุ่งไปหาร่างอ้วนที่เปลือยกายอยู่ข้างเตียง เสียงหมัดหนักๆกระหน่ำเข้าใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นอย่างไม่ปราณี เลือดสีแดงไหลตามรอยปริแยก บาดแผลจากแรงเหวี่ยงของหมัดผู้ชายวัยรุ่นดูหนักหนาไม่น้อย ไอ้ตงได้สติก่อนรีบเข้าไปหาเสื้อผ้าของไอ้ทอยมาสวมใส่อย่างลวกๆ

“พอก่อน พี่ไนล์หยุดก่อน” ผมที่เพิ่งได้สติจึงวิ่งเข้าไปห้าม ร่างของไอ้สุชาตินอนคุดคู้ตัวงอกับพื้นร้องขอชีวิตอย่างน่าสังเวช แต่การกระทำที่ต่ำช้าของมันกลับทำให้ผมอยากกระทืบซ้ำจนมันตายตรงนี้ อุณหภูมิจากร่างสูงร้อนระอุ เหงื่อไคลไหลหยดลงเป็นทางเพราะออกแรงไปค่อนข้างเยอะ สภาพเจ้าของบ้านสะบักสะบอมตาปูดโปนอาบไปด้วยเลือด

“มึงออกไป อย่าห้ามกู” พี่ไนล์เหมือนสติหลุดไปแล้ว แรงกระชากสะบัดไปมาจนใบหน้าผมถูกแรงเหวี่ยงจากหมัดและแขนล่ำจนเจ็บไม่น้อย โดนแค่หางเลขยังรู้สึกขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยที่สภาพไอ้สุชาตินั้นเหมือนขยะนอนจมกองเลือด

“ใจเย็นๆพี่ ถ้ามันตายพี่จะกลายเป็นฆาตกรนะ มันคุ้มเหรอวะ” ผมตะคอกเพื่อให้อีกฝ่ายฉุกคิด เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

“คุ้มสิ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะไอ้เหี้ยนี่ตัวเดียว เพราะมัน ครอบครัวกูถึงเป็นแบบนี้” พี่ไนล์พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ใบหน้าแข็งกร้าวราวกับไม่ใช่ผู้ชายคนที่มีรอยยิ้มเปื้อนใบหน้าตลอดเวลา แววตาดุดันคล้ายนักล่าบ่งบอกให้รู้ว่าอยากกระชากร่างอีกคนมากเพียงไหน

“แต่ถ้าพี่ทำแบบนี้ คิดเหรอว่าครอบครัวพี่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ถ้ามันตาย พี่จะติดคุกนะ พี่ไม่ห่วงที่บ้านรึไง”

“กู..” พี่ไนล์สงบนิ่งในอ้อมแขนในท้ายที่สุด ใบหน้าขึงขังเปลี่ยนแปลงไปคล้ายคนกำลังสับสน

“พี่ไนล์ แจ้งความด้วย” เมื่อคลายแรงกอดรัดออกให้พี่ไนล์เป็นอิสระ ผมใช้เสื้อเชิ้ตของเจ้าของบ้านมามัดสองแขน ก่อนจะหาอย่างอื่นที่พอจะใช้มัดขาได้มาเพื่อป้องกันการหลบหนี

             รถตำรวจและรถพยาบาลมาถึงที่นี่ในอีกเกือบหนึ่งชั่วโมง มีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบมาสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพวกเราทั้งสามคนคร่าวๆก่อนจะใส่กุญแจมือไอ้สุชาติและพาขึ้นรถตำรวจ ร่างของไอ้ทอยถูกนำส่งโรงพยาบาลทั้งที่ยังไม่ได้สติ ไอ้ตงสันนิษฐานว่าอาจเป็นผลมาจากยานอนหลับที่ผสมลงกับเครื่องดื่ม (ผมก็เชื่อเพราะมันเคยเจอเรื่องนี้มากับตัว) พี่ไนล์เหมือนจะถูกตั้งข้อหาทำร้ายร่างกายและบุกรุก เพียงแต่หลักฐานที่พวกเรามีนั้นพอจะรับประกันได้ว่าไม่ได้มีเจตนา แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็เชิญตัวพวกเราไปให้ปากคำต่อที่โรงพัก แม้จะง่วงกันมากแค่ไหน แต่ผมกลับอยากเล่าเหตุการณ์ที่ได้เห็นให้เจ้าหน้าที่บันทึกไว้เป็นหลักฐาน

“ไหวมั้ย” ผมจับมือเย็นเฉียบ นิ้วของพวกเราสอดประสานกันไว้แนบแน่น ใบหน้าหล่อที่ดูอ่อนเพลียยิ้มกลับมา

“สบายมาก”

“ไม่ต้องกลัวนะ กูอยู่นี่แล้ว”

“กูรู้” มันตอบสั้นๆก่อนจะเดินไปยังรถยนต์ที่จอดหน้าประตูบ้าน ไทยมุงร่วมสิบชีวิตมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้อออยู่ด้านนอกรั้ว ไอ้ตงหันขวับ พี่ไนล์ที่เดินตามมาก็ยื่นผ้าขนหนูที่แอบหยิบมาด้วยเพื่อให้ผมปิดใบหน้าของตงฉินเอาไว้ก่อน เช่นเดียวกับพี่ไนล์ที่ทำแบบเดียวกัน โชคดีที่มีตำรวจคอยแหวกทางให้จึงไม่มีใครสามารถเข้ามาถึงตัวพวกเราทั้งสามคนได้

“มึงโอเคแน่นะ” ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ คนถูกถามหันมายิ้มบางให้อย่างไม่มีความหงุดหงิดที่ถูกถามเรื่องเดิมซ้ำๆ หากเป็นแต่ก่อนผมคงถูกด่าเปิงไปแล้ว ตงฉินเวอร์ชั่นนี้มีแต่ความอ่อนโยนที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เห็น

“จริงๆก็ไม่ กูไม่โอเค” แล้วร่างสูงที่นั่งเบาะข้างๆก็โน้มมาซบไหล่ผมอย่างไม่ให้สัญญาณ กลิ่นน้ำยากแต่งผมยังฉุนลอยเข้าจมูก แต่ผมก็ยินดีที่จะกดใบหน้าซึมซับบรรยากาศอ่อนไหวเช่นนี้เอาไว้เป็นความทรงจำ “กูเกลียดตัวเองที่ตอนนั้น...”

“คนที่ควรเกลียดคือไอ้นั่นต่างหาก มึงไม่ได้ทำอะไรผิดเลยเว้ย มึงแค่โชคร้ายที่ไม่มีกูอยู่ข้างๆตอนที่มึงถูกทำร้าย แต่ตอนนี้มึงมีกูแล้วนะ ไอ้เตี้ยคนนี้แหละที่จะปกป้องมึงเอง กูสัญญาว่าจะไม่ยอมให้ใครหรืออะไรมาทำร้ายมึงอีก”

“หนึ่ง” เสียงสั่นเครือแผ่วเบาพร้อมกับใบหน้าที่ซุกกับต้นแขนซ้ายของผม ร่างสูงสั่นสะอื้นราวกับพยายามสะกดกลั้นอารมณ์

“กูอยู่นี่แล้วไง กูอยู่นี่แล้ว” ผมใช้มือข้างที่ว่างลูบเส้นผมของมันแผ่วเบา ภายนอกรถนั้นค่อยๆสงบลงหลังจากที่รถพยาบาลเคลื่อนที่ออกไป พี่ไนล์ก็ขับรถไปสถานีตำรวจก่อนหน้านี้แล้ว ในหัวผมมีแต่คำถามว่าพี่ไนล์รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร แล้วทำไมถึงตามมาถึงที่นี่ได้โดยที่เราไม่รู้ตัว คนที่ท่าทางเป็นมิตรอย่างพี่ไนล์นั้นดูดุดันราวกับไม่ใช่คนเดิมที่ได้พบเจอทุกวัน

“จะกลับบ้านเลยมั้ย” ผมเป็นฝ่ายถามเมื่ออีกอาการสะอื้นของอีกคนหายไป

“ยัง ไปให้ปากคำก่อน” แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ผมก็ไม่ทัดทานอะไรออกไป ช่วงเวลานี้ไอ้ตงคงยังสับสน การตัดสินใจจึงไม่แน่วแน่เช่นเคย ผมที่อยู่ข้างๆทำได้เพียงสนับสนุนอยู่ใกล้ๆ และหวังว่าปมในใจอันนี้จะเลือนหายไปจากใจมันในเร็ววัน
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 39 P.6 Up 17 เม.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 17-04-2021 18:43:50
 :mew2: o13
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 39 P.6 Up 17 เม.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 17-04-2021 23:23:17
คนในครอบครัวพี่ไนล์ก็โดนไอ้นี่ทำร้ายด้วยหรือเปล่า.  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 40 P.6 Up 25 เม.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 25-04-2021 14:12:25
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.
ตอนที่ 40. คนอื่นมองก็ต้องจิ้น

             เรื่องอื้อฉาวของคุณสุชาติถูกเปิดโปงจากสื่อต่างๆจนเกิดเป็นกระแสโด่งดังและส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ทุกสำนักข่าวต่างรายงานเรื่องนี้อยู่เกือบเดือน มีสกู๊ปพิเศษแฉวงการนี้ออกมาอย่างเผ็ดร้อน ตำรวจจึงต้องทำสำนวนคดีอย่างละเอียดถี่ถ้วนโดยที่มีผมและไอ้ตงเป็นพยานที่ไม่เปิดเผยตัว ยกเว้นพี่ไนล์ยินดีที่จะออกหน้าในเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียวแถมโกรธจัดที่ได้รู้เรื่องที่ไอ้ตงเคยพบเจอ จึงได้เล่าเรื่องราวอันน่าเศร้าที่เกิดกับพี่ชายแท้ๆของแกให้พวกเราฟังว่าโดนไอ้สุชาติล่วงละเมิดตอนที่เพิ่งเข้าวงการบันเทิงเมื่อหลายปีก่อน หากแต่พี่ชายของแกนั้นรับไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นจึงคิดสั้นฆ่าตัวตาย ตั้งแต่นั้นมาครอบครัวของพี่ไนล์ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ตอนเกิดเรื่องนั้นพี่ไนล์ยังเด็ก จึงไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่พอเริ่มโตขึ้นก็รับรู้เรื่องราวที่พี่ชายต้องเผชิญจึงปฏิญาณกับตัวเองว่าจะต้องจัดการไอ้คนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ให้ได้

“กูตามสืบเรื่องนี้มานานแล้ว คืนนั้นกูก็ขับรถตามมาแต่น้ำมันหมดเลยต้องแวะเติมเลยคลาดกัน กูต้องขับวนหาหลายรอบจนเกือบจะถอดใจละ แต่พอดีเห็นรถตงฉินลิบๆเลยรีบเหยียบคันเร่งตาม ถ้าไม่ติดไฟแดงนะ กูคงไปถึงพอๆกับมึง”

“นี่ใช่พี่ไนล์ตัวจริงมั้ยวะครับ ขึ้นมึงกูกับน้องหนึ่งซะแล้ว” ผมแซวเชิงประชดเมื่อธาตุแท้ที่ไม่ใช่พี่ชายวัยใส แต่เป็นไอ้ไนล์ขาโหดที่ซ้อมคนปางตาย ไอ้สุชาติกระดูกหักหลายจุด จมูกเบี้ยว ซี่โครงร้าวเพราะแรงเตะอัด ยังดีที่สมองไม่เป็นอะไรเพราะตอนที่ล้มกับพื้นนั้นมีแขนข้างที่หักรองไว้ กว่าจะกลับมาหายขาดได้คงใช้เวลาอีกหลายเดือน

             นับว่าเป็นโชคดีของไอ้ตงที่ไม่มีสื่อคนไหนไปกับตำรวจในคืนเกิดเหตุ แถมไทยมุงก็ไม่ได้สนใจถ่ายรูปพวกเราทั้งสามคนเอาไว้เนื่องจากพุ่งความสนใจกับคนที่ถูกควบคุมตัวในกุญแจมือ ในเมื่อตงฉินเต็มใจที่จะให้เครดิตทั้งหมดกับพี่ไนล์ ผมก็ไม่ติดขัดอะไรตรงนั้น เพียงแต่ผมจะต้องให้การเป็นพยานกับทางเจ้าหน้าที่หากมีการไต่สวนในอนาคต ไอ้ตงค่อนข้างอึดอัดที่จะเป็นพยานเพื่อให้การกล่าวหาไอ้สุชาติทั้งที่เคยออกตัวว่าจะให้ปากคำอย่างเต็มที่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็คิดได้ว่าเรื่องนี้มันกระทบหลายฝ่าย ชื่อเสียงของตัวเองยังไม่เท่าไหร่ แต่ชื่อเสียงของที่บ้านนั้นไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยง เลยตัดสินใจว่าจะไม่ไปให้ปากคำอีก แต่เมื่อถูกผมกล่อมก็ยอมตกลงแต่โดยดีด้วยคำว่า...พยานนิรนาม (ซึ่งผมก็ไม่มั่นใจว่าเรื่องนี้จะปิดได้จริงหรือเปล่า)

“เป็นช่วงปิดเทอมที่โคตรยุ่งเลยเนาะ” ผมแซวแฟนหนุ่มที่วิ่งหัวหมุนมาถ่ายซีรี่ย์เรื่องใหม่ หลังจากวิศวะล่ารักถูกระงับการถ่ายทำเนื่องจากกรณีอื้อฉาว รวมไปถึงนายเอกอย่างพี่ไนล์นั้นถูกเชิญไปออกรายการต่างๆและไม่อยากถ่ายทำต่ออีกแล้ว ทางผู้จัดเลยต้องพับโครงการไว้ก่อน ชื่อเสียงของโมเดลลิ่งดิ่งลงเหวจนต้องปิดบริษัทไปเสียดื้อๆ

“เหนื่อยสิ ใครแม่งรับงานให้กูวะ” มันทำท่าจะด่า แต่ผมก็กระแอมใส่เสียก่อน

“ทีมงานวอมาแล้ว พระเอกเข้าฉาก” มันทำหน้าย่นและชูนิ้วกลางมาให้ก่อนออกไปเข้าฉากต่อไป ผมยิ้มแฉ่งกลับไปให้

“กวน ตีน” มันขยับปากด่าแบบไร้เสียงออกมา ยิ่งทำให้ผมต้องหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่

             ตงฉินรับงานแสดงอีกครั้ง กับซีรี่ย์ของช่องโทรทัศน์ชื่อดังในบทพระเอกอย่างเต็มตัว ถึงแม้เจ้าตัวจะบอกว่าอยากออกจากวงการนี้แล้วก็ตาม แต่ทางผู้ใหญ่ให้โอกาสอันดี มันจึงรับงานนี้เพราะเกรงใจ ผมมองแผ่นหลังของแฟนหนุ่มอย่างบอกไม่ถูก ที่ผ่านมาไอ้ตงจะเจ็บปวดมากแค่ไหนกันนะ แล้วไอ้ทอยล่ะ ... มันจะก้าวข้ามเรื่องนี้ได้ในเร็ววันนี้ไหม?

#### ####

หนึ่งเดือนต่อมา ...

             บรรยากาศจอแจที่โรงอาหารของคณะบริหารธุรกิจยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ที่ต่างออกไปก็คือตอนนี้พวกเราเป็นรุ่นพี่ปี 2 แล้ว กิจกรรมรับน้องใหม่เวียนกลับมาอีกครั้ง ไอ้คิ้วถูกเลือกให้เป็นประธานรุ่นของชั้นปี โดยมีวาวา(แฟนฉัตรชัย)เป็นประธานร้องเพลงเชียร์ ขวัญใจกับไอ้โทอาสาช่วยเรื่องดูแลทีมเชียร์หลีดเดอร์ ส่วนไอ้ตงนั้น รุ่นพี่ให้อยู่เฉยๆเป็นมาสค็อตของคณะเพื่อดึงให้รุ่นน้องเข้าร่วมกิจกรรมที่จัดให้มากที่สุด หน้าที่ของมันก็คือ ยืนทำหน้าหล่อๆอยู่หลังโต๊ะลงทะเบียนให้สาวๆกรี๊ด หรือไม่ก็ยืนเป็นนายแบบหลอกล่อให้น้องๆเข้าไปซ้อมร้องเพลงเชียร์ในห้องเรียนก่อนจะถูกพี่ว๊ากเข้าไปก่อกวน

             ส่วนเอกราชนั้นไม่ขอทำกิจกรรมอะไรเนื่องจากยังมีรุ่นพี่บางคนที่ยังไม่พอใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ผมได้แต่มองบนและปล่อยให้มันผ่านไปอย่างไม่แยแส ถ้าเขาอยากจะเก็บเรื่องไม่เป็นเรื่องให้รกสมองก็ปล่อยไปเถอะ กิจกรรมรับน้องที่เพื่อนๆต่างวิ่งวุ่นเพื่อให้งานมันออกมาดีที่สุดจะขาดผมไปสักคนงานมันคงไม่ล่มหรอก ... ใช่ซะที่ไหน

“ไอ้เตี้ย กูบอกให้เตรียมน้ำแข็งใส่ตู้แช่ไว้ แล้วมันอยู่ไหน น้องๆจะเป็นลมกันหมดแล้ว” เสียงประธานรุ่นดังโหวกเหวกมาแต่ไกล ทั้งๆที่ผมคิดว่าตัวเองจะสบายไม่ต้องเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของคณะแล้วก็ตาม แต่ถูกไอ้คิ้วตามจิกให้มาช่วยทำเรื่องงานสันทนาการ จัดหาของว่าง ขนม อาหารเลี้ยงรุ่นน้อง เครื่องดื่มและน้ำแข็งพร้อมอุปกรณ์แช่เย็นที่ต้องบากหน้าไปขอยืมกองกิจการนักศึกษาของคณะมาใช้ตลอดช่วงเวลานี้ ไหนจะต้องดูแลมนุษย์แฟนที่ระยะหลังมานี้ขี้อ้อนเป็นพิเศษอีกด้วย

“กำลังมาโว้ย มึงใจเย็นดิวะ สั่งเมื่อกี้จะเอาเดี๋ยวนี้ กูจะเสกมาได้ไง”

“ไม่รู้แหละ กูให้มึงช่วยดูแลเรื่องนี้ หน้าที่ของมึงคือทุกอย่างต้องพร้อม” โอ้...คุณพระ นี่ใช่ไอ้คิ้วเพื่อนผมจริงๆปะเนี่ย

“สัส” ผมชูนิ้วกลางให้ก่อนวิ่งลงไปชั้นล่างเพื่อช่วยยกถุงน้ำแข็งที่มาส่ง สวนกับรุ่นพี่ปีแก่เก๊กมาดขรึมเป็นพี่ว๊ากเดินเป็นกลุ่มไปที่ห้องประชุมเชียร์ กลิ่นตัวแต่ละคนนั้นเหม็นจนไส้สั่น ทำไมต้องหมักหมมความสกปรกขนาดนี้กันด้วยวะเนี่ย

             จบจากซ้อมเชียร์ก็ยังไม่จบจริงๆเพราะขวัญใจดึงตัวตงฉินไปช่วยดูรุ่นน้องซ้อมหลีด ผมก็เลยต้องตามต้อยๆมาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกพี่เปรี้ยวแทบจะไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำเพราะวีระกรรมที่ก่อไว้ แต่ผมไม่แคร์มาที่นี่เพื่อดูแฟนล้วนๆ

“ดื่มน้ำหน่อย” ผมยื่นน้ำดื่มเย็นเจี๊ยบให้ตงฉิน ร่างสูงในชุดเชียร์ดูดีจนน่าตะลึง (เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีชมพูอ่อนปักสัญลักษณ์พี่เชียร์กับกางเกงยีนส์เข้ารูป) ทั้งที่พี่เชียร์คนอื่นๆก็แต่งตัวคล้ายๆกัน แต่ไม่มีใครที่หล่อออร่ากระจัดกระจายเทียบเท่ากับแฟนผมได้

“อื้อ ขอบใจ” ใบหน้าเรียบเฉยหันมายิ้มให้ก่อนหยิบขวดน้ำไปกลอกเข้าปาก รุ่นน้องผู้หญิงที่จับตามองต่างมีท่าทีแปลกๆและรวมกลุ่มกันกระซิบกระซาบเป็นระยะ

“เหนื่อยมั้ยวันนี้”

“ไม่ค่อยนะ หิวยัง” ตงฉินตอบและถามกลับ จากที่ตอนแรกไม่ชินกับท่าทีห่วงใยของมันก็กลายเป็นคุ้นเคยเสียอย่างนั้น ตงฉินปรับตัวเป็นแฟนที่ดีอย่างคาดไม่ถึง จากที่ไม่เคยถามว่าผมจะหิวไหม อยากกินอะไรหรือเปล่าเมื่อก่อนก็หายไปจากคนๆนี้

“นิดนึง มึงล่ะ กูเก็บข้าวกล่องให้แล้วจะกินเลยมั้ย”

“อืม กินก็ได้ รองท้อง” ผมพยักหน้าและเดินนำออกมาที่ม้านั่งหินอ่อนที่ตั้งเรียงรายอยู่มุมหนึ่งของใต้ถุนคณะ ยังพอมีที่ว่างเหลือให้เราไปนั่ง โต๊ะส่วนใหญ่นั้นถูกข้าวของของทีมหลีดวางไว้หมด อีก 3-4 ตัวที่ตั้งไม่ห่างกันก็เป็นพวกรุ่นพี่ปีแก่และรุ่นน้องที่มาดูคนหน้าตาดีซ้อมสะบัดมือกันคับคั่ง อีกหลายสิบชีวิตที่ไม่มีโต๊ะนั่งก็ยืนออหรือไม่ก็นั่งลงกับพื้น ดังนั้นจึงมีสายตานับร้อยจับจ้องมาทางเราอย่างมีเลศนัย ตงฉินนั่งลงฝั่งตรงข้ามของโต๊ะม้าหินอ่อน ผมแกะห่อข้าวยื่นให้และรับรอยยิ้มที่ส่งกลับมาอย่างเต็มใจ

“กูว่าพวกรุ่นน้องน่ะจิ้นเรื่องของเราไปไกลแล้วนะ” พูดจบก็ลอบมองใบหน้าหล่อที่นิ่งเรียบ

“อื้ม” คนตรงข้ามตอบกลับมาอย่างไม่แยแส

“มึงไม่กลัวตกเป็นข่าวเหรอวะ” ผมเสียอีกที่คอยระแวดระวังแทน

“ข่าวอะไรวะ” สายตาเฉี่ยวตวัดมามองชั่วขณะและก้มไปสนใจกับข้าวกล่องต่อ ... เป็นห่วงเก้อสินะไอ้หนึ่ง

“ก็ข่าวดาราดัง ตัวย่อ ต. แอบแซ่ปกับเพื่อนนักศึกษาชายหน้าตาดี” ผมพูดและยิ้มไปด้วย

“เพ้อเจ้อ” มันตอบเหมือนด่า “อย่างมึงต้องบอกว่าเตี้ย ไม่ใช่หน้าตาดี”

“อ้าว ไหงกูโดนด่า กูเป็นห่วงนะเลยถาม” หุบรอยยิ้มแทบไม่ทัน

“ห่วงตัวเองเถอะ ถ้าเทอมนี้เกรดไม่ดีอีก มึงเตรียมโดนแม่บ่นหูชาได้เลย” แม่ผมสนิทกับไอ้ตงพอสมควรเพราะมันเป็นดารา แต่ที่มากไปกว่านั้นคือมันมักจะหาข้ออ้างไปนอนค้างที่บ้านผมช่วงวันหยุดเสมอ กลายเป็นลูกคนโปรดไปเสียอย่างนั้น ผมและน้องๆกลายเป็นหมาหัวเน่าอย่างสมบูรณ์แบบ แถมสองแม่ลูกยังคุยกันเข้าขา คนที่โดนหนักคือผมที่โดนด่ายับ

“โอยยยย เพิ่งต้นเทอมเอง เดี๋ยวก่อนสอบกูให้ขวัญใจช่วยติวให้ สบายมาก”

“หึ” มันแค่นยิ้มก่อนจะตักอาหารเข้าปากอย่างหิวโหย เม็ดข้าวติดมุมปากราวกับเด็กน้อย

“ยื่นหน้ามา” ตงฉินทำตามอย่างว่าง่าย ผมยื่นมือไปหยิบเม็ดข้าวนั้นออกมาท่ามกลางสายตาของทุกคน เสียงฮือฮาดังกระหึ่มเมื่อไอ้ตงเลื่อนใบหน้ากลับไปที่เดิม

“กรี๊ดดดดดดดด มึงๆๆๆ เค้าเช็ดปากให้กันด้วย”

“แฟนแหละ กูว่าแฟน”

“โอย ฟินมากจ้า เรือหนูแล่นแล้วพี่จ๋า”

“บ้า เค้าสนิทกัน”  และอื่นๆ ฯลฯ

“ยังไงก็ก็ทำใจเชื่อไม่ลงหรอกว่าแค่เพื่อน นั่นแฟนกันชัดๆ” เสียงซุบซิบดังไปทั่ว ผมหน้าเหวอเพราะกลัวไอ้ตงจะไม่พอใจ แต่สีหน้าเมินเฉยของอีกคนก็ทำให้หายใจคล่องมาบ้าง

“มึงไม่โกรธเหรอวะที่เค้าพูดๆกันน่ะ”

“โกรธทำไม เรื่องจริงนี่หว่า” มันตอบหน้าตาย แถมท้ายด้วยรอยยิ้มมุมปาก ใจผมกระตุกฮวบจนหน้าแดงร้อนไปหมด

“มึงนี่แม่ง” เออ... ผมพ่ายแพ้กับรอยยิ้มคูลๆของมันเสียแล้ว

#### ####

หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 40 P.6 Up 25 เม.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 25-04-2021 14:15:59
             สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในกิจกรรมรับน้องนั่นคือการเลือกดาวเดือนเพื่อเป็นตัวแทนคณะเข้าประกวดในงานเฟรชชี่ไนท์ ปีนี้ไม่มีคนที่โดดเด่นออร่ากระจายเหมือนตงฉินปีที่แล้ว แต่ด้วยจำนวนเด็กปีหนึ่งที่มีมากกว่าสี่ร้อย ทำให้คณะเรามีตัวเลือกที่เหลือเฟือในการส่งเข้าชิงตำแหน่งอีกครั้ง ด้วยความที่มีดีกรีเป็นแชมป์เก่าเดือนมหา’ลัย รุ่นพี่ปีสองอย่างพวกผมเลยถูกกดดันจากปีแก่ให้เฟ้นหาคนที่มีศักยภาพในการป้องกันศักดิ์ศรีแชมป์ให้ได้อีกปี การคัดเลือกจึงดุเดือดกว่าเดิมหลายเท่าตัว

“น้องเอื้อง 109 ก็หล่อนะมึง” ห้องเรียนของคณะถูกใช้เป็นที่ประชุมของพี่ปีสอง มีทีมเชียร์มากันครบ แถมยังมีเพื่อนร่วมรุ่นที่ชื่นชอบในการทำกิจกรรมอีกหลายสิบคนมานั่งฟังด้วย ภายในห้องจึงดูแคบไปถนัดตา ส่วนที่เหลือก็คอยดูแลน้องปีหนึ่งอยู่ลานใต้ถุนของคณะ พวกพี่เชียร์กำลังประชุมลับเพื่อเลือกตัวแทนฝ่ายชายโดยเฉพาะ โดยฝ่ายดาวคณะจบไปตั้งแต่ห้านาทีแรก

“หล่อจริง แต่เตี้ยไปหน่อยว่ะ อยากให้สูงกว่านี้สัก 10 เซ็น” เพื่อนร่วมชั้นปีแสดงความเห็น ผมได้แต่มองรูปรุ่นน้องที่ชื่อเอื้องบนสไลด์ที่ฉายบนกระดานในห้องเรียน ไม่เคยคิดเลยว่าเพื่อนๆจะจริงจังกับเรื่องพรรค์นี้ แต่กลับเรื่องการเรียนไม่เห็นจะซีเรียส

“คนนี้ก็ได้นะ น้องนัท 099 ดีกรีนายแบบ สูง ตี๋ หล่อ” หืม ... โคตรดี สเป๊กสุดๆ

“ก็โอเคนะ แต่น้องเขม 222 ก็โอเคมากนะมึง นิ่ง เงียบ น่าค้นหา” ผมมองรูปรุ่นน้องอย่างผ่านๆและอ้าปากหาวจนไอ้ตงที่นั่งติดกันต้องดึงแขนเสื้อ

“ปิดปากด้วยสิ แมงวันเข้าปากแล้ว” มันบ่น ผมยิ้มแหยๆให้ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องมาเฝ้าแฟน ไอ้เอกราชคนนี้คงไม่มานั่งหงอยหูลู่ไหล่ตกแบบนี้ ตงฉินเป็นหนึ่งในกรรมการคัดเลือกตัวแทนคณะเพราะเป็นคนชนะปีที่แล้ว

“ก็กูง่วงนี่หว่า ให้กูกลับก่อนได้ปะ”

“กลับไปเลย แล้วก็นอนห้องเล็กนะคืนนี้” อ้าว...กรรม ตั้งแต่คบกันมา ห้องนอนเล็กที่คอนโดกลายเป็นห้องร้างไปแล้ว เสื้อผ้าของผมถูกย้ายมารวมกับเจ้าของห้องอย่างมีอภิสิทธิ์ ถ้าตงฉินตอบแบบนี้ก็หมายความว่า ไม่ให้กลับก่อน ผมเลยเกยคางไว้กับโต๊ะเรียนตัวจิ๋วอย่างเบื่อหน่าย

“เอาล่ะ งั้นตกลงตามนี้นะ” วาวาเป็นแม่งานเนื่องจากตำแหน่งประธานนำร้องเพลงเชียร์ ถ้าไม่ได้มาในห้องนี้ผมคงเข้าใจต่อไปว่าผลการคัดเลือกดาวเดือนมาจากการลงคะแนนของรุ่นน้องล้วนๆ พอได้มาเห็นอะไรแบบนี้ก็เบิกเนตรในทันทีเพราะพวกรุ่นพี่ต่างมีธงในใจว่าจะให้ใครเข้าชิงบ้าง ถึงแม้จะให้รุ่นน้องเป็นคนเสนอชื่อก็ตาม แต่ก็มีพี่แฝง(รุ่นพี่ปีสองปลอมเป็นปีหนึ่ง)คอยยุหรือไม่ก็เป็นคนเสนอคนที่รุ่นพี่เลือกไว้แล้วแต่รุ่นน้องไม่ได้เลือกมารวมอยู่ด้วย ... โปร่งใสสุดๆ

             และแล้วผลการคัดเลือกก็เป็นไปตามคาด ดาวคณะปีนี้ชื่อน้องเอวา ลูกครึ่งไทย - ฝรั่งเศส ที่หน้าตาค่อนมาทางเอเชียมากกว่า ฝั่งเดือนคณะเชือดเฉือนกันระหว่างสองหนุ่ม น้องนัทและน้องเขม รุ่นพี่ปีสองนั้นเลือกไม่ถูกว่าจะให้ใครได้ตำแหน่งเพราะต่างก็หล่อคนละแบบ รุ่นน้องปี 1 จึงมีโอกาสได้โหวตกันอีกครั้ง

“เอาล่ะค่ะ ผลการคัดโหวตเดือนคณะบริหารออกมาแล้วนะคะ อยากรู้กันมั้ย” วาวายืนถือไมโครโฟนไร้สายอยู่ด้านหน้าของลานใต้ถุนคณะโดยมีรุ่นน้องนั่งเรียงกันจนเต็มพื้นที่ ปีนี้มีเด็กๆผ่านการคัดเลือกมาเรียนเยอะขึ้นส่วหนึ่งก็มาจากชื่อเสียงของตงฉิน ซึ่งตอนนี้กำลังยืนเก๊กหน้าหล่อยืนข้างวาวาพร้อมถือสายสะพายที่รุ่นพี่ลงขันกันทำขึ้นมาเป็นครั้งแรก

“อยากกกกกกกกกกกกกก” เสียงเซ็งแซ่ตอบมาพร้อมๆกัน ผมกวาดสายตามองน้องๆ บ้างก็มองไปที่เพื่อนที่กำลังยืนประหม่าอยู่ด้านหน้าแถว บ้างก็ก้มหน้ามองพื้นด้วยความเบื่อหน่าย และส่วนที่เหลือมองตงฉินตาเป็นมัน

“เดือนคณะของเราได้แก่ น้องเขม 222 ค่าๆๆๆๆๆ” สิ้นเสียงประกาศ เด็กปีหนึ่งก็ปรบมือเฮกันลั่น ผมอ่านป้ายชื่อและรหัสของเดือนคณะคนล่าสุดก็ไม่แปลกใจเลย เพราะเป็นสายรหัสของตงฉินโดยตรง แต่พวกเรายังไม่ได้เปิดสาย น้องๆจึงไม่รู้เรื่องนี้ รหัส 222 ได้ตำแหน่งเดือนคณะสองปีซ้อนแบบนี้ ต้องเรียกว่าเป็นสายรหัสเทวดาได้แล้วมั้ง … ตงฉินเดินมายืนข้างกับน้องเขมด้วยรอยยิ้มการค้าจนผมต้องแอบหัวเราะ สองคนนี้มีความสูงไล่เลี่ยกัน แต่ความหล่อนั้นกินกันไม่ลง คนหนึ่งหล่อแบบตี๋ล่ำ อีกคนหล่อแบบคมเข้มหน้าไทย เมื่อสวมสายสะพายแล้วก็มีการถ่ายรูปคู่ สองคนนั้นยืนชิดจนแขนแนบสนิท ผมจ้องเขม็งกำหมัดแน่น

“หึงเหรอมึง” ไอ้โทพี่ชายตัวดีกระซิบ

“หึงพ่อง” ผมตอบห้วนๆ ปากบอกว่าไม่ แต่พอเห็นรอยยิ้มหวานๆของไอ้น้องเขมแล้วก็รู้สึกไม่ถูกชะตาเอาดื้อๆ

“ขนาดไม่ถึงหน้ามึงยังตึงขนาดนี้เลยนะ” มันจงใจยุแยงต่อ

“พูดมาก” ผมด่า แต่ดูเหมือนคนโดนด่าจะไม่สนใจ

“โหย แม่ง เคมีโคตรดีอะ คนนึงตี๋ๆคนหนึ่งเข้มๆ” ไอ้โทยังคงราดน้ำมันต่อไป

“เข้ากันพ่องสิไอ้ชัย เดี๋ยวต่อยปากแตก” ผมทำตาขวางใส่เพื่อน พวกนั้นทำหน้ากลั้นขำเพื่อยั่วโมโห และมันก็ได้ผลเพราะตอนนี้สายตาผมจับจ้องไปที่สองหนุ่มหล่อด้านหน้าอย่างขัดใจ ตงฉินหันมาสบตาแล้วระบายยิ้มน้อยๆมาให้ เพียงแค่นี้ก็ทำให้ผมใจเย็นลงและยิ้มกว้างอย่างพ่ายแพ้

“มึ๊งงงงงงง เห็นมั้ย เค้ายิ้มให้กันด้วย” รุ่นน้องที่เห็นเหตุการณ์พากันกระซิบ แต่เสียงก็ไม่ได้เบานะครับ

“งื้อออออออออ กูว่าจริงแหละ พี่ตงก็โคตรหล่อ พี่หนึ่งก็โคตรน่ารัก” แหม่... ว่าจะไม่สนใจแล้วนะ พอได้ยินแบบนี้ก็หุบยิ้มไม่ได้เลย ใครที่บอกว่าไอ้หนึ่งไม่หล่อ เปลี่ยนความคิดได้แล้วนะ ตอนนี้หล่อแล้ว(หล่อด้วยตัวเอง)

“ไอ้หนึ่ง กลับมาๆ อย่าเพิ่งลอยไอ้สัส” พี่ชายตัวดีตบหน้าเปาะแปะจนเจ็บทำให้ผมรู้สึกตัวว่าแอบเหม่อเพราะมีคนชม

“มึงจะตบกูทำไมไอ้สัส เรียกดีๆก็ได้” ผมตบกบาลมันหนึ่งทีเป็นการเอาคืน

“กูสะกิดเรียกจนปากแฉะ มึงก็เหม่อส่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างกับคนบ้า” มึงมันขี้เหร่ ไม่เข้าใจหัวอกคนหน้าตาดีแบบกูหรอก....

“กลับยัง หิวแล้ว” เพราะมัวแต่ต่อปากต่อคำกับเพื่อนๆทำให้ไม่ทันสังเกตว่าตงฉินย้ายร่างมาท้ายแถวและบอกความต้องการ

“อะ อื้อ ไปดิ เสร็จแล้วเหรอวะ”

“เสร็จแล้ว เค้าบอกจะมีเลี้ยงดาวเดือนกันต่อ แต่กูบอกไปว่าพรุ่งนี้มีงานเช้าเลยไม่ไป”

“แต่พรุ่งนี้มึงว่า...” มันรีบเอามืออุดปากและส่งสายตาดุๆมาให้

“กรี๊ดดดดดดดดด มึง กูจิ้นมาก เค้าจะจุ๊บกันๆๆๆๆ” ภาพที่ปรากฎสู่สายตาน้องๆเป็นแบบนี้สินะ ผมได้แต่เกาหัวแกรกๆตอบโต้อะไรไม่ได้เพราะโดนปิดปากอยู่ ส่วนอีกคนที่ยืนบังตัวผมจนมิดก็ไม่มีทีท่าจะหงุดหงิดแต่อย่างใด

“ไปเอารถมา กูหิว” พอปล่อยมือก็ยื่นกุญแจรถมาให้ ทั้งที่ปกติจะต้องเดินไปที่รถด้วยกันแท้ๆ แต่วันนี้มาแปลก

“เออ รออยู่นี่นะ เดี๋ยวมา” ผมผละออกมาจากกลุ่มเพื่อนที่เป็นเหมือนอากาศธาตุทันทีที่ตงฉินเดินมาหา สายตาแต่ละคนกำลังแซวอย่างหนัก ผมได้แต่ชี้หน้ารายบุคคลเพื่อคาดโทษและรีบวิ่งไปลานจอดรถ ถึงแม้จะถูกใช้เหมือนเบ๊ แต่ผมกลับยิ้มกริ่มเนื่องจากพรุ่งนี้ไอ้ตงไม่มีคิวงานทั้งวัน การที่มันบอกปัดงานเลี้ยงคืนนี้ก็หมายความได้ว่า มันอยากอยู่ด้วยกันคืนนี้ ... แบบนี้แล้วจะให้คิดมากทำไมล่ะว่ามันจิกหัวใช้งาน ... ในหัวตอนนี้คิดเรื่องดีๆไม่ได้แล้ว

             สายตาของรุ่นน้องที่มายืนออส่งตงฉินขึ้นรถเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น รุ่นพี่คงปล่อยให้พักทานของว่างก่อนจะเข้าไปห้องเชียร์เลยทำให้พวกหนุ่มวายสาววายมาจับจ้องร่างสูงของแฟนสุดหล่อตอนก้าวมาที่รถ มันยืนนิ่งอยู่หลายวินาทีโดยไม่มีทีท่าจะเปิดประตูเข้ามานั่ง ผมจึงต้องเดินออกไปเปิดประตูให้ ก่อนที่พ่อตัวดีจะหันมามองแล้วยิ้มแบบที่ไม่ใช่ยิ้มการค้าจนผมใจสั่นก่อนเข้าไปนั่งในรถ เสียงกรีดร้องของสาวๆดังมาแต่ไกล ผมได้แต่ส่ายหัวอย่างอารมณ์ดีเพราะไอ้ตงตั้งใจจะให้ทุกคนเห็นภาพนี้ มันคงไม่ได้ทำเพราะกันไม่ให้มีคนเข้ามาจีบผมหรอก ที่ทำแบบนี้เพราะตงฉินกันคนที่จะมาจีบตัวเองต่างหาก

หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 40 P.6 Up 25 เม.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 25-04-2021 14:18:48
ติ๊ง

หนุ่มงานดีมีบอกต่อ : เอาล่ะค่ะคุณขา ใครไม่จิ้นแอดจิ้นเองค่า ดูเอาเถอะว่าเค้าสวีตกันขนาดไหน

*** รูปที่ผมเปิดประตูรถให้และตงฉินยิ้มกว้าง ***

376 Like 200 Comments 52 Shares

ตัวประกอบหนึ่ง : งื้ออออออ พี่ตงของน้อง มีเจ้าของแล้ว

ตัวประกอบสอง : งานนี้เรือ #ตงไนล์ ล่มแล้วสินะ T___T

ตัวประกอบสาม : เค้าเป็นใครอะ ทำไมพี่ตงมองด้วยสายตาละมุนได้ขนาดนั้น อินฉา

The One Ekkapab : ถามคนนี้เลย Tongchin SAT. หนึ่งโทสองโท เอกภาพ

Kwanjira Kwan : The One Ekkapab ว่างเหรอคะมาตอบเม้นต์น่ะ

Cute Sira : 555 The One Ekkapab มีคนโดนแฟนด่าออกสื่อว่ะ มึงมาดู Chai Chatchai

Tongchin SAT. : *** ส่งสติ๊กเกอร์ขยิบตา ***

“อ่านอะไรอยู่เหรอ” ผมหันไปถามเมื่อเห็นว่าคนที่บ่นหิวนั่งจ้องมือถือไม่วางตา

“คอมเม้นต์ของเพจหนุ่มงานดีน่ะ”

“มีอะไรน่าสนใจวะ” ร้อยวันพันปีไม่เคยจะสนใจเข้าไปอ่านอะไรแบบนี้

“ก็ไม่มีอะไรหรอก” มันปิดหน้าจอก่อนหลับตาลงโดยไม่สนใจว่าผมมองด้วยสีหน้าอยากรู้สุดขีด

“ใจร้ายว่ะ มึงนี่แม่ง” เนื่องจากรถราในมหา’ลัยค่อนข้างหนาแน่น แต่พอเคลื่อนตัวไปได้เรื่อยๆทำให้ผมไม่มีโอกาสจับมือถือขึ้นมาดูว่ามีอะไรน่าสนใจถึงขั้นนั้น “เออ แล้วทำไมวันนี้ถึงทำตัวเหมือนแฟนได้วะ”

“ก็ไม่มีอะไร” ถามขนาดนี้แล้วยังไม่ลืมตามาคุยกันอีก

“ตง”

“เออ ก็ไอ้น้องเขมอะไรนั่นแหละ มันบอกว่าชอบกู ขอไลน์ขอเบอร์กูบอกว่าจะปรึกษาเรื่องประกวดดาวเดือน นี่ขนาดยังไม่เฉลยสายรหัสเลยนะยังรุกขนาดนี้ ถ้ามันรู้ว่าเป็นน้องรหัสกูเมื่อไหร่ คงมีปวดหัว”

“ฮ่าๆๆๆ อย่างมึงเนี่ยนะกังวลเรื่องอะไรแบบนี้ ปกติใครมาจีบมึงก็อ่อยกลับตลอด” ผมแซว

“นั่นมันแต่ก่อนมั้ยล่ะ ตอนนี้กูมีแฟนแล้ว”




(https://cdn-th.tunwalai.net/files/member/971823/1140355204-member.jpg)
รูปประกอบมิได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในนิยายแต่อย่างใด
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 40 P.6 Up 25 เม.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 25-04-2021 22:35:16
 :hao6: o13 :mew1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 41 P.6 Up 1 พ.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 01-05-2021 12:39:25
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 41. คนอยู่ก็เสียใจ คนจากไปก็ปวดร้าว

“เออ ก็ไอ้น้องเขมอะไรนั่นแหละ มันบอกว่าชอบกู ขอไลน์ขอเบอร์กูบอกว่าจะปรึกษาเรื่องประกวดดาวเดือน นี่ขนาดยังไม่เฉลยสายรหัสเลยนะยังรุกขนาดนี้ ถ้ามันรู้ว่าเป็นน้องรหัสกูเมื่อไหร่ คงมีปวดหัว”

“ฮ่าๆๆๆ อย่างมึงเนี่ยนะกังวลเรื่องอะไรแบบนี้ ปกติใครมาจีบมึงก็อ่อยกลับตลอด” ผมแซว

“นั่นมันแต่ก่อนมั้ยล่ะ ตอนนี้กูมีแฟนแล้ว”  ตงฉินตอบหน้าตาเฉย แต่ผมสิอึ้งรับประทานเลยตอนนี้... มันพูดว่าอะไรนะ ผมหูฝาดหรือเปล่า คือ โอ๊ย ใจสั่น ขับรถไปด้วยหัวใจเต้นแรงไปด้วยแบบนี้จะชนคันอื่นมั้ยวะ แล้วทำไมไอ้ตงมันพูดแบบนี้ทั้งๆที่หลับตาอย่างกับคนไม่คิดมากได้ยังไงกัน แต่คนฟังนี่คิดไปไกลแล้วนะ แถมปากก็แยกเขี้ยวยิ้มจนปวดกรามไปหมดแล้วด้วย

“มึงนี่แม่ง” ผมพูดไปงั้นแหละ ตอนนี้ยังหยุดยิ้มไม่ได้เลย อีกคนไม่ตอบอะไรกลับมาอีกปล่อยให้ผมจดจ่อกับการขับรถ ก่อนสัมผัสอุ่นๆจากฝ่ามือแตะที่ต้นขาอย่างอ่อนโยนราวกับไม่ใช่ตงฉินคนเดิม ถ้ามันไม่ได้รักผมมาก ก็คงกินอะไรผิดสำแดงมาแน่ๆ

#### ####

ครืด ครืด ครืด ...

             ผมตื่นขึ้นมากลางดึกเนื่องจากเสียงสั่นครืดๆของโทรศัพท์มือถือที่วางไว้หัวเตียง ตงฉินนอนเปลือยเปล่าในห้วงนิทราด้วยความอ่อนเพลีย ใครให้มันทำตัวน่ารักและยั่วผมมาตลอดทางกันล่ะ ไม่ใช่ความผิดของไอ้เอกราชคนนี้แน่ๆที่จัดการคนขี้ยั่วจนสลบคาเตียง พอปรับสายตาในความมืดได้ดีขึ้นมือข้างที่ควานสะเปะสะปะก็คว้าต้นตอของเสียงรบกวนมาได้ แสงฟ้าจากหน้าจอจ้าจนต้องหรี่ตาดูว่าใครโทรมาดึกดื่น

“โหล” น้ำเสียงงัวเงียแถมคอแห้งเป็นผง

[นอนแล้วเหรอ] น้ำเสียงแผ่วเบานั้นอึกอัก ความกดดันส่งผ่านสัญญาณมือถือมาถึงที่ผมนอนเสียแล้ว

“อื้อ นี่มันตีสามแล้ว มึงโทรมาทำไมวะไอ้ทอย” ถึงแม้จะถามแบบนี้ แต่น้ำเสียงของผมกลับไม่ได้หงุดหงิดอะไร

[เรา...] ราวกับว่ามีอะไรจุกที่ลำคอจนไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไอ้ทอยโทรมาในเวลานี้เพื่อต้องการอะไรบางอย่างที่ผมเลี่ยงมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้คงไม่ง่ายอย่างนั้นอีกแล้ว หลังจากทำใจมานานทำให้ผมตัดสินใจได้

“เฮ้อ มึงต้องนอนนะไอ้ทอย เดี๋ยวพรุ่งนี้กูไปหา” ปลายสายไม่ตอบอะไรอีก แต่บทสนทนาเมื่อครู่ทำให้ผมหลับไม่ลงอีกต่อไป

             เสียงขยับตัวของคนที่นอนข้างกายทำให้ผมรีบวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมก่อนจะมุดตัวใต้ผ้าห่ม ร่างอุ่นๆของตงฉินพลิกมานอนตะแคงหันหน้ามาชนกัน ลมหายใจร้อนผ่าวสาดรดต้นคอระยะประชิด ผมสอดแขนเข้าใต้ลำคอแกร่งและดึงตัวเข้ามากอด เสียงหัวใจเต้นตึกตักดังลั่นราวกับมันหลุดออกมาเต้นข้างๆหู

“ไอ้ทอยโทรมาเหรอ” ตงฉินถามด้วยน้ำเสียงงัวเงียหนักกว่าผมเมื่อครู่เสียอีก

“อื้อ ไม่มีอะไรหรอก นอนเถอะ” ไออุ่นของตงฉินบวกกับกลิ่นหอมๆของมันทำให้จิตใจผมสงบอย่างน่าประหลาด

“อืม ปวดอะ” น้ำเสียงอ้อนๆงัวเงียในอ้อมกอดชวนให้หลงหนักไปอีก

“ปวดตรงไหน” ผมถือโอกาสจูบไรผมและแก้มหอมอย่างรักใคร่ แขนยาวล่ำของอีกคนซุกตรงหน้าอกผมราวกับเป็นลูกแมวตัวน้อยที่ควานหาไออุ่น

“ตรงตูด มึงไม่ถนอมกูเลย” ผมฟังแล้วก็ยิ้ม ง่วงหนักขนาดนี้ยังมีกะใจฟ้องอีก

“งั้นเดี๋ยวหมอฉีดยาให้เอามั้ย จะได้หาย”

“ไม่เอาแล้ว ฉีดยาทีไรเจ็บทุกที กอดแน่นๆก็พอ” ผมส่ายหัวเบาๆและแนบร่างของเราให้ชิดกันจนแทบไม่มีช่องว่าง ลมหายใจของตงฉินเริ่มปรับระดับเป็นราบเรียบ ให้เดานะ ถ้าไม่รู้สึกตัวตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ ผมคิดว่ามันคงละเมอคุย

             พอได้จอดรถไว้ที่ลานจอดชั้นใต้ดินของตึกสูงหลังจากใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีในการขับวนไปมา ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะหงุดหงิดกับการเสียเวลาหาที่จอด วันนี้มีคนใช้บริการจำนวนมากเพราะยังไม่ใช่วันหยุด รถยนต์หลายยี่ห้อจอดเรียงรายแทบจะไม่เหลือที่ว่างจึงต้องอาศัยดวงล้วนๆ พอเดินออกมาจากรถไอร้อนก็ปะทะตัวแทบจะทันที ยังดีที่มาคนเดียว เพราะตงฉินเหมือนจะไม่ค่อยสบายเลยพักที่คอนโด ผมไม่ลืมหาข้าวเช้าและยาแก้ไข้ให้เสร็จสรรพก่อนออกมาตั้งแต่เช้าเพื่อจะได้รีบมาตามนัดและรีบกลับไปหาคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง

             ห้องตรวจคนไข้ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งคลาคล่ำไปด้วยคนหลายสิบชีวิตที่ต่างมานั่งรอเข้ารับการรักษา ใบหน้าแต่ละคนแตกต่างกันไป บ้างก็ดูหม่นหมอง บ้างก็เรียบเฉย น้อยคนนักที่ตะมีรอยยิ้ม เมื่อกวาดสายตาไปเจอแผ่นหลังที่คุ้นเคยผมก็แอบถอนหายใจและยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น มองอยู่นานสองนานก่อนตัดสินใจเข้าไปเลือกที่นั่งบนเก้าอี้สีฟ้าแบบพาดเรียงกันเป็นแนวยาวเชื่อมด้วยเหล็กหรือโลหะอะไรสักอย่างที่เวลาเราขยับที่นั่งตัวเอง เก้าอี้ตัวที่เหลือก็จะขยับไปด้วย คนที่นั่งอยู่แล้วสะดุ้ง

“อ้าวมาแล้วเหรอหนึ่ง” เสียงร่าเริงนั้นทัก ผมพยักหน้า ไม่ได้ทักกลับเนื่องจากไม่มั่นใจว่าน้ำเสียงนั้นร่าเริงจริงหรือเปล่า เหมือนคนที่นั่งรออยู่แล้วจะอ่านใจผมออกเลยตอบคำถามที่ยังไม่ทันได้ส่งเสียง “เข้าห้องตรวจไปแล้ว เดี๋ยวคงออกมา”

“มาถึงนานรึยังวะ”

“ก็มาตั้งแต่หกโมงเช้าแหละ นายก็รู้ว่าต้องมาเอาคิวก่อน” ผมพยักหน้าเพื่อบอกว่าเข้าใจ โรงพยาบาลของรัฐก็เป็นแบบนี้เสมอ

“สบายดีมั้ย ... ฉัตร” ฉัตรพงษ์ ฝาแฝดของฉัตรชัยยิ้มมาให้ แต่มันดูอ่อนล้าผิดกับท่าทางที่แสดงออกลิบลับ

“ก็ ... เหมือนเดิมแหละ” ความร่าเริงชั่ววูบหายวับราวกับเป็นละอองไอที่บางเบาในอากาศ

“แล้วพวกมึง เอ่อ...”

“กลับมาคบกันน่ะเหรอ...” คนถูกถามถอนหายใจ “ไม่รู้สิ เราไม่อยากเร่งรัดอะไรกับไฟเท่าไหร่ แค่ได้ดูแลแบบนี้ก็ดีแล้ว”

             น้ำเสียงของฉัตรพงษ์ดูเหนื่อยแต่ไร้ซึ่งความท้อแท้ ตั้งแต่เกิดเรื่องกับไอ้ทอย ผมก็เห็นคนหน้าคุ้น(จะไม่คุ้นได้ไงเพราะหน้าเหมือนฉัตรชัยอย่างกับแกะ)มาป้วนเปี้ยนอยู่ไม่ห่าง ท่าทางร้อนรนและเสียใจชวนสงสารยังติดตาอยู่เสมอ เมื่อเห็นไอ้ทอยนอนนิ่งบนเตียงผู้ป่วย ฉัตรเป็นคนเดียวที่ร้องไห้และโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ถึงแม้ผมจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องโทษตัวเองขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดทักท้วงอะไรออกมา

             ไอ้ทอยหลับไปประมาณสองวันเพราะช็อกกับเรื่องที่เกิดขึ้น ผลตรวจร่างกายไม่มีอะไรผิดปกติ มันยังไม่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ เพียงแต่มีร่องรอยบาดเจ็บบริเวณบั้นท้ายเล็กน้อยจากการใช้นิ้ว ผมไม่อยากคิดเลยว่าถ้าไปช้ากว่านี้อีกนิด ชีวิตของไอ้ทอยจะเปลี่ยนไปขนาดไหน

             ฉัตรพงษ์เป็นคนที่อาสามาดูแลคนป่วยโดยไม่ฟังคำทัดทานจากฝาแฝดตัวเอง ที่กลัวว่าพี่ชายตัวเอง(เอ๊ะหรือน้องชายวะ)จะทำใจไม่ได้เพราะไอ้ทอยบอกเลิกไปแล้ว แต่คิดหรือว่าพี่น้องหัวแข็งทั้งสองคนจะยอมกันง่ายๆ เมื่อห้ามไม่ได้ ฉัตรชัยก็ได้แต่ฮึดฮัด (แต่ก็ยังเป็นห่วงอยู่ห่างๆ) แต่ในส่วนลึกแล้วผมคิดว่าไอ้ชัยมันคงรู้สึกผิดกับเรื่องนั้นอยู่ไม่น้อยจึงไม่ห้ามอีก

“อ้าว มาแล้วเหรอหนึ่ง” หลังจากผ่านเรื่องราวแย่ๆมา ไอ้ทอยเหมือนจะเปลี่ยนไปจากเดิมราวกับคนละคน พวกเราเคยสนิทกันช่วงหนึ่ง ก่อนจะห่างกันเพราะสิ่งที่มันรู้สึกกับผม แล้วก็เหมือนจะกลับมาสนิทกันอีก จนกระทั่งวันหนึ่งที่มันตื่นขึ้นมาและพูดกับผมด้วยภาษาสุภาพ ถึงแม้จะพยายามพูดแบบเดิมใส่ แต่อีกคนนั้นเหมือนจะไม่ใช่คนเดิมที่เคยสนิทกันอีกแล้ว

“อืม เป็นไงบ้าง”

“ก็ดี” ร่างสูงนั้นเหมือนจะผอมลงจนแทบเหลือแต่กระดูก ใบหน้าหล่อเหลาซูบซีดจนเหลือแต่โครงหน้า ถึงแม้ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปด้วยดี แต่ความรู้สึกหวาดกลัวยังเกาะกินใจคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องตรวจไม่ไปไหน พวกเราได้แต่สบตากันอย่างเก้อเขินราวกับคนแปลกหน้า

“มียามั้ย เดี๋ยวเราไปเอาให้” ฉัตรพงษ์เอื้อมมือไปรับบัตรรับยาก่อนเดินหายไป ปล่อยให้พวกเรายืนมองกันไปมา

“นั่งก่อนมั้ย ท่าทางมึง เอ่อ นายดูไม่ค่อยดี”

“เราสบายดี” ไอ้ทอยฝืนยิ้ม แต่ผมกลับปวดใจอย่างบอกไม่ถูก

“แล้วนายโทรหาเรา เอ่อ...” มันเป็นคำถามที่อยากรู้คำตอบ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะถามจนจบไหม ผมกลัวว่ามันจะคิดว่าผมเร่งรัดหรืออยากไปจากตรงนี้ แต่สายเมื่อคืนก็ไม่ใช่ครั้งแรก และหากผมไม่มาวันนี้ มันคงจะโทรหาอยู่เรื่อยๆ

“ไม่มีอะไรหรอกอย่าคิดมากเลย ตรงนี้คนเยอะคุยไม่สะดวกไปนั่งร้านกาแฟมั้ย” ผมพยักหน้าก่อนจะลุกตามร่างสูงผอมอย่างว่าง่าย ไอ้ทอยไม่ได้ป่วยกายแต่จิตใจของมันไม่เหมือนเดิมหลังจากเจอเรื่องแย่ๆ เป็นโรคที่ผมไม่เข้าใจเลยสักนิดตอนที่ฟังชื่อครั้งแรก ‘ภาวะซึมเศร้าหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง’ คือสิ่งที่หมอวินิจฉัย ทำให้มันต้องเข้าๆออกๆโรงพยาบาลจิตเวชอยู่เสมอ

“ก่อนหน้านั้นป้าก็คิดว่าไฟอาการดีขึ้นแล้วเลยไม่เอะใจอะไร ไม่ได้พามาตรวจ แต่พอมีเรื่องนี้อีก คุณหมอบอกว่าสภาพจิตใจถูกกระทบกระเทือนหนักจนอาการแย่ลง” แม่ของทอยเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ผมได้แต่นั่งนิ่งอยู่ข้างเตียงคนป่วยที่นอนหลับสนิท แม้แผลตามร่างกายจะหายแล้ว แต่อาการหม่นหมองหมือนคนเสียใจตลอดเวลาทำให้พวกเรารับรู้ว่าไอ้ทอยป่วยเป็นโรคซึมเศร้าตั้งแต่ตอนเลิกกับฉัตรพงษ์แล้ว ร่างกายผมชาไปทั่วเพราะรู้สึกผิดที่ตลอดเวลาไม่เคยสังเกตเลยว่าคนที่หัวเราะอยู่ข้างๆมีปัญหาทางจิตใจหนักหนาขนาดนี้ ทั้งๆผมที่เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของมัน...

“นายเอาอะไรมั้ย” ทอยหันมาถาม

“เอ่อ เดี๋ยวกู เอ่อ เราสั่งเอง นายไปนั่งเถอะ” ผมเดินไปสั่งเครื่องดื่มที่แคชเชียร์รอจนเมนูทำเสร็จจึงถือมานั่งตรงข้ามอีกคน

“ขอบใจ นายกับตงเป็นไงบ้าง” เสียงมันสั่นเมื่อพูดชื่อแฟนของผม แต่ถูกกลบเกลื่อนด้วยการจิบช็อกโกแล็ตร้อนที่ผมสั่งมาให้

“ก็ดี” ผมตอบแค่นั้น ไม่อยากบรรยายอะไรให้เสียบรรยากาศ

“อันที่จริง” อัคคีวางแก้วลง สูดหายใจอย่างไม่มั่นใจก่อนจะพูดต่อด้วยรอยยิ้มที่ผิดแผกออกไป “ที่เรานัดนายมาวันนี้ เราแค่อยากจะบอกนายว่า เราโอเคขึ้นแล้ว เราอยากให้นายมาเห็นกับตาว่าเราหมายความอย่างที่พูดจริงๆเลยอยากเจอ” ผมได้แต่กอดอกนั่งฟังอย่างตั้งใจ ปล่อยให้ลาเต้ร้อนปล่อยไอเอื่อยออกมา

“เราจะมาลา อย่าเพิ่งพูดอะไรนะ” ไอ้ทอยรีบห้ามเมื่อเห็นว่าผมขยับตัวทำท่าจะอ้าปาก “เราขอโทษ เพราะความรั้นของเราเองมันเลยทำให้มีแต่เรื่องแย่ๆตามมาจนนายกับตงฉินต้องมาเดือดร้อนพัวพันไปด้วย” ผมรู้ว่ามันอยากจะขอบคุณด้วย แต่มันพูดคำนี้มานับพันๆครั้งจนผมเคยสั่งห้ามไม่ให้มันพูดอีก

“ตอนที่นอนพัก เรายื่นคะแนนอีกรอบ แล้วเราก็ทำได้” มันเว้นวรรค “เราลาออกจากคณะแล้วนะ และเข้าเรียนที่ใหม่แล้วด้วย ที่ผ่านมา เราขอบ... เอ่อ ... เราดีใจนะที่ได้รู้จักนาย”

“ทำไมวะ” ผมถามเสียงเข้ม รู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าว

“มันมีเหตุผลหลายร้อยเหตุผลเลยล่ะหนึ่ง แต่เหตุผลเดียวที่เราทำแบบนี้เพราะเราอยากโตขึ้น เราอยากหายจากการป่วย แต่ถ้าเรายังอยู่แบบนี้...” คำว่า ‘เรา’ อันล่าสุด หมายถึง ความเป็นเพื่อนของผมกับมัน  “เราคงก้าวข้ามทุกอย่างไม่ได้ เราเลยเลือกที่จะลาออกแล้วไปเรียนที่ใหม่ อยากเริ่มต้นใหม่...”

             ผมไม่ได้ร้องไห้กับสิ่งที่ได้ฟังจากปากของไอ้ทอยในร้านกาแฟ มันมีแต่ความรู้สึกหน่วงที่หน้าอกจนหายใจแทบไม่ออก ขอบตาร้อนคล้ายคนกำลังเสียใจแต่กลับไม่มีน้ำตาหยดออกมาแม้สักน้อย สมองตื้อไปหมด จำไม่ได้เลยว่าเดินออกมาที่รถตอนไหน รู้สึกตัวอีกครั้งก็คือตอนที่รถจอดสนิทบนลานจอดรถของคอนโด ภายในรถยนต์คันหรูเงียบเชียบจนผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแม้แต่เสียงหายใจของตัวเอง


#### ####

[อัคคี]

             ผมเห็นใบหน้าเจ็บปวดของเพื่อนสนิทเดินอย่างไร้เรี่ยวแรงออกไปด้วยความรู้สึกย่ำแย่ ในหัวมีแต่คำถามว่าทำแบบนี้มันถูกต้องแล้วเหรอตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา สายตาเหม่อมองถ้วยลาเต้ที่เคยส่งไอระเหยมาอยู่เบื้องหน้าอย่างปวดหน้าอก ไอ้หนึ่งไม่ดื่มเลยสักอึก มีแค่ใบหน้าบิดเบ้คล้ายคนจะร้องไห้ตอนที่ฟังผมพูดเรื่องแย่ๆใส่

             อาการป่วยครั้งนี้มันรุนแรงกว่าเดิมจนผมไม่อยากจะมีลมหายใจอีกต่อไป กลางดึกก็สะดุ้งตื่นด้วยความหวาดผวากับฝันร้ายซ้ำๆโดยมีภาพใบหน้าโกรธจัดของไอ้หนึ่งอยู่ในนั้น ผมรู้ว่ามันโกรธไอ้คนนั้นแต่กลับสลัดความคิดว่ามันโกรธที่ผมไม่ยอมเชื่อมันจนเกิดเรื่องแย่ๆออกไปได้ ผมโทษตัวเองจนสภาพจิตใจย่ำแย่หนักขึ้นจนไม่อยากตื่นมาเจอกับโลกใบนี้อีก ผมนอนนิ่งบนเตียงมากกว่า 16 ชั่วโมงต่อวันจนร่างกายซูบผอมเพราะไม่แตะต้องอาหารเท่าไหร่นัก

“อยู่นี่เอง หาตั้งนาน” ใบหน้าหล่อเหลาดูร้อนรนเมื่อมาถึงที่โต๊ะ ฉัตรพงษ์เป็นคนหนึ่งที่ผมบอกเลิกไปอย่างไร้เยื่อใย แต่เขากลับเป็นคนที่ไม่ยอมปล่อยมือ “แล้วหนึ่งล่ะ”

“อื้ม กลับเถอะ” ผมไม่ตอบคำถาม ได้แต่บอกความต้องการของตัวเองไปอย่างเอาแต่ใจ ตอนนี้ผมไม่พร้อมที่จะรับอะไรหนักๆได้อีกแล้ว ชีวิตมันต้องดำเนินต่อ และผมจะต้องก้าวผ่านไปให้ได้ การเลือกเดินออกมาจากชีวิตใครสักคนทำไมมันเจ็บขนาดนี้

“เดินไหวมั้ย เดี๋ยวนายรอตรงนี้ก็ได้ เราจะวนรถมารับ” ผมยิ้มตอบ มองแผ่นหลังกว้างนั้นวิ่งออกไปด้านนอกด้วยจิตใจที่ว่างเปล่า ผมรู้ว่าตัวเองเห็นแก่ตัวมากแค่ไหนที่ยอมให้เขากลับมาทั้งที่ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกเก่าๆจะกลับมาได้อีกหรือเปล่า

“ถึงนายจะไม่รักเราก็ไม่เป็นไร แต่เราขอร้อง ให้เรากราบก็ได้ อย่าไล่เราไปอีกเลยนะ” น้ำเสียงสั่นเครือกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาของฉัตรพงษ์ยังแจ่มชัด ถึงแม้ฉัตรชัยจะพยายามฉุดกระชากให้พี่ชายตัวเองลุกขึ้นยังมีน้ำตาอาบแก้ม สายตาที่ไร้ความหวังของฉัตรทำให้หัวใจผมสั่นคลอนได้อย่างน่าประหลาด ... ผมยิ้มเยาะตัวเองที่นึกถึงภาพวันวาน

“ขอให้เราดูแลนายเถอะนะ เราจะไม่ขอให้นายกลับมารักหรือมาเป็นแฟนเราก็ได้ ขออย่างเดียว นายอย่าไล่เราไปเลยนะ” ถ้าถามว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของใคร ทุกคนอาจจะบอกว่ามันเป็นเพราะไอ้คนชั่วที่ชื่อสุชาติ แต่สำหรับผม เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะตัวเองทั้งหมด ผมปล่อยมือจากฉัตรพงษ์ เผลอใจให้ไอ้หนึ่ง อยากเอาชนะตงฉินจนพาตัวเองเข้าไปพัวพันเรื่องทั้งหมด

             ตอนที่ผมบอกลาหนึ่งเมื่อครู่ ในใจของผมร่ำร้องราวกับเด็กน้อย หวังว่าเขาจะทำแบบเดียวกับฉัตรพงษ์ในตอนนั้น หวังว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยมือไปง่ายๆ หวังว่าเขาจะเข้าใจว่าที่พูดไปทั้งหมดก็แค่เรียกร้องความสนใจ อยากให้เขารู้สึกผิดเหมือนที่ผมรู้สึก แต่มันกลับไม่ใช่อย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย แววตาที่ปวดร้าวของไอ้หนึ่งมีแต่ความเสียใจและตีความว่าผมไม่อยากเป็นเพื่อนมันอีกแล้ว ... เขาคิดถูกแค่ครึ่งเดียว ผมไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับเขา แต่ผมยังอยากเป็นมากกว่านั้น

...แต่ผมรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว....

“หิวมั้ย อยากกินอะไรหรือเปล่า” ฉัตรพงษ์ถามและส่งยิ้มมาให้เมื่อผมเข้าไปนั่งในรถ เวลานี้ผมนึกอะไรไม่ออก ไม่อยากพูดคุยกับใครทั้งนั้น

“งั้นไปกินก๋วยเตี๋ยวไก่ร้านเดิมที่นายชอบมั้ย” ผมไม่ตอบ ได้แต่หลับตานิ่ง ปล่อยให้อีกคนพูดคนเดียวไปตลอดทาง 

“รับน้องเป็นไงบ้าง พวกเพื่อนๆเราชมนายไม่หยุดเลยว่าหล่ออย่างนั้นหล่ออย่างนี้ เห็นบอกว่าจะให้นายคัดเลือกเดือนคณะด้วยนะ” แม้ฉัตรพงษ์จะรู้ดีว่าคนที่นั่งข้างๆไม่ได้รักตนอีกแล้ว แต่การที่ผมย้ายไปเรียนคณะเภสัชศาสตร์ตามความฝันก็เหมือนให้ความหวังกับเขา ถึงอยากจะค้านแค่ไหนแต่ตอนนี้ผมอ่อนแอมากเกินกว่าจะแสดงออกว่าเป็นคนดีได้อีก บางทีผมควรจะคิดถึงตัวเองให้มากขึ้นเริ่มต้นใหม่อย่างที่ตั้งปณิธานไว้ และสักวันหนึ่งผมจะกลับมาเป็นอัคคีคนเดิมที่ยิ้มได้อย่างสบายใจอีกครั้ง

... บางครั้งการปล่อยมือใครสักคนมันก็อาจจะส่งผลดีต่อเขามากกว่าที่เราจะคิดไว้เสียอีกด้วยซ้ำ ...

#### ####

[ตงฉิน]

             ผมตื่นมาตอนสายด้วยอาการเจ็บร้าวไปทั้งตัว หลังๆมานี้ไอ้หนึ่งไม่ค่อยถนอมเท่าไหร่ ตะบี้ตะบันใส่เข้ามาสุดแรงเกิดจนขาสั่นแถมยังเสียดตรงนั้นจนแทบลุกไม่ขึ้น ภาพตัดไปตั้งแต่ตอนไหนยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ มองเตียงข้างๆที่ว่างเปล่าแล้วรู้สึกร้อนวูบวาบจนนอนต่อไม่ได้

             เมื่อจัดการมื้อเช้าที่คนใจโหดเตรียมไว้ให้ก็มานั่งที่โต๊ะทำงานเพื่อเคลียร์รายงานที่ยังทำไม่เสร็จ ช่วงหลังๆนี้ผมรับงานแสดงน้อยลงและหันมาใส่ใจกับการเรียนมากขึ้น พยายามปล่อยวางเรื่องข่าวซุบซิบตามเพจต่างๆเรื่องดาราหนุ่มอนาคตไกลไม่สนใจชะนี (และอีกหลายๆพาดหัวข่าว) ไอ้หนึ่งเคยถามว่าทำไมผมถึงเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนผมระวังตัวแจ ไม่ยอมให้มีข่าวเสียๆหายๆเลยสักนิด ผมได้แต่ยิ้มและไม่ตอบอะไร ทั้งๆที่คำตอบมันก็เห็นกันอยู่แล้วว่าเพราะมันทั้งนั้น

             ความสัมพันธ์ของผมกับเขา(หรือใช้คำว่ามันดีนะ) เริ่มต้นจากความอ่อนไหวทางอารมณ์และฤทธิ์ของเบียร์จนทุกอย่างเลยเถิด แม้ว่ามันทำให้รู้สึกดีมากเพียงไหนก็ตาม แต่ที่ผ่านมาผมไม่กลับไปมี One Night Stand กับคนเก่าเพื่อเลี่ยงความผูกพันทางอารมณ์ แต่กับคนที่ชื่อเอกราชนั้นต่างออกไป เพราะผมเองนั่นแหละที่ใจร้อนกลัวพ่อไม่ยอมให้อยู่คอนโดเลยออกปากชวนคนแปลกหน้าสองคนมาอยู่ด้วยกับเงื่อนไขที่ค่อนข้างเสียเปรียบ การที่ได้เจอกันทุกวันทำให้สิ่งที่อยากหลีกเลี่ยงทำได้ยาก พวกเรามีอะไรกันมากกว่าหนึ่งครั้ง และอีกหลายๆครั้งเป็นต้นมา

             หากถามว่าทำไมผมถึงยอมตกลงเป็นแฟนไอ้หนึ่งน่ะเหรอ ตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่ารู้สึกอย่างไรกับมัน ด้วยหน้าตาที่ไม่น่าดึงดูดแถมยังเตี้ยกว่าผมเกือบ 20 เซ็นติเมตรนั้นทำให้พวกเราต่างกันราวฟ้ากับเหว ตอนเปิดเทอมมันลากผมไปคุยกับพวกไอ้คิ้ว ไอ้ฉัตรทั้งๆที่ไม่เคยจะคุยกัน แถมยังเป็นตัวตั้งตัวดีรวมกลุ่มเหมือนสนิทกันมาตั้งแต่เกิด ทำให้ทั้งผมและขวัญใจมีเพื่อนเพิ่มขึ้นโดยปริยาย นับเป็นครั้งแรกที่ผมมีเพื่อนที่เป็นเพื่อนจริงๆ ไม่ใช่เพื่อนที่คอยเกาะหาผลประโยชน์หรือเพื่อนที่คอยพาไปมั่วสุมอย่างที่มีมาโดยตลอด ความอบอุ่นใจมันเริ่มตอนไหนผมก็ตอบตัวเองไม่ได้ อาจจะเริ่มตอนที่ผมนอนหลับในห้องเรียนแล้วไอ้หนึ่งพูดห้ามไม่ให้คนอื่นแอบถ่ายรูป หรือไม่ก็อาจจะเป็นตอนที่มีเรื่องในผับ แต่พอรู้ตัวอีกที ผมก็ปล่อยให้เขาอยู่ข้างๆเสียแล้ว

“อยู่ไหนแล้ว” ผมต่อสายไปหาคนในความคิด เมื่อเห็นใน Find My ว่าพิกัดของเขาอยู่ที่คอนโดมาร่วมสิบนาทีแต่ก็ไม่มีวี่แววจะเข้าห้อง

[อยู่ในรถ กำลังไป] แล้วเสียงเนือยๆนั้นก็วางสายไป

“มึงรู้มั้ยตง กูชอบมากเลยนะตอนที่มึงครางชื่อกูอะ” ผมนึกถึงคำพูดหลังจากที่พวกเรามีอะไรกัน

“มึงไม่ต้องพูดออกมาก็ได้มั้ย กูก็อายเป็นนะเว้ย”

“นี่อายแล้วเหรอวะ เมื่อกี้ยังบอกว่าขออีก ขออีก แรงๆเลยหนึ่ง”


   ป๊าบ.... ผมฟาดกบาลมันอย่างหงุดหงิด ความจริงคือเขินจนพูดไม่ออกต่างหาก เวลาที่อยู่ด้วยกันมีแต่ความสบายใจ ผมไม่ต้องเก๊กว่าตัวเองคือนายตงฉิน เสถียรภาพไพบูลย์ ดาราหนุ่มอนาคตไกล มีแต่ไอ้ตงที่สามารถนอนอ้อนให้มันกอด หรืออ้อนให้มันทำกับข้าวให้กินอย่างไม่อิดออดได้

   เวลาอยู่ด้วยกันทำให้ผมลืมไปเลยว่าทำไมถึงตกหลุมมันได้ ที่ผ่านมาผมเคยสร้างภาพว่าไม่สนใจคนตัวเล็กนี้เลยสักนิด ถึงแม้จะมีคนชื่อเจดมาพัวพัน หรือแม้กระทั่งไอ้ทอยที่คิดไม่ซื่อ ผมพยายามทำเป็นใจเย็นไม่สนใจ แต่มันยิ่งเหมือนไฟที่เผาความอดทนไปเรื่อยๆ ผมหงุดหงิดที่มันยิ้มให้ใครต่อใคร ไม่พอใจที่มีแต่คนมารุมชอบ ความรู้สึกงี่เง่านี้ผมเองก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่ามีมาตั้งแต่ตอนไหน แต่พอรู้ตัวอีกทีผมก็ลากมันไปกองถ่ายด้วยทุกครั้งที่ทำได้ ให้มันอยู่ใกล้ตัวอย่างเห็นแก่ตัว

แกร็ก... “กลับมาแล้ว” ร่างเล็กเดินเข้ามาในห้องนอนด้วยสภาพที่ดูไม่ดีเอาเสียเลย ผมปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์และลุกไปหาคนที่กำลังนั่งลงที่ปลายเตียง

“กอดหน่อย”

“หืม” จากแววตาที่หงอยเหงา กลับเปลี่ยนเป็นตกใจอย่างน่าขัน

“นะ กอดกูหน่อย”

“อ้อนเอาไรเนี่ย” น้ำเสียงของมันผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่เอาอะไร เอากอด” ผมนั่งลงชิดกับอีกคน ไอร้อนจากตัวน่าอึดอัดแต่กลับไม่นึกรังเกียจ หนึ่งหันมามองแล้วยิ้มบางๆและใช้แขนมารวบตัวผมไปในอ้อมกอดที่อบอุ่น

“ตัวหอมจัง”

“หอมก็กอดแน่นๆสิ” ผมกอดกลับไป ท่าทางตึงเครียดผ่อนคลายลง ใบหน้าเอ๋อๆนั้นซุกที่ซอกคอผมเพื่อสูดกลิ่นที่ถูกใจ

‘“รู้มั้ยว่าอ้อนแบบนี้ ไม่รับรองความปลอดภัยนะ” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อคนตัวเล็กจับมือผมไปตะปบพลังงานบางอย่างที่อยู่ใต้ร่มผ้าด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับสุนัขจิ้งจอก ...



(https://cdn-th.tunwalai.net/files/member/971823/715301438-member.jpg)

ภาพประกอบไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในนิยาย
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 41 P.6 Up 1 พ.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 01-05-2021 14:24:05
เรื่องนี้อัพถึงตอนที่ 43 แล้วนะครับ
แต่ในระบบสนับสนุน
หากใครอยากอ่านล่วงหน้า
ฝากติดตามได้ที่ FB นะครับ

https://www.facebook.com/Begintillanend

สำหรับคนที่รอได้ พบกันเสาร์หน้ากับตอนที่ 42 นะจ๊ะ

:mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 41 P.6 Up 1 พ.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 01-05-2021 18:14:35
 :mew1: o13 :-[
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 42 P.6 Up 8 พ.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 08-05-2021 01:16:56
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.


ตอนที่ 42. เรื่องบนเตียง

[ตงฉิน]

   ใบหน้าหื่นกามของไอ้หนึ่งทำให้ผมเสียวสันหลังวาบ เพราะเมื่อคืนเพิ่งผ่านศึกหนักมา แล้วกลายเป็นว่าผมยั่วมันเสียอย่างนั้นแถมตอนนี้พวกเราก็กอดกันอยู่บนเตียงนุ่มๆ อ้อมกอดที่รัดแน่นเริ่มเกาะแกะเลาะเลื้อยมาใต้ร่มผ้า ความสากของฝ่ามือไล้ตามแนวซี่โครงก่อนจะจบที่เม็ดเล็กที่ทรวงอก

“อื้อ หนึ่ง ไม่เอา อา” ถึงปากจะบอกว่าไม่ แต่ผมกลับยอมยกมือขึ้นให้มันถอดเสื้อตัวบางอย่างว่าง่าย สายตาเว้าวอนและหื่นกระหายสบส่องมาจนต้องขยับท่านั่งให้เป็นท่านอนราบกับพื้นนุ่ม ลมหายใจอุ่นร้อนทาบทับมาที่ใบหูจนเสียววาบ

“ไหนบอกว่าไม่ไง แต่ไหงอ่อยขนาดนี้”

“อะ อ่อยตรงไหนวะ” ผมรู้ว่าตัวเองปากแข็งนะ แต่พอโดนมันแทะโลมด้วยคำพูดและริมฝีปากก็เผลอไผลให้อีกคนนอนทับบนร่างกายอย่างไม่ต่อต้าน แก่นกายแข็งขืนของไอ้หนึ่งเสียดสีไปมากับส่วนลับของผมที่ผงาดตัวเต็มที่เช่นกัน

“ก็ตรงนี้ไง หูมึงแดงจนร้อน ซอกคอมึงหอมแถมเส้นเลือดตอดตุบๆ หน้าอกมึงหอบเฮือก หัวนมมึงแข็งจนบีบถนัดมือ” ผมได้แต่เงียบเพราะทุกอย่างที่มันพูดมาคือความจริงทั้งหมด ทำได้แต่คว้าคอมันมาประกบจูบดูดดื่มราวกับไม่เคยทำแบบนี้กันมาก่อน ความวาบหวามวิ่งวุ่นเมื่อวพกเราสอดผ่านความเร่าร้อนในโพรงปากอย่างหนักหน่วง แรงดูดทึ้งทำให้ผมดิ้นพล่านจนแข้งขาอยู่ไม่สุข กางเกงขาสั้นถูกรั้งลงจนหลุดจากตัวเผยส่วนลับสีเข้มที่ขนาดไม่น้อยหน้าใครอย่างบ้าบิ่น แต่กลับเทียบความอลังการของคนตัวเล็กไม่ติดเลยสักนิด ราวกับว่าน้องชายของมันขยายตัวขึ้นจากแต่ก่อนจนน่าผวา  “ตรงนี้ของมึงก็ยั่วกู”

“หนึ่ง อา...” ผมครางกระเส่าเมื่อมือสากเกาะกุมแก่นกายไว้แน่น ริมฝีปากของเราประกบกันอีกครั้งอย่างหิวโหย ผมเสียววูบจนตัวกระตุกเมื่อถูกจู่โจมทั้งบนและล่าง แรงขยับขึ้นลงถี่ยิบทำให้หัวใจเต้นจนแทบหลุดมากองด้านนอก

“แฮ่กๆ พอแล้ว เดี๋ยวกูแตก กะ ก่อน...” ผมผละรสจูบรุนแรงนั้นเพื่อห้ามการกระทำของมัน สายตาที่ส่งมาให้ฉายแววโรจน์ราวกับสัตว์ป่า ลมหายใจหอบพร่าของเรากระทบกันไปมา ไม่ต้องพูดจาอะไรให้มากความเมื่อคนหิวกระหายยกสองขาผมพาดคออย่างรวดเร็ว

“มะ ไม่ต้องใช้นิ้ว กูอยากได้ ฮึก...ของมึง” ผมร้องขออย่างไร้ยางอาย มองความใหญ่โตที่ผงกตัวอย่างองอาจอย่างเว้าวอน เส้นเลือดปูดโปนรายล้อมยิ่งทำให้น่าหวาดหวั่นแต่ผมกลับไม่กลัวเลยสักนิดอยากได้ความแข็งแรงนั้นสอดแทรกเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

“แต่...”

“กูไหว เข้ามาเถอะ อ๊า...” เมื่อส่วนปลายส่งแรงกดที่ช่องทางลับ ผมหลับตาแน่นและยกแยกสองขาให้เปิดกว้าง ส่วนบานเบอะแผ่อำนาจเข้ามาในตัวอย่างหนักแน่นจนจุกไปทั่งร่าง

“เข้ามาอีก เข้ามา...” ผมเรียกร้องไม่ขาดปาก ไม่ต้องการสารหล่อลื่นใดๆจากความไร้สติในครั้งนี้ ในเมื่อร่องรอยของเมื่อคืนยังอยู่ในตัวจนไม่สบายท้องแต่ผมอยากสัมผัสความเจ็บปวดที่เร่าร้อนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

กึก.... เสียงวงแหวนที่ถูกแหวกว่ายกอดรัดส่วนแรกที่เข้าไปเต็มกำลังดังมาในโสตประสาท ผมได้แต่หลับตาแน่นเพราะเจ็บราวกับเป็นครั้งแรกที่ได้เจอประสบการณ์นี้ “ไหวมั้ย ให้กูเอาออกก่อนมั้ย”

“ไม่ เอามาอีก อย่าหยุดนะ” ผมผวาตัวกอดรัดลำคอของแฟนหนุ่มไว้แน่น โน้มใบหน้าของเราให้ชิดกันก่อนจะกัดริมฝีปากร้อนฉ่าอย่างยั่วยวน ไอ้หนึ่งปรนเปรอด้วยการจูบอย่างหวานวาบอีกครั้งจนลืมความเจ็บแน่นที่ช่วงล่าง ความร้อนระอุทะยานตัวเข้าไปด้านในลึกขึ้นเรื่อยๆ ระยะทางของมันเท่ากับความต่างของส่วนสูงของเราทั้งคู่ ผมเจ็บตึงแต่กลับชอบความรู้สึกนี้มากจริงๆ

“อ๊า หนึ่ง แรงอีก แรงอีก” ผมไม่สนใจว่ามันจะเสียหายหรือเปล่า มันมีแต่ความต้องการล้วนๆที่ควบคุมสำนึกชั่วดี คนร่างเล็กออกแรงกระแทกเข้าออกอย่างหนักหน่วง เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นห้องอย่างน่าเกลียด แต่ผมกลับหวีดร้องอย่างสุขสม ความเสียวสะท้อนไปทั่วร่าง

“ตรงนั้น ฮ้า แรงๆ หนึ่งแรงๆ” ผมสะใจที่ถูกย่ำยีแบบนี้ ความใหญ่โตสอดเร้นไปในส่วนลึกสุด โชคดีที่ความไหลลื่นจากสงครามของเมื่อคืนยังคงอยู่ ไม่อย่างนั้นส่วนคับแคบคงจะฉีกขาดไม่เหลือชิ้นดี

“ทำไมวันนี้ มึง ฮึก ...”

“อย่าถาม อ๊า กูแค่อยากให้มึงสัมผัสตัวกูแบบที่ไม่เคยมาก่อน ฮื้อ ใหญ่สัสๆ โอ๊ย...” ผมร้องไปด้วย สบถไปด้วยอย่างบ้าคลั่ง

“กูชอบนะ ไม่ต้องใช้นิ้วก่อน ไม่ต้องใช้เจลแบบนี้ ของมึงแม่งแน่นกว่าเดิมอีก มึงตั้งใจให้กูหลงมึงจนโงหัวไม่ขึ้นใช่มั้ย”

“อะ อื้อ คุ้มมั้ยล่ะ”

“ที่สุดเลยตง มึงตอดกูโคตรแน่น ฮะ ฮ้า...” ไอ้หนึ่งครางกระเส่าเมื่อถูกส่วนลับด้านในบีบรัด ความเจ็บปวดคลายลงไปจนสิ้นเหลือเพียงความเสียวซ่านจนต้องใช้สองขาที่เลื่อนมาเกาะเอวเกี่ยวกระหวัดให้แน่นกว่าเก่า แรงกระแทกอย่างป่าเถื่อนยังไม่มีทีท่าจะจบสิ้น ผมมีความสุขจนแทบขาดใจตายเสียให้ได้เพราะไอ้หนึ่งมันรู้ว่าจุดไหนที่ทำให้ผมถึงฝั่งฝัน และตอนนี้มันก็กำลังตอกย้ำที่เดิมซ้ำๆจนความสุขถึงขีดสุด ผมพยายามเอื้อมมือรูดของสงวนแต่ถูกมันจับไว้และส่งแรงอัดอย่างไม่ลืมหูลืมตา

“หนึ่ง อ๊า ไม่ไหวแล้ว กูไม่ไหวแล้ว ฮ้าๆๆๆๆๆๆ” ผมครางลั่นเมื่อถูกปลุกปั่นจากภายในจนถึงจุดสุดยอด แก่นกายที่แข็งขืนบีบรัดตัวและปลดปล่อยความอุ่นข้นจนเปรอะหน้าท้องที่เต็มไปด้วยกล้ามของมนุษย์แฟนสายหื่น

“ฮื้อ มึงก็ตอดกู จน ฮะ ฮ้า...” เพียงไม่นานหลังจากที่ผมถึงจุดหมาย ไอ้หนึ่งก็กระตุกตัวและแช่คาความใหญ่โตไว้จนมิดด้าม ผมพยายามดันออกแต่มันกลับยิ้มเยาะและปลดปล่อยทุกอย่างเข้ามาภายในอย่างล้นทะลัก

#### ####

[หนึ่ง เอกราช]

             พอจบกิจกรรมรับน้องในห้องว้ากก็มีการเฉลยสายรหัส แน่นอนว่าเดือนคณะปี 1 ที่ชื่อเขมอะไรนั่นทำหน้าดีใจจนออกนอกหน้าเมื่อได้รู้ว่าพี่รหัสเป็นใคร ยิ่งตอนที่ให้แต่ละสายยืนประกบน้องแล้วยิ่งชวนหงุดหงิด เพราะออร่าความหล่อของทั้งสองคนรุนแรงจนใจแป้วจากระยะไกลเพราะสายรหัสของผมยืนอีกมุมหนึ่งของลานคณะใกล้ๆกับไอ้โท

“มึงจะยืนหึงอีกนานมั้ย หวงเค้าก็ไปยืนข้างๆดิวะ” ไอ้โท พี่ชายตัวดีสะกิดเมื่อเห็นว่าผมทำหน้ามุ่ย อันที่จริงผมไม่ได้อินกับเรื่องรับขวัญน้องอะไรนี่หรอก ถ้าไม่ใช่เพราะตงฉินลากมาด้วย ป่านนี้คงตีป้อมเพลินๆไปแล้ว บรรยากาศใต้ถุนคณะในเวลาเกือบสองทุ่มแบบนี้ยังคงร้อนอบอ้าวเหมือนฝนจะตก อีกทั้งยังมีประชากรชาวคณะบริหารฯตั้งแต่ปี 1 ถึง 4 มาร่วมรับขวัญด้วยการผูกสายสิญจน์ที่ข้อมือ ตามด้วยการรวมกลุ่มสายรหัส ผมกับไอ้โทรหัสติดกันได้รุ่นน้องผู้ชายหน้าตาดียืนไม่ห่าง

“ไปให้หมองทำไมวะ” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด หากเป็นช่วงปกติคงไปเกาะแกะใกล้ๆ แต่ตอนนี้สายรหัสมันมากันครบ ถ้าเข้าใกล้ตอนนี้ผมคงโดนกันท่าออกมา อีกอย่างก็ยังเกรงใจสายรหัสตัวเองที่รู้ทั้งรู้ว่าผมไม่ชอบร่วมกิจกรรมแต่ก็ยังดูแลอย่างดีจนน่าเกรงใจ

“น้องรหัสไอ้คิ้วเป็นดาวคณะด้วยว่ะ โคตรอิจฉา” ไอ้โทกระซิบ

“อิจฉาก็ขอย้ายสายรหัสสิคะ” ขวัญจิรายืนกอดอกพูดเสียงเข้ม

“มะๆๆ ไม่จ้า ไม่ย้ายหรอก” บทพ่อบ้านใจกล้าก็มา ปากดีแต่ขี้หงอ...เบื่อพวกกลัวเมียว่ะ

“แล้วน้องรหัสมึงล่ะ” ผมถามไอ้ชัยที่บังเอิญเดินผ่านมา

“ไม่รู้ว่ะ พอดีกูไปขี้ กลับมาอีกทีก็หายไปแล้ว” ความอินดี้ของสายนี้เป็นอันเลื่องลือ มีแต่ไอ้ฉัตรชัยนี่แหละที่แปลกกว่าชาวบ้าน

“น้องรหัสขวัญก็สวยนะ สวยทั้งพี่ทั้งน้องเลย” ผมแซว เพราะดูท่าจะยังเคืองไอ้โทไม่หาย

“แหมหนึ่งก็ เราก็รู้อยู่แหละ” นี่ใช่ขวัญใจคนเดิมที่กูรู้จักปะวะ พอชมก็อมยิ้มอย่างไม่ถ่อมตัวแต่ไอ้โทก็ขยิบตาเชิงขอบคุณมาให้

“เออ น้องๆแนะนำตัวหน่อยครับ พอดีพวกพี่ๆเนี่ยสนิทกัน ถ้าจะนัดเลี้ยงคงจะโคสายกันตามนี้เลย” ไอ้คิ้วที่เดินแยกตัวจากรุ่นพี่พาน้องรหัสตัวเองมาแนะนำกับพวกเราที่ยืนเด่นตรงนี้

“สวัสดีค่ะ เอวาค่ะ อยู่เอกการตลาด น้องรหัสพี่คิ้ว” ดาวคณะคนใหม่ยกมือไหว้ยิ้มหวาน สวยคนละสไตล์กับขวัญใจจริงๆ

“สวัสดีค่ะ ลัดดาค่ะ น้องรหัสพี่ขวัญคนสวย อยู่การจัดการค่ะ” คนนี้ก็สวย ละลานตา

“สวัสดีครับ เป๊กครับ เอกระหว่างประเทศ น้องรหัสพี่โทครับ” ผมเงยหน้ามองไอ้เด็กนี่ จะสูงไปไหนวะ

“ผมโอเว่นครับ น้องรหัสพี่หนึ่ง เอกการเงิน” น้องๆทั้งสี่แนะนำตัวอย่างเป็นกันเองเพราะไม่ต้องเกร็งต่อหน้าพี่ว้ากที่สวมเสื้อช็อปสีเข้มรอบตัวอีกต่อไป พอจบกิจกรรมพวกหน้าโหดก็แปรสภาพเป็นนักศึกษาไม่เต็มบาทกันอย่างสนุกสนาน พอน้องแนะนำตัวเสร็จ พวกเราก็แนะนำตัวเองกลับและพูดคุยกันอย่างเป็นมิตร (ถึงแม้ผมจะเตี้ยสุดในกลุ่มก็ตาม)

“เออ เดี๋ยวกูไปลากน้องกูมาก่อน” ไอ้ชัยขอตัวเมื่อเห็นกลุ่มสายรหัสตัวเองลิบๆ ผมเห็นมันแวะสะกิดไอ้ตงจนคนสูงเด่นหันมาสบตาและลากแขนน้องรหัสหน้าหล่อมาทางนี้ ผมถอนหายใจฟึดฟัดเพราะท่าทีดีใจหน้าบานของไอ้คนหล่อชื่อเขมนั่นแหละ

“หงุดหงิดล่ะสิที่เค้าเกาะแขนกันมา” ผมอยากจะเขกกบาลพี่ชายตัวเองจริงๆ ยุแยงเก่ง

“นี่น้องรหัสเรา แนะนำตัวสิครับ” ตงฉินยืนข้างๆไอ้หน้าหล่อ ผมกวาดสายตาพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่ถูกชะตา แต่ก็ได้แต่ทำตัวเงียบๆ กอดอกข่มไว้ก่อน เพราะยังไงคนที่ได้กอดไอ้ตงก็คือผม หึหึหึ...หัวเราะแบบพระเอกหนังไทยสมัยก่อน

“สวัสดีครับ ผมเขมนะครับ เป็นคนสุโขทัย เป็นน้องรหัสพี่ตงฉิน เรียนเอกระหว่างประเทศครับ” ผมเบะปากเมื่อรู้ว่ารุ่นน้องคนนี้เรียนเอกเดียวกันกับแฟนตัวเอง อะไรโลกมันจะสรรสร้างให้มีอะไรคล้ายกันเหมือนพรหมลิขิตขนาดนี้นะ

“ตาเขียวแล้วมึง” ไอ้โทกระซิบ ผมรีบกะพริบตาปริบๆไล่อาการหึง

“ไอ้ชัยมาพอดี ไหนวะน้องรหัสมึง” ไอ้คิ้วเป็นคนทัก

“อยู่โน่น กำลังเดินตามมา ชื่อเอื้องที่เป็นรองเดือนคณะน่ะ”

“หืม มึงไม่ได้รหัส 109 นะ ทำไมได้น้องเค้าล่ะ” ผมถามด้วยความแปลกใจ

“สายรหัสกูแหว่งว่ะ น้องไม่มารายงานตัวเข้าเรียน กูก็เพิ่งรู้ว่าเค้าจับฉลากน้องที่ไม่มีสายปี 2 เหมือนกัน”

“แล้วพวกปี 3 ล่ะ”

“กูจะรู้มั้ย เค้าคงยึดปี 2 เป็นหลักแหละ เพราะต้องดูแลแนะนำเรื่องการเรียน” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะปีที่แล้วก็ได้พวกชีทเอกสารวิชาต่างๆมาเต็มกล่องกระดาษใหญ่ๆ

“หนึ่ง เป็นอะไร” ตงฉินหันมาถามเสียทีหลังจากที่ปล่อยให้ทำหน้าบึ้งนานสองนาน

“เปล๊า” ผมตอบ แต่สายตามองไปที่มือของมันที่ยังจับแขนรุ่นน้องหน้าหล่ออยู่ พอเห็นสายตาดุๆมันก็รีบปล่อยมือทันที ไอ้น้องเขมอะไรนั่นทำหน้าเสียดายจนผมหมั่นไส้

“เดี๋ยวแลกไลน์แลกเบอร์กันไว้นะน้องๆ พี่จะสร้างกลุ่มไว้เผื่อนัดติดต่อกัน ยังไงพวกเราก็ต้องโคกันอยู่ดี” ฉัตรชัยเป็นคนเสนอ

“แล้ววาวาและผองเพื่อนล่ะวะ”

“เดี๋ยวมามั้ง เห็นเม้าท์มอยกันสนุกสนานอยู่ฝั่งโน้น” ไอ้ชัยตอบเรื่องแฟนด้วยน้ำเสียงงอนๆ สงสัยวาวาจะเมินแฟนชั่วคราวเพราะได้น้องรหัสหน้าตาดี

“น้องๆคะ คืนนี้อย่าเพิ่งกลับกันนะ ไหนๆก็รับขวัญกันเสร็จแล้ว ต้องไปตื๊ดคลายเครียดกันหน่อย” เสียงประกาศจบก็ตามด้วยเสียงเฮจากรุ่นพี่รุ่นน้องดังลั่น โดยปกติเราจะไปเฉลยสายรหัสนอกสถานที่ แต่สองปีมานี้ทางอาจารย์ฝ่ายกิจกรรมไม่อยากให้นักศึกษาต้องเรี่ยไรแล้วเอาเงินมาใช้อย่างเปล่าประโยชน์ เพราะคณะของเราคนเยอะถ้าขนไปทุกชั้นปีก็เป็นพันคน หากจะแยกเป็นรับน้องแต่ละสาขาก็ทำไม่ได้อีก เพราะน้องรหัสกับพี่ปี 2 ส่วนมากก็ไม่ได้อยู่สาขาเดียวกัน การเดินทางไปไหนมาไหนจึงใช้งบที่ค่อนข้างสูงและการดูแลก็อาจไม่ทั่วถึง ถ้าดูแลกันไม่ดีอาจเกิดปัญหาด้านความปลอดภัยด้วย

“น้องๆคนไหนสนใจ เราจะไปบาร์ xxx ข้างมอนะคะ พี่ให้เวลา 1 ชั่วโมงในการกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเจอกันที่ร้าน งานนี้ไม่ได้บังคับนะคะ แต่ถ้าใครไม่ไปก็เตรียมเคลียร์กับพี่รหัสตัวเองดีๆนะ ส่วนพี่ปี 3 และปี 4 ถ้าไปจะต้องเลี้ยงนะ” วาวาพูดขู่ออกไมโครโฟนคงเพราะอยากไปกันแค่เพื่อนร่วมรุ่นกับรุ่นน้องปี 1 เท่านั้น เป็นที่รู้กันว่าพวกปีแก่ดื่มจัดขนาดไหน งานนี้ผมคิดว่าจะบายเพราะเดาว่าไอ้ตงคงอยากพัก มองไอ้โทที่ทำหน้าเหม็นเบื่อเนื่องจากเป็นผับที่มันเคยไปมีเรื่องตอนปี 1

“พี่ตงไปนะครับ เดี๋ยวเจอกัน” ไอ้เดือนคณะมันทำเสียงอ่อนหวาน ตางี้เยิ้ม ถ้าอ้าปากกว้างกว่านี้คงเขมือบแฟนผมไปแล้วล่ะ

“อ๊ะ อืม ได้ๆ” แล้วผมก็ต้องเปลี่ยนใจทันทีเมื่อมนุษย์แฟนรับปากไอ้เดือนคณะปีหนึ่งที่หน้าบานเป็นกระด้ง อยากตบหัวมัน

“พวกมึงมีใครไปมั้ย” ไอ้ชัยถามรุ่นน้องสายรหัสพวกเราที่ยืนอิดออดด้วยวาจาระดับพ่อขุน ปกติแล้วพวกปี 1 น่ะไม่ค่อยอยากไปเที่ยวเท่าไหร่หรอก ความเสี้ยนมันมาจากพวกปี 2 กันทั้งนั้น ซึ่งเด็กปี 1 ที่บ้านอยู่กรุงเทพก็จะกลับบ้านเลยและก็มีในสัดส่วนที่ค่อนข้างเยอะเพราะทางมหา’ลัยไม่ได้บังคับให้เด็กปี 1 ต้องอยู่หอในมอแล้ว ส่วนที่ไปจะเป็นพวกเด็กหอในมากกว่าที่จะออกท่องราตรีกัน อย่าถามว่าอายุถึงกันไหมนะครับ ถ้าตำรวจลงคงโดนทั้งคณะ(ไม่แนะนำให้ทำตามนะ ไม่ดีๆ)

             พอไปถึงร้านก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองที่มีทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องมากันจนเต็มแน่น ปกติกลุ่มพวกเราจะชอบโซนดนตรีสด แต่ทางร้านคงต้องงดจัดโซนไปก่อนเพราะคนเยอะจนล้น ผมพยายามโทรหาเพื่อนๆที่มากันก่อน แต่เสียงเพลงก็ดังจนต้องยอมแพ้

“ค่อยๆเดินนะ คนเยอะ” ผมแหวกทางเดินนำไปก่อน แค่ทางเข้าคนก็เต็มแล้ว ไม่อยากคิดเลยว่าข้างในจะเบียดเสียดแค่ไหน

“อืม” ตงฉินรับคำและเดินตามมา แต่กว่าจะเดินไปได้ก็ใช้พลังชีวิตแทบเกลี้ยง มีแต่คนทักทายและลากแฟนผมไปชนแก้วไม่ขาดสาย จากคนหน้านิ่งก่อนเข้ามาในร้าน ตอนนี้หน้าตาเริ่มเปลี่ยนสีไปเสียอย่างนั้นเพราะมีแต่คนยื่นแก้วมาให้ไอ้ตงจิบ

“เห้ย ทางนี้” เสียงตะโกนจากไอ้โทพร้อมการโบกมือเรียกทำให้พวกเราเจอจุดหมายที่จะไป โต๊ะวางเครื่องดื่มถูกจับจองไปหมดทั้งร้าน เวลายืนก็รวมกันคละรุ่น พอจะแหวกไปตามเสียงเรียกแค่นั้นแหละคนข้างหลังก็ถูกคว้าแขนไว้แน่น

“พี่โตงงงงงง มาชนแก้วกันหน่อยยยยย” นี่มึงเมาไฟหรือเมาเหล้าวะ เพราะหน้าตาของน้องรหัสแฟนผมดูไม่เหมือนเดิม

“อะครับ ชนๆ” ตงฉินยิ้มแหยๆ พอจิบน้ำสีอำพันพอเป็นพิธีก็ทำท่าจะขอตัว

“พี่โตงอยู่ด้วยกันก่อนสิครับ นี่พี่รหัสกูเว้ย โคตรหล่อ เป็นดาราด้วยนะ” ไอ้เดือนคณะมันไม่ได้แค่ลากแขนแล้ว ตอนนี้มันโอบเอวเกาะแขนเกาะไหล่จนผมหน้าร้อนวูบวาบไปหมด รุ่นน้องทั้งโต๊ะต่างพากันทักทายและชนแก้วอีกครั้งแถมบังคับให้ดื่มจนหมดแก้วอีก ผมได้แต่ฮึดฮัดโดยไม่มีใครสนใจเลยว่ามีผมยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ด้วย

“มาครับพี่โตง ผมชงให้” ไอ้น้องเขมไม่ได้แค่พูด มันคว้าแก้วไปอย่างไว ไอ้ตงอ้าปากห้ามไม่ทันก็ได้แต่หันมาทำหน้าเจื่อนเป็นเชิงขอโทษผมที่ยืนหงุดหงิดอยู่ข้างๆ

“ทำไมหน้าบูดเป็นตูดหมาแบบนี้ล่ะวะ แฟนไปไหน” ไอ้พี่ชายตัวดีถาม ผมคิดว่ามันเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแหละ ที่ถามนี่คือจงใจแซะ อากาศในร้านดูเหมือนจะอบอ้าวมากขึ้นหลายเท่าตัว คนที่เริ่มเมาก็โยกย้ายส่ายสะโพกตามจังหวะเพลงและเบียดเสียดจนผมหายใจไม่ค่อยสะดวก

“ไปไหนก็ช่าง แม่ม” ผมคว้าแก้วมันมากลอกปากจนเกลี้ยง รู้สึกโมโหอย่างควบคุมไม่ได้

“เอาของมึงมาด้วยไอ้ชัย” ผมแย่งมาอีกหนึ่ง

“ชัยพ่อง นี่ไอ้ฉัตร ไอ้ชัยมันไปเข้าห้องน้ำ” ไอ้โทตะโกนบอกแข่งกับเสียงเพลง

“อ้าว โทษทีมึง ไม่คิดว่ามึงจะมา” ผมรีบคืนแก้วเปล่ากลับไปให้

“ไม่เป็นไร พอดีไอ้ชัยมันลากมาน่ะ” ใบหน้าหล่อดูหมองลงสามระดับ ผมพอจะเดาได้ว่าสาเหตุมันมาจากอะไร

“ไอ้คิ้วล่ะวะ” เปลี่ยนประเด็นด่วน

“โน่น ไปสุมหัวอยู่กับพวกประธานรุ่นปีแก่ๆโน่น สงสัยโดนเรียกไปบรี๊ฟ ฮ่าๆๆๆ” พี่ชายตัวดีชี้ไปมุมไกลลิบๆ

“มาแล้วเหรอครับมึง ไหงหน้าบูดเป็นขี้เลยล่ะ” ฉัตรชัยทักฉัตรพงษ์

“ขี้พ่องมึงสิไอ้ชัย” ไอ้ฝาแฝดตัวแสบเดินแหวกทางกลับมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ พอยืนคู่กันมันเหมือนกันมากจริงๆนะ

“เป็นไงบ้างฉัตร” ผมไม่ได้ถามตามารยาท ดีที่เรายืนติดกันจึงคุยกันสะดวก ไม่ต้องกังวลว่าใครจะรู้เรื่องนี้ เสียงกระหึ่มจากลำโพงกลบมิด ถ้าไม่ใช่คนหูทิพย์ล่ะก็ไม่มีทางจับใจความได้

“ก็เรื่อยๆ หรือนายหมายถึง...” ผมพยักหน้า “รายนั้นก็เหมือนเดิมแหละ”

“มันใจอ่อนยังวะ” แล้วฉัตรพงษ์ก็ส่ายหัวและทำหน้าเศร้าไปอีก “ให้เวลามันหน่อยนะ มันเจออะไรมาเยอะ”

“อื้ม เราเข้าใจ เราเองก็จะพยายามให้มากขึ้น เรื่องนี้มันผิดที่เรา” ฉัตรพงษ์โทษตัวเองอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ใบหน้าบ่งบอกความรู้สึกผิดอย่างหนักหน่วง มือบีบแก้วในมือจนสั่น ผมจึงต้องรีบคว้าเอาไว้ก่อนที่แก้วจะแหลกคาที่

“ทำอะไรน่ะ” เสียงเย็นชาดังขึ้นพอจะให้หันไปมอง สายตาดุๆของมนุษย์แฟนส่งมาคล้ายจะขยี้ตัวผมให้เละคาโต๊ะ เวลาโกรธตงฉินจะกอดอก ... ซึ่งครั้งนี้มันก็กำลังกอดอกด้วยสายตาเพชรฆาต ...



ซวยแล้วไอ้หนึ่ง!


หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 42 P.6 Up 8 พ.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 08-05-2021 08:45:49
 :hao6: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 42 P.6 Up 8 พ.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 09-05-2021 21:00:17
ใครจะงอน ใครจะง้อ น่าจะเห็นกันอยู่นะ.  :laugh:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 43 P.6 Up 15 พ.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 15-05-2021 20:58:04
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.


ตอนที่ 43. บรรยากาศมาคุ


             ใครไม่เคยเห็นตงฉินโกรธคงไม่รู้หรอกว่าน่ากลัวขนาดไหน เพราะหลังจากที่ผมดึงมือกลับจากการห้ามฉัตรพงษ์ไม่ให้บีบแก้วก่อนแตกคามือ คนตัวสูงก็หน้าตาไม่เป็นมิตรและเดินแหวกออกไปทางหลังร้านแทบจะทันที จังหวะเดินพรวดๆว่องไวราวกับไม่มีคนจำนวนมากขวางทางไว้ คงเพราะรังสีอันน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากตัวทำให้รุ่นพี่รุ่นน้องต่างพากันเปิดทางให้อย่างพร้อมเพรียง ผมได้แต่ยืนอึ้งจนคนข้างๆทั้งฉัตรพงษ์และเอกภาพ(ไอ้โท)พากันสะกิด

“ไม่รีบตามเหรอวะ”

“ขอทำใจแป๊บ” ผมยกแก้วมาซดโฮกจนหมด หน้าตาคงดูไม่ได้เพราะเพื่อนๆต่างมองอย่างเวทนา

“ให้เราไปช่วยอธิบายมั้ย” ฉัตรพงษ์เสนอตัว แต่ผมส่ายหน้า

“ไม่เป็นไร เราจัดการเอง” ผมพูด แต่น้ำเสียงไม่ได้หนักแน่นเลยสักนิด คนที่ดูเหมือนจะรู้สึกผิดทำหน้าแย่ชวนสงสาร แค่เรื่องไอ้ทอยก็ดูดพลังชีวิตเยอะมากแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้ามาดื่มคนเดียวท่ามกลางเด็กคณะบริหารฯล้นร้านแบบนี้

“งั้นกูไปสูบบุหรี่ดีกว่า” ไอ้ชัย แฝดอีกคนที่เพิ่งกลับมาที่โต๊ะหาทางหนี

“กูไปด้วย” ไอ้คิ้วที่อยู่ๆโพล่งมาแบบไม่ทันรู้ตัวว่ามาตั้งแต่ตอนไหนเออออ สองคนนี้สนิทกันเรียกได้ว่าตัวติดเป็นปาท่องโก๋ ปกติสองหน่อไม่ได้สูบบุหรี่เท่าไหร่หรอก จะหยิบมาสูบตอนเมาเท่านั้น พี่ชายผมมองแล้วส่ายหน้า

“ไปเถอะ กูเฝ้าโต๊ะเอง”

“สู้ๆนะหนึ่ง” ขวัญใจกำมือทำท่าเหมือนจะทุบ(ท่าที่บอกว่าสู้ๆนั่นแหละ)

“อืม” ผมตัดสินใจเดินออกไปตามหลังแฟนหนุ่มตัวสูงที่ไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่นัก แม้จะมีคนแหวกทางให้ก็ตาม คงเป็นเพราะคนเยอะเป็นเหตุ

             ตงฉินเดินออกทางหน้าร้าน แต่กลับเดินวนไปที่หลังร้านราวกับกำลังหลบหน้า ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ โชคดีที่ตัวเขาสูงเลยเห็นแผ่นหลังไวๆตอนที่จ้ำอ้าวออกมา แต่สำหรับผมที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งมานี่สิ หอบรับประทานเสียแล้ว

“ตง โกรธเหรอ”

“เปล่า แค่หงุดหงิด” ผมขมวดคิ้ว ... สองอย่างนี้มันต่างกันตรงไหนฟระ

“แต่เราไม่ได้คิดอะไรกับฉัตรเลยนะ”

“เรารู้” พอทะเลาะกันทีไรต้องพูดสุภาพทุกทีเลย ไม่เข้าใจ

“แล้วเดินออกมาทำไมอ่า” ผมเข้าไปใกล้ คนที่หยุดในมุมมืดไม่ได้ถอยหนี เพียงแต่ขยับไปชิดกับกำแพงหยาบแข็ง

“ไม่รู้เหมือนกัน แค่ไม่อยากอยู่ตรงนั้น มันหงุดหงิดงุ่นง่าน” เขาเรียกว่าหึงครับที่รัก

“มึงหึง” ผมเปลี่ยนสรรพนาม

“ทำนองนั้น” มันยอมรับแต่โดยดี

“กูขอโทษ กูแค่เห็นไอ้ฉัตรมันบีบแก้วจนมือแดง กูกลัวมันจะแตกแล้วบาดมือ”

“ให้เดานะ เรื่องทอยใช่มั้ย”

“อืม” ผมตอบแต่โดยดี

“เมื่อไหร่มึงจะหลุดพ้นจากคนๆนี้วะหนึ่ง” อยู่ๆตงฉินก็หลุดความคิดที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจของมา เรื่องระหว่างหนึ่ง ทอย และฉัตรเป็นเรื่องที่กวนใจมาโดยตลอด ทำไมคนชื่อทอยจะต้องมาวนเวียนกับแฟนของเขา ทั้งๆที่คนชื่อฉัตรพงษ์พยายามงอนง้อขอคืนดีขอโอกาสมานานมากแล้ว แต่ทั้งเขาและหนึ่งก็ยังไม่หลุดจากคนๆนี้เสียที ... ในหัวของเขากำลังประมวลผล

“กู....”

“เฮ้อ” ตงฉินถอนหายใจ ไม่ขัดขืนเมื่อถูกอีกฝ่ายดึงมือไปเกาะกุม ตรงนี้ค่อนข้างมืด แม้เสียงเพลงจะดังกระหึ่มแต่ก็ไม่ต้องตะโกนคุยกัน “กูเข้าใจนะว่ามึงไม่ได้คิดอะไรกับไอ้ทอย แต่จะให้กูเข้าใจตัวมึงไปเรื่อยๆโดยที่มึงยังวนเวียนกับมัน ความอดทนกูคงจะหมดไปสักวัน”

“กูเข้าใจ กูขอโทษ” ผมทำหน้าตาเหยเกเหมือนคนจะร้องไห้

“ที่ผ่านมา พวกเราไม่ได้สวีตหวาน ไม่ได้จีบกันแบบคู่อื่นๆ มันเริ่มจากเซ็กซ์ มันขาดความโรแมนติก แต่กับไอ้ทอย มันเหมือนเรื่องราวในนิยายวายที่เคยอ่าน ผู้ชายหน้าตาดีที่ผิดหวังกับความรักมาเจอผู้ชายอีกคนที่เข้าใจและพร้อมอยู่ข้างๆ กูคิดแล้วก็ก็หงุดหงิดตัวเองว่ะ หงุดหงิดที่ยอมมีอะไรกับมึงก่อนจะได้ออกเดตหรือ...อุ๊บ” ตงฉินดูตกใจไม่น้อยที่ถูกคว้าคอไปประชิดแล้วผมกดริมฝีปากดูดกลืนความหึงหวงอย่างเร่าร้อน คนโง่อย่างผมไม่เคยรู้เลยว่าคุณชายน้ำแข็งอย่างตงฉินนั้นก็รู้สึกแย่กับการข้ามขั้นในความสัมพันธ์ของเรา ผมคิดเข้าข้างตัวเองไปว่าคนอย่างตงฉินไม่คิดอะไรมากหรอกเพราะท้ายที่สุดเราก็ได้เป็นแฟนกัน

“กูขอโทษ ต่อไปกูจะเอาใจใส่มึงให้มากกว่านี้” ผมคว้าร่างสูงมากอด เสียงหัวใจเต้นรัวของอีกฝ่ายดังกระทบใบหู กว่าเขาจะกอดกลับก็ใช้เวลาเกือบนาที แต่ผมไม่สนแล้วว่าเขาจะยังโกรธหรืองอนอยู่ การที่ตงฉินพูดความในใจออกมาแบบนี้ก็ถือว่าผมสามารถทะลายกำแพงที่มองไม่เห็นในใจเขาได้แล้ว

“พรุ่งนี้ไปเดตกันมั้ย” ผมถามเสียงเบา

“หืม” ตงฉินส่งเสียงเป็นคำถามแทนคำตอบ

“ก่อนหน้านี้มึงมีงานจนแทบไม่ได้พัก พอจบจากงานถ่ายละครก็เปิดเทอมแล้ว คิดไปคิดมาพวกเราไม่ค่อยมีเวลาออกเดตเหมือนคนอื่นๆจริงๆด้วยแหละ” ผมเงยหน้าไปมองความหล่อเหลาที่กำลังยิ้มกว้าง

“คำตอบล่ะ” ผมเร่งรัด

“ก็...ไปก็ได้มั้ง” เบื่อเสียจริง ไอ้คนขี้เก๊ก

             พวกเราทั้งคู่ยืนพิงกำแพงรั้วอยู่หลังร้านในความมืดอีกพักใหญ่ สองมือจับกันไว้แน่นราวกับเพิ่งได้จับเป็นครั้งแรก ไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่กลับให้ความอบอุ่นหัวใจจนพองโต

“เสียงใครคุยอะไรกันแว่วๆ” ตงฉินไม่ได้พูด

“หูคนปะเนี่ย ได้ยินอะไรไปเรื่อย” นี่ตงฉินตัวจริงพูด

“จริงๆนะ เสียงคุ้นๆเหมือนพวกไอ้คิ้ว” ผมลากคนตัวโตไปตามทางมืดหลังร้านที่มีประตูเปิดไว้สำหรับพวกขาสูบ พอได้ยินประโยคหนึ่งผมก็หยุดและบอกให้ตงฉินหลบอยู่ข้างหลัง...

“กูทนต่อไม่ไหวแล้วว่ะไอ้ชัย กูรู้สึกผิดจนแทบไม่กล้าสู้หน้าไฟเค้าอีกแล้ว” ผมเดาว่านั่นเป็นเสียงของฉัตรพงษ์

“มึงต้องทน ฟังกูนะไอ้ฉัตร เรื่องทั้งหมด มึงไม่ผิด ที่มึงทำก็เพื่อกู” ฉัตรชัยตอบกลับยิ่งทำให้ผมงงกว่าเดิมเสียอีก

“ใจเย็นๆก่อนฉัตร มึงทำดีที่สุดแล้ว อย่าคิดมาก” เสียงไอ้คิ้วให้กำลังใจก็ยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจหนักกว่าเดิม ทำไมพี่น้องสองฉัตรกับไอ้คิ้วพูดจาแปลกๆ แถมใบหน้าของฉัตรพงษ์ก็ย่ำแย่กว่าตอนอยู่ในร้านมากเพียงนี้ เรื่องที่พวกนั้นพูดเกี่ยวข้องกับไอ้ทอยแน่นอน

“อย่า” ตงฉินยื้อผมไว้เมื่อเห็นว่าทำท่าจะลุกไปถาม

“ทำไมวะ”

“เชื่อใจกูมั้ย” ตงฉินถามแปลกๆ แต่ผมคิดว่ามันน่าจะรู้อะไรสักอย่างอยู่แล้ว เพียงแต่รอเวลาจะพูดออกมา คนอย่างตงฉินจะไม่พูดเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีหลักฐาน เรื่องในหัวของตงฉินตอนนี้คงไม่พ้นเรื่องที่เราเพิ่งเคืองกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

“อื้อ”

“งั้นตามมา ไม่ต้องพูดอะไร กูจัดการเอง” ตงฉินก้าวขาออกมาจากความมืด เร่งฝีเท้าตรงไปยังสามหนุ่มที่ยืนล้อมวงกับที่เขายบุหรี่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“อะ ไอ้ตง ...”

#### ####

[ตงฉิน]

“เออ กูเอง” หลังจากที่ได้ฟังบทสนทนาทั้งหมด ผมก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้ครบ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมฉัตรพงษ์ถึงได้เสียใจและรู้สึกผิดต่อคนชื่อไฟ(หรือทอย)มากขนาดนี้ แล้วทำไมฉัตรชัยถึงไม่เคยห้ามเวลาที่พี่ชายฝาแฝดของตัวเองเทียวไปเทียวมาเพื่อง้ออดีตคนรักแทบทุกวัน ทั้งๆที่มันอยู่ในเหตุการณ์ที่ทอยหักอกพี่ชายอย่างไม่ใยดี

“มะ มาตั้งแต่ตอนไหน”

“ก็” ผมหันไปสบตากับแฟนที่เพิ่งเคลียร์กันเมื่อกี้ “ตั้งแต่แรก” ได้ผล เพราะทั้งสามคนหน้าซีดเผือด มันยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่ผมคิดไว้ค่อนข้างถูกต้องมากกว่า 75% แล้ว

“พวกมึงมีอะไรจะเล่าให้กูฟังมั้ย” ผมโยนหินถามทาง อย่างน้อยก็ไม่อยากใช้ถ้อยคำบังคับ “ในฐานะเพื่อนสนิท”

“คือ...” ทั้งสามอ้ำอึ้ง ผิดกับฉัตรพงษ์ที่ทำท่าหวาดกลัวผิดสังเกต

“งั้นไม่ต้องเล่า มึงฟังข้อสันนิษฐานจากกูเอาก็ได้ ถ้าตรงไหนไม่ถูก พวกมึงค่อยแย้งเอานะ”

“ตง...”

“กูเคยคิดนะ ว่าทำไมคนหน้าตาหล่อๆแบบฉัตรพงษ์ถึงไม่ตัดใจจากทอยเสียที ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย แต่ยิ่งแปลกใจที่คนห่ามๆแบบมึงน่ะไอ้ชัยกลับไม่เคยโวยวายหรือห้ามสักครั้ง แถมยังคอยเป็นสารถีพาฉัตรพงษ์ไปหาทอยอยู่ไม่ขาด ทั้งๆที่มึงโคตรจะหวงพี่ชาย และออกตัวแทนตลอดเวลาที่พี่ชายมึงทำอะไรแบบนี้” ฉัตรชัยเม้มปากเพราะเถียงไม่ออก

“ปกติแล้ว คนอกหักหรือเลิกกัน ง้อแค่เดือนเดียวก็ถือว่ามากแล้วนะ แต่ฉัตรกลับไม่ยอมหยุด มันยิ่งสะกิดใจเรา” ผมเปลี่ยนสรรพนามเมื่อพูดกับคนหน้าเสีย

“เรื่องมันเกิดขึ้นตอนไหน... ไม่ต้องตอบกูหรอก กูพอจะเดาได้” ผมกอดอกมองทั้งสามคน ในหัวมันแล่นเกินคำพูดไปแล้ว

“อะไรกันวะตง” แฟนผมที่หัวช้ากว่าถามด้วยความงุนงง

“มันเริ่มตั้งแต่ตอนสอบแอดมิชชั่นใช่ไหม”

“ตง” ทั้งสามคนที่เงียบกริบต่างพากันโพล่งชื่อผมเสียงดัง

“แสดงว่าใช่สินะ” ผมมองใบหน้าที่เริ่มผิดแปลกไปของทุกคนด้วยความกระอักกระอ่วน แต่ผมก็ต้องพูดให้จบ

“กูถามจริงๆนะ ที่ผ่านมา พวกมึงเห็นกูเป็นเพื่อนจริงหรือเปล่า” ผมกระตุ้นต่อมโมโหของทุกคน

“ทำไมมึงพูดหมาๆแบบนี้ล่ะวะ” ฉัตรชัยทำท่าเหลืออด

“ใจเย็น” หนึ่งเข้ามาห้ามเมื่อเห็นท่าไม่ดี

“กูปากหมา กูยอมรับ กูแค่ไม่แน่ใจ ว่ามึงเห็นพวกกูเป็นอะไรกันแน่ เพื่อนงั้นเหรอ เพื่อนเค้าไม่โกหกกันนะเว้ย”

“กะ โกหกอะไร” หนึ่งทำหน้างุนงงกว่าเดิม

“โกหกทุกเรื่อง” ผมตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ

“ที่ฉัตรพงษ์รู้สึกผิดกับทอย ไม่ใช่เพราะไอ้ชัยไปทำตัวแย่หลังสอบแอดมิชชั่นหรอก แต่คนที่ทำน่ะ คือตัวนายเองใช่ไหม ฉัตรพงษ์” ผมสบตาคนที่หน้าซีดเหมือนเด็กที่ทำผิดแล้วโดนพ่อแม่จับได้

“เห...” เอกราชอุทานและทำตาโตอย่างไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน

“มะ มึงพูดอะไร” ฉัตรชัยออกตัว

“พูดความจริงไงชัย ความจริงที่พวกมึงรู้และไม่ยอมบอกใคร” คนถูกพาดพิงกำหมัดแน่น จนเพื่อนสนิทอย่างคิ้วต้องคว้าแขนไว้

“กูตะหงิดๆตั้งแต่รู้เกรดของมึงตอนปี 1 แล้วไอ้ชัย ทำไมมันน้อยจนผิดสังเกตขนาดนั้น ทั้งๆที่มึงสอบติดคณะนี้ด้วยคะแนนอันดับต้นๆ” สามคนหน้าซีดและนั่งลงอย่างไม่สนใจว่าจะมีอะไรรองรับตูดอยู่หรือเปล่า

“มึงไม่ใช่คนเรียนเก่ง กูเข้าใจ แต่การที่มึงสอบเข้าที่นี่ได้ต่างหากที่ทำให้กูคิดไม่ตก จนกระทั่งได้ฟังพวกมึงคุยกันเมื่อกี้ มันสะกิดใจกูขึ้นมา” ผมหันไปหาฉัตรพงษ์ที่นั่งลงกับขอบอะไรสักอย่างด้วยท่าทางอ่อนล้า

“วันที่พวกนายเล่าว่าทอยโดนต่อยเพราะไปสารภาพรักผิดคน จริงๆแล้ว” ผมถอนหายใจ “ทอยไม่ได้สารภาพรักผิดคนใช่ไหม”

“....” ใบหน้าของฉัตรพงษ์ขาวโพลนไปแล้วเมื่อโดนผมยิงคำถาม

“ไม่ตอบแสดงว่าจริงสินะ”

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่วะ” หนึ่งยังคงไม่ทัน

“มึงโง่ขนาดนี้เลยเหรอวะไอ้หนึ่ง” ผมด่า แต่ก็หันไปพูดกับทั้งสามคนต่อ “ไอ้ชัย ... มึงให้พี่ชายฝาแฝดมึงเข้าสอบแทนมาตลอดใช่ไหม ไม่อย่างนั้นมึงคงไม่ได้คะแนนดีขนาดนั้น”

“มึงพูดอะไรของมึง” ฉัตรชัยพยายามเสียงดัง แต่เหมือนจะไม่ได้ผลเพราะความอึกอักที่หลุดออกมา

“จนถึงตอนนี้ พวกมึงยังไม่คิดจะเล่าความจริงให้พวกกูฟังอีกเหรอ พวกมึงเห็นกูเป็นเพื่อนจริงๆใช่มั้ยวะ” ผมตวาด

“ตงใจเย็น” แฟนผมคว้าแขนไว้ “ค่อยๆพูด”

“ส่วนมึง ไอ้คิ้ว มึงรู้เรื่องทุกอย่าง ถ้าให้เดานะ มึงเป็นคนคิดแผนนี้ เพราะคนบื้ออย่างไอ้ชัยคงคิดไม่ได้ขนาดนี้หรอก อย่างมากไอ้ชัยมันก็เรียนอะไรที่ไหนก็ได้ แต่มึงเห็นว่าฉัตรพงษ์เรียนเก่งกว่า เลยวางแผนนี้เพราะรู้ว่ายังไงพี่น้องเค้าก็ต้องช่วยกัน”

“จริงเหรอวะ” หนึ่งช็อกไปแล้ว

“แผนของพวกมึงไม่มีใครจับได้ เพราะหน้าตาของพวกมึงคล้ายกันมากจนแทบแยกไม่ออก แต่วันสอบวันสุดท้าย ดันเจอปัญหาใหญ่ขึ้นมา เพราะทอยจำแฟนตัวเองได้ นายหลอกทอยว่าติดสอบอีกที่หนึ่ง แต่ความจริงแล้วนายไม่ได้สมัครสอบตั้งแต่แรกเพราะนายได้ที่เรียนแล้วตั้งแต่สอบโควต้าของมหา’ลัย ... เราพูดถูกใช่ไหม ฉัตรพงษ์” เรื่องนี้ผมวานเพื่อนที่ไม่ค่อยสนิทกันช่วยไปสืบมาแล้ว คณะเภสัชฯไม่ได้รับนักศึกษาปีละ 400 แบบบริหาร พวกปี 1 เลยรู้จักกันเกือบหมด

“อะ อื้อ” แม้จะกลืนน้ำลายไปก่อนหน้า แต่คำตอบที่หลุดออกมาเหมือนมีบางอย่างตีบตันในลำคอ

“พอเห็นทอยมาทักและจะมาสารภาพรัก พวกมึงกลัวความลับจะแตก จะหมดอนาคตกันทั้งหมด” ผมกวาดสายตามองเพื่อนทุกคนอีกครั้งอย่างอ่อนล้า ทั้งที่ไม่อยากทำแบบนี้ แต่ผมก็ไม่พอใจที่ทุกคนยังวนเวียนและลากแฟนผมไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้น ความอดทนคนเรามันมีขีดจำกัด แล้วคนที่ไม่เคยอดทนกับอะไรได้นานๆแบบผมเลยมีขีดจำกัดที่ค่อนข้างต่ำ

“ตอนนั้น นายเลยต้องทำเป็นว่าตัวเองเป็นฉัตรชัย นายเป็นคนฉลาด ย่อมรู้ดีว่าถ้าน้องชายตัวเองเจอแบบนี้ต้องทำยังไง ... แล้วนายก็ทำแบบนั้นจริงๆ นายต้องปกป้องฉัตรชัย มันเลยเกิดเรื่องเพราะนายคือคนที่ต่อยแฟนตัวเองและด่าอย่างไม่มีชิ้นดี ... ใช่ไหมฉัตรพงษ์”

“ห๊ะ” หนึ่งตกใจจนปากค้างไปอีกแล้ว

“เราคิดว่าทอยรู้ว่าคนที่ต่อยตัวเองคือใคร ทอยเองก็ฉลาดและปะติดปะต่อเรื่องทุกอย่างได้ไม่ยาก เลยตัดสินใจหนีไปที่อื่นและยื่นคะแนนคณะอีคอนแทนที่จะเป็นเภสัชฯ เพราะทอยยังรักนายอยู่เสมอ แต่คงทำใจไม่ได้ ถ้ามาเจอกันอีกคนที่เจ็บก็คงไม่พ้นทอย รายนั้นเลยต้องหนี แต่พวกนายต่างไม่รู้ว่าสอบติดที่มหา’ลัยเดียวกัน” ฉัตรพงษ์ขอบตาแดงและเริ่มมีน้ำใสๆหยาดรินลงมา

“แต่ใครจะคิด ว่าพวกนายจะกลับมาเจอกันอีก เพราะทอยกับไอ้หนึ่งเรียนวิชาเดียวกันเลยรู้จักกัน การที่ไปเจอกันที่ร้านหมูกระทะทำให้เรื่องที่ทุกคนพยายามปกปิดกลับมาอีกครั้ง ตอนนั้นทอยเลยต้องรีบหนีออกไป” ผมหยุดหายใจ

“แต่ทอยยังคงรักนายอยู่แต่คงทำใจไม่ได้ที่แฟนตัวเองใช้ความรู้แบบผิดๆ ถึงแม้จะรัก แต่ให้อภัยคงยาก แถมนายยังเข้าหาเรื่อยๆจนทอยต้องหันมาสนิทกับหนึ่งเชิงชู้สาวเพื่อใช้หนึ่งมากันท่าให้นายเลิกตามตื๊อ เพราะทอยเองอาจกลัวว่า เขาอาจจะไม่หายโกรธและหลุดเรื่องนี้ออกมา...ท้ายที่สุด ทอยมันก็ยังแคร์มึง”

“ม่ะ หมายความว่า กะ กูโดนหลอกใช้เหรอ” หนึ่งหน้าเสีย ตอนพี่เจดหลอกใช้ยังไม่ค่อยคิดมาก แต่กับไอ้ทอยแล้วมันต่างกัน

“กูเดาเองนะ แต่ก็ไม่น่าจะผิดไปจากนี้” ผมตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่คงกอบกู้ความรู้สึกของเขากลับมาไม่ได้แล้ว

“หนึ่งเคยบอกว่า ทอยอินดี้ ไม่ชอบเป็นจุดสนใจ แต่กลับไปแคสติ้งซี่รี่ย์ มันยิ่งมากวนใจกูอีกรอบ ตอนนี้กูเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไร เพราะมึงคอยยุทอยใช่ไหมไอ้คิ้วแล้วขอให้ไอ้ชัยและฉัตรช่วยอีกแรง มึงคิดว่าทอยคงหลงรักไอ้หนึ่งจริงๆเลยพยายามให้ทอยกลับมาอยู่กับมัน ทั้งที่ความจริงแล้ว ทอยมันไม่เคยเลิกรักนายเลยนะฉัตร”

“นายรู้ได้ยังไง” คิ้วกับฉัตรพงษ์ถามขึ้นมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

“หรือว่านายไม่รู้ การที่ทอยมาแคสติ้งเป็นนักแสดง คือสิ่งที่ทอยอยากทำจริงๆหรือเพราะคำพูดของใครกันแน่” ได้ผล เมื่อฉัตรพงษ์เงียบกริบด้วยสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก “การที่ทอยทำแบบนั้นเพื่ออยากเอาใจนาย ตามใจนาย แต่นายดันไม่รู้”

“มึงมั่วรึเปล่าไอ้ตง ไอ้ฉัตรมันรักไอ้ทอยจะตาย ทำไมต้องผลักไสให้ไปหาไอ้หนึ่งด้วยล่ะ” ไอ้คิ้วที่เงียบมาตลอดถาม

“กูก็บอกไปแล้วไง ว่าไอ้ฉัตรมันรักไอ้ทอย แต่มันก็รู้สึกผิดเรื่องที่เคยทำไว้ มันคงไม่มีหน้าไปยื้อหรอกโดยเฉพาะถ้ามีพวกมึงทั้งสองคนคอยยุแยงให้ทำแบบนั้น การไล่ไอ้ทอยให้เข้าใกล้ไอ้หนึ่งเพราะคิดว่าไอ้ทอยรักไอ้หนึ่งจริงๆ มันคงดีกว่า เพราะถ้าสองคนนี้ลงเอยกัน พวกมึงคงคิดแผนไว้แล้วว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ไอ้หนึ่งฟัง และขอร้องไอ้หนึ่งให้ช่วยดูแลไอ้ทอยให้ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับ”

“จะ จริงเหรอวะ” แฟนผมหน้าเสียยิ่งกว่าตอนที่ผมดุซะอีก

“ไอ้หนึ่งมันเป็นคนดี พวกมึงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี มีอะไรมันก็คอยทุ่มเทช่วยเหลือเพื่อนแบบไม่ลืมหูลืมตาอยู่แล้ว การทำแบบนี้ก็เพื่อรักษาอนาคตของพวกมึงไว้ แม้แต่ฉัตรพงษ์เองก็ต้องยอมปล่อยมือจากทอย เพราะความรักมันกินไม่ได้ แต่ถ้าสูญเสียเรื่องการเรียนมันเสียหายหนักกว่าหลายเท่า”

“พวกมึง...” หนึ่งมีสีหน้าโกรธจัด

“แต่พอเกิดเรื่องกับทอยอีกครั้ง คราวนี้นายยิ่งรู้สึกแย่ที่เป็นคนผลักใสคนที่ตัวเองรักตกนรกทั้งเป็นถึงสองครั้งสองครา นายเลยทำเป็นไปงอนง้อขอโทษทอย ทั้งที่ความจริงแล้ว นายแค่ไปคุมไม่ให้ทอยพูดความจริงออกมาต่างหาก”

“พวกมึง ทำแบบนี้ได้ไงวะ ไอ้ทอยก็เพื่อนมึงนะ ไอ้ฉัตร ไหนมึงบอกว่ามึงรักมันนักหนาไงวะ ไอ้เหี้ย!”

“ใจเย็นก่อนหนึ่ง” ผมคว้าตัวแฟนเอาไว้ ขืนปล่อยไปคงมีเรื่องปะทะกันอีก ใบหน้าของหนึ่งแดงก่ำไปด้วความโกรธ ขณะที่ฉัตรพงษ์ร้องไห้ไม่หยุด ฉัตรชัยเม้มปากจนห้อเลือด ส่วนศิระหรือไอ้คิ้วก็ทำสีหน้าแบบคาดเดาไม่ถูก

“กูถามพวกมึงนะ ที่ผ่านมา พวกมึงเคยคิดว่าพวกกูเป็นเพื่อนจริงๆมั้ย” ผมถามเสียงราบเรียบ แต่ก็ไม่ยืนรอคำตอบ เพราะอยากพามนุษย์แฟนที่หน้าเสียเพราะโดนหลอกใช้ไปให้พ้นจากตรงนี้ ... หนึ่งคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองนั้นซื่อมากแค่ไหน มองตรงๆ พูดตรงๆ ทุ่มเทให้คนอื่นอย่างจริงใจ แต่คนอื่นมันโหดร้ายกว่าที่เราคาดคิดไว้มากนัก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ถูกคนอื่นหลอกใช้เช่นนี้หรอก ไม่ว่าจะเป็นคนชื่อเจด รวมถึงไอ้ชัยและไอ้คิ้ว...




(https://cdn-th.tunwalai.net/files/member/971823/193070960-member.jpg)
ภาพประกอบมิได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในนิยายตอนนี้แต่อย่างใด
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 43 P.6 Up 15 พ.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 15-05-2021 22:58:36
 :mew2: :hao7:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 43 P.6 Up 15 พ.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 15-05-2021 23:35:58
โอ้...ตงฉินหรือโคนัน เห็นเฉยๆเก็บรายละเอียดมาครบทุกเม็ดเลย งานนี้คนที่น่าสงสารที่สุดคงเป็นน้องหนึ่งคนซื่อสินะ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 43 P.6 Up 15 พ.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 17-05-2021 15:33:07
โอ้...ตงฉินหรือโคนัน เห็นเฉยๆเก็บรายละเอียดมาครบทุกเม็ดเลย งานนี้คนที่น่าสงสารที่สุดคงเป็นน้องหนึ่งคนซื่อสินะ

โคนันมาเองเลยครับ  :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 44 P.6 Up 22 พ.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 22-05-2021 16:05:45
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 44. มิตรภาพที่สั่นคลอนกับความลับของตงฉิน

   ปีที่แล้วในวันแรกของการรายตัวสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของคณะบริหารธุรกิจค่อนข้างวุ่นวายเพราะคนจำนวนมาก แต่ละคนมาจากต่างสถานที่ต่างโรงเรียน บ้างก็มาจากต่างจังหวัด ทางคณะจึงต้องมีรุ่นพี่มาคอยช่วยเหลือในเรื่องการเอกสาร การจัดแถวหรือทำกิจกรรมสันทนาการเล็กๆน้อยๆเพื่อให้เด็กใหม่ไม่รู้สึกแปลกแยก

“มึงมองหาใครวะไอ้หนึ่ง” เอกภาพในชุดนักเรียนถูกระเบียบถามน้องชายที่ชะเง้อคอยาวเป็นกะเหรี่ยง

“ก็หาไอ้หล่อนิสัยเสียนั่นไง มันบอกว่าถ้าถึงแล้วให้ไลน์หา กูไลน์ไปหลายรอบละยังเงียบกริบ” ผมนายเอกราช นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของคณะบริหารธุกิจกำลังยืนงงในดงผู้คนอย่างหลงทิศ ไอ้คนที่ชวนให้ไปเป็นรูมเมตที่คอนโดด้วยนัดให้มาเจอกันที่หน้าคณะเวลานี้ แต่เจ้าตัวกลับหายเงียบ

“ไวไฟนะมึง เห็นคนหล่อเป็นไม่ได้” ผมไม่ตอบได้แต่ชูนิ้วกลางให้พี่ชายคนสนิท

“โทรไปก็ไม่รับ ดี๊ดีนะมึง” ผมบ่นใส่โทรศัพท์ วันนี้ปีหนึ่งมารายงานตัวกันก่อน อีกสองสามวันถึงจะเป็นวันประชุมผู้ปกครอง การรายงานตัวก็เพื่อยื่นเอกสารยืนยันว่าจะมาเรียนที่นี่จริงๆ ต้องเตรียมอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างจนหงุดหงิด แต่ยิ่งงุ่นง่านที่คนที่นัดไว้ยังไม่มา

“บ่นมากทำไมวะ มันไม่มาเราก็เข้าไปนั่งรอตรงนั้นก่อนก็ได้” ไอ้โทลากผมเข้าไปที่ลานใต้ถุนคณะที่เต็มไปด้วยผู้คนที่สวมชุดนักเรียนปะปนกับพวกรุ่นพี่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อย เสียงโหวกเหวกผ่านโทรโข่งเพื่อเตรียมเข้าแถวดังแข่งกับเสียงพูดคุยกัน คนที่มาจากโรงเรียนเดียวกันเหมือนจะจับกลุ่มคุยกันเป็นกลุ่มใหญ่จนไม่กล้าเข้าไปแทรก พวกเราทั้งสองคนเลยยืนแกร่วท่ามกลางคนแปลกหน้า พอได้ที่นั่งก็หย่อนตูด หยิบเอกสารมาเช็คความเรียบร้อยอีกครั้ง

“เออ นายมีลิขวิดปะ” อยู่ๆเสียงทักแบบกันเองก็ดังขึ้นมา

“มีๆ แป๊บนะ หาก่อน” ผมควานหาในเป้ใบเก่าก่อนจะยื่นสิ่งนั้นออกไปให้

“ขอบใจ เราฉัตรนะ ฉัตรชัย นี่ไอ้คิ้วเพื่อนเรา” ใบหน้าเปื้อนสิวของคนขอยืมของแนะนำตัว

“อ้อ เออ เราหนึ่ง นี่โทพี่ชายเรา” ผมแนะนำตัวกลับ

“ทำไมน้องชื่อหนึ่ง แล้วพี่ชื่อโทวะ” โท แปลว่า สอง

“อ๋อ ลูกพี่ลูกน้องน่ะ เราเป็นลูกคนโต แต่ไอ้โทเป็นลูกคนที่สองของป้าเรา” ผมอธิบาย

“อ๋อ ไม่บอกนี่งงตายห่.. เอ๊ย โทษทีๆ” คนชื่อฉัตรชัยเกือบหยาบใส่

“ไม่เป็นไร พูดมึงกูก็ได้ พวกกูไม่ติด” ผมเสนอ

“เออ ดีหน่อย จะได้ไม่ต้องสร้างภาพ”

“มึงมาจากไหนวะ”

“มาจากโรงเรียน xxx น่ะ แป๊ะนะ กูแก้เอกสารก่อน”

“อืม แล้วนายล่ะ ชื่อคิ้วใช่ปะ” ไอ้โทหันไปคุยกับอีกคนหนึ่งที่กำลังง่วนกับการตรวจเอกสารเช่นกัน ...

แล้วบทสนทนาอีกมากมายของพวกเราเริ่มต้นจากตรงนี้...

RRRRRRRRRRRrrrrrrrrr

[อยู่ไหน ทำไมไม่รอหน้าคณะ] เสียงเข้มๆดุมาตามสัญญาณโทรศัพท์ ขนาดไม่เจอหน้ายังจินตนาการออกเลยว่าหน้าบูดอยู่

“กูรอแล้ว แต่มึงไม่มาซะที ไลน์ไปก็ไม่ตอบ แถมกูร้อน” ผมตอบอย่างหงุดหงิด ตอนนี้ไอ้โทกับเพื่อนใหม่ต่างคุยกันสนุกเพราะชอบอะไรคล้ายๆกัน อย่างน้อยก็ฟุตบอล ทั้งสามนัดกันไปดวลลำแข้งที่สนามแล้ว

[กูถามว่าอยู่ไหน] ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ผมชะโงกไปดูที่หน้าคณะ เห็นคนตัวสูงลิบๆกำลังหน้าบึ้งจริงด้วย แต่ก็ยังคงรักษาภาพพจน์ดาราหนุ่มอยู่ดี พวกรุ่นพี่และเด็กร่วมรุ่นต่างมองตาเป็นมัน ออร่าคนหล่อนี่มันรุนแรงจริงๆ

“ลานใต้ถุนคณะ มึงล่ะ” แกล้งถามไปงั้นแหละ

[เดี๋ยวเจอกัน] แล้วบทสนทนาก็จบแค่นี้เมื่อมันวางสายไป

“คิดว่ามึงหล่อมากรึไงห๊ะ มารยาทถึงไม่ต้องมีก็ได้” ผมด่าใส่มือถือตัวเองอีกรอบ

“มึงด่าใครวะ” ไอ้คิ้วที่เพิ่งสนิทกันถามขึ้นมา มันคิ้วสมชื่อจริงๆนะ Cute ที่แปลว่าน่ารักอะ ... มันไม่ได้สวยหวาน แต่มันคมๆเข้มๆ ออกแนวผู้ชายที่ควรจะหล่อ แต่จะพูดว่าหล่อก็กระดากปาก เพราะเบ้าหน้ามันน่ารัก มองแล้วใจสั่นนิดๆ แต่ขอโทษทีผมไม่ชอบสายนี้ ขอแบบขาวตี๋หล่อๆแบบตงฉินก็พอ ... ไม่ได้หวังสูงไปใช่ไหม

“ด่าไอ้คนนิสัยเสียน่ะ โน่นไง เดินมาแล้ว” ผมพยักเพยิดหน้าไปยังร่างสูงที่เดินมากับออร่าแผ่กระจาย เสียงอึกทึกที่เคยมีกลายเป็นเงียบกริบพร้อมสายตาที่พุ่งเป้าไปยังดาราหนุ่มอย่างสนอกสนใจ แต่อีกฝ่ายกลับเดินมาดนิ่งอย่างไม่สนโลกภายนอกก่อนจะมาจบตรงที่พวกเราทั้งสี่คนยืนอยู่ ประชาชนที่เคยจับๆจ้องๆมันอยู่หน้าคณะต่างกรูเข้ามาแถวนี้จนเนืองแน่น

“เออพวกมึง นี่ตงฉิน” ผมแนะนำ “ตงฉิน นี่ไอ้คิ้ว นี่ไอ้ฉัตร”

“หวัดดี” ตงฉินตอบหน้าเรียบแบบไม่เป็นมิตร หน้าตาเหมือนคนเพิ่งตื่นหรือไม่ก็แฮ้งก์

“หวัดดี เราขวัญนะ เป็นเพื่อนสนิทตงฉิน” ผู้หญิงหน้าตาสวยใสส่งเสียงทักทายขึ้นมา ผมยอมรับว่าไม่เคยแลสายตามองเลย ถ้าไม่มากับตงฉินผมคงไม่ทันสังเกตการมีตัวตนของเธอ แต่พี่ชายผมหน้าแดงไปแล้วตอนนี้

“สะ สะ สวัสดีครับ ผมโทครับขวัญ” เห็นมั้ย ไอ้โทเขินจริงด้วย ขวัญใจยิ้มและทักทายกลับ สองหนุ่มที่นั่งด้วยก็เช่นกัน

“เห้ย นี่ตงฉิน ตงฉินที่เป็นดาราใช่ปะ” ฉัตรชัยถามเสียงตื่นเต้น

“อืม” ตงฉินตอบด้วยเสียงราบเรียบ คงจะเจอคำถามนี้รอบที่หลายพัน

“เชี่ย น้องสาวกู เอ๊ย ใช้กูมึงได้ปะ” ตงฉินพยักหน้า ฉัตรชัยเลยพูดต่อ “น้องๆกูชอบมึงมากเลยนะ ไอ้เชี่ย กูโทรไปอวดน้องแป๊บ”

“เว่อร์ชิบหายเลยนะมึงเนี่ย” คิ้วแซว

“เออ แล้วนี่รายงานตัวกันเสร็จรึยังคะ” ขวัญใจถามบ้าง

“ยังเลยอะ เรากำลังแก้ข้อมูลอยู่ ไอ้คิ้วรอเรา ส่วนไอ้หนึ่งกับไอ้โทไม่รู้ เพิ่งเจอกัน” ฉัตรชัยคือคนที่พูดมามาตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน

“อ๋อ ไหน ขาดเหลืออะไรกันบ้าง เดี๋ยวขวัญช่วยดูให้” ไอ้โทรีบยื่นเอกสารของตัวเองตัดหน้าคนอื่นอย่างน่าหมั่นไส้ ผมส่งสายตาแซวอย่างกรุ้มกริ่มจนไอ้พี่ชายตัวดีต้องส่งสายตาดุๆมาให้

....แล้วพวกเราทั้ง 6 คนก็เริ่มต้นมิตรภาพกันในวันนั้น....

#### ####

             ผมเคาะนิ้วกับประตูรถแท็กซี่ฝั่งผู้โดยสารอย่างเลื่อนลอยหลังจากได้ฟังสิ่งที่ตงฉินพูดเมื่อไม่นานมานี้ ไอ้ความรู้สึกหวิวโหวงแบบนี้มันหมายความว่ายังไงก็ไม่รู้ มีสิ่งเดียวที่คิดออกก็คือ ที่ผ่านมาทุกคนจริงใจกับผมบ้างไหม มิตรภาพที่มีมันเป็นความจริงงั้นหรือ

หมับ ... ตงฉินที่นั่งติดกันไม่พูดอะไรสักคำตั้งแต่เดินออกมาจากหลังร้าน ตอนนี้กลับใช้มือเย็นเฉียบมากุมมือผมไว้

“กูไม่เข้าใจ” ผมพูดได้แค่นี้ ถ้อยคำที่เหลือมันจุกในอกไปหมด ตงฉินไม่ได้ถามอะไรออกมา ราวกับว่าปล่อยให้ผมได้ใช้ความคิดอย่างเต็มที่โดยมีเขาอยู่ข้างๆ

             แสงไฟในห้องสว่างแต่ความรู้สึกผมดำมืด มันคงจะเป็นอย่างที่ตงฉินพูดไว้ ผมคงจะดูซื่อบื้อหลอกง่าย จนใครต่อใครพากันอาศัยความโง่เง่านี้เอาเปรียบ ตลอดเวลาผมเข้าข้างพี่เจดและให้อภัยเขาที่ทำท่าเหมือนจะขอคืนดีแล้วกลับมาคบกัน พอรู้ทีหลังว่าผมก็แค่ไม้กันหมา พี่เจดชอบคนอื่นแต่ถูกกีดกันและต้องแยกตัวออกมาทำให้ต้องทำแบบนั้น ผมยังไม่โกรธไม่เกลียดพี่เจดเลยสักนิด (แต่ก็แก้แค้นด้วยการไปมีอะไรกับพี่เคมีในห้องน้ำผับแล้ว)

             แต่การที่เรื่องราวที่ผมคิดว่าน่าเห็นใจจนต้องลงมือลงแรงเข้าไปช่วย ความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงของไอ้ทอย ฉัตรพงษ์และฉัตรชัย กลับกลายเป็นว่าผมคือคนนอกที่แท้จริง พวกเขามีเหตุผลและผมก็เคารพสิ่งนั้น มีสิ่งเดียวที่ไม่เข้าใจคือ ทำไมต้องทำกับผมแบบนี้ ผมทำผิดอะไรนักหนา

“ดื่มอะไรหน่อย” แก้วชาญี่ปุ่นที่ตงฉินซื้อมาตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นวางลงที่โต๊ะเบื้องหน้าส่งควันฉุย น้ำชาสีเขียวขุ่นร้อนได้ที่

“ขอบใจ” ผมหยิบมาดื่มอย่างใจลอย “อ๊ะ ร้อน...”

“เป่าก่อนสิ” ตงฉินไม่ดุเหมือนทุกครั้ง แต่เอื้อมมือมาแย่งแก้วชาร้อนไปเป่า ผมมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างอิ่มใจ ก่อนจะขยับตัวเองไปซบไหล่คนตัวสูง

“รักมึงจัง”

“หืม” ตงฉินตกใจ สงสัยผมไม่เคยบอกรักมันมาก่อน

“ขอบใจนะที่อยู่ด้วยกัน” ผมพูดตามที่รู้สึก

“ก็แฟนกันนี่ ไม่อยู่กับมึงจะให้ไปอยู่กับใคร” มันตอบแบบเก้อเขินและยิ่นแก้วชามาให้ผมจิบ

“กูโง่มากเหรอวะ ทำไม...” ผมถอนหายใจแล้วเปลี่ยนประโยค “พวกมันยังเห็นกูเป็นเพื่อนอยู่มั้ย”

“ถามตัวเองสิหนึ่ง ว่ามึงคิดว่าพวกมันเป็นเพื่อนอยู่ไหม” ผมผละจากไหล่กว้างของแฟนหนุ่มและมาสบตาอย่างจริงจัง

“ทำไมถามแบบนี้ล่ะ” ตงฉินไม่ได้ยิ้ม แต่แววตากลับอ่อนโยนจนใจหวิว

“มึงรู้มั้ย ทำไมกูถึงไม่ค่อยเข้าไปยุ่งกับสองหมูมากนัก” อยู่ๆตงฉินก็ยกเรื่องลูกชายฝาแฝดของตัวเองขึ้นมาพูด

“ไม่รู้ มึงไม่เคยเล่า”

“กูเคยเล่า แต่เล่าไม่หมด เพราะกูไม่รู้ว่าควรจะเล่าให้ใครฟังดีไหม” ตงฉินถอนหายใจและทำหน้าเศร้า

“ถ้ามึงอยากเล่า กูอยู่ตรงนี้”

“อืม ... สองหมูไม่ใช่ลูกของกู”

“ห๊ะ” ผมตาโต ตามความเข้าใจที่มีมาตลอดคือ ตงฉินมีอะไรกับนางแบบชื่อเดซี่จนท้อง พอคลอดออกมาทางพ่อของมันจัดแจงให้พี่สาวคนโตรับเด็กๆเป็นลูกบุญธรรมและกันตงฉินออกมาไม่ให้เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดู ในความคิดของสองหมู ตงฉินคือน้า

“ตอนแรกกูก็ไม่คิดอะไรที่พ่อยอมให้เดซี่เข้ามาอยู่ที่บ้านด้วยในฐานะแม่ของลูก แถมยังเสนองานประจำที่บริษัทให้ทำอีกด้วย เพราะข่าวเรื่องท้องก่อนแต่งมันกระทบกับชื่อเสียง กูก็ได้แต่เออออ เพราะต้นเหตุทั้งหมดของเรื่องก็คือกู แต่มันมีจุดเปลี่ยนที่ทำให้กูสงสัย”

“อะไรวะ” ผมให้ความสนใจเรื่องนี้อย่างเต็มที่

“ตอนนั้นกูก็แค่คิดไปเรื่อยเปื่อย ว่าทำไมเดซี่ดูไม่เกรงใจพ่อกูเลย มีงานป้อนเป็นพรีเซ็นเตอร์แล้วแต่ก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง แต่พ่อกูก็อดทนมาได้ตั้งนานสองนาน จนวันหนึ่งกูเข้าไปในห้องทำงานของพ่อเพื่อหาสูติบัตรของสองหมู ก็เลยพบอะไรบางอย่าง” ตงฉินส่งยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่เจ็บปวด

“กูเจอเอกสารสัญญาที่เดซี่ต้องยกสองหมูให้บ้านกู และห้ามยุ่งเกี่ยวอีก”

“อันนั้นมึงเคยบอกแล้วนี่” ผมจำเรื่องนี้ได้

“อืม แต่กูบอกไม่หมด” มันยังจะมีอะไรหักมุมไปกว่านี้อี๊ก “พอกูได้อ่านเอกสารก็สับสน แต่เห็นลายเซ็นของเดซี่แล้วก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมพ่อต้องพยายามกีดกันเดซี่ออกไปทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ยอมทนมาตลอด ที่พ่อกูทนก็เพราะเดซี่ยังไม่เซ็นเอกสารยินยอม กูไม่รู้ว่ามันจะมีผลทางกฎหมายหรือเปล่านะ แต่ท่าทีของพ่อเปลี่ยนไปตั้งแต่วันนั้น และไม่นานเดซี่ก็หายไปจากชีวิตพวกเรา”

“...” ฟังแล้วเหมือนนิยายไม่มีผิด

“กูยังเด็ก ตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจอะไรมากหรอก แต่กูก็มีเรื่องคาใจ เลยขอให้ญาติคนหนึ่งของกูช่วย”

“ช่วยอะไรวะ”

“ตรวจดีเอ็นเอ”

“ห๊ะ” ผมอึ้งอีกรอบ

“กูเอาตัวอย่างดีเอ็นเอของสองหมูกับของกูไปขอให้อาหมอพรรณรายช่วยส่งตรวจ” พี่เอกภพแฟนของพี่ต่อพงษ์ก็รู้จักคุณอาคนนี้ของตงฉิน “รู้มั้ย ผลตรวจออกมาว่าไง”

“ว่าไง...”

“สองหมู ไม่ได้เป็นลูกของกู แต่ผลตรวจออกมาตรงกันว่าเป็นพี่น้อง”

“ฮื้ออออออออออออ” ผมถึงขั้นไปไม่เป็น “พี่น้อง แบบพี่ต่อ พี่แก้วน่ะเหรอ”

“ใช่ แบบนั้นแหละ พี่น้องต่างแม่” ใบหน้ายิ้มนั้นฉาบความเจ็บปวดอย่างน่าสงสาร

“ม่ะ หมายความว่า”

“อืม สองหมูเป็นลูกแท้ๆของพ่อกูกับเดซี่ ไม่ใช่ลูกกู”

“ละ แล้ว...” ในหัวผมมีอีกร้อยคำถาม แต่ไม่รู้ว่าควรถามอะไรก่อนดี

“กูไม่เคยบอกใคร มึงเป็นคนแรก”

“แล้วพี่ต่อ”

“กูไม่กล้าเล่า กูไม่รู้ว่าพ่อวางแผนเรื่องนี้ตอนไหน แล้วแม่กูรู้เรื่องด้วยหรือเปล่า ถ้าแม่ไม่รู้เรื่องแล้วรับไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น กูกลัวไปหมด แม่กูก็ไม่ค่อยแข็งแรง จะปรึกษาพี่ต่อก็ไม่อยากเอาเรื่องแบบนี้ไปกวนใจ แค่นี้พี่ต่อก็ยุ่งจนไม่รู้จะยุ่งยังไงแล้ว”

“ละ แล้ว พี่แก้วล่ะ...”

“หึ” ตงฉินส่งเสียงประชด “กูคิดว่าพี่แก้วร่วมมือกับพ่อมาตั้งแต่ต้น” ผมชาวาบไปทั้งตัวเมื่อได้ฟังเรื่องราวที่ไม่คาดคิด ชีวิตคนรวยมันน้ำเน่ายิ่งกว่าละครเสียอีก

“...” พูดไม่ออก

“ตอนนั้นกูก็มีคำถามร้อยแปดในหัว แต่กูดันเข้าใจสิ่งที่พ่อกูทำนะ แกคงเห็นแล้วว่ายังไงกูก็ไม่ได้ชอบผู้หญิง ส่วนพี่ต่อก็หมกมุ่นกับการตามหาคนขับแท็กซี่จนไม่สนใจจะหาลูกสะใภ้เข้าตระกูล คนจีนหัวเก่าแบบพ่อกูจะหวังพึ่งใครได้ล่ะ เขาไม่ยอมให้นามสกุลของตัวเองจบแค่รุ่นนี้หรอก มันจะอะไรนักหนา ก็แค่เสถียรภาพไพบูลย์” ผมกุมสองมือคนหน้าเศร้าไว้แน่น

“กูขอโทษที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน” คิดแล้วรู้สึกแย่ชะมัด ผมคิดมาตลอดเลยว่าชีวิตตงฉินแสนสบาย

“รู้มั้ย กูคิดมาตลอดนะ ว่าพ่อทำแบบนี้ พ่อเห็นว่ากูเป็นลูกบ้างมั้ย เหมือนมาหลอกใช้...” ตงฉินหยุดพูดและโน้มศีรษะมาซบที่ไหล่ ละอองอุ่นที่หยดมาจากดวงตาร่วงบนหลังมือของผมที่กุมมือใหญ่ไว้ ตงฉินไม่ได้สะอื้น แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความเศร้านี้

“กูนั่งคิดเรื่องนี้อยู่นานเป็นปี จนสุดท้ายกูก็ตอบตัวเองได้ว่าที่ควรถามไม่ใช่เรื่องที่ว่าพ่อยังเห็นกูเป็นลูกอยู่ไหม เพราะความจริงเขาก็คือพ่อของกู แต่สิ่งที่ควรถามมันควรจะเป็นคำถามนี้...”

“ถามว่าอะไร” เมื่อเห็นอีกคนทิ้งช่วงผมจึงถามออกไป

“... กูควรเห็นเขาเป็นพ่ออยู่ไหม ... เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของกู 100% แต่มันก็กระทบกับตัวตนของกูอยู่ไม่น้อยจนเป๋ไปเป็นปี แล้วรู้มั้ย สุดท้ายกูก็ตอบตัวเองออกไปโดยที่ไม่ต้องคิดว่า ใช่ กูยังเห็นเขาเป็นพ่อเหมือนเดิม”

“ทะ ทำ...” ผมเกือบจะถามไปละว่าทำไม ถามให้ได้อะไรเพราะพ่อลูกยังไงก็ตัดกันไม่ขาด ไม่ว่าไอ้ตงจะคิดแบบนั้นออกมา แต่ความจริงมันก็คือความจริงเป็นยังค่ำ

“มันอาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องของมึงกับไอ้ชัยเท่าไหร่นะ แต่มึงจำที่กูถามก่อนหน้านี้ได้มั้ย” ผมนั่งนึก...

“ที่ว่า กูคิดว่าพวกนั้นเป็นเพื่อนอยู่มั้ยน่ะเหรอ”

“อืม” แล้วตงฉินก็เลื่อนใบหน้าออกและชักมือออกมาปาดน้ำตา ขอบตาแดงก่ำไม่มีรอยยิ้ม

“แบบที่มึงคิดเรื่องพ่อ...” ผมส่งสายตาไปถามอย่างไม่เข้าใจ “มันคนละอย่างเลยนะตง นั่นพ่อ นี่เพื่อน..”

“ไม่หรอกหนึ่ง มันเรื่องเดียวกัน” ร่างสูงขยับมาใกล้ คราวนี้ซบลงที่หน้าอกเพื่อออดอ้อนราวกับเด็กน้อย

“มันไม่ใช่เรื่องคำถามหรือสิ่งที่คิดหรอกนะ แต่มันเป็นแค่เรื่องง่ายๆที่คนมักจะลืมกันมากกว่า”

“เรื่องง่ายๆ” ผมทวนคำ ยังไม่หายงุนงง

“อื้ม เรื่องง่ายๆ อย่างที่กูผ่านมาได้เรื่องพ่อกับเดซี่ไง” ยิ่งพูดก็ยิ่งงง เมื่อเห็นว่าผมไม่ถามต่อ ตงฉินก็เลยเฉลยออกมา

“ให้อภัย” เขาจับไหล่ผมแน่น “กูแค่ให้อภัยในเรื่องที่มันเกิดขึ้น ก็แค่นั้น”

“มึงจะให้กูให้อภัยพวกนั้น...”

“เปล่า กูไม่ได้คิดแทนมึง ถ้ามึงจะโกรธ เกลียด น้อยใจหรือจะอะไรกับไอ้ชัยไอ้คิ้วรวมไปถึงไอ้ทอยก็แล้วแต่ กูไม่มีสิทธิ์ไปคิดแทนหรอก ไม่ได้ขอร้องให้มึงให้อภัยแทนพวกนั้นด้วย...” ตงฉินกระชับอ้อมกอดและขยับตัวไปมา ผมได้สติจึงเข้าไปกอดร่างสูงใหญ่ที่ทำตัวตะมุตะมิไว้แน่น

“กูแค่บอกมึงเฉยๆ ว่าถ้ามึงจะก้าวข้ามเรื่องนี้ มึงก็แค่ให้อภัย ส่วนจะกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกมั้ย กูแล้วแต่มึง กูแค่อยากให้มึงวางหินที่ทับตัวมึงลงกับพื้น แล้วมึงจะรู้ว่าความเบาสบายเป็นยังไง” ตงฉินไม่เคยทำให้ผมหยุดทึ่งในตัวเขาเลยจริงๆ

#### ####

             แสงไฟในห้องมืดมิดไปนานแล้ว แต่ผมยังนอนไม่หลับ ความคิดตีรวนในหัวไม่หยุดหย่อน มือถือสั่นระงมมาตั้งแต่ตอนที่กลับมาถึงคอนโดยังไม่หยุดสั่นจนกระทั่งตอนนี้ ผมรู้ว่าพวกนั้นคงพยายามติดต่อมา แต่ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะพูดอะไรกับใครทั้งนั้น

“นอนไม่หลับเหรอ ขยับจนเตียงสั่นแล้วเนี่ย” ตงฉินส่งเสียงหงุดหงิดมาถาม รายนั้นนอนนิ่งมาตลอด

“อืม ตื่นเลยเหรอ ขอโทษที”

“คิดมากอยู่ใช่ปะ”

“ทำนองนั้น” ผมยอมรับ “แต่ยังไม่ง่วงมากกว่า”

“ก็คิดมากจนนอนไม่หลับไง พูดให้งงทำไม” ตงฉินหาว

“นอนเถอะ เดี๋ยวกูไปนอนห้องเล็กจะได้ไม่กวนมึง”

“ไม่ต้องไปหรอก กูมีวิธีให้มึงง่วง”

“ไม่เอานมอุ่นนะ”

“ใครบอกว่านมอุ่นกัน” ในความมืด ตงฉินผุดลุกมานั่ง ผมเห็นเงารางเลือน และนั่นยิ่งทำให้ผมตาสว่าง

“ทำอะไรน่ะ” ถึงจะเห็นว่าตงฉินกำลังทำอะไรแต่ก็ยังไม่วายจะถาม

“ถอดเสื้อผ้าไง มากูช่วย” กลายเป็นว่าผมกำลังโดนแฟนตัวเองปลุกปล้ำ “นมอุ่นๆจะสู้ความอุ่นในตัวกูได้ปะล่ะ”

“มึงหาเรื่องเจ็บตัวเองนะ” ตงฉินไม่ตอบ มีแต่เสียงหัวเราะดังขึ้นมาก่อนที่ผมจะโถมตัวเองคร่อมกับคนขี้อ่อยทันที...
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 44 P.6 Up 22 พ.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-05-2021 18:00:04
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 44 P.6 Up 22 พ.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 23-05-2021 23:43:12
ตงฉินเจอเรื่องราวอะไรมาเยอะจัง ชีวิตไม่ได้สุขสบายเลยน้อ แถมยังต้องมาเป็นยานอนหลับให้หนึ่งอีก  o18
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 44 P.6 Up 22 พ.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 25-05-2021 00:25:21
 :-[ :mew3: :hao6:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 45 P.7 Up 29 พ.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 29-05-2021 13:00:47
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.


ตอนที่ 45. ปล่อย

             คำพูดสวยหรูกับความเป็นจริงมันแตกต่างกันเสมอ เราไม่มีทางที่จะเข้าใจประโยคปลอบใจได้ครบ 100% นอกเสียจากว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตเราโดยตรง ... ความหมายง่ายๆที่ผมจะสื่อก็คือ ถ้าคุณคือคนนอก คุณย่อมมีคำปลอบใจให้ แต่คนที่เจอเรื่องนั้นกับตัวมันยากที่จะทำใจได้แค่ชั่วข้ามคืน

“หน้าหงอยเป็นหูดหมาเลยนะมึง”

“ปากหมาแต่เช้าเลยไอ้สัส” ใครบอกว่าไอ้หนึ่งจะยอมโดนด่าแล้วปล่อยผ่าน กวนมากวนกลับไม่โกง ตงฉินนั่งเงียบอยู่ที่โต๊ะเรียนซ้ายมือของผม คนปากหมาที่เพิ่งทักทายมาคือไอ้โทที่นั่งลงฝั่งขวาโดยมีขวัญใจ ยุนอา วาวานั่งคั่นปล่อยให้ฉัตรชัยและคิ้วอยู่ห่างออกไป มีบางวิชาที่ต้องเรียนร่วมกัน ห้องสโลปขนาดใหญ่คลาคล่ำไปด้วยนักศึกษาที่ส่วนใหญ่เป็นชั้นปีที่สอง

“ไอ้ตงเป็นอะไรวะ ทำไมดูง่วงๆ” ร้อยวันพันปีไอ้โทจะถามความเป็นไปของแฟนผมสักที วันนี้ฝนน่าจะตกหนัก

“ก็เหมือนเดิม ห้องเชียร์ ดูซ้อมหลีด ดูแลความเรียบร้อยเดือนคณะก่อนขึ้นเวที” ยังมีเรื่องที่ผู้จัดเพิ่งติดต่อให้กลับไปเล่นซีรี่ย์เรื่องใหม่ด้วยที่ผมไม่อยากจะพูดออกไป

“ใครว่าเกิดมาหล่อแล้วจะสบายวะ” ดูปากมันสิ

“มิน่า กูเลยลำบาก” คำพูดผมเองครับแล้วไอ้พี่ชายมันก็ทำหน้ายู่

“แล้วมึงเอาไง เรื่องที่บ้าน” ไอ้โทถามเหมือนไม่รู้จักกัน แต่ก็นั่นแหละ ด้วยความที่เป็นญาติสนิท เรื่องมันเกิดมาแล้วก็ต้องอยากรู้เป็นธรรมดา ผมรับรู้ถึงน้ำเสียงห่วงใยของพี่ชายตัวดีอยู่แต่ก็ไม่อยากจะทำเป็นซึ้ง เพราะมันไม่ชิน

“ก็ไม่เอาไง เดี๋ยวอีกสามสี่เดือนพ่อกูย้ายกลับมาประจำที่สำนักงานใหญ่ น้องๆกูก็อยู่ ไม่น่าห่วง”

“ไม่ห่วงจริงเหรอวะ นั่นแม่มึงนะ”

“ก็เพราะเป็นแม่กูไงถึงไม่น่าห่วง แม่กูไม่ต้องไปนอนผ่าตัดเหมือนแม่มึงซะหน่อย” ปีที่แล้วคุณอาของผม(หรือแม่ของไอ้โท) ผ่าตัดนิ่วที่ไตแล้วมีอาการแทรกซ้อนเพราะลิ่มเลือดแข็งตัวขวางทางเดินปัสสาวะจนต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่นาน

“แต่...”

“ไอ้โท แม่กูแค่ท้อง ไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย”

“หืม อะไรนะ” ตงฉินลืมตาหันมามองและถามด้วยใบหน้าที่บอกว่าไม่น่าเชื่อ

“อ้าว กูยังไม่ได้บอกมึงเหรอ แม่กูท้อง จะสี่เดือนละ ทีแรกนึกว่าเมนส์ไม่มาเป็นปกติ พอไปตรวจเลยรู้ว่าท้อง”

“หืมมมม พ่อมึงเชื้อแรงเอาเรื่องนะ” ไอ้ตงกระซิบข้างหูล้อเลียน คงเป็นช่วงที่พ่อกลับมาบ้านครั้งล่าสุดนั่นแหละ

“สัส พูดมาก”

“แล้วไหวเหรอวะ แม่มึงก็ไม่ใช่สาวๆแล้วนะ”

“มึงว่าแม่กูแก่เหรอวะ แม่กูยังไม่ 50 ด้วยซ้ำ” ถ้านับตามลำดับญาติที่อาจจะงงๆนะครับเพราะกระผมนายเอกราชไม่ค่อยใส่ใจเรื่องแบบนี้เท่าไรนักหรอก ผมขี้เกียจลำดับญาติ ดังนั้นแม่ผมยังสาวอยู่ อย่างน้อยก็สาวกว่าแม่ของมัน(นิดหน่อย)

“แต่แค่นี้ บ้านมึงก็...”

“คนเยอะๆสิดี กูชินแล้ว ไม่เหมือนบ้านมึงมีแค่พี่เอกกับมึง บ้านกูนี่มีไอ้สอง ไอ้สาม แล้วกูคิดว่าในท้องแม่น่าจะชื่อไอ้สี่”

“คนจีนถือนะ คำว่าสี่ไม่ดี” ขวัญใจพูดขึ้นมา “มันคล้ายๆกับคำว่าซี้ที่แปลว่าตายน่ะ” แล้วเธอก็ทำหน้าแหยๆ

             ถูกต้องแล้วครับ ตอนนี้ชีวิตผมมีเรื่องให้ต้องกังวลมากกว่าแค่เรื่องของไอ้ชัย ไอ้คิ้วและไอ้ทอยแล้ว เพราะคุณแม่วัยใกล้เลข 5 ดันโทรมาบอกว่าเพิ่งรู้ตัวว่าตั้งท้องได้ 4 เดือนเมื่อวานนี้เอง เรื่องนี้ทำเอาพวกเราอึ้งกันทั้งบ้าน เพราะแค่นี้ก็ลำบากจะแย่ พ่อทำงานอยู่ไกลเงินเดือนก็น้อย ก็ยังดีที่ทำเรื่องขอย้ายกลับมาตั้งแต่สามปีที่แล้วเพิ่งได้รับการอนุมัติ ที่บ้านก็มีลูกอยู่แล้วสามหน่อ อายุปูนนี้แล้วยังหาเรื่องใส่ตัวไม่เลิก

“สวัสดีครับนักศึกษา เอาล่ะ วันนี้เราจะมาเริ่มเรียน case study เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ถุงยางอนามัยในยุคที่คนไทยส่วนใหญ่ยังมองว่าเป็นเรื่องน่าอายที่จะต้องเดินเข้าไปในเซเว่นเพื่อหยิบหรือบอกกับพนักงานว่าอยากได้...”

.... อาจารย์แม่ง ตอกย้ำสภาพจิตใจอย่างกับตาเห็น....

#### ####

             มันเป็นค่ำคืนที่น่าสนุกเหมือนปีที่แล้วไม่มีผิด ยกเว้นแต่ว่าตำแหน่งเดือนคณะปีนี้ตกไปเป็นของคณะเภสัชศาสตร์อย่างเหนือความคาดหมาย ทั้งๆที่หนุ่มวิศวะเป็นตัวเก็งมาตลอด ตามด้วยคณะบริหารธุรกิจน้องรหัสตงฉิน แต่ปีนี้นายอัคคี หรือ ไฟ หนุ่มหน้าหล่อที่ซิ่วไปเรียนปี 1 กลับคว้าชัยไปครองอย่างงงๆ

“เห็นมั้ย กูว่าแล้ว ไอ้ทอย เอ๊ย ไอ้ไฟชนะแน่ๆ เอามา 200” ผมหยิบเงินให้พี่ชายตัวเองอย่างเซ็งในอารมณ์ เพราะดันลงไปว่าวิศวะจะได้ “พวกมึงด้วยจ่ายมา” แน่นอนว่าไอ้ชัย ไอ้คิ้วก็ต้องจ่ายเช่นกัน

“รวยใหญ่แล้วนะมึง” ผมแซว

“เออดิ ไปกินหมูกระทะมั้ยล่ะ กูเลี้ยง”

“ไม่เอาอะ กูไปเฝ้าแฟนดีกว่า” ผมโบกมือลา ความสัมพันธ์ของผมกับคู่เพื่อนซี้อย่างคิ้วชัยไม่มีอะไรคืบหน้า มันค่อนข้างกระอักกระอ่วนที่พวกเราไม่คุยกัน แต่ผมก็ไม่อยากสร้างความลำบากใจให้ไอพี่ชายตัวดีที่ยังโอเคกับพวกนั้น ถึงแม้จะรู้เรื่องการโกงของไอ้ชัยก็ตาม อันที่จริงเราควรจะรักษาความถูกต้องโดยการแจ้งให้กับอาจารย์หรือทำอะไรสักอย่าง แต่พอนึกถึงผลที่จะตามมา มันเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าจะผลีผลามทำอะไรลงไปเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ถึงไม่ถูกลงโทษจากทางมหา’ลัย แต่อย่างน้อยผมก็พอรู้ว่าไอ้ชัยก็ถูกลงโทษด้วยความรู้สึกผิด ... ผมก็หวังว่ามันจะรู้สึกผิดจริงๆน่ะนะ

             หลังเวทีค่อนข้างวุ่นวายเพราะพวกพี่เลี้ยงและตัวแทนดาวเดือนแต่ละคณะที่บ้างก็ยืน บ้างก็นั่ง บางคนที่คาดหวังมากแล้วพลาดตำแหน่งก็มาร้องห่มร้องไห้ให้รุ่นพี่คอยปลอบใจ ส่วนบนเวทีก็มีแค่ผู้ชนะและรองทั้งสองยืนให้ถ่ายรูป เมื่อเห็นว่าตงฉินก้าวลงมาแล้วผมเลยถือโอกาสเทเพื่อนเพื่อมาอยู่ด้วย

“หิวน้ำ” ตงฉินแต่งหน้าอ่อนๆและเซ็ตผมจนหล่อมีแต่เหงื่อเต็มใบหน้า การจัดงานกลางแจ้งแบบนี้ไม่ค่อยเวิร์คถึงแม้จะจัดกลางคืนก็ตาม แต่กรุงเทพไม่ใช่เมืองหนาว การสวมชุดพิธีการเต็มยศด้วยเนื้อผ้าที่ไม่ระบายอากาศยิ่งทำให้ดูอึดอัด

“นั่งรอก่อนเดี๋ยวไปเอามาให้ นี่พัดลม” ผมยืนพัดลมจิ๋วที่ลงทุนไปหาซื้อก่อนวันงานมาให้ ถึงแม้จะไม่ช่วยให้เย็นลงทันทีแต่ก็พอจะช่วยดูดไอเย็นๆจากพัดลมไอน้ำตัวใหญ่ที่ทำงานหนักมาได้บ้าง แค่เดินออกมาไม่กี่ก้าวตัวปัญหาก็ตามมา

“พี่ตงงงงง ผมขอโทษ” ผมกลอกตาแทบจะ 360 องศากับมารยาไอ้รุ่นน้องชื่อเขมที่พลาดตำแหน่งเดือนมหา’ลัยปีนี้ ถ้ามันแค่เรียกชื่อก็คงพอทนได้ แต่นี่นั่งลงแทบจะแนบเนื้อ ผมล่ะอยากจะปาขวดน้ำใส่กบาลมันจริงๆ

“ขอโทษพี่ทำไม ไม่ต้องหรอก”

“ก็ผมรักษาแชมป์ให้พี่ไม่ได้อ่า” น้ำเสียงมึงออดอ้อนจริงนะ ไม่ได้ดูขนาดตัวเลย โตยังกับยักษ์

“โอ๊ย พี่ไม่คิดมากหรอก แพ้ชนะเรื่องปกติ” ตงฉินขยับเก้าอี้พลาสติกให้ออกห่าง ดูเหมือนไอ้รุ่นน้องมันยังไม่ทันสังเกต

“น้ำมาแล้ว” ผมส่งเสียงดังอย่างอารมณ์ดี(แต่กำลังสะกดความหงุดหงิดไว้)ไปก่อนแล้วพุ่งไปหายื่นน้ำอัดลมที่ตงฉินชอบให้

“แล้วของผมล่ะครับ”

“อ่อ พอดีพี่เอามาให้แฟนน่ะครับ น้องเดินไปหยิบเอาก็ได้นะ อยู่ตรงนั้นเอง” ผมย้ำคำว่าแฟน ยิ้มระยิบระยับแบบตอแหลและชี้มือไปทางตู้แช่เย็นที่อยู่ไม่ไกล

“พี่ตง..” น้องเขม น้องรหัสตงฉินหันขวับด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถามร้อยแปด แต่รุ่นพี่กลับยกขวดน้ำกลอกลงคออึกๆจนหมด

“หืม” ตงฉินปิดฝาขวดเปล่าแล้วหันไปหารุ่นน้องที่ขมวดคิ้วรอท่า

“พะ พี่กับพี่คนนี้...” กูชื่อหนึ่งโว้ย “เป็นแฟนกันจริงๆเหรอครับ”

“อ่อ” ตงฉินฉีกยิ้ม “น้องมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”

“มี เอ๊ย ไม่มีครับ แต่พี่ยังตอบไลน์ผม....” หน้าหล่อๆเจื่อนลงไป ยิ่งมองยิ่งสาแก่ใจ

“อ๋อ ไอ้แช็ตพวกนั้นน่ะเหรอ พี่ไม่ได้ตอบเองหรอก พี่หนึ่งเขาตอบให้น่ะ พี่ขี้เกียจมีปัญหากับแฟน เลยให้แฟนพี่จัดการเอาเอง”

“ห๊ะ” เขมหันมามอง ผมยิ้มกลับ แต่เป็นรอยยิ้มแบบเย้ยหยันอย่างไม่ปกปิด ไอ้รุ่นน้องคนนี้พยายามส่งข้อความมาจีบไอ้ตงตั้งแต่วันแรกที่เจอแล้วครับ แต่ด้วยนิสัยของตงฉินน่ะนะ มันยื่นโทรศัพท์มาให้ผมจัดการตอบเองด้วยความเคยชินเนื่องจากผมคอยตอบเรื่องงานของมันอยู่แล้ว

“อ้าว น้องไม่รู้เหรอครับว่าพวกพี่เป็นแฟนกันน่ะ อ้อ ขอโทษทีพี่ลืมบอกน่ะ” ผมพูดอย่างอารมณ์ดี

“พอดีพี่ไม่ชอบป่าวประกาศว่าคบกับใครออกสื่อน่ะ กลัวกระทบเรื่องงาน” ตงฉินรับอย่างเข้าขา

“ถ้ารู้แล้ว งั้นต่อไปไม่ต้องไลน์มาเนาะ พี่ขี้เกียจพิมพ์ตอบ” ผมยืดอก

“หนึ่ง ปวดขา กลับกันเถอะ” ตงฉินตัดบท นิสัยเสียแก้ไม่หายคือไม่ชอบอธิบายอะไรยาวๆกับคนอื่น

“ปะ ไปสิ” ปกติแล้วตงฉินไม่ใช่คนที่ชอบแสดงความรักในที่สาธารณะ มากที่สุดก็แค่การอยู่ใกล้ๆกัน นั่งกินข้าวมองหน้ากันไปมา แต่ตอนนี้มนุษย์แฟนคนนี้กำลังยื่นมือมาให้จับ ผมรั้งน้ำหนักของคนที่นั่งฉุดให้ลุกและพากันเดินออกมาโดยไม่สนใจว่ารุ่นน้องหน้าหล่อที่ทำหน้าเหมือนคนกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

“ร้ายนักนะ” ผมแซวเมื่อเราเดินออกมาจากหลังเวทีเรียบร้อยแล้ว สายตารุ่นพี่รุ่นน้องมองตามอย่างมีคำถาม แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

“ไม่ร้าย ก็ไม่ใช่ตงฉินดิ”

“คนนิสัยไม่ดีแบบนี้ ต้องโดนทำโทษนะ”

“ขอหนักๆน่ะ อยากโดนทำโทษจะแย่แล้ว” นั่นไง มียั่ว ผมตาลุกวาวเปลี่ยนจากเดินอ้อยอิ่งเป็นคว้าแขนของคนข้างๆแล้ววิ่งไปที่ลานจอดรถอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่ามันจะเปลี่ยนใจกลางทาง

#### ####

[อัคคี]

ก่อนการประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัย 2 ชั่วโมง ....

             ช่างแต่งหน้าที่เป็นนักศึกษาชายแต่จิตใจเป็นหญิงสาละวนกับการปาดอะไรสักอย่างบนใบหน้าพร้อมกับชมไม่ขาดปากว่าหล่ออย่างนั้นหล่ออย่างนี้ แถมยังพูดจาเกี้ยวพาราสีจีบกันซึ่งๆหน้า ผมได้แต่ยิ้มแต่ไม่พูดอะไรเพราะไม่ต้องการสร้างปัญหาอะไรกับรุ่นพี่ อย่างน้อยก็เพราะอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเสียใหม่ แม้จะไม่มากแต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

“แต่งใกล้เสร็จยังหยาง” เสียงคุ้นๆถามช่างแต่งหน้าประจำตัว

“หยางอะไร ชั้นชื่อแยมมี่ย่ะ เรียกว่าหยางอีกทีแม่จะตบด้วยบรัชออนเลยนี่” พี่แยมมี่หรือหยาง สาวหมวยตัวโตใจหญิงวีน

“ขอโทษๆ แต่งหน้าเจ้าไฟเสร็จยังครับคุณแยมมี่”

“เสร็จแล้วย่ะ” ผมลืมตามองภาพรุ่นพี่ชื่อหยางเดินสะบัดบั้นท้ายด้วยจริตหญิงและสบตากับใบหน้าที่คุ้นเคยส่งยิ้มหวาน

“อะไร” ผมถามเมื่อช่อดอกกุหลาบสีแดงถูกยื่นมาให้

“ไม่มีอะไรหรอก แค่กำลังใจน่ะ” ฉัตรพงษ์มาในชุดลำลอง กางเกงยีนส์สีดำแนบกับท่อนขาส่วนท่อนบนเป็นเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งที่เห็นจนชินตา

“ขอบใจ” ผมไม่ได้มองช่อดอกไม้เท่าไรนัก แต่ก็วางไว้บนตัก

“แหมมมมมมม หวานกันขนาดนี้ ไม่เกรงใจพวกชั้นเลยใช่มั้ย” เสียงรุ่นพี่ปีสองของคณะเภสัชศาสตร์แซวมา เป็นครั้งแรกที่ผมสังเกตว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย ฉัตรทำหน้าเขินจนเห็นได้ชัด

             ผมมีคำถามในหัวตลอดเวลาว่าเรื่องราวของเรา ผมหมายถึงฉัตรพงษ์กับอัคคีน่ะครับ จะเป็นอย่างไร ที่ผ่านมามันเหมือนหลุมดำที่กลืนกินความจริงเอาไว้และซ่อนมันในส่วนลึกที่สุดในห้วงนั้น ไม่เคยคิดว่าจะมีใครค้นพบความจริงที่พยายามซุกซ่อน จนกระทั่งได้เจอกับคนที่ไม่คิดว่าจะเจอในวันก่อนที่โรงพยาบาล เราได้เจอกันอีกครั้งหลังและเขาก็มาคนเดียวเช่นเคย

“กูขอถามมึงตรงๆได้มั้ยไอ้ทอย” ใบหน้าของหนึ่งราบเรียบ แต่แววตานั้นฉายแววไม่มั่นใจอย่างเห็นได้ชัด

“อืม อาจจะได้นะ” พวกเรานั่งอยู่ที่ร้านกาแฟของโรงพยาบาลเดิมที่ผมต้องไปติดตามการรักษา เราอาศัยจังหวะที่ฉัตรพงษ์ไปรอรับยาเพื่อสนทนากัน กาแฟที่สั่งมาเพื่อเช่าสถานที่ไม่มีใครแตะต้องมันเลยสักนิด

“มึงคิดจะบอกความจริงกับกูบ้างมั้ย สักครั้งก็ยังดี” แววตานั้นดูมั่งมั่นกว่าเดิม แต่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด

“....”

“กูคิดมาตลอดเลยนะว่ามึงเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของกู แต่พอเกิดเรื่องหลายๆอย่างขึ้นมา กูไม่มั่นใจเลยว่ะ”

“หนึ่ง กู...” ผมถอนหายใจ เรื่องราวที่ปกปิดไว้มาตั้งแต่ต้นมันถูกเปิดเผยหมดแล้ว เมื่อฉัตรชัยมาร้องห่มร้องไห้ขอโทษผมถึงที่คอนโด ทั้งที่ความจริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องมาอธิบายอะไรทั้งนั้น เพราะผมรู้เรื่องทุกอย่างตั้งแต่ต้น

“ไม่เป็นไร”

“แต่มึงเป็น” ผมรั้งข้อมือคนที่กำลังจะลุกเอาไว้

“เฮ้อ” เอกราชถอนหายใจและนั่งลงเช่นเดิม

“กูไม่รู้ว่าจะต้องเล่าหรืออธิบายยังไง เพราะเรื่องที่มึงรู้มามันจริงทุกอย่าง กูไม่มีอะไรจะแก้ตัว นอกจากขอโทษ กูขอโทษที่เป็นเพื่อนเหี้ยๆของมึง” ผมเริ่มเปิดปาก

“มึงยังไม่ตอบคำถามของกู” คนมาเยี่ยมทวง

“กูตอบไปแล้ว ว่ากูขอโทษที่ทำตัวแบบนั้น”

“หมายความว่าไง” หนึ่งหยุดพูดและครุ่นคิด “มึงไม่เคยคิดจะบอกกูมาตั้งแต่ต้นสินะ”

“...” ผมไม่ได้ตอบออกไป มีแค่การพยักหน้ายอมรับความจริง เมื่อมีแต่ความเงียบ อีกฝ่ายจึงระบายออกมา

“กูเคยคิดนะ ว่ามึงแตกต่างจากคนอื่น กูคิดว่ามึงกำลังแตกสลาย แต่เปล่าเลย มึงไม่ได้เป็นอะไรเลยทั้งนั้น มึงแค่อยากเป็นที่ 1 ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม มึงต้องมาก่อน ไม่ว่าจะเรื่องไอ้ฉัตร ที่มึงหนีไปตอนนั้นเพราะมึงอยากให้ไอ้ฉัตรเป็นบ้าเพื่อตามหามึง หรือเรื่องไอ้ตง ที่มึงบอกว่าชอบกูเพราะมึงอยากให้กูเห็นว่ามึงสำคัญกว่าตงฉิน ที่มึงบอกว่าป่วย เพราะมึงแค่ต้องการความสนใจจากคนรอบข้าง และที่มึงมาหาหมอตอนนี้ มึงแค่สานต่อเรื่องโกหกที่มึงสร้างขึ้นมาเพื่อป่วนกูกับไอ้ฉัตร”

“...” ผมขยับท่านั่ง จับจ้องแววตาปวดร้าวอย่างเงียบงัน

“สำหรับกู มึงไม่ได้ป่วย มึงไม่ได้บ้า แต่มึงแค่...รักแต่ตัวเอง มึงไม่เคยรักใครเลย นอกจากตัวมึงเอง”

“...” ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ทำหน้าอย่างไรเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น แต่ใบหน้าของหนึ่งดุดันและเดือดดาล

“ขอบคุณที่ทำให้กูตาสว่างนะทอย ที่จริงมึงไม่ได้เป็นของเล่นของใครเลยเว้ย ชื่อทอยที่มึงไม่ยอมเปลี่ยนทั้งที่เคยบอกว่าเกลียด ที่กูเข้าใจว่ามึงเกลียดชื่อนี้เพราะถูกรังแกมาก่อนสมัยที่มึงบอกว่าเคยอ้วน แต่เอาเข้าจริง พอได้รู้อะไรๆกูเข้าใจแล้วว่าชื่อทอยมันหมายถึงคนอื่น มึงเห็นคนอื่นเป็นของเล่น และกูก็เป็นหนึ่งในนั้น” หนึ่งหายใจแรง ความโกรธมีมากเกินกว่าจะพูดจาตอบโต้

“...”

“กูดีใจนะที่วันนี้กูรู้เรื่องทุกอย่าง อย่างน้อยกูก็ยังมีคนที่เห็นความสำคัญของกูมากกว่าเห็นกูเป็นแค่ของเล่น แต่สำหรับมึงนะทอย กูขอให้มึงโชคดี หวังว่าไอ้ฉัตรจะหน้ามืดตามัวและมองไม่เห็นธาตุแท้ระยำนี้จนหนีมึงไปอีกคนล่ะ” หนึ่งไม่ได้มีสายตาเกรี้ยวกราดหรือน้ำเสียงไม่ได้กระโชกโฮกฮากอีกแล้ว มีแต่เสียงโมโนโทนของคำพูดพรั่งพรูให้ได้ยินชัดถ้อยชัดคำ

“...”

“เพราะถ้าไอ้ฉัตรมันรู้ว่ามึงแค่ต้องการผลประโยชน์จากความรักของมันเมื่อไหร่ สุดท้ายมึงจะไม่เหลือใครอีกเลย”

             ผมนิ่งไปนานแค่ไหนไม่รู้บนเก้าอี้ที่นั่งแต่งหน้า เสียงจอแจของห้องแต่งตัวดังแทรกมาเป็นระยะยังไม่สามารถดึงความสนใจผมได้แม้แต่น้อย สายตาก้มมองช่อกุหลาบสีแดงที่ส่งกลิ่นหอมแตะจมูกชวนสดชื่นอย่างเลื่อนลอย ไม่ใส่ใจว่าจะมีใครแซวเรื่องที่ผมกับฉัตรคบกันอย่างเปิดเผย หนึ่งพูดถูก... ผมเป็นคนแบบนั้นจริงๆ ผมไม่เถียง เพราะทุกอย่างที่ทำก็ทำด้วยเจตนาเช่นนั้นจริงๆ ป่วยการที่จะอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก ถ้าการมีอยู่ของผมเป็นมะเร็งของชีวิตมัน การยอมรับทุกอย่างและปล่อยให้มันเดินจากไปย่อมเป็นทางแก้ที่ดีที่สุดก็ได้

“เหนื่อยมั้ย ตื่นเต้นรึเปล่า” ฉัตรพงษ์ลากเก้าอี้พลาสติกมานั่งประชิด มือหนามากุมเหมือนอ่านสีหน้าผมออกว่ากำลังคิดอะไร

“ไม่เลย” ผมฝืนยิ้ม มองใบหน้าของแฟนหนุ่มอย่างไร้ความรู้สึก ...

“ดีแล้ว นายทำได้ นายชนะแน่ๆเชื่อเรา” ผมรู้ว่าฉัตรพงษ์ไม่ใช่คนโง่ แต่เพราะเขารักผมมากเกินไปจนยอมมองข้ามทุกอย่างได้

“อื้ม” ผมรับกำลังใจนั้นมาอย่างเต็มใจ ... หนึ่งอาจจะพูดถูก แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ... ผมป่วยจริงไม่ได้ป่วยการเมือง ผมเคยชอบมันจริงๆจนเกือบลืมความรู้สึกที่เคยมีให้ฉัตรพงษ์ไปด้วยซ้ำ ชอบถึงขั้นเอาตัวไปเสี่ยงเรื่องของไอ้สุชาติ แต่ท้ายที่สุดแล้ว หนึ่งไม่ใช่คนที่อยู่เคียงข้างผมตลอดเวลา การมีอยู่ของฉัตรพงษ์ทำให้ผมรู้ว่า ที่ผ่านมาผมทำผิด ฉัตรชัยทำผิด ฉัตรพงษ์ก็มีส่วนผิด ... ไม่มีใครไม่เคยทำผิด แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ตัวว่าทำผิดและพยายามแก้ไข

... ผมเป็นคนหนึ่งที่อยากจะแก้ไขเรื่องที่ตัวเองทำพลาดไป แต่ด้วยแรงทั้งหมดที่มี ผมคงกอบกู้กลับมาได้แค่บางส่วน และต้องทิ้งบางส่วนออกไป ถึงแม้จะต้องเสียใจภายหลังก็ตาม

#### ####

[หนึ่ง เอกราช]

             เราทั้งสองคนแทบไม่สนใจเลยว่าจะมีคนมาเห็นช่วงเวลาที่ริมฝีปากทั้งคู่ประกอบกันอย่างดูดดื่มหน้าห้องพักที่คอนโดหรือเปล่า ความร้อนรุ่มในทรวงอกมันมีอิทธิพลเหนือความกังวลต่างๆไปเสียแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ผมกระชากชุดนักศึกษาเต็มยศของแฟนหนุ่มด้วยมือเปล่าจนกระดุมหลุดกระเด็นและถอดมันโยนไปทางห้องรับแขกอย่างไม่ใยดี ก่อนที่ตงฉินจะใช้สองมือเกาะแกะและถอดเสื้อยืดสีซีดของผมออกอย่างรีบร้อนไม่ต่างกัน

             ท่อนบนเปลือยเปล่าเบียดเสียดกันไม่ต่างกับจังหวะจาบจ้วงในโพรงปาก คนตัวสูงต้องโน้มใบหน้าลงมาเพื่ออำนวยความสะดวกและถูกผมตรึงท้ายทอยเอาไว้ไม่ให้หนีออกจากแรงกดเกี่ยวกระหวัดหวามหวานนี้ไปได้ ระยะทางจากประตูห้องไปถึงห้องนอนใหญ่มันเหมือนจะไกลขึ้นเป็นสองเท่าในเวลาเช่นนี้ แต่สี่ขาที่ย่ำลงพื้นตึงตังก็พาเราเข้ามาได้ ไม่มีใครเอื้อมมือไปกดสวิตช์ไฟเพราะต่างลูบโลมเรือนร่างกันไปมาอย่างหิวกระหาย เสียงลมหายใจหอบถี่ฟ้องได้ว่าคงามต้องการมันพุ่งถึงขีดสุด

“ฮื้อ อย่าขบ” เสียงสั่นของตงฉินร่ำร้องเมื่อปากหนาของผมขย้ำที่หัวนมที่แข็งตัวน่าย่ำยี ร่างสูงนอนราบบิดตัวไปมาดุจกวางน้อย เนื้อตัวสั่นระริกยั่วยวนแม้จะมองไม่เห็น ผมอยากมองทุกอณูขุมขนของเขามากเสียจนเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟหัวเตียง แววตาฉ่ำวาวเยิ้มไปด้วยความต้องการสบส่งกันไปมา ปากเจ่อเห่อแดงเพราะแรงบดเบียดเร่าร้อนเมื่อครู่ยิ่งชวนให้หลงใหล

“มึงมันคนไม่ดี ต้องโดนทำโทษ”

“กูไม่ดีตรงไหน อ๊า” เสียงร้องครางดังถี่เมื่อผมซุกใบหน้ากับเป้ากางเกงของแฟนหนุ่มแล้วเสียดสีไปมาอย่างเร็วรี่ ภายในแข็งขืนร้อนระอุส่งกลิ่นความเป็นชายผ่านเนื้อผ้าที่ปกคลุมมายั่วยวนจนต้องใช้ปากครอบดูดเฟ้นอย่างมึนเมา ฟันแกร่งขบตัวลำไปมาคอยกระตุ้นให้อีกฝ่ายยิ่งโหยหา

“ตรงที่มึงยั่วกูบ่อยเกินไปไง”

“ไม่ดีรึไง ฮื้ออออ หนึ่ง...” ผมใช้ความชำนาญถอดกางเกงขายาวตัวหนาออกไปอย่างเร็ว แรงกระชากทำให้บ็อกเซอร์ตัวเล็กหลุดไปด้วย ความเป็นชายของตงฉินสวยงามยืนหยัดสู่สายตาจนอดใจไม่อยู่

“หนึ่ง ฮ้าาาาาาาาาาาาาาา” ผมดูดดุนแก่นกายใหญ่โตอย่างหิวกระหาย แรงขบเม้มรูดคลึงขึ้นลงอย่างรู้จังหวะทำให้ตงฉินต้องส่งสองมือมาขย้ำเส้นผมหยิกฟูของผมอย่างแรงและมันยิ่งกระตุ้นสัญชาติญาณดิบของผมให้ยิ่งพลุ่งพล่าน

“พลิกตัวหน่อยสิ” ตงฉินทำตามอย่างว่าง่าย บั้นท้ายกลมกลึงสองก้อนเผยความเนียนใส ผมใช้มือแยกให้เห็นช่องว่างตรงกลางอย่างเต็มตา แรงขมิบชวนให้อยากกระแทกตัวเข้าไปแทบจะทันทียั่วยวนจนเกือบห้ามไม่อยู่ ใบหน้าโน้มลงประชิดสูดกลิ่นเหม็นอับอันเป็นเอกลักษณ์อย่างไม่รังเกียจก่อนจะฉกลิ้นตรงขอบย่นละเลงป้ายขึ้นลงวนเวียนไปมา

“ฮ้า หนึ่ง ไม่เอาแบบนี้ เสียว ฮ้า”

“ไม่ชอบจริงเหรอ”

“ฮื้อ ชะ ชอบ แต่มันเสียว ฮ้า ใส่เข้ามาเถอะ ขอร้อง” ดูเหมือนตงฉินจะหน้ามืดจนข้ามขั้นไปเยอะ แต่ผมก็ใช่ว่าจะใจดีทะนุถนอมเสียเมื่อไหร่ เมื่อมีการเรียกร้องก็ย่อมมีการตอบสนอง กางเกงยีนส์ของผมถูกทึ้งออกไปแล้วและขวดเจลหล่อลื่นก็อยู่ในมือภายในไม่กี่วินาทีก่อนจะเปิดฝาและราดรดแท่งเนื้อที่มันแข็งขืนอย่างเต็มที่ ผมเสียดสีลำแกร่งกับช่องว่างระหว่างก้อนกลมทั้งสองไปมาโดยที่คนใต้ร่างขยับโยกเพื่อหาส่วนแรกให้เจอเพื่อแทรกกายเข้าไปในตัวอย่างโหยหา

“อย่าทรมานกูเลย ขอร้องล่ะหนึ่ง”

“ของกูใหญ่นะ ใส่เข้าไปเลยมึงจะเจ็บมากเผลอๆอาจจะฉีกเอาได้นะ”

“ไม่ต้องสนใจมัน ใส่เข้ามาเถอะ กูขอร้อง หนึ่ง เข้ามาซะที” ตงฉินส่งเสียงสั่นดังลั่นคล้ายตวาด ยิ่งกระตุ้นให้ผมอยากยั่วยุต่อไป

“งั้นแหวกแก้มก้นมึงออกสิ ให้กูดูหน่อยว่ามึงพร้อมแล้ว” สองมือเงอะงะจับบั้นท้ายของตัวเองแหวกทางสีชมพูอ่อนหวานให้เห็นเต็มตา หลังจากผ่านศึกด้วยกันมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ปากทางแคบนั้นยังแนบชิดราวกับไม่เคยมีอะไรล่วงล้ำมาก่อน

“พร้อมมั้ย” ผมขยับโยกบั้นท้ายให้ส่วนแข็งขึ้งเบียดเสียดกับช่องแคบอย่างเพลิดเพลิน

“อะ อื้อออ ฮึก...” ผมกดน้ำหนักให้ส่วนแรกใหญ่โตประกบลงไปแนบแน่น แรงทึ้งบั้นท้ายช่วยให้รูที่ปิดสนิทมีรอยแยกพอให้ออกแรงส่งฝืดเคืองพาความเป็นชายของผมเข้าไปภายใน

“โอว๊ หนึ่ง เข้ามาเลย เอามาให้หมด อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาา” ผมกระแทกบั้นท้าย มองรอยจีบที่เคยสมานตัวเปิดอ้ารับความใหญ่โตเข้าไปจนขยายตัวผิดรูปไม่เหลือเค้าเดิม มันตึงแน่นราวกับจะกัดกินสิ่งแปลกปลอมให้หมดสิ้น แต่แปลกที่พวกเราต่างยอมให้มันเกิดขึ้นอยู่ซ้ำๆ และไม่นาน ทุกอย่างก็เข้าที่ เมื่อภายในที่ตอดรัดยอมแพ้และเปิดทางให้ผมดันเข้าไปจนสุดลำ...





(https://cdn-th.tunwalai.net/files/member/971823/180340478-member.jpg)

ภาพประกอบมิได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในนิยายแต่อย่างใด
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 45 P.7 Up 29 พ.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 29-05-2021 17:35:14
เรื่องมันซับซ้อนเข้าไปอีก  คนหนอคนช่างมีหลากหลายจริงๆ ส่วนตงฉินเดี๋ยวนี้ยั่วเก่งจริงๆ  o18
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 45 P.7 Up 29 พ.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 30-05-2021 07:28:31
 :hao6: :jul1: :o8:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 45 P.7 Up 29 พ.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 30-05-2021 17:55:45
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 45 P.7 Up 29 พ.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 31-05-2021 15:12:16
เรื่องนี้อัพถึง ตอนที่ 47 แล้วนะครับ
ใครที่ใจร้อน สามารถไปตำกันก่อนได้เลย
FB : https://www.facebook.com/Begintillanend/

หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 46 P.7 Up 5 มิ.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 05-06-2021 16:19:38
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.


ตอนที่ 46. คนคิดมาก

[ตงฉิน]

“มึงคิดว่าคู่เราจะคบกันนานแค่ไหนวะ” อยู่ๆคนตัวเล็กที่นอนข้างตัวก็ถามขึ้นมาในตอนเช้าหลังจากผ่านเซ็กซ์อันดุเดือดมาทั้งคืน ผมที่ใกล้ลืมตายังไม่ทันได้งัวเงียก็ต้องเปิดดวงตาทั้งสองข้าง

“หืมมมม” ไอ้หนึ่งนอนตะแคงใช้มือขวาดันคางเอาไว้เพื่อประคองใบหน้าให้สูงขึ้น ใบหน้าของคนถามไม่ได้แฝงด้วยอารมณ์ที่ชวนคิดไปในแง่ร้ายแต่อย่างใด แววตานั้นมีแต่ความอยากรู้และคิดมาก

“กูนอนมองมึงหลับ ใบหน้าของมึงยังหล่อกระชากใจกูไม่หยุดหย่อน ใจกูเต้นไม่เป็นจังหวะตอนอยู่กับมึงไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน กูเปล่าคิดนะว่ากูไม่เหมาะสมกับมึง กูแค่คิดว่าคนอย่างมึง กูหมายถึง...คนพรีเมี่ยมแบบมึงจะรักกูได้นานแค่ไหน”

“สรุปก็คือ มึงคิดว่ากูหล่อ” ผมอมยิ้ม สีหน้าบูดบึ้งเพราะถูกเย้าของแฟนหนุ่มชวนให้ขบขัน

“กูจริงจังนะไอ้ตง ตั้งแต่คบกันมาชีวิตมึงเหมือนมีแต่เรื่องอัปมงคลเข้ามาไม่หยุดหย่อน งานละครก็หดหาย งานเดินแบบหรือออกงานก็แทบไม่มี ยังมีเรื่อง...” ผมเอานิ้วชี้แตะริมฝีปากที่ขยับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยนั้นไว้

“หยุดคิดได้แล้ว เรื่องใช้สมองไม่ใช่ทางของมึงหรอกนะ” ผมบิดขี้เกียจขืนตัวขึ้นมานั่งพิงกับหัวเตียง รู้สึกปวดหน่วงๆตรงจุดซ่อนเร้นเพราะเมื่อคืนโดนจัดหลายชุด ท้องไส้ปั่นป่วนเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะไปจัดการเอาอะไรต่อมิอะไรที่คนเจ้าปัญหาทิ้งไว้

“ตง กูซีเรียส ถามจริงๆว่ามึงอยากเลิกเป็นดาราจริงๆเหรอ แล้วหลังจากนั้นล่ะ มึงอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร”

“ก็...ไปทำงานที่บริษัทของพ่อกูไง” ผมตอบในสิ่งที่คิด

“มึงต้องการแบบนั้นจริงๆเหรอ งานที่นั่นพี่ต่อก็ดูแลอยู่ ทำได้ดีซะด้วย แถมยังมีพี่เอกช่วยดูอีกคน” หนึ่งพาดพิงถึงพี่ชายผมที่ชื่อต่อพงษ์และแฟนหนุ่มของเขาที่ชื่อเอกภพ ทั้งคู่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมาได้ปีกว่าแล้ว ถึงแม้พี่เอกจะเรียนมาน้อย แต่ก็พยายามหาความรู้เพิ่มเติมเอามาช่วยเหลืองานของพี่ต่ออยู่เสมอ

“แล้วมึงล่ะหนึ่ง มึงอยากเป็นอะไร” ผมแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมที่ผ่านมาถึงไม่เคยคุยกันเรื่องนี้เลยสักครั้ง

“กูเหรอ ความฝันของกูก็แค่เรียนให้จบ ไม่ให้ลำบากพ่อแม่ มีการงานทำเป็นหลักแหล่ง มีคนรักอยู่ด้วย...”

“มึงอายุ 19 หรือ 59 เอาดีๆ” ผมถามแซว เพราะความฝันอันแสนธรรมดาของมันเหมือนคนหมดไฟใกล้เกษียณรอมร่อม

“ไม่ใช่กูไม่เคยฝัน กูมีความฝัน อยากเที่ยวรอบโลก อยากเป็นนักข่าว อยากก่อตั้งบริษัทของตัวเอง แต่มึงรู้มั้ยว่าครอบครัวกูไม่ใช่กลุ่มคนที่เอื้อให้กูทำตามความฝันได้โดยง่าย พวกเรายังปากกัดตีนถีบอยู่เลย แล้วมึงดูกูนี่” หนึ่งขยับตัวให้ใบหน้ามาแนบแก้มของผม มันบังสายตามากกว่าจะช่วยให้มองเห็นได้ชัด

“กูคือคนธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษเลยสักอย่าง แล้วดูมึงสิ มึงอะ”

“กูหล่อกูเข้าใจ แล้วสรุปว่ามึงอยากรู้เรื่องอะไรกันแน่ จะคบกันนานแค่ไหน หรือโตขึ้นอยากเป็นอะไร” ผมถามแล้วซุกหน้าแนบอกแกร่ง ได้ยินเสียงหัวใจเต้นโครมครามแบบที่มันพูดจริงๆ

“กูแค่อยากรู้ว่ะตง ว่ากูเป็นตัวถ่วงในชีวิตมึงหรือเปล่า ตอนปี 1 ก็มีข่าวหลุดเม้าท์ว่ามึงเป็นเกย์ ปีนี้ก็มีข่าวเรื่องไอ้สุชาติจนซีรี่ย์หยุดถ่ายภาคต่อ งานโปรโมทคู่กับพี่ไนล์ก็โดนเลื่อนออกไป กระแสของมึงแผ่วลงถึงขั้นเดินสวีตกับกูนักข่าวยังไม่เอาไปทำสกู๊ปเลยนะ” อ่า... ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือมันเป็นห่วงผมสินะ แฟนผมน่ารักตรงนี้แหละ มันดูแลอย่างดีจะไม่ให้รักได้ไง

“กูไม่รู้”

“หะ” น้ำเสียงของมันตกใจจริงๆ

“ให้ตอบตรงๆกูไม่รู้ว่ะ พ่อแม่กูเลี้ยงกูมาแล้วพร่ำสอนว่าโตขึ้นจะต้องไปช่วยพี่เอกดูแลบริษัท แต่กูก็นอกคอกไปเป็นดารา จนพี่เอกที่กำลังไปได้สวยในวงการต้องถอยออกมาเพื่อไปเรียนเฉพาะทางเพื่อมาดูแลรับช่วงต่อจากพ่อ พอเห็นพี่เอกไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วพ่อกูไม่ให้กูไป กูก็ทำตัวแย่ๆโดยการไปมีอะไรกับเจ้าของโมเดลลิ่งให้เขาป้อนงานจนดัง มีคนเข้าหา ทำตัวเหลวแหลกไปวันๆ เมาตั้งแต่เช้าจนเย็นจนไม่รู้เลยว่าลูกในท้องของผู้หญิงที่เคยคิดจะจริงจังด้วยเป็นลูกของพ่อกู...”

“ตง...” สายตาอ่อนโยนช่วยให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย มือหนาที่ไล้ไรผมปลอบประโลมความผิดหวังที่เกาะกินมานานจนจางหาย

“กูเคยเหี้ย กูยอมรับ พ่อไม่ยอมให้กูมาอยู่คอนโดใกล้มหา’ลัยถ้าไม่มีคนอยู่ด้วยเพราะกลัวกูออกนอกลู่นอกทาง กูก็แก้เกมโดยการชวนคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันวันแรกมาอยู่ด้วย แถมคิดค่าเช่าเหมือนให้อยู่ฟรี แต่มึงรู้มั้ย ว่าเรื่องที่กูคิดว่าตัดสินใจโคตรไม่ได้เรื่องตอนนั้นทำให้กูมีมึง” หนึ่งพรมจูบศีรษะผมอย่างทะนุถนอม อ้อมกอดแกร่งรัดกล้ามเนื้อถ่ายเทไอร้อนระหว่างกันไปมา พลางนึกถึงวันที่เจอหนึ่งและโทที่คณะและตัดสินใจแบบไม่คิดถี่ถ้วนชวนมาเป็นรูมเมต

“มึงช่วยกูมาตลอด ทำให้กูสัมผัสความจริงใจสักครั้งหนึ่งในชีวิตที่ไม่คิดว่าจะมีใครให้กูได้ พ่อแม่และพี่แก้วรวมหัวกันปกปิดเรื่องสองหมู ทำเหมือนกูเป็นคนนอกแล้วหลอกกูมาหลายปีว่าเด็กๆคือความผิดพลาดในการใช้ชีวิต นั่นไม่ใช่บทเรียนนะ มันคือการโกหกคำโตที่ผู้ใหญ่ใช้เป็นข้ออ้างในการเอามาดัดสันดานเด็ก” ผมไม่แน่ใจว่าแม่รู้เรื่องไหม แต่พี่แก้วพี่สาวคนโตรู้เรื่องนี้แน่

“กูเนี่ยนะ” ไอ้หนึ่งพูดคล้ายไม่เชื่อตัวเอง

“อือ มึงนี่แหละ มึงเข้ามาในชีวิตกูถูกที่ถูกเวลา อยู่กับกู รับฟังกูจนกูยังคิดไม่ตกเลยว่าไปชอบมึงตั้งแต่ตอนไหน แต่กูอยากให้มึงรู้เอาไว้นะ ว่ามึงไม่ใช่ตัวถ่วงในชีวิตกู ที่กูไม่รับงานเพราะกูอยากโฟกัสกับการเรียน กูอยากเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา กูเลือกรับงานน้อยลงเพราะอยากมีเวลาส่วนตัวกับมึงมากขึ้น มึงไม่ได้ทำให้ชีวิตกูแย่ลงเลยนะหนึ่ง กูต่างหากเป็นผู้เป็นคนขึ้นก็เพราะมึง”

“เชี่ย เขินเลยว่ะ” เอกราชหน้าแดงลามไปถึงใบหู ยิ่งมองก็ยิ่งตลกจนผมหัวเราะดังลั่น

“ส่วนคำถามที่ว่า เราจะคบกันนานแค่ไหนน่ะ...” หัวเราะเสร็จก็ปวดท้อง แต่ยังพยายามตอบ

“มึงไม่รู้” หนึ่งตอบออกมาแทน

“อื้อ ... มึงก็ไม่รู้ไม่ใช่เหรอ” คนถูกถามพยักหน้าตอบรับ “ถ้าไม่รู้ ทำไมต้องคิดมากด้วยล่ะ”

“กู คือ กูไม่แน่ใจ” หนึ่งถอนหายใจ

“ไม่แน่ใจว่ากูรักมึงหรือเปล่า งั้นเหรอ” ผมถาม น้ำเสียงหงุดหงิดระดับ 1

“เปล่าๆๆๆๆ กูไม่ได้ข้องใจเรื่องนั้น กูแค่ไม่มั่นใจว่า ถ้ากูคิดจะมีความฝันสักอย่างในชีวิต กูควรมีมึงในนั้นมั้ย”

“ก็ลองฝันแล้วไม่มีกูดูสิ มึงจะรู้ว่านรกมีจริง” ผมไม่ได้พูดเล่นนะ

“เฮ้ออออออออออออ”

“ถอนหายใจทำไมวะ” ผมผละตัวออกห่าง ท่าทางของมันไม่ปกติมาตั้งแต่อ้าปากถามประโยคแรกแล้ว

“เปล่า”

“ไอ้หนึ่ง พูด” ผมส่งเสียงดุระดับ 2 ออกมาขู่ ใบหน้าเหรอหราของมนุษย์แฟนทำท่าคิดมากจนน่าเขกกบาล

“1..” ผมเริ่มนับ

“เออ โอเคๆๆๆ” แฟนหนุ่มหัวฟูที่ร่างกายเปลือยเปล่าพลิกตัวไปหยิบมือถือและเปิดหน้าจอยื่นมาให้ผมได้อ่าน

‘ดาราหนุ่มดาวร่วง ต. งานหด แฟนคลับหาย ซีรี่ย์ภาคต่อถูกยกเลิก ....’  พอได้อ่านข่าวบันเทิงของโปรแกรมแช็ทยอดนิยมจนจบก็เข้าใจว่าทำไมนายเอกราชถึงได้รู้สึกไม่ดีจนต้องถามซอกแซ่กไม่จบสิ้นแบบนี้ ผมยื่นมือถือกลับไปมองสบตาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“มึงโอเคมั้ย”

“ทำไมต้องไม่โอเคด้วยวะ” ผมถามกลับ

“ก็...”

“วงการบันเทิงอะเนาะ มึงควรรู้สึกดีสิว่าเขายังเขียนถึงกู เชื่อสิว่ามันเป็นเรื่องดีมากกว่า”

“ทำไมล่ะ” สีหน้างุนงงอีกแล้ว

“มึงเพิ่งพูดไปเองว่ากูงานหด ข่าวก็หาย พอมีคนเขียนเรื่องกูก็ดันคิดมากอีก ถามจริง มึงเป็นไบโพล่าร์เหรอ”

“แซะเก่งงงงงงงงงงงงงงง” หนึ่งลากเสียงยาว

“เชื่อกูเถอะ พอกูเปิดโทรศัพท์เท่านั้นแหละ มึงเตรียมตอบคำถามรับงานแทนกูไม่ทันแน่นอน” ผมอมยิ้ม อย่างสุขใจที่เห็นแฟนเดือดร้อนเรื่องของตัวเองแทนแบบนี้ ผมโกหกมันนิดหน่อยเรื่องความฝัน ผมยังอยากเป็นดาราอยู่เพราะมันทำเงินได้มากกว่าที่คิด ผมลองหยั่งเชิงเรื่องทั้งหมดนี้กับมนุษย์แฟนเพื่อดูว่ามันมีท่าทียังไง ไอ้หนึ่งก็ยังคงเป็นไอ้หนึ่ง ความเซ่อซ่าของมันทำให้ผมเลิกรักมันไม่ได้จริงๆ

“เชี่ยๆๆๆๆ ข้อความรัวไม่หยุดจริงๆว่ะ” ไอ้หนึ่งคว้าโทรศัพท์ผมไปเปิดตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ แต่ตอนนี้มันกำลังทำหน้าตกใจตาเหลือกที่เห็นข้อความในโปรแกรมแช็ท ข้อความ SMS ที่ส่งเข้ามานานนับนาที

“บอกแล้วไง” ผมจุ๊บแก้มมันเบาๆแย่งมือถือก่อนพุ่งไปเข้าห้องน้ำ บทสนทนาชวนให้ปวดหัวและปวดท้องหน่วงๆ ลูกๆของไอ้หนึ่งหลายสิบล้านตัวกำลังทำพิษจนท้องไส้ปั่นป่วนและต้องรีบกำจัดด่วนที่สุด โดยที่ไม่ลืมส่งข้อความไปขอบคุณพี่ไนล์เรื่องสกู๊ปข่าวบันเทิงที่ขอให้แกช่วยเหลือเมื่อหลายวันก่อน

#### ####

[เอกราช]

             หลังจากบทสนทนาของเราทั้งคู่จบลง ผมรู้สึกดีและเบาใจขึ้นเยอะเมื่อได้รู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนก่อปัญหาให้กับแฟนหนุ่มหน้าตาดี ความหวั่นใจและคิดไปเองบรรเทาเบาบางเหมือนสายหมอกในยามสายที่ถูกแสงแดดขับไล่จนเห็นภาพที่เคยมืดมัวได้เด่นชัด ตงฉินเข้าไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเงียบเชียบ ผมมองภาพสวยงามนั้นอย่างไม่ละสายตา

“จะมองอีกนานมั้ย ไม่ไปเรียนรึไง” ตงฉินถามทั้งที่ไม่มองมาที่เตียงนอนด้วยซ้ำ

“อ้าว วันนี้มีเรียนด้วยเหรอ” ผมบิดขี้เกียจ นึกว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์

“จะโดดก็แล้วแต่ ถ้าจะไปก็ให้รีบ มึงมีเรียนวิชาครูโหดนะ” ตงฉินพูด ตารางเรียนของพวกเราจะถูกแปะไว้ที่ตู้เสื้อผ้า วิชาแรกของเช้าวันจันทร์ของผมเริ่มต้นด้วยความโหดหินเนื่องจากอาจารย์ค่อนข้างเจ้าระเบียบและชอบหักคะแนนเป็นว่าเล่น

             ผมกระโจนออกจากที่นอนอุ่นไปคว้าผ้าเช็ดตัวที่พันท่อนล่างของแฟนขี้บ่นมาใช้ต่อ เพราะของตัวเองเลอะอ้วกยังไม่ได้ซัก ไอ้ตงตกใจและยกขาเหมือนจะไล่ถีบ แต่ผมไวกว่ารีบวิ่งเข้าห้องน้ำโดยไม่ลืมโผล่หน้าออกมามองแฟนตัวเองอย่างกระลิ้มกระเหลี่ย

“มึงแม่งโคตรน่าฟัด รู้ตัวมั้ยไอ้ตง”

“ไอ้สัส” ตงฉินเขิน สังเกตได้จากใบหน้าที่แสดงออกตอนนี้ มันเขิน ผมดูออก

             ตงฉินจอดรถยนต์คันหรูของตัวเองตรงลานจอดรถของคณะ เมื่อก้าวยายาวๆออกมาสายตาของผู้คนรายรอบต่างจับจ้องราวกับเป็นอาหารมื้ออร่อย มันฉีกยิ้มการค้าให้กับคนที่ทำท่าเหมือนจะมาทักทาย ความฮ็อตของตงฉินยังดึงดูดสายตาใครต่อใครอยู่เสมอ พวกเราเดินเข้าอาคารเรียนโดยมีไอ้โท ขวัญใจ ฉัตรชัยและคิ้วรออยู่แล้ว

             เมื่อเห็นยิ้มการค้าของตงฉินที่ยังระบายเต็มใบหน้าก็ทำให้นึกถึงรอยยิ้มและเสียงครางสุดเซ็กซี่ยามที่อยู่ด้วยกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งชวนให้เบิกบานในอารมณ์จนริมฝีปากยกแยกฉีกยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว แถมสายตาอิจฉาของคนที่พอจะรู้เรื่องผมกับตงฉินที่มองมาก็ยิ่งชวนให้ฮึกเหิมเหมือนแม่ทัพชนะสงครามไม่มีผิด

“เป็นอะไรของมึงวะไอ้เตี้ย ยิ้มหน้าบานยังกะคนบ้า” ไอ้โททักมาแต่ไกล ผมหุบยิ้มแทบไม่ทัน

“บ้าพ่องมึงสิ กูอารมณ์ดีต่างหาก”

“กูว่าบ้า” ฉัตรชัยโพล่งออกมา ผมมองด้วยสายตาดุๆจนมันหน้าจ๋อย ความสัมพันธ์ของพวกเราเริ่มดีขึ้นทีละน้อย ผมไม่ต้องการคำขอโทษหรือเปิดใจคุยแบบแมนๆ เพราะผมเป็นเกย์ ผมมีความละเอียดอ่อนและขอเวลาคิดทบทวนเรื่องต่างๆด้วยตัวเองก่อน ถึงแม้จะคล้ายคลึงกับนิสัยผู้หญิงอยู่บ้าง(นิดเดียว) แต่ผมก็มีสิทธิ์ที่จะไม่พอใจในการกระทำของพวกนั้นไม่ใช่หรือ

“ตง ไอ้หนึ่งพี้ยามาเหรอ” ไอ้พี่ชายตัวดียังไม่เลิก

“พี้ยาพ่องมึงสิไอ้โท นี่น้องมึงนะ คิดแต่กับกูแต่ละอย่างดีๆทั้งนั้น” ผมด่าคนที่เริ่มแซวอย่างหงุดหงิด คนจะอารมณ์ดีบ้างไม่ได้รึไง คิดถึงเรื่องที่คุยกับตงฉินเมื่อวันก่อนก็ยิ่งดีใจ รอยยิ้มที่หายไปก็กลับมาอีกครั้ง

“กูว่ามันบ้า พาไปโรง’บาลเหอะ” ฉัตรชัยเปลี่ยนมากระซิบกับไอ้โทแทนโดยมีไอ้คิ้วพยักหน้าเห็นด้วย

“ตัวก็ไม่ร้อนนะ แถมวันนี้อากาศก็ไม่ร้อนด้วย หนึ่งไม่น่าเป็นบ้านะ” ดีมากขวัญใจ ขอบคุณที่คอยสนับสนุน

“ตัวเองว่างั้นเหรอ” ไอ้โทเสียงสองถามแฟน

“ใช่ๆ คิดดูว่าหน้าแบบหนึ่งถ้าบ้าเนี่ย ชาติที่แล้วคงทำกรรมหนักมาแน่”

“เอ๊ะ นี่ขวัญหมายความว่าไงเหรอ” ผมหันขวับ ในใจกำลังถอนคำขอบคุณที่คิดว่าหน้าสวยๆคิดปกป้อง

“เปล๊า โทไปเถอะ เดี๋ยวไม่มีที่นั่ง คาบนี้อาจารย์เช็คชื่อด้วย” ขวัญใจรีบฉุดแขนพี่ชายผมแล้วจ้ำอ้าวโดยไม่หันมามอง

“นี่ รอด้วยสิวะ กูกับมึงเรียนด้วยกันนะโว้ยไอ้โท แม่ง” ผมส่งเสียงไล่หลัง

“หนึ่ง..” ตงฉินทักมาก่อนี่จะได้วิ่ง ผมหันกลับไปสบตาเป็นคำถามว่าเรียกทำไม แต่ไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกมานอกจากเสียงหัวเราะหึหึเบาๆในลำคอและมือหนาที่ตบไหล่ผมสามครั้งเหมือนให้กำลังใจก่อนจะเดินเข้าห้องเรียนของตัวเองพร้อมกับฉัตรชัยและศิระ ผมยืนอึ้งอยู่สามวินาทีเพื่อประมวลผลว่าพลาดอะไรไปหรือเปล่า

“เชี่ย หมายความว่าไงวะ หน้าแบบกูถ้าเป็นบ้าคงทำกรรมหนักมา สัส ด่ากูว่าขี้เหร่ตรงๆเถอะให้กูคิดมากทำไมวะ” ผมสบถกับตัวเองอย่างอารมณ์เสีย มองเวลาในมือถือแล้วต้องรีบวิ่งตาเหลือกเพราะอีกไม่กี่นาทีจะเริ่มเรียนแล้ว อาจารย์ยิ่งดุๆอยู่ด้วยและไอ้พี่ชายตัวดีที่เรียนด้วยกันก็ไม่คิดจะรอ

ถึงขาจะสั้น แต่ต้องรีบโกยแล้วล่ะวินาทีนี้.... กรรมหนักงั้นเหรอ มีแฟนหล่อระดับเทพให้ได้แบบไอ้หนึ่งก่อนค่อยมาว่านะ

#### ####

[ตงฉิน]

             บรรยากาศในห้องเรียนเงียบเหงา ปกติผมไม่ใช่คนเฮฮาที่จะชวนคนโน้นคนนี้คุย ยิ่งตอนเรียนแบบนี้ผมก็ปิดปากเงียบมองไปข้างหน้าอย่างตั้งใจโดยไม่สนใจเพื่อนทั้งสองคนที่นั่งติดกัน

“ตง”

“หืม”

“นายคิดว่าไอ้หนึ่งมันจะหายโกรธพวกเรายังวะ” ฉัตรชัยเป็นคนถาม

“ไม่รู้สิ ทำไมไม่ถามมันเองล่ะ”

“ก็เราคิดว่า เอ่อ นายกับมัน คือแบบ คุยกันเรื่องนี้บ้างอะไรแบบนี้น่ะ” คิ้วที่ขนาบด้านซ้ายพูด

“เท่าที่จำได้ ไม่ได้คุยอะไรกันนะ ถ้านายอยากรู้ว่ามันหายโกรธหรือยัง ถามเจ้าตัวได้เลย”

“เห้ออออ” ผมรู้ว่าตัวเองไม่ได้ช่วยอะไร แต่เห็นท่าทางหงอยๆของสองหนุ่มที่นั่งขนาบสองข้างแล้วก็อดสงสารไม่ได้

             สำหรับผม เรื่องที่ฉัตรชัยโกงการสอบไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เพราะมันเป็นเรื่องที่ผมตามสืบเองจึงมีเวลาทำความเข้าใจในเหตุผล(ที่ผิดๆ)ของเพื่อนคนนี้ ถ้าจะโกรธก็คงเป็นเรื่องที่ดึงหนึ่งไปพัวพันจนเกือบแงะไม่ออก ส่วนเรื่องที่ผ่านมาผมไม่ได้ถือโทษเพราะเชื่อว่ามันคงรู้สึกผิดไม่น้อย ผมไม่ได้สนับสนุนการทำผิด แต่ผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปชี้นำหรือบังคับให้ไปสารภาพ เรื่องนี้มันกระทบหลายคน นอกจากฉัตรชัยแล้วยังมีฉัตรพงษ์อีกคนที่อาจจะหมดอนาคต คนที่มีเอี่ยวแบบคิ้วและทอยคงจะถูกสอบสวนไปด้วย ฝาแฝดคู่นี้ทำผิด ผมรู้ว่าผิด แต่ผมก็ไม่ต้องการทำลายอนาคตของใคร

“ให้เวลามันหน่อย เป็นนายจะไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ” ผมถามเสียงเข้ม

“เห้อ” ทั้งสองคนถอนหายใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

“ขอบใจมากนะตงที่ไม่โกรธพวกเรา”

“ใครว่าเราไม่โกรธ แต่เราไม่ได้โกรธเรื่องนายโกง เราโกรธที่นายปกปิดและหลอกหนึ่ง” ผมตอบความจริง และทั้งสองคนก็ก้มหน้านิ่งเหมือนหมาหงอย

“เรารู้สึกผิด จริงๆนะ” ฉัตรชัยพูดด้วยเสียงสั่นเครือคล้ายคนจะร้องไห้

“นายไม่ต้องบอกเราหรอก คนที่นายควรจะพูดด้วยคือแฟนเราต่างหาก” สองหนุ่มเงยหน้ามามองผมราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง ปกติแล้วผมไม่ชอบบอกใครต่อใครว่าเป็นแฟนกับหนึ่ง แม้กับเพื่อนในกลุ่มก็เช่นกัน ผมปากหนัก มาดนิ่ง ดูหยิ่งจนคนนอกเข้าไม่ถึง จึงไม่แปลกใจเท่าไรนักที่ได้เห็นใบหน้าเหวอๆของเพื่อนทั้งสองคนที่นั่งขนาบอยู่ข้างๆ ด้วยรอยยิ้มมุมปากตลอดทั้งคาบ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 47 P.7 Up 14 มิ.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 14-06-2021 13:45:05
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.


ตอนที่ 47. เรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิด

[เอกราช]

             พวกเราใช้เวลาไม่นานจริงๆในการเปิดอกคุยกันและขอโทษสำหรับเรื่องที่ทำผิดพลาด ไอ้โทเป็นกาวใจในเรื่องนี้เพราะไม่อยากเห็นความมึนตึงระหว่างกลุ่มพวกเราที่มีคนคบอยู่แค่นี้ ผมใช้เวลาขจัดอคติในใจมาสักระยะก็พอทำใจและรับฟังเหตุผลของทั้งฉัตรชัยและคิ้วตั้งแต่ต้นจนจบ เรื่องโกงการสอบนั้นพวกมันผิดเต็มประตูแต่ผมก็ไม่มีหน้าที่ยกโทษให้ เรื่องที่เคืองใจมีแค่การถูกหลอกเหมือนเป็นคนโง่มาหลายเดือนคือสิ่งเดียวที่อยู่ใต้การตัดสินใจของผมที่จะมองข้ามและลืมมันไป ไม่ใช่เพราะว่าผมเป็นคนดีเหมือนพระเอกละครหลังข่าว แต่ผมเชื่อว่าทุกคนสมควรได้รับโอกาสจากความผิดพลาดที่ไม่รุนแรงและสามารถแก้ไขได้ ตงฉินไม่ขัดข้องในเรื่องนี้และยอมรับการตัดสินใจ และสุดท้ายพวกเราก็กลับมาคุยและสนิทกันอีกครั้งเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ... นี่แหละมั้งความหมายของคำว่าเพื่อน

             พอเทศกาลรับน้องจบสิ้น พวกเราก็ต้องก้มหน้ารับชะตากรรมกับการสอบที่กำลังจะมาถึง ด้วยความที่ผมกับไอ้ตงเรียนคนละสาขา จำนวนวิชาและเวลาที่สอบไม่ค่อยตรงกันเสียส่วนใหญ่ แถมต้องแยกกลุ่มกันติวโดยไอ้ตงกับไอ้คิ้ว(ประธานรุ่น)ต้องไปอ่านกับพวกสาขาการค้าระหว่างประเทศ ที่เหลือนั้นก็มาสุมหัวติวกันที่คอนโดไอ้ตงอย่างสบายใจเพราะสะดวก ใกล้มหา’ลัย มีแอร์ฟรี(ที่ผมจ่ายเงินค่าไฟ) แถมห้องยังใหญ่สุมหัวกันได้ไม่อึดอัด และเป็นปกติของทุกครั้งก่อนสอบที่ขวัญใจจะทำหน้าที่คอยติวให้เพื่อนๆ แต่คืนนี้มีหลายคนติดธุระจึงเหลือแค่ผมกับไอ้ฉัตรชัยเท่านั้นที่มาฟัง (ไม่ต้องบอกหรอกเนอะว่าไอ้โทมาหรือเปล่า รายนั้นหวงและตัวติดแฟนจะตาย)

“ขวัญ ทำไมหน้าดูซีดๆ” ไอ้ฉัตรเป็นคนทัก เพื่อนคนสวยยิ้มเจื่อน ผมก็เพิ่งสังเกตว่าขวัญใจเหมือนคนจะเป็นลมจริงๆ

“พอดีเครียดๆน่ะ โรคกระเพาะเลยกำเริบ” เจ้าตัวตอบก่อนจะดึงสมาธิกับการติวหนังสือกันต่อ ภาคการตลาดมีสอบเยอะพอๆกับการทำโครงงาน เมื่อเวลาเรียนและทบทวนบทเรียนถูกเจียดไปให้กับงานกลุ่มที่ค่อนข้างยุ่ง พวกเราจึงอาศัยการติวจากคนเรียนเก่งแบบขวัญใจนี่แหละเพื่อให้คะแนนไม่ขี้เหร่เกินไป ปีนี้ยังไงผมจะต้องรอดคำด่าจากตงฉินให้จงได้...

“มึงดูแลแฟนดีๆหน่อยดิวะ” ผมกระซิบข้างหูไอ้โทที่กำลังจดจ่อกับเนื้อหาที่ติว

“กูก็ดูแลดีอยู่ แต่ช่วงนี้งานเยอะนี่หว่า กว่าจะได้นอนกันก็ดึกดื่น” ผมล่ะเข้าใจคำตอบของพี่ชายเลยครับเพราะตัวเองก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน หลายครั้งที่ต้องทำงานกลุ่มถึงตีหนึ่งตีสองก่อนจะต้องกลับมานอนเพื่อตื่นไปเรียนในตอนแปดโมงเช้า สภาพทุกคนจึงไม่ต่างจากซากศพ ยกเว้นไอ้ตงที่ไม่ยุ่งเท่า ใบหน้าจึงหล่อออร่ากระจายข่มทุกคนอย่างน่าหมั่นไส้

“ว่าแต่ว่า ขวัญใจไหวแน่นะ ดูท่าทางไม่ค่อยดีเลย เหมือนคนอยากอ้วก” ไอ้ชัยถามต่อ

“อุ๊” พูดยังไม่ทันจบ ขวัญใจก็ผุดลุกโดยใช้มือข้างหนึ่งปิดปากไว้แน่นก่อนวิ่งในห้องนอนใหญ่แถมยังเตะถังขยะที่ขวางทางจนของข้างในตกเกลื่อน แต่ก็ไม่ทำให้ความเร็วในการวิ่งไปห้องน้ำลดลงเลย ไอ้โทรีบพุ่งตัวตามไปติดๆ เหลือแต่ผมกับไอ้ฉัตร(ชัย)ที่มองตามตาปริบๆ

“หรือว่า” ไอ้ฉัตร(ชัย)มันตั้งข้อสังเกตอีกแล้ว พวกเรากันมาสบตากันอย่างไม่ได้นัดหมาย

“กูว่ากูไปดูขวัญใจด้วยดีกว่า” ผมเลี่ยงไม่พูดสิ่งที่คิด แต่มันก็ชวนให้อดคิดไม่ได้ คนที่นั่งอยู่ก็เลยเดินตามมาเพราะไม่รู้ว่าจะนั่งคนเดียวทำไม แฟนของมันกับเพื่อนสาวไปติวอีกกลุ่มหนึ่งเลยไม่ได้มาด้วย ผมแอบโล่งใจเพราะคนยิ่งน้อยยิ่งดี

“ไอ้เหี้ย พวกมึงใช้ถุงยางแล้วขว้างลงถังแบบนี้เลยเหรอวะ” ไอ้ชัยที่เดินตามก็ตาเหยี่ยวเสียจริง เจือกไปเห็นของใช้แล้วที่ตกเกลื่อนจากถังขยะเมื่อครู่

“ถ้าไม่ขว้างลงถังจะให้กูขว้างไปไหนวะ”

“ก็ เออ... ก็จริง แต่เชี่ย ถุงยางแตกด้วยเหรอวะ” มันเอาเท้าที่สวมรองเท้ากันลื่นรูปหมีสีน้ำตาลของตงฉินเขี่ยๆพร้อมทำหน้ารังเกียจ ... แล้วมึงจะเขี่ยทำม๊ายยยยยยยยยยยยย

“มึงจะจับผิดถุงยางพวกกูอีกนานมั้ยวะ” ผมกร่นด่า พาลนึกด่าขวัญใจที่วิ่งเข้าห้องน้ำในห้องนอนใหญ่แทนที่จะใช้ห้องน้ำที่ห้องรับแขก สิ่งที่ไอ้ชัยมันเห็นก็เพราะว่าไม่ได้มีแค่อันเดียวเสียด้วย ก็อย่างว่านั่นแหละ ใครใช้ให้ไอ้ตงมันน่าฟัดขนาดนี้ด้วยล่ะ หุ่นก็ดี หน้าก็หล่อ แถมยังขี้อ้อนมากอีกด้วย ถ้าไม่จัดบ่อยๆก็เสียของเปล่าๆ ท่าทางเซ็กซี่ตอนที่มันอยู่บนตัวผมนั้นยังโลดแล่นเมื่อมองไปที่เตียงขนาดคิงไซส์

“เอ่อ กูว่าวันนี้พอแค่นี้เถอะว่ะ ขวัญไม่ไหวแล้ว” ไอ้โทเดินออกมาจากห้องน้ำก่อนที่พวกผมจะเดินไปถึงเสียอีก เสียเวลาเรื่องถุงยางอนามัยใช้แล้วกับไอ้ชัยอยู่นานสองนาน

“ไปหาหมอมั้ยวะ เดี๋ยวกูพาไป” ไอ้ชัยอาสา

“ไม่เป็นไรหรอก คงเครียดลงกระเพาะน่ะ กินยาแล้วพักซักหน่อยคงดีขึ้น” นายแพทย์เอกภาพวินิจฉัย ผมได้แต่มองหน้ามันอย่างเต็มไปด้วยคำถาม ไอ้ชัยเลยขอตัวกลับบ้านก่อน(ผมรู้ว่ามันจะไปหาแฟน แต่ชอบเอาที่บ้านมาอ้าง) เมื่อเก็บเศษขยะที่หกใส่ที่เดิมแล้ว ขวัญใจก็เดินอิดโรยออกมาจากห้องน้ำ พี่ชายผมประคองอยู่ไม่ห่าง

“ไหวมั้ยขวัญใจ นอนที่นี่ก่อนก็ได้นะ” ผมเสนอ แต่ทั้งคู่ต่างขอตัวก่อนทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวอย่างงงๆ

“แน่ใจนะว่าไหว ไม่ไปหาหมอใช่มั้ย” ผมถามย้ำ แต่พี่ชายตัวดีก็ตอบเสียงหนักแน่น ไอ้ชัยก็เลยต้องขอตัวกลับก่อน สงสัยคงอยากจะไปหาวาวาที่ติวอยู่กับเพื่อนอีกกลุ่ม เมื่อทุกคนออกไปหมดแล้ว ห้องก็เหมือนใหญ่ขึ้นจนไม่ชินเอาเสียดื้อๆ ผมหยิบมือถือจะกดโทรหาตงฉินแต่ก็เกรงว่าจะไปรบกวนสมาธิ ทำได้แค่ส่งข้อความไปหา ถ้ามีเวลาเจ้าตัวคงจะตอบมาเอง

หนึ่งโทรสองโทร(มีแฟนแล้ว) : อยู่ไหนแล้ว จะเสร็จยัง

TongCh. : ยัง มึงเสร็จละเหรอ
... ใช้เวลาแค่ไม่นาน อีกคนก็ตอบกลับมาราวกับรออยู่ไม่มีผิด

หนึ่งโทรสองโทร(มีแฟนแล้ว) : อื้อ วันนี้เสร็จไว

TongCh. : คำว่าเสร็จของมึงความหมายเดียวกับกูมั้ยวะ

หนึ่งโทรสองโทร(มีแฟนแล้ว) : เออดิ ก็เสร็จด้วยกันทุกคืน จะไม่เหมือนกันได้ไง

TongCh. : ไอ้สัส กวนตีน

หนึ่งโทรสองโทร(มีแฟนแล้ว) : โอ๋ๆไม่เล่นละ ติวเสร็จแล้ว ขวัญใจไม่สบาย

TongCh. : เป็นอะไรมากมั้ย

หนึ่งโทรสองโทร(มีแฟนแล้ว) : เห็นว่าเครียดลงกระเพาะแล้วก็อ้วก แต่กูว่า...

TongCh. : ว่า?

หนึ่งโทรสองโทร(มีแฟนแล้ว) : มึงไม่ต้องมาแบ๊ว มึงไม่ได้ใสซื่อแบบที่คนอื่นคิดนะเว้ย

TongCh. : ไอ้เตี้ย คืนนี้มึงนอนห้องเล็กไปเลยนะ

หนึ่งโทรสองโทร(มีแฟนแล้ว) : โอ๊ยๆๆๆ อย่าดิ ผัวขอโทษ ไม่เล่นแล้วก็ได้

หนึ่งโทรสองโทร(มีแฟนแล้ว) : กูกับไอ้ชัยคิดว่า ขวัญใจน่าจะท้อง

TongCh. : ห๊ะ

TongCh. : ***สติ๊กเกอร์รูปหมีตกใจ****


RRRRRRRrrrrrrrrrrr

[มึงพูดบ้าอะไรเนี่ย] ตงฉินคงร้อนใจไม่น้อยเพราะขวัญใจคือเพื่อนสนิทคนเดียวที่คบมานาน มันรีบโทรมาทันที

“กูไม่ได้พูดบ้าๆ กูแค่สันนิษฐาน” ผมขึ้นไปนอนบนโซฟา มองหนังสือและกองชีทวิชาที่จะสอบวางเกลื่อนพื้นห้อง

[เชี่ย] มันสบถ ก่อนจะได้ยินมันขอตัวกลับก่อนกับเพื่อนที่ติวด้วยกัน

“ให้ไปรับมั้ยวะ”

[ไม่ต้อง กูขับรถมา เห็นมึงหลับอยู่ตอนออกมา] เมื่อคืนจัดหนักไปจริงๆ สามยกติดแถมถุงแตกไปอีกสอง

“ขับรถดีๆนะ มีคนเคาะห้องแค่นี้ก่อน” ผมกดวางสายและเดินไปเปิดประตู ร่างที่คุ้นเคยของไอ้โทยืนหัวโด่อยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หน้าตามันไม่เคยเครียดขนาดนี้มาก่อนจนผมใจคอไม่ดีเอามากๆ

“กูมาเอาชีทน่ะ” มันบอกเจตนาก่อนจะเดินเข้ามาเก็บบทเรียนที่วางทิ้งไว้ ผมไม่พูดอะไรเลยนอกจากมองตามการเคลื่อนไหวของลูกพี่ลูกน้องอย่างไม่ละสายตา “มึงจะพูดอะไรก็พูด ไม่ต้องมองขนาดนี้ก็ได้ กูเสียว”

“เสียวเหี้ยอะไรของมึง นี่น้องหนึ่งเอง”

“ถุ๊ย” สีหน้ามันผ่อนคลายกว่าเดิมนิดหน่อย ก่อนที่จะนั่งลงบนโซฟาเต็มแรงและถอดหายใจเฮือกใหญ่

“กูพอช่วยอะไรมึงได้มั้ยวะ” ผมนั่งลงข้างๆพร้อมตบไหล่มันอย่างที่เคยทำตอนเป็นเด็กเวลาเห็นไอ้โทไม่สบายใจ

“กูไม่รู้ว่ะไอ้หนึ่ง ตอนนี้กูก็คิดไม่ตกเหมือนกัน” เสียงของมันประหม่าและกังวลอย่างปิดไม่มิด

“เรื่องขวัญใจใช่มั้ย” ผมหยั่งเชิง

“อื้อ” มันรับแต่โดยง่าย ทั้งที่คิดไว้ว่ามันจะไม่ยอมปริปากเสียอีก “กูคิดว่าขวัญน่าจะท้อง”

“ไอ้สาด” ผมหน้าเสีย ถึงแม้จะคิดเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากให้เป็นเรื่องจริง ถ้าขวัญใจท้องนี่เรื่องใหญ่เลยนะครับ ป๊าของเธอโคตรดุ ถึงแม้จะไม่ได้รังเกียจที่มาคบกับไอ้โทก็ตาม แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้บอกที่บ้านว่าอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่คบกันแรกๆ

“ตรวจแล้วเหรอวะ ชัวร์เหรอวะ แม่กูน่ะกว่าจะรู้ว่าท้องก็ตั้งหลายเดือน ไปตรวจยัง” ไอ้โทส่ายหน้าแทนคำตอบ

“กูไม่กล้าว่ะไอ้หนึ่ง กูกลัวว่าถ้าขวัญท้องจริงๆกูจะต้องทำยังไงวะ อนาคตกูกับขวัญจะเป็นยังไงต่อไป มันมีแต่เรื่องให้คิดเต็มไปหมด เห้อ...” พี่ชายผมถอนหายใจยาวและพิงหลังอย่างคนอ่อนแรง

“ใจเย็นๆก่อนไอ้โท สิ่งแรกที่มึงควรทำคืออยู่ข้างๆขวัญ คอยให้กำลังใจ..”

“กูก็ทำอยู่”

“แต่มีอีกอย่างที่มึงต้องทำ”

“อะไรวะ”

“ใช้ถุงยาง”

“ไอ้สัส กูก็ใช้อยู่มั้ย ไอ้ห่านิ คนกำลังเครียด เล่นอยู่ได้” นั่นไงกู โดนแล้วครับ อยู่ดีไม่ว่าดี

“ขอโทษๆๆๆ กูไม่อยากให้มึงคิดมากเฉยๆ” ผมตบไหล่มันเบาๆอีกหลายครั้ง “มึงใช้ถุงยางแน่นะ”

“เออดิ” มันตอบห้วนๆอย่างคนอารมณ์ไม่ดี

“แล้วจะท้องได้ไง ถึงมันจะไม่ช่วยป้องกัน 100% ก็เหอะ” ได้ผล พี่ชายผมนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะคิดอะไรออก

“เชี่ย กูจำได้แล้ว เดือนที่แล้วกูทำถุงยางแตก” สิ่งที่ผมภาวนาไว้ว่าอย่าเกิดขึ้นกลับถูกสารภาพออกจากปากผู้ต้องหาแล้ว

“งั้นสิ่งที่มึงต้องทำให้ด่วนที่สุดเลยนะไอ้โท” มันหันมามองหน้าผมอย่างกังวลใจ “มึงต้องพาขวัญไปตรวจ”

“กูไม่กล้า กูกลัว” มันกุมขมับ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นไอ้โทมีท่าทางสิ้นหวังเช่นนี้มาก่อน ด้วยฐานะทางบ้านที่เพิ่งจะเริ่มดีขึ้นมาหลังจากที่พี่เอกพี่ชายคนโตของมันได้แฟนรวย (อันนี้ไม่เกี่ยวเท่าไหร่เรื่องแฟนรวย) แต่เพราะพี่เอกมีงานประจำและรายได้ค่อนข้างดีทำให้ทางบ้านไม่ลำบากเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างมันจะเพียบพร้อมถ้าไอ้โทจะต้องกลายเป็นพ่อคนตั้งแต่อายุเท่านี้

“ใจเย็นๆก่อน มึงรอไอ้ตงก่อนมั้ยล่ะ มันน่าจะช่วยมึงได้” ผมนึกถึงสองหมูคู่แฝดลูกชายของไอ้ตงที่เกิดกับนางแบบที่ชื่อเดซี่ตั้งแต่มันเพิ่งเข้าวงการบันเทิงใหม่ๆ หลังจากที่มันพบเจอเรื่องเลวร้ายจากน้ำมือของไอ้สุชาติ ตงฉินเลยประชดชีวิตด้วยการนอนกับคนไม่เลือกหน้าจนถูกนางแบบคนสวยปล่อยท้อง...ยังดีที่มันไม่ติดโรคนะ (แต่ความจริงคือสองหมูเป็นลูกของพ่อตงฉินกับเดซี่ต่างหาก ชีวิตของมันน่าเอาไปทำละครที่สุด หักมุมแล้วหักมุมอีก)

“กูยังไม่พร้อมว่ะ” มันตอบ “มึงว่ากูเป็นคนขี้ขลาดมั้ยวะไอ้หนึ่ง”

“อ้าว อยู่ๆมาถามอะไรกู” ผมนิ่วหน้า คำถามนี้ละเอียดอ่อนแค่ไหนวะ ถึงแม้จะสนิทกัน โตมาด้วยกัน แต่จะตอบยังไงดีล่ะ เพราะถ้าเอาตรงๆกับที่คิด ผมก็คิดว่ามันค่อนข้างขี้ขลาดที่ไม่กล้าแม้จะพาแฟนสาวไปตรวจให้แน่นอน แต่พอมีเหตุผลแวดล้อมมาประกอบด้วยก็เข้าใจอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของมันพอสมควร

“ตอบมาเหอะ” คนถามคะยั้นคะยอ

“กูไม่ตอบ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องว่ามึงขี้ขลาดหรือเปล่า แต่มันอยู่ที่ว่า มึงจะรับผิดชอบยังไงมากกว่านะ”

“อื้อ ขอบใจว่ะ กูอิจฉามึงนะเนี่ยที่เมียมึงท้องไม่ได้” วกกลับมาเรื่องกูได้ไงวะ

“ไอ้สัส กูกำลังอิน กลับมากวนกูซะได้” ใบหน้าของคนโดนด่าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“อย่างน้อยกูก็ได้รู้ว่ามึงมีความคิดดีๆจากสมองขี้เลื่อยบ้างแหละ ไม่เสียแรงที่แม่มึงส่งมาเรียน”

“ไอ้สัสโท มึงว่ากูโง่เหรอ”

“กูไม่ได้ว่า ขวัญก็ว่า ตงก็ว่า คนอื่นๆก็ว่า”

“ไอ้สัส” วันนี้สบถไปกี่รอบแล้วเนี่ย แต่พอเห็นใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของพี่ชายตัวเองก็ทำให้สบายใจมาเปราะหนึ่ง

“กูไปละ ขอบใจมากที่ให้คำแนะนำ”

“หืม คำแนะนำอะไรวะ” ผมถามแบบงงๆ เพราะนึกไม่ออกว่าให้คำแนะนำอะไรไป

“เห็นมั้ย มึงไม่มีสมองจริงๆด้วย ฮ่าๆๆๆ”

“อ้าว ไอ้โท ไอ้พี่เหี้ย แน่จริงมึงอย่าหนีดิ มาให้กูเตะซะดีๆ” ตอนที่ผมตะโกนลั่น ไอ้โทก็รีบวิ่งออกจากห้องไปโดยไวราวกับว่ามีเรื่องด่วนพิเศษให้ต้องทำ ... หวังว่าเรื่องทุกอย่างมันจะออกมาดีนะ

             ทิ้งเวลาไม่นานร่างสูงที่คุ้นเคยก็เดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าหล่อดูร้อนรนน่าจะมีเหตุผลมาจากเรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้ ตงฉินวางเป้ที่ยัดเอกสารประกอบการเรียนที่เอาไปติวลงกับโต๊ะกระจกของห้องรับแขก เราสบตาโดยที่ต่างไม่พูดอะไร ผมยิ้มอ่อนให้ จับจ้องหุ่นนายแบบที่สวมแค่เสื้อคอกลมสีขาวขนาดใหญ่กว่าตัวเองประมาณสองไซส์ สวมกางเกงขาสั้นเกือบถึงเข่าสีดำและรองเท้าแตะแบบสานที่ดูเก่าซอมซ่อที่ราคาหลักพัน(ที่ถูกถอดไว้แล้ว)กำลังเดินมาใกล้และนั่งลงข้างๆกัน

“เหนื่อยมั้ย หิวหรือเปล่า”

“ไม่” ตงฉินตอบสั้นๆตามเคย ก่อนจะโน้มมาซบที่ไหล่อย่างไม่ต้องร้องขอ

“คิดมากเรื่องขวัญใจใช่ไหม”

“อือ”

“จะลงไปหามั้ย”

“ไปมาแล้ว แต่โทบอกว่าขวัญนอนแล้วเลยขึ้นมานี่แหละ”

“เมื่อกี้ไอ้โทก็มาหา” ผมเล่าเรื่องที่คุยกับพี่ชายให้ตงฉินฟังจนจบ

“หนึ่งคิดว่าโทจะพาขวัญใจไปตรวจมั้ย”

“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงดีใจ แหมมมม...ก็นานๆทีแฟนเรียกชื่อผม ปกติเรียก มึงๆ หรือไม่ก็ไอ้เตี้ย

“เห้อ”

“เอาน่า ใจเย็นๆก่อน เราไม่รู้ซะหน่อยว่าขวัญใจจะ เอ่อ เป็นแบบที่เราคิดมั้ย อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลยนะ”

#### ####

[ตงฉิน]

             ผมนึกย้อนไปครั้งที่ยังเด็ก ตอนนั้นน่าจะชั้นประถมนี่แหละที่ได้เจอกับขวัญใจเป็นครั้งแรก เพราะพ่อของพวกเรารู้จักกันในฐานะคู่ค้าทางธุรกิจ การที่ถูกพาไปโน่นมานี่ด้วยบ่อยครั้งเลยทำให้พวกเราทั้งคู่ได้เป็นเพื่อนเล่นกันเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอผู้ใหญ่นั่งล้อมวงคุยเรื่องน่าเบื่ออยู่นานสองนาน จากที่ไม่ชอบที่ถูกพ่อหิ้วไปออกงานพบปะย่อมๆก็เริ่มเปลี่ยนความคิดเพราะได้เจอกับเด็กผู้หญิงน่ารักไว้ผมยาวและผูกโบว์สีเหลืองเป็นเอกลักษณ์แถมมียิ้มหวานฟันหลอที่ชอบหาเกมใหม่ๆมาให้เล่นเสมอ

   นานวันเข้า การพบปะของผมกับขวัญใจก็เปลี่ยน จากการติดสอยห้อยตามไปประชุมกับพวกผู้ใหญ่กลายเป็นการไปมาหาสู่กันของสองบ้าน วันไหนผมเบื่อก็ให้คนขับรถพาไปเล่นที่บ้านโน้น เราจึงสนิทกันมากขึ้นและโตมาด้วยกันจนกระทั่งชั้นมัธยมต้นก็สอบติดโรงเรียนเดียวกันและอยู่ห้องเดียวกันมาตลอด ความชอบและความสนใจที่มีก็คล้ายๆกันแม้กระทั่งเรื่องการเลือกเรียนในระดับม.ปลาย รวมไปถึงมหา’ลัย (เรื่องแฟนก็รสนิยมแย่เหมือนกันคือเลือกพี่น้องหนึ่งโทนี่แหละ) เราโตมาด้วยกันเห็นการเปลี่ยนแปลงของกันและกันมาทุกช่วงชีวิต พอวันหนึ่งที่ได้รู้ความน่าจะเป็นเรื่องขวัญใจอาจจะท้อง สมองมันตื้อไปหมดเพราะเรามองว่าเพื่อนเราเหมือนนางฟ้าคนหนึ่ง สุดท้ายแล้วเมื่อตื่นมาพบว่าคนที่เรามองว่าขาวสะอาดมาตลอดไม่ได้เป็นแบบที่เราคาดหวังไว้ก็พลอยผิดหวัง ทั้งที่มันไม่ใช่ความผิดของขวัญใจเลยสักนิด แต่เป็นที่ผมเองที่มองภาพเพื่อนสนิทเป็นแบบนั้น

             อาการของผมมันคล้ายคนอกหักเมื่อได้รู้ว่าเธออาจจะกลายเป็นคุณแม่ตั้งแต่ยังสาว ประหนึ่งจงอางหวงไข่ ไม่อยากเห็นเพื่อนสนิทคนเดียวของเราออกเรือนไปมีลูก การที่ขวัญใจไปมีแฟนก็รู้สึกโหวงเหวงอยู่แล้ว พอคิดว่าเธอจะมีเลือดเนื้อเชื้อไขให้รักเพิ่มอีก 1 คนก็ยิ่งทำให้ผมสะเทือนใจแปลกๆ อาจเป็นเพราะผมไม่อยากถูกลดความสำคัญในสายตาของขวัญใจ...มั้ง

“ยังคิดมากอยู่อีกเหรอ” เสียงงัวเงียของคนตัวเล็กกว่าถามขึ้นมา คงเป็นเพราะผมคิดและพลิกตัวไปมาหลายครั้ง

“นิดหน่อย ขอโทษนะที่ทำให้ตื่น” ผมนอนตะแคงหันหลังให้ อ้อมกอดที่อบอุ่นก็สอดเข้ามา

“มีอะไรก็เล่าให้ฟังได้นะ ไม่อยากเห็นมึงเป็นแบบนี้เลย” สัมผัสจั๊กจี้ที่ท้ายทอยจากริมฝีปากที่พรมจูบซ้ำๆทำให้จิตใจปั่นป่วน

“ไม่มีอะไรมากหรอก แค่คิดไปเรื่อยเปื่อยเรื่องขวัญใจ” อ้อมกอดนั้นกระชับแน่น มือข้างหนึ่งลูบไล้หน้าอกผมจนเคลิ้ม

“อื้อ” แรงดูดเฟ้นที่ไหล่ทำให้สติเกือบหลุดลอย

“จะไม่ถามเหรอว่าคิดอะไร”

“อยากเล่าหรือเปล่าล่ะ” คนที่กำลังจู่โจมอย่างแผ่วเบาหยุดการไล้ริมฝีปาก

“ก็ไม่เชิง กลัวมึงรำคาญ” ผมจับมือของอีกคนเอาไว้เพื่อหยุดการสัมผัสที่ลูบไล้จากหน้าอกลงมาที่หน้าท้อง

“กูเคยรำคาญมึงด้วยเหรอวะ” ไอ้หนึ่งตอบแทบจะทันที

“เท่าที่จำได้ก็ไม่นะ” ผมพลิกตัวกลับไปนอนตะแคงหันหน้าไปทางไอ้หนึ่งเงาสลัวของห้องนอนมืดมิดยังพอให้เห็นประกายในตา อีกคนยอมคลายแรงกอดรัดเพื่อรอให้ผมปรับท่าทางให้ลงตัวอย่างเงียบเชียบไร้การตอบกลับ “หนึ่ง นอนแล้วเหรอ”

“ยัง ก็รออยู่ว่ามึงจะพูดหรือเล่าอะไรมั้ย”

“กอดกูหน่อย” ผมไม่อยากจะเล่าอะไรทั้งนั้น เพราะความคิดตอนนี้มันสับสนไปหมด แถมเรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะจริงมากหรือน้อยแค่ไหน ผมไม่อยากตีตนไปก่อนไข้ อย่างน้อยได้ไออุ่นของอ้อมกอดของคนที่นอนด้วยทุกคืนก่ายไว้ก็พอจะคลายความกังวลไปได้บ้าง

“เดี๋ยวนี้อ้อนเก่งนะเนี่ย”

“ก็อ้อนมึงคนเดียวมั้ยล่ะ” ผมหลับตา รู้สึกโล่งอกที่ทุกอย่างมันมืดมิดมากพอจะกลบความร้อนผ่าวที่ใบหน้า อกแข็งๆของไอ้หนึ่งแนบชิดเข้ามาจนสามารถจับจังหวะการเต้นของหัวใจที่รุนแรง ไม่ใช่แค่ผมที่กำลังฟินอยู่ตอนนี้

“อย่าอ้อนบ่อยเกินไปล่ะ”

“ทำไมเหรอ”

“อ้อนบ่อยๆไม่กลัวเสียตัวรึไง”

“เคยกลัวที่ไหนล่ะ”

“ฮึ่มๆ งั้นไม่ต้องนอนมันละคืนนี้” ไอ้คนหื่นกามเปิดไฟที่หัวเตียงจนสว่างโร่ สายตาฉ่ำหวานส่งมายั่วยุก่อนลมหายใจอุ่นๆจะแนบชิดกับใบหน้า กลีบปากของมันบดเบียดอย่างเนิบนาบปล่อยให้ความโหยหานำทางไปโดยอัตโนมัติ สองมือใหญ่เกาะกุมลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างจนชุดนอนของผมหลุดรุ่ย ขาแกร่งแหวกว่ายจัดแจงแทรกกลางให้ช่วงล่างของผมออกห่างกัน เสียงดูดเฟ้นของพวกเราดังอื้ออึงในลำคอ ความหวานปลายลิ้นถูกกระหน่ำจ้วงหนักหน่วงจนเกิดน้ำลายไหลยืดส่งผ่านไปมา เมื่อตักตวงความอิ่มเอมจากรสจูบแล้ว แฟนหนุ่มของผมที่คร่อมตัวอยู่ด้านบนก็เริ่มเล้าโลมอย่างหิวกระหาย แรงดูดทรวงอกดังลั่นจนผมต้องกลั้นเสียงครางที่สุดสยิวเอาไว้ไม่ให้มันได้ใจ แต่แรงบุกเบิกที่เบื้องล่างฝืดคับจนเจ็บปร่า

“น่ะ หนึ่ง ใช้เจลเถอะ กูเจ็บ” คนที่หน้ามืดอยู่ชะงักและผละไปหยิบหลอดบรรจุของเหลวที่ใช้ร่วมกันมาชะโลมที่นิ้วหยาบแรงกดเข้ามาในกายตรงส่วนปลายของนิ้วทำให้ผมสะท้าน ปากทางแคบไม่เคยต้านทานความปรารถนาได้เลยสักครั้ง ใบหน้าของพวกเราเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่ออะดรีนาลีนฉีดพุ่ง ลมหายใจหอบพร่าชวนให้จิตใจวาบหวิว นิ้วแกร่งแหวกว่ายลึกสุดถึงโคนส่ายสอดเข้าออกอย่างไม่ถนอม ไม่นานนักสิ่งแปลกปลอมก็เพิ่มเข้ามาทีละหนึ่งจนกระทั่งที่ทางแคบนั้นไม่สามารถเปิดกว้างได้มากไปกว่านี้อีกแล้วนั่นแหละ คนที่นำทางอยู่ด้านบนกลับมาประกบดูดดื่มความหวานในช่องปากของผมอีกครั้ง สองขาถูกยกพาดกับไหล่กว้างจนกระทั่งก้อนกลมกลึงของบั้นท้ายยกตัวเปิดเป็นทาง เสียงฉีกถุงยางอนามัยไซส์พิเศษดังแผ่วเบา ส่วนแรกใหญ่โตทะยานเข้ามาอย่างยากลำบาก ผมหอบหายใจแรงเพื่อสะกดกลั้นความตึงปร่าที่กำลังไหลลื่นเข้ามาในตัวอย่างช้าๆ

“อื้อ ใจเย็น มันจุก”

“ผ่อนคลายหน่อยนะตง ให้หนึ่งเข้าไปนะ”

“อื้อ” ผมเปลี่ยนจังหวะลมหายใจให้ยาวกว่าเดิม แรงเสียดสีขนานใหญ่รุกล้ำเข้ามาจนร่างกายของสองเราแนบชิด รับรู้ถึงความแข็งขืนที่ขยายตัวคับพื้นที่จนจุกตึงจนไม่อาจเปล่งคำพูดออกมาได้ แล้วแรงขยับเข้าออกช้าๆก็ดำเนินมาอย่างมีจุดหมาย ผมครางถี่ๆเมื่อรสรักแสนสุขแปรเปลี่ยนเป็นพายุโหมรุนแรง เสียงเนื้อกระทบกันดังหยาบโลน แต่ยิ่งส่ายสอดเข้ามาหนักหน่วงเท่าไหร่ ความกังวลในใจที่เคยเกาะกุมก็แห้งหายไปมากเท่านั้น แม้จะดึกดื่นยามนี้ แต่บทรักมันเพิ่งเริ่มเท่านั้น และผมก็ยินดีถ้านี่จะไม่ใช่ครั้งเดียวของวัน สองขาเกี่ยวกระหวัดต้นคอแกร่งเอาไว้เมื่อแรงถาโถมทำให้จิตใจหวิวโหวง

“มากกว่านี้ มากกว่านี้”




(https://cdn-th.tunwalai.net/files/member/971823/1989821448-member.jpg)
ภาพประกอบมิได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในนิยายแต่อย่างใด
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 47 P.7 Up 14 มิ.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-06-2021 16:07:51
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 48 P.7 Up 23 มิ.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 23-06-2021 17:26:40
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 48. โศกนาฏกรรมอันโหดร้าย

             ในที่สุดพี่ชายผมก็พาแฟนสาวไปตรวจที่คลีนิกแห่งหนึ่ง ทั้งผมและตงฉินต่างถือวิสาสะไปด้วยโดยไม่ฟังคำทัดทานของทั้งคู่ นั่นเป็นเพราะตงเป็นห่วงเพื่อนสนิทเป็นอย่างมาก นอนไม่หลับมาหลายคืนจนผมต้องออกกำลังกายบนเตียงให้เขาเหนื่อยจัดๆถึงจะหลับไปโดยง่าย ระหว่างที่รอเรียกนั้นพวกเราทุกคนต่างก็อยู่ไม่สุข โทกับขวัญใจจับมือกันแน่น ตงฉินนั่งนิ่งแต่สั่นขาไม่หยุดอย่างประหม่า แม้แต่ผมที่เคยคิดว่าตัวเองรับมือไหวก็ไม่รอด ฝ่ามือชื้นแฉะเต็มไปด้วยเหงื่อจนชุ่ม

“ขวัญใช้ที่ตรวจครรภ์แล้ว แต่ผลออกมาไม่เหมือนกัน อันนึงบอกไม่ท้อง อันนึงบอกว่าท้อง กูเลยคิดว่าจะพาไปตรวจให้รู้แล้วรู้รอด” นั่นเป็นเหตุผลของพี่ชายตัวดีของผมนั่นเองครับ ความจริงแล้วไอ้โทก็คงอยากรู้ไม่ต่างกันว่าขวัญใจเป็นอะไรกันแน่ ช่วงนี้กำลังจะถึงช่วงสอบ ขวัญใจที่เครียดมากอยู่แล้วจิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนอ่านหนังสือไม่ได้ ทั้งสองคนเริ่มมีปากเสียงกันเพราะต่างก็เป็นห่วงอนาคตของตัวเอง

“ไปเถอะ เดี๋ยวกูไปด้วย ไอ้ตงมันก็อยากไป” ผมพูดเชิงให้กำลังใจ ถึงแม้จะรู้ว่ามันไม่ทำให้สภาพจิตใจไอ้โทดีขึ้นเท่าไหร่ก็ตาม

“ไม่ต้องเลย พวกกูไปกันเองดีกว่า”

“เมื่อกี้ไม่ใช่คำขอร้องนะ แค่ประโยคบอกเล่า” ผมตอบกลับ ไอ้โทส่ายหัวแต่ก็ไม่พูดอะไรอีก จนกระทั่งพวกเรามานั่งอยู่ในคลีนิกเล็กๆแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างไกลจากมหา’ลัยเพื่อหลบเลี่ยงสายตาหรือคนรู้จักที่อาจจะมาพบ เก้าอี้สีขาวที่ตั้งอยู่ในห้องถูกจับจองจากผู้มารอใช้บริการจนเกือบเต็ม หลังจากรอเกือบ 15 นาที พยาบาลก็มาเรียกเพื่อนสาวของพวกเราให้เข้าไปในห้องตรวจ

“เราไปด้วย” ตงฉินนั่งไม่ติด ร่างสูงรีบผุดลุกและเดินตามไปที่ห้องตรวจ ผมที่กำลังงงอยู่ก็รีบวิ่งตามไปแทบจะทันที พยาบาลแจ้งว่าให้ญาติรอด้านนอก แต่ไอ้ตงใช้หน้าตาความเป็นดาราเข้าแลก บอกว่าเป็นห่วงเพื่อนสนิทคนนี้มากจนรอไม่ไหวแล้ว ท้ายที่สุดพวกเราก็เข้าไปนั่งฟังผลในห้องตรวจพร้อมกันหมด

             คุณหมอเป็นหญิงรูปร่างท้วมแต่ใบหน้าดูใจดีแจ้งผลการตรวจออกมา และเป็นสิ่งที่พวกเราต่างไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ขวัญใจตั้งท้องอย่างที่คาดไว้ อาการต่างๆก็มาจากการแพ้ท้อง เราทั้งสี่คนหน้าซีดเผือด ไม่มีใครเปล่งเสียงใดๆออกมาสักคน พี่ชายจับมือแฟนสาวไว้แน่น ใบหน้าสวยมีน้ำตาคลอหน่วยก่อนจะหยดลงอาบแก้มอย่างไม่อาจคาดเดาได้ว่าเป็นเพราะเสียใจ ผิดหวังหรือดีใจกันแน่ ตงฉินนั่งเขย่าขาจนน่าหงุดหงิด ผมคว้ามือที่เย็นเฉียบมาจับ ร่างสูงหยุดเขย่าและปล่อยให้ผมจับมืออยู่อย่างนั้นโดยไม่ห่วงว่าคุณหมอจะคิดอย่างไร

“หมอเข้าใจนะคะว่าตอนนี้น้องๆรู้สึกอย่างไร แต่ตอนนี้หมอขอแนะนำ...” คุณหมอมากฝีมือเริ่มให้คำปรึกษาว่าที่คุณแม่มือใหม่ ต้องมีการฝากครรภ์ ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ ผมฟังไปอย่างมึนงง ความสับสนมากมายโฉบเข้ามาครอบครองความคิด เมื่อหันมองคนอื่นนั้นก็แทบไม่ต่างกัน ใบหน้าเหม่อลอยขณะรับฟังคุณหมอพอจะบอกได้ว่าตอนนี้ทุกคนต่างตกอยู่ในห้วงความกังวล

“ถ้าอย่างนั้น หนูมานอนตรงนี้ได้เลยค่ะ” คุณหมอยังใจเย็นและคอยกำกับให้ขวัญใจขึ้นไปนอนบนเตียงยกสูง บนนั้นมีเครื่องมือหลายอย่างที่ผมไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่พอเห็นคุณหมอหยิบอุปกรณ์ขึ้นมาจ่อกับหน้าท้องที่ชุ่มไปด้วยเจลใส ภาพขาวดำที่ปรากฎบนจอบ่งบอกว่าเป็นการอัลตร้าซาวด์ เรานั่งอยู่ที่เดิมโดยที่สองมือยังเกาะกุมกันไว้ ส่วนไอ้โทนั้นไปยืนข้างเตียงไม่ห่าง

“เอ...” คุณหมอขยับอุปกรณ์ในมือไปมาหลายต่อหลายทีก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ เมื่อทาบและขยับชุดตรวจอีกสองครั้งก็หยุดและหันมาสบตากับพี่ชายผมเป็นครั้งแรก

“มะ มีอะไรรึเปล่าครับคุณหมอ” ไอ้โทถามเสียงอึกอัก เรื่องนี้มันปอดแหกเกินกว่าจะปรึกษาพี่เอกพี่ชายแท้ๆของมันเลยทีเดียว

“คือ แฟนของน้องท้องนะคะ แต่ว่า”

“แต่ว่าอะไรคะคุณหมอ” ขวัญใจที่นอนนิ่งอยู่ถามขึ้นมาอย่างร้อนใจ

“แต่ว่าเด็กไม่มีสัญญาณชีพแล้วค่ะ หมอเสียใจด้วยนะคะ” เมื่อได้ยินดังนั้น เสียงถอนหายใจของตงฉินดังมาทันที พร้อมกับน้ำตาที่ไหลเอ่อทั่วใบหน้าของทั้งไอ้โทและแฟนสาว สองคนโผกอดกันและร้องไห้อย่างหนัก

“หมอเสียใจด้วยนะคะ” เสียงปลอบใจจากคุณหมอดังขึ้น แต่หากผมยังกังขาอยู่ว่าที่ทั้งสองคนร้องไห้นั้นมาจากสาเหตุใด เป็นเพราะความเสียใจที่สูญเสียลูกในท้องหรือว่าโล่งใจที่เรื่องกลายเป็นแบบนี้

             คุณหมอไม่ได้จัดยาอะไรให้นอกจากอุปกรณ์ที่ใช้รองเพื่อซับเลือด เนื่องจากเด็กได้จากไปแล้ว ร่างกายของผู้หญิงก็จะกลับมาเป็นปกติในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ประจำเดือนที่หายไปจะกลับมาและขับทุกอย่างออกมาจนหมดไปเอง ใบหน้าสวยของขวัญใจยังเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ไม่มีใครพูดอะไรกันตลอดทางกลับจากคลีนิกราวกับว่ากำลังซึมซับกับเหตุการณ์ทั้งหมดนี้อย่างถ่องแท้ ผมไม่โกรธหรือเสียใจหรือผิดหวังอะไรทั้งนั้น เพราะก็กังวลใจไม่ต่างจากทุกคน กลับรู้สึกโล่งอกเสียด้วยซ้ำที่ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ ... เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ผมก็เริ่มเข้าใจได้ว่าทำไมทุกคนต่างไม่พูดอะไร นั่นเป็นเพราะพวกเราต่างจมอยู่กับความคิดเช่นนี้ ความโล่งใจที่เด็กจากไปแล้ว มันเลยทำให้ดูเหมือนว่าพวกเราเป็นคนไม่ดีที่ยินดีกับความสูญเสีย กระทั่งสามัญสำนึกโจมตีขึ้นมาจนพูดไม่ออก ความรู้สึกนี้ชวนให้ปวดปร่าไปทั้งใจ ความยินดีที่ไม่ควรเกิดขึ้นมันทำให้ผมรู้สึกผิดมากจริงๆ

#### ####

             เมื่อผ่านพ้นช่วงสอบไปแล้ว พวกเราก็เริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางจนเกือบจะเป็นเหมือนเดิม ก่อนหน้านี้มีความหน่วงที่มองไม่เห็นระหว่างไอ้โทกับแฟน ขวัญใจกับตงฉิน จนผมที่เป็นเหมือนตัวกลางพลอยอึดอัดไปด้วย ผมไม่รู้ว่าจะต้องปลอบทุกคนยังไง และไม่รู้ด้วยว่าสองคนนั้นปรับสภาพจิตใจกันอย่างไร ความสัมพันธ์ของขวัญใจกับไอ้โทดูเปลี่ยนไปจากเดิมจนสังเกตได้ เพราะหลังจากสอบเสร็จมันก็ระเห็จกลับมานอนในห้องนอนเล็กเช่นเคย

“มึงกับขวัญยังโอเคปะ” ผมถาม

“อืม มั้ง”

“สรุปโอเคหรือไม่โอเควะ”

“กูก็ไม่รู้ว่ะหนึ่ง พอเรื่องมันเป็นแบบนี้ ทั้งกูและขวัญก็เหมือนจะมองหน้ากันไม่ติด”

“ทำไมวะ”

“บอกไม่ถูกว่ะ มันเหมือนว่าทั้งกูและเค้าต่างโล่งใจที่ลูกจากไป พอหลังจากนั้นขวัญก็เหมือนจะตกใจทุกครั้งที่กูแตะเนื้อต้องตัว แม้แต่จะกอดยังทำไม่ได้ พวกกูแทบไม่คุยกันเลยตั้งแต่กลับมาจากคลีนิกวันนั้น แถมกูก็ไม่อยากจะถามว่าเขาเป็นอะไร เหมือนต่างกันต่างถอยห่างออกจากกัน”

“มึงไม่รักขวัญแล้วเหรอวะ”

“ไม่รู้ดิ รักแหละมั้ง แต่มันแฝงไปด้วยความรู้สึกผิด ถ้าไม่มีกู ขวัญก็คงไม่ต้องเจอกับอะไรแบบนี้ ขวัญเป็นเหมือนผ้าขาว ไม่ควรจะมาแปดเปื้อนเรื่องพรรค์นี้เพราะกู” ไอ้โทร่ายยาวด้วยใบหน้าเจ็บปวด ผมได้แต่ลูบหลังเป็นกำลังใจอยู่เงียบๆ ความรู้สึกผิดฉาบทั่วใบหน้าของพี่ชายคนนี้

“กูดูแย่มากใช่มั้ยวะ ที่ดีใจกับเรื่องที่ขวัญ...”

“ถ้าเด็กยังอยู่ มึงจะดีใจงั้นเหรอ”

“....” พี่ชายผมส่ายหน้า ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเข้าใจ เพราะไม่ว่าจะทางไหน มันก็ดูไม่ดีทั้งนั้น เรื่องนี้จะโทษไอ้โทก็ไม่ได้เต็มปากเนื่องจากมีการป้องกันตอนมีอะไรกัน แต่มาพลาดเพียงเพราะถุงยางอนามัยแตก มันเหมือนเป็นบทเรียนที่ฟ้าตั้งใจให้เกิดหรือเปล่าหนอ คนบนนั้นอาจจะอยากสั่งสอนเรื่องนี้ให้กับคู่รักวัยเรียนที่ใช้ชีวิตคู่ในสังคมเหมือนเป็นเรื่องปกติ หากโชคดีก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าดวงซวยก็คงจะเจอกับเหตุการณ์เหมือนไอ้โทกับขวัญใจก่อนหน้านี้ เพียงแต่ว่าเรื่องของทั้งคู่ไม่อาจรู้ได้ว่าจะนับเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่

“แล้วมึงจะทำยังไงต่อไปวะ”

“เฮ้อ กูก็ไม่รู้ว่ะ คิดไม่ตกจริงๆ” พูดจบมันก็นอนราบกับเตียงนุ่ม ผมมองอย่างเหนื่อยใจเพราะไม่รู้จะสรรหาอะไรมาปลอบได้อีก เมื่อเปลือกตาสองข้างปิดสนิทราวกับว่าอยากอยู่คนเดียว คนไม่จำเป็นอย่างผมจึงเดินออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ ได้แต่หวังว่าทั้งสองคนนี้จะหาทางออกเจอเร็ววัน

#### ####

[ขวัญจิรา]

“โทคะ ขวัญว่าเราเลิกกันเถอะ” ...

             ห้องรับรองของสายการบินระดับห้าดาวเงียบเหงาราวกับความรู้สึกของขวัญในตอนนี้ หลังจากร่ำลาและแยกย้ายกับญาติๆตอนยังไม่เที่ยงคืนก็ทำการเช็กอินและผ่านด่านตรวจเพื่อมาหาที่นั่งพักหรืออาจจะงีบหลับได้สักหน่อย แต่แสงไฟที่ส่องสว่างจนไม่สามารถปิดเปลือกตาลงได้ทำให้ขวัญจำเป็นต้องนั่งเหม่อสำรวจบรรยากาศหงอยเหงายามนี้

“นอนก่อนมั้ยลูก เดี๋ยวประกาศเรียกขึ้นเครื่องป๊าจะปลุกเอง” เสียงของป๊าแว่วมาราวกับเสียงกระซิบ ขวัญส่ายหน้าแทนคำตอบ การเดินทางไกลครั้งนี้กินเวลาร่วม 20 ชั่วโมง ด้วยความที่อยากไปแบบเงียบๆจึงตัดสินใจเลือกไฟลท์ดึกตอนตีสาม บินไปพักและเปลี่ยนเครื่องรวมเวลารอไฟลท์ต่อไปก็ประมาณ 6-7 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็นั่งยาวอีก 14 ชั่วโมงจนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทางที่สนามบินเจเอฟเคของมหานครนิวยอร์กช่วงบ่ายแก่ๆ ด้วยความที่เป็นผู้หญิงที่ป๊าหวงมาก การเดินทางครั้งนี้จึงไม่โดดเดี่ยวแบบที่ตั้งใจไว้

             โทรศัพท์มือถือยังคงสั่นไม่หยุดจากข้อความของใครคนนั้น คนที่ขวัญรักและทำผิดต่อเขาอย่างไม่น่าให้อภัยได้ ภาพความทรงจำที่แสนหวานระหว่างเรายังแจ่มชัดในความทรงจำ แต่ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งเจ็บปวดจนไม่กล้าจะจับมือเพื่อเดินร่วมทางกันได้ ผู้ชายธรรมดาที่แสนพิเศษคนนั้นชื่อ เอกภาพ ใบบุญ เป็นรักแรกของหัวใจที่สอนให้ขวัญเติบโต เรียนรู้และเผชิญปัญหา

... และขวัญตัดสินใจยุติความสัมพันธ์หลังเกิดเรื่องทั้งหมด

“อย่าทำแบบนี้เลยนะขวัญ โทขอร้องล่ะ” น้ำเสียงสั่นเครือปนกับแรงสะอื้นไห้ของชายคนรักที่นั่งคุกเข่าอ้อนวอนอย่างน่าเวทนายิ่งทำให้สภาพจิตใจหดหู่ ประสาทการรับรู้ของขวัญพร่าเลือนไปหมด ความคิดทุกอย่างว่างเปล่าอย่างไร้สาเหตุ มีเพียงน้ำตาที่ไหลรินออกมาเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่าความเจ็บปวดมันยังทรงอานุภาพอย่างน่าหวั่นเกรง

“เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย นะ โทขอร้อง” น้ำเสียงเศร้าสร้อยน่าหดหู่จนแทบจะล้มลงไปประคองกอดคนที่ฟุบหน้าลงกับพื้นห้อง แต่ความรู้สึกผิดที่เกาะกินจิตใจมันมากเกินที่จะยอมรับได้อีกต่อไป

             ตั้งแต่ที่รู้ว่าตัวเองมีอาการผิดปกติ ขวัญพยายามคิดว่ามันก็เป็นแค่โรคกระเพาะอาหารที่เกิดจากความเครียดสะสม ทำให้กินไม่ได้ มีอาการเวียนหัวอยากอาเจียน แต่เวลาผ่านไปโดยไร้ประจำเดือนที่เคยมาตรงเวลาก็เริ่มฉุกคิด ความกังวลใจเริ่มเพิ่มพูนจนแทบกระทบกับการอ่านหนังสือสอบ ช่วงเวลานั้นเองที่แฟนหนุ่มของขวัญดูแลเป็นอย่างดี แต่ภายใต้ใบหน้าอ่อนโยนนั้นมันฉายแววหวาดหวั่นไม่ต่างกันแม้แต่น้อย ความกังวลเกาะกินจิตใจของเราจนแทบไม่คุยกันราวกับว่าต่างต้องการพื้นที่เงียบๆในการคิดตรึกตรอง ยิ่งเวลาผ่านพ้นไปในแต่ละวัน ความคิดนั้นกลับสะสมจนครอบงำความสุขจนแห้งหายไปแล้ว ... และสุดท้าย ขวัญตัดสินใจไปตรวจและพบว่าตั้งท้องเหมือนที่คิดไว้

             แต่...การตั้งท้องไม่ใช่เรื่องแย่ที่สุด วินาทีที่คุณหมอแจ้งผลการตรวจ ใบหน้าของโทกลับหม่นหมองคล้ายคนสิ้นหวัง ซึ่งขวัญคิดว่าสภาพของตนก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ความกลัวที่มีมาตลอดนับเดือนมันกลายเป็นเรื่องจริงราวกับฝันร้าย ในหัวคิดถึงแต่เรื่องแย่ๆเต็มไปหมด ทั้งครอบครัวที่จะต้องผิดหวังในตัวลูกสาวคนนี้ หรือแม้กระทั่งการเรียน ทุกอย่างถาโถมเข้ามาพรวดเดียวจนร่างกายรับไม่ไหว มันหนักหนาเสียจนอยากให้คนที่กุมมืออย่างแน่นหนานั้นปลอบใจด้วยรอยยิ้มและแววตาที่จะทำให้ขวัญเชื่อมั่นได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ใช่เรื่องผิด

             เมื่อคุณหมอแจ้งว่าเด็กในท้องไม่มีการตอบสนอง ความหวาดกลัวที่เคยมีพลันเหือดหายอย่างไม่อาจควบคุมได้ เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของพวกเราทั้งสองคนประสานกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ใบหน้าคล้ำเครียดแปรเปลี่ยนเป็นสดใสอย่างช้าๆ มันยิ่งทำให้ขวัญรู้สึกย่ำแย่มากขึ้นไปอีกที่ตัวเองกลายเป็นคนใจร้ายที่ดีใจเมื่อได้รู้ว่าลูกในท้องจากไปแล้ว

“ไปที่โน่นคิดรึยังว่าจะเรียนอะไร” ป๊าถามเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงแม้มันกระทันหัน แต่ก็ไม่มีใครห้ามลูกสาวคนนี้แม้แต่น้อย

“ขวัญว่าจะเรียนภาษาก่อนแล้วไปสอบ TOEFL และ SAT ก่อนว่าคะแนนผ่านมั้ย ตอนนี้ขวัญยังไม่รู้ว่าอยากเรียนอะไร”

“ใจเย็นๆ ค่อยๆคิด ป๊าอยู่กับขวัญได้เป็นปีเลยล่ะ เดี๋ยวป๊าแนะนำเอง”

“แล้วงานของป๊าล่ะคะ”

“ไม่ต้องห่วง ป๊ามีมือขวาคอยช่วย” สิ่งหนึ่งที่ป๊าทำมาตลอดคือให้ความอบอุ่น และเข้าใจในตัวลูกสาวคนนี้อย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าขวัญจะทำอะไรที่ไร้เหตุผล แต่ป๊าก็ไม่เคยตั้งคำถามหาเหตุผลมารองรับ ป๊าจะสนับสนุนในสิ่งที่ขวัญตั้งใจทำอย่างเต็มที่ ไม่เคยสักครั้งที่จะมองหน้าขวัญด้วยแววตาเจ็บปวดหรือหวาดกลัว

             ประจำเดือนของเรากลับมาอีกทีหลังจากวันที่รู้ผลการตรวจในอีก 4 วันให้หลัง ขวัญรับรู้ได้ถึงแรงขับเคลื่อนมหาศาลที่ผลักเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองให้หลุดร่วงราวกับเส้นผมที่ไร้ประโยชน์ อาการปวดท้องครั้งนี้มากกว่าทุกครั้งที่มีวันนั้นของเดือน ถึงแม้โทจะคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง แต่ระยะห่างของสองเรากลับมากขึ้นอย่างไม่ทันสังเกต ความสบายใจที่เคยมีได้ลดทอนไปจนสิ้น มีเพียงความรู้สึกผิดส่งผ่านมาระหว่างพวกเราทั้งคู่อย่างน่าอึดอัด คำพูดแสนหวานกลายเป็นอาการประดักประเดิด ความรู้สึกผิดของพวกเราทั้งคู่นั้นเหมือนกันจนไม่อาจมีใครคนใดคนหนึ่งจะก้าวข้ามและปลอบประโลมซึ่งกันและกัน เมื่อเริ่มพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ยิ่งทำให้พวกเราทั้งคู่จมอยู่กับความผิดบาปที่ต่างดีใจเมื่อเสียลูกในท้องไป และนั่นเองทำให้พวกเราจมจ่ออยู่ในห้วงของความเศร้า ก่ายกอดกันร้องไห้จนกระทั่งเผลอหลับไปในแต่ละวันราวกับค่อยๆขุดหลุมลึกและพากันลงไปซุกซ่อนตัวหลบหนีความรู้สึกผิดที่ไล่ล่าราวกับคนขี้ขลาด

             และสุดท้าย ขวัญก็ตัดสินใจที่จะจบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องการเรียน และความรัก ทุกอย่างมันหนักหนาเกินไปที่จะอยู่เผชิญหน้าราวกับอัศวินผู้กล้าหาญ ขวัญเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความรัก แต่ยิ่งรักก็ยิ่งเจ็บปวด เรื่องทั้งหมดนี้มันคือความผิดร่วมของเราสองคน โทไม่ได้ทำผิดหนักหนาจนไม่อาจให้อภัยได้ แต่เป็นเพราะขวัญไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ต่างหากถ้ายังยื้ออยู่กับแฟนหนุ่มคนนี้อย่างมีความสุขราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น การสูญเสียครั้งนี้ทำให้ขวัญไม่อาจรับได้ถ้าพวกเรายังมีกันและกันโดยปล่อยเรื่องร้ายให้เป็นแค่ความหลังที่ไม่ควรจดจำ

             การเลือกเดินออกมาจากตรงนั้นไม่ได้การันตีว่าขวัญจะให้อภัยตัวเองได้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ไม่ต้องรู้สึกผิดเพิ่มมากขึ้น เวลาจะค่อยๆเยียวยาสภาพจิตใจของพวกเราทั้งคู่ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่ามันจะนานแค่ไหน แต่ก่อนจะถึงวันนั้น เราต้องเริ่มทำอะไรบางอย่างเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิต เพื่อสิ่งที่เลือกนั้นจะนำพาเราไปสู้จุดที่ดีกว่าการหยุดอยู่ตรงนี้

             เครื่องบินลอยลำเหนือน่านฟ้าที่ไกลแสนไกลร่วมแปดชั่วโมงหลังจากเราแวะพักเพื่อเปลี่ยนเครื่องจนเบื่อหน่าย ท้องไส้ที่ปั่นป่วนยิ่งทำให้นอนไม่หลับ ในใจสั่นไหวราวกับเอะใจบางอย่าง ขวัญพยายามข่มตานอน แต่ก็ทำไม่ได้ ท้องฟ้ามืดมิดเริ่มมีเสียงร้องครืนๆอยู่ด้านนอกก่อนกัปตันจะประกาศเป็นภาษาอังกฤษให้รัดเข็มขัดและอยู่กับที่เนื่องจากกำลังบินผ่านพื้นที่อากาศแปรปรวน แล้วเครื่องบินก็เริ่มสั่น

             พลันเครื่องบินก็ทรุดฮวบ ขวัญหวีดร้องสุดเสียง ผู้โดยสารต่างตื่นตระหนกหวีดร้องเสียงดังลั่น แต่ละคนเริ่มสวดภาวนาเมื่อการเคลื่อนที่วูบแรงๆของนกยักษ์ไม่มีท่าทีจะปกติ ตัวเครื่องสั่นราวกับมีแรงเขย่ามหาศาลจนทำให้คนที่ไม่ยอมคาดเข็มขัดถูกแรงเหวี่ยงไปหลุดจากเก้าอี้จนได้รับบาดเจ็บ ความชุลมุนจากท้ายเครื่องดังเอะอะมาถึงตรงนี้แล้วเสียงระเบิดตูมพร้อมเสียงร้องอย่างตกใจของพนักงานต้อนรับทำให้ความหวาดกลัวฉีดวาบเข้าก้านสมอง หน้ากากอ็อกซิเจนหลุดร่วงและแกว่งไกวยากจะคว้าได้โดยง่าย มือของขวัญสั่นเงอะงะยามยื่นไปฉุดหน้ากากลงมาครอบจมูก

“ป๊า ตื่น ป๊า” ขวัญพยายามเขย่าร่างที่นอนนิ่ง แต่ศีรษะเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลเจิ่งนอง เสียงวูบของลมยามที่เครื่องบินดิ่งลงเบื้องล่างทำให้รู้สึกสิ้นหวัง ความรู้สึกนี้แทบไม่ต่างกับตอนที่รู้ว่าตัวเองท้อง และตอนที่บอกเลิกกับแฟนเลยแม้แต่น้อย

             เสียงกรีดร้องระงม ปนเปกับเสียงสวดมนต์หลากหลายภาษาดูคล้ายภาพสโลว์โมชั่นในภาพยนต์ยามที่ตัวเอกกำลังเผชิญสภาวะวิกฤติ เพียงแต่ว่าบนเครื่องบินลำนี้ไม่มีฮีโร่ที่จะเข้ามาแก้ไขเหตุการณ์เลวร้ายได้ เสียงระเบิดเมื่อครู่ทำให้เครื่องยนต์เกิดขัดข้อง แรงลมกรูกระชากตัวเครื่องให้ขาดจากกันก่อนส่วนท้ายที่ปลิดปลิวจะระเบิดตูมกลางอากาศ ขวัญร้องไห้อย่างหมดหวัง รู้สึกพ่ายแพ้กับชะตาชีวิตของตัวเอง สองมือคว้าไขว่ไปกับอากาศที่เย็นยะเยือกยามที่ลอยเคว้งคว้างดิ่งลงเบื้องล่าง หยดน้ำมหาศาลเปรอะทั่วใบหน้า ร่างของคนหมดสติหลายคนลอยลิ่วออกไปราวปุยนุ่น เสียงฟ้าคำรามและสายฟ้าแลบแปลบปลาบยิ่งตอกย้ำความหวังให้ริบหรี่ นี่หรือวาระสุดท้ายของชีวิต มนุษย์เราสามารถตายได้ง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ

“ฮืออออออออ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด” เสียงเครื่องยนต์ที่ระเบิดมาจากตรงไหนก็ไม่รู้ทำให้ยิ่งตกใจจนร้องไห้ เสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวเต็มเสียงคล้ายรอความหวังให้ตัวเองยังคงมีชีวิตอยู่ แต่จังหวะดำดิ่งด้วยแรงดึงดูดมากขึ้นจนกระทั่งหน้ากากที่สวมหลุดออก สติเริ่มเลือนลางจนทุกอย่างค่อยๆจางหายไป ความร้อนวูบวาบจากประกายไฟพวยพุ่งจนแสบปร่า

“ขวัญ! ขวัญ!” เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังมาจากที่ไกลแสนไกล แม้ร่างกายไร้ความเจ็บปวดแต่ก็ไม่สามารถขยับได้ดังใจนึก นี่หรือโลกหลังความตาย ขวัญจำได้ว่าตัวเองกำลังอยู่บนเครื่องบินมุ่งหน้าไปนิวยอร์คซึ่งเกิดขัดข้องทางเทคนิคและกำลังจะตก

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” เสียงหวีดร้องดังจากปากที่ขยับไม่ได้ ร่างกายจับเกร็งคล้ายคนเป็นลมชักถูกเขย่ารุนแรง

“ขวัญ ตื่น ขวัญ!”

พรึ่บ... แสงไฟแยงตาเจิดจ้าจนต้องหรี่มองโดยรอบ ภาพที่คุ้นเคยประจักษ์แก่สายตา ใบหน้าตื่นกลัวของคนรักคร่อมด้านบน สัมผัสปวดร้าวจากแรงบีบที่แขนทั้งสองข้างทำให้สติกลับมาอีกครั้ง

“ทะ โท” เสียงของขวัญสั่นเครือ น้ำตาหยาดรินอาบแก้มไหลลงเบื้องล่าง

“ฝันร้ายเหรอครับ...  โอ๋ ไม่ร้องนะ โทอยู่นี่แล้ว มันเป็นแค่ฝัน แค่ฝัน” ร่างแกร่งคว้าตัวขวัญไปกอดแนบอก ไออุ่นของโท แรงหอบหายใจและจังหวะการเต้นในอกซ้ายทำให้ขวัญคลายความตระหนก

“โท ขวัญกลัว ขวัญฝันว่าขวัญบอกเลิกโทแล้วลาออกจากมหา’ลัย แล้ว แล้ว ป๊าก็พาไปอเมริกาเพื่อหาที่เรียนใหม่ แล้ว แล้ว แล้ว เครื่องบินตก ขวัญเห็นภาพทุกอย่างชัดมาก มันเหมือนจริงมาก ขวัญกลัว ฮือ ขวัญกลัว”

“ไม่เป็นไรแล้วนะ ขวัญไม่ได้ไปไหน เราไม่ได้เลิกกัน เราแค่พูดกันน้อยลงเฉยๆ แต่โทก็อยู่กับขวัญตลอดเวลา” เสียงปลอบนุ่มทุ้มทำให้ผ่อนคลาย ความหวาดกลัวที่เกาะกินใจเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ มือหนาลูบไล้เส้นผมอย่างทะนุถนอมทำให้จิตใจอบอุ่นขึ้น

“โท อย่าไปไหนนะ อย่าทิ้งขวัญไปไหนนะ”

“ไม่มีทาง โทไม่มีทางทิ้งขวัญแน่นอน” เขารับคำหนักแน่น ขวัญยกสองแขนที่อ่อนเปลี้ยขึ้นมากอดร่างแกร่งนี้ไว้ ความรู้สึกย่ำแย่ที่ผ่านมาคลี่คลายไปอย่างง่ายดายแค่ได้ยินคำว่าโทไม่มีวันทิ้งขวัญไปไหน

“ขวัญขอโทษที่ไม่คุยกับโท ขวัญขอโทษเรื่องลูก ขอโทษ ขอโทษ” ไม่รู้ว่าขวัญพร่ำเพ้อคำว่าขอโทษนานแค่ไหน มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนอยู่เสมอ นั่นคือความรักของโทที่มีให้ ไม่ว่าจะเผชิญกับปัญหาอะไรในอนาคต ขวัญมั่นใจว่าตัวเองเลือกคนไม่ผิด

... บทเรียนเรื่องการท้องมันหนักหนา แต่เราต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้ ใช้ชีวิตกับคนที่เรารัก หรือไม่ก็ยอมจมอยู่กับฝันร้ายที่จะเกาะกินจิตวิญญาณของเราไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น และขวัญตัดสินใจแล้วว่าจะก้าวผ่านเรื่องราวร้ายๆไปกับคนๆนี้


(https://s3.ap-southeast-1.amazonaws.com/media.fictionlog/chapters/60bb4191cd069d001ba20b75/60d30d9c8HRGFp5y.jpeg)
ภาพประกอบมิได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในนิยายแต่อย่างใด
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 48 P.7 Up 23 มิ.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 23-06-2021 17:27:57

ยังมีคนติดตามเรื่องนี้กันอยู่มั้ยน้ออออออ
ขอคนละเม้นต์เพิ่มกำลังใจให้คนเขียนหน่อยนะครับ

ขอบคุณครับ
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 48 P.7 Up 23 มิ.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 23-06-2021 17:48:10
ตามอยู่ครับ
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 48 P.7 Up 23 มิ.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 26-06-2021 00:02:39
 :mew2: :hao5: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 48 P.7 Up 23 มิ.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 27-06-2021 23:35:30
บทพิสูจน์ความรักของโทกับขวัญใจสินะ   :m15:
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 48 P.7 Up 23 มิ.ย. 64
เริ่มหัวข้อโดย: Bullboygear ที่ 29-06-2021 16:01:33
 o13 o13
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 49 P.7 Up 1 ก.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 01-07-2021 13:53:44
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 49. นรกมาเยือน

[เอกราช]

             ผมลืมตาโพลงในความมืดโดยมีร่างกำยำของตงฉินนอนหายใจราบเรียบอยู่ในอ้อมกอด คิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดอย่างอ่อนล้า ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายและไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นโดยมีผมเข้าไปพัวพันอยู่ในนั้น สมองพยายามประมวลผลหาสาเหตุของเรื่องต่างๆ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งเจอทางตัน เมื่อยิ่งเจอทางตันก็ยิ่งฟุ้งซ่าน

             พี่เจดหายไปจากวงจรชีวิตของผมร่วมปีแล้ว แต่พวกเรายังเป็นเพื่อนกันทางโซเชี่ยลและดูเหมือนกำลังไปได้ดีกับแฟนหนุ่มชื่อเคมีที่เคยมาจีบขวัญใจ มีเรื่องกับไอ้โท และมีเซ็กซ์อย่างบ้าคลั่งกับผมในห้องน้ำของบาร์ ผมตัดสินใจเก็บเรื่องของพี่เคมีไว้เป็นความลับ เพราะมันทำให้รู้สึกว่าได้ลงโทษพี่เจดทางอ้อมแล้วกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น

             สำหรับทอยนั้น พวกเราขาดการติดต่อกันอย่างเด็ดขาดไปแล้ว ผมให้อภัยฉัตรชัยได้ แต่ไม่อยากเข้าไปวนเวียนกับอัคคีและฉัตรพงษ์อีก ภาพพจน์ของคนที่ถูกทำร้ายถูกเปิดโปงจนไม่หลงเหลือความน่าสงสารอีกต่อไป ไอ้ทอยน่ากลัวเกินกว่าจะเอาตัวเองไปยุ่งด้วย ที่ผ่านมาผมไม่แน่ใจเลยว่ามีเรื่องไหนจริงบ้าง เรื่องราวมันเปราะบางจนไม่อาจไว้เนื้อเชื่อใจได้อีกแล้ว วิธีแก้แค้นที่ดีที่สุดคือการเอาตัวเองออกห่างจากคนๆนั้นและใช้ชีวิตให้ดี เพราะเนื้อร้ายมันย่อมเป็นเนื้อร้ายวันยังค่ำ

“ไม่นอนเหรอ” ตงฉินพลิกตัวและถามด้วยเสียงงัวเงียเมื่อผมพลิกตัวผละอ้อมกอดออก

“คิดอะไรเพลินๆน่ะ”

“เลิกคิดได้แล้ว เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่คุ้มที่จะหาเหตุผลหรอก หยุดคิดแล้วมากอดกูเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงเข้มออกคำสั่งทั้งที่ยังไม่ลืมตา ผมยิ้มและพลิกตัวกลับคว้าร่างหอมๆและอบอุ่นมาซุกลำตัวอีกครั้ง

... ตงฉินพูดถูก ผมควรหยุดคิดและนอนได้แล้ว

#### ####

             เสียงดังจอแจของผู้คน ณ โรงอาหารของคณะยังเหมือนเดิม ขวัญใจกับไอ้โทกลับมาหวานชื่นกันอีกครั้งหลังจากผ่านเรื่องนั้นไม่นานนัก ซึ่งผมก็ไม่มีโอกาสได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งคู่กันแน่ ความอยากรู้มีมากจนอึดอัดแต่เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนกำลังมีความสุข ผมจึงต้องปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไป

“ทำไมผัดกะเพราต้องใส่ถั่วฝักยาวด้วยวะ” ฉัตรชัยบ่นอุบและเขี่ยส่วนเขียวๆชิ้นจิ๋วให้อยู่ขอบจาน

“มึงแม่งเรื่องมาก” ผมด่า

“โตป่านนี้แล้วยังเลือกกินเป็นเด็กอีก” คิ้วซ้ำเติม

“จริง โตป่านนี้แล้วยังทะเลาะกันเป็นเด็กไปได้” ตงฉินพูดประโยคเดียวพวกเราเงียบไปทั้งโต๊ะ ช่วงนี้งานละครของมนุษย์แฟนชุกจนไม่สามารถโฟกัสเรื่องเรียนได้เท่าที่คาดหวัง ถึงแม้ผมจะพยายามเข้าเรียนแทนบางวิชา แต่การควบทุกหน้าที่ทั้งแฟน ตัวแทนเข้าเรียน คนขับรถพาไปกองถ่ายและผู้จัดการส่วนตัวก็ไม่เอื้อให้ทำทุกอย่างได้ดีมากนักเช่นกัน

“ไปเรียนก่อนนะทุกคน ปะตงไป เดี๋ยวสาย” ผมรีบฉุดแขนคนตัวสูงที่หน้าตางัวเงียออกจากตรงนี้ เพื่อนๆส่งสายตาขอบคุณมาทางผมราวกับเป็นฮีโร่ ยิ่งทำงานหนัก เวลานอนแทบจะไม่มียิ่งทำให้ตงฉินหงุดหงิดง่ายและจิกกัดคนอื่นไปทั่ว

“แม่มึงจะคลอดเมื่อไหร่” เดินกันไม่กี่ก้าว คนตัวสูงก็ถามมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ผมหันไปมองใบหน้าหล่อที่อ่อนแรงอย่างคาดไม่ถึง ความอิดโรยฉายแววทั่วใบหน้า

“เดือนหน้า”

“วันนี้ไปหาซื้อของรับขวัญน้องกัน”

“หืม อารมณ์ไหน” ผมตามไม่ทันจริงๆ

“อารมณ์ปกติ สามสี่เดือนมานี้กูยุ่งจนไม่ได้ไปบ้านมึงเลย กว่าจะปิดกล้องก็อีกสิบวัน”

“ไว้ค่อยไปหาซื้อหลังปิดกล้องก็ได้”

“ไม่” ตงฉินยืนยันหนักแน่น

“ทำไมล่ะ” ผมกอดอก เฝ้ามองร่างสูงที่อยู่ๆก็หยุดเดิน

“บอกว่าจะไปก็ไปสิ จะเซ้าซี้ถามทำไม” นั่นไง เวอร์ชั่นซาตานมาแล้ว

“ตงฉิน” แต่เชื่อเถอะว่าผมสามารถทำให้มันหยุดได้โดยการทำเสียงดุๆ “ทำไมต้องไปวันนี้”

“ก็...” แววตาคนหล่อดูลังเล และผมก็คิดไม่ผิดว่ามันมีเจตนาอื่นแอบแฝง

“ไม่บอกก็จะไม่พาไป” ผมยื่นคำขาด

“คือ ... พ่อกับแม่กูอยากเจอมึง” ผมอ้าปากค้างกรามแทบจะกระทบพื้นแข็งๆได้เลยล่ะ

“วะ วันนี้”

“อื้อ”

“ละ แล้วทำไมเพิ่งมาบอก” ผมเริ่มโวยวาย ถึงแม้จะเคยไปเจอะเจอท่านทั้งสองมาบ้างแล้ว แต่เหมือนกับว่าวันนี้มันดูแปลกๆ

“ก็พี่ต่อเพิ่งโทรมาบอก ว่าพ่ออยากเจอแฟนกู...” นั่นไงล่ะ คิดไว้ไม่มีผิด ร้อยวันพันปีพ่อแม่มันไม่เคยจะถามหา ทำไมต้องมาอยากเจอไอ้หนึ่งวันนี้ด้วยวะ

“ทำไมพ่อมึงถึงอยากเจอกูล่ะ”

“มึงไปถามพี่เอกกับพี่ต่อโน่น ไม่รู้ไปโม้อีท่าไหนพ่อกูถึงอยากเจอมึงนัก” พี่ต่อคือพี่ชายแท้ๆของตงฉิน ส่วนพี่เอกคือพี่ชายของไอ้โทจึงมีศักดิ์เป็นพี่ชายผมอีกคน และพวกเราทั้งสองคนต่างได้เป็นแฟนกับลูกชายทั้งสองคนของบ้านนี้

“เชี่ยๆๆๆๆ” ผมเดินวนไปมาเหมือนหนูติดจั่น “ไม่ไปได้มั้ยวะ”

“ป๊อด”

“เออ กูป๊อด แต่มึงคิดเหรอว่าพ่อแม่มึงจะชอบกูลงน่ะ”

“ไม่รู้ดิ ชอบไม่ชอบก็ช่างเขาดิ กูรักของกูก็พอแล้วมั้ย” ตงฉินพูดแล้วเดินลิ่วออกไป

“ห๊ะ มึงว่าไงนะ เอาใหม่ซิ” ผมตะลึง เอานิ้วแคะหูไปมาแล้วรีบวิ่งตามหลังคนตัวสูงที่แทบจะวิ่งเปี้ยวซะแล้ว หลังหูของคนข้างหน้าดูแดงๆผิดปกติ ผมหยุดวิ่งตามเพราะเหนื่อยและมันเข้าห้องเรียนไปแล้ว

ติ๊ง ...

TongCh. : ต้องซื้อถุงยางเพิ่งด้วย มันหมดแล้ว

... เชี่ยเอ๊ยยยยยยย ต้องตกนรกก่อนใช่ไหมถึงจะได้ขึ้นสวรรค์

#### ####

             บรรยากาศบนโต๊ะอาหารราวกับอยู่บนยอดเขาเอฟเวอร์เรส สภาพร่างกายเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ สภาพจิตใจอ่อนล้าแทบจะกระโดดลงไปจากตรงนี้ สายตาคมกริบจับจ้องมาจนเย็นวาบไปทั่วสันหลัง ท่านประธานกับคุณนายมีราศีที่คนทั่วไปไม่มี และมันทำให้คนที่อยู่ด้วยรู้สึกอึดอัดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากเป็นแต่ก่อนที่เข้าออกบ้านนี้ในฐานะเพื่อน ทั้งสองท่านดูใจดีกว่าตอนนี้หลายแสนเท่า แต่พอมานั่งร่วมโต๊ะในฐานะแฟนของลูกชายคนสุดท้อง บรรยากาศมันอึมครึมจนนั่งแทบไม่ติด

“เรียนจบแล้วอยากทำอะไรล่ะเราน่ะ” อยู่ๆท่านประธานก็ถาม ผมที่กำลังตักกับข้าวต้องชักมือกลับส่งยิ้มเจื่อนไปทางหัวโต๊ะ

“คะ คือ ยังไม่ได้คิดเลยครับ” ผมตอบ และอยากตบปากตัวเองที่สุด

“อีกปีนิดๆก็จะจบกันแล้ว ยังไม่มีแผนกันอีกเหรอ” เสียงเข้มๆและมาดขรึมๆยิ่งทำให้ใจแป้ว

“พ่อ จะคาดคั้นไอ้หนึ่งมันทำไมล่ะ” ตงฉินนั่งอยู่ด้านซ้ายมือของผมซึ่งอยู่ตรงข้ามกับคุณนายแม่ ฝั่งตรงข้ามของผมคือพี่แก้วที่ทำหน้าเคร่งเครียดกดดันอยู่โดยมีพี่พันธุสามีของแกนั่งหน้านิ่งข้างกัน

“เงียบก่อนตงฉิน”

“ไม่ ทำไมพ่อ...”

“ตง ลูก เงียบก่อนนะ” คุณนายส่งเสียงปราม มันอ่อนโยนมากกว่าจะเป็นการดุ คนที่กำลังจะเดือดดาลก็เงียบลงทันใด

“พวกเธอสองคนคบกัน ฉันไม่มีปัญหาอะไรด้วยหรอกนะ แต่เธอรู้ใช่ไหมว่าต่อไปตงฉินจะต้องมาดูแลบริษัท..” ผมพยักหน้า

“เธอคิดว่าเธอจะดูแลลูกชายฉันได้ดีแค่ไหนกันพ่อหนุ่ม แค่ฉันถามเรื่องอนาคตอันใกล้เธอยังตอบฉันไม่ได้เลย แล้วแบบนี้เธอจะให้ฉันมั่นใจได้อย่างไรว่าเธอจะดูแลลูกชายฉันได้” ผมก้มหน้า รู้สึกชาราวกับถูกตบซ้ายขวาไม่ยั้งหลายร้อยครั้ง

“ผมดูแลไอ้หนึ่งได้” ตงฉินพูดแทน

“พ่อกับแม่รู้ว่าเราดูแลได้ แต่แม่ถามจริงๆนะตง ว่าคนเป็นสามีจะยินดีให้ภรรยาหาเลี้ยงดูแลงั้นเหรอ”

“ห๊ะ” เสียงของพวกเราทั้งคู่ดังพร้อมกัน หน้าตาเหรอหราไม่ต่างกัน

“มะ แม่” ตงฉินดูเหมือนจะช็อก ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อหูว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้ ... ทุกคนรู้ลึกขนาดนี้เลยรึ

“พวกเธอคิดว่าพวกเราเต่าล้านปีขนาดนั้นเชียวรึ” ท่านประธานดูผ่อนคลายขึ้น

“ไอ้พี่ต่อใช่ไหมพี่แก้ว” ตงฉินหันไปแยกเขี้ยวใส่พี่สาวคนโต

“เปล๊า พี่ไม่รู้” เฉไฉหน้าตาเฉยมาก

“ทีแรกแม่ก็คิดว่าตงเป็น เอ่อ สามีนะ แต่พอรู้ว่าไม่ใช่ก็...” คุณนายพูดอ้อมแอ้ม

“พ่อก็เลยเรียกผมกับไอ้หนึ่งมาซักประวัติใช่มั้ย” ตงฉินถาม

“พ่อก็แค่อยากรู้ ว่าแฟนลูกจะดูแลลูกพ่อได้ดีแค่ไหน...” น้ำเสียงที่เคยดุดันกลับลดระดับลง ผมแอบถอนหายใจเพราะมันต่างจากที่คิดไว้ราวฟ้ากับเหว นึกว่าจะถูกพ่อแม่ของแฟนกดดันให้เลิกกันเสียอีก

“ถึงแม่จะเข้าใจว่ารักกัน แต่แม่ก็เติบโตมาคนละยุคกับพวกเรานะ ในฐานะภรรยา แม่ก็อยากมีคนดูแล จะให้แม่ปล่อยวางแค่เพราะพวกเราเป็นผู้ชายทั้งคู่แม่ก็ทนไม่ได้หรอก แม่เลี้ยงตงฉินมาอย่างดีราวกับไข่ในหิน จะมีสามี เอ๊ย แฟนทั้งที สินสอดแม่ก็ไม่ได้ แถมว่าที่ลูกเขยยังไม่วางแผนอนาคตตัวเองเลย แล้วแบบนี้แม่ ... “

“แม่ ไม่เอาอย่าร้อง” ตงฉินรีบลุกไปหาผู้หญิงที่ผมขาวโพลนฝั่งตรงข้ามและกอดอย่างรักใคร่ ผมทำได้แต่หน้าเจื่อนเพราะพูดอะไรไม่ออก

#### ####

             บทสนทนาบนโต๊ะอาหารยังดังก้องในโสตประสาท ถ้ามองในแง่ร้ายคือพ่อแม่ของตงฉินกำลังกีดกันพวกเราอยู่อ้อมๆ แต่ทั้งสองท่านมีมารยาทมากพอที่จะไม่พูดตรงๆหรือไล่ผมออกจากชีวิตลูกชายคนสุดท้องเยี่ยงหมูหมา แต่ถ้ามองโลกในแง่ดีก็จะเข้าใจว่าทั้งสองท่านพยายามเตือนสติให้ผมโตเป็นผู้ใหญ่เสียที ไม่ใช่ทำตัวลอยไปลอยมาไร้อนาคตแบบนี้

“ฉันไม่ได้รังเกียจหรือตัดสินคนอื่นจากฐานะหรอกนะ เพราะต้นตระกูลของฉันก็ลำบากมาก่อน ฉันแค่อยากมั่นใจว่าลูกชายฉันจะคบกับคนที่สามารถดูแลตัวเองและคนข้างตัวได้อย่างไม่ลำบาก ตั้งแต่เด็กจนโต ตงฉินไม่เคยลำบาก ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่พ่อที่ดีที่สุดในโลก แต่ฉันก็ไม่เคยหยุดเป็นห่วงลูกชายฉันได้เลยสักวัน” เสียงของท่านประธานอ่อนโยนยามเอ่ยถึงตงฉิน มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองโหลยโท่ยไปกันใหญ่

“ผมขอโทษครับ”

“หนึ่ง” ตงฉินกลับมานั่งข้างๆบีบมือผมเอาไว้แน่น

“ตอนนี้ผมอาจจะยังเด็ก เลยยังไม่ทันคิดถึงเรื่องอนาคต แต่ผมสัญญานะครับว่าผมจะตอบคำถามท่านให้ได้ ว่าเรียนจบแล้วผมจะทำอะไร จะเป็นอะไร วันนี้ผมขอโทษที่ตอบท่านไม่ได้ แต่ผมขอเวลาคิดหาคำตอบ และผมจะขออนุญาตตอบท่านอีกครั้งนะครับ”

“หึหึหึหึ” เสียงหัวเราะร่วนอย่างพึงพอใจจากคนที่นั่งหัวโต๊ะทำผมแปลกใจไม่น้อย นึกว่าจะโดนไล่ตะเพิดเสียอีก

“พ่อ พอได้แล้ว เลิกแกล้งเด็กๆซะทีเถอะค่ะ” พี่แก้วที่เงียบมาตลอดทำลายความเงียบ

“นั่นสิครับคุณพ่อ ผมเก๊กขรึมจนเมื่อยกรามไปหมดแล้วนะครับ” พี่พันธุเออออ

“ม่ะ หมายความว่าไงเนี่ย” ตงฉินก็งงงวยเช่นกัน

“อะ โอเค ฉันขอโทษนะพ่อหนุ่ม ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าที่ลูกเขยหนึ่งใช่มั้ย” เห......... ผมงงเป็นไก่ตาแตก

“ไม่ต้องตกใจไปหรอก ฉันก็แค่อยากรู้ว่าเธอจะจริงจังกับลูกชายฉันมากแค่ไหนเท่านั้นเอง ที่ผ่านมามันทำตัวเหลวแหลกแค่ไหนทำไมฉันจะไม่รู้ การที่ฉันไม่พูดไม่ได้หมายความว่าฉันไม่เป็นห่วงแกนะตงฉิน ฉันให้อิสระแกเต็มที่จนบางทีมันก็มากเกินจนแกไม่เคยคิดจะหยุดคบใครจริงจังเสียที แต่กับพ่อหนุ่มคนนี้แกกลับหยุดวอกแวก ไม่ออกนอกลู่นอกทางจนฉันอยากรู้ว่าเขามีดีอะไรถึงสยบแกซะอยู่หมัด”

“อะไรของพ่อเนี่ย ไอ้หนึ่งเนี่ยนะจะมีอะไรดี หล่อก็ไม่หล่อ เรียนก็แย่ อนาคตก็มืดมน...”

“เดี๋ยวๆๆๆ ตง นี่หนึ่งเอง แฟนตงไง” ผมรีบสะกิดเตือนความจำ เพราะแต่ละคำที่หลุดออกมาไม่ทำให้คะแนนนิยมผมดีขึ้นเลย

“อ่อ เอ่อ ขอโทษที” ตงฉินหยุดพูด ทำหน้าเชิงขอโทษ

“ทานข้าวกันเถอะทุกคน บรรยากาศกร่อยมานานแล้ว ฉันหิว อ้อ หนึ่ง..”

“ครับท่านประธาน” ผมสะดุ้ง

“เรียกฉันว่าพ่อก็ได้” ใบหน้านิ่งเรียบมีรอยยิ้ม “ฉันไม่ได้เห็นด้วย 100% กับเรื่องของพวกเธอทั้งสองคนหรอกนะ แต่ฉันยอมให้พวกเธอคบกันเพราะเหตุผลที่ฉันบอกเมื่อกี้ พ่อหนุ่มทำให้ลูกชายฉันเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น และฉันก็ไม่อยากเป็นคนทำลายการเปลี่ยนแปลงนี้ วันนี้เธอติดค้างฉันเรื่องที่ฉันถามไปนะ ฉันให้เวลาจนจบปี 3 ถ้าถึงตอนนั้นเธอไม่มีคำตอบอะไรให้ อย่าว่าฉันใจร้ายละกัน” นี่ไง ... คำขู่ตรงๆออกมาแล้ว พญาราชสีห์ชัดๆ

“ครับ คะ คุณพ่อ” ผมกลืนน้ำลายอย่างลำบาก ทุกคนดูยิ้มแย้มตักกับข้าวทานกันอย่างมีความสุข แต่ผมนี่สิดันไม่รู้รสชาติของสิ่งที่ตักเข้าปากเลยสักคำ

ปิ๊น...

“ใจลอยไปไหนวะเนี่ย ไฟเขียวแล้ว” ตงฉินด่า ผมตื่นจากภวังค์และรีบเปลี่ยนเกียร์รถยนต์ หลังจากโดนคันหลังบีบแตรไล่

“ไม่ต้องคิดมากหรอก นี่แหละพ่อแม่กู” ตงฉินเริ่มติดเกมมาสักพักแล้ว ตอนที่พูดก็กดมือถือมือเป็นระวิง

“ไม่ให้คิดมากได้ไงวะ มึงไม่ได้ยินแม่มึงพูดเหรอว่ามึงคบกับกู สินสอดก็ไม่ได้”

“พ่อกูพูดตั้งเยอะ แต่มึงคิดได้แค่เรื่องสินสอดเองเหรอ มึงนี่แม่ง ... ไอ้แท้งก์แม่งห่วย ไอ้สัส” ตงฉินไม่ละสายตาจากมือถือเลยตอนพูด แถมอินกับเกมจนสบถด่าตลอดทางอย่างขัดใจ

#### ####

             ไม่กี่วันหลังจากเจอพ่อแม่แฟน ผมก็หาโอกาสนัดเจอพี่ชายทั้งสองที่ห้างสรรพสินค้าในวันหยุดเพื่อขอคำปรึกษา จะว่าคิดมากก็ไม่ผิด เพราะผมคิดไม่ตกว่าจะต้องทำยังไงเพื่อหาคำตอบที่ถูกใจพ่อแม่แฟนได้ พี่เอกมาพร้อมกับพี่ต่อแฟนหนุ่มที่ความหล่อออร่ากระจัดกระจายจนกลบรัศมีของผมกับไอ้โทเสียเกลี้ยง พี่เอกดูหล่อขึ้นจากการแต่งตัวและดูแลตัวเองจนเปลี่ยนเป็นคนละคน การมีแฟนคอยดูแลมันดีได้ขนาดนี้เชียวเหรอ เสื้อผ้า หน้าตา ทรงผมเปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้

“เดี๋ยวผมไปเดินดูของรอละกันนะครับพี่เอก ถ้าเสร็จแล้วโทรมานะครับ” พี่ต่อดูเหมือนลูกแมวเชื่องๆตอนอยู่กับแฟนหนุ่ม ถึงแม้จะรักตงฉินไปแล้ว แต่การได้เจอพี่ชายแฟนตัวเป็นๆระยะประชิดแบบนี้อีกครั้งก็อยากจะเปลี่ยนใจไปหาคนตรงหน้าแทนเสีย

“ไม่นั่งด้วยกันเหรอคุณต่อ” พี่เอกถาม เสียงนี่แบบอ่อนหวานอย่างที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน

“ผมไม่รบกวนดีกว่าครับ นานๆทีพี่จะได้เจอน้องๆ คุยให้กันสนุกดีกว่า” พี่ต่อยิ้ม ยิ่งส่งประกายความหล่อจนตาแทบบอด ตงฉินที่ว่าหล่อยังแทบหมอง พี่ต่อขาวแบบขาวโอโม่ สูงชะลูดอย่างกับนายแบบ ยิ่งแต่งตัวลำลองง่ายๆยังหล่อจนคนมองตามไม่ละสายตา พี่น้องบ้านนี้ทำบุญด้วยอะไรกันหนอ ทั้งผมและไอ้โทไหว้ส่งก่อนที่ร่างสูงจะเดินไปจากตรงนี้

“แม่ง พี่ต่อโคตรหล่ออะ” ผมเปิดประเด็น

“ไอ้ตงก็หล่อไหม” ไอ้โทเตือนสติ

“พี่เอก แลกแฟนกันมั้ย”

“น้อยๆหน่อยไอ้หนึ่ง ทะลึ่งนะมึง” นั่นไง พี่เอกเวอร์ชั่นปกติมาแล้วครับท่าน “นัดกูมามีอะไร”

“คือ...” แล้วผมก็เล่าเรื่องวันที่ไปเจอพ่อแม่ตงฉินให้ฟังอย่างละเอียด

“ฮ่าๆๆๆๆ...” เสียงหัวเราะดังลั่นโต๊ะ ยามนี้พวกเราเพิ่งทานมื้อเที่ยงแบบง่ายๆเสร็จ ถึงแม้จะบอกว่าง่าย แต่ราคาก็ไม่ได้ทำใจให้ควักเงินง่ายๆเลย ยิ่งเป็นนักศึกษาแบบพวกเราด้วยแล้ว กินมื้อนี้เหมือนใช้เงินไปแล้วครึ่งเดือน

“หัวเราะทำไมอะพี่เอก ไอ้โท”

“หัวเราะที่มึงโง่ไง” ไอ้โทตอบ

“ทำไมงั้นวะ” ผมเกาหัวแกรกๆ

“คืองี้” พี่เอกพยายามหยุดหัวเราะ พอสงบลงได้ก็เริ่มพูดต่อ “ท่านประธานกับคุณนายน่ะไม่ได้กดดันอะไรมึงเลยไอ้น้อง มึงน่ะกดดันตัวเองล้วนๆ”

“ยังไงวะพี่ เขารู้ด้วยนะว่าผมเป็นผัวลูกชายเขา ตัดพ้ออีกว่าจะไม่ได้ค่าสินสอด แถมยังถามว่าจบไปจะทำงานอะไรอีก นี่ไม่เรียกกดดันเหรอพี่”

“ใจเย็นๆไอ้หนึ่ง กูรู้ว่ามึงโง่ แต่ก็ไม่คิดว่าจะโง่ขนาดนี้นะ”

“พี่เอก” ผมเสียงดัง ตัดพ้อน้อยใจในโชคชะตาที่เกิดมาไม่หล่อแถมโง่ ไอ้โททำหน้าล้อเลียนเพราะเห็นด้วยกับพี่ชายตัวเอง

“มึงก็รู้ใช่มั้ยว่าพี่กับคุณต่อก็คบกัน”

“รู้ดิ ตอนรู้ครั้งแรกนะตกใจจนหัวใจจะวาย ไม่คิดมาก่อนเลยว่าพี่เอกจะคบผู้ชายได้”

“กูก็ไม่คิด แต่ก็คบแล้วไง” พี่เอกทำหน้าเขินๆ “แต่มึงรู้มั้ยว่าท่านประธานกับคุณนายไม่ว่าอะไรเรื่องนี้เลยนะ”

“ก็จะว่าได้ไง พี่เอกช่วยชีวิตคุณนายไว้นะ” ไอ้โทพูด พี่ต่อหลงรักพี่เอกเนื่องจากพี่เอกช่วยพาคุณนายไปหาหมอได้ทันท่วงทีตอนที่โรคประจำตัวกำเริบตอนที่พี่ต่อขับรถหลงทางจนคุณนายเกือบไม่รอด

“กูไม่ได้พูดถึงประเด็นนั้น ที่กูจะบอกคือ กูเนี่ยเป็นแค่คนขับรถ คุณต่อเป็นลูกชายประธานบริษัท แต่พวกท่านๆไม่เคยรังเกียจเลยนะ มึงคิดว่าเพราะอะไรล่ะ”

“เพราะ...” ไอ้เอกภาพอ้าปากจะตอบ

“ไอ้โทมึงเงียบก่อน กูถามไอ้หนึ่ง อยากรู้ว่ามันจะหายง่าวรึยัง” ผมส่ายหัว เพราะคิดไม่ออกจริงๆว่าเพราะอะไร และนั่นก็ไม่ช่วยอะไรเลยสักนิด นอกจากใบหน้าเอือมระอาของพี่ชายทั้งสองที่สบตากันและส่ายหน้าไปมาอย่างคนหมดหวังในชีวิต

“ง่าวจริงๆ” ไอ้โทด่าอย่างออกรส ผมได้แต่ทำหน้างุนงงแต่ก็ไม่ได้คำตอบจากพี่เอกเสียที
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 50 P.7 Up 6 ก.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: จากต้นจนอวสาน ที่ 06-07-2021 17:30:48
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 50. ไอ้เตี้ยผู้ไม่เคยหึงแฟน

[ตงฉิน]

             ผมหัวเราะจนท้องแข็งเมื่อได้เห็นหน้าบอกบุญไม่รับของไอ้เตี้ยที่นั่งข้างตัวบนโซฟาห้องรับแขกหลังกลับมาจากกิจกรรมรวมญาติสาม “เอก” อันได้แก่ เอกภพ เอกภาพและเอกราชเมื่อช่วงบ่ายของวัน ผมเปิดห้องเข้ามาก็เห็นคนหน้าบูดนอนกลิ้งอยู่แล้ว พี่ต่อส่งไลน์มาเล่าเรื่องคร่าวๆให้ฟังน่าจะได้ยินจากพี่เอกแฟนแกอีกที เลยทำให้ผมกลั้นขำไม่อยู่

“มึงจะหัวเราะอีกนานมั้ย” หนึ่งถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“ขอโทษที หยุดขำไม่ได้จริงๆ พี่เอกกับไอ้โทด่าว่าไงนะ จ๊าดงาว งั้นเหรอ ฮ่าๆๆๆ” จ๊าดง่าว ภาษาเหนือแปลว่า โคตรโง่

ตุบ!... หมอนพิงหลังจากมือคนตัวเล็กฟาดเต็มหน้า ถึงจะเจ็บแต่ผมยังไม่หยุดหัวเราะ

“มึงไม่เข้าข้างกู” ไอ้หนึ่งงอน หน้าตาตอนงอนไม่ได้ดูดีเลยสักนิด

“กูเข้าข้างมึงตลอดแหละ แต่เรื่องนี้ขอเข้าข้างพี่เอกนะ ฮ่าๆๆๆ”

“คืนนี้มึงไม่ต้องมาให้กูกอดเลย” มันยื่นคำขาด

“ได้” ผมตอบชัดถ้อยชัดคำ

“ไม่ได้ งื้ออออออออออ” เอกราชหน้าเบ้เพราะถูกผมขัดใจ

“ก็มึงพูดเอง” ผมกวน

“กูไปอาบน้ำละ” สิ้นคำ คนตัวเตี้ยก็กระโดดลงจากโซฟากระทืบเท้าเข้าห้องนอนโครมคราม ผมไม่กลัวพื้นห้องสึกหรอกนะ กลัวส้นเท้ามันจะแตกเสียมากกว่า งอนสะบัดเหมือนเด็กไปโน่นแล้ว

#### ####

   ห้องเรียนรวมของวิชาบังคับสำหรับพวกปี 2 คลาคล่ำไปด้วยนักศึกษาจำนวนมาก ถึงแม้จะใช้คำว่าวิชาบังคับ แต่ก็มีคนจากสาขาอื่นและคณะอื่นมาร่วมเรียนด้วยอยู่ดี ตรงมุมหนึ่งของห้องเป็นกลุ่มนศ.แพทย์ที่กระชากมีนพุ่งพรวดจากการสอบกลางภาคที่ผ่านมา ทั้งที่ปกติแล้วอาจารย์จะตัดเกรด A ที่ 85 คะแนน แต่เทอมนี้น่าจะตัดที่ 95 คะแนน เพราะมีคนได้คะแนนเต็มหลายสิบคน และทุกคนล้วนมาจากคณะแพทย์ที่ผมแอบมองด้วยความโมโหว่าทำไมต้องเรียนร่วมคลาสกันด้วย

“เป็นอะไรตง ทำไมหน้าดูเหนื่อย” เพื่อนร่วม section ถาม

“ง่วงนิดหน่อย” หน้าตาผมคงดูเหม่อลอยไปหน่อย

“โหมถ่ายละครอีกอะดิ”

“อื้ม” ผมตอบแบบขอไปที ใครจะกล้าบอกตรงๆวะว่าโดนผัวจัดหนักจัดเต็มยันเช้า โทษฐานไปกวนตีนมันเมื่อเย็นวาน

“จริงเหรอวะ” ไอ้คิ้วหันมากระซิบและยักคิ้วกวนๆให้ ผมหน้าแดงซ่านลืมไปว่ามีคนรู้เรื่องนี้นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อตอบโต้อะไรไม่ได้ก็กระทุ้งศอกเข้าชายโครงมันจนจุก

“คิ้วเป็นไร” เพื่อนคนเดิมที่ถามผมเมื่อครู่หันไปสนใจไอ้เพื่อนทรยศเสียแล้ว พอขึ้นปีสองเราต้องเรียนตามเมเจอร์ของตัวเองเสียส่วนใหญ่ ในกลุ่มนี้นอกจากไอ้คิ้วแล้วก็ไม่มีใครมานั่งเรียนด้วย จึงจำเป็นต้องผูกมิตรกับเพื่อนร่วมรุ่นเอาไว้เพื่อทำงานกลุ่มกัน หนึ่งในเด็กการค้าระหว่างประเทศที่พอจะเข้าขากันได้ก็คือ นน หรือ ธนนท์ คนนี้

“ปละ เปล่า” คิ้วตอบแบบจุกๆ

“เออนน รายงานส่วนของเราส่งไปแล้วนะ ลืมบอก” ผมหันกลับมาบอก

“อ้าว ตงส่งมาตอนไหน เราไม่เห็นเมล์ตงเลย” ธนนท์รีบเปิดโน้ตบุ๊กเพื่อเช็คอีเมล์ ผมกวาดตามองตอนที่เลื่อนหน้าจอลงเรื่อยๆ

“นี่ไง” ผมชี้ไปที่อีเมล์นั้น

“อ้าว นี่อีเมล์ตงเหรอ แต่ทำไมมันชื่ออะไรเนี่ย อัก กะ ราด เหรอ” ชิบหาย... ลืมไปว่างานนี้ให้หนึ่งทำและส่งให้

“เปล่า ของ ผะ...อุ๊ปส์” ผมใช้สันมือฟาดเข้าที่กล้ามท้องไอ้คิ้วจนมันต้องหุบปากก่อนหลุดคำว่าผัวออกมา ถึงแม้จะไม่ได้ปกปิดว่าคบกับผู้ชาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาป่าวประกาศไหม ถ้าหลุดถึงหูนักข่าวยังคิดคำตอบดีๆไม่ได้เลย

“ของรูมเมตเราน่ะ พอดีเราลืมรหัสเข้าอีเมล์” ดีนะกูเป็นดารา การแสดงเลยเนียน

“อ่อ โอเค งั้นเดี๋ยวเราดาวน์โหลดและเอามารวมไฟล์เลย” ธนนท์ตอบ แล้วบทสนทนาของเราก็หยุดเมื่ออาจารย์เดินเข้าห้องมา

             คลาสบรรยายนี้เป็นวิชาหลักของเด็กระหว่างประเทศ เนื้อหาอัดแน่นและต้องนั่งเรียนครั้งละ 3 ชั่วโมง เมื่อหมดเวลา นักศึกษาแต่ละคนต่างก็แตกฮือเพราะความง่วงและเบื่อหน่าย ผมบิดขี้เกียจและหยิบมือถือขึ้นมาดู ไม่มีข้อความจากไอ้แฟนตัวดีเลยสักข้อความ สงสัยจะเรียนหนัก หรือไม่ก็ยังไม่ตื่นเพราะเมื่อคืนมันเล่นผมจนระบมไม่หาย

“เที่ยงแล้ว กินอะไรดี” คิ้วถาม เพื่อนที่นั่งรอบๆต่างเสนอสิ่งที่อยากกิน สุดท้ายก็จบที่โรงอาหารคณะเพราะมีเรียนกันต่อช่วงบ่าย ถ้าออกไปทานข้างนอกจะกลับมาไม่ทัน

“ตงๆ เราขอถ่ายรูปด้วยหน่อยสิ แม่เราไม่เชื่อว่าเพื่อนเราเป็นดารา” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งขอถ่ายรูปด้วย ผมไม่ว่าอะไรเพราะชินกับเรื่องนี้อยู่แล้ว พอถ่ายคนแรก คนต่อๆไปเลยตามมาไม่ขาดกว่าจะจบก็เกือบ 20 นาที ยังดีที่ไอ้คิ้วและธนนท์ยังยืนรออยู่

“เกิดมาดังอะเนอะ เลยต้องเหนื่อย”

“ชิลๆ” ผมตอบไอ้คิ้ว “ขอโทษนะนน ทำให้รอนานเลย”

“โอ๊ย ไม่เป็นไร เราไม่รีบอยู่แล้ว” เพื่อนคนนี้ตอบ พอร่างผมยืนประชิด ความสูงของเขาก็ลดเหลือแค่ระดับไหล่เท่านั้น

“ไปเหอะ กูหิว” ไอ้คิ้วตัดบท พวกเราเดินอ้อยอิ่งออกจากห้องเรียนไปยังลิฟต์ที่อยู่ไม่ไกล รอบเที่ยงมีคนใช้ลิฟต์เยอะ แต่ก็รอไม่นานเนื่องจากมีหลายตัว แถมยังเสียเวลาเซอร์วิสแฟนคลับอยู่นาน คนเลยเบาบางลงไปพอสมควร

“เอ่อ ตงครับ” ผมหันไปตามเสียงเรียก แม้จะอยู่ในลิฟต์แคบๆ คนแน่นๆก็เหอะ

“ครับ”

“พอดีมีคนฝากของมาให้น่ะครับ” ผมทำท่าจะรับของจากผู้ชายหน้าตาดีที่พิงหลังอยู่ด้านในสุด แต่เพราะพื้นที่มันแคบเขาจึงเอาของให้ไม่ได้ คนที่อยู่ในลิฟต์ไม่ได้สนใจเรื่องที่มีผู้ชายเอาของมาให้ผมเท่าไหร่ เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ชาวคณะบริหารฯเห็นจนคุ้นตา แฟนคลับหลากหลายวัยมักจะเข้ามาเพื่อขอถ่ายรูปหรือไม่ก็เอาของมาให้เสมอ เราเงียบไปจนลิฟต์ถึงชั้น 1

“อ่อ ขอบคุณครับ” ผมหยิบถุงผ้าขนาดใหญ่จากมือเขาหลังออกมาจากลิฟต์แล้ว ดูระยะใกล้ๆนึกว่าเป็นดาราเหมือนกันซะอีก หน้าตาหล่อออร่าที่สาวๆต่างหันมามองตอนที่เราอยู่กันสองคน หุ่นก็สูงและดูดี ไหล่กว้างเหมือนนักกีฬา

“พี่ชื่อเวลล์ (Well) นะครับ อยู่อีคอนปี 4” หืม หน้าตาไม่ได้ดูแก่แบบพวกปี 4 ที่รู้จักเลยแฮะ

“อ่อ ครับพี่เวลล์ ขอบคุณสำหรับของขวัญนะครับ” ผมกล่าวอย่างเกรงใจ คิ้วและธนนท์เดินลิ่วไปที่โรงอาหารแล้วเพื่อจองที่นั่ง

“คือ..” ใบหน้าหล่อๆนั้นดูลังเล ผมได้แต่นึกหาประโยคเพื่อจะขอตัวแต่ก็นึกไม่ออก “... เมื่อกี้ที่พี่บอกว่ามีคนฝากมาน่ะ จริงๆพี่เองแหละที่เอามาให้”

“ขอบคุณมากเลยนะครับพี่เวลล์” คิดแล้วไม่ผิด มาแนวนี้คือจะมาจีบอีกล่ะสิ ทำไมช่วงหลังๆผู้ชายเข้าหาเยอะกว่าผู้หญิงอีกนะ หรือว่ากลิ่นไอ้หนึ่งติดตัวมา คนเขาเลยกล้าเข้ามาจีบกัน พอมองดูดีๆพี่เวลล์หล่อมากเหมือนกันนะ

“เอ่อ จะเป็นอะไรมั้ยครับถ้าพี่จะขอไลน์น้องตง เอาไว้...” มือถือราคาแพงรุ่นล่าสุดถูกล้วงและยื่นมาให้ ปกติแล้วผมไม่ค่อยให้ข้อมูลติดต่อพวกไลน์ เฟซบุ๊ก ไอจี ส่วนตัวกับใครหรอก ที่เปิดให้ตามๆกันส่วนใหญ่จะเป็นแบบเอาไว้ติดต่องานมากกว่า

“รีบๆให้พี่เค้าสิ หิวแล้ว” เสียงคุ้นๆดังมาจากด้านหลัง ผมหันขวับ

“ต้องขอโทษทีนะครับพี่เวลล์ พอดีผมไม่สะดวกจริงๆ ขอโทษนะครับ” ผมมองใบหน้าราบเรียบของมนุษย์แฟนที่ยืนไม่ห่าง สงสัยไอ้คิ้วใช้ให้มาตามเพราะยังไม่ได้เดินไปที่โรงอาหารเลย พี่เวลล์ไม่ว่าอะไรนอกจากยิ้มเก้อๆก่อนจะขอตัวเดินจากไป

“ทำไมไม่ให้พี่เค้าไปล่ะ หล่อดีออก” ไอ้หนึ่งถามตอนที่เดินจ้ำไปด้วยกัน

“ให้ทำไมวะ เค้ามาจีบกูนะ มึงไม่เห็นเหรอ” ผมละทึ่งที่ได้ยินคำถาม

“เห็น”

“เห็นแล้วทำไมยังบอกให้กูเอาให้อีกล่ะ” ดันกลายเป็นผมที่หงุดหงิดเสียแล้ว

“ก็ให้ๆจะได้จบๆ กูรอนานจนหิวแล้วเนี่ย” มันตอบหน้าตาเฉย เสียงจอแจของโรงอาหารดังมาแต่ไกล

“มึงไม่หึงกูเลยเหรอวะ มีผู้ชายหน้าตาหล่อมาจีบกูนะ”

“ไม่อะ กูชิน ถ้ากูต้องคอยหึงกับคนมาจีบมึงทุกคนนะปวดหัวตายห่..พอดี เอามายืนเรียงแถวกันคงยาวไปถึงคณะวิศวะได้เลยมั้ง” จากคณะผมไปวิศวะก็แค่ 2 กิโลเมตรเองนะ

“กวนส้นตีน นี่มึงไม่หึงจริงดิ”

“อื้ม คิดมากก็ปวดหัว คนจีบมึงมีทุกวัน ขืนกูคอยวิ่งไล่ต้อยๆก็ไม่ต้องทำอะไรมันละวันๆน่ะ”

“ชิ” ผมจิ๊ปาก คำตอบของมันก็จริงอยู่นะครับ แรกๆหนึ่งยังมีท่าทางงุ่นง่านอยู่บ้าง แต่พอคบกันมาสักระยะมันก็เริ่มชินชา เลยกลายเป็นว่าเราไม่เคยทะเลาะกันเรื่องหึงหวงเลยสักครั้ง  “มึงมีเรียนด้วยเหรอวันนี้”

“ไม่มี แต่อาจารย์นัดคุยเรื่องโครงงานเลยต้องมา” มิน่าล่ะถึงแต่งตัวเต็มยศ ตอนผมออกมาเมื่อเช้ามันยังนอนอุตุอยู่เลย

“โอ๊ย กว่าจะมานะพวกมึง” ไอ้ชัยปากเปราะส่งเสียงด่า ท่าทางจะรอนานจริงๆนั่นแหละเพราะจานข้าวแต่ละคนว่างเปล่าไปแล้ว

“เออดิ ไอ้ตงมันลีลาไม่ยอมให้ไลน์คนมาจีบ” ไอ้หนึ่งสาธยายเหมือนเป็นเรื่องปกติ

“เนื้อหอมนะเราน่ะ” ไอ้โทแซว หน้าตากรุ้มกริ่มของมันทำให้อยากโบกสักป๊าบ

“เอาไร เดี๋ยวกูไปซื้อให้” ไอ้หนึ่งถาม สีหน้าแววตาของมันปกติทุกอย่าง ผมตอบสิ่งที่อยากกินแล้วมองตามก้นคนตัวเตี้ยที่วิ่งไป

“ตงสนิทกับหนึ่งจังเลย” ผมลืมไปเลยว่าวันนี้ธนนท์มานั่งด้วย ผมยิ้มแหยๆแต่ไม่ตอบอะไรไปให้

“เออ นน ข้อมูลส่วนของกูน่ะ เดี๋ยวส่งให้คืนนี้นะ” ไอ้คิ้วพูดไปด้วยเคี้ยวข้าวไปด้วย มารยาทมันทรามขัดกับความหล่อชิบหาย

“อื้อได้ๆ ส่งมาแล้วก็ไลน์บอกเราด้วยนะ” ธนนท์เป็นคนสุภาพ หน้าตาไม่ได้โดดเด่นและเพื่อนน้อย ตอนแรกที่เจอในห้องเรียนผมนึกว่าเขาเป็นคนหยิ่ง มารู้ทีหลังว่าเป็นเด็กเนิร์ดคนเลยไม่ค่อยเข้าหาก็เลยชวนมาทำงานกลุ่มด้วย หลังจากนั้นก็คุยกันมากขึ้นเลยพามาแนะนำให้ไอ้พวกนี้รู้จัก เนื่องจากทุกคนไม่ได้เป็นคนเข้าถึงยากเจอใครใหม่ก็คุ้นเคยได้แทบทันที

“ขาดของใครอีกมั้ย” ผมถาม

“นอกจากของคิ้วก็มีอีก 2 คน” ธนนท์ตอบอย่างอารมณ์ดี ถึงแม้จะใกล้เวลาส่งงานแล้วก็ตาม แต่ยังใจเย็นได้ทุกขณะ

“อิจฉาว่ะ ทำไมเอกกูไม่มีคนเก่งแบบธนนท์บ้างวะ ทำรายงานทีมีแต่ตัวอะไรไม่รู้ เอกราชงี้ เอกภาพงี้” ไอ้ชัยบ่น เอกภาพหรือโทเหลือบตามองอย่างเหยียดหยามคนที่เพิ่งเปล่งคำออกมา

“ทำไมวะ อยู่กลุ่มเดียวกับกูไม่ดีตรงไหน อย่างน้อยกูก็ฉลาดกว่าไอ้หนึ่งนะเว้ย” นั่นไง ไอ้โท เกทับน้องชายตัวเองซะงั้น

ป๊าบ...

“สัส กูไม่อยู่แป๊บเดียวนินทากูใหญ่เลยนะ แฟนไม่อยู่เหงาปากเหรอมึง” หนึ่งเดินถือข้าวมาสองจาน เสียงป๊าบที่ได้ยินคือการสะกิดจากปลายเท้ากับแผ่นหลัง เรียกง่ายๆคือ ถีบหลังนั่นเอง

“ไอ้เชี่ยเตี้ย ถีบมาได้ หน้ากูเกือบคว่ำลงชามก๋วยเตี๋ยว” โทโวยวาย

“กูถีบหลัง ไม่ได้ถีบยอดหน้ามึงซะหน่อย” หนึ่งวางจานและนั่งข้างผมอย่างไม่ทุกข์ร้อน ผมมองภาพสองพี่น้องแยกเขี้ยวใส่กันอย่างนึกขำ ยิ่งมีไอ้คิ้ว ไอ้ชัยคอยยั่วยุโดยการปาขนมใส่ทั้งคู่อีก ดูแล้วเหมือนอยู่โรงเรียนอนุบาล

“พวกมึงหยุดเล่นดิ๊ กูจะกินข้าว เกรงใจธนนท์บ้าง” ผมปราม

“มึงโอเคมั้ยนน” ใครสักคนถามแบบกันเอ๊งกันเอง

“อะ อื้ม เราโอเค สนุกดี” ธนนท์นั่งเงียบมาตลอดตอบ ถ้าไม่มีเรียนวิชาเดียวกันผมก็ไม่เคยเห็นเขามานั่งทานข้าวที่โรงอาหารเลยสักครั้ง เคยคิดจะถามแต่ก็กลัวจะไปสะกิดปมในใจเรื่องเพื่อนน้อยของเขา

“เห็นมั้ย มึงอะคิดมากไอ้ตง รีบแดกมึงมีเรียนต่อนะ” ไอ้คิ้วเตือนสติ ตารางเรียนวันนี้โหดมากเพราะต้องเรียนแต่เช้ายันเย็น

“เออ แป๊บ” ผมรีบจ้วงอาหารเข้าปาก “หนึ่งมีเรียนอีกมั้ย”

“ไม่มีแล้ว คาบบ่ายอาจารย์งด” แฟนตัวดีหันมาสนใจ

“ฝากของกลับไปด้วยได้ปะ” ผมเหลือบตามองถุงผ้าใบใหญ่ที่วางกับพื้นอย่างไม่มีใครใยดี ความจริงคือผมยังไม่ได้เปิดดูด้วยซ้ำว่าข้างในเป็นอะไร เพราะกลัวว่าไอ้หนึ่งมันจะหึงตอนที่พี่เวลล์จีบซึ่งๆหน้า

“เอาเดะ เดี๋ยวไอ้ชัยไปส่ง กูเก็บให้” ยังดีนะที่มีรถยนต์ขับไปส่ง ปกติมันจะเอารถผมไปแล้วค่อยกลับมารับตอนเรียนเสร็จหรือไม่ก็ไปเตร็ดเตร่ที่ร้านโมเอะหลังมอเพื่อเล่นเกมหรืออ่านหนังสือรอกับเพื่อนๆ

“มึงจะพากันเล่นเกมอีกแล้วใช่มั้ย” ผมถาม ไอ้หนึ่งเบ้หน้าเหมือนโดนจับได้

“เออดิ ตีป้อมหน่อย ไอ้หนึ่งแม่งโคตรอ่อน เล่นด้วยแล้วหัวร้อน” โทเป็นคนตอบ

“ก็พวกมึงให้กูเล่นตำแหน่งอะไรล่ะ กูถนัดฟาร์ม มาให้กูเล่นแครี่ ไหวไหมบอก” ไอ้หนึ่งเถียง

“มึงมันกาก” ผมสำทับ เพราะเห็นฝีมือมันเล่นแล้วก็ช่วยเถียงไม่ได้จริงๆ

“ตงๆ ทิชชู่” ผมหันไปทางธนนท์ที่นั่งติดกัน กระดาษสีชมพูถูกยื่นมา และมืออีกข้างของเขาชี้ไปที่มุมปากตัวเอง ผมรีบรับและซับตรงตำแหน่งที่เพื่อนบอก

“ขอบใจมากนะนน” คราบสีส้มๆจากพะแนงหมูถูกเช็ดเกลี้ยง เป็นดาราไม่จำเป็นต้องอดๆอยากๆเนาะ แพนงหมูไม่ได้ทำให้เราอ้วน ที่ทำให้เราน้ำหนักขึ้นคือตาชั่งต่างหาก ... คำพูดปลอบใจของไอ้หนึ่งมันน่ะ

“กูไปซื้อน้ำก่อนนะ” อยู่ๆมนุษย์แฟนก็ลุกพรวด ทั้งๆที่มีน้ำแดง ชามะนาว นมเปรี้ยวที่คนอื่นซื้อมาวางอยู่เต็มโต๊ะ

“มันเป็นอะไรของมันวะ” โทกันมาถาม

“ไม่รู้ดิ สงสัยเจ้าเข้า” ผมตอบ ไม่ได้เห็นท่าทางฟึดฟัดแบบนี้มานานแล้ว

#### ####

             ผมเรียนเสร็จเกือบสองทุ่มเพราะอาจารย์ขออัดเนื้อหาเนื่องจากจะมีการงดคลาสอาทิตย์หน้า เพื่อนแต่ละคนต่างร้องโอดโอยลั่นห้องไม่เว้นตัวผมเอง แกบอกว่าไม่ได้บังคับ ใครอยากเลิกตามเวลาก็ทำได้ ผมคงจะรีบลุกไปแหละแต่ดันมีการเช็คชื่อรอบสอง ซึ่งมันพัวพันกับคะแนนจิตพิสัย 10% ของคะแนนตัดเกรดร่วมด้วย ต้องจำใจนั่งต่อและส่งข้อความไปหาไอ้หนึ่งที่หายเงียบไปตั้งแต่บ่าย

“ช่วยลากกูทีไอ้ตง หมดพลัง” ไอ้คิ้วนอนคว่ำหน้ากับโต๊ะเรียนสีขาวขนาดเล็ก พวกเราแต่ละคนต่างรู้สึกไม่ต่างกัน

“เรียนขนาดนี้ สมองกูต้องบวมไปแล้วแน่ๆ” วิชานี้มีไอ้โทร่วมด้วย มันเข้าเรียนแทนขวัญใจที่ติดธุระกับที่บ้าน ดีนะที่สมัยนี้เทคโนโลยีการเช็คชื่อมันดี แค่สแกนคิวอาร์โค้ดก็จบแล้ว ถ้าอาจารย์ขานชื่อทีละคนไอ้โทคงโดนจับได้

“มึงกับไอ้หนึ่งนิสัยเดียวกันเป๊ะ” ไอ้คิ้วแซว

“แต่กูฉลาดกว่ามันนะ ใช่มั้ยตง”

“ไม่ต้องลากกูไปยุ่งเลย” ผมชิ่ง

“มึงนี่แม่ง” ไอ้โทด่า มันขยับปากแบบไร้เสียงซึ่งสามารถอ่านได้ว่า คนกลัวผัว ...

“ไอ้สัส” ผมด่าสั้นๆเพราะไม่รู้จะสรรหาคำไหนแล้วเนื่องจากมันจี้ใจดำ ปกติแล้วผมไม่ใช่คนหยาบคายแบบนี้เลยนะเพราะต้องรักษาภาพพจน์ดารา แต่พอคบพวกนี้นานเข้านิสัยก็เริ่มเปลี่ยน ตอนนี้เริ่มกลัวแล้วว่าจะโดนเอาไปโพสต์ลงโซเชียลหรือเปล่า

“โห เพิ่งเห็นตงฉินเวอร์ชั่นนี้” ธนนท์โพล่งมาจนสะดุ้ง นึกว่าอยู่กับวิญญาณ

“เวอร์ชั่นอะไรเหรอ”

“ก็เวอร์ชั่นด่าคนอื่นไง เรานึกว่าเป็นดาราต้องรักษาภาพลักษณ์ซะอีก” นี่ไปอยู่หลังเขาลูกไหนมาครับธนนท์

“โห มึงรู้จักมันน้อยไปไอ้นนท์” ไอ้คิ้วตัวแสบรีบเสริม

“กูกลับดีกว่า ไอ้หนึ่งมารอแล้ว มึงจะกลับมั้ยไอ้โท” ผมรีบลุก ไม่อยากโดนทำลายภาพพจน์ดีๆในสายตาเพื่อนร่วมชั้นมากไปกว่านี้ นอกจากธนนท์แล้วยังมีคนอื่นๆที่นั่งเรียนด้วยกันอีกหลายคน ถึงไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่แต่ก็รู้จักกันหมด

“ไปดิ”

“เจอกันคลาสหน้านะนน ไปไอ้คิ้วมึงจะนอนอีกนานมั้ย” ผมบอกลาคนอื่นๆที่นั่งด้วยกันแล้วเดินออกไปจากห้องเรียนอย่างรีบเร่งจนถึงรถยนต์ที่จอดนิ่งในความมืดตรงลานจอดรถ

“ไหนมึงบอกไอ้หนึ่งมารับไม่ใช่เหรอวะ ไหนล่ะ” ไอ้โทถาม

“กูลืมว่าวันนี้มันกลับไปกับไอ้ชัยแล้ว” ผมตอบเสียงเรียบ ปกติไอ้หนึ่งจะมารับ มันเลยทำให้ผมชินกับเหตุการณ์นี้ เลยติดปากลืมตัวบอกคนอื่นไปแบบนั้น

“มึงก็เอ๋อนะเนี่ย สงสัยไอ้หนึ่งให้แดกสมอง” นี่มันว่าหนึ่งโง่หรือผมติดเชื้อโง่จากแฟนตัวเองมากันแน่นะ

“สมองพ่อง” ผมเปิดรถ

“ถ้าไม่ให้แดกสมอง มันจะให้แดกอะไรว้าาาาาาาาาาาาา” น้ำเสียงโคตรล้อเลียน ผมล่ะเกลียดมันจริงๆที่รู้เรื่องส่วนตัวของผมกับไอ้หนึ่งเยอะจนเกินไป ไอ้พี่น้องสองคนนี้เหมือนจะทะเลาะกันตลอด แต่ก็ดันสนิทกันมากจนเล่าอะไรต่อมิอะไรกันอย่างไม่มีอาย ผมกดปุ่มสตาร์ทรถและไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเพื่อนคนนี้อีก มีแต่เสียกับเสีย




(https://s3.ap-southeast-1.amazonaws.com/media.fictionlog/chapters/60d30a522eb81e001b4ae898/60e43464FoOAwxsC.jpeg)

ภาพประกอบเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านเท่านั้น

มิได้เกี่ยวข้องกับบุคคลในภาพและเนื้อหาในนิยายแต่อย่างใด
หัวข้อ: Re: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 50 P.7 Up 6 ก.ค. 64
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 11-07-2021 22:38:39
 :mew1: :mew1: