เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 50 P.7 Up 6 ก.ค. 64
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? - My Dearest 20 cm.| นิยาย Y ตอนที่ 50 P.7 Up 6 ก.ค. 64  (อ่าน 28778 ครั้ง)

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถๆๆๆๆๆ  อาตงฉินไม่รู้เหรอว่า  อาการที่เป็นอยู่นะ  เขาเรียกว่า "หึง"

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
น้องหนึ่งจะเลือกเดือนคนไหนนะ หนักใจแทน  :hao4:

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
มาต่อแล้วครับ ไม่ได้หายไปไหน พอดีกระทู้โดนพักที่ห้องพักนิยายชั่วขณะครับ
ตอนนี้แก้ไขแล้ว กลับมาอ่านกันได้แล้วนะครับ


เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 21. เรียนผูกต้องเรียนแก้

[หนึ่ง เอกราช]

ชิบหาย!

             คำนี้เป็นคำแรกที่โผล่มาในหัวตอนที่ไอ้ตงเดินมาเจอสภาพผมกับพี่เจดกำลังแลกเปลี่ยนน้ำลายกันอยู่หลังตึกสูง ไม่รู้จะทำหน้ายังไงและจะพูดยังไงให้มันเข้าใจ แต่ถึงมันจะไม่เข้าใจก็ไม่ใช่ความผิดของมัน เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกันแบบที่มันเคยพูดเอาไว้ และความจริงก็ฟ้องจะจะแก่สายตาอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร

             ใช่...พวกเราจูบกัน มันเป็นจูบที่หอมหวานชวนฝัน กลิ่นไวน์แดงในปากของพี่เจดล้วงลึกถ่ายโอนความหอมละมุนจนเกินต้าน ลมหายใจหอบกระเพื่อมของเราสองคนสอดประสานเป็นจังหวะเดียวกับปลายลิ้นสัมผัสจนเกิดไฟฟ้าสถิตย์แล่นแปลบปลาบทั่วร่าง ตอนที่ผมบุกพี่เจดก็จะถอยร่นราวกับยั่วยวนให้ต้องคล้อยตามวังวนที่แกล่อลวงไว้ แต่ผมกลับประชิดหาอย่างเต็มใจ ส่งผ่านความอบอุ่นให้กันจนเปียกชื้น ดูดกลืนความหวานกรุ่นอย่างโหยหา จนกระทั่งได้ยินเสียงหนึ่งที่ดังมาขัดจังหวะ...

“เห้ย ทำอะไรกันน่ะ” เสียงนั้นนั้นไม่ใช่เสียงตะโกน ไม่ได้กังก้อง แต่ก็เพียงพอที่จะให้ผมรีบผละตัวออกจากพี่เจดอย่างเร็วรี่ ใบหน้าเรียบเฉยของคนที่มาเห็นราบเรียบนิ่งเฉยจนผมหวั่นใจ กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนจะตอบออกไปอย่างคนติดอ่าง

“มะ ไม่มีอะไร” มันคงเชื่อ ผมคิดแบบนั้น แต่คิดอีกทีมันคงไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีอะไรกันจริงๆ ผมยืนนิ่งมองใบหน้าหล่อเหลาของคนตัวสูงที่อยู่ข้างๆ พี่เจดส่งยิ้มแปลกๆให้อีกคน สายตาบ่งบอกว่าห้ามเข้าใกล้

“มี คนกำลังจูบกัน น้องมีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ”

“มีสิ ก็ไอ้เตี้ย...”

“ใคร อ๋อ น้องหนึ่งน่ะเหรอ ทำไมเหรอครับ น้องหนึ่งเป็นอะไรกับน้องรึเปล่า” พี่เจดตั้งใจเน้นเสียงที่ประโยคสุดท้าย ไอ้ตงอ้าปากแต่ไม่มีคำพูดเล็ดลอดออกมา ไม่รู้ว่าเพราะถูกถามแทรกหรือเปล่า ท่าทางเลยดูโกรธมากกว่าเก่า

“เป็นอะไรมันเกียวอะไรกับพี่ครับ” ไอ้ตงมันยังสุภาพ แต่ท่าทางไม่ใช่เลยสักนิด เพราะสายตาที่มองเขม่นกันไปมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อทำให้ผมยิ่งทำตัวไม่ถูก คนหนึ่งก็พี่เจด อีกคนก็รูมเมตชื่อตงฉิน ผมไม่เข้าใจว่าจะทำท่าทางขู่กันไปมาเหมือนหมากันทำไม มันไม่มีเหตุผลเลยให้ตายสิ...

“พอก่อนครับ พอ” ผมห้ามทัพ “ไม่มีอะไรกันทั้งนั้นแหละไม่ต้องจ้องเขม็งกันขนาดนั้น”

“...” ทั้งคู่ไม่มีใครตอบอะไรกลับมา แต่สายตายังฟาดฟันกันไม่เลิก

“ตงมึงเมาแล้ว กลับบ้านเถอะ” ผมบอกเพื่อนที่ยืนโงนเงน ถ้าไม่สังเกตดีๆก็ไม่รู้ว่ามันเมา แต่ท่ายืนที่มันไม่นิ่งก็พอจะเดาได้

“พี่เจด เราค่อยนัดกันใหม่นะพี่ แต่ไอ้ตงมันเมามากแล้ว ผมจะพามันกลับห้องก่อน มันคงขับรถไม่ไหว” ผมใช้สายตาเว้าวอน

“แต่..” พี่เจดพยายามขัดขวาง

“เอาน่าพี่ ผมกับมันเป็นเพื่อนกัน อย่างน้อยก็รูมเมต พี่คงไม่คิดว่าผมจะใจดำปล่อยให้มันขับรถกลับเองหรอกนะครับ” ผมให้เหตุผล พี่เจดทำหน้านิ่งครู่ใหญ่ก่อนจะพยักหน้าตกลง

“งั้นเดี๋ยวค่อยนัดเจอกัน” แกพูดพลางยิ้ม ผมละดีใจที่พี่เจดเข้าใจ

“ขอบคุณมากสำหรับวันนี้นะครับพี่ ผมสนุกมาก ไปก่อนนะครับ” ไม่รอให้พี่เจดเดินผ่านไอ้ตงหรอก กลัวจะกระทบไหล่กันแล้วเรื่องจะยาว ผมลากตัวเพื่อนตัวดีไปอย่างลำบากเพราะมันขัดขืน ทางเดินจากมุมนี้ไปในตัวโรงแรมไม่ไกลมาก แต่ก็พอทำให้เหนื่อยได้เหมือนกันเพราะอีกคนไม่ให้ความร่วมมือเดินมาดีๆ

“ปล่อยกู กูไม่เมา” มันสะบัด ผมเลยปล่อยแขนมันจนตัวเซเกือบล้มหน้าคว่ำ ยังดีที่มีเสาประตูขนาดยักษ์ให้มันพิง

“ไม่เมาพ่องมึงสิ ยืนยังไม่ตรงเลย”

“ไม่ต้องเสือก” เอ๊า...ไอ้ห่านี่

“กูไม่เสือกก็ได้ ใครอยากจะเสือกเรื่องของมึงครับ กูแค่ไม่อยากให้มึงขับรถไปชนใครเค้าต่างหาก” ผมล้วงกุญแจรถจากกระเป๋ากางเกงแต่ก็หาไม่เจอ ตอนนี้ผมลากมันอย่างทุลักทุเลจนมาถึงหน้าโรงแรมแล้วครับ เหงื่อนี่เปียกทั่วหลังเลยเพราะอากาศร้อน

             ไม่นานนักรถยนต์ของไอ้ตงก็ถูกขับมาจอดที่หน้าประตู ผมลากตัวคนขี้เมาที่กำลังนอนคอพับยัดลงในรถ หยิบใบสีเทาจากกระเป๋าสตางค์ของมันอย่างถือวิสาสะยื่นให้พนักงานก่อนจะไปนั่งเป็นคนขับ ใบหน้าหล่อเหลาของมันนิ่งซบกับกระจก แต่หลังเต่าของถนนทำให้หัวโขกหลายทีเลยเอนมาฝั่งนี้จนเกือบจะซบที่ไหล่ผมเข้าเสียแล้ว

             ระหว่างทางกลับคอนโดไม่มีเสียงพูดคุยจากเราทั้งสองคน มันควรจะเป็นเช่นนั้นแหละเพราะไอ้ตงมันหลับ หน้าตาตอนที่อยู่นิ่งๆก็ดูไร้เดียงสาดีหรอก แต่พอมีสติเท่านั้นแหละ สารพัดความเอาแต่ใจโผล่มาเพียบ ไม่อยากจะนึกเลยว่าคนที่จะมาเป็นแฟนมันจะเจอกับอะไรบ้าง ผมอมยิ้ม...เชี่ย กูอมยิ้มทำไมวะ แค่มองหน้ามัน!



[เจด ชิติพัทธ์]

             ผมตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย ใช้มือขยี้ตาไปมาทั้งๆที่ยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ มันคงจะเช้ามากเพราะรู้สึกปวดหัวหนึบ เมื่อคืนมีเรื่องในผับ ไม่รู้มีมือดีที่ไหนเขวี้ยงแก้วมาที่โต๊ะของกลุ่ม ทำเอาไอ้เคมี (รุ่นน้องที่ค่อนข้างสนิทกันเพราะผมกับไอ้ฟิสิกส์พี่ชายมันเป็นสายรหัสกัน) ถึงขั้นอารมณ์หลุด พุ่งตัวไปหาเรื่องโต๊ะของเด็กปี 1 คณะบริหารจนเกิดการตะลุมบอนขนานใหญ่ ทั้งๆที่ยังจับไม่ได้เลยว่าใครเป็นมือมืดขว้างแก้วมาทางนี้ แต่คงเป็นเพราะไอ้เคมีมันเขม่นกับหนึ่งในกลุ่มนั้นอยู่แล้วในข้อหาแย่งผู้หญิงที่มันจะจีบ พอมีอะไรกระทบนิดหน่อยสติก็หลุด ส่งผลให้เกิดเรื่องจนร้อนถึงผมต้องกลับเข้ามาเคลียร์ทั้งๆที่นั่งแท็กซี่ออกไปกับใครบางคนแล้ว

“พวกมึงทำเหี้ยอะไรกัน” ผมตะโกนลั่นตอนที่ออกมาแล้ว เรากลับมารวมกลุ่มกันที่ลานเกียร์ของคณะ โดยไอ้เคมียังทำหน้าตาบูดบึ้ง

“อยากโดนคาดโทษไล่ออกกันนักเหรอ ห๊ะ” ไม่ใช่แค่ผมที่ปวดหัว เพื่อนผมที่ไปด้วยอีกหลายคนที่พยายามห้ามก็พลอยจะได้รับผลกระทบเข้าไปด้วย ที่สำคัญคือพวกรุ่นพี่ปี 4 อาจจะโดนทัณฑ์บนหนักถึงขั้นพักการเรียนจนอาจเรียนไม่จบพร้อมเพื่อนร่วมรุ่นได้

“พวกมึงแม่ง” พี่ฟิสิกส์ รหัสผมหน้าแดงก่ำ ยังดีที่ผมรู้จักกับเจ้าของร้าน ไม่อย่างนั้นเรื่องคงถึงตำรวจ น้องๆปี 1 และ 2 ก้มหน้านิ่ง หลายคนเอ่ยปากขอโทษและสำนึกผิด เว้นแต่ไอ้ตัวก่อเรื่อง

“มึงล่ะ ว่าไงไอ้เค็ม” เพราะมันชื่อเคมี เวลาเรียกสั้นๆเลยกลายเป็นเค็มเหมือนชื่อวิชาที่ผมแสนเกลียดตอนสมัยมอปลาย

“...” มันไม่ตอบ พี่รหัสผมยังส่ายหน้าทำท่าจะเงื้อหมัดใส่จนพวกเราต้องลากตัวออกไปก่อน

“มึงดูน้องไปนะ เดี๋ยวกูพาพี่เค้ากลับเอง” ไอ้ปิ๊งเพื่อนสนิทผมที่เป็นแฟนกับพี่ฟิสิกส์พูด ก่อนจะพาร่างสูงไปที่อื่น ผมได้แต่ถอนหายใจ ปรึกษาเพื่อนๆว่าจะเอายังไงแต่ก็ไม่มีข้อสรุป

“พวกมึงกลับบ้านก่อน ไว้ค่อยว่ากัน ส่วนมึงไอ้เค็ม ตามกูมา” ผมพูดเสียงแข็ง แม้รุ่นน้องคนนี้จะดื้อรั้นแค่ไหน แต่มันก็เกรงใจผมอยู่บ้าง นอกจากฐานะสายรหัสพี่ชายตัวเองแล้ว พวกเรายังสนิทกันตั้งแต่ปีที่แล้วจากการที่เป็นเดือนคณะ และผมเป็นเดือนมหา’ลัย ก่อนจะขึ้นประกวดผมก็ต้องดูแลและเทรนมันพอสมควร เราเข้าขาได้กันได้ เพราะมันเป็นคนง่ายๆ ออกจะหัวอ่อนด้วยซ้ำ แต่คงเป็นเพราะเรื่องความรักไม่เข้าใครออกใครล่ะมั้ง เลยทำให้ไอ้คนที่เคยทำตัวดีกลายร่างเป็นเด็กเจ้าปัญหาแบบนี้ไปซะได้

             ร่างสูงของเคมีเดินตามต้อยๆ ผมเปิดประตูรถเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ ลดกระจกมองคนที่ยืนบิดไปมาเก้ๆกังๆอย่างนึกรำคาญ คืนนี้มันคงไม่อยากกลับบ้านหรอก เพราะหน้าตามันก็เละน่าดู มีรอยแตกที่หางคิ้วซ้าย รอยช้ำใต้ตาขวา มุมปากมีเลือดไหลกลบออกมาทั้งสองข้าง ไม่นับรวมมือที่แดงและมีรอยเนื้อลอกจากการเข้าไปตะบันหน้าคนอื่น ท่าทางคงเจ็บน่าดู แต่คงจะไม่น่าดูถ้ากลับบ้านแล้วพ่อกับแม่มาเจอสภาพมันแบบนี้

             ส่วนพี่ฟิสิกส์ก็ไปกับไอ้ปิ๊ง แฟนสาวที่คบกันมา 2 ปีเห็นจะได้ ท่าทางคงจะไม่กลับบ้านเช่นกัน และมันคงไม่เหมาะถ้าจะให้ไอ้เคมีตามไปที่คอนโดไอ้ปิ๊งด้วย คนอื่นๆก็พาน้องที่กลับบ้านไม่ได้ไปนอนที่ห้องตัวเองแล้ว ในฐานะที่ผมกับมันค่อนข้างใกล้ชิด เลยจำใจพามันกลับไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ขึ้นมาสิ จะยืนทั้งคืนรึไง” ผมถามก่อนที่ร่างสูงจะเปิดประตูเข้ามานั่งในรถอย่างเงียบเชียบ เราไม่คุยอะไรกันเลยตั้งแต่ตอนนั้น จนกระทั่งถึงห้องผมนี่แหละ ไอ้เค็มนั่งบนโซฟาที่ห้องรับแขกอย่างคุ้นชิน ปล่อยให้เจ้าของห้องเดินไปมาหาของโน่นนั่นนี่และกลับมานั่งข้างๆ

ปัง... เสียงวางกล่องยาทำเอามันหันมาสบตากับผมเป็นครั้งแรก

“มีอะไร” ผมถามเสียงห้วน มันไม่ตอบ เอาแต่นิ่ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมก็ไม่ใส่ใจจะถาม

“โอ๊ะ” มันร้องสะดุ้งเพราะความเจ็บเมื่อโดนสำลีชุบแอลกอฮอล์ล้างแผลเช็ดรอบๆบริเวณรอยแตก เลือดแห้งไปแล้ว มีซึมออกมาบ้างแต่ก็ไม่หนักหนา ไม่ต้องพาไปโรงพยาบาล แค่ใส่ยาและกินยาดักก็น่าจะหายดี

“เจ็บเหรอ”

“ครับ” ผมลดแรงกดให้แผ่วมือมากขึ้น เบตาดีนแฉะๆป้ายที่แผลอย่างทั่วถึง ห้องผมไม่มีผ้าพันแผล เลยใช้แค่พลาสเตอร์แปะลงเท่าที่ทำได้ แต่ตรงกระดูกที่มือคงจะต้องปล่อยไว้อย่างนั้น เพราะปิดพลาสเตอร์ทีไรมันก็เด้งหลุด

“เสร็จแล้ว เจ็บมากมั้ย”

“ไม่แล้วพี่ ขอบคุณครับ”

“เห้อ มึงก็เป็นซะอย่างงี้ แทนที่จะใจเย็นๆ”

“ก็...” ผมถลึงตา มันหุบปาก

“กูรู้ว่ามึงอกหัก แล้วดันไปเจอทั้งสองคนที่ร้าน แล้วไงวะ แค่มีแก้วตกลงมามึงต้องไปเจาะจงหาเรื่องกลุ่มนั้นกลุ่มเดียวด้วย” ผมรู้แหละว่ามันไม่ทันได้คิด แต่มันก็แสดงออกโจ่งแจ้งเกินไปว่าไม่พอใจน้องผู้หญิงคนสวยที่มันเคยจีบแต่ถูกคนในคณะตัดหน้าคว้าไปครอง การทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังทำให้เรื่องมันบานปลาย เป็นห่วงก็แค่ไอ้พวกพี่ๆปี 4 ที่ใกล้จะจบแล้ว ถ้าเกิดทางคณะรู้เรื่อง ชะตาขาดกันหมดแน่ๆ

“อีกอย่าง มึงหุนหันแบบนี้ ไม่แคร์พี่มึงเลยเหรอวะ อีกปีเดียวก็จะจบแล้ว ถ้าโดนพักการเรียนหรือไล่ออกมาจะทำยังไง” วัยรุ่นน่ะมันเลือดร้อน ผมก็หนึ่งในนั้น แต่ก็ไม่รุนแรงระดับต่อยไม่เลือกแบบนี้ รุ่นน้องเม้มปากเหมือนจะเริ่มคิดได้ ดวงตามันแดงๆเหมือนคนจะร้องไห้ ผมถอนหายใจลุกไปเก็บกล่องยาแล้วเปิดตู้เย็นหาอะไรมาดับร้อน

“เอามั้ย” เบียร์กระป๋องเขียวเข้มในมือผมแกว่งไปมาสองครั้ง ไอ้คนที่นั่งบื้อคว้าไปเปิดและส่งเข้าปากอึกใหญ่

“เห้ยๆๆๆ ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็เมาอีกหรอก”

“เมาก็ดีสิ อึ๊ก จะได้ลืมๆไปซะ แม่ง อึ๊ก” มันสะอื้นครับ ไม่ใช่สะอึก ท่าทางจะเครียดและกดดันมากพอดู ไหนจะอกหัก ไหนจะมีเรื่อง ไหนจะพี่ชายมันที่ทำท่าจะต่อยมันอีก เป็นใครก็คงคุมอารมณ์ได้ยาก ไอ้เคมีมทันยังไม่ครบ 20 ปีเลยครับ เพราะมันเรียนเร็วกว่าเกณฑ์ ถึงแม้จะอยู่ปี 2 แล้วก็ตาม มันเลยยังดูเป็นเด็กน้อยในสายตาผมเสมอ

“เออ กินๆไปเถอะ เมาแล้วไปอ้วกในห้องน้ำนะ อย่าเรี่ยราด” ผมกำกับ มันพยักหน้าหงึกๆตอบรับ เราชนแก้วคุยกันไปมาจนเบียร์ในตู้เย็นพร่องจนหมด

             ผมว่าผมฝัน ในฝันมันช่างแสนประหลาด ภาพในฝันเริ่มต้นที่เราสองคนวางกระป๋องเบียร์โครมใหญ่ลงบนโต๊ะ หลังมือพวกเราแตะกันแล้วมีกระแสไฟฟ้าไหลแล่นทั่วตัว โซฟาที่ห้องผมมีตัวเดียวเราเลยนั่งไม่ห่างกัน ทำให้การมองตากันครั้งนี้เป็นระยะที่ใกล้กว่าที่เคย แววตาของไอ้เคมีหวานฉ่ำจากความเมาปนกับความเศร้าสร้อย ริมฝีปากหยักได้รูปสวยสีชมพูทำท่ากลืนน้ำลายลงคอชวนมองจนต้องเขยิบหน้าเข้าใกล้อย่างช้าๆ ภาพสโลว์โมชั่นนั้นชวนให้กลั้นหายใจแต่ก็พ่ายแพ้แก่ไออุ่นที่ออกมาจากจมูกของอีกคน ริมฝีปากของผมเคลื่อนคล้อยแตะที่ปากกระจับนั้นแผ่วเบา ค่อยๆกดแรงลงไปจนอีกฝ่ายร้องคราง

             สองมือของพวกเราก่ายกอดถอดแกะชุดที่สวมใหญ่อย่างสะเปะสะปะ ริมฝีปากยังบดเบียดกันไปมาหนักหน่วง ลมหายใจพวยพุ่งรุนแรงอย่างหิวกระหาย สี่ขาก้าวเดินพาร่างที่นัวเนียอย่างโลภมากมาจบที่เตียงนอนนุ่ม ผมโดนร่างใหญ่คร่อมไว้ ริฝีปากสวยล้วงลึกเข้ามาอย่างเร่าร้อน กระตุ้นความกำหนัดภายในคุโชน ไออุ่นของร่างกายที่แนบชิดกันส่งผ่านไปมาจนร่อนเร่า กล้ามเนื้อหนาแน่นของพวกเรากอดรัดกันไปมาอย่างแนบชิด ผมพลิกร่างของรุ่นน้องให้นอนราบเรียบ ไล้ลิ้นโลมเลียซอกคอลงมาจรดเม็ดแข็งที่ยอดอก แรงฉกเลียทำให้มันแข็งขืน

“อื้ออออ” เสียงครางอย่างสะกดกลั้นคล้ายเสียงยั่วยวนทำให้ไม่อาจหยุดเคลื่อนไหว สบฟันขบยอกอดแผ่วเบาจนร่างนั้นสั่นไหว ผมเลื้อยตัวมาจบที่หน้าท้อง กระชากกางเกงในผืนบางทิ้งไปอย่างไม่ใยดีก่อนจะเกาะกุมความต้องการที่ชูชันรอท่าอย่างไม่รังเกียจ

“ฮื้ออออ” เคมีร้องครางในลำคอเมื่อปากอุ่นครอบดูดดุนความแข็งขืนอย่างช่ำชอง ลิ้นหนาเกี่ยวกระหวัดฉกเลียโลมเร้าอย่างโหยหา ร่างแกร่งนอนแผ่กระตุกตัวไปมาตามจังหวะเร่งเร้า ผมขยับใบหน้าห่อปากครอบดูดอมรูดถลาขึ้นลงเป็นจังหวะเชื่องช้าสลับกับเร่งรุดรุนแรงจนเมื่อยปาก เจ้าของแก่นกายหอบพร่าส่งเสียงครางอื้ออึง สองมือจิกทึ้งเส้นผมของคนที่ดูดอมที่แก่นกลางอย่างเว้าวอน ผมใช้จังหวะนี้แหวกแก้มก้นกลมกลึงไปพลาง ส่งหัวแม่มือใหญ่เข้าไปในช่องแคบที่รัดทึ้งจนเจ้าตัวกระตุกเพราะความเจ็บตึง ก่อนจะผละนิ้วจากรูน้อยมากดนวดขอบรูอย่างใจเย็น พร้อมกับรูดห่อปากขึ้นลงไปมาถี่ยิบขึ้นเรื่อยๆ ร่างใหญ่สะท้าน แรงหอบกระเพื่อมจนซิกแพ็คขยับขึ้นลงชวนมอง แม้จะอยู่ในความมืดสลัว แต่ผมคิดว่ามองเห็นภาพนี้อย่างชัดเจน เรือนร่างของเคมีสวยงามน่าดึงดูดทุกสัดส่วน แรงรูดเฟ้นทำให้บั้นท้ายขมิบแรงดูดรัดนิ้วฝืดที่แตะต้องจุดอ่อนไหว ยิ่งรูดเฟ้น เร็วแรงบั้นท้ายก็ขยับส่ายยกส่งจังหวะดูดดึงให้ผสานเชื่อมเป็นหนึ่งเดียว ผมออกแรงเม้มปากห่อรูดขึ้นลงเร็วขึ้น เร็วจนแรงทึ้งเส้นผมขยับหนักหน่วง ลมหายใจที่หอบถี่กับร่างกายที่จับเกร็งชวนสยิวไหวหวามบิดเร่า ผมดูดเน้นหนักในจังหวะกระตุกตัวก่อนที่ทุกอย่างจะล้นทะลักออกมาอย่างมากมาย

“อ๊าาาาาาาาาาาา” เสียงครางลั่นของคนที่ถึงฝั่งฝันดังกลบทุกสิ่งในห้อง ผมดูดเฟ้นทุกหยาดหยดอย่างไม่รังเกียจ เคมีนอนแผ่หราปล่อยให้บั้นท้ายชูเด่นจากสองขาที่ถูกยกแยกโดยไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมปล่อยความแข็งขืนให้เป็นอิสระ คายความสุขล้นคุคาวออกมาบนฝ่ามือ ชะโลมมันที่นิ้วและกดแทรกเข้าไปอย่างช้าๆ

             คงจะเป็นเพราะความเมา หรือไม่ว่าเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ผมกลั้นความอยากของตัวเองมานานเนิ่นจนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เมือกขุ่นที่หลงเหลือถูกทาทาบลงบนความแข็งแกร่งที่ดุดันและพร้อมออกศึกแล้ว แม้ขนาดของพวกเราจะไม่ต่างกัน แต่มันก็ถือว่าเป็นขนาดที่น่ากลัวไม่น้อย แต่วินาทีนั้นผมไม่สนใจเรื่องใดอีกแล้วนอกจากต้องการปลดปล่อยความครุกรุ่นของรสรักให้หมดสิ้น สองขาแกร่งถูกยกพาดที่ไหล่อย่างยากลำบาก เคมีนอนนิ่งเพราะความเมาแต่ก็พอมีสติช่วยเหลือยกขาตัวเองอย่างไม่คำนึงถึงชะตากรรม ผมจับจ่อความใหญ่โตที่ปากทางก่อนจะกดเข้าไปในตัวช้าๆ

“อ๊ะ ฮื้อ....” คนที่กำลังถูกบดบี้ร้องคราง ริมฝีปากเม้มอย่างหนักหน่วงพร้อมใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ความแน่นหนึบถาโถมทันที่ที่ผมยัดเยียดมันเข้าไปช้าๆ ความร้อนผ่าวชะโลมไหลกอดรัดความแข็งแกร่งที่แทรกกายไปอย่างไม่ลดละ แต่ละคืบที่เข้าไปก็ยิ่งถูกบีบรัดจนแทบบ้า ร่างใหญ่ที่นอนอยู่พยายามยกมือห้ามอย่างไร้ทิศทางจนผมต้องกระชับข้อมือให้ราบลงกับที่นอนและยกตัวไปประชิด ริมฝีปากผมทาบทับลงไปอีกครั้ง เราส่งผ่านความหอมหวานและเร่าร้อนกันอย่างออกรส ปล่อยให้ความใหญ่โตสอดส่ายเข้าไปจนสุดทาง ผมส่งผ่านตัวตนเข้าไปอย่างหนักหน่วง เสียงร้องของพวกเราสอดรับไปกับจังหวะกระแทกกระทั้น

             ในฝันที่เหมือนจริง ผมจบท่าแรกอย่างสุขสมและพลิกร่างใหญ่ที่นอนหายใจโรยรินให้นอนคว่ำก่อนจะเริ่มบทใหม่อย่างดุดัน เนื้อตัวแกร่งปนเปกับกลิ่นเหงื่อของวัยหนุ่มที่แสนเย้ายวนจนหักห้ามใจไม่ไหว แรงส่งผ่านความใหญ่โตบุกล้วงอย่างง่ายดายเพราะมีตัวช่วยที่คั่งค้างอยู่ด้านใน แรงขมิบตอดรัดยังหนักหน่วงแม้จะถูกสอดแทรกมาแล้วยกหนึ่งก็ตาม บั้นท้ายกลมกลึงพยายามหลบหนี เสียงร้องเพ้อบ่นว่าเจ็บไม่เป็นอุปสรรคให้ผมเดินหน้า ร่างแกร่งถูกย้ำถี่หนักหน่วงขึ้นลงอยู่อย่างนั้นจนกระทั้งผมถึงฝั่งเป็นรอบที่สอง

             ผมตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย ใช้มือขยี้ตาไปมาทั้งๆที่ยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ มันคงจะเช้ามากเพราะรู้สึกปวดหัวหนึบ เมื่อคืนมีเรื่องในผับ ไม่รู้มีมือดีที่ไหนเขวี้ยงแก้วมาที่โต๊ะของกลุ่ม ทำเอาไอ้เคมี (รุ่นน้องที่ค่อนข้างสนิทกันเพราะผมกับไอ้ฟิสิกส์พี่ชายมันเป็นสายรหัสกัน) ถึงขั้นอารมณ์หลุด พุ่งตัวไปหาเรื่องโต๊ะของเด็กปี 1 คณะบริหารจนเกิดการตะลุมบอนขนานใหญ่ ทั้งๆที่ยังจับไม่ได้เลยว่าใครเป็นมือมืดขว้างแก้วมาทางนี้ แต่คงเป็นเพราะไอ้เคมีมันเขม่นกับหนึ่งในกลุ่มนั้นอยู่แล้วในข้อหาแย่งผู้หญิงที่มันจะจีบ พอมีอะไรกระทบนิดหน่อยสติก็หลุด ส่งผลให้เกิดเรื่องจนร้อนถึงผมต้องกลับเข้ามาเคลียร์ทั้งๆที่นั่งแท็กซี่ออกไปกับใครบางคนแล้ว

             แต่ภาพที่ตัวเองฝันกลับโผล่มาอย่างชัดแจ้ง ร่างกายผมเปลือยเปล่าอยู่ใต้ผ้าห่มผืนโปรดในห้องนอนของตัวเอง กลิ่นคาวคลุ้งไหลเวียนจนหน้าชาไปหมด ความเมื่อยขบฟ้องว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น บางอย่างที่ไม่น่าเกิด บางอย่างที่ผิด ผิดมากๆ ผิดจนไม่น่าให้อภัย...

             สายตาผมเลื่อนไปมองที่นอนข้างๆ ร่างใหญ่ที่หลับไหลหายใจราบเรียบหันหลังอย่างสงบ ผมเผ้ารุงรังปกปิดใบหน้าหล่อจนแทบมองไม่เห็น ผมหายใจตีบตันก่อนกระชากผ้าห่มให้ออกไปห่างตัว

พรึ่บ!

“เชี่ย” ผมสบถร้องกับตัวเองเมื่อได้เห็น ภาพร่างแกร่งขาวเนียนของเคมีนอนคว่ำ บั้นท้ายกลมกลึงเผยให้เห็นความเนียนละเอียดน่าสัมผัส แก้มก้นทั้งสองข้างแดงช้ำเป็นหลักฐานชิ้นดีว่าเกิดอะไรขึ้น ยังมีคราบเมือกไหลเยิ้มออกมาจนเปียกชุ่มจากรูน้อยยืนยันอีกจนดิ้นไม่หลุด สองขาแกร่งแหวกกว้างพอที่จะเห็นว่าหูรูดนั้นยับเยินเพียงไหน เลือดที่ไหลซึมเหมือนจะหยุดไปแล้ว แต่เจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น

“ค่ะ เค็ม” ผมเรียก บ้าเอ๊ย เสียงสั่นไปหมด ... นี่เรื่องจริงเหรอวะ หรือว่ากูฝัน ... ชิบหาย ดันมีอะไรกับน้องชายพี่รหัสตัวเอง ผมดันไปมีอะไรกับชายแท้ ... เย็บแม่ง จะโดนตีนก็คราวนี้แหละไอ้เจดเอ๊ย...

“...” ไม่มีเสียงตอบรับ ผมเลยเอื้อมมือไปแตะร่างนั้นช้าๆ มือจะสั่นทำไมวะ...

“ตัวร้อนนี่หว่า เค็ม” ผมแต่หน้าผาก ก่อนจะจับไหล่หนาขยับไปมา

“อื้อ ไม่อาววว ปวดหัว จะนอน อื้อ” ร่างใหญ่พลิกตัว เผยความแข็งแกร่งของเพศชายที่ผงาดตัวตอนเช้าอย่างรู้งาน ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ถ้าเมื่อคืนมันมีสติแล้วผมเป็นฝ่ายโดน ชะตากรรมคงไม่ต่างกับไอ้เคมีตอนนี้

             ผมกดโทรศัพท์หาพี่ฟิสิกส์ แต่ไม่มีใครรับ ในใจร้อนเร่าอย่างที่สุด นึกไม่ออกว่าจะต้องทำยังไง มีอะไรกันไม่พอยังทำเขาป่วยอีก แม่งเอ๊ย... เกิดมาไม่เคยเปิดซิงใครก็งี้แหละ ชีวิตไอ้เคมี ได้กับคนนั้นคนนี้เสร็จก็จบ แยกทาง ไม่เคยมีใครจะต้องมานอนซมป่วยอยู่บนเตียงแบบนี้มาก่อน ลนลานไปหมดไม่รู้จะต้องทำยังไง

“กูเกิ้ล!” ผมวิ่งไปหาโน้ตบุ๊กที่วางบนโต๊ะทำงาน กดค้นหาลงไป แต่ก็ไม่ช่วยอะไรมากนัก

ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี ... ผมคิดอย่างร้อนรน มองใบหน้าหล่อที่มีบาดแผลอย่างรู้สึกผิด หยิบมือถือขึ้นมาไล่ดูรายชื่อในนั้นไปเรื่อยๆจนถึงชื่อๆหนึ่ง

โป๊ะเชะ! เพื่อนสมัยมอปลายของผมเองครับ มันเรียนหมออยู่ปี 3 เหมือนกัน ...

             ผมออกไปซื้อยาตามที่เพื่อนผมแนะนำ ไม่วายจะโดนด่าเปิงเรื่องที่ทำลงไป แต่ผมก็ไม่แคร์หรอกว่ามันจะด่ายังไง ตอนนี้ห่วงแค่คนที่นอนป่วยอยู่จะไหวไหมเท่านั้น ตอนที่โผเข้าไป ร่างสูงยังไม่ตื่น ผมเลยหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวแผ่วเบา ทำความสะอาดจนเกลี้ยงและทายาขี้ผึ้งตรงขอบรอยจีบบั้นท้ายแผ่วเบา ก่อนจะใส่ยาสอดเม็ดสีขาวในรูจนเจ้าของพื้นที่ร้องอื้อในลำคอ

“ไม่รู้จะได้ผลรึเปล่านะ แต่ตอนที่กูเป็นริดสีดวงก็ใช้ยาสอดนี่แหละ” เพื่อนที่ผมโทรไปปรึกษาตอบมา มันยังไม่ได้เรียนเฉพาะทางเลยให้คำแนะนำจากประสบการณ์ตรงของตัวเอง ใช่แล้วครับมันเป็นเกย์เหมือนผมนี่แหละ แต่เป็นเกย์รับ เลยรู้ว่าตอนที่โดนครั้งแรกมันเจ็บสาหัสเพียงไหน ต้องกินยาอะไร ทายาอะไร และต้องรักษาตัวยังไง มันบอกผมละเอียดยิบ

“เค็ม ตื่นมากินยาก่อน” ครั้นจะปลุกให้ตื่นมากินข้าวคงยาก ผมเลยปลุกให้เจ้าตัวมากินยาแก้ไขและแก้อักเสบไปก่อน ไม่กลัวว่าโรคกระเพาะจะถามหา กลัวว่ามันจะเกิดการอักเสบและติดเชื้อต่างหาก เมื่อคืนก็แม่งไม่ทันคิด เสียบสดไปอีก

“อื้อ หนาว” มันร้องเสียงสั่น คงจะหนาวจริงๆเพราะไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ผมหาชุดใหม่มาเปลี่ยน คอยเช็ดตัวให้ ปล่อยให้มันนอนและคว้าตัวไปกอดอย่างไม่อาจเลี่ยง ไหนๆก็ป่วยเพราะกูแล้วนี่หว่า จะยอมเป็นหมอนข้างให้ละกัน

             ไอ้เคมีป่วยต่อไปอีก 3 วัน แต่มันรู้เรื่องตั้งแต่วันแรกที่ตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บแล้วล่ะครับ มันโกรธผมมากจนแทบจะประเคนบาทาให้กิน แต่ดีที่มันเจ็บ มีอาการป่วยเลยไม่มีแรง ได้แต่ด่าผมไม่หยุดอยู่อย่างนั้น แถมยังเข้าใกล้ไม่ได้ เพราะใกล้ที่ไรมันก็พยายามประเคนหมัดทุบตัวผมจนช้ำ ทีแรกก็สงสารหรอกนะ แต่พอเจอแบบนี้ก็เริ่มโมโหเหมือนกัน ครั้นจะตอบโต้ก็ทำไม่ลง มองสภาพที่เละเทะของมันยิ่งรู้สึกแย่

             ตลอดเวลาสามวันมานี้มันไม่ยอมพูดกับผมจนผมอยากจะบ้าตาย ถ้ามันต่อยตีหรือด่าทอเหมือนตอนแรกผมคงจะรู้สึกดีกว่านี้ ไม่ใช่ทำท่าทางเย็นชาห่างเหินกันขนาดนี้ เป็นใครก็อึดอัดคุณว่าไหม แววตาที่มองมาเหมือนกับผมเป็นตัวเชื้อโรคนั้นก็ยิ่งทำให้ระยะห่างของพวกเรามากขึ้น ใบหน้านิ่งเรียบจนน่าขนลุกทำให้ไม่อยากเข้าใกล้ แต่เพราะภาระหน้าที่ ผมจึงทำใจดีสู้เสือ คอยป้อนข้าว ป้อนยาจนกระทั่งมันหายดีในวันที่ 5

             ผมกลับเข้ามาที่ห้องหลังจากเรียนเสร็จและพบกับความว่างเปล่า ก่อนหน้านั้นผมส่งใบลาของเคมีไปก่อนแล้ว ไม่มีใครถามซอกแซกเพราะต่างเข้าใจว่ามันหลบหน้าจากเหตุการณ์ในผับ แค่วางของไม่นานเสียงเคาะประตูก็ลั่นห้อง ผมเดินไปเปิดอย่างหัวเสีย ก่อนที่จะโดนร่างใหญ่ซัดหมัดเข้ามาไม่ยั้งจนเซล้ม ไอ้ฟิสิกส์พี่รหัสผมเองครับ มันคงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เลยมายำผมจนเละ พอสาแก่ใจมันก็ปล่อยผมนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น

“ขอโทษพี่ ผมขอโทษ” ไม่รู้ว่าจะต้องพูดยังไง ได้แต่ขอโทษซ้ำๆอยู่อย่างนั้น และหวังว่าจะได้ยินคำว่า ไม่เป็นไร

             ผ่านมาเกือบเดือนกว่าพวกเราจะเคลียร์กันลงตัว ผมเจ็บจนต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปเป็นอาทิตย์ ไอ้เคมีมาเห็นสภาพที่พี่มันยำผมจนเละก็ยอมยกโทษให้ แต่ไม่ขอกลับมาสุงสิงด้วย พี่รหัสผมก็มาขอโทษ มันบอกว่าเคืองผมมากที่ไปทำน้องมัน แต่ถ้าไอ้เคมีไม่ติดใจอะไรมันก็ว่าตามนั้น พวกเราเลยปรับความเข้าใจกันใหม่ นับเป็นครั้งแรกที่พี่รหัสผมรู้ว่าผมเป็นเกย์ (แถมยังล่อตูดน้องชายมันอีกด้วย)

“มึงต้องเลิกยุ่งกับน้องกู” พี่ฟิสิกส์ยื่นคำขาด

“ผมรู้”

“เลิกยุ่งเด็ดขาด” จะย้ำทำไมวะ รู้แล้ว “มึงต้องมีแฟน ไอ้เจด รีบมีแฟนแล้วออกห่างจากชีวิตน้องกูซะ”

“ครับ” ผมรับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้ จะต้องทำยังไงล่ะ ในเมื่อชีวิตจริงมันไม่เหมือนในนิยาย ที่มีอะไรกับชายแท้แล้วเขาหันมาหลงรัก ถึงแม้ผมจะเผลอใจไปกับกลิ่นกายหอมกรุ่นของไอ้เคมีไปแล้ว ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ ผมก็ต้องทำอะไรสักอย่าง ... แล้วใบหน้าของรุ่นน้องที่เจอกันที่ผับก็โผล่เข้ามาในหัว หนึ่ง เอกราช....








ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมกระทู้  ถึงถูกย้ายห้องไปพักไว้?  ผิดกฎหรือมีกรณีพิพาทอะไรเหรอ?

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
อ้าวที่แท้พี่เจดมีคดีติดตัวนี้เอง ถึงมาตามตื้อหนึ่ง

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ว่าแล้วต้องมีเงี่ยนงำ  :laugh:

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 22. หาเหตุผลไม่ได้

[ตงฉิน]

             ผมสะดุ้งตื่นจากแรงเขย่าของคนที่เพิ่งถอยรถเข้าที่จอด พอปรับสายตาได้แล้วก็ค่อยๆเปิดประตูเดินไปที่ลิฟต์ของลานจอดรถโดยไม่รอคนข้างหลัง มันวิ่งตามและเข้ามาประคองโดยจับที่บั้นเอวผมไว้

“ปล่อย”

“ยืนไม่ไหวอยู่แล้วยังจะปากดี” มันตอบ ผมได้แต่ถอนหายใจอย่างขัดขึ้งบ่งบอกว่าไม่พอใจ แต่เหมือนมันจะไม่แคร์สักนิด ผมเลยปล่อยให้มันจับและพาเข้าไปในลิฟต์ คอพับมาจนกระทั่งร่างผมกระทบกับที่นอนนุ่มนั่นแหละเลยกลับมารู้ตัวอีกที

“อื้ม ไม่เอา ไม่ถอด” ผมรู้ว่าใครที่กำลังถอดเสื้อผ้าให้ ถึงแม้จะมีอะไรกันมาก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะเป็นอะไรกัน ผมไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรจากมัน ไม่ต้องการให้มันมายุ่งกับเนื้อตัวของผมเหมือนที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ เลยขยับตัวดิ้นไปมาเพื่อขัดขวางคนที่กำลังคอยถอดเสื้อผ้าอยู่

“เห้ย อย่าดิ้นสิ เปลี่ยนชุดก่อน”

“ม่าย ต้อง ยุ่ง” ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเมาได้ขนาดนี้ แค่ดื่มไม่ยั้งไม่กี่แก้วเองนะ

ครืดดดดดดดดดดดดดดดดด... เสียงโทรศัพท์ดังสั่นจนสะดุ้ง ผมเอื้อมไปหยิบจากกระเป๋ากางเกง แต่พอเรานิ่ง อีกคนก็ถกกางเกงผมออกไปเองเสียเลย

“อาว ทอ สับ มา” ผมทำท่าจะลุก แต่มึนหัวไปหมด สองตาปรือมองเห็นว่ามันกดรับสาย เสียงคุยขาดๆหายๆ พอจับใจความได้เล็กน้อย

“อ๋อ ตงนอนแล้วครับ... เมาน่ะครับ ... มันนัดคุณไว้เหรอ ... สงสัยมันลืม ... เดี๋ยวผมบอกให้นะครับ....” ผมตั้งใจฟังสุดๆแล้วก็ได้แค่นี้ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่านัดกับใครไว้ รู้แต่ว่าตอนนี้มึนหัว

“น้ำ หิวน้ำ” ผมบ่นพึมพำ แต่ปากก็ไม่ยอมขยับตอนที่แก้วน้ำมาจ่อ

“เปิดปากหน่อย ดื่ม” ผมส่ายหน้า หิวน้ำมาก แต่ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น

“หิวน้ำ”

“มึงนี่แม่ง” ไอ้เตี้ยบ่นอะไรสักอย่าง

“อึ๊ก” ผมโดนบีบคางก่อนจะถูกอะไรอุ่นๆทาบทับลงมาก่อนที่ของเหลวไร้รสจะไหลลงคอให้กลืนลงไปจนหมด

“อื้ออออ” ผมร้องครางเมื่อมันป้อนน้ำมาอีกสองครั้งก่อนจะประกบดูดดื่มในโพรงปากผมนานเนิ่น

“ร่านนักใช่มั้ยมึงน่ะ” เสียงมันพึมพำเหมือนอยู่ที่ไกลๆ “เมาขนาดนี้ยังมีหน้านัดหญิงอีกเหรอวะ มึงแม่ง...”

แล้วมันก็จัดการผมทั้งๆที่เมาไม่รู้เรื่องอย่างนั้นแหละ....

             ที่ผมเล่าได้เพราะตอนนี้ตื่นแล้ว เจ็บก้นกบชิบหาย ไอ้หนึ่ง ไอ้เชี่ย ผมโดนมันจัดตอนเมาจนได้ นึกแล้วเจ็บใจชิบหาย เมื่อวานนัดพี่ดาวมหา’ลัยไว้แต่ดันเมาสติหลุด นอกจากจะไม่ได้แล้วยังมาเสียตัวให้มันอีกต่างหาก คิดแล้วแค้นชิบหาย

พลั่ก! ผมถีบมันตกเตียง

“เชี่ย เจ็บ” ไอ้เตี้ยมันสะดุ้งพรวด เรือนร่างเปลือยเปล่าเผยแก่สายตา ตัวแค่นี้ แต่พิษสงเยอะชิบหาย เอาซะเจ็บไปหมด

“ออกไป” ผมไล่

“มึงบอกกูดีๆก็ได้มั้ยวะ จะถีบเพื่อ”

“กูไม่อัดหน้ามึงก็บุญแล้วไอ้สัด ใครใช้ให้มึง ...” ผมหยุดพูด ไม่อยากนึกถึงเรื่องเมื่อคืน

“ให้เอามึงน่ะเหรอ” ไอ้เชี่ย ไอ้หน้าด้าน พูดมาได้ไม่อายปาก

“ออกไป”

“ไม่ ขอโทษกูก่อน”

“ขอโทษทำไม กูทำไรผิด มึงสมควรโดน”

“สมควรอะไร กูอุตส่าห์หอบมึงมา พามึงเข้าห้อง ดูแลมึง และเอามึง”

“ไอ้สัด” ผมปาหมอนไปอย่างหงุดหงิด แม่งยั่วโมโหเก่งชิบหาย “ใครขอร้องมึงไม่ทราบ”

“มึงว่ากูเสือกเหรอ”

“เออสิ” ผมตวาด

“ใครเสือกกันแน่วะ มึงคิดดูดีๆ ใครวะแม่งมาขัดจังหวะ” ผมมองมันอย่างหงุดหงิดใจ ภาพที่มันจูบกับผู้ชายคนนั้นแว้บเข้ามา

“กะ กู ...” จะตอบว่าไงดีวะ

“มึงขัดจังหวะกูก่อนนะ แถมเมายังกะหมา เดินทีแทบจะล้ม กูต้องพามึงกลับมาเนี่ย”

“ละ แล้วไงวะ มึงอารมณ์ค้างมึงก็ไปเอาออกเองสิ ไม่ใช่ว่า...”

“จะเอามึงน่ะเหรอ”

“หุบปาก ถ้ามึงไม่หยุดจะโดนถีบอีกรอบ”

“ถีบไหวเหรอ” มันยกยิ้มหน้าตาเจ้าเล่ห์ พาร่างของมันมาที่เตียง คลานสี่ขาเหมือนคอร์กี้หางสั้นเหมือนจะจู่โจม

“ไหว อ๊ะ เชี่ย...” ผมร้องเพราะเจ็บ อย่าให้พูดนะครับว่าเจ็บตรงไหน ตอนแรกที่ถีบเพราะโมโหที่ตื่นมาพบว่าตัวเองโดนอะไร แต่พอมีสติมากขึ้น ความเจ็บมันก็มากขึ้นตามไปด้วย

“เห็นมั้ยว่ามึงยกขาไม่ไหวแล้ว”

“อะ ออกไป มะ มึงจะทำอะไร” ผมมองอย่างผวา ตอนที่มันโน้มหน้ามากระซิบข้างหู ไอ้สองแขนที่ยาวกว่ามันเหมือนจะไม่มีเรี่ยวแรงเอาดื้อๆ เสียงกระเส่าของมันทำให้ขนกายลุดชูชันไปหมด ไออุ่นจากลมหายใจแล่นผ่านชวนสยิวไม่น้อย

“ทำเหมือนที่ทำเมื่อคืนไง”

“มะ ไม่เอา” ผมพยายามห้าม แต่สายตากรุ้มกริ่มของมันบอกว่าไม่ได้ล้อเล่น

“เมื่อคืนมึงไม่มีสติ แต่ตอนนี้มึงตื่นแล้ว” มันเลียริมฝีปาก

“พะ พูดเชี่ยอะไรของมึง”

“ก็ตอนมึงเมา มึงยังตอบสนองกูซะดิบดีเลย กูเลยอยากรู้ว่าตอนที่มึงมีสติแบบนี้ จะตอบสนองได้ถึงใจเหมือนเดิมมั้ย”

“มะ ไม่เอา ออกไป” ผมดันตัวมันให้ถอยห่าง แต่กลับถูกตรึงไว้ด้วยใบหน้าที่ไม่คุ้นชิน สายตามันดูหวานเยิ้มเต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการ คิ้วหนาที่ยักย้ายไปมาเหมือนกำลังถูกใจกับของเล่น จมูกโด่งเป็นสันคมรับกับรูปหน้า ริมฝีปากอวบอิ่มได้รูปชวนหวั่นไหวขยับไปมาส่งเสียงเหมือนเชื้อเชิญ

“แน่ใจเหรอว่าให้กูออกไปน่ะ” ใบหน้าที่ผมไม่เคยมองว่าดูดีมาก่อน ทำไมวันนี้กลับดูหล่อเหลาจังวะ หรือเพราะทรงผมที่ตัดและเซ็ตมาใหม่ ก็ไม่น่าใช่นะ เพราะมันชี้โด่เด่ไม่เป็นทรงไปแล้ว หรือเพราะสูทที่มันใส่เมื่อคืน ก็ไม่น่าจะใช่อีก เพราะตอนนี้มันโป๊อยู่ แล้วเพราะอะไรล่ะ ทำไมมันถึงดูดีขนาดนี้ ปากมันใกล้เข้ามา อีกนิด ทีละนิด จนกระทั่งเราสองคนแนบชิดกัน

“อื้อ...” ผมได้แต่ครางในลำคอ เมื่อโดนมันสอดส่ายความหวานหอมเข้ามา เรี่ยวแรงที่เคยมีหดหายไปหมดเมื่อตอนที่มันโลมเลียที่ยอดอก และยิ่งหอบพร่าตอนที่มือหนาเกาะกุมของสงวนส่วนแข็งขืนของผมไว้อย่างทะนุถนอมก่อนรูดเฟ้นขึ้นลงเป็นจังหวะ และยิ่งเสียวซ่านเมื่อมีความใหญ่โตแข็งแกร่งสอดผ่านเข้ามาในตัว ผมไร้แรงต่อต้านเมื่อถูกถาโถมอย่างรุนแรงจนต้องครางครวญอย่างโหยไห้ ความเจ็บปวดเลือนหายเหลือไว้แต่ความอิ่มเอมและสุขล้นที่ถูกคนตัวเล็กคร่อมเหนือร่างและส่งผ่านความเป็นชายเข้ามาอย่างดุดัน

...นี่ผมเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย ไอ้ตงเอ๊ย

[เจด ชิติพัทธ์]

             ผมวางโทรศัพท์ด้วยอารมณ์หดหู่อย่างอธิบายไม่ถูก ไม่รู้ว่าเรื่องที่ทำในตอนนี้มันถูกต้องไหม ตอนแรกที่ได้เจอกับน้องหนึ่งแฟนที่เคยคบกันสมัยมอปลายก็รู้สึกถูกชะตา มันเหมือนได้เจอความสบายใจเดิมที่คุ้นเคยน่ะนะ แต่พอเรื่องผมกับไอ้เคมีมีอะไรกันเข้าหูพี่ฟิสิกส์ พี่รหัสผมแต่เป็นพี่ชายแท้ๆของไอ้เคมีเรื่องมันเลยยุ่งปนเปกันไปหมด หลังจากที่โดนยื่นคำขาดจากพี่รหัสผมก็ไม่ได้ติดต่อกับน้องชายเขาอีกเลย

             จนได้ไปเจอน้องหนึ่งโดยบังเอิญที่ห้างสรรพสินค้านั่นแหละ เลยปิ๊งไอเดียจะขอยืมควงเพื่อบอกใครต่อใครว่ามีตัวจริงแล้วนะ เผื่อเรื่องต่างๆมันจะจบง่ายขึ้น ผมกับเคมีคงจะกลับมามองหน้ากันได้อีกครั้ง แต่เปล่าเลย เรื่องเหมือนจะยุ่งไปกว่าเดิมเมื่อไอ้ดาราหน้าหล่อดันมาเห็นตอนที่พวกเราจูบกัน

             ผมไม่ใช่คนโง่ที่จะดูไม่ออกว่าน้องหนึ่งชอบใคร คำตอบมันไม่ใช่ผมแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่หาข้ออ้างเพื่อไปส่งคนที่พูดจาหาเรื่องได้ตลอดหรอก ในใจผมก็ยังอ่อนแอกับปัญหาตัวเองจนคิดไม่ตก มองแผ่นหลังของทั้งคู่เดินกลับที่โรงแรมอย่างว่างเปล่า ไม่ได้รู้สึกเหมือนโดนอกหักแม้แต่น้อย ... เหมือนตัวเองเป็นคนเลวที่หลอกใช้คนอื่นยังไงไม่รู้

“ไงมึง จ๋อยเลยสิ” ไอ้ปิ๊ง เพื่อนสนิทเข้ามาแตะไหล่ คงเห็นผมกระดกเหล้าอยู่เงียบๆในงานบายเนียร์คนเดียวอยู่นานสองนาน

“จ๋อยอะไรของมึง” ผมปากแข็ง

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่อง คนเขาเห็นทั้งงานว่าคู่ควงมึงน่ะลากเดือนมหา’ลัยขึ้นรถไปแล้ว”

“แล้วไง”

“มึงไม่รู้สึกอะไรเลยว่างั้น สองคนนั่นท่าทางจะสนิทกันน่าดูเลย เฟรชชี่ไนท์ก็เป็นข่าวใหญ่” น่าจะเรื่องที่ทั้งสองคนล้มแล้วจูบกัน

“กูจะต้องรู้สึกยังไงวะ” ผมยกแก้วซดน้ำเมาอึกใหญ่ มือบางรั้งไว้จนต้องลดระดับแขนลง

“มึงจะบอกว่าที่ยัดๆๆๆอยู่เนี่ยไม่ใช่เพราะโกรธ งอน น้อยใจ หรือเสียใจที่น้องหนึ่งไปกับคนนั้น” ปิ๊งถามเสียงสูง

“อืม” ผมตอบไปตรงๆ รู้ดีว่าถ้าโกหกมันก็ต้องจับได้อยู่ดี ไม่ช้าหรือเร็ว

“แล้วทำไมมึงถึงซังกะตายแบบนี้วะ” ท่าทางเป็นห่วงแบบจริงใจของมันทำให้ผมชั่งใจ

“กู...” ใบหน้าหล่อเหลาของเดือนคณะเมื่อปีที่แล้วตอนที่ร้องครวญครางใต้ร่างฉายซ้ำมาในหัว

“มึงเล่าให้กูฟังได้ทุกเรื่องนะ มึงรู้ใช่มั้ย” ผมพยักหน้า กว่าเราจะรู้ว่ารู้สึกชอบหรือรักใคร มันต้องเกิดเรื่องหนักหนาก่อนทุกทีสิน่า ... เพื่อนสาวฟังผมเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาอย่างตั้งอกตั้งใจ สองแขนเรียวกอดอก แววตาจริงจังนั้นชวนให้ผมผ่อนคลาย

“สรุปว่า มึงคิดจะหลอกจีบน้องหนึ่ง ควงเค้าเพื่อจะให้พี่ฟิสิกส์สบายใจ”

“ทำนองนั้น”

“โหย พ่อพระ มึงจะเอาใจพี่เค้าทำไม” อ้าว...กูเอาใจแฟนมึงก็ไม่ได้

“...”

“คนที่มึงควรจะเอาใจน่ะ คือตัวมึงเอง ถามใจมึงเองว่ารักใครชอบใคร” ต้องถามอีกเหรอวะ กูซึมขนาดนี้ล่ะนะ

“มึงก็รู้ว่าพี่...”

“อย่าเอาพี่ฟิสิกส์มาอ้าง เค้าไม่อยากให้มึงไปยุ่งกับน้องเค้ามันก็เรื่องของเค้า แต่มึงเคยคุยกับเคมีรึยังล่ะ ว่าเห็นด้วยกับพี่ชายตัวเองรึเปล่า”

“เอ่อ...” ผมฉุกคิด ทั้งหมดทั้งมวลมีแค่ใบหน้าบึ้งตึงจากไอ้เคมีเท่านั้น คำพูดห้ามและกีดกันมาจากปากอีกคนนี่นา

“มึงนี่ได้เกียรตินิยมจริงๆเหรอวะ ถึงได้โง่ขนาดนี้”

“นี่ไอ้ปิ๊ง นี่เพื่อนเอง เพื่อนมึงไง”

“เออ ก็เพราะเห็นมึงเป็นเพื่อนนี่แหละกูถึงพูด” ไอ้ปิ๊งท่าทางจะเดือดจัด มือเรียวคว้าแก้วน้ำเมาในมือผมไปกระดกเรียบ ผมได้แต่มองมันอย่างอึ้งๆ เพราะไม่คิดว่ามันจะฉลาดได้แบบนี้

“ไม่ต้องมอง กูรู้กูสวยและฉลาด” นี่มึงอ่านใจกูได้ด้วยเหรอวะ

“กูต้องทำยังไงวะ” ผมยังคิดไม่ตก จะเริ่มต้นยังไง จะต้องคุยยังไง เกิดมาไม่เคยต้องตามง้อใครสักที

“ใช้สมองสิ อย่าใช้แต่ไอ้นั่นแก้ปัญหา” มันชี้ที่เป้ากางเกง

“ใช้ซิปแก้ปัญหาเหรอ ยังไงวะ” อันนี้ผมตั้งใจกวนมันครับ

“ซิปพ่อง” มันด่า พลางชูนิ้วกลางมาให้ “มึงก็แค่ ทำตามหัวใจของมึงสิ กล้าทำกล้ารับ พูดไปเลยว่ามึงคิดยังไง”

“กับผัวมึงน่ะนะ”

“ไอ้เจด นี่กูซีเรียสนะ” ไอ้ปิ๊งมันแหว ผมได้แต่ขำ อย่างน้อยก็อารมณ์ดีขึ้นมาเปราะหนึ่งล่ะ



[ขวัญจิรา]

             คุณแม่ของโทหายป่วยแล้ว แต่ต้องติดตามอาการเป็นระยะ ช่วงแรกโทต้องไปกลับระหว่างบ้านและมหา’ลัยจนเราต้องห่างไปพักใหญ่ พอคุณแม่อาการดีขึ้นก็กลับมานอนคอนโด เลยไม่ต้องไปๆกลับๆเพราะพี่ชายโทจ้างคนมาช่วยดูแลแล้ว

“ขวัญ แม่บอกว่าอยากเจอน่ะ” สิ่งหนึ่งที่โทเปลี่ยนไม่ได้จริงๆคือความทื่อและซื่อนี่แหละ จะพูดอะไรก็เป็นขวานผ่าซากเลย

“ห๊ะ วันไหน” เราตกใจเสียงดัง ดีนะที่นั่งทำรายงานที่ม้านั่งใต้คณะ ถ้าอยู่ในห้องสมุดคงโดนเอ็ดไปแล้ว

“พรุ่งนี้” น้ำเสียงตอบเรียบๆ แต่จิตใจเราสงบไม่ได้เลยตอนนี้

“ห๊า” เอาล่ะค่ะ ดิฉันคงจะใจเย็นไม่ไหวแล้ว คือๆๆๆๆ ไม่ใช่ครั้งแรกนะคะที่เจอกับคุณแม่ของโท แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เจอนอกโรงพยาบาลไง แล้วยังไงดีล่ะ ยังไม่ได้เตรียมตัวเลย ผมยังไม่ได้ตัด รอยแตกปลายยับเยินไปหมด ไหนจะคิ้วที่ไม่ได้กันมาเป็นเดือนอีก แล้วช่วงนี้เป็นเมนส์กินเยอะ นั่งทีพุงย้วยไปหมด จะทำไงดี จะทำไงดี เล็บอีก ที่ไปทำมาสีลอกหมด หึ้ยยยยย!

“อย่าคิดมาก แม่เราเป็นคนสบายๆ ขวัญก็รู้”

“...” นิ่วหน้าตาขวางใส่เลยค่ะ ต่อให้สบายๆแค่ไหนเราก็ต้องสวยก่อนไหม ความประทับใจแรกน่ะสำคัญมากนะคะ

RRRRRRRRRRRRR…

   ยังไม่ทันตอบอะไรเลย สายเข้าซะก่อน โท...ชายผู้สอยดาวคณะนั่งข้างๆจดจ่อกับรายงานที่ต้องทำเพื่อนำเสนออาทิตย์หน้า ตงฉินและหนึ่งนั่งตรงข้าม ฉัตรกับคิ้วเป็นแผนกตุนเสบียงตอนนี้ยังไม่กลับเข้ามา เราคุยสายจบ ทั้งโต๊ะยังไม่มีใครสนใจเลยว่าคุยสายกับใครคุยอะไรมัวแต่นั่งหน้าเครียดเพราะวิชานี้โหดหิน ใครพรีเซ้นต์ไม่ดีอาจารย์กดคะแนนต่ำกว่ามีนอีก

“โท” เราสะกิดเรียกคุณแฟนที่หน้าตายอยู่ข้างๆ ทิ้งระเบิดใส่แล้วนิ่งเลยนะ

“จ๋า” สายตาไม่หวาน แต่ปากหวานพอทนได้

“คือ เมื่อกี๊ป๊าเราโทรมาน่ะ”

“อ่อ” ปากตอบรับนะ แต่สายตาไม่ได้มองมาทางนี้เลย แม่อยากจิ้มตาแตก

“ไม่อยากรู้เหรอว่าป๊าโทรมาทำไม”

“อื้อ อยากดิ” ช่วยทำหน้าสนใจเหมือนคำพูดหน่อยได้มั้ย แต่ช่างเถอะ คิดมากไม่ดี คืนนี้ต้องไปทำสวยเพื่อเจอคุณแม่โทก่อนแล้วค่อยคิดบัญชีกับพ่อตัวดีนี้ทีเดียว

“ป๊าบอกว่าวันมะรืนป๊าจะพาม้าไปทานข้าวนอกบ้าน” เรามองมนุษย์แฟนที่ขยับเม้าส์ไปมาเพื่อแก้ไขงาน “ป๊าบอกให้ชวนโทด้วยนะ”

“ห๊ะ อะไรนะ” นี่แหละ ใบหน้าของขวัญจิราเมื่อกี้นี้ โทตกใจตาตื่น เหงื่อผุดไปทั่วหน้าอย่างครุ่นคิด คงรู้แล้วสินะว่านัดเราไปเจอพ่อแม่ในเวลากระชั้นชิดนะเป็นยังไง

“ตามนี้เลย ป๊ากำชับว่าโทต้องมานะ .. โทรู้ใช่มั้ยว่าป๊าไม่ชอบคนขัดใจ” เราส่งยิ้มหวาน ดีจังเลยที่ป๊าช่วยหนูแก้เผ็ดพ่อตัวดี ฮิฮิ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
แล้วพี่เจดจะทำยังงัย น้องหนึ่งดันมีคนที่ชอบซะแล้ว

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.


ตอนที่ 23. ไม่ชัดเจน

             ผมเองครับ ตงฉิน หลังจากที่พลาดท่ากับรูมเมตคนเดิมอีกรอบผมก็เริ่มตีตัวออกห่าง คงเพราะช่วงนี้ใกล้ถึงวันเกิดตัวเองแล้ว ทางบ้านอยากให้จัดงานเลี้ยงให้ทั้งที่ไม่เคยถามเลยว่าผมอยากให้จัดไหม แต่จะไปขัดพ่อกับแม่ก็ทำได้ยาก รายนั้นต้องการจัดงานอะไรสักอย่างเพื่ออวดลูกหรือไม่ก็ฐานะทางสังคมของตัวเองก็เท่านั้น ช่วงนี้ผมต้องเรียน ซ้อมหลีด มีงานถ่ายแบบประปราย และต้องอ่านบทซีรี่ย์วายที่ทางพี่สุชาติได้ยัดเยียดมาให้แต่ปากบอกว่าพี่ขอร้องเราให้แสดงเรื่องนี้หน่อยนะ... ผู้ใหญ่แม่งกลับกลอก

             พองานรัดตัว ผมเลยต้องขอลาออกจากการเป็นเชียร์ลีดเดอร์ หลายต่อหลายครั้งที่โดนเบียดเบียนเวลาซ้อมเพื่อไปทำหน้าที่เดือนมหา’ลัยออกงานต่างๆที่ทางกองกิจการนักศึกษาจัดแจงให้ ทั้งงานเลี้ยงอำลาอาจารย์คณะโน้นคณะนี้ ไหนจะงานเดินขบวน ถือป้ายและอื่นสารพัด พี่ๆต่างเข้าใจและยอมให้ผมลาออกอย่างว่าง่าย ผมล่ะโล่งใจเหมือนยกภาระออกจากบ่าตัวเองหนึ่งเปราะ

“เห้ยไอ้ตง นี่มึงจริงเหรอวะ” ผมถูกสะกิดถามแผ่วเบาในชั่วโมงเรียนจากไอ้คิ้วเพื่อนในกลุ่มที่ถูกจิ้มให้ไปซ้อมเชียร์ลีดเดอร์แทน มันโชว์รูปที่ผมถึงบางอ้อทันที่ที่จ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือ

“เออ กูเอง”

“ฉิบหาย มึงแม่งเจ๋งว่ะ” มันชม ตอนนี้เพื่อนคนอื่นๆไม่ได้สนใจบทสนทนาของเราเพราะตั้งใจเรียนกันหมด วันนี้นั่งเรียนที่อาคารเรียนรวมเป็นแบบห้องสโลปขนาดใหญ่จุคนได้หลายร้อย ผมนั่งขวาสุดของแถวที่เกือบจะไกลสายตาอาจารย์ติดกับไอ้คิ้ว ที่เหลือต่างก็นั่งเรียงกันไปแถบ ผมไม่ได้สนใจเรื่องที่เพื่อนมันถามเท่าไหร่ เพราะรู้ดีว่ามันเป็นงาน

“มึงโคตรใจกล้า เป็นกูนะไม่ยอมถ่ายหรอก” มันเลื่อนหน้าจอไปดูรูปอื่นๆอีกจนผมต้องบอกให้มันหยุด รู้สึกแปลกๆที่เพื่อนสนิทมานั่งดูรูปตัวเองในชุดว่ายน้ำ

“ก็ของมึงเล็กไง” ผมแซวกลับ ... ใช่ครับ ผมอยากประท้วงพี่สุชาติที่ยัดเยียดบทบาทเกย์ให้เลยไปรับงานถ่ายแบบชุดว่ายน้ำ ทีแรกก็กะแค่เอาสนุก แต่ไม่คิดว่าจะได้รับกระแสตอบรับในแง่บวกมากกว่าจากแฟนคลับ ถึงขั้นตั้งชมรมคนรักตงฉินแถมยังพากันลงรูปเซ็กซี่นั้นให้ทั่ว จากที่คิดว่าทีมงานซีรี่ย์คงจะถอนชื่อผมออกเพราะมีภาพแนวนี้ แต่กลายเป็นว่าได้รับบทพระเอกเลยโดยไม่ต้องไปแคสติ้ง ... ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือคิดถูก

“เล็กพ่อง ของกูไม่โชว์ใครพร่ำเพรื่อโว้ย เอาไว้ให้แฟนดูก็พอ”

“แฟนเด็กของมึงน่ะนะ ระวังติดคุก” ผมแซว เพราะแฟนของไอ้คิ้วยังเด็กจริงๆ

“คุกพ่อง” มันด่าก่อนจะสะกิดไอ้ฉัตรที่นั่งข้างมันให้ดูรูป ก่อนจะกระซิบแซวผมหนักข้อ แต่เสียงกริ่งหมดเวลาเรียนดังขึ้นเลยไม่ได้ส่งรูปต่อให้คนอื่น

             เสียงเซ็งแซ่ของเหล่านักศึกษาชั้นปี 1 หลายคณะดังขึ้นทันทีหลังจากอาจารย์ออกจากห้องเรียนไป ผมบิดขี้เกียจเพื่อจะลุกไปหามุมเงียบๆทำรายงานที่ค้างไว้ แต่ถูกกลุ่มเพื่อนร่วมคลาสที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงมาขอถ่ายรูป หลายคนให้กำลังใจเรื่องซีรี่ย์ที่ยังไม่มีกำหนดเปิดกล้อง ผมล่ะทึ่งในความสามารถในการขุดค้นเรื่องไม่เป็นเรื่องของพวกเธออย่างมาก ถ้าเอาเวลาที่ตามดาราไปตั้งใจเรียน เราคงเห็นนักศึกษาได้เกียรตินิยมกันมากกว่านี้เป็นแน่

“พวกกูไปก่อนนะ” พอปลีกตัวจากแฟนคลับได้เพื่อนที่รออยู่ก็ลากไปกินข้าวที่โรงอาหารก่อนจะแยกย้ายในช่วงบ่าย ผมไม่มีเรียนแล้ววันนี้ แต่ภาคอื่นยังพอมีเลยต้องรีบไป เหลือแต่รูมเมต 2 คนและขวัญใจคนสวยที่กำลังละเลียดมื้อเที่ยง

“เออ เจอกันพรุ่งนี้” ผมโบกมือให้อย่างไม่สนใจ และหันไปถามสองพี่น้องหนึ่งโท “มึงจะกลับพร้อมกูมั้ย”

“ไม่ว่ะ กูไปดูหนังกับขวัญ” ไอ้โทตอบ หลังจากเพื่อนสนิทผมรับรัก สองคนนี้ก็ตัวติดกันหนึบ ปล่อยให้อีกคนนั่งเงียบ

“มึงล่ะ” ผมถามแต่ไม่ได้สบตา ยอมรับว่ายังคิดถึงเรื่องบนเตียงที่สุดยอดนั้นอยู่ ไอ้หนึ่งไม่ได้ตอบทันทีเพราะมัวแต่เล่นเกมจนไอ้โทสะกิดเลยเงยหน้ามาสบตากัน แววตาวิบวับของมันทำให้ผมไปไม่เป็น จะต้องทำหน้ายังไงดีวะเพราะสลัดภาพที่มันบุกเร้าเข้ามาในตัวไม่หลุดซะที

“อะ อะไรนะ”

“กูถามว่าจะกลับคอนโดด้วยกันมั้ย” ผมยืนขึ้นสักพักก็เริ่มเมื่อย มองคนตัวเล็กด้วยใบหน้าเฉยชา

“ไม่ว่ะ กูต้องไปทำงาน” ไอ้หนึ่งตอบ หน้าผมเกิดเครื่องหมายคำถามแหละ

“อ้าว นึกว่ามึงรู้ ไอ้หนึ่งมันทำงานพิเศษที่คาเฟ่หลังมอน่ะ มึงลองไปนั่งดูมั้ย เผื่อชอบ ร้านสวยดี” ไอ้โทเป็นคนอธิบาย

“ใช่ๆ เราก็เคยไปนั่งกับโท เค้กอร่อยมากเลยนะ” ขวัญใจเสริมทัพ ก่อนจะตักข้าวเข้าปาก รายนี้กินช้ากว่าใครเป็นปกติ

“อ่อ ไว้ว่างๆจะลองดู”

“มึงก็ไปตอนนี้เลยสิ ว่างไม่ใช่เหรอวะ” อะ...ไอ้โท มึง

“ก็ดีนะ จะได้ไปส่งหนึ่งด้วย วันนี้ไม่ได้เอามอเตอร์ไซค์มาพอดีนี่” รถไอ้หนึ่งเสียตั้งแต่ครั้งนั้นยังไม่ได้เอาไปซ่อม หลังๆเลยติดรถขวัญใจมาเรียนเพราะตารางเรียนภาคผมกับการตลาดไม่ตรงกันเสียส่วนมาก

“ไม่เป็นไร กูไปเองได้” ไอ้หนึ่งบอกปัด

“เอาน่าหนึ่ง ตงฉินว่างพอดีใช่มั้ยคะตง” ใจผมนี่อยากจะบีบคอขวัญใจคนสวยให้สลบจริงๆ

“อื้อ ไปดิว่างพอดี” ผมลุกไม่ต้องรอให้อีกคนต่อรองหรือบอกปฏิเสธ ไม่นานเสียงฝีเท้าก็เดินไล่หลังจนถึงรถ เรานั่งเงียบกันเกือบสุดทาง ความรู้สึกกระอักกระอ่วนนี้ช่วยอึดอัด

“มึงจอดตรงนี้ให้กูก็ได้นะ” อยู่ๆคนที่มาด้วยก็ทำลายความเงียบ ผมมองทาง ยังไม่ถึงกลางมหา’ลัยเลย แถวนี้ไม่ได้มีสถานีรถรางด้วย ถ้าจะเดินไปก็ไกลไม่หยอก

“ทำไมวะ” ผมลองหยั่งเชิงถามหาเหตุผล ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ

“ก็หน้ามึง” ผมมองกระจกหลังอย่างเร็วหลังได้ยินคำตอบ อยากรู้จังว่าหน้าตอนนี้เป็นยังไง

“หน้ากูทำไมวะ” เมื่อไม่เห็นอะไรผิดปกติก็เลยถามไป

“ก็หน้ามึง...อึดอัด” มันตอบ เสียงเบาคล้ายไม่มั่นใจ ผมได้แต่เงียบทำไมกลายเป็นคนเก็บความรู้สึกไม่เก่งไปซะได้

“คิดมาก” ตอบแบบพยายามบ่ายเบี่ยง ไอ้หนึ่งมองซีกหน้าผมก่อนละสายตาไป เราสองคนต่างนิ่งเงียบสุดทาง

“ขอบใจมากนะที่มาส่ง” มันปลดล็อกเข็มขัดนิรภัย คาเฟ่น่ารักที่เพิ่งเปิดใหม่หลังมหา’ลัยมีคนไม่เยอะ ที่นั่งยังเหลือเพียบเพราะเป็นช่วงกลางวันที่นักศึกษายังเข้าเรียนอยู่

“มึงไม่มีเรียนช่วงบ่ายเหรอวะ” ผมถาม เหมือนหาเรื่องคุยมากกว่า เพราะโทบอกแล้วว่าว่าง

“ไม่มี” มันตอบสั้นๆ ผมเลยอ้าปากค้าง ไม่รู้จะคุยอะไรต่อ

“กะ กาแฟร้านนี้อร่อยมั้ย” อยากตบปากตัวเอง ทำไมต้องหาเรื่องคุยต่ออีกวะเนี่ย

“ไอ้ตง”

“หืม” ผมหันไปสบตาเคร่งขรึมของมัน ทำไมต้องทำหน้าจริงจังด้วยวะ

“ถ้ามึงอึดอัดเรื่องของเรา กูขอโทษนะ คือกูผิดเองที่ไม่ห้ามตัวเองทั้งที่รู้ว่ามึงไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้” มันเริ่มรายยาว ผมอึกอักเพราะไม่รู้จะต้องตอบยังไงดี เลยปล่อยให้มันพูดต่อ

“ถ้ามึงลำบากใจ กูย้ายออกก็ได้นะ ตอนนี้กูเริ่มทำงานพิเศษแล้วคงพอหาที่อยู่ใหม่ได้”

“มึง...”

“กูไม่อยากให้มึงเป็นแบบนี้ ไม่ชอบเลยที่มึงทำท่าเหมือนจะหลบหน้ากู ตอนอยู่ห้องมึงก็ไม่เคยออกมาสุงสิงกับพวกกู”

“เอ่อ...”

“กูเลยออกมาทำงาน ถ้ากูเก็บเงินได้อีกหน่อย กูย้ายออกเอง มึงจะได้ไม่ต้องลำบากใจ” มันพูดจบก็เปิดประตูรถออกไปโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดอะไรเลย ร่างเล็กเดินหายไปทางหลังร้านผมก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ทำไมมันรู้สึกเหมือนโดนทิ้งแบบงงๆก็ไม่รู้ ความแปลบปลาบในอกมันหมายความว่าอะไรกัน ผมชอบมันเหรอ...ก็ไม่ใช่ แต่ทำไมต้องเก็บคำพูดของมันมาคิดมากด้วยวะ

             ผมมองร่างของไอ้หนึ่งวิ่งไปมาในร้านอยู่สักพัก มันดูมีความสุขที่ได้เช็ดโต๊ะ กวาดร้านหรือเสิร์ฟเค้กด้วยรอยยิ้ม ไม่เหมือนใบหน้าบึ้งตึงตอนที่อยู่กับด้วยกัน เรื่องระหว่างเรามันก็ไม่ใช่ความผิดของมันฝ่ายเดียว ผมก็มีส่วนเพราะไม่ปฏิเสธให้เด็ดขาด คงเป็นเพราะฮอร์โมนด้วยแหละ พอถูกสะกิดมันก็เลยต้องตอบสนอง ไม่ใช่พระอิฐพระปูนหรือนางเอกในละครที่ต้องมารักนวลสงวนตัวรอวันแต่งงานเข้าหอหรอกนะ ที่ผ่านมาผมก็ผ่านประสบการณ์มาไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงไง กับผู้ชายน่ะ ... ละไว้ในฐานที่ไม่เข้าใจก็แล้วกัน

“ถอนหายใจอะไรขนาดนี้วะ” พี่ชายคนโตของผมทัก เมื่อไม่รู้จะทำอะไรก็ขับรถวนไปวนมา ขึ้นทางด่วนมาตั้งแต่ตอนไหนยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ อ่านป้ายอีกทีก็เกือบสุดทางซะละ ในเมื่อมันใกล้บริษัทของพ่อก็ถือโอกาสแวะเวียนมาเยี่ยมหน่อยละกัน

“เปล่า” ผมนั่งทำรายงานที่โต๊ะว่างตรงข้ามโต๊ะทำงานของคุณ ต่อพงษ์ พี่ชายแท้ๆ

“หึ หน้าตายังกะคนอกหัก” พี่มันทักครับ ผมยกยิ้ม รู้สึกหมั่นไส้คนมีความรักและทำเป็นรู้ดี

“ใครจะหน้าแป้นแล้นแบบพี่ล่ะครับ แหม่...” ได้ผล พี่ต่อหน้าแดง มีไม่กี่ครั้งที่จะได้เห็นมุมละมุนละไมของพี่ชายตัวเองแบบนี้ อานุภาพของความรักนี่รุนแรงจังแฮะ “ถึงไหนกันละ”

“ยุ่ง” นั่นไง ดีนะไม่ว่าผมเสือก... ผมเซฟงานและปิดโน้ตบุ๊ก

“เบื่อคนมีความรัก กลับละ”

“หืม มาแค่เนี้ย ถ่อมาตั้งไกลอะนะ”

“แล้วให้ผมทำอะไรล่ะ ให้ทำงานแทนพี่เลยมั้ย เอ๊ะ หรือว่าไปแอ๊วพี่เอกดีนะ” ผมแกล้งแซวไปงั้นแหละ เพราะรู้ดีว่าพี่เอกภพ คนขับรถส่วนตัวพี่ต่อไม่เล่นด้วยหรอก แต่พี่ต่อท่าทางฟึดฟัดเลยอยากแกล้ง เรื่องที่คิดมากในหัวจะได้ผ่อนคลายลงไปบ้าง

“มึงกลับไปเลย ไปๆ”

“แน่ะ ไล่ ... นี่น้องนะ น้องพี่” เอาจริงๆผมยังไม่ได้พี่เอกตัวเป็นๆเลย เห็นแต่ในรูปที่ไอ้โทให้ดู แต่รู้เรื่องพี่เอกละเอียดมากกว่าเจ้าตัวอีกเพราะพี่ชายตัวดีนี่แหละที่ขอร้องแกมบังคับให้ผมช่วยสืบ

“น้องกูก็ไม่เว้นถ้ามาตอแยพี่เอกของกู” ขึ้นมึงกูเลยเชียว ผมอมยิ้มอย่างอารมณ์ดีและเดินออกจากห้องทำงานผู้บริหาร วันนี้พี่ต่อขับรถมาทำงานเอง ไม่รู้ว่าทำไมถึงยอมให้พี่เอกลางานได้ แต่การที่พี่ต่อพยายามให้ผมสืบเรื่องพี่เอกกับไอ้หนึ่งไอ้โทก็พอจะรู้ว่ารายนี้หลงรักคนขับรถส่วนตัวไปแล้วแน่ๆ แถมยังขี้หวงอีกต่างหาก ... ขี้งก!

“เออพี่ อย่าลืมงานวันเกิดผมนะ แม่บอกแล้วใช่ปะ” ผมเปิดประตูกลับมาบอกคนตัวโตที่นั่งทำงานหน้ายุ่ง

“เออว่ะ เกือบลืม เดี๋ยวกูไป”

“ให้มันได้อย่างนี้สิน่าพี่กู” ผมสวนกลับ ปิดประตูปังใหญ่ก่อนเดินไปที่รถ

             ต้องทำหน้ายังไงดีนะ ถ้าต้องเจอรูมเมตคืนนี้...

#### ####

[เอกราช]

             ผมง่วนอยู่กับการเก็บกวาดร้านหลังลูกค้าคนสุดท้ายลุกออกไป คาเฟ่น่ารักชื่อโมเอะตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่น มีรูปตัวการ์ตูน ตุ๊กตาแนวคิกขุตกแต่งเกือบทั้งร้าน เจ้าของร้านชื่อพี่นิตยา รายนั้นชอบการ์ตูนญี่ปุ่น เปิดร้านนี้เพื่อสนองความต้องการของตัวเองล้วนๆ ทั้งที่ทำเลก็ไม่ค่อยดี คนผ่านไปมาแทบไม่รู้จัก ลูกค้าที่เข้าร้านก็น้อยดูแล้วไม่น่าจะทำรายได้เป็นกอบเป็นกำแต่ก็ยังใจดีจ้างลูกน้องตั้งชั่วโมงละ 35 บาท ถ้าวันไหนผมทำตั้งแต่บ่ายโมงถึงเวลาสามทุ่มแบบนี้ ก็ได้วันละ 280 บาท ทำสักเดือนละ 20 วันก็พอมีเงินหลายพัน แต่มันก็ไม่ใช่ทุกวันที่จะได้ทำครบ 8 ชั่วโมงนะ วันไหนที่ต้องมาเปิดร้านแต่เช้า ก็อาจจะได้ทำแค่ไม่กี่ชั่วโมงเนื่องจากต้องไปเรียน ส่วนเสาร์อาทิตย์คนบางตาเพราะนักศึกษาที่เป็นลูกค้าหลักกลับบ้านหรือไม่ก็ไปเดินห้าง พี่นิตยาก็มาดูเอง นานๆครั้งถึงจะโทรขอให้ลูกน้องมาช่วยเหลือ 

“ผมกลับก่อนนะครับพี่นิด” เจ้าของร้านแวะมานับเงินตามปกติ ผมถอดผ้ากันเปื้อนและบอกลาเจ้านายอย่างร่าเริง

“จ้า ขอบใจมากนะวันนี้ เหนื่อยแย่เลย”

“สบายมากครับ” ผมตอบความจริง ยกมือไหว้ขอบคุณกับเค้กสองชิ้นในกล่องกระดาษ พี่นิตยาชอบหยิบยื่นให้เป็นประจำอยู่แล้ว แกไม่ชอบให้ขายเค้กที่มันค้างคืน ทั้งที่รสชาติมันไม่เปลี่ยนเลยถ้าอยู่ในตู้แช่

“อ้อ นี่ทิปนะ พี่แบ่งส่วนเราไว้ละ” ผมรับเงินในซองขาว มันหนักเพราะมีเหรียญอยู่เยอะ ในร้านมีพนักงาน 3 คน รวมเจ้าของก็ 4 เรามีกล่องทิปรวมหน้าโต๊ะแคชเชียร์ จะแบ่งกันตอนกลางเดือนและสิ้นเดือนเหมือนเป็นเงินพิเศษ กระตุ้นให้มีกำลังใจทำงาน

“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ ก่อนคว้าเป้ใบเก่าออกทางหลังร้าน ถ้าทำงานที่นี่ต่ออีก 2 เดือน ผมก็จะมีเงินเก็บหมื่นกว่าบาท น่าจะพอสำหรับการออกไปหาหอพักแถวมหา’ลัยได้ อาจจะชวนไอ้โทไปอยู่ด้วย เพราะยังไงก็ญาติกัน ถึงจะติดแฟนแต่มันก็คงไม่ทิ้งผมหรอก จ่ายค่ามัดจำคนละครึ่ง ยังพอมีเงินเหลือใช้ ถ้าทำงานไปเรื่อยๆก็ไม่ลำบากอะไร

             ครอบครัวผมไม่ใช่คนมีฐานะร่ำรวยอะไร แต่ก็ไม่ได้ขัดสน ด้วยความที่แม่มีลูกหลายคน ภาระเลยยังมีเยอะ พ่อของผมทำงานหนัก เราไม่ค่อยได้เจอกันเลยจนหลายคนคิดว่าพ่อทิ้งเราไปแล้ว แต่เงินที่ส่งมาทุกเดือนก็ทำให้รู้ว่าพ่อยังคิดถึงเรา ผมไม่รู้ว่าพ่อไปทำงานที่ไหน ถามแม่ก็ไม่รู้เรื่องบอกแค่ว่างานพ่อน่ะอยู่ไกลละแวกนั้นก็ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถืออีกต่างหาก ผมละไม่เข้าใจเลยว่า ทุกวันนี้พ่อทำงานอะไร...หรือจะเป็นมือปืนรับจ้าง... ก็ไม่น่านะ พ่อไม่ใช่คนตัวสูงล่ำ ความเตี้ยส่งผ่านมาถึงผมเนี่ยก็มาจากพ่อและแม่นั่นแหละ

RRRRRRRRRRRRRRR

“ว่า” ผมรับสายน้องชายที่มักจะต่อสายมาคุยด้วยแทบทุกวัน

[แม่จะคุยด้วย]

“ครับแม่”

[เออ หนึ่ง พ่อกลับบ้านนะ จะแวะมามั้ย]

“จริงเหรอแม่ แล้วพ่อจะอยู่นานมั้ยรอบนี้”

[นานมั้ง แม่ไม่แน่ใจ ไว้มาถามเอาเองนะ] เห็นมั้ยว่าแม่คือคนที่ไม่สนใจผัวที่แท้จริง

“ครับๆ งั้นผมกลับบ้านศุกร์นี้นะ” เราคุยกันอีกสองสามนาทีก่อนวางสาย ผมยิ้มอย่างดีใจ ไม่ได้คุยกับพ่อหลายเดือนแล้วเหมือนกันนะเนี่ย

             ห้องเงียบกริบเช่นเคย ผมเอื้อมไปเปิดสวิตช์ไฟก่อนมองความรกรุงรังอย่างเหนื่อยหน่าย จะสี่ทุ่มแล้ว ไอ้โทคงขลุกอยู่กับแฟน กว่าจะกลับมาก็เกือบเที่ยงคืน ตอนเช้าก็ตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า ไม่รู้ว่ามันทำได้ไง หรือว่ามันมีพลังพิเศษ ไม่เหนื่อย แรงเยอะ แบบนี้เหรอ... ส่วนเจ้าของห้อง น่าจะไปท่องราตรีตามเคย คนรวยนี่ดีจัง เรียน เที่ยว แถมหาเงินง่ายอีกเพราะหน้าตาดี

ติ๊ง!

             เสียงไลน์ดังเตือนมาทันทีที่ผมเปิดเสียงมือถือ ส่วนใหญ่จะปิดเสียงรบกวนไว้ตั้งแต่เข้าห้องเรียน ยิ่งช่วงทำงานผมไม่ได้จับมาเล่นเลย จนบางทีก็ลืมเปิดเสียงไปหลายวัน ยังดีหน่อยที่เก็บไว้ใกล้ตัว ใครโทรเข้ามาก็รู้ได้เพราะระบบสั่น แสงฟ้าสว่างในห้องมืด ผมอาบน้ำแต่งตัวเตรียมสลบ กะจะใช้เวลาไม่นานสำรวจโลกภายนอกเสียหน่อย

... พี่เจดส่งข้อความมาตั้งแต่เช้า ผมก็ไม่ได้เปิดอ่าน หลังจากพาไปเปิดตัวที่งานบายเนียร์ เราก็เหมือนจะคลาดกันซะเฉยๆ คงเพราะผมเรียนและทำงานไปด้วย พี่เจดก็คงจะยุ่งกับโปรเจ็กที่ต้องรีบทำให้เสร็จ เวลาเลยไม่ตรงกัน มากสุดก็แค่วีดีโอคอลกันแป๊บๆ มันเลยยิ่งทำให้ผมสับสนว่าระหว่างเรามันคืออะไร ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นมันหมายความว่ายังไง จูบในคืนนั้นคืออะไรก็ไม่รู้ หรือเพราะเราทั้งคู่ต่างก็เมา

... กลุ่มไลน์เพื่อนสนิทบอกตัวเลขแจ้งเตือน 999+ ผมไล่อ่านตั้งแต่ต้นก่อนสะดุดกับรูปที่ไอ้คิ้วส่งมาตอน 11.43 น. จับจ้องภาพนั้นด้วยอารมณ์หลากหลาย ภาพของตงฉิน คนที่ผมกกกอดกันครั้งก่อนในชุดว่ายน้ำสุดเซ็กซี่ กล้ามเนื้อแกร่งอวดโฉมอย่างยั่วยวน ผมหน้าแดงด้วยความเร่าร้อน เรือนร่างสวยงามนี้เคยบิดส่ายยามที่ผมครอบครองอย่างเต็มที่ ความโหยหาพลุ่งพล่านภาพหยาบโลนผุดในสมองอย่างเกินต้าน ความต้องการพวยพุ่งจนต้องเลื่อนมือไปเกาะกุมความแข็งขืนเบื้องล่าง สายตาจดจ่อกับเรือนร่างของเพื่อนสุดหล่อ มือใหญ่กำรูดแน่นเร็วแรงปล่อยลมหายใจหอบถี่ จินตนาการถึงเรือนร่างไร้ที่ตินั้นกำลังแดดิ้นใต้สัมผัสเร่งเร้าที่ผมส่งเข้าออก นึกถึงกลิ่นกายที่ชุ่มโชกด้วยเม็ดเหงื่อ เสียงครางหอบพร่ากระตุ้นความหื่นโหยจนต้องออกแรงเคลื่อนไหวดุดัน ผมเร่งจังหวะอย่างหนักหน่วง ลมหายใจแทบแห้งเหือด ความสุขสมทะยานก่อตัวไปมาอย่างสุดกู่ มันพุ่งทะยานเร็วรี่ก่อนตกกระทบกล้ามเนื้อที่นอนนิ่ง กลิ่นคาวลอยแตะจมูก ผมคว้ากระดาษชำระมาเช็ดอย่างลวกๆ

             พลันความรู้สึกก็เปลี่ยนเป็นโกรธขึ้ง ความหึงหวงเข้ามาแทนที่ ผมจับจ้องเรือนกายที่เคยครอบครองอย่างหวงแหน ไม่อยากให้ตงฉินเป็นของใคร อยากเก็บเอาไว้คนเดียว แต่มันก็คงเป็นได้แค่ความคิดที่เป็นไปไม่ได้ เราสองคนมาจากพื้นฐานครอบครัวที่ต่างกันมากเกินไป แค่ได้เชยชมชั่วครู่ชั่วยามมันก็คือกำไรชีวิตแล้ว จะให้คิดมากไปกว่านี้ก็ดูจะไม่เจียมตัว หมาวัดมันก็คือหมาวัด ต่อให้ใส่สูทผูกไทแต่งตัวหล่อเหลา ก็ไม่อาจลบล้างความจริงได้เลยว่า เราต่างกันเกินไป

“เชี่ย ไอ้หนึ่ง มึงชักว่าวเหรอวะ” ผมสะดุ้ง ไอ้โทเปิดประตูพรวด ดีนะที่เก็บของลับไว้แล้ว

“อะ ไอ้สัส เข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง” ผมอึกอัก จะอายก็ไม่ใช่ พวกเราสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เห็นอะไรจนเบื่อแล้ว

“มึงไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง ไอ้สัส เหม็นว่ะ” มันบ่น ทั้งที่เรื่องการช่วยตัวเองมันคือเรื่องปกติของวัยเราๆก็เถอะ แต่กลิ่นไม่พึงประสงมันไม่จางหายไปในอากาศแทบจะทันทีเสียหน่อย ผมมองเวลาเพิ่งผ่านไปแค่ 20 นาทีเท่านั้น ไม่ใช่เวลาปกติที่ญาติผมจะกลับมา

“ทำไมมึงกลับเร็ววะ”

“อ้าว กูกลับเร็วก็ว่า กลับช้าก็ถาม อะไรของมึง” มันกวน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชุดลำลองและออกไปที่ห้องรับแขก ผมลุกตามหลังผงะตัวสุดแรงเมื่อเห็นแขกที่ไม่คิดว่าจะมาเต็มห้อง

“อะ ไอ้คิ้ว ไอ้ฉัตร ขะ ขวัญใจ..” และอีกหลายคนที่อยู่ปี 1 ร่วมคณะ มาเป็นสิบ...

“อ้าวไอ้หนึ่ง ล้างตัวยังวะ” ไอ้เพื่อนตัวดีแซวมา แสดงว่าที่ไอ้โทมันด่าผมเสียงดังก็เพื่อ...

“ไอ้โท ไอ้สัส ไอ้พี่ทรพี” ผมด่ามันยับครับ หน้าแดงไปหมด ถ้ามีแค่เพื่อนผู้ชายผมคงไม่อายเท่านี้หรอก แต่นี่เพื่อนผู้หญิงมากันหลายคน แต่ละคนอมยิ้มกรุ้มกริ่มตอนสบตากันอีก ให้ตายสิ ... ทำไมจะต้องมากันวันนี้ด้วยวะ “มาให้กูเตะซะดีๆ”

“ใจเย็นๆ” ไอ้โทมันวิ่งหนีรอบห้อง ตะโกนห้ามไม่ให้ผมเตะก้นมัน แขนล่ำของผมล็อกคอมันไว้ เขกมะเหงกที่หัวมันไม่ยั้งให้สาสมกับที่มันแฉผมเมื่อกี้

“พอแล้วหนึ่ง เดี๋ยวโทฉี่รดที่นอนนะ”

“ใช่ๆ เดี๋ยวกลิ่นฉี่กูไปตีกับกลิ่นน้ำ...”

“ไอ้สัส พอ” ผมห้าม มองขวัญใจตาขวางที่ปกป้องแฟน พอรู้สึกตัวก็กวาดตามองเพื่อนๆที่มานั่งๆนอนๆที่ห้อง

หมดกัน... ชื่อเสียงที่สะสมมาดิบดี

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ นางฟ้าน้อย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อยากอ่านตอนต่อไปมาก

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
อยากอ่านตอนต่อไปมาก

รอแป๊บนะครับ อีกไม่นาน อิอิ

ออฟไลน์ นางฟ้าน้อย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
อ้าวๆ ยังไงกันล่ะเนี่ย คือต่างคนต่างเริ่มมีใจแต่ยังไม่รู้ตัวว่างั้น  :hao4:

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
ไอ่เตี้ย เสน่ห์แร๊ง

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.


ตอนที่ 24. เข้าหา

             พอทำใจได้ก็แกล้งทำหน้าขรึม สายตาเพื่อนแต่ละคนยังไม่หยุดล้อ ต้องหาทางเปลี่ยนเรื่อง ไม่อย่างนั้นจะโดนแซวไม่เลิก ไอ้โทยังยิ้มเยาะเย้ย ผมทำปากขมุบขมิบบอกให้มันระวังตัวให้ดี ต้องหาทางเอาคืนมันให้ได้

“แล้วมาทำอะไรกันน่ะ เต็มห้องขนาดนี้” เกือบลืมถามไปเลย

“อ้าว มึงไม่ได้อ่านไลน์เหรอวะ” ไอ้ฉัตรถามกลับ ผมส่ายหัวเป็นคำตอบ อ่านแหละ แต่ยังอ่านไม่จบก็ทำอย่างอื่นก่อน

“ไม่อ่านไลน์แต่ทำอย่างอื่นได้นะ” เพื่อคนหนึ่งแซวมา ผมล่ะอายหน้าแดง แม่งพลาดจริงว่ะคืนนี้

“คืนนี้จะรู้คำตอบมั้ยเนี่ยว่ามากันทำไม” ผมเสียงแข็งถาม ต้องขึงขังใส่สินะ

“ก็คืนนี้เราจะไปเมากันไง” ไอ้คิ้วเฉลย “พวกกูนัดกันตั้งแต่บ่าย นัดรวมตัวที่ห้องมึงก่อนเนี่ย”

“ทำไมต้องห้องกูวะ” ผมถามเหมือนตัวเองเป็นเจ้าของห้อง ทั้งๆที่ตัวจริงยังไม่กลับ

“ก็ไอ้ตงมันบอกให้มาที่นี่ไง มันบอกว่าจะจัดพาร์ที่ที่ดาดฟ้าคอนโด”

“ห๊ะ มันทำได้เหรอวะ” ผมข้องใจ

“ไม่รู้ แต่มึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าไป จะห้าทุ่มแล้ว” เสียงใครสักคนนี่แหละไล่ ก่อนที่ผมจะเข้าห้องนอน มองคราบที่เปื้อนก่อนรีบเช็ด

             พอออกมาก็พบว่างานล่ม ฝนดันตกหนักจนเปียกชุ่ม มันเหมือนสวรรค์แกล้ง เพราะตกแค่ไม่นานก็หยุด แต่ก็จัดงานอะไรต่อไม่ได้ เพื่อนๆเลยบ่นกันใหญ่ ไอ้ตงที่มาเตรียมงานที่ดาดฟ้าเลยเสนอว่าให้ไปร้านเหล้าร้านเดิม ... ร้านที่ไอ้โทโดนยำครั้งนั้น ฝนฟ้าทำให้การเดินทางขลุกขลัก นี่วันธรรมดานะ แต่บรรดาวัยรุ่นทั้งหลายต่างพากันเห็นด้วย ไม่นานก็กรูกันไปจับจองที่นั่งในโซนดนตรีสดที่ค่อนข้างว่าง แอลกอฮอล์ราคาแพงถูกลำเลียงมาไม่ขาดสาย มิกเซอร์หลายชนิดพร้อมของขบเคี้ยว แต่ละคนซดโฮกคล้ายคนตายอดตายอยากมาแต่ชาติปางก่อน ผมจิบพอเป็นพิธี ก่อนที่จะหันไปเห็นกลุ่มคนที่เข้ามาล่าสุด

“เชี่ย วิศวะมาว่ะ” เพื่อนๆกระซิบ แต่ความดังมันก็มากพอที่จะได้ยินกันหมด

“จะมีเรื่องอีกมั้ยวะ” มีแต่สายตากังขาหลังได้ยินคำถาม กลุ่มวิศวะร่วมสิบเดินอาดๆไปนั่งมุมประจำ ผมสบสายตาคนที่ชื่อเคมีก่อนเฉไปทางอื่น ภาวนาว่าอย่ามีเรื่องกันเลย ไม่อยากโดนจับ ... บรรยากาศตึงจนกร่อยเพราะต่างพากันระแวง

“เอ่อ...” หนึ่งในกลุ่มวิศวะที่ผมคุ้นหน้าเดินมาช้าๆ ผมจำหน้าได้แต่จำชื่อไม่ได้ เป็นหนึ่งในกลุ่มไอ้เคมีนั่นแหละ

“ครับ” ไอ้โทมันหน้าใหญ่ออกตัวรับหน้า

“พี่จะขอโทษเรื่องครั้งนั้นอีกครั้งนะครับ แล้วอยากชวนพวกเราชนแก้วหน่อย” รุ่นพี่ตัวแทนกลุ่มชูแก้วในมือขึ้นมา

“ขอให้ลืมเรื่องครั้งที่แล้วได้ไหมครับ ชนแก้วแล้วผูกมิตรกัน” ไอ้คิ้วไปแตะไหล่ไอ้โท คนที่เคยโดนทำร้าย ผมลุกไปยืนข้างกายเพื่อนสนิท คำพูดมันจะเชื่อได้แค่ไหนกัน หรือถีบหัวแล้วลูบหลังหรือเปล่าวะเนี่ย ไม่น่าไว้ใจจริงๆ

“พี่รู้ว่าน้องอาจจะยังโกรธ พี่ขอโทษจริงๆนะครับ” ไอ้เคมีคนก่อเรื่องยื่นหน้าหล่อๆมาพูด  ท่าทางมันไม่ได้หาเรื่อง แถมยังดูจริงใจ น่าจะโดนพี่เจดเล่นงานมาหนัก ไม่งั้นพวกวิศวะเกรียนๆคงไม่คิดจะมาขอโทษ ไอ้โทหน้าตึงนิดหน่อยก่อนจะถอนหายใจ

“ก็ได้ครับ ผมไม่ติดใจอะไรแล้ว” พอพูดจบ พวกวิศวะต่างเฮลั่นร้าน แต่ละคนพุ่งมาชนแก้วกอดคอกันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอเมาได้ที่ต่างก็พากันคุยออกรส ลืมไปเลยว่าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง คงเพราะคณะผมไม่ได้เคร่งครัดแบบพวกวิศวะ เลยไม่ต้องคลานเข่าเข้าหา พอทุกอย่างดูคลี่คลายผมก็เบาใจ สองกลุ่มเลยรวมโต๊ะ เก้ากี้ถูกลากไปกองที่มุมของร้าน ผมคว้าได้หนึ่งตัววางไว้มุมลำโพงมืดติดกับประตูห้องน้ำ วันนี้เบื่อ ไม่มีกะใจจะเสวนากับใคร มองหน้าไอ้ตงเงียบเชียบโดยที่มันไม่เคยมองกลับ

“หนึ่งใช่มั้ย” เสียงนุ่มทุ้มดังข้างหู ใบหน้าหล่อที่แดงจากน้ำเมาไม่ได้ยิ้มขยับมาใกล้ ผมจ้องตากลับ พี่เคมีเริ่มขยับมาใกล้  ผมขยับหน้าหนี แต่หน้าหล่อๆของพี่เคมีก็เคลื่อนมาเรื่อยๆจนแทบจะชน บรรยากาศครึกครื้นรอบกายดังลั่น ไม่มีใครสนใจโมเม้นต์แปลกๆที่ผมกำลังเจออยู่นี้แม้แต่น้อย ปากสวยขยับไปมา แววตาที่ขึงขังนั้นชวนให้ผมหลงไหลได้ง่ายเลยนะ ใครจะว่าใจง่ายก็ช่างเถอะ แต่พี่เคมีคือเดือนมหา’ลัยปีก่อนเชียวนะ คนตามในอินสตาแกรมเป็นหมื่น ฮ็อตปรอทแตกขนาดนี้กำลังพ่นลมหายใจใส่หน้าอยู่ ตาหวานเยิ้มบอกอาการเมามายแทบไม่ได้สติรอมร่อ

“พะ พี่มีไร” ผมยกแก้วมาคั่นจมูกโด่งที่รุกหนัก ความเย็นคงทำให้อีกคนรู้สึกตัว

“ปละ เปล่า” เขายกแก้วตัวเองขึ้นไปซดเกินครึ่ง ร่างสูงที่เคยโน้มมายืนโงนเงนจะล้มเลยสละเก้าอี้ให้ พอยืนประจัญหน้าผมก็กลายเป็นคนแคระ

“นั่งก่อน พี่เมา” ผมเสนอ ลากแขนให้นั่งนิ่งๆ

“ม่ายๆๆๆ” ไอ้คนหล่อโงนเงนตอบขืนตัว ไอ้โทปรี่มาหาผมถามว่ามีอะไร พอตอบว่าเปล่ามันก็มองร่างสูงนั้นก่อนจะกลับไปนั่งชิดกับขวัญใจเช่นเคย 

“แล้วพี่จ้องอะไรผมขนาดนั้น”

“อึ๊ก ก็อยากมอง ไม่ได้เรอะ” ผมว่ามันต้องมีอะไรสักอย่าง กลิ่นตุๆ แต่คิดไม่ออกหรอกว่าทำไมผู้ชายแมนๆหน้าตาดีระดับเทพแบบพี่เคมีถึงได้มาสบตาเหมือนจะอ่อยเบอร์แรงเช่นนี้ คงไม่คิดเปลี่ยนรสนิยมกระทันหันหรอกมั้ง ก่อนหน้านี้ก็จีบขวัญใจอยู่นี่นา แถมหลังๆยังมีข่าวว่าควงดาวพยาบาลออกสื่ออยู่เลย

“มองได้ผมไม่ว่าอะไรหรอก ผมแค่สงสัยว่าพี่จะมองทำไมนักหนา” ความเมาแหละเลยทำให้เราพูดอะไรตรงๆแบบไม่คิดได้

“อะโห กูก็แค่มอง ไม่ได้ไง” เห้อ...ถามก็เหมือนพายเรือในอ่าง คนเมาแบบนี้ท่าทางสติจะหลุดไปละ

“แล้วแต่ เอ้า ชนแก้ว” ผมเปลี่ยนเรื่อง ไอ้พี่เคมีก็ชนแก้วก่อนจะหันไปเรียกเพื่อนๆมาชนกันเสียงเฮลั่นร้าน ยังดีหน่อยที่เป็นวันธรรมดา ลูกค้าโต๊ะอื่นไม่เยอะ แถมต่างก็เมา เลยไม่มีท่าทางว่าจะรำคาญ หรือไม่ก็เพราะกลุ่มเราใหญ่ที่สุดในร้านแล้วตอนนี้

“ถ่ายรูปๆๆๆ กูจะเอาลงไอจี” รุ่นพี่วิศวะพากันกอดคอพวกเราถ่ายรูปร่วมเฟรม ผมโดนเบียดจนหน้าแนบกับพี่เคมีจนแน่น กลิ่นตัวคนหล่อนี่หอมแบบนี้ทุกคนเลยเหรอวะ ไอ้ตงก็กลิ่นหอม ดมทีไรก็มีอารมณ์ทุกที พอได้กลิ่นพี่เคมีก็... ฉิบหายละ!!

             ผมรีบใช้มือข้างที่ว่างจับปลาชะโดตัวเขื่องให้มุดกลับเข้าไป วันนี้ใส่กางเกงผ้าแถมไส่แค่บ็อกเซอร์ ถ้าเกิดคนอื่นเห็นว่ามันตั้งโด่ตอนนี้คงได้ขายหน้าอีกรอบ ผมหันไปสบตาไอ้ตงที่นั่งมุมตรงข้ามแว้บหนึ่ง มันเหมือนจับสังเกตได้ว่าผมทำอะไรแต่ก็นั่งนิ่งหยิบแก้วตัวเองมาจิบต่อ ผมเลยต้องรีบนั่งยัดสองขาเข้าใต้โต๊ะให้มากที่สุด พี่เคมีที่ยืนโงนเงนใกล้ๆดันเบียดมาอีกเพราะโดนแทรกตอนถ่ายรูป เพื่อนคนหนึ่งของแกขยับมายืนเบียดด้วย ตัวหอมๆเลยเสียดสีไหล่ผมไปมาจนขนลุก

“ระ ร้อน” ผมผลักตัวต้นเหตุเบาๆให้ขยับ แต่เหมือนจะผิดจังหวะเมื่อร่างที่โงนเงนอยู่แล้วเซมาจนหน้าเกยไหล่ผม

“โอย ไม่ไหวเลยไอ้เค็ม เมาแล้วเลื้อย” เพื่อนของพี่เขาดึงตัว แต่เหมือนคนหล่อจะร่วงแล้ว ผมได้แต่นิ่งเพราะหนัก จะขยับตัวก็ยังไม่ไหว ไอ้น้องชายไม่รักดีมันยังผงาด แถมคนเมาก็หายใจรดซอกคอจนแทบลืมหายใจอีก มือใหญ่แกว่งไปมาจนแก้วในมือถูกเพื่อนในกลุ่มแย่งไปวางที่โต๊ะเพราะกลัวตกแตก ผมค่อยๆขยับแต่แรงกดจากคนเมาก็หนักหน่วง

“พะ พี่ ลุกก่อน ผมหนัก” ผมประท้วง แต่เหมือนรายนั้นใกล้จะสลบเต็มที่

“อื้อ แป๊บเนิงงงงง” พี่เคมีเสียงเมามาก เพื่อนแกแต่ละคนก็เมามาก สภาพเละไม่ต่างกัน ผมกวาดตาขอความช่วยเหลือจากคนอื่น แต่ละคนเต้นเด้งหน้าเด้งหลังไม่สนใจโลกกันสุดๆ ไอ้โทพี่ชายแสนเลวก็หายไปตั้งแต่ตอนไหนละไม่รู้ สงสัยจะกลับไปกับขวัญใจโดยไม่บอกกล่าว ไอ้ตงมองมาทางนี้อย่างเมินเฉย ร่างสูงวางแก้วและลุกออกไปนอกร้าน ผมได้แต่มองตามตาละห้อย แขนล่ำกวัดแกว่งไปมาใต้โต๊ะคว้าหมับที่ต้นขา...

เฮือก!!!

             ผมสะดุ้งสิครับ มันใกล้มาก ความอุ่นร้อนที่จับมาใกล้จุดยุทธศาสตร์เป็นที่สุด ไอ้ที่แข็งมานี่ก็ดื้อไม่ยอมสงบซะทีแถมมือใหญ่นั้นก็เคลื่อนไปมาอยูไม่สุข คงเพราะเมานั่นแหละเลยทำให้คว้าจับไปเรื่อยเพื่อประคองตัวให้มั่นคง แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าพี่เลื่อนไปจับโต๊ะแทนที่จะเลื่อนเข้าใกล้น้องชายผมนะเว้ย

“มึง ลุกๆ” เพื่อนของพี่เคมีช่วยชีวิตไว้ แต่รายนั้นก็เมาไม่น้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผมที่เคยเมาก็ตาค้างเลยเพราะโดนกระตุ้น ถ้าไม่เกรงใจประชาชีจะจับทำเมียซะเดี๋ยวนี้เลยคอยดูสิ

“พะ พี่” ผมตกใจเสียงหลง เมื่อมือใหญ่คว้าหมับที่แก่นกาย แรงกระตุ้นไหลพล่านเลยครับแถมมือนั้นยังจับแน่นซะด้วย หน้าหล่อหลับตาพริ้มไม่สนใจโลก แต่มือนี่เหมือนจะกลั่นแกล้งเด็กชายหนึ่งตาดำๆหนักหน่วง จากที่จับแน่นก็เขี่ยวนไปมาก่อนจะรูดขึ้นลงจนผมขนตั้งไปหมด รู้สึกว่ามันเริ่มแฉะจนนั่งไม่ติดแล้ว

“หยุด กะ ก่อน” ผมพยายามห้ามแต่เหมือนคนเมาจะไม่สนใจ มือใหญ่เล่นของแข็งนอกร่มผ้าก่อนจะสอดเข้ามาตรงขอบเอวกางเกง สัมผัสร้อนระอุรุนแรงจนผมกระตุก แรงขยับไปมาในความสลัวทำให้แรงหายใจหอบถี่ มันหมายความว่าไงวะเนี่ย ทำไมผู้ชายแมนๆแบบพี่เคมีต้องมาทำอะไรบ้าๆกลางร้านเหล้าด้วยวะ ผมกลั้นใจสะกดความเสียวจับมือใหญ่นั้นไว้ แรงปะทะของพวกเราขลุกขลักจนโต๊ะดิ้น จนสะบัดมือหนาออกได้ในที่สุด พี่เคมีโถมร่างทับผมจนมิด เหมือนกำลังก่ายกอดกันไม่ผิดเพี้ยน ผมได้แต่พยายามเคลื่อนหนี แต่ขนาดตัวมันต่างกันเกินไปทำให้โดนบังจนไม่มีใครเห็น พอรุ่นพี่คนหนึ่งจ่ายเงินค่าเสียหายคืนนี้คนอื่นค่อยๆบอกลาและเดินออกจากร้าน เสียงเพลงดังกลบจนไม่มีใครสังเกตว่าผมโดนกกอยู่ตรงนี้

“โอยพี่ ปล่อยก่อน” ผมดันตัวแกให้หลุดออก กลายเป็นว่ามุมที่ผมอยู่มันเป็นจุดบอด เงามืดกระทบแต่กลับเห็นแววตาแวววับของคนเมาได้แจ่มชัด ร่างผมถูกดันให้เข้าไปในมุมมืดมากกว่าเดิม ถ้าไม่เมานี่พ่อจะต่อยปากแตก แต่ก็ทำไม่ลงเพราะพี่เขาหล่อ ก่อนจะคิดอะไรได้ริมฝีปากสวยก็ประกบลงมาดุนดันลิ้นสากร้อนระอุอย่างร้อนเร่า ผมตกใจสุดตัวพยายามมองหาตัวช่วยแต่ก็เหมือนไม่มีใครสนใจ พอเก้ากี้ถูกเลื่อนจนติดผนังผมก็ดิ้นขืนตัวลุกยืน ร่างของคนตัวโตโถมทับสุดกำลัง พอก้าวถอยหลังก็เดินตามจนสุดทางเดิน ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกพร้อมกับพวกเราทั้งคู่ ตอนนี้ผมสติหลุดแล้ว ไม่สนใจเหตุผลอะไรทั้งนั้น

             แววตาหื่นกระหายของรุ่นพี่ฉายแวววับ แสดงว่าไม่ได้เมาจริงเป็นแน่ ผมได้แต่เก็บความแปลกใจนี้ไว้ ทำไมต้องเข้าหาด้วยนะ เขาต้องการอะไรกันแน่ แต่ความอยากมันครอบงำ ผมดึงหน้าหล่อมาประกบจูบดูดดื่ม ผลักประตูห้องน้ำปิดฝาชักโครกเข้าไปนั่งก่อนเบียดเสียดสองร่างในความคับแคบ ดึงประตูมาปิดและล็อกห้องอย่างดี ก่อนจะโลมเลียร่างสูงที่พยายามรุกรานทั่วตัว แต่ความเชี่ยวชาญมันต่างกัน ผมเกิดมาเพื่อเป็นผัวเท่านั้น พอร่างสูงพลั้งก็ถูกจับพลิกตัวให้หันหน้าเข้าผนัง ลำตัวโก้งโค้ง ผมถกกางเกงยีนส์หลวมโพรกนั้นลงเผยความกมกลึงสวยงาม ร่างสูงไม่ทันได้สติก็ถูกลงลิ้นเข้ากับส่วนลึกลับอ่อนไหวอย่างเร่งเร้า

“อื้อ อ๊า” ร่างสูงของคนมาดแมนสั่นระริก ความบวมช้ำเป็นที่สังเกตได้จนผมหายสงสัย พี่เคมีน่าจะเพิ่งผ่านการมีเซ็กซ์กับใครสักคนมาหรือไม่ก็ใช้ของปลอมช่วยตัวเองก่อนมาที่นี่ เพราะผมไม่ได้กลิ่นถุงยางอนามัยหรือกลิ่นคาวของใครหลงเหลือในนี้ มีแต่เมือกหนืดๆที่แห้งรายรอบกลีบสีสด ลิ้นควานเข้าไปเจอความเปียกแฉะภายในชวนคลั่ง

             ผมเปิดประตูอย่างเร่งเร้าควานหาเหรียญเพื่อกดเอาถุงยางอนมัยจากตู้ที่แขวนไว้ มันหล่นร่วงมาอย่างไม่ทันใจ ก่อนคว้ามาฉีกซองและกลับไปจัดการกับคนที่ยืนหันหลังท่าเดิม ไม่สนใจแล้วว่าจะเข้าได้หรือเปล่า ในเมื่อมากระตุ้นอารมณ์ผมก็ต้องโดนลงโทษให้สมสมใจเสียหน่อย

             สองมือประคองแก้มก้นให้นิ่งเพื่อจ่อความใหญ่โตเกินตัวพรวดพราด พี่เคมีร้องอ๊ากดังลั่นแต่ดีที่ผมเอื้อมไปอุดปากได้ทัน เสียงร้องอู้อี้สุดกำลังน่าจะมาจากความเจ็บปวดที่โดนแหวกว่ายเข้าไป ผิดกับผมที่เสียวจนแทบกลั้นไม่ไหว ภายในแน่นหนึบรอดทึ้งจนร้อนไปทั้งตัว ผมดันเข้าอย่างไม่ย่อท้อ ความฝืดเคืองเป็นฝ่ายยอมแพ้ สองขาที่เกือบร่วงยอมแยกกว้างปล่อยให้ความหนุ่มแน่นทะยานไปจนสุดแรง

“อื้อ เบาๆ เจ็บ ฮ้าๆๆๆๆ” เสียงร้องเบาหวิว ใบหน้าบิดเบ้มีน้ำตาไหลพรากชวนสงสาร แต่ผมก็ไม่หยุดแค่นี้ โลกที่สดใหม่ชวนให้วาบหวิว ความหอมหวานของกลิ่นหนุ่มหล่อชวนเพลิดเพลิน แรงสอดเสียดเชื่องช้าล้วงร่องน้อยจนเปิดกว้าง ผมส่งบั้นท้ายตัวเองเข้าออกให้สุดความยาว ร่างสูงกว่าสั่นสะท้าน ลมหายใจหอบพร่า ใบหน้าและลำคอแดงเถือก ยกเข่าขวาวางที่ฝาครอบชักโครกเพื่อค้ำยันตัวเองไม่ให้ร่วงกับพื้น ผมสอดแทรกตัวตนดุดันเดือดดาลจนก้นแน่นไหววับ เนื้อในสีสวยสดครูดคราดเข้าออกคล้ายจำนนต่อบทรักที่รุนแรงเช่นนี้

“สุดยอด เสียวชิบหาย” ผมครางอื้อ ชื่นชมบั้นท้ายนี้ไม่ขาดปาก อยู่ๆก็มีลาภลอยมาให้สบายตัว

“เบาๆ จุก อ๊า เจ็บๆๆๆ อื้อๆๆๆๆ” ผมเร่งเร้า แรงเสียดทานเร็วรี่ เหงื่อของพวกเราไหลย้อยท่วมทั่ว แรงกระเด้งใส่ความคับฝืดไม่หยุดหย่อน แก้มก้นถูกกระทบเปลี่ยนสีชวนเร่งจังหวะ ความเสียวแปลบพลุ่งพล่านมันก่อตัวในกายก่อนจะขยายมวลจนล้นทะลัก ผมเกินกลั้นความอิ่มเอมในครั้งนี้ แรงส่งเฮือกสุดท้ายสุดแรงดังปัง ร่างใหญ่สะท้านดิ้นพล่าน ความสุขสมล้นทะลักถุงยางอนามัยที่เล็กผิดไซส์ร้อนฉ่า ผมคาแก่นกายจนกระทั่งมันหยุดกระตุกก่อนดึงมันออกอย่างยากเย็น

“อ๊า” เสียงหลุดดังโผละก่อนจะเผยให้เห็นความเสียหายเปิดกว้างที่บั้นท้าย พี่เคมีร่วงกับพื้นแต่ยังดีที่คว้าไว้ได้ รอยบวมแดงช้ำชวนให้เวทนาแต่กลับเร่งเร้าอารมณ์ขึ้นมาอีกรอบ ผมรีบหักห้ามใจดึงกางเกงของเขาให้กลับเข้าที่ พาร่างสูงมาล้างหน้าอย่างทุลักทุเล

“ไหวมั้ย”

“อะ อืม” ใบหน้าหล่อเหลาเหมือนรู้สึกผิด ลมหายใจค่อยๆเป็นปกติ ท่าทางยังเจ็บอยู่ไม่น้อยสังเกตจากอาการนิ่วหน้า

“ทำไม” ผมอยากจะถาม แต่ก็พูดไม่ออก

“อย่าบอกเรื่องนี้กับใครนะ” สายตาอ้อนวอนส่งมา มันไม่ใช่คำสั่ง แต่เป็นการขอร้อง ผมถอนหายใจ เก็บทุกคำถามไว้

“ครับ”

“พยุงหน่อย พี่เดินไม่ไหว” ผมต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ สองขาสั่นระริกเดินอย่างช้าๆไปในร้าน เพื่อนๆพี่เคมีที่ยังไม่กลับเต้นไม่หยุด คนที่เมาก็นอนฟุบคาโต๊ะ เพื่อนผมกลับไปเกือบหมด ยกเว้น... ตงฉิน

             เราสบตากันเนิ่นนาน ผมรั้งร่างสูงที่อ่อนยวบไปช้าๆปล่อยให้นั่งเก้าอี้อย่างสงสาร แรงกดทับทำให้พี่เคมีกระตุกร้องเจ็บอย่างลืมตัว สายตาผมยังจับจ้องไปที่รูมเมต แววตาที่ส่งมานั้นอ่านไม่ได้ ไม่มีคำพูดหรือท่าทีอะไรหลุดออกมาแม้แต่น้อย ปล่อยพี่เคมีให้เอนหลัง ตอนนี้โล่งไปหมดเพราะไม่ต้องพยุงใครอีก พอหันกลับมา ร่างสูงของตงฉินก็หายไปแล้ว

“เฮ้ย ไหวมั้ยวะ” กลายเป็นว่าพี่เจดเดินเข้ามาในร้านอย่างรีบร้อน แกส่งเสียงมาก่อนเห็นตัวด้วยซ้ำ และทำหน้าประหลาดใจที่เจอผม

“น่ะ หนึ่ง”

“พี่มา...” ผมจะต้องถามอย่างไรดี คนที่ไม่ค่อยว่างกลับมาร้านเหล้าในเวลาเกือบตีสองได้

“คือพี่มา...” ผมเห็นสายตาที่จับจ้องก็พอเข้าใจ

“พอดีพี่เคมีเมาหนักน่ะพี่ ช่วยดูเขาหน่อยละกัน”

“ครับ แล้วหนึ่งล่ะ” ใบหน้าหล่อเหลาถามอย่างห่วงใย ผมไม่แน่ใจหรอกว่าพี่เขาห่วงใยใครกันแน่

“ผมโอเค ไม่เมาแล้ว เดี๋ยวกลับละ ไอ้ตงรอหน้าร้าน”

“อ๋อ พี่เดินสวนเมื่อกี้เอง”

“งั้นผมไปก่อนนะพี่” ตอนนี้ก็พอเข้าใจอะไรๆมากขึ้น พี่เจดที่ผมคิดว่าเป็นผู้ชายที่แสนดีกำลังประคองร่างสูงของพี่เคมีอย่างรักใคร่ ความอ่อนโยนนั้นส่งผ่านสายตาและการกระทำที่เคยเห็นมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงต้องควงผมไปเปิดตัวในงานบายเนียร์ ทำไมต้องจูบ ทั้งหมดเป็นเพราะพี่เจดกำลังหนีความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อรุ่นน้องชื่อ เคมี

             พอเดินออกมานอกร้านไม่เห็นแม้แต่เงาของตงฉินที่เดินออกมาก่อน ความเหงาแล่นพล่านเกาะกินหัวใจจนเกือบร้องไห้ ทั้งที่เมื่อไม่กี่นาทีมีร่างหนึ่งร่ำร้องอยู่ใต้อาณัติ แต่ตอนนี้กลับออกมาเดินโดดเดี่ยวริมถนน ผมปล่อยไอชื้นของสายฝนที่ตกมาก่อนหน้าลอยกระทบ สองขาก้าวย่างอย่างไม่เร่งรีบ รถยนต์แล่นผ่านเป็นระยะ แสงไฟส่องสว่างตามรายทาง ในใจอยากจะสูบบุหรี่สักซองเพื่อกลบความหดหู่ที่เป็นอยู่ แต่เมื่อไม่มีอะไรอยู่กับตัวก็ต้องก้มหน้าเดินไปเรื่อยๆ จนมาหยุดที่หน้าคอนโดหรู ... ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับที่นี่เอาเสียเลย

#### ###

[เจด ชิติพัทธ์]

             ผมตั้งใจจะไม่ติดต่อทั้งน้องหนึ่งและเคมี เพราะอยากหาคำตอบให้ตัวเองก่อนว่าผมรู้สึกกับใครกันแน่ ถึงแม้จะเคยชอบหนึ่งอยู่มาก แต่ในใจกลับโหยหาคนอื่น ยิ่งการได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมึนตึงใส่ก็ยิ่งปวดใจ อยากจะเข้าไปกอด อยากสัมผัสลูบไล้เรือนร่างแน่นนั้นอีกครั้ง แต่ผมไม่ต้องการจะผิดใจกับพี่รหัสที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายของเคมี ระยะหลังเลยจำใจตัดขาดจากทุกอย่าง ทุ่มความสนใจทั้งหมดกับโปรเจ็กที่ได้รับมอบหมายจนลืมเวลา มีบางครั้งที่อยากจะเคลียร์กับแฟนเก่าที่ถูกผมหลอกให้ไปเป็นคู่ควงในงานบายเนียร์ของคณะ แต่พอโทรไปคุยก็พูดอะไรไม่ออก ใบหน้าซื่อๆนั้นทำให้ผมทำร้ายเขาไม่ลง

             สุดท้ายก็มานั่งเขี่ยไอจีไปมาคนเดียวในห้อง ไม่สนใจเพื่อนๆที่โทรมาชวนไปเที่ยวแม้แต่น้อย พ่นลมหายใจหนักๆหลายเฮือกไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย เหงาจนอยากจะออกไปหาแสงสีแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ คิดถึงใครคนนั้นที่ผมพลั้งเผลอไปมีความสัมพันธ์ด้วยเมื่อไม่นานมานี้ อยากเจอเหลือเกิน... มือหยุดเลื่อนหน้าฟีด กดขยายรูปที่เพิ่งอัพลงไม่นานจากรุ่นน้องคณะ ใบหน้าแดงก่ำของเคมียิ้มกว้างข้างตัวเบียดกับร่างเล็กของน้องหนึ่งอย่างใกล้ชิด เช็กอินที่ร้านเดิมที่เคยมีเรื่องกันครั้งนั้น

             ผมรู้ตัวอีกทีก็คว้ากุญแจรถและวิ่งออกจากห้องไปอย่างไม่สนใจว่าล็อกประตูห้องหรือเปล่า ...

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

หง่ะ...ตัดจบแบบค้างคา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ นางฟ้าน้อย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
กำลังสนุกเลยรีบมาต่อนะ

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
จะเคลียร์กันได้ทั้งสองคู่ไหมนะ.  :hao4:

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 25. อ๊าฟเตอร์ช็อก

[เคมี]

             แสงแดดแผดส่งไอร้อนเข้ามาในห้องจนเหงื่อท่วมไปหมด ความปวดหัวหนึบเล่นงานทันทีที่พยายามลืมตา เมื่อคืนหนักเอาการเพราะอยากปลดปล่อยความอัดอั้นที่มีมาหลายวัน พอลืมตาเต็มที่ก็เห็นเพดานคุ้นเคยในห้องที่นอนมาตั้งแต่เด็ก สงสัยแม่จะเข้ามาปิดแอร์ให้ตอนเช้า เหงื่อซึมทั่วตัวกับแสงอาทิตย์ชวนให้ไม่สบายกายกระตุ้นให้อยากอาบน้ำ แต่ยังลุกไม่ไหว อาการมึนรั้งไว้ ค่อยๆผุดลุกมามองเนื้อตัวท่อนบนที่เปลือยเปล่า ยังดีที่กางเกงยีนส์ตัวเดิมยังอยู่

“โอ๊ย” ผมสะดุ้งร้อง ความเจ็บหน่วงที่บั้นท้ายทำให้ต้องแผ่ร่างล้มนอนเช่นเคย มันปวดหน่วงข้างในแถมเฉอะแฉะน่าอึดอัด รู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างคาไว้ในตัวจนขัดไปหมด ความหน่วงหนึบนี้เคยเกิดขึ้นไม่นานนี้ เพราะความเมา ความโกรธและอยากลองดี จนเกิดความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพี่ชายที่สนิทกันมาตั้งนานอย่างพี่เจด ที่ตอนนี้เหมือนจะตีตัวออกห่างไปเป็นที่เรียบร้อย

             หลังจากส่งแรงฮึดพาตัวเองเข้ามาอาบน้ำและล้างความเหนอะหนะในตัวจนหมดก็รู้สึกปวดหัวหนักกว่าเก่า ท่าทางจะมีไข้เพราะเมื่อคืนดันไปเผลอมีอะไรกับเด็กของพี่เจดที่ชื่อหนึ่ง ทีแรกก็แค่อยากยั่วเพราะรู้ว่ารายนั้นชอบผู้ชาย ไม่รู้ว่าทำไปทำไมเหมือนกัน แค่รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ใครบางคนรู้สึกเจ็บปวดบ้างถ้าต้องถูกแย่งคนสำคัญ ... แต่ใครจะคิดว่าความเมาจะลงเอยโดยการถูกจับทำเมียไปเสียได้

             ผมชื่อเคมี เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ของคณะยอดนิยมอย่างวิศวะ อดีตเดือนมหา’ลัยปีที่แล้ว นิสัยเอาแต่ใจ ใจร้อน ขี้เบื่อ ชอบจีบหญิงไปทั่วแต่ก็ไม่คิดจริงจังกับใคร นิสัยห่ามๆตามสไตล์ผู้ชายปกติ มีพี่ชายหนึ่งคนชื่อฟิสิกส์ มีน้องชายอีกหนึ่งคนชื่อชีวะ ไม่เคยหลงตัวเองว่าหล่อ แต่ก็ใช้หน้าตาให้เกิดประโยชน์มาตลอด ชีวิตค่อนข้างสบาย พ่อแม่มีฐานะ ถึงแม้จะไม่ได้รวยล้นฟ้าแต่ก็ไม่ลำบาก เลยเติบโตมาอย่างไม่กังวลเรื่องอะไร เข้าขั้นคุณหนูคนหนึ่ง ปกติชอบอยู่บ้าน แต่ถ้าเบื่อบ้านก็ไปอยู่คอนโดแถวมหา’ลัยที่พ่อซื้อให้พี่ชายคนโตที่ตอนนี้ยกให้ผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

             หลังจากโมโหจนเข้าไปทำร้ายรุ่นน้องคณะบริหารเมื่อครั้งก่อนและตกเป็นเมียของพี่ชายที่สนิท ชีวิตผมก็ค่อนข้างเปลี่ยน จากที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเกย์ก็เริ่มไขว้เขว ประสบการณ์ที่สุดสยิวนั้นเหมือนเป็นการเปิดโลกใหม่ มันเจ็บปวดในตอนแรก แต่พอถูกรสจูบหวานละมุนกระตุ้นให้สติเลือนลาง ความดุดันลดดีกรีกลายเป็นจังหวะนุ่มนวล ยามที่กล้ามเนื้อเสียดสีกันยิ่งก่อประกายวูบวาบอย่างน่าพิศวง เรือนร่างใหญ่โตส่งผ่านความสุขล้นแทรกกายสู่ความเร้นลับที่ไม่เคยเปิดตัวให้ใครเชยชมมาก่อนแผดเผาความผิดชอบชั่วดีจนหมดสิ้น พี่เจดปฏิบัติตัวราวกับผมเป็นเจ้าหญิงร่างเล็ก ความวาบหวามชวนหวั่นไหวมากล้นจนต้องลดการ์ดป้องกันที่ต่อสู้ขัดขืนหายเกลี้ยง เสียงพร่ำเพ้อครวญครางสอดประสานของพวกเราเป็นหนึ่งเดียวอย่างสุขล้น

             ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งทำให้สับสน ในสมองมันบอกว่าเราเป็นผู้ชาย ไม่ใช่เกย์ มันก็แค่ความหลงใหลชั่ววูบ มันก็แค่ความผิดพลาดครั้งหนึ่งของชีวิตที่ไม่นานก็ผ่านไป แต่ร่างกายกลับร้อนเร่าจากมโนภาพที่ได้เห็น เรือนร่างแข็งแกร่งที่ขยับโยกทำให้เกิดความรู้สึกแปลกที่ช่วงขา ร่องหลืบแคบคับก็ขมิบไปมาอย่างเกินต้านเหมือนมันต้องการรสชาติเช่นนั้นอีกครั้ง ของเล่นที่ถูกสั่งซื้อมาจากอินเตอร์เน็ตเพื่อทดสอบว่าตัวเองไม่ได้กลายเป็นเกย์ถูกวางในลิ้นชักลึกสุดในตู้เสื้อผ้า ผมทดลองใช้มันก่อนที่จะออกไปเที่ยวเมื่อคืน มันเจ็บปวดแต่กลับเติมเต็มความโหยหาได้ไม่น้อย...แต่ก็ไม่ทั้งหมด ความต้องการที่ล้นทะลักมันบอกว่าอยากได้มากกว่านั้น อยากได้ความอบอุ่น เรือนร่างแข็งแกร่งที่ก่ายกอด เป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องที่ทำให้มานั่งเครียดในตอนนี้

“เมื่อคืนใครมาส่งผมวะพี่” หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้วก็ลงมาหาอะไรรองท้องในห้องครัว พี่ชายคนโตสวมชุดนักศึกษาเต็มยศ น่าจะมีพรีเซ้นต์งานที่คณะช่วงบ่ายกำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวที่แม่บ้านออกไปซื้ออยู่ก่อนหน้า เราหน้าตาไม่คล้ายกันเท่าไหร่ เพราะผมหน้าตาคล้ายแม่ แต่เพราะยีนส์ของพ่อแม่นั้นดี ลูกแต่ละคนเลยเกิดมาหล่อกันทั้งบ้าน

“กูจะรู้มั้ย” พี่มันตอบ “ถ้าคิดจะเมามึงก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้หน่อยสิวะ” นั่นไง บ่นอีกละ

“เออ ขี้บ่นว่ะ” ผมนั่งอย่างแรงจนสะดุ้ง ความเจ็บแล่นพล่านจนหน้าแดงไปหมด

“เป็นไรวะ ทำหน้าเหมือนขี้ติดตูด”

“มึงพูดเรื่องขี้ได้หน้าตาเฉยตอนกินข้าวเนี่ยนะ” ผมเบี่ยงประเด็น “สงสัยป่วยว่ะ ตัวรุมๆ”

“ไหนดูดิ๊” มันเป็นพี่ที่ปากหมา แต่มันเป็นห่วงผมมากนะครับ เพราะตอนเด็กร่างกายผมไม่ค่อยแข็งแรง สามวันดีสี่วันไข้ ฟิสิกส์คอยดูแลมาตลอด ทั้งๆที่เป็นพี่ แต่ไอ้ชีวะก็ยังต้องประคบประหงมผมอีกคน “เออ กินยาด้วยล่ะ ไม่ไหวก็โทรมาจะได้พาไปหาหมอ”

“กินยาเดี๋ยวก็หายน่า จะไปหาหมอทำไม” ผมปัดมือที่จับต้นคอออก ถ้วยก๋วยเตี๋ยวต้มยำสีแดงสดวางตรงหน้า ผมขอบคุณแม่บ้านก่อนตักกินอย่างหิวจัด แม่ง...เผ็ดฉิบหาย ก้นกู...ระบมแน่ๆ

“เออ ไม่ไหวอย่าฝืน กูไปคณะก่อน คืนนี้ไม่แน่ในจะกลับกี่โมง แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆก็โทรมา เดี๋ยวกูบอกไอ้ชีให้”

“โอยไม่ต้องหรอก กูไม่ใช่เด็กขี้โรคคนเดิมแล้วนะ ตัวก็สูงพอๆกับมึงแล้ว” ช่างสุภาพจริงๆพี่น้องคุยกัน

“ตามใจมึงละกัน กูไปละ” มันวางถ้วยที่อ่างล้างจานก่อนเดินหายไปนอกบ้าน ผมซดน้ำต้มยำไปอีกไม่กี่คำก็รู้สึกอิ่มตื้อ วางถ้วยทิ้งไว้ก่อนเดินไปหยิบยาแก้ไข้มาสองเม็ดกลอกเข้าปากพร้อมน้ำ อากาศข้างนอกเหมือนจะร้อน แต่ตอนนี้กลับหนาว เหงื่อที่เคยไหลก่อนหน้านี้ไม่มีอีกแล้ว เหมือนร่างกายปรวนแปรไปหมดแล้ว มองเวลายังไม่บ่ายโมง วันนี้ไม่มีเรียน เลยพาตัวเองไปนอนในห้องตามเคย

RRRRRRRRRRR

[ไอ้เค็ม เย็นนี้มีว้ากนะ มาด้วย] เพื่อนตัวดีไม่ได้ทักทายเหมือนคนทั่วไป มีแต่คำพูดตรงๆไม่อ้อมค้อมเหมือนกลัวเปลืองค่าโทรศัพท์ชิงส่งเสียงมาก่อน

“อ้าวเหรอ เดี๋ยวกูไป ขอนอนแป๊บ” ผมเสียงแหบ กระแอมไอเพราะยังไม่ได้ดื่มน้ำ

[นอนห่าอะไรนักหนา เมื่อคืนแดกเหล้ายังกะน้ำไอ้สัส]

“ก็เพราะแดกเยอะไง ปวดหัวจี๊ดเลยเนี่ย กูมีไข้หน่อยๆขอนอนแป๊บเดี๋ยวไปตอนเย็น”

[เป็นไข้ด้วยเหรอวะ]

“มึงจะทวนทำไมวะ แค่นี้ กูจะนอน” ผมกดวางสาย ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ช่วงเย็นก่อนเปิดโหมดห้ามรบกวน อากาศในห้องอบอ้าวแต่กลับหนาวสั่นจนต้องห่มผ้า ความปวดหน่วงบั้นท้ายลุกลามไปทั่วตัว ความง่วงงันครอบงำจนหลับไป

             มันเหมือนความฝัน หรือไม่ก็เป็นความฝันเสมือนจริง เตียงนอนยุบยวบมีใครสักคนกำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดตามตัวจนหนาวสั่นหนักกว่าเก่า ความเย็นเยือกลูบไล้ไปทั่ว รับรู้ถึงของเหลวไร้รสที่เข้าในโพรงปากอย่างอบอุ่นก่อนไหลกลืนลงคอ สัมผัสแผ่วเบาเลื่อนไปมาทั่วร่าง จุดซ่อนเร้นบวมช้ำถูกสัมผัสอย่างหวิวไหว ผมร้องสะอึกคล้ายคนละเมอเมื่อความอึดอัดส่งผ่านเข้ามาด้านใน แรงเคลื่อนขยับไปมาคล้ายคนกำลังกวาดล้างของเสียให้สะอาด ไอแอร์เย็นฉ่ำปะทะหว่างขาเปลือยเปล่าจนต้องควานหาผ้าห่มมาปิดทับ ริมฝีปากที่ว่างเปล่าถูกความหอมหวานแตะต้องอย่างลังเล ลมหายใจร้อนฉ่าพวยพ่นปะทะใบหน้า ความวาบหวามถูกส่งถ่ายเข้ามาในโพรงปากจนต้องเผยอปล่อยให้ความอิ่มเอมนั้นหลั่งไหลเข้ามาไม่ยั้ง

             แล้วร่างที่ผมเห็นอย่างพล่าเลือนก็ผละออก กลิ่นที่คุ้นเคยแนบชิด มือใหญ่ลูบไล้ใบหน้าจนรู้สึกผ่อนคลาย ผมยกยิ้มอย่างเป็นสุข เปลือกตายังหนักอึ้งจนลืมตาไม่ได้ มองแผ่นหลังลางเลือนนั้นลุกขึ้นและเดินจากไปอย่างเงียบงัน

ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด ...

             เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นพร้อมกับแรงสะดุ้ง ผมลืมตามองเพดานอย่างเลื่อนลอย รู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อตอนกลางวันจนแทบไม่รู้สึกว่าป่วยอีกแล้ว พอลุกขึ้นมาก็เห็นยาแก้อักเสบสีแสบสดในซองขาวที่ข้างเตียง ลายมือหวัดเขียนว่าให้กินก่อนอาหารเช้าเย็น ผมหยิบมามองคิดไม่ออกว่าใครซื้อมาให้กันแน่ พี่ฟิสิกส์คงบอกให้ไอ้ชีวะซื้อมา... คิดแบบนี้แล้วสบายใจก็แต่งตัวไปคณะ

#### ####

[หนึ่ง เอกราช]

             วันนี้ต้องอยู่เย็นเพื่อซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ จากที่ต้องไปทำงานก็ต้องลา รุ่นพี่โทรตามหลายวันแล้วเพราะขาดซ้อมไปเฉยๆโดยไม่บอกกล่าว พอมาวันนี้ก็เลยโดนซ่อมหนักกว่าคนอื่น ยังดีที่มีเพื่อนในกลุ่มอย่างไอ้คิ้วโดนด้วย มันมาแทนไอ้ตงที่ขอถอนตัวไปเนื่องจากภาระกิจมันเยอะ พอลองขอถอนตัวบ้างก็โดนพี่เปรี้ยวมองตาเขียวปั๊ดแถมยังโดนด่ากราด ท่าทางเมนส์แกจะมาเลยไม่ฟังเหตุผลของผม

“น้องเตี้ยคะ มีแรงแค่นี้เหรอคะ” นั่นไง พูดไม่ขาดคำก็โดนด่าอีกละ คนไม่ใช่ทำอะไรก็ผิด

“เอ่อ ขอโทษครับ” ผมได้แต่กล้ำกลืนความหงุดหงิด เวลานี้ควรทำงานอยู่ที่ร้าน เสิร์ฟกาแฟ คิดเงินลูกค้า หารายได้เพื่อจะไถ่ตัวเองออกจากคอนโดไอ้ตง แต่ต้องมาติดอยู่กับกิจกรรมบ้าๆนี่อย่างหัวเสีย แววตาและท่าทางไม่เป็นมิตรของรุ่นพี่ก็ส่งมาไม่ขาดสายราวกับว่าผมเป็นตัวถ่วง

“ตั้งใจหน่อยค่ะ แค่นี้ก็ถ่วงคนอื่นเยอะแล้วนะคะ” เสียงแหลมชวนหงุดหงิด ผมเม้มปากเพื่อสงบความโกรธ ไม่อยากมีปัญหากับใครตั้งแต่ชั้นปี 1

“ไหวมั้ยวะไอ้หนึ่ง” ไอ้คิ้วมันหน้านิ่วหันมาถาม ท่าทางมันก็เหนื่อยแต่ไม่ได้ถูกดุว่าเหมือนผมนี่หว่า

“ไม่ไหวก็ต้องไหวว่ะ” ผมตอบแบบพระเอก ทั้งที่ในใจเดือดปุดๆ

“ทำไมมึงไม่บอกพี่เค้าล่ะวะว่ามึงต้องไปทำงานพิเศษ” มันถาม ผมมองรุ่นพี่กลุ่มเชียร์ที่บ้างก็ยืน บ้างก็นั่งตรงลานกิจกรรมใต้คณะอย่างสิ้นหวัง

“กูยังไม่ทันอ้าปากเลย ด่ากูเป็นชุด” ไอ้คิ้วพยักหน้าเข้าใจ มันคงเห็นใจผมไม่น้อยเพราะยังไม่ทันบอกเหตุผลอะไรเลยก็โดนว่า

“มึงไหวแน่นะ”

“เออ..” จริงๆไม่อยากไหวหรอกครับ แต่ก็ไม่รู้จะต้องทำยังไง ในใจที่เดือดอยู่พาลไปถึงไอ้เพื่อนตัวดีอย่างตงฉินที่แม่งเสนอชื่อผมให้เข้ามารับการคัดเลือก สุดท้ายมันก็ถอนตัว แต่คนที่ไม่อยากจะเป็นเชียร์ลีดเดอร์แบบผมต้องมาซ้อม จะไปทำงานก็ไม่ได้

“น้องหนึ่งคะ ท่าแค่นี้ยังไม่ได้อีกเหรอคะ” ผมอึดอัด เหมือนโดนจับตามองจากรุ่นพี่มากกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว พี่เปรี้ยวประธานหลีดก็คนหนึ่งล่ะที่บ่นไม่หยุด นี่ยังต้องมาเจอแรงกดดันจากคนอื่นในทีมอีก

“กินแรงเพื่อนนะคะ ตั้งใจหน่อย ท่าง่ายๆแค่นี้ยังทำไม่ได้ แบบนี้จะทำอะไรกิน” ผมสะดุดกึก...รู้สึกว่าคำพูดมันแรงเกินไป แค่ซ้อมยกแขนวาดวงไปมาในอากาศมันเกี่ยวอะไรกับการทำมาหากินวะ ผมมาเรียนบริหาร ไม่ได้มาเรียนเต้น

“น้องหนึ่ง ยืดอีก แม่งแรงน้อยกว่าผู้หญิงอีก” เสียงรุ่นพี่ผู้ชายอีกคนกดดัน ร่างสูงเข้ามาประชิดด้วยใบหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ผมจ้องตากลับอย่างไม่ลดละ ถือว่าเป็นรุ่นพี่จะด่าจะว่าอะไรก็ได้เหรอ นี่มันยุคไหนกันแล้ววะเนี่ย

“ทำไม่ไหวก็ลาออกไปเลย” นี่มันพี่เชียร์หรือพี่ว้ากกันแน่วะ ด่าไม่พอ กดดันหนักอีกต่างหาก อากาศก็ร้อนเหงื่อไหลเยิ้ม เพื่อนร่วมรุ่นที่ซ้อมอยู่ต่างยกแขนไว้นิ่งเพราะถูกสั่งให้ค้างไว้ให้ชิน ก่อนที่รุ่นพี่คนอื่นๆจะกรูเข้าล้อมตัวผมจนอึดอัด

“แค่นี้ก็ทำเพื่อคณะไม่ได้ สปิริตน่ะคุณมีมั้ย”

“ขาดซ้อมมากี่วันแล้ว มาซ้อมแค่นี้ก็ยังถ่วงคนอื่น คุณไม่คิดเหรอว่ากินแรงคนอื่นเค้า”

“ทุกคนเหนื่อย แต่เขาก็ตั้งใจซ้อม ถ้าคุณไม่เห็นใจเพื่อน คุณไม่ไหว ลาออกไปเลย” ผมเข้าใจนะว่าเป็นการแสดง เขาคอยกดดันเพื่อให้ตั้งใจซ้อมมากกว่านี้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตจนต้องมารุมว้ากกันฉอดๆ เกิดมาพ่อกับแม่ยังไม่เคยด่ากันขนาดนี้เลยสักครั้ง พวกเขาแก่กว่าผมแค่ 1-2 ปี มีอภิสิทธิ์อะไรถึงมาด่าอย่างเอาเป็นเอาตาย

“เออ ได้ งั้นผมลาออก” ผมพูดเสียงเข้ม ใบหน้าไม่ได้สลด มีแต่ความโกรธเต็มไปหมด ถ้าตักเตือนกันด้วยดี ผมคงรู้สึกแย่และพยายามฮึด แต่การตะโกนใส่ ตะคอกด่าแบบนี้มันเกินเหตุไปมาก สิ้นเสียงพูด รุ่นพี่ต่างนิ่ง ผมแหวกกลุ่มที่ล้อมตัวออกมาเพื่อรับอากาศให้หายอึดอัด เดินไปหยิบข้าวของ

“คุณจะไปไหน” รุ่นพี่ถามเสียงดังลั่น “ใครอนุญาตให้คุณไป” ผมหันไปมองกลุ่มคนที่ยืนทำหน้าเหี้ยมกอดอก เพื่อนๆร่วมชั้นปียืนรวมกันอีกมุมหนึ่งราวกับประเมินว่ามันจะมีเรื่องไม่ดีอะไรอีกหรือเปล่า ไอ้คิ้วที่นิ่งเงียบเดินมาทางที่ผมยืนอยู่

“ใจเย็นๆนะมึง พี่เค้าแค่อยากให้เราตั้งใจซ้อม” ผมเข้าใจเจตนาและท่าทางที่พยายามปลอบ แต่ไม่ชอบวิธีการและคำพูด

“เออ กูใจเย็นละ” ผมตอบเพื่อน ก่อนหันไปมองรุ่นพี่ที่ยืนนิ่งตีหน้ายักษ์ไม่ไกล ถามมาได้...เมื่อกี้เพิ่งไล่กูให้ลาออกเอง

“งั้นมึงก็วางของแล้วกลับมาซ้อม...” ไอ้คิ้วยื่นมือมาจับข้าวของ แต่ผมขืนไว้ไม่ให้มันเอาไปวางไว้ได้

“ไม่ว่ะ” ผมยกมือห้าม ไอ้คิ้วเงียบ “กูว่ากูไม่เหมาะกับอะไรแบบนี้”

“ไอ้คนเห็นแก่ตัว ไม่แคร์เพื่อนๆที่ทุ่มเทซ้อมเลยเหรอ” เสียงรุ่นพี่ยังดังต่อเนื่อง ช่างไม่รู้กาละเทศะเอาจริงๆ

“คนแบบนี้จบไปจะมีเพื่อนมั้ย งานง่ายๆยังไม่มีความเสียสละเลย”

“ใช่ จบไปจะทำงานได้เหรอ โดนด่าแค่นี้ยังไม่เท่าตอนทำงานจริงๆซะหน่อย ทำเป็นทนไม่ได้” เสียงนกเสียงกายังกดดันไม่เลิก ผมที่นับหนึ่งใกล้ถึงร้อยก็เลิกนับ ก่อนเดินย่ำเท้าเสียงดังไปทางคนที่ส่งเสียง

“ขอโทษนะครับคุณรุ่นพี่ พวกคุณเคยทำงานเหรอครับถึงได้รู้ดีจัง” หน้าตาผมโหดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถึงแม้จะตัวเล็กแต่ก็พร้อมบวกเสมอนะครับ นิสัยกระแนะกระแหนและการพูดจาแย่ๆคือสิ่งที่ผมไม่ชอบและไม่เคยคิดจะพูดหรือทำกับใคร แน่นอนว่าไม่ต้องการให้ใครมาทำแบบนี้เช่นกัน

“พวกคุณเกิดมาก่อนผมแค่ไม่กี่วัน มีศักดิ์แค่รุ่นพี่ แต่ทำเหมือนตัวเองเก่งคับโลกเลยนะครับ”

“ไอ้หนึ่ง พอ..” ไอ้คิ้วพยายามห้าม มันดึงตัวผมให้ออกห่างเพราะรุ่นพี่ที่ไม่พอใจก็ก้าวขาออกมาเหมือนกัน

“นิสัยแบบคุณ ใครจะรับเข้าทำงาน เป็นผมก็ไม่รับ” ไอ้รุ่นพี่มันยังไม่หยุด

“คุณไปทำงานกันก่อนเถอะค่อยมาดูถูกผม พูดจาหมาไม่แดกแบบนี้ผมขอลาล่ะครับ” ผมไม่พูดต่อ ขี้เกียจอธิบายเหตุผล ในเมื่อพวกเขามีธงในใจแล้วว่าจะทำยังไงกับผมหรือรุ่นน้องคนอื่นๆ...ในแบบที่ผมไม่โอเค...ทำไมจะต้องอดทน

             เสียงเอะอะดังไล่หลัง ผมไม่ได้สนใจจะรับฟัง มันหงุดหงิดงุ่นง่านไปหมด ได้แต่เดินจ้ำอ้าวโดยไม่มองทาง แค่อยากไปให้ไกลจากตรงนี้ ไม่สนใจหรอกว่าพรุ่งนี้พวกรุ่นพี่หรือเพื่อนร่วมคลาสจะมองด้วยสายตาแบบไหน ทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง เมื่อเหตุผลที่ผมมีมันไม่เป็นที่ต้องการของคนอื่น ทำไมจะต้องสละเวลาตัวเองให้ด้วย

ปี๊นนนนนนนนนนนนนนน!!

เอี๊ยดดดดด...

             ผมสะดุ้งเฮือก แต่สองขากลับก้าวไม่ออก แสงไฟหน้ารถยนต์หรูสาดส่องไปทั่ว ผู้คนที่เดินริมทางหันมามองอย่างตระหนก ไอขาวพุ่งจากตัวรถ กลิ่นยางรถคล้ายถูกเผาเหม็นแตะจมูก ผมตาค้างเพราะสองขาห่างกับกระโปรงรถแค่คืบ คงเป็นเพราะโมโหมากจนเดินใจลอยไม่สนใจทาง เลยเดินข้ามฝั่งทั้งที่ไม่มองซ้ายขวาก่อนว่ามีรถมาหรือเปล่า

“แม่งเอ๊ย เดินยังไงวะไม่ดูทางเลย” คนขับเปิดประตูเดินออกมา เสียงปิดดังปังบอกได้ว่าโมโหสุดขีดเช่นกัน

“ขะ ขอโทษครับ ผมใจลอยเอง” ร่างสูงเดินมาก่อนจะปรับสายตาได้ก็เห็นว่าเป็นใคร “พี่เคมี”

“เอ่อ นะ น้องหนึ่ง” ใบหน้าของเขาตกใจไม่ต่างกัน ช่วงนี้มีแต่เรื่องบังเอิญให้ได้เจอ ล่าสุดก็เมื่อคืนที่ร้านเหล้า

“ผมขอโทษนะครับ ผมไม่ทันระวัง” งานนี้เราผิด ผมสะกดความหงุดหงิดที่ยังหลงเหลือและกล่าวขอโทษ

“ไม่เป็นไรใช่มั้ย” ผมส่ายหน้าตอบ “ระวังหน่อยสิ ถ้าพี่เบรกไม่ทันเราไปเจอยมบาลแล้วนะ”

“ขอโทษจริงๆครับพี่” เห็นรอยล้อรถเป็นทางก็พอจะรู้ ท่าทางจะขับมาเร็วไม่น้อยเช่นกัน

“จะไปไหนเหรอ พี่ไปส่งมั้ย”

“เอ่อ มะไม่เป็นไรครับ ผมว่าจะไป...” แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าไม่รู้จะไปไหน มองคนตัวสูงกว่าที่สวมเสื้อช็อปสีเข้มพอเดาได้ว่าน่าจะไปรับน้องที่คณะ

ปี๊นๆ... เสียงรถคันหลังดังขึ้นเพื่อบอกให้ช่วยหลีกทาง รถติดไปค่อนข้างไกลเพราะพี่เคมีจอดขวางถนนไว้

“ขึ้นมาก่อน ไปไหนค่อยว่ากัน ชาวบ้านบีบแตรด่าละ” เสียงนั้นสั่ง ผมเดินไปที่รถอย่างไม่เข้าใจตัวเอง ก่อนยัดตัวลงไปนั่งในความสบายที่เย็นฉ่ำ เสียงเครื่องยนต์ดังก้อง ก่อนทะยานออกไป

             เราไม่คุยกันเสยสักคำ ปกติจากคณะผมไปคณะวิศวะก็เกือบ 10 นาทีเนื่องจากเป็นช่วงเย็นที่การจราจรในรั้วมหา’ลัยคับคั่ง รถค่อนข้างติดหนึบเนื่องจากถนนหลักที่ติดกับประตูทางออกมีรถติดหนาแน่น ช่วงเลิกงานของพนักงานออฟฟิศส่งผลกระทบต่อการเดินทางในมอไม่น้อย ... เสียงเพลงดังคลอกล่อมเบาๆชวนผ่อนคลาย ความเหนื่อยล้าที่สะสมตั้งแต่ไปกินเหล้าเมื่อคืน ต้องตื่นมาเรียนซ่อมตั้งแต่เช้าถึงเย็น แถมยังไปซ้อมหลีดอีกทำให้ผมง่วง เปลือกตาปิดสนิทตั้งแต่ตอนไหนยังไม่รู้

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
เอิ่ม.....พี่เคมีจะเคลียร์กะน้องหนึ่งยังงัยดีคะ

แล้วคนที่มาดูแลเคมีถึงบ้านคือพี่เจดใช่ป่าว  :hao4:

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 26. ความหึงหวงของเจด (มีประกาศสำหรับตอนที่ 27 ท้ายบทนะครับ)

             รู้สึกตัวอีกทีเมื่อรถจอดสนิทในลานจอดรถของตึกไหนสักแห่งในมหา’ลัย มันค่อนข้างมืดเพราะนโยบายประหยัดไฟของคณะล่ะมั้ง ไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของคนใช้รถเลย...ผมบ่นในใจที่เห็นลานโล่งบนตึกมีแค่แสงส่องสลัวเท่านั้น เมื่อขยับตัวในท่านั่งปกติก็นึกขึ้นได้ว่าอยู่กับใคร

“ตื่นแล้วเหรอ พอดีเห็นว่านอนสบายเลยไม่อยากปลุก” เสียงนุ่มบอก ผมเพิ่งสังเกตว่าใบหน้าหล่อนั้นดูซีดเซียว

“เราอยู่ที่ไหนครับพี่” ผมมองใบหน้าหล่อที่นั่งหลังพวงมาลัยอย่างเคอะเขิน ทั้งเรื่องเมื่อคืนกับเรื่องเดินข้ามถนนไม่ดูทางอีก

“ลานจอดรถคณะพี่เอง พี่ต้องเข้าห้องเชียร์เลยต้องพาเรามาที่นี่ก่อน” พอเห็นผมตื่นรุ่นพี่ต่างคณะก็กดปุ่มดับเครื่องยนต์

“ไม่เป็นไรพี่ แค่นี้ก็รบกวนมากแล้วครับ ไหนจะก่อเรื่องเมื่อกี้อีก” ผมพูดอย่างสำนึกผิด

“ข้างห้องประชุมเชียร์มีที่นอน ไปพักก่อนก็ได้นะ” เขายื่นข้อเสนอ

“ไม่รบกวนดีกว่า เดี๋ยวผมกลับละ” ขยี้ตาให้หายง่วงก่อนจะเปิดประตูรถออกไป เสียงฝนกระหน่ำหนักจนไอน้ำสาดกระทบเย็นเฉียบทำให้ต้องผงะ ถ้ากลับตอนนี้เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแน่ๆ

“ฝนตกน่ะ แถมพี่ไม่มีร่มด้วย กลับตอนนี้เราเปียกทั้งตัวแน่” น้ำเสียงบอกว่าเป็นห่วง ยิ่งทำให้ผมเกรงใจมากกว่าเดิมเท่าตัว

“เดี๋ยวรอฝนซาแล้วค่อยกลับก็ได้” ผมต่อรอง ดูท่าทางแล้วจะตกทั้งคืนเป็นอย่างน้อย

“แล้วแต่ละกัน พี่ไปก่อนนะ อ๊ะ...” ร่างสูงทรุดฮวบกองกับพื้น ผมรีบวิ่งไปฝั่งตรงกันข้ามก่อนจะถือวิสาสะพยุงคนตัวสูงขึ้นมา

“พี่ไม่สบายเหรอ” แค่แตะที่แขนก็รับรู้ถึงไอร้อนพุ่งจากตัว หน้าซีดเซียวเด่นชัด ผมเผลอหลับจนไม่สังเกตว่าพี่เคมีป่วย

“นิดหน่อย กินยาไปแล้วเมื่อกี้เดี๋ยวก็ดีขึ้น” อดีตเดือนมหา’ลัยพิงหลังกับประตูรถหรู ท่าทางอิดโรยสวนทางกับคำพูดเป็นอย่างมาก ผมไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองหรอกนะ แต่การป่วยครั้งนี้ต้นเหตุอาจจะมาจากเรื่องเมื่อคืนก็ได้...

“พี่ป่วยแบบนี้ เพราะ...เอ่อ...” ยังไม่ทันพูดอะไรคนตรงหน้าก็หน้าแดงก่ำ ท่าทางจะจี้ถูกจุด คนที่เคยมาดแมนจีบขวัญใจเพื่อนในกลุ่มผมครั้งก่อนดูบอบบางเหมือนเป็นคนละคน ไม่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผู้ชายเพียบพร้อมเช่นนี้เปลี่ยนใจมานิยมเพศเดียวกันไปเสียได้

“พี่ไปก่อนนะ” ท่าทางหลบเลี่ยงคงเพราะไม่อยากตอบคำถาม พอเห็นแบบนั้นก็เลยตัดสินใจได้ว่า

“งั้นผมไปด้วย” ประคองร่างสูงที่เดินแปลกๆ ท่าทางจะหนักพอดู เพราะถึงขั้นป่วย รู้สึกผิดซ้ำซ้อนอีกละ

“ไหนบอกจะกลับแล้ว พี่โอเคไม่ต้องห่วงหรอก”

“ใครบอกว่าผมห่วง” ปากแข็ง พอไม่มีท่าทีจะโยนความผิดมาให้ ไอ้เรากลับรู้สึกแย่เสียเอง ไอ้ท่าทางยั่วยุเมื่อคืนน่ะเหมือนแกล้งทำมากกว่า แต่ดันมาเจอคนจริงแบบไอ้เอกราชเลยจัดหนักอย่างไม่ยั้ง ความกระชับจากการสัมผัสบอกให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้ผ่านเรื่องแบบนี้มาไม่เท่าไหร่ ยิ่งทำให้รู้สึกผิดเพิ่มขึ้นไปอีกที่ไม่ได้ถนอมพี่เคมีสักนิด

“พี่โอเคน่า”

“เมื่อกี้พี่ยังชวนผมอยู่เลย ทำไมไล่ซะล่ะ” ผมถามกวนๆ คนตัวสูงมองอย่างเอือมระอาแต่ก็ยอมให้ไอ้เตี้ยคอยประคองตัวให้เดินไปอย่างช้าๆ เสียงฝนกระทบตึกดังไปทั่ว ไออุ่นของเราแนบชิดจากแรงเบียด จากแค่พยุงก็กลายเป็นว่าผมโอบเอวหนาไว้แน่น แขนยาวของอีกฝ่ายก็พาดไหล่ผมเช่นกัน ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ใบหน้าคนป่วยดูมีเลือดฝาด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการไข้เริ่มดีขึ้น หรือกำลังเขินกับการกระทำของพวกเราจากเมื่อคืนและตอนนี้กันแน่

             เสียงรุ่นพี่คณะวิศวะที่เตรียมตัวเข้าห้องเชียร์ดังมาแต่ไกล เราจึงผละออกจากกันอย่างอัตโนมัติ แต่ผมก็คอยจับตัวพี่เคมีไม่ให้ล้มอยู่ห่างๆ พอเข้าใกล้ฝูงชน สายตาแปลกใจของทุกคนต่างเพ่งมาที่เราอย่างไม่ปกปิด ผมพยายามไม่สนใจ แต่ก็รู้สึกอึดอัดที่ตกเป็นเป้าสายตาแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ พี่เคมีบอกให้เข้าไปนอนรอในห้องเรียนติดกันก่อนจะเดินไปทางกลุ่มพี่ว้ากที่ทำหน้าตาขึงขังอีกมุมหนึ่งของอาคารเรียน

“มากับใคร...” เสียงสนทนาดังมาจากด้านนอก น่าจะเป็นใครสักคนกำลังซักไซ้เรื่องที่เห็นผมเดินมากับแก

“ใช่คนที่พี่เจดควงมาครั้งก่อนปะวะ” ผมพยายามไม่สนใจ แต่ก็อดไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องของตัวเองโดยตรง แต่จะให้ออกไปตอบคำถาม ก็ไม่รู้ว่าจะต้องตอบอย่างไร ตอบไปเพื่ออะไร เรื่องที่เจอจากคณะเมื่อกี้นี้ก็ชวนปวดหัวมากแล้ว พรุ่งนี้จะต้องเจอสายตาแบบไหนจากเพื่อนร่วมคณะ รวมไปถึงพวกรุ่นพี่อีก แล้วดันมาติดแหง็กเพราะฝนห่ายักษ์ที่คณะวิศวะเสียด้วย ให้มันได้อย่างนี้สิน่า ... ดวงดีจริงๆไอ้หนึ่งเอ๋ย

             ผมเผลอหลับไปอีกครั้งไม่รู้ว่านานแค่ไหน ก่อนจะสะดุ้งเพราะเสียงฝีเท้าหนักๆเดินมาประชิด ลืมตางัวเงียก็พบร่างที่คุ้นเคยยืนตรงหน้า ใบหน้าและแววตานั้นดูผิดแผกไปจากเดิมราวกับไม่ใช่คนคุ้นเคยมาก่อน ร่างสูงนั่งอย่างไร้คำพูด เราสบตากันอย่างเงียบเชียบกระทั่งเสียงกระแอมไอของเขาดังขึ้น ข้างนอกมืดสนิท ในห้องนี้ก็เปิดไฟแค่ทางเข้า มันเลยสลัวจนหม่น

“เรามา ... เอ่อ หนึ่งมาที่นี่ได้ไงครับ” น้ำเสียงนั้นเหมือนเจือด้วยความสงสัย กังวลและไม่พอใจอย่างแจ่มแจ้ง

“พอดีเจอพี่เคมีระหว่างทางเลยติดรถมาน่ะครับ” ผมตอบตามตรง ไม่หลบสายตาที่มองเหมือนพิจารณาหัวจรดเท้า

“แล้ว...” ใบหน้าเคร่งขรึมพูด ท่าทางบอกชัดเจนว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“พี่เจดมีอะไรก็พูดตรงๆก็ได้นะครับ” เมื่อท่าทีชวนอึดอัดส่งผ่านมา ผมก็ไม่อยากให้มันอ้อมค้อมอีก

“พี่ไม่รู้นะว่าหนึ่งกับเค็มรู้จักกันในฐานะอะไร แต่พี่ไม่สบายใจที่เห็นเราสองคนสนิทกันแบบนั้น”

“แบบนั้นที่พี่ว่าน่ะแบบไหนเหรอครับพี่เจด” ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ อยากรู้เหมือนกันว่าท่าทางหึงหวงของคนตรงหน้าเนี่ย มีให้ใคร

“ก็แบบ ... ช่างเถอะ”

“พี่หึง” ผมจี้จุด ในเมื่อเขาไม่ยอมพูดจาแบบตรงไปตรงมา ผมก็ต้องจัดการให้มันกระชับ

“...” ท่าทางอึกอักที่แสดงออกก็บอกความจริงหมดแล้ว ผมจับจ้องร่างของรุ่นพี่ปี 3 ที่เคยเป็นแฟนกันสมัยชั้นมัธยมปลายขยับยุกยิกไปมาไม่เหลือมาดเคร่งขรึมอีกต่อไป

“ผมไม่เข้าใจ พี่ควงผมออกงานเหมือนบอกทุกคนว่าผมกับพี่เป็นอะไรกัน แล้วพี่ก็เงียบไม่ค่อยติดต่อมา หายไปเหมือนกับว่าระหว่างเราไม่มีอะไรทั้งนั้น แล้วตอนนี้พี่ก็มานั่งสอบสวนผมเหมือนคนร้ายว่าเป็นอะไรกับรุ่นน้องที่คณะของพี่งั้นเหรอ”

“...” แววตาคมกริบนิ่งเรียบ แต่นัยน์ตากลับฉายแววหวั่นไหว

“พี่หึงผม งั้นเหรอ” ที่ถามเพราะรู้ว่าไม่ใช่ ถามเพื่อให้พี่เจดที่นิ่งเงียบตอบความจริงออกมาให้ชัด ไอ้ความใกล้ชิดแบบลักปิดลักเปิดแบบที่ผ่านมามันทำให้รู้สึกย่ำแย่ และผมก็ไม่ต้องการแบบนี้

“หนึ่ง คือ...”

“ผมไม่ใช่เด็กอายุ 16 คนเดิมนะพี่ ผมโตพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว” พูดพลางบิดขี้เกียจ ขยี้ตาเพื่อให้ตื่นเต็มที่

“พี่รู้ แต่ว่าพี่ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มยังไง” ท่าทางหงอยๆของพี่เจดทำให้ผมลดความโมโหลง

“เริ่มจาก พี่รู้สึกยังไงกับผม พี่จะทำตัวกั๊กๆแบบนี้มันไม่แฟร์เลยนะพี่”

“พี่ขอโทษ พี่แค่กลัวจะทำให้เราเสียใจ”

“ผมไม่เสียใจหรอกถ้าพี่ไม่รักผม แต่จะเสียใจมากกว่าถ้าพี่ยังไม่เลิกหลอกใช้กันแบบนี้” น้ำเสียงผมบ่งบอกว่าไม่แคร์

“หนึ่ง” พี่เจดหน้าสลด กลืนน้ำลายอึกใหญ่ “พี่ขอโทษ”

“พี่รักพี่เคมีใช่ไหม” ผมคาดคั้น ส่งสายตาเคร่งเครียดไปให้ อดีตแฟนสบตานิ่ง ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปปั้นนั้นแสดงออกว่าไม่สบายใจอย่างเด่นชัด แต่สายตาที่ผมจับจ้องเพื่อกดดันยังไม่ลดละ พี่เจดเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่ชัดเจน และชอบหนี

“อื้ม” ตอบและพยักหน้า ผมล่ะโล่งอก

“รักเขาก็จีบดิ จะมาซักไซ้และตามหึงหวงกับผมจะได้อะไร” นอกจากจะไม่โกรธแล้วผมยังใจดีแนะนำอีกด้วย พ่อพระสุดๆเลยไอ้หนึ่งเอ๋ย ...

“มันไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิ” พี่เจดท่าทางผ่อนคลายลงหลังจากสารภาพความในใจ

“ความรัก ถ้าพี่คิดว่ามันง่าย มันก็ง่าย แต่ถ้าพี่ถอดใจก่อนจะเริ่ม มันก็จะยากแบบนี้แหละ” พี่เจดกุมขมับทันทีที่ผมพูดจบ หน้าตากังวลชวนให้สงสาร ผมไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรระหว่างทั้งสองคนนี้ แต่จะให้พูดโพล่งไปว่าลุยจีบเลย พี่เคมีชอบผู้ชายแล้ว ผมมั่นใจ เพราะเมื่อคืนเพิ่งได้กันมา...เอ่อ มันก็ไม่เกิดผลดีเป็นแน่ ใช่ไหมล่ะ

“...”

“ถ้าพี่ไม่จีบ งั้นผมจีบนะ”

“ไม่ได้” น้ำเสียงเข้ม ดังฟังชัด แจ่มแจ้งผิดกับท่าทางเมื่อครู่ลิบลับ

“ก็พี่มัวแต่ทำลีลา พี่เคมีน่ะทั้งหล่อ ทั้งรวย คุณสมบัติครบขนาดนี้ ถ้าเค้าสนใจผมขึ้นมา พี่ก็ห้ามไม่ได้หรอกนะ”

“หนึ่ง” แววตานั้นสลดมากกว่าจะโกรธ ท่าทางมีเรื่องกลุ้มใจ

“เล่ามา ผมฟังอยู่” เห็นทำท่าอ้าปากจะพูดแล้วหุบไปเฉยๆหลายครั้งทำให้ต้องเค้นคอคนตรงหน้า

“เล่าอะไร”

“อะไรก็ได้” ผมตอบ ยกแขนมาบิดขี้เกียจอีกที “ถ้ากว้างไป ก็เล่าเรื่องพี่กับพี่เคมีมาว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่ถึงไม่กล้าจีบ”

“มะ ไม่มีอะไร..”

“ถ้าพี่ไม่เล่า ผมไม่รับประกันนะว่าจะเลิกยุ่งกับพี่เค้า ดูอย่างวันนี้สิ ยังได้ติดรถมาแถมยังต้องแกร่วรอที่นี่อีก” ผมใช้แผนยั่วยุ เอาให้คิดมากจนอกแตกตายไปเลยจะดีกว่า ถ้าถามแล้ว ผมว่าพี่เคมีคงจะมีใจให้พี่เจดไม่มากก็น้อย แค่เพราะนิสัยชอบหนีปัญหาของบุรุษหนุ่มหล่อที่นั่งตรงหน้านี่แหละ ทำให้เรื่องที่ควรง่ายมันผูกปมยุ่งเหยิงไปอีก

“ถ้าพี่เล่า หนึ่งจะ..”

“ผมไม่บอกใครหรอกพี่ เผลอๆผมอาจจะช่วยพี่ได้อีกนะ” ออกตัวไปงั้นแหละ เอาจริงๆพี่เคมีก็หล่อ ดี(เรื่องอย่างว่า) ได้ควงออกงานคงดีไม่น้อย ไอ้เอกราชคนนี้คงดังคับมอเป็นแน่ที่ได้ควงเบ้าหน้าแบบนี้ ถึงแม้จะมีอะไรกันแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องรู้สึกหลงรักผู้ชายทุกคนที่เข้ามานะครับ ความใคร่กับความรัก มันคนละประเด็นกัน บางคนผ่านมาก็เพื่อช่วยผ่อนคลายความต้องการ แต่ไม่ต้องสานต่อความสัมพันธ์ใดๆทั้งนั้น สำหรับพี่เคมีก็เช่นกัน ถึงแม้ผมจะชอบหน้าตา ชอบรสสัมผัสยามเนื้อแนบกันมาก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกมากเกินกว่าคนหล่อคนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกดีชั่วครั้งชั่วคราว

“คือ...” ผมนั่งฟังพี่เจดเล่าความในใจอย่างตั้งใจ รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ได้รู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรกับเราตั้งแต่แรก การเผลอไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับน้องรหัส เอ๊ะ หรือแค่รุ่นน้องที่สนิทวะ... เอาเถอะ เอาเป็นว่าเพราะเรื่องนี้ พี่เจดเลยรู้ใจตัวเองว่ารักรุ่นน้องคนนี้มานานแล้ว แต่ไม่กล้าทำอะไรเพราะเห็นว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ก็แหงล่ะ แค่มองไม่มีทางรู้หรอกว่าพี่เคมีจะเป็นเมียใครได้ เพราะเรื่องวิวาทในครั้งนั้นทำให้ทั้งคู่มีอะไรกัน แต่ปัญหาหลักคือ พี่ฟิสิกส์ ที่ยื่นคำขาดให้พี่เจดเลิกยุ่งกับพี่เคมี

“ไร้สาระ” ผมสรุปสั้นๆหลังจากฟังทุกอย่างจบแล้ว ตัดความหงุดหงิดเรื่องที่โดนหลอกไปเป็นคู่ควงในงานบายเนียร์ออกไปแล้วด้วยนะ

“ระ ไร้สาระยังไง” แกดูลนลานเหมือนหนูติดจั่น ผมมองแบบหยั่งเชิงและชั่งใจว่าควรจะพูดต่อดีไหม

“พี่เจด” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่มาก มองหน้าคนหล่อ เรียนเก่งแต่กลับโง่เรื่องหัวใจอย่างเอือมระอา

“หืม”

“พี่รักพี่เคมีมั้ย”

“ก็รักสิ” ตอบมาทันทีแทบไม่ได้คิด

“พี่รักพี่ฟิสิกส์มั้ย”

“รัก แบบไหนวะ” น้ำเสียงดูงุนงง ครุ่นคิดมากกว่าคำถามก่อนหน้า

“แบบที่รักพี่เคมีน่ะ” ผมสังเกตใบหน้าจริงจังนั้นอย่างถี่ถ้วน หล่อสมบูรณ์แบบจริงๆ หล่อกว่าตงฉินเสียอีก

“ไม่” ตอบชัดเจนมากนะครับ

“เออนั่นสิ พี่รักพี่เคมี แต่กลับหนีหัวใจตัวเองเพราะพี่เค้าห้าม”

“ก็พี่นับถือ..”

“ไร้สาระ” ผมพูดคำเดิม ตอกย้ำ มองอีกฝ่ายที่ทำหน้างุนงง ก่อนที่จะถือโอกาสพูดต่อ

“เรื่องนี้เป็นเรื่องของพี่กับพี่เคมี พี่ฟิสิกส์เป็นพี่ชาย ไม่ใช่เจ้าของชีวิตใคร ถ้าพี่เคมีเขาชอบพี่รักพี่ พี่คิดเหรอว่าพี่ชายเขาจะห้ามได้”

“พี่เจดที่ผมรู้จักน่ะ เป็นคนที่เคยกล้าหาญมากกว่านี้นะ” อันนี้พูดเองแล้วก็ไม่มั่นใจเองด้วยนะผมน่ะ

“ถ้าพี่เอาแต่หนี พี่ก็ไม่มีสิทธิ์จะตามหึงผมหรือใครก็ตามที่มาป้วนเปี้ยนใกล้ตัวพี่เคมีนะครับ เพราะถือว่าพี่เลือกที่จะเฉยเอง ปล่อยโอกาสหลุดลอยไปเอง ไม่ใช่เพราะมีคนอื่นมาจีบปาดหน้าหรอก”

“แต่พี่...”

“ลืมคนชื่อฟิสิกส์แล้วเข้าไปคุยกับพี่เคมีซะ ถ้าพี่ไม่ทำ ผมจีบพี่เค้าจริงๆนะ” จากที่จะขู่ ตอนนี้คิดจะทำจริงละเพราะรำคาญ

“ไม่ได้”

“ไม่ได้ แต่ก็ไม่ทำอะไรเลยเนี่ยนะ ... ไร้สาระ” ผมพ่นลมหายใจแรงๆอย่างขัดใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องด้วยความหงุดหงิด เกลียดความไม่ชัดเจนแบบนี้เป็นที่สุด มันมีเยอะจนทำให้พาลนึกถึงคนที่ไม่อยากจะนึกถึง ใบหน้าของตงฉินลอยมาจนงุ่นง่าน แนะนำคนอื่นเสียดิบดี แต่เรื่องตัวเองยังคาราคาซังไม่เลิก ใจลอยได้ไม่นานก็มีคนทักมา

“อ้าวหนึ่ง ตื่นแล้วเหรอ”

“ครับพี่” เสียงพี่เคมีที่เพิ่งเดินเหงื่อท่วมออกจากห้องเชียร์ทักมาแต่ไกล ผมหยุดเดินก่อนหันไปยิ้มให้ ลอบมองแฟนเก่าที่นั่งจมจ่ออยู่ที่เดิมในห้องพักสต๊าฟด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“กลับเลยมั้ย เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“ผมกลับเองได้พี่ ฝนซาละ” อยากเปิดโอกาสให้พี่เจดได้คุยเปิดใจกับแกมากกว่า แต่คนนี้ท่าทางจะไม่รู้เรื่อง

“ไปเถอะ พี่ไปส่งได้ ทางผ่านพอดี”

“แต่พี่ไม่สบายนะครับ ผมว่าให้ผมขับรถไปส่งพี่ที่บ้านดีมั้ย” อันนี้แค่อยากกระตุ้นพี่เจดเฉยๆ ไม่ได้คิดจะขับไปส่งเองหรอกครับ ค่ารถกลับคอนโดคงหลายร้อย

“พี่ไหวน่า กินยาแล้ว สบายๆ” มนุษย์หนุ่มหล่อตัวสูงใบหน้าซีดๆฝืนยิ้มตอบ ผมได้แต่ส่ายหน้า

“บ้านพี่อยู่แถวไหนครับ”

“ราชพฤกษ์”

“โห ไกลมากนะพี่ ไม่ค่อยสบายแถมขับรถไกลอีก ให้ผมไปส่งมั้ย” เมื่อคนในห้องนั่งไม่ติด ต้องแกล้งซ้ำ

“มะ...”

“ไม่ต้องหรอก หนึ่งขับรถพี่ไปจอดที่คอนโดเรานะพี่ฝากไว้ก่อน” เสียงเข้มๆของผู้ชายหน้าจ๋อยเมื่อครู่แทรกขึ้น ผมไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำว่าพี่เจดเดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ คว้ากุญแจรถยนต์ที่โยนมาอย่างเงอะงะ ผู้ชายเบ้าหน้าหล่อเทพส่วนสูงโดดเด่นสองคนยืนประจัญหน้ากันชวนอิจฉา ทำไมพระเจ้าถึงไม่แบ่งอะไรดีๆมาให้ผมบ้างนะ คิดแล้วก็น้อยใจนะเว้ย!

“พี่จะทำอะไรน่ะ” เสียงพี่เคมีลนลานถามเมื่อโดนมือใหญ่ของรุ่นพี่ล้วงฉกกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์แนบเนื้อ

“ปะกลับ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“เห้ยพี่ ไม่ต้องผมกลับเองได้” พี่เคมีโวยวายและขัดขืน ขนาดตัวพอกันเลยทำให้ขลุกขลักไปหมด คนหนึ่งจะลาก คนหนึ่งจะหนี

“อย่าขัด ไม่งั้นพี่จะอุ้มเรานะ” อุ้มเลย อุ้มเลย อยากเห็นยักษ์อุ้มยักษ์

“ไม่ต้อง ผมเดินเองได้” พี่เคมีหน้าแดง ผมอมยิ้มก่อนจะยักคิ้วส่งให้พี่เจดที่กำลังร่าเริงอย่างผิดหูผิดตา มือใหญ่คว้าข้อแขนคนที่ยืนโงนเงนก่อนถูกสะบัด

“บอกว่าอย่าขัดไง หรือจะให้พี่ตะโกนบอกทุกคนว่าเค็มเป็นเมียพี่ แถมตอนนี้กำลังป่วย ผัวเลยต้องดูแล”

“ใครเมียพี่” ถึงน้ำเสียงจะเข้มเชิงด่าแต่พี่เคมีหูแดงไปหมด พี่เจดขยับปากเป็นคำว่าขอบคุณมาทางนี้ ผมยิ้มร่าก่อนจะจ้ำอ้าวออกจากที่นี่ เหม็นเบื่อความรัก ... เอาตรงๆคืออิจฉา เห็นผู้ชายสองคนเดินเคียงกันไปอย่างแง่งอนแล้วกรุ้มกริ่มหัวใจเบิกบาน หวังว่าผลบุญที่ทำวันนี้ จะช่วยลบล้างบาปกรรมที่แอบไปซั่มกับเมียพี่เจดได้บ้างไม่มากก็น้อยนะ

#### ####

[เจด ชิติพัทธ์]

             ผมจอดรถคันงามหน้ารั้วบ้านที่ปิดไฟมืดสนิท กว่าจะฝ่าสายฝนจากมหา’ลัยชานเมืองมายังฟากฝั่งราชพฤกษ์ก็ดึกเอาการ คนข้างๆหลับตั้งแต่ขึ้นรถ ผมปรับแอร์ให้อุ่นเพราะกลัวอาการไข้จะย่ำแย่ มองใบหน้าหล่อที่หลับไหลอย่างหวิวใจ ทำไมผมถึงไม่กล้าทำตามหัวใจตัวเองนะ ทำไมจะต้องกลัวกับคำขู่ของพี่รหัสตัวเองที่พูดไว้ด้วย ทั้งที่ความจริงก็เหมือนที่น้องหนึ่งพูดเอาไว้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของผมกับเคมีเท่านั้น ถ้าไม่คุยกันก็เท่ากับว่าผมปล่อยเขาให้หลุดลอยไปเอง ไม่ใช่เพราะคำสั่งพี่ชายคนสนิท ... ตัวไม่ร้อนเท่าตอนกลางวันพอให้เบาใจลงมาหน่อย อยากเช็ดตัวให้อีกครั้งจัง

“พี่ต้องทำยังไงดีวะเค็ม” ผมลูบไรผมตรงหน้าผากอย่างแผ่วเบา ลมหายใจราบเรียบแสดงให้รู้ว่ายังหลับลึก เสียงประตูรั้วเปิดกว้าง ผมเข้าเกียร์และพารถไปจอดอย่างคุ้นเคย ร่างสูงของพี่ฟิสิกส์จับจ้องมาเหมือนมีอะไรจะพูดด้วย ผมไม่ดับเครื่องแค่เปิดประตูและลงมาคุยกับพี่รหัส

“มึงยังวุ่นวายกับน้องกูอีกทำไมวะ” น้ำเสียงดุดัน ผมได้แต่เงียบ เราเคยสนิทกันมาก แต่พี่ฟิสิกส์นั้นไม่รู้เลยว่าผมชอบเพศเดียวกัน ท่าทางที่แกแสดงออกนั้นมันคือเจ็บปวด โมโหและน้อยใจที่ผมไม่เคยบอกอะไรเลย

“ผมขอโทษพี่ แต่ผม...” ถ้าไม่พูด ถ้าหนี ผมก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว ... “ผมรักเค็ม”

“มึงบอกกูทำไม” ร่างสูงพอกันกระชากคอเสื้อผลักผมไปชนกับกำแพงหนาจนเจ็บไปหมด

“ผมขอโทษ ผมห้ามใจตัวเองแล้ว แต่ผมทำไม่ได้” ผมสบสายตานั้นอย่างเว้าวอน หวังว่าจะได้รับความเห็นใจกลับมา

“คนอย่างมึงแม่ง” พี่ฟิสิกส์ปล่อยมือ ใบหน้าแดงเต็มไปด้วยโทสะ “ไม่น่าเป็นน้องกูเลยจริงๆ”

“ผมขอโทษพี่” มันมีแต่คำนี้ที่พูดออกมาได้ อยากให้มีคำพูดมากกว่านี้ออกมาเพื่อขอความเห็นใจ แต่ผมก็ทำไม่ได้ “ผมขี้ขลาด ผมมันเลว ที่ผ่านมาผมหนีความจริง ผมไม่เคยบอกพี่ว่าผมเป็นเกย์เพราะกลัวพี่จะรังเกียจ กลัวพี่จะรับไม่ได้ว่าน้องรหัสที่พี่สนิทด้วยเป็นแบบนี้ ผม...”

“มึงกลับไปก่อนเถอะ กูยังไม่อยากคุยอะไรตอนนี้”





ประกาศจ้า.....สำหรับนิยายเรื่อง เตี้ยนักจะรักปะล่ะ
วันนี้ (16/1/64) ไรต์เพิ่งลงตอนที่ 26 ให้ได้อ่านฟรีไปแล้ว
แต่....สำหรับตอนที่ 27 นั้น
แฟนๆสามารถอ่านตอนต่อไปในระบบสนับสนุนได้ล่วงหน้า 7 วันได้แล้ว
ถึง 4 เว็บด้วยกัน
.
.
#หมายเหตุ :: สำหรับคนที่รอได้ สามารถอ่านตอนที่ 27 แบบฟรีๆในวันเสาร์หน้านะครับ
ได้แก่
.
.

1. Fictionlog :: https://fictionlog.co/c/60028eb6cdc38c001bb8f287
.
2. ธัญวลัย :: http://www.tunwalai.com/chapter/5615219/%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88-27-%e0%b8%a5%e0%b8%b0%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%9e%e0%b8%a4%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1
.
3. readAwrite :: https://www.readawrite.com/c/159f09cdd65ec101d2de64c607c2f3c9
.
4. Kawebook :: https://www.kawebook.com/story/4275/240877/%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2/%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B0--My-Dearest-20-cm/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-27-%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1
.
.
ฝากนิยายฟินๆไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนด้วยนะครับ
.
.
#จากต้นจนอวสาน #นิยายวาย #นิยายวัยทำงาน
#นิยายY #นิยายรัก #SexyGuys
#นิยายน่าอ่าน #นิยายฟรี #นิยายดีๆ
#นิยายดี #นิยายฟินๆ #นิยายฟิน
#เตี้ยนักจะรักปะล่ะ #MyDearest20cm
#นิยายวัยรุ่น #เฟรชชี่ #รักวัยเรียน #รักต่างไซส์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2021 14:01:01 โดย จากต้นจนอวสาน »

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
น้องหนึ่งแมนมากอ่ะ ถ้าพี่เจดใจแมนๆ แบบน้องหนึ่งอาจจะได้เป็นแฟนกับเคมีไปแล้ว  ส่วนน้องหนึ่งกลับไปเคลียร์เรื่องตัวเองให้เรียบร้อยได้แล้วนะ

ออฟไลน์ นางฟ้าน้อย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอน27ฟินมาก รอตอนต่อไปอยู่คนค่ะ

ออฟไลน์ จากต้นจนอวสาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-3
    • จากต้นจนอวสาน
เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.

ตอนที่ 27. ละลายพฤติกรรม

[ตงฉิน]

             นับแต่เดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่มายังไม่มีใครรับรู้การมาถึงของผมแม้แต่น้อย เอาเถอะ...มันไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับลูกชายคนเล็กของบ้านที่ไม่ค่อยมีคนรักอยู่แล้ว นิสัยผ่าเหล่าผ่ากอมันมาเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น ทั้งเรื่องการไปเป็นดารา มีลูกก่อนวัยอันควร หรือแม้กระทั่งการหนีไปอยู่คอนโด ผมทำทั้งหมดเพื่ออะไรกันหนอ บางครั้งก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ ที่รู้ก็มีเพียง อยากให้ใครสักคนสนใจและเป็นห่วง ทั้งที่รู้เต็มอกว่าเป็นไปได้ยากแค่ไหน

             วันนี้ผมไม่มีเรียนช่วงบ่าย หลังจากอึดอัดเพราะไอ้หนึ่งเอาแต่หลบหน้า แถมไอ้โทก็ขลุกอยู่ห้องของขวัญใจจนเหลือเราสองคนใช้ชีวิตแบบแกนๆในห้องสี่เหลี่ยม ปกติไอ้หนึ่งเป็นคนพูดเก่ง แต่หลังจากผมโพล่งกับมันไปว่าไม่ชอบการกระทำที่เกิดขึ้น มันก็เปลี่ยนไป เหลือแต่ความเย็นชา หน้าตาที่อึดอัดตอกย้ำว่ามันอยากจะย้ายออกจากคอนโดมากแค่ไหน ที่ยังทำไม่ได้ก็เพราะมันยังขาดเงินในการมัดจำที่พักใหม่ ยิ่งกลางเทอมเช่นนี้ ห้องพักราคาประหยัดต่างถูกจับจองไปหมดแล้ว เหลือแต่ห้องพักที่ราคาแพง มันไม่ค่อยมีทางเลือกเท่าไหร่นอกจากทนอยู่ด้วยกันไปก่อน

             ท่าทีห่างเหินของพวกเราไม่มีใครรับรู้ เพราะปกติผมจะไม่ค่อยได้เข้าเรียนเนื่องจากติดถ่ายละครหรือไม่ก็เมาจนลุกไปเรียนไม่ได้ ต่อให้ไปเรียนพร้อมกันแต่พวกเราก็เว้นระยะห่างตั้งแต่แรก ไม่มีใครเอะใจในความสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่เกิดขึ้น เวลาอยู่กันเป็นกลุ่มก็ไม่ค่อยได้คุยกัน มันไม่รู้ว่าเริ่มจากตรงไหน แต่มันก็เป็นไปแบบนี้มาตลอด

“ใจลอยอะไรวะไอ้ตง” ไอ้คิ้ว เพื่อนในกลุ่มที่นั่งเรียนคาบเช้าอยู่ข้างๆถามออกมาเมื่อเห็นว่าผมเหม่อ ไม่ได้จดที่อาจารย์สอน

“ปละ เปล่า ง่วงนิดหน่อย” พวกมันชินกับนิสัยขี้เกียจเข้าเรียนของผมเสียแล้ว พอไอ้คิ้วเงียบ เสียงอาจารย์ที่กำลังบรรยายอยู่ก็เข้าโสตประสาท ความง่วงเริ่มเข้ามาเกาะเปลือกตา พอสะบัดหน้าไปมาก็พอช่วยได้ สายตาผมลอบมองใบหน้าไอ้หนึ่งที่กำลังจับมือถือเลื่อนดูอะไรบางอย่าง...แล้วมือถือที่วางไว้ข้างหนังสือเรียนก็สั่นขึ้นมา

หนึ่งโทรสองโท : **ส่งรูป**



หนึ่งโทรสองโท : มึงไปถ่ายแบบชุดว่ายน้ำตอนไหนวะ

TongChin : สักพักละ

หนึ่งโทรสองโท : ไหนมึงบอกว่าจะไม่ถ่ายแนวนี้

TongChin : ทำไมจะถ่ายไม่ได้ล่ะ

หนึ่งโทรสองโท : เออ ช่างเถอะ


             เราสองคนสบตากันหลังจบบทสนทนา มันทำหน้านิ่งเรียบ แต่แววตาฉายแววโกรธ เรื่องนี้ผมเองที่ผิดเพราะไปสัญญากับมันว่าจะไม่ถ่ายแบบแนวเซ็กซี่หรือชุดว่ายน้ำหลังจากที่มีอะไรกันครั้งก่อนๆ เพราะมันบังเอิญเห็นข้อความชักชวนที่ส่งจากทีมงานนิตยสารจึงบอกว่าไม่ชอบที่เห็นคนของตัวเองถ่ายภาพโชว์เรือนร่างให้ใครต่อใครเห็น หลังจากนั้นพวกเราก็มึนตึงกัน ผมจึงตัดสินใจรับงานถ่ายแบบชุดว่ายน้ำนี้ ซึ่งกระแสตอบรับดีมากจากแฟนคลับ ... แต่ก็ไม่ใช่กับไอ้หนึ่ง

“เย็นนี้เจอกัน” หลังจบคลาสพวกเราก็ออกมาหาอะไรกินง่ายๆที่โรงอาหารรวม ไม่นานผมก็บอกลาเพื่อนๆที่มีเรียนต่อ เรานัดแนะเวลาและสถานที่กันเรียบร้อยเนื่องจากที่บ้านจะจัดงานฉลองวันเกิดให้ เมื่อทุกคนเดินพ้นสายตาผมก็เดินไปที่รถ

ก๊อกๆ ...

             เสียงเคาะกระจกฝั่งตรงข้ามดังขึ้น ผมปลดล็อกอย่างเคยชิน ใบหน้าบึ้งตึงของไอ้หนึ่งสบตาและเข้ามานั่งในรถอย่างคุ้นเคย ไม่มีใครพูดอะไรกันตลอดทาง มีแต่เสียงเพลงจากวิทยุทำลายความเงียบที่แสนอึดอัดนี้ โชคดีที่ช่วงบ่ายรถไม่ติดมากนัก เราจึงใช้เวลาแค่ 10 นาทีก็ถึงคอนโด

             ประตูห้องปิดสนิทและเสียงล็อกอัตโนมัติทำงานบ่งบอกว่าเรายืนมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วนที่ทางเดิน ไม่มีใครเอ่ยอะไรทั้งนั้น ใบหน้าของอีกคนก็ยังเฉยเมย ผมถอนหายใจกับอาการที่เห็น รู้สึกหงุดหงิดใจบ้างที่มันทำตัวราวกับเป็นเจ้าเข้าเจ้าของชีวิต หรือคำพูดที่บอกไปยังไม่ชัดเจนว่าผมไม่ต้องการสานต่อความสัมพันธ์ใดๆกับมันอีก แต่การที่ปล่อยให้มันขึ้นรถมาด้วยแบบนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่แปลก ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ทำ เมื่อต่างคนต่างอึดอัด ผมเลยเดินออกมาจากตรงนั้นเพื่อไปเก็บของในห้องนอน

หมับ!

“อื้อ ทำอะไรวะ” ผมโวยวายเพราะถูกแรงจับนั้นเหวี่ยงจนล้มบนเตียง ไอ้หนึ่งตัวเล็กกว่าผมตั้ง 20 เซ็นติเมตร แต่แรงกระชากนั้นเกินตัวอย่างน่าตกใจ มันไม่ตอบคำถามแต่กลับคร่อมบนตัวผมที่ไม่ทันตั้งตัว บั้นท้ายของมันกดน้ำหนักลงเอวจนขยับลำบาก มือทั้งสองบีบข้อมือผมไว้แน่นในท่าที่คุ้นตา ใบหน้าเราทั้งคู่แทบจะชนกัน ลมหายใจร้อนแรงรดรินกระทบซึ่งกันและกัน

“จะทำอะไรวะ ปล่อย” ผมดิ้น แต่กลับสู้แรงมันไม่ได้ ใบหน้าของคนข้างบนบ่งบอกว่าไม่เป็นมิตรเพราะแดงไปหมด มันแสยะยิ้มในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แววตากราดเกรี้ยวชวนให้ขนลุกอย่างสยอง ไม่มีการตอบกลับจากคนๆนี้ มันซุกใบหน้ามาไซร้ที่ใบหู ผมร้องลั่นอย่างโมโหเพราะไม่ชอบที่ถูกจู่โจมแบบนี้ แต่ไอ้รูมเมตกลับเลียหลังหูจนขนลุกวาบไปทั้งตัว มันรู้ว่าตรงไหนคือจุดอ่อนของผมเป็นอย่างดี แรงขัดขืนยังมีมากแต่แรงฉุดรั้งกลับมากกว่า ใบหน้าคุ้นเคยของมันดอมดมละเลงลิ้นซอกคอจนเสียวไปหมด ลมหายใจผมหอบถี่อย่างคนแพ้ จุดอ่อนถูกเล่นงานจนอ่อนเปลี้ย

             กลีบปากของมันระดมจูบริมฝีปากที่ไร้เสียงของผมอย่างบ้าคลั่ง แรงบดเบียดรุนแรงกว่าครั้งไหนๆ มันดุนดันดูดกลืนสติของผมจนแห้งเหือด ข้อมือที่เป็นอิสระกลับลูบไล้แผ่นหลังของคนตัวเล็กที่กระชากเสื้อจนกระดุมหลุดรุ่ย ใบหน้าฉายแววหื่นกระหายอย่างเย้ายั่วก่อนผละรสจูบเลียลิ้นไล้ไปตามแนวร่างกายผ่านลูกกะเดือกจรดหน้าอกที่ไหวระริก ใบหน้าของนักล่าสูดดมกลิ่นกายผมอย่างสยิว แรงต่อต้านแปรเปลี่ยนเป็นความต้องการที่ปลดเปลื้อง

“อ๊า...” ผมร้องเสียงกระเส่าเมื่อถูกดูดคลึงที่ยอดอก สองแขนขยับกระชากเส้นผมของอีกฝ่ายไปมาอย่างเสียวซ่าน บั้นท้ายบิดยกตามแรงกระชากจนกางเกงสแล็กหลุดไปอยู่มุมหนึ่งของเตียง ลิ้นสากของไอ้หนึ่งยังฉกเวียนว่ายไปทั่ว ผมกลั้นหายใจเมื่อจมูกโด่งของคนตัวเล็กดอมดมกับแก่นกายที่แข็งขืน แรงดูดเฟ้นโลมเลียส่วนหัวทำให้ตัวบิดงอ สองขาโยกยกเป็นตัวเอ็มตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ นิ้วมือของมันปาดไปมาเสียดสีกับปากทางแคบไปมาจนสะโพกกลมกลึงส่ายร่อน

“อย่า อ๊า อ๊า...” แรงรูดคลึงเข้าออกของปากหนาเร่งเร้า ผมตาพร่ามัวอย่างหลงระเริง ความเสียวกระสันโจมตีจนหนีไปไหนไม่รอด ตั้งแต่พลาดท่าให้พี่สุชาติไปเมื่อนานมาแล้ว ผมก็เอาตัวรอดจากแกมาได้โดยตลอด ไม่ว่าจะถูกจู่โจมหรือหลอกล่ออย่างไรก็ไม่เคยตกอยู่ในสถานะการณ์เช่นนี้เลยสักครั้ง แต่กลับถูกผู้ชายที่รูปร่างเล็กกว่าตัวเองตั้งมากจัดการอย่างง่ายดาย

“เอาเจลมาหน่อย” เสียงสั่นเครือกึ่งอู้อี้ของไอ้หนึ่งสั่งมาทั้งที่ยังมีของสงวนผมคาปากนั้น ร่างกายร้อนผ่าวบิดไปมาอย่างคนบ้ากลับใช้มือควานไปทั่วหัวเตียงอย่างไม่เข้าใจตัวเอง แขนยาวของผมจับกระปุกพลาสติกสีโทนม่วงขนาดเกือบจะเท่าของคนที่กำลังโลมเล้าไปยื่นให้ ความเย็นของเมือกทำให้บั้นท้ายตอดขมิบอย่างไม่ตั้งตัว ผมหวิวโหวงทั่วทรวงอกเหมือนหายใจไม่ทันก่อนจะถูกแรงบดเบียดกระชากให้ลมหายใจที่อัดอั้นทอดถอนสุดแรง

“อ๊า ย่ะ อย่า มันเสียว” นิ้วหนาของไอ้หนึ่งสอดคว้านในตัวผมอย่างบ้าคลั่ง มันไม่รอท่าใดๆกลับกดย้ำตรงจุดกระสันจนเคลิ้ม ความเจ็บแปลบปลาบปนเปกับความเสียวซ่านจนทำตัวไม่ถูก แรงตอดรัดถาโถมใส่นิ้วที่สองที่ถูกแทรกมาไม่กี่วินาทีหลังจากนิ้วแรก

“เฮือก! อื้ออออออออออออ” ผมร้องครางอย่างปวดปร่า มันแน่นในตัวไปหมด นิ้วของมันไม่ใช่เล็กๆแต่กลับแทรกเข้ามาในตัวอย่างรวดเร็วจนต้องผวา ความเจ็บตึงเหมือนกล้ามเนื้อฉีกขาดทำให้น้ำตาไหลอย่างไม่รู้ตัว ผมหลับตาแน่นพลางผ่อนลมหายใจให้ช่วงล่างคลายอาการบีบตัว ไอ้หนึ่งบิดนิ้วไปมาจนแสบไปทั่วตรงจุดนั้น ผมร้องครางกระเส่าเป็นจังหวะตามแรงสอดใส่ เสียงของเหลวไหลเข้าออกตามแรงขยับดังน่าเกลียด สองมือผมจิกไหล่หนาของรูมเมตไว้แน่นเพื่อระบายความคับข้อง เวลาเหมือนผ่านนานเท่าไหร่ไม่รู้แต่ร่องแคบที่เคยฝืดคับกลับคุ้นเคยแรงบุกรุกตัวเข้าออก ของเหลวเย็นยะเยือกถูกราดลงมาซ้ำจนต้องขมิบก่อนนิ้วที่สามจะแหวกว่ายมาสมทบ

“ฮื้อออออออออออ เจ็บ อ๊า” ผมร้องลั่น ความเจ็บแล่นพล่านไปทั่วบั้นท้าย ลุกลามมาตามแนวกล้ามเนื้อต้องกัดปากจนห้อเลือด ผนังแคบถูกขยายที่ทางจนตึงปร่า ผมกลั้นลมหายใจหนักหน่วงรับรู้ถึงความแสบของเหงื่อที่ไหลโทรมเข้าตาอย่างเลี่ยงไม่ได้ สองขาบิดไปมาที่คอแกร่งของคนโหดร้ายคนนั้น แก่นกายที่เคยผงาดกลับสลบแน่นิ่ง

“อื้อ อื้อ อื้อ” ผมร้องครางอย่างอ่อนแรงปล่อยให้เพื่อนสนิทใช้เวลากับตรงนั้นอย่างเต็มที่ เรี่ยวแรงที่จะต่อต้านเหือดหายไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ รู้เพียงว่าจะต้องให้มันทำเช่นนี้ก่อนเพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากไอ้นั่นของมัน

             ตัวผมโล่งสบายขึ้นเมื่อนิ้วที่รุกรานถอนตัวออก สองขาที่ถูกวางพาดคอยกสูงตามจังหวะขยับ ไอ้หนึ่งโน้มตัวมาทับโดยที่บั้นท้ายผมถูกยกขึ้น เข่าทั้งสองแนบอกจนหายใจติดขัด ใบหน้าเราประชิดกันอีกครั้ง แต่ครานี้แววตาของมันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เราจับจ้องกันอยู่ไม่นานก่อนจะตะกายตัวเพื่อแลกรสจูบที่เร่าร้อนอย่างหิวกระหาย สองแขนผมคว้าคอมันไว้แน่น ตอนนี้ทั้งขาและแขนผมเกี่ยวกระหวัดตัวของมันอย่างแน่นหนา รับรู้ถึงแรงกระชับที่แก้มก้นทั้งสองราวกับดอกไม้คลี่บาน

“อ๊ะ อื้อออออออออออออออออ” ผมร้องอื้ออึงและบดปากตัวเองอย่างหนักหน่วงกว่าเดิมเมื่อส่วนบานใหญ่มุดเข้ามาในตัวได้ มันแน่นขนัดและฝืดคับแหวกช่องน้อยให้เปิดขยายอย่างไม่ปราณี กล้ามเนื้อที่ถูกรุกรานเจ็บแสบไปหมดเนื่องจากไม่ชินชากับขนาดอันใหญ่โตที่ผ่านเข้าไป ผมจิกมือกับแผ่นหลังของเพื่อนสนิทอย่างแรงหวังให้อีกฝ่ายลดแรงดึงดัน แต่กลับกลายเป็นว่ามันส่งแก่นกายใหญ่โตเข้ามาพรวดพราด แรงกระแทกหนักหนาจนขาสั่นไปหมด ช่องแคบตอดรัดเบิกอ้าโอบอุ้มความแข็งขืนอย่างอ่อนล้า บั้นท้ายของคนที่อยู่ด้านบนยกห่างก่อนจะส่งความกำยำไหลรูด ผมผวาเฮือกอย่างบอบช้ำ

“อื้อ อื๊อๆๆๆๆๆๆ” เสียงจูบของเราดังมากแต่ยังไม่เท่าเสียงครางที่พยายามเปล่งออกมา ร่างกายผมเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อไหลเยิ้มบิดไปมาอย่างยอมจำนน เรือนร่างแข็งแรงของคนตัวเล็กเคลื่อนไหวเป็นจังหวะยาวโยก แก่นกายเขื่องเคลื่อนที่เข้าไปอย่างไม่ลดละจนต้องยอมแหวกสองขาให้มากขึ้น

“เฮือก!” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อแรงอัดสุดท้ายกระทบด้านในอย่างแรง ความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามสอดกายเข้ามาจนมิด แรงเบียดเสียดของเส้นขนกับปากทางแคบคันยุบยิบ

“อื้ออออออ อื้อๆๆๆๆ” ผมทุบหลังมันไปมาเมื่อบั้นท้ายของไอ้หนึ่งบดเบียดปากทางราวกับกำลังวาดวงกลม แรงเสียดสีทำให้ความคันยิบๆเปลี่ยนเป็นความเสี่ยวซ่านอย่างไม่เคยได้รับมาก่อน ความใหญ่โตในตัวก็ขยับไปมาอย่างไร้ความสงสาร ผมดิ้นพล่านคล้ายกำลังจะสิ้นใจเสียตรงนั้น

สวบ!

“อ๊าๆๆๆๆๆ” แรงถอนกายจนไหลหลุดก่อนแทงย้ำเข้ามาจุดเดิมทำให้ผมผละการจูบและร้องลั่น ก่อนจังหวะถอนกายเข้าออกเกือบจะสุดลำกระหน่ำมาถี่ยิบทำให้เสียงครางพร่าเลือนไปหมด รู้สึกแสบร้อนที่ปากถ้ำอย่างหนักคาดว่าความเสียหายน่าจะไม่น้อย ไอ้หนึ่งถาโถมความดิบเถื่อนใส่ตัวอย่างไม่ลดละ แรงปะทะของพวกเราก่อให้เกิดเสียงคำรามกึกก้อง เรือนร่างสอดประสานอย่างไร้ที่ติ ความขุ่นเคืองแห้งหาย ผมครางกระเส่าอย่างเคลิ้มใจ

“มึงเป็นของกู” ไอ้หนึ่งเริ่มพูด ผิดกับผมที่มีแต่เสียงคราง “มึงเป็นของกูคนเดียวเท่านั้นไอ้ตง”

“อื้อ อื้อ...” ได้ยินประโยคแสดงความเป็นเจ้าของชัดเจนแต่กลับไม่อาจโต้ตอบอะไรได้ ความเสียวซ่านโลดแล่นมากเกินไป

“มึงจะเป็นของใครอีกไม่ได้ มึงเข้าใจมั้ย”

“อื้ออออออออออออ”

“เข้าใจมั้ย” ครั้งนี้มันตะคอก พร้อมกับส่งแรงอัดจนจุกท้องน้อยไปหมด ผมอ้าปากหวอเพราะมันแรงจนตาเบิกกว้าง

“อ๊ะ อื้อ ขะ เข้าใจ อ๊าๆๆๆๆๆ” ผมเป็นคนตัวสูงใหญ่ กล้ามเนื้อสวย ไม่ใช่ผู้ชายบอบบางที่ต้องได้รับการดูแลแถมยังมั่นใจว่าตัวเองแข็งแรงมากอีกด้วย แต่จังหวะขยับไหวโยกจากการถูกทิ่มแทงหนักหน่วงเช่นนี้ทำให้ต้องคิดใหม่ ความเจ็บปวดหนึบหนับเปลี่ยนเป็นความสุขที่เอ่อล้นบีบรัดรุนแรงจนเกินห้ามใจได้ กลิ่นกายยั่วยวนของรูมเมตกระตุ้นแรงปรารถนาที่ซุกซ่อนไว้ในส่วนลึกให้เผยตัว ผมร้องลั่นห้องอย่างไม่อายหากจะมีใครเข้ามาเห็นจังหวะกระแทกกระทั้นนี้

“มึงบอกมาสิ ว่ามึงเป็นของใคร”

“อื้อ ขะ ของมึง อ๊า” ผมหมดแรงต่อต้าน บทรักดุดันลดทอนอีโก้ของตัวเองจนหมดสิ้น เหลือเพียงเชื้อไฟแห่งความต้องการมากกว่านี้ฉายวาบเผาไหม้ตัวตนที่ปกปิดไว้จนหมด ผมออกแรงเฮือกสุดท้ายจนคนที่คร่อมอยู่หยุดจังหวะจาบจ้วง

“จะทำอะไร” มันถามด้วยแววตาสงสัย ผมไม่ตอบ ขืนตัวเองให้ลุกเพื่อผลักอีกคนให้นอนหงายราบลงกับที่นอน

“มึงทำให้กูเป็นแบบนี้เองนะ มึงต้องรับผิดชอบ” มือใหญ่ของผมเกาะกุมแก่นกายของมันไม่มิด สะโพกกลมแน่นที่เป็นอิสระจากแรงเคลื่อนไหวจดจ่อไปที่ส่วนบานใหญ่โตนั้น ผมคร่อมตัวมันไว้อย่างแน่นหนาสบสายตาเว้าวอนหยาดเยิ้มของคนที่นอนราบอย่างหวาดหวิว ความเจ็บปร่าแล่นพรวดเมื่อกดน้ำหนักลงไปกอดกระชับความร้อนระอุนั้น ร่างกายสั่นเทาราวกับจะฉีกเป็นเสี่ยงๆ สัมผัสหยาบโลนทะยานความยาวลึกมาเรื่อยๆจนต้องกลั้นลมหายใจหลายต่อหลายครั้ง

“ย่ะ ใหญ่ชิบ อ๊า”

“ชอบมั้ยล่ะ” มันถามทั้งที่หน้าบิดเหยเกจากความเสียว

“มาก อื้อ อ๊า”

“มึงเป็นของกู อื้อ”

“ใช่ อ๊า...” ผมหวีดลั่นเมื่อส่วนสุดท้ายไหลครูดมาจนหมด ทรุดตัวแนบกับร่างแกร่งที่อยู่เบื้องล่างอย่างอ่อนล้า ความเจ็บปวดที่เล่นงานอยู่นี้มากมายจนขยับไม่ได้ แต่ไอ้หนึ่งใจร้ายมากกว่านั้น มันใช้สองมือกระชับที่บั้นท้ายให้อยู่กับที่ก่อนจะส่งแรงอัดจากด้านล่างกระทบจนท้องน้อยจุกแน่นเปลี่ยนเป็นเสียววาบอย่างที่สุด

#### ####

ก๊อกๆ

“ใคร” ผมหยุดความคิดที่แล่นในหัวและปล่อยแก่นกายให้เป็นอิสระ ก่อนเอามาห่มมาคลุมตัว ห้องนอนเย็นจนหนาวเพราะไอแอร์ที่ทำงานมาตั้งแต่ชั่วโมงก่อน

“ป้าเองค่ะคุณตง คุณท่านเรียกหาคุณตงน่ะค่ะ” แม่บ้านส่งเสียงบอกมาจากด้านนอก ผมตอบรับอย่างหงุดหงิดเพราะกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนจะกลับมาบ้าน รอให้ทุกอย่างสงบก็เดินขัดๆไปที่ห้องทำงานของประมุขของบ้าน แสงไฟในบ้านเปิดสว่างไปทั่ว ไฟกระพริบส่องประกายวิบวับอยู่ตรงสนามหญ้าด้านนอกส่งผ่านกระจกบานใหญ่ขึ้นมา เวทีเล็กๆถูกจัดเตรียมอย่างดี ประดับด้วยซุ้มดอกไม้ราวกับเป็นงานแต่งงานมากกว่างานวันเกิด ลูกชายทั้งสองของผมวิ่งเล่นซุกซนไปมาท่ามกลางการดูแลของพี่สาวคนโต แขกเหรื่อของพ่อกับแม่ทะยอยมากันบ้างแล้ว คุณนายของบ้านเลยต้องออกไปรับแขก พอเดินมาไม่นานก็ถึงห้องทำงานขนาดใหญ่ของพ่อ

“ป๊าเรียกเหรอ”

“เคาะประตูก่อนเป็นมั้ย” ด่าอีกละ ผมเลยประชดโดยการเคาะปังๆๆๆๆ เสียงดังลั่น

“พอ” น้ำเสียงหนักแน่นสั่ง ผมเดินอาดๆไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ระยะห่างของเรามีแค่โต๊ะทำงานไม้สีน้ำตาลเข้มเท่านั้นที่กั้นไว้

“ป๊ามีอะไร” น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นจงใจจะกวนโมโห นั่งบนเก้าอี้อย่างแรงจนก้นกระแทก ความเจ็บเล่นงานจนแทบสะดุ้ง

“นี่” ผมรับเอกสารที่ถูกโยนมาอ่าน มันเป็นบทซีรี่ย์เรื่องใหม่กับบทชายรักชาย ไม่แปลกใจหรอกที่พ่อจะรู้และได้บทมาก่อนผม เพราะรวยและอำนาจล้นมือขนาดนี้ “บอกปัดไปซะ”

“ป๊าทำแบบนี้ทำไม” ถึงผมจะมีงานแสดงอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่เคยได้รับบทบาทแบบนี้มาก่อน พอได้อ่านบทแล้วน่าสนใจ มันเป็นเรื่องของหนุ่มหล่อเดือนวิศวะตกหลุมรักคุณหมอตัวเล็ก พล็อตเรื่องออกจะน่าเบื่อแต่ตัวบทน่ารักมาก

“ยังจะถามอีกว่าทำไม ใจคอเอ็งจะให้คนเค้ามองตระกูลเรายังไงห๊ะ” เสียงนั้นเปลี่ยนเป็นตะคอกในช่วงท้าย

“ก็แค่ละคร” มันมีบทจูบ มีฉากเลิฟซีนเบาๆที่ต้องแสดง ผมไม่คิดมากเรื่องพรรค์นี้หรอก แต่ผู้เป็นพ่อนั้นคิดต่างออกไป สิ่งที่แกเป็นห่วงคือ พี่ต่อ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแล้วก็นามสกุลของตัวเองเท่านั้น

“ถ้ามันเป็นแค่ละคร เอ็งก็บอกปัดไปสิ” ผมกำหมัดแน่น หน้าร้อนวาบไปหมดเพราะความโกรธ มันไม่แปลกหรอกที่พ่อจะบงการชีวิต ที่ผ่านมาผมก็ไม่ใช่ลูกรักอยู่แล้วนี่ ในหัวพาลนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาในอดีต ตอนที่ผมร้องไห้ขอร้องว่าอยากไปเรียนที่อเมริกากับพี่ต่อ แต่ผู้เป็นพ่อกลับทัดทานอย่างหนัก ผมประชดด้วยการไปแคสติ้งเป็นดาราจนกระทั่งเสียตัวให้ผู้บริหารของค่ายเสียได้

“ก็ได้ ถ้าป๊าต้องการแบบนั้น” เมื่อป่วยการที่จะขัด การเลือกที่จะเออออกับสิ่งที่เขาต้องการมันดีกว่าเป็นไหนๆ ผมไม่ใช่เด็กที่จะต้องร้องไห้ร้องขออนุญาตจากผู้ปกครองคนนี้อีก ถ้ายืนกรานจะทำก็ไม่พ้นโดนด่า มันเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบ มันกัดกินความสุขของตัวเองไปเปล่าๆ ใช่ว่าไม่ได้แสดงเรื่องนี้จะไม่มีเรื่องอื่นเสนอมาอย่างงั้นแหละ

“สักวันแกจะเข้าใจ” ท่าทางอารมณ์จะเย็นลงเพราะผมตอบรับแทนที่จะต่อต้าน สังเกตจากสรรพนามที่เปลี่ยนไป

“...” แววตาของพ่อเปลี่ยนไป ผมมองใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นอย่างใจหาย พ่อดูแก่ลงไปมากจากความทรงจำในครั้งก่อน ไม่รู้ว่าแกแก่มานานแล้วแต่ผมไม่เคยสังเกตความเปลี่ยนแปลงตรงนี้เพราะอีโก้ของตัวเองหรือว่าเพราะความเหน็ดเหนื่อยในการดุด่าลูกชายคนเล็กกันแน่

“และนี่” ผมรับซองเอกสารที่ถูกโยนมาเปิดอย่างไม่รีบร้อน คงไม่พ้นเช็กเงินสดเป็นของขวัญวันเกิดอีกตามเคย “สุขสันต์วันเกิด” เสียงของพ่ออ่อนโยนจนน่าแปลกใจ แต่คนที่แปลกใจมากกว่ากลับกลายเป็นผมเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในนั้น

“ป๊า...”

“โตแล้วนะ ปีนี้ก็ 19 แล้ว ดูแลมันดีๆล่ะ”

“ผม...” เอกสารโอนคอนโดที่อาศัยตอนนี้ได้เปลี่ยนชื่อเจ้าของจากพ่อเป็นผมตั้งแต่เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนวางบนโต๊ะ ใบหน้าของพ่อดูใจดี ไม่เหมือนคนที่คอยเอาแต่ดุด่าผมเลยสักนิด

“แกโตแล้วนะตง ที่ผ่านมาพ่ออาจจะไม่ใช่พ่อที่ดีนัก ชอบบังคับแกให้ทำโน่นนี่ แต่พ่อก็อยากให้รู้ไว้นะว่าที่ทำไปเพราะว่าแกเป็นลูกพ่อ”

“ป๊า...” ผมน้ำตาคลอ ไม่เคยคิดว่าจะมีโมเม้นต์อะไรแบบนี้ มันเกินคาดไปมาก

“พ่อรู้ว่าแกอยากไปเรียนต่างประเทศเหมือนเจ้าต่อ แต่พ่อก็ห้าม ไม่ใช่เพราะไม่รักแกนะ แต่เพราะว่ารักแกมากจนไม่อยากให้แกไปไหนไกลๆต่างหาก” สายตาผมไล่เรื่อยจนจบที่แก้วคริสตัลสีใสบรรจุของเหลวสีอำพันที่พร่องไปเยอะ พ่อคงดื่มย้อมใจก่อนจะรวบรวมความกล้าเพื่อพูดสิ่งที่ต้องการให้ผมรับฟังวันนี้หลายแก้วแล้ว ใบหน้าแดงระเรื่อเป็นหลักฐานที่ดี

“ที่พ่อจ้ำจี้จ้ำไชกับแกก็เพราะห่วง แกมันไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมใครหรอก มีแต่มองโลกในแง่ดีจนบางทีอะไรหลายๆอย่างก็เลยเถิด มันเป็นความผิดของพ่อกับแม่เองที่ไม่ดูแลแกให้ดีกว่านี้” แกตั้งใจบ่นเรื่องนี้เพราะผมเคยพลาดไปทำผู้หญิงท้องตั้งแต่ยังเป็นนักเรียน แถมคลอดออกมาเป็นฝาแฝดน่ารักจนแกหลงหัวปักหัวปำจนรับเป็นหลานแต่ให้แจ้งเกิดเป็นลูกของพี่สาวคนโตแทนที่จะเป็นชื่อผม แกจงใจทำแบบนี้เพราะต้องการปกป้องผมงั้นเหรอ...

“แต่ที่พ่อทำไป พ่อมีเหตุผลนะ พ่อแค่อยากให้แกรู้ไว้...” น้ำตาผมไหลอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้ฟังคำพูดยาวๆที่ออกจากปากผู้เป็นพ่อ ที่ผ่านมาผมคิดมาตลอดว่าตัวเองไม่ใช่ลูกรัก แต่ลืมมองในมุมของพ่อว่าแกรักและเป็นห่วงผมมากแค่ไหน นอกจากจะเข้าใจแกผิดแล้วยังก่อเรื่องไม่ขาด ทั้งเรื่องมีลูกก่อนจะเรียนจบ หรือเรื่องไปเป็นนายแบบถ่ายรูปโชว์เนื้อหนังอีก

“ป๊า ผมขอโทษ” ไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้ผมวิ่งมากอดป๊าราวกับตัวเองอายุ 10 ขวบอีกครั้ง....


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด