ตอนที่ 6
เบสตื่นนอนเช้าวันนี้ด้วยอาการเหมือนคนที่ยังไม่ได้นอน การงัดตัวเองขึ้นมาจากที่นอนทำได้ยากมาก จนต้องสั่งตัวเองว่าห้ามขออีก 5 นาทีอย่างเด็ดขาด เพราะไม่อย่างนั้นจะต้องสาย หรือไม่ก็ต้องขาดเรียนไปเลยอย่างแน่นอน
โทษตัวเองว่านี่เป็นความเจ็บป่วยที่เกิดจากการทำตัวเอง ตั้งแต่การที่ไปดื่มกับเพื่อนในคืนวันศุกร์ แล้วก็มารอบลู 3 คืนติดต่อกัน
เบสเคาะหน้าผากตัวเองในระหว่างล้างหน้าแปรงฟัน มั่นใจว่าเมื่อคืนวันศุกร์ดื่มเบียร์แค่ขวดเดียวก็กลับ เพราะทั้งกลัวเจอด่านตรวจ ทั้งกลัวว่าบลูจะมารอนาน แต่หลังจากที่รอจนหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ คิดเอาเองว่าบลูอาจมาแล้วเห็นว่าหลับก็เลยไม่ได้ปลุก
เป็นวันที่เบสคิดโทษความไม่เอาไหนของตัวเองอยู่ทั้งวัน
...บ้าหรือเปล่า เบียร์แค่ขวดเดียวก็เมาหลับได้
แล้วบลูจะมาหาอีกไหม...
จนถึงคืนวันเสาร์ หนุ่มน้อยถึงกับเขียนป้ายกระดาษไว้ที่ข้างหน้าต่าง ว่าหากมาถึงแล้วเห็นว่าหลับก็ให้ปลุกได้เพราะว่ารออยู่ แต่ก็ยังไม่ไว้ใจพยายามฝืนความง่วง รออยู่จนถึงตี 4 บลูก็ยังไม่มา ถึงได้เข้านอนแล้วไปตื่นนอนตอนเที่ยง
พอมาถึงคืนวันอาทิตย์ก็เลยกลายเป็นว่ามีปัญหาเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะยิ่งแน่ใจว่าบลูอาจมาเมื่อวันศุกร์ แล้วต้องเห็นว่าเมาจนหลับไป
บลูอาจไม่ชอบคนที่ชอบดื่ม
ไม่ได้ชอบดื่มสักหน่อย ไม่ได้ดื่มเยอะด้วย เมื่อไหร่จะมาสักที...
เป็นการตั้งคำถามที่มีแต่ทำให้ยิ่งเกิดความสับสนในตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่นายปรัตต์ ยิ่งพลวัฒน์ เป็นแบบนี้
แล้วการที่ผล็อยหลับไปโดยมีสารพัดคำถามก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ไม่ได้นอน
เมื่อลงมาที่โต๊ะอาหาร กัลย์ซึ่งเป็นแม่บ้านเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ชุดเดียวเหมือนเคย
ไม่จำเป็นต้องถาม ว่าแม่ตื่นหรือยัง เพราะ ‘คุณผกา’ ไม่เคยตื่นก่อน 9 โมงเช้า
“คุณเบส ไม่สบายหรือคะ” แม่บ้านถาม
“เวียนหัวน่ะครับ”
ที่จริงเบสก็ไม่รู้จะบอกอาการของตัวเองว่าอะไรดี เพราะเหมือนยังไม่ได้นอน แต่ก็ไม่ได้ง่วงนอน ถ้าจะบอกว่าเวียนหัวก็ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น จะบอกว่าปวดหัวก็ไม่ใช่อีก
มันงง ๆ เบลอ ๆ แต่ก็รู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป
“แล้วจะขับรถไปเรียนไหวหรือคะ หยุดเรียนไม่ดีกว่าหรือคะ”
เบสกินขนมปังไปแผ่นเดียวกับนมสดครึ่งแก้ว ก็ลุกขึ้น หยิบกระเป๋าเรียน
“ทานไปนิดเดียวเอง” กัลย์เป็นห่วง
“ไม่รู้สึกอยากกินน่ะครับ เดี๋ยวไปถึงมหา’ลัย ค่อยไปหาอะไรกินที่โรงอาหารต่อ”
“มันจะไม่สะอาดเหมือนอาหารที่บ้านนะคะคุณเบส ไม่สบายอยู่แล้ว อาจยิ่งหนักกว่าเดิม”
เบสยิ้ม แล้วหยิบกุญแจรถ
“ให้คนขับรถขับไปส่งไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“จะให้บอกคุณแม่ไหมคะว่าคุณไม่สบาย”
“อย่าเลยครับ เดี๋ยวก็คงดีขึ้นเอง ขอบคุณนะครับคุณกัลย์”
ตั้งแต่จำความได้ เบสกินอาหารเช้าคนเดียว โดยและมีพี่เลี้ยง คนรับใช้ไปส่งโรงเรียนมาตลอด จนรู้สึกเฉย ๆ กับเรื่องนี้
แต่ตอนที่ขับรถออกมาจากบ้าน กลับคิดถึงหลายเรื่องที่ไม่เคยคิด ยิ่งเมื่อรวมกับอาการอ่อนเพลียที่เป็นอยู่ก็ยิ่งทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิม
ถึงได้บอกว่า อาการนี้มันคืออาการของคนทำตัวเองชัด ๆ
ตอนใกล้สอบ หรือต้องเร่งงานส่งอาจารย์ที่อดนอนจนข้ามวัน เกิน 24 ชั่วโมงก็ผ่านมาได้โดยที่ไม่มีอาการแบบนี้ โดยเฉพาะการติดอยู่ในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง นี่เป็นครั้งแรกที่เป็นแบบนี้
อาการที่เป็นอยู่หนักขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องเตือนตัวเองมาตลอดทางว่าห้ามหลับเด็ดขาด พอถอยรถเข้าที่จอดรถได้ เบสก็ดับเครื่องยนต์ เปิดกระจกรถ ตั้งโทรศัพท์ปลุกไว้ แล้วเอนเบาะลงนอน
ข้าวโพดขับรถตามหลังเบสมาตั้งแต่เลี้ยวเข้ามหาวิทยาลัยจนกระทั่งจอดรถ แต่ตอนที่จะเดินไปทักก็เห็นว่าเบสกำลังเอนเบาะลงนอน ก็เลยนั่งเล่นโทรศัพท์รออยู่ใกล้ ๆ พักหนึ่งเพื่อนร่วมคณะหลายคนทยอยเข้ามาที่ลานจอดรถ ถามว่ามานั่งรอใคร ข้าวโพดก็บอกไปตามตรงว่า รอเบสที่กำลังหลับอยู่
“มันไม่สบายหรือ” เพื่อนถาม
ข้าวโพดพยักหน้า “เออ ได้นอนสักพักคงดีขึ้น”
“แล้วมึงจะนั่งรอมันแบบนี้หรือ กินอะไรมาหรือยัง”
“ยัง แต่ไม่เป็นไร รอเบสตื่นแล้วค่อยไปหาข้าวกินก็ได้”
นทีที่เพิ่งมาถึงก็เป็นอีกคนที่แวะเข้ามาถาม ว่าข้าวโพดรอใครอยู่ เพื่อน ๆช่วยกันตอบว่ารอเบสที่หลับอยู่
แต่คุยกันเสียงดังขนาดนี้เบสยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่น ทำให้ข้าวโพดเดินไปดูที่รถรอบหนึ่ง เห็นว่าหลับอยู่จริง ๆก็เดินกลับมา
“ท่าจะหนักนะมึง พาไปที่โรงพยาบาลไม่ดีกว่าหรือ” นทีแนะนำ
“เดี๋ยวกูรออีกสัก 15 นาทีถ้าไม่ตื่นก็จะปลุกแล้ว พวกมึงไปก่อนเหอะ”
นทีคนมีน้ำใจบอกว่าจะไปซื้อแซนด์วิชมาให้
“เออ ขอบใจ แต่ไม่เป็นไร มึงต้องเดินไปเดินมา ไว้เจอกันที่ห้องเรียนเลยแล้วกัน”
แต่นทีก็ซื้อแซนด์วิชกับกาแฟเย็น และน้ำเปล่า 2 ขวดมาให้ข้าวโพดก่อน
“ของมึงอันนึง อย่าแดกหมดล่ะ เก็บไว้ให้คนที่หลับอยู่อันนึง”
“น้ำเปล่าของเบสใช่ไหม”
“เออ เผื่อไว้ล้างหน้าด้วยขวดนึงนะมึง”
“รอบคอบนะเนี่ย”
“กูเปล่า” นทียอมรับ “เจอนานาที่โรงอาหาร นางเป็นคนจัดการ”
ข้าวโพดหัวเราะ “ฝากขอบใจด้วย มึงก็ไปแดกข้าวเหอะ มัวแต่วิ่งไปวิ่งมา”
“กูอยากเก็บไว้ให้มึงที่ห้องเรียนอย่างที่บอกตอนแรกจะตายห่า แต่ถ้ากูไม่มา นานามันคงดึงหูกูยานลงมาถึงตาตุ่มแน่ ๆ” นทีบอกแล้วรีบกลับไปหานานาที่โรงอาหาร
เหลืออีก 10 นาทีจะถึงเวลาเรียนได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่ตั้งปลุกดังมาจากรถ แต่เบสก็ยังไม่ขยับ ข้าวโพดเลยเดินไปเรียก
“เบส ตื่นเหอะ จะถึงเวลาเรียนแล้ว”
หนุ่มตัวขาวลืมตาขึ้นมามอง ท่าทางจะงง ว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
“มหา’ลัยไง เปิดประตูรถมาล้างหน้า ล้างตาก่อน”
“อือ”
เบสเปิดประตูรถตามที่บอก ลุกมาล้างหน้า แล้วดื่มน้ำเย็น
“ขอบใจ”
ข้าวโพดแตะที่คอเพื่อน “ไม่มีไข้นี่”
“อือ” เบสพูดคำเดิม “ไม่ค่อยดีตั้งแต่เช้าวันเสาร์ละ มันงง ๆ เบลอ ๆ ตลอดเวลา”
“แล้วเรียนไหวหรือเปล่า ไปนอนห้องพยาบาลไหม”
“ไม่ต้องหรอก ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นนี่ก็ดีเหมือนกัน” เบสหันมาส่งยิ้มอ่อนเพลีย
ข้าวโพดส่งแซนด์วิชให้ “กินอะไรมาหรือยัง นานาฝากนทีให้เอามาให้”
เบสเอียงหันหน้าหันมามองอีกคนขณะที่ลำดับประโยคที่ข้าวโพดบอกอีกครั้ง “นานาฝากนทีเอามาให้ข้าวโพด เพื่อเอามาให้เรา”
ข้าวโพดพนักหน้า เบสก็พยักหน้าตาม
“กินขนมปังกับนมมาแล้วจากบ้าน ไม่ค่อยหิวน่ะ ข้าวโพดกินเหอะ”
“กูกินแล้ว” มือใหญ่แกะแซนด์วิชให้ “กินเสียหน่อย”
เบสส่ายหน้าทันที แต่พอเห็นสีหน้าคนที่คอยดูแลก็ต่อรอง “มันมี 2 คู่ ข้าวโพดแบ่งไปคู่นึงสิ”
“นี่เท่ากับมึงกินขนมปังแผ่นเดียวเลยนะ”
เบสส่ายหน้าอีกครั้ง “กินที่บ้านมาแผ่นนึงแล้ว”
“เบส มึงนะ กินให้หมดเลย ไม่หมดไม่ต้องขึ้นห้องเรียนทั้งมึงทั้งกูนี่แหละ”
เบสกินไปต่อรองไปจนหมด ข้าวโพดก็เปิดขวดน้ำให้
“เห็นไหม ก็กินหมดนี่หว่า ต่อรองอย่างกับเด็ก ๆ” ข้าวโพดดุแล้วลุกไปหยิบกระเป๋าเรียนของเบสจากในรถ “แล้วตั้งแต่วันเสาร์ได้ไปหาหมอหรือยัง” จากนั้นก็หันมาเตือน “อย่าลืมกดล็อกรถ” ปิดท้ายด้วยการเดินไปหยิบกระเป๋าหนังสือจากรถของตัวเอง
เบสยืนรอจนข้าวโพดเดินกลับมาหาแล้วเดินไปด้วยกัน
“ไม่ได้ไปหาหมอหรอก ตั้งแต่วันเสาร์ก็กินไทลีนอลไปเม็ดนึง แต่ไม่เห็นว่าจะดีขึ้นก็เลยไม่ได้กินอีก”
“ไม่มีไข้ ไม่ปวดหัว มันไม่น่าใช่ไทลีนอลนะ” ข้าวโพดหันมามองหน้า “เดี๋ยวช่วงเที่ยงเราไปหาหมอกัน ไหน ๆ มอ’เราก็มีโรงพยาบาล ใช้สิทธิ์กันหน่อยดีกว่า”
“ข้าวโพดก็ไม่สบายเหมือนกันหรือ” สีหน้าของเบสเป็นห่วงเพื่อนจริงจัง
“เราน่ะหมายถึงเบสคนเดียว ไม่ได้หมายถึงกู...เอ่อ ข้าวโพด”
เบสยิ้มกว้าง “เรียกตัวเองว่ากู เหมือนเคยก็ได้”
หนุ่มตัวสูงใช้ลิ้นดุนแก้ม “ยังไม่ค่อยชินน่ะ”
“เป็นตัวของตัวเองน่ะดีที่สุดแล้ว” เบสให้กำลังใจ “แล้วทำไมถึงอยากเปลี่ยนชื่อเรียกตัวเอง”
ข้าวโพดหันไปขำให้กับดินฟ้าอากาศกับการใช้ถ้อยคำของหนุ่มตัวเล็ก
“ก็อยากเปลี่ยน เผื่อจะเข้ากับเบสไง”
เบสไม่เข้าใจ ข้าวโพดก็เลยปล่อยผ่านไป
จนถึงขนาดนี้ เบสก็ยังทำเป็นไม่เข้าใจอยู่เหมือนเดิม
“ช่างมันเหอะ แต่อาการที่เป็นอยู่นี่มันอาจเกิดจากการที่เบสไม่กินอะไรเลยก็ได้นะ”
“ช่วงวันเสาร์อาทิตย์มันเหมือนเครื่องรวนยังไงไม่รู้ อธิบายยาก ไม่หิวด้วย นี่ก็กะว่าจะมากินข้าวต้มที่โรงอาหาร แต่พอมาถึงก็ไม่ไหวแล้ว ในหัวมันหนักมาก เลยนอนก่อนดีกว่า”
“ยังดีที่ไม่หลับใน ตอนที่กำลังขับรถ”
เบสพยักหน้า
“นอนดึกหรือ”
“ใช่ รอพี่บลูน่ะ”
มีเพื่อนนักศึกษาที่เดินผ่านมาหันมาเร่งทั้ง 2 คนที่ยังคุยกัน ว่าใกล้จะถึงเวลาเรียนแล้ว ถ้าสาย 10 นาทีอาจารย์จะล็อกห้อง เบสหันไปขอบคุณเพื่อน แล้วหันมาบอกกับข้าวโพด “เอาไว้ช่วงพักเที่ยงจะเล่าให้ฟัง”
เบสไม่แน่ใจว่าเรื่องที่เล่าให้ข้าวโพดฟังจะได้รับปฏิกิริยาแบบไหนกลับมา แต่ก็ตัดสินใจเล่าให้ฟังทั้งหมด
ข้าวโพดไม่มีปฏิกิริยาอะไรในตอนที่เบสบอกว่าบลูไม่ใช่มนุษย์ เหมือนรู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ จึงไม่มีความเห็นอะไร นั่งฟังไปเรื่อย ๆ แต่ให้ความสนใจความรู้สึกของเบสที่มีต่อบลูเป็นหลัก
“ทำไมไม่แปลกใจเรื่องพี่บลู”
“ก็ไม่” ข้าวโพดเกาคางตัวเอง “อธิบายยาก ตั้งแต่ตอนที่เจอครั้งแรกก็รู้สึกว่า พี่บลูก็คือพี่บลู ถ้าเบสจะบอกว่าเขาเป็นอะไร เขาก็คือพี่บลูอยู่ดี เข้าใจไหม”
เบสพยักหน้า “ไม่กลัวใช่ไหม”
“ไม่ เราทำอะไรผิดล่ะ ถึงต้องกลัว”
คนหน้าหวานยิ้มกว้าง รู้สึกเบาใจขึ้นที่ข้าวโพดเข้าใจเรื่องของบลู
“ตอนที่เจอเขาครั้งแรกเราก็ไม่กลัวเหมือนกัน แต่พอลองสมมุติว่าคนที่อยู่ตรงระเบียงเป็นคนอื่น แล้วลอยได้ เราคงกลัวจนไข้ขึ้นไปแล้ว”
“เออ ใช่” ข้าวโพดหัวเราะ “แล้วตกลงเบสชอบเขาหรือเปล่า”
ข้าวโพดบอกพลางชี้เตือนไม่ให้เบสเขี่ยหมูก้อนออกจากข้าวต้ม ทำให้เบสทำปากยื่นก่อนที่จะตอบ
“เราคิดว่าชอบเขา ตอนได้เจอก็ดีใจ ชอบเวลาที่ได้คุยกัน แล้วก็เป็นห่วงที่เขาหายไปหลายวันแล้วติดต่อไม่ได้ แต่มันมีความเป็นเหตุผลมีบางอย่างอยู่ในนั้น มีความไม่แน่ใจ”
“แบบนั้นก็ยังมีหวัง”
ดวงตาหวานเชื่อม กับรอยยิ้มของข้าวโพด บอกความรู้สึกภายในใจที่ชัดเจนมาโดยตลอด
...แต่เบสทำเป็นมองไม่เห็น
“ยังมีคนที่ดีกับข้าวโพดมากกว่าเราอีกตั้งเยอะ อย่าเสียเวลากับเราเลย”
“เบสเอง ก็ยังให้เวลากับพี่บลู ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่ใช่คน” รู้ดีว่าไม่มีทางสมหวัง “แล้วจะมาห้ามจีบได้ไง”
เบสสงสัย “ทำไมข้าวโพดถึงชอบเรา แล้วไม่กลัวว่าพี่บลูจะคิดยังไงหรือ”
“ชอบก็คือชอบน่ะแหละ ไม่มีอะไรซับซ้อน ส่วนพี่บลู พอมาคิด ๆ ดู รู้สึกคุ้นกับเขามากเลยนะ” เหมือนเคยเจอ เคยรู้จักกัน
“ข้าวโพด” เบสมีสีหน้าจริงจัง
“อะไร”
“อย่าชอบพี่บลูนะ ข้าวโพดหล่อกว่าเรา แล้วก็เอาใจคนเก่งด้วย เดี๋ยวพี่บลูจะชอบข้าวโพดมากกว่าเรา”
ข้าวโพดส่ายหน้าที่จู่ ๆ อีกคนก็พาออกนอกเรื่อง เตือนให้เบสกินข้าวอีกคำ แล้วค่อยไปหาหมอด้วยกัน
“เออ ตอนนี้ไม่ค่อยเป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องไปหาหมอแล้วก็ได้” เบสรีบบอก
หนุ่มที่เพิ่งได้รับคำชมว่าหล่อหัวเราะเบา ๆ “ถ้าดีขึ้นแล้วก็ดี แต่ถ้าไม่ไหวแล้วต้องบอกนะ”
เป็นวันที่ข้าวโพดคอยดูแลเบสเป็นอย่างดี ตั้งแต่เช้าจนถึงเลิกเรียน ก็ยังขับรถตามมาส่งจนเลี้ยวรถเข้าบ้าน ขณะที่สรรพนามเรียกตัวเองของข้าวโพดก็ยังคงเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามประสาคนที่ยังไม่คุ้นชิน จนกลายเป็นเรื่องให้อีกคนต้องอมยิ้มได้ตลอดการคุยกัน
แต่ทันทีที่เบสก้าวเท้าผ่านประตูบ้านเข้ามาอาการเวียนหัว อ่อนเพลีย ไม่มีแรงก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
หลังจากที่กินอาหารเย็นเสร็จ เบสก็เข้าห้องนอน มีโทรศัพท์จากข้าวโพดที่โทรมาหาแต่ไม่ได้รับ
“โทษที เมื่อกี้เราลงไปกินข้าว ไม่ได้เอาโทรศัพท์ลงไปด้วย มีอะไรหรือเปล่า”
“จะถามว่า ยังรู้สึกไม่สบายอยู่อีกหรือเปล่า”
เบสลังเล อยากตอบว่าไม่เป็นไร แต่นึกดูอีกที ข้าวโพดก็เป็นเพียงคนเดียวที่รู้ความลับหลายเรื่อง
“ไม่ค่อยดีเลย กำลังสงสัยว่าแพ้อากาศ หรือแพ้ดอกไม้อะไรที่นี่หรือเปล่า เพราะว่าพอเข้าบ้านก็มีอาการ”
ข้าวโพดตัดสินใจทันที “เบสมานอนบ้านกูไหม” พอเบสเงียบไปข้าวโพดก็รีบบอก “เมื่อกี้กูคุยกับแม่แล้ว ลองดูไง คืนเดียว คุณน้าอยู่หรือเปล่า”
ข้าวโพดเรียกแม่ของเบสว่าคุณน้า
“ไม่รู้สิ ตั้งแต่กลับมายังไม่เห็นเขาเลย”
“เออ งั้นก็ยิ่งไม่ควรอยู่คนเดียว เบสเก็บเสื้อผ้ากับหนังสือเรียนรอกูก่อนนะ เดี๋ยวพอกูเลี้ยวรถเข้าซอยจะโทรบอก แล้วเบสก็ออกมารอหน้าบ้านแค่นั้นแหละ”
“ข้าวโพด เราเกรงใจน่ะ”
“จะเกรงใจอะไร เพื่อนกันก็ต้องคอยดูแลกันสิ”
“แล้วถ้าเกิดว่าพี่บลูมา”
“ถ้าเขามาแล้วไม่เจอ เขาก็น่าจะรู้ว่าเบสอยู่ที่ไหน”
เกือบ 2 ทุ่มข้าวโพดก็โทรศัพท์มาบอกว่ากำลังเลี้ยวรถเข้ามาในซอย เบสที่เก็บเสื้อผ้ากับหนังสือเรียนเสร็จนานแล้ว จะเดินไปเคาะประตูห้องนอนของแม่เพื่อบอกว่าจะไปนอนบ้านเพื่อนก็กลับหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องนอนของตัวเอง
มันเป็นความรู้สึกว่า ไม่อยากเดินไปห้องนั้น และไม่อยากบอก
ไม่ได้กลัว
แต่ไม่อยากบอก
เบสเด็กดีที่รักแม่ของเขามาก รู้สึกว่าไม่อยากบอกเรื่องนี้ให้แม่รู้
ผกาเก็บตัวอยู่ภายในห้องนอนมาหลายวัน จนไม่รู้แล้วว่าวันนี้คือวันอะไร
เธอได้ยินเสียงรถของลูกชายไม่ว่าจะเป็นตอนที่ออกไปเรียนหรือกลับเข้ามาบ้าน จนถึงตอนที่เขากำลังจะออกไปอีกครั้ง
เสียงเปิด-ปิดประตูเหล่านั้นมันชัดเจนเกินไป
ผกาได้ยินเสียงของใครบางคนกระซิบอยู่ข้างหู บอกว่าเธอเป็นใคร
บอกว่าลูกชายของเธอเป็นใคร
บอกว่าข้าวโพดเพื่อนของลูกชายของเธอคือใคร
บอกว่าเกิดอะไรขึ้น
บอกว่าเธอควรทำอะไร
บางครั้งก็ขู่ว่าจะจุดจบของเธอคืออะไร
ครั้งแรกที่เธอได้ยินเสียงเหล่านี้ เธอคิดว่าคิดไปเอง จากนั้นเธอก็เริ่มโต้เถียง แต่เมื่อผ่านไป 3 วัน ความเป็นผกา ยิ่งพลวัฒน์ ก็เริ่มจางลงไป
....
กว่าจะกลับมาถึงบ้านของข้าวโพดก็ดึกมากแล้ว แต่คุณอัจฉรา แม่ของข้าวโพดก็ยังรออยู่ และบอกว่าเตรียมห้องนอนเล็กสำหรับแขกไว้ให้
“นอนได้ไหม” หนุ่มหล่อแขวนเครื่องแบบของเบสไว้ที่หน้าตู้เสื้อผ้า แล้ววางกระเป๋าเรียนของเบสไว้ที่โต๊ะตัวเล็กข้างเตียงนอน
“ได้สิ” เบสบอก
“มีอินเตอร์คอมนะ ถ้าเวียนหัว ไม่สบาย หรือจะเอาอะไรก็กดออดเรียก มันจะไปดังที่ครัว” ข้าวโพดเดินมารับกระเป๋าอีกใบที่เบสยังถืออยู่ “เอามาสิ จะไปจัดให้”
“ไม่เป็นไร อันนี้เดี๋ยวเราจัดการเองได้”
ข้าวโพดตามใจ “ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายอยู่หรือเปล่า”
“รู้สึกว่าหายใจคล่องขึ้น แต่ยังมีมึนงงอยู่หน่อย ๆ สงสัยจะแพ้อะไรบางอย่างที่บ้านจริง ๆ” เบสเดินไปนั่งบนเตียง วางกระเป๋าไว้ข้างตัว
“แม่เบสซื้ออะไรที่มีกลิ่น กลับมาจากที่เขาไปเที่ยวมาหรือเปล่า” ข้าวโพดตั้งข้อสังเกต เพราะเบสเพิ่งมีอาการหลังจากที่มารดากลับมาจากสแกนดิเนเวียรอบนี้
“เขาซื้อของสะสม ของที่ระลึกมาเยอะมาก ส่งล่วงหน้ามาก่อนก็มี”
เบสยกมือนวดขมับเพราะเมื่อพยายามจะนึกถึงภาพที่บ้าน อาการมึนงง ก็กลับมาอีกครั้ง ข้าวโพดดันไหล่ของเบสให้เอนตัวลงนอน แล้วลุกไปกดอินเตอร์คอมขอผ้าชุบน้ำอุ่น
“กูดีใจนะที่เบสยอมมานอนที่บ้าน”
เบสพยักหน้าแล้วหลับตาลง มีเสียงเคาะประตูห้อง พอเห็นว่าอัจฉรามารดาของข้าวโพดเดินนำคนรับใช้ที่ถือถาดน้ำเข้ามา ก็ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
“เบส ไปหาหมอไหมลูก”
“ไม่เป็นไรครับ เบสรู้สึกว่าอาการดีขึ้นแล้วครับ”
จากที่เห็นก็คิดว่าเบสมีสีหน้าที่ดีกว่าตอนที่เดินเข้าบ้านมาพร้อมกับลูกชาย แต่เพราะลูกชายขอให้คนรับใช้เตรียมน้ำอุ่นมาเช็ดตัว ถึงได้คิดว่ามีอาการแย่กว่าเดิม จึงเข้ามาดู
อัจฉราหันไปมองหน้าลูกชาย และพูดอย่างคนที่รู้ทันความคิด
“อย่างนั้นอย่าคุยกันดึก ให้เบสได้นอนพัก พรุ่งนี้ข้าวโพดยังต้องไปเรียน ส่วนเบสถ้ายังไม่ค่อยดีก็พักอยู่ที่นี่ไปก่อน ไม่ต้องเกรงใจ”
เบสพยักหน้าด้วยสีหน้าที่ชัดเจนว่าเกรงใจมาก และแน่นอนว่าจะต้องตื่นเช้าไปเรียน
อัจฉราส่ายหน้า
...เด็กคนนี้แสดงออกทางสีหน้าท่าทางชัดเจนเสียจนไม่จำเป็นจะต้องพูดออกมา และลูกชายของเธอเองย่อมต้องรู้นิสัยนี้เป็นอย่างดี ถึงได้มาขออนุญาตว่าจะพาเบสมานอนที่บ้าน
ใช่ ข้าวโพดชวนเบสก่อน จากนั้นจึงมาขออนุญาตแม่ว่าจะพาเพื่อนมานอนที่บ้าน
“เอาเถอะ ยังไงก็อย่านอนดึก แล้วถ้าไปเรียนไม่ไหวก็อย่าฝืน” อัจฉรากำชับอีกครั้ง จากนั้นก็กลับออกไปพร้อมกับคนรับใช้
เบสหันมาบอกกับข้าวโพด “ไม่ได้ป่วยหนักขนาดต้องเช็ดตัวสักหน่อย ดูสิ รบกวนแม่ไปด้วยเลย”
ข้าวโพดโบกมือ “ตั้งแต่ตอนที่กลับมาถึงบ้าน คุยกับแม่ ว่าเบสไม่สบายแล้วยังไปเรียน แม่ยังถามว่าทำไมไม่พาไปหาหมอ แล้วก็เป็นคนบอกเองว่าให้ลองชวนมานอนที่นี่” โกหกกันเห็น ๆ
เบสเข้าใจ “ข้าวโพดเห็นว่า บ้านเราดูแปลก ๆใช่ไหม”
“เฮ้ย กูไม่ได้ว่าแบบนั้น”
“แต่เราเข้าใจ แม่เราไม่เหมือนใคร จนถึงตอนที่ข้าวโพดมารับ เรายังไม่รู้เลยว่าเขาอยู่บ้านหรือเปล่า”
“อ้าว”
“ถ้าคุณกัลย์ก็คงรู้แหละว่าอยู่หรือไม่อยู่ แต่ตอนนั้นมันนึกอะไรไม่ออก ไม่อยากขยับตัวไปไหน พอวางสายจากข้าวโพดตอนแรก เราก็เก็บของเสร็จแล้วก็นอนอยู่บนเตียงเฉย ๆ พอข้าวโพดโทรมาอีกทีถึงลุกขึ้นมาล้างหน้า แล้วถือของลงมาเลย”
“ฟังดูผิดปกติจริง ๆ”
“ใช่” เบสยอมรับ “ตอนที่นั่งอยู่ในรถก็ไม่คิดจะโทรบอกเขานะ จนถึงตอนนี้ เรายังสงสัยตัวเองเลยว่าเป็นอะไร”
ข้าวโพดเดินไปหยิบโทรศัพท์มาส่งให้ “งั้นก็โทรบอกเขาตอนนี้เลย”
เบสรับโทรศัพท์มากดโทรออก ครู่หนึ่งมารดาก็รับสาย พูดกันไม่กี่คำเบสก็กดวางสาย
“เหมือนเบสกำลังงอนแม่เลย”
“บ้า” หนุ่มตัวเล็กหัวเราะ “เสียงเขาดูเครียด ๆ เหมือนไม่ค่อยอยากคุย เราถึงได้วางสายเลย”
แต่เบสกลับหน้าซีดลงอีกรอบ ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วง
“เริ่มรู้สึกไม่สบายอีกรอบแล้วใช่ไหม”
“ใช่”
ข้าวโพดหันไปมองรอบห้อง “แต่ในห้องนี้ไม่ได้มีดอกไม้ หรืออะไรที่มีกลิ่นนี่”
“หรือว่าเรากำลังจะเป็นบ้า”
“หยุดเลย ห้ามพูดแช่งตัวเองแบบนั้น” ข้าวโพดดุ “ตกลงลุกไปอาบน้ำเองไหวไหม”
“ไหวสิ” เบสลุกขึ้นมาหยิบกระเป๋าใบเล็กหยิบเสื้อนอนออกมา “เราอาบน้ำนอนเลยแล้วกัน ข้าวโพดจะได้ไปเล่นเกมกับเพื่อน”
“ช่างพวกมันเหอะ ไม่เล่นสักคืนก็ไม่เป็นไรหรอก”
พอเบสเข้าห้องน้ำ ข้าวโพดก็ออกไปจากห้องเหมือนกัน สักพักก็กลับมาพร้อมกับหมอนและผ้าห่ม
เบสยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าข้าวโพดกำลังปูที่นอนหน้าเตียง
“ทำอะไร”
“ขอนอนหน้าเตียง รับรองว่าไม่ทำอะไร”
เบสส่ายหน้า “เรารู้ว่าข้าวโพดเป็นห่วง แต่นี่บ้านข้าวโพดนะ ข้าวโพดนอนบนเตียง เรานอนพื้นก็ได้”
“เออ เถียงเก่งขนาดนี้ก็นอนเหอะ กูจะไปเอาคอมพ์มานั่งทำงานต่อ”
“รายงานยังไม่เสร็จอีกหรือ ช่วยไหม”
ข้าวโพดยกมือจะตีเหม่งของอีกคน แต่นึกขึ้นมาได้ว่า เบสไม่ค่อยสบายก็เลยบอกให้ไปนอน
พอกลับมาอีกรอบ ปรากฏว่าเบสนอนหลับสบายอยู่บนเตียง
ข้าวโพดนั่งทำรายงานอยู่ครู่หนึ่ง ก็ปรากฏแสงสีขาวสว่างขึ้นที่นอกหน้าต่างระเบียง พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าบลูยืนอยู่
อย่างที่บอกกับเบสไป ว่าทั้งที่รู้ความจริง แต่ก็ไม่เคยรู้สึกกลัว
ยิ่งพอเห็นชัดเจนในเวลานี้ จากใบหน้า ลักษณะภายนอก และดวงตาสีฟ้าคู่นั้น ข้าวโพดเชื่อว่า ณ ช่วงเวลาหนึ่ง บลูมีอายุน้อยกว่าข้าวโพด แต่มากกว่าเบส
และเชื่อว่า ตนทำผิดต่อบลู
หนึ่งในนั้นคือเรื่องของเบส ส่วนอีกเรื่องคือเรื่องอะไร ข้าวโพดนึกไม่ออก ทั้งความเชื่อที่เกิดขึ้นในเวลานี้ยังเป็นความเชื่อแบบไม่มีที่มาที่ไป
ที่สำคัญคือ ข้าวโพดเชื่อว่า บลูกำลังหัวเราะทั้งที่ไม่ได้ขยับกล้ามเนื้อใบหน้าแม้แต่นิดเดียว
“พี่บลู” ข้าวโพดเรียกพี่ตามเบส ขณะที่ลุกขึ้นมาหา “เบสหลับไปแล้ว”
บลูพยักหน้า “ฉันมีเรื่องให้ไปจัดการหลายวัน เลยไม่ได้ไปหาที่บ้าน” ดวงตาสีฟ้ามองคนที่หลับสบาย “ดีแล้วที่นายไปรับเขามา”
“เบสรอพี่ทุกคืน เขาไม่ค่อยสบายมาตั้งแต่วันเสาร์”
บลูขมวดคิ้วขณะที่ฟังข้าวโพดบรรยายอาการของเบส
“น่าจะเกี่ยวกับของที่แม่ของเขาเอากลับมา”
แม้จะมีหลายเรื่องที่ข้าวโพดไม่รู้ที่มาที่ไป แต่ข้าวโพดก็เลือกที่จะเชื่อบลูในทันที
“นายช่วยดูแลเบสจนกว่าฉันจัดการเรื่องของพวกนั้นได้ไหม”
“ผมไม่เกี่ยงเรื่องดูแลเบสอยู่แล้ว แต่เขาไม่ยอมไปหาหมอ”
บลูหันมามองคนที่กำลังฟ้องเพื่อนคนพิเศษ รอยยิ้มขำกดลึก “ถ้าสาเหตุอยู่ที่ของที่แม่เขาเอามา เราก็แค่ให้เขาอยู่ห่างจากของพวกนั้น”
ข้าวโพดยังไม่แน่ใจ และอยากพาเบสไปหาหมอมากกว่า
“อย่างนั้นก็รอดูพรุ่งนี้เช้า ถ้าไม่ดีขึ้นก็พาไปหาหมอ แต่ถ้าจะไปเอาของที่บ้าน จะให้เบสเป็นคนโทรไปบอกคนที่บ้านก็ได้ แต่นายต้องเป็นคนไปเอามา ยังไงก็ได้แต่อย่าให้เบสเข้าไปในบ้าน”
“พี่ครับ”
บลูพยักหน้า
“เรา คือ พี่รู้จักผม คือ ผมคิดว่าผมรู้จักพี่ แต่ผมไม่เคยเรียกพี่ว่าพี่”
ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายวูบหนึ่ง “นายอาจรู้จักฉัน” ในชื่ออื่น “แต่ฉันไม่อยากรู้จักนาย”
“แสดงว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”
ตลอดเวลาที่รู้จักกันมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นหลายเรื่อง แต่เพราะบทสุดท้ายของการรู้จักกันคือความเลวร้าย และความสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้เมื่อนึกย้อนกลับไป จะนึกถึงแต่เรื่องเลวร้ายเหล่านั้น
ที่นายยังรอดอยู่จนถึงตอนนี้ก็เพราะมีคนขอชีวิตของนายไว้ และ... “ฉันแน่ใจว่านายจะดูแลเบสได้”
“ครับ” ข้าวโพดมีความตั้งใจที่จะทำเช่นนั้นมาตลอดตั้งแต่พบกับเบสครั้งแรกอยู่แล้ว
บลูมองเห็นความตั้งใจนั้น
มันชัดเจนจนรู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่พูดคุยกับคน ๆ นี้นานเกินไปจนรับรู้ความรู้สึกของคน ๆ นี้ได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ
หงุดหงิดที่ลุคขอชีวิตหนุ่มคนนี้ไว้
และยอมรับว่า มีแต่หนุ่มคนนี้ที่เบสสามารถพึ่งพาได้
มันน่าโมโหจริง ๆ ให้ตายเถอะ!
บลูออกจากบ้านของข้าวโพดก็พบรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของลุคจอดซ่อนอยู่ข้างทางจึงแวะดู
เจ้าของรถปรากฏตัวในทันทีที่บลูแตะรถ
“นายหวงรถขนาดนี้เชียวหรือ”
“ฉันห่วงนายมากกว่ารถอยู่แล้ว” ลุคไม่สนใจสีหน้าแสดงความรำคาญของอีกฝ่าย
...เพราะหนุ่มคนนี้มักแสดงท่าทีแบบนี้เสมอ...
“แล้วมาทำอะไรแถวนี้”
“ฉันตามนายมาน่ะสิ”
บลูเลิกคิ้วขึ้นสูง “แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่เข้าไปคุยกับเขาล่ะ”
“เพราะฉันก็ยังไม่พร้อมที่จะตอบคำถาม”
“อย่างกับว่า เวลาที่ฉันถามแล้วนายจะตอบ”
“ฉันตอบ”
“นายต่อเวลาไปเรื่อย ๆ นายไม่ได้ตอบคำถาม”
ลุคใช้ท่าไม้ตายคือยกมือยอมแพ้
“เห็นไหม ตอนที่ฉันเดินหนีนายจะหลอกล่อให้ฉันเดินตามนาย แล้วพอฉันเดินตามนาย นายจะหนี”
ช่างเป็นคำวิจารณ์ที่ตรงและเจ็บแสบ
“แล้วเมื่อกี้ แอบฟัง?”
“อืม”
เมื่อมองลึกลงไปในดวงตาสีฟ้าคู่นั้น ลุคแน่ใจว่า ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตนเองบุกรุกเข้าไปในบ้านของบลูเมื่อหลายวันก่อน บลูก็จะเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการพบเจอกันไปตลอด
“แล้วจะทำไงต่อ”
ลุคหันมามองหน้า คนที่หันไปมองทางอื่น
“บลู มีอะไรหรือเปล่า”
บลูหันมามองหน้า แล้วก็ส่ายหน้า “ช่างเหอะ ถ้านายจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ต่อไป ฉันก็จะไปจัดการเรื่องของฉันแล้วนะ”
“ก็ฉันไม่รู้ว่านายหมายถึงเรื่องอะไร”
บลูกำลังพยายามควบคุมความโกรธอย่างจริงจัง “ฉันต้องการกำจัดคนที่ใส่ร้ายครอบครัวไร้ท์”
“ก็...”
“อย่าอ้อมค้อม ฉันไม่ได้มีเวลามากนัก”
“ฉันต้องลงคาถาคุ้มครองที่นี่ไว้ก่อน จากนั้นก็กลับไปดูที่บ้านของคาร่า”
...ก็แค่นี้ โยกโย้ตลอดเวลาเพื่ออะไร!
บลูก้าวถอยออกมายืนห่างจากแนวรั้วบ้าน แล้วกอดอกมองลุคที่พับแขนเสื้อที่ปิดลงมาถึงกลางหลังมือให้ขึ้นไปอยู่เหนือข้อศอก ทำให้มองเห็นปลอกข้อมือที่เป็นโลหะสีเงินสะท้อนแสงไฟ ลวดลายและอักขระโดดเด่น
เมื่อลุคยื่นมือไปข้างหน้า ลวดลายเส้นเล็กบางเหล่านั้นก็ลอยขึ้น สอดประสานกลายเป็นตาข่ายคลุมบ้านไว้ แล้วกลืนหายไปกับความมืด
กว่าที่จะกลับไปถึงที่บ้านก็พบว่าคาร่าไม่ได้อยู่ในบ้านแล้ว
“ฉันอยากเข้าไปดูในบ้าน อยากเห็นว่า เธอเอาอะไรกลับมาจากสแกนดิเนเวีย” บลูบอก
“มันอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วก็ได้”
“อย่างน้อยก็จะได้แน่ใจว่าอยู่ที่นี่หรือว่าย้ายออกไปแล้ว”
ลุคตามใจ
“ฉันจะเข้าไป นายรออยู่ที่นี่” บลูบอกแล้วเปลี่ยนเป็นนกฮูกสีขาว และลำแสงสีขาวพุ่งตรงไปที่หน้าต่างห้องนอนของเบส
ที่ผ่านมา บลูจะอยู่แค่ระเบียง ไม่เคยเข้าไปในห้อง เพราะกังวลว่าอาจทิ้งร่องรอยไว้ แต่เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเข้าไปตรวจสอบ ก็ถึงเวลาที่จะต้องเสี่ยง
(มีต่อครับ)