บทที่ 20 เกือกเหล็กย่ำอยู่บนพื้นหินเย็นเยียบ ซุนซีนั่งบนหลังม้าแต่งกายอย่างบุรุษพึงสวมใส่ บนแผ่นหลังผูกสะพายย่ามใบน้อยใส่สินทรัพย์เท่าที่จำเป็น ความรู้สึกคุ้นเคยที่น่าประหลาดวิ่งกลับมาหาเขาหลังไม่ได้ใส่ชุดผู้ชายนานหลายเดือน สัมผัสผ้าฝ้ายกระชับตัวเป็นเครื่องยืนยันว่าเขาไม่ได้ตกอยู่ในฐานะสตรีอีกต่อไป
ผู้คนผิดหวังเพราะสิ่งที่ปรารถนา ผู้คนโกหกเพื่อสิ่งที่ปรารถนา...และอย่างไรเขาก็ไม่คิดจะอยู่เฝ้าเรือนไปจนตาย การจากลาจึงไม่อาจหลีกเลี่ยง
มือที่กุมสายบังเหียนกระชับมั่นม้าพลันควบออกจากแหล่งพำนัก เวลานี้ท้องฟ้ายังมืดราวหยดแต้มด้วยสีหมึก แสงโคมห้อยระย้าหน้าบ้านเรือนส่องพอให้เห็นทาง พื้นที่ตลาดครึกครื้นเมื่อยามฟ้าสางบัดนี้เงียบเชียบปลอดผู้คน
ไกลออกไปทิศตรงหน้าเห็นแสงสว่างคบไฟจากประตูทางออกเมืองที่เปิดกว้างรับยามเช้าตรู่ นายทหารยืนเฝ้าผลัดเวรยามกันแถวนั้นหลายนาย ...ซุนซีภาวนาไม่ขอให้เจอคนรู้จักแต่ดูเหมือนฟ้าดินจะไม่เป็นใจ เมื่อมองไปไกลๆจึงพบซิ่วหมินยืนคุยกับเพื่อนทหารอยู่ที่หน้าประตูเมือง
ม้าเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า ซุนซีหยุดเมื่อถูกเรียก ส่งป้ายระบุตัวตนที่ตระเตรียมไว้ก่อนหน้าให้นายทหารประจำประตู ทุกอย่างเรียบร้อยดีจนเมื่อกระตุกบังเหียนให้ม้าเคลื่อนถึงได้มีเสียงหนึ่งเรียกไว้
“ช้าก่อน นั่นท่านเมิ่งใช่หรือไม่?”
ซุนซีหยุดม้า ตระหนกเพราะไม่คิดว่าซิ่วหมินจะจำตนได้ นายทหารคนคุ้นหน้าเดินตรงมาหยุดข้างซุนซี เงยมองด้วยแววตาสงสัย
"ท่านเมิ่ง ท่านจะออกไปไหนน่ะขอรับ"
ผู้ถูกถามเลือกไม่ตอบ เงียบเช่นนั้นอยู่นานจนซิ่วหมินผิดสังเกต ถือวิสาสะจับสายบังเหียนม้าดึงเบาๆ
"ให้ข้าไปกับท่านได้ไหมขอรับ ฟ้ายังไม่สว่าง ข้าไม่อยากให้ท่านเดินทางคนเดียว"
"ใต้เท้าสั่งไว้หรือ?"
ทหารหนุ่มกระอักกระอ่วนไม่กล้าตอบ รั้งไว้จะมีแต่เสียเวลา สุดท้ายซุนซีจึงพยักหน้าให้เขาครั้งหนึ่งเรียกให้ขึ้นมา ซิ่วหมินมองกลับไปกลับมาระหว่างม้าที่ผูกไว้ข้างกำแพงเมืองกับม้าตรงหน้าอย่างลังเล สุดท้ายก็กระโดดขึ้นหลังอาชาตัวเดียวกัน น้ำหนักคนสองคนทำมันเดินช้าลงโข
พวกเขาควบอาชาวิ่งเหยาะๆ ออกจากเขตประตูเมือง ด้านนอกมืดสนิทเห็นแต่ไฟจากแสงตะเกียงนำทางพอสว่างบริเวณรอบตัวเพียงสี่ฉื่อ อากาศหนาวจนต้องกระชับเสื้อตัวนอก ลมก็หอบไอน้ำค้างมาจนผิวส่วนพ้นผ้าชื้นยิ่งชวนให้รู้สึกเย็นกาย ไออุ่นจากคนข้างหน้าแผ่ออกมาพร้อมกลิ่นเหงื่อจากชุดนายทหารเป็นเครื่องหมายบอกว่าซิ่วหมินคงเข้าเวรยามมาแล้วทั้งคืน
เว้นระยะอยู่นานกว่าทหารหนุ่มจะพูด "ท่านจะไปจริงๆ หรือขอรับ"
"เรื่องนี้...ใครบอกเจ้าไว้แบบนั้น?"
"ใต้เท้าสั่งว่าวันใดเกิดท่านเมิ่งอยากจะออกเดินทางอย่าได้รั้งไว้เด็ดขาด ข้าไม่รู้ว่าท่านเจอเรื่องอะไรมาจนถึงขั้นอยากไปจากที่นี่ หรือพวกข้าไปทำอะไรไว้ให้ท่านไม่พอใจ--"
"เปล่าเลย ไม่ใช่อย่างนั้น" ซุนซีขัดขึ้นมา "ข้าจำเป็นต้องไป ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้าหรอก"
ซิ่วหมินนิ่งเงียบไป พักใหญ่ถึงยอมเปิดปากเอ่ยเสียง
"พวกเรารักท่านมากนะขอรับ"
"...ข้ารู้"
"พี่อ่ายซวนรักท่านมากนะขอรับ"
"อืม ข้ารู้"
"เด็กๆ รักท่านมากนะขอรับ"
"ข้ารู้"
"ใต้เท้าอวี้รักท่านมากนะขอรับ"
"..." ซุนซีรู้ เขารู้ดี แต่ไม่อยากตอบออกไป
ความเงียบคลี่ตัวเข้าปกคลุมอีกครั้ง ครานี้กินเวลายาวนาน รอบข้างได้ยินแต่เสียงเกือกม้าบดพื้นหินดังเป็นจังหวะ ซิ่วหมินที่ทนความอึดอัดไม่ได้ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ข้ามีอีกเรื่องต้องบอกท่าน คนใบ้ที่ท่านเคยพบจริงๆ แล้วเป็นข้า—”
ไม่ทันสิ้นคำม้าก็ถูกกระตุกบังเหียนให้หยุดวิ่ง หลังทางโค้งกลุ่มคนสี่ห้าคนในชุดชาวบ้านยืนเตร่กันอยู่กลางถนน เมื่อหยุดม้ามองให้ดีจึงเห็นว่าต่างคนต่างอาวุธครบมือ ความคิดแรกของซุนซีคือโจรถูกปราบไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ หากมีลูกน้องกระจัดกระจายก็ไม่ควรมายืนหาความแค้นกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางอย่างนี้
“หากไม่อยากมีเรื่องให้หลีกทางไป!”
ซิ่วหมินตะเบ็งเสียงขู่นักเลงเหล่านั้น แต่แทนที่จะกลัวคนในชุดทางการพวกมันกลับดาหน้ากันเข้ามาใกล้ นายทหารหนุ่มเห็นท่าไม่ดีก็กระโดดลงชักดาบเอาตัวเข้ากั้นระหว่างม้าเขากับพวกนักเลง
ซุนซีไม่รู้หรอกว่าซิ่วหมินฝีมือดีขนาดไหน แต่ให้สู้กับชายฉกรรจ์ห้าคนก็ไม่ใช่เรื่องน่าไว้วางใจ ยิ่งมีเขาอยู่ก็รังแต่จะถ่วงแข้งถ่วงขาเสียเปล่าๆ
“ข้าจะไปตามคนมาช่วย” ซุนซีร้องบอกระหว่างดึงบังเหียนสั่งม้าให้เปลี่ยนทิศ สองตาจ้องกลุ่มนักเลงที่ไม่มีทีท่าตระหนกแถมยังไม่คิดไล่ตาม พวกมันยืนดูเชิงกับซิ่วหมินยังไม่มีใครยอมเขยื้อน
หลักหักเลี้ยวออกมาได้ซุนซีก็ควบถอยออกมาตั้งหลักข้างทาง ไม่ตามมาเช่นนี้มีไม่กี่กรณี หากไม่มีคนดักหลังรออยู่ก็คิดจะจัดการแต่กับฝ่ายนายทหาร เสียงเอ็ดตะโรกับประกายไฟจากคมดาบปะทะคมดาบจุดขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล ซุนซีกระทุ้งเท้าเร่งม้าให้ออกวิ่งสุดกำลังพุ่งเข้าใส่ฝูงชน
“อาซิ่วหลบไป!” เขาตะโกนสุดเสียง พาม้าวิ่งฝ่ากลุ่มคนกระเด็นไปคนละทิศ
ซุนซีควบม้าตะบึงห้อตามทาง เสียงกุบกับของฝีเท้าอาชาดังก้องอยู่ในความมืดยามใกล้อรุณรุ่ง ขอบฟ้าเริ่มเจือด้วยสีอมส้มแต่ลมที่ตีปะทะใบหน้ายังหนาวบาดผิว กลิ่นน้ำค้างและดินชื้นอวลอยู่ในอากาศ เมื่อพ่นลมหายใจออกควันขาวก็พวยพุ่งเป็นสายลู่ไปตามแก้ม
เห็นแสงโคมไฟท่าเรืออยู่ไม่ไกลแล้ว กลุ่มคนที่ท่ามีคนในชุดนายทหารยืนซึมเซาอยู่ด้วย พอเห็นเท่านั้นเขารีบบึ่งตรงไปหา หยุดม้าขาหน้ายกเกิดเสียงม้าร้องเสียงดังเรียกเอาทุกสายตาที่ท่าเรือให้หันมามองเป็นทางเดียว
“ส่งคนไปดูที่ทางเส้นเข้าเมืองที มีนายทหารสู้กับกลุ่มโจรต้องการความช่วยเหลือ!”
ซุนซีละล่ำละลักบอก เขารีบลงจากหลังม้าส่งมันให้กับนายทหาร ฝ่ายคนฟังตื่นเต็มตาสีหน้าตระหนกรีบเรียกพวกทั้งควบม้าทั้งตบเท้าวิ่งออกไปตามทางที่เขาเพิ่งผ่านมา ได้แต่ภาวนาว่าจะไปถึงทันช่วยซิ่วหมินที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลัง
ฝีพายตะโกนเรียกให้คนบนท่าขึ้นเรือ ซุนซีก้าวตามผู้อื่นเชื่องช้า เสียงไม้พาดระหว่างท่ากับกาบเรือลั่นเอี๊ยดอ๊าด กลิ่นชื้นดินหอมลอยอยู่ในอากาศ อีกไม่นานเท่าไหร่แดดก็จ้าขึ้นที่ปลายขอบฟ้า ส่องผืนน้ำให้เห็นเงาเมฆสีส้มอมคราม
เมื่อเรือเคลื่อนภาพท่าน้ำก็ลอยห่างออกไปเรื่อยๆ เล็กลง...เล็กลงจนลับสายตา
ใช้ชีวิตบนแม่น้ำแยงซีมาหลายวัน กว่าเรือจะมาถึงเมืองอู๋หูก็กินเวลาย่ำเย็นมากแล้ว เพราะเงินที่ติดตัวมามีเพียงไม่กี่ตำลึงซุนซีจึงต้องอาศัยที่โรงเตี๊ยมเล็กๆ ไกลออกไปจากเขตการค้า เขาจองห้องพักได้ก็ขึ้นไปเก็บข้าวของก่อนลงมาหาอะไรรองท้อง นั่งรอได้ไม่นานกับข้าวยังไม่ทันมาถึงชายสูงวัยท่าทางเหมือนจอมยุทธ์ก็เดินมานั่งร่วมโต๊ะกับเขา ซุนซีลอบมองด้วยอารามสงบ ใบหน้าชายคนนั้นแม้ไม่ดุดันแต่ครึ้มดกด้วยเคราหนาความยาวทาบถึงอก เนื้อตัวใส่ชุดภูมิฐานสีน้ำตาลอ่อน เมื่อลงนั่งก็วางดาบห่วงที่ท่าทางจะหนักถึงสิบชั่ง ลงบนโต๊ะ
ฝ่ายนั้นกล่าวทักก่อน “ว่าอย่างไรน้องชาย เดินทางตัวคนเดียวหรือ?”
“ขอรับ ข้ากำลังจะไปสอบจอหงวน”
“ดีจริง ดีจริง เป็นบัณฑิตอนาคตไกลนี่เอง” จอมยุทธ์เฒ่าหัวเราะ “คนมีความรู้สมควรแก่การคบหา ข้ามีนามว่าเหยาเจี๋ย เจ้าล่ะน้องชาย?”
“ที่แท้เป็นพี่เหยา ข้าน้อยหมิงซิ่นฉือขอรับ” ซุนซีพูดทั้งรอยยิ้ม
“ซิ่นฉืออย่างนั้นหรือ เป็นชื่อดี แล้วนี่เจ้าพักที่ไหน ในโรงเตี๊ยมนี้หรือไม่?”
“ขอรับ”
“ข้าเองก็พักอยู่ที่นี่ นั่น ห้องทางนั้น” เหยาเจี๋ยว่าพลางชี้ขึ้นไปชั้นบน เขาหันไปสั่งเสี่ยวเอ้อร์อีกสองสามคำก่อนจะหันกลับมา “วันนี้วันดี ถ้าเจ้าไม่รีบนักก็ให้ข้าเลี้ยงสุราสักขวด อยู่คุยเป็นเพื่อนข้าก่อน”
อาศัยท่าทางใจกว้างทำเอาความรู้สึกระแวงของซุนซีลดลงหลายส่วน ดูลักษณะแล้วไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ยังจะชวนเขาคุยด้วยเสียงอันดังอีกหลายประโยค ใช้ฝ่ามือใหญ่ตบหลังตบไหล่เขาก็หลายครั้ง
ซุนซีดื่มสุราไปเพียงไม่กี่จอก ส่วนใหญ่แล้วหมดไปด้วยฝีมือเหยาเจี๋ย จอมยุทธ์คนนี้เป็นคนกว้างขวางรู้จักคนในละแวกมาก คนผ่านไปผ่านมาไม่วายเอ่ยทักเขาอย่างนอบน้อม
เหยาเจี๋ยที่ไม่มีทีท่าจะเมาเกริ่นถาม “แล้วนี่น้องหมิงกำลังจะเดินทางไปไหน?”
“เมืองหลวงขอรับ คงนั่งรถม้าสลับเดินเท้าไปเรื่อยๆ”
“ไม่กลัวอันตรายบ้างหรือ กว่าจะถึงเมืองหลวงยังอีกไกลไม่ใช่น้อย”
ซุนซีหัวเราะเฝื่อน “กลัวก็กลัวอยู่ขอรับ แต่ข้ามีเงินติดตัวไม่มากนัก จะให้ใช้รถม้าตลอดทางก็เกรงว่าจะเงินไม่พอ”
“อย่างนั้นหรอกหรือ เช่นนั้นไม่ลำบากแย่” เหยาเจี๋ยว่าพลางเทเหล้าลงจอก “ไม่ลองไปเสี่ยงโชคดูหรือ บางทีเจ้าอาจได้เงินพอซื้อม้าดีๆ สักตัวขี่ไปเมืองหลวง”
“ไม่ดีกว่าพี่เหยา เรื่องเสี่ยงโชคข้าไม่ถนัดเสียด้วย”
เรื่องนี้ไม่ได้น่าแปลกใจอะไร เมืองท่าเส้นทางเข้าเมืองหลวงเช่นนี้จะมีบ่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ซุนซีพักมือจากจอกเหล้าจงใจเหลือทิ้งไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อไม่ให้เพื่อนดื่มคะยั้นคะยอเติม เขานั่งอยู่อีกพักค่อยขอตัวกลับขึ้นห้อง
นอกหน้าต่างฟ้ามืดสนิทแล้ว ด้านนอกยังเห็นแสงไฟจากร้านรวงที่ครึกครื้นกว่าในเมืองเสวี่ยซานที่เมื่อเข้าหัวค่ำก็ปิดเงียบ เสียงครึกครื้นจากชั้นล่างโรงเตี๊ยมดังเข้ามาถึงข้างใน ซุนซีแม้จะเพลียแต่ยังไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด – ถึงได้เป็นเรื่องน่าแปลกที่ชั่วยามถัดมาเขากลับหนังตาจะปิดให้ได้
ซุนซีคิดว่าตัวเองคงใกล้หลับเต็มทีถึงได้เดินจากโต๊ะกลับไปยังเตียง แต่ไม่ทันที่เขาจะถอดรองเท้าก็ฟุบลงไปเสียก่อน หนังตาปรือลงใกล้ปิดเต็มที แม้แต่เรี่ยวแรงจะลากตัวเองให้ลุกนั่งยังหายไปหมด
ภาพที่เห็นเริ่มพร่าลงทุกที เสียงที่ได้ยินก็เริ่มไกลออกไป...เหลือเพียงความมืดสีนิลสนิทเท่านั้น
ซุนซีตื่นด้วยอาการปวดหัวสะลึมสะลือ เขาหลับไปทั้งชุดเดิมรองเท้าก็ยังใส่อยู่ทั้งสองข้าง คนหนุ่มปรือตามองไปรอบๆ ห้องอย่างเหม่อลอย ทุกสิ่งล้วนปกติดีเหมือนเมื่อคืน ทว่าสัญญาณบางอย่างกระตุ้นให้เขาลุกพรวดไปดูห่อสัมภาระ – ถุงเงินหายไปแล้ว ชายหนุ่มจำได้ดีว่าตัวเองวางห่อของไว้ที่หัวเตียง รื้อรอบๆ พลิกดูใต้หมอนหรือผ้าห่มก็ยังไม่พบ เป็นได้อย่างเดียวคือโดนขโมย กลอนประตูที่ขัดเอาไว้เมื่อคืนก็เปิดอ้า
ซุนซีกระวีกระวาดลงไปหาเจ้าของโรงเตี๊ยมที่ชั้นล่าง "มีขโมยขึ้นห้องข้า ท่านจะรับผิดชอบอย่างไร!"
เจ้าของโรงเตี๊ยมเงยมองเขาอย่างเหนื่อยหน่าย "รับผิดชอบอะไร ไม่ใช่เจ้าทำของหายเองแล้วมาโทษโรงเตี๊ยมข้าหรอกหรือ?"
"เมื่อคืนข้าไม่ได้ออกไปไหนอยู่แต่ในห้องทั้งคืน เช้ามาของก็หายจะให้ข้าคิดอย่างไรได้อีก"
"มีหลักฐานว่าใครค้นห้องเจ้าหรือไม่ล่ะ"
"..." ซุนซีเงียบไป "แต่ข้าอยู่กับชายชื่อเหยาเจี๋ยตลอดหัวค่ำ เขาเป็นพยานได้ว่าจากนั้นข้ากลับห้องไม่ได้ออกไปไหน"
เถ้าแก่หันไปถามลูกจ้าง เสี่ยวเอ้อร์พาดผ้าขี้ริ้วกับไหล่ก่อนหันมาตอบไวๆ "เมื่อคืนข้าเห็นพี่เหยาพาคนต่างถิ่นไปบ่อน ไม่ใช่เขาหรอกหรือ"
เถ้าแก่มองเขาด้วยสายตาดูถูก ส่ายหัวอย่างระอาแล้วถึงปัดมือไล่ให้ไปให้พ้น ชัดแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ซุนซีหยุดต่อปากต่อคำกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยม เขากลับขึ้นห้องเก็บรวบรวมข้าวของที่ยังเหลือมัดรวมกันเป็นห่อเดียวก่อนออกเดินทางทั้งอย่างนั้น
ไม่มีเงินก็ไม่มีอาหาร กลิ่นหมั่นโถวนึ่งร้อนๆ โชยมาตามลมเมื่อเดินผ่านย่านตลาด ซุนซีไม่เคยเป็นขโมยและไม่คิดจะเป็นขโมย เขากลืนน้ำลายลงคอแล้วรีบเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น
ใช้เวลาพักหนึ่งก็เดินพ้นตัวเมือง บ้านเรือนแออัดบางตาลงและพ้นกำแพงก็เข้าสู่เขตชายป่า ซุนซีหาเอาไม้ท่อนยาวจากแถวนั้น เหยียบให้กิ่งก้านหลุด หินขัดสักหน่อยให้พอจับเสี้ยนไม่ตำมือก็ใช้ต่างไม้เท้าออกเดินไปตามทาง
เขามีเวลาชมทัศนียภาพข้างทางทั้งวันแต่ไม่อยู่ในอารมณ์แม้แต่จะชื่นชมเสียงนกร้อง ยามอยู่ดีกินดีก็อยู่เสียจนชิน เมื่อต้องมาลำบากคราวนี้ถึงรู้ซึ้งว่าร่างกายตัวเองชักจะติดสบายเกินไปแล้ว เดินข้ามเขามาได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหาโขดหินนั่งหยุดพัก ซุนซีใช้ชายเสื้อซับเหงื่อพราวเต็มใบหน้าและลำคอ ปัดมือพัดโบกให้คลายร้อน โชคยังพอมีบังเอิญเจอต้นน้ำเต้าระหว่างทาง ผลน้ำตาลแก่ควักเมล็ดแห้งกับไส้ในออกยังพอเอามาเป็นกระติกน้ำ ส่วนผลอ่อนเก็บกินกันหิวพอประทังได้
เขาเดินเช่นนี้อยู่ทั้งวันจนตะวันใกล้ลับฟ้าจึงเจอบันไดเก่ารกชัฏเป็นทางขึ้นวัดร้าง เวลานี้ใกล้พลบค่ำแล้วจะไปต่อก็รังแต่เสี่ยงอันตรายเปล่าๆ ซุนซีเดินลัดเลาเข้าไปด้านใน อาศัยแดดยังพอมีใกล้โพล้เพล้รีบจัดการพื้นที่พออาศัยเป็นที่นอน ติดแต่ฝุ่นเยอะจนทำเขาจามไปหลายสิบรอบจนแสบจมูก
อาทิตย์ตกดินพบแต่ความมืด เมื่อไม่มีไฟจึงต้องทนหนาวขดตัวอยู่หลังกองไม้ผุ ซุนซีนอนไม่หลับฟันซี่กระทบกันอย่างช่วยไม่ได้ ใจเขาหวนคิดถึงแต่เตียงอุ่นเตาพกที่จวน หลับตาจินตนาการถึงผ้านวมหนาๆ ที่ใช่ห่อตัวจากความหนาวอยู่ทุกคืนระหว่างกระชับอ้อมแขนให้แนบตัวเข้าอีกนิด ...เป็นเช่นนี้จนผล็อยหลับไป
------------------------------------------
เรื่องใกล้จบแล้วค่ะคุณ mystery Y มาลุ้นไปด้วยกันนะ!
แงคุณเพียงเพื่อนคะเราขอโทษษษษ555555555
แต่หย่อนไว้นานมากแล้วค่ะ แบบว่าถ้าไม่สังเกตก็จะจำไม่ได้เพราะนานจริง นานแบบตอนต้นๆและนานเพราะเราดองด้วยนี่แหละฮือ
เอาเป็นว่าดอกเบญจมาศต๊ะไว้ก่อนนะคะ ลงจนจบเรื่องจะมาเฉลยว่าทิ้งขนมปังอะไรไว้ตรงไหนบ้าง