[จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63  (อ่าน 24309 ครั้ง)

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ลืมหมดแล้วค่ะ เพราะนักเขียนหายไปนาน #คำว่านานแบบแอคโค่  #ไม่มองแรงไม่มองอ่อนแต่มองนานและค้างไว้  :ruready

5555  ซุนซีเขียนอะไรลงไปน้อ

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 20

   เกือกเหล็กย่ำอยู่บนพื้นหินเย็นเยียบ ซุนซีนั่งบนหลังม้าแต่งกายอย่างบุรุษพึงสวมใส่ บนแผ่นหลังผูกสะพายย่ามใบน้อยใส่สินทรัพย์เท่าที่จำเป็น ความรู้สึกคุ้นเคยที่น่าประหลาดวิ่งกลับมาหาเขาหลังไม่ได้ใส่ชุดผู้ชายนานหลายเดือน สัมผัสผ้าฝ้ายกระชับตัวเป็นเครื่องยืนยันว่าเขาไม่ได้ตกอยู่ในฐานะสตรีอีกต่อไป

   ผู้คนผิดหวังเพราะสิ่งที่ปรารถนา ผู้คนโกหกเพื่อสิ่งที่ปรารถนา...และอย่างไรเขาก็ไม่คิดจะอยู่เฝ้าเรือนไปจนตาย การจากลาจึงไม่อาจหลีกเลี่ยง

   มือที่กุมสายบังเหียนกระชับมั่นม้าพลันควบออกจากแหล่งพำนัก เวลานี้ท้องฟ้ายังมืดราวหยดแต้มด้วยสีหมึก แสงโคมห้อยระย้าหน้าบ้านเรือนส่องพอให้เห็นทาง พื้นที่ตลาดครึกครื้นเมื่อยามฟ้าสางบัดนี้เงียบเชียบปลอดผู้คน 

   ไกลออกไปทิศตรงหน้าเห็นแสงสว่างคบไฟจากประตูทางออกเมืองที่เปิดกว้างรับยามเช้าตรู่ นายทหารยืนเฝ้าผลัดเวรยามกันแถวนั้นหลายนาย ...ซุนซีภาวนาไม่ขอให้เจอคนรู้จักแต่ดูเหมือนฟ้าดินจะไม่เป็นใจ เมื่อมองไปไกลๆจึงพบซิ่วหมินยืนคุยกับเพื่อนทหารอยู่ที่หน้าประตูเมือง

   ม้าเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า ซุนซีหยุดเมื่อถูกเรียก ส่งป้ายระบุตัวตนที่ตระเตรียมไว้ก่อนหน้าให้นายทหารประจำประตู ทุกอย่างเรียบร้อยดีจนเมื่อกระตุกบังเหียนให้ม้าเคลื่อนถึงได้มีเสียงหนึ่งเรียกไว้

   “ช้าก่อน นั่นท่านเมิ่งใช่หรือไม่?”

   ซุนซีหยุดม้า ตระหนกเพราะไม่คิดว่าซิ่วหมินจะจำตนได้ นายทหารคนคุ้นหน้าเดินตรงมาหยุดข้างซุนซี เงยมองด้วยแววตาสงสัย

   "ท่านเมิ่ง ท่านจะออกไปไหนน่ะขอรับ"

   ผู้ถูกถามเลือกไม่ตอบ เงียบเช่นนั้นอยู่นานจนซิ่วหมินผิดสังเกต ถือวิสาสะจับสายบังเหียนม้าดึงเบาๆ

   "ให้ข้าไปกับท่านได้ไหมขอรับ ฟ้ายังไม่สว่าง ข้าไม่อยากให้ท่านเดินทางคนเดียว"

   "ใต้เท้าสั่งไว้หรือ?"

   ทหารหนุ่มกระอักกระอ่วนไม่กล้าตอบ รั้งไว้จะมีแต่เสียเวลา สุดท้ายซุนซีจึงพยักหน้าให้เขาครั้งหนึ่งเรียกให้ขึ้นมา ซิ่วหมินมองกลับไปกลับมาระหว่างม้าที่ผูกไว้ข้างกำแพงเมืองกับม้าตรงหน้าอย่างลังเล สุดท้ายก็กระโดดขึ้นหลังอาชาตัวเดียวกัน น้ำหนักคนสองคนทำมันเดินช้าลงโข

   พวกเขาควบอาชาวิ่งเหยาะๆ ออกจากเขตประตูเมือง ด้านนอกมืดสนิทเห็นแต่ไฟจากแสงตะเกียงนำทางพอสว่างบริเวณรอบตัวเพียงสี่ฉื่อ  อากาศหนาวจนต้องกระชับเสื้อตัวนอก ลมก็หอบไอน้ำค้างมาจนผิวส่วนพ้นผ้าชื้นยิ่งชวนให้รู้สึกเย็นกาย ไออุ่นจากคนข้างหน้าแผ่ออกมาพร้อมกลิ่นเหงื่อจากชุดนายทหารเป็นเครื่องหมายบอกว่าซิ่วหมินคงเข้าเวรยามมาแล้วทั้งคืน

   เว้นระยะอยู่นานกว่าทหารหนุ่มจะพูด "ท่านจะไปจริงๆ หรือขอรับ"

   "เรื่องนี้...ใครบอกเจ้าไว้แบบนั้น?"

   "ใต้เท้าสั่งว่าวันใดเกิดท่านเมิ่งอยากจะออกเดินทางอย่าได้รั้งไว้เด็ดขาด ข้าไม่รู้ว่าท่านเจอเรื่องอะไรมาจนถึงขั้นอยากไปจากที่นี่ หรือพวกข้าไปทำอะไรไว้ให้ท่านไม่พอใจ--"

   "เปล่าเลย ไม่ใช่อย่างนั้น" ซุนซีขัดขึ้นมา "ข้าจำเป็นต้องไป ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้าหรอก"

   ซิ่วหมินนิ่งเงียบไป พักใหญ่ถึงยอมเปิดปากเอ่ยเสียง

   "พวกเรารักท่านมากนะขอรับ"

   "...ข้ารู้"

   "พี่อ่ายซวนรักท่านมากนะขอรับ"

   "อืม ข้ารู้"

   "เด็กๆ รักท่านมากนะขอรับ"

   "ข้ารู้"

   "ใต้เท้าอวี้รักท่านมากนะขอรับ"

   "..." ซุนซีรู้ เขารู้ดี แต่ไม่อยากตอบออกไป

   ความเงียบคลี่ตัวเข้าปกคลุมอีกครั้ง ครานี้กินเวลายาวนาน รอบข้างได้ยินแต่เสียงเกือกม้าบดพื้นหินดังเป็นจังหวะ ซิ่วหมินที่ทนความอึดอัดไม่ได้ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

   “ข้ามีอีกเรื่องต้องบอกท่าน คนใบ้ที่ท่านเคยพบจริงๆ แล้วเป็นข้า—”

   ไม่ทันสิ้นคำม้าก็ถูกกระตุกบังเหียนให้หยุดวิ่ง หลังทางโค้งกลุ่มคนสี่ห้าคนในชุดชาวบ้านยืนเตร่กันอยู่กลางถนน เมื่อหยุดม้ามองให้ดีจึงเห็นว่าต่างคนต่างอาวุธครบมือ ความคิดแรกของซุนซีคือโจรถูกปราบไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ หากมีลูกน้องกระจัดกระจายก็ไม่ควรมายืนหาความแค้นกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางอย่างนี้

   “หากไม่อยากมีเรื่องให้หลีกทางไป!”

   ซิ่วหมินตะเบ็งเสียงขู่นักเลงเหล่านั้น แต่แทนที่จะกลัวคนในชุดทางการพวกมันกลับดาหน้ากันเข้ามาใกล้ นายทหารหนุ่มเห็นท่าไม่ดีก็กระโดดลงชักดาบเอาตัวเข้ากั้นระหว่างม้าเขากับพวกนักเลง

   ซุนซีไม่รู้หรอกว่าซิ่วหมินฝีมือดีขนาดไหน แต่ให้สู้กับชายฉกรรจ์ห้าคนก็ไม่ใช่เรื่องน่าไว้วางใจ ยิ่งมีเขาอยู่ก็รังแต่จะถ่วงแข้งถ่วงขาเสียเปล่าๆ

   “ข้าจะไปตามคนมาช่วย” ซุนซีร้องบอกระหว่างดึงบังเหียนสั่งม้าให้เปลี่ยนทิศ สองตาจ้องกลุ่มนักเลงที่ไม่มีทีท่าตระหนกแถมยังไม่คิดไล่ตาม พวกมันยืนดูเชิงกับซิ่วหมินยังไม่มีใครยอมเขยื้อน

   หลักหักเลี้ยวออกมาได้ซุนซีก็ควบถอยออกมาตั้งหลักข้างทาง ไม่ตามมาเช่นนี้มีไม่กี่กรณี หากไม่มีคนดักหลังรออยู่ก็คิดจะจัดการแต่กับฝ่ายนายทหาร เสียงเอ็ดตะโรกับประกายไฟจากคมดาบปะทะคมดาบจุดขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล ซุนซีกระทุ้งเท้าเร่งม้าให้ออกวิ่งสุดกำลังพุ่งเข้าใส่ฝูงชน

   “อาซิ่วหลบไป!” เขาตะโกนสุดเสียง พาม้าวิ่งฝ่ากลุ่มคนกระเด็นไปคนละทิศ

   ซุนซีควบม้าตะบึงห้อตามทาง เสียงกุบกับของฝีเท้าอาชาดังก้องอยู่ในความมืดยามใกล้อรุณรุ่ง ขอบฟ้าเริ่มเจือด้วยสีอมส้มแต่ลมที่ตีปะทะใบหน้ายังหนาวบาดผิว กลิ่นน้ำค้างและดินชื้นอวลอยู่ในอากาศ เมื่อพ่นลมหายใจออกควันขาวก็พวยพุ่งเป็นสายลู่ไปตามแก้ม

   เห็นแสงโคมไฟท่าเรืออยู่ไม่ไกลแล้ว กลุ่มคนที่ท่ามีคนในชุดนายทหารยืนซึมเซาอยู่ด้วย พอเห็นเท่านั้นเขารีบบึ่งตรงไปหา หยุดม้าขาหน้ายกเกิดเสียงม้าร้องเสียงดังเรียกเอาทุกสายตาที่ท่าเรือให้หันมามองเป็นทางเดียว

   “ส่งคนไปดูที่ทางเส้นเข้าเมืองที มีนายทหารสู้กับกลุ่มโจรต้องการความช่วยเหลือ!”

   ซุนซีละล่ำละลักบอก เขารีบลงจากหลังม้าส่งมันให้กับนายทหาร ฝ่ายคนฟังตื่นเต็มตาสีหน้าตระหนกรีบเรียกพวกทั้งควบม้าทั้งตบเท้าวิ่งออกไปตามทางที่เขาเพิ่งผ่านมา ได้แต่ภาวนาว่าจะไปถึงทันช่วยซิ่วหมินที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลัง

    ฝีพายตะโกนเรียกให้คนบนท่าขึ้นเรือ ซุนซีก้าวตามผู้อื่นเชื่องช้า เสียงไม้พาดระหว่างท่ากับกาบเรือลั่นเอี๊ยดอ๊าด กลิ่นชื้นดินหอมลอยอยู่ในอากาศ อีกไม่นานเท่าไหร่แดดก็จ้าขึ้นที่ปลายขอบฟ้า ส่องผืนน้ำให้เห็นเงาเมฆสีส้มอมคราม

   เมื่อเรือเคลื่อนภาพท่าน้ำก็ลอยห่างออกไปเรื่อยๆ เล็กลง...เล็กลงจนลับสายตา



   ใช้ชีวิตบนแม่น้ำแยงซีมาหลายวัน กว่าเรือจะมาถึงเมืองอู๋หูก็กินเวลาย่ำเย็นมากแล้ว เพราะเงินที่ติดตัวมามีเพียงไม่กี่ตำลึงซุนซีจึงต้องอาศัยที่โรงเตี๊ยมเล็กๆ ไกลออกไปจากเขตการค้า เขาจองห้องพักได้ก็ขึ้นไปเก็บข้าวของก่อนลงมาหาอะไรรองท้อง นั่งรอได้ไม่นานกับข้าวยังไม่ทันมาถึงชายสูงวัยท่าทางเหมือนจอมยุทธ์ก็เดินมานั่งร่วมโต๊ะกับเขา ซุนซีลอบมองด้วยอารามสงบ ใบหน้าชายคนนั้นแม้ไม่ดุดันแต่ครึ้มดกด้วยเคราหนาความยาวทาบถึงอก เนื้อตัวใส่ชุดภูมิฐานสีน้ำตาลอ่อน เมื่อลงนั่งก็วางดาบห่วงที่ท่าทางจะหนักถึงสิบชั่ง ลงบนโต๊ะ

   ฝ่ายนั้นกล่าวทักก่อน “ว่าอย่างไรน้องชาย เดินทางตัวคนเดียวหรือ?”

   “ขอรับ ข้ากำลังจะไปสอบจอหงวน”

   “ดีจริง ดีจริง เป็นบัณฑิตอนาคตไกลนี่เอง” จอมยุทธ์เฒ่าหัวเราะ “คนมีความรู้สมควรแก่การคบหา ข้ามีนามว่าเหยาเจี๋ย เจ้าล่ะน้องชาย?”

   “ที่แท้เป็นพี่เหยา ข้าน้อยหมิงซิ่นฉือขอรับ” ซุนซีพูดทั้งรอยยิ้ม

   “ซิ่นฉืออย่างนั้นหรือ เป็นชื่อดี แล้วนี่เจ้าพักที่ไหน ในโรงเตี๊ยมนี้หรือไม่?”

   “ขอรับ”

   “ข้าเองก็พักอยู่ที่นี่ นั่น ห้องทางนั้น” เหยาเจี๋ยว่าพลางชี้ขึ้นไปชั้นบน เขาหันไปสั่งเสี่ยวเอ้อร์อีกสองสามคำก่อนจะหันกลับมา “วันนี้วันดี ถ้าเจ้าไม่รีบนักก็ให้ข้าเลี้ยงสุราสักขวด อยู่คุยเป็นเพื่อนข้าก่อน”

   อาศัยท่าทางใจกว้างทำเอาความรู้สึกระแวงของซุนซีลดลงหลายส่วน ดูลักษณะแล้วไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ยังจะชวนเขาคุยด้วยเสียงอันดังอีกหลายประโยค ใช้ฝ่ามือใหญ่ตบหลังตบไหล่เขาก็หลายครั้ง

   ซุนซีดื่มสุราไปเพียงไม่กี่จอก ส่วนใหญ่แล้วหมดไปด้วยฝีมือเหยาเจี๋ย จอมยุทธ์คนนี้เป็นคนกว้างขวางรู้จักคนในละแวกมาก คนผ่านไปผ่านมาไม่วายเอ่ยทักเขาอย่างนอบน้อม

   เหยาเจี๋ยที่ไม่มีทีท่าจะเมาเกริ่นถาม “แล้วนี่น้องหมิงกำลังจะเดินทางไปไหน?”

   “เมืองหลวงขอรับ คงนั่งรถม้าสลับเดินเท้าไปเรื่อยๆ”

   “ไม่กลัวอันตรายบ้างหรือ กว่าจะถึงเมืองหลวงยังอีกไกลไม่ใช่น้อย”

   ซุนซีหัวเราะเฝื่อน “กลัวก็กลัวอยู่ขอรับ แต่ข้ามีเงินติดตัวไม่มากนัก จะให้ใช้รถม้าตลอดทางก็เกรงว่าจะเงินไม่พอ”

   “อย่างนั้นหรอกหรือ เช่นนั้นไม่ลำบากแย่” เหยาเจี๋ยว่าพลางเทเหล้าลงจอก “ไม่ลองไปเสี่ยงโชคดูหรือ บางทีเจ้าอาจได้เงินพอซื้อม้าดีๆ สักตัวขี่ไปเมืองหลวง”

   “ไม่ดีกว่าพี่เหยา เรื่องเสี่ยงโชคข้าไม่ถนัดเสียด้วย”

   เรื่องนี้ไม่ได้น่าแปลกใจอะไร เมืองท่าเส้นทางเข้าเมืองหลวงเช่นนี้จะมีบ่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ซุนซีพักมือจากจอกเหล้าจงใจเหลือทิ้งไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อไม่ให้เพื่อนดื่มคะยั้นคะยอเติม เขานั่งอยู่อีกพักค่อยขอตัวกลับขึ้นห้อง

   นอกหน้าต่างฟ้ามืดสนิทแล้ว ด้านนอกยังเห็นแสงไฟจากร้านรวงที่ครึกครื้นกว่าในเมืองเสวี่ยซานที่เมื่อเข้าหัวค่ำก็ปิดเงียบ เสียงครึกครื้นจากชั้นล่างโรงเตี๊ยมดังเข้ามาถึงข้างใน ซุนซีแม้จะเพลียแต่ยังไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด – ถึงได้เป็นเรื่องน่าแปลกที่ชั่วยามถัดมาเขากลับหนังตาจะปิดให้ได้

   ซุนซีคิดว่าตัวเองคงใกล้หลับเต็มทีถึงได้เดินจากโต๊ะกลับไปยังเตียง แต่ไม่ทันที่เขาจะถอดรองเท้าก็ฟุบลงไปเสียก่อน หนังตาปรือลงใกล้ปิดเต็มที แม้แต่เรี่ยวแรงจะลากตัวเองให้ลุกนั่งยังหายไปหมด

   ภาพที่เห็นเริ่มพร่าลงทุกที เสียงที่ได้ยินก็เริ่มไกลออกไป...เหลือเพียงความมืดสีนิลสนิทเท่านั้น



   ซุนซีตื่นด้วยอาการปวดหัวสะลึมสะลือ เขาหลับไปทั้งชุดเดิมรองเท้าก็ยังใส่อยู่ทั้งสองข้าง คนหนุ่มปรือตามองไปรอบๆ ห้องอย่างเหม่อลอย ทุกสิ่งล้วนปกติดีเหมือนเมื่อคืน ทว่าสัญญาณบางอย่างกระตุ้นให้เขาลุกพรวดไปดูห่อสัมภาระ – ถุงเงินหายไปแล้ว ชายหนุ่มจำได้ดีว่าตัวเองวางห่อของไว้ที่หัวเตียง รื้อรอบๆ พลิกดูใต้หมอนหรือผ้าห่มก็ยังไม่พบ เป็นได้อย่างเดียวคือโดนขโมย กลอนประตูที่ขัดเอาไว้เมื่อคืนก็เปิดอ้า

   ซุนซีกระวีกระวาดลงไปหาเจ้าของโรงเตี๊ยมที่ชั้นล่าง "มีขโมยขึ้นห้องข้า ท่านจะรับผิดชอบอย่างไร!"

   เจ้าของโรงเตี๊ยมเงยมองเขาอย่างเหนื่อยหน่าย "รับผิดชอบอะไร ไม่ใช่เจ้าทำของหายเองแล้วมาโทษโรงเตี๊ยมข้าหรอกหรือ?"

   "เมื่อคืนข้าไม่ได้ออกไปไหนอยู่แต่ในห้องทั้งคืน เช้ามาของก็หายจะให้ข้าคิดอย่างไรได้อีก"

   "มีหลักฐานว่าใครค้นห้องเจ้าหรือไม่ล่ะ"

   "..." ซุนซีเงียบไป "แต่ข้าอยู่กับชายชื่อเหยาเจี๋ยตลอดหัวค่ำ เขาเป็นพยานได้ว่าจากนั้นข้ากลับห้องไม่ได้ออกไปไหน"

   เถ้าแก่หันไปถามลูกจ้าง เสี่ยวเอ้อร์พาดผ้าขี้ริ้วกับไหล่ก่อนหันมาตอบไวๆ "เมื่อคืนข้าเห็นพี่เหยาพาคนต่างถิ่นไปบ่อน ไม่ใช่เขาหรอกหรือ"

   เถ้าแก่มองเขาด้วยสายตาดูถูก ส่ายหัวอย่างระอาแล้วถึงปัดมือไล่ให้ไปให้พ้น ชัดแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ซุนซีหยุดต่อปากต่อคำกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยม เขากลับขึ้นห้องเก็บรวบรวมข้าวของที่ยังเหลือมัดรวมกันเป็นห่อเดียวก่อนออกเดินทางทั้งอย่างนั้น

   ไม่มีเงินก็ไม่มีอาหาร กลิ่นหมั่นโถวนึ่งร้อนๆ โชยมาตามลมเมื่อเดินผ่านย่านตลาด ซุนซีไม่เคยเป็นขโมยและไม่คิดจะเป็นขโมย เขากลืนน้ำลายลงคอแล้วรีบเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น

   ใช้เวลาพักหนึ่งก็เดินพ้นตัวเมือง บ้านเรือนแออัดบางตาลงและพ้นกำแพงก็เข้าสู่เขตชายป่า ซุนซีหาเอาไม้ท่อนยาวจากแถวนั้น เหยียบให้กิ่งก้านหลุด หินขัดสักหน่อยให้พอจับเสี้ยนไม่ตำมือก็ใช้ต่างไม้เท้าออกเดินไปตามทาง

   เขามีเวลาชมทัศนียภาพข้างทางทั้งวันแต่ไม่อยู่ในอารมณ์แม้แต่จะชื่นชมเสียงนกร้อง ยามอยู่ดีกินดีก็อยู่เสียจนชิน เมื่อต้องมาลำบากคราวนี้ถึงรู้ซึ้งว่าร่างกายตัวเองชักจะติดสบายเกินไปแล้ว เดินข้ามเขามาได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหาโขดหินนั่งหยุดพัก ซุนซีใช้ชายเสื้อซับเหงื่อพราวเต็มใบหน้าและลำคอ ปัดมือพัดโบกให้คลายร้อน โชคยังพอมีบังเอิญเจอต้นน้ำเต้าระหว่างทาง ผลน้ำตาลแก่ควักเมล็ดแห้งกับไส้ในออกยังพอเอามาเป็นกระติกน้ำ ส่วนผลอ่อนเก็บกินกันหิวพอประทังได้

   เขาเดินเช่นนี้อยู่ทั้งวันจนตะวันใกล้ลับฟ้าจึงเจอบันไดเก่ารกชัฏเป็นทางขึ้นวัดร้าง เวลานี้ใกล้พลบค่ำแล้วจะไปต่อก็รังแต่เสี่ยงอันตรายเปล่าๆ ซุนซีเดินลัดเลาเข้าไปด้านใน อาศัยแดดยังพอมีใกล้โพล้เพล้รีบจัดการพื้นที่พออาศัยเป็นที่นอน ติดแต่ฝุ่นเยอะจนทำเขาจามไปหลายสิบรอบจนแสบจมูก

   อาทิตย์ตกดินพบแต่ความมืด เมื่อไม่มีไฟจึงต้องทนหนาวขดตัวอยู่หลังกองไม้ผุ ซุนซีนอนไม่หลับฟันซี่กระทบกันอย่างช่วยไม่ได้ ใจเขาหวนคิดถึงแต่เตียงอุ่นเตาพกที่จวน หลับตาจินตนาการถึงผ้านวมหนาๆ ที่ใช่ห่อตัวจากความหนาวอยู่ทุกคืนระหว่างกระชับอ้อมแขนให้แนบตัวเข้าอีกนิด ...เป็นเช่นนี้จนผล็อยหลับไป

------------------------------------------

เรื่องใกล้จบแล้วค่ะคุณ mystery Y มาลุ้นไปด้วยกันนะ!
แงคุณเพียงเพื่อนคะเราขอโทษษษษ555555555 :hao5:
แต่หย่อนไว้นานมากแล้วค่ะ แบบว่าถ้าไม่สังเกตก็จะจำไม่ได้เพราะนานจริง นานแบบตอนต้นๆและนานเพราะเราดองด้วยนี่แหละฮือ
เอาเป็นว่าดอกเบญจมาศต๊ะไว้ก่อนนะคะ ลงจนจบเรื่องจะมาเฉลยว่าทิ้งขนมปังอะไรไว้ตรงไหนบ้าง

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ยังไงต่อไป!?

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ซุนซีคือไม่เหมาะกับการเดินออกนอกเมืองจริงๆ เหมือนมีกลิ่นเรียกโจร 555

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 21

   อู๋ก่วนจงทำงานเป็นมือปราบมาหลายปี ไม่แปลกที่เขาจะเห็นระบบข้าราชการภายในว่าเน่าเฟะเพียงใด ...และเพราะใจรักความยุติธรรมเป็นคนตงฉิน เกินไปถึงทำให้ขัดแข้งขัดขาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในกรมจนโดนสั่งย้ายจากเมืองหลวงมาเมืองปริมณฑล คนหนุ่มไฟแรงไม่คิดย่อท้อแต่กลับพลิกเป็นโอกาสในการสร้างสันติสุขให้แก่คนในพื้นที่ เขาทำงานขยันขันแข็ง เป็นที่รักของลูกน้องใต้บังคับบัญชา ทว่างานหนักหรืองานนอกหน้าที่มักส่งมาให้รับผิดชอบถึงมือบ่อยครั้ง

   ครั้งนี้ก็เช่นกัน ข่าวมาว่าจับขอทานลักลอบเข้าเมืองได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่เจ้านายขั้นสูงกลับบอกให้เขาลงพื้นที่ด้วยตัวเอง

   กลิ่นเหม็นหืนลอยมาจากตัวเหล่าชายขอทานตรงหน้า ผมเผ้าพันกันรุงรังและหนวดขึ้นรกมองไม่เห็นโครงหน้าว่าเป็นอย่างไร คราวนี้จับได้เป็นกลุ่มใหญ่ร่วมสิบคนจากหลายเขตในเมือง

   นายทหารชั้นผู้น้อยเร่งให้พวกขอทานออกเดิน มีชายคนหนึ่งก้าวด้วยท่วงท่าที่ผิดแปลกไปจากคนอื่นในกลุ่ม เขาย่างเท้าเชื่องช้าจนผิดสังเกต ลูกน้องของอู๋ก่วนจงกำลังจะไปเร่งให้รีบเดินแต่เขาเรียกให้หยุดเสียก่อน

   มือปราบหนุ่มขยับเข้าไปถาม กลิ่นเหม็นสาบลอยคลุ้งมาจากร่างตรงหน้า “เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า?”

   ขอทานผ่ายผอมเงยขึ้นมามองเขา ดวงตาเบิกกว้างฉายประกายยินดี

   “...ก่วนจง?”

   มือปราบหนุ่มยอมรับว่าตนตะลึงงันไป เสียงที่เขาคุ้นเคยทว่าไม่ได้ยินมาแรมปีนั้นช่างคล้าย...ซุนซี?



   เพื่อนที่ไม่ได้พบกันมานานกำลังตั้งหน้าตั้งตาใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวเข้าปาก กินจนเกือบจะหกเลอะมูมมาม บัดนี้ชายร่างผอมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเนื้อตัวสะอาดสะอ้านแล้ว หนวดก็โกนจนเห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่คุ้นเคยมาแต่เก่าก่อน ทว่าแก้มก็ตอบจนหน้าซูบ ยิ่งแขนเล็กเท่าไม้ซี่ผอมๆ บัดนี้แทบเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ดูไม่ออกว่ากว่าจะมาพบกันซุนซีผ่านอะไรมาบ้าง

   กับข้าวบนโต๊ะหมดไปอีกอย่างโดยที่อู๋ก่วนจงได้แต่ถือตะเกียบค้างอยู่ท่าเดิม

   “ค่อยๆ กินก็ได้อาซุน -- เอ้า นี่น้ำ” เขาว่าพลางส่งจอกให้ ซุนซีรับมาดื่มทีเดียวหมด

   ชายผู้ไม่รู้ว่าไปโหยอาหารมาจากไหนพักหายใจด้วยการเก็บข้าวเลอะมุมปาก หยิบเอาน้ำแกงมาซดจนหมดถ้วยก่อนจะใช้แขนเสื้อยาวเช็ดปากลวกๆ ท่าทางจะอิ่มท้องดีแล้วถึงได้เผยยิ้มแป้น

   “ถ้าไม่ได้พบเจ้าข้าคงแย่แน่แล้ว” ซุนซีพูดอารมณ์ดี ทว่าอู๋ก่วนจงกลับส่ายศีรษะ

   “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่อาซุน ทำไมถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้?”

   “เรื่องมันยาว.. ช่างเถอะ ถือว่าสวรรค์ยังมีตาส่งข้าให้มาพบเจ้าที่นี่” คนพูดหัวเราะเฝื่อนๆ “ว่าก็ว่าเถิด ทำไมเจ้าถึงไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง มาทำงานชั่วคราวหรือ”

   มือปราบหนุ่มหัวเราะขื่นๆ “ผิดแล้ว ข้าถูกส่งตัวมาอยู่ที่นี่ต่างหาก”

   ซุนซีฟังแล้วนิ่งไป ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำลง “...ผู้ใหญ่ส่งตัวมาหรือ?”

   อู๋ก่วนจงยิ้มสีหน้าลำบากใจ เขาทำเพียงพยักหน้าครั้งหนึ่งแทนคำตอบ พอเห็นสีหน้าของซุนซีถึงได้กล่าวเสริม “ข้าคงทำอะไรผิดพลาดไปถึงได้โดนสั่งย้าย แต่เอาเถอะ อยู่ที่นี่ก็ได้ประสบการณ์ดีไม่น้อย”

   ฟังแล้วโกรธแทนเพื่อนอย่างไรก็ใช่ว่าจะทำอะไรใครได้ แม้จะเจ็บใจก็ได้แต่เก็บกลั้นมันเอาไว้ในเมื่อเจ้าตัวที่เจอปัญหายังไม่คิดจะบ่น เขาได้แต่หวังว่าอย่างน้อยๆ ถ้าอู๋ก่วนจงไม่รู้สึกเป็นทุกข์นักนั่นก็คงเป็นเรื่องดีแล้ว ซุนซีคิดได้อย่างนั้นถึงถอนหายใจยาว ตบหลังมือปราบอย่างนึกให้กำลังใจ อู๋ก่วนจงได้แต่ยิ้มๆ ไม่ว่าอะไร

   พวกเขาคุยกันเรื่องอดีตเหมือนว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เพราะเป็นเวลาออกเวรจะนั่งคุยนานเท่าไหร่จนฟ้าใกล้พลบค่ำหรือไม่ก็ไม่มีปัญหา ซุนซีไม่รู้ตัวว่าเขาพูดไปมากเท่าไหร่แล้ว แต่ยิ่งเอ่ยปากความในใจยิ่งหลุดออกไปเหมือนนกโผบิน

   หลังเว้นช่วงไปนานจู่ๆ ซุนซีก็ตัดพ้อเป็นคนเฒ่า “ก่วนจง ชีวิตข้าเพิ่งเริ่มต้นก็จบลงเสียแล้ว”

   ผู้ฟังไม่นึกติดใจอะไร รินสุราให้คนพร่ำรำพันอีกหนึ่งจอก “แผ่นดินกว้างใหญ่ พวกเราอายุยังน้อย สักวันเจ้าอาจได้เจอเรื่องไม่คาดฝันอีกก็เป็นได้”

   ซุนซีทอดสายตามองไร้จุดหมาย ทิ้งให้เหล้าอุ่นร้อนในจอกให้เย็นชืดลงทีละน้อย

   อู๋ก่วนจงหยุดสายตาอยู่ที่คู่สนทนา อาทิตย์เคลื่อนต่ำลงแล้ว แสงแดดฉาบดวงตาดำสนิทด้วยสีอิฐอมส้ม “จะไม่กลับไปหวงซานจริงๆ น่ะหรือ?”

   คนฟังไม่ได้หันมองผู้ถาม ลมหวนพัดมาวูบหนึ่ง ปลายนิ้วเกี่ยวเอาปอยผมยาวปรกหน้าขึ้นทัดหู แพขนตาซุนซีปิดพริ้ม เขาสูดลมหายใจรับเอากลิ่นหวานดอกโม่ลี่ที่ลอยมาแตะจมูก ..ถ้าบอกว่าไม่คิดถึงบ้านคงโกหกเป็นแน่

   “ก่วนจง เอาไว้เจ้าไปสู่ขอเสี่ยวเหมยเมื่อไหร่ข้าจะกลับไปด้วย”

   ชายหนุ่มหัวเราะ สานมือไว้หลังศีรษะก่อนเหยียดกายเอนหลังพิงเสา “สู่ขออะไรกัน? นางแต่งงานแล้วเจ้ายังมีหน้ามาพูดเล่นไปเรื่อย”

   “ก็ข้าฝากเจ้าเอาไปคิดตั้งเป็นปีจนป่านนี้ยังทำใจเสือไปคุยกับลุงอู๋ลุงเมิ่งไม่ได้อีก ..หรือว่าติดใจสาวเมืองหลวงแทนแล้ว?”

   “ไม่เจอกันนานเจ้าพูดเก่งขึ้นโข” โดนแหย่จนเขินมือปราบหนุ่มก็ทำเสียงตอบเลี่ยงกระอ้อมกระแอ้ม “ข้าก็ยังเหมือนเดิม ชีวิตเสี่ยงตายแบบนี้ไม่กล้าเอาสาวไหนมาลำบากด้วยกันหรอก”

   “ข้ารู้” ซุนซียิ้มกริ่ม ทำเอ่ยหยอกไปอย่างนั้น

   เป็นอู๋ก่วนจงที่มองเขาด้วยแววตาประหลาดใจ “เจ้าเปลี่ยนไปรู้ตัวหรือไม่? ถ้าเป็นสมัยก่อนคงพูดต้อนให้ข้ายอมความแล้ว”

   ฝ่ายนั้นหันมองมือปราบหนุ่มก่อนหลุบตาลงเหมือนใช้ความคิด ครู่หนึ่งก็ส่ายศีรษะ

   “เพราะข้ารู้ว่าพูดไปก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนใจเจ้าได้ ชีวิตคนเราไม่เหมือนกัน ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วข้าจะไปบังคับอะไรได้”

   อู๋ก่วนจงยิ้มจริงใจ “อย่างนั้นก็ดี อาซุนโตเป็นผู้ใหญ่แล้วข้าก็หมดห่วงไปอีกอย่าง”

   “อา! ดูเจ้าพูดเข้าเถอะ”

   ซุนซีใช้ศอกถองคนช่างเจรจา พวกเขาหัวเราะให้กันก่อนจะรินเหล้าอุ่นลงจอกให้พร้อมดื่มอีกคราว



   เหรียญร้อยเป็นพวงนอนก้นอยู่ในถุงเงินเป็นสินน้ำใจจากอู๋ก่วนจงที่มอบให้ใช้ไว้เดินทาง ซุนซีขอให้สหายไปส่งแค่ที่อำเภอใกล้เคียง ที่เหลือตนจะเดินทางไปเองด้วยกลัวว่าเรื่องจะตามมาเดือดร้อนถึงคนมากน้ำใจ

   ชายหนุ่มเข้าเมืองหลวงไปพร้อมคณะเดินทางคนอื่นๆ รถสาลี่เข็นผ่านหน้าเขาไปต่อหางแถวขอผ่านประตูเมือง อากาศเย็นยืนกลางแจ้งลมพัดโหมมายิ่งชวนให้หนาวแม้จะยืนอยู่กลางแดดอุ่น ผมยาวกับชายผ้าปลิวไสวตามแรงลม ซุนซีต้องเกลี่ยผมทัดหูอีกครั้งและอีกครั้ง

   หลังยืนรอยาวนานก็ถึงคราวส่งป้ายยืนยันตัวตนให้ทหารหน้าประตูเมืองตรวจสอบ ฝ่ายนั้นมองสำรวจคร่าวๆ ก็พยักพเยิดให้เดินต่อก่อนจะตรวจคนถัดไป

   มาเมืองหลินอันคราวนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนที่รีบร้อนจนไม่ทันมองสองข้างทาง ร้านรวงเรียงรายอยู่เต็มฟาก เสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่จับไม่ได้ศัพท์ส่วนใหญ่แล้วเจรจาค้าขายกันไม่หยุดปาก ลาเทียมเกวียนลากบรรทุกของสูงเทียมศีรษะเคลื่อนผ่านหน้าไปช้าๆ ตามหลังด้วยคนแต่งชุดต่างถิ่นที่เดินกันขวักไขว่ กลิ่นหอมๆ ของซาลาเปานึ่งโชยมาจากข้างทาง อยู่ในที่ผู้คนคลาคล่ำอย่างนี้แทบไม่รู้สึกถึงลมหนาว

   ชายหนุ่มเดินตามผู้คนข้างหน้าไปเรื่อยๆ ผ่านโรงน้ำชาหลายร้านที่เรียงติดเป็นหมู่ตึก คนเบียดเสียดกันอยู่เต็มท้องถนนแทบไม่มีที่ว่างยิ่งต้องระวังทรัพย์สินให้มาก เสียงตะโกนให้แวะร้านดังมาจากฟากหนึ่งก่อนจะดับไป เขาเผลอมองซ้ายมองขวาเพลิน รู้สึกตัวอีกทีก็เดินมานอกกลุ่มฝูงชน

   พ้นคนค่อยพอหายใจโล่ง ซุนซีตบๆ ข้างเอวสำรวจถุงเงินว่ายังอยู่ดีถึงค่อยเบาใจ พักนี้เขาระแวดระวังเป็นพิเศษเพราะเข็ดจากที่โดนปล้นครั้งก่อน เพิ่งมาถึงตั้งใจว่าจะหาร้านอาหารสักที่กินให้พออิ่มท้องแล้วค่อยเดินต่อ

   ภายในชั้นล่างโรงน้ำชาแห่งนี้มีผู้คนไม่แออัดนักยังพอมีโต๊ะว่างเหลือที่ให้พอหายใจหายคอ ซุนซีสั่งเนื้อหมูมาหนึ่งชั่ง น้ำแกงหนึ่งอย่าง กับข้าวเปล่าอีกชาม เสียงเอะอะของลูกค้าที่โดนเบียดผ่านหลังเรียกสายตาเขาให้หันมองตาม เพราะมัวแต่ระวังถุงเงินถึงเพิ่งสังเกตว่ากลุ่มคนที่เพิ่งตามเข้าร้านมาหน้าคุ้นเหมือนเคยเห็นเมื่อตอนเดินอยู่ข้างนอก ...แต่อาจเป็นเพราะเขาคิดมากจนเกินไป

   แกะขี้ระแวงระวังตัวเป็นพิเศษตั้งแต่ที่โดนเหยาเจี๋ยปฏิบัติเช่นเดียวกัน การตั้งใจมาที่โต๊ะเขาทั้งที่ยังมีโต๊ะว่างเป็นเรื่องผิดสังเกต เขาจ้องคนที่ตั้งท่าจะเดินตรงมาที่โต๊ะเขม็ง ฝ่ายนั้นก็ดูท่าจะรู้ตัวแต่ยังก้าวมาทางที่ซุนซีนั่ง

   วินาทีนั้นซุนซีรับรู้ได้ว่ามีชายอีกสองสามคนแยกทางกันอ้อมมาทางด้านหลังเขา – คราวนี้ไม่ผิดแน่

   ซุนซีผุดลุกขึ้นดึงโต๊ะงัดเทไปทางนักเลงฝั่งตรงข้าม เขาหยิบเก้าอี้ขึ้นแกว่งไล่ศัตรูให้เว้นระยะห่างพลางถอยเท้าหนี เมื่อย้ายตัวเองมาตรงกับประตูก็โยนเก้าอี้ไปทางกลุ่มคนก่อนวิ่งสุดกำลังออกมาข้างนอก

   เมื่อรู้ตัวว่าถูกตามก็พยายามเดินหนีเข้าที่แน่นขนัดด้วยคน -- ยังไม่เป็นผล กลุ่มนักเลงเบียดเสียดตีวงเข้ามาใกล้ สัญชาติญาณบอกให้เขาออกวิ่ง กระแทกไหล่คนตรงหน้านับสิบเพื่อจะหลุดพ้นจากทาง เขาวิ่งอย่างคนหลงทิศออกมาที่ถนนเส้นหนึ่ง ซุนซีวิ่งชนแผงขายของล้มระเนระนาดแต่ไม่มีเวลาให้หันกลับไปดู เสียงเอะอะดังไล่ตามมาติดๆ รู้สึกราวกับว่าพวกมันใกล้จนหายใจรดแผ่นหลัง สลับฝีเท้าระรัวเร็วก้าวไปให้พ้นมือก็ผลักคนเหวี่ยงปะป่ายให้พ้นทาง

   หลังเสื้อถูกเงื้อมมือหนึ่งกระชากดึงจนซุนซีเสียหลักล้ม ผู้คนแตกกระเจิงออกเป็นสองสายเว้นที่ว่างเอาไว้

   หากวิ่งไม่ได้ก็คลาน ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไปให้พ้นจากตรงนี้ ใครสักคนจิกผมเขาเอาไว้ลากให้หันมาทางเดิม ซุนซีเอามือยึดพื้นหินรั้งตัวเองไม่ให้ถูกเยื้อไปตามแรงดึงแต่ไม่ได้ผล แขนเขาพับงอก่อนล้มลงครูดพื้น พยายามจะขดตัวหนีเพราะถูกทึ้งผมไว้ถึงทำได้แต่ห่อตัวทุลักทุเล

   หูเขาพลันได้ยินเสียงชักดาบออกจากฝัก ซุนซีเบิกตาโพลง ใจหวนคิดถึงแต่ใบหน้าคนคนหนึ่ง

   จู่ๆ กลุ่มนักเลงก็ชะงักนิ่งเป็นรูปปั้นหิน มือที่จิกกระชากศีรษะไว้ปล่อยออกฉับพลัน

   ผู้คุ้มกันวิ่งเข้ามาบังลานสายตา ซุนซีหันกลับไปมองด้านหลังเห็นรองเท้าผ้าไหมปักลายคู่หนึ่งเหยียบย่างเข้ามาใกล้กับรองเท้าผ้าอย่างสาวใช้อีกสองคู่ขนาบข้างกัน เขาไล่สายตาเร็วๆ ขึ้นจากกระโปรงสีแดงเข้ม ผ่านเสื้อปักลายดอกหมู่ตัน ที่นูนป่องตรงท้อง และเครื่องประดับทองที่สวมจนเต็มตัว

   จู่ๆ น้ำใสก็เอ่อรื้นสองตาเขา ทำได้แต่เรียกชื่อชื่อหนึ่งด้วยเสียงสั่นเครือ ผู้มีพระคุณยกริมฝีปากขึ้นน้อยๆ เป็นสีหน้าที่เขาคุ้นเคยดี

   เมิ่งชุนเถายกมือขึ้นปราม “คนกันเอง ไม่ต้องซาบซึ้งใจขนาดนั้น”



   คฤหาสน์ตระกูลไป๋ตั้งอยู่ตรงหน้าแล้ว ประตูใหญ่มีป้ายไม้เขียนด้วยตัวอักษรทองเด่นเป็นสง่ากับประตูเล็กริมขอบที่เปิดอ้ารอให้เขาเข้าไป ซุนซีส่งจดหมายแนะนำตัวที่ได้รับจากเมิ่งชุนเถาให้พ่อบ้านก่อนจะเดินสงบเสงี่ยมตามหลังชายสูงวัยผ่านลานกว้างกับสวนหินมาถึงห้องโถงรับรองของอาคารหลัก เขาเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งแล้วในอดีตครั้งที่เป็นพ่อสื่อให้เมิ่งชุนเถา แต่อย่างไรการตกแต่งหรูหราก็ทำให้ตื่นสถานที่ได้เสมอ

   ซุนซีนั่งรอที่เก้าอี้รับแขก สาวใช้ยกเอาชากับของกินเล่นมาวางไว้ที่โต๊ะเล็กติดเก้าอี้ก่อนจะเดินถอยฉากไป ไม่นานเสนาบดีไป๋ก็มาถึง ผู้มาเยือนรีบลุกขึ้นประสานสองมือค้อมคำนับก่อนเจ้าบ้านจะบอกให้เขานั่งลง

   “ทำตัวตามสบายเถิด” ข้าราชการเฒ่าพูดพลางปัดมือไล่คนใช้ที่ยืนประจำการอยู่ให้ถอยออกไป “เอาล่ะ ข้าเห็นเนื้อความในจดหมายแล้ว ลูกสะใภ้บอกว่าเจ้ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษาใช่ไหม”

   “ขอรับ” ซุนซีสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเอ่ยปากพูด “เป็นเรื่องลี่เฟิงอ๋อง”

   ทันทีที่ชื่อนี้หลุดจากปากซุนซีสีหน้าเสนาบดีไป๋พลันครึ้มลง “ว่ามา”

   “ข้าน้อยมีหลักฐานการฉ้อโกงเสบียงหลวงที่แจกจ่ายให้ราษฎรเมื่อหน้าแล้งที่แล้ว” คนหนุ่มว่าพลางหยิบม้วนกระดาษที่เก็บติดตัวไว้ตลอดส่งให้ “นี่เป็นสำเนาคัดลอกที่ข้าน้อยได้รับมา เอกสารตัวจริงซ่อนอยู่ในที่ปลอดภัยขอรับ”

   เสนาบดีไป๋รับมาอ่านคร่าวๆ ถึงเอ่ยถาม “ที่ปลอดภัยคือที่ไหน?”

   “ข้าน้อยยังบอกไม่ได้ขอรับ แต่รับรองว่าเอกสารที่ได้มาเป็นตัวจริงไม่ผิดแน่”

   โทษทุจริตยังไม่สำคัญเท่าความเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ของเท่านี้อาจมากพอแค่ขัดแข้งขัดขาจ้าวลี่เฟิง เขาตระหนักเรื่องนี้ดี แต่ถ้าเป็นเสนาบดีไป๋ที่สนิทสนมกับผู้ตรวจการขั้นสอง ต้องดึงให้เป็นเรื่องใหญ่ได้แน่

   ทว่าเสนาบดีกลับส่ายหน้า “ต่อให้เป็นหลักฐานตัวจริงแล้วอย่างไร โทษยังไม่มากพอให้ทำอะไรบุ่มบ่าม สหายน้อย เจ้ายังไม่รู้จักลี่เฟิงอ๋องกับบิดาของเขาดีพอ ลำพังเรื่องแค่นี้จะมีประโยชน์อะไร”

   “แล้วถ้าเป็นเรื่องสมคบคิดกับโจรเขตชายแดนล่ะขอรับ มีหลักฐานว่าท่านอ๋องน้อยติดต่อกับพวกจิน  ทว่าข้ายังนำมาเปิดเผยไม่ได้จนกว่าท่านจะตกลงร่วมมือ”

   คราวนี้เสนาบดีไป๋ครุ่นคิดอยู่นาน จ้าวลี่เจียงต้องปกป้องบุตรตนเองอยู่แล้ว ต่อให้ท่านอ๋องมีลูกชายถึงหกคนก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปล่อยจ้าวลี่เฟิงตามยถากรรม

   "เปิดโปงลี่เฟิงอ๋องเท่ากับหาเรื่องใส่ตัว เจ้ารู้เรื่องนี้ดีใช่ไหม?"

   หลักฐานเล็กๆ น้อยๆ อาจก่อความลำบากให้จ้าวลี่เฟิงได้บ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะตัดสินชะตาชายสูงศักดิ์ผู้นี้ เสนาบดีไป๋เป็นคนซื่อสัตย์และมากคุณธรรมก็จริง แต่เรื่องผลประโยชน์ใหญ่อย่างนี้ท่านจะกล้าเสี่ยงได้หรือ ...สุดท้ายแล้วอาจเป็นซุนซีเองที่เป็นฝ่ายถูกกำจัด แต่หากการเสี่ยงครั้งนี้ช่วยเจ้าเมืองอวี้ได้ เขาก็ยินดี

   ซุนซีตอบแน่วแน่ “ขอรับ ข้าทราบดี”

   เสนาบดีไป๋ลูบเคราแช่มช้า ดวงตาท่านหลุบลงคล้ายกำลังใช้ความคิด เป็นเช่นนั้นอยู่ไม่นานเสียงเปี่ยมอำนาจถึงกล่าวอีกครั้ง “ได้ ถ้าหลักฐานเหล่านี้เป็นความจริงข้าจะร่วมมือกับเจ้า หนุ่มเอ๋ย ไหนเจ้าลองว่ามา”

   ซุนซีเล่าให้ขุนนางเฒ่าฟังถึงเรื่องเมืองที่เสวี่ยซานและหลักฐานในมือของอวี้จิน นี่ต้องอาศัยความเชื่อใจอย่างมากว่าเสนาบดีไป๋จะไม่หักหลังเจ้าเมืองอวี้ เขาเคยชั่งใจว่าจะมาขอความช่วยเหลือดีหรือไม่ เช่นนั้นเมื่อทราบจากเมิ่งชุนเถาว่าข่าวลือเรื่องคุณงามความดีทั้งหลายเป็นเพียงเสี้ยวจากสิ่งที่ท่านเสนาบดีกระทำถึงวางหินหนักอึ้งลงได้

--------------------------

ถึงเมืองหลวงโดยสวัสดิภาพครบสามสิบสองแล้วค่ะ สะบักสะบอมไปตามท้องเรื่อง
ดวงสมพงษ์กับโจรจะหมดแค่นี้มั้ยนะ---

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
นี่ซุนซี หรือ โอชินคะ ชีวิตรันทดเหลือเกิ้นนนนนน  :laugh: :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ลุ้นๆ

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 22

   “มานั่งด้วยกันสิพี่ใหญ่”

   เถ้าแก่เนี้ยเอกเขนกอยู่บนตั่งไม้สลักตัวยาว พรมรองนั่งปูทับหลายชั้นคลุมด้วยผ้ากำมะหยี่เนื้อละเอียดเป็นเบาะนุ่ม โต๊ะเตี้ยข้างกันมีถาดผลไม้วางพร้อมเป็นของว่าง ซุนซีถัดตัวลงนั่งห่างหนึ่งช่วงโต๊ะคั่นแล้วเริ่มลงมือแกะเปลือกส้ม

   “คิดถึงแต่ก่อนตอนอยู่กันพร้อมหน้า” เขาเกริ่นขึ้นมาก่อน รอยยิ้มวาดประดับบางๆ “นานครั้งจะได้กินทับทิมสักผล เสี่ยวเหมยเคยแย่งกับเจ้าจนร้องไห้เป็นเรื่องใหญ่โต”

   “ส่วนตอนนี้มีกินจนเหลือทิ้งกลับไม่มีใครมาแย่ง” นางว่ากลั้วหัวเราะ ผิดกับดวงตาสีน้ำผึ้งที่ฉายแววโดดเดี่ยว

   ซุนซีฟังแล้วส่ายหน้าช้าๆ แกะหมดไปก็หยิบผลใหม่ขึ้นมา “แต่งออกมาแล้วใช่ว่าจะตัดขาดครอบครัวตัวเองจริงๆ เสียเมื่อไหร่ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ค่อยว่าง แต่นานครั้งไปเยี่ยมท่านลุงท่านป้าบ้าง...จะได้ไม่เหงา”

   เหงาที่ว่าไม่ระบุถึงใครเป็นพิเศษ เรื่องเช่นนี้ไม่ต้องพูดเจาะจงก็คลายความเศร้าในดวงตาคนท้องได้หลายส่วน

   อย่างไรเขาก็อยากย้ำว่าเมิ่งชุนเถามีที่ให้กลับไปพักพิงได้เสมอ ธรรมเนียมว่าแต่งเข้าตระกูลสามีแล้วต้องละบ้านเกิดก็เป็นเพียงขนบปฏิบัติ คนที่อยู่ระหว่างสังคมทั่วไปและยุทธจักรเห็นอะไรมาก็หลายอย่าง อยากทำอะไรใจหนึ่งก็ยังอิสระกว่าใครเขา

   เมิ่งชุนเถาคิดพลางเคี้ยวจนหมดปาก น้ำเสียงพลันเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ข้าน่ะไม่เป็นไร – ดูพี่ใหญ่เถอะ วันหน้าคิดจะทำอย่างไร”

   คนถูกถามหยุดมือ นิ่งไปนานก็เตรียมผลไม้ต่อ

   “...บุญคุณสกุลเมิ่งทดแทนชาตินี้คงไม่หมด กับสิ่งที่ได้รับจากเจ้าเองก็เช่นกัน” เขาว่าพลางวางกลีบส้มฉ่ำน้ำเรียงข้างถาด “ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่อยากอยู่รบกวนเจ้าไปจนแก่.. อาจเก็บเงินไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ไกลผู้คน พออายุมากกว่านี้ข้าอยากใช้ชีวิตสงบสุขตามประสา อยู่ตัวคนเดียวก็ไม่เลวนัก”

   “พี่อยากทำเช่นนั้นจริงๆ หรือเพราะอยากหนีปัญหา”

   น้องต่างสายเลือดจงใจถามจี้ใจดำ แต่ไหนแต่ไรคนฟังไม่เคยถือสาวาจาของนาง วันนี้เพียงคำถามเดียวกลับดูโศกนัก ซุนซีบีบผ้าเช็ดมือเว้นช่วงไปหลายอึดใจ คนถามก็ปล่อยให้เขาได้คิด

   กว่าชายหนุ่มจะได้ยินข่าวการออกตามหาเมิ่งชิวเหลียนจากปากน้องสาวก็ล่วงมาหลายเพลาแล้ว ฮูหยินหายไปทั้งคนคงทำให้สองตระกูลเสียหน้าไม่น้อย อวี้จินจะเก็บข่าวเงียบก็ย่อมได้..แต่กลับส่งคนสืบหาทั้งที่รู้ว่าเรื่องนี้อาจรั่วไหล จะมากจะน้อยอย่างไรก็ยังกระทบชื่อเสียงข้าราชการยศสูงกับความสัมพันธ์สองตระกูล

   ซุนซีไม่กล้าเข้าใจชายสูงศักดิ์คนนี้ ใจหนึ่งอาจไม่อยากเข้าข้างตนเอง อีกใจอาจกลัวความจริง ชัดเจนแล้วว่า ‘เมิ่งชิวเหลียน’ สำคัญแค่ไหน -- อย่างไรนั่นก็ไม่ใช่ตัวเขา

   “เรื่องอวี้จิน...เขามีลูกเมื่อไหร่ข้าค่อยกลับไปขอขมาท่านลุง ชาตินี้คงไม่ยุ่งเกี่ยวกับชายคนนั้นแล้ว”

   คนฟังร้องฮึ หยิบผลไม้เข้าปากสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ให้เซี่ยเหมยได้ยินที่ท่านพูดก่อนเถอะ ข้าจะรอหัวร่อให้ฟันหัก”

   ฝ่ายโดนว่าเอาแต่ถอนใจไม่โต้กลับ นัยน์ตาคู่นั้นกล่าวตัดพ้อแทนล้านคำพูด สภาพหมดอาลัยตายอยากเสียจนน่าเป็นห่วง เมิ่งชุนเถาเห็นแล้วผุดลุกขึ้นนั่งหลังตรง นางผลักถาดทองเหลืองออกให้พ้นทาง องุ่นลูกน้อยถูกแรงสะเทือนกลิ้งหล่นลงจากกอง

   แม่คนท้องถอนใจยาว “ข้าขอพูดครั้งเดียวแล้วจะไม่แส่เรื่องนี้อีก” มืออิ่มตบเบาๆ ไปบนหลังมือผอมเซียว “พี่ใหญ่ ท่านคิดจะทรมานตนเองไปถึงเมื่อไหร่ ในเมื่อชีวิตคนเราสั้นนักข้าถึงไม่อยากเห็นท่านจมทุกข์ไปจนเฒ่า ไม่ว่าท่านจะเป็นซุนซีหรือเมิ่งชิวเหลียนก็เป็นพี่ใหญ่ที่ข้ารัก”

   “...เสี่ยวเถา”

   “เลือกทางไหนท่านจะมีความสุข พี่ใหญ่คงมีคำตอบของตัวเองอยู่แล้ว”

   คำพูดของน้องสาวต่างสายเลือดไม่มีอะไรผิดไปแม้แต่น้อย การเลือกดำเนินชีวิตเช่นบุรุษก็หมายความว่าเขาเห็นอิสรภาพมาก่อนบุญคุณ -- อย่าว่าแต่ซุนซีไม่สามารถอยู่กับอวี้จินในฐานะนี้ได้เลย แม้แต่หน้าก็ไม่กล้าไปพบ

   หากเมื่อมองอีกแง่หนึ่ง การกลับไปเป็นเมิ่งชิวเหลียนก็หมายความว่าเขาต้องโกหกไปตลอดชีวิต แทนคุณได้ แต่ไม่มีวันเป็นตัวของตัวเอง ..ซุนซีเพิ่งจะเข้าใจความรู้สึกน้องสาวเอาก็ป่านนี้

   เมิ่งชุนเถายิ้มพราย นางหลุบสายตาลงท่าทีผ่อนคลาย เอื้อมหยิบเอาลูกทับทิมแกะเมล็ดสีแดงใสรวมไว้กลางฝ่ามือ

   “ใจพี่ใหญ่ว่าอย่างไรล่ะ”



   อยู่กับเมิ่งชุนเถาเพียงไม่กี่วันก็พบว่านักเลงที่ไล่ตามเขาในเมืองหลวงคราวนั้นเป็นคนจากเสวี่ยซาน ซุนซีไม่มั่นใจนักแต่อาจเป็นกลุ่มเดียวกับที่เคยขวางเขาเอาไว้กลางทางเมื่อเริ่มออกเดินทางใหม่ๆ นักเลงเหล่านั้นไม่ยอมเปิดปากบอกว่าใครเป็นผู้บงการเบื้องหลังทั้งยังกลืนยาพิษฆ่าตัวตายเมื่อโดนจับมาสอบสวนหนักข้อ ตอนนี้ทหารยังออกไล่ตามล่าคนที่หนีรอดไปได้อยู่หวังว่าจะได้เบาะแสเพิ่มเติม

   คนท้องเดินอุ้ยอ้ายแต่ยังขยันจะไปห้องหนังสือ ซุนซีช่วยประคองแขนเมิ่งชุนเถาเหมือนตอนนางยังเล็กแล้วพันเท้าใหม่ๆ เรียกเอาความหลังในอดีตขึ้นมาพูดคุยกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า หญิงรับใช้สูงวัยที่ตามติดมาด้วยตั้งแต่บ้านเก่าลอบเล่าให้ฟังว่าสีหน้าฮูหยินใหญ่ของจวนดีขึ้นมากตั้งแต่ซุนซีมาถึง คนท้องก็เช่นนี้...ไม่ให้เหงาคิดถึงคนเก่าคนแก่ได้อย่างไร?

   วันนี้ก็มาขลุกอยู่ในห้องหนังสือ มือเมิ่งชุนเถาจับพู่กันส่วนมือซุนซีถือตำราเล่มหนานั่งกันอยู่คนละมุมห้อง นานๆ ทีจะได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษดังมาจากฟากใดฟากหนึ่ง

   ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่จนสาวใช้มาเอ่ยเรียกเมิ่งชุนเถาที่หน้าประตู นางละมือจากงานตรงหน้า เงยขึ้นเอ่ยอนุญาตให้ฝ่ายนั้นเข้ามาได้ สาวใช้เดินมาก้มกระซิบข้างหูเจ้าของบ้านก่อนจะถอยออกไปเมื่อผู้เป็นนายพยักหน้ารับรู้ คนท้องวางพู่กันลงก่อนหันไปรินชาจากกาข้างเคียง เป่าชาในถ้วย ละเลียดจิบแช่มช้าก่อนพักกัดขนมเปี๊ยะดอกไม้อีกคำแล้วถึงซดชาอุ่นส่วนที่เหลือ ทั้งหมดทั้งมวลกินเวลาเกือบหนึ่งก้านธูป กว่านางจะหันมาทางซุนซี

   “มีคนมาหาพี่ใหญ่ รออยู่ที่ศาลาสระบัว” เมิ่งชุนเถาพูดเรียบๆ ดวงหน้าซุนซีฉายแววฉงนแทนคำถามว่าใครกัน? คนเป็นน้องสาวเห็นแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ “เอ้า นั่งทำอะไรอยู่ คนมาตั้งไกลจะให้เขารอพี่ได้หรือ รีบไปได้แล้ว”

   ซุนซีเถียงไม่ออกให้เขาไปเขาก็รีบลุกไป ดูเอาเถอะน้องสาวคนนี้ มาว่าเขาช้าแต่ตัวเองดื่มชากินขนมอยู่นานสองนานไม่ยอมพูด!

   สาวเท้าให้ไวอีกสักหน่อยคงไปถึงที่หมายเร็วขึ้น ซุนซีมาอยู่บ้านเมิ่งชุนเถานานพอจะจำทางได้หมดแล้ว หลังสวนหินจะเป็นทางไปสู่สระดอกบัวสระใหญ่มีศาลาตั้งตระหง่านอยู่กลางน้ำ เพียงไม่นานสองเท้าก็พาเขามาถึงที่ มองไปไกลๆ เห็นแผ่นหลังกลุ่มคนสามคนบ้างยืนบ้างนั่งอยู่ในศาลา

   เห็นเค้าลางว่าเป็นบุรุษหัวใจซุนซีก็เต้นระรัว ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ซีกหน้าคนที่นั่งในศาลายิ่งดูคลับคล้ายคนที่เขารู้จักดี

   เจ้าเมืองหนุ่มลุกขึ้นทันที ใบหน้ายังคงนิ่งขรึมอย่างที่เขาคุ้นเคยจ้องตรงมาที่ซุนซีด้วยดวงตาเป็นประกายระยับ มันสวยงามราวกับรวบรวมดวงดาวน้อยใหญ่ไว้ คนถูกจ้องเม้มริมฝีปากโดยไม่ทันรู้ตัว ความรู้สึกบางอย่างเอ่อล้นอยู่ข้างใน ทหารอีกคนที่ติดตามมาด้วยแสดงอาการตกใจยกเว้นก็แต่ซิ่วหมินที่ยังตีสีหน้านิ่งได้อย่างเก่า

   เขาคิดอยากกลับหลังหันเดินไปจากตรงนี้แต่ทำไม่ได้ ก้าวย่างหนักอึ้งขึ้นทุกที

   ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ชายร่างสูงใหญ่ก้าวลงจากศาลาตรงดิ่งมาจับแขนเขาไว้ แรงบีบไม่มากแต่กลับทำหน้าที่เสมือนคีมเหล็กไม่ให้เขาหนี อวี้จินอ้าปากจะพูดก่อนหุบลงอย่างเก่า อ้ำๆ อึ้งๆ ผิดนิสัยอยู่เนิ่นนาน

   “...ชิวเหลียน” สุดท้ายก็เปล่งออกมาได้เพียงคำคำหนึ่ง เนื้อเสียงแสดงแววอาทรชัดเจนจนซุนซีรู้สึกปวดใจ

   “ปล่อยข้าเถอะ”

   ซุนซีพยายามดึงแขนออกจากการจับกุมแต่ไม่เป็นผล อวี้จินยืนนิ่งเหมือนหินผาเอาแต่จ้องเขาไม่ละ ผิดกับตัวเขาเองที่เอาแต่มองเลี่ยงไปทางอื่น

   อวี้จินกล่าวน้ำเสียงราวหัวใจสลาย “เจ้าจะหนีไปถึงเมื่อไหร่”

   เพียงคำเดียวสามารถเรียกสายตาซุนซีให้เงยขึ้นสบประสาน ความรู้สึกหวั่นไหวปรากฏชัดอยู่ในแววตาเขาและดูเหมือนอีกฝ่ายจะเห็นได้ชัดเจน อวี้จินสวมกอดเขาไว้ในอ้อมอกกว้าง ไม่มีปริปากพร่ำคำพูดใดๆ เพื่อขอให้ตอบในสิ่งที่ซุนซีก็รู้แก่ใจมาตลอด

   ซุนซีพูดเสียงเบาหวิว “ท่านรู้เรื่องข้าตั้งแต่ตอนไหน...”

   “มันไม่สำคัญ” อวี้จินกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น “ข้าให้อภัยเจ้าทุกอย่าง เจ้าจะให้อภัยตัวเองไม่ได้เลยหรือ?”

   ฝ่ายถูกกอดพยายามดันอกให้ถอยแต่ไม่เป็นผล อวี้จินกอดอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานซุกหน้าลงอิงแอบแนบแก้มอยู่กับเรือนผมซุนซีอย่างกับกลัวว่าเขาจะวิ่งหนีไปทันทีที่คลายอ้อมกอด นายทหารที่มาด้วยสองนายหันหลังให้โดยไม่ต้องรอรับคำสั่ง

   “ปล่อยข้าได้แล้ว ...ข้าไม่หนีไปไหนทั้งนั้น”

   ทิ้งระยะอยู่พักใหญ่กว่าอวี้จินจะยอมปล่อยชายร่างเล็กจากอ้อมอก ซุนซีเม้มริมฝีปากแน่นดวงตาเสลงมองอยู่กับอกกว้าง อวี้จินกระแอมไอครั้งหนึ่งให้กับคนที่แอบหันมามอง ผิดกับแผ่นหลังของซิ่วหมินที่ยังตั้งตระหง่านอยู่อย่างนั้น

   ซุนซีถอยออกมาก้าวหนึ่งเว้นระยะจากอวี้จิน ถึงให้อภัยแล้วแต่ปากเขายังพร่ำคำขอโทษอยู่ นานจนอวี้จินเอื้อมมือมาจับมือเขาบีบเอาไว้แทนคำกล่าวว่าไม่เป็นไร ซุนซีเงยขึ้นมองหน้าชายร่างสูงใหญ่ มองนิ่งราวกับจะค้นไปถึงเบื้องหลังดวงตากระจ่างใสคู่นั้น

   “ข้ามีเรื่องจำเป็นต้องบอกท่านเรื่องหนึ่ง ข้าทำสำเนาหลักฐานให้เสนาบดีไป๋ดูเรียบร้อยแล้ว เขาสัญญาว่าจะช่วยท่านจัดการจ้าวลี่จวิน ขอแค่ท่านเอาหลักฐานให้เขาส่งกับผู้ตรวจการ เท่านี้จ้าวลี่จวินไม่พ้นโทษกบฏแน่”

   “หมายความว่าอย่างไร”

   “...ขอโทษที่ข้าบุ่มบ่ามทำโดยไม่ปรึกษา แต่นี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าทำให้ท่านได้”

   “เจ้าไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้” อวี้จินว่า ในตาฉายแววกังวลอยู่หลายส่วน

   ซุนซีส่ายศีรษะ “หากช่วยท่านได้เพียงสักนิดข้าก็ยินดีเสี่ยง เพื่อตอบแทนบุญคุณท่านแล้วให้ทำอะไรข้าก็ยอม”

   “เช่นนั้นก็กลับไปด้วยกัน” มืออบอุ่นที่กุมมือเขาอยู่กระชับบีบเพียงผะแผ่ว “...กลับไปบ้าน”

   คนฟังฟังแล้วนิ่งไป สีหน้าลำบากใจจะปิดก็ปิดไม่มิด ค่อยๆ คลายมือที่จับอยู่หลวมๆ ออกก่อนจะลดลงข้างตัว ซุนซีหลุบตาลงมองพื้น...เงียบไปนานกว่าจะเอ่ยปากอีกครั้ง

   “วาสนาเราคงมากันได้เท่านี้”

   ถึงโหยหาแต่ไม่มีอะไรให้กลับไปเยือนอีกแล้ว สถานะเมิ่งชิวเหลียนสมควรตายไปตั้งแต่เขาขึ้นม้าหลบออกจากเรือน ซุนซีตัดสินใจไว้แน่วแน่แล้วว่าจะไม่กลับไป ถึงต้องฉีกทึ้งหัวใจของตัวเองก็จะไม่ทำอย่างนั้น

   อวี้จินตั้งท่าคล้ายอยากจะถามอีกครั้งแต่ก็ข่มตาปิดลง เนิ่นนานกว่าจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง “ข้าเข้าใจ เช่นนั้นต่อแต่นี้ก็ขอให้เจ้าพบแต่ความสุข”

   “เช่นกัน...ท่านอวี้”

   ประโยคเรียบง่ายแต่ทำเอาซุนซีรู้สึกราวจะขาดใจ เขากุมมือตัวเองไว้แน่น กลัวเหลือเกินว่าถ้าเผลอสักนิดจะคว้าแขนชายที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้

   เสียงฝีเท้าหนักๆ สามคู่ไกลห่างออกไป ท่านเจ้าเมืองเดินนำทหารทั้งสองนายไปจากศาลาแล้ว ทิ้งแต่ซุนซีที่ยังยืนอยู่ตรงนั้น

   ภาพแผ่นหลังกว้างทว่าอ้างว้างเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาเห็น



   เมิ่งชุนเถาวางถ้วยชาลงกับโต๊ะ ใบหน้างดงามแม้ดูเรียบเย็นดุจธารน้ำใสแต่ในดวงตานั้นฉายแววไม่พอใจ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินจากปากซุนซีว่าเขาปฏิเสธจะกลับไปกับท่านเจ้าเมือง

   “พี่ใหญ่คิดดีแล้วหรือ”

   “ข้าคิดดีแล้วเสี่ยวเถา หากกลับไปก็ต้องไปเป็นเมิ่งชิวเหลียน ข้าคงทนโกหกต่อไปไม่ได้”

   เมิ่งชุนเถาพ่นลมหายใจ “ท่านกำลังปดข้า ไม่กลับไปใช่ว่าต้องตัดขาด”

   คนเป็นพี่ชายเม้มปาก เงียบอยู่นานถึงได้ยอมรับ “...ใช่ เจ้าพูดถูก ข้าแค่เป็นคนเห็นแก่ตัวเท่านั้น”

   “อย่างไรหรือที่เรียกว่าเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ว่าพี่ใหญ่ทำเช่นนี้ก็เพื่อท่านอวี้หรอกหรือ แล้วพี่ใหญ่ได้ถามเขาสักคำไหมว่าเขาต้องการให้พี่ใหญ่ทำอย่างนี้หรือไม่ นี่ใช่สิ่งที่เขาต้องการหรอกหรือ?”

   ซุนซีส่ายศีรษะ ทำเพียงก้มหน้ามองมือตัวเอง นิ้วโป้งบดทับกันไปมาอยู่ในความเงียบ

   “ก็เพราะพี่ใหญ่เป็นอย่างนี้พวกเราพี่น้องถึงได้ห่วงนัก ท่านไม่ทำอะไรให้ตัวเอง เอาแต่คิดเผื่อคนอื่นอยู่ตลอดเวลา” เมิ่งชุนเถาพูดอย่างหมดความอดทน “รู้ไหมว่าความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเสียสละมากน้อย แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พี่ใหญ่จะสามารถคว้าเอาไว้ได้ต่างหาก”

   “...” ซุนซีเงยขึ้นมองน้องสาว ดวงตาคล้ายรวมทุกความรู้สึกเอาไว้จนยากจะเอ่ย

   คนท้องถอนใจยาว “ท่านมีเวลาคิดอีกคืนเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้เช้าเจ้าเมืองอวี้จะเดินทางกลับเสวี่ยซานแล้ว จากนี้พี่ใหญ่จะไม่ได้เจอเขาอีก ท่านก็ตัดสินใจเอาเองแล้วกัน”

   ซุนซีใช้เวลาทั้งคืนไปกับการนอนคิดเรื่องนี้ ภาพที่เคยอยู่ร่วมกันฉายอยู่ในหัวของเขาคล้ายเรื่องเล่าเรื่องยาว คืนวันที่ได้อยู่กับอวี้จินนั้นสุขสงบเหมือนฝันที่เช่นไรก็ไม่อยากจะตื่นมาพบความเป็นจริง

   ใจเขาเพียงขอแค่ได้เห็นหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก็ยังดี

   ซุนซีตัดสินใจได้เมื่อใกล้เข้ายามสาย สีหน้าของเมิ่งชุนเถาดูโล่งนักเมื่อเห็นเขาขอยืมม้าไปตัวหนึ่ง ...ทว่าโรงเตี๊ยมที่อวี้จินพักบอกว่าเขาจากไปใกล้ครึ่งชั่วยามแล้ว ป่านนี้คงเดินทางออกถึงชานเมือง

   เขาควบม้าไปตามทางไล่หลังขบวนเล็กๆ ของอวี้จิน เมื่อพ้นตัวเมืองก็ตัดสินใจออกนอกเส้นทางหลักเพื่อร่นระยะให้ไปดักหน้าอีกฝ่ายได้ไวขึ้น เขาเพียงปรารถนาจะมองอยู่ไกลๆ คอยส่งคนที่ตนรักเท่านั้น ไม่ได้หวังจะตามไปเพื่อเยื้อให้อยู่ต่อหรือขอกลับไปด้วย มันเป็นเพียงความเห็นแก่ตัวเล็กๆ น้อยๆ ที่อยากส่งอวี้จินเป็นครั้งสุดท้าย

   ไม่คิดว่าเมื่อดักหน้ามาถึงเนินที่เห็นเส้นทางทอดไกลจะพบว่าเรื่องไม่คาดฝันกำลังรออยู่

   เสียงโลหะปะทะโลหะแว่วดังมาแต่ไกล ซุนซีชะลอม้าแล้วค่อยๆ ควบพาอาชาคู่ใจเดินไปตามเนิน เมื่อมองลงไปจึงพบกลุ่มคนสองกลุ่มกำลังต่อสู้กันถึงชีวิต ฝ่ายหนึ่งเป็นชาวบ้านนับสิบอาวุธครบมือท่าทางเหมือนนักฆ่า อีกฝ่ายเป็นอวี้จินกับลูกน้องเพียงสองคนที่ตกอยู่ในวงล้อมแหฟ้าตาข่ายดิน  ดูอย่างไรก็เสียเปรียบกว่ากันมาก

   ซุนซีห้อตะบึงม้ากลับไปที่เมืองแล้วเรียกนายทหารประจำประตูเมืองให้ตามตนออกไป ด้วยความใจร้อนก็ไม่ได้รอทหารไปพร้อมกันแต่ควบม้ากลับทางเดิมเสียก่อน เสียงตะโกนเรียกไล่หลังทว่าเขาไม่นึกสนใจ ควบจนสุดฝีเท้ากลับไปตามเส้นทางสายหลัก

   เมื่อเข้าใกล้จนได้ยินเสียงการต่อสู้เขาก็กระโดดลงจากหลังม้าแล้วย่อตัวคลานเข้าไปในพงรกชัฏข้างทาง เมื่อก้าวเข้าไปได้ระยะหนึ่งที่เห็นการต่อสู้ชัดเจนแล้วจึงหมอบรอจังหวะ

   ลำพังกำลังรบของคนแค่สามคนจะไปสู้คนร้ายนับสิบได้อย่างไร แม้ว่าจะสังหารนักฆ่าไปได้บ้างแล้วแต่สภาพของฝั่งอวี้จินนั้นแทบดูไม่ได้ บาดแผลมีเลือดซึมไหลชโลมกาย เสียงหอบหายใจดูอ่อนล้าเต็มทน

   ระหว่างที่ต่างฝ่ายต่างโรมรันฟันแทงโดยไม่ได้สังเกตรอบๆ ซุนซีก็คลานออกมาคว้าเอาดาบเล่มหนึ่งจากศพนักฆ่าขึ้นถือ แม้มือจะสั่นเทาแต่พยายามกดความกลัวไว้ด้วยการกัดริมฝีปากแน่น จังหวะที่นักฆ่าคนหนึ่งกำลังเงื้อดาบฟันอวี้จินจากด้านหลังซุนซีก็เข้าไปแทงหลังชายคนนั้นล้มลง เมื่อใช้เท้ายันร่างเพื่อดึงดาบออกเลือดก็พุ่งขึ้นเป็นสาย

   อวี้จินเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใครก็ตีฝ่าวงล้อมเข้าไปหาซุนซี สีหน้าเคร่งเครียดกับแววตาห่วงใยทำเอาใจกระตุกวูบ “รีบหนีไปซะ” ฝ่ายนั้นกดเสียงต่ำคล้ายคำราม

   “ข้าไม่หนี!” ซุนซีค้านเสียงดัง “อีกเดี๋ยวทหารก็จะตามมาแล้ว ข้าจะช่วยท่านต้านเอาไว้ก่อน”

   ซุนซีเคยเรียนวิชามาบ้างแม้จะนานมาแล้วและได้เรียนแค่พื้นฐาน ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็เป็นการสังหารคนครั้งแรกในชีวิต สองมือสั่นเทาจับดาบเอาไว้มั่นไม่ยอมปล่อย ตั้งท่ารอรับการโจมตีระหว่างเอาหลังชนกับอวี้จินคอยระแวดระวังให้

   นายทหารที่มาด้วยกันสภาพสะบักสะบอมนัก ตามเนื้อตัวมีรอยฟันเลือดอาบท่วมแต่ยังพอมีแรงจะตีวงแคบเข้ามาช่วยป้องกันได้อีกแรง ซิ่วหมิ่นเองก็ถอยจากการประมือกับคนร้ายเข้ามาใกล้เช่นกัน

   นายทหารที่ซุนซีไม่คุ้นหน้ามองมาอย่างเป็นกังวลสุดใจ รับแรงปะทะดาบอีกครั้งก่อนจะเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ปากก็ตะโกนถามไปด้วย “ฮูหยิน ท่านมาทำไ--”

   ดวงตานายทหารเบิกกว้าง คำพูดหยุดค้างแต่เพียงเท่านั้นก่อนร่างจะล้มลงแน่นิ่ง เบื้องหลังมีชายคนหนึ่งยืนถือดาบเปื้อนโลหิตแดงฉาน

   ซิ่วหมินพูดเสียงเบาราวกระซิบ “ท่านไม่ควรมาเลย...”

   อวี้จินผลักซุนซีไปให้พ้นทางระหว่างเบี่ยงหลบคมดาบคนทรยศที่ฟันเข้าต้นแขน เสียงผ้าฉีกและริ้วเลือดสีแดงขึ้นเป็นทางยาว

   เป็นซิ่วหมินที่หันคมดาบใส่ผู้เป็นนายตัวเอง โบราณว่ามนุษย์ยอมตายเพื่อเงินตราเช่นนกที่ยอมตายเพื่ออาหาร  ทว่าชายตรงหน้านัยน์ตากลับสุมด้วยไฟแค้นเป็นเพลิงกัลป์ลุกโชติ ปีศาจผู้นี้ไม่มีเค้าแววของชายที่ทุกคนเคยรู้จัก ใครเล่าจะคิดว่าสุนัขที่ครั้งหนึ่งเคยซื่อสัตย์จะแว้งกัดเจ้าของ

   ฝ่ายที่เคยอยู่ฟากเดียวกันกลับคิดทรยศในชั่วพริบตา “จะโทษใครก็ให้โทษตัวท่าน!” ซิ่วหมินประกาศกร้าว ระรัวฟันดาบเข้าใส่ฝ่ายที่ได้แต่หลบพลางเอาตัวกันคนที่อยู่ข้างหลัง

   ซุนซีหน้าซีด ปัดป้องเอาดาบจากนักฆ่าที่โรมรันเข้ามาอีกครั้ง มือที่ชุมด้วยเหงื่อและเลือดชาดิกแต่ไม่ยังยอมปล่อยอาวุธ ฝ่ายอวี้จินสวนกลับไว้ได้ทันจังหวะโต้กลับดาบที่ฟาดสวนมาของซิ่วหมินนับว่ารอดไปได้หวุดหวิด

   เสียงดาบกระทบกันดังน่าหวาดหวั่น ซุนซีแทบไม่เหลือเวลาให้ตะลึงงัน ในหัวได้แต่คิดว่าเกิดอะไรขึ้นซิ่วหมินที่แสนดีคนนั้นถึงได้กลับกลายเป็นชายกระหายเลือดในเวลานี้

   กลุ่มชายในชุดทหารที่เพิ่งตามมาถึงกรูกันเข้ามาประดาบกับฝ่ายคนร้าย เสียงคมมีดเถือเนื้อดังพร้อมเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของร่างที่ล้มลงกองระเนระนาด เหลือเพียงแต่ซิ่วหมิ่นที่เอาแต่จู่โจมอวี้จินคล้ายไม่เห็นสิ่งอื่นอยู่ในสายตา เป็นใครก็ไม่อาจเข้าไปขวางการต่อสู้ระหว่างคนทั้งสองได้

   ดาบปะทะดาบอยู่ไม่นานฝ่ายหนึ่งก็เพลี่ยงพล้ำ อาวุธหลุดจากมือซิ่วหมินโลหิตไหลจากข้อมือ อวี้จินตวัดดาบจ่อคอชายผู้แปรพรรคไว้พลางมองด้วยสายตาเย็นชา บรรยากาศกดดันหนักอึ้งจนยากจะหายใจได้คล่อง

   “ทั้งหมดเป็นเพราะท่าน!” ซิ่วหมินแผดเสียง

   อวี้จินยืนนิ่งปราศจากคำถาม เขาเพียงแต่ยืนมองและใช้ความเงียบเค้นเอาความจากอีกฝ่าย

   “เป็นเพราะท่านจ้าวลี่เฟิงถึงได้ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือข้า ท่านไม่มีวันรู้ว่าข้าต้องทนทุกข์นานเท่าไหร่กว่าจ้าวลี่เฟิงจะยอมรับข้าอีกครั้ง! แต่เพราะท่าน เพราะท่าน! ท่านขัดขวางเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าไม่ใช่เพราะท่านแม่กับพี่สาวข้าก็ไม่ต้องตาย!”

   “จ้าวลี่เฟิงหลอกใช้เจ้า เขาไม่คิดจะช่วยแม่กับพี่สาวเจ้าตั้งแต่แรกแล้ว”

   “ท่านจะรู้ได้อย่างไร! แม้แต่ท่านที่ข้าคอยรับใช้มาตลอดก็ไม่คิดจะเหลียวแลพวกนาง ปล่อยให้ครอบครัวของข้าตายไปต่อหน้าต่อตา–”

   ซุนซีแย้งขัดขึ้นมา “พวกเขาพยายามเต็มที่แล้วอาซิ่ว แต่รักษาชีวิตแม่กับพี่สาวเจ้าไว้ไม่ได้จริงๆ”

   “หุบปาก” สัตว์ร้ายนามซิ่วหมิ่นคำราม “ท่านจะไปรู้อะไร? พยายามเต็มที่อย่างนั้นหรือ น่าขัน พยายามเต็มที่แล้วจะปล่อยให้แม่กับพี่สาวข้าตายโดยลำพังที่กระท่อมหรือ รักษาเต็มที่แล้วแล้วจะปล่อยให้พวกนางตายโดยขาดยาหรือ?! ท่านรู้ไหมว่าพวกเขาพูดว่าอย่างไร ก็แค่คำปลอบใจไม่มีราคากับเงินจำนวนหนึ่งมาทดแทนชีวิตที่เสียไป พวกเขาไม่รู้หรือว่าไม่มีใครหรืออะไรทดแทนพวกนางได้ทั้งนั้น ทั้งชีวิตของข้าข้าไม่เหลือใครแล้ว เงินฝังศพมันจะไปมีประโยชน์อะไรถ้าเอาชีวิตแม่ข้าพี่สาวข้ากลับมาไม่ได้”

   เสียงซุนซีเหมือนคนจะขาดใจ “เจ้ายังมีอ่ายซวน มีไต้เท้า มีเพื่อน ...มีข้าที่เห็นเจ้าเป็นครอบครัวอยู่นะอาซิ่ว”

   ซิ่วหมินหัวเราะขื่น สถานการณ์ตกอยู่ในการควบคุมเว้นก็แต่การเจรจากับซิ่วหมิ่นที่ยิ่งเลวร้ายลงทุกที ซีกหน้าของอวี้จินดูทะมึนนัก กรามกัดจนขึ้นเป็นสัน แม้แต่คำพูดเดียวก็ไม่หลุดออกจากปาก

   อดีตนายทหารเงยมองหน้าอดีตนายตัวเอง ธารอารมณ์ในดวงตาเขาราวกับสัญญาณบอกว่ามันสายเกินไปแล้ว

   คำพูดสวยหรูจะไปช่วยอะไร

   “ข้าไม่มีอะไรให้เสียอีกแล้ว ถ้าจ้าวลี่จวินต้องเข้าคุกท่านเองก็อย่าอยู่เลย”

   ดาบเฉือนข้างลำคอซิ่วหมินขณะเขารวบรวมลมปราณไว้ที่ฝ่ามือ จังหวะนั้นซุนซีใช้เรี่ยวแรงที่เหลือกระโจนไปขวางหน้าอวี้จินไว้ เสียงดังตุบใหญ่เมื่อมือกระแทกเข้ากลางอก ซัดเพียงฝ่ามือเดียวซุนซีก็ผงะถอยก่อนล้มลงทั้งยืน เป็นจังหวะเดียวกับที่ดาบสะบัดแทงขั้วหัวใจซิ่วหมินจนสุนัขคลั่งทรุดลงข้างกัน

   ความรู้สึกปวดแปลบแล่นไปทั่วร่างกายจากจุดที่โดนฝ่ามือนั้น มันแสบร้าวราวกับโดนนาบด้วยเหล็กเผาไฟ แน่นและจุกจนพูดไม่ออก เขาได้แต่ส่งเสียงเช่นสัตว์บาดเจ็บไม่เป็นภาษา หูอื้ออึงแทบไม่ได้ยินเสียงอันใด ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ภาพท้องฟ้าถึงได้ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าเป็นกังวลของอวี้จิน

   ซุนซีหายใจติดขัด รู้สึกเช่นถูกกระแทกทับด้วยหินหนัก มือคว้าปะป่ายจับตัวคนที่พยุงเขาขึ้นสู่อ้อมกอด อวี้จินเรียกชื่อเขาด้วยสำเนียงทุ้มหนักคุ้นหู ชิวเหลียน...ชิวเหลียน... เรียกซ้ำๆ เสมือนว่ากลัวเจ้าของชื่อจะหายไป

   เขากลั้นใจกดความเจ็บเอาไว้ พยายามตอบกลับด้วยเสียงขาดหาย “...ท่าน...เป็นอะไรหรือไม่”

   คิ้วดาบของอวี้จินขมวดกันเป็นปมแน่น “ไม่เป็นไรแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว” ซุนซีรู้สึกได้ว่าถูกเกลี่ยผมปรกหน้าออก ฝ่ามือนั้นขยับปัดด้วยปลายนิ้วอย่างทะนุถนอม แต่ความรู้สึกละเอียดอ่อนก็ถูกกลบด้วยความเจ็บที่ยังแล่นอยู่ทั่ว

   “ข้ายังมีเรื่องต้องบอกท่านอีก...”

   “อย่าเพิ่งพูด”

   “ข้ากลัว...กลัวว่าจะไม่ได้บอกท่าน” ซุนซีเค้นเสียงเอ่ยทีละคำ “ชาติหน้า...หากมีวาสนาคงได้คู่กัน... ข้าคงได้เป็นข้าไม่ใช่ซ่อนอยู่ในเงาของใคร...เป็นข้าที่ท่านรักตอบได้...โดยไม่ต้องรู้สึกอายสายตาผู้อื่น...”

   “ข้าผิดที่ขจัดความกลัวในใจเจ้าไม่ได้...แต่ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไป” อวี้จินว่าด้วยเนื้อเสียงคล้ายจะขาดใจ น้ำตาหยดโตร่วงลงเปื้อนแก้มซุนซี

   คนในอ้อมแขนหัวเราะเสียงค่อย “อย่าร้องไห้เลย.. น้ำตาไม่เหมาะกับท่านสักนิด”

   ซุนซีคิดเสมอหากไม่เป็นชาย ก็ต้องเป็นหญิง แท้จริงความรักใช่สิ่งที่สามารถตราเป็นกฎได้หรือ? ในเมื่อมันเกิดแต่ความรู้สึกที่คนผู้หนึ่งมอบแด่อีกคน มิได้มีวัย มิได้มีระยะทาง และมิได้ถูกขวางกั้นด้วยกำแพงแบ่งเพศ ชายหนุ่มติดบ่วงความคิดมาแสนนาน ทว่าตัวเขาในยามนี้เติบโตขึ้นมากพอจะกล่าวแต่ตนเองในอดีตว่าเด็กชายคนนั้นมิใช่โง่เขลา เพียงแต่ถูกครอบเอาไว้ด้วยความกลัวในสิ่งที่ต่างจากโลกอันคุ้นชิน

   ซุนซีมองชายตรงหน้าด้วยตาพร่าปริ่มน้ำหยดใส มือสั่นเทาคู่นั้นคว้ามือกร้านกระด้างเอาไว้มั่น อีกฝ่ามืออุ่นประกบทาบเรียวนิ้วข้อผอม รอยยิ้มหายากปรากฏขึ้นบนใบหน้าอวี้จิน อ่อนละมุนยิ่งกว่าแดดอุ่นในวสันต์ยามเช้า

   “อยู่กับข้า คราวนี้ข้าจะไม่ปล่อยมือเจ้าอีกแล้ว"

   มือที่กอบกุมไว้อุ่นเหลือเกิน คนในอ้อมกอดปรือตาลงทีละน้อย...ก่อนภาพทุกอย่างจะมืดดับไปพร้อมเสียงหวนไห้จากใครบางคน


------------------------------------------------------
ตอนหน้าบทส่งท้ายแล้วจบแล้วค่ะ เราดำเนินเรื่องไวไปมั้ยบอกได้นะคะ YvY
วิบากกรรมซุนซีหมดแล้วค่ะ สัญญาด้วยเกียรติยุวกาชาดเลย(?)

ออฟไลน์ Morake

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 53
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
มันเป็นดำเนินเรื่องที่ ช้าเหมือน “เสือชีต้า” ค่ะ //จิกตามอง   จริงๆด้วยความที่มันเป็นเรื่องราวโลกปกติและซุนซีคืออดีตคนใช้ เราเองยังคิดไม่ได้เลยว่าจะแต่งให้ยาวกว่านี้จะไปทางไหน 555 ถ้าซุนซีเกี่ยวกับราชวงศ์ก็มีเรื่องให้เล่นอีกหน่อย เท่านี้ก็กำลังดีแล้วค่ะและดีที่สุดคือ !!!   คุณแต่งจะจบแล้ววววว  ปรบมือค่าาา :katai4: :katai4: :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
จะจบแล้ว~

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทส่งท้าย

   เด็กน้อยแก้มกลมผิวขาวเหมือนก้อนแป้งวิ่งไปตามระเบียงทางเดิน ผมมวยสองลูกกระดกไหวๆ ชายกระโปรงผ้าต่วนสีสดปลิวสะบัดตามแรงเตะเท้า ในมือหอบถาดใส่ขนมดอกกุ้ยเรียงเป็นกองสูง ตั้งหน้าตั้งตาจ้ำอ้าวถึงหัวมุมไม่ทันระวังก็ชนเข้าโครมใหญ่

   มือแข็งแรงข้างหนึ่งจับไหล่เจ้าหนูไว้ไม่ให้ล้ม ถาดขนมก็ถูกแย่งลอยขึ้นสู่อากาศ เด็กหญิงเงยมองพลางลูบจมูกป้อยๆ

   "ขอโทษเจ้าค่ะซือจุน"

   อาจารย์ในชุดยาวสีขาวแสงจันทร์ เกี่ยวปอยผมระแก้มขึ้นทัดหู บนใบหน้าว่าปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนแล้ว ดวงตาสีนิลกระจ่างฉายแววอ่อนโยนยิ่งกว่า “เจ้ารีบร้อนไปไหนหรือ เหวยซือไปส่งดีไหม?”

   เด็กน้อยพยักหน้าระรัว ยิ้มกว้างเสียจนแก้มยกขึ้นเป็นลูก กึ่งวิ่งกึ่งเดินพาอาจารย์ไปตามทาง

   กลิ่นดอกส้มหอมจางอวลทั่ว ใบไม้แห้งร่วงปลิวเกลื่อนทางเดินริมสวน แดดทอลอดใบเขียวส่องลงมาเป็นจุดแสงเล็กๆ เคลื่อนอยู่เต็มพื้น รองเท้าคู่หนึ่งเล็กคู่หนึ่งใหญ่ก้าวไปตามทางเดินใต้ร่มหลังคากระเบื้อง ลมพัดเอาแพรผมยาวรวบลวกๆ พลิ้วสยายอยู่บนแผ่นหลังเล็กของบุรุษตัวจ้อย

   เสียงพูดคุยแว่วตามลมมาจากห้องในเรือนใหญ่ เจ้าเด็กน้อยลดฝีเท้าลงหันมารอคนตาม ใกล้ถึงที่อาจารย์ค่อยส่งถาดใส่ขนมคืนให้นางถือเอาไว้ แม่หนูย่องฝีเท้าเงียบเชียบไปแอบมองที่กรอบประตู

   “ไน่ไน่มาหาแม่เร็ว” หญิงสาวในห้องเอ่ยเรียก เจ้าหนูน้อยเดินต้วมเตี้ยมเข้าไปส่งของ ตามหลังด้วยอาจารย์ในชุดบัณฑิตตัวยาว “ท่านจอหงวนมาถึงเมื่อไหร่กัน?”

   ชายตัวเล็กยืนค้างหน้าแดงก่ำ “ช่วยหยุดเรียกข้าอย่างนั้นสักที ตงฮูหยิน”

   ฝ่ายอาตงฟังแล้วขนลุกเกรียวจนตัวสั่น นางอุ้มแม่หนูน้อยมานั่งตักปากก็ว่าไปเรื่อย “พูดใหม่อีกทีสิอาซุน เรียกข้าว่า ‘ตงฮูหยินผู้งดงามและมีสามีที่เทิดทูนนางยิ่งกว่าใคร’ อีกสักที”

   พูดได้ไม่อายลูก สายตาซุนซีสื่อความอย่างนั้น ครู่เดียวต่างฝ่ายต่างหัวเราะร่วน อายุเปลี่ยน ฐานะเปลี่ยน นิสัยไม่เคยเปลี่ยน

   เงาของใครอีกคนทอดยาวอยู่บนพื้นหน้าประตูห้อง ลมโชยให้เห็นเสื้อตัวยาวสะบัดอยู่ไหวๆ ถุงเงินลายไผ่ที่เย็บจากผ้าเก่าๆ หน้าตาเหมือนกันสองใบห้อยอยู่กับเอวชายคนนั้น ซุนซีหันกลับไปมอง พลันรอยยิ้มราวดอกทานตะวันบานสะพรั่งจึงฉายบนใบหน้า

   ตงเซี่ยงจูลอบมองใบหน้าเพื่อน นางยิ้มหวานจนตาเรียวเป็นเสี้ยวจันทร์ระหว่างค่อยๆ ถัดตัวผุดลุก “ท่านอวี้มาแล้ว พอดีเลย อยู่เป็นเพื่อนอาซุนหน่อยเถอะ ข้าว่าจะพาเสี่ยวไน่ไปเดินเล่นสักหน่อย – หนูจะไปกับแม่ใช่ไหมไน่ไน่”

   เด็กน้อยเดินเตาะแตะไปกอดขามารดาไว้ พอยื่นมือให้จับมือจ้ำม่ำข้อนิ้วอวบก็จับมือแม่ของนางแน่น สองแม่ลูกพากันเดินออกไปทางประตู คนเป็นมารดาไม่วายแวะยิ้มกริ่มให้ชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนรออยู่ตรงนั้น

   ซุนซีพูดกระอ้อมกระแอ้ม “เชิญท่านเข้ามาก่อนเถอะ...”

   บุรุษตัวสูงเข้ามานั่งอยู่ตรงกันข้ามซุนซี ชายหน้าขรึมคนนั้นท้าวคางกับโต๊ะ มองหน้าฝั่งตรงกันข้ามอย่างเปิดเผย ในดวงตาสีดำเช่นหยดหมึกนั้นมีดวงดาวสุกใสพราวระยับซ่อนตัวอยู่ไม่มิด

   “เอาชาหน่อยไหมขอรับ” ซุนซีว่าพลางรินให้ ยังไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายตรงๆ

   แทนที่จะรับจอกชากลับกุมมือคนรินชาไว้เสียแทน เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยหยอก “ขอเจ้าแทนได้หรือไม่?”

   ซุนซีเม้มปากหน้าแดงก่ำเป็นลูกพุทรา โต้กลับด้วยความเงียบและริมฝีปากปิดสนิท คราวนี้เรียกเสียงหัวเราะจากคนช่างแกล้ง

   “ท่านอวี้!”

   “มีอะไรหรือท่านกุนซือ ” อวี้จินว่าพลางละเอียดจิบชา หวานกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้หอมชวนให้นึกถึงเรื่องครั้งเก่า...กาลครั้งหนึ่งที่ตนยังเป็นเพียงบัณฑิตรอสอบจอหงวน

   เมื่อไม่รู้จะต่อปากต่อคำอย่างไรซุนซีก็ลุกหนี ท่านเจ้าเมืองจับมือเขาเอาไว้หลวมๆ รั้งไม่ให้ไป รอยยิ้มหวานละไมปรากฏอยู่บนใบหน้าคนยิ้มยาก

   อวี้จินพูดเสียงละมุน “อย่าโกรธเลยซุนซี อยู่กับข้าก่อนได้ไหม?”

   หายากที่ชายคนนี้จะขอร้อง นั่นทำเอาใจเขาอ่อนยวบ ซุนซีข่มกลั้นอารมณ์แสร้งถอนหายใจเฮือกโตก่อนจะกลับมานั่งที่แต่โดยดี ...ไม่รู้ว่านานเท่าใดแล้วที่เขาไม่ได้นั่งคุยด้วยกันอย่างนี้นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง งานที่ปรึกษาเจ้าเมืองเสวี่ยซานยุ่งเสมอจนแทบไม่มีเวลาให้พัก

   เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วเป็นสุขใจ เพียงดื่มชาด้วยกันก็เพียงพอให้บทสนทนาในความเงียบถูกเติมเต็มแล้ว กับสัญญาที่เคยให้ไว้ก็ไม่ต่างกัน

   เคราะห์ดีแค่ไหนที่วันนั้นมีคนไปตามหมอเทวดาหยงฝูให้ควบม้าห้อตะบึงมาถึงเมืองหลวงได้ทัน ซุนซีหลับไปถึงเจ็ดวันเต็ม ตื่นมาอีกครั้งก็พบน้องสาวสามคนอยู่กันพร้อมพรรค เมิ่งเซี่ยเหมยกอดคอเขาร้องไห้ร่ำๆ ว่าโลกจะทลายลงต่อหน้า นางโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับครั้งสุดท้ายที่พบ ผิวก็กรำแดดขึ้นโขแม้มันจะใช้ปิดบังความงามตามวัยสาวของนางยากขึ้นทุกที

   ท่านลุงเจ้าสำนักยกโทษให้เมิ่งเซี่ยเหมยแล้ว เขาได้ข่าวว่าอวี้จินคุกเข่าขอขมาต่อพ่อแม่แทนในส่วนของนาง ฝั่งตระกูลอวี้สำนักเทียนคงหลงจึงไม่ว่าอะไรเรื่องหนีงานแต่ง ชื่อเมิ่งชิวเหลียนถูกสมอ้างว่าเสียชีวิตไปแล้วเมื่อเหตุระทึกขวัญที่เมืองหลวง ความสัมพันธ์เกี่ยวดองระหว่างสกุลอวี้กับสกุลเมิ่งจึงยังไม่สลายไป

   เป็นเรื่องน่าขันแต่ตลกไม่ออกเมื่อมู่อี๋เหนียงรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายตั้งแต่ที่จับมือกันครั้งแรก นางไม่ได้ติดใจเอาความทั้งยังบอกว่าสิ่งที่เคยพูดไปตนยังคิดเหมือนเดิม...วันนั้นซุนซีร้องไห้น้ำตาแทบถมเป็นทะเล

   ท่านลุงมอบเงินแก่ซุนซีให้เขาสอบรับราชการจนสำเร็จในระดับมณฑลและบรรจุเข้าเป็นข้าราชการขั้นเจ็ดที่เมืองเสวี่ยซาน ซุนซีไม่รู้ว่าเขาควรตอบแทนบุญคุณครั้งนี้อย่างไรนอกจากทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจจากทุกฝ่าย

   การได้อยู่กับอวี้จินอาจเป็นยิ่งกว่าพรที่เขาเคยคาดฝัน แต่การได้อยู่กับชายคนนี้ในฐานะซุนซีนั้นเป็นสิ่งที่เหนือเกินกว่าจะจินตนาการถึง

   ฤดูใบไม้ผลิหวนมาอีกคราวแล้ว คราวนี้เขาจะทำไก่ตุ๋นยาจีนให้คนที่เขารักกินบ้างจะเป็นไร?

-จบบริบูรณ์-

-------------------------------------------

จบแล้วค่าเย่ๆ /จุดพลุ
ขอบคุณที่ตามอ่านกันมาจนถึงตอนจบนะคะ ขอบคุณทุกคอมเมนต์ด้วยค่ะ ตกลงเดินเรื่องไวไปสินะแง5555555555
เผื่อใครลืมไปแล้ว ตงเซี่ยงจู คือ อาตง สาวใช้ที่โผล่มาครึ่งแรกของเรื่องนะคะ

และมาสู่ช่วงเฉลยขนมปังที่หย่อนไว้!
- ดอกเบญจมาศทับแห้งที่เจอในกล่องของคือดอกเดียวกับที่ปรากฏในบทนำค่ะ เพราะงั้นคุณชายบัณฑิตก็คือท่านเจ้าเมืองนั่นเอง
- ในบทส่งท้ายจะเห็นว่าอวี้จินห้อยถุงเงินลายไผ่หน้าตาเหมือนกันสองใบ สองใบนี้ใบแรกซุนซีเย็บให้ภูติดอกไม้ ใบที่สองเย็บให้อวี้จิน = อวี้จินก็คือคนที่แอบเอาดอกไม้มาให้
- บาตูเกล(ชาวทุ่งหญ้าที่เคยมาพักกับสกุลเมิ่ง)คืออวี้จิน จะรู้ได้จากชื่อลงท้ายจดหมาย "เมฆาเคลื่อนคล้อย" มาจากนามกร "อวี้หยุนเทา" ของอวี้จิน และทั้งสองคนชอบดื่มชามะลิ เพราะงั้นอวี้จินรู้ว่าซุนซีเป็นผู้ชายและเป็นคนที่เขียนจดหมายมาตั้งแต่ตอนนั้นค่ะ
- ไก่ตุ๋นยาจีนที่พูดถึงในประโยคสุดท้ายของบทส่งท้ายคืออาหารเมนูเดียวที่ซุนซีได้เรียนจากแม่ และเป็นอาหารที่คอยทำให้ฮูหยินแม่ของสาวๆตอนต้นเรื่อง
- อันนี้เฉลยไว้แล้วแต่โผล่มาประโยคเดียวเราขอขยายไว้เลยแล้วกันเนอะ เจ้าใบ้ที่เจอตอนอยู่ค่ายโจรคือซิ่วหมิน แต่ส่วนที่ไม่ได้บอกในเรื่องคือซิ่วหมินเอาป้ายหยกไปให้อวี้จินค่ะ ป้ายหยกเลยมาอยู่ในกล่องของอวี้จิน

น่าจะหมดแล้วล่ะ! ขอบคุณมากๆอีกครั้งนะคะ ติดตรงไหนยังไม่เคลียร์คอมเมนต์ไว้ได้เลยนะคะ
:กอด1:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ห๊ะ! จบแล้วเหรอ รวบรัดไปหรือเปล่า?

ออฟไลน์ cutelady

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ขอบคุณนักเขียน
 :pig4:

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ใจร้ายยยยย มันรวบรัดไปหน่อยนะนี่ถ้าเทียบกับบทอ้อยอิ่งที่ผ่านมา  แต่เข้าใจได้ค่ะ ยามมันตันมันก็แต่งยาก  ///จับมือผู้ร่วมชะตากรรมการตัน  :z3: :z3:

ออฟไลน์ jj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
สนุกค่ะ  ตามอ่านอย่างติดพันมาตลอดจนจบ
จบรวบรัด และหวานน้อยไปหน่อยจริงๆ 555555
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ได้อยู่ได้รักคนที่อยากรักอย่างถูกต้องตามวิถีซักทีนะซุนซี กลับมาอ่านต่อจนจบแบบยาวกันเลย 555 ยังคงความสนุก ขอบคุณนะคะที่แต่งจนจบ รอตามผลงานต่อไปนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ airicha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 856
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เราเห็นเป็นจีนโบราณเลยเข้ามาอ่าน
เพราะส่วนตัวชอบแนวนี้มากๆ
แต่เข้ามาอ่านแล้วผิดหวังนิดหน่อย
คือเนื้อเรื่องไม่ค่อยมีอะไรเลย
แถมอ้อยอิ่งมากๆเนื้อเรื่องเฉื่อยๆจนถึงฉากจบก็ตัดจบแบบรวบรัดเฉยเลย


ออฟไลน์ 末っ子

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
สำนวนเรื่องดีค่ะ อยากให้เล่าส่วนที่เป็นเฉลยใส่เข้าไปในเนื้อเรื่องมากกว่า อีกอย่างคือสรุปจบรวบรัดไปหน่อย ขอฉากหวานพระนายอีกได้ไหมมมมมม :mew3:

ออฟไลน์ JUST_M

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ดีอะ

คนเขียนมีตอนพิเศษไหมหนอ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sugarcane_aoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 301
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
นึกว่าจะเสียซุนซีไปสะแล้ว ดีจังที่ไม่เป็นอะไร แล้วสรุปน้องเล็กสุดหนีไปไหนมาอยากรู้จัง

ออฟไลน์ prympws

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ Gatjang_naka

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ Bebii123

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกมาก  :-[

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
เนื้อเรื่องเรื่อยๆดูเหมือนจะน่าเบื่อแต่ที่จริงมีเสน่ห์นะ เราอ่านมาจนจบแบบหยุดไม่ได้เลย ช่วงแรกที่น้องสาวทั่งสามเด่นคือเหมือนเป็นช่วงการเจริญเติบโตเล็กๆของซุนซีเลย แล้วก็มาเรียนรู้ชีวิตมากขึ้นหลังจากที่มาอยู่กับท่านเจ้าเมืองแล้ว เรื่องปมก็คลายได้ดีอยู่ไม่ซับซ้อน ในส่วนจบเราว่าก็จบดีแล้วนะถึงจะดูรวบรัดไปหน่อยแต่ก็เข้าใจ ส่งนหนึ่งที่น่าสนใจคือการแก้ปัญหาที่หลอกลวงคนอื่นมานี่แหละแต่ดีที่ทุกคนในเรื่องใจดีใจกว้างกันมาก ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้มากๆเลยนะคนเขียน

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9

ออฟไลน์ Gimlongdeep

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อ่านไปใจตุ้มๆต่อมๆว่าซุนซีจะเป็นอะไรไปปป น่าสงสารมากกกกตอนมาเมืองหลวงงง แค่นอิคนหลอกให้กินเหล้า แม่จะตบให้!!  แต่ตอนจบเราชอบนะถึงจะรวบรัดไป แต่เข้าใจความกลัวของน้องง ชอบที่บอกว่าได้อยุ่ในฐานะของอาซุน แง่ววววว สำนวนนักเขียน เขียนดีมากค่ะเราชอบบบ :ling1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด