พิมพ์หน้านี้ - [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Moriarty ที่ 15-11-2019 06:10:56

หัวข้อ: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 15-11-2019 06:10:56
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



***********************************************




#บุปผบุรุษ อัพทุกวันอังคาร - ศุกร์นะคะ



เรื่องที่ผ่านมา

French Holiday (จบแล้ว) - https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69514.0

LOWE You #เมนูรักคุณ - https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70218.0
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุบผบุรุษ :: บทนำ 15/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 15-11-2019 06:11:41
บทนำ


   เด็กชายในชุดกระโปรงสีสดก้มหน้าก้มตายกถาดชุดน้ำชาเดินไปตามระเบียงทอดยาว แดดลอดกรอบกำแพงปรุลายล้อแสงอยู่กับต่างหูกระเบื้องแกว่งไหวๆ ตามแรงย่ำเท้า นอกจากเสียงนกร้องยังพอได้ยินฝาปิดกาน้ำกระทบก๊องแก๊งเป็นระยะ พอดังครั้งหนึ่งปุยเมฆขาวก็ลอยออกมาจากร่องฝา ลมหอบเอากลิ่นหวานดอกหอมหมื่นลี้อบแห้งโชยมาแตะจมูก ในห่อชามีกลีบสีเหลืองทองปะปนอยู่กับบานไม่รู้โรยสีเข้มแต่ไร้กลิ่น

   ฤดูร้อนนี้ซุนซีอายุครบแปดปีแล้ว หลังจากเสียมารดาไปเมื่อสามปีก่อนเด็กชายถึงย้ายมาอยู่ที่สำนักคุ้มภัยหู่โห่ว (พยัคฆ์คำรณ) ความโชคดีที่ได้รับล้วนมาจากความกรุณาของฮูหยินเจ้าสำนักทั้งสิ้น

   ชีวิตเด็กกำพร้าในสำนักนับว่าไม่เลวร้ายเมื่อเทียบกับตอนที่อยู่บ้านรูหนูไร้ข้าวสารกรอกหม้อกับพ่อติดสุราเพียงลำพัง แต่ฐานะคนใช้ในเรือนใหญ่ไม่ว่าจะตัวเล็กหรือว่าร่างกายอ่อนแอแค่ไหนก็ต้องทำงาน คนที่สามวันดีสี่วันป่วยอย่างเขา อายุเท่านี้ฮูหยินยังเอ็นดูมากพอจะจับใส่ชุดเด็กหญิงหลอกไม่ให้สิ่งชั่วร้ายตามตัวเจอ

   ซุนซีชอบสัมผัสจากกระโปรงผ้าฝ้าย ชอบกลิ่นเครื่องหอมเวลาอยู่ใกล้พวกผู้ใหญ่ เช่นนั้นแม้จะไม่ชอบผมหน้าม้าเหนอะเหงื่อลู่ติดหน้าผาก หรือไม่ชอบเวลาเด็กวัยเดียวกันล้อว่าเขาเป็นชายไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิง เด็กชายจึงไม่เคยปริปากบ่น

   และแม้แขกของท่านลุงเจ้าสำนักจะเห็นว่าเขาเป็นเด็กผู้หญิงเข้าอีกคน ซุนซียังคงอดทนอดกลั้นได้เป็นอย่างดี

   ฝีเท้าชะลอลงเมื่อใกล้ถึงที่หมาย ประตูห้องหนังสือเปิดอ้าทั้งสองบาน คุณชายตัวสูงราวยักษ์ปักหลั่นคนนั้นยังนั่งง่วนอยู่กับตำรากองพะเนิน เด็กชายค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้ เจ้าแมวขี้สงสัยลอบมองจากริมประตู ดวงตากลมโตจ้องคนที่นานครั้งก็ยืดตัวบิดขี้เกียจ เสียงกระดูกลั่นกร๊อบฟังแล้วเสียวสันหลัง

   “คุณชาย..” เด็กน้อยลองเรียกดูครั้งหนึ่ง เมื่อคนในห้องยังไม่ตอบโต้อันใดก็สาวเท้าข้ามธรณีประตู

   ชายร่างสูงรู้ตัวแล้ว ฝ่ามือใหญ่ปิดหน้ากระดาษก่อนถัดตัวหันมาหา “น้องสาวตัวน้อยยกชามาให้พี่ชายหรือ?”

   ซุนซีมุ่ยหน้า ผงกศีรษะไวๆ ครั้งหนึ่ง เจ้าหนูรู้มารยาทมากพอจะไม่ต่อล้อต่อเถียงผู้ใหญ่ -- ข้าเป็นผู้ชาย ผู้ชาย!

   บัณฑิตตัวโตรอจนซุนซีวางถาดชุดน้ำชาลงบนโต๊ะแล้วถึงเริ่มลงมือรินน้ำลงถ้วย ตามด้วยโรยใบชาดอกไม้ลอยเหนือผิวน้ำ กลิ่นหอมเย็นฟุ้งกรุ่นกำจายแต่เด็กชายขมวดคิ้วมุ่นจ้องเขม็ง ตั้งท่าคล้ายจะพูดคล้ายจะไม่พูด เมื่อไม่มีฝ่ายใดเสวนาห้องจึงตกอยู่ในความเงียบ ห่างออกไปไกลๆ มีเสียงตะโกนฝึกพร้อมเพรียงแว่วมาตามลม คนแก่วัยกว่าตั้งท่าจะยกชาขึ้นดื่ม

   “ช้าก่อน!”

   มือเล็กชิงคว้าถ้วยไปเททิ้งนอกหน้าต่าง สิบนิ้วคล่องแคล่วตักดอกไม้อบแห้งใส่ไว้ก้นถ้วยอุ่น เด็กตัวจิ๋วจับหูกาน้ำอย่างระมัดระวังแล้วเริ่มทำเครื่องดื่มร้อนๆ ให้ใหม่อีกครั้ง รอจนน้ำเปลี่ยนเป็นสีอำพันใสค่อยกรองเอาดอกไม้ออก คราวนี้จอกกระเบื้องเคลือบยกมาให้ถึงมือบัณฑิต

   มารดาเคยกล่าวกับเขาไว้ จะให้แขกรับสิ่งใดต้องสรรเอาสิ่งที่ดีที่สุด ...แต่คงไม่ทันฉุกคิดว่าเพิ่งเสียมารยาทไป “คุณชายเชิญดื่ม” ใบหน้าน้อยๆ ฉายแววผ่อนคลายหลังขมวดขึงอยู่นานสองนาน

   บัณฑิตผู้นั้นหน้านิ่งไร้อารมณ์แต่ดวงตาเป็นประกายขบขัน กระทั่งนิ้วเรียวข้อยาวที่จับถ้วยชายังสั่นน้อยๆ อย่างคนกลั้นหัวเราะ เจ้าหนูที่คอยมองอยู่ตลอดกลับมาบึ้งตึงอีกครั้ง

   “สาวน้อยอย่าโกรธไป พี่ชายรินชาให้เจ้าบ้างดีไหม?” คุณชายเอ่ยเอาใจ

   ท่วงท่าเวลาขยับแต่ละครั้งดูงามสง่าละเมียดติดตา อวลไอหอมชาดอกหอมหมื่นลี้ยังโอบล้อมห้องหนังสืออยู่ไม่จาง ความโมโหพลันคลายลงทีละน้อย..ละน้อย..จนเมื่อชาอุ่นไหลผ่านลำคอให้รสน้ำผึ้งหวานชื่นใจติดที่ปลายลิ้น รอยยิ้มก็แย้มบานยกสองแก้มกลมเป็นลูกหมั่นโถว

   พบหน้าครั้งแรกคุณชายทรงภูมิถามชื่อ ซุนซีไม่ตอบ พบหน้าครั้งที่สองบัณฑิตผู้นั้นแบ่งขนมให้กิน ซุนซีไม่รับ แต่เมื่อชายตัวโตหน้านิ่งดุจรูปปั้นหินล่อด้วยการสอนหนังสือ ลูกปลาตัวผอมกระโจนงับเหยื่อในทันที

   ด้วยเหตุนี้หากมีเวลาว่างครั้งใดซุนซีจะกลับมานั่งอยู่กับอาคันตุกะผู้นั้น บัณฑิตที่กำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบยังมีเวลามากพอจะคัดตัวอักษรง่ายๆ ลงกระดาษให้ลองขีดตาม ในความเงียบปราศจากบทสนทนา ฝ่ายหนึ่งนั่งท่องตำรา อีกฝ่ายหนึ่งนั่งคัดอักษรอยู่ข้างกัน เด็กชายเข้าใจว่าแขกของท่านลุงมีน้องสาวอายุไล่เลี่ยกับเขาถึงได้ทำดีด้วย

   เด็กเล็กจะปฏิเสธน้ำผึ้งหวานฉ่ำได้หรือ? แม้จะรู้สึกผิดแต่ซุนซีตั้งใจไม่บอกความจริง นับแต่มารดาจากไปไม่เคยมีใครตามใจเขาได้มากเท่านี้ นิสัยเสียเริ่มเผยออกทีละน้อย นานเข้าเวลาส่วนใหญ่ก็หมดไปกับการขลุกอยู่เคียงข้างคุณชาย

   สายวันหนึ่งซุนซีก็เดินเก้ๆ กังๆ มาหยุดที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ที่ซ่อนอยู่ด้านหลังคือดอกเบญจมาศดอกโต คุณชายยิ้มให้กับเขา รออย่างใจเย็นจนกว่าเด็กตัวจ้อยจะเอ่ยปากพูด

   “ข้าเก็บได้ที่สวน” เด็กน้อยยื่นดอกไม้สดให้ ท่าทางอึกอักขัดเขิน “มะ มอบให้ท่าน”

   บัณฑิตหนุ่มหัวเราะ “มานี่ พี่ชายจะสอนอะไรเจ้า” เขาว่าพลางตบหน้าตักตัวเอง เด็กเล็กมองอย่างลังเลก่อนจะเดินช้าๆ ไปนั่งตักเขา

   คุณชายตัวสูงหยิบเอาตำราที่อ่านแล้วเล่มหนึ่งขึ้นมา เปิดหน้ากลางๆ แล้ววางดอกเบญจมาศลงไปบนนั้นก่อนจะงับหนังสือปิด ซ้อนทับมันด้วยตำราอีกหลายเล่มจนดอกไม้บี้แบน ตลอดกรรมวิธีนี้ซุนซีทำเพียงมองตามเงียบๆ ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ

   “เหตุใดท่านถึงเอาหนังสือทับดอกไม้?” เจ้าตัวเล็กถามเสียงเจื้อยแจ้ว

   “พอมันแห้งแล้วก็จะเก็บไว้ได้นานเป็นปีๆ”

   ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แต่เด็กตัวเล็กก็พยักหน้า “เช่นนั้นเอง เสร็จแล้วเอาให้ข้าดูได้หรือไม่?”

   ชายตัวสูงใหญ่หัวเราะ “ย่อมได้ แต่เจ้าต้องรอนานสักหน่อยดอกไม้ถึงจะแห้ง เจ้ารอได้ไหม”

   ซุนซีจ้องไปที่ดอกไม้ซ่อนในหน้าหนังสือปูดบวม เจ้าตัวเล็กเม้มปากก่อนจะพยักหน้าระรัว

   ขอเพียงนั่งร่วมห้อง ปราศจากคำพูดยังนึกเย็นใจ – แต่เมื่อรู้จากผู้ใหญ่คุยกันว่าอีกไม่นานคุณชายจะไม่อยู่แล้ว เด็กน้อยก็รู้สึกราวโลกคลุมด้วยหมอกหม่น ซุนซีไม่รู้ว่าตนโกรธอะไร ความรู้สึกราวได้แช่ธารน้ำใสสบายกายสูญไปเป็นปลิดทิ้ง บัดนี้แน่นในอกเหมือนมีศิลาหนักอึ้งวางทับ เพียงแค่เห็นหน้าคุณชายก็อยากอาละวาดใส่ นึกได้เมื่อใดเป็นเรียนไม่รู้เรื่องเมื่อนั้น

   แม้วันนี้ลมจะพัดโชยจนกระดิ่งลมดังใจกลับไม่เย็นลงตาม

   “ข้าทำไม่ได้ ไม่เข้าใจสักนิด” เจ้าหนูวางพู่กันร้องยอมแพ้ บนกระดาษมีแต่อักษรโย้เย้ลงน้ำหนักเยอะจนหมึกชุ่ม

   คุณชายเงยหน้าจากตำรา หยิบเอาหนังสืออีกเล่มคั่นไว้ก่อนขยับหันมาทางเด็กเจ้าปัญหาเต็มตัว “เอามาให้พี่ชายดู”

   ซุนซีหน้าคว่ำ ขยำกระดาษเอาเป็นเอาตายจนหมึกเลอะเละเทะไปทั้งมือ บัณฑิตทรงภูมิผู้นั้นยังคงมองอย่างใจเย็น นิ้วเรียวยาวหยิบเอาขนมถั่วตัดจ่อไว้ใกล้ปากเด็กน้อย รอจนเผยฟันเรียงเป็นระเบียบงับขนมเคี้ยวแก้มตุ่ย คิ้วเจ้าตัวจ้อยมุ่นผูกกันเป็นปม

   “พักกินให้หายเหนื่อยแล้วคัดหนังสือต่อ ดีไหม?”

   เด็กน้อยส่ายศีรษะท่าเดียว ดวงตากลมโตจ้องคนตัวสูงใหญ่ นิ้วมือป้อมๆ ยังชี้อยู่ที่หน้าหนังสือ “คุณชายสอนยากเกินไป สอนเรื่องที่ไม่จำเป็น”

   “...อย่างนั้นลองบอกมา เหตุใดถึงไม่จำเป็น”

   “ข้าเป็นคนรับใช้ ตำราบทกวีไม่ต้องเรียนก็ได้!”

   “หากมีความรู้จะเปลี่ยนชะตาตัวเองย่อมไม่ลำบาก อนาคตน้องสาวไม่ปรารถนาจะทำอะไรหรือ?”

   “ไม่มี ข้าไม่เคยคิดหรอก แค่ทั้งวันทำงานไม่ให้โดนตำหนิก็พอแล้ว”

   คนแก่วัยนิ่งไป สีหน้าเขาหม่นลง “อย่างน้อยมีความรู้ติดตัวไม่เสียหาย วันหนึ่งเกิดเจ้าแต่งงานมีลูก อย่างน้อยจะได้สอนลูกของเจ้า--”

   “จะสอนอย่างไรถ้าข้ามีลูกไม่ได้!” ซุนซีโพล่งขัด เมื่อยินเสียงตัวเองจากขุ่นขึ้งพลันหน้าถอดสี หางเสียงพร่าสั่นด้วยความประหม่า “...ข้า..ข้าไม่ได้ตั้งใจ..”

   ร่างเล็กๆ ยันตัวผุดยืนก่อนสองเท้าออกวิ่งสุดกำลัง หัวสมองของเขาโล่งตื้อ รู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจเมื่อเห็นภาพบิดาซ้อนทับคุณชายผู้นั้น แผ่นหลังที่เหลือเพียงรอยแผลเก่ากลับแสบแปลบขึ้นมา 

   คุณชายใจดีคนนั้นจะโกรธหรือไม่? ซุนซีไม่กล้าหันกลับไปมอง ใจดวงน้อยเต้นระรัวจนหัวหูอื้อ ตั้งมั่นแน่วแน่ว่ากล้าพูดต้องกล้ารับผล หายกลัวเมื่อใดต่อให้โดนดุด่าจะมาขอโทษ เขาจะขอเรียนหนังสือใหม่อีกครั้ง คราวนี้ต่อให้ป่วยจนต้องนอนซมก็จะมาเจอหน้าให้ได้

   ทว่าห้องหนังสือไร้วี่แววแผ่นหลังกว้างดุจขุนเขา คุณชายออกเดินทางไปแล้ว..ขึ้นรถม้าเข้าเมืองหลวงตั้งแต่เช้าตรู่ คำขอโทษที่ไม่ทันได้เอ่ยถูกเก็บกลืนลงคอ

   ปราศจากการมีอยู่ของแขกชั่วคราวคนนั้นหรือไม่ เวลาในสำนักคุ้มภัยก็ผ่านไปอีกวัน
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุบผบุรุษ :: บทนำ 15/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 15-11-2019 07:36:33
 :pig2: :pig2: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุบผบุรุษ :: บทนำ 15/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 15-11-2019 13:06:52
น่าติดตามค่าา  :pig2: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุบผบุรุษ :: บทนำ 15/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 16-11-2019 02:19:56
บทที่ 1

เข้าใบไม้ผลิ หลับไม่รู้ว่าเช้า

ทุกหนทุกแห่ง แว่วเสียงนกร้อง

กลางคืนมาเยือน ยินเสียงลมฝน

ดอกไม้ร่วงโรยไม่รู้ว่าเท่าใด

“รุ่งอรุณฤดูใบไม้ผลิ,” เมิ่งเฮ่าหราน


   แรกเข้าฤดูใบไม้ผลิหิมะก็หายไปกับเหมันต์ ดอกท้อบานสะพรั่งเป็นริ้วเมฆสีชมพูขณะใบเขียวของต้นไม้รอบลานฝึกเริ่มผลิใบแตกช่อใหม่หลังทิ้งกิ่งร้างตลอดสามเดือน อากาศเย็นกว่าที่ควรเมื่อลมแรงหอบเอาทั้งกลิ่นไม้หอมและฝุ่นดินตลบฟุ้ง ยามนี้ฟ้าเพิ่งผลัดจากสีน้ำเงินเข้มเป็นอมส้มด้วยตะวันเพิ่งขึ้นพ้นขอบฟ้า กลุ่มคนที่ยังยืนฝึกต้านลมหนาวและหยดน้ำค้างยามเช้าเปล่งเสียงพร้อมเพรียง วาดแขนยกเท้าเปลี่ยนท่าตามจังหวะแม้ไม่มีครูฝึกคอยกำกับ

   เสียงอึกทึกลอยเข้ามาถึงด้านหลังเรือนใหญ่ ลมลอดรูกรอบหน้าต่างพลันเปลี่ยนเป็นอุ่นเมื่อปะทะอากาศในครัว ไอขาวพวยพุ่งออกจากหม้อพร้อมกลิ่นเนื้ออบและเครื่องเทศฉุยอวลอยู่ในห้อง คนครัวสามชีวิตหมุนตัวทำนั่นทำนี่วุ่นวายไม่หยุด

   “ข้าจะทำกับข้าว รีบๆ ออกไปได้แล้ว” หญิงวัยกลางคนบ่นหัวเสีย มือถือมีดใหญ่หั่นผักดูรีบเร่ง

   “อีกนิดขอรับป้าหม่า”

   ฝ่ายเด็กกว่าตอบเสียงใส เงยจากเตาให้พอเห็นหน้าเปื้อนเขม่าจนดำเหลือแต่ตา เขายิ้มจนเห็นฟันขาว มือผอมจับผ้าขี้ริ้วเปิดฝาหม้อปล่อยเอาไอน้ำลอยสูง กลิ่นยาจีนตามควันฉุนคลุ้ง น้ำในหม้อเดือดปุดส่วนชิ้นเนื้อตุ๋นจนเข้าที่กับเก๋ากี้ ก็เต้นพล่านอยู่ในนั้น

   “คราวหลังก็หัดตื่นให้เช้าๆ” แม่ครัวใหญ่ยังไม่วายว่าต่อ ถัดจากหั่นก็เอาน้ำมันลงกระทะตั้งไฟแรง “แล้วนั่นรออะไร หมูสับจะใช้วันนี้ไม่ใช่วันพรุ่งนี้!”

   ผู้ช่วยร่างผอมอีกคนกุลีกุจอหอบเอาจานใส่เนื้อหมูอัดสูงจนพูนส่งให้ เสียงน้ำมันร้อนฉ่ากับควันโขมงทำเอาคนเพิ่งเดินมาเข้าครัวร้องเสียงหลง ถอยกรูดกลับไปเกาะประตูยึดเป็นที่มั่น

   ฝ่ายที่ยืนหลบอยู่หน้าประตูตะโกนถาม “อาซุน ซุปฮูหยินได้รึยัง!”

   “ซุปฮูหยินบ้านเจ้าสิอาตง! ซุปของฮูหยินไม่ใช่ซุปฮูหยิน” แม่ครัวใหญ่โวยวายอยู่หน้าเตา ดูแล้วท่าทางจะพาลเพราะกำลังรีบทำมื้อเช้าเลี้ยงคน

   “อ้าว ป้าหม่า อย่างนี้--”

   “ได้แล้วๆ” คนรับผิดชอบน้ำซุปที่ว่ารีบห้ามทัพเสียก่อน เขาจ้ำอ้าวเอาชามไก่ตุ๋นยาจีนไปให้สาวใช้ที่ยืนพิงกรอบประตูอยู่หน้าทางเข้า เจ้าตัวยิ้มกว้างอารมณ์ดีระหว่างส่งต่อชามหอมฉุยให้คนมารอ “ถือระวังร้อนนะอาตง เดี๋ยวจะตามไปทีหลัง”

   “ข้ารู้แล้ว ดูหน้าเจ้าสิอย่างกับไปคลุกขี้เถ้ามา เช็ดหน้าเช็ดตาเสียบ้าง” อาตงพูดเหนื่อยหน่าย ของถึงมือนางรีบหมุนตัววิ่งกลับทางเก่า

   ลูกมือป้าหม่าดันหลังเจ้าเด็กหน้าเลอะเขม่าดำแล้วปิดประตูไล่หลัง คนโดนเนรเทศออกจากครัวปัดมือสองสามทีก่อนใช้แขนเสื้อเช็ดคราบถ่านออกลวกๆ ระหว่างเดินฝ่าลม เหงื่อซึมตามไรผมดำขลับที่มัดรวบรุ่ยไม่เป็นทรง ดวงตาสีเดียวกันหยีลงเมื่อมองไปนอกร่มหลังคา แดดจ้าฟ้าโปร่งช่วยให้คลายหนาวแม้ไม่เท่าในห้องครัวที่อุ่นจนร้อน

   ภาพที่เห็นจนชินตาตลอดสิบสองปียังน่ามองเหมือนเก่า ลมหอบมาทั้งฝุ่นและกลิ่นดอกท้อ พัดโดนเสื้อผ้าชุ่มเหงื่อเมื่อใดก็หนาวจนต้องโอบแขนกอดตัวเอง

   “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่” สาวน้อยในชุดฝึกทะมัดทะแมงวิ่งตรงมาหา รอยยิ้มนางสว่างไสวราวดวงอาทิตย์ “พี่ใหญ่กินข้าวหรือยัง แล้ววันนี้มีอะไรกินบ้าง”

   ถ้าจะมีใครมอมแมมไปกว่าเขาคงเป็นแม่นางน้อยคนนี้ ‘เมิ่งเซี่ยเหมย’ คุณหนูเล็กสกุลเมิ่งที่กะโปโลยิ่งกว่าลูกสาวบ้านใด ดวงตาใสซื่อเป็นประกาย ปากนิดจมูกหน่อยแต่คงน่ารักกว่านี้หากได้แต่งเนื้อแต่งตัวอย่างเด็กหญิง พี่ใหญ่ที่ไม่ได้ร่วมสายเลือดเดียวกันอดไม่ไหวก็ทัดปอยผมรกหน้ารกตาให้

   “ยังไม่ทันจะยามซื่อ มาถามหาของกินแล้วหรือ หนีซ้อมอย่างนี้ระวังจะโดนท่านลุงดุเอา”

    “โถ่ ก็เซี่ยเหมยหิวแล้ว” นางแทนตัวเองด้วยชื่อ เป็นอันรู้กันว่าเมิ่งเซี่ยเหมยทำแบบนี้เมื่อตอนจะอ้อนขออะไรสักอย่าง

   “ถ้าเสี่ยวเหมยขี้เกียจนักจะโดนคนอื่นแซงหน้า เพิ่งได้ตำแหน่งศิษย์เอกมาจะยอมยกให้คนอื่นหรือ”

   “ไม่ต้องห่วงหรอกพี่ใหญ่ ไม่มีใครเทียบฝีมือข้าได้อยู่แล้ว!”

   “อ้อหรือ?” หลังนิ้วคนมีศักดิ์เป็นพี่ตีเอาปลายจมูกรั้นเบาๆ “แล้วตงเต๋อข่ายล่ะ”

   จอมยุทธน้อยทำแก้มป่องเมื่อได้ยินชื่อคนที่เป็นทั้งมิตรทั้งศัตรู มือก็ลูบจมูกตัวเอง นางส่ายหน้ารัวแล้ววิ่งกลับไปทางลานฝึกต้นเสียงซ้อมอึกทึก “ข้าไม่ได้หนีซ้อมนะ!” ไม่วายตะโกนเถียงก่อนหลังไวๆ จะหายเข้าไปรวมกลุ่มกับคนอื่น

   สำนักคุ้มภัยหู่โห่วเน้นหนักที่วิชาหมัดมวยแต่การซ้อมด้วยไม้พลองก็พอมีให้เห็น ตอนนี้เสียงไม้ลั่นตีดังโป๊กเป๊กถึงได้ดังมาจากลานกว้างหลังการซ้อมเช้า พอตกยามอู่ ได้เหงื่อค่อยถึงเวลากินข้าวเติมพลัง – วันที่คนครัวลาป่วยไปสองคนอย่างวันนี้ป้าหม่าที่รับหน้าที่แทนคนลาถึงได้หงุดหงิดยิ่งกว่าปกติ

   คนที่เพิ่งออกจากครัวเดินผ่านระเบียงเข้าเรือนใหญ่ ปัดเนื้อปัดตัวให้ชุดเขลอะเข้าที่ก็สาวเท้ายาวๆ ข้ามห้องรับแขกไปด้านใน สาวใช้ร่างเล็กกำลังเช็ดแจกันเครื่องเคลือบอยู่มุมห้อง บนผนังแขวนด้วยภาพวาดดอกโบตั๋นและภาพทิวทัศน์ที่ฮูหยินเป็นคนเลือก ดอกไม้สดจัดช่ออยู่ใกล้เก้าอี้ไม้ส่งกลิ่นหอมสดชื่นโชยอ่อนๆ เมื่อเดินผ่าน

   “ซุนเกอ คุณหนูรองเรียกหาตั้งนานแล้ว” นางละมือเงยขึ้นร้องทัก คนฟังได้ยินดังนั้นก็รีบก้าวให้ไวขึ้นกว่าเดิม

   ซุนซีเป็นเด็กรับใช้ชายเพียงคนเดียวในเรือนใหญ่ เขาอาจดูไม่เหมือนบุรุษเพศเพราะรูปร่างเล็กเนื้อตัวผ่ายผอมอย่างเด็กขี้โรค ไหล่ทั้งสองยิ่งลู่จนแคบลงเมื่อเดินขดตัวฝ่าลมเข้าห้อง

   ประตูงับปิดก่อนอากาศอุ่นในห้องจะถูกถ่ายออกไป ภายในห้องหนังสือมีสาวน้อยร่างท้วมสวมเสื้อคลุมทับชุดตัวบางยืนอยู่ใกล้โต๊ะนานแล้ว นางกำลังแยกม้วนกระดาษคลี่จำแนกออกเป็นกองๆ มืออิ่มจัดเรียงเสร็จก็เอาที่ทับกระดาษไม้ขัดมันวางทับ

   “ดีจริง วันนี้ไม่เยอะเท่าไหร่” คนเพิ่งมาถึงร้องทักอารมณ์ดี

   “ตอนบ่ายมีมาอีกกอง พี่ใหญ่กินเสร็จแล้วอย่าลืมเดินไปเอา” ทั้งหน้าตาและน้ำเสียงเนือยเหมือนคนเพิ่งตื่น “แวะไปหยิบหนังสือที่ห้องพยาบาลให้ด้วย บอกพี่รองว่าข้าจะเอารายชื่อของที่เบิก..ใช้..”

   ท้ายประโยคนางหาววอดโต ดวงตาสีน้ำผึ้งแปลกกว่าพี่น้องปรือใกล้ปิดเต็มที คุณหนูรองเมิ่งชุนเถาอาจเพิ่งใช้เวลาทั้งคืนทำรายการค่าใช้จ่ายประจำเดือนเสร็จ หรืออาจเพิ่งรีบมาสั่งงานแต่เช้าทั้งที่ยังไม่ตื่นดี

   ซุนซีอดไม่ได้ก็สาวเท้าไปหยุดอยู่ด้านหลัง มือผอมเซียวรวบผมยาวปล่อยสยายของแม่คนขี้เซาม้วนทบขึ้นไป “เดี๋ยวข้าจัดการให้ เสี่ยวเถาไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ”

   คุณหนูรองยืนนิ่งให้จัดผมแต่มือยังหยิบม้วนกระดาษขึ้นมาคลี่อ่าน นางหาวอีกครั้งและอีกครั้งจนน้ำตารื้น

   “...พอแล้วพี่ใหญ่ ข้าอาบน้ำเสร็จค่อยหวีผมใหม่อีกรอบ” ไม่ว่าเปล่า นางยังจับมือซุนซีดึงออกให้เลิกยุ่ง จนถึงตอนนี้ผมฟูเก็บเข้าที่ขึ้นกว่าก่อนเยอะ

   “สำรับตั้งโต๊ะนานแล้วอาบเสร็จเสี่ยวเถารีบไปกินเถอะ เช้านี้ข้าทำไก่ตุ๋นยาจีนไว้ให้ท่านป้า มีส่วนของเจ้าด้วย”

   ‘เมิ่งชุนเถา’ ส่งเสียงอือออขานรับก่อนเดินกลับ คุณหนูคนรองสกุลเมิ่งนอนและตื่นไม่เป็นเวลาสักเท่าไหร่ เด็กสาวฉลาดเฉลียวเกินวัยและชอบการค้าขายคนนี้เป็นผู้ปรับปรุงระบบการจ้างวานให้สำนักคุ้มภัย พ่วงด้วยรับผิดชอบหน้าที่ดูแลเรื่องการเงินและค่าใช้จ่ายในสำนัก งานล้นมืออย่างนี้บางวันนางยังทำตัวว่างพอนั่งตอบจดหมายจากสมาคมพ่อค้าอีกกองโต

   หากกล่าวถึงหน้าตาเมิ่งชุนเถาน่าเอ็นดูไม่แพ้พี่น้อง จะเสียก็แต่นางไม่ค่อยรักสวยรักงาม สุขภาพแข็งแรงอย่างนี้ยากจะบอกว่าครั้งหนึ่งในวัยเยาว์เคยป่วยหนักเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะมัดเท้าเป็นเหตุ

   ซุนซีนั่งประจำที่แล้วถึงจับแท่งหมึกขึ้นฝนบนแท่นหิน มือผอมลูบไปบนปกหนังสือก่อนคลี่เปิดไปถึงหน้าว่าง พักหนึ่งก็ยกพู่กันจุ่มปลายซับหมึกพอให้ชุ่มแล้วเริ่มลงมือเขียนลงบนกระดาษ

   เสียงผู้คนฝึกซ้อมแว่วมาพอได้ยินแผ่วๆ คลออยู่กับเสียงนกร้อง ยามเช้าจึงผ่านไปพร้อมกิจวัตรสุขสงบเช่นนี้

   เวลาล่วงไปนานจนร่างเล็กท่าทีคล่องแคล่ววิ่งพรวดเข้ามาพร้อมประตูเปิดอ้า รองเท้าพื้นเรียบย่ำเสียงหนักแน่นแม้ไม่เงยมองก็พอรู้ได้ว่าเป็นใคร พอใกล้โต๊ะเจ้าตัวถึงก้าวให้ช้าลง

   เป็นเมิ่งเซี่ยเหมยที่กำลังฉีกยิ้มกว้าง ผมมัดรวบเป็นมวยรุ่ยฟูเนื้อตัวเขลอะทั้งฝุ่นทั้งเหงื่อ

   “พี่ใหญ่ พรุ่งนี้ออกไปตลาดกัน!”

   จบคำเหรียญอีแปะร้อยเป็นพวงใหญ่สองพวงก็วางลงบนโต๊ะ ซุนซีเงยหน้าขึ้นมองนึกฉงน กะจำนวนเงินด้วยตาเปล่าก็วางพู่กัน “เสี่ยวเหมยไปเอามาจากไหน”

   “ท่านพ่อให้มา บอกให้ข้าพาพี่ๆ ไปซื้อของได้ตามใจชอบ” นางว่าเสียงใส “ลุงเถียนคงเอาเหล้าดีมาให้กระมัง – ช่างเถอะ พี่ใหญ่ ข้าอยากกินเซาปิ่ง กับพุทราเชื่อมล่ะ”

   “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่ถึงเวลามื้อเที่ยงยังมอมแมมอย่างนี้พี่ใหญ่จะไม่อนุญาตให้ไปเที่ยว” เขาดุเสียงนุ่ม แม่ตัวดีหัวเราะแหะๆ แล้วรีบวิ่งไปอาบน้ำผลัดผ้า

   ซุนซีเก็บพวงเหรียญลงถุงใส่เงิน เมื่อจับพู่กันขึ้นมาอีกครั้งก็ถือค้างไว้อย่างนั้น

   ไม่รู้ว่าตนกังวลเกินไปหรือไม่ แต่อาจารย์เมิ่งนานทีปีหนถึงจะยอมควักเงินให้ลูกสาวใช้จ่ายตามใจ การเสวนากับเจ้าของโรงเตี๊ยมอาจมีอะไรมากกว่าแค่ยกเหล้าดีมาดื่มกับสหาย


   อากาศดีอย่างยามสายวันนี้ถึงยืนกลางแดดก็ไม่รู้สึกร้อนหรือเหนอะตัว ลมโชยอ่อนแม้คนเดินเบียดเสียดยังรู้สึกเย็นตามปลายนิ้ว พ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกไม่หยุดปาก แผงสินค้าปูบนโต๊ะและร้านริมทางเป็นเพิงง่ายๆ ตั้งขนาบสองฝั่ง คนหาบของร้องขอทางสาวเท้าไวๆ ฝ่าฝูงชนในตลาด กลิ่นสารพัดโชยปะปนมาตามลม วันนี้คนมากหน้าเดินกันแน่นขนัดกว่าปกติ แว่วๆ ว่าบ้านพ่อค้าใบชาแต่งลูกชายคนเล็ก จะมีคนต่างถิ่นเดินทางมาร่วมยินดีนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก

   อาตงกับซุนซีเดินตามคุณหนูสองพี่น้องฝ่าฝูงชน มีก็แต่เมิ่งชุนเถาที่ไม่ยอมออกจากบ้านเพราะงานไม่เสร็จ นางเอาแต่ขลุกอยู่กับตัวเลข แม้แต่ตอนไปชวนมืออิ่มยังลูกคิดดีดขึ้นลงไม่หยุด

   เคลื่อนพลก้าวเดินจากร้านหนึ่งย้ายไปอีกร้าน ห่อของเพิ่มเป็นสองและสามตามลำดับ

   หลังจากยืนมองอยู่หน้าแผงเครื่องประดับอยู่นาน เมิ่งตงหลานก็เลือกเอากำไลหยกแดงกับปิ่นเงินมาถือไว้มั่น ไม่ชิ้นใดก็ชิ้นหนึ่งมีไว้สำหรับเอาไปฝากคนไม่ยอมมา

   ในบรรดาพี่น้องสามคน ‘เมิ่งตงหลาน’ คุณหนูคนโตนับว่ามีรูปโฉมงดงามที่สุด ผมเป็นแพรดำขลับและดวงตากลมโตสีเดียวกัน ใบหน้าได้รูปเหมือนเมล็ดแตง ผิวส่วนโผล่พ้นชายผ้าขาวเนียนเป็นหยกเกลี้ยง นอกจากรูปกายนางยังเพียบพร้อมด้วยความรู้สตรีห้าด้าน  ทั้งคำพูดคำจาก็นุ่มนวลหวานหู...แม้จะกำลังบ่นกลับไม่ทำให้คนถูกว่ารู้สึกนึกโมโห

   เสียงติเตียนเรื่องกินไม่สุภาพแว่วมาอีกรอบ คุณหนูเล็กตามองเครื่องประดับแต่ปากยังเคี้ยวตุ้ยไม่สนใจ ในมือนางถือถังหูลู่ ไม้ยาว พุทราผลอ้วนเสียบเรียงกันแน่นหายวับเข้าท้องรวดเร็ว พี่เลี้ยงเด็กเห็นแล้วกลัวว่านางจะติดคอมากกว่ากลัวว่าใครจะมาเห็นกิริยาไม่น่ามอง

   “เหมยเหมยหยุดกินแล้วเลือกสักชิ้นดีไหม” เมิ่งตงหลานหยิบป้ายหยกส่งให้ ปลายพู่สีน้ำเงินเข้มปลิวตามแรงลม

   ฝ่ายถูกถามส่ายหน้า นางยังคงงับเข้าไปใหม่อีกคำไม่หยุดปากขณะที่บุรุษร่างเล็กข้างกันเอามือลูบสร้อยหินไปเรื่อย

   เมิ่งคนโตทันสังเกตเห็น “ท่านเลือกด้วยสิพี่ใหญ่ พู่ห้อยของเดิมเก่าจะแย่”

   “ที่ข้ามียังใช้ได้อยู่ พวกเจ้าซื้อไปเถอะ เป็นผู้หญิงได้แต่งเนื้อแต่งตัวเหมาะแล้ว”

   “อย่าถ่อมตัวเลยพี่ใหญ่ ถ้าเป็นผู้ชายอย่างท่านจะชิ้นไหนก็เหมาะเหมือนกัน”

   คนฟังได้ยินแล้วรีบหันมอง เห็นก็แต่ฝ่ายคะยั้นคะยอให้ซื้อส่งยิ้มซื่อๆ ครู่เดียวใบหน้างดงามหมดจดก็ผินไปทางอื่น ใครจะปฏิเสธหรือไม่นางก็เลือกของต่ออย่างตั้งใจและเลือกให้ครบทุกคน

   ซุนซีเงยขึ้นมองรอบข้างทอดสายตาไปเรื่อยไร้จุดหมาย ยามสายผู้คนในย่านตลาดเดินกันขวักไขว่หนาตา จากตรงนี้เห็นได้ไกลถึงควันฉุยจากหม้อนึ่งหมั่นโถวร้านหัวมุม

   “พี่ใหญ่ต้องเลือกอีกสักชิ้น” เสียงหวานใสของเมิ่งตงหลานว่ากำชับ “ข้าจะไปอีกร้านกับอาตง ถ้ารู้ว่าท่านไม่ซื้อข้าจะเสียใจมากทีเดียว”

   คำขู่ของนางชวนให้คนฟังอมยิ้ม เขาตอบรับง่ายๆ ก่อนละสายตากลับมาที่แผง ปอยผมตกลงปรกหน้าก็ใช้ปลายนิ้วเก็บขึ้นทัดหู

   จังหวะเดียวกับที่รู้สึกว่ากลายเป็นฝ่ายถูกมอง

   ซุนซีหันไปหาตามสัญชาติญาณ สุดสายตาเห็นกลุ่มชายร่างสูงสามคนเดินอยู่ไกลๆ ดวงตาเขาจับจ้องอยู่ที่ชายคนที่ดูคล้ายหัวหน้ากลุ่ม

   แปลกที่ถึงอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายบุรุษมาดสง่าคนนั้นกลับดูโดดเด่น ปีกหมวกบังใบหน้าไปเสียครึ่งแต่พอบอกได้ว่าเป็นคนหนุ่มหน้าตาดี ชายผู้นั้นเดินช้าๆ กวาดสายตามองแต่ไม่ได้แวะร้านใดเป็นพิเศษ ถึงซุนซีไม่ได้มาเดินตลาดบ่อยก็มั่นใจได้ว่าเป็นคนต่างถิ่น ..มาร่วมงานมงคลอย่างนั้นหรือ?

   จ้องอยู่นานได้สติอีกครั้งก็ตอนอีกฝ่ายหันมาสบตา ซุนซีรีบเบี่ยงหันไปทางอื่น ใบหน้าพลันร้อนผ่าวไร้สาเหตุ ...มีโอกาสเห็นชัดอย่างนั้นก็ยืนยันได้ว่าหน้าตาดีแม้แววตาจะดุดันไปสักหน่อย

   “พี่ใหญ่ทำไมหน้าแดง ร้อนหรือ” คุณหนูเล็กสะกิดถามซื่อๆ

   “...คงอย่างนั้น เจ้าอยากได้อะไรอีกหรือไม่ ออกมานานไม่รีบกลับจะโดนดุเอาได้”

   ซุนซีเปลี่ยนเรื่องไปเสียดื้อๆ คุณหนูเล็กพยักหน้าหงึกหงักก่อนลากเขาไปทางร้านเสื้อผ้า คลาดสายตาเพียงครู่หันหาอีกครั้งก็ไม่พบบุรุษคนนั้นแล้ว

   อาตงกับคุณหนูใหญ่เตร่อยู่หน้าร้านเครื่องหอม สองมือสาวใช้หอบตลับแป้งประทินผิวกับชาดมัดเรียบร้อยอยู่ในห่อ ใช้เวลาไม่นานทั้งสี่ก็ตัดสินใจกลับบ้าน โคมห้อยเสาแขวนไหวๆ ตามแรงลม เสียงผู้คนก็เบาบางลงเมื่อเดินจากมาถึงใกล้ชานเมือง

   ป้ายสำนักคุ้มภัยหู่โห่วติดหราอยู่เหนือประตูทางเข้า ก่อนจะก้าวเข้าไปทันได้เห็นซีกหน้าคนเดินสวนออกมา ..ไม่แปลกที่สำนักจะมีคนเข้าออกทั้งลูกศิษย์และคนมาติดต่อว่าจ้าง แต่ชายที่มากับผู้ติดตามอีกสองคนเป็นคนที่เขาเห็นในตลาดไม่ผิดแน่

   ศีรษะตั้งตรงบนสองบ่ากว้าง ชายคนนั้นเดินด้วยท่วงท่างามสง่า ชายเสื้อนอกปลิวไสวตามแรงของก้าวย่างมั่นคงดูน่ามอง -- รู้สึกตัวอีกทีเขาก็หันไปจ้องแผ่นหลังแข็งแรงไม่วางตา ซุนซีเม้มปาก เลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วเร่งฝีเท้าตามอีกสามดรุณีเข้าใต้ร่มหลังคาเรือน

หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุบผบุรุษ :: บทที่1 16/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 16-11-2019 10:40:43
 :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุบผบุรุษ :: บทที่1 16/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-11-2019 21:35:27
 :pig4:
 :katai2-1:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุบผบุรุษ :: บทที่1 16/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 16-11-2019 21:37:04
น่าติดตามค่ะ รอตอนต่อไป o13
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุบผบุรุษ :: บทที่1 16/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 21-11-2019 01:54:10
ติดตามจ้าาาา
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุบผบุรุษ :: บทที่1 16/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 22-11-2019 08:49:07
บทที่ 2

   สำนักคุ้มภัยหู่โห่วเป็นทั้งสำนักฝึกวิชาและกลุ่มคนรับจ้างตามแต่ตกลง สถานที่แสนวุ่นวายแห่งนี้อาจมีประวัติไม่ยาวนานและแม้อยู่เมืองหวงซานก็ตั้งอยู่ติดชานเมือง อย่างไรก็เป็นที่รู้จักไม่แพ้สำนักหรือหมู่ตึกเลื่องชื่อที่อื่นๆ ในยุทธจักร

   จากเพียงแค่โรงฝึกแหล่งเล็กนานวันผ่านทั้งคำเล่าปากต่อปากและฝีมือการทำงาน สำนักคุ้มภัยหู่โห่วก็กลายเป็นสำนักอันดับต้นๆ บนแผ่นดินต้าซ่ง ปัจจุบันในรุ่นเจ้าสำนักเมิ่งชางก็ใหญ่โตมากพอจะเปิดเป็นจุดรับแลกตั๋วเงิน

   กิจการขยายขึ้นหมายรวมถึงงานที่มากขึ้นตามตัว ลูกศิษย์ร่วมร้อยชีวิตอาศัยกินนอนอยู่ที่นี่ บ้างมาจากเมืองไกล บ้างเป็นลูกหลานคนท้องถิ่น

   การเรียนวรยุทธที่สำนักหู่โห่วมีอาจารย์เมิ่งเป็นผู้ทำการคุมสอนด้วยตนเอง บุตรสาวคนเล็กนามเมิ่งเซี่ยเหมยแม้จะเป็นลูกเจ้าสำนักก็ต้องเรียนพร้อมกันกับคนอื่นๆ เวลาว่างเด็กโตฝึกซ้อมให้เด็กเล็ก ไม่เน้นแข่งขันชิงดีชิงเด่นแต่เน้นแข่งขันกับตนเอง อาจารย์สอนให้รักใครและพึ่งพากันเสมอเพราะสักวันต้องออกไปทำหน้าที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายร่วมกัน

   เมื่อถึงวัยใครอายุและฝีมือผ่านเกณฑ์ก็จัดออกไปทำงานได้รับเงินส่วนแบ่งเป็นเบี้ยหวัดรายเดือน ใครไม่สนใจงานคุ้มกันเมื่อเรียนวิชาจนจบก็แยกไปทำงานที่อื่น ส่งเบี้ยเลี้ยงกลับมาที่สำนักเป็นรายตกลงตามระเบียบ

   หัวหน้าอู๋ที่นับถือเป็นพี่น้องกับเจ้าสำนักเมิ่งชางทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคนงานแบ่งกลุ่มคุ้มกันสินค้า ไม่ว่าคนตกลงรับงานจะเป็นหัวหน้าอู๋หรืออาจารย์เมิ่ง (เว้นก็แต่เหตุสุดวิสัยถึงเป็นบุตรคนรองอย่างเมิ่งชุนเถา) การดูว่าใครเหมาะสมจะไปก็ล้วนแต่ต้องผ่านการพิจารณาจัดสรรจากชายวัยกลางคนผู้นี้ ส่วนลูกชายของลุงอู๋เองก็เพิ่งจบจากสำนักไปทำงานเป็นมือปราบเมื่อปีกลาย

   ใต้ร่วมหลังคาพยัคฆ์ใครไม่ทำงานจะไม่ได้กินข้าว กลับกัน หากใครทำงานดีจะได้รับรางวัลตามฝีมือ อาจารย์เมิ่งเลี้ยงคนของท่านอย่างยุติธรรมเช่นนี้ ให้โอกาสทุกคนอย่างเท่าเทียมทั้งในการพัฒนาฝีมือและความเป็นอยู่

   สำนักแห่งนี้จึงเป็นทั้งโรงเรียน ที่ทำงาน และบ้านหลังใหญ่

   ซุนซีอยู่ที่นี่ตั้งแต่อายุเพียงห้าปี แม้ทีแรกจะเข้ามาในฐานะศิษย์สำนักแต่ปัจจุบันเป็นเพียงลูกมือในเรือนอยู่อาศัย บรรดาคนรับใช้เฉพาะส่วนที่ไม่เกี่ยวกับโรงฝึกหากนับรวมซุนซีก็มีถึงสิบเจ็ดชีวิต เคหาสถ์ใหญ่ราวหมู่ตึกทุกสัดส่วนต้องมีคนคอยกวาดถู

   ลูกมือใต้การปกครองของป้าหม่ามีทั้งคนครัวและเด็กรับใช้คอยทำความสะอาดอีกหลายคน บ้างเป็นเด็กที่พ่อแม่ขายสัญญาซื้อตัวอย่างอาตงและคนว่างงานจากละแวกบ้าน ส่วนเด็กขี้โรคอย่างซุนซีช่วยงานในครัวแค่ตอนเตรียมอาหารตามสั่งเป็นพิเศษ เวลานอกจากนั้นก็ช่วยเมิ่งชุนเถาคัดหนังสือแยกรายการ

   เด็กหนุ่มได้โอกาสเรียนหนังสือแค่พออ่านออกเขียนได้ หากเป็นบทกลอนที่ใช้ภาษาชั้นสูงก็รู้เพียงตัวอักษรที่เกิดจากคำประสมแต่ไม่รู้ความหมายตลอดจนถึงความนัยซ่อน

   หน้าที่อีกอย่างหนึ่งของซุนซีที่ทำมานานคือการตอบจดหมายฉบับหนึ่งแทนเมิ่งเซี่ยเหมย สามปีก่อนมีจดหมายจ่าหน้ามาถึงสาวน้อยด้วยนามแฝง ‘ยิงฉู่หยุน’ (อินทรีแตะเมฆา) อาจารย์เมิ่งเป็นผู้นำมาส่งให้บุตรสาวด้วยตัวเอง ทว่าเด็กหญิงในวัยสิบปีไม่สนใจอะไรนอกจากได้ฝึกวิชาไปวันๆ

   ความที่ผู้เป็นบิดากำชับว่าต้องตอบกลับนางจึงเอาจดหมายที่ว่ามาขอร้องให้ซุนซีเขียนแทน เนื้อความพูดถึงเรื่องจิปาถะประจำวันกับเรื่องเล่าที่ซุนซีไม่เคยอ่านมาก่อน แปลกที่เขารู้สึกสนุกกับการได้สนทนาผ่านหน้ากระดาษ เช่นนั้นจากฉบับแรกจึงตามมาด้วยฉบับที่สอง สาม สี่ เรื่อยไปจนถึงปัจจุบัน

   ซุนซีเคยคิดว่ายิงฉู่หยุนคงเป็นคนเฒ่าใจดีที่เมิ่งเซี่ยเหมยเคยพบเมื่อตอนเด็กๆ หรือเป็นเพื่อนกันกับอาจารย์เมิ่ง จนกระทั่งฉบับหลังๆ ที่มีเนื้อความเชิงหยอกล้อที่ทำให้เขาคิดว่าคนส่งคงเป็นคุณชายผู้เจนโลก คนคนนี้มักเขียนด้วยภาษาอย่างผู้ใหญ่ใช้กันทั้งยังคอยเสนอแนะเรื่องนั้นเรื่องนี้ หลายครั้งที่ซุนซีมีเรื่องกังวลใจที่คุยกับใครไม่ได้ก็จะบอกไปในหน้ากระดาษ คำตอบพื้นๆ ไม่สวยหรูช่วยคลายเหงาได้หลายครั้ง และในที่สุดก็กลายมาเป็นนิสัยติดตัวว่าต้องคอยเขียนจดหมายไปหาเสมอ

   ลูกคิดวิ่งไปตามรางไม้และสัมผัสหยาบของหน้ากระดาษรู้สึกได้ตามปลายนิ้ว เสียงโหวกเหวกภายนอกสลับกับเสียงถอนใจจากฝั่งตรงข้ามที่นานครั้งจะได้ยินสักที ..สายวันนี้ก็เช่นทุกวัน

   เมิ่งชุนเถาเอาแขนข้างหนึ่งท้าวคางอีกข้างดีดลูกคิด หัวคิ้วนางพันกันยุ่งพอกับทรงผมที่ผ่านการทึ้งยียามที่ใช้ความคิด อีกหนึ่งชีวิตในห้องเงยหน้าขึ้นมองสำรวจน้องสาวต่างสายเลือดเป็นบางครั้ง อย่างน้อยก็ดูว่านางยังไม่โยนงานบนโต๊ะทิ้งลงพื้นหรือกัดเอาปลายพู่กันทู่เสียก่อน

   “...พักก่อนดีไหม” ซุนซีถามลอยๆ ได้คำตอบเป็นการส่ายศีรษะระอา

   “ไม่ได้ พักตอนนี้ทำเสร็จอีกทีคงฟ้ามืด” นางบ่นกึ่งคำราม “ท่านพ่อหน้าใหญ่ทำเอาวุ่นไปหมด ค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นแท้ๆ ยังเบิกไปใช้”

   ซุนซีพอรู้ว่าจ่ายเพราะเรื่องใดถึงได้เงียบไป เจ้าสำนักไม่รู้นึกครึ้มอะไรนัก นอกจากให้เงินไปซื้อของตามใจยังซื้อเสื้อผ้ากับชุดเครื่องประดับให้บุตรสาวสามคนท่วมห้อง

   “เงินเหลือเก็บจะเอาไปใช้ก็ปล่อยไปสักครั้งเถอะเสี่ยวเถา นานๆ ซื้อของสักทีใช่ว่าซื้อให้ใครอื่นไกล”

   คุณหนูรองหยุดมือ ตาสีน้ำผึ้งจ้องไปที่โต๊ะตรงข้าม “ข้ารู้ใจพ่อยิ่งกว่าใคร คอยดูเถอะพี่ใหญ่ ..พ่อเจ้าแผนการแต่ไอ้ที่จ่ายออกไปก็เพราะทำเกินตัวทั้งนั้น”

   หรือถ้าให้พูดอีกอย่าง ของเหล่านี้คงไม่สามารถซื้อใจลูกสาวที่ต่างคนต่างสนใจกันคนละทางได้


   ตกบ่ายห้องหนังสือเหลือแต่ซุนซีนั่งคัดลอกรายการอยู่คนเดียว มื้อเที่ยงเติมจนอิ่มท้องถึงอยากงีบสักหน่อยก็ต้องเร่งทำตามคำสั่งเมิ่งชุนเถาให้เสร็จ มือผอมปิดหน้ากระดาษรายการเล่มสุดท้าย นวดขมับพอให้คลายอาการปวดไปทั้งกระบอกตา

   เสียงถอนหายใจยืดยาวถูกกลบด้วยเสียงลากเท้าดังกรอกแกรกจากด้านนอก ซุนซีทายชื่อคนคนหนึ่งเอาไว้ในใจ เด็กหนุ่มยืดตัวนั่งหลังตรงอีกครั้ง สองมือง่วนอยู่กับการเก็บของรอผู้มาเยือนที่คงหนีไม่พ้นเพื่อนสาวของเขาเอง

   ฝีเท้าหยุดลงแล้ว เป็นอาตงที่โผล่หน้ามาด้อมๆ มองๆ อยู่ปากประตูห้อง กวาดสายตาสอดส่องด้วยดวงตาหรี่เรียวระยิบระยับเป็นนางจิ้งจอกน้อย

   “คุณหนูรองไม่อยู่” คนข้างในไม่รอให้ถาม ย่องเป็นแมวอย่างนี้มีอยู่เหตุผลเดียว

   พอรู้ว่าทางโล่งปลอดคนนางรีบส่งยิ้มหวานแทนคำทักทาย ไม่พูดพร่ำทำเพลงสองเท้าก้าวฉับยาวๆ มาคล้องแขนลากตัวไปตามทาง ตั้งหน้าตั้งตาพาเดินไม่สนใจฝ่ายที่กำลังหน้าเหวอ

   “ช้าก่อน ช้าก่อน!” ซุนซีร้องลั่น “อาตงจะพาข้าไปไหน?”

   คนต้นเรื่องหันมาทำเสียงเหน็ดหน่าย “คุณหนูเรียก มาเถอะอย่าถามมาก ไปช้าท่านเปลี่ยนใจขึ้นมาใครจะรับผิดชอบไหว!”

   “ก็แล้วมันเรื่องอะไรกันเล่า...”

   คำตอบรออยู่ที่สุดทาง อาตงพาเดินขะมักเขม้นมาถึงห้องนอนคุณหนูเล็ก เปิดประตูไม้ยังไม่ทันได้เอ่ยปากทักทายเมิ่งเซี่ยเหมยก็รับช่วงต่อลากแขนเขาตรงดิ่งไปนั่งหน้าคันฉ่องสำริด ตลับชาดบนโต๊ะเครื่องแป้งเปิดรอเอาไว้ บนโต๊ะใกล้ๆไล่ไปถึงบนเตียงมีเสื้อผ้าสตรีตัวสวยพาดทั่ว

   เสียงปิดประตูลงกลอนดังตามหลัง ซุนซีใช้แรงข้าวเที่ยงฮึดยืนก่อนโดนแม่หนูกดไหล่ให้นั่งลงตามเดิม รอยยิ้มหวานจับจิตส่องสะท้อนบนกระจกทองเหลืองขัดจนเป็นมันวาว

   “พี่ใหญ่เจ้าขา” นางเรียกเสียงใสกังวาน “อยู่เฉยๆ ให้ความร่วมมือพวกข้า แล้วทุกอย่างจะดีเอง”

   อาตงร้องถามมาจากฝั่งซ้ายว่าเอาตัวนี้ดีไหมพร้อมสองมือรีบกางชุดขึ้นชูหรา แม่ตัวการใช้มือข้างหนึ่งยกจับคางใช้ความคิด เหยื่อที่น่าสงสารร้องบอกว่าไม่แต่นางพยักหน้าว่าใช่ แล้วสาวใช้ที่บ่นกระปอดกระแปดอยู่ทุกยามว่าทำงานทุกวันเมื่อยตัวหมดเรี่ยวหมดแรงก็จับเพื่อนชายเปลื้องผ้าด้วยกำลังดุจกระทิงคลั่ง

   แต่ไหนแต่ไรอาตงเรี่ยวแรงมากกว่าใคร นางหาบน้ำสองบ่าเติมจนเต็มโอ่งได้สบายใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป  ขณะที่ผู้ชายผอมแห้งแรงน้อยอย่างซุนซีจะเติมน้ำสักโอ่งกินเวลามากกว่าสามเค่อ  ขนาดที่ว่าป้าหม่าเคยบอกว่าอาตงแข็งแรงเหมือนแม่วัว ส่วนอาซุนขนาดแม่ไก่ยังแรงเยอะกว่าเขาอีก..

   ผ้าจึงหลุดไปทีละชิ้น ทีละชิ้น ชายหนุ่มที่น่าสงสารได้แต่ปิดหน้าหนีผู้หญิงไร้ยางอายพวกนี้

   คำร้องวิงวอนไปไม่ถึงหูเซียนเพราะถูกเสียงหัวเราะร่าดังกลบ พายุแห่งความอับอายพัดหมดไปถึงสี่รอบถ้วน เมิ่งเซี่ยเหมยยืนกอดอกมองผลงานชิ้นเอกที่กำลังนั่งหมดอาลัยตายอยากขดตัวอยู่มุมห้อง จากตรงนี้เห็นแต่ก้อนผ้ากับทรงผมยกสูงเป็นมวยปักด้วยปิ่นและหวีเสียบเอียงกะเท่เร่ ส่วนอีกสาวกำลังง่วนกับการยืมชุดมาลอง กลิ่นแป้งกลิ่นเครื่องหอมลอยฟุ้ง ชาดจากตลับบุบพังหยดเลอะโต๊ะไม้เป็นจุดๆ

   “หันหน้ามาหาข้าหน่อยสิพี่ใหญ่ นะ..นะ....” คุณหนูยังคงพยายามอ้อน

   พี่ใหญ่ส่ายหัวไหวๆ ยิ่งเรียกเขายิ่งถดตัวเข้ามุมหนักกว่าเดิม แม่ตัวดีตามไปย่อตัวนั่งข้างกัน เอียงคอมองอย่างมีความหวัง

   “ข้าลงแรงแต่งตัวให้จนสวยแท้ๆ.. หันมาให้ดูหน่อยนะ แล้วเดี๋ยวข้าจะยกให้พี่สองชุดเลย”

   อาตงที่กำลังทาบเสื้อหมุนไปหมุนมาหน้ากระจกหันขวับ “อาซุนหันมาเดี๋ยวนี้!”

   ผู้ชายคนเดียวในห้องอยากจะร้องไห้ เพื่อนรักเอ็ดเร่งอีกครั้งซุนซีถึงยอมเงยมาเจอแม่หนูที่ยิ้มจนตาหยีรอต้อนรับ เพื่อนสุดที่รักของเขารีดไถได้เสื้อสวยไม่ต้องเสียเงินสองชุด เขาล่ะนอกจากความอับอายแล้วได้อะไร...

   น้ำตาซุนซีจะไหล “เสี่ยวเหมย เหตุใดเจ้าถึงทำกับพี่ชายอย่างนี้”

    “โถ่ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ” เซี่ยเหมยทำแก้มพอง “พี่ใหญ่ใส่แล้วดูดีไม่หยอก – ข้าสิ! ชุดรุ่มร่ามน่ารำคาญใส่แล้วก็ไม่สวย แบบนี้ไม่เห็นอยากได้สักนิด สู้เอาไปคืนแล้วให้ข้าเลือกเองเสียยังดีกว่า”

   “คุณหนูอยากได้ชุดแบบไหนล่ะเจ้าคะ?” อาตงผู้ไม่เคยปล่อยโอกาสทองลอยนวลถามแทรกขึ้นมา

   น้องน้อยชี้ไปที่กองชุดใส่แล้วของซุนซี “แต่เอาผ้าทนกว่านี้นะ จะปักลายนิดหน่อยข้าก็ไม่รังเกียจ ชุดกางเกงเอาไว้ใส่เวลาฝึกซ้อมสะดวกดี ”

   “อย่างนั้นข้าไปซื้อมาเปลี่ยนให้คุณหนูดีหรือไม่เจ้าคะ เปลี่ยนเป็นปลอกแขนหนังกับรองเท้าหุ้มสูงคู่ใหม่ ..ส่วนพวกนี้ถ้าคุณหนูไม่เอาก็ยกให้ข้าแลกกัน”

   “จะไปซื้อให้จริงเหรอ!”

   เซี่ยเหมยทำตาวาวดั่งเห็นทางสว่างองค์เซียนมาโปรด นางโดดผึงเดียวไปถึงตัวคนเจ้าแผนการ

   จากนั้นซุนซีไม่ทันได้ใส่ใจแล้วว่าสองคนคุยอะไรกัน เขาหดหู่เสียจนไม่เหลืออะไรให้หดหู่ พอสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวมือผ่ายผอมถึงได้ลูบไปตามผ้าไหมผืนบาง เสื้อตัวยาวทอละเอียดนุ่มมือ สัมผัสที่ปลายนิ้วลื่นไม่มีสะดุดรอยตะเข็บ พอขดตัวซุกจมูกกับเข่าอย่างนี้ได้กลิ่นเสื้อใหม่ปะปนไปกับกลิ่นเครื่องหอม รสชาติแปลกปะแล่มติดที่ปลายลิ้น

   แต่ไหนแต่ไรเขาชอบสัมผัสผ้าเนื้อดีกับกลิ่นหอมของผู้ใหญ่ แต่ไม่ใช่ให้มาใส่ด้วยตัวเองแบบนี้!

   ชายหญิงไม่ควรถูกเนื้อตัวอีกฝ่ายงั้นหรือ? แต่เล็กจนโตจะท่านป้าหรือสาวๆ ไม่เคยมีใครเห็นเขาเป็นผู้ชายสักคน นึกจะแตะเนื้อต้องตัวหรือลากไปไหนต่อไหนจนหัวหมุนก็ยังได้ ซุนซีรู้ความจริงข้อนี้ดี ...ถึงอย่างไรให้มาแต่งชุดผู้หญิงนับเป็นเรื่องน่าอดสูเกินไป

   เสียงหัวเราะร่าดังมาจากสองสาว เซี่ยเหมยเพิ่งตกลงยกชุดตัวเองให้อาตงเรียบร้อย ถ้าเป็นเวลาปกติเขาคงลุกขึ้นไปเอ็ดสั่งปราม...ตอนนี้แม้แต่จะยืนเต็มตัวยังไม่อยากทำ นับประสาอะไรกับกะจิตกะใจจะไปห้าม

   พูดได้อย่างเดียวว่าเสร็จอาตงกินเรียบ


   กว่าซุนซีจะรู้ความหมายของคำว่า ‘ใช้จ่ายเกินตัว’ ของคุณหนูรองก็ตกสายวันถัดมา

   ฟ้าเพิ่งสางอาตงมาเรียกที่ครัวเหมือนอย่างเคย สิ่งที่แปลกกว่าครั้งอื่นคือนางไม่ได้มาเพื่อรับไก่ตุ๋น แต่มาเพื่อบอกต่อให้คนทำซุปบำรุงเป็นฝ่ายยกไปให้ภรรยาเจ้าสำนักเสียเอง

   หลี่ฮูหยินโดยปกติแล้วหากไม่มีเรื่องอะไรมักให้อาตงคอยรับใช้ นานครั้งเขาถึงถูกเรียกไปนั่งเป็นเพื่อนสนทนา ซุนซีไม่ได้ค้านอะไร เมื่อไก่ตุ๋นยาจีนได้ที่แล้วจึงเป็นฝ่ายยกไปหาที่ห้องโดยดี

   ชามกระเบื้องวางลงบนโต๊ะพร้อมช้อนตัก ประตูไม้เคลื่อนปิดก่อนผู้มาใหม่จะหันมาคำนับนอบน้อม

   “เรียกข้ามีอะไรรึเปล่าขอรับ”

   เจ้าของห้องกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงถึงหันมาพยักหน้า “ป้ามีเรื่องจะคุย แต่เจ้ามาก็ดีแล้ว มาช่วยป้าทำผมก่อน”

   หลี่ฮูหยินหย่อนเท้าแตะพื้นก้าวลุกขึ้นเชื่องช้า เด็กรับใช้เก่าแก่รุดเข้าประคองพาไปจนถึงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างรู้งาน ฮูหยินสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยดีแล้ว เหลือก็แต่ผมปล่อยยาวที่ยังไม่ได้จัดการ คันฉ่องสำริดสะท้อนภาพใบหน้าไร้การแต่งแต้ม ล่วงเข้าวัยกลางคนสตรีผู้นี้ยังทรงเค้าโครงความงามในวัยสาวไม่สร่าง...แม้แก้มจะเซียวเพราะโรคเรื้อรังและร่องรอยตามวัยคาดประดับเป็นริ้วเล็กๆ

   “หวีผมให้ป้าด้วย” หญิงวัยกลางคนเอ่ย ฟังเนื้อเสียงไม่เชิงว่าเป็นคำสั่ง

   “ถ้าท่านป้าไม่ได้ออกไปข้างนอก ข้าจะทำผมให้อย่างเดิมนะขอรับ”

   ซุนซีหยิบหวีไม้มาบรรจงสางทีละน้อยจากปลายผม เกี่ยวนิ้วเก็บปอยรวบเบามือท่าทางชำนิชำนาญ ผู้เป็นป้ามองจากเงาสะท้อนในคันฉ่อง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเอ็นดู

   “ยิ่งโตเจ้ายิ่งคล้ายนาง” ฮูหยินเอ่ยขึ้นมาลอยๆ “...เหมือนกันมากเหลือเกิน ฝีมือทำไก่ตุ๋นก็ด้วย”

   คนอ่อนวัยกว่ายิ้มน้อยๆ พลางเสียบปิ่นเข้าที่ “ท่านป้าชมเกินไปแล้ว ฝีมือข้าเทียบท่านแม่ไม่ได้แม้แต่น้อย”

   ประโยคนั้นทำเอาผู้ฟังหัวเราะ “อย่าถ่อมตัวนักเลยซีเอ๋อร์ ป้ากินมาตั้งแต่ก่อนเจ้าเกิดรสชาติเป็นอย่างไรย่อมจำได้แม่นยำ”

   ซุนซีรู้สึกอุ่นอยู่ในอก ผู้ถูกกล่าวถึงเสียชีวิตไปสิบสามปีแล้ว ความทรงจำไม่ว่าจะเรื่องรสมือหรือกระทั่งใบหน้าล้วนต้องกลายเป็นภาพรางเลือน สุดท้ายแล้วอาจไม่ใช่รสชาติที่ทำให้หลี่ฮูหยินรู้สึกคุ้นเคย แต่เป็นการมีอยู่ของซุนซีที่ทำให้นางรับรสได้แบบนั้น

   อย่างไรเสียคำชมเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้หัวใจเด็กกำพร้าพองโตได้ไม่ยาก

   นิ้วเรียวขยับลูบจัดทรงเป็นครั้งสุดท้าย ผมด้านข้างถักเก็บและรวบขึ้นเป็นมวยสูงกลัดประดับด้วยปิ่นทองสลักลายเรียบง่ายเพียงชิ้นเดียว ซุนซีก้าวไปอยู่ด้านข้าง เอื้อมมืออย่างระมัดระวังไปเปิดตลับแป้งและตลับชาดรออย่างรู้งาน ไม่ลืมวางพู่กันเล็กๆ สำหรับแต้มทาไว้ประจำที่

   “ซีเอ๋อร์.. จากนี้ขอสั่งห้ามเจ้าอยู่ในห้องกับน้องๆ สองต่อสอง ป้ารู้ว่าเจ้าไม่คิดอะไรแต่มันดูไม่งาม” ฮูหยินพูดเรียบเรื่อยระหว่างผัดแป้ง “พวกนางโตเป็นสาวกันหมดแล้ว โดยเฉพาะหลานเอ๋อร์ที่อีกไม่นานจะแต่งงาน เจ้าต้องระวังเป็นพิเศษ”

   ผู้เป็นหลานฟังแล้วเงียบไป นี่เป็นข่าวใหม่สำหรับเขาและกะทันหันเกินตั้งตัว

   “...เสี่ยวหลานจะแต่งงานหรือขอรับ”

   “ใช่ ผู้ใหญ่บ้านเถียนเพิ่งมาคุยเมื่อสองวันก่อน -- ซีเอ๋อร์ไปยกถ้วยยามาให้ป้า กินก่อนแล้วค่อยคุย”

   มือผอมโอบก้นถ้วยยาบำรุงย้ายมาวางถึงที่ ควันร้อนจางลงเหลือเพียงซุปอุ่นกำลังดี หลี่ฮูหยินเอามือวักเอาไอฉุยกลิ่นเปลือกไม้เข้าหน้า ดมให้พอชินกลิ่นก็ยกขึ้นดื่มทีละน้อย คนรอได้แต่ยืนมองอย่างใจเย็น

   “บ้านสกุลเถียนเขามาสู่ขอตงหลานให้ลูกชายคนโต อายุอานามก็เหมาะจะออกเรือนแล้ว อีกไม่กี่วันคงหาฤกษ์หมั้นมาขอเป็นทางการ ..ตงหลานเป็นฝั่งเป็นฝาป้าจะได้หายห่วงไปอีกเปราะหนึ่ง”

   เป็นอันรู้กันทั่วว่าเมิ่งตงหลานสะสวยเพียบพร้อมราวเทพธิดาฉางเอ๋อ มาจุติ แต่ยังครองตัวอยู่จนถึงอายุสิบห้าเพราะบิดาดุหาใดเปรียบ ลำพังสมญาพยัคฆ์บูรพาอย่างเดียวก็ไล่บุรุษน้อยใหญ่ขวัญกระเจิงถอยทัพไม่เป็นท่าได้นักต่อนัก

   เขารู้ว่าเหตุที่ลุงเถียนกล้ามาสู่ขอเพราะเป็นสหายสนิทของเจ้าสำนัก สองผู้เฒ่าร่ำสุราไปมาหาสู่กันเป็นนิจ ตระกูลเถียนสามรุ่นจนถึงปัจจุบันเป็นคหบดีถือสินทรัพย์มากเป็นอันดับต้นๆ ในหวงซาน นอกจากครองตำแหน่งเจ้าของโรงเตี๊ยมใหญ่ที่สุดในเมืองแล้วยังมีเครือกิจการสุราน้อยใหญ่ในย่าน จะให้ตบแต่งเข้าเป็นภรรยารองลูกคนโตดูแล้วไม่ถือว่าน่าเกลียด

   “ลูกชายลุงเถียนมีภรรยาอยู่คนหนึ่งแล้ว แถมเขาได้ชื่อว่าติดสุรา วันๆ ดื่มเหล้าเย็นจนถึงย่ำค่ำ เป็นคนนี้จะดีหรือขอรับ”

   หลี่ฮูหยินลดถ้วยลงวางคืนที่ “...แต่เด็กคนนั้นขยันทำการทำงาน ช่วยที่บ้านไม่ขาดตกบกพร่อง มีข้อเสียอย่างสองอย่างยังนับว่าไม่เลวร้ายเสียทีเดียว”

   “ท่านป้า..” เขาแย้งเสียงอ่อน “แล้วตงหลานล่ะขอรับ นางว่าอย่างไรบ้าง”

   “รู้แล้วจะว่ากระไรเล่า? ให้ลุงกับป้าตัดสินใจหลานเอ๋อร์ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว -- ดูสิ เจ้าเด็กคนนี้แปลกคนเสียจริง หวงน้องยิ่งกว่าแม่เสือหวงลูก”

   ฮูหยินแกล้งแหย่แต่ผู้เป็นหลานฟังแล้วย่นคิ้ว เขาทับนิ้วโป้งขัดกันอยู่บนหน้าตัก คนมีศักดิ์เป็นป้าเห็นสีหน้าวุ่นวายใจอย่างนั้นก็ยิ้มละมุน

   “ถ้าแต่งเข้าสกุลเถียนเป็นอันวางใจได้ ป้าเป็นแม่แท้ๆ ทั้งรักทั้งห่วงหลานเอ๋อร์ไม่ได้น้อยไปกว่าเจ้า บ้านนั้นรู้จักมักคุ้นกับบ้านเรามานาน เด็กคนไหนโตเป็นคนนิสัยอย่างไรป้ารู้ดี ซีเอ๋อร์อย่ากังวลนักเลย”

   กับคำตอบนี้ซุนซีได้แต่พยักหน้าอย่างจำนน จะไปทำอะไรได้ ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรเสียงร่ำไห้แสนเบาของบุตรสาวยังไปไม่ถึงหูบุพการี

   กับคนเป็นลูก พ่อแม่ย่อมรู้ดีที่สุด พ่อแม่ย่อมหวังดีที่สุด

   ...แล้วเหตุใดเขาถึงรู้สึกเหมือนถูกบีบหัวใจ

หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุบผบุรุษ :: บทที่2 22/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-11-2019 13:36:20
ชอบบบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
เหมือนการแต่งงานจะย่ำแย่ เมียก็มีแล้ว แถมคิดสุราอีก   :a5: o22 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุบผบุรุษ :: บทที่2 22/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-11-2019 14:11:41
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุบผบุรุษ :: บทที่2 22/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 22-11-2019 14:24:33
รอตอนต่อไปนะคะ สนุกมากๆเลย มีเมียอยู่แล้วก็ยังไม่พอเนาะ :serius2:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่2 22/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 29-11-2019 16:06:39
บทที่ 3

   เช้าวันนี้ขบวนคุ้มกันออกเดินทางตั้งแต่ฟ้าสาง เพราะเป็นงานง่ายคุณหนูคนเล็กเลยได้รับอนุญาตให้ติดตามไปด้วย ซุนซียังจำภาพเย็นวานยามแม่หนูวิ่งมาบอกได้เป็นอย่างดี เดินทางครั้งนี้จะแวะผ่านบ้านท่านเจ็ดผู้เป็นน้องชายทางสายเลือดของเจ้าสำนักเมิ่ง นางสัญญาว่าจะขนขนมกลับมาฝากเขาเป็นพะเรอเกวียน

   ครั้งหนึ่งเมิ่งชุนเถาเคยไปอาศัยเรียนการค้าเป็นลูกมือฝึกหัดที่นั่น สี่ปีให้หลังจากเด็กเฉลียวฉลาดธรรมดากลายเป็นนางมารน้อยดีดลูกคิดรางแก้ว จับอะไรเป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด...

   เข้ายามอุ้ย ซุนซีเสร็จจากงานบัญชีก็เตรียมไปกินมื้อเที่ยง เพราะวันนี้ป้าหม่าขู่จะทำฮวาจือเกิงเมี่ยน เขาถึงได้แอบตุ๋นน่องไก่เผื่อไว้ กะเกณฑ์เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าข้าวสวยหุงกับน้ำแกงสักหน่อยแบ่งกินได้ทั้งวัน เดินมาถึงทางแยกไม่ทันไรหางตาทันเห็นอาตงย่องลับๆ ล่อๆ ออกมาจากโรงครัว สองมือนางกอดโถปิดฝาไว้แนบอก เวลานั้นซุนซีถึงนึกได้ว่าน่องไก่ตุ๋นใส่ในภาชนะเดียวกัน นั่นมันกับข้าวทั้งเที่ยงทั้งเย็นของเขา จะให้เอาไปไม่ได้!

   “อาตง!” เจ้าของน่องไก่วิ่งกระหืดกระหอบไล่ตาม โจรร้ายได้ยินชื่อตัวเองยิ่งกวดฝีเท้าหนี

   คนใจเย็นหิวจนเลือดขึ้นหน้า ดึงเอาเรี่ยวแรงน้อยแสนน้อยขึ้นไล่กวดตามหลัง ตะโกนจนคอแหบคอแห้งแม่โจรน่องไก่ก็ยังตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง

   “ตงเซี่ยงจู! ถ้าไม่หยุดข้าจะฟ้องเสี่ยวเหมยว่าเจ้าซื้อของชั้นเลวมาเปลี่ยนให้นาง!”

   คำพูดเดียวดั่งฟ้าฟาดลงกลางใจ อาตงชะลอฝีเท้าพุ่งเข้าห้องว่างๆ ไปยืนรอพร้อมของกลางในมือ ในที่สุดก็ยอมจำนน

   “เป็นอาซุนเองหรอกหรือ! ให้ฟ้าผ่าตายเถอะ ข้าอุตส่าวิ่งแทบแย่” อาตงถลึงตาใส่คนหอบแฮ่กจนหน้าเขียวหน้าแดงอาการหนัก ส่วนตัวนางแค่เหนื่อยพอประมาณ สองแขนยังหอบโถไว้อย่างหวงแหน

   ซุนซียืนเกาะเสา หายใจหายคอสะดวกแล้วค่อยพูด “ข้าเรียกเจ้าตั้งนาน.. จะเอากับข้าวข้าไปไหน”

   “ของเจ้าอะไรกัน? ของคุณหนูใหญ่ต่างหาก” หัวขโมยตีหน้าซื่อ ยืนอยู่ตรงนี้ซุนซียังได้กลิ่นเครื่องยาจีนอยู่เลย

   “เอาให้ข้าดูหน่อย”

   ยืนแข่งจ้องตากันอยู่นานสองนาน อาตงยอมแพ้โอดครวญขึ้นมาเสียงดัง “เออ! ก็ไก่ของเจ้านั่นแหละ แล้วกระไรล่ะ? ข้าจะเอาไปให้คุณหนูใหญ่จริงๆ” คนไม่ชอบถูกกดดันสารภาพหมดเปลือก

   เพื่อนเก่ามานานรู้อยู่ว่าตกสภาพอย่างนางนี้ไม่ได้โกหก แล้วจะทำตัวให้น่าสงสัยไปทำไม?

   “ปู่ย่าเจ้าเป็นเจ้ากรมอาญาหรือ จ้องข้าจนตาจะหลุดออกจากเบ้าแล้ว” อาตงกระฟัดกระเฟียด ผลักเอาโถไก่ตุ๋นไปให้คนช่างสงสัยถือแทน “สองวันมานี้คุณหนูใหญ่แทบไม่กินอะไรเลย ยกสำรับเข้าไปให้แบบไหนก็กลับอออกมาแบบนั้น แม้แต่ถั่วสักเม็ดก็ไม่กิน ข้าเป็นห่วงกลัวคุณหนูจะป่วยเสียก่อน”

   “เจ้าก็เลยจะเอามื้อเที่ยงข้าไปให้คุณหนู” เขาสรุปให้ สีหน้าเหน็ดเหนื่อย “แล้วถ้าเหลือจะเก็บไว้กินเองใช่หรือไม่”

   “ดูเจ้าพูดเข้าสิ! อธิบายเจ้าไปก็เสียเวลาเปล่า เรื่องมากนักเอาไปให้คุณหนูเองก็แล้วกัน”

   นางทำเฉไฉแล้วเดินหนีไปหน้าตาเฉย ทิ้งให้ซุนซีถอนหายใจยืดยาว เด็กหนุ่มแบกเอาโถใส่ไก่ตุ๋นยาจีนกลับไปทางห้องครัว แน่ล่ะว่าเขาเป็นห่วงเมิ่งตงหลานไม่น้อย แต่ใครที่ไหนเขาจะยกน้ำแกงยังไม่อุ่นไปให้ทั้งโถทั้งหม้อกันเล่า...



   กลุ่มคนกลุ่มน้อยในชุดขาวสะอาดเดินตัดผ่านระเบียงเข้าไปในห้องนอนใหญ่ของเจ้าสำนัก ไม่ว่าจะไปทางใดก็ทิ้งกลิ่นหยูกยาและสมุนไพรแห้งเจือไว้รายทาง

   ปกติทุกสองเดือนท่านหมอเทวดาจะแวะเข้ามาตรวจอาการหลี่ฮูหยินที่เรือนใหญ่ ตั้งแต่ซุนซีทำงานเป็นเด็กรับใช้ก็เห็นแพทย์มากวัยผู้นี้เข้าออกสำนักคุ้มภัยบ่อยครั้ง คนที่คอยออกมารับมาส่งถึงลานบ้านไม่เคยขาดหนีไม่พ้นเมิ่งตงหลาน ทว่าวันนี้นางกลับขลุกอยู่แต่ในห้อง

   ลูกศิษย์ของหมอเทวดาหยงฝูเคยบอกว่าท่านอายุสี่สิบกว่าแล้ว ทว่าใบหน้ายังดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงถึงครึ่งหนึ่ง แม้จะมองจากไกลๆ ยามตรวจวัดชีพจรกริยางามสง่าหมดจด เสียงพูดซักถามอาการช้าชัดกระจ่างเย็นใส ผมมัดรวบตึงแม้สวมทับด้วยหมวกผ้าธรรมดากลับขับให้ดูทรงภูมิ

   เช่นนี้ต่อให้ยืนรอท่านหมอตรวจโรคประจำตัวฮูหยินเป็นชั่วยามเขาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ให้เดินไปส่งถึงหน้าประตูใหญ่ก็ยังยินดีเป็นอย่างยิ่ง

   หยงฝูฝากพับกระดาษไว้ให้คุณหนูเมิ่งคนโต ซุนซีรับมาแต่ไม่ได้เปิดดู พอรู้ว่าในนั้นคงเป็นคำตอบเรื่องยาที่นางเคยถามท่านหมอเมื่อพบกันครั้งก่อน เมิ่งตงหลานสนใจเรื่องสมุนไพรมากกว่าเรื่องบทกลอน ก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ที่เขารู้จัก...มีหลายอย่างที่คนสักคนหนึ่งรักแต่สวรรค์ไม่ปรารถนาให้ได้ทำ

   เด็กหนุ่มสอดพับกระดาษไว้ที่ผ้าคาดเอว รอจนหมอเทวดาเดินจนพ้นมุมถนนถึงสาวเท้ากลับเข้าด้านใน

   ตกบ่ายแก่แดดร่มอาทิตย์คล้อยลงต่ำ สีส้มเจือบนริ้วเมฆบอกเวลาตะวันใกล้ลับฟ้า เสียงบรรดาลูกศิษย์ดังเซ็งแซ่มาจากโรงอาหารใกล้เรือนนอน กลิ่นกับข้าวมื้อเย็นลอยตามลมมาถึงทางเดินข้างนอกปลอดคน ซุนซีเดินลัดจากลานกว้างย่ำเท้าไปตามทางจนถึงเรือนพยาบาลหลังเล็กๆ ปลูกอยู่ไม่ไกลกัน

   เด็กอายุราวสิบปีนั่งหาววอดโตอยู่หน้าแคร่ตากฟูกตากผ้าปูที่นอน ขดตัวหลังค่อมตาปรือใกล้จะหลับเต็มทน หนุ่มน้อยหันมาเห็นว่าใครมาก็ยิ้มกว้างตื่นเต็มที่ – แต่พอรู้ว่าเรียกกินข้าวตั้งแต่หนึ่งเค่อที่แล้ว ยิ้มร่าตาหยีก็กลายเป็นหน้าซีดในชั่วพริบตา ร่างเล็กๆ ร้องจ้าวิ่งตัวปลิวไปทางโรงอาหาร ทิ้งหน้าที่เก็บผ้าเป็นของคนอื่นเสียแทน

   มือผอมหอบเอาผ้ากองโตกลับเข้าไปในเรือน ฟูกผ้าฝ้ายตากเอาไว้นานจนหอมกลิ่นแดด มันยังเหลือไออุ่นและให้สัมผัสสะอาดนุ่มมือ พวกเครื่องใช้ในเรือนพยาบาลต้องหมั่นเอามาทำความสะอาดและตากไม่ให้เหม็นอับ

   สมัยก่อนลูกชายหัวหน้าอู๋ซ้อมวิชาน่วมไปทั้งตัวต้องมานอนพักบ่อยๆ ซุนซีชอบถือโอกาสมาป้วนเปี้ยนจนโดนใช้ให้เอาเครื่องนอนไปผึ่งแดดอยู่ทุกรอบ พอเข้าหน้าร้อนก็ต้องขนเล่มตำรามาตากกันชื้นเรียงเป็นแถวตามแคร่ ...หากจำไม่ผิดครั้งหลังมีเด็กชายตัวโตมาช่วยเขาทำงานอยู่คนหนึ่ง เสียแต่ผ่านไปนานจนจำได้แต่ชื่อที่เอามาล้อเลียน

   ลูกวัว ลูกวัว.. น้องชายคนนั้นแบกของแทนเขาจนสูงท่วมหัว ใบหน้าขึงขังแดงก่ำเหมือนพุทราจีน

   สองมุมปากที่ยกขึ้นค่อยคลายลงช้าๆ เมื่อเข้ามาเห็นสีหน้าคนในห้อง เมิ่งตงหลานนั่งเหม่ออยู่ลำพังนานแล้ว ในมือถือม้วนผ้าพันแผลค้างไว้ มีหีบเล็กสำหรับเก็บผ้าสะอาดเปิดอ้าอยู่ข้างกัน สติของนางไปอยู่ในที่แสนไกล ไม่ทันสังเกตผู้มาเยือนกระทั่งเจ้าตัวเอ่ยทัก

   “ให้ข้าช่วยดีหรือไม่” ซุนซีวางกองผ้าแล้วนั่งลงข้างๆ ผู้ถูกถามพยักหน้าช้าๆ ท่าทีเซื่องซึมเหมือนคนป่วย...เช่นนี้เรียกว่าเป็นไข้ใจ “…มีเรื่องกลุ้มใจคราใดเสี่ยวหลานชอบหลบมานั่งคนเดียวทุกครั้ง ให้คนรับฟังเป็นข้าดีกว่าบ่นให้ข้าวของให้ตำราฟัง ดีหรือไม่?”

   เมิ่งตงหลานยิ้มจาง “แล้วก็เป็นพี่ใหญ่ที่ตามมาปลอบใจข้าได้ทุกรอบ” นางว่าก่อนหลุบตาลงมองปลายเท้า “ข้าอยากพูดเอาแต่ใจอย่างน้องเล็กได้บ้าง... หากข้ามีความกล้าเท่านางคงดีกว่านี้”

   “เท่าเสี่ยวเหมยเลยหรือ” ซุนซีพูดไม่เค็มไม่จืด คุณหนูฟังแล้วหลุดหัวเราะ นางไกวเท้าเล็กจิ๋วช้าๆ รวบรวมความคิดกลั่นเป็นประโยค

   “น้อยกว่านิดหนึ่งก็ได้ -- ข้าอยากบอกท่านพ่อว่าไม่ขอแต่งงาน เจ้าของโรงเตี๊ยมดีกับสกุลเมิ่งก็จริงแต่ข้าอยากเรียนวิชาแพทย์.. อยากช่วยเหลือคนเจ็บได้มากกว่านี้ ได้ศึกษาในเรื่องที่ข้าสนใจไปเรื่อยๆ พี่ใหญ่รู้ใช่หรือไม่ว่าเป็นสะใภ้ก็มีหน้าที่ของสะใภ้”

   “และหน้าที่ของภรรยา...และหน้าที่ของมารดา” ซุนซีกล่าวเสริม

   เมิ่งตงหลานผงกศีรษะว่าตนเข้าใจ สีหน้านางหมองลงแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ในความเงียบมีเสียงถอนหายใจสั้นๆ ดังขึ้นครั้งหนึ่ง ซุนซีไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นนาน เขาเรียบเรียงคำพูดในหัวจนตัดสินได้ใจแน่แล้วถึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

   “เสี่ยวหลาน พี่ใหญ่ถามอะไรสักข้อได้หรือไม่” เมื่อคนฟังพยักหน้ารับเขาจึงกล่าวต่อ “ในเมื่อการแต่งงานหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าพี่ใหญ่ช่วยให้เจ้าได้แต่งกับท่านหยงแทนล่ะ เจ้าจะว่าอย่างไร”

   นางรีบเงยขึ้นมอง ดวงตาเมิ่งตงหลานเบิกโพลงขึ้นครู่หนึ่ง “เขาเคยพูดเช่นนั้นหรือพี่ใหญ่” ในพลอยสีนิลสุกใสมีแวววาดหวังจุดประกาย

   “…ตอบข้ามาก่อน หากเจ้าบ่าวเป็นเขาเจ้าจะคิดอย่างไร”

   คุณหนูใหญ่เงียบไปอีกครั้ง นางวางผ้าผืนสุดท้ายลงในหีบแล้วบรรจงปิดแช่มช้า แสงพราวระยับในดวงตาคล้ายมอดลงกึ่งหนึ่ง “ถึงจะเป็นไปไม่ได้ แต่หากเป็นท่านหยงข้ายินดีแต่งกับเขา”

   ซุนซีมองนิ่ง “แม้ว่าเขาจะอายุเท่าท่านลุงอย่างนั้นหรือ”

   “พี่ใหญ่ควรรู้คำตอบ แม้ว่าเขาจะอายุมากข้าก็ยินดี” นางพูดหนักแน่น “ต่อให้ล่วงเข้าสักร้อยปีพันปีข้าก็ไม่เปลี่ยนใจ ขอเพียงให้เขายินดีรับข้าเป็นภรรยาก็พอแล้ว”

   น้ำเสียงมั่นคงหยุดแต่เพียงเท่านั้น สีหน้าเป็นทุกข์ของเมิ่งตงหลานแทนคำพูดว่านางรู้ดีแก่ใจเรื่องที่ตนแก้ไขอะไรไม่ได้ จารีตแต่โบราณสอนให้สตรียึดถือสามคล้อยสี่คุณธรรม  คำพูดบิดามารดาถือเป็นวาจาศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจขัด

   “เสี่ยวหลาน” เจ้าของชื่อหันมองเซื่องซึม พี่ชายใหญ่กุมมือนางเอาไว้ “ไปที่ห้องหนังสือ พี่จะช่วยเจ้าเอง”

   สาวน้อยมองด้วยสายตาฉงน พอเสียงคู่สนทนาดังขึ้นอีกครั้งรอยยิ้มแสนเศร้าก็ค่อยๆ แย้มบาน

   ฟ้ามืดตามทางจุดสว่างด้วยแสงตะเกียง เงาสองร่างเคลื่อนไหวๆ เนิบช้าไปตามระเบียงทางเดินทอดยาว ตัดผ่านทางเข้าห้องแล้วห้องเล่าจนถึงที่หมาย

   ใครจะว่าเขาคิดอะไรตื้นเขินก็ช่าง! สตรีแต่งงานแล้วชะตาชีวิตผูกอยู่กับสามี หากนี่จะเป็นทางออกที่นางยินดีเลือกเดินไฉนเลยเขาจะนิ่งดูดาย ซุนซียอมทำอะไรบ้าบิ่นเกินตัวดีกว่ามานั่งทนเห็นน้องสาวไม่มีความสุขไปทั้งชีวิต


   
   เมื่อครั้งที่หลี่ฮูหยินยังเป็นแม่นางหลี่และมารดาของซุนซียังมีชีวิต ทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทต่างฐานะที่มาจากบ้านเดียวกัน ตระกูลหลี่เป็นผู้ดีตกยากลี้ภัยสงครามมาจากฉางซา  ส่วนมารดาซุนซีเป็นเพียงลูกสาวคนครัวที่ติดสอยห้อยตามมากับขบวนบ้านเศรษฐี ระหว่างการเดินทางยากลำบากเด็กหญิงวัยไล่เลี่ยผูกสัมพันธ์เป็นทั้งนายบ่าวและเพื่อนรัก สองดรุณีสนิทกันเหมือนพี่น้อง แม้แต่ออกเรือนก็เลือกลงหลักปักฐานที่เมืองเดียวกัน

   จากรุ่นสู่รุ่นความผูกพันยังคงอยู่เปลี่ยนแต่เพียงผู้รับบทบาท จากสาวใช้วัยแรกแย้มเป็นเด็กชาย และจากคุณหนูตกยากเป็นสามพี่น้องในครอบครัวมีฐานะ ซุนซีเคยสงสัยว่าหลี่ฮูหยินเห็นแม่ของเขาเป็นเหมือนพี่น้องหรือไม่ เพราะสำหรับเขากับสามพี่น้องมันเป็นเช่นนั้น

   เพื่อน้องสาว ให้บุกน้ำลุยไฟเขาทำได้ทุกอย่าง



   ม้าแก่วิ่งไม่เร็วไม่ช้าแต่ฝุ่นยังคลุ้งเหนือดินเป็นทางยาว เขตนอกเมืองอย่างนี้ถนนลูกรังทำมาจากการแผ้วถางพื้นที่ป่า ยิ่งเดินทางหลุดจากชานเมืองภูมิทัศน์ขนาบสองข้างค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากป่าโปร่งเป็นป่าทึบในไม่ช้า ต้นไผ่ขึ้นเป็นทิวสูงหนาตา เสียงซ่าเหมือนห่าฝนจากใบเรียวลู่เสียดสี ลมที่ตีปะทะใบหน้าเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มร่างเล็กบนหลังม้ามือกำสายบังเหียนแน่นแม้ตอนนี้แทบไม่รู้สึกถึงนิ้วทั้งสิบ

   รูปปั้นหินเรียงรายเป็นสัญญาณว่าใกล้ถึงที่หมาย ซุนซีทวนคำพูดในหัวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนโรงหมอจะปรากฏในคลองสายตา เรือนสีน้ำตาลตรงหน้าก่อจากลำไม้ไผ่แข็งแรง มันซ่อนตัวอยู่หลังแปลงดินและลานวางแคร่ตากสมุนไพร ลูกศิษย์ของหมอเทวดาเดินอยู่ด้านนอกเพียงสองสามคน บ้างพอเห็นว่าใครมาเยือนก็กลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ

   ม้าควบเหยาะเสียงกีบกระทบไม้เมื่อข้ามสะพานเก่าพาดเชื่อมระหว่างเขตพักฟื้นกับป่าใหญ่ ผ่านแปลงสมุนไพรไม่ทันถึงโรงหมอก็พบหน้าหยงฝู คนบนหลังม้าโดดลงพื้นจูงเจ้าอาชาแก่ตรงไปหา

   ชายตรงหน้าอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีเทาตัวยาว ย่างก้าวงามสง่าราวภาพเหมือนทวยเทพ ผมมัดรวบเรียบง่ายปล่อยชายคลอเคลียบ่า เส้นสีดอกเลาแทรกตามกลุ่มผมดำสนิทมองแล้วไม่น่าเกลียดแต่ยิ่งขับให้ดูทรงภูมิ ภาพลักษณ์อาจต่างจากที่เห็นเวลาหยงฝูออกตรวจอาการคนไข้ที่เรือนไปบ้าง..แต่สิ่งที่โดดเด่นไม่เปลี่ยนคงเป็นดวงตาอ่อนโยนสุขสงบที่แค่มองก็ทำเอาใจเย็นลงได้

   “คารวะท่านหมอ ข้าเอาของมาส่งขอรับ”

   หยงฝูยิ้มเป็นมิตร มือหนึ่งผายไปทางประตูเรือนไม้ใกล้พุ่มต้นติงเซียง  “เชิญเข้าไปข้างในก่อน”

   ตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาภายในโรงหมอกลิ่นยาก็คลุ้งอวลเตะจมูก ศิษย์สองสามคนนั่งบดยาบนแคร่ บ้างก็ยืนจดตำราอยู่หน้าชั้นวาง โหลกระเบื้องเล็กๆ และอับยาวางเรียงถัดจากชั้นเก็บสมุนไพร ตู้ไม้เก่าขัดมันสูงเทียมหลังคามีคนวกมาเปิดไม่ขาดมือ ซุนซีเดินนำเข้าไปถึงโต๊ะห้องตรวจอาการหลังม่านกั้น รอจนท่านหมอเทวดาตามเข้ามาแล้วถึงวางผ้าห่อโตไว้บนโต๊ะว่าง

   “ท่านลุงได้โสมมาจากสหายเก่าขอรับ เลยฝากมาให้ท่านกึ่งหนึ่ง ส่วนสมุนไพรที่สั่งเอาไว้เมื่อคราวก่อนใส่ไว้ด้วยกันแล้วขอรับ”

   “ฝากขอบคุณท่านเจ้าสำนักด้วย” รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าท่านหมอ หยงฝูยังไม่เปิดดูทันที มือเคลื่อนนุ่มละมุนเหมือนสายน้ำไหลไปจัดถ้วยชา เป็นคนมาส่งเสียเองที่อยากให้ตรวจสอบของตั้งแต่ตอนนี้

   “ -- มีอีกอย่างขอรับ” ซุนซีโพล่งอย่างคนร้อนใจ ขยับตัวนั่งไม่ติดที่ “ท่านหยง ตงหลานจะแต่งงานเร็วๆ นี้”

   กาน้ำชาหยุดค้างกลางอากาศ สะดุดเพียงครั้งชาร้อนก็เทลงจอกเล็กไม่มีติดขัด หยงฝูขานรับว่าอย่างนั้นหรือ อย่างนั้นเอง ปากยังสำทับกล่าวคำยินดีกับนางอีกด้วย

   “นางจะแต่งเข้าเป็นอนุลูกชายคนโตสกุลเถียน ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่ได้ฝึกปรือการแพทย์อีกแล้ว” ซุนซีพูดต่อไม่รับฟัง คำอวยพรของหยงฝูค่อยๆ แผ่วลง สีหน้าคนผ่านโลกมามากยังคงนิ่งสงบเหมือนฟังเรื่องไม่สลักสำคัญ

   ต่างฝ่ายต่างนิ่งไปนาน ดวงตาคู่หนึ่งหลุบลงมองพื้น อีกคู่จ้องเขม็งที่คู่สนทนา ไอร้อนจากถ้วยชาเจืออากาศก็บางลงช้าๆ ซุนซีกุมมืออยู่บนหน้าตัก ในปากรับรู้ถึงรสฝืดเฝื่อน

   “..หากหมดธุระแล้วเชิญกลับเถิด” หยงฝูกล่าวเสียงเรียบ

   ผู้มาเยือนพยักหน้ารับอย่างจำนน สองเท้าหนักอึ้งของเด็กหนุ่มยังไม่ยอมยกก้าวไปไหน ทางเจ้าบ้านก็ไม่เร่งรัด ในดวงตาคนมากประสบการณ์สงบนิ่งดุจน้ำใส

   “ก่อนกลับข้ามีสิ่งหนึ่งต้องมอบให้ท่านหยง”

   ซุนซีคลี่ห่อผ้าบนโต๊ะหยิบเอาของทรงยาวขึ้นมา ไม้สลักลายซี่ผอมพับทบกันพอดีมือ เขาค่อยๆ คลี่พัดกระดาษหงายวางบนโต๊ะ บนผืนพัดมีลายมือลงหมึกเขียนเป็นอักษรอ่อนช้อย ข้างใต้แถวตัวหนังสือเว้นช่องไฟเป็นระเบียบพอเห็นภาพดอกอวี้หลาน งดงามวาดประดับอยู่อีกด้าน แม้กระดาษจะบางจนสิ่งที่อยู่บนพัดทั้งสองฝั่งแต่สีของรูปซีดจางคล้ายเจตนาจะซ่อนตัว

   มือผ่ายผอมแม้เปิดพัดแต่ยังปิดอักษรอยู่ครึ่งหนึ่ง “หากท่านไม่มีใจอย่างที่ว่าจริงๆ...โปรดบอกกับนางเองเถอะขอรับ” ซุนซีกำชับด้วยเสียงพร่าแผ่วเบา เมื่อสิ้นคำถึงยกปลายนิ้วออกเอื่อยช้า

ข้าไม่อยู่ยามเมื่อท่านเกิด, ท่านล่วงวัยเมื่อข้ากำเนิด

ท่านเป็นทุกข์ที่ข้าเกิดช้า, ข้าเป็นทุกข์ที่ท่านเกิดเร็ว

ข้าไม่อยู่ยามเมื่อท่านเกิด, ท่านล่วงวัยเมื่อข้ากำเนิด

ข้าปรารถนาเกิดพร้อมท่าน, ทุกวันอยู่เริงรื่นร่วมกัน

   นับแต่เนื้อความในพัดปรากฏสู่สายตา หยงฝูทำเพียงแต่ตั้งใจอ่านอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ทุกอากัปกริยาอ่อนช้อยและท่าทีเยือกเย็นดุจธารน้ำใสมลายลงช้าๆ ยิ่งสายตาไล่ผ่านอักษรตัวแล้วตัวเล่าสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นหมองมัว

   ซุนซีค้อมศีรษะ หันหลังกลับโดยไม่ต้องรอให้ใครออกปากไล่เป็นครั้งที่สอง
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่3 29/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 29-11-2019 17:09:37
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่3 29/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 29-11-2019 17:28:40
กลอนนี่คุ้น ๆ คุณหนูใหญ่จะสมหวังไหมนะ รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่3 29/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 29-11-2019 21:46:27
บทนายเอกจืดจางมากๆ  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่3 29/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-11-2019 23:50:03
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่3 29/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 30-11-2019 00:09:52
รอตอนต่อไปค่ะลุ้นๆ :katai1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่3 29/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: valenna yy ที่ 30-11-2019 13:15:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่3 29/11/62
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 06-12-2019 12:24:04
บทที่ 4

   ฟ้าครึ้มในยามสายตะวันเร้นกายอยู่หลังแพเมฆฝนเกาะกลุ่มคล้อยต่ำ ที่ลานตากผ้ามีแต่ราวตากโครงไม้ไผ่กับคนใช้ที่ยืนท้าวสะเอวบ่นว่าฝนใกล้จะตกอยู่รอมร่อ ห่างออกไปพวกลูกศิษย์สำนักยังซ้อมพลองทำเสียงอึกทึกแข่งกับเสียงลม ฝุ่นทรายตลบฟุ้งพัดไปทั่ว ในเรือนใหญ่กับประตูอ้ากว้างอย่างนี้ทำเอาคนกำลังถูพื้นห้องโวยขึ้นมาอีกรอบ

   “ลมแรงอย่างนี้บ้านเจ้าเปิดประตูรอเง็กเซียนเสด็จรึไง!”

   “ระวังคำพูดหน่อย!” คนแก่กว่าเอ็ดขึ้นมา “เจ้าก็ลุกไปปิดประตูแล้วค่อยมาถูพื้นต่อ อย่าทำให้เป็นเรื่อง”

   ซุนซีที่เพิ่งยกโต๊ะไม้เสร็จแทบจะห่อตัวเดินออกไป สาวใช้ยิ่งอายุมากยิ่งน่ากลัว คำกล่าวนี้เขาได้พิสูจน์ด้วยตนเองแล้ว..

   เด็กรับใช้ข้างนอกตรงมาเกาะขอบประตู ท่าทางจะรีบจัดจนจุกผมเบี้ยวจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่ “ซุนเกอ คนจากโรงหมอมาหา อยู่ข้างนอก--”

   “อิงอิง ไปมัดผมใหม่เดี๋ยวนี้!” ประกาศิตดังมาจากข้างหลังเขา เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยง กวดฝีเท้าโกยหน้าตื่นกลับไปทางเดิม

   ซุนซีก้มหน้าก้มตาเช็ดมือกับชายเสื้อ สาวเท้าไวๆ ตามออกไปถึงประตูใหญ่ เด็กชายตัวเล็กยืนทำท่าขึงขังเป็นนายทหารเฝ้ายามอยู่หน้าขั้นบันได สองมือหอบห่อผ้าป่านสีทึมกอดเอาไว้เป็นอย่างดี กันไม่ให้เลอะแม้ว่ารองเท้าเจ้าตัวจะเขลอะโคลนกระเด็นมาถึงเข่า

   “รอนานไหม?” ฝ่ายที่เพิ่งมาหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าถูแก้มเช็ดคราบเปื้อนเล็กๆ หนุ่มน้อยส่ายศีรษะเอื่อยช้า หยีตาลงนิดแต่ไม่ได้เอนตัวหลบไปไหนอย่างคนคุ้นกันดี รอจนละมือถึงส่งห่อผ้าให้

   “ซือฝุ ขึ้นเขา” เด็กชายแจ้งเสียงเรียบ ดวงตาสีหมึกจ้องอีกฝ่ายอย่างคาดหวัง

   ซุนซียิ้มน้อยๆ ส่งห่อกระดาษบรรจุถั่วตัดใส่มือเจ้าหนู “ขอบใจเจ้ามาก ฝนใกล้ตกเดินทางระวังด้วย”

   คนรับส่งเสียงอืมในลำคอ ยัดเอาห่อขนมไว้ในอกเสื้ออย่างดีแล้วถึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับทางเดิม ซุนซีไม่ได้ยืนส่งเจ้าหนูเหมือนอย่างเคย ได้ของเขาก็รีบสาวเท้าปรี่เข้าไปในเรือนด้านหลัง

   คุณหนูใหญ่นั่งประสานมือบนหน้าตัก ทันทีที่เห็นเขาเข้ามาพร้อมห่อผ้าเมิ่งตงหลานก็แย้มสรวลงดงามราวบุปผาแรกผลิใบ รอยบุ๋มลักยิ้มน้อยๆ แต้มประดับที่สองแก้มชัดเจนกว่าครั้งไหน เมื่อไม่อาจระงับความตื่นเต้นได้มือนางก็พาลสั่นตาม

   “กลับไปอ่านที่ห้องกันดีไหม?” ซุนซีถามระหว่างส่งห่อผ้าให้ เมิ่งตงหลานรับเอามาถือไว้แนบอก พยักหน้าตอบระรัว

   คุณหนูใหญ่กลั้นยิ้มเป็นระยะ พยายามเลี่ยงคำถามจากสาวใช้ที่เดินสวนมา สองเท้าเล็กๆ ก้าวไวราวกับกำลังเหาะข้ามทางเดินใต้ร่มหลังคาทอดยาว เพราะแทบอดใจรอไม่ไหวเลยลืมไปแล้วว่าซุนซีคอยตามหลังอยู่ไม่ห่าง คนมีศักดิ์เป็นพี่กลัวเหลือเกินว่านางจะรีบเสียจนสะดุดชายกระโปรง

   ประตูห้องปิดไม่ทันไรคุณหนูคนโตก็พุ่งไปนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวเรียบร้อย ซุนซีหันไปสั่งให้สาวใช้ประจำตัวคุณหนูรออยู่ด้านนอก เขาตามเข้ามาข้างใน ทันเห็นมือขาวราวหยกเนื้อดีลูบไปตามสันพัด วี่แววลังเลพาดผ่านในดวงตากลมโต นางหันกลับมาขอความช่วยเหลือสลับกับมองพัดที่ถืออย่างถนอมในมือ

   “เอาอย่างไรดีพี่ใหญ่..ข้ากลัว...”

   “ไม่เปิดเจ้าก็ไม่รู้คำตอบว่าดีร้าย อย่ารีรออีกเลย” ซุนซีรีบนั่งลงข้างๆ มือกำชายเสื้อเอาไว้แน่น แค่อยู่ด้วยกันเขาก็ตื่นเต้นตามจะแย่แล้ว!

   นิ้วเรียวยาวคลี่พัดออกเบามือ บนผืนกระดาษปรากฏลายอักษรสองแบบในแถวยาวข้างกัน หยงฝูต่อกลอนด้วยตนเองไม่ผิดแน่ เห็นอย่างนั้นต่างคนต่างเผลอกลั้นหายใจ สายตากวาดไล่ลงอ่านไม่กล้าเอ่ยเสียง

เจ้าไม่อยู่ยามเมื่อข้าเกิด, ข้าแก่เฒ่าเมื่อเจ้ากำเนิด

ข้าห่างไกลแสนไกลกับเจ้า, เจ้าอยู่ไกลแสนไกลจากข้า

เจ้าไม่อยู่ยามเมื่อข้าเกิด, ข้าแก่เฒ่าเมื่อเจ้ากำเนิด

ผีเสื้อไม่มองหาบุปผา, ทุกคืนพานพบเพียงว่างเปล่า

   ท่อนหลังมาจากบทประพันธ์เดียวกันต่อขึ้นเป็นกลอนฉบับสมบูรณ์ ...ทว่าในบาทสุดท้ายกลับแก้เปลี่ยนเป็นการตัดรอนสัมพันธ์ รอยยิ้มคนรอเลือนหาย สีหน้าเมิ่งตงหลานดิ่งลงราวฟ้าครึ้ม ในความเงียบดวงตาคู่งามรื้นน้ำใสไม่นานก็หยาดรินอาบแก้มนวล สตรีในห้วงรักกลืนก้อนสะอื้นลงคอ กระทั่งไหล่ก็สั่นน้อยๆ

   ไม่ว่าคุณหนูใหญ่จะคิดกับชายสูงวัยผู้นี้อย่างไร สิ่งที่ซุนซีตระหนักเห็นจากอีกฟากหนึ่งกลับไม่ใช่ความรักฉันท์ชู้สาว ยามนี้เด็กหนุ่มรู้ดีแล้วว่าความรู้สึกที่หยงฝูมีต่อเมิ่งตงหลานไม่ผิดอะไรไปจากผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กที่เห็นตั้งแต่เล็ก เปรียบเป็นรักก็บริสุทธิ์เกินกว่าจะเป็นคู่ชีวิต

   ซุนซีสีหน้าดิ่งลง ไม่ใช่ว่าเขาเป็นฝ่ายดับแสงเทียนริบหรี่ลงเองหรอกหรือ ไฟแห่งความหวังดวงน้อยเพิ่งมอดลงต่อหน้า แม้กระทั่งเชื้อไฟก็บิดปลิวเหมือนฝุ่นธุลีต้องลม

   พายุจู่ๆ พลันกระหน่ำลงบนหลังคากระเบื้อง ฟ้าลั่นคระครืน เสียงอึกทึกด้านนอกดังฝ่าเสียงห่าฝน ต่างคนกระวีกระวาดยกของเก็บกันให้วุ่น ..ครวญสะอื้นไห้ก็กลืนหายไปกับช่อดอกไม้กลีบช้ำหลุดร่วงบนลานดิน



   เสียงกู่เจิ้งยามเย็นเงียบหายไปนานแล้ว กระทั่งเงาของหญิงงามยังไม่อาจแลเห็น

   รอยยิ้มในดวงตาคุณหนูคนโตเลือนหายตั้งแต่วันที่พัดส่งถึงมือ เมิ่งตงหลานกล่าวว่าหากไร้วาสนาตนไม่ขอคาดหวังสิ่งใดอีก นับแต่นั้นน้องสาวของเขาไม่ร้องไห้ ไม่หัวเราะ นางกลับมากินข้าวอีกครั้งแต่ก็เหมือนร่างไร้วิญญาณ ว่างเมื่อไหร่ก็นั่งเหม่อลอยไม่มีเค้าของเด็กสาวคนเดิม

   สายวันหนึ่งเจ้าสำนักเมิ่งสั่งให้ข้ารับใช้เรียกคนหามเกี้ยวมาที่บ้าน ตามทางยังเฉอะแฉะจากฝนเมื่อตอนสาย ลุงกงไห่เดินโขยกเขยกออกไปไม่นานก็กลับมาพร้อมเกี้ยวสองคัน คันหนึ่งเตรียมไว้ให้เมิ่งตงหลาน อีกคันให้เมิ่งชุนเถา

   ลำพังคนแบกเกี้ยวก็แปดคนแล้ว ซุนซีจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ติดสอยห้อยตามไปด้วย เด็กหนุ่มเห็นแต่อาตงรีบผัดหน้าด้วยแป้งหอมแก้มทาชาดเป็นสีแดงเรื่อ นางบอกด้วยเสียงดังคล้ายตะโกนว่าจะไปดูแสดงงิ้ว แต่งตัวสวยขนาดนี้ถึงต้องเดินอยู่ข้างเกี้ยวก็ดูท่าจะยินดี

   ที่หน้าประตูใหญ่คนหามยกเกี้ยวขึ้นพร้อมเพรียง แดดส่องผ่านม่านหน้าต่างพอให้เห็นรอยยิ้มอิดโรยของเมิ่งคนโต...ซุนซีเห็นแต่ไม่กล้าพูดปลอบ มือผอมจับกรอบประตูไม้ชื้นๆ สองตามองไล่หลังขบวนเกี้ยว ภาวนาให้เที่ยวในเมืองครั้งนี้ชุบชีวิตไม้งามช่ออ่อนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

   แต่เด็กหนุ่มคิดผิด คราวนี้ผิดมหันต์

   เป็นเวลาเกือบค่ำกว่าขบวนเกี้ยวจะกลับมา ช้าไปจากกำหนดถึงสองชั่วยามทำเอาป้าหม่านั่งไม่ติดที่ ซุนซีตามมารออยู่ตรงถนนหน้าบ้าน โคมไฟไหวๆ ส่องสว่างใต้ฟ้าครึ้มใกล้ค่ำ รออยู่นานกว่าจะเห็นเงาคนแบกเกี้ยวหลังเล็กเดินมาตามทาง อาตงร้องเรียกให้มาช่วยประคองเมิ่งตงหลานตั้งแต่เกี้ยวยังไม่ทันแตะพื้น คนล้อมหน้าล้อมหลังซุนซีได้แต่ยืนมองห่างๆ เมิ่งคนรองสบตาแล้วส่ายศีรษะรัว เขาต้องรอจนคุณหนูกลับห้องถึงได้รู้ข่าว

   เรื่องวุ่นวายเหตุเพราะงิ้วจากคณะทางใต้เล่นเรื่องคู่รักผีเสื้อ  อาตงเล่าว่ายังแสดงไม่ทันจบเมิ่งตงหลานร่ำไห้เหมือนจะขาดใจ ร้องหนักจนสิ้นสติ

   หลังจากเหตุการณ์วันนั้นอาการของเมิ่งตงหลานหนักขึ้นเป็นเท่าตัว นางล้มป่วยนอนซมอยู่แต่ในห้อง แม้จะตามหมอมารักษาคนแล้วคนเล่าก็ไม่มีทีท่าจะดีขึ้น บอกว่าเพราะขาดอาหารบ้าง เพราะพักผ่อนไม่พอบ้าง ดูแล้วคล้ายจะเลี่ยงไม่พูดต่อหน้าเจ้าสำนักว่าป่วยเพราะอะไร

   โรคใจมิใช่โรคกาย ยาดีตำราไหนถึงจะรักษาได้เล่า?




   ใช้เวลาไม่กี่วันจดหมายจากคุณชายอินทรีก็ส่งกลับมา ซุนซีรับมันมาเปิดดูลำพังในห้องนอนรวมที่ตอนนี้ปราศจากคน มือผ่ายผอมไล่ไปตามซองกระดาษทรงยาวก่อนจะดึงพับจดหมายออกมา ใจความที่เขาเคยเล่าไปฉบับก่อนกล่าวว่าเขาทำเพื่อนคนหนึ่งเป็นทุกข์เพราะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เช่นนี้ควรทำอย่างไรดี

   ยิงฉู่หยุนตอบเพียงถ้อยคำตรงไปตรงมา

   ไม่ได้ข่าวจากเจ้าหลายสัปดาห์ เป็นอย่างไรบ้าง ฝึกวรยุทธ์ราบรื่นดีหรือไม่?

   เรื่องที่ถามมานั้นแจ้งแก่สหายเจ้าเถิดว่าบางอย่างก็สุดวิสัย ไม่ใช่การแก้ปัญหาทุกครั้งจะคลายปัญหาได้ในทันที หากว่าทำเต็มที่แล้วเจ้าจงทำใจให้สงบ ที่ไม่ควรโทษตัวเองเพราะใครเล่าจะทำนายอนาคตได้ ไม่แน่เมื่อเวลาผ่านปัญหาหนักใจอาจมีหนทางคลี่คลายได้ ขอเพียงอย่าย่อท้อก็เพียงพอ

   เซี่ยเหมย เจ้ายังเด็กนักก็ทำใจให้สบายเถิด มีความสุขกับเรื่องราวต่างๆ ในแต่ละวันให้มาก หากมีเรื่องอะไรก็ให้เขียนมาอีก ข้าจะรอ

                           ยิงฉู่หยุน

   ตลอดค่ำวันนั้นซุนซีเก็บเอามาอ่านทวนอีกหลายรอบ ร่างเล็กนั่งขดตัวอยู่ใต้แสงเทียน สองมือกางกระดาษจดหมายไล่สายตาอ่านซ้ำๆ ทีละตัวอักษร ตัวหนังสือเพียงไม่กี่แถวทำให้เขารู้สึกดีขึ้น

   อย่างไรเขาก็ยังคิดอยู่ว่าควรมีวิธีช่วยเมิ่งตงหลานได้อีก แต่ทุกอย่างช่างเกินความสามารถเขาเหลือเกิน ลำพังแรงน้อยนิดของเขาไม่อาจช่วยน้องสาวได้เลยหรือ?

   ซุนซีไม่อยากให้เมิ่งตงหลานแต่งงานไปเป็นภรรยารอง ยิ่งกับภรรยาหลวงลูกชายลุงเถียนที่ขึ้นชื่อว่าชอบกินน้ำส้มสายชู ด้วยแล้วเขายิ่งเป็นกังวลใจ

   ปลายยามเหม่า ข้างนอกครึกครื้นกว่าเคยเพราะขบวนคุ้มกันของคุณหนูสามกลับมาพร้อมของฝาก ไม่ต้องไปดูก็รู้ว่าเมิ่งเซี่ยเหมยถึงบ้านแล้ว เสียงเด็กๆ หัวเราะร่าลอยมาไกลถึงห้องเขียนหนังสือ ซุนซีนวดมือตัวเองพักสายตาจากเอกสารกองโต หันไปทางประตูอีกคราวก็เห็นอาตงยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ตรงนั้น

   “มัวแต่ทำงานไม่ไปเอาของฝากหรือ?” นางถาม เขาตอบด้วยการโคลงศีรษะ

   “นั่งเฉยๆ เดี๋ยวของก็มา”

   ไม่ทันขาดคำเสียงโหวกเหวกก็ดังมาแต่ไกล ฝีเท้าหนักๆ วิ่งเป็นลิงทโมนมาตามระเบียงทางเดิน อาตงมองหน้าเพื่อนอย่างรู้กัน ซุนซีถึงกับหลุดขำ

   “พี่ใหญ่! อาตง! กินข้าวหรือยัง?” เจ้าของเสียงโผล่ถึงที่ก็เกาะแขนสาวใช้เป็นเจ้าจ๋อติดแม่

   แม่ลิงจำเป็นหันมองต้นเสียงเจื้อยแจ้ว แม้แต่จะแกล้งทำหน้าระรื่นยังขี้เกียจ “คุณหนูสามกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” ฟังก็รู้ว่าถามทักไปอย่างนั้น

   “กลับมาแล้วสิ! ข้าไม่อยู่คิดถึงข้าใช่ไหมล่ะ” นางยิ้มแหย่ “เนี่ยน้า มีหนุ่มฝากเครื่องประดับมาให้อาตงด้วย”

   เมิ่งเซี่ยเหมยหยิบของในถุงผ้าออกมาวางกลางฝ่ามือ มันเป็นหวีไม้แก่นจันทร์ประดับไข่มุกล้อแสงเป็นมันวาว ดูเรียบๆ แต่เป็นงานฝีมือประณีต อาตงเห็นแล้วทำหน้าไม่จืดไม่เค็ม

   “คุณชายห้า? อันที่จริงของจากเด็กข้าไม่อยากรับหรอกนะ” ไม่ว่าเปล่า มือก็คว้าเอาหวีเก็บเข้าอกเสื้อ

   “ไม่ชอบจริงเหรอ ไม่ชอบไม่ต้องฝืนรับไว้ก็ได้นะอาตง”

   “วันนี้งานยุ่งจริงเชียว ไม่ว่างคุยกับคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ” นางตัดบท แงะคุณหนูออกแล้วก้าวฉับๆ พริบตาก็หายไป คนช่างแหย่ถูกปล่อยให้ถามเก้อ ปากเม้มตาก็หยีกลั้นขำสุดกำลัง

   ซุนซียิ้มแล้วส่ายหัวหน่ายๆ “เสี่ยวเหมย เดินทางคราวนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

   “ก็เหมือนเดิม” นางว่า ลากเก้าอี้ไม้ครืดคราดมานั่งอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ “เออนี่ พี่ใหญ่ ช่วงที่ข้าไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นหรือ? เหตุใดพี่รองถึงป่วยได้ล่ะ”

   ซุนซียกกองหนังสือย้ายไปไว้ด้านข้าง เปิดเป็นที่โล่งๆ ให้นางนั่งคุยได้ถนัด “เรื่องงานแต่งเสี่ยวหลาน ..ให้พูดตามตรง ที่นางป่วยเป็นความผิดพี่เอง”

   “ความผิดพี่ใหญ่ได้อย่างไรล่ะ? อะไรๆ ท่านพ่อก็เป็นคนจัดการ พี่รองเครียดทีไรเป็นไข้ทุกทีอยู่แล้ว”

   “...” เขาไม่รู้จะตอบอย่างไร เมื่อมองตาใสซื่อของอีกฝ่ายเมิ่งเซี่ยเหมยก็ไม่ได้เห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่น่าทุกข์ร้อน สุดท้ายพี่ชายเลือกจะเลี่ยงไม่ตอบด้วยการก้มหน้าคัดหนังสือต่อ

   “ช่างเถอะ พี่รองกินยาเดี๋ยวก็หายป่วยเองนั่นแหละ” น้องเล็กเอาศอกวางอยู่กับโต๊ะ แตะปลายนิ้วเขี่ยขอบกระดาษ ครวญเพลงเสียงแผ่วในลำคอ

   ด้วยความที่กลัวนางจะเบื่อ พี่ใหญ่ก็เลื่อนถาดของกินเล่นไปให้ ลูกอมน้ำผึ้งปั้นไส้บ๊วยเม็ดเล็กห่ออยู่ในกระดาษสุมกันเป็นกองน้อยๆ นางบ่นอุบว่าตัวไม่ใช่เด็กแต่ก็แกะกินอมไว้จนแก้มป่อง พักหนึ่งถึงยืดแขนเลื้อยไปบนโต๊ะเขียนหนังสือ

   “...อันที่จริง..ข้าคิดว่าถ้าได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไปก็คงดี”

   ซุนซีฟังแล้วเหลือบขึ้นมองครั้งหนึ่ง แววรักใคร่ปรากฏบนใบหน้า มือก็จุ่มปลายพู่กันเติมน้ำหมึกค้างไว้ “เป็นอย่างเจ้าคิดได้หรือ? ยิ่งเกิดเป็นลูกผู้หญิงสักวันย่อมต้องออกเรือน แต่งเข้าสกุลสามีก็ยากจะได้อยู่ด้วยกันแล้ว”

   “บางครั้งข้าก็อยากให้ท่านพูดโกหกปลอบใจข้าบ้าง...” นางบ่นพึมพำ เรียกรอยยิ้มบางบนใบหน้าคนเป็นพี่

   “ยาดีก็ขมปากอย่างนี้  ต่อให้พี่ใหญ่โกหกใช่ว่าเปลี่ยนความจริงได้เสียเมื่อไหร่ ...ยอมรับได้ไวจะได้ไม่ต้องเสียใจมากนัก แบบนี้ไม่ดีหรือ?”

   ท้ายประโยคซุนซีว่าพลางใช้มือว่างลูบนิ้วผอมไปบนหลังมือแม่เด็กขี้แย ไม่นานจากอาการซึมนั่งคอตกก็ดีขึ้นตามลำดับ

   “นี่ๆ พี่ใหญ่... พี่คิดว่าท่านพ่อจะให้พวกเราไปหาแม่สื่อดูตัวอีกหรือเปล่า” นางถามเสียงตัดพ้อหน้ามุ่ย “ข้าไม่ชอบเลย แต่งตัวน่าอึดอัดไปให้แม่เฒ่าดู นางเลือกคนอย่างกับเลือกผักในตลาด ครั้งที่แล้วก็ติข้าไม่มีชิ้นดี...”

   “อย่าห่วงนักเลย ลองให้เจ้าได้อาละวาดสักครั้งท่านลุงคงนึกขยาดแล้ว”

   “ดีสิ! ถ้าเลือกได้ข้าจะไม่แต่งงานหรอก อยู่กับท่านพ่อท่านแม่กับพวกพี่สาวยังสบายกว่ากันเยอะ”

   ซุนซีฟังแล้วอมยิ้มไม่ว่าอะไรต่อ สิ้นเสียงเจื้อยแจ้วความเงียบก็กลับมาปกคลุมอีกครั้ง .. นานทีจะได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษดังกรอบแกรบ คนหนีมาพักหาววอดโต จากนั่งหลังค่อมก็ไถลเลื้อยไปบนโต๊ะว่าง

   “พี่ใหญ่” เมิ่งเซี่ยเหมยเอาคางเกยแขน เอนหัวอิงจนแก้มย้วย “พี่ใหญ่ว่าใครเหมาะจะแต่งกับพี่รอง”

   ซุนซีเหลือบมองอยู่ครั้ง รอยยิ้มน้อยๆ ผุดที่สองมุมปากระหว่างตวัดข้อมือ “เสี่ยวหลานชอบชีวิตสุขสงบแถมยังเอื้อเฟื้อ ให้นางแต่งกับท่านหมอหยงคงดีกว่าแต่งกับลูกชายเจ้าของโรงเตี๊ยม”

   คนถูกถามพูดกับตัวเองดังๆ เมื่อเอ่ยปากแล้วก็ถือโอกาสร่ายยาวเผื่อไปถึงคนอื่น

   “เสี่ยวเถาติดสบายแต่ไม่สนสังคม” เขาว่าพลางลากพู่กันเขียนงานไม่หยุด “จะหาคนรับมือนางได้คงไม่ใช่คนละแวกนี้ ถ้าได้แต่งกับคนไกลก็ให้เอาสาวใช้ไปสองคน”

   แม่สาวน้อยหมอบอยู่กับโต๊ะเขียนหนังสือ จ้องด้วยตากลมโตสีเข้มเหมือนหยดหมึก “ทำไมต้องสองคนล่ะพี่ใหญ่”

   พู่กันหางกระรอกปาดไปบนปลายจมูกนาง เจ้าคนช่างซักหน้ายู่ แตะมือลูบที่หน้าจนเปื้อนสีดำเป็นทาง

   “จากบ้านเดินทางไกล คนแรกเป็นสาวรุ่นให้ทำงานหนักได้ อีกคนเป็นสาวแก่ความรู้มากให้คอยตระเตรียมทุกอย่างได้ เกิดวันใดคนอายุน้อยแต่งออกไปจะได้มีสาวใช้เหลือคอยดูแล ..พอมีเงินมากจะเชื่อใจใครก็ยาก เอาคนรู้จักแต่เล็กไว้ใกล้ตัวจะได้ไม่ฟูมฟายคิดถึงบ้าน”

   กว่าซุนซีจะว่าจบคู่สนทนาก็เอาผ้าแพรผืนน้อยมาเช็ดหน้าจนเกลี้ยงไม่นึกเสียดาย เขาได้แต่ถอนหายใจยืดยาว

   “ส่วนเจ้า เสี่ยวเหมย แต่งกับคนรวยไม่ต้องให้มีบรรดาศักดิ์นัก จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องวางตัว”

   สาวน้อยหัวเราะแหะ “รวยหรือไม่ข้าก็ไม่เอาหรอก ดูพี่ใหญ่สิ แสนดีอย่างท่านยังไม่เห็นอยากแต่งงานเลย”

   คนไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดยิ้มเฝื่อน ยังมีอะไรที่นางไม่เข้าใจอีกมาก บางเรื่องเขาคงไม่มีเวลามานั่งอธิบาย...กับเรื่อง ‘ภรรยา’ ของเขายิ่งแล้วใหญ่ จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อรสนิยมแบ่งท้อ ไม่อาจผลิดอกออกผลได้

   เสียงเรียกดังมาจากนอกห้องขัดจังหวะ เมิ่งเซี่ยเหมยตาโตทำหน้าเลิ่กลั่ก

   “พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา !” คุณหนูเล็กลุกพรวดพราด กระโจนทีเดียวไปถึงหน้าต่าง “ข้าไม่เคยอยู่ตรงนี้มาก่อน วันนี้เราไม่ได้พบหน้ากัน ข้าเชื่อมือพี่ใหญ่นะ”

   และทันทีที่ประตูเปิดอ้า เจ้าของเสียงเจื้อยแจ้วก็กระโดดแผล็วอย่างกระต่ายหายไป ทิ้งไว้แต่พี่ใหญ่คนดีให้รับมือกับป้าหม่าหน้าคว่ำที่ยืนอยู่ตรงประตู ในมือแข็งแรงข้างหนึ่งถือถาดถ้วยน้ำชา อีกข้างหนึ่งยังค้างอยู่ในท่าดันบานประตูไม้

   “คุณหนูสามกลับมาเดี๋ยวนี้!”

   ซุนซีรีบก้าวยาวๆ ไปรับของ ถึงตอนนี้เจ้าของชื่อก็บินหนีเป็นนกแตกรังไปไกลลิบแล้ว..




   ผู้คนเช่นมดงานเดินสวนสนามวุ่นวายแต่เช้า อากาศเย็นหลังน้ำค้างลงไม่เท่าไหร่ ฟ้ายังไม่ทันสว่างดีดวงไฟก็จุดทั่วหัวระแหง แสงสีส้มทอกลืนไปกับบรรยากาศสลัวหม่น เสียงหัวร่อต่อกระซิกยังลอยมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ ชายกระโปรงยาวสะบัดสีเป็นทำนองผืนผ้ายามก้าวเท้า ลมหอบพัดเอากระดิ่งห้อยหลังคาดังกรุ๊งกริ๊ง

   ครอบครัวพร้อมลูกเล็กเด็กแดงตบเท้าเข้ามาที่ลานเป็นสาย พื้นที่หน้าศาลากลางตั้งเก้าอี้ไม้ขัดมันเรียงเป็นระเบียบ กลิ่นหอมของข้าวต้มร้อนๆ ลอยมาพร้อมควันฉุยจากหม้อใบใหญ่ ไม่ช้าอาหารก็ตักลงถ้วยพอดีมือ แจกให้ทานกันจนอุ่นท้อง

   ซุนซีพับแขนเสื้อขึ้นถึงศอกหอบเอาเสื่อผืนโตมาปู ท้องเขาร้องประท้วงเสียงดัง คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หัวร่อก่อนไล่ให้ไปรับข้าวต้ม เดินไปได้ไม่เท่าไหร่ท่านย่าใหญ่ก็มาถึงพร้อมยายเฒ่าคนอื่นๆ เด็กหนุ่มรุดเข้าไปโค้งคารวะคอยต้อนรับ

   “ยังเตรียมของกันไม่เสร็จหรือ?” ผู้อาวุโสถามเสียงเรียบ

   บรรดาคนบนลานกลางแจ้งหลีกทางราวทะเลแหวก ซุนซีก้มหน้าก้มตารับแทน “ใกล้แล้วขอรับ เมื่อคืนฝนตกเลยต้องจัดใหม่ตอนเช้า”

   ท่านย่าใหญ่ไม่ตอบกระไร เมื่อถึงบัลลังก์เล็กๆ ท่านก็นั่งหลังตรง จับไม้เท้าปักพื้นตั้งตระหง่านแผ่รัศมีน่าเกรงขามดุจนางพญา แม้แต่เจ้าพนักงานที่เข้ามายืนคุมความเรียบร้อยยังต้องยืนเกร็งกันเป็นแถว

   วันนี้เป็นอีกวันสำคัญสำหรับเด็กสาว ซุนซีเคยร่วมพิธีเมื่อตอนเมิ่งตงหลานกับอาตงอายุครบเกณฑ์ คราวนี้เป็นตาของคุณหนูคนที่สอง

    ผมดำขลับเป็นแพรผืนยาวของเมิ่งชุนเถาสระสะอาดและหวีรวบขึ้นเป็นสองมวยอย่างเด็กหญิง นางยืนรวมกลุ่มอยู่กับสาวแรกรุ่นคนอื่น -- และออกจะดูผิดที่ผิดทางเมื่อบรรดาดรุณีนางน้อยตื่นเต้นกับพิธี แต่คุณหนูของเขายังคงหน้าครึ้มหน้าคว่ำอย่างคนไม่ชอบรออะไรนานๆ

   เสียงประกาศเริ่มพิธีดังก้องหลังทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ซุนซีถอยมายืนรวมกับคนในบ้านสกุลเมิ่งที่วงนอก อาตงเว้นที่ให้เขายืนข้างเมิ่งเซี่ยเหมย ถึงไม่พูดแค่สบตาก็รู้ว่ารับมือคุณหนูสามช่างจ้อไม่ไหวแล้ว..

   บรรดาเด็กสาวหยุดยืนเรียงแถวบนเสื่อก่อนทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าพร้อมเพรียง ยกแขนทั้งสองด้วยกิริยาอ่อนช้อยน้อมคารวะยายเฒ่าตรงหน้า บรรดาสักขีพยานยืนมองเงียบเสียงอยู่ริมนอก แดดขึ้นสูงทีละน้อย อากาศยังเย็นทั้งลมพัดพอให้แขนเสื้อยาวไหวๆ ไม่เหนอะตัว

   ท่านย่าใหญ่เดินโดยไม่อาศัยไม้เท้า มีสาวใช้คนหนึ่งคอยประคองแขน ส่วนหญิงรับใช้อีกเจ็ดคนถือถาดไม้ใส่ปิ่นคอยเดินตาม กลางถาดที่สาวใช้คนแรกถือมีปิ่นหยกเหอเถียนฉลุลายปลาอ่อนช้อย ครีบและปลายหางสลักละเอียดราวมีชีวิต ..ซุนซีไม่คิดว่าจะมีเครื่องประดับอื่นเหมาะสมไปกับเมิ่งชุนเถามากไปกว่าปิ่นนี้แล้ว

   ต่างหูทองแกว่งไหวๆ เมื่อยามลมพัดผ่าน ริมฝีปากแต้มชาดคลี่ยิ้มแต่เพียงน้อยเมื่อสตรีสูงวัยหยุดฝีเท้าอยู่ด้านหลัง เด็กสาวในวัยสิบห้าก้มศีรษะลงนิด มือสั่นเทาของท่านย่าใหญ่จับหวีบรรจงสางผมของเมิ่งชุนเถาอย่างนึกถนอมก่อนรวบขึ้นม้วนตลบเป็นทรง ไม่ช้าปิ่นหยกก็เสียบเข้าบนเรือนผมมัดมวย ถ้อยคำอวยพรหลั่งไหลมาดุจแว่วบรรเลงดนตรี

   ยายเฒ่าปักปิ่นให้สาวใช้ย่างวัยสิบห้าสิบหกอีกหลายคน เสื้อคลุมสีแดงสะบัดพลิ้วไหวๆ ห่มกายดรุณีแรกแย้ม ผู้เฝ้ามองยังแว่วได้ยินเสียงพ่อแม่สักคนสะอื้นยินดี

   เมื่อจอกเหล้ายกถึงปากก็เป็นอันสิ้นสุดฐานะเด็กน้อยไม่รู้ประสา นับแต่นี้ก้าวเข้าโลกของผู้ใหญ่แล้ว เมื่อพ้นวัยเยาว์ความรับผิดชอบย่อมมากขึ้นตามตัว อนาคตที่วาดฝันไว้อาจเป็นวันวิวาห์ไม่ช้าก็เร็ว

   “สงสัยข้าจะได้ปักรอบสอง ” อาตงตัดพ้อหลังถอนใจยาว เสียงหัวเราะคุณหนูสามกังวานอยู่ใกล้ๆ

   “ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวข้าปักเป็นเพื่อนอาตงเอง จะปักกี่อันก็เอามาเลย”

   ซุนซีตีแขนแม่คนอยากเป็นสาวแก่อยู่บ้านจนผมขาว “ของเจ้าน่ะ รอบสองให้ท่านป้าปักปิ่นทองก็พอ ” เมิ่งเซี่ยเหมยทำว่าร้องโอดโอย กระโดดแผล็วไปเอนซบไหล่อ้อนพี่สาวคนโตที่เพิ่งยิ้มออกเนือยๆ

   เด็กหนุ่มทอดสายตากลับไปที่ลานพิธี รอยยิ้มพลันจางลงเมื่อเห็นสีหน้าเริงรื่นจนน่าสงสัยของเจ้าสำนักหู่โห่ว...ก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่เมิ่งชุนเถาเตือนเขาไม่ใช่หรือ



------------------------------------------------------------------------

เนื่องในวันเกิดจะอัพเพิ่มเสาร์กับอาทิตย์นี้วันละบทนะคะ!
ครึ่งแรกบทนายเอกค่อนข้างจืดจางค่ะ ทำหน้าที่เป็นเหมือนฟันเฟืองให้เรื่องของสามพี่น้อง
ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ :-[
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่ 4 06/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-12-2019 13:55:33
ถึงจะบทจางไปแต่ไม่น่าเบื่อนะ เราอยากรู้เรื่องของ 3 พี่น้องมาก ว่าจะเป็นยังไงต่อไป รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่ 4 06/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-12-2019 14:39:09
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่ 4 06/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 07-12-2019 10:17:36
 :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่ 4 06/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-12-2019 18:33:38
 :mew1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่ 5 07/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 07-12-2019 23:42:37
บทที่ 5


   “สายนี้พักงานบ้านเตรียมแต่งเนื้อแต่งตัว พ่อนัดแม่สื่อไว้ให้แล้ว”

   ตะเกียบหลุดจากมือคุณหนูเล็ก อีกฝั่งโต๊ะเจ้าของดวงตาสีน้ำผึ้งวางชามข้าวกระแทกโต๊ะ “คราวก่อนแม่สื่อออกปากชมขนาดไหน ท่านพ่อยังไม่พอใจอีกหรือ” เมิ่งคนรองประชดขึ้นมา

   คนอื่นในบ้านยังจำได้ดีถึงการดูตัวเมื่อปีกลาย แม่สื่อชื่อดังจากหัวเมืองใหญ่มาดูลูกสาวคนโตถึงที่ แต่ดรุณีนางน้อยอย่างลูกสาวคนเล็กตามไปอาละวาดแบบไม่ได้รับเชิญ พอร่วมมือกับคนเจ้าแผนการอย่างเมิ่งชุนเถา เมิ่งเซี่ยเหมยก็ป่วนเสียจนคนเฒ่าออกปากประกาศว่าลูกสาวบ้านนี้หาดีไม่ได้

   “พ่อเอาเท้าข้าไปแล้ว จะเอาอะไรไปจากข้าอีกไม่ได้” เสียงคนรองประกาศเช่นนั้น

   “พี่สามพูดถูกแล้ว ใครเอาชนะข้าได้ข้าค่อยแต่งกับเขา” เสียงคนเล็กก็ประกาศเช่นนี้

   ซุนซีถูกตามออกไปช่วยงานป้าหม่าก่อนได้ทันว่าอะไร เขามองคล้อยหลังอย่างนึกเป็นห่วง -- อย่างที่คาด นั่งอยู่ไกลๆ ยังได้ยินพ่อลูกทะเลาะกันชัดเจน

   เป็นที่รู้กันว่าอาจารย์เมิ่งแม้จะเป็นผู้นำและเจ้าสำนักที่น่าเกรงขาม แต่นอกจากเกรงใจภรรยาแล้วยังเถียงชนะบุตรสาวไม่ได้ อย่างไรน้อยคนนักจะรู้ว่าส่วนหนึ่งเพราะสำนึกผิดกับการตัดสินใจของตนถึงได้ยอมอ่อนข้อ

   เมิ่งชางในวัยหนุ่มเคยปรารถนาให้ลูกตนไม่ข้องเกี่ยวกับยุทธภพ เมื่อค่าความงามของบุตรีคือเท้าเล็กเท่าดอกบัว ลูกคนแรกจึงจากไปด้วยไข้สูงจากการมัดเท้าตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก เวลาล่วงจนเมิ่งชุนเถาในวัยเพียงสี่ปีหวิดจะเอาชีวิตไม่รอดจากสาเหตุเดียวกันถึงหยุดความคิดบิดาไว้ได้

   เช่นนี้ธิดาคนสุดท้องอย่างเมิ่งเซี่ยเหมยจึงมีสิทธิ์ได้วิ่งเล่นเหมือนเด็กไม่รู้ประสาคนอื่นๆ ไม่ช้าวรยุทธและเพลงหมัดมวยก็กลายเป็นความสนใจเดียวของนาง -- ทว่านั่นไม่ใช่ชีวิตอย่างอิสตรีที่พ่อแม่วาดหวัง

   “เลิกพูดจาเพ้อเจ้อแล้วฟังพ่อ!”

   เจ้าสำนักเอ็ดขึ้นมาเสียงราวฟ้าลั่น “พวกเจ้าอายุตั้งเท่าไหร่กันแล้วยังคิดจะอยู่รบกวนพ่อแม่ ถ้าข้าบอกให้แต่ง จะวันนี้วันไหนก็ต้องแต่ง!”

   ไม่ทันไรคุณหนูสามก็กระแทกเท้าปึงปังออกมาจากห้อง ทันเห็นซุนซีก็วิ่งโร่เข้ามาซบหน้าตักร้องโฮเป็นเด็กเล็ก แม้กระทั่งป้าหม่าที่นางกลัวแสนกลัวจะนั่งอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่สนใจ

   “ทะเลาะกับท่านลุงหรือ..” ซุนซีถามทั้งที่รู้อยู่ ผู้ใหญ่อีกคนโบกมือปัดอากาศให้เลิกพูด เห็นแม่เด็กน้อยร้องไห้กระจองอแงป้าหม่าที่ดุกว่าใครก็ใจอ่อน

   เมิ่งเซี่ยเหมยฟูมฟายฟังไม่เป็นภาษา หลักๆ แล้วคงไม่พ้นฟ้องเรื่องบิดาหมายตาจะคลุมถุงชน

   ป้าหม่ารออยู่นานจนเห็นว่าน้ำตาเริ่มแห้งถึงเอ่ยปาก “คุณหนูกลับห้องล้างหน้าล้างตาก่อน เดี๋ยวป้าจะเอาขนมไปให้ทาน”

   แม่สาวน้อยสูดจมูก ยกแขนเช็ดหน้าลวกๆ ก่อนผงกศีรษะอย่างเด็กดี หากไม่นับคุณหนูรองที่ผ่านพิธีปักปิ่นไปหมาดๆ แล้ว เด็กอายุสิบสามปีตามจริงก็เข้าวัยเหมาะจะหมั้นหมาย  ..แต่กับสายตาคนในบ้านที่เห็นแต่เล็กจนโต นางเพิ่งอายุสิบสามเท่านั้นเอง

   เมิ่งคนรองเดินตามหลังเข้าครัว ถอนใจแทนน้องที่กำลังปล่อยโฮเฮือกหนึ่ง มืออิ่มหยิบถ้วยชามขอบบิ่นใบเก่าขึ้นมาเขวี้ยงลงพื้นสุดแรง เสียงชามแตกดังชนิดที่ว่าน้องเล็กถึงกับลืมร้องไห้ เศษกระเบื้องกระจายเต็มพื้นครัว แม้แต่ป้าหม่ายังคิดคำพูดไม่ทัน

   “ถ้าข้าช่วยพี่รอง ทุกคนต้องหยุดไม่ให้แม่สื่อมาดูตัว – จะเอาด้วยหรือไม่!” แม่เสือตาสีน้ำผึ้งประกาศกร้าว ตามด้วยเสียงหวีดของป้าหม่าเมื่อเห็นนางยกจานกระเบื้องเคลือบอย่างดีชูขึ้นฟ้า แม่เฒ่ากระโดดผึงปากร้องว่าพอแล้วๆ

   เมิ่งเซี่ยเหมยสูดน้ำมูก น้องน้อยยังสะอึกลูกสะอื้นไม่หยุดแต่รีบพยักหน้ารัว ส่วนอาตงไม่รู้เหนือรู้ใต้วิ่งตามเข้ามาดู เห็นภาพป้าหม่าเยื้อแย่งเอาชามเครื่องเคลือบราคาแพงมากอดไว้แนบอกนางได้แต่ยืนทำหน้างุนงง

   เจออย่างนี้อยู่ดีๆ ซุนซีก็ปวดหัวขึ้นมา..



   ฟ้ามืดในคืนข้างแรมตะเกียงและดวงเทียนรายทางเดินก็ดูจะสุกสว่างกว่าหมู่ดาว แสงไฟจากภายในห้องส่องผ่านออกมาถึงด้านนอก เสียงพูดคุยยังดังผะแผ่วพอให้รู้ว่าผู้อยู่อาศัยยังไม่เข้านอน ซุนซีหยุดยืนอยู่หน้าบานประตูห้องใหญ่พักหนึ่งแล้ว ลมยามค่ำพัดมาแต่เหงื่อกลับซึมผุดพราวตามแนวผม เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดช้าๆ ลำดับความที่ตระเตรียมมาก่อนหน้า รวบรวมความกล้าอีกครั้งถึงเอ่ยปากขานออกไป

   “ท่านลุงท่านป้า ข้าซุนซีขอรับ...จะขอรบกวนพวกท่านปรึกษาเรื่องสำคัญตอนนี้ได้หรือไม่”

   เสียงจากด้านในเอ็ดมาว่าดึกแล้วแต่ก็ยอมให้เข้ามาแต่โดยดี ผู้มาเยือนยามค่ำชิงเอาความมีน้ำใจผลักบานประตูเปิดออก เมื่อก้าวเข้าไปด้านในก็เลื่อนปิดอีกครั้ง บานไม้ฝืดและหนักอึ้งยิ่งกว่าเวลาไหนๆ

   เจ้าสำนักกับหลี่ฮูหยินนั่งอยู่ที่โต๊ะกลมใกล้เชิงเทียน ท่านป้าสวมเสื้อคลุมทับเสื้อนอนอีกชั้นหนึ่ง ส่วนท่านลุงพับแขนเสื้ออย่างคนขี้ร้อน ซุนซีก้าวมาหยุดอยู่ต่อหน้าพวกท่าน ไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดก็คุกเข่าลง เมิ่งชางตบโต๊ะไม่สบอารมณ์

   “เคยสอนมิใช่หรือใต้เข่าลูกผู้ชายมีทองคำ  ลุกขึ้นมา!”

   เจ้าเด็กหัวดื้อส่ายหน้า “หลานมีเรื่องจะขอร้องขอรับ จนกว่าท่านลุงท่านป้าจะอนุญาต หลานจะไม่ลุกเด็ดขาด”

   “ลูกข้ามันให้เจ้ามาขออะไรอีก? วันนั้นกล้าเถียงพ่อ วันนี้มันให้เจ้ามาคุกเข่า เออ! ดี!”

   หลี่ฮูหยินมองสามีตน แตะแขนเมิ่งชางเบามือ “ซีเอ๋อร์ มีเรื่องอะไรลุกขึ้นมาคุยกันดีๆ เถอะ”

   “อย่างนั้นฟังคำขอหลานก่อนขอรับ” แววตาซุนซีไม่หวั่นไหว ความตั้งใจจริงปรากฏอยู่ในทุกคำพูด “หลานอยากให้ท่านลุงท่านป้าเลื่อนพิธีหมั้นหมายของเสี่ยวหลานออกไปก่อน”

   “ไม่ได้” เมิ่งชางตอบโดยไม่ต้องคิด ..คนถามก็คาดเอาไว้ไม่ผิดจากนี้

   “แล้วถ้าหลานขอให้เลื่อนนัดแม่สื่อจนกว่าน้องๆ จะพร้อมล่ะขอรับ”

   อารมณ์คุกรุ่นบรรเทาลง น้ำเสียงท่านลุงก็อ่อนลงตาม “ชีวิตคนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ต่อให้เจ้าเป็นห่วงน้องขนาดไหนก็ทำเช่นนี้ไม่ได้”

   “แต่หากท่านลุงยืนกรานเช่นเดิม หลานคิดว่าน้องทั้งสองไม่มีวันยอมแน่ ดูอย่างตอนไปดูตัวกับแม่สื่อคราวก่อนสิขอรับ ตามจริงแล้ว..เสี่ยวเหมยมาบอกกับหลานทีหลังว่านางกลัวแม่สื่อจะจับเสี่ยวเถาแต่งงานทันที นางนึกว่าดูตัวแล้วแม่สื่อจะไม่ปล่อยให้พี่สาวได้กลับบ้าน”

   เติมรสแต่งกลิ่นลงสักหน่อยก็มากพอให้หลี่ฮูหยินส่ายศีรษะ ท่านรำพึงอ่อนอกอ่อนใจ “เจ้าลูกโง่คนนี้..”

   “เสี่ยวเถากับเสี่ยวเหมยเพียงแค่ไม่เข้าใจขอรับ เมื่อพบเจอสิ่งที่ไม่รู้จักคนเราย่อมกลัวเป็นธรรมดา ยิ่งเรื่องแต่งงานยิ่งแล้วใหญ่ อย่างไรรอให้ร่วมงานแต่งเสี่ยวหลานก่อน ถึงตอนนั้นน้องๆ ทั้งสองอาจเห็นว่าการออกเรือนไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแล้วก็ได้ขอรับ”

   ซุนซีมองท่านลุงพลางท่านป้าพลาง หลี่ฮูหยินสีหน้าโอนอ่อนลงแล้ว นัยน์ตาฉายแววเข้าอกเข้าใจ ขนาดท่านลุงที่เอาแต่ตีตนขึงขังยังผ่อนลมหายใจอยู่หลายรอบ

   “เอาตามนั้น รอจนหลานเอ๋อร์แต่งงานก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน”

   “หลานขอบคุณท่านลุงท่านป้าขอรับ” เด็กหนุ่มประสานมือค้อมหลังคำนับลงต่ำ กัดริมฝีปากเอาไว้ไม่ให้ดีใจออกนอกหน้า หัวใจเขาเต้นระรัวคล้ายจะหลุดจากอก

   “กลับไปเสียที ข้าจะพักผ่อน” เมิ่งชางมือหนึ่งกุมศีรษะ อีกมือปัดอากาศไล่ มีหลี่ฮูหยินพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้กลับอยู่ข้างกัน

   ซุนซีอยู่รับใช้ตระกูลเมิ่งมาตั้งแต่พอรู้ความ ได้รับการเอ็นดูเหมือนลูกหลานและเป็นเหมือนพี่ชายคนโตสำหรับลูกสาวทั้งสามของหลี่ฮูหยิน

   เด็กหนุ่มไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับครอบครัวมากนัก นอกจากภาพแผ่นหลังของบิดาที่เป็นนายทหารติดเหล้าและภาพที่เลือนรางยิ่งกว่าของมารดายามที่อยู่ในครัว เขาจำใบหน้าทั้งสองคนไม่ได้แล้ว ตำรับไก่ตุ๋นยาจีนจากแม่ก็เป็นของดูต่างหน้าเพียงอย่างเดียวที่เขามี

   เคยมีคนพูดว่าเขาถูกซื้อตัวมาแทนที่ธิดาคนแรกที่เสียไปเพราะป่วย แต่นั่นไม่สำคัญนักหรอก ในเมื่อความอบอุ่น การเอาใจใส่ การยอมรับเป็นสมาชิกในบ้าน...ทั้งหมดล้วนได้รับจากสกุลเมิ่ง

   ด้วยวัยและความรู้เท่าที่มีจึงตอบแทนได้เพียงแรงกายและความภักดี หากต้องขึ้นเสียงกับอาจารย์เมิ่งที่เป็นผู้มีพระคุณสูงสุดสักครั้งก็ย่อมไม่ใช่เพื่อใครอื่น

   ประตูปิดสนิทด้วยสองมือสั่นเทา คนทำอะไรเกินตัวคราวนี้ได้แต่ก่นด่าตนเองซ้ำๆ ว่าบ้าบิ่นนัก.. เคราะห์ดีที่ได้หลี่ฮูหยินช่วยกล่อมอีกแรงหนึ่งถึงได้ผลอย่างที่หวังไว้

   คราวนี้เจรจาจบโดยไม่ถูกไล่ตะเพิดออกจากบ้านสกุลเมิ่งก็นับว่าโชคดีเท่าไหร่แล้ว..



   ทุกคนรู้กันดีว่าท่านหมอเทวดาหยงฝูชาติตระกูลไม่ได้เลวร้าย บิดาท่านเป็นเซียนยาส่วนมารดาเป็นถึงธิดาคหบดี เพียงแต่สุภาพบุรุษท่านนี้อายุมากและนิยมความสันโดษชอบใช้ชีวิตอย่างสมถะที่เชิงเขา เปิดเรือนเป็นโรงหมอรับลูกศิษย์เพียงไม่กี่คน และหากไม่ออกรักษาก็แทบไม่ได้พบปะกับผู้คน

   ข่าวว่าครั้งยังหนุ่มท่านเคยหมั้นหมายกับโฉมสะคราญงามเมือง แต่เพราะเหตุผลใดไม่ทราบยอดดวงใจของท่านในยามนั้นถึงเลือกแต่งงานกับชายอื่น เหตุนี้หยงฝูจึงยังครองตัวเป็นโสดอยู่จนถึงปัจจุบัน -- อย่างไรเสียการแต่งงานเป็นการตัดสินใจของพ่อแม่ไม่ใช่ของลูก คนอย่างเจ้าสำนักเมิ่งไม่มีวันคิดเอาชายสูงวัยผู้นี้มาเป็นตัวเลือกแต่งกับลูกสาวคนโตแน่นอนอยู่แล้ว

   ปัญหาแท้จริงตกอยู่ที่ใด? หากท่านหมอมีใจให้แก่เมิ่งตงหลานแม้นสักเสี้ยวหนึ่ง เหตุที่เขียนปฏิเสธนางมาในครั้งนั้นอาจเป็นเพราะต้องการให้เด็กสาวหักห้ามใจ ..แต่คนนอกอย่างซุนซีไม่รู้หรอก กับคนที่วางตัวนิ่งเฉยอย่างนั้นคิดเช่นไรก็สุดจะคาดเดา

   หากให้ปักใจเชื่อใครในตอนนี้ คงเหลือแต่เมิ่งชุนเถาให้เชื่ออยู่เพียงคนเดียวแล้ว

   คุณหนูรองจู่ๆ ก็ล้มหมอนนอนเสื่อ ยาที่เคยกินรักษาโรคเก่าต้มไปกี่หม้อไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น นางบ่นปวดหัวและอาเจียนอยู่หลายรอบ หนักเข้าก็นอนเป็นไข้หายใจติดขัด ร้อนถึงเจ้าสำนักเรียกคนให้ลากตัวท่านหมอใหญ่มารักษาด้วยตนเอง

   ชายผ้าม่านผูกเตียงปลิวไหวๆ ลมหอบเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดกว้างจนสุด เสียงแมลงดังระงมมาจากสวนด้านนอก อากาศดีแต่ซุนซียืนเหงื่อเกาะพราวอยู่ในห้องเมิ่งชุนเถา มีอาตงถือพับผ้าสะอาดเป็นเพื่อนใกล้ๆ ท่านหมอเทวดากำลังตรวจชีพจรคุณหนูรองอยู่ข้างเตียง ม่านที่ปิดไว้ซีกหนึ่งทำให้ไม่เห็นคนที่กำลังนอนพักอยู่ด้านใน

   เมื่อถามอาการปวดท้องกับคนป่วยเสร็จ แพทย์คนเดียวในห้องก็หันมาหาเขา “ไม่ทราบว่าช่วงนี้คุณหนูกินอะไรผิดสำแดงหรือไม่?” หยงฝูถามเสียงเรียบเรื่อย ละมือจากข้อมือเด็กสาวก็คลี่ม้วนผ้าบนตักออก ด้านในเย็บช่องเป็นซองสำหรับใส่เข็มกับหลอดเครื่องเคลือบเล็กๆ เรียงเป็นระเบียบ

   เด็กหนุ่มเริ่มนับนิ้ว “เมื่อเช้ามีหมูสับผัดหนำเลี๊ยบ กุนเชียงเค็มผัดถั่วลันเตา ผัดผักรวม ต้มจับฉ่ายโครงไก่ ข้าวต้ม กับขนมผักกาดขอรับ”

   “คนอื่นก็กินเหมือนกันแต่ไม่มีใครเป็นอะไรเจ้าค่ะ” อาตงว่าเสริม ท่านหมอฟังแล้วนิ่วหน้า

   “เคยสั่งให้ลดอาหารมันแล้วไม่ใช่หรือ? .. ไปเตรียมเกลือทะเลกับน้ำผึ้งต้มพอเจือจางให้คุณหนูจิบบ่อยๆ อาเจียนออกมาแล้ว นอนพักสักสองชั่วยามเดี๋ยวก็ดีขึ้น”

   ซุนซีหันมองสหายสนิทสลับกับม่านกั้น ไม่ทันได้เอ่ยอะไรเมิ่งชุนเถาก็ลุกนั่ง สาวใช้พุ่งเข้าไปช่วยพยุงนางขึ้นมา

   “ข้ามีอีกเรื่องหนึ่ง” นางเกริ่นขึ้นมา ผ้าสะอาดซับไปตามหน้าผากชื้นเหงื่อ “ท่านหมอมีประสบการณ์มากนัก ...รู้หรือไม่ว่าพี่สาวข้าป่วยเป็นอะไร”

   หยงฝูนิ่งไป เก็บเครื่องไม้เครื่องมือลงห่ออุปกรณ์ช้าๆ “ไม่ได้วินิจฉัยด้วยตนเองคงไม่อาจบอกได้”

   “แล้วท่านไม่รู้ หรือแค่ทำเป็นไม่รู้”

   ความเงียบปรากฏขึ้นแทนคำตอบ ดวงตาของชายมากวัยปิดพริ้มลง จากคนที่พูดน้อยเวลานี้ยิ่งไม่เอ่ยอะไรสักคำ ผู้ถามไม่นึกรีบร้อน มือนางประสานอยู่บนหน้าตัก

   “...คิดว่าแบบนี้เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วจริงๆ น่ะหรือ” เมิ่งชุนเถาเอ่ยขึ้นมาเสียงเบา ดวงตาสีอำพันจ้องใบหน้าคู่สนทนาด้วยแววสิ้นหวัง “พี่สาวจะแต่งไปเป็นอนุ ทนเห็นนางหลั่งน้ำตาทุกวันได้หรือ? ..ท่านอาจหนีความจริงไปตลอดได้ แต่พวกข้าทนไม่ได้”

   “มิใช่หน้าที่ ไม่มีอำนาจ ..แม่นางเมิ่ง เจ้ากำลังคาดหวังอะไรจากข้า?”

   “ข้าอยากให้ท่านกลับไปคิดอีกสักครั้ง ท่านเหมาะสมกับนาง และท่านก็รู้ว่านางคิดเช่นไร เป็นคนเช่นไร -- เว้นก็แต่ท่านจะคิดว่าพี่สาวข้าไม่เหมาะสมกับท่าน”

   เมิ่งชุนเถาพูดด้วยเนื้อเสียงหนักแน่นจริงใจ ผู้ฟังไม่เห็นเค้าลางของเด็กหญิงอ่อนต่อโลก สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือหญิงสาวที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ..นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้หยงฝูรับฟังแต่โดยดี

   ท่านหมอเทวดากลับไปแล้วมิได้ต่อความว่าอย่างไรอีก อาตงกระทุ้งศอกใส่เพื่อนสนิทเร่งให้ออกปากถาม คนโดนถองทำหน้านิ่ว “...เสี่ยวเถา แบบนี้จะได้ผลแน่หรือ”

   คุณหนูรองเสตามอง “ข้าไม่รู้ ลงทุนทุกครั้งย่อมมีความเสี่ยง พี่ใหญ่คิดว่าอย่างไรล่ะ?” นางคลี่ยิ้ม ไม่นานก็เอนหลังลงนอน

   เทพเซียนรึก็ไม่ใช่ ความคิดท่านหมอเป็นอย่างไรแล้วเขาจะไปรู้ได้หรือ



   โต๊ะกินข้าวจะปราศจากบทสนทนาเป็นเรื่องมารยาทปกติอยู่แล้ว ระยะหนึ่งเสียงตะเกียบกระทบชามถึงดังขึ้นทำลายความเงียบ ซุนซียืนคู่กับป้าหม่าที่มุมห้องทานอาหารพร้อมสาวใช้อีกสองสามคนที่กำลังยืนกอดถาดไม้ รอเวลาเก็บจานชามแล้วค่อยแยกไปกินส่วนของตัวเองที่ครัว

   ข้าวถูกพุ้ยเข้ากระพุ้งแก้ม กับในจานก็พร่องลงจนหมด นายท่านดื่มชาล้างปากเป็นอย่างสุดท้าย มื้อนี้ควรเป็นเช่นอย่างทุกวัน...จนกระทั่งคุณหนูรองเอ่ยถามขึ้นมา

   “...ท่านพ่อท่านแม่ไม่รู้จริงๆ หรือว่าที่พี่สาวป่วยเหตุเพราะอะไร”

   รอบข้างเวลาเหมือนถูกหยุดนิ่ง เมิ่งชางไม่มองหน้าบุตรสาว กระดกข้อมือครั้งเดียวก็ดื่มน้ำจนหมดถ้วย หลี่ฮูหยินเห็นเค้าเมฆฝนพยายามเรียกให้สาวใช้มาเก็บล้าง ทว่าไม่ทันเมิ่งชุนเถาที่ลุกยืนขึ้นก่อน กระแสโทสะในดวงตาสีอำพันก่อตัวขึ้นเป็นพายุลูกใหญ่

   “ข้าขอถามสักคำเถอะ ท่านพ่อยอมส่งพี่สาวไปเป็นอนุบ้านอื่นลงคอจริงๆ หรือ”

   บิดาสูดลมหายใจเข้าลึก ผ่อนออกเป็นคำพูดอย่างใจเย็น “เถาเอ๋อร์.. นั่งลงเสีย ภรรยารองไม่ใช่อนุอย่ากล่าวให้เกินจริง เป็นผู้ชายมีเมียสามอนุสี่มันเรื่องปกติ”

   “เรื่องปกติ? แล้วท่านพ่อคิดจะมีภรรยาน้อยกับเขาด้วยหรือเปล่าล่ะ”

   “เถาเอ๋อร์ พ่อพูดว่าอย่างไร”

   “แต่งเป็นเมียเอกคนเฒ่าท่านพ่อว่าเลว แต่แต่งเป็นเมียน้อยคนรวยท่านพ่อว่าดี หรือต้องรอให้นางตรอมใจตายก่อนเราถึงค่อยมาพูด--”

   เสียงตบฉาดลั่นดัง ศีรษะเมิ่งตงหลานหันไปตามแรงฟาดแก้มขึ้นเป็นรอยนิ้วมือแดงก่ำ เส้นความอดทนของบิดาขาดผึง ท่านยืนขึ้นประจันหน้าลูกสาวทำเก้าอี้ล้มคว่ำกระแทกพื้น

   “หยุดพูดจาสามหาว พ่อไม่เคยสอนให้เจ้าต่อล้อต่อเถียงพ่อแม่อย่างนี้!”

   คนดื้อดึงจ้องบิดาเขม็ง นางพูดช้า..ชัด ทุกคำกลั่นออกมาอย่างคนอัดอั้นเต็มทน “เป็นลูกผู้หญิงสกุลเมิ่ง รักเดียวมีค่ามากกว่าเงินทอง – ไม่ใช่ว่าตลอดมาท่านพ่อสอนพวกข้าอย่างนี้หรือ?”

   ถึงพูดว่าสอนแต่เป็นสิ่งที่บิดาทำมาให้เห็นมาตลอด ชีวิตมากกว่าแค่คำพูดลอยๆ มารดาที่เป็นสุขเพราะไม่ต้องปันชายคนรักให้หญิงอื่นถือเป็นสตรีที่เห็นแก่ตัวหรือ? สามีที่ดีย่อมไม่ทำให้นางคิดเช่นนั้น แต่เป็นฝ่ายอาสาใช้วันเวลาจนถึงผมขาวด้วยรักที่มอบแก่หญิงในดวงใจเพียงหนึ่งเดียว

   ...และนั่นทำให้คนเป็นพ่อพูดไม่ออก

   มือสั่นเทาคู่หนึ่งดึงแขนน้องสาวให้นั่งลง เสียงเล็กๆ เบาหวิวของเมิ่งตงหลานร้องปรามกล่าวซ้ำไปซ้ำมาว่าตนไม่เป็นไร ท่องอยู่อย่างนั้นทั้งที่รู้ว่าหยุดคนเป็นน้องไม่ได้ เมิ่งชุนเถาไม่ฟังแต่ฉุดลากพี่สาวคนโตให้ลุกเดินไปหาพ่อ เท้าเล็กๆ คู่หนึ่งยืนมั่นคงอีกคู่เซจะล้มดั่งคนหมดแรง ดวงตาคู่สวยของเมิ่งตงหลานเวลานี้แดงก่ำ แพขนตายาวชุ่มน้ำตาเอ่อรื้น

   “ท่านพ่อ ดูสิ่งที่ท่านทำกับลูกในไส้!” คุณหนูรองแผดเสียงคำราม “พี่สาวร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด นางตรอมใจจนป่วยเพราะท่านบังคับให้แต่งกับคนที่ไม่ได้รัก นี่หรือสิ่งที่คนเป็นบิดาบอกว่าทำเพื่อลูก!”

   หลี่ฮูหยินร้องเรียกปรามบุตรสาว คนต้นเรื่องยังคงนั่งนิ่ง สีหน้าอาจารย์เมิ่งเหมือนฟ้าคำรามครึ้มทมิฬก่อนพายุฝน ส่วนลูกสาวคนเล็กเอาแต่นั่งหงอห่อไหล่ไม่กล้าพูดแทรก

   ป้าหม่าดึงแขนให้เขาออกเดิน นายมีปากเสียงไม่ใช่หน้าที่บ่าวจะยืนเป็นพยาน คนอื่นๆ มีสีหน้ากระอักกระอ่วนไม่แพ้กัน เป็นอันรู้ว่าเมิ่งชุนเถาลงโรงเรื่องย่อมไม่จบโดยง่าย ไม่ทันไรเสียงเหมือนอัสนีฟาดก็ลั่นครืนขึ้นมาอีก

   “พ่อตัดสินใจดีแล้ว!”

   เมิ่งตงหลานสะดุ้งเฮือก ทำนบน้ำตาบัดนี้ทลายลงในคราวเดียว ดรุณีนางน้อยพูดติดขัดเหมือนคนจมน้ำว่าพอแล้ว..พอแล้ว..เนื้อตัวสั่นเทาจนน่าสงสาร คุณหนูรองมีทีท่าสงบลง นางส่ายศีรษะเอื่อยช้า

   “ข้ารู้ สำหรับพ่อแม่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสุขลูก แล้วยามนี้ท่านพ่อเห็นสักเสี้ยวความสุขในตัวพี่สาวหรือไม่..?” ปลายเสียงของนางสั่นเทาคล้ายกำลังกลั้นลูกสะอื้น

   เมื่อชนเต็มกำลังกลับผ่อนลงฉับพลัน สีหน้าอาจารย์เมิ่งมืดครึ้ม ทว่าคราวนี้นัยน์ตามีแวววูบไหวพาดผ่าน รอยตบยังปรากฏชัดอยู่บนใบหน้าเจ้าของดวงตาแสนเศร้า ท่านชะงักงัน เค้าอารมณ์กรุ่นร้อนหายไปเป็นปลิดทิ้ง

   สิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมต้องเป็นลูกในไส้ เมิ่งชุนเถาฉุดพี่สาวลงนั่งคุกเข่าพร้อมกัน ฝนหยาดใสร่วงหล่นบนแก้มนวล

   “ท่านพ่อท่านแม่ เรามีกันอยู่แค่สามคนพี่น้อง แต่เล็กจนโตลูกยังไม่เคยขออะไรสักครั้ง ตอนนี้ลูกขอแค่เห็นพี่สาวกลับมาเป็นพี่สาวคนเดิม ยิ้มได้จากก้นบึ้งหัวใจ หัวเราะสดใสไม่ใช่วันๆ จมอยู่กับน้ำตาแบบนี้ ขอแค่ให้ลูกสาวได้วิวาห์รัก...พวกท่านยอมให้ไม่ได้เลยหรือ?”

   สิ้นคำขอสรรพสิ่งกลับสู่ความเงียบ ซุนซีได้ยินเสียงสะอื้นแทรกขึ้นแผ่วเบาเป็นระยะ เขาหายใจไม่ออก ในอกแน่นเหมือนมีใครเอาหินก้อนใหญ่มาทับ แขนข้างที่ถูกป้าหม่าหยิกเรียกจนเนื้อเขียวตอนนี้ชาหนึบ เด็กหนุ่มไม่กล้าก้าวไปจากจุดที่ยืน...กลัวก็แต่คุณหนูคนโตจะร้องไห้จนสิ้นสติ

   เจ้าสำนักยังนั่งก้มหน้านิ่งดุจรูปปั้นศิลา มีแต่ฮูหยินของบ้านที่ยังพอประคองสติได้ ท่านโบกมือไล่ให้คนอื่นกลับออกไปทั้งตาแดงๆ ปากกระซิบแผ่วเบาข้างหูบุตรสาวคนเล็กที่กำลังนั่งเกร็งน้ำตาไหลเป็นธารน้ำหลาก เมิ่งเซี่ยเหมยสูดจมูกพยักหน้าแรงๆ ลุกเดินลากเท้ามาซุกหน้าอยู่กับบ่าซุนซี สองมือกำเสื้อเขาดึงยึดไว้แน่น คราวนี้ป้าหม่าไม่ต้องออกแรงเขาก็พยุงน้องน้อยออกนอกห้องแต่โดยดี

   เจรจาต้องตามผู้ฟัง รู้จักรุก รู้จักถอย...

   เท้าก้าวพ้นธรณีประตูไปแล้ว หูยังทันแว่วเสียงเจ้าสำนักอ่อนโยนอย่างที่นานครั้งจะได้ยิน

หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่ 4 06/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 07-12-2019 23:43:05
ทำไมคนโตต้องแต่งเข้าไปบ้านนั้นเป็นอนุด้วยล่ะคะ ?  บ้านนางจรืงๆก็รวยระดับหนึ่งว่ากันตามตรงควรเป็นได้เป็นเมียเอก แต่นี่พอดันเอาไปให้คนมีเมียแล้ว  ประหลาดดี   ความคิดคนเฒ่าคนแก่อ่ะเนอะ เถียงก็ไม่ได้มีแต่ต้องทำตาม
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่6 08/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 08-12-2019 16:43:43
บทที่ 6

   หลังจากเหตุการณ์พ่อลูกเปิดใจคราวนั้นเจ้าสำนักยอมลดศักดิ์ศรีบากหน้าเข้าไปคุยกับลุงเถียนถึงที่ ไม่รู้ว่าผลการเจรจาด้วยจอกเหล้าออกมาร้ายดีอย่างไรฝ่ายลุงเถียนถึงยอมถอนหมั้นไปเงียบๆ

   ว่ากันตามจริงที่ตกลงกันไว้ยังไม่ถือเป็นทางการ เพียงแต่อยู่ในขั้นเอาวันเกิดฝ่ายหญิงฝ่ายชายไปดูฤกษ์หมั้นหมายเท่านั้น แต่เมิ่งชุนเถากำชับหนักแน่นไม่ให้ใครบอกคนนอก ชื่อเสียงเมิ่งตงหลานน่ะหรือ? นางบอกว่าเอาให้ท่านหมอเทวดารับผิดชอบ

   แล้วหยงฝูก็มารับผิดชอบจริงๆ เสียด้วย บางครั้งเขาเริ่มคิดว่าเมิ่งชุนเถาอาจเป็นเทพพยากรณ์กลับชาติมาเกิด พอลองพูดให้คนอื่นฟัง แม้แต่อาตงยังเอามือมาอังหน้าผากวัดไข้ด้วยความเป็นห่วง...

   อย่างหนึ่งที่เขาเรียนรู้จากเมิ่งชุนเถาคือการเจรจาต้องทำให้ถูกคน ถูกจังหวะ จะใจร้อนไม่ได้ สิ่งนี้พูดอาจง่ายกว่าทำแต่ซุนซีจดจำบทเรียนไว้เป็นอย่างดี

   ใกล้เที่ยงวันนี้น้องเล็กเดินมาตามเขาไปกินข้าวถึงที่ ระหว่างที่นางกำลังจ้อถึงเรื่องคนที่บ้านใหญ่สกุลเมิ่ง หูก็ทันได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากเขตสวนหลังเรือนรับรอง เงาหลังเสาต้นเขื่องจับกันเป็นกลุ่มก้อน เมิ่งเซี่ยเหมยย่างเท้าเข้าไปหาบรรดาสาวใช้ที่เกาะกลุ่มต่อตัวกันทำลับๆ ล่อๆ หลังพุ่มไม้ใหญ่ นางกำลังจะออกปากทักอาตงก็หันมากระโจนตะครุบ

   “ชู่ว.. ดูนั่น นั่น” อาตงกระซิบอย่างร้อนรน ยื่นปากจิกตาบุ้ยใบ้เข้าไปในสวน อีกมือดึงขากางเกงซุนซีที่ตามมางงๆ ให้นั่งลง

   เขาไล่สายตาไปทางเดียวกัน สิ่งที่ซ่อนอยู่หลังใบไม้เขียวชอุ่มคือชายหญิงคู่หนึ่งยืนคุยกันในอาการสงบ ลมร้อนพัดโชยมาผะแผ่ว ด้านหลังมีดอกไม้หลากสีบานสะพรั่งโชยกลิ่นหอมจาง ประกอบกันแล้วงดงามราวภาพเหมือนเทพเซียน

   ซุนซีกระพริบตาถี่ๆ พินิจดูอีกคราถึงได้เห็นว่าฝ่ายสตรีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ..ครั้นจะถามคนอื่น พวกนางก็เอาแต่จ้องคู่รักกลางลานไม้ดอกอย่างตั้งอกตั้งใจ

   “เป็นเพราะข้าบกพร่องตรงไหนอย่างนั้นหรือ..?”

   เสียงหวานโศกของเมิ่งตงหลานเรียกความสนใจเขาไปทั้งหมด

   “บอกข้าทีท่านหยง..” นางเอ่ยด้วยเสียงสั่นพร่า มือเรียวขยุ้มอกซ้ายตนไว้คล้ายว่าพยายามคลายความรู้สึกบีบรัดข้างใน “หากท่านต้องการให้ข้าเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ข้าจะแก้นิสัยใหม่ หรือเป็นเพราะข้า..เพราะยังเขลาเกินไปข้าจะเรียนรู้เพิ่มเติมให้มาก ตำราเชียนจิน ข้าท่องจำได้เยอะแล้ว หรืองานบ้านงานเรือนยังไม่ดีพอ ข้าต้องทำอย่างไร...”

   “เจ้าดีพร้อมทุกสิ่งแล้ว.. อย่างไรเสียเราก็ไม่เหมาะสมกัน” ถ้อยคำตัดรอนน้ำใจทำเอาผู้ฟังน้ำตาร่วงเผาะ

   “ท่านอายที่จะต้องอยู่กับข้าอย่างนั้นหรือ? ถึงข้าจะโตขึ้นอีกปี ท่านก็แก่ขึ้นหนีข้าไปอีกปี ข้าแก้ไขเรื่องอายุไม่ได้ แต่นั่นมันไม่สำคัญไม่ใช่หรือ”

   หยงฝูส่ายศีรษะเอื่อยช้า “แม่นางเมิ่ง ต่อให้อายุไม่สำคัญเจ้าก็ควรได้รับในสิ่งที่ดีกว่านี้ จะให้ข้าพาเจ้ามาทนลำบากได้อย่างไร?”

   “ตัวของข้าเอง...ข้ายังไม่เคยบอกว่าลำบาก ทุกอย่างที่ข้าทำข้าตระหนักดีว่าเป็นอย่างไร” นางทุบอกตัวเองซ้ำๆ กลืนก้อนสะอื้นลงคอ “ถึงท่านจะไม่เคยเห็นข้าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ถึงต้องให้ท่านทำเพราะสงสาร.. ไม่ต้องรักข้าตอบก็ได้ แค่เพียงชาตินี้ได้อยู่ด้วยกันข้าไม่หวังอะไรอีกแล้ว”

   กระแสทุกข์ตรมฉายชัดบนใบหน้าคนมากวัย “เจ้ายังเด็กนัก ใยถึงตัดโอกาสตนเองมาเลือกคนอย่างข้า”

   “คนอื่นจะดีจะเลวอย่างไรก็ช่าง! ในเมื่อคนที่ข้ารักเป็นท่าน ..ข้าขอเถอะ ให้ข้าได้รักท่านฝ่ายเดียวอย่างนี้มันผิดนักหรือ..”

   เป็นสตรีจะเอื้อนจะเอ่ยแต่ละคำยากนัก หากไม่อ้อมภูเขาก็อ้อมโพ้นทะเลกว่าจะสื่อได้อย่างใจคิด แล้วนั่นประไร เมิ่งตงหลานอกร่ำๆ จะสลายถึงได้พูดหมดเปลือกอย่างนั้น ธารน้ำใสหลั่งอาบใบหน้าสะสวย ศีรษะโน้มลงอย่างคนยอมรับชะตา

   “แล้วใครบอกเล่า...ว่าเจ้าคิดไปฝ่ายเดียว”

   ดวงตาผู้ฟังเบิกโพลง นางเงยขึ้นสบสายตาหยงฝู ทันกับที่หลังนิ้วของชายผู้นั้นแตะแก้มเปื้อนน้ำตาอย่างถนอม รอยยิ้มดุจน้ำผึ้งรื่นละมุนยังหวานไม่เท่านัยน์ตาที่หลุบลงทอดมอง น้ำตาหยาดน้อยรื้นคลออีกครั้ง แต่คราวนี้มาพร้อมเสียงหัวเราะระคนกับเสียงสะอื้นไห้อย่างยินดี

   ราวกับชายขี้ตื่นกลัวผู้นั้นเฝ้ารอคำสารภาพรักเพียงคำเดียว เป็นคำเดียวที่ทำให้เขายอมละทิ้งทุกอย่าง

   “ข้า...” เมิ่งตงหลานทาบปลายนิ้วสั่นเทากุมมือใหญ่กว่ามือตนไว้มั่น อิงแก้มระเรื่อแนบฝ่ามืออุ่น “ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม..?”

   หยงฝูเผยรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างที่ผู้อื่นไม่เคยได้เห็น ดวงตาคู่นั้นฉ่ำหวาน เสียงทุ้มทว่าฟังแล้วกระจ่างกังวานกระซิบถ้อยคำแผ่วเบาให้ได้ยินกันเพียงสองคน ฉับพลันแก้มนวลเปื้อนยิ้มของสตรีในห้วงรักก็แดงก่ำเหมือนพุทราจีน

   กลุ่มคนหลังพุ่มไม้จิกเนื้อกลั้นเสียงสุดชีวิต อาตงทึ้งแขนข้างหนึ่ง ใครอีกคนก็ทุบหลังเขารัวๆ เหมือนคนขาดอากาศ ไม่รู้ว่าเจ็บหรืออย่างไร ดวงตาเขาพร่าเบลอทั้งยังร้อนผะผ่าว ภาพคู่รักซ่อนใต้ใบดอกกล้วยไม้ดินงดงามกว่าฝีมือจิตรกรคนใด – แล้วไฉนภาพที่เขาเห็นถึงเคลื่อนหนีขึ้นไปด้านบน

   โครม!!

   เสียงกระแทกล้มโครมใหญ่ดังมาจากทิวพุ่มไม้ บรรดาถ้ำมองร่วงลงกองหน้าซีดเผือดทับต้นไม้กระจายไปคนละทาง ต่างคนต่างยิ้มเผล่ให้คู่รักที่ยืนนิ่งราวรูปปั้นประดับสวน สีแดงไล่ลามจากแก้มถึงใบหูคนงาม ท่านหมอลดมือลงแต่ยังกอบกุมปลายนิ้วนางเอาไว้

   “เซี่ยเหมย!!” เมิ่งตงหลานแผดเสียงไม่สนเซียนสนพระโพธิสัตว์ แม่ตัวดีสะดุ้งโหยง

   “ทำไมเป็นข้าอีกแล้ว!” นางชี้ไปทางอาตง “ก็นางชวน--“

   “ไปให้พ้น!!” คนพูดร่ำๆ จะร้องไห้ด้วยความอาย พูดจบเป็นนางเสียเองที่ออกวิ่งหลังไวๆ กลับเข้าห้อง เสียงประตูปิดลั่นมาปังใหญ่

   คนมาลุ้นรักไล่สายตากลับมาที่เหยื่อผู้ถูกทิ้งไว้ลำพัง หยงฝูมองนิ่ง ไพล่มือไปด้านหลังก่อนกระแอมครั้งหนึ่ง

   “...ข้านึกขึ้นได้ว่าซักผ้าทิ้งไว้”

   “ข้านึกได้ว่าสับหมูทิ้งไว้”

   “เอ้อ.. ตายจริง ข้าก็ต้มน้ำทิ้งไว้”

   บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ลุกเดินเก้กัง สาวเท้าไวว่องหนีกันไปคนละทางเป็นมดแตกรัง รอยยิ้มเย้าแหย่ยังตราประดับเป็นหลักฐานชั้นดีอยู่บนใบหน้าแต่ละนาง เหลือเมิ่งเซี่ยเหมยยืนยิ้มทำตัวสุกก่อนวัย อยู่ที่เดิม “ข้าไม่ลืมอะไร แต่ข้าไม่กวนพวกท่านพลอดรักกันละ -- โอ๊ย!”

   ซุนซีลอยหน้าลอยตาหยิกหูน้องเล็กลากออกมา แม่หนูน้อยร้องลั่น เขายังเห็นสาวใช้ยืนแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่รายทาง จนท่านหมอเทวดากระแอมไล่หลังมาอีกรอบ หมู่ผึ้งงานหลงทางถึงยอมเลิกวงประชุม

   ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะมีเรื่องดีเขียนจดหมายไปเล่าให้คุณชายอินทรีฟังอีกเรื่องหนึ่งแล้ว



   ฤดูใบไม้ผลิเยือนมาอีกครั้ง โต๊ะกินข้าวมีที่นั่งว่างเพิ่มมาอีกที่ตั้งแต่กลางปีกลาย

   กว่าหยงฝูจะฝ่าด่านพ่อตามาสู่ขอเมิ่งตงหลานสำเร็จใช้เวลาถึงหนึ่งฤดูเต็ม งานมงคลจัดไม่ใหญ่โตนักแต่คนรู้จักอยู่กันพรั่งพร้อม อาตงเก็บมาพูดเพ้อพกตลอดหกวันให้หลังว่างานแต่งเล็กๆ เรียบง่ายก็ดีไม่น้อย ถ้าเป็นงานของนางนางจะจัดอย่างไรดีหนอ...ทั้งที่จนถึงตอนนี้แม่สาวช่างฝันยังไม่เคยมีคนรักเป็นตัวเป็นตน แน่นอนว่าผู้ที่ต้องทนฟังทั้งเช้าเย็นอย่างเขายังไม่ทันได้เอาฝาหม้อตีหัวเรียกสติ ป้าหม่าก็มาจัดการลงไม้ลงมือให้ก่อนแล้ว

   ปีนี้ปีดีดอกท้อบานไปทั่วเมือง คนไร้คู่เริ่มหนาวๆ ร้อนๆ ครั่นเนื้อครั่นตัวไม่มากก็น้อยเมื่อสาวใช้ในเรือนใหญ่ขอลาออกไปแต่งงานกับหนุ่มหมู่บ้านข้างๆ ทางสำนักจัดเงินค่าสินสอดเจ้าสาวแก่นางก้อนโต ซุนซียังจำได้ดีว่าวันงานแม่สามีหน้าระรื่นขนาดไหน

   เมิ่งเซี่ยเหมยเห็นหน้าอาตงผู้ชอกช้ำทีไรเป็นได้แกล้งทักนางเสมอ จะแต่งรึยัง? ตอนนี้มีคนมาสู่ขอรึยัง?

   เพื่อนสนิทของเขามานั่งฟูมฟายทุบหลังทุบไหล่จนร่างซุนซีอ่วมไปหมด

   อีกอย่างหนึ่งพักหลังมานี้จดหมายของคุณชายอินทรีก็เริ่มมีสำบัดสำนวนแปลกๆ มาให้ได้เห็น ใจความหากเอามาคิดเข้าข้างตัวเองสักหน่อยจะเห็นเป็นคำเกี้ยวได้ไม่ยาก ทั้ง ‘รอคอยเจ้าตอบกลับ’ บ้างล่ะ ‘ปรารถนาจะได้สนทนาอีก’ บ้างล่ะ ในจดหมายฉบับล่าสุดยังแนบรูปวาดดอกเหมยมาให้อีกต่างหาก

   แน่ล่ะว่าซุนซียังไม่กล้าบอกกล่าวแก่เมิ่งเซี่ยเหมย ถ้านางไปเค้นเอาความกับท่านลุงว่าคุณชายอินทรีเป็นใครประเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โดยใช่เหตุ

   เขาอาจจะคิดมากไปเอง คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ...



   บางเรื่องข่าวเล่าปากต่อปากถึงไม่ถูกต้องยังมาถึงไวกว่าข่าวม้าเร็ว ป้าหม่ากับน้าหญิงที่คอยดูแลบรรดาสาวๆ คอยเอ็ดไม่ให้พูดจาส่งเดช แปลกที่มีข่าวใหม่ทีไรเป็นได้ออกจากปากอาวุโสผู้เคร่งครัดก่อนเสมอ – เรื่องที่ว่าท่านเจ้าสำนักจะส่งเมิ่งชุนเถาไปให้ลูกชายเสนาบดีดูตัวนั่นก็ด้วย

   ซุนซีที่ใกล้ชิดกับเจ้านายราวลูกหลานเพิ่งได้รู้จากปากคนรับใช้ด้วยกัน ไม่นานแม่สื่อก็เดินทางมาเป็นเครื่องยืนยันว่าข่าวลือเป็นเรื่องจริง

   รู้สึกตัวอีกทีเด็กหนุ่มผู้ควรทำงานงกๆ อยู่ในครัวก็มายืนหอบหน้าซีดอยู่หน้าประตูห้องป้ายวิญญาณบรรพบุรุษ หลี่ฮูหยินเรียกเขาให้เข้ามาข้างใน ร่างกายผอมแห้งเหงื่อออกจนตัวชุ่มโชกเหมือนเพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆ

   “ซีเอ๋อร์ รีบร้อนจะไปไหน”

   “ท่านป้า ท่านป้าขอรับ” เด็กหนุ่มทรุดลงนั่ง “ท่านลุงจะให้แม่สื่อมาดูตัวเสี่ยวเถาหรือขอรับ”

   หลี่ฮูหยินหันไปส่งสายตาตำหนิสาวใช้ประจำตัวที่กำลังแกล้งทำหน้าไม่รู้เรื่อง “อย่าเอ็ดไป เป็นป้าเองที่เรียกมา”

   ซุนซีตาโต อ้าปากงับอากาศเหมือนจะพูดแต่ไร้เสียง หญิงวัยกลางคนเห็นก็ยิ้มเอ็นดู นางวางสร้อยประคำลงบนผ้ารองก่อนค่อยๆ ถัดตัวหันมาคุยกับหลานชาย

   “เป็นห่วงอีกหรือ? อย่างนั้นมาช่วยป้าคิดหาทางกล่อมเถาเอ๋อร์ดีไหม”

   “ช้าก่อนขอรับ หลานสับสนไปหมดแล้ว”

   “ป้าติดต่อแม่สื่อจากเมืองหลวงไว้ ลูกชายเสนาบดีไป๋หาภรรยามาหนึ่งปียังไม่ได้คนที่ถูกใจ ..สงสัยว่าเหตุใดป้าถึงทำแบบนี้ใช่หรือไม่?” เมื่อผู้ฟังพยักหน้าครั้งหนึ่งหลี่ฮูหยินจึงกล่าวต่อ “เถาเอ๋อร์อายุสิบห้าแล้วนับเป็นโอกาสดี แม่สื่อคนนี้ประวัติไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ หากไม่สำเร็จนางสัญญาจะติดต่อคุณชายคนอื่นในตระกูลทัดเทียมกัน ขาดก็แต่ให้เจ้ากล่อมเถาเอ๋อร์เท่านั้น”

   “แล้วท่านลุง..”

   “เขาไม่ได้คัดค้าน ยังบอกเสียอีกว่าคราวนี้จะสำเร็จหรือไม่ อย่างไรเถาเอ๋อร์ก็ได้แต่งงานแน่อยู่แล้ว” ท่านป้าพูดเรียบเรื่อย “ซีเอ๋อร์ เจ้ารู้ไหม ลุงกับป้าแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดให้พวกเจ้าเสมอ เป็นเพราะเจ้ายังเยาว์นักถึงได้ไม่เห็นในสิ่งที่ผู้ใหญ่เห็น”

   “แต่สิ่งที่ดีที่สุดของท่านอาจจะไม่ใช่สิ่งที่สุดสำหรับพวกนางก็ได้นะขอรับ.. ตัวข้าเองก็อยากลองผิดลองถูกด้วยตนเองโดยที่มีท่านลุงท่านป้าคอยชี้นำ ไม่ใช่ตระเตรียมทางเดินไว้ก่อนแล้ว”

   ดวงตาหลี่ฮูหยินหรี่ลง “แล้วจะให้ป้าเห็นเจ้าต้องลำบากเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เจ้าคิดมันผิดหรือ? ผู้ใหญ่กินเกลือมากกว่าเจ้ากินข้าว  มีประสบการณ์และเห็นเรื่องต่างๆ มาเยอะ ย่อมไม่อยากให้คนอ่อนต่อโลกต้องเป็นทุกข์อย่างที่ตนเคยประสบมา”

   “...” ซุนซีทราบถึงความหวังดีของผู้ใหญ่จึงตอบรับเพียงผงกศีรษะน้อยๆ เขารู้ว่าในรุ่นก่อนหน้าก็เป็นเช่นนี้ เหมือนกับที่คำสอนของยายจะตกสู่แม่และสืบทอดไปยังลูกสาว

   ทว่าจิตอันอาทรนั้นเป็นต่างโซ่ล่ามเด็กน้อยที่พวกท่านกล่าวว่ารักและหวังดีไม่ใช่หรือ เพราะสิ่งนั้นสิ่งนี้ดีแล้ว จะเดินให้หลุดจากเส้นทางแม้สักน้อยก็กลายเป็นว่าไม่เห็นค่าความห่วงใย ..เช่นนี้จะเติบโตได้อย่างไรเล่าหากไม่เคยได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง

   เสียงน้ำชาไหลเติมลงจอกขัดเสียงพูดคุยแผ่วเบาดุจลมฤดูร้อน เมื่อรินได้ค่อนถ้วยสาวใช้ถึงถอยเท้ากลับไปยืนประจำที่ ไอแดดแผ่ผะผ่าวเข้ามาใต้ร่มหลังคากระเบื้อง ไม่นานร่างผ่ายผอมในชุดกางเกงผ้าฝ้ายก็ละก้าวผ่านประตูออกไปตามระเบียงทางเดิน

   ซุนซีผ่อนลมหายใจช้าๆ มือลูบอยู่กับอกเสื้อ เมื่อมาถึงห้องหนังสือก็พบเมิ่งชุนเถานั่งทำงานอยู่ผู้เดียว สีหน้านางไม่สบอารมณ์นักเมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคนใดเข้ามารบกวน

   “ถ้าท่านแม่ส่งพ่อบ้านซุนมากล่อมข้าก็เชิญกลับไปได้” คุณหนูรองเรียกห่างเหิน ก้มหน้าคัดหนังสือต่อไม่ใส่ใจ

   “เสี่ยวเถา..”

   ฝ่ายผู้มาเยือนเอ่ยเสียงแผ่วพลางย่างเท้านุ่มนวลมาหยุดที่หน้าโต๊ะ จากตรงนี้เห็นมือถือพู่กันสั่นน้อยๆ อารมณ์แสดงผ่านตัวหนังสือที่เขียนหวัดห้วนผิดวิสัยคนทำงานละเอียด

   ซุนซีทรุดตัวลงนั่ง “ดูตัวคราวนี้อีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนเลวร้าย สมบัติมั่งมีและยังไม่เคยแต่งงานกับใคร เป็นเพราะท่านป้าหวังดีกับเจ้าถึงได้เรียกแม่สื่อมา“

   คุณหนูพูดเสียงเย็น “อ้างว่าหวังดีจะไปต่างอะไรกับคราวที่พ่อบังคับพี่สาวแต่งเป็นอนุ พวกท่านหลับหูหลับตามอบความหวังดีไม่เคยถามคนรับ มันต่างจากการยัดเยียดความคิดให้คนอื่นตรงไหน?”

   ซุนซีฟังแล้วหน้าชายืนนิ่งไม่ไหวติง เมิ่งชุนเถาเหลือบสายตาขึ้นมอง ความโกรธยังไม่จางลง

   “ไม่มีอะไรแล้วก็ไสหัวไป ข้าจะทำงาน”

   เขาเอาแต่ส่ายศีรษะ “พี่ใหญ่รู้ว่าเจ้าคัดค้านเรื่องนี้ เสี่ยวเถา แต่เจ้าเองรู้ดีไม่ต่างกับพี่ว่าต่อให้พี่ใหญ่ไม่จัดการให้ครั้งนี้ อีกไม่นานท่านลุงต้องหาแม่สื่อมาดูตัวเจ้าอีกอยู่ดี”

   “แล้วอย่างไร?”

   “ถ้าแต่งกับคุณชายไป๋เจ้าอยากทำอะไรก็ทำได้ อย่างนี้ไม่ถือว่าได้อิสระหรือ”

   คนฟังฉุนขาด “ข้าไม่สนว่าจะแต่งกับใคร แต่หากพี่ใหญ่กล้าเรียกการแต่งงานย้ายจากสกุลหนึ่งไปอีกสกุลว่าอิสรภาพได้เต็มปาก ข้าคงไม่มีอะไรจะพูด!”

   แท่งหมึกกระแทกลงกับจานฝนทำเอาน้ำสีดำสนิทเลอะไปทั่วโต๊ะ เมิ่งชุนเถาตั้งท่าเหมือนจะคำราม...สุดท้ายทำเพียงวางพู่กันลง หัวคิ้วลู่กดเข้าหากัน

   ซุนซีหยิบเอาผ้ามาซับให้อย่างระวัง เคราะห์ดีที่ม้วนกระดาษม้วนอื่นไม่เปื้อนมากนัก ส่วนหนังสือที่นางกำลังเขียนครึ่งค่อนหน้ายังว่างเปล่า

   “พี่ชายไม่ได้หมายความเช่นนั้น.. ไป๋หนิงเฉิงอาจเป็นแค่ปลาตัวโตสำหรับคนอื่น แต่เขาเฉลียวฉลาด เป็นสุภาพบุรุษและมีความคิดนำสมัย หากเจ้าต้องออกเรือนกับใครสักคน...ชายคนนี้เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว”

   ซุนซีว่าพลางส่งผ้าสะอาดอีกผืนให้ เมิ่งชุนเถารับมาไม่เต็มใจนัก มืออิ่มข้างหนึ่งเลอะรอยดำเป็นทางแต่นางกำลังโกรธจนไม่ได้ใส่ใจ

   ความคิดนำสมัยที่เขากล่าวถึงมีตัวอย่างให้เห็นชัดเจน ลูกชายเสนาบดีอย่างไป๋หนิงเฉิงสามารถมีชีวิตสุขสบายในเรือนใหญ่ราวตำหนักในวังโดยไม่ต้องทำงานไปทั้งชีวิต แต่คุณชายผู้นี้กลับเลือกขอเงินทุนก้อนน้อยออกมาเปิดการค้า และทำมันได้ดีเยี่ยมจนกุมบังเหียนตลาดใหญ่ในหลายมณฑลทางตะวันออก

   หากแต่บุตรเสนาบดีดูตัวนับร้อยครั้งยังไม่เคยพึงใจสาวงามคนใด ว่ากันว่าภาพวาดดรุณีส่งจากแม่สื่อทั่วหล้ากองสูงจนท่วมห้องหนังสือได้

   บุรุษร่างเล็กนั่งลงข้างน้องต่างสายเลือด ในมือซูบเซียวกำผ้าเปื้อนหมึกเอาไว้ “เสี่ยวเถา ..เจ้าไม่เชื่อสายตาพี่ชายหรอกหรือ?”

   คุณหนูรองหลุบตาลงคิดชั่วครู่หนึ่ง ไม่นานดวงตาสีน้ำผึ้งคู่สวยก็ตวัดขึ้นมอง

   “อย่างนั้นข้าขออะไรพี่ใหญ่สักอย่าง”

   ด้วยเหตุนี้สิ่งที่ส่งไปหาบุตรชายเสนาบดีจึงไม่ใช่ม้วนภาพวาดสาวงามจากแดนใด แต่เป็นต้นฉบับบันทึกการพัฒนาระบบคุ้มครองสินค้าที่เขียนด้วยลายมือประณีตของเมิ่งชุนเถา

   ถูกแล้ว..นั่นเป็นคำขอของนาง

หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่6 08/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-12-2019 19:37:45
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่6 08/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 08-12-2019 21:03:36
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่6 08/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 09-12-2019 10:01:22
ติดตามจ้า~
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่6 08/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Nupammee ที่ 09-12-2019 13:29:05
รอเลยค่าา ติดตามต่อออ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่6 08/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-12-2019 15:49:17
อย่างไรๆ  .......   :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่6 08/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-12-2019 16:51:32
คู่ของน้องสาวคนกลางจะใช่คนนี้ไหมนะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่6 08/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 10-12-2019 08:59:30
สนุกค่ะ รอนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่6 08/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 13-12-2019 17:17:07
บทที่ 7


   จดหมายจากคุณชายอินทรีคราวนี้แนบรูปดอกเหมยมาอีกคราว พออีกฝ่ายถามเรื่องฝึกวิชาเขาก็เอาเรื่องของเมิ่งเซี่ยเหมยไปตอบทั้งปัญหาในการฝึกหรือจะการซ้อมร่างกาย ได้ความแล้วจึงเอาไปบอกแก่น้องสาวอีกที
   
   พอคราวนี้เจ้าคนต้นเรื่องก็เลยมานั่งอ่านจดหมายเสียเอง

   “ที่ข้าเอาไปลองทำดูก็ได้ผลดีอยู่นะพี่ใหญ่” เมิ่งเซี่ยเหมยพูดเจื้อยแจ้ว จบคำมือก็คว้าขนมงาเข้าปาก “เฮี่ยอะ อ่างฮันอี้ เฮ้าแอะอำฮีฮาก” (เนี่ยนะ อย่างอันนี้ เขาแนะนำดีมาก)

    ซุนซีเอาหลังนิ้วเคาะหน้าผากนางไปทีหนึ่ง “กินให้หมดก่อนค่อยพูด”

   แม่ตัวดีหัวเราะแหะๆ รีบเคี้ยวกลืนก่อนจะเอาจดหมายให้พี่ชายดู “จะว่าไป เขาวาดรูปดอกไม้มาให้ท่านเสมอเลยหรือ?” นางว่าพลางเอามือลูบรูปดอกเหมยท้ายกระดาษ

   “เปล่า เพียงแต่ช่วงหลังมานี้วาดเป็นบางครั้ง”

   เมิ่งเซี่ยเหมยทำหน้าเจ้าเล่ห์ วางจดหมายลงบนโต๊ะแล้วขยับตัวไปนั่งกระแซะซุนซี “โหย ไม่ใช่ว่าเขามีใจให้พี่ใหญ่หรอกหรือ ดูลงท้ายจดหมายนั่นสิ ‘รักษาตัวให้ดี แล้วข้าจะหมั่นเขียนจดหมายไปหาเจ้า’ เนี่ย จงใจเกี้ยวชัดๆ”

   “ไร้สาระ” คนฟังฟังแล้วย่นหน้า บีบจมูกแม่สาวน้อยแล้วดึงไปมา

   เมิ่งเซี่ยเหมยหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ข้าก็แค่หยอกเล่นเอง!” นางจับมือพี่ชายออก กระโดดแผล็วไปหยิบขนมงาเข้าปากอีกชิ้น “ไม่รู้ล่ะ พี่ใหญ่เขียนตอบไปนะ ข้าจะออกไปข้างนอกก่อน อย่าลืมบอกเขาล่ะว่าที่แนะนำคราวก่อนฝึกแล้วร่างกายเบาขึ้นเยอะ”

   ซุนซียิ้มหน่ายมองตามหลังไวๆ ของนางประเดี๋ยวเดียวก็ผลุบหายไปแล้ว อันที่จริงจดหมายฉบับนี้นอกจากรายงานผลการฝึกแล้วไม่ใคร่จะมีเรื่องเขียนตอบไปนักนอกจากเรื่องของคุณหนูเมิ่งคนรอง

   ข่าวคราวจากแม่สื่อเงียบหายครบเดือนหลี่ฮูหยินจึงตัดสินใจตามตัวนางกลับมาอีกครั้ง ซุนซีไม่รู้ว่าในห้องรับรองพวกท่านคุยกันว่าอย่างไร พอตกบ่ายถึงได้เห็นหญิงหม้ายวัยกลางคนเดินกลับมาที่ประตูใหญ่ นางยังแต่งชุดสวยปรุงเนื้อตัวด้วยน้ำหอมอย่างเคย มีก็แต่สีหน้าที่ดูไม่แช่มชื้นเท่าตอนพบครั้งเก่า

   ท่านเจ้าสำนักสั่งให้จ้างเกี้ยวมารับแม่สื่อไปส่ง เด็กหนุ่มได้แต่ยืนมองกลุ่มคนและเกี้ยวไม้หลังน้อยเคลื่อนไปตามทาง กระทั่งฝ่ามือหนึ่งประทับเสียงแน่นบนหลังเขา ซุนซีหน้าทิ่มเซไปสองก้าว

   “อาซุนมายืนเหม่ออะไรตรงนี้ นี่ถ้าเปลี่ยนฮ่องเต้องค์ใหม่ไปปีหนึ่งข้าว่าเจ้าก็ยังไม่รู้เรื่องกับเขา” อาตงสลับเอามือที่เพิ่งล้างมาหมาดๆ ตบตามลงไปทีเดิม เสื้อซุนซีเปียกแฉะเป็นรอยฝ่ามือในทันใด

   ผู้โชคร้ายห่อตัวกอดเอวเคล็ด จ้องนางด้วยสายตาเปี่ยมล้นคำด่าของทั้งจงหยวนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงก้าวร้าวยิ่ง “พูดเพ้อเจ้ออะไรของเจ้า...”

   “ถามได้ คุณหนูรองให้มาเรียกไปด้วยกันน่ะสิ”

   “คุณหนูรอง?” ซุนซีถาม เลิกคิ้วแล้วชี้ไปทางที่เกี้ยวแม่สื่อเพิ่งจากไป อาตงพยักหน้า “แต่ข้าไม่ได้ --”

   “ไม่ต้องพูด วันนี้ข้าอยู่ฟังตลอด เพียงแต่ว่า...อาซุนสหายรัก ใจคอจะให้ข้าไปหาคุณหนูคนเดียวหรือ” คำกล่าวฟังดูคล้ายการวอนขอความเมตตา ทว่าเพื่อนของเขาจิกแขนผอมแห้งลากเดินไปตามทางตั้งแต่ครึ่งแรกของประโยคแล้ว คนอย่างอาตงเมื่อพูดไม่ขอรับการปฏิเสธ เห็นหน้าซุนซีเหมือนเห็นเกราะวิเศษจากสวรรค์ป้องกันได้ทุกกระบวนท่าก็ไม่ปาน

   สาวใช้ส่วนตัวของเมิงชุนเถายืนสงบเสงี่ยมอยู่หน้าประตู พอเห็นว่าใครมาเยือนก็ดีใจน้ำตาคลอเบ้า “คุณหนูรออยู่นานแล้ว! พี่ชายพี่สาวรีบเข้าไปเร็ว”

   จบคำแม่หนูรีบผลักบานไม้เปิดให้ อาตงหันมองซุนซีคล้ายจะขอเวลาทำใจ ไม่ทันได้พูดอะไรเขาก็ก้าวนำเข้าไปก่อน เมิ่งชุนเถานั่งท้าวคางรออยู่ที่โต๊ะกลางห้อง มือตบไปที่มุมว่างๆ เรียกให้นั่ง อาตงก้นไม่แตะลงเก้าอี้ดีจอกชาก็เลื่อนไปอยู่ตรงหน้า นางต้องลุกขึ้นมาใหม่อีกรอบ ..มีแค่หนึ่งจอก มองปราดเดียวก็รู้ว่าต้องรินให้ใคร

   “มีเรื่องอะไรถึงต้องทำลับๆ ล่อๆ” ซุนซีชิงถามขึ้นมาก่อน คนมาด้วยกันยกกาสูงลิ่ว เสียงน้ำไหลลงถ้วยกระเบื้องดังยิ่งกว่าเสียงของเขาอีก

   “ตอบข้าก่อนวันนี้เป็นอย่างไร เล่ามาให้ละเอียด”

   คำว่าละเอียดของคุณหนูรองต้องเก็บตั้งแต่สีหน้าและคำพูดว่าเอ่ยอย่างไรเอ่ยกับใคร อาตงเล่าทุกอย่างทุกขั้นตอนไม่ให้ผิดหวัง เรื่องแสดงท่าทางต้องยกให้นางที่บีบเสียงเพิ่มอีกสักนิดก็เหมือนแม่สื่อมาทำให้ดูอยู่ตรงหน้าแล้ว ระหว่างฟังเมิ่งชุนเถาก็ละเลียดจิบชาราวว่าชมอุปรากรเรื่องยาว – จนฟังจบชาก็หมดไปอีกจอกหนึ่ง

   ผู้พูดกระแอม แบมือผายไปทางเมิ่งชุนเถา “จากที่ข้าได้กล่าวมาทั้งหมด ตกลงแม่สื่อมาบอกว่าท่านไป๋ให้นางเข้าพบได้ แต่นางยุ่งจนมิได้มาบอกข่าว”

   คนมีศักดิ์เป็นนายเปิดถุงที่ผูกไว้ข้างเอว หยิบเอาเงินก้อนเล็กๆ วางไว้กลางฝ่ามืออาตง ทั้งหมดเกิดขึ้นภายใต้สายตาตำหนิของซุนซี อาตงที่ได้เบี้ยพิเศษก็ลอยหน้าลอยตาทำเป็นไม่รู้สึกรู้สา

   “พี่ใหญ่กล้าพนันกับข้าไหมว่าท่านพ่อสั่งให้แม่สื่อยกเลิกดูตัว”

   “ท่านลุงคงไม่ทำอย่างนั้นกระมัง..”

   คุณหนูรองหัวเราะหึ ยื่นจอกเปล่าไปทางสาวใช้ “คอยดูเอาเถอะ ท่านพ่อทำเป็นนิ่งเฉยไม่ว่ากระไร ตันฮกจะลอบตีเฉินชาง สิไม่ว่า”

   อาตงรีบยกการินน้ำชาเติมให้ไม่ขาด สหายสนิทมองหน้านางก็รู้ว่าออกไปพ้นห้องคงได้มีเรื่องคุยอย่างเป็นห่วงเป็นใยประสาคนรับใช้อีกนานสองนาน...



   อีกครึ่งเดือนจะถึงเวลานัดหมายซุนซีร้อนใจจนต้องเขียนจดหมายไปปรึกษาคุณชายอินทรีอีกครั้ง เขานั่งก้มหน้าก้มตาตวัดพู่กันไปบนหน้ากระดาษ เขียนร่ายยาวถึงคนที่นัดกันไว้เรื่องสำคัญแต่อีกฝ่ายทำท่าจะหนีนัดควรจะทำอย่างไรดี ลายมือคราวนี้เร่งรีบจนตัวหนังสือหวัดแต่ไม่ใช่เวลาจะมากังวลเรื่องความสวยงาม

   ทว่ารอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มีจดหมายตอบกลับ เหลือเวลาเพียงสิบวันซุนซีก็ไม่อาจคอยได้อีกต่อไป

   เขาเชื่อว่ายิงฉู่หยุนคงจะแนะให้ทำตามใจคิดเหมือนเคย เช่นนั้นแม้จะกลัวความผิดพลาดจากครั้งก่อนที่เคยตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่เขาก็เลือกจะลองดูอีกสักครั้ง

   อาตงมักบอกว่าเขาเป็นคนขี้กังวล นางพูดไม่ผิด แต่ใช่ว่าเขาจะกังวลเป็นอยู่คนเดียวเสียเมื่อไหร่

   ถัดจากวันที่คุยกับคุณหนูรองซุนซีก็ปรี่เข้าไปพบหลี่ฮูหยินโดยที่ท่านไม่ต้องเรียกหา เด็กหนุ่มเล่าถึงเรื่องที่ตนปรึกษากับน้องสาวและทีท่าน่าสงสัยของเจ้าสำนัก ท่านป้าฟังแล้วเก็บไปคิดอยู่นาน

   เย็นวันนั้นหลี่ฮูหยินเรียกเขาไปพบที่ห้องรับรอง เจ้าสำนักเมิ่งชางนั่งทำหน้าเคร่งขรึมอยู่บนเก้าอี้ข้างภรรยา มือท่านกำลังบรรจงแกะผลลำไยส่งให้นางทาน

   “..เรียกข้ามีอะไรหรือขอรับ” ซุนซีตีหน้าเคร่งเกือบเทียบเท่าเจ้าของบ้าน ถึงอย่างนั้นหลี่ฮูหยินยังสามารถทำเมินคนข้างตัวไปคุยกับหลานชายได้

    “ซีเอ๋อร์ จำยาซีฉวนต้าผู่ ได้หรือไม่ ป้าจะวานเจ้าไปซื้อที่เมืองหลวง”

   ท่านลุงย่นคิ้ว เหลือบสายตามองหน้าภรรยาก่อนจะกระแอมดังๆ ครั้งหนึ่ง “งานการมีให้ทำมันจะไปไหนอีก? ให้กงไห่ไปซื้อไม่ได้หรือไร”

   “ลุงกงไม่เคยเห็นขอรับ ถ้าซื้อมาผิดสรรพคุณจะใช้ด้วยกันไม่ได้”

   เมิ่งชางตั้งท่าจะแยกเขี้ยวคำรามใส่ไอ้เด็กผอมกะหร่อง หลี่ฮูหยินรีบเสริมขึ้นต่อ “ท่านพี่ เพราะสมุนไพรหายากบางตัวยานี้ถึงได้มีขายแต่ที่เมืองหลวง”

   “อย่างนั้นไปสั่งกับพ่อค้าให้ขนมา”

   “ไม่ได้ขอรับ คราวที่แล้วพ่อค้าเอาของไม่ดีมาขาย ที่คราวนั้นต้มแล้วมี...กลิ่น...ฉุน...”

   เจ้าสำนักมองหน้าเขา ดวงตาคล้ายจะจ้องทะลุไปถึงขั้วหัวใจ ซุนซีค่อยๆ สงบปากสงบคำลงในที่สุด

   “คิดว่าจะหลอกคนอย่างข้าได้หรือ” ท่านลุงลั่นเสียงดั่งฟ้าคำราม คนฟังเสียวสันหลังวาบเหงื่อผุดทั่วเหมือนคนเพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆ

   ทั้งห้องเงียบกริบด้วยแรงกดบรรยากาศอึมครึม ซุนซีนั่งหดคอตัวเล็กลีบ ร่างกายผอมเหมือนไม้ซีกเช่นนี้โดนโบยอย่างเก่งสองไม้ก็ช้ำในไปเจ็ดวันแล้ว ..ตายแน่ๆ คนหนุ่มคิด แค่กลั้นใจกลืนน้ำลายยังรู้สึกฝืดเคือง

   เจ้าสำนักพ่นลมออกจมูก “เหอะ! ไอ้เด็กคนนี้ งานการก็มียังหาเรื่องไปเที่ยว – ที่สั่งให้เอาม้าไปตอกเกือกทำหรือยัง!”

   ซุนซีคิดว่าเขาได้ยินเสียงท่านป้าหายถอนใจโล่ง “...เรียบร้อยทุกตัวขอรับ”

   “เออ ดี รายชื่อที่สั่งให้จดทำหรือยัง”

   “เสร็จแล้วขอรับ”

   “ห้องครัวคนขาดอยู่ไม่ใช่รึ”

   “คนที่ลาไปเยี่ยมบ้าน เมื่อวานกลับมาแล้วขอรับ”

   ท่านลุงเงียบไป เมื่อสบสายตาภริยาสีหน้าครุ่นคิดก็เปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วนเก้กัง “อย่าให้ข้ารู้ว่าไปเที่ยวเถลไถล กลับมาช้าไม่ทันทำงานข้าจะหักเบี้ยเลี้ยง”



   ซุนซีผูกสัมภาระเข้ากับอานม้า คุณหนูคนเล็กออกมาส่งถึงหน้าประตูยังไม่วายร่ำๆ จะไปด้วย เขาอยากตามใจนางอยู่หรอก แต่ใช่ว่าไปเมืองหลวงเพื่อเที่ยวเล่นเสียเมื่อไหร่...จนกระทั่งป้าหม่าเอ็ดหนักเข้าน้องขี้แยของเขาถึงได้ยอม

   ลุงกงไห่กระตุกสายบังเหียน เสียงกีบเหล็กย่ำประสานไม่เป็นจังหวะ ไม่ช้ารั้วสำนักก็ค่อยๆ ห่างออกไปจนกลายเป็นเส้นริ้วสุดสายตา

   ม้าสองตัวเดินทางจากเมืองหวงซานร่วมหลายคืนแล้ว จนได้เวลาพบดอกโบตั๋นบานสะพรั่งริมทางเมื่อเข้าหน้าร้อนและกลิ่นหอมอ่อนๆ อวลอยู่ในอากาศ เมื่อนั้นคนจากสำนักหู่โห่วก็มาถึงเมืองหลวง

   ซุนซีจูงเจ้าม้าแก่เดินเหยาะๆ ตามหลังลุงกงไห่เข้าโรงรับฝากม้าติดประตูเมือง แม้เป็นเวลาใกล้ค่ำแต่หลินอัน ยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน โคมไฟรายทางและแสงจากตัวอาคารสองข้างถนนจุดขึ้นทีละน้อย เมื่อข้ามสะพานไม้มาถึงโรงเตี๊ยม เมืองทั้งเมืองก็ส่องสว่างไม่ต่างจากเวลากลางวัน

   อาคารไม้หลังย่อมซ่อนตัวอยู่ในมุมลึกหลังเส้นทางสลับซับซ้อนและตรอกคลอง ลุงกงไห่เป็นคนเข้าไปเจรจากับลูกจ้างท่าทางมึนตึงไม่รับแขก ..ก็พอเข้าใจได้อยู่เมื่อดูจำนวนลูกค้าที่อยู่กันเต็มทุกโต๊ะกับเสียงเอะอะโวยวายฟังไมได้ศัพท์

   คนต่างถิ่นได้ที่นั่งก็โซ้ยข้าวให้เต็มอิ่ม คืนนี้ปลอดสุราเพราะเช้าวันพรุ่งจนถึงวันมะรืนยังมีงานอีกมากให้ต้องทำ

   ระหว่างทางจวบจนถึงตอนนี้เด็กหนุ่มปรึกษากับลุงกงไห่อยู่หลายครั้ง หลักๆ ไม่พ้นเรื่องแม่สื่อที่จ้างวานมา เขาสังหรณ์ไม่ดีมาตั้งแต่แรกจ้างแล้ว แม้ว่านางจะนัดให้มาพบก่อนหน้าวันเข้าพบไป๋หนิงเฉิงเพียงวันเดียว แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้ข่าวคราวจากแม่สื่อ

   “อย่าคิดมากนักเลยอาซุน” ชายชรากล่าวพลางคีบผักลงชาม “ทำใจให้สบาย หากมีวาสนาต่อกันคุณหนูต้องได้แต่งแน่อยู่แล้ว”

   คนหนุ่มก้มหน้าใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวช้าๆ เคี้ยวหมดคำถึงค่อยพูดโดยไม่มอง

   “เรื่องนั้นข้าเข้าใจ ที่ท่านลุงว่ามาไม่ผิดเลย หลังจากนี้ฝากไว้กับลิขิตสวรรค์ได้...แต่อย่างไรข้าก็อยากทำให้ดีที่สุดก่อน”

   เขาว่าพลางคีบเนื้อชิ้นใหญ่ที่สุดวางบนชามคู่สนทนา ได้ยินอย่างนั้นคนรับใช้เก่าแก่ไม่ว่าอะไร ทำแต่เพียงรินชาให้อย่างมีน้ำใจ



   กลางคืนผลัดกาลเป็นยามเช้า คนต่างถิ่นสองวัยไปรอที่จุดนัดพบแต่ไก่แรกขันจรดเย็น...เพียงเพื่อพบว่าไม่มีแม้แต่เงาของแม่สื่อที่จ้างวานไว้ คนจากสำนักคุ้มภัยไม่รู้ว่าบ้านแม่สื่ออยู่ส่วนไหนของเมืองหลวง กระทั่งเวลาจะออกตามหาก็ไม่พอ

   ขณะที่นั่งคิดไม่ตกชายสูงวัยพยายามปลอบให้ใจชื้นว่าวันพรุ่งแม่สื่อต้องมาแน่ แต่เด็กหนุ่มเชื่อสัญชาตญาณตนเอง หากผิดคำพูดครั้งหนึ่งย่อมมีครั้งสอง ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใดนางคงไม่มาแน่แล้ว

   เย็นวันนั้นซุนซีตัดสินใจกำเงินเข้าร้านเสื้อผ้า เลือกเอาชุดดูมีราคามาชุดหนึ่ง รองเท้าตัดเย็บอย่างดีอีกคู่หนึ่ง เงินเก็บส่วนตัวที่เตรียมเอาไว้เป็นค่าเล่าเรียนถูกแลกเป็นกวาน และปิ่นเสียบหยกเข้าชุด – พอรู้ว่าเขาจะทำอะไรลุงกงไห่ได้แต่ส่ายหน้า ทว่าซุนซีตัดสินใจดีแล้ว

   ย่างเข้าอรุณรุ่งจากโรงเตี๊ยมคับแคบก็ย้ายมานั่งเด็ดเดี่ยวอยู่กลางเคหาสน์หลังงาม ห้องรับแขกบ้านสกุลไป๋ใหญ่โตโอ่โถง ประดับประดาด้วยของมีราคาทั้งแจกันเครื่องลายครามและภาพวาดแขวนผนังฝีมือจิตกรเอก เก้าอี้เรียงขนาบสองข้างสำหรับแขกเป็นไม้ชิงชันขัดมันอย่างดี คนไม่รู้ราคาของยังพอตีค่าได้ว่าไม่ใช่เงินน้อยๆ แม้แต่ถ้วยชาในมือเขาก็ด้วย

   ซุนซีบัดนี้ตัวเกร็งอยู่ท่ามกลางแม่สื่อวัยกลางคน บรรยากาศชวนอึดอัดทำเอาตื่นเต้นยิ่งกว่าเก่า

   ส่วนหนึ่งประหม่าเพราะเขาคาดเดาความคิดอ่านเจ้าของบ้านไม่ได้ ในสายตาเขาไป๋หนิงเฉิงทำอะไรพิลึกผิดขั้นตอนนัก นอกจากคนรับใช้ที่ยกชามาให้เมื่อครึ่งก้านธูปก่อน บัดนี้ก็ยังไร้วี่แววพ่อค้าใหญ่

   บุรุษหนุ่มไล่สายตารอบตัวอีกครั้งหลังนั่งเงียบยาวนาน ข้างเขาเป็นแม่สื่อฮัวที่เคยทำงานดูตัวคัดแต่ลูกสาวบ้านขุนน้ำขุนนาง ที่นั่งตรงกันข้ามเป็นแม่สื่อจางเลื่องชื่อเรื่องฝีมือจับคู่จากเมืองหลวง แต่ละคนนอกจากสูงวัยแล้วยังมากประสบการณ์

   “ใช้เด็กเล็กมาเจรจาแทนแม่สื่อ ไม่คิดว่าเสียมารยาทกับท่านไป๋ไปหน่อยหรือ”

   “เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม สกุลไหนกล้าส่งมาคงเห็นการแต่งงานเป็นเรื่องตลก”

   “ถึงตัวไม่มีเกียรติก็ควรให้เกียรติคุณชายสักนิด กล้ามานั่งเชิดหน้าเป็นหงส์ กลัวจะเป็นห่านป่าเสียมากกว่า”

   ถ้อยคำเสียดสีชัดแล้วว่าในห้องนี้แต่ละคนต่างมองเขาเป็นตัวตลกชวนหัว ตั้งแต่มาถึงจนบัดนี้ผู้แทนสำนักคุ้มภัยไม่ปริปากตอบโต้ใดๆ ดวงตาเขามองนิ่งไปยังหลังประตูอย่างผู้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว รอจนกระทั่งร่างเงาสูงใหญ่เคลื่อนตัวผ่านม่านมาอย่างเชื่องช้า ใต้รอยยิ้มเป็นมิตรอย่างพ่อค้าใจกว้างทุกก้าวย่างนั้นมั่นคง

   ไป๋หนิงเฉิงรับการคารวะอย่างสำรวม ชายคนนี้นับว่าเป็นบุรุษที่กิริยามารยาทหมดจดและเป็นคนมีการศึกษา สิ่งที่ทำให้ผู้อื่นเกรงใจได้คงเป็นดวงตาเฉียบคมฉายแววฉลาดรู้ทันคู่นั้น คล้ายว่ามองเพียงปราดเดียวสามารถอ่านคนได้ทะลุปรุโปร่ง

   หลังเจ้าบ้านผายมือเชิญให้พูด แม่สื่อคนกลางที่มารอตั้งแต่รุ่งสางก็เปิดประเดิมเป็นคนแรก จากแม่นางน้อยบ้านหนึ่งไปยังแม่นางน้อยของอีกบ้าน ส่วนใหญ่ที่กล่าวถึงล้วนรูปโฉมงดงาม บ้างก็เป็นบุตรีบ้านคหบดีหรือตระกูลชนชั้นสูง

   ซุนซีประหม่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขารอ...รออย่างอดทน ฝ่ามือที่โอบแก้วกระเบื้องเคลือบชุ่มไปด้วยเหงื่อ การมาในครั้งนี้จะไม่มีความหมายหากเขาไม่ได้พูดเป็นคนสุดท้าย

   จนกระทั่งแม่สื่อบ้านฮัวพูดจบลง เสียงถ้วยกระทบจานรองก็เหมือนสะท้อนไปไกล

   “คบหากันเพราะรูปโฉม ความงามร่วงโรย ความรักก็สลาย ” ซุนซีโพล่งขึ้นมา เมื่อดึงความสนใจได้ก็ไม่เว้นจังหวะนานพอให้ใครเถียง “หญิงงามใต้หล้ามีนับหมื่น แต่หญิงที่ฉลาดเพียบพร้อมพันปียากที่จะพบ คนอื่นดูโหงวเฮ้งภรรยาแค่พอทำนายว่าอาจช่วยให้ชีวิตรุ่งเรือง แต่หากเป็นคุณหนูเมิ่งชุนเถา สตรีผู้นี้จะช่วยท่านด้วยสองมือของนางเอง”

   แม่สื่อจางเอ่ยขัด “เป็นภรรยาจะหาเอาหญิงฉลาดนักเพื่อการใด โบราณว่าอย่าหาภรรยาเลียนเยี่ยงจูกัดเหลียง  สู้แต่งกับหญิงงามเชื่อฟังสามีอยู่แต่เหย้าเฝ้าเรือน ดูแลครอบครัวไม่บกพร่องไม่ดีกว่าหรือ”

   “ท่านกล่าวไม่ผิด แต่มิใช่หวงเยว่อิงหรอกหรือที่คอยช่วยจูกัดเหลียงอยู่เบื้องหลัง สตรีที่นอบน้อมเก่งงานบ้านงานเรือนใช่ว่าไม่ดี แต่จำเพาะผู้ที่มีปัญญาทัดเทียมกันจึงสนทนากันรู้เรื่อง”

   ไป๋หนิงเฉิงฟังแล้วยิ้มไม่กล่าวอะไร ปฏิกิริยาของเขาส่อถึงนิมิตรหมายอันดีแต่พ่อสื่อจำเป็นยังไม่อาจไว้วางใจ

   “เดินทางมาคราวนี้จำต้องเสียมารยาทกับท่านแล้วคุณชายไป๋ ข้าน้อยเขลานักไม่อาจถือดีตัดสินแทนท่านว่าสิ่งใดดีกว่าสิ่งใด แต่เป็นที่พึงประจักษ์จริงแท้ว่าไม้ดอกเด่นที่กลิ่นหอมรูปนวลตา ทว่าไม้ผลแม้ออกดอกงดงามเพียงข้ามเดือนยังให้ท่านได้มากกว่ายืนต้นแผ่ร่มเงา”

   ทุกอย่างหยุดเพียงเท่านั้น ไม่กี่อึดใจยาวนานเหมือนหลายชั่วยาม หลังส่งเสียงหัวเราะปั้นแต่งในที่สุดแม่สื่อจางก็ประดิษฐ์คำมาหว่านล้อมเพื่อกู้หน้าอีกครั้ง คนอื่นไม่ขอน้อยหน้า ภาพเหมือนของสาวงามใบสำรองที่วาดให้สวยเกินจริงคลี่ออกรอบแล้วรอบเล่า

   มีเพียงซุนซีที่ยังนั่งนิ่งด้วยสีหน้ามั่นใจแม้เหงื่อจะชุ่มแผ่นหลัง สองตายังคอยจับจ้องเจ้าบ้านอยู่ไม่ละ

   เจรจาหมั้นหมายวันนี้ไม่ต่างกับกับเจรจาค้าเนื้อแต่พ่อสื่อจำเป็นสู้ขาดใจ เขามานั่งอยู่ตรงนี้ในมืออุ้มถ้วยชาไม่ใช่เพราะแค่ปรารถนาดี แต่เพราะรู้ว่าหากเมิ่งชุนเถามีสิทธิ์มีเสียงในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง นางจะมานั่งในที่ของเขาและพูดสิ่งเดียวกันด้วยวาจาที่ยอดเยี่ยมเสียยิ่งกว่านี้

   ผู้หญิงที่โลกต้องการอาจเป็นโฉมสะคราญนิสัยอ่อนหวานที่มีดีแต่เพียงเป็นไม้ประดับ สตรีที่สงบปากสงบคำและทำตามคำสั่งสามีประหนึ่งกฎหมายศักดิ์สิทธิ์ ว่าที่มารดาที่อยู่แต่เพียงในเรือน...

   เขารู้ว่าเมิ่งชุนเถามีดีกว่านั้น

    “เอาล่ะ วันนี้เชิญทุกท่านกลับไปก่อน หากมีอะไรข้าจะเรียกหาภายหลัง” พ่อค้าใหญ่ตัดบทหลังความวุ่นวายเริ่มก่อตัว หากซุนซีไม่ตาพร่าด้วยความตื่นเต้น เขาก็เห็นเจ้าบ้านค้อมศีรษะให้ ‘กับเขา’ อย่างเป็นมิตร

   ทุกคนในห้องโถงลุกขึ้นยืนคารวะส่งเจ้าบ้านก่อนออกไปนอกร่มหลังคาตระกูลไป๋ทีละคน ซุนซีอดทนจนพ้นรั้วก่อนขาอ่อนทรุดนั่งต่อหน้าลุงกงไห่ ถ้ามีใครเอ่ยปากขัดว่าอยากได้เจ้าสาวไม่ใช่คู่ค้าเขาเองคงจนปัญญาจะตอบ หัวใจเต้นรัวเป็นกลอง พอนึกย้อนไม่รู้ว่าผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่มาได้อย่างไร

   ลุงกงไห่ตบหลังเขาก่อนฉุดให้ลุกเดิน ชุดราคาแพงเปื้อนฝุ่นจนมอมแมม คราบชายที่พกความมั่นใจเต็มประดาไม่รู้ว่าปลิวหายไปไหน

   เมื่อหมดหน้าที่แม่สื่อต่างคนต่างแยกย้ายเดินทางกลับ ..เหลือก็แต่ให้ไป๋หนิงเฉิงตัดสินใจแล้ว

หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่7 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-12-2019 19:52:34
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่7 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 14-12-2019 09:40:30
ยังไงต่อ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่7 13/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 20-12-2019 17:13:56
บทที่ 8


   วันนี้มีชายตัวสูงใหญ่นำขบวนสินค้าเป็นพะเรอเกวียนมาถึงสำนักคุ้มภัยหู่โหวแต่เช้า ดูจากสภาพม้าก็รู้ว่าเร่งเดินทาง บรรดาลูกหาบที่มาด้วยกันยืนเป็นระเบียบแม้สีหน้าจะเหน็ดเหนื่อยเต็มทน ชายหนวดครึ้มที่ดูจะเป็นหัวหน้าขบวนเดินท่าทีสง่าเข้ามาในเรือนใหญ่ ซุนซีที่เดินนำทางเขาพอหยุดยืนแล้วอีกฝ่ายก้าวผ่านยังได้กลิ่นเหงื่อโชยมา

   เจ้าสำนักนั่งรออยู่ในห้องรับแขก พอเห็นว่าอาคันตุกะตัวโตเดินเข้ามาก็ลุกขึ้นต้อนรับ ฝ่ายผู้มาใหม่ประสานหมัดทำความเคารพอย่างผู้มีวรยุทธ์ก่อนจะนั่งลงเมื่อเจ้าบ้านเชื้อเชิญ สาวใช้ขยับตัวไปรินชาจากด้านข้างอย่างรู้งาน กลิ่นชาดอกบัวหอมกรุ่นไปทั่วห้อง

   “ข้ามีนามว่าบาตูเกล” ชาวทุ่งหญ้าตัวสูงใหญ่เอ่ยขึ้นพลางยื่นม้วนกระดาษให้เจ้าสำนักคุ้มภัย “นี่เป็นสารจากเจ้าสำนักเทียนคงหลง”

   ท่านลุงคลี่ม้วนสารออกอ่าน สีหน้าเปลี่ยนจากประหลาดใจไปเป็นครุ่นคิดสักพักก็คลี่ยิ้มออกมา ซุนซีเฝ้าอยู่ตรงนั้นได้แต่นึกสงสัยว่าเนื้อความเป็นเช่นไรถึงได้ทำให้ท่านลุงที่เพิ่งทำหน้านิ่งใส่แขกผู้มาใหม่เปลี่ยนสีหน้าฉับไวอย่างนั้น

   “ซุนซี จัดที่พักให้แขกแล้วคอยรับใช้อย่าให้บกพร่อง”

   ท่านเจ้าสำนักสั่งมาเพียงสั้นๆ ก่อนจะหันไปคุยกับชายหนวดครึ้มต่อ ซุนซีรับคำสั่งแล้วล่าถอยออกจากห้อง เรื่องต้องคอยรับใช้แขกนั้นพอเข้าใจได้เพราะเขาเป็นบ่าวชายคนเดียวที่อยู่ประจำเรือนใหญ่ ส่วนเรื่องห้องนั้นพอเดินพ้นหัวมุมเจอเข้ากับสาวรับใช้ก็สั่งให้นางกับพรรคพวกไปทำความสะอาดห้องรับรองที่ฟากตะวันตก

   หีบใบใหญ่จำนวนนับสิบถูกยกเข้ามาที่ห้องเก็บของ เมิ่งชุนเถาตรวจสอบรายการสินค้าแล้วยิ้มพึงใจ นางไม่บ่นสักนิดเรื่องที่มีผู้มาเยือนมาขออยู่อาศัยเพราะของที่ฝ่ายนั้นนำมากำนัลมีมูลค่ายิ่งกว่าค่าเช่าโรงเตี๊ยมราคาสูง

   “ป้าตู๋เกออะไรนั่นให้เขาพักทั้งเดือนก็ยังได้” เมิ่งชุนเถาว่าอย่างอารมณ์ดี หลังมือตบเบาๆ ไปที่ใบรายการยาวเหยียด

   ซุนซีกลั้นหัวเราะ “บาตูเกลต่างหาก”

   เมิ่งชุนเถาแสร้งหรี่ตา “เรียกชื่อเสียฉะฉานเชียวนะพี่ใหญ่ สนใจเขาหรือ?”

   เมื่อนึกถึงหน้าดุๆ หนวดเคราขึ้นจนเต็มซุนซีก็ขำพรืดออกมา “สนใจที่เป็นคนนอกด่านน่ะหรือ แบบนั้นก็สนใจอยู่ แต่ถ้าสนใจแบบผูกจิตรักใคร่คงไม่ไหว”

   “เหอะ ข้าจะคอยดู พี่ใหญ่น่ะชอบชายที่สมชายชาตรีไม่ใช่หรือ”

   เขาคร้านจะเถียง เรื่องที่เมิ่งชุนเถารู้ว่าเขาชอบบุรุษเพศด้วยกันก็เรื่องหนึ่ง เรื่องที่รู้ว่าเขาชอบชายแกร่งมากความสามารถก็อีกเรื่องหนึ่ง ฝ่ายคุณหนูรองเห็นพี่ชายต่างสายเลือดไม่ว่าอะไรก็ละความสนใจไปที่รายการสินค้า อ่านทวนอยู่อย่างนั้นเหมือนภาวนาว่าจะมีอะไรผุดขึ้นมาเพิ่มให้ชื่นใจ



   ชายชาวทุ่งหญ้าหน้านิ่งและพูดน้อยกว่าที่เขาคาด ซุนซีที่รับหน้าที่ดูแลอาคันตุกะพบว่าการงานราบรื่นกว่าที่คิดเพราะบาตูเกลไม่เรียกร้องอะไรนัก เมื่อถึงเรือนและได้น้ำร้อนสำหรับอาบก็ไล่ให้เขากับบรรดาสาวใช้ไปทำงานอื่น

   พออาทิตย์คล้อยต่ำจะลับลาขอบฟ้าบาตูเกลก็เรียกให้เขานำชุดเครื่องเขียนไปให้ที่ห้อง ซุนซีฝนหมึกเตรียมให้จนพร้อมก็ตั้งท่าจะลุกกลับออกไป ไม่คิดว่าจะโดนรั้งตัวไว้เสียก่อน

   “เจ้าเขียนหนังสือเป็นหรือไม่” ชายเคราดกถามเขา ซุนซีฟังแล้วพยักหน้าครั้งหนึ่ง “เช่นนั้นมานั่งนี่ เขียนจดหมายให้ข้าสักฉบับ”

   “ขอรับ” ซุนซีตอบรับก่อนจะย้ายตัวเองไปนั่งที่โต๊ะ ลูบมือกางแผ่นกระดาษออกแล้วจุ่มพู่กันแตะน้ำหมึกรอ

   บาตูเกลบอกให้เขียนตามคำบอกไปเรื่อยๆ เนื้อหานั้นวกวนและจับสาระไม่ได้จนเหมือนสารลับที่ต้องถอดความ อีกใจซุนซีก็เริ่มคิดว่าตนโดนแกล้งรึเปล่า เมื่อเขียนจนเกือบหมดหน้ากระดาษคนสั่งการก็บอกให้ลงนามว่าเมฆาเคลื่อนคล้อย

   ฝ่ายที่ยืนรออยู่เมื่อได้รับแผ่นกระดาษก็คลี่ออกดู ดวงตาคมดุจเหยี่ยวปรากฏแววประหลาดใจเพียงครู่ก่อนจะกลับมานิ่งเฉยเช่นปกติ

   “ลายมือเจ้างามใช้ได้” บาตูเกลเอ่ยปากชมพลางพับกระดาษเป็นแผ่นเล็กๆ แล้วสอดเก็บไว้ในอกเสื้อ

   ซุนซีผุดลุกขึ้นยืน ถอยเท้าไปอยู่ใกล้กำแพงตามมารยาท “มีอะไรให้รับใช้อีกหรือไม่ขอรับ?”

   ชายตัวโตนิ่งคิดอยู่ครู่ “ทำชาโม่ลี่ ให้ข้าสักกา”

   คนรับใช้หนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกจากห้อง ซุนซีก้าวเข้าไปในครัวที่บัดนี้เหลือแต่บรรดาลูกมือนั่งจัดการมื้อเย็น เขาต้มน้ำร้อนแล้วใส่ใบชาอบผสมดอกโม่ลี่ลงไป น้ำใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีอมส้มพร้อมกลิ่นหอมที่ลอยขึ้นมากับควันขาว ซุนซีปิดฝาก่อนหยิบถ้วยชาที่ลวกน้ำร้อนแล้วมาเตรียมใส่ถาดไม้ ยกกลับไปที่ห้องบุรุษตัวโตคนนั้น

   บาตูเกลได้ชาก็ยกขึ้นสูดกลิ่น เป่าให้หายร้อน แล้วถึงค่อยๆ จิบเป็นอย่างสุดท้าย ซุนซียืนก้มหน้ามองรองเท้ารอคำสั่งที่ไม่มีมาสักทีอย่างใจเย็น ในเมื่อยังไม่ได้ไล่เขาออกจากห้องเขาก็ยังกลับไปไม่ได้

   “เจ้าชงชาอร่อยดี” จู่ๆ ฝ่ายนั้นก็เอ่ยปากชม คนชงกล่าวแค่ว่าขอบคุณขอรับก่อนทั้งห้องจะกลับไปสู่ความเงียบอีกครั้ง

   บาตูเกลดื่มชาไปมองซุนซีอย่างพินิจไปด้วย ชายร่างผอมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แต่ไม่กล้ากระดิกตัว

   “เจ้าผอมนัก หัดกินให้เยอะๆ เสียบ้าง” เจ้าของใบหน้าครึ้มหนวดเคราเอ่ยปาก “พรุ่งนี้ปลายยามเหม่ามาพาข้าไปเดินดูสำนักคุ้มภัย ตอนนี้กลับไปนอนได้แล้ว”

   “ขอรับ”

   ซุนซีถอยออกมาจากห้องก่อนปิดประตูไม้ให้เข้าที่ ใจเริ่มคิดแล้วว่าอาคันตุกะน่าจะเป็นคนประหลาด...



   เสียงฟาดพลองดังโป๊กเป๊กลั่นลานฝึกซ้อมตั้งแต่เช้ามืดจรดช่วงสาย ซุนซีเดินนำบาตูเกลมาที่นี่เป็นอย่างท้ายๆ หลังจากไปมาทั่วสำนักคุ้มภัย ฝ่ายอาคันตุกะดูจะสนใจการออกท่าของบรรดาลูกศิษย์สำนักอยู่ไม่น้อยถึงได้ขอให้คนนำทางหยุดอยู่ที่ลานนานสักหน่อย

   “พี่ใหญ่!” เมิ่งเซี่ยเหมยวิ่งสุดแรงเกิดเข้ามากระโดดกอดพี่ชาย ซุนซีที่รีบกางแขนรับน้องสาวเอาไว้ถอยไปสามสี่ก้าวตามแรงกระแทก ตัวเอียงจนบาตูเกลที่ยืนดูอยู่ต้องรีบปรี่เข้ามาโอบแขนประคองเอาไว้

   “ไม่ซ้อมต่อหรือ?” ซุนซีถามออกไปในทันที มือก็ควานหยิบเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อที่หน้าผากแม่ตัวแสบ

   “ข้าซ้อมเสร็จแล้ว” เมิ่งเซี่ยเหมยหยีตาอยู่นิ่งๆ ให้เช็ดหน้า “แล้วนี่ใครหรือ ท่านเป็นเพื่อนพี่ใหญ่หรือ?”

   คนตัวสูงใหญ่ขยับยิ้มน้อยๆ “ข้าชื่อบาตูเกล มาขอพักอยู่ที่สำนักคุ้มภัยชั่วคราว”

   เมิ่งเซี่ยเหมยร้องอ๋อ “คนที่มาหาท่านพ่อเมื่อวานน่ะเอง -- นี่ พี่ชาย ท่านเป็นวรยุทธ์ไหม สนใจมาฝึกซ้อมกับข้าสักหน่อยหรือไม่”

   ซุนซีมุ่นคิ้วไม่เห็นด้วย ขณะกำลังจะเอ่ยปากห้ามบาตูเกลก็พูดขึ้นมาก่อน

   “ได้สิ คนแพ้ต้องเลี้ยงขนมคนชนะ แบบนี้ดีหรือไม่?”

   “ตกลง!” คุณหนูสามยอมรับกติกาเสียงใส นางยิ้มร่าตาเป็นประกายที่ได้คู่ประมือ

   แล้วคนทั้งสองก็มาอยู่ที่กลางลานว่าง บรรดาลูกศิษย์คนอื่นเห็นคนแปลกหน้ามาท้าประลองกับบุตรสาวเจ้าสำนักก็ล้อมวงดูพลางพนันกันใหญ่ว่าใครจะชนะ ซุนซียืนนวดขมับอยู่วงนอก ถ้าท่านลุงรู้เข้ารับรองว่าคนโดนเอ็ดคงไม่พ้นเขาที่พาปัญหามาถึงที่

   สองฝ่ายประสานหมัดเข้าโรมรันกันอยู่พักใหญ่ ฝั่งบาตูเกลรำมวยผายมือปัดป่ายดูคล้ายร่ายรำเน้นป้องกันมากกว่าจู่โจม ขณะที่เมิ่งเซี่ยเหมยออกหมัดหนักแน่นรุนแรงและเน้นไปที่การโจมตี ต่างฝ่ายต่างผลัดกันรับรุกอยู่พักใหญ่ แต่คนนอกดูแล้วคล้ายฝั่งคนแปลกหน้าจะออมมือให้เจ้าบ้านเสียมากกว่า วงพนันถึงได้แตกไปในที่สุด

   แลกหมัดกันไม่นานเมิ่งเซี่ยเหมยก็ล้มกลิ้งลงก้นกระแทกพื้น นางรีบผุดลุกขึ้นมาใหม่แต่ไม่นานก็ได้ลงไปคลุกฝุ่นอีกรอบ คราวนี้แม่ตัวดีที่นั่งตัวเปื้อนดินก็หัวเราะร่า ยกมือขึ้นยอมแพ้ในที่สุด

   “ไว้ข้าจะเลี้ยงขนมดอกกุ้ยท่าน รอกินได้เลย” นางประกาศเสียงใสขณะลุกขึ้นปัดเนื้อปัดตัว

   บรรดาขามุงทั้งหลายกลับไปฝึกซ้อมกันต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซุนซีที่รออยู่วงนอกเดินเข้าไปเช็ดหน้าเมิ่งเซี่ยเหมยก่อนจะช่วยนางปัดฝุ่นตามเสื้อผ้าเหมือนแม่แมวเลียทำความสะอาดลูกน้อย

   “ฝีมือแม่นางก็ไม่เลว ติดที่ว่าใจร้อนรีบเข้าประชิดไปสักหน่อย หากหาจังหวะจู่โจมให้ดีก็ล้มศัตรูได้ไม่ยาก” ชายหนวดครึ้มว่าพลางสอน เมิ่งเซียเหมยฟังแล้วหยักหน้าหงึกๆ

   “พี่ชาย นอกจากหมัดมวยแล้วท่านใช้อย่างอื่นเป็นหรือไม่ สำนักข้ายังมีพลองอยู่อีก ไว้เรามาแลกเปลี่ยนความรู้กันเถอะ”

   “ถ้าเจ้าไม่ว่าอะไรข้าก็ยินดี”

   บทสนทนาทั้งหมดนี้มีซุนซียืนทำหน้ามืดครึ้มประกอบเป็นฉากหลัง แค่นี้ก็ช้ำไปทั้งตัวแล้ว นางยังจะมีครั้งหน้าอีกหรือ? แล้วดูนั่น อาคันตุกะก็เอากับเขาด้วย ...ซุนซีรู้สึกปวดหัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว



   นับตั้งแต่พาบาตูเกลเดินรอบสำนักคุ้มภัยแล้วไปหยุดที่ลานฝึกซ้อมจนเจอเข้ากับเมิ่งเซี่ยเหมย คุณหนูสามสกุลเมิ่งก็ลากคนตัวโตไปช่วยฝึกวรยุทธ์เป็นประจำ – ผิดแต่ว่าวันนี้ย้ายมานั่งกินขนมกันที่เก๋งริมสระบัว

   แดดสะท้อนผืนน้ำส่องแสงวับวาบเข้ามาถึงในศาลา ลมพัดมาเอื่อยๆ พอให้อากาศไม่อบอ้าวจนเกินไป ขนมดอกกุ้ยสีขาวนวลวางอยู่ในถาดข้างกาน้ำชาถูกแม่สาวน้อยหยิบไปชิ้นแล้วชิ้นเล่า เสียงบทสนทนาระหว่างบาตูเกลกับเมิ่งเซี่ยเหมยดังอยู่ไม่หยุดปาก ซุนซีที่มีหน้าที่กันไม่ให้สตรีในห้องหออยู่กับแขกเพียงลำพังฟังนางโม้เรื่องตนเองเก่งที่สุดในสำนักมาได้พักใหญ่ก็อดถามแทรกไม่ได้

   “แล้ววันนี้ไม่ฝึกหรือ?”

   “วันนี้ข้าพักผ่อน” เมิ่งเซี่ยเหมยพูดไปมือก็คว้าขนมดอกกุ้ยเข้าปาก “คนเราต้องพักผ่อนบ้าง อีกอย่างข้าก็ฝึกจนเก่งที่สุดในสำนักแล้ว ไม่มีใครเทียบข้าได้แล้วล่ะพี่ใหญ่”

   “คุณหนู...” ซุนซีท้อใจ นางฟังแล้วหัวเราะร่าไม่ได้สำนึกสักนิด

   “ก็บอกว่าอย่าเรียกคุณหนูไงพี่ใหญ่ เรียกข้าเสี่ยวเหมยเหมือนเดิมสิ”

   เขาส่ายหน้า “อยู่ต่อหน้าแขกบ่าวเรียกคุณหนูว่าคุณหนูย่อมถูกแล้ว”

   เมิ่งเซี่ยเหมยเบ้ปาก นางเอนตัวเข้ามาอิงแอบกอดแขนซุนซีแบบไม่อายคนนอก เอาแก้มใสไถกับบ่าเขาอย่างออดอ้อนก่อนจะเด้งตัวขึ้นเหมือนนึกอะไรได้

   “จริงสิ พรุ่งนี้ข้าจะไปบ้านท่านอาเจ็ด พี่ใหญ่อยากได้อะไรไหม?”

   “บ่าวไม่อยากได้อะไร แค่คุณหนูเดินทางปลอดภัยก็พอแล้ว”

   เมิ่งเซี่ยเหมยเอียงคอมองพี่ชาย กระพริบตาปริบๆ ท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ก่อนสองมือจะตะปบหมับเข้าที่หน้าอกซุนซี ทั่วทั้งศาลาตะลึงงัน นิ่งค้างกับพฤติกรรมของนาง

   “เอานมปลอมไหมพี่ใหญ่ เวลาใส่ชุดสตรีจะได้มีหน้าอกสวยๆ”

   “เมิ่ง – เซี่ย – เหมย” ซุนซีคำราม ส่วนน้องน้อยก็หัวเราะร่ารีบเอามือลง นางปลอบเขาว่าล้อเล่นแล้วกอดซบแขนอ้อนยกใหญ่

   บาตูเกลดูประหลาดใจ บุรุษตัวโตวางจอกชาก่อนจะเอ่ยกับสาวน้อย “เมิ่งเซี่ยเหมย? เจ้าชื่อเซี่ยเหมยหรือ?”

   “เปล่า ความจริงข้าชื่อเมิ่งซุนซี พี่ใหญ่ชื่อเมิ่งเซี่ยเหมย พวกเรากำลังเล่นสลับชื่อกันอยู่ พี่ชายต้องให้ความร่วมมือด้วยล่ะ” นางอำคนตัวโตหน้าตาเฉย

   ซุนซีมุ่นคิ้วใส่น้องสาว “คุณชายอย่าได้ถือสาคำพูดคุณหนูสาม นามของนางคือเมิ่งเซี่ยเหมย”

   “ใช่ๆ ตอนนี้ข้าคือเซี่ยเหมย”

   “คุณหนู...”

   ชายชาวนอกด่านหัวเราะเสียงดัง เมิ่งเซี่ยเหมยก็ร่วมหัวร่อไปด้วย สองคนเข้ากันได้ดีจนไม่รู้จะแยกอย่างไร

   สนทนาอยู่เนิ่นนานกว่าคุณหนูคนเล็กจะยอมออกจากเก๋งริมน้ำ นางวิ่งหลังไวๆ หายไปตามทางเดินสู่ลานฝึกซ้อม ทิ้งไว้แต่ซุนซีกับชายหนวดครึ้มที่นั่งละเลียดชาโม่ลี่อยู่ในศาลา ซุนซีตั้งท่าจะลุกขึ้นยืนแต่โดนมือข้างตัวจับแขนให้นั่งลงเสียก่อน ร่างผอมแห้งถูกตรึงไว้ก็ไปไหนไม่รอด

   “ข้าเป็นบ่าว ให้ข้ายืนเถอะขอรับ” เขาอ้อนวอน ตาก็มองคนตัวโตที่ยังไม่ยอมปล่อยมือ

   “นั่งด้วยกันก่อน ข้าอยากได้เพื่อนดื่มชาไม่ใช่บ่าวมายืนเฝ้า แบบนั้นข้าไม่คุ้นชิน”

   ในที่สุดซุนซีก็ต้องนั่งค้างอยู่อย่างนั้น  ชายหนวดครึ้มรินชาให้เขาเพิ่มท่าทางอารมณ์ดี หอมโม่ลี่อวลออกมาจากจอกใบน้อยก่อนกลิ่นจะกลืนไปกับแดดยามบ่าย เสียงหมู่นกที่บินโฉบผ่านก่อนร่อนลงเกาะกิ่งไม้ร้องกังวานสวน สองหนุ่มนั่งดื่มชากันเงียบๆ มาได้พักหนึ่งแล้ว นานเสียจนชาเริ่มชืดซุนซีถึงได้หาเรื่องลุกยืน

   “ข้าจะไปเปลี่ยนชามาให้ใหม่” เขาว่าพลางกอดกาน้ำชาไว้

   “เช่นนั้นข้าไปด้วย ได้ยืดเส้นยืดสายสักหน่อยคงดี”

   ซุนซีส่ายหัวระรัว ฝากาน้ำชาสั่นพะเยิบพะยาบ “ที่ครัวเป็นเขตคนรับใช้ คงไม่เหมาะจะไปเดินเล่น”

   บาตูเกลหัวเราะเสียงดัง ผุดลุกทีเดียวก็สูงค้ำหัวเขาแล้ว “ข้าอยากไปดูข้าก็จะไปดู เจ้าไม่อยากให้ข้าไปด้วยหรือ?”

   “บ่าวมิกล้า...”

   “แทนตนว่ากระไร?” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ดวงตาวับวาวจ้องซุนซีไม่วางตา “อยู่กับข้าไม่มีนายบ่าว เข้าใจหรือไม่?”

   คนถูกมองหลบสายตา “ข้ามิกล้า ท่านจะเดินเล่นที่ใดล้วนขึ้นอยู่แก่ท่าน”

   เหตุนั้นคนตัวโตถึงได้ตามเขามาที่ครัว ป้าหม่าสะดุ้งเมื่อหันมาเห็นแขกเข้ามายุ่มย่ามในเขตคนรับใช้ ปกติไม่มีใครใคร่จะทำกัน เพราะอย่างนั้นหัวหน้าคนครัวถึงได้หันมาจ้องกดดันซุนซีที่เป็นฝ่ายพาอาคันตุกะมาวุ่นวายถึงในห้องครัว

   ซุนซีได้น้ำร้อนก็จ้ำอ้าวออกจากตรงนั้น คนหนวดครึ้มเดินตามเขาเหมือนลูกเจี๊ยบวิ่งตามแม่

   “ไม่ต้องกลับศาลาแล้ว ยกชาไปที่ห้องของข้าเลย” บาตูเกลสั่ง

   คนถือชากล่าวขอรับตามคำสั่งก่อนจะเปลี่ยนทิศเดินไปทางห้องรับรองแขก ผ่านระเบียงย่ำเท้าอยู่ไม่นานก็มาถึงห้องของอาคันตุกะตัวโต ฝ่ายนั้นก้าวนำไปเปิดประตูให้ ซุนซีพยักหน้ารับก่อนจะเดินยกกาน้ำชาเข้าไปวางที่โต๊ะกลางห้อง

   “มีอะไรอีกหรือไม่ขอรับ?” ซุนซีถามพลางกอดถาดไม้เอาไว้

   บาตูเกลตบไปที่หน้าตักตัวเอง “มานั่งนี่”

   “...นั่งที่ไหนนะขอรับ?”

   “ตรงนี้” ว่าพลางตบไปที่หน้าขาอีกสองสามครั้ง “เก้าอี้ตรงนี้”

   ซุนซีมองชายหนวดเคราดกอย่างไม่ไว้ใจเท่าไหร่ก่อนจะตัดสินใจเดินไปนั่งตรงกันข้าม บาตูเกลหัวเราะในลำคอมือก็รินชาลงถ้วยสองใบ ใบหนึ่งให้ตัวเองอีกใบยกให้ซุนซี ข้ารับใช้ร่างผอมเอ่ยขอบคุณเสียงเบาแล้วรับมาจิบ รสขมปะปนไปกับกลิ่นหอมของใบชาดื่มแล้วลื่นคอ

   ชายร่างสูงจ้องหน้าซุนซีมาพักหนึ่งแล้ว ท่ามกลางความเงียบนั้นสงบจนได้ยินเสียงลมหายใจ หลังจากพยายามทำเป็นไม่รู้มานานคราวนี้คนถูกมองตัดสินใจจ้องกลับแน่วแน่ ประสานสายตากันอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ก็เป็นซุนซีที่รู้สึกเก้อกระดากขึ้นมา

   “คุณชาย ข้าต้องขอตัวก่อน ข้าควรจะกลับไปทำงานต่อได้แล้ว”

   “อยู่เป็นเพื่อนข้าก็เป็นหน้าที่เจ้าเหมือนกัน” บาตูเกลว่าหน้าซื่อๆ ซุนซีฟังแล้วอ้าปากค้าง ฝ่ายนั้นพลันเผยสีหน้าอภิรมย์ ไม่วายกำชับต่ออย่างเอาแต่ใจ “นั่งที่นี่อย่าไปไหน อยู่เป็นเพื่อนข้าก่อน”

   คนนอกด่านทำตัวเหมือนกระต่ายที่ถ้าถูกทิ้งไว้จะตายเพราะความเหงา ผู้ชายตัวโตเท่าหมีจะตายเพราะความเหงา! ซุนซีไม่รู้จะทำอะไรแล้วนอกจากขมวดคิ้วไปดื่มชาไป ดวงตาบาตูเกลวาววับเป็นประกายเหมือนมีดวงดาวสุกสว่างอยู่ในนั้น

   ผ่านไปครึ่งชั่วยามจนชาเย็นชืดแล้วเขาก็ยังต้องนั่งอยู่เป็นเพื่อนชายตัวโต เนิ่นนานกว่าบาตูเกลจะเอ่ยขึ้นมา

   “เตรียมน้ำให้ข้าอาบ เสร็จแล้วมาช่วยขัดตัวข้าด้วย”

   “ขอรับ”

   บรรดาสาวใช้ยกน้ำร้อนมาหลายถังเทเติมจนเต็มอ่างไม้ เมื่อน้ำได้ที่บาตูเกลก็ไล่สาวๆ ออกไปจนหมด เหลือแต่ซุนซีที่ยืนเรียบร้อยอยู่หน้าม่านกั้น

   ชาวนอกด่านเดินไปหลังม่านแล้วเริ่มเปลื้องเสื้อผ้า เสียงสวบสาบของผ้าสีกันดังอยู่ครู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงน้ำกระเพื่อม

   ซุนซีเดินตามเข้าไปหา เห็นคนตัวโตลงไปในอ่างเสร็จเรียบร้อยก็ย่อตัวลงคุกเข่าอยู่ด้านหลัง เขาหยิบหินอาบน้ำทรงกลมสลักลายตะปุ่มตะป่ำขึ้นมาเริ่มขัดไปตามผิวคล้ำแดดสีทองแดง เนื้อตัวบาตูเกลแน่นหนันไปด้วยกล้ามเนื้อ บ่าชาวทุ่งหญ้ากว้างและต้นแขนก็นูนกล้ามเป็นมัดๆ -- ดีที่ซุนซีอยู่ด้านหลังและคนในอ่างใส่กางเกงชั้นในถึงได้ไม่เห็นอะไรมาก

   ปฏิเสธไม่ได้ว่าร่างกายบาตูเกลเป็นแบบที่เขาชอบ มือออกแรงขัดไปซุนซีก็หน้าแดงหูแดงจนตัวแทบกลายเป็นผลพุทราไปด้วย กว่าจะผ่านการขัดตัวมาได้ซุนซีกลั้นใจจนแทบกระอักเลือดคำโต

   “เสร็จแล้วขอรับ” ซุนซีบอกก่อนเตรียมลุก ไม่คิดว่ามือกร้านจะคว้าหมับเข้าที่ข้อมือเขาเสียก่อน บาตูเกลเอี้ยวตัวหันมาด้านหลัง จากมุมนี้เห็นอกแน่นๆ ทั้งสองลูกกับวับแวมหน้าท้องเป็นลอน

   ซุนซีรู้สึกเหมือนธาตุไฟเข้าแทรก ใบหน้าเขาร้อนผะผ่าวและคงแดงก่ำไปถึงลำคอถึงได้เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่กำลังอาบน้ำ

   ดวงตาบาตูเกลเป็นประกายนึกสนุก “ไม่ช่วยข้าขัดด้านหน้าหรือ?”

   “เกรงว่าคงไม่ต้องขอรับ ด้านหน้าท่านย่อมขัดเองได้”

   ฝ่ายนั้นจ้องตาซุนซีนิ่ง “...แล้วถ้าข้าอยากให้เจ้าขัดให้ล่ะ?”

   “ข้าขอตัว” เขาออกแรงสะบัดข้อมือจนหลุดก่อนจะวิ่งหนีออกจากห้อง ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังไล่หลังมาชวนให้แค้นใจเล่น

   นับจากวันนั้นบาตูเกลก็หาเรื่องมาแหย่เขาได้ตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเดินนำทางแล้วชายตัวสูงใหญ่บอกว่าชักช้าแล้วก้มลงหิ้วตัวซุนซีพาดบ่า เขาจะร้องก็ร้องไม่ออกได้แต่ถูกหิ้วเป็นกระสอบข้าวอยู่อย่างนั้นจนถึงที่หมาย

   พ้นสัปดาห์ผ่านไปไม่ทันไรบาตูเกลก็ออกเดินทาง ซุนซีรู้สึกโหวงๆ ข้างในอกเหมือนขาดอะไรไป ...คงจะดีใจที่ไม่ถูกแกล้งอีกแล้ว เขาคิดเข้าข้างตัวเองอย่างนั้น – ส่วนเมิ่งเซี่ยเหมยน่ะหรือ นางนั่งบ่นเสียดายว่ายังประมือได้ไม่เท่าไหร่เลย
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่8 20/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 23-12-2019 11:38:38
นายเอกฉันจะได้เรือ ตอนไหน ฮือออ มีแต่มาแปปๆก็ไปทั้งนั้นเลย
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่8 20/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 23-12-2019 14:17:10
เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เราก็ตามต่อไป ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่8 20/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 24-12-2019 09:18:14
คนนี้ใช่พระเอกไหม?
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่8 20/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-12-2019 15:16:23
บาตูเกลนี้ปลอมตัวมาดูซุนซีใช่ไหม  o18
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่8 20/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 28-12-2019 00:56:46
บทที่ 9

   เจ้าสบายดีหรือไม่? ช่วงนี้งานของข้ายุ่งเป็นพิเศษจึงไม่ได้ตอบกลับ วิธีฝึกกำลังขาที่ข้าแนะนำไปคราวก่อนอย่าได้โหมฝึกมากนัก ให้ทำเพียงวันละสองเค่อแล้วพักทุกสี่วัน หากโหมฝึกขาจะบาดเจ็บเอาได้

   สหายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังมีเรื่องใดกวนใจเขาอีกหรือไม่? จากที่เจ้าเล่าให้ฟังคราวก่อนดูเขาจะร้อนใจเป็นอันมาก แต่เมื่อกระทำลงไปอย่างตั้งใจจริงแล้วไม่ว่าผลเป็นอย่างไรก็ถือว่าได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว ไม่มีสิ่งใดให้อับอาย หากใจยึดติดกับการรอผลลัพธ์อาจทำให้ฟุ้งซ่านได้ คงเป็นการดีกว่าหากเขาจะหาอะไรทำระหว่างรอผล

   ข้ายินดีตอบคำถามของเจ้าเสมอ คุยกับเจ้าไม่เคยนึกเบื่อเลย ข้ามีของจะมอบให้เจ้าด้วย ถึงเวลาแล้วจะฝากท่านเมิ่งเอาไปให้

   แล้วจะรอจดหมายจากเจ้า

                           ยิงฉู่หยุน


   คำปลอบประโลมนี้อ่านแล้วจึงพอเบาใจได้บ้าง ซุนซียังคงรอคอยผลการกระทำของตัวเองอย่างใจเย็น ฟ้าเปลี่ยนผ่านข้างขึ้นผันเป็นข้างแรม หากนับให้ถูกต้องก็ย่างเข้าเดือนที่สองแล้วนับจากวันที่พ่อสื่อจำเป็นไปเยือนถึงเมืองหลวง

   ระหว่างนี้ในบ้านสกุลเมิ่งมีจดหมายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการค้าของเมิ่งชุนเถาเพิ่มขึ้นมาอีกสองฉบับ ต้นทางสายหนึ่งมาจากพ่อค้าสกุลหลวนอีกทางมาจากวาณิชสกุลจูเก๋อ และข่าวดีของมือปราบอู๋ก่วนจงที่ทำผลงานชิ้นใหญ่รอจ่อรายชื่อรับเลื่อนขั้นในช่วงท้ายปี

   เมื่อสี่วันก่อนอาจารย์เมิ่งพูดเพียงว่า ‘ต้องตีเหล็กเมื่อร้อน  ก่อนลูกรองจะเปลี่ยนใจ’ แล้วออกเดินทางหน้าชื่นไปพร้อมหัวหน้าอู๋ เยี่ยมเพื่อนเก่าคราวนี้ท่องเที่ยวนานเพราะต้องล่องเรือไปฟากตะวันตก ข้ามหลายอำเภอกว่าจะถึงสำนักเทียนคงหลง (มังกรฟ้า) สองเจ้าสำนักพบปะกันคราวนี้ท่านไม่ได้บอกว่าไปด้วยเรื่องใด

   ทุกอย่างยังคงคล้ายเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน ที่ต่างจากวันปกติมีก็แต่บ้านที่ขาดผู้ปกครองไปชั่วคราวกับเมิ่งชุนเถาที่ยึดอำนาจทำมาค้าขายไว้เรียบร้อยแล้ว

   ยามสายอาทิตย์เริ่มส่องสูงขึ้นกลางฟ้า ไอร้อนแผดเลียลงทั่วมุ้งหลังคาแดดเปลี่ยนร่มเงาแคบลงขัดกับฝูงชนยิ่งหนาตาทั้งรถม้าพะเรอเกวียนขวักไขว่ คนจ่ายตลาดจากสำนักคุ้มภัยกำลังจะมุ่งหน้ากลับบ้าน พลันแว่วเสียงใครอ่านประกาศดังมาจากอีกทิศ

   ซุนซียืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนสองเท้าจะพาเขามาถึงต้นทาง เด็กหนุ่มยกเอาแขนเสื้อซับเหงื่อบนหน้าผากระหว่างเขย่งปลายเท้าชะเง้อข้ามกลุ่มฝูงชน ใบประกาศเพิ่งติดใหม่มองจากตรงนี้ตัวหนังสือเล็กเท่าแถวมด คนล้อมดูมีทั้งที่อ่านออกและที่มายืนรอฟังคนรู้หนังสืออ่านให้ฟัง

   ฟากหนึ่งเป็นข้อมูลแจ้งจัดสอบจอหงวน ระดับอำเภอ อีกแผ่นหนึ่งเป็นเพียงประกาศจากทางการเกี่ยวกับเรื่องกลุ่มโจรต่างมณฑล บ้างอ่านแล้วแสดงความสนใจ บ้างอ่านแล้ววิจารณ์และคาดเดาล่วงหน้า เพียงไม่นานรู้ข่าวจบคนก็ซา เหลือแต่ซุนซีที่ย้ายไปยืนอ่านรายละเอียดใกล้ๆ

   บุรุษร่างเล็กตัดสินใจอยู่นาน ไล่สายตาอ่านสนอกสนใจอยู่หน้าใบประกาศแผ่นหนึ่ง หลังคิ้วเริ่มขมวดปมเขาก็เลือกเดินออกมา สองขาก้าวเอื่อยสีหน้าดูผิดหวัง ใจเขาคิดแต่เรื่องสอบที่ได้แต่ปล่อยให้ผ่านไปอีกครั้ง ปลอบใจตนเองง่ายๆ ว่าเอาไว้คราวหน้าก่อน ต้องรอให้พร้อมกว่านี้

   เมื่อซุนซีกลับถึงเรือนก็พบกลุ่มคนในชุดผ้าเนื้อดีบ้างยืนบ้างนั่งประปรายอยู่ในห้องโถงรับรอง ภาพเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกตา ยิ่งเข้าหลังเทศกาลเก็บเกี่ยวเหล่าวาณิชเมื่อเดินทางมาถึงเมืองหวงซานส่วนใหญ่ก็ปรารถนาให้มีการคุ้มกันขบวนสินค้า

   ในหมู่คนเหล่านี้บางส่วนเป็นขาประจำที่มาทำการค้าย่านนี้ทุกปี ส่วนพวกขาจรมีทั้งที่เคยมาติดต่อเอาไว้ก่อนและพวกมือใหม่ที่ซื้อสินค้าแล้วค่อยมาหาเอาดาบหน้า ประเภทหลังถึงจะมาพร้อมป้ายรับรองจากสมาคมพ่อค้าก็ต่อรองอะไรมากไม่ได้

   แต่หากจะประหลาดกว่าครั้งใดคงเป็นคนคุ้นหน้าที่นั่งเฝ้าอยู่ในห้องรับรอง ซุนซีรู้จักสุภาพบุรุษเหล่านี้...เป็นคนของไป๋หนิงเฉิงไม่ผิดแน่

   เพราะคนรับผิดชอบเดิมทั้งสองคนไม่อยู่ ลูกสาวคนรองในฐานะคนดูแลแทนจึงต้องออกมาทำหน้าที่ – เท่านี้ก็เป็นเหตุผลมากพอให้ซุนซีสาวเท้ายาวๆ โร่เข้าห้องสำหรับคุยการค้า รีบเสียจนเกือบลืมคำนับตามมารยาท อาตงที่ยืนหลบอยู่ฝั่งข้างรีบส่งสายตาเรียกให้ประจำตำแหน่ง

   คนเพิ่งมาถึงกลั้นหอบ เหงื่อผุดเต็มหน้าผากและแผ่นหลัง เมื่อหายตื่นเต้นถึงพบว่าไม่ผิดจากที่คิดไว้

   คุณชายไป๋มาเจรจาถึงสำนักคุ้มภัยหู่โห่วด้วยตัวเอง ภายใต้ชุดผ้าฝ้ายย้อมราคาถูกมีรอยยิ้มอย่างพ่อค้าใจกว้างยากจะลืม ข้างชายสูงศักดิ์เป็นคนสนิทฝีมือดีที่ซุนซีเคยพบ

   “พ่อค้าบ้านสกุลหลวน อยากได้คนคุ้มครองขบวนขนชา” อาตงอธิบายเสียงค่อย “คุยกับคุณหนูสักพักแล้ว แต่ข้าว่ามีอะไรแปลกๆ ...อย่างกับจงใจหาเรื่อง”

   ผู้เจรจาแทนบิดาหันมามองดุ นับว่าเสียมารยาทที่คุยกระซิบกระซาบแต่ซุนซีหูอื้ออึงแทบไม่ได้ยินตาลายแทบไม่ได้เห็น เขาตีหน้านิ่งสองมือชุ่มเหงื่อ นอกจากซุนซีแล้วคนที่เคยเห็นหน้าไป๋หนิงเฉิงก็มีเพียงลุงกงไห่ที่ไปด้วยกัน จากตรงนี้หาจังหวะดีๆ บอกนางไม่ได้ว่านี่ไม่ใช่ลูกวาณิชสกุลหลวนแต่เป็นลูกเสนาบดีสกุลไป๋!

   “...หรือคิดเป็นสิบสองตำลึงเงินต่อเกวียนหนึ่งคัน” เมิ่งชุนเถากล่าวต่อเสียงเฉียบขาด “ข้าไม่แนะนำให้ใช้คนคุ้มกันจำนวนน้อยกว่านี้”

   ลูกค้ารายใหญ่ประสานมือที่บัดนี้ปราศจากแหวนมีค่าไว้บนตัก “เหตุใดต้องใช้คนถึงครึ่งร้อย ไม่มากเกินจำเป็นไปหน่อยหรือ?”

   “อย่างนั้นให้ข้ากล่าวอีกสักอย่างในฐานะคนพื้นที่ ทางที่ท่านเลือกการคมนาคมยากลำบากถัดจากป่าทึบเป็นหุบเขา ถ้าท่านอยากให้คณะพ่อค้าเดินทางถึงภายในเวลาที่กำหนดก็ต้องจ่ายราคาที่ข้าเสนอ”

   ไป๋หนิงเฉิงในคราบพ่อค้าหลวนส่ายหน้าไม่ว่าอะไร ผู้เสนอราคาเงียบไปอึดใจ

   “สิบสองตำลึงเงินต่อเกวียนหนึ่งคัน ไม่ลดไปกว่านี้ท่านหลวน ทุกค่าใช้จ่ายข้าสามารถแจกแจงให้ท่านได้ว่าส่วนไหนเสียไปเพื่อสิ่งใด หากท่านพิจารณาว่าไม่คุ้มลงทุนเกรงว่าสำนักหู่โห่วคงไม่เหมาะกับความต้องการท่าน” เมิ่งชุนเถาย้ำคำเดิมแม้ใบหน้ายังยิ้มแย้ม ทุกคนในบ้านรู้ดีว่าเมื่อยื่นคำขาดนี้หมายความว่านางเตรียมลุกขึ้นส่งแขก

   เงินจำนวนเท่านี้อาจดูว่ามากแต่เมื่อหักค่ากินอยู่และค่าจ้างรายหัวก็นับว่าสมน้ำสมเนื้อ คณะคุ้มกันที่จัดให้ล้วนเป็นคนที่คัดฝีมือและสภาพร่างกายมาแล้ว มาตรฐานสำนักคุ้มภัยหู่โห่วจะใช้คนที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ อาจกล่าวได้ว่านอกจากค่าคุ้มกันแล้วยังรวมค่าคนนำทางเอาไว้ด้วย

   ส่วนเรื่องกำไรนั้นหายห่วง เมิ่งชุนเถาที่เขี้ยวยิ่งกว่าใครไม่เคยทำการค้าขาดทุน รู้ว่าอะไรคุ้มหรือไม่คุ้มจ่าย

   ไม่รู้ว่านับเป็นเรื่องดีไหมที่ได้โอกาสมายืนดูการต่อรองชิดใกล้ หากคุณหนูรองเป็นผู้ชายอย่างมากพวกเขาคงได้แต่แอบฟังอยู่ข้างนอกตามมารยาท -- ต่างคนต่างลุ้นกันไปคนละอย่าง แต่ซุนซีอกจะแตกตายอยู่แล้ว

   คนสนิทของไป๋หนิงเฉิงก้มลงกระซิบบางอย่างกับผู้เป็นนาย สองฝ่ายพลันตีหน้ายิ้มแย้มใส่กัน โดยเฉพาะเมิ่งชุนเถาที่สีหน้าแทบไม่เปลี่ยนแม้จะรออย่างสงบมาพักใหญ่

   “ข้าตกลง ไม่ทราบว่าแม่นางรับค่าจ้างอย่างไร?”

   “สำนักเราจะเก็บมัดจำล่วงหน้าก่อนสามส่วน ที่เหลือค่อยจ่ายเมื่อของถึงที่หมาย หากท่านต้องการเลื่อนการเดินทางโปรดมาแจ้งกับข้าก่อน หากสินค้าสูญหายระหว่างขนส่งสำนักจะจ่ายเงินประกันครึ่งหนึ่งของราคาที่ตกลงไว้พร้อมคืนมัดจำทั้งหมด และหากยกเลิก ทางข้าจะไม่จ่ายคืนค่ามัดจำ”

   นางว่าฉะฉานระหว่างคลี่กระดาษเตรียมร่างสัญญา อีกมือหนึ่งปลดพู่กันลงจากแท่นแขวน

   “ท่านประสงค์สิ่งใดเพิ่มเติมอีกหรือไม่”

   “แล้วถ้าจากนี้ข้าอยากให้แม่นางร่วมเดินทางไปด้วยกันกับข้า จะคิดอย่างไร”

   พ่อค้าใหญ่ยิ้มพราย ดวงตาเขาหวานละไมหากแต่ไม่มีแววล้อเล่น เมิ่งชุนเถานิ่งหาคำพูดเนิ่นนาน ริมฝีปากขยับอ้าเหมือนจะเอ่ยวาจาหลายครั้ง ซุนซีกระแอมดังๆ พอสบสายตาคุณหนูเขากระวีกระวาดพยักหน้าเป็นการใหญ่ นางชะงักไปครู่ คิ้วยู่ย่นบนใบหน้าหญิงงามค่อยคลายลงพร้อมรอยยิ้มรู้ทันยกขึ้นวาดประดับ

   “...นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่า ‘ท่านไป๋’ มองหาเพียงผู้ติดตาม หรือมองหาคู่ร่วมคิด”

   ซุนซีไม่ทันได้อยู่ฟังคำตอบก็ถูกเรียกให้ออกมาพร้อมอาตงที่เอาแต่ยิ้มไม่หุบเสียก่อน นางจ้องเขาด้วยสายตาวาววับตั้งท่าจะเค้นคอในอนาคตอันใกล้ แต่ละคนพร้อมใจปล่อยให้สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในการหมั้นหมายตามพิธีบังเกิดในห้อง ว่าที่คู่หมั้นเจรจากันดุเดือด แม้แต่ป้าหม่ายังได้แต่ถือถาดชาค้างที่หน้าประตู

   ครึ่งชั่วยาม เปลี่ยนเป็นหนึ่งชั่วยาม การเจรจาที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สำนักคุ้มภัยหู่โห่วก็จบลง – พร้อมข่าวดีที่เข้ามาแทนที่

   ของหมั้นของเมิ่งชุนเถาไม่ใช่อื่นใด แต่เป็นสัญญาการค้า ‘ตลอดชีวิต’



   เรื่องดีมักมาเป็นคู่ หลังผูกสัญญาธุรกิจมีงานเข้ามาไม่ขาดสาย ซุนซีจำได้อย่างแม่นยำถึงสีหน้าหลากอารมณ์ของเจ้าสำนักคุ้มภัยเมื่อกลับถึงบ้านและข่าวการหมั้นลับหลังถึงหูท่าน แทนที่จะโกรธเกรี้ยว ใบหน้าดุดันของเมิ่งชางกลับฉายแววตระหนก

   จากวันนั้นไม่นานไป๋หนิงเฉิงส่งแม่สื่อมาสู่ขอเจ้าสาวกับสกุลเมิ่งตามพิธีรีตอง อาจารย์จะปฏิเสธอย่างไรได้ในเมื่อว่าที่บุตรเขยนอกจากขอแต่งเพราะชอบพอแล้วยังเพียบพร้อมทุกด้าน เมิ่งชุนเถาได้รับเกียรติให้เป็นภรรยาหลวงรอตำแหน่งว่าที่ฮูหยินใหญ่ อาตงถึงกับกล้ากล่าวต่อหน้าหลี่ฮูหยินว่าจากวันดูฤกษ์แต่งอาจารย์เปลี่ยนจากหน้าบึ้งตึงเปลี่ยนเป็นยิ้มปากแทบถึงหู

   กำหนดงานมงคลพาบรรยากาศรื่นรมย์เข้าสู่สำนัก ครึ่งเดือนให้หลังถ้าจะมีใครหน้านิ่วคิ้วผูกได้ยิ่งกว่าหัวหน้าอู๋ที่งานยุ่งจนแทบไม่ได้พักคงหนีไม่พ้นคุณหนูเล็กที่ยังโกรธเรื่องรู้ข่าวเป็นคนสุดท้ายไม่เลิก สิ่งที่พอทำให้เมิ่งเซี่ยเหมยหายงอนคงเป็นการกลับมาเยี่ยมสำนักของอดีตศิษย์เอกอย่างอู๋ก่วนจง – ชายคนที่นางทึกทักสถาปนาเป็นลูกน้องตั้งแต่จำความได้

   ซุนซีไม่ได้พบหน้าอู๋ก่วนจงนานแล้ว นับแต่ที่สหายคนนี้ออกไปรับราชการเป็นมือปราบก็ไม่ได้แวะเวียนมาหา ยามสายวันนั้นเด็กหนุ่มถึงได้รีบทำงานเร่งตามออกไปพบคนคุ้นเคย

   ถ้วยชาคว่ำอยู่บนถาดใกล้จานของว่าง ควันร้อนฉุยออกมาจากกาน้ำใบอ้วน ซุนซีที่ขันอาสาเอาไปส่งยกเดินอย่างระมัดระวังอยู่ใต้หลังคาระเบียงทางเชื่อม เขาสับเท้าให้ไวกว่าปกติ ตัวเพิ่งพ้นหัวมุมใกล้ถึงแต่ใจล่องไปอยู่ปลายทางแล้ว

   ใบหน้าเด็กหนุ่มเปื้อนยิ้ม เขานึกจำลองคำทักทายที่ตนจะเอ่ยซ้ำไปซ้ำมา แก้มขึ้นสีเรื่อน้อยๆ เพราะแดดยามบ่าย

   จุดหมายอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้เห็นเค้าโครงสามร่างนั่งอยู่ที่ศาลากลางน้ำ แดดสะท้อนทำเอาต้องหยีตาเพ่งเพื่อมองให้ชัด เขาก้าวไวขึ้นอีกนิดแม้จะยังไม่แน่ใจ คนบนศาลาขยับตัวไหวๆ เมื่อเสียงหัวร่อลอยมากับลม

   ทันทีที่เสี้ยวหน้าปรากฏในครรลองสายตา ความปรีดาก็กรุ่นหัวใจจนรู้สึกอุ่นไปทั่วถึงปลายนิ้ว เขากึงเดินกึ่งวิ่งไม่รู้สึกเหนื่อย สองเท้าเบาเหมือนเหยียบไปบนปุยเมฆ

   “พี่ใหญ่!” เป็นเมิ่งเซี่ยเหมยที่ร้องทักขึ้นมา นางโบกมือกระโดดโหยงเหยงเป็นลูกกระต่าย อย่างกับว่าเป็นเขาเสียเองที่จากไปหลายเดือน

   ลุงอู๋เอ่ยทักอารมณ์ดี “อาซุนมาก็ดีแล้ว มาคุยแทนลุงหน่อยเถอะ อยู่กับพวกลิงน้อยคอแห้งแทบแย่”

   คุณหนูเล็กค้อนวงใหญ่เมื่อถูกพาดพิง คนเฒ่าหัวร่อเอ็นดูแถมยังสำทับว่าดูแล้วอย่างกับปลาปักเป้ามากกว่าเป็นลูกลิง ทำเอาแม่สาวน้อยนั่งกอดอกแก้มพองไม่เก็บอาการ

   คนมาใหม่จัดแจงลวกถ้วยชาด้วยน้ำร้อนพลางลอบเงยขึ้นมองมือปราบหนุ่ม อู๋ก่วนจงไม่ทันได้สังเกตเรื่องนี้เพราะสองตาให้ความสนใจอยู่ที่คุณหนูเล็ก ใบหน้าคมคายแม้ผิวจะเข้มเป็นสีทองแดงเพราะทำงานสู้แดด ช่วงที่หายไปร่างกายสหายเก่ากำยำขึ้นมาก ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มสว่างไสวยังเหมือนสมัยเด็กไม่มีเปลี่ยน

   มาเยือนคราวนี้อู๋ก่วนจงมาพร้อมข่าวดีว่าตนได้เลื่อนขั้นเป็นมือปราบได้ลงสนามเต็มตัวแล้ว หัวหน้ามือปราบถูกชะตาเขาอยู่ไม่น้อย อนาคตการงานราบรื่นพอให้บิดาตนยิ้มไม่หุบ คนเป็นพ่อไม่ได้ออกปากชมอะไรมากนัก แต่มองเผินๆ ก็รู้ว่าปลื้มใจลูกชายคนนี้ขนาดไหน ซุนซีแค่ฟังคำเล่ายังอดรู้สึกหัวใจพองโตไปด้วยไม่ได้

   เพื่อนสนิทของเขาคนนี้อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ซุนซีย้ายมาสกุลเมิ่งใหม่ๆ ตามจริงเขาอายุน้อยกว่าอู๋ก่วนจงถึงสองปี ด้วยความที่เรียกแต่ชื่อจนติดปากและต่างฝ่ายต่างคุ้นชินสรรพนามเช่นนี้จึงไม่มีใครถือสาใคร

   หลายคราวการเรียกฝ่ายอายุไล่เลี่ยกันโดยไม่ถือศักดิ์เป็นพี่เป็นน้องทำให้อู๋ก่วนจงผ่อนคลายเวลาอยู่กับซุนซี กล้าปรึกษาในสิ่งที่ตามปกติแล้วพูดเพียงแต่กับเพื่อนรู้ใจ ฝั่งคนอ่อนวัยกว่าก็ถือโอกาสใกล้ชิดกับอีกฝ่าย ซุนซีถือว่าเป็นอภิสิทธิ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เขาพอจะตักตวงความสุขได้ในเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา

   อาทิตย์เคลื่อนจากเหนือศีรษะลดต่ำลงทีละน้อย บทสนทนาบนศาลากลางน้ำเปลี่ยนจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่อง จนชาเย็นชืดเหลือน้ำพอเลี้ยงตะกอนนอนก้นกา

   ลุงอู๋ลุกกลับไปทำงานพักใหญ่แล้ว เด็กหนุ่มสาวสามคนยังนั่งคุยเล่นกันต่อประสาคนไม่เจอกันนาน เหนืออื่นใดคงเป็นตัวคนมาเยือนเสียเองที่ไม่อยากย้ายที่ไปไหนถึงแม้จะมีศิษย์น้องอีกมากรอให้ไปพบหน้า

   ซุนซีทราบดีถึงได้พยายามชวนคุย คุณหนูเล็กนานครั้งก็โวยเสียงดังขึ้นมาบ้าง มีพี่ที่ยอมตามใจห้อมล้อมนางอยู่ถึงสองคน แม้จะมีคนมาตามให้กลับไปฝึกตอนบ่ายก็ยังไม่ยอมลุก

   “ก่วนจง ได้ข่าวว่าปลายปีหน้าเจ้าจะย้ายไปประจำการที่เมืองหลวง” เขาลองถามเลียบเคียงดู นึกแล้วน่าใจหาย

   “ถูกแล้ว หมายเรียกยังไม่มาแต่คงได้ไปแน่ อย่างไรเสียอยู่เมืองหลวงอนาคตก็ดีกว่าอยู่ที่นี่”

   แม่สาวน้อยหรี่ตามอง ฟาดเข้าที่ต้นแขนคนนานครั้งมาเยือน “ดี คราวนี้ไปแล้วเวลากลับมาต้องซื้อของมาฝากข้าด้วย ไม่อย่างนั้นไม่ต้องเข้ามาที่สำนัก”

   “ไม่ลืมของศิษย์น้องแน่นอน เจ้าอยากได้อะไรให้บอกข้าไว้”

   “สั่งแล้วเจ้าจะซื้อให้ข้าทุกอย่างแน่หรือ?”

   “ได้อยู่แล้ว ถ้าเป็นศิษย์น้องเหมย ศิษย์พี่ซื้อให้เจ้าได้ทุกอย่าง”

   เมิ่งเซี่ยเหมยยิ้มพออกพอใจ เชิดจมูกรั้นขึ้นนิดวางก้ามเป็นนายหญิงใหญ่ ผ่านมาจนปูนนี้คนกลางอย่างซุนซีขี้เกียจปรามนางเรื่องเอาแต่ใจเป็นหัวโจกแล้ว จนลั่นเสียงเอ็ดตามตัวดังมาอีกครั้งแน่งน้อยจอมซนถึงยอมวิ่งไปตามทาง

   ศาลากลางน้ำเหลือเพียงสองบุรุษนั่งมองคล้อยหลังไวๆ ของคุณหนูเล็ก ดวงตาคู่หนึ่งฉายแววเอ็นดู อีกคู่ทอดมองลึกซึ้งเนิ่นนาน

   คนหนึ่งละสายตากลับมาแล้ว เพื่อพบว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในที่แสนไกล

   “เจ้ารักเสี่ยวเหมยใช่หรือไม่?” คนอายุน้อยกว่าโพล่งถามขึ้นมา

   มือปราบหนุ่มใบหูแดงก่ำ หันมาพยักหน้าช้าๆ “ดูออกง่ายอย่างนั้นเลยหรือ...” ก่วนจงตอบเสียงขัดเขินไม่สมตัว ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ

   ซุนซีมองคนตอบด้วยอาการสงบ รอยยิ้มอ่อนโยนยังประดับอยู่บนใบหน้า

   ระยะเวลาที่ร่วมชายคาเดียวกันอู๋ก่วนจงยอมตามใจศิษย์น้องคนนี้ยิ่งกว่าใคร ทั้งยังยอมเป็นลูกไล่คอยรับใช้อยู่ไม่ห่างเหมือนสุนัขซื่อสัตย์ติดตามผู้เป็นนาย ดอกชิ่วฉิว ของอู๋ก่วนจงผลิบานอยู่ฝ่ายเดียวนานแรมปี ซุนซีเป็นพยานความรู้สึกที่สหายมีให้เมิ่งเซี่ยเหมยมาตลอด เพียงแต่เลือกยกขึ้นมาพูดเอาป่านนี้

   “ทั้งที่เจ้าชอบมานานแต่นางก็ยังไม่รู้สึกตัว.. ไม่คิดว่าถึงตอนนี้เป็นเวลาเหมาะที่จะบอกนางหรือ? ถ้าเจ้าช้าเกินนางอาจแต่งไปกับชายอื่น เช่นนั้นเจ้าจะไม่เสียใจหรือ?”

   คู่สนทนาฟังแล้วทอดมองไปไกล นัยน์ตาฉายแววครุ่นคิด อู๋ก่วนจงทิ้งช่วงอยู่นานปล่อยให้ความเงียบโรยตัวเข้าแทนที่ ทว่าเวลาของฝ่ายรอไม่เคยผ่านโดยสูญเปล่า ซุนซีใช้ชั่วขณะนั้นสำรวจใบหน้าอีกฝ่ายอย่างพินิจ ประกายแสงในดวงตาสีดำขลับเวลานี้หม่นมัว

   “ตราบใดที่นางมีความสุข ต่อให้ไม่ได้แต่งกับข้า ข้าก็ยินดี”

   “ก่วนจง..” คำเรียกนั้นเรียกด้วยเสียงคล้ายระอา “เจ้าจะปล่อยโอกาสหลุดไปอย่างนี้ไม่ได้ ในเมื่อเจ้าไม่รู้ว่านางจะเปิดใจชอบพอเจ้าเกินพี่น้องหรือไม่ เหตุใดไม่ลองเสี่ยงดูสักครั้ง”

   รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าอู๋ก่วนจง “เท่านี้ก็มากพอแล้ว อาซุน แค่นางยอมรับข้าถึงเท่านี้ข้าก็พอใจแล้ว”

   “อย่างนั้นตอบข้าด้วยสัตย์จริงสักครั้ง จะมีใครรักและดูแลนางได้ดีเท่าเจ้าหรือไม่”

   ต่อว่าอีกฝ่ายอย่างนี้ก็เหมือนกำลังต่อว่าตนเอง ถึงซุนซีจะเป็นผู้พูดแต่พาลสะอึกไปด้วย ส่วนคนฟังอย่างอู๋ก่วนจงทำท่าคล้ายอยากโต้แย้ง สุดท้ายไม่มีคำใดออกจากปากมือปราบอนาคตไกล

   “หากสุดท้ายนางต้องแต่งกับใครสักคน ยังมีเหตุผลอะไรถึงไม่พยายามให้ชายโชคดีคนนั้นเป็นเจ้า...เจ้าที่ไม่ว่าอย่างไรจะทำให้นางมีความสุขได้แน่”

   อู๋ก่วนจงนิ่งอยู่นาน พอปมคิ้วคลายก็ส่ายศีรษะช้าๆ “นานทีพบกันอย่าเอาแต่คุยเรื่องของข้าเลย เห็นว่าเจ้าไปเมืองหลวงมาไม่ใช่หรือ? เดินทางเป็นอย่างไรบ้าง”

   “อย่าเปลี่ยนเรื่อง!” ซุนซีเอ็ด “ไม่ใช่แค่เพื่อนางแต่เพื่อตัวเจ้าเองเท่านี้ไม่ได้เลยหรือ เหตุใดถึงได้—โธ่เอ๋ย..อย่างน้อยๆ ก็เอากลับไปคิดสักหน่อยเถอะ...”

   ท้ายประโยคแผ่วลง คนพูดเผลอโมโหที่ไม่ได้ตามที่คิดแต่หลงลืมว่าเพื่อนสนิทแบกภาระส่วนตัวไว้ไม่ต่างกัน -- เขาคงเหลิงจากการที่เจรจาได้ถึงสองครั้งสองคราวมากเกินไป จะมาเร่งรัดเอาแต่ใจได้อย่างไรในเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ใช่เด็กๆ แล้ว

   จากโกรธกลายเป็นรู้สึกผิด ซุนซีตระหนักแล้วถึงนั่งคอตก ยิ่งพูดเสียงยิ่งเบาหวิว

   “ก่วนจง... ขอโทษจริงๆ ข้าแส่ไม่เข้าเรื่องอยู่เรื่อย เจ้ามีเรื่องให้ต้องคิดอยู่แล้วข้ายังมาบังคับเจ้าอีก ร้อนใจทีไรเผลอพูดมากได้ทุกครั้ง...”

   “ข้าได้ดุเจ้าหรือยัง เป็นผู้ชายคิดเล็กคิดน้อยใช้ได้ที่ไหน” ฝ่ามือใหญ่ตบหลังปลอบใจ “เอาเถอะ รู้ว่าเจ้าเป็นห่วงแบบนี้ใครจะโกรธลง ถ้าเจ้าผิดข้าก็ผิดด้วย ข้ารู้ว่ากับเรื่องนี้ข้าขี้ขลาดขนาดไหน ที่พูดมาข้าจะเก็บเอาไปคิด...แบบนี้ดีหรือไม่?”

   ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ

   อู๋ก่วนจงกลับไปนานแล้ว ความทรงจำเกี่ยวกับช่วงเย็นของวันหม่นมัวและพร่าเลือน กระทั่งที่ว่าตอนนี้เขามานั่งอยู่ในห้องนอนได้อย่างไรก็แทบจะลืมไปเสียหมด

   หน้ากระดาษว่างเปล่ามานานแล้ว พู่กันก็ถือค้างเสียจนหมึกเริ่มแห้ง ซุนซีไม่รู้จะเขียนตอบกลับคุณชายอินทรีผู้นั้นอย่างไร เขาตั้งใจจะเล่าเรื่องดีๆ ให้ฟัง แต่เรื่องในวันนี้ดูเหมือนจะกลบความคิดใดไปสิ้น ความรู้สึกฟุ้งขึ้นเหมือนตะกอนฝุ่นนอนก้นที่ถูกกวนตลบขึ้นด้วยชื่อของอู๋ก่วนจง

   ไม่นานไฟเชิงเทียนก็ดับลง ทั้งห้องปกคลุมไปด้วยความมืดในฉับพลัน ที่เมืองหวงซานหน้าร้อนกินระยะเวลายาวนานทว่าคืนนี้ซุนซีกลับรู้สึกหนาว เด็กหนุ่มค่อยๆ คลานขึ้นเตียงซุกตัวใต้ผ้าห่ม กลางดึกอย่างนี้แม้แต่ผ้าห่มแพรยังไม่อาจทำให้เย็นทั่วถึงปลายนิ้วมือได้เท่าธารอารมณ์ที่เก็บอยู่ข้างใน

   สิ่งหนึ่งคงอยู่ อีกสิ่งสลายเป็นเถ้าธุลี ความพยายามในการข่มตานอนแลกมาด้วยห้วงคำนึงไหลราวเขื่อนทะลัก


----------------------------------------------

วันนี้มาช้าไปหน่อย แหะๆ
อยากให้จำไว้ว่าบาตูเกลชอบชามะลินะคะ เดี๋ยวเขาจะโผล่มาอีกแต่ต้องจำให้ได้ว่าเป็นเขา :hao3:
ใบ้ว่าของที่คุณชายอินทรีบอกว่าจะฝากเอามาให้จะมาถึงในบทหน้าค่ะ แต่คนรับดันเป็นเจ้าของชื่อตัวจริงไม่ใช่ตัวปลอม!
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่9 27/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 02-01-2020 20:02:05
น้องๆจะขายออกกันหมดแล้ว
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่9 27/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 02-01-2020 22:18:14
พระเอกของน้องเล็กจะเป็นใครหนอ รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่9 27/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 03-01-2020 01:37:07
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่9 27/12/62
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 03-01-2020 22:19:24
บทที่ 10


   ชามกระเบื้องกระทบดังเคร้งคร้างประสานเสียงคุย ตกเย็นอย่างนี้เครื่องถ้วยจากทั้งวันกองสูงเท่าเด็กตัวย่อมๆ เรียงจนพูนเป็นแนวภูเขาเต็มลานซักล้าง ลูกมือที่มาแทนคนขาดนั่งเก้าอี้ไม้ตัวเตี้ยเรียงกันสลอน หัวหน้าแม่ครัวพับแขนเสื้อถกขึ้นถึงใต้ศอก ย่อตัวอุ้ยอ้ายลงนั่งระหว่างเสียงสั่งการจะกลายเป็นหนึ่งในเสียงวงสนทนา

   “นินทาเจ้านายอีกแล้วนางพวกนี้ – ไหน สามีจะมาเลือกองเลือกเองอะไร สมัยข้าไม่มีหรอก”

   “แหมป้า ถ้าขอได้ข้าอยากจะแต่งกับคนรุ่นเดียวกันมากกว่า”

   “พี่สาวไม่รู้อะไร! คนอายุมากสักหน่อยสิดี เงินเก็บก็มี ใจเย็นกว่าคนหนุ่มเป็นไหนๆ”

   เสี่ยวหยูที่ปกติทำงานทั่วไปอยู่เรือนชั้นนอกพูดเอาจริงเอาจัง ซุนซีลุกขึ้นหอบชามกองโตไปเรียงผึ่งลม มือจัดไปไม่วายเสนอความคิดประสาคนเจ้าหลักการ

   “ข้าว่าอายุไม่สำคัญหรอก ขอแค่เป็นสามีที่คอยสนับสนุนให้ภรรยาได้ทำในสิ่งที่รัก ให้เกียรตินางอยู่เสมอ รักเดียวใจเดียวยิ่งดีใหญ่ หากเป็นได้เท่านี้ก็นับว่ายอดยิ่งกว่าได้ทรัพย์สมบัติกองจนสูงท่วมฟ้าแล้ว”

   “หากได้แม่สามีดีก็ถือเป็นวาสนาอีกข้อหนึ่ง” อาตงว่า ออกแรงขัดชามจนสะอาด “สงสัยข้าควรไปทำบุญให้มาก ต้องบริจาคเงินสร้างพระพุทธรูปสักกี่พันชั่งถึงจะได้สามีดีๆ สักคน”

   “เอาจริงหรือพี่ตง หมดเนื้อหมดตัวเชียวนะ”

   “ใช่ อย่างนางน่ะสร้างทั้งวัดก็ไม่พอ”

   ใครสักคนหลุดหัวเราะพรืด อาตงหันไปส่งสายตาขู่ฟ่อก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ชีวิตข้ามันอาภัพนัก! อยู่ที่นี่ก็ไร้คู่ จะไปแสวงโชคที่เมืองหลวงก็ไม่มีบุญได้ไปกับเขา”

   คนอาวุโสสุดฟังแล้วอดไม่ได้ “ดูมันสิ เป็นสาวเป็นแส้ปีนี้เพิ่งอายุเท่าไหร่กัน ทำหมดอาลัยตายอยากไปได้”

   เสี่ยวหยูส่งถ้วยที่ซับน้ำมันออกแล้วลงกะละมังรอล้าง นางยิ้มหยอก “ป้าหม่า ท่านรู้จักคนก็มาก ลูกชายบ้านไหนยังไม่แต่งงานท่านหามาให้พี่ตงหน่อยเถอะ”

   “ไอ้ว่ามีมันก็มีอยู่หรอก” แม่แก่หัวเราะ “แต่ให้แต่งกับนางตง ข้าสงสารลูกชายคนอื่นเขา”

   “ป้าหม่า!”

   ฝ่ายโดนพาดพิงมองป้าหม่าหน้าคว่ำหน้างอ คนอื่นฟังแล้วมีแต่ยิ้มเปื้อนใบหน้า

   บทสนทนาวนไปเป็นเรื่องอื่นไม่ทันไรชุ่ยอิงก็วิ่งกระแทกเท้าตึงตังมาแต่ไกล สาวใช้รุ่นใหญ่เตรียมตั้งท่าจะเอ็ดนางแต่ไม่ทันเสียงเล็กๆ พูดคำหอบคำแทรกขึ้นมาก่อน

   “คุณ คุณหนู -- คุณหนูสาม เรียก โอย... ซุนเกอ!”

   อาตงหันมามองเจ้าของชื่อ ซุนซีมองตอบพลางส่ายหน้า เขาล้างมือก่อนเช็ดกับผ้าผูกเอวให้แห้ง “ชุ่ยอิงค่อยๆ พูดค่อยๆ จา ตอนนี้คุณหนูอยู่ที่ไหน?”

   แม่สาวน้อยชี้นิ้วไปทางห้องทิศตะวันออก ไม่ทันได้ตอบก็ถูกมือเปียกๆ ของเสี่ยวหยูเขกเข้ากลางกระหม่อม คนโตกว่าจับยัยหนูมัดผมเสียใหม่ ซุนซีไม่ทันอยู่ช่วยก็ออกเดินไปตามทาง

   ที่หน้าห้องมีเมิ่งเซี่ยเหมยหมุนเท้าวนไปวนมาเป็นหนูติดจั่น พอเห็นหน้าเขานางรีบวิ่งมาตะครุบเสื้อกอดหมับโต แรงกระแทกทำเอาเซไปก้าวหนึ่ง

   “ช่วยข้าด้วยพี่ใหญ่จ๋า...”

   มือผอมแห้งตบหลังน้องสาวเบามือ “มีเรื่องอะไรกัน ท่านลุงดุเจ้าหรือ”

   “ยัง แต่ใกล้โดนแล้ว” นางทำหูลู่หางตก “ไปกับข้าหน่อยนะ.. นะๆ พี่ใหญ่ไปด้วยพ่อจะได้ไม่ดุข้ามาก”

   ซุนซียิ้มขำ ทำอย่างกับว่าเขาอยู่ด้วยแล้วท่านลุงจะใจอ่อนลง แต่เมิ่งเซี่ยเหมยขอร้องก็หมายถึงบังคับให้ทำตาม ไม่ทันไรนางลากพี่ชายมาถึงที่

   เด็กรับใช้เดินนำหญิงวัยกลางคนออกมาจากห้องนั้น แม่สาวน้อยก้าวสวนเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าหวาดๆ มือยังกำแขนเสื้อซุนซีเอาไว้แน่น จมูกเขายังได้กลิ่นดอกไป่เหอ อวลอยู่รายทาง คงเป็นน้ำมันหอมที่แขกเมื่อครู่ประพรมเนื้อตัว

   เจ้าสำนักกับหลี่ฮูหยินนั่งดื่มชากันอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว บนโต๊ะมีกล่องของกับม้วนกระดาษวางอยู่ แม้จะยิ้มให้บุตรสาวแต่สีหน้าของหลี่ฮูหยินกระอักกระอ่วนอยู่ในที ส่วนเจ้าสำนักพอเห็นว่าเขาตามมาด้วยถึงกับคิ้วกระตุก กวักมือเรียกให้ลูกสาวเดินเข้ามาหาใกล้ๆ

   เมิ่งเซี่ยเหมยส่ายหน้าดิก เกาะเขาไว้เหมือนลูกลิงเกาะต้นไม้แน่น

   “ไม่เอา เข้าไปหาท่านพ่อก็ตีข้าน่ะสิ”

   “จะตีเจ้าไปทำไมกัน” เมิ่งชางว่าอย่างคนอารมณ์ดี “มานี่สิลูก พ่อมีของจะให้”

   นางมองหน้าพี่ชายที่เอาแต่พยักพเยิดให้ทำตามคำสั่ง แม่เด็กซนหรี่ตามองของในกล่องคิ้วขมวดเป็นปม ย่องเท้าไปหยุดอยู่หน้าบิดา

   ท่านลุงยิ้มพออกพอใจทำเอาหน้าดุเคราเฟิ้มดูน่ากลัวขึ้นอีกหลายเท่า หลี่ฮูหยินยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกรอบหนึ่งเหมือนพยายามเลี่ยงพิธีกรรมเปิดกล่องตรงหน้า ภายในนั้นบรรจุกำไลขาวมันแพะบนผ้ากำมะหยี่สีแดงสด คนรับเห็นแล้วย่นจมูก

   “ไม่เอาหรอก ใส่กำไลต้องคอยระวัง เดี๋ยวข้าก็ทำหักอีก”

   “อย่างนั้นพ่อจะเก็บไว้ให้เจ้าก่อน เอาไว้วันแต่งงานค่อยใส่” ท่านว่าอย่างอารมณ์ดี “ลองดูสิว่าใส่ได้ไหม”

   เมิ่งเซี่ยเหมยหันไปทางมารดา หลี่ฮูหยินสบสายตาบุตรสาวแต่ไม่ว่าอะไร พอทนสามีคะยั้นคะยอไม่ไหวก็หยิบเครื่องประดับมาสวมให้ลูกคนเล็ก หยกเนื้อเย็นสีขาวนวลตัดกับผิวสีอิฐอย่างเด็กชอบเล่นกลางแจ้ง ใส่ได้พอหลวมเผื่อโต แม่หนูทำหน้ายากจะอธิบาย

   “ก็ข้าบอกว่าจะไม่ใส่ไง...” นางบ่นพึมพำ ยื่นแขนข้างนั้นไปทางเจ้าสำนัก “เห็นไหมล่ะ ของแบบนี้ไม่เข้ากับข้าหรอก เอาให้ท่านแม่แทนไม่ได้หรือ?”

   “ของหมั้นจะยกให้คนอื่นได้อย่างไร” ฝ่ายบิดาตำหนิ แต่ทีท่าเป็นสุขออกหน้าออกตานั่นยังไม่หายไปไหน

   ผิดกับลูกสาวที่อ้าปากเหวอค้างไปแล้ว

   “อะไรนะ! ของหมั้นอะไร” นางรีบถอดโยนกลับเข้ากล่องเหมือนคนโดนเหล็กร้อน มองกำไลด้วยสายตาแบบเดียวกับที่ใช้มองหนอนน่ารังเกียจ

   รอยยิ้มเอ็นดูเริ่มกระตุก สีหน้าท่านลุงมืดครึ้มลงทุกที “เซี่ยเหมย เจ้าฟังพ่อก่อน...”

   “ไม่” นางชิงปฏิเสธทันควัน “ท่านพ่อจะพูดจาเพ้อเจ้ออะไรอีก เรื่องแต่งงานข้าไม่ฟังทั้งนั้น”

   “เมิ่งเซี่ยเหมย”

   “ของพรรค์นี้ใครจะไปอยากได้ ท่านพ่ออยากหมั้นนักก็เอาไปใส่เอง”

   ปัง!

   ซุนซีสะดุ้งเพราะเสียงตบโต๊ะ เจ้าของฝ่ามือชักสีหน้าครึ้มทะมึนขณะที่ภรรยารีบแตะแขนปรามให้ใจเย็น ทำเอาเมิ่งเซี่ยเหมยถอยสองก้าวตามสัญชาติญาณ

   ทั้งที่กลัวจนแข้งขาสั่น นางยังเชิดจมูกรั้นขึ้นประกาศด้วยเสียงกระจ่างชัดเจน “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าท่านพ่อไปสัญญาอะไรไว้กับใครอีก แต่ ข้า - ไม่ - แต่ง - งาน”

   “เด็กหัวรั้น! พ่อแม่พูดอะไรเจ้าก็ไม่ฟัง เห็นเรื่องแต่งงานเป็นเรื่องล้อเล่นหรือ!”

   “ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องสนุก ‘ของข้าข้ายกให้เจ้า ของเจ้าเจ้ายกให้ข้า’ แบบท่านพ่อก็แล้วกัน!”

   “เจ้าลูกคนนี้...” เจ้าสำนักจบประโยคด้วยเสียงคำรามต่ำ หลี่ฮูหยินเห็นท่าไม่ดีรีบเอ่ยห้ามทัพ

   “ท่านพี่--”

   “พ่อเป็นพ่อมีอำนาจตัดสินใจทุกอย่าง ในเมื่อตกลงกับสกุลอวี้เอาไว้แล้ว ต่อให้เจ้าเอาแต่ใจอย่างไรพ่อจะไม่คืนคำ”

   ปากบิดาไวกว่าผู้เป็นแม่ ลูกสาวคนสุดท้องของบ้านมองค้าง น้ำใสรื้นคลอสองตา ..เสียแต่เมิ่งเซี่ยเหมยเด็กเกินกว่าจะเข้าใจเจตนาบิดา

   “ทำอย่างนี้อีกแล้ว! ท่านพ่อไล่พี่ๆ ออกจากบ้านแล้ว คราวนี้ก็จะกำจัดข้าไปอีกคน! พวกข้าทำอะไรผิดนักท่านถึงต้องทำแบบนี้ เป็นพ่อแล้วมีอำนาจเหนือชีวิตข้าหรือ”

   เด็กน้อยแผดเสียง อีกฝ่ายหนึ่งจ้องหน้านางด้วยดวงตาเบิกโพลง นิ่งงันเหมือนถูกหยุดเวลา

   “ข้ารู้หรอก เพราะเกิดเป็นลูกสาวท่านถึงได้ไม่ต้องการ!”

   สิ้นเสียงเหมือนจะขาดใจฝ่ามือของพ่อก็ตบเข้าที่แก้มฉาดใหญ่ คุณหนูเล็กน้ำตาไหลคลอเสียงสะอื้น กุมแก้มที่ขึ้นรอยแดงจัดนั่นไว้ด้วยสองมือสั่นเทา ซุนซีอยู่ใกล้เท่านี้ถึงเห็นว่าตามจริงนางสั่นไปทั้งตัว

   อาจารย์เมิ่งทิ้งช่วงไปนาน สีหน้าโกรธเคืองไม่แพ้บุตรสาวแต่ยังอดทนอดกลั้นมากพอ ..ดวงตาชายวัยกลางคนฉายแววเจ็บปวด น่าเศร้าที่ชายผู้นี้ไม่ใช่นักพูดที่ดี เมิ่งคนพ่อถึงตัดสินใจเดินกลับออกไปโดยปราศจากคำอธิบาย หลี่ฮูหยินรีบตรงไปลูบแก้มช้ำของบุตรสาวด้วยสีหน้าร้อนรน ทันทีที่มือคู่อ่อนโยนแตะใบหน้าคุณหนูเล็กก็ร้องไห้เสียงดังไปถึงนอกเรือน

   ...เวลานี้ซุนซีรู้สึกว่าตนโง่เง่านักที่ได้แต่ก้มหน้ามองพื้น



   สองคนใช้ในครัวนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กหน้าเตาฟืน แสงสีแดงอมส้มกับเสียงไม้ปะทุดังมาจากกองไฟ หม้อต้มยาร้อนๆ เริ่มโชยกลิ่นเปลือกไม้เจือมากับกลิ่นถ่านเผาไหม้ นอกจากแมวจะไม่กล้าย่างเท้าเข้าใกล้ครัว กระทั่งยุงก็คงเมากลิ่นสมุนไพรจนบินหนีกันไปเสียหมด

   ซุนซีคอยพัดให้ไฟแรงสม่ำเสมอส่วนอาตงก็หาวหวอดอีกรอบ นางนั่งเท้าคางหันหน้าหาเตาฟืนเหมือนกับเพื่อนสนิท พัดหญ้าสานดังกรอบแกรบใกล้หลุดจะพังแหล่ไม่พังแหล่เป็นยิ่งกว่าเสียงกล่อมชั้นดี

   “ยาของฮูหยินอีกนานไหม...” สาวใช้ที่ง่วงเต็มแก่ถามเสียงเนือย นับแล้วคงรอบที่สิบเห็นจะได้

   ซุนซีส่ายหน้าทั้งยิ้มๆ “อาตงเบื่อก็คุยสิ นั่งเฉยๆ ประเดี๋ยวก็เผลอหลับ”

   “ให้ข้าคุยอะไรล่ะ ช่วงนี้มีแต่งานหมั้นหมายบ้างล่ะ งานแต่งงานบ้างล่ะ – อ้า! พูดก็พูดเถอะ คุณหนูสามเป็นว่าที่เจ้าสาวใจคอจะปฏิเสธงานมงคล คนอยากแต่งกลับไม่มีวาสนากับเขาบ้าง” อาตงถอนใจยืดยาว “แล้วดูอย่างข้าสิ อายุก็ตั้งสิบเก้ายังไม่เห็นวี่แววได้ออกเรือนสักที”

   “ข้ารู้ว่าอาตงมีเรื่องอื่นให้กังวลมากกว่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ” คนฟังดักคอไว้ก่อน ทำเอาสาวใช้ส่ายหน้าระอา

   “เจ้าเป็นผู้ชายจะไปรู้อะไร ผู้หญิงไม่ออกเรือนชีวิตจะลำบาก”

   “ได้สามีไม่ดีลำบากยิ่งกว่าไม่ได้ออกเรือน” ซุนซีว่าพลางเหยียดตัวยืดหลัง “อยู่รับใช้ฮูหยินไปเรื่อยๆ แบบข้าก็สบายดีไม่น้อย อาตงจะกังวลไปทำไม”

   “ดูพูดเข้า ข้าต้องกังวลแน่อยู่แล้ว! เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าอยากมีลูกใจจะขาด”

   “...” พอนางโพล่งความในใจอีกฝ่ายถึงกับหันไปมอง คนพูดนั่งกอดเข่าสีหน้าเอาจริงเอาจัง

   “คิดดูสิอาซุน เป็นจูฮูหยินมีลูกชายตัวจ้ำม่ำสักสี่ห้าคน ลูกสาวหน้าตาเหมือนข้าอีกสักคนจะได้สอนนางเย็บปักถักร้อย ข้าจะทำอาหารอร่อยๆ ให้กิน แล้วพาพวกเขาไปหัดว่ายน้ำที่ทะเลสาบทุกวัน พอลูกๆ ของข้าเข้านอนข้าจะคอยร้องเพลงกล่อม”

   ดวงตาอาตงเป็นประกายเวลานางพูด ดูแล้วคนถนัดจมน้ำคงวางแผนจะหาสามีที่ว่ายน้ำเป็น ซุนซียิ้มน้อยๆ ไม่ขัดนางแม้จะรู้ว่าให้สาธยายเรื่องเพ้อฝันแสนสุขคงพูดได้ทั้งวันทั้งคืน ฝันของนางสวยงามเพราะมันอาจเป็นจริงได้ ผิดกับคนบาปอย่างเขาที่ไม่กล้าฝัน

   ความอกตัญญูมีอยู่สามประการ ที่หนักหนาที่สุดคือไร้ทายาทสืบสกุล  -- ก็หากเขามีลูกกับผู้ชายด้วยกันได้นั่นคงยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ สวรรค์จะเห็นใจคนอย่างเขาหรือ...คำตอบย่อมแน่อยู่แล้วว่าไม่มีทาง



   เมิ่งเซี่ยเหมยประท้วงอดข้าวได้ครึ่งวัน ตามด้วยไม่ออกไปซ้อมกระบี่กระบองได้อีกสองวัน นายหญิงกลุ้มใจแทบแย่กลัวว่าเด็กที่นานทีปีหนจะจับไข้คราวนี้คงป่วยไปอีกคน – กระทั่งของฝากจากมือปราบหนุ่มมาถึงมือ คุณหนูคนเล็กกลับมาอารมณ์ดีเหมือนลืมไปเลยว่าเคยโกรธใคร

   บุตรสาวคนโตที่ออกเรือนไปไม่นานคราวนี้กลับมาเยี่ยมที่บ้าน ยังไม่ทันได้อยู่พบหน้าบรรดาน้องๆ ก็ถูกมารดาพาตัวไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม ‘ขอลูกแน่ๆ’ อาตงไม่ได้กล่าวแต่ส่งสายตาเป็นนางจิ้งจอกบอกเขาเอาไว้ก่อนไป

   ยามบ่ายอย่างนี้มีงานอีกเป็นตั้งรอให้เขาไปสะสาง แต่เมิ่งเซี่ยเหมยที่ตามมาเกาะซุนซีทุกครั้งที่นางแวะเข้าเรือนใหญ่โผล่หน้ามาเรียกอีกรอบหนึ่งแล้ว ตกลงนางเป็นลูกเล็กของเขาหรือ?

   “พี่ใหญ่ทำงานเสร็จหรือยัง” นางถามเสียงใส ด้อมๆ มองๆ เขาจากระยะห่างหนึ่งคืบ...อีกนิดจะสิงร่างได้แล้ว

   ความอดทนของซุนซีหมดลงพร้อมกับการเช็ดขอบหน้าต่างบานสุดท้าย เขาพาดผ้าขี้ริ้วไว้ที่ขอบถังน้ำ จ้องหน้าแม่หนูก่อนจะถอนหายใจยาวเหมือนจะผ่อนลมให้หมดปอดในรอบเดียว

   เจ้าบ้านเปิดห้องตัวเองก่อนเข็นเขาเข้าไปข้างใน นางโผล่หน้าไปนอกระเบียง มองซ้ายทีขวาทีจนพอใจถึงงับประตูปิด กลิ่นของทอดลอยมาจากโต๊ะใกล้เตียง กาน้ำชาก็ตั้งอยู่ตรงนั้นดูท่าคงเพิ่งให้สาวใช้ยกเอาของว่างเข้ามา ..ซุนซีเริ่มคิดแล้วว่าธุระของเด็กเอาแต่ใจคงกินเวลานานแน่ๆ

   เมิ่งเซี่ยเหมยเปิดตู้ ก้มลงไปอุ้มห่อของห่อใหญ่ขึ้นมาไว้บนโต๊ะ เสียงกระแทกกับพื้นไม้เดาได้ว่าหนักน่าดู

   นางยืดอกท่าทางภูมิใจเต็มที่ “ดูสิ รอบนี้ก่วนจงส่งมาให้ข้าเยอะเชียว”

   แม่สาวความอดทนน้อยยังเก็บของในห่อผ้าไว้เป็นอย่างดี ซุนซีรู้ว่าเป็นปกตินางคงรีบเปิดดูตั้งแต่มาถึง ดวงตาสีดำขลับจ้องเขาเป็นประกายวาววับ ท่าทางกระตือรือร้นเรียกรอยยิ้มเบาบางปรากฏบนใบหน้าพี่ชาย

   ซุนซีส่ายศีรษะ แก้ปมมัดผ้าออกไม่ช้าไม่เร็ว ของของข้างในมีทั้งมีดสั้นเล็กกว่าฝ่ามือ ตลับเหล็กใส่ลูกกวาดตะวันตก ห่อเครื่องเทศสีเหลืองสีแดงจัดเหมือนผงย้อมผ้า เมิ่งเซี่ยเหมยหยิบเอาปิ่นปักผมลายผีเสื้อขึ้นมาดูหน้ายุ่งๆ สีหน้าของนางบอกว่าไม่ได้สั่งอันนี้ แต่ซุนซีเห็นพลอยสีโปรดของนางถักติดบนตัวผีเสื้อก็พอเข้าใจว่าทำไม

    นางพึมพำว่าซื้ออะไรมาให้ผิดอีกแล้ว ยิ่งเจอสร้อยกับของที่ดูเหมาะกับสตรีก็บ่นใหญ่ พึ่งพาไม่ได้บ้างล่ะ ไม่ได้เรื่องบ้างล่ะ พี่ชายรำลึกความหลังได้สองมุมปากพลันยกขึ้นผุดเป็นรอยยิ้มน้อยๆ

   “ยังจำได้หรือไม่ ตอนเจ้าอายุยังน้อยยังแกล้งขึ้นขี่หลังก่วนจงอยู่ตลอด” เขาว่าอารมณ์ดี “แล้วยังตอนเจ้าอายุแปดปี ป่วยหนักต้องใช้ยาหายาก ก่วนจงก็อาสาขึ้นเขาเสี่ยงอันตรายไปเก็บมาให้เจ้า”

   คนฟังมุ่ยหน้า “นั่นมันตั้งกี่ปีแล้ว พี่ใหญ่รื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ อย่างกับคนเฒ่า”

   “ข้าแค่พูดให้ฟัง นานแล้วกลัวเจ้าจะลืมว่าตอนเด็กมีแต่ก่วนจงที่คอยตามใจ”

   ฟังน้ำเสียงหยอกเอินนั่นแล้วเมิ่งเซี่ยเหมยถึงกับหรี่ตามองพี่ชายใหญ่ คิ้วโก่งเลิกขึ้นทำสีหน้าไม่ไว้วางใจ “ทำไม? ก่วนจงฝากมาทวงบุญคุณอะไรอย่างนั้นหรือ รึว่าเขานินทาอะไรข้า”

   “ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง” ซุนซีส่ายศีรษะช้าๆ มือผอมปัดเก็บปอยเส้นน้อยที่ตกมาบังหน้าบังตาคุณหนูเล็ก

   ดวงตากลมโตสีนิลสนิทกระพริบปริบแพขนตายาวปรือไหว ดวงตาเมิ่งเซี่ยเหมยวิบวับเจ้าเล่ห์เหมือนคิดอะไรได้ รีบเปลี่ยนจากยู่หน้าเป็นเกาะแกะอ้อนถาม “พี่ใหญ่..พี่ใหญ่” พวงแก้มชนอยู่กับต้นแขนซุนซี สองตาช้อนขึ้นมองเหมือนลูกกระต่ายตัวน้อย “แล้วตกลงวันนั้นพี่ใหญ่คุยอะไร เล่าให้ข้าฟังนะ.. นะเจ้าคะ เล่าหน่อย”

   ซุนซีตีปลายจมูกนางเบาๆ ไม่ทันได้พูดประตูก็เปิดโผงด้วยฝีมือคุณหนูใหญ่ ตามหลังด้วยคุณหนูรองที่เดินทอดน่องเข้ามานั่งข้างเขา สีหน้าของคนเพิ่งกลับมาเยี่ยมเรือนขุ่นข้องเต็มที ..ซุนซีเห็นเค้าลางอสุนีบาตจะฟาดมาแต่ไกล

   “ได้ข่าวว่าเจ้าก่อเรื่องอีกแล้ว” เมิ่งตงหลานตรงเข้าเรื่อง นางกอดอกจ้องเขม็ง น้องสาวคนเล็กถึงกับกระเด้งตัวขึ้นนั่งเรียบร้อย

   “เปล่า! ไหน ข้าก่อเรื่องอะไร” ผู้ต้องหารีบปฏิเสธทันควัน “พี่รองฟังมาผิดแน่แล้ว”

   ผู้ชายคนเดียวในห้องมองหน้าฝ่ายที่เข้ามาใหม่สลับไปมา เมิ่งชุนเถาสบตาแล้วโคลงศีรษะสีหน้าเบื่อหน่าย เสียงเมิ่งตงหลานดังขึ้นก่อนเขาได้ทันอ้าปากถาม

   “พี่ใหญ่ไม่เกี่ยว อย่าเพิ่งพูด – เซี่ยเหมย ท่านแม่บอกว่าเจ้าทะเลาะกับท่านพ่อใหญ่โต”

   “ท่านแม่ไม่น่าพูดเลย..” คนโดนว่าบ่นอุบเสียงเบา พอโดนเรียกชื่อเอ็ดดังลั่นนางนั่งหงอเป็นลูกสุนัขหางลู่หูตก

   พี่สาวคนโตเอ็ดน้องเล็กอีกชุดใหญ่ ผู้ชายคนเดียวในห้องได้แต่ยกมือค้างตั้งท่าจะแทรกไปปรามก็ห้ามไม่ได้ เมิ่งชุนเถาส่งสายตาเรื่อยเฉื่อยมาหาเขาทีหนึ่ง นางโคลงศีรษะก่อนจะคว้าขนมดอกกุ้ยเข้าปากตามด้วยจิบชาต่อไม่นึกใส่ใจ ซุนซีไม่รู้จะช่วยอย่างไร หันไปทางนั้นก่อนจะย้ายไปทางนี้ หางตาทันเห็นร่างผอมบางร่างหนึ่งยืนเกาะบานประตูราวกับอยากจะฝังตัวกลืนไปกับขอบไม้เสียให้ได้

   “ค..คุณหนูใหญ่.. ท่านเจ้าสำนักเรียกพบเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยปากกล้าๆ กลัวๆ ดูก็รู้ว่าไม่เคยเห็นคุณหนูคนโตสกุลเมิ่งทำเสียงดังมาก่อน ยามโกรธวิญญาณแม่เสือร้ายเข้าสิง สลัดภาพหญิงงามอ่อนหวานเหมือนเป็นคนละคน

   เสียงบ่นหยุดลงครู่หนึ่งโดยไม่มีใครต้องออกแรงห้ามทัพ คนงามหอบหายใจหลังออกแรงว่าไปรอบใหญ่ ฝ่ายโดนตำหนิก้มหน้าก้มตายิ่งนานทียิ่งใกล้จะขดเป็นก้อน

   “เสี่ยวเหมยก็สำนึกผิดแล้วไม่ใช่หรือ อย่าดุน้องนัก--” ซุนซีไม่ทันได้นึกว่าตนจะโดนหางเลข พอเมิ่งตงหลานตวัดสายตาใส่พี่ชายถึงชะงักนิ่ง

   “พี่ใหญ่ตามใจมากเกินไป น้องเล็กถึงได้เอาแต่ใจจนเคยตัว” คุณหนูคนโตดุด้วยเสียงเด็ดขาด คิ้วโก่งได้รูปเวลานี้มุ่นลงด้วยอารมณ์ฉุนจัด “ปล่อยไว้แบบนี้นางดีแต่ก่อเรื่องให้คนอื่น ต่อไปมีอะไรข้าจะไม่ช่วยพูดให้แล้ว”

   สาวใช้ที่รออยู่นอกประตูวางสีหน้าไม่ถูกครั้นจะเร่งก็ไม่กล้า พอคุณหนูกระทืบเท้าเดินออกมานางถึงรีบกระวีกระวาดไล่ตามหลัง เมิ่งตงหลานออกจากห้องไปแล้ว มาไวไปรวดเร็วเหมือนพายุเข้า ทิ้งแต่น้องสาวคนเล็กที่เอาแต่นั่งทำแก้มอูมกับน้องสาวคนรองที่เอาแต่คว้าเอาของว่างบนโต๊ะเข้าปาก ซุนซีที่อยู่ดูแต่ต้นจนจบไม่รู้จะแสดงสีหน้าอย่างไร

   “...ลูกเพื่อนท่านพ่อไม่เห็นดี เป็นผู้ชายสกุลอวี้แถมยังรับราชการ คงเป็นพวกหน้าเหี้ยม ดุเหมือนหมีภูเขา”

   และพอคนเด็ดขาดหายตัวแม่คนเล็กถึงกล้าบ่นกระปอดกระแปด เมิ่งชุนเถาทนฟังมานานเริ่มชักสีหน้า

   “คนนั้นไม่ดีคนนี้ก็ไม่เอา ดูเถอะ เจ้าเลือกคนที่ดีที่สุดจะไปหาที่ไหนได้ จากสามัญชนไปข้าราชบริพาร จากข้าราชบริพารไปฮ่องเต้ แล้วจากฮ่องเต้ก็คงเป็นเทพเซียนล่ะกระมัง”

   น้องเล็กทำแก้มอูม “ก็ดี! ข้าจะได้ไม่ต้องแต่งกับใครหน้าไหน”

   “อย่าเถียงกันเลย เสี่ยวเถาก็อย่าไปว่าน้องนัก” คนกลางเกลี้ยกล่อมเสียงอ่อน “อีกไม่กี่วันเจ้าจะจากบ้านแล้ว ยังทะเลาะกันอยู่อีก”

   เมิ่งเซี่ยเหมยค้อนวงโตใส่คู่กรณีก่อนโถมตัวประจบซบอ้อนพี่ใหญ่ ด้วยความหมั่นไส้คนถูกมองค้อนก็หยิกแขนจนนางร้องลั่น

   “พี่สามแกล้งข้า!”

หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่10 03/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-01-2020 23:18:03
 :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่10 03/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 04-01-2020 23:51:35
นังพี่2 คนนี่ก็เก่งจ้นน หล่อนลืมไปแล้วมั้งว่าที่ตัวเองได้แต่งกับคนที่ตัวเองอยากก็เพราะ ได้นายเอกช่วย แล้วตัวเองก็ต้านพ่อตัวเอบมาเหมือนกัน หื้มมมม
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่10 03/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-01-2020 00:39:15
ก็แอบหมั่นไส้พวกพี่สาวนะ เรื่องแต่งงานสำหรับผู้หญิงคนไหนก็เรื่องใหญ่ทั้งนั้น ทำไมตัวเองเลือกได้แต่น้องเลือกไม่ได้ล่ะ รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่10 03/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 11-01-2020 01:00:00
บทที่ 11

   ขบวนเจ้าสาวสู่เมืองหลวงยิ่งใหญ่สมฐานะบุตรข้าราชการชั้นสูง เสียงฆ้องเครื่องดนตรีและประทัดดังเหมือนจะส่งขึ้นไปได้ถึงสวรรค์ เมื่อเกี้ยวแปดคนหามลับไปจากประตูเมือง เบื้องหลังจึงทิ้งไว้แต่เรือนเก่าที่เงียบเหงายิ่งกว่าเคย

   ชุดชามกับตะเกียบยามตั้งโต๊ะหายไปอีกชุดหนึ่งแต่มีคำตัดพ้อของอาตงเพิ่มเข้ามาแทน ซุนซีไม่นึกรำคาญนางเท่าที่ควร อาจเพราะตนได้ถือโคมไปส่งเมิ่งชุนเถาถึงเมืองหลวง เป็นประจักษ์พยานงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ที่นางไม่มีโอกาสได้ไป และได้พักอยู่เรือนคนใช้หลังโตที่อาตงหมายมาดว่าตนจะได้เข้าไปอาศัยเป็นหญิงรับใช้ฮูหยินคนใหม่

   พังครืน ทุกอย่างพังครืนเมื่อโชคชะตาดำเนินไม่ตรงใจหวัง

   ของหมั้นหมายจากสกุลอวี้เก็บรักษาอยู่ในห้องนอนใหญ่ ความพยายามของเมิ่งเซี่ยเหมยล้มไปหลายรอบพอกับที่ซุนซียังมืดแปดด้านไม่แพ้น้องสาว เขาลงแรงส่งจดหมายน้อยไปให้อู๋ก่วนจง ทว่าวันแล้ววันเล่ากลับไร้ข่าวจากมือปราบหนุ่ม

   ‘คงตัดใจแล้ว’ หัวหน้าอู๋บอกกับซุนซีอย่างนั้น

   ซุนซีไม่เคยนึกมองสหายสนิทเป็นชายต่ำต้อยได้เท่านี้เลย ตัดใจ.. หากคนเรารักแล้วสามารถตัดใจกันได้ง่ายดายเหมือนตัดสายป่าน โลกยังเหลืออะไรให้ศรัทธาได้อีกเล่า?


   
   เสื้อผ้าสตรีไม่รู้กี่ชุดพาดตากทั้งบนเก้าอี้กลมและโต๊ะไม้ ผ้าผูกกองเกลื่อนพื้น วางทั่วจนถึงขอบตั่งตัวยาว เจ้าของห้องวัยเยาว์นั่งคล้องแขนกับคนรับใช้ต่างเพศอย่างสนิทสนมในห้องส่วนตัว เสียงหัวเราะคิกคัก มือป้อมวัดปะป่ายไปทั่วบ่าทั่วตัวคนนั่งเคียงกัน ...ใครจะกล้าว่าอันใดล่ะ? ก็นี่เมิ่งเซี่ยเหมยกับพี่ชายร่างผ่ายผอมของนาง

   “ไม่มีใครดูออกหรอกพี่ใหญ่ ดูท่านสิ ใบหน้างดงามเสมอสตรี ร่างน้อยผิวไม่กรำแดดหยาบกร้านเหมือนพวกคลั่งวิชาข้างนอกนั่น ข้อมือเล็ก เท้าท่านยังเล็กยิ่งกว่าข้าเสียอีก” เมิ่งเซี่ยเหมยกล่าวฉอเลาะ มือก็ลูบเนื้อลูบตัวอีกฝ่ายไปเรื่อย “หรือจะเพิ่มน้ำหนักอีกสักหน่อย พี่ใหญ่รู้รึเปล่าบุรุษก็นมตั้งเต้าได้นะ แบบพ่อค้าหมูในตลาด -- โอ้ย!”

   แม่ตัวดีสูดปากร้องโอดโอยเมื่อเจ้าของข้อมือเล็กที่ว่าหยิกแขนนางจนเนื้อเขียว

   “พอได้แล้ว จะพูดอย่างไรข้าก็ไปแทนเจ้าไม่ได้” ซุนซียืนยันคำเดิมตัดบท ทำเอาคุณหนูสามเบ้หน้า

   “ข้าขอร้องนะพี่ใหญ่” นางเขย่าแขนพี่ชายเบาๆ ช้อนตาทำเสียงกระเง้ากระงอด “ตกลงเถอะนะ.. แค่ขึ้นเกี้ยวแทนข้าแล้วถึงกลางทางก็กลับได้ ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย”

   คราวนี้ซุนซีกดสายตามองดุ ถึงเขาไม่พูดดูหน้าก็รู้ว่ากำลังปฏิเสธไม่ผิดแน่

   แต่เท่านี้ไม่ทำให้นางย่อท้อ เมื่อไม้อ่อนใช้ไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นไม้แข็ง “ได้ พี่ใหญ่รู้ใช่หรือไม่ว่าข้าเป็นคนพูดจริงทำจริง” นางเกริ่นขึ้นมาก่อน

   “รู้” ซุนซีตอบ เรื่องนี้ย่อมรู้ดีกว่าใคร

   “อย่างนั้นก็สลับตัวกับข้าซะ อาซุน นี่เป็นคำสั่งของคุณหนูสาม”

   เมื่อก่อนหัดเรียกคุณหนูนางร้องไห้งอแงไม่หยุดจนกว่าจะเรียกนางว่าเสี่ยวเหมย เดี๋ยวนี้เพื่อจะเอาที่ต้องการ นางกลับอยากจะเป็นคุณหนูขึ้นมา

   ซุนซีส่ายศีรษะ รู้ว่าพูดไม่เกิดประโยชน์ก็นิ่งเสีย เขาตั้งท่าจะลุกกลับออกจากห้อง ไม่ทันวางเท้าลงกับพื้น เสียงเฉียบขาดพลันประกาศก้อง

   “หากท่านยืนยันจะไม่ไปแทนข้า วันงานทุกคนจะได้เอาป้ายวิญญาณเมิ่งเซี่ยเหมยขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแน่”

   “เสี่ยวเหมย!” เขาเอ็ดเสียงดัง เจ้าของชื่อยังจ้องไม่หลบสายตา

   “ข้าพูดจริง” นางยืนกรานเสียงแข็ง ไม่มีวี่แววล้อเล่น “และจำไว้ด้วยว่าพี่ใหญ่เป็นคนบีบให้ข้าทำอย่างนี้”

   พี่ใหญ่พินิจดวงหน้าสะสวยปราศจากแววไหวหวั่น ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น...ทาบเงาท่านลุงได้พอดิบพอดี



   ซุนซีส่งจดหมายไปเล่าความให้คุณชายอินทรีฟังอีกหน บอกเรื่องไว้ใต้นาม ‘ปัญหาของเพื่อนคนหนึ่ง’ แล้วเฝ้ารอคำตอบจากชายผู้นั้น เขาไม่รู้ว่าควรจะจัดการชีวิตตนเองหรือช่วยเมิ่งเซี่ยเหมยอย่างไร นานเข้าวันส่งตัวเจ้าสาวก็คืบเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ผลการดูดวงสมพงศ์ก็มาถึงบ้านสกุลเมิ่งแล้ว และดูเหมือนชะตามังกรกับหงส์จะปรากฏอยู่บนกระดาษแผ่นน้อยใบนั้น

   เขายังจำรอยยิ้มยินดีของท่านลุงได้ จำได้แน่ชัดพอๆ กับสีหน้ายาวของเมิ่งเซี่ยเหมย

   ไม่นานจดหมายจากยิงฉู่หยุนก็ตอบกลับมา เนื้อความทำเรื่องที่เขาหนักอกคลายลงหลายส่วน แม้จะเขียนมาเพียงว่าให้เพื่อนคนนั้นทำในสิ่งที่อยากทำและสนใจแต่เพียงว่านี่เป็นชีวิตตนเองตนเองต้องลิขิตเป็นสำคัญก็เถอะ แต่สำหรับเขาที่ลังเลใจว่าสิ่งที่จะลงมือทำเป็นการหักหลังผู้มีพระคุณรึเปล่าก็ช่วยได้มาก

   ชีวิตตนเองตนเองต้องลิขิต ใครเล่าจะมารับผลทุกข์ยากกับเราเมื่อเผชิญหน้ากับอนาคตด้วยตัวของเราเอง...ก็มีเพียงตัวเราเท่านั้น

   ในเมื่อชีวิตก็เป็นเช่นนี้แล้วจะให้ส่งน้องสาวคนเล็กของเขาไปแต่งงานอย่างไม่เต็มใจได้อย่างไร



   ห้องคุณหนูคนสุดท้ายที่ยังอยู่ในบ้านหลังใหญ่ปิดสนิท ประตูลงสลักกลอนแน่นหนา แม้เวลานี้เป็นยามเฉิน  แดดส่องมาไม่ถึงข้างในยังพอเหลืออากาศเย็นไม่เหนอะตัว เสียงซ้อมพลองแว่วดังมาจากด้านนอกไกลๆ ส่วนในห้องมีเพียงเสียงสะบัดผ้าดังเป็นระยะ

   ซุนซีคอยพับเสื้อผ้าที่กองสุมอยู่บนเตียงสีหน้าเคร่งเครียด สาวน้อยเจ้าของห้องอีกนางหนึ่งนั่งขดมุมอยู่ด้านใน สองมือกอดหมอนสี่เหลี่ยมไว้คล้ายว่าพยายามทำตัวเองให้ตัวเล็กที่สุด

   เจ้าสำนักเมิ่งยอมทำตามคำขอเอาแต่ใจของแม่สาวน้อย งานแต่งจะจัดที่จวนเจ้าเมืองเสวี่ยซานหลังขบวนเจ้าสาวเดินทางไปถึง พิธีรีตองมากมายถูกละไว้ให้เรียบง่ายแม้อาจขัดใจใครหลายฝ่าย เท่านั้นเมิ่งเซี่ยเหมยยังกำชับไม่เอาสาวใช้ตามไป ..แน่ว่านางขึ้นชื่อเรื่องหัวดื้อและแสนเอาแต่ใจ เพื่อให้งานแต่งสำเร็จผู้ใหญ่บ้านเมิ่งทำตามคำขอนางแน่แล้ว แต่แปลกที่ทางเจ้าบ่าวยินยอมแต่โดยดี

   เมิ่งเซี่ยเหมยวางแผนไม่รัดกุมแต่คงไม่มีใครคาดคิดว่านางจะกล้าทำลายพิธีวิวาห์ ซุนซีกำชับให้เก็บเป็นความลับแค่สองคน ในเมื่ออาตงไม่รู้ คนอื่นยิ่งไม่รู้ใหญ่ เขาไม่อยากให้คนอื่นโดนหางเลขไปด้วยตอนกลับมาสารภาพผิด ..และไม่กล้าหาญพอจะจินตนาการว่าหากเรื่องบานปลายสกุลเมิ่งจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

   ซุนซีตกในห้วงความคิดไม่รู้เวลาดำเนินไปเท่าไหร่ ไม่ทันสังเกตดวงตากลมโตที่คอยจ้องเขาอยู่นานสองนาน

   “ฮึ่ม.. ถึงข้าจะเห็นด้วยกับวิธีนี้ก็เถอะ” คุณหนูเล็กส่งเสียงครางฮือ “แต่ไม่ใช่ทุกอย่างจะแก้ไขได้ด้วยปัญญากับการเจรจาหรอกนะพี่ใหญ่”

   “ได้สิ ถ้าข้าไปพูดตรงๆ ต้องคุยรู้เรื่องแน่”

   เมิ่งเซี่ยเหมยมองค้อนขัดใจ ซุนซีเห็นปราดเดียวก็รู้ว่าเถียงยิ่งนานเข้ารังแต่จะทำให้นางยิ่งงอแง มือผอมเซียวถึงได้โอบข้างแก้มแม่สาวน้อยเอาไว้

   “อย่าห่วงเลย เรื่องเรียบร้อยเมื่อไหร่พวกเราค่อยยกน้ำชาไปขอขมาท่านลุงท่านป้าพร้อมกัน”

   คนถูกปลอบเสียงอ่อนลง มือเล็กกว่าทาบทับมือนั่นไว้ “พี่ใหญ่สัญญาแล้วนะ” ซุนซีผงกศีรษะรับคำ เพียงเท่านั้นก็พอเรียกรอยยิ้มให้แต้มบนใบหน้าคุณหนูเล็กสกุลเมิ่งได้

   เมิ่งเซี่ยเหมยเงียบไปนาน ค่อยๆ ลดศีรษะก้มหน้าซุกหมอนสี่เหลี่ยมใบโต

   “พี่ใหญ่.. ข้ารักพี่นะ”

   เขาผ่อนลมหายใจยาว “ข้ารู้ เจ้าเองก็รู้ว่าข้ารักเจ้าเหมือนกัน น้องสาว”

   มาดของคนเจ้าอารมณ์เปลี่ยนกลายเป็นแมวเซื่อง เสียงฮื่อตอบรับเพียงลอดลำคอแผ่วเบา

   “เสี่ยวเหมย.. จำเอาไว้ว่าต่อจากนี้เจ้าขอใครให้ช่วยมากไปกว่าที่ขอกับข้าไม่ได้ และจะลากคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับปัญหาของตัวเองอีกไม่ได้เหมือนกัน”

   “ครั้งนี้ครั้งเดียวจริงๆ...”

   “สัญญากับตัวเองเถอะ เวลาที่พี่ไม่อยู่คอยเตือน เจ้าต้องหัดใจเย็นไม่ทำอะไรวู่วามเอาอารมณ์ร้อนเข้าว่า”

   ปลายนิ้วสากลูบผะแผ่วตามแนวลูกผม ไล่เรื่อยไปเช็ดพวงแก้มเปื้อนน้ำตา ยิ่งปลอบนางยิ่งร้องโฮเป็นทำนบแตก

   “สักวันเจ้าก็จะเข้าใจ รอให้เจ้าโตกว่านี้ ...เสียดายก็แต่วันเกิดปีหน้าคงไม่มีข้าคอยอยู่เฝ้าเจ้าเล่นดอกไม้ไฟ”

   “สัญญา..ข้าสัญญา...”

   เมิ่งเซี่ยเหมยโผเข้ากอดซุกหน้าอยู่กับอกพี่ชาย เขาสิ้นคำพูด ทำเพียงใช้มือซูบผอมลูบช้าๆ ตามแผ่นหลังสั่นเทา นางสะอื้นตัวโยนเป็นเด็กน้อย เสียงสูดจมูกร้องฮึกอย่างคนพยายามอดกลั้นดังอู้อี้

   คุณหนูเล็กไม่เคยฟังใคร นางยังเยาว์นัก ขาดป้าหม่าแล้วยังขาดเขาไปอีกคนใครจะคอยปลอบแม่เด็กขี้แยหัวดื้อ

   คิดได้อย่างนี้ไม่แปลกที่จะกังวลใจ..



   สกุลเมิ่งเหลือลูกสาวคนเล็กเพียงคนเดียวแล้ว แม้ไม่เอ่ยปากแต่ความหวงแหนของพ่อแม่ต้องเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย ครึ่งปีนี้คุณหนูเล็กตั้งใจทำตามข้อตกลงพี่ใหญ่เป็นอย่างดี ความเอ็นดูที่คนรอบข้างมอบแก่นางก็ยิ่งทบทวี แม้ไม่พูดแต่ท่านเจ้าสำนักแสดงออกหลายครั้งว่าใจจริงไม่อยากให้บุตรีคนเล็กจากบ้านไปไกล ยามเย็นวันหนึ่งหลังร่ำสุราหลายขวดท่านยังเคยเปรยขึ้นมาว่าตามจริงแล้วไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นเมิ่งเซี่ยเหมย อย่างไรวิญญูชนย่อมต้องรักษาสัตย์

   โต๊ะอาหารคืนสุดท้ายจึงเงียบเชียบ หลี่ฮูหยินที่นานครั้งจะเป็นคนเปิดบทสนทนาเอ่ยทักดึงบรรยากาศ

   “เด็กๆ โตไวจริงนะท่านพี่ เผลอไม่กี่ปีก็จากบ้านออกเรือนกันหมดแล้ว”

   “...” เจ้าสำนักตีหน้าเคร่งขรึม ตะเกียบคีบเอาเนื้อหมูแดงใส่ชามข้าวลูกสาวคนเล็ก

   เมิ่งเซี่ยเหมยมองหมูในชามสลับกับหน้าพ่อ ริมฝีปากเม้มแน่นสั่นระริก นางพยายามเคี้ยวข้าวในปากทั้งหน้ายู่

   “พ่อไม่เคยทำดีกับเจ้าสักครั้ง” อาจารย์เมิ่งสุดจะทนก็โพล่งขึ้นมา “แต่ไม่ได้หมายความว่าพ่อเป็นห่วงเจ้าน้อยกว่าคนอื่น ถ้าพ่อไม่รักเจ้าแล้วจะให้ไปรักไปหวังดีกับหมาที่ไหน”

   “พอเลย!” ลูกสาวร้องขัดขึ้นมา

   “เซี่ยเหม--”

   “ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าท่านพ่อไม่เคยบอกรักข้า...ไม่เคยเลย ทีอย่างนี้ยังจะมาพูดให้ข้าร้องไห้อีกเหรอ!”

   คนเป็นลูกกลืนก้อนสะอื้นลงคอ มารดาเพียงแต่มองเงียบๆ สบจังหวะก็ส่งสายตาบุ้ยใบ้ให้คนใช้ออกจากห้อง ซุนซีเดินตามคนอื่นๆ จนพ้นธรณีประตูไปไกล สองมือเขากุมประสานที่ท้องน้อย จะบอกว่าคลายกังวลก็ยังไม่ถูกเสียทีเดียว เวลานี้ยังรู้สึกเหมือนหินหนักอึ้งทับอยู่บนสองบ่า จะหายใจก็ทำได้ลำบากนัก

   เพียงไม่นานเสียงร้องไห้โฮแว่วดังมาจากในห้องกินข้าว ..คาดเดาไม่ถูกว่าเพราะซึ้งใจหรือเสียใจที่ต้องโกหกบุพการี



   ผู้ใหญ่บางคนก็พูดว่าเป็นลางไม่ดี ในเมื่อต้องเดินทางข้ามมณฑลเป็นพันลี้เจ้าบ่าวกลับไม่อาจมารับด้วยตัวเองกลับส่งมาแต่เพียงทหารกลุ่มหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายถือหน้าตาเป็นเรื่องสำคัญ แต่เพราะตกลงกันไว้ด้วยเงื่อนไขของว่าที่เจ้าสาวและความสะดวกของทุกฝ่าย เมิ่งเซี่ยเหมยจึงเดินทางไปแต่งที่จวนเจ้าเมืองเสวี่ยซานพร้อมขบวนสินเจ้าสาว

   ริ้วขบวนเป็นแถวยาวจากหน้าเรือนไปถึงสุดถนน เกวียนม้าลากและคนหามไม้หาบหีบบรรจุสินสอดผูกด้วยผ้าแดงมัดปลายเป็นดอกเบญจมาศดอกโต เสียงประทัดกับคนโห่ร้องยินดียังไม่กลบคำฉงนว่าเหตุใดไม่เห็นวี่แววเจ้าบ่าว กระทั่งคราวลูกเขยสกุลไป๋ยังเดินทางข้ามมณฑลมารับเจ้าสาวด้วยตัวเอง

   คนในบ้านวิ่งวุ่นไม่ได้สนใจความคิดชาวบ้าน งานแต่งลูกสาวคนไหนๆ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน หลี่ฮูหยินยกเอาชายผ้าซับน้ำตารื้น ว่ามารดาโศกแล้วสีหน้าบุตรสาวยิ่งย่ำแย่กว่า อาตงไม่ทันได้หลุดปากโพล่งอะไรก็โดนสาวใช้ด้วยกันหยิกเอวห้ามไว้ก่อน

   ปิ่นทองกับกิ่งทับทิม เครื่องหัวประดับมุกและพลอยแวววาวล้อแสงได้ไม่นานก็ถูกคลุมด้วยผ้าไหมสีมงคล เมิ่งเซี่ยเหมยเลิกชายผ้าตลบขึ้น ถึงจะโดนผู้ใหญ่เอ็ดแต่นางอาศัยยิ้มแหะๆ กลบเกลื่อน ”ไว้ค่อยคลุมทีหลังก็ได้ ข้ามองไม่เห็นทางกลัวจะสะดุดล้ม”

   “เจ้านี่นะ...” หลี่ฮูหยินถอนใจ “แล้วจะไม่ให้แม่เป็นกังวลได้อย่างไร?”

   เสียงแม่ลูกกับบรรดาสาวใช้คุยกันถูกกลบด้วยเสียงอึกทึกข้างนอก ซุนซีหอบของใช้ส่วนตัวบรรจุลงท้ายเกวียน เหงื่อผุดจนชุ่มเสื้อแนบผิว เทียบอาการกับคนหนุ่มใกล้เคียงเขากลับดูเหนื่อยเหมือนเพิ่งวิ่งขึ้นเขา ลำบากให้เด็กรับใช้ค้อมขอให้ไปนั่งพักใต้ร่มนั่นล่ะ เจ้าของร่างผอมกะหร่องถึงยอมพักได้สักที

   หยุดนั่งได้ไม่ทันไรเจ้าสาวก็เดินออกมาจากห้องนอนใหญ่ รอยยิ้มประดับบนใบหน้าแม่เจ้าสาวและบรรดาคนรับใช้ที่ล้อมหน้าล้อมหลัง ซุนซีตื้นตันในอก ปลื้มใจเสียยิ่งกว่าได้ออกเรือนเอง

   ประทัดและเครื่องปี่พาทย์ เกี้ยวเคลื่อนล้อเกวียนหมุน เมื่อสาดน้ำไล่หลัง จึงสิ้นสัมพันธ์ครอบครัว



   การขู่ด้วยคำว่า ‘พี่ใหญ่ไม่ไปข้าไม่แต่ง’ นัยว่ามีโอกาสทำจริงสูงเป็นประกาสิทธิ์หยุดผู้หลักผู้ใหญ่ได้เด็ดขาด สาวใช้ที่ควรได้ติดตามมาด้วยกันตอนนี้คงโล่งใจอยู่ในสำนัก เลือกได้ใครจะอยากมาตกระกำลำบากเล่า?

   ซุนซีจำสายตาของอาตงได้เป็นอย่างดี คล้ายจะตัดพ้อแต่เลือกไม่กล่าวอะไร สุดท้ายในวันส่งตัวไม่พบแม้แต่เงานาง ป้าหม่ายืนกรานเจอตัวจะดุนางให้ได้แต่เมิ่งเซี่ยเหมยขอไว้...ขอเหมือนครั้งที่เมิ่งชุนเถาจะไปเมืองหลวงตอนที่อาตงถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยไม่รู้อะไรสักอย่าง

   ออกเดินทางได้สองวันซุนซีไข้จับตัวร้อนจัดจนโดนบังคับให้มานั่งหัวโคลงอยู่บนรถม้า ส่วนคุณหนูที่นอกจากถามว่าตอนนี้ถึงไหนแล้วทุกๆ ชั่วยามก็กลายเป็นคนลงไปเดินยืดเส้นยืดสายเสียเอง

   ทิวทัศน์โดยรอบเปลี่ยนไปทีละน้อย ผ่านทุ่งนาและเลียบชายป่าเชิงเขา จากหมู่บ้านเคลื่อนไปตามทางเกวียน ถนนขรุขระบางครั้งล้อเหยียบเอาหินก้อนใหญ่ได้นั่งเอียงนั่งหงายตัวโยน ความพยายามในการอ่านหนังสือฆ่าเวลาถูกทำลายด้วยอาการปวดหัววิงเวียนจนต้องหยุดอาเจียนข้างทางหลายครั้ง ดีที่ได้เจ้าหนุ่มน้อยในขบวนคอยกระวีกระวาดหาน้ำให้เขา

   ฝุ่นสีส้มแดงคลุ้งคล้อยหลังบนทางเกวียน โรงเตี๊ยมที่จุดพักรถม้ารายทางนั้นไม่เหมือนที่เส้นทางไปเมืองหลวง บางแห่งก็เป็นโรงน้ำชาหลังเล็กกลางหมู่บ้าน แม่เด็กเอาแต่ใจกลับกินนอนลำบากไม่เคยบ่น นางยังคอยเรียกลูกน้องมาร่วมโต๊ะด้วยซ้ำ

   ซุนซีรู้ว่าเมิ่งเซี่ยเหมยกินอยู่ง่าย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นนางใช้ชีวิตกลมกลืนไปกับผู้อื่น ดังนั้นแม้จะอยู่กับนางตั้งแต่ยังเป็นทารก บางครั้งเขากลับรู้สึกว่าตนไม่ได้รู้จักน้องสาวคนนี้เอาเสียเลย

   อาหารแห้งผูกห่อเรียงเรียบร้อยอยู่บนรถม้า ยังมีน้ำสะอาดในไหปิดปากสนิทและเสื้อผ้ารองเท้าสำหรับเปลี่ยน

   หากวันใดคะเนแล้วตะวันลับก่อนถึงโรงเตี๊ยม พลคณะคุ้มภัยจะลงหลักปักฐานทำที่พักชั่วคราวกันบนลานดิน เหนือกองไฟมีคานไม้ปักไว้แขวนหม้อต้ม ไม่มีสุราอุ่นร้อนแต่มีชาและข้าวต้มหอมกรุ่นจากฝีมือซุนซี ต้าหนิวไล่แมลงด้วยการสุมไฟฟืนแท่งที่ทำจากขี้เลื่อยปั้นผสมสมุนไพรกับเปลือกส้มบด กลิ่นฟืนติดเสื้อผ้าและติดผมแน่น นานเข้าจมูกก็เริ่มชิน

   กวีร่ายกลอนถึงทัศนียภาพธรรมชาติไว้เช่นไรล้วนเป็นจริงเช่นนั้น ขบวนสินเจ้าสาวเคลื่อนข้ามธารน้ำและทุ่งนา สุดทางมีเรือข้ามฟากลำใหญ่รอเทียบท่า เมื่อแหวกผืนน้ำล่องไปตามทางผ่านกอต้นกกและแผ่นดินที่เคลื่อนผ่านไปเอื่อยช้า

   เด็กหนุ่มตระหนักเสมอว่าเขาไม่ได้มาเพื่อท่องเที่ยว ถึงอย่างนั้นกลับรู้สึกอุ่นใจและเป็นสุขที่ได้ออกมาเดินทางอย่างนี้ ซุนซีคอยมองยามเมิ่งเซี่ยเหมยหัวเราะร่า เดินและวิ่งดูนั่นดูนี่ไปทั่วเหมือนเด็กเล็กๆ คนเดิมที่เขาเคยรู้จัก

   ห้วงเวลาที่ไม่ต้องทำสิ่งใด ไม่ต้องกังวลสิ่งใด ซุนซีนึกสงสัยว่าเงินเท่าไหร่ถึงจะซื้อความสงบใจในยามนี้ได้

   ซุนซีนั่งพับชุดซักสะอาดเก็บเข้าห่อผ้าอยู่คนเดียวในห้องพัก แดดข้างนอกแรงเสียจนตาพร่า ไอร้อนผะผ่าวพัดเข้ามาถึงด้านในเผาแก้มจนรู้สึกแสบ ระหว่างนึกว่าจะลุกไปหาน้ำเย็นดื่ม หางตาพลันเห็นหัวกลมๆ ผมดำสนิทโผล่หน้าจากขอบประตู ดวงตากลมโตจ้องซุนซีด้วยแววเจ้าเล่ห์เหมือนลูกจิ้งจอกน้อย ครู่เดียวเจ้าตัวก็กระโดดผลุบเข้ามานั่งแซะก้นเบียดข้างๆ

   “นี่ของพี่ใหญ่หรือ?” ไม่ว่าเปล่า มือเจ้าคนถามรื้อกองที่เพิ่งพับไปเรื่อย “ข้าชอบอันนี้ อ้อ! นี่ แล้วไอ้นี่ผูกตรงไหน”

   ซุนซีเหลือบมอง นางรื้ออะไรเขาก็ตามไปพับใหม่อีกรอบ “นั่นเอาไว้ผูกเอว มัดกางเกงไว้ก่อนแล้วถึงค่อยใช้ผ้าคาดทับเสื้อ”

   เมิ่งเซี่ยเหมยตามไปรื้อกองที่ยังพับไม่เสร็จดี คว้าเสื้อตัวยาวออกมาสะบัดกางก่อนจะพาดไว้ด้านหลังตัวเอง ประเดี๋ยวก็รื้อเอาที่ครอบผมขึ้นมาลูบๆ คลำๆ นัยน์ตาซุกซนเป็นประกายพราวระยับ นิ้วเรียวดึงเอาปิ่นเสียบมาหมุนพลิกซ้ายพลิกขวาท่าทางพึงพอใจ

   “ข้าขอยืม พี่ใหญ่ช่วยข้าทำผมหน่อย” นางถามไม่รอคำตอบอย่างเด็กเอาแต่ใจ ผมรวบถักเป็นทรงพริบตาหนึ่งก็ปลดรื้อลงมาสยายเล่นลม แพรไหมสีดำขลับทิ้งตัวลงมาถึงสะบั้นเอว...เทียบกับของพี่สาวยังถือว่าสั้น ไม่รู้ว่าไปแอบตัดมาตั้งแต่เมื่อไหร่

   ซุนซีส่ายหน้าระหว่างคลานเข่าย้ายไปอยู่ด้านข้างแม่จอมแก่น มือผ่ายผอมเกี่ยวเก็บเอาปอยผมทีละน้อย รวบมัดขึ้นเป็นมวยก่อนสอดที่ครอบตรึงเป็นทรงสูง ทิ้งไรผมกลุ่มน้อยๆ สองช่อด้านหน้าพอไม่ให้ตึงจนเรียบนัก

   คุณหนูเล็กเอามือแตะๆ มวยผมตัวเอง นางใช้นิ้วบิดปอยด้านหน้าเป็นเกลียวก่อนสองนิ้วจะดึงรูดเล่นช้าๆ รอยยิ้มสว่างไสวเป็นดวงตะวัน เสียงเจื้อยแจ้วถามว่าดูเหมาะใช่ไหม

   “แต่งชุดสตรีเหมาะกว่า” เขาตอบด้วยสีหน้าหน่ายใจ แม่หนูฟังแล้วย่นจมูก

   “ผิดแล้ว! พี่ต้องบอกว่าข้าดูดีสิ เหมือนจอมยุทธ์หนุ่มมาดสุขุม” นางว่าพลางกรีดมือคลี่พัดในจินตนาการ เชิดใบหน้าขึ้นนิดหรี่ตาลงอีกหน่อย เหมือนเด็กขโมยของบิดามาใส่ แต่แน่ล่ะ เขาไม่ได้พูดออกไป

   เด็กเอาแต่ใจขอได้ก็เอาใหญ่ นางยึดเอาเสื้อผ้าสำรองเขาไปผลัดสวมจากชุดรุ่มร่ามเป็นกางเกงและรองเท้าผ้า โยนข้าวของทั้งป้ายประจำตัวทั้งกำไลของหมั้นให้พี่ชายดูแลราวว่าไม่ใช่ของสำคัญ

   “เสี่ยวเหมย เปลี่ยนชุดแล้วห้ามออกไป--”

   นั่นประไร ไม่ทันขาดคำร่างจ้อยก็โลดกระโจนออกไปนอกห้อง เสียงหัวเราะชอบใจดังมาจากหนุ่มๆ สำนักคุ้มภัย โดยเฉพาะคำเรียกคุณชายน้อยดูท่าจะมาจะมาจากตงเต๋อข่ายที่อายุไล่เลี่ยกับนาง ซุนซีออกไปทันเห็นแม่ตัวดีกำลังวาดมือเคลื่อนเท้าเดินปราณให้คนอื่นชมเป็นขวัญตา

   ต้าหนิวเขกกระโหลกพวกเด็กหนุ่มที่พาลเล่นสนุกไปกับนาง แต่พอสบสายตาซุนซี ชายตัวโตก็ทำหน้าถมึงทึงก่อนหันไปทางอื่น ...ซุนซีรู้สึกตัวเล็กจ้อยลงกว่าเดิม

   ตงเต๋อข่ายเดินลูบหัวป้อยๆ มาหาเขา ยิ้มแฉ่งอวดฟันขาว “ซุนเกออาการดีขึ้นหรือยัง”

   “...เจ้าก็ดูคุณหนูสามสิเต๋อข่าย ข้าไม่อาการทรุดไปอีกก็ดีแค่ไหนแล้ว”

   เด็กหนุ่มฟังแล้วหัวเราะร่วน แล้วหมัดเล็กๆ จากไหนไม่รู้ก็ลอยมาเขกหัวตงเต๋อข่ายซ้ำที่เดิมอีกรอบ

----------------------

เราอยากแสดงให้เห็นว่าแต่ละคนก็คิดถึงเรื่องของตัวเองเป็นหลักน่ะค่ะ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะมองเรื่องของตัวเองก่อน
จะเห็นว่าชุนเถา(คนรอง)เองก็จะไม่ช่วยพี่สาวคนโตถ้าไม่ใช่เพราะว่าตัวเองจะโดนพ่อให้แม่สื่อมาดูตัวเหมือนกัน
ส่วนของน้องเล็กเซี่ยเหมยจะสื่อออกมาในรูปแบบไหน อีกไม่กี่ตอนก็จะเฉลยให้เห็นแล้วค่ะ :mc4:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่11 10/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 11-01-2020 09:32:27
รอๆ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่11 10/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-01-2020 22:33:04
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่11 10/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 17-01-2020 22:55:58
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่11 10/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 20-01-2020 13:04:03
บทที่ 12

   ขบวนสินเจ้าสาวเข้ามาถึงเมืองอู่ชางพร้อมกับกลุ่มวาณิชย์ที่เพิ่งเคลื่อนเกวียนผ่านเข้าลานขนสินค้า ทิวธงอักษร ‘หู่’ ปลิวไสวตามแรงลม หมู่ตึกห้างร้านใต้การดูแลของสกุลเมิ่งกินอาณาบริเวณจากประตูเมืองทิศใต้จนถึงสะพานใหญ่ข้ามไปฝั่งเหนือ ยามบ่ายเช่นนี้ผู้คนเดินกันจอแจ ลูกหาบเข็นเอารถลากขนสินค้าย้ายจากร้านรวงไปส่งถึงที่ พ่อค้าในชุดไหมเป็นมันเลื่อมอย่างดีเดินสวนกับชาวต่างชาติผิวแดงดำที่สวมชุดโพกหัว เสียงคุยจอแจต่างภาษาเจรจาค้าขายดังมาจากแต่ละหัวมุมเป็นเรื่องปกติ

   ทันทีที่รถม้าเจ้าสาวจอดถึงที่คนรับใช้จากคฤหาสน์สกุลเมิ่งก็ปรี่เข้ามารับเมิ่งเซี่ยเหมย นางต้องผละออกมาจากบรรดาเพื่อนร่วมเดินทาง ตรงดิ่งไปที่เรือนหลักเพื่อทำความเคารพเจ้าบ้านอย่างแม่ใหญ่กับท่านเจ็ดที่รอการมาถึงของนางตั้งแต่หัววัน

   ท่านเจ็ดเป็นน้องชายร่วมมารดาของเจ้าสำนักเมิ่งชาง แม้จะเป็นคนคุมการค้าแต่ยังต้องคอยฟังคำแนะนำจากแม่ใหญ่ ซุนซีเคยเจอแม่ใหญ่มาหลายครั้งตอนท่านไปเยือนสำนักที่หวงซาน แต่กับท่านเจ็ดตนเพิ่งเคยพบหน้าเป็นครั้งแรก นอกจากรูปลักษณ์ที่คล้ายเจ้าสำนักหู่โหวถึงหกส่วน นิสัยอย่างอื่นไม่มีส่วนคล้ายกันเลย

   นอกจากเข้าไปทำความเคารพ ซุนซีไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปยุ่มย่ามในเรือนใหญ่แม้จะถือฐานะพ่อบ้านที่เป็นที่ไว้วางใจของเมิ่งเซี่ยเหมย คนจากบ้านใหญ่จัดให้เขากับคนจากสำนักพักที่ห้องคนรับใช้ ส่วนคุณหนูที่มาด้วยกันแยกไปพักต่างหากอยู่ในเรือนเล็กห่างออกไป นับตั้งแต่มาถึงเขาก็ไม่ได้เห็นเมิ่งเซี่ยเหมยอีก

   ได้ยินข่าวจากคนรับใช้ด้วยกันเพียงแต่ว่าท่านเจ็ดฉุนเอาการที่มีแต่ผู้ชายร่วมขบวนเจ้าสาว เห็นว่าจะจัดเอาสาวใช้ให้ตามไปด้วย ...แต่ใครๆ ก็รู้ว่าท่านเจ็ดตามใจหลานคนนี้ยิ่งกว่าลูกชายตัวเอง อะไรก็ไม่แน่นอนทั้งนั้น



   พักได้ไม่นานขึ้นวันพรุ่งก็ต้องเร่งเดินทางต่อแล้ว ซุนซีอาศัยเวลาเย็นจัดการอาหารตรงหน้าเงียบๆ พุ้ยตะเกียบตักข้าวเข้าปาก เสียงเอ็ดตะโรดังมาจากฟากหนึ่งก่อนคนในโรงอาหารจะรีบลุกขึ้นยืนพร้อมเพรียง ใครบางคนพูดว่าคุณชายห้ามาทำเอาเขาแทบสำลักผัดผัก ซุนซีรีบลุกขึ้นทันที

   เด็กชายวัยสิบเอ็ดปีเดินอาดๆ เข้ามาข้างใน เขายกมือขึ้นเป็นเชิงบอกให้คนอื่นในโรงอาหารทำตัวตามสบายสักพักเสียงพูดคุยถึงกลับมาดังตามปกติ หนุ่มน้อยยศสูงตรงดิ่งมานั่งตรงข้ามซุนซี เผยยิ้มกว้างเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบกับรอยบุ๋มลักยิ้มน่าเอ็นดู

   “เหล่าซุน!” คุณชายห้าทักเสียงใส “ท่านสบายดีหรือไม่”

   “ข้าสบายดีขอรับ ไม่ทราบว่าคุณชายมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือไม่”

   เด็กชายเกาแก้มแก้เก้อ เหลือบมองทางซ้ายทีขวาทีก่อนจะอ้อมแอ้มพูด “คือ...ตงเซี่ยงจูน่ะ..”

   ซุนซีพยายามอย่างมากที่จะข่มใจกลั้นยิ้ม อาตงใจแข็งกับเด็กตัวเท่านี้ได้อย่างไร! ดูใบหูที่เริ่มขึ้นสีเพราะพูดถึงชื่อคนที่เขาชอบนั่นสิ! เขารู้สึกเหมือนจะขาดอากาศหายใจตาย รีบดื่มน้ำกลบเกลื่อนยกใหญ่

   “ตงเซี่ยงจูบอกว่าชอบหวีที่ท่านให้ขอรับ”

   ดวงตาคนอ่อนวัยกว่าเป็นประกายสุกใส “เหรอ! เอ่อ.. แล้ว แล้วนางว่าอะไรอีกไหม?”

   “นางบอกว่าชอบคนที่ว่ายน้ำเก่งๆ ขอรับ”

   คุณชายน้อยมีสีหน้าครุ่นคิด พึมพำเสียงค่อยว่าว่ายน้ำงั้นเหรอ.. ครู่เดียวก็ผุดลุกขึ้นยืนกล่าวเสียงชัดเจน

   “ข้ามีเรื่องต้องทำ เหล่าซุนกินต่อเถอะ”

   โดยไม่ต้องรอให้บอกลาคุณชายห้าก็จากไปไวเหมือนสายลม ซุนซีเอามือวางทาบอกตัวเอง อา... ความรักของหนุ่มสาวช่างสวยงาม ช่างสวยงาม...


 
   ซุนซีลืมตาลุกขึ้นนั่งในความมืด เหงื่อผุดเม็ดโตเต็มหน้าผาก เขาเอาชายแขนเสื้อซับลวกๆ ก่อนลุกจากเตียง คว้าเสื้อจากราวตากแล้วเดินเงียบเชียบข้ามเด็กรับใช้คนอื่นออกไปนอกห้อง ยามนี้ฟ้ายังไม่ทันสาง ขอบสีส้มเรืองรองยังไม่ทันปรากฏตรงเส้นขอบฟ้าที่ถูกบังด้วยหลังคาหมู่ตึกการค้าสกุลเมิ่ง

   เสียงขบวนพ่อค้าเคลื่อนม้าลากเกวียนออกจากศูนย์สินค้าตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้น อากาศยังหนาวอยู่เมื่อเทียบกับยามเช้าในหวงซาน ซุนซีกระชับเสื้อคลุมให้แนบผิวขึ้นอีกนิด ผ่อนลมหายใจยาวจนหัวสมองโล่ง

   อีกแค่ไม่กี่ชั่วยามขบวนเจ้าสาวจะออกเดินทางแล้ว

   หลังจากไปขอเอานมต้มร้อนๆ มาจากเด็กรับใช้ด้วยกัน สองเท้าก็พาซุนซีมาหยุดใกล้ทางเข้าเรือนพักเจ้านาย เมื่อปราศจากลมสวนด้านนอกดูคล้ายภาพนิ่ง แม้แต่ผิวน้ำก็ไม่มีริ้วระรอกคลื่น ไม่มีวี่แววหญิงรับใช้ด้านนอก ภายในเรือนเล็กคล้ายเรือนร้าง...ดูเงียบเสียจนน่าแปลกใจ

   ซุนซีสังหรณ์ไม่ดี เขาเดินผ่านสวนตรงไปหยุดที่หน้าประตูปิดสนิท เช้าอย่างนี้ต่อให้เมิ่งเซี่ยเหมยยังไม่ตื่นสาวใช้ก็ต้องตื่นแล้ว สิ่งที่ตอบมากลับมีเพียงความเงียบ

   “คุณหนูสาม คุณหนูสาม” ถามหาอีกครั้ง เมื่อเงี่ยหูฟังกลับไมได้ยินเสียงใดๆ เขาร้อนใจลงมือเขย่าประตูลงกลอนจนโยกโยน “มีใครอยู่ข้างในไหม!”

   เมื่อไม่มีเสียงตอบรับอารามตระหนกก็กระแทกประตูซ้ำๆจนเปิดผางเข้าไป หรี่ตาเพ่งมองในความมืดเห็นม่านเตียงปิดอยู่เพียงซีก ขาใครสักคนล้มนอนอยู่บนพื้นยิ่งทำให้วิตกจนแทบล้มทั้งยืน

   “เซี่ยเหมย!” ซุนซีร้องลั่น วิ่งเข้าไปประคองสตรีร่างเล็กที่นอนทรุดอยู่ – ไม่ใช่เซี่ยเหมยแต่เป็นหงเหมยคนรับใช้ เขาแทบจะปล่อยนางทิ้งลงพื้นอีกรอบแล้วถ้าไม่ติดที่มองไปรอบๆ และบนเตียงก็พบเพียงความว่างเปล่า!

   หงเหมยร้องโอดโอยเมื่อโดนเขย่าให้ฟื้นสติ นางกุมหลังคอด้วยอารามปวดไม่หาย แต่เมื่อตื่นเต็มตาขึ้นดีแล้วใบหน้าขาวแฉล้มกลับกลายเป็นซีดเผือด คราวนี้เป็นนางที่เขย่าตัวซุนซีเสียแทน

   “พ่อบ้าน พ่อบ้านซุน! ข้าจะทำอย่างไรดีคุณหนูหนีไปแล้ว!” นางหวีดร้องแทบสิ้นสติ น้ำตาไหลอาบสองแก้ม “ข้าตายแน่แล้ว ตายแน่”

   “ใจเย็นก่อน รีบเล่าให้ข้าฟังว่าเกิดอะไรขึ้น”

   ซุนซีพยายามคงสติไว้แม้สภาพไม่ได้ดีไปกว่าสาวรับใช้ตรงหน้า ฟังนางเล่าว่าราวชั่วยามก่อนตอนนางตื่นมาเตรียมตัวทำงานตอนเช้าก็เห็นเมิ่งเซียเหมยตื่นก่อนแล้ว ใส่เสื้อผ้าปลอมตัวเป็นผู้ชาย รู้ตัวอีกทีก็โดนฟาดจนสลบไป ...คราวนี้เป็นซุนซีที่นึกอยากหมดสติแทน

   เขาย้อนนึกถึงขบวนพ่อค้าเปอร์เซียที่เคลื่อนพลไปเมื่อเช้า คิดได้เท่านั้นก็กวดฝีเท้าออกมาจากเรือนพุ่งตรงไปที่ลานขนสินค้า แม้จะที่หน้าแดงเพราะเหนื่อยหอบและหายใจไม่ทันจนแสบในอกก็ยังไม่ยอมหยุดวิ่ง ในหัวคิดไม่หยุดว่าควรต้องทำอย่างไร

   สองเท้าลากอย่างอ่อนล้า กลุ่มพ่อค้าเมื่อเช้าจากไปนานโขแล้ว ซุนซีทึ้งอกเสื้อให้ตนหยุดหอบ ลากสังขารกึ่งวิ่งกึ่งเดินกลับไปที่ห้องพัก เดินไม่กลัวว่าจะปลุกใครตื่นพุ่งหยิบเอาย่ามใบโตยัดผ้าใหม่กับของจำเป็นลงไป รุดออกนอกที่พักพร้อมเงินติดตัวทั้งหมดที่มีในย่ามตรงไปที่โรงอาหาร

   ฟ้าสว่างแล้ว คนที่เฝ้าเวรยามกะดึกและคนเตรียมสินค้าเข้ามาหาอะไรรองท้องทั้งก่อนเข้านอนและไปทำงานยามเช้า ซุนซีกวาดสายตาไวๆ มองหาคนรู้จัก เมื่อเห็นแผ่นหลังเล็กๆ นั่นก็ก้าวยาวเข้าไปเรียก

   “เต๋อข่าย”

   เจ้าของแผ่นหลังงองุ้มเพราะกำลังตั้งหน้าตั้งตาใช้ตะเกียบคีบกับรีบหันมามอง เห็นว่าเป็นใครมาเรียกก็ยิ้มแป้น ก่อนรอยยิ้มจะหายวับเมื่อพบว่าพี่ชายสีหน้าไม่สู้ดีนัก

   ตงเต๋อข่ายรีบพุ้ยข้าวเข้าปาก ยกน้ำแกงดื่มอึกใหญ่แล้วถึงหันมาหาเขา เอาแขนเสื้อเช็ดหน้าเช็ดตายกใหญ่ “พี่ชายมีอะไรหรือ?”

   ซุนซีส่งย่ามใบใหญ่ให้รับไว้ ก้นถุงปูดห้อยออกมาด้วยน้ำหนักมากกว่าของอื่น ยินเสียงโลหะอัดแน่นอยู่ในนั้น

   “เจ้าลืมของ จะเดินทางก็ตามขบวนพ่อค้าตอนเช้าให้ทันสิ้นฤดูร้อน (เซี่ย) ปิ่นดอกเหมยขายอยู่ที่นั่น ท่องในยุทธภพระวังตัวให้มาก ..หากอยากกลับมาสำนักเมื่อไหร่ก็ให้กลับ – รีบไปได้แล้ว”

   ตงเต๋อข่ายมองตาโต จับดูจึงรู้ว่าเงินไม่ใช่จำนวนน้อยๆ “ข้า...นาง... ได้ พี่ชาย” เขาอ้ำอึ้งก่อนจะรีบสะพายย่ามลุกออกจากโรงเตี๊ยม เดินแผ่นหลังไวๆ ไม่ทันไรก็ขึ้นม้าหายลับตา

   ซุนซีรู้จักเด็กคนนี้มาตั้งแต่เล็ก เรื่องไหวพริบดีไม่มีใครสู้ตงเต๋อข่าย เพราะรู้เช่นนั้นถึงวางใจให้ดูแลน้องสาวคนสุดท้องของเขา

   ยืนร้อนรนอยู่อย่างนั้นไม่ทันได้วางใจดีก็ต้องรีบกลับไปรับมือชายที่แต่ไหนแต่ไรไม่ถูกหน้ากับตน เขาไม่อาจปิดเรื่องกับต้าหนิวที่เป็นคนคุมขบวนเจ้าสาวได้ หากปิดก็ปิดได้ไม่นาน สู้ให้รู้เสียตอนนี้ยังปลอดภัยกว่า คิดเตรียมใจไว้ดีแล้วจึงเดินฝ่าฝูงชนที่บ้างเตรียมของบ้างดูม้าไปหาชายร่างกำยำที่ยืนคุมงานอยู่

   แว่วๆ ว่าสินเจ้าสาวบางอย่างหายไป หลายคนวิ่งหากันวุ่น เสียงเอ็ดตะโรดังมาจากทิศที่ซุนซีกำลังเดินไป

   “ต้าหนิว” ซุนซีเอ่ยเรียก ปลายเสียงสั่นอย่างคุมไม่อยู่ “มาคุยกับข้าทางนี้”

   ชายหนุ่มเหล่สายตามองหัวคิ้วย่นยู่ ตอบรับด้วยเสียง ‘อืม’ แล้วสั่งงานทิ้งไว้ก่อนจะเดินตามเขามาที่ลับตาคนตรงหัวมุม ท่าทางหงุดหงิดเมื่อเห็นซุนซีไม่เริ่มพูดและเอาแต่มองระแวดระวัง

   “มีเรื่องอะไรให้รีบพูด” ต้าหนิวตัดบทสั้นๆ ดูรำคาญเต็มที

   “....คุณหนูสามไม่อยู่แล้ว”

   “เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไร”

   “คุณหนูสามหนีไปกับขบวนพ่อค้าต่างชาติเมื่อเช้า” ซุนซีรีบคว้าแขนเขาไว้ “เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป เรื่องนี้บอกท่านเจ็ดไม่ได้”

   ต้าหนิวชะงักฝีเท้า “เหตุใดห้ามให้ไม่บอกท่านเจ็ด” คนเถรตรงกดเสียงต่ำ ซุนซีเพิ่งเคยเห็นอาหนิวโกรธจนหน้าดำเป็นครั้งแรก เขากำหมัดทำใจสู้ได้ก็เอ่ยออกไปพอให้ได้ยินกันสองคน

   “บอกไม่ได้” คนฟังตั้งท่าจะเถียง ซุนซีรีบเสริมต่อให้จบคำ “เรื่องใหญ่เกินไป เกิดท่านเจ็ดรู้ต้องไปตามตัวคุณหนูสามกลับมาแน่ เจ้าก็รู้ว่าหากรั่วไหลถึงหูคนนอกจะกระทบกับเจ้านายเราขนาดไหน ...ทำตามแผนเดิมเถอะ เรื่องนี้ข้าจะรับผิดชอบเอง”

   “อย่าพูดพล่อยๆ!” ต้าหนิวคำรามก้อง “ชีวิตคนเจ้าจะรับผิดชอบอย่างไร เห็นเป็นเรื่องเด็กเล่นหรือพ่อบ้านซุน!”

   ซุนซีเม้มปากเป็นเส้นตรง เขาคิด...คิดได้ไม่นานก็จ้องตาเสือร้ายเขม็ง “เรื่องถึงขั้นนี้แล้วข้าถามต้าหนิวหน่อยเถิด หากน้องสาวเจ้าไม่อยากแต่งงาน เจ้าจะใจหินลากนางกลับมาแต่งลงหรือ?”

   คนถูกถามกร่นเสียงคำรามในลำคอท่าทางหัวเสียไม่น้อย ซุนซีรู้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ แต่ให้เขาเฉือนเนื้อควักหัวใจพาตัวเมิ่งเซี่ยเหมยกลับมาย่อมทำไม่ลง

   “ข้าให้เต๋อข่ายตามไปดูแลคุณหนูแล้ว” พ่อบ้านสกุลเมิ่งลูบคนร้อนใจด้วยน้ำเย็น “ดำเนินการตามกำหนดเดิมเถอะ ...เรื่องเจ้าสาวเมื่อถึงที่หมายให้ข้าจัดการเอง ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดออกไป”

   ต้าหนิวมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ คล้ายอยากพูดคล้ายไม่อยากพูด สิ้นคำขู่ว่าซุนซีต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดก็สะบัดชายเสื้อเดินกลับไป แว่วๆ เสียงเขาตะโกนสั่งให้เตรียมออกเดินทาง

   ละทิ้งอู่ชางไว้ข้างหลัง สามวันนารีหนึ่งเดียวในขบวนไม่ก้าวลงจากที่พักทั้งในเวลากินหรือในเวลานอน ‘คุณหนูไม่อยากลงจากรถม้า’ แล้วใครจะกล้าสงสัยเมิ่งเซี่ยเหมยที่อดีตเคยแผลงฤทธิ์เอาแต่ใจ? ซุนซียกสำรับข้าวขึ้นไปกินเงียบๆ คนเดียวบนห้องโดยสาร บอกกับคนอื่นเสมอว่านางไม่อยากพบหน้าใคร

   คงเสียใจบ้างล่ะ คงตื่นเต้นบ้างล่ะ พวกทหารอาจไม่ว่ากระไรหรือไม่ทันผิดสังเกต ...แต่ใครจะคิดอย่างไรก็ไม่เคยไปแก้ความให้เขา



   ห้องโดยสารสั่นไกวน้อยๆ ตามแรงย่ำเท้าของม้าเทียม เดินทางจากอู่ชางไปเสวี่ยซานใช้เวลาอย่างต่ำหลายสิบวัน ยิ่งใกล้ถึงการเดินทางยิ่งลำบาก กับคนป่วยง่ายคงไม่ต้องให้กล่าว

   ความยากลำบากระหว่างทางไม่เท่าอาการคล้ายจะเป็นไข้ที่ทำให้ขบวนต้องหยุดพักหลายครั้ง พอรุ่งสางก็ต้องรุดเดินทางต่อ อากาศฤดูนี้อาจไม่ร้อนเท่าเมื่อสองเดือนก่อน แต่การเดินทางเป็นระยะไกลทำเอาคนขี้โรคอาการกำเริบได้ง่ายๆ เช่นนี้เขายิ่งไม่รู้จะวางตัวอย่างไร

   ซุนซีอยู่แต่ในเรือนใหญ่ไม่ค่อยได้ออกมาคลุกคลีกับคนหนุ่มพวกนี้นัก พอขาดคนกลางอย่างเมิ่งเซี่ยเหมยจะคุยกับใครต่างฝ่ายต่างติดขัดเคอะเขิน เป็นอย่างนี้อยู่หลายวันจนต้าหู่เข้ามาถามเรื่องวิธีปรุงอาหารถึงได้ผ่อนคลายลง นานเข้าคนไหนๆ ล้วนเป็นคนคุ้นหน้ากันทั้งนั้น

   เมื่อปราศจากสตรีหัวข้อพูดคุยจึงเถลไถลไปบ้าง เวลานั่งกินข้าวพร้อมหน้ากันต้าหนิวที่นั่งทิศตรงข้ามกับเขาเสมอมักจะส่งเสียงคำรามดุพวกอ่อนวัยกว่าเวลาคุยลามปามกันไปเรื่อย ประชันวิทยายุทธบ้างล่ะ อนาคตบ้างล่ะ นึกอะไรได้ก็คุยขึ้นมาแทนเรื่องต่ำกว่าใต้สะดือ

   สี่เล่อหน้าตกกระที่อายุน้อยกว่าเพื่อนกำลังโบกมือโบกไม้พูดเรื่องปวดเข่าไม่หายอยู่ข้างกองไฟที่ต้าหนิวคอยเติมฟืน อะไรก็ดีถ้าไม่มีต้าหู่ผู้คร่ำเคร่งอยู่กับการท่องตำราอาหารมานั่งเบียดซุนซีจนแทบขึ้นมาเกยตัก

   “เออนี่นะ ตอบอีกข้อนะอาซุน เจ้าใส่ไข่ไก่ตอนหมักเนื้อด้วยหรือ?” ต้าหู่ถามหน้าเคร่ง

   “พี่ชาย ถ้าพี่ไม่เลิกคุยเรื่องกับข้าวพี่ต้องไปทำให้ข้ากินแล้ว ข้าหิว” เจ้าโย่งหยางท้วงขึ้นมาเสียงดัง ไม่ว่าเปล่ายังเอามือลูบท้องให้ดู

   ต้าหู่กระเด้งตัวลุกออกไป พริบตาเดียวกลับมาพร้อมหูหมาฟ่าน ที่ไม่รู้เอามาจากไหน สี่เล่อที่ควรจะนั่งอยู่คนละทางพุ่งมายัดก้อนข้าวเข้าปาก ปล่อยให้เจ้าโย่งหยางมองค้างไม่ทันได้หยิบสักก้อน

   ซุนซีนั่งฟังอยู่นานจนรู้ว่าต้าหู่ถึงนิ้วก้อยจะขาดไปข้างแถมหน้าตาคล้ายนักเลงแต่อยากเป็นพ่อครัว เห็นว่าเก็บเงินอีกสักหน่อยจะลาไปเปิดร้านที่บ้านเกิด อาหยางที่ตัวสูงกว่าใครถูจมูกแล้วพูดอ้อมแอ้มว่าปีหน้าจะขอลูกมือช่างทอผ้าแต่งงาน สี่เล่อบอกปัดเรื่องตัวเองว่าต้าหนิวที่เพิ่งแต่งก็อยากมีลูกแล้วไม่ใช่หรือ ได้ยินอย่างนั้นต้าหนิวที่นานทีจะพูดก็หน้าแดงจนดำทะมึน พอถามว่าอาซ้ออยากได้ลูกสาวหรือลูกชายเขาไม่ยอมตอบแต่ซัดฝ่ามือใหญ่ลงแผ่นหลังคนถามหน้าคะมำ

   คนอื่นๆ ที่ล้อมกองไฟหัวเราะครืน ใครสักคนร้องเพลงระหว่างที่อังมือด้านตะปุ่มตะป่ำอย่างคนทำงานหนักผิงไฟคลายหนาว ไออุ่นจากกองไม้ที่ปล่อยควันลอยขึ้นฉุยกับเสียงคุยเดี๋ยวดังเดี๋ยวเงียบ รอจนฟ้ามืดพักใหญ่ถึงแยกย้ายผลัดเวรกันนอน



   อีกไม่ถึงสามวันขบวนรถม้าจะไปถึงเมืองเสวี่ยซาน ย่ำยามเย็นทัศนียภาพแปลกตาไปกว่าเก่าแต่ไม่นับว่าแย่เท่าที่คาดการณ์ไว้ ต้นไผ่ขึ้นทึบหนาสูงเทียมฟ้า ป่าถางและกั้นทางด้วยกำแพงหญ้าแห้งผูกคั่นทิวไผ่ ใบเรียวเสียดสีลมและโน้มเอนลงเหมือนซุ้มศาลาเป็นทางยาว เมื่อขึ้นเนินเขาต้นไม้ใบเขียวก็เริ่มบางตา แม้อาทิตย์ยังไม่ลับอากาศกลับเย็นไม่หาย ตลอดเส้นทางไม่พบคนเดินเท้าหรือเกวียนสักคันรถ บรรดาคณะเดินทางเหนื่อยและเฝ้ารอคอยมื้อเย็นที่จะมาถึงในความเงียบ เมื่อปราศจากบทสนทนาเสียงย่ำเท้าและล้อบดพื้นกรวดจึงดังยิ่งกว่าเวลาไหน

   ซุนซีรื้อห่อผ้าอยู่ในห้องโดยสารสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาแกะปมดูของข้างในแล้วเร่งหยิบห่ออื่นขึ้นมาใหม่ คนร้อนใจเปิดไปจนพบหยกผูกพู่แดงกับพับผ้าสีอ่อน เมิ่งเซี่ยเหมยไม่เพียงจงใจหยิบผิดยังทิ้งชุดผู้หญิงกองโตเอาไว้ให้เสียอีก..

   เขามองเทียบกับกองชุดเก่าที่ใส่สลับซักมาทั้งเดือน หลายตัวเป็นของเก่ามีทั้งรอยปะชุนทั้งผ้าย้วยจนใกล้ขาด สีล้วนมอซออย่างชุดคนรับใช้ใส่ทำงานเลอะเป็นประจำ – เข้าใจในทันทีว่าใส่ไปพบหน้าเจ้าเมืองแล้วจะโดนไล่ตะเพิดออกมาได้กี่รูปแบบ

   ผู้โดยสารเพียงคนเดียวในรถม้าคันงามเอื้อมเอาสลักไม้ขัดประตูเข้าที่ เปลื้องชุดมอมแมมออกกองไว้ฝั่งหนึ่ง ถูมือกับด้านในเสื้อเก่าจนมั่นใจว่าสะอาดดีแล้วถึงหยิบชุดสตรีขึ้นคลี่ระดับสายตา

   “...” กลิ่นหอมจางๆ กรุ่นมาจากชุดพลิ้วกรุยกรายและห่อพับผ้า ซุนซีลูบไปตามเนื้อผ้าไหมทอบางลื่นมือ ค่อยๆ หลับตาลงระหว่างเกลี่ยนิ้วไปบนชุดตัวงาม

   เขาสอดแขนผ่ายผอมสวมทีละชิ้นอย่างระวัง รับรู้สัมผัสแขนเสื้อเย็นเยียบยามทาบผ่านผิว ผูกผ้าคาดและจัดให้เข้าทีอยู่บนรถม้าโคลงเคลง ลายปักที่ชายผ้าส่ายไหวๆ เหมือนมีชีวิต รองเท้าผ้าไหมไม่พอดีเท้าสวมแล้วให้ความรู้สึกแปลกกว่าครั้งที่เคยถูกบังคับให้ใส่

   ดวงตาซุนซีปรือลงครึ่งหนึ่ง รอยยิ้มเบาบางปรากฏที่สองมุมปาก ข้อนิ้วยาวลูบอยู่กับป้ายประจำตัวของคุณหนูสาม สัมผัสหยกทั้งเย็นและรู้สึกดี

   ซุนซีส่ายศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่าน เขาเตรียมถอดกลับไปใส่ชุดตัวเก่าตามเดิม มือไม่ทันดึงสายคาดออกร่างผอมก็ถูกเหวี่ยงกระแทกผนัง

   ม้าออกวิ่งห้อตะบึงจนห้องโดยสารเขย่าโยน ซุนซีคว้าเอาไม้คานเป็นหลักยึดเมื่อเท้าเริ่มอยู่ไม่ติดพื้น เขาตระหนกเกินกว่าจะส่งเสียงร้อง ด้านนอกมีแต่เสียงเอะอะโวยวาย คนตะโกนร้อง ม้าหวีดเสียงแหลมแปลกลั่น ไม่นานห้องสีเหลี่ยมก็กระแทกโครมใหญ่ ม่านกั้นฉีกตามแรงดึงก่อนผนังไม้จะพังลงกับตา

   ชายร่างเล็กขดคุดคู้อยู่ในซากรถโดยสาร ปวดไปทั่วเหมือนถูกเหยียบด้วยฝูงกระทิง แขนข้างที่จับไม้โครงรถม้าไว้แน่นชาจนถึงหัวไหล่ เขาพยายามมุดลอดออกมาทางบานประตูที่หักแหว่งซีกหนึ่ง

   อาทิตย์ใกล้ลับฟ้าแล้ว ทั้งฝุ่นควันทั้งแสงที่จวนจะหมดอาบรอบด้านเป็นสีแดงฉาน กลุ่มคนจากบนเขาเฮโลลงมาพร้อมเสียงโห่ร้องกึกก้อง ดวงไฟจากคบเพลิงแกว่งไกวฉาบอาวุธในมือเป็นประกายอย่างดวงตามัจจุราช เท้าขยี้เหยียบบนธงสำนักคุ้มภัย

   เส้นแสงสุดท้ายค่อยๆ ถูกกลืนด้วยความมืดหมดไปพร้อมลมหายใจของคนคุ้มกันขบวน ซุนซีขดตัวอยู่ใต้เงาซากรถม้า วัตถุเย็นเยียบแตะเข้าที่ลำคอเขา เมื่อเงยจึงพบภาพสะท้อนในดวงตาพร่ามัวเป็นร่างเงาสูงใหญ่ คบไฟจากมืออีกข้างฉายให้เห็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม

   “ท่าทางคราวนี้จะได้แกะตัวโต”

---------------------------
ขอโทษด้วยนะคะมาอัพช้ากว่าปกติ ศุกร์ที่แล้วเราติดธุระแล้วยาวเลยเพิ่มจะได้มาวันนี้
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่12 20/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 20-01-2020 18:54:28
 :hao7:

  :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่12 20/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-01-2020 20:21:43
ตายแล้ว! คงไม่ถูกโจรจับไปใช่ไหม รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่12 20/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-01-2020 21:13:40
  o22 :z3: :เฮ้อ:   สาวน้อยเอาแต่ใจตัวเอง หนีพิธีแต่งงาน
อย่างที่คิด พี่ใหญ่ก็ต้องเป็นตัวแทนเจ้าสาวจริงๆ
เจอโจรเข้าอีก จะเป็นยังไงกันละเนี่ย  :serius2: :mew2:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่12 20/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 22-01-2020 17:40:56
หรือโจรจะเป็นพระเอก?
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่12 20/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: nekodollzz ที่ 24-01-2020 18:29:29
ตัวละครออกมาเต็มจนจะจำชื่อไม่ได้แล้ว
แต่พระเอกอยู่ไหนน่อ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่12 20/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 25-01-2020 12:08:36
ว้อยยยยย ค้างงงงง กำลังลุ้นหนักมาก 5555 จะเป็นใครยังไงละทีนี้ เฮ้ยย!! สนุกมากอ่ะ ภาษาก็ดี อ่านรวดเดียวแบบวางไม่ลงเลย ติดงอมแงมแล้วตอนนี้ แม้บทของสามสาวจะเด่น แต่ก็คอยดูว่าซุนซีเราจะไปทางไหนยังไง มันเลยต้องให้อ่านต่อแบบยาวๆ สนุกจริง รอตอนต่อไปจะไม่ไหวแล้วค่ะ 5555555 ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายและมาอัพลงในนี้ให้ได้อ่านกัน รรรรรรรรรรรรรรรรตอนหน้าเลยค่ะ ลุ้นมาก สนุกอ่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่12 20/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 31-01-2020 17:47:11
บทที่ 13

   “ทำไมลูกพี่ไม่สั่งให้ฆ่านางเสีย ปกติเราไม่เคยให้ใครรอดไม่ใช่หรือ”

   “อย่าส่งเสียงดัง! หัวหน้าสั่งมาอย่างนี้ก็ทำตาม”

   “แล้วไม่กลัวมันหนีไปได้หรือ ถ้ามันหนีไปแจ้งความจะทำอย่างไร!”

   “ไอ้เต่าโง่ ดูมันป่วยก็ปานนี้ มันคงเป็นคนสำคัญหรอกถึงต้องเก็บตัวไว้”

   “อ้อ.. ที่แท้ก็เป็นคนที่ไอ้พวกเคราเทาตามหา”

   “เออสิ! ดูแลไม่ให้มันตายเสียก่อนก็พอ”


   ซุนซีตกในภวังค์เพราะพิษไข้ เมื่อฟื้นสติยังพอได้ยินลูกน้องคุยกันถึงราคาค่าตัวเช่นนี้ บางครั้งก็กล่าวว่าเขาเป็นอนุคนใหญ่คนโต บางครั้งก็คุยว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ เอาเถอะ นับว่าหัวหน้าโจรมิได้โฉดเขลาเสียทีเดียว ..ไม่อย่างนั้นเขาคงได้ไปปรโลกพร้อมผู้อื่นนานแล้ว

   ในครั้งนี้ซุนซีรับผิดชอบชีวิตที่สูญไปไม่ไหว เมื่อนึกถึงก็ทำเอาอาเจียนไปหลายรอบ

   เขาหลับๆ ตื่นๆ ไม่รู้วันรู้เวลา เมื่อยามตื่นโลกหมุนภาพพร่าเบลอ เมื่อยามหลับยังได้ยินเสียงดาบเฉือนเนื้อและเสียงกรีดร้อง เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนทั้งร่างนั้นหนักนับพันชั่ง ขมับตลอดจนท้ายทอยปวดร้าวปานศีรษะจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ลมหายใจก็ร้อนเป็นเพลิงโลกันต์

   หากเขาไม่ดันทุรัง ผู้อื่นคงไม่ต้องมาทิ้งชีวิตในป่าอย่างนี้

   ซุนซียังไม่รู้ว่าตนจะเจรจาสำเร็จหรือเปล่าด้วยซ้ำ รู้ก็แต่มีคนต้องตายเพราะเขาถึงหลายชีวิต เด็กหนุ่มได้แต่ถามว่าสวรรค์จะให้ตนรอดมาเพื่ออะไร

   ในความมืดฝ่ามืออบอุ่นของใครสักคนจับมือเขาไว้ ซุนซีไม่ได้ขยับหนี สองตาเขาบวมและปิดสนิทจนมองไม่เห็น จมูกก็ตันจนหายใจลำบาก สัมผัสสากๆ จากผืนผ้าเนื้อหยาบซับทั้งแก้มและหน้าผากชุ่มเหงื่อ คนป่วยไม่ได้ยินเสียงอะไร ดวงตาเขาเห็นราตรียาวนานชวนหนาวลึกถึงกระดูก กายยังพอได้รับสัมผัสอบอุ่นเป็นแสงไฟ ความเงียบขณะนั้นถูกเติมเต็มด้วยการมีอยู่ของตัวตนไร้เสียง น้ำตาค่อยเหือดแห้งลงช้าๆ พร้อมสติสัมปชัญญะที่ลางเลือนไปทุกที..ทุกที…

   ไม่รู้ว่าครวญสะอื้นที่ได้ยินเกิดแต่ลมที่พัดมาจากดินแดนห่างไกล...หรือเกิดจากเสียงร่ำไห้เขาเอง



   เปลือกตาเปิดช้าๆ ตามด้วยสัมผัสเฝื่อนฝืดของลำคอแห้งผาก ศีรษะหนักและความรู้สึกร้อนผะผ่าวไม่พึงประสงค์ยังไม่สร่างไปไหน ภาพตรงหน้าพร่าเหมือนกำลังฝัน ซุนซีกระพริบตาซ้ำๆ ไล่ม่านสลัวในดวงตา พยายามหยัดตัวขึ้นนั่งแม้จะยังปวดล้าไปทั้งตัว เสื้อผ้าถึงเขลอะฝุ่นเลอะดินยังอยู่บนร่างครบทุกชิ้น รองเท้าผ้าไหมติดคราบบางอย่างเป็นรอยเข้มแต่ไม่ใช่เวลาจะมานั่งใส่ใจ ถึงนั่งเฉยๆ แต่หัวเขาหมุนเหมือนโลกเอียงอยู่หลายรอบ

   ซุนซีรู้สึกคลื่นเหียนทว่าท้องโล่งไม่มีอะไรให้ขับออกอีกแล้ว มือเหนอะฝุ่นกดปากเอาไว้ สูดหายใจเอากลิ่นเหม็นหืนเข้าช้าๆ จนจมูกชิน เมื่อร่างกายไม่ต่อต้านแล้วถึงพบว่าข้างตัวมีหมั่นโถวเย็นชืดอยู่ในชามขอบบิ่น กับกระบอกไม้ไผ่มีสายร้อยตั้งข้างกัน คนโหยถึงอยากดื่มตะกละตะกลามแต่กลับค่อยๆ จิบช้าๆ สลับกับกัดแป้งนึ่งรสเฝื่อน จากนั้นมือที่สั่นจนน่ากลัวจึงค่อยนิ่งขึ้นทีละน้อย

   คนเพิ่งฟื้นไข้ไม่อิ่มท้องแต่กำลังวังชาเริ่มกลับคืนมาสามส่วน ซุนซียังกอดกระบอกใส่น้ำเอาไว้กับตัว สายตาไล่มองไปรอบด้าน พบว่าตนอยู่ในคุกสร้างจากไม้ก่อเป็นห้องเล็กๆ ดูคล้ายกรงสัตว์มากกว่าที่อยู่อาศัย พื้นที่เขานั่งปูด้วยฟางชื้นๆ ต้นตอกลิ่นเหม็นหืน อีกฝั่งมีชายผมเผ้ายาวรุงรังปิดหน้าปิดตาหัวเขลอะติดด้วยเส้นฟางและเศษหญ้า เนื้อตัวขะมุกขะมอมส่งกลิ่นอย่างพวกขอทานร่างกายไม่เคยโดนน้ำ

   ซุนซีคะเนไม่ถูกว่าอีกฝ่ายสูงใหญ่ขนาดไหนเพราะเอาแต่นั่งคุดคู้อยู่มุมกรง ซุกตัวใต้กองฟางเหมือนพยายามหลบซ่อนตัวเองจากแสงและสายตาบรรดาโจรข้างนอก ไม่รู้ว่าโดนจับมานานแค่ไหนผิวกรำแดดส่วนพ้นผ้าถึงได้มีแต่รอยช้ำและแผลถลอกทั้งใหม่เก่า

   “....” ผู้มาใหม่ไม่รู้จะกล่าวอย่างไร มองแล้วนอกจากเพื่อนร่วมตกทุกข์คนนี้ก็มีเพียงแต่เขา ความหวังเช่นดวงไฟริบหรี่ดับมอดลง ชัดแล้วว่าคนอื่นไม่รอดชีวิต

   คนคุมนักโทษเหล่สายตาอยู่ครั้งสองครั้ง พอมองเป็นครั้งที่สามก็เดินกลับไปร่วมวงกับลูกน้องโจรคนอื่นๆ มันคงคิดแต่ว่าคนหนึ่งบ้าใบ้อีกคนเป็นผู้หญิงป่วยร่างผอม...กลางค่ายอย่างไรก็หนีไม่รอด ซุนซีเอาหัวพิงซี่กรง ไม้เนื้อแข็งต้นอวบตอกและมัดเข้าด้วยกันแน่นหนา ไข้รุมๆ ยิ่งทำให้เขาหัวตื้อไม่สบายตัว

   “...พี่ชายอยู่ที่นี่ตัวคนเดียวหรือ” เขาชวนคุยเสียงเหนื่อย “ข้าก็เหมือนกัน เหลือแต่ข้าคนเดียว”

   คนคุกเงยศีรษะขึ้นมองตามเสียง ดูแล้วคงพูดไม่ได้ทำเพียงพยักหน้าให้ช้าๆ คู่เสวนาเห็นอย่างนั้นถึงยิ้มออก

   “ดูแล้วท่านไม่ใช่คนมีเงิน ทำไมถึงมาอยู่ในนี้ได้”

   คำตอบเป็นการวาดมือไปบนอากาศ ชี้ตนเองก่อนสองมือจะทำคล้ายว่ายกของจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่ง ผู้ถามสุดจะเดาก็หลับตาลงดื้อๆ

   “ท่านดูไม่ใช่คนเลวร้าย ...คงไม่ใช่ขโมยของโจรถึงโดนจับหรอกใช่ไหม” ซุนซีถามไปอย่างนั้น เปลือกตาหนักเกินกว่าจะรอดูคำตอบ

   เจ้าใบ้ลดแขนลงแนบลำตัว ลอบมองอยู่พักหนึ่งก็ลดศีรษะขดร่างลงซุกตัวหนีลมหนาว ชื้นกองฟางทั้งไรแมลงเกาะหาเลือดและไออุ่น ค่ำนี้หากเงยหน้าขึ้นจะพบจันทร์เหลือเพียงเสี้ยวเล็ก แสงดวงน้อยสุกสว่างขึ้นเต็มฟ้ากว่าทุกที น่าเสียดาย..ไฟจากคบเพลิงและควันดำเป็นทางยาวห่อฟ้าจนไม่เห็นดาว



   เจ้าสาวตัวปลอมบัดนี้คุกเข่าหมอบคาดตาด้วยผ้าอยู่กลางวงล้อมในกระโจม เบื้องหน้ามีชายวัยเข้ากลางคนนั่งอยู่บนบัลลังก์หนังสัตว์ ขนาบซ้ายขวาด้วยลูกน้องคนสนิทท่วงทีวางอำนาจ เพิงห้องประชุมแน่นไปถนัดตาเมื่อชายร่างใหญ่อัดกันอยู่เต็มห้อง

   “คนของสำนักคุ้มภัยใช่ว่าจะมีฝีมืออย่างคำเล่าลือ ดูท่าข้าจะคาดหวังไว้สูงเกินจริง” หัวหน้าโจรกล่าวทั้งยิ้มแสยะ

   เหยื่อไม่ตอบโต้ทำแต่เพียงก้มศีรษะ สองตามองไม่เห็นสิ่งใด สองแขนถูกมัดไพล่ไปด้านหลังแค่จะขยับก็ลำบาก

   “ถ้าแม่นางน้อยให้ความร่วมมือกับข้าก็ปลอดภัย ชาวยุทธ์อย่างเราเคารพกฎถือคุณธรรมไม่ต่างจากสัมมาอาชีพอื่น ถึงเป็นโจรแต่ข้าถือคติไม่ทำร้ายผู้หญิงหากไม่จำเป็น...แม่นางน่าจะรู้ดีกว่าใคร”

   “อย่าอ้อมค้อมเลยไต้อ๋อง ท่านต้องการอะไรจากข้าน้อย” สรรพนามกล่าวอย่างให้เกียรติ เนื้อเสียงแม้จะแหบแผ่วแต่ไร้แววกังวล ดูนิ่งจนน่าสงสัย

   ชายบนบัลลังก์อุปโลกน์ฟังแล้วยิ้มพึงพอใจ “อย่างนั้นบอกมาว่าเจ้าเป็นคนของสกุลไหน”

   “เรียนไต้อ๋อง ข้าน้อยเป็นลูกสาวบ้านไหนเกรงว่าไม่สำคัญเท่าข้าน้อยเดินทางมาแต่งกับใคร”

   “สามีเจ้าคงเป็นคนใหญ่คนโตอย่างนั้นสิ? ไหนลองบอกชื่อของเขามา”

   “...อวี้ สามีข้าน้อยคือไต้เท้าอวี้แห่งเมืองเสวี่ยซาน”

   ได้ยินคำตอบดังนั้นใบหน้าไต้อ๋องพลันเปลี่ยนเป็นชิงชัง ไฟแค้นไม่เพียงประทุอยู่ในดวงตามหาโจร มันยังปรากฏอยู่ในดวงตาทุกคู่ของชายฉกรรจ์คนอื่นๆ ในกระโจมเช่นเดียวกับกระแสความหวาดวิตก

   ตำแหน่งมือขวาโน้มไปกระซิบกระซาบบางอย่างกับผู้เป็นนายท่ามกลางเสียงยุให้ฆ่าทิ้งจากรอบด้าน ซุนซีพอจับใจความได้ว่าเขาคงถูกใช้ประโยชน์เป็นตัวประกัน แปลกที่ทุกคนในห้องไม่มีใครนึกสงสัยว่าเขาโกหกแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะจำนวนสินสอดที่ขนมา ชุดผ้าไหมราคาแพงที่เขากำลังสวมใส่ ..ไม่อย่างนั้นก็เรื่องที่พวกมันคุยกันตอนเขานอนจับไข้

   ซุนซีทำใจกล้าเอ่ยขัดขึ้นมา “ไต้อ๋องผู้ยิ่งใหญ่ ถ้าท่านคิดจะเรียกค่าไถ่เจ้าสาวหรือขู่ขวัญเจ้าเมืองก็โปรดรีบทำเถิด กักตัวข้าไว้รังแต่นำปัญหามาให้ท่าน --”

   นักโทษใต้อาณัติหยุดไอโขลก เสียงหายใจเป็นเสียงลมหวีดฟังดูน่ากลัว แม้กระทั่งหัวหน้าโจรก็ทำเพียงรอเงียบๆ ให้อีกฝ่ายต่อบทสนทนา พวกที่ขู่ให้ฆ่าดวงตาพลันสว่างราวเกิดความคิดตามเขาชี้โพรง

   “...ไต้อ๋องคงไม่อยากให้ตัวประกันมาป่วยตายเปล่าประโยชน์ในคุกท่านใช่หรือไม่?” เหงื่อผู้พูดผุดพรายทั่วหน้าผาก “ข้าเพียงอยากแต่งกับขุนนางแต่ไม่อยากตายในป่า .. หากข้าตายท่านก็เจรจาล้มเหลว นอกจากจะไม่ได้อะไรเลยกลุ่มพี่น้องของท่านจะเสี่ยงมีเรื่องกับทางการเปล่าๆ”

   ไต้อ๋องบนบัลลังก์อุปโลกน์เคาะนิ้วใช้ความคิด “แม่นางน้อย จะให้ปล่อยตัวไปง่ายๆ ไม่คิดว่ามันตลกไปหน่อยรึ?”

   “กิตติศัพท์ไต้อ๋องไกลไปถึงเมืองหลวง ข้าน้อยเป็นคนรักชีวิตยิ่งกว่าเงินทอง หากปล่อยเป็นอิสระข้ายินดีสาบานว่าเรื่องจะไม่สาวถึงตัวท่านเป็นแน่”

   “อนิจจา! จิ้งเหลนทองนั่นได้นางจิ้งจอกเป็นภรรยาหรือนี่” กลุ่มโจรหัวร่อหยันเหยียดประสานเสียงกันครืนใหญ่ ลูกน้องคนสนิทแย้งขึ้นมาว่าเป็นแค่ลมปากคำสาบาน ซุนซีรีบขัดไม่ปล่อยโอกาส

   “ท่านจะไม่ต้องเสี่ยงทางการออกค้นหาหรือเสี่ยงเป็นศัตรูกับสำนักคุ้มภัย ไต้อ๋องผู้ยิ่งใหญ่ ข่าวว่านอกจากทางการ ชุมโจรใหญ่อีกกลุ่มคิดเหิมเกริมคอยขัดประโยชน์ท่านอยู่มิใช่หรือ? ข้าจะเขียนจดหมายบอกเจ้าเมืองว่าโจรอีกกลุ่มมาปล้นและจับตัวข้าไว้ ท่านแค่รอให้ศัตรูของท่านถูกจัดการ เรียบร้อยเมื่อไหร่ไต้อ๋องค่อยปล่อยตัวข้า – ขอเพียงไม่ทำร้ายข้า จะให้ทำอะไรข้าน้อยก็ยินดีรับใช้”

   ฟังแล้วหัวหน้ากลุ่มโจรเกิดลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง “แค่สัญญาใครก็พูดได้ จะเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้โกหกเอาตัวรอด”

   “จดหมายข้าจะเขียนต่อหน้าท่าน ฝากเจ้าใบ้เอาไปส่งที่จวนส่วนตัวข้าอยู่ที่นี่ ท่านให้ลูกน้องท่านตามไปดูถึงในเมืองย่อมได้ ถ้าคิดหักหลังจริงให้มาฆ่าข้าได้ทันที ..ไต้อ๋องคงไม่ได้กลัวคนใบ้ตัวคนเดียว ข้ากล่าวถูกหรือไม่?”

   “ส่งไอ้หัวขโมยนั่นไป? เฮอะ! แม่นางน้อย นอกจากคิดว่าตัวเองเป็นแม่พระ เจ้ายังคิดว่าตัวเองมีอำนาจต่อรองให้ข้าปล่อยคนอื่นด้วยหรือ”

   “โจรก็เป็นโจรวันยังค่ำ” เพียงประโยคนี้ก็ทำลูกไล่คนอื่นนึกฉุน ซุนซีรีบพูดต่อไม่ทิ้งจังหวะ “นอกจากไต้อ๋องที่มีบารมีปกครองผู้คน ท่านจะไว้ใจลูกน้องคนอื่นให้ไปยืนต่อหน้าเจ้าเมืองอวี้ได้หรือ ชีวิตไอ้ใบ้เป็นอย่างไรข้าไม่สน แต่มันยังดูเป็นชาวบ้านไม่รู้ประสากว่าคนของท่าน ในเมื่อเป็นสารขอความช่วยเหลือมิใช่เรียกค่าไถ่ ไม่เหมาะจะส่งคนบ้าใบ้ไม่รู้ประสาไปหรอกหรือ”

   รู้จักดึงต้องรู้จักผ่อน หัวหน้ากลุ่มโจรหรี่ตาลง มือลูบเคราช้าๆ ก่อนรอยยิ้มจะผุดขึ้นที่สองมุมปาก



   หยดสีน้ำตาลเข้มเปื้อนเสื้อแพรเป็นจุดทั่ว เจ้าของชุดเพิ่งสังเกตเห็นก็เมื่อกลับเข้ามานั่งหลบลมหนาวในกรงขังแล้ว มันไม่ใช่เลือดของคนใกล้ตายที่แม้แต่เรี่ยวแรงจะลุกเดินยังแทบไม่เหลือ ไข้ขึ้นสูงทำเอาหัวซุนซีมึนตื้อไปหมด ตามจริงหากให้เขาต้องเจรจาเยื้อนานกว่านี้สักหน่อยสมองคงไม่มีกำลังพอจะคิดหาวิธี

   จดหมายที่เขาเขียนคงพับเรียบร้อยอยู่ที่ใดสักแห่งในกระโจมหัวหน้าโจร วันนี้เป็นคืนเดือนมืดและค่ำเกินจะออกเดินทาง ผู้ส่งสารจำเป็นจึงยังนอนขดไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ที่มุมเดิม ลำตัวซีกหนึ่งพิงกรงไม้อีกซีกฝังอยู่ใต้กอฟางชื้นๆ

   “พี่ชาย..” คนยังตื่นอยู่กระซิบเรียก เสียงเขาเบาเสียจนแทบถูกกลบด้วยลมพัดโกรกยามค่ำ

   เจ้าใบ้ลืมตาขึ้นโพลงในความมืด ก่อนดวงตาจะยิ่งเบิกกว้างเมื่อคนเรียกถดตัวมานั่งเบียดอยู่ข้างกันเรียบร้อย นักโทษหนุ่มพยายามจะเบี่ยงหนีแต่มือซูบเซียวคว้าตัวไว้เสียก่อน

   “...พี่ชายฟังข้าให้ดีนะ วันพรุ่งพวกมันจะให้ท่านไปส่งจดหมายที่จวนเจ้าเมือง ท่านต้องอดทนไม่วิ่งหนี พอถึงจวนเมื่อไหร่ให้หาทางเข้าไปข้างใน” ซุนซีกระซิบพลางมองซ้ายขวา ยัดชิ้นหยกใส่มือคนพิการเมื่อแน่ใจว่าปลอดคน “เอาป้ายหยกให้คนที่นั่นดู บอกว่าขบวนเจ้าสาวเหลือพี่ชายรอดชีวิตคนเดียว”

   เจ้าใบ้บีบมือคนพูดจ้อไว้แน่น ดวงตาซ่อนหลังผมยาวฉายแววแข็งกร้าวคล้ายจะปฏิเสธ เจ้าสาวตัวปลอมกุมมือสกปรกคู่นั้นไว้ไม่รังเกียจ

   “ท่านเป็นคนรับใช้รอดชีวิตคนเดียว.. ไม่ต้องกลับออกมาจนกว่าโจรจะไป หาทางบอกเขาว่าที่ตั้งโจรป่าสองกลุ่มอยู่ที่ไหน – วาดแผนที่ ใช้มือ บอกอย่างไรก็ได้” ซุนซีหยุดพูด ไอเสียงน่ากลัวพักใหญ่

   ป้ายหยกขอบบิ่นในมือเจ้าใบ้สลักอักษรเซี่ยเอาไว้ ซุนซีฝากด้วยความหวังว่าไต้เท้าผู้นั้นจะเชื่อและช่วยเหลือ ทว่าเจ้าใบ้กลับดันทุรังส่งคืน ส่ายศีรษะช้าจนผมพันรุงรังแกว่งไหวๆ

   “พี่ชาย ข้าช่วยพี่น้องไม่ได้สักคน... ได้เจอกันคราวนี้นับว่าเป็นลิขิตฟ้า อย่างน้อยให้โอกาสข้าได้ช่วยท่านเถอะ” เสียงเขาเหมือนคนจะขาดใจ “เหลือเวลาไม่มากแล้ว ทำตามที่ข้าขอ.. ให้สัญญากับข้าได้หรือไม่?”

   เจ้าใบ้นิ่งไปนาน จนคนถามทวนซ้ำจึงได้คำตอบเป็นการพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ ซุนซีที่ล้าตาแทบปิดเห็นแล้วถึงยิ้มออก

   “..เข้านอนเถอะ ท่านอาจต้องเดินทางแต่เช้า” มือผอมตบเบาๆ บนหลังมือเจ้าใบ้ ก่อนเขาจะขดตัวกลับไปซุกกับกองฟางมุมกรงตามเดิม ..ไม่ได้ใส่ใจเลยว่าเจ้าใบ้จะยังก้มมองมือตัวเองอยู่ท่าเดิมไม่ขยับไปไหน

   ลมหนาวพัดเข้ามาผ่านกรงไม้ตอกจนคนคุกได้แต่นอนสั่น เสียงเอะอะโวยวายลอยมาแต่ที่ห่างไกล เจ้าสาวตัวปลอมกอดตัวเองให้แน่นขึ้น หนังตาหนักอึ้ง ถึงแม้มีแรงก็คงไม่ลืมตาดูเหตุการณ์

   เสียงถล่มตึงตังดังชัดขึ้นเรื่อย กลิ่นเหม็นไหม้ฉุนอวลมาแตะจมูกเข้มขึ้นทีละน้อย ตามด้วยย่ำฝีเท้าโจรสักคนวิ่งเข้ามาแกะโซ่กรง

   “บัดซบ! เดรัจฉานลี่เฟิงหักหลังพวกเราแล้ว” เสียงเหล็กกระทบผสมคำสบถดูร้อนรน คนกำลังหลับด้วยเพลียพิษไข้ถูกกระชากถูลู่ถูกังออกไปข้างนอก เขาไม่มีกำลังขัดขืน เปลือกตาปิดสนิทราวเรี่ยวแรงถูกสูบหาย

   จู่ๆ แรงเยื้อลากพลันหยุด มือแข็งแรงที่บีบแขนคลายออกก่อนร่างหนึ่งจะล้มลงทับตัวซุนซี เขาจำต้องพยายามลืมตาอีกครั้ง – ภาพที่เห็นเป็นสีเลือดสว่างจ้าวูบไหวด้วยไอเพลิงล้อมอยู่รอบตัว ประกายสะเก็ดส่องฟ้าสว่างดุจกลางวัน เสียงไม้ลั่นเปรี๊ยะ หายใจเอาอากาศแต่ละครั้งก็สูดควันเข้าจมูกแสบลามไปถึงปอดจนเผลอสำลัก

   ร่างที่นอนทับเขาอยู่มีธนูปักเข้ากลางอกแม่นยำ ดวงตามันเบิกกว้าง สีหน้าสุดท้ายหวาดวิตกไม่ได้ต่างกับคนเป็นที่กำลังถดหนีร่างไร้วิญญาณ ในหัวเขาคิดถึงโจรอีกกลุ่มที่หัวหน้าโจรเคยพูดถึง ริมฝีปากแห้งแตกสั่นน้อยๆ ได้สติก็รีบคลานกลับไปที่กรงไม่ห่างกัน

   -- เจ้าใบ้หายไปแล้ว

   ซุนซีพยายามมองหาเพื่อนร่วมชะตากรรม ล้มลุกเข่าครูดพื้นจนผ้าทะลุกรวดดินบาดเนื้อ สองเท้าก้าวสะเปะสะปะไปเรื่อย พอเพลิงเลียเอาชุดรุ่มร่ามติดไฟ เขารีบถอดเสื้อชั้นนอกออกไม่นึกเสียดาย ลมหนาวยิ่งบาดเข้าถึงกระดูกเหมือนอุ่นกองเพลิงไม่ช่วยบรรเทา เหงื่อท่วมจนเสื้อลู่ติดผิวเหนอะกายแต่ยังหนาวไปถึงข้อกระดูก

   แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยนึกกลัวตาย ทว่าเมื่อถึงเวลาจึงรู้ว่าไม่พร้อมรับมือเพียงใด ในหัวคิดแต่จะหาทางรอด เสียงโห่ร้องเมื่อดังจากฝั่งใดก็เหมือนเสียงยมทูตก่นคำราม ไฟท่วมทั่วราวไฟนรก ไปทางใดก็พบแต่ศพย้อมเลือดแดงฉาน

   ระหว่างนี้เขาไม่รู้สึกเลยว่าเท้าเปล่าเป็นแผลพอง มันคล้ายว่าร่างกายไร้ความรู้สึกเจ็บปวด

   เขาล้มลงนั่งพิงกองไม้ รอบด้านโอบล้อมด้วยเปลวไฟแดงฉานสว่างจ้า ควันดำเป็นเงาร่างมัจจุราชตลบคลุ้งวูบไหว สะเก็ดขี้เถ้าว่อนไปทั่วทั้งเสียงกรีดร้องโหยหวนแว่วมาจากทุกแห่งหน -- หากปรโลกมีจริงคงไม่ผิดไปจากนี้

   ใบหน้ามารดาวิ่งเข้ามาในห้วงความคิดครานี้ชัดเจนกว่าทุกครั้ง รอยยิ้มอบอุ่นกับแก้มซูบตอบ ดวงตามองเขาด้วยรักไม่เคยหน่าย มืออบอุ่นที่กร้านกระด้างเพราะงานหนัก กลิ่นหอมเป็ดอบใบชาเจือกลิ่นไหม้ฟืน และเสียงนุ่มนวลคอยพร่ำสอนอย่างใจเย็น...

   ชั่วลมหายใจทุกอย่างพลันมืดลง



-----------

ตอนหน้าพระเอกออกแล้วค่ะ จริงๆค่ะคราวนี้ สาบานด้วยเกียรติยุวกาชาดเลยเอ้า
เราไม่ได้มาอัพศุกร์ที่แล้วไม่มีอะไรจะแก้ตัวค่ะ ขอโทษถ้าทำให้รอนะคะ /ขดหมอบ
แต่ๆๆวันอาทิตย์นี้จะมาอัพเพิ่มให้อีกตอนนะคะ ถ้าหายไปไม่มาอัพมาตีเราได้เลยค่ะ!
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่13 31/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 01-02-2020 09:52:19
รอๆ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่13 31/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-02-2020 12:39:55
พระเอก! ในที่สุดก็จะออกมาเสียที รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่13 31/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 01-02-2020 20:56:16
ใครก็ได้มาช่วยซุนซีเถอะ ทั้งโจรทั้งป่วย อดทนนะซุนซี รอตอนต่อไปเลยค่ะ สนุก ชอบ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่13 31/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-02-2020 23:37:43
 :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่13 31/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-02-2020 23:48:54
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่13 31/01/63
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 02-02-2020 20:00:19
บทที่ 14

   เปลือกตาปรือเปิดเอื่อยช้า ภาพที่เห็นมีเพียงแสงจ้าขุ่นมัวและขาวโพลน คอเฝื่อนแห้งประกอบกับผิวกายแสบร้อนเป็นความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้ เมื่อลองขยับตัวดูก็ตามมาด้วยอาการปวดตึงไปทั่ว ตาพลันปิดลงอย่างคนหมดแรง

   “...เมิ่ง แม่นางเมิ่ง”

   ใครสักคนเรียก เนื้อเสียงสูงแปลกแปร่งกับสรรพนามไม่คุ้นหู ซุนซีพยายามลืมตาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้กระพริบตาถี่ๆ ภาพหายพร่าก็พบใบหน้าไม่คุ้นเคยกำลังชะโงกมองอยู่ไม่ห่าง

   “แม่นางเมิ่งฟื้นแล้ว!” คนเดิมกล่าว คราวนี้ดูเบาใจกว่าครั้งแรกอยู่โข

   สิ้นเสียงนางผู้ที่คาดว่าเป็นหมอก็รุดเข้ามาแทนที่ ฟูกปูเตียงยุบยวบไปตามน้ำหนักคนนั่ง แขนที่ทั้งแดงและร้อนผ่าวถูกยกขึ้นวัดชีพจร หมอหญิงตรวจและซักถามอีกหลายอย่าง ซุนซีได้แต่เพียงนอนมองเงียบๆ ถามครั้งหนึ่งก็ตอบเพียงพยักหน้าหรือส่ายหน้า เขายังคงเป็นเขา มิใช่สูญความจำหรือมีใครมาแทนที่

   ยาในถ้วยเหลือเพียงตะกอนสมุนไพรนอนก้น การตรวจรักษาเสร็จสิ้นแล้ว คอคนเจ็บที่เคยแห้งผากก็พอจะเปล่งเสียงได้อยู่บ้าง

   “อาการท่านดีขึ้นมากแล้ว” หมอหญิงพูดระหว่างเตรียมลุก “พักผ่อนให้มาก สามสี่วันนี้โปรดอย่าเพิ่งออกไปไหนจนกว่าไข้ลด ข้าจะจัดยาทาไว้ให้ หากแสบร้อนเมื่อใดใช้ยาชโลมบางๆ จะช่วยบรรเทาได้”

   คนเจ็บสีหน้ากระอักกระอ่วน หากไม่พูดเขาคงได้นอนไม่อยู่สุข “ตามจริงแล้วข้า…”

   “ข้ารู้ แต่อย่าได้กังวลเลย” หมอหญิงยิ้มอ่อนโยน “ข้าติดหนี้บุญคุณจอมยุทธอยู่หลายคน หนึ่งในนั้นเป็นเจ้าสำนักตระกูลเมิ่ง ถ้ามีอะไรพอช่วยได้ข้าจะทำให้”

   ซุนซีหน้ามืดไปวูบหนึ่ง เสื้อผ้าของเขาถูกเปลี่ยนใหม่จะอย่างไรต้องมีคนรู้ว่าเป็นชายมิใช่หญิง แต่เขายังอยู่ภายใต้ฐานะแม่นางเมิ่ง สาวใช้ที่มาปลุกแต่แรกเรียกเขาอย่างนั้น ..บุรุษจำแลงต้องรีบอธิบายก่อนเรื่องจะบานปลาย

   “ช้าก่อน... ไม่ใช่เช่นนั้น ข้าหมายถึง--”

   “เชิญพักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้ข้าจะมาดูอาการ” ท่านหมอพูดเนื้อเสียงเอ็นดูตัดบทเพียงเท่านั้นก็ลุกออกจากห้องไป ซุนซีมองไล่หลังกระสับกระส่าย ไม่ใช่! เขายังไม่ทันได้อธิบายก็กลายเป็นแม่นางเมิ่งไปจริงๆ แล้ว!

   เส้นสายตาเอียงไปเรื่อยเมื่อแม่สาวใช้จับไหล่เขากดให้นอนอย่างว่าง่าย ซุนซีกระพริบตาปรือช้าลงทุกที ด้วยพิษไข้และฤทธิ์ยาไม่นานเด็กหนุ่มก็กลับเข้าสู่ห้วงนิทรา

   ...หารู้ไม่ว่าตนเพิ่งพลาดโอกาสสำคัญ ตกเข้าบ่วงดักกระต่ายจะดิ้นก็ดิ้นไม่หลุด



   เวลาผ่านไปหลายชั่วยามกว่าคนเจ็บจะตื่นอีกครั้ง สาวใช้คนเดิมที่เคยรอจนเขาได้สติบัดนี้นั่งฟุบหมอบอยู่ขอบเตียง ซุนซีไม่อยากรบกวนคนหลับก็ปล่อยนางไว้อย่างนั้น ค่อยๆ หยัดตัวขึ้นลุกนั่งแช่มช้า

   มาจนตอนนี้ซุนซีเพิ่งได้เห็นว่านอกจากเตียงที่เขานอนจะมีขนาดใหญ่ ห้องที่อาศัยอยู่ก็โปร่งและโอ่โถง...อาจเรียกได้ว่ากว้างเท่าห้องนอนห้องใหญ่ในบ้านสกุลเมิ่ง เตาพกตั้งให้ความร้อนอยู่กลางห้อง การประดับประดาก็ดูแปลกตา ไม่ว่าจะโต๊ะหรือม่านกั้นล้วนแต่ทำจากไม้สีเข้ม ไม่หรูหราจนน่าอึดอัดแต่ตกแต่งด้วยของอย่างดี

   มือร้อนผ่าวลูบไปบนพื้นเตียงที่ปูด้วยผ้าขนสัตว์ ประตูหน้าต่างปิดสนิทในห้องปลอดลมแต่พอสัมผัสได้ว่าอากาศเย็น เสื้อผ้าของสาวใช้ก็สวมหนาชั้นกว่าที่เห็นในเมืองหวงซาน

   อาจสรุปได้ว่าที่นี่หากไม่ใช่บ้านเศรษฐีคงเป็นจวนเจ้าเมืองไม่ผิดแน่ ซุนซีทบทวนปะติดปะต่อเรื่องราว เหลือก็แต่คำตอบว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

   จมในห้วงความคิดพักใหญ่สาวใช้พลันสะดุ้งตื่นขึ้นมา พอเห็นหน้าคนเจ็บนั่งตาใสจึงรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

   “ข้าเผลอหลับไปได้อย่างไร! ต้องขออภัยแม่นางจริงๆ แต่ พิโถ่เอ๋ย แม่นางเมิ่งตื่นแล้วโปรดปลุกข้าด้วยเถอะ ถ้านายท่านรู้เข้าข้าจะโดนต่อว่าเอาได้” นางไม่วายตัดพ้อเสียงอ่อน

   จับเขาใส่ชุดสตรีแล้วยังเรียกแม่นางๆ ไม่หยุดปาก ซุนซีเคยได้ยินข่าวลือมั่วๆ ว่าเมิ่งเซี่ยเหมยคล้ายผู้ชายถึงแปดส่วน ให้ฟ้าถล่มเถอะ! ให้คล้ายผู้ชายถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้ชาย! ฟังเสียงเขาพูดแล้วยังแยกไม่ออก จินตนาการคนในจวนจะล้ำเลิศกันเกินไปแล้ว

   “ไม่ใช่แม่นางเมิ่ง -- เอาเถอะ นายท่านของแม่นางเป็นใคร ใช้งานหนักจนเจ้าเพลียหลับเขายังกล้าต่อว่าอีกหรือ”

   สาวน้อยส่ายหน้าหวือ “ผิดแล้วเจ้าค่ะ นายท่านถึงจะดุแต่ก็มีเมตตา ...ความจริงข้าอยู่เฝ้าไข้แม่นางหลายวันแล้วก็เลย...นอนไม่พอ...” ท้ายประโยคนางทำหน้าหงอยพูดเสียงค่อยยอมรับความผิด พอคนเจ็บตั้งท่าจะถามอีก ใครสักคนก็เปิดประตูก้าวพรวดพราดเข้ามา

   ผู้มาเยือนรายใหม่ดูคุ้นหน้าเสียเหลือเกิน ถึงสวมด้วยเสื้อขนสัตว์หนาหลายชั้นก็พอดูออกว่าข้างใต้ซ่อนร่างกายกำยำ ท่วงทีองอาจดุจราชสีห์ ดวงตาแข็งกร้าวทรงอำนาจนั้นมีแววกังวลฉายอยู่ครู่ เพียงมองปราดเดียวสาวใช้ข้างเตียงก็สะดุ้งโหยง

   “แม่นางเมิ่งอาการเป็นอย่างไรบ้าง” ชายคนนั้นถาม

   ซุนซีเหลือบไปทางสาวใช้ที่กำลังก้มหน้าห่อไหล่ แม่นางเมิ่งอีกแล้ว...แต่ถามว่าเขาจะกล้าอธิบายหรือไม่? ผู้น้อยตัวจ้อยผู้นี้รวบรวมความกล้าได้ถึงเพิ่งเงยขึ้นสบตา

   ดวงตาเหยี่ยวสีนิลคู่นั้นดูคล้ายใครบางคนอย่างน่าประหลาด – มันทำให้เขานึกถึงบาตูเกล เช่นนั้นบ่าที่ยกเกร็งจึงคลายลงโดยไม่รู้ตัว

   “เรียนคุณชาย ข้าดีขึ้นมากแล้ว...” คนเจ็บตอบเสียงค่อย รอยยิ้มเป็นมิตรประดับบนใบหน้าซูบเซียว “ท่านหมอบอกว่าอีกสองวันก็หายดี ต้องขอบคุณท่านมากที่ให้การช่วยเหลือ ...ไม่ทราบว่าที่นี่คือที่ใด หากมีโอกาสข้าจะขอทดแทนน้ำใจท่านในภายหลัง”

   ระหว่างที่พูดอีกฝ่ายยังเอาแต่จ้องเขม็งไม่ละ เป็นฝ่ายซุนซีเสียเองที่ต้องรีบหลุบสายตาลงต่ำ เพียงมองเฉยๆ ก็ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ! เขาจะเรียกความกล้ามาจากองค์เซียนองค์ไหนได้อีก

   คุณชายมาดขรึมยกมือกร้านปิดใบหน้าซีกล่าง คิ้วขมวดยิ่งขับให้ตาคู่คมดูดุราวพญาอินทรี – แน่ล่ะว่าถึงซุนซีไม่ได้เงยมองยังรู้สึกได้

   “จวนเจ้าเมืองเสวี่ยซาน ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องทดแทนบุญคุณ อยู่ที่นี่ให้ทำตัวตามสบาย”

   ถามคำตอบคำ เขาพอเข้าใจว่านอกจากภายนอกดุดันคู่สนทนาคงไม่ใช่คนช่างคุย คิดได้อย่างนี้ความกลัวพอคลายลงได้ “แล้วไม่ทราบว่าท่านคือ...”

   “อวี้หยุนเทา” คุณชายคนนั้นตอบสั้นๆ จากเนื้อเสียงแสดงอำนาจและทีท่าเปี่ยมบารมีดูแล้วไม่น่าโกหก

   แน่นอนว่าซุนซีรู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี นามกร อวี้หยุนเทาจะใช่ใครนอกจากอวี้จินเจ้าเมืองเสวี่ยซานและว่าที่สามีของเมิ่งเซี่ยเหมยที่เขาเพิ่งอ้างชื่ออยู่หยกๆ ..พอมาอยู่ต่อหน้าโจทย์อย่างนี้ทำเอาเจ้าสาวตัวปลอมเกร็งจนพูดต่อไม่ออก ดูเหมือนอีกฝ่ายจะพอเข้าใจอาการอึกอักนั่น

   “ยังมีงานรอให้สะสางข้าต้องขอตัวก่อน แม่นางเมิ่งมีอะไรเรียกใช้อ่ายซวนได้ตามสบาย”

   เจ้าของชื่อผงกหัวปะหลกๆ รับคำสั่ง ตั้งแต่เจ้านายปรากฏกายนางยังไม่กล้าปริปากสักคำ

   “ขอบคุณใต้เท้า.. คงต้องรบกวนท่านแล้ว” ซุนซีตอบพลางใช้ความคิด ระหว่างนั้นไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มน้อยๆ ที่สองมุมปากคนหน้าดุ

   “แม่นางไม่ต้องเกรงใจ ดูแลคนเจ็บเป็นเรื่องสมควรทำ”

   เสียงรายงานขานเรียกดังมาจากข้างนอก ท่านเจ้าเมืองกลับไปตีหน้าเคร่งขรึมอย่างเก่าพอดีกับที่ซุนซีเงยขึ้นมอง ก่อนริมฝีปากหยักของอวี้จินจะทันเอ่ยคำลาซุนซีรีบชิงพูดเสียงดังลั่น

   “ช้าก่อน!” เด็กหนุ่มเค้นสมองสุดกำลัง “ข้ามีเรื่องจะขอร้องใต้เท้า เหตุโจรปล้นพี่น้องในสำนักต้องล้มตายจำนวนมาก ข้าอยากนำร่างของพวกเขากลับไปทำพิธีที่บ้านเกิด”

   “ย่อมได้ เรื่องนี้แม่นางเมิ่งไม่ต้องเป็นกังวล”

   “เช่นนั้นให้ข้าไปส่งพวกเขาถึงสำนักในเมืองอู่ชางได้หรือไม่ อย่างน้อยให้ข้าได้แสดงความเคารพเป็นครั้งสุดท้าย”

   “ไม่อนุญาต” เสียงทุ้มต่ำประกาศเป็นคำสั่งเฉียบขาด “แม่นางยังบาดเจ็บอยู่ หากอยากตอบแทนบุญคุณข้าจะสั่งให้มอบเงินค่าฝังศพแก่แต่ละครอบครัว”

   ความหวังหายวับไปกับตา ซุนซีรีบส่ายศีรษะ “ข้าพอเดินทางไหว อย่าให้ข้าต้องรบกวนใต้เท้าไปมากกว่านี้เลย”

   “มิได้ อีกไม่นานเราก็ถือเป็นคนเดียวกัน”

   อวี้จินกล่าวทิ้งท้ายเสียงเรียบ จบประโยคบุรุษร่างสูงก็สาวเท้าเดินกลับออกไปหลังบานประตู ทิ้งไว้แต่สาวใช้ที่กำลังยิ้มแป้นให้เขา

   คนเสวี่ยซานเป็นพวกชอบฟังไม่ทันรู้ความก็ตัดบทสนทนาเสียดื้อๆ กันหมดหรือ? แต่ละคนเหลือตัวเลือกใดให้เขาบ้าง เหตุการณ์เป็นเช่นนี้จะให้เขาร้องแรกแหกกระเชอว่าตนไม่ใช่แม่นางเมิ่งก็เสียหน้าตระกูลผู้เป็นนาย จะหนีกลับเสียตอนนี้ก็ไม่ได้อีก

   เรียกฟ้าฟ้าก็ไม่ขาน เรียกดินดินก็ไม่รับ ...อากาศหนาวจับใจ ทว่าเหงื่อออกเย็นชุ่มสองมือเจ้าสาวตัวปลอม



   คนป่วยใช้เวลาอยู่ในห้องไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปไหน สองวันให้หลังถึงพบข้าวของบางส่วนวางอยู่บนโต๊ะใกล้เชิงเทียน รองเท้าปักลายคู่สวยยังอยู่ดีแต่ห่อผ้าไหม้เป็นรูใหญ่ ซุนซีใช้เวลาว่างนั่งบนเตียงมือสอยด้ายเย็บปะชุนของที่ยังพอใช้การไหวและเริ่มลงมือปักผ้าผืนใหม่ กิ่งก้านทอขึ้นจากด้ายมัดย้อมสีน้ำตาลแก่ ไหมสีแดงสดขึ้นรูปเป็นลายดอกเหมยดอกน้อย เสร็จเมื่อไหร่ผ้าผืนนี้เขาจะเย็บเป็นถุงใส่เงินส่งให้น้องสาว

   ทำเช่นนี้เขาไม่ได้คาดการณ์ว่าตนจะอาศัยที่นี่นาน อย่างไรมีงานล้นมือยังดีกว่าอยู่ว่างๆ จนคิดฟุ้งซ่าน

   เมื่อถามถึงความช่วยเหลือที่ได้รับ สาวใช้เล่าว่าค่ำนั้นทางการเข้าปราบปรามกองโจรทั้งสองค่าย หลังวางแผนร่วมครึ่งเดือนท่านเจ้าเมืองออกหน้าบุกจับกุมด้วยตนเอง ถือว่าสวรรค์เข้าข้างเพราะกองโจรทั้งสองละฐานที่มั่นหลักมาตั้งค่ายที่เส้นทางเข้าเมือง อีกทั้งโจรกลุ่มหนึ่งยังง่วนอยู่กับขบวนเจ้าสาว สู้กับสำนักคุ้มภัยกำลังถดถอยไปมาก

   ขณะเล่าอ่ายซวนดูกระตือรือร้นและเป็นสุข ส่วนซุนซีได้แต่กลืนก้อนฝืดเฝื่อนลงคอ ยิ่งเมื่อรู้ว่านอกจากเขาไม่มีเหยื่อคนอื่นรอด ความเศร้าที่มาอย่างล่าช้าก็โถมใส่ในครั้งเดียว เขาไม่ได้นึกอยากร้องไห้ฟูมฟาย แต่ความรู้สึกที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ถูกส่งผลให้ในอกของเขากลวงเปล่า

   การมาถึงของขบวนเจ้าสาวเป็นความโชคร้ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงเท่านั้นหรอกหรือ..?

   และไม่ว่าจะลองเลียบเคียงอย่างไรก็ไร้วี่แววเจ้าใบ้ ชายคนนั้นหายไปเหมือนไม่เคยมีตัวตน

   เมื่อความโศกเศร้าสร่างลงหน้าที่พึงกระทำถึงกระจ่างชัด ทว่าข้ารับใช้อย่างเขาชั่วชีวิตไม่เคยอยู่สุขสบายมีคนคอยปรนนิบัติ ตื่นเช้ามาไม่ต้องรีบทำงาน อาหารมีให้กินมากเท่าที่กินไหว แม้ว่าหลังจากวันนั้นท่านเจ้าเมืองจะไม่ว่างมาพบ หนูในถังข้าวสารก็ไม่กระสับกระส่ายร้อนรน

   เช่นนี้เมื่อร่างไร้วิญญาณโดยสารกลับไปสำนักคุ้มภัยหู่โห่วพร้อมจดหมายที่ซุนซีเขียนฝากไป คนเจ็บที่ยังไม่หายดีถึงได้ยอมอยู่รักษาตัว

   ซุนซีลุกขึ้นเดินหลังนั่งแช่อยู่บนเตียงมาเกือบทั้งวัน อาการแสบร้อนแทบหายเป็นปลิดทิ้งไข้ก็ลดลงมาก การถูกกักไว้ในห้องออกจะเกินไปสักหน่อยสำหรับคนใกล้หายเป็นปกติ

   เด็กหนุ่มผลักประตูเปิดช้าๆ กรอบไม้เย็นเฉียบแต่ยังเทียบอากาศข้างนอกไม่ได้ ซุนซีแทบลืมไปแล้วว่านี่เป็นฤดูอะไร แม้ไม่มีลมพัดยังนับว่าหนาวกว่าบ้านเกิดเขามากนัก ประกอบกับไม่เจอแดดนาน พอเปิดมาเจอที่โล่งกลางวันแสกๆ ก็ทำเอาตาพร่า

   “ออกมาทำไมเจ้าคะ!” เสียงร้องดังมาแต่ไกล เป็นอ่ายซวนที่วิ่งกระหืดกระหอบมาหา

   “ข้าใกล้หายดีแล้วอ่ายซวน เดินเล่นสักหน่อยไม่เป็นไรหรอก”

   สาวใช้จ้องเขม็ง “ไม่ได้เจ้าค่ะ ใกล้หายก็หมายความว่าท่านยังป่วยอยู่ ออกมาตากลมตากน้ำค้างอย่างนี้ถ้านายท่านรู้เข้าข้าจะโดนดุนะเจ้าคะ”

   ไม่ว่าเปล่านางยังดันหลังจับหันให้กลับเข้าห้อง ซุนซีที่เห็นแต่ห้องสี่เหลี่ยมทั้งวันทั้งคืนขืนตัวยึดเอาขอบประตูไว้แน่น สาวใช้คำรามใส่คนป่วยหัวดื้อครั้งหนึ่งแล้วกระชากชายวัยสิบแปดตัวปลิวหวือร่วงไปนั่งเตียง เจอเรี่ยวแรงมหาศาลอย่างนั้นเขาได้แต่มองค้าง

   อ่ายซวนยังไม่รู้สึกตัวเอาแต่บ่นฉอดๆ ไม่หยุดเป็นแม่เฒ่า ตำหนิจบคำหนึ่งก็กดให้เอนนอนทีหนึ่ง พอต่ออีกประโยคผ้าห่มก็คลุมตัวเขามิดถึงคอ

   “ถ้าออกไปอีกข้าจะฟ้องนายท่านจริงๆ นะเจ้าคะ – ตายละ! รีบวิ่งมาไม่ทันได้หยิบยาอีกแล้ว!” นางตีหน้าผากตัวเองแรงๆ “อย่าลุกไปไหนนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้าจะกลับมาใหม่”

   ซุนซีขานรับว่าง่าย อยากจะฟังหูซ้ายทะลุหูขวาแต่เก็บแรงเอาไว้หนีวันอื่นน่าจะดีกว่า เขายังไม่อยากโดนเหวี่ยงทีเดียวกลิ้งขึ้นถึงเตียงเป็นรอบที่สอง เรี่ยวแรงมหาศาลอย่างนี้อาตงเวลาโมโหสุดขีดยังเทียบไม่ติดฝุ่น

   พอความคิดอย่างหนึ่งแวบเข้าหัวที่เหลือก็ไหลบ่าตามมาไม่ขาดสาย ซุนซีคิดถึงบ้าน..กำชับกับตัวเองว่าอย่างไรต้องรีบเจรจารีบกลับไปให้ทันกินโจ๊กล่าปา  เขายังมีสัญญาขอขมาลุงป้าพร้อมเมิ่งเซี่ยเหมยรออยู่

------------
พระเอกมาแล้วเย่ /จุดพลุ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่14 02/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-02-2020 22:07:42
 :mc4:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่14 02/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-02-2020 08:49:14
เย้ๆๆๆๆ ด้วย   :katai2-1: :z3: :mew1:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่14 02/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-02-2020 09:56:29
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่14 02/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: nekodollzz ที่ 03-02-2020 10:37:42
พระเอกมาแวบนึง น้องจะได้กลับบ้านมั้ยน้อ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่14 02/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 04-02-2020 00:57:51
สนุกดีจ้า
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่14 02/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-03-2020 06:37:45
นักเขียนหายไปไหนหนอ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่14 02/02/63
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 21-04-2020 20:06:01
บทที่ 15

   เสวี่ยซานเป็นเพียงเมืองหน้าด่านเมืองเล็กๆ ในเขตทุรกันดาร ฤดูร้อนช่วงสั้นๆ หากไม่ใช่เขตเชิงเขาหรือแอ่งกระทะแทบเพาะปลูกไม่ได้ หน้าหนาวหนาวยาวนาน แหล่งข่าวคนเดียวของเขาเล่าว่าการเป็นพ่อเมืองที่นี่ความสุขสบายยังเทียบไม่ได้กับนายอำเภอในหัวเมืองใหญ่ อวี้จินเป็นถึงจางอั้นต้องมารับตำแหน่ง ณ ที่ห่างไกลกลับไม่คิดรังเกียจ

   อ่ายซวนกล่าวอวดว่าตั้งแต่อวี้จินเข้าทำงานบ้านเมืองเจริญขึ้นมาก ท่านเจ้าเมืองพัฒนาทางส่งน้ำ หนุนให้เพาะปลูกขั้นบันไดเป็นไร่ชา สวนในเขตจวนยังทดลองปลูกพืชเศรษฐกิจไว้หลากชนิด ทั้งต้นส้ม ต้นซิ่ง บางที่เป็นเหมืองแร่ก็มีการเข้าไปควบคุมดูแลระเบียบการทำงาน

   เพราะเป็นที่ว่าการจึงมีแต่ทหารและผู้คนเวียนเข้าออก บางครั้งมีชาวบ้านมาให้ช่วยตัดสินคดีความ ทั้งวันหากไม่ว่าราชการก็ทำงานกันอยู่ในจวน ต่างกับเขตเรือนชั้นในที่ซุนซีอยู่นั้นเงียบราวปลอดคน นอกจากลูกน้องของท่านเจ้าเมืองก็มีคนรับใช้เท่าที่จำเป็น ต่างคนต่างปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง ส่วนอ่ายซวนเป็นเพียงภรรยานายทหารชั้นผู้น้อยที่ถูกจ้างวานมาดูแลผู้หญิงคนเดียวในจวน

   ระยะห่างเพียงเท่านี้ คนอยู่ร่วมชายคากลับไม่ได้พบหน้ากัน

   ซุนซีเรียนรู้เรื่องต่างๆ ผ่านคำบอกเล่าของอ่ายซวน ภูเขาสูงทิวทัศน์งดงามไม่เคยได้ยล ในห้องสี่เหลี่ยมที่อบอุ่นได้ด้วยเตาไฟยิ่งนานยิ่งแลคล้ายกรงขนาดใหญ่ ตกเย็นเพื่อนคุยเพียงคนเดียวของเขาต้องกลับบ้าน ถึงอยู่ใต้ผ้านวมขนเป็ดและเตาพกอุ่นแสนอุ่นกลับรู้สึกหนาวถึงกระดูก



   ย่ำค่ำกระทั่งเสียงแมลงยังเงียบสงบ แม้ในห้องจะดับไฟจนมืดหรือผ้าห่มจะอุ่นชวนนอนทว่าความคิดในหัวของเขากลับปะทุราวหม้อน้ำเดือดจนข่มตาหลับไม่ได้ นับจากตอนที่ฟื้นเวลาผ่านไปหลายวันแล้วแต่ใจของเด็กหนุ่มยังติดอยู่ที่เก่า ความรู้สึกขมขื่นยากจะชำระ สัมผัสโลหิตเหนอะหนะยังติดอยู่บนผิวและนิ้วมือเขา แม้จะล้างน้ำหรือเช็ดด้วยผ้าสะอาดหลายรอบกลับยังรู้สึกว่าร่องรอยไม่ลดจากเดิม

   เด็กหนุ่มชันเข่าสองข้างขึ้นซุกกอดตัวเอง ลมหายใจร้อนๆ รดที่ปลายจมูก หายใจเข้า..หายใจออก.. ในความเงียบยังได้ยินเสียงขลุ่ยแว่วผ่านเอื่อยช้า ซุนซีค่อยๆ หยัดตัวขึ้นออกเดินตามเสียงราวต้องมนตร์

   ท่ามกลางห้วงความคิดที่ตีกันจนทำให้ศีรษะหนักอึ้ง ใจเขาพลันสงบลงช้าๆ ยิ่งก้าวเข้าไปใกล้เท่าไหร่ แสงไฟที่ห้องปลายทางยิ่งสุกสว่างขึ้นทุกที

   เขาย่องเงียบเชียบมาแอบที่มุมประตู ชะโงกทีละน้อยกวาดสายตามองหาต้นเสียง ในห้องนั้นอวี้จินเหยียดขาเอนหลังอยู่บนตั่งติดกรอบหน้าต่าง สองตาดุดันปรือหลุบลงต่ำ ข้อนิ้วเรียวยาวขยับแตะไต่อยู่บนเลาเซียว แสงตะเกียงทอดเงาวูบไหวยิ่งขับให้คล้ายภาพวาด

   ซุนซีลืมหายใจไปชั่วขณะหนึ่ง

   ดนตรีบรรเลงขึ้นสูงและเอื้อนลงต่ำ เรียวนิ้วสัมผัสเลาขลุ่ยนุ่มนวล ลมโชยมาพอให้ชายแขนเสื้อไหวๆ ..ยังพอได้ยินเสียงกระดิ่งลมจากที่ห่างไกลก้องสะท้อนคลอไปกับเครื่องดนตรี

   เพลงหยุดลงแล้ว ตามมาด้วยเสียงกระแอมครั้งใหญ่ของคนในห้อง “มาถึงที่ใยไม่เข้ามาคุยกันสักหน่อย?”

   คนแอบมองก้าวไปปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าของห้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดวงตาลุกลี้ลุกลนทำเฉไฉมองทางอื่นไปเรื่อย ไม่ทันเห็นรอยยิ้มที่หายไปไวเท่ารอบผีเสื้อตัวจ้อยกระพือปีก

   “นอนไม่หลับหรือ?” อวี้จินถามอีกครั้ง ผุ้มาเยือนยามค่ำตอบเพียงผงกศีรษะ “อย่างนั้นมาเล่นดนตรีเป็นเพื่อนข้า แม่นางเล่นอะไรได้บ้าง”

   “ข้าน้อยพอเล่นจีฉินเป็น แต่ฝีมือยังไม่ดีนัก”

   ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาไม้ไหนแต่เขาเลือกตอบไปตามตรง อวี้จินเพียงทำเสียงฮึมฮัมในลำคอ ไม่นานก็เดินหายไปจากห้อง

   ซุนซีนี่งฟังแมลงร้องระงมในความมืด ระหว่างที่กำลังชั่งใจว่าจะรอหรือจะแอบหนีไปก่อน ท่านชายเจ้าปัญหาก็กลับมาพร้อมซอเอ้อหูคันหนึ่ง สีหน้าเจ้าของเรือนผ่อนคลายและดูรื่นรมย์...หากซุนซีไม่ตาฝาดยังเห็นบุรุษผู้นั้นยกมุมปากขึ้นแย้มสรวลน้อยๆ อย่างคนรักษามาด

   เจ้าของเรือนส่งต่อซอคันดังกล่าวมาไว้ในมือเขา คันไม้ยังอุ่นสัมผัสอยู่ ซุนซีเงยมองแล้วถามด้วยการเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

   “แม่นางเมิ่งเล่นคู่กับข้าสักเพลง” น้ำเสียงไม่เชิงออกคำสั่ง แต่คนใต้อาณัติเหมาว่าคงไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ

   เพลงที่อวี้จินเลือกมีจังหวะช้าและไม่ซับซ้อนมากนัก ฝ่ายคนชวนรอให้เขาสีซอดำเนินเพลงไปถึงจุดหนึ่งถึงยกเอาเครื่องดนตรีขึ้นประทับริมฝีปาก เสียงทุ้มของขลุ่ยปรับประสานกับเสียงสูงของเครื่องสาย ซุนซีไม่ต้องแก้สิ่งใดเพื่อให้เพลงบรรเลงไม่ขัดหู คล้ายว่าอีกฝ่ายเป่าขลุ่ยเพื่อหนุนให้เขาเล่นได้ตามสะดวก

   เมื่อคิดเทียบได้ว่าตนราวกับถูกประคบประหงมอย่างลูกนกน้อยสองแก้มถึงร้อนผ่าวขึ้นมา ซุนซีไม่รู้ว่าเขากำลังแสดงสีหน้าแบบไหน จู่ๆ เสียงขลุ่ยที่เพี้ยนไม่มีต้นสายปลายเหตุก็พาเอาเสียงซอหลุดออกนอกเส้นทางตามไปด้วย

   “...” คนเล่นเครื่องสายหยุดมือกลางคัน รู้สึกเหมือนถูกมองเป็นตัวตลก “เสียมารยาทต่อท่านแล้ว วันนี้พอแค่นี้เถอะ”

   “วันนี้พอแค่นี้ หมายความว่าวันหน้าจะเล่นต่อใช่ไหม?”

   ฝ่ายถูกถามส่ายศีรษะ วางซอลงข้างตัวอย่างถนอม “ข้าน้อยไร้ฝีมือ ให้เป็นผู้ฟังเหมาะสมกว่า”

   “ย่อมได้ แต่ต้องจ่ายค่าบรรเลงเพลงล่วงหน้าเสียก่อน”

   ซุนซีชะงัก มองหน้าคู่สนทนาค้างอยู่อย่างนั้น ใต้เท้ายกมือสากขึ้นลูบริมฝีปากตน ยังพอเห็นรอยยิ้มลอดร่องระหว่างนิ้วได้อยู่ คิ้วซุนซีมุ่นลง

   “มิได้คิดเป็นเงิน” อวี้จินหัวเราะ “เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังสักเรื่อง”

   “ข้าไม่มีเรื่องอะไรจะเล่า ถึงมีก็มีแต่เรื่องไม่น่าสนใจ” คนตอบตอบเรียบๆ ชายตัวโตฟังแล้วจ้องเขาด้วยสายตานิ่งขรึม แม้แต่เสียงก็เปลี่ยนเป็นนุ่มนวล

   “อย่างนั้นบอกได้ไหมว่ากังวลใจเรื่องใดอยู่”

   ซุนซีเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง เนิ่นนานกว่าจะตอบ “...นั่นก็ไม่มีเช่นกัน”

   “อ้อ แล้วเหตุใดจันทร์ขึ้นถึงกลางศีรษะแล้วยังมีสาวน้อยนางหนึ่งข่มตานอนไม่หลับ”

   “...” ซุนซีอ้าปากจะเถียง สุดท้ายก้มหน้าตอบเสียงค่อยในลำคอ “...เพราะเขากำลังคิดไม่ตกอยู่หลายเรื่อง”

   “แสดงว่านางยังไม่เคยเล่าให้ดวงจันทร์ฟัง กระต่ายบนนั้นล้วนเป็นผู้ฟังที่ดี” อวี้จินพูดจาขึงขัง “ครั้งหนึ่งเคยมีเด็กชายเล่าให้จันทร์ฟังว่าเขาทำของสำคัญหาย เชื่อไหม คืนต่อมาเขาพบมันวางอยู่ข้างหมอน”

   ผู้ฟังอมยิ้มน้อยๆ พักหนึ่งก็หลุบตาลง เตะเท้าไกวเบาๆ พลางเอนหลังพิงพนัก อีกฝ่ายไม่ต่อความอะไรและยังรอคำตอบอยู่ในความเงียบอย่างนั้น ซุนซีไพล่สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง เขาคิด...ชั่งใจอยู่พักถึงยอมเอ่ยปาก

   “ข้า... ท่านคิดว่าข้าเป็นคนฆ่าคนอื่นๆ หรือไม่?” เขาถามพลางหลุบตาลงมองสองมือสั่นเทา “บางที.. หากพวกเขาไม่มากับข้า พวกเขาก็ไม่ต้องตาย ครอบครัวพวกเขาก็ไม่ต้องเสียใจ”

   ทุกถ้อยคำติดขัดหลุดจากปากเอื่อยช้า เมฆหมอกเคลื่อนเข้าปกคลุมดวงตาไม่นานก็กลั่นเป็นหยาดฝน เด็กหนุ่มควานมือหาผ้าเช็ดหน้าที่ลืมพกติดตัว รีบใช้แขนเสื้อซับน้ำตาลวกๆ ส่งยิ้มฝืดเผื่อนระหว่างผุดลุก

   “ข้า.. ข้าควรกลับห้อง ดึกมาก--”

   “พูดต่อ” น้ำเสียงมั่นคง ห้วนสั้นทว่าปราศจากสำเนียงเร่งเร้า

   ชายคนนี้ไม่รู้จัก ‘ซุนซี’ และอีกไม่นานเขาจะไปจากที่นี่ตลอดกาล อวี้จินไม่ต่างจากคนแปลกหน้าคนอื่นที่เคยพบ แต่เพราะเป็นคนแปลกหน้าถึงได้รู้สึกวางใจ ...หรืออาจเพราะเขากำลังหลงทาง ซุนซีรู้แต่เพียงอารมณ์เอ่อจนล้น ร่างโงนเงนคล้ายจะล้มคล้ายจะไม่ล้ม

   “อยากให้ข้าเล่าหรือ ท่านรู้ไหมคนในขบวนล้วนแต่มีอนาคตและคนข้างหลังรอพวกเขากลับไปหา พี่ชายคนหนึ่งกำลังเก็บเงินแต่งงาน.. น้องชายคนหนึ่งปีนี้เพิ่งอายุสิบหก หลายคนวาดฝันว่าไม่นานจะกลับบ้านเกิด มีภรรยามีพ่อแม่เฝ้ารอ กระทั่งครอบครัวที่พวกเขาแบกไว้ด้วยเงินจากงานที่สุดท้ายแลกด้วยชีวิต ...แล้วดูข้า ท่านดูข้า! เหตุใดถึงเป็นข้าคนเดียวที่รอด เหตุใดไม่เป็นพวกเขา”

   ซุนซีสบสองตาที่เลี่ยงมาตลอดคู่นั้น ไม่มีสายตาสมเพชเวทนา ไร้แววตำหนิหรือสงสาร รับฟัง...อวี้จินเพียงรับฟังเงียบๆ เว้นช่วงอยู่อึดใจก็พูดขึ้นคำหนึ่ง “เจ้าไม่ได้เป็นคนผิด”

   “ข้าเป็นคนผิด”

   “จะเป็นคนผิดให้ได้เลยหรือ จะด่าทอตัวเองไปเพื่อเหตุใด”

   ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ซุนซีก้าวไปประชิด สองมือสั่นเทากระชากคอเสื้อชายตรงหน้าเขย่าทึ้ง ภาพตรงหน้าพร่ามัวไปหมด

   “ด่าข้าได้ไหม? ต่อว่าข้าที่ข้าตัดสินใจผิด ลงโทษข้าให้สาสม ...ข้าไม่ควรได้รับชีวิตสุขสบายขณะที่พวกเขาต้องมาตายกลางป่าแบบนั้น”

   “เจ้าบอกว่าเป็นความผิดเจ้า แล้วเจ้ารู้อนาคตหรือ?”

   “แต่มันไม่ควรเกิดขึ้น! ถ้าเพียงแต่ตอนนั้นข้าไม่เดินทางมาที่นี่ ถ้าเพียงแต่ข้ารออีกสักนิด.. ถ้าเพียงแต่...”

   “พวกเขาเลือกปกป้องเจ้าด้วยชีวิต เพื่อให้เจ้ามาโทษตนเองเช่นนี้หรือ” อวี้จินกล่าวด้วยเสียงทุ้มหนักแน่น “หากพวกเขาทำหน้าที่จนวินาทีสุดท้าย ก็เป็นผู้มีเกียรติ มิใช่เหยื่อ”

   “ท่านบอกข้าสิว่าต้องทำอย่างไร.. ผู้ที่นำความตายมาสู่พวกเขาไม่ใช่โจรป่าแต่เป็นข้า แล้วเช่นนี้ไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องตายเปล่าหรอกหรือ ในเมื่อชีวิตข้าเพียงคนเดียวไม่ได้มีค่าพอให้แลกด้วยอนาคตของพวกเขาทุกคน”

   “เหตุใดถึงตีค่าตนเองอย่างนั้น จะดูถูกคนที่เสียสละเพื่อเจ้าหรอกหรือ”

   “ไม่เป็นเช่นนั้น!”

   อวี้จินมองฝ่ายที่ใบหน้าเปื้อนน้ำตาด้วยแววตานิ่งสงบ ปราศจากรอยยิ้มหรือท่าทีเห็นใจ

   “เจ้าลองคิดดู ทักษะทหารและคนสำนักคุ้มภัยจะทิ้งหน้าที่หนีออกมาย่อมได้ แต่พวกเขาอยู่คุ้มกันเจ้าจนวินาทีสุดท้าย เด็กน้อย ถ้าเจ้าไม่อยากทำให้การเสียสละของพวกเขาเสียเปล่าก็จงมีชีวิตอยู่ต่อ ..นั่นถึงเป็นวิธีที่เจ้าจะตอบแทนบุญคุณได้”

   คนฟังกลืนลูกสะอื้น ไหล่ห่อลู่สั่นน้อยๆ เสียงร่ำไห้ถูกกลั้นจนเหลือเพียงผะแผ่ว บุรุษร่างสูงส่งผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยให้ถึงมือ ซุนซีเพียงแต่กำมันไว้ ปล่อยให้น้ำตาหยดลงพื้นหินเย็นเยียบ

   ในความเงียบไม่มีคำปลอบใด มีก็แต่การดำรงอยู่ของชายแข็งกระด้างคนนั้น



   สามวันให้หลังท่านหมอหญิงกลับมาตรวจอาการอีกครั้ง คำอนุญาตประโยคเดียวขยายรั้วที่มองไม่เห็นจากห้องนอนไปที่เขตทางเชื่อมระหว่างเรือนชั้นในกับที่ว่าการด้านนอก

   วันทั้งวันซุนซีง่วนอยู่กับการอ่านตำราในห้องหนังสือ ตกเย็นก็ปะชุนเสื้อผ้าและปักภาพในห้องพัก จวนโอ่โถงเขายังเดินได้ไม่ทั่ว อ่ายซวนทำตัวยิ่งกว่าแม่ไก่หวงลูก ล้อมหน้าล้อมหลังไม่ให้เดินเตร่ออกไปไหนลับตา ความคิดที่จะก้าวขาออกจากจวนเป็นอันต้องยกเลิกไป

   ครั้นจะว่าเบื่อก็ไม่เต็มปากนัก เวลาเตร่อยู่ในสวนบางครั้งจะเห็นทหารหนุ่มนายหนึ่งลอบมองมาทางพวกเขา ซุนซีแกล้งหันไปจ้องหน้าอยู่บ่อยๆ สบตากันทีไรเจ้าหนุ่มเป็นอันได้สะดุ้งโหยงหน้าแดงเป็นลูกพุทรา ถูกอ่ายซวนดุไล่ให้ไปทำงานทำการอยู่ทุกครั้ง

   นางบอกว่าทหารหนุ่มชื่อซิ่วหมิน เป็นลูกพี่ลูกน้องของสามีนาง อ่ายซวนบอกว่าซิ่วหมินเป็นเด็กน่าสงสารที่มารดากับพี่สาวป่วยเป็นโรคร้าย เพราะไม่มีตัวยาหายากราคาแพงและไม่มีหมอพวกนางจึงเสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน พักหลังเวลาซุนซีหันไปเจอซิ่วหมินชายคนนั้นจะยิ้มเผล่ให้เหมือนเด็กเล็กๆ บางคราวเจอกันเขายังวานให้แอบไปซื้อของในตลาดมาให้

   ซิ่วหมินเป็นเด็กดีไม่น้อย มองนานไปพาลให้เขานึกถึงตงเต๋อข่ายกับเมิ่งเซี่ยเหมย ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไร

   ตอนเช้าช่วงนี้มีดอกไม้ในตะกร้าสานมาตั้งอยู่บนพื้นหน้าประตูห้องนอนเขา กลีบดอกมักชุ่มพราวด้วยน้ำค้าง บางครั้งเป็นช่อดอกชา บางครั้งเป็นช่อโม่ลี่ดอกตูม ของขวัญชิ้นนี้มีมาวางทุกสามวัน หากช่วงไหนขาดไปจะเอามาวางใหม่ในวันพรุ่ง

   ซุนซีตื่นมาไม่เคยพบผู้ส่งนิรนาม รู้แต่อยู่ในจวนเจ้าเมืองไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย อย่างไรเสียของอย่างนี้ถึงส่งมาให้ก็คงปราศจากเจตนาคิดร้าย เช่นนี้เมื่อรับดอกไม้มาใส่ไว้ในแจกันเจ้าของห้องจึงมักวางตะกร้าคืนเอาไว้ที่เดิมพร้อมเหน็บกระดาษเขียนคำขอบคุณ เข้าวันถัดมาก็มีผู้มาเก็บกลับไป

   อ่ายซวนแนะว่าให้ตื่นมาดูแต่เช้าตรู่ เขาเคยลองแล้ว แม้จะนั่งสัปหงกอยู่ทั้งคืนก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าแวะเข้ามาใกล้ บางครั้งเงาทอดผ่านกำแพงปรุกระดาษ เปิดผางออกไปก็ไม่พบใคร นานเข้าซุนซีชักเริ่มเชื่อว่าไม่เป็นฝีมือภูตคงเป็นกระต่ายหยกล่ะกระมัง

   แน่นอนว่าพอบอกสาวใช้นางก็ขำเป็นบ้าเป็นหลัง...

   ซุนซีเอาเศษผ้ามาเย็บเป็นถุงเงินแล้วค่อยขึ้นโครงปักลายต้นไผ่ เสร็จเมื่อไหร่ตั้งใจจะให้เป็นของตอบแทนดอกไม้ เจ้าเมืองทั้งที่งานยุ่งแสนยุ่งก็เหมือนรู้ ชอบแวะเข้ามาตอนที่เขากำลังนั่งสนเข็มปักลายงานถึงได้ไม่เสร็จสักที

   “ทำให้ใคร?” คนที่ปกติพูดน้อยกำลังซักไซ้ไล่เลียงเป็นพัศดีคุมทัณฑ์

   “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าแค่ปักในยามว่าง ไม่ได้จะให้ใคร”

   หลายครั้งเข้าซุนซีขี้คร้านจะซ่อนแล้ว นั่งปักให้เห็นกันดื้อๆ เขาปฏิเสธไปหลายรอบแต่คนฟังไม่พอใจคำตอบสักเท่าไหร่ กอดอกทำหน้าถมึงทึงอยู่อย่างนั้น

   “เสร็จเมื่อไหร่เอามาให้ข้า”

   เขาเงยมองท่านเจ้าเมืองที่พูดเอาแต่ได้ จ้องค้างอยู่นาน “...ถุงนี้ทำจากเศษผ้า ไว้ข้าจะหาผ้าดีๆ เย็บให้ท่านใหม่”

   ข้าราชการชั้นผู้น้อยคนหนึ่งวิ่งมาตามอวี้จินที่หน้าประตู ท่านเจ้าเมืองลุกขึ้น ก้าวออกไปไม่พ้นธรณีประตูยังไม่วายจะหันมากำชับเสียงเฉียบขาด “ปักเสร็จแล้วเอามาให้ข้า”

   จบคำจอมเผด็จการก้าวยาวๆ หายไป ปล่อยให้ซุนซีอ้าปากค้างกับอากาศธาตุ

   ...เป็นเจ้านายเขาหรือก็เปล่า ยังจะมาสั่งใช้นั่นขอนี่เป็นเด็กเล็กเอาแต่ใจไปได้


--------------------------------------------

ก่อนอื่นต้องขอโทษจริงๆนะคะที่หายไปยาวเลย  :m15: ลืมเนื้อเรื่องกันไปรึยังฮือออ
ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะแต่งไม่จบแล้วทิ้งเรื่องนะคะ แต่งไว้จนจบแล้วแต่ว่าทยอยลง
ส่วนที่หายไปเป็นเดือนนี่ไม่มีข้อแก้ตัวค่ะ.. แต่กลับมาแล้วนะ
หลังจากนี้จะมาอัพวันอังคารกับศุกร์ค่ะ ถ้าหายไปอีกมาทวงได้เลยนะคะ...
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่15 - 21/04/63
เริ่มหัวข้อโดย: TrebleBass ที่ 21-04-2020 23:52:59
ปักเสร็จเอามาให้ข้าาา  เอ็นดู มีความอยากได้
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่15 - 21/04/63
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 22-04-2020 09:41:06
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่15 - 21/04/63
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 24-04-2020 19:31:27
บทที่ 16


   มู่เหยา มารดาของอวี้จินเป็นหญิงนอกด่านชาวหมู่บ้านมู่ อย่างที่รู้กันว่าในครอบครัวใหญ่ที่ผู้เป็นพ่อมีภรรยาหลายคน เด็กๆ หากเป็นลูกของภรรยาน้อยจะเรียกภรรยาหลวงว่ามารดาและเรียกแม่แท้ๆ ของตัวเองด้วยตำแหน่งในบ้าน แต่อวี้จินไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งหมดล้วนดูได้จากการปฏิบัติตัวของเขาต่อมู่อี๋เหนียงผู้เป็นมารดาที่เดินทางมาเยือนถึงจวนเสวี่ยซาน

   อีกไม่กี่วันท่านเจ้าเมืองต้องเดินทางเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ที่เมืองหลวง อาจเพราะเหตุนี้ถึงได้ให้แม่ของเขาอยู่เป็นเพื่อนว่าที่สะใภ้อย่างซุนซี...แต่นี่ก็อาจเป็นการคิดเข้าข้างตัวเองของซุนซีก็เป็นได้

   มู่เหยาเป็นคนเปิดเผย ดวงตาสีดำขลับส่อเค้าแววรู้เท่าทันคน คิ้วเข้มโก่งสวยดุจคันธนูและใบหน้างามดั่งหยกมีเค้าโครงเหมือนผู้เป็นบุตรชายหกส่วน ต่างกันตรงรอยยิ้มกว้างของหญิงสูงวัยที่ปรากฏบนใบหน้าบ่อยครั้งกว่าสีหน้าเคร่งขรึมของอวี้จิน ซุนซีรู้สึกผ่อนคลายยามได้ยินเสียงกังวานของมู่อี๋เหนียงเวลาพูดแนะให้เขาคอยพักผ่อน

   เขาอยู่กับผู้ใหญ่มาตั้งแต่ยังเล็ก ไม่แปลกที่จะรู้สึกวางใจเวลาอยู่ด้วยกันกับมู่อี๋เหนียง

   โลกที่เคยมีเพียงพื้นที่ในจวนก็ขยายขึ้นอีกคราวเมื่อท่านพาซุนซีออกไปเดินย่านการค้า ที่นี่ผู้คนใส่เสื้อผ้าหนาชั้นกว่าที่เขาเคยคุ้นตา อาหารหลายชนิดที่ยังไม่เคยได้ลองชิมก็ได้ลองในวันเดียว แวะดื่มน้ำขิงกันก่อนจะกลับไปเดินเอื่อยริมทาง ไอขาวของลมหายใจที่เคยมีเมื่อตอนเช้าก็หายไปพร้อมกับแดดร้อนยามบ่ายเช่นนี้

   มู่อี๋เหนียงพาซุนซีไปแวะซื้อเสื้อผ้าตัวใหม่ เสื้อคลุมผ้าไหมปักลายนกกระเรียนผืนยาวนอนนิ่งอยู่ในมือหยาบกร้านของเขา สัมผัสของมันเย็นและลื่นมือเหมือนธารน้ำหน้าร้อน เรียกรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าซุนซีก่อนจะถูกกลบเกลื่อนหายไป -- แต่ดูเหมือนมู่เหยาจะทันเห็นมัน

   “เอาตัวนี้ด้วย” มู่เหยาพูดกับเจ้าของร้านที่ยืนพินอบพิเทาอยู่ข้างๆ ซุนซีรีบส่ายหน้าหวือ

   “ช้าก่อนอาหญิง”

   “อย่าปฏิเสธเลย ให้แม่ซื้อให้เจ้าเถอะเหมยเอ๋อร์”

   “อาหญิง...”

   อยู่ที่นี่เขาคือเมิ่งเซี่ยเหมย หากมู่อี๋เหนียงจะซื้อให้ ‘เหมยเอ๋อร์’ เขาก็มีหน้าที่ทำเพียงรับเอาไว้ด้วยความยินดี ซุนซีไม่กล่าวอะไรแต่ปล่อยให้เจ้าของร้านรับชุดผ้าไหมไปจากมือเขา

   อีกตัวและอีกตัว ผ้ากองเท่าภูเขาทบด้วยเสื้อกันหนาวขนสัตว์อีกหลายพับกองเป็นตั้งอยู่ในร้าน มู่เหยาตัดสินใจฉับไวเหมือนบุตรชายของท่านและพริบตาเดียวเงินจำนวนมากก็จ่ายออกไปเหมือนใบไม้ผลัดปลิว ปิดท้ายด้วยปิ่นทับทิมจากร้านเครื่องประดับในกล่องไม้สลักอย่างดี ทั้งหมดล้วนเป็นของขวัญงานแต่งสำหรับ ‘เมิ่งเซี่ยเหมย’

   มู่อี๋เหนียงจับมือเขาไว้ ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านเมื่อนางบีบมือเขาช้าๆ เป็นจังหวะ

   “เจ้าต้องบำรุงตัวเองให้มาก ทั้งผอมมือก็สาก เนื้อตัวไม่ปรุงน้ำอบร่ำแป้งผัดไม่ทา ไม่สมเป็นสตรีเสียเลย”

   ซุนซีส่ายศีรษะ “อาหญิง ข้ามีเรื่องต้องบอกท่าน ความจริงแล้วข้าไม่ใช่—”

   “ตั้งแต่มีเจ้าอยู่ด้วยจวนรื่นเริงขึ้นเยอะว่าไหม” มู่เหยาพูดขัดขึ้นมาทั้งรอยยิ้ม “ข้าเพิ่งเคยมาก็จริง แต่คนรับใช้ก็พูดว่าลูกจินอารมณ์ดีขึ้นมากตั้งแต่เจ้ามาถึง” นั่นทำเอาซุนซีเงียบไปพักใหญ่ ดวงตาสีดำขลับหม่นลง

   “...อย่างนั้นหรือเจ้าคะ”

   ชีวิตเขาไม่เคยเป็นที่สำคัญต่อใคร มาพูดอย่างนี้ก็ได้แต่กลืนคำท้วงลงคอ ถ้าทำให้ผู้อื่นมีความสุขได้จะกล้าขัดความสุขผู้อื่นได้ลงหรือ? ซุนซีรู้สึกราวถูกถ่วงสองขาด้วยหินหนักอึ้ง ความรู้สึกย้อนแย้งตีกันอยู่ในอกเขา

   “ต่อจากนี้ให้เจ้าเรียกข้าว่าแม่” มู่เหยาพูดทั้งรอยยิ้มเอ็นดู “ข้าเห็นเจ้าเป็นลูกสาวคนหนึ่งแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียกแม่ว่าอาหญิงอีก”

   ความรู้สึกแสบจมูกตีรื้นขึ้นมา ซุนซีกระพริบตาถี่ๆ ไล่หยาดน้ำที่เริ่มก่อตัวในดวงตา เขาทำได้เพียงยิ้มและหัวเราะเสียงค่อยตอบรับความปรารถนาดีของคู่สนทนาเท่านั้น

   แม่...ไม่รู้ว่าเขาไม่ได้พูดคำๆ นี้มานานเท่าใดแล้ว ยิ่งกับคนที่ทำให้รู้สึกเหมือนส่วนที่ขาดหายกลับถูกเติมเต็มขึ้นมาอย่างอาหญิงที่อยู่ต่อหน้าเขา ซุนซีไม่นึกอยากให้ความอบอุ่นที่ได้รับจางหายไปกับเวลาเลย


   
   ซุนซีเย็บถุงเงินจากเศษผ้าใบนั้นเสร็จแล้ว ตกค่ำเขาเอามันฝากไว้กับตะกร้าดอกไม้หน้าห้องอย่างเคย รอจนถึงรุ่งเช้าก็มีคนมาเก็บกลับไป ถึงไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้จริงไหมแต่ถือว่าตอบแทนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างดอกไม้สดยามเช้าที่เพียรหามาให้ได้เกือบทุกวัน แต่นอกจากถุงเงินถุงนั้นแล้วเขายังเย็บผ้าเนื้อดีขึ้นลายต้นไผ่เหมือนกันราวกับแฝดอีกใบหนึ่งไว้ให้ท่านเจ้าเมืองด้วย ไม่คิดว่าทันทีที่อวี้จินเห็นถุงผ้าจะตีหน้าทะมึนใส่

   อวี้จินถามเสียงดุ “แล้วใบนั้นไปไหน”

   ซุนซีสะดุ้ง รีบละล่ำละลักตอบ “ถุงเงินใบนั้นยกให้คนอื่นไปแล้วเจ้าค่ะ แต่เป็นเศษผ้า อย่างไรใบของท่านก็ใช้--”

   “จะเอาใบนั้น” พูดยังไม่ทันขาดคำดีจอมเผด็จการก็แผลงฤทธิ์ใส่

   เขาจะไปเอาใบเก่ามาให้ได้อย่างไรในเมื่อยกให้ภูติดอกไม้ไปแล้ว? ซุนซีปวดหัวตุบๆ ขึ้นมา “ใบนั้นไม่อยู่แล้วเจ้าค่ะ แต่ใบนี้ลายเหมือนกับใบนั้น ถ้าท่านไม่พอใจข้าจะไปทำมาให้ใหม่”

   “ข้าอยากได้ใบนั้น” อวี้จินยืนกราน “ถ้าหามาให้ไม่ได้ก็เย็บรองเท้าให้ข้าเพิ่ม”

   ซุนซีถึงกับเงยขึ้นมองจอมเอาแต่ใจหลังจากก้มหน้าก้มตาเลี่ยงมานาน ใบหน้าอวี้จินดูเอาจริงเอาจังเป็นอย่างมาก น้ำเสียงไม่ได้มีส่วนพูดเล่นอยู่สักนิด คนที่ปรารถนาแต่ความสงบอย่างซุนซีจะให้กล่าวปฏิเสธก็เหมือนก้อนอะไรติดค้างอยู่ในลำคอ ได้แต่พยักหน้ารับอย่างจนใจ...ก้มลงไปไม่ทันเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอวี้จิน

   เสร็จจากการต่อกรกับจอมเผด็จการซุนซีก็เดินห่อเหี่ยวกลับที่พัก ระหว่างทางมองไปก็เห็นนายทหารหน้าคุ้นเดินมาแต่ไกล ซิ่วหมินฉีกยิ้มให้เขาตั้งแต่ระยะไกล รอยยิ้มสดใสเหมือนดอกทานตะวันเห็นแล้วอดยิ้มตามไม่ได้

   ซิ่วหมินถามเสียงใส “กำลังจะกลับเรือนหรือขอรับ?”

   ซุนซีพยักหน้า “แล้วนี่เจ้าจะไปไหนหรือ”

   “ข้าไปหาใต้เท้าอวี้เสร็จจะไปเดินตรวจตราต่อขอรับ แต่ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน ให้ข้าเดินไปส่งท่านดีไหมขอรับ?”

   ซุนซีรู้สึกเหมือนมีน้ำทิพย์ชโลมจิตใจห่อเหี่ยวของเขา แน่นอนว่าคนถุกชวนตกปากรับคำในทันที ซิ่วหมิ่นยิ้มแหะๆ ระหว่างพาเขาเดินไปตามทาง บรรยากาศระหว่างสองคนไม่อึดอัดเท่าใดนักเพราะทหารหนุ่มชวนคุยไม่หยุดปาก ซุนซีลอบสังเกตคนข้างตัว เมื่อเห็นถุงเงินผ้าปักลายใบเก่าก็อดเอ่ยปากถามไม่ได้

   “ถุงเงินนี่ใครให้เจ้ามาหรือ ใช้เสียเก่าแล้ว”

   “อ๋อ พี่สาวข้าเย็บให้ขอรับ” ซิ่วหมินตอบซื่อๆ เอามือลูบจมูกตัวเอง “เก่าแล้วแต่ยังใช้ดีอยู่ เห็นทีไรข้าก็นึกถึงพี่สาวขอรับ”

   ซุนซีสีหน้าครึ้มลง กลัวว่าตนจะไปถามจี้จุดจี้ใจดำอะไรเข้า แต่ซิ่วหมินเอาแต่ยิ้มเหมือนลูกสุนัขอารมณ์ดีเขาก็ไม่คิดติดใจอะไร

   “ถ้าอยากได้ใบใหม่ข้าจะเย็บให้ อาจแทนกันไม่ได้แต่เจ้าจะได้เอาใบของพี่สาวเก็บไม่ให้มันเก่านัก”

   “ไม่เป็นไรมิได้ขอรับ” ทหารหนุ่มโบกมือไหวๆ “ข้ามีถุงเงินใบสำรองแล้ว ขอบคุณท่านเมิ่งมากขอรับ”

   ซุนซีมองชายหนุ่มอย่างเอ็นดู ไม่วายกำชับ “อย่างนั้นก็ดีแล้ว ...แต่ถ้าจะให้ข้าช่วยซ่อมอะไรไม่ต้องเกรงใจ เข้าใจไหม?”

   ประโยคนั้นทำซิ่วหมินหัวเราะ “ขอรับ ท่านเมิ่งช่างเหมือนพี่สาวข้าจริงๆ”

   เขาฟังแล้วยิ้มหน่ายใจ ก็ตนเคยเป็นพี่คนมาก่อนจะไม่ให้เอ็นดูชายที่เหมือนลูกสุนัขตัวโตแบบนี้ได้อย่างไร เดินไม่เท่าไหร่ก็มาถึงที่หมายแล้ว ซิ่วหมินยืนส่งจนเขาเข้าถึงในเรือนแล้วถึงจะแยกย้ายไปตามทาง



   อวี้จินไม่ใช่ผู้ชายเลวร้ายอะไร และถ้าหากเลือกได้ เขาก็คิดว่าชายคนนี้เหมาะสมกับเมิ่งเซี่ยเหมยไม่น้อย

   ทีแรกเขากลัวเจ้าเมืองเสวี่ยซานชนิดคุยกันไม่กล้าเงยหน้า ทั้งร่างกายกำยำตัวสูงใหญ่แบบชาวเหนือ เสียงทุ้มมีอำนาจกังวานเป็นระฆังเหล็ก และสีหน้าเคร่งขรึมเช่นเสือยิ้มยากล้วนแต่เรียกเอารัศมีน่าเกรงขามแผ่ออกมาจนเกินพอดี

   แต่พอได้เงยขึ้นสบตานานเข้าถึงรู้ว่าคุณชายผู้นี้ซ่อนอะไรเอาไว้ใต้มาดเคร่งขรึมอีกมาก สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจและพิสูจน์มาแล้วด้วยตนเองคือนิสัยช่างแหย่ช่างแกล้งหน้าตาย ไม่รู้ว่าทักษะสูงจนหลอกคนอื่นได้อย่างแยบยลหรือเป็นที่ซุนซียังไม่ชินกับใบหน้านิ่งๆ พูดอะไรก็ดูเป็นเรื่องจริงไปเสียหมดนั่นกันแน่

   ซุนซีนั่งเท้าสองแขนกับกรอบหน้าต่าง จรดคางบนแขนต่างหมอนเอื่อยช้าหลุบตาลงฟังฝนพรำ หยาดน้ำใสร่วงพราวจนภาพพร่าทว่าเสียงกระทบกระเบื้องหลังคากลับดังชัดเจน กลิ่นดินชื้นๆ ฟุ้งอวลอยู่ในอากาศ บรรยากาศสงบและไอเย็นโอบผิวกายเย็นฉ่ำเสียจนใกล้หลับ

   ผ้าผืนอุ่นถูกคลี่คลุมลงบนตัวคนกำลังเคลิ้มตาปรือ อุณหภูมิร่างกายเจ้าของเก่ายังไม่จางไปจากเสื้อคลุม กลิ่นถุงหอมอย่างที่มู่เหยาพกติดตัวเจือมาแตะจมูก ซุนซีเงยมองแต่ไม่กล้าขยับตัวเร็วนัก

   “อาหญิง --” ยิ้มสวยหุบลงพร้อมถ้อยคำขาดห้วง ข้างกายเขาไม่ใช่อาหญิงแต่เป็นผู้อื่น

   อวี้จินหลุบสายตามองคนนั่งข้างหน้าต่าง ท่าทีเรียบสงบไม่ทุกข์ร้อน “ท่านแม่อยู่ที่ห้องนั่งเล่น จะให้ข้าพาไปหาหรือไม่?”

   คนอ่อนวัยกว่าก้มศีรษะทำปากขมุบขมิบพึมพำ ใจความไม่พ้นตำหนิว่าไหนใครบอกท่านเจ้าเมืองงานยุ่ง ที่อยู่ต่อหน้าเขาเป็นวิญญาณหลอกหรือร่างแยก

   ฝ่ายโดนนินทาระยะประชิดกระแอมดังๆ พอให้กระต่ายตื่นตูมสะดุ้ง “หากมารบกวนอย่างนั้นข้าขอตัวก่อน” ว่าจบอวี้จินก็ตั้งท่าจะเดินกลับ

   มือหนึ่งรีบคว้าแขนเสื้อยาวไว้มั่น “ท่านคงไม่ใช่แค่มาคลุมผ้าให้ข้าใช่หรือไม่ เช่นนั้น...เชิญนั่งก่อนเถอะ”

   ท่านเจ้าเมืองยังไม่ยอมนั่งซุนซีก็เริ่มกังวล เขากำเสื้อไว้จนยับแสดงสีหน้าว่าหากยังไม่ทำตามจะดึงให้นั่งเองแล้ว นี่อาจเป็นเวลาทองสำหรับการเจรจาต่อรองก็ได้ จะปล่อยให้โอกาสบินหนีได้อย่างไร!

   พอฝ่ายยื้อยุดเอ่ยชวนเป็นครั้งที่สอง รูปปั้นหินผู้นั้นจึงยอมนั่งลง

   “ไม่ใช่ว่าแม่นางเมิ่งมีเรื่องอยากคุยกับข้าเองหรอกหรือ?” น้ำเสียงเจือแววสนุกสนานซ่อนอยู่รางๆ “เห็นทีแม่นางต้องรีบสักหน่อย งานเจ้าเมืองยุ่งนักไม่อาจร่วมเสวนาได้นาน”

   “...” ซุนซีเก็บอาการไม่ชักสีหน้าใส่ ใดๆ ที่คิดไว้เหมือนถูกกวาดทิ้งในคราวเดียว เขาวางถ้วยชากระแทกลงฝั่งผู้มาเยือนหน้าใหม่ จงใจยกกาน้ำชารินจากที่สูงลิ่ว ไอสีขาวลอยเหมือนปุยเมฆน้อยๆ แต่น้ำร้อนกระฉอกสาดทั่ว “ดื่มชาสักจอกแล้วเชิญใต้เท้าไปทำงานเถิดเจ้าค่ะ”

   “แม่นางเมิ่งช่างมีน้ำใจ” ท่านเจ้าเมืองรับมาละเลียดจิบ

   ซุนซีมองหน้าเขา อดไม่ได้ที่จะตอบกลับว่าเป็นหน้าที่อยู่แล้ว แต่พอโดนเหลือบมองด้วยสายตาดุๆ ก็เป็นอันต้องรีบก้มหน้าหนี ห่อไหล่อย่างช่วยไม่ได้

   อวี้จินเอ่ยขึ้นมา “อยู่ว่างๆ จะยืมเครื่องเขียนไปวาดภาพหรือเอาเครื่องดนตรีไปเล่นก็แล้วแต่เจ้า”

   “หากเป็นไปได้ ข้าอยากทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์มากกว่านั้นเจ้าค่ะ”

   “เป็นสตรีจะทำการอันใด?”

   “หากคิดว่าสตรีมีดีแค่เรื่องในเรือนท่านก็คิดผิดแล้ว” ซุนซีตอบ เผลอเงยขึ้นมองอีกคราว

   อวี้จินมองนิ่ง สายตาเขาราวกับจะบอกว่าปกติก็เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ ใช่ ปกติก็เป็นเช่นนั้น ผู้หญิงตามยุคสมัยมีบทบาทแค่เพียงในเรือน และถึงเขาไม่ใช่ผู้หญิงก็ยังหนีไม่พ้นขอบเขตจากยศอย่างเด็กรับใช้ที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรอยู่ดี

   คราวนี้น้ำเสียงบุรุษในคราบสตรีช่างมั่นอกมั่นใจ “ท่านลองถามสิ่งที่นอกเหนือจากความรู้ของอิสตรีมาสิเจ้าคะ บางทีท่านอาจเห็นเองว่าบางครั้งความรู้ที่เรามีก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน”

   อวี้จินคล้ายว่าใช้ความคิดอยู่พักหนึ่งถึงเอ่ยปากถาม “เคยได้ยินปัญหาพืชผลถูกกดราคาหรือไม่?”

   “เคยอยู่บ้างเจ้าค่ะ” ตอบแล้วอวี้จินกลับเงียบมองเขาคล้ายจะรอคำอธิบาย ซุนซียืดหลังตรงเอ่ยสรุปในคราวเดียว “ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากขาดความรู้เพื่อปกป้องตนเองจากคนฉวยประโยชน์ ที่โดนหลอกให้ขายกำไรน้อยก็เป็นเพราะไม่มีตลาดและความรู้เรื่องการค้าจึงต้องขายราคาต่ำผ่านพ่อค้ารับซื้อ”

   “ถ้าเป็นเจ้า เจ้าจะแก้ไขอย่างไร?” อวี้จินเคลื่อนสายตาหลุบลงสบประสานรอคำตอบ ซุนซีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง

   “...เจรจาสมาคมพ่อค้ากับเปิดโรงเรียนไม่คิดเงิน”

   “เจรจาก็เรื่องหนึ่ง คนที่นี่ล้วนเป็นเกษตรกร และเกษตรกรไม่พึงใช้ความรู้จากตำราชั้นสูงในการดำรงชีวิต”

   ซุนซีส่ายศีรษะ “ทักษะอาชีพเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่ครั้งหนึ่งเคยมีบัณฑิตกล่าวกับข้าว่าความรู้เป็นสิ่งจำเป็นไม่ด้อยกว่ากัน อย่างน้อยต้องให้อ่านออกคำนวณเลขได้ หากรู้หนังสือย่อมไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบและไม่ถูกชักจูงโดยง่าย”

   วูบหนึ่งคล้ายเห็นรอยยิ้มของอวี้จิน “กล่าวง่ายกว่าลงมือทำ ผู้มีความรู้ล้วนเข้าเมืองสอบเป็นขุนนาง”

   “แต่หากได้สอนสักรุ่นเพื่อปลูกฝังความคิดผลจะเพิ่มพูนขึ้นในภายหลัง เริ่มจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ อาจใช้เวลาแต่ปัญญายิ่งปลูกยิ่งงอกเงย”

   “อืม อย่างนั้นหรือ” เขาดูคล้ายจะพึงพอใจในคำตอบก็ใช่ จะไม่พึงพอใจในคำตอบก็ใช่ สีหน้านั้นยากจะอ่านให้ขาด “วันพรุ่งข้าจะเข้าเมืองหลวง อีกหลายสิบวันถึงกลับ”

   ซุนซีเลิกคิ้ว “เจ้าค่ะ”

   ท่านชายรูปปั้นหินจ้องเขาอยู่พักใหญ่ ดวงตาคู่คมให้ความรู้สึกกดดันโดยเจ้าตัวไม่ต้องออกแรงพยายาม ฝ่ายถูกมองเริ่มกระอักกระอ่วนจากที่ประสานสายตาแข่งก็เบนหลบไปอีกทาง

   “อย่าได้กังวลไป ท่านแม่ยังพักอยู่ที่จวน” อวี้จินกล่าวก่อนยกชาดื่มหมดในรวดเดียว ฝ่ามือใหญ่บรรจงวางถ้วยเปล่าบนถาดไม้

   ท่านเจ้าเมืองค่อยๆ ผุดลุก ซุนซีรู้ว่าคู่สนทนากำลังจะไปก็อดหันกลับมาไม่ได้ ชั่วขณะนั้นสายตาทันเห็นแต่ซีกหน้าผิวกร้านแดด เสียงเรียกไม่ทันได้ลอดพ้นลำคอ ริมฝีปากที่เผยออ้าเม้มปิดลงตามเดิม นิ่งมองจนบ่ากว้างกับแผ่นหลังแข็งแรงหายไปจากครรลองสายตา

   ฝนนอกหน้าต่างซาลงจนเหลือแต่ตกละอองปรอยๆ ในใจเด็กหนุ่มขุ่นค้างด้วยคำถามที่ตนยังหาคำตอบไม่ได้ มีโอกาส..เหตุใดไม่เอ่ยปากสารภาพความจริง?



   ไปเมืองหลวงครานี้ท่านเจ้าเมืองอวี้กลับมาพร้อมกับอาชาสีดำเป็นมันตัวเขื่อง ได้ยินว่าจะตั้งชื่อ ‘กวง’ ให้มัน ใครบางคนพูดว่ามันเป็นของขวัญงานแต่งของท่านเจ้าเมือง ฮ่องเต้ตบรางวัลเพียงม้าตัวหนึ่งเท่านั้น ซุนซีคิดว่านี่ไม่ยุติธรรมสักเท่าไหร่สำหรับผู้ที่มีผลงานปราบโจรใหญ่ได้ถึงสองค่ายแล้วนำความสงบมาสู่ซานเสวี่ยและเมืองรอบข้าง แต่ก็เป็นได้แค่ความหงุดหงิดใจของเขาเท่านั้น

   งานแต่งถูกเมิ่งเซี่ยเหมยขอไว้ว่าไม่ให้จัดเอิกเกริกนัก ซุนซียังคิดหาทางหนีไม่ได้จนกระทั่งวันส่งตัวเข้าห้องหอ

   ก่อนหน้าน่ะหรือ? ท่านเจ้าสำนักอวี้เดินทางมาพร้อมขบวนเด็กรับใช้ มู่อี๋เหนียงก็ตามประกบเขาไม่ห่าง จะให้หนีก็ลืมไปได้เลยเมื่อการคุ้มกันรอบเมืองและเส้นทางสัญจรยิ่งเข้มงวดเป็นพิเศษในช่วงเวลามงคล เข้าวันถัดมาคนจากสำนักต่างๆ ก็ส่งตัวแทนมาอวยพรอีกหลายกลุ่ม ยิ่งสำคัญหนักเมื่ออ๋องน้อยจากแดนใกล้เดินทางมาอำนวยพรด้วยตัวเอง ต้อนรับกันเต็มทั้งจวนแบบนี้แม้แต่เวลาส่วนตัวจะคุยกับอวี้จินยังไม่มี

   ถึงวันผูกผมรู้สึกตัวอีกทีเขาก็มานั่งคนเดียวในห้องบ่าวสาวเสียแล้ว เครื่องหัวหนักอึ้งสวมอยู่บนศีรษะ ผ้าไหมสีแดงจัดเป็นมันวาวไหวๆ อยู่ในคลองสายตาบดบังทุกอย่างให้เห็นแต่พื้นที่เล็กๆ ระหว่างฝ่าเท้า

   เสียงหญิงชราที่อยู่ร่วมห้องกำชับว่าต้องประพฤติตัวกับว่าที่สามีอย่างไรบ้าง แต่สถานการณ์เช่นนี้สอนเข้าหูซ้ายเนื้อหาก็ไหลออกหูขวาจนสิ้น

   ซุนซีนั่งตัวสั่นเป็นลูกกระต่ายใกล้เวลาถูกย่าง ระหว่างที่สมองกำลังคิดหาวิธีหลบหนีระหว่างมุดไปใต้เตียงหรือกระโดดออกทางหน้าต่างหูก็พลันได้ยินเสียงเปิดประตู เขาสะดุ้งโหยงจนสะเทือนเตียงลั่น

   ผู้มาใหม่สั่งให้หญิงชราออกไปก่อนจะปิดประตูขัดไม้ลงกลอน เท้าคู่นั่นยังคงก้าวลงน้ำหนักมั่นคงอย่างที่ซุนซีได้ยินยามเข้านอนบ่อยครั้ง สิ่งเดียวที่บอกได้ว่าเจ้าบ่าวดื่มเหล้ามงคลฉลองจนเต็มอิ่มมีเพียงกลิ่นสุราโชยฟุ้ง

   ฝีเท้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า ไวจนเหมือนเวลาก้าวกระโดด

   ผ้าคลุมเจ้าสาวเลิกขึ้นฉับพลัน ภาพที่เห็นไม่ผิดไปจากที่คิด...เป็นชายร่างสูงใหญ่คนเดิม แสงเทียนทอดเงาทะมึนยิ่งทำให้คนหน้าดุเหี้ยมกว่าเดิมนับสิบเท่า

   “แม่นางน้อย” เสียงเรียกนั้นห้วนเด็ดขาด “ข้าจะให้โอกาสสารภาพ บอกมาว่าเจ้าเป็นใคร”

   ฝ่ายโดนเค้นคำตอบหลบสายตามองตามทุกการกระทำอย่างประหม่า วูบหนึ่งคิดภาพมือแข็งแรงคู่นั้นบีบคอเค้นเอาความจากเขา – เพียงความคิดก็เหงื่อผุดซึมจนรู้สึกหนาว

   “...ท่านแต่งกับใครข้าก็เป็นคนนั้น จะให้เป็นใครได้อีก” ซุนซีทำใจเสือตอบเลี่ยง

   เขาคล้ายได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอมาจากคนที่ยืนอยู่ต่อหน้า เจ้าบ่าวก้าวเยื้องไปก้าวหนึ่ง ปลดสายผ้าคาดและถอดอาภรณ์ชั้นนอก ทิ้งให้ฝ่ายตอบได้แต่นั่งแข็งทื่อไม่กล้าขยับ

   อวี้จินตั้งท่าจะเปลื้องเสื้อตัวในออก เจ้าสาวตัวปลอมเหลือบมองสีหน้ากระอักกระอ่วนเต็มกลืน คืนวันเข้าหอจะห้ามอะไรใครไหว คนกำลังวิตกเห็นเค้าลางหลังชายคนนี้ถอดผ้าเสร็จคงมาต่อที่เขาแน่ -- คราวนี้ต่อให้เป็นเซียนก็ช่วยไม่ได้

   “ช้าก่อน!” ซุนซีร้อง ถดตัวเข้าชิดผนังเตียง “ข้า...อยากดื่มเหล้ามงคลกับท่านสักจอกก่อน...ได้หรือไม่?”

   “ไม่จำเป็น หากอยากดื่มให้ดื่มคนเดียว” เจ้าบ่าวยื่นคำขาดเสียงห้วน

   เจ้าสาวกำมะลอหน้าซีดเผือด ตัวสั่นงันงก น้ำตาลูกผู้ชายสกุลซุนจะหลั่งจริงๆ ก็วันนี้

   “...” อวี้จินเกิดความสงสารขึ้นมากลใดไม่อาจทราบ บุรุษร่างสูงใหญ่สุดท้ายก็นั่งลงข้างๆ “จะแต่งกับข้าเตรียมใจมาพร้อมแล้วไม่ใช่หรือ”

   บางอย่างบอกแก่ซุนซีว่าเขาหนีไม่ได้ – อย่างน้อยๆ ก็ตอนที่อีกฝ่ายยืนกรานมั่นใจอย่างนี้ เมื่อเหลือบมองอีกครั้งก็พบว่าคู่สนทนายังจ้องอยู่ไม่วางตา ใบหน้าดุดันปราศจากรอยยิ้ม

   อวี้จินเอ่ยช้าชัด “ข้าให้โอกาสครั้งสุดท้าย เจ้าชื่ออะไร”

   เจ้าสาวตัวปลอมความคิดปั่นป่วน คุณหนูเมิ่งคนโตรูปโฉมงดงาม แม้งานมงคลจะไม่ได้จัดเอิกเหริกก็เอาชื่อมาอ้างไม่เข้าที คุณหนูรองยิ่งแล้วใหญ่ นางเพิ่งแต่งเข้าตระกูลขุนนางจะมีใครไม่รู้ข่าว ส่วนคนเล็กนั่นไม่ต้องพูดถึง ผิดทั้งอายุและความสามารถ ตัวเขาวรยุทธ์น้อยเทียบกับนางก็คนละชั้นฟ้า

   หลังคิดหลายตลบซุนซีอึกอักอยู่อีกพักหนึ่ง คนถามยังคงรออย่างใจเย็น

   “ท่านอวี้ ข้าเกรงว่าชื่อเดียวที่บอกท่านได้...มีเพียงเมิ่งชิวเหลียน”

   นั่นเป็นชื่อบุตรีสกุลเมิ่งคนแรกที่เสียตั้งแต่ยังเล็ก เขาได้ยินชื่อนี้จากปากหลี่ฮูหยินอยู่หลายครั้ง แต่เรื่องของเจ้าของนามไม่เคยแพร่งพรายออกจากครอบครัว ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่อวี้จินจะเคยได้ยินชื่อ

   แต่ข้าราชการหนุ่มกลับไม่แย้งอะไร

   “ชิวเหลียน” ครานี้กลับเป็นเสียงทุ้มน่าฟัง เมื่อเอ่ยนามก็เอ่ยอย่างอ่อนโยน “มีอย่างหนึ่งที่ต้องบอกเจ้าไว้ เมื่อแต่งกันแล้วไม่ว่าเจ้าเคยเป็นใครตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาข้า ข้ายินดีทำให้เจ้าได้ทุกอย่างไม่ว่าสิ่งใด และมีเพียงข้อตกลงเดียวที่ข้าอยากให้ร่วมมือ -- นับแต่นี้หากมีเรื่องใดให้บอกข้าโดยไม่ปิดบัง เข้าใจหรือไม่”

   “...ชิวเหลียนเข้าใจแล้ว” คนฟังหลุบสายตาตอบผะแผ่ว

   ฝ่ายถามจ้องนิ่ง มือกร้านยกประคองสองแก้มให้เงยขึ้นสบตา “เจ้าเข้าใจหรือไม่”

   ลมหายใจอุ่นมีกลิ่นสุราฉุนหึ่งซุนซีจะหลีกก็หลีกไม่ได้ เขารีบละล่ำละลักตอบเสียงดัง “เข้าใจ...ข้าเข้าใจ มีสิ่งใดข้าจะบอกกับท่าน!”

   ได้ยินอย่างนี้อวี้จินถึงยิ้มละไม เอนตัวโน้มเข้าใกล้จนใบหน้าห่างไม่ถึงคืบ เจ้าสาวตัวปลอมเลิ่กลั่กพยายามจะเยื้อถอย รู้ว่าหนีไม่ได้ก็ข่มตาหลับ สิบนิ้วจิกหน้าตักจนผ้ายับยู่

   “....” เจ้าบ่าวมองไล่ทั่วเครื่องหน้าอย่างพินิจ สุดท้ายมาหยุดที่หัวคิ้วย่นผูกกันเป็นปม

   เสียงหาววอดโตดังมาจากคนหน้านิ่ง เจ้าบ่าวผละถอยออกก่อนจะเคลื่อนสองมือลดไปตบหมอน “ดึกแล้ว ดึกแล้ว” บุรุษคนนั้นอุทานซ้ำไปซ้ำมาระหว่างถัดตัวขึ้นเตียง เผลอพริบตาเดียวเจ้าบ่าวก็เอนหลังลงนอนเรียบร้อย

   เสียงลมหายใจเป็นจังหวะสงบดังอยู่ในความเงียบ พอซุนซีตั้งสติได้อวี้จินก็ชิงหลับไปก่อนแล้ว .. จนตอนนี้เหยื่อที่น่าสงสารเพิ่งเข้าใจ กับคนเมามาดดุดันที่ผ่านมาเป็นเรื่องหลอกกันทั้งเพ

หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่16 - 24/04/63
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 25-04-2020 12:44:23
ลุ้นตัวโก่ง แล้วซุนซีคือความ หลอกในหลอกในหลอก 55555  จะกลายเป็น นาตาชา โรมานอฟ แล้วลูก
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่16 - 24/04/63
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 28-04-2020 07:22:08
ซุนซีโกหกต่อไปไม่สิ้นสุด
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่16 - 24/04/63
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 28-04-2020 16:29:17
บทที่ 17

   จบพิธีแต่งเข้าวันพรุ่งผู้หลักผู้ใหญ่ยังไม่ทันดูผ้าแดงเจ้าสาวฝ่ายเจ้าบ่าวก็หายตัวไปทำงานแต่เช้าตรู่ ซุนซีไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปตอนไหน ตื่นมาบนเตียงก็ว่างเปล่าไร้วี่แววอวี้จิน เขารีบประวีกระวาดไปดูกล่องไม้สานข้างเตียง ในนั้นมีผ้าเปื้อนเลือดผืนหนึ่งชวนให้น่าอัศจรรย์ใจ ...ไม่ใช่ฝีมือเขาละเมอขึ้นมากรีดเลือดแน่ ไม่ทันได้คิดเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

   หญิงรับใช้มากวัยแง้มดูของในกล่องไม้สาน นางยิ้มกริ่มท่าทางพออกพอใจก็หอบเอากล่องนั่นออกไปด้วย อีกเดี๋ยวคงถึงมือมู่อี๋เหนียง แล้วเขาทำอะไรได้นอกจากนั่งขดอยู่บนเตียงอุดหัวอุดหูไม่อยากรับรู้ คนนอกมองมาเข้าใจว่าเจ้าสาวช่างเขินอายนัก..

   เสียงฝีเท้าที่เขาคุ้นเคยดังจากด้านนอก คราวนี้เป็นอ่ายซวนที่เดินเข้ามา นางปิดประตูพอให้เป็นส่วนตัวกันสองคนนายบ่าว ถึงไม่พูดอะไรแต่ก็ทายได้จากใต้ผ้าห่มว่านางยิ้มไปถึงใบหู “แต่งตัวเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวต้องไปพบนายท่านกับมู่อี๋เหนียงแล้ว”

   ซุนซียังคงขดตัวหนีเป็นก้อนกลม เจอแรงกระชากผ้านวมออกทีเดียวเขาแทบจะขุดรูหนี

   พระพุทธองค์ช่วยด้วย!



   มู่อี๋เหนียงกับท่านเจ้าสำนัก – ไม่สิ พ่อแม่สามีของเขากลับไปแล้ว ซุนซียังรู้สึกอยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออกอยู่ทุกวัน

   เปล่าเลย สามีไม่ได้ล่วงเกินเขาสักนิด อันที่จริงต้องขอบคุณสวรรค์แล้วที่นับจากวันนั้นอวี้จินก็ติดงานราชการไม่ค่อยได้ร่วมหลับนอน เขาไม่เคยได้ถามอวี้จินว่างานในฐานะเจ้าเมืองหนักแค่ไหน บางครั้งกลางดึกหากยังไม่หลับจะได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวไวๆ ผ่านหน้าห้อง และเมื่อใดที่เดินออกไป ต่อให้เป็นยามสองไฟในห้องหนังสือก็ยังจุดสว่างอยู่เสมอ

   บ่อยครั้งที่ซุนซีตื่นมาพบแต่ความว่างเปล่า นานทีอ่ายซวนจะแวะมาคุยบ้าง การถามหาท่านเจ้าเมืองผู้ไม่เคยว่างก็น้อยลงจนเลิกถามไปในที่สุด เป็นอันรู้กันว่าคนงานยุ่งปลีกตัวได้เมื่อไหร่จะเป็นฝ่ายมาหาเขาเอง วันสุดท้ายที่นั่งคุยด้วยกันคือตอนไหนซุนซีจำไม่ได้แล้ว

   หากถามว่าสุขสบายดีไหม เขาตอบได้เต็มปากเต็มคำว่ากินอยู่ดีเกินพอ แต่หากถามว่ามีความสุขหรือไม่ ภรรยาในนามคงตอบลำบาก สำหรับเวลาเหลือเฟือของคนเคยงานยุ่งตอนนี้ตารางชีวิตถูกเปลี่ยนไปเสียหมด ท่านเจ้าเมืองสั่งให้อ่ายซวนมาถามว่าเขาขาดเหลือสิ่งใดหรือไม่ คนรับใช้ เครื่องประดับ น้ำมันทาผมหรือเครื่องประทินโฉมใดๆ -- ผู้มาอาศัยตอบเพียงว่าขาดความรู้

   สองวันถัดมา อาจารย์ที่เป็นจูเหรินก็เดินทางมาสอนถึงในจวน

   เครายาวของจูเหรินมีสีขาวแซมทั่ว ท่านอาจารย์มักรวบผมใส่หมวกผ้าไหมแบบบัณฑิต เนื้อตัวสะอาดสะอ้านสวมชุดเสื้อตัวยาวอย่างผู้ทรงภูมิ คราแรกที่เห็นหน้าซุนซีอาจารย์ก็มองอย่างดูถูก แต่พอเริ่มสอนและเห็นว่านักเรียนคนนี้หัวไวและตั้งใจเรียน สีหน้าจูเหรินก็เปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่กี่วันให้หลังยังยกตำรามาสอนเพิ่มอีกตั้งใหญ่

   เด็กๆ ลูกข้าราชการชั้นผู้น้อยชอบมาวิ่งส่งเสียงอึกทึกกันที่ลานดิน เจ้าก้อนแป้งพวกนี้เด็กเกินจะช่วยงานที่บ้าน วันๆ ไม่ได้ทำอะไร หลังมื้อเที่ยงซุนซีช่วยกันสองมือกับอ่ายซวนลากบรรดาลูกลิงมาเรียนหนังสือในห้องรับรอง ซิ่วหมินไม่น้อยหน้าหอบกระเตงเอาลูกชาวบ้านในละแวกมาอีกเป็นพรวน หัวหมั่นโถวจองที่กับโต๊ะเตี้ยนั่งเรียงกันเกลื่อนเป็นวงใหญ่ คุณครูนั่งพื้นอยู่มุมหนึ่ง นานทีเสียงท่องหนังสือก็ดังขึ้นพร้อมเพรียง

   เช้าเป็นนักเรียน บ่ายเป็นอาจารย์ และแม้ตอนเย็นจะท่องตำราจนหมดไปอีกเล่ม เวลาว่างยังมีมากพอจะให้คนอยู่โยงเฝ้าเรือนคิดฟุ้งซ่าน

   ถ้าเทียบกับตอนอยู่ที่สำนักคุ้มภัย ความฝันเรื่องสอบจอหงวนนับว่าเข้าใกล้ความจริงขึ้นทีละน้อย เหตุนี้บุรุษตัวเล็กๆ จึงกล้าวางแผนไว้ในใจ ถึงเวลาเหมาะสมเมื่อไหร่เขาคงไม่ต้องรับบทเป็นเมิ่งชิวเหลียนอีกต่อไป และเวลานั้นเขาจะกล้าเล่าความจริงให้อวี้จินฟังได้สักที

   บ่ายวันนี้อ่ายซวนหอบเอาบรรดาอาหารใส่ตะกร้าสานมาถึงห้องหนังสือเล็กที่เขาใช้เรียน ซุนซีอ่านหนังสือหลังจากอาจารย์เฒ่ากลับไปจนไม่รู้ว่าล่วงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว นับว่านางมาได้จังหวะท้องหิวพอดี อ่ายซวนพูดอะไรไปเรื่อยระหว่างจัดแจงวางกับข้าวลงบนโต๊ะ จับใจความได้คำหนึ่งว่านางยังไม่ทันได้กินมื้อเที่ยง

   ซุนซีลุกเดินมานั่งที่โต๊ะกับข้าว กลิ่นหอมของผัดผักกับควันฉุยจากชามข้าวหุงใหม่ชวนให้น้ำลายสอ ฟากอ่ายซวนที่จัดแจงโต๊ะเสร็จแล้วก็ถอยไปยืนรอที่มุมห้อง มองจากตรงนี้เห็นท้องครรภ์นูนน้อยๆ ของนางชัดเจน

   “มากินข้าวด้วยกันสิซวนเอ๋อร์”

   คนเป็นบ่าวมีสีหน้าตระหนก “มิได้เจ้าค่ะๆ ข้าร่วมโต๊ะกับเจ้านายประเดี๋ยวจะถูกลงโทษเอา”

   ซุนซีมองนางทั้งรอยยิ้ม “ข้าเป็นฮูหยินดูแลคนในบ้าน ใครจะกล้าลงโทษเจ้าได้อีก เวลาทำงานเย็บปักยังนั่งด้วยกันได้เลย ทำไมเวลากินข้าวจะไม่ได้ล่ะ”

   ฮูหยินมีหน้าที่ดูแลบ่าวภายในบ้าน ข้ารับใช้ร่วมโต๊ะอาหารถึงผิดธรรมเนียมแต่คำสั่งฮูหยินเป็นกฎบ้านย่อมอะลุ่มอล่วยได้ ซุนซีเคยเป็นคนใช้รู้ดีว่าคนเป็นบ่าวรู้สึกอย่างไร และเพราะเขาเองก็เคยเป็นบ่าวนี่ล่ะถึงได้อยากให้อ่ายซวนได้มาร่วมโต๊ะเดียวกัน นางกำลังตั้งท้องสมควรได้กินอาหารดีๆ ให้ครบมื้อแทนที่จะไปรอของเหลือจากห้องครัว

   เยื้อกันอยู่นานอ่ายซวนถึงยอมนั่งถือตะเกียบ นางยังไม่ยอมกินจนซุนซีต้องตักกับข้าวใส่ชามตรงหน้า

   “ข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนคนในครอบครัวคนหนึ่งนะซวนเอ๋อร์” เขาว่าพลางคีบเนื้อสัตว์ส่งให้ “กินมากๆ จะได้บำรุงครรภ์ ต่อจากนี้ถ้าอยู่กันสองคนก็ให้มาร่วมโต๊ะกับข้านะ”

   อ่ายซวนมองเขา ยิ้มทั้งน้ำตาคลอ “ข้ามิกล้าถือตัวเป็นครอบครัวเดียวกับท่านหรอกเจ้าค่ะ...”

   “แต่เจ้าคอยดูแลข้ามาตลอดข้าก็เห็นเจ้าเป็นเหมือนน้องสาวแล้ว อย่าถือเรื่องเล็กน้อยเลย ถ้ามีอะไรก็ให้บอกข้า เข้าใจหรือไม่?”

   นางหัวเราะ พยักหน้าระรัวก่อนรีบพุ้ยข้าวเข้าปาก ก่อนหน้านี้เขาก็ให้ของบำรุงอ่ายซวนไปหลายอย่าง...ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วแค่อยากให้มีเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารหรือเปล่า แต่ยามได้เห็นใครสักคนร่วมกินข้าวด้วยกัน แย่งกับข้าวบ้างชวนเขาคุยบ้างก็เป็นภาพที่ซุนซีปรารถนามาโดยตลอด และนั่นซื้อด้วยเงินทองไม่ได้

   ครั้งหนึ่งซุนซีก็เคยเป็นเด็กรับใช้ ถ้าหน้าที่ฮูหยินทำให้เขาทำอะไรหลายๆ อย่างได้ เหตุใดเขาจะไม่ทำ?



   ช่วงหลังมานี้ซุนซีมักหลับไปพร้อมความรู้สึกหนักอึ้งที่กลางลำตัว และเมื่อวันนี้เผลอสะดุ้งตื่นขึ้นมาเช้ามืดก็พบว่าความลำบากกายที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุมาจากท่อนแขนแข็งแรงของท่านเจ้าเมืองที่พาดกอดมาเต็มเปา

   “...” ซุนซีนอนนิ่ง พยายามแงะแขนอวี้จินออกเป็นรอบที่ห้า – แน่นอนว่าไม่เป็นผล แขนที่พาดมานั้นพาดกักกันลำตัวเขาไว้ชนิดแน่นเสียยิ่งกว่าคีมเหล็ก หนักก็หนัก ใกล้ก็ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจเป็นจังหวะสงบของคนหลับสนิทดีที่ไม่รู้ว่าปีนขึ้นเตียงมานอนตั้งแต่เมื่อไหร่

   อันว่าสตรีที่ดีควรต้องตื่นก่อนสามี ถ้าเขาจะหนีไปตั้งแต่ตอนนี้ก็ควรจะเข้าข่ายเดียวกัน ซุนซีขยับตัวพลิกหงายพลิกคว่ำอยู่หลายท่าจนหันมาประจันหน้ากับอวี้จินที่กำลังหลับสบาย แขนเขาข้างหนึ่งกำลังงัดท่อนซุงใหญ่ที่ทับตัว อีกข้างกำลังยักแย่ยักยันอยู่กับพื้นเตียงหัวก็กระเซอะกระเซิงไม่น่าดู ได้แต่ขอบคุณองค์เซียนที่อีกฝ่ายยังอยู่ในนิทรารมย์ไม่รู้เรื่องรู้ราว

   ใบหน้าอวี้จินในยามหลับเมื่อมองนานเข้าก็พบว่าหน้าตาดีเอาเรื่อง คิ้วดาบคมเข้มเมื่อยามนอนก็ยังย่นผูกกันเป็นปม ดวงตาปิดพริ้มเห็นแพขนตายาวเรียงสวยอย่างที่เขาไม่เคยสังเกตมาก่อน จมูกโด่งเป็นสันรับเข้ากับโค้งริมฝีปากหยัก ซุนซีเผลอกลืนน้ำลายทีหนึ่ง คิ้วขมวดข่มตาหลับไล่ความคิดฟุ้งซ่านแล้วถึงค่อยลืมตามาพยายามใหม่อีกครั้ง

   เพื่อพบว่าอวี้จินกำลังจ้องเขาอยู่

   ความร้อนแผ่ลามจากใบหน้าไปถึงใบหู ซุนซีนิ่งค้าง ถามออกไปด้วยเสียงสั่นเครือ “ตื่นแล้วหรือ ปล่อยข้าที...”

    อวี้จินนอนมองเขาไม่มีท่าทีทุกข์ร้อน “กอดภรรยาไม่ได้หรือ?”

   ซุนซีกรีดร้องในใจไปแล้วหลายตลบแต่ยังพยายามชักสีหน้านิ่งสงบ หัวใจเต้นโครมครามเป็นกลองศึกอยู่ในอก หูอื้อตาลายขึ้นมากะทันหันเลยไม่ทันได้สังเกตรอยยิ้มที่เกิดขึ้นไวเท่าชั่วขณะผีเสื้อขยับปีก อวี้จินยกแขนข้างที่โอบเอวซุนซีออกก่อนผุดลุกขึ้นนั่ง เสื้อลุ่ยร่วงลงเผยอกแกร่งหน้าท้องกล้ามเป็นลอนใหญ่ ถือวิสาสะสางผมยุ่งของ ‘ภรรยา’ ให้เข้าที่ ซุนซีนอนเป็นรูปปั้นหินไม่กล้ากระดุกกระดิก ยิ่งเมื่อมือกร้านมาแตะลูบโดนหน้าผากเขายิ่งแทบจะกลั้นลมหายใจ

   “ข้าไปก่อน” อวี้จินว่าเรียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง ส่วนซุนซีอยู่ท่าไหนก็ยังค้างอยู่ท่านั้น

   พระพุทธองค์ช่วยลูกด้วย!



   อย่างหนึ่งที่ซุนซีมั่นใจคืออวี้จินรักม้าที่เลี้ยงไว้มาก ไม่เช่นนั้นวันว่างแสนสงบที่นานครั้งจะมีสักหนท่านเจ้าเมืองคงไม่ขลุกอยู่แต่กับงานดูแลม้า – แล้วอย่างนี้จะขังให้เขาอยู่แต่ในเรือนน่ะหรือ? เห็นทีเขาคงทนความอยุติธรรมครั้งนี้ไม่ได้

   เด็กหนุ่มกุมเสื้อคลุมกอดตัวฝ่าลมเตร่ไปถึงคอกม้า รอยยิ้มที่เห็นแต่ไกลหายไปจากใบหน้าอวี้จินทันทีที่เขาก้าวเข้าระยะสายตา

   “ชิวเหลียน เจ้าจะออกมาทำไม” ท่านเจ้าเมืองในวันว่างตำหนิน้ำเสียงดุดัน

   คนโดนเอ็ดไม่มีท่าทีเกรงกลัว หิ้วถังไม้ไปหยุดอยู่หน้าม้าหนุ่มตัวใหญ่ มือเขาลูบลำตัวอาชาทำว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตน

   “กวงเอ๋อร์ นายเจ้าดุข้าอีกแล้ว” ซุนซีบ่นพึมพำไม่หยุด “ข้าป่วยเพราะนายเจ้าขังข้าไว้ในห้องไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน ดูเอาเถิด ชายผู้นั้นยังคอยห้ามข้าไม่ให้ออกมาหาเจ้าอีก คนอะไรใจหินนัก”

   นั่นทำเอาอวี้จินนิ่งไปพักใหญ่ ร่างสูงใหญ่ก้มเก็บถังไม้แล้วก้าวถอยเชื่องช้าไปนั่งหลบอยู่หลังอาชาตัวเขื่อง

   “เข้าใจถูกแล้ว ข้ามันแล้งน้ำใจ เป็นคนใจหินรักใครไม่เป็น” ท่านเจ้าเมืองตัดพ้อสวนขึ้นมาไม่หยุดปาก จากมุมนี้ซุนซีมองไม่เห็นหน้า แต่เนื้อเสียงฝ่ายนั้นส่อแววทั้งฉุนทั้งเหงาเหลือประมาณ

   ฝั่งผู้เปิดฉากต่อว่าเวลานี้เสียงอ่อนลง เริ่มไม่มั่นใจว่าเผลอไปจี้จุดอะไรเข้าให้หรือเปล่า “ท่านอย่าคิดอย่างนั้น... ถ้าท่านรักใครไม่เป็นจะมาดูแลกวงเอ๋อร์ด้วยตนเองหรือ”

   “แน่ใจได้อย่างไรว่าข้ารักกวงเอ๋อร์ ไม่ใช่แค่ดูแลเพราะได้รับพระราชทาน”

   “รักสิ ข้ามั่นใจ” ซุนซีว่าไปเรื่อยระหว่างแปรงขนม้า “เห็นๆ อยู่ว่าท่านไม่ได้รักมันเพราะมันเป็นของกำนัลหรือเป็นม้าศึกชั้นยอด แต่ท่านรักมันเพราะมันเป็นม้าที่ท่านผูกพัน ท่านให้มันกินหญ้าสดใหม่ วันว่างท่านยังมาอาบน้ำให้มันด้วยตนเอง ..การกระทำบางครั้งสื่อความเข้าใจง่ายเท่านี้เอง”

   “เจ้าชอบพูดว่าทุกเรื่องแท้จริงเรียบง่ายไปเสียหมด” อวี้จินโต้กลับทีเล่นทีจริง

   ซุนซีหยุดมือ พูดพลางย่างเท้าเดินมาเผชิญหน้าชายช่างซักถาม ร่ายยาวอย่างคนร้อนวิชา “มนุษย์ตีความสิ่งต่างๆ ซับซ้อนเกินจำเป็นไม่ก็คิดให้สะดวกตัว อ่านบทกวีเข้าถึงโคลงกลอนแต่ไม่เข้าใจความนัยหรือกระทั่งตีความจนเกินโคลงก็ไร้ความหมาย -- เช่นนี้นอกจากข้ามองเรื่องรอบตัวอย่างเรียบง่ายแล้ว หากเป็นไปได้ ทุกสิ่งควรทำให้เข้าใจง่ายด้วยจึงจะดี”

   ผู้ฟังค่อยๆ คลี่ยิ้มหวานละไมไม่เอ่ยขัด ฝ่ายคนตอบเห็นอย่างนั้นรีบเสตาหลบก้มหน้าแปรงขนม้าขะมักเขม้น อากาศไม่เย็นแต่สองแก้มขึ้นสีแดงจัด -- โดนหลอกให้พูดไปเรื่อยอีกแล้ว!

   อวี้จินลุกขึ้นปัดไม้ปัดมือ “ชิวเหลียน ไปขี่ม้าด้วยกันสักหน่อยดีไหม”

   “...คงไม่ดี เพิ่งให้อาหาร เอ่อ..เพิ่งแปรงขนเสร็จ” คนถูกถามตอบเสียงกระอ้อมกระแอ้มไม่เต็มคำ

   “เจ้ากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากับข้า กว่าจะย้อนมาก็พร้อมออกแล้ว”

   “แต่ว่า--”

   “อยู่แต่ในคอกมันจะอ้วนเอาได้ -- อยากออกไปที่ทุ่งใช่ไหมกวงเอ๋อร์”

   หูม้าหนุ่มขยับปัดไปมาก่อนมันจะเอาหัวดุนมือเจ้านายไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว ผู้ปราชัยอ้าปากค้างหมดคำพูด รอยยิ้มอวี้จินถึงจะน่ามองแต่ดูกวนประสาทนัก นอกจากทำว่าคุยกับสัตว์รู้เรื่องยังจะบังคับเขาออกไปอีก ..เมื่อครู่ยังกลัวเขาจะป่วยเพราะตากลมอยู่แท้ๆ

   จอมเผด็จการเดินตีคู่แขนข้างหนึ่งโอบประคองพากลับไปที่เรือนใหญ่ คนได้รับการปรนนิบัติอย่างทะนุถนอมก้มหน้าอายแทบซุกแผ่นดินหนี ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าซุนซีไม่ได้ป่วยร่างกายบอบบางชนิดที่ต้องประคบประหงมขนาดนี้ แต่ฝั่งคนตกเป็นเบี้ยรองรู้ว่าเถียงอะไรไปคงได้โดนโต้กลับให้อายกว่าเดิมแน่

   กลับมาถึงห้องอวี้จินก็เรียกเด็กรับใช้ให้เตรียมชากับเสื้อคลุมมาสองชุด ซุนซีจะทำอย่างไรได้นอกจากปีนขึ้นเตียงไปนั่งกอดเข่าขดเป็นก้อนกลมหันหลังให้ฟ้าดิน เขาซุกตัวในมุมมืดด้วยความตั้งใจแน่วแน่ พูดด้วยเขาก็จะไม่ตอบ อยากให้ป่วยนักถ้ายังมากวนใจใกล้ๆ เขาจะล้มลงนอนคลุมโปงให้ดู!

   เสียงรื่นรมย์แว่วดังมาจากคนใกล้ “ไม่ไปด้วยกันจริงๆ หรือ?” ส่วนคนฟังฟังแล้วส่ายศีรษะหวือ ถดตัวชิดเข้ามุมอีกนิดจะผสานตัวเข้ากับผนังม่านกั้นได้แล้ว

   อวี้จินร้องอ๋อ “เจ้าไข้ขึ้นนี่เอง...มิน่าหูถึงได้แดงไปหมดเช่นนี้”

   ฝ่ายถูกล้อเลียนมุ่นคิ้วรีบเอามือยกขึ้นปิดหูตัวเอง เขาเงยมองพอให้ส่งสายตาไปต่อว่าคนช่างพูดผิดวิสัยได้ถนัด จมูกได้กลิ่นโม่ลี่หอมกรุ่นกำจาย ..ที่แท้อวี้จินกำลังนั่งจิบชาสบายอารมณ์อยู่ที่โต๊ะ รอยยิ้มวาดประดับอยู่บนใบหน้าคมเข้ม

   “ข้าสบายดี แต่ถ้าให้ออกไปเจออากาศหนาวอีกจะไข้กลับ” ซุนซีตอบเสียงห้วน ปลางับเหยื่อเข้าคำโต

   “ดีจริง ยังสบายดีอยู่ก็ไปขี่ม้าด้วยกันได้” คนเคร่งขรึมเป็นปกติตัดบทรวบรัดก่อนวางถ้วยชา เช่นนี้จงใจทำเป็นลมข้างหูฟังแต่ประโยคหน้า ร่างสูงใหญ่ก้าวยาวๆ ก้าวเดียวมาถึงตัว เสื้อคลุมขนจิ้งจอกคลี่กางรอไว้..ดวงตาเป็นประกายมองเชื้อเชิญ

   ริมฝีปากเม้มประท้วงว่าตนไม่เต็มใจ สู้รบปรบมือได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อตอนนี้ซุนซีย้ายมายืนอยู่ต่อหน้ากวงเอ๋อร์แล้ว สองบ่าคลุมด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวนวลตัวที่เจ้าบ้านเลือกไว้ให้ ยิ่งพออวี้จินคุกเข่าลงประสานมือรองแทนแท่นปีนขึ้นม้าผีเสื้อก็โบยบินอยู่ในท้องซุนซี

   คิ้วฮูหยินตัวปลอมพันกันยุ่ง ยอมลำบากอ้อมไปขึ้นหลังม้าจากอีกฝั่ง “...ให้ข้าขี่กวงเอ๋อร์แล้วท่านจะไปกับม้าตัวไหน?”

   เจ้าเมืองจัดแจงโดดขึ้นซ้อนหลังซุนซีแทนคำตอบ โอบตัวไว้ระหว่างสองมือจับบังเหียนเหมือนกอดอยู่กลายๆ

   “ช้าก่อน!” เขาหลุดร้องลั่น “เหตุใดท่านมาขึ้นม้ากับข้า!”

   “ไม่ขึ้นม้าแล้วจะให้ข้าพาเจ้าไปอย่างไร? อยู่ใกล้กันแบบนี้ก็อุ่นดีไม่ใช่หรือ” เสียงทุ้มดังข้างหู คนนั่งหลังม้าอยู่ก่อนเอนหลบแต่ไปไหนไม่ได้เพราะสองแขนแกร่งกันทาง

   ซุนซีเรียนรู้ว่าการโอดครวญหรือพูดประท้วงใช้ไม่ได้ผลกับคุณชายผู้นี้ อย่างน้อยเสื้อผ้าหนาชั้นที่ใส่คงพอปิดบังรูปร่างได้บ้าง ตัวเขาเล็กจะว่าดีก็ดี...จะว่าไม่ดีก็ใช่ นั่งอย่างนี้เหมือนโดนกอดเอาไว้ทั้งตัว รับรู้ได้ถึงอุ่นกายโอบล้อมจากด้านหลัง อีกใจหนึ่งสบายจนอยากเผลอเอนพิง

   เด็กหนุ่มบ่นพึมพำแต่อีกฝ่ายไม่ใคร่สนใจ ไม่รู้ว่าอวี้จินกลายเป็นคนร้ายกาจอย่างนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่

   อาชาตัวเขื่องควบเหยาะเชื่องช้า พอออกไปได้ระยะหนึ่งอวี้จินก็กระชับสายบังเหียนพากวงเอ๋อร์เร่งฝีเท้าออกไปจากลาน ลมเย็นหนาวบาดแก้มแต่หนึ่งคนบนหลังม้ายังรู้สึกร้อนใบหน้าไม่หาย ท่องอย่างแข็งขันในใจว่าตนไม่ได้ประหม่า ตนเพียงอับอาย!



   ม้าควบผ่านทุ่งไปตามทางสายเล็ก เลาะเนินสูงขึ้นเรื่อยจนหยุดที่ลานผา หญ้าเตี้ยๆ ปูเป็นพรมทอดยาวคั่นด้วยหินเล็กบ้างใหญ่บ้าง ในเสียงลมและผ้าเสียดสียังพอได้ยินเกือกเหล็กบดหินดังกรุบกรุบ ด้านล่างมีคลองสายน้อยเป็นธารไหลลงจากภู เรือคนหาปลาลำเล็กกับแนวบ้านเรือนหลังจ้อยรายทางริมน้ำ ต้นไม้ขึ้นเป็นทิวสูงเริ่มผลัดใบเหมือนแต้มพู่กันหลากสีบนผืนกระดาษเนื้อดี มองไกลออกไปมีทิวเขาทอดตัวโอบล้อมอยู่หลายส่วน

   อากาศบนนี้ค่อนข้างเย็นแต่อุ่นแดด ก้านไม้ใหญ่ต้องลมทอดเงาเอนไหวๆ กลิ่นชื้นหญ้าเจือกับกลิ่นดอกไม้ป่าหอมราวกลิ่นน้ำปรุง -- ในช่องเขาซ่อนทิวทัศน์สวยงามเรียบง่ายไว้ มองเพลินจนลืมว่าอยู่บนหลังม้ากับใคร

   อวี้จินกระโดดลงเดินจูงม้า พามันเดินเหยาะๆ ไปถึงริมผาก็ส่งมือขึ้นรอรับ ใบหน้าไร้รอยยิ้ม ดวงตานิ่งสงบเหมือนฟ้าไร้เมฆ -- ซุนซียื่นมือจับไว้ที่บ่าของเขาแทน ก้าวขายาวๆ ไม่ทันเท้าแตะพื้นก็ถูกอุ้มลงนุ่มนวล

   เด็กหนุ่มไม่นึกอยากบ่นอะไรอีกแล้ว “..ขอบคุณท่าน” เขาพึมพำ แค่นั้นก็มากพอให้ชายร่างสูงปล่อยมือ

   เจ้าปลาน้อยพอเป็นอิสระรีบตรงไปนั่งที่โขดหิน เกี่ยวนิ้วอยู่บนหน้าตัก ข้างล่างกลุ่มคนตัวเท่ามดกำลังลุกจากท่าน้ำหอบเอาตะกร้าผ้าเดินกลับ บ้างก็กำลังทำงาน หูเขาพาลแว่วเพี้ยนได้ยินเสียงเด็กหัวเราะตลอดจนถึงไก่วิ่งบนลานดิน รอยยิ้มผุดขึ้นไม่รู้ตัว

   “ท่านมาที่นี่บ่อยหรือ” ซุนซีถามลอยๆ ตายังจ้องกวาดมองไปทั่ว

   “อืม” คู่สนทนาก้าวมายืนอยู่ข้างกัน “เจ้าชอบไหม?”

   “ชอบ.. มองจากตรงนี้ข้าเห็นได้ทุกอย่าง”

   อวี้จินทำเสียงฮึมฮัมในลำคอเป็นการตอบรับ มือง่วนอยู่กับการจัดผ้าคลุมคนกำลังตื่นเต้นให้เข้าทาง ที่โล่งเช่นนี้ลมโกรกมาเป็นระยะ ผ้าคลุมลู่ลงแนบตัวทิ้งชายสะบัดไหวๆ ก่อเป็นเสียงเหมือนใบไผ่ต้องลม หนาวจนปลายนิ้วชาแต่เด็กหนุ่มไม่ใคร่จะใส่ใจ ซุนซีเสพย์ทิวทัศน์จนอิ่มหนำถึงเงยขึ้นมองร่างสูงใหญ่ ดวงตาเขาทอประกายระยับ

   “เราจะไปที่ไหนกันต่อ ลงไปที่แม่น้ำรึเปล่า”

   “วันนี้ไม่เหมาะ” ชายหน้าดุไม่ได้ให้เหตุผลมากไปกว่านั้น

   “...อย่างนั้นข้าขอเดินเล่นแถวนี้ได้ไหม?”

   อวี้จินพยักหน้านิดเป็นเชิงอนุญาต มือกร้านผายมาหยุดตรงหน้าซุนซี ..เห็นเขาเป็นเด็กๆ กลัวจะพลัดหลงหรือ?

   แต่เจ้าถิ่นยังรออยู่อย่างนั้น รอจนมือผ่ายผอมวางลงบนฝ่ามือใหญ่ ฉุดเพียงเบาๆ ซุนซีก็ออกเดิน ที่จับไว้ยังไม่คลายเพียงกระชับให้สอดมือประสาน

   คนตัวเล็กกว่าบีบมือเรียกก่อนจะดึงออก หัวคิ้วลู่ลงชิดกัน หากดวงตาปล่อยไฟได้พื้นตรงหน้าเขาคงไหม้เป็นทาง

   “ข้าไม่ใช่เด็กๆ ไม่จำเป็นต้องเดินจูงมือ”

   “อย่างนั้นหรอกหรือ..?” ใต้เท้าถามแสร้งทำทีท่าประหลาดใจ ซุนซีไม่ยอมมองหน้าชายคนนั้น เดาเอาว่ากำลังยิ้มไม่รู้ร้อนรู้หนาว

   เจ้าของม้าจูงอาชาตัวเขื่องเดินเคียงเด็กหนุ่มอยู่ไม่ห่าง ย่างก้าวเอื่อยช้า ลมพัดเอาดอกหญ้าลอยมาติดผ้าคลุมสะบัดไหวๆ ซุนซีเดินก้มหน้าประสานมือไพล่ไว้ด้านหลัง แต่ละก้าวลากเท้ายาวจนหญ้าเป็นรอยลู่แนบดิน

   ซุนซีเดินเหยียบไปตามวงแดดลอดร่มไม้ สองตาหลุบลงจ้องแสงบนผืนพรมหญ้าอ่อนนุ่ม “หากเราล้วนแต่เป็นเพียงต้นไม้ต้นหนึ่งในป่า การมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของข้าจะไม่ก่อผลกระทบอะไรกับผู้อื่นนักใช่ไหม?”

   “แต่สำหรับคนที่เห็นเจ้าเป็นคนสำคัญ มิใช่ว่าเจ้าเป็นโลกทั้งใบของเขาหรอกหรือ”

   เด็กหนุ่มลอบสังเกตคู่สนทนาข้างตัว แสงไล้ระเรี่ยผ่านซีกแก้มและบ่ากว้างของคนตัวสูงกว่า ซุนซีแตะเขาด้วยสายตา ทีละน้อย ทีละนิด “...ข้าเป็นภาระสำหรับท่านหรือไม่?”

   ดวงตาที่มักมองตรงไปข้างหน้าเสมอเลื่อนมามองที่คนถาม “คนในครอบครัวไม่นับว่าเป็นภาระ”

   “แค่จำเป็นต้องแต่งกับท่าน ไม่ได้ถือเป็นครอบครัวเดียวกันสักหน่อย”

   “ข้านับเป็นคนของข้าแล้ว มิใช่หน้าที่ก็ยินดีดูแล”

   ฝ่ายรับฟังหัวเราะ “ท่านไม่ได้คิดตามที่ท่านพูดจริงๆ หรอก”

   “เป็นความจริง ชาวทุ่งหญ้าคิดอย่างไรพูดอย่างนั้น” อวี้จินกล่าวอ้างด้วยทีท่าเคร่งขรึม มือกร้านวางลงบนสะบักม้า ลูบและตบตามเนื้อตัวมันเบาๆ

   “แล้วขุนนางจะเป็นคนประเภทเดียวกันด้วยหรือไม่?”

   “ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าถามถึงใคร”

   “ขุนนางที่เป็นชาวทุ่งหญ้า...ตรงนี้ก็มีใต้เท้าอยู่คนหนึ่ง”

   ชายร่างสูงผุดยิ้มน้อยๆ “ฟูเหรินได้รับคำตอบอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ไม่ทันสังเกตเห็น”

   “...” ซุนซีเม้มปากละสายตาไปทางอื่น ขอบใบหูเจือด้วยสีชาด – เขาไม่ชอบเวลาถูกจ้องด้วยสายตาอบอุ่น ดวงตาคู่นั้นซ่อนกระแสหวานละไมไว้เลาลาง มันมักทำให้เด็กหนุ่มหัวสมองตื้อ

   บทสนทนาจบลงเสียดื้อๆ เหลือแต่เสียงย่ำสวบสาบบนพรมผืนหญ้าดังเป็นทำนองสงบ


-----------------------------------

ขำที่บอกว่านาตาชาโรมานอฟฮืออ55555555555
สำหรับคนที่ลุ้นอยู่ว่าจะสารภาพตอนไหน ก็..ก็สปอยเลยตรงนี้ว่าดึงเช็งอีกนานค่ะ YvY
อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ มาค่ะมาตบตีเราระบายความหงุดหงิดใจไปพลางๆ
ส่วนที่ว่าเค้ารู้แล้วมั้ยก็...ก็นั่นสิน้า รู้แล้วมั้ยน้าาา
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่17 - 28/04/63
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 29-04-2020 11:20:18
เขินอายเก่งงง   ปล.แล้วทางบ้านนู้นจะได้รู้ไหมคะว่าคนที่ได้ไปแต่งด้วย จริงๆคือซุนซี อ้อแล้วก็ คนที่ส่งจดหมายมาคุยกับน้องสุดท้องที่ซุนซีตอบแทน คือคนนี้ใช่ไหม และเป็นคนละคนกับที่ซุนซีชอบตอนเด็กๆใช่ไหมคะ ?
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่17 - 28/04/63
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 30-04-2020 08:41:09
เราว่ารู้อยู่แล้วแหละ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่17 - 28/04/63
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 02-05-2020 14:28:19
บทที่ 18


   วันพ้นผ่านเป็นสัปดาห์ สัปดาห์พ้นผ่านเป็นเดือน ฤดูกาลเปลี่ยนแต่กิจวัตรของซุนซีไม่ได้เปลี่ยนไปนัก อาจารย์กล่าวแก่เขาว่าตนสอนจนไม่มีอะไรเหลือให้สอนเหมาะแก่สตรีแล้ว ซุนซีจึงใช้เวลาไปกับการท่องหนังสือในหอตำรา ...ผู้หญิงหากไม่ทำงานบ้านงานเรือนก็เล่นดนตรี ไม่เล่นดนตรีก็วาดภาพ เวลามีเหลือเยอะเกินกว่าจะปล่อยทิ้ง แต่เขาเองก็เย็บปักเสียจนไม่มีอะไรเหลือให้เย็บ ซ่อมจนไม่มีอะไรเหลือให้ซ่อมแล้ว

   เวลานั้นจึงคิดได้ว่าควรมีสิ่งที่เขาทำได้มากกว่านี้ ลูกเจี๊ยบที่ซ่อนตัวในเปลือกไข่หนากระวนกระวายจะกะเทาะเปลือกออก เมื่อตัดสินใจได้เช่นนั้นก็เชิญเจ้าเมืองให้หาเวลาพักดื่มชายามบ่ายที่ศาลาริมน้ำ

   ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะชวนคนยุ่งงานมานั่งทิ้งเวลาไปเรื่อยแต่อวี้จินกลับตอบรับอย่างว่าง่าย

   กระดิ่งลมผูกใต้หลังคาแกว่งดังกรุ๊งกริ๊งคลอกับเสียงน้ำไหล รอในร่มศาลาเพียงไม่นานก็เห็นร่างสูงใหญ่เดินองอาจมาแต่ไกล แดดส่องลงมาจากร่มไม้ใหญ่ทาบไปบนซีกหน้าเคร่งขรึม ซุนซีมองภาพนั้นราวกับพยายามจะจดจำทุกรายละเอียด ...ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงทำเช่นนั้น

   อ่ายซวนเห็นเจ้านายมาก็ขอตัวปลีกไปเปลี่ยนชา นางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยามแอบเหล่มองมาทางซุนซี เขาทอดสายตามองหลังไวๆ ที่ครู่เดียวก็หายลับไปตามทาง ทีอย่างนี้ล่ะรีบเชียว!

   คนในศาลาลุกขึ้นรอต้อนรับผู้มาใหม่ อวี้จินก้าวมั่นคงเข้ามาใต้ร่มศาลา ดวงตาจับจ้องอยู่ที่คนตัวเล็กกว่า

   “มารอนานแล้วหรือ?”

   “ไม่นานนักเจ้าค่ะ เชิญท่านนั่ง”

   “สามีภรรยาไม่เห็นต้องมากพิธีรีตอง”

   “...” ซุนซีกระแทกก้นนั่ง ท่านเจ้าเมืองตีสีหน้าเรียบเฉยทว่าในตาเป็นประกายซุกซน คู่กรณีทันเห็นถึงได้ยิ่งทำหน้าหงิกกว่าเก่า

   “เหตุใดถึงชวนมาดื่มชา?” อวี้จินถาม

   “อันที่จริงท่านอาจารย์กล่าวว่าไม่มีอะไรจะสอนข้าเพิ่มแล้ว ดังนั้น...”

   “เรื่องช่วยงานในจวนให้ลืมไปได้”

   ซุนซีอ้าปากค้าง เขายังไม่ทันได้พูดอะไรเลย! “เพราะเหตุใด? ข้าไม่ไร้ความรู้เหมือนแต่ก่อนแล้ว อีกอย่างหนึ่งสมัยอยู่สำนักคุ้มภัยข้าก็เคยทำงานเสมียนมาก่อน”

   อวี้จินกอดอก ดวงตาคู่คมมองอย่างพิจารณา “งานราชการไม่เหมือนงานสำนักคุ้มภัย”

   “ยังไม่ลองดูจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าทำได้หรือไม่ มิใช่ว่าท่านเป็นคนสอนข้าให้ลงมือทำเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเองหรอกหรือ?”

   อวี้จินยกสองมุมปาก มันเป็นรอยยิ้มเบาบางจนแทบไม่เห็นถ้าไม่สังเกต ซุนซีไม่เข้าใจว่าทำไมท่านเจ้าเมืองถึงแสดงสีหน้าผ่อนคลายแบบนั้น

   “บางทีข้าอาจเปลี่ยนใจ” ชายคนนั้นไม่ได้ให้สัญญา “ถ้าเจ้าทำให้ข้าเห็นว่าเจ้าพร้อมรับหน้าที่แล้ว”

   ซุนซีพูด “ข้าพร้อม ตอนนี้ก็พร้อม”

   อวี้จินส่ายศีรษะช้าๆ เขาทำตัวราวผู้ใหญ่กำลังมองเด็กไม่รู้ประสา นั่นทำให้ซุนซีนึกฉุนขึ้นมาหน่อย

   ท่านเจ้าเมืองกล่าว “บอกข้าสิว่าเจ้าพร้อมอย่างไร?”

   ซุนซีเอาสองมือโอบแก้วชาตรงหน้า ชาในถ้วยยังร้อนพออุ่นเนื้อกระเบื้องเคลือบอยู่ เขาหลุบตาลงมองโต๊ะไม้ราวกับว่ามีอะไรน่าสนใจอยู่ตรงนั้น ทิ้งช่วงไปพักใหญ่กว่าจะเอ่ยปากอีกครั้ง เด็กหนุ่มใจร้อนเกินกว่าจะทำให้เห็น ถ้าเป็นคำพูดย่อมง่ายกว่าอยู่แล้ว

   "ข้าไม่แน่ใจ... มีหลายอย่าง ข้าไม่ใช่ข้าคนเก่าแน่อยู่แล้ว สิ่งที่พบตลอดหลายเดือนมานี้เปลี่ยนความคิดเปลี่ยนตัวข้าไปมาก"

   อวี้จินสงบฟังไม่ขัดอะไร นานครั้งก็ยกถ้วยชาขึ้นจรดริมฝีปาก

   ซุนซีหมุนถ้วยเปล่าช้าๆ ดวงตาเหม่อลอยอย่างคนใช้ความคิด "แต่ก่อนข้าถูกปลูกฝังด้วยเรื่องหน้าที่พึงกระทำ ทั้งจากผู้ใหญ่ เรื่องเล่าที่ฟังหนังสือที่อ่าน หรือกระทั่งชาวบ้านร้านตลาด .. หากเป็นชายต้องนำเกียรติสู่วงศ์ตระกูล หากเป็นหญิงต้องงานบ้านงานเรือนไม่ขาดตกบกพร่อง ต้องเป็นภรรยาที่ให้กำเนิดบุตรได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี"

   "แท้จริงแล้วทุกสิ่งที่ข้าเคยเรียนรู้ไม่ใช่ทุกสิ่งที่ข้าต้องทำตาม" เขาสรุปรวบรัด นิ่งไปอีกครู่ นึกได้ว่าควรขยายความจึงกล่าวต่อ "เช่นธรรมเนียม ธรรมเนียมเป็นเพียงข้อปฏิบัติที่คนบัญญัติขึ้นเป็นแนวทาง สังคมตรามันขึ้นต่างกฎ บางเรื่องหากไม่ทำไม่ได้หมายความว่าเป็นคนชั่ว – เหล่านี้บางเรื่องดี บางเรื่องไม่มีประโยชน์"

   "อย่างนั้นหรือ.. ยกตัวอย่างเช่นเรื่องใดบ้าง"

   "หลายเรื่อง ให้พูดตอนนี้ข้าพูดไม่ถูก เช่นที่ท่านให้ข้าแสดงความคิดเห็นนี่กระมัง? " ซุนซีทิ้งจังหวะ เห็นคู่สนทนายังรอฟังอยู่ก็เหมือนโดนกระตุ้นให้พูดเพิ่มกลายๆ เล่นให้นึกทันทีอย่างนี้เขาต้องเค้นความคิดจนหัวคิ้วย่นยู่ “แล้วก็...ตอนนั้นที่...”

   "ชิวเหลียน อย่ากดดันตัวเองนัก เจ้ามีเวลาตอบข้าทั้งชีวิต" ใบหน้าของอวี้จินประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนไม่ต่างจากน้ำเสียง

   เด็กหนุ่มฟังแล้วยังไม่เข้าใจความหมายกระจ่างนัก มีอย่างหนึ่งที่ชัดเจนคือสิ่งที่กล่าวไปไม่มีเรื่องใดถูกตำหนิว่านอกรีตนอกขนบ ซุนซีจ้องอีกฝ่ายพยายามค้นหาคำตอบ ตกลงที่ร่ายยาวมาตั้งมากมายเขาคงพูดถูกต้องแล้วใช่ไหม? แล้วที่บอกว่าเขายังมีเวลาตอบทั้งชีวิตนั่นไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายเห็นว่าเขายังไม่พร้อมรับงานราชการหรอกหรือ ยิ่งคิดคิ้วซุนซียิ่งผูกกันยุ่ง

   “ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูดถ้าท่านไม่พูดออกมาตรงๆ”

   สองตาคู่คมของอวี้จินเบี่ยงทอดมองไปไกล เสียงกระแอมไอเสียงดังครั้งหนึ่ง “รีบดื่มชาก่อนมันจะเย็น" ท่านเจ้าเมืองว่าเรียบๆ ก่อนจะยกจอกขึ้นอีกครั้ง

   เมื่ออยู่ด้วยกันมีความอุ่นใจคุยได้ทุกเรื่องและพึ่งพาได้อย่างประหลาด อวี้จินไม่ได้กล่าวสอนเหมือนอย่างพวกผู้ใหญ่ ทำแต่เพียงรับฟังและแนะเป็นบางครั้งเมื่อซุนซีไม่มั่นใจว่าตนกำลังเดินถูกทางหรือไม่ ...ถึงบางครั้งจะทำราวแม่ไก่คอยประคบประหงมแต่พอนึกครึ้มอยากจะแกล้งก็มาแหย่เขาเสียดื้อๆ ก็เถอะ

   เมื่อต่างฝ่ายต่างเงียบไม่นานศาลากลางน้ำก็เหลือแค่เสียงนกเสียงใบไม้ไหว กลิ่นหอมสมุนไพรและลมโชยมาเย็นๆ อยู่ด้วยกันอย่างนี้ไม่ชวนให้อึดอัด มือผอมเซียวลูบถ้วยกระเบื้อง รับรู้ว่าอุ่นปลายนิ้วก็ยกขึ้นละเลียดเอื่อยช้า

   รสหวานเจือในชาชงเข้มจนขมเฝื่อนติดที่ปลายลิ้น หอมดอกโม่ลี่อวลอยู่ในปากแม้จะกลืนลงไปจนหมดจอก สัมผัสอุ่นเคลื่อนจากลำคอและแผ่ไปทั่วช้าๆ ห้วงเวลานั้นใบหน้าเมิ่งเซี่ยเหมยพลันผุดขึ้นมาในความคิด



   ช่วงเวลาสารทฤดูเช่นนี้นอกจากใบไม้ที่พาลพากันเปลี่ยนสีก็มีอากาศเย็นที่มาเยือนเสวี่ยซาน ลมแห้งๆ พัดมาชวนให้รู้สึกหนาวผิวกายอีกครั้ง ซุนซีตั้งมั่นว่าจะรีบเย็บเสื้อให้ทันใช้ก่อนเข้าเหมันต์เต็มตัว แต่เพราะไม่รู้ว่าอวี้จินจะอยากได้เสื้อแบบไหนเขาถึงตัดสินใจไล่เดินถามหาเจ้าเมืองจากบรรดาคนรับใช้ ได้ข่าวคราวว่าเจ้าตัวพักงานไปนั่งอยู่ที่ศาลากลางน้ำก็วางใจว่าไม่รบกวนเวลา

   ซุนซีแวะเอาชากับของทานเล่นจากห้องครัวเดินถือถาดไปตามทาง หอมกลิ่นชาดอกโม่ลี่อย่างที่อวี้จินชอบดื่มเสมอโชยออกจากฝากาน้ำร้อน ควันลอยเป็นปุยสีขาวสายยาว รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าซุนซีโดยที่เขาไม่ทันรู้สึกตัว

   ทว่ามันหายไปทันทีที่เดินพ้นโค้งทางเดิน

   เขาไม่ทันสังเกตถึงเสียงกู่เจิ้งที่ดีดคลอเข้ากันกับขลุ่ยเซียวจนกระทั่งสองเท้าพามาถึงต้นกำเนิดเสียง เครื่องดนตรีสองอย่างสอดประสานกันเป็นเนื้อเดียวฟังไพเราะนัก และภาพของชายกับเลาขลุ่ยและหญิงงามดีดสายกู่เจิ้งก็ดูราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด

   ลมหายใจซุนซีสะดุดพร้อมกับฝีเท้าที่หยุดกะทันหัน อะไรบางอย่างก่อตัวขึ้นในอกซ้าย ซุนซีไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่คิดว่าคงเป็นความหงุดหงิดที่อวี้จินเอาเวลาที่ควรใช้ทำงานมานั่งเล่นดนตรีกับแขก บรรเลงเพลงเหมือนในโลกมีเพียงแต่พวกเขาสองคน

   เห็นไหม ความไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่นี้ช่างน่าหงุดหงิดนัก!

   เขาเดินเงียบเชียบเข้าไปวางถาดชุดน้ำชา อวี้จินหยุดเป่าเซียวแล้วแต่หญิงสาวคนนั้นยังดีดเครื่องดนตรีคลอให้จังหวะอยู่ ใบหน้านางงดงามเหมือนหยกเกลี้ยงคิ้วโก่งราวคันศร เมื่อระบายด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ยิ่งขับให้ดูงดงามนัก

   ไม่รู้อวี้จินนึกอย่างไรถึงได้เอ่ยทัก “มานั่งนี่สิชิวเหลียน”

   ซุนซีส่ายศีรษะหวือ เอาแต่ก้มหน้าก้มตามองถ้วยชาไม่มองหน้าคนพูด “ข้าแค่เอาชามาส่งเจ้าค่ะ”

   “ท่านนี้คือเมิ่งฮูหยินงั้นหรือ” สตรีนางนั้นหันไปเอี้ยวตัวถามอวี้จิน เสียงนางหวานหยดนัก ฝ่ายเจ้าบ้านพยักหน้ารับครั้งหนึ่งนางถึงหยุดมือจากเครื่องดนตรี รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้างดงามนั้น “เสียมารยาทแล้ว เมิ่งฮูหยิน ข้าคงต้องขอยืมตัวสามีท่านสักครู่ เขาเป็นเพื่อนคุยที่ดีทีเดียว”

   “เชิญแม่นางตามสบายเถิด เขาจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะไปสั่งห้าม” ซุนซีพูดห้วนๆ พลางเหลือบมองอวี้จินด้วยหางตา

   อวี้จินยังนั่งทำไม่รู้ประสาอยู่อย่างนั้น ได้ยินเสียงหัวเราะรื่นหูดังมาจากสตรีงดงาม นางเอาแขนท้าวกับพื้นพลางขยับโน้มไปกระซิบข้างหูอวี้จินประโยคหนึ่ง เบาจนซุนซีจับใจความไม่ได้ว่ากล่าวอะไร เขารู้แต่ว่าตัวเองกำลังเผลอเม้มริมฝีปากแน่น ถึงไม่รู้ว่าคุยอะไรแต่อวี้จินมองหน้านางอยู่เนิ่นนานก่อนจะละสายตามาหาเขา อยู่ห่างกันเท่านี้ยังได้กลิ่นน้ำอบประทินผิวจากกายสตรีนางนั้นหอมโชยมาต้องจมูก

   “ชิวเหลียน มานั่งฟังแม่นางเติ้งดีดพิณ” คำพูดสั้นๆ เป็นเช่นคำสั่งจากเบื้องบน ซุนซีไม่พูดแต่ส่ายหน้าระรัว

   อวี้จินไม่เคยให้ใครชิดใกล้อย่างนั้นมาก่อน กระทั่งเขาก็ไม่เคย แล้วทำไมเขาต้องมานั่งดูชายหญิงพลอดรักกันด้วย

   ความรู้สึกที่ว่าทั้งคู่ดูเหมาะสมกันดีตีรื้นขึ้นมา อวี้จินพูดอะไรอีกสองสามคำแต่เขาไม่ทันฟัง ได้ยินแต่แม่นางเติ้ง แม่นางเติ้ง พูดด้วยสำเนียงหวานละไม

   ลำพังชายหญิงก็เข้าคู่กันดีอยู่แล้ว

   น้ำตาพลันกลิ้งหยดลงบนแก้มซูบ ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันในความเงียบ แม่นางเติ้งเอามือปิดปากสีหน้าประหลาดใจ

   “...ข้านึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องที่ทำค้างไว้ ขอตัวก่อน” ซุนซีไม่ได้สังเกตว่าแม่นางที่นั่งอยู่ใกล้อวี้จินทำอะไรอีกเพราะหันหลังเดินจากมาแล้ว กวดฝีเท้าหนีออกห่างจากศาลาได้ไกลเท่าไหร่ยิ่งดี

   นอกจากดวงตาร้อนผะผ่าวในอกเขายังเหมือนถูกข่วนด้วยกรงเล็บที่มองไม่เห็น มันบีบรัดจนปวดเหลือคณา ซุนซีไม่รู้ว่าตัวเองเดินไปทางใดได้ไกลแค่ไหนจนต้องหยุดฝีเท้าเมื่อมีใครคนหนึ่งฉุดแขนเขาไว้

   เป็นอวี้จินที่ควรจะอยู่ที่ศาลา ควรเล่นดนตรีกับแม่นางเติ้ง

   “ชิวเหลียน” อวี้จินเรียกสั้นๆ น้ำเสียงคล้ายคนหมดแรง

   “อะไรหรือ?” ซุนซีมองหน้าคนเรียกด้วยแววตาเฉยเมย แก้มยังเปียกไปด้วยน้ำตา ดูท่าจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอร้องไห้

   ฝ่ายคนมีคดีความพยายามอธิบาย “ชิวเหลียน แม่นางเติ้งเป็นแค่เพื่อนดื่มน้ำชา ไม่มีอะไรเกินเลยกว่านั้น วันนี้นางแวะมาเยี่ยมถึงได้ให้การต้อนรับ”

   “ข้าเข้าใจ”

   เสียงถอนหายใจดังมาจากเหนือศีรษะซุนซีครั้งหนึ่ง จู่ๆ มือขวาเขาก็ถูกกอบกุมและยกขึ้นสูง มันถูกยกขึ้นมาวางบนอกซ้ายของอวี้จิน ข้างใต้เสื้อผ้าชุดหนามีอกแกร่งและหัวใจที่เต้นไม่เป็นระส่ำในนั้น ...ซุนซีไม่อาจรับรู้ได้ ไม่เช่นนั้นก็ไม่อยากจะรับรู้

    อวี้จินพูดเสียงอ่อน “อย่างนั้นเหตุใดเจ้าถึงร้องไห้?”

   ซุนซีขมวดคิ้วมุ่น เขาใช้มืออีกข้างเช็ดแก้มก่อนจะตกใจเมื่อเห็นว่ามันเปียกไปด้วยน้ำตา “...” ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น เบนสายตาหนีอวี้จินไปอีกทาง ความรู้สึกสับสนก่อตัวขึ้นในหัวใจ

   สองวันให้หลังแม่นางเติ้งก็ส่งเครื่องหอมชั้นดีฝากมาให้เป็นการขอโทษ นางยังฝากจดหมายน้อยเขียนด้วยลายมือตัวบรรจงมาอีกว่าวันนั้นนางนึกสนุกเล่นเกินเลยไปหน่อย ไม่วายกำชับว่าระหว่างพวกเขาสองคนไม่มีอะไรต่อกัน

   อ่ายซวนเล่าให้ฟังอีกเสียงหนึ่งว่าแม่นางเติ้งเป็นเพียงเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของใต้เท้าเท่านั้น ฝีมือดีดกู่เจิ้งของนางไม่เป็นสองรองใครอ่ายซวนเองยังเคยมีโอกาสไปนั่งฟัง ว่ากันว่าคนรักของแม่นางเติ้งเสียชีวิตไปนานแล้วและแม่นางก็ถูกอ๋องน้อยทาบทามมาเป็นอนุแต่ปฏิเสธไป ทว่าอ๋องน้อยก็ยังไม่ยอมรามือจนได้รับความช่วยเหลือจากอวี้จินถึงได้สนิทกันมานับแต่นั้น

   ซุนซีใช้เวลาสองวันนับตั้งแต่วันที่พบแม่นางเติ้งทบทวนความรู้สึกตัวเอง บ่อยครั้งที่เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เขาจะเผลอกุมมือขวาที่เคยสัมผัสอกอวี้จินขึ้นมาทุกที

   เขาว่าเขารู้จักความรู้สึกนี้ดี...เพียงแต่มันช่างยากจะยอมรับ



   เป็นภรรยาหลวงต้องมีหน้าที่ดูแลการเงินและความเรียบร้อยภายในบ้าน แต่ความที่อาศัยอยู่จวนศาลาว่าการซุนซีแทบไม่ต้องแตะอะไร ว่างเสียจนตอนนี้มาเดินเตร่ไปเรื่อย

   วันนี้เขานึกครึ้มเดินเข้าไปในห้องหนังสือ อยู่ในจวนมานานแต่นับเป็นครั้งแรกที่เขามาเยือนห้องนี้ สิ่งแรกที่รู้สึกคือกลิ่นดอกโม่ลี่ฝังลึกอยู่ในตัวเรือนบ่งบอกว่าเจ้าของห้องดื่มชาดอกโม่ลี่บ่อยแค่ไหน ข้างของทุกอย่างจัดเป็นระเบียบและปราศจากสิ่งของตกแต่งนอกจากภาพแขวนภาพหนึ่งที่เขียนบทกลอนเอาไว้

   เขาเดินเข้าไปตรงชั้นหนังสือ ไล่สายตาดูหน้าปกที่เกี่ยวกับกิจการบ้านเมืองไม่ก็เป็นข้อกฎหมายไม่ชวนอ่านนัก บนชั้นวางล้วนแต่เป็นของที่เกี่ยวข้องกับงานราชการทั้งสิ้น

   บนโต๊ะมีกระดาษเขียนงานเรียงเป็นตั้งทับไว้ด้วยหินก้อนหนึ่ง ส่วนหนังสือเป็นเล่มวางซ้อนเป็นระเบียบอยู่ที่มุมหนึ่ง อีกมุมเป็นแท่นแขวนพู่กันกับเครื่องเขียนเตรียมเอาไว้พร้อม

   สิ่งที่เรียกความสนใจเขาได้คือลายมือเป็นระเบียบบนหน้ากระดาษ ลายเส้นมั่นคงเหมือนนิสัยเจ้าตัว ...แต่มีบางอย่างไม่ถูกต้อง ไม่ใช่เนื้อหาแต่เป็นความรู้สึกที่ไม่ถูกต้อง

   มือซุนซีแตะลงบนข้อความเหล่านั้น ลายมือช่างคล้ายใครบางคนที่เขารู้จักดี เป็นลายมือของยิงฉู่หยุนเจ้าของจดหมายที่เขาเพียรตอบมาหลายปีไม่ผิดแน่

   แววประหลาดใจฉายบนใบหน้าเขา แต่ก่อนจะได้ทันคิดอะไรเจ้าของห้องก็ก้าวยาวๆ เข้ามาเสียก่อน

   อวี้จินเลิกคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าซุนซี คนปากหนักไม่เอ่ยถามอะไรนอกจากเดินไปหยิบหนังสือที่ชั้นวาง เป็นฝ่ายซุนซีเสียเองที่ยืนกระอักกระอ่วนอยู่อย่างนั้น

   “ท่านคือยิงฉู่หยุน?” เขาลองเอ่ยถามไป ฝ่ายนั้นตอบมาเพียงเสียงอืมในลำคอ ซุนซีรู้สึกเหมือนจะเป็นลม “แล้วท่าน...ท่านรู้...”

   “ข้ารู้ว่าคนที่ตอบจดหมายคือเจ้าตั้งแต่ที่เจ้าเขียนจดหมายไปหาคนในสำนักคุ้มภัยแล้ว” อวี้จินพูดเหมือนเป็นเรื่องทั่วๆ ไปพลางหยิบหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง

   ใบหน้าซุนซีซีดเผือด “แล้วท่านไม่โกรธข้าหรือ?”

   อวี้จินเดินมาแวะเคาะหนังสือในมือลงบนศีรษะของซุนซี รอยยิ้มเบาบางปรากฏบนใบหน้า “โกรธเรื่องอะไร?”

   คนโดนฟาดด้วยหนังสือมองรอยยิ้มนั่นค้าง พูดด้วยเสียงเบาหวิว “...แต่ข้าตอบแทนเซี่ยเหมยมาตลอด”

   “ไม่เห็นเป็นไร”

   “แต่--“

   “ข้ารักเจ้ามาตั้งแต่ที่เราคุยผ่านจดหมายกันแล้ว” พูดจบอวี้จินก็กระแอมไอครั้งหนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป

   ซุนซีอ้าปากค้างไม่รู้จะตอบอะไร นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายบอกว่ารักเขา บอกรักแล้วเดินหนีไปเป็นเรื่องง่ายๆ อย่างนี้เลยหรือ!

   แล้วเขาจะทำอะไรได้นอกจากยืนหน้าแดงก่ำอยู่ตรงนี้เล่า!



   การเก็บงำความลับก็เป็นเหมือนการตีตัวออกห่าง อึดอัดจนจะตายเสียให้ได้ ความลับเหล่านี้ยิ่งหนักอึ้งขึ้นเรื่อยเมื่อเวลาผ่านนานเข้า ซุนซีตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะรีบสารภาพในเร็ววัน หากจะติดปัญหาอะไรบุรุษตัวเล็กก็คงได้แต่ร่ำๆ ในใจว่าคงติดที่ผู้ฟัง

   ยามอวี้จินว่างจากงานเอกสารครั้งหนึ่งคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค แต่ละเรื่องก็เป็นหัวข้อสัพเพเหระ เวลาซุนซีพูดสิ่งใดชายผู้นั้นก็ตั้งใจฟังไม่แสดงท่าทีเหนื่อยหน่าย ดวงตานิ่งสงบเหมือนหยกเกลี้ยงคู่นั้นมักจะมองคล้ายรอให้เขาเอ่ยปากเล่า นั่นทำให้เขาลังเลได้ประการหนึ่งแล้ว

   อีกสิ่งที่ซุนซีต้องยอมรับคือความเงียบระหว่างพวกเขานั้นสุขสงบและปราศจากความรู้สึกอัดอัด แค่ได้นั่งอยู่ด้วยกันเฉยๆ บางครั้งคั่นด้วยเสียงพลิกหน้ากระดาษหนังสือก็เป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์ดีแล้ว

   ท่านเจ้าเมืองนอกจากนิยมบรรยากาศเงียบสงบยังชื่นชอบการดื่มชามาก เช่นนี้ยามว่างเวลากลางวันเมื่อเรียกตัวเขาให้มานั่งเป็นเพื่อน อวี้จินจะปิดบทสนทนาด้วยการนั่งทอดหุ่ยละเลียดชาไปเรื่อย บางครั้งหากมีอารมณ์สุนทรีมากหน่อยก็ยกเอาขลุ่ยขึ้นมาเป่า เมื่อเห็นอย่างนั้นก็ทำนายได้ว่าซอเอ้อหูคงวางอยู่ใกล้ๆ มุมใดสักแห่ง

   ด้วยเหตุทั้งปวงนี้ซุนซีจึงผลัดวันไปเรื่อยอยู่เสมอ เขาตั้งใจจะบอกความจริงครั้งใดบรรยากาศก็ดีเสียจนเด็กหนุ่มทำลายไม่ลงได้ทุกคราว บุรุษตัวเล็กกล่าวกับตนเองอย่างขยันขันแข็งว่าเขามีความตั้งใจจะบอกความจริงแล้ว เพียงแต่วันนี้ยังไม่เหมาะสม เป็นพรุ่งนี้น่าจะดีกว่า -- ผลัดเอาไว้ครั้งหน้า ครั้งถัดไป จนสุดท้ายเวลาก็ล่วงไปอีกเดือน

   เดี๋ยวนี้วันดีคืนดีอ่ายซวนจะกระเตงเอาลูกชายมาด้วย นางแบกท้องอุ้ยอ้ายเดินเหินคล่องเสียจนน่าเป็นห่วง ส่วนเสี่ยวม่านเด็กซนคว้าของเล่นได้ก็วิ่งออกไปนั่งที่ลานกว้างทั้งวัน อาจารย์ที่สอนเขาก็ดูแปลกไป ช่วงหลังนี้ก่อนเวลาเข้าสอนซุนซีมักเอาตำราไปขอคำปรึกษาทว่าบ่อยครั้งที่เห็นอาจารย์มองมาที่เขาด้วยสายตานึกเสียดาย นานครั้งเข้าความสงสัยก็เอาชนะมารยาทในตัวเขาได้

   “...ซือจุนมีอะไรหรือขอรับ” เขาถามในสายวันหนึ่ง วางมือจากการอ่านตำราเล่มล่าสุดที่ได้รับ

   จูเหรินเฒ่านิ่งเงียบไป รอยยิ้มทีเล่นทีจริงปรากฏบนใบหน้าท่าน

   “เหวยซือ แค่คิดว่าหากเจ้าเป็นผู้ชายก็คงดี เหวยซือคงได้มีลูกศิษย์เป็นขุนนางกับเขาอีกสักคน”

   คราวนี้เป็นซุนซีที่เงียบเสียเอง เขายิ้มเฝื่อนก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านตำราในมือต่อ โอกาสอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้นเองหรอกหรือ ถ้าเพียงเขาเป็นผู้ชายเรื่องคงง่ายกว่านี้ -- แต่ก็เท่านั้น เป็นผู้ชายย่อมหมายความว่าพ่อบ้านสำนักคุ้มกันผู้นั้นไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือสูงอย่างที่ภริยาเจ้าเมืองได้เรียน

   ย่ำเย็นแล้ววันนี้ถึงได้มีโอกาสกินข้าวพร้อมหน้ากับอวี้จิน ซุนซีพุ้ยตะเกียบคุ้ยข้าวเข้าปากในความสงบไร้เสียงพูดคุย ความคิดไม่ยอมตกตะกอนนี้แสดงให้เห็นเด่นชัดจนกระทั่งชายผู้ไม่สนใจอะไรอย่างอวี้จินยังมองด้วยสายตาแปลกไป

   เนื้อชิ้นโตถูกคีบวางบนชามข้าวซุนซี เขาเงยขึ้นมองคนมีน้ำใจหายากด้วยแววตานึกฉงน

   “หากเรียนหนักนักก็พักสักสามวัน” อวี้จินพูดโดยไม่มอง

   ซุนซีพักตะเกียบ อ้าปากพะงาบๆ เป็นปลางับอากาศอยู่สองสามครั้งก็ก้มหน้าก้มตากินชิ้นเนื้อชิ้นนั้น กระอ้อมกระแอ้มเสียงขอบคุณได้ไม่ทันไรก็โดนถามเสียก่อน

   “เจ้าพูดว่าอะไร?” คนถามจ้องหน้าเขาเขม็ง จากประกายในดวงตาสุกใสนั่นก็พอรู้แล้วว่าเมื่อครู่ได้ยินชัดเจนดี

   “...” ซุนซีตีหน้านิ่ง ส่ายศีรษะลูกเดียว

   “พูดว่าอะไร พูดให้ชัดๆ อีกที”

   “...ขอบคุณ”

   “เสียงเบานัก”

   “ขอบคุณ! ข้าบอกว่าขอบคุณ ขอบคุณ”

   เสียงหลุดหัวเราะพรืดดังมาจากด้านหลัง ซุนซีหันกลับไปมองตาเขียวใส่อ่ายซวนถึงได้ยอมเงียบ เขาเอาตะเกียบจิ้มกระแทกชามเสียงดังเคร้งให้หายแค้นถึงได้กินข้าวต่อทั้งหน้ามุ่ย ไม่สนอวี้จินที่อมยิ้มแก้มตุ่ยจนหน้าเข้มทะมึนดูครึ้มลงอีกหลายส่วน มารยาทสะกดว่าอย่างไรหรือ เขาลืมไปแล้ว!

-------------

ลงช้าไปวันนึงค่ะ / - \ แหะๆ
ทุกคนคะ เราอยากปามีม 'ฉันละเกลียดเด็กเซ้นส์ดีอย่างเธอจริงๆ' ให้จังเลยค่ะ5555555555

ที่คุณเพียงเพื่อนถามไว้ คำตอบเรื่องคนในจดหมายเฉลยแล้วนะคะ แต่ทางบ้านรู้มั้ยจะพูดถึงทีเดียวค่ะ รอก่อนน้า
ส่วนที่ถามว่าคนตอนเด็กมั้ย ก็.. ใบ้ว่าคนตอนเด็กเคยโผล่มาในท้ายบทที่ 1 แล้วค่ะ อีกอย่างนึง หลายปีที่แล้วเค้ามาสอบอะไรกันนะ!
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่18 - 02/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-05-2020 22:07:58
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่18 - 02/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 03-05-2020 07:03:02
ลุ้นให้บอกความจริง
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่18 - 02/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 04-05-2020 20:51:34
55555 โอ้ยถามตอนที่แล้วตอนนี้เฉลยบางส่วนพอดี สงสัยต้องขอตัวไปเป็นหมอดูแล้วค่ะ  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่18 - 02/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 06-05-2020 08:01:59
บทที่ 19

   ย่ำค่ำแล้ว อากาศก็เย็นลงหลายส่วน หมู่นกบินกลับเข้ารังเสียงเจื้อยแจ้วเมื่อยามเย็นก็เบาลงโข ซุนซีนั่งดื่มชาทานขนมอยู่ในห้อง แปลกที่คืนนี้ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ เขาพลิกซ้ายพลิกขวาอยู่นานจนต้องลุกขึ้นมาหาอะไรดื่มให้โล่งคอ ก็มีแต่ชากาเก่าที่เย็นจนชืดแล้วเท่านั้นที่เป็นเพื่อนยามค่ำให้เขาได้

   ซุนซีจิบรสเฝื่อนขมลงคอ หยิบเอาขนมเปี๊ยะทานตามไปอีกครึ่งชิ้นก็ปัดมือปัดหน้าตักให้เศษขนมหล่น ชายหนุ่มเดินเชื่องช้าไปคว้าเอาเสื้อคลุมขึ้นสวม ก้าวเท้าออกพ้นธรณีประตูได้ก็ย่ำเอื่อยระเรื่อยไปตามทาง

   สองเท้าพาเขามาหยุดที่หน้าห้องเดิมที่เคยพบอวี้จินเมื่อนานมาแล้ว ทว่าค่ำนี้ไม่มีเสียงขลุ่ยอย่างเคย ซุนซีหยุดฝีเท้าก่อนจะทันถึงกรอบประตู โน้มตัวลอบมองเข้าไปข้างในด้วยใจหวังว่าจะมีใครสักคนที่เขารู้จักนั่งทอดหุ่ยอยู่ในนั้น หัวใจชายหนุ่มพองโตเมื่อพบว่าคนที่คิดไม่ได้ไปไหนไกลแต่นั่งที่ตั่งริมหน้าต่างตัวเดิม มีจอกเหล้าอยู่ในมือข้างหนึ่ง

   อวี้จินเอ่ยถามผู้มาเยือนยามค่ำ “นอนไม่หลับหรือ?”

   ฝ่ายถูกถามไม่ได้ตอบอะไรแต่เดินตรงเข้าไปข้างใน รู้สึกอุ่นกายจากเตาพกที่ตั้งอยู่กลางห้องจนนึกอยากถอดเสื้อคลุมออก ซุนซีเดินไปที่ตั่งก่อนชั่งใจว่าจะนั่งดีไหม เขายืนลังเลอยู่อย่างนั้น

   “...” ผู้มาใหม่เงยมองออกไปนอกหน้าต่างบานโต จ้องจันทร์ราวกับว่ามีอะไรน่าสนใจนักอยู่ในนั้น นานเสียจนเสียงวางถ้วยกับโต๊ะไม้ดังขึ้น และมือข้างหนึ่งของเขาถูกกอบกุมเอาไว้อย่างนุ่มนวล

   ซุนซีลดสายตาลงมองเจ้าของมือข้างนั้น อวี้จินจ้องตอบเขาด้วยแววตาสงบนิ่ง ..ราวกับคำพูดมากมายไหลผ่านตัวเขาไป ซุนซีเผยอริมฝีปากค่อยพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

   “ข้า..” ความรู้สึกปวดแปลบวิ่งเข้าที่อกซ้าย คิ้วซุนซีลู่ลง มือข้างที่ยังว่างยกขึ้นลูบมันเบาๆ หวังว่าจะช่วยบรรเทา

   “ไม่เป็นไร เจ้าไม่จำเป็นต้องพูด”

   มีเรื่องอยากจะบอกท่านเจ้าเมืองคนนี้ แต่เมื่อปรากฏอยู่ต่อหน้าแล้วกลับไม่นึกอยากพูด วันนี้อวี้จินสงสัยจะกินอะไรผิดสำแดงถึงได้จับมือเขาไว้ไม่ยอมให้ไปไหน ซุนซีเม้มริมฝีปากอย่างอดกลั้น...แม้จะไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร

   เสียงกระดิ่งลมไกวเบาๆ คลออยู่ในความเงียบ ไม่นานอวี้จินก็เงยขึ้นมองเขาด้วยดวงตาซื่อตรง

   “นั่งเป็นเพื่อนข้าก่อน”

   “อย่าเลย”

   อวี้จินพูด “ข้าอยากคุยกับเจ้า”

   ซุนซีมองหน้าคู่สนทนาก่อนค่อยๆ ถัดตัวลงนั่งไม่ใกล้ไม่ไกล มือที่ถูกกุมไว้เช่นไรยังอยู่เช่นนั้น

   “ข้าไม่ใช่เพื่อนคุยที่ดีนัก ให้อยู่คุยด้วยคงรบกวนเวลาท่านเปล่าๆ” เขาว่าตรงๆ กล่าวออกมาจากใจไม่มีวี่แววตัดพ้อ

   อวี้จินนิ่งไปนาน ดวงตาคู่ดุดันปรือผ่อนคลายเมื่อยามมองใบหน้าคู่สนทนา “ไม่ดีเมื่อเทียบกับใครเล่า ในเมื่อเจ้าไม่เหมือนหญิงอื่นที่ข้าเคยรู้จัก”

   ได้ยินดังนี้ซุนซีจึงได้แต่เถียงในใจ เรื่องนี้ย่อมแน่อยู่แล้ว จะเหมือนหญิงอื่นได้อย่างไรในเมื่อเขาเป็นบุรุษ – ทว่าเรื่องนี้อวี้จินคงไม่รู้

   อวี้จินเอ่ยเสียงละมุน “เจ้ามองโลกไม่เหมือนผู้อื่น มีหลายครั้งที่ข้านึกสงสัยว่าสิ่งต่างๆ ที่เจ้าเห็นมันเป็นอย่างไร ...โปรดรู้ไว้เถิด คุยกับเจ้าข้าไม่เคยเบื่อเลย”

   แสงจันทร์ในจอกวูบไหว ความเงียบโรยตัวไร้คำพูดใดแต่กลับไม่อึดอัด ..กลิ่นไม้หอมอวลมาจากสวน อากาศเย็นนัก แต่ใบหน้าคนคนหนึ่งกลับขึ้นสีสุกปลั่งในความมืด

   “...เช่นนั้น...ถ้าท่านไม่นึกรำคาญก็ดี” คนถูกชมเอ่ยกระอ้อมกระแอ้ม ได้แต่โทษจันทร์ที่ทำให้เขาวางตัวแปลกไป หัวที่เคยคิดคำพูดลื่นไหลก็กลับว่างเปล่า

   อวี้จินเหยียดตัวเอนหลังพิงกำแพง ในความมืดนิ้วซูบผอมเอื้อมไปเกี่ยวมือแข็งแรงนั่นไว้อย่างขัดเขิน อวี้จินไม่กล่าวอะไร มีเพียงมือกร้านที่พลิกกุมไว้แน่นต่างคำพูด ซุนซีเลี่ยงไปยิ้มให้ท้องฟ้าอย่างที่ไม่เคยทำมาเนิ่นนาน แพขนตาปรือพริ้ม อากาศเย็นลงเรื่อย หากเพียงสัมผัสจากฝ่ามือกลับรู้สึกอุ่นไปทั้งกาย

   ...เห็นทีจันทร์ค่ำนี้จะส่งแสงนวลทอประกายสวยยิ่งกว่าครั้งใด



   อู๋ก่วนจงเป็นรักแรกและเป็นรักที่สอนให้รู้ถึงความหวังดีโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ช่วงเวลาที่อยู่สำนักคุ้มภัยด้วยกันแม้จะวุ่นวายทว่าเป็นสุข

   เขาเคยคิดจะไม่มองชายอื่นตลอดชีวิต ด้วยรู้ดีว่าคนที่เป็นอย่างตนจะหาใครตอบแทนความรักนั้นเป็นเรื่องยาก – แต่สุดท้ายพรหมลิขิตก็เปลี่ยนทุกอย่าง กับอวี้จินแม้จะคอยทำอะไรขัดใจอยู่บ่อยๆ และถึงจะมีข้อบกพร่องไม่ได้เป็นคนที่สมบูรณ์พร้อม แต่ก็เป็นคนที่เขารักถึงขั้นปรารถนาจะใช้ชีวิตร่วมกัน

   จากบ้านมาความคิดเขาเปลี่ยนไปหลายด้าน ที่น่าตลกคือจนบัดนี้อวี้จินยังไม่เคยทำอะไรเขามากไปกว่าสวมกอด -- กอดที่ทำแต่เพียงโอบตัวไว้ ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น

   การกระทำอย่างสุภาพบุรุษมากจนผิดปกตินี้ แม้น่าโล่งใจแต่ชวนให้รู้สึกโหวงอย่างน่าประหลาด ที่แน่ชัดในเวลานี้มีก็แต่ความปรารถนาของซุนซีที่ตีกับสำนักพึงกระทำยุ่งเหยิง

   อ่ายซวนที่นั่งเย็บผ้าอยู่ด้วยกันจับสังเกตใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวซีดมานาน ในที่สุดบ่าวแสนดีก็เอ่ยขัดคนใช้ความคิด "...นายหญิงเปลี่ยนใจเรื่องยาบำรุงกำลังรึยังเจ้าคะ"

   "ยาอะไรอีกอ่ายซวน พูดจาเลอะเทอะ" คนฟังนิ่วหน้า แค่ได้ยินก็ปวดหัวแล้ว

   "พิโธ่! จนป่านนี้ยังไม่ถึงไหนคงต้องพึ่งยาวิเศษของข้าแล้ว นายหญิงยังทำเขียมอายเมื่อไหร่ข้าจะได้ช่วยเลี้ยงนายน้อยสักที" แม่สาวน้อยเจ้ากี้เจ้าการเกินตัว นางว่าพลางวาดมือประกอบไปพลาง "เชื่อข้าเถอะเจ้าค่ะ ดื่มแค่สองถ้วยรับรองสามวันไม่ออกจากห้อง"

   "พอเลย... ถ้าเจ้าว่างคิดอะไรไร้สาระก็มาช่วยข้าเย็บเสื้อหนาว"

   ซุนซีไม่ตัดบทเปล่ายังยกเอาตะกร้าเย็บปักมาตั้งคั่นกลาง ดูจากท่าทางขะมักเขม้นจากนี้ใครจะพูดอะไรเขาคงทำหูทวนลม

   แต่หากถามว่าสาวใช้อันดับหนึ่งจะยอมแพ้หรือ "ไม่รู้ละ ข้าจัดยามาให้ท่านชุดหนึ่งแล้วนะเจ้าคะ" นางลอยหน้าลอยตาพูด มือยังสอยด้ายไม่หยุด

   "...ข้าขอเถอะซวนเอ๋อร์" คนเป็นนายปรามเสียอ่อนใจ เริ่มนึกสงสัยว่านี่สาวใช้หรือญาติฝั่งแม่สามีปลอมตัวมา

   อ่ายซวนหัวเราะคิกคักเหมือนสนุกที่ได้แกล้งเจ้านายตัวเอง มองหน้านางแล้วก็นึกอ่อนใจ อดยิ้มหน่ายน้อยๆ อย่างนึกทั้งรักทั้งชังไม่ได้ ก็ถ้าเขามีลูกได้ป่านนี้คงไม่รอให้ถึงมือนางหรอก อวี้จินก็อวี้จินเถอะ รับรองได้ว่านอนแยกห้องกันตั้งแต่คืนแรก!



   รองเท้าที่คุณชายใต้เท้าสั่งเอาไว้เสร็จนานแล้วแต่ซุนซียังไม่แน่ใจนักว่ามันสวมได้พอดีหรือไม่ เขาลงทุนเอารองเท้าคู่เก่าของอวี้จินมาวัดอย่างละเอียด มั่นใจถึงเจ็ดส่วนว่าน่าจะสวมได้อย่างน้อยก็หลวมแค่นิดหน่อย ทว่าเพื่อความมั่นใจสุดท้ายก็ต้องเอาให้ใต้เท้าหน้าทะมึนคนนั้นลองสวมดูสักที

   วันนี้เขาถึงบากหน้ามานั่งรออวี้จินถึงห้องรับรองในจวนตั้งแต่สายๆ จนใกล้ตกบ่าย เมื่อพบเงาร่างสูงใหญ่เข้ามาจึงวางถ้วยชาคว้ารองเท้ามากำแล้วยืนรอ ท่านเจ้าเมืองที่เพิ่งปลีกตัวมาจากงานในศาลเห็นเข้าก็มองอยู่นาน

   อวี้จินเอ่ยทัก “มารอนานแล้วหรือ?”

   ซุนซีส่ายศีรษะ มาถึงก็พูดเข้าเรื่อง “ไม่นานเจ้าค่ะ ท่านพอมีเวลาว่างสักหน่อยหรือไม่ ข้าอยากให้ท่านลองรองเท้า หากสวมได้ไม่พอดีข้าจะได้นำไปแก้”

   ท่านเจ้าเมืองดูประหลาดใจแต่ก็แค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น ซุนซีได้แต่คิดว่าสงสัยจะลืมไปแล้วว่าเคยสั่งอะไรเขาไว้ เมื่อส่งรองเท้าให้อวี้จินก็รับมาพลิกซ้ายพลิกขวาดูครู่หนึ่ง ไหมสีขาวสะท้อนแดดขึ้นลายเมฆเป็นมันวาวบนรองเท้าผ้าลินินเนื้อดี ดูก็รู้ว่ารองเท้าราคาถูกมีราคาขึ้นมาได้เพราะลวดลายปักไหมเรียบง่ายทว่าละเมียดบรรจง

   ซุนซีอดลุ้นไม่ได้ว่าจะมีคำชมสักคำจากปากคนยิ้มยากตรงหน้า แน่ล่ะว่าได้แต่เพ้อฝันไปเท่านั้นเพราะแม้แต่รอยยิ้มเดียวก็ไม่มี อวี้จินย้ายไปนั่งเก้าอี้ใกล้ๆ วางรองเท้ากับพื้นแต่ก่อนตั้งท่าจะสวมก็หันมากวักมือเรียกเขา

   “มานี่” อวี้จินออกคำสั่ง เมื่อซุนซีขยับเข้าไปยืนห่างไปไม่ถึงเก้าชุ่น ก็เรียกให้เข้าไปใกล้อีก ใกล้จนยืนตัวติดที่วางแขนเก้าอี้แล้วก็ยังเรียกไม่หยุดปาก

   ซุนซีมองหน้าคนช่างสั่งอย่างติดจะฉุนๆ จะให้เขาเดินไปถึงไหน! แต่คิดได้ไม่ทันไรแขนแข็งแรงข้างหนึ่งก็คว้าเอาเอวซุนซี ดึงเขาตัวลอยหวือไปนั่งบนตัก

   “ท่าน!” ซุนซีพูดไม่ออกร้องประท้วงไม่ถูก อ้าปากค้างเป็นปลางับอากาศอยู่อย่างนั้น

   “มาดูใกล้ๆ จะได้เห็น” อวี้จินลอยหน้าลอยตาอ้างไปเรื่อย ขยับสองขาใส่รองเท้าเหมือนน้ำหนักตัวคนบนตักไม่เป็นผลอะไรกับเขาเลย

   อยู่บนเก้าอี้โยกเยกได้ซุนซีหน้าร้อนจนต้องเม้มปากแน่น เสียงใกล้ๆ หลังหูถามว่าเขาไม่มองแล้วจะเห็นหรือแต่ซุนซีไม่สนแล้ว เขาเอาแต่ส่ายศีรษะหวือไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ได้ยินเสียงหัวเราะต่ำๆ ในลำคอดังมายิ่งชวนให้โมโหหนัก แต่ถามว่าทำอะไรได้ – แม้แต่จะเอ่ยประท้วงยังไม่กล้า!



   นานวันกลิ่นดอกโบตั๋นจวนเจ้าเมืองยิ่งหอมตรึงใจชัดเจนกว่ากลิ่นดอกท้อที่สวนสกุลเมิ่ง เสียงป้าหม่าที่ดังเหมือนฟ้าผ่าก็เหมือนว่าเคยได้ยินครั้งสุดท้ายเมื่อนานปี มาถึงตอนนี้ซุนซีนึกภาพทุกอย่างได้ยากขึ้นทุกวัน

   เขาพาลคิดลามไปถึงเรื่องคุณหนูทั้งสองที่แต่งออกเรือนว่าคงรู้สึกเหงาเช่นนี้ ความคำนึงไหลไปเรื่อยดุจน้ำหลาก คนพลัดถิ่นระหว่างเย็บเสื้อใจฟุ้งซ่านไปไกล รู้สติอีกครั้งอ่ายซวนก็มานั่งปักผ้าที่ประจำแล้ว

   อ่ายซวนพูดอะไรไปเรื่อยไม่สนใจว่าใครฟังหรือไม่ฟัง ความคิดของนางเปล่งมาทางเสียง เรื่องเสี่ยวม่านบ้าง เรื่องอาหารการกินบ้าง บางครั้งเล่าความเป็นอยู่เพื่อนบ้าน มือก็สาวด้ายสอดเข็มปักผ้าในไม้สะดึง สาวใช้คนนี้ตั้งแต่อยู่กับเขามาฝีมือพัฒนาไปมาก ทั้งท้องนางก็อ้วนโตจนดูอุ้ยอ้าย ซุนซีประหลาดใจระคนละอาย เวลาว่างมีมากแต่เขาเพิ่งได้สังเกตว่าท้องแก่ใกล้ครบสิบเดือนเต็มที

   “นับแต่วันนี้ตกบ่ายเมื่อไหร่ให้กลับไปพัก ไม่ต้องอยู่ช่วยงาน” สิ้นคำสั่งอ่ายซวนก็เงยหน้ามอง หลังความประหลาดใจในดวงตามีแววยินดีแต่ยังอึกอักลังเล

   “ข้ากลับไปพอค่ำเล้วใครจะอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินล่ะเจ้าคะ”

   เจ้านายส่ายหน้า “อายุเท่านี้จำเป็นต้องมีคนเฝ้าเสียที่ไหน กลับไวเจ้าได้ไปหาเสี่ยวม่านไม่ดีหรือ”

   ยกเอาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาอ้างเป็นอันว่าได้ผลชะงัด แม่ลูกสองอิดออดว่าตนยังทำงานไม่คุ้มค่ายาบำรุงครรภ์ สุดท้ายทนคนเป็นนายคะยั้นคะยอไม่ไหวถึงได้ยอมแต่โดยดี

   ผ้าปักเก็บลงตะกร้าเรียบร้อยแล้ว อ่ายซวนอุ้มท้องยืนมั่นก็ก้าวเร็วเป็นม้าวิ่ง

   “ซวนเอ๋อร์เดินเหินระวัง!” ซุนซีร้องลั่น

   เจ้าของชื่อหันมายิ้มเผล่ที่หน้าประตู “แค่นี้เองเจ้าค่ะ แค่นี้เอง”

   ก็ไอ้แค่นี้เองของนางที่เล่นเอาหัวใจเขาจะหยุดเต้น ชายร่างเล็กเอาแต่ส่ายหน้าหลังอ่ายซวนเดินลับไปแล้ว รอยยิ้มน้อยๆ ผุดมาแทนที่สีหน้าเป็นกังวล

   มือผอมบรรจงวางทุกอย่างลงในหีบไม้สาน ผลักมันเข้ามุมด้วยท่าทีอ้อยอิ่ง เขานั่งเงียบๆ อยู่อย่างนั้น มองความว่างเปล่าเหมือนถูกหยุดเวลาเอาไว้



   ไม่เท่าไหร่ก็ต้นเหมันต์แล้ว เกล็ดหิมะตกลงต้องแสงวาววับอยู่ในอากาศ พอลมพัดก็หอบปลิวขึ้นฟ้าเหมือนละอองเกสรดอกไม้ เกล็ดสีขาวฟุ้งระยิบระยับเป็นประกาย ตกลงมาเป็นปุยนุ่นเบาแผ่ออกไปเหมือนพรมกำมะหยี่สีสะอาด

   อีกไม่นานพื้นหิมะตามทางเดินจะจับตัวกันเป็นแผ่นน้ำแข็งลื่นๆ เด็กรับใช้ในจวนจึงง่วนอยู่กับการกวาดไสหิมะ เมื่อครูดไถไม้ผ่านจึงปรากฏแผ่นหินเป็นสีเข้มตัดกันกับพื้นหิมะขาวโพลน ซุนซีเถลไถลออกนอกเส้นทาง จุ่มเท้าลงบนพรมนุ่มวาวแสง ใบหูขึ้นสีจากความเย็นคอยฟังเสียงกรอบแกรบยามพื้นยวบลงไปเป็นรอยรองเท้า เกล็ดใสเกาะอยู่ตรงปลายชุดก่อนจะละลายเปียกเป็นน้ำเย็นเฉียบทำเอาขอบผ้าระพื้นชื้นขึ้นสีเข้มเป็นทาง

   พื้นหลังหิมะตกมีกิ่งไม้แทงขึ้นมาเป็นหย่อมๆ เหมือนจุดหมึกกระเด็นเปื้อนบนกระดาษขาวเกลี้ยง ต้นไม้ใหญ่ไร้ใบมีก้อนสีขาวเกาะตามกิ่งก้านเป็นกลุ่ม ซุนซีจับด้ามร่มเป็นมั่นเหมาะก่อนจะเขย่าลำต้นสีน้ำตาลแก่ หิมะค้างต้นร่วงลงบนกระดาษร่มเป็นเสียงหนักๆ สักพักก็ไหลตามลาดลงกองพื้น

   เขาเก็บทุกรายละเอียดราวกับเป็นเรื่องสำคัญ จมูกแดงก่ำเริ่มรู้สึกแสบเพราะอากาศเย็น เวลาลมพัดมาทีหนึ่งเขารีบหดคอเป็นเต่าอยู่ในชุดหนา ใจคิดถึงไออุ่นเตาพกกับอาหารร้อนๆ ควันลอยส่งกลิ่นหอมฉุย

   หิมะที่หวงซานไม่เป็นเช่นนี้ มันให้ความรู้สึกต่างออกไป ซุนซีถึงอยากจะถนอมภาพเหล่านี้ไว้ในความทรงจำ

   เวลานี้อากาศหนาวเกินจะเรียนหนังสือเสียงเจื้อยแจ้วของพวกเด็กๆ ถึงได้หายไปจากจวนเจ้าเมือง พวกทหารก็อยู่ในชุดเสื้อคลุมกันลมสีเปลือกไม้เข้มดูแปลกตาไปอีกแบบ ซุนซีถึงจะชอบทิวทัศน์สวยงามของลานหิมะขนาดไหนก็ทนความหนาวอยู่ได้ไม่นาน ปลายนิ้วที่เย็นจนชาดิกแทบขยับไม่รู้สึก จมูกแดงๆ ก็เริ่มหายใจติดขัดเหมือนมีน้ำมูกใส

   เพราะอ่ายซวนไม่อยู่ซุนซีถึงได้ว่างออกมาเดินเล่นเอ้อระเหยไม่มีงานทำอย่างนี้ เขากระชับเสื้อคลุมให้แนบตัวอีกหน่อยเพื่อให้รู้สึกอุ่น ลมเย็นบาดผิวพัดมาอีกคราวเหมือนเร่งให้เขาต้องรีบออกเดิน ซุนซีก้าวไปเรื่อยๆ ตามทางในระเบียงใต้ร่มหลังคาที่ทอดยาวไปถึงสุดสายตา ทางเดินซีกหนึ่งขนาบด้วยสวนใต้กองหิมะชวนให้ยิ่งรู้สึกหนาว

   เสียงพูดคุยคุ้นหูดังมาจากห้องข้างหน้า ซุนซีลดฝีเท้าให้ช้าลง บทสนทนาคล้ายเป็นเรื่องสำคัญจึงไม่กล้ารบกวน เขาไม่ได้ตั้งใจจะมาแอบฟัง คนหนุ่มกำลังจะกลับหลังเดินไปทางเก่าแล้วแต่เป็นเพราะได้ยินอะไรเข้าเสียก่อนสองเท้าถึงได้หยุดเหมือนถูกแช่แข็ง

   “...ปล่อยไว้นานจะไม่เป็นอันตรายหรือขอรับ จ้าวลี่เฟิงกำเริบเสิบสานนัก หลักฐานว่ามันส่งอาวุธให้พวกโจรเคราเทาก็มากพอจะเอาผิดแล้วไม่ใช่หรือ”

   “ยังบุ่มบ่ามตอนนี้ไม่ได้”

   เขาเคยได้ยินเรื่องกลุ่มโจรของเคราเทาที่ใดสักแห่ง คงนานมากแล้ว...แต่ความรู้สึกแค้นคับอกที่เคยตกตะกอนก็คลุ้งขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงหน้าสหายที่ตายไป ซุนซีกำกระโปรงผ้าฝ้ายเอาไว้หลวมๆ ชื่อ ‘จ้าวลี่เฟิง’ หากจำไม่ผิดคงเป็นท่านอ๋องน้อยที่เคยมาร่วมงานมงคลสมรสของเขา

   ซิ่วหมินเดินมาไกลๆ ซุนซีรีบยกมือขึ้นแตะริมฝีปากเป็นเชิงให้เงียบเสียง คนหนุ่มมองเขาด้วยสีหน้าฉงนแต่ยอมทำตามโดยดี ฝ่ายสั่งให้เงียบจับแขนเสื้อทหารหนุ่มดึงให้ออกห่างจากห้องประชุมงาน ซิ่วหมินแม้จะสงสัยแต่ไม่กล้าถามอะไร พอพ้นมาได้สักระยะคนทำตัวลับๆ ล่อๆ ถึงยอมเปิดปากพูด

   ซุนซีกล่าว “เป็นอย่างไรไม่เจอกันนาน”

   นี่ออกจะน่าสงสัยอยู่สักหน่อยว่ามีเหตุอะไรต้องลากมาไกลเพื่อไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ แต่คนอย่างซิ่วหมินก็ใช่ว่าจะติดใจเอาความ รอยยิ้มกว้างอย่างนึกยินดียังปรากฏบนใบหน้าทหารหนุ่มอีกต่างหาก

   “สบายดีขอรับ ฮูหยิ—” ซิ่วหมินชะงักกลางคัน หัวเราะแหะๆ เสียงใส “ท่านล่ะขอรับ มีอะไรรึเปล่า”

   ซุนซีมองตำหนิคนเกือบพูดผิด เรียกอะไรได้แต่อย่ามาเรียกฮูหยิน เขาได้ยินแล้วอยากจะตีให้ตายคามือ

   “อาซิ่วมีเสื้อหนาวแล้วหรือยัง ข้าเย็บเอาไว้หลายตัวเจ้าจะแบ่งไปไหม?”

   ซิ่วหมินฟังแล้วหน้าซีด ปัดมือไม้เป็นพัลวัน “มิได้ๆ ข้ายังไม่อยากอายุสั้น ท่านเก็บไว้ให้ไต้เท้าใส่เถอะขอรับ”

   “...” คราวนี้เป็นซุนซีเองที่สับสน รับเสื้อเขาไปแล้วจะถึงกับอายุสั้นได้เชียวหรือ แต่ครั้นจะโกรธเจ้าคนทำหน้าแป้นเป็นลูกสุนัขก็ทำไม่ลงเสียด้วย

   ซิ่วหมินเอาแต่ยิ้มมองเขาแต่ไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก เดินไปคุยไประหว่างกลับไปที่เรือนชั้นในก็สนุกดีไม่น้อย เจ้าลูกสุนัขตัวโตคอยแต่จะทำหลังค่อมเวลาเดินคุยกับเขาไม่สมมาดนายทหารสักเท่าไหร่ ดวงตาเป็นประกายสุกใสมักจะจ้องมาที่ซุนซีบ่อยครั้ง เมื่อรู้ตัวว่าถูกมองตอบก็เอาแต่หัวเราะแหะๆ กลบเกลื่อน ดูไปแล้วก็เย็นตาเหมือนอยู่กับสัตว์เชื่องที่ตัวโข่งกว่าเขาอยู่สักหน่อย

   ซุนซีหยุดอยู่หน้าประตูที่พัก บอกให้ซิ่วหมินรอเขาก่อนระหว่างที่หายกลับเข้าไปข้างในห้อง เขากลับมาพร้อมห่อผ้าห่อโตฝากให้เอาไปส่งถึงมืออ่ายซวน คนรับยิ้มหวานจ๋อยขอบคุณซุนซีเสียยกใหญ่ ไม่นานแผ่นหลังกว้างของซิ่วหมินก็หายไปกับหัวมุมอาคาร ซุนซีเดินกลับเข้ามานั่งกลางห้องพัก ในความเงียบนั้นเหลือเพียงเขาตกอยู่ในห้วงความคิดลำพัง

   ซุนซีผุดลุกละเอาความรู้สึกหน่วงหนักทิ้งไปก่อนเดินออกจากห้อง แดดลอดซี่ไม้ผนังฉลุลายทาบร่างเล็กสองเท้าก้าวยาวตามทางเดิน เขาเปิดประตูห้องเขียนหนังสือด้วยความระมัดระวัง บุรุษในชุดสตรีค้นเอกสารจากกองหนึ่งสู่อีกกอง ปรารถนาจะพบสิ่งที่รั้งท่านเจ้าเมืองให้ต้องอยู่จนย่างเข้าฟ้าสางได้ทุกคืน ของสำคัญอวี้จินต้องเก็บเป็นอย่างดีแน่ แต่อาจมีอะไรที่เจ้าตัวมองข้าม ...เช่นกล่องเก็บปิ่นทับทิมที่ได้เป็นของขวัญวันแต่งงาน

   คิดได้ก็ลงมือทันที เขาอ้อมไปที่หีบเก็บของอีกฟากหนึ่ง ค้นอยู่ไม่นานก็เจอกล่องไม้แกะสลักที่ว่า ซุนซีเป็นคนฝากให้เอามาเก็บเองเขาย่อมจำได้ดีว่าอยู่ตรงไหน เขาปลดสลักกล่องไม้ มือผ่ายผอมผลักฝาออกเปิด

   ดวงตาเป็นประกายกลับเบิกกว้าง

   ฝาเปิดค้างอยู่เพียงครึ่งอย่างนั้น สองมือผอมเซียวสั่นเทาพาลไร้เรี่ยวแรง ของเคียงปิ่นทับทิมเป็นป้ายหยกที่นอนก้นอยู่ในกล่องหุ้มผ้าไหม ขอบหยกบิ่นเป็นทาง...ลวดลายเซี่ยนี้เขาจำได้เป็นอย่างดี เคียงข้างกันยังมีดอกเบญจมาศที่ถูกทับจนแห้งอีกดอกหนึ่ง

   หยกนี้เขามอบให้แก่เจ้าใบ้ ภาพคืนวันนั้นย้อนกลับมาเป็นฉาก นี่เขาใช้ชีวิตสุขสบายจนลืมเพื่อนพ้องที่สูญเสียมานานเท่าไหร่แล้ว ซุนซีนึกๆ น้ำตาพลันรื้นขึ้นมา เขากลบเกลื่อนด้วยเสียงหัวเราะได้ดีเพราะฝึกฝนมาทั้งชีวิต การซ่อนความเสียใจก็เป็นเรื่องง่ายดาย -- แต่ไม่ใช่ในเวลานี้

   ยิ่งตัดใจยากยิ่งต้องทำ ซุนซีรู้เรื่องนี้ดี เช่นนั้นจึงปิดกล่องไม้เก็บลงอย่างเก่า ส่วนประกอบต่างๆ ต่อเข้าเป็นชิ้นเดียวมากพอให้ตัดสินใจเด็ดขาด หลังปิดหีบก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ สูดจมูกให้พอโล่งก็ย้ายไปหาเอกสารสำคัญต่อราวกับเรื่องเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น

   หนังสือในมือเปิดกางออกบนโต๊ะเขียนหนังสือ เนื้อในบรรจุความเรื่องบัญชีเกี่ยวกับจ้าวลี่เฟิงเอาไว้ ซุนซีทรุดนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะ ทำใจอยู่นานกว่าจะหยิบพู่กันขึ้นจุ่มหมึก

   เวลาผ่านไปเป็นชั่วยามกว่าสมุดจะถูกเขียนจนครบหน้า ซุนซีฉีกกระดาษซีกหนึ่งออกจากหน้าสุดท้ายทำเป็นสารแผ่นน้อย เนื้อความในคราวนี้ไม่ได้เขียนด้วยตัวบรรจง ซุนซีพับมันเป็นสามส่วนชิ้นเล็กกว่าฝ่ามือ เขานั่งจ้องพับกระดาษอยู่พักใหญ่กว่าจะยอมลุกจากเก้าอี้ เสียงครืดคราดยามไม้ถูกลากไปกับพื้นฟังไม่รื่นหู

   ชายหนุ่มเดินเงียบเชียบไปที่โต๊ะมุมห้อง ที่นั่นมีซอเอ้อหูคันเก่าวางอยู่ เป็นคันเดียวกับที่อวี้จินหยิบมาให้เขาเล่นบ่อยๆ ซุนซีไม่เคยสังเกตมันให้ถี่ถ้วนเลยจนกระทั่งตอนนี้

   ซอเอ้อหูตัวไม้ชิงชัน ปลายคันทวนสลักลวดลาย..สังเกตสักนิดถึงเห็นรอยมีดเล็กๆ ขีดที่ฝั่งลูกบิดว่า ‘จิน’ ตัวหนังสือขีดทื่อๆ เป็นรอยเก่ามากแล้ว ซุนซีอมยิ้ม นิ้วก็แตะไล้ไล่ลงตามคันทวน สัมผัสยามลูบไปตามหางม้าคันชักสีขาวปลอดหนาและฝืดมือ ทั้งที่เป็นของเก่าแต่ดูแลอย่างดี

   ถ้ารู้ว่าต้องกรีดหนังงูเปิดอ่านกระดาษข้างในคนรักษาของต้องลมจับแน่ คิดได้อย่างนี้ซุนซีก็รีดกระดาษให้เล็กลงอีกหน่อย สอดมันเข้าไปทางด้านสายซอ ควานแขนเสื้อหยิบเอาถุงเงินขึ้นมาผูกหูเชือกกับคันทวนไม้ด้วยใจเขากลัวว่ามันจะยังไม่เด่นพอให้สังเกตว่ามีอะไรผิดแปลกไป


---------------
มาเลทไปวันนึงอีกแล้วค่ะแง YvY
บทนี้ซุนซีสู้กับความคิดตัวเองทั้งบทอาจจะเอื่อยๆไปบ้าง แต่ในที่สุดนายเอกของเราก็ตัดสินใจได้แล้วล่ะ!
จะมีใครจำดอกเบญมาศที่ถูกทับจนแห้งได้มั้ยน้อว่าเคยปรากฏตัวมาตอนไหน
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่19 - 06/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 07-05-2020 07:07:41
กำลังสนุกเลย
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่19 - 06/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 08-05-2020 11:44:33
ลืมหมดแล้วค่ะ เพราะนักเขียนหายไปนาน #คำว่านานแบบแอคโค่  #ไม่มองแรงไม่มองอ่อนแต่มองนานและค้างไว้  :ruready

5555  ซุนซีเขียนอะไรลงไปน้อ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่19 - 06/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 08-05-2020 23:09:05
บทที่ 20

   เกือกเหล็กย่ำอยู่บนพื้นหินเย็นเยียบ ซุนซีนั่งบนหลังม้าแต่งกายอย่างบุรุษพึงสวมใส่ บนแผ่นหลังผูกสะพายย่ามใบน้อยใส่สินทรัพย์เท่าที่จำเป็น ความรู้สึกคุ้นเคยที่น่าประหลาดวิ่งกลับมาหาเขาหลังไม่ได้ใส่ชุดผู้ชายนานหลายเดือน สัมผัสผ้าฝ้ายกระชับตัวเป็นเครื่องยืนยันว่าเขาไม่ได้ตกอยู่ในฐานะสตรีอีกต่อไป

   ผู้คนผิดหวังเพราะสิ่งที่ปรารถนา ผู้คนโกหกเพื่อสิ่งที่ปรารถนา...และอย่างไรเขาก็ไม่คิดจะอยู่เฝ้าเรือนไปจนตาย การจากลาจึงไม่อาจหลีกเลี่ยง

   มือที่กุมสายบังเหียนกระชับมั่นม้าพลันควบออกจากแหล่งพำนัก เวลานี้ท้องฟ้ายังมืดราวหยดแต้มด้วยสีหมึก แสงโคมห้อยระย้าหน้าบ้านเรือนส่องพอให้เห็นทาง พื้นที่ตลาดครึกครื้นเมื่อยามฟ้าสางบัดนี้เงียบเชียบปลอดผู้คน 

   ไกลออกไปทิศตรงหน้าเห็นแสงสว่างคบไฟจากประตูทางออกเมืองที่เปิดกว้างรับยามเช้าตรู่ นายทหารยืนเฝ้าผลัดเวรยามกันแถวนั้นหลายนาย ...ซุนซีภาวนาไม่ขอให้เจอคนรู้จักแต่ดูเหมือนฟ้าดินจะไม่เป็นใจ เมื่อมองไปไกลๆจึงพบซิ่วหมินยืนคุยกับเพื่อนทหารอยู่ที่หน้าประตูเมือง

   ม้าเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า ซุนซีหยุดเมื่อถูกเรียก ส่งป้ายระบุตัวตนที่ตระเตรียมไว้ก่อนหน้าให้นายทหารประจำประตู ทุกอย่างเรียบร้อยดีจนเมื่อกระตุกบังเหียนให้ม้าเคลื่อนถึงได้มีเสียงหนึ่งเรียกไว้

   “ช้าก่อน นั่นท่านเมิ่งใช่หรือไม่?”

   ซุนซีหยุดม้า ตระหนกเพราะไม่คิดว่าซิ่วหมินจะจำตนได้ นายทหารคนคุ้นหน้าเดินตรงมาหยุดข้างซุนซี เงยมองด้วยแววตาสงสัย

   "ท่านเมิ่ง ท่านจะออกไปไหนน่ะขอรับ"

   ผู้ถูกถามเลือกไม่ตอบ เงียบเช่นนั้นอยู่นานจนซิ่วหมินผิดสังเกต ถือวิสาสะจับสายบังเหียนม้าดึงเบาๆ

   "ให้ข้าไปกับท่านได้ไหมขอรับ ฟ้ายังไม่สว่าง ข้าไม่อยากให้ท่านเดินทางคนเดียว"

   "ใต้เท้าสั่งไว้หรือ?"

   ทหารหนุ่มกระอักกระอ่วนไม่กล้าตอบ รั้งไว้จะมีแต่เสียเวลา สุดท้ายซุนซีจึงพยักหน้าให้เขาครั้งหนึ่งเรียกให้ขึ้นมา ซิ่วหมินมองกลับไปกลับมาระหว่างม้าที่ผูกไว้ข้างกำแพงเมืองกับม้าตรงหน้าอย่างลังเล สุดท้ายก็กระโดดขึ้นหลังอาชาตัวเดียวกัน น้ำหนักคนสองคนทำมันเดินช้าลงโข

   พวกเขาควบอาชาวิ่งเหยาะๆ ออกจากเขตประตูเมือง ด้านนอกมืดสนิทเห็นแต่ไฟจากแสงตะเกียงนำทางพอสว่างบริเวณรอบตัวเพียงสี่ฉื่อ  อากาศหนาวจนต้องกระชับเสื้อตัวนอก ลมก็หอบไอน้ำค้างมาจนผิวส่วนพ้นผ้าชื้นยิ่งชวนให้รู้สึกเย็นกาย ไออุ่นจากคนข้างหน้าแผ่ออกมาพร้อมกลิ่นเหงื่อจากชุดนายทหารเป็นเครื่องหมายบอกว่าซิ่วหมินคงเข้าเวรยามมาแล้วทั้งคืน

   เว้นระยะอยู่นานกว่าทหารหนุ่มจะพูด "ท่านจะไปจริงๆ หรือขอรับ"

   "เรื่องนี้...ใครบอกเจ้าไว้แบบนั้น?"

   "ใต้เท้าสั่งว่าวันใดเกิดท่านเมิ่งอยากจะออกเดินทางอย่าได้รั้งไว้เด็ดขาด ข้าไม่รู้ว่าท่านเจอเรื่องอะไรมาจนถึงขั้นอยากไปจากที่นี่ หรือพวกข้าไปทำอะไรไว้ให้ท่านไม่พอใจ--"

   "เปล่าเลย ไม่ใช่อย่างนั้น" ซุนซีขัดขึ้นมา "ข้าจำเป็นต้องไป ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้าหรอก"

   ซิ่วหมินนิ่งเงียบไป พักใหญ่ถึงยอมเปิดปากเอ่ยเสียง

   "พวกเรารักท่านมากนะขอรับ"

   "...ข้ารู้"

   "พี่อ่ายซวนรักท่านมากนะขอรับ"

   "อืม ข้ารู้"

   "เด็กๆ รักท่านมากนะขอรับ"

   "ข้ารู้"

   "ใต้เท้าอวี้รักท่านมากนะขอรับ"

   "..." ซุนซีรู้ เขารู้ดี แต่ไม่อยากตอบออกไป

   ความเงียบคลี่ตัวเข้าปกคลุมอีกครั้ง ครานี้กินเวลายาวนาน รอบข้างได้ยินแต่เสียงเกือกม้าบดพื้นหินดังเป็นจังหวะ ซิ่วหมินที่ทนความอึดอัดไม่ได้ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

   “ข้ามีอีกเรื่องต้องบอกท่าน คนใบ้ที่ท่านเคยพบจริงๆ แล้วเป็นข้า—”

   ไม่ทันสิ้นคำม้าก็ถูกกระตุกบังเหียนให้หยุดวิ่ง หลังทางโค้งกลุ่มคนสี่ห้าคนในชุดชาวบ้านยืนเตร่กันอยู่กลางถนน เมื่อหยุดม้ามองให้ดีจึงเห็นว่าต่างคนต่างอาวุธครบมือ ความคิดแรกของซุนซีคือโจรถูกปราบไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ หากมีลูกน้องกระจัดกระจายก็ไม่ควรมายืนหาความแค้นกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางอย่างนี้

   “หากไม่อยากมีเรื่องให้หลีกทางไป!”

   ซิ่วหมินตะเบ็งเสียงขู่นักเลงเหล่านั้น แต่แทนที่จะกลัวคนในชุดทางการพวกมันกลับดาหน้ากันเข้ามาใกล้ นายทหารหนุ่มเห็นท่าไม่ดีก็กระโดดลงชักดาบเอาตัวเข้ากั้นระหว่างม้าเขากับพวกนักเลง

   ซุนซีไม่รู้หรอกว่าซิ่วหมินฝีมือดีขนาดไหน แต่ให้สู้กับชายฉกรรจ์ห้าคนก็ไม่ใช่เรื่องน่าไว้วางใจ ยิ่งมีเขาอยู่ก็รังแต่จะถ่วงแข้งถ่วงขาเสียเปล่าๆ

   “ข้าจะไปตามคนมาช่วย” ซุนซีร้องบอกระหว่างดึงบังเหียนสั่งม้าให้เปลี่ยนทิศ สองตาจ้องกลุ่มนักเลงที่ไม่มีทีท่าตระหนกแถมยังไม่คิดไล่ตาม พวกมันยืนดูเชิงกับซิ่วหมินยังไม่มีใครยอมเขยื้อน

   หลักหักเลี้ยวออกมาได้ซุนซีก็ควบถอยออกมาตั้งหลักข้างทาง ไม่ตามมาเช่นนี้มีไม่กี่กรณี หากไม่มีคนดักหลังรออยู่ก็คิดจะจัดการแต่กับฝ่ายนายทหาร เสียงเอ็ดตะโรกับประกายไฟจากคมดาบปะทะคมดาบจุดขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล ซุนซีกระทุ้งเท้าเร่งม้าให้ออกวิ่งสุดกำลังพุ่งเข้าใส่ฝูงชน

   “อาซิ่วหลบไป!” เขาตะโกนสุดเสียง พาม้าวิ่งฝ่ากลุ่มคนกระเด็นไปคนละทิศ

   ซุนซีควบม้าตะบึงห้อตามทาง เสียงกุบกับของฝีเท้าอาชาดังก้องอยู่ในความมืดยามใกล้อรุณรุ่ง ขอบฟ้าเริ่มเจือด้วยสีอมส้มแต่ลมที่ตีปะทะใบหน้ายังหนาวบาดผิว กลิ่นน้ำค้างและดินชื้นอวลอยู่ในอากาศ เมื่อพ่นลมหายใจออกควันขาวก็พวยพุ่งเป็นสายลู่ไปตามแก้ม

   เห็นแสงโคมไฟท่าเรืออยู่ไม่ไกลแล้ว กลุ่มคนที่ท่ามีคนในชุดนายทหารยืนซึมเซาอยู่ด้วย พอเห็นเท่านั้นเขารีบบึ่งตรงไปหา หยุดม้าขาหน้ายกเกิดเสียงม้าร้องเสียงดังเรียกเอาทุกสายตาที่ท่าเรือให้หันมามองเป็นทางเดียว

   “ส่งคนไปดูที่ทางเส้นเข้าเมืองที มีนายทหารสู้กับกลุ่มโจรต้องการความช่วยเหลือ!”

   ซุนซีละล่ำละลักบอก เขารีบลงจากหลังม้าส่งมันให้กับนายทหาร ฝ่ายคนฟังตื่นเต็มตาสีหน้าตระหนกรีบเรียกพวกทั้งควบม้าทั้งตบเท้าวิ่งออกไปตามทางที่เขาเพิ่งผ่านมา ได้แต่ภาวนาว่าจะไปถึงทันช่วยซิ่วหมินที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลัง

    ฝีพายตะโกนเรียกให้คนบนท่าขึ้นเรือ ซุนซีก้าวตามผู้อื่นเชื่องช้า เสียงไม้พาดระหว่างท่ากับกาบเรือลั่นเอี๊ยดอ๊าด กลิ่นชื้นดินหอมลอยอยู่ในอากาศ อีกไม่นานเท่าไหร่แดดก็จ้าขึ้นที่ปลายขอบฟ้า ส่องผืนน้ำให้เห็นเงาเมฆสีส้มอมคราม

   เมื่อเรือเคลื่อนภาพท่าน้ำก็ลอยห่างออกไปเรื่อยๆ เล็กลง...เล็กลงจนลับสายตา



   ใช้ชีวิตบนแม่น้ำแยงซีมาหลายวัน กว่าเรือจะมาถึงเมืองอู๋หูก็กินเวลาย่ำเย็นมากแล้ว เพราะเงินที่ติดตัวมามีเพียงไม่กี่ตำลึงซุนซีจึงต้องอาศัยที่โรงเตี๊ยมเล็กๆ ไกลออกไปจากเขตการค้า เขาจองห้องพักได้ก็ขึ้นไปเก็บข้าวของก่อนลงมาหาอะไรรองท้อง นั่งรอได้ไม่นานกับข้าวยังไม่ทันมาถึงชายสูงวัยท่าทางเหมือนจอมยุทธ์ก็เดินมานั่งร่วมโต๊ะกับเขา ซุนซีลอบมองด้วยอารามสงบ ใบหน้าชายคนนั้นแม้ไม่ดุดันแต่ครึ้มดกด้วยเคราหนาความยาวทาบถึงอก เนื้อตัวใส่ชุดภูมิฐานสีน้ำตาลอ่อน เมื่อลงนั่งก็วางดาบห่วงที่ท่าทางจะหนักถึงสิบชั่ง ลงบนโต๊ะ

   ฝ่ายนั้นกล่าวทักก่อน “ว่าอย่างไรน้องชาย เดินทางตัวคนเดียวหรือ?”

   “ขอรับ ข้ากำลังจะไปสอบจอหงวน”

   “ดีจริง ดีจริง เป็นบัณฑิตอนาคตไกลนี่เอง” จอมยุทธ์เฒ่าหัวเราะ “คนมีความรู้สมควรแก่การคบหา ข้ามีนามว่าเหยาเจี๋ย เจ้าล่ะน้องชาย?”

   “ที่แท้เป็นพี่เหยา ข้าน้อยหมิงซิ่นฉือขอรับ” ซุนซีพูดทั้งรอยยิ้ม

   “ซิ่นฉืออย่างนั้นหรือ เป็นชื่อดี แล้วนี่เจ้าพักที่ไหน ในโรงเตี๊ยมนี้หรือไม่?”

   “ขอรับ”

   “ข้าเองก็พักอยู่ที่นี่ นั่น ห้องทางนั้น” เหยาเจี๋ยว่าพลางชี้ขึ้นไปชั้นบน เขาหันไปสั่งเสี่ยวเอ้อร์อีกสองสามคำก่อนจะหันกลับมา “วันนี้วันดี ถ้าเจ้าไม่รีบนักก็ให้ข้าเลี้ยงสุราสักขวด อยู่คุยเป็นเพื่อนข้าก่อน”

   อาศัยท่าทางใจกว้างทำเอาความรู้สึกระแวงของซุนซีลดลงหลายส่วน ดูลักษณะแล้วไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ยังจะชวนเขาคุยด้วยเสียงอันดังอีกหลายประโยค ใช้ฝ่ามือใหญ่ตบหลังตบไหล่เขาก็หลายครั้ง

   ซุนซีดื่มสุราไปเพียงไม่กี่จอก ส่วนใหญ่แล้วหมดไปด้วยฝีมือเหยาเจี๋ย จอมยุทธ์คนนี้เป็นคนกว้างขวางรู้จักคนในละแวกมาก คนผ่านไปผ่านมาไม่วายเอ่ยทักเขาอย่างนอบน้อม

   เหยาเจี๋ยที่ไม่มีทีท่าจะเมาเกริ่นถาม “แล้วนี่น้องหมิงกำลังจะเดินทางไปไหน?”

   “เมืองหลวงขอรับ คงนั่งรถม้าสลับเดินเท้าไปเรื่อยๆ”

   “ไม่กลัวอันตรายบ้างหรือ กว่าจะถึงเมืองหลวงยังอีกไกลไม่ใช่น้อย”

   ซุนซีหัวเราะเฝื่อน “กลัวก็กลัวอยู่ขอรับ แต่ข้ามีเงินติดตัวไม่มากนัก จะให้ใช้รถม้าตลอดทางก็เกรงว่าจะเงินไม่พอ”

   “อย่างนั้นหรอกหรือ เช่นนั้นไม่ลำบากแย่” เหยาเจี๋ยว่าพลางเทเหล้าลงจอก “ไม่ลองไปเสี่ยงโชคดูหรือ บางทีเจ้าอาจได้เงินพอซื้อม้าดีๆ สักตัวขี่ไปเมืองหลวง”

   “ไม่ดีกว่าพี่เหยา เรื่องเสี่ยงโชคข้าไม่ถนัดเสียด้วย”

   เรื่องนี้ไม่ได้น่าแปลกใจอะไร เมืองท่าเส้นทางเข้าเมืองหลวงเช่นนี้จะมีบ่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ซุนซีพักมือจากจอกเหล้าจงใจเหลือทิ้งไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อไม่ให้เพื่อนดื่มคะยั้นคะยอเติม เขานั่งอยู่อีกพักค่อยขอตัวกลับขึ้นห้อง

   นอกหน้าต่างฟ้ามืดสนิทแล้ว ด้านนอกยังเห็นแสงไฟจากร้านรวงที่ครึกครื้นกว่าในเมืองเสวี่ยซานที่เมื่อเข้าหัวค่ำก็ปิดเงียบ เสียงครึกครื้นจากชั้นล่างโรงเตี๊ยมดังเข้ามาถึงข้างใน ซุนซีแม้จะเพลียแต่ยังไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด – ถึงได้เป็นเรื่องน่าแปลกที่ชั่วยามถัดมาเขากลับหนังตาจะปิดให้ได้

   ซุนซีคิดว่าตัวเองคงใกล้หลับเต็มทีถึงได้เดินจากโต๊ะกลับไปยังเตียง แต่ไม่ทันที่เขาจะถอดรองเท้าก็ฟุบลงไปเสียก่อน หนังตาปรือลงใกล้ปิดเต็มที แม้แต่เรี่ยวแรงจะลากตัวเองให้ลุกนั่งยังหายไปหมด

   ภาพที่เห็นเริ่มพร่าลงทุกที เสียงที่ได้ยินก็เริ่มไกลออกไป...เหลือเพียงความมืดสีนิลสนิทเท่านั้น



   ซุนซีตื่นด้วยอาการปวดหัวสะลึมสะลือ เขาหลับไปทั้งชุดเดิมรองเท้าก็ยังใส่อยู่ทั้งสองข้าง คนหนุ่มปรือตามองไปรอบๆ ห้องอย่างเหม่อลอย ทุกสิ่งล้วนปกติดีเหมือนเมื่อคืน ทว่าสัญญาณบางอย่างกระตุ้นให้เขาลุกพรวดไปดูห่อสัมภาระ – ถุงเงินหายไปแล้ว ชายหนุ่มจำได้ดีว่าตัวเองวางห่อของไว้ที่หัวเตียง รื้อรอบๆ พลิกดูใต้หมอนหรือผ้าห่มก็ยังไม่พบ เป็นได้อย่างเดียวคือโดนขโมย กลอนประตูที่ขัดเอาไว้เมื่อคืนก็เปิดอ้า

   ซุนซีกระวีกระวาดลงไปหาเจ้าของโรงเตี๊ยมที่ชั้นล่าง "มีขโมยขึ้นห้องข้า ท่านจะรับผิดชอบอย่างไร!"

   เจ้าของโรงเตี๊ยมเงยมองเขาอย่างเหนื่อยหน่าย "รับผิดชอบอะไร ไม่ใช่เจ้าทำของหายเองแล้วมาโทษโรงเตี๊ยมข้าหรอกหรือ?"

   "เมื่อคืนข้าไม่ได้ออกไปไหนอยู่แต่ในห้องทั้งคืน เช้ามาของก็หายจะให้ข้าคิดอย่างไรได้อีก"

   "มีหลักฐานว่าใครค้นห้องเจ้าหรือไม่ล่ะ"

   "..." ซุนซีเงียบไป "แต่ข้าอยู่กับชายชื่อเหยาเจี๋ยตลอดหัวค่ำ เขาเป็นพยานได้ว่าจากนั้นข้ากลับห้องไม่ได้ออกไปไหน"

   เถ้าแก่หันไปถามลูกจ้าง เสี่ยวเอ้อร์พาดผ้าขี้ริ้วกับไหล่ก่อนหันมาตอบไวๆ "เมื่อคืนข้าเห็นพี่เหยาพาคนต่างถิ่นไปบ่อน ไม่ใช่เขาหรอกหรือ"

   เถ้าแก่มองเขาด้วยสายตาดูถูก ส่ายหัวอย่างระอาแล้วถึงปัดมือไล่ให้ไปให้พ้น ชัดแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ซุนซีหยุดต่อปากต่อคำกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยม เขากลับขึ้นห้องเก็บรวบรวมข้าวของที่ยังเหลือมัดรวมกันเป็นห่อเดียวก่อนออกเดินทางทั้งอย่างนั้น

   ไม่มีเงินก็ไม่มีอาหาร กลิ่นหมั่นโถวนึ่งร้อนๆ โชยมาตามลมเมื่อเดินผ่านย่านตลาด ซุนซีไม่เคยเป็นขโมยและไม่คิดจะเป็นขโมย เขากลืนน้ำลายลงคอแล้วรีบเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น

   ใช้เวลาพักหนึ่งก็เดินพ้นตัวเมือง บ้านเรือนแออัดบางตาลงและพ้นกำแพงก็เข้าสู่เขตชายป่า ซุนซีหาเอาไม้ท่อนยาวจากแถวนั้น เหยียบให้กิ่งก้านหลุด หินขัดสักหน่อยให้พอจับเสี้ยนไม่ตำมือก็ใช้ต่างไม้เท้าออกเดินไปตามทาง

   เขามีเวลาชมทัศนียภาพข้างทางทั้งวันแต่ไม่อยู่ในอารมณ์แม้แต่จะชื่นชมเสียงนกร้อง ยามอยู่ดีกินดีก็อยู่เสียจนชิน เมื่อต้องมาลำบากคราวนี้ถึงรู้ซึ้งว่าร่างกายตัวเองชักจะติดสบายเกินไปแล้ว เดินข้ามเขามาได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหาโขดหินนั่งหยุดพัก ซุนซีใช้ชายเสื้อซับเหงื่อพราวเต็มใบหน้าและลำคอ ปัดมือพัดโบกให้คลายร้อน โชคยังพอมีบังเอิญเจอต้นน้ำเต้าระหว่างทาง ผลน้ำตาลแก่ควักเมล็ดแห้งกับไส้ในออกยังพอเอามาเป็นกระติกน้ำ ส่วนผลอ่อนเก็บกินกันหิวพอประทังได้

   เขาเดินเช่นนี้อยู่ทั้งวันจนตะวันใกล้ลับฟ้าจึงเจอบันไดเก่ารกชัฏเป็นทางขึ้นวัดร้าง เวลานี้ใกล้พลบค่ำแล้วจะไปต่อก็รังแต่เสี่ยงอันตรายเปล่าๆ ซุนซีเดินลัดเลาเข้าไปด้านใน อาศัยแดดยังพอมีใกล้โพล้เพล้รีบจัดการพื้นที่พออาศัยเป็นที่นอน ติดแต่ฝุ่นเยอะจนทำเขาจามไปหลายสิบรอบจนแสบจมูก

   อาทิตย์ตกดินพบแต่ความมืด เมื่อไม่มีไฟจึงต้องทนหนาวขดตัวอยู่หลังกองไม้ผุ ซุนซีนอนไม่หลับฟันซี่กระทบกันอย่างช่วยไม่ได้ ใจเขาหวนคิดถึงแต่เตียงอุ่นเตาพกที่จวน หลับตาจินตนาการถึงผ้านวมหนาๆ ที่ใช่ห่อตัวจากความหนาวอยู่ทุกคืนระหว่างกระชับอ้อมแขนให้แนบตัวเข้าอีกนิด ...เป็นเช่นนี้จนผล็อยหลับไป

------------------------------------------

เรื่องใกล้จบแล้วค่ะคุณ mystery Y มาลุ้นไปด้วยกันนะ!
แงคุณเพียงเพื่อนคะเราขอโทษษษษ555555555 :hao5:
แต่หย่อนไว้นานมากแล้วค่ะ แบบว่าถ้าไม่สังเกตก็จะจำไม่ได้เพราะนานจริง นานแบบตอนต้นๆและนานเพราะเราดองด้วยนี่แหละฮือ
เอาเป็นว่าดอกเบญจมาศต๊ะไว้ก่อนนะคะ ลงจนจบเรื่องจะมาเฉลยว่าทิ้งขนมปังอะไรไว้ตรงไหนบ้าง
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่ 20 - 08/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 09-05-2020 09:40:50
ยังไงต่อไป!?
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่ 20 - 08/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 10-05-2020 11:23:10
ซุนซีคือไม่เหมาะกับการเดินออกนอกเมืองจริงๆ เหมือนมีกลิ่นเรียกโจร 555
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่ 20 - 08/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 12-05-2020 21:21:29
บทที่ 21

   อู๋ก่วนจงทำงานเป็นมือปราบมาหลายปี ไม่แปลกที่เขาจะเห็นระบบข้าราชการภายในว่าเน่าเฟะเพียงใด ...และเพราะใจรักความยุติธรรมเป็นคนตงฉิน เกินไปถึงทำให้ขัดแข้งขัดขาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในกรมจนโดนสั่งย้ายจากเมืองหลวงมาเมืองปริมณฑล คนหนุ่มไฟแรงไม่คิดย่อท้อแต่กลับพลิกเป็นโอกาสในการสร้างสันติสุขให้แก่คนในพื้นที่ เขาทำงานขยันขันแข็ง เป็นที่รักของลูกน้องใต้บังคับบัญชา ทว่างานหนักหรืองานนอกหน้าที่มักส่งมาให้รับผิดชอบถึงมือบ่อยครั้ง

   ครั้งนี้ก็เช่นกัน ข่าวมาว่าจับขอทานลักลอบเข้าเมืองได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่เจ้านายขั้นสูงกลับบอกให้เขาลงพื้นที่ด้วยตัวเอง

   กลิ่นเหม็นหืนลอยมาจากตัวเหล่าชายขอทานตรงหน้า ผมเผ้าพันกันรุงรังและหนวดขึ้นรกมองไม่เห็นโครงหน้าว่าเป็นอย่างไร คราวนี้จับได้เป็นกลุ่มใหญ่ร่วมสิบคนจากหลายเขตในเมือง

   นายทหารชั้นผู้น้อยเร่งให้พวกขอทานออกเดิน มีชายคนหนึ่งก้าวด้วยท่วงท่าที่ผิดแปลกไปจากคนอื่นในกลุ่ม เขาย่างเท้าเชื่องช้าจนผิดสังเกต ลูกน้องของอู๋ก่วนจงกำลังจะไปเร่งให้รีบเดินแต่เขาเรียกให้หยุดเสียก่อน

   มือปราบหนุ่มขยับเข้าไปถาม กลิ่นเหม็นสาบลอยคลุ้งมาจากร่างตรงหน้า “เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า?”

   ขอทานผ่ายผอมเงยขึ้นมามองเขา ดวงตาเบิกกว้างฉายประกายยินดี

   “...ก่วนจง?”

   มือปราบหนุ่มยอมรับว่าตนตะลึงงันไป เสียงที่เขาคุ้นเคยทว่าไม่ได้ยินมาแรมปีนั้นช่างคล้าย...ซุนซี?



   เพื่อนที่ไม่ได้พบกันมานานกำลังตั้งหน้าตั้งตาใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวเข้าปาก กินจนเกือบจะหกเลอะมูมมาม บัดนี้ชายร่างผอมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเนื้อตัวสะอาดสะอ้านแล้ว หนวดก็โกนจนเห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่คุ้นเคยมาแต่เก่าก่อน ทว่าแก้มก็ตอบจนหน้าซูบ ยิ่งแขนเล็กเท่าไม้ซี่ผอมๆ บัดนี้แทบเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ดูไม่ออกว่ากว่าจะมาพบกันซุนซีผ่านอะไรมาบ้าง

   กับข้าวบนโต๊ะหมดไปอีกอย่างโดยที่อู๋ก่วนจงได้แต่ถือตะเกียบค้างอยู่ท่าเดิม

   “ค่อยๆ กินก็ได้อาซุน -- เอ้า นี่น้ำ” เขาว่าพลางส่งจอกให้ ซุนซีรับมาดื่มทีเดียวหมด

   ชายผู้ไม่รู้ว่าไปโหยอาหารมาจากไหนพักหายใจด้วยการเก็บข้าวเลอะมุมปาก หยิบเอาน้ำแกงมาซดจนหมดถ้วยก่อนจะใช้แขนเสื้อยาวเช็ดปากลวกๆ ท่าทางจะอิ่มท้องดีแล้วถึงได้เผยยิ้มแป้น

   “ถ้าไม่ได้พบเจ้าข้าคงแย่แน่แล้ว” ซุนซีพูดอารมณ์ดี ทว่าอู๋ก่วนจงกลับส่ายศีรษะ

   “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่อาซุน ทำไมถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้?”

   “เรื่องมันยาว.. ช่างเถอะ ถือว่าสวรรค์ยังมีตาส่งข้าให้มาพบเจ้าที่นี่” คนพูดหัวเราะเฝื่อนๆ “ว่าก็ว่าเถิด ทำไมเจ้าถึงไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง มาทำงานชั่วคราวหรือ”

   มือปราบหนุ่มหัวเราะขื่นๆ “ผิดแล้ว ข้าถูกส่งตัวมาอยู่ที่นี่ต่างหาก”

   ซุนซีฟังแล้วนิ่งไป ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำลง “...ผู้ใหญ่ส่งตัวมาหรือ?”

   อู๋ก่วนจงยิ้มสีหน้าลำบากใจ เขาทำเพียงพยักหน้าครั้งหนึ่งแทนคำตอบ พอเห็นสีหน้าของซุนซีถึงได้กล่าวเสริม “ข้าคงทำอะไรผิดพลาดไปถึงได้โดนสั่งย้าย แต่เอาเถอะ อยู่ที่นี่ก็ได้ประสบการณ์ดีไม่น้อย”

   ฟังแล้วโกรธแทนเพื่อนอย่างไรก็ใช่ว่าจะทำอะไรใครได้ แม้จะเจ็บใจก็ได้แต่เก็บกลั้นมันเอาไว้ในเมื่อเจ้าตัวที่เจอปัญหายังไม่คิดจะบ่น เขาได้แต่หวังว่าอย่างน้อยๆ ถ้าอู๋ก่วนจงไม่รู้สึกเป็นทุกข์นักนั่นก็คงเป็นเรื่องดีแล้ว ซุนซีคิดได้อย่างนั้นถึงถอนหายใจยาว ตบหลังมือปราบอย่างนึกให้กำลังใจ อู๋ก่วนจงได้แต่ยิ้มๆ ไม่ว่าอะไร

   พวกเขาคุยกันเรื่องอดีตเหมือนว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เพราะเป็นเวลาออกเวรจะนั่งคุยนานเท่าไหร่จนฟ้าใกล้พลบค่ำหรือไม่ก็ไม่มีปัญหา ซุนซีไม่รู้ตัวว่าเขาพูดไปมากเท่าไหร่แล้ว แต่ยิ่งเอ่ยปากความในใจยิ่งหลุดออกไปเหมือนนกโผบิน

   หลังเว้นช่วงไปนานจู่ๆ ซุนซีก็ตัดพ้อเป็นคนเฒ่า “ก่วนจง ชีวิตข้าเพิ่งเริ่มต้นก็จบลงเสียแล้ว”

   ผู้ฟังไม่นึกติดใจอะไร รินสุราให้คนพร่ำรำพันอีกหนึ่งจอก “แผ่นดินกว้างใหญ่ พวกเราอายุยังน้อย สักวันเจ้าอาจได้เจอเรื่องไม่คาดฝันอีกก็เป็นได้”

   ซุนซีทอดสายตามองไร้จุดหมาย ทิ้งให้เหล้าอุ่นร้อนในจอกให้เย็นชืดลงทีละน้อย

   อู๋ก่วนจงหยุดสายตาอยู่ที่คู่สนทนา อาทิตย์เคลื่อนต่ำลงแล้ว แสงแดดฉาบดวงตาดำสนิทด้วยสีอิฐอมส้ม “จะไม่กลับไปหวงซานจริงๆ น่ะหรือ?”

   คนฟังไม่ได้หันมองผู้ถาม ลมหวนพัดมาวูบหนึ่ง ปลายนิ้วเกี่ยวเอาปอยผมยาวปรกหน้าขึ้นทัดหู แพขนตาซุนซีปิดพริ้ม เขาสูดลมหายใจรับเอากลิ่นหวานดอกโม่ลี่ที่ลอยมาแตะจมูก ..ถ้าบอกว่าไม่คิดถึงบ้านคงโกหกเป็นแน่

   “ก่วนจง เอาไว้เจ้าไปสู่ขอเสี่ยวเหมยเมื่อไหร่ข้าจะกลับไปด้วย”

   ชายหนุ่มหัวเราะ สานมือไว้หลังศีรษะก่อนเหยียดกายเอนหลังพิงเสา “สู่ขออะไรกัน? นางแต่งงานแล้วเจ้ายังมีหน้ามาพูดเล่นไปเรื่อย”

   “ก็ข้าฝากเจ้าเอาไปคิดตั้งเป็นปีจนป่านนี้ยังทำใจเสือไปคุยกับลุงอู๋ลุงเมิ่งไม่ได้อีก ..หรือว่าติดใจสาวเมืองหลวงแทนแล้ว?”

   “ไม่เจอกันนานเจ้าพูดเก่งขึ้นโข” โดนแหย่จนเขินมือปราบหนุ่มก็ทำเสียงตอบเลี่ยงกระอ้อมกระแอ้ม “ข้าก็ยังเหมือนเดิม ชีวิตเสี่ยงตายแบบนี้ไม่กล้าเอาสาวไหนมาลำบากด้วยกันหรอก”

   “ข้ารู้” ซุนซียิ้มกริ่ม ทำเอ่ยหยอกไปอย่างนั้น

   เป็นอู๋ก่วนจงที่มองเขาด้วยแววตาประหลาดใจ “เจ้าเปลี่ยนไปรู้ตัวหรือไม่? ถ้าเป็นสมัยก่อนคงพูดต้อนให้ข้ายอมความแล้ว”

   ฝ่ายนั้นหันมองมือปราบหนุ่มก่อนหลุบตาลงเหมือนใช้ความคิด ครู่หนึ่งก็ส่ายศีรษะ

   “เพราะข้ารู้ว่าพูดไปก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนใจเจ้าได้ ชีวิตคนเราไม่เหมือนกัน ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วข้าจะไปบังคับอะไรได้”

   อู๋ก่วนจงยิ้มจริงใจ “อย่างนั้นก็ดี อาซุนโตเป็นผู้ใหญ่แล้วข้าก็หมดห่วงไปอีกอย่าง”

   “อา! ดูเจ้าพูดเข้าเถอะ”

   ซุนซีใช้ศอกถองคนช่างเจรจา พวกเขาหัวเราะให้กันก่อนจะรินเหล้าอุ่นลงจอกให้พร้อมดื่มอีกคราว



   เหรียญร้อยเป็นพวงนอนก้นอยู่ในถุงเงินเป็นสินน้ำใจจากอู๋ก่วนจงที่มอบให้ใช้ไว้เดินทาง ซุนซีขอให้สหายไปส่งแค่ที่อำเภอใกล้เคียง ที่เหลือตนจะเดินทางไปเองด้วยกลัวว่าเรื่องจะตามมาเดือดร้อนถึงคนมากน้ำใจ

   ชายหนุ่มเข้าเมืองหลวงไปพร้อมคณะเดินทางคนอื่นๆ รถสาลี่เข็นผ่านหน้าเขาไปต่อหางแถวขอผ่านประตูเมือง อากาศเย็นยืนกลางแจ้งลมพัดโหมมายิ่งชวนให้หนาวแม้จะยืนอยู่กลางแดดอุ่น ผมยาวกับชายผ้าปลิวไสวตามแรงลม ซุนซีต้องเกลี่ยผมทัดหูอีกครั้งและอีกครั้ง

   หลังยืนรอยาวนานก็ถึงคราวส่งป้ายยืนยันตัวตนให้ทหารหน้าประตูเมืองตรวจสอบ ฝ่ายนั้นมองสำรวจคร่าวๆ ก็พยักพเยิดให้เดินต่อก่อนจะตรวจคนถัดไป

   มาเมืองหลินอันคราวนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนที่รีบร้อนจนไม่ทันมองสองข้างทาง ร้านรวงเรียงรายอยู่เต็มฟาก เสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่จับไม่ได้ศัพท์ส่วนใหญ่แล้วเจรจาค้าขายกันไม่หยุดปาก ลาเทียมเกวียนลากบรรทุกของสูงเทียมศีรษะเคลื่อนผ่านหน้าไปช้าๆ ตามหลังด้วยคนแต่งชุดต่างถิ่นที่เดินกันขวักไขว่ กลิ่นหอมๆ ของซาลาเปานึ่งโชยมาจากข้างทาง อยู่ในที่ผู้คนคลาคล่ำอย่างนี้แทบไม่รู้สึกถึงลมหนาว

   ชายหนุ่มเดินตามผู้คนข้างหน้าไปเรื่อยๆ ผ่านโรงน้ำชาหลายร้านที่เรียงติดเป็นหมู่ตึก คนเบียดเสียดกันอยู่เต็มท้องถนนแทบไม่มีที่ว่างยิ่งต้องระวังทรัพย์สินให้มาก เสียงตะโกนให้แวะร้านดังมาจากฟากหนึ่งก่อนจะดับไป เขาเผลอมองซ้ายมองขวาเพลิน รู้สึกตัวอีกทีก็เดินมานอกกลุ่มฝูงชน

   พ้นคนค่อยพอหายใจโล่ง ซุนซีตบๆ ข้างเอวสำรวจถุงเงินว่ายังอยู่ดีถึงค่อยเบาใจ พักนี้เขาระแวดระวังเป็นพิเศษเพราะเข็ดจากที่โดนปล้นครั้งก่อน เพิ่งมาถึงตั้งใจว่าจะหาร้านอาหารสักที่กินให้พออิ่มท้องแล้วค่อยเดินต่อ

   ภายในชั้นล่างโรงน้ำชาแห่งนี้มีผู้คนไม่แออัดนักยังพอมีโต๊ะว่างเหลือที่ให้พอหายใจหายคอ ซุนซีสั่งเนื้อหมูมาหนึ่งชั่ง น้ำแกงหนึ่งอย่าง กับข้าวเปล่าอีกชาม เสียงเอะอะของลูกค้าที่โดนเบียดผ่านหลังเรียกสายตาเขาให้หันมองตาม เพราะมัวแต่ระวังถุงเงินถึงเพิ่งสังเกตว่ากลุ่มคนที่เพิ่งตามเข้าร้านมาหน้าคุ้นเหมือนเคยเห็นเมื่อตอนเดินอยู่ข้างนอก ...แต่อาจเป็นเพราะเขาคิดมากจนเกินไป

   แกะขี้ระแวงระวังตัวเป็นพิเศษตั้งแต่ที่โดนเหยาเจี๋ยปฏิบัติเช่นเดียวกัน การตั้งใจมาที่โต๊ะเขาทั้งที่ยังมีโต๊ะว่างเป็นเรื่องผิดสังเกต เขาจ้องคนที่ตั้งท่าจะเดินตรงมาที่โต๊ะเขม็ง ฝ่ายนั้นก็ดูท่าจะรู้ตัวแต่ยังก้าวมาทางที่ซุนซีนั่ง

   วินาทีนั้นซุนซีรับรู้ได้ว่ามีชายอีกสองสามคนแยกทางกันอ้อมมาทางด้านหลังเขา – คราวนี้ไม่ผิดแน่

   ซุนซีผุดลุกขึ้นดึงโต๊ะงัดเทไปทางนักเลงฝั่งตรงข้าม เขาหยิบเก้าอี้ขึ้นแกว่งไล่ศัตรูให้เว้นระยะห่างพลางถอยเท้าหนี เมื่อย้ายตัวเองมาตรงกับประตูก็โยนเก้าอี้ไปทางกลุ่มคนก่อนวิ่งสุดกำลังออกมาข้างนอก

   เมื่อรู้ตัวว่าถูกตามก็พยายามเดินหนีเข้าที่แน่นขนัดด้วยคน -- ยังไม่เป็นผล กลุ่มนักเลงเบียดเสียดตีวงเข้ามาใกล้ สัญชาติญาณบอกให้เขาออกวิ่ง กระแทกไหล่คนตรงหน้านับสิบเพื่อจะหลุดพ้นจากทาง เขาวิ่งอย่างคนหลงทิศออกมาที่ถนนเส้นหนึ่ง ซุนซีวิ่งชนแผงขายของล้มระเนระนาดแต่ไม่มีเวลาให้หันกลับไปดู เสียงเอะอะดังไล่ตามมาติดๆ รู้สึกราวกับว่าพวกมันใกล้จนหายใจรดแผ่นหลัง สลับฝีเท้าระรัวเร็วก้าวไปให้พ้นมือก็ผลักคนเหวี่ยงปะป่ายให้พ้นทาง

   หลังเสื้อถูกเงื้อมมือหนึ่งกระชากดึงจนซุนซีเสียหลักล้ม ผู้คนแตกกระเจิงออกเป็นสองสายเว้นที่ว่างเอาไว้

   หากวิ่งไม่ได้ก็คลาน ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไปให้พ้นจากตรงนี้ ใครสักคนจิกผมเขาเอาไว้ลากให้หันมาทางเดิม ซุนซีเอามือยึดพื้นหินรั้งตัวเองไม่ให้ถูกเยื้อไปตามแรงดึงแต่ไม่ได้ผล แขนเขาพับงอก่อนล้มลงครูดพื้น พยายามจะขดตัวหนีเพราะถูกทึ้งผมไว้ถึงทำได้แต่ห่อตัวทุลักทุเล

   หูเขาพลันได้ยินเสียงชักดาบออกจากฝัก ซุนซีเบิกตาโพลง ใจหวนคิดถึงแต่ใบหน้าคนคนหนึ่ง

   จู่ๆ กลุ่มนักเลงก็ชะงักนิ่งเป็นรูปปั้นหิน มือที่จิกกระชากศีรษะไว้ปล่อยออกฉับพลัน

   ผู้คุ้มกันวิ่งเข้ามาบังลานสายตา ซุนซีหันกลับไปมองด้านหลังเห็นรองเท้าผ้าไหมปักลายคู่หนึ่งเหยียบย่างเข้ามาใกล้กับรองเท้าผ้าอย่างสาวใช้อีกสองคู่ขนาบข้างกัน เขาไล่สายตาเร็วๆ ขึ้นจากกระโปรงสีแดงเข้ม ผ่านเสื้อปักลายดอกหมู่ตัน ที่นูนป่องตรงท้อง และเครื่องประดับทองที่สวมจนเต็มตัว

   จู่ๆ น้ำใสก็เอ่อรื้นสองตาเขา ทำได้แต่เรียกชื่อชื่อหนึ่งด้วยเสียงสั่นเครือ ผู้มีพระคุณยกริมฝีปากขึ้นน้อยๆ เป็นสีหน้าที่เขาคุ้นเคยดี

   เมิ่งชุนเถายกมือขึ้นปราม “คนกันเอง ไม่ต้องซาบซึ้งใจขนาดนั้น”



   คฤหาสน์ตระกูลไป๋ตั้งอยู่ตรงหน้าแล้ว ประตูใหญ่มีป้ายไม้เขียนด้วยตัวอักษรทองเด่นเป็นสง่ากับประตูเล็กริมขอบที่เปิดอ้ารอให้เขาเข้าไป ซุนซีส่งจดหมายแนะนำตัวที่ได้รับจากเมิ่งชุนเถาให้พ่อบ้านก่อนจะเดินสงบเสงี่ยมตามหลังชายสูงวัยผ่านลานกว้างกับสวนหินมาถึงห้องโถงรับรองของอาคารหลัก เขาเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งแล้วในอดีตครั้งที่เป็นพ่อสื่อให้เมิ่งชุนเถา แต่อย่างไรการตกแต่งหรูหราก็ทำให้ตื่นสถานที่ได้เสมอ

   ซุนซีนั่งรอที่เก้าอี้รับแขก สาวใช้ยกเอาชากับของกินเล่นมาวางไว้ที่โต๊ะเล็กติดเก้าอี้ก่อนจะเดินถอยฉากไป ไม่นานเสนาบดีไป๋ก็มาถึง ผู้มาเยือนรีบลุกขึ้นประสานสองมือค้อมคำนับก่อนเจ้าบ้านจะบอกให้เขานั่งลง

   “ทำตัวตามสบายเถิด” ข้าราชการเฒ่าพูดพลางปัดมือไล่คนใช้ที่ยืนประจำการอยู่ให้ถอยออกไป “เอาล่ะ ข้าเห็นเนื้อความในจดหมายแล้ว ลูกสะใภ้บอกว่าเจ้ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษาใช่ไหม”

   “ขอรับ” ซุนซีสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเอ่ยปากพูด “เป็นเรื่องลี่เฟิงอ๋อง”

   ทันทีที่ชื่อนี้หลุดจากปากซุนซีสีหน้าเสนาบดีไป๋พลันครึ้มลง “ว่ามา”

   “ข้าน้อยมีหลักฐานการฉ้อโกงเสบียงหลวงที่แจกจ่ายให้ราษฎรเมื่อหน้าแล้งที่แล้ว” คนหนุ่มว่าพลางหยิบม้วนกระดาษที่เก็บติดตัวไว้ตลอดส่งให้ “นี่เป็นสำเนาคัดลอกที่ข้าน้อยได้รับมา เอกสารตัวจริงซ่อนอยู่ในที่ปลอดภัยขอรับ”

   เสนาบดีไป๋รับมาอ่านคร่าวๆ ถึงเอ่ยถาม “ที่ปลอดภัยคือที่ไหน?”

   “ข้าน้อยยังบอกไม่ได้ขอรับ แต่รับรองว่าเอกสารที่ได้มาเป็นตัวจริงไม่ผิดแน่”

   โทษทุจริตยังไม่สำคัญเท่าความเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ของเท่านี้อาจมากพอแค่ขัดแข้งขัดขาจ้าวลี่เฟิง เขาตระหนักเรื่องนี้ดี แต่ถ้าเป็นเสนาบดีไป๋ที่สนิทสนมกับผู้ตรวจการขั้นสอง ต้องดึงให้เป็นเรื่องใหญ่ได้แน่

   ทว่าเสนาบดีกลับส่ายหน้า “ต่อให้เป็นหลักฐานตัวจริงแล้วอย่างไร โทษยังไม่มากพอให้ทำอะไรบุ่มบ่าม สหายน้อย เจ้ายังไม่รู้จักลี่เฟิงอ๋องกับบิดาของเขาดีพอ ลำพังเรื่องแค่นี้จะมีประโยชน์อะไร”

   “แล้วถ้าเป็นเรื่องสมคบคิดกับโจรเขตชายแดนล่ะขอรับ มีหลักฐานว่าท่านอ๋องน้อยติดต่อกับพวกจิน  ทว่าข้ายังนำมาเปิดเผยไม่ได้จนกว่าท่านจะตกลงร่วมมือ”

   คราวนี้เสนาบดีไป๋ครุ่นคิดอยู่นาน จ้าวลี่เจียงต้องปกป้องบุตรตนเองอยู่แล้ว ต่อให้ท่านอ๋องมีลูกชายถึงหกคนก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปล่อยจ้าวลี่เฟิงตามยถากรรม

   "เปิดโปงลี่เฟิงอ๋องเท่ากับหาเรื่องใส่ตัว เจ้ารู้เรื่องนี้ดีใช่ไหม?"

   หลักฐานเล็กๆ น้อยๆ อาจก่อความลำบากให้จ้าวลี่เฟิงได้บ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะตัดสินชะตาชายสูงศักดิ์ผู้นี้ เสนาบดีไป๋เป็นคนซื่อสัตย์และมากคุณธรรมก็จริง แต่เรื่องผลประโยชน์ใหญ่อย่างนี้ท่านจะกล้าเสี่ยงได้หรือ ...สุดท้ายแล้วอาจเป็นซุนซีเองที่เป็นฝ่ายถูกกำจัด แต่หากการเสี่ยงครั้งนี้ช่วยเจ้าเมืองอวี้ได้ เขาก็ยินดี

   ซุนซีตอบแน่วแน่ “ขอรับ ข้าทราบดี”

   เสนาบดีไป๋ลูบเคราแช่มช้า ดวงตาท่านหลุบลงคล้ายกำลังใช้ความคิด เป็นเช่นนั้นอยู่ไม่นานเสียงเปี่ยมอำนาจถึงกล่าวอีกครั้ง “ได้ ถ้าหลักฐานเหล่านี้เป็นความจริงข้าจะร่วมมือกับเจ้า หนุ่มเอ๋ย ไหนเจ้าลองว่ามา”

   ซุนซีเล่าให้ขุนนางเฒ่าฟังถึงเรื่องเมืองที่เสวี่ยซานและหลักฐานในมือของอวี้จิน นี่ต้องอาศัยความเชื่อใจอย่างมากว่าเสนาบดีไป๋จะไม่หักหลังเจ้าเมืองอวี้ เขาเคยชั่งใจว่าจะมาขอความช่วยเหลือดีหรือไม่ เช่นนั้นเมื่อทราบจากเมิ่งชุนเถาว่าข่าวลือเรื่องคุณงามความดีทั้งหลายเป็นเพียงเสี้ยวจากสิ่งที่ท่านเสนาบดีกระทำถึงวางหินหนักอึ้งลงได้

--------------------------

ถึงเมืองหลวงโดยสวัสดิภาพครบสามสิบสองแล้วค่ะ สะบักสะบอมไปตามท้องเรื่อง
ดวงสมพงษ์กับโจรจะหมดแค่นี้มั้ยนะ---
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่ 21 - 12/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 12-05-2020 22:44:36
นี่ซุนซี หรือ โอชินคะ ชีวิตรันทดเหลือเกิ้นนนนนน  :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่ 21 - 12/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 13-05-2020 08:17:28
ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่ 21 - 12/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 15-05-2020 22:47:37
บทที่ 22

   “มานั่งด้วยกันสิพี่ใหญ่”

   เถ้าแก่เนี้ยเอกเขนกอยู่บนตั่งไม้สลักตัวยาว พรมรองนั่งปูทับหลายชั้นคลุมด้วยผ้ากำมะหยี่เนื้อละเอียดเป็นเบาะนุ่ม โต๊ะเตี้ยข้างกันมีถาดผลไม้วางพร้อมเป็นของว่าง ซุนซีถัดตัวลงนั่งห่างหนึ่งช่วงโต๊ะคั่นแล้วเริ่มลงมือแกะเปลือกส้ม

   “คิดถึงแต่ก่อนตอนอยู่กันพร้อมหน้า” เขาเกริ่นขึ้นมาก่อน รอยยิ้มวาดประดับบางๆ “นานครั้งจะได้กินทับทิมสักผล เสี่ยวเหมยเคยแย่งกับเจ้าจนร้องไห้เป็นเรื่องใหญ่โต”

   “ส่วนตอนนี้มีกินจนเหลือทิ้งกลับไม่มีใครมาแย่ง” นางว่ากลั้วหัวเราะ ผิดกับดวงตาสีน้ำผึ้งที่ฉายแววโดดเดี่ยว

   ซุนซีฟังแล้วส่ายหน้าช้าๆ แกะหมดไปก็หยิบผลใหม่ขึ้นมา “แต่งออกมาแล้วใช่ว่าจะตัดขาดครอบครัวตัวเองจริงๆ เสียเมื่อไหร่ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ค่อยว่าง แต่นานครั้งไปเยี่ยมท่านลุงท่านป้าบ้าง...จะได้ไม่เหงา”

   เหงาที่ว่าไม่ระบุถึงใครเป็นพิเศษ เรื่องเช่นนี้ไม่ต้องพูดเจาะจงก็คลายความเศร้าในดวงตาคนท้องได้หลายส่วน

   อย่างไรเขาก็อยากย้ำว่าเมิ่งชุนเถามีที่ให้กลับไปพักพิงได้เสมอ ธรรมเนียมว่าแต่งเข้าตระกูลสามีแล้วต้องละบ้านเกิดก็เป็นเพียงขนบปฏิบัติ คนที่อยู่ระหว่างสังคมทั่วไปและยุทธจักรเห็นอะไรมาก็หลายอย่าง อยากทำอะไรใจหนึ่งก็ยังอิสระกว่าใครเขา

   เมิ่งชุนเถาคิดพลางเคี้ยวจนหมดปาก น้ำเสียงพลันเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ข้าน่ะไม่เป็นไร – ดูพี่ใหญ่เถอะ วันหน้าคิดจะทำอย่างไร”

   คนถูกถามหยุดมือ นิ่งไปนานก็เตรียมผลไม้ต่อ

   “...บุญคุณสกุลเมิ่งทดแทนชาตินี้คงไม่หมด กับสิ่งที่ได้รับจากเจ้าเองก็เช่นกัน” เขาว่าพลางวางกลีบส้มฉ่ำน้ำเรียงข้างถาด “ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่อยากอยู่รบกวนเจ้าไปจนแก่.. อาจเก็บเงินไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ไกลผู้คน พออายุมากกว่านี้ข้าอยากใช้ชีวิตสงบสุขตามประสา อยู่ตัวคนเดียวก็ไม่เลวนัก”

   “พี่อยากทำเช่นนั้นจริงๆ หรือเพราะอยากหนีปัญหา”

   น้องต่างสายเลือดจงใจถามจี้ใจดำ แต่ไหนแต่ไรคนฟังไม่เคยถือสาวาจาของนาง วันนี้เพียงคำถามเดียวกลับดูโศกนัก ซุนซีบีบผ้าเช็ดมือเว้นช่วงไปหลายอึดใจ คนถามก็ปล่อยให้เขาได้คิด

   กว่าชายหนุ่มจะได้ยินข่าวการออกตามหาเมิ่งชิวเหลียนจากปากน้องสาวก็ล่วงมาหลายเพลาแล้ว ฮูหยินหายไปทั้งคนคงทำให้สองตระกูลเสียหน้าไม่น้อย อวี้จินจะเก็บข่าวเงียบก็ย่อมได้..แต่กลับส่งคนสืบหาทั้งที่รู้ว่าเรื่องนี้อาจรั่วไหล จะมากจะน้อยอย่างไรก็ยังกระทบชื่อเสียงข้าราชการยศสูงกับความสัมพันธ์สองตระกูล

   ซุนซีไม่กล้าเข้าใจชายสูงศักดิ์คนนี้ ใจหนึ่งอาจไม่อยากเข้าข้างตนเอง อีกใจอาจกลัวความจริง ชัดเจนแล้วว่า ‘เมิ่งชิวเหลียน’ สำคัญแค่ไหน -- อย่างไรนั่นก็ไม่ใช่ตัวเขา

   “เรื่องอวี้จิน...เขามีลูกเมื่อไหร่ข้าค่อยกลับไปขอขมาท่านลุง ชาตินี้คงไม่ยุ่งเกี่ยวกับชายคนนั้นแล้ว”

   คนฟังร้องฮึ หยิบผลไม้เข้าปากสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ให้เซี่ยเหมยได้ยินที่ท่านพูดก่อนเถอะ ข้าจะรอหัวร่อให้ฟันหัก”

   ฝ่ายโดนว่าเอาแต่ถอนใจไม่โต้กลับ นัยน์ตาคู่นั้นกล่าวตัดพ้อแทนล้านคำพูด สภาพหมดอาลัยตายอยากเสียจนน่าเป็นห่วง เมิ่งชุนเถาเห็นแล้วผุดลุกขึ้นนั่งหลังตรง นางผลักถาดทองเหลืองออกให้พ้นทาง องุ่นลูกน้อยถูกแรงสะเทือนกลิ้งหล่นลงจากกอง

   แม่คนท้องถอนใจยาว “ข้าขอพูดครั้งเดียวแล้วจะไม่แส่เรื่องนี้อีก” มืออิ่มตบเบาๆ ไปบนหลังมือผอมเซียว “พี่ใหญ่ ท่านคิดจะทรมานตนเองไปถึงเมื่อไหร่ ในเมื่อชีวิตคนเราสั้นนักข้าถึงไม่อยากเห็นท่านจมทุกข์ไปจนเฒ่า ไม่ว่าท่านจะเป็นซุนซีหรือเมิ่งชิวเหลียนก็เป็นพี่ใหญ่ที่ข้ารัก”

   “...เสี่ยวเถา”

   “เลือกทางไหนท่านจะมีความสุข พี่ใหญ่คงมีคำตอบของตัวเองอยู่แล้ว”

   คำพูดของน้องสาวต่างสายเลือดไม่มีอะไรผิดไปแม้แต่น้อย การเลือกดำเนินชีวิตเช่นบุรุษก็หมายความว่าเขาเห็นอิสรภาพมาก่อนบุญคุณ -- อย่าว่าแต่ซุนซีไม่สามารถอยู่กับอวี้จินในฐานะนี้ได้เลย แม้แต่หน้าก็ไม่กล้าไปพบ

   หากเมื่อมองอีกแง่หนึ่ง การกลับไปเป็นเมิ่งชิวเหลียนก็หมายความว่าเขาต้องโกหกไปตลอดชีวิต แทนคุณได้ แต่ไม่มีวันเป็นตัวของตัวเอง ..ซุนซีเพิ่งจะเข้าใจความรู้สึกน้องสาวเอาก็ป่านนี้

   เมิ่งชุนเถายิ้มพราย นางหลุบสายตาลงท่าทีผ่อนคลาย เอื้อมหยิบเอาลูกทับทิมแกะเมล็ดสีแดงใสรวมไว้กลางฝ่ามือ

   “ใจพี่ใหญ่ว่าอย่างไรล่ะ”



   อยู่กับเมิ่งชุนเถาเพียงไม่กี่วันก็พบว่านักเลงที่ไล่ตามเขาในเมืองหลวงคราวนั้นเป็นคนจากเสวี่ยซาน ซุนซีไม่มั่นใจนักแต่อาจเป็นกลุ่มเดียวกับที่เคยขวางเขาเอาไว้กลางทางเมื่อเริ่มออกเดินทางใหม่ๆ นักเลงเหล่านั้นไม่ยอมเปิดปากบอกว่าใครเป็นผู้บงการเบื้องหลังทั้งยังกลืนยาพิษฆ่าตัวตายเมื่อโดนจับมาสอบสวนหนักข้อ ตอนนี้ทหารยังออกไล่ตามล่าคนที่หนีรอดไปได้อยู่หวังว่าจะได้เบาะแสเพิ่มเติม

   คนท้องเดินอุ้ยอ้ายแต่ยังขยันจะไปห้องหนังสือ ซุนซีช่วยประคองแขนเมิ่งชุนเถาเหมือนตอนนางยังเล็กแล้วพันเท้าใหม่ๆ เรียกเอาความหลังในอดีตขึ้นมาพูดคุยกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า หญิงรับใช้สูงวัยที่ตามติดมาด้วยตั้งแต่บ้านเก่าลอบเล่าให้ฟังว่าสีหน้าฮูหยินใหญ่ของจวนดีขึ้นมากตั้งแต่ซุนซีมาถึง คนท้องก็เช่นนี้...ไม่ให้เหงาคิดถึงคนเก่าคนแก่ได้อย่างไร?

   วันนี้ก็มาขลุกอยู่ในห้องหนังสือ มือเมิ่งชุนเถาจับพู่กันส่วนมือซุนซีถือตำราเล่มหนานั่งกันอยู่คนละมุมห้อง นานๆ ทีจะได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษดังมาจากฟากใดฟากหนึ่ง

   ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่จนสาวใช้มาเอ่ยเรียกเมิ่งชุนเถาที่หน้าประตู นางละมือจากงานตรงหน้า เงยขึ้นเอ่ยอนุญาตให้ฝ่ายนั้นเข้ามาได้ สาวใช้เดินมาก้มกระซิบข้างหูเจ้าของบ้านก่อนจะถอยออกไปเมื่อผู้เป็นนายพยักหน้ารับรู้ คนท้องวางพู่กันลงก่อนหันไปรินชาจากกาข้างเคียง เป่าชาในถ้วย ละเลียดจิบแช่มช้าก่อนพักกัดขนมเปี๊ยะดอกไม้อีกคำแล้วถึงซดชาอุ่นส่วนที่เหลือ ทั้งหมดทั้งมวลกินเวลาเกือบหนึ่งก้านธูป กว่านางจะหันมาทางซุนซี

   “มีคนมาหาพี่ใหญ่ รออยู่ที่ศาลาสระบัว” เมิ่งชุนเถาพูดเรียบๆ ดวงหน้าซุนซีฉายแววฉงนแทนคำถามว่าใครกัน? คนเป็นน้องสาวเห็นแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ “เอ้า นั่งทำอะไรอยู่ คนมาตั้งไกลจะให้เขารอพี่ได้หรือ รีบไปได้แล้ว”

   ซุนซีเถียงไม่ออกให้เขาไปเขาก็รีบลุกไป ดูเอาเถอะน้องสาวคนนี้ มาว่าเขาช้าแต่ตัวเองดื่มชากินขนมอยู่นานสองนานไม่ยอมพูด!

   สาวเท้าให้ไวอีกสักหน่อยคงไปถึงที่หมายเร็วขึ้น ซุนซีมาอยู่บ้านเมิ่งชุนเถานานพอจะจำทางได้หมดแล้ว หลังสวนหินจะเป็นทางไปสู่สระดอกบัวสระใหญ่มีศาลาตั้งตระหง่านอยู่กลางน้ำ เพียงไม่นานสองเท้าก็พาเขามาถึงที่ มองไปไกลๆ เห็นแผ่นหลังกลุ่มคนสามคนบ้างยืนบ้างนั่งอยู่ในศาลา

   เห็นเค้าลางว่าเป็นบุรุษหัวใจซุนซีก็เต้นระรัว ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ซีกหน้าคนที่นั่งในศาลายิ่งดูคลับคล้ายคนที่เขารู้จักดี

   เจ้าเมืองหนุ่มลุกขึ้นทันที ใบหน้ายังคงนิ่งขรึมอย่างที่เขาคุ้นเคยจ้องตรงมาที่ซุนซีด้วยดวงตาเป็นประกายระยับ มันสวยงามราวกับรวบรวมดวงดาวน้อยใหญ่ไว้ คนถูกจ้องเม้มริมฝีปากโดยไม่ทันรู้ตัว ความรู้สึกบางอย่างเอ่อล้นอยู่ข้างใน ทหารอีกคนที่ติดตามมาด้วยแสดงอาการตกใจยกเว้นก็แต่ซิ่วหมินที่ยังตีสีหน้านิ่งได้อย่างเก่า

   เขาคิดอยากกลับหลังหันเดินไปจากตรงนี้แต่ทำไม่ได้ ก้าวย่างหนักอึ้งขึ้นทุกที

   ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ชายร่างสูงใหญ่ก้าวลงจากศาลาตรงดิ่งมาจับแขนเขาไว้ แรงบีบไม่มากแต่กลับทำหน้าที่เสมือนคีมเหล็กไม่ให้เขาหนี อวี้จินอ้าปากจะพูดก่อนหุบลงอย่างเก่า อ้ำๆ อึ้งๆ ผิดนิสัยอยู่เนิ่นนาน

   “...ชิวเหลียน” สุดท้ายก็เปล่งออกมาได้เพียงคำคำหนึ่ง เนื้อเสียงแสดงแววอาทรชัดเจนจนซุนซีรู้สึกปวดใจ

   “ปล่อยข้าเถอะ”

   ซุนซีพยายามดึงแขนออกจากการจับกุมแต่ไม่เป็นผล อวี้จินยืนนิ่งเหมือนหินผาเอาแต่จ้องเขาไม่ละ ผิดกับตัวเขาเองที่เอาแต่มองเลี่ยงไปทางอื่น

   อวี้จินกล่าวน้ำเสียงราวหัวใจสลาย “เจ้าจะหนีไปถึงเมื่อไหร่”

   เพียงคำเดียวสามารถเรียกสายตาซุนซีให้เงยขึ้นสบประสาน ความรู้สึกหวั่นไหวปรากฏชัดอยู่ในแววตาเขาและดูเหมือนอีกฝ่ายจะเห็นได้ชัดเจน อวี้จินสวมกอดเขาไว้ในอ้อมอกกว้าง ไม่มีปริปากพร่ำคำพูดใดๆ เพื่อขอให้ตอบในสิ่งที่ซุนซีก็รู้แก่ใจมาตลอด

   ซุนซีพูดเสียงเบาหวิว “ท่านรู้เรื่องข้าตั้งแต่ตอนไหน...”

   “มันไม่สำคัญ” อวี้จินกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น “ข้าให้อภัยเจ้าทุกอย่าง เจ้าจะให้อภัยตัวเองไม่ได้เลยหรือ?”

   ฝ่ายถูกกอดพยายามดันอกให้ถอยแต่ไม่เป็นผล อวี้จินกอดอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานซุกหน้าลงอิงแอบแนบแก้มอยู่กับเรือนผมซุนซีอย่างกับกลัวว่าเขาจะวิ่งหนีไปทันทีที่คลายอ้อมกอด นายทหารที่มาด้วยสองนายหันหลังให้โดยไม่ต้องรอรับคำสั่ง

   “ปล่อยข้าได้แล้ว ...ข้าไม่หนีไปไหนทั้งนั้น”

   ทิ้งระยะอยู่พักใหญ่กว่าอวี้จินจะยอมปล่อยชายร่างเล็กจากอ้อมอก ซุนซีเม้มริมฝีปากแน่นดวงตาเสลงมองอยู่กับอกกว้าง อวี้จินกระแอมไอครั้งหนึ่งให้กับคนที่แอบหันมามอง ผิดกับแผ่นหลังของซิ่วหมินที่ยังตั้งตระหง่านอยู่อย่างนั้น

   ซุนซีถอยออกมาก้าวหนึ่งเว้นระยะจากอวี้จิน ถึงให้อภัยแล้วแต่ปากเขายังพร่ำคำขอโทษอยู่ นานจนอวี้จินเอื้อมมือมาจับมือเขาบีบเอาไว้แทนคำกล่าวว่าไม่เป็นไร ซุนซีเงยขึ้นมองหน้าชายร่างสูงใหญ่ มองนิ่งราวกับจะค้นไปถึงเบื้องหลังดวงตากระจ่างใสคู่นั้น

   “ข้ามีเรื่องจำเป็นต้องบอกท่านเรื่องหนึ่ง ข้าทำสำเนาหลักฐานให้เสนาบดีไป๋ดูเรียบร้อยแล้ว เขาสัญญาว่าจะช่วยท่านจัดการจ้าวลี่จวิน ขอแค่ท่านเอาหลักฐานให้เขาส่งกับผู้ตรวจการ เท่านี้จ้าวลี่จวินไม่พ้นโทษกบฏแน่”

   “หมายความว่าอย่างไร”

   “...ขอโทษที่ข้าบุ่มบ่ามทำโดยไม่ปรึกษา แต่นี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าทำให้ท่านได้”

   “เจ้าไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้” อวี้จินว่า ในตาฉายแววกังวลอยู่หลายส่วน

   ซุนซีส่ายศีรษะ “หากช่วยท่านได้เพียงสักนิดข้าก็ยินดีเสี่ยง เพื่อตอบแทนบุญคุณท่านแล้วให้ทำอะไรข้าก็ยอม”

   “เช่นนั้นก็กลับไปด้วยกัน” มืออบอุ่นที่กุมมือเขาอยู่กระชับบีบเพียงผะแผ่ว “...กลับไปบ้าน”

   คนฟังฟังแล้วนิ่งไป สีหน้าลำบากใจจะปิดก็ปิดไม่มิด ค่อยๆ คลายมือที่จับอยู่หลวมๆ ออกก่อนจะลดลงข้างตัว ซุนซีหลุบตาลงมองพื้น...เงียบไปนานกว่าจะเอ่ยปากอีกครั้ง

   “วาสนาเราคงมากันได้เท่านี้”

   ถึงโหยหาแต่ไม่มีอะไรให้กลับไปเยือนอีกแล้ว สถานะเมิ่งชิวเหลียนสมควรตายไปตั้งแต่เขาขึ้นม้าหลบออกจากเรือน ซุนซีตัดสินใจไว้แน่วแน่แล้วว่าจะไม่กลับไป ถึงต้องฉีกทึ้งหัวใจของตัวเองก็จะไม่ทำอย่างนั้น

   อวี้จินตั้งท่าคล้ายอยากจะถามอีกครั้งแต่ก็ข่มตาปิดลง เนิ่นนานกว่าจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง “ข้าเข้าใจ เช่นนั้นต่อแต่นี้ก็ขอให้เจ้าพบแต่ความสุข”

   “เช่นกัน...ท่านอวี้”

   ประโยคเรียบง่ายแต่ทำเอาซุนซีรู้สึกราวจะขาดใจ เขากุมมือตัวเองไว้แน่น กลัวเหลือเกินว่าถ้าเผลอสักนิดจะคว้าแขนชายที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้

   เสียงฝีเท้าหนักๆ สามคู่ไกลห่างออกไป ท่านเจ้าเมืองเดินนำทหารทั้งสองนายไปจากศาลาแล้ว ทิ้งแต่ซุนซีที่ยังยืนอยู่ตรงนั้น

   ภาพแผ่นหลังกว้างทว่าอ้างว้างเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาเห็น



   เมิ่งชุนเถาวางถ้วยชาลงกับโต๊ะ ใบหน้างดงามแม้ดูเรียบเย็นดุจธารน้ำใสแต่ในดวงตานั้นฉายแววไม่พอใจ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินจากปากซุนซีว่าเขาปฏิเสธจะกลับไปกับท่านเจ้าเมือง

   “พี่ใหญ่คิดดีแล้วหรือ”

   “ข้าคิดดีแล้วเสี่ยวเถา หากกลับไปก็ต้องไปเป็นเมิ่งชิวเหลียน ข้าคงทนโกหกต่อไปไม่ได้”

   เมิ่งชุนเถาพ่นลมหายใจ “ท่านกำลังปดข้า ไม่กลับไปใช่ว่าต้องตัดขาด”

   คนเป็นพี่ชายเม้มปาก เงียบอยู่นานถึงได้ยอมรับ “...ใช่ เจ้าพูดถูก ข้าแค่เป็นคนเห็นแก่ตัวเท่านั้น”

   “อย่างไรหรือที่เรียกว่าเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ว่าพี่ใหญ่ทำเช่นนี้ก็เพื่อท่านอวี้หรอกหรือ แล้วพี่ใหญ่ได้ถามเขาสักคำไหมว่าเขาต้องการให้พี่ใหญ่ทำอย่างนี้หรือไม่ นี่ใช่สิ่งที่เขาต้องการหรอกหรือ?”

   ซุนซีส่ายศีรษะ ทำเพียงก้มหน้ามองมือตัวเอง นิ้วโป้งบดทับกันไปมาอยู่ในความเงียบ

   “ก็เพราะพี่ใหญ่เป็นอย่างนี้พวกเราพี่น้องถึงได้ห่วงนัก ท่านไม่ทำอะไรให้ตัวเอง เอาแต่คิดเผื่อคนอื่นอยู่ตลอดเวลา” เมิ่งชุนเถาพูดอย่างหมดความอดทน “รู้ไหมว่าความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเสียสละมากน้อย แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พี่ใหญ่จะสามารถคว้าเอาไว้ได้ต่างหาก”

   “...” ซุนซีเงยขึ้นมองน้องสาว ดวงตาคล้ายรวมทุกความรู้สึกเอาไว้จนยากจะเอ่ย

   คนท้องถอนใจยาว “ท่านมีเวลาคิดอีกคืนเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้เช้าเจ้าเมืองอวี้จะเดินทางกลับเสวี่ยซานแล้ว จากนี้พี่ใหญ่จะไม่ได้เจอเขาอีก ท่านก็ตัดสินใจเอาเองแล้วกัน”

   ซุนซีใช้เวลาทั้งคืนไปกับการนอนคิดเรื่องนี้ ภาพที่เคยอยู่ร่วมกันฉายอยู่ในหัวของเขาคล้ายเรื่องเล่าเรื่องยาว คืนวันที่ได้อยู่กับอวี้จินนั้นสุขสงบเหมือนฝันที่เช่นไรก็ไม่อยากจะตื่นมาพบความเป็นจริง

   ใจเขาเพียงขอแค่ได้เห็นหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก็ยังดี

   ซุนซีตัดสินใจได้เมื่อใกล้เข้ายามสาย สีหน้าของเมิ่งชุนเถาดูโล่งนักเมื่อเห็นเขาขอยืมม้าไปตัวหนึ่ง ...ทว่าโรงเตี๊ยมที่อวี้จินพักบอกว่าเขาจากไปใกล้ครึ่งชั่วยามแล้ว ป่านนี้คงเดินทางออกถึงชานเมือง

   เขาควบม้าไปตามทางไล่หลังขบวนเล็กๆ ของอวี้จิน เมื่อพ้นตัวเมืองก็ตัดสินใจออกนอกเส้นทางหลักเพื่อร่นระยะให้ไปดักหน้าอีกฝ่ายได้ไวขึ้น เขาเพียงปรารถนาจะมองอยู่ไกลๆ คอยส่งคนที่ตนรักเท่านั้น ไม่ได้หวังจะตามไปเพื่อเยื้อให้อยู่ต่อหรือขอกลับไปด้วย มันเป็นเพียงความเห็นแก่ตัวเล็กๆ น้อยๆ ที่อยากส่งอวี้จินเป็นครั้งสุดท้าย

   ไม่คิดว่าเมื่อดักหน้ามาถึงเนินที่เห็นเส้นทางทอดไกลจะพบว่าเรื่องไม่คาดฝันกำลังรออยู่

   เสียงโลหะปะทะโลหะแว่วดังมาแต่ไกล ซุนซีชะลอม้าแล้วค่อยๆ ควบพาอาชาคู่ใจเดินไปตามเนิน เมื่อมองลงไปจึงพบกลุ่มคนสองกลุ่มกำลังต่อสู้กันถึงชีวิต ฝ่ายหนึ่งเป็นชาวบ้านนับสิบอาวุธครบมือท่าทางเหมือนนักฆ่า อีกฝ่ายเป็นอวี้จินกับลูกน้องเพียงสองคนที่ตกอยู่ในวงล้อมแหฟ้าตาข่ายดิน  ดูอย่างไรก็เสียเปรียบกว่ากันมาก

   ซุนซีห้อตะบึงม้ากลับไปที่เมืองแล้วเรียกนายทหารประจำประตูเมืองให้ตามตนออกไป ด้วยความใจร้อนก็ไม่ได้รอทหารไปพร้อมกันแต่ควบม้ากลับทางเดิมเสียก่อน เสียงตะโกนเรียกไล่หลังทว่าเขาไม่นึกสนใจ ควบจนสุดฝีเท้ากลับไปตามเส้นทางสายหลัก

   เมื่อเข้าใกล้จนได้ยินเสียงการต่อสู้เขาก็กระโดดลงจากหลังม้าแล้วย่อตัวคลานเข้าไปในพงรกชัฏข้างทาง เมื่อก้าวเข้าไปได้ระยะหนึ่งที่เห็นการต่อสู้ชัดเจนแล้วจึงหมอบรอจังหวะ

   ลำพังกำลังรบของคนแค่สามคนจะไปสู้คนร้ายนับสิบได้อย่างไร แม้ว่าจะสังหารนักฆ่าไปได้บ้างแล้วแต่สภาพของฝั่งอวี้จินนั้นแทบดูไม่ได้ บาดแผลมีเลือดซึมไหลชโลมกาย เสียงหอบหายใจดูอ่อนล้าเต็มทน

   ระหว่างที่ต่างฝ่ายต่างโรมรันฟันแทงโดยไม่ได้สังเกตรอบๆ ซุนซีก็คลานออกมาคว้าเอาดาบเล่มหนึ่งจากศพนักฆ่าขึ้นถือ แม้มือจะสั่นเทาแต่พยายามกดความกลัวไว้ด้วยการกัดริมฝีปากแน่น จังหวะที่นักฆ่าคนหนึ่งกำลังเงื้อดาบฟันอวี้จินจากด้านหลังซุนซีก็เข้าไปแทงหลังชายคนนั้นล้มลง เมื่อใช้เท้ายันร่างเพื่อดึงดาบออกเลือดก็พุ่งขึ้นเป็นสาย

   อวี้จินเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใครก็ตีฝ่าวงล้อมเข้าไปหาซุนซี สีหน้าเคร่งเครียดกับแววตาห่วงใยทำเอาใจกระตุกวูบ “รีบหนีไปซะ” ฝ่ายนั้นกดเสียงต่ำคล้ายคำราม

   “ข้าไม่หนี!” ซุนซีค้านเสียงดัง “อีกเดี๋ยวทหารก็จะตามมาแล้ว ข้าจะช่วยท่านต้านเอาไว้ก่อน”

   ซุนซีเคยเรียนวิชามาบ้างแม้จะนานมาแล้วและได้เรียนแค่พื้นฐาน ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็เป็นการสังหารคนครั้งแรกในชีวิต สองมือสั่นเทาจับดาบเอาไว้มั่นไม่ยอมปล่อย ตั้งท่ารอรับการโจมตีระหว่างเอาหลังชนกับอวี้จินคอยระแวดระวังให้

   นายทหารที่มาด้วยกันสภาพสะบักสะบอมนัก ตามเนื้อตัวมีรอยฟันเลือดอาบท่วมแต่ยังพอมีแรงจะตีวงแคบเข้ามาช่วยป้องกันได้อีกแรง ซิ่วหมิ่นเองก็ถอยจากการประมือกับคนร้ายเข้ามาใกล้เช่นกัน

   นายทหารที่ซุนซีไม่คุ้นหน้ามองมาอย่างเป็นกังวลสุดใจ รับแรงปะทะดาบอีกครั้งก่อนจะเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ปากก็ตะโกนถามไปด้วย “ฮูหยิน ท่านมาทำไ--”

   ดวงตานายทหารเบิกกว้าง คำพูดหยุดค้างแต่เพียงเท่านั้นก่อนร่างจะล้มลงแน่นิ่ง เบื้องหลังมีชายคนหนึ่งยืนถือดาบเปื้อนโลหิตแดงฉาน

   ซิ่วหมินพูดเสียงเบาราวกระซิบ “ท่านไม่ควรมาเลย...”

   อวี้จินผลักซุนซีไปให้พ้นทางระหว่างเบี่ยงหลบคมดาบคนทรยศที่ฟันเข้าต้นแขน เสียงผ้าฉีกและริ้วเลือดสีแดงขึ้นเป็นทางยาว

   เป็นซิ่วหมินที่หันคมดาบใส่ผู้เป็นนายตัวเอง โบราณว่ามนุษย์ยอมตายเพื่อเงินตราเช่นนกที่ยอมตายเพื่ออาหาร  ทว่าชายตรงหน้านัยน์ตากลับสุมด้วยไฟแค้นเป็นเพลิงกัลป์ลุกโชติ ปีศาจผู้นี้ไม่มีเค้าแววของชายที่ทุกคนเคยรู้จัก ใครเล่าจะคิดว่าสุนัขที่ครั้งหนึ่งเคยซื่อสัตย์จะแว้งกัดเจ้าของ

   ฝ่ายที่เคยอยู่ฟากเดียวกันกลับคิดทรยศในชั่วพริบตา “จะโทษใครก็ให้โทษตัวท่าน!” ซิ่วหมินประกาศกร้าว ระรัวฟันดาบเข้าใส่ฝ่ายที่ได้แต่หลบพลางเอาตัวกันคนที่อยู่ข้างหลัง

   ซุนซีหน้าซีด ปัดป้องเอาดาบจากนักฆ่าที่โรมรันเข้ามาอีกครั้ง มือที่ชุมด้วยเหงื่อและเลือดชาดิกแต่ไม่ยังยอมปล่อยอาวุธ ฝ่ายอวี้จินสวนกลับไว้ได้ทันจังหวะโต้กลับดาบที่ฟาดสวนมาของซิ่วหมินนับว่ารอดไปได้หวุดหวิด

   เสียงดาบกระทบกันดังน่าหวาดหวั่น ซุนซีแทบไม่เหลือเวลาให้ตะลึงงัน ในหัวได้แต่คิดว่าเกิดอะไรขึ้นซิ่วหมินที่แสนดีคนนั้นถึงได้กลับกลายเป็นชายกระหายเลือดในเวลานี้

   กลุ่มชายในชุดทหารที่เพิ่งตามมาถึงกรูกันเข้ามาประดาบกับฝ่ายคนร้าย เสียงคมมีดเถือเนื้อดังพร้อมเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของร่างที่ล้มลงกองระเนระนาด เหลือเพียงแต่ซิ่วหมิ่นที่เอาแต่จู่โจมอวี้จินคล้ายไม่เห็นสิ่งอื่นอยู่ในสายตา เป็นใครก็ไม่อาจเข้าไปขวางการต่อสู้ระหว่างคนทั้งสองได้

   ดาบปะทะดาบอยู่ไม่นานฝ่ายหนึ่งก็เพลี่ยงพล้ำ อาวุธหลุดจากมือซิ่วหมินโลหิตไหลจากข้อมือ อวี้จินตวัดดาบจ่อคอชายผู้แปรพรรคไว้พลางมองด้วยสายตาเย็นชา บรรยากาศกดดันหนักอึ้งจนยากจะหายใจได้คล่อง

   “ทั้งหมดเป็นเพราะท่าน!” ซิ่วหมินแผดเสียง

   อวี้จินยืนนิ่งปราศจากคำถาม เขาเพียงแต่ยืนมองและใช้ความเงียบเค้นเอาความจากอีกฝ่าย

   “เป็นเพราะท่านจ้าวลี่เฟิงถึงได้ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือข้า ท่านไม่มีวันรู้ว่าข้าต้องทนทุกข์นานเท่าไหร่กว่าจ้าวลี่เฟิงจะยอมรับข้าอีกครั้ง! แต่เพราะท่าน เพราะท่าน! ท่านขัดขวางเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าไม่ใช่เพราะท่านแม่กับพี่สาวข้าก็ไม่ต้องตาย!”

   “จ้าวลี่เฟิงหลอกใช้เจ้า เขาไม่คิดจะช่วยแม่กับพี่สาวเจ้าตั้งแต่แรกแล้ว”

   “ท่านจะรู้ได้อย่างไร! แม้แต่ท่านที่ข้าคอยรับใช้มาตลอดก็ไม่คิดจะเหลียวแลพวกนาง ปล่อยให้ครอบครัวของข้าตายไปต่อหน้าต่อตา–”

   ซุนซีแย้งขัดขึ้นมา “พวกเขาพยายามเต็มที่แล้วอาซิ่ว แต่รักษาชีวิตแม่กับพี่สาวเจ้าไว้ไม่ได้จริงๆ”

   “หุบปาก” สัตว์ร้ายนามซิ่วหมิ่นคำราม “ท่านจะไปรู้อะไร? พยายามเต็มที่อย่างนั้นหรือ น่าขัน พยายามเต็มที่แล้วจะปล่อยให้แม่กับพี่สาวข้าตายโดยลำพังที่กระท่อมหรือ รักษาเต็มที่แล้วแล้วจะปล่อยให้พวกนางตายโดยขาดยาหรือ?! ท่านรู้ไหมว่าพวกเขาพูดว่าอย่างไร ก็แค่คำปลอบใจไม่มีราคากับเงินจำนวนหนึ่งมาทดแทนชีวิตที่เสียไป พวกเขาไม่รู้หรือว่าไม่มีใครหรืออะไรทดแทนพวกนางได้ทั้งนั้น ทั้งชีวิตของข้าข้าไม่เหลือใครแล้ว เงินฝังศพมันจะไปมีประโยชน์อะไรถ้าเอาชีวิตแม่ข้าพี่สาวข้ากลับมาไม่ได้”

   เสียงซุนซีเหมือนคนจะขาดใจ “เจ้ายังมีอ่ายซวน มีไต้เท้า มีเพื่อน ...มีข้าที่เห็นเจ้าเป็นครอบครัวอยู่นะอาซิ่ว”

   ซิ่วหมินหัวเราะขื่น สถานการณ์ตกอยู่ในการควบคุมเว้นก็แต่การเจรจากับซิ่วหมิ่นที่ยิ่งเลวร้ายลงทุกที ซีกหน้าของอวี้จินดูทะมึนนัก กรามกัดจนขึ้นเป็นสัน แม้แต่คำพูดเดียวก็ไม่หลุดออกจากปาก

   อดีตนายทหารเงยมองหน้าอดีตนายตัวเอง ธารอารมณ์ในดวงตาเขาราวกับสัญญาณบอกว่ามันสายเกินไปแล้ว

   คำพูดสวยหรูจะไปช่วยอะไร

   “ข้าไม่มีอะไรให้เสียอีกแล้ว ถ้าจ้าวลี่จวินต้องเข้าคุกท่านเองก็อย่าอยู่เลย”

   ดาบเฉือนข้างลำคอซิ่วหมินขณะเขารวบรวมลมปราณไว้ที่ฝ่ามือ จังหวะนั้นซุนซีใช้เรี่ยวแรงที่เหลือกระโจนไปขวางหน้าอวี้จินไว้ เสียงดังตุบใหญ่เมื่อมือกระแทกเข้ากลางอก ซัดเพียงฝ่ามือเดียวซุนซีก็ผงะถอยก่อนล้มลงทั้งยืน เป็นจังหวะเดียวกับที่ดาบสะบัดแทงขั้วหัวใจซิ่วหมินจนสุนัขคลั่งทรุดลงข้างกัน

   ความรู้สึกปวดแปลบแล่นไปทั่วร่างกายจากจุดที่โดนฝ่ามือนั้น มันแสบร้าวราวกับโดนนาบด้วยเหล็กเผาไฟ แน่นและจุกจนพูดไม่ออก เขาได้แต่ส่งเสียงเช่นสัตว์บาดเจ็บไม่เป็นภาษา หูอื้ออึงแทบไม่ได้ยินเสียงอันใด ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ภาพท้องฟ้าถึงได้ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าเป็นกังวลของอวี้จิน

   ซุนซีหายใจติดขัด รู้สึกเช่นถูกกระแทกทับด้วยหินหนัก มือคว้าปะป่ายจับตัวคนที่พยุงเขาขึ้นสู่อ้อมกอด อวี้จินเรียกชื่อเขาด้วยสำเนียงทุ้มหนักคุ้นหู ชิวเหลียน...ชิวเหลียน... เรียกซ้ำๆ เสมือนว่ากลัวเจ้าของชื่อจะหายไป

   เขากลั้นใจกดความเจ็บเอาไว้ พยายามตอบกลับด้วยเสียงขาดหาย “...ท่าน...เป็นอะไรหรือไม่”

   คิ้วดาบของอวี้จินขมวดกันเป็นปมแน่น “ไม่เป็นไรแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว” ซุนซีรู้สึกได้ว่าถูกเกลี่ยผมปรกหน้าออก ฝ่ามือนั้นขยับปัดด้วยปลายนิ้วอย่างทะนุถนอม แต่ความรู้สึกละเอียดอ่อนก็ถูกกลบด้วยความเจ็บที่ยังแล่นอยู่ทั่ว

   “ข้ายังมีเรื่องต้องบอกท่านอีก...”

   “อย่าเพิ่งพูด”

   “ข้ากลัว...กลัวว่าจะไม่ได้บอกท่าน” ซุนซีเค้นเสียงเอ่ยทีละคำ “ชาติหน้า...หากมีวาสนาคงได้คู่กัน... ข้าคงได้เป็นข้าไม่ใช่ซ่อนอยู่ในเงาของใคร...เป็นข้าที่ท่านรักตอบได้...โดยไม่ต้องรู้สึกอายสายตาผู้อื่น...”

   “ข้าผิดที่ขจัดความกลัวในใจเจ้าไม่ได้...แต่ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไป” อวี้จินว่าด้วยเนื้อเสียงคล้ายจะขาดใจ น้ำตาหยดโตร่วงลงเปื้อนแก้มซุนซี

   คนในอ้อมแขนหัวเราะเสียงค่อย “อย่าร้องไห้เลย.. น้ำตาไม่เหมาะกับท่านสักนิด”

   ซุนซีคิดเสมอหากไม่เป็นชาย ก็ต้องเป็นหญิง แท้จริงความรักใช่สิ่งที่สามารถตราเป็นกฎได้หรือ? ในเมื่อมันเกิดแต่ความรู้สึกที่คนผู้หนึ่งมอบแด่อีกคน มิได้มีวัย มิได้มีระยะทาง และมิได้ถูกขวางกั้นด้วยกำแพงแบ่งเพศ ชายหนุ่มติดบ่วงความคิดมาแสนนาน ทว่าตัวเขาในยามนี้เติบโตขึ้นมากพอจะกล่าวแต่ตนเองในอดีตว่าเด็กชายคนนั้นมิใช่โง่เขลา เพียงแต่ถูกครอบเอาไว้ด้วยความกลัวในสิ่งที่ต่างจากโลกอันคุ้นชิน

   ซุนซีมองชายตรงหน้าด้วยตาพร่าปริ่มน้ำหยดใส มือสั่นเทาคู่นั้นคว้ามือกร้านกระด้างเอาไว้มั่น อีกฝ่ามืออุ่นประกบทาบเรียวนิ้วข้อผอม รอยยิ้มหายากปรากฏขึ้นบนใบหน้าอวี้จิน อ่อนละมุนยิ่งกว่าแดดอุ่นในวสันต์ยามเช้า

   “อยู่กับข้า คราวนี้ข้าจะไม่ปล่อยมือเจ้าอีกแล้ว"

   มือที่กอบกุมไว้อุ่นเหลือเกิน คนในอ้อมกอดปรือตาลงทีละน้อย...ก่อนภาพทุกอย่างจะมืดดับไปพร้อมเสียงหวนไห้จากใครบางคน


------------------------------------------------------
ตอนหน้าบทส่งท้ายแล้วจบแล้วค่ะ เราดำเนินเรื่องไวไปมั้ยบอกได้นะคะ YvY
วิบากกรรมซุนซีหมดแล้วค่ะ สัญญาด้วยเกียรติยุวกาชาดเลย(?)
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่ 22 - 15/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: Morake ที่ 16-05-2020 10:01:18
 :3123:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่ 22 - 15/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 16-05-2020 22:53:57
มันเป็นดำเนินเรื่องที่ ช้าเหมือน “เสือชีต้า” ค่ะ //จิกตามอง   จริงๆด้วยความที่มันเป็นเรื่องราวโลกปกติและซุนซีคืออดีตคนใช้ เราเองยังคิดไม่ได้เลยว่าจะแต่งให้ยาวกว่านี้จะไปทางไหน 555 ถ้าซุนซีเกี่ยวกับราชวงศ์ก็มีเรื่องให้เล่นอีกหน่อย เท่านี้ก็กำลังดีแล้วค่ะและดีที่สุดคือ !!!   คุณแต่งจะจบแล้ววววว  ปรบมือค่าาา :katai4: :katai4: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่ 22 - 15/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 17-05-2020 07:50:01
จะจบแล้ว~
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่ 22 - 15/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: Moriarty ที่ 20-05-2020 00:42:02
บทส่งท้าย

   เด็กน้อยแก้มกลมผิวขาวเหมือนก้อนแป้งวิ่งไปตามระเบียงทางเดิน ผมมวยสองลูกกระดกไหวๆ ชายกระโปรงผ้าต่วนสีสดปลิวสะบัดตามแรงเตะเท้า ในมือหอบถาดใส่ขนมดอกกุ้ยเรียงเป็นกองสูง ตั้งหน้าตั้งตาจ้ำอ้าวถึงหัวมุมไม่ทันระวังก็ชนเข้าโครมใหญ่

   มือแข็งแรงข้างหนึ่งจับไหล่เจ้าหนูไว้ไม่ให้ล้ม ถาดขนมก็ถูกแย่งลอยขึ้นสู่อากาศ เด็กหญิงเงยมองพลางลูบจมูกป้อยๆ

   "ขอโทษเจ้าค่ะซือจุน"

   อาจารย์ในชุดยาวสีขาวแสงจันทร์ เกี่ยวปอยผมระแก้มขึ้นทัดหู บนใบหน้าว่าปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนแล้ว ดวงตาสีนิลกระจ่างฉายแววอ่อนโยนยิ่งกว่า “เจ้ารีบร้อนไปไหนหรือ เหวยซือไปส่งดีไหม?”

   เด็กน้อยพยักหน้าระรัว ยิ้มกว้างเสียจนแก้มยกขึ้นเป็นลูก กึ่งวิ่งกึ่งเดินพาอาจารย์ไปตามทาง

   กลิ่นดอกส้มหอมจางอวลทั่ว ใบไม้แห้งร่วงปลิวเกลื่อนทางเดินริมสวน แดดทอลอดใบเขียวส่องลงมาเป็นจุดแสงเล็กๆ เคลื่อนอยู่เต็มพื้น รองเท้าคู่หนึ่งเล็กคู่หนึ่งใหญ่ก้าวไปตามทางเดินใต้ร่มหลังคากระเบื้อง ลมพัดเอาแพรผมยาวรวบลวกๆ พลิ้วสยายอยู่บนแผ่นหลังเล็กของบุรุษตัวจ้อย

   เสียงพูดคุยแว่วตามลมมาจากห้องในเรือนใหญ่ เจ้าเด็กน้อยลดฝีเท้าลงหันมารอคนตาม ใกล้ถึงที่อาจารย์ค่อยส่งถาดใส่ขนมคืนให้นางถือเอาไว้ แม่หนูย่องฝีเท้าเงียบเชียบไปแอบมองที่กรอบประตู

   “ไน่ไน่มาหาแม่เร็ว” หญิงสาวในห้องเอ่ยเรียก เจ้าหนูน้อยเดินต้วมเตี้ยมเข้าไปส่งของ ตามหลังด้วยอาจารย์ในชุดบัณฑิตตัวยาว “ท่านจอหงวนมาถึงเมื่อไหร่กัน?”

   ชายตัวเล็กยืนค้างหน้าแดงก่ำ “ช่วยหยุดเรียกข้าอย่างนั้นสักที ตงฮูหยิน”

   ฝ่ายอาตงฟังแล้วขนลุกเกรียวจนตัวสั่น นางอุ้มแม่หนูน้อยมานั่งตักปากก็ว่าไปเรื่อย “พูดใหม่อีกทีสิอาซุน เรียกข้าว่า ‘ตงฮูหยินผู้งดงามและมีสามีที่เทิดทูนนางยิ่งกว่าใคร’ อีกสักที”

   พูดได้ไม่อายลูก สายตาซุนซีสื่อความอย่างนั้น ครู่เดียวต่างฝ่ายต่างหัวเราะร่วน อายุเปลี่ยน ฐานะเปลี่ยน นิสัยไม่เคยเปลี่ยน

   เงาของใครอีกคนทอดยาวอยู่บนพื้นหน้าประตูห้อง ลมโชยให้เห็นเสื้อตัวยาวสะบัดอยู่ไหวๆ ถุงเงินลายไผ่ที่เย็บจากผ้าเก่าๆ หน้าตาเหมือนกันสองใบห้อยอยู่กับเอวชายคนนั้น ซุนซีหันกลับไปมอง พลันรอยยิ้มราวดอกทานตะวันบานสะพรั่งจึงฉายบนใบหน้า

   ตงเซี่ยงจูลอบมองใบหน้าเพื่อน นางยิ้มหวานจนตาเรียวเป็นเสี้ยวจันทร์ระหว่างค่อยๆ ถัดตัวผุดลุก “ท่านอวี้มาแล้ว พอดีเลย อยู่เป็นเพื่อนอาซุนหน่อยเถอะ ข้าว่าจะพาเสี่ยวไน่ไปเดินเล่นสักหน่อย – หนูจะไปกับแม่ใช่ไหมไน่ไน่”

   เด็กน้อยเดินเตาะแตะไปกอดขามารดาไว้ พอยื่นมือให้จับมือจ้ำม่ำข้อนิ้วอวบก็จับมือแม่ของนางแน่น สองแม่ลูกพากันเดินออกไปทางประตู คนเป็นมารดาไม่วายแวะยิ้มกริ่มให้ชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนรออยู่ตรงนั้น

   ซุนซีพูดกระอ้อมกระแอ้ม “เชิญท่านเข้ามาก่อนเถอะ...”

   บุรุษตัวสูงเข้ามานั่งอยู่ตรงกันข้ามซุนซี ชายหน้าขรึมคนนั้นท้าวคางกับโต๊ะ มองหน้าฝั่งตรงกันข้ามอย่างเปิดเผย ในดวงตาสีดำเช่นหยดหมึกนั้นมีดวงดาวสุกใสพราวระยับซ่อนตัวอยู่ไม่มิด

   “เอาชาหน่อยไหมขอรับ” ซุนซีว่าพลางรินให้ ยังไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายตรงๆ

   แทนที่จะรับจอกชากลับกุมมือคนรินชาไว้เสียแทน เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยหยอก “ขอเจ้าแทนได้หรือไม่?”

   ซุนซีเม้มปากหน้าแดงก่ำเป็นลูกพุทรา โต้กลับด้วยความเงียบและริมฝีปากปิดสนิท คราวนี้เรียกเสียงหัวเราะจากคนช่างแกล้ง

   “ท่านอวี้!”

   “มีอะไรหรือท่านกุนซือ ” อวี้จินว่าพลางละเอียดจิบชา หวานกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้หอมชวนให้นึกถึงเรื่องครั้งเก่า...กาลครั้งหนึ่งที่ตนยังเป็นเพียงบัณฑิตรอสอบจอหงวน

   เมื่อไม่รู้จะต่อปากต่อคำอย่างไรซุนซีก็ลุกหนี ท่านเจ้าเมืองจับมือเขาเอาไว้หลวมๆ รั้งไม่ให้ไป รอยยิ้มหวานละไมปรากฏอยู่บนใบหน้าคนยิ้มยาก

   อวี้จินพูดเสียงละมุน “อย่าโกรธเลยซุนซี อยู่กับข้าก่อนได้ไหม?”

   หายากที่ชายคนนี้จะขอร้อง นั่นทำเอาใจเขาอ่อนยวบ ซุนซีข่มกลั้นอารมณ์แสร้งถอนหายใจเฮือกโตก่อนจะกลับมานั่งที่แต่โดยดี ...ไม่รู้ว่านานเท่าใดแล้วที่เขาไม่ได้นั่งคุยด้วยกันอย่างนี้นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง งานที่ปรึกษาเจ้าเมืองเสวี่ยซานยุ่งเสมอจนแทบไม่มีเวลาให้พัก

   เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วเป็นสุขใจ เพียงดื่มชาด้วยกันก็เพียงพอให้บทสนทนาในความเงียบถูกเติมเต็มแล้ว กับสัญญาที่เคยให้ไว้ก็ไม่ต่างกัน

   เคราะห์ดีแค่ไหนที่วันนั้นมีคนไปตามหมอเทวดาหยงฝูให้ควบม้าห้อตะบึงมาถึงเมืองหลวงได้ทัน ซุนซีหลับไปถึงเจ็ดวันเต็ม ตื่นมาอีกครั้งก็พบน้องสาวสามคนอยู่กันพร้อมพรรค เมิ่งเซี่ยเหมยกอดคอเขาร้องไห้ร่ำๆ ว่าโลกจะทลายลงต่อหน้า นางโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับครั้งสุดท้ายที่พบ ผิวก็กรำแดดขึ้นโขแม้มันจะใช้ปิดบังความงามตามวัยสาวของนางยากขึ้นทุกที

   ท่านลุงเจ้าสำนักยกโทษให้เมิ่งเซี่ยเหมยแล้ว เขาได้ข่าวว่าอวี้จินคุกเข่าขอขมาต่อพ่อแม่แทนในส่วนของนาง ฝั่งตระกูลอวี้สำนักเทียนคงหลงจึงไม่ว่าอะไรเรื่องหนีงานแต่ง ชื่อเมิ่งชิวเหลียนถูกสมอ้างว่าเสียชีวิตไปแล้วเมื่อเหตุระทึกขวัญที่เมืองหลวง ความสัมพันธ์เกี่ยวดองระหว่างสกุลอวี้กับสกุลเมิ่งจึงยังไม่สลายไป

   เป็นเรื่องน่าขันแต่ตลกไม่ออกเมื่อมู่อี๋เหนียงรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายตั้งแต่ที่จับมือกันครั้งแรก นางไม่ได้ติดใจเอาความทั้งยังบอกว่าสิ่งที่เคยพูดไปตนยังคิดเหมือนเดิม...วันนั้นซุนซีร้องไห้น้ำตาแทบถมเป็นทะเล

   ท่านลุงมอบเงินแก่ซุนซีให้เขาสอบรับราชการจนสำเร็จในระดับมณฑลและบรรจุเข้าเป็นข้าราชการขั้นเจ็ดที่เมืองเสวี่ยซาน ซุนซีไม่รู้ว่าเขาควรตอบแทนบุญคุณครั้งนี้อย่างไรนอกจากทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจจากทุกฝ่าย

   การได้อยู่กับอวี้จินอาจเป็นยิ่งกว่าพรที่เขาเคยคาดฝัน แต่การได้อยู่กับชายคนนี้ในฐานะซุนซีนั้นเป็นสิ่งที่เหนือเกินกว่าจะจินตนาการถึง

   ฤดูใบไม้ผลิหวนมาอีกคราวแล้ว คราวนี้เขาจะทำไก่ตุ๋นยาจีนให้คนที่เขารักกินบ้างจะเป็นไร?

-จบบริบูรณ์-

-------------------------------------------

จบแล้วค่าเย่ๆ /จุดพลุ
ขอบคุณที่ตามอ่านกันมาจนถึงตอนจบนะคะ ขอบคุณทุกคอมเมนต์ด้วยค่ะ ตกลงเดินเรื่องไวไปสินะแง5555555555
เผื่อใครลืมไปแล้ว ตงเซี่ยงจู คือ อาตง สาวใช้ที่โผล่มาครึ่งแรกของเรื่องนะคะ

และมาสู่ช่วงเฉลยขนมปังที่หย่อนไว้!
- ดอกเบญจมาศทับแห้งที่เจอในกล่องของคือดอกเดียวกับที่ปรากฏในบทนำค่ะ เพราะงั้นคุณชายบัณฑิตก็คือท่านเจ้าเมืองนั่นเอง
- ในบทส่งท้ายจะเห็นว่าอวี้จินห้อยถุงเงินลายไผ่หน้าตาเหมือนกันสองใบ สองใบนี้ใบแรกซุนซีเย็บให้ภูติดอกไม้ ใบที่สองเย็บให้อวี้จิน = อวี้จินก็คือคนที่แอบเอาดอกไม้มาให้
- บาตูเกล(ชาวทุ่งหญ้าที่เคยมาพักกับสกุลเมิ่ง)คืออวี้จิน จะรู้ได้จากชื่อลงท้ายจดหมาย "เมฆาเคลื่อนคล้อย" มาจากนามกร "อวี้หยุนเทา" ของอวี้จิน และทั้งสองคนชอบดื่มชามะลิ เพราะงั้นอวี้จินรู้ว่าซุนซีเป็นผู้ชายและเป็นคนที่เขียนจดหมายมาตั้งแต่ตอนนั้นค่ะ
- ไก่ตุ๋นยาจีนที่พูดถึงในประโยคสุดท้ายของบทส่งท้ายคืออาหารเมนูเดียวที่ซุนซีได้เรียนจากแม่ และเป็นอาหารที่คอยทำให้ฮูหยินแม่ของสาวๆตอนต้นเรื่อง
- อันนี้เฉลยไว้แล้วแต่โผล่มาประโยคเดียวเราขอขยายไว้เลยแล้วกันเนอะ เจ้าใบ้ที่เจอตอนอยู่ค่ายโจรคือซิ่วหมิน แต่ส่วนที่ไม่ได้บอกในเรื่องคือซิ่วหมินเอาป้ายหยกไปให้อวี้จินค่ะ ป้ายหยกเลยมาอยู่ในกล่องของอวี้จิน

น่าจะหมดแล้วล่ะ! ขอบคุณมากๆอีกครั้งนะคะ ติดตรงไหนยังไม่เคลียร์คอมเมนต์ไว้ได้เลยนะคะ
:กอด1:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 20-05-2020 23:44:23
ห๊ะ! จบแล้วเหรอ รวบรัดไปหรือเปล่า?
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 21-05-2020 16:44:31
ขอบคุณนักเขียน
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 21-05-2020 22:52:42
ใจร้ายยยยย มันรวบรัดไปหน่อยนะนี่ถ้าเทียบกับบทอ้อยอิ่งที่ผ่านมา  แต่เข้าใจได้ค่ะ ยามมันตันมันก็แต่งยาก  ///จับมือผู้ร่วมชะตากรรมการตัน  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 22-05-2020 14:39:18
สนุกค่ะ  ตามอ่านอย่างติดพันมาตลอดจนจบ
จบรวบรัด และหวานน้อยไปหน่อยจริงๆ 555555
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 23-05-2020 13:21:37
ได้อยู่ได้รักคนที่อยากรักอย่างถูกต้องตามวิถีซักทีนะซุนซี กลับมาอ่านต่อจนจบแบบยาวกันเลย 555 ยังคงความสนุก ขอบคุณนะคะที่แต่งจนจบ รอตามผลงานต่อไปนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 23-05-2020 19:51:21
เราเห็นเป็นจีนโบราณเลยเข้ามาอ่าน
เพราะส่วนตัวชอบแนวนี้มากๆ
แต่เข้ามาอ่านแล้วผิดหวังนิดหน่อย
คือเนื้อเรื่องไม่ค่อยมีอะไรเลย
แถมอ้อยอิ่งมากๆเนื้อเรื่องเฉื่อยๆจนถึงฉากจบก็ตัดจบแบบรวบรัดเฉยเลย

หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: 末っ子 ที่ 23-05-2020 21:11:26
สำนวนเรื่องดีค่ะ อยากให้เล่าส่วนที่เป็นเฉลยใส่เข้าไปในเนื้อเรื่องมากกว่า อีกอย่างคือสรุปจบรวบรัดไปหน่อย ขอฉากหวานพระนายอีกได้ไหมมมมมม :mew3:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 25-05-2020 12:26:43
ดีอะ

คนเขียนมีตอนพิเศษไหมหนอ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 26-05-2020 15:55:30
นึกว่าจะเสียซุนซีไปสะแล้ว ดีจังที่ไม่เป็นอะไร แล้วสรุปน้องเล็กสุดหนีไปไหนมาอยากรู้จัง
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: prympws ที่ 26-05-2020 17:07:31
 :pig4: :L1: o13
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 29-05-2020 10:30:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 30-05-2020 21:37:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 02-06-2020 14:33:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: Bebii123 ที่ 14-06-2020 00:55:01
สนุกมาก  :-[
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 15-06-2020 15:58:49
เนื้อเรื่องเรื่อยๆดูเหมือนจะน่าเบื่อแต่ที่จริงมีเสน่ห์นะ เราอ่านมาจนจบแบบหยุดไม่ได้เลย ช่วงแรกที่น้องสาวทั่งสามเด่นคือเหมือนเป็นช่วงการเจริญเติบโตเล็กๆของซุนซีเลย แล้วก็มาเรียนรู้ชีวิตมากขึ้นหลังจากที่มาอยู่กับท่านเจ้าเมืองแล้ว เรื่องปมก็คลายได้ดีอยู่ไม่ซับซ้อน ในส่วนจบเราว่าก็จบดีแล้วนะถึงจะดูรวบรัดไปหน่อยแต่ก็เข้าใจ ส่งนหนึ่งที่น่าสนใจคือการแก้ปัญหาที่หลอกลวงคนอื่นมานี่แหละแต่ดีที่ทุกคนในเรื่องใจดีใจกว้างกันมาก ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้มากๆเลยนะคนเขียน
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 18-06-2020 19:50:22
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 29-06-2020 20:57:22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: Gimlongdeep ที่ 02-07-2020 02:21:39
อ่านไปใจตุ้มๆต่อมๆว่าซุนซีจะเป็นอะไรไปปป น่าสงสารมากกกกตอนมาเมืองหลวงงง แค่นอิคนหลอกให้กินเหล้า แม่จะตบให้!!  แต่ตอนจบเราชอบนะถึงจะรวบรัดไป แต่เข้าใจความกลัวของน้องง ชอบที่บอกว่าได้อยุ่ในฐานะของอาซุน แง่ววววว สำนวนนักเขียน เขียนดีมากค่ะเราชอบบบ :ling1:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 10-07-2020 12:02:35
ตอนจบรวบรัดไปหน่อย แต่สนุกดีค่ะ
ขอบคุณนักเขียนด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: lovejinjunno ที่ 25-07-2021 21:09:05
อ่านจบรวดเดียวเลย สนุกมากค่ะ
ช่ววแรกเหมือนจะน่าเบื่อ แต่มันเหมือนมีอะไรซักอย่างทำให้เราอ่านต่อมาเรื่อยๆโดยไม่ข้ามตอนเลย เราชอบตอนที่อาซุนอยู่กับน้องๆ น่ารักมากๆเลย
ตอนอยู่กับท่านเจ้าเมือง อาซุนก็จะน่ารักอีกแบบนึง
อ่านถึงตอนสุดท้ายแอบใจแป้ว อาซุนน้าาาา
มาถึงบทส่งท้าย เราคิดว่าจะเล่าย้อนกลับไปช่วงที่อาซุนเจอกับท่านเจ้าเมืองซะอีก
เราเดาถูกจ้าว่าเป็นท่านเจ้าเมืองตั้งแต่แรก ก็เด่นซะขนาดนั้น 5555
ขอบคุณที่แต่งเรื่องน่ารักๆแบบนี้มาให้อ่านกันนะคะ
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 28-07-2021 17:32:13
 :z13:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 01-08-2021 03:19:37
ชอบค่ะ อ่านรวดเดียวจบ ช่วงอยู่จวนก็ลุ้นว่าเมื่อไหร่ท่านเจ้าเมืองจะเข้าหอกับฮูหยินซะที  ดีใจจบลงด้วยดีค่ะ  แต่ฉากขอทานนี่บรรยายกลิ่นแล้วคิดภาพนายเอกตามไปด้วย เหวอเลย555  ฉากต่อสู้ช่วงท้ายนายเอกหมอบโจมตีราวกับนักฆ่าเลย ปกติเธอเดินยังเหนื่อย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
เริ่มหัวข้อโดย: BoJit ที่ 21-08-2021 12:07:35
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่าา อ่านรวดเดียวจบ เสียดายอยากอ่านฉากหวานๆหลังเค้าอยู่ด้วยกันอีกนิดดด