[จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63  (อ่าน 23639 ครั้ง)

ออฟไลน์ nekodollzz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ตัวละครออกมาเต็มจนจะจำชื่อไม่ได้แล้ว
แต่พระเอกอยู่ไหนน่อ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ว้อยยยยย ค้างงงงง กำลังลุ้นหนักมาก 5555 จะเป็นใครยังไงละทีนี้ เฮ้ยย!! สนุกมากอ่ะ ภาษาก็ดี อ่านรวดเดียวแบบวางไม่ลงเลย ติดงอมแงมแล้วตอนนี้ แม้บทของสามสาวจะเด่น แต่ก็คอยดูว่าซุนซีเราจะไปทางไหนยังไง มันเลยต้องให้อ่านต่อแบบยาวๆ สนุกจริง รอตอนต่อไปจะไม่ไหวแล้วค่ะ 5555555 ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายและมาอัพลงในนี้ให้ได้อ่านกัน รรรรรรรรรรรรรรรรตอนหน้าเลยค่ะ ลุ้นมาก สนุกอ่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 13

   “ทำไมลูกพี่ไม่สั่งให้ฆ่านางเสีย ปกติเราไม่เคยให้ใครรอดไม่ใช่หรือ”

   “อย่าส่งเสียงดัง! หัวหน้าสั่งมาอย่างนี้ก็ทำตาม”

   “แล้วไม่กลัวมันหนีไปได้หรือ ถ้ามันหนีไปแจ้งความจะทำอย่างไร!”

   “ไอ้เต่าโง่ ดูมันป่วยก็ปานนี้ มันคงเป็นคนสำคัญหรอกถึงต้องเก็บตัวไว้”

   “อ้อ.. ที่แท้ก็เป็นคนที่ไอ้พวกเคราเทาตามหา”

   “เออสิ! ดูแลไม่ให้มันตายเสียก่อนก็พอ”


   ซุนซีตกในภวังค์เพราะพิษไข้ เมื่อฟื้นสติยังพอได้ยินลูกน้องคุยกันถึงราคาค่าตัวเช่นนี้ บางครั้งก็กล่าวว่าเขาเป็นอนุคนใหญ่คนโต บางครั้งก็คุยว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ เอาเถอะ นับว่าหัวหน้าโจรมิได้โฉดเขลาเสียทีเดียว ..ไม่อย่างนั้นเขาคงได้ไปปรโลกพร้อมผู้อื่นนานแล้ว

   ในครั้งนี้ซุนซีรับผิดชอบชีวิตที่สูญไปไม่ไหว เมื่อนึกถึงก็ทำเอาอาเจียนไปหลายรอบ

   เขาหลับๆ ตื่นๆ ไม่รู้วันรู้เวลา เมื่อยามตื่นโลกหมุนภาพพร่าเบลอ เมื่อยามหลับยังได้ยินเสียงดาบเฉือนเนื้อและเสียงกรีดร้อง เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนทั้งร่างนั้นหนักนับพันชั่ง ขมับตลอดจนท้ายทอยปวดร้าวปานศีรษะจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ลมหายใจก็ร้อนเป็นเพลิงโลกันต์

   หากเขาไม่ดันทุรัง ผู้อื่นคงไม่ต้องมาทิ้งชีวิตในป่าอย่างนี้

   ซุนซียังไม่รู้ว่าตนจะเจรจาสำเร็จหรือเปล่าด้วยซ้ำ รู้ก็แต่มีคนต้องตายเพราะเขาถึงหลายชีวิต เด็กหนุ่มได้แต่ถามว่าสวรรค์จะให้ตนรอดมาเพื่ออะไร

   ในความมืดฝ่ามืออบอุ่นของใครสักคนจับมือเขาไว้ ซุนซีไม่ได้ขยับหนี สองตาเขาบวมและปิดสนิทจนมองไม่เห็น จมูกก็ตันจนหายใจลำบาก สัมผัสสากๆ จากผืนผ้าเนื้อหยาบซับทั้งแก้มและหน้าผากชุ่มเหงื่อ คนป่วยไม่ได้ยินเสียงอะไร ดวงตาเขาเห็นราตรียาวนานชวนหนาวลึกถึงกระดูก กายยังพอได้รับสัมผัสอบอุ่นเป็นแสงไฟ ความเงียบขณะนั้นถูกเติมเต็มด้วยการมีอยู่ของตัวตนไร้เสียง น้ำตาค่อยเหือดแห้งลงช้าๆ พร้อมสติสัมปชัญญะที่ลางเลือนไปทุกที..ทุกที…

   ไม่รู้ว่าครวญสะอื้นที่ได้ยินเกิดแต่ลมที่พัดมาจากดินแดนห่างไกล...หรือเกิดจากเสียงร่ำไห้เขาเอง



   เปลือกตาเปิดช้าๆ ตามด้วยสัมผัสเฝื่อนฝืดของลำคอแห้งผาก ศีรษะหนักและความรู้สึกร้อนผะผ่าวไม่พึงประสงค์ยังไม่สร่างไปไหน ภาพตรงหน้าพร่าเหมือนกำลังฝัน ซุนซีกระพริบตาซ้ำๆ ไล่ม่านสลัวในดวงตา พยายามหยัดตัวขึ้นนั่งแม้จะยังปวดล้าไปทั้งตัว เสื้อผ้าถึงเขลอะฝุ่นเลอะดินยังอยู่บนร่างครบทุกชิ้น รองเท้าผ้าไหมติดคราบบางอย่างเป็นรอยเข้มแต่ไม่ใช่เวลาจะมานั่งใส่ใจ ถึงนั่งเฉยๆ แต่หัวเขาหมุนเหมือนโลกเอียงอยู่หลายรอบ

   ซุนซีรู้สึกคลื่นเหียนทว่าท้องโล่งไม่มีอะไรให้ขับออกอีกแล้ว มือเหนอะฝุ่นกดปากเอาไว้ สูดหายใจเอากลิ่นเหม็นหืนเข้าช้าๆ จนจมูกชิน เมื่อร่างกายไม่ต่อต้านแล้วถึงพบว่าข้างตัวมีหมั่นโถวเย็นชืดอยู่ในชามขอบบิ่น กับกระบอกไม้ไผ่มีสายร้อยตั้งข้างกัน คนโหยถึงอยากดื่มตะกละตะกลามแต่กลับค่อยๆ จิบช้าๆ สลับกับกัดแป้งนึ่งรสเฝื่อน จากนั้นมือที่สั่นจนน่ากลัวจึงค่อยนิ่งขึ้นทีละน้อย

   คนเพิ่งฟื้นไข้ไม่อิ่มท้องแต่กำลังวังชาเริ่มกลับคืนมาสามส่วน ซุนซียังกอดกระบอกใส่น้ำเอาไว้กับตัว สายตาไล่มองไปรอบด้าน พบว่าตนอยู่ในคุกสร้างจากไม้ก่อเป็นห้องเล็กๆ ดูคล้ายกรงสัตว์มากกว่าที่อยู่อาศัย พื้นที่เขานั่งปูด้วยฟางชื้นๆ ต้นตอกลิ่นเหม็นหืน อีกฝั่งมีชายผมเผ้ายาวรุงรังปิดหน้าปิดตาหัวเขลอะติดด้วยเส้นฟางและเศษหญ้า เนื้อตัวขะมุกขะมอมส่งกลิ่นอย่างพวกขอทานร่างกายไม่เคยโดนน้ำ

   ซุนซีคะเนไม่ถูกว่าอีกฝ่ายสูงใหญ่ขนาดไหนเพราะเอาแต่นั่งคุดคู้อยู่มุมกรง ซุกตัวใต้กองฟางเหมือนพยายามหลบซ่อนตัวเองจากแสงและสายตาบรรดาโจรข้างนอก ไม่รู้ว่าโดนจับมานานแค่ไหนผิวกรำแดดส่วนพ้นผ้าถึงได้มีแต่รอยช้ำและแผลถลอกทั้งใหม่เก่า

   “....” ผู้มาใหม่ไม่รู้จะกล่าวอย่างไร มองแล้วนอกจากเพื่อนร่วมตกทุกข์คนนี้ก็มีเพียงแต่เขา ความหวังเช่นดวงไฟริบหรี่ดับมอดลง ชัดแล้วว่าคนอื่นไม่รอดชีวิต

   คนคุมนักโทษเหล่สายตาอยู่ครั้งสองครั้ง พอมองเป็นครั้งที่สามก็เดินกลับไปร่วมวงกับลูกน้องโจรคนอื่นๆ มันคงคิดแต่ว่าคนหนึ่งบ้าใบ้อีกคนเป็นผู้หญิงป่วยร่างผอม...กลางค่ายอย่างไรก็หนีไม่รอด ซุนซีเอาหัวพิงซี่กรง ไม้เนื้อแข็งต้นอวบตอกและมัดเข้าด้วยกันแน่นหนา ไข้รุมๆ ยิ่งทำให้เขาหัวตื้อไม่สบายตัว

   “...พี่ชายอยู่ที่นี่ตัวคนเดียวหรือ” เขาชวนคุยเสียงเหนื่อย “ข้าก็เหมือนกัน เหลือแต่ข้าคนเดียว”

   คนคุกเงยศีรษะขึ้นมองตามเสียง ดูแล้วคงพูดไม่ได้ทำเพียงพยักหน้าให้ช้าๆ คู่เสวนาเห็นอย่างนั้นถึงยิ้มออก

   “ดูแล้วท่านไม่ใช่คนมีเงิน ทำไมถึงมาอยู่ในนี้ได้”

   คำตอบเป็นการวาดมือไปบนอากาศ ชี้ตนเองก่อนสองมือจะทำคล้ายว่ายกของจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่ง ผู้ถามสุดจะเดาก็หลับตาลงดื้อๆ

   “ท่านดูไม่ใช่คนเลวร้าย ...คงไม่ใช่ขโมยของโจรถึงโดนจับหรอกใช่ไหม” ซุนซีถามไปอย่างนั้น เปลือกตาหนักเกินกว่าจะรอดูคำตอบ

   เจ้าใบ้ลดแขนลงแนบลำตัว ลอบมองอยู่พักหนึ่งก็ลดศีรษะขดร่างลงซุกตัวหนีลมหนาว ชื้นกองฟางทั้งไรแมลงเกาะหาเลือดและไออุ่น ค่ำนี้หากเงยหน้าขึ้นจะพบจันทร์เหลือเพียงเสี้ยวเล็ก แสงดวงน้อยสุกสว่างขึ้นเต็มฟ้ากว่าทุกที น่าเสียดาย..ไฟจากคบเพลิงและควันดำเป็นทางยาวห่อฟ้าจนไม่เห็นดาว



   เจ้าสาวตัวปลอมบัดนี้คุกเข่าหมอบคาดตาด้วยผ้าอยู่กลางวงล้อมในกระโจม เบื้องหน้ามีชายวัยเข้ากลางคนนั่งอยู่บนบัลลังก์หนังสัตว์ ขนาบซ้ายขวาด้วยลูกน้องคนสนิทท่วงทีวางอำนาจ เพิงห้องประชุมแน่นไปถนัดตาเมื่อชายร่างใหญ่อัดกันอยู่เต็มห้อง

   “คนของสำนักคุ้มภัยใช่ว่าจะมีฝีมืออย่างคำเล่าลือ ดูท่าข้าจะคาดหวังไว้สูงเกินจริง” หัวหน้าโจรกล่าวทั้งยิ้มแสยะ

   เหยื่อไม่ตอบโต้ทำแต่เพียงก้มศีรษะ สองตามองไม่เห็นสิ่งใด สองแขนถูกมัดไพล่ไปด้านหลังแค่จะขยับก็ลำบาก

   “ถ้าแม่นางน้อยให้ความร่วมมือกับข้าก็ปลอดภัย ชาวยุทธ์อย่างเราเคารพกฎถือคุณธรรมไม่ต่างจากสัมมาอาชีพอื่น ถึงเป็นโจรแต่ข้าถือคติไม่ทำร้ายผู้หญิงหากไม่จำเป็น...แม่นางน่าจะรู้ดีกว่าใคร”

   “อย่าอ้อมค้อมเลยไต้อ๋อง ท่านต้องการอะไรจากข้าน้อย” สรรพนามกล่าวอย่างให้เกียรติ เนื้อเสียงแม้จะแหบแผ่วแต่ไร้แววกังวล ดูนิ่งจนน่าสงสัย

   ชายบนบัลลังก์อุปโลกน์ฟังแล้วยิ้มพึงพอใจ “อย่างนั้นบอกมาว่าเจ้าเป็นคนของสกุลไหน”

   “เรียนไต้อ๋อง ข้าน้อยเป็นลูกสาวบ้านไหนเกรงว่าไม่สำคัญเท่าข้าน้อยเดินทางมาแต่งกับใคร”

   “สามีเจ้าคงเป็นคนใหญ่คนโตอย่างนั้นสิ? ไหนลองบอกชื่อของเขามา”

   “...อวี้ สามีข้าน้อยคือไต้เท้าอวี้แห่งเมืองเสวี่ยซาน”

   ได้ยินคำตอบดังนั้นใบหน้าไต้อ๋องพลันเปลี่ยนเป็นชิงชัง ไฟแค้นไม่เพียงประทุอยู่ในดวงตามหาโจร มันยังปรากฏอยู่ในดวงตาทุกคู่ของชายฉกรรจ์คนอื่นๆ ในกระโจมเช่นเดียวกับกระแสความหวาดวิตก

   ตำแหน่งมือขวาโน้มไปกระซิบกระซาบบางอย่างกับผู้เป็นนายท่ามกลางเสียงยุให้ฆ่าทิ้งจากรอบด้าน ซุนซีพอจับใจความได้ว่าเขาคงถูกใช้ประโยชน์เป็นตัวประกัน แปลกที่ทุกคนในห้องไม่มีใครนึกสงสัยว่าเขาโกหกแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะจำนวนสินสอดที่ขนมา ชุดผ้าไหมราคาแพงที่เขากำลังสวมใส่ ..ไม่อย่างนั้นก็เรื่องที่พวกมันคุยกันตอนเขานอนจับไข้

   ซุนซีทำใจกล้าเอ่ยขัดขึ้นมา “ไต้อ๋องผู้ยิ่งใหญ่ ถ้าท่านคิดจะเรียกค่าไถ่เจ้าสาวหรือขู่ขวัญเจ้าเมืองก็โปรดรีบทำเถิด กักตัวข้าไว้รังแต่นำปัญหามาให้ท่าน --”

   นักโทษใต้อาณัติหยุดไอโขลก เสียงหายใจเป็นเสียงลมหวีดฟังดูน่ากลัว แม้กระทั่งหัวหน้าโจรก็ทำเพียงรอเงียบๆ ให้อีกฝ่ายต่อบทสนทนา พวกที่ขู่ให้ฆ่าดวงตาพลันสว่างราวเกิดความคิดตามเขาชี้โพรง

   “...ไต้อ๋องคงไม่อยากให้ตัวประกันมาป่วยตายเปล่าประโยชน์ในคุกท่านใช่หรือไม่?” เหงื่อผู้พูดผุดพรายทั่วหน้าผาก “ข้าเพียงอยากแต่งกับขุนนางแต่ไม่อยากตายในป่า .. หากข้าตายท่านก็เจรจาล้มเหลว นอกจากจะไม่ได้อะไรเลยกลุ่มพี่น้องของท่านจะเสี่ยงมีเรื่องกับทางการเปล่าๆ”

   ไต้อ๋องบนบัลลังก์อุปโลกน์เคาะนิ้วใช้ความคิด “แม่นางน้อย จะให้ปล่อยตัวไปง่ายๆ ไม่คิดว่ามันตลกไปหน่อยรึ?”

   “กิตติศัพท์ไต้อ๋องไกลไปถึงเมืองหลวง ข้าน้อยเป็นคนรักชีวิตยิ่งกว่าเงินทอง หากปล่อยเป็นอิสระข้ายินดีสาบานว่าเรื่องจะไม่สาวถึงตัวท่านเป็นแน่”

   “อนิจจา! จิ้งเหลนทองนั่นได้นางจิ้งจอกเป็นภรรยาหรือนี่” กลุ่มโจรหัวร่อหยันเหยียดประสานเสียงกันครืนใหญ่ ลูกน้องคนสนิทแย้งขึ้นมาว่าเป็นแค่ลมปากคำสาบาน ซุนซีรีบขัดไม่ปล่อยโอกาส

   “ท่านจะไม่ต้องเสี่ยงทางการออกค้นหาหรือเสี่ยงเป็นศัตรูกับสำนักคุ้มภัย ไต้อ๋องผู้ยิ่งใหญ่ ข่าวว่านอกจากทางการ ชุมโจรใหญ่อีกกลุ่มคิดเหิมเกริมคอยขัดประโยชน์ท่านอยู่มิใช่หรือ? ข้าจะเขียนจดหมายบอกเจ้าเมืองว่าโจรอีกกลุ่มมาปล้นและจับตัวข้าไว้ ท่านแค่รอให้ศัตรูของท่านถูกจัดการ เรียบร้อยเมื่อไหร่ไต้อ๋องค่อยปล่อยตัวข้า – ขอเพียงไม่ทำร้ายข้า จะให้ทำอะไรข้าน้อยก็ยินดีรับใช้”

   ฟังแล้วหัวหน้ากลุ่มโจรเกิดลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง “แค่สัญญาใครก็พูดได้ จะเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้โกหกเอาตัวรอด”

   “จดหมายข้าจะเขียนต่อหน้าท่าน ฝากเจ้าใบ้เอาไปส่งที่จวนส่วนตัวข้าอยู่ที่นี่ ท่านให้ลูกน้องท่านตามไปดูถึงในเมืองย่อมได้ ถ้าคิดหักหลังจริงให้มาฆ่าข้าได้ทันที ..ไต้อ๋องคงไม่ได้กลัวคนใบ้ตัวคนเดียว ข้ากล่าวถูกหรือไม่?”

   “ส่งไอ้หัวขโมยนั่นไป? เฮอะ! แม่นางน้อย นอกจากคิดว่าตัวเองเป็นแม่พระ เจ้ายังคิดว่าตัวเองมีอำนาจต่อรองให้ข้าปล่อยคนอื่นด้วยหรือ”

   “โจรก็เป็นโจรวันยังค่ำ” เพียงประโยคนี้ก็ทำลูกไล่คนอื่นนึกฉุน ซุนซีรีบพูดต่อไม่ทิ้งจังหวะ “นอกจากไต้อ๋องที่มีบารมีปกครองผู้คน ท่านจะไว้ใจลูกน้องคนอื่นให้ไปยืนต่อหน้าเจ้าเมืองอวี้ได้หรือ ชีวิตไอ้ใบ้เป็นอย่างไรข้าไม่สน แต่มันยังดูเป็นชาวบ้านไม่รู้ประสากว่าคนของท่าน ในเมื่อเป็นสารขอความช่วยเหลือมิใช่เรียกค่าไถ่ ไม่เหมาะจะส่งคนบ้าใบ้ไม่รู้ประสาไปหรอกหรือ”

   รู้จักดึงต้องรู้จักผ่อน หัวหน้ากลุ่มโจรหรี่ตาลง มือลูบเคราช้าๆ ก่อนรอยยิ้มจะผุดขึ้นที่สองมุมปาก



   หยดสีน้ำตาลเข้มเปื้อนเสื้อแพรเป็นจุดทั่ว เจ้าของชุดเพิ่งสังเกตเห็นก็เมื่อกลับเข้ามานั่งหลบลมหนาวในกรงขังแล้ว มันไม่ใช่เลือดของคนใกล้ตายที่แม้แต่เรี่ยวแรงจะลุกเดินยังแทบไม่เหลือ ไข้ขึ้นสูงทำเอาหัวซุนซีมึนตื้อไปหมด ตามจริงหากให้เขาต้องเจรจาเยื้อนานกว่านี้สักหน่อยสมองคงไม่มีกำลังพอจะคิดหาวิธี

   จดหมายที่เขาเขียนคงพับเรียบร้อยอยู่ที่ใดสักแห่งในกระโจมหัวหน้าโจร วันนี้เป็นคืนเดือนมืดและค่ำเกินจะออกเดินทาง ผู้ส่งสารจำเป็นจึงยังนอนขดไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ที่มุมเดิม ลำตัวซีกหนึ่งพิงกรงไม้อีกซีกฝังอยู่ใต้กอฟางชื้นๆ

   “พี่ชาย..” คนยังตื่นอยู่กระซิบเรียก เสียงเขาเบาเสียจนแทบถูกกลบด้วยลมพัดโกรกยามค่ำ

   เจ้าใบ้ลืมตาขึ้นโพลงในความมืด ก่อนดวงตาจะยิ่งเบิกกว้างเมื่อคนเรียกถดตัวมานั่งเบียดอยู่ข้างกันเรียบร้อย นักโทษหนุ่มพยายามจะเบี่ยงหนีแต่มือซูบเซียวคว้าตัวไว้เสียก่อน

   “...พี่ชายฟังข้าให้ดีนะ วันพรุ่งพวกมันจะให้ท่านไปส่งจดหมายที่จวนเจ้าเมือง ท่านต้องอดทนไม่วิ่งหนี พอถึงจวนเมื่อไหร่ให้หาทางเข้าไปข้างใน” ซุนซีกระซิบพลางมองซ้ายขวา ยัดชิ้นหยกใส่มือคนพิการเมื่อแน่ใจว่าปลอดคน “เอาป้ายหยกให้คนที่นั่นดู บอกว่าขบวนเจ้าสาวเหลือพี่ชายรอดชีวิตคนเดียว”

   เจ้าใบ้บีบมือคนพูดจ้อไว้แน่น ดวงตาซ่อนหลังผมยาวฉายแววแข็งกร้าวคล้ายจะปฏิเสธ เจ้าสาวตัวปลอมกุมมือสกปรกคู่นั้นไว้ไม่รังเกียจ

   “ท่านเป็นคนรับใช้รอดชีวิตคนเดียว.. ไม่ต้องกลับออกมาจนกว่าโจรจะไป หาทางบอกเขาว่าที่ตั้งโจรป่าสองกลุ่มอยู่ที่ไหน – วาดแผนที่ ใช้มือ บอกอย่างไรก็ได้” ซุนซีหยุดพูด ไอเสียงน่ากลัวพักใหญ่

   ป้ายหยกขอบบิ่นในมือเจ้าใบ้สลักอักษรเซี่ยเอาไว้ ซุนซีฝากด้วยความหวังว่าไต้เท้าผู้นั้นจะเชื่อและช่วยเหลือ ทว่าเจ้าใบ้กลับดันทุรังส่งคืน ส่ายศีรษะช้าจนผมพันรุงรังแกว่งไหวๆ

   “พี่ชาย ข้าช่วยพี่น้องไม่ได้สักคน... ได้เจอกันคราวนี้นับว่าเป็นลิขิตฟ้า อย่างน้อยให้โอกาสข้าได้ช่วยท่านเถอะ” เสียงเขาเหมือนคนจะขาดใจ “เหลือเวลาไม่มากแล้ว ทำตามที่ข้าขอ.. ให้สัญญากับข้าได้หรือไม่?”

   เจ้าใบ้นิ่งไปนาน จนคนถามทวนซ้ำจึงได้คำตอบเป็นการพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ ซุนซีที่ล้าตาแทบปิดเห็นแล้วถึงยิ้มออก

   “..เข้านอนเถอะ ท่านอาจต้องเดินทางแต่เช้า” มือผอมตบเบาๆ บนหลังมือเจ้าใบ้ ก่อนเขาจะขดตัวกลับไปซุกกับกองฟางมุมกรงตามเดิม ..ไม่ได้ใส่ใจเลยว่าเจ้าใบ้จะยังก้มมองมือตัวเองอยู่ท่าเดิมไม่ขยับไปไหน

   ลมหนาวพัดเข้ามาผ่านกรงไม้ตอกจนคนคุกได้แต่นอนสั่น เสียงเอะอะโวยวายลอยมาแต่ที่ห่างไกล เจ้าสาวตัวปลอมกอดตัวเองให้แน่นขึ้น หนังตาหนักอึ้ง ถึงแม้มีแรงก็คงไม่ลืมตาดูเหตุการณ์

   เสียงถล่มตึงตังดังชัดขึ้นเรื่อย กลิ่นเหม็นไหม้ฉุนอวลมาแตะจมูกเข้มขึ้นทีละน้อย ตามด้วยย่ำฝีเท้าโจรสักคนวิ่งเข้ามาแกะโซ่กรง

   “บัดซบ! เดรัจฉานลี่เฟิงหักหลังพวกเราแล้ว” เสียงเหล็กกระทบผสมคำสบถดูร้อนรน คนกำลังหลับด้วยเพลียพิษไข้ถูกกระชากถูลู่ถูกังออกไปข้างนอก เขาไม่มีกำลังขัดขืน เปลือกตาปิดสนิทราวเรี่ยวแรงถูกสูบหาย

   จู่ๆ แรงเยื้อลากพลันหยุด มือแข็งแรงที่บีบแขนคลายออกก่อนร่างหนึ่งจะล้มลงทับตัวซุนซี เขาจำต้องพยายามลืมตาอีกครั้ง – ภาพที่เห็นเป็นสีเลือดสว่างจ้าวูบไหวด้วยไอเพลิงล้อมอยู่รอบตัว ประกายสะเก็ดส่องฟ้าสว่างดุจกลางวัน เสียงไม้ลั่นเปรี๊ยะ หายใจเอาอากาศแต่ละครั้งก็สูดควันเข้าจมูกแสบลามไปถึงปอดจนเผลอสำลัก

   ร่างที่นอนทับเขาอยู่มีธนูปักเข้ากลางอกแม่นยำ ดวงตามันเบิกกว้าง สีหน้าสุดท้ายหวาดวิตกไม่ได้ต่างกับคนเป็นที่กำลังถดหนีร่างไร้วิญญาณ ในหัวเขาคิดถึงโจรอีกกลุ่มที่หัวหน้าโจรเคยพูดถึง ริมฝีปากแห้งแตกสั่นน้อยๆ ได้สติก็รีบคลานกลับไปที่กรงไม่ห่างกัน

   -- เจ้าใบ้หายไปแล้ว

   ซุนซีพยายามมองหาเพื่อนร่วมชะตากรรม ล้มลุกเข่าครูดพื้นจนผ้าทะลุกรวดดินบาดเนื้อ สองเท้าก้าวสะเปะสะปะไปเรื่อย พอเพลิงเลียเอาชุดรุ่มร่ามติดไฟ เขารีบถอดเสื้อชั้นนอกออกไม่นึกเสียดาย ลมหนาวยิ่งบาดเข้าถึงกระดูกเหมือนอุ่นกองเพลิงไม่ช่วยบรรเทา เหงื่อท่วมจนเสื้อลู่ติดผิวเหนอะกายแต่ยังหนาวไปถึงข้อกระดูก

   แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยนึกกลัวตาย ทว่าเมื่อถึงเวลาจึงรู้ว่าไม่พร้อมรับมือเพียงใด ในหัวคิดแต่จะหาทางรอด เสียงโห่ร้องเมื่อดังจากฝั่งใดก็เหมือนเสียงยมทูตก่นคำราม ไฟท่วมทั่วราวไฟนรก ไปทางใดก็พบแต่ศพย้อมเลือดแดงฉาน

   ระหว่างนี้เขาไม่รู้สึกเลยว่าเท้าเปล่าเป็นแผลพอง มันคล้ายว่าร่างกายไร้ความรู้สึกเจ็บปวด

   เขาล้มลงนั่งพิงกองไม้ รอบด้านโอบล้อมด้วยเปลวไฟแดงฉานสว่างจ้า ควันดำเป็นเงาร่างมัจจุราชตลบคลุ้งวูบไหว สะเก็ดขี้เถ้าว่อนไปทั่วทั้งเสียงกรีดร้องโหยหวนแว่วมาจากทุกแห่งหน -- หากปรโลกมีจริงคงไม่ผิดไปจากนี้

   ใบหน้ามารดาวิ่งเข้ามาในห้วงความคิดครานี้ชัดเจนกว่าทุกครั้ง รอยยิ้มอบอุ่นกับแก้มซูบตอบ ดวงตามองเขาด้วยรักไม่เคยหน่าย มืออบอุ่นที่กร้านกระด้างเพราะงานหนัก กลิ่นหอมเป็ดอบใบชาเจือกลิ่นไหม้ฟืน และเสียงนุ่มนวลคอยพร่ำสอนอย่างใจเย็น...

   ชั่วลมหายใจทุกอย่างพลันมืดลง



-----------

ตอนหน้าพระเอกออกแล้วค่ะ จริงๆค่ะคราวนี้ สาบานด้วยเกียรติยุวกาชาดเลยเอ้า
เราไม่ได้มาอัพศุกร์ที่แล้วไม่มีอะไรจะแก้ตัวค่ะ ขอโทษถ้าทำให้รอนะคะ /ขดหมอบ
แต่ๆๆวันอาทิตย์นี้จะมาอัพเพิ่มให้อีกตอนนะคะ ถ้าหายไปไม่มาอัพมาตีเราได้เลยค่ะ!

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอๆ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
พระเอก! ในที่สุดก็จะออกมาเสียที รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ใครก็ได้มาช่วยซุนซีเถอะ ทั้งโจรทั้งป่วย อดทนนะซุนซี รอตอนต่อไปเลยค่ะ สนุก ชอบ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
 :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :3123: :pig4: :3123:

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 14

   เปลือกตาปรือเปิดเอื่อยช้า ภาพที่เห็นมีเพียงแสงจ้าขุ่นมัวและขาวโพลน คอเฝื่อนแห้งประกอบกับผิวกายแสบร้อนเป็นความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้ เมื่อลองขยับตัวดูก็ตามมาด้วยอาการปวดตึงไปทั่ว ตาพลันปิดลงอย่างคนหมดแรง

   “...เมิ่ง แม่นางเมิ่ง”

   ใครสักคนเรียก เนื้อเสียงสูงแปลกแปร่งกับสรรพนามไม่คุ้นหู ซุนซีพยายามลืมตาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้กระพริบตาถี่ๆ ภาพหายพร่าก็พบใบหน้าไม่คุ้นเคยกำลังชะโงกมองอยู่ไม่ห่าง

   “แม่นางเมิ่งฟื้นแล้ว!” คนเดิมกล่าว คราวนี้ดูเบาใจกว่าครั้งแรกอยู่โข

   สิ้นเสียงนางผู้ที่คาดว่าเป็นหมอก็รุดเข้ามาแทนที่ ฟูกปูเตียงยุบยวบไปตามน้ำหนักคนนั่ง แขนที่ทั้งแดงและร้อนผ่าวถูกยกขึ้นวัดชีพจร หมอหญิงตรวจและซักถามอีกหลายอย่าง ซุนซีได้แต่เพียงนอนมองเงียบๆ ถามครั้งหนึ่งก็ตอบเพียงพยักหน้าหรือส่ายหน้า เขายังคงเป็นเขา มิใช่สูญความจำหรือมีใครมาแทนที่

   ยาในถ้วยเหลือเพียงตะกอนสมุนไพรนอนก้น การตรวจรักษาเสร็จสิ้นแล้ว คอคนเจ็บที่เคยแห้งผากก็พอจะเปล่งเสียงได้อยู่บ้าง

   “อาการท่านดีขึ้นมากแล้ว” หมอหญิงพูดระหว่างเตรียมลุก “พักผ่อนให้มาก สามสี่วันนี้โปรดอย่าเพิ่งออกไปไหนจนกว่าไข้ลด ข้าจะจัดยาทาไว้ให้ หากแสบร้อนเมื่อใดใช้ยาชโลมบางๆ จะช่วยบรรเทาได้”

   คนเจ็บสีหน้ากระอักกระอ่วน หากไม่พูดเขาคงได้นอนไม่อยู่สุข “ตามจริงแล้วข้า…”

   “ข้ารู้ แต่อย่าได้กังวลเลย” หมอหญิงยิ้มอ่อนโยน “ข้าติดหนี้บุญคุณจอมยุทธอยู่หลายคน หนึ่งในนั้นเป็นเจ้าสำนักตระกูลเมิ่ง ถ้ามีอะไรพอช่วยได้ข้าจะทำให้”

   ซุนซีหน้ามืดไปวูบหนึ่ง เสื้อผ้าของเขาถูกเปลี่ยนใหม่จะอย่างไรต้องมีคนรู้ว่าเป็นชายมิใช่หญิง แต่เขายังอยู่ภายใต้ฐานะแม่นางเมิ่ง สาวใช้ที่มาปลุกแต่แรกเรียกเขาอย่างนั้น ..บุรุษจำแลงต้องรีบอธิบายก่อนเรื่องจะบานปลาย

   “ช้าก่อน... ไม่ใช่เช่นนั้น ข้าหมายถึง--”

   “เชิญพักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้ข้าจะมาดูอาการ” ท่านหมอพูดเนื้อเสียงเอ็นดูตัดบทเพียงเท่านั้นก็ลุกออกจากห้องไป ซุนซีมองไล่หลังกระสับกระส่าย ไม่ใช่! เขายังไม่ทันได้อธิบายก็กลายเป็นแม่นางเมิ่งไปจริงๆ แล้ว!

   เส้นสายตาเอียงไปเรื่อยเมื่อแม่สาวใช้จับไหล่เขากดให้นอนอย่างว่าง่าย ซุนซีกระพริบตาปรือช้าลงทุกที ด้วยพิษไข้และฤทธิ์ยาไม่นานเด็กหนุ่มก็กลับเข้าสู่ห้วงนิทรา

   ...หารู้ไม่ว่าตนเพิ่งพลาดโอกาสสำคัญ ตกเข้าบ่วงดักกระต่ายจะดิ้นก็ดิ้นไม่หลุด



   เวลาผ่านไปหลายชั่วยามกว่าคนเจ็บจะตื่นอีกครั้ง สาวใช้คนเดิมที่เคยรอจนเขาได้สติบัดนี้นั่งฟุบหมอบอยู่ขอบเตียง ซุนซีไม่อยากรบกวนคนหลับก็ปล่อยนางไว้อย่างนั้น ค่อยๆ หยัดตัวขึ้นลุกนั่งแช่มช้า

   มาจนตอนนี้ซุนซีเพิ่งได้เห็นว่านอกจากเตียงที่เขานอนจะมีขนาดใหญ่ ห้องที่อาศัยอยู่ก็โปร่งและโอ่โถง...อาจเรียกได้ว่ากว้างเท่าห้องนอนห้องใหญ่ในบ้านสกุลเมิ่ง เตาพกตั้งให้ความร้อนอยู่กลางห้อง การประดับประดาก็ดูแปลกตา ไม่ว่าจะโต๊ะหรือม่านกั้นล้วนแต่ทำจากไม้สีเข้ม ไม่หรูหราจนน่าอึดอัดแต่ตกแต่งด้วยของอย่างดี

   มือร้อนผ่าวลูบไปบนพื้นเตียงที่ปูด้วยผ้าขนสัตว์ ประตูหน้าต่างปิดสนิทในห้องปลอดลมแต่พอสัมผัสได้ว่าอากาศเย็น เสื้อผ้าของสาวใช้ก็สวมหนาชั้นกว่าที่เห็นในเมืองหวงซาน

   อาจสรุปได้ว่าที่นี่หากไม่ใช่บ้านเศรษฐีคงเป็นจวนเจ้าเมืองไม่ผิดแน่ ซุนซีทบทวนปะติดปะต่อเรื่องราว เหลือก็แต่คำตอบว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

   จมในห้วงความคิดพักใหญ่สาวใช้พลันสะดุ้งตื่นขึ้นมา พอเห็นหน้าคนเจ็บนั่งตาใสจึงรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

   “ข้าเผลอหลับไปได้อย่างไร! ต้องขออภัยแม่นางจริงๆ แต่ พิโถ่เอ๋ย แม่นางเมิ่งตื่นแล้วโปรดปลุกข้าด้วยเถอะ ถ้านายท่านรู้เข้าข้าจะโดนต่อว่าเอาได้” นางไม่วายตัดพ้อเสียงอ่อน

   จับเขาใส่ชุดสตรีแล้วยังเรียกแม่นางๆ ไม่หยุดปาก ซุนซีเคยได้ยินข่าวลือมั่วๆ ว่าเมิ่งเซี่ยเหมยคล้ายผู้ชายถึงแปดส่วน ให้ฟ้าถล่มเถอะ! ให้คล้ายผู้ชายถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้ชาย! ฟังเสียงเขาพูดแล้วยังแยกไม่ออก จินตนาการคนในจวนจะล้ำเลิศกันเกินไปแล้ว

   “ไม่ใช่แม่นางเมิ่ง -- เอาเถอะ นายท่านของแม่นางเป็นใคร ใช้งานหนักจนเจ้าเพลียหลับเขายังกล้าต่อว่าอีกหรือ”

   สาวน้อยส่ายหน้าหวือ “ผิดแล้วเจ้าค่ะ นายท่านถึงจะดุแต่ก็มีเมตตา ...ความจริงข้าอยู่เฝ้าไข้แม่นางหลายวันแล้วก็เลย...นอนไม่พอ...” ท้ายประโยคนางทำหน้าหงอยพูดเสียงค่อยยอมรับความผิด พอคนเจ็บตั้งท่าจะถามอีก ใครสักคนก็เปิดประตูก้าวพรวดพราดเข้ามา

   ผู้มาเยือนรายใหม่ดูคุ้นหน้าเสียเหลือเกิน ถึงสวมด้วยเสื้อขนสัตว์หนาหลายชั้นก็พอดูออกว่าข้างใต้ซ่อนร่างกายกำยำ ท่วงทีองอาจดุจราชสีห์ ดวงตาแข็งกร้าวทรงอำนาจนั้นมีแววกังวลฉายอยู่ครู่ เพียงมองปราดเดียวสาวใช้ข้างเตียงก็สะดุ้งโหยง

   “แม่นางเมิ่งอาการเป็นอย่างไรบ้าง” ชายคนนั้นถาม

   ซุนซีเหลือบไปทางสาวใช้ที่กำลังก้มหน้าห่อไหล่ แม่นางเมิ่งอีกแล้ว...แต่ถามว่าเขาจะกล้าอธิบายหรือไม่? ผู้น้อยตัวจ้อยผู้นี้รวบรวมความกล้าได้ถึงเพิ่งเงยขึ้นสบตา

   ดวงตาเหยี่ยวสีนิลคู่นั้นดูคล้ายใครบางคนอย่างน่าประหลาด – มันทำให้เขานึกถึงบาตูเกล เช่นนั้นบ่าที่ยกเกร็งจึงคลายลงโดยไม่รู้ตัว

   “เรียนคุณชาย ข้าดีขึ้นมากแล้ว...” คนเจ็บตอบเสียงค่อย รอยยิ้มเป็นมิตรประดับบนใบหน้าซูบเซียว “ท่านหมอบอกว่าอีกสองวันก็หายดี ต้องขอบคุณท่านมากที่ให้การช่วยเหลือ ...ไม่ทราบว่าที่นี่คือที่ใด หากมีโอกาสข้าจะขอทดแทนน้ำใจท่านในภายหลัง”

   ระหว่างที่พูดอีกฝ่ายยังเอาแต่จ้องเขม็งไม่ละ เป็นฝ่ายซุนซีเสียเองที่ต้องรีบหลุบสายตาลงต่ำ เพียงมองเฉยๆ ก็ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ! เขาจะเรียกความกล้ามาจากองค์เซียนองค์ไหนได้อีก

   คุณชายมาดขรึมยกมือกร้านปิดใบหน้าซีกล่าง คิ้วขมวดยิ่งขับให้ตาคู่คมดูดุราวพญาอินทรี – แน่ล่ะว่าถึงซุนซีไม่ได้เงยมองยังรู้สึกได้

   “จวนเจ้าเมืองเสวี่ยซาน ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องทดแทนบุญคุณ อยู่ที่นี่ให้ทำตัวตามสบาย”

   ถามคำตอบคำ เขาพอเข้าใจว่านอกจากภายนอกดุดันคู่สนทนาคงไม่ใช่คนช่างคุย คิดได้อย่างนี้ความกลัวพอคลายลงได้ “แล้วไม่ทราบว่าท่านคือ...”

   “อวี้หยุนเทา” คุณชายคนนั้นตอบสั้นๆ จากเนื้อเสียงแสดงอำนาจและทีท่าเปี่ยมบารมีดูแล้วไม่น่าโกหก

   แน่นอนว่าซุนซีรู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี นามกร อวี้หยุนเทาจะใช่ใครนอกจากอวี้จินเจ้าเมืองเสวี่ยซานและว่าที่สามีของเมิ่งเซี่ยเหมยที่เขาเพิ่งอ้างชื่ออยู่หยกๆ ..พอมาอยู่ต่อหน้าโจทย์อย่างนี้ทำเอาเจ้าสาวตัวปลอมเกร็งจนพูดต่อไม่ออก ดูเหมือนอีกฝ่ายจะพอเข้าใจอาการอึกอักนั่น

   “ยังมีงานรอให้สะสางข้าต้องขอตัวก่อน แม่นางเมิ่งมีอะไรเรียกใช้อ่ายซวนได้ตามสบาย”

   เจ้าของชื่อผงกหัวปะหลกๆ รับคำสั่ง ตั้งแต่เจ้านายปรากฏกายนางยังไม่กล้าปริปากสักคำ

   “ขอบคุณใต้เท้า.. คงต้องรบกวนท่านแล้ว” ซุนซีตอบพลางใช้ความคิด ระหว่างนั้นไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มน้อยๆ ที่สองมุมปากคนหน้าดุ

   “แม่นางไม่ต้องเกรงใจ ดูแลคนเจ็บเป็นเรื่องสมควรทำ”

   เสียงรายงานขานเรียกดังมาจากข้างนอก ท่านเจ้าเมืองกลับไปตีหน้าเคร่งขรึมอย่างเก่าพอดีกับที่ซุนซีเงยขึ้นมอง ก่อนริมฝีปากหยักของอวี้จินจะทันเอ่ยคำลาซุนซีรีบชิงพูดเสียงดังลั่น

   “ช้าก่อน!” เด็กหนุ่มเค้นสมองสุดกำลัง “ข้ามีเรื่องจะขอร้องใต้เท้า เหตุโจรปล้นพี่น้องในสำนักต้องล้มตายจำนวนมาก ข้าอยากนำร่างของพวกเขากลับไปทำพิธีที่บ้านเกิด”

   “ย่อมได้ เรื่องนี้แม่นางเมิ่งไม่ต้องเป็นกังวล”

   “เช่นนั้นให้ข้าไปส่งพวกเขาถึงสำนักในเมืองอู่ชางได้หรือไม่ อย่างน้อยให้ข้าได้แสดงความเคารพเป็นครั้งสุดท้าย”

   “ไม่อนุญาต” เสียงทุ้มต่ำประกาศเป็นคำสั่งเฉียบขาด “แม่นางยังบาดเจ็บอยู่ หากอยากตอบแทนบุญคุณข้าจะสั่งให้มอบเงินค่าฝังศพแก่แต่ละครอบครัว”

   ความหวังหายวับไปกับตา ซุนซีรีบส่ายศีรษะ “ข้าพอเดินทางไหว อย่าให้ข้าต้องรบกวนใต้เท้าไปมากกว่านี้เลย”

   “มิได้ อีกไม่นานเราก็ถือเป็นคนเดียวกัน”

   อวี้จินกล่าวทิ้งท้ายเสียงเรียบ จบประโยคบุรุษร่างสูงก็สาวเท้าเดินกลับออกไปหลังบานประตู ทิ้งไว้แต่สาวใช้ที่กำลังยิ้มแป้นให้เขา

   คนเสวี่ยซานเป็นพวกชอบฟังไม่ทันรู้ความก็ตัดบทสนทนาเสียดื้อๆ กันหมดหรือ? แต่ละคนเหลือตัวเลือกใดให้เขาบ้าง เหตุการณ์เป็นเช่นนี้จะให้เขาร้องแรกแหกกระเชอว่าตนไม่ใช่แม่นางเมิ่งก็เสียหน้าตระกูลผู้เป็นนาย จะหนีกลับเสียตอนนี้ก็ไม่ได้อีก

   เรียกฟ้าฟ้าก็ไม่ขาน เรียกดินดินก็ไม่รับ ...อากาศหนาวจับใจ ทว่าเหงื่อออกเย็นชุ่มสองมือเจ้าสาวตัวปลอม



   คนป่วยใช้เวลาอยู่ในห้องไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปไหน สองวันให้หลังถึงพบข้าวของบางส่วนวางอยู่บนโต๊ะใกล้เชิงเทียน รองเท้าปักลายคู่สวยยังอยู่ดีแต่ห่อผ้าไหม้เป็นรูใหญ่ ซุนซีใช้เวลาว่างนั่งบนเตียงมือสอยด้ายเย็บปะชุนของที่ยังพอใช้การไหวและเริ่มลงมือปักผ้าผืนใหม่ กิ่งก้านทอขึ้นจากด้ายมัดย้อมสีน้ำตาลแก่ ไหมสีแดงสดขึ้นรูปเป็นลายดอกเหมยดอกน้อย เสร็จเมื่อไหร่ผ้าผืนนี้เขาจะเย็บเป็นถุงใส่เงินส่งให้น้องสาว

   ทำเช่นนี้เขาไม่ได้คาดการณ์ว่าตนจะอาศัยที่นี่นาน อย่างไรมีงานล้นมือยังดีกว่าอยู่ว่างๆ จนคิดฟุ้งซ่าน

   เมื่อถามถึงความช่วยเหลือที่ได้รับ สาวใช้เล่าว่าค่ำนั้นทางการเข้าปราบปรามกองโจรทั้งสองค่าย หลังวางแผนร่วมครึ่งเดือนท่านเจ้าเมืองออกหน้าบุกจับกุมด้วยตนเอง ถือว่าสวรรค์เข้าข้างเพราะกองโจรทั้งสองละฐานที่มั่นหลักมาตั้งค่ายที่เส้นทางเข้าเมือง อีกทั้งโจรกลุ่มหนึ่งยังง่วนอยู่กับขบวนเจ้าสาว สู้กับสำนักคุ้มภัยกำลังถดถอยไปมาก

   ขณะเล่าอ่ายซวนดูกระตือรือร้นและเป็นสุข ส่วนซุนซีได้แต่กลืนก้อนฝืดเฝื่อนลงคอ ยิ่งเมื่อรู้ว่านอกจากเขาไม่มีเหยื่อคนอื่นรอด ความเศร้าที่มาอย่างล่าช้าก็โถมใส่ในครั้งเดียว เขาไม่ได้นึกอยากร้องไห้ฟูมฟาย แต่ความรู้สึกที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ถูกส่งผลให้ในอกของเขากลวงเปล่า

   การมาถึงของขบวนเจ้าสาวเป็นความโชคร้ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงเท่านั้นหรอกหรือ..?

   และไม่ว่าจะลองเลียบเคียงอย่างไรก็ไร้วี่แววเจ้าใบ้ ชายคนนั้นหายไปเหมือนไม่เคยมีตัวตน

   เมื่อความโศกเศร้าสร่างลงหน้าที่พึงกระทำถึงกระจ่างชัด ทว่าข้ารับใช้อย่างเขาชั่วชีวิตไม่เคยอยู่สุขสบายมีคนคอยปรนนิบัติ ตื่นเช้ามาไม่ต้องรีบทำงาน อาหารมีให้กินมากเท่าที่กินไหว แม้ว่าหลังจากวันนั้นท่านเจ้าเมืองจะไม่ว่างมาพบ หนูในถังข้าวสารก็ไม่กระสับกระส่ายร้อนรน

   เช่นนี้เมื่อร่างไร้วิญญาณโดยสารกลับไปสำนักคุ้มภัยหู่โห่วพร้อมจดหมายที่ซุนซีเขียนฝากไป คนเจ็บที่ยังไม่หายดีถึงได้ยอมอยู่รักษาตัว

   ซุนซีลุกขึ้นเดินหลังนั่งแช่อยู่บนเตียงมาเกือบทั้งวัน อาการแสบร้อนแทบหายเป็นปลิดทิ้งไข้ก็ลดลงมาก การถูกกักไว้ในห้องออกจะเกินไปสักหน่อยสำหรับคนใกล้หายเป็นปกติ

   เด็กหนุ่มผลักประตูเปิดช้าๆ กรอบไม้เย็นเฉียบแต่ยังเทียบอากาศข้างนอกไม่ได้ ซุนซีแทบลืมไปแล้วว่านี่เป็นฤดูอะไร แม้ไม่มีลมพัดยังนับว่าหนาวกว่าบ้านเกิดเขามากนัก ประกอบกับไม่เจอแดดนาน พอเปิดมาเจอที่โล่งกลางวันแสกๆ ก็ทำเอาตาพร่า

   “ออกมาทำไมเจ้าคะ!” เสียงร้องดังมาแต่ไกล เป็นอ่ายซวนที่วิ่งกระหืดกระหอบมาหา

   “ข้าใกล้หายดีแล้วอ่ายซวน เดินเล่นสักหน่อยไม่เป็นไรหรอก”

   สาวใช้จ้องเขม็ง “ไม่ได้เจ้าค่ะ ใกล้หายก็หมายความว่าท่านยังป่วยอยู่ ออกมาตากลมตากน้ำค้างอย่างนี้ถ้านายท่านรู้เข้าข้าจะโดนดุนะเจ้าคะ”

   ไม่ว่าเปล่านางยังดันหลังจับหันให้กลับเข้าห้อง ซุนซีที่เห็นแต่ห้องสี่เหลี่ยมทั้งวันทั้งคืนขืนตัวยึดเอาขอบประตูไว้แน่น สาวใช้คำรามใส่คนป่วยหัวดื้อครั้งหนึ่งแล้วกระชากชายวัยสิบแปดตัวปลิวหวือร่วงไปนั่งเตียง เจอเรี่ยวแรงมหาศาลอย่างนั้นเขาได้แต่มองค้าง

   อ่ายซวนยังไม่รู้สึกตัวเอาแต่บ่นฉอดๆ ไม่หยุดเป็นแม่เฒ่า ตำหนิจบคำหนึ่งก็กดให้เอนนอนทีหนึ่ง พอต่ออีกประโยคผ้าห่มก็คลุมตัวเขามิดถึงคอ

   “ถ้าออกไปอีกข้าจะฟ้องนายท่านจริงๆ นะเจ้าคะ – ตายละ! รีบวิ่งมาไม่ทันได้หยิบยาอีกแล้ว!” นางตีหน้าผากตัวเองแรงๆ “อย่าลุกไปไหนนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้าจะกลับมาใหม่”

   ซุนซีขานรับว่าง่าย อยากจะฟังหูซ้ายทะลุหูขวาแต่เก็บแรงเอาไว้หนีวันอื่นน่าจะดีกว่า เขายังไม่อยากโดนเหวี่ยงทีเดียวกลิ้งขึ้นถึงเตียงเป็นรอบที่สอง เรี่ยวแรงมหาศาลอย่างนี้อาตงเวลาโมโหสุดขีดยังเทียบไม่ติดฝุ่น

   พอความคิดอย่างหนึ่งแวบเข้าหัวที่เหลือก็ไหลบ่าตามมาไม่ขาดสาย ซุนซีคิดถึงบ้าน..กำชับกับตัวเองว่าอย่างไรต้องรีบเจรจารีบกลับไปให้ทันกินโจ๊กล่าปา  เขายังมีสัญญาขอขมาลุงป้าพร้อมเมิ่งเซี่ยเหมยรออยู่

------------
พระเอกมาแล้วเย่ /จุดพลุ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :mc4:


 :3123: :pig4: :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่14 02/02/63
« ตอบ #69 เมื่อ: 02-02-2020 22:07:42 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เย้ๆๆๆๆ ด้วย   :katai2-1: :z3: :mew1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ nekodollzz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
พระเอกมาแวบนึง น้องจะได้กลับบ้านมั้ยน้อ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
สนุกดีจ้า

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
นักเขียนหายไปไหนหนอ

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 15

   เสวี่ยซานเป็นเพียงเมืองหน้าด่านเมืองเล็กๆ ในเขตทุรกันดาร ฤดูร้อนช่วงสั้นๆ หากไม่ใช่เขตเชิงเขาหรือแอ่งกระทะแทบเพาะปลูกไม่ได้ หน้าหนาวหนาวยาวนาน แหล่งข่าวคนเดียวของเขาเล่าว่าการเป็นพ่อเมืองที่นี่ความสุขสบายยังเทียบไม่ได้กับนายอำเภอในหัวเมืองใหญ่ อวี้จินเป็นถึงจางอั้นต้องมารับตำแหน่ง ณ ที่ห่างไกลกลับไม่คิดรังเกียจ

   อ่ายซวนกล่าวอวดว่าตั้งแต่อวี้จินเข้าทำงานบ้านเมืองเจริญขึ้นมาก ท่านเจ้าเมืองพัฒนาทางส่งน้ำ หนุนให้เพาะปลูกขั้นบันไดเป็นไร่ชา สวนในเขตจวนยังทดลองปลูกพืชเศรษฐกิจไว้หลากชนิด ทั้งต้นส้ม ต้นซิ่ง บางที่เป็นเหมืองแร่ก็มีการเข้าไปควบคุมดูแลระเบียบการทำงาน

   เพราะเป็นที่ว่าการจึงมีแต่ทหารและผู้คนเวียนเข้าออก บางครั้งมีชาวบ้านมาให้ช่วยตัดสินคดีความ ทั้งวันหากไม่ว่าราชการก็ทำงานกันอยู่ในจวน ต่างกับเขตเรือนชั้นในที่ซุนซีอยู่นั้นเงียบราวปลอดคน นอกจากลูกน้องของท่านเจ้าเมืองก็มีคนรับใช้เท่าที่จำเป็น ต่างคนต่างปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง ส่วนอ่ายซวนเป็นเพียงภรรยานายทหารชั้นผู้น้อยที่ถูกจ้างวานมาดูแลผู้หญิงคนเดียวในจวน

   ระยะห่างเพียงเท่านี้ คนอยู่ร่วมชายคากลับไม่ได้พบหน้ากัน

   ซุนซีเรียนรู้เรื่องต่างๆ ผ่านคำบอกเล่าของอ่ายซวน ภูเขาสูงทิวทัศน์งดงามไม่เคยได้ยล ในห้องสี่เหลี่ยมที่อบอุ่นได้ด้วยเตาไฟยิ่งนานยิ่งแลคล้ายกรงขนาดใหญ่ ตกเย็นเพื่อนคุยเพียงคนเดียวของเขาต้องกลับบ้าน ถึงอยู่ใต้ผ้านวมขนเป็ดและเตาพกอุ่นแสนอุ่นกลับรู้สึกหนาวถึงกระดูก



   ย่ำค่ำกระทั่งเสียงแมลงยังเงียบสงบ แม้ในห้องจะดับไฟจนมืดหรือผ้าห่มจะอุ่นชวนนอนทว่าความคิดในหัวของเขากลับปะทุราวหม้อน้ำเดือดจนข่มตาหลับไม่ได้ นับจากตอนที่ฟื้นเวลาผ่านไปหลายวันแล้วแต่ใจของเด็กหนุ่มยังติดอยู่ที่เก่า ความรู้สึกขมขื่นยากจะชำระ สัมผัสโลหิตเหนอะหนะยังติดอยู่บนผิวและนิ้วมือเขา แม้จะล้างน้ำหรือเช็ดด้วยผ้าสะอาดหลายรอบกลับยังรู้สึกว่าร่องรอยไม่ลดจากเดิม

   เด็กหนุ่มชันเข่าสองข้างขึ้นซุกกอดตัวเอง ลมหายใจร้อนๆ รดที่ปลายจมูก หายใจเข้า..หายใจออก.. ในความเงียบยังได้ยินเสียงขลุ่ยแว่วผ่านเอื่อยช้า ซุนซีค่อยๆ หยัดตัวขึ้นออกเดินตามเสียงราวต้องมนตร์

   ท่ามกลางห้วงความคิดที่ตีกันจนทำให้ศีรษะหนักอึ้ง ใจเขาพลันสงบลงช้าๆ ยิ่งก้าวเข้าไปใกล้เท่าไหร่ แสงไฟที่ห้องปลายทางยิ่งสุกสว่างขึ้นทุกที

   เขาย่องเงียบเชียบมาแอบที่มุมประตู ชะโงกทีละน้อยกวาดสายตามองหาต้นเสียง ในห้องนั้นอวี้จินเหยียดขาเอนหลังอยู่บนตั่งติดกรอบหน้าต่าง สองตาดุดันปรือหลุบลงต่ำ ข้อนิ้วเรียวยาวขยับแตะไต่อยู่บนเลาเซียว แสงตะเกียงทอดเงาวูบไหวยิ่งขับให้คล้ายภาพวาด

   ซุนซีลืมหายใจไปชั่วขณะหนึ่ง

   ดนตรีบรรเลงขึ้นสูงและเอื้อนลงต่ำ เรียวนิ้วสัมผัสเลาขลุ่ยนุ่มนวล ลมโชยมาพอให้ชายแขนเสื้อไหวๆ ..ยังพอได้ยินเสียงกระดิ่งลมจากที่ห่างไกลก้องสะท้อนคลอไปกับเครื่องดนตรี

   เพลงหยุดลงแล้ว ตามมาด้วยเสียงกระแอมครั้งใหญ่ของคนในห้อง “มาถึงที่ใยไม่เข้ามาคุยกันสักหน่อย?”

   คนแอบมองก้าวไปปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าของห้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดวงตาลุกลี้ลุกลนทำเฉไฉมองทางอื่นไปเรื่อย ไม่ทันเห็นรอยยิ้มที่หายไปไวเท่ารอบผีเสื้อตัวจ้อยกระพือปีก

   “นอนไม่หลับหรือ?” อวี้จินถามอีกครั้ง ผุ้มาเยือนยามค่ำตอบเพียงผงกศีรษะ “อย่างนั้นมาเล่นดนตรีเป็นเพื่อนข้า แม่นางเล่นอะไรได้บ้าง”

   “ข้าน้อยพอเล่นจีฉินเป็น แต่ฝีมือยังไม่ดีนัก”

   ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาไม้ไหนแต่เขาเลือกตอบไปตามตรง อวี้จินเพียงทำเสียงฮึมฮัมในลำคอ ไม่นานก็เดินหายไปจากห้อง

   ซุนซีนี่งฟังแมลงร้องระงมในความมืด ระหว่างที่กำลังชั่งใจว่าจะรอหรือจะแอบหนีไปก่อน ท่านชายเจ้าปัญหาก็กลับมาพร้อมซอเอ้อหูคันหนึ่ง สีหน้าเจ้าของเรือนผ่อนคลายและดูรื่นรมย์...หากซุนซีไม่ตาฝาดยังเห็นบุรุษผู้นั้นยกมุมปากขึ้นแย้มสรวลน้อยๆ อย่างคนรักษามาด

   เจ้าของเรือนส่งต่อซอคันดังกล่าวมาไว้ในมือเขา คันไม้ยังอุ่นสัมผัสอยู่ ซุนซีเงยมองแล้วถามด้วยการเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

   “แม่นางเมิ่งเล่นคู่กับข้าสักเพลง” น้ำเสียงไม่เชิงออกคำสั่ง แต่คนใต้อาณัติเหมาว่าคงไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ

   เพลงที่อวี้จินเลือกมีจังหวะช้าและไม่ซับซ้อนมากนัก ฝ่ายคนชวนรอให้เขาสีซอดำเนินเพลงไปถึงจุดหนึ่งถึงยกเอาเครื่องดนตรีขึ้นประทับริมฝีปาก เสียงทุ้มของขลุ่ยปรับประสานกับเสียงสูงของเครื่องสาย ซุนซีไม่ต้องแก้สิ่งใดเพื่อให้เพลงบรรเลงไม่ขัดหู คล้ายว่าอีกฝ่ายเป่าขลุ่ยเพื่อหนุนให้เขาเล่นได้ตามสะดวก

   เมื่อคิดเทียบได้ว่าตนราวกับถูกประคบประหงมอย่างลูกนกน้อยสองแก้มถึงร้อนผ่าวขึ้นมา ซุนซีไม่รู้ว่าเขากำลังแสดงสีหน้าแบบไหน จู่ๆ เสียงขลุ่ยที่เพี้ยนไม่มีต้นสายปลายเหตุก็พาเอาเสียงซอหลุดออกนอกเส้นทางตามไปด้วย

   “...” คนเล่นเครื่องสายหยุดมือกลางคัน รู้สึกเหมือนถูกมองเป็นตัวตลก “เสียมารยาทต่อท่านแล้ว วันนี้พอแค่นี้เถอะ”

   “วันนี้พอแค่นี้ หมายความว่าวันหน้าจะเล่นต่อใช่ไหม?”

   ฝ่ายถูกถามส่ายศีรษะ วางซอลงข้างตัวอย่างถนอม “ข้าน้อยไร้ฝีมือ ให้เป็นผู้ฟังเหมาะสมกว่า”

   “ย่อมได้ แต่ต้องจ่ายค่าบรรเลงเพลงล่วงหน้าเสียก่อน”

   ซุนซีชะงัก มองหน้าคู่สนทนาค้างอยู่อย่างนั้น ใต้เท้ายกมือสากขึ้นลูบริมฝีปากตน ยังพอเห็นรอยยิ้มลอดร่องระหว่างนิ้วได้อยู่ คิ้วซุนซีมุ่นลง

   “มิได้คิดเป็นเงิน” อวี้จินหัวเราะ “เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังสักเรื่อง”

   “ข้าไม่มีเรื่องอะไรจะเล่า ถึงมีก็มีแต่เรื่องไม่น่าสนใจ” คนตอบตอบเรียบๆ ชายตัวโตฟังแล้วจ้องเขาด้วยสายตานิ่งขรึม แม้แต่เสียงก็เปลี่ยนเป็นนุ่มนวล

   “อย่างนั้นบอกได้ไหมว่ากังวลใจเรื่องใดอยู่”

   ซุนซีเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง เนิ่นนานกว่าจะตอบ “...นั่นก็ไม่มีเช่นกัน”

   “อ้อ แล้วเหตุใดจันทร์ขึ้นถึงกลางศีรษะแล้วยังมีสาวน้อยนางหนึ่งข่มตานอนไม่หลับ”

   “...” ซุนซีอ้าปากจะเถียง สุดท้ายก้มหน้าตอบเสียงค่อยในลำคอ “...เพราะเขากำลังคิดไม่ตกอยู่หลายเรื่อง”

   “แสดงว่านางยังไม่เคยเล่าให้ดวงจันทร์ฟัง กระต่ายบนนั้นล้วนเป็นผู้ฟังที่ดี” อวี้จินพูดจาขึงขัง “ครั้งหนึ่งเคยมีเด็กชายเล่าให้จันทร์ฟังว่าเขาทำของสำคัญหาย เชื่อไหม คืนต่อมาเขาพบมันวางอยู่ข้างหมอน”

   ผู้ฟังอมยิ้มน้อยๆ พักหนึ่งก็หลุบตาลง เตะเท้าไกวเบาๆ พลางเอนหลังพิงพนัก อีกฝ่ายไม่ต่อความอะไรและยังรอคำตอบอยู่ในความเงียบอย่างนั้น ซุนซีไพล่สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง เขาคิด...ชั่งใจอยู่พักถึงยอมเอ่ยปาก

   “ข้า... ท่านคิดว่าข้าเป็นคนฆ่าคนอื่นๆ หรือไม่?” เขาถามพลางหลุบตาลงมองสองมือสั่นเทา “บางที.. หากพวกเขาไม่มากับข้า พวกเขาก็ไม่ต้องตาย ครอบครัวพวกเขาก็ไม่ต้องเสียใจ”

   ทุกถ้อยคำติดขัดหลุดจากปากเอื่อยช้า เมฆหมอกเคลื่อนเข้าปกคลุมดวงตาไม่นานก็กลั่นเป็นหยาดฝน เด็กหนุ่มควานมือหาผ้าเช็ดหน้าที่ลืมพกติดตัว รีบใช้แขนเสื้อซับน้ำตาลวกๆ ส่งยิ้มฝืดเผื่อนระหว่างผุดลุก

   “ข้า.. ข้าควรกลับห้อง ดึกมาก--”

   “พูดต่อ” น้ำเสียงมั่นคง ห้วนสั้นทว่าปราศจากสำเนียงเร่งเร้า

   ชายคนนี้ไม่รู้จัก ‘ซุนซี’ และอีกไม่นานเขาจะไปจากที่นี่ตลอดกาล อวี้จินไม่ต่างจากคนแปลกหน้าคนอื่นที่เคยพบ แต่เพราะเป็นคนแปลกหน้าถึงได้รู้สึกวางใจ ...หรืออาจเพราะเขากำลังหลงทาง ซุนซีรู้แต่เพียงอารมณ์เอ่อจนล้น ร่างโงนเงนคล้ายจะล้มคล้ายจะไม่ล้ม

   “อยากให้ข้าเล่าหรือ ท่านรู้ไหมคนในขบวนล้วนแต่มีอนาคตและคนข้างหลังรอพวกเขากลับไปหา พี่ชายคนหนึ่งกำลังเก็บเงินแต่งงาน.. น้องชายคนหนึ่งปีนี้เพิ่งอายุสิบหก หลายคนวาดฝันว่าไม่นานจะกลับบ้านเกิด มีภรรยามีพ่อแม่เฝ้ารอ กระทั่งครอบครัวที่พวกเขาแบกไว้ด้วยเงินจากงานที่สุดท้ายแลกด้วยชีวิต ...แล้วดูข้า ท่านดูข้า! เหตุใดถึงเป็นข้าคนเดียวที่รอด เหตุใดไม่เป็นพวกเขา”

   ซุนซีสบสองตาที่เลี่ยงมาตลอดคู่นั้น ไม่มีสายตาสมเพชเวทนา ไร้แววตำหนิหรือสงสาร รับฟัง...อวี้จินเพียงรับฟังเงียบๆ เว้นช่วงอยู่อึดใจก็พูดขึ้นคำหนึ่ง “เจ้าไม่ได้เป็นคนผิด”

   “ข้าเป็นคนผิด”

   “จะเป็นคนผิดให้ได้เลยหรือ จะด่าทอตัวเองไปเพื่อเหตุใด”

   ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ซุนซีก้าวไปประชิด สองมือสั่นเทากระชากคอเสื้อชายตรงหน้าเขย่าทึ้ง ภาพตรงหน้าพร่ามัวไปหมด

   “ด่าข้าได้ไหม? ต่อว่าข้าที่ข้าตัดสินใจผิด ลงโทษข้าให้สาสม ...ข้าไม่ควรได้รับชีวิตสุขสบายขณะที่พวกเขาต้องมาตายกลางป่าแบบนั้น”

   “เจ้าบอกว่าเป็นความผิดเจ้า แล้วเจ้ารู้อนาคตหรือ?”

   “แต่มันไม่ควรเกิดขึ้น! ถ้าเพียงแต่ตอนนั้นข้าไม่เดินทางมาที่นี่ ถ้าเพียงแต่ข้ารออีกสักนิด.. ถ้าเพียงแต่...”

   “พวกเขาเลือกปกป้องเจ้าด้วยชีวิต เพื่อให้เจ้ามาโทษตนเองเช่นนี้หรือ” อวี้จินกล่าวด้วยเสียงทุ้มหนักแน่น “หากพวกเขาทำหน้าที่จนวินาทีสุดท้าย ก็เป็นผู้มีเกียรติ มิใช่เหยื่อ”

   “ท่านบอกข้าสิว่าต้องทำอย่างไร.. ผู้ที่นำความตายมาสู่พวกเขาไม่ใช่โจรป่าแต่เป็นข้า แล้วเช่นนี้ไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องตายเปล่าหรอกหรือ ในเมื่อชีวิตข้าเพียงคนเดียวไม่ได้มีค่าพอให้แลกด้วยอนาคตของพวกเขาทุกคน”

   “เหตุใดถึงตีค่าตนเองอย่างนั้น จะดูถูกคนที่เสียสละเพื่อเจ้าหรอกหรือ”

   “ไม่เป็นเช่นนั้น!”

   อวี้จินมองฝ่ายที่ใบหน้าเปื้อนน้ำตาด้วยแววตานิ่งสงบ ปราศจากรอยยิ้มหรือท่าทีเห็นใจ

   “เจ้าลองคิดดู ทักษะทหารและคนสำนักคุ้มภัยจะทิ้งหน้าที่หนีออกมาย่อมได้ แต่พวกเขาอยู่คุ้มกันเจ้าจนวินาทีสุดท้าย เด็กน้อย ถ้าเจ้าไม่อยากทำให้การเสียสละของพวกเขาเสียเปล่าก็จงมีชีวิตอยู่ต่อ ..นั่นถึงเป็นวิธีที่เจ้าจะตอบแทนบุญคุณได้”

   คนฟังกลืนลูกสะอื้น ไหล่ห่อลู่สั่นน้อยๆ เสียงร่ำไห้ถูกกลั้นจนเหลือเพียงผะแผ่ว บุรุษร่างสูงส่งผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยให้ถึงมือ ซุนซีเพียงแต่กำมันไว้ ปล่อยให้น้ำตาหยดลงพื้นหินเย็นเยียบ

   ในความเงียบไม่มีคำปลอบใด มีก็แต่การดำรงอยู่ของชายแข็งกระด้างคนนั้น



   สามวันให้หลังท่านหมอหญิงกลับมาตรวจอาการอีกครั้ง คำอนุญาตประโยคเดียวขยายรั้วที่มองไม่เห็นจากห้องนอนไปที่เขตทางเชื่อมระหว่างเรือนชั้นในกับที่ว่าการด้านนอก

   วันทั้งวันซุนซีง่วนอยู่กับการอ่านตำราในห้องหนังสือ ตกเย็นก็ปะชุนเสื้อผ้าและปักภาพในห้องพัก จวนโอ่โถงเขายังเดินได้ไม่ทั่ว อ่ายซวนทำตัวยิ่งกว่าแม่ไก่หวงลูก ล้อมหน้าล้อมหลังไม่ให้เดินเตร่ออกไปไหนลับตา ความคิดที่จะก้าวขาออกจากจวนเป็นอันต้องยกเลิกไป

   ครั้นจะว่าเบื่อก็ไม่เต็มปากนัก เวลาเตร่อยู่ในสวนบางครั้งจะเห็นทหารหนุ่มนายหนึ่งลอบมองมาทางพวกเขา ซุนซีแกล้งหันไปจ้องหน้าอยู่บ่อยๆ สบตากันทีไรเจ้าหนุ่มเป็นอันได้สะดุ้งโหยงหน้าแดงเป็นลูกพุทรา ถูกอ่ายซวนดุไล่ให้ไปทำงานทำการอยู่ทุกครั้ง

   นางบอกว่าทหารหนุ่มชื่อซิ่วหมิน เป็นลูกพี่ลูกน้องของสามีนาง อ่ายซวนบอกว่าซิ่วหมินเป็นเด็กน่าสงสารที่มารดากับพี่สาวป่วยเป็นโรคร้าย เพราะไม่มีตัวยาหายากราคาแพงและไม่มีหมอพวกนางจึงเสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน พักหลังเวลาซุนซีหันไปเจอซิ่วหมินชายคนนั้นจะยิ้มเผล่ให้เหมือนเด็กเล็กๆ บางคราวเจอกันเขายังวานให้แอบไปซื้อของในตลาดมาให้

   ซิ่วหมินเป็นเด็กดีไม่น้อย มองนานไปพาลให้เขานึกถึงตงเต๋อข่ายกับเมิ่งเซี่ยเหมย ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไร

   ตอนเช้าช่วงนี้มีดอกไม้ในตะกร้าสานมาตั้งอยู่บนพื้นหน้าประตูห้องนอนเขา กลีบดอกมักชุ่มพราวด้วยน้ำค้าง บางครั้งเป็นช่อดอกชา บางครั้งเป็นช่อโม่ลี่ดอกตูม ของขวัญชิ้นนี้มีมาวางทุกสามวัน หากช่วงไหนขาดไปจะเอามาวางใหม่ในวันพรุ่ง

   ซุนซีตื่นมาไม่เคยพบผู้ส่งนิรนาม รู้แต่อยู่ในจวนเจ้าเมืองไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย อย่างไรเสียของอย่างนี้ถึงส่งมาให้ก็คงปราศจากเจตนาคิดร้าย เช่นนี้เมื่อรับดอกไม้มาใส่ไว้ในแจกันเจ้าของห้องจึงมักวางตะกร้าคืนเอาไว้ที่เดิมพร้อมเหน็บกระดาษเขียนคำขอบคุณ เข้าวันถัดมาก็มีผู้มาเก็บกลับไป

   อ่ายซวนแนะว่าให้ตื่นมาดูแต่เช้าตรู่ เขาเคยลองแล้ว แม้จะนั่งสัปหงกอยู่ทั้งคืนก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าแวะเข้ามาใกล้ บางครั้งเงาทอดผ่านกำแพงปรุกระดาษ เปิดผางออกไปก็ไม่พบใคร นานเข้าซุนซีชักเริ่มเชื่อว่าไม่เป็นฝีมือภูตคงเป็นกระต่ายหยกล่ะกระมัง

   แน่นอนว่าพอบอกสาวใช้นางก็ขำเป็นบ้าเป็นหลัง...

   ซุนซีเอาเศษผ้ามาเย็บเป็นถุงเงินแล้วค่อยขึ้นโครงปักลายต้นไผ่ เสร็จเมื่อไหร่ตั้งใจจะให้เป็นของตอบแทนดอกไม้ เจ้าเมืองทั้งที่งานยุ่งแสนยุ่งก็เหมือนรู้ ชอบแวะเข้ามาตอนที่เขากำลังนั่งสนเข็มปักลายงานถึงได้ไม่เสร็จสักที

   “ทำให้ใคร?” คนที่ปกติพูดน้อยกำลังซักไซ้ไล่เลียงเป็นพัศดีคุมทัณฑ์

   “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าแค่ปักในยามว่าง ไม่ได้จะให้ใคร”

   หลายครั้งเข้าซุนซีขี้คร้านจะซ่อนแล้ว นั่งปักให้เห็นกันดื้อๆ เขาปฏิเสธไปหลายรอบแต่คนฟังไม่พอใจคำตอบสักเท่าไหร่ กอดอกทำหน้าถมึงทึงอยู่อย่างนั้น

   “เสร็จเมื่อไหร่เอามาให้ข้า”

   เขาเงยมองท่านเจ้าเมืองที่พูดเอาแต่ได้ จ้องค้างอยู่นาน “...ถุงนี้ทำจากเศษผ้า ไว้ข้าจะหาผ้าดีๆ เย็บให้ท่านใหม่”

   ข้าราชการชั้นผู้น้อยคนหนึ่งวิ่งมาตามอวี้จินที่หน้าประตู ท่านเจ้าเมืองลุกขึ้น ก้าวออกไปไม่พ้นธรณีประตูยังไม่วายจะหันมากำชับเสียงเฉียบขาด “ปักเสร็จแล้วเอามาให้ข้า”

   จบคำจอมเผด็จการก้าวยาวๆ หายไป ปล่อยให้ซุนซีอ้าปากค้างกับอากาศธาตุ

   ...เป็นเจ้านายเขาหรือก็เปล่า ยังจะมาสั่งใช้นั่นขอนี่เป็นเด็กเล็กเอาแต่ใจไปได้


--------------------------------------------

ก่อนอื่นต้องขอโทษจริงๆนะคะที่หายไปยาวเลย  :m15: ลืมเนื้อเรื่องกันไปรึยังฮือออ
ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะแต่งไม่จบแล้วทิ้งเรื่องนะคะ แต่งไว้จนจบแล้วแต่ว่าทยอยลง
ส่วนที่หายไปเป็นเดือนนี่ไม่มีข้อแก้ตัวค่ะ.. แต่กลับมาแล้วนะ
หลังจากนี้จะมาอัพวันอังคารกับศุกร์ค่ะ ถ้าหายไปอีกมาทวงได้เลยนะคะ...

ออฟไลน์ TrebleBass

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ปักเสร็จเอามาให้ข้าาา  เอ็นดู มีความอยากได้

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 16


   มู่เหยา มารดาของอวี้จินเป็นหญิงนอกด่านชาวหมู่บ้านมู่ อย่างที่รู้กันว่าในครอบครัวใหญ่ที่ผู้เป็นพ่อมีภรรยาหลายคน เด็กๆ หากเป็นลูกของภรรยาน้อยจะเรียกภรรยาหลวงว่ามารดาและเรียกแม่แท้ๆ ของตัวเองด้วยตำแหน่งในบ้าน แต่อวี้จินไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งหมดล้วนดูได้จากการปฏิบัติตัวของเขาต่อมู่อี๋เหนียงผู้เป็นมารดาที่เดินทางมาเยือนถึงจวนเสวี่ยซาน

   อีกไม่กี่วันท่านเจ้าเมืองต้องเดินทางเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ที่เมืองหลวง อาจเพราะเหตุนี้ถึงได้ให้แม่ของเขาอยู่เป็นเพื่อนว่าที่สะใภ้อย่างซุนซี...แต่นี่ก็อาจเป็นการคิดเข้าข้างตัวเองของซุนซีก็เป็นได้

   มู่เหยาเป็นคนเปิดเผย ดวงตาสีดำขลับส่อเค้าแววรู้เท่าทันคน คิ้วเข้มโก่งสวยดุจคันธนูและใบหน้างามดั่งหยกมีเค้าโครงเหมือนผู้เป็นบุตรชายหกส่วน ต่างกันตรงรอยยิ้มกว้างของหญิงสูงวัยที่ปรากฏบนใบหน้าบ่อยครั้งกว่าสีหน้าเคร่งขรึมของอวี้จิน ซุนซีรู้สึกผ่อนคลายยามได้ยินเสียงกังวานของมู่อี๋เหนียงเวลาพูดแนะให้เขาคอยพักผ่อน

   เขาอยู่กับผู้ใหญ่มาตั้งแต่ยังเล็ก ไม่แปลกที่จะรู้สึกวางใจเวลาอยู่ด้วยกันกับมู่อี๋เหนียง

   โลกที่เคยมีเพียงพื้นที่ในจวนก็ขยายขึ้นอีกคราวเมื่อท่านพาซุนซีออกไปเดินย่านการค้า ที่นี่ผู้คนใส่เสื้อผ้าหนาชั้นกว่าที่เขาเคยคุ้นตา อาหารหลายชนิดที่ยังไม่เคยได้ลองชิมก็ได้ลองในวันเดียว แวะดื่มน้ำขิงกันก่อนจะกลับไปเดินเอื่อยริมทาง ไอขาวของลมหายใจที่เคยมีเมื่อตอนเช้าก็หายไปพร้อมกับแดดร้อนยามบ่ายเช่นนี้

   มู่อี๋เหนียงพาซุนซีไปแวะซื้อเสื้อผ้าตัวใหม่ เสื้อคลุมผ้าไหมปักลายนกกระเรียนผืนยาวนอนนิ่งอยู่ในมือหยาบกร้านของเขา สัมผัสของมันเย็นและลื่นมือเหมือนธารน้ำหน้าร้อน เรียกรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าซุนซีก่อนจะถูกกลบเกลื่อนหายไป -- แต่ดูเหมือนมู่เหยาจะทันเห็นมัน

   “เอาตัวนี้ด้วย” มู่เหยาพูดกับเจ้าของร้านที่ยืนพินอบพิเทาอยู่ข้างๆ ซุนซีรีบส่ายหน้าหวือ

   “ช้าก่อนอาหญิง”

   “อย่าปฏิเสธเลย ให้แม่ซื้อให้เจ้าเถอะเหมยเอ๋อร์”

   “อาหญิง...”

   อยู่ที่นี่เขาคือเมิ่งเซี่ยเหมย หากมู่อี๋เหนียงจะซื้อให้ ‘เหมยเอ๋อร์’ เขาก็มีหน้าที่ทำเพียงรับเอาไว้ด้วยความยินดี ซุนซีไม่กล่าวอะไรแต่ปล่อยให้เจ้าของร้านรับชุดผ้าไหมไปจากมือเขา

   อีกตัวและอีกตัว ผ้ากองเท่าภูเขาทบด้วยเสื้อกันหนาวขนสัตว์อีกหลายพับกองเป็นตั้งอยู่ในร้าน มู่เหยาตัดสินใจฉับไวเหมือนบุตรชายของท่านและพริบตาเดียวเงินจำนวนมากก็จ่ายออกไปเหมือนใบไม้ผลัดปลิว ปิดท้ายด้วยปิ่นทับทิมจากร้านเครื่องประดับในกล่องไม้สลักอย่างดี ทั้งหมดล้วนเป็นของขวัญงานแต่งสำหรับ ‘เมิ่งเซี่ยเหมย’

   มู่อี๋เหนียงจับมือเขาไว้ ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านเมื่อนางบีบมือเขาช้าๆ เป็นจังหวะ

   “เจ้าต้องบำรุงตัวเองให้มาก ทั้งผอมมือก็สาก เนื้อตัวไม่ปรุงน้ำอบร่ำแป้งผัดไม่ทา ไม่สมเป็นสตรีเสียเลย”

   ซุนซีส่ายศีรษะ “อาหญิง ข้ามีเรื่องต้องบอกท่าน ความจริงแล้วข้าไม่ใช่—”

   “ตั้งแต่มีเจ้าอยู่ด้วยจวนรื่นเริงขึ้นเยอะว่าไหม” มู่เหยาพูดขัดขึ้นมาทั้งรอยยิ้ม “ข้าเพิ่งเคยมาก็จริง แต่คนรับใช้ก็พูดว่าลูกจินอารมณ์ดีขึ้นมากตั้งแต่เจ้ามาถึง” นั่นทำเอาซุนซีเงียบไปพักใหญ่ ดวงตาสีดำขลับหม่นลง

   “...อย่างนั้นหรือเจ้าคะ”

   ชีวิตเขาไม่เคยเป็นที่สำคัญต่อใคร มาพูดอย่างนี้ก็ได้แต่กลืนคำท้วงลงคอ ถ้าทำให้ผู้อื่นมีความสุขได้จะกล้าขัดความสุขผู้อื่นได้ลงหรือ? ซุนซีรู้สึกราวถูกถ่วงสองขาด้วยหินหนักอึ้ง ความรู้สึกย้อนแย้งตีกันอยู่ในอกเขา

   “ต่อจากนี้ให้เจ้าเรียกข้าว่าแม่” มู่เหยาพูดทั้งรอยยิ้มเอ็นดู “ข้าเห็นเจ้าเป็นลูกสาวคนหนึ่งแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียกแม่ว่าอาหญิงอีก”

   ความรู้สึกแสบจมูกตีรื้นขึ้นมา ซุนซีกระพริบตาถี่ๆ ไล่หยาดน้ำที่เริ่มก่อตัวในดวงตา เขาทำได้เพียงยิ้มและหัวเราะเสียงค่อยตอบรับความปรารถนาดีของคู่สนทนาเท่านั้น

   แม่...ไม่รู้ว่าเขาไม่ได้พูดคำๆ นี้มานานเท่าใดแล้ว ยิ่งกับคนที่ทำให้รู้สึกเหมือนส่วนที่ขาดหายกลับถูกเติมเต็มขึ้นมาอย่างอาหญิงที่อยู่ต่อหน้าเขา ซุนซีไม่นึกอยากให้ความอบอุ่นที่ได้รับจางหายไปกับเวลาเลย


   
   ซุนซีเย็บถุงเงินจากเศษผ้าใบนั้นเสร็จแล้ว ตกค่ำเขาเอามันฝากไว้กับตะกร้าดอกไม้หน้าห้องอย่างเคย รอจนถึงรุ่งเช้าก็มีคนมาเก็บกลับไป ถึงไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้จริงไหมแต่ถือว่าตอบแทนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างดอกไม้สดยามเช้าที่เพียรหามาให้ได้เกือบทุกวัน แต่นอกจากถุงเงินถุงนั้นแล้วเขายังเย็บผ้าเนื้อดีขึ้นลายต้นไผ่เหมือนกันราวกับแฝดอีกใบหนึ่งไว้ให้ท่านเจ้าเมืองด้วย ไม่คิดว่าทันทีที่อวี้จินเห็นถุงผ้าจะตีหน้าทะมึนใส่

   อวี้จินถามเสียงดุ “แล้วใบนั้นไปไหน”

   ซุนซีสะดุ้ง รีบละล่ำละลักตอบ “ถุงเงินใบนั้นยกให้คนอื่นไปแล้วเจ้าค่ะ แต่เป็นเศษผ้า อย่างไรใบของท่านก็ใช้--”

   “จะเอาใบนั้น” พูดยังไม่ทันขาดคำดีจอมเผด็จการก็แผลงฤทธิ์ใส่

   เขาจะไปเอาใบเก่ามาให้ได้อย่างไรในเมื่อยกให้ภูติดอกไม้ไปแล้ว? ซุนซีปวดหัวตุบๆ ขึ้นมา “ใบนั้นไม่อยู่แล้วเจ้าค่ะ แต่ใบนี้ลายเหมือนกับใบนั้น ถ้าท่านไม่พอใจข้าจะไปทำมาให้ใหม่”

   “ข้าอยากได้ใบนั้น” อวี้จินยืนกราน “ถ้าหามาให้ไม่ได้ก็เย็บรองเท้าให้ข้าเพิ่ม”

   ซุนซีถึงกับเงยขึ้นมองจอมเอาแต่ใจหลังจากก้มหน้าก้มตาเลี่ยงมานาน ใบหน้าอวี้จินดูเอาจริงเอาจังเป็นอย่างมาก น้ำเสียงไม่ได้มีส่วนพูดเล่นอยู่สักนิด คนที่ปรารถนาแต่ความสงบอย่างซุนซีจะให้กล่าวปฏิเสธก็เหมือนก้อนอะไรติดค้างอยู่ในลำคอ ได้แต่พยักหน้ารับอย่างจนใจ...ก้มลงไปไม่ทันเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอวี้จิน

   เสร็จจากการต่อกรกับจอมเผด็จการซุนซีก็เดินห่อเหี่ยวกลับที่พัก ระหว่างทางมองไปก็เห็นนายทหารหน้าคุ้นเดินมาแต่ไกล ซิ่วหมินฉีกยิ้มให้เขาตั้งแต่ระยะไกล รอยยิ้มสดใสเหมือนดอกทานตะวันเห็นแล้วอดยิ้มตามไม่ได้

   ซิ่วหมินถามเสียงใส “กำลังจะกลับเรือนหรือขอรับ?”

   ซุนซีพยักหน้า “แล้วนี่เจ้าจะไปไหนหรือ”

   “ข้าไปหาใต้เท้าอวี้เสร็จจะไปเดินตรวจตราต่อขอรับ แต่ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน ให้ข้าเดินไปส่งท่านดีไหมขอรับ?”

   ซุนซีรู้สึกเหมือนมีน้ำทิพย์ชโลมจิตใจห่อเหี่ยวของเขา แน่นอนว่าคนถุกชวนตกปากรับคำในทันที ซิ่วหมิ่นยิ้มแหะๆ ระหว่างพาเขาเดินไปตามทาง บรรยากาศระหว่างสองคนไม่อึดอัดเท่าใดนักเพราะทหารหนุ่มชวนคุยไม่หยุดปาก ซุนซีลอบสังเกตคนข้างตัว เมื่อเห็นถุงเงินผ้าปักลายใบเก่าก็อดเอ่ยปากถามไม่ได้

   “ถุงเงินนี่ใครให้เจ้ามาหรือ ใช้เสียเก่าแล้ว”

   “อ๋อ พี่สาวข้าเย็บให้ขอรับ” ซิ่วหมินตอบซื่อๆ เอามือลูบจมูกตัวเอง “เก่าแล้วแต่ยังใช้ดีอยู่ เห็นทีไรข้าก็นึกถึงพี่สาวขอรับ”

   ซุนซีสีหน้าครึ้มลง กลัวว่าตนจะไปถามจี้จุดจี้ใจดำอะไรเข้า แต่ซิ่วหมินเอาแต่ยิ้มเหมือนลูกสุนัขอารมณ์ดีเขาก็ไม่คิดติดใจอะไร

   “ถ้าอยากได้ใบใหม่ข้าจะเย็บให้ อาจแทนกันไม่ได้แต่เจ้าจะได้เอาใบของพี่สาวเก็บไม่ให้มันเก่านัก”

   “ไม่เป็นไรมิได้ขอรับ” ทหารหนุ่มโบกมือไหวๆ “ข้ามีถุงเงินใบสำรองแล้ว ขอบคุณท่านเมิ่งมากขอรับ”

   ซุนซีมองชายหนุ่มอย่างเอ็นดู ไม่วายกำชับ “อย่างนั้นก็ดีแล้ว ...แต่ถ้าจะให้ข้าช่วยซ่อมอะไรไม่ต้องเกรงใจ เข้าใจไหม?”

   ประโยคนั้นทำซิ่วหมินหัวเราะ “ขอรับ ท่านเมิ่งช่างเหมือนพี่สาวข้าจริงๆ”

   เขาฟังแล้วยิ้มหน่ายใจ ก็ตนเคยเป็นพี่คนมาก่อนจะไม่ให้เอ็นดูชายที่เหมือนลูกสุนัขตัวโตแบบนี้ได้อย่างไร เดินไม่เท่าไหร่ก็มาถึงที่หมายแล้ว ซิ่วหมินยืนส่งจนเขาเข้าถึงในเรือนแล้วถึงจะแยกย้ายไปตามทาง



   อวี้จินไม่ใช่ผู้ชายเลวร้ายอะไร และถ้าหากเลือกได้ เขาก็คิดว่าชายคนนี้เหมาะสมกับเมิ่งเซี่ยเหมยไม่น้อย

   ทีแรกเขากลัวเจ้าเมืองเสวี่ยซานชนิดคุยกันไม่กล้าเงยหน้า ทั้งร่างกายกำยำตัวสูงใหญ่แบบชาวเหนือ เสียงทุ้มมีอำนาจกังวานเป็นระฆังเหล็ก และสีหน้าเคร่งขรึมเช่นเสือยิ้มยากล้วนแต่เรียกเอารัศมีน่าเกรงขามแผ่ออกมาจนเกินพอดี

   แต่พอได้เงยขึ้นสบตานานเข้าถึงรู้ว่าคุณชายผู้นี้ซ่อนอะไรเอาไว้ใต้มาดเคร่งขรึมอีกมาก สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจและพิสูจน์มาแล้วด้วยตนเองคือนิสัยช่างแหย่ช่างแกล้งหน้าตาย ไม่รู้ว่าทักษะสูงจนหลอกคนอื่นได้อย่างแยบยลหรือเป็นที่ซุนซียังไม่ชินกับใบหน้านิ่งๆ พูดอะไรก็ดูเป็นเรื่องจริงไปเสียหมดนั่นกันแน่

   ซุนซีนั่งเท้าสองแขนกับกรอบหน้าต่าง จรดคางบนแขนต่างหมอนเอื่อยช้าหลุบตาลงฟังฝนพรำ หยาดน้ำใสร่วงพราวจนภาพพร่าทว่าเสียงกระทบกระเบื้องหลังคากลับดังชัดเจน กลิ่นดินชื้นๆ ฟุ้งอวลอยู่ในอากาศ บรรยากาศสงบและไอเย็นโอบผิวกายเย็นฉ่ำเสียจนใกล้หลับ

   ผ้าผืนอุ่นถูกคลี่คลุมลงบนตัวคนกำลังเคลิ้มตาปรือ อุณหภูมิร่างกายเจ้าของเก่ายังไม่จางไปจากเสื้อคลุม กลิ่นถุงหอมอย่างที่มู่เหยาพกติดตัวเจือมาแตะจมูก ซุนซีเงยมองแต่ไม่กล้าขยับตัวเร็วนัก

   “อาหญิง --” ยิ้มสวยหุบลงพร้อมถ้อยคำขาดห้วง ข้างกายเขาไม่ใช่อาหญิงแต่เป็นผู้อื่น

   อวี้จินหลุบสายตามองคนนั่งข้างหน้าต่าง ท่าทีเรียบสงบไม่ทุกข์ร้อน “ท่านแม่อยู่ที่ห้องนั่งเล่น จะให้ข้าพาไปหาหรือไม่?”

   คนอ่อนวัยกว่าก้มศีรษะทำปากขมุบขมิบพึมพำ ใจความไม่พ้นตำหนิว่าไหนใครบอกท่านเจ้าเมืองงานยุ่ง ที่อยู่ต่อหน้าเขาเป็นวิญญาณหลอกหรือร่างแยก

   ฝ่ายโดนนินทาระยะประชิดกระแอมดังๆ พอให้กระต่ายตื่นตูมสะดุ้ง “หากมารบกวนอย่างนั้นข้าขอตัวก่อน” ว่าจบอวี้จินก็ตั้งท่าจะเดินกลับ

   มือหนึ่งรีบคว้าแขนเสื้อยาวไว้มั่น “ท่านคงไม่ใช่แค่มาคลุมผ้าให้ข้าใช่หรือไม่ เช่นนั้น...เชิญนั่งก่อนเถอะ”

   ท่านเจ้าเมืองยังไม่ยอมนั่งซุนซีก็เริ่มกังวล เขากำเสื้อไว้จนยับแสดงสีหน้าว่าหากยังไม่ทำตามจะดึงให้นั่งเองแล้ว นี่อาจเป็นเวลาทองสำหรับการเจรจาต่อรองก็ได้ จะปล่อยให้โอกาสบินหนีได้อย่างไร!

   พอฝ่ายยื้อยุดเอ่ยชวนเป็นครั้งที่สอง รูปปั้นหินผู้นั้นจึงยอมนั่งลง

   “ไม่ใช่ว่าแม่นางเมิ่งมีเรื่องอยากคุยกับข้าเองหรอกหรือ?” น้ำเสียงเจือแววสนุกสนานซ่อนอยู่รางๆ “เห็นทีแม่นางต้องรีบสักหน่อย งานเจ้าเมืองยุ่งนักไม่อาจร่วมเสวนาได้นาน”

   “...” ซุนซีเก็บอาการไม่ชักสีหน้าใส่ ใดๆ ที่คิดไว้เหมือนถูกกวาดทิ้งในคราวเดียว เขาวางถ้วยชากระแทกลงฝั่งผู้มาเยือนหน้าใหม่ จงใจยกกาน้ำชารินจากที่สูงลิ่ว ไอสีขาวลอยเหมือนปุยเมฆน้อยๆ แต่น้ำร้อนกระฉอกสาดทั่ว “ดื่มชาสักจอกแล้วเชิญใต้เท้าไปทำงานเถิดเจ้าค่ะ”

   “แม่นางเมิ่งช่างมีน้ำใจ” ท่านเจ้าเมืองรับมาละเลียดจิบ

   ซุนซีมองหน้าเขา อดไม่ได้ที่จะตอบกลับว่าเป็นหน้าที่อยู่แล้ว แต่พอโดนเหลือบมองด้วยสายตาดุๆ ก็เป็นอันต้องรีบก้มหน้าหนี ห่อไหล่อย่างช่วยไม่ได้

   อวี้จินเอ่ยขึ้นมา “อยู่ว่างๆ จะยืมเครื่องเขียนไปวาดภาพหรือเอาเครื่องดนตรีไปเล่นก็แล้วแต่เจ้า”

   “หากเป็นไปได้ ข้าอยากทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์มากกว่านั้นเจ้าค่ะ”

   “เป็นสตรีจะทำการอันใด?”

   “หากคิดว่าสตรีมีดีแค่เรื่องในเรือนท่านก็คิดผิดแล้ว” ซุนซีตอบ เผลอเงยขึ้นมองอีกคราว

   อวี้จินมองนิ่ง สายตาเขาราวกับจะบอกว่าปกติก็เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ ใช่ ปกติก็เป็นเช่นนั้น ผู้หญิงตามยุคสมัยมีบทบาทแค่เพียงในเรือน และถึงเขาไม่ใช่ผู้หญิงก็ยังหนีไม่พ้นขอบเขตจากยศอย่างเด็กรับใช้ที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรอยู่ดี

   คราวนี้น้ำเสียงบุรุษในคราบสตรีช่างมั่นอกมั่นใจ “ท่านลองถามสิ่งที่นอกเหนือจากความรู้ของอิสตรีมาสิเจ้าคะ บางทีท่านอาจเห็นเองว่าบางครั้งความรู้ที่เรามีก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน”

   อวี้จินคล้ายว่าใช้ความคิดอยู่พักหนึ่งถึงเอ่ยปากถาม “เคยได้ยินปัญหาพืชผลถูกกดราคาหรือไม่?”

   “เคยอยู่บ้างเจ้าค่ะ” ตอบแล้วอวี้จินกลับเงียบมองเขาคล้ายจะรอคำอธิบาย ซุนซียืดหลังตรงเอ่ยสรุปในคราวเดียว “ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากขาดความรู้เพื่อปกป้องตนเองจากคนฉวยประโยชน์ ที่โดนหลอกให้ขายกำไรน้อยก็เป็นเพราะไม่มีตลาดและความรู้เรื่องการค้าจึงต้องขายราคาต่ำผ่านพ่อค้ารับซื้อ”

   “ถ้าเป็นเจ้า เจ้าจะแก้ไขอย่างไร?” อวี้จินเคลื่อนสายตาหลุบลงสบประสานรอคำตอบ ซุนซีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง

   “...เจรจาสมาคมพ่อค้ากับเปิดโรงเรียนไม่คิดเงิน”

   “เจรจาก็เรื่องหนึ่ง คนที่นี่ล้วนเป็นเกษตรกร และเกษตรกรไม่พึงใช้ความรู้จากตำราชั้นสูงในการดำรงชีวิต”

   ซุนซีส่ายศีรษะ “ทักษะอาชีพเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่ครั้งหนึ่งเคยมีบัณฑิตกล่าวกับข้าว่าความรู้เป็นสิ่งจำเป็นไม่ด้อยกว่ากัน อย่างน้อยต้องให้อ่านออกคำนวณเลขได้ หากรู้หนังสือย่อมไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบและไม่ถูกชักจูงโดยง่าย”

   วูบหนึ่งคล้ายเห็นรอยยิ้มของอวี้จิน “กล่าวง่ายกว่าลงมือทำ ผู้มีความรู้ล้วนเข้าเมืองสอบเป็นขุนนาง”

   “แต่หากได้สอนสักรุ่นเพื่อปลูกฝังความคิดผลจะเพิ่มพูนขึ้นในภายหลัง เริ่มจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ อาจใช้เวลาแต่ปัญญายิ่งปลูกยิ่งงอกเงย”

   “อืม อย่างนั้นหรือ” เขาดูคล้ายจะพึงพอใจในคำตอบก็ใช่ จะไม่พึงพอใจในคำตอบก็ใช่ สีหน้านั้นยากจะอ่านให้ขาด “วันพรุ่งข้าจะเข้าเมืองหลวง อีกหลายสิบวันถึงกลับ”

   ซุนซีเลิกคิ้ว “เจ้าค่ะ”

   ท่านชายรูปปั้นหินจ้องเขาอยู่พักใหญ่ ดวงตาคู่คมให้ความรู้สึกกดดันโดยเจ้าตัวไม่ต้องออกแรงพยายาม ฝ่ายถูกมองเริ่มกระอักกระอ่วนจากที่ประสานสายตาแข่งก็เบนหลบไปอีกทาง

   “อย่าได้กังวลไป ท่านแม่ยังพักอยู่ที่จวน” อวี้จินกล่าวก่อนยกชาดื่มหมดในรวดเดียว ฝ่ามือใหญ่บรรจงวางถ้วยเปล่าบนถาดไม้

   ท่านเจ้าเมืองค่อยๆ ผุดลุก ซุนซีรู้ว่าคู่สนทนากำลังจะไปก็อดหันกลับมาไม่ได้ ชั่วขณะนั้นสายตาทันเห็นแต่ซีกหน้าผิวกร้านแดด เสียงเรียกไม่ทันได้ลอดพ้นลำคอ ริมฝีปากที่เผยออ้าเม้มปิดลงตามเดิม นิ่งมองจนบ่ากว้างกับแผ่นหลังแข็งแรงหายไปจากครรลองสายตา

   ฝนนอกหน้าต่างซาลงจนเหลือแต่ตกละอองปรอยๆ ในใจเด็กหนุ่มขุ่นค้างด้วยคำถามที่ตนยังหาคำตอบไม่ได้ มีโอกาส..เหตุใดไม่เอ่ยปากสารภาพความจริง?



   ไปเมืองหลวงครานี้ท่านเจ้าเมืองอวี้กลับมาพร้อมกับอาชาสีดำเป็นมันตัวเขื่อง ได้ยินว่าจะตั้งชื่อ ‘กวง’ ให้มัน ใครบางคนพูดว่ามันเป็นของขวัญงานแต่งของท่านเจ้าเมือง ฮ่องเต้ตบรางวัลเพียงม้าตัวหนึ่งเท่านั้น ซุนซีคิดว่านี่ไม่ยุติธรรมสักเท่าไหร่สำหรับผู้ที่มีผลงานปราบโจรใหญ่ได้ถึงสองค่ายแล้วนำความสงบมาสู่ซานเสวี่ยและเมืองรอบข้าง แต่ก็เป็นได้แค่ความหงุดหงิดใจของเขาเท่านั้น

   งานแต่งถูกเมิ่งเซี่ยเหมยขอไว้ว่าไม่ให้จัดเอิกเกริกนัก ซุนซียังคิดหาทางหนีไม่ได้จนกระทั่งวันส่งตัวเข้าห้องหอ

   ก่อนหน้าน่ะหรือ? ท่านเจ้าสำนักอวี้เดินทางมาพร้อมขบวนเด็กรับใช้ มู่อี๋เหนียงก็ตามประกบเขาไม่ห่าง จะให้หนีก็ลืมไปได้เลยเมื่อการคุ้มกันรอบเมืองและเส้นทางสัญจรยิ่งเข้มงวดเป็นพิเศษในช่วงเวลามงคล เข้าวันถัดมาคนจากสำนักต่างๆ ก็ส่งตัวแทนมาอวยพรอีกหลายกลุ่ม ยิ่งสำคัญหนักเมื่ออ๋องน้อยจากแดนใกล้เดินทางมาอำนวยพรด้วยตัวเอง ต้อนรับกันเต็มทั้งจวนแบบนี้แม้แต่เวลาส่วนตัวจะคุยกับอวี้จินยังไม่มี

   ถึงวันผูกผมรู้สึกตัวอีกทีเขาก็มานั่งคนเดียวในห้องบ่าวสาวเสียแล้ว เครื่องหัวหนักอึ้งสวมอยู่บนศีรษะ ผ้าไหมสีแดงจัดเป็นมันวาวไหวๆ อยู่ในคลองสายตาบดบังทุกอย่างให้เห็นแต่พื้นที่เล็กๆ ระหว่างฝ่าเท้า

   เสียงหญิงชราที่อยู่ร่วมห้องกำชับว่าต้องประพฤติตัวกับว่าที่สามีอย่างไรบ้าง แต่สถานการณ์เช่นนี้สอนเข้าหูซ้ายเนื้อหาก็ไหลออกหูขวาจนสิ้น

   ซุนซีนั่งตัวสั่นเป็นลูกกระต่ายใกล้เวลาถูกย่าง ระหว่างที่สมองกำลังคิดหาวิธีหลบหนีระหว่างมุดไปใต้เตียงหรือกระโดดออกทางหน้าต่างหูก็พลันได้ยินเสียงเปิดประตู เขาสะดุ้งโหยงจนสะเทือนเตียงลั่น

   ผู้มาใหม่สั่งให้หญิงชราออกไปก่อนจะปิดประตูขัดไม้ลงกลอน เท้าคู่นั่นยังคงก้าวลงน้ำหนักมั่นคงอย่างที่ซุนซีได้ยินยามเข้านอนบ่อยครั้ง สิ่งเดียวที่บอกได้ว่าเจ้าบ่าวดื่มเหล้ามงคลฉลองจนเต็มอิ่มมีเพียงกลิ่นสุราโชยฟุ้ง

   ฝีเท้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า ไวจนเหมือนเวลาก้าวกระโดด

   ผ้าคลุมเจ้าสาวเลิกขึ้นฉับพลัน ภาพที่เห็นไม่ผิดไปจากที่คิด...เป็นชายร่างสูงใหญ่คนเดิม แสงเทียนทอดเงาทะมึนยิ่งทำให้คนหน้าดุเหี้ยมกว่าเดิมนับสิบเท่า

   “แม่นางน้อย” เสียงเรียกนั้นห้วนเด็ดขาด “ข้าจะให้โอกาสสารภาพ บอกมาว่าเจ้าเป็นใคร”

   ฝ่ายโดนเค้นคำตอบหลบสายตามองตามทุกการกระทำอย่างประหม่า วูบหนึ่งคิดภาพมือแข็งแรงคู่นั้นบีบคอเค้นเอาความจากเขา – เพียงความคิดก็เหงื่อผุดซึมจนรู้สึกหนาว

   “...ท่านแต่งกับใครข้าก็เป็นคนนั้น จะให้เป็นใครได้อีก” ซุนซีทำใจเสือตอบเลี่ยง

   เขาคล้ายได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอมาจากคนที่ยืนอยู่ต่อหน้า เจ้าบ่าวก้าวเยื้องไปก้าวหนึ่ง ปลดสายผ้าคาดและถอดอาภรณ์ชั้นนอก ทิ้งให้ฝ่ายตอบได้แต่นั่งแข็งทื่อไม่กล้าขยับ

   อวี้จินตั้งท่าจะเปลื้องเสื้อตัวในออก เจ้าสาวตัวปลอมเหลือบมองสีหน้ากระอักกระอ่วนเต็มกลืน คืนวันเข้าหอจะห้ามอะไรใครไหว คนกำลังวิตกเห็นเค้าลางหลังชายคนนี้ถอดผ้าเสร็จคงมาต่อที่เขาแน่ -- คราวนี้ต่อให้เป็นเซียนก็ช่วยไม่ได้

   “ช้าก่อน!” ซุนซีร้อง ถดตัวเข้าชิดผนังเตียง “ข้า...อยากดื่มเหล้ามงคลกับท่านสักจอกก่อน...ได้หรือไม่?”

   “ไม่จำเป็น หากอยากดื่มให้ดื่มคนเดียว” เจ้าบ่าวยื่นคำขาดเสียงห้วน

   เจ้าสาวกำมะลอหน้าซีดเผือด ตัวสั่นงันงก น้ำตาลูกผู้ชายสกุลซุนจะหลั่งจริงๆ ก็วันนี้

   “...” อวี้จินเกิดความสงสารขึ้นมากลใดไม่อาจทราบ บุรุษร่างสูงใหญ่สุดท้ายก็นั่งลงข้างๆ “จะแต่งกับข้าเตรียมใจมาพร้อมแล้วไม่ใช่หรือ”

   บางอย่างบอกแก่ซุนซีว่าเขาหนีไม่ได้ – อย่างน้อยๆ ก็ตอนที่อีกฝ่ายยืนกรานมั่นใจอย่างนี้ เมื่อเหลือบมองอีกครั้งก็พบว่าคู่สนทนายังจ้องอยู่ไม่วางตา ใบหน้าดุดันปราศจากรอยยิ้ม

   อวี้จินเอ่ยช้าชัด “ข้าให้โอกาสครั้งสุดท้าย เจ้าชื่ออะไร”

   เจ้าสาวตัวปลอมความคิดปั่นป่วน คุณหนูเมิ่งคนโตรูปโฉมงดงาม แม้งานมงคลจะไม่ได้จัดเอิกเหริกก็เอาชื่อมาอ้างไม่เข้าที คุณหนูรองยิ่งแล้วใหญ่ นางเพิ่งแต่งเข้าตระกูลขุนนางจะมีใครไม่รู้ข่าว ส่วนคนเล็กนั่นไม่ต้องพูดถึง ผิดทั้งอายุและความสามารถ ตัวเขาวรยุทธ์น้อยเทียบกับนางก็คนละชั้นฟ้า

   หลังคิดหลายตลบซุนซีอึกอักอยู่อีกพักหนึ่ง คนถามยังคงรออย่างใจเย็น

   “ท่านอวี้ ข้าเกรงว่าชื่อเดียวที่บอกท่านได้...มีเพียงเมิ่งชิวเหลียน”

   นั่นเป็นชื่อบุตรีสกุลเมิ่งคนแรกที่เสียตั้งแต่ยังเล็ก เขาได้ยินชื่อนี้จากปากหลี่ฮูหยินอยู่หลายครั้ง แต่เรื่องของเจ้าของนามไม่เคยแพร่งพรายออกจากครอบครัว ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่อวี้จินจะเคยได้ยินชื่อ

   แต่ข้าราชการหนุ่มกลับไม่แย้งอะไร

   “ชิวเหลียน” ครานี้กลับเป็นเสียงทุ้มน่าฟัง เมื่อเอ่ยนามก็เอ่ยอย่างอ่อนโยน “มีอย่างหนึ่งที่ต้องบอกเจ้าไว้ เมื่อแต่งกันแล้วไม่ว่าเจ้าเคยเป็นใครตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาข้า ข้ายินดีทำให้เจ้าได้ทุกอย่างไม่ว่าสิ่งใด และมีเพียงข้อตกลงเดียวที่ข้าอยากให้ร่วมมือ -- นับแต่นี้หากมีเรื่องใดให้บอกข้าโดยไม่ปิดบัง เข้าใจหรือไม่”

   “...ชิวเหลียนเข้าใจแล้ว” คนฟังหลุบสายตาตอบผะแผ่ว

   ฝ่ายถามจ้องนิ่ง มือกร้านยกประคองสองแก้มให้เงยขึ้นสบตา “เจ้าเข้าใจหรือไม่”

   ลมหายใจอุ่นมีกลิ่นสุราฉุนหึ่งซุนซีจะหลีกก็หลีกไม่ได้ เขารีบละล่ำละลักตอบเสียงดัง “เข้าใจ...ข้าเข้าใจ มีสิ่งใดข้าจะบอกกับท่าน!”

   ได้ยินอย่างนี้อวี้จินถึงยิ้มละไม เอนตัวโน้มเข้าใกล้จนใบหน้าห่างไม่ถึงคืบ เจ้าสาวตัวปลอมเลิ่กลั่กพยายามจะเยื้อถอย รู้ว่าหนีไม่ได้ก็ข่มตาหลับ สิบนิ้วจิกหน้าตักจนผ้ายับยู่

   “....” เจ้าบ่าวมองไล่ทั่วเครื่องหน้าอย่างพินิจ สุดท้ายมาหยุดที่หัวคิ้วย่นผูกกันเป็นปม

   เสียงหาววอดโตดังมาจากคนหน้านิ่ง เจ้าบ่าวผละถอยออกก่อนจะเคลื่อนสองมือลดไปตบหมอน “ดึกแล้ว ดึกแล้ว” บุรุษคนนั้นอุทานซ้ำไปซ้ำมาระหว่างถัดตัวขึ้นเตียง เผลอพริบตาเดียวเจ้าบ่าวก็เอนหลังลงนอนเรียบร้อย

   เสียงลมหายใจเป็นจังหวะสงบดังอยู่ในความเงียบ พอซุนซีตั้งสติได้อวี้จินก็ชิงหลับไปก่อนแล้ว .. จนตอนนี้เหยื่อที่น่าสงสารเพิ่งเข้าใจ กับคนเมามาดดุดันที่ผ่านมาเป็นเรื่องหลอกกันทั้งเพ


ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ลุ้นตัวโก่ง แล้วซุนซีคือความ หลอกในหลอกในหลอก 55555  จะกลายเป็น นาตาชา โรมานอฟ แล้วลูก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ซุนซีโกหกต่อไปไม่สิ้นสุด

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 17

   จบพิธีแต่งเข้าวันพรุ่งผู้หลักผู้ใหญ่ยังไม่ทันดูผ้าแดงเจ้าสาวฝ่ายเจ้าบ่าวก็หายตัวไปทำงานแต่เช้าตรู่ ซุนซีไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปตอนไหน ตื่นมาบนเตียงก็ว่างเปล่าไร้วี่แววอวี้จิน เขารีบประวีกระวาดไปดูกล่องไม้สานข้างเตียง ในนั้นมีผ้าเปื้อนเลือดผืนหนึ่งชวนให้น่าอัศจรรย์ใจ ...ไม่ใช่ฝีมือเขาละเมอขึ้นมากรีดเลือดแน่ ไม่ทันได้คิดเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

   หญิงรับใช้มากวัยแง้มดูของในกล่องไม้สาน นางยิ้มกริ่มท่าทางพออกพอใจก็หอบเอากล่องนั่นออกไปด้วย อีกเดี๋ยวคงถึงมือมู่อี๋เหนียง แล้วเขาทำอะไรได้นอกจากนั่งขดอยู่บนเตียงอุดหัวอุดหูไม่อยากรับรู้ คนนอกมองมาเข้าใจว่าเจ้าสาวช่างเขินอายนัก..

   เสียงฝีเท้าที่เขาคุ้นเคยดังจากด้านนอก คราวนี้เป็นอ่ายซวนที่เดินเข้ามา นางปิดประตูพอให้เป็นส่วนตัวกันสองคนนายบ่าว ถึงไม่พูดอะไรแต่ก็ทายได้จากใต้ผ้าห่มว่านางยิ้มไปถึงใบหู “แต่งตัวเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวต้องไปพบนายท่านกับมู่อี๋เหนียงแล้ว”

   ซุนซียังคงขดตัวหนีเป็นก้อนกลม เจอแรงกระชากผ้านวมออกทีเดียวเขาแทบจะขุดรูหนี

   พระพุทธองค์ช่วยด้วย!



   มู่อี๋เหนียงกับท่านเจ้าสำนัก – ไม่สิ พ่อแม่สามีของเขากลับไปแล้ว ซุนซียังรู้สึกอยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออกอยู่ทุกวัน

   เปล่าเลย สามีไม่ได้ล่วงเกินเขาสักนิด อันที่จริงต้องขอบคุณสวรรค์แล้วที่นับจากวันนั้นอวี้จินก็ติดงานราชการไม่ค่อยได้ร่วมหลับนอน เขาไม่เคยได้ถามอวี้จินว่างานในฐานะเจ้าเมืองหนักแค่ไหน บางครั้งกลางดึกหากยังไม่หลับจะได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวไวๆ ผ่านหน้าห้อง และเมื่อใดที่เดินออกไป ต่อให้เป็นยามสองไฟในห้องหนังสือก็ยังจุดสว่างอยู่เสมอ

   บ่อยครั้งที่ซุนซีตื่นมาพบแต่ความว่างเปล่า นานทีอ่ายซวนจะแวะมาคุยบ้าง การถามหาท่านเจ้าเมืองผู้ไม่เคยว่างก็น้อยลงจนเลิกถามไปในที่สุด เป็นอันรู้กันว่าคนงานยุ่งปลีกตัวได้เมื่อไหร่จะเป็นฝ่ายมาหาเขาเอง วันสุดท้ายที่นั่งคุยด้วยกันคือตอนไหนซุนซีจำไม่ได้แล้ว

   หากถามว่าสุขสบายดีไหม เขาตอบได้เต็มปากเต็มคำว่ากินอยู่ดีเกินพอ แต่หากถามว่ามีความสุขหรือไม่ ภรรยาในนามคงตอบลำบาก สำหรับเวลาเหลือเฟือของคนเคยงานยุ่งตอนนี้ตารางชีวิตถูกเปลี่ยนไปเสียหมด ท่านเจ้าเมืองสั่งให้อ่ายซวนมาถามว่าเขาขาดเหลือสิ่งใดหรือไม่ คนรับใช้ เครื่องประดับ น้ำมันทาผมหรือเครื่องประทินโฉมใดๆ -- ผู้มาอาศัยตอบเพียงว่าขาดความรู้

   สองวันถัดมา อาจารย์ที่เป็นจูเหรินก็เดินทางมาสอนถึงในจวน

   เครายาวของจูเหรินมีสีขาวแซมทั่ว ท่านอาจารย์มักรวบผมใส่หมวกผ้าไหมแบบบัณฑิต เนื้อตัวสะอาดสะอ้านสวมชุดเสื้อตัวยาวอย่างผู้ทรงภูมิ คราแรกที่เห็นหน้าซุนซีอาจารย์ก็มองอย่างดูถูก แต่พอเริ่มสอนและเห็นว่านักเรียนคนนี้หัวไวและตั้งใจเรียน สีหน้าจูเหรินก็เปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่กี่วันให้หลังยังยกตำรามาสอนเพิ่มอีกตั้งใหญ่

   เด็กๆ ลูกข้าราชการชั้นผู้น้อยชอบมาวิ่งส่งเสียงอึกทึกกันที่ลานดิน เจ้าก้อนแป้งพวกนี้เด็กเกินจะช่วยงานที่บ้าน วันๆ ไม่ได้ทำอะไร หลังมื้อเที่ยงซุนซีช่วยกันสองมือกับอ่ายซวนลากบรรดาลูกลิงมาเรียนหนังสือในห้องรับรอง ซิ่วหมินไม่น้อยหน้าหอบกระเตงเอาลูกชาวบ้านในละแวกมาอีกเป็นพรวน หัวหมั่นโถวจองที่กับโต๊ะเตี้ยนั่งเรียงกันเกลื่อนเป็นวงใหญ่ คุณครูนั่งพื้นอยู่มุมหนึ่ง นานทีเสียงท่องหนังสือก็ดังขึ้นพร้อมเพรียง

   เช้าเป็นนักเรียน บ่ายเป็นอาจารย์ และแม้ตอนเย็นจะท่องตำราจนหมดไปอีกเล่ม เวลาว่างยังมีมากพอจะให้คนอยู่โยงเฝ้าเรือนคิดฟุ้งซ่าน

   ถ้าเทียบกับตอนอยู่ที่สำนักคุ้มภัย ความฝันเรื่องสอบจอหงวนนับว่าเข้าใกล้ความจริงขึ้นทีละน้อย เหตุนี้บุรุษตัวเล็กๆ จึงกล้าวางแผนไว้ในใจ ถึงเวลาเหมาะสมเมื่อไหร่เขาคงไม่ต้องรับบทเป็นเมิ่งชิวเหลียนอีกต่อไป และเวลานั้นเขาจะกล้าเล่าความจริงให้อวี้จินฟังได้สักที

   บ่ายวันนี้อ่ายซวนหอบเอาบรรดาอาหารใส่ตะกร้าสานมาถึงห้องหนังสือเล็กที่เขาใช้เรียน ซุนซีอ่านหนังสือหลังจากอาจารย์เฒ่ากลับไปจนไม่รู้ว่าล่วงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว นับว่านางมาได้จังหวะท้องหิวพอดี อ่ายซวนพูดอะไรไปเรื่อยระหว่างจัดแจงวางกับข้าวลงบนโต๊ะ จับใจความได้คำหนึ่งว่านางยังไม่ทันได้กินมื้อเที่ยง

   ซุนซีลุกเดินมานั่งที่โต๊ะกับข้าว กลิ่นหอมของผัดผักกับควันฉุยจากชามข้าวหุงใหม่ชวนให้น้ำลายสอ ฟากอ่ายซวนที่จัดแจงโต๊ะเสร็จแล้วก็ถอยไปยืนรอที่มุมห้อง มองจากตรงนี้เห็นท้องครรภ์นูนน้อยๆ ของนางชัดเจน

   “มากินข้าวด้วยกันสิซวนเอ๋อร์”

   คนเป็นบ่าวมีสีหน้าตระหนก “มิได้เจ้าค่ะๆ ข้าร่วมโต๊ะกับเจ้านายประเดี๋ยวจะถูกลงโทษเอา”

   ซุนซีมองนางทั้งรอยยิ้ม “ข้าเป็นฮูหยินดูแลคนในบ้าน ใครจะกล้าลงโทษเจ้าได้อีก เวลาทำงานเย็บปักยังนั่งด้วยกันได้เลย ทำไมเวลากินข้าวจะไม่ได้ล่ะ”

   ฮูหยินมีหน้าที่ดูแลบ่าวภายในบ้าน ข้ารับใช้ร่วมโต๊ะอาหารถึงผิดธรรมเนียมแต่คำสั่งฮูหยินเป็นกฎบ้านย่อมอะลุ่มอล่วยได้ ซุนซีเคยเป็นคนใช้รู้ดีว่าคนเป็นบ่าวรู้สึกอย่างไร และเพราะเขาเองก็เคยเป็นบ่าวนี่ล่ะถึงได้อยากให้อ่ายซวนได้มาร่วมโต๊ะเดียวกัน นางกำลังตั้งท้องสมควรได้กินอาหารดีๆ ให้ครบมื้อแทนที่จะไปรอของเหลือจากห้องครัว

   เยื้อกันอยู่นานอ่ายซวนถึงยอมนั่งถือตะเกียบ นางยังไม่ยอมกินจนซุนซีต้องตักกับข้าวใส่ชามตรงหน้า

   “ข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนคนในครอบครัวคนหนึ่งนะซวนเอ๋อร์” เขาว่าพลางคีบเนื้อสัตว์ส่งให้ “กินมากๆ จะได้บำรุงครรภ์ ต่อจากนี้ถ้าอยู่กันสองคนก็ให้มาร่วมโต๊ะกับข้านะ”

   อ่ายซวนมองเขา ยิ้มทั้งน้ำตาคลอ “ข้ามิกล้าถือตัวเป็นครอบครัวเดียวกับท่านหรอกเจ้าค่ะ...”

   “แต่เจ้าคอยดูแลข้ามาตลอดข้าก็เห็นเจ้าเป็นเหมือนน้องสาวแล้ว อย่าถือเรื่องเล็กน้อยเลย ถ้ามีอะไรก็ให้บอกข้า เข้าใจหรือไม่?”

   นางหัวเราะ พยักหน้าระรัวก่อนรีบพุ้ยข้าวเข้าปาก ก่อนหน้านี้เขาก็ให้ของบำรุงอ่ายซวนไปหลายอย่าง...ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วแค่อยากให้มีเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารหรือเปล่า แต่ยามได้เห็นใครสักคนร่วมกินข้าวด้วยกัน แย่งกับข้าวบ้างชวนเขาคุยบ้างก็เป็นภาพที่ซุนซีปรารถนามาโดยตลอด และนั่นซื้อด้วยเงินทองไม่ได้

   ครั้งหนึ่งซุนซีก็เคยเป็นเด็กรับใช้ ถ้าหน้าที่ฮูหยินทำให้เขาทำอะไรหลายๆ อย่างได้ เหตุใดเขาจะไม่ทำ?



   ช่วงหลังมานี้ซุนซีมักหลับไปพร้อมความรู้สึกหนักอึ้งที่กลางลำตัว และเมื่อวันนี้เผลอสะดุ้งตื่นขึ้นมาเช้ามืดก็พบว่าความลำบากกายที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุมาจากท่อนแขนแข็งแรงของท่านเจ้าเมืองที่พาดกอดมาเต็มเปา

   “...” ซุนซีนอนนิ่ง พยายามแงะแขนอวี้จินออกเป็นรอบที่ห้า – แน่นอนว่าไม่เป็นผล แขนที่พาดมานั้นพาดกักกันลำตัวเขาไว้ชนิดแน่นเสียยิ่งกว่าคีมเหล็ก หนักก็หนัก ใกล้ก็ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจเป็นจังหวะสงบของคนหลับสนิทดีที่ไม่รู้ว่าปีนขึ้นเตียงมานอนตั้งแต่เมื่อไหร่

   อันว่าสตรีที่ดีควรต้องตื่นก่อนสามี ถ้าเขาจะหนีไปตั้งแต่ตอนนี้ก็ควรจะเข้าข่ายเดียวกัน ซุนซีขยับตัวพลิกหงายพลิกคว่ำอยู่หลายท่าจนหันมาประจันหน้ากับอวี้จินที่กำลังหลับสบาย แขนเขาข้างหนึ่งกำลังงัดท่อนซุงใหญ่ที่ทับตัว อีกข้างกำลังยักแย่ยักยันอยู่กับพื้นเตียงหัวก็กระเซอะกระเซิงไม่น่าดู ได้แต่ขอบคุณองค์เซียนที่อีกฝ่ายยังอยู่ในนิทรารมย์ไม่รู้เรื่องรู้ราว

   ใบหน้าอวี้จินในยามหลับเมื่อมองนานเข้าก็พบว่าหน้าตาดีเอาเรื่อง คิ้วดาบคมเข้มเมื่อยามนอนก็ยังย่นผูกกันเป็นปม ดวงตาปิดพริ้มเห็นแพขนตายาวเรียงสวยอย่างที่เขาไม่เคยสังเกตมาก่อน จมูกโด่งเป็นสันรับเข้ากับโค้งริมฝีปากหยัก ซุนซีเผลอกลืนน้ำลายทีหนึ่ง คิ้วขมวดข่มตาหลับไล่ความคิดฟุ้งซ่านแล้วถึงค่อยลืมตามาพยายามใหม่อีกครั้ง

   เพื่อพบว่าอวี้จินกำลังจ้องเขาอยู่

   ความร้อนแผ่ลามจากใบหน้าไปถึงใบหู ซุนซีนิ่งค้าง ถามออกไปด้วยเสียงสั่นเครือ “ตื่นแล้วหรือ ปล่อยข้าที...”

    อวี้จินนอนมองเขาไม่มีท่าทีทุกข์ร้อน “กอดภรรยาไม่ได้หรือ?”

   ซุนซีกรีดร้องในใจไปแล้วหลายตลบแต่ยังพยายามชักสีหน้านิ่งสงบ หัวใจเต้นโครมครามเป็นกลองศึกอยู่ในอก หูอื้อตาลายขึ้นมากะทันหันเลยไม่ทันได้สังเกตรอยยิ้มที่เกิดขึ้นไวเท่าชั่วขณะผีเสื้อขยับปีก อวี้จินยกแขนข้างที่โอบเอวซุนซีออกก่อนผุดลุกขึ้นนั่ง เสื้อลุ่ยร่วงลงเผยอกแกร่งหน้าท้องกล้ามเป็นลอนใหญ่ ถือวิสาสะสางผมยุ่งของ ‘ภรรยา’ ให้เข้าที่ ซุนซีนอนเป็นรูปปั้นหินไม่กล้ากระดุกกระดิก ยิ่งเมื่อมือกร้านมาแตะลูบโดนหน้าผากเขายิ่งแทบจะกลั้นลมหายใจ

   “ข้าไปก่อน” อวี้จินว่าเรียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง ส่วนซุนซีอยู่ท่าไหนก็ยังค้างอยู่ท่านั้น

   พระพุทธองค์ช่วยลูกด้วย!



   อย่างหนึ่งที่ซุนซีมั่นใจคืออวี้จินรักม้าที่เลี้ยงไว้มาก ไม่เช่นนั้นวันว่างแสนสงบที่นานครั้งจะมีสักหนท่านเจ้าเมืองคงไม่ขลุกอยู่แต่กับงานดูแลม้า – แล้วอย่างนี้จะขังให้เขาอยู่แต่ในเรือนน่ะหรือ? เห็นทีเขาคงทนความอยุติธรรมครั้งนี้ไม่ได้

   เด็กหนุ่มกุมเสื้อคลุมกอดตัวฝ่าลมเตร่ไปถึงคอกม้า รอยยิ้มที่เห็นแต่ไกลหายไปจากใบหน้าอวี้จินทันทีที่เขาก้าวเข้าระยะสายตา

   “ชิวเหลียน เจ้าจะออกมาทำไม” ท่านเจ้าเมืองในวันว่างตำหนิน้ำเสียงดุดัน

   คนโดนเอ็ดไม่มีท่าทีเกรงกลัว หิ้วถังไม้ไปหยุดอยู่หน้าม้าหนุ่มตัวใหญ่ มือเขาลูบลำตัวอาชาทำว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตน

   “กวงเอ๋อร์ นายเจ้าดุข้าอีกแล้ว” ซุนซีบ่นพึมพำไม่หยุด “ข้าป่วยเพราะนายเจ้าขังข้าไว้ในห้องไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน ดูเอาเถิด ชายผู้นั้นยังคอยห้ามข้าไม่ให้ออกมาหาเจ้าอีก คนอะไรใจหินนัก”

   นั่นทำเอาอวี้จินนิ่งไปพักใหญ่ ร่างสูงใหญ่ก้มเก็บถังไม้แล้วก้าวถอยเชื่องช้าไปนั่งหลบอยู่หลังอาชาตัวเขื่อง

   “เข้าใจถูกแล้ว ข้ามันแล้งน้ำใจ เป็นคนใจหินรักใครไม่เป็น” ท่านเจ้าเมืองตัดพ้อสวนขึ้นมาไม่หยุดปาก จากมุมนี้ซุนซีมองไม่เห็นหน้า แต่เนื้อเสียงฝ่ายนั้นส่อแววทั้งฉุนทั้งเหงาเหลือประมาณ

   ฝั่งผู้เปิดฉากต่อว่าเวลานี้เสียงอ่อนลง เริ่มไม่มั่นใจว่าเผลอไปจี้จุดอะไรเข้าให้หรือเปล่า “ท่านอย่าคิดอย่างนั้น... ถ้าท่านรักใครไม่เป็นจะมาดูแลกวงเอ๋อร์ด้วยตนเองหรือ”

   “แน่ใจได้อย่างไรว่าข้ารักกวงเอ๋อร์ ไม่ใช่แค่ดูแลเพราะได้รับพระราชทาน”

   “รักสิ ข้ามั่นใจ” ซุนซีว่าไปเรื่อยระหว่างแปรงขนม้า “เห็นๆ อยู่ว่าท่านไม่ได้รักมันเพราะมันเป็นของกำนัลหรือเป็นม้าศึกชั้นยอด แต่ท่านรักมันเพราะมันเป็นม้าที่ท่านผูกพัน ท่านให้มันกินหญ้าสดใหม่ วันว่างท่านยังมาอาบน้ำให้มันด้วยตนเอง ..การกระทำบางครั้งสื่อความเข้าใจง่ายเท่านี้เอง”

   “เจ้าชอบพูดว่าทุกเรื่องแท้จริงเรียบง่ายไปเสียหมด” อวี้จินโต้กลับทีเล่นทีจริง

   ซุนซีหยุดมือ พูดพลางย่างเท้าเดินมาเผชิญหน้าชายช่างซักถาม ร่ายยาวอย่างคนร้อนวิชา “มนุษย์ตีความสิ่งต่างๆ ซับซ้อนเกินจำเป็นไม่ก็คิดให้สะดวกตัว อ่านบทกวีเข้าถึงโคลงกลอนแต่ไม่เข้าใจความนัยหรือกระทั่งตีความจนเกินโคลงก็ไร้ความหมาย -- เช่นนี้นอกจากข้ามองเรื่องรอบตัวอย่างเรียบง่ายแล้ว หากเป็นไปได้ ทุกสิ่งควรทำให้เข้าใจง่ายด้วยจึงจะดี”

   ผู้ฟังค่อยๆ คลี่ยิ้มหวานละไมไม่เอ่ยขัด ฝ่ายคนตอบเห็นอย่างนั้นรีบเสตาหลบก้มหน้าแปรงขนม้าขะมักเขม้น อากาศไม่เย็นแต่สองแก้มขึ้นสีแดงจัด -- โดนหลอกให้พูดไปเรื่อยอีกแล้ว!

   อวี้จินลุกขึ้นปัดไม้ปัดมือ “ชิวเหลียน ไปขี่ม้าด้วยกันสักหน่อยดีไหม”

   “...คงไม่ดี เพิ่งให้อาหาร เอ่อ..เพิ่งแปรงขนเสร็จ” คนถูกถามตอบเสียงกระอ้อมกระแอ้มไม่เต็มคำ

   “เจ้ากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากับข้า กว่าจะย้อนมาก็พร้อมออกแล้ว”

   “แต่ว่า--”

   “อยู่แต่ในคอกมันจะอ้วนเอาได้ -- อยากออกไปที่ทุ่งใช่ไหมกวงเอ๋อร์”

   หูม้าหนุ่มขยับปัดไปมาก่อนมันจะเอาหัวดุนมือเจ้านายไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว ผู้ปราชัยอ้าปากค้างหมดคำพูด รอยยิ้มอวี้จินถึงจะน่ามองแต่ดูกวนประสาทนัก นอกจากทำว่าคุยกับสัตว์รู้เรื่องยังจะบังคับเขาออกไปอีก ..เมื่อครู่ยังกลัวเขาจะป่วยเพราะตากลมอยู่แท้ๆ

   จอมเผด็จการเดินตีคู่แขนข้างหนึ่งโอบประคองพากลับไปที่เรือนใหญ่ คนได้รับการปรนนิบัติอย่างทะนุถนอมก้มหน้าอายแทบซุกแผ่นดินหนี ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าซุนซีไม่ได้ป่วยร่างกายบอบบางชนิดที่ต้องประคบประหงมขนาดนี้ แต่ฝั่งคนตกเป็นเบี้ยรองรู้ว่าเถียงอะไรไปคงได้โดนโต้กลับให้อายกว่าเดิมแน่

   กลับมาถึงห้องอวี้จินก็เรียกเด็กรับใช้ให้เตรียมชากับเสื้อคลุมมาสองชุด ซุนซีจะทำอย่างไรได้นอกจากปีนขึ้นเตียงไปนั่งกอดเข่าขดเป็นก้อนกลมหันหลังให้ฟ้าดิน เขาซุกตัวในมุมมืดด้วยความตั้งใจแน่วแน่ พูดด้วยเขาก็จะไม่ตอบ อยากให้ป่วยนักถ้ายังมากวนใจใกล้ๆ เขาจะล้มลงนอนคลุมโปงให้ดู!

   เสียงรื่นรมย์แว่วดังมาจากคนใกล้ “ไม่ไปด้วยกันจริงๆ หรือ?” ส่วนคนฟังฟังแล้วส่ายศีรษะหวือ ถดตัวชิดเข้ามุมอีกนิดจะผสานตัวเข้ากับผนังม่านกั้นได้แล้ว

   อวี้จินร้องอ๋อ “เจ้าไข้ขึ้นนี่เอง...มิน่าหูถึงได้แดงไปหมดเช่นนี้”

   ฝ่ายถูกล้อเลียนมุ่นคิ้วรีบเอามือยกขึ้นปิดหูตัวเอง เขาเงยมองพอให้ส่งสายตาไปต่อว่าคนช่างพูดผิดวิสัยได้ถนัด จมูกได้กลิ่นโม่ลี่หอมกรุ่นกำจาย ..ที่แท้อวี้จินกำลังนั่งจิบชาสบายอารมณ์อยู่ที่โต๊ะ รอยยิ้มวาดประดับอยู่บนใบหน้าคมเข้ม

   “ข้าสบายดี แต่ถ้าให้ออกไปเจออากาศหนาวอีกจะไข้กลับ” ซุนซีตอบเสียงห้วน ปลางับเหยื่อเข้าคำโต

   “ดีจริง ยังสบายดีอยู่ก็ไปขี่ม้าด้วยกันได้” คนเคร่งขรึมเป็นปกติตัดบทรวบรัดก่อนวางถ้วยชา เช่นนี้จงใจทำเป็นลมข้างหูฟังแต่ประโยคหน้า ร่างสูงใหญ่ก้าวยาวๆ ก้าวเดียวมาถึงตัว เสื้อคลุมขนจิ้งจอกคลี่กางรอไว้..ดวงตาเป็นประกายมองเชื้อเชิญ

   ริมฝีปากเม้มประท้วงว่าตนไม่เต็มใจ สู้รบปรบมือได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อตอนนี้ซุนซีย้ายมายืนอยู่ต่อหน้ากวงเอ๋อร์แล้ว สองบ่าคลุมด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวนวลตัวที่เจ้าบ้านเลือกไว้ให้ ยิ่งพออวี้จินคุกเข่าลงประสานมือรองแทนแท่นปีนขึ้นม้าผีเสื้อก็โบยบินอยู่ในท้องซุนซี

   คิ้วฮูหยินตัวปลอมพันกันยุ่ง ยอมลำบากอ้อมไปขึ้นหลังม้าจากอีกฝั่ง “...ให้ข้าขี่กวงเอ๋อร์แล้วท่านจะไปกับม้าตัวไหน?”

   เจ้าเมืองจัดแจงโดดขึ้นซ้อนหลังซุนซีแทนคำตอบ โอบตัวไว้ระหว่างสองมือจับบังเหียนเหมือนกอดอยู่กลายๆ

   “ช้าก่อน!” เขาหลุดร้องลั่น “เหตุใดท่านมาขึ้นม้ากับข้า!”

   “ไม่ขึ้นม้าแล้วจะให้ข้าพาเจ้าไปอย่างไร? อยู่ใกล้กันแบบนี้ก็อุ่นดีไม่ใช่หรือ” เสียงทุ้มดังข้างหู คนนั่งหลังม้าอยู่ก่อนเอนหลบแต่ไปไหนไม่ได้เพราะสองแขนแกร่งกันทาง

   ซุนซีเรียนรู้ว่าการโอดครวญหรือพูดประท้วงใช้ไม่ได้ผลกับคุณชายผู้นี้ อย่างน้อยเสื้อผ้าหนาชั้นที่ใส่คงพอปิดบังรูปร่างได้บ้าง ตัวเขาเล็กจะว่าดีก็ดี...จะว่าไม่ดีก็ใช่ นั่งอย่างนี้เหมือนโดนกอดเอาไว้ทั้งตัว รับรู้ได้ถึงอุ่นกายโอบล้อมจากด้านหลัง อีกใจหนึ่งสบายจนอยากเผลอเอนพิง

   เด็กหนุ่มบ่นพึมพำแต่อีกฝ่ายไม่ใคร่สนใจ ไม่รู้ว่าอวี้จินกลายเป็นคนร้ายกาจอย่างนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่

   อาชาตัวเขื่องควบเหยาะเชื่องช้า พอออกไปได้ระยะหนึ่งอวี้จินก็กระชับสายบังเหียนพากวงเอ๋อร์เร่งฝีเท้าออกไปจากลาน ลมเย็นหนาวบาดแก้มแต่หนึ่งคนบนหลังม้ายังรู้สึกร้อนใบหน้าไม่หาย ท่องอย่างแข็งขันในใจว่าตนไม่ได้ประหม่า ตนเพียงอับอาย!



   ม้าควบผ่านทุ่งไปตามทางสายเล็ก เลาะเนินสูงขึ้นเรื่อยจนหยุดที่ลานผา หญ้าเตี้ยๆ ปูเป็นพรมทอดยาวคั่นด้วยหินเล็กบ้างใหญ่บ้าง ในเสียงลมและผ้าเสียดสียังพอได้ยินเกือกเหล็กบดหินดังกรุบกรุบ ด้านล่างมีคลองสายน้อยเป็นธารไหลลงจากภู เรือคนหาปลาลำเล็กกับแนวบ้านเรือนหลังจ้อยรายทางริมน้ำ ต้นไม้ขึ้นเป็นทิวสูงเริ่มผลัดใบเหมือนแต้มพู่กันหลากสีบนผืนกระดาษเนื้อดี มองไกลออกไปมีทิวเขาทอดตัวโอบล้อมอยู่หลายส่วน

   อากาศบนนี้ค่อนข้างเย็นแต่อุ่นแดด ก้านไม้ใหญ่ต้องลมทอดเงาเอนไหวๆ กลิ่นชื้นหญ้าเจือกับกลิ่นดอกไม้ป่าหอมราวกลิ่นน้ำปรุง -- ในช่องเขาซ่อนทิวทัศน์สวยงามเรียบง่ายไว้ มองเพลินจนลืมว่าอยู่บนหลังม้ากับใคร

   อวี้จินกระโดดลงเดินจูงม้า พามันเดินเหยาะๆ ไปถึงริมผาก็ส่งมือขึ้นรอรับ ใบหน้าไร้รอยยิ้ม ดวงตานิ่งสงบเหมือนฟ้าไร้เมฆ -- ซุนซียื่นมือจับไว้ที่บ่าของเขาแทน ก้าวขายาวๆ ไม่ทันเท้าแตะพื้นก็ถูกอุ้มลงนุ่มนวล

   เด็กหนุ่มไม่นึกอยากบ่นอะไรอีกแล้ว “..ขอบคุณท่าน” เขาพึมพำ แค่นั้นก็มากพอให้ชายร่างสูงปล่อยมือ

   เจ้าปลาน้อยพอเป็นอิสระรีบตรงไปนั่งที่โขดหิน เกี่ยวนิ้วอยู่บนหน้าตัก ข้างล่างกลุ่มคนตัวเท่ามดกำลังลุกจากท่าน้ำหอบเอาตะกร้าผ้าเดินกลับ บ้างก็กำลังทำงาน หูเขาพาลแว่วเพี้ยนได้ยินเสียงเด็กหัวเราะตลอดจนถึงไก่วิ่งบนลานดิน รอยยิ้มผุดขึ้นไม่รู้ตัว

   “ท่านมาที่นี่บ่อยหรือ” ซุนซีถามลอยๆ ตายังจ้องกวาดมองไปทั่ว

   “อืม” คู่สนทนาก้าวมายืนอยู่ข้างกัน “เจ้าชอบไหม?”

   “ชอบ.. มองจากตรงนี้ข้าเห็นได้ทุกอย่าง”

   อวี้จินทำเสียงฮึมฮัมในลำคอเป็นการตอบรับ มือง่วนอยู่กับการจัดผ้าคลุมคนกำลังตื่นเต้นให้เข้าทาง ที่โล่งเช่นนี้ลมโกรกมาเป็นระยะ ผ้าคลุมลู่ลงแนบตัวทิ้งชายสะบัดไหวๆ ก่อเป็นเสียงเหมือนใบไผ่ต้องลม หนาวจนปลายนิ้วชาแต่เด็กหนุ่มไม่ใคร่จะใส่ใจ ซุนซีเสพย์ทิวทัศน์จนอิ่มหนำถึงเงยขึ้นมองร่างสูงใหญ่ ดวงตาเขาทอประกายระยับ

   “เราจะไปที่ไหนกันต่อ ลงไปที่แม่น้ำรึเปล่า”

   “วันนี้ไม่เหมาะ” ชายหน้าดุไม่ได้ให้เหตุผลมากไปกว่านั้น

   “...อย่างนั้นข้าขอเดินเล่นแถวนี้ได้ไหม?”

   อวี้จินพยักหน้านิดเป็นเชิงอนุญาต มือกร้านผายมาหยุดตรงหน้าซุนซี ..เห็นเขาเป็นเด็กๆ กลัวจะพลัดหลงหรือ?

   แต่เจ้าถิ่นยังรออยู่อย่างนั้น รอจนมือผ่ายผอมวางลงบนฝ่ามือใหญ่ ฉุดเพียงเบาๆ ซุนซีก็ออกเดิน ที่จับไว้ยังไม่คลายเพียงกระชับให้สอดมือประสาน

   คนตัวเล็กกว่าบีบมือเรียกก่อนจะดึงออก หัวคิ้วลู่ลงชิดกัน หากดวงตาปล่อยไฟได้พื้นตรงหน้าเขาคงไหม้เป็นทาง

   “ข้าไม่ใช่เด็กๆ ไม่จำเป็นต้องเดินจูงมือ”

   “อย่างนั้นหรอกหรือ..?” ใต้เท้าถามแสร้งทำทีท่าประหลาดใจ ซุนซีไม่ยอมมองหน้าชายคนนั้น เดาเอาว่ากำลังยิ้มไม่รู้ร้อนรู้หนาว

   เจ้าของม้าจูงอาชาตัวเขื่องเดินเคียงเด็กหนุ่มอยู่ไม่ห่าง ย่างก้าวเอื่อยช้า ลมพัดเอาดอกหญ้าลอยมาติดผ้าคลุมสะบัดไหวๆ ซุนซีเดินก้มหน้าประสานมือไพล่ไว้ด้านหลัง แต่ละก้าวลากเท้ายาวจนหญ้าเป็นรอยลู่แนบดิน

   ซุนซีเดินเหยียบไปตามวงแดดลอดร่มไม้ สองตาหลุบลงจ้องแสงบนผืนพรมหญ้าอ่อนนุ่ม “หากเราล้วนแต่เป็นเพียงต้นไม้ต้นหนึ่งในป่า การมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของข้าจะไม่ก่อผลกระทบอะไรกับผู้อื่นนักใช่ไหม?”

   “แต่สำหรับคนที่เห็นเจ้าเป็นคนสำคัญ มิใช่ว่าเจ้าเป็นโลกทั้งใบของเขาหรอกหรือ”

   เด็กหนุ่มลอบสังเกตคู่สนทนาข้างตัว แสงไล้ระเรี่ยผ่านซีกแก้มและบ่ากว้างของคนตัวสูงกว่า ซุนซีแตะเขาด้วยสายตา ทีละน้อย ทีละนิด “...ข้าเป็นภาระสำหรับท่านหรือไม่?”

   ดวงตาที่มักมองตรงไปข้างหน้าเสมอเลื่อนมามองที่คนถาม “คนในครอบครัวไม่นับว่าเป็นภาระ”

   “แค่จำเป็นต้องแต่งกับท่าน ไม่ได้ถือเป็นครอบครัวเดียวกันสักหน่อย”

   “ข้านับเป็นคนของข้าแล้ว มิใช่หน้าที่ก็ยินดีดูแล”

   ฝ่ายรับฟังหัวเราะ “ท่านไม่ได้คิดตามที่ท่านพูดจริงๆ หรอก”

   “เป็นความจริง ชาวทุ่งหญ้าคิดอย่างไรพูดอย่างนั้น” อวี้จินกล่าวอ้างด้วยทีท่าเคร่งขรึม มือกร้านวางลงบนสะบักม้า ลูบและตบตามเนื้อตัวมันเบาๆ

   “แล้วขุนนางจะเป็นคนประเภทเดียวกันด้วยหรือไม่?”

   “ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าถามถึงใคร”

   “ขุนนางที่เป็นชาวทุ่งหญ้า...ตรงนี้ก็มีใต้เท้าอยู่คนหนึ่ง”

   ชายร่างสูงผุดยิ้มน้อยๆ “ฟูเหรินได้รับคำตอบอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ไม่ทันสังเกตเห็น”

   “...” ซุนซีเม้มปากละสายตาไปทางอื่น ขอบใบหูเจือด้วยสีชาด – เขาไม่ชอบเวลาถูกจ้องด้วยสายตาอบอุ่น ดวงตาคู่นั้นซ่อนกระแสหวานละไมไว้เลาลาง มันมักทำให้เด็กหนุ่มหัวสมองตื้อ

   บทสนทนาจบลงเสียดื้อๆ เหลือแต่เสียงย่ำสวบสาบบนพรมผืนหญ้าดังเป็นทำนองสงบ


-----------------------------------

ขำที่บอกว่านาตาชาโรมานอฟฮืออ55555555555
สำหรับคนที่ลุ้นอยู่ว่าจะสารภาพตอนไหน ก็..ก็สปอยเลยตรงนี้ว่าดึงเช็งอีกนานค่ะ YvY
อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ มาค่ะมาตบตีเราระบายความหงุดหงิดใจไปพลางๆ
ส่วนที่ว่าเค้ารู้แล้วมั้ยก็...ก็นั่นสิน้า รู้แล้วมั้ยน้าาา

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เขินอายเก่งงง   ปล.แล้วทางบ้านนู้นจะได้รู้ไหมคะว่าคนที่ได้ไปแต่งด้วย จริงๆคือซุนซี อ้อแล้วก็ คนที่ส่งจดหมายมาคุยกับน้องสุดท้องที่ซุนซีตอบแทน คือคนนี้ใช่ไหม และเป็นคนละคนกับที่ซุนซีชอบตอนเด็กๆใช่ไหมคะ ?

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
เราว่ารู้อยู่แล้วแหละ

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 18


   วันพ้นผ่านเป็นสัปดาห์ สัปดาห์พ้นผ่านเป็นเดือน ฤดูกาลเปลี่ยนแต่กิจวัตรของซุนซีไม่ได้เปลี่ยนไปนัก อาจารย์กล่าวแก่เขาว่าตนสอนจนไม่มีอะไรเหลือให้สอนเหมาะแก่สตรีแล้ว ซุนซีจึงใช้เวลาไปกับการท่องหนังสือในหอตำรา ...ผู้หญิงหากไม่ทำงานบ้านงานเรือนก็เล่นดนตรี ไม่เล่นดนตรีก็วาดภาพ เวลามีเหลือเยอะเกินกว่าจะปล่อยทิ้ง แต่เขาเองก็เย็บปักเสียจนไม่มีอะไรเหลือให้เย็บ ซ่อมจนไม่มีอะไรเหลือให้ซ่อมแล้ว

   เวลานั้นจึงคิดได้ว่าควรมีสิ่งที่เขาทำได้มากกว่านี้ ลูกเจี๊ยบที่ซ่อนตัวในเปลือกไข่หนากระวนกระวายจะกะเทาะเปลือกออก เมื่อตัดสินใจได้เช่นนั้นก็เชิญเจ้าเมืองให้หาเวลาพักดื่มชายามบ่ายที่ศาลาริมน้ำ

   ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะชวนคนยุ่งงานมานั่งทิ้งเวลาไปเรื่อยแต่อวี้จินกลับตอบรับอย่างว่าง่าย

   กระดิ่งลมผูกใต้หลังคาแกว่งดังกรุ๊งกริ๊งคลอกับเสียงน้ำไหล รอในร่มศาลาเพียงไม่นานก็เห็นร่างสูงใหญ่เดินองอาจมาแต่ไกล แดดส่องลงมาจากร่มไม้ใหญ่ทาบไปบนซีกหน้าเคร่งขรึม ซุนซีมองภาพนั้นราวกับพยายามจะจดจำทุกรายละเอียด ...ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงทำเช่นนั้น

   อ่ายซวนเห็นเจ้านายมาก็ขอตัวปลีกไปเปลี่ยนชา นางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยามแอบเหล่มองมาทางซุนซี เขาทอดสายตามองหลังไวๆ ที่ครู่เดียวก็หายลับไปตามทาง ทีอย่างนี้ล่ะรีบเชียว!

   คนในศาลาลุกขึ้นรอต้อนรับผู้มาใหม่ อวี้จินก้าวมั่นคงเข้ามาใต้ร่มศาลา ดวงตาจับจ้องอยู่ที่คนตัวเล็กกว่า

   “มารอนานแล้วหรือ?”

   “ไม่นานนักเจ้าค่ะ เชิญท่านนั่ง”

   “สามีภรรยาไม่เห็นต้องมากพิธีรีตอง”

   “...” ซุนซีกระแทกก้นนั่ง ท่านเจ้าเมืองตีสีหน้าเรียบเฉยทว่าในตาเป็นประกายซุกซน คู่กรณีทันเห็นถึงได้ยิ่งทำหน้าหงิกกว่าเก่า

   “เหตุใดถึงชวนมาดื่มชา?” อวี้จินถาม

   “อันที่จริงท่านอาจารย์กล่าวว่าไม่มีอะไรจะสอนข้าเพิ่มแล้ว ดังนั้น...”

   “เรื่องช่วยงานในจวนให้ลืมไปได้”

   ซุนซีอ้าปากค้าง เขายังไม่ทันได้พูดอะไรเลย! “เพราะเหตุใด? ข้าไม่ไร้ความรู้เหมือนแต่ก่อนแล้ว อีกอย่างหนึ่งสมัยอยู่สำนักคุ้มภัยข้าก็เคยทำงานเสมียนมาก่อน”

   อวี้จินกอดอก ดวงตาคู่คมมองอย่างพิจารณา “งานราชการไม่เหมือนงานสำนักคุ้มภัย”

   “ยังไม่ลองดูจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าทำได้หรือไม่ มิใช่ว่าท่านเป็นคนสอนข้าให้ลงมือทำเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเองหรอกหรือ?”

   อวี้จินยกสองมุมปาก มันเป็นรอยยิ้มเบาบางจนแทบไม่เห็นถ้าไม่สังเกต ซุนซีไม่เข้าใจว่าทำไมท่านเจ้าเมืองถึงแสดงสีหน้าผ่อนคลายแบบนั้น

   “บางทีข้าอาจเปลี่ยนใจ” ชายคนนั้นไม่ได้ให้สัญญา “ถ้าเจ้าทำให้ข้าเห็นว่าเจ้าพร้อมรับหน้าที่แล้ว”

   ซุนซีพูด “ข้าพร้อม ตอนนี้ก็พร้อม”

   อวี้จินส่ายศีรษะช้าๆ เขาทำตัวราวผู้ใหญ่กำลังมองเด็กไม่รู้ประสา นั่นทำให้ซุนซีนึกฉุนขึ้นมาหน่อย

   ท่านเจ้าเมืองกล่าว “บอกข้าสิว่าเจ้าพร้อมอย่างไร?”

   ซุนซีเอาสองมือโอบแก้วชาตรงหน้า ชาในถ้วยยังร้อนพออุ่นเนื้อกระเบื้องเคลือบอยู่ เขาหลุบตาลงมองโต๊ะไม้ราวกับว่ามีอะไรน่าสนใจอยู่ตรงนั้น ทิ้งช่วงไปพักใหญ่กว่าจะเอ่ยปากอีกครั้ง เด็กหนุ่มใจร้อนเกินกว่าจะทำให้เห็น ถ้าเป็นคำพูดย่อมง่ายกว่าอยู่แล้ว

   "ข้าไม่แน่ใจ... มีหลายอย่าง ข้าไม่ใช่ข้าคนเก่าแน่อยู่แล้ว สิ่งที่พบตลอดหลายเดือนมานี้เปลี่ยนความคิดเปลี่ยนตัวข้าไปมาก"

   อวี้จินสงบฟังไม่ขัดอะไร นานครั้งก็ยกถ้วยชาขึ้นจรดริมฝีปาก

   ซุนซีหมุนถ้วยเปล่าช้าๆ ดวงตาเหม่อลอยอย่างคนใช้ความคิด "แต่ก่อนข้าถูกปลูกฝังด้วยเรื่องหน้าที่พึงกระทำ ทั้งจากผู้ใหญ่ เรื่องเล่าที่ฟังหนังสือที่อ่าน หรือกระทั่งชาวบ้านร้านตลาด .. หากเป็นชายต้องนำเกียรติสู่วงศ์ตระกูล หากเป็นหญิงต้องงานบ้านงานเรือนไม่ขาดตกบกพร่อง ต้องเป็นภรรยาที่ให้กำเนิดบุตรได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี"

   "แท้จริงแล้วทุกสิ่งที่ข้าเคยเรียนรู้ไม่ใช่ทุกสิ่งที่ข้าต้องทำตาม" เขาสรุปรวบรัด นิ่งไปอีกครู่ นึกได้ว่าควรขยายความจึงกล่าวต่อ "เช่นธรรมเนียม ธรรมเนียมเป็นเพียงข้อปฏิบัติที่คนบัญญัติขึ้นเป็นแนวทาง สังคมตรามันขึ้นต่างกฎ บางเรื่องหากไม่ทำไม่ได้หมายความว่าเป็นคนชั่ว – เหล่านี้บางเรื่องดี บางเรื่องไม่มีประโยชน์"

   "อย่างนั้นหรือ.. ยกตัวอย่างเช่นเรื่องใดบ้าง"

   "หลายเรื่อง ให้พูดตอนนี้ข้าพูดไม่ถูก เช่นที่ท่านให้ข้าแสดงความคิดเห็นนี่กระมัง? " ซุนซีทิ้งจังหวะ เห็นคู่สนทนายังรอฟังอยู่ก็เหมือนโดนกระตุ้นให้พูดเพิ่มกลายๆ เล่นให้นึกทันทีอย่างนี้เขาต้องเค้นความคิดจนหัวคิ้วย่นยู่ “แล้วก็...ตอนนั้นที่...”

   "ชิวเหลียน อย่ากดดันตัวเองนัก เจ้ามีเวลาตอบข้าทั้งชีวิต" ใบหน้าของอวี้จินประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนไม่ต่างจากน้ำเสียง

   เด็กหนุ่มฟังแล้วยังไม่เข้าใจความหมายกระจ่างนัก มีอย่างหนึ่งที่ชัดเจนคือสิ่งที่กล่าวไปไม่มีเรื่องใดถูกตำหนิว่านอกรีตนอกขนบ ซุนซีจ้องอีกฝ่ายพยายามค้นหาคำตอบ ตกลงที่ร่ายยาวมาตั้งมากมายเขาคงพูดถูกต้องแล้วใช่ไหม? แล้วที่บอกว่าเขายังมีเวลาตอบทั้งชีวิตนั่นไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายเห็นว่าเขายังไม่พร้อมรับงานราชการหรอกหรือ ยิ่งคิดคิ้วซุนซียิ่งผูกกันยุ่ง

   “ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูดถ้าท่านไม่พูดออกมาตรงๆ”

   สองตาคู่คมของอวี้จินเบี่ยงทอดมองไปไกล เสียงกระแอมไอเสียงดังครั้งหนึ่ง “รีบดื่มชาก่อนมันจะเย็น" ท่านเจ้าเมืองว่าเรียบๆ ก่อนจะยกจอกขึ้นอีกครั้ง

   เมื่ออยู่ด้วยกันมีความอุ่นใจคุยได้ทุกเรื่องและพึ่งพาได้อย่างประหลาด อวี้จินไม่ได้กล่าวสอนเหมือนอย่างพวกผู้ใหญ่ ทำแต่เพียงรับฟังและแนะเป็นบางครั้งเมื่อซุนซีไม่มั่นใจว่าตนกำลังเดินถูกทางหรือไม่ ...ถึงบางครั้งจะทำราวแม่ไก่คอยประคบประหงมแต่พอนึกครึ้มอยากจะแกล้งก็มาแหย่เขาเสียดื้อๆ ก็เถอะ

   เมื่อต่างฝ่ายต่างเงียบไม่นานศาลากลางน้ำก็เหลือแค่เสียงนกเสียงใบไม้ไหว กลิ่นหอมสมุนไพรและลมโชยมาเย็นๆ อยู่ด้วยกันอย่างนี้ไม่ชวนให้อึดอัด มือผอมเซียวลูบถ้วยกระเบื้อง รับรู้ว่าอุ่นปลายนิ้วก็ยกขึ้นละเลียดเอื่อยช้า

   รสหวานเจือในชาชงเข้มจนขมเฝื่อนติดที่ปลายลิ้น หอมดอกโม่ลี่อวลอยู่ในปากแม้จะกลืนลงไปจนหมดจอก สัมผัสอุ่นเคลื่อนจากลำคอและแผ่ไปทั่วช้าๆ ห้วงเวลานั้นใบหน้าเมิ่งเซี่ยเหมยพลันผุดขึ้นมาในความคิด



   ช่วงเวลาสารทฤดูเช่นนี้นอกจากใบไม้ที่พาลพากันเปลี่ยนสีก็มีอากาศเย็นที่มาเยือนเสวี่ยซาน ลมแห้งๆ พัดมาชวนให้รู้สึกหนาวผิวกายอีกครั้ง ซุนซีตั้งมั่นว่าจะรีบเย็บเสื้อให้ทันใช้ก่อนเข้าเหมันต์เต็มตัว แต่เพราะไม่รู้ว่าอวี้จินจะอยากได้เสื้อแบบไหนเขาถึงตัดสินใจไล่เดินถามหาเจ้าเมืองจากบรรดาคนรับใช้ ได้ข่าวคราวว่าเจ้าตัวพักงานไปนั่งอยู่ที่ศาลากลางน้ำก็วางใจว่าไม่รบกวนเวลา

   ซุนซีแวะเอาชากับของทานเล่นจากห้องครัวเดินถือถาดไปตามทาง หอมกลิ่นชาดอกโม่ลี่อย่างที่อวี้จินชอบดื่มเสมอโชยออกจากฝากาน้ำร้อน ควันลอยเป็นปุยสีขาวสายยาว รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าซุนซีโดยที่เขาไม่ทันรู้สึกตัว

   ทว่ามันหายไปทันทีที่เดินพ้นโค้งทางเดิน

   เขาไม่ทันสังเกตถึงเสียงกู่เจิ้งที่ดีดคลอเข้ากันกับขลุ่ยเซียวจนกระทั่งสองเท้าพามาถึงต้นกำเนิดเสียง เครื่องดนตรีสองอย่างสอดประสานกันเป็นเนื้อเดียวฟังไพเราะนัก และภาพของชายกับเลาขลุ่ยและหญิงงามดีดสายกู่เจิ้งก็ดูราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด

   ลมหายใจซุนซีสะดุดพร้อมกับฝีเท้าที่หยุดกะทันหัน อะไรบางอย่างก่อตัวขึ้นในอกซ้าย ซุนซีไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่คิดว่าคงเป็นความหงุดหงิดที่อวี้จินเอาเวลาที่ควรใช้ทำงานมานั่งเล่นดนตรีกับแขก บรรเลงเพลงเหมือนในโลกมีเพียงแต่พวกเขาสองคน

   เห็นไหม ความไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่นี้ช่างน่าหงุดหงิดนัก!

   เขาเดินเงียบเชียบเข้าไปวางถาดชุดน้ำชา อวี้จินหยุดเป่าเซียวแล้วแต่หญิงสาวคนนั้นยังดีดเครื่องดนตรีคลอให้จังหวะอยู่ ใบหน้านางงดงามเหมือนหยกเกลี้ยงคิ้วโก่งราวคันศร เมื่อระบายด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ยิ่งขับให้ดูงดงามนัก

   ไม่รู้อวี้จินนึกอย่างไรถึงได้เอ่ยทัก “มานั่งนี่สิชิวเหลียน”

   ซุนซีส่ายศีรษะหวือ เอาแต่ก้มหน้าก้มตามองถ้วยชาไม่มองหน้าคนพูด “ข้าแค่เอาชามาส่งเจ้าค่ะ”

   “ท่านนี้คือเมิ่งฮูหยินงั้นหรือ” สตรีนางนั้นหันไปเอี้ยวตัวถามอวี้จิน เสียงนางหวานหยดนัก ฝ่ายเจ้าบ้านพยักหน้ารับครั้งหนึ่งนางถึงหยุดมือจากเครื่องดนตรี รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้างดงามนั้น “เสียมารยาทแล้ว เมิ่งฮูหยิน ข้าคงต้องขอยืมตัวสามีท่านสักครู่ เขาเป็นเพื่อนคุยที่ดีทีเดียว”

   “เชิญแม่นางตามสบายเถิด เขาจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะไปสั่งห้าม” ซุนซีพูดห้วนๆ พลางเหลือบมองอวี้จินด้วยหางตา

   อวี้จินยังนั่งทำไม่รู้ประสาอยู่อย่างนั้น ได้ยินเสียงหัวเราะรื่นหูดังมาจากสตรีงดงาม นางเอาแขนท้าวกับพื้นพลางขยับโน้มไปกระซิบข้างหูอวี้จินประโยคหนึ่ง เบาจนซุนซีจับใจความไม่ได้ว่ากล่าวอะไร เขารู้แต่ว่าตัวเองกำลังเผลอเม้มริมฝีปากแน่น ถึงไม่รู้ว่าคุยอะไรแต่อวี้จินมองหน้านางอยู่เนิ่นนานก่อนจะละสายตามาหาเขา อยู่ห่างกันเท่านี้ยังได้กลิ่นน้ำอบประทินผิวจากกายสตรีนางนั้นหอมโชยมาต้องจมูก

   “ชิวเหลียน มานั่งฟังแม่นางเติ้งดีดพิณ” คำพูดสั้นๆ เป็นเช่นคำสั่งจากเบื้องบน ซุนซีไม่พูดแต่ส่ายหน้าระรัว

   อวี้จินไม่เคยให้ใครชิดใกล้อย่างนั้นมาก่อน กระทั่งเขาก็ไม่เคย แล้วทำไมเขาต้องมานั่งดูชายหญิงพลอดรักกันด้วย

   ความรู้สึกที่ว่าทั้งคู่ดูเหมาะสมกันดีตีรื้นขึ้นมา อวี้จินพูดอะไรอีกสองสามคำแต่เขาไม่ทันฟัง ได้ยินแต่แม่นางเติ้ง แม่นางเติ้ง พูดด้วยสำเนียงหวานละไม

   ลำพังชายหญิงก็เข้าคู่กันดีอยู่แล้ว

   น้ำตาพลันกลิ้งหยดลงบนแก้มซูบ ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันในความเงียบ แม่นางเติ้งเอามือปิดปากสีหน้าประหลาดใจ

   “...ข้านึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องที่ทำค้างไว้ ขอตัวก่อน” ซุนซีไม่ได้สังเกตว่าแม่นางที่นั่งอยู่ใกล้อวี้จินทำอะไรอีกเพราะหันหลังเดินจากมาแล้ว กวดฝีเท้าหนีออกห่างจากศาลาได้ไกลเท่าไหร่ยิ่งดี

   นอกจากดวงตาร้อนผะผ่าวในอกเขายังเหมือนถูกข่วนด้วยกรงเล็บที่มองไม่เห็น มันบีบรัดจนปวดเหลือคณา ซุนซีไม่รู้ว่าตัวเองเดินไปทางใดได้ไกลแค่ไหนจนต้องหยุดฝีเท้าเมื่อมีใครคนหนึ่งฉุดแขนเขาไว้

   เป็นอวี้จินที่ควรจะอยู่ที่ศาลา ควรเล่นดนตรีกับแม่นางเติ้ง

   “ชิวเหลียน” อวี้จินเรียกสั้นๆ น้ำเสียงคล้ายคนหมดแรง

   “อะไรหรือ?” ซุนซีมองหน้าคนเรียกด้วยแววตาเฉยเมย แก้มยังเปียกไปด้วยน้ำตา ดูท่าจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอร้องไห้

   ฝ่ายคนมีคดีความพยายามอธิบาย “ชิวเหลียน แม่นางเติ้งเป็นแค่เพื่อนดื่มน้ำชา ไม่มีอะไรเกินเลยกว่านั้น วันนี้นางแวะมาเยี่ยมถึงได้ให้การต้อนรับ”

   “ข้าเข้าใจ”

   เสียงถอนหายใจดังมาจากเหนือศีรษะซุนซีครั้งหนึ่ง จู่ๆ มือขวาเขาก็ถูกกอบกุมและยกขึ้นสูง มันถูกยกขึ้นมาวางบนอกซ้ายของอวี้จิน ข้างใต้เสื้อผ้าชุดหนามีอกแกร่งและหัวใจที่เต้นไม่เป็นระส่ำในนั้น ...ซุนซีไม่อาจรับรู้ได้ ไม่เช่นนั้นก็ไม่อยากจะรับรู้

    อวี้จินพูดเสียงอ่อน “อย่างนั้นเหตุใดเจ้าถึงร้องไห้?”

   ซุนซีขมวดคิ้วมุ่น เขาใช้มืออีกข้างเช็ดแก้มก่อนจะตกใจเมื่อเห็นว่ามันเปียกไปด้วยน้ำตา “...” ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น เบนสายตาหนีอวี้จินไปอีกทาง ความรู้สึกสับสนก่อตัวขึ้นในหัวใจ

   สองวันให้หลังแม่นางเติ้งก็ส่งเครื่องหอมชั้นดีฝากมาให้เป็นการขอโทษ นางยังฝากจดหมายน้อยเขียนด้วยลายมือตัวบรรจงมาอีกว่าวันนั้นนางนึกสนุกเล่นเกินเลยไปหน่อย ไม่วายกำชับว่าระหว่างพวกเขาสองคนไม่มีอะไรต่อกัน

   อ่ายซวนเล่าให้ฟังอีกเสียงหนึ่งว่าแม่นางเติ้งเป็นเพียงเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของใต้เท้าเท่านั้น ฝีมือดีดกู่เจิ้งของนางไม่เป็นสองรองใครอ่ายซวนเองยังเคยมีโอกาสไปนั่งฟัง ว่ากันว่าคนรักของแม่นางเติ้งเสียชีวิตไปนานแล้วและแม่นางก็ถูกอ๋องน้อยทาบทามมาเป็นอนุแต่ปฏิเสธไป ทว่าอ๋องน้อยก็ยังไม่ยอมรามือจนได้รับความช่วยเหลือจากอวี้จินถึงได้สนิทกันมานับแต่นั้น

   ซุนซีใช้เวลาสองวันนับตั้งแต่วันที่พบแม่นางเติ้งทบทวนความรู้สึกตัวเอง บ่อยครั้งที่เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เขาจะเผลอกุมมือขวาที่เคยสัมผัสอกอวี้จินขึ้นมาทุกที

   เขาว่าเขารู้จักความรู้สึกนี้ดี...เพียงแต่มันช่างยากจะยอมรับ



   เป็นภรรยาหลวงต้องมีหน้าที่ดูแลการเงินและความเรียบร้อยภายในบ้าน แต่ความที่อาศัยอยู่จวนศาลาว่าการซุนซีแทบไม่ต้องแตะอะไร ว่างเสียจนตอนนี้มาเดินเตร่ไปเรื่อย

   วันนี้เขานึกครึ้มเดินเข้าไปในห้องหนังสือ อยู่ในจวนมานานแต่นับเป็นครั้งแรกที่เขามาเยือนห้องนี้ สิ่งแรกที่รู้สึกคือกลิ่นดอกโม่ลี่ฝังลึกอยู่ในตัวเรือนบ่งบอกว่าเจ้าของห้องดื่มชาดอกโม่ลี่บ่อยแค่ไหน ข้างของทุกอย่างจัดเป็นระเบียบและปราศจากสิ่งของตกแต่งนอกจากภาพแขวนภาพหนึ่งที่เขียนบทกลอนเอาไว้

   เขาเดินเข้าไปตรงชั้นหนังสือ ไล่สายตาดูหน้าปกที่เกี่ยวกับกิจการบ้านเมืองไม่ก็เป็นข้อกฎหมายไม่ชวนอ่านนัก บนชั้นวางล้วนแต่เป็นของที่เกี่ยวข้องกับงานราชการทั้งสิ้น

   บนโต๊ะมีกระดาษเขียนงานเรียงเป็นตั้งทับไว้ด้วยหินก้อนหนึ่ง ส่วนหนังสือเป็นเล่มวางซ้อนเป็นระเบียบอยู่ที่มุมหนึ่ง อีกมุมเป็นแท่นแขวนพู่กันกับเครื่องเขียนเตรียมเอาไว้พร้อม

   สิ่งที่เรียกความสนใจเขาได้คือลายมือเป็นระเบียบบนหน้ากระดาษ ลายเส้นมั่นคงเหมือนนิสัยเจ้าตัว ...แต่มีบางอย่างไม่ถูกต้อง ไม่ใช่เนื้อหาแต่เป็นความรู้สึกที่ไม่ถูกต้อง

   มือซุนซีแตะลงบนข้อความเหล่านั้น ลายมือช่างคล้ายใครบางคนที่เขารู้จักดี เป็นลายมือของยิงฉู่หยุนเจ้าของจดหมายที่เขาเพียรตอบมาหลายปีไม่ผิดแน่

   แววประหลาดใจฉายบนใบหน้าเขา แต่ก่อนจะได้ทันคิดอะไรเจ้าของห้องก็ก้าวยาวๆ เข้ามาเสียก่อน

   อวี้จินเลิกคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าซุนซี คนปากหนักไม่เอ่ยถามอะไรนอกจากเดินไปหยิบหนังสือที่ชั้นวาง เป็นฝ่ายซุนซีเสียเองที่ยืนกระอักกระอ่วนอยู่อย่างนั้น

   “ท่านคือยิงฉู่หยุน?” เขาลองเอ่ยถามไป ฝ่ายนั้นตอบมาเพียงเสียงอืมในลำคอ ซุนซีรู้สึกเหมือนจะเป็นลม “แล้วท่าน...ท่านรู้...”

   “ข้ารู้ว่าคนที่ตอบจดหมายคือเจ้าตั้งแต่ที่เจ้าเขียนจดหมายไปหาคนในสำนักคุ้มภัยแล้ว” อวี้จินพูดเหมือนเป็นเรื่องทั่วๆ ไปพลางหยิบหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง

   ใบหน้าซุนซีซีดเผือด “แล้วท่านไม่โกรธข้าหรือ?”

   อวี้จินเดินมาแวะเคาะหนังสือในมือลงบนศีรษะของซุนซี รอยยิ้มเบาบางปรากฏบนใบหน้า “โกรธเรื่องอะไร?”

   คนโดนฟาดด้วยหนังสือมองรอยยิ้มนั่นค้าง พูดด้วยเสียงเบาหวิว “...แต่ข้าตอบแทนเซี่ยเหมยมาตลอด”

   “ไม่เห็นเป็นไร”

   “แต่--“

   “ข้ารักเจ้ามาตั้งแต่ที่เราคุยผ่านจดหมายกันแล้ว” พูดจบอวี้จินก็กระแอมไอครั้งหนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป

   ซุนซีอ้าปากค้างไม่รู้จะตอบอะไร นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายบอกว่ารักเขา บอกรักแล้วเดินหนีไปเป็นเรื่องง่ายๆ อย่างนี้เลยหรือ!

   แล้วเขาจะทำอะไรได้นอกจากยืนหน้าแดงก่ำอยู่ตรงนี้เล่า!



   การเก็บงำความลับก็เป็นเหมือนการตีตัวออกห่าง อึดอัดจนจะตายเสียให้ได้ ความลับเหล่านี้ยิ่งหนักอึ้งขึ้นเรื่อยเมื่อเวลาผ่านนานเข้า ซุนซีตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะรีบสารภาพในเร็ววัน หากจะติดปัญหาอะไรบุรุษตัวเล็กก็คงได้แต่ร่ำๆ ในใจว่าคงติดที่ผู้ฟัง

   ยามอวี้จินว่างจากงานเอกสารครั้งหนึ่งคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค แต่ละเรื่องก็เป็นหัวข้อสัพเพเหระ เวลาซุนซีพูดสิ่งใดชายผู้นั้นก็ตั้งใจฟังไม่แสดงท่าทีเหนื่อยหน่าย ดวงตานิ่งสงบเหมือนหยกเกลี้ยงคู่นั้นมักจะมองคล้ายรอให้เขาเอ่ยปากเล่า นั่นทำให้เขาลังเลได้ประการหนึ่งแล้ว

   อีกสิ่งที่ซุนซีต้องยอมรับคือความเงียบระหว่างพวกเขานั้นสุขสงบและปราศจากความรู้สึกอัดอัด แค่ได้นั่งอยู่ด้วยกันเฉยๆ บางครั้งคั่นด้วยเสียงพลิกหน้ากระดาษหนังสือก็เป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์ดีแล้ว

   ท่านเจ้าเมืองนอกจากนิยมบรรยากาศเงียบสงบยังชื่นชอบการดื่มชามาก เช่นนี้ยามว่างเวลากลางวันเมื่อเรียกตัวเขาให้มานั่งเป็นเพื่อน อวี้จินจะปิดบทสนทนาด้วยการนั่งทอดหุ่ยละเลียดชาไปเรื่อย บางครั้งหากมีอารมณ์สุนทรีมากหน่อยก็ยกเอาขลุ่ยขึ้นมาเป่า เมื่อเห็นอย่างนั้นก็ทำนายได้ว่าซอเอ้อหูคงวางอยู่ใกล้ๆ มุมใดสักแห่ง

   ด้วยเหตุทั้งปวงนี้ซุนซีจึงผลัดวันไปเรื่อยอยู่เสมอ เขาตั้งใจจะบอกความจริงครั้งใดบรรยากาศก็ดีเสียจนเด็กหนุ่มทำลายไม่ลงได้ทุกคราว บุรุษตัวเล็กกล่าวกับตนเองอย่างขยันขันแข็งว่าเขามีความตั้งใจจะบอกความจริงแล้ว เพียงแต่วันนี้ยังไม่เหมาะสม เป็นพรุ่งนี้น่าจะดีกว่า -- ผลัดเอาไว้ครั้งหน้า ครั้งถัดไป จนสุดท้ายเวลาก็ล่วงไปอีกเดือน

   เดี๋ยวนี้วันดีคืนดีอ่ายซวนจะกระเตงเอาลูกชายมาด้วย นางแบกท้องอุ้ยอ้ายเดินเหินคล่องเสียจนน่าเป็นห่วง ส่วนเสี่ยวม่านเด็กซนคว้าของเล่นได้ก็วิ่งออกไปนั่งที่ลานกว้างทั้งวัน อาจารย์ที่สอนเขาก็ดูแปลกไป ช่วงหลังนี้ก่อนเวลาเข้าสอนซุนซีมักเอาตำราไปขอคำปรึกษาทว่าบ่อยครั้งที่เห็นอาจารย์มองมาที่เขาด้วยสายตานึกเสียดาย นานครั้งเข้าความสงสัยก็เอาชนะมารยาทในตัวเขาได้

   “...ซือจุนมีอะไรหรือขอรับ” เขาถามในสายวันหนึ่ง วางมือจากการอ่านตำราเล่มล่าสุดที่ได้รับ

   จูเหรินเฒ่านิ่งเงียบไป รอยยิ้มทีเล่นทีจริงปรากฏบนใบหน้าท่าน

   “เหวยซือ แค่คิดว่าหากเจ้าเป็นผู้ชายก็คงดี เหวยซือคงได้มีลูกศิษย์เป็นขุนนางกับเขาอีกสักคน”

   คราวนี้เป็นซุนซีที่เงียบเสียเอง เขายิ้มเฝื่อนก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านตำราในมือต่อ โอกาสอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้นเองหรอกหรือ ถ้าเพียงเขาเป็นผู้ชายเรื่องคงง่ายกว่านี้ -- แต่ก็เท่านั้น เป็นผู้ชายย่อมหมายความว่าพ่อบ้านสำนักคุ้มกันผู้นั้นไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือสูงอย่างที่ภริยาเจ้าเมืองได้เรียน

   ย่ำเย็นแล้ววันนี้ถึงได้มีโอกาสกินข้าวพร้อมหน้ากับอวี้จิน ซุนซีพุ้ยตะเกียบคุ้ยข้าวเข้าปากในความสงบไร้เสียงพูดคุย ความคิดไม่ยอมตกตะกอนนี้แสดงให้เห็นเด่นชัดจนกระทั่งชายผู้ไม่สนใจอะไรอย่างอวี้จินยังมองด้วยสายตาแปลกไป

   เนื้อชิ้นโตถูกคีบวางบนชามข้าวซุนซี เขาเงยขึ้นมองคนมีน้ำใจหายากด้วยแววตานึกฉงน

   “หากเรียนหนักนักก็พักสักสามวัน” อวี้จินพูดโดยไม่มอง

   ซุนซีพักตะเกียบ อ้าปากพะงาบๆ เป็นปลางับอากาศอยู่สองสามครั้งก็ก้มหน้าก้มตากินชิ้นเนื้อชิ้นนั้น กระอ้อมกระแอ้มเสียงขอบคุณได้ไม่ทันไรก็โดนถามเสียก่อน

   “เจ้าพูดว่าอะไร?” คนถามจ้องหน้าเขาเขม็ง จากประกายในดวงตาสุกใสนั่นก็พอรู้แล้วว่าเมื่อครู่ได้ยินชัดเจนดี

   “...” ซุนซีตีหน้านิ่ง ส่ายศีรษะลูกเดียว

   “พูดว่าอะไร พูดให้ชัดๆ อีกที”

   “...ขอบคุณ”

   “เสียงเบานัก”

   “ขอบคุณ! ข้าบอกว่าขอบคุณ ขอบคุณ”

   เสียงหลุดหัวเราะพรืดดังมาจากด้านหลัง ซุนซีหันกลับไปมองตาเขียวใส่อ่ายซวนถึงได้ยอมเงียบ เขาเอาตะเกียบจิ้มกระแทกชามเสียงดังเคร้งให้หายแค้นถึงได้กินข้าวต่อทั้งหน้ามุ่ย ไม่สนอวี้จินที่อมยิ้มแก้มตุ่ยจนหน้าเข้มทะมึนดูครึ้มลงอีกหลายส่วน มารยาทสะกดว่าอย่างไรหรือ เขาลืมไปแล้ว!

-------------

ลงช้าไปวันนึงค่ะ / - \ แหะๆ
ทุกคนคะ เราอยากปามีม 'ฉันละเกลียดเด็กเซ้นส์ดีอย่างเธอจริงๆ' ให้จังเลยค่ะ5555555555

ที่คุณเพียงเพื่อนถามไว้ คำตอบเรื่องคนในจดหมายเฉลยแล้วนะคะ แต่ทางบ้านรู้มั้ยจะพูดถึงทีเดียวค่ะ รอก่อนน้า
ส่วนที่ถามว่าคนตอนเด็กมั้ย ก็.. ใบ้ว่าคนตอนเด็กเคยโผล่มาในท้ายบทที่ 1 แล้วค่ะ อีกอย่างนึง หลายปีที่แล้วเค้ามาสอบอะไรกันนะ!

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ลุ้นให้บอกความจริง

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
55555 โอ้ยถามตอนที่แล้วตอนนี้เฉลยบางส่วนพอดี สงสัยต้องขอตัวไปเป็นหมอดูแล้วค่ะ  :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 19

   ย่ำค่ำแล้ว อากาศก็เย็นลงหลายส่วน หมู่นกบินกลับเข้ารังเสียงเจื้อยแจ้วเมื่อยามเย็นก็เบาลงโข ซุนซีนั่งดื่มชาทานขนมอยู่ในห้อง แปลกที่คืนนี้ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ เขาพลิกซ้ายพลิกขวาอยู่นานจนต้องลุกขึ้นมาหาอะไรดื่มให้โล่งคอ ก็มีแต่ชากาเก่าที่เย็นจนชืดแล้วเท่านั้นที่เป็นเพื่อนยามค่ำให้เขาได้

   ซุนซีจิบรสเฝื่อนขมลงคอ หยิบเอาขนมเปี๊ยะทานตามไปอีกครึ่งชิ้นก็ปัดมือปัดหน้าตักให้เศษขนมหล่น ชายหนุ่มเดินเชื่องช้าไปคว้าเอาเสื้อคลุมขึ้นสวม ก้าวเท้าออกพ้นธรณีประตูได้ก็ย่ำเอื่อยระเรื่อยไปตามทาง

   สองเท้าพาเขามาหยุดที่หน้าห้องเดิมที่เคยพบอวี้จินเมื่อนานมาแล้ว ทว่าค่ำนี้ไม่มีเสียงขลุ่ยอย่างเคย ซุนซีหยุดฝีเท้าก่อนจะทันถึงกรอบประตู โน้มตัวลอบมองเข้าไปข้างในด้วยใจหวังว่าจะมีใครสักคนที่เขารู้จักนั่งทอดหุ่ยอยู่ในนั้น หัวใจชายหนุ่มพองโตเมื่อพบว่าคนที่คิดไม่ได้ไปไหนไกลแต่นั่งที่ตั่งริมหน้าต่างตัวเดิม มีจอกเหล้าอยู่ในมือข้างหนึ่ง

   อวี้จินเอ่ยถามผู้มาเยือนยามค่ำ “นอนไม่หลับหรือ?”

   ฝ่ายถูกถามไม่ได้ตอบอะไรแต่เดินตรงเข้าไปข้างใน รู้สึกอุ่นกายจากเตาพกที่ตั้งอยู่กลางห้องจนนึกอยากถอดเสื้อคลุมออก ซุนซีเดินไปที่ตั่งก่อนชั่งใจว่าจะนั่งดีไหม เขายืนลังเลอยู่อย่างนั้น

   “...” ผู้มาใหม่เงยมองออกไปนอกหน้าต่างบานโต จ้องจันทร์ราวกับว่ามีอะไรน่าสนใจนักอยู่ในนั้น นานเสียจนเสียงวางถ้วยกับโต๊ะไม้ดังขึ้น และมือข้างหนึ่งของเขาถูกกอบกุมเอาไว้อย่างนุ่มนวล

   ซุนซีลดสายตาลงมองเจ้าของมือข้างนั้น อวี้จินจ้องตอบเขาด้วยแววตาสงบนิ่ง ..ราวกับคำพูดมากมายไหลผ่านตัวเขาไป ซุนซีเผยอริมฝีปากค่อยพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

   “ข้า..” ความรู้สึกปวดแปลบวิ่งเข้าที่อกซ้าย คิ้วซุนซีลู่ลง มือข้างที่ยังว่างยกขึ้นลูบมันเบาๆ หวังว่าจะช่วยบรรเทา

   “ไม่เป็นไร เจ้าไม่จำเป็นต้องพูด”

   มีเรื่องอยากจะบอกท่านเจ้าเมืองคนนี้ แต่เมื่อปรากฏอยู่ต่อหน้าแล้วกลับไม่นึกอยากพูด วันนี้อวี้จินสงสัยจะกินอะไรผิดสำแดงถึงได้จับมือเขาไว้ไม่ยอมให้ไปไหน ซุนซีเม้มริมฝีปากอย่างอดกลั้น...แม้จะไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร

   เสียงกระดิ่งลมไกวเบาๆ คลออยู่ในความเงียบ ไม่นานอวี้จินก็เงยขึ้นมองเขาด้วยดวงตาซื่อตรง

   “นั่งเป็นเพื่อนข้าก่อน”

   “อย่าเลย”

   อวี้จินพูด “ข้าอยากคุยกับเจ้า”

   ซุนซีมองหน้าคู่สนทนาก่อนค่อยๆ ถัดตัวลงนั่งไม่ใกล้ไม่ไกล มือที่ถูกกุมไว้เช่นไรยังอยู่เช่นนั้น

   “ข้าไม่ใช่เพื่อนคุยที่ดีนัก ให้อยู่คุยด้วยคงรบกวนเวลาท่านเปล่าๆ” เขาว่าตรงๆ กล่าวออกมาจากใจไม่มีวี่แววตัดพ้อ

   อวี้จินนิ่งไปนาน ดวงตาคู่ดุดันปรือผ่อนคลายเมื่อยามมองใบหน้าคู่สนทนา “ไม่ดีเมื่อเทียบกับใครเล่า ในเมื่อเจ้าไม่เหมือนหญิงอื่นที่ข้าเคยรู้จัก”

   ได้ยินดังนี้ซุนซีจึงได้แต่เถียงในใจ เรื่องนี้ย่อมแน่อยู่แล้ว จะเหมือนหญิงอื่นได้อย่างไรในเมื่อเขาเป็นบุรุษ – ทว่าเรื่องนี้อวี้จินคงไม่รู้

   อวี้จินเอ่ยเสียงละมุน “เจ้ามองโลกไม่เหมือนผู้อื่น มีหลายครั้งที่ข้านึกสงสัยว่าสิ่งต่างๆ ที่เจ้าเห็นมันเป็นอย่างไร ...โปรดรู้ไว้เถิด คุยกับเจ้าข้าไม่เคยเบื่อเลย”

   แสงจันทร์ในจอกวูบไหว ความเงียบโรยตัวไร้คำพูดใดแต่กลับไม่อึดอัด ..กลิ่นไม้หอมอวลมาจากสวน อากาศเย็นนัก แต่ใบหน้าคนคนหนึ่งกลับขึ้นสีสุกปลั่งในความมืด

   “...เช่นนั้น...ถ้าท่านไม่นึกรำคาญก็ดี” คนถูกชมเอ่ยกระอ้อมกระแอ้ม ได้แต่โทษจันทร์ที่ทำให้เขาวางตัวแปลกไป หัวที่เคยคิดคำพูดลื่นไหลก็กลับว่างเปล่า

   อวี้จินเหยียดตัวเอนหลังพิงกำแพง ในความมืดนิ้วซูบผอมเอื้อมไปเกี่ยวมือแข็งแรงนั่นไว้อย่างขัดเขิน อวี้จินไม่กล่าวอะไร มีเพียงมือกร้านที่พลิกกุมไว้แน่นต่างคำพูด ซุนซีเลี่ยงไปยิ้มให้ท้องฟ้าอย่างที่ไม่เคยทำมาเนิ่นนาน แพขนตาปรือพริ้ม อากาศเย็นลงเรื่อย หากเพียงสัมผัสจากฝ่ามือกลับรู้สึกอุ่นไปทั้งกาย

   ...เห็นทีจันทร์ค่ำนี้จะส่งแสงนวลทอประกายสวยยิ่งกว่าครั้งใด



   อู๋ก่วนจงเป็นรักแรกและเป็นรักที่สอนให้รู้ถึงความหวังดีโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ช่วงเวลาที่อยู่สำนักคุ้มภัยด้วยกันแม้จะวุ่นวายทว่าเป็นสุข

   เขาเคยคิดจะไม่มองชายอื่นตลอดชีวิต ด้วยรู้ดีว่าคนที่เป็นอย่างตนจะหาใครตอบแทนความรักนั้นเป็นเรื่องยาก – แต่สุดท้ายพรหมลิขิตก็เปลี่ยนทุกอย่าง กับอวี้จินแม้จะคอยทำอะไรขัดใจอยู่บ่อยๆ และถึงจะมีข้อบกพร่องไม่ได้เป็นคนที่สมบูรณ์พร้อม แต่ก็เป็นคนที่เขารักถึงขั้นปรารถนาจะใช้ชีวิตร่วมกัน

   จากบ้านมาความคิดเขาเปลี่ยนไปหลายด้าน ที่น่าตลกคือจนบัดนี้อวี้จินยังไม่เคยทำอะไรเขามากไปกว่าสวมกอด -- กอดที่ทำแต่เพียงโอบตัวไว้ ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น

   การกระทำอย่างสุภาพบุรุษมากจนผิดปกตินี้ แม้น่าโล่งใจแต่ชวนให้รู้สึกโหวงอย่างน่าประหลาด ที่แน่ชัดในเวลานี้มีก็แต่ความปรารถนาของซุนซีที่ตีกับสำนักพึงกระทำยุ่งเหยิง

   อ่ายซวนที่นั่งเย็บผ้าอยู่ด้วยกันจับสังเกตใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวซีดมานาน ในที่สุดบ่าวแสนดีก็เอ่ยขัดคนใช้ความคิด "...นายหญิงเปลี่ยนใจเรื่องยาบำรุงกำลังรึยังเจ้าคะ"

   "ยาอะไรอีกอ่ายซวน พูดจาเลอะเทอะ" คนฟังนิ่วหน้า แค่ได้ยินก็ปวดหัวแล้ว

   "พิโธ่! จนป่านนี้ยังไม่ถึงไหนคงต้องพึ่งยาวิเศษของข้าแล้ว นายหญิงยังทำเขียมอายเมื่อไหร่ข้าจะได้ช่วยเลี้ยงนายน้อยสักที" แม่สาวน้อยเจ้ากี้เจ้าการเกินตัว นางว่าพลางวาดมือประกอบไปพลาง "เชื่อข้าเถอะเจ้าค่ะ ดื่มแค่สองถ้วยรับรองสามวันไม่ออกจากห้อง"

   "พอเลย... ถ้าเจ้าว่างคิดอะไรไร้สาระก็มาช่วยข้าเย็บเสื้อหนาว"

   ซุนซีไม่ตัดบทเปล่ายังยกเอาตะกร้าเย็บปักมาตั้งคั่นกลาง ดูจากท่าทางขะมักเขม้นจากนี้ใครจะพูดอะไรเขาคงทำหูทวนลม

   แต่หากถามว่าสาวใช้อันดับหนึ่งจะยอมแพ้หรือ "ไม่รู้ละ ข้าจัดยามาให้ท่านชุดหนึ่งแล้วนะเจ้าคะ" นางลอยหน้าลอยตาพูด มือยังสอยด้ายไม่หยุด

   "...ข้าขอเถอะซวนเอ๋อร์" คนเป็นนายปรามเสียอ่อนใจ เริ่มนึกสงสัยว่านี่สาวใช้หรือญาติฝั่งแม่สามีปลอมตัวมา

   อ่ายซวนหัวเราะคิกคักเหมือนสนุกที่ได้แกล้งเจ้านายตัวเอง มองหน้านางแล้วก็นึกอ่อนใจ อดยิ้มหน่ายน้อยๆ อย่างนึกทั้งรักทั้งชังไม่ได้ ก็ถ้าเขามีลูกได้ป่านนี้คงไม่รอให้ถึงมือนางหรอก อวี้จินก็อวี้จินเถอะ รับรองได้ว่านอนแยกห้องกันตั้งแต่คืนแรก!



   รองเท้าที่คุณชายใต้เท้าสั่งเอาไว้เสร็จนานแล้วแต่ซุนซียังไม่แน่ใจนักว่ามันสวมได้พอดีหรือไม่ เขาลงทุนเอารองเท้าคู่เก่าของอวี้จินมาวัดอย่างละเอียด มั่นใจถึงเจ็ดส่วนว่าน่าจะสวมได้อย่างน้อยก็หลวมแค่นิดหน่อย ทว่าเพื่อความมั่นใจสุดท้ายก็ต้องเอาให้ใต้เท้าหน้าทะมึนคนนั้นลองสวมดูสักที

   วันนี้เขาถึงบากหน้ามานั่งรออวี้จินถึงห้องรับรองในจวนตั้งแต่สายๆ จนใกล้ตกบ่าย เมื่อพบเงาร่างสูงใหญ่เข้ามาจึงวางถ้วยชาคว้ารองเท้ามากำแล้วยืนรอ ท่านเจ้าเมืองที่เพิ่งปลีกตัวมาจากงานในศาลเห็นเข้าก็มองอยู่นาน

   อวี้จินเอ่ยทัก “มารอนานแล้วหรือ?”

   ซุนซีส่ายศีรษะ มาถึงก็พูดเข้าเรื่อง “ไม่นานเจ้าค่ะ ท่านพอมีเวลาว่างสักหน่อยหรือไม่ ข้าอยากให้ท่านลองรองเท้า หากสวมได้ไม่พอดีข้าจะได้นำไปแก้”

   ท่านเจ้าเมืองดูประหลาดใจแต่ก็แค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น ซุนซีได้แต่คิดว่าสงสัยจะลืมไปแล้วว่าเคยสั่งอะไรเขาไว้ เมื่อส่งรองเท้าให้อวี้จินก็รับมาพลิกซ้ายพลิกขวาดูครู่หนึ่ง ไหมสีขาวสะท้อนแดดขึ้นลายเมฆเป็นมันวาวบนรองเท้าผ้าลินินเนื้อดี ดูก็รู้ว่ารองเท้าราคาถูกมีราคาขึ้นมาได้เพราะลวดลายปักไหมเรียบง่ายทว่าละเมียดบรรจง

   ซุนซีอดลุ้นไม่ได้ว่าจะมีคำชมสักคำจากปากคนยิ้มยากตรงหน้า แน่ล่ะว่าได้แต่เพ้อฝันไปเท่านั้นเพราะแม้แต่รอยยิ้มเดียวก็ไม่มี อวี้จินย้ายไปนั่งเก้าอี้ใกล้ๆ วางรองเท้ากับพื้นแต่ก่อนตั้งท่าจะสวมก็หันมากวักมือเรียกเขา

   “มานี่” อวี้จินออกคำสั่ง เมื่อซุนซีขยับเข้าไปยืนห่างไปไม่ถึงเก้าชุ่น ก็เรียกให้เข้าไปใกล้อีก ใกล้จนยืนตัวติดที่วางแขนเก้าอี้แล้วก็ยังเรียกไม่หยุดปาก

   ซุนซีมองหน้าคนช่างสั่งอย่างติดจะฉุนๆ จะให้เขาเดินไปถึงไหน! แต่คิดได้ไม่ทันไรแขนแข็งแรงข้างหนึ่งก็คว้าเอาเอวซุนซี ดึงเขาตัวลอยหวือไปนั่งบนตัก

   “ท่าน!” ซุนซีพูดไม่ออกร้องประท้วงไม่ถูก อ้าปากค้างเป็นปลางับอากาศอยู่อย่างนั้น

   “มาดูใกล้ๆ จะได้เห็น” อวี้จินลอยหน้าลอยตาอ้างไปเรื่อย ขยับสองขาใส่รองเท้าเหมือนน้ำหนักตัวคนบนตักไม่เป็นผลอะไรกับเขาเลย

   อยู่บนเก้าอี้โยกเยกได้ซุนซีหน้าร้อนจนต้องเม้มปากแน่น เสียงใกล้ๆ หลังหูถามว่าเขาไม่มองแล้วจะเห็นหรือแต่ซุนซีไม่สนแล้ว เขาเอาแต่ส่ายศีรษะหวือไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ได้ยินเสียงหัวเราะต่ำๆ ในลำคอดังมายิ่งชวนให้โมโหหนัก แต่ถามว่าทำอะไรได้ – แม้แต่จะเอ่ยประท้วงยังไม่กล้า!



   นานวันกลิ่นดอกโบตั๋นจวนเจ้าเมืองยิ่งหอมตรึงใจชัดเจนกว่ากลิ่นดอกท้อที่สวนสกุลเมิ่ง เสียงป้าหม่าที่ดังเหมือนฟ้าผ่าก็เหมือนว่าเคยได้ยินครั้งสุดท้ายเมื่อนานปี มาถึงตอนนี้ซุนซีนึกภาพทุกอย่างได้ยากขึ้นทุกวัน

   เขาพาลคิดลามไปถึงเรื่องคุณหนูทั้งสองที่แต่งออกเรือนว่าคงรู้สึกเหงาเช่นนี้ ความคำนึงไหลไปเรื่อยดุจน้ำหลาก คนพลัดถิ่นระหว่างเย็บเสื้อใจฟุ้งซ่านไปไกล รู้สติอีกครั้งอ่ายซวนก็มานั่งปักผ้าที่ประจำแล้ว

   อ่ายซวนพูดอะไรไปเรื่อยไม่สนใจว่าใครฟังหรือไม่ฟัง ความคิดของนางเปล่งมาทางเสียง เรื่องเสี่ยวม่านบ้าง เรื่องอาหารการกินบ้าง บางครั้งเล่าความเป็นอยู่เพื่อนบ้าน มือก็สาวด้ายสอดเข็มปักผ้าในไม้สะดึง สาวใช้คนนี้ตั้งแต่อยู่กับเขามาฝีมือพัฒนาไปมาก ทั้งท้องนางก็อ้วนโตจนดูอุ้ยอ้าย ซุนซีประหลาดใจระคนละอาย เวลาว่างมีมากแต่เขาเพิ่งได้สังเกตว่าท้องแก่ใกล้ครบสิบเดือนเต็มที

   “นับแต่วันนี้ตกบ่ายเมื่อไหร่ให้กลับไปพัก ไม่ต้องอยู่ช่วยงาน” สิ้นคำสั่งอ่ายซวนก็เงยหน้ามอง หลังความประหลาดใจในดวงตามีแววยินดีแต่ยังอึกอักลังเล

   “ข้ากลับไปพอค่ำเล้วใครจะอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินล่ะเจ้าคะ”

   เจ้านายส่ายหน้า “อายุเท่านี้จำเป็นต้องมีคนเฝ้าเสียที่ไหน กลับไวเจ้าได้ไปหาเสี่ยวม่านไม่ดีหรือ”

   ยกเอาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาอ้างเป็นอันว่าได้ผลชะงัด แม่ลูกสองอิดออดว่าตนยังทำงานไม่คุ้มค่ายาบำรุงครรภ์ สุดท้ายทนคนเป็นนายคะยั้นคะยอไม่ไหวถึงได้ยอมแต่โดยดี

   ผ้าปักเก็บลงตะกร้าเรียบร้อยแล้ว อ่ายซวนอุ้มท้องยืนมั่นก็ก้าวเร็วเป็นม้าวิ่ง

   “ซวนเอ๋อร์เดินเหินระวัง!” ซุนซีร้องลั่น

   เจ้าของชื่อหันมายิ้มเผล่ที่หน้าประตู “แค่นี้เองเจ้าค่ะ แค่นี้เอง”

   ก็ไอ้แค่นี้เองของนางที่เล่นเอาหัวใจเขาจะหยุดเต้น ชายร่างเล็กเอาแต่ส่ายหน้าหลังอ่ายซวนเดินลับไปแล้ว รอยยิ้มน้อยๆ ผุดมาแทนที่สีหน้าเป็นกังวล

   มือผอมบรรจงวางทุกอย่างลงในหีบไม้สาน ผลักมันเข้ามุมด้วยท่าทีอ้อยอิ่ง เขานั่งเงียบๆ อยู่อย่างนั้น มองความว่างเปล่าเหมือนถูกหยุดเวลาเอาไว้



   ไม่เท่าไหร่ก็ต้นเหมันต์แล้ว เกล็ดหิมะตกลงต้องแสงวาววับอยู่ในอากาศ พอลมพัดก็หอบปลิวขึ้นฟ้าเหมือนละอองเกสรดอกไม้ เกล็ดสีขาวฟุ้งระยิบระยับเป็นประกาย ตกลงมาเป็นปุยนุ่นเบาแผ่ออกไปเหมือนพรมกำมะหยี่สีสะอาด

   อีกไม่นานพื้นหิมะตามทางเดินจะจับตัวกันเป็นแผ่นน้ำแข็งลื่นๆ เด็กรับใช้ในจวนจึงง่วนอยู่กับการกวาดไสหิมะ เมื่อครูดไถไม้ผ่านจึงปรากฏแผ่นหินเป็นสีเข้มตัดกันกับพื้นหิมะขาวโพลน ซุนซีเถลไถลออกนอกเส้นทาง จุ่มเท้าลงบนพรมนุ่มวาวแสง ใบหูขึ้นสีจากความเย็นคอยฟังเสียงกรอบแกรบยามพื้นยวบลงไปเป็นรอยรองเท้า เกล็ดใสเกาะอยู่ตรงปลายชุดก่อนจะละลายเปียกเป็นน้ำเย็นเฉียบทำเอาขอบผ้าระพื้นชื้นขึ้นสีเข้มเป็นทาง

   พื้นหลังหิมะตกมีกิ่งไม้แทงขึ้นมาเป็นหย่อมๆ เหมือนจุดหมึกกระเด็นเปื้อนบนกระดาษขาวเกลี้ยง ต้นไม้ใหญ่ไร้ใบมีก้อนสีขาวเกาะตามกิ่งก้านเป็นกลุ่ม ซุนซีจับด้ามร่มเป็นมั่นเหมาะก่อนจะเขย่าลำต้นสีน้ำตาลแก่ หิมะค้างต้นร่วงลงบนกระดาษร่มเป็นเสียงหนักๆ สักพักก็ไหลตามลาดลงกองพื้น

   เขาเก็บทุกรายละเอียดราวกับเป็นเรื่องสำคัญ จมูกแดงก่ำเริ่มรู้สึกแสบเพราะอากาศเย็น เวลาลมพัดมาทีหนึ่งเขารีบหดคอเป็นเต่าอยู่ในชุดหนา ใจคิดถึงไออุ่นเตาพกกับอาหารร้อนๆ ควันลอยส่งกลิ่นหอมฉุย

   หิมะที่หวงซานไม่เป็นเช่นนี้ มันให้ความรู้สึกต่างออกไป ซุนซีถึงอยากจะถนอมภาพเหล่านี้ไว้ในความทรงจำ

   เวลานี้อากาศหนาวเกินจะเรียนหนังสือเสียงเจื้อยแจ้วของพวกเด็กๆ ถึงได้หายไปจากจวนเจ้าเมือง พวกทหารก็อยู่ในชุดเสื้อคลุมกันลมสีเปลือกไม้เข้มดูแปลกตาไปอีกแบบ ซุนซีถึงจะชอบทิวทัศน์สวยงามของลานหิมะขนาดไหนก็ทนความหนาวอยู่ได้ไม่นาน ปลายนิ้วที่เย็นจนชาดิกแทบขยับไม่รู้สึก จมูกแดงๆ ก็เริ่มหายใจติดขัดเหมือนมีน้ำมูกใส

   เพราะอ่ายซวนไม่อยู่ซุนซีถึงได้ว่างออกมาเดินเล่นเอ้อระเหยไม่มีงานทำอย่างนี้ เขากระชับเสื้อคลุมให้แนบตัวอีกหน่อยเพื่อให้รู้สึกอุ่น ลมเย็นบาดผิวพัดมาอีกคราวเหมือนเร่งให้เขาต้องรีบออกเดิน ซุนซีก้าวไปเรื่อยๆ ตามทางในระเบียงใต้ร่มหลังคาที่ทอดยาวไปถึงสุดสายตา ทางเดินซีกหนึ่งขนาบด้วยสวนใต้กองหิมะชวนให้ยิ่งรู้สึกหนาว

   เสียงพูดคุยคุ้นหูดังมาจากห้องข้างหน้า ซุนซีลดฝีเท้าให้ช้าลง บทสนทนาคล้ายเป็นเรื่องสำคัญจึงไม่กล้ารบกวน เขาไม่ได้ตั้งใจจะมาแอบฟัง คนหนุ่มกำลังจะกลับหลังเดินไปทางเก่าแล้วแต่เป็นเพราะได้ยินอะไรเข้าเสียก่อนสองเท้าถึงได้หยุดเหมือนถูกแช่แข็ง

   “...ปล่อยไว้นานจะไม่เป็นอันตรายหรือขอรับ จ้าวลี่เฟิงกำเริบเสิบสานนัก หลักฐานว่ามันส่งอาวุธให้พวกโจรเคราเทาก็มากพอจะเอาผิดแล้วไม่ใช่หรือ”

   “ยังบุ่มบ่ามตอนนี้ไม่ได้”

   เขาเคยได้ยินเรื่องกลุ่มโจรของเคราเทาที่ใดสักแห่ง คงนานมากแล้ว...แต่ความรู้สึกแค้นคับอกที่เคยตกตะกอนก็คลุ้งขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงหน้าสหายที่ตายไป ซุนซีกำกระโปรงผ้าฝ้ายเอาไว้หลวมๆ ชื่อ ‘จ้าวลี่เฟิง’ หากจำไม่ผิดคงเป็นท่านอ๋องน้อยที่เคยมาร่วมงานมงคลสมรสของเขา

   ซิ่วหมินเดินมาไกลๆ ซุนซีรีบยกมือขึ้นแตะริมฝีปากเป็นเชิงให้เงียบเสียง คนหนุ่มมองเขาด้วยสีหน้าฉงนแต่ยอมทำตามโดยดี ฝ่ายสั่งให้เงียบจับแขนเสื้อทหารหนุ่มดึงให้ออกห่างจากห้องประชุมงาน ซิ่วหมินแม้จะสงสัยแต่ไม่กล้าถามอะไร พอพ้นมาได้สักระยะคนทำตัวลับๆ ล่อๆ ถึงยอมเปิดปากพูด

   ซุนซีกล่าว “เป็นอย่างไรไม่เจอกันนาน”

   นี่ออกจะน่าสงสัยอยู่สักหน่อยว่ามีเหตุอะไรต้องลากมาไกลเพื่อไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ แต่คนอย่างซิ่วหมินก็ใช่ว่าจะติดใจเอาความ รอยยิ้มกว้างอย่างนึกยินดียังปรากฏบนใบหน้าทหารหนุ่มอีกต่างหาก

   “สบายดีขอรับ ฮูหยิ—” ซิ่วหมินชะงักกลางคัน หัวเราะแหะๆ เสียงใส “ท่านล่ะขอรับ มีอะไรรึเปล่า”

   ซุนซีมองตำหนิคนเกือบพูดผิด เรียกอะไรได้แต่อย่ามาเรียกฮูหยิน เขาได้ยินแล้วอยากจะตีให้ตายคามือ

   “อาซิ่วมีเสื้อหนาวแล้วหรือยัง ข้าเย็บเอาไว้หลายตัวเจ้าจะแบ่งไปไหม?”

   ซิ่วหมินฟังแล้วหน้าซีด ปัดมือไม้เป็นพัลวัน “มิได้ๆ ข้ายังไม่อยากอายุสั้น ท่านเก็บไว้ให้ไต้เท้าใส่เถอะขอรับ”

   “...” คราวนี้เป็นซุนซีเองที่สับสน รับเสื้อเขาไปแล้วจะถึงกับอายุสั้นได้เชียวหรือ แต่ครั้นจะโกรธเจ้าคนทำหน้าแป้นเป็นลูกสุนัขก็ทำไม่ลงเสียด้วย

   ซิ่วหมินเอาแต่ยิ้มมองเขาแต่ไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก เดินไปคุยไประหว่างกลับไปที่เรือนชั้นในก็สนุกดีไม่น้อย เจ้าลูกสุนัขตัวโตคอยแต่จะทำหลังค่อมเวลาเดินคุยกับเขาไม่สมมาดนายทหารสักเท่าไหร่ ดวงตาเป็นประกายสุกใสมักจะจ้องมาที่ซุนซีบ่อยครั้ง เมื่อรู้ตัวว่าถูกมองตอบก็เอาแต่หัวเราะแหะๆ กลบเกลื่อน ดูไปแล้วก็เย็นตาเหมือนอยู่กับสัตว์เชื่องที่ตัวโข่งกว่าเขาอยู่สักหน่อย

   ซุนซีหยุดอยู่หน้าประตูที่พัก บอกให้ซิ่วหมินรอเขาก่อนระหว่างที่หายกลับเข้าไปข้างในห้อง เขากลับมาพร้อมห่อผ้าห่อโตฝากให้เอาไปส่งถึงมืออ่ายซวน คนรับยิ้มหวานจ๋อยขอบคุณซุนซีเสียยกใหญ่ ไม่นานแผ่นหลังกว้างของซิ่วหมินก็หายไปกับหัวมุมอาคาร ซุนซีเดินกลับเข้ามานั่งกลางห้องพัก ในความเงียบนั้นเหลือเพียงเขาตกอยู่ในห้วงความคิดลำพัง

   ซุนซีผุดลุกละเอาความรู้สึกหน่วงหนักทิ้งไปก่อนเดินออกจากห้อง แดดลอดซี่ไม้ผนังฉลุลายทาบร่างเล็กสองเท้าก้าวยาวตามทางเดิน เขาเปิดประตูห้องเขียนหนังสือด้วยความระมัดระวัง บุรุษในชุดสตรีค้นเอกสารจากกองหนึ่งสู่อีกกอง ปรารถนาจะพบสิ่งที่รั้งท่านเจ้าเมืองให้ต้องอยู่จนย่างเข้าฟ้าสางได้ทุกคืน ของสำคัญอวี้จินต้องเก็บเป็นอย่างดีแน่ แต่อาจมีอะไรที่เจ้าตัวมองข้าม ...เช่นกล่องเก็บปิ่นทับทิมที่ได้เป็นของขวัญวันแต่งงาน

   คิดได้ก็ลงมือทันที เขาอ้อมไปที่หีบเก็บของอีกฟากหนึ่ง ค้นอยู่ไม่นานก็เจอกล่องไม้แกะสลักที่ว่า ซุนซีเป็นคนฝากให้เอามาเก็บเองเขาย่อมจำได้ดีว่าอยู่ตรงไหน เขาปลดสลักกล่องไม้ มือผ่ายผอมผลักฝาออกเปิด

   ดวงตาเป็นประกายกลับเบิกกว้าง

   ฝาเปิดค้างอยู่เพียงครึ่งอย่างนั้น สองมือผอมเซียวสั่นเทาพาลไร้เรี่ยวแรง ของเคียงปิ่นทับทิมเป็นป้ายหยกที่นอนก้นอยู่ในกล่องหุ้มผ้าไหม ขอบหยกบิ่นเป็นทาง...ลวดลายเซี่ยนี้เขาจำได้เป็นอย่างดี เคียงข้างกันยังมีดอกเบญจมาศที่ถูกทับจนแห้งอีกดอกหนึ่ง

   หยกนี้เขามอบให้แก่เจ้าใบ้ ภาพคืนวันนั้นย้อนกลับมาเป็นฉาก นี่เขาใช้ชีวิตสุขสบายจนลืมเพื่อนพ้องที่สูญเสียมานานเท่าไหร่แล้ว ซุนซีนึกๆ น้ำตาพลันรื้นขึ้นมา เขากลบเกลื่อนด้วยเสียงหัวเราะได้ดีเพราะฝึกฝนมาทั้งชีวิต การซ่อนความเสียใจก็เป็นเรื่องง่ายดาย -- แต่ไม่ใช่ในเวลานี้

   ยิ่งตัดใจยากยิ่งต้องทำ ซุนซีรู้เรื่องนี้ดี เช่นนั้นจึงปิดกล่องไม้เก็บลงอย่างเก่า ส่วนประกอบต่างๆ ต่อเข้าเป็นชิ้นเดียวมากพอให้ตัดสินใจเด็ดขาด หลังปิดหีบก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ สูดจมูกให้พอโล่งก็ย้ายไปหาเอกสารสำคัญต่อราวกับเรื่องเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น

   หนังสือในมือเปิดกางออกบนโต๊ะเขียนหนังสือ เนื้อในบรรจุความเรื่องบัญชีเกี่ยวกับจ้าวลี่เฟิงเอาไว้ ซุนซีทรุดนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะ ทำใจอยู่นานกว่าจะหยิบพู่กันขึ้นจุ่มหมึก

   เวลาผ่านไปเป็นชั่วยามกว่าสมุดจะถูกเขียนจนครบหน้า ซุนซีฉีกกระดาษซีกหนึ่งออกจากหน้าสุดท้ายทำเป็นสารแผ่นน้อย เนื้อความในคราวนี้ไม่ได้เขียนด้วยตัวบรรจง ซุนซีพับมันเป็นสามส่วนชิ้นเล็กกว่าฝ่ามือ เขานั่งจ้องพับกระดาษอยู่พักใหญ่กว่าจะยอมลุกจากเก้าอี้ เสียงครืดคราดยามไม้ถูกลากไปกับพื้นฟังไม่รื่นหู

   ชายหนุ่มเดินเงียบเชียบไปที่โต๊ะมุมห้อง ที่นั่นมีซอเอ้อหูคันเก่าวางอยู่ เป็นคันเดียวกับที่อวี้จินหยิบมาให้เขาเล่นบ่อยๆ ซุนซีไม่เคยสังเกตมันให้ถี่ถ้วนเลยจนกระทั่งตอนนี้

   ซอเอ้อหูตัวไม้ชิงชัน ปลายคันทวนสลักลวดลาย..สังเกตสักนิดถึงเห็นรอยมีดเล็กๆ ขีดที่ฝั่งลูกบิดว่า ‘จิน’ ตัวหนังสือขีดทื่อๆ เป็นรอยเก่ามากแล้ว ซุนซีอมยิ้ม นิ้วก็แตะไล้ไล่ลงตามคันทวน สัมผัสยามลูบไปตามหางม้าคันชักสีขาวปลอดหนาและฝืดมือ ทั้งที่เป็นของเก่าแต่ดูแลอย่างดี

   ถ้ารู้ว่าต้องกรีดหนังงูเปิดอ่านกระดาษข้างในคนรักษาของต้องลมจับแน่ คิดได้อย่างนี้ซุนซีก็รีดกระดาษให้เล็กลงอีกหน่อย สอดมันเข้าไปทางด้านสายซอ ควานแขนเสื้อหยิบเอาถุงเงินขึ้นมาผูกหูเชือกกับคันทวนไม้ด้วยใจเขากลัวว่ามันจะยังไม่เด่นพอให้สังเกตว่ามีอะไรผิดแปลกไป


---------------
มาเลทไปวันนึงอีกแล้วค่ะแง YvY
บทนี้ซุนซีสู้กับความคิดตัวเองทั้งบทอาจจะเอื่อยๆไปบ้าง แต่ในที่สุดนายเอกของเราก็ตัดสินใจได้แล้วล่ะ!
จะมีใครจำดอกเบญมาศที่ถูกทับจนแห้งได้มั้ยน้อว่าเคยปรากฏตัวมาตอนไหน

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
กำลังสนุกเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด