[จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63  (อ่าน 24319 ครั้ง)

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



***********************************************




#บุปผบุรุษ อัพทุกวันอังคาร - ศุกร์นะคะ



เรื่องที่ผ่านมา

French Holiday (จบแล้ว) - https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69514.0

LOWE You #เมนูรักคุณ - https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70218.0
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-05-2020 00:42:48 โดย Moriarty »

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทนำ


   เด็กชายในชุดกระโปรงสีสดก้มหน้าก้มตายกถาดชุดน้ำชาเดินไปตามระเบียงทอดยาว แดดลอดกรอบกำแพงปรุลายล้อแสงอยู่กับต่างหูกระเบื้องแกว่งไหวๆ ตามแรงย่ำเท้า นอกจากเสียงนกร้องยังพอได้ยินฝาปิดกาน้ำกระทบก๊องแก๊งเป็นระยะ พอดังครั้งหนึ่งปุยเมฆขาวก็ลอยออกมาจากร่องฝา ลมหอบเอากลิ่นหวานดอกหอมหมื่นลี้อบแห้งโชยมาแตะจมูก ในห่อชามีกลีบสีเหลืองทองปะปนอยู่กับบานไม่รู้โรยสีเข้มแต่ไร้กลิ่น

   ฤดูร้อนนี้ซุนซีอายุครบแปดปีแล้ว หลังจากเสียมารดาไปเมื่อสามปีก่อนเด็กชายถึงย้ายมาอยู่ที่สำนักคุ้มภัยหู่โห่ว (พยัคฆ์คำรณ) ความโชคดีที่ได้รับล้วนมาจากความกรุณาของฮูหยินเจ้าสำนักทั้งสิ้น

   ชีวิตเด็กกำพร้าในสำนักนับว่าไม่เลวร้ายเมื่อเทียบกับตอนที่อยู่บ้านรูหนูไร้ข้าวสารกรอกหม้อกับพ่อติดสุราเพียงลำพัง แต่ฐานะคนใช้ในเรือนใหญ่ไม่ว่าจะตัวเล็กหรือว่าร่างกายอ่อนแอแค่ไหนก็ต้องทำงาน คนที่สามวันดีสี่วันป่วยอย่างเขา อายุเท่านี้ฮูหยินยังเอ็นดูมากพอจะจับใส่ชุดเด็กหญิงหลอกไม่ให้สิ่งชั่วร้ายตามตัวเจอ

   ซุนซีชอบสัมผัสจากกระโปรงผ้าฝ้าย ชอบกลิ่นเครื่องหอมเวลาอยู่ใกล้พวกผู้ใหญ่ เช่นนั้นแม้จะไม่ชอบผมหน้าม้าเหนอะเหงื่อลู่ติดหน้าผาก หรือไม่ชอบเวลาเด็กวัยเดียวกันล้อว่าเขาเป็นชายไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิง เด็กชายจึงไม่เคยปริปากบ่น

   และแม้แขกของท่านลุงเจ้าสำนักจะเห็นว่าเขาเป็นเด็กผู้หญิงเข้าอีกคน ซุนซียังคงอดทนอดกลั้นได้เป็นอย่างดี

   ฝีเท้าชะลอลงเมื่อใกล้ถึงที่หมาย ประตูห้องหนังสือเปิดอ้าทั้งสองบาน คุณชายตัวสูงราวยักษ์ปักหลั่นคนนั้นยังนั่งง่วนอยู่กับตำรากองพะเนิน เด็กชายค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้ เจ้าแมวขี้สงสัยลอบมองจากริมประตู ดวงตากลมโตจ้องคนที่นานครั้งก็ยืดตัวบิดขี้เกียจ เสียงกระดูกลั่นกร๊อบฟังแล้วเสียวสันหลัง

   “คุณชาย..” เด็กน้อยลองเรียกดูครั้งหนึ่ง เมื่อคนในห้องยังไม่ตอบโต้อันใดก็สาวเท้าข้ามธรณีประตู

   ชายร่างสูงรู้ตัวแล้ว ฝ่ามือใหญ่ปิดหน้ากระดาษก่อนถัดตัวหันมาหา “น้องสาวตัวน้อยยกชามาให้พี่ชายหรือ?”

   ซุนซีมุ่ยหน้า ผงกศีรษะไวๆ ครั้งหนึ่ง เจ้าหนูรู้มารยาทมากพอจะไม่ต่อล้อต่อเถียงผู้ใหญ่ -- ข้าเป็นผู้ชาย ผู้ชาย!

   บัณฑิตตัวโตรอจนซุนซีวางถาดชุดน้ำชาลงบนโต๊ะแล้วถึงเริ่มลงมือรินน้ำลงถ้วย ตามด้วยโรยใบชาดอกไม้ลอยเหนือผิวน้ำ กลิ่นหอมเย็นฟุ้งกรุ่นกำจายแต่เด็กชายขมวดคิ้วมุ่นจ้องเขม็ง ตั้งท่าคล้ายจะพูดคล้ายจะไม่พูด เมื่อไม่มีฝ่ายใดเสวนาห้องจึงตกอยู่ในความเงียบ ห่างออกไปไกลๆ มีเสียงตะโกนฝึกพร้อมเพรียงแว่วมาตามลม คนแก่วัยกว่าตั้งท่าจะยกชาขึ้นดื่ม

   “ช้าก่อน!”

   มือเล็กชิงคว้าถ้วยไปเททิ้งนอกหน้าต่าง สิบนิ้วคล่องแคล่วตักดอกไม้อบแห้งใส่ไว้ก้นถ้วยอุ่น เด็กตัวจิ๋วจับหูกาน้ำอย่างระมัดระวังแล้วเริ่มทำเครื่องดื่มร้อนๆ ให้ใหม่อีกครั้ง รอจนน้ำเปลี่ยนเป็นสีอำพันใสค่อยกรองเอาดอกไม้ออก คราวนี้จอกกระเบื้องเคลือบยกมาให้ถึงมือบัณฑิต

   มารดาเคยกล่าวกับเขาไว้ จะให้แขกรับสิ่งใดต้องสรรเอาสิ่งที่ดีที่สุด ...แต่คงไม่ทันฉุกคิดว่าเพิ่งเสียมารยาทไป “คุณชายเชิญดื่ม” ใบหน้าน้อยๆ ฉายแววผ่อนคลายหลังขมวดขึงอยู่นานสองนาน

   บัณฑิตผู้นั้นหน้านิ่งไร้อารมณ์แต่ดวงตาเป็นประกายขบขัน กระทั่งนิ้วเรียวข้อยาวที่จับถ้วยชายังสั่นน้อยๆ อย่างคนกลั้นหัวเราะ เจ้าหนูที่คอยมองอยู่ตลอดกลับมาบึ้งตึงอีกครั้ง

   “สาวน้อยอย่าโกรธไป พี่ชายรินชาให้เจ้าบ้างดีไหม?” คุณชายเอ่ยเอาใจ

   ท่วงท่าเวลาขยับแต่ละครั้งดูงามสง่าละเมียดติดตา อวลไอหอมชาดอกหอมหมื่นลี้ยังโอบล้อมห้องหนังสืออยู่ไม่จาง ความโมโหพลันคลายลงทีละน้อย..ละน้อย..จนเมื่อชาอุ่นไหลผ่านลำคอให้รสน้ำผึ้งหวานชื่นใจติดที่ปลายลิ้น รอยยิ้มก็แย้มบานยกสองแก้มกลมเป็นลูกหมั่นโถว

   พบหน้าครั้งแรกคุณชายทรงภูมิถามชื่อ ซุนซีไม่ตอบ พบหน้าครั้งที่สองบัณฑิตผู้นั้นแบ่งขนมให้กิน ซุนซีไม่รับ แต่เมื่อชายตัวโตหน้านิ่งดุจรูปปั้นหินล่อด้วยการสอนหนังสือ ลูกปลาตัวผอมกระโจนงับเหยื่อในทันที

   ด้วยเหตุนี้หากมีเวลาว่างครั้งใดซุนซีจะกลับมานั่งอยู่กับอาคันตุกะผู้นั้น บัณฑิตที่กำลังอ่านหนังสือเตรียมสอบยังมีเวลามากพอจะคัดตัวอักษรง่ายๆ ลงกระดาษให้ลองขีดตาม ในความเงียบปราศจากบทสนทนา ฝ่ายหนึ่งนั่งท่องตำรา อีกฝ่ายหนึ่งนั่งคัดอักษรอยู่ข้างกัน เด็กชายเข้าใจว่าแขกของท่านลุงมีน้องสาวอายุไล่เลี่ยกับเขาถึงได้ทำดีด้วย

   เด็กเล็กจะปฏิเสธน้ำผึ้งหวานฉ่ำได้หรือ? แม้จะรู้สึกผิดแต่ซุนซีตั้งใจไม่บอกความจริง นับแต่มารดาจากไปไม่เคยมีใครตามใจเขาได้มากเท่านี้ นิสัยเสียเริ่มเผยออกทีละน้อย นานเข้าเวลาส่วนใหญ่ก็หมดไปกับการขลุกอยู่เคียงข้างคุณชาย

   สายวันหนึ่งซุนซีก็เดินเก้ๆ กังๆ มาหยุดที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ที่ซ่อนอยู่ด้านหลังคือดอกเบญจมาศดอกโต คุณชายยิ้มให้กับเขา รออย่างใจเย็นจนกว่าเด็กตัวจ้อยจะเอ่ยปากพูด

   “ข้าเก็บได้ที่สวน” เด็กน้อยยื่นดอกไม้สดให้ ท่าทางอึกอักขัดเขิน “มะ มอบให้ท่าน”

   บัณฑิตหนุ่มหัวเราะ “มานี่ พี่ชายจะสอนอะไรเจ้า” เขาว่าพลางตบหน้าตักตัวเอง เด็กเล็กมองอย่างลังเลก่อนจะเดินช้าๆ ไปนั่งตักเขา

   คุณชายตัวสูงหยิบเอาตำราที่อ่านแล้วเล่มหนึ่งขึ้นมา เปิดหน้ากลางๆ แล้ววางดอกเบญจมาศลงไปบนนั้นก่อนจะงับหนังสือปิด ซ้อนทับมันด้วยตำราอีกหลายเล่มจนดอกไม้บี้แบน ตลอดกรรมวิธีนี้ซุนซีทำเพียงมองตามเงียบๆ ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ

   “เหตุใดท่านถึงเอาหนังสือทับดอกไม้?” เจ้าตัวเล็กถามเสียงเจื้อยแจ้ว

   “พอมันแห้งแล้วก็จะเก็บไว้ได้นานเป็นปีๆ”

   ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แต่เด็กตัวเล็กก็พยักหน้า “เช่นนั้นเอง เสร็จแล้วเอาให้ข้าดูได้หรือไม่?”

   ชายตัวสูงใหญ่หัวเราะ “ย่อมได้ แต่เจ้าต้องรอนานสักหน่อยดอกไม้ถึงจะแห้ง เจ้ารอได้ไหม”

   ซุนซีจ้องไปที่ดอกไม้ซ่อนในหน้าหนังสือปูดบวม เจ้าตัวเล็กเม้มปากก่อนจะพยักหน้าระรัว

   ขอเพียงนั่งร่วมห้อง ปราศจากคำพูดยังนึกเย็นใจ – แต่เมื่อรู้จากผู้ใหญ่คุยกันว่าอีกไม่นานคุณชายจะไม่อยู่แล้ว เด็กน้อยก็รู้สึกราวโลกคลุมด้วยหมอกหม่น ซุนซีไม่รู้ว่าตนโกรธอะไร ความรู้สึกราวได้แช่ธารน้ำใสสบายกายสูญไปเป็นปลิดทิ้ง บัดนี้แน่นในอกเหมือนมีศิลาหนักอึ้งวางทับ เพียงแค่เห็นหน้าคุณชายก็อยากอาละวาดใส่ นึกได้เมื่อใดเป็นเรียนไม่รู้เรื่องเมื่อนั้น

   แม้วันนี้ลมจะพัดโชยจนกระดิ่งลมดังใจกลับไม่เย็นลงตาม

   “ข้าทำไม่ได้ ไม่เข้าใจสักนิด” เจ้าหนูวางพู่กันร้องยอมแพ้ บนกระดาษมีแต่อักษรโย้เย้ลงน้ำหนักเยอะจนหมึกชุ่ม

   คุณชายเงยหน้าจากตำรา หยิบเอาหนังสืออีกเล่มคั่นไว้ก่อนขยับหันมาทางเด็กเจ้าปัญหาเต็มตัว “เอามาให้พี่ชายดู”

   ซุนซีหน้าคว่ำ ขยำกระดาษเอาเป็นเอาตายจนหมึกเลอะเละเทะไปทั้งมือ บัณฑิตทรงภูมิผู้นั้นยังคงมองอย่างใจเย็น นิ้วเรียวยาวหยิบเอาขนมถั่วตัดจ่อไว้ใกล้ปากเด็กน้อย รอจนเผยฟันเรียงเป็นระเบียบงับขนมเคี้ยวแก้มตุ่ย คิ้วเจ้าตัวจ้อยมุ่นผูกกันเป็นปม

   “พักกินให้หายเหนื่อยแล้วคัดหนังสือต่อ ดีไหม?”

   เด็กน้อยส่ายศีรษะท่าเดียว ดวงตากลมโตจ้องคนตัวสูงใหญ่ นิ้วมือป้อมๆ ยังชี้อยู่ที่หน้าหนังสือ “คุณชายสอนยากเกินไป สอนเรื่องที่ไม่จำเป็น”

   “...อย่างนั้นลองบอกมา เหตุใดถึงไม่จำเป็น”

   “ข้าเป็นคนรับใช้ ตำราบทกวีไม่ต้องเรียนก็ได้!”

   “หากมีความรู้จะเปลี่ยนชะตาตัวเองย่อมไม่ลำบาก อนาคตน้องสาวไม่ปรารถนาจะทำอะไรหรือ?”

   “ไม่มี ข้าไม่เคยคิดหรอก แค่ทั้งวันทำงานไม่ให้โดนตำหนิก็พอแล้ว”

   คนแก่วัยนิ่งไป สีหน้าเขาหม่นลง “อย่างน้อยมีความรู้ติดตัวไม่เสียหาย วันหนึ่งเกิดเจ้าแต่งงานมีลูก อย่างน้อยจะได้สอนลูกของเจ้า--”

   “จะสอนอย่างไรถ้าข้ามีลูกไม่ได้!” ซุนซีโพล่งขัด เมื่อยินเสียงตัวเองจากขุ่นขึ้งพลันหน้าถอดสี หางเสียงพร่าสั่นด้วยความประหม่า “...ข้า..ข้าไม่ได้ตั้งใจ..”

   ร่างเล็กๆ ยันตัวผุดยืนก่อนสองเท้าออกวิ่งสุดกำลัง หัวสมองของเขาโล่งตื้อ รู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจเมื่อเห็นภาพบิดาซ้อนทับคุณชายผู้นั้น แผ่นหลังที่เหลือเพียงรอยแผลเก่ากลับแสบแปลบขึ้นมา 

   คุณชายใจดีคนนั้นจะโกรธหรือไม่? ซุนซีไม่กล้าหันกลับไปมอง ใจดวงน้อยเต้นระรัวจนหัวหูอื้อ ตั้งมั่นแน่วแน่ว่ากล้าพูดต้องกล้ารับผล หายกลัวเมื่อใดต่อให้โดนดุด่าจะมาขอโทษ เขาจะขอเรียนหนังสือใหม่อีกครั้ง คราวนี้ต่อให้ป่วยจนต้องนอนซมก็จะมาเจอหน้าให้ได้

   ทว่าห้องหนังสือไร้วี่แววแผ่นหลังกว้างดุจขุนเขา คุณชายออกเดินทางไปแล้ว..ขึ้นรถม้าเข้าเมืองหลวงตั้งแต่เช้าตรู่ คำขอโทษที่ไม่ทันได้เอ่ยถูกเก็บกลืนลงคอ

   ปราศจากการมีอยู่ของแขกชั่วคราวคนนั้นหรือไม่ เวลาในสำนักคุ้มภัยก็ผ่านไปอีกวัน

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
 :pig2: :pig2: :pig4:

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
น่าติดตามค่าา  :pig2: :pig4:

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 1

เข้าใบไม้ผลิ หลับไม่รู้ว่าเช้า

ทุกหนทุกแห่ง แว่วเสียงนกร้อง

กลางคืนมาเยือน ยินเสียงลมฝน

ดอกไม้ร่วงโรยไม่รู้ว่าเท่าใด

“รุ่งอรุณฤดูใบไม้ผลิ,” เมิ่งเฮ่าหราน


   แรกเข้าฤดูใบไม้ผลิหิมะก็หายไปกับเหมันต์ ดอกท้อบานสะพรั่งเป็นริ้วเมฆสีชมพูขณะใบเขียวของต้นไม้รอบลานฝึกเริ่มผลิใบแตกช่อใหม่หลังทิ้งกิ่งร้างตลอดสามเดือน อากาศเย็นกว่าที่ควรเมื่อลมแรงหอบเอาทั้งกลิ่นไม้หอมและฝุ่นดินตลบฟุ้ง ยามนี้ฟ้าเพิ่งผลัดจากสีน้ำเงินเข้มเป็นอมส้มด้วยตะวันเพิ่งขึ้นพ้นขอบฟ้า กลุ่มคนที่ยังยืนฝึกต้านลมหนาวและหยดน้ำค้างยามเช้าเปล่งเสียงพร้อมเพรียง วาดแขนยกเท้าเปลี่ยนท่าตามจังหวะแม้ไม่มีครูฝึกคอยกำกับ

   เสียงอึกทึกลอยเข้ามาถึงด้านหลังเรือนใหญ่ ลมลอดรูกรอบหน้าต่างพลันเปลี่ยนเป็นอุ่นเมื่อปะทะอากาศในครัว ไอขาวพวยพุ่งออกจากหม้อพร้อมกลิ่นเนื้ออบและเครื่องเทศฉุยอวลอยู่ในห้อง คนครัวสามชีวิตหมุนตัวทำนั่นทำนี่วุ่นวายไม่หยุด

   “ข้าจะทำกับข้าว รีบๆ ออกไปได้แล้ว” หญิงวัยกลางคนบ่นหัวเสีย มือถือมีดใหญ่หั่นผักดูรีบเร่ง

   “อีกนิดขอรับป้าหม่า”

   ฝ่ายเด็กกว่าตอบเสียงใส เงยจากเตาให้พอเห็นหน้าเปื้อนเขม่าจนดำเหลือแต่ตา เขายิ้มจนเห็นฟันขาว มือผอมจับผ้าขี้ริ้วเปิดฝาหม้อปล่อยเอาไอน้ำลอยสูง กลิ่นยาจีนตามควันฉุนคลุ้ง น้ำในหม้อเดือดปุดส่วนชิ้นเนื้อตุ๋นจนเข้าที่กับเก๋ากี้ ก็เต้นพล่านอยู่ในนั้น

   “คราวหลังก็หัดตื่นให้เช้าๆ” แม่ครัวใหญ่ยังไม่วายว่าต่อ ถัดจากหั่นก็เอาน้ำมันลงกระทะตั้งไฟแรง “แล้วนั่นรออะไร หมูสับจะใช้วันนี้ไม่ใช่วันพรุ่งนี้!”

   ผู้ช่วยร่างผอมอีกคนกุลีกุจอหอบเอาจานใส่เนื้อหมูอัดสูงจนพูนส่งให้ เสียงน้ำมันร้อนฉ่ากับควันโขมงทำเอาคนเพิ่งเดินมาเข้าครัวร้องเสียงหลง ถอยกรูดกลับไปเกาะประตูยึดเป็นที่มั่น

   ฝ่ายที่ยืนหลบอยู่หน้าประตูตะโกนถาม “อาซุน ซุปฮูหยินได้รึยัง!”

   “ซุปฮูหยินบ้านเจ้าสิอาตง! ซุปของฮูหยินไม่ใช่ซุปฮูหยิน” แม่ครัวใหญ่โวยวายอยู่หน้าเตา ดูแล้วท่าทางจะพาลเพราะกำลังรีบทำมื้อเช้าเลี้ยงคน

   “อ้าว ป้าหม่า อย่างนี้--”

   “ได้แล้วๆ” คนรับผิดชอบน้ำซุปที่ว่ารีบห้ามทัพเสียก่อน เขาจ้ำอ้าวเอาชามไก่ตุ๋นยาจีนไปให้สาวใช้ที่ยืนพิงกรอบประตูอยู่หน้าทางเข้า เจ้าตัวยิ้มกว้างอารมณ์ดีระหว่างส่งต่อชามหอมฉุยให้คนมารอ “ถือระวังร้อนนะอาตง เดี๋ยวจะตามไปทีหลัง”

   “ข้ารู้แล้ว ดูหน้าเจ้าสิอย่างกับไปคลุกขี้เถ้ามา เช็ดหน้าเช็ดตาเสียบ้าง” อาตงพูดเหนื่อยหน่าย ของถึงมือนางรีบหมุนตัววิ่งกลับทางเก่า

   ลูกมือป้าหม่าดันหลังเจ้าเด็กหน้าเลอะเขม่าดำแล้วปิดประตูไล่หลัง คนโดนเนรเทศออกจากครัวปัดมือสองสามทีก่อนใช้แขนเสื้อเช็ดคราบถ่านออกลวกๆ ระหว่างเดินฝ่าลม เหงื่อซึมตามไรผมดำขลับที่มัดรวบรุ่ยไม่เป็นทรง ดวงตาสีเดียวกันหยีลงเมื่อมองไปนอกร่มหลังคา แดดจ้าฟ้าโปร่งช่วยให้คลายหนาวแม้ไม่เท่าในห้องครัวที่อุ่นจนร้อน

   ภาพที่เห็นจนชินตาตลอดสิบสองปียังน่ามองเหมือนเก่า ลมหอบมาทั้งฝุ่นและกลิ่นดอกท้อ พัดโดนเสื้อผ้าชุ่มเหงื่อเมื่อใดก็หนาวจนต้องโอบแขนกอดตัวเอง

   “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่” สาวน้อยในชุดฝึกทะมัดทะแมงวิ่งตรงมาหา รอยยิ้มนางสว่างไสวราวดวงอาทิตย์ “พี่ใหญ่กินข้าวหรือยัง แล้ววันนี้มีอะไรกินบ้าง”

   ถ้าจะมีใครมอมแมมไปกว่าเขาคงเป็นแม่นางน้อยคนนี้ ‘เมิ่งเซี่ยเหมย’ คุณหนูเล็กสกุลเมิ่งที่กะโปโลยิ่งกว่าลูกสาวบ้านใด ดวงตาใสซื่อเป็นประกาย ปากนิดจมูกหน่อยแต่คงน่ารักกว่านี้หากได้แต่งเนื้อแต่งตัวอย่างเด็กหญิง พี่ใหญ่ที่ไม่ได้ร่วมสายเลือดเดียวกันอดไม่ไหวก็ทัดปอยผมรกหน้ารกตาให้

   “ยังไม่ทันจะยามซื่อ มาถามหาของกินแล้วหรือ หนีซ้อมอย่างนี้ระวังจะโดนท่านลุงดุเอา”

    “โถ่ ก็เซี่ยเหมยหิวแล้ว” นางแทนตัวเองด้วยชื่อ เป็นอันรู้กันว่าเมิ่งเซี่ยเหมยทำแบบนี้เมื่อตอนจะอ้อนขออะไรสักอย่าง

   “ถ้าเสี่ยวเหมยขี้เกียจนักจะโดนคนอื่นแซงหน้า เพิ่งได้ตำแหน่งศิษย์เอกมาจะยอมยกให้คนอื่นหรือ”

   “ไม่ต้องห่วงหรอกพี่ใหญ่ ไม่มีใครเทียบฝีมือข้าได้อยู่แล้ว!”

   “อ้อหรือ?” หลังนิ้วคนมีศักดิ์เป็นพี่ตีเอาปลายจมูกรั้นเบาๆ “แล้วตงเต๋อข่ายล่ะ”

   จอมยุทธน้อยทำแก้มป่องเมื่อได้ยินชื่อคนที่เป็นทั้งมิตรทั้งศัตรู มือก็ลูบจมูกตัวเอง นางส่ายหน้ารัวแล้ววิ่งกลับไปทางลานฝึกต้นเสียงซ้อมอึกทึก “ข้าไม่ได้หนีซ้อมนะ!” ไม่วายตะโกนเถียงก่อนหลังไวๆ จะหายเข้าไปรวมกลุ่มกับคนอื่น

   สำนักคุ้มภัยหู่โห่วเน้นหนักที่วิชาหมัดมวยแต่การซ้อมด้วยไม้พลองก็พอมีให้เห็น ตอนนี้เสียงไม้ลั่นตีดังโป๊กเป๊กถึงได้ดังมาจากลานกว้างหลังการซ้อมเช้า พอตกยามอู่ ได้เหงื่อค่อยถึงเวลากินข้าวเติมพลัง – วันที่คนครัวลาป่วยไปสองคนอย่างวันนี้ป้าหม่าที่รับหน้าที่แทนคนลาถึงได้หงุดหงิดยิ่งกว่าปกติ

   คนที่เพิ่งออกจากครัวเดินผ่านระเบียงเข้าเรือนใหญ่ ปัดเนื้อปัดตัวให้ชุดเขลอะเข้าที่ก็สาวเท้ายาวๆ ข้ามห้องรับแขกไปด้านใน สาวใช้ร่างเล็กกำลังเช็ดแจกันเครื่องเคลือบอยู่มุมห้อง บนผนังแขวนด้วยภาพวาดดอกโบตั๋นและภาพทิวทัศน์ที่ฮูหยินเป็นคนเลือก ดอกไม้สดจัดช่ออยู่ใกล้เก้าอี้ไม้ส่งกลิ่นหอมสดชื่นโชยอ่อนๆ เมื่อเดินผ่าน

   “ซุนเกอ คุณหนูรองเรียกหาตั้งนานแล้ว” นางละมือเงยขึ้นร้องทัก คนฟังได้ยินดังนั้นก็รีบก้าวให้ไวขึ้นกว่าเดิม

   ซุนซีเป็นเด็กรับใช้ชายเพียงคนเดียวในเรือนใหญ่ เขาอาจดูไม่เหมือนบุรุษเพศเพราะรูปร่างเล็กเนื้อตัวผ่ายผอมอย่างเด็กขี้โรค ไหล่ทั้งสองยิ่งลู่จนแคบลงเมื่อเดินขดตัวฝ่าลมเข้าห้อง

   ประตูงับปิดก่อนอากาศอุ่นในห้องจะถูกถ่ายออกไป ภายในห้องหนังสือมีสาวน้อยร่างท้วมสวมเสื้อคลุมทับชุดตัวบางยืนอยู่ใกล้โต๊ะนานแล้ว นางกำลังแยกม้วนกระดาษคลี่จำแนกออกเป็นกองๆ มืออิ่มจัดเรียงเสร็จก็เอาที่ทับกระดาษไม้ขัดมันวางทับ

   “ดีจริง วันนี้ไม่เยอะเท่าไหร่” คนเพิ่งมาถึงร้องทักอารมณ์ดี

   “ตอนบ่ายมีมาอีกกอง พี่ใหญ่กินเสร็จแล้วอย่าลืมเดินไปเอา” ทั้งหน้าตาและน้ำเสียงเนือยเหมือนคนเพิ่งตื่น “แวะไปหยิบหนังสือที่ห้องพยาบาลให้ด้วย บอกพี่รองว่าข้าจะเอารายชื่อของที่เบิก..ใช้..”

   ท้ายประโยคนางหาววอดโต ดวงตาสีน้ำผึ้งแปลกกว่าพี่น้องปรือใกล้ปิดเต็มที คุณหนูรองเมิ่งชุนเถาอาจเพิ่งใช้เวลาทั้งคืนทำรายการค่าใช้จ่ายประจำเดือนเสร็จ หรืออาจเพิ่งรีบมาสั่งงานแต่เช้าทั้งที่ยังไม่ตื่นดี

   ซุนซีอดไม่ได้ก็สาวเท้าไปหยุดอยู่ด้านหลัง มือผอมเซียวรวบผมยาวปล่อยสยายของแม่คนขี้เซาม้วนทบขึ้นไป “เดี๋ยวข้าจัดการให้ เสี่ยวเถาไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ”

   คุณหนูรองยืนนิ่งให้จัดผมแต่มือยังหยิบม้วนกระดาษขึ้นมาคลี่อ่าน นางหาวอีกครั้งและอีกครั้งจนน้ำตารื้น

   “...พอแล้วพี่ใหญ่ ข้าอาบน้ำเสร็จค่อยหวีผมใหม่อีกรอบ” ไม่ว่าเปล่า นางยังจับมือซุนซีดึงออกให้เลิกยุ่ง จนถึงตอนนี้ผมฟูเก็บเข้าที่ขึ้นกว่าก่อนเยอะ

   “สำรับตั้งโต๊ะนานแล้วอาบเสร็จเสี่ยวเถารีบไปกินเถอะ เช้านี้ข้าทำไก่ตุ๋นยาจีนไว้ให้ท่านป้า มีส่วนของเจ้าด้วย”

   ‘เมิ่งชุนเถา’ ส่งเสียงอือออขานรับก่อนเดินกลับ คุณหนูคนรองสกุลเมิ่งนอนและตื่นไม่เป็นเวลาสักเท่าไหร่ เด็กสาวฉลาดเฉลียวเกินวัยและชอบการค้าขายคนนี้เป็นผู้ปรับปรุงระบบการจ้างวานให้สำนักคุ้มภัย พ่วงด้วยรับผิดชอบหน้าที่ดูแลเรื่องการเงินและค่าใช้จ่ายในสำนัก งานล้นมืออย่างนี้บางวันนางยังทำตัวว่างพอนั่งตอบจดหมายจากสมาคมพ่อค้าอีกกองโต

   หากกล่าวถึงหน้าตาเมิ่งชุนเถาน่าเอ็นดูไม่แพ้พี่น้อง จะเสียก็แต่นางไม่ค่อยรักสวยรักงาม สุขภาพแข็งแรงอย่างนี้ยากจะบอกว่าครั้งหนึ่งในวัยเยาว์เคยป่วยหนักเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะมัดเท้าเป็นเหตุ

   ซุนซีนั่งประจำที่แล้วถึงจับแท่งหมึกขึ้นฝนบนแท่นหิน มือผอมลูบไปบนปกหนังสือก่อนคลี่เปิดไปถึงหน้าว่าง พักหนึ่งก็ยกพู่กันจุ่มปลายซับหมึกพอให้ชุ่มแล้วเริ่มลงมือเขียนลงบนกระดาษ

   เสียงผู้คนฝึกซ้อมแว่วมาพอได้ยินแผ่วๆ คลออยู่กับเสียงนกร้อง ยามเช้าจึงผ่านไปพร้อมกิจวัตรสุขสงบเช่นนี้

   เวลาล่วงไปนานจนร่างเล็กท่าทีคล่องแคล่ววิ่งพรวดเข้ามาพร้อมประตูเปิดอ้า รองเท้าพื้นเรียบย่ำเสียงหนักแน่นแม้ไม่เงยมองก็พอรู้ได้ว่าเป็นใคร พอใกล้โต๊ะเจ้าตัวถึงก้าวให้ช้าลง

   เป็นเมิ่งเซี่ยเหมยที่กำลังฉีกยิ้มกว้าง ผมมัดรวบเป็นมวยรุ่ยฟูเนื้อตัวเขลอะทั้งฝุ่นทั้งเหงื่อ

   “พี่ใหญ่ พรุ่งนี้ออกไปตลาดกัน!”

   จบคำเหรียญอีแปะร้อยเป็นพวงใหญ่สองพวงก็วางลงบนโต๊ะ ซุนซีเงยหน้าขึ้นมองนึกฉงน กะจำนวนเงินด้วยตาเปล่าก็วางพู่กัน “เสี่ยวเหมยไปเอามาจากไหน”

   “ท่านพ่อให้มา บอกให้ข้าพาพี่ๆ ไปซื้อของได้ตามใจชอบ” นางว่าเสียงใส “ลุงเถียนคงเอาเหล้าดีมาให้กระมัง – ช่างเถอะ พี่ใหญ่ ข้าอยากกินเซาปิ่ง กับพุทราเชื่อมล่ะ”

   “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่ถึงเวลามื้อเที่ยงยังมอมแมมอย่างนี้พี่ใหญ่จะไม่อนุญาตให้ไปเที่ยว” เขาดุเสียงนุ่ม แม่ตัวดีหัวเราะแหะๆ แล้วรีบวิ่งไปอาบน้ำผลัดผ้า

   ซุนซีเก็บพวงเหรียญลงถุงใส่เงิน เมื่อจับพู่กันขึ้นมาอีกครั้งก็ถือค้างไว้อย่างนั้น

   ไม่รู้ว่าตนกังวลเกินไปหรือไม่ แต่อาจารย์เมิ่งนานทีปีหนถึงจะยอมควักเงินให้ลูกสาวใช้จ่ายตามใจ การเสวนากับเจ้าของโรงเตี๊ยมอาจมีอะไรมากกว่าแค่ยกเหล้าดีมาดื่มกับสหาย


   อากาศดีอย่างยามสายวันนี้ถึงยืนกลางแดดก็ไม่รู้สึกร้อนหรือเหนอะตัว ลมโชยอ่อนแม้คนเดินเบียดเสียดยังรู้สึกเย็นตามปลายนิ้ว พ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกไม่หยุดปาก แผงสินค้าปูบนโต๊ะและร้านริมทางเป็นเพิงง่ายๆ ตั้งขนาบสองฝั่ง คนหาบของร้องขอทางสาวเท้าไวๆ ฝ่าฝูงชนในตลาด กลิ่นสารพัดโชยปะปนมาตามลม วันนี้คนมากหน้าเดินกันแน่นขนัดกว่าปกติ แว่วๆ ว่าบ้านพ่อค้าใบชาแต่งลูกชายคนเล็ก จะมีคนต่างถิ่นเดินทางมาร่วมยินดีนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก

   อาตงกับซุนซีเดินตามคุณหนูสองพี่น้องฝ่าฝูงชน มีก็แต่เมิ่งชุนเถาที่ไม่ยอมออกจากบ้านเพราะงานไม่เสร็จ นางเอาแต่ขลุกอยู่กับตัวเลข แม้แต่ตอนไปชวนมืออิ่มยังลูกคิดดีดขึ้นลงไม่หยุด

   เคลื่อนพลก้าวเดินจากร้านหนึ่งย้ายไปอีกร้าน ห่อของเพิ่มเป็นสองและสามตามลำดับ

   หลังจากยืนมองอยู่หน้าแผงเครื่องประดับอยู่นาน เมิ่งตงหลานก็เลือกเอากำไลหยกแดงกับปิ่นเงินมาถือไว้มั่น ไม่ชิ้นใดก็ชิ้นหนึ่งมีไว้สำหรับเอาไปฝากคนไม่ยอมมา

   ในบรรดาพี่น้องสามคน ‘เมิ่งตงหลาน’ คุณหนูคนโตนับว่ามีรูปโฉมงดงามที่สุด ผมเป็นแพรดำขลับและดวงตากลมโตสีเดียวกัน ใบหน้าได้รูปเหมือนเมล็ดแตง ผิวส่วนโผล่พ้นชายผ้าขาวเนียนเป็นหยกเกลี้ยง นอกจากรูปกายนางยังเพียบพร้อมด้วยความรู้สตรีห้าด้าน  ทั้งคำพูดคำจาก็นุ่มนวลหวานหู...แม้จะกำลังบ่นกลับไม่ทำให้คนถูกว่ารู้สึกนึกโมโห

   เสียงติเตียนเรื่องกินไม่สุภาพแว่วมาอีกรอบ คุณหนูเล็กตามองเครื่องประดับแต่ปากยังเคี้ยวตุ้ยไม่สนใจ ในมือนางถือถังหูลู่ ไม้ยาว พุทราผลอ้วนเสียบเรียงกันแน่นหายวับเข้าท้องรวดเร็ว พี่เลี้ยงเด็กเห็นแล้วกลัวว่านางจะติดคอมากกว่ากลัวว่าใครจะมาเห็นกิริยาไม่น่ามอง

   “เหมยเหมยหยุดกินแล้วเลือกสักชิ้นดีไหม” เมิ่งตงหลานหยิบป้ายหยกส่งให้ ปลายพู่สีน้ำเงินเข้มปลิวตามแรงลม

   ฝ่ายถูกถามส่ายหน้า นางยังคงงับเข้าไปใหม่อีกคำไม่หยุดปากขณะที่บุรุษร่างเล็กข้างกันเอามือลูบสร้อยหินไปเรื่อย

   เมิ่งคนโตทันสังเกตเห็น “ท่านเลือกด้วยสิพี่ใหญ่ พู่ห้อยของเดิมเก่าจะแย่”

   “ที่ข้ามียังใช้ได้อยู่ พวกเจ้าซื้อไปเถอะ เป็นผู้หญิงได้แต่งเนื้อแต่งตัวเหมาะแล้ว”

   “อย่าถ่อมตัวเลยพี่ใหญ่ ถ้าเป็นผู้ชายอย่างท่านจะชิ้นไหนก็เหมาะเหมือนกัน”

   คนฟังได้ยินแล้วรีบหันมอง เห็นก็แต่ฝ่ายคะยั้นคะยอให้ซื้อส่งยิ้มซื่อๆ ครู่เดียวใบหน้างดงามหมดจดก็ผินไปทางอื่น ใครจะปฏิเสธหรือไม่นางก็เลือกของต่ออย่างตั้งใจและเลือกให้ครบทุกคน

   ซุนซีเงยขึ้นมองรอบข้างทอดสายตาไปเรื่อยไร้จุดหมาย ยามสายผู้คนในย่านตลาดเดินกันขวักไขว่หนาตา จากตรงนี้เห็นได้ไกลถึงควันฉุยจากหม้อนึ่งหมั่นโถวร้านหัวมุม

   “พี่ใหญ่ต้องเลือกอีกสักชิ้น” เสียงหวานใสของเมิ่งตงหลานว่ากำชับ “ข้าจะไปอีกร้านกับอาตง ถ้ารู้ว่าท่านไม่ซื้อข้าจะเสียใจมากทีเดียว”

   คำขู่ของนางชวนให้คนฟังอมยิ้ม เขาตอบรับง่ายๆ ก่อนละสายตากลับมาที่แผง ปอยผมตกลงปรกหน้าก็ใช้ปลายนิ้วเก็บขึ้นทัดหู

   จังหวะเดียวกับที่รู้สึกว่ากลายเป็นฝ่ายถูกมอง

   ซุนซีหันไปหาตามสัญชาติญาณ สุดสายตาเห็นกลุ่มชายร่างสูงสามคนเดินอยู่ไกลๆ ดวงตาเขาจับจ้องอยู่ที่ชายคนที่ดูคล้ายหัวหน้ากลุ่ม

   แปลกที่ถึงอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายบุรุษมาดสง่าคนนั้นกลับดูโดดเด่น ปีกหมวกบังใบหน้าไปเสียครึ่งแต่พอบอกได้ว่าเป็นคนหนุ่มหน้าตาดี ชายผู้นั้นเดินช้าๆ กวาดสายตามองแต่ไม่ได้แวะร้านใดเป็นพิเศษ ถึงซุนซีไม่ได้มาเดินตลาดบ่อยก็มั่นใจได้ว่าเป็นคนต่างถิ่น ..มาร่วมงานมงคลอย่างนั้นหรือ?

   จ้องอยู่นานได้สติอีกครั้งก็ตอนอีกฝ่ายหันมาสบตา ซุนซีรีบเบี่ยงหันไปทางอื่น ใบหน้าพลันร้อนผ่าวไร้สาเหตุ ...มีโอกาสเห็นชัดอย่างนั้นก็ยืนยันได้ว่าหน้าตาดีแม้แววตาจะดุดันไปสักหน่อย

   “พี่ใหญ่ทำไมหน้าแดง ร้อนหรือ” คุณหนูเล็กสะกิดถามซื่อๆ

   “...คงอย่างนั้น เจ้าอยากได้อะไรอีกหรือไม่ ออกมานานไม่รีบกลับจะโดนดุเอาได้”

   ซุนซีเปลี่ยนเรื่องไปเสียดื้อๆ คุณหนูเล็กพยักหน้าหงึกหงักก่อนลากเขาไปทางร้านเสื้อผ้า คลาดสายตาเพียงครู่หันหาอีกครั้งก็ไม่พบบุรุษคนนั้นแล้ว

   อาตงกับคุณหนูใหญ่เตร่อยู่หน้าร้านเครื่องหอม สองมือสาวใช้หอบตลับแป้งประทินผิวกับชาดมัดเรียบร้อยอยู่ในห่อ ใช้เวลาไม่นานทั้งสี่ก็ตัดสินใจกลับบ้าน โคมห้อยเสาแขวนไหวๆ ตามแรงลม เสียงผู้คนก็เบาบางลงเมื่อเดินจากมาถึงใกล้ชานเมือง

   ป้ายสำนักคุ้มภัยหู่โห่วติดหราอยู่เหนือประตูทางเข้า ก่อนจะก้าวเข้าไปทันได้เห็นซีกหน้าคนเดินสวนออกมา ..ไม่แปลกที่สำนักจะมีคนเข้าออกทั้งลูกศิษย์และคนมาติดต่อว่าจ้าง แต่ชายที่มากับผู้ติดตามอีกสองคนเป็นคนที่เขาเห็นในตลาดไม่ผิดแน่

   ศีรษะตั้งตรงบนสองบ่ากว้าง ชายคนนั้นเดินด้วยท่วงท่างามสง่า ชายเสื้อนอกปลิวไสวตามแรงของก้าวย่างมั่นคงดูน่ามอง -- รู้สึกตัวอีกทีเขาก็หันไปจ้องแผ่นหลังแข็งแรงไม่วางตา ซุนซีเม้มปาก เลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วเร่งฝีเท้าตามอีกสามดรุณีเข้าใต้ร่มหลังคาเรือน


ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :katai2-1:
 :3123:

ออฟไลน์ agava1313

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
น่าติดตามค่ะ รอตอนต่อไป o13

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ติดตามจ้าาาา

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 2

   สำนักคุ้มภัยหู่โห่วเป็นทั้งสำนักฝึกวิชาและกลุ่มคนรับจ้างตามแต่ตกลง สถานที่แสนวุ่นวายแห่งนี้อาจมีประวัติไม่ยาวนานและแม้อยู่เมืองหวงซานก็ตั้งอยู่ติดชานเมือง อย่างไรก็เป็นที่รู้จักไม่แพ้สำนักหรือหมู่ตึกเลื่องชื่อที่อื่นๆ ในยุทธจักร

   จากเพียงแค่โรงฝึกแหล่งเล็กนานวันผ่านทั้งคำเล่าปากต่อปากและฝีมือการทำงาน สำนักคุ้มภัยหู่โห่วก็กลายเป็นสำนักอันดับต้นๆ บนแผ่นดินต้าซ่ง ปัจจุบันในรุ่นเจ้าสำนักเมิ่งชางก็ใหญ่โตมากพอจะเปิดเป็นจุดรับแลกตั๋วเงิน

   กิจการขยายขึ้นหมายรวมถึงงานที่มากขึ้นตามตัว ลูกศิษย์ร่วมร้อยชีวิตอาศัยกินนอนอยู่ที่นี่ บ้างมาจากเมืองไกล บ้างเป็นลูกหลานคนท้องถิ่น

   การเรียนวรยุทธที่สำนักหู่โห่วมีอาจารย์เมิ่งเป็นผู้ทำการคุมสอนด้วยตนเอง บุตรสาวคนเล็กนามเมิ่งเซี่ยเหมยแม้จะเป็นลูกเจ้าสำนักก็ต้องเรียนพร้อมกันกับคนอื่นๆ เวลาว่างเด็กโตฝึกซ้อมให้เด็กเล็ก ไม่เน้นแข่งขันชิงดีชิงเด่นแต่เน้นแข่งขันกับตนเอง อาจารย์สอนให้รักใครและพึ่งพากันเสมอเพราะสักวันต้องออกไปทำหน้าที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายร่วมกัน

   เมื่อถึงวัยใครอายุและฝีมือผ่านเกณฑ์ก็จัดออกไปทำงานได้รับเงินส่วนแบ่งเป็นเบี้ยหวัดรายเดือน ใครไม่สนใจงานคุ้มกันเมื่อเรียนวิชาจนจบก็แยกไปทำงานที่อื่น ส่งเบี้ยเลี้ยงกลับมาที่สำนักเป็นรายตกลงตามระเบียบ

   หัวหน้าอู๋ที่นับถือเป็นพี่น้องกับเจ้าสำนักเมิ่งชางทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคนงานแบ่งกลุ่มคุ้มกันสินค้า ไม่ว่าคนตกลงรับงานจะเป็นหัวหน้าอู๋หรืออาจารย์เมิ่ง (เว้นก็แต่เหตุสุดวิสัยถึงเป็นบุตรคนรองอย่างเมิ่งชุนเถา) การดูว่าใครเหมาะสมจะไปก็ล้วนแต่ต้องผ่านการพิจารณาจัดสรรจากชายวัยกลางคนผู้นี้ ส่วนลูกชายของลุงอู๋เองก็เพิ่งจบจากสำนักไปทำงานเป็นมือปราบเมื่อปีกลาย

   ใต้ร่วมหลังคาพยัคฆ์ใครไม่ทำงานจะไม่ได้กินข้าว กลับกัน หากใครทำงานดีจะได้รับรางวัลตามฝีมือ อาจารย์เมิ่งเลี้ยงคนของท่านอย่างยุติธรรมเช่นนี้ ให้โอกาสทุกคนอย่างเท่าเทียมทั้งในการพัฒนาฝีมือและความเป็นอยู่

   สำนักแห่งนี้จึงเป็นทั้งโรงเรียน ที่ทำงาน และบ้านหลังใหญ่

   ซุนซีอยู่ที่นี่ตั้งแต่อายุเพียงห้าปี แม้ทีแรกจะเข้ามาในฐานะศิษย์สำนักแต่ปัจจุบันเป็นเพียงลูกมือในเรือนอยู่อาศัย บรรดาคนรับใช้เฉพาะส่วนที่ไม่เกี่ยวกับโรงฝึกหากนับรวมซุนซีก็มีถึงสิบเจ็ดชีวิต เคหาสถ์ใหญ่ราวหมู่ตึกทุกสัดส่วนต้องมีคนคอยกวาดถู

   ลูกมือใต้การปกครองของป้าหม่ามีทั้งคนครัวและเด็กรับใช้คอยทำความสะอาดอีกหลายคน บ้างเป็นเด็กที่พ่อแม่ขายสัญญาซื้อตัวอย่างอาตงและคนว่างงานจากละแวกบ้าน ส่วนเด็กขี้โรคอย่างซุนซีช่วยงานในครัวแค่ตอนเตรียมอาหารตามสั่งเป็นพิเศษ เวลานอกจากนั้นก็ช่วยเมิ่งชุนเถาคัดหนังสือแยกรายการ

   เด็กหนุ่มได้โอกาสเรียนหนังสือแค่พออ่านออกเขียนได้ หากเป็นบทกลอนที่ใช้ภาษาชั้นสูงก็รู้เพียงตัวอักษรที่เกิดจากคำประสมแต่ไม่รู้ความหมายตลอดจนถึงความนัยซ่อน

   หน้าที่อีกอย่างหนึ่งของซุนซีที่ทำมานานคือการตอบจดหมายฉบับหนึ่งแทนเมิ่งเซี่ยเหมย สามปีก่อนมีจดหมายจ่าหน้ามาถึงสาวน้อยด้วยนามแฝง ‘ยิงฉู่หยุน’ (อินทรีแตะเมฆา) อาจารย์เมิ่งเป็นผู้นำมาส่งให้บุตรสาวด้วยตัวเอง ทว่าเด็กหญิงในวัยสิบปีไม่สนใจอะไรนอกจากได้ฝึกวิชาไปวันๆ

   ความที่ผู้เป็นบิดากำชับว่าต้องตอบกลับนางจึงเอาจดหมายที่ว่ามาขอร้องให้ซุนซีเขียนแทน เนื้อความพูดถึงเรื่องจิปาถะประจำวันกับเรื่องเล่าที่ซุนซีไม่เคยอ่านมาก่อน แปลกที่เขารู้สึกสนุกกับการได้สนทนาผ่านหน้ากระดาษ เช่นนั้นจากฉบับแรกจึงตามมาด้วยฉบับที่สอง สาม สี่ เรื่อยไปจนถึงปัจจุบัน

   ซุนซีเคยคิดว่ายิงฉู่หยุนคงเป็นคนเฒ่าใจดีที่เมิ่งเซี่ยเหมยเคยพบเมื่อตอนเด็กๆ หรือเป็นเพื่อนกันกับอาจารย์เมิ่ง จนกระทั่งฉบับหลังๆ ที่มีเนื้อความเชิงหยอกล้อที่ทำให้เขาคิดว่าคนส่งคงเป็นคุณชายผู้เจนโลก คนคนนี้มักเขียนด้วยภาษาอย่างผู้ใหญ่ใช้กันทั้งยังคอยเสนอแนะเรื่องนั้นเรื่องนี้ หลายครั้งที่ซุนซีมีเรื่องกังวลใจที่คุยกับใครไม่ได้ก็จะบอกไปในหน้ากระดาษ คำตอบพื้นๆ ไม่สวยหรูช่วยคลายเหงาได้หลายครั้ง และในที่สุดก็กลายมาเป็นนิสัยติดตัวว่าต้องคอยเขียนจดหมายไปหาเสมอ

   ลูกคิดวิ่งไปตามรางไม้และสัมผัสหยาบของหน้ากระดาษรู้สึกได้ตามปลายนิ้ว เสียงโหวกเหวกภายนอกสลับกับเสียงถอนใจจากฝั่งตรงข้ามที่นานครั้งจะได้ยินสักที ..สายวันนี้ก็เช่นทุกวัน

   เมิ่งชุนเถาเอาแขนข้างหนึ่งท้าวคางอีกข้างดีดลูกคิด หัวคิ้วนางพันกันยุ่งพอกับทรงผมที่ผ่านการทึ้งยียามที่ใช้ความคิด อีกหนึ่งชีวิตในห้องเงยหน้าขึ้นมองสำรวจน้องสาวต่างสายเลือดเป็นบางครั้ง อย่างน้อยก็ดูว่านางยังไม่โยนงานบนโต๊ะทิ้งลงพื้นหรือกัดเอาปลายพู่กันทู่เสียก่อน

   “...พักก่อนดีไหม” ซุนซีถามลอยๆ ได้คำตอบเป็นการส่ายศีรษะระอา

   “ไม่ได้ พักตอนนี้ทำเสร็จอีกทีคงฟ้ามืด” นางบ่นกึ่งคำราม “ท่านพ่อหน้าใหญ่ทำเอาวุ่นไปหมด ค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นแท้ๆ ยังเบิกไปใช้”

   ซุนซีพอรู้ว่าจ่ายเพราะเรื่องใดถึงได้เงียบไป เจ้าสำนักไม่รู้นึกครึ้มอะไรนัก นอกจากให้เงินไปซื้อของตามใจยังซื้อเสื้อผ้ากับชุดเครื่องประดับให้บุตรสาวสามคนท่วมห้อง

   “เงินเหลือเก็บจะเอาไปใช้ก็ปล่อยไปสักครั้งเถอะเสี่ยวเถา นานๆ ซื้อของสักทีใช่ว่าซื้อให้ใครอื่นไกล”

   คุณหนูรองหยุดมือ ตาสีน้ำผึ้งจ้องไปที่โต๊ะตรงข้าม “ข้ารู้ใจพ่อยิ่งกว่าใคร คอยดูเถอะพี่ใหญ่ ..พ่อเจ้าแผนการแต่ไอ้ที่จ่ายออกไปก็เพราะทำเกินตัวทั้งนั้น”

   หรือถ้าให้พูดอีกอย่าง ของเหล่านี้คงไม่สามารถซื้อใจลูกสาวที่ต่างคนต่างสนใจกันคนละทางได้


   ตกบ่ายห้องหนังสือเหลือแต่ซุนซีนั่งคัดลอกรายการอยู่คนเดียว มื้อเที่ยงเติมจนอิ่มท้องถึงอยากงีบสักหน่อยก็ต้องเร่งทำตามคำสั่งเมิ่งชุนเถาให้เสร็จ มือผอมปิดหน้ากระดาษรายการเล่มสุดท้าย นวดขมับพอให้คลายอาการปวดไปทั้งกระบอกตา

   เสียงถอนหายใจยืดยาวถูกกลบด้วยเสียงลากเท้าดังกรอกแกรกจากด้านนอก ซุนซีทายชื่อคนคนหนึ่งเอาไว้ในใจ เด็กหนุ่มยืดตัวนั่งหลังตรงอีกครั้ง สองมือง่วนอยู่กับการเก็บของรอผู้มาเยือนที่คงหนีไม่พ้นเพื่อนสาวของเขาเอง

   ฝีเท้าหยุดลงแล้ว เป็นอาตงที่โผล่หน้ามาด้อมๆ มองๆ อยู่ปากประตูห้อง กวาดสายตาสอดส่องด้วยดวงตาหรี่เรียวระยิบระยับเป็นนางจิ้งจอกน้อย

   “คุณหนูรองไม่อยู่” คนข้างในไม่รอให้ถาม ย่องเป็นแมวอย่างนี้มีอยู่เหตุผลเดียว

   พอรู้ว่าทางโล่งปลอดคนนางรีบส่งยิ้มหวานแทนคำทักทาย ไม่พูดพร่ำทำเพลงสองเท้าก้าวฉับยาวๆ มาคล้องแขนลากตัวไปตามทาง ตั้งหน้าตั้งตาพาเดินไม่สนใจฝ่ายที่กำลังหน้าเหวอ

   “ช้าก่อน ช้าก่อน!” ซุนซีร้องลั่น “อาตงจะพาข้าไปไหน?”

   คนต้นเรื่องหันมาทำเสียงเหน็ดหน่าย “คุณหนูเรียก มาเถอะอย่าถามมาก ไปช้าท่านเปลี่ยนใจขึ้นมาใครจะรับผิดชอบไหว!”

   “ก็แล้วมันเรื่องอะไรกันเล่า...”

   คำตอบรออยู่ที่สุดทาง อาตงพาเดินขะมักเขม้นมาถึงห้องนอนคุณหนูเล็ก เปิดประตูไม้ยังไม่ทันได้เอ่ยปากทักทายเมิ่งเซี่ยเหมยก็รับช่วงต่อลากแขนเขาตรงดิ่งไปนั่งหน้าคันฉ่องสำริด ตลับชาดบนโต๊ะเครื่องแป้งเปิดรอเอาไว้ บนโต๊ะใกล้ๆไล่ไปถึงบนเตียงมีเสื้อผ้าสตรีตัวสวยพาดทั่ว

   เสียงปิดประตูลงกลอนดังตามหลัง ซุนซีใช้แรงข้าวเที่ยงฮึดยืนก่อนโดนแม่หนูกดไหล่ให้นั่งลงตามเดิม รอยยิ้มหวานจับจิตส่องสะท้อนบนกระจกทองเหลืองขัดจนเป็นมันวาว

   “พี่ใหญ่เจ้าขา” นางเรียกเสียงใสกังวาน “อยู่เฉยๆ ให้ความร่วมมือพวกข้า แล้วทุกอย่างจะดีเอง”

   อาตงร้องถามมาจากฝั่งซ้ายว่าเอาตัวนี้ดีไหมพร้อมสองมือรีบกางชุดขึ้นชูหรา แม่ตัวการใช้มือข้างหนึ่งยกจับคางใช้ความคิด เหยื่อที่น่าสงสารร้องบอกว่าไม่แต่นางพยักหน้าว่าใช่ แล้วสาวใช้ที่บ่นกระปอดกระแปดอยู่ทุกยามว่าทำงานทุกวันเมื่อยตัวหมดเรี่ยวหมดแรงก็จับเพื่อนชายเปลื้องผ้าด้วยกำลังดุจกระทิงคลั่ง

   แต่ไหนแต่ไรอาตงเรี่ยวแรงมากกว่าใคร นางหาบน้ำสองบ่าเติมจนเต็มโอ่งได้สบายใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป  ขณะที่ผู้ชายผอมแห้งแรงน้อยอย่างซุนซีจะเติมน้ำสักโอ่งกินเวลามากกว่าสามเค่อ  ขนาดที่ว่าป้าหม่าเคยบอกว่าอาตงแข็งแรงเหมือนแม่วัว ส่วนอาซุนขนาดแม่ไก่ยังแรงเยอะกว่าเขาอีก..

   ผ้าจึงหลุดไปทีละชิ้น ทีละชิ้น ชายหนุ่มที่น่าสงสารได้แต่ปิดหน้าหนีผู้หญิงไร้ยางอายพวกนี้

   คำร้องวิงวอนไปไม่ถึงหูเซียนเพราะถูกเสียงหัวเราะร่าดังกลบ พายุแห่งความอับอายพัดหมดไปถึงสี่รอบถ้วน เมิ่งเซี่ยเหมยยืนกอดอกมองผลงานชิ้นเอกที่กำลังนั่งหมดอาลัยตายอยากขดตัวอยู่มุมห้อง จากตรงนี้เห็นแต่ก้อนผ้ากับทรงผมยกสูงเป็นมวยปักด้วยปิ่นและหวีเสียบเอียงกะเท่เร่ ส่วนอีกสาวกำลังง่วนกับการยืมชุดมาลอง กลิ่นแป้งกลิ่นเครื่องหอมลอยฟุ้ง ชาดจากตลับบุบพังหยดเลอะโต๊ะไม้เป็นจุดๆ

   “หันหน้ามาหาข้าหน่อยสิพี่ใหญ่ นะ..นะ....” คุณหนูยังคงพยายามอ้อน

   พี่ใหญ่ส่ายหัวไหวๆ ยิ่งเรียกเขายิ่งถดตัวเข้ามุมหนักกว่าเดิม แม่ตัวดีตามไปย่อตัวนั่งข้างกัน เอียงคอมองอย่างมีความหวัง

   “ข้าลงแรงแต่งตัวให้จนสวยแท้ๆ.. หันมาให้ดูหน่อยนะ แล้วเดี๋ยวข้าจะยกให้พี่สองชุดเลย”

   อาตงที่กำลังทาบเสื้อหมุนไปหมุนมาหน้ากระจกหันขวับ “อาซุนหันมาเดี๋ยวนี้!”

   ผู้ชายคนเดียวในห้องอยากจะร้องไห้ เพื่อนรักเอ็ดเร่งอีกครั้งซุนซีถึงยอมเงยมาเจอแม่หนูที่ยิ้มจนตาหยีรอต้อนรับ เพื่อนสุดที่รักของเขารีดไถได้เสื้อสวยไม่ต้องเสียเงินสองชุด เขาล่ะนอกจากความอับอายแล้วได้อะไร...

   น้ำตาซุนซีจะไหล “เสี่ยวเหมย เหตุใดเจ้าถึงทำกับพี่ชายอย่างนี้”

    “โถ่ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ” เซี่ยเหมยทำแก้มพอง “พี่ใหญ่ใส่แล้วดูดีไม่หยอก – ข้าสิ! ชุดรุ่มร่ามน่ารำคาญใส่แล้วก็ไม่สวย แบบนี้ไม่เห็นอยากได้สักนิด สู้เอาไปคืนแล้วให้ข้าเลือกเองเสียยังดีกว่า”

   “คุณหนูอยากได้ชุดแบบไหนล่ะเจ้าคะ?” อาตงผู้ไม่เคยปล่อยโอกาสทองลอยนวลถามแทรกขึ้นมา

   น้องน้อยชี้ไปที่กองชุดใส่แล้วของซุนซี “แต่เอาผ้าทนกว่านี้นะ จะปักลายนิดหน่อยข้าก็ไม่รังเกียจ ชุดกางเกงเอาไว้ใส่เวลาฝึกซ้อมสะดวกดี ”

   “อย่างนั้นข้าไปซื้อมาเปลี่ยนให้คุณหนูดีหรือไม่เจ้าคะ เปลี่ยนเป็นปลอกแขนหนังกับรองเท้าหุ้มสูงคู่ใหม่ ..ส่วนพวกนี้ถ้าคุณหนูไม่เอาก็ยกให้ข้าแลกกัน”

   “จะไปซื้อให้จริงเหรอ!”

   เซี่ยเหมยทำตาวาวดั่งเห็นทางสว่างองค์เซียนมาโปรด นางโดดผึงเดียวไปถึงตัวคนเจ้าแผนการ

   จากนั้นซุนซีไม่ทันได้ใส่ใจแล้วว่าสองคนคุยอะไรกัน เขาหดหู่เสียจนไม่เหลืออะไรให้หดหู่ พอสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวมือผ่ายผอมถึงได้ลูบไปตามผ้าไหมผืนบาง เสื้อตัวยาวทอละเอียดนุ่มมือ สัมผัสที่ปลายนิ้วลื่นไม่มีสะดุดรอยตะเข็บ พอขดตัวซุกจมูกกับเข่าอย่างนี้ได้กลิ่นเสื้อใหม่ปะปนไปกับกลิ่นเครื่องหอม รสชาติแปลกปะแล่มติดที่ปลายลิ้น

   แต่ไหนแต่ไรเขาชอบสัมผัสผ้าเนื้อดีกับกลิ่นหอมของผู้ใหญ่ แต่ไม่ใช่ให้มาใส่ด้วยตัวเองแบบนี้!

   ชายหญิงไม่ควรถูกเนื้อตัวอีกฝ่ายงั้นหรือ? แต่เล็กจนโตจะท่านป้าหรือสาวๆ ไม่เคยมีใครเห็นเขาเป็นผู้ชายสักคน นึกจะแตะเนื้อต้องตัวหรือลากไปไหนต่อไหนจนหัวหมุนก็ยังได้ ซุนซีรู้ความจริงข้อนี้ดี ...ถึงอย่างไรให้มาแต่งชุดผู้หญิงนับเป็นเรื่องน่าอดสูเกินไป

   เสียงหัวเราะร่าดังมาจากสองสาว เซี่ยเหมยเพิ่งตกลงยกชุดตัวเองให้อาตงเรียบร้อย ถ้าเป็นเวลาปกติเขาคงลุกขึ้นไปเอ็ดสั่งปราม...ตอนนี้แม้แต่จะยืนเต็มตัวยังไม่อยากทำ นับประสาอะไรกับกะจิตกะใจจะไปห้าม

   พูดได้อย่างเดียวว่าเสร็จอาตงกินเรียบ


   กว่าซุนซีจะรู้ความหมายของคำว่า ‘ใช้จ่ายเกินตัว’ ของคุณหนูรองก็ตกสายวันถัดมา

   ฟ้าเพิ่งสางอาตงมาเรียกที่ครัวเหมือนอย่างเคย สิ่งที่แปลกกว่าครั้งอื่นคือนางไม่ได้มาเพื่อรับไก่ตุ๋น แต่มาเพื่อบอกต่อให้คนทำซุปบำรุงเป็นฝ่ายยกไปให้ภรรยาเจ้าสำนักเสียเอง

   หลี่ฮูหยินโดยปกติแล้วหากไม่มีเรื่องอะไรมักให้อาตงคอยรับใช้ นานครั้งเขาถึงถูกเรียกไปนั่งเป็นเพื่อนสนทนา ซุนซีไม่ได้ค้านอะไร เมื่อไก่ตุ๋นยาจีนได้ที่แล้วจึงเป็นฝ่ายยกไปหาที่ห้องโดยดี

   ชามกระเบื้องวางลงบนโต๊ะพร้อมช้อนตัก ประตูไม้เคลื่อนปิดก่อนผู้มาใหม่จะหันมาคำนับนอบน้อม

   “เรียกข้ามีอะไรรึเปล่าขอรับ”

   เจ้าของห้องกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงถึงหันมาพยักหน้า “ป้ามีเรื่องจะคุย แต่เจ้ามาก็ดีแล้ว มาช่วยป้าทำผมก่อน”

   หลี่ฮูหยินหย่อนเท้าแตะพื้นก้าวลุกขึ้นเชื่องช้า เด็กรับใช้เก่าแก่รุดเข้าประคองพาไปจนถึงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างรู้งาน ฮูหยินสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยดีแล้ว เหลือก็แต่ผมปล่อยยาวที่ยังไม่ได้จัดการ คันฉ่องสำริดสะท้อนภาพใบหน้าไร้การแต่งแต้ม ล่วงเข้าวัยกลางคนสตรีผู้นี้ยังทรงเค้าโครงความงามในวัยสาวไม่สร่าง...แม้แก้มจะเซียวเพราะโรคเรื้อรังและร่องรอยตามวัยคาดประดับเป็นริ้วเล็กๆ

   “หวีผมให้ป้าด้วย” หญิงวัยกลางคนเอ่ย ฟังเนื้อเสียงไม่เชิงว่าเป็นคำสั่ง

   “ถ้าท่านป้าไม่ได้ออกไปข้างนอก ข้าจะทำผมให้อย่างเดิมนะขอรับ”

   ซุนซีหยิบหวีไม้มาบรรจงสางทีละน้อยจากปลายผม เกี่ยวนิ้วเก็บปอยรวบเบามือท่าทางชำนิชำนาญ ผู้เป็นป้ามองจากเงาสะท้อนในคันฉ่อง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเอ็นดู

   “ยิ่งโตเจ้ายิ่งคล้ายนาง” ฮูหยินเอ่ยขึ้นมาลอยๆ “...เหมือนกันมากเหลือเกิน ฝีมือทำไก่ตุ๋นก็ด้วย”

   คนอ่อนวัยกว่ายิ้มน้อยๆ พลางเสียบปิ่นเข้าที่ “ท่านป้าชมเกินไปแล้ว ฝีมือข้าเทียบท่านแม่ไม่ได้แม้แต่น้อย”

   ประโยคนั้นทำเอาผู้ฟังหัวเราะ “อย่าถ่อมตัวนักเลยซีเอ๋อร์ ป้ากินมาตั้งแต่ก่อนเจ้าเกิดรสชาติเป็นอย่างไรย่อมจำได้แม่นยำ”

   ซุนซีรู้สึกอุ่นอยู่ในอก ผู้ถูกกล่าวถึงเสียชีวิตไปสิบสามปีแล้ว ความทรงจำไม่ว่าจะเรื่องรสมือหรือกระทั่งใบหน้าล้วนต้องกลายเป็นภาพรางเลือน สุดท้ายแล้วอาจไม่ใช่รสชาติที่ทำให้หลี่ฮูหยินรู้สึกคุ้นเคย แต่เป็นการมีอยู่ของซุนซีที่ทำให้นางรับรสได้แบบนั้น

   อย่างไรเสียคำชมเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้หัวใจเด็กกำพร้าพองโตได้ไม่ยาก

   นิ้วเรียวขยับลูบจัดทรงเป็นครั้งสุดท้าย ผมด้านข้างถักเก็บและรวบขึ้นเป็นมวยสูงกลัดประดับด้วยปิ่นทองสลักลายเรียบง่ายเพียงชิ้นเดียว ซุนซีก้าวไปอยู่ด้านข้าง เอื้อมมืออย่างระมัดระวังไปเปิดตลับแป้งและตลับชาดรออย่างรู้งาน ไม่ลืมวางพู่กันเล็กๆ สำหรับแต้มทาไว้ประจำที่

   “ซีเอ๋อร์.. จากนี้ขอสั่งห้ามเจ้าอยู่ในห้องกับน้องๆ สองต่อสอง ป้ารู้ว่าเจ้าไม่คิดอะไรแต่มันดูไม่งาม” ฮูหยินพูดเรียบเรื่อยระหว่างผัดแป้ง “พวกนางโตเป็นสาวกันหมดแล้ว โดยเฉพาะหลานเอ๋อร์ที่อีกไม่นานจะแต่งงาน เจ้าต้องระวังเป็นพิเศษ”

   ผู้เป็นหลานฟังแล้วเงียบไป นี่เป็นข่าวใหม่สำหรับเขาและกะทันหันเกินตั้งตัว

   “...เสี่ยวหลานจะแต่งงานหรือขอรับ”

   “ใช่ ผู้ใหญ่บ้านเถียนเพิ่งมาคุยเมื่อสองวันก่อน -- ซีเอ๋อร์ไปยกถ้วยยามาให้ป้า กินก่อนแล้วค่อยคุย”

   มือผอมโอบก้นถ้วยยาบำรุงย้ายมาวางถึงที่ ควันร้อนจางลงเหลือเพียงซุปอุ่นกำลังดี หลี่ฮูหยินเอามือวักเอาไอฉุยกลิ่นเปลือกไม้เข้าหน้า ดมให้พอชินกลิ่นก็ยกขึ้นดื่มทีละน้อย คนรอได้แต่ยืนมองอย่างใจเย็น

   “บ้านสกุลเถียนเขามาสู่ขอตงหลานให้ลูกชายคนโต อายุอานามก็เหมาะจะออกเรือนแล้ว อีกไม่กี่วันคงหาฤกษ์หมั้นมาขอเป็นทางการ ..ตงหลานเป็นฝั่งเป็นฝาป้าจะได้หายห่วงไปอีกเปราะหนึ่ง”

   เป็นอันรู้กันทั่วว่าเมิ่งตงหลานสะสวยเพียบพร้อมราวเทพธิดาฉางเอ๋อ มาจุติ แต่ยังครองตัวอยู่จนถึงอายุสิบห้าเพราะบิดาดุหาใดเปรียบ ลำพังสมญาพยัคฆ์บูรพาอย่างเดียวก็ไล่บุรุษน้อยใหญ่ขวัญกระเจิงถอยทัพไม่เป็นท่าได้นักต่อนัก

   เขารู้ว่าเหตุที่ลุงเถียนกล้ามาสู่ขอเพราะเป็นสหายสนิทของเจ้าสำนัก สองผู้เฒ่าร่ำสุราไปมาหาสู่กันเป็นนิจ ตระกูลเถียนสามรุ่นจนถึงปัจจุบันเป็นคหบดีถือสินทรัพย์มากเป็นอันดับต้นๆ ในหวงซาน นอกจากครองตำแหน่งเจ้าของโรงเตี๊ยมใหญ่ที่สุดในเมืองแล้วยังมีเครือกิจการสุราน้อยใหญ่ในย่าน จะให้ตบแต่งเข้าเป็นภรรยารองลูกคนโตดูแล้วไม่ถือว่าน่าเกลียด

   “ลูกชายลุงเถียนมีภรรยาอยู่คนหนึ่งแล้ว แถมเขาได้ชื่อว่าติดสุรา วันๆ ดื่มเหล้าเย็นจนถึงย่ำค่ำ เป็นคนนี้จะดีหรือขอรับ”

   หลี่ฮูหยินลดถ้วยลงวางคืนที่ “...แต่เด็กคนนั้นขยันทำการทำงาน ช่วยที่บ้านไม่ขาดตกบกพร่อง มีข้อเสียอย่างสองอย่างยังนับว่าไม่เลวร้ายเสียทีเดียว”

   “ท่านป้า..” เขาแย้งเสียงอ่อน “แล้วตงหลานล่ะขอรับ นางว่าอย่างไรบ้าง”

   “รู้แล้วจะว่ากระไรเล่า? ให้ลุงกับป้าตัดสินใจหลานเอ๋อร์ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว -- ดูสิ เจ้าเด็กคนนี้แปลกคนเสียจริง หวงน้องยิ่งกว่าแม่เสือหวงลูก”

   ฮูหยินแกล้งแหย่แต่ผู้เป็นหลานฟังแล้วย่นคิ้ว เขาทับนิ้วโป้งขัดกันอยู่บนหน้าตัก คนมีศักดิ์เป็นป้าเห็นสีหน้าวุ่นวายใจอย่างนั้นก็ยิ้มละมุน

   “ถ้าแต่งเข้าสกุลเถียนเป็นอันวางใจได้ ป้าเป็นแม่แท้ๆ ทั้งรักทั้งห่วงหลานเอ๋อร์ไม่ได้น้อยไปกว่าเจ้า บ้านนั้นรู้จักมักคุ้นกับบ้านเรามานาน เด็กคนไหนโตเป็นคนนิสัยอย่างไรป้ารู้ดี ซีเอ๋อร์อย่ากังวลนักเลย”

   กับคำตอบนี้ซุนซีได้แต่พยักหน้าอย่างจำนน จะไปทำอะไรได้ ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรเสียงร่ำไห้แสนเบาของบุตรสาวยังไปไม่ถึงหูบุพการี

   กับคนเป็นลูก พ่อแม่ย่อมรู้ดีที่สุด พ่อแม่ย่อมหวังดีที่สุด

   ...แล้วเหตุใดเขาถึงรู้สึกเหมือนถูกบีบหัวใจ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [จีนโบราณ] บุบผบุรุษ :: บทที่1 16/11/62
« ตอบ #9 เมื่อ: 22-11-2019 08:49:07 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชอบบบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
เหมือนการแต่งงานจะย่ำแย่ เมียก็มีแล้ว แถมคิดสุราอีก   :a5: o22 :เฮ้อ:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รอตอนต่อไปนะคะ สนุกมากๆเลย มีเมียอยู่แล้วก็ยังไม่พอเนาะ :serius2:

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 3

   เช้าวันนี้ขบวนคุ้มกันออกเดินทางตั้งแต่ฟ้าสาง เพราะเป็นงานง่ายคุณหนูคนเล็กเลยได้รับอนุญาตให้ติดตามไปด้วย ซุนซียังจำภาพเย็นวานยามแม่หนูวิ่งมาบอกได้เป็นอย่างดี เดินทางครั้งนี้จะแวะผ่านบ้านท่านเจ็ดผู้เป็นน้องชายทางสายเลือดของเจ้าสำนักเมิ่ง นางสัญญาว่าจะขนขนมกลับมาฝากเขาเป็นพะเรอเกวียน

   ครั้งหนึ่งเมิ่งชุนเถาเคยไปอาศัยเรียนการค้าเป็นลูกมือฝึกหัดที่นั่น สี่ปีให้หลังจากเด็กเฉลียวฉลาดธรรมดากลายเป็นนางมารน้อยดีดลูกคิดรางแก้ว จับอะไรเป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด...

   เข้ายามอุ้ย ซุนซีเสร็จจากงานบัญชีก็เตรียมไปกินมื้อเที่ยง เพราะวันนี้ป้าหม่าขู่จะทำฮวาจือเกิงเมี่ยน เขาถึงได้แอบตุ๋นน่องไก่เผื่อไว้ กะเกณฑ์เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าข้าวสวยหุงกับน้ำแกงสักหน่อยแบ่งกินได้ทั้งวัน เดินมาถึงทางแยกไม่ทันไรหางตาทันเห็นอาตงย่องลับๆ ล่อๆ ออกมาจากโรงครัว สองมือนางกอดโถปิดฝาไว้แนบอก เวลานั้นซุนซีถึงนึกได้ว่าน่องไก่ตุ๋นใส่ในภาชนะเดียวกัน นั่นมันกับข้าวทั้งเที่ยงทั้งเย็นของเขา จะให้เอาไปไม่ได้!

   “อาตง!” เจ้าของน่องไก่วิ่งกระหืดกระหอบไล่ตาม โจรร้ายได้ยินชื่อตัวเองยิ่งกวดฝีเท้าหนี

   คนใจเย็นหิวจนเลือดขึ้นหน้า ดึงเอาเรี่ยวแรงน้อยแสนน้อยขึ้นไล่กวดตามหลัง ตะโกนจนคอแหบคอแห้งแม่โจรน่องไก่ก็ยังตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง

   “ตงเซี่ยงจู! ถ้าไม่หยุดข้าจะฟ้องเสี่ยวเหมยว่าเจ้าซื้อของชั้นเลวมาเปลี่ยนให้นาง!”

   คำพูดเดียวดั่งฟ้าฟาดลงกลางใจ อาตงชะลอฝีเท้าพุ่งเข้าห้องว่างๆ ไปยืนรอพร้อมของกลางในมือ ในที่สุดก็ยอมจำนน

   “เป็นอาซุนเองหรอกหรือ! ให้ฟ้าผ่าตายเถอะ ข้าอุตส่าวิ่งแทบแย่” อาตงถลึงตาใส่คนหอบแฮ่กจนหน้าเขียวหน้าแดงอาการหนัก ส่วนตัวนางแค่เหนื่อยพอประมาณ สองแขนยังหอบโถไว้อย่างหวงแหน

   ซุนซียืนเกาะเสา หายใจหายคอสะดวกแล้วค่อยพูด “ข้าเรียกเจ้าตั้งนาน.. จะเอากับข้าวข้าไปไหน”

   “ของเจ้าอะไรกัน? ของคุณหนูใหญ่ต่างหาก” หัวขโมยตีหน้าซื่อ ยืนอยู่ตรงนี้ซุนซียังได้กลิ่นเครื่องยาจีนอยู่เลย

   “เอาให้ข้าดูหน่อย”

   ยืนแข่งจ้องตากันอยู่นานสองนาน อาตงยอมแพ้โอดครวญขึ้นมาเสียงดัง “เออ! ก็ไก่ของเจ้านั่นแหละ แล้วกระไรล่ะ? ข้าจะเอาไปให้คุณหนูใหญ่จริงๆ” คนไม่ชอบถูกกดดันสารภาพหมดเปลือก

   เพื่อนเก่ามานานรู้อยู่ว่าตกสภาพอย่างนางนี้ไม่ได้โกหก แล้วจะทำตัวให้น่าสงสัยไปทำไม?

   “ปู่ย่าเจ้าเป็นเจ้ากรมอาญาหรือ จ้องข้าจนตาจะหลุดออกจากเบ้าแล้ว” อาตงกระฟัดกระเฟียด ผลักเอาโถไก่ตุ๋นไปให้คนช่างสงสัยถือแทน “สองวันมานี้คุณหนูใหญ่แทบไม่กินอะไรเลย ยกสำรับเข้าไปให้แบบไหนก็กลับอออกมาแบบนั้น แม้แต่ถั่วสักเม็ดก็ไม่กิน ข้าเป็นห่วงกลัวคุณหนูจะป่วยเสียก่อน”

   “เจ้าก็เลยจะเอามื้อเที่ยงข้าไปให้คุณหนู” เขาสรุปให้ สีหน้าเหน็ดเหนื่อย “แล้วถ้าเหลือจะเก็บไว้กินเองใช่หรือไม่”

   “ดูเจ้าพูดเข้าสิ! อธิบายเจ้าไปก็เสียเวลาเปล่า เรื่องมากนักเอาไปให้คุณหนูเองก็แล้วกัน”

   นางทำเฉไฉแล้วเดินหนีไปหน้าตาเฉย ทิ้งให้ซุนซีถอนหายใจยืดยาว เด็กหนุ่มแบกเอาโถใส่ไก่ตุ๋นยาจีนกลับไปทางห้องครัว แน่ล่ะว่าเขาเป็นห่วงเมิ่งตงหลานไม่น้อย แต่ใครที่ไหนเขาจะยกน้ำแกงยังไม่อุ่นไปให้ทั้งโถทั้งหม้อกันเล่า...



   กลุ่มคนกลุ่มน้อยในชุดขาวสะอาดเดินตัดผ่านระเบียงเข้าไปในห้องนอนใหญ่ของเจ้าสำนัก ไม่ว่าจะไปทางใดก็ทิ้งกลิ่นหยูกยาและสมุนไพรแห้งเจือไว้รายทาง

   ปกติทุกสองเดือนท่านหมอเทวดาจะแวะเข้ามาตรวจอาการหลี่ฮูหยินที่เรือนใหญ่ ตั้งแต่ซุนซีทำงานเป็นเด็กรับใช้ก็เห็นแพทย์มากวัยผู้นี้เข้าออกสำนักคุ้มภัยบ่อยครั้ง คนที่คอยออกมารับมาส่งถึงลานบ้านไม่เคยขาดหนีไม่พ้นเมิ่งตงหลาน ทว่าวันนี้นางกลับขลุกอยู่แต่ในห้อง

   ลูกศิษย์ของหมอเทวดาหยงฝูเคยบอกว่าท่านอายุสี่สิบกว่าแล้ว ทว่าใบหน้ายังดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงถึงครึ่งหนึ่ง แม้จะมองจากไกลๆ ยามตรวจวัดชีพจรกริยางามสง่าหมดจด เสียงพูดซักถามอาการช้าชัดกระจ่างเย็นใส ผมมัดรวบตึงแม้สวมทับด้วยหมวกผ้าธรรมดากลับขับให้ดูทรงภูมิ

   เช่นนี้ต่อให้ยืนรอท่านหมอตรวจโรคประจำตัวฮูหยินเป็นชั่วยามเขาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ให้เดินไปส่งถึงหน้าประตูใหญ่ก็ยังยินดีเป็นอย่างยิ่ง

   หยงฝูฝากพับกระดาษไว้ให้คุณหนูเมิ่งคนโต ซุนซีรับมาแต่ไม่ได้เปิดดู พอรู้ว่าในนั้นคงเป็นคำตอบเรื่องยาที่นางเคยถามท่านหมอเมื่อพบกันครั้งก่อน เมิ่งตงหลานสนใจเรื่องสมุนไพรมากกว่าเรื่องบทกลอน ก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ที่เขารู้จัก...มีหลายอย่างที่คนสักคนหนึ่งรักแต่สวรรค์ไม่ปรารถนาให้ได้ทำ

   เด็กหนุ่มสอดพับกระดาษไว้ที่ผ้าคาดเอว รอจนหมอเทวดาเดินจนพ้นมุมถนนถึงสาวเท้ากลับเข้าด้านใน

   ตกบ่ายแก่แดดร่มอาทิตย์คล้อยลงต่ำ สีส้มเจือบนริ้วเมฆบอกเวลาตะวันใกล้ลับฟ้า เสียงบรรดาลูกศิษย์ดังเซ็งแซ่มาจากโรงอาหารใกล้เรือนนอน กลิ่นกับข้าวมื้อเย็นลอยตามลมมาถึงทางเดินข้างนอกปลอดคน ซุนซีเดินลัดจากลานกว้างย่ำเท้าไปตามทางจนถึงเรือนพยาบาลหลังเล็กๆ ปลูกอยู่ไม่ไกลกัน

   เด็กอายุราวสิบปีนั่งหาววอดโตอยู่หน้าแคร่ตากฟูกตากผ้าปูที่นอน ขดตัวหลังค่อมตาปรือใกล้จะหลับเต็มทน หนุ่มน้อยหันมาเห็นว่าใครมาก็ยิ้มกว้างตื่นเต็มที่ – แต่พอรู้ว่าเรียกกินข้าวตั้งแต่หนึ่งเค่อที่แล้ว ยิ้มร่าตาหยีก็กลายเป็นหน้าซีดในชั่วพริบตา ร่างเล็กๆ ร้องจ้าวิ่งตัวปลิวไปทางโรงอาหาร ทิ้งหน้าที่เก็บผ้าเป็นของคนอื่นเสียแทน

   มือผอมหอบเอาผ้ากองโตกลับเข้าไปในเรือน ฟูกผ้าฝ้ายตากเอาไว้นานจนหอมกลิ่นแดด มันยังเหลือไออุ่นและให้สัมผัสสะอาดนุ่มมือ พวกเครื่องใช้ในเรือนพยาบาลต้องหมั่นเอามาทำความสะอาดและตากไม่ให้เหม็นอับ

   สมัยก่อนลูกชายหัวหน้าอู๋ซ้อมวิชาน่วมไปทั้งตัวต้องมานอนพักบ่อยๆ ซุนซีชอบถือโอกาสมาป้วนเปี้ยนจนโดนใช้ให้เอาเครื่องนอนไปผึ่งแดดอยู่ทุกรอบ พอเข้าหน้าร้อนก็ต้องขนเล่มตำรามาตากกันชื้นเรียงเป็นแถวตามแคร่ ...หากจำไม่ผิดครั้งหลังมีเด็กชายตัวโตมาช่วยเขาทำงานอยู่คนหนึ่ง เสียแต่ผ่านไปนานจนจำได้แต่ชื่อที่เอามาล้อเลียน

   ลูกวัว ลูกวัว.. น้องชายคนนั้นแบกของแทนเขาจนสูงท่วมหัว ใบหน้าขึงขังแดงก่ำเหมือนพุทราจีน

   สองมุมปากที่ยกขึ้นค่อยคลายลงช้าๆ เมื่อเข้ามาเห็นสีหน้าคนในห้อง เมิ่งตงหลานนั่งเหม่ออยู่ลำพังนานแล้ว ในมือถือม้วนผ้าพันแผลค้างไว้ มีหีบเล็กสำหรับเก็บผ้าสะอาดเปิดอ้าอยู่ข้างกัน สติของนางไปอยู่ในที่แสนไกล ไม่ทันสังเกตผู้มาเยือนกระทั่งเจ้าตัวเอ่ยทัก

   “ให้ข้าช่วยดีหรือไม่” ซุนซีวางกองผ้าแล้วนั่งลงข้างๆ ผู้ถูกถามพยักหน้าช้าๆ ท่าทีเซื่องซึมเหมือนคนป่วย...เช่นนี้เรียกว่าเป็นไข้ใจ “…มีเรื่องกลุ้มใจคราใดเสี่ยวหลานชอบหลบมานั่งคนเดียวทุกครั้ง ให้คนรับฟังเป็นข้าดีกว่าบ่นให้ข้าวของให้ตำราฟัง ดีหรือไม่?”

   เมิ่งตงหลานยิ้มจาง “แล้วก็เป็นพี่ใหญ่ที่ตามมาปลอบใจข้าได้ทุกรอบ” นางว่าก่อนหลุบตาลงมองปลายเท้า “ข้าอยากพูดเอาแต่ใจอย่างน้องเล็กได้บ้าง... หากข้ามีความกล้าเท่านางคงดีกว่านี้”

   “เท่าเสี่ยวเหมยเลยหรือ” ซุนซีพูดไม่เค็มไม่จืด คุณหนูฟังแล้วหลุดหัวเราะ นางไกวเท้าเล็กจิ๋วช้าๆ รวบรวมความคิดกลั่นเป็นประโยค

   “น้อยกว่านิดหนึ่งก็ได้ -- ข้าอยากบอกท่านพ่อว่าไม่ขอแต่งงาน เจ้าของโรงเตี๊ยมดีกับสกุลเมิ่งก็จริงแต่ข้าอยากเรียนวิชาแพทย์.. อยากช่วยเหลือคนเจ็บได้มากกว่านี้ ได้ศึกษาในเรื่องที่ข้าสนใจไปเรื่อยๆ พี่ใหญ่รู้ใช่หรือไม่ว่าเป็นสะใภ้ก็มีหน้าที่ของสะใภ้”

   “และหน้าที่ของภรรยา...และหน้าที่ของมารดา” ซุนซีกล่าวเสริม

   เมิ่งตงหลานผงกศีรษะว่าตนเข้าใจ สีหน้านางหมองลงแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ในความเงียบมีเสียงถอนหายใจสั้นๆ ดังขึ้นครั้งหนึ่ง ซุนซีไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นนาน เขาเรียบเรียงคำพูดในหัวจนตัดสินได้ใจแน่แล้วถึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

   “เสี่ยวหลาน พี่ใหญ่ถามอะไรสักข้อได้หรือไม่” เมื่อคนฟังพยักหน้ารับเขาจึงกล่าวต่อ “ในเมื่อการแต่งงานหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าพี่ใหญ่ช่วยให้เจ้าได้แต่งกับท่านหยงแทนล่ะ เจ้าจะว่าอย่างไร”

   นางรีบเงยขึ้นมอง ดวงตาเมิ่งตงหลานเบิกโพลงขึ้นครู่หนึ่ง “เขาเคยพูดเช่นนั้นหรือพี่ใหญ่” ในพลอยสีนิลสุกใสมีแวววาดหวังจุดประกาย

   “…ตอบข้ามาก่อน หากเจ้าบ่าวเป็นเขาเจ้าจะคิดอย่างไร”

   คุณหนูใหญ่เงียบไปอีกครั้ง นางวางผ้าผืนสุดท้ายลงในหีบแล้วบรรจงปิดแช่มช้า แสงพราวระยับในดวงตาคล้ายมอดลงกึ่งหนึ่ง “ถึงจะเป็นไปไม่ได้ แต่หากเป็นท่านหยงข้ายินดีแต่งกับเขา”

   ซุนซีมองนิ่ง “แม้ว่าเขาจะอายุเท่าท่านลุงอย่างนั้นหรือ”

   “พี่ใหญ่ควรรู้คำตอบ แม้ว่าเขาจะอายุมากข้าก็ยินดี” นางพูดหนักแน่น “ต่อให้ล่วงเข้าสักร้อยปีพันปีข้าก็ไม่เปลี่ยนใจ ขอเพียงให้เขายินดีรับข้าเป็นภรรยาก็พอแล้ว”

   น้ำเสียงมั่นคงหยุดแต่เพียงเท่านั้น สีหน้าเป็นทุกข์ของเมิ่งตงหลานแทนคำพูดว่านางรู้ดีแก่ใจเรื่องที่ตนแก้ไขอะไรไม่ได้ จารีตแต่โบราณสอนให้สตรียึดถือสามคล้อยสี่คุณธรรม  คำพูดบิดามารดาถือเป็นวาจาศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจขัด

   “เสี่ยวหลาน” เจ้าของชื่อหันมองเซื่องซึม พี่ชายใหญ่กุมมือนางเอาไว้ “ไปที่ห้องหนังสือ พี่จะช่วยเจ้าเอง”

   สาวน้อยมองด้วยสายตาฉงน พอเสียงคู่สนทนาดังขึ้นอีกครั้งรอยยิ้มแสนเศร้าก็ค่อยๆ แย้มบาน

   ฟ้ามืดตามทางจุดสว่างด้วยแสงตะเกียง เงาสองร่างเคลื่อนไหวๆ เนิบช้าไปตามระเบียงทางเดินทอดยาว ตัดผ่านทางเข้าห้องแล้วห้องเล่าจนถึงที่หมาย

   ใครจะว่าเขาคิดอะไรตื้นเขินก็ช่าง! สตรีแต่งงานแล้วชะตาชีวิตผูกอยู่กับสามี หากนี่จะเป็นทางออกที่นางยินดีเลือกเดินไฉนเลยเขาจะนิ่งดูดาย ซุนซียอมทำอะไรบ้าบิ่นเกินตัวดีกว่ามานั่งทนเห็นน้องสาวไม่มีความสุขไปทั้งชีวิต


   
   เมื่อครั้งที่หลี่ฮูหยินยังเป็นแม่นางหลี่และมารดาของซุนซียังมีชีวิต ทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทต่างฐานะที่มาจากบ้านเดียวกัน ตระกูลหลี่เป็นผู้ดีตกยากลี้ภัยสงครามมาจากฉางซา  ส่วนมารดาซุนซีเป็นเพียงลูกสาวคนครัวที่ติดสอยห้อยตามมากับขบวนบ้านเศรษฐี ระหว่างการเดินทางยากลำบากเด็กหญิงวัยไล่เลี่ยผูกสัมพันธ์เป็นทั้งนายบ่าวและเพื่อนรัก สองดรุณีสนิทกันเหมือนพี่น้อง แม้แต่ออกเรือนก็เลือกลงหลักปักฐานที่เมืองเดียวกัน

   จากรุ่นสู่รุ่นความผูกพันยังคงอยู่เปลี่ยนแต่เพียงผู้รับบทบาท จากสาวใช้วัยแรกแย้มเป็นเด็กชาย และจากคุณหนูตกยากเป็นสามพี่น้องในครอบครัวมีฐานะ ซุนซีเคยสงสัยว่าหลี่ฮูหยินเห็นแม่ของเขาเป็นเหมือนพี่น้องหรือไม่ เพราะสำหรับเขากับสามพี่น้องมันเป็นเช่นนั้น

   เพื่อน้องสาว ให้บุกน้ำลุยไฟเขาทำได้ทุกอย่าง



   ม้าแก่วิ่งไม่เร็วไม่ช้าแต่ฝุ่นยังคลุ้งเหนือดินเป็นทางยาว เขตนอกเมืองอย่างนี้ถนนลูกรังทำมาจากการแผ้วถางพื้นที่ป่า ยิ่งเดินทางหลุดจากชานเมืองภูมิทัศน์ขนาบสองข้างค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากป่าโปร่งเป็นป่าทึบในไม่ช้า ต้นไผ่ขึ้นเป็นทิวสูงหนาตา เสียงซ่าเหมือนห่าฝนจากใบเรียวลู่เสียดสี ลมที่ตีปะทะใบหน้าเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มร่างเล็กบนหลังม้ามือกำสายบังเหียนแน่นแม้ตอนนี้แทบไม่รู้สึกถึงนิ้วทั้งสิบ

   รูปปั้นหินเรียงรายเป็นสัญญาณว่าใกล้ถึงที่หมาย ซุนซีทวนคำพูดในหัวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนโรงหมอจะปรากฏในคลองสายตา เรือนสีน้ำตาลตรงหน้าก่อจากลำไม้ไผ่แข็งแรง มันซ่อนตัวอยู่หลังแปลงดินและลานวางแคร่ตากสมุนไพร ลูกศิษย์ของหมอเทวดาเดินอยู่ด้านนอกเพียงสองสามคน บ้างพอเห็นว่าใครมาเยือนก็กลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ

   ม้าควบเหยาะเสียงกีบกระทบไม้เมื่อข้ามสะพานเก่าพาดเชื่อมระหว่างเขตพักฟื้นกับป่าใหญ่ ผ่านแปลงสมุนไพรไม่ทันถึงโรงหมอก็พบหน้าหยงฝู คนบนหลังม้าโดดลงพื้นจูงเจ้าอาชาแก่ตรงไปหา

   ชายตรงหน้าอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีเทาตัวยาว ย่างก้าวงามสง่าราวภาพเหมือนทวยเทพ ผมมัดรวบเรียบง่ายปล่อยชายคลอเคลียบ่า เส้นสีดอกเลาแทรกตามกลุ่มผมดำสนิทมองแล้วไม่น่าเกลียดแต่ยิ่งขับให้ดูทรงภูมิ ภาพลักษณ์อาจต่างจากที่เห็นเวลาหยงฝูออกตรวจอาการคนไข้ที่เรือนไปบ้าง..แต่สิ่งที่โดดเด่นไม่เปลี่ยนคงเป็นดวงตาอ่อนโยนสุขสงบที่แค่มองก็ทำเอาใจเย็นลงได้

   “คารวะท่านหมอ ข้าเอาของมาส่งขอรับ”

   หยงฝูยิ้มเป็นมิตร มือหนึ่งผายไปทางประตูเรือนไม้ใกล้พุ่มต้นติงเซียง  “เชิญเข้าไปข้างในก่อน”

   ตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาภายในโรงหมอกลิ่นยาก็คลุ้งอวลเตะจมูก ศิษย์สองสามคนนั่งบดยาบนแคร่ บ้างก็ยืนจดตำราอยู่หน้าชั้นวาง โหลกระเบื้องเล็กๆ และอับยาวางเรียงถัดจากชั้นเก็บสมุนไพร ตู้ไม้เก่าขัดมันสูงเทียมหลังคามีคนวกมาเปิดไม่ขาดมือ ซุนซีเดินนำเข้าไปถึงโต๊ะห้องตรวจอาการหลังม่านกั้น รอจนท่านหมอเทวดาตามเข้ามาแล้วถึงวางผ้าห่อโตไว้บนโต๊ะว่าง

   “ท่านลุงได้โสมมาจากสหายเก่าขอรับ เลยฝากมาให้ท่านกึ่งหนึ่ง ส่วนสมุนไพรที่สั่งเอาไว้เมื่อคราวก่อนใส่ไว้ด้วยกันแล้วขอรับ”

   “ฝากขอบคุณท่านเจ้าสำนักด้วย” รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าท่านหมอ หยงฝูยังไม่เปิดดูทันที มือเคลื่อนนุ่มละมุนเหมือนสายน้ำไหลไปจัดถ้วยชา เป็นคนมาส่งเสียเองที่อยากให้ตรวจสอบของตั้งแต่ตอนนี้

   “ -- มีอีกอย่างขอรับ” ซุนซีโพล่งอย่างคนร้อนใจ ขยับตัวนั่งไม่ติดที่ “ท่านหยง ตงหลานจะแต่งงานเร็วๆ นี้”

   กาน้ำชาหยุดค้างกลางอากาศ สะดุดเพียงครั้งชาร้อนก็เทลงจอกเล็กไม่มีติดขัด หยงฝูขานรับว่าอย่างนั้นหรือ อย่างนั้นเอง ปากยังสำทับกล่าวคำยินดีกับนางอีกด้วย

   “นางจะแต่งเข้าเป็นอนุลูกชายคนโตสกุลเถียน ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่ได้ฝึกปรือการแพทย์อีกแล้ว” ซุนซีพูดต่อไม่รับฟัง คำอวยพรของหยงฝูค่อยๆ แผ่วลง สีหน้าคนผ่านโลกมามากยังคงนิ่งสงบเหมือนฟังเรื่องไม่สลักสำคัญ

   ต่างฝ่ายต่างนิ่งไปนาน ดวงตาคู่หนึ่งหลุบลงมองพื้น อีกคู่จ้องเขม็งที่คู่สนทนา ไอร้อนจากถ้วยชาเจืออากาศก็บางลงช้าๆ ซุนซีกุมมืออยู่บนหน้าตัก ในปากรับรู้ถึงรสฝืดเฝื่อน

   “..หากหมดธุระแล้วเชิญกลับเถิด” หยงฝูกล่าวเสียงเรียบ

   ผู้มาเยือนพยักหน้ารับอย่างจำนน สองเท้าหนักอึ้งของเด็กหนุ่มยังไม่ยอมยกก้าวไปไหน ทางเจ้าบ้านก็ไม่เร่งรัด ในดวงตาคนมากประสบการณ์สงบนิ่งดุจน้ำใส

   “ก่อนกลับข้ามีสิ่งหนึ่งต้องมอบให้ท่านหยง”

   ซุนซีคลี่ห่อผ้าบนโต๊ะหยิบเอาของทรงยาวขึ้นมา ไม้สลักลายซี่ผอมพับทบกันพอดีมือ เขาค่อยๆ คลี่พัดกระดาษหงายวางบนโต๊ะ บนผืนพัดมีลายมือลงหมึกเขียนเป็นอักษรอ่อนช้อย ข้างใต้แถวตัวหนังสือเว้นช่องไฟเป็นระเบียบพอเห็นภาพดอกอวี้หลาน งดงามวาดประดับอยู่อีกด้าน แม้กระดาษจะบางจนสิ่งที่อยู่บนพัดทั้งสองฝั่งแต่สีของรูปซีดจางคล้ายเจตนาจะซ่อนตัว

   มือผ่ายผอมแม้เปิดพัดแต่ยังปิดอักษรอยู่ครึ่งหนึ่ง “หากท่านไม่มีใจอย่างที่ว่าจริงๆ...โปรดบอกกับนางเองเถอะขอรับ” ซุนซีกำชับด้วยเสียงพร่าแผ่วเบา เมื่อสิ้นคำถึงยกปลายนิ้วออกเอื่อยช้า

ข้าไม่อยู่ยามเมื่อท่านเกิด, ท่านล่วงวัยเมื่อข้ากำเนิด

ท่านเป็นทุกข์ที่ข้าเกิดช้า, ข้าเป็นทุกข์ที่ท่านเกิดเร็ว

ข้าไม่อยู่ยามเมื่อท่านเกิด, ท่านล่วงวัยเมื่อข้ากำเนิด

ข้าปรารถนาเกิดพร้อมท่าน, ทุกวันอยู่เริงรื่นร่วมกัน

   นับแต่เนื้อความในพัดปรากฏสู่สายตา หยงฝูทำเพียงแต่ตั้งใจอ่านอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ทุกอากัปกริยาอ่อนช้อยและท่าทีเยือกเย็นดุจธารน้ำใสมลายลงช้าๆ ยิ่งสายตาไล่ผ่านอักษรตัวแล้วตัวเล่าสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นหมองมัว

   ซุนซีค้อมศีรษะ หันหลังกลับโดยไม่ต้องรอให้ใครออกปากไล่เป็นครั้งที่สอง

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
กลอนนี่คุ้น ๆ คุณหนูใหญ่จะสมหวังไหมนะ รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
บทนายเอกจืดจางมากๆ  :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รอตอนต่อไปค่ะลุ้นๆ :katai1: :pig4: :L1:

ออฟไลน์ valenna yy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่3 29/11/62
« ตอบ #19 เมื่อ: 30-11-2019 13:15:15 »





ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 4

   ฟ้าครึ้มในยามสายตะวันเร้นกายอยู่หลังแพเมฆฝนเกาะกลุ่มคล้อยต่ำ ที่ลานตากผ้ามีแต่ราวตากโครงไม้ไผ่กับคนใช้ที่ยืนท้าวสะเอวบ่นว่าฝนใกล้จะตกอยู่รอมร่อ ห่างออกไปพวกลูกศิษย์สำนักยังซ้อมพลองทำเสียงอึกทึกแข่งกับเสียงลม ฝุ่นทรายตลบฟุ้งพัดไปทั่ว ในเรือนใหญ่กับประตูอ้ากว้างอย่างนี้ทำเอาคนกำลังถูพื้นห้องโวยขึ้นมาอีกรอบ

   “ลมแรงอย่างนี้บ้านเจ้าเปิดประตูรอเง็กเซียนเสด็จรึไง!”

   “ระวังคำพูดหน่อย!” คนแก่กว่าเอ็ดขึ้นมา “เจ้าก็ลุกไปปิดประตูแล้วค่อยมาถูพื้นต่อ อย่าทำให้เป็นเรื่อง”

   ซุนซีที่เพิ่งยกโต๊ะไม้เสร็จแทบจะห่อตัวเดินออกไป สาวใช้ยิ่งอายุมากยิ่งน่ากลัว คำกล่าวนี้เขาได้พิสูจน์ด้วยตนเองแล้ว..

   เด็กรับใช้ข้างนอกตรงมาเกาะขอบประตู ท่าทางจะรีบจัดจนจุกผมเบี้ยวจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่ “ซุนเกอ คนจากโรงหมอมาหา อยู่ข้างนอก--”

   “อิงอิง ไปมัดผมใหม่เดี๋ยวนี้!” ประกาศิตดังมาจากข้างหลังเขา เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยง กวดฝีเท้าโกยหน้าตื่นกลับไปทางเดิม

   ซุนซีก้มหน้าก้มตาเช็ดมือกับชายเสื้อ สาวเท้าไวๆ ตามออกไปถึงประตูใหญ่ เด็กชายตัวเล็กยืนทำท่าขึงขังเป็นนายทหารเฝ้ายามอยู่หน้าขั้นบันได สองมือหอบห่อผ้าป่านสีทึมกอดเอาไว้เป็นอย่างดี กันไม่ให้เลอะแม้ว่ารองเท้าเจ้าตัวจะเขลอะโคลนกระเด็นมาถึงเข่า

   “รอนานไหม?” ฝ่ายที่เพิ่งมาหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าถูแก้มเช็ดคราบเปื้อนเล็กๆ หนุ่มน้อยส่ายศีรษะเอื่อยช้า หยีตาลงนิดแต่ไม่ได้เอนตัวหลบไปไหนอย่างคนคุ้นกันดี รอจนละมือถึงส่งห่อผ้าให้

   “ซือฝุ ขึ้นเขา” เด็กชายแจ้งเสียงเรียบ ดวงตาสีหมึกจ้องอีกฝ่ายอย่างคาดหวัง

   ซุนซียิ้มน้อยๆ ส่งห่อกระดาษบรรจุถั่วตัดใส่มือเจ้าหนู “ขอบใจเจ้ามาก ฝนใกล้ตกเดินทางระวังด้วย”

   คนรับส่งเสียงอืมในลำคอ ยัดเอาห่อขนมไว้ในอกเสื้ออย่างดีแล้วถึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับทางเดิม ซุนซีไม่ได้ยืนส่งเจ้าหนูเหมือนอย่างเคย ได้ของเขาก็รีบสาวเท้าปรี่เข้าไปในเรือนด้านหลัง

   คุณหนูใหญ่นั่งประสานมือบนหน้าตัก ทันทีที่เห็นเขาเข้ามาพร้อมห่อผ้าเมิ่งตงหลานก็แย้มสรวลงดงามราวบุปผาแรกผลิใบ รอยบุ๋มลักยิ้มน้อยๆ แต้มประดับที่สองแก้มชัดเจนกว่าครั้งไหน เมื่อไม่อาจระงับความตื่นเต้นได้มือนางก็พาลสั่นตาม

   “กลับไปอ่านที่ห้องกันดีไหม?” ซุนซีถามระหว่างส่งห่อผ้าให้ เมิ่งตงหลานรับเอามาถือไว้แนบอก พยักหน้าตอบระรัว

   คุณหนูใหญ่กลั้นยิ้มเป็นระยะ พยายามเลี่ยงคำถามจากสาวใช้ที่เดินสวนมา สองเท้าเล็กๆ ก้าวไวราวกับกำลังเหาะข้ามทางเดินใต้ร่มหลังคาทอดยาว เพราะแทบอดใจรอไม่ไหวเลยลืมไปแล้วว่าซุนซีคอยตามหลังอยู่ไม่ห่าง คนมีศักดิ์เป็นพี่กลัวเหลือเกินว่านางจะรีบเสียจนสะดุดชายกระโปรง

   ประตูห้องปิดไม่ทันไรคุณหนูคนโตก็พุ่งไปนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวเรียบร้อย ซุนซีหันไปสั่งให้สาวใช้ประจำตัวคุณหนูรออยู่ด้านนอก เขาตามเข้ามาข้างใน ทันเห็นมือขาวราวหยกเนื้อดีลูบไปตามสันพัด วี่แววลังเลพาดผ่านในดวงตากลมโต นางหันกลับมาขอความช่วยเหลือสลับกับมองพัดที่ถืออย่างถนอมในมือ

   “เอาอย่างไรดีพี่ใหญ่..ข้ากลัว...”

   “ไม่เปิดเจ้าก็ไม่รู้คำตอบว่าดีร้าย อย่ารีรออีกเลย” ซุนซีรีบนั่งลงข้างๆ มือกำชายเสื้อเอาไว้แน่น แค่อยู่ด้วยกันเขาก็ตื่นเต้นตามจะแย่แล้ว!

   นิ้วเรียวยาวคลี่พัดออกเบามือ บนผืนกระดาษปรากฏลายอักษรสองแบบในแถวยาวข้างกัน หยงฝูต่อกลอนด้วยตนเองไม่ผิดแน่ เห็นอย่างนั้นต่างคนต่างเผลอกลั้นหายใจ สายตากวาดไล่ลงอ่านไม่กล้าเอ่ยเสียง

เจ้าไม่อยู่ยามเมื่อข้าเกิด, ข้าแก่เฒ่าเมื่อเจ้ากำเนิด

ข้าห่างไกลแสนไกลกับเจ้า, เจ้าอยู่ไกลแสนไกลจากข้า

เจ้าไม่อยู่ยามเมื่อข้าเกิด, ข้าแก่เฒ่าเมื่อเจ้ากำเนิด

ผีเสื้อไม่มองหาบุปผา, ทุกคืนพานพบเพียงว่างเปล่า

   ท่อนหลังมาจากบทประพันธ์เดียวกันต่อขึ้นเป็นกลอนฉบับสมบูรณ์ ...ทว่าในบาทสุดท้ายกลับแก้เปลี่ยนเป็นการตัดรอนสัมพันธ์ รอยยิ้มคนรอเลือนหาย สีหน้าเมิ่งตงหลานดิ่งลงราวฟ้าครึ้ม ในความเงียบดวงตาคู่งามรื้นน้ำใสไม่นานก็หยาดรินอาบแก้มนวล สตรีในห้วงรักกลืนก้อนสะอื้นลงคอ กระทั่งไหล่ก็สั่นน้อยๆ

   ไม่ว่าคุณหนูใหญ่จะคิดกับชายสูงวัยผู้นี้อย่างไร สิ่งที่ซุนซีตระหนักเห็นจากอีกฟากหนึ่งกลับไม่ใช่ความรักฉันท์ชู้สาว ยามนี้เด็กหนุ่มรู้ดีแล้วว่าความรู้สึกที่หยงฝูมีต่อเมิ่งตงหลานไม่ผิดอะไรไปจากผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กที่เห็นตั้งแต่เล็ก เปรียบเป็นรักก็บริสุทธิ์เกินกว่าจะเป็นคู่ชีวิต

   ซุนซีสีหน้าดิ่งลง ไม่ใช่ว่าเขาเป็นฝ่ายดับแสงเทียนริบหรี่ลงเองหรอกหรือ ไฟแห่งความหวังดวงน้อยเพิ่งมอดลงต่อหน้า แม้กระทั่งเชื้อไฟก็บิดปลิวเหมือนฝุ่นธุลีต้องลม

   พายุจู่ๆ พลันกระหน่ำลงบนหลังคากระเบื้อง ฟ้าลั่นคระครืน เสียงอึกทึกด้านนอกดังฝ่าเสียงห่าฝน ต่างคนกระวีกระวาดยกของเก็บกันให้วุ่น ..ครวญสะอื้นไห้ก็กลืนหายไปกับช่อดอกไม้กลีบช้ำหลุดร่วงบนลานดิน



   เสียงกู่เจิ้งยามเย็นเงียบหายไปนานแล้ว กระทั่งเงาของหญิงงามยังไม่อาจแลเห็น

   รอยยิ้มในดวงตาคุณหนูคนโตเลือนหายตั้งแต่วันที่พัดส่งถึงมือ เมิ่งตงหลานกล่าวว่าหากไร้วาสนาตนไม่ขอคาดหวังสิ่งใดอีก นับแต่นั้นน้องสาวของเขาไม่ร้องไห้ ไม่หัวเราะ นางกลับมากินข้าวอีกครั้งแต่ก็เหมือนร่างไร้วิญญาณ ว่างเมื่อไหร่ก็นั่งเหม่อลอยไม่มีเค้าของเด็กสาวคนเดิม

   สายวันหนึ่งเจ้าสำนักเมิ่งสั่งให้ข้ารับใช้เรียกคนหามเกี้ยวมาที่บ้าน ตามทางยังเฉอะแฉะจากฝนเมื่อตอนสาย ลุงกงไห่เดินโขยกเขยกออกไปไม่นานก็กลับมาพร้อมเกี้ยวสองคัน คันหนึ่งเตรียมไว้ให้เมิ่งตงหลาน อีกคันให้เมิ่งชุนเถา

   ลำพังคนแบกเกี้ยวก็แปดคนแล้ว ซุนซีจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ติดสอยห้อยตามไปด้วย เด็กหนุ่มเห็นแต่อาตงรีบผัดหน้าด้วยแป้งหอมแก้มทาชาดเป็นสีแดงเรื่อ นางบอกด้วยเสียงดังคล้ายตะโกนว่าจะไปดูแสดงงิ้ว แต่งตัวสวยขนาดนี้ถึงต้องเดินอยู่ข้างเกี้ยวก็ดูท่าจะยินดี

   ที่หน้าประตูใหญ่คนหามยกเกี้ยวขึ้นพร้อมเพรียง แดดส่องผ่านม่านหน้าต่างพอให้เห็นรอยยิ้มอิดโรยของเมิ่งคนโต...ซุนซีเห็นแต่ไม่กล้าพูดปลอบ มือผอมจับกรอบประตูไม้ชื้นๆ สองตามองไล่หลังขบวนเกี้ยว ภาวนาให้เที่ยวในเมืองครั้งนี้ชุบชีวิตไม้งามช่ออ่อนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

   แต่เด็กหนุ่มคิดผิด คราวนี้ผิดมหันต์

   เป็นเวลาเกือบค่ำกว่าขบวนเกี้ยวจะกลับมา ช้าไปจากกำหนดถึงสองชั่วยามทำเอาป้าหม่านั่งไม่ติดที่ ซุนซีตามมารออยู่ตรงถนนหน้าบ้าน โคมไฟไหวๆ ส่องสว่างใต้ฟ้าครึ้มใกล้ค่ำ รออยู่นานกว่าจะเห็นเงาคนแบกเกี้ยวหลังเล็กเดินมาตามทาง อาตงร้องเรียกให้มาช่วยประคองเมิ่งตงหลานตั้งแต่เกี้ยวยังไม่ทันแตะพื้น คนล้อมหน้าล้อมหลังซุนซีได้แต่ยืนมองห่างๆ เมิ่งคนรองสบตาแล้วส่ายศีรษะรัว เขาต้องรอจนคุณหนูกลับห้องถึงได้รู้ข่าว

   เรื่องวุ่นวายเหตุเพราะงิ้วจากคณะทางใต้เล่นเรื่องคู่รักผีเสื้อ  อาตงเล่าว่ายังแสดงไม่ทันจบเมิ่งตงหลานร่ำไห้เหมือนจะขาดใจ ร้องหนักจนสิ้นสติ

   หลังจากเหตุการณ์วันนั้นอาการของเมิ่งตงหลานหนักขึ้นเป็นเท่าตัว นางล้มป่วยนอนซมอยู่แต่ในห้อง แม้จะตามหมอมารักษาคนแล้วคนเล่าก็ไม่มีทีท่าจะดีขึ้น บอกว่าเพราะขาดอาหารบ้าง เพราะพักผ่อนไม่พอบ้าง ดูแล้วคล้ายจะเลี่ยงไม่พูดต่อหน้าเจ้าสำนักว่าป่วยเพราะอะไร

   โรคใจมิใช่โรคกาย ยาดีตำราไหนถึงจะรักษาได้เล่า?




   ใช้เวลาไม่กี่วันจดหมายจากคุณชายอินทรีก็ส่งกลับมา ซุนซีรับมันมาเปิดดูลำพังในห้องนอนรวมที่ตอนนี้ปราศจากคน มือผ่ายผอมไล่ไปตามซองกระดาษทรงยาวก่อนจะดึงพับจดหมายออกมา ใจความที่เขาเคยเล่าไปฉบับก่อนกล่าวว่าเขาทำเพื่อนคนหนึ่งเป็นทุกข์เพราะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เช่นนี้ควรทำอย่างไรดี

   ยิงฉู่หยุนตอบเพียงถ้อยคำตรงไปตรงมา

   ไม่ได้ข่าวจากเจ้าหลายสัปดาห์ เป็นอย่างไรบ้าง ฝึกวรยุทธ์ราบรื่นดีหรือไม่?

   เรื่องที่ถามมานั้นแจ้งแก่สหายเจ้าเถิดว่าบางอย่างก็สุดวิสัย ไม่ใช่การแก้ปัญหาทุกครั้งจะคลายปัญหาได้ในทันที หากว่าทำเต็มที่แล้วเจ้าจงทำใจให้สงบ ที่ไม่ควรโทษตัวเองเพราะใครเล่าจะทำนายอนาคตได้ ไม่แน่เมื่อเวลาผ่านปัญหาหนักใจอาจมีหนทางคลี่คลายได้ ขอเพียงอย่าย่อท้อก็เพียงพอ

   เซี่ยเหมย เจ้ายังเด็กนักก็ทำใจให้สบายเถิด มีความสุขกับเรื่องราวต่างๆ ในแต่ละวันให้มาก หากมีเรื่องอะไรก็ให้เขียนมาอีก ข้าจะรอ

                           ยิงฉู่หยุน

   ตลอดค่ำวันนั้นซุนซีเก็บเอามาอ่านทวนอีกหลายรอบ ร่างเล็กนั่งขดตัวอยู่ใต้แสงเทียน สองมือกางกระดาษจดหมายไล่สายตาอ่านซ้ำๆ ทีละตัวอักษร ตัวหนังสือเพียงไม่กี่แถวทำให้เขารู้สึกดีขึ้น

   อย่างไรเขาก็ยังคิดอยู่ว่าควรมีวิธีช่วยเมิ่งตงหลานได้อีก แต่ทุกอย่างช่างเกินความสามารถเขาเหลือเกิน ลำพังแรงน้อยนิดของเขาไม่อาจช่วยน้องสาวได้เลยหรือ?

   ซุนซีไม่อยากให้เมิ่งตงหลานแต่งงานไปเป็นภรรยารอง ยิ่งกับภรรยาหลวงลูกชายลุงเถียนที่ขึ้นชื่อว่าชอบกินน้ำส้มสายชู ด้วยแล้วเขายิ่งเป็นกังวลใจ

   ปลายยามเหม่า ข้างนอกครึกครื้นกว่าเคยเพราะขบวนคุ้มกันของคุณหนูสามกลับมาพร้อมของฝาก ไม่ต้องไปดูก็รู้ว่าเมิ่งเซี่ยเหมยถึงบ้านแล้ว เสียงเด็กๆ หัวเราะร่าลอยมาไกลถึงห้องเขียนหนังสือ ซุนซีนวดมือตัวเองพักสายตาจากเอกสารกองโต หันไปทางประตูอีกคราวก็เห็นอาตงยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ตรงนั้น

   “มัวแต่ทำงานไม่ไปเอาของฝากหรือ?” นางถาม เขาตอบด้วยการโคลงศีรษะ

   “นั่งเฉยๆ เดี๋ยวของก็มา”

   ไม่ทันขาดคำเสียงโหวกเหวกก็ดังมาแต่ไกล ฝีเท้าหนักๆ วิ่งเป็นลิงทโมนมาตามระเบียงทางเดิน อาตงมองหน้าเพื่อนอย่างรู้กัน ซุนซีถึงกับหลุดขำ

   “พี่ใหญ่! อาตง! กินข้าวหรือยัง?” เจ้าของเสียงโผล่ถึงที่ก็เกาะแขนสาวใช้เป็นเจ้าจ๋อติดแม่

   แม่ลิงจำเป็นหันมองต้นเสียงเจื้อยแจ้ว แม้แต่จะแกล้งทำหน้าระรื่นยังขี้เกียจ “คุณหนูสามกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” ฟังก็รู้ว่าถามทักไปอย่างนั้น

   “กลับมาแล้วสิ! ข้าไม่อยู่คิดถึงข้าใช่ไหมล่ะ” นางยิ้มแหย่ “เนี่ยน้า มีหนุ่มฝากเครื่องประดับมาให้อาตงด้วย”

   เมิ่งเซี่ยเหมยหยิบของในถุงผ้าออกมาวางกลางฝ่ามือ มันเป็นหวีไม้แก่นจันทร์ประดับไข่มุกล้อแสงเป็นมันวาว ดูเรียบๆ แต่เป็นงานฝีมือประณีต อาตงเห็นแล้วทำหน้าไม่จืดไม่เค็ม

   “คุณชายห้า? อันที่จริงของจากเด็กข้าไม่อยากรับหรอกนะ” ไม่ว่าเปล่า มือก็คว้าเอาหวีเก็บเข้าอกเสื้อ

   “ไม่ชอบจริงเหรอ ไม่ชอบไม่ต้องฝืนรับไว้ก็ได้นะอาตง”

   “วันนี้งานยุ่งจริงเชียว ไม่ว่างคุยกับคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ” นางตัดบท แงะคุณหนูออกแล้วก้าวฉับๆ พริบตาก็หายไป คนช่างแหย่ถูกปล่อยให้ถามเก้อ ปากเม้มตาก็หยีกลั้นขำสุดกำลัง

   ซุนซียิ้มแล้วส่ายหัวหน่ายๆ “เสี่ยวเหมย เดินทางคราวนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

   “ก็เหมือนเดิม” นางว่า ลากเก้าอี้ไม้ครืดคราดมานั่งอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ “เออนี่ พี่ใหญ่ ช่วงที่ข้าไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นหรือ? เหตุใดพี่รองถึงป่วยได้ล่ะ”

   ซุนซียกกองหนังสือย้ายไปไว้ด้านข้าง เปิดเป็นที่โล่งๆ ให้นางนั่งคุยได้ถนัด “เรื่องงานแต่งเสี่ยวหลาน ..ให้พูดตามตรง ที่นางป่วยเป็นความผิดพี่เอง”

   “ความผิดพี่ใหญ่ได้อย่างไรล่ะ? อะไรๆ ท่านพ่อก็เป็นคนจัดการ พี่รองเครียดทีไรเป็นไข้ทุกทีอยู่แล้ว”

   “...” เขาไม่รู้จะตอบอย่างไร เมื่อมองตาใสซื่อของอีกฝ่ายเมิ่งเซี่ยเหมยก็ไม่ได้เห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่น่าทุกข์ร้อน สุดท้ายพี่ชายเลือกจะเลี่ยงไม่ตอบด้วยการก้มหน้าคัดหนังสือต่อ

   “ช่างเถอะ พี่รองกินยาเดี๋ยวก็หายป่วยเองนั่นแหละ” น้องเล็กเอาศอกวางอยู่กับโต๊ะ แตะปลายนิ้วเขี่ยขอบกระดาษ ครวญเพลงเสียงแผ่วในลำคอ

   ด้วยความที่กลัวนางจะเบื่อ พี่ใหญ่ก็เลื่อนถาดของกินเล่นไปให้ ลูกอมน้ำผึ้งปั้นไส้บ๊วยเม็ดเล็กห่ออยู่ในกระดาษสุมกันเป็นกองน้อยๆ นางบ่นอุบว่าตัวไม่ใช่เด็กแต่ก็แกะกินอมไว้จนแก้มป่อง พักหนึ่งถึงยืดแขนเลื้อยไปบนโต๊ะเขียนหนังสือ

   “...อันที่จริง..ข้าคิดว่าถ้าได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไปก็คงดี”

   ซุนซีฟังแล้วเหลือบขึ้นมองครั้งหนึ่ง แววรักใคร่ปรากฏบนใบหน้า มือก็จุ่มปลายพู่กันเติมน้ำหมึกค้างไว้ “เป็นอย่างเจ้าคิดได้หรือ? ยิ่งเกิดเป็นลูกผู้หญิงสักวันย่อมต้องออกเรือน แต่งเข้าสกุลสามีก็ยากจะได้อยู่ด้วยกันแล้ว”

   “บางครั้งข้าก็อยากให้ท่านพูดโกหกปลอบใจข้าบ้าง...” นางบ่นพึมพำ เรียกรอยยิ้มบางบนใบหน้าคนเป็นพี่

   “ยาดีก็ขมปากอย่างนี้  ต่อให้พี่ใหญ่โกหกใช่ว่าเปลี่ยนความจริงได้เสียเมื่อไหร่ ...ยอมรับได้ไวจะได้ไม่ต้องเสียใจมากนัก แบบนี้ไม่ดีหรือ?”

   ท้ายประโยคซุนซีว่าพลางใช้มือว่างลูบนิ้วผอมไปบนหลังมือแม่เด็กขี้แย ไม่นานจากอาการซึมนั่งคอตกก็ดีขึ้นตามลำดับ

   “นี่ๆ พี่ใหญ่... พี่คิดว่าท่านพ่อจะให้พวกเราไปหาแม่สื่อดูตัวอีกหรือเปล่า” นางถามเสียงตัดพ้อหน้ามุ่ย “ข้าไม่ชอบเลย แต่งตัวน่าอึดอัดไปให้แม่เฒ่าดู นางเลือกคนอย่างกับเลือกผักในตลาด ครั้งที่แล้วก็ติข้าไม่มีชิ้นดี...”

   “อย่าห่วงนักเลย ลองให้เจ้าได้อาละวาดสักครั้งท่านลุงคงนึกขยาดแล้ว”

   “ดีสิ! ถ้าเลือกได้ข้าจะไม่แต่งงานหรอก อยู่กับท่านพ่อท่านแม่กับพวกพี่สาวยังสบายกว่ากันเยอะ”

   ซุนซีฟังแล้วอมยิ้มไม่ว่าอะไรต่อ สิ้นเสียงเจื้อยแจ้วความเงียบก็กลับมาปกคลุมอีกครั้ง .. นานทีจะได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษดังกรอบแกรบ คนหนีมาพักหาววอดโต จากนั่งหลังค่อมก็ไถลเลื้อยไปบนโต๊ะว่าง

   “พี่ใหญ่” เมิ่งเซี่ยเหมยเอาคางเกยแขน เอนหัวอิงจนแก้มย้วย “พี่ใหญ่ว่าใครเหมาะจะแต่งกับพี่รอง”

   ซุนซีเหลือบมองอยู่ครั้ง รอยยิ้มน้อยๆ ผุดที่สองมุมปากระหว่างตวัดข้อมือ “เสี่ยวหลานชอบชีวิตสุขสงบแถมยังเอื้อเฟื้อ ให้นางแต่งกับท่านหมอหยงคงดีกว่าแต่งกับลูกชายเจ้าของโรงเตี๊ยม”

   คนถูกถามพูดกับตัวเองดังๆ เมื่อเอ่ยปากแล้วก็ถือโอกาสร่ายยาวเผื่อไปถึงคนอื่น

   “เสี่ยวเถาติดสบายแต่ไม่สนสังคม” เขาว่าพลางลากพู่กันเขียนงานไม่หยุด “จะหาคนรับมือนางได้คงไม่ใช่คนละแวกนี้ ถ้าได้แต่งกับคนไกลก็ให้เอาสาวใช้ไปสองคน”

   แม่สาวน้อยหมอบอยู่กับโต๊ะเขียนหนังสือ จ้องด้วยตากลมโตสีเข้มเหมือนหยดหมึก “ทำไมต้องสองคนล่ะพี่ใหญ่”

   พู่กันหางกระรอกปาดไปบนปลายจมูกนาง เจ้าคนช่างซักหน้ายู่ แตะมือลูบที่หน้าจนเปื้อนสีดำเป็นทาง

   “จากบ้านเดินทางไกล คนแรกเป็นสาวรุ่นให้ทำงานหนักได้ อีกคนเป็นสาวแก่ความรู้มากให้คอยตระเตรียมทุกอย่างได้ เกิดวันใดคนอายุน้อยแต่งออกไปจะได้มีสาวใช้เหลือคอยดูแล ..พอมีเงินมากจะเชื่อใจใครก็ยาก เอาคนรู้จักแต่เล็กไว้ใกล้ตัวจะได้ไม่ฟูมฟายคิดถึงบ้าน”

   กว่าซุนซีจะว่าจบคู่สนทนาก็เอาผ้าแพรผืนน้อยมาเช็ดหน้าจนเกลี้ยงไม่นึกเสียดาย เขาได้แต่ถอนหายใจยืดยาว

   “ส่วนเจ้า เสี่ยวเหมย แต่งกับคนรวยไม่ต้องให้มีบรรดาศักดิ์นัก จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องวางตัว”

   สาวน้อยหัวเราะแหะ “รวยหรือไม่ข้าก็ไม่เอาหรอก ดูพี่ใหญ่สิ แสนดีอย่างท่านยังไม่เห็นอยากแต่งงานเลย”

   คนไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดยิ้มเฝื่อน ยังมีอะไรที่นางไม่เข้าใจอีกมาก บางเรื่องเขาคงไม่มีเวลามานั่งอธิบาย...กับเรื่อง ‘ภรรยา’ ของเขายิ่งแล้วใหญ่ จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อรสนิยมแบ่งท้อ ไม่อาจผลิดอกออกผลได้

   เสียงเรียกดังมาจากนอกห้องขัดจังหวะ เมิ่งเซี่ยเหมยตาโตทำหน้าเลิ่กลั่ก

   “พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา !” คุณหนูเล็กลุกพรวดพราด กระโจนทีเดียวไปถึงหน้าต่าง “ข้าไม่เคยอยู่ตรงนี้มาก่อน วันนี้เราไม่ได้พบหน้ากัน ข้าเชื่อมือพี่ใหญ่นะ”

   และทันทีที่ประตูเปิดอ้า เจ้าของเสียงเจื้อยแจ้วก็กระโดดแผล็วอย่างกระต่ายหายไป ทิ้งไว้แต่พี่ใหญ่คนดีให้รับมือกับป้าหม่าหน้าคว่ำที่ยืนอยู่ตรงประตู ในมือแข็งแรงข้างหนึ่งถือถาดถ้วยน้ำชา อีกข้างหนึ่งยังค้างอยู่ในท่าดันบานประตูไม้

   “คุณหนูสามกลับมาเดี๋ยวนี้!”

   ซุนซีรีบก้าวยาวๆ ไปรับของ ถึงตอนนี้เจ้าของชื่อก็บินหนีเป็นนกแตกรังไปไกลลิบแล้ว..




   ผู้คนเช่นมดงานเดินสวนสนามวุ่นวายแต่เช้า อากาศเย็นหลังน้ำค้างลงไม่เท่าไหร่ ฟ้ายังไม่ทันสว่างดีดวงไฟก็จุดทั่วหัวระแหง แสงสีส้มทอกลืนไปกับบรรยากาศสลัวหม่น เสียงหัวร่อต่อกระซิกยังลอยมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ ชายกระโปรงยาวสะบัดสีเป็นทำนองผืนผ้ายามก้าวเท้า ลมหอบพัดเอากระดิ่งห้อยหลังคาดังกรุ๊งกริ๊ง

   ครอบครัวพร้อมลูกเล็กเด็กแดงตบเท้าเข้ามาที่ลานเป็นสาย พื้นที่หน้าศาลากลางตั้งเก้าอี้ไม้ขัดมันเรียงเป็นระเบียบ กลิ่นหอมของข้าวต้มร้อนๆ ลอยมาพร้อมควันฉุยจากหม้อใบใหญ่ ไม่ช้าอาหารก็ตักลงถ้วยพอดีมือ แจกให้ทานกันจนอุ่นท้อง

   ซุนซีพับแขนเสื้อขึ้นถึงศอกหอบเอาเสื่อผืนโตมาปู ท้องเขาร้องประท้วงเสียงดัง คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หัวร่อก่อนไล่ให้ไปรับข้าวต้ม เดินไปได้ไม่เท่าไหร่ท่านย่าใหญ่ก็มาถึงพร้อมยายเฒ่าคนอื่นๆ เด็กหนุ่มรุดเข้าไปโค้งคารวะคอยต้อนรับ

   “ยังเตรียมของกันไม่เสร็จหรือ?” ผู้อาวุโสถามเสียงเรียบ

   บรรดาคนบนลานกลางแจ้งหลีกทางราวทะเลแหวก ซุนซีก้มหน้าก้มตารับแทน “ใกล้แล้วขอรับ เมื่อคืนฝนตกเลยต้องจัดใหม่ตอนเช้า”

   ท่านย่าใหญ่ไม่ตอบกระไร เมื่อถึงบัลลังก์เล็กๆ ท่านก็นั่งหลังตรง จับไม้เท้าปักพื้นตั้งตระหง่านแผ่รัศมีน่าเกรงขามดุจนางพญา แม้แต่เจ้าพนักงานที่เข้ามายืนคุมความเรียบร้อยยังต้องยืนเกร็งกันเป็นแถว

   วันนี้เป็นอีกวันสำคัญสำหรับเด็กสาว ซุนซีเคยร่วมพิธีเมื่อตอนเมิ่งตงหลานกับอาตงอายุครบเกณฑ์ คราวนี้เป็นตาของคุณหนูคนที่สอง

    ผมดำขลับเป็นแพรผืนยาวของเมิ่งชุนเถาสระสะอาดและหวีรวบขึ้นเป็นสองมวยอย่างเด็กหญิง นางยืนรวมกลุ่มอยู่กับสาวแรกรุ่นคนอื่น -- และออกจะดูผิดที่ผิดทางเมื่อบรรดาดรุณีนางน้อยตื่นเต้นกับพิธี แต่คุณหนูของเขายังคงหน้าครึ้มหน้าคว่ำอย่างคนไม่ชอบรออะไรนานๆ

   เสียงประกาศเริ่มพิธีดังก้องหลังทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ซุนซีถอยมายืนรวมกับคนในบ้านสกุลเมิ่งที่วงนอก อาตงเว้นที่ให้เขายืนข้างเมิ่งเซี่ยเหมย ถึงไม่พูดแค่สบตาก็รู้ว่ารับมือคุณหนูสามช่างจ้อไม่ไหวแล้ว..

   บรรดาเด็กสาวหยุดยืนเรียงแถวบนเสื่อก่อนทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าพร้อมเพรียง ยกแขนทั้งสองด้วยกิริยาอ่อนช้อยน้อมคารวะยายเฒ่าตรงหน้า บรรดาสักขีพยานยืนมองเงียบเสียงอยู่ริมนอก แดดขึ้นสูงทีละน้อย อากาศยังเย็นทั้งลมพัดพอให้แขนเสื้อยาวไหวๆ ไม่เหนอะตัว

   ท่านย่าใหญ่เดินโดยไม่อาศัยไม้เท้า มีสาวใช้คนหนึ่งคอยประคองแขน ส่วนหญิงรับใช้อีกเจ็ดคนถือถาดไม้ใส่ปิ่นคอยเดินตาม กลางถาดที่สาวใช้คนแรกถือมีปิ่นหยกเหอเถียนฉลุลายปลาอ่อนช้อย ครีบและปลายหางสลักละเอียดราวมีชีวิต ..ซุนซีไม่คิดว่าจะมีเครื่องประดับอื่นเหมาะสมไปกับเมิ่งชุนเถามากไปกว่าปิ่นนี้แล้ว

   ต่างหูทองแกว่งไหวๆ เมื่อยามลมพัดผ่าน ริมฝีปากแต้มชาดคลี่ยิ้มแต่เพียงน้อยเมื่อสตรีสูงวัยหยุดฝีเท้าอยู่ด้านหลัง เด็กสาวในวัยสิบห้าก้มศีรษะลงนิด มือสั่นเทาของท่านย่าใหญ่จับหวีบรรจงสางผมของเมิ่งชุนเถาอย่างนึกถนอมก่อนรวบขึ้นม้วนตลบเป็นทรง ไม่ช้าปิ่นหยกก็เสียบเข้าบนเรือนผมมัดมวย ถ้อยคำอวยพรหลั่งไหลมาดุจแว่วบรรเลงดนตรี

   ยายเฒ่าปักปิ่นให้สาวใช้ย่างวัยสิบห้าสิบหกอีกหลายคน เสื้อคลุมสีแดงสะบัดพลิ้วไหวๆ ห่มกายดรุณีแรกแย้ม ผู้เฝ้ามองยังแว่วได้ยินเสียงพ่อแม่สักคนสะอื้นยินดี

   เมื่อจอกเหล้ายกถึงปากก็เป็นอันสิ้นสุดฐานะเด็กน้อยไม่รู้ประสา นับแต่นี้ก้าวเข้าโลกของผู้ใหญ่แล้ว เมื่อพ้นวัยเยาว์ความรับผิดชอบย่อมมากขึ้นตามตัว อนาคตที่วาดฝันไว้อาจเป็นวันวิวาห์ไม่ช้าก็เร็ว

   “สงสัยข้าจะได้ปักรอบสอง ” อาตงตัดพ้อหลังถอนใจยาว เสียงหัวเราะคุณหนูสามกังวานอยู่ใกล้ๆ

   “ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวข้าปักเป็นเพื่อนอาตงเอง จะปักกี่อันก็เอามาเลย”

   ซุนซีตีแขนแม่คนอยากเป็นสาวแก่อยู่บ้านจนผมขาว “ของเจ้าน่ะ รอบสองให้ท่านป้าปักปิ่นทองก็พอ ” เมิ่งเซี่ยเหมยทำว่าร้องโอดโอย กระโดดแผล็วไปเอนซบไหล่อ้อนพี่สาวคนโตที่เพิ่งยิ้มออกเนือยๆ

   เด็กหนุ่มทอดสายตากลับไปที่ลานพิธี รอยยิ้มพลันจางลงเมื่อเห็นสีหน้าเริงรื่นจนน่าสงสัยของเจ้าสำนักหู่โห่ว...ก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่เมิ่งชุนเถาเตือนเขาไม่ใช่หรือ



------------------------------------------------------------------------

เนื่องในวันเกิดจะอัพเพิ่มเสาร์กับอาทิตย์นี้วันละบทนะคะ!
ครึ่งแรกบทนายเอกค่อนข้างจืดจางค่ะ ทำหน้าที่เป็นเหมือนฟันเฟืองให้เรื่องของสามพี่น้อง
ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ :-[

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ถึงจะบทจางไปแต่ไม่น่าเบื่อนะ เราอยากรู้เรื่องของ 3 พี่น้องมาก ว่าจะเป็นยังไงต่อไป รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :3123: :pig4: :3123:

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
 :3123: :3123:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
 :mew1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 5


   “สายนี้พักงานบ้านเตรียมแต่งเนื้อแต่งตัว พ่อนัดแม่สื่อไว้ให้แล้ว”

   ตะเกียบหลุดจากมือคุณหนูเล็ก อีกฝั่งโต๊ะเจ้าของดวงตาสีน้ำผึ้งวางชามข้าวกระแทกโต๊ะ “คราวก่อนแม่สื่อออกปากชมขนาดไหน ท่านพ่อยังไม่พอใจอีกหรือ” เมิ่งคนรองประชดขึ้นมา

   คนอื่นในบ้านยังจำได้ดีถึงการดูตัวเมื่อปีกลาย แม่สื่อชื่อดังจากหัวเมืองใหญ่มาดูลูกสาวคนโตถึงที่ แต่ดรุณีนางน้อยอย่างลูกสาวคนเล็กตามไปอาละวาดแบบไม่ได้รับเชิญ พอร่วมมือกับคนเจ้าแผนการอย่างเมิ่งชุนเถา เมิ่งเซี่ยเหมยก็ป่วนเสียจนคนเฒ่าออกปากประกาศว่าลูกสาวบ้านนี้หาดีไม่ได้

   “พ่อเอาเท้าข้าไปแล้ว จะเอาอะไรไปจากข้าอีกไม่ได้” เสียงคนรองประกาศเช่นนั้น

   “พี่สามพูดถูกแล้ว ใครเอาชนะข้าได้ข้าค่อยแต่งกับเขา” เสียงคนเล็กก็ประกาศเช่นนี้

   ซุนซีถูกตามออกไปช่วยงานป้าหม่าก่อนได้ทันว่าอะไร เขามองคล้อยหลังอย่างนึกเป็นห่วง -- อย่างที่คาด นั่งอยู่ไกลๆ ยังได้ยินพ่อลูกทะเลาะกันชัดเจน

   เป็นที่รู้กันว่าอาจารย์เมิ่งแม้จะเป็นผู้นำและเจ้าสำนักที่น่าเกรงขาม แต่นอกจากเกรงใจภรรยาแล้วยังเถียงชนะบุตรสาวไม่ได้ อย่างไรน้อยคนนักจะรู้ว่าส่วนหนึ่งเพราะสำนึกผิดกับการตัดสินใจของตนถึงได้ยอมอ่อนข้อ

   เมิ่งชางในวัยหนุ่มเคยปรารถนาให้ลูกตนไม่ข้องเกี่ยวกับยุทธภพ เมื่อค่าความงามของบุตรีคือเท้าเล็กเท่าดอกบัว ลูกคนแรกจึงจากไปด้วยไข้สูงจากการมัดเท้าตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก เวลาล่วงจนเมิ่งชุนเถาในวัยเพียงสี่ปีหวิดจะเอาชีวิตไม่รอดจากสาเหตุเดียวกันถึงหยุดความคิดบิดาไว้ได้

   เช่นนี้ธิดาคนสุดท้องอย่างเมิ่งเซี่ยเหมยจึงมีสิทธิ์ได้วิ่งเล่นเหมือนเด็กไม่รู้ประสาคนอื่นๆ ไม่ช้าวรยุทธและเพลงหมัดมวยก็กลายเป็นความสนใจเดียวของนาง -- ทว่านั่นไม่ใช่ชีวิตอย่างอิสตรีที่พ่อแม่วาดหวัง

   “เลิกพูดจาเพ้อเจ้อแล้วฟังพ่อ!”

   เจ้าสำนักเอ็ดขึ้นมาเสียงราวฟ้าลั่น “พวกเจ้าอายุตั้งเท่าไหร่กันแล้วยังคิดจะอยู่รบกวนพ่อแม่ ถ้าข้าบอกให้แต่ง จะวันนี้วันไหนก็ต้องแต่ง!”

   ไม่ทันไรคุณหนูสามก็กระแทกเท้าปึงปังออกมาจากห้อง ทันเห็นซุนซีก็วิ่งโร่เข้ามาซบหน้าตักร้องโฮเป็นเด็กเล็ก แม้กระทั่งป้าหม่าที่นางกลัวแสนกลัวจะนั่งอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่สนใจ

   “ทะเลาะกับท่านลุงหรือ..” ซุนซีถามทั้งที่รู้อยู่ ผู้ใหญ่อีกคนโบกมือปัดอากาศให้เลิกพูด เห็นแม่เด็กน้อยร้องไห้กระจองอแงป้าหม่าที่ดุกว่าใครก็ใจอ่อน

   เมิ่งเซี่ยเหมยฟูมฟายฟังไม่เป็นภาษา หลักๆ แล้วคงไม่พ้นฟ้องเรื่องบิดาหมายตาจะคลุมถุงชน

   ป้าหม่ารออยู่นานจนเห็นว่าน้ำตาเริ่มแห้งถึงเอ่ยปาก “คุณหนูกลับห้องล้างหน้าล้างตาก่อน เดี๋ยวป้าจะเอาขนมไปให้ทาน”

   แม่สาวน้อยสูดจมูก ยกแขนเช็ดหน้าลวกๆ ก่อนผงกศีรษะอย่างเด็กดี หากไม่นับคุณหนูรองที่ผ่านพิธีปักปิ่นไปหมาดๆ แล้ว เด็กอายุสิบสามปีตามจริงก็เข้าวัยเหมาะจะหมั้นหมาย  ..แต่กับสายตาคนในบ้านที่เห็นแต่เล็กจนโต นางเพิ่งอายุสิบสามเท่านั้นเอง

   เมิ่งคนรองเดินตามหลังเข้าครัว ถอนใจแทนน้องที่กำลังปล่อยโฮเฮือกหนึ่ง มืออิ่มหยิบถ้วยชามขอบบิ่นใบเก่าขึ้นมาเขวี้ยงลงพื้นสุดแรง เสียงชามแตกดังชนิดที่ว่าน้องเล็กถึงกับลืมร้องไห้ เศษกระเบื้องกระจายเต็มพื้นครัว แม้แต่ป้าหม่ายังคิดคำพูดไม่ทัน

   “ถ้าข้าช่วยพี่รอง ทุกคนต้องหยุดไม่ให้แม่สื่อมาดูตัว – จะเอาด้วยหรือไม่!” แม่เสือตาสีน้ำผึ้งประกาศกร้าว ตามด้วยเสียงหวีดของป้าหม่าเมื่อเห็นนางยกจานกระเบื้องเคลือบอย่างดีชูขึ้นฟ้า แม่เฒ่ากระโดดผึงปากร้องว่าพอแล้วๆ

   เมิ่งเซี่ยเหมยสูดน้ำมูก น้องน้อยยังสะอึกลูกสะอื้นไม่หยุดแต่รีบพยักหน้ารัว ส่วนอาตงไม่รู้เหนือรู้ใต้วิ่งตามเข้ามาดู เห็นภาพป้าหม่าเยื้อแย่งเอาชามเครื่องเคลือบราคาแพงมากอดไว้แนบอกนางได้แต่ยืนทำหน้างุนงง

   เจออย่างนี้อยู่ดีๆ ซุนซีก็ปวดหัวขึ้นมา..



   ฟ้ามืดในคืนข้างแรมตะเกียงและดวงเทียนรายทางเดินก็ดูจะสุกสว่างกว่าหมู่ดาว แสงไฟจากภายในห้องส่องผ่านออกมาถึงด้านนอก เสียงพูดคุยยังดังผะแผ่วพอให้รู้ว่าผู้อยู่อาศัยยังไม่เข้านอน ซุนซีหยุดยืนอยู่หน้าบานประตูห้องใหญ่พักหนึ่งแล้ว ลมยามค่ำพัดมาแต่เหงื่อกลับซึมผุดพราวตามแนวผม เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดช้าๆ ลำดับความที่ตระเตรียมมาก่อนหน้า รวบรวมความกล้าอีกครั้งถึงเอ่ยปากขานออกไป

   “ท่านลุงท่านป้า ข้าซุนซีขอรับ...จะขอรบกวนพวกท่านปรึกษาเรื่องสำคัญตอนนี้ได้หรือไม่”

   เสียงจากด้านในเอ็ดมาว่าดึกแล้วแต่ก็ยอมให้เข้ามาแต่โดยดี ผู้มาเยือนยามค่ำชิงเอาความมีน้ำใจผลักบานประตูเปิดออก เมื่อก้าวเข้าไปด้านในก็เลื่อนปิดอีกครั้ง บานไม้ฝืดและหนักอึ้งยิ่งกว่าเวลาไหนๆ

   เจ้าสำนักกับหลี่ฮูหยินนั่งอยู่ที่โต๊ะกลมใกล้เชิงเทียน ท่านป้าสวมเสื้อคลุมทับเสื้อนอนอีกชั้นหนึ่ง ส่วนท่านลุงพับแขนเสื้ออย่างคนขี้ร้อน ซุนซีก้าวมาหยุดอยู่ต่อหน้าพวกท่าน ไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดก็คุกเข่าลง เมิ่งชางตบโต๊ะไม่สบอารมณ์

   “เคยสอนมิใช่หรือใต้เข่าลูกผู้ชายมีทองคำ  ลุกขึ้นมา!”

   เจ้าเด็กหัวดื้อส่ายหน้า “หลานมีเรื่องจะขอร้องขอรับ จนกว่าท่านลุงท่านป้าจะอนุญาต หลานจะไม่ลุกเด็ดขาด”

   “ลูกข้ามันให้เจ้ามาขออะไรอีก? วันนั้นกล้าเถียงพ่อ วันนี้มันให้เจ้ามาคุกเข่า เออ! ดี!”

   หลี่ฮูหยินมองสามีตน แตะแขนเมิ่งชางเบามือ “ซีเอ๋อร์ มีเรื่องอะไรลุกขึ้นมาคุยกันดีๆ เถอะ”

   “อย่างนั้นฟังคำขอหลานก่อนขอรับ” แววตาซุนซีไม่หวั่นไหว ความตั้งใจจริงปรากฏอยู่ในทุกคำพูด “หลานอยากให้ท่านลุงท่านป้าเลื่อนพิธีหมั้นหมายของเสี่ยวหลานออกไปก่อน”

   “ไม่ได้” เมิ่งชางตอบโดยไม่ต้องคิด ..คนถามก็คาดเอาไว้ไม่ผิดจากนี้

   “แล้วถ้าหลานขอให้เลื่อนนัดแม่สื่อจนกว่าน้องๆ จะพร้อมล่ะขอรับ”

   อารมณ์คุกรุ่นบรรเทาลง น้ำเสียงท่านลุงก็อ่อนลงตาม “ชีวิตคนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ต่อให้เจ้าเป็นห่วงน้องขนาดไหนก็ทำเช่นนี้ไม่ได้”

   “แต่หากท่านลุงยืนกรานเช่นเดิม หลานคิดว่าน้องทั้งสองไม่มีวันยอมแน่ ดูอย่างตอนไปดูตัวกับแม่สื่อคราวก่อนสิขอรับ ตามจริงแล้ว..เสี่ยวเหมยมาบอกกับหลานทีหลังว่านางกลัวแม่สื่อจะจับเสี่ยวเถาแต่งงานทันที นางนึกว่าดูตัวแล้วแม่สื่อจะไม่ปล่อยให้พี่สาวได้กลับบ้าน”

   เติมรสแต่งกลิ่นลงสักหน่อยก็มากพอให้หลี่ฮูหยินส่ายศีรษะ ท่านรำพึงอ่อนอกอ่อนใจ “เจ้าลูกโง่คนนี้..”

   “เสี่ยวเถากับเสี่ยวเหมยเพียงแค่ไม่เข้าใจขอรับ เมื่อพบเจอสิ่งที่ไม่รู้จักคนเราย่อมกลัวเป็นธรรมดา ยิ่งเรื่องแต่งงานยิ่งแล้วใหญ่ อย่างไรรอให้ร่วมงานแต่งเสี่ยวหลานก่อน ถึงตอนนั้นน้องๆ ทั้งสองอาจเห็นว่าการออกเรือนไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแล้วก็ได้ขอรับ”

   ซุนซีมองท่านลุงพลางท่านป้าพลาง หลี่ฮูหยินสีหน้าโอนอ่อนลงแล้ว นัยน์ตาฉายแววเข้าอกเข้าใจ ขนาดท่านลุงที่เอาแต่ตีตนขึงขังยังผ่อนลมหายใจอยู่หลายรอบ

   “เอาตามนั้น รอจนหลานเอ๋อร์แต่งงานก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน”

   “หลานขอบคุณท่านลุงท่านป้าขอรับ” เด็กหนุ่มประสานมือค้อมหลังคำนับลงต่ำ กัดริมฝีปากเอาไว้ไม่ให้ดีใจออกนอกหน้า หัวใจเขาเต้นระรัวคล้ายจะหลุดจากอก

   “กลับไปเสียที ข้าจะพักผ่อน” เมิ่งชางมือหนึ่งกุมศีรษะ อีกมือปัดอากาศไล่ มีหลี่ฮูหยินพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้กลับอยู่ข้างกัน

   ซุนซีอยู่รับใช้ตระกูลเมิ่งมาตั้งแต่พอรู้ความ ได้รับการเอ็นดูเหมือนลูกหลานและเป็นเหมือนพี่ชายคนโตสำหรับลูกสาวทั้งสามของหลี่ฮูหยิน

   เด็กหนุ่มไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับครอบครัวมากนัก นอกจากภาพแผ่นหลังของบิดาที่เป็นนายทหารติดเหล้าและภาพที่เลือนรางยิ่งกว่าของมารดายามที่อยู่ในครัว เขาจำใบหน้าทั้งสองคนไม่ได้แล้ว ตำรับไก่ตุ๋นยาจีนจากแม่ก็เป็นของดูต่างหน้าเพียงอย่างเดียวที่เขามี

   เคยมีคนพูดว่าเขาถูกซื้อตัวมาแทนที่ธิดาคนแรกที่เสียไปเพราะป่วย แต่นั่นไม่สำคัญนักหรอก ในเมื่อความอบอุ่น การเอาใจใส่ การยอมรับเป็นสมาชิกในบ้าน...ทั้งหมดล้วนได้รับจากสกุลเมิ่ง

   ด้วยวัยและความรู้เท่าที่มีจึงตอบแทนได้เพียงแรงกายและความภักดี หากต้องขึ้นเสียงกับอาจารย์เมิ่งที่เป็นผู้มีพระคุณสูงสุดสักครั้งก็ย่อมไม่ใช่เพื่อใครอื่น

   ประตูปิดสนิทด้วยสองมือสั่นเทา คนทำอะไรเกินตัวคราวนี้ได้แต่ก่นด่าตนเองซ้ำๆ ว่าบ้าบิ่นนัก.. เคราะห์ดีที่ได้หลี่ฮูหยินช่วยกล่อมอีกแรงหนึ่งถึงได้ผลอย่างที่หวังไว้

   คราวนี้เจรจาจบโดยไม่ถูกไล่ตะเพิดออกจากบ้านสกุลเมิ่งก็นับว่าโชคดีเท่าไหร่แล้ว..



   ทุกคนรู้กันดีว่าท่านหมอเทวดาหยงฝูชาติตระกูลไม่ได้เลวร้าย บิดาท่านเป็นเซียนยาส่วนมารดาเป็นถึงธิดาคหบดี เพียงแต่สุภาพบุรุษท่านนี้อายุมากและนิยมความสันโดษชอบใช้ชีวิตอย่างสมถะที่เชิงเขา เปิดเรือนเป็นโรงหมอรับลูกศิษย์เพียงไม่กี่คน และหากไม่ออกรักษาก็แทบไม่ได้พบปะกับผู้คน

   ข่าวว่าครั้งยังหนุ่มท่านเคยหมั้นหมายกับโฉมสะคราญงามเมือง แต่เพราะเหตุผลใดไม่ทราบยอดดวงใจของท่านในยามนั้นถึงเลือกแต่งงานกับชายอื่น เหตุนี้หยงฝูจึงยังครองตัวเป็นโสดอยู่จนถึงปัจจุบัน -- อย่างไรเสียการแต่งงานเป็นการตัดสินใจของพ่อแม่ไม่ใช่ของลูก คนอย่างเจ้าสำนักเมิ่งไม่มีวันคิดเอาชายสูงวัยผู้นี้มาเป็นตัวเลือกแต่งกับลูกสาวคนโตแน่นอนอยู่แล้ว

   ปัญหาแท้จริงตกอยู่ที่ใด? หากท่านหมอมีใจให้แก่เมิ่งตงหลานแม้นสักเสี้ยวหนึ่ง เหตุที่เขียนปฏิเสธนางมาในครั้งนั้นอาจเป็นเพราะต้องการให้เด็กสาวหักห้ามใจ ..แต่คนนอกอย่างซุนซีไม่รู้หรอก กับคนที่วางตัวนิ่งเฉยอย่างนั้นคิดเช่นไรก็สุดจะคาดเดา

   หากให้ปักใจเชื่อใครในตอนนี้ คงเหลือแต่เมิ่งชุนเถาให้เชื่ออยู่เพียงคนเดียวแล้ว

   คุณหนูรองจู่ๆ ก็ล้มหมอนนอนเสื่อ ยาที่เคยกินรักษาโรคเก่าต้มไปกี่หม้อไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น นางบ่นปวดหัวและอาเจียนอยู่หลายรอบ หนักเข้าก็นอนเป็นไข้หายใจติดขัด ร้อนถึงเจ้าสำนักเรียกคนให้ลากตัวท่านหมอใหญ่มารักษาด้วยตนเอง

   ชายผ้าม่านผูกเตียงปลิวไหวๆ ลมหอบเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดกว้างจนสุด เสียงแมลงดังระงมมาจากสวนด้านนอก อากาศดีแต่ซุนซียืนเหงื่อเกาะพราวอยู่ในห้องเมิ่งชุนเถา มีอาตงถือพับผ้าสะอาดเป็นเพื่อนใกล้ๆ ท่านหมอเทวดากำลังตรวจชีพจรคุณหนูรองอยู่ข้างเตียง ม่านที่ปิดไว้ซีกหนึ่งทำให้ไม่เห็นคนที่กำลังนอนพักอยู่ด้านใน

   เมื่อถามอาการปวดท้องกับคนป่วยเสร็จ แพทย์คนเดียวในห้องก็หันมาหาเขา “ไม่ทราบว่าช่วงนี้คุณหนูกินอะไรผิดสำแดงหรือไม่?” หยงฝูถามเสียงเรียบเรื่อย ละมือจากข้อมือเด็กสาวก็คลี่ม้วนผ้าบนตักออก ด้านในเย็บช่องเป็นซองสำหรับใส่เข็มกับหลอดเครื่องเคลือบเล็กๆ เรียงเป็นระเบียบ

   เด็กหนุ่มเริ่มนับนิ้ว “เมื่อเช้ามีหมูสับผัดหนำเลี๊ยบ กุนเชียงเค็มผัดถั่วลันเตา ผัดผักรวม ต้มจับฉ่ายโครงไก่ ข้าวต้ม กับขนมผักกาดขอรับ”

   “คนอื่นก็กินเหมือนกันแต่ไม่มีใครเป็นอะไรเจ้าค่ะ” อาตงว่าเสริม ท่านหมอฟังแล้วนิ่วหน้า

   “เคยสั่งให้ลดอาหารมันแล้วไม่ใช่หรือ? .. ไปเตรียมเกลือทะเลกับน้ำผึ้งต้มพอเจือจางให้คุณหนูจิบบ่อยๆ อาเจียนออกมาแล้ว นอนพักสักสองชั่วยามเดี๋ยวก็ดีขึ้น”

   ซุนซีหันมองสหายสนิทสลับกับม่านกั้น ไม่ทันได้เอ่ยอะไรเมิ่งชุนเถาก็ลุกนั่ง สาวใช้พุ่งเข้าไปช่วยพยุงนางขึ้นมา

   “ข้ามีอีกเรื่องหนึ่ง” นางเกริ่นขึ้นมา ผ้าสะอาดซับไปตามหน้าผากชื้นเหงื่อ “ท่านหมอมีประสบการณ์มากนัก ...รู้หรือไม่ว่าพี่สาวข้าป่วยเป็นอะไร”

   หยงฝูนิ่งไป เก็บเครื่องไม้เครื่องมือลงห่ออุปกรณ์ช้าๆ “ไม่ได้วินิจฉัยด้วยตนเองคงไม่อาจบอกได้”

   “แล้วท่านไม่รู้ หรือแค่ทำเป็นไม่รู้”

   ความเงียบปรากฏขึ้นแทนคำตอบ ดวงตาของชายมากวัยปิดพริ้มลง จากคนที่พูดน้อยเวลานี้ยิ่งไม่เอ่ยอะไรสักคำ ผู้ถามไม่นึกรีบร้อน มือนางประสานอยู่บนหน้าตัก

   “...คิดว่าแบบนี้เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วจริงๆ น่ะหรือ” เมิ่งชุนเถาเอ่ยขึ้นมาเสียงเบา ดวงตาสีอำพันจ้องใบหน้าคู่สนทนาด้วยแววสิ้นหวัง “พี่สาวจะแต่งไปเป็นอนุ ทนเห็นนางหลั่งน้ำตาทุกวันได้หรือ? ..ท่านอาจหนีความจริงไปตลอดได้ แต่พวกข้าทนไม่ได้”

   “มิใช่หน้าที่ ไม่มีอำนาจ ..แม่นางเมิ่ง เจ้ากำลังคาดหวังอะไรจากข้า?”

   “ข้าอยากให้ท่านกลับไปคิดอีกสักครั้ง ท่านเหมาะสมกับนาง และท่านก็รู้ว่านางคิดเช่นไร เป็นคนเช่นไร -- เว้นก็แต่ท่านจะคิดว่าพี่สาวข้าไม่เหมาะสมกับท่าน”

   เมิ่งชุนเถาพูดด้วยเนื้อเสียงหนักแน่นจริงใจ ผู้ฟังไม่เห็นเค้าลางของเด็กหญิงอ่อนต่อโลก สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือหญิงสาวที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ..นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้หยงฝูรับฟังแต่โดยดี

   ท่านหมอเทวดากลับไปแล้วมิได้ต่อความว่าอย่างไรอีก อาตงกระทุ้งศอกใส่เพื่อนสนิทเร่งให้ออกปากถาม คนโดนถองทำหน้านิ่ว “...เสี่ยวเถา แบบนี้จะได้ผลแน่หรือ”

   คุณหนูรองเสตามอง “ข้าไม่รู้ ลงทุนทุกครั้งย่อมมีความเสี่ยง พี่ใหญ่คิดว่าอย่างไรล่ะ?” นางคลี่ยิ้ม ไม่นานก็เอนหลังลงนอน

   เทพเซียนรึก็ไม่ใช่ ความคิดท่านหมอเป็นอย่างไรแล้วเขาจะไปรู้ได้หรือ



   โต๊ะกินข้าวจะปราศจากบทสนทนาเป็นเรื่องมารยาทปกติอยู่แล้ว ระยะหนึ่งเสียงตะเกียบกระทบชามถึงดังขึ้นทำลายความเงียบ ซุนซียืนคู่กับป้าหม่าที่มุมห้องทานอาหารพร้อมสาวใช้อีกสองสามคนที่กำลังยืนกอดถาดไม้ รอเวลาเก็บจานชามแล้วค่อยแยกไปกินส่วนของตัวเองที่ครัว

   ข้าวถูกพุ้ยเข้ากระพุ้งแก้ม กับในจานก็พร่องลงจนหมด นายท่านดื่มชาล้างปากเป็นอย่างสุดท้าย มื้อนี้ควรเป็นเช่นอย่างทุกวัน...จนกระทั่งคุณหนูรองเอ่ยถามขึ้นมา

   “...ท่านพ่อท่านแม่ไม่รู้จริงๆ หรือว่าที่พี่สาวป่วยเหตุเพราะอะไร”

   รอบข้างเวลาเหมือนถูกหยุดนิ่ง เมิ่งชางไม่มองหน้าบุตรสาว กระดกข้อมือครั้งเดียวก็ดื่มน้ำจนหมดถ้วย หลี่ฮูหยินเห็นเค้าเมฆฝนพยายามเรียกให้สาวใช้มาเก็บล้าง ทว่าไม่ทันเมิ่งชุนเถาที่ลุกยืนขึ้นก่อน กระแสโทสะในดวงตาสีอำพันก่อตัวขึ้นเป็นพายุลูกใหญ่

   “ข้าขอถามสักคำเถอะ ท่านพ่อยอมส่งพี่สาวไปเป็นอนุบ้านอื่นลงคอจริงๆ หรือ”

   บิดาสูดลมหายใจเข้าลึก ผ่อนออกเป็นคำพูดอย่างใจเย็น “เถาเอ๋อร์.. นั่งลงเสีย ภรรยารองไม่ใช่อนุอย่ากล่าวให้เกินจริง เป็นผู้ชายมีเมียสามอนุสี่มันเรื่องปกติ”

   “เรื่องปกติ? แล้วท่านพ่อคิดจะมีภรรยาน้อยกับเขาด้วยหรือเปล่าล่ะ”

   “เถาเอ๋อร์ พ่อพูดว่าอย่างไร”

   “แต่งเป็นเมียเอกคนเฒ่าท่านพ่อว่าเลว แต่แต่งเป็นเมียน้อยคนรวยท่านพ่อว่าดี หรือต้องรอให้นางตรอมใจตายก่อนเราถึงค่อยมาพูด--”

   เสียงตบฉาดลั่นดัง ศีรษะเมิ่งตงหลานหันไปตามแรงฟาดแก้มขึ้นเป็นรอยนิ้วมือแดงก่ำ เส้นความอดทนของบิดาขาดผึง ท่านยืนขึ้นประจันหน้าลูกสาวทำเก้าอี้ล้มคว่ำกระแทกพื้น

   “หยุดพูดจาสามหาว พ่อไม่เคยสอนให้เจ้าต่อล้อต่อเถียงพ่อแม่อย่างนี้!”

   คนดื้อดึงจ้องบิดาเขม็ง นางพูดช้า..ชัด ทุกคำกลั่นออกมาอย่างคนอัดอั้นเต็มทน “เป็นลูกผู้หญิงสกุลเมิ่ง รักเดียวมีค่ามากกว่าเงินทอง – ไม่ใช่ว่าตลอดมาท่านพ่อสอนพวกข้าอย่างนี้หรือ?”

   ถึงพูดว่าสอนแต่เป็นสิ่งที่บิดาทำมาให้เห็นมาตลอด ชีวิตมากกว่าแค่คำพูดลอยๆ มารดาที่เป็นสุขเพราะไม่ต้องปันชายคนรักให้หญิงอื่นถือเป็นสตรีที่เห็นแก่ตัวหรือ? สามีที่ดีย่อมไม่ทำให้นางคิดเช่นนั้น แต่เป็นฝ่ายอาสาใช้วันเวลาจนถึงผมขาวด้วยรักที่มอบแก่หญิงในดวงใจเพียงหนึ่งเดียว

   ...และนั่นทำให้คนเป็นพ่อพูดไม่ออก

   มือสั่นเทาคู่หนึ่งดึงแขนน้องสาวให้นั่งลง เสียงเล็กๆ เบาหวิวของเมิ่งตงหลานร้องปรามกล่าวซ้ำไปซ้ำมาว่าตนไม่เป็นไร ท่องอยู่อย่างนั้นทั้งที่รู้ว่าหยุดคนเป็นน้องไม่ได้ เมิ่งชุนเถาไม่ฟังแต่ฉุดลากพี่สาวคนโตให้ลุกเดินไปหาพ่อ เท้าเล็กๆ คู่หนึ่งยืนมั่นคงอีกคู่เซจะล้มดั่งคนหมดแรง ดวงตาคู่สวยของเมิ่งตงหลานเวลานี้แดงก่ำ แพขนตายาวชุ่มน้ำตาเอ่อรื้น

   “ท่านพ่อ ดูสิ่งที่ท่านทำกับลูกในไส้!” คุณหนูรองแผดเสียงคำราม “พี่สาวร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด นางตรอมใจจนป่วยเพราะท่านบังคับให้แต่งกับคนที่ไม่ได้รัก นี่หรือสิ่งที่คนเป็นบิดาบอกว่าทำเพื่อลูก!”

   หลี่ฮูหยินร้องเรียกปรามบุตรสาว คนต้นเรื่องยังคงนั่งนิ่ง สีหน้าอาจารย์เมิ่งเหมือนฟ้าคำรามครึ้มทมิฬก่อนพายุฝน ส่วนลูกสาวคนเล็กเอาแต่นั่งหงอห่อไหล่ไม่กล้าพูดแทรก

   ป้าหม่าดึงแขนให้เขาออกเดิน นายมีปากเสียงไม่ใช่หน้าที่บ่าวจะยืนเป็นพยาน คนอื่นๆ มีสีหน้ากระอักกระอ่วนไม่แพ้กัน เป็นอันรู้ว่าเมิ่งชุนเถาลงโรงเรื่องย่อมไม่จบโดยง่าย ไม่ทันไรเสียงเหมือนอัสนีฟาดก็ลั่นครืนขึ้นมาอีก

   “พ่อตัดสินใจดีแล้ว!”

   เมิ่งตงหลานสะดุ้งเฮือก ทำนบน้ำตาบัดนี้ทลายลงในคราวเดียว ดรุณีนางน้อยพูดติดขัดเหมือนคนจมน้ำว่าพอแล้ว..พอแล้ว..เนื้อตัวสั่นเทาจนน่าสงสาร คุณหนูรองมีทีท่าสงบลง นางส่ายศีรษะเอื่อยช้า

   “ข้ารู้ สำหรับพ่อแม่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสุขลูก แล้วยามนี้ท่านพ่อเห็นสักเสี้ยวความสุขในตัวพี่สาวหรือไม่..?” ปลายเสียงของนางสั่นเทาคล้ายกำลังกลั้นลูกสะอื้น

   เมื่อชนเต็มกำลังกลับผ่อนลงฉับพลัน สีหน้าอาจารย์เมิ่งมืดครึ้ม ทว่าคราวนี้นัยน์ตามีแวววูบไหวพาดผ่าน รอยตบยังปรากฏชัดอยู่บนใบหน้าเจ้าของดวงตาแสนเศร้า ท่านชะงักงัน เค้าอารมณ์กรุ่นร้อนหายไปเป็นปลิดทิ้ง

   สิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมต้องเป็นลูกในไส้ เมิ่งชุนเถาฉุดพี่สาวลงนั่งคุกเข่าพร้อมกัน ฝนหยาดใสร่วงหล่นบนแก้มนวล

   “ท่านพ่อท่านแม่ เรามีกันอยู่แค่สามคนพี่น้อง แต่เล็กจนโตลูกยังไม่เคยขออะไรสักครั้ง ตอนนี้ลูกขอแค่เห็นพี่สาวกลับมาเป็นพี่สาวคนเดิม ยิ้มได้จากก้นบึ้งหัวใจ หัวเราะสดใสไม่ใช่วันๆ จมอยู่กับน้ำตาแบบนี้ ขอแค่ให้ลูกสาวได้วิวาห์รัก...พวกท่านยอมให้ไม่ได้เลยหรือ?”

   สิ้นคำขอสรรพสิ่งกลับสู่ความเงียบ ซุนซีได้ยินเสียงสะอื้นแทรกขึ้นแผ่วเบาเป็นระยะ เขาหายใจไม่ออก ในอกแน่นเหมือนมีใครเอาหินก้อนใหญ่มาทับ แขนข้างที่ถูกป้าหม่าหยิกเรียกจนเนื้อเขียวตอนนี้ชาหนึบ เด็กหนุ่มไม่กล้าก้าวไปจากจุดที่ยืน...กลัวก็แต่คุณหนูคนโตจะร้องไห้จนสิ้นสติ

   เจ้าสำนักยังนั่งก้มหน้านิ่งดุจรูปปั้นศิลา มีแต่ฮูหยินของบ้านที่ยังพอประคองสติได้ ท่านโบกมือไล่ให้คนอื่นกลับออกไปทั้งตาแดงๆ ปากกระซิบแผ่วเบาข้างหูบุตรสาวคนเล็กที่กำลังนั่งเกร็งน้ำตาไหลเป็นธารน้ำหลาก เมิ่งเซี่ยเหมยสูดจมูกพยักหน้าแรงๆ ลุกเดินลากเท้ามาซุกหน้าอยู่กับบ่าซุนซี สองมือกำเสื้อเขาดึงยึดไว้แน่น คราวนี้ป้าหม่าไม่ต้องออกแรงเขาก็พยุงน้องน้อยออกนอกห้องแต่โดยดี

   เจรจาต้องตามผู้ฟัง รู้จักรุก รู้จักถอย...

   เท้าก้าวพ้นธรณีประตูไปแล้ว หูยังทันแว่วเสียงเจ้าสำนักอ่อนโยนอย่างที่นานครั้งจะได้ยิน


ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ทำไมคนโตต้องแต่งเข้าไปบ้านนั้นเป็นอนุด้วยล่ะคะ ?  บ้านนางจรืงๆก็รวยระดับหนึ่งว่ากันตามตรงควรเป็นได้เป็นเมียเอก แต่นี่พอดันเอาไปให้คนมีเมียแล้ว  ประหลาดดี   ความคิดคนเฒ่าคนแก่อ่ะเนอะ เถียงก็ไม่ได้มีแต่ต้องทำตาม

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 6

   หลังจากเหตุการณ์พ่อลูกเปิดใจคราวนั้นเจ้าสำนักยอมลดศักดิ์ศรีบากหน้าเข้าไปคุยกับลุงเถียนถึงที่ ไม่รู้ว่าผลการเจรจาด้วยจอกเหล้าออกมาร้ายดีอย่างไรฝ่ายลุงเถียนถึงยอมถอนหมั้นไปเงียบๆ

   ว่ากันตามจริงที่ตกลงกันไว้ยังไม่ถือเป็นทางการ เพียงแต่อยู่ในขั้นเอาวันเกิดฝ่ายหญิงฝ่ายชายไปดูฤกษ์หมั้นหมายเท่านั้น แต่เมิ่งชุนเถากำชับหนักแน่นไม่ให้ใครบอกคนนอก ชื่อเสียงเมิ่งตงหลานน่ะหรือ? นางบอกว่าเอาให้ท่านหมอเทวดารับผิดชอบ

   แล้วหยงฝูก็มารับผิดชอบจริงๆ เสียด้วย บางครั้งเขาเริ่มคิดว่าเมิ่งชุนเถาอาจเป็นเทพพยากรณ์กลับชาติมาเกิด พอลองพูดให้คนอื่นฟัง แม้แต่อาตงยังเอามือมาอังหน้าผากวัดไข้ด้วยความเป็นห่วง...

   อย่างหนึ่งที่เขาเรียนรู้จากเมิ่งชุนเถาคือการเจรจาต้องทำให้ถูกคน ถูกจังหวะ จะใจร้อนไม่ได้ สิ่งนี้พูดอาจง่ายกว่าทำแต่ซุนซีจดจำบทเรียนไว้เป็นอย่างดี

   ใกล้เที่ยงวันนี้น้องเล็กเดินมาตามเขาไปกินข้าวถึงที่ ระหว่างที่นางกำลังจ้อถึงเรื่องคนที่บ้านใหญ่สกุลเมิ่ง หูก็ทันได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากเขตสวนหลังเรือนรับรอง เงาหลังเสาต้นเขื่องจับกันเป็นกลุ่มก้อน เมิ่งเซี่ยเหมยย่างเท้าเข้าไปหาบรรดาสาวใช้ที่เกาะกลุ่มต่อตัวกันทำลับๆ ล่อๆ หลังพุ่มไม้ใหญ่ นางกำลังจะออกปากทักอาตงก็หันมากระโจนตะครุบ

   “ชู่ว.. ดูนั่น นั่น” อาตงกระซิบอย่างร้อนรน ยื่นปากจิกตาบุ้ยใบ้เข้าไปในสวน อีกมือดึงขากางเกงซุนซีที่ตามมางงๆ ให้นั่งลง

   เขาไล่สายตาไปทางเดียวกัน สิ่งที่ซ่อนอยู่หลังใบไม้เขียวชอุ่มคือชายหญิงคู่หนึ่งยืนคุยกันในอาการสงบ ลมร้อนพัดโชยมาผะแผ่ว ด้านหลังมีดอกไม้หลากสีบานสะพรั่งโชยกลิ่นหอมจาง ประกอบกันแล้วงดงามราวภาพเหมือนเทพเซียน

   ซุนซีกระพริบตาถี่ๆ พินิจดูอีกคราถึงได้เห็นว่าฝ่ายสตรีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ..ครั้นจะถามคนอื่น พวกนางก็เอาแต่จ้องคู่รักกลางลานไม้ดอกอย่างตั้งอกตั้งใจ

   “เป็นเพราะข้าบกพร่องตรงไหนอย่างนั้นหรือ..?”

   เสียงหวานโศกของเมิ่งตงหลานเรียกความสนใจเขาไปทั้งหมด

   “บอกข้าทีท่านหยง..” นางเอ่ยด้วยเสียงสั่นพร่า มือเรียวขยุ้มอกซ้ายตนไว้คล้ายว่าพยายามคลายความรู้สึกบีบรัดข้างใน “หากท่านต้องการให้ข้าเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ข้าจะแก้นิสัยใหม่ หรือเป็นเพราะข้า..เพราะยังเขลาเกินไปข้าจะเรียนรู้เพิ่มเติมให้มาก ตำราเชียนจิน ข้าท่องจำได้เยอะแล้ว หรืองานบ้านงานเรือนยังไม่ดีพอ ข้าต้องทำอย่างไร...”

   “เจ้าดีพร้อมทุกสิ่งแล้ว.. อย่างไรเสียเราก็ไม่เหมาะสมกัน” ถ้อยคำตัดรอนน้ำใจทำเอาผู้ฟังน้ำตาร่วงเผาะ

   “ท่านอายที่จะต้องอยู่กับข้าอย่างนั้นหรือ? ถึงข้าจะโตขึ้นอีกปี ท่านก็แก่ขึ้นหนีข้าไปอีกปี ข้าแก้ไขเรื่องอายุไม่ได้ แต่นั่นมันไม่สำคัญไม่ใช่หรือ”

   หยงฝูส่ายศีรษะเอื่อยช้า “แม่นางเมิ่ง ต่อให้อายุไม่สำคัญเจ้าก็ควรได้รับในสิ่งที่ดีกว่านี้ จะให้ข้าพาเจ้ามาทนลำบากได้อย่างไร?”

   “ตัวของข้าเอง...ข้ายังไม่เคยบอกว่าลำบาก ทุกอย่างที่ข้าทำข้าตระหนักดีว่าเป็นอย่างไร” นางทุบอกตัวเองซ้ำๆ กลืนก้อนสะอื้นลงคอ “ถึงท่านจะไม่เคยเห็นข้าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ถึงต้องให้ท่านทำเพราะสงสาร.. ไม่ต้องรักข้าตอบก็ได้ แค่เพียงชาตินี้ได้อยู่ด้วยกันข้าไม่หวังอะไรอีกแล้ว”

   กระแสทุกข์ตรมฉายชัดบนใบหน้าคนมากวัย “เจ้ายังเด็กนัก ใยถึงตัดโอกาสตนเองมาเลือกคนอย่างข้า”

   “คนอื่นจะดีจะเลวอย่างไรก็ช่าง! ในเมื่อคนที่ข้ารักเป็นท่าน ..ข้าขอเถอะ ให้ข้าได้รักท่านฝ่ายเดียวอย่างนี้มันผิดนักหรือ..”

   เป็นสตรีจะเอื้อนจะเอ่ยแต่ละคำยากนัก หากไม่อ้อมภูเขาก็อ้อมโพ้นทะเลกว่าจะสื่อได้อย่างใจคิด แล้วนั่นประไร เมิ่งตงหลานอกร่ำๆ จะสลายถึงได้พูดหมดเปลือกอย่างนั้น ธารน้ำใสหลั่งอาบใบหน้าสะสวย ศีรษะโน้มลงอย่างคนยอมรับชะตา

   “แล้วใครบอกเล่า...ว่าเจ้าคิดไปฝ่ายเดียว”

   ดวงตาผู้ฟังเบิกโพลง นางเงยขึ้นสบสายตาหยงฝู ทันกับที่หลังนิ้วของชายผู้นั้นแตะแก้มเปื้อนน้ำตาอย่างถนอม รอยยิ้มดุจน้ำผึ้งรื่นละมุนยังหวานไม่เท่านัยน์ตาที่หลุบลงทอดมอง น้ำตาหยาดน้อยรื้นคลออีกครั้ง แต่คราวนี้มาพร้อมเสียงหัวเราะระคนกับเสียงสะอื้นไห้อย่างยินดี

   ราวกับชายขี้ตื่นกลัวผู้นั้นเฝ้ารอคำสารภาพรักเพียงคำเดียว เป็นคำเดียวที่ทำให้เขายอมละทิ้งทุกอย่าง

   “ข้า...” เมิ่งตงหลานทาบปลายนิ้วสั่นเทากุมมือใหญ่กว่ามือตนไว้มั่น อิงแก้มระเรื่อแนบฝ่ามืออุ่น “ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม..?”

   หยงฝูเผยรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างที่ผู้อื่นไม่เคยได้เห็น ดวงตาคู่นั้นฉ่ำหวาน เสียงทุ้มทว่าฟังแล้วกระจ่างกังวานกระซิบถ้อยคำแผ่วเบาให้ได้ยินกันเพียงสองคน ฉับพลันแก้มนวลเปื้อนยิ้มของสตรีในห้วงรักก็แดงก่ำเหมือนพุทราจีน

   กลุ่มคนหลังพุ่มไม้จิกเนื้อกลั้นเสียงสุดชีวิต อาตงทึ้งแขนข้างหนึ่ง ใครอีกคนก็ทุบหลังเขารัวๆ เหมือนคนขาดอากาศ ไม่รู้ว่าเจ็บหรืออย่างไร ดวงตาเขาพร่าเบลอทั้งยังร้อนผะผ่าว ภาพคู่รักซ่อนใต้ใบดอกกล้วยไม้ดินงดงามกว่าฝีมือจิตรกรคนใด – แล้วไฉนภาพที่เขาเห็นถึงเคลื่อนหนีขึ้นไปด้านบน

   โครม!!

   เสียงกระแทกล้มโครมใหญ่ดังมาจากทิวพุ่มไม้ บรรดาถ้ำมองร่วงลงกองหน้าซีดเผือดทับต้นไม้กระจายไปคนละทาง ต่างคนต่างยิ้มเผล่ให้คู่รักที่ยืนนิ่งราวรูปปั้นประดับสวน สีแดงไล่ลามจากแก้มถึงใบหูคนงาม ท่านหมอลดมือลงแต่ยังกอบกุมปลายนิ้วนางเอาไว้

   “เซี่ยเหมย!!” เมิ่งตงหลานแผดเสียงไม่สนเซียนสนพระโพธิสัตว์ แม่ตัวดีสะดุ้งโหยง

   “ทำไมเป็นข้าอีกแล้ว!” นางชี้ไปทางอาตง “ก็นางชวน--“

   “ไปให้พ้น!!” คนพูดร่ำๆ จะร้องไห้ด้วยความอาย พูดจบเป็นนางเสียเองที่ออกวิ่งหลังไวๆ กลับเข้าห้อง เสียงประตูปิดลั่นมาปังใหญ่

   คนมาลุ้นรักไล่สายตากลับมาที่เหยื่อผู้ถูกทิ้งไว้ลำพัง หยงฝูมองนิ่ง ไพล่มือไปด้านหลังก่อนกระแอมครั้งหนึ่ง

   “...ข้านึกขึ้นได้ว่าซักผ้าทิ้งไว้”

   “ข้านึกได้ว่าสับหมูทิ้งไว้”

   “เอ้อ.. ตายจริง ข้าก็ต้มน้ำทิ้งไว้”

   บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ลุกเดินเก้กัง สาวเท้าไวว่องหนีกันไปคนละทางเป็นมดแตกรัง รอยยิ้มเย้าแหย่ยังตราประดับเป็นหลักฐานชั้นดีอยู่บนใบหน้าแต่ละนาง เหลือเมิ่งเซี่ยเหมยยืนยิ้มทำตัวสุกก่อนวัย อยู่ที่เดิม “ข้าไม่ลืมอะไร แต่ข้าไม่กวนพวกท่านพลอดรักกันละ -- โอ๊ย!”

   ซุนซีลอยหน้าลอยตาหยิกหูน้องเล็กลากออกมา แม่หนูน้อยร้องลั่น เขายังเห็นสาวใช้ยืนแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่รายทาง จนท่านหมอเทวดากระแอมไล่หลังมาอีกรอบ หมู่ผึ้งงานหลงทางถึงยอมเลิกวงประชุม

   ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะมีเรื่องดีเขียนจดหมายไปเล่าให้คุณชายอินทรีฟังอีกเรื่องหนึ่งแล้ว



   ฤดูใบไม้ผลิเยือนมาอีกครั้ง โต๊ะกินข้าวมีที่นั่งว่างเพิ่มมาอีกที่ตั้งแต่กลางปีกลาย

   กว่าหยงฝูจะฝ่าด่านพ่อตามาสู่ขอเมิ่งตงหลานสำเร็จใช้เวลาถึงหนึ่งฤดูเต็ม งานมงคลจัดไม่ใหญ่โตนักแต่คนรู้จักอยู่กันพรั่งพร้อม อาตงเก็บมาพูดเพ้อพกตลอดหกวันให้หลังว่างานแต่งเล็กๆ เรียบง่ายก็ดีไม่น้อย ถ้าเป็นงานของนางนางจะจัดอย่างไรดีหนอ...ทั้งที่จนถึงตอนนี้แม่สาวช่างฝันยังไม่เคยมีคนรักเป็นตัวเป็นตน แน่นอนว่าผู้ที่ต้องทนฟังทั้งเช้าเย็นอย่างเขายังไม่ทันได้เอาฝาหม้อตีหัวเรียกสติ ป้าหม่าก็มาจัดการลงไม้ลงมือให้ก่อนแล้ว

   ปีนี้ปีดีดอกท้อบานไปทั่วเมือง คนไร้คู่เริ่มหนาวๆ ร้อนๆ ครั่นเนื้อครั่นตัวไม่มากก็น้อยเมื่อสาวใช้ในเรือนใหญ่ขอลาออกไปแต่งงานกับหนุ่มหมู่บ้านข้างๆ ทางสำนักจัดเงินค่าสินสอดเจ้าสาวแก่นางก้อนโต ซุนซียังจำได้ดีว่าวันงานแม่สามีหน้าระรื่นขนาดไหน

   เมิ่งเซี่ยเหมยเห็นหน้าอาตงผู้ชอกช้ำทีไรเป็นได้แกล้งทักนางเสมอ จะแต่งรึยัง? ตอนนี้มีคนมาสู่ขอรึยัง?

   เพื่อนสนิทของเขามานั่งฟูมฟายทุบหลังทุบไหล่จนร่างซุนซีอ่วมไปหมด

   อีกอย่างหนึ่งพักหลังมานี้จดหมายของคุณชายอินทรีก็เริ่มมีสำบัดสำนวนแปลกๆ มาให้ได้เห็น ใจความหากเอามาคิดเข้าข้างตัวเองสักหน่อยจะเห็นเป็นคำเกี้ยวได้ไม่ยาก ทั้ง ‘รอคอยเจ้าตอบกลับ’ บ้างล่ะ ‘ปรารถนาจะได้สนทนาอีก’ บ้างล่ะ ในจดหมายฉบับล่าสุดยังแนบรูปวาดดอกเหมยมาให้อีกต่างหาก

   แน่ล่ะว่าซุนซียังไม่กล้าบอกกล่าวแก่เมิ่งเซี่ยเหมย ถ้านางไปเค้นเอาความกับท่านลุงว่าคุณชายอินทรีเป็นใครประเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โดยใช่เหตุ

   เขาอาจจะคิดมากไปเอง คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ...



   บางเรื่องข่าวเล่าปากต่อปากถึงไม่ถูกต้องยังมาถึงไวกว่าข่าวม้าเร็ว ป้าหม่ากับน้าหญิงที่คอยดูแลบรรดาสาวๆ คอยเอ็ดไม่ให้พูดจาส่งเดช แปลกที่มีข่าวใหม่ทีไรเป็นได้ออกจากปากอาวุโสผู้เคร่งครัดก่อนเสมอ – เรื่องที่ว่าท่านเจ้าสำนักจะส่งเมิ่งชุนเถาไปให้ลูกชายเสนาบดีดูตัวนั่นก็ด้วย

   ซุนซีที่ใกล้ชิดกับเจ้านายราวลูกหลานเพิ่งได้รู้จากปากคนรับใช้ด้วยกัน ไม่นานแม่สื่อก็เดินทางมาเป็นเครื่องยืนยันว่าข่าวลือเป็นเรื่องจริง

   รู้สึกตัวอีกทีเด็กหนุ่มผู้ควรทำงานงกๆ อยู่ในครัวก็มายืนหอบหน้าซีดอยู่หน้าประตูห้องป้ายวิญญาณบรรพบุรุษ หลี่ฮูหยินเรียกเขาให้เข้ามาข้างใน ร่างกายผอมแห้งเหงื่อออกจนตัวชุ่มโชกเหมือนเพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆ

   “ซีเอ๋อร์ รีบร้อนจะไปไหน”

   “ท่านป้า ท่านป้าขอรับ” เด็กหนุ่มทรุดลงนั่ง “ท่านลุงจะให้แม่สื่อมาดูตัวเสี่ยวเถาหรือขอรับ”

   หลี่ฮูหยินหันไปส่งสายตาตำหนิสาวใช้ประจำตัวที่กำลังแกล้งทำหน้าไม่รู้เรื่อง “อย่าเอ็ดไป เป็นป้าเองที่เรียกมา”

   ซุนซีตาโต อ้าปากงับอากาศเหมือนจะพูดแต่ไร้เสียง หญิงวัยกลางคนเห็นก็ยิ้มเอ็นดู นางวางสร้อยประคำลงบนผ้ารองก่อนค่อยๆ ถัดตัวหันมาคุยกับหลานชาย

   “เป็นห่วงอีกหรือ? อย่างนั้นมาช่วยป้าคิดหาทางกล่อมเถาเอ๋อร์ดีไหม”

   “ช้าก่อนขอรับ หลานสับสนไปหมดแล้ว”

   “ป้าติดต่อแม่สื่อจากเมืองหลวงไว้ ลูกชายเสนาบดีไป๋หาภรรยามาหนึ่งปียังไม่ได้คนที่ถูกใจ ..สงสัยว่าเหตุใดป้าถึงทำแบบนี้ใช่หรือไม่?” เมื่อผู้ฟังพยักหน้าครั้งหนึ่งหลี่ฮูหยินจึงกล่าวต่อ “เถาเอ๋อร์อายุสิบห้าแล้วนับเป็นโอกาสดี แม่สื่อคนนี้ประวัติไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ หากไม่สำเร็จนางสัญญาจะติดต่อคุณชายคนอื่นในตระกูลทัดเทียมกัน ขาดก็แต่ให้เจ้ากล่อมเถาเอ๋อร์เท่านั้น”

   “แล้วท่านลุง..”

   “เขาไม่ได้คัดค้าน ยังบอกเสียอีกว่าคราวนี้จะสำเร็จหรือไม่ อย่างไรเถาเอ๋อร์ก็ได้แต่งงานแน่อยู่แล้ว” ท่านป้าพูดเรียบเรื่อย “ซีเอ๋อร์ เจ้ารู้ไหม ลุงกับป้าแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดให้พวกเจ้าเสมอ เป็นเพราะเจ้ายังเยาว์นักถึงได้ไม่เห็นในสิ่งที่ผู้ใหญ่เห็น”

   “แต่สิ่งที่ดีที่สุดของท่านอาจจะไม่ใช่สิ่งที่สุดสำหรับพวกนางก็ได้นะขอรับ.. ตัวข้าเองก็อยากลองผิดลองถูกด้วยตนเองโดยที่มีท่านลุงท่านป้าคอยชี้นำ ไม่ใช่ตระเตรียมทางเดินไว้ก่อนแล้ว”

   ดวงตาหลี่ฮูหยินหรี่ลง “แล้วจะให้ป้าเห็นเจ้าต้องลำบากเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เจ้าคิดมันผิดหรือ? ผู้ใหญ่กินเกลือมากกว่าเจ้ากินข้าว  มีประสบการณ์และเห็นเรื่องต่างๆ มาเยอะ ย่อมไม่อยากให้คนอ่อนต่อโลกต้องเป็นทุกข์อย่างที่ตนเคยประสบมา”

   “...” ซุนซีทราบถึงความหวังดีของผู้ใหญ่จึงตอบรับเพียงผงกศีรษะน้อยๆ เขารู้ว่าในรุ่นก่อนหน้าก็เป็นเช่นนี้ เหมือนกับที่คำสอนของยายจะตกสู่แม่และสืบทอดไปยังลูกสาว

   ทว่าจิตอันอาทรนั้นเป็นต่างโซ่ล่ามเด็กน้อยที่พวกท่านกล่าวว่ารักและหวังดีไม่ใช่หรือ เพราะสิ่งนั้นสิ่งนี้ดีแล้ว จะเดินให้หลุดจากเส้นทางแม้สักน้อยก็กลายเป็นว่าไม่เห็นค่าความห่วงใย ..เช่นนี้จะเติบโตได้อย่างไรเล่าหากไม่เคยได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง

   เสียงน้ำชาไหลเติมลงจอกขัดเสียงพูดคุยแผ่วเบาดุจลมฤดูร้อน เมื่อรินได้ค่อนถ้วยสาวใช้ถึงถอยเท้ากลับไปยืนประจำที่ ไอแดดแผ่ผะผ่าวเข้ามาใต้ร่มหลังคากระเบื้อง ไม่นานร่างผ่ายผอมในชุดกางเกงผ้าฝ้ายก็ละก้าวผ่านประตูออกไปตามระเบียงทางเดิน

   ซุนซีผ่อนลมหายใจช้าๆ มือลูบอยู่กับอกเสื้อ เมื่อมาถึงห้องหนังสือก็พบเมิ่งชุนเถานั่งทำงานอยู่ผู้เดียว สีหน้านางไม่สบอารมณ์นักเมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคนใดเข้ามารบกวน

   “ถ้าท่านแม่ส่งพ่อบ้านซุนมากล่อมข้าก็เชิญกลับไปได้” คุณหนูรองเรียกห่างเหิน ก้มหน้าคัดหนังสือต่อไม่ใส่ใจ

   “เสี่ยวเถา..”

   ฝ่ายผู้มาเยือนเอ่ยเสียงแผ่วพลางย่างเท้านุ่มนวลมาหยุดที่หน้าโต๊ะ จากตรงนี้เห็นมือถือพู่กันสั่นน้อยๆ อารมณ์แสดงผ่านตัวหนังสือที่เขียนหวัดห้วนผิดวิสัยคนทำงานละเอียด

   ซุนซีทรุดตัวลงนั่ง “ดูตัวคราวนี้อีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนเลวร้าย สมบัติมั่งมีและยังไม่เคยแต่งงานกับใคร เป็นเพราะท่านป้าหวังดีกับเจ้าถึงได้เรียกแม่สื่อมา“

   คุณหนูพูดเสียงเย็น “อ้างว่าหวังดีจะไปต่างอะไรกับคราวที่พ่อบังคับพี่สาวแต่งเป็นอนุ พวกท่านหลับหูหลับตามอบความหวังดีไม่เคยถามคนรับ มันต่างจากการยัดเยียดความคิดให้คนอื่นตรงไหน?”

   ซุนซีฟังแล้วหน้าชายืนนิ่งไม่ไหวติง เมิ่งชุนเถาเหลือบสายตาขึ้นมอง ความโกรธยังไม่จางลง

   “ไม่มีอะไรแล้วก็ไสหัวไป ข้าจะทำงาน”

   เขาเอาแต่ส่ายศีรษะ “พี่ใหญ่รู้ว่าเจ้าคัดค้านเรื่องนี้ เสี่ยวเถา แต่เจ้าเองรู้ดีไม่ต่างกับพี่ว่าต่อให้พี่ใหญ่ไม่จัดการให้ครั้งนี้ อีกไม่นานท่านลุงต้องหาแม่สื่อมาดูตัวเจ้าอีกอยู่ดี”

   “แล้วอย่างไร?”

   “ถ้าแต่งกับคุณชายไป๋เจ้าอยากทำอะไรก็ทำได้ อย่างนี้ไม่ถือว่าได้อิสระหรือ”

   คนฟังฉุนขาด “ข้าไม่สนว่าจะแต่งกับใคร แต่หากพี่ใหญ่กล้าเรียกการแต่งงานย้ายจากสกุลหนึ่งไปอีกสกุลว่าอิสรภาพได้เต็มปาก ข้าคงไม่มีอะไรจะพูด!”

   แท่งหมึกกระแทกลงกับจานฝนทำเอาน้ำสีดำสนิทเลอะไปทั่วโต๊ะ เมิ่งชุนเถาตั้งท่าเหมือนจะคำราม...สุดท้ายทำเพียงวางพู่กันลง หัวคิ้วลู่กดเข้าหากัน

   ซุนซีหยิบเอาผ้ามาซับให้อย่างระวัง เคราะห์ดีที่ม้วนกระดาษม้วนอื่นไม่เปื้อนมากนัก ส่วนหนังสือที่นางกำลังเขียนครึ่งค่อนหน้ายังว่างเปล่า

   “พี่ชายไม่ได้หมายความเช่นนั้น.. ไป๋หนิงเฉิงอาจเป็นแค่ปลาตัวโตสำหรับคนอื่น แต่เขาเฉลียวฉลาด เป็นสุภาพบุรุษและมีความคิดนำสมัย หากเจ้าต้องออกเรือนกับใครสักคน...ชายคนนี้เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว”

   ซุนซีว่าพลางส่งผ้าสะอาดอีกผืนให้ เมิ่งชุนเถารับมาไม่เต็มใจนัก มืออิ่มข้างหนึ่งเลอะรอยดำเป็นทางแต่นางกำลังโกรธจนไม่ได้ใส่ใจ

   ความคิดนำสมัยที่เขากล่าวถึงมีตัวอย่างให้เห็นชัดเจน ลูกชายเสนาบดีอย่างไป๋หนิงเฉิงสามารถมีชีวิตสุขสบายในเรือนใหญ่ราวตำหนักในวังโดยไม่ต้องทำงานไปทั้งชีวิต แต่คุณชายผู้นี้กลับเลือกขอเงินทุนก้อนน้อยออกมาเปิดการค้า และทำมันได้ดีเยี่ยมจนกุมบังเหียนตลาดใหญ่ในหลายมณฑลทางตะวันออก

   หากแต่บุตรเสนาบดีดูตัวนับร้อยครั้งยังไม่เคยพึงใจสาวงามคนใด ว่ากันว่าภาพวาดดรุณีส่งจากแม่สื่อทั่วหล้ากองสูงจนท่วมห้องหนังสือได้

   บุรุษร่างเล็กนั่งลงข้างน้องต่างสายเลือด ในมือซูบเซียวกำผ้าเปื้อนหมึกเอาไว้ “เสี่ยวเถา ..เจ้าไม่เชื่อสายตาพี่ชายหรอกหรือ?”

   คุณหนูรองหลุบตาลงคิดชั่วครู่หนึ่ง ไม่นานดวงตาสีน้ำผึ้งคู่สวยก็ตวัดขึ้นมอง

   “อย่างนั้นข้าขออะไรพี่ใหญ่สักอย่าง”

   ด้วยเหตุนี้สิ่งที่ส่งไปหาบุตรชายเสนาบดีจึงไม่ใช่ม้วนภาพวาดสาวงามจากแดนใด แต่เป็นต้นฉบับบันทึกการพัฒนาระบบคุ้มครองสินค้าที่เขียนด้วยลายมือประณีตของเมิ่งชุนเถา

   ถูกแล้ว..นั่นเป็นคำขอของนาง


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :3123: :pig4: :3123:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด