[จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทส่งท้าย - 20/05/63  (อ่าน 24323 ครั้ง)

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ติดตามจ้า~

ออฟไลน์ Nupammee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอเลยค่าา ติดตามต่อออ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อย่างไรๆ  .......   :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
คู่ของน้องสาวคนกลางจะใช่คนนี้ไหมนะ

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
สนุกค่ะ รอนะคะ :mew1:

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 7


   จดหมายจากคุณชายอินทรีคราวนี้แนบรูปดอกเหมยมาอีกคราว พออีกฝ่ายถามเรื่องฝึกวิชาเขาก็เอาเรื่องของเมิ่งเซี่ยเหมยไปตอบทั้งปัญหาในการฝึกหรือจะการซ้อมร่างกาย ได้ความแล้วจึงเอาไปบอกแก่น้องสาวอีกที
   
   พอคราวนี้เจ้าคนต้นเรื่องก็เลยมานั่งอ่านจดหมายเสียเอง

   “ที่ข้าเอาไปลองทำดูก็ได้ผลดีอยู่นะพี่ใหญ่” เมิ่งเซี่ยเหมยพูดเจื้อยแจ้ว จบคำมือก็คว้าขนมงาเข้าปาก “เฮี่ยอะ อ่างฮันอี้ เฮ้าแอะอำฮีฮาก” (เนี่ยนะ อย่างอันนี้ เขาแนะนำดีมาก)

    ซุนซีเอาหลังนิ้วเคาะหน้าผากนางไปทีหนึ่ง “กินให้หมดก่อนค่อยพูด”

   แม่ตัวดีหัวเราะแหะๆ รีบเคี้ยวกลืนก่อนจะเอาจดหมายให้พี่ชายดู “จะว่าไป เขาวาดรูปดอกไม้มาให้ท่านเสมอเลยหรือ?” นางว่าพลางเอามือลูบรูปดอกเหมยท้ายกระดาษ

   “เปล่า เพียงแต่ช่วงหลังมานี้วาดเป็นบางครั้ง”

   เมิ่งเซี่ยเหมยทำหน้าเจ้าเล่ห์ วางจดหมายลงบนโต๊ะแล้วขยับตัวไปนั่งกระแซะซุนซี “โหย ไม่ใช่ว่าเขามีใจให้พี่ใหญ่หรอกหรือ ดูลงท้ายจดหมายนั่นสิ ‘รักษาตัวให้ดี แล้วข้าจะหมั่นเขียนจดหมายไปหาเจ้า’ เนี่ย จงใจเกี้ยวชัดๆ”

   “ไร้สาระ” คนฟังฟังแล้วย่นหน้า บีบจมูกแม่สาวน้อยแล้วดึงไปมา

   เมิ่งเซี่ยเหมยหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ข้าก็แค่หยอกเล่นเอง!” นางจับมือพี่ชายออก กระโดดแผล็วไปหยิบขนมงาเข้าปากอีกชิ้น “ไม่รู้ล่ะ พี่ใหญ่เขียนตอบไปนะ ข้าจะออกไปข้างนอกก่อน อย่าลืมบอกเขาล่ะว่าที่แนะนำคราวก่อนฝึกแล้วร่างกายเบาขึ้นเยอะ”

   ซุนซียิ้มหน่ายมองตามหลังไวๆ ของนางประเดี๋ยวเดียวก็ผลุบหายไปแล้ว อันที่จริงจดหมายฉบับนี้นอกจากรายงานผลการฝึกแล้วไม่ใคร่จะมีเรื่องเขียนตอบไปนักนอกจากเรื่องของคุณหนูเมิ่งคนรอง

   ข่าวคราวจากแม่สื่อเงียบหายครบเดือนหลี่ฮูหยินจึงตัดสินใจตามตัวนางกลับมาอีกครั้ง ซุนซีไม่รู้ว่าในห้องรับรองพวกท่านคุยกันว่าอย่างไร พอตกบ่ายถึงได้เห็นหญิงหม้ายวัยกลางคนเดินกลับมาที่ประตูใหญ่ นางยังแต่งชุดสวยปรุงเนื้อตัวด้วยน้ำหอมอย่างเคย มีก็แต่สีหน้าที่ดูไม่แช่มชื้นเท่าตอนพบครั้งเก่า

   ท่านเจ้าสำนักสั่งให้จ้างเกี้ยวมารับแม่สื่อไปส่ง เด็กหนุ่มได้แต่ยืนมองกลุ่มคนและเกี้ยวไม้หลังน้อยเคลื่อนไปตามทาง กระทั่งฝ่ามือหนึ่งประทับเสียงแน่นบนหลังเขา ซุนซีหน้าทิ่มเซไปสองก้าว

   “อาซุนมายืนเหม่ออะไรตรงนี้ นี่ถ้าเปลี่ยนฮ่องเต้องค์ใหม่ไปปีหนึ่งข้าว่าเจ้าก็ยังไม่รู้เรื่องกับเขา” อาตงสลับเอามือที่เพิ่งล้างมาหมาดๆ ตบตามลงไปทีเดิม เสื้อซุนซีเปียกแฉะเป็นรอยฝ่ามือในทันใด

   ผู้โชคร้ายห่อตัวกอดเอวเคล็ด จ้องนางด้วยสายตาเปี่ยมล้นคำด่าของทั้งจงหยวนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงก้าวร้าวยิ่ง “พูดเพ้อเจ้ออะไรของเจ้า...”

   “ถามได้ คุณหนูรองให้มาเรียกไปด้วยกันน่ะสิ”

   “คุณหนูรอง?” ซุนซีถาม เลิกคิ้วแล้วชี้ไปทางที่เกี้ยวแม่สื่อเพิ่งจากไป อาตงพยักหน้า “แต่ข้าไม่ได้ --”

   “ไม่ต้องพูด วันนี้ข้าอยู่ฟังตลอด เพียงแต่ว่า...อาซุนสหายรัก ใจคอจะให้ข้าไปหาคุณหนูคนเดียวหรือ” คำกล่าวฟังดูคล้ายการวอนขอความเมตตา ทว่าเพื่อนของเขาจิกแขนผอมแห้งลากเดินไปตามทางตั้งแต่ครึ่งแรกของประโยคแล้ว คนอย่างอาตงเมื่อพูดไม่ขอรับการปฏิเสธ เห็นหน้าซุนซีเหมือนเห็นเกราะวิเศษจากสวรรค์ป้องกันได้ทุกกระบวนท่าก็ไม่ปาน

   สาวใช้ส่วนตัวของเมิงชุนเถายืนสงบเสงี่ยมอยู่หน้าประตู พอเห็นว่าใครมาเยือนก็ดีใจน้ำตาคลอเบ้า “คุณหนูรออยู่นานแล้ว! พี่ชายพี่สาวรีบเข้าไปเร็ว”

   จบคำแม่หนูรีบผลักบานไม้เปิดให้ อาตงหันมองซุนซีคล้ายจะขอเวลาทำใจ ไม่ทันได้พูดอะไรเขาก็ก้าวนำเข้าไปก่อน เมิ่งชุนเถานั่งท้าวคางรออยู่ที่โต๊ะกลางห้อง มือตบไปที่มุมว่างๆ เรียกให้นั่ง อาตงก้นไม่แตะลงเก้าอี้ดีจอกชาก็เลื่อนไปอยู่ตรงหน้า นางต้องลุกขึ้นมาใหม่อีกรอบ ..มีแค่หนึ่งจอก มองปราดเดียวก็รู้ว่าต้องรินให้ใคร

   “มีเรื่องอะไรถึงต้องทำลับๆ ล่อๆ” ซุนซีชิงถามขึ้นมาก่อน คนมาด้วยกันยกกาสูงลิ่ว เสียงน้ำไหลลงถ้วยกระเบื้องดังยิ่งกว่าเสียงของเขาอีก

   “ตอบข้าก่อนวันนี้เป็นอย่างไร เล่ามาให้ละเอียด”

   คำว่าละเอียดของคุณหนูรองต้องเก็บตั้งแต่สีหน้าและคำพูดว่าเอ่ยอย่างไรเอ่ยกับใคร อาตงเล่าทุกอย่างทุกขั้นตอนไม่ให้ผิดหวัง เรื่องแสดงท่าทางต้องยกให้นางที่บีบเสียงเพิ่มอีกสักนิดก็เหมือนแม่สื่อมาทำให้ดูอยู่ตรงหน้าแล้ว ระหว่างฟังเมิ่งชุนเถาก็ละเลียดจิบชาราวว่าชมอุปรากรเรื่องยาว – จนฟังจบชาก็หมดไปอีกจอกหนึ่ง

   ผู้พูดกระแอม แบมือผายไปทางเมิ่งชุนเถา “จากที่ข้าได้กล่าวมาทั้งหมด ตกลงแม่สื่อมาบอกว่าท่านไป๋ให้นางเข้าพบได้ แต่นางยุ่งจนมิได้มาบอกข่าว”

   คนมีศักดิ์เป็นนายเปิดถุงที่ผูกไว้ข้างเอว หยิบเอาเงินก้อนเล็กๆ วางไว้กลางฝ่ามืออาตง ทั้งหมดเกิดขึ้นภายใต้สายตาตำหนิของซุนซี อาตงที่ได้เบี้ยพิเศษก็ลอยหน้าลอยตาทำเป็นไม่รู้สึกรู้สา

   “พี่ใหญ่กล้าพนันกับข้าไหมว่าท่านพ่อสั่งให้แม่สื่อยกเลิกดูตัว”

   “ท่านลุงคงไม่ทำอย่างนั้นกระมัง..”

   คุณหนูรองหัวเราะหึ ยื่นจอกเปล่าไปทางสาวใช้ “คอยดูเอาเถอะ ท่านพ่อทำเป็นนิ่งเฉยไม่ว่ากระไร ตันฮกจะลอบตีเฉินชาง สิไม่ว่า”

   อาตงรีบยกการินน้ำชาเติมให้ไม่ขาด สหายสนิทมองหน้านางก็รู้ว่าออกไปพ้นห้องคงได้มีเรื่องคุยอย่างเป็นห่วงเป็นใยประสาคนรับใช้อีกนานสองนาน...



   อีกครึ่งเดือนจะถึงเวลานัดหมายซุนซีร้อนใจจนต้องเขียนจดหมายไปปรึกษาคุณชายอินทรีอีกครั้ง เขานั่งก้มหน้าก้มตาตวัดพู่กันไปบนหน้ากระดาษ เขียนร่ายยาวถึงคนที่นัดกันไว้เรื่องสำคัญแต่อีกฝ่ายทำท่าจะหนีนัดควรจะทำอย่างไรดี ลายมือคราวนี้เร่งรีบจนตัวหนังสือหวัดแต่ไม่ใช่เวลาจะมากังวลเรื่องความสวยงาม

   ทว่ารอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มีจดหมายตอบกลับ เหลือเวลาเพียงสิบวันซุนซีก็ไม่อาจคอยได้อีกต่อไป

   เขาเชื่อว่ายิงฉู่หยุนคงจะแนะให้ทำตามใจคิดเหมือนเคย เช่นนั้นแม้จะกลัวความผิดพลาดจากครั้งก่อนที่เคยตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่เขาก็เลือกจะลองดูอีกสักครั้ง

   อาตงมักบอกว่าเขาเป็นคนขี้กังวล นางพูดไม่ผิด แต่ใช่ว่าเขาจะกังวลเป็นอยู่คนเดียวเสียเมื่อไหร่

   ถัดจากวันที่คุยกับคุณหนูรองซุนซีก็ปรี่เข้าไปพบหลี่ฮูหยินโดยที่ท่านไม่ต้องเรียกหา เด็กหนุ่มเล่าถึงเรื่องที่ตนปรึกษากับน้องสาวและทีท่าน่าสงสัยของเจ้าสำนัก ท่านป้าฟังแล้วเก็บไปคิดอยู่นาน

   เย็นวันนั้นหลี่ฮูหยินเรียกเขาไปพบที่ห้องรับรอง เจ้าสำนักเมิ่งชางนั่งทำหน้าเคร่งขรึมอยู่บนเก้าอี้ข้างภรรยา มือท่านกำลังบรรจงแกะผลลำไยส่งให้นางทาน

   “..เรียกข้ามีอะไรหรือขอรับ” ซุนซีตีหน้าเคร่งเกือบเทียบเท่าเจ้าของบ้าน ถึงอย่างนั้นหลี่ฮูหยินยังสามารถทำเมินคนข้างตัวไปคุยกับหลานชายได้

    “ซีเอ๋อร์ จำยาซีฉวนต้าผู่ ได้หรือไม่ ป้าจะวานเจ้าไปซื้อที่เมืองหลวง”

   ท่านลุงย่นคิ้ว เหลือบสายตามองหน้าภรรยาก่อนจะกระแอมดังๆ ครั้งหนึ่ง “งานการมีให้ทำมันจะไปไหนอีก? ให้กงไห่ไปซื้อไม่ได้หรือไร”

   “ลุงกงไม่เคยเห็นขอรับ ถ้าซื้อมาผิดสรรพคุณจะใช้ด้วยกันไม่ได้”

   เมิ่งชางตั้งท่าจะแยกเขี้ยวคำรามใส่ไอ้เด็กผอมกะหร่อง หลี่ฮูหยินรีบเสริมขึ้นต่อ “ท่านพี่ เพราะสมุนไพรหายากบางตัวยานี้ถึงได้มีขายแต่ที่เมืองหลวง”

   “อย่างนั้นไปสั่งกับพ่อค้าให้ขนมา”

   “ไม่ได้ขอรับ คราวที่แล้วพ่อค้าเอาของไม่ดีมาขาย ที่คราวนั้นต้มแล้วมี...กลิ่น...ฉุน...”

   เจ้าสำนักมองหน้าเขา ดวงตาคล้ายจะจ้องทะลุไปถึงขั้วหัวใจ ซุนซีค่อยๆ สงบปากสงบคำลงในที่สุด

   “คิดว่าจะหลอกคนอย่างข้าได้หรือ” ท่านลุงลั่นเสียงดั่งฟ้าคำราม คนฟังเสียวสันหลังวาบเหงื่อผุดทั่วเหมือนคนเพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆ

   ทั้งห้องเงียบกริบด้วยแรงกดบรรยากาศอึมครึม ซุนซีนั่งหดคอตัวเล็กลีบ ร่างกายผอมเหมือนไม้ซีกเช่นนี้โดนโบยอย่างเก่งสองไม้ก็ช้ำในไปเจ็ดวันแล้ว ..ตายแน่ๆ คนหนุ่มคิด แค่กลั้นใจกลืนน้ำลายยังรู้สึกฝืดเคือง

   เจ้าสำนักพ่นลมออกจมูก “เหอะ! ไอ้เด็กคนนี้ งานการก็มียังหาเรื่องไปเที่ยว – ที่สั่งให้เอาม้าไปตอกเกือกทำหรือยัง!”

   ซุนซีคิดว่าเขาได้ยินเสียงท่านป้าหายถอนใจโล่ง “...เรียบร้อยทุกตัวขอรับ”

   “เออ ดี รายชื่อที่สั่งให้จดทำหรือยัง”

   “เสร็จแล้วขอรับ”

   “ห้องครัวคนขาดอยู่ไม่ใช่รึ”

   “คนที่ลาไปเยี่ยมบ้าน เมื่อวานกลับมาแล้วขอรับ”

   ท่านลุงเงียบไป เมื่อสบสายตาภริยาสีหน้าครุ่นคิดก็เปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วนเก้กัง “อย่าให้ข้ารู้ว่าไปเที่ยวเถลไถล กลับมาช้าไม่ทันทำงานข้าจะหักเบี้ยเลี้ยง”



   ซุนซีผูกสัมภาระเข้ากับอานม้า คุณหนูคนเล็กออกมาส่งถึงหน้าประตูยังไม่วายร่ำๆ จะไปด้วย เขาอยากตามใจนางอยู่หรอก แต่ใช่ว่าไปเมืองหลวงเพื่อเที่ยวเล่นเสียเมื่อไหร่...จนกระทั่งป้าหม่าเอ็ดหนักเข้าน้องขี้แยของเขาถึงได้ยอม

   ลุงกงไห่กระตุกสายบังเหียน เสียงกีบเหล็กย่ำประสานไม่เป็นจังหวะ ไม่ช้ารั้วสำนักก็ค่อยๆ ห่างออกไปจนกลายเป็นเส้นริ้วสุดสายตา

   ม้าสองตัวเดินทางจากเมืองหวงซานร่วมหลายคืนแล้ว จนได้เวลาพบดอกโบตั๋นบานสะพรั่งริมทางเมื่อเข้าหน้าร้อนและกลิ่นหอมอ่อนๆ อวลอยู่ในอากาศ เมื่อนั้นคนจากสำนักหู่โห่วก็มาถึงเมืองหลวง

   ซุนซีจูงเจ้าม้าแก่เดินเหยาะๆ ตามหลังลุงกงไห่เข้าโรงรับฝากม้าติดประตูเมือง แม้เป็นเวลาใกล้ค่ำแต่หลินอัน ยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน โคมไฟรายทางและแสงจากตัวอาคารสองข้างถนนจุดขึ้นทีละน้อย เมื่อข้ามสะพานไม้มาถึงโรงเตี๊ยม เมืองทั้งเมืองก็ส่องสว่างไม่ต่างจากเวลากลางวัน

   อาคารไม้หลังย่อมซ่อนตัวอยู่ในมุมลึกหลังเส้นทางสลับซับซ้อนและตรอกคลอง ลุงกงไห่เป็นคนเข้าไปเจรจากับลูกจ้างท่าทางมึนตึงไม่รับแขก ..ก็พอเข้าใจได้อยู่เมื่อดูจำนวนลูกค้าที่อยู่กันเต็มทุกโต๊ะกับเสียงเอะอะโวยวายฟังไมได้ศัพท์

   คนต่างถิ่นได้ที่นั่งก็โซ้ยข้าวให้เต็มอิ่ม คืนนี้ปลอดสุราเพราะเช้าวันพรุ่งจนถึงวันมะรืนยังมีงานอีกมากให้ต้องทำ

   ระหว่างทางจวบจนถึงตอนนี้เด็กหนุ่มปรึกษากับลุงกงไห่อยู่หลายครั้ง หลักๆ ไม่พ้นเรื่องแม่สื่อที่จ้างวานมา เขาสังหรณ์ไม่ดีมาตั้งแต่แรกจ้างแล้ว แม้ว่านางจะนัดให้มาพบก่อนหน้าวันเข้าพบไป๋หนิงเฉิงเพียงวันเดียว แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้ข่าวคราวจากแม่สื่อ

   “อย่าคิดมากนักเลยอาซุน” ชายชรากล่าวพลางคีบผักลงชาม “ทำใจให้สบาย หากมีวาสนาต่อกันคุณหนูต้องได้แต่งแน่อยู่แล้ว”

   คนหนุ่มก้มหน้าใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวช้าๆ เคี้ยวหมดคำถึงค่อยพูดโดยไม่มอง

   “เรื่องนั้นข้าเข้าใจ ที่ท่านลุงว่ามาไม่ผิดเลย หลังจากนี้ฝากไว้กับลิขิตสวรรค์ได้...แต่อย่างไรข้าก็อยากทำให้ดีที่สุดก่อน”

   เขาว่าพลางคีบเนื้อชิ้นใหญ่ที่สุดวางบนชามคู่สนทนา ได้ยินอย่างนั้นคนรับใช้เก่าแก่ไม่ว่าอะไร ทำแต่เพียงรินชาให้อย่างมีน้ำใจ



   กลางคืนผลัดกาลเป็นยามเช้า คนต่างถิ่นสองวัยไปรอที่จุดนัดพบแต่ไก่แรกขันจรดเย็น...เพียงเพื่อพบว่าไม่มีแม้แต่เงาของแม่สื่อที่จ้างวานไว้ คนจากสำนักคุ้มภัยไม่รู้ว่าบ้านแม่สื่ออยู่ส่วนไหนของเมืองหลวง กระทั่งเวลาจะออกตามหาก็ไม่พอ

   ขณะที่นั่งคิดไม่ตกชายสูงวัยพยายามปลอบให้ใจชื้นว่าวันพรุ่งแม่สื่อต้องมาแน่ แต่เด็กหนุ่มเชื่อสัญชาตญาณตนเอง หากผิดคำพูดครั้งหนึ่งย่อมมีครั้งสอง ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใดนางคงไม่มาแน่แล้ว

   เย็นวันนั้นซุนซีตัดสินใจกำเงินเข้าร้านเสื้อผ้า เลือกเอาชุดดูมีราคามาชุดหนึ่ง รองเท้าตัดเย็บอย่างดีอีกคู่หนึ่ง เงินเก็บส่วนตัวที่เตรียมเอาไว้เป็นค่าเล่าเรียนถูกแลกเป็นกวาน และปิ่นเสียบหยกเข้าชุด – พอรู้ว่าเขาจะทำอะไรลุงกงไห่ได้แต่ส่ายหน้า ทว่าซุนซีตัดสินใจดีแล้ว

   ย่างเข้าอรุณรุ่งจากโรงเตี๊ยมคับแคบก็ย้ายมานั่งเด็ดเดี่ยวอยู่กลางเคหาสน์หลังงาม ห้องรับแขกบ้านสกุลไป๋ใหญ่โตโอ่โถง ประดับประดาด้วยของมีราคาทั้งแจกันเครื่องลายครามและภาพวาดแขวนผนังฝีมือจิตกรเอก เก้าอี้เรียงขนาบสองข้างสำหรับแขกเป็นไม้ชิงชันขัดมันอย่างดี คนไม่รู้ราคาของยังพอตีค่าได้ว่าไม่ใช่เงินน้อยๆ แม้แต่ถ้วยชาในมือเขาก็ด้วย

   ซุนซีบัดนี้ตัวเกร็งอยู่ท่ามกลางแม่สื่อวัยกลางคน บรรยากาศชวนอึดอัดทำเอาตื่นเต้นยิ่งกว่าเก่า

   ส่วนหนึ่งประหม่าเพราะเขาคาดเดาความคิดอ่านเจ้าของบ้านไม่ได้ ในสายตาเขาไป๋หนิงเฉิงทำอะไรพิลึกผิดขั้นตอนนัก นอกจากคนรับใช้ที่ยกชามาให้เมื่อครึ่งก้านธูปก่อน บัดนี้ก็ยังไร้วี่แววพ่อค้าใหญ่

   บุรุษหนุ่มไล่สายตารอบตัวอีกครั้งหลังนั่งเงียบยาวนาน ข้างเขาเป็นแม่สื่อฮัวที่เคยทำงานดูตัวคัดแต่ลูกสาวบ้านขุนน้ำขุนนาง ที่นั่งตรงกันข้ามเป็นแม่สื่อจางเลื่องชื่อเรื่องฝีมือจับคู่จากเมืองหลวง แต่ละคนนอกจากสูงวัยแล้วยังมากประสบการณ์

   “ใช้เด็กเล็กมาเจรจาแทนแม่สื่อ ไม่คิดว่าเสียมารยาทกับท่านไป๋ไปหน่อยหรือ”

   “เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม สกุลไหนกล้าส่งมาคงเห็นการแต่งงานเป็นเรื่องตลก”

   “ถึงตัวไม่มีเกียรติก็ควรให้เกียรติคุณชายสักนิด กล้ามานั่งเชิดหน้าเป็นหงส์ กลัวจะเป็นห่านป่าเสียมากกว่า”

   ถ้อยคำเสียดสีชัดแล้วว่าในห้องนี้แต่ละคนต่างมองเขาเป็นตัวตลกชวนหัว ตั้งแต่มาถึงจนบัดนี้ผู้แทนสำนักคุ้มภัยไม่ปริปากตอบโต้ใดๆ ดวงตาเขามองนิ่งไปยังหลังประตูอย่างผู้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว รอจนกระทั่งร่างเงาสูงใหญ่เคลื่อนตัวผ่านม่านมาอย่างเชื่องช้า ใต้รอยยิ้มเป็นมิตรอย่างพ่อค้าใจกว้างทุกก้าวย่างนั้นมั่นคง

   ไป๋หนิงเฉิงรับการคารวะอย่างสำรวม ชายคนนี้นับว่าเป็นบุรุษที่กิริยามารยาทหมดจดและเป็นคนมีการศึกษา สิ่งที่ทำให้ผู้อื่นเกรงใจได้คงเป็นดวงตาเฉียบคมฉายแววฉลาดรู้ทันคู่นั้น คล้ายว่ามองเพียงปราดเดียวสามารถอ่านคนได้ทะลุปรุโปร่ง

   หลังเจ้าบ้านผายมือเชิญให้พูด แม่สื่อคนกลางที่มารอตั้งแต่รุ่งสางก็เปิดประเดิมเป็นคนแรก จากแม่นางน้อยบ้านหนึ่งไปยังแม่นางน้อยของอีกบ้าน ส่วนใหญ่ที่กล่าวถึงล้วนรูปโฉมงดงาม บ้างก็เป็นบุตรีบ้านคหบดีหรือตระกูลชนชั้นสูง

   ซุนซีประหม่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขารอ...รออย่างอดทน ฝ่ามือที่โอบแก้วกระเบื้องเคลือบชุ่มไปด้วยเหงื่อ การมาในครั้งนี้จะไม่มีความหมายหากเขาไม่ได้พูดเป็นคนสุดท้าย

   จนกระทั่งแม่สื่อบ้านฮัวพูดจบลง เสียงถ้วยกระทบจานรองก็เหมือนสะท้อนไปไกล

   “คบหากันเพราะรูปโฉม ความงามร่วงโรย ความรักก็สลาย ” ซุนซีโพล่งขึ้นมา เมื่อดึงความสนใจได้ก็ไม่เว้นจังหวะนานพอให้ใครเถียง “หญิงงามใต้หล้ามีนับหมื่น แต่หญิงที่ฉลาดเพียบพร้อมพันปียากที่จะพบ คนอื่นดูโหงวเฮ้งภรรยาแค่พอทำนายว่าอาจช่วยให้ชีวิตรุ่งเรือง แต่หากเป็นคุณหนูเมิ่งชุนเถา สตรีผู้นี้จะช่วยท่านด้วยสองมือของนางเอง”

   แม่สื่อจางเอ่ยขัด “เป็นภรรยาจะหาเอาหญิงฉลาดนักเพื่อการใด โบราณว่าอย่าหาภรรยาเลียนเยี่ยงจูกัดเหลียง  สู้แต่งกับหญิงงามเชื่อฟังสามีอยู่แต่เหย้าเฝ้าเรือน ดูแลครอบครัวไม่บกพร่องไม่ดีกว่าหรือ”

   “ท่านกล่าวไม่ผิด แต่มิใช่หวงเยว่อิงหรอกหรือที่คอยช่วยจูกัดเหลียงอยู่เบื้องหลัง สตรีที่นอบน้อมเก่งงานบ้านงานเรือนใช่ว่าไม่ดี แต่จำเพาะผู้ที่มีปัญญาทัดเทียมกันจึงสนทนากันรู้เรื่อง”

   ไป๋หนิงเฉิงฟังแล้วยิ้มไม่กล่าวอะไร ปฏิกิริยาของเขาส่อถึงนิมิตรหมายอันดีแต่พ่อสื่อจำเป็นยังไม่อาจไว้วางใจ

   “เดินทางมาคราวนี้จำต้องเสียมารยาทกับท่านแล้วคุณชายไป๋ ข้าน้อยเขลานักไม่อาจถือดีตัดสินแทนท่านว่าสิ่งใดดีกว่าสิ่งใด แต่เป็นที่พึงประจักษ์จริงแท้ว่าไม้ดอกเด่นที่กลิ่นหอมรูปนวลตา ทว่าไม้ผลแม้ออกดอกงดงามเพียงข้ามเดือนยังให้ท่านได้มากกว่ายืนต้นแผ่ร่มเงา”

   ทุกอย่างหยุดเพียงเท่านั้น ไม่กี่อึดใจยาวนานเหมือนหลายชั่วยาม หลังส่งเสียงหัวเราะปั้นแต่งในที่สุดแม่สื่อจางก็ประดิษฐ์คำมาหว่านล้อมเพื่อกู้หน้าอีกครั้ง คนอื่นไม่ขอน้อยหน้า ภาพเหมือนของสาวงามใบสำรองที่วาดให้สวยเกินจริงคลี่ออกรอบแล้วรอบเล่า

   มีเพียงซุนซีที่ยังนั่งนิ่งด้วยสีหน้ามั่นใจแม้เหงื่อจะชุ่มแผ่นหลัง สองตายังคอยจับจ้องเจ้าบ้านอยู่ไม่ละ

   เจรจาหมั้นหมายวันนี้ไม่ต่างกับกับเจรจาค้าเนื้อแต่พ่อสื่อจำเป็นสู้ขาดใจ เขามานั่งอยู่ตรงนี้ในมืออุ้มถ้วยชาไม่ใช่เพราะแค่ปรารถนาดี แต่เพราะรู้ว่าหากเมิ่งชุนเถามีสิทธิ์มีเสียงในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง นางจะมานั่งในที่ของเขาและพูดสิ่งเดียวกันด้วยวาจาที่ยอดเยี่ยมเสียยิ่งกว่านี้

   ผู้หญิงที่โลกต้องการอาจเป็นโฉมสะคราญนิสัยอ่อนหวานที่มีดีแต่เพียงเป็นไม้ประดับ สตรีที่สงบปากสงบคำและทำตามคำสั่งสามีประหนึ่งกฎหมายศักดิ์สิทธิ์ ว่าที่มารดาที่อยู่แต่เพียงในเรือน...

   เขารู้ว่าเมิ่งชุนเถามีดีกว่านั้น

    “เอาล่ะ วันนี้เชิญทุกท่านกลับไปก่อน หากมีอะไรข้าจะเรียกหาภายหลัง” พ่อค้าใหญ่ตัดบทหลังความวุ่นวายเริ่มก่อตัว หากซุนซีไม่ตาพร่าด้วยความตื่นเต้น เขาก็เห็นเจ้าบ้านค้อมศีรษะให้ ‘กับเขา’ อย่างเป็นมิตร

   ทุกคนในห้องโถงลุกขึ้นยืนคารวะส่งเจ้าบ้านก่อนออกไปนอกร่มหลังคาตระกูลไป๋ทีละคน ซุนซีอดทนจนพ้นรั้วก่อนขาอ่อนทรุดนั่งต่อหน้าลุงกงไห่ ถ้ามีใครเอ่ยปากขัดว่าอยากได้เจ้าสาวไม่ใช่คู่ค้าเขาเองคงจนปัญญาจะตอบ หัวใจเต้นรัวเป็นกลอง พอนึกย้อนไม่รู้ว่าผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่มาได้อย่างไร

   ลุงกงไห่ตบหลังเขาก่อนฉุดให้ลุกเดิน ชุดราคาแพงเปื้อนฝุ่นจนมอมแมม คราบชายที่พกความมั่นใจเต็มประดาไม่รู้ว่าปลิวหายไปไหน

   เมื่อหมดหน้าที่แม่สื่อต่างคนต่างแยกย้ายเดินทางกลับ ..เหลือก็แต่ให้ไป๋หนิงเฉิงตัดสินใจแล้ว


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ยังไงต่อ

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 8


   วันนี้มีชายตัวสูงใหญ่นำขบวนสินค้าเป็นพะเรอเกวียนมาถึงสำนักคุ้มภัยหู่โหวแต่เช้า ดูจากสภาพม้าก็รู้ว่าเร่งเดินทาง บรรดาลูกหาบที่มาด้วยกันยืนเป็นระเบียบแม้สีหน้าจะเหน็ดเหนื่อยเต็มทน ชายหนวดครึ้มที่ดูจะเป็นหัวหน้าขบวนเดินท่าทีสง่าเข้ามาในเรือนใหญ่ ซุนซีที่เดินนำทางเขาพอหยุดยืนแล้วอีกฝ่ายก้าวผ่านยังได้กลิ่นเหงื่อโชยมา

   เจ้าสำนักนั่งรออยู่ในห้องรับแขก พอเห็นว่าอาคันตุกะตัวโตเดินเข้ามาก็ลุกขึ้นต้อนรับ ฝ่ายผู้มาใหม่ประสานหมัดทำความเคารพอย่างผู้มีวรยุทธ์ก่อนจะนั่งลงเมื่อเจ้าบ้านเชื้อเชิญ สาวใช้ขยับตัวไปรินชาจากด้านข้างอย่างรู้งาน กลิ่นชาดอกบัวหอมกรุ่นไปทั่วห้อง

   “ข้ามีนามว่าบาตูเกล” ชาวทุ่งหญ้าตัวสูงใหญ่เอ่ยขึ้นพลางยื่นม้วนกระดาษให้เจ้าสำนักคุ้มภัย “นี่เป็นสารจากเจ้าสำนักเทียนคงหลง”

   ท่านลุงคลี่ม้วนสารออกอ่าน สีหน้าเปลี่ยนจากประหลาดใจไปเป็นครุ่นคิดสักพักก็คลี่ยิ้มออกมา ซุนซีเฝ้าอยู่ตรงนั้นได้แต่นึกสงสัยว่าเนื้อความเป็นเช่นไรถึงได้ทำให้ท่านลุงที่เพิ่งทำหน้านิ่งใส่แขกผู้มาใหม่เปลี่ยนสีหน้าฉับไวอย่างนั้น

   “ซุนซี จัดที่พักให้แขกแล้วคอยรับใช้อย่าให้บกพร่อง”

   ท่านเจ้าสำนักสั่งมาเพียงสั้นๆ ก่อนจะหันไปคุยกับชายหนวดครึ้มต่อ ซุนซีรับคำสั่งแล้วล่าถอยออกจากห้อง เรื่องต้องคอยรับใช้แขกนั้นพอเข้าใจได้เพราะเขาเป็นบ่าวชายคนเดียวที่อยู่ประจำเรือนใหญ่ ส่วนเรื่องห้องนั้นพอเดินพ้นหัวมุมเจอเข้ากับสาวรับใช้ก็สั่งให้นางกับพรรคพวกไปทำความสะอาดห้องรับรองที่ฟากตะวันตก

   หีบใบใหญ่จำนวนนับสิบถูกยกเข้ามาที่ห้องเก็บของ เมิ่งชุนเถาตรวจสอบรายการสินค้าแล้วยิ้มพึงใจ นางไม่บ่นสักนิดเรื่องที่มีผู้มาเยือนมาขออยู่อาศัยเพราะของที่ฝ่ายนั้นนำมากำนัลมีมูลค่ายิ่งกว่าค่าเช่าโรงเตี๊ยมราคาสูง

   “ป้าตู๋เกออะไรนั่นให้เขาพักทั้งเดือนก็ยังได้” เมิ่งชุนเถาว่าอย่างอารมณ์ดี หลังมือตบเบาๆ ไปที่ใบรายการยาวเหยียด

   ซุนซีกลั้นหัวเราะ “บาตูเกลต่างหาก”

   เมิ่งชุนเถาแสร้งหรี่ตา “เรียกชื่อเสียฉะฉานเชียวนะพี่ใหญ่ สนใจเขาหรือ?”

   เมื่อนึกถึงหน้าดุๆ หนวดเคราขึ้นจนเต็มซุนซีก็ขำพรืดออกมา “สนใจที่เป็นคนนอกด่านน่ะหรือ แบบนั้นก็สนใจอยู่ แต่ถ้าสนใจแบบผูกจิตรักใคร่คงไม่ไหว”

   “เหอะ ข้าจะคอยดู พี่ใหญ่น่ะชอบชายที่สมชายชาตรีไม่ใช่หรือ”

   เขาคร้านจะเถียง เรื่องที่เมิ่งชุนเถารู้ว่าเขาชอบบุรุษเพศด้วยกันก็เรื่องหนึ่ง เรื่องที่รู้ว่าเขาชอบชายแกร่งมากความสามารถก็อีกเรื่องหนึ่ง ฝ่ายคุณหนูรองเห็นพี่ชายต่างสายเลือดไม่ว่าอะไรก็ละความสนใจไปที่รายการสินค้า อ่านทวนอยู่อย่างนั้นเหมือนภาวนาว่าจะมีอะไรผุดขึ้นมาเพิ่มให้ชื่นใจ



   ชายชาวทุ่งหญ้าหน้านิ่งและพูดน้อยกว่าที่เขาคาด ซุนซีที่รับหน้าที่ดูแลอาคันตุกะพบว่าการงานราบรื่นกว่าที่คิดเพราะบาตูเกลไม่เรียกร้องอะไรนัก เมื่อถึงเรือนและได้น้ำร้อนสำหรับอาบก็ไล่ให้เขากับบรรดาสาวใช้ไปทำงานอื่น

   พออาทิตย์คล้อยต่ำจะลับลาขอบฟ้าบาตูเกลก็เรียกให้เขานำชุดเครื่องเขียนไปให้ที่ห้อง ซุนซีฝนหมึกเตรียมให้จนพร้อมก็ตั้งท่าจะลุกกลับออกไป ไม่คิดว่าจะโดนรั้งตัวไว้เสียก่อน

   “เจ้าเขียนหนังสือเป็นหรือไม่” ชายเคราดกถามเขา ซุนซีฟังแล้วพยักหน้าครั้งหนึ่ง “เช่นนั้นมานั่งนี่ เขียนจดหมายให้ข้าสักฉบับ”

   “ขอรับ” ซุนซีตอบรับก่อนจะย้ายตัวเองไปนั่งที่โต๊ะ ลูบมือกางแผ่นกระดาษออกแล้วจุ่มพู่กันแตะน้ำหมึกรอ

   บาตูเกลบอกให้เขียนตามคำบอกไปเรื่อยๆ เนื้อหานั้นวกวนและจับสาระไม่ได้จนเหมือนสารลับที่ต้องถอดความ อีกใจซุนซีก็เริ่มคิดว่าตนโดนแกล้งรึเปล่า เมื่อเขียนจนเกือบหมดหน้ากระดาษคนสั่งการก็บอกให้ลงนามว่าเมฆาเคลื่อนคล้อย

   ฝ่ายที่ยืนรออยู่เมื่อได้รับแผ่นกระดาษก็คลี่ออกดู ดวงตาคมดุจเหยี่ยวปรากฏแววประหลาดใจเพียงครู่ก่อนจะกลับมานิ่งเฉยเช่นปกติ

   “ลายมือเจ้างามใช้ได้” บาตูเกลเอ่ยปากชมพลางพับกระดาษเป็นแผ่นเล็กๆ แล้วสอดเก็บไว้ในอกเสื้อ

   ซุนซีผุดลุกขึ้นยืน ถอยเท้าไปอยู่ใกล้กำแพงตามมารยาท “มีอะไรให้รับใช้อีกหรือไม่ขอรับ?”

   ชายตัวโตนิ่งคิดอยู่ครู่ “ทำชาโม่ลี่ ให้ข้าสักกา”

   คนรับใช้หนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกจากห้อง ซุนซีก้าวเข้าไปในครัวที่บัดนี้เหลือแต่บรรดาลูกมือนั่งจัดการมื้อเย็น เขาต้มน้ำร้อนแล้วใส่ใบชาอบผสมดอกโม่ลี่ลงไป น้ำใสเริ่มเปลี่ยนเป็นสีอมส้มพร้อมกลิ่นหอมที่ลอยขึ้นมากับควันขาว ซุนซีปิดฝาก่อนหยิบถ้วยชาที่ลวกน้ำร้อนแล้วมาเตรียมใส่ถาดไม้ ยกกลับไปที่ห้องบุรุษตัวโตคนนั้น

   บาตูเกลได้ชาก็ยกขึ้นสูดกลิ่น เป่าให้หายร้อน แล้วถึงค่อยๆ จิบเป็นอย่างสุดท้าย ซุนซียืนก้มหน้ามองรองเท้ารอคำสั่งที่ไม่มีมาสักทีอย่างใจเย็น ในเมื่อยังไม่ได้ไล่เขาออกจากห้องเขาก็ยังกลับไปไม่ได้

   “เจ้าชงชาอร่อยดี” จู่ๆ ฝ่ายนั้นก็เอ่ยปากชม คนชงกล่าวแค่ว่าขอบคุณขอรับก่อนทั้งห้องจะกลับไปสู่ความเงียบอีกครั้ง

   บาตูเกลดื่มชาไปมองซุนซีอย่างพินิจไปด้วย ชายร่างผอมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แต่ไม่กล้ากระดิกตัว

   “เจ้าผอมนัก หัดกินให้เยอะๆ เสียบ้าง” เจ้าของใบหน้าครึ้มหนวดเคราเอ่ยปาก “พรุ่งนี้ปลายยามเหม่ามาพาข้าไปเดินดูสำนักคุ้มภัย ตอนนี้กลับไปนอนได้แล้ว”

   “ขอรับ”

   ซุนซีถอยออกมาจากห้องก่อนปิดประตูไม้ให้เข้าที่ ใจเริ่มคิดแล้วว่าอาคันตุกะน่าจะเป็นคนประหลาด...



   เสียงฟาดพลองดังโป๊กเป๊กลั่นลานฝึกซ้อมตั้งแต่เช้ามืดจรดช่วงสาย ซุนซีเดินนำบาตูเกลมาที่นี่เป็นอย่างท้ายๆ หลังจากไปมาทั่วสำนักคุ้มภัย ฝ่ายอาคันตุกะดูจะสนใจการออกท่าของบรรดาลูกศิษย์สำนักอยู่ไม่น้อยถึงได้ขอให้คนนำทางหยุดอยู่ที่ลานนานสักหน่อย

   “พี่ใหญ่!” เมิ่งเซี่ยเหมยวิ่งสุดแรงเกิดเข้ามากระโดดกอดพี่ชาย ซุนซีที่รีบกางแขนรับน้องสาวเอาไว้ถอยไปสามสี่ก้าวตามแรงกระแทก ตัวเอียงจนบาตูเกลที่ยืนดูอยู่ต้องรีบปรี่เข้ามาโอบแขนประคองเอาไว้

   “ไม่ซ้อมต่อหรือ?” ซุนซีถามออกไปในทันที มือก็ควานหยิบเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อที่หน้าผากแม่ตัวแสบ

   “ข้าซ้อมเสร็จแล้ว” เมิ่งเซี่ยเหมยหยีตาอยู่นิ่งๆ ให้เช็ดหน้า “แล้วนี่ใครหรือ ท่านเป็นเพื่อนพี่ใหญ่หรือ?”

   คนตัวสูงใหญ่ขยับยิ้มน้อยๆ “ข้าชื่อบาตูเกล มาขอพักอยู่ที่สำนักคุ้มภัยชั่วคราว”

   เมิ่งเซี่ยเหมยร้องอ๋อ “คนที่มาหาท่านพ่อเมื่อวานน่ะเอง -- นี่ พี่ชาย ท่านเป็นวรยุทธ์ไหม สนใจมาฝึกซ้อมกับข้าสักหน่อยหรือไม่”

   ซุนซีมุ่นคิ้วไม่เห็นด้วย ขณะกำลังจะเอ่ยปากห้ามบาตูเกลก็พูดขึ้นมาก่อน

   “ได้สิ คนแพ้ต้องเลี้ยงขนมคนชนะ แบบนี้ดีหรือไม่?”

   “ตกลง!” คุณหนูสามยอมรับกติกาเสียงใส นางยิ้มร่าตาเป็นประกายที่ได้คู่ประมือ

   แล้วคนทั้งสองก็มาอยู่ที่กลางลานว่าง บรรดาลูกศิษย์คนอื่นเห็นคนแปลกหน้ามาท้าประลองกับบุตรสาวเจ้าสำนักก็ล้อมวงดูพลางพนันกันใหญ่ว่าใครจะชนะ ซุนซียืนนวดขมับอยู่วงนอก ถ้าท่านลุงรู้เข้ารับรองว่าคนโดนเอ็ดคงไม่พ้นเขาที่พาปัญหามาถึงที่

   สองฝ่ายประสานหมัดเข้าโรมรันกันอยู่พักใหญ่ ฝั่งบาตูเกลรำมวยผายมือปัดป่ายดูคล้ายร่ายรำเน้นป้องกันมากกว่าจู่โจม ขณะที่เมิ่งเซี่ยเหมยออกหมัดหนักแน่นรุนแรงและเน้นไปที่การโจมตี ต่างฝ่ายต่างผลัดกันรับรุกอยู่พักใหญ่ แต่คนนอกดูแล้วคล้ายฝั่งคนแปลกหน้าจะออมมือให้เจ้าบ้านเสียมากกว่า วงพนันถึงได้แตกไปในที่สุด

   แลกหมัดกันไม่นานเมิ่งเซี่ยเหมยก็ล้มกลิ้งลงก้นกระแทกพื้น นางรีบผุดลุกขึ้นมาใหม่แต่ไม่นานก็ได้ลงไปคลุกฝุ่นอีกรอบ คราวนี้แม่ตัวดีที่นั่งตัวเปื้อนดินก็หัวเราะร่า ยกมือขึ้นยอมแพ้ในที่สุด

   “ไว้ข้าจะเลี้ยงขนมดอกกุ้ยท่าน รอกินได้เลย” นางประกาศเสียงใสขณะลุกขึ้นปัดเนื้อปัดตัว

   บรรดาขามุงทั้งหลายกลับไปฝึกซ้อมกันต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซุนซีที่รออยู่วงนอกเดินเข้าไปเช็ดหน้าเมิ่งเซี่ยเหมยก่อนจะช่วยนางปัดฝุ่นตามเสื้อผ้าเหมือนแม่แมวเลียทำความสะอาดลูกน้อย

   “ฝีมือแม่นางก็ไม่เลว ติดที่ว่าใจร้อนรีบเข้าประชิดไปสักหน่อย หากหาจังหวะจู่โจมให้ดีก็ล้มศัตรูได้ไม่ยาก” ชายหนวดครึ้มว่าพลางสอน เมิ่งเซียเหมยฟังแล้วหยักหน้าหงึกๆ

   “พี่ชาย นอกจากหมัดมวยแล้วท่านใช้อย่างอื่นเป็นหรือไม่ สำนักข้ายังมีพลองอยู่อีก ไว้เรามาแลกเปลี่ยนความรู้กันเถอะ”

   “ถ้าเจ้าไม่ว่าอะไรข้าก็ยินดี”

   บทสนทนาทั้งหมดนี้มีซุนซียืนทำหน้ามืดครึ้มประกอบเป็นฉากหลัง แค่นี้ก็ช้ำไปทั้งตัวแล้ว นางยังจะมีครั้งหน้าอีกหรือ? แล้วดูนั่น อาคันตุกะก็เอากับเขาด้วย ...ซุนซีรู้สึกปวดหัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว



   นับตั้งแต่พาบาตูเกลเดินรอบสำนักคุ้มภัยแล้วไปหยุดที่ลานฝึกซ้อมจนเจอเข้ากับเมิ่งเซี่ยเหมย คุณหนูสามสกุลเมิ่งก็ลากคนตัวโตไปช่วยฝึกวรยุทธ์เป็นประจำ – ผิดแต่ว่าวันนี้ย้ายมานั่งกินขนมกันที่เก๋งริมสระบัว

   แดดสะท้อนผืนน้ำส่องแสงวับวาบเข้ามาถึงในศาลา ลมพัดมาเอื่อยๆ พอให้อากาศไม่อบอ้าวจนเกินไป ขนมดอกกุ้ยสีขาวนวลวางอยู่ในถาดข้างกาน้ำชาถูกแม่สาวน้อยหยิบไปชิ้นแล้วชิ้นเล่า เสียงบทสนทนาระหว่างบาตูเกลกับเมิ่งเซี่ยเหมยดังอยู่ไม่หยุดปาก ซุนซีที่มีหน้าที่กันไม่ให้สตรีในห้องหออยู่กับแขกเพียงลำพังฟังนางโม้เรื่องตนเองเก่งที่สุดในสำนักมาได้พักใหญ่ก็อดถามแทรกไม่ได้

   “แล้ววันนี้ไม่ฝึกหรือ?”

   “วันนี้ข้าพักผ่อน” เมิ่งเซี่ยเหมยพูดไปมือก็คว้าขนมดอกกุ้ยเข้าปาก “คนเราต้องพักผ่อนบ้าง อีกอย่างข้าก็ฝึกจนเก่งที่สุดในสำนักแล้ว ไม่มีใครเทียบข้าได้แล้วล่ะพี่ใหญ่”

   “คุณหนู...” ซุนซีท้อใจ นางฟังแล้วหัวเราะร่าไม่ได้สำนึกสักนิด

   “ก็บอกว่าอย่าเรียกคุณหนูไงพี่ใหญ่ เรียกข้าเสี่ยวเหมยเหมือนเดิมสิ”

   เขาส่ายหน้า “อยู่ต่อหน้าแขกบ่าวเรียกคุณหนูว่าคุณหนูย่อมถูกแล้ว”

   เมิ่งเซี่ยเหมยเบ้ปาก นางเอนตัวเข้ามาอิงแอบกอดแขนซุนซีแบบไม่อายคนนอก เอาแก้มใสไถกับบ่าเขาอย่างออดอ้อนก่อนจะเด้งตัวขึ้นเหมือนนึกอะไรได้

   “จริงสิ พรุ่งนี้ข้าจะไปบ้านท่านอาเจ็ด พี่ใหญ่อยากได้อะไรไหม?”

   “บ่าวไม่อยากได้อะไร แค่คุณหนูเดินทางปลอดภัยก็พอแล้ว”

   เมิ่งเซี่ยเหมยเอียงคอมองพี่ชาย กระพริบตาปริบๆ ท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ก่อนสองมือจะตะปบหมับเข้าที่หน้าอกซุนซี ทั่วทั้งศาลาตะลึงงัน นิ่งค้างกับพฤติกรรมของนาง

   “เอานมปลอมไหมพี่ใหญ่ เวลาใส่ชุดสตรีจะได้มีหน้าอกสวยๆ”

   “เมิ่ง – เซี่ย – เหมย” ซุนซีคำราม ส่วนน้องน้อยก็หัวเราะร่ารีบเอามือลง นางปลอบเขาว่าล้อเล่นแล้วกอดซบแขนอ้อนยกใหญ่

   บาตูเกลดูประหลาดใจ บุรุษตัวโตวางจอกชาก่อนจะเอ่ยกับสาวน้อย “เมิ่งเซี่ยเหมย? เจ้าชื่อเซี่ยเหมยหรือ?”

   “เปล่า ความจริงข้าชื่อเมิ่งซุนซี พี่ใหญ่ชื่อเมิ่งเซี่ยเหมย พวกเรากำลังเล่นสลับชื่อกันอยู่ พี่ชายต้องให้ความร่วมมือด้วยล่ะ” นางอำคนตัวโตหน้าตาเฉย

   ซุนซีมุ่นคิ้วใส่น้องสาว “คุณชายอย่าได้ถือสาคำพูดคุณหนูสาม นามของนางคือเมิ่งเซี่ยเหมย”

   “ใช่ๆ ตอนนี้ข้าคือเซี่ยเหมย”

   “คุณหนู...”

   ชายชาวนอกด่านหัวเราะเสียงดัง เมิ่งเซี่ยเหมยก็ร่วมหัวร่อไปด้วย สองคนเข้ากันได้ดีจนไม่รู้จะแยกอย่างไร

   สนทนาอยู่เนิ่นนานกว่าคุณหนูคนเล็กจะยอมออกจากเก๋งริมน้ำ นางวิ่งหลังไวๆ หายไปตามทางเดินสู่ลานฝึกซ้อม ทิ้งไว้แต่ซุนซีกับชายหนวดครึ้มที่นั่งละเลียดชาโม่ลี่อยู่ในศาลา ซุนซีตั้งท่าจะลุกขึ้นยืนแต่โดนมือข้างตัวจับแขนให้นั่งลงเสียก่อน ร่างผอมแห้งถูกตรึงไว้ก็ไปไหนไม่รอด

   “ข้าเป็นบ่าว ให้ข้ายืนเถอะขอรับ” เขาอ้อนวอน ตาก็มองคนตัวโตที่ยังไม่ยอมปล่อยมือ

   “นั่งด้วยกันก่อน ข้าอยากได้เพื่อนดื่มชาไม่ใช่บ่าวมายืนเฝ้า แบบนั้นข้าไม่คุ้นชิน”

   ในที่สุดซุนซีก็ต้องนั่งค้างอยู่อย่างนั้น  ชายหนวดครึ้มรินชาให้เขาเพิ่มท่าทางอารมณ์ดี หอมโม่ลี่อวลออกมาจากจอกใบน้อยก่อนกลิ่นจะกลืนไปกับแดดยามบ่าย เสียงหมู่นกที่บินโฉบผ่านก่อนร่อนลงเกาะกิ่งไม้ร้องกังวานสวน สองหนุ่มนั่งดื่มชากันเงียบๆ มาได้พักหนึ่งแล้ว นานเสียจนชาเริ่มชืดซุนซีถึงได้หาเรื่องลุกยืน

   “ข้าจะไปเปลี่ยนชามาให้ใหม่” เขาว่าพลางกอดกาน้ำชาไว้

   “เช่นนั้นข้าไปด้วย ได้ยืดเส้นยืดสายสักหน่อยคงดี”

   ซุนซีส่ายหัวระรัว ฝากาน้ำชาสั่นพะเยิบพะยาบ “ที่ครัวเป็นเขตคนรับใช้ คงไม่เหมาะจะไปเดินเล่น”

   บาตูเกลหัวเราะเสียงดัง ผุดลุกทีเดียวก็สูงค้ำหัวเขาแล้ว “ข้าอยากไปดูข้าก็จะไปดู เจ้าไม่อยากให้ข้าไปด้วยหรือ?”

   “บ่าวมิกล้า...”

   “แทนตนว่ากระไร?” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ดวงตาวับวาวจ้องซุนซีไม่วางตา “อยู่กับข้าไม่มีนายบ่าว เข้าใจหรือไม่?”

   คนถูกมองหลบสายตา “ข้ามิกล้า ท่านจะเดินเล่นที่ใดล้วนขึ้นอยู่แก่ท่าน”

   เหตุนั้นคนตัวโตถึงได้ตามเขามาที่ครัว ป้าหม่าสะดุ้งเมื่อหันมาเห็นแขกเข้ามายุ่มย่ามในเขตคนรับใช้ ปกติไม่มีใครใคร่จะทำกัน เพราะอย่างนั้นหัวหน้าคนครัวถึงได้หันมาจ้องกดดันซุนซีที่เป็นฝ่ายพาอาคันตุกะมาวุ่นวายถึงในห้องครัว

   ซุนซีได้น้ำร้อนก็จ้ำอ้าวออกจากตรงนั้น คนหนวดครึ้มเดินตามเขาเหมือนลูกเจี๊ยบวิ่งตามแม่

   “ไม่ต้องกลับศาลาแล้ว ยกชาไปที่ห้องของข้าเลย” บาตูเกลสั่ง

   คนถือชากล่าวขอรับตามคำสั่งก่อนจะเปลี่ยนทิศเดินไปทางห้องรับรองแขก ผ่านระเบียงย่ำเท้าอยู่ไม่นานก็มาถึงห้องของอาคันตุกะตัวโต ฝ่ายนั้นก้าวนำไปเปิดประตูให้ ซุนซีพยักหน้ารับก่อนจะเดินยกกาน้ำชาเข้าไปวางที่โต๊ะกลางห้อง

   “มีอะไรอีกหรือไม่ขอรับ?” ซุนซีถามพลางกอดถาดไม้เอาไว้

   บาตูเกลตบไปที่หน้าตักตัวเอง “มานั่งนี่”

   “...นั่งที่ไหนนะขอรับ?”

   “ตรงนี้” ว่าพลางตบไปที่หน้าขาอีกสองสามครั้ง “เก้าอี้ตรงนี้”

   ซุนซีมองชายหนวดเคราดกอย่างไม่ไว้ใจเท่าไหร่ก่อนจะตัดสินใจเดินไปนั่งตรงกันข้าม บาตูเกลหัวเราะในลำคอมือก็รินชาลงถ้วยสองใบ ใบหนึ่งให้ตัวเองอีกใบยกให้ซุนซี ข้ารับใช้ร่างผอมเอ่ยขอบคุณเสียงเบาแล้วรับมาจิบ รสขมปะปนไปกับกลิ่นหอมของใบชาดื่มแล้วลื่นคอ

   ชายร่างสูงจ้องหน้าซุนซีมาพักหนึ่งแล้ว ท่ามกลางความเงียบนั้นสงบจนได้ยินเสียงลมหายใจ หลังจากพยายามทำเป็นไม่รู้มานานคราวนี้คนถูกมองตัดสินใจจ้องกลับแน่วแน่ ประสานสายตากันอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ก็เป็นซุนซีที่รู้สึกเก้อกระดากขึ้นมา

   “คุณชาย ข้าต้องขอตัวก่อน ข้าควรจะกลับไปทำงานต่อได้แล้ว”

   “อยู่เป็นเพื่อนข้าก็เป็นหน้าที่เจ้าเหมือนกัน” บาตูเกลว่าหน้าซื่อๆ ซุนซีฟังแล้วอ้าปากค้าง ฝ่ายนั้นพลันเผยสีหน้าอภิรมย์ ไม่วายกำชับต่ออย่างเอาแต่ใจ “นั่งที่นี่อย่าไปไหน อยู่เป็นเพื่อนข้าก่อน”

   คนนอกด่านทำตัวเหมือนกระต่ายที่ถ้าถูกทิ้งไว้จะตายเพราะความเหงา ผู้ชายตัวโตเท่าหมีจะตายเพราะความเหงา! ซุนซีไม่รู้จะทำอะไรแล้วนอกจากขมวดคิ้วไปดื่มชาไป ดวงตาบาตูเกลวาววับเป็นประกายเหมือนมีดวงดาวสุกสว่างอยู่ในนั้น

   ผ่านไปครึ่งชั่วยามจนชาเย็นชืดแล้วเขาก็ยังต้องนั่งอยู่เป็นเพื่อนชายตัวโต เนิ่นนานกว่าบาตูเกลจะเอ่ยขึ้นมา

   “เตรียมน้ำให้ข้าอาบ เสร็จแล้วมาช่วยขัดตัวข้าด้วย”

   “ขอรับ”

   บรรดาสาวใช้ยกน้ำร้อนมาหลายถังเทเติมจนเต็มอ่างไม้ เมื่อน้ำได้ที่บาตูเกลก็ไล่สาวๆ ออกไปจนหมด เหลือแต่ซุนซีที่ยืนเรียบร้อยอยู่หน้าม่านกั้น

   ชาวนอกด่านเดินไปหลังม่านแล้วเริ่มเปลื้องเสื้อผ้า เสียงสวบสาบของผ้าสีกันดังอยู่ครู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงน้ำกระเพื่อม

   ซุนซีเดินตามเข้าไปหา เห็นคนตัวโตลงไปในอ่างเสร็จเรียบร้อยก็ย่อตัวลงคุกเข่าอยู่ด้านหลัง เขาหยิบหินอาบน้ำทรงกลมสลักลายตะปุ่มตะป่ำขึ้นมาเริ่มขัดไปตามผิวคล้ำแดดสีทองแดง เนื้อตัวบาตูเกลแน่นหนันไปด้วยกล้ามเนื้อ บ่าชาวทุ่งหญ้ากว้างและต้นแขนก็นูนกล้ามเป็นมัดๆ -- ดีที่ซุนซีอยู่ด้านหลังและคนในอ่างใส่กางเกงชั้นในถึงได้ไม่เห็นอะไรมาก

   ปฏิเสธไม่ได้ว่าร่างกายบาตูเกลเป็นแบบที่เขาชอบ มือออกแรงขัดไปซุนซีก็หน้าแดงหูแดงจนตัวแทบกลายเป็นผลพุทราไปด้วย กว่าจะผ่านการขัดตัวมาได้ซุนซีกลั้นใจจนแทบกระอักเลือดคำโต

   “เสร็จแล้วขอรับ” ซุนซีบอกก่อนเตรียมลุก ไม่คิดว่ามือกร้านจะคว้าหมับเข้าที่ข้อมือเขาเสียก่อน บาตูเกลเอี้ยวตัวหันมาด้านหลัง จากมุมนี้เห็นอกแน่นๆ ทั้งสองลูกกับวับแวมหน้าท้องเป็นลอน

   ซุนซีรู้สึกเหมือนธาตุไฟเข้าแทรก ใบหน้าเขาร้อนผะผ่าวและคงแดงก่ำไปถึงลำคอถึงได้เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่กำลังอาบน้ำ

   ดวงตาบาตูเกลเป็นประกายนึกสนุก “ไม่ช่วยข้าขัดด้านหน้าหรือ?”

   “เกรงว่าคงไม่ต้องขอรับ ด้านหน้าท่านย่อมขัดเองได้”

   ฝ่ายนั้นจ้องตาซุนซีนิ่ง “...แล้วถ้าข้าอยากให้เจ้าขัดให้ล่ะ?”

   “ข้าขอตัว” เขาออกแรงสะบัดข้อมือจนหลุดก่อนจะวิ่งหนีออกจากห้อง ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังไล่หลังมาชวนให้แค้นใจเล่น

   นับจากวันนั้นบาตูเกลก็หาเรื่องมาแหย่เขาได้ตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเดินนำทางแล้วชายตัวสูงใหญ่บอกว่าชักช้าแล้วก้มลงหิ้วตัวซุนซีพาดบ่า เขาจะร้องก็ร้องไม่ออกได้แต่ถูกหิ้วเป็นกระสอบข้าวอยู่อย่างนั้นจนถึงที่หมาย

   พ้นสัปดาห์ผ่านไปไม่ทันไรบาตูเกลก็ออกเดินทาง ซุนซีรู้สึกโหวงๆ ข้างในอกเหมือนขาดอะไรไป ...คงจะดีใจที่ไม่ถูกแกล้งอีกแล้ว เขาคิดเข้าข้างตัวเองอย่างนั้น – ส่วนเมิ่งเซี่ยเหมยน่ะหรือ นางนั่งบ่นเสียดายว่ายังประมือได้ไม่เท่าไหร่เลย

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
นายเอกฉันจะได้เรือ ตอนไหน ฮือออ มีแต่มาแปปๆก็ไปทั้งนั้นเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่8 20/12/62
« ตอบ #39 เมื่อ: 23-12-2019 11:38:38 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เราก็ตามต่อไป ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
คนนี้ใช่พระเอกไหม?

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
บาตูเกลนี้ปลอมตัวมาดูซุนซีใช่ไหม  o18

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 9

   เจ้าสบายดีหรือไม่? ช่วงนี้งานของข้ายุ่งเป็นพิเศษจึงไม่ได้ตอบกลับ วิธีฝึกกำลังขาที่ข้าแนะนำไปคราวก่อนอย่าได้โหมฝึกมากนัก ให้ทำเพียงวันละสองเค่อแล้วพักทุกสี่วัน หากโหมฝึกขาจะบาดเจ็บเอาได้

   สหายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังมีเรื่องใดกวนใจเขาอีกหรือไม่? จากที่เจ้าเล่าให้ฟังคราวก่อนดูเขาจะร้อนใจเป็นอันมาก แต่เมื่อกระทำลงไปอย่างตั้งใจจริงแล้วไม่ว่าผลเป็นอย่างไรก็ถือว่าได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว ไม่มีสิ่งใดให้อับอาย หากใจยึดติดกับการรอผลลัพธ์อาจทำให้ฟุ้งซ่านได้ คงเป็นการดีกว่าหากเขาจะหาอะไรทำระหว่างรอผล

   ข้ายินดีตอบคำถามของเจ้าเสมอ คุยกับเจ้าไม่เคยนึกเบื่อเลย ข้ามีของจะมอบให้เจ้าด้วย ถึงเวลาแล้วจะฝากท่านเมิ่งเอาไปให้

   แล้วจะรอจดหมายจากเจ้า

                           ยิงฉู่หยุน


   คำปลอบประโลมนี้อ่านแล้วจึงพอเบาใจได้บ้าง ซุนซียังคงรอคอยผลการกระทำของตัวเองอย่างใจเย็น ฟ้าเปลี่ยนผ่านข้างขึ้นผันเป็นข้างแรม หากนับให้ถูกต้องก็ย่างเข้าเดือนที่สองแล้วนับจากวันที่พ่อสื่อจำเป็นไปเยือนถึงเมืองหลวง

   ระหว่างนี้ในบ้านสกุลเมิ่งมีจดหมายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการค้าของเมิ่งชุนเถาเพิ่มขึ้นมาอีกสองฉบับ ต้นทางสายหนึ่งมาจากพ่อค้าสกุลหลวนอีกทางมาจากวาณิชสกุลจูเก๋อ และข่าวดีของมือปราบอู๋ก่วนจงที่ทำผลงานชิ้นใหญ่รอจ่อรายชื่อรับเลื่อนขั้นในช่วงท้ายปี

   เมื่อสี่วันก่อนอาจารย์เมิ่งพูดเพียงว่า ‘ต้องตีเหล็กเมื่อร้อน  ก่อนลูกรองจะเปลี่ยนใจ’ แล้วออกเดินทางหน้าชื่นไปพร้อมหัวหน้าอู๋ เยี่ยมเพื่อนเก่าคราวนี้ท่องเที่ยวนานเพราะต้องล่องเรือไปฟากตะวันตก ข้ามหลายอำเภอกว่าจะถึงสำนักเทียนคงหลง (มังกรฟ้า) สองเจ้าสำนักพบปะกันคราวนี้ท่านไม่ได้บอกว่าไปด้วยเรื่องใด

   ทุกอย่างยังคงคล้ายเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน ที่ต่างจากวันปกติมีก็แต่บ้านที่ขาดผู้ปกครองไปชั่วคราวกับเมิ่งชุนเถาที่ยึดอำนาจทำมาค้าขายไว้เรียบร้อยแล้ว

   ยามสายอาทิตย์เริ่มส่องสูงขึ้นกลางฟ้า ไอร้อนแผดเลียลงทั่วมุ้งหลังคาแดดเปลี่ยนร่มเงาแคบลงขัดกับฝูงชนยิ่งหนาตาทั้งรถม้าพะเรอเกวียนขวักไขว่ คนจ่ายตลาดจากสำนักคุ้มภัยกำลังจะมุ่งหน้ากลับบ้าน พลันแว่วเสียงใครอ่านประกาศดังมาจากอีกทิศ

   ซุนซียืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนสองเท้าจะพาเขามาถึงต้นทาง เด็กหนุ่มยกเอาแขนเสื้อซับเหงื่อบนหน้าผากระหว่างเขย่งปลายเท้าชะเง้อข้ามกลุ่มฝูงชน ใบประกาศเพิ่งติดใหม่มองจากตรงนี้ตัวหนังสือเล็กเท่าแถวมด คนล้อมดูมีทั้งที่อ่านออกและที่มายืนรอฟังคนรู้หนังสืออ่านให้ฟัง

   ฟากหนึ่งเป็นข้อมูลแจ้งจัดสอบจอหงวน ระดับอำเภอ อีกแผ่นหนึ่งเป็นเพียงประกาศจากทางการเกี่ยวกับเรื่องกลุ่มโจรต่างมณฑล บ้างอ่านแล้วแสดงความสนใจ บ้างอ่านแล้ววิจารณ์และคาดเดาล่วงหน้า เพียงไม่นานรู้ข่าวจบคนก็ซา เหลือแต่ซุนซีที่ย้ายไปยืนอ่านรายละเอียดใกล้ๆ

   บุรุษร่างเล็กตัดสินใจอยู่นาน ไล่สายตาอ่านสนอกสนใจอยู่หน้าใบประกาศแผ่นหนึ่ง หลังคิ้วเริ่มขมวดปมเขาก็เลือกเดินออกมา สองขาก้าวเอื่อยสีหน้าดูผิดหวัง ใจเขาคิดแต่เรื่องสอบที่ได้แต่ปล่อยให้ผ่านไปอีกครั้ง ปลอบใจตนเองง่ายๆ ว่าเอาไว้คราวหน้าก่อน ต้องรอให้พร้อมกว่านี้

   เมื่อซุนซีกลับถึงเรือนก็พบกลุ่มคนในชุดผ้าเนื้อดีบ้างยืนบ้างนั่งประปรายอยู่ในห้องโถงรับรอง ภาพเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกตา ยิ่งเข้าหลังเทศกาลเก็บเกี่ยวเหล่าวาณิชเมื่อเดินทางมาถึงเมืองหวงซานส่วนใหญ่ก็ปรารถนาให้มีการคุ้มกันขบวนสินค้า

   ในหมู่คนเหล่านี้บางส่วนเป็นขาประจำที่มาทำการค้าย่านนี้ทุกปี ส่วนพวกขาจรมีทั้งที่เคยมาติดต่อเอาไว้ก่อนและพวกมือใหม่ที่ซื้อสินค้าแล้วค่อยมาหาเอาดาบหน้า ประเภทหลังถึงจะมาพร้อมป้ายรับรองจากสมาคมพ่อค้าก็ต่อรองอะไรมากไม่ได้

   แต่หากจะประหลาดกว่าครั้งใดคงเป็นคนคุ้นหน้าที่นั่งเฝ้าอยู่ในห้องรับรอง ซุนซีรู้จักสุภาพบุรุษเหล่านี้...เป็นคนของไป๋หนิงเฉิงไม่ผิดแน่

   เพราะคนรับผิดชอบเดิมทั้งสองคนไม่อยู่ ลูกสาวคนรองในฐานะคนดูแลแทนจึงต้องออกมาทำหน้าที่ – เท่านี้ก็เป็นเหตุผลมากพอให้ซุนซีสาวเท้ายาวๆ โร่เข้าห้องสำหรับคุยการค้า รีบเสียจนเกือบลืมคำนับตามมารยาท อาตงที่ยืนหลบอยู่ฝั่งข้างรีบส่งสายตาเรียกให้ประจำตำแหน่ง

   คนเพิ่งมาถึงกลั้นหอบ เหงื่อผุดเต็มหน้าผากและแผ่นหลัง เมื่อหายตื่นเต้นถึงพบว่าไม่ผิดจากที่คิดไว้

   คุณชายไป๋มาเจรจาถึงสำนักคุ้มภัยหู่โห่วด้วยตัวเอง ภายใต้ชุดผ้าฝ้ายย้อมราคาถูกมีรอยยิ้มอย่างพ่อค้าใจกว้างยากจะลืม ข้างชายสูงศักดิ์เป็นคนสนิทฝีมือดีที่ซุนซีเคยพบ

   “พ่อค้าบ้านสกุลหลวน อยากได้คนคุ้มครองขบวนขนชา” อาตงอธิบายเสียงค่อย “คุยกับคุณหนูสักพักแล้ว แต่ข้าว่ามีอะไรแปลกๆ ...อย่างกับจงใจหาเรื่อง”

   ผู้เจรจาแทนบิดาหันมามองดุ นับว่าเสียมารยาทที่คุยกระซิบกระซาบแต่ซุนซีหูอื้ออึงแทบไม่ได้ยินตาลายแทบไม่ได้เห็น เขาตีหน้านิ่งสองมือชุ่มเหงื่อ นอกจากซุนซีแล้วคนที่เคยเห็นหน้าไป๋หนิงเฉิงก็มีเพียงลุงกงไห่ที่ไปด้วยกัน จากตรงนี้หาจังหวะดีๆ บอกนางไม่ได้ว่านี่ไม่ใช่ลูกวาณิชสกุลหลวนแต่เป็นลูกเสนาบดีสกุลไป๋!

   “...หรือคิดเป็นสิบสองตำลึงเงินต่อเกวียนหนึ่งคัน” เมิ่งชุนเถากล่าวต่อเสียงเฉียบขาด “ข้าไม่แนะนำให้ใช้คนคุ้มกันจำนวนน้อยกว่านี้”

   ลูกค้ารายใหญ่ประสานมือที่บัดนี้ปราศจากแหวนมีค่าไว้บนตัก “เหตุใดต้องใช้คนถึงครึ่งร้อย ไม่มากเกินจำเป็นไปหน่อยหรือ?”

   “อย่างนั้นให้ข้ากล่าวอีกสักอย่างในฐานะคนพื้นที่ ทางที่ท่านเลือกการคมนาคมยากลำบากถัดจากป่าทึบเป็นหุบเขา ถ้าท่านอยากให้คณะพ่อค้าเดินทางถึงภายในเวลาที่กำหนดก็ต้องจ่ายราคาที่ข้าเสนอ”

   ไป๋หนิงเฉิงในคราบพ่อค้าหลวนส่ายหน้าไม่ว่าอะไร ผู้เสนอราคาเงียบไปอึดใจ

   “สิบสองตำลึงเงินต่อเกวียนหนึ่งคัน ไม่ลดไปกว่านี้ท่านหลวน ทุกค่าใช้จ่ายข้าสามารถแจกแจงให้ท่านได้ว่าส่วนไหนเสียไปเพื่อสิ่งใด หากท่านพิจารณาว่าไม่คุ้มลงทุนเกรงว่าสำนักหู่โห่วคงไม่เหมาะกับความต้องการท่าน” เมิ่งชุนเถาย้ำคำเดิมแม้ใบหน้ายังยิ้มแย้ม ทุกคนในบ้านรู้ดีว่าเมื่อยื่นคำขาดนี้หมายความว่านางเตรียมลุกขึ้นส่งแขก

   เงินจำนวนเท่านี้อาจดูว่ามากแต่เมื่อหักค่ากินอยู่และค่าจ้างรายหัวก็นับว่าสมน้ำสมเนื้อ คณะคุ้มกันที่จัดให้ล้วนเป็นคนที่คัดฝีมือและสภาพร่างกายมาแล้ว มาตรฐานสำนักคุ้มภัยหู่โห่วจะใช้คนที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ อาจกล่าวได้ว่านอกจากค่าคุ้มกันแล้วยังรวมค่าคนนำทางเอาไว้ด้วย

   ส่วนเรื่องกำไรนั้นหายห่วง เมิ่งชุนเถาที่เขี้ยวยิ่งกว่าใครไม่เคยทำการค้าขาดทุน รู้ว่าอะไรคุ้มหรือไม่คุ้มจ่าย

   ไม่รู้ว่านับเป็นเรื่องดีไหมที่ได้โอกาสมายืนดูการต่อรองชิดใกล้ หากคุณหนูรองเป็นผู้ชายอย่างมากพวกเขาคงได้แต่แอบฟังอยู่ข้างนอกตามมารยาท -- ต่างคนต่างลุ้นกันไปคนละอย่าง แต่ซุนซีอกจะแตกตายอยู่แล้ว

   คนสนิทของไป๋หนิงเฉิงก้มลงกระซิบบางอย่างกับผู้เป็นนาย สองฝ่ายพลันตีหน้ายิ้มแย้มใส่กัน โดยเฉพาะเมิ่งชุนเถาที่สีหน้าแทบไม่เปลี่ยนแม้จะรออย่างสงบมาพักใหญ่

   “ข้าตกลง ไม่ทราบว่าแม่นางรับค่าจ้างอย่างไร?”

   “สำนักเราจะเก็บมัดจำล่วงหน้าก่อนสามส่วน ที่เหลือค่อยจ่ายเมื่อของถึงที่หมาย หากท่านต้องการเลื่อนการเดินทางโปรดมาแจ้งกับข้าก่อน หากสินค้าสูญหายระหว่างขนส่งสำนักจะจ่ายเงินประกันครึ่งหนึ่งของราคาที่ตกลงไว้พร้อมคืนมัดจำทั้งหมด และหากยกเลิก ทางข้าจะไม่จ่ายคืนค่ามัดจำ”

   นางว่าฉะฉานระหว่างคลี่กระดาษเตรียมร่างสัญญา อีกมือหนึ่งปลดพู่กันลงจากแท่นแขวน

   “ท่านประสงค์สิ่งใดเพิ่มเติมอีกหรือไม่”

   “แล้วถ้าจากนี้ข้าอยากให้แม่นางร่วมเดินทางไปด้วยกันกับข้า จะคิดอย่างไร”

   พ่อค้าใหญ่ยิ้มพราย ดวงตาเขาหวานละไมหากแต่ไม่มีแววล้อเล่น เมิ่งชุนเถานิ่งหาคำพูดเนิ่นนาน ริมฝีปากขยับอ้าเหมือนจะเอ่ยวาจาหลายครั้ง ซุนซีกระแอมดังๆ พอสบสายตาคุณหนูเขากระวีกระวาดพยักหน้าเป็นการใหญ่ นางชะงักไปครู่ คิ้วยู่ย่นบนใบหน้าหญิงงามค่อยคลายลงพร้อมรอยยิ้มรู้ทันยกขึ้นวาดประดับ

   “...นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่า ‘ท่านไป๋’ มองหาเพียงผู้ติดตาม หรือมองหาคู่ร่วมคิด”

   ซุนซีไม่ทันได้อยู่ฟังคำตอบก็ถูกเรียกให้ออกมาพร้อมอาตงที่เอาแต่ยิ้มไม่หุบเสียก่อน นางจ้องเขาด้วยสายตาวาววับตั้งท่าจะเค้นคอในอนาคตอันใกล้ แต่ละคนพร้อมใจปล่อยให้สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในการหมั้นหมายตามพิธีบังเกิดในห้อง ว่าที่คู่หมั้นเจรจากันดุเดือด แม้แต่ป้าหม่ายังได้แต่ถือถาดชาค้างที่หน้าประตู

   ครึ่งชั่วยาม เปลี่ยนเป็นหนึ่งชั่วยาม การเจรจาที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สำนักคุ้มภัยหู่โห่วก็จบลง – พร้อมข่าวดีที่เข้ามาแทนที่

   ของหมั้นของเมิ่งชุนเถาไม่ใช่อื่นใด แต่เป็นสัญญาการค้า ‘ตลอดชีวิต’



   เรื่องดีมักมาเป็นคู่ หลังผูกสัญญาธุรกิจมีงานเข้ามาไม่ขาดสาย ซุนซีจำได้อย่างแม่นยำถึงสีหน้าหลากอารมณ์ของเจ้าสำนักคุ้มภัยเมื่อกลับถึงบ้านและข่าวการหมั้นลับหลังถึงหูท่าน แทนที่จะโกรธเกรี้ยว ใบหน้าดุดันของเมิ่งชางกลับฉายแววตระหนก

   จากวันนั้นไม่นานไป๋หนิงเฉิงส่งแม่สื่อมาสู่ขอเจ้าสาวกับสกุลเมิ่งตามพิธีรีตอง อาจารย์จะปฏิเสธอย่างไรได้ในเมื่อว่าที่บุตรเขยนอกจากขอแต่งเพราะชอบพอแล้วยังเพียบพร้อมทุกด้าน เมิ่งชุนเถาได้รับเกียรติให้เป็นภรรยาหลวงรอตำแหน่งว่าที่ฮูหยินใหญ่ อาตงถึงกับกล้ากล่าวต่อหน้าหลี่ฮูหยินว่าจากวันดูฤกษ์แต่งอาจารย์เปลี่ยนจากหน้าบึ้งตึงเปลี่ยนเป็นยิ้มปากแทบถึงหู

   กำหนดงานมงคลพาบรรยากาศรื่นรมย์เข้าสู่สำนัก ครึ่งเดือนให้หลังถ้าจะมีใครหน้านิ่วคิ้วผูกได้ยิ่งกว่าหัวหน้าอู๋ที่งานยุ่งจนแทบไม่ได้พักคงหนีไม่พ้นคุณหนูเล็กที่ยังโกรธเรื่องรู้ข่าวเป็นคนสุดท้ายไม่เลิก สิ่งที่พอทำให้เมิ่งเซี่ยเหมยหายงอนคงเป็นการกลับมาเยี่ยมสำนักของอดีตศิษย์เอกอย่างอู๋ก่วนจง – ชายคนที่นางทึกทักสถาปนาเป็นลูกน้องตั้งแต่จำความได้

   ซุนซีไม่ได้พบหน้าอู๋ก่วนจงนานแล้ว นับแต่ที่สหายคนนี้ออกไปรับราชการเป็นมือปราบก็ไม่ได้แวะเวียนมาหา ยามสายวันนั้นเด็กหนุ่มถึงได้รีบทำงานเร่งตามออกไปพบคนคุ้นเคย

   ถ้วยชาคว่ำอยู่บนถาดใกล้จานของว่าง ควันร้อนฉุยออกมาจากกาน้ำใบอ้วน ซุนซีที่ขันอาสาเอาไปส่งยกเดินอย่างระมัดระวังอยู่ใต้หลังคาระเบียงทางเชื่อม เขาสับเท้าให้ไวกว่าปกติ ตัวเพิ่งพ้นหัวมุมใกล้ถึงแต่ใจล่องไปอยู่ปลายทางแล้ว

   ใบหน้าเด็กหนุ่มเปื้อนยิ้ม เขานึกจำลองคำทักทายที่ตนจะเอ่ยซ้ำไปซ้ำมา แก้มขึ้นสีเรื่อน้อยๆ เพราะแดดยามบ่าย

   จุดหมายอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้เห็นเค้าโครงสามร่างนั่งอยู่ที่ศาลากลางน้ำ แดดสะท้อนทำเอาต้องหยีตาเพ่งเพื่อมองให้ชัด เขาก้าวไวขึ้นอีกนิดแม้จะยังไม่แน่ใจ คนบนศาลาขยับตัวไหวๆ เมื่อเสียงหัวร่อลอยมากับลม

   ทันทีที่เสี้ยวหน้าปรากฏในครรลองสายตา ความปรีดาก็กรุ่นหัวใจจนรู้สึกอุ่นไปทั่วถึงปลายนิ้ว เขากึงเดินกึ่งวิ่งไม่รู้สึกเหนื่อย สองเท้าเบาเหมือนเหยียบไปบนปุยเมฆ

   “พี่ใหญ่!” เป็นเมิ่งเซี่ยเหมยที่ร้องทักขึ้นมา นางโบกมือกระโดดโหยงเหยงเป็นลูกกระต่าย อย่างกับว่าเป็นเขาเสียเองที่จากไปหลายเดือน

   ลุงอู๋เอ่ยทักอารมณ์ดี “อาซุนมาก็ดีแล้ว มาคุยแทนลุงหน่อยเถอะ อยู่กับพวกลิงน้อยคอแห้งแทบแย่”

   คุณหนูเล็กค้อนวงใหญ่เมื่อถูกพาดพิง คนเฒ่าหัวร่อเอ็นดูแถมยังสำทับว่าดูแล้วอย่างกับปลาปักเป้ามากกว่าเป็นลูกลิง ทำเอาแม่สาวน้อยนั่งกอดอกแก้มพองไม่เก็บอาการ

   คนมาใหม่จัดแจงลวกถ้วยชาด้วยน้ำร้อนพลางลอบเงยขึ้นมองมือปราบหนุ่ม อู๋ก่วนจงไม่ทันได้สังเกตเรื่องนี้เพราะสองตาให้ความสนใจอยู่ที่คุณหนูเล็ก ใบหน้าคมคายแม้ผิวจะเข้มเป็นสีทองแดงเพราะทำงานสู้แดด ช่วงที่หายไปร่างกายสหายเก่ากำยำขึ้นมาก ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มสว่างไสวยังเหมือนสมัยเด็กไม่มีเปลี่ยน

   มาเยือนคราวนี้อู๋ก่วนจงมาพร้อมข่าวดีว่าตนได้เลื่อนขั้นเป็นมือปราบได้ลงสนามเต็มตัวแล้ว หัวหน้ามือปราบถูกชะตาเขาอยู่ไม่น้อย อนาคตการงานราบรื่นพอให้บิดาตนยิ้มไม่หุบ คนเป็นพ่อไม่ได้ออกปากชมอะไรมากนัก แต่มองเผินๆ ก็รู้ว่าปลื้มใจลูกชายคนนี้ขนาดไหน ซุนซีแค่ฟังคำเล่ายังอดรู้สึกหัวใจพองโตไปด้วยไม่ได้

   เพื่อนสนิทของเขาคนนี้อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ซุนซีย้ายมาสกุลเมิ่งใหม่ๆ ตามจริงเขาอายุน้อยกว่าอู๋ก่วนจงถึงสองปี ด้วยความที่เรียกแต่ชื่อจนติดปากและต่างฝ่ายต่างคุ้นชินสรรพนามเช่นนี้จึงไม่มีใครถือสาใคร

   หลายคราวการเรียกฝ่ายอายุไล่เลี่ยกันโดยไม่ถือศักดิ์เป็นพี่เป็นน้องทำให้อู๋ก่วนจงผ่อนคลายเวลาอยู่กับซุนซี กล้าปรึกษาในสิ่งที่ตามปกติแล้วพูดเพียงแต่กับเพื่อนรู้ใจ ฝั่งคนอ่อนวัยกว่าก็ถือโอกาสใกล้ชิดกับอีกฝ่าย ซุนซีถือว่าเป็นอภิสิทธิ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เขาพอจะตักตวงความสุขได้ในเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา

   อาทิตย์เคลื่อนจากเหนือศีรษะลดต่ำลงทีละน้อย บทสนทนาบนศาลากลางน้ำเปลี่ยนจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่อง จนชาเย็นชืดเหลือน้ำพอเลี้ยงตะกอนนอนก้นกา

   ลุงอู๋ลุกกลับไปทำงานพักใหญ่แล้ว เด็กหนุ่มสาวสามคนยังนั่งคุยเล่นกันต่อประสาคนไม่เจอกันนาน เหนืออื่นใดคงเป็นตัวคนมาเยือนเสียเองที่ไม่อยากย้ายที่ไปไหนถึงแม้จะมีศิษย์น้องอีกมากรอให้ไปพบหน้า

   ซุนซีทราบดีถึงได้พยายามชวนคุย คุณหนูเล็กนานครั้งก็โวยเสียงดังขึ้นมาบ้าง มีพี่ที่ยอมตามใจห้อมล้อมนางอยู่ถึงสองคน แม้จะมีคนมาตามให้กลับไปฝึกตอนบ่ายก็ยังไม่ยอมลุก

   “ก่วนจง ได้ข่าวว่าปลายปีหน้าเจ้าจะย้ายไปประจำการที่เมืองหลวง” เขาลองถามเลียบเคียงดู นึกแล้วน่าใจหาย

   “ถูกแล้ว หมายเรียกยังไม่มาแต่คงได้ไปแน่ อย่างไรเสียอยู่เมืองหลวงอนาคตก็ดีกว่าอยู่ที่นี่”

   แม่สาวน้อยหรี่ตามอง ฟาดเข้าที่ต้นแขนคนนานครั้งมาเยือน “ดี คราวนี้ไปแล้วเวลากลับมาต้องซื้อของมาฝากข้าด้วย ไม่อย่างนั้นไม่ต้องเข้ามาที่สำนัก”

   “ไม่ลืมของศิษย์น้องแน่นอน เจ้าอยากได้อะไรให้บอกข้าไว้”

   “สั่งแล้วเจ้าจะซื้อให้ข้าทุกอย่างแน่หรือ?”

   “ได้อยู่แล้ว ถ้าเป็นศิษย์น้องเหมย ศิษย์พี่ซื้อให้เจ้าได้ทุกอย่าง”

   เมิ่งเซี่ยเหมยยิ้มพออกพอใจ เชิดจมูกรั้นขึ้นนิดวางก้ามเป็นนายหญิงใหญ่ ผ่านมาจนปูนนี้คนกลางอย่างซุนซีขี้เกียจปรามนางเรื่องเอาแต่ใจเป็นหัวโจกแล้ว จนลั่นเสียงเอ็ดตามตัวดังมาอีกครั้งแน่งน้อยจอมซนถึงยอมวิ่งไปตามทาง

   ศาลากลางน้ำเหลือเพียงสองบุรุษนั่งมองคล้อยหลังไวๆ ของคุณหนูเล็ก ดวงตาคู่หนึ่งฉายแววเอ็นดู อีกคู่ทอดมองลึกซึ้งเนิ่นนาน

   คนหนึ่งละสายตากลับมาแล้ว เพื่อพบว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในที่แสนไกล

   “เจ้ารักเสี่ยวเหมยใช่หรือไม่?” คนอายุน้อยกว่าโพล่งถามขึ้นมา

   มือปราบหนุ่มใบหูแดงก่ำ หันมาพยักหน้าช้าๆ “ดูออกง่ายอย่างนั้นเลยหรือ...” ก่วนจงตอบเสียงขัดเขินไม่สมตัว ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ

   ซุนซีมองคนตอบด้วยอาการสงบ รอยยิ้มอ่อนโยนยังประดับอยู่บนใบหน้า

   ระยะเวลาที่ร่วมชายคาเดียวกันอู๋ก่วนจงยอมตามใจศิษย์น้องคนนี้ยิ่งกว่าใคร ทั้งยังยอมเป็นลูกไล่คอยรับใช้อยู่ไม่ห่างเหมือนสุนัขซื่อสัตย์ติดตามผู้เป็นนาย ดอกชิ่วฉิว ของอู๋ก่วนจงผลิบานอยู่ฝ่ายเดียวนานแรมปี ซุนซีเป็นพยานความรู้สึกที่สหายมีให้เมิ่งเซี่ยเหมยมาตลอด เพียงแต่เลือกยกขึ้นมาพูดเอาป่านนี้

   “ทั้งที่เจ้าชอบมานานแต่นางก็ยังไม่รู้สึกตัว.. ไม่คิดว่าถึงตอนนี้เป็นเวลาเหมาะที่จะบอกนางหรือ? ถ้าเจ้าช้าเกินนางอาจแต่งไปกับชายอื่น เช่นนั้นเจ้าจะไม่เสียใจหรือ?”

   คู่สนทนาฟังแล้วทอดมองไปไกล นัยน์ตาฉายแววครุ่นคิด อู๋ก่วนจงทิ้งช่วงอยู่นานปล่อยให้ความเงียบโรยตัวเข้าแทนที่ ทว่าเวลาของฝ่ายรอไม่เคยผ่านโดยสูญเปล่า ซุนซีใช้ชั่วขณะนั้นสำรวจใบหน้าอีกฝ่ายอย่างพินิจ ประกายแสงในดวงตาสีดำขลับเวลานี้หม่นมัว

   “ตราบใดที่นางมีความสุข ต่อให้ไม่ได้แต่งกับข้า ข้าก็ยินดี”

   “ก่วนจง..” คำเรียกนั้นเรียกด้วยเสียงคล้ายระอา “เจ้าจะปล่อยโอกาสหลุดไปอย่างนี้ไม่ได้ ในเมื่อเจ้าไม่รู้ว่านางจะเปิดใจชอบพอเจ้าเกินพี่น้องหรือไม่ เหตุใดไม่ลองเสี่ยงดูสักครั้ง”

   รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าอู๋ก่วนจง “เท่านี้ก็มากพอแล้ว อาซุน แค่นางยอมรับข้าถึงเท่านี้ข้าก็พอใจแล้ว”

   “อย่างนั้นตอบข้าด้วยสัตย์จริงสักครั้ง จะมีใครรักและดูแลนางได้ดีเท่าเจ้าหรือไม่”

   ต่อว่าอีกฝ่ายอย่างนี้ก็เหมือนกำลังต่อว่าตนเอง ถึงซุนซีจะเป็นผู้พูดแต่พาลสะอึกไปด้วย ส่วนคนฟังอย่างอู๋ก่วนจงทำท่าคล้ายอยากโต้แย้ง สุดท้ายไม่มีคำใดออกจากปากมือปราบอนาคตไกล

   “หากสุดท้ายนางต้องแต่งกับใครสักคน ยังมีเหตุผลอะไรถึงไม่พยายามให้ชายโชคดีคนนั้นเป็นเจ้า...เจ้าที่ไม่ว่าอย่างไรจะทำให้นางมีความสุขได้แน่”

   อู๋ก่วนจงนิ่งอยู่นาน พอปมคิ้วคลายก็ส่ายศีรษะช้าๆ “นานทีพบกันอย่าเอาแต่คุยเรื่องของข้าเลย เห็นว่าเจ้าไปเมืองหลวงมาไม่ใช่หรือ? เดินทางเป็นอย่างไรบ้าง”

   “อย่าเปลี่ยนเรื่อง!” ซุนซีเอ็ด “ไม่ใช่แค่เพื่อนางแต่เพื่อตัวเจ้าเองเท่านี้ไม่ได้เลยหรือ เหตุใดถึงได้—โธ่เอ๋ย..อย่างน้อยๆ ก็เอากลับไปคิดสักหน่อยเถอะ...”

   ท้ายประโยคแผ่วลง คนพูดเผลอโมโหที่ไม่ได้ตามที่คิดแต่หลงลืมว่าเพื่อนสนิทแบกภาระส่วนตัวไว้ไม่ต่างกัน -- เขาคงเหลิงจากการที่เจรจาได้ถึงสองครั้งสองคราวมากเกินไป จะมาเร่งรัดเอาแต่ใจได้อย่างไรในเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ใช่เด็กๆ แล้ว

   จากโกรธกลายเป็นรู้สึกผิด ซุนซีตระหนักแล้วถึงนั่งคอตก ยิ่งพูดเสียงยิ่งเบาหวิว

   “ก่วนจง... ขอโทษจริงๆ ข้าแส่ไม่เข้าเรื่องอยู่เรื่อย เจ้ามีเรื่องให้ต้องคิดอยู่แล้วข้ายังมาบังคับเจ้าอีก ร้อนใจทีไรเผลอพูดมากได้ทุกครั้ง...”

   “ข้าได้ดุเจ้าหรือยัง เป็นผู้ชายคิดเล็กคิดน้อยใช้ได้ที่ไหน” ฝ่ามือใหญ่ตบหลังปลอบใจ “เอาเถอะ รู้ว่าเจ้าเป็นห่วงแบบนี้ใครจะโกรธลง ถ้าเจ้าผิดข้าก็ผิดด้วย ข้ารู้ว่ากับเรื่องนี้ข้าขี้ขลาดขนาดไหน ที่พูดมาข้าจะเก็บเอาไปคิด...แบบนี้ดีหรือไม่?”

   ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ

   อู๋ก่วนจงกลับไปนานแล้ว ความทรงจำเกี่ยวกับช่วงเย็นของวันหม่นมัวและพร่าเลือน กระทั่งที่ว่าตอนนี้เขามานั่งอยู่ในห้องนอนได้อย่างไรก็แทบจะลืมไปเสียหมด

   หน้ากระดาษว่างเปล่ามานานแล้ว พู่กันก็ถือค้างเสียจนหมึกเริ่มแห้ง ซุนซีไม่รู้จะเขียนตอบกลับคุณชายอินทรีผู้นั้นอย่างไร เขาตั้งใจจะเล่าเรื่องดีๆ ให้ฟัง แต่เรื่องในวันนี้ดูเหมือนจะกลบความคิดใดไปสิ้น ความรู้สึกฟุ้งขึ้นเหมือนตะกอนฝุ่นนอนก้นที่ถูกกวนตลบขึ้นด้วยชื่อของอู๋ก่วนจง

   ไม่นานไฟเชิงเทียนก็ดับลง ทั้งห้องปกคลุมไปด้วยความมืดในฉับพลัน ที่เมืองหวงซานหน้าร้อนกินระยะเวลายาวนานทว่าคืนนี้ซุนซีกลับรู้สึกหนาว เด็กหนุ่มค่อยๆ คลานขึ้นเตียงซุกตัวใต้ผ้าห่ม กลางดึกอย่างนี้แม้แต่ผ้าห่มแพรยังไม่อาจทำให้เย็นทั่วถึงปลายนิ้วมือได้เท่าธารอารมณ์ที่เก็บอยู่ข้างใน

   สิ่งหนึ่งคงอยู่ อีกสิ่งสลายเป็นเถ้าธุลี ความพยายามในการข่มตานอนแลกมาด้วยห้วงคำนึงไหลราวเขื่อนทะลัก


----------------------------------------------

วันนี้มาช้าไปหน่อย แหะๆ
อยากให้จำไว้ว่าบาตูเกลชอบชามะลินะคะ เดี๋ยวเขาจะโผล่มาอีกแต่ต้องจำให้ได้ว่าเป็นเขา :hao3:
ใบ้ว่าของที่คุณชายอินทรีบอกว่าจะฝากเอามาให้จะมาถึงในบทหน้าค่ะ แต่คนรับดันเป็นเจ้าของชื่อตัวจริงไม่ใช่ตัวปลอม!

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
น้องๆจะขายออกกันหมดแล้ว

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
พระเอกของน้องเล็กจะเป็นใครหนอ รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 10


   ชามกระเบื้องกระทบดังเคร้งคร้างประสานเสียงคุย ตกเย็นอย่างนี้เครื่องถ้วยจากทั้งวันกองสูงเท่าเด็กตัวย่อมๆ เรียงจนพูนเป็นแนวภูเขาเต็มลานซักล้าง ลูกมือที่มาแทนคนขาดนั่งเก้าอี้ไม้ตัวเตี้ยเรียงกันสลอน หัวหน้าแม่ครัวพับแขนเสื้อถกขึ้นถึงใต้ศอก ย่อตัวอุ้ยอ้ายลงนั่งระหว่างเสียงสั่งการจะกลายเป็นหนึ่งในเสียงวงสนทนา

   “นินทาเจ้านายอีกแล้วนางพวกนี้ – ไหน สามีจะมาเลือกองเลือกเองอะไร สมัยข้าไม่มีหรอก”

   “แหมป้า ถ้าขอได้ข้าอยากจะแต่งกับคนรุ่นเดียวกันมากกว่า”

   “พี่สาวไม่รู้อะไร! คนอายุมากสักหน่อยสิดี เงินเก็บก็มี ใจเย็นกว่าคนหนุ่มเป็นไหนๆ”

   เสี่ยวหยูที่ปกติทำงานทั่วไปอยู่เรือนชั้นนอกพูดเอาจริงเอาจัง ซุนซีลุกขึ้นหอบชามกองโตไปเรียงผึ่งลม มือจัดไปไม่วายเสนอความคิดประสาคนเจ้าหลักการ

   “ข้าว่าอายุไม่สำคัญหรอก ขอแค่เป็นสามีที่คอยสนับสนุนให้ภรรยาได้ทำในสิ่งที่รัก ให้เกียรตินางอยู่เสมอ รักเดียวใจเดียวยิ่งดีใหญ่ หากเป็นได้เท่านี้ก็นับว่ายอดยิ่งกว่าได้ทรัพย์สมบัติกองจนสูงท่วมฟ้าแล้ว”

   “หากได้แม่สามีดีก็ถือเป็นวาสนาอีกข้อหนึ่ง” อาตงว่า ออกแรงขัดชามจนสะอาด “สงสัยข้าควรไปทำบุญให้มาก ต้องบริจาคเงินสร้างพระพุทธรูปสักกี่พันชั่งถึงจะได้สามีดีๆ สักคน”

   “เอาจริงหรือพี่ตง หมดเนื้อหมดตัวเชียวนะ”

   “ใช่ อย่างนางน่ะสร้างทั้งวัดก็ไม่พอ”

   ใครสักคนหลุดหัวเราะพรืด อาตงหันไปส่งสายตาขู่ฟ่อก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ชีวิตข้ามันอาภัพนัก! อยู่ที่นี่ก็ไร้คู่ จะไปแสวงโชคที่เมืองหลวงก็ไม่มีบุญได้ไปกับเขา”

   คนอาวุโสสุดฟังแล้วอดไม่ได้ “ดูมันสิ เป็นสาวเป็นแส้ปีนี้เพิ่งอายุเท่าไหร่กัน ทำหมดอาลัยตายอยากไปได้”

   เสี่ยวหยูส่งถ้วยที่ซับน้ำมันออกแล้วลงกะละมังรอล้าง นางยิ้มหยอก “ป้าหม่า ท่านรู้จักคนก็มาก ลูกชายบ้านไหนยังไม่แต่งงานท่านหามาให้พี่ตงหน่อยเถอะ”

   “ไอ้ว่ามีมันก็มีอยู่หรอก” แม่แก่หัวเราะ “แต่ให้แต่งกับนางตง ข้าสงสารลูกชายคนอื่นเขา”

   “ป้าหม่า!”

   ฝ่ายโดนพาดพิงมองป้าหม่าหน้าคว่ำหน้างอ คนอื่นฟังแล้วมีแต่ยิ้มเปื้อนใบหน้า

   บทสนทนาวนไปเป็นเรื่องอื่นไม่ทันไรชุ่ยอิงก็วิ่งกระแทกเท้าตึงตังมาแต่ไกล สาวใช้รุ่นใหญ่เตรียมตั้งท่าจะเอ็ดนางแต่ไม่ทันเสียงเล็กๆ พูดคำหอบคำแทรกขึ้นมาก่อน

   “คุณ คุณหนู -- คุณหนูสาม เรียก โอย... ซุนเกอ!”

   อาตงหันมามองเจ้าของชื่อ ซุนซีมองตอบพลางส่ายหน้า เขาล้างมือก่อนเช็ดกับผ้าผูกเอวให้แห้ง “ชุ่ยอิงค่อยๆ พูดค่อยๆ จา ตอนนี้คุณหนูอยู่ที่ไหน?”

   แม่สาวน้อยชี้นิ้วไปทางห้องทิศตะวันออก ไม่ทันได้ตอบก็ถูกมือเปียกๆ ของเสี่ยวหยูเขกเข้ากลางกระหม่อม คนโตกว่าจับยัยหนูมัดผมเสียใหม่ ซุนซีไม่ทันอยู่ช่วยก็ออกเดินไปตามทาง

   ที่หน้าห้องมีเมิ่งเซี่ยเหมยหมุนเท้าวนไปวนมาเป็นหนูติดจั่น พอเห็นหน้าเขานางรีบวิ่งมาตะครุบเสื้อกอดหมับโต แรงกระแทกทำเอาเซไปก้าวหนึ่ง

   “ช่วยข้าด้วยพี่ใหญ่จ๋า...”

   มือผอมแห้งตบหลังน้องสาวเบามือ “มีเรื่องอะไรกัน ท่านลุงดุเจ้าหรือ”

   “ยัง แต่ใกล้โดนแล้ว” นางทำหูลู่หางตก “ไปกับข้าหน่อยนะ.. นะๆ พี่ใหญ่ไปด้วยพ่อจะได้ไม่ดุข้ามาก”

   ซุนซียิ้มขำ ทำอย่างกับว่าเขาอยู่ด้วยแล้วท่านลุงจะใจอ่อนลง แต่เมิ่งเซี่ยเหมยขอร้องก็หมายถึงบังคับให้ทำตาม ไม่ทันไรนางลากพี่ชายมาถึงที่

   เด็กรับใช้เดินนำหญิงวัยกลางคนออกมาจากห้องนั้น แม่สาวน้อยก้าวสวนเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าหวาดๆ มือยังกำแขนเสื้อซุนซีเอาไว้แน่น จมูกเขายังได้กลิ่นดอกไป่เหอ อวลอยู่รายทาง คงเป็นน้ำมันหอมที่แขกเมื่อครู่ประพรมเนื้อตัว

   เจ้าสำนักกับหลี่ฮูหยินนั่งดื่มชากันอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว บนโต๊ะมีกล่องของกับม้วนกระดาษวางอยู่ แม้จะยิ้มให้บุตรสาวแต่สีหน้าของหลี่ฮูหยินกระอักกระอ่วนอยู่ในที ส่วนเจ้าสำนักพอเห็นว่าเขาตามมาด้วยถึงกับคิ้วกระตุก กวักมือเรียกให้ลูกสาวเดินเข้ามาหาใกล้ๆ

   เมิ่งเซี่ยเหมยส่ายหน้าดิก เกาะเขาไว้เหมือนลูกลิงเกาะต้นไม้แน่น

   “ไม่เอา เข้าไปหาท่านพ่อก็ตีข้าน่ะสิ”

   “จะตีเจ้าไปทำไมกัน” เมิ่งชางว่าอย่างคนอารมณ์ดี “มานี่สิลูก พ่อมีของจะให้”

   นางมองหน้าพี่ชายที่เอาแต่พยักพเยิดให้ทำตามคำสั่ง แม่เด็กซนหรี่ตามองของในกล่องคิ้วขมวดเป็นปม ย่องเท้าไปหยุดอยู่หน้าบิดา

   ท่านลุงยิ้มพออกพอใจทำเอาหน้าดุเคราเฟิ้มดูน่ากลัวขึ้นอีกหลายเท่า หลี่ฮูหยินยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกรอบหนึ่งเหมือนพยายามเลี่ยงพิธีกรรมเปิดกล่องตรงหน้า ภายในนั้นบรรจุกำไลขาวมันแพะบนผ้ากำมะหยี่สีแดงสด คนรับเห็นแล้วย่นจมูก

   “ไม่เอาหรอก ใส่กำไลต้องคอยระวัง เดี๋ยวข้าก็ทำหักอีก”

   “อย่างนั้นพ่อจะเก็บไว้ให้เจ้าก่อน เอาไว้วันแต่งงานค่อยใส่” ท่านว่าอย่างอารมณ์ดี “ลองดูสิว่าใส่ได้ไหม”

   เมิ่งเซี่ยเหมยหันไปทางมารดา หลี่ฮูหยินสบสายตาบุตรสาวแต่ไม่ว่าอะไร พอทนสามีคะยั้นคะยอไม่ไหวก็หยิบเครื่องประดับมาสวมให้ลูกคนเล็ก หยกเนื้อเย็นสีขาวนวลตัดกับผิวสีอิฐอย่างเด็กชอบเล่นกลางแจ้ง ใส่ได้พอหลวมเผื่อโต แม่หนูทำหน้ายากจะอธิบาย

   “ก็ข้าบอกว่าจะไม่ใส่ไง...” นางบ่นพึมพำ ยื่นแขนข้างนั้นไปทางเจ้าสำนัก “เห็นไหมล่ะ ของแบบนี้ไม่เข้ากับข้าหรอก เอาให้ท่านแม่แทนไม่ได้หรือ?”

   “ของหมั้นจะยกให้คนอื่นได้อย่างไร” ฝ่ายบิดาตำหนิ แต่ทีท่าเป็นสุขออกหน้าออกตานั่นยังไม่หายไปไหน

   ผิดกับลูกสาวที่อ้าปากเหวอค้างไปแล้ว

   “อะไรนะ! ของหมั้นอะไร” นางรีบถอดโยนกลับเข้ากล่องเหมือนคนโดนเหล็กร้อน มองกำไลด้วยสายตาแบบเดียวกับที่ใช้มองหนอนน่ารังเกียจ

   รอยยิ้มเอ็นดูเริ่มกระตุก สีหน้าท่านลุงมืดครึ้มลงทุกที “เซี่ยเหมย เจ้าฟังพ่อก่อน...”

   “ไม่” นางชิงปฏิเสธทันควัน “ท่านพ่อจะพูดจาเพ้อเจ้ออะไรอีก เรื่องแต่งงานข้าไม่ฟังทั้งนั้น”

   “เมิ่งเซี่ยเหมย”

   “ของพรรค์นี้ใครจะไปอยากได้ ท่านพ่ออยากหมั้นนักก็เอาไปใส่เอง”

   ปัง!

   ซุนซีสะดุ้งเพราะเสียงตบโต๊ะ เจ้าของฝ่ามือชักสีหน้าครึ้มทะมึนขณะที่ภรรยารีบแตะแขนปรามให้ใจเย็น ทำเอาเมิ่งเซี่ยเหมยถอยสองก้าวตามสัญชาติญาณ

   ทั้งที่กลัวจนแข้งขาสั่น นางยังเชิดจมูกรั้นขึ้นประกาศด้วยเสียงกระจ่างชัดเจน “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าท่านพ่อไปสัญญาอะไรไว้กับใครอีก แต่ ข้า - ไม่ - แต่ง - งาน”

   “เด็กหัวรั้น! พ่อแม่พูดอะไรเจ้าก็ไม่ฟัง เห็นเรื่องแต่งงานเป็นเรื่องล้อเล่นหรือ!”

   “ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องสนุก ‘ของข้าข้ายกให้เจ้า ของเจ้าเจ้ายกให้ข้า’ แบบท่านพ่อก็แล้วกัน!”

   “เจ้าลูกคนนี้...” เจ้าสำนักจบประโยคด้วยเสียงคำรามต่ำ หลี่ฮูหยินเห็นท่าไม่ดีรีบเอ่ยห้ามทัพ

   “ท่านพี่--”

   “พ่อเป็นพ่อมีอำนาจตัดสินใจทุกอย่าง ในเมื่อตกลงกับสกุลอวี้เอาไว้แล้ว ต่อให้เจ้าเอาแต่ใจอย่างไรพ่อจะไม่คืนคำ”

   ปากบิดาไวกว่าผู้เป็นแม่ ลูกสาวคนสุดท้องของบ้านมองค้าง น้ำใสรื้นคลอสองตา ..เสียแต่เมิ่งเซี่ยเหมยเด็กเกินกว่าจะเข้าใจเจตนาบิดา

   “ทำอย่างนี้อีกแล้ว! ท่านพ่อไล่พี่ๆ ออกจากบ้านแล้ว คราวนี้ก็จะกำจัดข้าไปอีกคน! พวกข้าทำอะไรผิดนักท่านถึงต้องทำแบบนี้ เป็นพ่อแล้วมีอำนาจเหนือชีวิตข้าหรือ”

   เด็กน้อยแผดเสียง อีกฝ่ายหนึ่งจ้องหน้านางด้วยดวงตาเบิกโพลง นิ่งงันเหมือนถูกหยุดเวลา

   “ข้ารู้หรอก เพราะเกิดเป็นลูกสาวท่านถึงได้ไม่ต้องการ!”

   สิ้นเสียงเหมือนจะขาดใจฝ่ามือของพ่อก็ตบเข้าที่แก้มฉาดใหญ่ คุณหนูเล็กน้ำตาไหลคลอเสียงสะอื้น กุมแก้มที่ขึ้นรอยแดงจัดนั่นไว้ด้วยสองมือสั่นเทา ซุนซีอยู่ใกล้เท่านี้ถึงเห็นว่าตามจริงนางสั่นไปทั้งตัว

   อาจารย์เมิ่งทิ้งช่วงไปนาน สีหน้าโกรธเคืองไม่แพ้บุตรสาวแต่ยังอดทนอดกลั้นมากพอ ..ดวงตาชายวัยกลางคนฉายแววเจ็บปวด น่าเศร้าที่ชายผู้นี้ไม่ใช่นักพูดที่ดี เมิ่งคนพ่อถึงตัดสินใจเดินกลับออกไปโดยปราศจากคำอธิบาย หลี่ฮูหยินรีบตรงไปลูบแก้มช้ำของบุตรสาวด้วยสีหน้าร้อนรน ทันทีที่มือคู่อ่อนโยนแตะใบหน้าคุณหนูเล็กก็ร้องไห้เสียงดังไปถึงนอกเรือน

   ...เวลานี้ซุนซีรู้สึกว่าตนโง่เง่านักที่ได้แต่ก้มหน้ามองพื้น



   สองคนใช้ในครัวนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กหน้าเตาฟืน แสงสีแดงอมส้มกับเสียงไม้ปะทุดังมาจากกองไฟ หม้อต้มยาร้อนๆ เริ่มโชยกลิ่นเปลือกไม้เจือมากับกลิ่นถ่านเผาไหม้ นอกจากแมวจะไม่กล้าย่างเท้าเข้าใกล้ครัว กระทั่งยุงก็คงเมากลิ่นสมุนไพรจนบินหนีกันไปเสียหมด

   ซุนซีคอยพัดให้ไฟแรงสม่ำเสมอส่วนอาตงก็หาวหวอดอีกรอบ นางนั่งเท้าคางหันหน้าหาเตาฟืนเหมือนกับเพื่อนสนิท พัดหญ้าสานดังกรอบแกรบใกล้หลุดจะพังแหล่ไม่พังแหล่เป็นยิ่งกว่าเสียงกล่อมชั้นดี

   “ยาของฮูหยินอีกนานไหม...” สาวใช้ที่ง่วงเต็มแก่ถามเสียงเนือย นับแล้วคงรอบที่สิบเห็นจะได้

   ซุนซีส่ายหน้าทั้งยิ้มๆ “อาตงเบื่อก็คุยสิ นั่งเฉยๆ ประเดี๋ยวก็เผลอหลับ”

   “ให้ข้าคุยอะไรล่ะ ช่วงนี้มีแต่งานหมั้นหมายบ้างล่ะ งานแต่งงานบ้างล่ะ – อ้า! พูดก็พูดเถอะ คุณหนูสามเป็นว่าที่เจ้าสาวใจคอจะปฏิเสธงานมงคล คนอยากแต่งกลับไม่มีวาสนากับเขาบ้าง” อาตงถอนใจยืดยาว “แล้วดูอย่างข้าสิ อายุก็ตั้งสิบเก้ายังไม่เห็นวี่แววได้ออกเรือนสักที”

   “ข้ารู้ว่าอาตงมีเรื่องอื่นให้กังวลมากกว่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ” คนฟังดักคอไว้ก่อน ทำเอาสาวใช้ส่ายหน้าระอา

   “เจ้าเป็นผู้ชายจะไปรู้อะไร ผู้หญิงไม่ออกเรือนชีวิตจะลำบาก”

   “ได้สามีไม่ดีลำบากยิ่งกว่าไม่ได้ออกเรือน” ซุนซีว่าพลางเหยียดตัวยืดหลัง “อยู่รับใช้ฮูหยินไปเรื่อยๆ แบบข้าก็สบายดีไม่น้อย อาตงจะกังวลไปทำไม”

   “ดูพูดเข้า ข้าต้องกังวลแน่อยู่แล้ว! เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าอยากมีลูกใจจะขาด”

   “...” พอนางโพล่งความในใจอีกฝ่ายถึงกับหันไปมอง คนพูดนั่งกอดเข่าสีหน้าเอาจริงเอาจัง

   “คิดดูสิอาซุน เป็นจูฮูหยินมีลูกชายตัวจ้ำม่ำสักสี่ห้าคน ลูกสาวหน้าตาเหมือนข้าอีกสักคนจะได้สอนนางเย็บปักถักร้อย ข้าจะทำอาหารอร่อยๆ ให้กิน แล้วพาพวกเขาไปหัดว่ายน้ำที่ทะเลสาบทุกวัน พอลูกๆ ของข้าเข้านอนข้าจะคอยร้องเพลงกล่อม”

   ดวงตาอาตงเป็นประกายเวลานางพูด ดูแล้วคนถนัดจมน้ำคงวางแผนจะหาสามีที่ว่ายน้ำเป็น ซุนซียิ้มน้อยๆ ไม่ขัดนางแม้จะรู้ว่าให้สาธยายเรื่องเพ้อฝันแสนสุขคงพูดได้ทั้งวันทั้งคืน ฝันของนางสวยงามเพราะมันอาจเป็นจริงได้ ผิดกับคนบาปอย่างเขาที่ไม่กล้าฝัน

   ความอกตัญญูมีอยู่สามประการ ที่หนักหนาที่สุดคือไร้ทายาทสืบสกุล  -- ก็หากเขามีลูกกับผู้ชายด้วยกันได้นั่นคงยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ สวรรค์จะเห็นใจคนอย่างเขาหรือ...คำตอบย่อมแน่อยู่แล้วว่าไม่มีทาง



   เมิ่งเซี่ยเหมยประท้วงอดข้าวได้ครึ่งวัน ตามด้วยไม่ออกไปซ้อมกระบี่กระบองได้อีกสองวัน นายหญิงกลุ้มใจแทบแย่กลัวว่าเด็กที่นานทีปีหนจะจับไข้คราวนี้คงป่วยไปอีกคน – กระทั่งของฝากจากมือปราบหนุ่มมาถึงมือ คุณหนูคนเล็กกลับมาอารมณ์ดีเหมือนลืมไปเลยว่าเคยโกรธใคร

   บุตรสาวคนโตที่ออกเรือนไปไม่นานคราวนี้กลับมาเยี่ยมที่บ้าน ยังไม่ทันได้อยู่พบหน้าบรรดาน้องๆ ก็ถูกมารดาพาตัวไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม ‘ขอลูกแน่ๆ’ อาตงไม่ได้กล่าวแต่ส่งสายตาเป็นนางจิ้งจอกบอกเขาเอาไว้ก่อนไป

   ยามบ่ายอย่างนี้มีงานอีกเป็นตั้งรอให้เขาไปสะสาง แต่เมิ่งเซี่ยเหมยที่ตามมาเกาะซุนซีทุกครั้งที่นางแวะเข้าเรือนใหญ่โผล่หน้ามาเรียกอีกรอบหนึ่งแล้ว ตกลงนางเป็นลูกเล็กของเขาหรือ?

   “พี่ใหญ่ทำงานเสร็จหรือยัง” นางถามเสียงใส ด้อมๆ มองๆ เขาจากระยะห่างหนึ่งคืบ...อีกนิดจะสิงร่างได้แล้ว

   ความอดทนของซุนซีหมดลงพร้อมกับการเช็ดขอบหน้าต่างบานสุดท้าย เขาพาดผ้าขี้ริ้วไว้ที่ขอบถังน้ำ จ้องหน้าแม่หนูก่อนจะถอนหายใจยาวเหมือนจะผ่อนลมให้หมดปอดในรอบเดียว

   เจ้าบ้านเปิดห้องตัวเองก่อนเข็นเขาเข้าไปข้างใน นางโผล่หน้าไปนอกระเบียง มองซ้ายทีขวาทีจนพอใจถึงงับประตูปิด กลิ่นของทอดลอยมาจากโต๊ะใกล้เตียง กาน้ำชาก็ตั้งอยู่ตรงนั้นดูท่าคงเพิ่งให้สาวใช้ยกเอาของว่างเข้ามา ..ซุนซีเริ่มคิดแล้วว่าธุระของเด็กเอาแต่ใจคงกินเวลานานแน่ๆ

   เมิ่งเซี่ยเหมยเปิดตู้ ก้มลงไปอุ้มห่อของห่อใหญ่ขึ้นมาไว้บนโต๊ะ เสียงกระแทกกับพื้นไม้เดาได้ว่าหนักน่าดู

   นางยืดอกท่าทางภูมิใจเต็มที่ “ดูสิ รอบนี้ก่วนจงส่งมาให้ข้าเยอะเชียว”

   แม่สาวความอดทนน้อยยังเก็บของในห่อผ้าไว้เป็นอย่างดี ซุนซีรู้ว่าเป็นปกตินางคงรีบเปิดดูตั้งแต่มาถึง ดวงตาสีดำขลับจ้องเขาเป็นประกายวาววับ ท่าทางกระตือรือร้นเรียกรอยยิ้มเบาบางปรากฏบนใบหน้าพี่ชาย

   ซุนซีส่ายศีรษะ แก้ปมมัดผ้าออกไม่ช้าไม่เร็ว ของของข้างในมีทั้งมีดสั้นเล็กกว่าฝ่ามือ ตลับเหล็กใส่ลูกกวาดตะวันตก ห่อเครื่องเทศสีเหลืองสีแดงจัดเหมือนผงย้อมผ้า เมิ่งเซี่ยเหมยหยิบเอาปิ่นปักผมลายผีเสื้อขึ้นมาดูหน้ายุ่งๆ สีหน้าของนางบอกว่าไม่ได้สั่งอันนี้ แต่ซุนซีเห็นพลอยสีโปรดของนางถักติดบนตัวผีเสื้อก็พอเข้าใจว่าทำไม

    นางพึมพำว่าซื้ออะไรมาให้ผิดอีกแล้ว ยิ่งเจอสร้อยกับของที่ดูเหมาะกับสตรีก็บ่นใหญ่ พึ่งพาไม่ได้บ้างล่ะ ไม่ได้เรื่องบ้างล่ะ พี่ชายรำลึกความหลังได้สองมุมปากพลันยกขึ้นผุดเป็นรอยยิ้มน้อยๆ

   “ยังจำได้หรือไม่ ตอนเจ้าอายุยังน้อยยังแกล้งขึ้นขี่หลังก่วนจงอยู่ตลอด” เขาว่าอารมณ์ดี “แล้วยังตอนเจ้าอายุแปดปี ป่วยหนักต้องใช้ยาหายาก ก่วนจงก็อาสาขึ้นเขาเสี่ยงอันตรายไปเก็บมาให้เจ้า”

   คนฟังมุ่ยหน้า “นั่นมันตั้งกี่ปีแล้ว พี่ใหญ่รื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ อย่างกับคนเฒ่า”

   “ข้าแค่พูดให้ฟัง นานแล้วกลัวเจ้าจะลืมว่าตอนเด็กมีแต่ก่วนจงที่คอยตามใจ”

   ฟังน้ำเสียงหยอกเอินนั่นแล้วเมิ่งเซี่ยเหมยถึงกับหรี่ตามองพี่ชายใหญ่ คิ้วโก่งเลิกขึ้นทำสีหน้าไม่ไว้วางใจ “ทำไม? ก่วนจงฝากมาทวงบุญคุณอะไรอย่างนั้นหรือ รึว่าเขานินทาอะไรข้า”

   “ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง” ซุนซีส่ายศีรษะช้าๆ มือผอมปัดเก็บปอยเส้นน้อยที่ตกมาบังหน้าบังตาคุณหนูเล็ก

   ดวงตากลมโตสีนิลสนิทกระพริบปริบแพขนตายาวปรือไหว ดวงตาเมิ่งเซี่ยเหมยวิบวับเจ้าเล่ห์เหมือนคิดอะไรได้ รีบเปลี่ยนจากยู่หน้าเป็นเกาะแกะอ้อนถาม “พี่ใหญ่..พี่ใหญ่” พวงแก้มชนอยู่กับต้นแขนซุนซี สองตาช้อนขึ้นมองเหมือนลูกกระต่ายตัวน้อย “แล้วตกลงวันนั้นพี่ใหญ่คุยอะไร เล่าให้ข้าฟังนะ.. นะเจ้าคะ เล่าหน่อย”

   ซุนซีตีปลายจมูกนางเบาๆ ไม่ทันได้พูดประตูก็เปิดโผงด้วยฝีมือคุณหนูใหญ่ ตามหลังด้วยคุณหนูรองที่เดินทอดน่องเข้ามานั่งข้างเขา สีหน้าของคนเพิ่งกลับมาเยี่ยมเรือนขุ่นข้องเต็มที ..ซุนซีเห็นเค้าลางอสุนีบาตจะฟาดมาแต่ไกล

   “ได้ข่าวว่าเจ้าก่อเรื่องอีกแล้ว” เมิ่งตงหลานตรงเข้าเรื่อง นางกอดอกจ้องเขม็ง น้องสาวคนเล็กถึงกับกระเด้งตัวขึ้นนั่งเรียบร้อย

   “เปล่า! ไหน ข้าก่อเรื่องอะไร” ผู้ต้องหารีบปฏิเสธทันควัน “พี่รองฟังมาผิดแน่แล้ว”

   ผู้ชายคนเดียวในห้องมองหน้าฝ่ายที่เข้ามาใหม่สลับไปมา เมิ่งชุนเถาสบตาแล้วโคลงศีรษะสีหน้าเบื่อหน่าย เสียงเมิ่งตงหลานดังขึ้นก่อนเขาได้ทันอ้าปากถาม

   “พี่ใหญ่ไม่เกี่ยว อย่าเพิ่งพูด – เซี่ยเหมย ท่านแม่บอกว่าเจ้าทะเลาะกับท่านพ่อใหญ่โต”

   “ท่านแม่ไม่น่าพูดเลย..” คนโดนว่าบ่นอุบเสียงเบา พอโดนเรียกชื่อเอ็ดดังลั่นนางนั่งหงอเป็นลูกสุนัขหางลู่หูตก

   พี่สาวคนโตเอ็ดน้องเล็กอีกชุดใหญ่ ผู้ชายคนเดียวในห้องได้แต่ยกมือค้างตั้งท่าจะแทรกไปปรามก็ห้ามไม่ได้ เมิ่งชุนเถาส่งสายตาเรื่อยเฉื่อยมาหาเขาทีหนึ่ง นางโคลงศีรษะก่อนจะคว้าขนมดอกกุ้ยเข้าปากตามด้วยจิบชาต่อไม่นึกใส่ใจ ซุนซีไม่รู้จะช่วยอย่างไร หันไปทางนั้นก่อนจะย้ายไปทางนี้ หางตาทันเห็นร่างผอมบางร่างหนึ่งยืนเกาะบานประตูราวกับอยากจะฝังตัวกลืนไปกับขอบไม้เสียให้ได้

   “ค..คุณหนูใหญ่.. ท่านเจ้าสำนักเรียกพบเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยปากกล้าๆ กลัวๆ ดูก็รู้ว่าไม่เคยเห็นคุณหนูคนโตสกุลเมิ่งทำเสียงดังมาก่อน ยามโกรธวิญญาณแม่เสือร้ายเข้าสิง สลัดภาพหญิงงามอ่อนหวานเหมือนเป็นคนละคน

   เสียงบ่นหยุดลงครู่หนึ่งโดยไม่มีใครต้องออกแรงห้ามทัพ คนงามหอบหายใจหลังออกแรงว่าไปรอบใหญ่ ฝ่ายโดนตำหนิก้มหน้าก้มตายิ่งนานทียิ่งใกล้จะขดเป็นก้อน

   “เสี่ยวเหมยก็สำนึกผิดแล้วไม่ใช่หรือ อย่าดุน้องนัก--” ซุนซีไม่ทันได้นึกว่าตนจะโดนหางเลข พอเมิ่งตงหลานตวัดสายตาใส่พี่ชายถึงชะงักนิ่ง

   “พี่ใหญ่ตามใจมากเกินไป น้องเล็กถึงได้เอาแต่ใจจนเคยตัว” คุณหนูคนโตดุด้วยเสียงเด็ดขาด คิ้วโก่งได้รูปเวลานี้มุ่นลงด้วยอารมณ์ฉุนจัด “ปล่อยไว้แบบนี้นางดีแต่ก่อเรื่องให้คนอื่น ต่อไปมีอะไรข้าจะไม่ช่วยพูดให้แล้ว”

   สาวใช้ที่รออยู่นอกประตูวางสีหน้าไม่ถูกครั้นจะเร่งก็ไม่กล้า พอคุณหนูกระทืบเท้าเดินออกมานางถึงรีบกระวีกระวาดไล่ตามหลัง เมิ่งตงหลานออกจากห้องไปแล้ว มาไวไปรวดเร็วเหมือนพายุเข้า ทิ้งแต่น้องสาวคนเล็กที่เอาแต่นั่งทำแก้มอูมกับน้องสาวคนรองที่เอาแต่คว้าเอาของว่างบนโต๊ะเข้าปาก ซุนซีที่อยู่ดูแต่ต้นจนจบไม่รู้จะแสดงสีหน้าอย่างไร

   “...ลูกเพื่อนท่านพ่อไม่เห็นดี เป็นผู้ชายสกุลอวี้แถมยังรับราชการ คงเป็นพวกหน้าเหี้ยม ดุเหมือนหมีภูเขา”

   และพอคนเด็ดขาดหายตัวแม่คนเล็กถึงกล้าบ่นกระปอดกระแปด เมิ่งชุนเถาทนฟังมานานเริ่มชักสีหน้า

   “คนนั้นไม่ดีคนนี้ก็ไม่เอา ดูเถอะ เจ้าเลือกคนที่ดีที่สุดจะไปหาที่ไหนได้ จากสามัญชนไปข้าราชบริพาร จากข้าราชบริพารไปฮ่องเต้ แล้วจากฮ่องเต้ก็คงเป็นเทพเซียนล่ะกระมัง”

   น้องเล็กทำแก้มอูม “ก็ดี! ข้าจะได้ไม่ต้องแต่งกับใครหน้าไหน”

   “อย่าเถียงกันเลย เสี่ยวเถาก็อย่าไปว่าน้องนัก” คนกลางเกลี้ยกล่อมเสียงอ่อน “อีกไม่กี่วันเจ้าจะจากบ้านแล้ว ยังทะเลาะกันอยู่อีก”

   เมิ่งเซี่ยเหมยค้อนวงโตใส่คู่กรณีก่อนโถมตัวประจบซบอ้อนพี่ใหญ่ ด้วยความหมั่นไส้คนถูกมองค้อนก็หยิกแขนจนนางร้องลั่น

   “พี่สามแกล้งข้า!”


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :3123:

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
นังพี่2 คนนี่ก็เก่งจ้นน หล่อนลืมไปแล้วมั้งว่าที่ตัวเองได้แต่งกับคนที่ตัวเองอยากก็เพราะ ได้นายเอกช่วย แล้วตัวเองก็ต้านพ่อตัวเอบมาเหมือนกัน หื้มมมม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [จีนโบราณ] บุปผบุรุษ :: บทที่10 03/01/63
« ตอบ #49 เมื่อ: 04-01-2020 23:51:35 »





ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ก็แอบหมั่นไส้พวกพี่สาวนะ เรื่องแต่งงานสำหรับผู้หญิงคนไหนก็เรื่องใหญ่ทั้งนั้น ทำไมตัวเองเลือกได้แต่น้องเลือกไม่ได้ล่ะ รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 11

   ขบวนเจ้าสาวสู่เมืองหลวงยิ่งใหญ่สมฐานะบุตรข้าราชการชั้นสูง เสียงฆ้องเครื่องดนตรีและประทัดดังเหมือนจะส่งขึ้นไปได้ถึงสวรรค์ เมื่อเกี้ยวแปดคนหามลับไปจากประตูเมือง เบื้องหลังจึงทิ้งไว้แต่เรือนเก่าที่เงียบเหงายิ่งกว่าเคย

   ชุดชามกับตะเกียบยามตั้งโต๊ะหายไปอีกชุดหนึ่งแต่มีคำตัดพ้อของอาตงเพิ่มเข้ามาแทน ซุนซีไม่นึกรำคาญนางเท่าที่ควร อาจเพราะตนได้ถือโคมไปส่งเมิ่งชุนเถาถึงเมืองหลวง เป็นประจักษ์พยานงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ที่นางไม่มีโอกาสได้ไป และได้พักอยู่เรือนคนใช้หลังโตที่อาตงหมายมาดว่าตนจะได้เข้าไปอาศัยเป็นหญิงรับใช้ฮูหยินคนใหม่

   พังครืน ทุกอย่างพังครืนเมื่อโชคชะตาดำเนินไม่ตรงใจหวัง

   ของหมั้นหมายจากสกุลอวี้เก็บรักษาอยู่ในห้องนอนใหญ่ ความพยายามของเมิ่งเซี่ยเหมยล้มไปหลายรอบพอกับที่ซุนซียังมืดแปดด้านไม่แพ้น้องสาว เขาลงแรงส่งจดหมายน้อยไปให้อู๋ก่วนจง ทว่าวันแล้ววันเล่ากลับไร้ข่าวจากมือปราบหนุ่ม

   ‘คงตัดใจแล้ว’ หัวหน้าอู๋บอกกับซุนซีอย่างนั้น

   ซุนซีไม่เคยนึกมองสหายสนิทเป็นชายต่ำต้อยได้เท่านี้เลย ตัดใจ.. หากคนเรารักแล้วสามารถตัดใจกันได้ง่ายดายเหมือนตัดสายป่าน โลกยังเหลืออะไรให้ศรัทธาได้อีกเล่า?


   
   เสื้อผ้าสตรีไม่รู้กี่ชุดพาดตากทั้งบนเก้าอี้กลมและโต๊ะไม้ ผ้าผูกกองเกลื่อนพื้น วางทั่วจนถึงขอบตั่งตัวยาว เจ้าของห้องวัยเยาว์นั่งคล้องแขนกับคนรับใช้ต่างเพศอย่างสนิทสนมในห้องส่วนตัว เสียงหัวเราะคิกคัก มือป้อมวัดปะป่ายไปทั่วบ่าทั่วตัวคนนั่งเคียงกัน ...ใครจะกล้าว่าอันใดล่ะ? ก็นี่เมิ่งเซี่ยเหมยกับพี่ชายร่างผ่ายผอมของนาง

   “ไม่มีใครดูออกหรอกพี่ใหญ่ ดูท่านสิ ใบหน้างดงามเสมอสตรี ร่างน้อยผิวไม่กรำแดดหยาบกร้านเหมือนพวกคลั่งวิชาข้างนอกนั่น ข้อมือเล็ก เท้าท่านยังเล็กยิ่งกว่าข้าเสียอีก” เมิ่งเซี่ยเหมยกล่าวฉอเลาะ มือก็ลูบเนื้อลูบตัวอีกฝ่ายไปเรื่อย “หรือจะเพิ่มน้ำหนักอีกสักหน่อย พี่ใหญ่รู้รึเปล่าบุรุษก็นมตั้งเต้าได้นะ แบบพ่อค้าหมูในตลาด -- โอ้ย!”

   แม่ตัวดีสูดปากร้องโอดโอยเมื่อเจ้าของข้อมือเล็กที่ว่าหยิกแขนนางจนเนื้อเขียว

   “พอได้แล้ว จะพูดอย่างไรข้าก็ไปแทนเจ้าไม่ได้” ซุนซียืนยันคำเดิมตัดบท ทำเอาคุณหนูสามเบ้หน้า

   “ข้าขอร้องนะพี่ใหญ่” นางเขย่าแขนพี่ชายเบาๆ ช้อนตาทำเสียงกระเง้ากระงอด “ตกลงเถอะนะ.. แค่ขึ้นเกี้ยวแทนข้าแล้วถึงกลางทางก็กลับได้ ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย”

   คราวนี้ซุนซีกดสายตามองดุ ถึงเขาไม่พูดดูหน้าก็รู้ว่ากำลังปฏิเสธไม่ผิดแน่

   แต่เท่านี้ไม่ทำให้นางย่อท้อ เมื่อไม้อ่อนใช้ไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นไม้แข็ง “ได้ พี่ใหญ่รู้ใช่หรือไม่ว่าข้าเป็นคนพูดจริงทำจริง” นางเกริ่นขึ้นมาก่อน

   “รู้” ซุนซีตอบ เรื่องนี้ย่อมรู้ดีกว่าใคร

   “อย่างนั้นก็สลับตัวกับข้าซะ อาซุน นี่เป็นคำสั่งของคุณหนูสาม”

   เมื่อก่อนหัดเรียกคุณหนูนางร้องไห้งอแงไม่หยุดจนกว่าจะเรียกนางว่าเสี่ยวเหมย เดี๋ยวนี้เพื่อจะเอาที่ต้องการ นางกลับอยากจะเป็นคุณหนูขึ้นมา

   ซุนซีส่ายศีรษะ รู้ว่าพูดไม่เกิดประโยชน์ก็นิ่งเสีย เขาตั้งท่าจะลุกกลับออกจากห้อง ไม่ทันวางเท้าลงกับพื้น เสียงเฉียบขาดพลันประกาศก้อง

   “หากท่านยืนยันจะไม่ไปแทนข้า วันงานทุกคนจะได้เอาป้ายวิญญาณเมิ่งเซี่ยเหมยขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแน่”

   “เสี่ยวเหมย!” เขาเอ็ดเสียงดัง เจ้าของชื่อยังจ้องไม่หลบสายตา

   “ข้าพูดจริง” นางยืนกรานเสียงแข็ง ไม่มีวี่แววล้อเล่น “และจำไว้ด้วยว่าพี่ใหญ่เป็นคนบีบให้ข้าทำอย่างนี้”

   พี่ใหญ่พินิจดวงหน้าสะสวยปราศจากแววไหวหวั่น ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น...ทาบเงาท่านลุงได้พอดิบพอดี



   ซุนซีส่งจดหมายไปเล่าความให้คุณชายอินทรีฟังอีกหน บอกเรื่องไว้ใต้นาม ‘ปัญหาของเพื่อนคนหนึ่ง’ แล้วเฝ้ารอคำตอบจากชายผู้นั้น เขาไม่รู้ว่าควรจะจัดการชีวิตตนเองหรือช่วยเมิ่งเซี่ยเหมยอย่างไร นานเข้าวันส่งตัวเจ้าสาวก็คืบเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ผลการดูดวงสมพงศ์ก็มาถึงบ้านสกุลเมิ่งแล้ว และดูเหมือนชะตามังกรกับหงส์จะปรากฏอยู่บนกระดาษแผ่นน้อยใบนั้น

   เขายังจำรอยยิ้มยินดีของท่านลุงได้ จำได้แน่ชัดพอๆ กับสีหน้ายาวของเมิ่งเซี่ยเหมย

   ไม่นานจดหมายจากยิงฉู่หยุนก็ตอบกลับมา เนื้อความทำเรื่องที่เขาหนักอกคลายลงหลายส่วน แม้จะเขียนมาเพียงว่าให้เพื่อนคนนั้นทำในสิ่งที่อยากทำและสนใจแต่เพียงว่านี่เป็นชีวิตตนเองตนเองต้องลิขิตเป็นสำคัญก็เถอะ แต่สำหรับเขาที่ลังเลใจว่าสิ่งที่จะลงมือทำเป็นการหักหลังผู้มีพระคุณรึเปล่าก็ช่วยได้มาก

   ชีวิตตนเองตนเองต้องลิขิต ใครเล่าจะมารับผลทุกข์ยากกับเราเมื่อเผชิญหน้ากับอนาคตด้วยตัวของเราเอง...ก็มีเพียงตัวเราเท่านั้น

   ในเมื่อชีวิตก็เป็นเช่นนี้แล้วจะให้ส่งน้องสาวคนเล็กของเขาไปแต่งงานอย่างไม่เต็มใจได้อย่างไร



   ห้องคุณหนูคนสุดท้ายที่ยังอยู่ในบ้านหลังใหญ่ปิดสนิท ประตูลงสลักกลอนแน่นหนา แม้เวลานี้เป็นยามเฉิน  แดดส่องมาไม่ถึงข้างในยังพอเหลืออากาศเย็นไม่เหนอะตัว เสียงซ้อมพลองแว่วดังมาจากด้านนอกไกลๆ ส่วนในห้องมีเพียงเสียงสะบัดผ้าดังเป็นระยะ

   ซุนซีคอยพับเสื้อผ้าที่กองสุมอยู่บนเตียงสีหน้าเคร่งเครียด สาวน้อยเจ้าของห้องอีกนางหนึ่งนั่งขดมุมอยู่ด้านใน สองมือกอดหมอนสี่เหลี่ยมไว้คล้ายว่าพยายามทำตัวเองให้ตัวเล็กที่สุด

   เจ้าสำนักเมิ่งยอมทำตามคำขอเอาแต่ใจของแม่สาวน้อย งานแต่งจะจัดที่จวนเจ้าเมืองเสวี่ยซานหลังขบวนเจ้าสาวเดินทางไปถึง พิธีรีตองมากมายถูกละไว้ให้เรียบง่ายแม้อาจขัดใจใครหลายฝ่าย เท่านั้นเมิ่งเซี่ยเหมยยังกำชับไม่เอาสาวใช้ตามไป ..แน่ว่านางขึ้นชื่อเรื่องหัวดื้อและแสนเอาแต่ใจ เพื่อให้งานแต่งสำเร็จผู้ใหญ่บ้านเมิ่งทำตามคำขอนางแน่แล้ว แต่แปลกที่ทางเจ้าบ่าวยินยอมแต่โดยดี

   เมิ่งเซี่ยเหมยวางแผนไม่รัดกุมแต่คงไม่มีใครคาดคิดว่านางจะกล้าทำลายพิธีวิวาห์ ซุนซีกำชับให้เก็บเป็นความลับแค่สองคน ในเมื่ออาตงไม่รู้ คนอื่นยิ่งไม่รู้ใหญ่ เขาไม่อยากให้คนอื่นโดนหางเลขไปด้วยตอนกลับมาสารภาพผิด ..และไม่กล้าหาญพอจะจินตนาการว่าหากเรื่องบานปลายสกุลเมิ่งจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

   ซุนซีตกในห้วงความคิดไม่รู้เวลาดำเนินไปเท่าไหร่ ไม่ทันสังเกตดวงตากลมโตที่คอยจ้องเขาอยู่นานสองนาน

   “ฮึ่ม.. ถึงข้าจะเห็นด้วยกับวิธีนี้ก็เถอะ” คุณหนูเล็กส่งเสียงครางฮือ “แต่ไม่ใช่ทุกอย่างจะแก้ไขได้ด้วยปัญญากับการเจรจาหรอกนะพี่ใหญ่”

   “ได้สิ ถ้าข้าไปพูดตรงๆ ต้องคุยรู้เรื่องแน่”

   เมิ่งเซี่ยเหมยมองค้อนขัดใจ ซุนซีเห็นปราดเดียวก็รู้ว่าเถียงยิ่งนานเข้ารังแต่จะทำให้นางยิ่งงอแง มือผอมเซียวถึงได้โอบข้างแก้มแม่สาวน้อยเอาไว้

   “อย่าห่วงเลย เรื่องเรียบร้อยเมื่อไหร่พวกเราค่อยยกน้ำชาไปขอขมาท่านลุงท่านป้าพร้อมกัน”

   คนถูกปลอบเสียงอ่อนลง มือเล็กกว่าทาบทับมือนั่นไว้ “พี่ใหญ่สัญญาแล้วนะ” ซุนซีผงกศีรษะรับคำ เพียงเท่านั้นก็พอเรียกรอยยิ้มให้แต้มบนใบหน้าคุณหนูเล็กสกุลเมิ่งได้

   เมิ่งเซี่ยเหมยเงียบไปนาน ค่อยๆ ลดศีรษะก้มหน้าซุกหมอนสี่เหลี่ยมใบโต

   “พี่ใหญ่.. ข้ารักพี่นะ”

   เขาผ่อนลมหายใจยาว “ข้ารู้ เจ้าเองก็รู้ว่าข้ารักเจ้าเหมือนกัน น้องสาว”

   มาดของคนเจ้าอารมณ์เปลี่ยนกลายเป็นแมวเซื่อง เสียงฮื่อตอบรับเพียงลอดลำคอแผ่วเบา

   “เสี่ยวเหมย.. จำเอาไว้ว่าต่อจากนี้เจ้าขอใครให้ช่วยมากไปกว่าที่ขอกับข้าไม่ได้ และจะลากคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับปัญหาของตัวเองอีกไม่ได้เหมือนกัน”

   “ครั้งนี้ครั้งเดียวจริงๆ...”

   “สัญญากับตัวเองเถอะ เวลาที่พี่ไม่อยู่คอยเตือน เจ้าต้องหัดใจเย็นไม่ทำอะไรวู่วามเอาอารมณ์ร้อนเข้าว่า”

   ปลายนิ้วสากลูบผะแผ่วตามแนวลูกผม ไล่เรื่อยไปเช็ดพวงแก้มเปื้อนน้ำตา ยิ่งปลอบนางยิ่งร้องโฮเป็นทำนบแตก

   “สักวันเจ้าก็จะเข้าใจ รอให้เจ้าโตกว่านี้ ...เสียดายก็แต่วันเกิดปีหน้าคงไม่มีข้าคอยอยู่เฝ้าเจ้าเล่นดอกไม้ไฟ”

   “สัญญา..ข้าสัญญา...”

   เมิ่งเซี่ยเหมยโผเข้ากอดซุกหน้าอยู่กับอกพี่ชาย เขาสิ้นคำพูด ทำเพียงใช้มือซูบผอมลูบช้าๆ ตามแผ่นหลังสั่นเทา นางสะอื้นตัวโยนเป็นเด็กน้อย เสียงสูดจมูกร้องฮึกอย่างคนพยายามอดกลั้นดังอู้อี้

   คุณหนูเล็กไม่เคยฟังใคร นางยังเยาว์นัก ขาดป้าหม่าแล้วยังขาดเขาไปอีกคนใครจะคอยปลอบแม่เด็กขี้แยหัวดื้อ

   คิดได้อย่างนี้ไม่แปลกที่จะกังวลใจ..



   สกุลเมิ่งเหลือลูกสาวคนเล็กเพียงคนเดียวแล้ว แม้ไม่เอ่ยปากแต่ความหวงแหนของพ่อแม่ต้องเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย ครึ่งปีนี้คุณหนูเล็กตั้งใจทำตามข้อตกลงพี่ใหญ่เป็นอย่างดี ความเอ็นดูที่คนรอบข้างมอบแก่นางก็ยิ่งทบทวี แม้ไม่พูดแต่ท่านเจ้าสำนักแสดงออกหลายครั้งว่าใจจริงไม่อยากให้บุตรีคนเล็กจากบ้านไปไกล ยามเย็นวันหนึ่งหลังร่ำสุราหลายขวดท่านยังเคยเปรยขึ้นมาว่าตามจริงแล้วไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นเมิ่งเซี่ยเหมย อย่างไรวิญญูชนย่อมต้องรักษาสัตย์

   โต๊ะอาหารคืนสุดท้ายจึงเงียบเชียบ หลี่ฮูหยินที่นานครั้งจะเป็นคนเปิดบทสนทนาเอ่ยทักดึงบรรยากาศ

   “เด็กๆ โตไวจริงนะท่านพี่ เผลอไม่กี่ปีก็จากบ้านออกเรือนกันหมดแล้ว”

   “...” เจ้าสำนักตีหน้าเคร่งขรึม ตะเกียบคีบเอาเนื้อหมูแดงใส่ชามข้าวลูกสาวคนเล็ก

   เมิ่งเซี่ยเหมยมองหมูในชามสลับกับหน้าพ่อ ริมฝีปากเม้มแน่นสั่นระริก นางพยายามเคี้ยวข้าวในปากทั้งหน้ายู่

   “พ่อไม่เคยทำดีกับเจ้าสักครั้ง” อาจารย์เมิ่งสุดจะทนก็โพล่งขึ้นมา “แต่ไม่ได้หมายความว่าพ่อเป็นห่วงเจ้าน้อยกว่าคนอื่น ถ้าพ่อไม่รักเจ้าแล้วจะให้ไปรักไปหวังดีกับหมาที่ไหน”

   “พอเลย!” ลูกสาวร้องขัดขึ้นมา

   “เซี่ยเหม--”

   “ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าท่านพ่อไม่เคยบอกรักข้า...ไม่เคยเลย ทีอย่างนี้ยังจะมาพูดให้ข้าร้องไห้อีกเหรอ!”

   คนเป็นลูกกลืนก้อนสะอื้นลงคอ มารดาเพียงแต่มองเงียบๆ สบจังหวะก็ส่งสายตาบุ้ยใบ้ให้คนใช้ออกจากห้อง ซุนซีเดินตามคนอื่นๆ จนพ้นธรณีประตูไปไกล สองมือเขากุมประสานที่ท้องน้อย จะบอกว่าคลายกังวลก็ยังไม่ถูกเสียทีเดียว เวลานี้ยังรู้สึกเหมือนหินหนักอึ้งทับอยู่บนสองบ่า จะหายใจก็ทำได้ลำบากนัก

   เพียงไม่นานเสียงร้องไห้โฮแว่วดังมาจากในห้องกินข้าว ..คาดเดาไม่ถูกว่าเพราะซึ้งใจหรือเสียใจที่ต้องโกหกบุพการี



   ผู้ใหญ่บางคนก็พูดว่าเป็นลางไม่ดี ในเมื่อต้องเดินทางข้ามมณฑลเป็นพันลี้เจ้าบ่าวกลับไม่อาจมารับด้วยตัวเองกลับส่งมาแต่เพียงทหารกลุ่มหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายถือหน้าตาเป็นเรื่องสำคัญ แต่เพราะตกลงกันไว้ด้วยเงื่อนไขของว่าที่เจ้าสาวและความสะดวกของทุกฝ่าย เมิ่งเซี่ยเหมยจึงเดินทางไปแต่งที่จวนเจ้าเมืองเสวี่ยซานพร้อมขบวนสินเจ้าสาว

   ริ้วขบวนเป็นแถวยาวจากหน้าเรือนไปถึงสุดถนน เกวียนม้าลากและคนหามไม้หาบหีบบรรจุสินสอดผูกด้วยผ้าแดงมัดปลายเป็นดอกเบญจมาศดอกโต เสียงประทัดกับคนโห่ร้องยินดียังไม่กลบคำฉงนว่าเหตุใดไม่เห็นวี่แววเจ้าบ่าว กระทั่งคราวลูกเขยสกุลไป๋ยังเดินทางข้ามมณฑลมารับเจ้าสาวด้วยตัวเอง

   คนในบ้านวิ่งวุ่นไม่ได้สนใจความคิดชาวบ้าน งานแต่งลูกสาวคนไหนๆ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน หลี่ฮูหยินยกเอาชายผ้าซับน้ำตารื้น ว่ามารดาโศกแล้วสีหน้าบุตรสาวยิ่งย่ำแย่กว่า อาตงไม่ทันได้หลุดปากโพล่งอะไรก็โดนสาวใช้ด้วยกันหยิกเอวห้ามไว้ก่อน

   ปิ่นทองกับกิ่งทับทิม เครื่องหัวประดับมุกและพลอยแวววาวล้อแสงได้ไม่นานก็ถูกคลุมด้วยผ้าไหมสีมงคล เมิ่งเซี่ยเหมยเลิกชายผ้าตลบขึ้น ถึงจะโดนผู้ใหญ่เอ็ดแต่นางอาศัยยิ้มแหะๆ กลบเกลื่อน ”ไว้ค่อยคลุมทีหลังก็ได้ ข้ามองไม่เห็นทางกลัวจะสะดุดล้ม”

   “เจ้านี่นะ...” หลี่ฮูหยินถอนใจ “แล้วจะไม่ให้แม่เป็นกังวลได้อย่างไร?”

   เสียงแม่ลูกกับบรรดาสาวใช้คุยกันถูกกลบด้วยเสียงอึกทึกข้างนอก ซุนซีหอบของใช้ส่วนตัวบรรจุลงท้ายเกวียน เหงื่อผุดจนชุ่มเสื้อแนบผิว เทียบอาการกับคนหนุ่มใกล้เคียงเขากลับดูเหนื่อยเหมือนเพิ่งวิ่งขึ้นเขา ลำบากให้เด็กรับใช้ค้อมขอให้ไปนั่งพักใต้ร่มนั่นล่ะ เจ้าของร่างผอมกะหร่องถึงยอมพักได้สักที

   หยุดนั่งได้ไม่ทันไรเจ้าสาวก็เดินออกมาจากห้องนอนใหญ่ รอยยิ้มประดับบนใบหน้าแม่เจ้าสาวและบรรดาคนรับใช้ที่ล้อมหน้าล้อมหลัง ซุนซีตื้นตันในอก ปลื้มใจเสียยิ่งกว่าได้ออกเรือนเอง

   ประทัดและเครื่องปี่พาทย์ เกี้ยวเคลื่อนล้อเกวียนหมุน เมื่อสาดน้ำไล่หลัง จึงสิ้นสัมพันธ์ครอบครัว



   การขู่ด้วยคำว่า ‘พี่ใหญ่ไม่ไปข้าไม่แต่ง’ นัยว่ามีโอกาสทำจริงสูงเป็นประกาสิทธิ์หยุดผู้หลักผู้ใหญ่ได้เด็ดขาด สาวใช้ที่ควรได้ติดตามมาด้วยกันตอนนี้คงโล่งใจอยู่ในสำนัก เลือกได้ใครจะอยากมาตกระกำลำบากเล่า?

   ซุนซีจำสายตาของอาตงได้เป็นอย่างดี คล้ายจะตัดพ้อแต่เลือกไม่กล่าวอะไร สุดท้ายในวันส่งตัวไม่พบแม้แต่เงานาง ป้าหม่ายืนกรานเจอตัวจะดุนางให้ได้แต่เมิ่งเซี่ยเหมยขอไว้...ขอเหมือนครั้งที่เมิ่งชุนเถาจะไปเมืองหลวงตอนที่อาตงถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยไม่รู้อะไรสักอย่าง

   ออกเดินทางได้สองวันซุนซีไข้จับตัวร้อนจัดจนโดนบังคับให้มานั่งหัวโคลงอยู่บนรถม้า ส่วนคุณหนูที่นอกจากถามว่าตอนนี้ถึงไหนแล้วทุกๆ ชั่วยามก็กลายเป็นคนลงไปเดินยืดเส้นยืดสายเสียเอง

   ทิวทัศน์โดยรอบเปลี่ยนไปทีละน้อย ผ่านทุ่งนาและเลียบชายป่าเชิงเขา จากหมู่บ้านเคลื่อนไปตามทางเกวียน ถนนขรุขระบางครั้งล้อเหยียบเอาหินก้อนใหญ่ได้นั่งเอียงนั่งหงายตัวโยน ความพยายามในการอ่านหนังสือฆ่าเวลาถูกทำลายด้วยอาการปวดหัววิงเวียนจนต้องหยุดอาเจียนข้างทางหลายครั้ง ดีที่ได้เจ้าหนุ่มน้อยในขบวนคอยกระวีกระวาดหาน้ำให้เขา

   ฝุ่นสีส้มแดงคลุ้งคล้อยหลังบนทางเกวียน โรงเตี๊ยมที่จุดพักรถม้ารายทางนั้นไม่เหมือนที่เส้นทางไปเมืองหลวง บางแห่งก็เป็นโรงน้ำชาหลังเล็กกลางหมู่บ้าน แม่เด็กเอาแต่ใจกลับกินนอนลำบากไม่เคยบ่น นางยังคอยเรียกลูกน้องมาร่วมโต๊ะด้วยซ้ำ

   ซุนซีรู้ว่าเมิ่งเซี่ยเหมยกินอยู่ง่าย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นนางใช้ชีวิตกลมกลืนไปกับผู้อื่น ดังนั้นแม้จะอยู่กับนางตั้งแต่ยังเป็นทารก บางครั้งเขากลับรู้สึกว่าตนไม่ได้รู้จักน้องสาวคนนี้เอาเสียเลย

   อาหารแห้งผูกห่อเรียงเรียบร้อยอยู่บนรถม้า ยังมีน้ำสะอาดในไหปิดปากสนิทและเสื้อผ้ารองเท้าสำหรับเปลี่ยน

   หากวันใดคะเนแล้วตะวันลับก่อนถึงโรงเตี๊ยม พลคณะคุ้มภัยจะลงหลักปักฐานทำที่พักชั่วคราวกันบนลานดิน เหนือกองไฟมีคานไม้ปักไว้แขวนหม้อต้ม ไม่มีสุราอุ่นร้อนแต่มีชาและข้าวต้มหอมกรุ่นจากฝีมือซุนซี ต้าหนิวไล่แมลงด้วยการสุมไฟฟืนแท่งที่ทำจากขี้เลื่อยปั้นผสมสมุนไพรกับเปลือกส้มบด กลิ่นฟืนติดเสื้อผ้าและติดผมแน่น นานเข้าจมูกก็เริ่มชิน

   กวีร่ายกลอนถึงทัศนียภาพธรรมชาติไว้เช่นไรล้วนเป็นจริงเช่นนั้น ขบวนสินเจ้าสาวเคลื่อนข้ามธารน้ำและทุ่งนา สุดทางมีเรือข้ามฟากลำใหญ่รอเทียบท่า เมื่อแหวกผืนน้ำล่องไปตามทางผ่านกอต้นกกและแผ่นดินที่เคลื่อนผ่านไปเอื่อยช้า

   เด็กหนุ่มตระหนักเสมอว่าเขาไม่ได้มาเพื่อท่องเที่ยว ถึงอย่างนั้นกลับรู้สึกอุ่นใจและเป็นสุขที่ได้ออกมาเดินทางอย่างนี้ ซุนซีคอยมองยามเมิ่งเซี่ยเหมยหัวเราะร่า เดินและวิ่งดูนั่นดูนี่ไปทั่วเหมือนเด็กเล็กๆ คนเดิมที่เขาเคยรู้จัก

   ห้วงเวลาที่ไม่ต้องทำสิ่งใด ไม่ต้องกังวลสิ่งใด ซุนซีนึกสงสัยว่าเงินเท่าไหร่ถึงจะซื้อความสงบใจในยามนี้ได้

   ซุนซีนั่งพับชุดซักสะอาดเก็บเข้าห่อผ้าอยู่คนเดียวในห้องพัก แดดข้างนอกแรงเสียจนตาพร่า ไอร้อนผะผ่าวพัดเข้ามาถึงด้านในเผาแก้มจนรู้สึกแสบ ระหว่างนึกว่าจะลุกไปหาน้ำเย็นดื่ม หางตาพลันเห็นหัวกลมๆ ผมดำสนิทโผล่หน้าจากขอบประตู ดวงตากลมโตจ้องซุนซีด้วยแววเจ้าเล่ห์เหมือนลูกจิ้งจอกน้อย ครู่เดียวเจ้าตัวก็กระโดดผลุบเข้ามานั่งแซะก้นเบียดข้างๆ

   “นี่ของพี่ใหญ่หรือ?” ไม่ว่าเปล่า มือเจ้าคนถามรื้อกองที่เพิ่งพับไปเรื่อย “ข้าชอบอันนี้ อ้อ! นี่ แล้วไอ้นี่ผูกตรงไหน”

   ซุนซีเหลือบมอง นางรื้ออะไรเขาก็ตามไปพับใหม่อีกรอบ “นั่นเอาไว้ผูกเอว มัดกางเกงไว้ก่อนแล้วถึงค่อยใช้ผ้าคาดทับเสื้อ”

   เมิ่งเซี่ยเหมยตามไปรื้อกองที่ยังพับไม่เสร็จดี คว้าเสื้อตัวยาวออกมาสะบัดกางก่อนจะพาดไว้ด้านหลังตัวเอง ประเดี๋ยวก็รื้อเอาที่ครอบผมขึ้นมาลูบๆ คลำๆ นัยน์ตาซุกซนเป็นประกายพราวระยับ นิ้วเรียวดึงเอาปิ่นเสียบมาหมุนพลิกซ้ายพลิกขวาท่าทางพึงพอใจ

   “ข้าขอยืม พี่ใหญ่ช่วยข้าทำผมหน่อย” นางถามไม่รอคำตอบอย่างเด็กเอาแต่ใจ ผมรวบถักเป็นทรงพริบตาหนึ่งก็ปลดรื้อลงมาสยายเล่นลม แพรไหมสีดำขลับทิ้งตัวลงมาถึงสะบั้นเอว...เทียบกับของพี่สาวยังถือว่าสั้น ไม่รู้ว่าไปแอบตัดมาตั้งแต่เมื่อไหร่

   ซุนซีส่ายหน้าระหว่างคลานเข่าย้ายไปอยู่ด้านข้างแม่จอมแก่น มือผ่ายผอมเกี่ยวเก็บเอาปอยผมทีละน้อย รวบมัดขึ้นเป็นมวยก่อนสอดที่ครอบตรึงเป็นทรงสูง ทิ้งไรผมกลุ่มน้อยๆ สองช่อด้านหน้าพอไม่ให้ตึงจนเรียบนัก

   คุณหนูเล็กเอามือแตะๆ มวยผมตัวเอง นางใช้นิ้วบิดปอยด้านหน้าเป็นเกลียวก่อนสองนิ้วจะดึงรูดเล่นช้าๆ รอยยิ้มสว่างไสวเป็นดวงตะวัน เสียงเจื้อยแจ้วถามว่าดูเหมาะใช่ไหม

   “แต่งชุดสตรีเหมาะกว่า” เขาตอบด้วยสีหน้าหน่ายใจ แม่หนูฟังแล้วย่นจมูก

   “ผิดแล้ว! พี่ต้องบอกว่าข้าดูดีสิ เหมือนจอมยุทธ์หนุ่มมาดสุขุม” นางว่าพลางกรีดมือคลี่พัดในจินตนาการ เชิดใบหน้าขึ้นนิดหรี่ตาลงอีกหน่อย เหมือนเด็กขโมยของบิดามาใส่ แต่แน่ล่ะ เขาไม่ได้พูดออกไป

   เด็กเอาแต่ใจขอได้ก็เอาใหญ่ นางยึดเอาเสื้อผ้าสำรองเขาไปผลัดสวมจากชุดรุ่มร่ามเป็นกางเกงและรองเท้าผ้า โยนข้าวของทั้งป้ายประจำตัวทั้งกำไลของหมั้นให้พี่ชายดูแลราวว่าไม่ใช่ของสำคัญ

   “เสี่ยวเหมย เปลี่ยนชุดแล้วห้ามออกไป--”

   นั่นประไร ไม่ทันขาดคำร่างจ้อยก็โลดกระโจนออกไปนอกห้อง เสียงหัวเราะชอบใจดังมาจากหนุ่มๆ สำนักคุ้มภัย โดยเฉพาะคำเรียกคุณชายน้อยดูท่าจะมาจะมาจากตงเต๋อข่ายที่อายุไล่เลี่ยกับนาง ซุนซีออกไปทันเห็นแม่ตัวดีกำลังวาดมือเคลื่อนเท้าเดินปราณให้คนอื่นชมเป็นขวัญตา

   ต้าหนิวเขกกระโหลกพวกเด็กหนุ่มที่พาลเล่นสนุกไปกับนาง แต่พอสบสายตาซุนซี ชายตัวโตก็ทำหน้าถมึงทึงก่อนหันไปทางอื่น ...ซุนซีรู้สึกตัวเล็กจ้อยลงกว่าเดิม

   ตงเต๋อข่ายเดินลูบหัวป้อยๆ มาหาเขา ยิ้มแฉ่งอวดฟันขาว “ซุนเกออาการดีขึ้นหรือยัง”

   “...เจ้าก็ดูคุณหนูสามสิเต๋อข่าย ข้าไม่อาการทรุดไปอีกก็ดีแค่ไหนแล้ว”

   เด็กหนุ่มฟังแล้วหัวเราะร่วน แล้วหมัดเล็กๆ จากไหนไม่รู้ก็ลอยมาเขกหัวตงเต๋อข่ายซ้ำที่เดิมอีกรอบ

----------------------

เราอยากแสดงให้เห็นว่าแต่ละคนก็คิดถึงเรื่องของตัวเองเป็นหลักน่ะค่ะ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะมองเรื่องของตัวเองก่อน
จะเห็นว่าชุนเถา(คนรอง)เองก็จะไม่ช่วยพี่สาวคนโตถ้าไม่ใช่เพราะว่าตัวเองจะโดนพ่อให้แม่สื่อมาดูตัวเหมือนกัน
ส่วนของน้องเล็กเซี่ยเหมยจะสื่อออกมาในรูปแบบไหน อีกไม่กี่ตอนก็จะเฉลยให้เห็นแล้วค่ะ :mc4:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอๆ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บทที่ 12

   ขบวนสินเจ้าสาวเข้ามาถึงเมืองอู่ชางพร้อมกับกลุ่มวาณิชย์ที่เพิ่งเคลื่อนเกวียนผ่านเข้าลานขนสินค้า ทิวธงอักษร ‘หู่’ ปลิวไสวตามแรงลม หมู่ตึกห้างร้านใต้การดูแลของสกุลเมิ่งกินอาณาบริเวณจากประตูเมืองทิศใต้จนถึงสะพานใหญ่ข้ามไปฝั่งเหนือ ยามบ่ายเช่นนี้ผู้คนเดินกันจอแจ ลูกหาบเข็นเอารถลากขนสินค้าย้ายจากร้านรวงไปส่งถึงที่ พ่อค้าในชุดไหมเป็นมันเลื่อมอย่างดีเดินสวนกับชาวต่างชาติผิวแดงดำที่สวมชุดโพกหัว เสียงคุยจอแจต่างภาษาเจรจาค้าขายดังมาจากแต่ละหัวมุมเป็นเรื่องปกติ

   ทันทีที่รถม้าเจ้าสาวจอดถึงที่คนรับใช้จากคฤหาสน์สกุลเมิ่งก็ปรี่เข้ามารับเมิ่งเซี่ยเหมย นางต้องผละออกมาจากบรรดาเพื่อนร่วมเดินทาง ตรงดิ่งไปที่เรือนหลักเพื่อทำความเคารพเจ้าบ้านอย่างแม่ใหญ่กับท่านเจ็ดที่รอการมาถึงของนางตั้งแต่หัววัน

   ท่านเจ็ดเป็นน้องชายร่วมมารดาของเจ้าสำนักเมิ่งชาง แม้จะเป็นคนคุมการค้าแต่ยังต้องคอยฟังคำแนะนำจากแม่ใหญ่ ซุนซีเคยเจอแม่ใหญ่มาหลายครั้งตอนท่านไปเยือนสำนักที่หวงซาน แต่กับท่านเจ็ดตนเพิ่งเคยพบหน้าเป็นครั้งแรก นอกจากรูปลักษณ์ที่คล้ายเจ้าสำนักหู่โหวถึงหกส่วน นิสัยอย่างอื่นไม่มีส่วนคล้ายกันเลย

   นอกจากเข้าไปทำความเคารพ ซุนซีไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปยุ่มย่ามในเรือนใหญ่แม้จะถือฐานะพ่อบ้านที่เป็นที่ไว้วางใจของเมิ่งเซี่ยเหมย คนจากบ้านใหญ่จัดให้เขากับคนจากสำนักพักที่ห้องคนรับใช้ ส่วนคุณหนูที่มาด้วยกันแยกไปพักต่างหากอยู่ในเรือนเล็กห่างออกไป นับตั้งแต่มาถึงเขาก็ไม่ได้เห็นเมิ่งเซี่ยเหมยอีก

   ได้ยินข่าวจากคนรับใช้ด้วยกันเพียงแต่ว่าท่านเจ็ดฉุนเอาการที่มีแต่ผู้ชายร่วมขบวนเจ้าสาว เห็นว่าจะจัดเอาสาวใช้ให้ตามไปด้วย ...แต่ใครๆ ก็รู้ว่าท่านเจ็ดตามใจหลานคนนี้ยิ่งกว่าลูกชายตัวเอง อะไรก็ไม่แน่นอนทั้งนั้น



   พักได้ไม่นานขึ้นวันพรุ่งก็ต้องเร่งเดินทางต่อแล้ว ซุนซีอาศัยเวลาเย็นจัดการอาหารตรงหน้าเงียบๆ พุ้ยตะเกียบตักข้าวเข้าปาก เสียงเอ็ดตะโรดังมาจากฟากหนึ่งก่อนคนในโรงอาหารจะรีบลุกขึ้นยืนพร้อมเพรียง ใครบางคนพูดว่าคุณชายห้ามาทำเอาเขาแทบสำลักผัดผัก ซุนซีรีบลุกขึ้นทันที

   เด็กชายวัยสิบเอ็ดปีเดินอาดๆ เข้ามาข้างใน เขายกมือขึ้นเป็นเชิงบอกให้คนอื่นในโรงอาหารทำตัวตามสบายสักพักเสียงพูดคุยถึงกลับมาดังตามปกติ หนุ่มน้อยยศสูงตรงดิ่งมานั่งตรงข้ามซุนซี เผยยิ้มกว้างเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบกับรอยบุ๋มลักยิ้มน่าเอ็นดู

   “เหล่าซุน!” คุณชายห้าทักเสียงใส “ท่านสบายดีหรือไม่”

   “ข้าสบายดีขอรับ ไม่ทราบว่าคุณชายมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือไม่”

   เด็กชายเกาแก้มแก้เก้อ เหลือบมองทางซ้ายทีขวาทีก่อนจะอ้อมแอ้มพูด “คือ...ตงเซี่ยงจูน่ะ..”

   ซุนซีพยายามอย่างมากที่จะข่มใจกลั้นยิ้ม อาตงใจแข็งกับเด็กตัวเท่านี้ได้อย่างไร! ดูใบหูที่เริ่มขึ้นสีเพราะพูดถึงชื่อคนที่เขาชอบนั่นสิ! เขารู้สึกเหมือนจะขาดอากาศหายใจตาย รีบดื่มน้ำกลบเกลื่อนยกใหญ่

   “ตงเซี่ยงจูบอกว่าชอบหวีที่ท่านให้ขอรับ”

   ดวงตาคนอ่อนวัยกว่าเป็นประกายสุกใส “เหรอ! เอ่อ.. แล้ว แล้วนางว่าอะไรอีกไหม?”

   “นางบอกว่าชอบคนที่ว่ายน้ำเก่งๆ ขอรับ”

   คุณชายน้อยมีสีหน้าครุ่นคิด พึมพำเสียงค่อยว่าว่ายน้ำงั้นเหรอ.. ครู่เดียวก็ผุดลุกขึ้นยืนกล่าวเสียงชัดเจน

   “ข้ามีเรื่องต้องทำ เหล่าซุนกินต่อเถอะ”

   โดยไม่ต้องรอให้บอกลาคุณชายห้าก็จากไปไวเหมือนสายลม ซุนซีเอามือวางทาบอกตัวเอง อา... ความรักของหนุ่มสาวช่างสวยงาม ช่างสวยงาม...


 
   ซุนซีลืมตาลุกขึ้นนั่งในความมืด เหงื่อผุดเม็ดโตเต็มหน้าผาก เขาเอาชายแขนเสื้อซับลวกๆ ก่อนลุกจากเตียง คว้าเสื้อจากราวตากแล้วเดินเงียบเชียบข้ามเด็กรับใช้คนอื่นออกไปนอกห้อง ยามนี้ฟ้ายังไม่ทันสาง ขอบสีส้มเรืองรองยังไม่ทันปรากฏตรงเส้นขอบฟ้าที่ถูกบังด้วยหลังคาหมู่ตึกการค้าสกุลเมิ่ง

   เสียงขบวนพ่อค้าเคลื่อนม้าลากเกวียนออกจากศูนย์สินค้าตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้น อากาศยังหนาวอยู่เมื่อเทียบกับยามเช้าในหวงซาน ซุนซีกระชับเสื้อคลุมให้แนบผิวขึ้นอีกนิด ผ่อนลมหายใจยาวจนหัวสมองโล่ง

   อีกแค่ไม่กี่ชั่วยามขบวนเจ้าสาวจะออกเดินทางแล้ว

   หลังจากไปขอเอานมต้มร้อนๆ มาจากเด็กรับใช้ด้วยกัน สองเท้าก็พาซุนซีมาหยุดใกล้ทางเข้าเรือนพักเจ้านาย เมื่อปราศจากลมสวนด้านนอกดูคล้ายภาพนิ่ง แม้แต่ผิวน้ำก็ไม่มีริ้วระรอกคลื่น ไม่มีวี่แววหญิงรับใช้ด้านนอก ภายในเรือนเล็กคล้ายเรือนร้าง...ดูเงียบเสียจนน่าแปลกใจ

   ซุนซีสังหรณ์ไม่ดี เขาเดินผ่านสวนตรงไปหยุดที่หน้าประตูปิดสนิท เช้าอย่างนี้ต่อให้เมิ่งเซี่ยเหมยยังไม่ตื่นสาวใช้ก็ต้องตื่นแล้ว สิ่งที่ตอบมากลับมีเพียงความเงียบ

   “คุณหนูสาม คุณหนูสาม” ถามหาอีกครั้ง เมื่อเงี่ยหูฟังกลับไมได้ยินเสียงใดๆ เขาร้อนใจลงมือเขย่าประตูลงกลอนจนโยกโยน “มีใครอยู่ข้างในไหม!”

   เมื่อไม่มีเสียงตอบรับอารามตระหนกก็กระแทกประตูซ้ำๆจนเปิดผางเข้าไป หรี่ตาเพ่งมองในความมืดเห็นม่านเตียงปิดอยู่เพียงซีก ขาใครสักคนล้มนอนอยู่บนพื้นยิ่งทำให้วิตกจนแทบล้มทั้งยืน

   “เซี่ยเหมย!” ซุนซีร้องลั่น วิ่งเข้าไปประคองสตรีร่างเล็กที่นอนทรุดอยู่ – ไม่ใช่เซี่ยเหมยแต่เป็นหงเหมยคนรับใช้ เขาแทบจะปล่อยนางทิ้งลงพื้นอีกรอบแล้วถ้าไม่ติดที่มองไปรอบๆ และบนเตียงก็พบเพียงความว่างเปล่า!

   หงเหมยร้องโอดโอยเมื่อโดนเขย่าให้ฟื้นสติ นางกุมหลังคอด้วยอารามปวดไม่หาย แต่เมื่อตื่นเต็มตาขึ้นดีแล้วใบหน้าขาวแฉล้มกลับกลายเป็นซีดเผือด คราวนี้เป็นนางที่เขย่าตัวซุนซีเสียแทน

   “พ่อบ้าน พ่อบ้านซุน! ข้าจะทำอย่างไรดีคุณหนูหนีไปแล้ว!” นางหวีดร้องแทบสิ้นสติ น้ำตาไหลอาบสองแก้ม “ข้าตายแน่แล้ว ตายแน่”

   “ใจเย็นก่อน รีบเล่าให้ข้าฟังว่าเกิดอะไรขึ้น”

   ซุนซีพยายามคงสติไว้แม้สภาพไม่ได้ดีไปกว่าสาวรับใช้ตรงหน้า ฟังนางเล่าว่าราวชั่วยามก่อนตอนนางตื่นมาเตรียมตัวทำงานตอนเช้าก็เห็นเมิ่งเซียเหมยตื่นก่อนแล้ว ใส่เสื้อผ้าปลอมตัวเป็นผู้ชาย รู้ตัวอีกทีก็โดนฟาดจนสลบไป ...คราวนี้เป็นซุนซีที่นึกอยากหมดสติแทน

   เขาย้อนนึกถึงขบวนพ่อค้าเปอร์เซียที่เคลื่อนพลไปเมื่อเช้า คิดได้เท่านั้นก็กวดฝีเท้าออกมาจากเรือนพุ่งตรงไปที่ลานขนสินค้า แม้จะที่หน้าแดงเพราะเหนื่อยหอบและหายใจไม่ทันจนแสบในอกก็ยังไม่ยอมหยุดวิ่ง ในหัวคิดไม่หยุดว่าควรต้องทำอย่างไร

   สองเท้าลากอย่างอ่อนล้า กลุ่มพ่อค้าเมื่อเช้าจากไปนานโขแล้ว ซุนซีทึ้งอกเสื้อให้ตนหยุดหอบ ลากสังขารกึ่งวิ่งกึ่งเดินกลับไปที่ห้องพัก เดินไม่กลัวว่าจะปลุกใครตื่นพุ่งหยิบเอาย่ามใบโตยัดผ้าใหม่กับของจำเป็นลงไป รุดออกนอกที่พักพร้อมเงินติดตัวทั้งหมดที่มีในย่ามตรงไปที่โรงอาหาร

   ฟ้าสว่างแล้ว คนที่เฝ้าเวรยามกะดึกและคนเตรียมสินค้าเข้ามาหาอะไรรองท้องทั้งก่อนเข้านอนและไปทำงานยามเช้า ซุนซีกวาดสายตาไวๆ มองหาคนรู้จัก เมื่อเห็นแผ่นหลังเล็กๆ นั่นก็ก้าวยาวเข้าไปเรียก

   “เต๋อข่าย”

   เจ้าของแผ่นหลังงองุ้มเพราะกำลังตั้งหน้าตั้งตาใช้ตะเกียบคีบกับรีบหันมามอง เห็นว่าเป็นใครมาเรียกก็ยิ้มแป้น ก่อนรอยยิ้มจะหายวับเมื่อพบว่าพี่ชายสีหน้าไม่สู้ดีนัก

   ตงเต๋อข่ายรีบพุ้ยข้าวเข้าปาก ยกน้ำแกงดื่มอึกใหญ่แล้วถึงหันมาหาเขา เอาแขนเสื้อเช็ดหน้าเช็ดตายกใหญ่ “พี่ชายมีอะไรหรือ?”

   ซุนซีส่งย่ามใบใหญ่ให้รับไว้ ก้นถุงปูดห้อยออกมาด้วยน้ำหนักมากกว่าของอื่น ยินเสียงโลหะอัดแน่นอยู่ในนั้น

   “เจ้าลืมของ จะเดินทางก็ตามขบวนพ่อค้าตอนเช้าให้ทันสิ้นฤดูร้อน (เซี่ย) ปิ่นดอกเหมยขายอยู่ที่นั่น ท่องในยุทธภพระวังตัวให้มาก ..หากอยากกลับมาสำนักเมื่อไหร่ก็ให้กลับ – รีบไปได้แล้ว”

   ตงเต๋อข่ายมองตาโต จับดูจึงรู้ว่าเงินไม่ใช่จำนวนน้อยๆ “ข้า...นาง... ได้ พี่ชาย” เขาอ้ำอึ้งก่อนจะรีบสะพายย่ามลุกออกจากโรงเตี๊ยม เดินแผ่นหลังไวๆ ไม่ทันไรก็ขึ้นม้าหายลับตา

   ซุนซีรู้จักเด็กคนนี้มาตั้งแต่เล็ก เรื่องไหวพริบดีไม่มีใครสู้ตงเต๋อข่าย เพราะรู้เช่นนั้นถึงวางใจให้ดูแลน้องสาวคนสุดท้องของเขา

   ยืนร้อนรนอยู่อย่างนั้นไม่ทันได้วางใจดีก็ต้องรีบกลับไปรับมือชายที่แต่ไหนแต่ไรไม่ถูกหน้ากับตน เขาไม่อาจปิดเรื่องกับต้าหนิวที่เป็นคนคุมขบวนเจ้าสาวได้ หากปิดก็ปิดได้ไม่นาน สู้ให้รู้เสียตอนนี้ยังปลอดภัยกว่า คิดเตรียมใจไว้ดีแล้วจึงเดินฝ่าฝูงชนที่บ้างเตรียมของบ้างดูม้าไปหาชายร่างกำยำที่ยืนคุมงานอยู่

   แว่วๆ ว่าสินเจ้าสาวบางอย่างหายไป หลายคนวิ่งหากันวุ่น เสียงเอ็ดตะโรดังมาจากทิศที่ซุนซีกำลังเดินไป

   “ต้าหนิว” ซุนซีเอ่ยเรียก ปลายเสียงสั่นอย่างคุมไม่อยู่ “มาคุยกับข้าทางนี้”

   ชายหนุ่มเหล่สายตามองหัวคิ้วย่นยู่ ตอบรับด้วยเสียง ‘อืม’ แล้วสั่งงานทิ้งไว้ก่อนจะเดินตามเขามาที่ลับตาคนตรงหัวมุม ท่าทางหงุดหงิดเมื่อเห็นซุนซีไม่เริ่มพูดและเอาแต่มองระแวดระวัง

   “มีเรื่องอะไรให้รีบพูด” ต้าหนิวตัดบทสั้นๆ ดูรำคาญเต็มที

   “....คุณหนูสามไม่อยู่แล้ว”

   “เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไร”

   “คุณหนูสามหนีไปกับขบวนพ่อค้าต่างชาติเมื่อเช้า” ซุนซีรีบคว้าแขนเขาไว้ “เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป เรื่องนี้บอกท่านเจ็ดไม่ได้”

   ต้าหนิวชะงักฝีเท้า “เหตุใดห้ามให้ไม่บอกท่านเจ็ด” คนเถรตรงกดเสียงต่ำ ซุนซีเพิ่งเคยเห็นอาหนิวโกรธจนหน้าดำเป็นครั้งแรก เขากำหมัดทำใจสู้ได้ก็เอ่ยออกไปพอให้ได้ยินกันสองคน

   “บอกไม่ได้” คนฟังตั้งท่าจะเถียง ซุนซีรีบเสริมต่อให้จบคำ “เรื่องใหญ่เกินไป เกิดท่านเจ็ดรู้ต้องไปตามตัวคุณหนูสามกลับมาแน่ เจ้าก็รู้ว่าหากรั่วไหลถึงหูคนนอกจะกระทบกับเจ้านายเราขนาดไหน ...ทำตามแผนเดิมเถอะ เรื่องนี้ข้าจะรับผิดชอบเอง”

   “อย่าพูดพล่อยๆ!” ต้าหนิวคำรามก้อง “ชีวิตคนเจ้าจะรับผิดชอบอย่างไร เห็นเป็นเรื่องเด็กเล่นหรือพ่อบ้านซุน!”

   ซุนซีเม้มปากเป็นเส้นตรง เขาคิด...คิดได้ไม่นานก็จ้องตาเสือร้ายเขม็ง “เรื่องถึงขั้นนี้แล้วข้าถามต้าหนิวหน่อยเถิด หากน้องสาวเจ้าไม่อยากแต่งงาน เจ้าจะใจหินลากนางกลับมาแต่งลงหรือ?”

   คนถูกถามกร่นเสียงคำรามในลำคอท่าทางหัวเสียไม่น้อย ซุนซีรู้ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ แต่ให้เขาเฉือนเนื้อควักหัวใจพาตัวเมิ่งเซี่ยเหมยกลับมาย่อมทำไม่ลง

   “ข้าให้เต๋อข่ายตามไปดูแลคุณหนูแล้ว” พ่อบ้านสกุลเมิ่งลูบคนร้อนใจด้วยน้ำเย็น “ดำเนินการตามกำหนดเดิมเถอะ ...เรื่องเจ้าสาวเมื่อถึงที่หมายให้ข้าจัดการเอง ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดออกไป”

   ต้าหนิวมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ คล้ายอยากพูดคล้ายไม่อยากพูด สิ้นคำขู่ว่าซุนซีต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดก็สะบัดชายเสื้อเดินกลับไป แว่วๆ เสียงเขาตะโกนสั่งให้เตรียมออกเดินทาง

   ละทิ้งอู่ชางไว้ข้างหลัง สามวันนารีหนึ่งเดียวในขบวนไม่ก้าวลงจากที่พักทั้งในเวลากินหรือในเวลานอน ‘คุณหนูไม่อยากลงจากรถม้า’ แล้วใครจะกล้าสงสัยเมิ่งเซี่ยเหมยที่อดีตเคยแผลงฤทธิ์เอาแต่ใจ? ซุนซียกสำรับข้าวขึ้นไปกินเงียบๆ คนเดียวบนห้องโดยสาร บอกกับคนอื่นเสมอว่านางไม่อยากพบหน้าใคร

   คงเสียใจบ้างล่ะ คงตื่นเต้นบ้างล่ะ พวกทหารอาจไม่ว่ากระไรหรือไม่ทันผิดสังเกต ...แต่ใครจะคิดอย่างไรก็ไม่เคยไปแก้ความให้เขา



   ห้องโดยสารสั่นไกวน้อยๆ ตามแรงย่ำเท้าของม้าเทียม เดินทางจากอู่ชางไปเสวี่ยซานใช้เวลาอย่างต่ำหลายสิบวัน ยิ่งใกล้ถึงการเดินทางยิ่งลำบาก กับคนป่วยง่ายคงไม่ต้องให้กล่าว

   ความยากลำบากระหว่างทางไม่เท่าอาการคล้ายจะเป็นไข้ที่ทำให้ขบวนต้องหยุดพักหลายครั้ง พอรุ่งสางก็ต้องรุดเดินทางต่อ อากาศฤดูนี้อาจไม่ร้อนเท่าเมื่อสองเดือนก่อน แต่การเดินทางเป็นระยะไกลทำเอาคนขี้โรคอาการกำเริบได้ง่ายๆ เช่นนี้เขายิ่งไม่รู้จะวางตัวอย่างไร

   ซุนซีอยู่แต่ในเรือนใหญ่ไม่ค่อยได้ออกมาคลุกคลีกับคนหนุ่มพวกนี้นัก พอขาดคนกลางอย่างเมิ่งเซี่ยเหมยจะคุยกับใครต่างฝ่ายต่างติดขัดเคอะเขิน เป็นอย่างนี้อยู่หลายวันจนต้าหู่เข้ามาถามเรื่องวิธีปรุงอาหารถึงได้ผ่อนคลายลง นานเข้าคนไหนๆ ล้วนเป็นคนคุ้นหน้ากันทั้งนั้น

   เมื่อปราศจากสตรีหัวข้อพูดคุยจึงเถลไถลไปบ้าง เวลานั่งกินข้าวพร้อมหน้ากันต้าหนิวที่นั่งทิศตรงข้ามกับเขาเสมอมักจะส่งเสียงคำรามดุพวกอ่อนวัยกว่าเวลาคุยลามปามกันไปเรื่อย ประชันวิทยายุทธบ้างล่ะ อนาคตบ้างล่ะ นึกอะไรได้ก็คุยขึ้นมาแทนเรื่องต่ำกว่าใต้สะดือ

   สี่เล่อหน้าตกกระที่อายุน้อยกว่าเพื่อนกำลังโบกมือโบกไม้พูดเรื่องปวดเข่าไม่หายอยู่ข้างกองไฟที่ต้าหนิวคอยเติมฟืน อะไรก็ดีถ้าไม่มีต้าหู่ผู้คร่ำเคร่งอยู่กับการท่องตำราอาหารมานั่งเบียดซุนซีจนแทบขึ้นมาเกยตัก

   “เออนี่นะ ตอบอีกข้อนะอาซุน เจ้าใส่ไข่ไก่ตอนหมักเนื้อด้วยหรือ?” ต้าหู่ถามหน้าเคร่ง

   “พี่ชาย ถ้าพี่ไม่เลิกคุยเรื่องกับข้าวพี่ต้องไปทำให้ข้ากินแล้ว ข้าหิว” เจ้าโย่งหยางท้วงขึ้นมาเสียงดัง ไม่ว่าเปล่ายังเอามือลูบท้องให้ดู

   ต้าหู่กระเด้งตัวลุกออกไป พริบตาเดียวกลับมาพร้อมหูหมาฟ่าน ที่ไม่รู้เอามาจากไหน สี่เล่อที่ควรจะนั่งอยู่คนละทางพุ่งมายัดก้อนข้าวเข้าปาก ปล่อยให้เจ้าโย่งหยางมองค้างไม่ทันได้หยิบสักก้อน

   ซุนซีนั่งฟังอยู่นานจนรู้ว่าต้าหู่ถึงนิ้วก้อยจะขาดไปข้างแถมหน้าตาคล้ายนักเลงแต่อยากเป็นพ่อครัว เห็นว่าเก็บเงินอีกสักหน่อยจะลาไปเปิดร้านที่บ้านเกิด อาหยางที่ตัวสูงกว่าใครถูจมูกแล้วพูดอ้อมแอ้มว่าปีหน้าจะขอลูกมือช่างทอผ้าแต่งงาน สี่เล่อบอกปัดเรื่องตัวเองว่าต้าหนิวที่เพิ่งแต่งก็อยากมีลูกแล้วไม่ใช่หรือ ได้ยินอย่างนั้นต้าหนิวที่นานทีจะพูดก็หน้าแดงจนดำทะมึน พอถามว่าอาซ้ออยากได้ลูกสาวหรือลูกชายเขาไม่ยอมตอบแต่ซัดฝ่ามือใหญ่ลงแผ่นหลังคนถามหน้าคะมำ

   คนอื่นๆ ที่ล้อมกองไฟหัวเราะครืน ใครสักคนร้องเพลงระหว่างที่อังมือด้านตะปุ่มตะป่ำอย่างคนทำงานหนักผิงไฟคลายหนาว ไออุ่นจากกองไม้ที่ปล่อยควันลอยขึ้นฉุยกับเสียงคุยเดี๋ยวดังเดี๋ยวเงียบ รอจนฟ้ามืดพักใหญ่ถึงแยกย้ายผลัดเวรกันนอน



   อีกไม่ถึงสามวันขบวนรถม้าจะไปถึงเมืองเสวี่ยซาน ย่ำยามเย็นทัศนียภาพแปลกตาไปกว่าเก่าแต่ไม่นับว่าแย่เท่าที่คาดการณ์ไว้ ต้นไผ่ขึ้นทึบหนาสูงเทียมฟ้า ป่าถางและกั้นทางด้วยกำแพงหญ้าแห้งผูกคั่นทิวไผ่ ใบเรียวเสียดสีลมและโน้มเอนลงเหมือนซุ้มศาลาเป็นทางยาว เมื่อขึ้นเนินเขาต้นไม้ใบเขียวก็เริ่มบางตา แม้อาทิตย์ยังไม่ลับอากาศกลับเย็นไม่หาย ตลอดเส้นทางไม่พบคนเดินเท้าหรือเกวียนสักคันรถ บรรดาคณะเดินทางเหนื่อยและเฝ้ารอคอยมื้อเย็นที่จะมาถึงในความเงียบ เมื่อปราศจากบทสนทนาเสียงย่ำเท้าและล้อบดพื้นกรวดจึงดังยิ่งกว่าเวลาไหน

   ซุนซีรื้อห่อผ้าอยู่ในห้องโดยสารสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาแกะปมดูของข้างในแล้วเร่งหยิบห่ออื่นขึ้นมาใหม่ คนร้อนใจเปิดไปจนพบหยกผูกพู่แดงกับพับผ้าสีอ่อน เมิ่งเซี่ยเหมยไม่เพียงจงใจหยิบผิดยังทิ้งชุดผู้หญิงกองโตเอาไว้ให้เสียอีก..

   เขามองเทียบกับกองชุดเก่าที่ใส่สลับซักมาทั้งเดือน หลายตัวเป็นของเก่ามีทั้งรอยปะชุนทั้งผ้าย้วยจนใกล้ขาด สีล้วนมอซออย่างชุดคนรับใช้ใส่ทำงานเลอะเป็นประจำ – เข้าใจในทันทีว่าใส่ไปพบหน้าเจ้าเมืองแล้วจะโดนไล่ตะเพิดออกมาได้กี่รูปแบบ

   ผู้โดยสารเพียงคนเดียวในรถม้าคันงามเอื้อมเอาสลักไม้ขัดประตูเข้าที่ เปลื้องชุดมอมแมมออกกองไว้ฝั่งหนึ่ง ถูมือกับด้านในเสื้อเก่าจนมั่นใจว่าสะอาดดีแล้วถึงหยิบชุดสตรีขึ้นคลี่ระดับสายตา

   “...” กลิ่นหอมจางๆ กรุ่นมาจากชุดพลิ้วกรุยกรายและห่อพับผ้า ซุนซีลูบไปตามเนื้อผ้าไหมทอบางลื่นมือ ค่อยๆ หลับตาลงระหว่างเกลี่ยนิ้วไปบนชุดตัวงาม

   เขาสอดแขนผ่ายผอมสวมทีละชิ้นอย่างระวัง รับรู้สัมผัสแขนเสื้อเย็นเยียบยามทาบผ่านผิว ผูกผ้าคาดและจัดให้เข้าทีอยู่บนรถม้าโคลงเคลง ลายปักที่ชายผ้าส่ายไหวๆ เหมือนมีชีวิต รองเท้าผ้าไหมไม่พอดีเท้าสวมแล้วให้ความรู้สึกแปลกกว่าครั้งที่เคยถูกบังคับให้ใส่

   ดวงตาซุนซีปรือลงครึ่งหนึ่ง รอยยิ้มเบาบางปรากฏที่สองมุมปาก ข้อนิ้วยาวลูบอยู่กับป้ายประจำตัวของคุณหนูสาม สัมผัสหยกทั้งเย็นและรู้สึกดี

   ซุนซีส่ายศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่าน เขาเตรียมถอดกลับไปใส่ชุดตัวเก่าตามเดิม มือไม่ทันดึงสายคาดออกร่างผอมก็ถูกเหวี่ยงกระแทกผนัง

   ม้าออกวิ่งห้อตะบึงจนห้องโดยสารเขย่าโยน ซุนซีคว้าเอาไม้คานเป็นหลักยึดเมื่อเท้าเริ่มอยู่ไม่ติดพื้น เขาตระหนกเกินกว่าจะส่งเสียงร้อง ด้านนอกมีแต่เสียงเอะอะโวยวาย คนตะโกนร้อง ม้าหวีดเสียงแหลมแปลกลั่น ไม่นานห้องสีเหลี่ยมก็กระแทกโครมใหญ่ ม่านกั้นฉีกตามแรงดึงก่อนผนังไม้จะพังลงกับตา

   ชายร่างเล็กขดคุดคู้อยู่ในซากรถโดยสาร ปวดไปทั่วเหมือนถูกเหยียบด้วยฝูงกระทิง แขนข้างที่จับไม้โครงรถม้าไว้แน่นชาจนถึงหัวไหล่ เขาพยายามมุดลอดออกมาทางบานประตูที่หักแหว่งซีกหนึ่ง

   อาทิตย์ใกล้ลับฟ้าแล้ว ทั้งฝุ่นควันทั้งแสงที่จวนจะหมดอาบรอบด้านเป็นสีแดงฉาน กลุ่มคนจากบนเขาเฮโลลงมาพร้อมเสียงโห่ร้องกึกก้อง ดวงไฟจากคบเพลิงแกว่งไกวฉาบอาวุธในมือเป็นประกายอย่างดวงตามัจจุราช เท้าขยี้เหยียบบนธงสำนักคุ้มภัย

   เส้นแสงสุดท้ายค่อยๆ ถูกกลืนด้วยความมืดหมดไปพร้อมลมหายใจของคนคุ้มกันขบวน ซุนซีขดตัวอยู่ใต้เงาซากรถม้า วัตถุเย็นเยียบแตะเข้าที่ลำคอเขา เมื่อเงยจึงพบภาพสะท้อนในดวงตาพร่ามัวเป็นร่างเงาสูงใหญ่ คบไฟจากมืออีกข้างฉายให้เห็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม

   “ท่าทางคราวนี้จะได้แกะตัวโต”

---------------------------
ขอโทษด้วยนะคะมาอัพช้ากว่าปกติ ศุกร์ที่แล้วเราติดธุระแล้วยาวเลยเพิ่มจะได้มาวันนี้

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :hao7:

  :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ตายแล้ว! คงไม่ถูกโจรจับไปใช่ไหม รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
  o22 :z3: :เฮ้อ:   สาวน้อยเอาแต่ใจตัวเอง หนีพิธีแต่งงาน
อย่างที่คิด พี่ใหญ่ก็ต้องเป็นตัวแทนเจ้าสาวจริงๆ
เจอโจรเข้าอีก จะเป็นยังไงกันละเนี่ย  :serius2: :mew2:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
หรือโจรจะเป็นพระเอก?

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด