บทที่ 11 ขบวนเจ้าสาวสู่เมืองหลวงยิ่งใหญ่สมฐานะบุตรข้าราชการชั้นสูง เสียงฆ้องเครื่องดนตรีและประทัดดังเหมือนจะส่งขึ้นไปได้ถึงสวรรค์ เมื่อเกี้ยวแปดคนหามลับไปจากประตูเมือง เบื้องหลังจึงทิ้งไว้แต่เรือนเก่าที่เงียบเหงายิ่งกว่าเคย
ชุดชามกับตะเกียบยามตั้งโต๊ะหายไปอีกชุดหนึ่งแต่มีคำตัดพ้อของอาตงเพิ่มเข้ามาแทน ซุนซีไม่นึกรำคาญนางเท่าที่ควร อาจเพราะตนได้ถือโคมไปส่งเมิ่งชุนเถาถึงเมืองหลวง เป็นประจักษ์พยานงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ที่นางไม่มีโอกาสได้ไป และได้พักอยู่เรือนคนใช้หลังโตที่อาตงหมายมาดว่าตนจะได้เข้าไปอาศัยเป็นหญิงรับใช้ฮูหยินคนใหม่
พังครืน ทุกอย่างพังครืนเมื่อโชคชะตาดำเนินไม่ตรงใจหวัง
ของหมั้นหมายจากสกุลอวี้เก็บรักษาอยู่ในห้องนอนใหญ่ ความพยายามของเมิ่งเซี่ยเหมยล้มไปหลายรอบพอกับที่ซุนซียังมืดแปดด้านไม่แพ้น้องสาว เขาลงแรงส่งจดหมายน้อยไปให้อู๋ก่วนจง ทว่าวันแล้ววันเล่ากลับไร้ข่าวจากมือปราบหนุ่ม
‘คงตัดใจแล้ว’ หัวหน้าอู๋บอกกับซุนซีอย่างนั้น
ซุนซีไม่เคยนึกมองสหายสนิทเป็นชายต่ำต้อยได้เท่านี้เลย ตัดใจ.. หากคนเรารักแล้วสามารถตัดใจกันได้ง่ายดายเหมือนตัดสายป่าน โลกยังเหลืออะไรให้ศรัทธาได้อีกเล่า?
เสื้อผ้าสตรีไม่รู้กี่ชุดพาดตากทั้งบนเก้าอี้กลมและโต๊ะไม้ ผ้าผูกกองเกลื่อนพื้น วางทั่วจนถึงขอบตั่งตัวยาว เจ้าของห้องวัยเยาว์นั่งคล้องแขนกับคนรับใช้ต่างเพศอย่างสนิทสนมในห้องส่วนตัว เสียงหัวเราะคิกคัก มือป้อมวัดปะป่ายไปทั่วบ่าทั่วตัวคนนั่งเคียงกัน ...ใครจะกล้าว่าอันใดล่ะ? ก็นี่เมิ่งเซี่ยเหมยกับพี่ชายร่างผ่ายผอมของนาง
“ไม่มีใครดูออกหรอกพี่ใหญ่ ดูท่านสิ ใบหน้างดงามเสมอสตรี ร่างน้อยผิวไม่กรำแดดหยาบกร้านเหมือนพวกคลั่งวิชาข้างนอกนั่น ข้อมือเล็ก เท้าท่านยังเล็กยิ่งกว่าข้าเสียอีก” เมิ่งเซี่ยเหมยกล่าวฉอเลาะ มือก็ลูบเนื้อลูบตัวอีกฝ่ายไปเรื่อย “หรือจะเพิ่มน้ำหนักอีกสักหน่อย พี่ใหญ่รู้รึเปล่าบุรุษก็นมตั้งเต้าได้นะ แบบพ่อค้าหมูในตลาด -- โอ้ย!”
แม่ตัวดีสูดปากร้องโอดโอยเมื่อเจ้าของข้อมือเล็กที่ว่าหยิกแขนนางจนเนื้อเขียว
“พอได้แล้ว จะพูดอย่างไรข้าก็ไปแทนเจ้าไม่ได้” ซุนซียืนยันคำเดิมตัดบท ทำเอาคุณหนูสามเบ้หน้า
“ข้าขอร้องนะพี่ใหญ่” นางเขย่าแขนพี่ชายเบาๆ ช้อนตาทำเสียงกระเง้ากระงอด “ตกลงเถอะนะ.. แค่ขึ้นเกี้ยวแทนข้าแล้วถึงกลางทางก็กลับได้ ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย”
คราวนี้ซุนซีกดสายตามองดุ ถึงเขาไม่พูดดูหน้าก็รู้ว่ากำลังปฏิเสธไม่ผิดแน่
แต่เท่านี้ไม่ทำให้นางย่อท้อ เมื่อไม้อ่อนใช้ไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นไม้แข็ง “ได้ พี่ใหญ่รู้ใช่หรือไม่ว่าข้าเป็นคนพูดจริงทำจริง” นางเกริ่นขึ้นมาก่อน
“รู้” ซุนซีตอบ เรื่องนี้ย่อมรู้ดีกว่าใคร
“อย่างนั้นก็สลับตัวกับข้าซะ อาซุน นี่เป็นคำสั่งของคุณหนูสาม”
เมื่อก่อนหัดเรียกคุณหนูนางร้องไห้งอแงไม่หยุดจนกว่าจะเรียกนางว่าเสี่ยวเหมย เดี๋ยวนี้เพื่อจะเอาที่ต้องการ นางกลับอยากจะเป็นคุณหนูขึ้นมา
ซุนซีส่ายศีรษะ รู้ว่าพูดไม่เกิดประโยชน์ก็นิ่งเสีย เขาตั้งท่าจะลุกกลับออกจากห้อง ไม่ทันวางเท้าลงกับพื้น เสียงเฉียบขาดพลันประกาศก้อง
“หากท่านยืนยันจะไม่ไปแทนข้า วันงานทุกคนจะได้เอาป้ายวิญญาณเมิ่งเซี่ยเหมยขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแน่”
“เสี่ยวเหมย!” เขาเอ็ดเสียงดัง เจ้าของชื่อยังจ้องไม่หลบสายตา
“ข้าพูดจริง” นางยืนกรานเสียงแข็ง ไม่มีวี่แววล้อเล่น “และจำไว้ด้วยว่าพี่ใหญ่เป็นคนบีบให้ข้าทำอย่างนี้”
พี่ใหญ่พินิจดวงหน้าสะสวยปราศจากแววไหวหวั่น ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น...ทาบเงาท่านลุงได้พอดิบพอดี
ซุนซีส่งจดหมายไปเล่าความให้คุณชายอินทรีฟังอีกหน บอกเรื่องไว้ใต้นาม ‘ปัญหาของเพื่อนคนหนึ่ง’ แล้วเฝ้ารอคำตอบจากชายผู้นั้น เขาไม่รู้ว่าควรจะจัดการชีวิตตนเองหรือช่วยเมิ่งเซี่ยเหมยอย่างไร นานเข้าวันส่งตัวเจ้าสาวก็คืบเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ผลการดูดวงสมพงศ์ก็มาถึงบ้านสกุลเมิ่งแล้ว และดูเหมือนชะตามังกรกับหงส์จะปรากฏอยู่บนกระดาษแผ่นน้อยใบนั้น
เขายังจำรอยยิ้มยินดีของท่านลุงได้ จำได้แน่ชัดพอๆ กับสีหน้ายาวของเมิ่งเซี่ยเหมย
ไม่นานจดหมายจากยิงฉู่หยุนก็ตอบกลับมา เนื้อความทำเรื่องที่เขาหนักอกคลายลงหลายส่วน แม้จะเขียนมาเพียงว่าให้เพื่อนคนนั้นทำในสิ่งที่อยากทำและสนใจแต่เพียงว่านี่เป็นชีวิตตนเองตนเองต้องลิขิตเป็นสำคัญก็เถอะ แต่สำหรับเขาที่ลังเลใจว่าสิ่งที่จะลงมือทำเป็นการหักหลังผู้มีพระคุณรึเปล่าก็ช่วยได้มาก
ชีวิตตนเองตนเองต้องลิขิต ใครเล่าจะมารับผลทุกข์ยากกับเราเมื่อเผชิญหน้ากับอนาคตด้วยตัวของเราเอง...ก็มีเพียงตัวเราเท่านั้น
ในเมื่อชีวิตก็เป็นเช่นนี้แล้วจะให้ส่งน้องสาวคนเล็กของเขาไปแต่งงานอย่างไม่เต็มใจได้อย่างไร
ห้องคุณหนูคนสุดท้ายที่ยังอยู่ในบ้านหลังใหญ่ปิดสนิท ประตูลงสลักกลอนแน่นหนา แม้เวลานี้เป็นยามเฉิน แดดส่องมาไม่ถึงข้างในยังพอเหลืออากาศเย็นไม่เหนอะตัว เสียงซ้อมพลองแว่วดังมาจากด้านนอกไกลๆ ส่วนในห้องมีเพียงเสียงสะบัดผ้าดังเป็นระยะ
ซุนซีคอยพับเสื้อผ้าที่กองสุมอยู่บนเตียงสีหน้าเคร่งเครียด สาวน้อยเจ้าของห้องอีกนางหนึ่งนั่งขดมุมอยู่ด้านใน สองมือกอดหมอนสี่เหลี่ยมไว้คล้ายว่าพยายามทำตัวเองให้ตัวเล็กที่สุด
เจ้าสำนักเมิ่งยอมทำตามคำขอเอาแต่ใจของแม่สาวน้อย งานแต่งจะจัดที่จวนเจ้าเมืองเสวี่ยซานหลังขบวนเจ้าสาวเดินทางไปถึง พิธีรีตองมากมายถูกละไว้ให้เรียบง่ายแม้อาจขัดใจใครหลายฝ่าย เท่านั้นเมิ่งเซี่ยเหมยยังกำชับไม่เอาสาวใช้ตามไป ..แน่ว่านางขึ้นชื่อเรื่องหัวดื้อและแสนเอาแต่ใจ เพื่อให้งานแต่งสำเร็จผู้ใหญ่บ้านเมิ่งทำตามคำขอนางแน่แล้ว แต่แปลกที่ทางเจ้าบ่าวยินยอมแต่โดยดี
เมิ่งเซี่ยเหมยวางแผนไม่รัดกุมแต่คงไม่มีใครคาดคิดว่านางจะกล้าทำลายพิธีวิวาห์ ซุนซีกำชับให้เก็บเป็นความลับแค่สองคน ในเมื่ออาตงไม่รู้ คนอื่นยิ่งไม่รู้ใหญ่ เขาไม่อยากให้คนอื่นโดนหางเลขไปด้วยตอนกลับมาสารภาพผิด ..และไม่กล้าหาญพอจะจินตนาการว่าหากเรื่องบานปลายสกุลเมิ่งจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
ซุนซีตกในห้วงความคิดไม่รู้เวลาดำเนินไปเท่าไหร่ ไม่ทันสังเกตดวงตากลมโตที่คอยจ้องเขาอยู่นานสองนาน
“ฮึ่ม.. ถึงข้าจะเห็นด้วยกับวิธีนี้ก็เถอะ” คุณหนูเล็กส่งเสียงครางฮือ “แต่ไม่ใช่ทุกอย่างจะแก้ไขได้ด้วยปัญญากับการเจรจาหรอกนะพี่ใหญ่”
“ได้สิ ถ้าข้าไปพูดตรงๆ ต้องคุยรู้เรื่องแน่”
เมิ่งเซี่ยเหมยมองค้อนขัดใจ ซุนซีเห็นปราดเดียวก็รู้ว่าเถียงยิ่งนานเข้ารังแต่จะทำให้นางยิ่งงอแง มือผอมเซียวถึงได้โอบข้างแก้มแม่สาวน้อยเอาไว้
“อย่าห่วงเลย เรื่องเรียบร้อยเมื่อไหร่พวกเราค่อยยกน้ำชาไปขอขมาท่านลุงท่านป้าพร้อมกัน”
คนถูกปลอบเสียงอ่อนลง มือเล็กกว่าทาบทับมือนั่นไว้ “พี่ใหญ่สัญญาแล้วนะ” ซุนซีผงกศีรษะรับคำ เพียงเท่านั้นก็พอเรียกรอยยิ้มให้แต้มบนใบหน้าคุณหนูเล็กสกุลเมิ่งได้
เมิ่งเซี่ยเหมยเงียบไปนาน ค่อยๆ ลดศีรษะก้มหน้าซุกหมอนสี่เหลี่ยมใบโต
“พี่ใหญ่.. ข้ารักพี่นะ”
เขาผ่อนลมหายใจยาว “ข้ารู้ เจ้าเองก็รู้ว่าข้ารักเจ้าเหมือนกัน น้องสาว”
มาดของคนเจ้าอารมณ์เปลี่ยนกลายเป็นแมวเซื่อง เสียงฮื่อตอบรับเพียงลอดลำคอแผ่วเบา
“เสี่ยวเหมย.. จำเอาไว้ว่าต่อจากนี้เจ้าขอใครให้ช่วยมากไปกว่าที่ขอกับข้าไม่ได้ และจะลากคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับปัญหาของตัวเองอีกไม่ได้เหมือนกัน”
“ครั้งนี้ครั้งเดียวจริงๆ...”
“สัญญากับตัวเองเถอะ เวลาที่พี่ไม่อยู่คอยเตือน เจ้าต้องหัดใจเย็นไม่ทำอะไรวู่วามเอาอารมณ์ร้อนเข้าว่า”
ปลายนิ้วสากลูบผะแผ่วตามแนวลูกผม ไล่เรื่อยไปเช็ดพวงแก้มเปื้อนน้ำตา ยิ่งปลอบนางยิ่งร้องโฮเป็นทำนบแตก
“สักวันเจ้าก็จะเข้าใจ รอให้เจ้าโตกว่านี้ ...เสียดายก็แต่วันเกิดปีหน้าคงไม่มีข้าคอยอยู่เฝ้าเจ้าเล่นดอกไม้ไฟ”
“สัญญา..ข้าสัญญา...”
เมิ่งเซี่ยเหมยโผเข้ากอดซุกหน้าอยู่กับอกพี่ชาย เขาสิ้นคำพูด ทำเพียงใช้มือซูบผอมลูบช้าๆ ตามแผ่นหลังสั่นเทา นางสะอื้นตัวโยนเป็นเด็กน้อย เสียงสูดจมูกร้องฮึกอย่างคนพยายามอดกลั้นดังอู้อี้
คุณหนูเล็กไม่เคยฟังใคร นางยังเยาว์นัก ขาดป้าหม่าแล้วยังขาดเขาไปอีกคนใครจะคอยปลอบแม่เด็กขี้แยหัวดื้อ
คิดได้อย่างนี้ไม่แปลกที่จะกังวลใจ..
สกุลเมิ่งเหลือลูกสาวคนเล็กเพียงคนเดียวแล้ว แม้ไม่เอ่ยปากแต่ความหวงแหนของพ่อแม่ต้องเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย ครึ่งปีนี้คุณหนูเล็กตั้งใจทำตามข้อตกลงพี่ใหญ่เป็นอย่างดี ความเอ็นดูที่คนรอบข้างมอบแก่นางก็ยิ่งทบทวี แม้ไม่พูดแต่ท่านเจ้าสำนักแสดงออกหลายครั้งว่าใจจริงไม่อยากให้บุตรีคนเล็กจากบ้านไปไกล ยามเย็นวันหนึ่งหลังร่ำสุราหลายขวดท่านยังเคยเปรยขึ้นมาว่าตามจริงแล้วไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นเมิ่งเซี่ยเหมย อย่างไรวิญญูชนย่อมต้องรักษาสัตย์
โต๊ะอาหารคืนสุดท้ายจึงเงียบเชียบ หลี่ฮูหยินที่นานครั้งจะเป็นคนเปิดบทสนทนาเอ่ยทักดึงบรรยากาศ
“เด็กๆ โตไวจริงนะท่านพี่ เผลอไม่กี่ปีก็จากบ้านออกเรือนกันหมดแล้ว”
“...” เจ้าสำนักตีหน้าเคร่งขรึม ตะเกียบคีบเอาเนื้อหมูแดงใส่ชามข้าวลูกสาวคนเล็ก
เมิ่งเซี่ยเหมยมองหมูในชามสลับกับหน้าพ่อ ริมฝีปากเม้มแน่นสั่นระริก นางพยายามเคี้ยวข้าวในปากทั้งหน้ายู่
“พ่อไม่เคยทำดีกับเจ้าสักครั้ง” อาจารย์เมิ่งสุดจะทนก็โพล่งขึ้นมา “แต่ไม่ได้หมายความว่าพ่อเป็นห่วงเจ้าน้อยกว่าคนอื่น ถ้าพ่อไม่รักเจ้าแล้วจะให้ไปรักไปหวังดีกับหมาที่ไหน”
“พอเลย!” ลูกสาวร้องขัดขึ้นมา
“เซี่ยเหม--”
“ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าท่านพ่อไม่เคยบอกรักข้า...ไม่เคยเลย ทีอย่างนี้ยังจะมาพูดให้ข้าร้องไห้อีกเหรอ!”
คนเป็นลูกกลืนก้อนสะอื้นลงคอ มารดาเพียงแต่มองเงียบๆ สบจังหวะก็ส่งสายตาบุ้ยใบ้ให้คนใช้ออกจากห้อง ซุนซีเดินตามคนอื่นๆ จนพ้นธรณีประตูไปไกล สองมือเขากุมประสานที่ท้องน้อย จะบอกว่าคลายกังวลก็ยังไม่ถูกเสียทีเดียว เวลานี้ยังรู้สึกเหมือนหินหนักอึ้งทับอยู่บนสองบ่า จะหายใจก็ทำได้ลำบากนัก
เพียงไม่นานเสียงร้องไห้โฮแว่วดังมาจากในห้องกินข้าว ..คาดเดาไม่ถูกว่าเพราะซึ้งใจหรือเสียใจที่ต้องโกหกบุพการี
ผู้ใหญ่บางคนก็พูดว่าเป็นลางไม่ดี ในเมื่อต้องเดินทางข้ามมณฑลเป็นพันลี้เจ้าบ่าวกลับไม่อาจมารับด้วยตัวเองกลับส่งมาแต่เพียงทหารกลุ่มหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายถือหน้าตาเป็นเรื่องสำคัญ แต่เพราะตกลงกันไว้ด้วยเงื่อนไขของว่าที่เจ้าสาวและความสะดวกของทุกฝ่าย เมิ่งเซี่ยเหมยจึงเดินทางไปแต่งที่จวนเจ้าเมืองเสวี่ยซานพร้อมขบวนสินเจ้าสาว
ริ้วขบวนเป็นแถวยาวจากหน้าเรือนไปถึงสุดถนน เกวียนม้าลากและคนหามไม้หาบหีบบรรจุสินสอดผูกด้วยผ้าแดงมัดปลายเป็นดอกเบญจมาศดอกโต เสียงประทัดกับคนโห่ร้องยินดียังไม่กลบคำฉงนว่าเหตุใดไม่เห็นวี่แววเจ้าบ่าว กระทั่งคราวลูกเขยสกุลไป๋ยังเดินทางข้ามมณฑลมารับเจ้าสาวด้วยตัวเอง
คนในบ้านวิ่งวุ่นไม่ได้สนใจความคิดชาวบ้าน งานแต่งลูกสาวคนไหนๆ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน หลี่ฮูหยินยกเอาชายผ้าซับน้ำตารื้น ว่ามารดาโศกแล้วสีหน้าบุตรสาวยิ่งย่ำแย่กว่า อาตงไม่ทันได้หลุดปากโพล่งอะไรก็โดนสาวใช้ด้วยกันหยิกเอวห้ามไว้ก่อน
ปิ่นทองกับกิ่งทับทิม เครื่องหัวประดับมุกและพลอยแวววาวล้อแสงได้ไม่นานก็ถูกคลุมด้วยผ้าไหมสีมงคล เมิ่งเซี่ยเหมยเลิกชายผ้าตลบขึ้น ถึงจะโดนผู้ใหญ่เอ็ดแต่นางอาศัยยิ้มแหะๆ กลบเกลื่อน ”ไว้ค่อยคลุมทีหลังก็ได้ ข้ามองไม่เห็นทางกลัวจะสะดุดล้ม”
“เจ้านี่นะ...” หลี่ฮูหยินถอนใจ “แล้วจะไม่ให้แม่เป็นกังวลได้อย่างไร?”
เสียงแม่ลูกกับบรรดาสาวใช้คุยกันถูกกลบด้วยเสียงอึกทึกข้างนอก ซุนซีหอบของใช้ส่วนตัวบรรจุลงท้ายเกวียน เหงื่อผุดจนชุ่มเสื้อแนบผิว เทียบอาการกับคนหนุ่มใกล้เคียงเขากลับดูเหนื่อยเหมือนเพิ่งวิ่งขึ้นเขา ลำบากให้เด็กรับใช้ค้อมขอให้ไปนั่งพักใต้ร่มนั่นล่ะ เจ้าของร่างผอมกะหร่องถึงยอมพักได้สักที
หยุดนั่งได้ไม่ทันไรเจ้าสาวก็เดินออกมาจากห้องนอนใหญ่ รอยยิ้มประดับบนใบหน้าแม่เจ้าสาวและบรรดาคนรับใช้ที่ล้อมหน้าล้อมหลัง ซุนซีตื้นตันในอก ปลื้มใจเสียยิ่งกว่าได้ออกเรือนเอง
ประทัดและเครื่องปี่พาทย์ เกี้ยวเคลื่อนล้อเกวียนหมุน เมื่อสาดน้ำไล่หลัง จึงสิ้นสัมพันธ์ครอบครัว
การขู่ด้วยคำว่า ‘พี่ใหญ่ไม่ไปข้าไม่แต่ง’ นัยว่ามีโอกาสทำจริงสูงเป็นประกาสิทธิ์หยุดผู้หลักผู้ใหญ่ได้เด็ดขาด สาวใช้ที่ควรได้ติดตามมาด้วยกันตอนนี้คงโล่งใจอยู่ในสำนัก เลือกได้ใครจะอยากมาตกระกำลำบากเล่า?
ซุนซีจำสายตาของอาตงได้เป็นอย่างดี คล้ายจะตัดพ้อแต่เลือกไม่กล่าวอะไร สุดท้ายในวันส่งตัวไม่พบแม้แต่เงานาง ป้าหม่ายืนกรานเจอตัวจะดุนางให้ได้แต่เมิ่งเซี่ยเหมยขอไว้...ขอเหมือนครั้งที่เมิ่งชุนเถาจะไปเมืองหลวงตอนที่อาตงถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยไม่รู้อะไรสักอย่าง
ออกเดินทางได้สองวันซุนซีไข้จับตัวร้อนจัดจนโดนบังคับให้มานั่งหัวโคลงอยู่บนรถม้า ส่วนคุณหนูที่นอกจากถามว่าตอนนี้ถึงไหนแล้วทุกๆ ชั่วยามก็กลายเป็นคนลงไปเดินยืดเส้นยืดสายเสียเอง
ทิวทัศน์โดยรอบเปลี่ยนไปทีละน้อย ผ่านทุ่งนาและเลียบชายป่าเชิงเขา จากหมู่บ้านเคลื่อนไปตามทางเกวียน ถนนขรุขระบางครั้งล้อเหยียบเอาหินก้อนใหญ่ได้นั่งเอียงนั่งหงายตัวโยน ความพยายามในการอ่านหนังสือฆ่าเวลาถูกทำลายด้วยอาการปวดหัววิงเวียนจนต้องหยุดอาเจียนข้างทางหลายครั้ง ดีที่ได้เจ้าหนุ่มน้อยในขบวนคอยกระวีกระวาดหาน้ำให้เขา
ฝุ่นสีส้มแดงคลุ้งคล้อยหลังบนทางเกวียน โรงเตี๊ยมที่จุดพักรถม้ารายทางนั้นไม่เหมือนที่เส้นทางไปเมืองหลวง บางแห่งก็เป็นโรงน้ำชาหลังเล็กกลางหมู่บ้าน แม่เด็กเอาแต่ใจกลับกินนอนลำบากไม่เคยบ่น นางยังคอยเรียกลูกน้องมาร่วมโต๊ะด้วยซ้ำ
ซุนซีรู้ว่าเมิ่งเซี่ยเหมยกินอยู่ง่าย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นนางใช้ชีวิตกลมกลืนไปกับผู้อื่น ดังนั้นแม้จะอยู่กับนางตั้งแต่ยังเป็นทารก บางครั้งเขากลับรู้สึกว่าตนไม่ได้รู้จักน้องสาวคนนี้เอาเสียเลย
อาหารแห้งผูกห่อเรียงเรียบร้อยอยู่บนรถม้า ยังมีน้ำสะอาดในไหปิดปากสนิทและเสื้อผ้ารองเท้าสำหรับเปลี่ยน
หากวันใดคะเนแล้วตะวันลับก่อนถึงโรงเตี๊ยม พลคณะคุ้มภัยจะลงหลักปักฐานทำที่พักชั่วคราวกันบนลานดิน เหนือกองไฟมีคานไม้ปักไว้แขวนหม้อต้ม ไม่มีสุราอุ่นร้อนแต่มีชาและข้าวต้มหอมกรุ่นจากฝีมือซุนซี ต้าหนิวไล่แมลงด้วยการสุมไฟฟืนแท่งที่ทำจากขี้เลื่อยปั้นผสมสมุนไพรกับเปลือกส้มบด กลิ่นฟืนติดเสื้อผ้าและติดผมแน่น นานเข้าจมูกก็เริ่มชิน
กวีร่ายกลอนถึงทัศนียภาพธรรมชาติไว้เช่นไรล้วนเป็นจริงเช่นนั้น ขบวนสินเจ้าสาวเคลื่อนข้ามธารน้ำและทุ่งนา สุดทางมีเรือข้ามฟากลำใหญ่รอเทียบท่า เมื่อแหวกผืนน้ำล่องไปตามทางผ่านกอต้นกกและแผ่นดินที่เคลื่อนผ่านไปเอื่อยช้า
เด็กหนุ่มตระหนักเสมอว่าเขาไม่ได้มาเพื่อท่องเที่ยว ถึงอย่างนั้นกลับรู้สึกอุ่นใจและเป็นสุขที่ได้ออกมาเดินทางอย่างนี้ ซุนซีคอยมองยามเมิ่งเซี่ยเหมยหัวเราะร่า เดินและวิ่งดูนั่นดูนี่ไปทั่วเหมือนเด็กเล็กๆ คนเดิมที่เขาเคยรู้จัก
ห้วงเวลาที่ไม่ต้องทำสิ่งใด ไม่ต้องกังวลสิ่งใด ซุนซีนึกสงสัยว่าเงินเท่าไหร่ถึงจะซื้อความสงบใจในยามนี้ได้
ซุนซีนั่งพับชุดซักสะอาดเก็บเข้าห่อผ้าอยู่คนเดียวในห้องพัก แดดข้างนอกแรงเสียจนตาพร่า ไอร้อนผะผ่าวพัดเข้ามาถึงด้านในเผาแก้มจนรู้สึกแสบ ระหว่างนึกว่าจะลุกไปหาน้ำเย็นดื่ม หางตาพลันเห็นหัวกลมๆ ผมดำสนิทโผล่หน้าจากขอบประตู ดวงตากลมโตจ้องซุนซีด้วยแววเจ้าเล่ห์เหมือนลูกจิ้งจอกน้อย ครู่เดียวเจ้าตัวก็กระโดดผลุบเข้ามานั่งแซะก้นเบียดข้างๆ
“นี่ของพี่ใหญ่หรือ?” ไม่ว่าเปล่า มือเจ้าคนถามรื้อกองที่เพิ่งพับไปเรื่อย “ข้าชอบอันนี้ อ้อ! นี่ แล้วไอ้นี่ผูกตรงไหน”
ซุนซีเหลือบมอง นางรื้ออะไรเขาก็ตามไปพับใหม่อีกรอบ “นั่นเอาไว้ผูกเอว มัดกางเกงไว้ก่อนแล้วถึงค่อยใช้ผ้าคาดทับเสื้อ”
เมิ่งเซี่ยเหมยตามไปรื้อกองที่ยังพับไม่เสร็จดี คว้าเสื้อตัวยาวออกมาสะบัดกางก่อนจะพาดไว้ด้านหลังตัวเอง ประเดี๋ยวก็รื้อเอาที่ครอบผมขึ้นมาลูบๆ คลำๆ นัยน์ตาซุกซนเป็นประกายพราวระยับ นิ้วเรียวดึงเอาปิ่นเสียบมาหมุนพลิกซ้ายพลิกขวาท่าทางพึงพอใจ
“ข้าขอยืม พี่ใหญ่ช่วยข้าทำผมหน่อย” นางถามไม่รอคำตอบอย่างเด็กเอาแต่ใจ ผมรวบถักเป็นทรงพริบตาหนึ่งก็ปลดรื้อลงมาสยายเล่นลม แพรไหมสีดำขลับทิ้งตัวลงมาถึงสะบั้นเอว...เทียบกับของพี่สาวยังถือว่าสั้น ไม่รู้ว่าไปแอบตัดมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ซุนซีส่ายหน้าระหว่างคลานเข่าย้ายไปอยู่ด้านข้างแม่จอมแก่น มือผ่ายผอมเกี่ยวเก็บเอาปอยผมทีละน้อย รวบมัดขึ้นเป็นมวยก่อนสอดที่ครอบตรึงเป็นทรงสูง ทิ้งไรผมกลุ่มน้อยๆ สองช่อด้านหน้าพอไม่ให้ตึงจนเรียบนัก
คุณหนูเล็กเอามือแตะๆ มวยผมตัวเอง นางใช้นิ้วบิดปอยด้านหน้าเป็นเกลียวก่อนสองนิ้วจะดึงรูดเล่นช้าๆ รอยยิ้มสว่างไสวเป็นดวงตะวัน เสียงเจื้อยแจ้วถามว่าดูเหมาะใช่ไหม
“แต่งชุดสตรีเหมาะกว่า” เขาตอบด้วยสีหน้าหน่ายใจ แม่หนูฟังแล้วย่นจมูก
“ผิดแล้ว! พี่ต้องบอกว่าข้าดูดีสิ เหมือนจอมยุทธ์หนุ่มมาดสุขุม” นางว่าพลางกรีดมือคลี่พัดในจินตนาการ เชิดใบหน้าขึ้นนิดหรี่ตาลงอีกหน่อย เหมือนเด็กขโมยของบิดามาใส่ แต่แน่ล่ะ เขาไม่ได้พูดออกไป
เด็กเอาแต่ใจขอได้ก็เอาใหญ่ นางยึดเอาเสื้อผ้าสำรองเขาไปผลัดสวมจากชุดรุ่มร่ามเป็นกางเกงและรองเท้าผ้า โยนข้าวของทั้งป้ายประจำตัวทั้งกำไลของหมั้นให้พี่ชายดูแลราวว่าไม่ใช่ของสำคัญ
“เสี่ยวเหมย เปลี่ยนชุดแล้วห้ามออกไป--”
นั่นประไร ไม่ทันขาดคำร่างจ้อยก็โลดกระโจนออกไปนอกห้อง เสียงหัวเราะชอบใจดังมาจากหนุ่มๆ สำนักคุ้มภัย โดยเฉพาะคำเรียกคุณชายน้อยดูท่าจะมาจะมาจากตงเต๋อข่ายที่อายุไล่เลี่ยกับนาง ซุนซีออกไปทันเห็นแม่ตัวดีกำลังวาดมือเคลื่อนเท้าเดินปราณให้คนอื่นชมเป็นขวัญตา
ต้าหนิวเขกกระโหลกพวกเด็กหนุ่มที่พาลเล่นสนุกไปกับนาง แต่พอสบสายตาซุนซี ชายตัวโตก็ทำหน้าถมึงทึงก่อนหันไปทางอื่น ...ซุนซีรู้สึกตัวเล็กจ้อยลงกว่าเดิม
ตงเต๋อข่ายเดินลูบหัวป้อยๆ มาหาเขา ยิ้มแฉ่งอวดฟันขาว “ซุนเกออาการดีขึ้นหรือยัง”
“...เจ้าก็ดูคุณหนูสามสิเต๋อข่าย ข้าไม่อาการทรุดไปอีกก็ดีแค่ไหนแล้ว”
เด็กหนุ่มฟังแล้วหัวเราะร่วน แล้วหมัดเล็กๆ จากไหนไม่รู้ก็ลอยมาเขกหัวตงเต๋อข่ายซ้ำที่เดิมอีกรอบ
----------------------
เราอยากแสดงให้เห็นว่าแต่ละคนก็คิดถึงเรื่องของตัวเองเป็นหลักน่ะค่ะ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะมองเรื่องของตัวเองก่อน
จะเห็นว่าชุนเถา(คนรอง)เองก็จะไม่ช่วยพี่สาวคนโตถ้าไม่ใช่เพราะว่าตัวเองจะโดนพ่อให้แม่สื่อมาดูตัวเหมือนกัน
ส่วนของน้องเล็กเซี่ยเหมยจะสื่อออกมาในรูปแบบไหน อีกไม่กี่ตอนก็จะเฉลยให้เห็นแล้วค่ะ