French Holiday [Omegaverse] - บทส่งท้าย - 05/03/62
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: French Holiday [Omegaverse] - บทส่งท้าย - 05/03/62  (อ่าน 25246 ครั้ง)

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

**********************************************

FRENCH HOLIDAY

นิยายเรื่องนี้ใช้เซ็ตติ้ง Omegaverse อิงโลกปัจจุบันนะคะ สถานที่หรือพวกยี่ห้อสิ่งของตามของจริงยุคปัจจุบัน

ยังไงจะพยายามมาอัพเดททุกวันอังคาร (หรือเพิ่มพิเศษในบางศุกร์) นะคะ!


edit 15/02/62 : อาจจะได้อัพทุกวันศุกร์แทนค่ะแง หรืออาจจะมาๆหายๆนิดนึงแต่จะพยายามเว้นไม่เกินอาทิตย์ครึ่งนะคะ วิจัยรุมเร้ามาก
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2019 18:42:34 โดย Moriarty »

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่1 - 29/01/62
«ตอบ #1 เมื่อ29-01-2019 21:05:22 »

ตอนที่ 1

I said no one has to know what we do

His hands are in my hair, his clothes are in my room

And his voice is a familiar sound, nothing lasts forever

But this is getting good now

He's so tall, and handsome as hell

He's so bad but he does it so well

And when we've had our very last kiss

But my last request is…


   เมื่อเข้าท่อนฮุกเสียงเพลงก็ถูกตัดตามด้วยเสียงประกาศจากกัปตันเครื่องบิน ขณะนี้เดินทางมาถึงสนามบินชาร์ล เดอ โกลแล้ว เสียงกัปตันบอกว่าอุณหภูมิด้านนอกกี่องศาระหว่างที่คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเขาจะแอบปลดเข็มขัดนิรภัยออกก่อนเครื่องหยุดนิ่ง

   โอลิเวอร์รอจนสัญญาณไฟเข็มขัดดับลงถึงขยับจากที่นั่ง เพื่อนร่วมเดินทางที่หลับมาแทบตลอดลืมตาตื่นเมื่อสามีที่นั่งริมหน้าต่างเขย่าปลุก ถึงปารีสแล้วและการเดินทางเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น

   “โอหยิบกระเป๋าให้เจ๊หน่อย” คนงัวเงียเพิ่งตื่นวานใช้งาน ไม่วายหาวปิดท้ายอีกวอดโต

   “ใบสีส้มนี่นะคะ?” เขาถามกลับระหว่างยืนอยู่ตรงช่องทางเดินแคบๆ เจ้าของกระเป๋าพยักหน้าระหว่างยัดหูฟังลงช่องเสียบเอกสารหลังเบาะ เมื่อได้กระเป๋าก็ทยอยเดินออกนอกเครื่องไปตามอุโมงค์ยาว อากาศหนาวปะทะเนื้อตัวทันทีที่ก้าวพ้นจากประตูเครื่อง

   ผมสีน้ำตาลอ่อนกระดกไหวๆ ยามโอลิเวอร์ลงน้ำหนักก้าวเท้า เสียง ‘อาเจ๊’ ยังดังเจื้อยแจ้วไม่หยุดท่าทางจะตื่นเต็มตาแล้ว พวกเขาสามคนเดินไปตามทางทอดยาวกว่าจะถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง รอหยิบกระเป๋า แล้วออกมาข้างนอก ทั้งหมดนี่กินเวลาน่าดูโดยเฉพาะกับคนที่แวะเข้าห้องน้ำก่อนร่วมครึ่งชั่วโมง

   “สงสัยจะถ่ายหนัก” สามีผมทองของอาเจ๊บ่นระหว่างนั่งกอดกระเป๋าใบเล็กสำหรับขึ้นเครื่อง

   ใช้เวลาพักใหญ่กว่าทั้งหมดจะพากันเดินจากเกตไปที่ท่ารถไฟTGVสำหรับออกนอกเมือง ระหว่างรอสามีอาเจ๊ตรวจใช้ตั๋วที่ซื้อออนไลน์มาล่วงหน้าสองหนุ่มคนหนึ่งโสดอีกคนไม่โสดก็ยืนดูอาหารตากันไปพลางๆ

   “คนนั้นก้นแน่นน่าดู” อาเจ๊พูดเป็นภาษาไทยระหว่างปรายตามองสาวที่เพิ่งเดินผ่านไป ก่อนจะละสายตามาแสกนหนุ่มคนถัดมา “ดูสิยัยโอ นี่ก็ท่าทางจะหุ่นนักกีฬาซ่อนรูป”

   โอลิเวอร์ยืนท้าวแขนกับรถเข็นกระเป๋า มองตามตาเป็นมันสมแล้วที่เป็นเพื่อนกันมานานปี “คนนั้นก็หุ่นอร่อยค่ะเจ๊”

   อาเจ๊ฟาดแขนเขา “มาคราวนี้แกต้องหากลับไปเป็นตัวเป็นต้นให้ได้สักคน เข้าใจไหม”

   “เจ๊ขา ถ้ามันหากันง่ายขนาดนั้นโอคงไม่โสดมาจนถึงตอนนี้หรอกค่ะ”

   “แกก็พยายามเข้าสิ พยายามน่ะพยายาม ผู้หญิงผู้ชายก็ได้หลับหูหลับตาคว้าๆ มาสักคน”

   “เจ๊พูดอย่างกับว่าหาผัวง่ายเหมือนหาปลานะคะ”

   “มันหาง่ายแต่สเป็คแกสูงเกินต่างหาก” หลังสรุปจบคำก็หันไปโบกไม้โบกมือให้สามีที่กำลังมองหา “ป่ะ เสร็จแล้วแก เดี๋ยวแยกกันตรงนี้นะ”

   โอลิเวอร์มองอาเจ๊ตาละห้อย ทำหน้าเหมือนต้องแยกจากกันสักสิบปีจนอาเจ๊ต้องเรียกสติ

   “ตื่นค่ะซิส ถ้ามัวแต่เดินตามก้นต้อยๆ จะเอาไหมผัวน่ะ โตแล้วออกไปหากินเองได้แล้ว โอเค้?” ท้ายประโยคทำเสียงสูง จบคำก็จับเขากอดหมับใหญ่ก่อนจากลา ครู่เดียวก็เดินหลังไวๆ เข้าลิฟต์หายไปกับสามี

   ชายหนุ่มผู้ถูกทิ้งยืนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตบๆ แก้มตัวเองเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเข็นรถเดินไปตามทาง




   กว่าจะฝ่าวิกฤตบันไดหมื่นขั้นของรถไฟใต้ดินกับลิฟต์อพาร์ทเมนท์แคบเท่าสองคนยืนเบียดโอลิเวอร์ก็มาถึงห้องพัก เขาไขกุญแจเปิดเข้าไปพบอพาร์ทเมนต์ขนาดหนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่นที่มีครัวขนาดเล็กติดตั้งครบครัน โอลิเวอร์ถอดเสื้อกันหนาวพาดเก้าอี้ เทกระจาดกระเป๋าก่อนล้มตัวลงนอนแผ่หลาหมดสภาพบนโซฟา เงยศีรษะขึ้นมาได้ก็รัวนิ้วกดโทรศัพท์มือถือ

   เสียงสัญญาณดังไม่นานก็มีคนรับ ปลายสายส่งเสียงแจ๋วๆ ทักเขาทันที

   “พี่ไปถึงปารีสแล้วเหรอ เป็นไงมั่ง ห้องพักใหญ่ไหม ถ่ายรูปให้แนนดูหน่อย”

   “ถึงแล้วค่ะ” เขาว่าพลางกระเถิบตัวลุกขึ้นนั่งหลังพิงพนัก ยกขาขึ้นพาดขาอีกข้างแล้วเริ่มถอดถุงเท้าด้วยมือเดียว “ห้องพักก็โอเคอยู่ ไม่เล็กมากกำลังดี เดี๋ยวพี่จัดของเสร็จจะถ่ายรูปให้ดู”

   “แล้วยังไงอะ โทรมารายงานแค่นี้เหรอ”

   โอลิเวอร์หนีบโทรศัพท์ไว้กับคอและบ่า ดึงถุงเท้าออกสำเร็จไปแล้วหนึ่งข้าง “อือ ก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงพี่ไง”

   “หัวแปลงปลั๊กไฟแนนใส่ไว้ช่องฝาซิปนะ เวลาต่างกันเก้าชั่วโมงพี่โออย่าลืมปรับนาฬิกาล่ะ”

   “จ้ะแม่” โอลิเวอร์หัวเราะหลังปลายเสียงเงียบงอนไปพักใหญ่

   “ไม่รู้ละ แนนวางสายก่อนนะ เที่ยวให้สนุกนะพี่”

   โอลิเวอร์ดึงถุงเท้าออกอีกข้างเรียบร้อยด้วยดี “ค่ะ รักน้องแนนนะ ไว้เดี๋ยวพี่โทรไปหาใหม่”

   ปลายสายส่งเสียงอือฮึตอบกลับมาก่อนจะกดวาง เขาโยนถุงเท้าสองข้างไปที่มุมห้อง ลุกไปรื้อแก้ว กดต้มน้ำก่อนจะเริ่มปฏิบัติการรื้อกระเป๋าจัดบ้าน

   โอลิเวอร์ตั้งรูปภาพครอบครัวที่โต๊ะหัวเตียง มาเที่ยวไม่กี่วันแต่คนขี้เหงาพกภาพไว้ก็อุ่นใจเสมอ นิ้วเรียวยาวลูบไปบนกรอบกระจก ในรูปมีหญิงวัยกลางคนกับเขาและเด็กสาวแรกรุ่น หนึ่งในนั้นเป็นสุภาพสตรีผมดำขลับชาวไทย เขาได้จมูกโด่งกับผมสีอ่อนมาจากตาเฒ่าที่ไม่อยากพูดถึง ส่วนยัยแนนได้ผมสีเข้มตาดำเป็นลูกกวางมาจากแม่

   ชายหนุ่มไม่ลืมตั้งพระปางสมาธิขนาดเท่าฝ่ามือไว้ใกล้ๆ กัน โอลิเวอร์นั่งปลายเตียงพนมมือแต้ ก้มหน้าก้มตาสวดขอพรยาวเหยียดชนิดไม่กลัวว่าพระจะบินมาฝรั่งเศสกับเขาด้วยหรือไม่ จบกรรมพิธีก็รูดมือจากพนมไว้ไปลูบๆ กระหม่อมพอเรียกขวัญก่อนจะผุดลุกไปจัดแจงแยกเสื้อผ้าต่อ

   ชายหนุ่มฮัมเพลงรักเก่าๆ สมัยคุณแม่ยังสาวอยู่หลายเพลง เสียงหวีดกาต้มน้ำเรียกความสนใจเขาให้กลับมาสู่ปัจจุบัน เขาออกมาชงกาแฟสำเร็จรูปดื่มด้วยความเคยชินแม้ว่านี่จะปาไปบ่ายแก่ๆ แล้ว ในห้องกรุ่นหอมไปด้วยกลิ่นกาแฟ นานทีจะได้ยินเสียงฮีตเตอร์ที่ทำงานเงียบๆ ดังขึ้นมาสักครั้ง




   ทุกอย่างในซุปเปอร์มาเก็ตเขียนฉลากด้วยภาษาฝรั่งเศสที่เขาอ่านไม่กระดิก อาศัยทักษะเดาและกูเกิ้ลทรานสเลตก็พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอยู่บ้าง เขาซื้อนม น้ำผลไม้ แผงไข่ อาหารแช่แข็ง กับขนมปังมาอย่างละนิดอย่างละหน่อยให้พอเป็นมื้อเช้าสำหรับสามวันในปารีส เมื่อคิดว่าพอก็เดินไปจ่ายเงิน แถวไม่ยาวนัก ทุกอย่างก็ดูว่องไวไปเสียหมด

   กว่าจะจัดของในห้องเสร็จฟ้าก็มืดแล้ว ฤดูใบไม้ร่วงอย่างนี้เข้าเวลาค่ำไวกว่าปกติ ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีส้มเมื่อครู่ก็กลายเป็นมืดครึ้มในทันใด โอลิเวอร์เดินหลังไวๆ ข้ามถนนกลับมาที่ฝั่งอพาร์ทเมนท์ แวะซื้อสลัดสำหรับมื้อเย็นก่อนจะเดินเข้าในอาคาร เมื่อประตูปิดลมเย็นจากด้านนอกก็หายไปพอให้อุ่นขึ้นมาบ้าง

   ใช้เวลาไม่นานกว่าจะกลับมาถึงห้อง โอลิเวอร์วางกุญแจไว้ที่โต๊ะใกล้เคาน์เตอร์ครัว ฮีตเตอร์ที่เปิดรออยู่แล้วส่งเสียงหึ่งๆ แผ่ไอร้อน หลังยัดทุกอย่างเข้าตู้เย็นก็เป็นอันหมดหน้าที่สำหรับเย็นนี้

   โอลิเวอร์ดูนาฬิกา นี่ก็เพิ่งจะหกโมงเย็น อาเจ๊คงกำลังเที่ยวอยู่ในสตราส์บูร์กกับสามี คิดได้อย่างนั้นก็รู้สึกเหงาขึ้นมาจนต้องลุกไปเปิดโทรทัศน์ให้อยู่เป็นเพื่อน

   รายการที่เขาฟังไม่รู้เรื่องโลดแล่นอยู่บนหน้าจอสี่เหลี่ยม ชายหนุ่มเทสลัดจากถาดพลาสติกลงชาม ราดน้ำแล้วเอามานั่งคลุกอยู่หน้าโทรทัศน์ กินไปดูไปอยู่พักใหญ่ก็เลื้อยตัวไปตามโซฟานิ่มๆ ...จะที่ไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น เขาอยู่คนเดียวมาตลอดแต่ไม่ยักชินสักที

   มนุษย์ทุกคนบนโลกถูกจำแนกออกเป็นสองเพศหลักคือชายกับหญิง และสามเพศรองคืออัลฟ่า เบต้า และโอเมก้า เพศหลักแยกแยะได้ด้วยหลักทางกายภาพพื้นฐานแต่เพศรองละเอียดอ่อนกว่านั้น

   เพศรองอัลฟ่ามักถูกจัดอยู่ในกลุ่มผู้นำของสังคมด้วยร่างกายแข็งแกร่งและมันสมองที่มีมากกว่าเพศรองอื่น ผู้นำในระบอบสังคมปัจจุบันเป็นอัลฟ่าถึงร้อยละแปดสิบ จุดเด่นทางกายภาพคืออัลฟ่าทั้งหญิงและชายจะมีอวัยวะเพศชายที่มีขนาดใหญ่และข้อสำหรับล็อกเมื่อมีเพศสัมพันธ์ อัลฟ่าหญิงสามารถตั้งครรภ์ได้แม้จะมีโอกาสน้อยกว่าเพศรองอื่น ขณะที่เพศรองเบต้าเหมือนชายหญิงทั่วไปตั้งแต่อดีตกาลทุกประการ

   ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเพศรองโอเมก้ามีกายภาพที่อ่อนแอและมีรังไข่ทั้งหญิงและชาย ดังนั้นผู้ชายที่มีเพศรองเป็นโอเมก้าจึงสามารถตั้งครรภ์ได้ ความคลุมเครือทางเพศนี้ทำให้โอเมก้าทั้งหญิงชายถูกจัดรวมไว้ในหมวดหมู่เดียวกันไม่ได้มีสถานะที่แตกต่าง โอเมก้ายังมีลักษณะพิเศษที่จะเกิดอาการฮีทเดือนละครั้ง ครั้งหนึ่งกินเวลาสามถึงห้าวันเป็นช่วงเวลาตกไข่ที่ฮอร์โมนแปรปรวนและปล่อยฟีโรโมนมากผิดปกติ สภาพร่างกายที่อ่อนแอและอาการฮีทมักจะกระทบต่อการทำงานและการเรียนจึงถูกมองเป็นชนชั้นล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร

   อัตราการเกิดของแต่ละเพศรองอยู่ที่เบต้าร้อยละเจ็ดสิบ อัลฟ่าร้อยละยี่สิบ และโอเมก้าร้อยละสิบ ...แน่นอนว่าโอลิเวอร์เป็นชนกลุ่มน้อยอย่างโอเมก้า แต่นั่นไม่เคยทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตเป็นเรื่องยากลำบากเลย โอเมก้ามียาสำหรับหยุดอาการฮีททั้งแบบฉีดและแบบกิน และตัวเขาก็ร่างกายแข็งแรงเท่าผู้ชายปกติทั่วไป ผลการเรียนก็อยู่ในระดับสิบอันดับแรกมาตลอดพ่วงด้วยตำแหน่งประธานนักเรียนสมัยเกรดสิบสอง

   แล้วอะไรเป็นตัวผลักดันให้เขาต้องมาหาคู่ไกลถึงปารีส? หาคู่บอนด์ทำสัญญาแล้วกลับอเมริกาเพียงลำพัง – คนเดียวที่รู้แผนการอันบ้าคลั่งนี้ก็มีแต่ตัวเขาเท่านั้น

   โอเมก้าจะผูกพันธะคู่กับอัลฟ่าได้เพียงคนเดียวเท่านั้นผ่านการกัดหลังคอเพื่อบอนด์ระหว่างมีเพศสัมพันธ์ หลังจากบอนด์ ฟีโรโมนที่ปล่อยเมื่อเกิดอาการฮีทจะไม่ส่งผลกับอัลฟ่าคนอื่นๆ และร่างกายของโอเมก้าจะตอบรับแค่กับอัลฟ่าที่เป็นคู่บอนด์เท่านั้น ผิดกับอัลฟ่าที่ทำการผูกพันธะได้หลายครั้ง

   โอลิเวอร์ตั้งใจจะใช้กฎธรรมชาติข้อนี้เพื่อปลดปล่อยตัวเองออกจากโซ่ตรวนทางเพศที่ผูกเขาไว้กับความเชื่อทางสังคม หากมีคู่บอนด์แล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องใดอีก ใครจะมาวอแวก็ต้องเกรงอกเกรงใจสถานะที่เทียบเท่ากับคนแต่งงานแล้วของเขา ทว่าความเชื่อใจในอัลฟ่าที่แทบจะติดลบก็ทำให้จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีแฟน

   อาเจ๊เคยกล่าวเอาไว้ว่าหาแฟนไม่ได้ก็จงรวย และเมื่อรวยก็จงซื้อกิน

   ชายหนุ่มวัยกลัดมันอย่างเขาจึงดั้นด้นจากซีแอตเทิลมาไกลถึงปารีสแดนแห่งรักเพื่อหาคู่บอนด์ชั่วคราวเพื่อทำสัญญาผูกพันธะแล้วทางใครทางมัน




   วันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าจะมีฝนตกปรอยๆ ตอนบ่าย ยามเช้าก็ยังเป็นเวลาทองสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเขา โอลิเวอร์กระชับเสื้อกันหนาวก่อนจะหย่อนกุญแจห้องลงในกระเป๋าเสื้อ เมื่อพร้อมแล้วก็มุ่งหน้าออกจากอพาร์ทเมนท์

   ชายหนุ่มนั่งรถไฟใต้ดินไปลงซิเต้อันสถานีประจำเกาะอีล เดอ ลา ซิเต้กลางแม่น้ำแซน เดินฝ่าลมหนาวไปถึงมหาวิหารน็อทร์-ดามเป็นที่แรก แวะถ่ายรูปลานหน้ามหาวิหารจนหนำใจแล้วถึงเข้าไปด้านใน

   บรรยากาศข้างในเงียบสงบและค่อนข้างมืด แสงเทียนจากพื้นที่ด้านหลังแนวเก้าอี้ส่องสว่างขับให้บรรยากาศยิ่งดูต้องมนตร์ขลัง เชิงเทียนจากทั้งสองฟากเป็นเครื่องประดับประดาเดียวในโถงใหญ่

   โอลิเวอร์ถอดหมวกออกตามคนข้างหน้าแถว เขาเดินชมสองฝั่งข้างมหาวิหารไปเรื่อยๆ ไม่ได้หยุดที่มุมใดมุมหนึ่งเป็นพิเศษ แต่ละบล็อกระหว่างเสาหินจัดแสดงต่างช่องต่างสิ่งกัน บ้างก็ดูเหมือนห้องสำหรับทำความเคารพรูปปั้นพระแม่มารี บ้างก็มีรูปภาพนักบวชติดอยู่ต่างกันไป แสงเทียนที่จุดหน้าแต่ละมุมส่องเป็นทางยาว ลึกเข้าไปข้างในที่หน้าแท่นบูชาแสงลอดจากกระจกสีส่องลงมาชวนให้ใจนึกสงบ

   ตรงฝั่งประตูทางออกมีของขายเล็กๆ น้อยๆ กับตู้สำหรับหยอดเหรียญที่ระลึก โอลิเวอร์นึกสนุกหยอดเอาเหรียญทองลายหน้าพระสันตะปาปาติดกระเป๋ามาด้วย

   เขาเดินออกมาจัดหมวกให้เข้าที่ก็มุ่งตรงไปฝั่งตรงข้ามของเกาะ แวะโบสถ์แซ็งท์ชาแปลล์ ต่อแถวเดินตามเข้าไปเรื่อยๆ ก็มาถึงด้านใน อดแหงนมองจนสุดคอไม่ได้เมื่อเข้ามาถึงภายในโบสถ์ที่ประดับประดาด้วยกระจกสีในทุกด้าน ข้างในสว่างเหมาะแก่การถ่ายรูป กระจกโมเสกหลากสีสันสูงจรดเพดานและหลังคาเป็นโดมโค้ง การตกแต่งสวยงามและประดับประดาผนังเป็นลวดลายตามยุคโกธิค แม้จะเล็กอยู่สักหน่อยเมื่อเทียบกับอีกที่ที่เขาเพิ่งไปเยือนแต่นับว่ากระจกสีอย่างเดียวก็คุ้มค่าเข้าชมแล้ว

   วันแรกของปารีสโอลิเวอร์ยกให้เป็นวันแห่งการไปเยือนโบสถ์ เพราะฉะนั้นเมื่อก้าวท้าวออกจากแซ็งท์ชาแปลล์จุดมุ่งหมายต่อไปก็ต้องเป็นศาลากลางเมืองที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะข้ามไปโบสถ์ลามาดแลนและมหาวิหารซาเคร-เกอร์เป็นที่สุดท้ายสำหรับภาคเช้านี้

   โอลิเวอร์เดินเท้าฝ่าลมหนาวข้ามสะพานมาถึงศาลาว่าการกรุงปารีส แวะถ่ายรูปที่ลานด้านหน้าเก็บภาพออแตลเดอวีลติดนกพิราบเป็นฝูงอยู่พักใหญ่ก็ออกเดินตามระบบจีพีเอสในโทรศัพท์มือถือไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่ตีเครือข่ายครอบคลุมทั้งเมือง

   เมื่อลงสถานีมาดแลนเดินไปตามทางเท้าไม่เท่าไหร่ก็มาถึงโบสถ์ลามาดแลน ด้านนอกเป็นลักษณะแบบวิหารโรมันที่ล้อมด้วยเสาหินขนาดใหญ่ ประตูหลักบานโตทำจากทองแดงสลักนูนต่ำถึงบัญญัติสิบประการ เมื่อเข้ามาด้านในเป็นลานกว้างแน่นขนัดด้วยเก้าอี้ในโบสถ์เรียงเต็มสองฟาก ด้านในสุดไม่มีไม้กางเขนแต่กลับเป็นรูปปั้นนักบุญแมรี่ แม็กดาเลนที่ถูกอุ้มยกด้วยเทวดา แสดงสว่างส่องลอดมาจากกระจกหน้าต่างด้านบนขับให้ภายในสว่างมีมนต์สเน่ห์ในแบบโกธิค ภายในขนาบข้างหนึ่งด้วยออร์แกนโบราณขนาดยักษ์

   เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจเก็บภาพโบส์ลามาดแลนก็เตรียมตัวเดินทางไปสู่มงต์มาร์ททางตอนเหนือของมหานคร เมื่อออกจากสถานีอ็องแวร์สก็เดินขึ้นเนินเขามงต์มาร์ทไปเรื่อยๆ ตามทาง เมื่อมาถึงจุดสูงสุดก็พบมหาวิหารซาเคร-เกอร์ บาซิลิก้าสีขาวสะอาดตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่เหนือแนวขั้นบันได ตัวโบสถ์สร้างใหญ่โตผนวกกับหลังคาเป็นโดมทรงโค้งดูแปลกตาตามฉบับโรมาโน-ไบเซนไทน์ โอลิเวอร์หยุดพักขาด้วยการไล่เก็บรูปด้านหน้าบาซิลิก้าอยู่พักใหญ่ก่อนจะเดินขึ้นบันไดเข้าไปด้านใน

   แต่มาถึงปารีสไม่เจอมิจฉาชีพคงจะเรียกว่ามาไม่ถึง ระหว่างขั้นบันไดทอดยาวเขาถูกดักด้วยชายผิวสีกลุ่มใหญ่ที่พยายามจะเข้ามาผูกข้อมือเรียกเอาเงิน ถามว่าคนอย่างเขาจะหนีเอาตัวรอดอย่างไร? บอกได้เลยว่าเสียไปสิบสองยูโรสนนราคาเหนาะๆ...

   ยังไม่นับว่าเห็นโจรวิ่งราวฉกกระเป๋านักท่องเที่ยวไปต่อหน้าต่อตาอีกราย แถวนี้มันเถื่อน ไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้...

   รอดชีวิตจากกลุ่มผูกข้อมือมาได้ก็ถึงบาซิลิก้าเสียที ด้านหน้ามหาวิหารประดับด้วยประติมากรรมรูปปั้นทั้งสองฝั่ง ตัวโบสถ์เป็นสีขาวนวลเข้าไปด้านในก็โอ่โถง ค้ำยันไว้ด้วยเสาโรมันทรงกระบอกขนาดใหญ่ทั้งสองด้านเรียงเป็นแนวยาว ข้างในค่อนข้างสว่างด้วยการตกแต่งเป็นสีขาวล้วนและกระจกสี ตรงไปด้านในสุดมีแท่นบูชาพระเยซูและรูปวาดพระองค์เด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลาง

   สิ่งที่โบสถ์ทุกแห่งมีเหมือนกันคือบรรยากาศสงบที่ได้รับทันทีที่ก้าวเข้าไปด้านใน

   โอลิเวอร์ใช้เวลาอยู่ที่นี่พักใหญ่เพราะเมื่อออกมาด้านนอกก็เห็นทิวทัศน์ปารีสจากมุมสูงที่สวยไปอีกแบบ เขาถ่ายเก็บไว้หลายภาพ กระชับกระเป๋าสะพายข้างให้เข้าที่ก่อนจะเดินกลับลงไปด้านล่างอีกครั้ง

   แถบมงต์มาร์ทมีคาเฟ่อยู่เยอะเหมาะแก่การฝากท้องยามเที่ยง ชายหนุ่มเลือกจะแวะที่นี่ก่อนจะไปผจญโลกต่อในตอนบ่าย อยู่ปารีสต้องเดินเยอะจนแค่ครึ่งวันเช้าวันนี้ก็เท่ากับตอนที่เขาอยู่ที่ซีแอตเทิลสามวันรวมกันแล้ว น่องก็เริ่มตึงอย่างประหลาด หลังจากลากขาเดินหาร้านมาพักใหญ่ก็เห็นร้านเฝอเวียดนามอยู่ไม่ไกล

   ขณะที่กำลังวางใจว่ามื้อเที่ยงฝากชีวิตไว้กับร้านเฝอคนกลุ่มใหญ่ก็เดินสวนมา โอลิเวอร์หนีบกระเป๋าไว้ใกล้ตัวตามสัญชาติญาณ แต่ไม่คิดว่าวินาทีนั้นแทนที่จะถูกล้วงกระเป๋ากลับโดนกระชากไปทั้งใบ โจรส่งต่อกันจนออกวิ่งขณะที่เขาติดแหงกไปไหนไม่ได้ แต่ในกระเป๋ามีชีวิตของเขาฝากเอาไว้รวมถึงพาสปอร์ตด้วย!

   โอลิเวอร์ตะโกนเรียกตำรวจแต่ไม่เป็นผล ชายหนุ่มอาศัยร่างเล็กมุดแทรกออกมาวิ่งไล่ตามเอง เขาเห็นชายในชุดตำรวจหลังไวๆ เดินผ่านไปก็รีบตะโกนบอก ไม่คิดว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จะวิ่งด้วยความเร็วเท่าเต่าบาดเจ็บ

   บักห่ามึง! โอลิเวอร์ร้องในใจระหว่างเร่งฝีเท้าแซงหน้าตำรวจไปไกล นู่น พ่อโจรตัวดีอยู่ลิบๆ นั่นแล้ว ด้วยอะดรีนาลีนหลั่งทำให้ชายหนุ่มกวดฝีเท้าไม่คิดชีวิตตามไป

   “ฟัคยู!” ด่าไปด้วยระหว่างหอบหายใจเข้า มันเลี้ยวเขาก็เลี้ยว มันวิ่งเขาก็วิ่ง ไล่กวดจนใกล้จะตามหลังโจรทัน มิจฉาชีพในคราบคนเดินถนนหันกลับมามองหน้าตาตื่นไม่คิดว่าจะโดนตามมาขนาดนี้ มันมุดเข้าตรอกโอลิเวอร์ก็สปรินต์เท้าเข้าตาม เมื่อใกล้จนอีกสองช่วงตัวจะจับได้โจรหัวไวก็โยนกระเป๋าทิ้ง

   โอลิเวอร์หยุดแทบไม่ทัน คว้ากระเป๋าขึ้นมากอดไว้ประหนึ่งกล่องดวงใจ หัวใจหล่นวูบ มาตอนนี้เพิ่งจะรู้สึกเหนื่อยขาก็สั่นไม่หยุด คิดได้แค่ว่าหมดเวรหมดกรรมกันเสียที

   หารู้ไม่ว่าเจ้ากรรมนายเวรยังไม่หยุดแค่นั้น โอลิเวอร์สังหรณ์ไม่ดีลองคว้านกระเป๋าดู เมื่อหยิบมือถือขึ้นมาก็ชัดเลย...หน้าจอแตกยับ เครื่องค้างเปิดไม่ติด ชะรอยจะกระแทกเข้าเต็มเปาตอนโดนโยนทิ้ง

   ชายหนุ่มผู้ดวงซวยไม่หยุดหันมองซ้ายมองขวา ที่นี่ที่ไหนก็ไม่รู้ เขากลายเป็นคนหลงทางกลางเมืองปารีสโดยสมบูรณ์แบบชนิดไม่ต้องร้องขอพ่อก็จัดให้



   
   โอลิเวอร์เดินออกมาถึงริมถนนได้สักที เขามองซ้ายมองขวาแต่ไม่พบป้ายสัญลักษณ์รถไฟใต้ดิน ป้ายเมโทรที่นี่แปลกอยู่อย่างที่ย่านหนึ่งก็ทำป้ายลักษณะหนึ่งต่างกันออกไป หากมีเวลาเขาคงใจเย็นมากพอจะเดินไล่ถ่ายไปทีละสาย แต่ตอนนี้แม้แต่ขนมปังสักชิ้นก็ยังไม่ตกถึงท้อง

   เสียงท้องร้องโครกครากถูกกลบหายไปกับเสียงการจราจรยามบ่าย อีกไม่นานจะหมดเวลามื้อเที่ยงและร้านส่วนใหญ่จะปิดตั้งแต่บ่ายสองไปจนถึงเย็น ถ้าไม่รีบหาอะไรกินตั้งแต่ตอนนี้เขาต้องหิ้วท้องไปอีกนานแน่ๆ

   ชายหนุ่มหยุดความคิดที่จะมองหาเส้นทางแต่เลือกเดินตามตรอกซอกซอยไปเรื่อยๆ เขาจำทางแค่พอให้กลับไปหาถนนใหญ่เจอ มองไปไม่ไกลที่ถนนสายเล็กก็เจอคาเฟ่ขนาดกำลังน่านั่งที่มีโต๊ะเก้าอี้วางเรียงอยู่ด้านนอก – อากาศเย็นๆ อย่างนี้ใครจะนั่งตากลมล่ะจริงไหม?

   แต่ก็ยังมีสุภาพบุรุษแขนขายาวคนหนึ่งที่นั่งเอกเขนกอยู่ด้านนอกนั่นไง โอลิเวอร์กะจะเมินเขาเข้าไปหาความอบอุ่นฮีตเตอร์ภายในร้านแล้ว ถ้าไม่ติดว่าชายคนนั้นถอดแว่นกันแดดออกเสียก่อน

   คุณพระ!

   อยู่ดีๆ โอลิเวอร์ก็แข้งขาอ่อนอยากจะนั่งลงซบตักชายหน้าคาเฟ่ เขาเอามือปิดปากไม่ให้ตัวเองหลุดกรี๊ด ดูขนตาเป็นแพนั่น! ดูดวงตาสีน้ำทะเลนั่น! ดูจมูกโด่งกรามเป็นสันคมนั่น! ดูกล้ามที่นูนแน่นออกมาจากเสื้อเชิ้ตขนาดกำลังพอดีตัวนั่น! ผิวแทนกรำแดด ขาก็ยาวท่าทางจะสูงร่วมสองเมตร ใส่ชุดสูทเรียบกริบปลดกระดุมเชิ้ตสองเม็ดแถมยืนตรงนี้ยังได้กลิ่นอัลฟ่าเจือกับกลิ่นน้ำหอมสะอาดๆ โชยมาแตะจมูก พ่อเจ้าประคุณเอ๊ย ลำพังแค่มองก็น้ำลายหกแล้ว!

   แผนการเดินทางยามบ่ายถูกโยนทิ้งลงแม่น้ำแซน ความรู้สึกอยากจะโทรไปเม้าท์กับเพื่อนสาวพุ่งสูงจนแทบระงับอารมณ์ไม่อยู่ โอลิเวอร์ย่ำเท้าเข้าไปหาชายรูปงามดั่งฝันฉันใด ส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจไปให้เขาก่อนเอ่ยด้วยเสียงสองสุดเข้มที่ฝึกฝนมาทั้งชีวิต

   “อยากบอนด์กับผมไหมครับ?”

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่1 - 29/01/62
«ตอบ #2 เมื่อ02-02-2019 02:13:03 »

ตอนที่ 2


   “ครับ?” พ่อหนุ่มคนนั้นมองหน้าเขาค้าง กระทั่งหน้าฉงนก็ยังหล่อไม่บันยะบันยัง

   โอลิเวอร์ยิ้มจนเห็นฟันเขี้ยว “บอนด์กับผมไหม ผมมีข้อเสนอมาให้คุณพร้อมเงินก้อนโต” เขาว่าพลางนั่งลงเก้าอี้ตัวข้างๆ ชายคนนั้นไม่ได้ขยับหนีแต่ท่าทางจะยังไม่เข้าใจนัก

   “บอนด์ที่หมายถึงผูกพันธะระหว่างอัลฟ่ากับโอเมก้าหรือครับ – นี่ซ่อนกล้องเอาไว้ตรงไหนรึเปล่า?” เขาถามท่าทางอารมณ์ดี ลักยิ้มน้อยๆ ปรากฏบนสองแก้มยิ่งขับให้มีเสน่ห์ โอลิเวอร์มองเขาแทบไม่ละสายตา

   “เปล่าครับเปล่า” โอลิเวอร์หัวเราะ “ผมพูดจริง บอนด์กับผมแล้วผมจะจ่ายคุณห้าพันยูโร แล้วจากนั้นเราแยกย้ายกันไปคนละทางไม่ข้องเกี่ยวกันอีก ...นี่ฟังดูน่าสนใจแล้วหรือยังครับ?”

   ชายในชุดสูทเลิกคิ้วข้างหนึ่ง เขาอยู่ในท่าไขว่ห้างและเจ้าก็ตัวโน้มมาวางศอกเอามือรองคาง ยิ่งใกล้ยิ่งได้กลิ่นน้ำหอมกับเห็นดวงตาคมคู่สวยชัด หัวใจโอลิเวอร์เต้นระส่ำ

   “ไหนลองบอกเงื่อนไขกับผมดู บางทีผมอาจจะสนใจ”

   คนชวนกลั้นใจคุมไม่ให้ปลายเสียงสั่น “ผมเป็นโอเมก้า—” จังหวะถูกขัดด้วยเสียงท้องร้อง โอลิเวอร์หน้าตึง ใบหูเขาแดงก่ำ “...จะว่าอะไรไหมครับถ้าเราจะทานไปคุยไป?”

   ฝ่ายนั้นกลั้นยิ้ม “แน่นอนครับ” ว่าพลางผายมือเชิญให้เขาลุกไปสั่ง

   เขาแทบกรี๊ด อายก็อายมือไม้อยู่ไม่เป็นสุข สั่งแซนด์วิชง่ายๆ กับอเมริกาโน่อีกแก้ว ใช้เวลารวบรวมลมหายใจอยู่นานสองนานกว่าจะกลับที่ ชายหนุ่มคนนั้นยังนั่งอยู่ในอิริยาบถผ่อนคลาย ส่วนโอลิเวอร์ลืมวิธีกินไปแล้ว

   “โปรดเรียกผมว่ามิสเตอร์โอ -- แค่บอนด์กับผมผมก็ให้เงินคุณตามสัญญา ไม่ต้องทำอะไรมาก นี่สบายกว่าไปหาคู่ขาที่บาร์เยอะนะครับ” เขาว่าอย่างประเมิน อยู่ย่านสิบแปดแถบใกล้บาร์ แต่งตัวดีมีรสนิยมตั้งแต่บ่าย ใส่น้ำหอมฟุ้งผมลงเจลจัดทรง เสื้อผ้าก็ไม่ได้เรียบร้อยมาก วันธรรมดาแต่ไม่ทำงานอย่างนี้อีกฝ่ายน่าจะเป็นจิ๊กกะโล่อย่างที่เขาเคยผ่านตา ...แต่มาดแบบนี้คงเป็นจิ๊กกะโล่เกรดเอ

   โอลิเวอร์พูดต่อ อีกฝ่ายฟังโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ “ผมชอบคุณนะ แต่ผมไม่ได้ต้องการผูกมัดคุณไว้กับผม เพราะฉะนั้นหลังจากบอนด์เราจะเซ็นต์สัญญาไม่เจอหน้ากันอีก คุณได้เงิน ผมก็มีคู่บอนด์ที่ถูกใจ เราไม่ถามรายละเอียดส่วนตัวกันและกัน ต่างคนต่างแยกย้ายหลังเสร็จกิจเท่านั้น งานง่ายๆ ใช่ไหม?”

   อัลฟ่าคนนั้นกล่าวสรุประหว่างที่โอลิเวอร์กำลังง่วนอยู่กับแซนด์วิช “คุณหมายความว่าคุณตามหาคนมาบอนด์ด้วย และเผอิญผมก็เป็นอัลฟ่าที่คุณชอบพอดี?” เขาถามทั้งยิ้มๆ ตอนที่พูดทวนเรื่องชอบหรือไม่ชอบใครโอลิเวอร์ตั้งอกตั้งใจกัดแซนด์วิชมากขึ้น

   เขายังพูดต่อไปอีก “ผมเข้าใจเรื่องของคุณนะ แต่ไม่คิดเหรอครับว่านี่ดูออกจะบ้าอยู่สักหน่อย” และบางครั้งก็ตรงไปตรงมาจนน่ากลัว “คุณไม่กลัวหรือว่าผมอาจจับคุณส่งตำรวจหรือเป็นพวกต้มตุ๋นน่ะ ที่รัก”

   “ถ้ากลัวผมคงไม่ถาม และหากคุณเห็นเป็นเรื่องไร้สาระคุณจะปฏิเสธก็ได้ แต่ผมคงเสียใจน่าดู” โอลิเวอร์เช็ดมือกับกระดาษทิชชู่ ท้าวแขนกับโต๊ะและจ้องดวงตาสุกใสราวท้องทะเลของคู่สนทนา “...ผมชอบคุณมากทีเดียว”

   ฝ่ายนั้นส่งเสียงหืมยาวๆ ลักยิ้มบุ๋มลงไปทั้งสองข้าง ดวงตาหรี่โค้งเป็นประกายระยับราวกับกำลังเจอเรื่องน่าสนุก “ให้เวลาผมคิดสักหน่อย พรุ่งนี้พบกันที่นี่ตอนบ่ายโมง แล้วผมจะให้คำตอบกับคุณ”

   แล้วโอลิเวอร์ก็เปลี่ยนจากคนหลงทางเป็นคนจำทางแม่นในทันที เขารอจนชายปริศนาลุกเดินไปลับตาถึงค่อยกลับเข้าไปในร้าน ถามทางอยู่สามสี่รอบจนมั่นใจว่ากลับมาถูกแน่ๆ ถึงออกมาข้างนอกด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มหุบไม่ลง อมยิ้มอมตุ่ยเขินเป็นบ้าอยู่คนเดียวทั้งๆ ที่เดินอีกไกลกว่าจะไปถึงสถานีรถไฟใต้ดิน



   
   เมื่อกลับถึงที่พักแล้วความวิตกกังวลเพิ่งจะโจมตีเขา โอลิเวอร์เดินเป็นหนูติดจั่นอยู่ในห้อง เขาถือชามสลัดกับขนมปังแห้งๆ ค้างอยู่นานแล้วกว่าจะกัดมันสักคำหนึ่ง กลืนแบบแทบไม่รู้รสชาติใดๆ

   ชายหนุ่มมองนาฬิกาติดผนังห้องอีกครั้ง มันบอกเวลาสี่โมงครึ่ง เขาควรจะเตรียมตัวไปเที่ยวบาร์ได้แล้วถ้าไม่ติดว่าไม่มีกะจิตกะใจแม้แต่จะถอดกระทั่งถุงมือตัวเองออก

   ถ้าอัลฟ่าคนนั้นปฏิเสธจะทำยังไงดี?

   อัลฟ่าที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อยังตราตรึงอยู่ในภาพทรงจำของเขา โอลิเวอร์เม้มกัดริมฝีปาก มันดีไปหมดมากจริงๆ กระทั่งเขาเองที่ไม่เคยใจเต้นกับใครเป็นพิเศษยังรู้สึกว่าใช่ คนนี้แหละพ่อของลูกที่พี่ตามหามาทั้งชีวิต พี่เกิดมาเพื่อเขา สมัยสิบสี่ยังกรี๊ดผู้ชายในโปสเตอร์ไม่เท่าขนาดนี้

   หัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ สุดท้ายก็ทนไม่ไหว โอลิเวอร์พยายามเค้นสมองนึกเบอร์โทรศัพท์อาเจ๊ที่เลขท้ายเลือนรางก่อนทิ้งชามเดินไปคว้าหูโทรศัพท์บ้านขึ้นมากดเลข รออยู่ไม่นานเสียตามสายก็เป็นคนที่เขาเฝ้ารอ

   “สวัสดีครับ” เสียงอาเจ๊ยังงุนงงเบอร์แปลก

   “เจ๊นี่โอเอง มือถือโอพัง นี่ใช้โทรศัพท์บ้าน” โอลิเวอร์พูดรัว “คือมีเรื่องต้องเม้าท์ค่ะเจ๊ วันนี้โอเจอผู้ดีมากแบบดีมากจริงๆ ฮือ เจ๊ช่วยหนูด้วยค่ะหนูอยากได้เขา หนูต้องไปบนบานศาลไหน”

   ปลายสายมีเสียงรถวิ่งผ่าน “...อีโอ ดึงสติค่ะลูก” น้ำเสียงอาเจ๊ตอบมาแบบรำคาญเต็มที “ผู้อะไรที่ไหนยังไง สงบอารมณ์แล้วเล่ามาซิ”

   โอลิเวอร์เล่าตั้งแต่เข้าวัดอะไรออกโบสถ์ไหนระหว่างที่อาเจ๊ก็เดินทางจากในตัวเมืองกลับเข้าโรงแรม มีเสียงสามีอาเจ๊แทรกมาเป็นระยะระหว่างที่โทรคุยกันไฟแลบ โอลิเวอร์ใส่สีตีไข่คร่ำครวญอยู่นานสองนานกว่าจะเข้าเรื่อง สรุปความทั้งสิ้นได้ว่าเจอผู้ที่คาเฟ่ ผู้งานดี และหนูอยากได้เขาเป็นหลัว – ข้ามฉากที่หน้าด้านไปขอเขาเป็นคู่บอนด์อย่างมีนัยยะสำคัญ

   อาเจ๊ฟังแล้วปวดขมับ “แล้วชื่อแส้เบอร์ทงเบอร์โทรทำไมแกไม่ถามเขาม๊า อีโอ๊!” ขึ้นเสียงสูงแบบสุดจะทน “ประสบการณ์เต๊าะผู้ที่เจ๊ฟูมฟักแกมายี่สิบปีเทลงชักโครกไปแล้วรึไง”

   “วินาทีนั้นมันไม่ได้จริงๆ ค่ะเจ๊ โอมือไม้สั่นนึกอะไรไม่ออกจริงๆ” โอลิเวอร์ยอมรับเสียงค่อย “โอต้องทำยังไงคะเจ๊ ตอนเจ๊บนขอสามีเจ๊ไปบนวัดไหนไหว้พระองค์ไหน โอบินไปไหว้ตามตอนนี้ทันมั้ย”

   “นังบ้า บินไปตอนนี้ก็ไม่ต้องเอาแล้วผัวน่ะ” อาเจ๊ด่ามาอีกยก “เอางี้นะโอ แกหันหน้าไปทางทิศตะวันออกนะ”

   โอลิเวอร์ทำตามทันที ตะวันยามบ่ายอยู่ทางไหนก็หันไปอีกทาง “ค่ะ ทิศตะวันออกค่ะ”

   “แล้วแกก็ตั้งจิตนึกถึงเจ้าแม่กวนอิมที่ฮ่องกงนะ แล้วแกก็ไหว้ เชื่อเจ๊แล้วทุกอย่างจะดีเอง”

   “หนูไหว้แป๊บนึงค่ะเจ๊” ชายศรัทธาเต็มเปี่ยมเอาคอหนีบหูโทรศัพท์ไว้ พนมมือขอพรพึมพำๆ แล้วเอามือลูบๆ หัวเป็นอันเสร็จพิธี “เรียบร้อยค่ะ ภาวนาถึงเจ้าแม่กวนอิมแน่นอน”

   “เออดีๆ” อาเจ๊ขำ เสียงก้องเหมือนกำลังอยู่ในลิฟต์ หันไปพูดกับสามีน้ำเสียงรื่นเริง “พี่คริส นังโอจะเสียตัวแล้วดีใจเหลือเกิน บำเพ็ญกายทิพย์ถือศีลบริสุทธิ์มานานแล้ว แห้งไปหมดแล้วมั้ง”

   แว่วๆ เสียงสามีอาเจ๊บอกว่าคอนเกรททูเลชั่น โอลิเวอร์ไม่รู้จะขำหรือจะด่าอาเจ๊ก่อนดี ได้แต่บอกไปว่าอีบ้าก่อนวางสาย

   รู้สึกตัวอีกทีนิ้วก็พันสายโทรศัพท์จนยุ่ง สลัดในชามเย็นอยู่แล้วยิ่งชืดกว่าเก่า แปลกที่โอลิเวอร์กลับรู้สึกว่ามันอร่อย – อร่อยจนลืมไปเลยว่าวางแผนจะไปไหนค่ำนี้

   และแล้วเขาก็มาอยู่ในชุดนอนผ้าขนนุ่มนิ่มแขนขายาว มองนาฬิกาอีกครั้งถึงคิดได้ว่า อ้าว แล้วบาร์ฉันล่ะ..



   
   อากาศเช้าวันถัดมาแจ่มใสแดดดีจนต้องแงะตัวเองให้ตื่นแต่ฟ้าสาง โอลิเวอร์ทอดไข่กินคู่กับขนมปังเป็นมื้อเช้าง่ายๆ กาแฟสำเร็จรูปอีกแก้วก็เสร็จสมบูรณ์พร้อมรับวันใหม่ อุณหภูมิวันนี้ต่ำกว่าเมื่อวานนิดหน่อยแต่พยากรณ์บอกว่าฝนจะไม่ตก ตั้งแต่อยู่มาสองวันก็พบว่าพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเชื่อถือไม่ได้สักนิดเว้นแต่จะดูเป็นรายชั่วโมงนั่นล่ะถึงจะแม่นยำ

   โทรศัพท์เครื่องเก่งหน้าจอแตกยับแต่เปิดได้แล้ว ดุจปาฏิหาริย์เพราะโอลิเวอร์จำเบอร์โทรศัพท์ใครแทบไม่ได้เลย เมื่อวานกว่าจะโทรหาอาเจ๊ถูกก็มั่วไปถึงสามรอบ ถึงจะเช็คอะไรได้ไม่ถนัดแต่ก็พอเล่นถูไถไปได้อยู่ ดีที่ติดฟิล์มเอาไว้เศษกระจกถึงได้ไม่กระจายเละเทะ

   ตอนนี้ที่ซีแอตเทิลน่าจะยังเป็นตอนกลางคืนอยู่ ชายหนุ่มปัดตกเรื่องโทรบอกน้องสาวไปก่อน เขากดเช็คกล้องว่ายังใช้ได้ดีอยู่ก็พออุ่นใจ

   โอลิเวอร์เริ่มเช้าของวันด้วยการไปหอไอเฟล นั่งเมโทรไปต่อRERสายCไม่นานก็มาถึงสถานีช็องเดอมาร์ส-ตูร์แอแฟล จากตรงนี้เดินตามป้ายบอกทางก็มาโผล่ใกล้ใต้ฐานของหอไอเฟลและริมแม่น้ำแซน จากมุมนี้มองไม่เห็นแม่น้ำที่อยู่ลึกลงไปสักเท่าไหร่เพราะกำแพงกั้นที่ตีขึ้นสูง แต่เห็นหอไอเฟลชัดเต็มสองตา เขาเดินตามกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต่อแถวยาว รอเรื่อยๆ ก็ถึงคิวขึ้นบันได ผ่านชั้นหนึ่ง สอง และต่อลิฟต์ไปด้านบน

   ข้างบนปลายยอดหอไอเฟลลมแรงจนรู้สึกสั่นแต่วิวทิวทัศน์ก็คุ้มราคาคุย จากตรงนี้เห็นทั้งเมืองปารีสจากมุมที่สูงจนทุกอย่างเล็กจิ๋ว หลังคาสีฟ้าเทาอาคารขาวครีมเรียงเป็นทิวสุดสายตา มองไปอีกด้านไกลๆ จะเห็นกลุ่มอาคารสูงขึ้นเป็นหย่อมที่ย่านเมืองใหม่ลาเดอฟองซ์ ทัศนียภาพของเมืองทั้งเมืองตีเป็นราคาไม้ได้แม้ว่าค่าขึ้นเข้าชมจะตายตัวก็ตาม เขาเก็บภาพด้วยกล้องมือถือตัวเก่งอยู่นานสองนานจนแดดเริ่มจ้าและหนาวจนมือชาดิกถึงได้ตัดสินใจกลับลงไปข้างล่าง

   กาแฟอุ่นๆ ที่ดื่มมาเมื่อเช้าไม่ช่วยอะไรในสภาพอากาศแบบนี้เสียแล้ว โอลิเวอร์เดินย้อนกลับไปแวะหาโกโก้ร้อนทีคาเฟ่เล็กๆ ริมทางก่อนจะเดินเที่ยวสวนช็องเดอมาร์ส

   หลังจากเดินท้าลมอยู่ในสวน เก็บภาพเซลฟี่คู่กับหอไอเฟลจนสะใจแล้วก็ย่ำเท้ายิงยาวมาจนถึงเอก็อลมิลิแตร์ ถ่ายภาพโรงเรียนเตรียมทหารประจำปารีสไปอีกหลายช็อต อาคารยาวมีประตูหลักเด่นออกมาคล้ายอาคารเดี่ยวปีกซ้ายปีกขวาเห็นได้ตั้งแต่ไกลในสวน โอลิเวอร์ที่แทบจะไม่สนประวัติความเป็นมาเคยอ่านเจอคร่าวๆ ว่านโปเลียนเองก็เคยเรียนที่นี่เมื่อสมัยยังหนุ่ม

   เดินตรงไปตามฝั่งขวามือของโรงเรียนเตรียมทหารก็ถึงสถานีรถไฟใต้ดิน นักท่องเที่ยวหนุ่มตีรถย้อนกลับไปสถานีชาร์ล เดอ โกลเอตัวล์เพื่อไปดูประตูชัย เอตัวล์หรือดวงดาวนี้หมายถึงเมื่อมองลงมาจะเห็นจัตุรัสเป็นแฉกเหมือนแสงดวงดาว

   ออกจากสถานีแล้วเดินไปตามป้ายก็ขึ้นมาถึงบนดิน ออกมาก็เจอประตูชัยอยู่กลางจัตุรัสถนนวิ่งตัดผ่าน โอลิเวอร์ถ่ายรูปเก็บพอสองสามมุมเป็นที่พอใจแล้วก็มุดข้ามทางใต้ดินไปกลางประตูชัย ประเดี๋ยวเขาจะหาว่ามาเยือนถึงเหย้าแล้วยังทำอะไรต่อมิอะไรไม่ครบ

   โอลิเวอร์ไม่มีไกด์คอยบอกรายละเอียดสถานที่แต่พอเห็นรายชื่อแผ่นผนังข้างใต้ประตูชัยแล้วพอรู้ว่าเป็นรายชื่อทหารที่ออกไปรบแม้ไม่มั่นใจว่าเป็นการออกรบสมัยไหน พื้นที่ใจกลางประตูชัยมีกองไฟที่ไม่เคยมอดดับของแผ่นป้ายทหารนิรนามกั้นไว้ด้วยโซ่กันนักท่องเที่ยวเข้าไปซน เขาเดินชมอยู่พลางก็เห็นทางขึ้นไปชมวิวต่อด้านบน แต่เพราะอิ่มจากหอไอเฟลแล้วเลยไม่ได้ขึ้นไปดู

   เวลายังเหลือกว่าจะบ่าย ชายหนุ่มเดินทอดน่องต่อไปยังถนนฌ็องเซลิเซ่ที่เชื่อมกับจัตุรัส ถนนเส้นกว้างสองฟากคั่นด้วยทิวต้นเกาลัดปลูกกั้นก่อนถึงอาคารขนาบเป็นแนวยาว

   ตัวอาคารเพียงอย่างเดียวก็ควรค่าแก่การเก็บรูปถ่ายแล้ว โอลิเวอร์ถ่ายที่นี่ไปหลายรูปแม้ว่าจะไม่ได้เดินเข้าร้านแบรนด์เนมช็อปใหญ่ๆ ที่เปิดอยู่สองข้างทางก็ตาม

   ความตื่นเต้นทำให้วันนี้ท้องหิวเร็วกว่าปกติ เขาขึ้นรถไฟใต้ดินจากสถานีจอร์จแซงค์ที่สุดถนนแล้วมุ่งตรงไปย่านมงมาร์ต ของกินแถวอีกเขตมีร้านรวงให้เลือกเยอะกว่า และคราวนี้เขาไม่ยอมเสร็จโจรง่ายๆ อีกแน่เพราะไม่ได้พกกระเป๋ามา

   ไม่มีกระเป๋า = ไม่มีของให้ขโมย ทุกอย่างเก็บอย่างดีอยู่ในเสื้อชั้นในทับด้วยเสื้อกันหนาว มุตตาจะไม่ใช่เหยื่อของแกอีกต่อไป!

   ร้านอาหารจีนคือเพื่อนที่ดีที่สุดของกระเป๋าตังค์ ด้วยราคาจานละไม่ถึงสิบสองยูโรโอลิเวอร์อยากจะกินอะไรก็กินไป ขนาดชามที่นี่ใหญ่เท่ามาตรฐานอเมริกาและพออิ่มในชามเดียว เขานั่งโซ้ยบะหมี่ไปตาก็มองนาฬิกาไป อีกสี่สิบห้านาทีจะถึงเวลาตัดสินชะตาชีวิตเขาแล้ว คิดได้ก็เร่งมือจัดการมื้ออาหารให้ไวขึ้นอีกหน่อย




   โอลิเวอร์มาถึงก่อนเวลาร่วมสิบห้านาที แค่คิดถึงหน้าอีกฝ่ายก็ใจสั่นมากพอแล้วจึงเลือกแค่มอคค่าพอให้ประทังชีวิตยามบ่าย ชายคนนั้นยังไม่มาตามนัดแต่ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือ เขาจิบกาแฟอย่างใจเย็นแม้ขาจะสั่นเป็นพาร์กินสันห้ามแทบไม่อยู่

   ชายร่างสูงโปร่งในชุดลำลองและเสื้อกันหนาวตัวยาวสีดำสนิทเดินมาแต่ไกลนั่นแล้ว กาแฟเกือบหกจากแก้วด้วยความมือไม้สั่นของเจ้าตัว โอลิเวอร์สูดลมหายใจเข้าลึก ท่องเข้าพุทธออกโธทำใจให้สงบก่อนจะส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจไปให้อัลฟ่าหนุ่ม

   “สวัสดียามบ่ายครับมิสเตอร์โอ มาถึงนานแล้วหรือยัง?” ฝ่ายนั้นเอ่ยปาก เสียงทุ้มนุ่มยังน่าฟังเหมือนเคย

   “ไม่นานครับ ไม่นาน” อาการหูอื้อตาลายกลับมาอีกแล้วแม้ภายนอกจะเก็กหน้านิ่ง โอลิเวอร์จิบกาแฟไปอีกอึกระหว่างอีกฝ่ายขอตัวไปซื้อเครื่องดื่ม

   คุณพระ! วันนี้ก็งานดีงานละเอียดอีกแล้ว หัวใจชายหนุ่มเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่เลิก เขาตีหน้าตายสวมบทบาทไม่หลุดสาวระหว่างอัลฟ่าหนุ่มกลับมานั่งอยู่ในระยะเผาขน

   โอลิเวอร์ชิงถามเข้าประเด็น “ตกลงตัดสินใจว่าอย่างไรครับ ผมจะได้ฟังข่าวดีไหม?”

   ฝ่ายนั้นยิ้มน้อยๆ ส่งเสียงอืมลากยาวระหว่างยกกาแฟขึ้นละเลียดจิบ ทุกวินาทีผ่านไปยากลำบาก โอลิเวอร์หายใจไม่ทั่วท้องทว่าตีหน้านิ่งอยู่ได้นานสองนาน

   อัลฟ่าหนุ่มวางแก้วกาแฟลง “ตกลงครับ เซ็นต์สัญญาได้เลย”

    อกอีแป้นแล่นลึกเข้าตึกแขกอกต้องแตกตายแน่คุณแม่ขา! โอลิเวอร์กดมือจิกต้นขาตัวเองระงับอาการระหว่างที่ส่งรอยยิ้มไม่รู้เดียงสาไปให้อัลฟ่าหนุ่ม เขารู้สึกจะตาย รู้สึกขาดอากาศ รู้สึกผีเสื้อโบยบินอยู่ในท้อง รู้สึกเหมือนได้อยู่ในรายการฝันที่เป็นจริง และรู้สึกแบบเดียวกันกับเวลานางงามมิสยูนิเวิร์สมงลง มันเกินจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดใดๆ ในสากลโลก

   เจ้าแม่กวนอิมศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ค่ะ!

   โอลิเวอร์หยิบเอาปึกร่างสัญญาง่ายๆ ที่เตรียมไว้ตั้งแต่ซีแอตเทิลออกมา กระดาษชุดไม่หนานักส่งถึงมืออัลฟ่าคนนั้น

   ระหว่างที่รอเขาอ่านก็เอ่ยปากถาม “ผมควรเรียกคุณว่าอะไร?”

   “อัลฟองเซ่ เรียกผมว่าอัลก็ได้” ฝ่ายนั้นตอบโดยที่สองตายังไล่อยู่ระหว่างบรรทัดตัวหนังสือ “ผมไม่มีปัญหาอะไรกับสัญญา จะให้เซ็นต์เลยไหมครับ?”

   โอลิเวอร์วางมือลงบนหน้ากระดาษ “รอก่อนครับ ผมอยากให้เราไปตรวจสุขภาพกันก่อน ถ้าร่ายกายคุณไม่มีปัญหาอะไรเราจะไปเซ็นต์สัญญากันที่โรงแรม”

   “อย่างนั้นก็ได้ครับ” อัลฟองเซ่ตามอย่างว่าง่าย เขาหันไปจิบกาแฟด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อยดูคล้ายแมวขี้เกียจตัวโต

   โอลิเวอร์มองชายหนุ่มไม่วางตา พยายามหันไปทางอื่นแล้วแต่สายตากลับถูกดึงดูดกลับมาที่เดิมตลอด เขารู้...พวกผู้ชายแบบนี้ไว้ใจอะไรไม่ได้ อย่าไปตกหลุมรักจะดีที่สุด

   แต่แค่มองคงไม่เป็นไร จริงไหม




   พวกเขาพากันย้ายจากคาเฟ่ไปที่โรงพยาบาลใกล้ๆ ตามคำแนะนำของเจ้าของร้าน นั่งรถแท็กซี่ไปเรื่อยๆ จนถึงที่หมาย ใช้เวลายามบ่ายไปกับการเดินเข้าเดินออกห้องตรวจจากเครื่องนั้นไปวัดเครื่องนี้หรือรอผลเลือดออกจากห้องแล็บ ราคาค่าตรวจสุขภาพสำหรับสองคนไม่ใช่เล่นๆ โอลิเวอร์กันเงินไว้แล้วแม้ว่ามันจะทำเอาขนหน้าแข้งเขาร่วงกราว อัลฟองเซ่ทำหน้าที่เป็นจิ๊กกะโล่ที่ดีที่นอกจากไม่ถามราคาเขาแล้วยังทำเป็นยิ้มหน้าหล่อตอนเห็นเขากำบัตรเครดิตมือสั่นไปยื่นที่ช่องการเงินอีกต่างหาก

   ผลตรวจสุขภาพระบุว่าร่างกายทั้งสองคนแข็งแรงดี ค่าอื่นๆ อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ และที่สำคัญอัลฟองเซ่ก็ไม่ได้มีโรคติดต่อร้ายแรงอะไร นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการดำเนินการขึ้นต่อไป – ขึ้นเตียง

   อัลฟ่าจะบอนด์หรือผูกพันธะกับโอเมก้าผ่านการกัดหลังคอระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์ รอยกัดนี้จะไม่จางหายไป ดูเป็นเรื่องง่ายๆ แต่โอลิเวอร์ในชุดเสื้อคลุมผ้าขนหนูกำลังคิดหนัก เขานั่งตัวงออยู่ปลายเตียงควีนไซส์ในโรงแรมสามดาวมาได้สิบนาทีแล้ว

   เสียงจากห้องน้ำบ่งบอกว่ามีคนกำลังอาบน้ำอยู่ โอลิเวอร์ปฏิเสธที่จะ ‘อาบน้ำด้วยกัน’ ไปครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนี้กำลังนั่งอมทุกข์คิดไม่ตกอยู่คนเดียว

   นี่จะเป็นเซ็กส์ครั้งแรกของเขานับตั้งแต่เกิดมายี่สิบกว่าปี ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น กุมมือที่เหงื่อออกชุ่มโชกทั้งที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จมาหมาดๆ เขารู้สึกหายใจหายคอไม่ถนัดทั้งที่เปิดฮีตเตอร์ให้ความอบอุ่นก็แล้ว

   หัวสมองโอเมก้าหนุ่มหมุนตื้อ เขาเคยดูคลิปโป๊มานับไม่ถ้วน ประสบการณ์ด้านทฤษฏีก็มีไม่น้อย เรื่องแค่นี้ต้องผ่านไปได้แน่นอน!

   เสียงประตูเปิดก่อนอัลฟองเซ่จะก้าวออกมาโดยนุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียว หยดน้ำเกาะพราวตามเนื้อตัวและหน้าท้องเป็นลอนคลื่น โอลิเวอร์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ รู้สึกสองแก้มร้อนผ่าวเมื่อได้ยินเสียงเจ้าของร่างสะกดสายตาหัวเราะในลำคอ

   “มองนานๆ ผมก็เขินเป็นนะครับ” คนที่บอกว่าเขินเดินโทงๆ ตรงมาหาไม่มีท่าทีอย่างปากว่า อาบน้ำแล้วกลิ่นเฉพาะตัวอัลฟ่ายิ่งเด่นชัด มันเหมือนกลิ่นของป่า กลิ่นมัสค์ หอมอวลอย่างบอกไม่ถูก

   “ท ทำไมเราไม่มาลองบอนด์แบบไม่ใช้เซ็กส์ดูล่ะครับ” โอลิเวอร์ว่าระหว่างถดตัวหนีขึ้นไปกลางเตียง “ลองกัดดู เผื่อรอยจะอยู่ถาวร”

   คนฟังเลิกคิ้ว “กว่าแผลจะหายดูว่าจางหรือไม่จางก็กินเวลาเป็นสัปดาห์ครับ คุณอยู่รอไหวเหรอที่รัก?”

   โอลิเวอร์เงียบกริบ เขาเอามือกดอกซ้ายที่ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ “ก็ได้ครับ เรา เอ่อ.. มามีเซ็กส์กัน”

   ฝ่ายนั้นฟังแล้วหัวเราะเห็นรอยบุ๋มลักยิ้ม โอลิเวอร์นั่งตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ เงยหน้ามองตามสายตาฝ่ายที่รุกเข้าหา อัลฟองเซ่เชยคางเขาขึ้น ใช้นิ้วโป้งลูบเบาๆ ไปตามริมฝีปากที่เผยอออกน้อยๆ คนที่อยู่สูงกว่าเผยรอยยิ้มพึงพอใจก่อนโน้มลงจูบแตะแผ่วเบา

   “เด็กดี” อัลฟ่าคนนั้นพูดเสียงทุ้มต่ำ ใกล้กันจนรู้สึกถึงลมหายใจผ่าวร้อนกับเสียงที่ก้องสะท้อนในความเงียบ อัลฟองเซ่ขบกัดริมฝีปากล่างก่อนจะลากลิ้นเลียช้าๆ ราวกับกำลังเล่นอยู่กับลูกอมรสหวาน

   โอลิเวอร์รู้สึกเหมือนกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ แล่นจากแนวไขสันหลังแพร่ไปทั่วตัว จูบไม่ร้อนแรงนักแต่ทำให้ถวิลหาอยากได้มากขึ้นไปอีก ชายที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่างยกมือขึ้นแตะมืออัลฟองเซ่อย่างเก้กัง ในสองตาเขาเห็นแต่ดวงตาที่มีดวงดาวเป็นประกายระยับคู่นั้นกำลังหยีเป็นจันทร์เสี้ยว

   อัลฟองเซ่เอ่ยเสียงนุ่ม “อยากให้ผมทำอะไร?”

   แม้อยากจะประท้วงว่าเป็นหน้าที่คุณได้ไหมแต่ปากไม่ไปอย่างใจ เขากระซิบตอบ “จูบอีก..”

   อัลฟ่าหนุ่มจัดให้ตามคำขอ ริมฝีปากที่ประกบทับมานุ่มนวลแทรกด้วยลิ้นที่ผลักให้เผยออ้าก่อนเข้ามาควานเล่นล้อกับลิ้นเจ้าของริมฝีปากบาง โอลิเวอร์หายใจกระชั้นขึ้นอย่างคนคว้าอากาศเอาไว้ไม่ทัน ฝ่ายรุกผ่อนกำลังลงกระซิบบอกให้เขาหายใจก่อนจะบรรเลงฝีปากต่ออีกครั้งไม่เว้นระยะ

   ดวงตาโอลิเวอร์ปรือพริ้มเมื่อเขาเริ่มจับจังหวะได้ แลกลิ้นเกี่ยวกระหวัดคืนแม้จะจูบสู้อีกฝั่งไม่ไหว เสียงดูดริมฝีปากดังอยู่ในความเงียบฟังแล้วน่าอายไม่เท่าเสียงครางฮือตอบรับที่เผลอทำโดยไม่รู้ตัว มือไม้ควานจับหาแหล่งยึดระหว่างที่ร่างเขาถูกผลักนุ่มนวลลงกับพื้นเตียงนุ่ม

   อัลฟองเซ่ดึงสัมผัสไว้ที่จูบวาบหวามระหว่างใช้มือปลดเชือกผูกชุดคลุมอาบน้ำของคนใต้ร่าง ฝ่ามือกร้านลูบไปตามเนื้อตัวที่สั่นสะท้านอย่างคนสัมผัสไว อัลฟ่าหนุ่มผละริมฝีปากออกไปไล่ลิ้นเล่นอยู่กับใบหู

   เสียงจูบใกล้ๆ ทำเอาโอลิเวอร์แทบคลั่ง สติเขาหลุดลอยไปกับรสสัมผัสทั่วตัวที่ไม่เคยลิ้มลอง เตียงยวบยาบเมื่อคนที่ขึ้นคร่อมขยับเข่าเยื้องตัวลงพรมจูบตามลำคอและต่ำลงเรื่อย

   ‘โอเมก้าก็เป็นแค่วัตถุทางเพศเท่านั้นแหละ’

   ‘อ้าขาให้กว้างกว่านี้สิ’

   ภาพในอดีตวิ่งย้อนกลับมา ทุกสัมผัสทำให้รู้สึกเกร็งและแย่จนอยากจะอาเจียน ความกลัววิ่งเข้าครอบงำหัวใจจนสองมือผลักคนใกล้ออกโดยไม่รู้ตัว

   “คือ – เดี๋ยวก่อน เดี๋ยว ไม่ หยุดก่อน” โอลิเวอร์ละล่ำละลักบอกเสียงสั่น มือก็ปัดป่ายผลักร่างที่ทับอยู่บนตัวออก

   ฝ่ายที่กำลังประพรมจูบบนลำคอผละออกมามองด้วยแววตาฉงน อัลฟองเซ่ใช้หลังมือลูบข้างแก้มเขาเป็นเชิงปลอบ “ใจเย็นๆ บอกผมมาว่ามีอะไร”

   “ผมทำไม่ได้จริงๆ ผมขอโทษ อัล พอแค่นี้ก่อนได้ไหม” โอลิเวอร์ถามด้วยเนื้อเสียงเว้าวอน ร่างทั้งร่างสั่นราวลูกนก เขาพยายามกระถดตัวหนีขึ้นไปชิดหัวนอน ดึงผ้าห่มขึ้นมากอดไว้แน่น ฝ่ายที่คร่อมทับอยู่ขยับตัวมานั่งดีๆ

   เสียงถอนหายใจยาวของอัลฟองเซ่ทำให้เขารู้สึกผิดยิ่งขึ้น อัลฟ่าหนุ่มเอื้อมมือมาปัดผมที่ตกลงปรกหน้าให้แต่โอลิเวอร์เผลอสะดุ้งถอย เห็นอย่างนั้นมือที่ยกค้างไว้ก็ลดลงช้าๆ

   “คุณโอเคไหม?” อัลฟองเซ่ถามด้วยเนื้อเสียงอ่อนโยน นี่ค่อนข้างจะผิดคาดอยู่สักหน่อยแต่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยขึ้น

   “ผมขอโทษ.. ผมคิดว่าผมโอเคขึ้นแล้ว” คนที่ยังเนื้อตัวสั่นเทาสูดลมหายใจเข้าลึก “เรา เรามาทำกันต่อเลยไหม?”

   อัลฟองเซ่นั่งมองตาเขาอยู่ครู่ก็เผยรอยยิ้ม “ทำไมเราไม่มานอนคุยกันแทนล่ะครับ ผมจะไปเอาเสื้อผ้าคุณให้”

   จบคำคนพูดก็ลุกขึ้น คว้าเสื้อผ้าที่พาดเรียบร้อยบนเก้าอี้ส่งให้คนบนเตียง โอลิเวอร์รับมาสวมเงียบๆ ระหว่างที่ทบทวนตัวเองจนใจเย็นลง สองมือเขาไม่สั่นแล้ว หัวใจที่เต้นถี่เร็วเมื่อครู่ก็กลับมาเต้นเป็นปกติ ...เขายังรู้สึกขยะแขยงอยู่ มันเป็นรสเฝื่อนในคอที่ยังไม่ยอมหายไปไหน

   อัลฟองเซ่ไปแต่งตัวแต่กลับมาพร้อมเครื่องดื่มอุ่นๆ สองแก้ว เขารับมันไว้ ควันขาวม้วนตัวขึ้นจากเครื่องดื่มสีน้ำตาลข้น กลิ่นช็อกโกแลตร้อนทำให้รู้สึกสงบลงอย่างประหลาด

   ชายที่นั่งอยู่บนเตียงพึมพำขอบคุณระหว่างที่อัลฟองเซ่ลดตัวลงกระเถิบมานั่งบนเตียงนุ่มไม่ใกล้ไม่ไกล

   “รู้สึกดีขึ้นหรือยังครับ?”

   โอลิเวอร์พยักหน้าระหว่างจิบเครื่องดื่มอีกอึก “ขอโทษด้วย.. ผมดันนึกถึงเรื่องไม่ดีขึ้นมา มันเป็นเรื่องสมัยไฮสคูล...ผมเคยเกือบถูกข่มขืนตอนฮีทครั้งแรก” อาจเพราะอีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้าที่อีกเดี๋ยวก็จะไม่ต้องเจอกันแล้วเขาเลยรู้สึกกล้าจะเล่า “พอดีมีอาจารย์ผ่านมาผมเลยรอด พวกนั้นโดนลงโทษด้วยการพักการเรียน แต่มันทำให้ผมฝันร้ายไปเป็นปีร้องไห้ทุกคืนที่นึกถึงเรื่องนี้ ต้องอาศัยนักจิตวิทยาช่วยถึงจะดีขึ้น สงสัยว่าผมจะยังกลัวอยู่ ฮะๆ.. ให้ตายสิ ผมไม่ควรจะเล่าเลย ช่วยลืมไปทีได้ไหม”

   “ไม่เป็นไรครับ คุณกล้าหาญมากทีเดียวที่ผ่านมันมาได้ ไม่เห็นมีอะไรน่าอายเลย”

   ขอบใบหูโอลิเวอร์แดงก่ำ เขาพึมพำขอบคุณเสียงค่อยก่อนจะดื่มโกโก้ร้อนตามไปอีกหลายอึก ...มาดชายหนุ่มผู้แสนมั่นอกมั่นใจหายไปไหนหมดแล้วไม่รู้

   “เอาอย่างนี้” อัลฟองเซ่เปรย “คุณอยู่ฝรั่งเศสอีกกี่วัน?”

   ฝ่ายถูกถามหลุบตาลงนับวัน “สี่วันครับ ผมกลับวันอาทิตย์นี้” ตอบแล้วก็มองอัลฟ่าหนุ่มอย่างนึกสงสัย

   อัลฟองเซ่ลดมือที่ถือแก้วเครื่องดื่มลงแต่ยกมือว่างๆ ขึ้นสัมผัสแก้มเขาแผ่วเบา “ดีเลย ระหว่างนี้ผมจะอยู่กับคุณด้วย”

   คนแปลกหน้าที่เขาคิดว่าจะเจอกันแค่วันนี้เป็นวันสุดท้ายเพิ่งบอกว่าจะตามเขาไปด้วยตลอดทริป โอลิเวอร์รู้สึกเหมือนกำลังฝันไป

   ฝันร้าย – ฝันร้ายแน่ๆ


ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 2 - 02/02/62
«ตอบ #3 เมื่อ02-02-2019 23:02:12 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Ti0590

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 2 - 02/02/62
«ตอบ #4 เมื่อ03-02-2019 08:45:38 »

อัลฟองเซ่ต้องไม่ใช่จิ๊กกะโล่แน่ๆ แต่ถ้าใช่ก็.....  :o12: :o12:

แต่น้องโอ สาวมาก สาวมากลูกกก

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1586
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 2 - 02/02/62
«ตอบ #5 เมื่อ03-02-2019 09:41:38 »

น้องโอน่ารัก

สมกับเป็นลูกสาวแม่

จะทำอะไรที่ใหน เราต้องนึกถึงคุณพระคุณเจ้า

หนูปฎิบัติถูกจริตแม่มากค่ะลูก

ออฟไลน์ nofsnof

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 2 - 02/02/62
«ตอบ #6 เมื่อ03-02-2019 16:53:04 »

งุ้ยย คนเขียนเขียนดีจังค่ะ ชอบๆ

ชอบการบรรยายสถานที่มากเลย เดาว่าคนเขียนเป็นไกด์แน่ๆ 5555

ส่วนน้องโอ น่ารักมาก ชอบความใสๆแต่แสบของนาง สายมูด้วยแน่นอล

คุณอัลนี่ไม่ธรรมดาแน่ๆ รอตอนเปิดเผยความจริงเลย

ว่าแต่ ทริปนี้น้องโอจะได้เสียบริสุทธิมั้ยคะ  :impress2: :impress2: :z1:

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 2 - 02/02/62
«ตอบ #7 เมื่อ09-02-2019 00:09:19 »

ตอนที่ 3


   พวกเขาใช้เวลาดื่มโกโก้ร้อนกับนั่งคุยให้ผ่อนคลายอยู่อีกครึ่งชั่วโมงก็เช็คเอาท์ออกจากโรงแรม เดินทางกลับมาที่ใต้ฐานหอไอเฟล ณ สถานีช็องเดอมาร์ส-ตูร์แอแฟลอีกครั้ง เดินต่อไปอีกไม่ไกลเท่าไหร่ก็ถึงท่าหอไอเฟล เรีอจอดเทียบท่าเรียงกันอยู่หลายลำ โอลิเวอร์เดินลงขั้นบันไดไปที่ท่าน้ำ จัดแจงซื้อตั๋วโดยมีพ่อหนุ่มอัลฟ่าเดินตามต้อยๆ

   พนักงานที่ท่าเรือหันมาถาม “กี่คนครับ?”

   คนที่มาด้วยกันมองเหมือนจะให้เลี้ยง โอลิเวอร์ก็ส่งสายตาตอบว่าไม่เลี้ยงให้หรอกนะ “คนเดียวครับ” นั่นเอาอัลฟองเซ่หัวเราะ ควักเงินสิบห้ายูโรออกมาจ่ายในส่วนของตัวเอง

   พวกเขาเดินต่อแถวยาวที่ท่าเพื่อไปขึ้นเรือ เสียงพื้นแผ่นเหล็กดังก๊องแก๊ง โอลิเวอร์ยิ้มให้คนตรวจตั๋วที่หันมาบองชูว์ใส่เขาก่อนก้าวขึ้นไปบนเรือลำใหญ่ ลานที่นั่งใต้หลังคาโดมใสเรียงแถวเป็นระเบียบสามฝั่ง โอลิเวอร์เดินตามคนข้างหน้าไปเรื่อยๆ จนถึงสุดท้ายเรือที่พ้นหลังคาโดม จากตรงนี้ถึงจะถ่ายรูปได้ถนัดไม่ติดผนังใสกระจกกั้นหรือติดเสาเรือ

   อัลฟองเซ่เบียดตัวลงนั่งข้างๆ เขา มองคนที่เอาแต่ง่วนอยู่กับกล้องถ่ายรูปด้วยรอยยิ้มน้อยๆ อย่างเคย แววตาคล้ายจะถามว่าตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น

   เรือออกจากท่าเมื่อถึงเวลา เสียงประกาศหลายภาษาบอกว่าเรากำลังเดินทางผ่านที่ไหน เรือที่แล่นเอื่อยเรื่อยอย่างนี้พอมาประจวบเหมาะกับลมหนาวก็ทำเอาหน้าชา โอลิเวอร์ฝากกล้องไว้ที่อัลฟองเซ่ก่อนหันมากระชับผ้าพันคอขึ้นให้ปิดถึงจมูก หูทันได้ยินเสียงชัตเตอร์กล้องดังในระยะใกล้

   “ฝากให้ถ่ายวิวนะครับไม่ใช่ถ่ายคน” เขาท้วงไม่เป็นจริงเป็นจังสักเท่าไหร่ รอบๆ ก็มีแต่คนเซลฟี่กันทั้งนั้น

   “ถ่ายคนก็ติดวิวเหมือนกันครับ” อัลฟองเซ่เถียงหน้าตาเฉย ไม่วายทำเนียนกดแชะไปอีกหลายรูป

   โอลิเวอร์โอบไหล่คนพูดมากความไว้แล้วดึงให้เขยิบเข้ามาเบียดกันใกล้ๆ “ถ่ายผมงั้นถ่ายคุณด้วย จะได้ยุติธรรม”

   อัลฟองเซ่เลิกคิ้วประเดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะ ยืดกล้องออกไปสุดแขนแล้วถ่ายรูปพวกเขาสองคนไว้ในภาพเดียวกัน “ผมคิดเงินรูปละห้ายูโรนะคุณ” อัลฟ่าหนุ่มแกล้งแหย่

   “บอกหลังถ่ายไม่นับสิครับ” โอลิเวอร์ลอยหน้าลอยตา “โอ๊ะ นั่นเทพีเสรีภาพ เอากล้องมาๆ”

   ปากว่ามือก็คว้าไป ความสนใจหันเหจากพ่อหนุ่มหล่อข้างตัว อย่างว่า อะไรสวยงามก็ดึงความสนใจโอลิเวอร์ได้ทั้งนั้น

   คนแปลกที่คอยถามชายข้างตัวว่าตรงนั้นคืออะไร ตรงนี้คืออะไร แต่อัลฟองเซ่ที่ควรจะเป็นเจ้าถิ่นกลับไม่คุ้นที่คุ้นทางเอาเสียเลย มันน่าแปลกเสียจนโอลิเวอร์ต้องหรี่ตามองพ่อคนข้างกายว่าใช่คนพื้นที่แน่หรือ

   อัลฟองเซ่ตอบทั้งยิ้มๆ “ผมเป็นคนเมืองก๊องแคว้นนอร์ม็องดีนู่น ไม่ใช่ชาวปารีเซียง”

   “งั้นไว้เราแวะเที่ยวที่ก๊องดีไหม”

   “ไม่ดีครับ ช่วงนี้หน้าเก็บเกี่ยวองุ่น ไปเที่ยวจังหวัดช็องปาญดีกว่า”

   โอลิเวอร์แกล้งถองศอกเบาๆ “ไม่ใช่ว่ากลัวคนรู้จักเห็นว่าควงหนุ่มไปเที่ยวหรอกเหรอครับ”

   ฝ่ายนั้นเอียงคอมอง สอดมืออ้อมหลังมาโอบเอวเขาไว้ “ไม่นะ ควงคนสวยแบบคุณไม่เห็นมีอะไรน่าอาย”

   “ปากหวาน...” คนโดนโอบร้องท้วง อัลฟองเซ่ยิ้มกวนใส่เขา

   “ชิมไหมล่ะครับ?”

   ไม่ว่าเปล่าคนพูดก็โน้มมาประกบริมฝีปาก จูบนุ่มนวลรสหวานอย่างเขาว่าไม่ผิด แลกจุมพิตกันบนดาดฟ้าเรือ ท่ามกลางคนมากมายที่ไม่มีใครสนใจใคร – ติดที่มือซนเริ่มล้วงเข้าใต้เสื้อกันหนาว รูดช้าๆ ไปตามขอบกางเกงถึงได้ทำโอลิเวอร์สะดุ้งเฮือก รีบผลักออกให้ถอยทั้งใบหน้าแดงก่ำ

   “คุณทำบ้าอะไร” เขากระซิบว่าเสียงดุ มองค้อนทั้งแก้มขึ้นสีระเรื่อ

   พ่อตัวแสบยิ้มตาปรือ กระซิบตอบใกล้หู “ขอโทษครับ ผมแค่เห็นว่าคุณน่ารักดีเลยเผลอไปหน่อย”

    เผลอไปหน่อย พูดมาได้! ถ้าตั้งใจจะถึงขั้นไหนเนี่ยพ่อคุณ โอลิเวอร์โอดครวญกับตัวเองอยู่นานสองนานก็ผ่านสะพานไปอีกแห่ง ฟ้าเริ่มขึ้นริ้วเป็นสีส้มเจืออย่างเวลาตะวันใกล้จะลับลา เขาเร่งเก็บภาพแสงสุดท้ายก่อนจะมืด ยามนี้ไฟตามทางเริ่มเปิดกันทั่วรับยามค่ำที่ใกล้จะมาถึงแล้ว

   นั่งเรือจนครบถึงสถาบันโลกอาหรับก็วนกลับมาที่เดิม อัลฟองเซ่ขอให้เขาลองนั่งจับมือไปด้วยกันซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร จับมือได้ จูบได้ กอดก็ไม่มีปัญหา ทว่าเมื่อไปไกลกว่านั้นกลับนึกถึงภาพเก่าขึ้นมาตลอด...นี่ต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่

   แสงไฟยามค่ำของสองข้างทางสวยสะกดสายตา เรือแล่นเรื่อยเอื่อยไปตามลำน้ำ เมื่อหนาวก็ขยับตัวเข้าหาไออุ่นจากคนข้างกาย ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจากฟ้าสว่างเป็นฟ้ามืดก่อนจะจบทริปล่องเรือด้วยแสงไฟจากหอไอเฟล

   อัลฟองเซ่จับมือเขาพาเดินกลับมาที่ทางเข้ารถไฟใต้ดิน แสงไฟตกกระทบซีกหน้ายิ่งขับให้ดูคมเข้มขึ้นอีกแบบ รอยลักยิ้มบุ๋มน้อยๆ ที่สองแก้มชวนให้อยากลองเอานิ้วจิ้ม จะว่าน่ารักก็พูดได้ไม่เต็มปากเมื่อสบกับสายตาคู่สวยที่มองไม่ละไปไหน

   อัลฟองเซ่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างทุกครั้ง “พรุ่งนี้ผมจะรอที่คาเฟ่ตอนสิบโมงเช้า ราตรีสวัสดิ์นะครับ” ไม่ว่าเปล่า ชายคนนี้ยังจับมือเข้าขึ้นมาจูบผ่านถุงมืออีกต่างหาก

   “ไปเที่ยวกับผมแล้วคุณไม่ติดธุระอย่างอื่นเหรออัล”

   “ผมเป็นจิ๊กกะโล่นี่?” อัลฟองเซ่ยิ้มกวน “ให้คุณเลี้ยงสบายกว่ากันเยอะ เตรียมเงินไว้ให้พอแล้วกันที่รัก”

   แล้วพ่อหนุ่มตัวดีก็จากไปทั้งอย่างนั้น โอลิเวอร์มองตามอย่างคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไล่สายตาตาละห้อยรั้งแผ่นหลังนั้นจนเขาเดินหายไปกับฝูงชน

   เงินซื้อผู้ชายได้จริงๆ ค่ะเจ๊ หนูเชื่อหมดใจแล้ว...




   อาหารเย็นวันนี้เป็นริบอายสเต็กกับมันฝรั่งอบจากร้านใกล้ๆ อพาร์ทเมนต์ในราคาไม่เกินสิบแปดยูโรต่อจาน เขาตบท้ายด้วยมาการองชิ้นละเกือบสามยูโรที่นั่งรถย้อนกลับไปซื้อที่ร้านปิแอร์ แอร์เม่ ขนมสีพาสเทลชิ้นเล็กภายนอกกรอบเบาภายในเนื้อทั้งแน่นและนุ่มละมุนลิ้น เมื่อกัดแล้วกลิ่นหอมก็ฟุ้งกระจายอยู่ในปาก รสไม่ติดหวานจัดจนแสบคอแต่พอเหมาะพอทาน ถึงจะเอามาตบท้ายสเต็กก็ไม่ได้ขัดกันเลย

   โอลิเวอร์หัวเราะฮุๆ กับตัวเองระหว่างทานอมยิ้มแก้มตุ่ย ปิดท้ายด้วยของหวานรสเลิศก็ไม่เลว

   ค่ำนี้เป็นอีกวันที่เขาตั้งใจจะไปบาร์ให้จงได้ แต่เมื่อท้องอิ่มก็เป็นอันต้องล้มเลิกแผนไป โอลิเวอร์เปิดน้ำในอ่างให้พอท่วมแล้วขึ้นไปนั่งขอบแช่เท้าให้หายเมื่อหลังจากตะลอนเดินมาทั้งวัน พอนึกได้ว่าตัวเองอาบน้ำมาแล้วก็หน้าขึ้นสีทั้งที่ยังไม่มีอะไร

   เรื่องนี้จะต้องถึงหูอาเจ๊ และเมื่อเขาเสร็จพิธีดูแลเท้าตัวเองก็ย้ายมายืนครองที่หน้าโทรศัพท์อย่างเคย โทรไปแล้วแต่รอบแรกไม่มีคนรับจนสายตัด แต่เมื่อถึงรอบสองเสียงใสๆ ของอาเจ๊ก็ลอยมาแต่ไกล

   “เป็นยังไงบ้างยะหล่อน วันนี้โทรมาช้าหรือว่าจะได้กินหนุ่มที่ว่าไปแล้ว”

   “บ้า เจ๊ก็พูดไปเรื่อย กงกินอะไรกัน วันนี้ชวดคาตาหนูเลยค่ะเจ๊”

   “อ้าว” อาเจ๊อุทาน เสียงซ่อกแซ่กๆ ที่ปลายสายดังแล้วก็ดับเหมือนเจ้าตัวคงนั่งได้ที่แล้ว

   “คืองี้ค่ะเจ๊ อาหารฟูลคอร์สมาอยู่ตรงหน้าหนูแล้ว แต่เจ๊จำเรื่องที่หนูเคยเล่าว่าหนูเกือบเสียสาวตอนไฮสคูลได้ใช่มั้ยคะ อยู่ดีๆ ก็นึกถึงขึ้นมา จบปึ้งเลยค่ะ”

   “ถึงกับหดเลยเหรอ โอ้ยชั้นล่ะสงสารลูกสาว” ทางนั้นเปรยอ่อนอกอ่อนใจ “แล้วแกทำยังไง แยกย้ายทางใครทางมันงี้เหรอ เสียดายตายชัก”

   “คือ...เค้าบอกว่าจะอยู่กับหนูไปก่อนน่ะค่ะ แต่หนูกลัว ต้องทำยังไงดี ไม่งั้นหนูก็นึกถึงเรื่องนั้นอีก”

   “แกจะมีผัวแล้วแกยังกลัวเสียตัวมันไม่ด๊าย” อาเจ๊ส่งเสียงแหลมปรี๊ดผ่านสาย

   โอลิเวอร์ร้องโฮ “แต่หนูกลัวนี่คะเจ๊ ฮือ... ของดีมาอยู่ตรงหน้าหนูแต่หนูกินไม่ได้หนูก็อยากร้องไห้เหมือนกันเนี่ย”

   “ชั้นล่ะปวดหัวกับแกจริงๆ นังโอ” เสียงทอดถอนใจดังมาจากฟากนั้น “ของแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมชาติ มันไม่น่ากลัวถ้าแกไม่ไปเกร็งมากเข้าใจไหม แกจำคำเจ๊ไว้ ต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ถ้าเขาเทพจริงเตรียมดีจริงมันไม่เจ็บหรอก ตอนใส่เข้ามามันก็จะจุกๆ แน่นๆ หน่อยแต่ถึงที่ก็เสียวเอง—”

   “เจ๊หยุดก่อนค่ะเจ๊” โอลิเวอร์ละล่ำละลักขัดขึ้นมาเมื่อเรื่องเริ่มจะสิบแปดบวก “ขั้นตอนจากนั้นหนูก็ศึกษามาบ้างแล้วนะคะ แต่หนูต้องทำยังไงถึงจะหายกลัวหายนึกถึงเรื่องเก่าๆ”

   “...” ปลายสายเงียบไปนาน “โอ แกฟังเจ๊นะ ผู้ชายคนที่แกเจอวันนี้ไม่ใช่ไอ้สารเลวพวกนั้น แล้วถ้าเขาดีจริงถึงไม่มีเซ็กส์เขาก็จะอยู่กับแก ถ้าจะมีก็คือมี มันก็เหมือนกินข้าวเหมือนคุยกันนี่แหละ อย่าไปกังวลเข้าใจไหม”

   “อือ...ค่ะ” โอลิเวอร์พยักหน้าแม้อีกฝั่งจะมองไม่เห็น แต่เขาจำเป็นต้องมีเซ็กส์ถึงจะบอนด์ได้ เขาเองก็อยากเจอคนที่ค่อยๆ พิสูจน์ใจเหมือนกัน คนที่ไม่แคร์ว่าเขาจะมีเซ็กส์ไม่ได้ไปทั้งชีวิต

   แต่เรื่องจริงมันไม่ได้สวยงามแบบนั้น ถ้าเพียงแต่บอนด์ได้สักครั้งเขาก็จะหนีสำเร็จ ถ้าเพียงแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น

   “อีโอ เจ๊เป็นห่วงแกนะ” ฝ่ายนั้นเอ่ย “โอ้ยพูดแล้วกระดากปากว่ะ มีอะไรให้โทรมาได้ตลอดเข้าใจไหม”

   ต้นสายดัดเสียงสอง “เข้าใจค่ะแม่”

   “แม่บ้านแกสิ เออแม่ก็แม่ อีบ้า”

   โอลิเวอร์ฟังแล้วหัวเราะก๊าก




   เช้าวันนี้เขาตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง สิบโมงที่คาเฟ่ ท่องจำเอาไว้จนขึ้นใจ โอลิเวอร์กินขนมปังกับชีสและน้ำผลไม้ง่ายๆ รองท้องก่อนจะลงมาชั้นล่าง วันนี้ก็สวมรองเท้าผ้าใบคู่เก่งที่พาตลอนเหนือจรดใต้มาแล้ว เขาออกสายกว่าปกติเพราะมัวแต่หวีผมจัดทรงบำรุงหน้าอยู่ที่กระจกห้องน้ำนานสองนาน ไม่รู้นึกครึ้มอะไรถึงไดงัดเอาน้ำหอมชาแนล อัลลัวร์ ออม สปอร์ตก้นกรุที่ซื้อติดกระเป๋ามาไว้อย่างนั้นขึ้นมาฉีดรับยามเช้า

   แต่มีอย่างหนึ่งที่ชายหนุ่มผู้มีความสุขลืม...เขาลืมดูพยากรณ์อากาศ และตอนนี้ฝนเม็ดเป้งก็ปรอยลงมาทั่วกรุงปารีสเสียแล้ว โอลิเวอร์ติดแหง่กอยู่ที่ร้านขายขนมปังใกล้ๆ อพาร์ทเมนต์ มันตกนานขนาดว่าต่อให้กินบาแก็ตคนเดียวหมดทั้งร้านฝนก็คงไม่หยุดตกง่ายๆ

   โอลิเวอร์ดูเวลาจากมือถือหน้าจอร้าวละเอียดอีกครั้ง ตอนนี้เพิ่งเป็นเวลาเก้าโมงกว่า แผนการที่ว่าจะไปดูหอไอเฟลที่สวนทรอกาเดโรเป็นอันต้องพับเก็บไป ลุ้นอีกว่าชายหนุ่มที่เขานัดไว้จะฝ่าฝนมาตามนัดรึเปล่าก็เป็นอีกเรื่องให้กังวล

   เขาตัดสินใจเดินฝ่าฝนกลับห้องพักไปเปลี่ยนเสื้อกันหนาวเป็นตัวมีหมวกฮู้ด ใจที่อยากจะพกร่มแต่ดันไม่มีร่มให้พกก็หงุดหงิดมากพอแล้ว โอลิเวอร์เดินหน้าทะมึนเข้าเมโทรทั้งอย่างนั้น คนข้างๆ ตัวเขาเขยิบหนีอย่างมีนัยยะสำคัญกันทั้งขบวน ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยากร่วมเดินทางไปกับคนสวมฮู้ดท่าทางหงุดหงิดคนนี้สักเท่าไหร่

   ชายหนุ่มมาถึงคาเฟ่ก่อนเวลานัดอย่างทุกครั้ง เขาถอดเสื้อคลุมออกสะบัดหยาดฝนที่เกาะพราวเต็มเสื้อ กลิ่นหอมขนมอบลอยกรุ่นมาจากในร้าน ...กาแฟสักแก้วก็ไม่เลวสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่ภายใต้อากาศหนาวแบบนี้ คิดได้อย่างนั้นโอลิเวอร์ก็เข้าไปหาไออุ่นข้างในร้าน

   อัลฟองเซ่มาตรงเวลาสิบโมงพอดี เขาเดินมาพร้อมร่วมสีดำสนิทคันหนึ่ง เสื้อกันหนาวตัวยาวคนละตัวกับเมื่อวานแต่การตัดเย็บทำอย่างประณีตเหมือนเคย กลิ่นน้ำหอมกลิ่นเดิมที่โอลิเวอร์ไม่รู้ชื่อโชยมาจากเนื้อตัวเขายามเจ้าตัวเดินมาหยุดใกล้ๆ

   “สวัสดีครับ คุณทานมื้อเช้าหรือยัง?” ฝ่ายนั้นเอ่ยปากถาม สิบโมงแล้ว นี่ออกจะเป็นมื้อเช้าที่สายไปสักหน่อยสำหรับโอลิเวอร์

   “ทานแล้วครับ” เขาว่าพลางจิบกาแฟไปพลาง รสขมไหลลงตามลำคอแผ่ไออุ่นไปตามเนื้อตัว

   “อย่างนั้นจะว่าอะไรไหมถ้าผมขอจัดการมื้อเช้าก่อน?”

   โอลิเวอร์ส่ายศีรษะ ผายมือเป็นเชิงบอกให้ทำตัวตามสบาย ได้แต่คิดว่าหมอนี่อาจจะควงกะดึกกับสาวหรือหนุ่มที่บาร์สักแห่งจนเพิ่งได้นอนก็ค่อนเช้าถึงได้เพิ่งตื่นมากินอาหารเวลานี้ -- มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเท่าไหร่สำหรับคนเป็นจิ๊กกะโล่ คิดได้เขาก็ถอนหายใจยาว

   ของดีมีราคาก็ต้องปันกันใช้กับคนอื่นแบบนี้แหละหนอ...

   อัลฟองเซ่จัดการแซนวิชด้วยท่าทางเปี่ยมมารยาทบนโต๊ะอาหาร ทำเอาโอลิเวอร์เกร็งจนไม่กล้าเอาศอกวางบนโต๊ะเพราะกลัวจะทำเสียบรรยากาศ ชายคนนั้นชวนคุยเรื่องสภาพอากาศบ้างข่าววันนี้บ้างไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นเช้าที่แสนจะปกติที่ทำมาจนเป็นกิจวัตร โอลิเวอร์ก็เคลิ้มเออออตามไปเป็นระยะๆ เหมือนกัน

   ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ปรากฏเป็นคดีสลด อัลฟ่าที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ข่มขืนเหยื่อโอเมก้าก่อนสังหารโหด – กาแฟยามเช้าขมเฝื่อนคอขึ้นอีกหลายเท่า

   “น่าเศร้า มนุษย์มักถูกกระตุ้นด้วยสัญชาติญาณดิบ” อัลฟองเซ่เกริ่นขึ้นมา

   “มันก็เป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้นแหละครับ” คู่สนทนาแย้ง “ต่อให้เจอโอเมก้าเป็นฮีทต่อหน้าก็ยังมีทางให้เลี่ยงตั้งมาก เสี่ยงยังไงก็ยังพอควบคุมตัวเองได้ โดยเฉพาะที่ถึงขั้นสังหารหลังข่มขืนนั่นยิ่งแล้วใหญ่ ก็เป็นที่ตัวฆาตกรผิดทั้งนั้น”

   ฝ่ายนั้นมองมา เปรยคำถามเรียบๆ “หรือคุณคิดว่าเราเอาชนะธรรมชาติได้?”

   “ผมไม่รู้หรอกว่าขนาดไหนคือเรียกว่าเอาชนะธรรมชาติ แต่ผมคิดว่าการโทษสัญชาติญาณเป็นเรื่องฉาบฉวย คนเรามีสติยับยั้งการกระทำนะครับ”

    อัลฟองเซ่ส่งเสียงฮืมระหว่างพยักหน้าไม่ได้ว่าอะไรเพิ่ม เขาพับหน้าหนังสือพิมพ์ก่อนวางมันพาดไปบนโต๊ะ โอลิเวอร์ทึกทักเอาว่าอีกฝ่ายคงเห็นด้วยกับที่ตัวเองพูด

   เสร็จจากมื้อเช้าพวกเขาก็เริ่มออกเดินทาง ฟ้ามืดครึ้มเมฆสีเข้มลอยต่ำและฝนยังตกไม่หยุด ระหว่างเดินไปสถานีรถไฟใต้ดินอัลฟองเซ่กางร่มให้คนข้างกายเข้ามาเบียดชิดไหล่ โอลิเวอร์ทันเห็นว่าฝ่ายที่กางร่มเอนหลังคาร่มมาทางเขาจนไหล่เจ้าตัวเปียกส่วนเขาแห้งสนิท ชายคนนั้นมองทางเหมือนที่ทำอยู่เป็นเรื่องปกติ แต่มันเรียกสีชาดเป็นผลเชอร์รี่ให้ปรากฏบนสองแก้มคนได้รับการปฏิบัติอย่างสุภาพบุรุษ

   โอลิเวอร์เอามือจับปลายร่มดันให้มันเอนกลับเข้าที่ “ปฏิบัติกับผมดีอย่างนี้เดี๋ยวผมก็ตกหลุมรักคุณหรอก”

   “ก็ถูกแล้วนี่ครับ” อัลฟองเซ่ใช้มือว่างๆ อีกข้างจับมือเขาลง รอยยิ้มเมื่อหันมาใกล้ๆ ชัดจนเห็นฟันเรียงเป็นระเบียบ ...รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดข้างแก้ม

   โอเมก้าหนุ่มหัวเราะ ใบหูขึ้นสีจัด รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทั้งที่อุณหภูมิรอบกายเป็นตัวเลขหลักเดียว พวกเขาคุยกันเรื่องสัพเพเหระระหว่างรอรถไฟจนไปถึงสถานีโอเปร่า เมื่อออกมาก็พบด้านหลังของโรงอุปรากรปาแลการ์นีเย

   ฝนตกอย่างนี้ฟ้าไม่ใสไม่เหมาะกับการถ่ายภาพสักเท่าไหร่ และเพราะกลัวกล้องจะเปียกถึงได้ใช้มือถือใกล้พังถ่ายรอบนอกแทน พากันเดินฝ่าฝนไปเรื่อยๆ ก็มาถึงทางเข้า

   รูปปั้นผู้ก่อตั้งโรงละครเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหน้า โอลิเวอร์เดินตมแถวฝูงชนไม่หนาตาเข้าไปด้านใน ซื้อตั๋วที่ช่องขายจากพนักงานสองใบก็พร้อมจะเข้าไปชมความงามแล้ว

   โถงทางเข้ามีโซฟาล้อมเป็นทรงกลมในห้องกระจกสำหรับให้คนนั่งรอ พวกเขาเดินตรงเข้าไปด้านในอย่างคนไม่มีไกด์นำทางคอยบอกประวัติสถานที่ เมื่อเข้าไปถึงก็พบบันไดทางเข้าที่โถงใหญ่ปลายแยกออกเป็นสองฟาก โคมแชนเดอเลียร์ขับให้ภายในสว่างเหมาะแก่การถ่ายรูปใต้แสงเหลืองนวลของไฟประดับ นักท่องเที่ยวเองก็เดินดูความความสงบขับให้บรรยากาศหรูหรายิ่งต้องมนตร์ขลัง เขาถ่ายรูปคู่กับรูปปั้นหัวบันไดก่อนจะเดินขึ้นไปเยี่ยมเยือนชั้นบน

   อัลฟองเซ่เดินตามต้อยๆ แต่เป็นตากล้องที่ดีทีเดียว เขาคอยจัดมุมให้แถมยังคว้ากล้องวิ่งขึ้นวิ่งลงไปถ่ายมุมนั้นมุมนี้ให้อีก

   ด้านบนมีห้องโถงใหญ่ห้อยโคมระย้าประดับประดาเป็นอย่างดี แสงไฟจากนอกหน้าต่างบานสูงส่องลอดเข้ามาข้างใน ที่มุมห้องทั้งสองด้านมีชั้นเครื่องไม้กับนาฬิกาโบราณติดตั้งอยู่ พื้นไม้ส่งเสียงเมื่อแรงกดรองเท้าย่ำเดิน ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดแต่ดูเหมาะจะเป็นห้องซ้อมหรูๆ ของคณะนักบัลเลต์

   โอลิเวอร์กลับมาชั้นล่างทางเข้าคนดู เพราะวันนี้มีซ้อมถึงเข้าไปแล้วมืดสนิทเห็นแต่แสงไฟจากบนเวทีที่กำลังตระเตรียมเพื่อการแสดงในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เสียงสั่งการเป็นภาษาฝรั่งเศสดังขึ้นนานๆ ครั้ง ในความมืดอัลฟองเซ่ย้ายมายืนด้านหลัง โอบเอวเขาไว้หลวมๆ แล้วเอาคางเชยบนไหล่

   “อยากแวะมาดูละครไหม?” ฝ่ายนั้นถาม

   “ถ้ามีโอกาสนะครับ พรุ่งนี้ผมว่าจะออกนอกปารีสแล้ว” โอลิเวอร์หันไปกระซิบบอก

   อัลฟองเซ่ลดเสียงลงพอให้ได้ยินกันสองคน “ตกลงจะไปที่ไหนครับ ไปกี่วัน”

   เสียงทุ้มต่ำจั๊กจี้หูเขาน่าดู “สองวันครับ ผมต้องบินกลับวันอาทิตย์ ...ตอนแรกว่าจะไปบ้านเกิดคุณ แต่ถ้าคุณแนะนำให้ไปช็องปาญผมไปช็องปาญแทนก็ได้”

   “เด็กดี” อัลฟองเซ่ว่าพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น แต่แค่ครู่เดียวก่อนจะผละจากแล้วจับมือเขาพาเดินออกมาข้างนอก

   ฝ่ามือที่ใหญ่กว่ามือเขานิดหน่อยให้ความรู้สึกอบอุ่นกับปลายนิ้วเย็นเฉียบของเขา โอลิเวอร์เดินตามแค่ช่วงทางออกประตู แต่เมื่อถึงพื้นที่กว้างก็ขยับมาเดินขนาบข้างอัลฟองเซ่ พวกเขาก้าวด้วยจังหวะไม่รีบร้อนลงจากบันไดเพื่อไปร้านขายของที่ระลึกตรงทางออก อัลฟองเซ่ไม่ได้ซื้ออะไร แต่โอลิเวอร์ได้หีบเพลงเล็กๆ กับแม่เหล็กติดตู้เย็นอันจิ๋วติดไม้ติดมือกลับมา

   ข้างนอกฝนซาแต่ฟ้ายังครึ้มอยู่ เพราะใกล้เที่ยงแล้วโอลิเวอร์ถึงตัดสินใจแวะหาร้านอาหารแถวนั้นทาน อัลฟองเซ่ที่เพิ่งจัดการมื้อเช้ามาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนถึงไม่หิวแต่ก็ตามเขาไปอย่างว่าง่าย

   ในที่สุดก็มาถึงร้านเฝอที่ตั้งเป้าอยากกินไว้ตั้งแต่วันแรกๆ อัลฟองเซ่ดูจะสนอกสนใจเมนูที่เขาสั่งมาทานเป็นพิเศษทั้งที่ร้านอาหารเวียดนามก็หาง่ายในปารีส ก๋วยเตี๋ยวเนื้อเวียดนามเสิร์ฟมาในชามโต น้ำซุปกลิ่นเครื่องเทศใสจนเห็นเส้นบั๊ญเฝอที่ทานแล้วนุ่มลื่นคอไม่เหนียวแบบเส้นบะหมี่ แต่ของอัลฟองเซ่สั่งเป็นเปาะเปี๊ยะสดไส้หมูแถวยาวที่เจ้าตัวกินไม่หมด

   มื้ออาหารค่อนข้างเงียบแต่ไม่น่าอึดอัดเท่าที่กลัว อัลฟ่าหนุ่มเดี๋ยวๆ ก็ขอลองชิมเฝอเนื้อเดี๋ยวๆ ก็แบ่งเปาะเปี๊ยะสดให้เขาทาน พอน้ำหมดก็บริการเติมให้ไม่มีขาดตกบกพร่อง

   ช่วงบ่ายเขากะจะไปที่พิพิธภัณฑ์ออร์แซไม่อย่างนั้นก็พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ อัลฟองเซ่บอกว่าให้ไปที่ออร์แซก่อนเพราะเล็กกว่า เดินทั่วแล้วค่อยไปเก็บตกที่ลูฟร์จนถึงเย็นก็ยังได้ คิดได้แบบนั้นก็มุ่งหน้ากันไปที่สถานีมูซี ดอร์คแซสายRER เมื่อออกมาก็ถึงตัวพิพิธภัณฑ์

   หากให้เทียบกันระหว่างพิพิธภัณฑ์ใหญ่ทั้งสามแห่งในปารีส พิพิธภัณฑ์ออร์แซเป็นกึ่งกลางระหว่างความเก่าแบบลูฟร์และความใหม่แบบปอมปิดู ภายในเป็นโถงหลังคากระจกสูงลักษณะเป็นโถงใหญ่เพียงโถงเดียวจากพื้นที่ที่เคยเป็นชานชาลาเก่า สถาปัตยกรรมภายในตกแต่งในแบบอิตาลี ผลงานศิลปะทั้งแขวนโชว์และตั้งประติมากรรมปั้นเรียงรายเป็นแถว อัลฟองเซ่จับมือเขาไว้ด้วยข้ออ้างแบบเด็กๆ ว่ากลัวจะหลงกันระหว่างพาเดินวนดูรอบๆ

   แน่นอนว่าเขาไม่ปฏิเสธ

   ทั้งสองคนใช้เวลาเดินดูภาพวาดอยู่สองชั่วโมงกว่า จนขาเริ่มเมื่อยแล้วถึงได้พากันกลับออกมา โอลิเวอร์ไม่อยากไปต่อที่ลูฟร์แล้วเว้นเสียแต่ความอยากจะเห็นภาพโมนาลิซ่าด้วยตาตัวเองยังเอ่อล้นอยู่ นี่ยังเร็วไปสำหรับอาหารเย็น และการจะไปเดินเล่นที่สวนสักแห่งก็ลืมไปได้เลย ฝนที่ตกปรอยๆ ตลอดเช้าไม่อำนวยให้ไปนั่งเล่นบนพื้นหญ้าเปียกแฉะแน่นอน

   โอเมก้าหนุ่มใช้เวลาคิดอยู่นานกว่าจะตัดสินใจบอก “...อยากไปดื่มชาที่อพาร์ทเมนต์ผมไหม?”

   “ด้วยความยินดีครับ ถ้าคุณไม่รังเกียจ” อัลฟองเซ่ตอบอารมณ์ดี

   ใช้เวลาไม่นานก็ขึ้นเมโทรย้อนมาถึงที่พัก โอลิเวอร์ได้แต่ถามตัวเองว่านึกเพี้ยนอะไรถึงได้อยากให้อีกฝ่ายกลับบ้านมากับเขา นึกเท่าไหร่ก็หาแรงจูงใจไม่ออกนอกจากวินาทีนั้นแค่อยากพักขาหลังจากเดินทอดน่องในพิพิธภัณฑ์

   อัลฟองเซ่ตามหลังเข้ามาและเป็นคนปิดประตูให้ ชายคนนั้นพาดเสื้อกันหนาวไว้กับเก้าอี้ก่อนจะละไปต้มน้ำร้อนทั้งที่ตัวเองเป็นแขก เจ้าบ้านหันมองตามตาปริบๆ ระหว่างถอดถุงมือออกและวางกุญแจไว้ที่ประจำ

   “ทำตัวตามสบายนะครับ” โอลิเวอร์พูดสำทับแม้จะช้าไปสักหน่อยสำหรับคนที่ย้ายตัวเองไปอยู่ในครัวแล้ว อัลฟองเซ่จัดแจงล้างจานให้เขาอีกต่างหาก นั่นทำเขาช็อกไปนาน “อัล! คุณไม่ต้องทำก็ได้”

   “ไม่เป็นไรครับ ไหนๆ ก็ต้องล้างแก้วอยู่แล้ว” ชายหนุ่มว่าไปนั่น แก้วสะอาดหลายใบยังเรียงกันอยู่ในชั้นอยู่เลย ไม่ได้มีความจำเป็นต้องล้างใบที่อยู่ในอ่างล้างจานสักนิด

   โอลิเวอร์ลุกพรวดเข้าห้องนอนไปเก็บกวาดทุกอย่างเข้าที่ จู่ๆ ก็รู้สึกอายขึ้นมาทั้งที่ห้องก็ไม่ได้รกขนาดนั้น เสียงอัลฟองเซ่ถามขึ้นมาว่าอยากดื่มชาอะไร เท่าที่จำได้ในตู้เก็บก็มีแต่อิงลิชเบรคฟาสต์กับดาร์จีลิง

   “ดาร์จีลิงครับ” เขาตอบกลับไป ลังเลอยู่ว่าควรจะคว่ำรูปครอบครัวไหม สุดท้ายก็ตั้งไว้อย่างนั้น

   อัลฟองเซ่ถือแก้วตามเข้ามาในห้องนอน หอมกลิ่นกุหลาบโชยฟุ้งมาตั้งแต่เปิดประตู สายตาเขามาหยุดที่พระพุทธรูปปางสมาธิกับรูปภาพในกรอบไม้

   “นี่รูปครอบครัวผมเอง” โอลิเวอร์เกริ่น “ถ่ายกับแม่กับน้องสาวผม”

   “แม่คุณเป็นคนเอเชียหรือครับ?”

   “ครับ เป็นคนไทย” ว่าพลางรับแก้วมาถือ “คุณรู้จักประเทศไทยไหมอัล?”

   “คิดว่ารู้จักนะครับ ไต้หวันใช่ไหม”

   โอลิเวอร์หัวเราะ “ไม่ใช่! ไต้หวันมันประเทศจีน ประเทศไทยอยู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้น่ะคุณ”

   คนฟังทำเสียงอ้อว่าเข้าใจแล้ว ว่าแล้วก็นั่งลงข้างกันที่ขอบเตียง เมื่อต่างฝ่ายต่างดื่มชาความเงียบก็เข้ามาปกคลุม โอลิเวอร์ลดแก้วลงโอบถือไว้ด้วยสองมือ

   “ตามจริงน่าจะซื้อขนมเค้กติดมาสักชิ้นสองชิ้น ทานคู่กับชานะครับ”

   อัลฟองเซ่เลิกคิ้ว “ยังไม่อิ่มอีกเหรอครับนั่น”

   “ไม่อิ่มครับ อัลไม่รู้อะไร โอเมก้ามีกระเพาะแยกสำหรับของหวานอีกกระเพาะครับ”

   คนฟังฟังแล้วหัวร่อ “จริงเหรอครับ อย่างนี้ก็ได้เปรียบแย่ ดูสิ ผมทานนิดเดียวก็อิ่มแล้ว” เขาว่าพลางลูบๆ หน้าท้อง คนไม่เกี่ยวก็แอบเอามือไปลูบท้องแบนเป็นลอนคลื่นด้วย ทำเป็นส่งเสียงอือออไปกับเขาส่วนอัลฟองเซ่ได้แต่กลั้นยิ้ม พักหนึ่งคล้ายว่าไม่อยากทนแล้วก็โน้มไปจูบคนมือซนข้างตัว

   โอลิเวอร์ปรือตาลงรับสัมผัสนุ่มนวลคล้ายผีเสื้อขยับปีกที่ริมฝีปากก่อนจะเริ่มรุกล้ำเข้าใกล้ รสจูบทั้งหวานและหอมกลิ่นดอกไม้จากชาดาร์จิลิง ได้ยินเสียงอัลฟองเซ่หลุดหัวเราะเบาๆ เมื่อฝ่ายนั้นถอนจูบไปแล้วแต่เขายังเอนตัวตามไปสานต่อ

   “เดี๋ยวชาก็หกหรอกที่รัก” อัลฟองเซ่เย้าทั้งที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน เจ้าตัวหันกลับไปจิบชาหน้าตาเฉย จากมุมนี้เห็นรอยบุ๋มลักยิ้มลึกลงไปชัดเจน

   โอลิเวอร์เม้มริมฝีปาก อยากจะฟัดให้จมเขี้ยว! ได้ติดคิดส่วนตัวจริงนั่นนั่งดื่มชาต่อในความเงียบ นานทีก็ฮัมเพลงเก่าๆ ขึ้นมา คนข้างตัวก็ดูไม่หนวกหูหรือรำคาญอะไรนอกจากประดับใบหน้าไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน


------------------------------------

รอบนี้มาอัพช้าขอโทษนะคะ บอกจะมาวันอังคารโผล่มาอีกทีเข้าวันเสาร์เลย
น้องพึ่งคุณไสยค่ะถ้าทำให้ได้ผู้ดีๆ น้องมีศรัทธาขอจงศรัทธาในตัวน้อง(...)
ขอให้อ่านกันให้สนุกนะคะ!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-02-2019 00:23:24 โดย Moriarty »

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1510
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 3 - 09/02/62
«ตอบ #8 เมื่อ09-02-2019 16:02:41 »

ฮือออ แต่งดี อ่านเพลิน และอัลน่ารักมากกกก
น้องโอจะไม่หนีบกลับบ้านไปด้วยจริงๆหรอ งานดีขนาดนี้ เหมาะเป็นพ่อของลูกมากๆนะคะ

ออฟไลน์ nofsnof

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 3 - 09/02/62
«ตอบ #9 เมื่อ09-02-2019 17:53:34 »

เรื่อยๆ ดีต่อใจมากๆค่ะ
อัลดูไม่ธรรมดาแน่ๆแล้ว รอเซอร์ไพร์ซเลย :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 3 - 09/02/62
« ตอบ #9 เมื่อ: 09-02-2019 17:53:34 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 3 - 09/02/62
«ตอบ #10 เมื่อ10-02-2019 08:59:51 »

อ่านเพลินมากๆรู้ตัวอีกทีก็จบตอนแล้ว สนุกมากๆเลยค่ะรู้สึกเนื้อเรื่องค่อยเป็นค่อยไปไม่น่าเบื่อเลยอยากอ่านต่อเรื่อยๆ อัลคืองานดีย์ :katai2-1: มาต่อเร็วๆน้าเป็นกลจให้นักเขียนจ้า :กอด1: :pig4:

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1510
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 3 - 09/02/62
«ตอบ #11 เมื่อ12-02-2019 20:11:08 »

แวะมาดัน และมารอค้า

ออฟไลน์ kaokorn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 903
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 3 - 09/02/62
«ตอบ #12 เมื่อ13-02-2019 16:41:07 »

เรื่องน่ารักมาก ลุ้นไปกับมิสเตอร์โอ ว่าจะลงเอยยังไง
ชอบมากฮะ รออ่านตอนต่อๆไปนะฮะ
 o13
 :pig4:

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 3 - 09/02/62
«ตอบ #13 เมื่อ13-02-2019 22:10:02 »

มารอค่ะ

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 3 - 09/02/62
«ตอบ #14 เมื่อ13-02-2019 22:58:30 »

รออยู่นะคะ :m7:  มาต่อเร็วๆนะ

ออฟไลน์ korinasai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 3 - 09/02/62
«ตอบ #15 เมื่อ14-02-2019 10:13:33 »

รอวันที่จะได้ผู้นะน้อง
 :z13:

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 3 - 09/02/62
«ตอบ #16 เมื่อ15-02-2019 19:09:34 »

ตอนที่ 4


   พวกเขาใช้เวลาไปกับการนั่งดื่มชา นอนเบียดกันดูทีวีบนเตียงแสนนุ่มในห้องอุ่นๆ โอลิเวอร์ที่ฟังภาษาฝรั่งเศสไม่ออกหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้เพียงแต่เมื่อตื่นมาอีกทีตัวก็ขดนอนซุกอกอัลฟองเซ่แล้ว กลิ่นอัลฟ่าประสานกับกลิ่นน้ำหอมที่ให้ความรู้สึกคล้ายป่าหลังเวลาฝนตกชวนให้เขาหลับสบาย โอลิเวอร์กรี๊ดในใจแต่ทำเพียงขยับออกอย่างนุ่มนวล ฝ่ายหมอนจำเป็นเห็นเขาตื่นแล้วก็ยิ้มรับไม่ได้ว่าอะไร

   คนเพิ่งตื่นขอตัวไปเข้าห้องน้ำ คุณพระ! อกนูนแน่นน่าหนั่นหนุน กลิ่นกายก็ดีมากจนน้ำลายจะหกแต่เก็บอาการไว้มากรี๊ดไร้เสียงคนเดียว โอลิเวอร์เริ่มนึกโทษตัวเองที่น่าจะแกล้งหลับต่อให้รู้แล้วรู้รอด เขาสามารถนอนซบได้ทั้งวันแบบไม่กลัวตะคริวจะกิน ให้ตายเถอะ

   หลังตั้งสติได้โอลิเวอร์ก็กลับออกมาข้างนอก ล้างหน้าล้างตาตื่นเต็มที่ดีแล้ว นาฬิกาบอกเวลาเพิ่งห้าโมงเย็น เมื่อกลับมาที่เตียงนั่งลงข้างคนนอนเหยียดยาวก็หันไปถาม

   “อัล ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตกันไหมครับ?” ลองชวนเฉยๆ ถึงอัลฟองเซ่ไม่ไปเขาก็ไปคนเดียวอยู่ดี

   อัลฟองเซ่กดลดเสียงโทรทัศน์ นอนหนุนแขนตัวเองข้างหนึ่งระหว่างหันมามอง “ได้ครับ จะไปตอนนี้เลยไหม?”

   “ตอนนี้เลยครับ แล้วเดี๋ยวกลับมาทำอาหารทานกัน – แต่คุณอยู่ดูทีวีไปก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมมา”

   คนฟังลุกขึ้นปิดโทรทัศน์ “ไปด้วยคนครับ” เสร็จแล้วก็เดินออกไปที่ห้องนั่งเล่นก่อนเขาอีก พอโอลิเวอร์เดินตามออกมาอัลฟองเซ่ก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว

   พวกเขาพากันมาที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เดิมที่โอลิเวอร์เคยมาตุนของครั้งแรก ในเมื่ออยู่กันสองคนที่อพาร์ทเมนต์เขาเกิดนึกอยากทำอาหารเองขึ้นมา เส้นเพนเน่ ใบโหระพา เมล็ดสน กระเทียม กุ้ง กับพาร์เมซานชีสพร้อมสำหรับทำเพนเน่เพสโต้ซอส ไม่ลืมของหวานอย่างพุดดิ้งซื้อมาตบท้าย ไอศครีมก็น่าสนถ้าไม่ติดว่าแค่อากาศอย่างเดียวก็หนาวพออยู่แล้ว

   กลับเข้ามาหาไออุ่นฮีตเตอร์ในห้องกันอีกครั้ง คราวนี้กระทะพร้อมน้ำมันมะกอกพร้อมตั้งเตาเตรียมทำอาหารได้ โอลิเวอร์รื้อหาเอาผ้ากันเปื้อนมาผูกสวม อีกหนึ่งชีวิตที่อยู่ในห้องด้วยกันมองเขาพลางยิ้มกริ่มยกใหญ่ เมื่อถามก็บอกว่าเปล่าไม่มีอะไรชวนให้เอาตะหลิวฟาดนัก

   “อยู่ว่างๆ ก็ไปเตรียมโต๊ะสิครับ” โอลิเวอร์โดนจ้องมากก็เริ่มอายแต่ยังทำหน้านิ่งอยู่ รีบไล่ให้ไปจัดการโต๊ะที่เต็มไปด้วยชุดน้ำชาเมื่อยามบ่ายกับหนังสือที่อัลฟองเซ่หยิบมาอ่านฆ่าเวลา

   คนถูกใช้ย้ายตัวเองไปทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย กลิ่นใบโหระพากับชีสหอมไปทั่วห้องชวนน้ำลายสอ ไม่นานมื้ออาหารก็เสร็จพร้อมเสิร์ฟ

   ทั้งสองคนจัดการมื้อเย็นในความเงียบ ถึงไม่ได้ชวนคุยและมีแต่เสียงส้อมกระทบจานก็ไม่ได้น่าอึดอัดนัก อาหารวันนี้เขาทำสุดฝีมือ อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสีหน้าอัลฟองเซ่ยามทานอาหารอยู่บ่อยๆ ฝ่ายนั้นไม่พูดอะไรแต่ทานอย่างน่าอร่อย ไม่วายเอาขนมปังมาปาดจานทานปิดท้ายอีกต่างหาก

   “อร่อยเหมือนฝีมือเชฟเลยครับ คุณเป็นเชฟรึเปล่าเนี่ย” คนชิมชมเปาะหลังเช็ดปากเสร็จเรียบร้อยแล้ว

   นั่นทำโอลิเวอร์พอใจมากทีเดียว “ลองทายดูนะครับ ผมอาจจะเป็นเชฟมิชลินสตาร์ก็ได้”

   “ผมว่าเป็นไปได้สูงเลยครับ” ฝ่ายนั้นพูดสีหน้าจริงจัง “เชฟโอ”

   โอลิเวอร์รู้สึกเหมือนจมูกตัวเองยืดยาวออกไปไกลโพ้น เขานั่งหลังตรงเชิดหน้าหน่อยๆ อย่างคนทิ้งมาด “สรรเสริญผมสิครับอัล สรรเสริญผมอีก”

   อัลฟองเซ่หัวเราะ “ฝีมือเชฟยอดเยี่ยมที่สุดเลยครับ อร่อยจนเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลย”

   แล้วคนหน้าไม่อายสองคนก็ปิดท้ายมื้ออาหารด้วยของหวานอย่างพุดดิ้งเนื้อเนียน อัลฟองเซ่เป็นคนเก็บจานไปล้างเองอย่างเคย ส่วนโอลิเวอร์เมื่ออิ่มได้ที่ก็นั่งทอดหุ่ยมองแผ่นหลังอีกฝ่ายเพลินตาเพลินใจ เขาไล่สายตาไปเรื่อย มองแผ่นหลังกว้าง สอบสะโพกและบั้นท้าย รึจะขายาวๆ นั่นก็ดีไม่น้อย ฝ่ายคนโดนมองพอรู้ตัวก็หันมาส่งสายตาให้เขาครั้งหนึ่งว่าเพลาๆ หน่อย

   โอลิเวอร์ถามระหว่างดื่มน้ำ “ไปบาร์กันไหมครับ คุณต้องกลับกี่โมงน่ะ?”

   “ผมกลับดึกได้ครับ ถ้าคุณจะไปบาร์เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อน” เขาว่าพลางเช็ดมือให้แห้ง เห็นว่าเสร็จแล้วโอลิเวอร์ก็ส่งครีมทามือให้อัลฟองเซ่ หอมกลิ่นลาเวนเดอร์อ่อนๆ จากมือที่กำลังถูลูบกันไปมา

   “แต่ผมเลี้ยงคุณดริ้งค์เดียวนะ?” โอลิเวอร์นั่งเชยคางกับโต๊ะ อัลฟองเซ่โคลงศีรษะเหมือนใช้ความคิดก่อนจะต่อรองเป็นสองดริ้งค์ เป็นอันว่าปิดการขายตามที่ฝั่งนั้นต้องการ

   ...คิดๆ ไปถ้ามีเงินจะเลี้ยงผู้ชายเอาไว้สักคนก็ไม่เสียหาย ดูสิ งานบ้านก็เรียบร้อย มารยาทก็ดี บ้าจี้ชมเขาอีกต่างหาก

   โอลิเวอร์ฉีดโคโลญดับกลิ่นโอเมก้าด้วยความเคยชิน แต่พอออกมาจากห้องน้ำก็เห็นสายตาแปลกๆ ของอัลฟองเซ่ ชายคนนั้นทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ไม่ยอมพูด เปลี่ยนไปสวมเสื้อกันหนาวรอเสียแทน

   “อัล คุณมีอะไรรึเปล่า?” ถามอย่างอดไม่ได้

   “เปล่าครับ อันที่จริงก็มี แต่มันเป็นเรื่องส่วนตัวคุณผมไม่อยากพูด” พอโอลิเวอร์ทำหน้าฉงนอยู่นานเขาถึงยอมเปิดปาก “อยู่กับผมไม่จำเป็นต้องปิดกลิ่นโอเมก้าก็ได้ เราไปแค่บาร์ใกล้ๆ เดี๋ยวผมเดินกลับมาส่งคุณเอง แต่ช่างมันเถอะครับ เอาที่คุณสบายใจดีกว่า”

   โอลิเวอร์เม้มปากกลั้นยิ้ม ท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่านอย่างนั้นเป็นเพราะอยากให้เขาพึ่งพาตัวเองน่ะเหรอ พฤติกรรมน่ารักน่าดู!



   
   เสียงเพลงแจ๊สในบาร์ไม่ดังเกินไปนักคลออยู่ในบรรยากาศเป็นกันเอง แสงสลัวจากโคมไฟประดับบาร์ส่องพอให้เห็นพื้นที่ภายในตกแต่งแบบร่วมสมัย โอลิเวอร์สั่งคอสโมโพลิแทนมาให้ตัวเองส่วนของอัลฟองเซ่เป็นแบล็ก รัสเซียน พวกเขานั่งกันที่มุมเงียบๆ ของบาร์และอัลฟ่าหนุ่มก็เป็นฝ่ายบริการยกเอาเครื่องดื่มมาส่งถึงที่

   โอลิเวอร์จิบค็อกเทลรสเปรี้ยวอมหวานละเลียดทีละนิดระหว่างนั่งซึมซับบรรยากาศไปด้วย เสียงพูดคุยเบาๆ จากรอบข้างถูกกลบด้วยเสียงดนตรีชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย อัลฟองเซ่นั่งเบียดอยู่ข้างเขาคล้ายจะคอยกันโอลิเวอร์จากสายตาคนในบาร์

   โอเมก้าหนุ่มหันไปกระซิบเรียก “อัล บริการเต็มที่แบบนี้เดี๋ยวก็ไม่มีใครหน้าไหนกล้าเข้ามาคุยกับผมหรอก”

   อัลฟองเซ่หันมาคลอเคลียอยู่ข้างแก้มเขา ริมฝีปากปัดผ่านใบหูระหว่างเสียงทุ้มต่ำพร่ำคำหวาน อยู่ใกล้จนได้กลิ่นกาแฟหอมอ่อนๆ จากลมหายใจผ่าวร้อน “ดีแล้วนี่ครับที่รัก คืนนี้คุณเป็นของผม”

   ในความมืดแก้มโอลิเวอร์ขึ้นสีระเรื่อ เขาหัวเราะกลบเกลื่อนทั้งที่ในใจกรี๊ดไปแล้วหลายตลบ “ใครว่า คุณต่างหากล่ะที่เป็นของผม” ไม่ว่าเปล่าก็แยกแขนขึ้นใช้หลังมือลูบเชยใต้คางพ่อหนุ่มเจ้าเสน่ห์

   อัลฟองเซ่จับมือข้างนั้นไว้ก่อนดึงมาพรมจูบที่หลังนิ้ว ดวงตาสีน้ำทะเลจ้องคนข้างกายไม่วางตา มันทำให้โอลิเวอร์รู้สึกร้อนผะผ่าวไปทั่วทั้งที่เครื่องดื่มไม่ได้ชวนให้รู้สึกเมาหรือเผาภายในท้องขนาดนั้น ต้องยอมรับว่าชายคนนี้ร้ายกาจ...แต่เป็นความร้ายกาจแบบที่เขาถวิลหามาทั้งชีวิต ไม่ผิดที่โอลิเวอร์จะอ่อนระทวยได้ขนาดนี้

   ในใจนั้นกรีดร้องไปแล้วสิบล้านครั้ง แต่ใบหน้ายังประดับรอยยิ้มคล้ายไม่รู้สึกรู้สาอะไรนัก นับว่าทักษะที่สั่งสมมาไม่ทำให้เขาขายขี้หน้า

   โอลิเวอร์สั่งโมฮิโต้มาเพิ่มอีกแก้วส่วนคนที่ขอเขาไว้สองดริ้งค์กลับนั่งจิบแต่เหล้ากาแฟแก้วเก่า ชายร่างสูงเป็นคนบริการเดินมาเสิร์ฟให้จนเขาแทบไม่ต้องขยับไปไหน เขานั่งท้าวคางมองพ่อหนุ่มข้างตัว ทำไมไม่คิดบ้างหนอว่าตัวเองนั่นแหละที่ดึงดูดสายตาคนอื่นในบาร์ ฝ่ายที่น่าเป็นห่วงน่ะไม่ใช่เขาสักหน่อย

   “คุณคิดจะมีแฟนบ้างไหม” จู่ๆ โอลิเวอร์ก็นึกครึ้มถามออกไป อัลฟองเซ่โคลงศีรษะอย่างคนใช้ความคิด

   “ถ้าผมเจอคนที่ใช่ผมก็พร้อมมีแฟนนะ”

   “ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ?”

   “ครับ ต่อให้เป็นอัลฟ่าด้วยกันถ้าผมชอบขึ้นมาก็คือชอบ เรื่องแบบนี้มันกำหนดไม่ได้หรอก”

   “หืม” โอลิเวอร์ยิ้มน้อยๆ “แล้วอย่างผมล่ะ ตรงสเป็คคุณบ้างไหม?”

   “....” อัลฟ่าหนุ่มมองเขาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต่ไม่ตอบอะไร คนถามหัวเราะอารมณ์ดี ใช้หลังมือเคาะอกฝ่ายนั้นเบาๆ

   “เห็นอย่างนี้ผมก็มีคนมาจีบเยอะเหมือนกันนะ” เขาว่าไปเรื่อย “ทั้งอัลฟ่าทั้งเบต้า แต่ไม่มีใครทนอยู่กับผมโดยไม่มีเซ็กส์ได้สักคน เคยมีคนนึงบอกผมว่าผมให้ในสิ่งที่เขาต้องการไม่ได้ แล้วเขาก็ทิ้งผมไป”

   “ผมคิดว่าคนพวกนั้นไม่คู่ควรกับคุณ” อัลฟองเซ่เสริมขึ้นมา น้ำเสียงเรียบๆ ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือพูดเล่นให้กำลังใจ “ที่พวกเขาจากคุณไปนั่นอาจจะดีแล้วก็ได้”

   โอลิเวอร์ทำเสียงฮึมฮัมระหว่างพยักหน้าช้าๆ เรื่องมันนานแล้วและเขาเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร ...ยอมรับลึกๆ ว่าเป็นบาดแผลขนาดย่อมที่ไม่มีวันหายไปไหน เขาคิด คิดอยู่นานก็เอ่ยปากถาม “คุณว่าผมบกพร่องรึเปล่า”

   “ไม่ครับ ไม่เลย คนเราควรเคารพการตัดสินใจของคนที่ยกให้เป็นคู่ชีวิต เซ็กส์เป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งในชีวิตรักไม่ใช่ทั้งหมด และผมรู้ว่าคุณมีเหตุผลของคุณ”

   โอลิเวอร์มองคู่สนทนาเนิ่นนาน เขาทำท่าเหมือนจะหัวเราะแต่ค้างครึ่งๆ กลางๆ สุดท้ายก็เอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณ”

   อัลฟองเซ่ใช้นิ้วเกลี่ยผมที่ร่วงลงปรกตาขึ้นทัดหูให้ มองตอบมาด้วยรอยยิ้มหวานละมุน

   เวลาในบาร์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว นี่ก็สี่ทุ่มแล้วและดึกเกินกว่าคนที่ต้องตื่นแต่เช้าในวันพรุ่งนี้จะมานั่งเอ้อระเหย โอลิเวอร์ลุกไปจ่ายเงินส่วนอัลฟองเซ่ออกไปยืนรออยู่หน้าร้าน เสียงดนตรีแจ็สดังคลอบรรยากาศอยู่เรื่อยๆ ในร้านที่มีคนนั่งบางตา มันเบาลงไปเรื่อยๆ เมื่อสองเท้าพาเขาเดินออกมาตามถนนเงียบเชียบยามค่ำคืน

   อัลฟองเซ่จับมือเขาเอาไว้ ออกกแรงบีบเบาๆ ระหว่างสาวเท้าก้าวตรงไปตามทาง “พรุ่งนี้จะไปเที่ยวไหนต่อครับ คิดไว้หรือยัง”

   “ยังไม่รู้เลยครับ กะว่าจะไปทางตะวันออกตามคุณว่าแต่ไม่รู้ว่าที่ไหนดี”

   “อย่างนั้นไปแร็งส์ไหมครับ ผมบังเอิญเจอข้อมูลที่นั่นพอดี เสร็จแล้วแวะชิมไวน์ที่เอเปียร์เนกัน” ถึงจะบอกว่าบังเอิญแต่ดูอย่างไรก็มั่นใจเหมือนคนไปค้นข้อมูลมาแล้วทั้งคืน

   โอลิเวอร์ไกวมือที่จับกันไว้เบาๆ “ได้ครับ พรุ่งนี้นัดเจอที่คาเฟ่เหมือนเดิมหรือ?”

   “ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมมารับคุณที่อพาร์ทเมนต์สักช่วงเก้าโมงแล้วกัน”

   คนฟังพยักหน้ารับ เก้าโมง เขาท่องจำเอาไว้ในใจ แต่อัลฟองเซ่ชักจะบริการดีเกินราคาไปแล้ว ขนาดมารับถึงที่ทั้งที่ไปจากมงต์มาร์ตยังใกล้สถานีรถไฟที่จะต่อไปตะวันออกกว่าตรงที่เขาอยู่เสียอีก!

   ส่งถึงหน้าประตูทางเข้าอพาร์ทเมนต์อัลฟองเซ่ก็หยุดรอ เขายอมปล่อยมือในที่สุด โอลิเวอร์มองสงสัยเพราะคนข้างตัวเอาแต่จ้องหน้าเขาแล้วไม่พูดอะไร

   “มีอะไรรึเปล่าครับ?”

   “จะไม่จูบราตรีสวัสดิ์หน่อยหรือครับ” อัลฟองเซ่ถามอย่างทวงสิทธิ์ โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจ

   โอลิเวอร์เม้มปาก ผินใบหน้าไปหอมแก้มเขาฟอดโตแทนที่จะบรรจงจูบลงริมฝีปากหยักอย่างที่ฝ่ายนั้นวอนขอ เจ้าตัวหัวเราะอย่างพออกพอใจได้ไม่ทันไรก็โดนเอาคืนด้วยจุมพิตนุ่มนวลที่กลางหน้าผาก เขารู้สึกเหมือนเครื่องช็อตทำอะไรไม่ถูกกะทันหัน อัลฟองเซ่ส่งสายตาหวานละไมมาให้ไม่นานก็หันหลังเดินจากไป ทิ้งคนเป็นใบ้ยืนตัวแข็งตรงนั้นคนเดียว




   ในอพาร์ทเมนต์อุ่นแสนอุ่นโอลิเวอร์ในชุดนอนผ้านิ่มกำลังรัวนิ้วกดแป้นโทรศัพท์ต่อสายหาอาเจ๊ เขายิ้มหน้าบานเป็นคนบ้าอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวๆ ก็เขินบิดสายโทรศัพท์เล่นจนพันม้วนเป็นก้อน พอปลายสายรับเสียงแจ๋วๆ ก็รัวตามไปในทันที

   “ฮัลโหล---“

   “เจ๊ขาเจ๊น้องมีเรื่องมาเล่า วันนี้หนูไปบาร์กับเค้ามาเค้าน่ารักมากเลยค่ะจะเป็นลมให้ได้เลย ชีวิตนี้หนูไม่เคยเจอผู้ดีบริการดีแบบนี้มาก่อน อ้อนเก่งอะไรเก่งดีไปหมดเลยค่ะฮือ”

   “อีโอ...” ทางนั้นพูดเสียงหอบเหนื่อย “ตั้งสติ...ซิลูก...”

   “ฮือ” โอลิเวอร์คร่ำครวญ สูดหายใจลึกๆ ไปหนึ่งรอบใหญ่ๆ “วันนี้เค้าเทคแคร์หนูดีมากเลยค่ะ พรุ่งนี้หนูจะไปเที่ยวนอกเมืองกับเค้าแล้ว”

   “ฮึก...อา... ก็ดีแล้ว...” ปลายสายสั่นๆ ผิดปกติ เสียงเหมือนกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่างกับแว่วอะไรดังเป็นจังหวะ

   โอลิเวอร์กำลังจะพูดแต่อ้าปากค้าง เขาหรี่ตาลงพยายามเงี่ยหูฟังก็ได้ยินแต่เสียงลมหายใจไม่เป็นจังหวะของอาเจ๊ อะไรบางอย่างที่ว่าแจ่มชัดอยู่ในหัวเขา หน้าโอลิเวอร์แดงก่ำ “อีเจ๊! เจ๊ทำอะไรอยู่!”

   “อือ...เรื่องของผู้ใหญ่ – ที่รัก...เบาๆ” ท้ายประโยคคล้ายหันไปสั่งการสามี คราวนี้ชัดแจ้งแดงแจ๋แล้วว่าคนปลายสายกำลังถ่ายทอดลมปราณกับสุดที่รักเธออยู่

   “อีเจ๊! อีบ้า! ทำอะไรรับสายทำไมเนี่ย!” ว่าแล้วก็กระแทกหูโทรศัพท์ทั้งมือสั่นๆ หน้าเขาร้อนฉ่า โอ้ย ปากหล่อนบอกว่าโทรปรึกษาได้ตลอดเวลาแต่เขาไม่คิดว่าจะตลอดเวลาแบบนี้

   โอลิเวอร์กลับไปที่ห้องนอนพุ่งตัวลงซุกหาหมอนนุ่มนิ่ม นอนดิ้นฟัดไปฟัดมาอยู่ยกใหญ่เมื่อนึกถึงหน้าคนที่ทำหัวใจเขาเต้นไม่เป็นระส่ำ รู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบสี่ไม่รู้เดียงสาต่อรักอีกครั้ง นอนทึ้งหมอนอยู่อย่างนั้นจนกลิ้งโค่โล่ตกเตียง




   อัลฟองเซ่มารับแต่เช้าตามเวลานัดเป๊ะ คนแต่งตัวช้าไม่วายชวนให้ขึ้นมาดื่มกาแฟสักแก้ว เช้านี้เขากินแค่ไข่ดาวและขนมปังกับชีส เหลือเผื่อเตรียมไว้ให้แขกอีกชุดหนึ่ง นั่งทานกันจนเรียบร้อยแล้วถึงค่อยออกเดินทาง

   มาถึงสถานีการ์เดอเลสต์ก็เดินยาวๆ ซื้อตั๋วไปแร็งส์ รถไฟTGVพอซื้อวันออกเดินทางราคาโหดใช่ย่อย แต่เป็นเพราะไม่ได้วางแผนมาก่อนก็ช่วยไม่ได้ต้องออกราคาเต็ม ได้ตั๋วมาแล้วก็เร่งฝีเท้าเดินไปชานชาลาที่ระบุเอาไว้ว่ามุ่งหน้าไปแร็งส์ ที่นี่มีหลายชานชาลาเพราะเป็นเหมือนศูนย์สถานีใหญ่สำหรับรถไฟที่ไปทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือ อัลฟองเซ่ขันอาสาจะช่วยลากกระเป๋าแต่ลำพังของเขาก็มีอยู่คนละใบแล้วโอลิเวอร์เลยปฏิเสธไป

   ใครจะกินแรงกันได้ขนาดนั้น บ้า เกรงใจ

   พวกเขาขึ้นไปนั่งบนรถไฟความเร็วสูงเรียบร้อยบนเลขที่นั่งของตัวเอง วันนี้คนไม่แน่นมากและมีที่เหลือพอให้แอบย้ายกระเป๋ามาวางบนเก้าอี้ได้ โอลิเวอร์นั่งพิงไหล่คนข้างตัว เดินทางแค่ระยะเวลาไม่ถึงชั่วโมงและนี่ก็ยังเช้าเกินกว่าจะมีพลังงานมานั่งคุยเจื้อยแจ้ว จะมีก็แต่อัลฟองเซ่ที่คอยถามเขาว่ายังง่วงอยู่เหรอ

   ทั้งสองคนเดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางแรก โอลิเวอร์จองโรงแรมไว้ใกล้สถานีรถไฟเดินเพียงไม่เท่าไหร่ก็ถึง เข้าที่พักได้ก็ทิ้งกระเป๋าเดินทางเอาไว้ก่อน โอลิเวร์กระชับผ้าพันคอให้เข้าที่ สวมถุงมือเรียบร้อยก็พร้อมออกไปผจญโลกกว้างแล้ว

   ตอนนี้เป็นเวลาย่างเข้าสิบเอ็ดโมง อัลฟองเซ่พาเขาขึ้นรถบัสท่องเที่ยวจากสถีรถไฟไปลงหน้าอาสนวิหารแม่พระแห่งแร็งส์ โบสถ์น็อทร์-ดามเดอแร็งส์ภายนอกดูคล้ายมหาวิหารน็อทร์-ดามที่ปารีสแต่ตัวประตูเป็นภาพสลักนูนต่างลายออกไป ที่ประตูกลางส่วนหน้าบันที่ควรจะเป็นหินก็เป็นกระจกหน้าต่างกุหลาบ มีเทวดาองค์หนึ่งที่ยิ้มในหมูเทวดาที่ทำหน้าเฉยเมยด้วย ตัววิหารสร้างแบบโกธิค แน่นอนว่าคนสะพายกล้องแวะเก็บภายรอบนอกอยู่พักใหญ่กว่าจะเดินเข้าไปข้างใน

   ด้านในมีป้ายบอกประวัติว่าอาสนวิหารเคยเสียหายมาในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งแต่ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่จนสวยดังเดิมด้วยหินของเก่าจากเงินทุนของเอกชน

   ข้างในโอ่โถงเป็นทางเดินกลางและขนาบข้างด้วยทางเดินอีกสองฝั่ง หลังคาเป็นโดมสูง ส่วนกางเขนเป็นทางแยกออกไปอีก มีออร์แกนไม้หลังโตอยู่หลังแถวที่นั่ง นอกจากด้านในทางฝั่งประตูทางเข้าเมื่อมองย้อนกลับมาจะเห็นหน้าต่างกุหลาบซ้อนคู่กันสองบาน แสงที่สาดเข้ามาทำให้เห็นสีบานกระจกเป็นน้ำเงินอมม่วง

   อัลฟองเซ่นิ่งสงบผิดปกติเมื่อเข้ามาในเขตพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ เขาดูราวกับเทวทูตที่โดนเด็ดปีกกำลังรำลึกหวนถึงครั้งที่ยังอาศัยอยู่ในสรวงสวรรค์...ก็ว่าไปนั่น แต่ภาพซีกข้างใบหน้ากับแววตานิ่งเรียบทว่าติดเศร้าดูจะบ่งบอกได้แบบนั้น

   “คุณอยากอยู่สวดมนต์ก่อนไหม?” โอลิเวอร์ลองถามเลียบๆ เคียงๆ

   “ไม่เป็นไรครับ ถ่ายรูปเสร็จแล้วเดี๋ยวออกไปหาอะไรทานกัน”

   “แน่ใจนะ?”

   “ครับ แน่ใจ” อัลฟองเซ่มองขำๆ “ทำไมคะยั้นคะยอให้ผมอยู่ล่ะครับ”

   “เปล่าครับ แต่คิดว่าคุณน่าจะอยากสวดมนต์ แบบว่าอยู่ๆ ก็รู้สึกอย่างนั้น”

   นี่ค่อนข้างจะไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย คนพูดยังหูแดงๆ ตอนที่นึกย้อนว่าเมื่อครู่พูดเพ้อเจ้ออะไรออกไป พ่อหนุ่มอัลฟ่ากลั้นยิ้มน่าดู โอลิเวอร์เห็นอยู่หรอก...

   พวกเขาใช้เวลาเดินภายในอาสนวิหารอยู่พักใหญ่ก็กลับออกมา เดินหาที่แวะฝากท้องได้ไม่เท่าไหร่ก็เจอร้านอาหารอยู่หัวมุมใกล้ๆ เขาได้แซนวิชกันไปคนละอัน ไส้ทูน่าและไส้แฮมกับไข่ฝานเป็นแผ่น กินคู่กับโกโก้ร้อนข้นๆ มีความสุขล้นเป็นที่สุด

   เสร็จจากมื้อเที่ยงก็ไปวังแห่งโตที่อยู่ติดๆ กันกับมหาวิหารแร็งส์ ตัววังจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลป์แสดงเครื่องพรมโบราณแขวนอยู่เต็มสองฟากคั่นด้วยรูปปั้นในห้องจัดแสดงห้องใหญ่ ห้องที่แสดงรูปปั้น กับห้องเครื่องใช้และเครื่องทรงประกอบพิธีราชาภิเษกในสมัยก่อน ทุกอย่างจัดเรียงอยู่ในกรอบกระจกกันนักท่องเที่ยวมือซนไปหยิบจับแต่วางอย่างเป็นระเบียบ จัดแสดงของแต่ละอย่างแยกเป็นห้องๆ เดินชมได้สะดวก

   พวกเขาอยู่ที่วังโตไม่นานก็พากันกลับออกมาข้างนอก อากาศอุ่นเพราะแดดดีพอที่จะเดินเล่นไปเรื่อยๆ ใช้เวลาสิบกว่านาทีก็มาถึงประตูชัยประจำเมืองแร็งส์ที่ก่อสร้างเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยโรมัน ตัวซุ้มประตูเป็นโค้งสูงสามบาน สลักภาพนูนต่ำมีรายละเอียดมากทั้งสองด้าน มีอีกชื่อว่าประตูมาร์เพราะตั้งอยู่ใกล้วิหารเทพมาร์หรือเทพเจ้าแห่งสงครามของโรมัน ที่นี่ไม่มีอะไรมากนอกจากให้แวะถ่ายภาพกับเดินเที่ยวในสวนติดกัน อยู่ได้ไม่นานพวกเขาก็ตัดสินใจกลับ

   ที่แร็งส์มีแชมเปญเฮ้าส์หลายแห่งแต่ไกด์อย่างอัลฟองเซ่ตัดสินใจจะไปเอเปียร์เนที่มีถนนเส้นแชมเปญด้วยเหตุผลว่ามีเจ้าดังอยู่ที่นี่ โอลิเวอร์ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเขาเองก็ไม่มีไวน์ยี่ห้อไหนที่อยากไปเยือนถึงเหย้าเป็นพิเศษ

   คุณไกด์โทรติดต่อใครบางคน (ที่โอลิเวอร์คิดว่าน่าจะเป็นศูนย์ให้บริการนักท่องเที่ยว) ไม่นานก็พาเขาขึ้นรถบัสประจำทางไปลงที่ที่ดูคล้ายศูนย์รถเช่า อัลฟองเซ่เช่าแถมลงทุนออกเงินให้เองเพราะโอลิเวอร์ไม่ต้องเสียสักยูโร ตกบ่ายๆ พวกเขาก็ขับรถไปข้างนอกเมือง

   เสียงเพลงฝรั่งเศสจากวิทยุดังคลอเสียงล้อรถบดถนน กลิ่นแดดกับผืนดินลอยเข้ามาข้างในจากทางกระจกหน้าต่างที่เปิดไว้ ถนนนอกเมืองไม่ได้เรียบนักและไม่ได้ลาดยาง สองข้างทางมีแต่ไร่องุ่นปลูกเรียงเป็นแถวสีเขียวขจียาวไปจนสุดสายตา ไม่นานอัลฟองเซ่ก็ขับพามาถึงไร่องุ่นของใครสักคนแล้วจอดลงข้างทาง

   “ไปครับ ไปเก็บองุ่นกัน” อัลฟองเซ่ว่าก่อนจะปลดเข็มขัดเตรียมเปิดประตู

   คนนั่งข้างคนขับตาโต “คุณ! นี่ไร่ใครก็ไม่รู้นะ เดี๋ยวเจ้าของเขารู้ก็เอาปืนมาไล่ยิงหรอก”

   “นั่นสิครับ ไร่ใครกันนะ” คู่สนทนายิ้มกวนโอ๊ยแต่ก้าวลงไปแล้ว ไม่วายเปิดประตูหลังหยิบถุงกระดาษติดมือลงไปด้วย “มาเร็วครับ เดี๋ยวโดนจับได้”

   โอลิเวอร์รีบโดดลงรถตามไปด้วย เขาสาวเท้าไวๆ ตามไปฟาดแขนพ่อหนุ่มตัวดีระหว่างกระซิบบอกว่าไปได้แล้ว ถามว่าอัลฟองเซ่สนไหม บอกได้เลยว่าเดินดุ่มๆ เข้าไปเด็ดองุ่นได้อีกพวงแล้ว

   “ชิมไหมครับ?” คนเจ้าเล่ห์ยังมีหน้าหันมาถามระหว่างชูผลไม้พวงเล็กขึ้นระดับสายตา ลูกกลมๆ สีม่วงติดคราบขาวเด่นเป็นสง่าอยู่ในมือคนหนุ่ม โอลิเวอร์รู้สึกอยากจะจับเขามาตีก้นเสียเหลือเกิน

   “คุณ! ยังอีก!”

   อัลฟองเซ่หัวเราะฮ่าๆ ตาหยีเป็นจันทร์เสี้ยว “มานี่มา เดี๋ยวผมถ่ายรูปให้ คุณจะได้เอาไปอัพไอจี”

   “เดี๋ยว รู้ด้วยหรือว่าผมมีไอจี” โอลิเวอร์หรี่ตามอง

   ฝ่ายนั้นปิดปากสนิท หันไปเด็ดองุ่นมาเพิ่มลงถุง คนถามยอมเสียที่ไหน ก้าวยาวๆ สองก้าวก็มาถึงพ่อตัวดีแล้ว เขาเอามือฟาดก้นเนื้อแน่นไปป้าบใหญ่ๆ จ้องเค้นเอาความระหว่างที่อัลฟองเซ่หลุดหัวเราะและทำเป็นร้องโอดโอย

   คนต้นเรื่องโอบเอวเขาไว้หลวมๆ “ก็วันนั้นผมเห็นคุณเล่น แต่ไม่รู้หรอกครับว่าแอคเค้าท์อะไร ผมไม่ได้แอบดูจริงๆ นะ”

   “อัล เราตกลงกันว่าจะไม่แอบดูโซเชียลมีเดียของกันและกันนะครับ คุณต้องจ่ายค่าปรับตามสัญญา”

   “อา.. ขอโทษครับ ผมจะซื้อไวน์ให้คุณขวดนึงเป็นค่าปรับแล้วกัน แบบนี้หายกันแล้วนะ?” มือซนเคาะนิ้วอยู่บนสะโพกโอลิเวอร์ ฝ่ายถูกโอบเอวมองตาเขียวอยู่พักหนึ่งก่อนจะยอมพยักหน้าตกลง

   นิ้วเรียวยาวบรรจงหยิกหลังมืออัลฟองเซ่ก่อนจะหนีบมันออกไป ใบหน้าหล่อๆ เหยเกด้วยความเจ็บ คราวนี้ลักยิ้มทรงเสน่ห์ของเจ้าตัวหายไปแล้ว “ผมยังไม่ลืมนะว่าเราอยู่ในไร่ใครก็ไม่รู้ รีบๆ ไปได้แล้วครับ”

   “แล้วถ้าผมบอกว่าเป็นไร่ของผมเองล่ะคุณ”

   โอลิเวอร์มองคนพูดด้วยสีหน้าสิ้นศรัทธา “ผมจะพยายามเชื่อนะครับ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ขึ้นรถได้แล้ว – เร็วเข้า!”


------------------------------------

มาต่อแล้วค่ะ ทีแรกกะจะอัพทุกอังคารแต่สงสัยจะได้เลื่อนไปอัพช่วงวันศุกร์แทน แหะๆ
น้องใกล้จะได้ผู้แล้วค่ะ อดทนรออีกนิดนะคะ---

ออฟไลน์ nofsnof

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 4 - 15/02/62
«ตอบ #17 เมื่อ15-02-2019 23:34:10 »

เห็นรังสีความรวย และสายเปย์ค่ะะ

รอๆๆ ตอนแรกนึกว่าหลังจากไปบาร์เค้าจะได้เสียกันนะเนี่ยย
แต่ก็ดีเพราะจะได้อยู่ต้วยกันนาน ๆ  :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Ti0590

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 4 - 15/02/62
«ตอบ #18 เมื่อ15-02-2019 23:46:31 »

อัลไม่ใช่จิ๊กกะโล่!!!!!!

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1510
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 4 - 15/02/62
«ตอบ #19 เมื่อ16-02-2019 00:12:19 »

เจ้าของไร่จริงๆใช่มะ งุ้ยย นังโอ ถ้าจริง เธอก็ตาถึงจริงๆ
คุณอัลเค้าอยากจริงจังมั้ยอะ แอบหวงด้วยนะ เขิลล
นังโอ หล่อนต้องคว้าหลัวคนนี้กลับบ้านให้ได้
อาเจ้แอบแซ่บ โอไม่ต้องอาย เดี๋ยวหล่อนก็โดนเหมือนกัน
อยากให้มาอาทิตย์ละ 2 ครั้งเลย สนุกก อ่านลื่นมาก ชอบตรงบรรยายบรรยากาศเมืองด้วย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 4 - 15/02/62
« ตอบ #19 เมื่อ: 16-02-2019 00:12:19 »





ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 4 - 15/02/62
«ตอบ #20 เมื่อ16-02-2019 02:46:03 »

เจ้าของไร่มั้ยยังไงเอ่ย  :hao3:

ออฟไลน์ sweetie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 4 - 15/02/62
«ตอบ #21 เมื่อ17-02-2019 01:06:36 »

ชอบการบรรยายมาก เหมือนไปเที่ยวด้วยเลย  :กอด1:

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 4 - 15/02/62
«ตอบ #22 เมื่อ17-02-2019 12:04:48 »

อบอุ่นมาก อ่านไปมีแต่คำว่าอบอุ่นลอยขึ้นมาในความคิดไม่หยุด วงวานพี่อัลคือน้องก็ไม่เชื่อใช่มั้ยว่าเป็นเจ้าของไร่555 รอตอนต่อไปนะ สนุกมากๆมาต่อเร็วๆนะ :pig4: :L1:

ออฟไลน์ korinasai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 4 - 15/02/62
«ตอบ #23 เมื่อ17-02-2019 12:35:09 »

อัล ดูไม่ธรรมดา
 :hao3:

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 4 - 15/02/62
«ตอบ #24 เมื่อ18-02-2019 12:07:42 »

ชอบตรงมีความจีบและอ่อยกันไปมา

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1510
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 4 - 15/02/62
«ตอบ #25 เมื่อ21-02-2019 18:39:57 »

แวะมาดัน และส่งกำลังใจให้คุณนักเขียน

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 4 - 15/02/62
«ตอบ #26 เมื่อ22-02-2019 19:49:05 »

ตอนที่ 5 คำเตือน:มีฉากNCนิดนึงนะคะ


   อัลฟองเซ่ขับรถออกห่างเมืองไปเรื่อยๆ ตัดผ่านสวนสัตว์ป่าและไร่องุ่นไกลสุดลูกหูลูกตาจนมาถึงเอเปียร์เน ไกด์ทัวร์ในวันนี้จองทริปชมแชมเปญเฮ้าส์ของโมเอต์ชงดงที่เป็นถึงบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกแห่งหนึ่ง พวกเขาขับผ่านถนนแชมเปญที่ขนาบสองข้างทางด้วยต้นไม้และรั้วปูนกั้นพื้นที่ระหว่างแชมเปญเฮ้าส์เจ้าดังกับตึกคฤหาสน์ที่อยู่ไกลออกไปลิบๆ ขับอยู่ไม่นานเข้ามาค่อนกลางเมืองและเห็นศาลาว่าการก็เห็นอาคารใหญ่ที่ติดแถบอักษรไว้ตรงรั้วสีดำและเหนือตึกว่า ‘Moët & Chandon’

   สารถีรูปงามขับรถวนเข้าไปจอดถึงใกล้ๆ ทางเข้าตึก โอลิเวอร์หยุดดูรูปปั้นดอม เปริญยองที่ด้านหน้าบริษัทก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน อัลฟองเซ่บอกว่ามาก่อนเวลาพอสมควรแต่เพราะต้องจ่ายค่าทัวร์ก่อนพ่อหนุ่มถึงได้เดินไปรอที่ห้องรับรอง

   จ่ายเงินเสร็จแล้วอัลฟองเซ่รับเอาบุ๊คเล็ตเล่มเล็กไปถือไว้ให้ระหว่างที่โอลิเวอร์ตั้งหน้าตั้งตาถ่ายรูป ไกด์ทัวร์เริ่มจากการบรรยายคร่าวๆ ถึงประวัติความเป็นมาของบริษัทและข้อมูลควรรู้ทั่วไป ส่วนแรกที่เข้าชมเป็นด้านนอกที่มีรูปภาพของผู้ก่อตั้งแบรนด์และรุ่นลูกที่ทำให้แบรนด์ออกขายนอกฝรั่งเศส ไล่ไปจนถึงห้องรับรองแขกชั้นวีไอพีที่กล่าวว่าครั้งหนึ่งจักรพรรดินโปเลียนเคยมาชิมไวน์ในห้องนี้

   อัลฟองเซ่บอกว่าตอนนี้จักรพรรดิอัลฟองเซ่ก็ได้มาชิมที่นี่แล้วเช่นกัน คนฟังฟังแล้วหลุดขำ

   พวกเขาแวะดูวีดิทัศน์สั้นๆ เกี่ยวกับบริษัทและการผลิตแชมเปญก่อนจะพากันลงบันไดเข้าไปชมโรงเก็บไวน์ด้านล่าง อากาศเย็นขึ้นและกลิ่นเฉพาะตัวของห้องใต้ดินฉุนคลุ้ง แสงไฟตลอดทางส่องให้รอบข้างอาบไปด้วยสีอมส้ม ตลอดสองข้างทางในโพรงอุโมงค์มีแต่ขวดไวน์เรียงอัดแน่นเห็นแต่ก้นขวดวางซ้อนกันเป็นกำแพงสูงกับบอร์ดเขียนวันที่

   พ่อหนุ่มฝรั่งเศสจับโอลิเวอร์ผูกผ้าพันคอขยับให้เข้าที่ขึ้น อุ่นก็อุ่นอยู่หรอก แต่นี่จะบริการกันดีเกินไปแล้ว!

   เมื่อเดินไปไกลขึ้นในอุโมงค์ยาวก็เห็นไวน์ขวดที่ตั้งเอียงสี่สิบห้าองศาในคานไม้ที่ทำเป็นทรงหลังคาสามเหลี่ยมเรียงเป็นแถวลึกเข้าไปด้านใน กลุ่มนี้เป็นไวน์ที่บ่มได้ที่ ก้าวเข้าไปเรื่อยๆ คราวนี้สองข้างทางขนาบกับทางเดินเรียงไปด้วยขวดไวน์เป็นตับสูงถึงเพดานโรงเก็บ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ขวดสีเข้มเขรอะฝุ่น

   เดินอยู่นานจนโอลิเวอร์เลิกถ่ายรูปแล้ว คนข้างตัวได้ทีก็เอานิ้วมาเกี่ยวมือเขาระหว่างทำเป็นมองข้างหน้าเดินหน้าตาเฉย โอลิเวอร์จับมือข้างนั้นเอาไว้หมับใหญ่ บีบเบาๆ ให้เลิกเอาปลายนิ้วเขี่ยฝ่ามือเขาแล้วถึงจูงกันไปตามทาง

   “อย่าซนน่า” โอลิเวอร์กระซิบเสียงเข้มเท่าที่เข้มได้

   อัลฟองเซ่หันมาหา ตีหน้าซื่อ “ซนอะไรหรือครับ?” คนฟังฟังแล้วหรี่ตามอง สมควรโดนตีมากๆ

   กลุ่มทัวร์เดินกลับขึ้นมาข้างบนอีกครั้ง คราวนี้ก็ได้เวลาชิมไวน์ตามแพ็คเกจทัวร์ที่ซื้อไว้แต่แรก เพราะจ่ายแพงถึงได้ชิมแบบวินเทจ ต่างกันที่ปีขององุ่นที่นำมาบ่ม แบบอิมพีเรียลที่ถูกกว่าเป็นแบบผสมหลายปีแต่วินเทจแยกเป็นองุ่นที่เก็บเกี่ยวเฉพาะปีนั้นๆ

   โอลิเวอร์ใช้มือถือโอบตัวแก้วไว้แบบแก้วบรั่นดี แต่คนข้างตัวเขาขัดขึ้นมาเสียก่อน

   “จับที่ก้านแก้วครับ ถ้าจับที่ตัวแก้วอุณหภูมิจากมือจะไปเปลี่ยนรสแชมเปญ”

   โอลิเวอร์ขยับเปลี่ยนวิธีจับตามคำแนะนำ “ไกด์บอกไว้หรือครับ?”

   ฝ่ายคนถูกถามยิ้มๆ ไม่ตอบอะไร นี่อาจจะเป็นความรู้ทั่วไปสำหรับนักชิมไวน์ก็เป็นได้ แต่เขาไม่ใช่นักชิมนี่ ถึงไม่รู้ก็ไม่เห็นเป็นไร

   โอลิเวอร์จิบทีละนิดจนหมดแก้ว แต่การดื่มในรวดเดียวก็ทำเอามึนไปเหมือนกัน ฝ่ายคนที่ต้องขับรถค่อยๆ ละเลียดดื่มท่าทางมีความสุขกับแชมเปญ อัลฟองเซ่ไม่ได้ชิมแบบโรเซ่สีชมพูแต่ดื่มแค่แบบธรรมดาแก้วเดียว ขณะที่โอลิเวอร์ขันอาสาดื่มแทนจนคนเดียวฟาดไปสามแก้ว แก้มเขาขึ้นสีแดงเหมือนผลแอปเปิ้ลสุกปลั่ง

   โอเมก้าหนุ่มซื้อแชมเปญติดไม้ติดมือกลับมาอีกสี่ขวดโตๆ ไม่ฟังคำค้านที่ว่ากระเป๋าเดินทางจะใส่ไม่พอ เจ้าคนหน้าแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์โบกไม้โบกมือระหว่างยิ้มเห็นฟันเขี้ยวว่าเดี๋ยวก็ดื่มหมด

   ระหว่างที่นั่งรถขากลับโอลิเวอร์หลับปุ๋ยตลอดทาง เขาละเมอร้องเพลงชาติอเมริกาแข่งกับเสียงเพลงในวิทยุระหว่างหัวสั่นหัวคลอนอยู่บนที่นั่ง นั่นทำให้คนขับหลุดหัวเราะพรืดใหญ่ระหว่างแอบจอดแวะข้างทางแล้วปรับเบาะให้เจ้าตัวเอนนอน

   กว่าจะมาถึงโรงแรมฟ้าก็มืดแล้ว อัลฟองเซ่แวะส่งให้คนง่วงขึ้นห้องพักก่อนเขาจะตีรถวนกลับไปส่งที่ศูนย์เช่า มาถึงห้องโอลิเวอร์ก็ฟุบต่อบนที่นอนนุ่มๆ คราวนี้เหยียดแข้งเหยียดขาได้เต็มที่ก็หลับสบายจนเลยเวลาอาหารเย็น

   กลิ่นหอมๆ ของเห็ดผัดเนยปลุกเขาให้ตื่นตอนทุ่มกว่า โอลิเวอร์งัวเงียหัวหนักขึ้นมาล้างหน้าล้างตาก่อนจะจัดการมื้อค่ำกับอัลฟองเซ่ที่จัดจานรออยู่สักพักแล้ว วันนี้นอกจากเห็ดผัดเนยก็มีสเต็กเทนเดอร์ลอยด์มีเดียมแรร์เนื้อนุ่มฉ่ำชิ้นโตให้ทานคู่กัน

   โอลิเวอร์เปิดแชมเปญที่เพิ่งซื้อมาสดๆ ร้อนๆ รินใส่แก้ว ฟองไหลขึ้นมาเป็นทางจากกลางแก้วในน้ำสีอำพันใส เพิ่งหายมึนก็ต่ออีกขวดตามประสาคนเจ็บแล้วไม่หลาบจำ ดื่มคู่กับทานสเต็กเนื้อสุขเหมือนได้ขึ้นสวรรค์

   เชฟขอยืนยันว่านอกจากไวน์แดงแล้ว แชมเปญกินคู่กับเนื้อวัวอร่อยอย่าบอกใคร!

   “เราต้องบอนด์กันแล้วแหละครับ คืนนี้เลย” จู่ๆ โอลิเวอร์ก็พูดขึ้นมาระหว่างงับทาร์ตลูกแพร์เป็นของหวาน

   อัลฟองเซ่ทำเสียงอือฮึระหว่างเคี้ยวเนื้อตุ้ยๆ “เอาจริงหรือครับ?”

   “ครับ” เขาว่าพลางพยักหน้าแรงๆ ผมสีน้ำตาลอ่อนไหวกระเซอะกระเซิง “ผมดื่มย้อมใจแล้ว ผมพร้อมแล้ว”

   “ผมไม่อยากบังคับคุณนะที่รัก เรารอจนกว่าคุณพร้อมแล้วจริงๆ แล้วถึงค่อยทำกันดีไหม”

   โอลิเวอร์เช็ดครีมอัลมอนด์ที่มุมปากก่อนดื่มของเหลวสีสวยรวดเดียวหมด วางแก้วลงดังเคร้ง “ผมอยากทำกับคุณ เข้าใจไหม ผมอยากทำ ถ้าไม่ติดว่าเรายังไม่ได้อาบน้ำผมจะปล้ำคุณเดี๋ยวนี้เลยด้วย”

   “คุณนี่ไม่เซ็กซี่เอาซะเลย...” อัลฟองเซ่รำพันระหว่างอมยิ้มมอง เขารู้ว่าโอลิเวอร์ชอบให้สะอาดเข้าว่า เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะหันไปจูบทั้งที่เพิ่งกินสเต็กจนปากมันแผลบมาหมาดๆ นั่นลืมไปได้เลย



   
   เสียงน้ำไหลก้องอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ โอลิเวอร์เปิดน้ำเติมอ่างอาบจนสูงเกือบปริ่ม อุณหภูมิอุ่นกำลังน่าลงแช่แต่คงไม่ร้อนเท่าใจคนเริ่มจะสร่างเมาที่นั่งหน้าแดงเอามือวักน้ำเล่นอยู่ริมอ่าง

   ด้านได้อายอดผู้ น้องโอต้องสู้แล้วค่ะงานนี้

   โอลิเวอร์เอาสองมือปิดหน้าแล้วครางฮือให้กำลังใจตัวเองก่อนจะ เอาวะ! แล้วเปลื้องผ้าลงน้ำ แช่ทำใจเย็นอยู่ได้ไม่เท่าไหร่ประตูก็เปิดโผงมาจากด้านนอก คนในอ่างสะดุ้งโหยง

   “ผมอาบด้วย” คำเดียวดั่งประกาศิตดังมาจากชายตัวสูงใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ อัลฟองเซ่เดินเข้ามาถอดกระดุมเสื้อออก โอลิเวอร์มองเขาตาเป็นมันเหมือนเครื่องหยุดทำงานไปแล้ว

   ในหูเขาได้ยินแต่เสียงลมหายใจตัวเองดังฟืดฟาดกับหัวใจเต้นระกระหน่ำเป็นกลองศึกพร้อมรบ

   แม่คะ!!

   อัลฟองเซ่ถอดเสื้อออกทิ้งไว้ในตะกร้าผ้า ปลดกระดุมกางเกงร่นลงให้เห็นขอบกางเกงชั้นในคาลวิน ไคลน์สีดำสนิท เขานั่งลงที่ขอบอ่าง ใช้มือผิวกร้านโอบข้างแก้มโอลิเวอร์ที่ยังมองค้างไม่ปริปากส่งเสียงใดๆ

   ในความเงียบนั้นริมฝีปากบางก็บรรจงประทับทาบไปตามเนื้อผิวใบหน้า เริ่มจากหน้าผาก มาที่ขมับ และเปลือกตา ลงมายังปลายจมูกโด่งของเขา ลมหายใจร้อนเป่ารดข้างแก้มจนรู้สึกจั๊กจี้

   “พอได้แล้ว..” โอลิเวอร์ประท้วง ฝ่ายนั้นเอาแต่หัวเราะเสียงทุ้มในลำคอก่อนจะกดจูบหนักๆ ที่ริมฝีปากเขา

   ชายหนุ่มในอ่างอาบหน้าแดงไปหมดไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำร้อนเกินไปรึเปล่า เขาแก้เก้อด้วยการสะบัดน้ำใส่พ่อตัวดีจนฝ่ายนั้นหัวเราะลั่นรีบลุกจากขอบอ่าง

   อัลฟองเซ่ถามทั้งรอยยิ้มทะเล้น “อยากเอาแชมเปญเข้ามาดื่มในนี้ด้วยไหมครับ? เดี๋ยวผมเอาเข้ามาให้” โดยไม่รอคำตอบเจ้าตัวก็เดินหายไปหลังบานประตู

   โอลิเวอร์นั่งชันเข่าดึงเข้าหาตัว สองมือปิดหน้าไว้อีกคราว เขารู้สึกอายจนเหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้

   ฝ่ายที่เสนอจะไปเอาเครื่องดื่มกลับมาพร้อมน้ำสีอำพันในแก้วทรงสูงแก้วหนึ่ง เขาส่งให้คนในอ่างรับไว้ก่อนจะหันหลังไปถอดกางเกงออกที่มุมห้องน้ำ แผ่นหลังกว้างและแนวกล้ามเนื้อขยับยามเคลื่อนตัวทำเอาคนมองเผลอกลืนน้ำลายอึกโต ส่วนโค้งหลังช่วงล่างงอลงเมื่ออัลฟองเซ่ก้มถอดกางเกงบ็อกเซอร์เผยให้เห็นผิวเปล่าเปลือย ส่วนโค้งเว้าและบั้นท้ายแน่นเย้าเสน่ห์ทำเอาเขามองไม่ละสายตา

   น้ำปริ่มล้นออกนอกขอบอ่างเมื่อชายหนุ่มอีกคนเข้ามานั่งฝั่งตรงกันข้าม โอลิเวอร์เม้มปากระหว่างไล่สายตาจากอกแน่นลงมาถึงหยักนูนหน้าท้องและไล่ต่ำลงเรื่อย อีกฝ่ายดูไม่อายเอาเสียเลยขณะที่เขายังชันเข่ากอดบังเนื้อตัวเอาไว้

   เขาอดถามไม่ได้ “...คุณทำแบบนี้กับลูกค้าทุกคนรึเปล่า?”

   “นั่นสิครับ ผมทำรึเปล่านะ บางทีเพราะคุณจ่ายเยอะผมถึงทำกับคุณเป็นพิเศษก็ได้”

   คำตอบนั่นทำเอาโอลิเวอร์รู้สึกฉุนแปลกๆ เขาดื่มรวดเดียวหมดแทนที่จะค่อยๆ จิบ ระหว่างที่เอี้ยวตัวไปวางแก้วมือสากกร้านจากฝั่งตรงข้ามก็ลูบไปตามท่อนขาเขา ทำเอาแก้วเกือบหลุดมือ

   “ผมไม่อยากให้ครั้งแรกของผมเกิดขึ้นในห้องน้ำนะครับ” โอลิเวอร์รีบพูด

   เจ้าของมือซุกซนที่ยังบีบเคล้นเนื้อเขาไม่หยุดยิ้มน้อยๆ พอให้เห็นลักยิ้มบุ๋ม “ก็ไม่ได้จะทำในห้องน้ำนี่ครับที่รัก แค่อยากให้คุณผ่อนคลายหน่อย”

   ถึงจะไม่ค่อยไว้ใจแต่ก็คอยๆ เหยียดขาออกตามแรงจับ อัลฟองเซ่นวดคลึงจากปลายเท้าขึ้นมาที่น่อง มืออุ่นในน้ำที่คอยพยุงน้ำหนักทำเอาเขาผ่อนคลายเต็มที่ โอลิเวอร์หลับตาลงเอนหลังพิงขอบอ่างไม่กล้าสบมองดวงตาคู่คม

   แต่ยิ่งปล่อยไว้มือยิ่งนวดสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงต้นขา ระหว่างที่บีบลูบเข้าด้านในก็เฉียดขาหนีบและส่วนกลางลำตัวอยู่หลายรอบ ฝ่ายได้รับการปรนนิบัติเม้มปากแน่น คิ้วขมวดเข้าหากัน เสียงอัลฟองเซ่กล่าวทุ้มต่ำว่าให้ผ่อนคลาย...หายใจลึกๆ

   สัมผัสจากมือใหญ่ลูบไปตามต้นขาก่อนเสียงน้ำกระฉอกจะดังขึ้นเมื่อฝ่ายให้บริการขยับลุกขึ้นชันเข่า เสียงเสียดสีของผิวกับพื้นอ่างดังเอี๊ยดอ๊าดระหว่างสองมือนวดไปตามเนื้อหนั่น ช้อนตัวขึ้นกดผ่านสะโพกปลายนิ้วคลึงที่บั้นท้าย โอลิเวอร์เผลอยกตัวขึ้นตามแรงจับก่อนจะผ่อนตัวลงมือนิ้วโป้งมาวาดเคล้นอยู่ที่ท้องน้อย

   ลมหายใจของเขากระชั้นขึ้นโดนไม่รู้ตัว ยิ่งหลับตาอยู่แบบนี้ยิ่งรับสัมผัสได้ชัดขึ้น ยิ่งเอาแต่เฉียดไปเฉียดมาตรงจุดอ่อนไหวก็ทำเอาเขาแทบคลั่ง

   เปลือกตารื้นหยดน้ำกระพือเปิดก่อนจะเบิกค้างเมื่อมองจากมุมนี้เห็นทั้งแผงอกกว้างและใบหน้าที่เอนเข้ามาใกล้ ดวงตาสีน้ำทะเลจ้องเขาอย่างมีความหมาย ในนั้นซ่อนประกายไฟบางอย่างที่ทำเอาคนมองหน้าแดงซ่าน โอลิเวอร์รู้สึกไร้เรี่ยวแรงทว่าร้อนผ่าวไปทั่วจากจุดที่มือคู่นั้นสัมผัส

   อัลฟองเซ่โน้มลงบรรจงจูบริมฝีปากที่สั่นระริก เขาใช้ลิ้นทาบลากไปบนกลีบปากนุ่มก่อนจะดุนให้เผยออ้า จุมพิตยาวนานระหว่างที่ส่วนอื่นก็ยังขยับเฟ้นคลึงร่างใต้อาณัติสูงขึ้นมาเรื่อยๆ

   เมื่อลูบมาถึงอกโอลิเวอร์ก็ตัวละลายคามือเขาแล้ว ส่วนล่างตื่นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มันชูชันสู้กับแก่นกลางของอัลฟองเซ่แม้ว่าขนาดจะต่างกันครึ่งต่อครึ่ง อัลฟองเซ่นวดเนื้ออกระหว่างลูบผ่านยอดสีระเรื่อเหมือนแกล้งเย้า พอริมฝีปากโอลิเวอร์เป็นอิสระก็เรียกเสียงครางฮือจากคนที่ไม่รู้ว่าเมาเหล้าหรือเมาเพราะทำรัก

   “คุณกลัวไอ้นี่ใช่ไหม...?” อัลฟองเซ่ว่าพลางจับมือคนที่นั่งตัวอ่อนปวกเปียกให้มากอบกุมส่วนกลางลำตัวเขาไว้

   ความรู้สึกร้อนฉ่าและแข็งตึงในอุ้งมือเขาทำเอาโอลิเวอร์กลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ ดวงตาที่ปรืออยู่ครึ่งหนึ่งกระพริบช้าๆ ระหว่างจุดสนใจมารวมอยู่ที่ของในฝ่ามือ

   ไม่ใช่กลัวแต่หนูอยากได้... หนูจะพูดออกไปอย่างไรว่าหนูอยากกินคะแม่!!

   อัลฟองเซ่ใช้มืออีกข้างจับขอบอ่างเอาไว้ระหว่างบังคับมือโอลิเวอร์ให้ลูบสำรวจไปทั่วแก่นกาย จับให้กอบกุมเอาไว้แล้วรูดขึ้นลงถึงปลายโคน

   “เห็นไหม...ไม่มีอะไรต้องกลัว” เขาว่าด้วยเสียงทุ้มต่ำคล้ายกลั้นหอบ พูดจบก็จูบซับไปตามแนวลูกผมโอลิเวอร์ “ขึ้นจากน้ำกันเถอะ ผมอยากทำแล้ว”

   คนพูดเก่งอย่างโอลิเวอร์ตอนนี้ได้แต่นั่งเงียบหน้าแดงก่ำ เขาพยักหน้าแรงๆ ครั้งหนึ่ง เมื่ออัลฟองเซ่ลุกเขาก็ลุกตามอย่างว่าง่าย

   คนตัวสูงใหญ่กว่าเดินไปรื้อหาของในกระเป๋าทั้งที่ส่วนนั้นยังชูตระหง่านและแกว่งไหวๆ ตามแรงเดิน โอลิเวอร์ละสายตาไปไหนไม่รอด เขารีบสาวเท้าไปหยิบแชมเปญมากระดกทั้งขวดย้อมใจครั้งใหญ่ รู้สึกร้อนในลำคอเหมือนโดนเผาจากแอลกอฮอล์และศูนย์ถ่วงก็เริ่มเอน หัวมึนตึงจนรู้สึกชาดิก ค่อยๆ พาตัวเองไปนั่งสะอึกอยู่บนเตียงนุ่ม

   อัลฟองเซ่ได้ยินเสียงสะอึกก็หันมาเจอคนนั่งเมาหัวหวิดทิ่มหมอน เขาหลุดหัวเราะพรืดก่อนจะสาวเท้ายาวๆ มาจับตัวโอลิเวอร์เอนนอน

   “ผมไม่ทำคนหลับแต่กับคนเมาผมไม่ปล่อยหลุดมือนะที่รัก” เขาแกล้งขู่ แต่คนเมาที่ว่าตอนนี้ก็นอนตาปรือหวานส่งเสียงอือออไม่รับรู้แล้ว

   ชายหนุ่มที่ยังสติครบถ้วนฉีกซองถุงยางอนามัยก่อนจับมันใส่ส่วนแข็งขันรูดลงจนสุด เขาปีนขึ้นเตียงพร้อมหลอดเจลหล่อลื่นในมือ ช้อนขาและสะโพกคนที่นอนตาหวานเชื่อมยกขึ้นสูง

   แล้วภาพทั้งหมดก็ดับไปพร้อมสติสัมปชัญญะที่ตัดขาดลง




   โอลิเวอร์สะดุ้งตื่นก่อนจะทรุดลงไปนอนต่อด้วยอาการปวดหัวประเดประดังเข้ามา เขาครวญครางเสียงแหบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกปวดเมื่อไปทั้งตัวโดยเฉพาะส่วนล่างที่ชาหนึบและหลังคอที่แสบคล้ายเป็นแผล โอลิเวอร์กดนวดขมับตัวเองให้หายปวด มือควานปะป่ายหาขวดน้ำที่วางทิ้งไว้ตรงโต๊ะหัวเตียง

   เขายันตัวเองขึ้นมานั่งได้แล้ว อาการเมาค้างทำเขาทั้งมึนหัวทั้งคลื่นไส้ โอลิเวอร์พยายามดื่มน้ำให้มากๆ ก่อนจะเดินโซซัดโซเซไปเข้าห้องน้ำ เวลานี้ห้องเงียบผิดปกติและไร้วี่แววชายที่อยู่กับเขาเมื่อคืน

   ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงรีบพุ่งไปเช็คกระเป๋าเงินกับพาสปอร์ตว่ายังอยู่ดีไหม แต่อะไรบางอย่างทำให้เขารู้สึกสบายใจ ...โดยเฉพาะกลิ่นอัลฟ่าที่คลุ้งอวลอยู่ในห้อง

   ขวดน้ำกับเม็ดยาวางทับกระดาษโน้ตบนโต๊ะ ในนั้นเขียนเอาไว้ว่าจะออกไปซื้ออะไรมาให้ทาน โอลิเวอร์กรอกยาเข้าปากก่อนจะดื่มน้ำตามไปหลายอึก พักใหญ่อาการปวดศีรษะก็ทุเลาลง

   ชายหนุ่มคนเดียวในห้องย้ายตัวเองมาหยุดยืนหน้ากระจกในห้องน้ำ พยายามเอี้ยวตัวมองรอยกัดขนาดใหญ่ที่หลังคอ เขาแตะมันอย่างกล้าๆ กลัวๆ

   ...ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว จากนี้ก็ไม่ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก

   คิดได้อย่างนั้นบางอย่างก็วูบโหวงอยู่ข้างในอก โอลิเวอร์ส่ายหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ไม่ทันได้ทำอะไรเสียงประตูเปิดก็ดังมาจากข้างนอก

   อัลฟองเซ่กลับมาพร้อมกล่องใส่อาหารเช้า ดูแปลกใจที่คนในห้องเดินซึมออกมา

   “มีอะไรรึเปล่าครับ?”

   โอลิเวอร์ส่ายหน้า “เปล่าครับ ไม่มีอะไร”

   คนที่เพิ่งเข้ามาในห้องวางถุงของไว้ที่โต๊ะก่อนจะเข้ามาจับมือเขาไว้หลวมๆ รอยยิ้มน้อยๆ ผลิบานอยู่บนใบหน้าเรียกให้โอลิเวอร์ยิ้มตาม

   อัลฟองเซ่บีบมือเขาเบาๆ อีกครั้งก่อนจะโน้มลงจูบที่หน้าผาก “ทานอาหารเช้านะครับ ผมทานส่วนของผมเรียบร้อยแล้ว”

   ความอ่อนหวานที่ได้รับมากเพียงพอจะเติมเต็มความรู้สึกว่างเปล่าข้างใน โอลิเวอร์จัดการอาหารเช้าเสร็จก็พบว่าอัลฟองเซ่เก็บเสื้อผ้าพวกเขาลงกระเป๋าให้เรียบร้อยแล้ว ภาพเจ้าของลักยิ้มที่นั่งอยู่ปลายเตียงดูจะติดตาเขาอยู่อีกพักใหญ่

   พวกเขานั่งรถไฟออกจากแร็งส์มุ่งหน้าตรงไปกอลมาร์ เข็นกระเป๋าตรงเข้าโรงแรมใกล้สถานีรถไฟที่คุณไกด์อย่างอัลฟองเซ่จองไว้ให้ ทิ้งกระเป๋าเอาไว้ก็พากันเดินเท้าไปตามทาง ออกจากสถานีได้หน่อยก็ขึ้นรถประจำทางออกไปหมู่บ้านข้างๆ เป็นอันดับแรก

   ผ่านไร่องุ่นไกลสุดลูกหูลูกตาแค่ไม่กี่นาทีก็มาถึงเมืองเอกิสไฮม์ รถหยุดที่วงเวียนที่มีที่ว่าการไปรษณีย์ เมื่อเดินตรงเข้ามาในหมู่บ้านก็พบบ้านแบบทิมเบอร์เฟรมหลากสีสันก่อด้วยไม้ซุงพาดเป็นโครงและโบกอุดช่องว่างด้วยปูน เห็นบ้านทรงแบบนี้ละลานตาเหมือนหมู่บ้านในนิทานโอลิเวอร์ก็รัวชัตเตอร์ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นโหล

   ผังเมืองเอกิสไฮม์เป็นวงกลมซ้อนกันรอบนอกและรอบใน มีทางเชื่อมหากันตลอดทางแล้วแต่ว่าอยากจะท่องเมืองในด้านไหน มีถนนเส้นเล็กพื้นปูด้วยหินกับบ้านเรือนเรียงรายชวนให้ถ่ายรูป หรือจะเป็นป้ายร้านเหล็กดัดเป็นลวดลายก็น่ารักใช่ย่อย

   แน่นอนว่าโอลิเวอร์ลากอัลฟองเซ่เดินเที่ยวจนทั่ว

   ทั้งสองคนพากันมานั่งพักที่จัตุรัสกลางเมือง ที่ตรงนี้อยู่ติดกับโบสถ์แซ็งต์-เลองเนิฟ มีรูปปั้นกับลานน้ำพุเล็กๆ ประดับประดาด้วยพุ่มไม้ดอกสีสดใส

   พอเข้าเวลาเที่ยงอัลฟองเซ่ก็กางแผนที่พาตากล้องเดินไปรอรถประจำทางที่มาตามเวลาใกล้บ่าย เป็นอันจบการชมหมู่บ้านเอกิสไฮม์ด้วยการกลับไปกอลมาร์อีกครั้ง

   แต่แทนที่จะได้เดินเที่ยวในเมืองหลักอย่างกอลมาร์ พ่อไกด์ทัวร์ก็พาเขานั่งรถบัสย้อนไปทางสตราส์บูร์กโผล่มาที่หมู่บ้านริคเวียร์

   เดินลอดผ่านศาลาว่าการเข้ามาด้านในเมืองเหมือนเป็นโลกอีกใบ ที่ริคเวียร์มีถนนเส้นกลางเป็นถนนเส้นหลักและทางเข้าตรอกซอกซอยเล็กๆ ที่เดินเชื่อมทะลุถึงกันได้ หน้าต่างบ้านเรือนก็ปลูกดอกเจอเรเนียมสีสดเข้ากับบ้าน

   กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ดังนั้นก่อนจะได้เดินเที่ยวก็แวะเข้าร้านอาหารกันก่อน โอลิเวอร์สั่งพิซซ่าฟัวกราส์ส่วนอัลฟองเซ่เลือกสั่งเนื้อกระต่ายป่าหมักซอสไวน์แดงกับไส้กรอกเยอรมันคู่กับชูครุตหรือกระหล่ำปลีดอง ของโอลิเวอร์ได้เป็นแฟลมคูเช่นที่เป็นพิซซ่าแป้งบางแบบเยอรมันแผ่นใหญ่ใส่เครื่องเต็มที่ มื้อนี้ทานร่วมกับไวน์ขาวจนอิ่มหนำถึงพากันออกมาเดินเล่นต่อ

   ไม่ลืมแวะถ่ายจุดเด่นของเมืองอย่างหอนาฬิกาทัวร์ตูโดลเดอร์ ถ่ายจากเบื้องล่างอย่างนี้ติดหลังคาและบ้านหลากสีก็ดูสวยดีไปอีกแบบ

   รองเท้าเจ้ากรรมที่โอลิเวอร์ใส่ทนร้อนทนหนาวคู่ใจกันมานานจู่ๆ ก็พื้นรองเท้าหลุด เขาเดินเขยกๆ ไปตามอัลฟองเซ่ที่นั่งรอคนถ่ายรูปอยู่บนเก้าอี้หน้าร้าน แทนที่จะบอกเฉยๆ โอลิเวอร์ได้ทีก็เล่นหนักข้อ

   “รองเท้าผมหลุด ให้ผมขี่หลังอัลได้ไหม?”

   อัลฟองเซ่มองเขาตาปริบๆ ลุกขึ้นก่อนจะหันหลังย่อตัวลงอย่างว่าง่าย ทำเอาคนอ้อนขอหัวเราะก๊าก

   “ผมพูดเล่น! แบกไหวหรือคุณ”

   “มาครับ ผมแบกไหว” ว่าพลางกระดิกมือเร่งให้ขึ้นหลังอีกต่างหาก

   แล้วโอลิเวอร์ก็ได้ขี่หลังพ่อหนุ่มร่างสูงใหญ่สมใจอยาก เขาเลิกถ่ายรูปหันมากอดคอคนใจดีเสียแทน แผ่นหลังกว้างก็อุ่นกว่าที่คิด

   อัลฟองเซ่ก้าวมั่นคงไปเรื่อยๆ ตามทาง พอเห็นโปสเตอร์โฆษณาละครที่ติดอยู่ตรงผนังบ้านหลังหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา

   “ดาราเดี๋ยวนี้มีสเน่ห์กันน่าดูนะครับ อาจจะเป็นเพราะส่วนใหญ่หน้าตาดีกัน”

   “อันที่จริงผมว่าเป็นนักแสดงไม่ต้องหน้าตาดีมากก็ได้ ขอแค่มีสเน่ห์มากขึ้นทุกวันก็พอ”

   ชายหนุ่มตัวสูงเอี้ยวคอหันมาถาม “มันต่างกันอย่างไรครับ?”

   “เป็นคนมีเสน่ห์ในความประทับใจแรกไม่ยากครับ คนเรามองที่หน้าตาก่อนทั้งนั้น แต่เป็นคนที่ยิ่งรู้จักนานวันยิ่งมีเสน่ห์สิที่ยากกว่า”

   “แบบคุณน่ะหรือ”

   มิสเตอร์โอที่กำลังเอ่ยประโยคฉะฉานมองด้านหลังศีรษะทุยค้าง รอยยิ้มราวดอกไม้ดอกเล็กคลี่บานบนใบหน้าเขาโดยไม่ทันตั้งตัว

   “ปากหวานอีกแล้ว ผมควรต้องให้รางวัลคุณไหม?”

   อัลฟองเซ่หัวเราะ “ถ้าได้ก็ดีครับ”

   คราวนี้ย้อนกลับมาที่สถานีรถไฟกอลมาร์และเดินเที่ยวกันจริงๆ แล้ว เหลือเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนฟ้าจะมืด อัลฟองเซ่พาโอลิเวอร์แวะเปลี่ยนรองเท้าก่อนจะเดินเข้าเมืองมาเรื่อยๆ

   เมื่อเข้ามาถึงด้านในตัวเมืองกอลมาร์ย่านเมืองเก่าถึงพบว่าที่นี่ก็มีบ้านหลากสีเรียงรายเหมือนกันแต่ถนนสายกว้างกว่า พวกเขาแวะถ่ายรูปด้านนอกโบสถ์แซ็งต์มาร์แตงที่ตั้งอยู่กลางเมือง โบสถ์นี้สร้างด้วยหินสีชมพูทั้งหลังกับหลังคาสีน้ำตาลด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบโกธิค เสียดายที่โอลิเวอร์ไม่ได้แวะเข้าไปชมด้านในเพราะกลัวจะไม่ทันนั่งเรือ

   เมื่อมาถึงลานน้ำพุชเวนดิก็เห็นบ้านขอนไม้ทรงอนุรักษ์ตั้งอยู่ริมสองฝั่งคลองสมชื่อลิตเติ้ลเวนิส ผ่านสะพานหลายแห่งที่ใช้ข้ามคลอง ตากล้องถ่ายทั้งมุมนั้นมุมนี้หรือใกล้คลองสายเล็กกับพุ่มไม้ประดับรั้วกั้นและจักรยานคันน้อยที่จอดพิงไว้อยู่ อัลฟองเซ่ต้องใช้กำลังลากโอลิเวอร์ที่มัวแต่เพลินกับการถ่ายรูปแงะตัวออกมาพาไปที่ท่าเรือ

   เรือลำเล็กสำหรับนักท่องเที่ยวนั่งได้ในราคาคนละไม่ถึงสิบยูโร วิวที่ได้ก็เป็นมุมจากในคลองสวยไปอีกแบบ

   โอลิเวอร์ยังคงง่วนอยู่กับการมองโลกผ่านกล้องจนโทรศัพท์มือถือของใครบางคนดังขึ้น เขาหันไปตามเสียงและพบว่าเป็นมือถือของคนข้างตัวที่กำลังแผดเสียงเรียกให้รับสาย

   เจ้าของมือถือมองเขาอย่างขอโทษขอโพยก่อนจะกดรับ อัลฟองเซ่คุยกับปลายสายด้วยภาษาฝรั่งเศสที่เขาฟังไม่เข้าใจ โอลิเวอร์ลดกล้องลงมองคนข้างตัวก่อนจะหันมองไปรอบๆ วินาทีนั้นก็เหมือนโดนดึงให้กลับสู่โลกแห่งความจริง

   พรุ่งนี้ทุกอย่างก็จบลงแล้ว


-------------------------------------------------------

//วิ่งหลบหม้อไหกาละมังกะฉากตัดจอมืด  :laugh:
สาบานว่าตอนหน้าฉากNCจะมาแบบดีๆแล้วค่ะ รอบนี้เอาแบบวับๆแวมๆไปก่อน
ขอบคุณทุกคอมเมนต์กับขอบคุณที่ช่วยเม้นต์ดันให้นะคะ! o v o,,

ออฟไลน์ Moriarty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 5 - 22/02/62
«ตอบ #27 เมื่อ22-02-2019 19:55:14 »

ขออนุญาตโพสแจ้งนะคะว่าเรื่องนี้จะจบในอีกสองตอน
ทีแรกเรากะจะทำให้เป็นเรื่องยาวแต่ปั่นแล้วไม่ถึงจริงๆค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะมาไว้หมวดนิยายแต่น่าจะได้เท่าเรื่องสั้นขนาดยาว
ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามนะคะ มาลุ้นตอนที่เหลือกันว่าเรื่องจะลงเอยยังไง อัลจะเป็นอย่างที่หลายๆคนคิดมั้ย  :mew3:

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 5 - 22/02/62
«ตอบ #28 เมื่อ22-02-2019 23:52:15 »

ขอบคุณนะคะที่แต่งให้อ่านภาษาดีมากๆเลย สัญญาว่าเรื่องหน้าจะตามไปอ่านค่ะ555

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: French Holiday [Omegaverse] - ตอนที่ 5 - 22/02/62
«ตอบ #29 เมื่อ22-02-2019 23:56:39 »

อัลฟองเซ่เป็นใครหนอ
มัดใจโอลิเวอร์เรียบร้อยแล้ว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด