ตอนที่ 5 คำเตือน:มีฉากNCนิดนึงนะคะ อัลฟองเซ่ขับรถออกห่างเมืองไปเรื่อยๆ ตัดผ่านสวนสัตว์ป่าและไร่องุ่นไกลสุดลูกหูลูกตาจนมาถึงเอเปียร์เน ไกด์ทัวร์ในวันนี้จองทริปชมแชมเปญเฮ้าส์ของโมเอต์ชงดงที่เป็นถึงบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกแห่งหนึ่ง พวกเขาขับผ่านถนนแชมเปญที่ขนาบสองข้างทางด้วยต้นไม้และรั้วปูนกั้นพื้นที่ระหว่างแชมเปญเฮ้าส์เจ้าดังกับตึกคฤหาสน์ที่อยู่ไกลออกไปลิบๆ ขับอยู่ไม่นานเข้ามาค่อนกลางเมืองและเห็นศาลาว่าการก็เห็นอาคารใหญ่ที่ติดแถบอักษรไว้ตรงรั้วสีดำและเหนือตึกว่า ‘Moët & Chandon’
สารถีรูปงามขับรถวนเข้าไปจอดถึงใกล้ๆ ทางเข้าตึก โอลิเวอร์หยุดดูรูปปั้นดอม เปริญยองที่ด้านหน้าบริษัทก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน อัลฟองเซ่บอกว่ามาก่อนเวลาพอสมควรแต่เพราะต้องจ่ายค่าทัวร์ก่อนพ่อหนุ่มถึงได้เดินไปรอที่ห้องรับรอง
จ่ายเงินเสร็จแล้วอัลฟองเซ่รับเอาบุ๊คเล็ตเล่มเล็กไปถือไว้ให้ระหว่างที่โอลิเวอร์ตั้งหน้าตั้งตาถ่ายรูป ไกด์ทัวร์เริ่มจากการบรรยายคร่าวๆ ถึงประวัติความเป็นมาของบริษัทและข้อมูลควรรู้ทั่วไป ส่วนแรกที่เข้าชมเป็นด้านนอกที่มีรูปภาพของผู้ก่อตั้งแบรนด์และรุ่นลูกที่ทำให้แบรนด์ออกขายนอกฝรั่งเศส ไล่ไปจนถึงห้องรับรองแขกชั้นวีไอพีที่กล่าวว่าครั้งหนึ่งจักรพรรดินโปเลียนเคยมาชิมไวน์ในห้องนี้
อัลฟองเซ่บอกว่าตอนนี้จักรพรรดิอัลฟองเซ่ก็ได้มาชิมที่นี่แล้วเช่นกัน คนฟังฟังแล้วหลุดขำ
พวกเขาแวะดูวีดิทัศน์สั้นๆ เกี่ยวกับบริษัทและการผลิตแชมเปญก่อนจะพากันลงบันไดเข้าไปชมโรงเก็บไวน์ด้านล่าง อากาศเย็นขึ้นและกลิ่นเฉพาะตัวของห้องใต้ดินฉุนคลุ้ง แสงไฟตลอดทางส่องให้รอบข้างอาบไปด้วยสีอมส้ม ตลอดสองข้างทางในโพรงอุโมงค์มีแต่ขวดไวน์เรียงอัดแน่นเห็นแต่ก้นขวดวางซ้อนกันเป็นกำแพงสูงกับบอร์ดเขียนวันที่
พ่อหนุ่มฝรั่งเศสจับโอลิเวอร์ผูกผ้าพันคอขยับให้เข้าที่ขึ้น อุ่นก็อุ่นอยู่หรอก แต่นี่จะบริการกันดีเกินไปแล้ว!
เมื่อเดินไปไกลขึ้นในอุโมงค์ยาวก็เห็นไวน์ขวดที่ตั้งเอียงสี่สิบห้าองศาในคานไม้ที่ทำเป็นทรงหลังคาสามเหลี่ยมเรียงเป็นแถวลึกเข้าไปด้านใน กลุ่มนี้เป็นไวน์ที่บ่มได้ที่ ก้าวเข้าไปเรื่อยๆ คราวนี้สองข้างทางขนาบกับทางเดินเรียงไปด้วยขวดไวน์เป็นตับสูงถึงเพดานโรงเก็บ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ขวดสีเข้มเขรอะฝุ่น
เดินอยู่นานจนโอลิเวอร์เลิกถ่ายรูปแล้ว คนข้างตัวได้ทีก็เอานิ้วมาเกี่ยวมือเขาระหว่างทำเป็นมองข้างหน้าเดินหน้าตาเฉย โอลิเวอร์จับมือข้างนั้นเอาไว้หมับใหญ่ บีบเบาๆ ให้เลิกเอาปลายนิ้วเขี่ยฝ่ามือเขาแล้วถึงจูงกันไปตามทาง
“อย่าซนน่า” โอลิเวอร์กระซิบเสียงเข้มเท่าที่เข้มได้
อัลฟองเซ่หันมาหา ตีหน้าซื่อ “ซนอะไรหรือครับ?” คนฟังฟังแล้วหรี่ตามอง สมควรโดนตีมากๆ
กลุ่มทัวร์เดินกลับขึ้นมาข้างบนอีกครั้ง คราวนี้ก็ได้เวลาชิมไวน์ตามแพ็คเกจทัวร์ที่ซื้อไว้แต่แรก เพราะจ่ายแพงถึงได้ชิมแบบวินเทจ ต่างกันที่ปีขององุ่นที่นำมาบ่ม แบบอิมพีเรียลที่ถูกกว่าเป็นแบบผสมหลายปีแต่วินเทจแยกเป็นองุ่นที่เก็บเกี่ยวเฉพาะปีนั้นๆ
โอลิเวอร์ใช้มือถือโอบตัวแก้วไว้แบบแก้วบรั่นดี แต่คนข้างตัวเขาขัดขึ้นมาเสียก่อน
“จับที่ก้านแก้วครับ ถ้าจับที่ตัวแก้วอุณหภูมิจากมือจะไปเปลี่ยนรสแชมเปญ”
โอลิเวอร์ขยับเปลี่ยนวิธีจับตามคำแนะนำ “ไกด์บอกไว้หรือครับ?”
ฝ่ายคนถูกถามยิ้มๆ ไม่ตอบอะไร นี่อาจจะเป็นความรู้ทั่วไปสำหรับนักชิมไวน์ก็เป็นได้ แต่เขาไม่ใช่นักชิมนี่ ถึงไม่รู้ก็ไม่เห็นเป็นไร
โอลิเวอร์จิบทีละนิดจนหมดแก้ว แต่การดื่มในรวดเดียวก็ทำเอามึนไปเหมือนกัน ฝ่ายคนที่ต้องขับรถค่อยๆ ละเลียดดื่มท่าทางมีความสุขกับแชมเปญ อัลฟองเซ่ไม่ได้ชิมแบบโรเซ่สีชมพูแต่ดื่มแค่แบบธรรมดาแก้วเดียว ขณะที่โอลิเวอร์ขันอาสาดื่มแทนจนคนเดียวฟาดไปสามแก้ว แก้มเขาขึ้นสีแดงเหมือนผลแอปเปิ้ลสุกปลั่ง
โอเมก้าหนุ่มซื้อแชมเปญติดไม้ติดมือกลับมาอีกสี่ขวดโตๆ ไม่ฟังคำค้านที่ว่ากระเป๋าเดินทางจะใส่ไม่พอ เจ้าคนหน้าแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์โบกไม้โบกมือระหว่างยิ้มเห็นฟันเขี้ยวว่าเดี๋ยวก็ดื่มหมด
ระหว่างที่นั่งรถขากลับโอลิเวอร์หลับปุ๋ยตลอดทาง เขาละเมอร้องเพลงชาติอเมริกาแข่งกับเสียงเพลงในวิทยุระหว่างหัวสั่นหัวคลอนอยู่บนที่นั่ง นั่นทำให้คนขับหลุดหัวเราะพรืดใหญ่ระหว่างแอบจอดแวะข้างทางแล้วปรับเบาะให้เจ้าตัวเอนนอน
กว่าจะมาถึงโรงแรมฟ้าก็มืดแล้ว อัลฟองเซ่แวะส่งให้คนง่วงขึ้นห้องพักก่อนเขาจะตีรถวนกลับไปส่งที่ศูนย์เช่า มาถึงห้องโอลิเวอร์ก็ฟุบต่อบนที่นอนนุ่มๆ คราวนี้เหยียดแข้งเหยียดขาได้เต็มที่ก็หลับสบายจนเลยเวลาอาหารเย็น
กลิ่นหอมๆ ของเห็ดผัดเนยปลุกเขาให้ตื่นตอนทุ่มกว่า โอลิเวอร์งัวเงียหัวหนักขึ้นมาล้างหน้าล้างตาก่อนจะจัดการมื้อค่ำกับอัลฟองเซ่ที่จัดจานรออยู่สักพักแล้ว วันนี้นอกจากเห็ดผัดเนยก็มีสเต็กเทนเดอร์ลอยด์มีเดียมแรร์เนื้อนุ่มฉ่ำชิ้นโตให้ทานคู่กัน
โอลิเวอร์เปิดแชมเปญที่เพิ่งซื้อมาสดๆ ร้อนๆ รินใส่แก้ว ฟองไหลขึ้นมาเป็นทางจากกลางแก้วในน้ำสีอำพันใส เพิ่งหายมึนก็ต่ออีกขวดตามประสาคนเจ็บแล้วไม่หลาบจำ ดื่มคู่กับทานสเต็กเนื้อสุขเหมือนได้ขึ้นสวรรค์
เชฟขอยืนยันว่านอกจากไวน์แดงแล้ว แชมเปญกินคู่กับเนื้อวัวอร่อยอย่าบอกใคร!
“เราต้องบอนด์กันแล้วแหละครับ คืนนี้เลย” จู่ๆ โอลิเวอร์ก็พูดขึ้นมาระหว่างงับทาร์ตลูกแพร์เป็นของหวาน
อัลฟองเซ่ทำเสียงอือฮึระหว่างเคี้ยวเนื้อตุ้ยๆ “เอาจริงหรือครับ?”
“ครับ” เขาว่าพลางพยักหน้าแรงๆ ผมสีน้ำตาลอ่อนไหวกระเซอะกระเซิง “ผมดื่มย้อมใจแล้ว ผมพร้อมแล้ว”
“ผมไม่อยากบังคับคุณนะที่รัก เรารอจนกว่าคุณพร้อมแล้วจริงๆ แล้วถึงค่อยทำกันดีไหม”
โอลิเวอร์เช็ดครีมอัลมอนด์ที่มุมปากก่อนดื่มของเหลวสีสวยรวดเดียวหมด วางแก้วลงดังเคร้ง “ผมอยากทำกับคุณ เข้าใจไหม ผมอยากทำ ถ้าไม่ติดว่าเรายังไม่ได้อาบน้ำผมจะปล้ำคุณเดี๋ยวนี้เลยด้วย”
“คุณนี่ไม่เซ็กซี่เอาซะเลย...” อัลฟองเซ่รำพันระหว่างอมยิ้มมอง เขารู้ว่าโอลิเวอร์ชอบให้สะอาดเข้าว่า เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะหันไปจูบทั้งที่เพิ่งกินสเต็กจนปากมันแผลบมาหมาดๆ นั่นลืมไปได้เลย
เสียงน้ำไหลก้องอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ โอลิเวอร์เปิดน้ำเติมอ่างอาบจนสูงเกือบปริ่ม อุณหภูมิอุ่นกำลังน่าลงแช่แต่คงไม่ร้อนเท่าใจคนเริ่มจะสร่างเมาที่นั่งหน้าแดงเอามือวักน้ำเล่นอยู่ริมอ่าง
ด้านได้อายอดผู้ น้องโอต้องสู้แล้วค่ะงานนี้
โอลิเวอร์เอาสองมือปิดหน้าแล้วครางฮือให้กำลังใจตัวเองก่อนจะ เอาวะ! แล้วเปลื้องผ้าลงน้ำ แช่ทำใจเย็นอยู่ได้ไม่เท่าไหร่ประตูก็เปิดโผงมาจากด้านนอก คนในอ่างสะดุ้งโหยง
“ผมอาบด้วย” คำเดียวดั่งประกาศิตดังมาจากชายตัวสูงใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ อัลฟองเซ่เดินเข้ามาถอดกระดุมเสื้อออก โอลิเวอร์มองเขาตาเป็นมันเหมือนเครื่องหยุดทำงานไปแล้ว
ในหูเขาได้ยินแต่เสียงลมหายใจตัวเองดังฟืดฟาดกับหัวใจเต้นระกระหน่ำเป็นกลองศึกพร้อมรบ
แม่คะ!!
อัลฟองเซ่ถอดเสื้อออกทิ้งไว้ในตะกร้าผ้า ปลดกระดุมกางเกงร่นลงให้เห็นขอบกางเกงชั้นในคาลวิน ไคลน์สีดำสนิท เขานั่งลงที่ขอบอ่าง ใช้มือผิวกร้านโอบข้างแก้มโอลิเวอร์ที่ยังมองค้างไม่ปริปากส่งเสียงใดๆ
ในความเงียบนั้นริมฝีปากบางก็บรรจงประทับทาบไปตามเนื้อผิวใบหน้า เริ่มจากหน้าผาก มาที่ขมับ และเปลือกตา ลงมายังปลายจมูกโด่งของเขา ลมหายใจร้อนเป่ารดข้างแก้มจนรู้สึกจั๊กจี้
“พอได้แล้ว..” โอลิเวอร์ประท้วง ฝ่ายนั้นเอาแต่หัวเราะเสียงทุ้มในลำคอก่อนจะกดจูบหนักๆ ที่ริมฝีปากเขา
ชายหนุ่มในอ่างอาบหน้าแดงไปหมดไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำร้อนเกินไปรึเปล่า เขาแก้เก้อด้วยการสะบัดน้ำใส่พ่อตัวดีจนฝ่ายนั้นหัวเราะลั่นรีบลุกจากขอบอ่าง
อัลฟองเซ่ถามทั้งรอยยิ้มทะเล้น “อยากเอาแชมเปญเข้ามาดื่มในนี้ด้วยไหมครับ? เดี๋ยวผมเอาเข้ามาให้” โดยไม่รอคำตอบเจ้าตัวก็เดินหายไปหลังบานประตู
โอลิเวอร์นั่งชันเข่าดึงเข้าหาตัว สองมือปิดหน้าไว้อีกคราว เขารู้สึกอายจนเหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้
ฝ่ายที่เสนอจะไปเอาเครื่องดื่มกลับมาพร้อมน้ำสีอำพันในแก้วทรงสูงแก้วหนึ่ง เขาส่งให้คนในอ่างรับไว้ก่อนจะหันหลังไปถอดกางเกงออกที่มุมห้องน้ำ แผ่นหลังกว้างและแนวกล้ามเนื้อขยับยามเคลื่อนตัวทำเอาคนมองเผลอกลืนน้ำลายอึกโต ส่วนโค้งหลังช่วงล่างงอลงเมื่ออัลฟองเซ่ก้มถอดกางเกงบ็อกเซอร์เผยให้เห็นผิวเปล่าเปลือย ส่วนโค้งเว้าและบั้นท้ายแน่นเย้าเสน่ห์ทำเอาเขามองไม่ละสายตา
น้ำปริ่มล้นออกนอกขอบอ่างเมื่อชายหนุ่มอีกคนเข้ามานั่งฝั่งตรงกันข้าม โอลิเวอร์เม้มปากระหว่างไล่สายตาจากอกแน่นลงมาถึงหยักนูนหน้าท้องและไล่ต่ำลงเรื่อย อีกฝ่ายดูไม่อายเอาเสียเลยขณะที่เขายังชันเข่ากอดบังเนื้อตัวเอาไว้
เขาอดถามไม่ได้ “...คุณทำแบบนี้กับลูกค้าทุกคนรึเปล่า?”
“นั่นสิครับ ผมทำรึเปล่านะ บางทีเพราะคุณจ่ายเยอะผมถึงทำกับคุณเป็นพิเศษก็ได้”
คำตอบนั่นทำเอาโอลิเวอร์รู้สึกฉุนแปลกๆ เขาดื่มรวดเดียวหมดแทนที่จะค่อยๆ จิบ ระหว่างที่เอี้ยวตัวไปวางแก้วมือสากกร้านจากฝั่งตรงข้ามก็ลูบไปตามท่อนขาเขา ทำเอาแก้วเกือบหลุดมือ
“ผมไม่อยากให้ครั้งแรกของผมเกิดขึ้นในห้องน้ำนะครับ” โอลิเวอร์รีบพูด
เจ้าของมือซุกซนที่ยังบีบเคล้นเนื้อเขาไม่หยุดยิ้มน้อยๆ พอให้เห็นลักยิ้มบุ๋ม “ก็ไม่ได้จะทำในห้องน้ำนี่ครับที่รัก แค่อยากให้คุณผ่อนคลายหน่อย”
ถึงจะไม่ค่อยไว้ใจแต่ก็คอยๆ เหยียดขาออกตามแรงจับ อัลฟองเซ่นวดคลึงจากปลายเท้าขึ้นมาที่น่อง มืออุ่นในน้ำที่คอยพยุงน้ำหนักทำเอาเขาผ่อนคลายเต็มที่ โอลิเวอร์หลับตาลงเอนหลังพิงขอบอ่างไม่กล้าสบมองดวงตาคู่คม
แต่ยิ่งปล่อยไว้มือยิ่งนวดสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงต้นขา ระหว่างที่บีบลูบเข้าด้านในก็เฉียดขาหนีบและส่วนกลางลำตัวอยู่หลายรอบ ฝ่ายได้รับการปรนนิบัติเม้มปากแน่น คิ้วขมวดเข้าหากัน เสียงอัลฟองเซ่กล่าวทุ้มต่ำว่าให้ผ่อนคลาย...หายใจลึกๆ
สัมผัสจากมือใหญ่ลูบไปตามต้นขาก่อนเสียงน้ำกระฉอกจะดังขึ้นเมื่อฝ่ายให้บริการขยับลุกขึ้นชันเข่า เสียงเสียดสีของผิวกับพื้นอ่างดังเอี๊ยดอ๊าดระหว่างสองมือนวดไปตามเนื้อหนั่น ช้อนตัวขึ้นกดผ่านสะโพกปลายนิ้วคลึงที่บั้นท้าย โอลิเวอร์เผลอยกตัวขึ้นตามแรงจับก่อนจะผ่อนตัวลงมือนิ้วโป้งมาวาดเคล้นอยู่ที่ท้องน้อย
ลมหายใจของเขากระชั้นขึ้นโดนไม่รู้ตัว ยิ่งหลับตาอยู่แบบนี้ยิ่งรับสัมผัสได้ชัดขึ้น ยิ่งเอาแต่เฉียดไปเฉียดมาตรงจุดอ่อนไหวก็ทำเอาเขาแทบคลั่ง
เปลือกตารื้นหยดน้ำกระพือเปิดก่อนจะเบิกค้างเมื่อมองจากมุมนี้เห็นทั้งแผงอกกว้างและใบหน้าที่เอนเข้ามาใกล้ ดวงตาสีน้ำทะเลจ้องเขาอย่างมีความหมาย ในนั้นซ่อนประกายไฟบางอย่างที่ทำเอาคนมองหน้าแดงซ่าน โอลิเวอร์รู้สึกไร้เรี่ยวแรงทว่าร้อนผ่าวไปทั่วจากจุดที่มือคู่นั้นสัมผัส
อัลฟองเซ่โน้มลงบรรจงจูบริมฝีปากที่สั่นระริก เขาใช้ลิ้นทาบลากไปบนกลีบปากนุ่มก่อนจะดุนให้เผยออ้า จุมพิตยาวนานระหว่างที่ส่วนอื่นก็ยังขยับเฟ้นคลึงร่างใต้อาณัติสูงขึ้นมาเรื่อยๆ
เมื่อลูบมาถึงอกโอลิเวอร์ก็ตัวละลายคามือเขาแล้ว ส่วนล่างตื่นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มันชูชันสู้กับแก่นกลางของอัลฟองเซ่แม้ว่าขนาดจะต่างกันครึ่งต่อครึ่ง อัลฟองเซ่นวดเนื้ออกระหว่างลูบผ่านยอดสีระเรื่อเหมือนแกล้งเย้า พอริมฝีปากโอลิเวอร์เป็นอิสระก็เรียกเสียงครางฮือจากคนที่ไม่รู้ว่าเมาเหล้าหรือเมาเพราะทำรัก
“คุณกลัวไอ้นี่ใช่ไหม...?” อัลฟองเซ่ว่าพลางจับมือคนที่นั่งตัวอ่อนปวกเปียกให้มากอบกุมส่วนกลางลำตัวเขาไว้
ความรู้สึกร้อนฉ่าและแข็งตึงในอุ้งมือเขาทำเอาโอลิเวอร์กลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ ดวงตาที่ปรืออยู่ครึ่งหนึ่งกระพริบช้าๆ ระหว่างจุดสนใจมารวมอยู่ที่ของในฝ่ามือ
ไม่ใช่กลัวแต่หนูอยากได้... หนูจะพูดออกไปอย่างไรว่าหนูอยากกินคะแม่!!
อัลฟองเซ่ใช้มืออีกข้างจับขอบอ่างเอาไว้ระหว่างบังคับมือโอลิเวอร์ให้ลูบสำรวจไปทั่วแก่นกาย จับให้กอบกุมเอาไว้แล้วรูดขึ้นลงถึงปลายโคน
“เห็นไหม...ไม่มีอะไรต้องกลัว” เขาว่าด้วยเสียงทุ้มต่ำคล้ายกลั้นหอบ พูดจบก็จูบซับไปตามแนวลูกผมโอลิเวอร์ “ขึ้นจากน้ำกันเถอะ ผมอยากทำแล้ว”
คนพูดเก่งอย่างโอลิเวอร์ตอนนี้ได้แต่นั่งเงียบหน้าแดงก่ำ เขาพยักหน้าแรงๆ ครั้งหนึ่ง เมื่ออัลฟองเซ่ลุกเขาก็ลุกตามอย่างว่าง่าย
คนตัวสูงใหญ่กว่าเดินไปรื้อหาของในกระเป๋าทั้งที่ส่วนนั้นยังชูตระหง่านและแกว่งไหวๆ ตามแรงเดิน โอลิเวอร์ละสายตาไปไหนไม่รอด เขารีบสาวเท้าไปหยิบแชมเปญมากระดกทั้งขวดย้อมใจครั้งใหญ่ รู้สึกร้อนในลำคอเหมือนโดนเผาจากแอลกอฮอล์และศูนย์ถ่วงก็เริ่มเอน หัวมึนตึงจนรู้สึกชาดิก ค่อยๆ พาตัวเองไปนั่งสะอึกอยู่บนเตียงนุ่ม
อัลฟองเซ่ได้ยินเสียงสะอึกก็หันมาเจอคนนั่งเมาหัวหวิดทิ่มหมอน เขาหลุดหัวเราะพรืดก่อนจะสาวเท้ายาวๆ มาจับตัวโอลิเวอร์เอนนอน
“ผมไม่ทำคนหลับแต่กับคนเมาผมไม่ปล่อยหลุดมือนะที่รัก” เขาแกล้งขู่ แต่คนเมาที่ว่าตอนนี้ก็นอนตาปรือหวานส่งเสียงอือออไม่รับรู้แล้ว
ชายหนุ่มที่ยังสติครบถ้วนฉีกซองถุงยางอนามัยก่อนจับมันใส่ส่วนแข็งขันรูดลงจนสุด เขาปีนขึ้นเตียงพร้อมหลอดเจลหล่อลื่นในมือ ช้อนขาและสะโพกคนที่นอนตาหวานเชื่อมยกขึ้นสูง
แล้วภาพทั้งหมดก็ดับไปพร้อมสติสัมปชัญญะที่ตัดขาดลง
โอลิเวอร์สะดุ้งตื่นก่อนจะทรุดลงไปนอนต่อด้วยอาการปวดหัวประเดประดังเข้ามา เขาครวญครางเสียงแหบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกปวดเมื่อไปทั้งตัวโดยเฉพาะส่วนล่างที่ชาหนึบและหลังคอที่แสบคล้ายเป็นแผล โอลิเวอร์กดนวดขมับตัวเองให้หายปวด มือควานปะป่ายหาขวดน้ำที่วางทิ้งไว้ตรงโต๊ะหัวเตียง
เขายันตัวเองขึ้นมานั่งได้แล้ว อาการเมาค้างทำเขาทั้งมึนหัวทั้งคลื่นไส้ โอลิเวอร์พยายามดื่มน้ำให้มากๆ ก่อนจะเดินโซซัดโซเซไปเข้าห้องน้ำ เวลานี้ห้องเงียบผิดปกติและไร้วี่แววชายที่อยู่กับเขาเมื่อคืน
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงรีบพุ่งไปเช็คกระเป๋าเงินกับพาสปอร์ตว่ายังอยู่ดีไหม แต่อะไรบางอย่างทำให้เขารู้สึกสบายใจ ...โดยเฉพาะกลิ่นอัลฟ่าที่คลุ้งอวลอยู่ในห้อง
ขวดน้ำกับเม็ดยาวางทับกระดาษโน้ตบนโต๊ะ ในนั้นเขียนเอาไว้ว่าจะออกไปซื้ออะไรมาให้ทาน โอลิเวอร์กรอกยาเข้าปากก่อนจะดื่มน้ำตามไปหลายอึก พักใหญ่อาการปวดศีรษะก็ทุเลาลง
ชายหนุ่มคนเดียวในห้องย้ายตัวเองมาหยุดยืนหน้ากระจกในห้องน้ำ พยายามเอี้ยวตัวมองรอยกัดขนาดใหญ่ที่หลังคอ เขาแตะมันอย่างกล้าๆ กลัวๆ
...ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว จากนี้ก็ไม่ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก
คิดได้อย่างนั้นบางอย่างก็วูบโหวงอยู่ข้างในอก โอลิเวอร์ส่ายหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ไม่ทันได้ทำอะไรเสียงประตูเปิดก็ดังมาจากข้างนอก
อัลฟองเซ่กลับมาพร้อมกล่องใส่อาหารเช้า ดูแปลกใจที่คนในห้องเดินซึมออกมา
“มีอะไรรึเปล่าครับ?”
โอลิเวอร์ส่ายหน้า “เปล่าครับ ไม่มีอะไร”
คนที่เพิ่งเข้ามาในห้องวางถุงของไว้ที่โต๊ะก่อนจะเข้ามาจับมือเขาไว้หลวมๆ รอยยิ้มน้อยๆ ผลิบานอยู่บนใบหน้าเรียกให้โอลิเวอร์ยิ้มตาม
อัลฟองเซ่บีบมือเขาเบาๆ อีกครั้งก่อนจะโน้มลงจูบที่หน้าผาก “ทานอาหารเช้านะครับ ผมทานส่วนของผมเรียบร้อยแล้ว”
ความอ่อนหวานที่ได้รับมากเพียงพอจะเติมเต็มความรู้สึกว่างเปล่าข้างใน โอลิเวอร์จัดการอาหารเช้าเสร็จก็พบว่าอัลฟองเซ่เก็บเสื้อผ้าพวกเขาลงกระเป๋าให้เรียบร้อยแล้ว ภาพเจ้าของลักยิ้มที่นั่งอยู่ปลายเตียงดูจะติดตาเขาอยู่อีกพักใหญ่
พวกเขานั่งรถไฟออกจากแร็งส์มุ่งหน้าตรงไปกอลมาร์ เข็นกระเป๋าตรงเข้าโรงแรมใกล้สถานีรถไฟที่คุณไกด์อย่างอัลฟองเซ่จองไว้ให้ ทิ้งกระเป๋าเอาไว้ก็พากันเดินเท้าไปตามทาง ออกจากสถานีได้หน่อยก็ขึ้นรถประจำทางออกไปหมู่บ้านข้างๆ เป็นอันดับแรก
ผ่านไร่องุ่นไกลสุดลูกหูลูกตาแค่ไม่กี่นาทีก็มาถึงเมืองเอกิสไฮม์ รถหยุดที่วงเวียนที่มีที่ว่าการไปรษณีย์ เมื่อเดินตรงเข้ามาในหมู่บ้านก็พบบ้านแบบทิมเบอร์เฟรมหลากสีสันก่อด้วยไม้ซุงพาดเป็นโครงและโบกอุดช่องว่างด้วยปูน เห็นบ้านทรงแบบนี้ละลานตาเหมือนหมู่บ้านในนิทานโอลิเวอร์ก็รัวชัตเตอร์ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นโหล
ผังเมืองเอกิสไฮม์เป็นวงกลมซ้อนกันรอบนอกและรอบใน มีทางเชื่อมหากันตลอดทางแล้วแต่ว่าอยากจะท่องเมืองในด้านไหน มีถนนเส้นเล็กพื้นปูด้วยหินกับบ้านเรือนเรียงรายชวนให้ถ่ายรูป หรือจะเป็นป้ายร้านเหล็กดัดเป็นลวดลายก็น่ารักใช่ย่อย
แน่นอนว่าโอลิเวอร์ลากอัลฟองเซ่เดินเที่ยวจนทั่ว
ทั้งสองคนพากันมานั่งพักที่จัตุรัสกลางเมือง ที่ตรงนี้อยู่ติดกับโบสถ์แซ็งต์-เลองเนิฟ มีรูปปั้นกับลานน้ำพุเล็กๆ ประดับประดาด้วยพุ่มไม้ดอกสีสดใส
พอเข้าเวลาเที่ยงอัลฟองเซ่ก็กางแผนที่พาตากล้องเดินไปรอรถประจำทางที่มาตามเวลาใกล้บ่าย เป็นอันจบการชมหมู่บ้านเอกิสไฮม์ด้วยการกลับไปกอลมาร์อีกครั้ง
แต่แทนที่จะได้เดินเที่ยวในเมืองหลักอย่างกอลมาร์ พ่อไกด์ทัวร์ก็พาเขานั่งรถบัสย้อนไปทางสตราส์บูร์กโผล่มาที่หมู่บ้านริคเวียร์
เดินลอดผ่านศาลาว่าการเข้ามาด้านในเมืองเหมือนเป็นโลกอีกใบ ที่ริคเวียร์มีถนนเส้นกลางเป็นถนนเส้นหลักและทางเข้าตรอกซอกซอยเล็กๆ ที่เดินเชื่อมทะลุถึงกันได้ หน้าต่างบ้านเรือนก็ปลูกดอกเจอเรเนียมสีสดเข้ากับบ้าน
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ดังนั้นก่อนจะได้เดินเที่ยวก็แวะเข้าร้านอาหารกันก่อน โอลิเวอร์สั่งพิซซ่าฟัวกราส์ส่วนอัลฟองเซ่เลือกสั่งเนื้อกระต่ายป่าหมักซอสไวน์แดงกับไส้กรอกเยอรมันคู่กับชูครุตหรือกระหล่ำปลีดอง ของโอลิเวอร์ได้เป็นแฟลมคูเช่นที่เป็นพิซซ่าแป้งบางแบบเยอรมันแผ่นใหญ่ใส่เครื่องเต็มที่ มื้อนี้ทานร่วมกับไวน์ขาวจนอิ่มหนำถึงพากันออกมาเดินเล่นต่อ
ไม่ลืมแวะถ่ายจุดเด่นของเมืองอย่างหอนาฬิกาทัวร์ตูโดลเดอร์ ถ่ายจากเบื้องล่างอย่างนี้ติดหลังคาและบ้านหลากสีก็ดูสวยดีไปอีกแบบ
รองเท้าเจ้ากรรมที่โอลิเวอร์ใส่ทนร้อนทนหนาวคู่ใจกันมานานจู่ๆ ก็พื้นรองเท้าหลุด เขาเดินเขยกๆ ไปตามอัลฟองเซ่ที่นั่งรอคนถ่ายรูปอยู่บนเก้าอี้หน้าร้าน แทนที่จะบอกเฉยๆ โอลิเวอร์ได้ทีก็เล่นหนักข้อ
“รองเท้าผมหลุด ให้ผมขี่หลังอัลได้ไหม?”
อัลฟองเซ่มองเขาตาปริบๆ ลุกขึ้นก่อนจะหันหลังย่อตัวลงอย่างว่าง่าย ทำเอาคนอ้อนขอหัวเราะก๊าก
“ผมพูดเล่น! แบกไหวหรือคุณ”
“มาครับ ผมแบกไหว” ว่าพลางกระดิกมือเร่งให้ขึ้นหลังอีกต่างหาก
แล้วโอลิเวอร์ก็ได้ขี่หลังพ่อหนุ่มร่างสูงใหญ่สมใจอยาก เขาเลิกถ่ายรูปหันมากอดคอคนใจดีเสียแทน แผ่นหลังกว้างก็อุ่นกว่าที่คิด
อัลฟองเซ่ก้าวมั่นคงไปเรื่อยๆ ตามทาง พอเห็นโปสเตอร์โฆษณาละครที่ติดอยู่ตรงผนังบ้านหลังหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา
“ดาราเดี๋ยวนี้มีสเน่ห์กันน่าดูนะครับ อาจจะเป็นเพราะส่วนใหญ่หน้าตาดีกัน”
“อันที่จริงผมว่าเป็นนักแสดงไม่ต้องหน้าตาดีมากก็ได้ ขอแค่มีสเน่ห์มากขึ้นทุกวันก็พอ”
ชายหนุ่มตัวสูงเอี้ยวคอหันมาถาม “มันต่างกันอย่างไรครับ?”
“เป็นคนมีเสน่ห์ในความประทับใจแรกไม่ยากครับ คนเรามองที่หน้าตาก่อนทั้งนั้น แต่เป็นคนที่ยิ่งรู้จักนานวันยิ่งมีเสน่ห์สิที่ยากกว่า”
“แบบคุณน่ะหรือ”
มิสเตอร์โอที่กำลังเอ่ยประโยคฉะฉานมองด้านหลังศีรษะทุยค้าง รอยยิ้มราวดอกไม้ดอกเล็กคลี่บานบนใบหน้าเขาโดยไม่ทันตั้งตัว
“ปากหวานอีกแล้ว ผมควรต้องให้รางวัลคุณไหม?”
อัลฟองเซ่หัวเราะ “ถ้าได้ก็ดีครับ”
คราวนี้ย้อนกลับมาที่สถานีรถไฟกอลมาร์และเดินเที่ยวกันจริงๆ แล้ว เหลือเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนฟ้าจะมืด อัลฟองเซ่พาโอลิเวอร์แวะเปลี่ยนรองเท้าก่อนจะเดินเข้าเมืองมาเรื่อยๆ
เมื่อเข้ามาถึงด้านในตัวเมืองกอลมาร์ย่านเมืองเก่าถึงพบว่าที่นี่ก็มีบ้านหลากสีเรียงรายเหมือนกันแต่ถนนสายกว้างกว่า พวกเขาแวะถ่ายรูปด้านนอกโบสถ์แซ็งต์มาร์แตงที่ตั้งอยู่กลางเมือง โบสถ์นี้สร้างด้วยหินสีชมพูทั้งหลังกับหลังคาสีน้ำตาลด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบโกธิค เสียดายที่โอลิเวอร์ไม่ได้แวะเข้าไปชมด้านในเพราะกลัวจะไม่ทันนั่งเรือ
เมื่อมาถึงลานน้ำพุชเวนดิก็เห็นบ้านขอนไม้ทรงอนุรักษ์ตั้งอยู่ริมสองฝั่งคลองสมชื่อลิตเติ้ลเวนิส ผ่านสะพานหลายแห่งที่ใช้ข้ามคลอง ตากล้องถ่ายทั้งมุมนั้นมุมนี้หรือใกล้คลองสายเล็กกับพุ่มไม้ประดับรั้วกั้นและจักรยานคันน้อยที่จอดพิงไว้อยู่ อัลฟองเซ่ต้องใช้กำลังลากโอลิเวอร์ที่มัวแต่เพลินกับการถ่ายรูปแงะตัวออกมาพาไปที่ท่าเรือ
เรือลำเล็กสำหรับนักท่องเที่ยวนั่งได้ในราคาคนละไม่ถึงสิบยูโร วิวที่ได้ก็เป็นมุมจากในคลองสวยไปอีกแบบ
โอลิเวอร์ยังคงง่วนอยู่กับการมองโลกผ่านกล้องจนโทรศัพท์มือถือของใครบางคนดังขึ้น เขาหันไปตามเสียงและพบว่าเป็นมือถือของคนข้างตัวที่กำลังแผดเสียงเรียกให้รับสาย
เจ้าของมือถือมองเขาอย่างขอโทษขอโพยก่อนจะกดรับ อัลฟองเซ่คุยกับปลายสายด้วยภาษาฝรั่งเศสที่เขาฟังไม่เข้าใจ โอลิเวอร์ลดกล้องลงมองคนข้างตัวก่อนจะหันมองไปรอบๆ วินาทีนั้นก็เหมือนโดนดึงให้กลับสู่โลกแห่งความจริง
พรุ่งนี้ทุกอย่างก็จบลงแล้ว
-------------------------------------------------------
//วิ่งหลบหม้อไหกาละมังกะฉากตัดจอมืด
สาบานว่าตอนหน้าฉากNCจะมาแบบดีๆแล้วค่ะ รอบนี้เอาแบบวับๆแวมๆไปก่อน
ขอบคุณทุกคอมเมนต์กับขอบคุณที่ช่วยเม้นต์ดันให้นะคะ! o v o,,