พฤติกรรมมนุษย์เปลี่ยนได้ภายในยี่สิบเอ็ดวัน เหตุเพราะการทำอะไรซ้ำๆ จะทำให้ติดเป็นนิสัย ลิขิตไม่คิดว่ามันจะจริง แต่พ่อหนุ่มลูกค้าคนใหม่ที่แวะเวียนมาทุกวันเริ่มจะทำให้เขาเชื่อแล้ว
ลิขิตทำงานอยู่ที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนชื่อออตติโม่ได้เกือบเดือนแล้ว ลูกค้าที่นี่มีทั้งขาจรและขาประจำ แต่คนที่มาบ่อยครั้งที่สุด...หรืออันที่จริงต้องบอกว่ามาได้ทุกวัน คงเป็นชายหนุ่มตัวสูงที่ใส่แว่นก้นขวดนมคนนั้น
เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาห้าโมงเย็น ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดนิสิตเสื้อเชิ้ตขาวกางเกงสแล็คดำกับแว่นหนาเตอะมักจะเข้ามาในร้านอาหารที่เขาเป็นบริกรเวลาเดิมเสมอ ผมเผ้าชี้ฟูของชายคนนี้เห็นแล้วชวนให้นึกถึงสุนัขขนยุ่งเหยิงตัวโต ส่วนน้ำเสียงทุ้มจนเกินพอดีนั่นก็มักพูดอยู่แค่สองสามประโยคเดิมๆ
บริกรสาวๆ ในร้านมองเขาก่อนพยักเพยิดไปทาง ‘หนุ่มลาซานญ่า’ เป็นอันรู้กันว่าไม่มีใครอยากเข้าไปต้อนรับแขกขาประจำคนนี้ บางคนก็หนีหายเข้าไปในครัวหรือรีบเสิร์ฟให้โต๊ะอื่น ...ดูเหมือนจะกลายเป็นหน้าที่ประจำของเขาไปแล้วที่ต้องรับหน้าคุณลูกค้าผมยุ่ง
ใครจะอยากรับแขกคนที่ไม่แถมทิปส์แน่ๆ กันล่ะ...ก็มีแต่เขานี่ไง
“วันนี้ก็ลาซานญ่านะครับ?” ลิขิตถามตามหน้าที่ เขาขยับปากกาจรดลงหน้ากระดาษรอ
“ครับ ล...าซานย่ากับน้ำเปล่า” ฝ่ายนั้นลากเสียงยาวพลางยิ้มซื่อๆ
ลิขิตพยักหน้า ทวนรายการอาหารอีกครั้งก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัว เสียบกระดาษจดรายการอาหารที่เขียนเลขที่โต๊ะตรงแท่นเสียบก่อนจะเดินกลับมาเตรียมแก้วและขวดน้ำเปล่าใส่ถาดที่วางไว้กลางมือ เขาก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็กลับมาวางแก้วลงบนโต๊ะลูกค้า เสียงเปิดฝาพลาสติกดังแก๊กก่อนลิขิตจะรินน้ำใส่แก้วใส
ลูกค้าหนุ่มคอยจ้องเขาทุกอิริยาบถ จะว่าน่ากระดากเขินก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะเป็นอย่างนี้จนชินเสียแล้ว นับตั้งแต่วันที่เขาเริ่มงานก็เห็นผู้ชายคนนี้คอยมานั่งที่เดิมตลอด แบกกระเป๋าสะพายข้างใบเก่ามาวางตรงที่นั่งข้างตัวแล้วสั่งแต่ลาซานญ่ากับน้ำเปล่า ละเลียดทานจนกว่าฟ้ามืดแล้วถึงกลับ
ลิขิตคิดว่าลาซานญ่าของที่นี่ไม่ได้เรื่อง ซอสมะเขือเทศที่มากจนเกินไปทำเอาทุกอย่างแฉะไปหมด แต่ในเมื่อลูกค้าชอบทานเขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปแสดงความคิดเห็นอะไร อาจจะมีคนชอบในแบบที่มันเป็นอยู่ก็ได้...เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
ไม่มีเวลาให้คิดจิปาถะนานนักเพราะช่วงเย็นลูกค้าก็กรูกันเข้าร้าน ยิ่งช่วงห้าโมงถึงหนึ่งทุ่มคนยิ่งแน่นเป็นพิเศษ ลิขิตวิ่งรับรายการจากลูกค้ากับเสิร์ฟอาหารเดินจนขาขวิด เมื่อลูกค้าทานหมดก็เป็นหน้าที่เขาเก็บจานเข้าห้องครัวอีกรอบ เป็นแบบนี้จนหมดช่วงพีคยามเย็น
พ้นเวลาลูกค้าวุ่นวายลิขิตก็ย้ายตัวเองมาเช็ดโต๊ะไปเรื่อยๆ สลับกับเลื่อนเก้าอี้ให้เข้าที่ เขารู้สึกคล้ายมีคนมอง เมื่อหันไปก็พบคุณลาซานญ่าที่กำลังก้มหน้าก้มตาทานมื้อเย็นอยู่ ...สงสัยเมื่อกี้จะคิดไปเองว่าถูกมอง
บริกรสาวที่กำลังเช็ดแก้วหันมาพยักหน้าเรียกเขาระรัว ลิขิตละมือจากงานที่ทำอยู่แล้วเดินไปหาเจ้าหล่อน
“วันนี้ลาซานญ่ากลับช้ากว่าปกตินะ นายไปถามหน่อยสิว่าจะสั่งอะไรเพิ่มรึเปล่า”
“ก็ได้...” ลิขิตโอดครวญ เขาวางผ้าขี้ริ้วกับเคาเตอร์ก่อนจะเดินตัวปลิวไปหาเป้าหมาย นิสิตชายคนนั้นจัดการมื้ออาหารของตัวเองจนหมดพอดีกับที่เขาก้าวเข้าไปหา “อีกครึ่งชั่วโมงเราจะปิดครัวแล้วนะครับ ไม่ทราบว่าจะรับอะไรเพิ่มรึเปล่าครับ”
คุณลาซานญ่าเงยหน้าขึ้นมา ผมยุ่งฟูกระดกไหวๆ ตามแรงขยับตัว “ไม่เป็นไรครับ รบกวนคิดเงินด้วย”
ก็ยังดีที่ไม่นั่งแช่จนปิดร้าน เขาเคยเจอลูกค้าที่มาช้าแล้วนั่งทานต่อจนสองทุ่มครึ่งทำเอาพนักงานกะบ่ายกลับบ้านเลทกันไปหมด ที่นี่หนึ่งทุ่มครึ่งปิดครัว อีกครึ่งชั่วโมงปิดร้าน ส่วนเวลาหนึ่งชั่วโมงที่เหลือก็เก็บกวาดทุกอย่างให้เข้าที่ กว่าจะได้กลับบ้านก็สามทุ่มพอดี
จ่ายเงินเสร็จพ่อหนุ่มนิสิตก็กลับออกจากร้าน เท่านี้ก็หมดลูกค้าไปอีกวัน
สามทุ่มแล้วได้เวลาลิขิตตอกบัตรออกงาน เสียงเครื่องตอกบัตรดังติ๊ดเป็นสัญญาณว่าปั๊มบันทึกเวลาเรียบร้อยแล้ว ลิขิตเสียบบัตรเข้าที่ก่อนจะบอกลากับพนักงานกะบ่ายด้วยกันที่กำลังล็อกกุญแจร้าน เขาสะพายกระเป๋าเตรียมตัวเดินไปรอรถเมล์ที่ป้ายถัดออกไป มีแต่ลิขิตคนเดียวที่กลับทางนี้
วันนี้ก็เหมือนวันอื่นๆ อากาศตอนค่ำก็ยังร้อนอบอ้าวไม่ต่างจากช่วงเย็น ฟ้ามืดและแสงไฟสีเหลืองส้มสลัวก็ส่องพอให้เห็นทาง รถวิ่งไม่มากเท่าเวลากลางวันที่ถนนเส้นนี้การจราจรจะติดหนึบ ช่วงเวลากลางคืนเงียบและมีแต่ร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่นที่ยังเปิดให้บริการ
ไฟสัญญาณทางม้าลายกลายเป็นสีเขียว ใครบางคนเดินหลังไวๆ มาทางเขา เมื่อเพ่งมองก็พบว่าเป็นหนุ่มลาซานญ่าขาประจำที่กำลังหอบหนังสือเดินท่อมๆ ฝ่าความมืด
ลิขิตไม่คิดจะทักลูกค้านอกร้าน มันเป็นบรรยากาศที่ค่อนข้างกระอักกระอ่วนเวลาที่เจอลูกค้าประจำในช่วงเวลาที่เขาไม่ได้ทำงาน ชายคนนั้นมองมาทางเขา ลิขิตทำเพียงส่งยิ้มน้อยๆ ให้พอเป็นมารยาทระหว่างก้มหน้าก้มตาเดิน ภาวนาให้ชายคนนั้นกลับคนละทาง
...ดันกลับทางเดียวกันอีก ฝ่ายนั้นเร่งฝีเท้าก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็ประชิดถึงตัวเขา
“สวัสดีครับ” ลูกค้าหนุ่มเอ่ยทักก่อน “คุณลิขิตใช่ไหม จำผมได้รึเปล่า”
“สวัสดีครับ จำได้ครับ” บอกว่าจำไม่ได้สิถึงจะแปลกเล่นเจอหน้ากันทุกเย็นแบบนั้น
นี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรเท่าไหร่ พนักงานเสิร์ฟทุกคนในร้านจะมีเพลตเงินเป็นป้ายชื่อเล็กๆ สำหรับติดอก หมอนี่คงรู้ชื่อเขาจากป้ายชื่อนั่นล่ะ
“จริงสิ ผมรู้ชื่อคุณแต่ยังไม่เคยแนะนำตัวเลย ผมชื่อเอกภพครับ” หนุ่มคนนั้นว่าน้ำเสียงเป็นกันเอง
บรรยากาศประดักประเดิดผ่อนลงหลายส่วน ลิขิตรู้สึกคุ้นเคยกับลูกค้าคนนี้ด้วยความที่เจอกันบ่อย อายุอานามก็น่าจะใกล้เคียงกัน คนขี้ระแวงยอมลดการ์ดลงพลางเดินคู่กันไปเรื่อยๆ ตามทางฟุตบาท
ความเงียบที่น่าอึดอัดคลี่คลุมระหว่างคนทั้งสอง ลิขิตเม้มปากเข้าหากัน ก้มหน้าก้มตาเดินไม่หันไปมองคนข้างตัว เป็นฝ่ายเอกภพที่เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
“รถเมล์ช่วงดึกคนน้อยดีเนอะครับ”
“อ่า... ครับ ใช่ คนน้อยดี มีที่นั่ง” ลิขิตว่าท่าทางตื่นๆ ลอบมองคนตัวสูงกว่าก่อนจะหันกลับไปมองทาง
“กลับดึกแบบนี้ทุกวันเลยเหรอครับ?”
“ครับ” เขาตอบสั้นๆ ยังพยายามเว้นระยะห่างจากคนข้างตัวอยู่
พอเดินข้างกันแบบนี้เอกภพสูงกว่าเขาหนึ่งช่วงหัว อาจจะร้อยแปดสิบปลายๆ แถมผิวก็ขาวดูท่าทางจะไม่เคยต้องตากแดดนาน ดูจากแว่นหนาเตอะกับหนังสือเล่มโตที่ถืออยู่คงเป็นเด็กเรียน แต่คงเป็นลูกคนมีเงินถึงได้มาทานอาหารที่ร้านเขาทุกวัน
ลิขิตคิดไปเรื่อยแก้เก้อ เผลอแป๊บเดียวก็มาถึงป้ายรถประจำทางแล้ว
“ขึ้นสายไหนเหรอครับ” เป็นเอกภพที่ถามอีกครั้ง
“สายเก้าแปดครับ คุณเอกภพล่ะ?”
เจ้าของชื่อหัวเราะ “เรียกผมเอกเฉยๆ ก็ได้ ผมว่าเราน่าจะอายุพอๆ กัน แล้วก็ผมขึ้นสายนั้นเหมือนกันครับ”
รอยยิ้มของคนข้างตัวเป็นภาพแปลกใหม่ที่เขาเพิ่งเคยเห็น ลิขิตรู้สึกผ่อนคลายลงจนเผลอยิ้มตาม “โอเค งั้นนายเรียกชื่อเล่นผมว่าลี้แล้วกัน เรียกชื่อเต็มมันแปลกๆ”
“ครับ ลี้นะ?” เอกภพทวนอีกครั้ง ลิขิตฟังแล้วพยักหน้าให้เขา
“จริงๆ อายุเราไล่ๆ กันนายไม่ต้องพูดสุภาพกับผมก็ได้ ทำตัวตามสบายเถอะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมชินแบบนี้น่ะ” เอกภพว่ายิ้มๆ แว่นหนาเตอะส่องสะท้อนกับแสงไฟข้างทางเป็นมันวาว ลิขิตคิดว่ามันดูตลกดี เหมือนแว่นจะเรืองแสงได้ขึ้นมาวูบหนึ่ง
กว่ารถเมล์จะมาก็ปาไปเกือบยี่สิบนาที คนหนุ่มสองคนนั่งคุยกันสลับกับทิ้งช่วงเงียบ บรรยากาศไม่อึดอัดเท่าก่อนแล้วเพราะคนข้างตัวลิขิตเป็นมิตรกว่าที่คิด รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าหนุ่มแว่นบ่อยครั้ง รอจนรถเมล์มาสองคนก็พากันขึ้นไปนั่งคู่กัน เอกภพชวนคุยเรื่องเกมพีซีและดันตรงกับความสนใจของลิขิตพอดีเลยคุยกันยาวจนเกือบเลยป้าย
“ฉันลงก่อนนะ” ลิขิตลุกขึ้นไปกดกริ่ง “นายนั่งรถดีๆ ล่ะ”
เผลอไม่เท่าไหร่สรรพนามก็เปลี่ยนไปแล้ว คนที่ต้องนั่งต่อหันมายิ้มๆ ไม่ว่าอะไรให้ลิขิตก่อนเขาจะกระโดดลงจากรถ รถเมล์พ่นควันดำเป็นทางยาวขณะเคลื่อนตัวออกไป ปล่อยกลิ่นเหม็นไอเสียคลุ้งถนน ลิขิตอุดจมูกก่อนจะออกเดินเข้าซอยเตรียมกลับหอพัก
ลิขิตอาศัยอยู่คนเดียวในซอยที่ตอนกลางคืนเงียบสนิทแบบนี้ ร้านก๋วยเตี๋ยวที่เขาเดินผ่านเก็บร้านมืดหมดแล้ว ตามถนนที่มีแสงไฟห่างออกไปแค่พอส่องทางให้สว่างเวลานี้ปราศจากผู้คน สุนัขในซอยบ้างนอนหมอบบ้างเดินกันอยู่ริมทางพอให้เห็นประปราย และแถวนี้ก็ไม่มีเซเว่นให้หาอะไรกินยามดึก
เขาเป็นพลพรรคหนุ่มโสดที่ใช้ชีวิตเงียบเชียบลำพังในห้องแคบๆ กิจวัตรประจำวันดำเนินไปอย่างเดิม ไปทำงาน กลับมานอน แล้วไปทำงาน เพราะอย่างนั้นการมีอยู่ของเอกภพในคืนวันนี้จึงกลายเป็นเรื่องพิเศษในบันทึกชีวิตของเขา
...อย่างไรก็คงเป็นเรื่องบังเอิญที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งหรอก
ค่ำคืนที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน ใครๆ ก็ไม่อยากกลับถึงบ้านดึกกันทั้งนั้นแหละ ลิขิตเองก็เหมือนกัน หัวถึงหมอนเมื่อไหร่ก็หลับเป็นตายเมื่อนั้น
กะบ่ายของร้านอาหารเริ่มตั้งแต่สิบเอ็ดโมงยาวถึงสามทุ่ม ลิขิตทำงานแค่วันจันทร์ถึงศุกร์ยังพอมีเวลาลงเรียนหลักสูตรภาคพิเศษนอกเวลาราชการที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง วันศุกร์พิเศษตรงที่เขาทำกะเช้าเลยมีเวลาพักผ่อน
ไม่คิดว่าวันศุกร์เอกภพเองก็เรียนแค่ครึ่งวัน มีเวลามาทานมื้อเที่ยงที่ร้านจนเจอกันได้อีก
“ลองอย่างอื่นบ้างไหม เมนูแนะนำวันนี้เป็นพาสต้าผัดแซลมอนรมควันนะ จริงๆ ไก่นิวออร์ลีนส์ที่นี่ก็อร่อย” ลิขิตเสนอ
“ขอลาซานญ่านะครับ เอาไว้ค่อยลองพาสต้ากับไก่คราวหน้า” แต่ลูกค้ายังคงยืนยันเหมือนเดิม อย่างเดิม ...เป็นความเสมอต้นเสมอปลายที่ไม่รู้ว่าควรจะชื่นชมดีหรือเปล่า
เขาเอาลาซานญ่าหมูร้อนๆ มาเสิร์ฟพร้อมขนมปังกระเทียมที่เอกภพไม่ได้สั่ง กลิ่นหอมเนยกับกระเทียมสู้กับกลิ่นชีสอบของเมนูจานหลัก ลิขิตขยิบตาให้เป็นเชิงว่าเขาเลี้ยง ...อันที่จริงก็หักจากของชิมส่วนพนักงานนั่นแหละ ไม่ได้ต้องออกเงินอะไรหรอก แต่นั่นก็ทำเอกภพยิ้มแป้นน่าเอ็นดู
วันนี้เอกภพทานเสร็จไวตามสถิติเดิม แม้จะไม่ได้ให้ทิปส์แต่ลิขิตก็เต็มใจให้บริการเป็นพิเศษ ชายคนนี้เป็นคนคุ้นเคยที่เขานับเป็นเพื่อนแล้ว ดังนั้นแม้จะโดนเกี่ยงให้มารับหน้าที่ก็เต็มใจทำ
ขากลับลิขิตก็ไปเจอกับเอกภพมายืนรอที่ทางม้าลายเหมือนเคย สองคนพากันเดินเอื่อยเฉื่อยไปตามทาง นานทีเอกภพจะทักอะไรสักอย่างขึ้นมา ทางฟุตบาทไปป้ายรถประจำทางที่เคยทอดยาวก็ดูจะใกล้ขึ้นมาอีกนิด
รถไอศกรีมไผ่ทองจอดอยู่ที่หน้าปากซอยที่พวกเขากำลังเดินผ่าน ลิขิตกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปดักลุงคนขายให้จอดรอก่อน เขาชะโงกหน้าไปดูรสไอศกรีมในถังรอเวลาที่คนตัวสูงจะสาวเท้ามาถึง
ลิขิตสั่งแบบขนมปังกินกะให้อิ่มทีเดียวอยู่ ส่วนเอกภพสั่งแบบโคน ทั้งสองคนเดินเล็มของหวานรสเย็นไปเรื่อยๆ ตามทาง กินไปก็คุยกันไปด้วย
เอกภพชิงเปิดคำถามก่อน “เลิกสามทุ่มกว่าตลอดเลยเหรอครับ?”
“อืม ต้องรอตอกบัตรตอนสามทุ่มน่ะ ถึงเก็บร้านเสร็จก่อนก็ยังกลับไม่ได้” ลิขิตว่าก่อนจะเลียไอศกรีมไม่ให้หยด “แล้วเอกล่ะ ทำไมช่วงนี้กลับซะดึก งานที่ม.เหรอ?”
“ผมอยู่ช่วยงานสโมเลยกลับดึกครับ” เขาหมายถึงสโมสรนิสิต
“งั้นนี่เอง...” เออออไปอย่างนั้น ลิขิตฟังแล้วนึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่าคนพวกนี้อยู่ทำงานเอกสารอะไรกันจนดึกดื่น
“กลับดึกแบบนี้ไม่กลัวโจรบ้างเหรอครับ?”
“ชินแล้วน่ะ แถวนี้ก็สว่างด้วย แต่ถึงจะเจอโจรก็ไม่มีอะไรให้ปล้นหรอก” บริกรหนุ่มพูดทีเล่นทีจริง ส่วนคนฟังเอาแต่ส่งเสียงฮึมฮัมเหมือนใช้ความคิด “เอก ไม่รีบกินจะเลอะมือเอานะ”
เอกภพใช้ริมฝีปากงับไอศกรีมเล็มทีละนิดก่อนจะกัดโคนกรอบๆ ไปด้วย พอไม่เห็นแววตาแบบนี้ลิขิตได้แต่เดาอารมณ์จากรอยยิ้มของอีกฝ่าย เอกภพไม่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเวลาอยู่ด้วยกัน ในทางกลับกันเขารู้สึกเป็นกันเองและค่อนข้างจะไว้วางใจจนคุยด้วยโทนสบายๆ ได้ไม่ต้องถือตัวว่าฝ่ายหนึ่งเป็นลูกค้าฝ่ายหนึ่งเป็นบริกร จะมีก็แต่เอกภพที่ยังติดพูดสุภาพกับเขาอยู่
เดี๋ยวนี้เวลาเจอกันที่ร้านเอกภพก็ยิ้มให้เขาบ่อยขึ้น ส่วนเขาเองก็ยิ้มให้แลกกัน คนในร้านเป็นอันรู้กันว่าหมอนี่เป็นลูกค้าประจำของเขาไปแล้ว เวลาเข้าร้านต่อให้ยุ่งขนาดไหนก็จะรอให้ลิขิตไปบริการที่โต๊ะ
อาหารที่สั่งยังเป็นลาซานญ่าเหมือนเดิม จนวันหนึ่งลิขิตทนไม่ไหวก็ถามระหว่างเดินกลับบ้าน
“เฮ้ยเอก ไม่อยากลองกินอย่างอื่นบ้างเหรอ?”
“ยังครับ ผมชอบอะไรก็กินจนกว่าจะเบื่อ”
“อ้อ..” เขาเข้าใจอยู่หรอก คนที่กินแต่อะไรซ้ำๆ แต่ลาซานญ่าที่ร้านมันไม่อร่อยจริงๆ... ครั้นจะให้แนะนำร้านอื่นก็รู้สึกผิดชอบกล
เอกภพมองลึกเข้ามาในดวงตาคนข้างตัว “อันที่จริงกับเรื่องอื่นก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน แต่ผมเป็นคนเบื่อยาก”
ลิขิตโคลงศีรษะ “ไม่เหมือนฉันเลย ฉันเป็นพวกขี้เบื่อ ทนกับอะไรได้ไม่นานนักหรอก”
“แต่อาจจะมีสิ่งที่คุณทำแล้วไม่เบื่ออยู่ก็ได้นะ อย่างทำงานที่ร้านอาหารนั่นไง”
“ก็เงินมันดีนี่นา ให้ตั้งชั่วโมงละห้าสิบ เรทแบบนี้ไม่ได้หาง่ายๆ หรอกนะ” ลิขิตบ่นอุบ ว่าพลางเตะก้อนกรวดบนพื้นไปด้วย
ชายหนุ่มตัวสูงหัวเราะในลำคอ รอยยิ้มเปื้อนบนใบหน้าใต้กรอบแว่น “ขยันทำงานแบบนี้จะมีเวลาให้แฟนเหรอครับ?”
คนถูกถามหันมาเงยหาเอกภพ สีหน้าดูอมทุกข์สุดๆ “ไม่มีหรอกแฟนน่ะ...” เขาว่าเสียงห่อเหี่ยว “แต่ถึงมีเดี๋ยวก็เลิกกันอยู่ดี มีแฟนเปลืองเงินจะตาย ไหนจะต้องพาไปเลี้ยงนู่นเลี้ยงนี่อีก ไม่ไหวหรอก”
“ก็มีแฟนแบบที่ไม่ต้องเลี้ยงเขาสิครับ หรือไม่ก็ตกลงให้หารสอง ถ้าเป็นผมผมคงทำประมาณนั้นล่ะ”
“จะหาผู้หญิงน่ารักๆ แบบนั้นได้ที่ไหนกันเล่า ส่วนใหญ่ก็ให้เลี้ยงทั้งนั้น”
“อันที่จริงก็มีอยู่นะครับ -- อะ รถมาพอดีเลย วิ่งเร็วครับผมช่วยถือ!”
ไม่ว่าเปล่าเอกภพก็คว้ากระเป๋าเขาวิ่งตัวปลิวไปนู่น ลิขิตเร่งฝีเท้าจากขาสั้นๆ ให้ทันไล่หลังคนขายาว ก้าวขึ้นรถเมล์ได้ทันก่อนรถจะออกเฉียดฉิว
“โอย...” ลิขิตหัวเราะปนหอบเหนื่อย “เกือบไม่ทัน”
“ตรงนี้ว่างครับ” เอกภพรีบเรียกระหว่างกันที่ไว้ให้ ฝ่ายคนถูกเรียกกระโจนไปทุ่มตัวลงนั่งเบาะ ถอนหายใจยาวระหว่างใช้แขนเสื้อซับเหงื่อไปด้วย
“ขอบใจนะเอก เอากระเป๋ามาได้แล้ว” ลิขิตว่าพลางรับของของตัวเองกลับมาอุ้มไว้ที่ตัก “ตรงนั้นก็ว่าง นายไปนั่งไหม?”
“ไม่เป็นไรครับ ผมยังไม่เมื่อย”
เอกภพมองมาที่เขาแต่ไม่เห็นแววตาเพราะถูกบังด้วยแว่นก้นขวดนมหนาเตอะ รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าชายคนนั้น ท่าทางดูเหนื่อยน้อยกว่าแถมมาถึงก่อนแต่ดันไม่ยอมนั่ง เอาแต่ยืนเกาะคานโลหะเหนือเบาะอยู่ข้างๆ เขา
รถยามค่ำวิ่งไปเรื่อยด้วยความเร็วกว่าตอนกลางวันอาจเพราะถนนโล่งก็ส่วนหนึ่ง ไม่นานก็มาถึงป้ายซอยเข้าหอพักลิขิต ชายหนุ่มลุกขึ้นกดกริ่งก่อนเดินลงเมื่อรถหยุด ไม่วายโบกมือโบกไม้ให้เอกภพที่นั่งลงแทนที่เขา
ชายคนนั้นทำเพียงยิ้มน้อยๆ ส่งเขา เพียงครู่เดียวรถเมล์คันใหญ่ก็ไปลับตา
ลิขิตเจอเอกภพแบบนี้ทุกวัน แม้จะไม่ได้นัดกันแต่ในช่วงเวลาสามทุ่มกว่าจะเจอตัวนิสิตหนุ่มได้ที่ทางม้าลายเสมอ พวกเขาเดินไปคุยกันไปเหมือนเป็นเรื่องปกติ บางครั้งก็แวะซื้อไอศกรีม บางครั้งก็แวะเข้าเซเว่นก่อนจะเดินต่อไปยังป้ายรถประจำทาง
เวลาผ่านไปร่วมเดือนมีคนมาส่งบ่อยเข้าก็เริ่มชินเสียแล้ว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายลงที่ป้ายไหนแต่มีเพื่อนร่วมทางก็ดีไปอีกแบบ ทั้งชวนคุยทั้งเดินเป็นเพื่อนทางเปลี่ยวๆ เวลากลางคืน นอกจากรู้สึกอุ่นใจยังผ่อนคลายอย่างประหลาด
ต้องเจอกันทุกวันแบบนี้ก็เลยไม่เคยขอเบอร์หรือว่าไลน์เอาไว้เลย เอาแต่คิดว่าอย่างไรพรุ่งนี้ก็ต้องเจอกันใหม่อยู่แล้ว ไว้ครั้งหน้าค่อยขอก็ได้ ...เพราะมัวแต่คิดอย่างนั้น วันหนึ่งที่เอกภพหายไปเขาถึงไม่รู้ว่าจะติดต่ออีกฝ่ายยังไง
ตอนที่เอกภพหายไปวันแรกลิขิตคิดว่าชายหนุ่มคงไม่ว่าง อาจจะเตรียมทำรายงานส่งอาจารย์หรือทำโปรเจ็คจนยุ่ง แต่พอนานวันเข้าก็เริ่มแปลกขึ้นทุกที
เส้นทางกลับบ้านที่เคยเจอกันทุกค่ำก็ไร้วี่แววคนตัวสูง เวลากลางคืนเงียบจนลิขิตรู้สึกไม่คุ้นชิน มันเป็นความเงียบที่ดังสนั่นจนเขาทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินไวๆ ให้ไปถึงป้ายรถเมล์ แม้แต่รถขายไอศกรีมก็ทำให้เขานึกถึงคนที่ชอบซื้อกินแบบโคนอยู่เสมอ
อดไม่ได้ที่จะมองหาทั้งที่หลายวันมานี้ไม่เห็นแม้แต่เงา ความรู้สึกวูบโหวงก่อตัวขึ้นในใจของลิขิต ...เขาคิดว่าคงเป็นเพราะสิ่งที่เคยปรากฏอยู่เป็นประจำหายไปเลยเป็นเสียแบบนี้
จากวันก็นานจนเป็นสัปดาห์ ไม่ว่าจะที่ร้านหรือที่ทางม้าลายก็ไม่เจอตัวเอกภพ
ลิขิตคิดว่าลูกค้าคนนี้คงเบื่อที่จะกินลาซานญ่าเจ้าเดิมแล้ว บางทีเขาอาจจะไปหาร้านอาหารอิตาลีเจ้าใหม่แถวๆ นี้ ส่วนการที่กลับดึกแล้วไม่เจอคงเพราะไม่ได้ช่วยงานสโมสรนิสิตเหมือนเก่า
อย่างน้อยๆ ก็น่าจะมาลากันสักหน่อย อย่างน้อยๆ เขาจะได้ไม่ต้องคอยมองหาอยู่แบบนี้
ลิขิตวุ่นอยู่กับการเช็ดกระจกร้านตอนที่ลูกค้าคนใหม่เปิดประตูเข้ามาข้างใน บริกรสาวที่ปรกติจะคอยเสิร์ฟลูกค้าแทนเขาคนหนึ่งกำลังช่วยเขาเช็ดกระจกอีกคนกำลังยกจานไปเก็บ เจ้าหล่อนคนที่อยู่ใกล้ตัวลิขิตกระทุ้งเขาพลางมองบุ้ยใบ้ไปทางลูกค้าที่เพิ่งเข้าร้าน
ชายหนุ่มคนนั้นมองจากด้านหลังตัวสูงเท่าเอกภพ กลิ่นโคโลญหอมอ่อนๆ ก็เหมือนอย่างที่คนคนนั้นใช้ เพียงแต่ใบหน้าที่ปราศจากกรอบแว่นกับดวงตาคู่สวยแพขนตายาวเป็นสิ่งที่ลิขิตไม่คุ้นสักนิด ผมสีดำสนิทก็หวีเสยเรียบร้อยไม่มีเค้าลางหัวยุ่งๆ อย่างที่เคย
จะมีก็แต่รอยยิ้มบนริมฝีปากหยักที่ลิขิตเคยเห็นจนชินตา
บริกรหนุ่มเห็นพนักงานคนอื่นกำลังแอบเหล่มองลูกค้าที่เพิ่งนั่งลงโต๊ะตัวที่เอกภพเคยนั่งประจำ ความรู้สึกคันยุบยิบที่อกซ้ายทำเอาเขาละมือจากงานที่กำลังทำอยู่ รีบเดินตรงดิ่งเข้าไปทักพร้อมรอยยิ้ม
สภาพเอกภพอย่างกับคนจะไปเดท แต่นั่นไม่สำคัญเท่าเขาโผล่มาให้เห็นหรอก
“ไม่ทราบว่าจะรับอะไรดีครับ” เสียงที่ไม่จงใจเอ่ยให้ดีใจออกนอกหน้าสักนิดก็ไม่เป็นไปตามที่เขาหวัง
“สวัสดีครับลี้ ไม่เจอกันนานแปลกใจรึเปล่าที่ผมหายไป” ฝ่ายนั้นถามอย่างคนช่างเย้า
ลิขิตพยายามทำหน้านิ่ง “แต่นายก็กลับมาแล้วนี่ วันนี้จะรับอะไรดีล่ะ?”
พอมองใกล้ๆแบบนี้ถึงได้เห็นว่าหมอนี่ก็หน้าตาดีใช้ได้ แบบนี้คงไม่ได้อยู่ในกลุ่มหนุ่มโสดกับเขาแน่ ลิขิตรู้สึกเหมือนโดนหลอก แต่เขากำลังดีใจที่ได้เห็นหน้าจนไม่ทันได้คิดเรื่องจิปาถะแบบนั้น
“วันนี้ผมขอลาซานญ่า ออยสเตอร์พาสต้า ไวน์ขาว อิงลิชมัฟฟินกับแยมผลไม้” เอกภพยิ้มไปถึงดวงตา “แล้วก็คุณ”
ลิขิตสะดุดระหว่างกำลังจด เขาไม่ได้เงยขึ้นมองเอกภพเพราะคิดว่าอีกฝ่ายกำลังล้อเล่น บริกรหนุ่มทวนรายการอาหารอีกครั้งก่อนจะเดินไปด้านหลังร้าน
จมูกได้กลิ่นหอมอาหารอวลฟุ้งอยู่ในอากาศทันทีที่เข้ามาในเขตครัว เสียงตะหลิวกระทบกระทะผัดดังคร้งเคร้งตลอดเวลากับไอสีขาวลอยคลุ้งเข้าเครื่องดูดควัน ลิขิตดึงกระดาษออกจากสมุดจดก่อนจะเสียบเข้ากับแท่นวาง
แม่ครัวเพื่อนของเขาชะโงกหน้ามาดูใบรายการอาหารก่อนจะอุทานเสียงดัง
“โว้ว!” หล่อนตาโต “ดูนี่สิลี้ ไวน์เป็นเสียงวีก็เขียนเป็นคำว่าเลิฟได้พอดีเลยนะ”
ลิขิตที่กำลังจะเดินออกไปเสิร์ฟเครื่องดื่มชะงักฝีเท้า เขาถอยกลับมาดูใบรายการอาหารที่เสียบอยู่กับแท่งเหล็กแหลม
ในใบเมนูจดด้วยตัวหนังสือภาษาอังกฤษล้วนตามกฎของร้าน มันถูกเขียนด้วยลายมือเร่งรีบไม่เป็นระเบียบนักด้วยฝีมือของลิขิต ตัวอักษรเรียงกันเป็นแนวตั้ง...แนวตั้ง?
- Lasagna
- Oyster pasta
- White wine
- English muffin
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากแผ่นกระดาษ หันกลับไปมองคนที่นั่งสบายใจอยู่บนเบาะเก้าอี้ ฝ่ายนั้นมองผ่านช่องประตูเข้ามาถึงในครัว สบสายตาเข้ากับเขาพอดิบพอดี ในดวงตาคู่สวยของเอกภพคล้ายกำลังฉายแววอะไรบางอย่าง
จู่ๆ ใบหน้าของลิขิตก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ใบหูเขาขึ้นสีมาพร้อมกับอาการสับสนข้างในใจ บริกรหนุ่มเม้มริมฝีปากเข้าหากัน อดกลั้นความรู้สึกบางอย่างที่กำลังก่อตัวและปะทุอยู่ในอก
ตัวต้นเหตุโบกไม้โบกมือระดับอกให้กับเขา ลิขิตก้าวเท้าไปหลบมุมอับสายตา ยกมือขึ้นลูบหน้าช้าๆ ระหว่างพยายามควบคุมอาการใจสั่นให้เข้าที่ เพื่อนแม่ครัวถามว่าเขาเป็นอะไร แต่ลิขิตไม่มีแก่ใจจะฟังเสียงเจ้าหล่อน
เลิฟ(แอนด์)ยู...ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง
ลิขิตยกอาหารมาเสิร์ฟ เส้นพาสต้าผัดหอมๆ กับหอยนางรมเนื้อแน่นเต็มจานเสิร์ฟคู่กับไวน์ขาวที่เขาบรรจงรินจากขวด คุณลูกค้าคนนั้นยังคงนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะมีก็แต่สายตาที่มองมาอย่างเปิดเผยที่แปลกไปจากปรกติ
บริกรหนุ่มตั้งท่าจะเดินออกไปแต่มือใหญ่ของคนนั่งก็คว้าตัวไว้เสียก่อน “ผมจะรอคำตอบตอนค่ำนะครับ” เอกภพว่าก่อนจะปล่อยลิขิตให้เป็นอิสระ
คนฟังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินไม่หันกลับไปมอง เขาขอเปลี่ยนกับพนักงานอีกคนมาทำหน้าที่ล้างจานอยู่หลังร้าน มือออกแรงขัดสก็อตไบรท์ไปก็จมอยู่ในความคิดไปด้วย เหม่อจนไม่ได้ยินเสียงเรียกจากเพื่อนที่เป็นแม่ครัว
“มีอะไรทำไมมาหลบอยู่หลังร้าน?” เจ้าหล่อนถาม
“เปล่า...” ลิขิตตอบเสียงอ้อมแอ้ม “แค่อยากพักขาน่ะ”
แม่ครัวสาวกลอกตาใส่เขาก่อนจะเดินไปทำงานต่อ คนดีๆ ที่ไหนจะยอมเสียโอกาสได้ทิปส์มาทำงานล้างจานงกๆ กันเล่า
พ่อหนุ่มหน้าตาดีนั่งอยู่อยู่โยงยันร้านปิด เขาคุยทักทายกับบริกรคนอื่นๆ ในร้านอย่างเป็นกันเองส่งผลให้สาวๆ มาซักไซ้ไล่เลียงกับลิขิตเป็นการใหญ่ว่านั่นใครแล้วไปรู้จักได้ยังไง ลิขิตอยากจะบอกเหลือเกินว่าหมอนี่ก็ตาแว่นก้นขวดนมนั่นไง! แต่แหงล่ะ ใครจะเชื่อในเมื่อพ่อคุณเล่นแปลงโฉมเสียขนาดนั้น
เอกภพช่วยบรรดาพนักงานปิดร้านอย่างมีน้ำใจทำเอาสาวๆ รุมเขาเป็นการใหญ่ ดูท่าพวกเธอจะเสียดายที่ไม่ได้กับทางเดียวกันกับเอกภพ
ลิขิตไม่รู้ว่าทำไมแต่รู้สึกบีบอยู่ในอกเวลาเห็นเอกภพสนิทกับคนอื่นๆ เหมือนกับที่สนิทกับเขา เพราะอย่างนั้นตอนเดินกลับถึงได้เอาแต่เงียบไม่ยอมพูด เว้นระยะไว้นานเสียจนคนที่เดินอยู่ข้างกันต้องเอ่ยปากก่อน
“ลี้” เอกภพเรียกเขา “ผมขอคำตอบจากเมื่อเย็นได้ไหมครับ”
ลิขิตเม้มปากเป็นเส้นตรง เขาไม่รู้ อย่าว่าแต่ไม่เคยคบผู้ชายมาก่อนเลย กระทั่งจะมองเพศเดียวกันด้วยสายตาอย่างที่มองผู้หญิงเขาก็ไม่เคย นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกแปลกๆ แบบนี้กับผู้ชายด้วยกัน คนตัวเตี้ยกว่าเงยมองเอกภพ แต่เมื่อสายตาประสานกันเขาก็รีบก้มหน้างุดเหมือนเดิม
“...ผมไม่รู้เหมือนกัน”
เอกภพหยุดเดินทำเอาลิขิตต้องหยุดตามไปด้วย ชายหนุ่มตัวสูงหันมาหาเขาเต็มตัว นิ้วเรียวยาวเกี่ยวเอามือเขาขึ้นมากุมไว้ ลิขิตตัวแข็งทื่อไม่รู้จะเอาสายตาไปไว้ตรงไหน หัวใจเขาเต้นโครมครามเสียงดังจนหูอื้อ
ฝ่ายที่ถือวิสาสะจับมือเอ่ยเสียงทุ้มนุ่ม “ตอนผมไม่อยู่คุณรู้สึกยังไง คิดถึงผมรึเปล่า”
“...” ลิขิตหน้าแดงก่ำไม่กล้ามอง รู้สึกตัวเองโง่ลงหลายขุมจนตอบอะไรไม่ถูก
“คอยมองหาผมอยู่ตลอดรึเปล่า เห็นอะไรก็นึกแต่หน้าผม” เอกภพเอ่ยต่อไปเรื่อยๆ “ลี้ คุณรู้ไหม แบบนั้นเขาเรียกว่าความรัก”
ลิขิตเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากเผยอออกน้อยๆ เหมือนอยากจะพูดแต่ไม่มีคำใดหลุดออกจากปาก
เอกภพยิ้มหวานละไม “คบกับผมได้รึเปล่า”
“แต่ว่า... นายหายไปไหนมา ทำไมถึงไม่เจอนายเลย” ลิขิตเลี่ยงถามเสียก่อน รู้สึกสองมือตัวเองชื้นเหงื่อไปหมด
“ผมทำโปรเจ็คกลุ่มอยู่ครับ เป็นคะแนนมิดเทอม ขอโทษนะครับที่หายไปทั้งอาทิตย์”
“อืม” คนฟังผงกศีรษะ เห็นสีหน้าเอกภพแล้วเขานึกโกรธไม่ลง “ทีหลังบอกฉันก่อนได้ไหมถ้าจะหายไปไหน”
“ครับ ได้ -- ถ้าคุณตกลงคบกับผมนะ”
มือก็ยังจับอยู่ไม่คลายคล้ายกลัวว่าคนถูกถามจะวิ่งหนีไปไหน แต่ลิขิตจะหนีไปไหนได้ล่ะ? เขาพยักหน้ารับคำยอมคบด้วยถึงได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของคนที่ยืนอยู่ต่อหน้า ดวงตาคู่สวยสบมองลงมาซ่อนความหมายลึกซึ้ง
-END-