Chapter – 04
หมอครับ จ่ายตลาด
ในที่สุดก็ถึง Happy Friday ที่เหล่าพนักงานออฟฟิศรอคอย
ออฟฟิศอื่นนะ ไม่ใช่ออฟฟิศผม...
“โรม วันนี้หกชอตทันมั้ย ต้องส่งลูกค้าก่อนสี่โมง” พี่อัฐเดินเข้ามาถามที่โต๊ะ หลังจากที่ Co-Producer เข้ามาจะแหกอกพี่อัฐตอนก่อนเที่ยง งานเร่งงานด่วนอีกแล้วโว้ย พี่โรมที่นั่งหน้ายุ่งอยู่กับจอตัวเองขยี้หัว
“ขอสี่ครึ่งได้ป่ะครับ เรนเดอร์ ไม่ทัน ภาพละสิบห้านาทีครับ” พี่โรมมองนาฬิกา
“ตอนนี้จ็อบโรมเข้ากี่เครื่อง”
พี่โรมเปิดหน้าต่าง Deadline Monitor ขึ้นมาเพื่อเช็คคิวเรนเดอร์ของตัวเอง
“20 ครับ”
“450 เฟรม พี่ว่าไม่น่าจะทัน เดี๋ยวเพิ่มเครื่องให้”
“ครับๆ” พี่โรมปั่น Composite ต่อไป เอาล่ะ โต๊ะถัดจากพี่โรมก็กูเนี่ย
“ข้าวปั้น เป็นไงบ้าง วันนี้ส่ง Turn ลูกค้าตอนหกโมงนะ แจนมันจะแหกอกพี่แล้ว” พี่อัฐเข้ามาทวงงานผมต่อ ผมชี้ไปที่เครื่อง “จ็อบรูดครับ ทุกเครื่องเลย เหลือเรนเดอร์อีกหนึ่งตัว”
“กรรม! เฮ้ย บอก pipeline ดิ๊ ไอ้เครื่อง Peter กับ Mina มันไม่ยอมเรนเดอร์” พี่อัฐตะโกนข้ามโต๊ะบอกเมเนเจอร์ทีมผม พี่เมย์รับทราบคำสั่ง
“ทีมที่ทำ WMD เปิดเรนเดอร์ให้ 2k แป๊บ พี่ขอหนึ่งชั่วโมง ไปพักเบรกกันก่อน” พี่อัฐสั่ง ซึ่งทีม WMD ที่ว่าก็คือชื่อโปรเจคแบบย่อๆ นั่นเอง แล้วทีม 2k ก็คือผม พี่โรม ฟาง แล้วก็น้องหนึ่ง พนักงานใหม่สดที่เข้ามาถูกเวลาจริงๆ เพราะงานน้องคืองานที่โดนเทรดไปจากผมนั่นเอง น้องหนึ่งเริ่มลนกับงาน comp ของตัวเอง
“พะ... พี่ข้าวคะ คือหนึ่งถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ” น้องหนึ่งโผล่หน้าขึ้นมาขอความช่วยเหลือจากฝั่งตรงข้ามผม ผมปล่อยเรนเดอร์อย่างเดียว จึงทำได้แค่นั่งรอ พอน้องเรียกเลยไถลเก้าอี้ไปหา
“ว่าไงครับน้องหนึ่ง”
“คือ... หนึ่งหาที่ผิดไม่เจอ ไม่รู้แก้ไงอ่าค่ะ พี่อัฐเร่งหนึ่งยิกๆ แล้วอ่ะ”
น้องน้ำตาคลอเบ้า ผมเข้าใจน้องนะ ยิ่งลนยิ่งหาที่ผิดไม่เจอโดยเฉพาะกับงานตัวเอง ผมจึงบอกให้น้องขยับไปหน่อย ขอคีย์บอร์ดกับเมาส์มารื้อให้น้อง คิดว่าถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยเรียกพี่ดิน
ดีนะที่น้องทำตามที่พี่ดินสอนก่อนหน้านี้ จึงทำให้ผมรื้อไม่ยาก ถ้าเป็นวิธีไอ้เน ผมยอมแพ้เลยครับ รื้อยากกว่าผมอีก ดังนั้นผมจึงหาที่ผิดให้น้องเจอโดยใช้เวลาไม่นาน น้องหนึ่งแทบกราบผม ก่อนจะรับมาทำต่อจนเสร็จทันเวลา
ในที่สุด เดดไลน์ก็ทันเวลา ทีม 2k ไม่มีใครโดนด่าจากโปรดิวเซอร์ โดยเฉพาะผมที่มีโจทก์เก่าเป็นถึงท่านโปรดิวเซอร์ที่รัก!
ก็หลังกลับมาทำงานได้สามวัน พี่ฤกษ์ก็เข้ามาทักผมตอนกำลังทานมื้อเที่ยง ท่ามกลางเพื่อนๆ ร่วมโต๊ะ หน้าพี่แกยิ้มนะ แต่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย
‘หายดีแล้วเหรอ ข้าวปั้น’
ผมเอาช้อนออกจากปากแทบไม่ทัน หันกลับไปทักกลับ
‘หวัดดีครับ พี่ฤกษ์ ผมหายดีแล้วครับ’
ทุกคนพากันกินข้าวเงียบๆ รอดูท่าทีของโปรดิวเซอร์จอมแสบ โดยเฉพาะพี่ดินที่ดูไม่ชอบขี้หน้าพี่ฤกษ์ที่สุด
‘พี่อุตส่าห์ทักไป ไม่เห็นแจ้งเตือนข้อความพี่เหรอ’
‘เฮะ? เอ๋... ทักมาเหรอครับ ผมไม่เห็นรู้เลย...’ ผมโกหกหน้าใส ‘คงเป็นเพราะผมไม่ได้เป็นเฟรนด์กับพี่ฤกษ์ สงสัยมันจะไม่แจ้งเตือนมั้งครับ’
พี่ฤกษ์ยิ้ม
‘ช่างมันเถอะ หายก็ดีแล้ว งานของเรากองบานเลยนะ อ้อ... ลืมไป โดนอัฐมันแจกไปให้คนอื่นแล้วนี่ เฮ้อ! ดีจังเลยนะ เป็นลูกรักเจ้าอัฐ’
พี่ดินแทบโยนช้อนแต่ผมแตะขาพี่แกไว้ด้วยปางห้ามญาติ หัวเราะเป็นปกติ
‘เกือบแย่เหมือนกันพี่ ดีนะที่ทีมผมพี่ๆ เขาใจดี ยอมช่วย ถ้าไม่ได้ทีมผมนี่แย่เลยครับ’ ผมตอบกลับ แอบแซะเล็กน้อยว่าทีมอื่นน่ะ ไม่มีทางยอมโยนงานให้กันแน่นอน ใครตายคนนั้นรับ
‘อ๋อเหรอ กินข้าวให้อร่อยนะน้องๆ’
หลังจากพี่ฤกษ์เดินไป พี่ดินแทบจะเขวี้ยงช้อนตามหลัง ฟางแสยะยิ้ม
‘ต้องทำงานด้วยกันไปอีกกี่โปรเจควะคะ’
ไอ้เนส่ายหัว ‘ทำใจว่ะฟาง เงินเดือนเขาสูงกว่าเรา’
พี่เจี้ยนหันมาถามผมเรื่องแชท ‘หมาบ้ามันทักมึงไปเหรอ ผิดปกติชะมัด’
‘ผมเห็นแต่ทำเป็นไม่เห็น ไม่อยากยุ่งเกี่ยว’ ผมยักไหล่
คนพรรค์นั้น ให้พี่อัฐต่อกรคนเดียวพอ...
และเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์แถมได้เลิกงานเร็ว ผมจึงแวะเซนทรัลเสียหน่อยเพื่อหาซื้อของสดไปทำอาหาร วันเสาร์-อาทิตย์จะได้ไม่ต้องเสียเงินค่าข้าว
ผมเข็นรถเข็นไล่ดูของบนชั้น ลองนึกดูว่ามีอะไรหมดหรือขาดบ้างจะได้ซื้อไปทีเดียว หยิบของใส่รถเข็นไปเรื่อยๆ มีทั้งขนม น้ำอัดลม อาหารสำเร็จรูป ผักผลไม้บ้าง ตามที่ตัวเองพอจะเอาไปทำอาหารเป็น และก็ของใช้ส่วนตัวต่างๆ
ผมจอดรถเข็นไว้แล้วหยุดเลือกอาหารแมวที่กำลังจะหมดให้เจ้าปั้นสิบ แมวพันธุ์บริทิช ชอตแฮร์สีเทาอ้วนตาขวางโลกของผม ก่อนหน้านี้มันค่อนข้างกินยาก ถ้าเลือกได้นางจะเลือกกินอาหารสดมากกว่าอาหารเม็ด ผมจึงดัดนิสัยโดยให้อดข้าวแม่งเลย จากนั้นมาผมให้อะไรนางก็กินหมด
ปึ้ก!
“อ๊ะ! ขอโทษครับ... เอ๊!”
ผมที่เงยหน้ามองอาหารแมวบนชั้นเดินถอยหลังมากไปจนไปชนปึ้กเข้ากับคนที่เดินดูของอยู่ด้านหลัง พอหันกลับไปจะขอโทษเท่านั้นแหละ ผมถึงกลับร้องออกมาอย่างตกใจ
คุณหมอคนเดิม เพิ่มเติมคือผมไม่ได้เซต...
เส้นผมของเขาหยักศกเล็กน้อยและเริ่มยาวแถมไม่ได้เซตเหมือนเก่า หรืออาจจะเซตหลุดจนผมหน้าตกลงมาปรกหน้าผากกว้าง ทำให้หมอดูเด็กลงไปเยอะเลย เขากำลังถืออาหารปลาสองยี่ห้ออยู่ ท่าทางเหมือนกำลังเลือก
“หมอ เอ่อ สวัสดีครับ”
ผมยกมือไหว้ หมอผงกหัวรับนิ่งๆ มองผมก่อนจะเหลือบไปมองของในรถเข็น
“ซื้อของเข้าห้องเหรอครับ”
“ครับ” ผมตอบกลับ มองรถเข็นหมอบ้าง ในรถมีแต่ของสุขภาพดีทั้งนั้น ในขณะที่รถของผมมีแต่ของขบเคี้ยว หมอหรี่ตา ดันแว่นขึ้น
“กระเพาะเพิ่งจะหายทะลุ คุณจะเจาะกระเพาะตัวเองอีกรอบด้วยน้ำอัดลมเหรอครับ”
แหงะ!! หมอ!
“เอ่อ... ผม... ผมแค่ซื้อไว้เผื่อเพื่อนมาห้องน่ะครับ”
ผมตอแหลน่ะ กินเองเนี่ยแหละ
“ติดอ่างอีกแล้วนะครับ” หมอส่ายหัว เลิกสนใจผม ก่อนก้มลงมองอาหารปลาสองยี่ห้อในมือ เหมือนเขากำลังชั่งใจ ผมเห็นเขามองส่วนผสมอยู่นานมาก... จนอดไม่ไหว
“ซื้อยี่ห้อขวามือสิครับ พี่สาวผมก็ให้อาหารปลาด้วยยี่ห้อนั้นอยู่ ทำให้สีสวยและน้ำไม่เหม็นด้วยนะครับ” ผมลองแนะนำแบบหยอดๆ ไป
คุณหมอมองซักแป๊บ ก่อนเอายี่ห้อที่ผมแนะนำคืนชั้นไป และวางอีกยี่ห้อลงในรถเข็น
เชี่ยหมอ! นี่มันหักหน้ากันชัดๆ!
เหมือนหมอจะรู้ว่าผมไม่พอใจ เพราะผมหันขวับกลับทันทีที่หมอวางอีกยี่ห้อลงในรถ โอเค ขอโทษที่เสือกครับ กลับมาเลือกอาหารแมวต่อก็ได้วะ!
“ซื้ออาหารแมวเหรอครับ”
ผมอยากทำหูทวนลมจริงๆ แต่ด้วยมารยาทมันก็ไม่ควร ผมจึงตอบไปด้วยหยิบถุงอาหารแมวมาอ่านไปด้วย “ครับ”
“ผมว่ายี่ห้อนี้กว่านะครับ ไม่เค็มมาก ดีต่อสุขภาพแมวโดยเฉพาะถ้าแมวพันธุ์ต่างประเทศ”
ผมแสยะยิ้ม เรื่องอะไรจะเชื่อ ผมวางไอ้ที่ผมดูลงในรถเข็นบ้าง
“ผมชอบยี่ห้อนี้ แมวผมก็ชอบ”
“นอกจากตัวเองจะกระเพาะทะลุแล้ว อยากให้แมวเป็นโรคไตเหรอครับ” หมอหันมาจับรถเข็นตัวเองบ้าง “คนทำประกันได้ แต่แมวไม่มีประกันนะครับ ค่าผ่าตัดคุณจ่ายไหวเหรอ”
ผมกัดฟันกรอด
ก่อนจะยอมเปลี่ยนแต่โดยดี...
ผมแพ้ครับ...
ผมเอาของมาคิดเงินที่เคาน์เตอร์ ข้าวของต่างๆ ถูกจัดใส่ถุงพลาสติกประมาณหกเจ็ดถุง สงสัยต้องขึ้นแท็กซี่กลับ ผมเข็นรถออกมาจากช่องเคาน์เตอร์หลังจากรูดบัตรเรียบร้อย กะจะเดินไปทางออกเพื่อโบกรถ แต่กลับเห็นร่างสูงน่าดึงดูดยืนพิงเสารอใครอยู่ ข้างๆ มีรถเข็นที่จ่ายเงินแล้วหลบมุมไว้ ผมเห็นนะว่าสาวๆ ที่เดินผ่านไปผ่านไปแอบกระซิบกระซาบมองแบบเหลียวหลังกันแทบทุกคน แต่เจ้าตัวกลับยืนกอดอก ก้มมองเท้าตัวเองแบบคนขี้เกียจจะมองอะไร แล้วก็เหมือนรู้ว่าผมมองอยู่ หมอเงยหน้าขึ้นมาสบตาก่อนจะเดินเข้ามาหา
“คุณกลับยังไง?”
ผมหยุดรถเข็นแล้วตอบอ้อมแอ้ม ยังเคืองเรื่องอาหารปลาไม่หาย
“ก็... แท็กซี่ครับ”
“งั้นกลับกับผมมั้ยครับ ยังไงก็ทางเดียวกัน” หมอถาม ผมกระตุกยิ้มข้างเดียวแค่นๆ เบือนสายตาหนี “หรือคุณมีที่อื่นจะไปต่อ?”
“เปล่าครับ ผมเกรงใจน่ะ”
คุณหมอเอียงคอ
“ไม่เป็นไรครับ ยังไงก็ทางเดียวกัน”
“ตะ... แต่ของผมเยอะนะ”
“เบาะหลังผมโล่งครับ กระโปรงเก็บของก็ใส่คุณได้ทั้งคน”
หมอแม่ง กวนตีนผมอีกละ หมอบังคับผมโดยการลากรถเข็นผมจากด้านหน้าเบาๆ
“ยังไงคุณก็น้องเพื่อนผม ไม่ใช่ไม่รู้จักกัน”
หมอ! เอ็งนั่นแหละที่ทำหน้าไม่อยากรู้จักผมตั้งแต่แรกน่ะ! แต่จะเถียงอะไรได้ ทำได้แค่เข็นรถตามหมอไป ผมเหลือบตามองรอบๆ เห็นสายตาของสาวๆ พวกนั้นเปลี่ยนไปฉับพลัน...
ผม... ผมคงคิดไปเองมั้ง...
ออดี้คันเดิม เพิ่มเติมคือของตรงกระโปรงหน้ารถที่เต็มเอี้ยด (รถรุ่นนี้เก็บของที่กระโปรงหน้าครับ) ทั้งของของหมอและของของผม ลามไปยังเบาะหลัง ดีไม่ลามไปหลังคา คงจะตลกน่าดู ผมนั่งข้างคนขับเหมือนเดิม พอจะรัดเข็มขัดนิรภัย ผมก็สังเกตเห็นว่า หมอใช้นิ้วปรับอุณหภูมิแอร์บนพวงมาลัยให้ขึ้นมาที่ยี่สิบหกองศา จากยี่สิบองศา
ระหว่างทางเงียบเป็นป่าช้า แม่ง โคตรอึดอัดเลยโว้ย! รู้งี้กลับแท็กซี่ดีกว่า ไอ้ข้าวปั้นเอ้ย!
“คุณ... ไม่พอใจที่ผมไม่เลือกอาหารปลาที่คุณแนะนำเหรอ”
เงียบมาได้ประมาณสิบนาที หมอก็เป็นฝ่ายชวนผมคุย แต่ดันเปิดประเด็นได้แย่สุดๆ
ผมมองหวาดๆ ก่อนหัวเราะเหมือนไม่ใส่ใจพลางเกาแก้ม
“ก็... เปล่าครับ” เปล่าเชี่ยไรล่ะ เดือดเลยครับผม
“อาหารปลาที่คุณแนะนำมันสำหรับปลาน้ำจืดน่ะ ปลาของผมเป็นปลาทะเล ให้มันกินเดี๋ยวตาย ขอโทษนะที่ไม่พูด” หมอมองทางข้างหน้า แต่ผมอ่ะมองหน้าหมอ... ก่อนจะหน้าร้อนฉ่า กลับมาหยิกขาตัวเอง
โชว์โง่สินะกู!
“เอ่อ... ฮ่าๆๆ ผมผิดเองครับที่ไม่ได้ถามหมอว่าเลี้ยงปลาอะไร” ผมหัวเราะกลบเกลื่อนแก้เก้อ เบนหน้ามองถนนบ้าง “หมอคงเลี้ยงพวกปลาการ์ตูนอะไรแบบนี้สินะครับ”
“เปล่าครับ ผมเลี้ยงปิรันย่า”
“ไม่เอาเนื้อให้มันกินล่ะครับ!” ผมหันมาแหวกลับอย่างตกใจ หมอส่งเสียงหึในลำคอ
“ผมล้อเล่นครับ เป็นปลาทะเลแหละครับ แต่ไม่ใช่ปลาการ์ตูน”
ผมลอบสังเกตคนตัวโตที่จบบทสนทนาทั้งๆ อย่างนั้น
หมออาจจะเป็นคนนิ่งๆ ดูหยิ่งๆ แต่ความจริงแล้วอาจจะใจดีกว่าที่ผมคิด เขาไม่รังเกียจอ้วกผม แถมยังช่วยเหลือคนแปลกหน้าอย่างผมอีกต่างหาก แม้จะบอกว่าเป็นเพื่อนของเฮียปุ้น แต่นั่นก็ผ่านมาตั้งสิบกว่าปีแล้ว... กับผม หมอจะทำเป็นคนแปลกหน้าก็ได้แท้ๆ
วันดีคืนดีหมอยังแอบมีมุขใส่ แม้ส่วนใหญ่มักจะดุหน้าตาย
บางทีหมอคงแค่ขี้เกียจขยับหน้า... ถ้าหมอยิ้มล่ะ
“หมอ... ไม่ยิ้มบ้างเหรอครับ”
อีกแล้ว! ความคิดที่มันดังจนออกปากเนี่ย เลิกเหอะ!
หมอเบิกตาเลิกน้อย นัยน์ตาสีเขียวประหลาดเหลือบมองผม ก่อนจะเบนกลับไปมองทางต่อ ผมเอามือปิดปากตัวเอง เริ่มลนลานแก้ตัว
“เอ่อ! อย่าพึ่งคิดอะไรแปลกๆ นะครับ! ผม... ผมแค่ ผมแค่ไม่เคยเห็นหมอทำหน้าแบบอื่น กลัวคนไข้จะหาว่าหมอหยิ่ง... เอ่อ... กรรม”
ผมขุดหลุมฝังตัวเอง เงียบละกัน ไอ้เชี่ยปั้น มึงเสี่ยงโดนปล่อยกลางสี่แยกนะ!
“คุณคิดแบบนั้นรึเปล่าล่ะ”
หมอถามกลับบ้าง ผมนี่ไปไม่ถูก ขนลุกเลยครับ เหมือนแอร์ยี่สิบหกจะหนาวเกินไป
“เอ่อ... ก็ ก็มีบ้าง... ไม่ ไม่ใช่ครับ คือหมอไม่ได้ดูหยิ่งสำหรับผมนะ หมอแค่พูดน้อยไปหน่อย ไม่สิ... เขาก็พูดตลอดนี่หว่า เฮ้ย เปล่าครับ แค่ผมไม่ค่อยเห็นสีหน้าอื่นของหมอเฉยๆ”
อ่า... ตกม้าตายครั้งที่สอง
หมอกระตุกมุมปากแวบเดียว แวบเดียวจนผมสังเกตไม่ทันว่านั้นยิ้มหรือเส้นกระตุก
“คุณตลกดีนะ คิดอะไรก็แสดงออกทางสีหน้าหมดเลย”
หมอแสดงออกน้อยไปมากกว่าเว้ย!
“แอร์หนาวไปมั้ย” หมอหันมาถามเมื่อเห็นผมเริ่มเล่นกับมือตัวเอง ผมส่ายหน้า
“แล้วเดี๋ยวหมอต้องกลับไปขึ้นเวรอีกมั้ยครับ หรือว่าเลิกงานแล้ว”
ละลาบละล้วงเขาไปมั้ยวะ? ผมชั่งใจ แต่ก็ถามไปแล้ว โอเค... นิสัยนี้เลิกยาก หมอตบไฟเลี้ยวเตรียมเข้าคอนโด อ๊ะ... ถึงแล้วเหรอ?
“วันนี้ผมลงเวรแล้วครับ แต่ถ้ามีเคสผ่าตัดฉุกเฉินผมก็ต้องไป”
หมอจอดรถไว้ที่เดิม เพราะเป็นลูกบ้านชั้นวีไอพี จึงทำให้มีที่จอดรถเฉพาะของตัวเองไม่ต้องไปตบตีแย่งชิงกับคนอื่น เมื่อรถจอดสนิท ผมกับหมอเปิดประตูรถลง หมอกดเปิดกระโปรงหน้า ส่วนผมรีบเอาของที่เบาะหลังซึ่งมีแต่ของของตัวเองถึงจะเดินอ้อมไปเอาของที่กระโปรงหน้า หมอบอกให้ผมหยิบของตัวเองก่อนเพราะของผมอ่ะเยอะ ส่วนของหมอแค่สองสามถุง
“ผมช่วยมั้ย” หมอยื่นมือมา ผมชักถุงกลับ ส่ายหัว
“ไม่ครับ! สบายมาก”
หมอลดมือกลับ
“มันจะปริเอานะ แผลน่ะ”
“ครับ?” ผมก้มลงมองพุงตัวเอง จะ... จริงเหรอ?
“ครับ”
หรือที่หมอชวนผมกลับด้วยกันเพราะเหตุนี้ ผมมองถุงในมือหลายใบ ก่อนจะพยายามเลือกถุงที่ดูเบาๆ ให้หมอ แต่เขากลับยื่นมือมารวบของทั้งหมดจากมือขวาผมไปถือเอง เล่นเอาผมอ้าปากค้าง ก่อนจะเดินลิ่วๆ นำขึ้นลิฟต์ไปเลย ผมทำไงได้ล่ะ รีบเดินเร็วๆ ตามเขาไปน่ะสิ
หมอกดหมายเลขชั้น 9 ให้ตัวเอง เอ่ยขอบคุณ มองมือหมอที่ตอนนี้พะรุงพะรังไปด้วยของของผมด้วยความเกรงใจ ก่อนเอ่ยออกไป
“หมอครับ คือ... วางก่อนมั้ยครับ ผมว่ามันหนักมากเลย”
คนตัวสูงก้มมองของในมือแล้วส่ายหัว
“อีกแป๊บก็ถึงแล้ว ช่างมันเถอะครับ”
“อ่า... ครับ” ผมยืนเงียบๆ แค่นาทีเดียว ลิฟต์ก็เปิดออกที่ชั้น 9 ผมหันมาจะขอถุงคืน แต่หมอกลับเดินออกมาจากลิฟต์แล้วหันมาบอกผม
“ห้องคุณอยู่ไหน?”
“ฮะ? อะ... เอ่อหมอ...”
“ผมหนักนะ เร็วสิครับ” หมอหน้านิ่งแต่พูดว่าหนักเนี่ยนะ ผมจึงรีบเดินนำไปด้วย ล้วงคีย์การ์ดออกมาด้วย โว้ย! บุญคุณท่วมหัวกูแล้วเนี่ย!
คีย์การ์ดแตะลงที่ล็อคประตูอัตโนมัติของห้อง 9010 ผมผลักประตูเข้าไปก่อนเอาของทั้งหมดในมือผมวางไว้แถวๆ หน้าประตูนั่นแหละก่อนจะรีบคว้าเอาถุงของตัวเองจากมือใหญ่มา เหลือไว้สองสามถุงที่เป็นของหมอ แล้ววางลงตาม หันมายกมือไหว้ขอบคุณเขาตามารยาทของผู้น้อย
“ขอบคุณครับหมอ เอ่อ เกรงใจน่ะครับ ฮ่าๆๆ”
“ไม่เป็นไรครับ”
แล้วคุณหมอสุดแปลกก็เดินจากไปที่ลิฟต์เพื่อกลับห้องตัวเอง ผมยืนส่งเขาจนลับตาแล้วค่อยถอนหายใจเฮือกใหญ่
แต่แล้ว... แทนที่จะได้นอนตีพุง ผมกลับพบว่า
เชี่ย! ถุงนี้มันของหมอ!
เพราะชั้น 15 เป็นชั้นวีไอพีจึงมีเพียงหกห้องเท่านั้น ผมจำได้ว่าห้องของหมออ่ะอยู่ซ้ายมือของลิฟต์และเป็นห้องสุดท้าย
แต่ดันจำไม่ได้ว่าฝั่งไหนของสุดทางเดินน่ะสิ
ผมยืนลังเลอยู่ระหว่างห้อง 1505 กับ 1506 เหมือนโชคชะตาเข้าข้างเพราะประตูห้อง 1505 เปิดออกพอดี แต่คนที่ออกมากลับเป็นชายหนุ่มร่างโปร่งบาง สูงกว่าผมเล็กน้อย ผมสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าสวยจนผมยังอดมองไม่ได้
ชายหนุ่มคนนั้นออกมาจากห้องด้วยสีหน้าหงุดหงิด มือยกขึ้นเช็ดมุมปาก เขาชะงักไปเมื่อเห็นผมยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าห้องก่อนจะปิดประตูแล้วเอ่ยปากถาม
“มาหาใคร?”
“คะ... ครับ? คือว่า ผมมาหาคุณหมออคิน แต่เหมือนจะผิดห้อง...” ผมยิ้มให้ ก่อนจะหันไปฝั่งตรงข้ามเพื่อเตรียมเคาะประตูอีกห้องหนึ่ง แต่ชายผมน้ำตาลกลับขัดไว้ก่อน
“ถูกห้องแล้ว ผมแค่มาหาเขาเฉยๆ คุณเป็นใคร?”
น้ำเสียงเขาห้วนมาก เฮ้! ทำหน้าเหมือนผมไปเหยียบหางงั้นแหละ
“เอ่อครับ ผมเอาของมาคืนหมอน่ะครับ ไม่คิดว่าหมอจะมีแขก”
“แขก?... หึ!” เขามองหน้าผมแล้วแสยะยิ้ม เบือนหน้าหนี ก่อนจะหันกลับมาคว้าต้นแขนผมอย่างแรง หน้าตาดูไม่พอใจสุดๆ ผมเบิกตากว้าง ชักแขนกลับอย่าตกใจ แต่ก่อนจะเกิดอะไรขึ้น ประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นคนที่ผมตั้งใจเอาของมาคืน
หมออยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากตอนที่จากกันเมื่อกี้ จะมีก็แค่... รอยอะไรซักอย่างที่ลำคอ ที่ผมเห็นไม่ใช่ว่าผมสังเกตหรอกนะ แต่มันชัดมากต่างหาก หมอถือถุงของผมที่หยิบสลับกันไป เหมือนเขากำลังจะเอาลงไปคืนเหมือนกัน ดวงตาสีเขียวเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าผม ก่อนจะหันไปมองคนที่กระชากแขนผมไว้ด้วยสายตาที่... เย็นเยียบ... มันแทบจะมองข้ามหัวไปเลยด้วยซ้ำ
“ทำอะไร”
เสียงหมอที่ปกติจะนิ่งแต่สุภาพเสมอ ตอนนี้ห้วนสุดไม่ต่างจากคนที่เพิ่งถามผมเสียงห้วนคนนี้เลย ชายผมน้ำตาลชักสีหน้า ปล่อยแขนผมทิ้ง แล้วเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง
“เปล่า” เขาปัดเสียงใส่ “ผมกลับล่ะ”
แล้วร่างโปร่งก็เดินลงลิฟต์ไป ผมมองตามอย่างไม่พอใจแกมงุนงง หมอยื่นถุงคืนให้ สีหน้านิ่งปกติแต่ไม่ได้เฉยชาแบบเมื่อกี้
“ผมกำลังจะเอาลงไปคืน”
ผมรับมาก่อนยื่นถุงของหมอคืนสลับกัน
“ขอบคุณครับ”
ผมมองของในถุงให้แน่ใจ ก่อนจะเตรียมหันหลังกลับ หมอกอดอกพิงกรอบประตู จ้องผมด้วยสายตาอ่านยากจนผมชะงักฝีเท้า อะไร...?
“นึกว่าคุณจะถาม”
“ถาม? ถามอะไรครับ”
“ผู้ชายคนนั้น”
เอ่อ... หมอ ผมจะถามทำไมครับ เขาอาจจะเป็นเพื่อนคุณ ญาติคุณ แต่ผมไม่ใช่ทั้งนั้น ผมเป็นแค่คนไข้ครับหมอ จะอยากรู้เพื่อ...? หรือเพราะปกติผมชอบถามทุกอย่างสงสัยกัน
“อ่อ ก็เพื่อนหมอมั้งครับ ผมจะถามทำไม”
หมอขมวดคิ้ว เขาเสยผมอย่างหงุดหงิด... นี่ผมทำอะไรผิดเรอะ
“งั้นก็ ราตรีสวัสดิ์ครับ”
ผมเอียงคอมอง ไม่เข้าใจ แต่ก็พยักหน้ารับไป
“ราตรีสวัสดิ์ครับหมอ”
หมอ... เมนส์มาป่ะวะ?
เรนเดอร์ (Render) - การนำภาพหรือวิดิโอออกมาเพื่อนำไปใช้งานต่อ หรือการ export งาน 3 มิติ ออกมาในรูปแบบของภาพ 2 มิติ ในกรณีนี้คือการเรนเดอร์งาน 3 มิติให้ออกมาเป็นภาพเพื่อนำไป composite ต่อไป
Deadline Monitor - แอพลิเคชันที่ใช้งานคู่กับ Deadline Slave ใช้เพื่อดูคิวหรือควบคุม job (งาน/โปรเจค) ที่อยู่ในฟาร์ม กำหนดค่าความเร็วและลำดับความสำคัญของงานที่จะต้องเรนเดอร์ด้วยฟาร์มเรนเดอร์ทั้งหมด
เฟรม (Frame) - ภาพ 1 ภาพที่ทำการเรนเดอร์ออกมา
Turn / Turn table - คือการเรนเดอร์โมเดลโดยการหมุนโมเดล 360 องศาเพื่อให้ดูรายละเอียดของโมเดลได้ครบทุกมุม กระบวนการนี้ไม่ต้อง composite
Pipeline - ผู้ดูแลกระบวนการการทำงานทั้งหมด เป็นคนวางแผนระบบการทำงาน การจัดเก็บไฟล์และโปรแกรมที่ใช้เพื่อให้กระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น