Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)  (อ่าน 34905 ครั้ง)

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 

------------------------------------------------------------------------------------------------

แค่มาตรวจสุขภาพประจำปีแท้ๆ ไหงกลายเป็นต้องเข้า 'ผ่าตัด' ไปได้ล่ะ 'ข้าวปั้น' Lighting Artist ที่บ้างานจนทำให้ตัวเองมาเป็นคนไข้ของคุณหมอ 'อคิน' ศัลยแพทย์มือดีหน้าตาราวกับหลุดออกมาจากปกนิตยสาร BAZAAR เสียอย่างเดียวหน้านิ่งเป็นปูนฉาบ ความบังเอิญที่ทำให้คุณหมออคินดันกลายเป็นเพื่อนเก่าของพี่ชาย แถมแม่ยังฝังหัวเขาให้เรียกหมอว่า 'เฮียคิน' เหมือนสมัยเด็กอีก เดี๋ยวนะ... นอกจากความบังเอิญซ้ำซ้อน หมอยังอยู่คอนโดเดียวกับผมอีกเรอะ!

แล้วนี่มันยังไง... ทำไมจู่ๆ ผมตื่นมาในสภาพตัวเปล่าแบบนี้กันล่ะ... แถมคำพูดของหมอนั่นมัน

"คนที่เรียกร้องก็คือคุณเอง จำไว้ด้วยนะครับ"

หมอคนเดิม... เพิ่มเติมคือเขาไม่ได้อ่อนโยนครับ

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น



สารบัญ

ตอนที่ 12 - หมอครับ ท้องฟ้าของที่นี่ไม่เหมือนกับที่นั่น


**** เหตุการณ์ สถานที่ และบุคคลในเรื่องเป็นเพียงเรื่องสมมติเพื่อความบันเทิง ไม่มีอยู่จริง และไม่มีเจตนาพาดพิงให้ผู้ใดเสียหาย ****

ขอให้สนุกนะคะ
เรื่องนี้ลงจนจบแล้วในเว็บอื่นๆ เพราะฉะนั้นจะเอามาลงเรื่อยๆ ถ้าทำได้จะลงทุกวันนะคะ ไม่ดองแน่นอนค่ะ
ต่อให้ไม่มีเม้นต์ก็ลงค่ะ ฮึบ
 :hao5:


มีอีกเรื่องที่ยูเขียนไปพร้อมๆ กันและจบแล้ว เป็นแนวดราม่า ฝากนิยายด้วยนะคะ

Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน?


SeenYu

https://twitter.com/_SeenYu

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-04-2020 00:56:25 โดย SeenYu »

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Intro

สวัสดีครับคุณหมอ



            “ผ่าตัด?”

            ผมเสียงสูงเมื่อได้ฟังคำวินิจฉัยของหมอที่นั่งอ่านแฟ้มประวัติผู้ป่วยของผมอยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนจะกลืนน้ำลายดังเอื้อก!

            “ครับ”

       นายแพทย์หนุ่มเจ้าของไข้ยืนยันเสียงนิ่ง ยังคงมองรายงานผลตรวจในมือ

       “ผะ... ผมแค่มาตรวจสุขภาพประจำปี ถะ... ถึงกับต้องผ่าตัดเลยเหรอครับ”

       ผมถามย้ำ คุณหมอเหลือบตามองหน้าผม สายตาคมกริบจนน่ากลัวมองผ่านเลนส์แว่นที่ล้อมด้วยกรอบสีเงินบางเฉียบ ดวงตาของหมอเป็นสีเขียวประหลาดที่ไม่ค่อยพบเจอในประเทศไทยเสียเท่าไหร่

       ต่างชาติ?

       หมอหนุ่มหลุบตาลงมองรายงานก่อนอธิบาย

       “คุณรู้ตัวบ้างมั้ย ว่าตัวเองกระเพาะทะลุไปแล้ว”

       “อ่า... เอ่อ... โอ๊ย!”

       จู่ๆ ไอ้อาการปวดจากโรคกระเพาะของผมก็กำเริบเมื่อรู้สึกเครียดฉับพลัน ร่างผมงอจนตัวแทบติดกับโต๊ะหมอ ต้องสูดลมหายใจลึกๆ นิ่งเข้าไว้เหมือนที่ทำเป็นประจำ

       “คุณยังไหวไหม?”

       เหงื่อกาฬผมเริ่มผุดเป็นเม็ดซึมตามไรผม คุณหมอหนุ่มลุกขึ้น กดเรียกพยาบาลหน้าห้องให้เข้ามาช่วยยกผมขึ้นไปนอนบนเตียง แต่ผมยกมือห้ามไว้ ค่อยๆ เงยตัวขึ้นมายิ้มซีดๆ

       “ผมไม่เป็นไรครับ พี่พยาบาลไม่ต้องยกผมนะครับ”

       พยาบาลสองคนที่ถูกเรียกเข้ามามองหน้าหมอที่ยืนดูอาการคนไข้อย่างผมเป็นเชิงถาม ผมถอนหายใจยาว ส่วนคุณหมอหนุ่มกอดอกพิงโต๊ะ ส่งสายตาบอกให้พยาบาลออกไป ก่อนจะเอ่ยถาม

       “ตกลงคุณจะเซ็นยอมรับการผ่าตัดมั้ยครับ ก่อนที่อาการจะแย่ไปมากกว่านี้”

       ผมทำหน้าลำบากใจ ความจริงก็รู้ตัวแหละว่าร่างกายผมน่ะพังยับเยินมากขนาดไหนจากความบ้างาน ที่ยอมมาหาหมอก็เพราะว่ารุ่นพี่ที่ทำงานบังคับแกมขู่เข็ญให้ผมมาใช้สิทธิ์ตรวจสุขภาพประจำปีของบริษัทที่ครอบคลุมยันโรคมะเร็งของปีนี้ก่อนจะหมดอายุ ไม่งั้นผมคงไม่ยอมลุกออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์โดยทิ้งงานที่กำลังจะเดดไลน์ออกมาโรงพยาบาลแน่นอน

       “คือ... ผมขอกลับไปเช็คตารางงานกับทำเรื่องขอกับบริษัทก่อนได้มั้ยครับ แล้ว... ค่อยนัด” ผมถอนหายใจ สมองคิดสะระตะวุ่นวาย ไหนจะงานที่ค้าง ไหนจะแมวที่เลี้ยง...

       หมอกลับมานั่งที่แล้วจับปากกา

       “ผมจะเขียนใบนัดให้ อีกหนึ่งอาทิตย์พบกันนะครับ”

   



       “เป็นไงมั่งวะข้าวปั้น เมื่อวานไปฟังผลตรวจมานี่นา” ทันทีที่ผมวางกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะ ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดย่างยี่สิบแปดก็เดินมาเท้ามือลงข้างโต๊ะ อีกข้างถือไม้หมูปิ้งเตรียมเอาเข้าปาก ผมเอามือลูบท้อง แอบหิวแฮะ...

       “หิวว่ะ พี่เจี้ยนอย่ามากินล่อหน้าสิ” ผมล้วงเอาซองยาในกระเป๋าออกมาวางบนโต๊ะ ก่อนเปลี่ยนเอากระเป๋ามาห้อยไว้ที่พนักเก้าอี้แทน แม่งเอ้ย... มียาก่อนอาหาร

       “ไม่ฝากซื้อวะ” พี่เจี้ยนยื่นอีกไม้มาให้ ผมรับมาเพราะเกรงใจยาก่อนอาหารของตัวเอง พี่เจี้ยนยังไม่เลิกถาม “แล้วตกลง ผลว่าไงบ้าง ตายยัง?”

       “ถ้าตาย พี่จะเป็นคนแรกที่ผมมาหลอก”

       “น่าดีใจ ที่มึงคิดถึงกูเป็นคนแรก”

       “คิดถึงสิ คิดถึงงานที่พี่ยังไม่ส่งให้ผมเนี่ย!” ผมเหลือบตามองเซ็งๆ โยนซองยาทั้งหมดไว้หน้าจอคอม ก่อนจะยัดยาก่อนอาหารเข้าปาก ตามด้วยน้ำเปล่าและหมูปิ้ง จากนั้นจึงดันแว่นสายตากรอบดำอันใหญ่ที่ทั้งสั้นทั้งเอียงของตัวเองขึ้น ก่อนหน้านี้ผมใส่คอนแทคเลนส์นะ แต่ตั้งแต่ที่อาการโรคกระเพาะของผมรุนแรงขึ้น ผมก็รู้สึกรำคาญมันขึ้นมาทันที

       “อุ๊ย! ขอโทษครับ” ไอ้พี่เจี้ยนทำทีเป็นนึกได้ แล้วพี่มันก็กลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเองที่อยู่ห่างจากโต๊ะของผมหนึ่งโต๊ะ

       ผมล้วงใบนัดหมอขึ้นมาพร้อมกับเอกสารรายละเอียดเกี่ยวกับการผ่าตัด ดีนะที่แม่ผมบังคับให้ทำทั้งประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ และประกันสุขภาพทิ้งๆ ไว้ เผื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งผมเองก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ใช้หรอก เพราะรถยนต์ผมก็ไม่ขับ รถมอเตอร์ไซค์ผมก็ไม่ขี่ มีนั่งบ้างบางครั้งถ้ารีบ โอกาสเสี่ยงในของผมชีวิตคือรถไฟฟ้าตกรางกับรถเมล์เบรกแตกเนี่ยแหละ

       ผมได้ยินเสียงทักทายแว่วๆ จากประตูแผนก ซึ่งเป็นเสียงของหัวหน้าแผนกของบริษัทที่ทำเกี่ยวกับงานโฆษณาและแอนิเมชันเต็มรูปแบบ ผมอยู่ฝั่งแอนิเมชันและเป็นอยู่ในทีม CG  ผมทำตำแหน่ง Lighting & Composite  เป็นหลักอยู่สามโปรเจคตอนนี้ เวลากระชั้นจนผมเลิกดูแลตัวเองไปเลยแม้ว่าก่อนหน้านั้นก็แทบจะไม่ได้ดูแลตัวเองอยู่แล้วก็เถอะ เข้างานสิบโมง เวลาเลิกงานหนึ่งทุ่ม แต่กลับจริงตีสอง บางวันก็ตีห้า ช่วงนี้นอนค้างแม่งที่บริษัทเนี่ยแหละ

       ถ้าไม่ใช่เพราะสวัสดิการดี เงินเดือนเยี่ยม แลกกับสุขภาพที่ย่ำแย่ ผมลาออกไปนานแล้ว!

       ผมถอนหายใจ ลุกขึ้นเดินไปที่ห้องทำงานของหัวหน้าแผนกหรือที่พวกผมเรียกตำแหน่งนี้ว่า CG Supervisor พร้อมกับใบนัดหมอ เคาะประตูสองสามครั้ง เมื่อได้ยินเสียงอนุญาตของคนในห้อง ผมก็ดันประตูเข้าไป พี่ซุปฯ ของแผนกผมที่กำลังนั่งตรวจงานผ่านหน้าจอ Mac 27 นิ้วเงยหน้าขึ้นมองพลางทัก

       “ว่าไงข้าวปั้น เมื่อวานลาไปฟังผลตรวจ เป็นไงมั่ง”

       “เอ่อ... คือ พี่อัฐครับ ผมมีเรื่องจะปรึกษาครับ”

       ผมเอาใบนัดกับผลตรวจไปวางไว้ข้างๆ โต๊ะ พี่อัฐเลิกคิ้วแล้วหยิบมาอ่าน

       “คือผมต้องเข้ารับการผ่าตัด น่าจะต้องลาประมาณสองอาทิตย์ หมอบอกว่าถ้าตกลงวันผ่าได้แล้วให้ผมไปตามนัด

หมออาทิตย์หน้าเพื่อตกลงวันผ่าและดูอาการครับ”

       “นี่เราเป็นโรคกระเพาะจริงๆ ใช่มั้ย?”

        “อ่า...” พี่เขาถามด้วยสีหน้ายุ่งๆ คิ้วเข้มขมวดจนผมใจหาย นี่พี่เขาคิดว่าผมตอแหลป่ะเนี่ย “ตอนนี้เปลี่ยนเป็นกระเพาะทะลุแล้วครับ”

       “ข้าวปั้นครับ” พี่อัฐถอนหายใจ “พี่เคยบอกแล้วใช่มั้ย ว่าความรับผิดชอบน่ะ นอกจากจะรับผิดชอบต่องานแล้ว ต้องรับผิดชอบต่อตัวเองด้วย พี่เคยไล่ให้เราไปหาหมอตั้งหลายรอบแล้ว พี่นึกว่าเรา

จะไปแล้วซะอีก นี่ปล่อยให้มันเป็นจนหนักหนาขนาดนี้ได้ยังไง”

       ผมก้มหน้า ยิ้มแหย มือชื้นเหงื่อ

       เขาจะไล่กูออกมั้ย กูลาตั้งสองอาทิตย์

       “ขอโทษครับพี่อัฐ”

       “แล้วอย่านึกว่าพี่ไม่รู้ ไอ้ที่กลับเที่ยงคืนตีหนึ่งกันน่ะ แผนกอื่นพี่ไม่รู้ แต่แผนกที่พี่ดูแลอยู่ต้องไม่ทำแบบนี้ เห็นมั้ยว่าการไม่ดูแลตัวเองมันส่งผลอะไรบ้าง”

       ผมหน้าเจื่อนหนักเข้าไปอีก โดนดุอีกแล้วกู
   
       “รีบไปนัดหมอให้ไวเลยครับ ก่อนจะเป็นเรื่องใหญ่มากกว่านี้”

       “คะ... ครับ... คือพี่ยอมให้ผมลา?” ผมเงยหน้า ตาวาววับ เริ่มเอามือกุมท้อง

       “แหงสิ ผ่าตัดนะ ไม่ใช่ไปเที่ยว ทำไมคิดว่าพี่จะไม่ให้ลา” พี่อัฐมองดุๆ

       “ก็พี่... ดูดุๆ... อ่ะ” ผมงึมงำ แต่พี่อัฐก็ได้ยิน เขาหัวเราะแล้วเดินมาวางมือเบาๆ บนหัวดังแปะ

       “พี่ดุที่อยู่กันดึกเกินไป พี่เข้าใจว่างานมันเร่ง แต่สำหรับงานโปรเจคเรา ก่อนหน้านั้นพี่ถามแล้วนะว่าไหวมั้ย แต่เราน่ะไม่เคยปฏิเสธ” พี่อัฐเท้าเอวมองผม

   ผมรู้ว่าพี่อัฐใจดีแต่ก็ดุด้วย แต่ว่านอกจากพี่อัฐที่เป็นคนแจกงานและฟอร์มทีมโปรเจค ก็ยังมีพี่อีกคนที่เป็นโปรดิวเซอร์ดูแลฝ่ายแอนิเมชันทั้งหมด เขามักจะมีปัญหากับพี่อัฐและพวกผมบ่อยๆ ทำให้ผมไม่กล้าพูดปฏิเสธงาน

       “ผม... ผมขอโทษครับพี่อัฐ”

       “เอาเถอะ ไปเขียนใบลามาแล้วรีบเคลียร์งานซะ วันนี้ก็รีบกลับบ้าน จัดตารางของตัวเองให้เรียบร้อย อะไรที่คิดว่าไม่ทันก็บอกพี่เดี๋ยวจะเทรดงานไปให้พวกไอ้โรม”

       “ครับพี่อัฐ”

   



       “อะไรนะ! ผ่าตัด! ว้อท? มึงผ่าตัดอะไร มะเร็ง!?”

       “มะเร็งพ่อง!” ผมด่ากลับขณะนั่งรอกินข้าวเที่ยง กลุ่มกินข้าวของผมมีกันห้าคนที่มักจะหอบหิ้วกันไป ไอ้คนที่โดนผมด่าก็คือไอ้เน เพื่อนที่เข้ามาทำงานพร้อมกันแต่จบจากคนละสถาบัน

       “โรคกระเพาะของพี่ใช่มั้ยอ่ะ” ฟาง สาวตำแหน่ง Lighting ที่มีฝีมือไม่น้องเลยทั้งๆ ที่เด็กกว่าตั้งสามปี เป็นเด็กเพิ่งจบใหม่หมาดๆ และมาสมัครงานที่นี่เป็นที่แรกเอ่ยเดาโรคของผม

       “ใช่ แต่ตอนนี้มันอัพเกรดเป็นกระเพาะทะลุไปแล้ว อาจเพราะเครียดงานด้วย” ผมไหลเกมดู ตอนนี้หน้าจอมือถือทุกคนอยู่ในแนวนอน เตรียมเข้าเกมกันเพื่อรอข้าวร้านป้าที่นานจนลืมไปเลยว่าสั่งอะไร

       “กูจะเล่นเมจ” ไอ้เนเทเรื่องผมทิ้งแล้วบอกตำแหน่งที่ตัวเองต้องการเล่น

       “ฟางแท้งค์นะ”

       “กูไฟต์เตอร์ เชี่ย พี่ดิน อย่าแย่งดิวะ” พี่เจี้ยนด่าพี่ดิน มือ Comp สุดโหด ตัวใหญ่ยักษ์อย่างกับตึกแต่เสือกชอบของน่ารักๆ ขนาดเคสโทรศัพท์ยังเป็นลายคุรุมิคู่ปรับของมายด์เมโลดี้เลย

       “กูจะเล่น มึงซัพไป (ซัพพอร์ต)” พี่ดินไม่สนใจ

       “เชี่ยพี่...” พี่เจี้ยนยอม ส่วนผม เหอะ อีกและ... ฟาร์ม

       “สัส” ทันทีที่เห็นตัวเล่นของอีกฝ่าย ผมก็รับรู้ได้เลยว่าเกมนี้ เหนียว...

       “เออ แล้วพี่จะผ่าตัดวันไหน ฟางจะได้ไปเยี่ยม... เชี่ย มันเอาป้อมว่ะ!” ฟาง สาวหัวร้อนถามพลางใส่อารมณ์กับเกม ผมรัวนิ้วกดสกิลตอบนิ่งๆ

       “ยันไว้พี่ได้บัฟและ เดี๋ยวสอยเอง” ผมบอก “ยังไม่รู้จะผ่าวันไหน รอหมอนัดอีกที แต่ว่าอีกสองอาทิตย์ หมอนัดไปคุย คงรู้วันนั้น”

       “ความจริงกูก็ไม่เห็นด้วยแต่แรกอยู่แล้วนะที่มึงรับทีเดียวสามโปรเจค แถมยังทำงานหามรุ่งหามค่ำอีก ตอนนั้นที่มึงเกือบโดนหามเข้าโรง’บาลเพราะปวดกระเพาะตอนเที่ยงคืน พวกกูเกือบบอกอัฐตั้งแต่ตอนนั้นละนะ แต่กูยอมใจที่วันต่อมามึงลากสังขารตัวเองเข้าบอพร้อมกับถุงน้ำร้อนอ่ะ” พี่ดินที่กำลังตีแท้งค์อีกตัวอยู่พูดปาวๆ ผมหน้าแหย หัวเราะแห้งขณะที่เข้าไปหลอยแครี่ของอีกฝ่าย

       “โปรเจคนั้นผมค้อมพ์โนดมันงงมาก ผมไม่กล้าให้ใครทำต่อนี่นา”

       “มึงอย่าลืม ว่าเรามีมือรื้ออันดับหนึ่งอยู่ด้วย” ไอ้เนพเยิดหน้าไปที่พี่คนตัวโต จ้ะ... กูเกรงใจเป็นมะ คราวก่อนก็ให้พี่ดินแกรื้อให้ งมไปเต็มๆ สองวัน จากนั้นกูก็กราบเช้ากราบเย็นพี่แกเนี่ย

       “มึงก็พูดๆ มา ว่ากลัวหมาบ้ามันกัด”

       ผมเงียบ พี่เจี้ยนดันจี้ใจดำ นิ้วที่กำลังรัวกดตีชะงักกึก ขนหัวลุกเลยครับ

       “ไม่เอาพี่เจี้ยน เดี๋ยววิญญาณร้ายกลายร่าง อย่าไปพูดถึง”

       คนที่พี่เจี้ยนให้ฉายาว่า ‘หมาบ้า’ ก็คือพี่ฤกษ์ โปรดิวเซอร์คู่กัดของพี่อัฐที่ร่วมงานกันบ่อยฉิบหาย โปรดิวเซอร์แม่งมีตั้งสามสี่คน เสือกจับได้อยู่ทีมเดียวกันตลอด

       นอกจากพี่ฤกษ์จะชอบกัดพี่อัฐทุกครั้งที่เข้ามาทวงงาน ยังชอบแว้งมากัดผมที่พี่แกชอบเรียกว่า ‘ลูกรัก’ อีกต่างหาก จนคนในทีมนอกจากไอ้กลุ่มกินข้าวกันห้าคนนี้เริ่มจับตามองความเป็น ‘ลูกรัก’ ของผมจนผมอยากจะประกาศกร้าวไปเลยว่า...

       ลูกรักหอก! อะไรล่ะ

       โดนด่าก็คนแรก

       ทำงานก็พลาดบ่อย

       ดีขึ้นมาหน่อยคือเรื่อง ถึก ทน ไม่ตายง่ายๆ

       ลูกรักพ่องสิครับ!

       “ข้าวได้แล้วจ้า กะเพราหมูสับไข่ดาว กะเพราหมูชิ้นดาวทอด กะเพราหมูชิ้นดาวน้ำ กะเพราหมูไก่ไม่ดาว กะเพราทะเลไข่ดาว ครบนะ”

       แก๊งกะเพราวางมือจากเกมที่จบด้วยคำว่า Loss แล้วลงมือโซ้ยข้าวเหมือน

ตายอดตายอยาก เพราะรอจนลืมไปแล้วว่าตัวเองสั่งกะเพราอะไรกันไป...



  CG / Computer Generated ก็คือสิ่งที่ถูกสร้างจากคอมพิวเตอร์ ส่วน CGI ก็มาจากคำว่า Computer Generated Imagery หรือก็คือภาพที่สร้างขึ้นจากคอมพิวเตอร์ ซึ่งใช้ Software สำหรับสร้างภาพสำหรับงาน 3D Animation
  Comp / Composite ก็คือการรวมองค์ประกอบภาพจากแหล่งข้อมูลแยกเป็นภาพเดียว มักสร้างภาพจากองค์ประกอบทั้งหมดเหล่านี้เป็นภาพเดียวกัน




ฝากคุณหมอกับน้องข้าวปั้นด้วยนะค้า
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 01

หมอครับ กระเพาะผมหาย



   “อาการเป็นยังไงบ้าง?”

   คุณหมอคนเดิม เพิ่มเติมคือรอยคล้ำใต้ตา

   สองอาทิตย์ผ่านไป ผมมาตามนัดหมอในวันศุกร์ หลังจากเคลียร์งานเสร็จไป สองโปรเจค เหลือโปรเจคสุดท้ายที่พวกพี่เจี้ยนบอกว่าจะช่วยให้แบ่งชอตมา ซึ่งผมก็เอาไปปรึกษาพี่อัฐแล้ว และงานของพี่เจี้ยนก็เหลือไม่มากพี่อัฐจึงยอมให้เทรดไป

   “ก็... มีอ้วกบ้างครับ ถ่ายเป็นเลือด... บ้าง บางวันหนักหน่อยก็เป็นลม...” เสียงผมอ่อยลงเรื่อยๆ

   “ผมว่า ผมคงเข้าใจผิดไป”

   คุณหมอวางปากกา มองผมแล้วขมวดคิ้ว

   “ครับ?” ผมไม่เข้าใจ

   “ทำไมคุณต้องทนจนถึงวันนัด ถ้ามันทนไม่ไหวจริงๆ คุณมาก่อนก็ได้ นี่ทนจนเป็นลมคือยังไงครับ คุณอยากหายจริงๆ  ใช่มั้ย?”

   หมอ!! ผมเป็นคนไข้นะเว้ย โปรดอ่อนโยนกับกูหน่อย ด่าเป็นพ่อเลย!

   ผมเกรี้ยวกราดแค่ในใจ แต่สิ่งที่ส่งออกไปคือเสียงหัวเราะแห้งๆ แห้งสนิท ผมไม่ค่อยถูกโรคกับการโดนดุเท่าไหร่ มันพาลเถียงอะไรไม่ออก อาจเป็นเพราะความเคยชิน โดนดุตั้งแต่ที่ทำงานยันโรงพยาบาล

   “ขอโทษครับ ผมไม่รู้ว่ามาก่อนวันนัดได้”

   หมอถอนหายใจนิ่ง เขาเปิดปฏิทินดูตารางของตัวเอง พิมพ์คอมพิวเตอร์เพื่อเช็คคิวผ่าตัด (ล่ะมั้ง) ก่อนบอกผม

   “วันศุกร์หน้าเตรียมผ่าตัดนะครับ แต่ถ้ามันทนไม่ไหวจริงๆ ให้แอดมิทฉุกเฉินพร้อมใบนัดผ่าตัด มันดีกว่าคุณทนแบบนี้ แล้ววันนี้เอายาไปกินให้ครบทุกมื้อนะครับ อ่านคำแนะนำการเตรียมตัวผ่าตัดด้วยนะครับ”

   “ครับ”

   “เจอกันวันศุกร์หน้าครับ”

   

   ศุกร์หน้าก็เหี้ยละ!

   ยังไม่ทันจะจับเมาส์ ผมที่เดินหน้าซีดเข้าบริษัทหลังจากไปหาหมอมาได้สองวัน หรือก็คือวันจันทร์อันสดใสของใครหลายๆ คนที่ไม่ใช่ของผม ทุกคนทักทายผมเป็นปกติแต่ผมทำได้แค่ครางตอบในลำคอ และทันทีที่ผมจับเมาส์จะโปรแกรม Deadline Slave  จู่ๆ ลำไส้ผมก็บิดตัวรุนแรง อะไรบางอย่างตีขึ้นมาถึงอกก่อนจะพุ่งออกมา ผมรีบหันตัวออกไปด้านข้างเพราะกลัวสิ่งที่ออกมาจะเปื้อนคอมพิวเตอร์ให้คนอื่นขยะแขยงเล่น เลือดลิ่มออกมาพร้อมโจ๊กเมื่อเช้าที่ผมฝืนกระเดือกมันลงไป หน้ามืดทรุดลงล้มตึงไปเลย เล่นเอาทุกคนโหวกเหวกโวยวายกันยกใหญ่ ผมได้ยินนะ มีสติบ้าง พอจับใจความได้ว่าคนที่มาเขย่าตัวผมก็คือพี่ดินที่นั่งทำงานอยู่ด้านหลังผม กับเสียงโทรเรียกรถพยาบาลของฟาง จากนั้นสติทั้งหมดก็ดับวูบไป

   ผมตื่นขึ้นมาอีกที กลิ่นโรงพยาบาลทำให้ผมไม่ต้องถามเหมือนในละครเลยว่าที่นี่ที่ไหน ผมแปลกใจที่ทำไมในละครถึงคิดเองไม่ได้ว่ากลิ่นยาหึ่งขนาดนี้มันจะเป็นที่ไหนได้อีก เข็มที่ต่อกับสายน้ำเกลือปักอยู่บนหลังมือ ผมหันไปมองรอบๆ ก็เจอเข้ากับดวงตาดุจัดสีเขียวประหลาดที่ยืนจ้องผมผ่านเลนส์แว่น ในมือถือกระดานรองเขียนที่มีรายงานผลตรวจล่ะมั้งอยู่ ก่อนส่งให้พยาบาลข้างๆ ร่างสูงโน้มตัวลงมาเอาหูฟังหมอ (Stethoscopes) ทาบที่อกผม สั่งให้ผมหายใจเข้าลึกๆ แบบงงๆ ก่อนจะหันไปบอกอะไรไม่รู้กับพยาบาล จากนั้นจึงค่อยหันกลับมาคุยกับคนไข้ในสังกัด

   “ผมขอโทษที่คาดเดาอาการของคุณผิด ผมน่าจะนัดผ่าตัดคุณวันนั้นเลย”

   แต่หน้าหมออ่ะ ไม่ได้ขอโทษผมซักนิด

   “รู้สึกยังไงบ้างครับ” เสียงเขาอ่อนลง ผมครางตอบเพราะเสียงแทบไม่มี

   “ผมรู้สึกเหมือนกระเพาะหาย”

   “แหงสิคุณ เลือดออกในท้องขนาดนั้น ฉีดยาระงับไม่ทันคุณตายได้นะ”

   “ผมขอโทษครับ”

   หมอถอนหายใจ

   “เตรียมผ่าตัดครับ อีกสามชั่วโมง”

   “ละ... แล้ว ผมต้องมีคนเฝ้าไข้มั้ยครับ แค่ก!” ผมรีบพูดจนไอออกมาเพราะคอแห้งผาก พยาบาลรีบเดินเข้ามารินน้ำให้ ผมจิบไปนิดหน่อยเพราะกลืนลำบาก

   “มีคนมาเฝ้าคุณแล้ว รู้สึกว่าเขาจะออกไปคุยโทรศัพท์...”

   “ข้าวปั้น!” เสียงหัวหน้าของผมดังมาจากประตูหน้าห้อง พี่อัฐเดินเข้ามาแล้วคุยกับหมอ

   “หมอครับ น้องผมมันเป็นยังไงบ้าง” พี่อัฐหันไปถาม หมอมองพลางตอบนิ่งๆ แบบเดิม

   “อันตรายเล็กน้อย เตรียมผ่าตัดในอีกสามชั่วโมงครับ คุณเป็นญาติคนไข้รึเปล่า?”

    หมอถาม พี่อัฐส่ายหน้า

   “ผมเป็นหัวหน้าเขา เมื่อกี้พี่ติดต่อพ่อแม่ของข้าวแล้วนะ ท่านบอกจะรีบนั่งเครื่องมา” พี่อัฐบอก ผมยกมือไหว้ขอบคุณที่เขาเป็นธุระให้ ก่อนจะมองหน้าหมอที่... มองพี่อัฐแปลกๆ

   เฮ้! หมอ แอม ยัวร์ เคส!

   “งั้นคุณจะรอเฝ้าเขาแทนพ่อแม่ก่อนมั้ยครับ”

   “ครับ” หัวหน้าผมตอบรวดเร็ว หมอพยักหน้าก่อนยื่นใบยินยอมรับการผ่าตัดพร้อมปากกาให้ผม

   “ใบยินยอมรับการผ่าตัดครับ”

   ผมรับมาเซ็นชื่อลงไปก่อนส่งคืน ท่าทางของหมอแม่งเฟี้ยวโดนใจผมจริงๆ เกิดมาไม่เคยเจอหมอห่าไรไม่ยิ้มให้คนไข้เลย แล้วคนไข้มันจะมีกำลังใจมั้ยเนี่ย หนักมั้ยหน้ารูปปั้นนั่นน่ะ

   หมอออกไปแล้ว ผมแอบอ่านชื่อหมอเจ้าของไข้ในใบยินยอม ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าใช่ชื่อเขาหรือเปล่า ลืมสังเกตตรงอกเสื้อด้วยว่าเขาติดว่าชื่ออะไร เพราะตอนนี้ผมไม่ได้ใส่แว่น ไกลประมาณฟุตนึงผมก็มองไม่เห็นแล้วครับ

   ผศจ. นายแพทย์ อคิน แอลล์ วรโชติอิงคนันท์

   โหแม่ง ชื่อยาวฉิบหาย ผมจำได้รอบเดียวเท่านั้นแหละ ป้ายชื่อแม่งพอเขียนเหรอวะ

   “พี่ตกใจมากที่จู่ๆ เลือดก็ท่วมบริษัท”

   “ขะ... ขอโทษฮะ”

   ผมหลับตาลง ปวดกระเพาะตุบๆ รับรู้ได้เลยว่าน่าจะมีอะไรรั่วซึมออกมา ไม่ขยับเยอะจะดีกว่า

   “มีหวังพ่อแม่ข้าวด่าบริษัทพี่ยับแหง ทำลูกเขาเลือดตกยางออก” พี่อัฐเล่นมุข ผมส่ายหัว ม๊ามีแต่จะด่าผมน่ะสิว่าโง่ ปล่อยให้ตัวเองเป็นหนักขนาดนี้ได้ยังไง

   พี่อัฐปล่อยให้ผมพักผ่อน ส่วนตัวเองก็เอาโน้ตบุ๊คมาเปิดแล้วรีโมท เข้าเครื่องที่บริษัทเพื่อตรวจงาน ระหว่างนั้นผมก็สังเกตว่าเสียงไลน์ดังไม่หยุดจนพี่อัฐปิดเสียงไป ผมเลยอยากได้มือถือของตัวเองบ้าง แต่พี่อัฐบอกให้ผมพักผ่อน ผมจึงทำได้แค่ใช้เวลาสามชั่วโมงในการเตรียมใจ มองฟ้า มองเพดาน มองข่าวในโทรทัศน์

   “เอ่อ... พวกพี่ดินเป็นไงมั่งครับ ผมจำได้ลางๆ ว่าคนที่เข้ามาพยุงผมคือพี่ดิน”

   “อ๋อ แตกตื่นกันยกใหญ่ ดินมันแทบแบกข้าวเอามาส่งเองที่โรง’บาลแล้ว ติดที่กลัวจะกระทบกระเทือนกัน เลยรอรถพยาบาลมา เออ... เตรียมตัวดีเหมือนกันนะเรา พกใบนัดหมอติดตัวตลอด ไอ้เจี้ยนก็ฉลาด ค้นจนเจอจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปโรงพยาบาลอื่น เพราะเรานัดหมอที่นี่ไว้แล้ว”

   “ครับ เห็นหมอบอกว่า ถ้าไม่ไหวก็ให้มาก่อนวันนัดได้ เลยพกไว้ฉุกเฉิน”

   “เราน่ะ รู้ตัวบ้างมั้ยว่าตัวเองทนได้หรือไม่ได้ คราวหลังไม่เอาแล้วนะเว้ย เล่นเอาพี่ๆ น้องๆ ใจหายใจคว่ำกันหมด” พี่อัฐดุไม่จริงจัง แต่แสดงถึงความเป็นห่วง

   “คร้าบ”

   โชคดีจริงวุ้ยที่ได้พี่อัฐเป็นหัวหน้าทีม



   ใช้เวลาผ่าตัดประมาณห้าชั่วโมง กว่าผมจะฟื้นก็ปาไปเที่ยงของอีกวันนึง เมื่อตื่นมา คนแรกที่ผมเจอก็คือม๊าที่ฟุบหลับอยู่ข้างเตียง ผมอมยิ้มบางๆ แม้จะมองไม่ค่อยชัดเพราะไม่ได้ใส่แว่น แต่ก็เอื้อมมือไปแตะแขนเสื้อยับๆ ของคนเป็นแม่ได้ถูก

   “หืม... อ้าว! ปั้น! เป็นไงมั่งลูก เจ็บอยู่มั้ย”

   ม๊าผู้รู้ตัวไวแค่สะกิดสะดุ้งตัวขึ้นมาแล้ว ม๊าจับเนื้อจับตัวผม ไม่รู้เพราะฤทธิ์ยาในหลอดที่คู่กับสายน้ำเกลือรึเปล่าถึงทำให้ผมไม่รู้สึกอะไรเลยตอนนี้

   “ไม่รู้สึกอะไรเลยม๊า”

   หม่าม๊าของผมถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะทำหน้ายักษ์ ตีแขนผมเบาๆ

   “ม๊าบอกแกกี่ครั้งแล้ว ว่าอย่าหักโหม! ข้าวก็โกหกทุกครั้งว่ากินใช่มั้ย มันน่าตีให้ตาย!”

   “โธ่ม๊า! ลูกชายเพิ่งผ่าตัดนะ อย่ารังแกคนป่วยดิ” ผมอ้อน ม๊าย่นหน้าก่อนจะลูบหัวผมแบบงอนๆ ประตูห้องเปิดออก ร่างสูงมั่นคงของปาป๊าผมเข้ามาพร้อมถุงกับข้าว

   “ไงปั้น ดีนะที่ไม่ตาย” ป๊าผมทักเป็นเรื่องปกติ

   “ป๊า! ปากเสีย ตบปากตัวเองสิบที!” ม๊าหันไปดุป๊าผมที่ยอมยกมือตบปากตัวเองเบาๆ ตามคำสั่งเมีย เล่นอะไรกันเป็นเด็กๆ เฮ้อ!

   เนื่องจากผมเป็นลูกชายคนเล็กของบ้านจากบรรดาพี่น้องสี่คน ม๊าจึงโอ๋ผมที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยตามใจ สอนให้รู้จักอดทน จนกลายเป็นคนฝืนตัวเองแบบนี้นั่นแหละ

   “เออ ฟื้นแล้ว เดี๋ยวม๊าไปเรียกหมอให้นะ” แล้วหม่าม๊าที่แสนร่าเริงของผมก็ลั้ลลาออกจากห้องไป ป๊าเดินเข้ามาลูบหัวยุ่งๆ อย่างเอ็นดู

   “ดื้อจนได้เรื่อง”

   “เจ้ฟ่าง เจ้หอม เฮียปุ้น รู้ป่ะว่าปั้นผ่าตัด” ผมถามถึงบรรดาพี่ๆ ของผม ป๊าหัวเราะแล้วนั่งลงข้างเตียง

   “เดี๋ยวบินตามมา ข้าวฟ่างอยู่สิงคโปร์คงมาไม่ได้แต่บอกว่าถ้าปั้นฟื้นให้คอลหา ข้าวหอมกับข้าวปุ้นเคลียร์งานแทนป๊าอยู่ บอกว่าน่าจะถึงตอนห้าโมง”

   กูว่าละ!

   “บอกไม่ต้องมาก็ได้นะ สงสารโรง’บาล” บ้านนี้พี่น้องคุยกันเสียงดังครับ ผมกลัวพยาบาลไล่ คนที่เบาที่สุดคงเป็นป๊ากับผม แต่ห้ามไปก็เท่านั้นเพราะบรรดาเจ้ๆ เฮียๆ นอกจากจะชอบแกล้งผม ก็ยังโอ๋ผมไม่ต่างจากป๊ากับม๊า เรียกว่า ‘ข้าแกล้งของข้าได้คนเดียว หมาที่ไหนก็อย่ามายุ่ง’ ผมจึงไม่เคยโดนใครแกล้งเลยสมัยเด็ก นอกจากพี่ตัวเอง...

   ไม่นานนัก ประตูห้องคนไข้ก็เปิดอีกครั้ง ม๊าเดินเข้ามาก่อน ตามด้วยหมอคนเดิม เพิ่มเติมคือเนคไทที่ร่นลงมาจากคอเสื้อเล็กน้อยดูไม่เนี้ยบเหมือนเก่า หมอเปลี่ยนชุดแล้ว วันนี้เป็นเชิ้ตสีเขียวอ่อน เนคไทสีน้ำเงิน ดูแก่ขึ้นจม... หน้าตาก็ยังคงนิ่งสนิทได้ใจ

   “ป๊า! ดูสิว่านี่ใคร” ม๊าผมเข้ามาปุ๊บก็ร้องเรียกป๊าอย่างตื่นเต้น ชายวัยกลางคนหันกลับไปเลิกคิ้วมองหน้าหมอก่อนจะนึกออก

   “อคิน? ใช่รึเปล่า”

   “สวัสดีครับ” หมอยกมือไหว้ป๊าผม ส่วนผมมองด้วยความสงสัยสุดๆ ม๊าเดินลั้ลลาเข้ามาหา

   “ปั้น จำพี่เขาได้มั้ยลูก เฮียคิน เพื่อนเฮียปุ้นไง” ม๊าแนะนำอย่างสนิทสนม ส่วนผมเบิกตากว้าง ก่อนจะหรี่ตาลงพลางเอียงคอฉงน

   ใครวะ? เฮียคินไหนวะ?

   “คงจำไม่ได้หรอกครับ ผมไปที่บ้านคุณลุงครั้งสุดท้ายก็ยี่สิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นน้องน่าจะแค่สี่ห้าขวบ”

   น้อง! ขนลุกเลยครับ...

   ผมค่อยๆ ยกมือขึ้นไหว้อย่างรู้งาน

   “สะ... สวัสดีครับ หมอ”

   “สวัสดีครับ” หมอหน้านิ่ง... นิ่งสนิท นิ่งเหมือนไม่อยากรู้จักกู

   “ผมขอตรวจอาการหน่อยนะครับ”

   จากนั้นคุณหมอก็ขอทางเข้ามาตรวจอาการผม เขาถามไถ่ต่างๆ เพื่อให้พยาบาลจด จากนั้นก็ขอตัวออกไปโดยที่ไม่ถามเรื่องผมซักคำ

   นี่หมอเขารู้จักกูแน่ใช่มั้ย เพื่อนเฮียปุ้นจริงป่ะเนี่ย?

   หลังจากนั้น พอเกือบๆ หกโมงเย็น ร่างของเจ้ข้าวหอมกับเฮียข้าวปุ้นก็โผล่มาโหวกเหวกโวยวายตามประสา จับผมพลิกหน้าพลิกหลังสำรวจอาการว่ามีตรงไหนชำรุดอีกมั้ย ผมทำได้แค่ตอบว่า ผมโอเค ผมโอเคแล้วครับ

   “ปุ้น ม๊าเจออคินด้วยนะ โตเป็นหนุ่มหล่อเลย บังเอิญจริงๆ เพราะอคินเค้าเป็นหมอเจ้าของไข้เจ้าปั้นพอดีเลย”

   “หืม? ไอ้คินอ่ะนะม๊า หูย ไม่เจอหน้ากันจะสิบปีแล้วมั้งเนี่ย หลังจากมันย้ายไปเรียนเมกา แบบนี้ต้องอยู่ทักทายหน่อย ว่าแต่... มันยังพูดน้อยเหมือนเดิมปะ?” เฮียปุ้นที่กำลังโซ้ยก๋วยเตี๋ยวเรือที่ป๊าซื้อมาตั้งแต่กลางวันแข่งกับเจ้หอมที่โซ้ยผัดไทยอยู่ข้างๆ ถาม

   สงสัยเจ้กับเฮียจะรีบขึ้นเครื่อง ดูหิว

   “คินไหนเฮีย?” เจ้หอมถามอย่างคนอยากรู้ ทั้งที่ผัดไทยยังเต็มปากจนโดนม๊าตีเข้าให้

   “ก็ไอ้อคิน ที่เคยมาเที่ยวบ้านเราช่วงเฮียอยู่ประถมไง ที่หล่อสุดในห้องเฮียอ่ะ ตอนนั้นแกยังปลื้มกรี๊ดกร๊าดเอาไปอวดเพื่อนๆ อยู่นี่ว่า เฮียคินมาเที่ยวบ้านๆๆๆ” เฮียปุ้นทำเสียงล้อเลียนเจ้หอมจนน่าหมั่นไส้ เจ้คนสวยจึงลองนึกดูแล้วก็ร้องอ๋อยาวๆ ก่อนจะกรี๊ดกร๊าด

   “หูย! ไอดอลสมัยเด็ก โตขึ้นหล่อมากมั้ยม๊า อยากเจอๆ”

   “หล่อมาก ม๊าเนี่ยใจสั่นเลย”

   “กรี๊ดๆๆๆ” แล้วสองแม่ลูกก็กรี๊ดหนุ่มๆ กันไป ผมกับป๊ามองหน้ากัน ป๊าส่ายหัว

   เนี่ยแหละน้าม๊าผม วัยรุ่นไม่เคยยอมแก่

   หลังจากนั้นในแชทของผมทั้งไลน์ทั้งเฟซบุ๊คก็มีแจ้งเตือนไม่หยุด ทั้งจากเจ้ฟ่าง พี่เจี้ยน พี่ดิน ไอ้เน ไอ้ฟาง แม้กระทั่งพี่อัฐที่ปกติจะไม่ทักแชทส่วนตัวมานอกจากทักมาตักเตือน เหมือนทุกคนพร้อมใจกันทักหลังเลิกงาน (เวลาเลิกงานนะ ไม่ใช่เวลาออกงาน) ผมแทบจะ copy paste คำตอบส่งให้ทุกคนเลยทีเดียว แต่บุคคลที่ไม่คาดฝันที่ทักผมมาก็คือคนที่ผมไม่ได้แอดเป็นเพื่อนด้วย มันจึงขึ้นเป็นข้อความขอนุญาตติดต่อ

   K.Rerge : น้องข้าวปั้น ผ่าตัดเป็นยังไงบ้าง?

   ผมนี่ตามัวไปเลย ชื่อนี่... มันอ่านว่ายังไงวะ เรอกี้ เหรอ?

   ผมยังไม่ตอบและยังไม่เข้าไปอ่าน แต่กดเข้าไปดูหน้าโปรไฟล์แทน เห็นรูปชายผมสีดำดูดี ใส่แว่นกันแดดแบบเลนส์ปรอทหันข้าง หน้าคุ้นฉิบหาย คุ้นจนอยากจะปาโทรศัพท์ทิ้ง

   พี่ฤกษ์หมาบ้า!

   ผมเผลอเอามือมากุมท้องตามความเคยชิน แม้จะไม่ได้ปวดจากอาการโรคกระเพาะอักเสบ แต่เป็นอาการปวดจากการเกร็งท้องแทน

   ผมคว่ำโทรศัพท์ ถอนหายใจ ทำเป็นไม่เห็นก็แล้วกันวะ ยังไงๆ มันก็ไม่แจ้งเตือนอยู่แล้ว

   “ไอ้ตูด! งั้นเดี๋ยวเฮียกับหอมกลับก่อนนะ งานที่ไร่บานเบอะ ทิ้งด่วนมา ปล่อยให้ลุงหนานแกช่วยดูแลอยู่ พรุ่งนี้มีส่งหน่อสับปะรดภูแลกับกล้าอบเชยนะป๊า” เฮียลุกมาลูบหัวผมเบาๆ ก่อนหันไปบอกป๊าที่นั่งตรวจหุ้นในมือถืออยู่บนโซฟา ป๊าผมพยักหน้ารับ วางใจให้ลูกชายดูแล ผมมองนาฬิกาที่ตอนนี้บอกเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว นี่จองตั๋วกลับกันแล้วเรอะ?

   “กลับไงอ่ะเฮีย ไฟล์ตดึกเหรอ?”

   “เปล่า ใครจะไปจองทัน” ก่อนพเยิดหน้าไปทางเจ้หอมที่ทำหน้าย่นมองมือถือพลางรัวแป้นพิมพ์ “มีสารถีมารับ”

   “อ๋อ... ฝากสวัสดีพี่กรด้วยนะ”

   “บอกให้มาตอนตีสองๆ แม่งดื้อจังวะ อดเจอหน้าเฮียคินเลย” พี่สาวผมกระทืบเท้าเอาแต่ใจ ม๊าผมที่พึ่งออกจากห้องน้ำถลันเข้ามาหยิกแขนเจ้คนสวยที่ทำกิริยาไม่เหมาะสม

   “เขาเหนื่อยใจกับแกแล้วจะหนาว จะสามสิบแล้วนะ ถ้ากรเขาทิ้งแกก็ไม่มีใครเขาเอาแกแล้วนะยัยหอม”

   “ม๊า!”

   สุดท้ายแล้วเจ้กับเฮียของผมก็กลับไปก่อนหมดเวลาเยี่ยมโดยไม่ทันได้เจอกับหมอเสียที ป๊าผมเองก็กลับไปนอนทีคอนโดผมแทนเพราะโรงพยาบาลให้ญาติเฝ้าไข้แค่คนเดียว ซึ่งคนทำหน้าที่นี้ก็หนีไม่พ้นม๊าผมอยู่แล้ว

   ในขณะที่ผมเคลิ้มหลับไปเพราะฤทธิ์ยา จู่ๆ ประตูห้องคนไข้ก็ถูกเคาะและเปิดออก ทีมหมอเจ้าของไข้ของผมนั่นเอง ผมสะลึมสะลือตื่นพร้อมๆ กับม๊า หมอคนเดิมเพิ่มเติมคือเนคไทหายไปแล้วเดินนำเข้ามา

   “ขอโทษครับที่มาตรวจเสียดึก ผมพึ่งผ่าตัดเสร็จ” หมอหันไปบอกม๊าผมที่ลูบผมกระดกของตัวเองอย่างเขินอาย หันมามองผมที่ขยี้ตาเบาๆ

   ง่วงฉิบหายหมอ!

   “ปวดมากมั้ย”

   ผมจับท้อง เริ่มรู้สึกปวดหนุบๆ แต่ไม่มาก หมอดูชีพจรและยาแก้ปวดในหลอดที่หมดเกลี้ยง ผมคว้าแว่นข้างเตียงมาใส่ มองหน้าหมอที่ตอนนี้แทบจะเป็นแพนด้า

   สภาพหมอแม่งแทบไม่ต่างกับผมตอนเดดไลน์เลยว่ะ

   “เอ่อ นิดหน่อยครับ” ผมยังคงมองหน้าเขา ลองสังเกตหน้าหมอแบบจริงๆ จังๆ ครั้งแรก

   นอกจากดวงตาดุๆ นิ่งๆ ไม่เป็นมิตรสีเขียวประหลาดภายใต้เลนส์แว่นกรอบเงินทรงสี่เหลี่ยมอันเดิม โครงหน้าคมคาย สันกรามแข็งแรง ริมฝีปากสีชมพูสุขภาพดี แม้ใต้ตาหมอจะคล้ำเหมือนคนอดนอน ในขณะที่ปากของผมช่างแห้งผากเพราะขาดน้ำ ไรเคราขึ้นเขียวเหมือนคนเพิ่งจะโกนเมื่อเช้าทำให้หมอดูแมนมาก จมูกโด่งเป็นกำแพงเมืองจีน เส้นผมสีดำตัดสั้นเป็นระเบียบถูกเสยขึ้นจนเปิดให้เห็นหน้าผากกว้างดูดี ร่างกายก็สูงใหญ่พอๆ กับเฮียปุ้น แต่ไม่ได้ล่ำกล้ามบึ้กเท่าเพราะหมอคงไม่ไปแบกจอบหามไม้เหมือนรายนั้น เป็นร่างกายที่มวลน่าจะได้มาจากการออกกำลังกายเป็นกิจวัตรทำเอาผมอิจฉา

   ความจริงผมก็อยากไปเตะบอลบ้าง...

   ผมเลื่อนสายตากลับไปมองรอยคล้ำที่ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่

   “หมอ... ง่วงมั้ยครับ”

   จู่ๆ ผมก็ถามออกไปแบบไม่ได้ตั้งใจ คือไอ้สิ่งที่คิดมันดันดังเกินไปจนออกปากมา ทั้งพยาบาลที่เบิกตากว้าง ทั้งม๊าผมที่ยกมือปิดปากตะลึงคำพูดของลูกชาย และผมที่สะดุ้งคำพูดตัวเองจนต้องรีบหลบตา หัวเราะแห้ง ก่อนเอามือลูบท้ายทอยตัวเอง

   “โทษทีครับ ผม... ผมแค่...” แค่คิดดังไปหน่อย

   คนที่สีหน้าแทบไม่เปลี่ยนก็คงจะเป็นคนถูกถาม ที่ทำเพียงมองมาทางผม

   “ผมดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

   “ถามอะไรแบบนั้นข้าวปั้น! เอ่อ... อคิน ป้าขอโทษแทนน้องด้วยนะลูก น้องคงสะลึมสะลือ” ม๊ารีบแก้ตัวให้ ผมควรแกล้งตาปรือแล้วทำเป็นละเมอดีมั้ยวะม๊า!

   “ไม่เป็นไรครับ” หมอบอกปัด ก่อนหันกลับมาบอกพยาบาลที่ยกเอาแผ่นรองเขียนขึ้นปิดปากขำ ตาหมอดุจัดเลยครับ จนพี่พยาบาลรีบหุบยิ้ม “ถ้าคนไข้ปวดมาก ให้จ่ายยาระงับปวดให้ทุกสี่ชั่วโมง”

   “ได้ค่ะคุณหมอ”

   “ส่วนคุณ อย่าทนอีกล่ะครับ ถ้าปวดขึ้นมาจนไม่สบายตัวให้กดเรียกพยาบาลนะครับ”

   เขาดุกูอีกแล้วใช่มะ? โอเคๆ ผมพยักหน้ารับ หมอหันไปสวัสดีม๊าผมก่อนออกจากห้อง ผมรีบคลุมโปงทันที เพราะรู้ว่าม๊าต้องสวดผมยับแน่นอน

   “เจ้าปั้น! นี่ อย่ามาคลุมโปงหนีม๊านะ ทำไมไปพูดกับเฮียเขาแบบนั้นล่ะ เสียมารยาทจริงๆ ลูกคนนี้ โถ... อคิน ป่านนี้คงคิดว่าตัวเองโทรมจนเห็นได้ชัดแล้วมั้งเนี่ย”

   “ม๊า! ปั้นแค่คิดดังไปหน่อย ปั้นเห็นขอบตาหมอคล้ำๆ เลยเผลอตัว โว๊ะ!”

   ผมสะบัดผ้าออก เถียงกลับ ม๊าทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียงแล้วตีเผียะเบาๆ ที่ไหล่

   “แล้วไหงมาเรียกคุณๆ ผมๆ ทีเมื่อก่อนยัง ‘เฮียคินอย่างนู้น น้องปั้นอย่างนี้’ อยู่เลย” ม๊าถาม ไอ้ผมนี่ขนลุกพรึ่บพรั่บ ว้อท?

   “ขนลุกม๊า ปั้นจำหมอไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่อยู่ในสารบบความจำเลย แถมอีกฝ่ายก็ดูไม่อยากรื้อฟื้นความทรงจำกับปั้นเท่าไหร่ ยังไงก็เจอกันไม่บ่อยซักกะหน่อย ปั้นไม่เข้าๆ ออกๆ โรง’บาลบ่อยหรอกนะ” ผมตวัดผ้าห่มคลุมตัวเองอีกครั้ง ม๊าถอนหายใจ คงรู้สึกเสียดายความสัมพันธ์พี่น้องของผมกับหมอ

   เฮ้! ผมรู้จักเขาเรอะ เพื่อนสมัยเด็กที่ผมจำได้มีแค่ไอ้มังคุด หมาพันธุ์ปั๊กที่เคยเลี้ยงไว้เท่านั้นแหละ!

   อคิน... อคิน... อคินไหนวะ รู้จักแต่หมออคิน หน้านิ่งไม่รับแขกเท่านั้นแหละว้อย!



#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
:call:
SeenYu

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
น่าติดตามครับ,,,,

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
งู้ยย น้องปั้นเฮียอคินนนน 555 เอ็นดูปั้นนน

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 02

หมอครับ นั่นออดี้



   วันนี้เป็นวันที่ผมต้องออกจากโรงพยาบาล หลังจากผ่าตัดมาได้เจ็ดวัน ผมไม่มีอาการแทรกซ้อน แผลสมานตัวดี ไม่มีการติดเชื้อใดๆ สามารถทานอาหารปกติได้แล้วแต่ยังคงต้องเป็นอาหารอ่อน ช่วงแรกผมต้องเจอกับหมอเจ้าของไข้ทุกวัน วันละประมาณสองครั้ง แต่พักหลังๆ เจอกันประมาณครั้งเดียวหรือไม่เลย แต่มีหมอคนอื่นมาแทนบ้างเนื่องจากหมออคินติดธุระหรือไม่ขึ้นเวร

   ตั้งแต่ที่หมอบอกว่าอาการผมคงที่ในวันที่ห้า ผมก็บอกให้ป๊ากับม๊ากลับเชียงรายได้แล้ว เพราะป๊าทิ้งไร่มานานไปแล้ว และอีกอย่าง พวกพี่เจี้ยนก็ผลัดๆ กันมาเยี่ยม ตอนแรกม๊าไม่ยอมกลับ จะอยู่ดูแลผมจนกว่าจะออกจากโรง’บาลนั่นแหละ แต่ผมเบรกก่อน

   “ม๊า ปั้นกระโดดให้ดูมั้ยจะได้เชื่อว่าปั้นโอเค เดี๋ยววันจันทร์ปั้นก็ไปทำงานแล้ว จะอยู่ทำไมอ่ะ กลับเชียงรายเหอะ เดี๋ยวเจ้หอมแห้งตายเพราะไม่มีใครทำกับข้าวให้กินนะ”

   “ช่างเจ้าหอมมันสิ โตจะแต่งงานอยู่แล้ว ให้มันหัดเข้าครัวทำเองซะบ้าง เดี๋ยวแม่สามีก็ได้เตะออกจากบ้านฐานไร้เสน่ห์ปลายจวักกันพอดี!” ม๊าผมกอดอกเชิดใส่ ป๊าได้แต่ส่ายหัวตามใจม๊าแหละ ทั้งที่ตัวเองก็เป็นห่วงไร่ยิกๆ เพราะช่วงนี้มีคนสั่งของเยอะด้วย แม้จะไว้ใจเฮียปุ้นกับเจ้หอมให้ดูแลต่อ แต่ป๊าผมก็คงอยากไปดูแลสินค้าด้วยตัวเองมากกว่าการมานั่งๆ นอนๆ อยู่เฉยๆ ตั้งอาทิตย์ คนทำงานมาทั้งชีวิตอย่างป๊าคงไม่สบายใจ

   “ม๊า ปั้นโอเคจริงๆ ป๊าก็เป็นห่วงไร่ อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ทำอะไร น่านะ เดี๋ยวปั้นจะวิดิโอคอลหาทุกวันเลยดีมั้ย ม๊าจะได้สบายใจ”

   ผมกอดเอวท้วมของคนเป็นแม่ไว้อย่างออดอ้อน มองหน้าป๊าที่นั่งซดน้ำเต้าหู้อยู่บนโซฟา คงคร้านจะพูด เพราะรู้ว่าม๊าห่วงผมขนาดไหน คงเพราะผมอยู่ไกลหูไกลตา ไม่เหมือนเฮียปุ้นกับเจ้หอมที่ทำงานต่อจากที่บ้าน สาววัยกลางคนย่างหกสิบสะบัดตัวอย่างขัดใจ ก่อนยอมลูบหัวลูบไหล่ผมอย่างเอ็นดู

   “ก็ได้ ปั้นสัญญากับม๊านะ จะไม่ลืมกินข้าว ทำตามคำสั่งหมอ กลับบ้านเร็วๆ อย่าหามรุ่งหามค่ำแบบเดิมอีก โตแล้วอย่าทำให้ม๊าเป็นห่วงมากสิ ม๊ายอมให้เราเรียนตามที่ชอบ ไม่ได้แปลว่าม๊าจะยอมให้ใช้ชีวิตทิ้งๆ ขว้างๆ นะ” คำสอนของม๊า ต่อให้ผมโตแค่ไหน ม๊าก็ยังเห็นผมเป็นเด็กๆ อยู่วันยังค่ำ ผมตอบรับ

   “คร้าบ!”

   แต่จะทำได้นานมั้ยไม่รู้นะ อิอิ

   แต่นั่นแหละ ม๊าจึงยอมกลับเชียงรายแต่โดยดี ป๊าก็สั่งนิดๆ หน่อยๆ ตามสไตล์ลูกผู้ชายต้องอดทน ป๊าไม่โอ๋ เพราะม๊าโอ๋แทนแล้ว

   วันนี้ที่ผมออกจากโรงพยาบาล ผมเก็บข้าวของที่มีอยู่น้อยนิดใส่เป้ เรื่องค่ารักษาพยาบาล ประกันจ่ายผมไม่เกี่ยวครับ หลังจากทำเรื่องออกจากโรงพยาบาล ผมก็แบกร่างตัวเองเดินไปเรียกแท็กซี่ แต่ก่อนที่ผมจะก้าวขึ้นรถ เจ้าออดี้สีสเปซเกรย์โฉบเฉี่ยวก็แล่นเข้ามาจอดที่ลานรับส่งหน้าโรงพยาบาลต่อจากรถแท็กซี่ที่ผมเรียก ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่เมื่อประตูรถถูกเปิดออก คนที่ออกมาจากรถต่างหากที่ทำให้ผมสนใจ

   เชรดดดดด! หมอ!

   ร่างสูงชะลูดกว่าผมเยอะ (ผมสูง 170 เป๊ะ!) เดินลงจากรถเดินมาทางผม แว่นสายตากลายเป็นแว่นกันแดดสีชาไร้ขอบ เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินไม่ใส่เนคไทกับสแลคตัวแพงสีดำเล่นเอาผมลอบกลับมองตัวเอง

   กางเกงขาก๊วย เสื้อยืดลายหมีสามตัวของเกาหลี รองเท้าผ้าใบคู่เก่าแม้จะเป็นยี่ห้อ adidas แต่มันจะเทียบอะไรได้กับกางเกงยี่ห้อ Armani ของเขาได้วะครับ

   วรรณะแม่งโคตรต่างชั้น...

   “วะ... หวัดดีครับหมอ” ผมยกมือไหว้ ซึ่งมันเป็นนิสัยไปแล้วที่ต้องยกมือไหว้คนที่โตกว่าและไม่สนิท หมอผงกหัวรับ ตาคู่คมใต้แว่นมองมือผมที่หิ้วกระเป๋าเป้ใบเก่าอยู่

   “จะกลับแล้วใช่มั้ยครับ”

   “คะ... ครับ ใช่ครับ ขอบคุณหมอที่คอยดูแลนะครับ”

   ประหลาด ปกติหมอเขาจอดรถคุยกับคนไข้เหรอวะ?

   หมอเดินเข้ามาใกล้ก่อนจับประตูรถแท็กซี่แล้วโน้มลงไปบอกคนขับ

   “ขอโทษนะครับ เดี๋ยวเขาไปกับผม ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา”

   แล้วหมอก็ดันประตูรถปิดไป ผมนี่เหวอเลยครับ หันไปมองแท็กซี่ที่จากไปอย่างเสียดาย กว่าจะเรียกได้นะเว้ยหมอ คนขับมันคงสาปแช่งผมน่าดูที่ทำมันเสียเวลา ผมหันไปมองหน้าหมอแบบเคืองๆ ต้องเงยหน้าคุยครับ เพราะเขาอยู่ใกล้ผมเกินระดับสายตา และเพราะเขาสวมแว่นสีชาทำให้ผมสังเกตเห็นสายตาเขาไม่ชัด แต่คิดว่าคงจะนิ่งเฉยเหมือนเดิมนั่นแหละ

   “เฮ้ๆ หมอครับ นั่นแท็กซี่ผม”

   “แม่ของคุณฝากฝังคุณไว้กับผม เดี๋ยวผมไปส่ง”

   “เฮะ?”

   “ขึ้นรถครับ”

   แล้วหมอก็เดินลิ่วไปขึ้นรถตัวเอง ผมทำได้แค่ยืนมองตาปริบๆ งง ฉงน สงสัย ก่อนจะแยกเขี้ยวให้ตัวเอง

   ม๊า!!

   “ถึงคุณจะไม่รีบ แต่เดี๋ยวผมมีขึ้นเวร”

   หมออุตส่าห์เปิดกระจกรถออกมาเพื่อคุยกับผม สีหน้านิ่งชนิดที่ผมอยากลองตบดูว่ามันฉาบอะไรไว้ หมอมึงจะบล็อกหน้าตัวเองทำไม หรือโบท็อกซ์มาฮะ เขาเลยห้ามขยับหน้าน่ะ!

   “ผมเกรงใจน่ะ เดี๋ยวผมกลับเองก็ได้ครับ หมอน่าจะรีบ”

   ผมตอบปฏิเสธเขาอีกรอบผ่านกระจกที่ลดลงมา หมอถอนหายใจ หันมามองผมผ่านแว่นตาสีชา

   “ขึ้นรถครับ”

   บังคับกูจัง!

   “ครับ”

   แล้วจะเอาอะไรไปสู้กับ Armani ของเขาล่ะ เรามันวรรณะทาส

   

   “ที่พักคุณอยู่ที่ไหน” น้ำเสียงเรียบเฉยแต่ก็ไม่ได้ดุแบบเคย ผมนั่งนึกเหมือนสมองมันเบลอ ลืมที่อยู่ตัวเองไปชั่วขณะ เกิดมาไม่เคยนั่งรถหรูครับ ผมตื่นเต้น แถมรถเป็นแบบยุโรป พวงมาลัยซ้าย มุมมองดูแปลกๆ น่ะครับ

   เป็นหมอนี่มันรวยจริงๆ!

   “คุณ... ผมถามน่ะ”

   “อ่าครับ คอนโด XXX น่ะครับ แถวรัชดาครับ”

   “คอนโด XXX เหรอ” หมอดูนิ่งไปก่อนจะออกรถ แต่ก่อนออกมีการหันมาบอกผมอย่างสุภาพ

   “ถ้าไม่อยากเสี่ยงเข้าโรง’บาลอีกรอบ รัดเข็มขัดด้วยครับ”

   หมอ ความจริงหมอกวนตีนผมอยู่ใช่มั้ยครับ

   อยากตอบหมอไปแบบนี้เหลือเกิน ว่าถ้าผมจะเข้าโรง’บาลก็เป็นเพราะหมอขับห่วยเองนั่นแหละ!

   แต่ก็ทำได้แค่...

   “ครับๆ”

   

   ผมนั่งกอดกระเป๋าตัวเอง แอร์ในรถหนาวฉิบหาย จะบอกให้เขาเบาก็ไม่กล้า เพราะเพิ่งออกจากโรงพยาบาลรึเปล่านะถึงทำให้ผมรู้สึกค่อนข้างจะอ่อนแอ ทั้งที่ปกติแอร์ในออฟฟิศก็หนาวจนเหมือนทำงานในห้องแช่แข็งทุกวัน

   ก่อนที่ผมจะทันสังเกตว่าหมอไม่ได้เปิด GPS ดูแมพในมือถือหรือเนวิเกเตอร์เลย เขาขับชิวๆ มีเข้าซอกออกซอยที่ดูเป็นทางลัด ไอ้ผมนั้นนั่งแต่พวกขนส่งสาธารณะ ไม่เคยขับเอง หมอแม่งเก่งว่ะ ระหว่างทางแทบไม่เจอรถติดเลยทั้งๆ ที่เป็นเวลาเลิกงานแท้ๆ

   “หนาวเหรอครับ?” จู่ๆ คนข้างๆ ก็หันมาถาม แว่นตาสีชาของหมอมันเท่โดนใจผมว่ะ แต่มันก็ทำให้ผมมองไม่เห็นสายตาของเขา จึงทำให้เกร็งพอดูเพราะไม่รู้ว่าเขาอารมณ์ไหน

   “กะ... ก็นิดหน่อยครับ”

   “ติดอ่างบ่อยนะคุณ หาหมอบ้าง” หมอทักผมพลางปรับแอร์ให้อุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อย

   “เปล่าครับ! ผมไม่ได้ติดอ่าง” ผมแหวลั่น ก่อนจะสังเกตว่าตัวเองติดอ่างทุกครั้งที่ตอบเขาจริงๆ นั่นแหละ ผมมักจะติดอ่างเวลาประหม่าหรือกลัว แต่ผมไม่ได้กลัวหมอนะเว้ย ผมแค่ประหม่า!

   เหมือนจะได้ยินเสียง ‘หึ’ เบาๆ แต่ผมก็ไม่กล้าหันไปมอง ทำได้แค่เบนสายตาไปนอกกระจก ไม่อยากสนทนาต่อเลยวุ้ย

   เวลาในรถผ่านไปเกือบชั่วโมง ขนาดรถติดไม่มากนะเนี่ย รถออดี้สเปซเกรย์เลี้ยวเข้ามาในอาคารจอดรถของคอนโด ผมเหลียวมองล่อกแล่ก

   คะ... คือ... เฮ้ยๆ

   “หมอครับ ส่งผมหน้าคอนโดก็ได้นะครับ”

   “ทำไม ผมก็แค่เอารถมาจอด”

   “แต่ชั้นจอดรถนี้มันจอดได้แค่ลูกบ้านนะครับ”

   หมอเงียบไป เหลือบตามองกระจกมองข้างก่อนถอยเข้าซองอย่างชำนาญ แล้วดับเครื่อง... เฮะ? คุณหมอครับ อย่าบอกนะว่า...

   “ผมก็ไม่ได้มาแย่งที่ใครจอดนี่ครับ”

   หมอโชว์คีย์การ์ดของคอนโดให้ผมดู ผมเห็นแถบคีย์การ์ดและหมายเลขห้องที่เป็นห้องพรีเมี่ยมชั้นบนสุดซึ่งมีเพียงหกห้องของโครงการ เป็นห้องแบบ Duplex Premium ซะด้วย

   เชี่ย! บังเอิญในโลกมีจริงว่ะ

   หมอเปิดประตูรถลงไปทำผมรีบลงตาม คนตัวสูงหิ้วกระเป๋าเอกสารของตัวเองลงจากรถ กดล็อคประตูผ่านรีโมทแล้วเดินนำหน้า ปล่อยให้ผมเดินตามแผ่นหลังกว้างไปขึ้นลิฟต์ที่เชื่อมลานจอดรถกับตึกอาศัย

   ผมเห็นคุณหมอกดลิฟต์ชั้นบนสุด เมื่อประตูลิฟต์ปิดลง ผมจึงค่อยๆ เขยิบเข้าไปใช้นิ้วจิ้มที่ชั้น 9 ของตัวเอง ห้องของผมเป็นห้องธรรมดาแต่ราคาก็สากรรจ์อยู่ ขนาด 32 ตารางเมตรที่ป๊าดาวน์ให้แล้วผมผ่อนเอง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเลือกมาทำงานมาที่บริษัทปัจจุบันด้วยแหละครับ เพราะเงินเดือนและสวัสดิการค่าเดินทางล้วนๆ

   “เอ่อ... ขอบคุณที่ดูแลครับ”

   ผมทิ้งท้ายไว้ก่อนออกจากลิฟต์โดยไม่แม้แต่จะมองหน้าหมอ ก้มหน้าก้มตาเดินออกมาเลย

   จนไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นบนใบหน้าเรียบนิ่งหลังจากที่ผมมุดหัวมุดหางออกจากลิฟต์มา

   

   ปวดแฮะ...

   ผมนอนบิดสักพักก็ตัดสินใจลุกขึ้นมากินยาแก้ปวด ผมทนมาพักนึงแล้ว คงต้องพึ่งยา ไม่งั้นคืนนี้นอนไม่หลับแน่นอน

   เช้าวันจันทร์ ผมมาทำงานด้วยความร่าเริงเหมือนเดิมหลังจากหายหน้าหายตาไปสองอาทิตย์เต็มๆ ตอนนี้ทุกคนเข้าโปรเจคใหม่แล้ว ผมโดนจัดให้อยู่ทำ Look development  ไปก่อน แม้จะไม่ใช่ตำแหน่งหน้าที่ประจำ แต่พี่อัฐบอกว่าช่วงนี้ให้ทำงานเบาๆ ไปก่อนจนกว่าจะหายสนิทดี ผมจึงยอมก้มหน้ารับไม่เถียง เมื่อถึงเวลาเที่ยงเป๊ะ บรรดาขนมปัง อาหารว่างก็ถูกประเคนให้จนผมตกใจ เพราะไม่ใช่จากพวกพี่เจี้ยนหรือพี่ดิน แต่เป็นจากบรรดาคนอื่นๆ ในทีมที่ปกติจะไม่ค่อยสุงสิงกันเท่าไหร่

   สงสัยไอ้อาการสาดเลือดที่บริษัทวันนั้นจะทำให้ตำแหน่ง ‘ลูกรัก’ ของผมสั่นคลอนแฮะ มันก็ดี พวกเขาจะได้เลิกเข้าใจผิดว่าผมง่ายๆ สบายๆ เสียที

   “ยังเจ็บอยู่มั้ยวะ ไอ้ข้าว” พี่โรม Composite Senior ที่พี่อัฐเคยจะโยนงานที่ค้างเดนของผมให้เข้ามาทักช่วงพัก ผมยิ้มตอบกลับ

   “ไม่ค่อยแล้วพี่”

   “วันนั้นพี่แทบช็อก เข้าใจแล้วว่าทำไมจู่ๆ พี่อัฐถึงเรียกเข้าไปขอให้ช่วยข้าว” พี่โรมหัวเราะ พี่ดินหันเก้าอี้กลับมากอดอกแขวะ

   “แหมะ! ไม่ใช่ว่ามึงคิดว่าน้องโยนงานให้เหรอวะ” พี่ดินกับพี่โรมแขวะกันเป็นประจำอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ผมเลิกคิ้ว ขณะที่พี่โรมชี้หน้าพี่ดิน

   “อย่าหาเรื่องกูไอ้เชี่ยดิน พี่อัฐเรียกกูไปวันที่ข้าวมันพ่นเลือดพอดี เดี๋ยวมึงโดน”

   “เหรอวะๆๆ”

   “รำคาญวุ้ย!” พี่โรมกลับไปนั่งที่ด้วยความรำคาญ พี่ดินหัวเราะหึชอบใจที่เอาชนะได้ ก่อนยกขาพาดเก้าอี้ตัวข้างๆ ที่ว่างอยู่ แล้วจ้องหน้าผม

   “มึงโอเคแน่นะ หิวข้าวยัง เดี๋ยวกูลงไปกินเป็นเพื่อนก่อน”

   ปกติพวกผมกินข้าวไม่ตรงเวลากันอยู่แล้ว บางวันรอตรวจงานยาวถึงบ่ายสอง ไอ้เที่ยงแล้วกินข้าวน่ะไม่ค่อยมีเท่าไหร่

   “ไหวพี่ ดูดิ ขนมเต็มโต๊ะ ผมรองท้องก่อนได้”

   “ดี” พี่ดินหันไปตะโกนเรียกพี่เจี้ยนที่ใส่หูฟังฟังเพลง แต่หน้าแทบจะติดจอคอมอยู่แล้ว “เชี่ยเจี้ยน! แดกข้าว!”

   “แม่งเอ้ย! สีนี้มันดูดมาจากอะไรวะ เหี้ย... กูต่อโนดอะไรของกูเนี่ย”

   พี่เจี้ยนงึมงำบ่นกับตัวเอง มือลากเมาส์หาข้อผิดพลาดไม่สนใจโลกรอบข้าง จนพี่ดินลุกขึ้นโบกหัวพี่แกหนึ่งที พี่เจี้ยนสะดุ้งโหยง ถอดหูฟังออกแล้วด่ากลับ

   “เชี่ยไรเนี่ย”

   “แดกข้าว!” พี่ดินตะโกนใส่หู พี่เจี้ยนกำลังจะอ้าปากค้าน แต่พอเหลือบมาเห็นผมที่มองตาปริบๆ ไอ้พี่เจี้ยนก็ลุกขึ้นทันที ตะโกนข้ามโต๊ะไปหาเนกับฟาง

   “เน! ฟาง! แดกข้าว!”

   “พวกพี่เล่นอะไรกันเนี่ย” ผมหัวเราะงงๆ

   ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก เนกับฟางก็เด้งตัวคว้ากระเป๋าเงินตัวเองทันที

   “กูกลัวมึงสาดเลือดที่บออีก เพราะฉะนั้น แดกข้าว!”

   พี่เจี้ยนว่าไว้

   ส่วนผมนั้น ทำได้แค่ยิ้มแห้งอีกแล้วครับ...




งื้อ ดีใจจังมีคนมาเม้นต์ด้วย

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ใส่วันที่อัปด้วยจ้า รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
เจอคุณหมอเวอร์ชั่นได้นอนแล้ว 5555  น้องปั้นไม่มีหวั่นไหวกับเฮียคินบ้างเหรอคะเนี่ยย ~ 

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 03

หมอครับ After Effect ไม่ใช่โปรแกรมตัดต่อ



   ผ่านมาสองอาทิตย์แล้ว ผมกินข้าวได้น้อยลง แต่ก็พยายามกินให้ครบตลอดและทานยาตามหมอสั่ง แค่รู้สึกว่าช่วงนี้อาการมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่

   ผมลากสังขารตัวเองกลับจากบริษัทตอนสองทุ่ม กำลังยืนรอลิฟต์เพื่อขึ้นห้องตัวเอง ผมรับรู้ได้ว่ามีลูกบ้านคนอื่นเดินมายืนรอลิฟต์อยู่ข้างๆด้วย ผมขยับให้แต่ไม่ได้มอง เพราะผมรู้สึกพะอืดพะอมอยากอ้วก!

   ผมยกมือขึ้นปิดปาก พยายามกลืนของในลำคอกลับลงไป เสียงลิฟต์มาพอดีทำให้ผมเดินตัวงอเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว แต่พอจะเหลือบตาเพื่อกดเลขชั้นเท่านั้นแหละ โลกมันก็เอียง ของที่อยู่ในคอพลันถูกขย้อนออกมา จนในที่สุด...

   อ้อก!!

   ผมเอาของเก่าออกมา ในใจคิดว่าต้องโดนคนที่เข้าลิฟต์มาด้วยกันขยะแขยงแน่นอน แต่กลับไม่ใช่แบบนั้น... เสื้อสูทเนื้อดีถูกเอามารองอ้วกผมไว้ทัน เนื้อผ้าหนาจนของเหลวไม่ทะลุออกมา มือใหญ่ประคองเสื้อไว้ข้างนึง ส่วนอีกข้างโอบไหล่ผมแน่นก่อนจะใช้ข้างที่โอบไหล่เอื้อมไปกดหมายเลขชั้น ผมประคองเสื้อไว้มือสั่น น้ำหูน้ำตาไหล ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง

   “อดทนแป๊บนึงนะ”

   เสียงทุ้มคุ้นๆ ทำให้ผมเหลือบมองทั้งน้ำตา ผมไม่ได้ซึ้งอะไรหรอกนะ น้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าทุกครั้งทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย มือใหญ่ที่สอดใต้รักแร้แข็งแรงจนสามารถหิ้วร่างผมได้ นัยน์ตาคู่สวยสีประหลาดมองผมอย่างเป็นห่วง

   เป็นห่วง? ไม่มั้ง... ผมคงคิดไปเอง

   ผมหลับตาลง รู้สึกหน้ามืด หัวบีบรัด มวนท้อง อยากอ้วกอีกรอบแต่ก็ฝืนไว้ จนกระทั่งประตูลิฟต์เปิด

   “เดินตามผมไหวไหม”

   ผมได้ยินนะ แต่อาการตอบสนองของผมมันทำได้แค่พยักหน้าเบาๆ เบาจนคนถามไม่เห็น

   “ข้าวปั้น ได้ยินผมอยู่ไหม”

   เขาถามย้ำ ใจผมนี่วูบเลยครับเมื่อหมอเรียกชื่อผมครั้งแรก ผมพยายามส่งเสียงตอบ เหม็นอ้วกตัวเองจนทำให้อยากอ้วกอีกรอบ

   “ครับ”

   ผมสะโหลสะเหลเดินตามคนสูงกว่าแบบไม่รู้หนทาง ได้ยินเสียงปลดล็อคประตูก่อนจะถูกพาไปยังห้องน้ำ เขาประคองร่างสั่นๆ ของผมให้นั่งลงหน้าชักโครก

   ผมจัดการปลดปล่อยสิ่งที่กลั้นเอาไว้อย่างลืมอายไปเลย ของที่ออกมาก็เป็นจำพวกข้าวกลางวันที่พยายามกินเข้าไปกับของว่างอีกนิดหน่อย มือใหญ่แข็งแรงช่วยลูบหลังผมอย่างอ่อนโยน พอสงบ หมอก็ยื่นแก้วน้ำเปล่ามาให้ ผมรับมากลั้วปากแล้วบ้วนทิ้ง

   “สบายขึ้นมั้ย ไปโรงพยาบาลดีรึเปล่า?”

   ผมส่ายหน้า กดชักโครกพลางใช้มือเช็ดปาก แต่หมอกลับยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กมาให้ผมแทน ผมส่ายหัวปฏิเสธอีกรอบ แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้วครับ

   หมอวางผ้าขนหนูไว้ที่เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าก่อนจะฉุดข้อศอกผมให้เดินตามออกมา แขนเสื้อเชิ้ตของหมอถูกถลกขึ้นถึงศอกลวกๆ กระดุมคอถูกปลดออก ดูท่าเขาจะรีบมากเลยทีเดียว

   “นั่งตรงนี้ครับ” หมอชี้ไปที่โซฟาเบดตัวยาวสีเทานุ่มกลางห้อง ผมนั่งลงตามคำสั่ง พิงพนักโซฟาแล้วปิดตาอย่างเพลียๆ ก่อนจะลืมขึ้นเพื่อมองไปรอบๆ ห้องที่เผลอเดินตามเขามา

   ห้องหมอเหรอวะ! กูตามมาถึงนี่ได้ไง

   คิดได้ก็ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นจนหน้ามืดอีกรอบ ท้องบิดมวน ทรุดกลับไปนั่งลงตามเดิม สูดหายใจเข้าลึกๆ และยอมเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซนนั่งเฉยๆ

   ห้องของหมอช่างต่างจากห้องราคาธรรมดาของผมอย่างสิ้นเชิง เป็นห้องเข้ามุมแบบ Duplex เพดานสูงเทียบกับห้องแบบบธรรมดาสองชั้น ระเบียงชั้นสองมีประตูห้องอยู่สามบาน พื้นเป็นแบบไล่ระดับลงมาจนเป็นโซนนั่งเล่นกลางห้อง โคมไฟระย้าดีไซน์เรียบหรูดูแพงห้อยอยู่เหนือศีรษะ

   “เอาแขนมาครับ ผมจะวัดความดัน”

   หมอเดินกลับมาพร้อมอุปกรณ์แพทย์ทั้งกระเป๋า ผมยกมือขึ้นโบกรัวๆ ปฏิเสธ

   “ไม่เป็นไรครับหมอ ผมว่าผมโอเคแล้ว เดี๋ยวกลับห้องไปกินยาแล้วพักผ่อนก็น่าจะดีขึ้นครับ”

   หมอมองหน้าผมนิ่งๆ เขานั่งลงบนเก้าอี้เล็กระดับเดียวกับโซฟาด้านหน้า ก่อนจะดึงแขนผมอย่างเบามือแต่แน่นมาก

   “เป็นอาฟเตอร์เอฟเฟคที่อาจเกิดหลังผ่าตัดกระเพาะน่ะครับ ช่วงนี้ขอให้กินอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย เว้นๆ พวกเนื้อสัตว์จะดีมาก ทานอาหารประเภทผักผลไม้เยอะๆ หน่อย ถ้าจะให้ชัวร์ทานพวกวิตามิน B12 เสริมเข้าไปด้วยจะดีมากครับ” หมอสั่งไปด้วยวัดความดันไปด้วย

   “อาฟเตอร์เอฟเฟค (Ae) นี่มันโปรแกรมตัดต่อไม่ใช่เหรอครับ” ผมลองแหย่มุข หมอเงียบมองจนผมแหยยิ้ม ได้ยินเสียงเครื่องวัดความดันชัดทีเดียว

   “ผมแค่ไม่อยากให้หมอเครียด”

   ผมเห็นนะว่าเขาถอนหายใจใส่ผม

   “ความดันต่ำ พักผ่อนน้อยหรือเปล่าครับช่วงนี้” หมอถอดปลอกแขนวัดความดันออกจากแขนผม

   “ก็ไม่น้อยนะครับ ประมาณ... เจ็ดชั่วโมง”

   “เจ็ดชั่วโมงเนี่ย นอนกี่โมง ตื่นกี่โมงครับ”

   เชี่ย! เหมือนหมอแม่งรู้

   “กะ... ก็ นอนประมาณตีสอง ตื่นประมาณเก้าโมงครับ”

   “เลิกพฤติกรรมบั่นทอนชีวิตตัวเองได้แล้วนะครับ นอนก่อนเที่ยงคืนแล้วตื่นมาทานข้าวเช้าก่อนเก้าโมงจะดีกว่า ไม่งั้นมันไม่เรียกว่าข้าวเช้าหรอกครับ”

   ผมหน้าแหยไปเลย หมอด่ากูอีกแล้วครับม๊า...

   “แต่หมอก็นอนไม่เป็นเวลาเหมือนกันนี่ครับ”

   หมอมองหน้าผม ก่อนจะก้มลงดันแว่นจากตรงกลางแล้วเงยหน้ามองใหม่ ผมผงะเล็กน้อย ลืมตัวพูดมากอีกแล้วกู

   “ผมทำเพราะหน้าที่ครับ”

   “ผมก็ทำตามหน้าที่เหมือนกันหมอ” ผมเถียง แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วการที่ผมนอนตีสอง ตีสามมันเป็นเพราะผมดูอนิเมะ ดูหนังหรือเล่นเกมมากกว่า แต่เขาไม่รู้นี่นา หมอถอนหายใจยาว

   “ไม่งั้นก็เจอกันอีกรอบที่โรง’บาลครับ”

   ว้อท เดอะ ฟ....!! หมอแช่งผม!

   ผมหน้างอง้ำเล็กน้อยก่อนจะนึกขึ้นได้

   “เออใช่ หมอครับ เสื้อสูทของหมอ เดี๋ยวผมเอากลับไปส่งซักให้นะครับ ผม... ผมว่ามันเลอะ” ผมรีบทวงก่อนที่หมอจะเอาอุปกรณ์การแพทย์ไปเก็บ หมอหันกลับมาแล้วบอกปัดไม่ใส่ใจ

   “ไม่เป็นไรครับ ยังไงผมก็จะส่งซักอยู่แล้ว”

   “ไม่ดีมั้งครับหมอ ผมว่าผมเอากลับไปซักให้ดีกว่า” ใครจะกล้าให้คนอื่นยุ่งกับอ้วกตัวเองล่ะ

   “ข้าวปั้น”

   จู่ๆ หมอก็เรียกชื่อผม... อีกแล้ว ขนลุกแปลกๆ หมอเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง ตาสีเขียวดุขึ้นมาทันที

   “อย่าดื้อให้มากได้มั้ยครับ”

   ปุ้ง!! ผมหน้าร้อนวาบทันที ชะ... เชี่ย... หมอคิดว่าผมเป็นเด็กสามขวบรึไงวะถึงมาดุกันแบบนี้น่ะ สายตาเลิ่กลั่ก หมอเดินเอาอุปกรณ์ไปเก็บในห้อง ก่อนจะเดินกลับมา จังหวะเหมาะกับที่ม๊าวิดิโอคอลมาพอดี

   ผมมองมือถือแบบไม่รู้ว่าจะกดรับดีมั้ย ก่อนตัดสินใจลุกขึ้นหยิบกระเป๋าตัวเอง แต่หมอกลับรั้งผมไว้ พเยิดหน้าไปยังมือถือ

   “รับสิครับ เดี๋ยวสายก็วางไปหรอก”

   “หมอ เดี๋ยวผมกลับไปคุยที่ห้องดีกว่าครับ”

   “คุณยังไปตอนนี้ไม่ได้ครับ” หมอชูกล่องยากับเข็มฉีดขึ้นมาให้ผมดู “ยาระงับปวดเฉพาะทาง วันนี้คุณจะได้หลับสบายขึ้น”

   ทำไมหมอมีของแบบนี้ในห้องได้วะ

   “รับสิ” หมอเร่ง ผมมองมือถืออย่างลำบากใจก่อนจะกดรับ ยิ้มหน้าแป้นให้ม๊าที่แทบจะตะโกนด่าผมเป็นคำทักทาย

   [“รับช้า! ข้าวปั้น กลับหอยังลูก”]

   “กะ... กลับแล้วม๊า กลับแล้ว ตะโกนทำไมเนี่ย”

   ผมพยายามเอาหน้าชิดกล้องมากที่สุดเพื่อไม่ให้เห็นบรรยากาศในห้อง ม๊าจะได้ไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่ห้องผม

   คุณหมอก็ใจดี เดินไปวางยากับเข็มไว้บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา ก่อนเดินหลบออกไปทางโซนครัวเพื่อชงอะไรดื่ม ไม่อยู่ฟังการพูดคุยของผมกับครอบครัว

   [“หืม! จริงนะ? กินข้าวยัง?”]

   เอ่อ คำถามโลกแตกบ้านผม

   “กินแล้วม๊า” ผมมองไปทางร่างสูงที่ยืนพิงเคาน์เตอร์บาร์ เห็นว่าเขากำลังเล่นมือถืออยู่ไกลๆ หวังว่าเขาจะไม่ได้ยินนะ ผมพยายามเบาเสียงลำโพง

   [“เหรอ ดีแล้ว อ่ะป๊าจะคุย”] แล้วม๊าก็ส่งมือถือให้ป๊าที่นั่งที่อยู่ตรงโต๊ะกินข้าว โห กับข้าวน่ากินชะมัด ป๊ายิ้มใจดีให้ผม

   [“กินข้าวยังปั้น?”]

   “กินแล้วป๊า ป๊ากำลังจะกินข้าวใช่มั้ย ปั้นเห็นกับข้าวเยอะแยะเลย” ผมยิ้มร่า ป๊าหัวเราะ [“อยากกินก็กลับบ้านสิ ฝีมือม๊าไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้ว”]

   [“ป๊าถึงไม่ยอมไปกินไหนไง จริงมั้ยป๊า ฮ่าๆๆ”] ม๊าพูดแทรกขึ้นมา ป๊าทำหน้าเออออไปไม่อยากขัดใจภรรยา ส่วนผมทำหน้าหมั่นไส้ เหม็นความรักบ้านนี้

   “ปีใหม่กลับแน่นอนครับ!”

   [“โอเคๆ พักผ่อนเยอะๆ นะปั้น ป๊าเป็นห่วง”] ป๊าไม่พูดเยอะเหมือนเดิม ทิ้งท้ายด้วยคำสั่งยาวเหยียดจากม๊าผมก่อนวางสายไปในที่สุด พอผมดูเวลาสิ้นสุดการโทร ปรากฏว่าประมาณแปดนาที... นานเหมือนกันแฮะ

   ผมเก็บมือถือ เหลือบมองคนที่ยังยืนจิบอะไรซักอย่างอยู่ที่เดิม นี่เขายืนรอผมเกือบสิบนาทีเลยเหรอ

   “เอ่อ... ขอโทษครับหมอที่คุยนาน”

   คุณหมอเงยหน้าขึ้น เก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง ก่อนเดินถือถ้วยแก้วของตัวเองมาพร้อมกับอีกใบที่ยังร้อนๆ อยู่

   “คุณนี่โกหกไม่เนียน แต่ม๊าคุณก็ยังเชื่อแฮะว่ากินข้าวแล้ว”

   แปลว่าเขาฟังอยู่สินะ!

   “ผมไม่ได้โกหกนะ แค่ไม่ได้บอกว่ามื้อไหน” ผมชักสีหน้า หมอเอียงคอ ก่อนยื่นถ้วยโกโก้ร้อนให้ผม ส่วนของหมอคงเป็นชาร้อน ผมได้กลิ่น

   “ดื่มก่อนครับ รองท้อง นี่จะสามทุ่มแล้ว”

   จะปฏิเสธก็ไม่กล้า เขาชงมาแล้ว ด้วยความเสียดายของจึงยอมเอื้อมมือไปรับถ้วยสีครีมมาซด หมอทิ้งตัวลงนั่งที่เดิม ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเข็มที่ยังไม่ได้ใช้มาดูดยาจากขวดเล็กๆ แล้วพ่นออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ได้ปริมาณที่กำหนด จากนั้นค่อยเอื้อมไปหยิบสำลีชุบแอลกอฮอล์ขึ้นมา

   “มาครับ ฉีดยาก่อน”

   “ผม... ผมต้องเสียเงินมั้ยครับ”

   ผมยื่นแขนไปให้อย่างเก้ๆ กังๆ หมอชะงักมือที่กำลังจะป้ายสำลีชุบแอลกอฮอล์ที่ต้นแขนเพื่อฆ่าเชื้อ เอ่อ... ผมถามอะไรไม่เข้าท่าอีกแล้วใช่ปะ?

   “ถ้าผมคิดเงิน ผมจะกลายเป็นหมอหน้าเลือดทันทีเลยครับ” หมอเอาสำลีทิ้งถังขยะใกล้ๆ เขาลงมือเอาเจ้าเข็มยาวๆ แหลมเปี๊ยบนั่นแทงเข้าที่ต้นแขนผม ร่างผมสะดุ้งเบาๆ สีหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บจี๊ด

   “ขอบคุณสำหรับยา แล้วก็โกโก้ แล้วก็...” ผมกระดากที่จะพูดต่อจริงๆ เรื่องสูท

   “รักษาสุขภาพตัวเองเถอะครับ หมออย่างเราช่วยคนไข้ได้แค่ปลายเหตุ ต้นเหตุนั้นตัวคนไข้ต้องรู้จักดูแลรักษาร่างกายของตัวเอง”

   เอ้อ หมอคนเดิม เพิ่มเติมคือคำเทศน์

   ผมบอกลาหมอที่ออกมาส่งถึงหน้าประตูห้อง ผมกดลิฟต์ลงไปยังชั้น 9 และทันทีที่เข้าห้องก็รีบงัดเอากับข้าวเมื่อวานมาอุ่นแล้วกินทันที

   เหมือนเด็กเวลาโดนครูดุเลยกูเนี่ย



เพิ่งเคยอัพ ไม่รู้จะตอบคอมเม้นต์ยังไงอ่ะค่ะ ขอโทษด้วยนะถ้าไม่ได้ตอบน่ะค่ะ ศึกษาแป๊บ
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
หมอชอบมาตั้งแต่เด็กรึป่าว??  น่าอ่าน,,,

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 04

หมอครับ จ่ายตลาด



   ในที่สุดก็ถึง Happy Friday ที่เหล่าพนักงานออฟฟิศรอคอย

   ออฟฟิศอื่นนะ ไม่ใช่ออฟฟิศผม...

   “โรม วันนี้หกชอตทันมั้ย ต้องส่งลูกค้าก่อนสี่โมง” พี่อัฐเดินเข้ามาถามที่โต๊ะ หลังจากที่ Co-Producer เข้ามาจะแหกอกพี่อัฐตอนก่อนเที่ยง งานเร่งงานด่วนอีกแล้วโว้ย พี่โรมที่นั่งหน้ายุ่งอยู่กับจอตัวเองขยี้หัว

   “ขอสี่ครึ่งได้ป่ะครับ เรนเดอร์  ไม่ทัน ภาพละสิบห้านาทีครับ” พี่โรมมองนาฬิกา

   “ตอนนี้จ็อบโรมเข้ากี่เครื่อง”

   พี่โรมเปิดหน้าต่าง Deadline Monitor  ขึ้นมาเพื่อเช็คคิวเรนเดอร์ของตัวเอง

   “20 ครับ”

   “450 เฟรม  พี่ว่าไม่น่าจะทัน เดี๋ยวเพิ่มเครื่องให้”

   “ครับๆ” พี่โรมปั่น Composite ต่อไป เอาล่ะ โต๊ะถัดจากพี่โรมก็กูเนี่ย

   “ข้าวปั้น เป็นไงบ้าง วันนี้ส่ง Turn  ลูกค้าตอนหกโมงนะ แจนมันจะแหกอกพี่แล้ว” พี่อัฐเข้ามาทวงงานผมต่อ ผมชี้ไปที่เครื่อง “จ็อบรูดครับ ทุกเครื่องเลย เหลือเรนเดอร์อีกหนึ่งตัว”

   “กรรม! เฮ้ย บอก pipeline  ดิ๊ ไอ้เครื่อง Peter กับ Mina มันไม่ยอมเรนเดอร์” พี่อัฐตะโกนข้ามโต๊ะบอกเมเนเจอร์ทีมผม พี่เมย์รับทราบคำสั่ง

   “ทีมที่ทำ WMD เปิดเรนเดอร์ให้ 2k แป๊บ พี่ขอหนึ่งชั่วโมง ไปพักเบรกกันก่อน” พี่อัฐสั่ง ซึ่งทีม WMD ที่ว่าก็คือชื่อโปรเจคแบบย่อๆ นั่นเอง แล้วทีม 2k ก็คือผม พี่โรม ฟาง แล้วก็น้องหนึ่ง พนักงานใหม่สดที่เข้ามาถูกเวลาจริงๆ เพราะงานน้องคืองานที่โดนเทรดไปจากผมนั่นเอง น้องหนึ่งเริ่มลนกับงาน comp ของตัวเอง

   “พะ... พี่ข้าวคะ คือหนึ่งถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ” น้องหนึ่งโผล่หน้าขึ้นมาขอความช่วยเหลือจากฝั่งตรงข้ามผม ผมปล่อยเรนเดอร์อย่างเดียว จึงทำได้แค่นั่งรอ พอน้องเรียกเลยไถลเก้าอี้ไปหา

   “ว่าไงครับน้องหนึ่ง”

   “คือ... หนึ่งหาที่ผิดไม่เจอ ไม่รู้แก้ไงอ่าค่ะ พี่อัฐเร่งหนึ่งยิกๆ แล้วอ่ะ”

   น้องน้ำตาคลอเบ้า ผมเข้าใจน้องนะ ยิ่งลนยิ่งหาที่ผิดไม่เจอโดยเฉพาะกับงานตัวเอง ผมจึงบอกให้น้องขยับไปหน่อย ขอคีย์บอร์ดกับเมาส์มารื้อให้น้อง คิดว่าถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยเรียกพี่ดิน

   ดีนะที่น้องทำตามที่พี่ดินสอนก่อนหน้านี้ จึงทำให้ผมรื้อไม่ยาก ถ้าเป็นวิธีไอ้เน ผมยอมแพ้เลยครับ รื้อยากกว่าผมอีก ดังนั้นผมจึงหาที่ผิดให้น้องเจอโดยใช้เวลาไม่นาน น้องหนึ่งแทบกราบผม ก่อนจะรับมาทำต่อจนเสร็จทันเวลา

   ในที่สุด เดดไลน์ก็ทันเวลา ทีม 2k ไม่มีใครโดนด่าจากโปรดิวเซอร์ โดยเฉพาะผมที่มีโจทก์เก่าเป็นถึงท่านโปรดิวเซอร์ที่รัก!

   ก็หลังกลับมาทำงานได้สามวัน พี่ฤกษ์ก็เข้ามาทักผมตอนกำลังทานมื้อเที่ยง ท่ามกลางเพื่อนๆ ร่วมโต๊ะ หน้าพี่แกยิ้มนะ แต่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย

   ‘หายดีแล้วเหรอ ข้าวปั้น’

   ผมเอาช้อนออกจากปากแทบไม่ทัน หันกลับไปทักกลับ

   ‘หวัดดีครับ พี่ฤกษ์ ผมหายดีแล้วครับ’

   ทุกคนพากันกินข้าวเงียบๆ รอดูท่าทีของโปรดิวเซอร์จอมแสบ โดยเฉพาะพี่ดินที่ดูไม่ชอบขี้หน้าพี่ฤกษ์ที่สุด

   ‘พี่อุตส่าห์ทักไป ไม่เห็นแจ้งเตือนข้อความพี่เหรอ’

   ‘เฮะ? เอ๋... ทักมาเหรอครับ ผมไม่เห็นรู้เลย...’ ผมโกหกหน้าใส ‘คงเป็นเพราะผมไม่ได้เป็นเฟรนด์กับพี่ฤกษ์ สงสัยมันจะไม่แจ้งเตือนมั้งครับ’

   พี่ฤกษ์ยิ้ม

   ‘ช่างมันเถอะ หายก็ดีแล้ว งานของเรากองบานเลยนะ อ้อ... ลืมไป โดนอัฐมันแจกไปให้คนอื่นแล้วนี่ เฮ้อ! ดีจังเลยนะ เป็นลูกรักเจ้าอัฐ’

   พี่ดินแทบโยนช้อนแต่ผมแตะขาพี่แกไว้ด้วยปางห้ามญาติ หัวเราะเป็นปกติ

   ‘เกือบแย่เหมือนกันพี่ ดีนะที่ทีมผมพี่ๆ เขาใจดี ยอมช่วย ถ้าไม่ได้ทีมผมนี่แย่เลยครับ’ ผมตอบกลับ แอบแซะเล็กน้อยว่าทีมอื่นน่ะ ไม่มีทางยอมโยนงานให้กันแน่นอน ใครตายคนนั้นรับ

   ‘อ๋อเหรอ กินข้าวให้อร่อยนะน้องๆ’

   หลังจากพี่ฤกษ์เดินไป พี่ดินแทบจะเขวี้ยงช้อนตามหลัง ฟางแสยะยิ้ม

   ‘ต้องทำงานด้วยกันไปอีกกี่โปรเจควะคะ’

   ไอ้เนส่ายหัว ‘ทำใจว่ะฟาง เงินเดือนเขาสูงกว่าเรา’

   พี่เจี้ยนหันมาถามผมเรื่องแชท ‘หมาบ้ามันทักมึงไปเหรอ ผิดปกติชะมัด’

   ‘ผมเห็นแต่ทำเป็นไม่เห็น ไม่อยากยุ่งเกี่ยว’ ผมยักไหล่

   คนพรรค์นั้น ให้พี่อัฐต่อกรคนเดียวพอ...



   และเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์แถมได้เลิกงานเร็ว ผมจึงแวะเซนทรัลเสียหน่อยเพื่อหาซื้อของสดไปทำอาหาร วันเสาร์-อาทิตย์จะได้ไม่ต้องเสียเงินค่าข้าว

   ผมเข็นรถเข็นไล่ดูของบนชั้น ลองนึกดูว่ามีอะไรหมดหรือขาดบ้างจะได้ซื้อไปทีเดียว หยิบของใส่รถเข็นไปเรื่อยๆ มีทั้งขนม น้ำอัดลม อาหารสำเร็จรูป ผักผลไม้บ้าง ตามที่ตัวเองพอจะเอาไปทำอาหารเป็น และก็ของใช้ส่วนตัวต่างๆ

   ผมจอดรถเข็นไว้แล้วหยุดเลือกอาหารแมวที่กำลังจะหมดให้เจ้าปั้นสิบ แมวพันธุ์บริทิช ชอตแฮร์สีเทาอ้วนตาขวางโลกของผม ก่อนหน้านี้มันค่อนข้างกินยาก ถ้าเลือกได้นางจะเลือกกินอาหารสดมากกว่าอาหารเม็ด ผมจึงดัดนิสัยโดยให้อดข้าวแม่งเลย จากนั้นมาผมให้อะไรนางก็กินหมด

   ปึ้ก!

   “อ๊ะ! ขอโทษครับ... เอ๊!”

   ผมที่เงยหน้ามองอาหารแมวบนชั้นเดินถอยหลังมากไปจนไปชนปึ้กเข้ากับคนที่เดินดูของอยู่ด้านหลัง พอหันกลับไปจะขอโทษเท่านั้นแหละ ผมถึงกลับร้องออกมาอย่างตกใจ

   คุณหมอคนเดิม เพิ่มเติมคือผมไม่ได้เซต...

   เส้นผมของเขาหยักศกเล็กน้อยและเริ่มยาวแถมไม่ได้เซตเหมือนเก่า หรืออาจจะเซตหลุดจนผมหน้าตกลงมาปรกหน้าผากกว้าง ทำให้หมอดูเด็กลงไปเยอะเลย เขากำลังถืออาหารปลาสองยี่ห้ออยู่ ท่าทางเหมือนกำลังเลือก

   “หมอ เอ่อ สวัสดีครับ”

   ผมยกมือไหว้ หมอผงกหัวรับนิ่งๆ มองผมก่อนจะเหลือบไปมองของในรถเข็น

   “ซื้อของเข้าห้องเหรอครับ”

   “ครับ” ผมตอบกลับ มองรถเข็นหมอบ้าง ในรถมีแต่ของสุขภาพดีทั้งนั้น ในขณะที่รถของผมมีแต่ของขบเคี้ยว หมอหรี่ตา ดันแว่นขึ้น

   “กระเพาะเพิ่งจะหายทะลุ คุณจะเจาะกระเพาะตัวเองอีกรอบด้วยน้ำอัดลมเหรอครับ”

   แหงะ!! หมอ!

   “เอ่อ... ผม... ผมแค่ซื้อไว้เผื่อเพื่อนมาห้องน่ะครับ”

   ผมตอแหลน่ะ กินเองเนี่ยแหละ

   “ติดอ่างอีกแล้วนะครับ” หมอส่ายหัว เลิกสนใจผม ก่อนก้มลงมองอาหารปลาสองยี่ห้อในมือ เหมือนเขากำลังชั่งใจ ผมเห็นเขามองส่วนผสมอยู่นานมาก... จนอดไม่ไหว

   “ซื้อยี่ห้อขวามือสิครับ พี่สาวผมก็ให้อาหารปลาด้วยยี่ห้อนั้นอยู่ ทำให้สีสวยและน้ำไม่เหม็นด้วยนะครับ” ผมลองแนะนำแบบหยอดๆ ไป

   คุณหมอมองซักแป๊บ ก่อนเอายี่ห้อที่ผมแนะนำคืนชั้นไป และวางอีกยี่ห้อลงในรถเข็น

   เชี่ยหมอ! นี่มันหักหน้ากันชัดๆ!

   เหมือนหมอจะรู้ว่าผมไม่พอใจ เพราะผมหันขวับกลับทันทีที่หมอวางอีกยี่ห้อลงในรถ โอเค ขอโทษที่เสือกครับ กลับมาเลือกอาหารแมวต่อก็ได้วะ!

   “ซื้ออาหารแมวเหรอครับ”

   ผมอยากทำหูทวนลมจริงๆ แต่ด้วยมารยาทมันก็ไม่ควร ผมจึงตอบไปด้วยหยิบถุงอาหารแมวมาอ่านไปด้วย   “ครับ”

   “ผมว่ายี่ห้อนี้กว่านะครับ ไม่เค็มมาก ดีต่อสุขภาพแมวโดยเฉพาะถ้าแมวพันธุ์ต่างประเทศ”

   ผมแสยะยิ้ม เรื่องอะไรจะเชื่อ ผมวางไอ้ที่ผมดูลงในรถเข็นบ้าง

   “ผมชอบยี่ห้อนี้ แมวผมก็ชอบ”

   “นอกจากตัวเองจะกระเพาะทะลุแล้ว อยากให้แมวเป็นโรคไตเหรอครับ” หมอหันมาจับรถเข็นตัวเองบ้าง “คนทำประกันได้ แต่แมวไม่มีประกันนะครับ ค่าผ่าตัดคุณจ่ายไหวเหรอ”

   ผมกัดฟันกรอด

   ก่อนจะยอมเปลี่ยนแต่โดยดี...

   ผมแพ้ครับ...



   ผมเอาของมาคิดเงินที่เคาน์เตอร์ ข้าวของต่างๆ ถูกจัดใส่ถุงพลาสติกประมาณหกเจ็ดถุง สงสัยต้องขึ้นแท็กซี่กลับ ผมเข็นรถออกมาจากช่องเคาน์เตอร์หลังจากรูดบัตรเรียบร้อย กะจะเดินไปทางออกเพื่อโบกรถ แต่กลับเห็นร่างสูงน่าดึงดูดยืนพิงเสารอใครอยู่ ข้างๆ มีรถเข็นที่จ่ายเงินแล้วหลบมุมไว้ ผมเห็นนะว่าสาวๆ ที่เดินผ่านไปผ่านไปแอบกระซิบกระซาบมองแบบเหลียวหลังกันแทบทุกคน แต่เจ้าตัวกลับยืนกอดอก ก้มมองเท้าตัวเองแบบคนขี้เกียจจะมองอะไร แล้วก็เหมือนรู้ว่าผมมองอยู่ หมอเงยหน้าขึ้นมาสบตาก่อนจะเดินเข้ามาหา

   “คุณกลับยังไง?”

   ผมหยุดรถเข็นแล้วตอบอ้อมแอ้ม ยังเคืองเรื่องอาหารปลาไม่หาย

   “ก็... แท็กซี่ครับ”

   “งั้นกลับกับผมมั้ยครับ ยังไงก็ทางเดียวกัน” หมอถาม ผมกระตุกยิ้มข้างเดียวแค่นๆ เบือนสายตาหนี “หรือคุณมีที่อื่นจะไปต่อ?”

   “เปล่าครับ ผมเกรงใจน่ะ”

   คุณหมอเอียงคอ

   “ไม่เป็นไรครับ ยังไงก็ทางเดียวกัน”

   “ตะ... แต่ของผมเยอะนะ”

   “เบาะหลังผมโล่งครับ กระโปรงเก็บของก็ใส่คุณได้ทั้งคน”

   หมอแม่ง กวนตีนผมอีกละ หมอบังคับผมโดยการลากรถเข็นผมจากด้านหน้าเบาๆ

   “ยังไงคุณก็น้องเพื่อนผม ไม่ใช่ไม่รู้จักกัน”

   หมอ! เอ็งนั่นแหละที่ทำหน้าไม่อยากรู้จักผมตั้งแต่แรกน่ะ! แต่จะเถียงอะไรได้ ทำได้แค่เข็นรถตามหมอไป ผมเหลือบตามองรอบๆ เห็นสายตาของสาวๆ พวกนั้นเปลี่ยนไปฉับพลัน...

   ผม... ผมคงคิดไปเองมั้ง...



   ออดี้คันเดิม เพิ่มเติมคือของตรงกระโปรงหน้ารถที่เต็มเอี้ยด (รถรุ่นนี้เก็บของที่กระโปรงหน้าครับ) ทั้งของของหมอและของของผม ลามไปยังเบาะหลัง ดีไม่ลามไปหลังคา คงจะตลกน่าดู ผมนั่งข้างคนขับเหมือนเดิม พอจะรัดเข็มขัดนิรภัย ผมก็สังเกตเห็นว่า หมอใช้นิ้วปรับอุณหภูมิแอร์บนพวงมาลัยให้ขึ้นมาที่ยี่สิบหกองศา จากยี่สิบองศา

   ระหว่างทางเงียบเป็นป่าช้า แม่ง โคตรอึดอัดเลยโว้ย! รู้งี้กลับแท็กซี่ดีกว่า ไอ้ข้าวปั้นเอ้ย!

   “คุณ... ไม่พอใจที่ผมไม่เลือกอาหารปลาที่คุณแนะนำเหรอ”

   เงียบมาได้ประมาณสิบนาที หมอก็เป็นฝ่ายชวนผมคุย แต่ดันเปิดประเด็นได้แย่สุดๆ

   ผมมองหวาดๆ ก่อนหัวเราะเหมือนไม่ใส่ใจพลางเกาแก้ม

   “ก็... เปล่าครับ” เปล่าเชี่ยไรล่ะ เดือดเลยครับผม

   “อาหารปลาที่คุณแนะนำมันสำหรับปลาน้ำจืดน่ะ ปลาของผมเป็นปลาทะเล ให้มันกินเดี๋ยวตาย ขอโทษนะที่ไม่พูด” หมอมองทางข้างหน้า แต่ผมอ่ะมองหน้าหมอ... ก่อนจะหน้าร้อนฉ่า กลับมาหยิกขาตัวเอง

   โชว์โง่สินะกู!

   “เอ่อ... ฮ่าๆๆ ผมผิดเองครับที่ไม่ได้ถามหมอว่าเลี้ยงปลาอะไร” ผมหัวเราะกลบเกลื่อนแก้เก้อ เบนหน้ามองถนนบ้าง “หมอคงเลี้ยงพวกปลาการ์ตูนอะไรแบบนี้สินะครับ”

   “เปล่าครับ ผมเลี้ยงปิรันย่า”

   “ไม่เอาเนื้อให้มันกินล่ะครับ!” ผมหันมาแหวกลับอย่างตกใจ หมอส่งเสียงหึในลำคอ

   “ผมล้อเล่นครับ เป็นปลาทะเลแหละครับ แต่ไม่ใช่ปลาการ์ตูน”

   ผมลอบสังเกตคนตัวโตที่จบบทสนทนาทั้งๆ อย่างนั้น

   หมออาจจะเป็นคนนิ่งๆ ดูหยิ่งๆ แต่ความจริงแล้วอาจจะใจดีกว่าที่ผมคิด เขาไม่รังเกียจอ้วกผม แถมยังช่วยเหลือคนแปลกหน้าอย่างผมอีกต่างหาก แม้จะบอกว่าเป็นเพื่อนของเฮียปุ้น แต่นั่นก็ผ่านมาตั้งสิบกว่าปีแล้ว... กับผม หมอจะทำเป็นคนแปลกหน้าก็ได้แท้ๆ

   วันดีคืนดีหมอยังแอบมีมุขใส่ แม้ส่วนใหญ่มักจะดุหน้าตาย

   บางทีหมอคงแค่ขี้เกียจขยับหน้า... ถ้าหมอยิ้มล่ะ

   “หมอ... ไม่ยิ้มบ้างเหรอครับ”

   อีกแล้ว! ความคิดที่มันดังจนออกปากเนี่ย เลิกเหอะ!

   หมอเบิกตาเลิกน้อย นัยน์ตาสีเขียวประหลาดเหลือบมองผม ก่อนจะเบนกลับไปมองทางต่อ ผมเอามือปิดปากตัวเอง เริ่มลนลานแก้ตัว

   “เอ่อ! อย่าพึ่งคิดอะไรแปลกๆ นะครับ! ผม... ผมแค่ ผมแค่ไม่เคยเห็นหมอทำหน้าแบบอื่น กลัวคนไข้จะหาว่าหมอหยิ่ง... เอ่อ... กรรม”

   ผมขุดหลุมฝังตัวเอง เงียบละกัน ไอ้เชี่ยปั้น มึงเสี่ยงโดนปล่อยกลางสี่แยกนะ!

   “คุณคิดแบบนั้นรึเปล่าล่ะ”

   หมอถามกลับบ้าง ผมนี่ไปไม่ถูก ขนลุกเลยครับ เหมือนแอร์ยี่สิบหกจะหนาวเกินไป

   “เอ่อ... ก็ ก็มีบ้าง... ไม่ ไม่ใช่ครับ คือหมอไม่ได้ดูหยิ่งสำหรับผมนะ หมอแค่พูดน้อยไปหน่อย ไม่สิ... เขาก็พูดตลอดนี่หว่า เฮ้ย เปล่าครับ แค่ผมไม่ค่อยเห็นสีหน้าอื่นของหมอเฉยๆ”

   อ่า... ตกม้าตายครั้งที่สอง

   หมอกระตุกมุมปากแวบเดียว แวบเดียวจนผมสังเกตไม่ทันว่านั้นยิ้มหรือเส้นกระตุก

   “คุณตลกดีนะ คิดอะไรก็แสดงออกทางสีหน้าหมดเลย”

   หมอแสดงออกน้อยไปมากกว่าเว้ย!

   “แอร์หนาวไปมั้ย” หมอหันมาถามเมื่อเห็นผมเริ่มเล่นกับมือตัวเอง ผมส่ายหน้า

   “แล้วเดี๋ยวหมอต้องกลับไปขึ้นเวรอีกมั้ยครับ หรือว่าเลิกงานแล้ว”

   ละลาบละล้วงเขาไปมั้ยวะ? ผมชั่งใจ แต่ก็ถามไปแล้ว โอเค... นิสัยนี้เลิกยาก หมอตบไฟเลี้ยวเตรียมเข้าคอนโด อ๊ะ... ถึงแล้วเหรอ?

   “วันนี้ผมลงเวรแล้วครับ แต่ถ้ามีเคสผ่าตัดฉุกเฉินผมก็ต้องไป”

   หมอจอดรถไว้ที่เดิม เพราะเป็นลูกบ้านชั้นวีไอพี จึงทำให้มีที่จอดรถเฉพาะของตัวเองไม่ต้องไปตบตีแย่งชิงกับคนอื่น เมื่อรถจอดสนิท ผมกับหมอเปิดประตูรถลง หมอกดเปิดกระโปรงหน้า ส่วนผมรีบเอาของที่เบาะหลังซึ่งมีแต่ของของตัวเองถึงจะเดินอ้อมไปเอาของที่กระโปรงหน้า หมอบอกให้ผมหยิบของตัวเองก่อนเพราะของผมอ่ะเยอะ ส่วนของหมอแค่สองสามถุง

   “ผมช่วยมั้ย” หมอยื่นมือมา ผมชักถุงกลับ ส่ายหัว

   “ไม่ครับ! สบายมาก”

   หมอลดมือกลับ

   “มันจะปริเอานะ แผลน่ะ”

   “ครับ?” ผมก้มลงมองพุงตัวเอง จะ... จริงเหรอ?

   “ครับ”

   หรือที่หมอชวนผมกลับด้วยกันเพราะเหตุนี้ ผมมองถุงในมือหลายใบ ก่อนจะพยายามเลือกถุงที่ดูเบาๆ ให้หมอ แต่เขากลับยื่นมือมารวบของทั้งหมดจากมือขวาผมไปถือเอง เล่นเอาผมอ้าปากค้าง ก่อนจะเดินลิ่วๆ นำขึ้นลิฟต์ไปเลย ผมทำไงได้ล่ะ รีบเดินเร็วๆ ตามเขาไปน่ะสิ

   หมอกดหมายเลขชั้น 9 ให้ตัวเอง เอ่ยขอบคุณ มองมือหมอที่ตอนนี้พะรุงพะรังไปด้วยของของผมด้วยความเกรงใจ ก่อนเอ่ยออกไป

   “หมอครับ คือ... วางก่อนมั้ยครับ ผมว่ามันหนักมากเลย”

   คนตัวสูงก้มมองของในมือแล้วส่ายหัว

   “อีกแป๊บก็ถึงแล้ว ช่างมันเถอะครับ”

   “อ่า... ครับ” ผมยืนเงียบๆ แค่นาทีเดียว ลิฟต์ก็เปิดออกที่ชั้น 9 ผมหันมาจะขอถุงคืน แต่หมอกลับเดินออกมาจากลิฟต์แล้วหันมาบอกผม

   “ห้องคุณอยู่ไหน?”

   “ฮะ? อะ... เอ่อหมอ...”

   “ผมหนักนะ เร็วสิครับ” หมอหน้านิ่งแต่พูดว่าหนักเนี่ยนะ ผมจึงรีบเดินนำไปด้วย ล้วงคีย์การ์ดออกมาด้วย โว้ย! บุญคุณท่วมหัวกูแล้วเนี่ย!

   คีย์การ์ดแตะลงที่ล็อคประตูอัตโนมัติของห้อง 9010 ผมผลักประตูเข้าไปก่อนเอาของทั้งหมดในมือผมวางไว้แถวๆ หน้าประตูนั่นแหละก่อนจะรีบคว้าเอาถุงของตัวเองจากมือใหญ่มา เหลือไว้สองสามถุงที่เป็นของหมอ แล้ววางลงตาม หันมายกมือไหว้ขอบคุณเขาตามารยาทของผู้น้อย

   “ขอบคุณครับหมอ เอ่อ เกรงใจน่ะครับ ฮ่าๆๆ”

   “ไม่เป็นไรครับ”

   แล้วคุณหมอสุดแปลกก็เดินจากไปที่ลิฟต์เพื่อกลับห้องตัวเอง ผมยืนส่งเขาจนลับตาแล้วค่อยถอนหายใจเฮือกใหญ่

   แต่แล้ว... แทนที่จะได้นอนตีพุง ผมกลับพบว่า

   เชี่ย! ถุงนี้มันของหมอ!

   เพราะชั้น 15 เป็นชั้นวีไอพีจึงมีเพียงหกห้องเท่านั้น ผมจำได้ว่าห้องของหมออ่ะอยู่ซ้ายมือของลิฟต์และเป็นห้องสุดท้าย

   แต่ดันจำไม่ได้ว่าฝั่งไหนของสุดทางเดินน่ะสิ

   ผมยืนลังเลอยู่ระหว่างห้อง 1505 กับ  1506 เหมือนโชคชะตาเข้าข้างเพราะประตูห้อง 1505 เปิดออกพอดี แต่คนที่ออกมากลับเป็นชายหนุ่มร่างโปร่งบาง สูงกว่าผมเล็กน้อย ผมสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าสวยจนผมยังอดมองไม่ได้

   ชายหนุ่มคนนั้นออกมาจากห้องด้วยสีหน้าหงุดหงิด มือยกขึ้นเช็ดมุมปาก เขาชะงักไปเมื่อเห็นผมยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าห้องก่อนจะปิดประตูแล้วเอ่ยปากถาม

   “มาหาใคร?”

   “คะ... ครับ? คือว่า ผมมาหาคุณหมออคิน แต่เหมือนจะผิดห้อง...” ผมยิ้มให้ ก่อนจะหันไปฝั่งตรงข้ามเพื่อเตรียมเคาะประตูอีกห้องหนึ่ง แต่ชายผมน้ำตาลกลับขัดไว้ก่อน

   “ถูกห้องแล้ว ผมแค่มาหาเขาเฉยๆ คุณเป็นใคร?”

   น้ำเสียงเขาห้วนมาก เฮ้! ทำหน้าเหมือนผมไปเหยียบหางงั้นแหละ

   “เอ่อครับ ผมเอาของมาคืนหมอน่ะครับ ไม่คิดว่าหมอจะมีแขก”

   “แขก?... หึ!” เขามองหน้าผมแล้วแสยะยิ้ม เบือนหน้าหนี ก่อนจะหันกลับมาคว้าต้นแขนผมอย่างแรง หน้าตาดูไม่พอใจสุดๆ ผมเบิกตากว้าง ชักแขนกลับอย่าตกใจ แต่ก่อนจะเกิดอะไรขึ้น ประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นคนที่ผมตั้งใจเอาของมาคืน

   หมออยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากตอนที่จากกันเมื่อกี้ จะมีก็แค่... รอยอะไรซักอย่างที่ลำคอ ที่ผมเห็นไม่ใช่ว่าผมสังเกตหรอกนะ แต่มันชัดมากต่างหาก หมอถือถุงของผมที่หยิบสลับกันไป เหมือนเขากำลังจะเอาลงไปคืนเหมือนกัน ดวงตาสีเขียวเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าผม ก่อนจะหันไปมองคนที่กระชากแขนผมไว้ด้วยสายตาที่... เย็นเยียบ... มันแทบจะมองข้ามหัวไปเลยด้วยซ้ำ

   “ทำอะไร”

   เสียงหมอที่ปกติจะนิ่งแต่สุภาพเสมอ ตอนนี้ห้วนสุดไม่ต่างจากคนที่เพิ่งถามผมเสียงห้วนคนนี้เลย ชายผมน้ำตาลชักสีหน้า ปล่อยแขนผมทิ้ง แล้วเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง

   “เปล่า” เขาปัดเสียงใส่ “ผมกลับล่ะ”

   แล้วร่างโปร่งก็เดินลงลิฟต์ไป ผมมองตามอย่างไม่พอใจแกมงุนงง หมอยื่นถุงคืนให้ สีหน้านิ่งปกติแต่ไม่ได้เฉยชาแบบเมื่อกี้

   “ผมกำลังจะเอาลงไปคืน”

   ผมรับมาก่อนยื่นถุงของหมอคืนสลับกัน

   “ขอบคุณครับ”

   ผมมองของในถุงให้แน่ใจ ก่อนจะเตรียมหันหลังกลับ หมอกอดอกพิงกรอบประตู จ้องผมด้วยสายตาอ่านยากจนผมชะงักฝีเท้า อะไร...?

   “นึกว่าคุณจะถาม”

   “ถาม? ถามอะไรครับ”

   “ผู้ชายคนนั้น”

   เอ่อ... หมอ ผมจะถามทำไมครับ เขาอาจจะเป็นเพื่อนคุณ ญาติคุณ แต่ผมไม่ใช่ทั้งนั้น ผมเป็นแค่คนไข้ครับหมอ จะอยากรู้เพื่อ...? หรือเพราะปกติผมชอบถามทุกอย่างสงสัยกัน

   “อ่อ ก็เพื่อนหมอมั้งครับ ผมจะถามทำไม”

   หมอขมวดคิ้ว เขาเสยผมอย่างหงุดหงิด... นี่ผมทำอะไรผิดเรอะ

   “งั้นก็ ราตรีสวัสดิ์ครับ”

   ผมเอียงคอมอง ไม่เข้าใจ แต่ก็พยักหน้ารับไป

   “ราตรีสวัสดิ์ครับหมอ”

   หมอ... เมนส์มาป่ะวะ?



  เรนเดอร์ (Render) - การนำภาพหรือวิดิโอออกมาเพื่อนำไปใช้งานต่อ หรือการ export งาน 3 มิติ ออกมาในรูปแบบของภาพ 2 มิติ ในกรณีนี้คือการเรนเดอร์งาน 3 มิติให้ออกมาเป็นภาพเพื่อนำไป composite ต่อไป
  Deadline Monitor - แอพลิเคชันที่ใช้งานคู่กับ Deadline Slave ใช้เพื่อดูคิวหรือควบคุม job (งาน/โปรเจค) ที่อยู่ในฟาร์ม กำหนดค่าความเร็วและลำดับความสำคัญของงานที่จะต้องเรนเดอร์ด้วยฟาร์มเรนเดอร์ทั้งหมด
  เฟรม (Frame) - ภาพ 1 ภาพที่ทำการเรนเดอร์ออกมา
  Turn / Turn table - คือการเรนเดอร์โมเดลโดยการหมุนโมเดล 360 องศาเพื่อให้ดูรายละเอียดของโมเดลได้ครบทุกมุม กระบวนการนี้ไม่ต้อง composite
  Pipeline - ผู้ดูแลกระบวนการการทำงานทั้งหมด เป็นคนวางแผนระบบการทำงาน การจัดเก็บไฟล์และโปรแกรมที่ใช้เพื่อให้กระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด




#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
เจอศัตรูเข้าละมั้ง,,,

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 05

หมอครับ หน้าร้อนไฟตกเป็นเรื่องปกติ



   กำลังจะเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวหน้าร้อน แน่นอน... ว่าหนีไม่พ้นเทศกาลสงกรานต์นั่นเอง และนั่นจึงเป็นเวลาที่ดีที่ทุกคนในบริษัทจะแข่งกันปั่นงานเพื่อต้อนรับวันหยุดยาวที่จะมาถึงในอีกสองอาทิตย์

   “ร้อน!!”

   ไอ้เนที่นั่งกินข้าวอยู่ตรงข้ามผมบ่นทันทีที่กินเสร็จ ผมกรอกตามองบน

   “ร้อนจะตายชัก เสือกสั่งผัดพริกแกงมาแดก”

   “ก็กูอยาก!”

   “งั้นอย่าบ่น”

   วันนี้ผมกับเนลงมากินข้าวกันก่อน เพราะอีกสามคนกำลังจะเดดไลน์ตอนสามโมง ปั่นกันให้ไฟลุกพรึ่บพรั่บ ผมยกคอมให้พี่ดินใช้เรนเดอร์งาน ไอ้เนก็ยกให้พี่เจี้ยน ส่วนฟาง ป่านนี้คงสติแตกไปแล้ว

   “ร้อนขนาดนี้ แอร์ก็เปิดกันทั่วบ้านทั่วเมือง เมื่อวานหม้อแปลงซอยกูก็ระเบิด ร้อนฉิบหาย!” ไอ้เนบ่นโอดครวญ ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนั้นตีสี่กว่าแล้ว มันคงถ่อมาคอนโดผมแน่นอน

   “มิน่า มาเช้าเชียวนะมึง”

   “แหงสิ ร้อนจะตายชัก ป่านนี้ซ่อมเสร็จรึยังก็ไม่รู้” น้ำเย็นถูกกรอกใส่ปาก ผมหัวเราะมัน ไอ้เนเตือนผมด้วยความหวังดี

   “มึงก็ระวังๆ ขึ้นลิฟต์ช่วงนี้ เกิดไฟดับไฟตก ลิฟต์ค้างจะเป็นเรื่อง”

   ผมเลิกคิ้ว ยักไหล่

   “หน้าร้อนไฟตกเป็นเรื่องปกติ” พูดเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว เนเบะปากใส่ผม

   “อย่ามาร้องห่มร้องไห้ทีหลังให้กูได้ยินนะ”

   “เออๆๆ รู้แล้ว แดกเสร็จก็จ่ายเงิน ร้อน!”

   

   หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่เจอหน้าหมอมาจะสามอาทิตย์แล้วมั้ง อาจเป็นเพราะช่วงนี้กลับไม่เป็นเวลาด้วยแหละ หลังจากแผลหายสนิทดี ไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ อีก ผมก็กลับไปทำตัวบ้างานเหมือนเดิม  แต่ก็อยู่ไม่เกินห้าทุ่ม งานผมยุ่งมากจนไม่ได้นึกถึงเขาไปเลย แต่ไอ้ที่ผมแอบแวบๆ นึกถึงเขาขึ้นมาบ้าง อาจเป็นเพราะผู้ชายผมสีน้ำตาลคนนั้นที่ตั้งท่าหาเรื่องผมตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากับไอ้รอยคิสมาร์คที่คอของหมอก็เป็นได้

   ผมไม่ได้โง่หรือใสซื่อบริสุทธิ์ขนาดไม่รู้ว่าไอ้รอยนั้นคืออะไรหรอกนะ

   ผมส่ายหัวไล่ความคิดอกุศล โอเค ผมไม่ได้โลกสวย ก็มันอดคิดไม่ได้นี่นา มันเรื่องธรรมดาของผู้ชายวัยเขากับเรื่องแบบนี้

   ผมเดินขึ้นจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคอนโดเสียเท่าไหร่ ถือเป็นความสะดวกสบายอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมเลือกซื้อคอนโดนี้ ผมจะไม่สนใจรถที่จอดหน้าทางเข้าคอนโดเลย หากไม่ใช่ว่าคนที่ลงมาก็คือชายร่างสูงในชุดสูทสีน้ำเงินสวยเหมือนไปงานปาร์ตี้คนรวยมา... และจะยิ่งไม่สนใจเข้าไปใหญ่ถ้าเขาไม่ได้โน้มตัวลงไปจูบกับสาวในรถที่ยื่นหน้าออกมารับจุมพิตเร่าร้อนไม่อายสายตาชาวบ้าน

   หมอนี่หว่า!!

   “เชี่ย” ผมที่เดินมาจากฝั่งตรงข้ามรีบหันหลังขวับ ตั้งสติ... ก่อนจะค่อยๆ พาตัวเองหลบหลืบพุ่มไม้แล้ววิ่งพรวดไปยังโถงลิฟต์คอนโด ผมกดลิฟต์เร็วๆ เวรเอ้ย ลิฟต์ทุกตัวแม่งติดแหง็กอยู่ชั้นสิบกว่าทั้งนั้น มีตัวเดียวที่ลงมา

   ติ๊ง!

   ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิด ผมก้าวเข้าไปในลิฟต์แล้วกดปุ่มปิดรัวๆ อีกนิดเดียวก็จะปิดสนิทอยู่แล้วเชียว แต่ดันมีมือใหญ่สอดเข้ามาขวางซะได้ ดีนะที่ระบบเซนเซอร์ของที่นี่ดีมาก ทำให้ประตูเปิดออกอีกครั้งแทบจะทันทีที่ตรวจพบสิ่งกีดขวาง

   “ขอโทษครับ... ข้าวปั้น?”

   ผมมองหน้าหมอ หมอก็มองหน้าผม ก่อนจะเลื่อนไปมองที่ใบหูของผม...

   “ไม่สบายเหรอครับ หน้าแดงขนาดนี้ แถมหูก็แดง...”

   หมอเอื้อมมือมาจับหูผมเบาๆ จนผมสะดุ้งโหยง รีบปัดมือทิ้งทันที

   “ปะ... เปล่าครับเปล่า! ฮ่าๆๆ หวัดดีครับหมอ ไม่เจอกันตั้งนาน” ผมหันตัวหลบ รีบกดชั้นของตัวเองรัวๆ เหมือนจะเร่งให้ลิฟต์รีบๆ ขึ้นถึงชั้นของผมเสียที อึดอัดจะตายอยู่แล้วเนี่ย

   หมอก้มหน้ามองผมที่เหงื่อแตกพลั่กๆ อย่างไม่เข้าใจ แต่ก่อนจะทันถามอะไร จู่ๆ ลิฟต์ก็กระตุกและหยุดตัวลง ไฟในลิฟต์ดับพรึ่บจนผมผวา ผมสูดลมหายใจหน้าซีดเผือด

   “อา...”

   ผมครางเสียงแผ่ว จุกในลำคอ ความมืดที่มาเพียงแวบเดียวก่อนที่ไฟสำรองของลิฟต์จะมาทำให้ผม... หายใจไม่ออก

   “มะ... หมอ” ผมตัวเกร็งคว้าเสื้อหมอแน่นอย่างตกใจ เสียงสั่นจนแทบจะสะอื้น

   “หมอ... ฮึก” ผมกัดปากตัวเอง หายใจติดขัด ไฟสำรองไม่ได้สว่างมากนักจนทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ดี ค่อยๆ ทรุดตัวลงไป

   “ข้าวปั้น! เป็นอะไร”

   คนที่เงียบไปคว้าร่างที่กำลังจะหมดสติของผมไว้ มือพยายามเกาะเขาแน่น ภาพบางอย่างในหัวไหลกลับเข้ามาเหมือนกรอเทป

   “ขะ... ขอโทษ... ขอโทษครับ... อุ้ก!” ผมพะอืดพะอม

   “ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ ผมอยู่นี่”

   “ขอโทษ ขอโทษครับ ผมขอโทษ” ผมพร่ำอย่างไร้สติ

   “ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษนะข้าวปั้น”

   น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างไม่เคย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมขอโทษเขาไปกี่รอบ อ้อมแขนแกร่งโอบรอบตัวผม มือใหญ่ลูบหัวลูบหลังปลอบใจคนเสียขวัญ “ข้าวปั้นครับ ได้ยินผมรึเปล่า”

   ผมหลับตาลง คำขอโทษที่ฝังกินจิตใจผมกลับมาอีกครั้ง

   เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ผมขอโทษน่ะ ผมขอโทษอะไร

   “ข้าวปั้น เฮ้! ได้ยินผมมั้ย! ข้าวปั้น”

   ผมขอโทษ...

   สัมผัสเย็นๆ บนใบหน้าทำให้ผมรู้สึกตัว กลิ่นเทียนหอมคุ้นเคยลอยเข้าจมูก ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น สมองเบลอไปหมด

   “รู้สึกยังไงบ้าง”

   เสียงทุ้มน่าฟังดูใกล้จนแปลกใจ ผมกรอกสายตามองหาต้นเสียง ก่อนจะพบว่าดวงหน้าคมเข้มอยู่ใกล้แค่เอื้อม แถมมือยังมีผ้าขนหนูผืนเล็กหมาดน้ำคอยลูบไล้ใบหน้าผมอยู่

   “มะ... หมอ”

   “เป็นมานานรึยัง?”

   “ครับ?”

   หมอเสยผมที่ปรกหน้าผมขึ้น ก่อนจะเช็ดหน้าผากที่ชื้นเหงื่อให้ด้วยมือข้างเดียวกัน...

   “โรคกลัวความมืด”

   ผมเงียบไป... มันไม่ใช่เรื่องของเขาซะหน่อย

   แม้มันจะไม่ใช่โรคร้ายแรงจนส่งผลต่อชีวิตประจำ แต่ก็เป็นจิตเภทประเภทหนึ่ง

   “คุณดีขึ้นแล้วใช่มั้ย? รู้สึกยังไงบ้าง คลื่นไส้อยู่รึเปล่า?”

   หมอเปลี่ยนเรื่อง ผมหลับตาลง ก่อนลืมขึ้นมาใหม่

   “ดีขึ้นแล้วครับ”

   “จริงเหรอครับ” หมอกระตุกยิ้ม เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่เห็น ของดีหายาก

   “แต่เหมือนว่าจะยังนะ ผมว่า”

   หมอชูมือที่มีมือของผมจับไว้แน่นจนเริ่มรู้สึกชา ผมเบิกตากว้าง รีบปล่อยทันทีเหมือนต้องของร้อน รับรู้ได้ถึงความร้อนและชื้นของเหงื่อ

   ผะ... ผมจับนานแค่ไหนแล้วเนี่ย!

   “ขอโทษครับ! ขอโทษครับหมอ ผมไม่ได้ตั้งใจ!”

   “ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร”

   หมอดูชอบใจกับปฏิกิริยาของผมก่อนวางผ้าขนหนูลงบนอ่างเล็ก รู้ได้เลยว่าหมอถือวิสาสะค้นกระเป๋าผมแล้วเอาคีย์การ์ดมาเปิดเข้าห้อง แถมยังค้นเจออ่างเล็กกับผ้าขนหนูด้วย

   นี่เขาเปิดไปกี่ตู้วะเนี่ย?

   ม๊าว~

   เสียงเจ้าอ้วนปั้นสิบร้องอยู่ปลายเท้าผมที่นอนราบบนเตียงตัวเอง เจ้าอ้วนค่อยๆ เดินย่องขึ้นมาบนอกแล้วนวดๆๆ ให้ผมอย่างมันเท้า ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งพิงพนักเตียง

   “ไงเจ้าอ้วน” ผมลูบหัวลูบตัวมัน ก่อนที่มันจะละจากมือผมกระโดดย้ายก้นไปนั่งบนตักหมอที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เล็กๆ อเนกประสงค์ข้างเตียงแทน

   อ้าว อีอ้วนนี่

   หมอมองเจ้าบริทิช ช็อตแฮร์ตัวอ้วนสีเทาก่อนจะยกมือลูบหัวมันเบาๆ

   ปกติปั้นสิบจะไม่ยอมเข้าใกล้คนแปลกหน้าแท้ๆ ขนาดเฮียปุ้นมันยังเมินหน้า แปลกดีที่ยอมแม้กระทั่งให้จับตัว

   “ชื่ออะไรครับ?”

   “อ๋อ ชื่อปั้นสิบครับ ผมชอบเรียกมันเจ้าอ้วนมากกว่า”

   “ปั้นสิบ” หมอทวนชื่อพลางเกาคางให้เจ้าอ้วนที่เงยหน้ายอมให้เขาเล่น

   “ปั้น”

   ใจผมกระตุกวูบ หันขวับตามสัญชาติญาณ หมอเหลือบตามองผมอยู่ก่อนแล้วเหมือนดูปฏิกิริยา ผมหัวเราะแก้เก้อ ยกมือลูบหลังคออย่างเคยชินเวลาเขิน

   “ผมนึกว่าหมอเรียกน่ะครับ” เขาคงเรียกเจ้าปั้นสิบ

   “ผมเรียกคุณนั่นแหละ” หมอวางมือลงบนศีรษะผมเบาๆ แทนที่หัวเจ้าอ้วน ก่อนจะเดินออกมาจากโซนห้องนอนที่ถูกกั้นไว้ด้วยกระจกเลื่อนเพื่อให้เป็นโซนห้องนอนเนื่องจากเป็นห้องแบบสตูดิโอที่แยกห้องครัวกับห้องน้ำ

   “แม้ว่าโรคโฟเบียของคุณจะไม่ร้ายแรงถึงกับช็อค แต่เวลาฉุกเฉินมันก็อันตราย ยังไงถ้าคุณว่างก็ลองไปพบจิตแพทย์ดูหน่อยก็ได้นะครับ แค่ไปปรึกษา คุณไม่ได้บ้า ไม่ต้องกลัวว่าใครจะคิดยังไง” หมอหยิบสูทสีน้ำเงินตัวนั้นที่วางพาดอยู่บนโซฟาขึ้นมาคล้องแขนพลางบอกผม

   “บางครั้งผมก็ไปปรึกษาเหมือนกัน ถ้าคุณต้องการ ผมจะนัดหมอที่ผมรู้จักและไว้ใจได้ให้”

   “อะ... เอ่อ ขอบคุณครับ แต่ผมก็ไม่ได้เป็นบ่อย แล้วก็... ไม่ค่อยเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเจอกับสถานการณ์ที่จะต้องทำให้เป็นแบบแล้วด้วย...”

   “แล้วด้วย?” หมอหรี่ตา “ผมถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ”

   หมอหันกลับมาทั้งๆ ที่กำลังจะเปิดประตูแท้ๆ

   “คุณขอโทษอะไร?”

   ผมเบิกตา นิ่งไป นิ่งไปนานจนผมลืมไปแล้วว่าเขาถาม

   “ข้าวปั้น”

   หมอแตะแก้มผมที่ตอนนี้ก้มหน้ามองมือตัวเอง ผมสะดุ้ง เบนหน้าหนี

   “โอเคครับ” หมอเลิกเซ้าซี้ “เอาเป็นว่า ลองคิดดูนะครับ”

   แล้วหมอก็จากไป ทิ้งให้คนป่วยจิตอย่างผมไหล่ตก ส่วนเจ้าอ้วนเอาแต่ร้องหิวข้าวอยู่นั่นแหละ

   “เฮ้อ”



   “อะไรนะ ติดอยู่ในลิฟต์ แล้วแกเป็นไงมั่งตอนนั้น แกขึ้นลิฟต์คนเดียวรึเปล่าวะ?”

   ไอ้เนโวยวายหลังจากผมเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้ฟัง ตอนนี้ก็เหมือนเมื่ออาทิตย์ก่อน ช่วงเดดไลน์สุดท้ายก่อนกลับบ้านสงกรานต์ เหลือเพียงผมกับไอ้เนสองคนที่ว่างพอจะลงมากินข้าวตอนเที่ยงตรง ส่วนคนอื่นๆ ก็มีทั้งฝากซื้อหรือไม่ก็รอลงมากินบ่ายๆ

   “ก็... กูเป็นลม” ผมตอบเขินๆ

   “เชี่ย!” ไอ้เนตกใจส่วนผมเบือนหน้าหนี “เป็นลมเลยเรอะ! ก่อนหน้านั้นที่แค่ลิฟต์กระชากที่บอ มึงยังหน้ามืดตัวสั่นจนกูกลัวนึกว่าผีเข้า”

   “ก็ตอนนั้นมีมึงแถมลิฟต์แค่กระตุก แต่นี่ไฟดับเลยนะเว้ย ถึงสุดท้ายไฟสำรองกับระบบเซฟตี้ของลิฟต์จะทำให้ลิฟต์จอดชั้นที่กูกดไว้ก่อนก็เถอะ ไฟฉุกเฉินก็สลัวจนกูมองอะไรไม่ชัด รู้ตัวอีกทีก็วาร์ปมาอยู่ห้องแล้ว...” ผมเผลอหลุดปากไป...

   “วาร์ป?” ไอ้เนหรี่ตาทวนคำพูดผม “ ใครพามึงกลับห้อง?”

   “เอ่อ”

   “หืม มึงยอมให้คนแปลกหน้าเข้าห้องมึงเรอะ?”

   “เปล่าเว้ย!” ผมปฏิเสธ ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอึกๆ “บังเอิญหมอที่เป็นเจ้าของไข้กูพักอยู่ที่คอนโดเดียวกันน่ะ”

   แล้วผมก็เล่าเหตุการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง โดยไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียดเช่นตอนที่อ้วกใส่หมอบ้างหรือเจอกันที่ห้างบ้าง

   “โคตรบังเอิญที่หมอเป็นเพื่อนเก่าพี่มึง”

   “อ่าฮะ”

   “แล้วมึงจะเอาไง จะลองไปปรึกษาหมออย่างที่หมอเขาแนะนำมั้ย” ไอ้เนกดลิฟต์ ผมถอนหายใจ ผมไม่ได้กลัวลิฟต์ ไม่ได้กลัวการอยู่ในที่แคบ ผมแค่กลัวสถานการณ์ที่ต้องอยู่ในที่ที่แคบและมืด ในห้องผมจึงเต็มไปด้วยไฟฉาย โคมไฟ และเทียนหอม เพราะงั้นการขึ้นลิฟต์สำหรับผมไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่พอมองขึ้นไปบนดวงไฟที่ติดลิฟต์แล้วก็พลันนึกถึงวันนั้น

   “มึงคิดว่าไง?” ผมถามกลับ ไอ้เนกอดอกพิงผนังลิฟต์

   “ถ้าถามกู กูก็ว่าควร ไอ้อาการนี้ของมึงมีแค่กูกับพี่ดินเท่านั้นที่รู้ เกิดไปเป็นที่อื่นที่คนอื่นเขาไม่รู้จะจัดการยังไง มึงอันตรายนะ” ไอ้เนพูดจริงจัง ผมหยุดคิด ใช่ว่าผมไม่เคยคิด แต่พอนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ผมก็ไม่กล้าจริงๆ

   “เฮ้อ... มีแต่เรื่องจริงๆ ชีวิตกู”



   ผมใช้เวลาทบทวนตัวเองกับความคิดที่ว่าจะลองไปปรึกษาจิตแพทย์แบบจริงๆ จังๆ ดูดีมั้ย ระหว่างที่ผมกำลังนั่งชันเข่าอยู่บนโซฟา มือข้างหนึ่งถือขนมแมว ส่วนอีกข้างเลื่อนหน้าจอมือถือหาข้อมูลโรงพยาบาล ปล่อยให้เจ้าอ้วนปั้นสิบเลียขนมในมืออย่างเพลิดเพลิน จะว่าไปผมก็ไม่ได้เจอหน้าหมอมาเกือบเดือนแล้วมั้ง หลังจากวันนั้น ช่วงหยุดยาวสงกรานต์ผ่านไปแล้ว ผมเองก็กลับบ้านที่เชียงรายตั้งหนึ่งอาทิตย์ อยากลองติดต่อดูเรื่องที่เขามีจิตแพทย์แนะนำเหมือนกัน จะขึ้นไปหาบนห้องก็ไม่รู้จะดูสนิทกันเกินไปหรือเปล่า กลัวจะไปรบกวนเขา เผื่อเขาขึ้นเวรหรือมีแขก... แถมวันนี้เป็นวันศุกร์ หมออาจจะไปแฮ้งค์เอ้าท์กับเพื่อนๆ ก็เป็นได้ คงต้องอาศัยความบังเอิญอีกรอบ

   ติ๊งหน่อง!

   เสียงกดออดหน้าห้องทำเอาผมสะดุ้ง เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ นอกจากตอนเขามาซ่อมแอร์กับท่อน้ำแตกก็ไม่เคยได้ยินเสียงออดเลย แถมนี่มันก็จะเที่ยงคืนแล้ว ใครกันนะ?

   ผมลุกจากโซฟา ไปมองผ่านตาแมวก็เห็นเพียงช่วงอกของคนที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีสายทางสีขาวน้ำเงิน

   ใครล่ะเนี่ย?

   ผมเปิดประตูออกไป เจ้าของร่างสูงชะลูดคุ้นตาที่ยืนชิดประตูจนตาแมวมองไม่เห็นหน้า เล่นเอาผมผงะถอยหลังจนเกือบจะเหยียบโดนเจ้าปั้นสิบที่เดินตามมาคลอเคลียเท้า

   “ระวังครับ!” มือใหญ่คว้าไหล่ผมไว้ก่อนจะประทุษร้ายแมวอ้วนจนหน้าผมแทบจะชิดกับอกกว้างเจ้าของเสื้อเชิ้ตตัวนั้น คนตัวโตกว่าปล่อยมือช้าๆ ให้ผมทรงตัว คนถูกช่วยเลิ่กลั่ก

   หมอคนเดิม... เพิ่มเติมคือเหงื่อโชกเหมือนไปเวทมา

   “หมอ! เอ่อ สวัสดีครับ มาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ ครับเนี่ย?” ผมถามออกไปตรงๆ หมอปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกก่อนคลายคอเสื้อเล็กน้อย ดูจากเหงื่อที่หยดตามขมับจนเปียกไรผมและปกคอเสื้อแล้ว สงสัยจริงๆ ว่าไปทำอะไรมา

   “ลิฟต์ขัดข้องน่ะครับ ผมเลยต้องเดินขึ้นห้องตัวเอง แต่ผมลืมคีย์การ์ดไว้โรงพยาบาล แบตมือถือผมหมด แล้วนี่ก็ดึกมากแล้ว ผมไม่อยากโทรเรียกนิติตอนนี้ เลยลองเสี่ยงมาหาคุณดู เผื่อว่าคุณจะยังไม่นอน”

   “อย่าบอกนะว่าหมอเดินจากชั้นหนึ่งไปชั้นบนสุดน่ะ สิบห้าชั้นเลยนะหมอ!”

   ผมตกใจ เป็นผมนะ ถ้าลิฟต์จะพร้อมใจกันเสียสามตัวตอนนี้ ผมคงถอดใจขับรถไปนอนบ้านเพื่อนแล้วล่ะครับ

   หมอพยักหน้า...

   “แล้วหมอจะให้ผมช่วยยังไงครับ ให้ผมโทรหานิติให้มั้ย”

   “มันดึกมากแล้วครับ เป็นผมก็คงไม่ชอบให้รบกวนตอนกำลังฝันดี”

   อ้าวหมอ? แต่หมอไม่คิดว่ามันรบกวนผมใช่ปะ ผมยิ้มแหย

   “แล้วหมอจะทำไงครับคืนนี้”

   “ขอผมอาศัยห้องคุณสักคืนได้มั้ยครับ”

   “!!!”

   ผมหันขวับ เบิกตากว้าง ก่อนหัวเราะจืดชืด

   “ไม่ดีมั้งหมอ ห้องผมเล็กนิดเดียว กลัวไม่สะดวกหมอ”

   กูปฏิเสธแล้วนะหมอ

   หมอเงียบไป เล่นเอาผมใจคอไม่ดี สุดท้ายก็...

   “หมอนอนโซฟาได้มั้ยครับ ถ้าสะดวกก็เชิญครับ”

   แพ้แรงกดดันว่ะ โดยเฉพาะ... ความเงียบที่ดังที่สุด



งุ้ย... คุณหมอรู้ใช่มั้ยว่าน้องปั้นเเพ้เเรงกดดัน
บอกเลยว่า #คุณหมอคนเดิม เพิ่มเติมคือเขาร้ายนะคะ
#ความเงียบที่ดังที่สุด
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ร้ายกาจมากครับหมอ,,,

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ >///<
 :hao5:

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 06

หมอครับ ความมืดไม่ใช่สิ่งที่ผมกลัว



   “ห้องรกหน่อยนะครับ ผมพึ่งกลับมาน่ะ ยังไม่ได้เก็บอะไรเลย” ผมพยายามกวาดเสื้อผ้าที่พาดอยู่บนโซฟาและตามมุมต่างๆ มาโยนลงตะกร้าให้หมด ดีนะที่ผมไม่ใช่พวกถอดกางเกงในเป็นเลขแปดแล้วโยนไว้มั่วซั่ว

   “ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้รกขนาดนั้น” หมอเดินเข้ามาในห้องพร้อมถอดรองเท้าออกแล้ววางไว้บนชั้นอย่างเป็นระเบียบ ในขณะที่รองเท้าของเจ้าของห้องนั้นถอดกองไว้ข้างๆ ประตู ผมเปิดตู้เก็บของหน้าห้องเพื่อเอาสลิปเปอร์ออกมาให้ มันเป็นรูปกูเดทามะ (ไข่ขี้เกียจ) สีเหลืองอร่ามงามตาคู่ละเก้าสิบเก้าบาท

   “เชิญครับ”

   หมอมองลายรองเท้าแล้วอึ้งไปเล็กน้อย คือมันน่ารักเกินไปก็จริง แต่คู่นี้ใหญ่สุดแล้ว ดูจากขนาดรองเท้าของหมออ่านะ เขายอมสวมมันแล้วเอ่ยขอบคุณเบาๆ

   ตลกเหมือนกันแฮะ

   “ใช้ห้องน้ำได้ตามสบายนะครับ หมออยากอาบน้ำมั้ย ผมมีผ้าเช็ดตัวผืนใหม่อยู่” ผมเห็นเหงื่อหมอแล้วเหนียวตัวแทนเลยลองถามดู หมอมองตัวเองแล้วเสยผมที่ชื้นเหงื่อขึ้น เขาคงเกรงใจแหละ แต่ผมก็ยังยืนยันแกมบังคับด้วยการค้นเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหม่มายื่นให้

   “ไม่ต้องเกรงใจครับ เหงื่อออกเยอะมาก”

   “แต่ผมไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน”

   ผมชะงักไป เออ... นั่นสิ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีเสื้อของเฮียปุ้นทิ้งไว้นี่นา ครบทั้งเสื้อและกางเกง ตัวใหญ่จนหมอใส่ได้แหละน่า

   “อ่ะนี่ครับ ของเฮียปุ้นครับ หมอใส่ได้แน่นอน” เพราะผมตัวเล็กกว่าหมอโขเลย ขืนใส่ของผม หมอได้กลายเป็นแหนมมัดแน่นอน แล้วก็เขาคงไม่รังเกียจของของเพื่อนเก่าหรอกมั้ง

   หมอรับทั้งหมดไปพร้อมกับผงกหัวขอบคุณก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ผมตะโกนตามหลัง

   “ของในห้องน้ำใช้ได้ทุกอย่างนะครับหมอ”

   ผมได้ยินเสียงตอบรับเบามาก ไม่นานก็ได้ยินเสียงน้ำกระทบพื้น ผมยิ้มขำแล้วหันมาจัดการเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อยกว่านี้ ขุดเอาผ้าห่มและหมอนออกมา เอ... จะว่าไป มีฟูกสำรองสำหรับแขกด้วยนี่หว่า ผมลองมุดๆ หาใต้เตียงก็เจอฟูกบางๆ ที่เก็บอยู่ในถุงพลาสติกอย่างดี ผมจัดการเคลียร์โซนรับแขกให้สามารถปูฟูกได้ วันนี้คงต้องให้เจ้าปั้นสิบนอนด้วยกันจะได้ไม่ไปรบกวนเขา

   ผมจัดทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่เขาจะอาบน้ำเสร็จ เสียงน้ำเงียบไป สักพักประตูห้องน้ำก็เปิดออก ร่างสูงเกือบชนขอบประตูใช้ผ้าเช็ดตัวเดินเช็ดผมออกมา หมอในชุดเสื้อบอลลิเวอร์พูลกับกางเกงขาสั้นนี่มันโคตรจะ... แปลกตา แถมเขาไม่ใส่แว่นอีกต่างหาก

   “หมอ... แว่นล่ะ”

   ร่างสูงมองผมนิ่งๆ ก่อนแบมืออีกข้างออก

   “ผมไม่ใส่แว่นตอนเช็ดผมหรอกครับ” หมอเดินออกมาทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา “ขอบคุณสำหรับห้องน้ำครับ”

   “ไม่เป็นไรครับ” ผมไม่ชินตอนหมอไม่ใส่แว่นเลย เพราะปกติหมอจะชอบมองดุผ่านแว่นตลอด พอมองดีๆ... ตาสีเขียวที่ไม่มีเลนส์แว่นมาบัง ก็สวยดีแฮะ...

   “มองนานนะครับ ผมไม่ใส่แว่นมันแปลกขนาดนั้นเลยเหรอ”

   ผมสะดุ้ง ก่อนหันหน้าหนี ไม่รู้ตัวว่าหน้าร้อนเพราะอายหรือยังไง เลยแก้เก้อด้วยการเดินไปที่ครัว

   “หมอหิวมั้ยครับ ผมทำอะไรง่ายๆ ให้กินมั้ย หมอคงเพิ่งเลิกงานแหงเลย” ผมเปิดตู้เย็นดู พบว่ามีพวกเนื้อหมู เนื้อไก่เหลืออยู่นิดหน่อยกับไข่ประมาณสี่ห้าฟอง ข้าวก็เหลือจากที่หุงไว้ตอนมื้อเย็นเมื่อกี้

   “อยากกินอะไรครับ ข้าวผัดหมู ไก่ หรือ ไข่เจียว ผมทำเป็นไม่กี่อย่างหรอก เอ... มีผักบุ้งด้วยสิ หรือจะเอาผัดผัก...”

   ผมล้วงเอาวัตถุดิบออกมาวางเรียงไว้ที่เคาน์เตอร์ครัวแล้วหันกลับมาถาม โดยไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่นั่งอยู่บนโซฟาย้ายตัวเองมายืนอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ผักบุ้งในมือเกือบฟาดหน้าไปแล้วเชียว ผมถอยหลังด้วยสัญชาติญาณจนหัวเกือบจะโขกขอบตู้เย็น แต่มือของหมอยกขึ้นมาประคองหัวผมไว้ก่อนจะเจ็บตัว มือของเขาใหญ่จนแทบจะจับหัวผมรอบเชียว

   หน้าร้อน!!   

   ผมหันตัวหนีจังหวะนรก ใจเต้นรัวๆ ด้วยความตกใจยิ่งกว่า

   มะ มะ มะ หมอแม่ง! เล่นเชี่ยอะไรเนี่ย!

   “มาทำอะไรตรงนี้เนี่ย! ตกใจหมด!” ผมวางผักลงบนเคาน์เตอร์ หมอปล่อยมือก่อนจะถอยเว้นระยะออกไปยืนข้างๆ มองวัตถุดิบแล้วยิ้มบางๆ

   “คุณจะกินด้วยมั้ย”

   “อ่า... ไม่เป็นไรครับ ผมกินไปแล้ว”

   “งั้นข้าวไข่เจียวง่ายๆ ก็พอครับ เดี๋ยวผมทำเอง” แล้วหมอก็แปลงร่างเป็นเชฟ กระทะเหล็ก เขาลงมือตอกไข่สองฟองลงในชามเล็ก ตีให้เข้ากันแล้วหยอดซีอิ๊วกับผงปรุงรสนิดหน่อย ตั้งกระทะรอให้น้ำมันร้อนค่อยเทไข่ลงไป

   ซ่า...~

   อา... กลิ่นหอมของไข่เจียวมันยั่วยวนผมเหลือเกิน ถึงผมจะกินข้าวไปแล้วก็เถอะ ผมยืนมองอยู่ข้างๆ แอบน้ำลายไหลเบาๆ หมอเหลือบตามองผมก่อนจะถือตะหลิวขึ้นมาพลิกไข่พลางถาม

   “ตกลง จะกินด้วยกันมั้ยครับ”

   หอมอ่ะ...

   “ข้าวปั้น?”

   “กินครับ”

   น้ำหนักผมต้องขึ้นแหงๆ



   สุดท้ายก็ได้ผัดผักบุ้งมาเพิ่มอีกหนึ่งจานกับไข่เจียวอีกสามฟอง เล่นเอามื้อดึกอิ่มจนนอนไม่หลับ ผมพักท้องอยู่บนโซฟา ข้างๆ กันมีหมอที่นั่งดูโทรทัศน์ช่องข่าวต่างประเทศอยู่ ผมไหลมือถือก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องอยากถามพอดี

   “หมอครับ ผมมีเรื่องจะถาม”

   “ครับ?” หมอหันมาตามคำเรียก

   “ที่หมอเคยแนะนำให้ผมไปปรึกษาเรื่องโรคโฟเบีย ผม... ผมคิดว่า... ก็ดีเหมือนกันที่จะลองไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทางดู” ผมนั่งกอดเข่าแล้วโยกตัวไปมา ค่อนข้างกังวลกับการตัดสินใจของตัวเอง เพราะผมก็อยู่กับโรคนี้มานานจะเป็นสิบปีแล้ว

   “คุณ... กลัวความมืดใช่มั้ย”

   หมอถาม ผมส่ายหน้า

   “ความมืดไม่ใช่สิ่งที่ผมกลัวครับ”

   “คุณอยากลองเล่าให้ผมฟังมั้ย” หมอเบาเสียงโทรทัศน์ลงก่อนหันมามองผมแบบจริงจัง ผมกอดเข่าแน่นกว่าเดิม พอนึกถึงสาเหตุของโรคนี้แล้วทำให้ผมเกิดอาการกลัวขึ้นมา กลัวจนนิ่งไปนานจนหมอสะกิด เป็นแบบนี้มาหลายครั้งแล้วเวลาผมจมอยู่กับความคิดตัวเอง

   “ไม่ดีกว่าครับ”

   ผมไม่ทันได้เห็นสายตาของหมอที่มันวาววับขึ้นมาแวบนึง ก่อนจะกลับไปสงบนิ่ง

   “ผมจะนัดหมอให้” หมอเอามือถือที่ชาร์ตด้วยที่ชาร์ตแบตของผมมายื่นให้ “เมมเบอร์โทรศัพท์ไว้สิครับ ไลน์ด้วยก็ดี”

   ผมรับมือถือรุ่นล่าสุดมาแบบงงๆ ก่อนจะพิมพ์เบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงไปแล้วส่งคืน

   “ไลน์ก็ใช้เบอร์ครับ”

   “คุณเหนื่อยรึยัง ง่วงหรือเปล่า นอนเลยก็ได้นะครับ” หมอกดปิดโทรทัศน์พลางลุกขึ้น ผมเลิกคิ้วก่อนจะลุกพรวดตาม หมอคงเหนื่อยแล้วสินะ ลืมไปเลย

   “นอนเลยก็ได้ครับ ความจริงวันศุกร์แบบนี้ผมมีนัดเล่นเกมไว้ แต่ถ้าหมอจะนอนแล้วก็ไม่เป็นครับ”

   “กี่โมงครับ?”

   “ครับ?”

   “คุณนัดเล่นเกมไว้กี่โมง” หมอมองนาฬิกาแขวนผนังก่อนจะหันมายิ้มแหยๆ ด้วยความเกรงใจผมเลยยกมือขึ้นปฏิเสธ

   “ไม่เป็นไรครับๆ หมอน่าจะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

   “ผมมารบกวนคุณนะ คุณไม่ต้องเกรงใจผมหรอก”

   “แต่พีซีผมอยู่ตรงนี้” ผมชี้ไปที่ข้างโซฟาซึ่งมีโต๊ะคอมพิวเตอร์ชุด อันประกอบด้วยจอสองจอตั้งอยู่ หมอพยักหน้า

   “ไม่เป็นไรครับ”

   ผมมองนาฬิกาอีกครั้งก่อนมองหน้าหมอ มองคอม มองปั้นสิบ ถอนหายใจเฮือกแล้วยิ้มขอบคุณ ผมจะเล่นเกมเฉพาะวันศุกร์กับเสาร์เท่านั้น เพราะเล่นกับเพื่อนต่างประเทศด้วยเลยต้องเล่นดึกหน่อย และวันนี้ก็นัดเล่นกับเพื่อนที่นานๆ ทีจะว่างทำให้ไม่ค่อยอยากพลาดนัด

   “งั้นหมอไปนอนบนเตียงก็ได้ครับ ผมค่อนข้างจะเล่นเสียงดัง จะได้ปิดประตูกระจกได้”

   “ไม่เป็นไร ผมว่าจะอยู่ตรวจงานอีกนิด เชิญคุณตามสบายเลย” แล้วหมอก็หยิบกระเป๋าเอกสารของตัวเองขึ้นมาเปิดเอาแฟ้มงานกับแล็ปท็อปบางเฉียบมาวางบนตัก ในเมื่อเขาบอกให้ผมตามสบาย ผมก็จะตามสบายในแบบของผมล่ะนะ

   ผมจัดการเปิดพีซี สวมเฮดโฟน เข้าโปรแกรมแชท แล้วเปิดไมค์ในห้องแชทที่มีเพื่อนคอลรออยู่แล้ว

   “เฮ้! ฉันมาแล้ว” ผมทักไปเป็นภาษาอังกฤษ กลุ่มเล่นเกมห้าคนของผมตอนนี้เข้าคอลมาสี่คนแล้วรวมผมด้วย ขาดไปคนนึงก็คือพี่ดิน

   [“โย่ว ซูชิ มาแล้วเหรอ”]

   “ข้าวปั้นเว้ย หัดเรียกให้ถูกบ้างสิ” ผมหัวเราะ เพราะเพื่อนผมออกเสียงคำว่า ข้าวปั้น ไม่ถูก มันเลยเรียกผมว่า ซูชิ แทน มันบอกว่าความหมายเหมือนกันนั่นแหละ

   [“ขี้เกียจ ดีนยังไม่มาอีกเหรอ”] ลูคัส เพื่อนชาวอเมริกาถามหาพี่ดิน ป่านนี้เวลาที่นั่นคงจะประมาณสี่โมงเย็น บริษัทที่มันทำงานเลิกงานสามโมงเย็นเป๊ะจนผมอิจฉา ผมจึงถามอีกคนที่อยู่ในคอลด้วย

   “พี่เจี้ยน พี่ดินอ่ะ”

   [“ส่งเรนเดอร์ลูกค้าอยู่ เดี๋ยวตามมา มันบอกขอสิบนาที”] พี่เจี้ยนตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน เวลาเล่นเกมกับเพื่อนต่างชาติ ต่อให้เป็นพี่ดินพี่เจี้ยน พวกผมก็จะคุยกันเป็นภาษาสากลให้เพื่อนสามารถรับรู้บทสนทนาได้ด้วย

   [“ประเทศพวกนายชอบใช้งานล่วงเวลาอยู่เรื่อย”] โดมินิก เพื่อนชาวฝรั่งเศสแอบแขวะ ผมเลยตอบกลับไป

   “ก็ลูกค้าก็ประเทศฝั่งนายนั่นแหละดอม”

   [“อ้าว! เรอะ ฮ่าๆๆ”] โดมินิกหัวเราะรัว ผมแยกเขี้ยว

   [“มาแล้ว!”] อยู่ดีๆ คนที่บอกว่าขอสิบนาทีก็โผล่เสียงเข้ามาในคอล

   [“ไหนบอกขอสิบนาที”] โดมินิกแซว

   [“อยู่ดีๆ เน็ตก็เร็วเฉย เลยส่งขึ้นคลาวด์  เสร็จพอดี มาๆๆ เข้าเกมกัน”]

   แล้วพวกผมก็โหวกโหวกโวยวายกันจนลืมไปเลยว่า ห้องผมไม่ได้มีแค่ผมกับแมวที่วันๆ เอาแต่นอนจนอ้วน จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ พระอาทิตย์เริ่มแตะขอบฟ้า เกมจบลงพร้อมแยกย้ายกันไป ผมปิดคอม ถอดเฮดโฟนออก ยืดตัวบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อย ก่อนจะหันไปสังเกตเห็นคนที่นอนพาดโซฟา เขาไม่ได้ใช้ฟูกที่ปูไว้ให้ ศีรษะของหมอหันมาทางผม ส่วนขายาวพาดเลยออกไปนอกโซฟาอีกฝั่ง ผมหยักศกปรกหน้าที่ไร้แว่น

   ผมลอบมองโครงหน้าคมคายประกอบด้วยโหนกแก้มมีสันดูดี จมูกโด่ง ผิวค่อนข้างขาวละเอียดแม้ขอบตาจะค่อนข้างช้ำคล้ำพอๆ กับผม ขนตายาวผิดกับผู้ชายเอเชียทั่วไป ดวงตาสีเขียวคู่สวยตอนนี้ปิดสนิท ไรหนวดเคราเขียวเริ่มขึ้น

   ฉ่า...!

   ผมสะบัดหัวไล่ความคิดพิลึก เรื่องอะไรไปจ้องหน้าผู้ชายด้วยกัน ไม่เห็นมีอะไรน่าพิสมัยเลยสักนิด ผมเหลือบไปเห็นเจ้าอ้วนปั้นสิบนอนครางฮืออยู่บนพุงของหมอที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจ ผมกะจะไปยกตัวมันออกเพราะเขาน่าจะหนักน่าดู เจ้าอ้วนปั้นสิบตัวไม่ใช่เล็กๆ เลย แต่พอเห็นว่ามันหลับสนิทน่าเอ็นดู บวกกับมือใหญ่ของหมอวางทับตัวมันอีกที ก็ปล่อยเลยตามเลยไปแล้วกัน

   ผมเอาผ้าห่มที่เตรียมไว้มาห่มให้คุณหมออย่างเบามือที่สุด ระวังไม่ให้เขาตื่น ก่อนจะเดินเข้าไปมุดตัวนอนบนเตียงตัวเอง

   

   ม๊าว~!

   ผมรับรู้ได้ถึงแรงเหยียบแรงย่ำไปมาบนแผ่นอก แสงแดดแยงเข้าผ่านเปลือกตา เพราะผมไม่ชอบที่ห้องมืดสนิท ดังนั้นม่านของผมจึงเป็นโปร่งสีขาวเพื่อให้แสงแดดส่องเข้ามาได้ เจ้าอ้วนกำลังนวดอกให้ผมอยู่ เป็นการปลุกที่รู้สึกเหมือนโดนผีอำทุกวัน

   “โอเค... ตื่นแล้วเจ้าอ้วน” ผมเกาหลังคอมันอย่างเคยชิน เจ้าอ้วนอยู่นิ่งๆ สักพักก็กระโดดลงไปข้างล่างเตียง ผมลุกขึ้นอย่างงัวเงีย หันไปมองโซฟาที่ว่างเปล่าอย่างคนเมาขี้ตา ตอนแรกไม่รู้ตัวว่ามองทำไม สักพักก็นึกออก ผมเลิกคิ้วก่อนขยี้หัวเบาๆ มองฟูกและผ้าห่มถูกพับเก็บเรียบร้อยไว้บนโซฟา โต๊ะนั่งเล่นถูกลากมาไว้ที่เดิม รวมถึงจานชาม กระทะ ที่ถูกใช้งานเมื่อคืนก็ถูกล้างคว่ำอย่างเรียบร้อย

   อืม... มารยาทงามดีจริงๆ ถ้าเป็นเพื่อนผมมา ไม่มีทางที่จะเรียบร้อยแบบนี้แน่นอน

   ผมคว้ามือถือที่ชาร์ตไว้ข้างเตียงมาเปิดเช็คนู่นนี่ตามปกติ

   ทั้งไลน์บ้าน ไลน์บริษัท มีการทิ้งข้อความไว้เพียบ และอีกคนที่แอดเฟรนด์กันเมื่อคืน



   Akin.L: ขอบคุณสำหรับที่พักเมื่อคืนครับ ชุดเดี๋ยวผมซักมาคืนให้ ส่วนเรื่องนัดหมอ เดี๋ยวผมจะบอกเมื่อได้คิวนัดแล้วกันนะครับ



   รูปประโยคสุภาพเหมือนตัวจริงพูดอยู่แล้วแฮะ ผมพิมพ์ตอบกลับไป



   KaowwwPun: ขอบคุณครับหมอ



   ทันทีที่ผมตอบกลับ เขาก็ขึ้น read ทันที สงสัยว่าเล่นมือถืออยู่ล่ะมั้ง ไม่นานก็มีข้อความจากหมอตอบกลับมา



   Akin.L: วันนี้คุณว่างมั้ย?



   หืม?? ผมสงสัยสุดๆ วันนี้งั้นเหรอ... ผมมองเวลาบนหน้าจอมือถือ พึ่งจะบ่ายโมงกว่า ผมไล่อ่านไลน์ว่ามีคนนัดอะไรรึเปล่า แต่ก็ไม่มี... โอเค ขี้เกียจนอนอยู่ห้องเหมือนกัน เผื่อหมอจะนึกชวนออกไปบำบัดโรคที่ไหน



   KaowwwPun: ก็ว่างๆ ครับ

   Akin.L: งั้นคุณไปซื้อของเป็นเพื่อนผมหน่อยได้มั้ย?

   KaowwwPun: ซื้ออะไรเหรอครับ



งื้อ ไม่รู้ว่าอ่านแล้วชอบกันบ้างมั้ย ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 07
หมอครับ สองแสนแพงไปไหม


   ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวแค่สิบห้านาทีหลังจากตอบตกลงรับนัดคุณหมอไปแล้ว รู้สึกตื่นเต้นกับนัดครั้งนี้สุดๆ ทั้งๆ ที่ของที่จะไปซื้อนั้นก็ไม่ใช่ของผมเสียหน่อย

   ผมเทข้าวให้เจ้าปั้นสิบ เปลี่ยนทรายที่กระบะไว้ด้วยเผื่อกลับเย็น ก่อนลงลิฟต์ไปยังล็อบบี้ที่เจ้าของนัดวันนี้รออยู่

   หมอก็ยังคงเป็นหมอ โดดเด่นจนไม่ต้องเสียเวลาสอดสายตาหา เสื้อผ้าหน้าผมเนี้ยบเหมือนกับตอนที่อยู่โรงพยาบาล ขาดแค่สูทหมอก็ไปออกงานได้เลย แล้วดูผมสิ

   กางเกงยีนส์สามส่วนปอนๆ กับรองเท้าผ้าใบคู่เก่า เสื้อยืดลาย marvel  สีดำทับด้วยกระเป๋าคาดอกที่ใช้ประจำ โอเค เหมือนหมอจะไปงานพรมแดงส่วนผมไปจตุจักร

   “เอ่อ เราจะไปสยามกันใช่มั้ยครับ?”

   “ครับ ทำไมเหรอ”

   หมอเอียงคอเล็กน้อยเหมือนแปลกใจกับคำถาม โอเค สยามพารากอน...

   “ไม่มีอะไรครับ ไปกันเถอะ”

   แล้วหมอก็เดินนำไปยังลานจอดรถ ผมเปิดประตูข้างคนขับที่เดิม บุญของก้นผมรอบที่สามที่ได้นั่งออดี้รุ่นเดียวกับไอรอนแมน อยากจะตะโกนบอกให้ก้องโลกครับ

   “คุณทานอะไรรึยัง”

   หมอถามพลางสตาร์ทรถที่เป็นระบบไฟฟ้าทำให้เสียงเงียบและนุ่มสมเป็นรถราคาหลายสิบล้าน ผมส่ายหัว

   “ยังครับ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมซื้ออะไรกินเล่นเอา”

   “คุณชอบกินอาหารญี่ปุ่นมั้ย”

   “ฮะ? อ่อ ครับ ก็ชอบ” แต่ผมไม่มีเงินหรอกนะ

   หมอเข้าเกียร์รถหลังได้คำตอบ ก่อนจะหักพวงมาลัยออกสู่ถนนใหญ่ มุ่งหน้าไปยังสยาม

   “หมอ หมออยากได้คอมสเปคแบบไหนครับ งบประมาณเท่าไหร่ เน้นเล่นเกม ทำงานหรือยังไง บอกได้นะครับ หรือหมอจะซื้อให้ใครรึเปล่า” ผมหันมาตาวาว พล่ามๆ ยิงคำถามเป็นชุด ถ้าเป็นเรื่องเทคโนโลยีผมนี่รักเลยครับ คอมชุดที่ห้องผมประกอบเองทั้งหมด เงินเหลือก็จะเอามาแต่งคอม

   “ดูคุณตื่นเต้นกว่าผมอีกนะ” หมอกระตุกมุมปาก ตาเหลือบมองผมที่หัวเราะชอบใจ

   “ผมชอบเวลามีคนมาถามเรื่องพวกนี้น่ะครับ อย่างเฮียปุ้น ผมก็ประกอบให้ รายนั้นชอบเล่นเกมเหมือนกัน แต่ไม่ชอบศึกษาเรื่องพวกนี้ เนี่ยนะหมอ! การ์ดจอตัวใหม่เนี่ย อย่างเจ๋งครับ ถ้าผมเก็บเงินได้นะ ผมว่าจะถอยอยู่เหมือนกัน”

   “คุณลองไปเลือกให้ผมก็แล้วกัน ตามแบบที่คุณชอบนั่นแหละ”

   “เอ๋? งบล่ะครับ”

   “ไม่จำกัด”

   ร้วย!!

   เมื่อได้ยินคำว่าไม่จำกัดงบ ผมนี่เปิดมือถือเลยครับ เสิร์ชสเปคแล้วลองจัดดูคร่าวๆ เอาแบบเล่นเกมได้ลื่นไม่ตุก fps 60 ไปเลย!



   รถจอดที่ช่องจอดรถวีไอพีตามบัตรเครดิตที่หมอโชว์ อาชีพหมอนี่มันเงินดีขนาดนี้เลยเหรอวะครับ นอกจากภาษีรถยนต์ ค่าบัตรเครดิตก็คงไม่ใช่น้อยๆ เช่นกัน

   หมอเดินจากลานจอดรถ ตรงไปยังชั้นภัตตาคารร้านอาหารหรูๆ ก่อนทำท่าจะเลี้ยวเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นพรีเมี่ยม ผมนี่ตาค้างเลย รีบเดินเร็วๆ ไปคว้าแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวยี่ห้อหรูไว้ ร่างสูงหยุดกึกก่อนหันมาเลิกคิ้วถาม

   “หมอ เดี๋ยวก่อน ผมกินอะไรง่ายๆ ก็ได้ครับ คือ... ถ้าหมอจะกินก็เชิญก่อนเลย” ผมไม่กล้าพูดว่าไม่มีเงิน ไอ้ที่หมอจะเดินเข้าไปน่ะ ราคาต่อหัวถ้าจะให้อิ่มก็หลายพันเลยนะ

   “เดี๋ยวผมเข้าแมคดีกว่าครับ” แล้วก็เดินย้อนไปอีกทาง แต่หมอคว้าแขนผมก่อนจะดึงให้มาด้วยกัน เขาลากผมเข้ามาในร้านก่อนจะบอกคิวที่จองไว้ พนักงานเดินนำพวกผมเข้าไปในร้าน โดยที่หมอให้ผมเดินนำไปก่อน เขากลัวผมหนีรึไงนะ ผมเดินไปพลางหันกลับมามองหมอพลางอย่างไม่แน่ใจ คนตัวสูงหัวเราะเบาๆ ก่อนพเยิดหน้าบอกให้ผมเดินต่อ สีหน้าของผมตอนนี้คงตลกน่าดู แถมการแต่งตัวก็ไม่เหมาะกับร้านระดับพรีเมี่ยมนี่เลยซักกะนิด

   “หมอ... คือผม”

   “ผมเลี้ยง สั่งเถอะ” หมอเปิดเมนู พูดแบบไม่ใส่ใจ ผมก้มหน้าดูรายการอาหารพร้อมราคาที่มากจนผมกระเดือกไม่ลง

   เชี่ย! อาหารหนึ่งมื้อมันจำเป็นต้องแพงขนาดไหนกัน

   “ผม...”

   “ผมมีส่วนลด คุณสั่งมาเถอะ ตอบแทนที่ให้ผมรบกวนเมื่อคืนและยังอุตส่าห์มาซื้อของเป็นเพื่อนผมอีก”

   นัยน์ตาสีเขียวมองผมนิ่งๆ แกมบังคับ ผมจำเป็นต้องสั่งสินะ... ผมก้มหน้าลงมองเมนู ตัดสินใจเลือกอาหารจานเดียวเพื่อกินให้มันจบๆ ไป แต่พอถึงตาหมอสั่ง รายการอาหารยาวเหยียดหลุดออกมาจากปากเขาจนผมอ่านเมนูตามแทบไม่ทัน เป็นแบบจานละนิดละหน่อย แต่ราคารวมๆ แล้วผมอยู่ได้สองเดือนเลยนะ

   “หมอ... สั่งโต๊ะจีนคุ้มกว่ามั้ยครับ”

   “หืม คุณอยากกินอาหารจีนเหรอ?”

   “ปะ... เปล่าครับ แค่นี้พอแล้วครับ” ผมหุบปากทันทีก่อนที่เขาจะพาไปจริงๆ

   รอไม่ถึงสิบนาที อาหารก็ทยอยเสิร์ฟเข้ามาเรื่อยๆ ข้าวแกงกะหรี่ที่ผมสั่งไปตอนแรกนึกว่าจะอิ่ม แต่เปล่าเลย... จานมันนิดเดียว เหมือนเอามากินหยอกกระเพาะเล่น จนกระทั่งหมอต้องดันจานแซลม่อนมาให้ ตามด้วยอะไรอีกเพียบที่เรียงรายกันเข้ามาจนถ้าผมไม่รีบกิน มันจะไม่มีที่วางแล้ว

   สุดท้าย ผมก็กินหมดทุกอย่างเลยครับ...

   พนักงานเอาสมุดบิลมาให้ในตอนท้าย หมอรับมาเปิดดูแล้วยื่นบัตรให้เขาไป ทำให้ผมไม่มีโอกาสรู้ตัวเลขในบิลนั้น มันคงจะสยองน่าดู

   เมื่อเดินออกมาจากร้าน ผมรวบรวมความกล้าเอ่ยถาม

   “หมอ คือ... ให้ผมช่วยออกครึ่งนึงมั้ยครับ”

   หมอเลิกคิ้วใส่

   “อยากออกให้เหรอครับ”

   “ครับ!”

   หมอเดินเลี้ยวเข้าร้านไอศกรีม ก่อนจะหันมาก้มหน้าบอกผม

   “งั้นขอไอติมวนิลาให้ผมโคนนึงครับ”

   ตามด้วยรอยยิ้มกระชากวิญญาณที่สาวๆ เห็นแล้วคงยอมตกเป็นทาสแหงๆ แม้แต่ผู้ชายอย่างผมยังเผลอใจกระตุกวูบๆ เลย ผมรีบเดินเร็วๆ ไปสั่งไอศกรีมบวกท็อปปิ้งสิบชั้นให้เขา

   เอางี้เลยนะหมอ!!

   

   หลังจากเดินวนลงมาจนถึงชั้นที่ขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แต่ผมก็ยังไม่สามารถหาร้านที่ถูกใจกับราคาได้ เลยบอกหมอว่าที่นี่ไม่โอเค หมอเลยถามว่าผมอยากไปที่ไหน ผมเลยลองแนะนำให้หมอไปเซ็นทรัลเวิลด์ ที่นั่นน่าจะมีร้านที่ผมต้องการอยู่ เขาก็ไม่อิดออดอะไร พากลับขึ้นรถตรงไปยังห้างที่เดินแล้วต้องเปิดกูเกิ้ลแมพไปด้วย

   ผมเลี้ยวเข้าร้านที่มีสาขาทั่วประเทศที่ผมไปเป็นลูกค้าบ่อยๆ พนักงานที่ร้านต้อนรับอย่างดี เข้ามาถามไถ่พร้อมกับเสนออุปกรณ์ต่างๆ ที่เล่นเอาน้ำลายผมหยด โดยเฉพาะเมื่อคนที่เดินตามหลังผมดูภูมิฐานจนสามารถเหมายกร้านได้ (ผมล้อเล่น)

   ผมลองให้เขาจัดสเปคให้พร้อมกับเสนอราคา ต่อรองไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีเบื่อ หันไปถามหมอเป็นพักๆ ว่าพอไหวไหมราคานี้ หมอก็ทำแค่พยักหน้าและเดินดูรอบๆ ร้าน ปล่อยให้ผมดีลกับพนักงานเอาเอง อะไรต่อได้ผมต่อหมด จบจากพวกของภายในที่จำเป็น ก็มาถึงพวกอุปกรณ์เสริม ผมพาหมอไปเลือกเคสจากแคตาล็อค มีชี้ให้ดูบนชั้นที่เป็นตัวอย่าง ถามหมอว่าจะเอาซิงค์น้ำมั้ย อยากได้ RGB ด้วยรึเปล่า หมอครุ่นคิดแป๊บเดียวเหมือนงงกับสิ่งที่ผมถาม ก่อนจะบอกว่า เอาที่ผมคิดว่าดี...

   อ่า... ไฟเขียวแบบนี้ ผมก็จัดเลยสิครับรออะไร

   การ์ดจอก็แรงจนเร็วออกนอกโลกไปเลย CPU ตอนนี้ล่าสุดก็ core i9 แล้ว ก็จัดไปสิครับ เรนเดอร์กันให้เครื่องระเบิดไปเลย แต่ว่า...

   ราคามันสูงขึ้นเรื่อยๆ จนน่ากลัว พอกดเครื่องคิดเลขแล้วเล่นเอาตาเบิกกว้าง

   จะสองแสนแล้วโว้ย!

   “หมอครับ ลดของลงหน่อยดีมั้ยครับ ผมว่าราคาออกจะแรงไป”

   หมอมองใบราคาบนหน้าจอคอม ก่อนจะยื่นบัตรให้อีกแล้ว

   “เลือกมาเถอะครับ วงเงินผมค่อนข้างกว้างน่าดู”

   แหงสิครับหมอ นั่น Black card...

   “ช่วยส่งไปตามที่อยู่นี่ด้วยนะครับ”

   หมอเขียนที่อยู่ส่งให้ แน่นอนว่าทางร้านมีบริการจัดส่งอยู่แล้ว โดยเฉพาะกับลูกค้าชั้นวีไอพีที่ซื้อคอมทีสองแสนแบบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง

   หลังจากวนเวียนดูของเสร็จ ก็พากันหลงเซ็นทรัลเวิลด์กันจนเย็นย่ำ ไม่รู้ทำไมมาโผล่ที่โซนร้านนั่งดื่มไปได้

   “ข้าวปั้น คุณอยากแวะร้านนี้รึเปล่า” ระหว่างทางเขาชี้ร้านด้านนอกให้ผมดู เป็นเล้าจ์บาร์ที่ดูดีเลยทีเดียว ผมกลืนน้ำลาย... ก็ไม่เชิงว่าผมชอบดื่มหรอกนะ แต่มันก็น่าสนใจไม่หยอก

   “คราวนี้หมอต้องให้ผมเลี้ยงนะครับ”

   คุณหมอหนุ่มยิ้มรับ

   “โอเค”



#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
https://twitter.com/_SeenYu

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
หมอจีบป่ะเนี๊ยะ,,,

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เฮ้ยยยย หมอนายมันหลอดเข้าห้องเขาแล้วตีตั๋วยาวเลยนิหว่า

ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
รอติดตามต่อไปค่ะ  :mew2:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 08
หมอครับ หมอแปลก


   ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองกลับห้องมาได้ยังไง แต่ที่แน่ๆ คือคนพากลับต้องเป็นหมอนั่นแหละ สิ่งเดียวที่จำได้คืออะไรสากๆ ที่มาเลียคอเลียปาก น่าจะเป็นเจ้าอ้วนนั่นแหละ โชคดีหน่อยที่ไม่อ้วก หรืออาจจะอ้วก...

   ผมตื่นขึ้นมาพร้อมเสื้อตัวใหม่แต่กางเกงตัวเดิม เจ้าอ้วนหนีผมไปนอนที่โซฟา สีหน้ามันดูรังเกียจกลิ่นเหล้าบนตัวผม สงสัยวันนี้ต้องซักผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มที่คลุกกลิ่นเหล้าซะแล้วสิ

   หลังจากวันนั้นหมอก็หายไป หายไปเลยว่ะ

   มีเพียงข้อความที่ส่งมาถามว่า ยังสบายดีอยู่ใช่มั้ย? ซึ่งผมก็เริ่มสำรวจตัวเองว่า ผมไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า หรือวันนั้นผมเผลอเอาหัวไปโหม่งถังน้ำแข็งเข้า แต่ก็ไม่มี ทุกอย่างปกติดี จะมีก็แต่ความรู้สึกแปลกๆ ในอกเนี่ยแหละ

   เหมือนลืมอะไรไป

   คืนนั้นผมจำได้แค่ว่า นัยน์ตาสีเขียวที่ทอดมองมา มีทั้งรอยขบขันและเอ็นดู

   บรึ๋ย~!

   แต่ช่วงนี้ผมก็รู้สึกแปลกจริงๆ นั่นแหละ มองโทรศัพท์บ่อยขึ้น เช็คข้อความ หรือหลอนๆ เวลาเข้าลิฟต์คอนโด ความรู้สึกเหมือนว่าผมอาจจะบังเอิญเจอคุณหมอที่ไม่ได้หน้าตายอย่างที่คิดอีกก็ได้

   และแล้ว ลูปนรกก็มาอีกครั้ง...

   เดดไลน์ ตายยกแผนก

   “ส่งงาน! เช็ดเข้! ลืมเปิดโนดนึง!” พี่เจี้ยนโวยวาย

   “ฮือ! พี่ดิน ช่วยฟางด้วย ฟางแก้ขอบฟ้าไม่ได้ ฟางพยายามแล้ว!” ฟางร้องออกมา ตบโต๊ะรัวๆ พี่ดินแยกประสาทจนแทบจะใช้วิชาแยกเงาพันร่างอยู่แล้ว

   “พี่โรมครับ ช่วยผมดูค้อมพ์ตรงนี้แป๊บนึงได้มั้ยครับ” ผมที่ขอบตาแดงเพราะจ้องจอคอมมากเกินไป ยกมือขอความช่วยเหลือ พี่โรมชูนิ้วบอกขอหนึ่งนาทีก่อนจะเดินเข้ามาหา ช่วยผมแก้งานจนสามารถหาทางไปต่อได้ ส่วนพี่อัฐ ตอนนี้คงตาถลนจ้องจอคอมอยู่ไม่แพ้พวกผม เพราะต้องตรวจงานสี่โปรเจค ทั้งหมดสี่สิบห้าชอต เวลาเกือบแปดนาที รวมๆ แล้วเป็นหมื่นเฟรม โดยที่มีพี่ฤกษ์ โปรดิวเซอร์ กับพี่โต๋โคโปรดิวเซอร์ช่วยกันดู

   งานต้องเสร็จวันนี้! และแน่นอนวันนี้เป็นวันศุกร์!

   เดดไลน์หกโมงเย็นอีกแล้วคร้าบ!

   “เชี่ย! พี่ปั้นคะ มีขอบตรงนี้ หนึ่งลองเช็คอัลฟ่าแล้วนะคะ ไม่น่าจะพลาดอ่ะ แต่พอ merge รวมกันแล้วมันเกิดขอบอ่าค่ะ” น้องหนึ่งที่เริ่มกร้านโลกหลังจากทำงานอยู่ที่นี่มาพักนึงถามผม

   ผมไถลเก้าอี้เข้าไปดูน้องก่อนจะลองเช็คโนด merge

   “ลืมเอา alpha ตอน merge ออกน่ะ เปลี่ยนเป็น rgb ด้วยถ้าเราใช้ Unpremult” ผมตอบเร็วๆ แล้วไหลกลับไปค้อมพ์งานต่อ ณ จุดๆ นี้งานผมช้ากว่าชาวบ้านเขาแล้วครับ แก้แล้วแก้อีก แก้ไม่จบไม่สิ้นซะที!

   ชิบหาย!

   ผมหน้ามืดไปวูบ ก่อนจะตั้งสติสะบัดหัวไล่ความมึน ถอดแว่นออกแล้วนวดหัวตาคลายเครียดและความอ่อนล้า ไอ้เนสะกิดผมระหว่างที่กำลังจะเดินไปหาพี่อัฐ

   “ไหวมั้ยเพื่อน”

   “ได้อยู่” ผมบอกปัด ก่อนจะกลับมาจับเมาส์อีกครั้ง ไม่ทันได้สังเกตว่ามือถือมีข้อความเด้งทิ้งไว้ตั้งแต่เที่ยง...



   “ปิดโปรเจค! จบ! จบรวดเดียวสี่โปรเจค”

   พี่อัฐประกาศอย่างเป็นทางการ ทุกคนเสร็จทันเวลา และผมก็ปางตาย! ดีนะที่พี่โรมกับพี่ดินมาตะลุมบอนช่วยผมทัน ไม่งั้นผมตาย!

   “เย้!!”

   ทุกคนแทบจะปิดคอมฉลองหลังจากโต้รุ่งกันมาสองวันเต็มๆ

   “แต่อย่าพึ่งวางใจ อาจมีแก้ยิบแก้ย่อย แต่พี่ว่าไม่มาก คอยดูไลน์กันด้วยล่ะ อนุญาตให้ TeamViewer เข้ามาทำงานได้ถ้าพี่บอกว่างานด่วน ไม่ต้องเข้าบริษัทและก่อนเริ่มโปรเจคใหม่ ใครมีวันหยุดก็ใช้ได้นะก่อนจะไม่ได้ใช้ ไอ้โปรเจคยิบย่อยเก่าๆ ใครค้างอยู่อย่าลืมเคลียร์ล่ะ” พี่อัฐได้ว่าไว้

   “เออ แล้วก็วันนี้ใครยังมีแรง พี่จะพาไปฉลองจบโปรเจค ร้านใหม่ ใครอยากไปลองบ้าง?”

   พรึ่บ!

   โอเค พวกขี้เหล้ายกมือกันเพียบ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็... ผมเองแหละ

   

   “ชนแก้ว!”

   เสียงกระทบกันของแก้วที่เบามากเมื่อเทียบกับเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มในร้านนั่งดื่มร้านใหม่ที่พี่อัฐเป็นคนแนะนำพิกัด ย่านอโศก เจ้ามือเป็นพี่อัฐทั้งที งานนี้หัวไม่ราน้ำไม่เลิก ในทีมผมมีทั้งหมดสิบเอ็ดคนรวมพี่อัฐ แถมวันนี้ คุณโปรดิวเซอร์ก็ตามมาเป็นเจ้ามือด้วย ซึ่งไม่มีใครชวนสักหน่อย แต่ทุกคนก็ยอมและยินดี โดยเฉพาะเมื่อป๋าแกบอก อยากสั่งอะไรสั่งเลย

   โอเค เป็นมิตรหนึ่งวันถ้วน

   แถมร้านนี้บรรยากาศดี เพลงช่วงหัวค่ำก็มันส์ ช่วงดึกๆ จะมีดนตรีสด มีโซนส่วนตัวด้วย ใครล่ะจะไม่ชอบ ถึงแม้ทุกคนจะอดหลับอดนอนกันมาสองวัน แต่พอเหล้าเข้าปากก็ไม่สนอะไรทั้งนั้น

   “เฮ้ยๆ ไปตายอดตายอยากที่ไหนมา จะดื่มหนักก็แดกข้าวเข้าไปด้วย”

   พี่เจี้ยนปรามผมที่ซัดค็อกเทลไปหลายชอต ผมหัวเราะเป็นคนบ้า หน้าแดงก่ำ ยกมือไหว้พี่เจี้ยนงามๆ หนึ่งทีก่อนตักข้าวผัดปูเข้าปาก ถ้าอ้วกออกมาเป็นข้าวผัดก็โทษพี่มันละกัน

   “ว่าแต่ช่วงนี้เป็นไงบ้าง อาการโรคกระเพาะ” พี่อัฐที่นั่งจิบเบียร์อยู่ถามผมที่กำลังอ้าปากงับเฟรนช์ฟรายด์จากมือฟาง ผมหันมาหัวเราะให้

   “ก็ดีแล้วครับ ไม่ปวดแล้ว พยายามกินทุกมื้อ แค่สองวันนี้ที่เลทๆ ไปบ้าง”

   “ดีแล้ว” หัวหน้าผมยิ้มชอบใจการเมาของลูกน้อง ก่อนหันไปถามน้องหนึ่ง น้องเล็กสุดของแผนก “เราล่ะ ปรับตัวได้รึยัง?”

   “หนึ่งพอไหวค่ะ แต่ก็เครียดๆ อยู่” น้องหนึ่งยิ้มหวาน เห็นน่ารักๆ คอแข็งไม่หยอก

   “เรียนรู้จากพี่ๆ เขาไว้ล่ะ” แล้วหัวหน้าก็คุยสัพเพเหระกับลูกน้อง นินทาเจ้านายบ้าง ลูกค้าบ้างตามแต่ศรัทธาของสติที่ยังคงมีอยู่ โดยมีพี่ฤกษ์ร่วมวงด้วย

   แต่ผมเนี่ยสิ

   “โว้ย!! เฮียดิน! รู้ป่าววววว พี่แม่งโคตรจะไอดอลปั้นเลย โนดห่าอะไรที่ปั้นต่อ พี่แม่งแก้ได้หมด พี่รู้ป่ะ! ผมน่ะ โคตรจะ ปลา.... ทับ... จายยยยย”

   “เชี่ยข้าว มึงเมามากว่ะ” พี่ดินส่ายหัว เมื่อผมเริ่มเลื้อย

   “เหย! จริงนะว้อย เกมพี่แม่งก็เก่ง งานพี่แม่งก็เทพ ใครได้พี่เป็นผัว โชคดีตายชัก! เอิ๊ก!” ผมซบหน้าลงกับไหล่หนา พี่ดินยกมือประคองผมไว้อย่างเอือมระอา ในขณะที่พี่เจี้ยนไหลๆ ไปหลีฟางที่แทบจะเอากะพงน้ำแดงฟาดหน้าแม่ง

   อืด~ อื๊ด~ อื๊ด~

   โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าผมสั่นรัวๆ ผมไม่รู้ตัวหรอกจนกระทั่งพี่ดินทักเพราะแตะโดนกระเป๋ากางเกงผมพอดี แถมยังจัดการล้วงขึ้นมาให้อีกต่างหากเพราะผมหาได้สนใจไม่ หันไปชนแก้วกับพวกไอ้เน ลามไปถึงพี่อัฐและคู่ปรับอย่างพี่ฤกษ์แบบลืมตัวชั่วขณะ ปล่อยให้พี่ดินเป็นคนรับสายแทน

   “หมอ?” พี่ดินย่นคิ้ว มองสายเรียกเข้าที่พึ่งจะดับไป Miss call ขึ้นมามากกว่า ยี่สิบสาย ก่อนที่สายเดิมจะเรียกขึ้นมาอีก พี่ดินเห็นผมหลุดโลกไปแล้วจึงถือวิสาสะรับแทน

   “ฮัลโหลครับ?”

   [“ข้าวปั้น?”] ปลายสายมีน้ำเสียงแปลกใจ เป็นเสียงผู้ชายที่ไม่คุ้นเอาซะเลย เสียงเพลงในตอนนี้เป็นเสียงดนตรีสดดังนั้นแม้เสียงจะดังแต่ก็มีจังหวะให้ไม่ต้องตะโกนเหมือนแข่งกับจังหวะ EDM

   “ขอโทษครับ ตอนนี้ข้าวปั้นมันออกจะเมา... อืม... เละ ผมเลยถือวิสาสะรับแทน คุณเป็นใครครับ?”

   ดินตอบกลับอย่างสุภาพ พลางรายงานสภาพรุ่นน้องตัวดีที่ตอนนี้ไปเย้วๆ อยู่หน้าเวทีที่นักร้องเขาร้องเพลงอยู่กับใครก็ไม่รู้ ดินพยายามฝ่าฝูงชนเข้าไปหา

   ปลายสายเงียบไปแป๊บนึง ก่อนตอบ

   [“ผมเป็นเพื่อนพี่ชายเขา ทางบ้านติดต่อเขาไม่ได้เลยเป็นห่วง ให้ผมช่วยโทรหา”]

   “ออ ครับ เขาลืมเปิดเสียง เพิ่งเสร็จงานเลยมาฉลองกันที่ร้านตรงอโศก” ดินตอบพร้อมบอกชื่อร้าน

   [“ฝากบอกข้าวปั้นด้วยครับ ว่าอีกเดี๋ยวผมจะไปรับ ขอบคุณครับ”]

   แล้วปลายสายก็ตัดไป ฟังจากน้ำเสียงแล้วดินคิดว่าอีกฝ่ายคงหงุดหงิด ก่อนเขาจะยักไหล่แล้วเริ่มมองหาคนที่หายตัวไปแล้วอีกรอบ

   หายไปไหนของมัน?

   ดินเดินหาจนเข้าไปถึงโซนผับ แม้คนจะไม่เยอะจนถึงกับขั้นหาใครไม่เจอ แต่ในที่ที่มันมืดมันก็ลำบากเหมือนกัน โชคดีหน่อยที่เจอฟางกับเนยืนอยู่ตรงทางเข้าโซนผับพอดี เนกำลังจะจุดบุหรี่สูบ พอเห็นดินจึงยื่นให้เป็นเชิงชวน ดินส่ายหัว

   “ไอ้ข้าวล่ะ?”

   “โดนพวกพี่โรมลากเข้าไปในผับ พี่โรมก็ดูจะเมามาก พี่เข้าไปตามหน่อยสิ” เนคาบบุหรี่ไว้ ข้างๆ มีฟางที่ซบพิงไหล่เหมือนคนเพิ่งอ้วกมา ดินพยักหน้า... ไม่น่าปล่อยให้คลาดสายตา รีบเดินหาไอ้เด็กเวรที่ไม่เคยรู้สารรูปตัวเองตอนเมาเลย

   “เชี่ยข้าว!”   

   ดินเข้าไปลากไอ้เด็กเวรออกมาจากวงขี้เหล้าที่ตอนนี้มั่วไปหมด คนที่ไม่รู้จักรายล้อมไอ้ตัวผอมบางเหมือนจะทำอะไรสักอย่าง แต่ไอ้เวรนี่กลับหันมายิ้มให้พร้อมแก้วในมือที่ไปเอามาตอนไหนไม่รู้ ดินชักหน้ายุ่ง โอบคนตัวเล็กกว่าออกมา

   “เฮียดี้น! มาเต้นกันค้าบผม!” ดินกรอกตา ประคองคนเมาให้หลบมุมก่อนยื่นมือถือคืน

   “ของมึง มีหมอโทรมา บอกว่าจะมารับมึง”

   “หมอ! หมอ? หมอไหนว้า ผมไม่มีใครเป็นหมอ หมอเป็นใคร ว้อท เดอะ ฟ้าคคค!” ข้าวปั้นโวยวาย เขย่าตัวดิน คนตัวโตกล้ามบึกโอบคนตัวเล็กไว้หลวมๆ

   เอาอีกแล้ว เมาน่ารำคาญของข้าวปั้น

   “เฮียดี้น!”

   “เออ! เรียกกูอยู่นั่นแหละ กูอยู่นี่” คนเป็นพี่ขำ ปล่อยให้น้องมันคล้องแขนซบซุกไปเรื่อยเปื่อย เนี่ย! เพราะงี้ไงเขาถึงไม่ยอมเมา ไอ้เจี้ยนก็บางเกินที่จะแบกข้าวปั้น คนอื่นๆ ก็ขยาดจากการกินเหล้ากับมัน มีเขาคนเดียวแหละที่เอามันอยู่

   “ระรานชาวบ้านฉิบหาย!” ดินยอมปล่อยให้มันคล้องแขนเขาเพื่อยึดเป็นเสาหลักก่อนพากลับโต๊ะ มือถือของข้าวปั้นดังอีกรอบ เจ้าตัวไม่รับ เอาแต่มองจนเขาต้องฉกมารับเอง หมอนั่นเองที่โทรมาถามว่าอยู่โซนไหน ดินบอกโซนที่อยู่ ไม่นานใครบางคนที่สูงพอๆ กับดินเลยทีเดียวก็เดินเข้ามาใกล้โต๊ะของพวกเขาที่ตอนนี้ไม่ค่อยจะมีคนอยู่เฝ้าโต๊ะแล้ว สภาพเหมือนคนเพิ่งเลิกงาน

   “ข้าวปั้น” เสียงเย็นเยียบประดุจน้ำแข็ง นัยน์ตาสีเขียวจ้องเขม็งยังดินที่มองกลับ ข้าวปั้นยังกอดเอวคนตัวล่ำไม่ยอมปล่อย มันชะโงกหน้ามามองคนเรียก ดินร้องอ๋อ

   “หมอ?” ดินลองพูดชื่อที่เจ้าเด็กเวรเมมไว้ อคินคลายสายตาเย็นก่อนดึงร่างเล็กมาประคองไว้เอง ข้าวปั้นปล่อยเอวดินอย่างว่าง่าย

   “ผมมาพาข้าวปั้นกลับครับ”

   “อ้อ! เอาเลยครับ ผมก็ขี้เกียจดูแลมันเหมือนกัน” ดินผายมือ ไอ้เด็กที่มีผู้ปกครองมารับจึงเซเข้าไปในอ้อมกอดของคุณหมอหนุ่ม

   “ขอบคุณครับ” อคินประคองร่างเมาๆ ของข้าวปั้นออกจากร้าน ดินได้แต่มองตามพลางคิดในใจอย่างอดขำไม่ได้

   “สงสัย... จะเป็นอย่างที่สงสัย”



#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ tae1234

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
สนุกมากครับ ขอบคุณครับ รอติดตามนะครับ

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ขอบคุณนะคะ ขอให้สนุกค่า  :mew1:

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 09
หมอครับ หอมจัง


   ผมเดินตามแรงลากที่มากจนฝืนไม่ได้ โลกมืดๆ สว่างๆ สลับกันทำให้ใจผมเต้นรัว สติที่เหลือเพียงเล็กน้อยฝืนบังคับให้ขาก้าวเดิน แว่นตาหายไปไหนไม่รู้แล้ว รู้อย่างเดียวคือตอนนี้มึนหัว อยากอ้วก!

   “เดี๋ยวนะ พี่ดิน... ปั้น... ปั้นอยากอ้วก...”

   ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแผ่นหลังกว้างที่เดินนำนั้นใช่พี่ดินจริงๆ หรือเปล่า จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเดินตามใครไปบ้าง แล้วเดินออกจากร้านมาทำไม แค่เพราะโดนลากผมก็ตามมาแล้ว ผมพยายามหยุดเดิน เพราะโลกมันเหวี่ยงๆ อยากเอาข้าวผัดปูออกมาแล้วอ่ะ

   ร่างสูงด้านหน้าผมหยุดเดินแล้วหันกลับมา ผมรีบหันตัวออกแล้วโก่งคออาเจียนทันที กลิ่นเหล้าผสมเบียร์ตีขึ้นจมูกจนขมคอ น้ำหูน้ำตาไหล ฝ่ามือใหญ่ลูบหลังผมขึ้น

   “พี่ดิน ปั้นว่า.. ปั้นไม่ไหวว่ะ” ผมเช็ดปากด้วยผ้าที่ถูกยื่นมาให้ แต่ก่อนจะพูดอะไรต่อ ร่างของผมก็ถูกช้อนขึ้นอุ้มด้วยท่าเจ้าหญิง... เล่นเอาตกใจจนคว้าคอแกร่งไว้แน่น

   “ผมอคิน” เสียงทุ้มคุ้นเคยที่ไม่เจอมาเป็นเดือนดังใกล้หู เล่นเอาผมเบิกตา กว้าง แต่มองไม่ชัดเพราะแว่นผมหายไปแล้ว

   “อคิน...” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าที่เบลอๆ ในสายตาผมก่อนจะตีเบาๆ ที่แก้ม

   “อ้อ! หมอนี่เอง หวัดดีค้าบ!!” ผมไหว้ปลกๆ กลิ่นโคโลญเย็นๆ  หอมๆ ทำให้ผมรู้สึกสบายใจ กลิ่นของหมอทำให้ผมหายมึนหัว ซุกหน้าลงกับแผ่นอกกว้าง พลางขยุ้มเสื้อจนติดมือ

   “ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ไลน์ก็ไม่อ่าน” คนตัวโตแบกผมเดินสบาย

   “หมอโทรมาเหรอครับ ปั้นไม่รู้ครับผม ปั้นเต้นอยู่ เพลงก็ด๊างดาง!”

   “ข้าวปั้น ไหวมั้ยเนี่ย” เสียงหมออ่อนลง ผมหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ยกนิ้วชี้โบกไปมาหน้าหมอ

   “หวายดิค้าบ! ก็มาดิค้าบบบบ”

   คุณหมอถอนหายใจ ดีนะที่หมอจอดรถไม่ไกล สักแป๊บไม่ถึงนาที ผมก็รับรู้ได้ถึงความนุ่มของเบาะ กลิ่นน้ำหอมของหมอคลุ้งรถ คนตัวโตอ้อมไปเปิดกระโปรงหน้า เอาขวดน้ำเปล่าออกมาให้ผมล้างหน้าล้างตา พลางกลั้วปาก ก่อนจะประคองผมให้นอนลงแล้วจัดการปรับเบาะเอนให้

   “บริการเยี่ยมเลยครับหมอ! ฮะๆๆ น่ารักจัง” ผมคว้าแขนแกร่งไว้พลางเอาหน้าถูๆ เหมือนที่ทำกับพี่ดิน หลับตาลงพลางถอนหายใจหนึ่งครั้ง สติเริ่มหลุด...

   “ข้าวปั้น...” เสียงใครไม่รู้เรียกผม ผมครางตอบ

   “หืม...”

   “ปั้น”

   “ค้าบ”

   ความอุ่นชื้นประทับลงมาบนริมฝีปากแห้งๆ เหมือนคนขาดน้ำ ผมงัวเงีย รสสัมผัสระคายแต่อ่อนนุ่มจนผมอดคิดไม่ได้ว่า ‘ลิ้นของเจ้าอ้วนนุ่มขนาดนี้เลยเหรอ?’ ผมโอบแขนขึ้นหมายจะกอดและลูบเจ้าปั้นสิบแบบที่ทำประจำ แต่ทำไมครั้งนี้ ขนเจ้าอ้วนมันยาวจัง แถมยังหอมและนุ่มมือ

   “อา...”

   เจ้าอ้วนตัวโตขึ้นเยอะเลย แกต้องลดอาหารแล้วนะ...



   - Akin Part -

   ผมเลี้ยวรถเข้ามาจอดในที่จอดรถส่วนตัวอย่างรีบร้อน เมื่อคนเมาแล้วเลื้อยกำลังขาดสติ เอาตัวพาดเกียร์มาวางหัวบนตักพลางเอาหน้าซุกหน้าท้อง ผมพยายามจับให้คนงอแงอยู่กับที่เพราะเขากำลังจะพยายามปีนข้ามฝั่งมา ข้าวปั้นพยายามเลื้อยจนผมแทบจะขับรถชนเสาไฟฟ้า ดีนะที่ช่วงนี้รถน้อยจนถนนโล่ง ไม่งั้นคงได้มีการเรียกใช้ประกันแน่นอน

   “ข้าวปั้น ถึงแล้ว หยุดไซร้ก่อน” ผมพยายามดันไหล่บางขึ้น แต่เจ้าตัวกลับฝืนไว้ สองแขนโอบรอบเอวสอบของผม เอาแต่ดมกลิ่นอะไรก็ไม่รู้ที่เขาเอาแต่พูดว่าหอมจนผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่ออดกลั้น

   “หอมจังเลยครับ”

   “ปั้น” ผมล้มเลิกความคิด ถอยเบาะรถให้สุดก่อนจะลากร่างที่เล็กกว่ามานอนกองบนอกให้มันรู้แล้วรู้รอด ปล่อยเขา อยากทำอะไรก็ปล่อยไป สิ่งเดียวที่ผมต้องคุมตอนนี้ไม่ใช่ข้าวปั้น แต่เป็นตัวผมเอง

   “หมอ ขอหอมหน่อยสิ” คนตาเยิ้มเงยหน้าขึ้น ผมถลึงตาดุ แต่มือก็ประคองหัวคนที่ผุดลุกขึ้นอย่างไม่ระวังจนหัวจะโขกกับเพดานรถ

   “เมื่อไหร่จะพอใจครับ” ผมถามตรงๆ พลางใช้นิ้วโป้งลูบไล้แก้มนุ่มเบาๆ อย่างเอ็นดู ข้าวปั้นยิ้ม ถอยตัวเองลงไปกองกับพื้นรถที่มีช่องว่างพอให้ลงไปนั่งคุกเข่าได้ สมองผมเริ่มว่างเปล่าเมื่อมองเขาจากมุมนี้

   คราวที่แล้วไม่เห็นเป็นแบบนี้

   “ปั้นครับ ลุกขึ้นเร็ว ผมจะไม่ทนแล้วนะถ้าทำตัวแบบนี้น่ะ”

   คนขี้เมาหยุดกึก ก่อนช้อนตามองอย่างเสียใจ

   “คุณหมอเกลียดปั้นเหรอครับ”

   ผมนิ่งไป

   พยายามสงบจิตสงบใจ ตำราแพทย์ ภาพการผ่าตัดใดๆ ก็ตามช่วยให้ผมลืมๆ สิ่งที่ผมอยากทำตอนนี้ไปทีเถอะ ผมส่ายหัว พยายามล้วงกระเป๋ากางเกงค้นกุญแจห้องของเขา แต่ก็ไม่เจอ ก่อนจะนึกได้ว่ากระเป๋าคาดที่ปกติเจ้าตัวจะเอาคาดติดไว้ได้หายไป มีเพียงมือถือเครื่องเดียวที่ถูกยัดไว้ในกระเป๋ากางเกง ผมถือวิสาสะเอามาเปิดดูว่ามีข้อความอะไรทิ้งไว้บ้าง มีตั้งแต่ไลน์ของผมตอนเที่ยง ไลน์บ้าน ไลน์บริษัท Miss call อีกเป็นสิบทั้งจากบ้านเขาและผม ล่าสุดคือไดเร็กแมสเสจในอินสตราแกรมจากคนที่ใช้ชื่อว่า Kanin_walk ที่ส่งมาพร้อมรูปแต่ผมเปิดดูไม่ได้ เห็นเพียงข้อความว่า

   

   Kanin_walk : ไอ้ปั้น มึงลืมกระเป๋า เก็บไว้ที่กูละกัน



   อาจเป็นคนที่ชื่อดินหรือเพื่อนที่บริษัท

   โอเค... สงสัยคืนนี้จะได้ค้างที่ห้องผม

   ผมเปิดประตูรถ ดันร่างที่เกาะผมไม่ปล่อยออกเล็กน้อยเพื่อออกจากรถ ข้าวปั้นผวาคว้าตัวผมไว้แน่น ผมลูบหลังคนที่สั่นเหมือนจับไข้ ตัวร้อนจนน่าเป็นห่วง เขากอดผมแน่นจนทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปจนถึงลิฟต์

   “หมอ... หมอ”

   ผมเริ่มสังเกตอาการคนในอ้อมแขนระหว่างขึ้นลิฟต์ มันไม่น่าจะใช่อาการเมาธรรมดา...

   ผมประคองร่างอ่อนปวกเปียกลงบนเตียงในห้องนอนแขกชั้นล่าง จัดการปรับอุณหภูมิแอร์แล้วค้นชุดนอนแขกให้ แม้ว่าผมจะไม่ค่อยมีใครให้ ‘ต้อนรับ’ ก็ตาม แต่ผมก็เตรียมไว้เสมอเผื่อกรณีฉุกเฉิน

   ผมจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ หุ่นของข้าวปั้นนี่ทำเอาผมถอนหายใจยาว แม้จะเคยเห็นมาบ้างแล้วตอนผ่าตัด รอยแผลเป็นยังคงหลงเหลือ ผมเผลอลูบแผลตรงท้องเขาเบาๆ ร่างที่นอนเป็นผักอยู่ถึงกับสะท้านพลิกตัวหนี

   “งื้อ!” เขาทำหน้าเหยเก

   “เย็นเหรอ” ผมถาม คนตัวเล็กส่ายหน้าเบาๆ

   “เสียว”

   ผมหยุดมือที่กำลังเช็ดตัวให้เมื่อได้ยิน นิ่งไปสักพักก่อนจะตัดสินใจปล่อยผ่านแล้วเอาผ้ากับอ่างไปเก็บ พอจะลุก มือเรียวก็คว้าแขนเสื้อผมไว้ ก่อนจะไหลลงไปจับมือผมแน่นเหมือนวันนั้น... วันที่เขาอาการโฟเบียกำเริบเพราะลิฟต์ค้าง

   “อย่า...” เสียงอ่อนละเมอ น้ำตาเริ่มไหล่ หายใจหอบและถี่จนผมอดวัดชีพจรเขาไม่ได้ “อย่าทิ้งปั้น”

   “ข้าวปั้น”

   “ขอโทษครับ ขอโทษ...”

   ผมนั่งลงบนเตียง ลูบไล้มือที่เล็กกว่าอย่างแผ่วเบา ความเอ็นดูท่วมท้นเหมือนเมื่อก่อน

   ผมเคยลืมเขาไป... แต่ไม่เคยลบเขาออกไป

   เด็กน้อยที่เอาแต่เกาะชายเสื้อผมสมัยเด็ก... แม้เขาจะจำผมไม่ได้เลย ผิดกับผมที่เห็นชื่อกับนามสกุลก็จำได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร

   นั่งลูบมือปลอบใจคนขวัญเสียไปพลางย้อนคิดไปถึงวันที่เขานั่งหน้าเจี๋ยมเจี้ยมในห้องตรวจตอนผมบอกว่าต้องผ่าตัด สภาพเขาแย่มากจนผมไพล่ด่าไปถึงข้าวปุ้น ว่าทำไมไม่รู้จักดูแลน้อง

   “หมอ... อา...”

   ผมตื่นจากความคิด เสียงเรียกของคนที่ผมคิดว่าหลับไปแล้วทำให้ผมต้องขานรับ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มปรือมองผม หน้าแดงก่ำ ลมหายใจกระชั้นจนผมตกใจ

   “เป็นอะไรครับ”

   “ร้อนครับ ร้อนมาก หมอ” ข้าวปั้นบีบมือผมแน่น อาการแบบนี้ผมเจอบ่อยทีเดียว

   ผมมองไปที่กลางลำตัวของเขาที่ตอนนี้ตื่นตัวจนผมกลืนน้ำลาย

   “ช่วยหน่อย ไม่ไหว...”

   “ข้าวปั้น”

   “หมอครับ” ข้าวปั้นพลิกตัวลุกมากอดผมไว้แน่น พลางซบหน้าลงที่ซอกคอ พยายามแกะกระดุมเสื้อผมออกอย่างรีบร้อนจนผมพ่นลมหายใจออกมา ผมลูบหัวเขา ปล่อยตัวให้เขาทำตามใจ

   ก่อนที่ผมจะเริ่มเอาคืนบ้าง

   “ปั้นจะเสียใจนะถ้าทำแบบนี้” ผมลูบไล้แผ่นหลังเปียกโชกใต้ชุดนอนที่ผมเพิ่งจะใส่ให้เมื่อกี้อย่างย่ามใจ จมูกสูดดมกลิ่นกายของคนขี้เมาที่ตอนนี้เลื้อยลงไปซบที่หน้าท้องผมแล้ว

   “อึดอัดจังครับ”

   ไอ้เด็กบ้าลุกขึ้นก่อนก้มลงมองหว่างขาตัวเองที่มีบางอย่างดุนดันผ่านเนื้อผ้าออกมาจนเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้น ผ้าตรงส่วนที่ถูกดันออกมามีรอยเปียกชื้นยืนยันหลักฐานที่เขาพูด ผมครางแบบไม่มีเหตุผล จับคางแหลมให้เชิดขึ้นก่อนโน้มลงไปประกบริมฝีปากอย่างดุดัน ลิ้นร้อนสอดเข้าไปควานหาความหวานชุ่มจากลิ้นเล็กอย่างกระหาย

   ผมไม่ใช่คนดี

   การจูบครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งอื่นๆ ที่ผมฉวยโอกาสเอาเอง จูบร้อนของผมทำเอาคนในอ้อมแขนสั่นระริก เรียวแขนบางตวัดโอบรอบคอผมอย่างเรียกร้องให้มากขึ้น

   โดยเฉพาะเมื่อเขาพยายามดันร่างตัวเองมาถูไถกับส่วนที่เริ่มตอบสนองของผม

   แม้คนขาดสติจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน และผมก็รู้ด้วยว่ามันเป็นเพราะอะไรที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ แต่ผมก็เลือกที่จะตอบสนองทั้งความต้องการของเขาและตัวเอง ผมจัดการสานต่ออย่างลืมตัว ทำรุนแรงตามความเคยชิน มือใหญ่ของผมขยำเนื้อเนียนตั้งแต่เอว ไล่ไปจนถึงหน้าอก เสื้อนอนร่นขึ้นตามมือของผม ก่อนจะถูกถอดออกผ่านศีรษะเล็ก ผมพรมจูบทุกสัดส่วนที่มือลากผ่าน ฝากร่องรอยไว้จนขึ้นสีแดงจ้ำทั้งตัว โดยเฉพาะลำคอที่ผมหลงใหล

   สายตาหวานเยิ้มทำให้สติของผมเลือนรางเหลือเกิน

   ข้าวปั้น...

   เก็บความรู้สึกผิดไว้บนหิ้งก่อนแล้วกัน



คุณหมอจะทำอะไรน้องน่ะ นี่หมอสารภาพเเล้วใช่มั้ยว่าหมอลักหลับน้องตลอดน่ะหือ?
มันรว้้ายนะคะคุณเเม่ //
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
 :hao3:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Zureyga

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ๊ากกกกกกกก คุณหมอใจเย็นก่อนนนน
:z1: :z1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด