Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)  (อ่าน 35724 ครั้ง)

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ไใาเป็นอะไรก็ดีแล้วครับข้าวปั้น,,,

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 30

ข้าวปั้นครับ หาเจอแล้ว



   ลูกน้องของขุนทัพไปถึงโกดังท่าเรือก่อนพวกผมไม่กี่นาที ไอ้ขุนกำสายเข็มขัดนิรภัยแน่น มันมองหน้าปัดความเร็วแค่แวบเดียวแล้วไม่มองอีก ได้ยินมันบ่นงึมงำว่า ‘พวกหมอผ่าตัดนี่ขับรถเหมือนจะรีบเข้าป่าช้ากันทุกคนรึไง’

   ผมจอดรถไว้หน้าโกดังหมายเลข 16 ที่มีรถประมาณห้าหกคันจอดอยู่ อีกไม่นานรถพยาบาลคงจะมา ผมไม่รู้ว่าข้าวปั้นจะถูกทำอะไรบ้างจึงเรียกมาเผื่อไว้ เขาหายตัวไปจะแปดชั่วโมงแล้ว เวลาแปดชั่วโมงนั้นผมไม่อยากจะคิดเลยเขาจะเป็นยังไง

   “นายน้อยครับ พบแล้วครับ”

   ลูกน้องของขุนทัพวิ่งเร็วๆ เข้ามารายงานก่อนจะเดินนำไป ผมวิ่งตรงไปยังจุดที่สว่าง ได้ยินเสียงร้องโวยวายของผู้ชายดังออกมาจากด้านใน

   ข้าวปั้น!

   “เชี่ย!” ไอ้ขุนสบถลั่น

   ผมเบิกตากว้าง มือไม้สั่นเทาเมื่อเห็นสภาพของห้องที่ถูกจัดเหมือนห้องผ่าตัดในโรงพยาบาล ข้างๆ มีผู้ชายที่ถูกลูกน้องของขุนทัพจับตัวไว้ เขากรีดร้องโวยวายโดยที่มือยังกำมีดผ่าตัดแน่น ผมมองไปยังร่างที่นอนเปลือยกายอยู่บนเตียง สองขาก้าวแทบไม่ออก...

   “ปั้น...”

   ร่างของข้าวปั้นที่มีเลือดอาบท้อง แผลผ่าตรงท้องด้านซ้ายและและขวายังเปิดอยู่ ตัวซีดจนแทบไม่มีสีของเลือด ชีพจรที่แสดงอยู่บนจออ่อนแรงจนแทบจะไม่ขยับ

   “ไอ้หมอ! เร็ว!”

   ผมรีบก้าวเข้าไป จับร่างของเขาด้วยมือสั่นๆ ข้าวปั้นยังมีสติ เขาไม่ได้ถูกทำให้หลับแต่ถูกทำให้ชาด้วยยา ดวงตาที่แทบจะไร้แววยังเปิดอยู่ ผมจับหน้าเขาให้หันมามอง ก่อนจะถ่างเปลือกตาเขาออกเพื่อเช็คการขยายของรูม่านตา

   เห็นสภาพเขาแล้วมันทำให้ขอบตาของผมร้อนผ่าวจนต้องเม้มริมฝีปากเพื่อสะกดอารมณ์ไว้ สติทั้งหลายที่เพียรจะคงไม่แทบจะไม่เหลือ ผมอยากจะร้องตะโกน อยากไปกระทืบไอ้คนที่มันทำอย่างนี้กับเขา แต่ตอนนี้ผมทำได้แค่หันไปค้นยาในตู้

   ที่นี่คงเป็นโกดังเก็บยาเถื่อน เพราะมันมียาที่ใช้ในการผ่าตัดและอื่นๆ อีกมากมายวางเรียงรายอยู่ ผมหายาที่ใช้ในการกระตุ้นการเต้นของหัวใจมาฉีดเพื่อรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันจากการเสียเลือด ผมผ่าตัดเขาตอนนี้ไม่ได้ เพราะไม่มีเลือดสำรอง เลือดของข้าวปั้นเป็นกรุ๊ปพิเศษ ทำได้แค่พยายามห้ามเลือดและปิดปากแผลชั่วคราว ผมหันไปคว้าเครื่องช่วยหายใจมาครอบปากเขาแล้วทำการ CPR เบื้องต้นเพื่อกระตุ้นให้หัวใจเขากลับมาเต้นอีกครั้ง

   “อย่าหลับนะข้าวปั้น เฮียขอล่ะ!”

   เมื่อได้จังหวะหัวใจคืนมาเล็กน้อย แม้ช่องท้องจะเปิดอยู่ แต่คนที่ทำไม่มีความรู้มากพอจึงทำให้การผ่าลงไปจนถึงชั้นไขมันดี ยังไม่มีอะไรถูกเอาออกไป แค่กำลังจะเอาออกไปเท่านั้น อาการของข้าวปั้นตอนนี้คืออาการเสียเลือดขั้นรุนแรง ไอ้ขุนสั่งให้ลูกน้องช่วยกันเข็นเตียงออกไป พอดีกับที่รถพยาบาลมาถึง

   เมื่อมาถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ร่างของข้าวปั้นถูกเข็นเข้าห้อง ICU ทันที ผมยื่นบัตร MD Card เพื่อแสดงตนว่าเป็นแพทย์ศัลยกรรมเพื่อขอเข้าร่วมการผ่าเป็นกรณีฉุกเฉินเพราะโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดตอนนี้มีเพียงแพทย์เวรที่อยู่ประจำเท่านั้น

   “คุณหมอคะ! แย่แล้วค่ะ ตอนนี้โรงพยาบาลเรามีเลือดกรุ๊ปพิเศษไม่พอต่อการผ่าตัดค่ะ”

   ทันทีที่เปลี่ยนชุดเป็นชุดผ่าตัดแล้วกำลังจะเดินเข้าห้องผ่า พยาบาลผู้ช่วยก็เดินเข้ามาบอกด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ผมจึงสั่งให้ติดต่อไปที่โรงพยาบาลในเมืองหรือที่ใกล้ที่สุดเพื่อขอเลือดสำรองมา แต่ระยะทางก็ไกลจนผมคิดว่าเลือดน่าจะมาไม่ทัน

   ทำยังไงดี...

   “คุณหมอคะ มีญาติผู้ป่วยรออยู่ข้างนอกค่ะ”

   ผมที่ยืนสับสนอยู่ถูกพยาบาลอีกคนเรียกไว้ ไม่คิดว่าคนที่ผมเรียกไปจะมาทันด้วยไฟล์ตเช้า ผมสั่งให้พยาบาลเตรียมการให้เลือดเพื่อการผ่าตัดฉุกเฉินทันที

   

   การผ่าตัดใช้เวลาเกือบหกชั่วโมงเพราะอวัยวะภายในบางส่วนฉีกขาดจากการลงมีดที่ไม่ถูกวิธี ไตข้างซ้ายมีร่องรอยถูกผ่าออกมาหนึ่งครั้งแต่ยังไม่ได้ทำการตัดมันออกมา ตอนนี้พ้นขีดอันตรายมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด เลือดได้รับจากคนที่ผมเรียกให้มาจากเชียงรายโดยด่วนหลังจากที่ผมหาตัวข้าวปั้นเจอแล้ว และไม่ได้มาแค่คนเดียว ครอบครัวเขาที่รู้เรื่องพากันมาครบทุกคน โดยไม่สนค่าตั๋วเครื่องบินใดๆ ทั้งสิ้น

   ครอบครัวของข้าวปั้นทุกคนมีเลือดกรุ๊ป O Rh- ทุกคน ยกเว้นแม่ของข้าวปั้นที่เป็น Rh+ ดังนั้นหลังจากที่เครื่องลงสุวรรณภูมิตอนตีสี่ พวกเขาก็รีบดิ่งมาโรงพยาบาลตามที่ผมส่งไปทันที และแน่นอนว่ามันเร็วกว่าการไปขอเลือดจากธนาคารแม้จะต้องผ่านกระบวนการก่อนให้เลือดก็ตาม

   แม่ของข้าวปั้นร้องไห้จะขาดใจเมื่อเห็นสภาพของลูกชายคนสุดท้องในห้องไอซียู เขายังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาจนกว่าจะพ้นภาวะฉุกเฉิน ต้องอยู่ในนั้นเพื่อระวังอาการและป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นได้ สภาพสายระโยงระยางที่มากกว่าตอนที่เขาผ่าตัดกระเพาะ รวมถึงต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจนั้นทำให้ผมที่เป็นคนลงมือผ่าตัดเองถึงกับมือสั่นหลังจากการผ่าตัดจบ

   ผมกลัว...

   “ไอ้คิน”

   “ปุ้น”

   ข้าวปุ้นที่นั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินหลังจากทำการให้เลือดแล้วลุกพรวดอย่างเร็วจนเกือบเซ ผมเดินเข้าไปจับตัวมันไว้ ถึงจะแข็งแรงยังไง แต่เลือดที่เสียไปก็ทำให้คนตัวโตๆ อย่างมันหน้าซีดเป็นไก่ได้เหมือนกัน

   “ไอ้ปั้นล่ะ มัน... มันปลอดภัยแล้วใช่มั้ย”

   ผมหลุบตาลง

   “อืม”

   “อืมเหี้ยไรล่ะ!”

   มันจับแขนผมแน่น แต่ผมไม่กล้าที่จะตอบอะไรมัน แม้กระทั่งผมยังไม่ไว้ใจตัวเองเลย ข้าวปุ้นจ้องหน้าผมเขม็ง ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือออกแล้วทรุดตัวลงนั่งที่เดิม มันประสานมือแล้วก้มหน้าซบลงไปอย่างคนขวัญเสีย

   “กู... กูไม่น่ากลับเลย กูน่าจะอยู่กับมัน”

   “ไม่ใช่ความผิดมึง”

   ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ข้าวปุ้น พ่อและพี่สาวของข้าวปั้นคงพักอยู่ในห้องรับรองเพราะต่างคนต่างเสียเลือดไปเยอะพอสมควร รวมถึงแม่ของข้าวปั้นที่ร้องไห้จนเป็นลมไปแล้วเมื่อรู้ว่าลูกชายของตัวเองไปเจออะไรมา เหลือเพียงข้าวปุ้นที่ยังไม่ยอมออกห่างจากหน้าห้องผ่าตัดทั้งๆ ที่ตัวเองก็ดูท่าจะไม่ไหว แม้จะทานอะไรเข้าไปเพื่อชดเชยเลือดที่เสียไปแล้วก็ตาม

   ผมปล่อยให้ขุนทัพเป็นคนจัดการเรื่องคดีให้ แม้ว่ามันจะไม่ถูกโรคกับตำรวจก็ตาม หลังจากนี้สองพี่น้องนั่นจะโดนดำเนินคดียังไงก็คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจไป

   “คิน ปั้นปลอดภัยใช่มั้ย ตอบกูมาตรงๆ”

   ผมยกมือลูบหน้าตัวเองเมื่อได้ยินคำถามอีกครั้ง

   “ปลอดภัย... แต่ก็ต้องเฝ้าระวังอาการ ยังอยู่ในภาวะเสี่ยงอยู่”

   “งั้นเหรอ”

   ผมกับมันนั่งเงียบๆ อยู่ข้างกัน ผมไม่อยากมั่นใจอะไรทั้งนั้นในตอนนี้ ความมั่นใจของผมเหลือแค่น้อยนิดจนแทบจะไม่มีความเป็นมืออาชีพเหลืออยู่

   มิน่า... เขาถึงบอกว่า หมอไม่ควรลงมือผ่าคนในครอบครัวหรือคนรัก

   เพราะมันทำให้การตัดสินใจไม่เฉียบขาดพอ

   “มึงทำดีที่สุดแล้วเพื่อน”

   ข้าวปุ้นบีบบ่าผมหนักๆ ซึ่งผมทำได้แค่ตอบรับเบาๆ ในลำคอ

   “อืม”



   วันที่สองแล้ว แต่ข้าวปั้นยังไม่ฟื้น... ความดันโลหิตต่ำกว่าปกติ ชีพจรเต้นช้าจนเกือบหยุดเต้นไปหลายครั้ง กังวลว่าจะเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือติดเชื้อในกระแสเลือด ผมอยากให้ทำการย้ายไปโรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์ครบครันและทีมแพทย์ที่ดีกว่านี้ จึงติดต่อไปทางโรงพยาบาลของผมเพื่อทำการขอรถพยาบาลเพื่อย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินไป โดยปรึกษากับพ่อแม่ของข้าวปั้น ซึ่งครอบครัวเขายินยอมให้ผมเป็นคนตัดสินใจทุกอย่างให้

   ข้าวปั้นถูกย้ายมาโรงพยาบาลผมในคืนนั้น โดยมีผมเป็นแพทย์เจ้าของไข้ ข้าวปั้นถูกส่งเข้าห้องไอซียูอีกครั้งเพื่อเฝ้าระวังอาการ ตัวยาถูกเปลี่ยนใหม่ให้ดีกว่าเดิม จนอาการเริ่มคงตัว ความดันโลหิตกลับมาเป็นปกติ ไม่มีอาการติดเชื้อใดๆ จนกระทั่งไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอีก

   หลังจากนั้นสามวันข้าวปั้นถูกย้ายไปห้องพักผู้ป่วยธรรมดา ผมเห็นเขาเข้าๆ ออกๆ ห้องนี้มาหลายครั้งจนเหนื่อยแทน

   และแน่นอน ว่าคนที่อยู่เฝ้าข้าวปั้นก็ไม่พ้นแม่ของเขา

   และผม

   ผมอาศัยความเป็นเจ้าของไข้ในการเดินเข้าเดินออกห้องนี้บ่อยเสียจนแทบจะย้ายห้องทำงานมาที่นี่ แม่ของข้าวปั้นไม่ติดใจสงสัยอะไรเลย แถมยังดูยินดีที่ผมคอยดูแลอาการลูกชายอย่างใกล้ชิดอีกต่างหาก

   “อ้าว อคิน มาดูอาการน้องเหรอลูก”

   แม่ของข้าวปั้นที่ออกไปหาซื้ออะไรกินที่ชั้นล่างของโรงพยาบาลกลับเข้ามาเจอผมยืนอยู่ข้างเตียงเขา ผมหันกลับไปแล้วผงกหัวรับ หญิงวัยกลางคนยิ้มกว้างก่อนจะชวนให้ผมมาทานอะไรด้วยกัน

   “เมื่อไหร่เจ้าปั้นมันจะฟื้นสักทีนะ นี่ก็ปาไปห้าวันแล้ว ม๊าไม่อยากเห็นไอ้ตัวแสบมันนอนแบ็บอยู่แบบนี้เลย”

   ระหว่างที่กำลังนั่งทานขนมเพื่อฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ แม่ของข้าวปั้นก็พูดขึ้น เธอมองไปยังลูกชายที่อยู่ได้ด้วยน้ำเกลืออย่างเศร้าสร้อย แม้อาการจะไม่น่าเป็นห่วง แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมฟื้นเสียที

   “ม๊ากลับไปพักบ้างก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมลงเวรแล้วจะดูน้องต่อให้”

   ตอนนี้คนที่สลับกันมาดูแลข้าวปั้นก็มีแม่ของเขากับข้าวหอม เพราะพ่อกับข้าวปุ้นไปดำเนินคดีที่เกิดขึ้นกับลูกชายคนเล็กอยู่ทำให้ไม่ค่อยมีเวลา ตอนนี้ข้าวหอมกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านของกรวัชร์ คู่หมั้นของตัวเองก่อนจะมาสลับสับเปลี่ยนกันเฝ้าข้าวปั้นกับคนเป็นแม่

   “อคิน ใจดีกับข้าวปั้นตลอดเลยนะลูก”

   จู่ๆ คนเป็นแม่ก็พูดขึ้นยิ้มๆ เธอมองหน้าผมอย่างอ่อนโยน

   “รักน้องนานๆ นะ”

   ผมอึ้งไป ไม่คิดว่าจู่ๆ หญิงสูงวัยใจดีข้างๆ จะพูดขึ้นมาแบบนี้ ผมไม่คิดว่าข้าวปั้นจะบอกเรื่องนี้กับครอบครัว เพราะคบกับผมตั้งนาน เขายังไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับข้าวปุ้นเลย อาจเป็นเพราะเขาห่วงความรู้สึกของคนเป็นแม่ด้วยล่ะมั้ง นั่นจึงทำให้ผมแปลกใจ มือนุ่มอวบยื่นมาแตะมือผมที่นั่งตัวแข็ง

   “ม๊ารู้ ม๊าดูออก” เธอหัวเราะ “ข้าวปั้นเป็นพวกไม่ยอมพูดเรื่องตัวเอง ไม่ว่าจะเศร้า จะเสียใจ เขาจะไม่ยอมให้ครอบครัวมาเป็นเดือดเป็นร้อนถ้าไม่จำเป็น ม๊าโกรธมากตอนที่รู้เรื่องที่ข้าวปั้นถูกผลักตกบันไดจากข้าวปุ้น ม๊าไม่เข้าใจว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมข้าวปั้นไม่เอามาปรึกษาป๊ากับม๊าสักคำ จนเรื่องมันบานปลายขนาดนี้”

   คนเป็นแม่ส่ายหัว

   “แม้กระทั่งเรื่องของอคิน ไม่รู้ว่าถ้าม๊าไม่รู้เอาเอง จนตายมันจะยอมบอกม๊ามั้ย”

   “คือ...”

   ผมอยากจะถามว่ารู้ได้ยังไง แต่สุดท้ายก็เงียบไป ปล่อยให้คนสูงวัยกว่าพูดต่อ

   “สีหน้าอคิน แค่ม๊าดูก็รู้แล้ว อย่าดูถูกคนแก่สิ ไม่รักไม่สำคัญจะมาเดินเข้าๆ ออกๆ ห้องคนไข้ทำไมวันละหลายๆ รอบ ม๊ารู้นะว่าหมอน่ะงานหนักมาก ขนาดตอนที่ปั้นผ่ากระเพาะ อคินยังไม่เข้าออกห้องบ่อยขนาดนี้เลย”

   ผมหลบสายตารู้ทันนั้น

   “ม๊าเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่พูดยาก” เธอบีบมือผมแน่นก่อนจะปล่อยออกแล้วลุกไปหยุดยืนที่ข้างเตียง คนเป็นแม่ลูบหัวลูกชายคนเล็กอย่างอ่อนโยนก่อนจะจูบเบาๆ อย่างหมั่นไส้ ก่อนเดินกลับมาหยิบกระเป๋าถือของตัวเองขึ้นคล้องแขน เตรียมเดินออกไปยังประตู

   “ไม่ต้องบอกปั้นมันนะว่าม๊ารู้ ดัดนิสัยมันซะหน่อย ม๊าอยากเห็นหน้าตอนมันน้ำท่วมปาก ดูซิตื่นมาจะแก้ตัวยังไง”

   ผมอึ้งไปอีกรอบ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา



   วันนี้ผมลงเวรตอนสี่โมง ไม่มีเคส ไม่มีราวด์เย็น ผมจึงใช้เวลาอยู่ในห้องพักผู้ป่วยนี้เพื่อตรวจงานและเฝ้าเขาไปด้วย

   ระหว่างที่ผมกำลังจะเข้ามาเช็คน้ำเกลือและยา คนที่นอนไม่ขยับมาห้าวันก็ได้เวลาขยับเสียที

   ร่างผอมขยับเล็กน้อย สีหน้าเริ่มยับย่น คงจะเมื่อยหรือไม่ก็ปวดแผล ผมจับมือเขาขึ้นมาพลางบีบเบาๆ

   “ปั้น”

   ดวงตาเรียวชั้นเดียวขยับลืมขึ้นอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะกระพริบถี่ๆ เพื่อปรับสายตา เขาเหลือบตามามองผมก่อนจะครางเสียงแผ่วในลำคอ

   “หมอ...”

   “ปั้น ปลอดภัยแล้วนะ”

   “ผม...”

   เขาเหมือนเริ่มจำเหตุการณ์ได้ ร่างทั้งร่างเกร็งไปชั่วขณะก่อนจะเบะปากแล้วร้องไห้โฮลั่นเหมือนคนเสียขวัญ ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูกนอกจากขยับตัวไปลูบหัวเขาที่นอนร้องไห้เหมือนเด็กเพิ่งตื่นจากฝันร้าย

   “ผมกลัวมากเลยหมอ ฮือ... เขา เขาจะฆ่าผม... เขา... เขาเอาไตผมออกไปด้วย”

   “ชู่ว ข้าวปั้น ไม่มีอะไรหายไป เฮียอยู่นี่แล้ว”

   “ผม... ผมทำอะไรไม่ได้เลย เขา... เขาผ่าผม ผ่าทั้งๆ ที่ผมยังรู้สึกตัว”

   ผมค่อยๆ ประคองเขาขึ้นมากอดไว้โดยไม่ให้แผลกระทบกระเทือนที่สุด ร่างบางๆ นั่นสั่นระริก ผมเข้าใจดีว่าเขาขวัญหายขนาดไหน และมันก็ทำให้ผมกลัวว่าเรื่องนี้จะทำให้เกิดแผลใจขึ้นอีกแผลหนึ่งรึเปล่า

   เขาอาจจะกลัวการผ่าตัด กลัวของมีคมไปตลอดชีวิต

   เขาสะอึกสะอื้นสักพักก่อนจะสงบลง มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำหูน้ำตาเพื่อดึงสติตัวเองกลับมา ผมประคองหน้าเขาไว้แล้วจัดการเช็ดน้ำมูกที่เปรอะเปื้อนซะ ข้าวปั้นมองหน้าผมเขม็ง จนผมอดถามไม่ได้

   “ครับ?”

   “ผมขอโทษครับ”

   “หืม??”

   จู่ๆ คนที่เพิ่งรู้สึกตัวก็เอ่ยขอโทษออกมาเสียงแหบแห้ง ผมไม่เข้าใจว่าเขาขอโทษอะไร

   ข้าวปั้นกัดปากตัวเอง กลืนน้ำลายที่แห้งผาก

   “ผมขอโทษที่ไปคนเดียว ขอโทษที่ดื้อ ขอโทษที่ไม่ฟังที่หมอเตือน”

   ผมเข้าใจละ...

   “มันจบแล้วข้าวปั้น เราจับคนร้ายได้แล้ว จะไม่มีอันตรายอีก”

   เขาพยักหน้ารับ

   “ผม... ผมหายไปนานแค่ไหนครับ แล้วนี่... หลับไปกี่วัน”

   ข้าวปั้นเริ่มถามวันเวลา ผมจึงเล่าเหตุการณ์คร่าวๆ ให้เขาฟัง ข้าวปั้นดูตกใจขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผมบอกเขาไปว่าครอบครัวเขารู้เรื่องหมดแล้ว และให้เลือดในการผ่าตัดเขาด้วย เพราะตอนนั้นโรงพยาบาลแรกไม่มีเลือดกรุ๊ปพิเศษมากพอ

   พอผมเล่าจบ เขาก็ครางเสียงแผ่วออกมาว่า “ชิบหายแล้ว”

   แกร๊ก...

   เสียงเปิดประตูเข้ามาทำให้เราสองคนผละออกจากกัน ตามมาด้วยเสียงทักอย่างดีใจสุดชีวิตของข้าวหอมที่คงจะมาเปลี่ยนเวรกับแม่ตัวเองที่กลับไปพักผ่อนที่คอนโดของข้าวปั้น

   “ไอ้ปั้น! ฟื้นแล้วเหรอ เจ้เป็นห่วงแกจะตายอยู่แล้ว”

   ร่างเล็กกระทัดรัดของข้าวหอมโถมตัวเข้าไปหมายจะกอดรับขวัญคนที่ลุกมานั่งพิงพนักเตียงที่ถูกปรับเอนขึ้น แต่โดนมือของคู่หมั้นหนุ่มที่ตามมาส่งรั้งคอเสื้อไว้เสียก่อน

   “น้องพึ่งฟื้น อย่าพุ่งเข้าไปแบบนั้นสิยัยโง่”

   “ไอ้กร!”

   ข้าวหอมเกือบขาดอากาศตายจากการรั้งคอเสื้อของแฟนหนุ่ม ก่อนจะหันมากรี๊ดกร๊าดใส่ผมที่ถอยออกมายืนห่างๆ

   “ว้าย คุณพี่หมออคินของหอมนี่เอง มาเฝ้าไอ้ปั้นอีกแล้วเหรอ เอ๊ะ... แล้วม๊าล่ะ ไปไหนแล้วคะ” ลูกสาวคนเล็กแห่งไร่อันนาถามหาแม่ตัวเอง

   “กลับคอนโดไปพักน่ะครับ ผมลงเวรแล้วเลยอยู่เฝ้าแทน”

   “งั้นเหรอคะ อิจฉาไอ้ปั้นจังเลย มีหมอส่วนตัว น่ารักจัง”

   “เจ้หอม! พูดอะไรน่ะ แค่กๆๆ” ข้าวปั้นเผลอตะโกนออกมาด้วยความอายก่อนจะไอโขลกเพราะคอแห้ง ผมจึงรีบหันไปรินน้ำใส่แก้วแล้วจับหลอดดูดป้อนถึงปากเขาอย่างเคยตัว ข้าวปั้นเองก็กระหายน้ำจนงับหลอดดูดน้ำโดยไม่คิดอะไร

   แต่การกระทำนี้... ทำให้คนอีกสองคนที่ร่วมห้องเงียบกริบแล้วมองตาปริบๆ

   ความเงียบโรยตัวทำให้ผมกับข้าวปั้นเริ่มรู้สึกตัว

   ...

   ข้าวหอมมองตาไม่กระพริบเช่นเดียวกับกรวัชร์ที่กระแอมไอขึ้นมาแก้เก้อ ข้าวปั้นแทบจะสำลักน้ำ เขารีบดึงแก้วออกจากมือผมเพื่อเอามาถือเอง หน้าขาวๆ ซีดๆ ตอนนี้แดงก่ำไปจนถึงใบหู ผมค่อยๆ ชักมือกลับมาล้วงกระเป๋ากางเกงแทน

   “อา... เอ่อ เอ้อ! เจ้ว่า เจ้... เจ้มีนัดคุยกับออแกไนซ์งานแต่งไว้ คงต้องเลื่อนงานเพราะแกดันป่วย น่าจะหายไม่ทันงานแต่ง” ข้าวหอมพยายามนึกประเด็นเพื่อจะไม่ทำให้ห้องนี้เงียบจนเกินไป ข้าวปั้นเลิกคิ้ว

   “ทำไมล่ะ ไม่เห็นต้องเลื่อนเลย ปั้นโอเค... เอ่อ อีกกี่วันผมจะออกจากโรงพยาบาลได้เหรอครับหมอ”

   ข้าวปั้นหันมาถามผมที่ยืนทำหน้านิ่งๆ อยู่ข้างๆ

   “ประมาณหนึ่งสัปดาห์น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ แต่ก็พยายามอย่าขยับตัวมาก คล้ายกับตอนผ่ากระเพาะนั่นแหละครับ” เพราะเป็นการผัดตัดเพื่อรักษาอวัยวะที่ฉีกขาด ไม่ได้ปลูกถ่ายอวัยวะใหม่ แค่รอแผลแห้งและถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนหรืออักเสบก็กลับบ้านได้

   “นั่นไง เจ้กับพี่กรไม่ต้องเลื่อนหรอก นะครับ”

   ข้าวปั้นบอกว่าที่เจ้าสาวกับเจ้าบ่าวที่ทำหน้าปั้นยาก พวกเขาคงต้องกลับไปปรึกษากันใหม่อีกรอบ ทั้งสองคนอยู่ไม่นาน สักพักก็กลับไปเพราะมีผมคอยเฝ้าข้าวปั้นแทนแล้ว

   ทันทีแขกผู้มาเยี่ยมกลับไป ข้าวปั้นถึงกับถอนหายใจเฮือกยาว เขาทิ้งตัวนอนลงก่อนจะทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมาใหม่ ทำเอาผมอยากจะตีเขา เพราะแผลอาจเปิดจากการขยับตัวแบบนั้นได้

   “หมอครับ! มือถือผมล่ะ”

   “อยู่ในกระเป๋าเฮีย”

   “ผม... ผมขอหน่อยได้มั้ยครับ ผมหายตัวไปตั้งหลายวัน งานที่ต้องไฟนอล กองเป็นภูเขานรกเลย”

   ผมคิ้วกระตุก รู้สึกหงุดหงิดและโมโหขึ้นมา ผมจับเขากดลงไปนอนบนเตียงอีกครั้ง สายตาดุจัดจนข้าวปั้นหุบปากเงียบ

   “ถ้ายังไม่เลิกห่วงงานมากกว่าห่วงตัวเอง เฮียจะยื่นใบลาออกให้พรุ่งนี้เลยครับ”

   “หมอออออออออออ”



ก็นะ... ไม่ถนัดเขียนความจริงจังเลยเเฮะ อาจจะขาดๆ เกินๆ ไปบ้าง
แต่ก็พยายามหาข้อมูลให้มันพอจะสมเหตุ... มั้ง
ตอนนี้เขียนยากจริงๆ ค่ะ น้องยูผู้ไม่เซลฟ์กับฉากเเอคชันใดๆ
ไม่เครียดเเล้ว พอแล้ว ตอนต่อไปเเฮปปี้ไทม์เเน่นอน
ข้าวปั้นผู้มีชื่อรองว่าบุญรอด
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
 https://twitter.com/_SeenYu

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ลุ้นแบบใจหายใจคว่ำหมด รีบๆหายนะลูก

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ปลอดภัยก็ดีแล้วนะข้าวปั้น ลุ้นซะแทบหายใจไม่ออก น่ากลัวมากๆ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
น่าจะพ้นเคราะห์แล้วนะข้าวปั้น  พอพื้นมาก็จะแจ้นกลับไปทำงาน คุณหมอจับตีก้นเลยจ้า

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 31

หมอครับ แล้วผมเลือกอะไรได้ไหม

ประเมินพนักงานตอนสิ้นปี ผมคงเป็นคนที่มีวันลาหยุดเยอะที่สุดในบริษัท ปีที่แล้วผมลาสองอาทิตย์เพื่อผ่าตัดกระเพาะ ปีนี้ผมลาพักฟื้นเกือบสามอาทิตย์จากเหตุการณ์ระทึกขวัญที่แต่ละคนพากันอ้าปากค้างให้นายข้าวปั้น

   ใครจะไปคิดว่าพนักงานกินเงินเดือนที่ไม่ได้เอาตัวไปมีปัญหากับใคร แถมสายงานยังไม่ใช่สายที่จะเอาตัวไปเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ มากนักจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีจนโดนผ่าท้อง แถมยังรอดมาได้ในสภาพโคม่าอีกต่างหาก

   “นี่มึง... กูไม่ได้แช่งนะ แต่มึงรอดมาได้ไงเนี่ย”

   พี่ดินที่มาเยี่ยมพร้อมกับคนอื่นๆ ที่โรงพยาบาลฟังเรื่องเล่าระทึกจิตระทึกใจจากผมด้วยสีหน้าแบบ... เหมือนไฟล์งานหาย ผมลุกขึ้นมานั่งห้อยขาบนเตียง แขนยังมีสายน้ำเกลืออยู่ อาหารที่กินได้ก็ยังคงเป็นอาหารรสอ่อนที่ย่อยง่ายถ่ายสะดวก ส่งยิ้มแหยๆ ก่อนจะยักไหล่

   “ม๊าเล่าว่า ม๊าเคยเอาผมไปให้พระแถวบ้านตั้งชื่อให้ พระท่านมองหน้าผมปุ๊บ ชื่อบุญรอดก็หลุดออกมาจากปากท่านเลย แต่ม๊าไม่ชอบเพราะมันเชย เลยเปลี่ยนเป็นนาย ศรัณ อรัญพัชร ชื่อที่มีความหมายว่า มีผู้ได้รับการปกป้องคุ้มครองแทนน่ะ” ผมเล่าพร้อมกับหัวเราะไปด้วย เหมือนพระมองโหงวเฮ้งผมแล้วจะรู้ทันทีว่าไอ้นี่ต้องมากับดวง

   ดวงซวยอ่านะ... เลยให้ตั้งชื่อแก้เคล็ด

   แต่ละคนพากันหัวเราะเมื่อได้ยินเรื่องที่ผมเล่า

   “เบญจเพสรึเปล่าพี่ข้าว ช่วงนี้พี่ดูซวยๆ” ฟางที่นั่งดูดชาไข่มุกอยู่แซว

   “พี่จะ 27 แล้วนะ” ผมตอบกลับ

   “แต่มึงก็นะ ไม่รู้จักระวังตัวเอาซะเลย รู้ว่าตัวเองอยู่ในข่ายอันตรายก็ยังจะไปไหนมาไหนคนเดียว” ไอ้เนว่าผม

   “ก็กูไม่คิดว่าเรื่องมันจะบานปลายขนาดนี้ เดี๋ยวก็ต้องไปให้ปากคำตำรวจอีก”

   หลังจากผมฟื้นมาได้วันเดียว ตำรวจก็ขอเข้าพบเพื่อสอบปากคำ ผมก็ให้การไปตามจริง โดยจะประสานกับตำรวจท้องถิ่นของเชียงรายที่เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมอีกสี่คดีด้วย คดีนี้คงกลายเป็นคดีใหญ่ที่ปิดได้ไม่ยากเพราะคนร้ายก็ถูกจับตัวแล้ว อาจจะต้องไปสถานีอีกสักรอบสองรอบเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนในฐานะผู้เสียหาย

   ที่เพื่อนๆ ของผมสามารถมารวมตัวเยี่ยมผมพร้อมกันในวันนี้ได้เพราะเป็นวันเสาร์แห่งชาติ พวกเขาเล่าให้ฟังว่าพอผมหายตัวไปปุ๊บ วันต่อมาก็มีคนโทรไปลาพี่อัฐให้ปั๊บ เขาบอกแค่ว่า ผมได้รับอุบัติเหตุผ่าตัดฉุกเฉินอยู่โรงพยาบาล ผมคิดว่าน่าจะเป็นหมอไม่ก็เฮียปุ้นที่โทรไปลาให้ผมแบบนั้น

   ถึงแม้ตอนผมฟื้น หมอจะบอกว่าตอนนั้นน่าจะโทรไปลาออกให้ผมมากกว่าก็เถอะ

   “เออ พี่เจี้ยน โน้ตบุ้คพี่อ่ะ พี่อัฐอนุญาตให้รีโมททำงานใช่ปะ” เมื่อคืนผมโทรไปขอยืมโน้ตบุ๊คของพี่เจี้ยนเพื่อจะได้เอามารีโมททำงานที่โรงพยาบาล เพราะต้องอยู่อีกประมาณสองสามวัน ผมจึงอยากใช้เวลาว่างๆ ทำงานที่ค้างไปด้วย

   “มึงอยากให้กูโดนหมอเอามีดจ้วงท้องรึไง”

   พี่เจี้ยนทำหน้าขนลุก ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

   “ฮะ?”

   “กูพึ่งรู้ว่าหมอโรงพยาบาลนี้เขาดูแลคนไข้ดีประหนึ่งคนในครอบครัว วันก่อนตอนกำลังจะกลับจากเยี่ยมมึง กูเจอหมอเจ้าของไข้มึงหน้าห้อง เขาถามกูว่ามึงขออะไรรึเปล่า กูก็งงๆ เลยตอบเขาไปว่า มึงขอให้พี่อัฐอนุญาตให้ใช้รีโมททำงาน แล้วหมอมันบอกไรกะกูรู้มะ มันบอกว่า ‘ถ้าลาป่วยไม่ได้ งั้นเดี๋ยวผมเขียนใบลาออกให้แทนครับ’ อย่างเนี่ย!!”

   พี่เจี้ยนโวยวายฟ้องใหญ่ พี่ดินหันหน้าหนีเพื่อกลั้นขำสุดฤทธิ์ ส่วนผมทำหน้าพะอืดพะอม

   ผมว่า... ผมทำตัวเป็นเด็กดี อยู่เฉยๆ ตามที่หมอสั่งดีกว่าแฮะ

   “เขาเป็นเพื่อนเฮียปุ้นน่ะ เลย... อาจจะดูแลเกินไปหน่อย”

   “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”

   คราวนี้พี่ดินทนไม่ไหวจริงๆ เขาหัวเราะออกมากลางวงจนแต่ละคนมองขวับ พี่ตัวหนาล่ำบึกกระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะเสริมคำพูดของหมอ

   “ก็จริงของหมอ ลาป่วยแล้วก็ลาไป บริษัทไม่ไล่มึงออกหรอก”

   “แต่เดี๋ยวผมก็จะลาอีก” ผมกอดอกเมื่อนึกถึงระยะเวลาที่ต้องลาอีกครั้ง

   “ไปไหน?”

   “งานแต่งเจ้หอม เออใช่ เชิญทุกคนด้วยนะ จัดที่บ้านที่เชียงราย เดือนหน้า วันเสาร์ ไม่ต้องใส่ซอง แค่ไปร่วมอวยพรก็พอ”

   ผมเชิญปากเปล่าแทนตัวเจ้าสาว ไอ้เนกับฟางตอบตกลงทันที ส่วนพี่ดินบอกว่าขอดูงานก่อน ส่วนพี่เจี้ยนทำหน้าปั้นยาก ไม่ตอบอะไร ผมก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกว่าทำไม แต่ก็ไม่ได้คาดคั้น

   “คนมาเยี่ยมเยอะเลยนี่หว่าไอ้ตูด”

   ระหว่างที่กำลังคุยจอแจกัน คนที่ออกไปซื้อของกินกับป๊าม๊าก็เข้ามาจนทำให้ห้องผู้ป่วยเริ่มแคบไปถนัด แก๊งเพื่อนร่วมงานต่างพากันยกมือไหว้คนสูงวัยกว่าที่หิ้วถุงอาหารกลิ่นหอมมายั่วน้ำลายผมที่กินได้แต่โจ๊กรสชาติเหมือนต้มน้ำเปล่า ผมลอบสังเกตหน้าพี่เจี้ยนที่เริ่มซีด เขาถอยไปหลบหลังพี่ดิน ทำตัวให้ลีบที่สุด

   ขำว่ะ แต่ไม่เอา ไม่ล้อเลียน เดี๋ยวตาผมแล้วพี่เจี้ยนจะขยี้ไม่หยุด

   “กินอะไรกันมารึยัง ม๊าซื้อขนมมาเพียบเลย” ม๊าผู้แสนน่ารักของผมชักชวนเพื่อนๆ อยู่ทานของกินด้วยกันก่อน แต่ดูเหมือนแต่ละคนจะรู้ว่าห้องนี้เริ่มคับแคบเกินไปสำหรับคนแปดคน จึงขอตัวกลับก่อน พี่ดินเอ่ยแสดงความยินดีกับม๊าผมเรื่องที่เจ้หอมจะแต่งงาน ก่อนจะพากันทยอยกลับ

   พี่เจี้ยนเกาะแขนพี่ดินแน่น ไม่สบตาคนที่กำลังจ้องเหมือนจะแดกเข้าไปทั้งตัวแล้วสักนิด

   ผมเหลือบไปมองเฮียปุ้นที่ทำหน้าเป็นยักษ์ปักหลั่นแล้วตอนนี้

   อยากบอกเฮียเหลือเกินว่ากระต่ายเวลาตื่นตูมมันน่ากลัวนะ

   หลังจากทุกคนกลับไป เฮียปุ้นก็เดินเข้ามาดูสภาพผมก่อนจะคุยเรื่องคดี

   “ตำรวจทางนี้ประสานงานกับไอ้ตุลย์ที่รับผิดชอบคดีสี่ศพนั่นแล้ว แต่ยังไม่มีหลักฐานมากพอจะยืนยันได้ว่าเป็นฝีมือของอี้ เหลียน แม้จะมีคำให้การจากคุณพอร์ช แต่มันก็ยังไม่มีน้ำหนักมากพอ และคุณพอร์ชก็เป็นแค่พยานปากสำคัญ ไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิด ทางตำรวจจึงทำได้แค่ลงบันทึกไว้ ไม่ได้คุมตัว ส่วนอี้ เหลียน เขามีความผิดชัดเจนฐานข่มขู่ ลักพาตัว ทำร้ายร่างกายและพยายามฆ่า โดนไปหลายกระทง ศาลอาจตัดสินให้จำคุกและปรับ”

   ผมเงียบไป ก่อนจะถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจะรู้สึกยังไงดี

   ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพราะแผลในอดีต เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน เขาก็เป็นหนึ่งในเด็กที่เคราะห์ร้ายเหมือนๆ กับผม

   “แต่ศาลอาจมีการลดโทษลง เพราะอี้ เหลียนมีประวัติการรักษาโดยเป็นผู้ป่วยจิตเวชก่อนที่เขาจะเดินทางไปฮ่องกง”

   “อี้ เหลียนไปฮ่องกง?” ผมแปลกใจมาก ผมนึกว่าเขาอยู่ประเทศไทยมาตลอด

   “ดูเหมือนหลังจากที่คุณพอร์ชนั่นรักษาเขามาสิบปีจนหมออนุญาตให้กลับมาอยู่บนได้ปกติ เขาถูกพาไปฮ่องกงและอยู่ที่นั่นประมาณสองสามปีก่อนจะกลับมาก่อคดีที่ไทย คุณพอร์ชบอกว่า อี้ เหลียนเป็นแฮกเกอร์ที่เก่งมาก เขาเป็นคนสร้างระบบให้กับองค์กรของบริษัทของพี่ชายเขาหลังจากกลับมาจากฮ่องกง ตามประวัติ อี้ เหลียนคือบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้มีสัญชาติไทย เขาเป็นชาวฮ่องกงแต่กำเนิด อยู่ประเทศไทยด้วยวีซ่ามาตลอดยี่สิบกว่าปี”

   ผมยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่า อี้ เหลียนคนนี้ ไม่ใช่แค่ฆาตกรโรคจิตธรรมดา เขาเก่งมาก และคงจะมีอนาคตไกลถ้าไม่ยึดติดอยู่กับแผลในอดีต

   “แล้วเขาเป็นยังไงบ้างตอนนี้” ผมถาม

   “ตำรวจกักตัวไว้ เห็นไอ้ตุลย์บอกว่าวันก่อนมีคนจากฮ่องกงมาติดต่อกับสารวัตรใหญ่ที่ประจำการอยู่ที่กรุงเทพ”

   “แล้วพี่ตุลย์ไปรู้ได้ยังไง เขาอยู่เชียงรายนี่นา” พี่ตุลย์เขาเป็นสารวัตรสืบสวนอยู่เชียงรายไม่ใช่เรอะ

   “เหมือนจะถูกย้ายมาประจำการที่กรุงเทพในอีกสองเดือน คดีในมือคือคดีของอี้ เหลียนนี่แหละ เฮียก็ไม่อยากถามรายละเอียดมาก แค่บอกว่า ทำยังไงก็ได้อย่าให้มันมายุ่งกับแกอีกก็พอ”

   “ถ้าไม่มีใครปล่อยเขาออกมา เขาก็คงไม่มายุ่งกับปั้นหรอก” ผมเริ่มไม่แน่ใจ... อี้ เหลียนไม่ใช่คนไทย เขาสามารถหนีออกต่างประเทศได้สบายถ้ามีคนช่วยเหลือเขา

   “เฮียได้คุยกับเขาครั้งนึง”

   “หืม?” ผมมองหน้าเฮียปุ้น เขาเดินมานั่งข้างเตียงพลางกอดอก

   “เฮียถามเขาตรงๆ ว่าทำแบบนี้กับแกทำไม เขาตอบว่า เขาทำเพื่อฆ่าเวลา”

   “หา?”

   “เฮียคิดว่าแกไม่ใช่เป้าหมายจริงๆ ของเขา การพบเจอของแกกับเขามันเป็นเรื่องบังเอิญ เขาทำให้มันเป็นแค่เกมฆ่าเวลาแก้เบื่อ เฮียเลยบอกว่า ยังแค้นข้าวปั้นอยู่จริงๆ รึเปล่า รู้มั้ยเขาตอบว่าไง”

   เฮียมองหน้าผมนิ่งๆ

   “เขาบอกว่า เขาไม่เคยแค้นแก ทุกอย่างที่เขาทำ เขาทำแค่ทดสอบเกมของเขา”

   “เกมเชี่ยไรวะเนี่ย” ผมสบถหยาบ ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พอนึกๆ ดูอีกที

   อี้ เหลียนเขาไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าผมจริงๆ แม้การลงมีดจะสะเปะสะปะ แต่ทุกตัวยาที่เขาใช้ ทุกการกระทำของเขา เขาไม่ได้อยากให้ผมตายเร็วๆ เหมือนกับเด็กทั้งสี่คนที่โดนผ่าเอาไตออกไป อี้ เหลียน แค่ทำเหมือนกำลังเล่น ทั้งๆ ที่เวลาแปดชั่วโมงที่ผมหายตัวไป มันนานพอที่เขาจะฆ่าผมแล้วเอาผมไปทิ้งทำลายหลักฐานได้สบายมาก   หรือเขาไม่ได้คิดจะฆ่าผมจริงๆ?

   “ช่างมันเถอะ ตอนนี้แกปลอดภัย อี้ เหลียนก็ถูกจับอยู่ คงไม่ออกมาง่ายๆ หรอก”

   “เลิกคุยเรื่องเครียดๆ ได้แล้ว อีกวันสองวันปั้นก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ปั้นอยากกลับไปพักที่บ้านมั้ยลูก”

   ม๊าที่นั่งกินก๋วยจั๊บกับป๊าอยู่หันมาถามผม แน่นอนว่าผมส่ายหน้า

   ถึงหมอจะเขียนใบลาให้ผมไว้ถึงสี่สัปดาห์ แต่ผมก็ไม่อยากนอนแห้งอยู่บ้านเฉยๆ คงต้องแอบทำงานโดยที่ไม่ให้ใครรู้

   “ไม่เป็นไรม๊า ปั้นอยู่ได้ หมอบอกว่าแผลปั้นเริ่มจะสมานตัวดีแล้ว แค่อย่าเคลื่อนไหวเร็วก็พอ อีกสองอาทิตย์ก็ต้องมาตัดไหม ขี้เกียจไปๆ กลับๆ อ่ะ”

   “แล้วแกจะอยู่ที่นี่กับใคร ให้ม๊าอยู่เป็นเพื่อนก่อนมั้ย เดินเหินก็ไม่ค่อยจะสะดวก ไม่ก็ไปอยู่บ้านกรเขาก่อน ช่วงนี้ข้าวหอมน่าจะอยู่นานเพื่อเตรียมงาน ม๊าจะได้วางใจ” ม๊ายังคงคะยั้นคะยอ แต่ผมเอาแต่ปฏิเสธ คันปากยุบๆ  ยิบๆ ว่า ต่อให้ผมไม่ดูแลตัวเอง คนที่เดินเข้าเดินออกห้องนี้เป็นว่าเล่นทั้งๆ ที่ไม่ใช่ญาติคงไม่ยอมให้ผมไปดื้อไปซนที่ไหนแน่นอน

   เขาเข้มงวดกว่าพ่อแม่ตัวจริงผมเสียอีก

   “ม๊า อย่าลืมนะว่าไอ้คินก็อยู่”

   “เฮีย!”

   ผมหันไปถลึงตาใส่เฮียปุ้นที่ทำท่าจะปากมากออกไป เฮียปุ้นขมวดคิ้ว

   “อะไร ก็มันเป็น...”

   “เฮี้ย!”

   “เอ็งด่าเฮียเรอะ!!”

   “เปล๊า แค่เสียงสูงไปหน่อย” ผมหันไปบอกม๊าที่ทำหน้าแบบ พวกลื้อเถียงอะไรกัน? มาทางพวกผมสองคน “ปั้นไม่เป็นไรหรอกม๊า แล้วปั้นก็ไม่อยากไปรบกวนพี่กรด้วย เขาก็ยุ่งๆ ปั้นไปอยู่บ้านเขาเฉยๆ ไม่ได้ช่วยอะไรปั้นลำบากใจน่ะ”

   ม๊าทำหน้าย่น ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อประตูห้องเปิดออก ร่างสูงของหมอเดินถือชาร์จผู้ป่วยเข้ามาด้วยสีหน้านิ่งๆ แบบปกติของเขา ม๊าผมทักทายหมอเสียงอ่อนเสียงหวาน

   “อคินมาก็ดีเลย ม๊ามีเรื่องจะฟ้องล่ะ”

   “ครับ?” หมอเลิกคิ้ว ขานรับ

   “ข้าวปั้นน่ะดื้อ ให้กลับบ้านไปพักรักษาตัวก็ไม่กลับ ให้ไปอยู่บ้านกรก่อนไม่อยู่ อยู่คนเดียวม๊าเป็นห๊วง เป็นห่วง”

   ม๊าครับ... น้ำเสียงม๊าดูไม่จริงใจเอาซะเลย

   หมอหันมามองผมแวบนึง ก่อนจะกระตุกยิ้มมีเลศนัย

   “ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวผมดูแลให้”

   “มะ... หมอ...” ผมเรียกเขาเสียงแผ่ว ถลึงตามองเป็นเชิงว่า อย่าพูดอะไรไม่เข้าท่าไปเชียวล่ะ อย่าเชียวนะ!

   “จริงเหรออคิน ไม่ลำบากเหรอจ๊ะ น้องดื้อนะ” ม๊าจับแขนหมอแล้วยิ้มเกรงใจ

   ม๊า... ม๊าต้องการไร ม๊าบอกปั้นดิ๊

   “ดื้อแค่ไหน ผมก็เอาอยู่ครับ”

   “ขอบใจนะจ๊ะ”

   “ดะ... เดี๋ยวนะ ทำไมม๊าต้องฝากปั้นไว้กับหมออ่ะ ปั้น... ปั้นดูแลตัวเองได้” ผมเลิ่กลั่กแล้ว ณ จุดจุดนี้ ม๊าหันขวับมาทำหน้าดุ

   “ถ้าแกไม่ยอมให้หมอดูแล แกก็กลับบ้านกับม๊า เอาไง เลือกมา”

   ละ... แล้วปั้นเลือกอะไรได้ไหม...



   และแล้ว ผมก็นอนโรงพยาบาลครบสองอาทิตย์ ผมต้องกลับไปพักฟื้นที่บ้านอีกสองอาทิตย์ตามที่หมอออกใบรับรองแพทย์ให้ การลาเป็นเดือนๆ ของผมทำให้ผมรู้สึกกระสับกระส่าย ผมถึงกับต้องแอบโทรไปขอรีโมททำงานกับพี่อัฐเลยทีเดียว แม้พี่อัฐจะบอกว่าไม่เป็นไร ไปพักฟื้นให้เต็มที่ก่อนเถอะก็ตาม

   แต่สุดท้าย ผมก็ได้มาสองชอต มันทำให้ผมแทบจะร้องไห้ กราบพี่อัฐแรงๆ หนึ่งครั้งที่ทำให้ผมไม่ต้องกลับไปใช้ฉายา ลูกรักพี่อัฐ อีกครั้ง แม้ทุกคนจะรู้ว่าผมเข้าโรงพยาบาลเพราะป่วยหนักก็ตาม แต่ห้ามคนนินทามันได้ที่ไหน ผมไม่อยากเข้าบริษัทตัวเปล่าหลังจากหายหน้าไปเกือบเดือนหรอกนะ

   เฮียปุ้นกลับเชียงรายก่อนใคร เพราะไม่มีคนดูแลไร่เลยนอกจากป้าสรกับลุงหนาน เมื่อส่งผมถึงคอนโด ป๊ากับม๊าอยู่แค่อีกแค่หนึ่งวันเพื่อดูการใช้ชีวิตของผมว่าจะลำบากมั้ย ซึ่งผมเริงร่าเต็มที่เลยครับ ทำตัวปกติ แค่จะเดินจะเกินก็ต้องกระมิดกระเมี้ยนหน่อย

   ส่วนเจ้าอ้วนปั้นสิบ ตั้งแต่วันที่ผมโดนจับไปจนนอนแบ็บอยู่ไอซียู เฮียปุ้น ป๊า ม๊าผลัดกันมาคอยให้อาหารและดูแลมันกัน แต่รู้สึกว่าม๊าจะบอกว่ามันแทบจะไม่ยอมกินข้าวเลย แถมยังเซื่องลงไปเยอะ อาจเป็นเพราะมันไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ ผมก็หายไปล่ะมั้ง และทันทีที่มันเห็นหน้าผม ไอ้อ้วนปั้นสิบก็ย้ายร่างตัวเองจากบนโซฟามาคลอเคลียผมพลางร้องม๊าวๆ เสียงดัง

   ผมก้มลงอุ้มมันขึ้นมากอด ไอ้อ้วนเอาหน้ามุดอกผมไม่ยอมไปไหน มันคงคิดถึงผม เพราะผมเองก็คิดถึงมันมากเช่นกัน

   “ปั้น ม๊ากลับแล้วนะ ไว้เจอกันงานแต่งไอ้หอม”

   ผมเดินลงมาส่งม๊ากับป๊าที่ด้านล่างคอนโด ทั้งสองยืนยันเสียงแข็งไม่ให้ผมไปส่งที่สนามบิน ป๊าสั่งผมว่าอย่าออกไปเดินคนเดียวตอนกลางคืน ทำอะไร จะไปไหนให้บอกคนอื่นไว้ก่อน ถึงป๊าจะไม่พูดเยอะ แต่ผมรู้ว่าป๊ากังวลใจมากไม่แพ้ม๊าเลย

   สุดท้ายผมก็อยู่คนเดียว... กับแมวอีกหนึ่งตัว

   ซะที่ไหนล่ะ...!

   “ผม... ผมอยากอยู่ห้องตัวเองครับหมอ” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง

   “อยู่ห้องคนเดียวเฮียเป็นห่วง อย่างน้อยไปอยู่ห้องเฮีย ยังมีริลินแวะเข้าแวะออกให้เฮียสบายใจ” หมอพยายามกล่อมให้ผมยอมทำตาม

   “ผมสบายดีแล้วครับ หมอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

   “ข้าวปั้น”

   หมอดุทันทีเมื่อผมปฏิเสธเขา ก็ผมอยากอยู่ห้องตัวเอง อยากทำงานที่รีโมทจากบริษัท ถ้าไปอยู่ห้องหมอ ผมจะแอบใช้คอมเขาได้ยังไง เดี๋ยวเขาก็รู้หมดว่าผมแอบรับเอางานมาทำอีกแล้ว ผมไม่อยากให้เขาดุผมมากกว่านี้หรอกนะ

   “อย่าดื้อได้มั้ย”

   คราวนี้หมอเสียงอ่อน ผมมองเขาที่ยืนเถียงกับคนป่วยอยู่ในห้องของผมเองด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี ขอบตาเขาคล้ำอีกแล้ว เพราะเขาต้องขึ้นเวรทบกับวันที่ลาไปเพื่อเฝ้าผม เห็นหน้าอิดโรยของหมอแล้ว ผมที่ยืนเถียงคอเป็นเอ็นอยู่ก็หน้าหดทันที

   “หมอครับ หมอได้นอนบ้างมั้ยครับ”

   ผมยื่นมือไปแตะแก้มเขา แม้จะไม่มีหนวดเคราขึ้นเพราะเพิ่งโกน แต่หมอหน้าตอบลงไปจนเห็นชัด คนตัวโตถอนหายใจยาวก่อนจะดึงผมลงมานั่งบนโซฟาตัวเดิม จับให้ผมนั่งบนตักแข็งๆ แล้วกอดผมไว้

   นานแล้วที่เขาไม่ได้กอดผม เพราะในห้องผู้ป่วยมีคนเข้าออกตลอด แถมม๊ากับเจ้หอมยังผลัดกันมาเฝ้าจนเราแทบจะไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนเลย

   กลิ่นหอมๆ ของหมอทำให้ผมใจเย็นลง ความดื้อก็ลดลงด้วย

   ผมเข้าใจเขานะว่าเป็นห่วง แต่ผมเองก็อยากอยู่ในเซฟโซนของตัวเองบ้าง ผมมีพื้นที่ที่ผมสบายใจจะอยู่ก็เท่านั้นเอง

   “อย่าดื้อกับเฮียเลยนะ เฮียเป็นห่วงปั้น”

   “หมอครับ หมอก็ดูแผลผมทุกวันนี่นา น่าจะรู้ว่ามันไม่ได้แย่เลย มันจะหายแล้วนะครับ”

   ผมพูดกับเขาดีๆ แต่หมอกลับส่ายหัว

   “ไม่ใช่เรื่องแผล”

   เขาซุกซบหน้าลงตรงแผ่นอกราบเรียบ มือที่โอบรอบเอวผมไว้เริ่มลามเลื้อยสอดเข้ามาใต้เสื้อยืด

   เฮ้ยๆ... อย่าเนียนสิวะหมอ

   “วันนั้น เฮียนึกว่าจะเสียปั้นไป ส่วนตอนนี้เฮียกลัว ว่าถ้าปั้นคลาดสายตา ปั้นจะหายไปอีก และคราวนี้เฮียอาจจะหาปั้นไม่เจอ...”

   เขาเงยหน้าขึ้น จับคางผมไว้เบาๆ ก่อนจะกดจูบลงมา จูบร้อนที่ห่างหายมานาน... นานมากจนผมตื่นเต้น ร่างผอมของผมค่อยๆ ถูกประคองให้นอนราบลงบนโซฟา คนตัวสูงใหญ่สอดขาข้างหนึ่งมาแทรกตรงกลางระหว่างขาทั้งสองของผมไว้ หัวเข่าของเขาจงใจสะกิดโดนกลางร่างของผมจนสะดุ้ง สองแขนผมยันแผ่นอกหนาไว้พลางเบือนหน้าหนี

   “เอ่อ... หมอ... ผะ แผล”

   รอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้ มือใหญ่ค่อยๆ สอดเข้ามาในเสื้อแล้วเลื่อนมันขึ้นจนเปิดเปลือยแผลผ่าตัดใหญ่ทั้งสองข้างที่ยังมีไหมอยู่ครบ มันไม่ได้น่าดูเลยสักนิด ผมตะครุบจับข้อมือที่มีเส้นเลือดปูดนูนไว้อย่างรวดเร็ว

   “มะ มันไม่ได้น่าดูเลยครับ มะ... หมอไม่มองได้มั้ย”

   หมอมองรอยแผลที่เขาเป็นคนลงมือเย็บเอง ก่อนจะกดจูบแผ่วเบาลงไป อาจจะเป็นเพราะผิวหนังตรงนั้นมันยังบอบบาง จึงทำให้ผมรู้สึกเสียววาบไปจนถึงสันหลัง หดเกร็งหน้าท้องแบนราบโดยไม่รู้ตัว คนตัวโตประคองหลังผมขึ้นมาก่อนจะอุ้มไปนอนบนเตียง แค่นั้นแหละ ผมเริ่มรู้ชะตากรรมต่อไปของตัวเองแล้วล่ะครับ

   “ไม่ว่าจะเป็นยังไง เฮียก็รัก”

   “ทำไมกล้าพูดอะไรน่าอายแบบนั้นออกมาครับเนี่ย”

   ผมหน้าร้อนผ่าว ขณะที่มือใหญ่ถลกเสื้อผมออกจากหัวตัวเอง จากนั้นก็เตรียมปลดกระดุมเสื้อตัวเองหลังจากที่เขาทำการลอกคราบผมเรียบร้อยแล้ว

   “หมอครับ แผล... แผลมันจะไม่เป็นอะไรหรอครับ”

   ผมถามเสียงตะกุกตะกัก ก่อนจะสะดุ้งเฮือก เมื่อเจลเย็นๆ ปาดป้ายตรงช่องทางแคบด้านหลังที่ไม่ได้ใช้งานในเรื่องอย่างว่ามานานเป็นเดือน นิ้วแข็งๆ ของเขาสอดเข้าไปอย่างใจเย็น เล่นเอาผมหลุดครางออกมาอย่างน่าอาย

   “นั่นสิครับ”

   จากที่นอนราบ หมอจับผมให้ลุกขึ้นก่อนจะสลับตัวเองลงไปนอนแทน เขาบังคับให้ผมนับควบหน้าท้องแข็งเป็นลอนของเขาเอาไว้ ผมใช้มือยันลอนกล้ามท้องเป็นคลื่นดูดี ที่แม้หมอจะโทรมขนาดไหน แต่เขาไม่เคยละเลยที่จะฟิตร่างกายตัวเองให้พร้อมรับมือเรื่องราวต่างๆ ตลอดเวลา ในขณะที่ผมตัวผอมแห้งไม่น่าดึงดูดสักนิด

   ผมเผลอลูบไล้มันจนลามลงไปที่เอวสอบ สองมือใหญ่ประคองเอวบางไว้ก่อนจะยิ้มกับท่าทางเคลิบเคลิ้มของผม

   “ข้าวปั้นครับ”

   “อือ... ครับ”

   ผมครางเมื่อมือข้างหนึ่งของเขากอบกุมท่อนเนื้อร้อนกลางลำตัวของผมไว้

   “วันนี้ปั้นต้อง On top แล้วนะครับ”

   รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ถูกส่งมาจากใบหน้าลูกครึ่งคมคาย นัยน์ตาสีเขียวคู่สวยส่งความต้องการออกมาเต็มที่ ผมปรือตาเมื่อเขาขยับมือเร็วขึ้น ขณะที่ผมถูไถกลางก้นนุ่มของตัวเองกับกลางลำตัวที่แข็งขืนและกำลังดุนดันแข่งกับการเสียดสีของผมอย่างไม่รู้ตัว หมอพยายามทำทุกอย่างให้มันง่ายและไม่กระทบกระเทือนที่สุด

   “ช้าๆ นะครับ... คนเก่ง”

   ความรู้สึกของคนคุมเกมมันเป็นอย่างนี้นี่เอง

   เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับรู้ว่าการ On top มันได้เปรียบยังไง...


ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
ถ้าทางปั้นจะชอบเป็นคนคุมเกม :z1:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
สุดยอดเลยครับหมอ,,,

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
แหม ทันทีที่มีโอกาส หมอไม่พลาดกินข้าวปั้นเลยนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
หมอคงดูแลไม่ให้แผลปริหรอกนะข้าวปั้น  :o8:

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 32

หมอครับ Pre-Wedding 1


   “ตกลงจะขับรถไปหรือนั่งเครื่องไปกัน”

   แก๊งกินข้าวแก๊งเดิม แต่วันนี้ย้ายมากินที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแถวๆ ปากซอย ชายฉกรรจ์สี่คนกับสุภาพสตรีอีกหนึ่งที่พากันนั่งก้มหน้า มือถืออยู่ในแนวนอนกันทุกคน มือกดรับของ อัพตัวละคร หรืออะไรต่างๆ ในเกมก่อนจะเริ่มเข้าห้องเกมเพื่อไปทลายป้อมศัตรูกัน ผมที่เป็นญาติฝ่ายเจ้าสาวถามขึ้นเมื่อทุกคนตกลงว่าไปร่วมงานแต่งของพี่สาวผมที่เชียงราย

   “มึงไปไง?” พี่ดินถาม

   “ผมไปก่อนอยู่แล้ว ลาตั้งแต่วันพฤหัสฯ เพราะต้องไปช่วยเตรียมอะไรหน่อย ผมแทบไม่ค่อยได้ช่วยอะไรเลย ไปกับมะ... เอ่อ... เพื่อนพี่น่ะ” ผมเกือบหลุดๆ ออกไปแล้วเชียว แต่พี่ดินกลับยิ้มมุมปาก สายตาบอกว่า กูรู้ทันมึงนะ...

   “งั้นเดี๋ยวกูขับรถไปละกัน” พี่ดินตอบขณะเลือกตัวละครฮีโร่ “กูไม่ฟาร์มนะ”

   “ฟางจะฟาร์มๆ เออ พี่ดินขับรถไปหรอ ฟางไปด้วยดิ ตั๋วเครื่องบินอย่างแพงอ่ะ”

   “ได้ แต่ไอ้น้ำน้องพี่ไปด้วยนะ มันแวะไปเชียงใหม่”

   “ไปมีปัญหา”

   “งั้นเนไปด้วย” แน่นอนว่าถ้าฟางไปยังไง ไอ้เนก็ไปอย่างนั้นแหละ สองคนนี้นับวันยิ่งทำตัวติดกันมากขึ้นจนคนทั้งบริษัทจะรู้แล้วมั้งว่าคบกันน่ะ ไหนพวกมึงบอกว่า... รักในบริษัทมันลำบาก ไงวะ?

   “พี่เจี้ยนอ่ะ” ผมถามโดยที่ไม่มองหน้าพี่แก

   “กูว่าจะขึ้นเครื่องไป ขี้เกียจนั่งรถนานๆ เมื่อย”

   “คนรวยๆ เขาทำกัน” ไอ้เนแซว ผมหัวเราะก่อนจะโหวกเหวกลั่นเมื่อเกมที่คิดว่าหมูกลับจะกำลังพลิกล็อค

   จนสุดท้าย...

   DEFEAT

   แต่ละคนโยนมือถือลงกับโต๊ะ แม่งเอ้ย แรงค์ตกอีกแล้ว พี่เจี้ยนลากชามก๋วยเตี๋ยวที่ทิ้งไว้จนเส้นอืดมาโซ้ยเข้าปาก เช่นเดียวกับพวกผมที่ท้อใจกับเกม

   “กูจะไม่เล่นตอนกินข้าวอีกแล้ว เล่นทีไรแม่งแพ้ตลอด”



   “หมอจะออกกี่โมงครับ ผมจะได้ตื่นมาเตรียมตัว”

   ผมที่กำลังเอาเสื้อผ้าที่ดองมาทั้งอาทิตย์ของตัวเองยัดลงเครื่องซักผ้าหันมาถามหมอที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเดิม เขายังคงง่วนอยู่กับงานที่กองอยู่เต็มโต๊ะเล็กๆ ของผม

   บางทีผมก็แปลกใจนะที่คนเป็นหมออย่างเขา ทำไมต้องหอบงานเอกสารกลับมาทำที่บ้านทุกวัน...

   “ออกเช้าๆ หน่อยก็ได้ครับ จะได้ไม่ร้อน” หมอตอบทั้งที่สายตายังคงจ้องจอแลปท็อปอยู่

   “งั้นเดี๋ยวหมอกลับขึ้นไปเก็บกระเป๋านะครับ ผมก็จะเก็บของให้ปั้นสิบซะหน่อย” ผมพูดพลางเทน้ำยาซักผ้าลงไป ปิดฝาแล้วกดปุ่ม

   เพราะไม่ค่อยได้กลับบ้านด้วยรถส่วนตัว ปั้นสิบเลยไม่เคยได้ออกจากกรุงเทพเลย ครั้งนี้ผมตั้งใจจะพามันไปเที่ยวบ้านที่เชียงราย เพราะเจ้ข้าวฟ่างที่บินตรงมาจากสิงคโปร์บอกอยากเห็นหน้าปั้นสิบ ใจจริงผมก็กลัวอยู่นะว่ามันจะเมารถรึเปล่า เลยเคยลองพามันไปนั่งรถเล่นกับหมอครั้งสองครั้ง ก็ไม่เห็นมันจะมีอาการน่าเป็นห่วงอะไรนอกจากอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นก็เท่านั้นเอง

   ผมกำลังจะเอาผ้าที่ตากแห้งแล้วมาพับ แต่ร่างสูงที่นั่งอยู่บนโซฟากลับลุกมาหาแล้วโอบผมไว้จากด้านหลัง วางคางบนหัวผมพลางช่วยเก็บผ้าที่ตากไว้บนราวระเบียงลงตะกร้า

   “ไปนอนห้องเฮียนะวันนี้ พรุ่งนี้จะได้ตื่นแล้วออกไปพร้อมกัน”

   เขาเริ่มอ้อน ผมอยากจะตีเขาจริงๆ

   “ไปห้องหมอทีไร ผมไม่เคยได้นอน ไม่เอาครับ ผมจะอยู่ทำความสะอาดห้องก่อนไป” ผมปฏิเสธ เดินอุ้มตะกร้ามาที่เตียงแล้วลงมือพับเก็บ คนตัวโตยังไม่ยอมแพ้ เขาเดินตามมานั่งข้างๆ แล้วหยิบผ้าในตะกร้าออกมาช่วยผมพับ ผมเหลือบตามองแล้วหัวเราะหึ

   “อะไรครับ มีงานก็ไปทำงานสิ”

   “ก็ทำอยู่นี่ไง”

   ผมมองผ้าที่เขากำลังพับแล้วเบิกตาโต หน้าร้อนผ่าว รีบคว้ากลับมาทันที

   “ปะ... ปั้นพับเองได้”

   “เฮียชอบให้ปั้นแทนตัวเองแบบนี้นะ”

   เขายิ้มให้ผมที่กำกางเกงในตัวเองไว้แน่น ไอ้หมอบ้าเอ้ย...

   “ไปทำงานครับ!”

   

   เราออกจากคอนโดกันตอนหกโมงเช้า หมอลงมารับผมที่ชั้น 9 ของที่เขาพกไปมีแค่กระเป๋าเดินทางใบเล็กใบเดียวกับขนมของฝากให้กับพ่อแม่ผม ส่วนผมเอาไปแค่เป้หนึ่งใบเพราะข้าวของที่บ้านก็มีอยู่ครบจนไม่จำเป็นต้องขนไปให้มากมาย ที่เห็นจะเยอะก็คงเป็นข้าวของของปั้นสิบ

   “เฮียช่วย”

   “ขอบคุณครับ”

   หมอช่วยหิวกระเป๋าใส่ของของแมว ส่วนผมหิ้วกระเป๋าแมวที่มีปั้นสิบนอนหงายพุงอยู่ข้างใน สบายเชียวไอ้อ้วน

   ออดี้คันเดิมแล่นออกจากกรุงเทพมุ่งหน้าไปยังภาคเหนือของประเทศไทย สงสัยเพราะมันเช้าเกินไปเลยทำให้ผมค่อนข้างจะง่วง ตั้งแต่ทำงานมาผมก็แทบจะไม่ได้ตื่นเช้าขนาดนี้เลยนอกจากต้องไปขึ้นเครื่อง และผมก็ไม่ถูกโรคกับการเดินทางนานๆ ดังนั้น เมื่อขึ้นรถปุ๊บ แอร์เย็นๆ ในรถทำให้ผมตาปรือ สุดท้ายก็ผล็อยหลับไป ปล่อยให้หมอขับรถคนเดียวอย่างเงียบเหงา

   ผมหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทาง หมอก็ใจดีไม่เคยเรียกไม่เคยปลุกเลย ในรถเต็มไปด้วยผ้าห่มกับหมอนที่เขาซื้อติดๆ รถไว้เพราะเขารู้ว่าผมเป็นพวกขึ้นรถปุ๊บหลับปั๊บ

   “หมอครับ แวะพักหน่อยมั้ย ขับมาตั้งนานแล้ว” ผมทักเมื่อเข้าสู่จังหวัดพิษณุโลก หมอหันมามองผมก่อนถาม

   “อยากเข้าห้องน้ำเหรอ หรือจะแวะหาไรกิน หิวมั้ย?”

   “เปล่าครับ แค่กลัวหมอเหนื่อย แต่... แวะหน่อยก็ดีครับ”

   ปกติผมไม่ค่อยเดินทางไกลด้วยรถส่วนตัวสักเท่าไหร่ เพราะมันนานและผมก็ขี้เบื่อ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงยอมนั่งรถมากับหมอได้ อาจเป็นเพราะช่วงนี้เราเริ่มห่างๆ กันไปอีกแล้วจากงานของทั้งสองฝ่าย รวมถึงถ้ากลับบ้าน ผมกับเขาอาจจะอยู่ด้วยกันแบบใกล้ชิดไม่ได้เพราะคนอื่นอาจจะสงสัย ก็เลยอยากใช้เวลาระหว่างกรุงเทพฯ-เชียงรายในการอยู่ด้วยกันให้นานล่ะมั้ง

   ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมกลัวอะไร ทำไมไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับครอบครัวเสียที ทั้งๆ ที่คบกับเขามาตั้งครึ่งปีกว่าแล้ว

   ความจริงผมอาจจะไม่ได้กลัวที่บ้านรู้

   ผมอาจจะแค่กลัวว่าหมอจะไม่อยากบอกใครว่าเขาคบกับผม

   ผมอาจจะแค่ไม่อยากได้ยินข้อแก้ตัวของเขาก็เป็นได้

   “เป็นอะไรครับ ทำหน้าย่นเชียว”

   ระหว่างที่กำลังจัดการมื้อเที่ยงในร้านอาหารที่จุดพักรถอยู่ ผมเหม่อไปจนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามสังเกตได้

   “เปล่าครับ”

   เราเดินทางกันต่อ จนกระทั่งมุ่งเข้าสู่จังหวัดเชียงราย ตอนนี้เกือบจะสามโมงเย็นแล้ว หมอขับไวพอสมควรเลย ถ้าทางไหนถนนโล่งหรือเป็นไฮเวย์ เขาเหยียบมิดจนผมเสียววูบๆ เลยล่ะครับ ดีที่ตอนขึ้นดอยผมบอกให้หมอระวังๆ ขับให้ช้าลงหน่อยเพราะถนนมันคดเคี้ยว กลัวไปเสยยอดดอยเข้าให้

   ในที่สุดก็ถึงบ้านไร่อันนา สถานที่ที่ผมเกิดและเติบโต รถออดี้สปอร์ตคันหรูขับผ่านถนนดินเข้ามา คงเป็นรถที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา พวกคนงานถึงเดินออกมาดูแทนเจ้าของบ้านที่ป่านนี้คงง่วงเตรียมของอยู่บนเรือนใหญ่

   วันนี้รถเยอะพอสมควร เพราะมีตั้งแต่ญาติป๊า ญาติม๊า เพื่อนเฮียกับเจ้มากันเต็มไปหมดเพื่อช่วยเจ้าสาวเตรียมงานแต่ง นานๆ ทีบ้านนี้จะมีงานมงคล พวกญาติๆ เลยค่อนข้างจะตื่นเต้นเพราะตระกูลผมไม่ค่อยมีลูกสาว ญาติที่มาจึงมีแต่พวกผู้ชายทั้งนั้นที่เป็นรุ่นราวคราวเดียวกัน

   “อ้าว น้องปั้น ป้ากะนึกว่ารถไผ” ป้าสรที่เดินออกมาดูรถแปลกหน้าทักเมื่อเห็นผมลงจากรถ ตามด้วยหมอทียกมือสวัสดีป้าสร

   “สวัสดีครับ”

   “สวัสดีเจ้า” ป้าสรรับไหว้ยิ้มๆ ก่อนจะหันมาถามผม “ใครหรือน้องปั้น”

   “หมออคินครับ เขาเป็นเพื่อนเฮียปุ้น มางานร่วมงานแต่งเจ้หอม”

   “หมออคิน... เอ่อ ใช่น้องคินที่มาเที่ยวที่บ้านบ่อยๆ ตอนเด็กๆ แม่นก่อ” ป้าสรถาม หมอยิ้มรับก่อนจะพยักหน้า

   “ครับ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”

   “ตายแล้ว โตขึ้นปอจำบ่อได้เลยนะเจ้า รูปหล่อเหมือนที่น้องหอมว่าเลย ป่ะๆ ขึ้นบ้านก่อนเจ้า”

   หมอช่วยผมหิ้วสัมภาระขึ้นบ้านที่ตอนนี้จัดตกแต่งสถานที่ด้วยซุ้มดอกไม้และบายศรีตามแบบล้านนาผสมจีนๆ ผมรู้แค่ว่าบ้านผมเวลาใครแต่งงานต้องมีพิธียกน้ำชา แต่ก็ไม่ได้จีนจ๋าจนต้องแต่งชุดแดงกันทั้งบ้าน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพิธีทั่วไป ซึ่งผมไม่รู้รายละเอียดมากนักหรอก บ้านผมสบายๆ ไว้ก่อน เพราะยังไงๆ เดี๋ยวก็ต้องไปแต่งกันอีกรอบด้วยพิธีทางศาสนาคริสต์ตามที่บ้านพี่กรเขาขอ ซึ่งจะจัดเป็นพิธีเล็กๆ ไม่ใหญ่โตเท่าพิธีทางนี้

   “เจ้าปั้น”

   ทันทีที่ขึ้นมาชั้นที่สองที่เป็นส่วนโถงที่เป็นโซนห้องนอน เสียงที่ไม่ได้ยินมานานเป็นปีเรียกผมจากด้านในโถง ผมหันขวับก่อนจะยิ้มกว้าง ทิ้งกระเป๋าพร้อมกับวางกระเป๋าแมวไว้แล้ววิ่งเข้าไปกอดเจ้าของเสียงเรียกจนร่างบางๆ ผงะเกือบจะล้ม

   “คิดถึงจังเจ้ฟ่าง คิดถึงๆๆๆ”

   “แหม ปากหวาน”

   พี่สาวคนโตของบ้านจับเนื้อจับตัวผม ดวงตาคู่โตสีน้ำตาลเข้มไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางขมวดคิ้ว

   “เจ้ได้ข่าวแล้วนะ ยังเจ็บอยู่มั้ย”

   ผมส่ายหัวรัวๆ

   “ไม่แล้ว สบายมาก”

   เจ้ฟ่างทำหน้าย่นก่อนจะลูบหัวลูบหางผมอย่างเอ็นดู เจ้ไม่ต่างอะไรกับแม่คนที่สอง เธอเลี้ยงผมมากับมือ ถ้าถามว่าในบรรดาครอบครัวใครโอ๋นายข้าวปั้นมากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นเจ้ข้าวฟ่าง อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์คนนี้นั่นแหละ แต่ถึงเจ้ฟ่างจะโอ๋ผมมากขนาดไหน เธอก็เข้มงวดสมกับเป็นเด็กวิศวะเก่าจริงๆ

   เจ้ฟ่างชะเง้อหน้าไปมองด้านหลัง ก่อนเลิกคิ้วถาม

   “ใครน่ะ เพื่อนเหรอ”

   เป็นคนถามที่ผมเผลอกลืนน้ำลายไปทีนึง ก่อนจะยิ้มตอบ

   “หมออคินครับ เขาเป็นเพื่อนเฮียปุ้นไง หมอเป็นเจ้าของไข้ผมตั้งแต่ตอนผ่ากระเพาะแล้ว”

   เจ้ฟ่างทำหน้าเหมือนนึกออกแล้วหันไปทักทายคนอายุน้อยกว่าแต่ก็ห่างกันไม่มาก

   “อคินเหรอ จำแทบไม่ได้เลย จำเราได้มั้ย ข้าวฟ่าง”

   “จำได้ สบายดีนะ”

   “อือ ตามสบายนะ แล้วนี่พักที่ไหน พักด้วยกันที่นี่รึเปล่า แต่ว่าตอนนี้ห้องเต็มแล้วน่ะสิ ข้าวปั้นจองหนึ่งห้องไว้ให้เพื่อนใช่มั้ย จะให้อคินเขานอนรวมกันได้รึเปล่า หรือจะให้ไปนอนที่เรือนของข้าวปุ้น?” เจ้ฟ่างหันมาถาม สีหน้ากังวลเพราะเธอไม่นับหมอไว้รายชื่อแขกที่จะพักที่บ้านด้วย ทำให้การจัดการห้องนอนไม่เพียงพอ ผมเองก็ไม่ทันได้คิดว่าวันนี้แขกที่บ้านต้องเต็มแน่นอน

   “เอ่อ งั้น... งั้นให้นอนห้องปั้นก็ได้ครับ เจ้ฟ่างยังไม่ยกให้ใครไปใช่มั้ยอ่ะ”

   “ยังหรอก ว่าแต่ไหนปั้นสิบของพี่ อยากเจอหน้าจะแย่แล้ว”

   เจ้ฟ่างถามหาไอ้อ้วนที่ถูกทิ้งไว้ข้างกระเป๋าของผม เจ้เดินไปเปิดกระเป๋าแล้วอุ้มปั้นสิบขึ้นมาลูบอย่างหลงใหล

   “ตายแล้ว อ้วนขึ้นเยอะเลยนะเรา ข้าวปั้นไม่ยอมพาไปออกกำลังล่ะสิ”

   “มันไม่ยอมเดินต่างหากเจ้ ไม่ใช่ความผิดปั้นเลย” ผมแก้ตัวทันที เจ้ฟ่างหันมาหัวเราะให้ ไม่ยอมปล่อยปั้นสิบง่ายๆ แม้ตัวมันจะหนักจนผมหิ้วยังเมื่อย แต่ดูเหมือนจะไม่คณามือพี่สาวผมสักนิด

   “จ้ะ งั้นเอาของไปเก็บแล้วลงไปช่วยงานหน่อยนะ ไม่รู้ยังขาดเหลืออะไรบ้าง ข้าวหอมตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว”

   เจ้ฟ่างสั่งทิ้งท้ายไว้ก่อนจะพาไอ้แมวอ้วนเดินออกไปยังระเบียงนอกโถงที่เป็นทางเดินหลัก ผมถอนหายใจเฮือก ก่อนจะเดินนำหมอไปยังห้องของตัวเอง แอบรู้สึกเขินๆ เหมือนกันแฮะ

   ห้องนอนของผมอยู่สุดทางเดิน ข้างๆ เป็นห้องของเฮียปุ้นที่ถูกยกให้เป็นห้องรับรองเพื่อนๆ ของผมที่กำลังจะตามมาในวันศุกร์ ผมเดินนำเข้ามา ห้องนอนแบบแมนๆ ไม่มีอะไรตกแต่งมากมาย เพราะแทบไม่ได้ใช้งาน มีห้องน้ำในตัวทำให้ไม่วุ่นวายกับแขกทั้งหลาย เตียงหกฟุตน่าจะกว้างพอให้นอนสองคนได้

   “หมอ... มันอาจจะแคบไปหน่อย แต่เดี๋ยวผมเอาฟูกมาปูเพิ่มได้นะ”

   “แคบอะไร นอนด้วยกันที่ห้องปั้นยังนอนได้ อย่าห่วงเลย”

   หมอจัดการวางกระวางไว้ เขาปิดประตูห้อง ส่วนผมก็เปิดหน้าต่างไล่อากาศแม้ว่าป้าสรจะมาทำความสะอาดเผื่อไว้ก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม

   “หมอพักผ่อนหน่อยมั้ยครับ ขับรถมาทั้งวันน่าจะเหนื่อย”

   ผมจัดการค้นเอาหมอนออกมาจากตู้ ผ้าปูเตียงใหม่ถูกปูไว้เรียบร้อย ทันทีที่ผมจัดการเอาหมอนวาง คนตัวโตก็เดินมากอดจากด้านหลังพลางกดจูบลงบนหัวผม

   “ไม่เป็นไรครับ มาทั้งทีก็ไปช่วยงานด้านล่างดีกว่า มันดูเสียมารยาท”

   “อย่าเกรงใจไปเลยหมอ หมอมาเป็นแขกนะ พักเถอะครับ” ผมหันกลับไปจับให้คนที่ดูก็รู้ว่าล้าจากการขับรถทางไกลให้นั่งลงบนเตียง ร่างสูงยอมนั่งแต่โดยดีแต่ยังไม่ยอมปล่อยเอวผม เขากอดผมไว้อย่างออดอ้อน

   “เดี๋ยวปั้นต้องยุ่งมากแน่ๆ”

   “ครับๆ พักผ่อนนะครับ เดี๋ยวถึงเวลาอาหารผมจะมาเรียก”

   “ครับ”

   หมอจัดการคลายกระดุมเสื้อแล้วทิ้งตัวลงนอน ผมเดินไปเปิดพัดลมให้เขา อากาศมันไม่ร้อนจนถึงกับต้องเปิดแอร์ ให้เขาสูดอากาศธรรมชาติให้เต็มที่ดีกว่า ไม่นานคนที่บอกว่าจะไม่นอนก็หลับสนิท ผมเดินไปปัดผมหน้าที่ไม่ได้เซตไว้ก่อนจะลูบเบาๆ

ผมรู้ว่าเขาต้องขึ้นเวรติดกันหลายวันเพื่อที่จะได้ลาหยุดยาว แถมยังขับรถเองอีกต่างหาก ให้เขาพักผ่อนไปน่ะดีแล้ว

   “พักผ่อนนะครับ เดี๋ยวหมอต้องเจอกับความวุ่นวายอีกเยอะครับ ได้ช่วยปั้นแน่ๆ ไม่ต้องห่วง”

   งานมงคลบ้านอรัญพัชร ผมว่าหมอไม่รอดหรอกครับ




#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
แหม... ๆ ๆ ๆ ไม่ห่วงแผลผ่าตัดกันเลยนะ
 :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
คุณหมอติดแฟนน่าดู.  :hao3:

จะได้เปิดตัวกันงานนี้เลยหรือเปล่าน้า

ออฟไลน์ tawanna

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
งานนี้อาจจะมียกน้ำชาสองคู่ :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
แอบหวานกันเบาๆนะตอนนี้ จริงๆที่บ้านเค้าก็รุ้กันละม้าง รักกันก็บอกไปจะได้ไม่อึดอัด

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
หวานกันมากนะครับ,,,

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 33

หมอครับ Pre-Wedding 2


   “อาปั้น เตรียมสมุดเขียนคำอวยพรรึยาง”

   “เตรียมแล้วครับ”

   “ปั้น โปรเจคเตอร์มันเปิดยังไง อี๊เช็คไม่เป็นอ่ะ”

   “ออ แป๊บนะครับ เดี๋ยวปั้นจัดการให้”

   “ข้าวปั้น เฮียหาสังข์ไม่เจอ เหมือนจะเอามาแล้ว แต่ไปวางไว้ไหนไม่รู้”

   “ปั้นเห็นวางไว้ในห้องนั่งเล่นครับ เดี๋ยวปั้นเอาไปวางไว้ตรงชานให้นะ”

   “ปั้น ริบบิ้นไม่พอ ไปซื้อที่ไหนอ่ะ”

   “เดี๋ยวจดมาก่อนนะครับ เดี๋ยวปั้นให้เด็กไปซื้อให้”

   “ปั้น”

   “คร้าบบบบ”

   สารพัดนายข้าวปั้นที่โดนเรียกใช้งานเยี่ยงเบ๊จิปาถะ ขณะที่ม๊ากับป้าสรเข้าครัวเพื่อเตรียมอาหารและของว่างสำหรับเลี้ยงแขก ส่วนป๊าคุยเรื่องพิธีกับพ่อแม่พี่กรและดูความเรียบร้อยของสถานที่ เฮียปุ้นไปติดต่อพระสงฆ์ที่วัดเพื่อนิมนต์มาทำพิธีมงคลในพิธีเช้า เจ้ข้าวฟ่างดูเครื่องแต่งการของเจ้าสาวรวมถึงจัดห้องหอให้เรียบร้อยด้วย

   ดังนั้นหน้าที่ของขาด ของเหลือ ของหาย บรรดาญาติๆ ที่ไม่คุ้นเคยสถานที่ก็เอาแต่เรียกถามผมทำให้ต้องเดินขึ้นเดินลงบ้านรวมระยะทางน่าจะพอๆ กับมินิมาราธอน

   เพิ่งรู้ซึ้งว่ามีบ้านหลังใหญ่มันลำบากก็วันนี้

   ถึงคนจะเยอะ แต่นอกจากพวกผู้ใหญ่ก็ยังมีเด็กๆ ที่เป็นลูกหลานญาติพากันวิ่งเล่นวุ่นวายจนผมที่เดินถือหม้อใส่แกงฮังเลใบขนาดกลางโดนเด็กวิ่งชนจนแกงร้อนกระฉอกรดอก

   “เชี่ย! ร้อน!”

   ผมยืนนิ่งพลางนิ่วหน้าร้อนไปทั้งตัว เด็กๆ พากันชะงักก่อนจะร้องเสียงหลงเรียกให้คนที่อยู่บริเวณนั้นชะโงกหน้าออกมามองอย่างตกใจ

   “ปั้น!”

   คนที่อยู่ใกล้ผมที่สุดตอนนี้เป็นคนที่ผมไม่เจอหน้ามานาน เจ้าของผมสั้นสีน้ำตาลทองสวยวิ่งลงจากบันไดชั้นบนมาหาผมที่ยืนนิ่งไม่ขยับเพราะไม่รู้จะทำยังไงดีกับสภาพแกงฮังเลรดตัว ผมเงยหน้ามองหญิงสาวที่รีบรับหม้อแกงฮังเลไปวางไว้ข้างๆ ด้วยท่าทางร้อนรน

   “เหมย?”

   “แป๊บนะ ปั้นถอดเสื้อได้มั้ย มันน่าจะร้อนมาก” เหมยแตะๆ เสื้อผมที่ถูกย้อมเหลืองไปแล้วอย่างกล้าๆ กลัวๆ ผมพยักหน้าก่อนจะถอดเสื้อออกพลางเอาส่วนที่ไม่เปื้อนเช็ดคราบไปด้วย เหมยลากผมให้ไปที่สายยางข้างๆ บันไดบ้านก่อนจะเปิดมันแล้วรดน้ำใส่ผมจนเปียก ผมได้แต่ยืนนิ่งให้เธอรดเป็นดอกชวนชม

   “ยังแสบอยู่มั้ย ผิวปั้นแดงมากเลย” หญิงสาวปิดก๊อกน้ำแล้วทำท่าจะแตะหน้าอกที่แดงเถือกของผม แต่เธอก็ยั้งมือไว้ก่อนจะล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองมาซับให้แทน ผมยกมือขึ้นโบกเป็นเชิงว่าไม่เป็นไรเพราะไม่อยากให้ผ้าเช็ดหน้าเธอเปื้อน

   “ไม่เป็นไรเหมย เราโอเค แสบนิดหน่อย แกงไม่ได้ร้อนมาก เดี๋ยวเราขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างบน”

   “แน่ใจนะ?”

   “อื้ม” ผมหัวเราะแห้งๆ ไม่กล้ามองหน้าเธอ เหมยชักมือกลับไปก่อนจะเริ่มรู้สึกตัวว่าทำแบบนี้มันไม่น่าจะเหมาะ หญิงสาวหัวเราะเขินๆ ก่อนจะทักผมใหม่อีกรอบ

   “ไม่เจอกันนานเลย สบายดีนะ”

   “อื้อ สบายดี เหมยล่ะ”

   “เราก็... เหมือนเดิม”

   ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ บรรยากาศมันค่อนข้างกระอักกระอ่วน แหงแหละ แฟนเก่าที่จบกันไม่ค่อยสวยสมัยมหาลัย ตั้งแต่เลิกกันก็ไม่ได้คุยหรือเจอหน้ากันอีกเลย เพราะผมเป็นคนที่ตั้งแต่จบมายังไม่เคยไปงานเลี้ยงรุ่นเลยสักครั้ง และที่เธอมางานแต่งของเจ้หอมก็เพราะว่าเธอเป็นน้องรหัสโรงเรียนมัธยมที่สนิทกันกับเจ้หอมนั่นเอง ตอนที่ผมกับเหมยเลิกกัน เจ้หอมถึงกับบ่นจนผมหูชาไปเป็นอาทิตย์ หาว่าผมจะทำให้เจ้กับเหมยเสียพี่เสียน้องกัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น

   “ปั้น ไม่ไปงานเลี้ยงรุ่นเลยเนอะ เราไปทุกปีไม่เคยเจอปั้นเลย”

   เหมยเป็นฝ่ายชวนคุยก่อน เธอหลุบตามองต่ำพลางยิ้มบางๆ ผมลอบสังเกตคนที่จะว่าสวยขึ้นก็สวยขึ้นแหละ เหมยน่ะสเปคผมเลย ตัวเล็กแต่มีเนื้อหนังน่ากอด ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงใจแป้วไม่กล้ามองไปแล้ว ผมกระแอมไอเล็กน้อยก่อนหันไปมองรอบๆ แบบเขินๆ

   “เรา... ไม่ค่อยว่างน่ะ”

   “เหรอ... เรานึกว่าปั้นไม่อยากมาเจอหน้าเราซะอีก ตอนที่จะมาที่นี่เราก็กลัวเหมือนกันว่าปั้นจะไม่อยากเจอเรารึเปล่า”

   “คิดมากน่าเหมย เราไม่ได้คิดอะไรแล้ว” ผมยิ้มให้เธอ เหมยเหลือบตาขึ้นมาสบกับผมก่อนจะสะดุดกับรอยเย็บแผลทั้งสองข้างตรงท้อง เธอเบิกตากว้างก่อนจะถามอย่างตกใจ

   “ไปโดนอะไรมาน่ะ ทำไมมีแผลใหญ่ขนาดนั้น”

   ผมก้มมองก่อนจะผงะถอย

   “คือ... อุบัติเหตุน่ะ ไม่เป็นอะไรหรอก”

   “แล้วโดนน้ำไม่เป็นอะไรเหรอ ตายแล้ว” เธอละล่ำละลักถามอย่างเป็นห่วง ผมหัวเราะให้กับท่าทางโก๊ะๆ

   “ไม่หรอก ตัดไหมแล้ว”

   “ออ... แล้ว...”

   “ข้าวปั้น”

   ก่อนที่เหมยจะพูดอะไรอีก เสียงทุ้มที่ดังมาจากด้านบนบ้านทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่น่าจะนอนอยู่ในห้องจ้องเขม็งมาทางผมก่อนจะเหลือบไปมองเหมยที่ทำตัวไม่ถูก

   “เอ่อ งั้นเดี๋ยวเราเอาหม้อไปไว้ในครัวให้นะ ปั้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อแล้วกัน”

   “เฮ้ย ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวเราเอาไปไว้เอง” ผมรีบปฏิเสธเพราะแกงในหม้อก็ยังเหลือตั้งเยอะ เพราะมันเป็นหม้อที่จะเอาไว้เลี้ยงญาติๆ ที่มาช่วยงานกันตอนเย็น แต่ว่าเหมยกลับรีบยกมันขึ้นแล้วหันมาส่งยิ้มกว้างๆ ให้

   “เอาน่า ค่ำแล้วอากาศเย็น เดี๋ยวไม่สบาย ไปเถอะๆ”

   ผมยิ้มเจื่อน เอ่ยขอบคุณคนที่มีน้ำใจช่วยเหลือ หญิงสาวเหลือบไปมองหน้าคนที่ยืนหน้ายักษ์ด้านบนด้วยสายตาไม่เข้าใจก่อนจะเดินจากไปทางหลังบ้าน ผมมองตามก่อนจะเดินขึ้นมาด้านบนพร้อมกับเสื้อที่เปื้อนคราบแกงสีเหลืองอ๋อย หมอขมวดคิ้ว ผมหยักศกค่อนข้างยุ่งเหมือนพึ่งลุกจากที่นอนมา เขามองสภาพผมก่อนจะถาม

   “ทำไมตัวเปียกแบบนี้”

   “ออ เด็กๆ มันวิ่งมาชนผมตอนกำลังจะเอาแกงฮังเลไปตั้งน่ะครับ เลยหกใส่ มันร้อนผมเลยถอดเสื้อออก”

   หมอคลายสายตาเย็นๆ เมื่อฟังเหตุผลก่อนจะลูบหัวผมเบาๆ

   “ไปอาบน้ำเถอะครับ อากาศเย็นแล้ว เดี๋ยวไม่สบาย”

   “ครับ”



   ผมเข้าไปอาบน้ำจนเสร็จแต่ก็ลืมไปว่าไม่ได้เอาชุดเข้ามาเปลี่ยนในห้องน้ำด้วยเพราะความเคยชินที่ว่าเป็นห้องของตัวเอง ผมเลยเดินพันแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวปกปิดส่วนล่างไว้พลางใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ หมอนั่งอยู่บนเตียงพร้อมกับกล่องยาที่เขาอุตส่าห์พกมาจากกรุงเทพด้วยกับว่านหางจระเข้ที่คงไปตัดมาจากด้านล่างของบันไดบ้าน

   เขาเหลือบมองผมก่อนจะมองต่ำลงไปจนผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ

   “มานี่ก่อนครับ ขอดูแผลลวกหน่อย” หมอกวักมือเรียให้นั่งลงบนเตียง เขาแตะๆ หน้าอกขาวของผมที่แดงเป็นปื้นแต่ไม่มีแผลพุพองอะไรให้น่าเป็นห่วง เขาขอยืมผ้าเช็ดผมมาซับน้ำที่บริเวณอกให้ก่อนจะเอาเนื้อว่านหางจระเข้ปาดลงไป นิ้วยาวเรียวของเขาแตะพลางไล้ว่านเหนียวๆ เย็นๆ ไปจนทั่วแผ่นอก

   มันจะไม่รู้สึกอะไรถ้าไม่ใช่ว่าเขาทาไปด้วย เหลือบตามองผมไปด้วยอ่านะ

   “เอ่อ... ผะ... ผมไปใส่กางเกงก่อนดีกว่า”

   ผมทำท่าจะลุก แต่มือใหญ่ข้างที่ไม่เปื้อนกลับรั้งแขนผมเอาไว้นั่งที่เดิม นัยน์ตาสีเขียวคมๆ จ้องดุให้ผมอยู่เฉยๆ แต่ว่า... ไอ้สัมผัสของเขามันทำให้เจ้าลูกชายที่ไม่มีอะไรบังไว้นอกจากผ้าเช็ดตัวผืนบางมันกำลังจะทรยศน่ะสิ

   “ทาก่อน จะเสร็จแล้ว”

   อะไรเสร็จ

   ผมหลบตาเขาที่ยังมองผมไม่เลิก จากที่นิ้วอุ่นๆ แตะแค่บริเวณรอยแดง มันค่อยๆ ลามไปที่ตุ่มไตสีอ่อนข้างๆ กันซะงั้น...

   “เดี๋ยวๆๆๆ ตรงนี้มันไม่แดงซะหน่อย!”

   “หืม... ก็แดงอยู่นะ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขยับอยู่บนใบหน้าคมคาย ผมเม้มปากแน่นก่อนจะตีมือเขาไปทีนึงอย่างหมั่นไส้ หมอเริ่มเปลี่ยนจากการใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางทาว่านมาเป็นใช้นิ้วโป้ง... ผมถอยหนีแต่เขากลับเข้ามาใกล้แล้วรั้งเอวของผมไว้แน่น ไม่วายแกล้งสอดมือเข้าไปในผ้าเช็ดตัวด้วยมือข้างที่เคยรั้งเอวผมไว้

   “หมอ... หมอครับ เดี๋ยวนะ”

   “นิดนึง”

   หมอบ้ากามขยับหน้าเข้ามาก่อนจะฉวยเอาความหวานจากริมฝีปากผมไป จูบเบาๆ ตอนแรกกลายเป็นเริ่มลึกซึ้ง มือใหญ่เตรียมกระตุกผ้าเช็ดตัวผมออก นิ้วโป้งยังบดขยี้ที่ยอดอกของผมเล่นอย่างมันมือจนมันเริ่มแข็งสู้ อะไรๆ ที่มันสงบก็เริ่มจะตื่นตัวจนดันผ้าผืนบางออกมา มือของผมพยายามจับข้อมือใหญ่ที่ป้วนเปี้ยนแถวๆ ปมผ้าไม่ให้ซนมากกว่านี้

   ก๊อกๆๆ

   ผมสะดุ้งเฮือก ในขณะที่คนขยันหื่นทำได้แค่ถอนลิ้นออกไปแต่ยังอุตส่าห์ดูดเม้มริมฝีปากล่างที่เริ่มช้ำจากการจูบเมื่อกี้อย่างมันเขี้ยว เขาไม่สนใจเลยว่าข้างนอกใครเคาะอยู่ เพราะมือเขาดันอกผมให้นอนราบลงกับเตียงแล้ว

   “หมอ... ใคร...?”

   ผมเลิ่กลั่ก เสียงเคาะประตูดังอีกรอบ ทำให้ผมต้องตะโกนกลับไป

   “คะ... ครับ! คะ... ใครครับ?!”

   เสียงผมตะกุกตะกักเมื่อตอนนี้ มือที่กำลังจะแงะปมผ้าขนหนูออก เปลี่ยนใจเป็นสอดรอยแยกของผ้าเข้าไปเคล้นคลึงสิ่งที่อยู่ใต้ร่มผ้าแทน ผมถลึงตาใส่คนที่เท้าศอกคร่อมผมไว้ ตาสีเขียวมีรอยขบขัน

   “เจ้เอง เจ้มาตามลงไปกินข้าว”

   “อะ... ออ ครับ ดะ... อะ... ดะ... เดี๋ยวปั้นตามไป กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ครับ” ผมตอบกลับเจ้ข้าวฟ่าง ก่อนจะกัดฟันดุคนที่ยังเล่นไม่เลิก เขาจ้องปฏิกิริยาของผมแล้วหัวเราะ มือร้อนกอบกุมส่วนสำคัญไว้แล้วเริ่มขยับมือ เล่นเอาผมยกชันขาหนีบชิดเพราะความเสียววูบ

   “น้องเหมยบอกเจ้ว่าปั้นโดนแกงหกใส่ เป็นไงมั่ง ทายายัง?”

   “ทะ... ทาแล้วครับ ทา... ทาแล้ว” เสียงผมเริ่มแผ่ว ก่อนจะยกมือปิดปากเมื่อหมอขยับมือเร็วขึ้น ลำตัวหนาของเขาเอนตะแคงอยู่ข้างๆ แต่แขนใหญ่แทรกอยู่ระหว่างขาสองข้างของผมที่สั่นระริก เขาจูบที่กกหูของผมพลางกระซิบ

   “เสียงสั่นเชียว”

   “หมอ... หยุดครับ หยุด”

   ผมพยายามพลิกตัวหนี แต่ลำแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อกลับสอดเข้ามากอดผมไว้แล้วลากให้เข้ามาในอ้อมแขน ผมเลยทำได้แค่พลิกตัวมุดหน้าลงกับอกเขาเพื่อกลั้นเสียงคราง

   “งั้นเหรอ งั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จรีบลงมากินข้าวนะ หมดอดนะจ๊ะ อ้อ! เรียกอคินมากินด้วยนะจ๊ะ”

   “ครับ ครับเจ้ฟ่าง...”

   เสียงฝีเท้าของเจ้ค่อยๆ ห่างออกไป ผมเกาะเสื้อของหมอแน่น ครางฮือในลำคอเมื่อเขาขยับมือเร็วขึ้นกว่าเดิม มันทำให้ผมเผลอขยับสะโพกตาม ผมได้ยินเสียงกลืนน้ำลายใกล้ๆ หูจึงลอบเบือนหน้ามองคนกำลังกลั้นอารมณ์ตัวเองตาปรือ หมอจูบหน้าผากชื้นเหงื่อและน้ำที่เกาะเส้นผมของผมก่อนจะเลื่อนลงมาที่ลำคอ

   “อา... หมอ... ปั้น... ปั้นจะ...”

   “อืม... จูบหน่อย”

   เขาขอเป็นพิธีเท่านั้นแหละ ลิ้นชุ่มสอดเข้ามาในปากเพื่อกระหวัดเกี่ยวกับลิ้นของผมอีกครั้ง ยิ่งเขาจูบก็ยิ่งรู้สึกว่าสมองมันโล่ง ก่อนที่ร่างของผมจะกระตุกเกร็ง ปลดปล่อยจนเต็มมือที่รูดรั้งด้วยจังหวะที่เร็วจนผมหายใจกระชั้น เสียงครางดังแค่ในลำคอเพราะหมอเขาไม่ยอมถอนจูบออกเพื่อปิดกลั้นเสียงที่อาจจะดังออกไปจนคนข้างนอกได้ยิน

   “เยอะเหมือนกันนะ แค่สองอาทิตย์เอง”

   หมอถอนมือออก เขาแอบเอาของเหลวที่เปรอะเปื้อนปาดช่องทางแคบด้านหลังเหมือนแกล้งจนผมขมิบแทบไม่ทัน กลัวเขาต่อยกสองแล้วเราจะไม่ได้ไปกินข้าวกันทั้งคู่ เพราะถ้าหมอเริ่มลงมือเมื่อไหร่ นานแน่นอน...

   “นิสัยไม่ดีครับ”

   “ก็รู้ว่าชอบ”

   เขายิ้มล้อเลียนจนผมย่นหน้า กระถดตัวหนีพลางหันไปดึงทิชชู่บนหัวเตียงออกมาหลายแผ่นเพื่อเช็ดมือให้เขา เห็นแล้วก็อาย... คนตัวโตนั่งแบมือให้ผมทำความสะอาดมือให้เขาแบบลวกๆ

   “ไปล้างมือครับ”

   ผมทิ้งทิชชู่ที่ชุ่มไปด้วบคราบของเหลวลงในถังขยะ ก่อนจะลุกไปเปิดตู้เสื้อผ้า ผมแอบเห็นนะว่าหมอมองบั้นท้ายผมน่ะ นับวันยิ่งลามก...

   แต่โทษเขาคนเดียวก็ไม่ได้ ใช่ว่าผมจะไม่ชอบ

   “ผู้หญิงคนนั้น ใครเหรอครับ” หมอเดินเข้าไปในห้องน้ำพลางถาม ขณะที่ผมใส่เสื้อผ้าจนเสร็จถึงตอบ

   “เพื่อนน่ะครับ”

   “แค่เพื่อนแน่นะ?”

   หมอถามย้ำ ผมเม้มปากนิดหน่อย ก่อนจะกรอกตาหนีสายตาคาดคั้น

   “ข้าวปั้น”

   “แฟนเก่าสมัยมหา’ลัยครับ แต่จบไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เราก็เป็นเพื่อนกัน ไม่มีอะไรมากกว่านั้นครับ”

   ผมยอมสารภาพเสียงอ่อยเมื่อคนถามดูจะไม่เชื่อง่ายๆ ให้เขารู้จากปากผมดีกว่าไปรู้จากปากคนอื่น คนที่ได้คำตอบถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินไปหยิบมือถือบนหัวเตียง เขาไม่พูดอะไรจนผมคิดว่าเขาจะโกรธรึเปล่า? แต่พอคิดอีกที หมอเขาน่าจะเป็นคนที่มีเหตุผล

   แฟนเก่าก็คือแฟนเก่า

   “ไปกินข้าวกันเถอะครับ คนอื่นจะรอ”

   หมอเดินไปที่ประตูโดยไม่หันกลับมาถามอะไรต่อ ผมเผลอลูบอกตัวเองที่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ นึกว่าเขาจะมีปฏิกิริยามากกว่านี้เสียอีก ก็ยังดีที่ไม่อารมณ์เสีย

   หมอเป็นผู้ใหญ่จังแฮะ ไม่หงุดหงิดกับเรื่องแบบนี้ ผมต้องเอาเป็นเยี่ยงอย่างบ้างแล้วล่ะ

   หารู้ไม่... ว่าความคิดนั้น ผิดถนัด



https://twitter.com/_SeenYu

ขอโทษที่หายไปนานนะค้า แฮ่ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
งานเข้าไม่รุ้ตัวอีกแล้วปั้น

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
หมอนี่นะ เอะอะเป็นแกล้งข้าวปั้นตลอด น่าตีมือจริงเชียว

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ปั้นพลาดแล้ว หมอขี้หึงขี้หวงจะตาย

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
สงสัยจะโดนจัดหนักแน่ๆ,,,

ออฟไลน์ mister

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
    • https://www.facebook.com/JJSonkFanclub
ตามอ่านทันแล้ว :mew3:สนุกมากอยากอ่านตอนต่อไปอีกเร็วๆจัง :katai4: เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ :L2: :3123:

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 34

หมอครับ Pre-Wedding 3


   เนื่องจากสถานที่จัดงานแต่งนั้นอยู่บนเขาบนดอย แขกเหรื่อส่วนใหญ่ถ้าไม่จองบ้านพักโฮมสเตย์ใกล้ๆ ก็จองโรงแรมในเมืองแทน ถึงแม้ว่าการเดินทางจะค่อนข้างลำบาก แต่แขกที่มาก่อนก็มีไม่น้อยเลยทีเดียวเพราะส่วนใหญ่หวังจะมาเที่ยวไร่อันนาที่ไม่เปิดให้คนนอกเข้าๆ ออกๆ เหมือนสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป

   ก่อนหน้าวันแต่งงานหนึ่งวันมีคนเต็มบ้าน พวกพี่ดินเองก็ลางานวันนึงเพื่อเดินทางตอนเย็นวันพฤหัสบดีแล้วมาถึงที่นี่เช้าๆ วันศุกร์พอดี แต่ก่อนที่พวกพี่ดินจะมาถึง คนที่นั่งเครื่องมาก่อนก็โทรให้ไปรับที่สนามบินตอนเจ็ดโมงเช้า

   ไม่ต้องถามเลยว่าใครจะไปรับ

   ผมงัวเงียคว้ามือถือที่แผดเสียงร้องตั้งแต่ไก่โห่ เสียงพี่เจี้ยนดังเข้ามาแต่ผมกลับทำได้แค่เออออไปเพราะง่วงจนฟังไม่รู้เรื่อง หมอที่นอนอยู่ข้างผมตื่นตามก่อนจะถามเมื่อสายถูกวางไปแล้ว

   “ใครครับ?”

   “อืม... ใคร... ซักคนเนี่ยแหละ”

   ผมโยนมือถือไปกองไว้ที่เดิมก่อนจะมุดตัวเข้าผ้าห่มเพื่อหนีอากาศที่เย็นเยือกตอนเช้าตรู่พลางซุกตัวเข้าหาไออุ่นข้างๆ ผมเพิ่งได้นอนตอนตีสาม ผมจะไม่ตื่นจนกว่าตะวันจะส่องตูดนั่นแหละ เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ผมไม่ยอมเด็ดขาด ใช้งานผมยันฟ้าสางได้นะ แต่อย่ามาเรียกถ้าผมไม่ตื่นเอง ไม่งั้นความดันต่ำแล้วผมจะหงุดหงิดไปทั้งวันเลยทีเดียว

   เหมือนคนข้างตัวจะหยิบเอามือถือผมขึ้นมากดดูเบอร์คนที่โทรเข้ามาแทน เขาลูบหัวผมแล้วถามอีกครั้ง

   “เจี้ยนโทรมา คงจะให้ไปรับ ให้เฮียไปรับให้มั้ย”

   “อือ... ไม่ เดี๋ยวก็มีคนไปเองแหละครับ” ผมสะลึมสะลือตอบ ซุกหน้ากับหมอน หมอเห็นว่าผมเริ่มจะหงุดหงิดจึงเลิกถาม เขาจัดแจงผ้าห่มให้เข้าที่ก่อนจะลุกออกจากเตียง พอไออุ่นหายไปผมก็เริ่มงอแง

   “หนาวครับ”

   คนที่ลุกออกไปกลับมานั่งบนเตียงอีกครั้งก่อนจะกดจูบหนักๆ ลงบนหัวยุ่งๆ

   “นอนต่อไปก่อนนะ”

   “งือ...”



   ผมตื่นเกือบสิบโมง ไม่มีใครปลุกแต่ต้องตื่นเพราะเสียงดังจากการเตรียมของและเสียงคนเปิดประตูเข้าๆ ออกๆ จากห้องข้างๆ แขกคงจะมากันเยอะพอสมควร เมื่อผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกมาที่ชานบ้าน เห็นเนกับฟางที่มาด้วยรถของพี่ดินนั่งทานขนมอยู่ที่เก้าอี้ยาวแต่คนที่ขับกลับไม่อยู่ด้วย

   “มากันแล้วเหรอ พี่ดินล่ะ?” ผมถาม

   “นอน ขับรถทั้งคืน” ไอ้เนเป็นคนตอบ มันหาวหวอด คงจะนอนหลับไม่สนิทพอๆ กัน ข้างๆ มีฟางที่เอนหัวพิงไหล่หลับตาอยู่ เธอตาปรือเหมือนคนอดนอน

   “พี่ข้าว มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ ด้านล่างคนเยอะจนฟางไม่รู้จะช่วยอะไรแล้ว”

   “ไม่ต้องหรอก ไปนอนก่อนสิ มานั่งหลับอะไรแถวนี้” ผมหัวเราะ ฟางย่นหน้า

   “ไม่เอาอ่ะ ฟางเกรงใจ”

   “เป็นแขกทำตัวตามสบายเถอะ”

   ผมไล่ให้ทั้งสองคนไปพักผ่อนในห้องที่เตรียมไว้ ฟางนอนกับเจ้ข้าวฟ่าง ส่วนห้องเฮียปุ้นยกให้พวกสามหนุ่มไป

   “ว่าแต่ พี่เจี้ยนล่ะ น่าจะมาตั้งแต่เช้า” ผมถามเมื่อยังไม่เห็นหน้าคนที่โทรมาให้ไปรับ แต่ผมกลับส่งมือขับอันดับหนึ่งของไร่ไปรับแทน ผมบอกเขาไว้ตั้งแต่วันที่มาถึงแล้ว ซึ่งคนคนนั้นก็คงจะยินดีไปรับจนปิดสายตาไว้ไม่มิดเชียวล่ะ

   “ช่วยงานอยู่ด้านล่างน่ะ บ้านพี่ข้าวญาติเยอะเหมือนกันนะ ส่วนใหญ่เห็นแต่ผู้ชาย” ฟางพูด

   “เจ้หอมถือเป็นหลานสาวคนเล็กของตระกูล เรียกว่าโดนสปอล์ยตั้งแต่เกิด พอจะแต่งงานก็เลยแห่กันมาเนี่ยแหละ อย่างที่เห็น บ้านพี่ลูกสาวน้อย” ผมตอบ ฟางพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะยอมลากตัวเองเข้าห้องที่เคยใช้เมื่อตอนมาเที่ยวคราวที่แล้วไปพร้อมๆ กับเนที่แยกเข้าห้องเฮียปุ้น

   ส่วนผม เดินลงบันไดมาช่วยงานที่เหลืออีกแค่เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แอบแวบไปดูตรงชานหลังบ้านที่จัดไว้เป็นโต๊ะเลี้ยงแขกตอนกลางคืน แน่นอนว่าวันนั้นต้องมีไนต์ปาร์ตี้ก่อนส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าเรือนหอ ผมเจอพี่กรกำลังซ้อมคิวเจ้าบ่าวอยู่จึงเดินเข้าไปทัก

   “ตื่นเต้นมั้ยพี่”

   “ลองมาแต่งเองสิจะได้รู้”

   ผมหัวเราะ พิงราวระเบียงที่มองเห็นภูเขาสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย พวกญาติผู้ใหญ่คงไปรวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นเพื่อคุยกันเรื่องพิธีการครั้งสุดท้าย พี่กรเข้ามายืนพิงข้างๆ

   “พี่กร ปั้นฝากเจ้หอมด้วยนะ”

   ผมเอ่ยกับคนที่จะมาเป็นพี่เขยเต็มตัวในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า พอคิดว่าเจ้หอมต้องไปเป็นเจ้าสาวของคนอื่นจริงๆ มันก็อดใจหายไม่ได้ พี่น้องบ้านเราสนิทกันมาก แม้จะทำงานต่างที่ต่างทาง แต่เราก็ถือว่ายังเป็นของป๊ากับม๊า แต่วันพรุ่งนี้ เจ้หอมต้องออกเรือนไปเป็นของคนอื่น ผมเชื่อว่าไม่ได้มีแค่ผมหรอกที่รู้สึกเหมือนถูกพรากครอบครัวไป

   ผมได้แค่อวยพรให้คนที่จะมาพาพี่สาวออกไปจากอ้อมอกพ่อกับแม่นั้นดูแลเธอให้ดี ให้ดีกว่าที่ครอบครัวเราดูแล

   “เจ้หอมน่ะ ทำกับข้าวก็ไม่เป็น งานบ้านก็ไม่ได้เรื่อง ไม่รู้จะไปเป็นลูกสาวบ้านพี่ได้ดีมั้ย”

   ผมกรอกตามองฟ้าด้วยจิตใจที่วูบโหวง

   “ดูแลพี่สาวผมด้วยนะครับ”

   พี่กรมองผมก่อนจะตบบ่าแคบๆ ดังป้าบๆ  ส่งรอยยิ้มใจดีและหนักแน่นมาให้

   “ด้วยชีวิต”



   คืนก่อนแต่งงานเป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะถูกจับให้แยกกัน บ้านของเฮียปุ้นเลยถูกใช้เป็นที่นอนของเจ้าบ่าว ซึ่งถือเป็นการรวมตัวกันของเหล่าชายฉกรรจ์ พวกผู้ชายก็ไปสังสรรค์จัดปาร์ตี้สละโสดกันฝั่งนู้น ส่วนเพื่อนเจ้าสาวก็อยู่สังสรรค์มุ้งมิ้งสละโสดกันที่เรือนใหญ่นี้

   แน่นอนว่าพวกผมต้องไปแจมกับฝั่งเจ้าบ่าวอยู่แล้ว

   เสียงเพลงกระหึ่มลั่นเขา ดีไม่ดีอาจจะดังไปจนถึงเรือนใหญ่ เหล้าเบียร์มาครบ อาหารปิ้งย่างจัดเต็ม เฮียปุ้นถือเป็นเจ้ามือใหญ่เลี้ยงต้อนรับว่าที่น้องเขย แต่ไม่อนุญาตให้เจ้าบ่าวแตะเหล้าเกินหนึ่งแก้ว ดังนั้น พี่กรถึงต้องครองแก้วเบียร์หนึ่งแก้วให้อยู่จนจบงาน

   แน่นอนว่าวงสนทนาของพวกผู้ชาย มักจะหยาบคาย... และออกอากาศไม่ค่อยได้ ผมไม่ค่อยคุ้นเคยกับการคุยกับคนแปลกหน้า เลยออกมานอกบ้าน ยืนปิ้งหมูย่างอยู่หน้าเตาเพื่อส่งเข้าไปให้พวกขี้เหล้าเป็นกับแกล้ม

   อย่าถามหาหมอ พี่ดิน พี่เจี้ยนหรือไอ้เนเลยครับ ถูกเฮียปุ้นลากเข้าไปในวงขี้เหล้าเรียบร้อยแล้ว

   เฮ้... พรุ่งนี้พี่กรต้องตื่นมาแต่งหน้าตอนตีสี่นะเว้ย

   เละแหงๆ

   แน่นอนว่าขบวนขันหมากก็หนีไม่พ้นพวกที่เย้วๆ กันอยู่ข้างในนั่นแหละ ตอนนี้ถึงจะไม่รู้จักหรือสนิทกับเจ้าบ่าวก็คงจะสนิทกันแล้ว

   “น้องปั้น เอาหมูย่างมาอีกกกกก”

   เสียงของเพื่อนพี่กรตะโกนขอมาจากข้างใน ผมตะโกนกลับไป

   “คร้าบ”

   ผมย่างเนื้อจนหน้าไหม้ โยกตามจังหวะเพลงด้านในพลางยกกระป๋องเบียร์มากระดก ผมเองก็ไม่ต่างจากพี่กร เพราะโดนหมอสั่งเข้มว่าห้ามดื่มเกินหนึ่งกระป๋อง เลยทำได้แค่จิบๆ เพราะไม่อยากให้มันหมดเร็ว

   “น้องปั้น พี่ขอเนื้อหน่อยครับ”

   ผมหันไปจะคีบเอาเนื้อที่ย่างสุกแล้วให้กับคนที่เข้ามาขอ ร่างสูงสันทัดดูดีแต่น่าจะสูงกว่าผมไม่เท่าไหร่เดินถือจานกระดาษมายืนข้างๆ ผมหรี่ตามองผ่านแสงไฟสลัวๆ จากเตาย่างสักแวบก่อนจะนึกออกว่าเขาคือใคร

   “หวัดดีครับพี่ตุลย์ นี่ครับ”

   ผมผงกหัวทักทายเพื่อนพี่ชายที่ยิ้มหล่อมาให้ สารวัตรสืบสวนที่เคยช่วยเหลือเรื่องข้อมูลคดีลักพาตัวยื่นจานมารับเนื้อที่เพิ่งเอาขึ้นจากเตา ผมคงจะรีบวางเกินไปจนทำให้เนื้อร้อนๆ โดนมือของเขาจนเจ้าตัวร้องออกมา

   “ซี้ด... ร้อน”

   “เฮ้ย! ชิบหาย ขอโทษครับพี่ตุลย์ ระ.. ร้อนมากมั้ยครับ”

   ผมรีบวางเนื้อลงกับเตา ทิ้งคีมคีบไว้ข้างโต๊ะก่อนจะดึงมือเพื่อนเฮียมาดู

   ตายห่า เฮียจะด่ากูมั้ยเนี่ย?

   “ขอโทษนะครับ เอ่อ...” ผมล่อกแล่กหาน้ำเพื่อที่จะมาราดดับความร้อนที่ลวกมือเขา แต่คนที่ถูกผมจับมือไว้กลับเปลี่ยนมาเป็นจับมือผมแทน เล่นเอาผมขนลุกพรึ่บ!

   “มะ... มีอะไรครับ”

   “ไม่เจอหน้าตั้งนาน สูงขึ้นป่ะเนี่ย”

   “ฮะ? ฮ่าๆๆๆ ไม่หรอกครับ ก็ตัวเท่าเดิม” ผมค่อยดึงมือออก ลืมไปเลยว่าเพื่อนคนนี้ของเฮียปุ้นรสนิยมไม่ต่างจากเฮียเท่าไหร่นักหรอก สารวัตรหนุ่มเลิกคิ้วก่อนจะมองมือผมอย่างเสียดาย เขาสะบัดมือเบาๆ ไล่ความร้อนก่อนจะเท้ามันลงกับโต๊ะไม้ที่ใช้วางเนื้อสดและสุก ตาเรียวมองผมด้วยแววประหลาด

   อึดอัดวุ้ย...

   “เอ... พี่ตุลย์มาเอาเนื้อใช่มั้ยครับ เดี๋ยวผมหั่นให้นะ”

   ผมไม่รู้จะทำตัวยังไง เลยทำได้แค่เอาชิ้นที่สุกแล้วมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ หวังจะรีบส่งให้เขาจะได้รีบๆ ไปเสียที

   แต่ผิดคาด เมื่อคนที่เท้าโต๊ะอยู่ข้างๆ กลับโน้มหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งเป่ารดอยู่หลังใบหู

   “ได้ข่าวว่าน้องปั้นมีแฟนแล้ว จริงเหรอครับเนี่ย เสียดายจัง”

   “เชี่ย... เอ้ย... ครับ เอ่อ... นะ... นี่ครับ”

   ผมถอยห่าง รู้สึกเสียววาบ ยื่นจานกระดาษคืนให้พร้อมรอยยิ้มแหยๆ คนที่เริ่มทำตัวรุ่มร่ามทำท่าจะหยิบจานกระดาษไปแต่กลับเปลี่ยนใจมาจับข้อมือผมไว้แทน ก่อนที่ผมจะทำตัวไม่ถูกไปมากกว่านี้ เสียงสวรรค์ก็ดังมาช่วยชีวิตพอดี

   “ไอ้ข้าว! เนื้อยังไม่ได้อีกเหรอวะ”

   พี่ดินเดินถือจานออกมาด้วยหน้าที่นิ่งตึง เขาพูดกับผมแต่มองหน้าพี่ตุลย์เขม็ง สายตาของพี่ดินเย็นเยียบเหมือนไม่พอใจอย่างแรง จนคนที่ถูกจ้องหัวเราะหึก่อนจะปล่อยข้อมือผม

   ฟู่... พระผู้ช่วยให้รอดแท้ๆ

   “แล้วเจอกันนะน้องปั้น” สารวัตรหนุ่มยักคิ้วให้ผมแล้วเดินถือจานกลับเข้าไปข้างใน พี่ดินเหลือบตามองตามก่อนจะหันกลับมามองผม เทพค้อมพ์เปอร์เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะเขกหัวผมทีนึงไม่เบาไม่แรง

   “โอ๊ย! เขกหัวผมทำไมเนี่ย!”

   “ไม่รู้จักระวังตัว ไอ้ฟาย”

   “เชี่ยพี่ ใครจะรู้วะว่าพี่แกจะกล้าทำแบบนั้น ยังขนลุกไม่หาย”

   ผมลูบแขนตัวเองที่ขนลุกชัน สำหรับผม ถ้าไม่ใช่หมอ มันไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ

   พี่ดินกรอกตาเหนื่อยใจ ก่อนจะยื่นจานมาให้ผมเพื่อขอเนื้อย่าง เขากอดอกที่เต็มไปด้วยกล้ามล่ำๆ ยืนจังก้าสวดอภิธรรมบทว่าด้วยการวางตัว

   “มึงนี่นะ ถ้าหมอมาเจอเข้ามีหวังเป็นเรื่อง ยิ่งตอนนี้เมาๆ เขาอาจจะหึงหน้ามืดวางมวยกับไอ้หน้าอ่อนนั่นก็ได้ หัดระวังตัวซะบ้าง มึงไม่ได้โสดโปรโมตได้นะไอ้ข้าว”

   “เฮ้พี่ ผมก็ทำตัวปกติ ไม่ได้ไปอ่อยไปยั่วนะ พี่ตุลย์เขาติดใจผมมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ผมก็พยายามหลีกหนีทุกหนทางนั่นแหละน่า” ผมเท้าเอวข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างจับคีมคีบกลับเนื้ออย่างหงุดหงิด

   ผมไม่ได้ชอบผู้ชายมาตั้งแต่แรกนะเว้ย!

   พี่ดินถอนหายใจเฮือก รับเนื้อย่างที่หั่นแล้วก่อนจะหันตัวกลับเข้าไปในตัวบ้านที่กำลังสนุก ผมชะงักกึก นึกเอะใจกับคำพูดของพี่ดิน

   “พี่ดิน! เมื่อกี้พี่ว่าไงนะ หมอเมาเหรอ?”

   พี่คนล่ำหันกลับมาพเยิดหน้าให้ด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน

   “เออ โดนพี่มึงมอมของดีเมืองเชียงรายไป สองแก้วจอดเลย”

   “ชิบหาย”

   

   ผมทิ้งเตาแล้วเดินเข้าไปในบ้านที่มีเสียงโหวกเหวกโวยวายของชายฉกรรจ์นับสิบๆ คน บางคนรู้จักผม บางคนไม่รู้จัก ผมเดินฝ่าเข้าไปหาเฮียปุ้นที่กำลังตั้งวงไพ่กันอย่างสนุกสนาน มีการแทงเงินพนันด้วยแบงค์พันเป็นฟ่อนจนผมเบิกตากว้าง

   เหี้ย... เล่นการพนันต่อหน้าสารวัตรสืบสวนเนี่ยนะ

   ก่อนจะคิ้วกระตุก เมื่อคนที่เป็นเจ้ามือก็ไอ้พี่ตุลย์นั่นแหละ

   เวรกรรม...

   ผมเดินเข้าไปสะกิดเฮียปุ้นที่ปลดกระดุมเสื้อออกจนเกือบหมดเพราะความร้อนของฤทธิ์ ‘ของดีเมืองเชียงราย’ เพื่อถาม

   “เฮีย! หมออยู่ไหน?”

   “หา?!”

   เสียงเพลงในโถงบ้านดังมากจนผมต้องแหกปากถามอีกรอบ

   “ปั้นถามว่า หมอ! อยู่! ไหน!”

   ผมตะโกนข้างหูเฮียปุ้นที่เอียงมาใกล้ ในมือของเฮียยังมีไพ่เรียงอยู่เลย เขาผงกหัวรับเหมือนเข้าใจ ก่อนจะสะบัดหน้าไปด้านหลัง

   “โน่น!”

   ผมมองตามก่อนจะเดินไปยังตั่งไม้ที่มีหลายศพกองเรียงอยู่ หนึ่งในนั้นก็คือไอ้เนที่ฟุบคอห้อยอยู่บนพื้น

   ร่างสูงใหญ่ของหมอนั่งคอพับพิงกำแพง แว่นตาของเขาหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมหยักศกปรกหน้า เสื้อยืดที่ใส่อยู่ยับย่นจนดูไม่ได้ หน้าคมคายแดงก่ำจนลามลงมาถึงลำคอ

   เชี่ย!!

   “หมอ... หมอครับ เฮ้!”

   ผมเขย่าร่างเขาพลางตะโกนเรียกไปด้วย เขาปรือตานิดๆ ก่อนจะส่ายหัว ยกมือโบกเหมือนไม่รู้ตัว

   “พอ...”

   “พออะไรครับ หมอไม่ไหวแล้วนะ กลับกันเถอะ”

   ผมฉุดร่างสูงให้ลุกขึ้น หมอจะมาจมกองอ้วกไม่ได้นะเฟ้ย ไม่เท่เลย!

   “ปั้น...”

   เขาเรียกผมก่อนจะดึงเข้าไปกอด ผมรีบยันร่างหนาออกก่อนจะตบหน้าเขาไม่เบาไม่แรงไปสองสามทีเรียกสติ พอเห็นว่าคนตัวโตเริ่มสะบัดหน้าลืมตาจึงหันไปตะโกนเรียกเฮียปุ้นที่กำลังมือขึ้นกวาดแบงค์พันเข้าฝั่งตัวเองอย่างสนุกสนาน

   “ไอ้เฮียปุ้น! ช่วยทีดิ๊!”

   “อะไรวะ อ้าว... เอ้อ... เพื่อนกูตายอยู่แถวนี้นี่เอง”

   เวรกรรมประสาทแดก ผมจะสั่งห้ามหมอแดกยาดองตลอดชีวิต เละเทะชิบหาย!

   ผมกรอกตาพ่นเสียงสบถออกมายาวๆ ก่อนจะเขย่าตัวหมออีกรอบ หันไปใช้เท้าสะกิดไอ้เนที่นอนหัวห้อยไม่รู้เรื่องเพื่อถามว่ามันกลับเรือนใหญ่มั้ย ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือการส่ายหน้าแล้วสะดุ้งตัวโน้มออกไปทางหน้าต่างเพื่อพ่นอ้วกออกมา

   ไอ้เวร...

   “หมอ หมอครับ กลับกันนะ เดี๋ยวผมหาเครื่องดื่มแก้แฮ้งค์ให้กิน”

   ณ เวลานี้ผมขอพาคนของผมกลับก่อนล่ะ ขืนให้อยู่ต่อมีหวังเละหนักกว่าเดิม ผมตัดสินใจฉุดร่างใหญ่ที่พอจะยืนไหวแต่ไม่มีสติพอจะตัดสินใจอะไรให้เดินลากตัวเองไปที่หน้าบ้าน สั่งให้เขารออยู่ตรงนี้แล้ววิ่งไปเอามอเตอร์ไซค์มารับเขา ผมสั่งให้หมอขึ้นมานั่งซ้อนท้ายผมไว้ ตัวเขาใหญ่อย่างกับยักษ์ ไอ้ wave 125 ของผมดูเล็กไปเลยทีเดียว

   “หมอ เกาะไว้นะ โถ่เว้ย... เวรกรรมอะไรของกูเนี่ยข้าวปั้น”

   ผมรั้งแขนเขาให้โอบเอวไว้ก่อนสตาร์ทรถ ขี่ด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกข้างจับแขนของเขาไว้เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ไหลตกไประหว่างทาง คนตัวใหญ่ทิ้งตัวลงกับแผ่นหลังผมแนบแน่น  อ้อมแขนกระชับขึ้นเหมือนรู้ตัวว่าจะตก

   “ปั้น... หอมจังครับ”

   หอมบ้าอะไร มีแต่กลิ่นหมูย่าง!

   ผมขี่มาถึงเรือนใหญ่โดยสวัสดิภาพ หมอไม่งอแง เขาเริ่มมีสติมากขึ้น ผมจอดรถแล้วใช้ขายันเอาไว้เพราะน้ำหนักของหมอกำลังจะทำให้ขาตั้งเอาไม่อยู่ ผมสะกิดเขาที่ยังกอดเอวผมไม่ปล่อย

   “หมอ ตื่นก่อนครับ ถึงบ้านแล้ว ไปนอนดีๆ นะ เร็วครับ ปั้นหนัก”

   “อืม...”

   เขายอมก้าวลงจากรถ ผมส่ายหัว จูงมือคนเมาเดินขึ้นเรือนที่มีขั้นบันไดหลายสิบขั้น พยายามเหลือเกินที่จะไม่ให้คนที่จับมือผมแน่นสะดุดหัวคะมำ ดีนะที่เรือนใหญ่เปิดไฟสว่างโร่ ฝั่งเจ้าสาวเขาปาร์ตี้กันเสร็จแล้ว คงจะเข้านอนกันเรียบร้อยเพื่อเตรียมตื่นขึ้นมาแต่งหน้าตอนตีสี่ ผมพยายามเดินให้เบาที่สุด จนสามารถพาหมอผู้เมายาดองของดีเมืองเชียงรายเข้าห้องได้สำเร็จ

   “ข้าวปั้น... กอดหน่อย”

   ทันทีที่ถึงห้อง คนตัวโตก็เดินลากเท้าเข้ามากอดผมแน่น ซุกหน้าลงบนบ่าเหมือนกำลังอ้อน ผมจะเคลิ้มกว่านี้นะถ้ากลิ่นบนตัวของเขาไม่ใช่กลิ่นยาดองตลบอบอวลน่ะ!

   “หมอครับ ไม่งอแงนะครับ นอนก่อน เดี๋ยวปั้นเช็ดตัวให้”

   ผมพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ พรุ่งนี้เขาต้องถามหาแว่นตาแหงๆ ผมส่ายหัวเบาๆ อย่างเหนื่อยใจปนขำก่อนจะโดนร่างสูงผลักลงบนเตียงจนกระดอน ผมทะลึ่งพรวดขึ้นมาอย่างตกใจ แต่คนที่ตัวแดงก่ำกลับคลานตามมาแล้วจับขาของผมลากเข้ามาใกล้จนผมหงายหลัง

   “ทำไรเนี่ยหมอ!”

   ผมพยายามตะโกนให้เงียบที่สุด แต่คนที่กำลังอารมณ์พลุ่งพล่านกลับจูบที่เท้าของผมก่อนจะปล่อยแล้วแทรกตัวเข้ามาตรงกลางระหว่างขา นัยน์ตาสีเขียวสดเต็มไปด้วยประกายของความต้องการ เขาฉุดมือผมให้ไปทาบทับเป้ากางเกงที่กำลังถูกดันจากความแข็งขืนด้านใน...

   เวรล่ะ หมอเครื่องติดเพราะยาดองเนี่ยนะ...

   ผมกลืนน้ำลายเอือก ไม่... ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่ตอนนี้... ไม่ๆๆๆ

   “เงี่ยนครับ”

   ผมอยากจะตบปากเขาสักฉาด พูดออกมาได้ไอ้หมอบ้าเอ้ย!

   เขาทำหน้าร้องขอจนผมทำหน้าแหยกลับ มือใหญ่ที่จับข้อมือผมบังคับให้ลูบไล้ความใหญ่โตผ่านเนื้อกางเกงยีนส์แข็งๆ จนผมหน้าชา... เขาอยากให้ผมทำอะไร

   “ละ... แล้วผมต้องทำยังไง”

   หมอเงียบไป ก่อนที่มือใหญ่จะเลื่อนขึ้นมาจับแก้มผม นิ้วโป้งของเขาลูบไล้ริมฝีปากของผมเป็นคำตอบ

   “อยากลองมั้ย”

   ผมกลืนน้ำลายอีกรอบ โดยเฉพาะเมื่อตอนที่คุณหมอนั่งคุกเข่าชันตัวขึ้น เอียงคอพร้อมส่งสายตา นิ้วเรียวยาวค่อยๆ ปลดกระดุมกางเกง... ตามด้วยซิป...

   ผมเบิกตากว้างมองสิ่งที่ดีดเด้งออกมาปรากฏเบื้องหน้า

   หมอเปิดประสบการณ์ใหม่ให้ผมอีกแล้วครับ



แง หายไปนานเบย แฮ่ๆๆๆๆๆ
โควิดเป็นยังไงกันบ้างค้า Work from home กันเยอะรึเปล่าเนี่ย
พิหมอเหมือนจะอัพเกรดความหื่นขึ้นเรื่อยๆ เเฮะ

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 :z1:  หมอเมาแล้วหื่น ปั้นเอ้ย

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
แย่แน่ข้าวปั้น หมอเมา!!!!    :hao3:

หวังว่าจะพากันตื่นมาแห่ขันหมากกันให้ไหวนะจ๊ะ.  :laugh:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ปั้นส่งตัวเข้าหอก่อนซะล่ะมั้ง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด