Chapter – 31
หมอครับ แล้วผมเลือกอะไรได้ไหม
ประเมินพนักงานตอนสิ้นปี ผมคงเป็นคนที่มีวันลาหยุดเยอะที่สุดในบริษัท ปีที่แล้วผมลาสองอาทิตย์เพื่อผ่าตัดกระเพาะ ปีนี้ผมลาพักฟื้นเกือบสามอาทิตย์จากเหตุการณ์ระทึกขวัญที่แต่ละคนพากันอ้าปากค้างให้นายข้าวปั้น
ใครจะไปคิดว่าพนักงานกินเงินเดือนที่ไม่ได้เอาตัวไปมีปัญหากับใคร แถมสายงานยังไม่ใช่สายที่จะเอาตัวไปเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ มากนักจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีจนโดนผ่าท้อง แถมยังรอดมาได้ในสภาพโคม่าอีกต่างหาก
“นี่มึง... กูไม่ได้แช่งนะ แต่มึงรอดมาได้ไงเนี่ย”
พี่ดินที่มาเยี่ยมพร้อมกับคนอื่นๆ ที่โรงพยาบาลฟังเรื่องเล่าระทึกจิตระทึกใจจากผมด้วยสีหน้าแบบ... เหมือนไฟล์งานหาย ผมลุกขึ้นมานั่งห้อยขาบนเตียง แขนยังมีสายน้ำเกลืออยู่ อาหารที่กินได้ก็ยังคงเป็นอาหารรสอ่อนที่ย่อยง่ายถ่ายสะดวก ส่งยิ้มแหยๆ ก่อนจะยักไหล่
“ม๊าเล่าว่า ม๊าเคยเอาผมไปให้พระแถวบ้านตั้งชื่อให้ พระท่านมองหน้าผมปุ๊บ ชื่อบุญรอดก็หลุดออกมาจากปากท่านเลย แต่ม๊าไม่ชอบเพราะมันเชย เลยเปลี่ยนเป็นนาย ศรัณ อรัญพัชร ชื่อที่มีความหมายว่า มีผู้ได้รับการปกป้องคุ้มครองแทนน่ะ” ผมเล่าพร้อมกับหัวเราะไปด้วย เหมือนพระมองโหงวเฮ้งผมแล้วจะรู้ทันทีว่าไอ้นี่ต้องมากับดวง
ดวงซวยอ่านะ... เลยให้ตั้งชื่อแก้เคล็ด
แต่ละคนพากันหัวเราะเมื่อได้ยินเรื่องที่ผมเล่า
“เบญจเพสรึเปล่าพี่ข้าว ช่วงนี้พี่ดูซวยๆ” ฟางที่นั่งดูดชาไข่มุกอยู่แซว
“พี่จะ 27 แล้วนะ” ผมตอบกลับ
“แต่มึงก็นะ ไม่รู้จักระวังตัวเอาซะเลย รู้ว่าตัวเองอยู่ในข่ายอันตรายก็ยังจะไปไหนมาไหนคนเดียว” ไอ้เนว่าผม
“ก็กูไม่คิดว่าเรื่องมันจะบานปลายขนาดนี้ เดี๋ยวก็ต้องไปให้ปากคำตำรวจอีก”
หลังจากผมฟื้นมาได้วันเดียว ตำรวจก็ขอเข้าพบเพื่อสอบปากคำ ผมก็ให้การไปตามจริง โดยจะประสานกับตำรวจท้องถิ่นของเชียงรายที่เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมอีกสี่คดีด้วย คดีนี้คงกลายเป็นคดีใหญ่ที่ปิดได้ไม่ยากเพราะคนร้ายก็ถูกจับตัวแล้ว อาจจะต้องไปสถานีอีกสักรอบสองรอบเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนในฐานะผู้เสียหาย
ที่เพื่อนๆ ของผมสามารถมารวมตัวเยี่ยมผมพร้อมกันในวันนี้ได้เพราะเป็นวันเสาร์แห่งชาติ พวกเขาเล่าให้ฟังว่าพอผมหายตัวไปปุ๊บ วันต่อมาก็มีคนโทรไปลาพี่อัฐให้ปั๊บ เขาบอกแค่ว่า ผมได้รับอุบัติเหตุผ่าตัดฉุกเฉินอยู่โรงพยาบาล ผมคิดว่าน่าจะเป็นหมอไม่ก็เฮียปุ้นที่โทรไปลาให้ผมแบบนั้น
ถึงแม้ตอนผมฟื้น หมอจะบอกว่าตอนนั้นน่าจะโทรไปลาออกให้ผมมากกว่าก็เถอะ
“เออ พี่เจี้ยน โน้ตบุ้คพี่อ่ะ พี่อัฐอนุญาตให้รีโมททำงานใช่ปะ” เมื่อคืนผมโทรไปขอยืมโน้ตบุ๊คของพี่เจี้ยนเพื่อจะได้เอามารีโมททำงานที่โรงพยาบาล เพราะต้องอยู่อีกประมาณสองสามวัน ผมจึงอยากใช้เวลาว่างๆ ทำงานที่ค้างไปด้วย
“มึงอยากให้กูโดนหมอเอามีดจ้วงท้องรึไง”
พี่เจี้ยนทำหน้าขนลุก ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ฮะ?”
“กูพึ่งรู้ว่าหมอโรงพยาบาลนี้เขาดูแลคนไข้ดีประหนึ่งคนในครอบครัว วันก่อนตอนกำลังจะกลับจากเยี่ยมมึง กูเจอหมอเจ้าของไข้มึงหน้าห้อง เขาถามกูว่ามึงขออะไรรึเปล่า กูก็งงๆ เลยตอบเขาไปว่า มึงขอให้พี่อัฐอนุญาตให้ใช้รีโมททำงาน แล้วหมอมันบอกไรกะกูรู้มะ มันบอกว่า ‘ถ้าลาป่วยไม่ได้ งั้นเดี๋ยวผมเขียนใบลาออกให้แทนครับ’ อย่างเนี่ย!!”
พี่เจี้ยนโวยวายฟ้องใหญ่ พี่ดินหันหน้าหนีเพื่อกลั้นขำสุดฤทธิ์ ส่วนผมทำหน้าพะอืดพะอม
ผมว่า... ผมทำตัวเป็นเด็กดี อยู่เฉยๆ ตามที่หมอสั่งดีกว่าแฮะ
“เขาเป็นเพื่อนเฮียปุ้นน่ะ เลย... อาจจะดูแลเกินไปหน่อย”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”
คราวนี้พี่ดินทนไม่ไหวจริงๆ เขาหัวเราะออกมากลางวงจนแต่ละคนมองขวับ พี่ตัวหนาล่ำบึกกระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะเสริมคำพูดของหมอ
“ก็จริงของหมอ ลาป่วยแล้วก็ลาไป บริษัทไม่ไล่มึงออกหรอก”
“แต่เดี๋ยวผมก็จะลาอีก” ผมกอดอกเมื่อนึกถึงระยะเวลาที่ต้องลาอีกครั้ง
“ไปไหน?”
“งานแต่งเจ้หอม เออใช่ เชิญทุกคนด้วยนะ จัดที่บ้านที่เชียงราย เดือนหน้า วันเสาร์ ไม่ต้องใส่ซอง แค่ไปร่วมอวยพรก็พอ”
ผมเชิญปากเปล่าแทนตัวเจ้าสาว ไอ้เนกับฟางตอบตกลงทันที ส่วนพี่ดินบอกว่าขอดูงานก่อน ส่วนพี่เจี้ยนทำหน้าปั้นยาก ไม่ตอบอะไร ผมก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกว่าทำไม แต่ก็ไม่ได้คาดคั้น
“คนมาเยี่ยมเยอะเลยนี่หว่าไอ้ตูด”
ระหว่างที่กำลังคุยจอแจกัน คนที่ออกไปซื้อของกินกับป๊าม๊าก็เข้ามาจนทำให้ห้องผู้ป่วยเริ่มแคบไปถนัด แก๊งเพื่อนร่วมงานต่างพากันยกมือไหว้คนสูงวัยกว่าที่หิ้วถุงอาหารกลิ่นหอมมายั่วน้ำลายผมที่กินได้แต่โจ๊กรสชาติเหมือนต้มน้ำเปล่า ผมลอบสังเกตหน้าพี่เจี้ยนที่เริ่มซีด เขาถอยไปหลบหลังพี่ดิน ทำตัวให้ลีบที่สุด
ขำว่ะ แต่ไม่เอา ไม่ล้อเลียน เดี๋ยวตาผมแล้วพี่เจี้ยนจะขยี้ไม่หยุด
“กินอะไรกันมารึยัง ม๊าซื้อขนมมาเพียบเลย” ม๊าผู้แสนน่ารักของผมชักชวนเพื่อนๆ อยู่ทานของกินด้วยกันก่อน แต่ดูเหมือนแต่ละคนจะรู้ว่าห้องนี้เริ่มคับแคบเกินไปสำหรับคนแปดคน จึงขอตัวกลับก่อน พี่ดินเอ่ยแสดงความยินดีกับม๊าผมเรื่องที่เจ้หอมจะแต่งงาน ก่อนจะพากันทยอยกลับ
พี่เจี้ยนเกาะแขนพี่ดินแน่น ไม่สบตาคนที่กำลังจ้องเหมือนจะแดกเข้าไปทั้งตัวแล้วสักนิด
ผมเหลือบไปมองเฮียปุ้นที่ทำหน้าเป็นยักษ์ปักหลั่นแล้วตอนนี้
อยากบอกเฮียเหลือเกินว่ากระต่ายเวลาตื่นตูมมันน่ากลัวนะ
หลังจากทุกคนกลับไป เฮียปุ้นก็เดินเข้ามาดูสภาพผมก่อนจะคุยเรื่องคดี
“ตำรวจทางนี้ประสานงานกับไอ้ตุลย์ที่รับผิดชอบคดีสี่ศพนั่นแล้ว แต่ยังไม่มีหลักฐานมากพอจะยืนยันได้ว่าเป็นฝีมือของอี้ เหลียน แม้จะมีคำให้การจากคุณพอร์ช แต่มันก็ยังไม่มีน้ำหนักมากพอ และคุณพอร์ชก็เป็นแค่พยานปากสำคัญ ไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิด ทางตำรวจจึงทำได้แค่ลงบันทึกไว้ ไม่ได้คุมตัว ส่วนอี้ เหลียน เขามีความผิดชัดเจนฐานข่มขู่ ลักพาตัว ทำร้ายร่างกายและพยายามฆ่า โดนไปหลายกระทง ศาลอาจตัดสินให้จำคุกและปรับ”
ผมเงียบไป ก่อนจะถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจะรู้สึกยังไงดี
ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพราะแผลในอดีต เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน เขาก็เป็นหนึ่งในเด็กที่เคราะห์ร้ายเหมือนๆ กับผม
“แต่ศาลอาจมีการลดโทษลง เพราะอี้ เหลียนมีประวัติการรักษาโดยเป็นผู้ป่วยจิตเวชก่อนที่เขาจะเดินทางไปฮ่องกง”
“อี้ เหลียนไปฮ่องกง?” ผมแปลกใจมาก ผมนึกว่าเขาอยู่ประเทศไทยมาตลอด
“ดูเหมือนหลังจากที่คุณพอร์ชนั่นรักษาเขามาสิบปีจนหมออนุญาตให้กลับมาอยู่บนได้ปกติ เขาถูกพาไปฮ่องกงและอยู่ที่นั่นประมาณสองสามปีก่อนจะกลับมาก่อคดีที่ไทย คุณพอร์ชบอกว่า อี้ เหลียนเป็นแฮกเกอร์ที่เก่งมาก เขาเป็นคนสร้างระบบให้กับองค์กรของบริษัทของพี่ชายเขาหลังจากกลับมาจากฮ่องกง ตามประวัติ อี้ เหลียนคือบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้มีสัญชาติไทย เขาเป็นชาวฮ่องกงแต่กำเนิด อยู่ประเทศไทยด้วยวีซ่ามาตลอดยี่สิบกว่าปี”
ผมยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่า อี้ เหลียนคนนี้ ไม่ใช่แค่ฆาตกรโรคจิตธรรมดา เขาเก่งมาก และคงจะมีอนาคตไกลถ้าไม่ยึดติดอยู่กับแผลในอดีต
“แล้วเขาเป็นยังไงบ้างตอนนี้” ผมถาม
“ตำรวจกักตัวไว้ เห็นไอ้ตุลย์บอกว่าวันก่อนมีคนจากฮ่องกงมาติดต่อกับสารวัตรใหญ่ที่ประจำการอยู่ที่กรุงเทพ”
“แล้วพี่ตุลย์ไปรู้ได้ยังไง เขาอยู่เชียงรายนี่นา” พี่ตุลย์เขาเป็นสารวัตรสืบสวนอยู่เชียงรายไม่ใช่เรอะ
“เหมือนจะถูกย้ายมาประจำการที่กรุงเทพในอีกสองเดือน คดีในมือคือคดีของอี้ เหลียนนี่แหละ เฮียก็ไม่อยากถามรายละเอียดมาก แค่บอกว่า ทำยังไงก็ได้อย่าให้มันมายุ่งกับแกอีกก็พอ”
“ถ้าไม่มีใครปล่อยเขาออกมา เขาก็คงไม่มายุ่งกับปั้นหรอก” ผมเริ่มไม่แน่ใจ... อี้ เหลียนไม่ใช่คนไทย เขาสามารถหนีออกต่างประเทศได้สบายถ้ามีคนช่วยเหลือเขา
“เฮียได้คุยกับเขาครั้งนึง”
“หืม?” ผมมองหน้าเฮียปุ้น เขาเดินมานั่งข้างเตียงพลางกอดอก
“เฮียถามเขาตรงๆ ว่าทำแบบนี้กับแกทำไม เขาตอบว่า เขาทำเพื่อฆ่าเวลา”
“หา?”
“เฮียคิดว่าแกไม่ใช่เป้าหมายจริงๆ ของเขา การพบเจอของแกกับเขามันเป็นเรื่องบังเอิญ เขาทำให้มันเป็นแค่เกมฆ่าเวลาแก้เบื่อ เฮียเลยบอกว่า ยังแค้นข้าวปั้นอยู่จริงๆ รึเปล่า รู้มั้ยเขาตอบว่าไง”
เฮียมองหน้าผมนิ่งๆ
“เขาบอกว่า เขาไม่เคยแค้นแก ทุกอย่างที่เขาทำ เขาทำแค่ทดสอบเกมของเขา”
“เกมเชี่ยไรวะเนี่ย” ผมสบถหยาบ ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พอนึกๆ ดูอีกที
อี้ เหลียนเขาไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าผมจริงๆ แม้การลงมีดจะสะเปะสะปะ แต่ทุกตัวยาที่เขาใช้ ทุกการกระทำของเขา เขาไม่ได้อยากให้ผมตายเร็วๆ เหมือนกับเด็กทั้งสี่คนที่โดนผ่าเอาไตออกไป อี้ เหลียน แค่ทำเหมือนกำลังเล่น ทั้งๆ ที่เวลาแปดชั่วโมงที่ผมหายตัวไป มันนานพอที่เขาจะฆ่าผมแล้วเอาผมไปทิ้งทำลายหลักฐานได้สบายมาก หรือเขาไม่ได้คิดจะฆ่าผมจริงๆ?
“ช่างมันเถอะ ตอนนี้แกปลอดภัย อี้ เหลียนก็ถูกจับอยู่ คงไม่ออกมาง่ายๆ หรอก”
“เลิกคุยเรื่องเครียดๆ ได้แล้ว อีกวันสองวันปั้นก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ปั้นอยากกลับไปพักที่บ้านมั้ยลูก”
ม๊าที่นั่งกินก๋วยจั๊บกับป๊าอยู่หันมาถามผม แน่นอนว่าผมส่ายหน้า
ถึงหมอจะเขียนใบลาให้ผมไว้ถึงสี่สัปดาห์ แต่ผมก็ไม่อยากนอนแห้งอยู่บ้านเฉยๆ คงต้องแอบทำงานโดยที่ไม่ให้ใครรู้
“ไม่เป็นไรม๊า ปั้นอยู่ได้ หมอบอกว่าแผลปั้นเริ่มจะสมานตัวดีแล้ว แค่อย่าเคลื่อนไหวเร็วก็พอ อีกสองอาทิตย์ก็ต้องมาตัดไหม ขี้เกียจไปๆ กลับๆ อ่ะ”
“แล้วแกจะอยู่ที่นี่กับใคร ให้ม๊าอยู่เป็นเพื่อนก่อนมั้ย เดินเหินก็ไม่ค่อยจะสะดวก ไม่ก็ไปอยู่บ้านกรเขาก่อน ช่วงนี้ข้าวหอมน่าจะอยู่นานเพื่อเตรียมงาน ม๊าจะได้วางใจ” ม๊ายังคงคะยั้นคะยอ แต่ผมเอาแต่ปฏิเสธ คันปากยุบๆ ยิบๆ ว่า ต่อให้ผมไม่ดูแลตัวเอง คนที่เดินเข้าเดินออกห้องนี้เป็นว่าเล่นทั้งๆ ที่ไม่ใช่ญาติคงไม่ยอมให้ผมไปดื้อไปซนที่ไหนแน่นอน
เขาเข้มงวดกว่าพ่อแม่ตัวจริงผมเสียอีก
“ม๊า อย่าลืมนะว่าไอ้คินก็อยู่”
“เฮีย!”
ผมหันไปถลึงตาใส่เฮียปุ้นที่ทำท่าจะปากมากออกไป เฮียปุ้นขมวดคิ้ว
“อะไร ก็มันเป็น...”
“เฮี้ย!”
“เอ็งด่าเฮียเรอะ!!”
“เปล๊า แค่เสียงสูงไปหน่อย” ผมหันไปบอกม๊าที่ทำหน้าแบบ พวกลื้อเถียงอะไรกัน? มาทางพวกผมสองคน “ปั้นไม่เป็นไรหรอกม๊า แล้วปั้นก็ไม่อยากไปรบกวนพี่กรด้วย เขาก็ยุ่งๆ ปั้นไปอยู่บ้านเขาเฉยๆ ไม่ได้ช่วยอะไรปั้นลำบากใจน่ะ”
ม๊าทำหน้าย่น ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อประตูห้องเปิดออก ร่างสูงของหมอเดินถือชาร์จผู้ป่วยเข้ามาด้วยสีหน้านิ่งๆ แบบปกติของเขา ม๊าผมทักทายหมอเสียงอ่อนเสียงหวาน
“อคินมาก็ดีเลย ม๊ามีเรื่องจะฟ้องล่ะ”
“ครับ?” หมอเลิกคิ้ว ขานรับ
“ข้าวปั้นน่ะดื้อ ให้กลับบ้านไปพักรักษาตัวก็ไม่กลับ ให้ไปอยู่บ้านกรก่อนไม่อยู่ อยู่คนเดียวม๊าเป็นห๊วง เป็นห่วง”
ม๊าครับ... น้ำเสียงม๊าดูไม่จริงใจเอาซะเลย
หมอหันมามองผมแวบนึง ก่อนจะกระตุกยิ้มมีเลศนัย
“ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวผมดูแลให้”
“มะ... หมอ...” ผมเรียกเขาเสียงแผ่ว ถลึงตามองเป็นเชิงว่า อย่าพูดอะไรไม่เข้าท่าไปเชียวล่ะ อย่าเชียวนะ!
“จริงเหรออคิน ไม่ลำบากเหรอจ๊ะ น้องดื้อนะ” ม๊าจับแขนหมอแล้วยิ้มเกรงใจ
ม๊า... ม๊าต้องการไร ม๊าบอกปั้นดิ๊
“ดื้อแค่ไหน ผมก็เอาอยู่ครับ”
“ขอบใจนะจ๊ะ”
“ดะ... เดี๋ยวนะ ทำไมม๊าต้องฝากปั้นไว้กับหมออ่ะ ปั้น... ปั้นดูแลตัวเองได้” ผมเลิ่กลั่กแล้ว ณ จุดจุดนี้ ม๊าหันขวับมาทำหน้าดุ
“ถ้าแกไม่ยอมให้หมอดูแล แกก็กลับบ้านกับม๊า เอาไง เลือกมา”
ละ... แล้วปั้นเลือกอะไรได้ไหม...
และแล้ว ผมก็นอนโรงพยาบาลครบสองอาทิตย์ ผมต้องกลับไปพักฟื้นที่บ้านอีกสองอาทิตย์ตามที่หมอออกใบรับรองแพทย์ให้ การลาเป็นเดือนๆ ของผมทำให้ผมรู้สึกกระสับกระส่าย ผมถึงกับต้องแอบโทรไปขอรีโมททำงานกับพี่อัฐเลยทีเดียว แม้พี่อัฐจะบอกว่าไม่เป็นไร ไปพักฟื้นให้เต็มที่ก่อนเถอะก็ตาม
แต่สุดท้าย ผมก็ได้มาสองชอต มันทำให้ผมแทบจะร้องไห้ กราบพี่อัฐแรงๆ หนึ่งครั้งที่ทำให้ผมไม่ต้องกลับไปใช้ฉายา ลูกรักพี่อัฐ อีกครั้ง แม้ทุกคนจะรู้ว่าผมเข้าโรงพยาบาลเพราะป่วยหนักก็ตาม แต่ห้ามคนนินทามันได้ที่ไหน ผมไม่อยากเข้าบริษัทตัวเปล่าหลังจากหายหน้าไปเกือบเดือนหรอกนะ
เฮียปุ้นกลับเชียงรายก่อนใคร เพราะไม่มีคนดูแลไร่เลยนอกจากป้าสรกับลุงหนาน เมื่อส่งผมถึงคอนโด ป๊ากับม๊าอยู่แค่อีกแค่หนึ่งวันเพื่อดูการใช้ชีวิตของผมว่าจะลำบากมั้ย ซึ่งผมเริงร่าเต็มที่เลยครับ ทำตัวปกติ แค่จะเดินจะเกินก็ต้องกระมิดกระเมี้ยนหน่อย
ส่วนเจ้าอ้วนปั้นสิบ ตั้งแต่วันที่ผมโดนจับไปจนนอนแบ็บอยู่ไอซียู เฮียปุ้น ป๊า ม๊าผลัดกันมาคอยให้อาหารและดูแลมันกัน แต่รู้สึกว่าม๊าจะบอกว่ามันแทบจะไม่ยอมกินข้าวเลย แถมยังเซื่องลงไปเยอะ อาจเป็นเพราะมันไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ ผมก็หายไปล่ะมั้ง และทันทีที่มันเห็นหน้าผม ไอ้อ้วนปั้นสิบก็ย้ายร่างตัวเองจากบนโซฟามาคลอเคลียผมพลางร้องม๊าวๆ เสียงดัง
ผมก้มลงอุ้มมันขึ้นมากอด ไอ้อ้วนเอาหน้ามุดอกผมไม่ยอมไปไหน มันคงคิดถึงผม เพราะผมเองก็คิดถึงมันมากเช่นกัน
“ปั้น ม๊ากลับแล้วนะ ไว้เจอกันงานแต่งไอ้หอม”
ผมเดินลงมาส่งม๊ากับป๊าที่ด้านล่างคอนโด ทั้งสองยืนยันเสียงแข็งไม่ให้ผมไปส่งที่สนามบิน ป๊าสั่งผมว่าอย่าออกไปเดินคนเดียวตอนกลางคืน ทำอะไร จะไปไหนให้บอกคนอื่นไว้ก่อน ถึงป๊าจะไม่พูดเยอะ แต่ผมรู้ว่าป๊ากังวลใจมากไม่แพ้ม๊าเลย
สุดท้ายผมก็อยู่คนเดียว... กับแมวอีกหนึ่งตัว
ซะที่ไหนล่ะ...!
“ผม... ผมอยากอยู่ห้องตัวเองครับหมอ” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง
“อยู่ห้องคนเดียวเฮียเป็นห่วง อย่างน้อยไปอยู่ห้องเฮีย ยังมีริลินแวะเข้าแวะออกให้เฮียสบายใจ” หมอพยายามกล่อมให้ผมยอมทำตาม
“ผมสบายดีแล้วครับ หมอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“ข้าวปั้น”
หมอดุทันทีเมื่อผมปฏิเสธเขา ก็ผมอยากอยู่ห้องตัวเอง อยากทำงานที่รีโมทจากบริษัท ถ้าไปอยู่ห้องหมอ ผมจะแอบใช้คอมเขาได้ยังไง เดี๋ยวเขาก็รู้หมดว่าผมแอบรับเอางานมาทำอีกแล้ว ผมไม่อยากให้เขาดุผมมากกว่านี้หรอกนะ
“อย่าดื้อได้มั้ย”
คราวนี้หมอเสียงอ่อน ผมมองเขาที่ยืนเถียงกับคนป่วยอยู่ในห้องของผมเองด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี ขอบตาเขาคล้ำอีกแล้ว เพราะเขาต้องขึ้นเวรทบกับวันที่ลาไปเพื่อเฝ้าผม เห็นหน้าอิดโรยของหมอแล้ว ผมที่ยืนเถียงคอเป็นเอ็นอยู่ก็หน้าหดทันที
“หมอครับ หมอได้นอนบ้างมั้ยครับ”
ผมยื่นมือไปแตะแก้มเขา แม้จะไม่มีหนวดเคราขึ้นเพราะเพิ่งโกน แต่หมอหน้าตอบลงไปจนเห็นชัด คนตัวโตถอนหายใจยาวก่อนจะดึงผมลงมานั่งบนโซฟาตัวเดิม จับให้ผมนั่งบนตักแข็งๆ แล้วกอดผมไว้
นานแล้วที่เขาไม่ได้กอดผม เพราะในห้องผู้ป่วยมีคนเข้าออกตลอด แถมม๊ากับเจ้หอมยังผลัดกันมาเฝ้าจนเราแทบจะไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนเลย
กลิ่นหอมๆ ของหมอทำให้ผมใจเย็นลง ความดื้อก็ลดลงด้วย
ผมเข้าใจเขานะว่าเป็นห่วง แต่ผมเองก็อยากอยู่ในเซฟโซนของตัวเองบ้าง ผมมีพื้นที่ที่ผมสบายใจจะอยู่ก็เท่านั้นเอง
“อย่าดื้อกับเฮียเลยนะ เฮียเป็นห่วงปั้น”
“หมอครับ หมอก็ดูแผลผมทุกวันนี่นา น่าจะรู้ว่ามันไม่ได้แย่เลย มันจะหายแล้วนะครับ”
ผมพูดกับเขาดีๆ แต่หมอกลับส่ายหัว
“ไม่ใช่เรื่องแผล”
เขาซุกซบหน้าลงตรงแผ่นอกราบเรียบ มือที่โอบรอบเอวผมไว้เริ่มลามเลื้อยสอดเข้ามาใต้เสื้อยืด
เฮ้ยๆ... อย่าเนียนสิวะหมอ
“วันนั้น เฮียนึกว่าจะเสียปั้นไป ส่วนตอนนี้เฮียกลัว ว่าถ้าปั้นคลาดสายตา ปั้นจะหายไปอีก และคราวนี้เฮียอาจจะหาปั้นไม่เจอ...”
เขาเงยหน้าขึ้น จับคางผมไว้เบาๆ ก่อนจะกดจูบลงมา จูบร้อนที่ห่างหายมานาน... นานมากจนผมตื่นเต้น ร่างผอมของผมค่อยๆ ถูกประคองให้นอนราบลงบนโซฟา คนตัวสูงใหญ่สอดขาข้างหนึ่งมาแทรกตรงกลางระหว่างขาทั้งสองของผมไว้ หัวเข่าของเขาจงใจสะกิดโดนกลางร่างของผมจนสะดุ้ง สองแขนผมยันแผ่นอกหนาไว้พลางเบือนหน้าหนี
“เอ่อ... หมอ... ผะ แผล”
รอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้ มือใหญ่ค่อยๆ สอดเข้ามาในเสื้อแล้วเลื่อนมันขึ้นจนเปิดเปลือยแผลผ่าตัดใหญ่ทั้งสองข้างที่ยังมีไหมอยู่ครบ มันไม่ได้น่าดูเลยสักนิด ผมตะครุบจับข้อมือที่มีเส้นเลือดปูดนูนไว้อย่างรวดเร็ว
“มะ มันไม่ได้น่าดูเลยครับ มะ... หมอไม่มองได้มั้ย”
หมอมองรอยแผลที่เขาเป็นคนลงมือเย็บเอง ก่อนจะกดจูบแผ่วเบาลงไป อาจจะเป็นเพราะผิวหนังตรงนั้นมันยังบอบบาง จึงทำให้ผมรู้สึกเสียววาบไปจนถึงสันหลัง หดเกร็งหน้าท้องแบนราบโดยไม่รู้ตัว คนตัวโตประคองหลังผมขึ้นมาก่อนจะอุ้มไปนอนบนเตียง แค่นั้นแหละ ผมเริ่มรู้ชะตากรรมต่อไปของตัวเองแล้วล่ะครับ
“ไม่ว่าจะเป็นยังไง เฮียก็รัก”
“ทำไมกล้าพูดอะไรน่าอายแบบนั้นออกมาครับเนี่ย”
ผมหน้าร้อนผ่าว ขณะที่มือใหญ่ถลกเสื้อผมออกจากหัวตัวเอง จากนั้นก็เตรียมปลดกระดุมเสื้อตัวเองหลังจากที่เขาทำการลอกคราบผมเรียบร้อยแล้ว
“หมอครับ แผล... แผลมันจะไม่เป็นอะไรหรอครับ”
ผมถามเสียงตะกุกตะกัก ก่อนจะสะดุ้งเฮือก เมื่อเจลเย็นๆ ปาดป้ายตรงช่องทางแคบด้านหลังที่ไม่ได้ใช้งานในเรื่องอย่างว่ามานานเป็นเดือน นิ้วแข็งๆ ของเขาสอดเข้าไปอย่างใจเย็น เล่นเอาผมหลุดครางออกมาอย่างน่าอาย
“นั่นสิครับ”
จากที่นอนราบ หมอจับผมให้ลุกขึ้นก่อนจะสลับตัวเองลงไปนอนแทน เขาบังคับให้ผมนับควบหน้าท้องแข็งเป็นลอนของเขาเอาไว้ ผมใช้มือยันลอนกล้ามท้องเป็นคลื่นดูดี ที่แม้หมอจะโทรมขนาดไหน แต่เขาไม่เคยละเลยที่จะฟิตร่างกายตัวเองให้พร้อมรับมือเรื่องราวต่างๆ ตลอดเวลา ในขณะที่ผมตัวผอมแห้งไม่น่าดึงดูดสักนิด
ผมเผลอลูบไล้มันจนลามลงไปที่เอวสอบ สองมือใหญ่ประคองเอวบางไว้ก่อนจะยิ้มกับท่าทางเคลิบเคลิ้มของผม
“ข้าวปั้นครับ”
“อือ... ครับ”
ผมครางเมื่อมือข้างหนึ่งของเขากอบกุมท่อนเนื้อร้อนกลางลำตัวของผมไว้
“วันนี้ปั้นต้อง On top แล้วนะครับ”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ถูกส่งมาจากใบหน้าลูกครึ่งคมคาย นัยน์ตาสีเขียวคู่สวยส่งความต้องการออกมาเต็มที่ ผมปรือตาเมื่อเขาขยับมือเร็วขึ้น ขณะที่ผมถูไถกลางก้นนุ่มของตัวเองกับกลางลำตัวที่แข็งขืนและกำลังดุนดันแข่งกับการเสียดสีของผมอย่างไม่รู้ตัว หมอพยายามทำทุกอย่างให้มันง่ายและไม่กระทบกระเทือนที่สุด
“ช้าๆ นะครับ... คนเก่ง”
ความรู้สึกของคนคุมเกมมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับรู้ว่าการ On top มันได้เปรียบยังไง...