Chapter – 23
หมอครับ ‘I found you’
ผมมองข้อความในไลน์ที่เด้งขึ้นมาจากไอดีที่ไม่รู้จัก ดูเผินๆ เหมือนพวกสแปมแต่รูปแบบประโยคมันไม่ใช่ ผมลองกดเข้าไปค้นหาไอดี แต่กลับไม่สามารถค้นหาได้
เดี๋ยวนะ... นี่มันชักจะเกินไปแล้วนะเฮ้ย!
ผมนั่งมองข้อความในมือถือบนโซฟาโดยมีปั้นสิบกระโดดขึ้นมาเหยียบไหล่พลางนวดๆ ให้ มันชะโงกหน้ามองเหมือนอยากจะรู้ด้วยว่าทาสของมันสนใจอะไรอยู่
“อยากรู้เหรอไอ้อ้วน”
ผมเบือนหน้าไปเกาคางนุ่มก่อนอุ้มมันลงมากอด อย่างน้อยคืนนี้ผมก็ไม่ได้อยู่คนเดียวล่ะนะ
ผมพยายามข่มตาหลับ... จนสุดท้ายฟ้าสางผมก็ยังหลับไม่ลงและไปทำงานด้วยสภาพลูกแพนด้า
“หาว~!”
ผมอ้าปากหาวเดินเข้าบริษัทจนพี่โรมที่มาถึงพร้อมๆ กันทัก
“เมื่อคืนดูบอลรึไง ง่วงแต่เช้าเลย”
“ผมไม่ดูบอล” ผมตอบกลับก่อนจะหาวอีกรอบ ให้ตายเถอะ ผมต้องพึ่งเอสเพรสโซ่แล้วล่ะวันนี้
ระหว่างที่ผมกำลังจะลงไปซื้อกาแฟด้านล่างบริษัทหลังจากที่เอากระเป๋าขึ้นมาเก็บ พี่มะลิที่เป็น HR ของบริษัทก็เดินสวนมาพอดี เธอทักให้ผมเอาจดหมายที่ส่งมาที่บริษัทไปด้วยเพราะกำลังจะเอาไปให้พอดี ผมเอ่ยขอบคุณก่อนจะรับซองจดหมายสองสามฉบับมา คงจะเป็นพวกเอกสารบัตรเครดิตหรือประกันล่ะมั้ง
ผมอ่านหน้าซองระหว่างลงลิฟต์ ฉบับแรกเป็นบัตรเครดิต ฉบับที่สองเป็นกรมธรรม์ประกันตามที่คิด แต่ฉบับสุดท้ายทำเอาผมตาตื่นจนแทบจะไม่ต้องพึ่งกาแฟ
“นี่มัน...”
ในซองจดหมายฉบับที่สามมีกระดาษที่ถูกพับเป็นสามทบเหมือนโบรชัวร์อยู่ หน้าปกของมันเหมือนกับแผ่นพับความรู้สุขภาพตามโรงพยาบาลทั่วไป แต่ด้านในกลับเป็นกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ ที่ถูกตัดสอดไว้รวมกับภาพประกอบเนื้อหาด้านใน เนื้อความคือข่าวเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน...
ผมรู้สึกหายใจไม่ออกจนต้องอ้าปากเพื่อกวาดออกซิเจนเข้าไป ใจเต้นเร็ว มือเกร็ง ความกลัวพุ่งเข้าจับจิต
ประตูลิฟต์เปิดออก ขณะที่ร่างของผมกำลังจะทรุดลง เหงื่อซึมชื้น หน้าผมตอนนี้คงซีดเป็นกระดาษขาวสีเดียวกับซองจดหมาย
“เฮ้ย! พี่ข้าว!”
ผมล้มลงไปด้านหน้า ฟางที่กำลังยืนรอลิฟต์มาพร้อมแก้วกาแฟเย็นในมือรับร่างของผมไว้ด้วยความตกใจ สาวร่างเล็กรีบตะโกนเรียกคนแถวนี้ หูผมอื้ออึงจนได้ยินเป็นเสียงวิ้งๆ เหมือนคนหูดับ คำพูดสุดท้ายที่ออกจากปากผมคือคำว่า
ช่วยด้วย...
“ข้าว ไอ้ข้าว!”
“ข้าว... ข้าวปั้น”
ผมส่ายหัวช้าๆ ทั้งๆ ที่ตายังปิดสนิท เสียงเรียกคุ้นๆ เจ้าเก่าทำให้ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น กลิ่นยาดมที่คลุ้งจมูกกับลมเย็นๆ ที่เกิดจากการพัดวีทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น หน้าของพี่ดินคือสิ่งแรกที่ผมเห็น ข้างๆ พี่ดินคือฟางกับพี่อัฐที่ยืนก้มหน้ามองผมด้วยสีหน้าวิตกกังวล
เกิดอะไรขึ้น?
“ผม...”
“เฮ้ย เดี๋ยว อย่าพึ่งรีบลุก”
พี่ดินดันไหล่ผมที่นอนราบอยู่บนโซฟาในห้องรับรองของบริษัทที่ชั้นหนึ่งให้ลงไปเหมือนเดิมโดยที่มืออีกข้างยังคงบีบนวดมือซ้ายที่ชาดิกของผม ส่วนมืออีกข้างก็ถูกฟางบีบนวดให้อย่างเป็นห่วง สีหน้าน้องดูไม่สู้ดีเลย ผมสงสัยจริงๆ ว่าตัวเองเป็นอะไร
“ข้าวปั้น ไม่สบายเหรอ แล้วมาทำงานทำไม?”
พี่อัฐถามด้วยเสียงดุๆ ผมส่ายหน้า ผมไม่ได้รู้สึกไม่สบาย
“ผม... ผมไม่ได้ไม่สบายครับ”
“แล้วทำไมจู่ๆ ไฮเปอร์ขึ้นมา เมื่อเช้ายังเห็นดีๆ อยู่เลย”
ผมเริ่มย้อนคิด เออ... นั่นสิ ทำไมอยู่ดีๆ ก็ไฮเปอร์ขึ้น
...
แผ่นพับนั่น...!
ผมสะดุ้งตัวขึ้นมาอย่างเร็วจนเกิดอาการวิงเวียน พี่ดินจับไหล่ผมไว้ก่อนจะใช้กระดาษในมือพัดให้ ดุเสียงเข้ม
“ไอ้เวร พึ่งฟื้นมึงเสือกลุกพรวดพราดทำไมเนี่ย”
“แผ่นผับ แผ่นพับผมล่ะ!”
ผมถามหาแผ่นพับที่น่าจะตกอยู่ข้างๆ ผมหลังจากที่ไฮเปอร์ขึ้นจนเกร็งไปทั้งตัว ฟางร้องอ๋อก่อนจะหยิบมันขึ้นมาจากข้างๆ ตัวแล้วยื่นให้ ผมรีบรับมาก่อนจะพลิกดูหลังซองจดหมาย มันควรจะมีที่อยู่เขียนไว้ถ้าส่งผ่านไปรษณีย์มา แต่นี่ไม่มี แปลว่า... คนที่ส่งมันมาให้ผม ต้องเอามาให้ด้วยตัวเอง ไม่ก็ฝากบริการส่งเอกสารทางอื่นที่ไม่มีการลงทะเบียนไว้
“อะไรน่ะพี่ข้าว ฟางเห็นว่ามันก็แค่แผ่นพับสุขภาพธรรมดาเองนะ”
ผมพลิกดูแผ่นผับ ไม่เจอเศษกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ถูกตัดสอดไว้สักใบ ผมหันไปถามฟางหน้าตาตื่น
“เห็นเศษกระดาษหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในนี้มั้ย พี่น่าจะทำมันหล่นตอนล้ม เห็นรึเปล่า?”
ฟางเลิกคิ้ว ก่อนจะร้องอ๋อ
“คือตอนนั้นมันชุลมุนมากเลยพี่ข้าว ฟางเก็บได้แค่ซองจดหมายกับแผ่นพับ พวกเศษกระดาษมันโดนเหยียบเละไปหมดแล้วล่ะมั้ง ป่านนี้แม่บ้านคงกวาดทิ้งไปแล้วล่ะค่ะ”
ผมขมวดคิ้ว... เริ่มไม่แน่ใจกับสิ่งที่เห็น แต่ว่า... ผมคงไม่ได้กลัวจนจิตนาการไปเองแน่นอน
“มันสำคัญเหรอพี่ข้าว เดี๋ยวฟางไปถามป้าเขาให้มั้ย” ฟางเสนออย่างใจดี ผมยิ้มให้ก่อนส่ายหน้า เอ่ยขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือ และขอโทษที่ทำให้ตกใจ
พี่อัฐเสนอให้ผมกลับบ้านไปพัก แต่ผมปฏิเสธเพราะรู้ตัวว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก แถมงานยังเหลืออีกบานเบอะ ผมยังไม่อยากใช้วันลาโดยไม่จำเป็น หัวหน้าหมดคำพูดจะไล่ จึงยอมให้ผมกลับไปนั่งโต๊ะทำงานเหมือนเดิม พี่ดินขมวดคิ้ว เอามือขยี้หัวผมระหว่างขึ้นลิฟต์กลับไปชั้นที่ทำงาน
“ไม่สบายก็ไปหาหมอสิวะ มีหมอประจำตัวแล้วไม่ใช่หรือไง”
ผมหัวเราะแห้งใส่เขา ดีนะที่ฟางมันขอตัวไปซื้อกาแฟแก้วใหม่หลังจากที่ทำหกไปเพราะตกใจกับการพุ่งหลาวของผม ทำให้ในลิฟต์มีแค่ผมกับพี่ดินสองคน เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นความลับที่มีแค่พี่ตัวใหญ่ล่ำบึกคนเดียวที่รู้
“ผมสบายดี แค่มีปัญหากวนใจนิดหน่อย... สงสัยนอนไม่พอ”
“มึง... คงไม่ได้เครียดเรื่องเมลสแปมนั่นใช่มั้ย”
ผมเงียบไป พี่ดินผลักหัวผมเบาๆ
“มึงเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อย ถ้าปรึกษาพวกกูแล้วมันยังไม่สบายใจ มึงปรึกษาหมอรึยัง”
“ยัง...” ผมลูบหลังคอ “ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกัน หมอเขารับเป็นอาจารย์สอนด้วย ช่วงนี้เลยไม่ค่อยมีเวลา”
ผมพูดเสียงแผ่ว
ความจริงแล้วผมคิดถึงเขามากๆ แต่ไม่อยากรบกวน... โดยเฉพาะช่วงนี้ที่หมอแทบจะไม่กลับคอนโดเลย ถึงกลับก็มาแป๊บๆ พอโดนโทรเรียกตอนกลางดึกก็ต้องรีบไป เห็นสภาพเขาผมก็ไม่อยากเอาปัญหาจุกจิกไปกวนใจเท่าไหร่ ถ้ามันยังไม่ถึงขั้นมีอันตรายร้ายแรง ผมก็ไม่อยากให้หมอเป็นห่วงนักหรอก
พี่ดินเบะปาก เดาะลิ้นหมั่นไส้ก่อนออกจากลิฟต์
“ถ้ากูเป็นหมอ กูจะโกรธมึงมากที่ไม่บอกเรื่องนี้” ผมถอนหายใจยาวเมื่อได้ยิน พี่ดินหันมามองผมด้วยสีหน้าจริงจังจนผมชะงักกึกอยู่หน้าลิฟต์
“คนรักกัน นอกจากจะแชร์ความสุขให้กัน เวลามีเรื่องทุกข์ ถ้าไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้กันได้ มึงจะมีเขาไว้ทำไม... ถ้ามีไว้แค่เอากัน ไม่ต้องเรียกว่ารักก็ได้มั้งข้าวปั้น”
วันนี้ผมกลับค่อนข้างดึกเนื่องจากงานไม่เสร็จ กว่าจะได้กลับก็เกือบๆ ห้าทุ่ม พี่ดินกับพี่เจี้ยนยังกลับไม่ได้เพราะยังเหลืองานค้างอยู่อีกนิดหน่อย ผมกะจะอยู่ช่วยพวกเขาแต่โดนพี่เจี้ยนไล่เปิดเปิงเพราะรถไฟฟ้าใต้ดินจะหมดแล้ว พี่เจี้ยนกลับกับพี่ดินได้เพราะบ้านอยู่ทางเดียวกัน ผมจึงรีบวิ่งฝ่าฝนไปขึ้นรถเมล์หนึ่งต่อเพื่อลงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน โชคดีที่ตอนนี้ดึกมากคนเลยไม่เยอะ ผมรีบเดินลงบันไดเลื่อนที่สถานี ระหว่างนั้นเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น ผมแตะบัตรรายเดือนเพื่อเข้าไปข้างในพลางรับโทรศัพท์ไปด้วย
“ฮัลโหลครับหมอ”
[“ข้าวปั้น กลับรึยังครับ เฮียมาดูที่ห้องไม่เจอเรา?”]
หมอถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ผมปัดเนื้อปัดตัวที่เปียกฝนนิดหน่อยพลางตอบระหว่างเดินไปเพื่อลงบันไดเลื่อนอีกชั้น
“กำลังจะกลับครับ ผมอยู่สถานี จะขึ้นรถไฟแล้ว”
[“กินอะไรรึยัง”]
ผมยิ้มนิดๆ หลังจากไม่ได้ยินเสียงเขามาประมาณสองวัน หมอก็เหมือนเดิม ขี้เป็นห่วง
แต่ในขณะที่ผมกำลังจะตอบ มือถือผมก็สั่นจากการแจ้งเตือนรัวๆ ปกติไม่มีใครส่งอะไรรัวๆ แบบนี้ให้ผม ผมเอามือถือออกจากหูเพื่อดูหน้าจออย่างสงสัย ข้อความไลน์ที่เด้งพุชขึ้นมาด้านบนทำให้ผมเบิกตากว้าง
I found you.
I found you.
I found you.
I found you.
I found you.
I found you.
ผมรับรู้ได้ถึงเงาด้านหลัง แต่ก่อนที่จะทันได้หันกลับไป ร่างของผมก็รู้สึกวูบ พื้นบันไดเลื่อนที่เหยียบอยู่หายไป แรงกระทบที่ไหล่ชัดเจนจนไม่คิดว่ามันเป็นความฝัน
โครม!!!
“กรี๊ด!! มีคนตกบันไดเลื่อน ช่วยด้วยค่ะ!”
เสียงกรีดร้องของคนในสถานีที่น้อยนิดดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท ผมรับรู้แค่แรงกระแทกที่หัว นัยน์ตาเหลือบมองขึ้นไปด้านบน... เห็นเพียงรองเท้าหนังสีน้ำตาลที่ไม่คุ้นเคยเลยสักนิด ผมพยายามอ้าปากร้องแต่ไม่มีอะไรออกมา ใช้สติที่เหลือในการควานหามือถือที่กระเด็นไปไหนก็ไม่รู้แล้ว
“...แก”
“I found you.”
เจ้าของรองเท้าจากไป แต่ผมมั่นใจแล้วว่า เรื่องนี้มันต้องเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นแน่นอน ร่างผมที่ลอยลงมาจากบันไดเลื่อนชั้นเกือบบนสุดถูกห้อมล้อมด้วยไทยมุงขนาดย่อม... ก่อนสติทั้งหมดจะวูบไป
ขอโทษ... ขอโทษครับ... ขอโทษ
ผมไม่ได้ตั้งใจ
ขอโทษครับ
“...โทษ ขอโทษครับ...”
“ปั้น..”
“ขอโทษ...”
“ข้าวปั้นครับ”
สัมผัสอบอุ่นที่มือและแรงบีบทำให้ผมรู้สึกตัว แสงแดดที่ส่องเข้ามาในตาทำให้ผมรู้สึกปวดหัว โดยเฉพาะความรวดร้าวบนศีรษะที่เหมือนกับจะระเบิด
ผมปรือตาลงก่อนจะกระพริบช้าๆ เพื่อปรับสายตา สิ่งแรกที่เห็นคือหน้าของหมอที่เคราเริ่มขึ้นในชุดเสื้อกาวน์ ผมเหลือบมองไปรอบๆ ห้องสว่างเพราะถูกเปิดม่านไว้ สายน้ำเกลือและเครื่องวัดความดันระโยงระยาง
“ข้าวปั้น ขอบคุณพระเจ้า” หมอลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียง มือใหญ่ลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนโดยไม่ให้กระทบกระเทือนแผลที่ถูกพันผ้าไว้ ผมบีบมือหมอแน่นก่อนจะถาม
“ผม... มาอยู่นี่ได้ไง”
“ตอนนั้นสายของเฮียยังไม่ถูกตัด เฮียได้ยินเสียงผ่านโทรศัพท์เลยรีบบอกให้รถพยาบาลไปรับ”
“หมอ...” ผมกลืนน้ำลายที่เหนียวคอ หมออคินเลื่อนมือมาลูบแก้มผม สีหน้าเป็นห่วงฉายชัด
“คนในเหตุการณ์บอกว่าปั้นไม่ได้ตกลงมาเอง มีคนผลัก”
“....”
ผมกัดปาก ความกลัวพุ่งมาจับจิตจนแรงบีบมือมากขึ้น หมอลูบมือผมก่อนจะถาม
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมมีอะไรเล่าให้เฮียฟัง”
“ผม... ผมขอโทษครับ”
น้ำตาคลอเบ้า ก่อนจะไหลพราก ผมกลัวจริงๆ นึกว่าจะตายซะแล้วตอนที่ร่างลอยลงมาจากบันไดเลื่อน ความรู้สึกตอนหัวกระแทกมันแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย เหมือนมันชาจนรับรู้ไม่ได้ แต่ความรู้สึกที่ตามมาคือความเจ็บร้าวจนสติดับไป
ร่างสูงของหมอขยับเข้ามาโอบร่างผมเข้าไปกอดแน่น ผมสูดดมกลิ่นหอมที่ชวนสบายใจพลางสะอึกสะอื้นเป็นเด็ก มือสั่นจนเขาต้องเพิ่มแรงกอด มือใหญ่ลูบไหล่ลูบหลังปลอบใจคนเสียขวัญ ก่อนจะกดจูบกลางกระหม่อม
“ไม่เป็นไรแล้ว เฮียอยู่นี่”
“ผม... ผมไม่ได้ตั้งใจครับ... ฮึก ผมไม่คิดว่าเขาจะยังแค้นผม...”
“เขา?”
หมอไม่ถามต่อเมื่อเห็นว่าผมกำลังแตกตื่น เขาลูบผมจนกระทั่งผมสงบและหลับไปอีกรอบ
- Akin Part -
Yesterday 10.25 PM.
ผมกลับมาถึงคอนโด ก่อนจะกลับห้องตัวเอง ผมแวะที่ชั้น 9 ก่อนเพื่อดูว่าข้าวปั้นกลับมารึยัง เมื่อถึงหน้าห้องเขา ผมไม่ได้กลิ่นเทียนหอม จึงลองเปิดเข้าไปพบว่าเจ้าของห้องยังไม่กลับ ผมจึงอยู่ให้อาหารปั้นสิบที่นวยนาดมาคลอเคลียแข้งขาเพื่อรอเขา แต่พอรอไปได้ประมาณสิบนาที ผมก็ชักเป็นห่วงเพราะข้างนอกฝนเริ่มตก ถึงแม้ว่าเขาจะกลับดึกประจำอยู่แล้วในช่วงนี้ แต่ผมก็ยังเป็นห่วงเขาตามประสาอยู่ดี
ผมกดโทรหาข้าวปั้น หวังว่าเขาจะกำลังอยู่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินแบบปกติ ข้าวปั้นรับสายด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนเดิม ผมรู้สึกโล่งใจที่เขาอยู่สถานีแล้ว
[“ฮัลโหลครับหมอ”]
ผมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงเขา เหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาจะห้าทุ่มแล้ว
กลับดึกแบบนี้ น่าจะจับลาออกแล้วเลี้ยงให้อยู่แต่ที่บ้าน
“ข้าวปั้น กลับรึยังครับ เฮียมาดูที่ห้องไม่เจอเรา?”
[“กำลังจะกลับครับ ผมอยู่สถานี จะขึ้นรถไฟแล้ว”]
“กินอะไรรึยัง”
ผมถามด้วยความเป็นห่วง กลัวโรคกระเพาะจะเล่นงานเขาอีก ผมไม่อยากเป็นคนลงมือผ่าให้เขาอีกรอบหรอกนะ เมื่อก่อนอาจทำได้ แต่ตอนนี้ผมค่อนข้างกังวลถ้าต้องผ่าคนที่ผมรักด้วยตัวเอง
ข้าวปั้นไม่ทันได้ตอบ ผมถามย้ำ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงโครมคราม ตามด้วยเสียงกรีดร้องผ่านลำโพง ผมตะโกนเรียกเขา หวังว่าเขาจะไม่เกี่ยวข้องกับเสียงโวยวายที่ผมได้ยิน ใจผมเต้นรัวเร็ว มือเย็นเฉียบ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเสียงคนพูดว่ามีคนตกบันไดเลื่อน
ผมรีบคว้ากุญแจรถที่วางไว้บนโต๊ะพร้อมกับรีบโทรเรียกรถพยาบาลด้วยเส้นสายที่มี
“นี่อคิน ส่งรถพยาบาลมาที เดี๋ยวนี้!”
หลังจากประสานงานกับรถพยาบาลเรียบร้อยว่าจะส่งเขาไปโรงพยาบาลไหนที่ใกล้ที่สุด ผมก็รีบขับไปยังโรงพยาบาลนั้นทันที โชคดีที่เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่ผมมีเพื่อนอยู่ที่นั่น ร่างข้าวปั้นถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินก่อนผมจะมาถึง ผมรีบติดต่อหาเพื่อนที่เป็นหัวหน้าแพทย์ทันที แม้มันจะไม่ถูกต้องแต่ผมก็สามารถขออนุญาตเข้าห้องฉุกเฉินได้ด้วยตำแหน่งหมอและเส้นสายนิดหน่อย
ผมถูกกันตัวไว้ข้างๆ เพื่อให้แพทย์ประจำวอร์ดได้ทำหน้าที่ สภาพเลือดอาบหัวของเขาทำให้ผมมือสั่นไม่หยุด แม้แต่เย็บแผลง่ายๆ ที่ผมหลับตาก็ทำได้ตอนนี้ก็ไม่สามารถ ภาวนาขอให้คนที่นอนไม่ได้สติไม่เป็นอะไร
ไหล่ผมถูกแตะโดยคนที่อนุญาตให้ผมเข้ามาในห้องฉุกเฉิน ผมหันกลับไปด้วยสีหน้าซีดเผือด ชายที่สูงวัยกว่ายิ้มให้พลางบอกว่า เขาไม่เป็นอะไรหรอก
“ใจเย็นๆ หมอโรงพยาบาลเราไม่ได้กระจอกๆ ไปนั่งรอเถอะ ยืนตรงนี้มันเกะกะ”
“ขอบคุณที่ให้ผมเข้ามาครับ หมอพัช”
แพทย์อาวุโสที่ผมนับถือเป็นทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ตบบ่าผมพลางยิ้มให้อย่างใจเย็น
“คนสำคัญรึ ไม่เคยเห็นคุณร้อนรนขนาดนี้มาก่อน ต่อให้กำลังลงมือผ่าพ่อตัวเองก็เถอะ”
ผมพยักหน้ารับ หมอพัชโคลงหัวก่อนจะผละออกไป ไม่ถามอะไรต่อ
การช่วยเหลือผ่านไปด้วยดี ข้าวปั้นถูกแอดมิดเข้าโรงพยาบาลโดยผมขอทำการย้ายไปยังโรงพยาบาลของผมเพื่อทำการดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งผมทำการติดต่อไว้เรียบร้อยแล้ว ผมโทรบอกริลินเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อบอกให้เธอช่วยแวะเอาเสื้อผ้าของผมมาให้ที่โรงพยาบาลหน่อย น้องสาวผมดูตกใจมากก่อนบอกว่าจะรีบมา
ผมลงเวรแล้วก็จริง แต่ตอนเช้าก็ต้องไปราวด์วอร์ดผู้ป่วยอยู่ดี ผมนั่งเฝ้าเขาทั้งคืน มีโอกาสงีบสักพักก็ต้องตื่นไปราวด์แล้ว ระหว่างนั้นริลินจึงอาสาเฝ้าแทนไปก่อน รอจนผมตรวจผู้ป่วยเสร็จจึงขอตัวกลับคอนโดเพื่อไปอาบน้ำอาบท่า ผมผละจากเขาเพื่อไปอาบน้ำบ้างหลังจากไม่ได้อาบมาทั้งคืนที่ห้องพักแพทย์ที่อยู่ตึกเดียวกัน ระหว่างนั้นก็ขอให้พยาบาลช่วยดูแล ผมคาดหวังว่าเขาจะฟื้นตอนผมกลับมา แต่ผ่านไปจนเลยบ่ายเขาก็ยังไม่ตื่น จนผมใจเสีย... ผมไม่เคยคิดเลยว่า การที่เขาหลับไม่ยอมตื่นแบบนี้จะทำให้ผมรู้สึกกังวลได้มากขนาดนี้
ผมอยากเจ็บแทนเขา...
ตอนเช้าหลังจากราวด์วอร์ดเสร็จ ผมติดต่อเพื่อนที่เป็นตำรวจเพื่อขอให้เขาตรวจสอบเรื่องนี้ให้หน่อย ประมาณสามชั่วโมงเขาก็โทรมารายงานเกี่ยวกับการสอบถามพยานรู้เห็นที่สถานีรถไฟฟ้าเมื่อคืน เพื่อนตำรวจบอกว่า มีคนผลักข้าวปั้นตกลงมา เขาไม่ได้ตกลงมาเอง แล้วคนที่ผลักก็สวมเสื้อกันฝนคลุมฮู้ดปิดบังหน้าตา อาจเป็นเพราะในสถานีตอนกลางคืนคนน้อยเลยทำให้ไม่มีคนสนใจสังเกต แถมข้างนอกสถานีก็ฝนตกหนักจนทำให้คนที่ผลักเดินหายไปได้ง่ายหลังจากเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย
มิน่า ท่าทีของข้าวปั้นช่วงนี้ถึงดูระแวงกังวลไปหมด แต่ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับเขา เพราะช่วงนี้ทั้งเขาและผมต่างยุ่งมากทั้งคู่
ผมผิดเองที่ดูแลเขาไม่ดีพอ
“ข้าวปั้น...”
ในที่สุดคนที่นอนนิ่งมาทั้งวันก็ขยับตัว เขาเพ้อพูดแต่คำว่า ขอโทษ ขอโทษ ผมไม่รู้ว่าเขาขอโทษอะไร แต่ผมดีใจที่ในที่สุดเขาก็รู้สึกตัวเสียที
ผมกุมมือบางๆ แน่น เรียกชื่อเขา จนคนที่นอนอยู่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ผมกอดเขา กอดคนเสียขวัญแน่น เขาดูตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและผมเองก็สงสัยกับสิ่งที่เขาพูด
แม้จะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน แต่สิ่งที่ผมสงสัยก็คงไม่พลาดเท่าไหร่
มีคนคิดร้ายกับข้าวปั้น...