Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)  (อ่าน 34965 ครั้ง)

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เริ่มเหม็นฟามรักแล้วนะ หูยยยย อะไรจะปานนั้น
 :a14: :a14: :a14:

ออฟไลน์ JanTi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
หมั่นไส้พี่หมอ เหม็นความรัก :katai2-1:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
หวานกันมากเลยนะครับ,,,

ออฟไลน์ kapook743

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบสไตล์การใช้ภาษาประมาณนี้มาก อ่านง่ายเห็นภาพ และไม่พรรณนาเวิ่นเว้อเกิน เอาใจไปเลยครับ(◍•ᴗ•◍)❤

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ MayuYume

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ไม่รู้ว่าสปอยล์มั้ย
แต่ฮั่นแน่มีเรื่องพี่ข้าวปุ้นด้วยนะคะมีสตอรี่ลับ(?)ด้วย
ว่าแต่อยากอ่านจังเลยค่ะมีขายเป็นเล่มมั้ยคะหรือมีขายแค่อีบุ๊คอ่าาาา
อยากจะบอกว่าพี่แต่งได้สนุกมากเลยค่ะอยู่ๆก็ตามพี่ทั้งสามเรื่องเลย :heaven

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ไม่รู้ว่าสปอยล์มั้ย
แต่ฮั่นแน่มีเรื่องพี่ข้าวปุ้นด้วยนะคะมีสตอรี่ลับ(?)ด้วย
ว่าแต่อยากอ่านจังเลยค่ะมีขายเป็นเล่มมั้ยคะหรือมีขายแค่อีบุ๊คอ่าาาา
อยากจะบอกว่าพี่แต่งได้สนุกมากเลยค่ะอยู่ๆก็ตามพี่ทั้งสามเรื่องเลย :heaven

สปอยล์ได้ค่า ขอบคุณที่ติดตามนะคะ เรื่องข้าวปุ้นมันเป็นตอนพิเศษเลยเอาลงในนี้ไม่ได้แฮะ แต่จะรวมเล่ม ebook ค่ะ น่าจะไม่เกินมค ปีหน้า ตอนนี้โฟกัสกับเรื่องเฮียปุ้นอยู่เลยยืดเยื้อไปหน่อย
ปล. ความจริงยูอยากเอาไปเสนอสนพ เหมือนกันนะคะ แต่ความกล้ายังไม่พอแฮะ

ออฟไลน์ MayuYume

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอบกลับไม่เป็นค่ะลองอ้างถึงก็กลัวขึ้นเป็นอะไรไม่รู้ 5555555
ใช่แล้วค่ะ แงงงง รอเป็นอีบุ๊คได้ค่ะแต่ถ้าพี่มีแพลนจะทำเล่มด้วยซื้อแน่นอนค่ะ!!!
สู้ๆนะคะพี่ยู  :3123:

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 22
หมอครับ ‘Watch your back’



   ผมได้รับอีเมล

   เป็นอีเมลประหลาดจากแอคเคาท์ที่ไม่ซ้ำกันเลยตลอดสิบวัน...

   ในเมลก็ไม่มีอะไรไปมากกว่าประโยคสั้นๆ

   Watch you back.

   แปลตรงๆ ก็... ระวังหลัง หรือถ้าแปลห้วนๆ ก็ระวังตัวไว้

   ที่ผมประหลาดใจ คือคนส่งมันใช้อีเมลที่เจนเนอเรทขึ้นมาทั้งหมดได้ยังไง มันควรจะเป็นอีเมลที่น่าจะไปกองอยู่ที่อีเมลขยะ แต่มันกลับเด้งแจ้งเตือน วันละฉบับ สองฉบับ

   และตัวหนังสือมันจะเพิ่มขนาดขึ้นเรื่อยๆ

   “น่าขนลุก”

   พี่เจี้ยนโพล่งขึ้นหลังจากที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังระหว่างกินข้าว ก่อนหน้านี้ผมไม่คิดจะเล่าเพราะอาจจะเป็นแค่เมลขยะธรรมดา แต่พอมันส่งมาถี่ๆ ผมว่ามันชักจะไม่ธรรมดาแล้ว

   “มึงโดนสโตกเกอร์อยู่รึเปล่าวะข้าว”

   พี่ดินเลื่อนอ่านเมลในมือถือผมก่อนจะส่งคืนให้ ผมรับมาพลางส่ายหน้า ใครจะมาสโตกเกอร์ผม คนที่ไม่มีอะไรโดดเด่น วันๆ ทำแค่มาทำงานกับกลับคอนโด

   “มึงเอาอีเมลไปแจกไว้ที่ไหนบ้าง” เนถามต่อ

   “เมลนี่กูใช้แค่เอาไว้ติดต่องาน พวกเมลแจกหรือเมลสมัครบริการต่างๆ กูใช้อีกอัน”

   แต่ละคนเริ่มคิดแทนผม ฟางมองเหล่าบรรดาชายฉกรรจ์ทำหน้าจริงจังเล่นเป็นนักสืบแล้วตบโต๊ะรัวๆ จนแต่ละคนเงยหน้ามาด่า

   “อะไรของมึงฟาง”

   พี่เจี้ยนด่า

   “ทำตัวเป็นนักสืบไปได้ จะไปยากอะไร  พี่ข้าวก็ลบเมลนั่นทิ้งซะสิ”

   “ทำไม่ได้ เมลนี่พี่ใช้ดีลกับลูกค้าไว้เยอะ งานนอกด้วย ยังมีสองสามงานที่ยังติดต่อกันอยู่ จะลบคงต้องรอให้งานจบก่อน” ผมถอนหายใจเฮือก กว่างานนอกที่ผมรับไว้จะเสร็จคงต้องใช้เวลาอีกประมาณสองเดือนเป็นอย่างต่ำ

   “งั้น... หรือจะเป็นหนึ่งในบรรดาลูกค้ามึงวะ” พี่ดินลองสันนิษฐาน ผมยักไหล่ ผมไม่ได้สนิทสนมกับลูกค้าแต่เราก็เจอกันแค่เฉพาะตอนดีลงานสำคัญๆ เท่านั้น และแต่ละคนก็ดูเป็นคนปกติ

   แต่ว่าผมใช้เมลนี่อีกที่...

   “ผมว่า... ผมใช้เมลนี่กรอกตอนผ่าตัดเมื่อปีก่อน เพราะกลัวว่าจะไปปนๆ กับพวกเมลขยะในเมลส่วนตัว”

   “หืม... คนที่โรงพยาบาลจะมีสโตกมึงทำบ้าอะไร” พี่เจี้ยนถาม ผมเงียบ... มองหน้าพี่ดินที่รู้เรื่องของผมอยู่คนเดียวในกลุ่ม

   แต่ก่อนที่จะได้มีการสืบสาวราวเรื่องกันมากกว่านี้ ข้าวที่สั่งไว้ก็มาพอดี

   “ข้าวผัดกุ้งใส่ไข่ ข้าวผัดหมูไก่ไม่ใส่ผัก ข้าวผัดหมูใส่ผักกับไข่ดาว ข้าวผัดน้ำพริกไข่เจียว กับข้าวผัดกะปิได้แล้วจ้า”

   บทสนทนาจบลงเมื่อข้าวผัดวางครบห้าจาน ทุกคนลืมเรื่องของผมแล้วลงมือโซ้ยข้าวเที่ยงกันแบบจริงจัง ป้ายังคงมาตรฐานเดิม ช้าแต่อร่อย    

   ใครที่ทำแบบนี้กันนะ...

   

   ผมไม่เคยไปสร้างศัตรูที่ไหน ถ้าจะมีก็คงเป็นไอ้กันต์ที่ผมไปต่อยกับมันกลาง MRT เมื่อปีก่อน แต่ก็คงไม่ใช่ มันจะไปเอาอีเมลของผมมาจากไหน  ใช่ว่าสนิทกันเสียเมื่อไหร่ แถมนิสัยอย่างมัน น่าจะมาหาเรื่องผมตรงๆ มากกว่าจะมาเล่นสงครามประสาทแบบนี้

   หรืออีกคนที่ผมนึกออกตอนนี้

   หมอวาริศคนนั้น

   เขาเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาล การจะขอดูประวัติผู้ป่วยก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร

   แต่เขาจะทำแบบนี้ไปทำไมกันล่ะ

   ถ้าเขาจะไม่พอใจเรื่องหมออคินกับผม มันก็อาจจะใช่ แต่ว่าการทำแบบนี้มันออกจะไร้สาระไปหน่อย เพราะไม่แน่ว่าผมอาจจะไม่ได้ใช้เมลนั่นแล้ว หรือถ้าผมรำคาญมากๆ ผมอาจจะปิดเมลนั่นทิ้งไปก็เป็นได้

   เขาน่าจะฉลาดเกินกว่าจะใช้วิธีเด็กเล่นแบบนี้

   ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ไม่ควรใส่ร้ายคนอื่นก่อนจะมีหลักฐาน มันก็เป็นแค่ข้อสงสัยของผมคนเดียวเท่านั้น

   “อ้าว ไอ้ข้าว ทำไมวันนี้รีบกลับจังวะ”

   พี่ดินทักเมื่อเห็นผมเปิด Deadline slave เพื่อส่งเครื่องตัวเองเข้าฟาร์มเรนเดอร์แล้วเตรียมเก็บของ

   “ออ ผมมีนัดลูกค้าน่ะ นัดไว้ตอนสองทุ่ม”

   “คราวนี้จับกลุ่มทำกับใครล่ะ”

   “เพื่อนที่มหา’ลัยน่ะ ไอ้มิวกับไอ้วุ้น”

   พี่ดินพยักหน้ารับ มันเป็นกลุ่มทำโปรเจคสมัยเรียนมาด้วยกันกับผม สองคนนี้ฝีมือเทพไม่น้อยหน้าใครในรุ่นเลย รู้สึกเขินๆ เหมือนกันที่ผมเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มพวกนั้นทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้โดดเด่นเหมือนสองคนนั่น พี่ดินก็รู้จักเพราะตอนจัดนิทรรศการธีสิสจบ พี่ดินก็สนใจงานของสองคนนั่นเหมือนกัน แต่เขากลับเลือกติดต่อผมเพราะงานของผมเป็นสไตล์ที่เขาชอบ

   “ขยันจริง หมอเลี้ยงไม่ดีเหรอ ทำงานตัวเป็นเกลียว”

   พี่ดินแซว ผมหน้าร้อนก่อนสวนกลับ

   “บ้า เงินหมอส่วนเงินหมอสิครับ มือตีนมีครบจะไปขอเขากินทำไม ไปล่ะ”

   ผมคว้ากระเป๋าเดินดุ่มๆ ไปที่ลิฟต์ โดยไม่ทันเห็นว่าพี่ดินยิ้มไล่หลังไปแบบเอ็นดู

   

   ผมนัดลูกค้าที่จ้างพวกผมทำโฆษณาสั้นๆ ให้กับสินค้าของเขา ซึ่งจะเป็นโฆษณาออนไลน์ไม่มีออกอากาศในโทรทัศน์ เป็นแอนิเมชันไม่เกินสามนาที ต้องคิดตั้งแต่คอนเทนต์ บท ร่างสตอรี่บอร์ด และทำด้วยโปรแกรม 3D โดยแบ่งหน้าที่กันทำ แต่เมื่อถึงวันนัดคุยกับลูกค้าเพื่ออัพเดทงาน พวกผมสามคนก็ต้องมาคุยพร้อมกันเพื่อให้เข้าใจตรงกันงานจะได้ไม่ออกมาเละถึงจะแยกกันไปทำแต่ละส่วนก็ตาม

   ผมมาก่อนเวลานัดตามเคย เพราะไม่อยากให้ลูกค้ามารอ แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ลูกค้าของผมจะมาเร็วกว่าที่นัดกันไว้ เขานั่งรออยู่ในร้านกาแฟเจ้าประจำที่นัดเจอกันตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงวันนี้เพราะระยะทางสะดวกกับทุกฝ่าย

   ผมรีบเดินเข้าไปยกมือไหว้เขา ลูกค้าของผมอยู่ในชุดลำลองสบายๆ เพราะทำธุรกิจส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องใส่สูทผูกไทด์แต่ก็แต่งตัวได้ดูดีเลย เขาเงยหน้าจากไอแพดทันทีที่ผมทักก่อนจะยกมือไหว้ตอบ

   “สวัสดีครับคุณพอร์ช รอนานมั้ยครับ ขอโทษนะครับ”

   “อ่า สวัสดีครับคุณข้าว ผมมาก่อนเวลาเอง ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ” คุณพอร์ชยิ้มให้ผม “สั่งอะไรก่อนสิครับ”

   “อ่า... ครับ”

   คุณพอร์ชเรียกพนักงานมา ปกติเวลาเขานัดคุยงาน คุณพอร์ชมักจะชอบเลี้ยงเครื่องดื่มพวกผมเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งความจริงแล้วพวกผมสิควรจะเลี้ยงเขา

   “เอ่อ พวกวุ้นยังไม่มา คุณพอร์ชจะรอคุยพร้อมกันมั้ยครับ หรือจะคุยกับผมคนเดียวก่อน”

   หลังจากสั่งเครื่องดื่มแล้ว ผมก็ถามชายที่อายุน่าจะมากกว่าเฮียปุ้น เขาเป็นชายวัยใกล้สี่สิบแต่รูปร่างดีจนดูอ่อนกว่าอายุจริง

   “รอคุยพร้อมกันก็ได้ครับ ผมไม่รีบ”

   “อ่า... ครับ”

   แล้วเวลาที่เหลือผมจะทำยังไงดีล่ะ ผมชวนคุยไม่เก่งเสียด้วยสิ ปกติคนที่มักจะเป็นคนชวนคุยโน่นนี่มักจะเป็นวุ้นเส้น แม่สาวอารมณ์ดีคนนั้นมากกว่า เมื่อไม่รู้จะคุยอะไร ผมก็พยายามคิดหัวข้อที่จะคุย สงสัยจะนานไป คุณพอร์ชจึงเป็นฝ่ายชวนผมคุยแทนเพราะเห็นท่าทางอึกอักของผม

   “คุณข้าว ช่วงนี้เป็นไงมั่งครับ รับงานนอกแบบนี้ที่บริษัทไม่ว่าเหรอครับ”

   “อ้อ ไม่เป็นไรครับ บริษัทผมไม่เคร่งอะไรแบบนี้ครับ แค่รับผิดชอบต่องานในเวลาก็พอ”

   “งั้นเหรอครับ ผมว่าจะถามคุณข้าวมานานแล้ว คุณเป็นคนจังหวัดอะไรเหรอครับ คนกรุงเทพรึเปล่า?”

   “เปล่าครับ ผมเป็นคนเชียงรายครับ มาเรียนที่กรุงเทพเลยมีโอกาสทำงานต่อที่กรุงเทพเลย ทำไมเหรอครับ?” ผมสงสัยว่าเขาถามทำไม ถึงมันจะไม่ใช่คำถามที่แปลก แต่ผมก็ไม่คิดว่าคนที่เจอหน้ากันไม่กี่ครั้งจะถามผมแบบนี้

   “ผมแค่รู้สึกว่าเราน่าจะเคยเจอกัน ผมก็เป็นคนเชียงรายครับ แต่มาทำงานที่กรุงเทพ เพราะน้องชายรักษาตัวอยู่ที่นี่”

   คุณพอร์ชยิ้มให้ ผมทำหน้าประหลาดใจที่จู่ๆ ก็เจอคนบ้านเดียวกัน

   “ผมว่าเขาน่าจะอายุพอๆ กับคุณนะครับ”

   “จริงเหรอครับ บังเอิญจังเลย”

   ผมทำเป็นข้ามๆ  ที่จะถามเรื่องน้องชายของเขาไป เพราะกลัวจะเสียมารยาท

   “จะว่าไป  คุณข้าวเคยเรียนโรงเรียนประถมอะไรมาก่อนเหรอครับ”

   “อ้อ โรงเรียน xxx น่ะครับ เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดครับ”

   “บังเอิญจังครับ ตอนน้องชายผมอยู่ประถมก็เคยเรียนที่นั่นจนถึงป.5 จากนั้นเกิดปัญหานิดหน่อยเลยย้ายมากรุงเทพ ไม่ได้เรียนจนจบ” คุณพอร์ชเล่าเหมือนเป็นเรื่องทั่วไป แต่ผมว่า... มันชักจะแปลกๆ

   “อ๋อ... เหรอครับ”

   คนอะไรมาเล่าเรื่องส่วนตัวให้คนอื่นฟัง เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นนะครับ

   ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะภาวนาให้ไอ้เพื่อนสองตัวมันรีบมากันซักที อึดอัดจะแย่แล้วไอ้สัส!

   และแล้วด้วยแรงอธิษฐาน ไอ้พวกบ้าก็มาเสียที มันตาลีตาเหลือกเข้าร้านมาเพราะข้างนอกฝนกำลังเทลงมาเลย ทั้งสองคนกอดกระเป๋าตัวเองแน่นเพราะด้านในมีทั้งโน้ตบุ๊คและงานลูกค้าอยู่เพียบ ผมถอนหายใจโล่งอกเมื่อพวกมันเข้ามาทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนี่

   “ขอโทษนะคะคุณพอร์ช ฝนตกหนักมากเลยจากที่ทำงาน”

   ไอ้วุ้น หรือวุ้นเส้น ขอโทษขอโพยคุณพอร์ชเสียยกใหญ่ ลูกค้าหนุ่มส่ายหน้าไม่ถือสาแถมยังบอกให้สั่งเครื่องดื่มแบบปกติอีกด้วย ไอ้มิว เด็กเนิร์ดประจำสาขาที่ผมเรียนรีบล้วงเอาแฟ้มเอกสารที่มีร่างสตอรี่บอร์ดกับโน้ตบุ๊คมาเปิดงานให้ลูกค้าดูเพื่อไม่ให้เสียเวลา 

   เราคุยงานกันจนเกือบห้าทุ่ม ฝนที่เพิ่งจะหยุดไปเมื่อชั่วโมงก่อนเริ่มจะตั้งเค้าอีกแล้ว

   ผมแยกย้ายกับทุกคนรวมถึงคุณพอร์ชเพื่อรีบไปลงรถไฟฟ้าใต้ดินก่อนที่สถานีจะปิดให้บริการ ระหว่างที่กำลังยืนรอรถไฟฟ้าอยู่นั้น เสียงแจ้งเตือนอีเมลก็ดังขึ้นอีกครั้ง

   ข้อความเดิม แต่อีเมลแอดเดรสใหม่

   !Watch your back… Dear

   ผมขมวดคิ้ว... คำต่อท้ายยิ่งทำให้ผมขนลุก รู้สึกเสียวหลังวาบๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาแบบนี้ที่คนในสถานีเริ่มจะร้าง เหลือเพียงไม่กี่คนที่รอขึ้นรถไฟเที่ยวสุดท้าย

   “มันชักจะไม่ชอบมาพากลเข้าไปทุกทีแล้วนะ”

   ผมควรเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหมอดีมั้ยนะ

   และอีกอย่างที่ผมแปลกใจ... และสะกิดใจผมยิกๆ มาจนถึงตอนนี้

   คือเรื่องที่คุณพอร์ชพูดถึงน้องชายตัวเอง

   ‘ตอนน้องชายผมอยู่ประถมก็เคยเรียนที่นั่นจนถึงป.5 จากนั้นเกิดปัญหานิดหน่อยเลยย้ายมากรุงเทพ ไม่ได้เรียนจนจบ’

   เหตุการณ์ตอนนั้น... มันเกิดช่วงเวลาเดียวกับตอนที่น้องชายเขาเกิดมีปัญหาขึ้นมาพอดี แล้วก็... ถ้าปัญหานั้นเป็นปัญหาเดียวกันกับที่ผมเคยเจอมา ก็ไม่แน่ว่าน้องชายของคุณพอร์ช อาจจะเป็นคนที่ผมรู้จัก...

   “บ้าน่า เรื่องบังเอิญขนาดนั้น ผ่านมาตั้งสิบกว่าปีแล้วนะ คิดมากว่ะข้าวปั้น”

   ผมสะบัดหัวไล่ความฟุ้งซ่านออกไปจากหัว ส่งข้อความบอกหมอหน่อยดีกว่าว่ากำลังจะกลับ ส่งเสร็จก็เก็บมันลงกระเป๋า โดยไม่ทันได้สนใจกับข้อความที่เด้งขึ้นมาอีกรอบ

   Why are you still Happy?



ตอนนี้ไม่มีคุงหมอ เเต่เป็นการเริ่มเฟต 2 นะคะ

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
อะไรข้อความเหมือนกวนประสาท ทำให้คนรู้สึกบ้า ระแวงไปต่างๆ นาๆ
ข้าว ปรึกษาคุณหมอด่วนเลยนะ น่ากลัวมากๆ
 :hao7:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
ใครอ่ะ?
ทำเราระแวงไปด้วยเลย

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
หมอคะมีเรื่องแล้ววว ตามมาช่วยน้องเร็วว อ่านไปเสียวหลังไป 555

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
เจอแบบนี้เข้าไปใครก็กลัวแหละครับ,,,

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Divansays

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มีคนประสงค์ร้ายน้องสองคนในเวลาเดียวกัน :hao7:

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 23
หมอครับ ‘I found you’



   ผมมองข้อความในไลน์ที่เด้งขึ้นมาจากไอดีที่ไม่รู้จัก ดูเผินๆ เหมือนพวกสแปมแต่รูปแบบประโยคมันไม่ใช่ ผมลองกดเข้าไปค้นหาไอดี แต่กลับไม่สามารถค้นหาได้

   เดี๋ยวนะ... นี่มันชักจะเกินไปแล้วนะเฮ้ย!

   ผมนั่งมองข้อความในมือถือบนโซฟาโดยมีปั้นสิบกระโดดขึ้นมาเหยียบไหล่พลางนวดๆ ให้ มันชะโงกหน้ามองเหมือนอยากจะรู้ด้วยว่าทาสของมันสนใจอะไรอยู่

   “อยากรู้เหรอไอ้อ้วน”

   ผมเบือนหน้าไปเกาคางนุ่มก่อนอุ้มมันลงมากอด อย่างน้อยคืนนี้ผมก็ไม่ได้อยู่คนเดียวล่ะนะ

   ผมพยายามข่มตาหลับ... จนสุดท้ายฟ้าสางผมก็ยังหลับไม่ลงและไปทำงานด้วยสภาพลูกแพนด้า

   “หาว~!”

   ผมอ้าปากหาวเดินเข้าบริษัทจนพี่โรมที่มาถึงพร้อมๆ กันทัก

   “เมื่อคืนดูบอลรึไง ง่วงแต่เช้าเลย”

   “ผมไม่ดูบอล” ผมตอบกลับก่อนจะหาวอีกรอบ ให้ตายเถอะ ผมต้องพึ่งเอสเพรสโซ่แล้วล่ะวันนี้

   ระหว่างที่ผมกำลังจะลงไปซื้อกาแฟด้านล่างบริษัทหลังจากที่เอากระเป๋าขึ้นมาเก็บ พี่มะลิที่เป็น HR ของบริษัทก็เดินสวนมาพอดี เธอทักให้ผมเอาจดหมายที่ส่งมาที่บริษัทไปด้วยเพราะกำลังจะเอาไปให้พอดี ผมเอ่ยขอบคุณก่อนจะรับซองจดหมายสองสามฉบับมา คงจะเป็นพวกเอกสารบัตรเครดิตหรือประกันล่ะมั้ง

   ผมอ่านหน้าซองระหว่างลงลิฟต์ ฉบับแรกเป็นบัตรเครดิต ฉบับที่สองเป็นกรมธรรม์ประกันตามที่คิด แต่ฉบับสุดท้ายทำเอาผมตาตื่นจนแทบจะไม่ต้องพึ่งกาแฟ

   “นี่มัน...”

   ในซองจดหมายฉบับที่สามมีกระดาษที่ถูกพับเป็นสามทบเหมือนโบรชัวร์อยู่ หน้าปกของมันเหมือนกับแผ่นพับความรู้สุขภาพตามโรงพยาบาลทั่วไป แต่ด้านในกลับเป็นกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ ที่ถูกตัดสอดไว้รวมกับภาพประกอบเนื้อหาด้านใน เนื้อความคือข่าวเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน...

   ผมรู้สึกหายใจไม่ออกจนต้องอ้าปากเพื่อกวาดออกซิเจนเข้าไป ใจเต้นเร็ว มือเกร็ง  ความกลัวพุ่งเข้าจับจิต

   ประตูลิฟต์เปิดออก ขณะที่ร่างของผมกำลังจะทรุดลง เหงื่อซึมชื้น หน้าผมตอนนี้คงซีดเป็นกระดาษขาวสีเดียวกับซองจดหมาย

   “เฮ้ย! พี่ข้าว!”

   ผมล้มลงไปด้านหน้า ฟางที่กำลังยืนรอลิฟต์มาพร้อมแก้วกาแฟเย็นในมือรับร่างของผมไว้ด้วยความตกใจ สาวร่างเล็กรีบตะโกนเรียกคนแถวนี้ หูผมอื้ออึงจนได้ยินเป็นเสียงวิ้งๆ เหมือนคนหูดับ คำพูดสุดท้ายที่ออกจากปากผมคือคำว่า

   ช่วยด้วย...

   “ข้าว ไอ้ข้าว!”



   “ข้าว... ข้าวปั้น”

   ผมส่ายหัวช้าๆ ทั้งๆ ที่ตายังปิดสนิท เสียงเรียกคุ้นๆ เจ้าเก่าทำให้ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น กลิ่นยาดมที่คลุ้งจมูกกับลมเย็นๆ ที่เกิดจากการพัดวีทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น หน้าของพี่ดินคือสิ่งแรกที่ผมเห็น ข้างๆ พี่ดินคือฟางกับพี่อัฐที่ยืนก้มหน้ามองผมด้วยสีหน้าวิตกกังวล

   เกิดอะไรขึ้น?

   “ผม...”

   “เฮ้ย เดี๋ยว อย่าพึ่งรีบลุก”

   พี่ดินดันไหล่ผมที่นอนราบอยู่บนโซฟาในห้องรับรองของบริษัทที่ชั้นหนึ่งให้ลงไปเหมือนเดิมโดยที่มืออีกข้างยังคงบีบนวดมือซ้ายที่ชาดิกของผม ส่วนมืออีกข้างก็ถูกฟางบีบนวดให้อย่างเป็นห่วง สีหน้าน้องดูไม่สู้ดีเลย ผมสงสัยจริงๆ ว่าตัวเองเป็นอะไร

   “ข้าวปั้น ไม่สบายเหรอ แล้วมาทำงานทำไม?”

   พี่อัฐถามด้วยเสียงดุๆ ผมส่ายหน้า ผมไม่ได้รู้สึกไม่สบาย

   “ผม... ผมไม่ได้ไม่สบายครับ”

   “แล้วทำไมจู่ๆ ไฮเปอร์ขึ้นมา เมื่อเช้ายังเห็นดีๆ อยู่เลย”

   ผมเริ่มย้อนคิด เออ... นั่นสิ ทำไมอยู่ดีๆ ก็ไฮเปอร์ขึ้น

   ...

   แผ่นพับนั่น...!

   ผมสะดุ้งตัวขึ้นมาอย่างเร็วจนเกิดอาการวิงเวียน พี่ดินจับไหล่ผมไว้ก่อนจะใช้กระดาษในมือพัดให้ ดุเสียงเข้ม

   “ไอ้เวร พึ่งฟื้นมึงเสือกลุกพรวดพราดทำไมเนี่ย”

   “แผ่นผับ แผ่นพับผมล่ะ!”

   ผมถามหาแผ่นพับที่น่าจะตกอยู่ข้างๆ ผมหลังจากที่ไฮเปอร์ขึ้นจนเกร็งไปทั้งตัว ฟางร้องอ๋อก่อนจะหยิบมันขึ้นมาจากข้างๆ ตัวแล้วยื่นให้ ผมรีบรับมาก่อนจะพลิกดูหลังซองจดหมาย มันควรจะมีที่อยู่เขียนไว้ถ้าส่งผ่านไปรษณีย์มา แต่นี่ไม่มี แปลว่า... คนที่ส่งมันมาให้ผม ต้องเอามาให้ด้วยตัวเอง ไม่ก็ฝากบริการส่งเอกสารทางอื่นที่ไม่มีการลงทะเบียนไว้

   “อะไรน่ะพี่ข้าว ฟางเห็นว่ามันก็แค่แผ่นพับสุขภาพธรรมดาเองนะ”

   ผมพลิกดูแผ่นผับ ไม่เจอเศษกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ถูกตัดสอดไว้สักใบ ผมหันไปถามฟางหน้าตาตื่น

   “เห็นเศษกระดาษหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในนี้มั้ย พี่น่าจะทำมันหล่นตอนล้ม เห็นรึเปล่า?”

   ฟางเลิกคิ้ว ก่อนจะร้องอ๋อ

   “คือตอนนั้นมันชุลมุนมากเลยพี่ข้าว ฟางเก็บได้แค่ซองจดหมายกับแผ่นพับ พวกเศษกระดาษมันโดนเหยียบเละไปหมดแล้วล่ะมั้ง ป่านนี้แม่บ้านคงกวาดทิ้งไปแล้วล่ะค่ะ”

   ผมขมวดคิ้ว... เริ่มไม่แน่ใจกับสิ่งที่เห็น แต่ว่า... ผมคงไม่ได้กลัวจนจิตนาการไปเองแน่นอน

   “มันสำคัญเหรอพี่ข้าว เดี๋ยวฟางไปถามป้าเขาให้มั้ย” ฟางเสนออย่างใจดี ผมยิ้มให้ก่อนส่ายหน้า เอ่ยขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือ และขอโทษที่ทำให้ตกใจ

   พี่อัฐเสนอให้ผมกลับบ้านไปพัก แต่ผมปฏิเสธเพราะรู้ตัวว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก แถมงานยังเหลืออีกบานเบอะ ผมยังไม่อยากใช้วันลาโดยไม่จำเป็น หัวหน้าหมดคำพูดจะไล่ จึงยอมให้ผมกลับไปนั่งโต๊ะทำงานเหมือนเดิม พี่ดินขมวดคิ้ว เอามือขยี้หัวผมระหว่างขึ้นลิฟต์กลับไปชั้นที่ทำงาน

   “ไม่สบายก็ไปหาหมอสิวะ มีหมอประจำตัวแล้วไม่ใช่หรือไง”

   ผมหัวเราะแห้งใส่เขา ดีนะที่ฟางมันขอตัวไปซื้อกาแฟแก้วใหม่หลังจากที่ทำหกไปเพราะตกใจกับการพุ่งหลาวของผม ทำให้ในลิฟต์มีแค่ผมกับพี่ดินสองคน เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นความลับที่มีแค่พี่ตัวใหญ่ล่ำบึกคนเดียวที่รู้

   “ผมสบายดี แค่มีปัญหากวนใจนิดหน่อย... สงสัยนอนไม่พอ”

   “มึง... คงไม่ได้เครียดเรื่องเมลสแปมนั่นใช่มั้ย”

   ผมเงียบไป พี่ดินผลักหัวผมเบาๆ

   “มึงเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อย ถ้าปรึกษาพวกกูแล้วมันยังไม่สบายใจ มึงปรึกษาหมอรึยัง”

   “ยัง...” ผมลูบหลังคอ “ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกัน หมอเขารับเป็นอาจารย์สอนด้วย ช่วงนี้เลยไม่ค่อยมีเวลา”

   ผมพูดเสียงแผ่ว

   ความจริงแล้วผมคิดถึงเขามากๆ แต่ไม่อยากรบกวน... โดยเฉพาะช่วงนี้ที่หมอแทบจะไม่กลับคอนโดเลย ถึงกลับก็มาแป๊บๆ พอโดนโทรเรียกตอนกลางดึกก็ต้องรีบไป เห็นสภาพเขาผมก็ไม่อยากเอาปัญหาจุกจิกไปกวนใจเท่าไหร่ ถ้ามันยังไม่ถึงขั้นมีอันตรายร้ายแรง ผมก็ไม่อยากให้หมอเป็นห่วงนักหรอก

   พี่ดินเบะปาก เดาะลิ้นหมั่นไส้ก่อนออกจากลิฟต์

   “ถ้ากูเป็นหมอ กูจะโกรธมึงมากที่ไม่บอกเรื่องนี้” ผมถอนหายใจยาวเมื่อได้ยิน พี่ดินหันมามองผมด้วยสีหน้าจริงจังจนผมชะงักกึกอยู่หน้าลิฟต์

   “คนรักกัน นอกจากจะแชร์ความสุขให้กัน เวลามีเรื่องทุกข์ ถ้าไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้กันได้ มึงจะมีเขาไว้ทำไม... ถ้ามีไว้แค่เอากัน ไม่ต้องเรียกว่ารักก็ได้มั้งข้าวปั้น”

   

   วันนี้ผมกลับค่อนข้างดึกเนื่องจากงานไม่เสร็จ กว่าจะได้กลับก็เกือบๆ ห้าทุ่ม พี่ดินกับพี่เจี้ยนยังกลับไม่ได้เพราะยังเหลืองานค้างอยู่อีกนิดหน่อย ผมกะจะอยู่ช่วยพวกเขาแต่โดนพี่เจี้ยนไล่เปิดเปิงเพราะรถไฟฟ้าใต้ดินจะหมดแล้ว พี่เจี้ยนกลับกับพี่ดินได้เพราะบ้านอยู่ทางเดียวกัน ผมจึงรีบวิ่งฝ่าฝนไปขึ้นรถเมล์หนึ่งต่อเพื่อลงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน โชคดีที่ตอนนี้ดึกมากคนเลยไม่เยอะ ผมรีบเดินลงบันไดเลื่อนที่สถานี ระหว่างนั้นเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น ผมแตะบัตรรายเดือนเพื่อเข้าไปข้างในพลางรับโทรศัพท์ไปด้วย

   “ฮัลโหลครับหมอ”

   [“ข้าวปั้น กลับรึยังครับ เฮียมาดูที่ห้องไม่เจอเรา?”]

   หมอถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ผมปัดเนื้อปัดตัวที่เปียกฝนนิดหน่อยพลางตอบระหว่างเดินไปเพื่อลงบันไดเลื่อนอีกชั้น

   “กำลังจะกลับครับ ผมอยู่สถานี จะขึ้นรถไฟแล้ว”

   [“กินอะไรรึยัง”]

   ผมยิ้มนิดๆ หลังจากไม่ได้ยินเสียงเขามาประมาณสองวัน หมอก็เหมือนเดิม ขี้เป็นห่วง

   แต่ในขณะที่ผมกำลังจะตอบ มือถือผมก็สั่นจากการแจ้งเตือนรัวๆ ปกติไม่มีใครส่งอะไรรัวๆ แบบนี้ให้ผม ผมเอามือถือออกจากหูเพื่อดูหน้าจออย่างสงสัย ข้อความไลน์ที่เด้งพุชขึ้นมาด้านบนทำให้ผมเบิกตากว้าง



   I found you.

   I found you.

   I found you.

   I found you.

   I found you.

   I found you.



   ผมรับรู้ได้ถึงเงาด้านหลัง แต่ก่อนที่จะทันได้หันกลับไป ร่างของผมก็รู้สึกวูบ พื้นบันไดเลื่อนที่เหยียบอยู่หายไป แรงกระทบที่ไหล่ชัดเจนจนไม่คิดว่ามันเป็นความฝัน

   โครม!!!

   “กรี๊ด!! มีคนตกบันไดเลื่อน ช่วยด้วยค่ะ!”

   เสียงกรีดร้องของคนในสถานีที่น้อยนิดดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท ผมรับรู้แค่แรงกระแทกที่หัว นัยน์ตาเหลือบมองขึ้นไปด้านบน... เห็นเพียงรองเท้าหนังสีน้ำตาลที่ไม่คุ้นเคยเลยสักนิด ผมพยายามอ้าปากร้องแต่ไม่มีอะไรออกมา ใช้สติที่เหลือในการควานหามือถือที่กระเด็นไปไหนก็ไม่รู้แล้ว

   “...แก”

   “I found you.”

   เจ้าของรองเท้าจากไป แต่ผมมั่นใจแล้วว่า เรื่องนี้มันต้องเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นแน่นอน ร่างผมที่ลอยลงมาจากบันไดเลื่อนชั้นเกือบบนสุดถูกห้อมล้อมด้วยไทยมุงขนาดย่อม... ก่อนสติทั้งหมดจะวูบไป

   

   ขอโทษ... ขอโทษครับ... ขอโทษ

   ผมไม่ได้ตั้งใจ

   ขอโทษครับ

   “...โทษ ขอโทษครับ...”

   “ปั้น..”

   “ขอโทษ...”

   “ข้าวปั้นครับ”

   สัมผัสอบอุ่นที่มือและแรงบีบทำให้ผมรู้สึกตัว แสงแดดที่ส่องเข้ามาในตาทำให้ผมรู้สึกปวดหัว โดยเฉพาะความรวดร้าวบนศีรษะที่เหมือนกับจะระเบิด

   ผมปรือตาลงก่อนจะกระพริบช้าๆ เพื่อปรับสายตา สิ่งแรกที่เห็นคือหน้าของหมอที่เคราเริ่มขึ้นในชุดเสื้อกาวน์ ผมเหลือบมองไปรอบๆ ห้องสว่างเพราะถูกเปิดม่านไว้  สายน้ำเกลือและเครื่องวัดความดันระโยงระยาง

   “ข้าวปั้น ขอบคุณพระเจ้า” หมอลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียง มือใหญ่ลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนโดยไม่ให้กระทบกระเทือนแผลที่ถูกพันผ้าไว้ ผมบีบมือหมอแน่นก่อนจะถาม

   “ผม... มาอยู่นี่ได้ไง”

   “ตอนนั้นสายของเฮียยังไม่ถูกตัด เฮียได้ยินเสียงผ่านโทรศัพท์เลยรีบบอกให้รถพยาบาลไปรับ”

   “หมอ...” ผมกลืนน้ำลายที่เหนียวคอ หมออคินเลื่อนมือมาลูบแก้มผม สีหน้าเป็นห่วงฉายชัด

   “คนในเหตุการณ์บอกว่าปั้นไม่ได้ตกลงมาเอง มีคนผลัก”

   “....”

   ผมกัดปาก ความกลัวพุ่งมาจับจิตจนแรงบีบมือมากขึ้น หมอลูบมือผมก่อนจะถาม

   “เกิดอะไรขึ้น ทำไมมีอะไรเล่าให้เฮียฟัง”

   “ผม... ผมขอโทษครับ”

   น้ำตาคลอเบ้า ก่อนจะไหลพราก ผมกลัวจริงๆ นึกว่าจะตายซะแล้วตอนที่ร่างลอยลงมาจากบันไดเลื่อน ความรู้สึกตอนหัวกระแทกมันแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย เหมือนมันชาจนรับรู้ไม่ได้ แต่ความรู้สึกที่ตามมาคือความเจ็บร้าวจนสติดับไป

   ร่างสูงของหมอขยับเข้ามาโอบร่างผมเข้าไปกอดแน่น ผมสูดดมกลิ่นหอมที่ชวนสบายใจพลางสะอึกสะอื้นเป็นเด็ก มือสั่นจนเขาต้องเพิ่มแรงกอด มือใหญ่ลูบไหล่ลูบหลังปลอบใจคนเสียขวัญ ก่อนจะกดจูบกลางกระหม่อม

   “ไม่เป็นไรแล้ว เฮียอยู่นี่”

   “ผม... ผมไม่ได้ตั้งใจครับ... ฮึก ผมไม่คิดว่าเขาจะยังแค้นผม...”

   “เขา?”

   หมอไม่ถามต่อเมื่อเห็นว่าผมกำลังแตกตื่น เขาลูบผมจนกระทั่งผมสงบและหลับไปอีกรอบ

   

   - Akin Part -

   Yesterday 10.25 PM.

   ผมกลับมาถึงคอนโด ก่อนจะกลับห้องตัวเอง ผมแวะที่ชั้น 9 ก่อนเพื่อดูว่าข้าวปั้นกลับมารึยัง เมื่อถึงหน้าห้องเขา ผมไม่ได้กลิ่นเทียนหอม จึงลองเปิดเข้าไปพบว่าเจ้าของห้องยังไม่กลับ ผมจึงอยู่ให้อาหารปั้นสิบที่นวยนาดมาคลอเคลียแข้งขาเพื่อรอเขา แต่พอรอไปได้ประมาณสิบนาที ผมก็ชักเป็นห่วงเพราะข้างนอกฝนเริ่มตก ถึงแม้ว่าเขาจะกลับดึกประจำอยู่แล้วในช่วงนี้ แต่ผมก็ยังเป็นห่วงเขาตามประสาอยู่ดี

   ผมกดโทรหาข้าวปั้น หวังว่าเขาจะกำลังอยู่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินแบบปกติ ข้าวปั้นรับสายด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนเดิม ผมรู้สึกโล่งใจที่เขาอยู่สถานีแล้ว

   [“ฮัลโหลครับหมอ”]

   ผมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงเขา เหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาจะห้าทุ่มแล้ว

   กลับดึกแบบนี้ น่าจะจับลาออกแล้วเลี้ยงให้อยู่แต่ที่บ้าน

   “ข้าวปั้น กลับรึยังครับ เฮียมาดูที่ห้องไม่เจอเรา?”

   [“กำลังจะกลับครับ ผมอยู่สถานี จะขึ้นรถไฟแล้ว”]

   “กินอะไรรึยัง”

   ผมถามด้วยความเป็นห่วง กลัวโรคกระเพาะจะเล่นงานเขาอีก ผมไม่อยากเป็นคนลงมือผ่าให้เขาอีกรอบหรอกนะ เมื่อก่อนอาจทำได้ แต่ตอนนี้ผมค่อนข้างกังวลถ้าต้องผ่าคนที่ผมรักด้วยตัวเอง

   ข้าวปั้นไม่ทันได้ตอบ ผมถามย้ำ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงโครมคราม ตามด้วยเสียงกรีดร้องผ่านลำโพง ผมตะโกนเรียกเขา หวังว่าเขาจะไม่เกี่ยวข้องกับเสียงโวยวายที่ผมได้ยิน ใจผมเต้นรัวเร็ว มือเย็นเฉียบ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเสียงคนพูดว่ามีคนตกบันไดเลื่อน

   ผมรีบคว้ากุญแจรถที่วางไว้บนโต๊ะพร้อมกับรีบโทรเรียกรถพยาบาลด้วยเส้นสายที่มี

   “นี่อคิน ส่งรถพยาบาลมาที เดี๋ยวนี้!”

   

   หลังจากประสานงานกับรถพยาบาลเรียบร้อยว่าจะส่งเขาไปโรงพยาบาลไหนที่ใกล้ที่สุด  ผมก็รีบขับไปยังโรงพยาบาลนั้นทันที โชคดีที่เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่ผมมีเพื่อนอยู่ที่นั่น ร่างข้าวปั้นถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินก่อนผมจะมาถึง ผมรีบติดต่อหาเพื่อนที่เป็นหัวหน้าแพทย์ทันที แม้มันจะไม่ถูกต้องแต่ผมก็สามารถขออนุญาตเข้าห้องฉุกเฉินได้ด้วยตำแหน่งหมอและเส้นสายนิดหน่อย

   ผมถูกกันตัวไว้ข้างๆ เพื่อให้แพทย์ประจำวอร์ดได้ทำหน้าที่ สภาพเลือดอาบหัวของเขาทำให้ผมมือสั่นไม่หยุด แม้แต่เย็บแผลง่ายๆ ที่ผมหลับตาก็ทำได้ตอนนี้ก็ไม่สามารถ ภาวนาขอให้คนที่นอนไม่ได้สติไม่เป็นอะไร

   ไหล่ผมถูกแตะโดยคนที่อนุญาตให้ผมเข้ามาในห้องฉุกเฉิน ผมหันกลับไปด้วยสีหน้าซีดเผือด ชายที่สูงวัยกว่ายิ้มให้พลางบอกว่า เขาไม่เป็นอะไรหรอก

   “ใจเย็นๆ หมอโรงพยาบาลเราไม่ได้กระจอกๆ ไปนั่งรอเถอะ ยืนตรงนี้มันเกะกะ”

   “ขอบคุณที่ให้ผมเข้ามาครับ หมอพัช”

   แพทย์อาวุโสที่ผมนับถือเป็นทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ตบบ่าผมพลางยิ้มให้อย่างใจเย็น

   “คนสำคัญรึ ไม่เคยเห็นคุณร้อนรนขนาดนี้มาก่อน ต่อให้กำลังลงมือผ่าพ่อตัวเองก็เถอะ”

   ผมพยักหน้ารับ หมอพัชโคลงหัวก่อนจะผละออกไป ไม่ถามอะไรต่อ

   การช่วยเหลือผ่านไปด้วยดี ข้าวปั้นถูกแอดมิดเข้าโรงพยาบาลโดยผมขอทำการย้ายไปยังโรงพยาบาลของผมเพื่อทำการดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งผมทำการติดต่อไว้เรียบร้อยแล้ว ผมโทรบอกริลินเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อบอกให้เธอช่วยแวะเอาเสื้อผ้าของผมมาให้ที่โรงพยาบาลหน่อย น้องสาวผมดูตกใจมากก่อนบอกว่าจะรีบมา

   ผมลงเวรแล้วก็จริง แต่ตอนเช้าก็ต้องไปราวด์วอร์ดผู้ป่วยอยู่ดี ผมนั่งเฝ้าเขาทั้งคืน มีโอกาสงีบสักพักก็ต้องตื่นไปราวด์แล้ว ระหว่างนั้นริลินจึงอาสาเฝ้าแทนไปก่อน รอจนผมตรวจผู้ป่วยเสร็จจึงขอตัวกลับคอนโดเพื่อไปอาบน้ำอาบท่า ผมผละจากเขาเพื่อไปอาบน้ำบ้างหลังจากไม่ได้อาบมาทั้งคืนที่ห้องพักแพทย์ที่อยู่ตึกเดียวกัน ระหว่างนั้นก็ขอให้พยาบาลช่วยดูแล ผมคาดหวังว่าเขาจะฟื้นตอนผมกลับมา แต่ผ่านไปจนเลยบ่ายเขาก็ยังไม่ตื่น จนผมใจเสีย... ผมไม่เคยคิดเลยว่า การที่เขาหลับไม่ยอมตื่นแบบนี้จะทำให้ผมรู้สึกกังวลได้มากขนาดนี้

   ผมอยากเจ็บแทนเขา...

   ตอนเช้าหลังจากราวด์วอร์ดเสร็จ ผมติดต่อเพื่อนที่เป็นตำรวจเพื่อขอให้เขาตรวจสอบเรื่องนี้ให้หน่อย ประมาณสามชั่วโมงเขาก็โทรมารายงานเกี่ยวกับการสอบถามพยานรู้เห็นที่สถานีรถไฟฟ้าเมื่อคืน เพื่อนตำรวจบอกว่า มีคนผลักข้าวปั้นตกลงมา เขาไม่ได้ตกลงมาเอง แล้วคนที่ผลักก็สวมเสื้อกันฝนคลุมฮู้ดปิดบังหน้าตา อาจเป็นเพราะในสถานีตอนกลางคืนคนน้อยเลยทำให้ไม่มีคนสนใจสังเกต แถมข้างนอกสถานีก็ฝนตกหนักจนทำให้คนที่ผลักเดินหายไปได้ง่ายหลังจากเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย

   มิน่า ท่าทีของข้าวปั้นช่วงนี้ถึงดูระแวงกังวลไปหมด แต่ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับเขา เพราะช่วงนี้ทั้งเขาและผมต่างยุ่งมากทั้งคู่

   ผมผิดเองที่ดูแลเขาไม่ดีพอ

   “ข้าวปั้น...”

   ในที่สุดคนที่นอนนิ่งมาทั้งวันก็ขยับตัว เขาเพ้อพูดแต่คำว่า ขอโทษ ขอโทษ ผมไม่รู้ว่าเขาขอโทษอะไร แต่ผมดีใจที่ในที่สุดเขาก็รู้สึกตัวเสียที

   ผมกุมมือบางๆ แน่น เรียกชื่อเขา จนคนที่นอนอยู่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

   ผมกอดเขา กอดคนเสียขวัญแน่น เขาดูตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและผมเองก็สงสัยกับสิ่งที่เขาพูด

   แม้จะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน แต่สิ่งที่ผมสงสัยก็คงไม่พลาดเท่าไหร่

   มีคนคิดร้ายกับข้าวปั้น...



#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

https://twitter.com/_SeenYu

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
เคยมีอดีตเป๋นยังไงนะ?? อยากรู้,,,

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
ตอนนี้ก็ยังสังสัยเพิ่มขึ้นไปอีก

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
กำลังจะเฉลยเหตุการณ์ในอดีตแล้วใช่ป่ะจะเกี่ยวข้องกับที่ปั้นกลัวความมืดมั้ย​ ลุ้นมากเลย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 24
หมอครับ เฮียรู้แล้ว



   ผมลางานแค่สองวันเพราะโชคดีที่ติดวันเสาร์อาทิตย์ก็ได้เวลากลับไปทำงาน

   ผมตื๊อจะกลับบ้านทันทีหลังจากทำ CT scan เพื่อเช็คว่ามีอะไรผิดปกติกับสมองหรือมีเลือดคั่งรึเปล่าแล้วปรากฏว่าไม่มีอะไรน่าเป็น

   “ปั้นครับ”

   “หมอครับ ผมโอเคครับ ผมอยากกลับไปทำงาน”

   หมอพยายามรั้งผมให้อยู่โรงพยาบาลต่อ แต่ผมดื้อจะกลับท่าเดียว แม้พวกพี่ดินจะพยายามไล่ให้ผมลาเพิ่มอีกหนึ่งอาทิตย์ก็ตาม

   หมอจ้องหน้าผมนิ่งขณะที่เขาขับรถมาส่งผมถึงบริษัท ผมขอให้เขามาส่งแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น เพราะเขามีราวด์เช้าทุกวัน จะผลัดเวรแบบนี้บ่อยๆ ไม่ได้ ผมยิ้มให้เขาเพื่อคลายกังวล

   “ถ้าปวดหัว หน้ามืดหรืออยากอาเจียนให้โทรหาเฮียนะ ห้ามทน ห้ามฝืน แล้วเย็นนี้เลิกงานตรงเวลานะครับ เฮียจะมารอรับ”

   ผมทำท่าจะปฏิเสธ แต่เขาทำหน้าดุจนผมพูดได้แค่คำว่า ครับ

   ก่อนผมจะลงจากรถ มือใหญ่รั้งหลังคอผมให้หันกลับมาช้าๆ ก่อนจะกดจูบที่หน้าผากแผ่วเบาเพราะกลัวจะกระทบกระเทือนบาดแผล เขาลูบหัวแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

   “ดูแลตัวเองนะครับ”

   “ครับหมอ”

   ผมลงจากรถออดี้ด้วยหน้าแดงเป็นสีเกราะไอรอนแมน ยืนส่งหมอจนรถหรูขับหายลับตาไปจึงค่อยล้วงเอามือถือขึ้นมากดต่อสายหาคนที่อยู่เชียงราย

   นัยน์ตาของผมแข็งกร้าวขึ้นมา

   “เฮียปุ้น ปั้นถูกผลักตก MRT”



   ผมเลิกงานหนึ่งทุ่มตรงเป๊ะ ไม่รู้ทำไมวันนี้สมาธิดีเหลือเกิน จนพี่เจี้ยนที่นั่งทำงานอยู่ข้างๆ ถึงกับเงียบนิ่งเพื่อดูท่าทางเอาจริงเอาจังของผม

   “กลับแล้วเหรอข้าว กูกลับด้วยดิ”

   ผมที่กำลังเก็บกระเป๋า เงยหน้ามองพี่เจี้ยนที่เก็บของตาม ผมยกมือถือขึ้นมาดูว่าคนที่ผมเรียกมาวันนี้มาถึงรึยัง

   ไม่ใช่หมอหรอกครับ ผมบอกหมอไปแล้วว่าวันนี้จะมีคนมารับผมแทน เขาจะได้ไม่ต้องถ่อวนมารับผม ไม่อยากรบกวนให้มากความ

   ผมลงมาพร้อมพี่เจี้ยน ระหว่างลงลิฟต์ก็กดตอบแชทไปด้วย

   “กลับไงวะ แท็กซี่มั้ย มึงกลับคนเดียวกูเป็นห่วง”

   พี่เจี้ยนถาม ผมส่ายหน้า

   “วันนี้มีคนมารับครับ”

   พี่เจี้ยนมองหน้าผมอย่างสงสัย ร้อยวันพันปีคงไม่ค่อยจะเห็นว่านายข้าวปั้นมีคนมารับล่ะสิ แหงสิครับ ถึงพวกผมจะเข้างานพร้อมกัน แต่เลิกงานไม่ค่อยจะตรงกันหรอกนะครับ

   “ใครวะ”

   ผมไม่ทันจะได้ตอบ ระหว่างที่เราสองคนกำลังเดินออกนอกบริษัท รถเจ็ดที่นั่งสีดำสนิทจอดนิ่งอยู่ตรงหน้าโดยมีร่างสูงกำยำเป็นหมีควายยืนสูบบุหรี่รอ สภาพคล้ายๆ กับหมอเวลามารอรับผมเลย

   ทำไมคนพวกนี้ต้องสูบบุหรี่รอกันด้วยนะ?

   “หวัดดีเฮีย”

   ผมทักทายเฮียปุ้นที่หันมาพ่นควันบุหรี่ออกจนมันคลุ้งมาทางผมอย่างเสียมารยาท ผมกรอกตา ปัดไล่ควันพิษ เฮียปุ้นมองหน้าผม ก่อนจะเหลือบไปมองพี่เจี้ยนที่ทำหน้าตกใจเหมือนเห็นก็อตซิลลา...

   เฮียปุ้นกอดอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม เสื้อยืดพอดีตัวสีเทาของเฮียจะแน่นไปไหน ผมล่ะกลัวอกเฮียระเบิด รอยยิ้มแสยะปรากฏบนมุมปากเขา ผมสยองว่ะ

   “ยิ้มไรเฮีย”

   “เปล๊า”

   “ไอ้ข้าว กู... กูกลับก่อนนะ”

   พี่เจี้ยนรีบเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อเดินไปยังป้ายรถเมล์ อ้าว! ผมกะจะให้เฮียขับไปส่งเลย ถึงจะคนละทางก็เถอะ

   “เดี๋ยวสิน้องเจี้ยน”

   กลายเป็นเฮียปุ้นที่ทักพี่เจี้ยนไว้แทนผม ร่างผอมบางของพี่เจี้ยนในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งฉิบหายเหมือนใส่เลียนแบบเดอะแรปเปอร์สะดุ้งเฮือก เขาหยุดก็จริง แต่ไม่ได้หันกลับมา

   “ไม่ทักไม่ทายกันหน่อยเหรอคะ”

   “คะ?”

   ผมหันขวับมองหน้าเฮียที่ใช้ภาษาประหลาด ไอ้เฮียมันอ่อนหวานแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่... ขนลุก ผมหันไปมองพี่เจี้ยนที่ค่อยๆ หันกลับมาเพื่อยกมือพนมกลางอกอย่างสวยงาม รอยยิ้มแห้งสนิทถูกส่งกลับมาให้

   “สะ... สวัสดีครับ พี่ข้าวปุ้น”

   “สวัสดีครับ แล้วนี่จะไปไหนเหรอครับ” เฮียปุ้นถามคนที่ทำท่าเหมือนจะหนี ผมไม่เข้าใจท่าทีนั้น ผมนึกว่าพี่เจี้ยนจะสนิทกับเฮียแล้วซะอีก วันนั้นยังเห็นแอบไปกินเหล้าด้วยกันอยู่เลยนี่หว่า

   “ผะ... ผะ... ผมจะกลับบ้านน่ะครับ”

   “กลับด้วยกันสิพี่เจี้ยน เนี่ย เดี๋ยวให้เฮียวนรถไปส่ง”

   ผมชวนอย่างมีน้ำใจ แน่นอนว่าค่าน้ำมันเฮียปุ้นออก ไม่ใช่ผม

   “ไม่เป็นไรว่ะ กู... กูว่าจะแวะข้าวสาร”

   “ข้าวสาร? วันนี้เนี่ยนะ วันนี้วันอังคาร”

   “เออ กูนัดวันนี้ มีเงินวันนี้ กูจะไปวันนี้ ไปล่ะ!”

   แล้วร่างผอมแห้งในเสื้อตัวใหญ่ก็วิ่งแจ้นหนีไปเลย ผมหัวเราะหึในลำคอ ส่ายหัวระอาใจกับรุ่นพี่ที่ลั้ลลาได้แม้กระทั่งช่วงที่ไฟลนก้น ก่อนจะหันไปมองเฮียปุ้นที่ยกมือปิดปากเหมือนกลั้นขำ ผมมองท่าทางน่าสงสัยแล้วก็ได้แต่เก็บเงียบไว้

   ผมไม่ยุ่งเรื่องคนอื่นครับ... เว้นแต่เรื่องจะเข้ามาให้ผมยุ่ง

   ผมกับเฮียปุ้นขึ้นรถ หลังจากที่ผมโทรหาเฮียตอนเช้า เขาก็จองตั๋วเครื่องบินดิ่งมาหาผมทันที โดยที่ผมกำชับเด็ดขาดว่าอย่าบอกเรื่องนี้ให้คนที่บ้านรู้ ผมยังไม่อยากให้คนที่บ้านเป็นห่วงก่อนจะมั่นใจว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับคนที่ผมสงสัยจริงๆ หรือเปล่า

   “ไปเอารถมาจากไหน?”

   “ยืมกู๋จิณณ์มา”

   “หืม? มิน่าล่ะ ล่อ  BMW มาเชียว” ผมมองรถหรูที่เฮียปุ้นไปขอยืมจากลูกพี่ลูกน้องของแม่ จะว่าไปบริษัทของกู๋จิณณ์ก็อยู่แถวนี้นี่นา ถึงจะไม่เคยไปหาเลยก็ตามที แต่ทุกปีวันตรุษจีนก็จะมีซองแดงส่งมาแจกหลานๆ เป็นประจำ

   “เออ ว่าแต่แก เล่ามา อะไรยังไง ไปทำท่าไหนถึงตกบันไดเลื่อน”

   เฮียปุ้นเปิดประเด็นถาม แน่นอนว่าผมก็จะบอกแหละ เรื่องมันเริ่มจะเลยเถิดถึงขั้นเลือดตกยางออกแล้ว

   “ก่อนหน้านั้นประมาณสองสามอาทิตย์มีเมลแปลกๆ ส่งมาให้ปั้นทุกวัน วันละสองสามฉบับด้วยแอคเคาน์ไม่ซ้ำกันเลย ตอนแรกปั้นนึกว่าเป็นสแปม แต่ดูท่าทีแล้วไม่น่าจะใช่ ตอนแรกปั้นไม่ได้นึกเอะใจอะไร จนกระทั่งวันที่ปั้นตกบันได ตอนเช้ามีจดหมายส่งมา มีรูปกับเนื้อหาของข่าวเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนจากหนังสือพิมพ์เก่าตัดสอดไว้”

   ผมกลืนน้ำลาย มือชื้นเหงื่อกำแน่น เฮียปุ้นขับรถไปด้วยเหลือบมองผมไปด้วย

   “จากนั้นปั้นก็ถูกผลักตกบันไดเลื่อนตอนขากลับ คนที่ผลักปั้นไม่เห็นหน้า แต่เขาพูดกับปั้นก่อนไป”

   “ว่า?”

   “I found you”

   เฮียปุ้นเบรกรถจอดติดไฟแดงพอดี ผมถอนหายใจยาว

   “แล้วใครช่วยแก”

   “หมออคิน...”

   ผมพลั้งปากตอบไปอย่างลืมตัว ก่อนนึกขึ้นได้ว่าเฮียปุ้นไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับหมอเสียหน่อย ผมหุบปากลง เหลือบมองเฮียปุ้นที่ยิ้มมุมปากชอบใจ ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

   “เมื่อไหร่แกจะบอกเฮียเรื่องอคิน?”

   “ฮะ? เรื่องอะไร”

   ผมตกใจมากที่เฮียถามขึ้นแบบนี้ ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้ทำอะไรให้มีพิรุธและก็ไม่เคยหลุดปากเรื่องหมอ...

   หรือว่าหมอจะเป็นคนบอก?

   “ไอ้ข้าวปั้น แกคิดว่าเฮียโง่เหรอ”

   เฮียปุ้นเข้าเกียร์ออกรถ มุ่งหน้ากลับคอนโดผม ผมเม้มปากแน่นเมื่อไม่รู้ว่าเฮียปุ้นรู้เรื่องอะไรมา เขาหุบยิ้มก่อนพูด

   “เรื่องแกกับอคิน เฮียรอแกพูดมาจะปี จนป่านนี้แกก็ยังไม่พูด เฮียก็อยากถามแกว่าจะปิดบังไปจนถึงเมื่อไหร่”

   “เฮีย! ใครบอกเฮีย ปั้น... ปั้น...”

   เฮียปุ้นยกมือมาโยกหัวผมที่กำลังตื่นตระหนกตกใจกับเรื่องที่ตัวเองไม่รู้ สัมผัสของเฮียปุ้นทำให้ผมค่อยใจเย็นลงหน่อย หมายความว่าเฮียไม่โกรธเรื่องที่ผมคบกับผู้ชายสินะ...

   “ใจเย็นไอ้ตูด เฮียไม่ได้จะก้าวก่ายชีวิตแก บ้านเราไม่ตัดสินใจแทนกันแกก็รู้ แล้วเรื่องระหว่างแกกับอคินก็ไม่เห็นว่าแกจะต้องปิดบัง เฮียยังไม่เห็นเคยปิดแก”

   ผมยิ้มแหย ผมรู้ ครอบครัวผมก็รู้ว่าเฮียปุ้นน่ะ ชอบทั้งผู้ชายและผู้หญิง เขาพาทั้งชายทั้งหญิงเข้าบ้านไม่ซ้ำหน้าสมัยเรียน แถมตั้งแต่ปลูกบ้านแยกเป็นของตัวเอง ถ้าไม่บอกไว้ก่อนก็แทบจะไม่มีใครกล้าเข้าไปในอาณาเขตบ้านเฮียโดยไม่ได้รับอนุญาต กลัวเจอแจ็กพอตกัน

   ผมรู้ไงว่าเฮียไม่สนและม๊ากับป๊าก็ทำใจเรื่องนี้ไว้นานแล้ว

   แต่สำหรับผม... ผมไม่อยากให้ป๊ากับม๊าผิดหวัง

   “ปั้น... ปั้นกลัวป๊าผิดหวัง”

   เฮียปุ้นมองหน้าผม มือที่จับหัวผมเปลี่ยนเป็นผลักทิ้งอย่างหมั่นไส้จนคลอน ผมร้องอย่างไม่พอใจ เฮียปุ้นหัวเราะหึ กรอกตามองบน เลี้ยวรถเข้าคอนโด

   “แกจะเป็นอะไร จะชอบใครรักใคร ป๊ากับม๊าไม่ว่าหรอกเชื่อเฮีย ขอแค่เขาดีกับแก เขารักแก ดูแลแก เฮียว่าแค่นั้นป๊าก็พอใจแล้ว ส่วนเรื่องทาย้งทายาทสืบสกุลอะไรนั่นอย่าไปคิดเยอะ อย่าลืมว่ายังเหลือยัยฟ่างที่ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมแต่งออกนั่นอีกทั้งคน”

   พี่สาวคนโตถูกดึงมาเอี่ยวด้วย ผมหัวเราะ ก็ใช่... หลังจากที่ทั้งบ้านรู้ว่าเฮียปุ้นอาจไม่สามารถมีหลานให้ม๊าอุ้มได้ เจ้ฟ่างก็ประกาศกร้าวเด็ดขาดว่าใครจะแต่งกับชี ต้องใช้นามสกุลชีเท่านั้น

   ครับ... เจ้เราเท่อย่าบอกใคร

   “แล้ว... เฮียรู้ได้ไง”

   ผมถามระหว่างขึ้นลิฟต์ กดชั้น 9 อย่างคุ้นเคย เฮียปุ้นเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์ข้างหนึ่งโดยที่อีกข้างหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองพาดบ่าสบายๆ

   “มันโทรมาขอแกกับเฮียวันเดียวกับที่แกโทรมาบอกเฮียว่าจะกลับบ้านเมื่อปีก่อน”

   “ปีก่อน!”

   ผมลองคำนวณดู... เดี๋ยวนะๆ

   ทำไมรู้สึกเหมือนจะมีเรื่องให้ทะเลาะกันยังไงก็ไม่รู้

   ผมใช้คีย์การ์ดแนบประตูเพื่อปลดล็อค ไฟในห้องสว่างโร่บ่งบอกว่าคนที่อยู่ชั้น 15 ไม่ยอมกลับห้องตัวเองอีกแล้ว ร่างสูงของหมอนั่งคอพับคออ่อนพิงโซฟาอยู่แบบเดิม ในมือยังคงมีไอแพดและข้างๆ มีเอกสารเต็มไปหมด

   เขาจะเอางานกลับมาทำที่บ้านแบบนี้ทุกวันไม่ได้นะ

   หมอหรือ CEO

   เฮียปุ้นหัวเราะเมื่อเห็นสภาพเพื่อนตัวเอง นี่ถ้าเฮียปุ้นไม่บอกผมก่อนว่ารู้เรื่องผมกับหมอแล้ว  ผมคงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกถ้าเปิดเข้ามาแล้วเจอสภาพนี้ในห้อง ผมไม่รู้จะโกหกยังไงให้เนียนเลยจริงๆ

   “ไอ้คิน”

   เฮียปุ้นเดินแทรกเข้าไปสะกิดด้วยเท้า ไอ้เฮีย! ใช้เท้ากับเพื่อนไม่ได้นะเว้ยเฮ้ย!

   หมอลืมตาขึ้น ขอบตาเขาคล้ำเป็นแพนด้า ถอดแว่นออกเพื่อนวดหัวตาคลายความล้า ก่อนจะสวมมันกลับไปใหม่ หมอกวาดตามองไปรอบๆ มองหน้าเฮียปุ้นแล้วเลิกคิ้วข้างเดียว ก่อนจะหันมามองผมพลางกวักมือเรียก

   “ปั้นครับ มานี่”

   ผมมองหมอกับเฮียสลับกันเลิ่กลั่ก เมื่อไม่ยอมเดินไปหาเสียที หมอจึงเรียกอีกรอบ

   เห็นกูเป็นแมวอีกแล้วหมอ...

   ผมเดินตัวลีบไปนั่งข้างเขา หมอแหวกกลุ่มผมข้างที่มีผ้าก๊อซแปะอยู่เพื่อเช็คก่อนถาม

   “ปวดมั้ย”

   “ไม่เท่าไหร่ครับ”

   “อย่าพึ่งสระผมนะ สระแห้งไปก่อน”

   “ครับ”

   “อะแฮ่ม!” เฮียปุ้นโยนกระเป๋าไว้ข้างๆ จนปั้นสิบสะดุ้งกระโดดหนีไปบนเตียง “หมั่นไส้ว่ะ ไปรักกันไกลๆ”

   ผมรีบลุกขึ้น หมอรั้งข้อมือผมไว้ก่อนจะยิ้มให้

   “งั้นไปห้องเฮียกัน ปล่อยปุ้นมันอยู่นี่แหละ”

   “หมอ!”

   ผมตีมือเขา หมอหัวเราะเลิกแหย่ก่อนจะปล่อยพลางบอกว่าเขาซื้อข้าวเย็นมาให้แล้วให้ผมไปจัดการได้ คุณหมอจัดการเก็บเอกสารให้เรียบร้อย เคลียร์พื้นที่ให้เฮียปุ้นทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ

   “ขอบใจที่ดูแลไอ้ปั้น” เฮียปุ้นพูด ผมที่ยืนจัดจานอยู่ตรงส่วนครัวหน้าร้อน... อย่ามาคุยอะไรแบบนี้ให้ผมได้ยินได้มั้ย

   “แฟนกูก็ต้องดูแลสิ” หมอตอบกลับนิ่งๆ ตามฉบับ เป็นการตอบที่ทำให้ผมทำส้อมหลุดมือ

   “อะไรไอ้ปั้น ซึ้งจนมือไม้อ่อนแรงเรอะ” เฮียปุ้นแซว ผมอยากขว้างกระป๋องเบียร์ให้กระแทกกลางหน้าเฮียแม่งจริงๆ

   “เงียบเลยเฮีย!”

   หลังจากช่วยกันจัดการมื้อเย็นในสถานที่แคบๆ เราก็เริ่มตั้งวงคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมปรึกษาเฮียปุ้นก่อนแล้วว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้หมอฟังด้วยดีมั้ย ซึ่งแน่นอนว่าเฮียปุ้นบอกว่าเขาควรจะรู้ไว้ ถึงมันจะเป็นเรื่องที่นานมาแล้วก็ตาม ผมค่อนข้างลำบากใจที่จะเล่า เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องดีเสียเท่าไหร่

   “คิน มึงรู้แล้วใช่มั้ยว่าข้าวปั้นเป็นโรคกลัวที่แคบที่มืด”

   เฮียเปิดประเด็นด้วยโรคที่อยู่กับผมมานานสิบเจ็ดปี หมอพยักหน้ารับ

   “สาเหตุของมันมาจากเรื่องเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน กูว่าตอนนั้นมึงไม่น่าจะอยู่ไทยแล้วน่าจะไม่ทันข่าว”

   หมอเอียงคอ ก่อนมองมาทางผมที่หน้าซีดเผือด ตอนนึกถึงเหตุการณ์นั้นมันทำให้ผมตัวสั่น

   “คดีลักพาตัวเด็กสิบเจ็ดคน”

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ห่ะ ร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรอ??

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
ยังไงเนี่ย ลุ้นสุด ๆ เลย :o12:

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลยนะเนี่ย

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
คนที่ผลักปั้นคือคนที่มาคุยกับปั้นว่าน้องตัวเองอายุเท่ากับปั้นแต่ตายแล้วป่าว

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ก่อนอื่นบอกพี่เจี้ยนว่า หนียังไงก็หนีไม่พ้นเฮียปุ้นหรอก ว่าแล้วก็ปล่อยพี่เจี้ยนวิ่งไปก่อน
เฮียปุ้น มาแบบเสื้อยืดรัดติ้ว แบบพระเอกฟิสเนส แต่มีพูดค่ะ หวายมีอ่อนหวานด้วย
เฮียคิน ก็ดูแลแฟนได้ดีแม้จะงานเยอะไปหน่อย เจอกันแล้วเหม็นฟามรัก
ข้าวปั้น ยังมีหลายอย่างในอดีตที่น่าติดตามมากมาย แต่มีอะไรควรปรึกษาแฟนและพี่นะจ๊ะ

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 25
หมอครับ ลักพาตัว



   “ช่วงยี่สิบปีก่อน คดีแก๊งอุ้มเด็กฮอตฮิตมาก แต่ยังไม่มีข่าวว่าเด็กที่เชียงรายหายไป ป๊ากับม๊าเองก็ไม่ไว้ใจถึงกับไปรับไปส่งที่โรงเรียนทุกวัน แต่จู่ๆ คดีมันก็เงียบไปจนผ่านไปสามปี ก็มีข่าวลือว่าเด็กบนดอยหายตัวไป อีกไม่กี่อาทิตย์เด็กเล็กในศูนย์เด็กของอำเภอรอบนอกถูกอุ้มไปโดยคนที่ไม่ใช่พ่อแม่ ช่วงนั้นตำรวจและสายตรวจวุ่นวายเต็มไปหมด จนกระทั่งเด็กโรงเรียนข้าวปั้นหายไปสามคน รวมไอ้ปั้นด้วย”

   เฮียปุ้นเล่าย้อนความ เขาจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี

   วันนั้นเป็นช่วงหน้าหนาว พระอาทิตย์ตกดินเร็ว แค่ห้าโมงเย็นฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว โรงเรียนประถมปกติเลิกสี่โมงเย็นเป็นประจำ เฮียปุ้นอยู่โรงเรียนมัธยมที่อยู่ในตัวเมืองแถมยังขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรียนเอง ส่วนผมเรียนโรงเรียนประถมใกล้บ้าน ดูแล้วมีแต่คนรู้จักหน้าค่าตากันทั้งนั้น ทำให้ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่

   ผมจำได้ว่าวันนั้นอยากออกไปหาซื้ออะไรกินนอกรั้วโรงเรียนระหว่างรอให้ม๊ามารับเหมือนทุกที ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ระหว่างที่ผมกำลังจะเดินเลี้ยวตรงหัวโค้งที่ไม่ได้เป็นมุมอับอะไร จู่ๆ ก็มีรถปิกอัพคันใหม่เอี่ยมเทียบจอดข้างๆ ผมถูกอุ้มขึ้นไปทันทีโดยไม่มีสิทธิ์ได้ร้องใดๆ ทั้งสิ้น ผมได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากแม่ค้าขายของที่เห็นเหตุการณ์ จนสุดท้ายสติผมก็ดับวูบไป

   “ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว ตอนอ่านข่าวเราไม่สามารถเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ของเด็กพวกนั้นได้เลย ถ้าไม่เจอกับตัว...”

   เฮียปุ้นเอามือวางไว้บนหัวผมที่ลูบขนปั้นสิบอยู่ ผมเล่าต่อเฮียเพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่ผมเจอโดยตรง

   “ผมตื่นขึ้นมาอีกทีในโกดังร้าง มันมืดและเหม็นอับเหมือนกลิ่นเปลือกข้าว ผู้ใหญ่ประมาณหกเจ็ดคนเดินเข้ามาพร้อมกับถุงกระสอบ พวกมันเปิดไฟทำให้ผมเห็นว่ามีเด็กอายุไล่เลี่ยกับผมถูกจับมัดไว้อยู่ และในกระสอบก็คือเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่าห้าขวบ เด็กพวกนั้นเอาแต่ร้องไห้ตอนตื่น... แต่ผมร้องไม่ออก”

   ไม่ใช่ว่าผมเข้มแข็งอะไร ผมแค่กลัว กลัวมากจนไม่กล้าร้องออกมา

   “ผมเห็นเพื่อนร่วมชั้นแต่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันถูกจับมัดไว้ไกลออกไปรวมกับเด็กที่ใส่ชุดดอย ผมว่าเด็กพวกนั้นน่าจะเป็นเด็กกลุ่มแรกๆ ที่พวกมันจับมา พวกมันไม่ได้ทำอะไรนอกจากสั่งให้พวกเราอยู่กันเงียบๆ ผมได้ยินคนนึงพูดว่า พวกเราคือสินค้า ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กอย่างเราถึงเป็นสินค้า”

   ผมกลืนน้ำลาย ภาพวันนั้นติดตาตรึงใจจนทำให้ผมขวัญผวามาถึงทุกวันนี้

   “ผมถูกขังโดยไม่ให้เห็นแสงข้างนอกกี่วันไม่รู้ แต่ทุกครั้งที่พวกผู้ใหญ่เข้ามา มันจะลากเด็กออกไปหนึ่งคน และเด็กคนนั้นจะไม่ได้กลับมาอีก ทุกครั้งที่มีหนึ่งคนโดนลากออกไป เด็กที่เหลืออยู่จะเข้ามาใกล้กันเรื่อยๆ เราไม่พูดอะไรกัน แม้กระทั่งชื่อพวกผมยังไม่กล้าที่จะถาม ผมกลัวว่าถ้าพวกมันได้ยินเสียง เสียงของพวกผมจะทำให้โดนลากออกไป...

   จนกระทั่งเด็กที่ถูกจับมาจากโรงเรียนเดียวกันถูกลากออกไปบ้าง เขาตะโกนเรียกชื่อผม เป็นครั้งแรกที่ผมรู้ว่าเขาจำผมได้ นอกจากเราจะทำได้แค่มองกันโดยไม่พูดอะไร เขาพยายามคว้าผมไว้ แต่ผมกลัวเกินกว่าจะคว้าเขากลับมา ผมทำได้แค่กอดตัวเองให้แน่นที่สุด อ้อนวอนขอให้รายต่อไปไม่ใช่ผม”

   ผมจำสายตาของเขาได้ มันมีทั้งความโกรธแค้น ความสิ้นหวัง และความหวาดกลัว

   แต่สายตาของผมคงเป็นแค่สายตาของคนเห็นแก่ตัว

   “เขาเป็นคนเดียวที่ได้กลับมา กลับมาด้วยสภาพเลือดท่วมตรงท้อง เขาไม่ได้ถูกเอาไปทั้งตัวเหมือนคนอื่น เขาถูกเอาไปแค่ไตข้างเดียว...”

   “ค้าอวัยวะ?”

   หมอเบิกตากว้างเมื่อผมเล่ามาถึงตอนนี้ ผมจิกแขนตัวเอง

   “มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าร่างกายคนเรามีเลือดเยอะขนาดนี้เลยจริงๆ เหรอ... เขาถูกพามานอนที่เดิม เด็กที่เหลืออยู่มีประมาณห้าหกคน ทุกคนเริ่มจิตตกจนกระเจิดกระเจิงไปคนละฟาก ผมว่าคงไม่มีเด็กคนไหนเคยเจอเลือดเยอะขนาดนี้มาก่อน”

   ผมคลานไปหาเขา ไปเขย่าตัวเด็กผู้ชายที่อยู่ในสภาพไม่ต่างกับศพ เขามองผมด้วยสายตารังเกียจ ผมพยายามถอดเสื้อของตัวเองออกมาอุดปากแผลเขา แต่เหมือนแรงของผมจะยิ่งทำให้เลือดไหล...

   “ผู้ใหญ่สามคนเตะผมออกไปก่อนจะอุ้มเขาไปนอนบนโต๊ะยาวๆ กลางห้อง เหมือนผมจะไปกดให้ปากแผลเขาเปิด”

   หมอกระพริบตาปริบๆ คงนึกภาพตามแล้วระอาผมล่ะมั้ง แน่ล่ะ ตอนนั้นผมยังเด็ก ผมไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ผมทำจะช่วยเขาได้ หรือทำให้เขาตายไวขึ้น

   “ผมแอบมองคนพวกนั้นเย็บแผลให้เขาใหม่ แต่คราวนี้เขาไม่ได้แค่เย็บ ผมเห็นเขายัดบางอย่างลงไป” ผมกลืนน้ำลาย “หลังจากพวกมันเย็บแผลให้เด็กคนนั้น มันก็หันมาทางพวกผม ผมคิดว่า คราวนี้แต้มบุญผมหมดแล้วแน่นอน”

   ผมพยายามกระถดตัวหนีด้วยเรี่ยวแรงที่มี แต่สุดท้ายก็ไม่รอด พวกมันจับเด็กที่เหลือปิดตารวมถึงผมด้วย ผมตะโกนร้องไห้เป็นครั้งแรกตั้งแต่โดนจับมา ในความมืดมิดใต้ผ้าปิดตา ผมพยายามดิ้นและขอร้องให้ปล่อยผมไป ผมถูกจับถอดเสื้อผ้า โดนจับฉีดยาอะไรก็ไม่รู้ จากนั้นความรู้สึกสุดท้ายที่จำได้คือความเจ็บมหาศาลที่ท้อง

   “ข้าวปั้น...”

   ผมลูบๆ ท้องตัวเอง แม้รอยแผลตอนนั้นจะไม่ลึกมากเพราะโชคช่วยก็ตาม

   “โชคดีที่ตอนนั้นหน่วยปราบปรามตามไปจนเจอก่อนที่ข้าวปั้นจะโดนยัดของลงไป เด็กๆ ที่เหลืออยู่ก็ปลอดภัยดี ตำรวจสืบสวนร่วมมือกับตำรวจชายแดนเชียงรายตามไปเจอที่ชายแดนพม่า โกดังร้างที่ถูกซ่อนไว้ของนายหน้าค้ามนุษย์รายใหญ่ของพม่า เป็นหนึ่งในคดีที่ตำรวจตามติดมานาน เด็กแต่ละคนถูกช่วยเหลือแล้วพาส่งโรงพยาบาลทันที แต่เด็กที่ไม่รอดก็มี... เด็กสิบเจ็ดคนที่หายไปเหลือรอดกลับมาแค่เก้าคน เด็กที่เหลือถูกส่งขายออกไปตามประเทศต่างๆ... เป็นการขายอวัยวะ”

   ของที่ว่าก็คือยาเสพติดสำหรับคนส่งในร่างกายมนุษย์ และคงไม่ต้องให้พูดต่อ ว่าการถูกส่งไปขายอวัยวะจะต้องถูกส่งไปขายในสภาพไหน ผมปิดหน้า... นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นของเขาผมยังจำได้ แม้ผมจะจำชื่อเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมไม่กล้าถามชื่อเขาจากใคร รวมถึงไม่กล้าอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ ผมไม่อยากรู้ว่าเขาชื่ออะไร... ไม่อยากจำได้ ไม่อยากให้อะไรอยู่ในความทรงจำเลวร้ายของผมไปมากกว่าสายตากับเสียงกรีดร้องที่ได้ยินแทบทุกวันนั่น

   “ระยะเวลาที่หายไปคือสามวัน สามวันกับเด็กที่หายไปสิบเจ็ดคนมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่เป็นเพราะเด็กที่หายไปส่วนใหญ่เป็นเด็กบนดอยที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน...จะว่าไง เป็นเด็กไม่มีสัญชาติ เรื่องเลยตามได้ค่อนข้างช้าเพราะเบาะแสน้อยและตัวพ่อแม่เด็กเองก็ไม่กล้าพอจะไปแจ้งตำรวจ แต่พอเป็นเด็กในเมือง พ่อแม่เขาไม่ยอม โดยเฉพาะป๊ากับม๊าที่ค่อนข้างมีอิทธิพลในจังหวัดอยู่มาก รวมถึงญาติฝ่ายม๊าที่ค่อนข้างรู้จักกับคนบนๆ เรื่องนี้เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาเพราะข้าวปั้นหายไป”

   เฮียปุ้นมองหน้าผมที่กอดเข่าโยกไปมา

   ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองโชคดี การถูกจับไปแม้จะถูกช่วยกลับมาได้แต่ก็ไม่ใช่เรื่องโชคดีใดๆ เด็กที่ต้องเจอเหตุการณ์แบบเดียวกับผมก็คงตกอยู่ในฝันร้ายไม่ต่างกับผม โดยเฉพาะเด็กคนนั้น...

   ผมตื่นขึ้นมาที่โรงพยาบาล ม๊ากับป๊าร้องไห้จะเป็นจะตาย ผมก็ร้องไห้ ผมตกอยู่ในฝันร้าย สะดุ้งตื่นกลางดึกทุกคืน ร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุทุกวัน ขวัญหายจนต้องทำพิธีเรียกขวัญตามความเชื่อของคนเหนือตามที่ป้าสรบอก ไม่รู้ว่าความเชื่อนั้นเป็นจริงหรือทำไปเพื่อเรียกความสบายใจทั้งของผมและคนในบ้าน ผมค่อยๆ ดีขึ้น แต่อาการกลัวที่แคบที่มืดก็ไม่เคยจางไป

   ทุกครั้งที่ไฟดับ ผมจะได้ยินเสียงของเด็กคนนั้น และผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพูดคำที่ไม่เคยพูดออกไปเลย

   ขอโทษ...

   ขอโทษที่ตอนนั้นผมไม่มีความกล้ามากพอ...

   “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวยังไงกับเรื่องที่ข้าวปั้นถูกผลักตกบันได?” หมอถาม “หรือปั้นคิดว่าเป็นฝีมือเด็กคนนั้น”

   “ผมไม่รู้ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเขารึเปล่า แต่ที่แน่ๆ ต้องเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับคดีนั่น” ผมบอกเขา หยิบมือถือขึ้นมาเปิดอีเมลสแปมแล้วยื่นให้หมอดูข้อความ ‘Watch your back’

   “พวกนี้ส่งมาก่อนผมจะตกบันไดประมาณสิบวัน...”

   ผมดึงมือถือกลับมา แล้วเปิดหน้าไลน์แล้วชูให้เขาดู เป็นข้อความไลน์ว่า ‘Why are you still Happy?’

   “ส่วนนี่ส่งมาให้ผมก่อนวันที่จะโดนผลักตกบันไดหนึ่งวัน”

   ผมชูให้เขาดูก่อนดึงกลับมาอีกรอบเพื่อเปิดหน้าทวีตเตอร์

   “ส่วนนี่เป็นวันนั้น วันที่ผมโดนผลักตก”

   อันสุดท้ายคือข้อความที่ถูกทวีตผ่านทวีตเตอร์ของผม ประโยค I found you. ประมาณร้อยทวีต

   หมอกับเฮียปุ้นมองข้อความในมือถือที่ผมเปิดให้ดูแล้วเงียบไปเลย ก่อนเฮียปุ้นพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

   “นี่มันโรคจิตชัดๆ”

   “ก่อนหน้าที่ผมจะโดนผลักตก ตอนเช้ามีจดหมายส่งมา มันแนบรูปภาพกับข้อความข่าวนั้น เป็นกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าที่อยู่ในสภาพเหมือนถูกตัดเก็บไว้ วันนั้นผมค่อนข้างช็อคตอนเห็นรูปหน้าของเด็กที่ถูกจับไป ผมไม่ทันอ่านชื่อเขาก็ไฮเปอร์ขึ้นจนเป็นลมไป... มันค่อนข้างชุลมุน กระดาษหนังสือพิมพ์เลยถูกเหยียบ น้องที่บริษัทบอกว่าป้าแม่บ้านกวาดทิ้งไปแล้ว” ผมถอนหายใจเฮือก

   “เพราะงั้นแกเลยมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับคดีนั่น” เฮียปุ้นถามย้ำอีกครั้ง ผมไหล่ห่อเหี่ยว ถึงจะไม่อยากฟันธงแต่คงไม่พ้นเพราะเรื่องนั้นเป็นสาเหตุ

   “ไม่ใช่ก็มีส่วน ไม่งั้นจะมีไอ้บ้าที่ไหนเก็บข่าวเก่าสิบเจ็ดปีไว้แล้วส่งมาแกล้งปั้นเล่นงั้นเหรอ นอกจากครอบครัวเราก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ นอกจากคนในเหตุการณ์”

   “แล้วสุดท้ายเด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้าง” หมอถามบ้าง “หลังจากถูกช่วยเหลือมา เด็กคนนั้นรอดใช่มั้ย”

   “ครับ แต่เขาไม่กลับไปที่โรงเรียนอีกเลย ข่าวปิดเงียบเพราะโรงเรียนไม่อยากให้เสียหายไปมากกว่านี้ และเด็กที่อยู่ในโรงเรียนก็ไม่ได้มีใครเป็นอะไรนอกจากเด็กคนนั้น ไม่นานคนก็ลืมกันไป เพราะเด็กส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตเป็นเด็กที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน และพ่อแม่ก็ไม่ได้ตามหา”

   “ถ้าลองหาจากทะเบียนการรักษาของโรงพยาบาลหรือสถานีตำรวจ เฮียว่าน่าจะรู้ชื่อเด็กคนนั้นได้ไม่ยากนะ” เฮียปุ้นเสนอ

   “ถ้าเป็นคนไข้รักษาต่อเนื่องทะเบียนประวัติการรักษาจะถูกเก็บไว้ แต่ในบางโรงพยาบาล ถ้าไม่มีการอัพเดทการรักษาจะมีการลบประวัติทิ้งตามระยะเวลาที่แต่ละโรงพยาบาลกำหนด  แต่ถ้าเป็นการรักษาที่เกี่ยวกับคดีความจะเก็บประวัติไว้สิบปี หรือมากกว่านั้น  ถ้าเด็กคนนั้นย้ายออกจากเชียงรายไปตั้งสิบเจ็ดปีแล้ว กูว่าข้อมูลที่โรงพยาบาลอาจไม่เหลือ จะหาคงหาได้จากสถานีตำรวจมากกว่า”

   หมอบอก เฮียปุ้นพยักหน้ารับก่อนจะโทรหาใครสักคน... เดี๋ยวนะ นี่มันกี่ทุ่มกี่ยามแล้วเฮีย!

   “เฮ้ยไอ้ตุลย์ กูเอง... เออกูไง ไอ้สัส... เออ มีเรื่องให้ช่วย”

   เฮียปุ้นพูดกับคนในสายด้วยมารยาทที่งามจนน่าช่วยเหลือ ถ้าผมเป็นเพื่อนเฮีย ผมจะวางสายทันที

   “กูอยากให้ช่วยหาแฟ้มคดีเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนหน่อย กูอยากหาคน... เออ แล้วมันทำไมวะ!... ฮะ? เออ ข้าวปั้นทำไม?...” 

   จู่ๆ เฮียก็หันมามองผม ก่อนจะคิ้วกระตุก หืม... เขาคุยอะไรกัน

   “ไอ้เหี้ย มันมีผัวแล้วอย่ามายุ่ง ฮะ? เออๆ... ไอ้สัส เรื่องลักพาตัวสิบเจ็ดปีก่อนไง เออ... เออ!”

   เขา... เขาคุยอะไรกันน่ะ

   หมอมองหน้าเฮียปุ้นตาเขม็ง เขาคงพยายามแกะบทสนทนานั่นเหมือนผมแหละ เฮียปุ้นยิ้มไม่สนใจอะไร ก่อนจะบอกว่า เดี๋ยวนายตำรวจเพื่อนเฮียจัดให้

   “เพื่อนมึงถามหาข้าวปั้นทำไม”

   ผมอุตส่าห์ปล่อยผ่านไป ทำไมหมอต้องถามด้วยวะ เฮียปุ้นยักไหล่

   “เปล๊า แค่คิดถึงตามประสาเพื่อนเก่า”

   “ผมไปเป็นเพื่อนพี่ตุลย์เมื่อไหร่” ผมทำหน้าไม่พอใจ ผมรู้จักพี่ตุลย์ผ่านๆ เท่านั้นแหละตอนเขามาปาร์ตี้ที่บ้าน รู้แค่ว่าตอนนี้เขาเป็นสารวัตรสืบสวนอยู่เชียงราย

   เฮียปุ้นหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่มอึกๆ

   “เอาเป็นว่า กูจะอยู่รับใช้ตี๋เล็กจนกว่าเรื่องนี้จะคลี่คลาย หน้าที่ไปรับไปส่งปล่อยให้เป็นของกูเอง เพื่อนหมอไม่ต้องเป็นห่วงนะ” หมีควายตัวล่ำดำเพราะแดดยื่นกระป๋องเบียร์ไปตรงหน้าหมอเป็นเชิงชวนดื่ม หมอมองหน้าเฮียปุ้นแป๊บนึง ก่อนจะถอนหายใจแล้วยกของตัวเองขึ้นมาชนอย่างเลี่ยงไม่ได้

   แล้วผมล่ะ ผู้ชายสองคนนั้นเขาไม่ยอมให้ผมดื่มด้วยน่ะครับ ผมเลยต้องทำหน้าที่เป็นเด็กนั่งดริ๊งค์ คอยหากับแกล้มให้ แน่นอนว่าเบียร์ป๋องสองป๋องไม่ทำให้ผู้ชายตัวโตๆ สองคนเมาแอ๋หรอก

   “เฮ้ย ตี๋เล็กของเฮีย มีเบียร์อีกปะ”

   ไอ้เฮียปุ้นเริ่มติดอกติดใจการดื่มกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมาถึงยี่สิบปี หมอปลดกระดุมคอเสื้อพลางร่นไทด์ลงจนถึงอก แขนเสื้อถูกพับขึ้นถึงศอก บ่งบอกว่าคืนนี้น่าจะไม่จบง่าย

   เวรของนายข้าวปั้นแท้ๆ

   “หมดแล้ว กินโค้กแทนได้มั้ย” ผมที่ล้างจานอยู่ตวัดเสียงใส่ เฮียปุ้นล้วงแบงค์พันออกมาวางบนโต๊ะ เป็นเชิงบอกว่า... ลงไปซื้อให้หน่อย เซเว่นอยู่ข้างล่าง

   สัสเฮีย!

   ผมพ่นลมหายใจยาวก่อนจะล้างมือแล้วเดินไปหยิบแบงค์พันบนโต๊ะ คว้าคีย์การ์ดห้องตัวเองกับมือถือมายัดกระเป๋ากางเกง หมอลุกขึ้นตาม

   “เฮียไปด้วย”

   ผมเลิกคิ้ว ไม่ได้ว่าอะไร เขาคงเป็นห่วงผมตามประสานั่นแหละ เราพากันเดินไปที่ลิฟต์ แต่ก่อนที่ผมจะกดปุ่มลง หมอกลับกดปุ่มขึ้นแทน ผมมองหน้าเขาที่รวบมือผมมาจับด้วยสีหน้านิ่งๆ ทันทีที่ลิฟต์มา เขาก็จูงผมเข้าไปในลิฟต์ แล้วกดชั้น 15

   “หมอ... เบียร์อ่ะ”

   “วันนี้ไปนอนห้องเฮีย”

   “หา?”

   หมอยิ้มก่อนจะก้มลงมาจูบริมฝีปากผมแผ่วเบา ปลายลิ้นร้อนตวัดริมฝีปากล่างผมแบบที่ชอบทำ... ผมยกมือปิดปาก หน้าแดงซ่าน ใจเต้นตุบตับๆ

   “รำคาญข้าวปุ้น”

   มือใหญ่ประสานกุมมือผมแน่น

   เฮียปุ้นครับ... น้องชายเฮียโดนลักพาตัวอีกแล้วครับ



ของ - ยาเสพติด (ในเว็บอื่นมีเเต่คนถาม ไว้ตอนรีไรต์จะอธิบายในเรื่องนะคะ) 

**** เหตุการณ์ในเรื่องเป็นแค่เรื่องสมมติเท่านั้น ไม่ต้องตามหารายละเอียดใดๆ ดั่งเช่นเรื่องโคนันที่คดีไม่มีอยู่จริง ****

ขอให้สนุกสนานและตามลุ้นกันไปนะคะ

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
ในเหตุการณ์คับขันแบบนั้นใครจะช่วยใครได้และอีกอย่างทุกคนก็ยังเด็ก​ ถ้าคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทำร้ายข้าวปั่นจริงก็ใจร้ายเกินไปแล้ว​ ไม่มีเหตุผลเลย

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
เหตุการณ์ที่ผ่านมา มันส่งผลถึงปัจจุบัน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด