Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)  (อ่าน 34970 ครั้ง)

ออฟไลน์ Zureyga

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 คุณหมอออใจเย็นๆก่อน
 :pighaun: :pighaun:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
เอาแล้วว เมาแล้วได้เรื่องเลยนะ,,,

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
น้องปั้นจะโดนกินไหมมม  หมอใจเย็นๆน้าา 5555
ลุ้นปมที่น้องโฟเบีย อยากรู้ว่าน้องขอโทษใคร เกี่ยวกับหมอไหมน้า

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 10
หมอครับ หมอทำอะไรผม?



   ปวด... ปวดหัว ปวดตัว ปวดเอว...

   ความรู้สึกปวดเป็นสิ่งแรกที่ผมรับรู้หลังจากเริ่มรู้สึกตัว ร่างกายเหมือนไปเล่นเวทมาอย่างหนักตามด้วยว่ายน้ำไปกลับอีกสามสิบรอบต่อ หัวหมุนจนต้องยกมือขึ้นมานวดขมับ รับรู้ได้ถึงอาการเมาค้าง แต่ผมไม่คิดว่ามันจะหนักหนาขนาดรู้สึกว่าโลกหมุนแม้กระทั่งหลับตา

   “อือ... ปวด... ปวดหัว”

   เสียงที่ออกจากลำคอของผมแหบแห้ง สงสัยเพราะแผดเสียงร้องเพลงเมื่อคืนแหงๆ อยากร้องไห้เพราะความทรมาน โดยเฉพาะเมื่อช่วงเอวของผมลงไปมันรู้สึกเจ็บจนขยับไม่ได้ มันเป็นความเจ็บที่แปลก... แปลกจนต้องลืมตาขึ้นมาเพื่อสำรวจร่างกาย

   ผมเบิกตาโพล่ง หน้าซีดปากเซียว ความปวดหนึบที่ด้านหลังเล่นเอาใจสั่นริก

   ไม่...

   โดยเฉพาะเมื่อเหลือบตาไปมองด้านข้างแล้วเห็นว่านัยน์ตาสีเขียวคู่สวยจ้องมองมาทางผมอยู่ก่อนแล้ว มันนิ่งและอ่านยากเหมือนเดิม ร่างสูงในชุดลำลอง เสื้อยืดคอกว้างแขนยาวสีดำกับกางเกงขายาวสีน้ำตาลเบจ ผมหยักศกไม่ได้เซทเหมือนปกติ เขานั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวเดียวในห้องพลางเท้าศอกลงบนเข่า ประสานมือไว้ระดับปาก จ้องเขม็งมาเหมือนรอให้ผมพูดอะไร...

   ผมกลืนน้ำลายที่แห้งผาก หลุบตามองร่างกายตัวเองที่เปลือยเปล่าใต้ผ้าห่ม ร่องรอยของสงครามเมื่อคืนยังอยู่ครบ โดยเฉพาะผ้าปูเตียงที่หลุดลุ่ยกับหมอนที่กระจายตามพื้นกองรวมๆ ปนๆ ไว้กับเสื้อผ้าทั้งของผมและของ... หมอ

   ผมผุดลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะตวัดขาลงหมายเดินไปเก็บเสื้อผ้าที่กระจัดกระจาย หน้าเห่อร้อนจนลามไปที่เบ้าตา แต่ทันทีที่เท้าแตะพื้น ร่างทั้งร่างก็ทรุดฮวบลง จนต้องอาศัยมือยันพื้นไว้ ปากสั่น เหงื่อแตกพลั่ก โดยเฉพาะเมื่อรับรู้ถึงของเหลวบางอย่างที่เหนียวๆ กำลังไหลเยิ้มออกมาจากช่องทางแคบด้านหลัง

   น้ำตาที่พลันกลั้นไว้ตอนนี้ร่วงเผาะจนเปียกพรมราคาแพง ผมกัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือด ฝืนลากเอาผ้าห่มบนเตียงมาคลุมตัวอย่างอับอาย ไม่กล้ามองหน้าคนที่เอาแต่นั่งจ้องปฏิกิริยาของผม

   “ผม... ผม...”

   ร่างปวกเปียกของผมพยายามลุกขึ้น แต่ทุกครั้งที่ขยับ ของเหลวที่คั่งค้างอยู่ในตัวก็พลันจะไหลออกมา ผมเท้าศอกลงกับพื้น พยายามก้มหน้าใช้มืออีกข้างปิดร่องรอยน่าอดสูไว้ สะอื้นเสียงแผ่วอย่างหมดศักดิ์ศรีลูกผู้ชายท่ามกลางความเงียบ

   “ผม... ผมขอโทษครับ”

   ผมไม่รู้ว่าขอโทษทำไม

   ในที่สุด คนที่นั่งมองมานานก็ขยับตัว ลุกมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าผมที่ไม่กล้าขยับไปไหนเพราะสติหลุด ก่อนที่เขาจะช้อนร่างของผมขึ้นอุ้มพลางเดินตรงไปยังห้องน้ำ ผมเกาะเสื้อเขาแน่น ปากเอาแต่ขอโทษ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขอโทษอะไร

   ร่างของผมเต็มไปด้วยรอยจูบและรอยช้ำมือ หมอวางผมลงในอ่างน้ำอุ่นที่ถูกเตรียมไว้ เขาถลกแขนเสื้อขึ้นพลางนั่งลงบนขอบอ่าง ปล่อยให้ผมขดตัวเข้าหาขอบอ่างอย่างหวาดกลัว

   “ให้ช่วยมั้ย?”

   คนที่เงียบมานานเอ่ย น้ำเสียงเรียบนิ่งเช่นเคย ผมเงยหน้ามอง ไม่เข้าใจว่าเขาจะช่วยอะไร

   คุณหมอโน้มตัวลงมา ใช้แขนข้างหนึ่งยันขอบอ่าง อีกข้างจุ่มลงน้ำ สอดเข้าไปใต้หว่างขาที่ชันขึ้นหนีบไว้ ผมเบิกตากว้าง สะบัดตัวอย่างตกใจ แต่ร่างสูงที่ทั้งตัวโตและแข็งแรงกว่ากลับโน้มหน้าเข้ามาบดจูบอย่างรวดเร็วก่อนที่ผมจะเตลิด อาศัยช่องว่างสอดนิ้วเข้ามาในช่องทางแคบที่ทั้งเจ็บทั้งแสบพลางคว้านเอาสิ่งแปลกปลอมออกมาจากร่างกายผมอย่างชำนาญ...

   ผมสะท้านเฮือก ตกใจสุดขีด ขมิบรัดนิ้วเรียวจนคุณหมอนิ่วหน้าระหว่างถอนริมฝีปากออก

   “ผมจะช่วย คุณอย่ารัดผมแน่นนักสิ... มันล้วงลำบาก” คุณหมอยิ้มเย็น สายตามีร่องรอยความน่ากลัวแฝงอยู่ ผมกลั้นใจ จ้องคนหรี่ตามองมาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเผลอครางเสียงแผ่วเมื่อนิ้วยาวไปสะกิดโดนจุดกระสันภายในเข้า...

   “อา... อุ้บ!” ผมตะครุบปากตัวเองเมื่อส่งเสียงน่าอายออกไป คุณหมอยิ้มเครียดโดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นผมห่อไหล่ที่เต็มไปด้วยรอยมือจนลีบเล็ก พยายามสะกดเสียงตัวเองจนน้ำตาคลอเบ้า

   ไม่รู้ตัวเลยว่ากิริยานี้ทำให้หมออยากจะแกล้งมากขึ้น

   “มะ... หมอ... หยุดก่อนครับ อือ...”

   “ทำไมครับ ยังเหลือค้างอยู่นิดหน่อย” เสียงทุ้มกระซิบข้างหู พลางขยับนิ้วเร็วขึ้น แทรกสอดเข้ามาลึกขึ้นจนผมตะปบมือลงเพื่อขอร้องให้เขาหยุด

   “หมอ... หมอครับ พอก่อน... ผม ผม... ผมจะ...”

   แม้จะพยายามขัดขืน แต่พอถูกกระตุ้นเยอะเข้า จากที่พยายามห้ามกลับกลายเป็นว่าทำได้เพียงจับข้อมือใหญ่ไว้ ซบหน้าลงกับอกกว้างที่มีกลิ่นหอมที่คุ้นเคย...

   เมื่อคืนผมคลั่งไคล้กลิ่นนี้ทั้งคืน

   หมอก้มมองส่วนที่ชูชันอย่างน่าอาย ท่อนเนื้อของผมมันกำลังตอบรับการกระตุ้นจากภายใน ปวดหนึบจนน่าอาย ผมเงยหน้ามองทั้งที่น้ำตาคลอเบ้า

   “หมอ...”

   “จะอะไรครับ ไหนบอกหมอซิ”

   หมอ... แม่งเหี้ย...

   ผมถูกดวงตาสีเขียวสะกดไว้เหมือนงูจ้องเหยื่อ...

   “หยุดแกล้งผมซะที” เสียงผมทั้งสั่นทั้งห้วน ลดมือลงจับร่างกายตัวเองเพื่อดับอารมณ์อย่างลืมอาย เบนหน้าหนี หมอขมวดคิ้วก่อนรวบข้อมือทั้งสองของผมด้วยมือข้างเดียวพลางกดลงใต้อ่างน้ำ เอียงคอยิ้มเย็น

   “ต้องการอะไรครับไหนพูดสิ”

   “หมอต่างหากต้องการอะไรจากผม” ผมเริ่มโมโหหนัก ทั้งสับสน ทั้งรู้สึกแย่ ตัวก็ร้อน ปวดก็ปวด!

   “ต้องการข้าวปั้น”

   ผมกัดฟันอยากสวนกลับเหลือเกินแต่ติดว่าหมอไม่ยอมให้ผมต่อต้านมากกว่านี้ ลิ้นอุ่นร้อนซุกซนตวัดลามเลียไปเรื่อย จากกกหู ลงมาที่ซอกคอ ขบเม้มแล้วใช้ลิ้นดูดดึงอย่างมัวเมา ความทรงจำเมื่อคืนเริ่มประดังประเดเข้ามาในสมองเหมือนน้ำป่าไหลหลาก

   ...กูกับหมอ...

   เวรกรรม...

   แรงบีบที่ข้อมือมากขึ้นเมื่อผมพยายามขัดขืนโดยการขยับขาหนีบชิด ร่างสูงขยับกายเอาแขนแทรกเข้ามาตรงกลางพยายามฝืนให้อ้าขากว้างจนผมร้องครวญยอมแพ้

   ทำไมเมื่อคืนถึงจบแบบนั้น...

   ยิ่งคิดยิ่งอยากเอาปืนยิงกบาลตัวเองตอนนี้เลย

   “หมอครับ... ผม... ผมไม่อยากทำแล้ว... อื้อ...”

   ผมสะท้านเฮือกเมื่อจู่ๆ มือข้างที่รวบข้อมือผมอยู่ก็เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นกำรอบแท่งเนื้อที่แข็งจนบวมเป่งของผมพร้อมกับขยับรูดขึ้นลงอย่างไม่ให้ทันได้ทันตัว มือข้างที่เท้าขอบอ่างอยู่เปลี่ยนมาจับเข่าข้างหนึ่งของผมให้แยกออกด้านข้าง ทำให้มือที่เป็นอิสระกลายเป็นฝ่ายจับข้อมือใหญ่แทน ผมแหงนหน้าขึ้นรับใบหน้าของหมอที่เคลื่อนมาซุกไซร้จนตอนนี้รอยแดงช้ำคงเต็มคอผมหนักกว่าเดิม

   “อย่าดูด...”

   “ข้าวปั้น... ปั้นครับ”

   มือแกร่งขยับเร็วขึ้น ผมเสียวจนสูดปาก ขยับสะโพกรับอย่างน่าอาย

   ...แต่เมื่อคืนน่าอายกว่านี้เยอะ...

   “ฮะ... ฮื่อ! อะ... อย่ากัด หมอ...”

   ฟันของหมอขยับมาขบยอกอกสีอ่อนที่ชูชันอย่างมันปาก มือผมขยับเลื่อนขึ้นไปตามลำแขนแกร่งจนถึงศีรษะเขา ขยุ้มผมหยักศกนุ่มมือเพื่อระบายอารมณ์ แขนสองข้างของผมโอบรอคอเขาแน่นจนแทบจะลากให้ลงมาอยู่ในอ่างด้วยกัน...

   เสียงน้ำกระเพื่อมกลบเสียงน่าอายยามเนื้อท่อนล่างถูกชักนำด้วยจังหวะเร่าร้อน ก่อนปลดปล่อยของเหลวออกมาจนละลายหายไปกับน้ำวนในอ่างจากุชชี่ราคาแพง เสียงครางดังออกจากปากผม...

   หมอเลื่อนตัวขึ้นมามองหน้าผมที่ปลดปล่อยตัวเองอย่างลืมอาย ผมแหงนมองเพดานอย่างสมเพชตัวเอง อยากจะหายไปจากตรงนี้เหลือเกิน เขาก้มลงงับปากบวมเจ่อของผมที่เผยอค้างไว้ ลิ้นร้อนดูดดึงลิ้นผมเข้ามาจนแทบจะกลืนลงคอ กระทั่งประท้วงเมื่อผมเริ่มหายใจไม่ออก

   ผัวะ!!

   ด้วยหมัด

   หมัดลุ่นๆ ต่อยอัดเข้าที่มุมปากเขาจนหน้าหัน แว่นตากระเด็นหลุดไปตกที่พื้นห้องน้ำ ผมหอบหายใจ กัดปาก ตาขวางสุดฤทธิ์

   “บอกให้หยุดไง!”

   หมอเช็ดเลือดที่มุมปากตัวเอง ผมลุกขึ้นจากอ่าง ไม่ได้สำเหนียกเลยว่าทั้งหมดน่ะความผิดกูทั้งนั้น ก่อนจะทรุดตัวลงเพราะเจ็บเอวและต้นขา ก้มมองรอยจูบและรอยมือแล้วอยากจะฆ่าคนตรงหน้าทิ้ง

   “โอ๊ย!”

   “อย่าพึ่งขยับเยอะ” หมอหันกลับมาประคอง เขาคงจะรู้แหละว่าร่างของผมพังขนาดไหน เพราะเมื่อคืนหมอเล่นไม่ยั้งมือตัวเองบ้างเลย

   “อย่า! อย่ามาจับตัวผม” ผมสูดลมหายใจเข้า ยกมือห้ามคนที่จะเข้ามาช่วย

   “หมอ... หมอทำแบบนี้ทำไม... ฮึก!” ความน้อยเนื้อต่ำใจแล่นวูบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโดนอะไรไปบ้าง ความทรงจำเทเข้ามาเกือบจะชัดแต่ก็ไม่ชัด แม้จะขาดเป็นช่วงๆ เหมือนภาพหลอน แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ มันทำให้ผมได้แต่หลอกตัวเองว่าผมไม่ผิด

   ผมยอมรับเลยว่าผมเป็นเด็กดีเรื่องนี้มาตลอด นอกจากจะไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องผู้หญิง กับผู้ชายผมยิ่งไม่เคยคิด แล้วนี่มันเหี้ยอะไรวะ ทำไมจู่ๆ ผมถึงทำตัวแบบนั้น...

   น้ำตาไหลอย่างโกรธตัวเอง หมอนิ่งมองเงียบๆ ปล่อยให้ผมพยายามลุกขึ้นเกาะกำแพงเดินออกจากห้องน้ำไปด้วยตัวเอง ร่างสูงถอนหายใจ ลุกขึ้นเก็บแว่นที่ตกอยู่มาใส่เหมือนเดิมก่อนเดินตามออกไปพร้อมผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่

   

   ผมสะอื้นจนสะอึกเพราะหายใจผิดจังหวะ ลากร่างช้ำมือช้ำปากของตัวเองมาถึงห้องนอน ตาพร่าไปด้วยม่านน้ำตาที่ร่วงเผาะเป็นเผาเต่า พยายามก้มเก็บเสื้อผ้าที่กระจัดกระจาย

   ทำไมเป็นงี้ไปได้... ผมแดกห่าอะไรเข้าไป

   ...แก้วเหล้าที่ไอ้พวกเวรนั่นยื่นให้...

   ผมนึกถึงความทรงจำก่อนภาพตัด ช่วงที่เข้าไปในโซนผับแล้วเจอเพื่อนร่วมมหาลัยเข้ามาทัก พวกมันยื่นแก้วเหล้าให้ ตอนนั้นผมกำลังสนุก พวกมัน... คิดทำเหี้ยอะไรกับผมถึงเอาของพรรค์นั้นมาให้ผมแดก!

   ผมข่มความโกรธไว้... กวาดตามองหามือถือ อยากรีบๆ ออกจากห้องนี้ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ถูกเอามาคลุมร่างช้ำๆ ไว้จากด้านหลัง

   “ขอโทษ”

   เสียงทุ้มดังเหนือหัว ก่อนจะหายไปพร้อมไออุ่น เสียงประตูปิดลง ผมได้แต่ยืนคอตกอยู่แบบนั้นเกือบสิบนาที



   ผมเดินช้าๆ ออกจากห้องนอนแขก ตั้งสติ พยายามนึกหน้าไอ้พวกเวรนั่นทั้งหมดแล้วแบล็คลิสต์ไว้ ก่อนที่ความรู้สึกเมื่อคืนจะย้อนกลับมาหลอกหลอน

   ผมจำความรู้สึกตอนนั้นได้

   มันทั้งร้อน ทั้งอึดอัด อยากปลดปล่อยออกมา เหมือนอันล็อคธาตุแท้ตัวเอง

   อนาถใจฉิบหาย...

   แล้วยังมีหน้าไปต่อยหมออีก

   ทั้งๆ ที่เขาห้ามผมแล้วแท้ๆ เวรเอ้ย!

   ชุดของเฮียปุ้นที่หมอเคยยืมใส่ถูกซักรีดแล้วเรียบร้อยวางไว้ที่โต๊ะในห้องนอนพร้อมมือถือทำให้ผมไม่ต้องตัวเปล่าออกจากห้อง เดินออกมาจนถึงโถงนั่งเล่นที่แรกที่เขาพาผมมา ต้องเพ่งมองจึงเห็นว่าคู่กรณีของผมกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ริมประตูกระจกที่เปิดกว้างเพื่อรับลม ซึ่งมันกั้นระหว่างด้านในห้องกับนอกระเบียง เขามองออกไปข้างนอก มุมปากเริ่มช้ำแต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย   

   “ทานอะไรก่อนไปสิ ผมเตรียมยาแก้อักเสบไว้ให้ทานหลังอาหาร” เขาพูดโดยไม่มองผมแม้แต่น้อย ทำเอาผมรู้สึกผิดและใจหายกับท่าทางเย็นชาแบบนั้น โต๊ะอาหารตรงหน้าแพนทรีครัวมีมื้อเช้าแบบอเมริกันวางอยู่พร้อมกับยาและน้ำส้มคั้น

   คุณหนูโคตร...

   ท้องผมร้องแทนคำตอบทุกสิ่ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมอยากอยู่ที่นี่ต่อ

   “ไม่ครับ ผมจะกลับห้องแล้ว”

   “ข้าวปั้น”

   ผมชะงัก ขานรับตามเสียงเรียก

   “ครับ”

   “ที่ผมขอโทษ ไม่ได้หมายความว่าผมผิด”

   ผมหันมองขวับ ตาเขม็งกับพูดนั่น พอดีกับที่หมอหันกลับมาจ้องผมด้วยความเยือกเย็น

   “คนที่เรียกร้องคือคุณเอง จำไว้ด้วยนะครับ”



หมอดุน้องตะไม
ยูอ่านทุกคอมเม้นต์เลยน้า ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์น่ารักๆ ค่า
ยูเอารูปวาดไปลงไว้ในทวิตเตอร์นะคะ เผื่อใครอยากเสพ ไม่ค่อยสวยหรอก แต่อยากวาด 555

https://twitter.com/_SeenYu

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
หมอออออ จะเป็นไงต่อเนี่ยย


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
555 แล้วขอโทษอะไรละหมอ,,,

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
หมออย่าดุน้องงง 555

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
ที่หมอขอโทษ เพราะหมอไม่ได้ทันห้ามใจตัวเอง ล่วงเกินข้าวปั้นตอนไม่มีสติ ^^

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ที่หมอขอโทษ เพราะหมอไม่ได้ทันห้ามใจตัวเอง ล่วงเกินข้าวปั้นตอนไม่มีสติ ^^

ใช่เลยนะค้า

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 11
หมอครับ หมอเหนื่อย



   [“ไอ้ข้าวปั้น! เพิ่งจะหายป่วยหยกๆ ซ่าออกไปกินเหล้าอีกแล้วเรอะ เฮียจะฟ้องม๊า!”]

   ผมอุตส่าห์เลือกที่จะโทรกลับหาเบอร์เฮียปุ้นเป็นคนแรก เพราะคิดว่าน่าจะบ่นน้อยที่สุด แต่ที่ไหนได้ บ่นหนักไม่แพ้ม๊ากับเจ้เลย

   “เฮียปุ้น ปั้นแฮ้งค์อยู่ พูดเบาๆ” ผมกุมหัวตัวเองที่เริ่มปวดจี๊ด เฮียปุ้นพ่นลมหายใจใส่

   [“แล้วนี่กลับไงเมื่อคืน”] เฮียปุ้นถาม ผมเงียบไป อยากโกหกเหลือเกินว่ากลับเอง [“ไอ้คินไปรับใช่มะ?”]

   อ่ะดีแล้วที่ยังไม่โกหก

   “ทำไมเฮียรู้?!”

   [“ก็เฮียเนี่ยแหละโทรหามัน ดีนะที่ตอนนั้นม๊าขอเบอร์ติดต่อส่วนตัวไอ้คินไว้ ตอนแรกติดต่อแกไม่ได้ เลยว่าจะโทรถามมันว่าอาการแกน่าเป็นห่วงมั้ย ก็พอจะรู้ว่าช่วงนี้งานแกยุ่ง คงไม่ได้ดูมือถือ แต่มันบอกว่าเดี๋ยวไปรับแกกลับให้ เพราะมันอยู่คอนโดเดียวกับแกพอดี ทำไมแกไม่เคยบอกเฮียว่าคอนโดเดียวกับมัน?”]

   เฮียปุ้นถามอย่างสงสัย ผมอึกอักที่จะตอบ

   “เอ่อ... ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องบอก เค้ากับปั้นก็ไม่สนิทกันขนาดนั้น ทำไมเฮียต้องไปรบกวนคนอื่นอยู่เรื่อยเลย โว๊ะ!”

   [“เอ้า! ไอ้ตูด ไอ้คินเป็นหมอ แกก็ป่วยออดๆ แอดๆ แถมตอนเด็กๆ ก็สนิทกัน เรื่องแค่นี้ทำไมจะพึ่งพากันไม่ได้วะ?”]

   “ไม่คุยแล้วเฮีย! วางล่ะ บอกป๊าม๊าด้วยว่าปั้นสบายดี”

   [“ไอ้ปั้น!... ตรู๊ด~!”]

   ผมตัดสายทิ้งเพราะขี้เกียจเถียงด้วย โยนมือถือไว้ข้างตัวและแผ่ร่างลงบนโซฟา เจ้าปั้นสิบที่ค้อนงอนผมเพราะไม่ได้ให้ข้าวมันเมื่อคืนหนีไปนอนขดอยู่บนเตียง หลังจากผมกลับมา ผมแทบจะกราบเท้ามัน รีบเทข้าวเทน้ำให้อย่างรู้สึกผิด พอกินเสร็จมันก็สะบัดตูดหนีผมเลย ผมถอนหายใจให้แมว ถ้ามันหายงอนเดี๋ยวก็คงโดดมาเหยียบผมเองแหละ

   ผมหลับตาก่อนยกมือพาดทับ

   ‘เรียกเฮียสิปั้น’

   ผมสะดุ้งเฮือก ขนคอลุกวาบ เสียงกระซิบข้างหูมันกลับมาหลอกมาหลอน ผมยกมือขึ้นปิดหูหนีความจริง หน้าเห่อแดง

   “เฮียเหี้ยอะไรล่ะ โว้ย! โอ๊ย!... เจ็บๆๆ... ซี้ด...”

   เพราะทะลึ่งลุกพรวดขึ้นมา ทำให้แผลที่ยังสดเสียดสีจนแสบระบม น้ำตาจะไหล ผมยังไม่อยากยอมรับเลยว่าเสียชายให้ยอดชายไปแล้ว

   รับไม่ได้...

   จริงเหรอ?

   ผมไม่ได้แอนตี้ความรักหรือความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน แต่เพราะตลอดชีวิตยี่สิบหกปีของนายข้าวปั้น ผมเคยมีแฟนสาวมาทั้งหมดทั้งสิ้นสามคนถ้วน คนแรกตอนมัธยมต้น คนที่สองมัธบมปลาย ส่วนคนสุดท้ายตอนมหาลัยปีสอง ที่คบกันก็เพราะเป็นเพื่อนร่วมชมรม แต่สุดท้ายก็ห่างหายกันไปในช่วงฝึกงาน ทั้งหมดทั้งมวลก็แค่ความรักแบบเด็กๆ มากสุดของผมก็แค่กอดจูบลูบคลำ ยังไม่ทันได้ลองเปิดซิงสาว อยู่ดีๆ ผมก็กลายเป็นคนที่โดนเปิดซิงโดยคนที่ไม่ควรเปิด ผมก็เคว้งไปเหมือนกันนะ

   พอนั่งๆ นึกถึงความรู้สึกเมื่อคืน...

   รังเกียจ...?

   ไม่หรอก รู้สึกดีสุดๆ ต่างหาก...

   ผมซบหน้าลงกับฝ่ามือ

   ผมอยากเก็บตัว... หนีกลับบ้านดีมั้ย ไหนๆ ก็ได้วันหยุดมาแล้ว

   คิดได้แบบนั้นก็รีบเดินหาคอนแทคเลนส์มาใช้แทนแว่นที่หายไปไหนไม่รู้แล้วเปิดดูตารางงานของตัวเอง เช็คดูเพื่อความแน่ใจ ก่อนตัดสินใจโทรหาพี่ดินที่ทิ้งไดเร็กแมสเสจไว้เป็นคนสุดท้าย

   “พี่ดิน ผมจะกลับบ้านที่เชียงราย”



   การจะลายาวของบริษัทผมต้องส่งใบลาล่วงหน้าหนึ่งสัปดาห์ ดังนั้นพอถึงวันจันทร์ผมจึงรีบทำเรื่องให้พี่อัฐเซ็นอนุมัติวันลาให้ผมเพื่อที่จะได้ไม่ต้องจัดตารางงานไฟไหม้โชติช่วงมาให้ แต่ว่าใบลานั้นไม่ได้มีแค่ของผมคนเดียว ยังมีอีกสี่ใบที่วางหราอยู่ก่อน แถมวันลาก็ตรงกันอีกต่างหาก พี่อัฐมองหน้าก่อนจะเลิกคิ้ว

   “วันหลังรวบรวมกันมาส่งก็ได้นะพี่ไม่ว่า”

   พี่อัฐรับใบลาของผมไปวางไว้ที่กล่องที่ใส่เอกสารอนุมัติ และเมื่อผมเดินออกมาจากห้องทำงานของหัวหน้าก็พบเข้ากับสายตากวนตีนจากบุคคลทั้งสี่ เจ้าของใบลาชะโงกหน้าขึ้นจากจอคอมพร้อมกัน

   “แล้วทำไมลาวันเดียวกันหมด”

   ผมถามส่งๆ ขณะเปิดล็อคหน้าจอตัวเอง ไอ้เนเดินมาหา

   “กูว่าจะไปเที่ยวบ้านมึง เห็นรูปในไอจีมึงแล้วกูอยากเอาเลนส์ตัวใหม่ไปเจิม”

   “ฮะ?!” ผมหันขวับ นัยน์ตาวาววับระยิบระยับจากเพื่อนร่วมโต๊ะกินข้าวทำให้ผมแน่ใจล่ะว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

   “ฟางอยากไปดูทะเลหมอก บ้านฟางมีแต่ทะเลเกลือ นะพี่ข้าว” สาวประจวบฯ อ้อนเท้าผม ส่วนไอ้พี่เจี้ยนที่นั่งข้างผมน่ะเหรอ

   “กูอยากเจอหน้าพี่สาวมึงตัวเป็นๆ ในไอจีแม่งน่ารักโคตรๆ”

   กูว่าละ...

   “พี่คนไหน?”

   “คนที่ชื่อข้าวหอม”

   “รายนั้นปีหน้าจะแต่งละ แถมว่าที่พี่เขยผมเงินเดือนหลักแสนครับ”

   พี่เจี้ยนหน้าเจื่อนสนิท

   “งั้นพี่อีกคนมึงล่ะ กูรู้มาว่ามีสองคน” มันเปลี่ยนเป้าหมาย

   “อีกคนยังโสด” ผมตอบเรียบร้อย คลิ๊กเมาส์เข้าโปรแกรม composite “แต่เป็นอาจารย์สอนอยู่สิงคโปร์”

   “บ่ะ! บ้านมึงจะเพอร์เฟควูแมนเกินไปละ”

   นั่นสิ ทำไมมีแค่ผมที่ยังต๊อกต๋อย...

   “กูจะไปเอาของดีเมืองเชียงราย” พี่ดินทำหน้าขึงขัง

   ผมไม่พูดละกันว่ามันคืออะไร

   “เอาขึ้นเครื่องได้เหรอพี่”

   “โหลดเอาสิวะ!”

   ผมปล่อยผ่าน สงสัยต้องโทรบอกที่บ้านซะหน่อยว่าให้พร้อมรับแขกด้วย

   

   หลังจากวันนั้น หมอส่งข้อความมาหาผมแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถามว่าอาการผมเป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า ให้ทานยาแกอักเสบด้วย ถ้าเป็นแผลฉีกขาดให้รีบไปโรงพยาบาล ผมนี่อ่านไปหน้าร้อนไป ไม่รู้ว่าจะโกรธ จะอาย หรือยินดีที่เขาอุตส่าห์เป็นห่วงสุขภาพผม ร่องรอยที่หมอบ้านั่นทำไว้ใช้เวลาตั้งเกือบอาทิตย์กว่าจะหาย ผมนี่เล่นงัดเอาเสื้อคอเต่าตอนไปดูงานที่จีนมาใช้แทบทั้งอาทิตย์ จนพี่ๆ มันแซวว่า ‘ใส่เหี้ยอะไรเกรงใจแดดประเทศไทยด้วยไอ้สัส’

   สาส!!

   ผมก็ตอบข้อความหมอกลับตามมารยาท อยากบอกจริงๆ ว่า ‘ต่อให้ฉีกผมก็ไม่ไปหาหมอหรอกครับ!’

   แต่สิ่งที่ผมตอบกลับไป



   KaowwwPun: ผมสบายดีครับ ขอบคุณ



   วันนี้ผมเลิกงานตามเวลาเป๊ะ เพราะโปรเจคหลักที่กำลังบรีฟกันอยู่ยังไม่มาถึงคิวพวกผม จึงทำพวก outsource ยิบๆ ย่อยๆ ที่ทีมทำค้างไว้ ดังนั้นผมจึงกลับมานอนเอกเขนกที่ห้องตั้งแต่หนึ่งทุ่ม แปรงขนเจ้าปั้นสิบไปก็นึกได้ว่าลืมโทรจองโรงแรมแมวที่จะเอาเจ้าปั้นสิบไปฝากไว้ จึงเลื่อนมือถือหาเบอร์โทรโรงแรมเจ้าประจำแล้วโทรถามว่ายังเหลือห้องสำหรับหนึ่งอาทิตย์อยู่มั้ย

   โชคดีของมันที่ยังเหลืออยู่ เพราะช่วงนี้ก็เกือบจะปลายปี ตั๋วเครื่องบินแห่กันจัดโปรลดราคา คนที่แห่กันไปเที่ยวโดยต้องทิ้งสัตว์เลี้ยงไว้ก็น่าจะเยอะอยู่พอสมควร

   ผมจะอยู่บ้านให้หายคิดถึงเลย ผมเลือกจองตั๋วเช้าวันเสาร์เพื่อที่ไปถึงนู่นจะได้มีอะไรทำ และอีกอย่าง ผมไม่สนิทกับการปิดไฟบนเครื่องตอนกลางคืนเท่าไหร่

   ก๊อกๆๆ

   ระหว่างที่ผมกำลังดูเที่ยวบินในมือถือ เสียงเคาะประตูห้องผมดังขึ้น วันนี้ไม่ใช่วันศุกร์ และผมก็ไม่ได้นัดใครไว้ คนเดียวที่จะมาเคาะห้องผมคงไม่พ้นคนที่อยากหลบหน้า

   ผมเดินไปส่องตาแมว และก็ดังคาดที่คนที่เคาะก็คือคุณหมอหนุ่มที่ดูจะว่างงานจนมาระรานคนอื่นได้ เจ้าปั้นสิบเดินมาคลอเคลียขาผม เหมือนมันรู้ว่าคนที่มาเป็นใคร แต่ผมไม่ยอมเปิด แสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่แล้วเสียงข้อความในไลน์ก็ดังขึ้นพร้อมกับแจ้งเตือน



   Akin.L: ผมรู้ว่าคุณอยู่ในห้อง



   ผมมั่นใจว่าไฟในห้อง คนด้านนอกไม่มีทางมองเห็นแน่นอน ทีวีผมก็ไม่ได้เปิด อะไรทำให้หมอมั่นใจขนาดนั้น



   Akin.L: อย่าอ่านแล้วไม่ตอบสิ



   แน่ะ... รู้อีกว่าผมอ่านแจ้งเตือนที่โชว์ตรงล็อคสกรีน

   

   Akin.L: ข้าวปั้น เปิดหน่อยครับ



   โว้ย!

   ผมยอมปลดล็อคประตูแล้วเปิดมันออก คนที่ผมเห็นตอนนี้คือคนที่สภาพเหมือนผมช่วงเดดไลน์ ขอบตาคล้ำจนทะลุกรอบแว่น หน้าโทรม หนวดขึ้น เสื้อเชิ้ตออกมานอกกางเกง ส่วนผมเซตหลุดจนไม่เหลือแล้ว

   “หมอ... สภาพแย่มากเลยนะครับ”

   ผมพูดออกไปอีกแล้ว แอบจิปากตัวเองที่เลิกนิสัยเวรนี่ไม่ได้ซักที

   “ครับ”

   หมอถอดแว่นออกพลางนวดหัวตาแล้วค่อยใส่กลับที่เดิม เขามองหน้าผม นัยน์ตาสีเขียวที่เครียดเขม็งก่อนหน้านี้ค่อยๆ ผ่อนคลายลง

   ผมได้ยินเสียงถอนหายใจ...

   “เทียนหอมนั่น...”

   ผมหันกลับไปมองเทียนหอมผสมกำยานที่ผมใช้ทุกวัน จุดเพื่อผ่อนคลายความเครียดและทำให้ห้องไม่มืดเกินไปก่อนผมนอน หมอถอนหายใจเหมือนรู้สึกโล่ง

   “หมอ... มีอะไรรึเปล่าครับ”

   ผมถามธุระของเขา

   “ผมเอานี่มาฝากให้พ่อแม่คุณ” หมอยื่นถุงกระดาษให้ ผมรับมาก่อนจะเปิดดู มันคือขนมอบไทยแบบที่ม๊าผมชอบ ร้านดังที่ต่อคิวยาวจนท้อ

   “ปุ้นบอกว่าคุณจะกลับบ้าน” หมอมองหน้าผม

   “ครับ”

   “เป็นเพราะวันนั้นหรือเปล่า”

   “หมอ ผมไม่อยากนึกถึงมัน” ผมเบือนหน้าหนี ทำท่าจะปิดประตูใส่ แต่คนตัวใหญ่กว่ากลับยันประตูไว้แล้วดันร่างตัวเองเข้ามาในห้องก่อนจะปิดประตูลง ผมผงะถอย ตั้งท่าจะผลักเขาออกไป แต่ร่างสูงกลับก้มตัวลงมากอดผอไว้พลางสูดดมที่ซอกคอ

   “ผมเหนื่อย”

   “ทะ... ทำอะไรน่ะ”

   “ขอโทษที ขออยู่แบบนี้สักพัก” หมอกระซิบ “สัญญาครับว่าจะไม่ทำอะไร”

   คนตัวสูงทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาก่อนลากผมลงมานั่งบนตักในท่าหันหลัง ตระกรองกอดผมไว้ ไม่ทำอะไรไปมากกว่าเห็นผมเป็นตุ๊กตาหมีตัวโต ร่างกายผมแข็งทื่อ ตั้งสติ... ลมหายใจของคนที่กอดผมไว้เริ่มผ่อนยาวและสม่ำเสมอ เขาวางคางไว้บนบ่าผมแบบทิ้งน้ำหนักเต็มที่ กลิ่นยาโรงพยาบาลกลบกลิ่นโคโลญที่เขาใช้ประจำจนหมด

   นี่กูทำอะไร และเขาทำอะไร?

   ผมขมวดคิ้ว มองหน้าปั้นสิบที่นั่งเลียไข่ตัวเองตรงหน้าผม...

   ผมพยายามเขย่าตัวคนที่ตอนนี้หลับไปแล้วให้ตื่น ตัวหนักอย่างกับยักษ์ แรงกอดที่แน่นจนผมคิดว่าเขาแกล้งหลับรึเปล่าวะ ผมจัดการปล่อยถุงกระดาษลง เอนตัวพิงเขาที่กดน้ำหนักมาด้านหน้าให้เอนหลังพิงพนักโซฟาดีๆ ปล่อยให้เขาใช้ไหล่ของผมเป็นหมอนรองคาง พยายามสุดๆ ในการนั่งมองฟ้า มองเพดาน แม้กระทั่งสำรวจหาจิ้งจกในห้อง

   “หมอ... หมอครับ คือผมปวดฉี่”

   ผมพยายามเขย่าร่างสูงที่กอดผมมาเกือบสิบนาทีจนเหน็บจะกิน แต่คนข้างๆ กลับไม่ยอมตื่น พยายามอยู่หลายนาทีจนต้องแงะมือของคนที่หลับลึกออก ประคองเขาให้นอนตะแคงราบไปกับโซฟา ขายาวเลยโซฟาห้อยตกพื้น ผมเอาหมอนอิงมารองหัวให้เขาหนุนก่อนจะวิ่งไปเข้าห้องน้ำ

   ผมออกจากห้องน้ำไม่นาน โทรศัพท์มือถือของหมอที่อยู่ตรงกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น ร่างสูงสะดุ้งพรวดลุกขึ้นมานั่ง ขยับแว่นตา ควักโทรศัพท์มารับสายเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้หลับจนผมอึ้ง

   เมื่อกี้แกล้งหลับเหรอ...?

   “ครับ... ครับ... ได้ครับ จะถึงได้ภายในครึ่งชั่วโมงครับ สวัสดีครับ”

   หมอวางสาย ก่อนจะสะบัดหัว นิ่งสักพักเหมือนลืมตัวว่าเมื่อกี้รับโทรศัพท์ ก่อนจะลุกขึ้นเดินเซๆ ไปที่ประตูห้อง ลืมผมที่เป็นเจ้าของห้องไปชั่วขณะ และเหมือนพึ่งนึกได้ว่านี่ไม่ใช่ห้องตัวเอง และผมยืนหัวโด่งอยู่ตรงนี้นะ ร่างสูงหันกลับมา ก้าวยาวๆ แค่สองสามก้าวก็ถึงตัวผม ก่อนจะกดจมูกและปากลงมาหอมแก้มผมไปฟอดใหญ่

   ผมอึ้งเบิกตากว้าง หมอค่อยๆ ริมฝีปากและหน้าออก ตาสีเขียวมองผมอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะรีบถอยออกห่างเมื่อเห็นว่าผมกำลังจะยกมือขึ้นฟาด

   “พักผ่อนซะนะครับ”

   หมอยิ้มให้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมจะยินดีที่เห็นหมอทำหน้าอื่นนอกจากนิ่งๆ แต่วันนี้ผมบอกได้คำเดียวว่า...

   “ยิ้มเชี่ยไรครับหมอ!”



#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ร้ายกาจจริงๆครับหมอ,,,

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
คุณหมออออออ ทำอะไรน้องเนี่ย จะจีบก็รีบจัดการนะครับ เคลียร์คนเก่า ๆ ของหมอด้วยนะครับ //แอบเชียหมออยู่นะครับ ^^

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
หมอเวรเยินเหรอคะ 555 หมอ on call ที่รพ.โทรตาามป่าววว

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
หมอเวรเยินเหรอคะ 555 หมอ on call ที่รพ.โทรตาามป่าววว

ช่ายเลอออออออออ

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 12
หมอครับ ท้องฟ้าที่นี่ไม่เหมือนกับที่นั่น


   หลังจากหมอกลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมง ข้อความในไลน์ก็เด้งขึ้นมา คือชื่อของจิตแพทย์ที่เขาเคยบอกว่าจะนัดให้ เป็นหมอผู้หญิง มีรูปแนบมาด้วย ผมเปิดดูแล้วใจเต้นเลยครับ หมอน่ารักมาก ชื่อหมออิงลดา วิภาสกุล เขาบอกว่าเดี๋ยวค่อยนัดเจอเป็นการส่วนตัวหลังจากที่ผมกลับจากเชียงรายก็ได้ ส่วนผมทำแค่ตอบว่า ‘ครับ’ กับ ‘ขอบคุณครับ’ ไปตามมารยาท จากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาอะไรต่ออีก

   และแล้วเช้าวันเสาร์ก็มาถึง ทุกคนมารวมตัวกันที่สนามบินสุวรรณภูมิตอนตีห้า ไม่มีใครเร็วหรือสายไปมากกว่านี้ เช็คอินโดยที่ไม่มีใครโหลดกระเป๋าเพราะหนีบมาแค่คนละใบ ขนาดฟางที่เป็นผู้หญิงยังพกมาแค่กระเป๋าลากใบเดียวพอยัดเข้าช่องเก็บของบนเครื่องได้กับกระเป๋าใบเล็กใส่ของจุกจิกอีกใบเท่านั้น โดยให้เหตุผลว่า ‘เดี๋ยวไปซื้อเอาข้างหน้า’

   ส่วนเจ้าปั้นสิบ ผมเอาไปฝากไว้เมื่อคืน มันไม่ใช่แมวเรื่องมาก มันแค่ขี้เกียจ อยากกินมันก็แค่อ้อน ถ้ามีเสียงดังมันก็แค่หนีไปนอนที่เงียบๆ เท่านั้น

   ผมไม่ลืมหยิบเอาถุงขนมที่หมออคินฝากมายัดใส่กระเป๋าเดินทางมาด้วย

   ผมอยากหนีกลับบ้านเพราะเขา

   แต่กลับพกของฝากจากเขากลับมาฝากป๊าม๊า...

   ย้อนแย้งสัสๆ

   ผมถอนหายใจ

   ทุกคนไม่มีใครดูง่วงหงาวหาวนอนเลยทั้งๆ ที่ต้องตื่นตั้งแต่กี่โมงก็ไม่รู้ ยกเว้นผม... ที่หลับทันทีที่เครื่องเทคออฟ

   ปึก! ผมที่นั่งติดกระจกเอาหัวโขกอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งผมรู้สึกว่าหัวมันถูกสั่งให้เอนไปอีกฝั่ง จากนั้นผมก็ไม่รู้ว่ากระจกแข็งอีกต่อไป...

   “ข้าวปั้น... ข้าว... เฮ้ย!

   ผมรู้สึกเหมือนกำลังฝัน ก่อนสติจะถูกดึงกลับมาด้วยแรงตบเบาๆ ที่แก้ม คอผมหักอิงซบกับไหล่ของพี่ดินที่นั่งตรงกลาง

   “เอ...”

   “เอพ่อง! แลนด์ดิ้งแล้ว ตื่น” พี่ดินหัวเราะ ผมขยี้ตาเบาๆ เพราะกลัวคอนแทคเลนส์หลุด สะบัดหัว แม้จะปวดคอแต่ก็สบายดี เพราะผมถือวิสาสะใช้ไหล่หนาๆ ที่เต็มไปด้วยกล้ามของพี่ดินซบแทนหมอนรองคอซะงั้น

   แอบเห็นคราบน้ำลายตรงแขนเสื้อยืดสีเทาของพี่แก

   “ขอ... ขอโทษฮะพี่ ตาย...” ผมรีบลนลานหากระดาษทิชชู่ เมื่อหาไม่ได้ จึงจัดการใช้แขนเสื้อกันหนาวของผมเช็ดให้แทน พี่ดินมองการกระทำประหลาดก่อนจะตบกลางกบาลผมเบาๆ ทีนึงแล้วลุกขึ้นเมื่อคนเริ่มทยอยลงจะหมดเครื่องแล้ว พวกพี่เจี้ยนที่นั่งอีกฝั่งก็ลุกขึ้นหยิบกระเป๋าของตัวเองจากช่องเก็บของ

   “อ่ะ เอาไป” พี่ดินดึงกระเป๋าผมออกมาให้แล้วดันให้เดินนำไปก่อน ผมผงกหัวขอบคุณ ใจเต้นตุบๆ ทั้งอาการเขินและอับอาย รอยน้ำลายยังเห็นชัดอยู่เลย

   เมื่อออกจากตัวเครื่อง ผมหยิบมือถือขึ้นมาปิดโหมดเครื่องบินแล้วโทรหาเฮียปุ้นทันที

   “ฮัลโหลเฮีย... ได้... อ่า โอเคๆ” ผมวางสาย เฮียปุ้นบอกว่าจอดรถรออยู่ตรงประตูขาออกภายในประเทศ

   ทุกคนไม่ทันเตรียมรับมือกับอากาศหนาวของเชียงรายที่กำลังจะเริ่มในเดือนพฤศจิกายน เช้าๆ ตอนแปดโมงครึ่งนี่หมอกเพิ่งจะจาง แต่ละคนออกมาจากสนามบินแล้วแทบผงะกับลมหนาวที่พัดมาตีแสกหน้า แต่สำหรับผม นี่เป็นอากาศดีๆ ที่คุ้นเคย ผมกระชับเสื้อกันหนาวตัวบางแล้วล้วงเอาอีกตัวที่หนากว่าและมีฮู้ดกันลมมาใส่ทันที

   “เฮ้ ไอ้ปั้น” เฮียปุ้นจอดรถรออยู่ริมฟุตบาทโบกมือให้ ผมยกแขนโบกตอบพลางหันมามองเหล่าเพื่อนร่วมงานที่เบิกตากว้างเมื่อเห็นรถกระบะตอนเดียวของเฮียปุ้น

   “หวัดดีเฮีย นี่เพื่อนที่บอ คนนี้พี่ดิน อายุน่าจะพอๆ กับเฮียปุ้น อายุมากสุดในกลุ่มปั้น” ผมแนะนำพี่ใหญ่ของกลุ่ม พี่ดินยิ้มกว้าง

   “ปีนี้ผมสามสิบสิบ” พี่ดินว่า

   “เฮ้ย เหมือนกันๆ” ดูเหมือนเฮียปุ้นจะได้เพื่อนก๊งเหล้าแล้วคืนนี้

   “ส่วนนั่นพี่เจี้ยน รุ่นน้องมหาลัยเดียวกันกับพี่ดิน อีกคนนั่นไอ้เน รุ่นเดียวกับปั้น ส่วนสาวสวยนั่น ฟาง เป็นน้องเล็กของกลุ่มปั้นเอง”

   แต่ละคนที่อายุน้อยกว่ายกมือไหว้เฮียปุ้น ไอ้เฮียตัวดียกมือบอกว่า กันเองน่า ก่อนจะช่วยยกกระเป๋าขึ้นหลังกระบะ

   ผมยิ้มขำ แต่ละคนขอล้วงเอาเสื้อกันหนาวออกมาทันทีที่ผมบอกว่าต้องนั่งรถไปอีกประมาณสามชั่วโมง ยังดีที่ตอนนี้แดดเริ่มออกแล้ว แต่พอขึ้นดอย แน่นอนว่าต้องปากสั่น

   ความจริงบ้านผมมีรถตู้เก้าที่นั่งกับฟอร์จูนเนอร์เจ็ดที่นั่งนะ แต่ผมเลือกให้เฮียปุ้นเอาคันนี้มารับ เพราะอยากให้ลองท้าลมหนาวกันดู

   “ฟางไปนั่งข้างหน้ากับเฮียปุ้นมั้ย” ผมถามเพราะน้องตัวบางแถมเสื้อกันหนาวก็ดูจะไม่ได้อุ่นเท่าไหร่ ฟางส่ายหัวดิกๆ เกาะแขนเนแน่น

   “ฟางทนได้”

   สงสัยกลัวเฮียปุ้นล่ะมั้ง เฮียแกเล่นสวมไอ้โม่งกันหนาวที่เห็นแต่ลูกกะตา แถมยังใส่เสื้อกันหนาวแบบนวมทำให้ดูตัวใหญ่กว่าเดิมทั้งๆ ที่ปกติก็ตัวใหญ่พอๆ กับพี่ดินอยู่แล้ว

   หมีควาย...

   ไอ้ฟางจะกลัวก็ไม่แปลก ทำไมมันใส่มาอย่างกับอยู่อลาสก้า มึงบ้าป่ะเฮียปุ้น

   “งั้นพวกปั้นนั่งหลังกันหมดเนี่ยแหละ” ผมไล่เฮียปุ้นไปขึ้นรถ และให้ทุกคนปีนขึ้นหลังกระบะโดยให้ฟางนั่งข้างในสุด ขนาบข้างด้วยผมกับเน ซ้อนอีกชั้นคือพี่ดินกับพี่เจี้ยน ขับไปได้ประมาณสิบนาที จากตอนแรกนั่งเกาะท้ายรถกระบะท้าลมหนาวกัน พอยิ่งขึ้นดอยสูงอุณหภูมิยิ่งลด แต่เพราะวิวดีมาก ทำให้แต่ละคนงัดกล้องมาถ่ายเก็บบรรยากาศกันรัวๆ ฟางที่ดูจะแฮปปี้กับลมปะทะยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าพี่เจี้ยนที่ตัวสั่นงกๆ ผมเริ่มรู้สึกว่าคิดผิดที่อยากให้คนกรุงปะทะลมหนาว

   ผมตัดสินใจเคาะกระจกรถจากด้านหลังเป็นสัญญาณบอกให้เฮียปุ้นจอดรถ

   “เฮีย ปั้นว่าในรถน่าจะมีผ้าห่มติดไว้ซักผืนนะ ลองหาให้หน่อยสิ”

   ผมมองหน้าพี่เจี้ยนที่ตัวบางๆ นั่งสั่นกึกๆ หน้าซีด กลัวจะเป็นหวัดก่อนเที่ยวน่ะสิ เฮียปุ้นเลิกคิ้ว มองคนที่ดูอาการหนักสุดซุกเข่าเข้าไปในเสื้อกันหนาว ก่อนจะลองกลับเข้าไปรื้อๆ เก๊ะหน้ารถ แต่ก็ไม่เจอ เฮียแกเลยถอดเสื้อแจ็กเก็ตนวมของตัวเองออก พร้อมกับหมวกไอ้โม่งยื่นส่งมาให้ผม

   “ในรถไม่หนาว เอาไปใส่ละกัน เอ็นดูว่ะ”

   เฮียปุ้นเผยใบหน้าคมคายคร้ามแดดเพราะออกไร่ออกสวนทุกวัน เคราที่ไม่ได้โกนเพราะเจ้าตัวบอกว่าเปลืองใบมีดทำให้ดูเข้มผิดกับน้องชายอย่างผมที่ทำงานในห้องแอร์จนผิวขาวซีด ผมส่งให้พี่เจี้ยนที่รับไปใส่พลางยกมือขอบคุณ เขาเอามันห่มตัว สีหน้าดีขึ้นเพราะเสื้อยังหลงเหลือไออุ่นจากเฮียอยู่

   “พี่เจี้ยนไปนั่งหน้ามั้ย” เนถาม พี่เจี้ยนส่ายหน้า “อย่าคิดจะทิ้งกูเชียว”

   ใครทิ้งมึงพี่เจี้ยน

   ผมส่ายหน้า สั่นเป็นเจ้าเข้าแล้วยังเสือกห่วงสนุก

   “พี่ดินเก่งแฮะ ไม่หนาวเลย” ผมแซว

   “หนาวสิวะ! แต่กูไหว” พี่ดินหัวเราะ ยิ้มให้ผม ก่อนหันไปมองข้างทางที่เริ่มเป็นไร่ชาสุดลูกหูลูกตา

   ผมเอามือถือขึ้นมาถ่ายเพื่อนๆ ลงอินสตราแกรมสตอรี่ ถ่ายรูปวิวบ้าง รูปฟางที่บังคับผมถ่ายบ้าง จนในที่สุดก็ถึงไร่อันนาที่ปลูกสารพัดตั้งแต่ ชา ไม้สัก ไปจนถึงผักสวนครัว ไร่สตอเบอรี่ที่ป๊าปลูกเล่นๆ ไว้ให้เจ้หอมกำลังออกผลสวยน่ากิน รถกระบะตอนเดียวเคลื่อนตัวผ่านทางที่ทำไว้ ทุกคนบนหลังรถดูตื่นตากับไร่ของครอบครัวผม

   “บ้านรวยนี่หว่า” พี่เจี้ยนเลิกสั่น ผมหัวเราะ

   “พออยู่พอกินน่ะ”

   “พ่องสิ! เป็นกูนะกลับมาช่วยงานที่บ้านแล้ว ไม่หางานที่กรุงเทพทำให้ปวดหัวหรอก” ไอ้เนว่าบ้าง รถกระบะจอดสนิทที่หน้าบ้านไม้สักทองทั้งหลังที่สร้างมาตั้งแต่เฮียปุ้นยังไม่เกิด เป็นบ้านหลังใหญ่ที่ปลูกไล่ระดับลงมาตามเนินเขาประมาณสามชั้น แต่ละชั้นจะมีชานบ้านโปร่งไว้นั่งเล่นตามแบบที่รีสอร์ทสร้างกันให้นักท่องเที่ยวมาพัก หากใครนึกไม่ออก สามารถเสิร์ชกูเกิ้ลหาภาพรีสอร์ทบ้านม่อนม่วนของจังหวัดเชียงใหม่ได้ ลักษณะคล้ายๆ กันแต่บ้านผมจะเก่ากว่าเพราะสร้างมานานแล้วและก็ไม่ได้มีเรือนแยกเพราะเราอยู่กันแค่คนในครอบครัวไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามา มีบ้านพักของคนงานอยู่ด้านล่างเนินแถวประตูหน้าทางเข้าห่างจากบ้านหลัก รวมๆ ก็มีอยู่ประมาณยี่สิบกว่าคน

   ทุกคนช่วยกันหอบหิ้วของของตัวเองเดินขึ้นบนบ้านที่เป็นลานไม้ ซึ่งตรงนี้ก็เห็นวิวของภูเขาเหมือนกัน ชั้นนี้เป็นส่วนไว้รับแขก แต่โซนห้องนอนจะต้องเดินเข้าไปอีกและขึ้นบันไดไปตามระเบียงบ้านที่สามารถนั่งเล่นได้ตลอดทางเดินจนสุดหลังบ้าน ระหว่างทางจะเป็นห้องทำงานบ้าง ห้องนั่งเล่นบ้าง ห้องหนังสือบ้าง ก่อนจะถึงส่วนห้องพักอาศัยที่จะเป็นแยกเดินเลี้ยวขวาเข้าไปจะเจอกับโถงแบบโปร่งยกสูง ตรงกลางมีบันไดเล็กสามารถเดินลงไปชั้นล่าง บ้านเราจะมีห้องครัวใหญ่กับครัวเล็ก แล้วแต่ว่ามื้อไหนคนเยอะก็ทำครัวใหญ่ซึ่งเดินออกมาจะเป็นโถงรับแขกหน้าบ้านที่เดินผ่านมา ถ้ากินกันสองสามคนก็มีครัวเล็กบนชั้นนี้และโต๊ะกินข้าวตรงโถงกลางนี่เหมือนกัน

   เอ่อ อธิบายเองผมก็งงเอง เอาเป็นว่าบ้านผมสามารถเดินทะลุไปมาได้ บันไดเยอะทีเดียว ส่วนใหญ่บ้านผมรับแขกบ่อย ไหนจะเพื่อนป๊า เพื่อนม๊า เพื่อนเฮีย เพื่อนเจ้ มีแต่ผมเนี่ยแหละที่ไม่มีเพื่อนมาบ้าน

   “เจ้าปั้น!” เสียงของม๊าดังมาจากทางโถงกลางชั้นสอง ม๊าเดินถือถาดผลไม้มา ตามหลังด้วยป้าสร แม่บ้านคนเก่าแก่ของบ้านผม ซึ่งผมเคารพป้ามากๆ เพราะนอกจากม๊าที่ตีผม ป้าสรก็เป็นคนอีกที่ผมเคยโดนก้านมะยมฟาด ป้าสรถือถาดเหยือกแก้วที่คิดว่าน่าจะเป็นกาแฟกับถ้วยเปล่าตามมา

   “คิดถึงจังเลยม๊า!” ผมกอดหญิงร่างท้วมในชุดผ้าไหมเมือง แม้หน้าตาจะไปทางจีนมากกว่า ก่อนจะจะหันไปกอดป้าสรที่วางถาดกาแฟลงที่โต๊ะเล็กหน้าชานบ้าน

   “คิดถึงจังป้าสร”

   “น้องปั้นตึงบ่าค่อยปิ๊กบ้านแต๊ ก๋านนักก่อน้อง จะใดบ่าปิ๊กมารวดเดียวปี๋ใหม่น่ะน้อง (น้องปั้นไม่ค่อยจะกลับบ้านเลย งานเยอะมั้ยลูก ทำไมไม่กลับมาทีเดียวตอนปีใหม่ล่ะ)” ป้าสรเว้าเมืองใส่ผมที่ทำหน้าย่น

   “ปั้นอิ๊ดครับ ไขอยากปิ๊กบ้าน (ปั้นเหนื่อยครับ อยากกลับบ้าน)” ผมพูดเหนือกลับบ้าง ก่อนจะแนะนำเพื่อนๆ พี่ๆ ให้ทุกคนรู้จัก พอดีกับที่ป๊าและเจ้หอมเดินมา คงจะรู้ว่าลูกชายจะพาเพื่อนกลับบ้านจึงไม่ได้ออกไปดูไร่ แม้ว่าเจ้หอมจะทำบัญชีให้ที่บ้าน แต่เป็นทั้งเลขาและคนดูแลบ้านแทนเจ้ฟ่างไปด้วย แถมยังอึดถึกทนทำได้แม่งทุกอย่างตั้งแต่ปลูกต้นไม้ ตัดฟืน ขุดดินลงกล้า ยันซ่อมหลังคา สิ่งเดียวที่เจ้หอมทำไมเป็นคืองานที่ผู้หญิงทำ....

   พี่เจี้ยนหน้าแดง ผมกระทุ้งศอกใส่พลางถลึงตามองคนที่อยากตีท้ายครัวชาวบ้าน

   “ตามสบายนะ บ้านป๊าอาจไม่สะดวกสบายเท่าไหร่ แต่มีสตอเบอรี่ให้กินเพียบ” ป๊าผมคนสบายๆ ว่า ป้าสรแจกกาแฟให้ทุกคน เจ้หอมเองก็ดูสนุกกับการคุยกับฟางที่เป็นสาวน้อยคนเดียวของกลุ่ม

   “แล้วอคินไม่มาด้วยเหรอปั้น” ม๊าถามหาคนที่ผมเกือบลืมไปแล้ว ผมส่ายหัว

   “เขาจะมาทำไมม๊า ไม่ได้สนิทกัน”

   “ตีปากเลย เขาเป็นหมอแก แถมเป็นเพื่อนเฮียแก ยังจะเรียกว่าไม่สนิทได้อีกเรอะ” ม๊าดุผม

   “โอย... พอๆ เออใช่ หมอฝากขนมอบไทยมาให้น่ะ อ่ะนี่” ผมยืนถุงกระดาษที่รื้อออกมาให้จากกระเป๋า มันค่อนข้างยับแต่รสชาติคงไม่เสียหรอกมั้ง ม๊ากรี๊ดกร๊าด ผมหลบฉากโดยการบอกว่าจะพาทุกคนไปเก็บของในห้อง

   เนื่องจากบ้านผมเป็นบ้านใหญ่ บ้านหลังนี้จึงค่อนข้างมีห้องเยอะ แต่มีแค่พ่อแม่กับพี่สาวที่กำลังจะแต่งงานอยู่กันแค่สามคน เฮียปุ้นแยกออกไปสร้างบ้านของตัวเองอยู่ท้ายไร่ที่วิวดีไม่แพ้กับตรงนี้ ห่างประมาณสามร้อยเมตร ดังนั้นบ้านใหญ่แปดห้องนอน สิบห้องน้ำจึงมีที่ว่างเยอะแยะ

   ตอนแรกบ้านนี้มีคนใช้ห้องทั้งหมดห้าห้อง คือห้องป๊าม๊าและลูกๆ อีกสี่คน แถมสามคนก็ไม่ค่อยจะได้กลับมาบ้านใช้ห้องตัวเองเท่าไหร่ เจ้ฟ่างก็กลับมาแค่ปีละครั้ง ห้องนั้นก็ไม่มีคนใช้ ผมเลยยกห้องนี้ให้ฟาง ส่วนห้องที่เหลือก็ยกให้พวกพี่ๆ กับไอ้เนคนละห้อง แม้พวกเขาจะบอกว่าให้นอนรวมกันก็ได้ เกรงใจ แต่ผมบอกว่าตามสบาย ให้ห้องมันได้ใช้งานบ้าง เดี๋ยวปลวกขึ้น

   แต่ละคนบอกว่าผมมีเงิน ผมเลยตอบกลับไปว่า ป๊าม๊าผมต่างหากที่มีเงิน ไม่ใช่ผม ทุกวันนี้ตั้งแต่ทำงานแล้ว ป๊าไม่ให้เงินใช้อีกเลย ป๊าสอนเสมอว่า คนที่มีเงินคือคนที่ทำงานครับ คนที่ไม่ทำงานไม่มีสิทธิ์ใช้เงิน เพราะฉะนั้น เงินในไร่ น้องข้าวปั้นกับเจ้ข้าวฟ่างไม่มีสิทธิ์แตะต้องนะครับ... ดุใช่มั้ยล่ะ

   แต่ถ้ากลับบ้าน ม๊ากับป๊าจะเปย์ของกินผมไม่อั้นครับ ผมรู้แค่ว่าถ้ากลับบ้านไม่ต้องเสียค่าข้าว

   “ปั้น” เฮียปุ้นที่ได้เสื้อแจ็กเก็ตคืนมาใส่เรียกผมที่ออกมายืนดูวิวไร่ที่ชานบ้านหลังจากเอากระเป๋าเข้าไปเก็บในห้องเรียบร้อย

   “ว่า?”

   “มีอะไรรึเปล่า จู่ๆ ก็กลับบ้าน”

   เอ้า!! กลับบ้านก็ผิด

   “ก็ม๊าบอกเองว่าอยากให้ปั้นกลับบ้านบ้าง แล้วช่วงนี้ยังไม่มีโปรเจคใหญ่เข้ามา หัวหน้าเขาบอกให้รีบใช้วันหยุดก่อนจะหมดปี ปั้นเหนื่อยก็เลยอยากกลับบ้าน” ผมอธิบายความจริง... แต่นั่นไม่ใช่เหตุผล

   “คืนก่อน อคินมันโทรมาหาเฮีย มันถามว่าแกบอกอะไรบ้างไหม” เฮียปุ้นล้วงกระเป๋าเสื้อนวม พ่นไอหนาวออกมาจากปาก “มีเรื่องอะไรกับมันรึเปล่า?”

   ผมเงียบ... ไม่อยากอธิบายอะไร

   เฮียปุ้นรู้นิสัยผมดี ถ้าอะไรที่ผมปิดปากเงียบ คือเงียบ จะไม่มีใครเอาคีมมาง้างปากผมได้ เหมือนตอนที่ผมทนทรมานกับโรคกระเพาะจนทะลุนั่นแหละ ถ้าพี่อัฐไม่โทรบอกที่บ้าน ผมก็จะไม่บอกว่าผมผ่าตัด จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงกัน

   ยกเว้นโรคกลัวความมืดที่รู้กันทั้งบ้านแต่ไม่มีใครปริปากพูดเรื่องนี้ออกมา

   ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนผมสามารถเล่นซ่อนหาในตู้เสื้อผ้าได้สบาย แต่ตอนนี้แค่คิดว่าตัวเองถูกขังไว้ในที่มืดแคบๆ มีแต่กำแพง ผมก็หายใจไม่ออกแล้ว

   “แกบอกเฮียได้นะ ถ้าแกอยากบอก” เฮียปุ้นก็เหมือนเดิม เขาไม่เซ้าซี้ โตๆ กันแล้ว ตัดสินใจกันเอง เฮียเอามือใหญ่หยาบกร้านวางบนหัวผมแล้วขยี้อย่างหมั่นไส้ก่อนเดินจากไป

   ผมมองออกไป เริ่มจมกับความคิดตัวเอง

   

   หลังจากเก็บของกันเสร็จ แขกบ้านแขกเรือนก็รวมตัวกันที่โต๊ะกินข้าว รวบมื้อเช้ากับเที่ยงตอนสิบเอ็ดโมง ทุกคนช่วยกันยกจานอาหารมากมายมาจัดวางบนโต๊ะกินข้าวไม้สักขนาดใหญ่ที่ตรงชานหลังบ้านในร่ม มีหลังคาและระแนงกั้นแสง เป็นโซนที่เอาไว้สำหรับปาร์ตี้แขก ติดกับครัวเช่นกัน

   หลังจากนั้นพอทานมื้อเที่ยงเสร็จ พวกเขาก็ขอให้ผมพาออกไปเที่ยวไร่ตอนบ่ายคล้อยเพื่อถ่ายรูป ไอ้เนงัดเอาเลนส์ตัวละแปดหมื่นมาถ่ายรูปให้ฟางที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นอีกชุดเพื่อการนี้โดยเฉพาะ แถมยังเป็นชุดของเจ้ฟ่างที่เจ้หอมบอกว่า อยากใส่ตัวไหนหยิบเลย เจ้แกไม่ว่า เหมือนว่าสามสาวจะวิดิโอคอลหากันแล้วถูกชะตาน่าดู ก็ดีที่สาวๆ เขาสนิทกันง่าย

   ส่วนพี่ดิน รายนั้นก็ถ่ายรูปแต่เป็นสายถ่ายวิวเอาไปทำสต็อคหาเงิน เขาเดินคุยกับป๊าผมที่ดูจะคุยกันถูกคอเพราะเป็นสายรักธรรมชาติด้วยกันทั้งคู่ สงสัยป๊าคุยกับเฮียปุ้นจนเบื่อแล้ว

   ส่วนพี่เจี้ยน เดินไปเรื่อยเลยครับ อัพไอจีไปเรื่อยเปื่อย มีไลฟ์สดด้วย ทำตัวเป็นเซเลปไปได้ ผมกดดูไลฟ์ของพี่แก มีคนคอมเม้นต์เยอะเหมือนกันนะ ทั้งเพื่อนและคนในบริษัท มันโฆษณาไร่ผมเหมือนเป็นไร่ตัวเอง ผมเลยเม้นต์แหย่ไปทีนึง



   Kaowpun Saran: ไอ้พี่เจี้ยน โฆษณาเป็นบ้านตัวเองเลยนะ อยากมาเป็นสะใภ้บ้านผมเหรอ

   Dun.Geon: อยากเป็นเขยสิสัส



   ถ้าพี่กรมาเห็นคงปรี๊ดแตก

   ก่อนจะนึกได้ ผมลืมบอกทุกคนไปเลยว่าอย่าเดินไปทางบ้านเฮียปุ้นนะ เดี๋ยวจะเจอแจ๊กพอต... แต่ก็ช่างมันเถอะ คงไม่มีใครเดินถึงหรอกมั้ง ห่างกันตั้งโยชน์ เฮียยังต้องขี่มอเตอร์ไซค์เอาเลย

   ผมปล่อยทุกคนตามสบาย พรุ่งนี้กะว่าจะพาไปเที่ยวดอยอื่นซะหน่อย พาไปให้ครบทุกดอยนั่นแหละ เอาให้เอียนทะเลหมอกไปเลย



   ผมหนีมานอนอยู่ที่เปลญวนตาข่ายที่ผูกไว้หลังบ้าน นอนเล่นมือถือพลางก่อนจะกดถ่ายรูปท้องฟ้า เหมือนจะสบายใจแต่หัวผมคิดสะระตะไปเรื่อยเปื่อย

   มันไม่สงบ... ผมเอาแต่คิดถึงเขา

   แทนที่กลับบ้านมาจะทำให้ผมสบายใจ

   ผมเอาแต่เผลอกดเข้าๆ ออกๆ ไปดูข้อความที่คุยกันระหว่างผมกับเขา

   มันมีแค่ไม่กี่บรรทัด...

   ผมเอาแต่นึกถึงเรื่องคืนนั้น... แม้จะเป็นความทรงจำขาดๆ หายๆ แต่ก็พอจะจำได้ในส่วนที่มันชัดเจน

   ‘ข้าวปั้น... เรียกเฮียสิครับ’

   ‘เฮีย... เฮียคิน... อา... เจ็บครับ เบา...’   

   ผมไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเอง ถ้ารู้สึกแย่ ผมควรจะกลัวเขาเหมือนที่กลัวความมืด

   แต่กลิ่นน้ำหอมของเขากลับติดอยู่ปลายจมูก

   ผมกดดูรูปภาพในมือถือผ่านปุ่มส่งรูปภาพในไลน์ตรงช่องแชทของเขา... ก่อนจะเหม่อ... มองไปไหนก็ไม่รู้จนมือลั่น

   ฟึ่บ!

   เสียงส่งข้อความทำเอาผมสะดุ้งโหยง!

   เชี่ยแล้วไอ้ปั้น!

   ผมกดส่งรูปท้องฟ้าที่ถ่ายเมื่อกี้ไปให้หมอ ผมรีบจะกดลบ แต่ไม่ทันแล้วเมื่อเขาขึ้น read... แทบจะทันที

   ผมกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ ไม่รู้จะทำยังไง เขาอ่าน อ่านแต่ไม่ตอบ

   หรือจะเปิดมือถือค้างไว้...

   ไม่สิ ถ้าเปิดค้างไว้ก็แปลว่าเขาต้องเข้าหน้าแชทของผมไว้เหมือนกันน่ะสิ

   อ๊าก!!!!

   ผมดิ้นจนกลิ้งตกแปลญวน ลูบเอวตัวเองปอยๆ ไม่นาน เสียงข้อความก็ดังขึ้น ผมเห็นแจ้งเตือนตรงหน้าล็อคสกรีนว่าเขาส่งรูปภาพมาให้ ทำใจอยู่นานก่อนจะกดเข้าไปดู

   อารมณ์หงุดหงิดพุ่งขึ้นหน้าทันที...



   Akin.L: sent a photo



   รูปท้องฟ้าของกรุงเทพตอนเย็นถูกส่งมาให้... กับข้อความสั้นๆ



   Akin.L: This sky here is not as beautiful as like there.



   “หมอบ้า”

   ผมเอามือปิดหน้าที่ร้อนเพราะหงุดหงิดจนเลือดขึ้นหน้า...

   ...ท้องฟ้าที่นี่ไม่สวยเหมือนที่นั่น...



เมื่อไหร่น้องจะรู้ตัวซะทีว่าหมอเขาจ้องกินหนูมาตั้งนานเเล้วนะลูก
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
https://twitter.com/_SeenYu

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
หูยยยยย ... หมออ่านแชทน้องไวเวอร์อ่ะ //คิดถึงกันบ้างแล้วสิเนี่ย :-[

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
เฮียคินนังร้ายนะคะหัวหน้าาา !! 555 จ้องจะกินน้องตั้งแต่เด็กเลยไหมเนี่ย โถ่น้องปั้นลู้กกก

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 13
หมอครับ ของฝาก



   คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่ผมจะอยู่เชียงราย หลังจากพาพวกเพื่อน ร่วมงานไปตะลุยเก็บความงามของธรรมชาติจังหวัดเชียงราย พี่ดินกว้านซื้อของฝากจนผมบอกว่าระวังน้ำหนักเกิน แต่ละขวดที่พี่แกซื้อมีแต่ของแรงทั้งนั้น พี่ดินบอกว่าไม่ได้แดกคนเดียว ไอ้พวกขี้เหล้าที่บริษัทก็ฝากซื้อ

   ช่วงวันสองวันแรกที่มาอยู่ พี่ดินเป็นคนขับรถของที่บ้านพาพวกผมไปเที่ยวตามที่ต่างๆ โดยมีผมเป็นไกด์นำทาง แต่ดูเหมือนวันหลังๆ เฮียปุ้นจะเริ่มว่างจากการส่งไม้และกล้า จึงอาสาขับรถให้ บอกว่าจะพาไปเที่ยวม่อนดอยของจังหวัดเชียงใหม่บ้าง ซึ่งเฮียปุ้นชำนาญทางอะไรแบบนี้อยู่แล้ว แถมงานนี้เฮียเลี้ยงเอง พี่ดินเกรงใจน่าดูเลยขอเป็นเจ้ามืออาหารเพื่อเฉลี่ยค่าใช้จ่าย แม้ผมจะบอกว่าไม่ต้องไปสนใจหรอก เฮียปุ้นมันรวย

   ไม่รู้ผมคิดไปเองรึเปล่าที่คิดว่า ไอ้เฮียปุ้นมันเดินตามพี่เจี้ยนต้อยๆ แถมพี่เจี้ยนดูจะรำคาญมันอย่างออกนอกหน้า

   หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครอบครัวผมจัดปาร์ตี้ฉลองคืนสุดท้ายให้แขกของลูกชายก่อนที่จะต้องเดินทางกลับตอนไฟลต์เช้าวันพรุ่งนี้ไปสู่โลกแห่งความจริง ปิ้งย่างหมูกระทะท่ามกลางอากาศหนาวกับเบียร์เย็นๆ ทุกคนสนิทสนมกันจากการไปเที่ยว ไอ้ฟางเลิกกลัวเฮียปุ้นแถมยังขอจองตำแหน่งลูกสะใภ้ม๊าไว้ด้วย ไอ้เนถึงกับค้อนหนักเลยทีเดียว

   ออ... เนกับฟางมันดูใจกันอยู่น่ะครับ แต่ไม่บอกให้คนอื่นในบริษัทรู้ คุณต้องเข้าใจนะว่าการทำงานร่วมกันกับแฟนมันค่อนข้างลำบากใจ โดยเฉพาะเมื่อกลุ่มผมเองก็ถือเป็นตัวท็อปของบริษัท แถมฟางเป็นเด็กใหม่ที่มีแววรุ่ง ก็ต้องไม่ทำให้เรื่องส่วนตัวกระทบกับงาน ดังนั้นตอนอยู่ที่ทำงานทั้งสองจึงถึงเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ด่ากันได้

   ผมออกมายืนตรงชานหลังบ้าน ในมือมีแก้วเบียร์ถืออยู่ มองท้องฟ้าของเชียงรายเป็นคืนสุดท้ายก่อนกลับสู่เมืองกรุง ผมเหม่อพอนึกถึงข้อความที่ใครบางคนส่งมา

   This sky here is not as beautiful as like there.

   ก็จริง... โดยเฉพาะคืนที่ฟ้าโปร่งจนเห็นดาวนับล้านๆ ดวง

   ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่ดินเดินเข้ามานั่งข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้แม้กระทั่งแก้วเบียร์ในมือผมถูกปล่อยร่วงหลุดมือ

   “ระวัง!”

   ผมสะดุ้งตามเสียงเรียก แก้วเบียร์ถูกรับไว้ทันอย่างฉิวเฉียดแต่เบียร์เย็นๆ ที่เหลืออยู่กลับหกรดมือคนที่มารับแก้วผมไว้อย่างพี่ดิน ผมตกใจ มองก้มมองเงยก่อนเอ่ยขอโทษพี่ดินที่มือเปื้อน

   “ผมขอโทษฮะพี่”

   “ไม่เป็นไร เรื่องเล็ก ว่าแต่มึงเป็นอะไร เหม่อซะ”

   พี่ดินถามหลังจากเช็ดไม้เช็ดมือกับกางเกงตัวเองเสร็จ เขานั่งลงข้างผม ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังร้องคาราโอเกะกันอย่างสนุกสนาน

   “คิดเรื่อยเปื่อยน่ะพี่”

   “เรื่องหมอปะ?”

   ผมหันขวับ พี่ดินเลิกคิ้ว

   “ใช่มะ?” เขาย้ำ “ตั้งแต่มึงกลับจากร้านเหล้าวันนั้น มึงก็แปลกไป กูอาจคิดไปเอง แต่วันนั้นมึงเล่นโทรมาบอกว่าจะกลับบ้าน กูเลยคิดเอาเองว่าอาจจะเกี่ยวกับหมอ เพราะเขาเป็นคนมารับมึงกลับ”

   “ทำไมพี่รู้ว่าหมอพาผมกลับ” ผมถาม วันนั้นภาพมันตัดไปตัดมา เอาจริงๆ จำได้ก็เหมือนไม่ได้ ผมไม่แน่ใจอะไรเลย

   “เพราะกูรับสายเขาแทนมึง หมอโทรหามึงเป็นสิบๆ สาย แล้วเขาก็มาแบกมึงกลับไป กูส่งให้กับมือ”

   “พี่ยอมปล่อยผมให้คนแปลกหน้าเนี่ยนะ!” ผมเสียงสูง

   “เอ้า! ก็มึงเมมเบอร์เขาไว้ แล้วเขาเอาครอบครัวมึงมาอ้าง ให้กูทำไง?”

   ผมกระแทกตัวลงนั่งกับเก้าอี้ยาวอย่างหงุดหงิด พี่ดินไม่เข้าใจ!

   “มึงมีปัญหาอะไร”

   พี่ดินเริ่มถาม ผมกับพี่ดินสนิทกันพอๆ กับที่ผมสนิทกับเฮียปุ้น ผมเริ่มทำงานที่นี่มาสามปี แต่พี่ดินรู้จักผมตั้งแต่งานนิทรรศการธีสิสของมหาวิทยาลัย เขาชอบงานผมจึงแลกช่องทางการติดต่อไว้ และเขาก็เป็นคนชวนผมให้มาทำงานด้วยกันที่บริษัทนี้ นอกจากไอ้เน ก็มีพี่ดินที่รู้ว่าผมเป็นโรคกลัวที่แคบที่มืด แต่ผมไม่เคยบอกสาเหตุใคร

   พี่ดินไม่เหมือนเฮียปุ้น เขาจะเค้นจนกว่าผมจะพูด

   ผมไม่รู้จะพูดเรื่องนี้กับใคร ไม่กล้าพูดกับเฮียปุ้น เพราะหมอเป็นเพื่อนของเฮีย แต่กับพี่ดินล่ะ เขาไม่ต้องแคร์ว่าหมอเป็นใคร แต่เขาจะมองผมยังไง... รุ่นน้องที่โชว์แมนมาตลอดกลับโดนผู้ชายตอกเสาเข็มเพราะโดนป้ายยา แถมยังเป็นวันที่ไปเลี้ยงบริษัท เขาต้องโมโหมากแน่ๆ

   “เปล่า”

   “กูรู้จักมึงมานานนะไอ้ข้าว และมึงก็รู้ว่ากูไม่ใช่คนปากโป้ง”

   ผมว่าพี่แค่อยากเสือก... ผมแค่นหัวเราะ

   “พี่ดิน... พี่มองผมเป็นยังไง”

   ผมถามบ้าง รู้จักกันมานาน ผมเพิ่งถามเขาเป็นครั้งแรก อาจเป็นเพราะปกติผมไม่ใช่คนที่ชอบพูดเรื่องตัวเองมากนัก แม้กระทั่งวันที่เหล้าเข้าปาก เพราะถ้าผมรู้สึกไม่ดีจริงๆ ผมจะไม่เลือกกินเหล้าเพื่อระบายทุกอย่างออก แต่จะหายไปเลย ไปอยู่ในที่ที่ผมรู้สึกปลอดภัย เหมือนกับที่ผมหนีกลับบ้านนี่ไง

   พี่ดินอึ้งในคำถามไปเหมือนกัน ก่อนจะกอดอก

   “มึงน่ารัก”

   “ขนลุก”

   “เอ้า จริงๆ มึงไม่รู้ตัวเหรอว่ามึงน่ารัก นิสัยมึงก็น่ารักน่าเอ็นดู ใครเห็นก็อยากเป็นเพื่อน กูยังคิดอยู่เลยว่าที่ไอ้ฤกษ์มันชอบแซะชอบด่ามึงเพราะมันก็เอ็นดูมึงนั่นแหละ แค่การแสดงออกของแม่งไม่ใช่แนวกู กูไม่ชอบแซะใคร ถ้าอยากชมกูก็ชมไปเลย และมึงก็ขยัน หนักเอาเบาสู้ พยักหน้ารับแม่งทุกงาน จนกูคิดว่าอัฐก็ทำเกินไปที่แจกงานให้มึงเหมือนบอไม่มีคนทำ”

   ผมพึ่งรู้เลยนะเนี่ยว่าพี่ฤกษ์ไม่ได้เกลียดผม ความจริงพี่อัฐ พี่ฤกษ์ กับดินเป็นเพื่อนร่วมบริษัทเก่ากันมาก่อน อายุห่างกันแค่ไม่กี่ปี ตั้งแต่พี่อัฐยังเป็นซีเนียร์จนเลื่อนไปเป็นซุปฯ พี่ดินมีฝีมือแต่ขี้เกียจรับผิดชอบ เลยขอเป็นแค่ลีดเดอร์โปรเจคคอยดูแลน้องๆ

   “แต่ยังไงกูก็เกลียดไอ้ฤกษ์มันอยู่ดี ทำตัวหมาก้าง น่ารำคาญลูกตา”

   “หมาหวงก้าง?”

   “อ่ะ กูตอบคำถามมึงแล้ว ตามึงตอบกู มึงมีปัญหาอะไรถึงหนีกลับบ้าน”

   วกเข้าเรื่องเดิม อุตส่าห์ว่าจะลากออกทะเล

   “ให้กูเกริ่นให้มะ มึงกับหมอมีซัมทิงรองกัน”

   “เชี่ย...” ผมมองพี่ดินแบบรังเกียจ ทำไมพี่มันคิดงั้น ก่อนจะถอนหายใจ เหมือนยอมรับความจริง

   “ผมไม่เคยเป็นแบบนี้ ผมมั่นใจว่าผมชอบผู้หญิง”

   “สมัยนี้มันเป็นยุคที่ LGBT ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้วไอ้สัส”

   “แต่ผมไม่ใช่เกย์!”

   “เออ กูรู้” พี่ดินหัวเราะที่ผมโกรธหน้าดำหน้าแดง ก่อนจะกระดกเบียร์เข้าปากดับอารมณ์โมโห

   “ถามจริงๆ นะข้าวปั้น มึงชอบหมอใช่มั้ย”

   พี่ดินจริงจัง แต่ผมหลบสายตา เกลียดพี่แม่งฉิบหาย ถามแต่ละอย่างเล่นเอากูพะอืดพะอมจะตอบ

   “ไม่รู้”

   “แน่ะ แปลว่าไม่ใช่ว่าไม่ชอบ วันนั้นน่ะ กูเห็นนะว่าตอนหมอมารับมึง มึงนี่ตาเยิ้มไปกับเขาเชียว แถมหมอก็ดูจะหวงมึงน่าดู ขนาดกูเป็นรุ่นพี่มึง เขายังมองตาขวางซะกูนึกว่ากูไปแย่งเมียมันมา” แล้วพี่มันก็หัวเราะ แต่ผมนี่สิ ขำกะมึงมั้งพี่ “น้องกูนี่เสน่ห์แรงใช่ย่อย”

   “แรงพ่องสิพี่ดิน”

   ผมด่ากลับ ยิ่งตอนแอลกอฮอล์ซึมในกระแสเลือดยิ่งทำให้ผมห่ามห้าวมากขึ้น แต่พี่ดินใช่จะถือสา เขารู้ดีว่าปกติผมเป็นคนยังไงและผมแสดงออกยังไง

   “ฟังกูนะข้าว มึงอาจจะยึดติดกับคำว่าเกย์เกินไป กูไม่เคยเหยียดเพศ ไม่เคยเหยียดความสัมพันธ์แบบไหน กูเคารพความรู้สึกคนอื่นเสมอ แต่มึงล่ะ เคารพความรู้สึกตัวเองบ้างรึเปล่า” เขาเข้าโหมดพี่สอนน้อง “กูไม่รู้หรอกว่าหมอเป็นคนยังไง ไม่รับรู้ด้วย แต่ถ้ามึงสบายจะอยู่กับเขา มึงก็อยู่ แต่ถ้ามึงไม่สบายใจ มึงถอยออกมา ถอยออกมาไกลๆ เลย ให้หมอมันรักษาตัวมันเอง กูมองสายตาเขาวันนั้น อย่างกับจะแดกมึงเข้าไปให้ได้”

   ผมหน้าร้อนผ่าว น่าจะมาจากฤทธิ์แอลกอฮอล์...

   เขาแดกผมแล้วพี่

   “พี่ก็พูดเกินไป ไปหัดสังเกตคนมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

   “กูแอบอ่านไลน์มึงน่ะ”

   “คนเหี้ยนี่หว่าพี่ดิน!”

   “ใครเสือกให้มึงไม่รู้จักคว่ำจอโทรศัพท์ ตอนกูไปช่วยมึงดูงาน เหลือบไปเห็นพอดี ไม่ใช่คนขี้เสือก!”

   แก้ตัวน้ำขุ่นๆ เลยนะเฮีย...

   “ไม่คุยแล้ว!!”

   ผมเดินหนีกลับไปปาร์ตี้ปิ้งย่าง พี่ดินเดินตามมาเค้นคอต่ออย่างน่ารำคาญ แต่ผมกลับเดินหนีไปหัวเราะไป เอาน่ะ อย่างน้อยก็ได้ระบายสิ่งที่ไม่สบายใจออกไปบ้างแล้ว

   ...

   ทุกคนหลับหมดแล้ว แต่ผมหลับไม่ลง...

   “นอนไม่หลับเหรอปั้น”

   เจ้ข้าวหอมที่คลุมไหล่ด้วยผ้าคลุมเดินออกมายืนกอดอกดูดาวเป็นเพื่อนผม อากาศหนาวจนหมอกลงเห็นเป็นทะเลหมอกด้านล่างเนินไร่ชา ผมพ่นลมหายใจจนเป็นไอสีขาว

   “มีเรื่องไม่สบายใจใช่มั้ย”

   เจ้หอมก็คงดูออกไม่ต่างจากเฮียปุ้น ไม่ก็สองคนนี้คุยกัน ความละมุนละไมยังไงก็คงไม่เท่าผู้หญิงอยู่ดี คงคิดว่าถ้าเป็นเจ้ ผมอาจจะยอมพูดอะไรออกมาบ้าง

   “นิดหน่อย”

   “ไม่ต้องบอกเจ้หรอก เจ้ไม่ขี้เสือกขนาดนั้น”

   เจ้หอมสอดแขนมาคล้องแขนผมไว้พลางซบหน้าลงที่ไหล่ เจ้ตัวนิดเดียว สูงแค่ไหล่ผมเอง ผมเอนหัวซบลงบนหัวเล็กๆ กลับ พลางคิดว่า ถ้ากลับมาบ้านไม่เจอเจ้คงจะใจหายน่าดู

   “ถ้าเหนื่อยมากๆ กลับบ้านเรานะ”

   ผมยิ้ม ทุกคนยังเห็นผมเป็นเด็กน้อยเสมอ

   “อืม”



   เมื่อถึงกรุงเทพ ทุกคนพากันแยกย้าย ผมไปรับเจ้าปั้นสิบกลับคอนโด ที่ผมเลือกกลับวันเสาร์ก็เพื่อที่วันอาทิตย์จะได้ตีพุงอีกวันก่อนไปรบกับงานที่น่าจะกองท่วมหัว ผมลากกระเป๋าที่มีของฝากติดกลับมาให้คนที่บริษัทเยอะกว่าเสื้อผ้าตัวเอง อีกข้างหิ้วกระเป๋าแมวที่มีไอ้อ้วนหลับอุตุ แต่ผมรู้ว่ามันคงจะคิดถึงบ้านน่าดู

   ผมเดินเข้าลิฟต์ไปกดชั้นตัวเอง พลางมองเลขชั้นที่ 15 แล้วหน้าแดงขึ้นมาถนัด...

   “ชิ”

   ผมเอาของไปเก็บในห้อง ก่อนกลับม๊าฝากของมาให้หมอ เป็นพวกอาหารคาวเช่น ไส้อั่ว หมูยอ อะไรแถวๆ นี้ใส่กล่องเก็บอาหารมาให้ ผมกะว่าจะยัดใส่ตู้เย็นไว้ก่อนกลัวมันเสีย เพราะไม่รู้ว่าหมอจะอยู่ห้องรึเปล่า หรือจะได้เจอกันตอนไหน พอจะเปิดตู้เย็นเพื่อเอากล่องเก็บอาหารยัดเข้าไป ก็เปลี่ยนใจ...

   ลองขึ้นไปดูสักหน่อยดีมั้ย... จะได้จบๆ ไป เขายังอุตส่าห์เอาของมาให้ถึงห้องทั้งๆ ที่เหนื่อยขนาดนั้น

   ผมตัดสินใจเอาของฝากขึ้นไปชั้น 15  เดินไปที่ห้องสุดทางเดิน กะจะเคาะประตูซักหน่อย แต่ปรากฏว่า บานประตูออโต้ล็อคมันถูกเปิดทิ้งไว้นิดหน่อย

   นี่มัน... ละครไทยชัดๆ ฉากนี้ทีไร เป็นต้องมีเรื่องเซอร์ไพรซ์ทุกที

   แล้วถามว่า ผมจะทำตัวเป็นนางเอกมั้ย

   เอาสิครับ ไหนๆ ก็เปิดแล้ว ถ้าหมอไม่อยู่ ผมจะได้รีบเอาของไปวางแล้วปิดประตูให้เหมือนเดิม คนบ้าอะไรลืมปิดแม้กระทั่งประตูห้องตัวเอง ไม่รอบคอบเอาซะเลย

   ผมปลอบใจตัวเองไปงั้นแหละครับ

   เพราะระหว่างที่ผมผลักประตูเข้าไปด้วยความขี้เสือกของตัวเอง ทำตัวเหมือนป้าข้างบ้านที่ได้ยินเสียงประหลาดก็อยากจะเอาหูแนบกำแพงฟัง ผมเดินเข้าไปให้เงียบที่สุด แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกชาวาบๆ ก็คือร่องรอยของเสื้อผ้าที่กระจัดกระจาย เหมือนถูกถอดตั้งแต่หน้าประตูไปเรื่อยๆ

   เหมือนตามลายแทงสมบัติ

   ผมแสยะยิ้ม ไม่รู้ยิ้มอะไร

   อาจจะยิ้มสมน้ำหน้าตัวเองที่คิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป

   ผมมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเบดกลางห้องในสภาพที่เกือบเปลือย เขานั่งหันหลังพิงพนัก ในขณะที่บนตักมีร่างผอมเจ้าของผมสีน้ำตาลที่เปลือยเปล่าไม่เหลืออะไรเลยกำลังขยับสะโพกขึ้นลง สองแขนเรียวเกาะคอแกร่งไว้พลางซบหน้าลงกับเส้นผมหยักศก เสียงครางฮือทำให้ผมใจกระตุกวูบ

   ฮะๆๆ จังหวะนรกสัสๆ

   “พี่... พี่หมอครับ... อื้อ”

   คนข้างบนกระแทกตัวควบร่างสูงอย่างไร้สติ สูดดมเส้นผมนั้นก่อนจะขอร้องให้คนด้านล่างขยับสะโพกของตัวเองตอบรับเขาบ้าง

   “อือ... วา... อา... เร็วอีก”

   “พี่หมอ... พี่อคิน”

   ตุ้บ...

   ผมมืออ่อน... ละครไทยเรื่องใหม่จะเริ่มหรือไม่กันนะ ตามบทแล้วถ้าผมเป็นนางเอก ต้องเข้าไปตบหรือวางมวยสักฉากสองฉาก แต่ในความเป็นจริงมันคงไม่ใช่ ผมมองสภาพตรงหน้าแล้วกระพริบตา กล่องอาหารสามกล่องหล่นจากมือลงบนพื้นลามิเนตจนเกิดเสียงดัง เรียกความสนใจจากคนที่กำลังบันเทิง... นัยน์ตาสวยที่คลอไปด้วยหยาดน้ำเหลือบมองต้นเสียง ก่อนจะนิ่วหน้ากัดปากตัวเองเพราะกำลังจะเสร็จ แต่ว่าคนที่ถูกควบอยู่กลับหันมามองผมอย่างตกใจ นัยน์ตาสีเขียวของเขาเบิกกว้าง มือประคองหลังบอบบางของคนที่กำลังจะถึงจุดหมายไว้

   “ปั้น...”

   ผมก้มลงเก็บกล่องอาหารด้วยมือสั่นๆ ก่อนจะถอยออกมาจากประตูบานนั้นไม่วายปิดมันลงให้สนิท เดินไปที่ลิฟต์แล้วกดลงไปชั้นล่าง

   หนังสด?

   “เสียดายของชะมัด”

   ผมยิ้มแห้งๆ ให้ตัวเอง... เงยหน้าจนสุดมองเพดานลิฟต์ ไม่อยากให้อะไรๆ มันไหลลงมา



หยิบไม้เกียมฟาดพี่หมอค่ะ
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

https://twitter.com/_SeenYu

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
เฮ้อ ... สงสารข้าวปั้น //แต่ก็ว่าหมอไม่ได้อีกเหมือนกัน เพราะยังไม่ได้มีสถานะอะไรกับน้องไง หากว่าหมอจะจริงจังกับข้าวปั้น หมอก็ควรจะจัดการเคลียร์คนเก่า ๆ ของหมอด้วยนะ

ไม่รู้จะสงสารใครดี สงสารตัวเองก่อนแล้วกัน มันหนึบ ๆ ในใจ :m15:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ทำไมหมอทำแบบนี้,,,

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
เฮ้อ ... สงสารข้าวปั้น //แต่ก็ว่าหมอไม่ได้อีกเหมือนกัน เพราะยังไม่ได้มีสถานะอะไรกับน้องไง หากว่าหมอจะจริงจังกับข้าวปั้น หมอก็ควรจะจัดการเคลียร์คนเก่า ๆ ของหมอด้วยนะ

ไม่รู้จะสงสารใครดี สงสารตัวเองก่อนแล้วกัน มันหนึบ ๆ ในใจ :m15:

เป็นครั้งแรกที่มีคนเข้าใจแบบนี้... ใช่แล้วค่ะ พี่หมอกับน้องไม่ชัดเจนใดๆ ต่อกันจริงๆ  :mew4:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
 :hao7:
ทำไมไม่ล็อกประตู้.....

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 14

หมอครับ เลิกยุ่งกับผมได้มั้ยครับ



   ผมพาเจ้าปั้นสิบใส่กระเป๋ามาอาบน้ำตัดขน นึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรไม่รู้ทั้งๆ ที่เพิ่งกลับมาแท้ๆ รู้แค่ว่าไม่อยากอยู่ห้อง

   ผมไม่เคยเห็นผู้ชายมีอะไรกัน พอเห็นแล้วมันก็อดตีเบลอไม่ได้

   ตาฝ้าฟางเลยครับเมื่อกี้น่ะ...

   เจ้าปั้นสิบยังคงทำตัวน่ารักน่าเตะ ทันทีที่ผมพามันเข้าร้านตัดขน มันก็จัดการขู่ฟ่อใส่พนักงานทันที เล่นเอาผมจับแทบไม่ทัน โดนข่วนมาสองสามรอย ดีนะที่ตัดเล็บไปก่อนหน้านี้แล้ว

   ผมนั่งรออยู่ตรงที่นั่งรอหน้าร้าน ปล่อยเจ้าปั้นสิบไปเผชิญชะตากรรมเพียงลำพัง นั่งไหลมือถือที่มีข้อความไลน์เด้งไม่หยุดจนผมขี้เกียจจะปัดทิ้งแล้ว



   Akin.L: ข้าวปั้น ไม่อยู่ห้องเหรอครับ

   Akin.L: คุณจะกลับห้องกี่โมง

   Akin.L: ข้าวปั้น ผมขอโทษครับ

   Akin.L: ข้าวปั้น โกรธรึเปล่า

   Akin.L: มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด

   Akin.L: ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง ไว้กลับมาแล้วคุยกันนะครับ

   Akin.L: คุณจะกลับห้องมั้ยวันนี้ ผมอยากคุยกับคุณ

   Akin.L: ผมจะรอ

   

   ผมมาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่กระเป๋าคาดอก กับมือที่หนึ่งข้างหิ้วกระเป๋าแมว อีกหนึ่งข้างหิ้วถุงพลาสติกใส่อาหารแมวกระป๋องของเจ้าปั้นสิบ

   “คิดถึงกูรึไง”

   “อืม”

   พี่ดินกอดอกยืนพิงรั้วบ้านในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดสีขาว ผมไหล่ลู่ลง รอเขาเชิญเข้าบ้านเป็นผีเร่ร่อน พี่ดินมองสภาพผมก่อนจะถอนหายใจแล้วเดินนำเข้าไปในบ้านที่เปิดไฟทั้งหลังเหมือนรัฐบาลแจกไฟฟรี บ้านหลังใหญ่แต่เงียบกริบทั้งๆ ที่ยังหัวค่ำอยู่ ผมวางปั้นสิบลงบนพื้นกลางห้องนั่งเล่นแล้วเปิดกระเป๋าให้มันออกมาอวดโฉม

   “อยู่บ้านคนเดียวเหรอพี่”

   “เออ พ่อกับแม่ไปต่างจังหวัด ส่วนไอ้น้ำไปเที่ยวกับเพื่อน กลับพรุ่งนี้”

   พี่ดินบอก ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ทำตัวเป็นแขกที่ดี ไม่รอให้เจ้าของบ้านเชิญตามสบาย ก่อนจะเหลือบไปเห็นเจ้าสก็อตทิสลายเสือเดินตุบตับเข้ามาหาเจ้าปั้นสิบที่นั่งเลียไข่แผล็บๆ อย่างไม่สนใจจะทักทายแมวเจ้าถิ่น

   “หวัดดี ฮันนี่”

   ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าไอ้พี่ดินเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้แมวสาวของตัวเอง แต่ปั้นสิบมันหยิ่ง ไม่ยอมทักสาวงามขาสั้นจนโดนตบไปทีนึง จากนั้นก็เกิดวงการฟัดกันระหว่างแมวสองสายพันธุ์ ไอ้เวรเอ้ย!

   “ไอ้อ้วน! หยุดเลย แกจะตบสาวไม่ได้นะโว้ย!”

   ผมลากมันออกมาแต่เจ้าอ้วนยังขู่เจ้าถิ่นฟ่อๆ ไม่สำเหนียกบ้างเลยว่ามึงมาอาศัยเขานะเว้ย!

   พี่ดินลูบหลังคอฮันนี่ของตัวเองก่อนพามาญาติดีกับปั้นสิบ เออ... มันก็ดีกันได้นี่หว่า จากนั้นเขาก็พาไปให้อาหารที่ห้องแมว... บ้านพี่ดินมีห้องแมวที่มีของเล่นครบครัน สวรรค์ของคนรักแมว

   “ผมเอามาสมทบ”

   ผมยื่นอาหารกระป๋องของแมวที่ซื้อมาจากเซเว่นให้พี่ดิน พี่แกมองแล้วเบ้หน้า

   “เค็มตายห่า กูไม่ให้แมวแดกนะแบบนี้”

   ทำไมทุกคนดูรู้ว่าอาหารแบบไหนเหมาะกับแมว... สัส

   ผมโยนมันไปไว้บนโซฟาเหมือนเดิม ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนขดบนโซฟา ทำตัวยิ่งกว่าบ้านตัวเอง อาจเป็นเพราะผมมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แถมพ่อแม่พี่ดินก็รู้จักผม ผมจึงสามารถเข้านอกออกในบ้านนี้ได้อย่างไม่เคอะเขิน

   “เป็นไร?”

   พี่ดินยื่นกระป๋องเบียร์มาให้ เขาเปิดทีวีช่องข่าวต่างประเทศเพราะเบื่อข่าวประเทศไทย ผมลุกขึ้นมานั่งกอดเข่า เปิดกระป๋องเบียร์แล้วซดอึกๆ

   “เผลอไปดูหนังสดมา”

   “เหี้ยไร?”

   พี่ดินดูตกใจกับสิ่งที่ผมบอก ผมทิ้งไหล่ลงอีกครั้ง ความร้อนมันขึ้นมาที่เบ้าตา

   “ไม่รู้ ผมก็งงๆ แล้วก็หิ้วไอ้อ้วนออกมาอาบน้ำ”

   “มึง... เดี๋ยว มึงทำตัวงงเกินไปแล้ว เล่า”

   แล้วผมก็เล่าว่าผมจะเอาของฝากจากม๊าไปให้หมอ แล้วบังเอิญว่าประตูมันถูกเปิดไว้ แล้วผมดันขี้เสือกเข้าไปก่อนขออนุญาต แล้วดันผ่าไปเจอหมอกำลังจ้ำจี้มะเขือเปาะแปะกับผู้ชายคนนึง แล้วผมก็เผลอทำของฝากจากม๊าหล่นกระจาย เสียดายไส้อั่วสิบกว่าเส้นชะมัด จากนั้นก็จับปั้นสิบที่กำลังนอนกรนอยู่เข้ากระเป๋าแล้วก็ออกมาเลย

   “นี่มันละครไทยชัดๆ กูนึกว่ามึงเลิกดูละครไปนานแล้วนะตั้งแต่ทำอนิเมชัน”

   “เออ ผมกำลังคิดว่าตัวเองเป็นนางเอก”

   ผมประชด แต่พี่ดินกลับทำหน้าเหมือนอมขี้ ผมยกเบียร์ขึ้นซดอีกจนหมดกระป๋อง

   “ขออีกป๋องได้ปะ”

   “สัส เสียดายของ”

   แต่เขาก็ยอมลุกไปเอามาให้ คราวนี้มีปลาเส้นแถมมาด้วย

   “แล้วที่มึงหนีมานี่ คือยังไง เสียใจ?”

   “ฮ่าๆๆๆ เสียใจทำไมพี่ บ้าบอ ละครน้ำ... เน่า” ผมลากเสียงยาว เคี้ยวปลาเส้นหงับๆ หน้าเริ่มแดงเช่นเดียวกับขอบตา ผมสูดน้ำมูก พี่ดินถอนหายใจ มือใหญ่อ้อมไหล่มาขยี้หัวผมจนคลอนก่อนจะลูบเบาๆ ผมใช้หลังมือปาดน้ำมูกที่อยู่ดีๆ ก็ไหล

   “หวัดแดกน่ะพี่”

   “เออ”

   “ฮึก... ฮึก...”

   “อันนี้ภูมิแพ้สินะ”

   “เกสรดอกไม้บ้านพี่มันแรง ฮึก...”

   “มึงนี่นา”

   ผมซบหน้าลงบนหลังมือตัวเองที่ถือกระป๋องเบียร์อยู่ เสียงมือถือดังขึ้น ผมวางมันไว้บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา สายเรียกเข้าดังเป็นร้อยๆ สายแล้วตั้งแต่หกโมงเย็นแต่ผมไม่รับ พอรำคาญถึงขีดสุดถึงกดปิดเครื่องแม่งเลย ทั้งๆ ที่ปกติผมจะไม่เคยปิดเครื่องเลยก็ตาม อย่างมากก็แค่ mute ไว้

   “ดุจัด” พี่ดินมองผมที่เริ่มกรึ่มเหล้า

   “รำคาญ” ผมด่าคนโทรนะไม่ได้ด่าพี่ดิน

   “ตามใจมึง สบายใจเมื่อไหร่ก็ไปอาบน้ำนอนซะ นอนห้องกูเนี่ยแหละ”

   ผมยกเบียร์กระป๋องที่สามขึ้นเปิด...



   “กูบอกให้มึงอาบน้ำไม่ใช่อาบอ้วก”

   “โทษทีพี่ ลืมตัวดื่มเยอะไปหน่อย”

   ผมยกมือไหว้คนตัวใหญ่เป็นยักษ์วัดแจ้งเจ้าของเสื้อยืดสีดำที่ใหญ่จนเหมือนผมกำลังแต่งตัวแนวฮิปฮอป ขอหมวกกับสร้อยเส้นโตๆ ผมจะแร็ปแข่งกับเดอะแร็ปเปอร์ให้ดู

   “กูว่าเปลี่ยนไปใส่เสื้อไอ้น้ำดีกว่ามั้ง”

   พี่ดินมองสภาพผมแล้วอนาถใจ ผมไม่สน เดินดุ่มๆ เข้าครัวหาอะไรลงท้องทันที

   นิสัยเมาแล้วอ้วกแต่ก็ยังจะดื่มของผมนี่รักษาไม่หายจริงๆ

   “สรุปยังไง วันนี้จะกลับมั้ยบ้าน”

   “ไม่กลับ ขี้เกียจ ขอติดรถไปทำงานด้วยคน”

   ผมเริ่มนิสัยเสีย ก่อนจะเอาไข่มาตอกเพื่อทำไข่เจียว เสียงลั้ลลาของเจ้าของบ้านอีกคนก็ดังมาจากหน้าบ้าน ผมเดินออกไปชะโงกหน้าทักทายน้องเล็กของบ้าน

   “เที่ยวสนุกมั้ยน้ำ”

   “กรี๊ดดดด นึกว่ารองเท้าของใครคุ้นๆ คนสวยของน้ำนี่เอง”

   แม่สาวมหาลัยปีสาม น้องสาวคนสวยของพี่ดินกระโดดกอดผมโดยไม่สนเลยว่า กูเป็นผู้ชายนะโว้ย!

   “เลิกแรดไอ้น้ำ!” พี่ดินลากตัวน้องสาวออกห่างผม น้ำย่นหน้า บ้านนี้กรรมพันธุ์มันสูงจริงๆ ขนาดเป็นผู้หญิงยังสูงกว่าผมอีก หุ่นนางแบบที่แค่ชุดกางเกงยีนส์กระชับทุกสัดส่วนสีอ่อนกับเสื้อยืดสีขาวลายสัตว์ประหลาดก็ทำให้ชายหนุ่มปรายตามองจนคอหักถอยออกห่างผมตามแรงลากของพี่ชาย เจ้าหล่อนค้อนใส่พี่ชายก่อนจะเปลี่ยนมาคล้องแขนผมแทน

   “มาทำอะไรคะคนสวย มาหาเค้าเหรอ”

   “ใช่ คิดถึงน่ะ”

   “ปากหวาน จุ๊บทีนึง”

   แล้วเจ้าหล่อนก็ทำท่าจะจูบแก้มผม พี่ดินเลยตบหัวไปทีนึง

   “แรด”

   “หวงก็บอก หึงก็พูด” น้ำแหย่พี่ชายตัวเองที่ทำหน้ารำคาญ เดินถือถ้วยกาแฟออกไปนั่งที่โซฟาตัวเดิม น้ำปล่อยแขนผมก่อนจะยิ้มสดใส

   “พี่ข้าว น้ำซื้อผัดไทมา ไปกินด้วยกันสิ ซื้อมาเผื่อพี่ยักษ์มันหลายกล่องเลย”

   “เอาสิ”

   

   สุดท้ายแล้วก็ต้องกลับคอนโด ผมไม่อยากรบกวนพี่ดินมากเกินไป พาเจ้าปั้นสิบกลับไปกินอาหารเค็มๆ ของมัน ระหว่างทางผมพยายามทำใจ บอกกับตัวเองว่าอย่าไปสนใจ เขาจะทำอะไรกับใครที่ไหนก็เรื่องของเขาสิ เราสองคนก็เป็นแค่อดีตหมอกับอดีตคนไข้

   แล้วที่ได้กันคืนนั้นคืออะไร?

   ผมขยี้หัวตัวเอง ยกกระเป๋าเจ้าปั้นสิบขึ้นมาคุยกับมัน

   “เจ้าอ้วน แกว่ากูควรทำไงดี”

   มันเงยหน้ามองผมเล็กน้อย ก่อนจะลุกเดินหมุนตัวหันตูดให้ผมแทน...

   ไอ้แมวเวร!

   ผมปลงตก เอาน่ะ มันก็แค่อุบัติเหตุ แถมไอ้พวกที่คิดจะวางยาผมก็หายต๋อม อย่าให้เจอนะ พ่อจะโดดถีบเรียงตัวเลย

   แต่ก่อนที่ผมจะก้าวเข้าประตูคอนโดที่เป็นกระจกทั้งแถบ สายตาดันเหลือบไปเห็นว่าคนที่ผมกำลังหนีหน้าเดินออกจากลิฟต์มาพอดี และเหมือนโชคชะตาฟ้าจะไม่เป็นใจให้นายข้าวปั้นเลยแม้แต่น้อย  เพราะหมอที่กำลังก้มดูมือถือตอนเดินออกจากลิฟต์ดันเงยหน้าขึ้นมาพอดี

   ตาเขากับตาผมสบกันแบบละครหลังข่าว

   รับรู้ถึงฟิลเตอร์อะไรบางอย่าง... และสุดท้าย ผมทำได้แค่ก้าวถอยหลัง ในขณะที่หมอมองผมตาค้าง ก่อนจะก้าวเดินหน้า

   กรรม...

   ผมหันตัววิ่งหิ้วกระเป๋าแมวหนีทันที วิ่งให้ไวที่สุดเท่าที่จะวิ่งได้ ผมรับรู้ได้เลยว่าคนด้านหลังเขาวิ่งตามผมแน่นอน แถมยังวิ่งเร็วด้วยเพราะเสียงเรียกที่ดังเกือบจะถึงตัวผมมันใกล้ฉิบหาย!

   “ข้าวปั้น!! เดี๋ยว หยุดก่อน!”

   ไม่ อย่าหยุดตัวกู เวรเอ้ย เหนื่อยฉิบหาย!

   ปั้นสิบกระเด้งกระดอนอยู่ในกระเป๋า มันร้องแง้วๆ ลั่นจนผมเปลี่ยนจากหิ้วเป็นอุ้มแทน ไอ้เวรปั้นสิบ! มึงหนักฉิบหาย กูจะพามึงไปฟิตเนส เวลาไฟไหม้กูจะแบกมึงหนีทันได้ยังไง!

   “ปั้น!!”

   ผมกะจะข้ามถนนไปอีกฝั่ง ด้วยความตกใจทำให้ผมไม่ทันสังเกตรถที่กำลังออกตัวจากไฟเขียวตรงสี่แยกพุ่งมาทางนี้เลยสักนิด ผมรับรู้ได้ถึงแรงกระชากอย่างแรงให้กลับเข้าไปในฝั่ง ตัวผมเหมือนลอยได้ เหมือนในหนังเลย... เสียงแตรรถบีบลั่นเหมือนจะแช่ง ผมกอดกระเป๋าปั้นสิบไว้แน่น หลับตาปี๋ งานนี้คิดว่าตายแน่ๆๆๆ

   แรงกระแทกที่ไม่ได้มาจากเหล็กทั้งคันของรถ ไม่เจ็บไม่ปวดเท่าที่คิด ผมกลั้นหายใจ ในขณะที่คนที่คว้าตัวผมไว้หอบหายใจหนักมาก หนักจนผมคิดว่าเขาอาจจะไฮเปอร์ตายแทนผมก็ได้

   “ทำบ้าอะไร!! อยากตายรึไง!”

   ผมจุกอกเมื่อแขนแกร่งของเขารัดผมแน่นขึ้น เราสองคนนั่งกองกันอยู่ข้างฟุตบาท มีคนที่เดินผ่านไปมาเห็นเหตุการณ์แล้วเข้ามามุงถาม คนตัวสูงบีบแขนผมแน่นจนเจ็บก่อนจะรู้สึกตัว เขาปล่อยผมแล้วฉุดให้ลุกขึ้น หันไปบอกคนอื่นๆ ว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุ

   ผมกระพริบตาปริบๆ แขนยังกอดกระเป๋าปั้นสิบที่เงียบกริบแน่น มันคงจะช็อคเหมือนกับผมเนี่ยแหละ

   “ข้าวปั้น”

   หมอเรียกผมที่ดูเหมือนจะช็อคไปแล้ว ผมมองเขาก่อนจะยกกระเป๋าแมวให้ หมอรับไปอุ้มแบบงงๆ ผมเดินไปนั่งยองๆ ข้างริมฟุตบาทด้านในก่อนจะหายใจกระชั้น

   ใช่ครับ... ผมกำลังช็อค และกำลังเรียกสติตัวเองกลับมา

   “เป็นไรมั้ย?”

   หมอนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งลงข้างผม เอียงคอมองสีหน้าผมที่นั่งกอดเข่าไว้แน่น ยกมือขึ้นวัดชีพจรที่คอผมตามความเคยชิน

   “หายใจเข้าลึกๆ มองหน้าผม”

   ผมทำตาม เหลือบตาขึ้นมาสบมองเขา นัยน์ตาสีเขียวทอดมองอย่างเป็นห่วง มือใหญ่อุ่นจนร้อนประคองหน้าผมขึ้น เอียงซ้ายขวาเหมือนกับเช็คว่าผมเจ็บตรงไหนรึเปล่า หรือสมองกระทบกระเทือนหรือไม่ ผมส่ายหัวช้าๆ หันไปหยิบกระเป๋าเจ้าปั้นสิบที่หมอวางไว้ข้างๆ มาเปิดแล้วช้อนอุ้มมันออกมา ปั้นสิบซุกตัวเข้าหาผมเหมือนกับมันก็กลัวจัดเหมือนกัน

   ผม... ผมทำอะไรไปเนี่ย งี่เง่ามากๆ

   “ลุกไหวมั้ย ไปทำแผลก่อน มีเลือดออกตรงศอก”

   เขาบอก ผมลุกตามเขาอย่างว่าง่าย เลิกดื้อแล้วครับ... เหตุการณ์เมื่อกี้ เฉียดตายยิ่งกว่ากระเพาะทะลุ ถ้าเขาคว้าผมช้ากว่านี้อีกนิด หัวผมติดไปกับกระจกหน้าแน่นอน

   

   “ผม... ไม่ไปห้องหมอนะครับ”

   ผมพูดพร้อมกับกดลิฟต์ชั้น 9  หมอไม่ว่าอะไร เขายกมือถือขึ้นมาส่งข้อความอะไรสักอย่างก่อนจะเก็บมันลงในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม ผมอุ้มปั้นสิบ ส่วนกระเป๋าแมว หมอถือตามมาให้ หลังออกจากลิฟต์ ผมเดินเอื่อยๆ ไปที่ห้องตัวเอง เมื่อถึงหน้าห้องผมขอกระเป๋าปั้นสิบคืน แต่หมอไม่ให้ ร่างสูงดันร่างผมเข้าไปในห้อง ก่อนจะตามเข้ามา ถอดรองเท้าแล้วถามผมว่ากล่องพยาบาลอยู่ไหน

   ผมปล่อยเขาตามใจชอบ อยากทำอะไรเชิญครับ ผมเหนื่อยแล้ว... พรุ่งนี้ทำงานแต่เช้า ถ้าเขาอยากจะพูดอะไร พูดมันซะวันนี้แหละ จะได้ตัดปัญหา จบๆ ไปเสียที

   “แขนครับ”

   หมอเอาเก้าอี้อเนกประสงค์ตัวเดิมมานั่งตรงข้ามผม จัดการเอากล่องยากับน้ำเกลือมาทำแผลให้ มันไม่ได้รู้สึกเจ็บสักนิด แผลเล็กเท่าเศษหิน คนที่ควรเจ็บน่ะ หมอต่างหาก

   ผมมองเลือดที่ซึมทะลุแขนเสื้อที่ขาดเป็นรอยถลอกเพราะครูดพื้น หมอจัดการทำแผลให้ผมอย่างชำนาญ ติดพลาสเตอร์ยาให้เรียบร้อย ในขณะที่เจ้าอ้วนยังคงนอนสงบเสงี่ยมอยู่บนตักผม เขานั่งนิ่งเมื่อทำแผลและเก็บอุปกรณ์เสร็จแล้ว ผมเองก็นิ่ง ไม่รู้จะพูดอะไร จะขอบคุณ จะขอโทษ จะไล่ หรือจะถาม ผมก็ไม่รู้ทั้งนั้น

   นานมาก ผมไม่นับเวลา เสียงเข็มวินาทีของนาฬิกาดังแข่งกับจังหวะหัวใจผม จนในที่สุด มือใหญ่ของเขาก็ค่อยๆ จับปลายนิ้วผมมาลูบเล่นเบาๆ เหมือนไม่รู้จะทำยังไงกับความเงียบนี้

   “คุณไม่รับโทรศัพท์ผม”

   “...”

   “ไม่ตอบไลน์”

   “...”

   “ไม่กลับห้อง”

   “...”

   “ข้าวปั้น...”

   “หมอเลิกยุ่งกับผมได้มั้ยครับ”

   ผมขัด พูดในสิ่งที่ผมคิดว่าควรจะพูด เรื่องระหว่างเขากับผม มันเริ่มต้นด้วยความไม่มีอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมอาจจะแค่หวั่นไหวเพราะห่างเหินจากเรื่องพวกนี้มานาน มันเลยทำให้ผมสับสน ผมคิดว่างั้น

   หมอดูผิดหวังกับสิ่งที่ผมพูด เขาเงียบ ผมจึงดึงมือออกแต่หมอกลับไม่ยอมปล่อย เขาเปลี่ยนจากจับแค่ปลายนิ้วมาเป็นจับทั้งมือ

   “ขอปฏิเสธครับ”

   “ทำไมครับ” ผมสบตาเขา “หมอ ผมไม่ใช่เกย์”

   “ผมก็ไม่ใช่”

   “แต่หมอทำกับผู้ชาย”

   “ผมทำเพราะคุณ”

   “หา!”

   ผมทำหน้าเหมือนเจอแมลงสาบในจานข้าวที่กินไปแล้วครึ่งจาน หมอปิดปากตัวเองด้วยฝ่ามืออีกข้างพลางหันหน้าออก ผมสังเกตเห็นว่าโหนกแก้มขาวๆ ของเขาแดงจัด ก่อนที่หน้าผมจะแดงตาม ผมขมวดคิ้วเบือนหน้าออกไปอีกฝั่ง

   “ผม... ผมว่า ผมอยากอาบน้ำนอนแล้ว”

   หมอหันหน้ากลับมา เขายังจับมือผมแน่น แถมยังใช้นิ้วโป้งไล้มือผมเบาๆ อีกต่างหาก ผม... ทำตัวไม่ถูกเลยครับ เคยแต่จับมือผู้หญิง ไม่เคยจับมือผู้ชาย... ยิ่งให้ผู้ชายจับมือยิ่งไม่ใช้วิสัยเลย

   แต่ไม่รู้ทำไม ผมไม่กล้าดึงมือออกเหมือนเมื่อกี้ โดยเฉพาะเมื่อคนตัวใหญ่กว่านั่งไหล่ลู่ลงเหมือนโล่งอก เขาเหมือนหมีตัวใหญ่ที่ความมั่นใจเหลือศูนย์... อยากลอง... ทำอะไรบางอย่างกับท่าทางแบบนั้นจังแฮะ

   หมอยังคงใช้มือเท้าคางโดยให้ฝ่ามือปิดปากไว้ มองมือผมที่เขาลูบไล้อยู่อย่างทะนุถนอม เหมือนไม่รู้จะพูดอะไร ก่อนจะเอ่ยเบาๆ

   “ข้าวปั้น”

   “ครับ”

   “อยากจูบครับ”

   ....

   สัส

   “กลับไปเลยหมอ!”



เอ้า... ใครทีมหมอ ใครทีมข้าวปั้น หรือ ทีมพี่ดินคนล่ำ??
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ทีมพี่ดินเหอะว่ะ,,,

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด