Chapter – 12
หมอครับ ท้องฟ้าที่นี่ไม่เหมือนกับที่นั่น
หลังจากหมอกลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมง ข้อความในไลน์ก็เด้งขึ้นมา คือชื่อของจิตแพทย์ที่เขาเคยบอกว่าจะนัดให้ เป็นหมอผู้หญิง มีรูปแนบมาด้วย ผมเปิดดูแล้วใจเต้นเลยครับ หมอน่ารักมาก ชื่อหมออิงลดา วิภาสกุล เขาบอกว่าเดี๋ยวค่อยนัดเจอเป็นการส่วนตัวหลังจากที่ผมกลับจากเชียงรายก็ได้ ส่วนผมทำแค่ตอบว่า ‘ครับ’ กับ ‘ขอบคุณครับ’ ไปตามมารยาท จากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาอะไรต่ออีก
และแล้วเช้าวันเสาร์ก็มาถึง ทุกคนมารวมตัวกันที่สนามบินสุวรรณภูมิตอนตีห้า ไม่มีใครเร็วหรือสายไปมากกว่านี้ เช็คอินโดยที่ไม่มีใครโหลดกระเป๋าเพราะหนีบมาแค่คนละใบ ขนาดฟางที่เป็นผู้หญิงยังพกมาแค่กระเป๋าลากใบเดียวพอยัดเข้าช่องเก็บของบนเครื่องได้กับกระเป๋าใบเล็กใส่ของจุกจิกอีกใบเท่านั้น โดยให้เหตุผลว่า ‘เดี๋ยวไปซื้อเอาข้างหน้า’
ส่วนเจ้าปั้นสิบ ผมเอาไปฝากไว้เมื่อคืน มันไม่ใช่แมวเรื่องมาก มันแค่ขี้เกียจ อยากกินมันก็แค่อ้อน ถ้ามีเสียงดังมันก็แค่หนีไปนอนที่เงียบๆ เท่านั้น
ผมไม่ลืมหยิบเอาถุงขนมที่หมออคินฝากมายัดใส่กระเป๋าเดินทางมาด้วย
ผมอยากหนีกลับบ้านเพราะเขา
แต่กลับพกของฝากจากเขากลับมาฝากป๊าม๊า...
ย้อนแย้งสัสๆ
ผมถอนหายใจ
ทุกคนไม่มีใครดูง่วงหงาวหาวนอนเลยทั้งๆ ที่ต้องตื่นตั้งแต่กี่โมงก็ไม่รู้ ยกเว้นผม... ที่หลับทันทีที่เครื่องเทคออฟ
ปึก! ผมที่นั่งติดกระจกเอาหัวโขกอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งผมรู้สึกว่าหัวมันถูกสั่งให้เอนไปอีกฝั่ง จากนั้นผมก็ไม่รู้ว่ากระจกแข็งอีกต่อไป...
“ข้าวปั้น... ข้าว... เฮ้ย!
ผมรู้สึกเหมือนกำลังฝัน ก่อนสติจะถูกดึงกลับมาด้วยแรงตบเบาๆ ที่แก้ม คอผมหักอิงซบกับไหล่ของพี่ดินที่นั่งตรงกลาง
“เอ...”
“เอพ่อง! แลนด์ดิ้งแล้ว ตื่น” พี่ดินหัวเราะ ผมขยี้ตาเบาๆ เพราะกลัวคอนแทคเลนส์หลุด สะบัดหัว แม้จะปวดคอแต่ก็สบายดี เพราะผมถือวิสาสะใช้ไหล่หนาๆ ที่เต็มไปด้วยกล้ามของพี่ดินซบแทนหมอนรองคอซะงั้น
แอบเห็นคราบน้ำลายตรงแขนเสื้อยืดสีเทาของพี่แก
“ขอ... ขอโทษฮะพี่ ตาย...” ผมรีบลนลานหากระดาษทิชชู่ เมื่อหาไม่ได้ จึงจัดการใช้แขนเสื้อกันหนาวของผมเช็ดให้แทน พี่ดินมองการกระทำประหลาดก่อนจะตบกลางกบาลผมเบาๆ ทีนึงแล้วลุกขึ้นเมื่อคนเริ่มทยอยลงจะหมดเครื่องแล้ว พวกพี่เจี้ยนที่นั่งอีกฝั่งก็ลุกขึ้นหยิบกระเป๋าของตัวเองจากช่องเก็บของ
“อ่ะ เอาไป” พี่ดินดึงกระเป๋าผมออกมาให้แล้วดันให้เดินนำไปก่อน ผมผงกหัวขอบคุณ ใจเต้นตุบๆ ทั้งอาการเขินและอับอาย รอยน้ำลายยังเห็นชัดอยู่เลย
เมื่อออกจากตัวเครื่อง ผมหยิบมือถือขึ้นมาปิดโหมดเครื่องบินแล้วโทรหาเฮียปุ้นทันที
“ฮัลโหลเฮีย... ได้... อ่า โอเคๆ” ผมวางสาย เฮียปุ้นบอกว่าจอดรถรออยู่ตรงประตูขาออกภายในประเทศ
ทุกคนไม่ทันเตรียมรับมือกับอากาศหนาวของเชียงรายที่กำลังจะเริ่มในเดือนพฤศจิกายน เช้าๆ ตอนแปดโมงครึ่งนี่หมอกเพิ่งจะจาง แต่ละคนออกมาจากสนามบินแล้วแทบผงะกับลมหนาวที่พัดมาตีแสกหน้า แต่สำหรับผม นี่เป็นอากาศดีๆ ที่คุ้นเคย ผมกระชับเสื้อกันหนาวตัวบางแล้วล้วงเอาอีกตัวที่หนากว่าและมีฮู้ดกันลมมาใส่ทันที
“เฮ้ ไอ้ปั้น” เฮียปุ้นจอดรถรออยู่ริมฟุตบาทโบกมือให้ ผมยกแขนโบกตอบพลางหันมามองเหล่าเพื่อนร่วมงานที่เบิกตากว้างเมื่อเห็นรถกระบะตอนเดียวของเฮียปุ้น
“หวัดดีเฮีย นี่เพื่อนที่บอ คนนี้พี่ดิน อายุน่าจะพอๆ กับเฮียปุ้น อายุมากสุดในกลุ่มปั้น” ผมแนะนำพี่ใหญ่ของกลุ่ม พี่ดินยิ้มกว้าง
“ปีนี้ผมสามสิบสิบ” พี่ดินว่า
“เฮ้ย เหมือนกันๆ” ดูเหมือนเฮียปุ้นจะได้เพื่อนก๊งเหล้าแล้วคืนนี้
“ส่วนนั่นพี่เจี้ยน รุ่นน้องมหาลัยเดียวกันกับพี่ดิน อีกคนนั่นไอ้เน รุ่นเดียวกับปั้น ส่วนสาวสวยนั่น ฟาง เป็นน้องเล็กของกลุ่มปั้นเอง”
แต่ละคนที่อายุน้อยกว่ายกมือไหว้เฮียปุ้น ไอ้เฮียตัวดียกมือบอกว่า กันเองน่า ก่อนจะช่วยยกกระเป๋าขึ้นหลังกระบะ
ผมยิ้มขำ แต่ละคนขอล้วงเอาเสื้อกันหนาวออกมาทันทีที่ผมบอกว่าต้องนั่งรถไปอีกประมาณสามชั่วโมง ยังดีที่ตอนนี้แดดเริ่มออกแล้ว แต่พอขึ้นดอย แน่นอนว่าต้องปากสั่น
ความจริงบ้านผมมีรถตู้เก้าที่นั่งกับฟอร์จูนเนอร์เจ็ดที่นั่งนะ แต่ผมเลือกให้เฮียปุ้นเอาคันนี้มารับ เพราะอยากให้ลองท้าลมหนาวกันดู
“ฟางไปนั่งข้างหน้ากับเฮียปุ้นมั้ย” ผมถามเพราะน้องตัวบางแถมเสื้อกันหนาวก็ดูจะไม่ได้อุ่นเท่าไหร่ ฟางส่ายหัวดิกๆ เกาะแขนเนแน่น
“ฟางทนได้”
สงสัยกลัวเฮียปุ้นล่ะมั้ง เฮียแกเล่นสวมไอ้โม่งกันหนาวที่เห็นแต่ลูกกะตา แถมยังใส่เสื้อกันหนาวแบบนวมทำให้ดูตัวใหญ่กว่าเดิมทั้งๆ ที่ปกติก็ตัวใหญ่พอๆ กับพี่ดินอยู่แล้ว
หมีควาย...
ไอ้ฟางจะกลัวก็ไม่แปลก ทำไมมันใส่มาอย่างกับอยู่อลาสก้า มึงบ้าป่ะเฮียปุ้น
“งั้นพวกปั้นนั่งหลังกันหมดเนี่ยแหละ” ผมไล่เฮียปุ้นไปขึ้นรถ และให้ทุกคนปีนขึ้นหลังกระบะโดยให้ฟางนั่งข้างในสุด ขนาบข้างด้วยผมกับเน ซ้อนอีกชั้นคือพี่ดินกับพี่เจี้ยน ขับไปได้ประมาณสิบนาที จากตอนแรกนั่งเกาะท้ายรถกระบะท้าลมหนาวกัน พอยิ่งขึ้นดอยสูงอุณหภูมิยิ่งลด แต่เพราะวิวดีมาก ทำให้แต่ละคนงัดกล้องมาถ่ายเก็บบรรยากาศกันรัวๆ ฟางที่ดูจะแฮปปี้กับลมปะทะยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าพี่เจี้ยนที่ตัวสั่นงกๆ ผมเริ่มรู้สึกว่าคิดผิดที่อยากให้คนกรุงปะทะลมหนาว
ผมตัดสินใจเคาะกระจกรถจากด้านหลังเป็นสัญญาณบอกให้เฮียปุ้นจอดรถ
“เฮีย ปั้นว่าในรถน่าจะมีผ้าห่มติดไว้ซักผืนนะ ลองหาให้หน่อยสิ”
ผมมองหน้าพี่เจี้ยนที่ตัวบางๆ นั่งสั่นกึกๆ หน้าซีด กลัวจะเป็นหวัดก่อนเที่ยวน่ะสิ เฮียปุ้นเลิกคิ้ว มองคนที่ดูอาการหนักสุดซุกเข่าเข้าไปในเสื้อกันหนาว ก่อนจะลองกลับเข้าไปรื้อๆ เก๊ะหน้ารถ แต่ก็ไม่เจอ เฮียแกเลยถอดเสื้อแจ็กเก็ตนวมของตัวเองออก พร้อมกับหมวกไอ้โม่งยื่นส่งมาให้ผม
“ในรถไม่หนาว เอาไปใส่ละกัน เอ็นดูว่ะ”
เฮียปุ้นเผยใบหน้าคมคายคร้ามแดดเพราะออกไร่ออกสวนทุกวัน เคราที่ไม่ได้โกนเพราะเจ้าตัวบอกว่าเปลืองใบมีดทำให้ดูเข้มผิดกับน้องชายอย่างผมที่ทำงานในห้องแอร์จนผิวขาวซีด ผมส่งให้พี่เจี้ยนที่รับไปใส่พลางยกมือขอบคุณ เขาเอามันห่มตัว สีหน้าดีขึ้นเพราะเสื้อยังหลงเหลือไออุ่นจากเฮียอยู่
“พี่เจี้ยนไปนั่งหน้ามั้ย” เนถาม พี่เจี้ยนส่ายหน้า “อย่าคิดจะทิ้งกูเชียว”
ใครทิ้งมึงพี่เจี้ยน
ผมส่ายหน้า สั่นเป็นเจ้าเข้าแล้วยังเสือกห่วงสนุก
“พี่ดินเก่งแฮะ ไม่หนาวเลย” ผมแซว
“หนาวสิวะ! แต่กูไหว” พี่ดินหัวเราะ ยิ้มให้ผม ก่อนหันไปมองข้างทางที่เริ่มเป็นไร่ชาสุดลูกหูลูกตา
ผมเอามือถือขึ้นมาถ่ายเพื่อนๆ ลงอินสตราแกรมสตอรี่ ถ่ายรูปวิวบ้าง รูปฟางที่บังคับผมถ่ายบ้าง จนในที่สุดก็ถึงไร่อันนาที่ปลูกสารพัดตั้งแต่ ชา ไม้สัก ไปจนถึงผักสวนครัว ไร่สตอเบอรี่ที่ป๊าปลูกเล่นๆ ไว้ให้เจ้หอมกำลังออกผลสวยน่ากิน รถกระบะตอนเดียวเคลื่อนตัวผ่านทางที่ทำไว้ ทุกคนบนหลังรถดูตื่นตากับไร่ของครอบครัวผม
“บ้านรวยนี่หว่า” พี่เจี้ยนเลิกสั่น ผมหัวเราะ
“พออยู่พอกินน่ะ”
“พ่องสิ! เป็นกูนะกลับมาช่วยงานที่บ้านแล้ว ไม่หางานที่กรุงเทพทำให้ปวดหัวหรอก” ไอ้เนว่าบ้าง รถกระบะจอดสนิทที่หน้าบ้านไม้สักทองทั้งหลังที่สร้างมาตั้งแต่เฮียปุ้นยังไม่เกิด เป็นบ้านหลังใหญ่ที่ปลูกไล่ระดับลงมาตามเนินเขาประมาณสามชั้น แต่ละชั้นจะมีชานบ้านโปร่งไว้นั่งเล่นตามแบบที่รีสอร์ทสร้างกันให้นักท่องเที่ยวมาพัก หากใครนึกไม่ออก สามารถเสิร์ชกูเกิ้ลหาภาพรีสอร์ทบ้านม่อนม่วนของจังหวัดเชียงใหม่ได้ ลักษณะคล้ายๆ กันแต่บ้านผมจะเก่ากว่าเพราะสร้างมานานแล้วและก็ไม่ได้มีเรือนแยกเพราะเราอยู่กันแค่คนในครอบครัวไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามา มีบ้านพักของคนงานอยู่ด้านล่างเนินแถวประตูหน้าทางเข้าห่างจากบ้านหลัก รวมๆ ก็มีอยู่ประมาณยี่สิบกว่าคน
ทุกคนช่วยกันหอบหิ้วของของตัวเองเดินขึ้นบนบ้านที่เป็นลานไม้ ซึ่งตรงนี้ก็เห็นวิวของภูเขาเหมือนกัน ชั้นนี้เป็นส่วนไว้รับแขก แต่โซนห้องนอนจะต้องเดินเข้าไปอีกและขึ้นบันไดไปตามระเบียงบ้านที่สามารถนั่งเล่นได้ตลอดทางเดินจนสุดหลังบ้าน ระหว่างทางจะเป็นห้องทำงานบ้าง ห้องนั่งเล่นบ้าง ห้องหนังสือบ้าง ก่อนจะถึงส่วนห้องพักอาศัยที่จะเป็นแยกเดินเลี้ยวขวาเข้าไปจะเจอกับโถงแบบโปร่งยกสูง ตรงกลางมีบันไดเล็กสามารถเดินลงไปชั้นล่าง บ้านเราจะมีห้องครัวใหญ่กับครัวเล็ก แล้วแต่ว่ามื้อไหนคนเยอะก็ทำครัวใหญ่ซึ่งเดินออกมาจะเป็นโถงรับแขกหน้าบ้านที่เดินผ่านมา ถ้ากินกันสองสามคนก็มีครัวเล็กบนชั้นนี้และโต๊ะกินข้าวตรงโถงกลางนี่เหมือนกัน
เอ่อ อธิบายเองผมก็งงเอง เอาเป็นว่าบ้านผมสามารถเดินทะลุไปมาได้ บันไดเยอะทีเดียว ส่วนใหญ่บ้านผมรับแขกบ่อย ไหนจะเพื่อนป๊า เพื่อนม๊า เพื่อนเฮีย เพื่อนเจ้ มีแต่ผมเนี่ยแหละที่ไม่มีเพื่อนมาบ้าน
“เจ้าปั้น!” เสียงของม๊าดังมาจากทางโถงกลางชั้นสอง ม๊าเดินถือถาดผลไม้มา ตามหลังด้วยป้าสร แม่บ้านคนเก่าแก่ของบ้านผม ซึ่งผมเคารพป้ามากๆ เพราะนอกจากม๊าที่ตีผม ป้าสรก็เป็นคนอีกที่ผมเคยโดนก้านมะยมฟาด ป้าสรถือถาดเหยือกแก้วที่คิดว่าน่าจะเป็นกาแฟกับถ้วยเปล่าตามมา
“คิดถึงจังเลยม๊า!” ผมกอดหญิงร่างท้วมในชุดผ้าไหมเมือง แม้หน้าตาจะไปทางจีนมากกว่า ก่อนจะจะหันไปกอดป้าสรที่วางถาดกาแฟลงที่โต๊ะเล็กหน้าชานบ้าน
“คิดถึงจังป้าสร”
“น้องปั้นตึงบ่าค่อยปิ๊กบ้านแต๊ ก๋านนักก่อน้อง จะใดบ่าปิ๊กมารวดเดียวปี๋ใหม่น่ะน้อง (น้องปั้นไม่ค่อยจะกลับบ้านเลย งานเยอะมั้ยลูก ทำไมไม่กลับมาทีเดียวตอนปีใหม่ล่ะ)” ป้าสรเว้าเมืองใส่ผมที่ทำหน้าย่น
“ปั้นอิ๊ดครับ ไขอยากปิ๊กบ้าน (ปั้นเหนื่อยครับ อยากกลับบ้าน)” ผมพูดเหนือกลับบ้าง ก่อนจะแนะนำเพื่อนๆ พี่ๆ ให้ทุกคนรู้จัก พอดีกับที่ป๊าและเจ้หอมเดินมา คงจะรู้ว่าลูกชายจะพาเพื่อนกลับบ้านจึงไม่ได้ออกไปดูไร่ แม้ว่าเจ้หอมจะทำบัญชีให้ที่บ้าน แต่เป็นทั้งเลขาและคนดูแลบ้านแทนเจ้ฟ่างไปด้วย แถมยังอึดถึกทนทำได้แม่งทุกอย่างตั้งแต่ปลูกต้นไม้ ตัดฟืน ขุดดินลงกล้า ยันซ่อมหลังคา สิ่งเดียวที่เจ้หอมทำไมเป็นคืองานที่ผู้หญิงทำ....
พี่เจี้ยนหน้าแดง ผมกระทุ้งศอกใส่พลางถลึงตามองคนที่อยากตีท้ายครัวชาวบ้าน
“ตามสบายนะ บ้านป๊าอาจไม่สะดวกสบายเท่าไหร่ แต่มีสตอเบอรี่ให้กินเพียบ” ป๊าผมคนสบายๆ ว่า ป้าสรแจกกาแฟให้ทุกคน เจ้หอมเองก็ดูสนุกกับการคุยกับฟางที่เป็นสาวน้อยคนเดียวของกลุ่ม
“แล้วอคินไม่มาด้วยเหรอปั้น” ม๊าถามหาคนที่ผมเกือบลืมไปแล้ว ผมส่ายหัว
“เขาจะมาทำไมม๊า ไม่ได้สนิทกัน”
“ตีปากเลย เขาเป็นหมอแก แถมเป็นเพื่อนเฮียแก ยังจะเรียกว่าไม่สนิทได้อีกเรอะ” ม๊าดุผม
“โอย... พอๆ เออใช่ หมอฝากขนมอบไทยมาให้น่ะ อ่ะนี่” ผมยืนถุงกระดาษที่รื้อออกมาให้จากกระเป๋า มันค่อนข้างยับแต่รสชาติคงไม่เสียหรอกมั้ง ม๊ากรี๊ดกร๊าด ผมหลบฉากโดยการบอกว่าจะพาทุกคนไปเก็บของในห้อง
เนื่องจากบ้านผมเป็นบ้านใหญ่ บ้านหลังนี้จึงค่อนข้างมีห้องเยอะ แต่มีแค่พ่อแม่กับพี่สาวที่กำลังจะแต่งงานอยู่กันแค่สามคน เฮียปุ้นแยกออกไปสร้างบ้านของตัวเองอยู่ท้ายไร่ที่วิวดีไม่แพ้กับตรงนี้ ห่างประมาณสามร้อยเมตร ดังนั้นบ้านใหญ่แปดห้องนอน สิบห้องน้ำจึงมีที่ว่างเยอะแยะ
ตอนแรกบ้านนี้มีคนใช้ห้องทั้งหมดห้าห้อง คือห้องป๊าม๊าและลูกๆ อีกสี่คน แถมสามคนก็ไม่ค่อยจะได้กลับมาบ้านใช้ห้องตัวเองเท่าไหร่ เจ้ฟ่างก็กลับมาแค่ปีละครั้ง ห้องนั้นก็ไม่มีคนใช้ ผมเลยยกห้องนี้ให้ฟาง ส่วนห้องที่เหลือก็ยกให้พวกพี่ๆ กับไอ้เนคนละห้อง แม้พวกเขาจะบอกว่าให้นอนรวมกันก็ได้ เกรงใจ แต่ผมบอกว่าตามสบาย ให้ห้องมันได้ใช้งานบ้าง เดี๋ยวปลวกขึ้น
แต่ละคนบอกว่าผมมีเงิน ผมเลยตอบกลับไปว่า ป๊าม๊าผมต่างหากที่มีเงิน ไม่ใช่ผม ทุกวันนี้ตั้งแต่ทำงานแล้ว ป๊าไม่ให้เงินใช้อีกเลย ป๊าสอนเสมอว่า คนที่มีเงินคือคนที่ทำงานครับ คนที่ไม่ทำงานไม่มีสิทธิ์ใช้เงิน เพราะฉะนั้น เงินในไร่ น้องข้าวปั้นกับเจ้ข้าวฟ่างไม่มีสิทธิ์แตะต้องนะครับ... ดุใช่มั้ยล่ะ
แต่ถ้ากลับบ้าน ม๊ากับป๊าจะเปย์ของกินผมไม่อั้นครับ ผมรู้แค่ว่าถ้ากลับบ้านไม่ต้องเสียค่าข้าว
“ปั้น” เฮียปุ้นที่ได้เสื้อแจ็กเก็ตคืนมาใส่เรียกผมที่ออกมายืนดูวิวไร่ที่ชานบ้านหลังจากเอากระเป๋าเข้าไปเก็บในห้องเรียบร้อย
“ว่า?”
“มีอะไรรึเปล่า จู่ๆ ก็กลับบ้าน”
เอ้า!! กลับบ้านก็ผิด
“ก็ม๊าบอกเองว่าอยากให้ปั้นกลับบ้านบ้าง แล้วช่วงนี้ยังไม่มีโปรเจคใหญ่เข้ามา หัวหน้าเขาบอกให้รีบใช้วันหยุดก่อนจะหมดปี ปั้นเหนื่อยก็เลยอยากกลับบ้าน” ผมอธิบายความจริง... แต่นั่นไม่ใช่เหตุผล
“คืนก่อน อคินมันโทรมาหาเฮีย มันถามว่าแกบอกอะไรบ้างไหม” เฮียปุ้นล้วงกระเป๋าเสื้อนวม พ่นไอหนาวออกมาจากปาก “มีเรื่องอะไรกับมันรึเปล่า?”
ผมเงียบ... ไม่อยากอธิบายอะไร
เฮียปุ้นรู้นิสัยผมดี ถ้าอะไรที่ผมปิดปากเงียบ คือเงียบ จะไม่มีใครเอาคีมมาง้างปากผมได้ เหมือนตอนที่ผมทนทรมานกับโรคกระเพาะจนทะลุนั่นแหละ ถ้าพี่อัฐไม่โทรบอกที่บ้าน ผมก็จะไม่บอกว่าผมผ่าตัด จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงกัน
ยกเว้นโรคกลัวความมืดที่รู้กันทั้งบ้านแต่ไม่มีใครปริปากพูดเรื่องนี้ออกมา
ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนผมสามารถเล่นซ่อนหาในตู้เสื้อผ้าได้สบาย แต่ตอนนี้แค่คิดว่าตัวเองถูกขังไว้ในที่มืดแคบๆ มีแต่กำแพง ผมก็หายใจไม่ออกแล้ว
“แกบอกเฮียได้นะ ถ้าแกอยากบอก” เฮียปุ้นก็เหมือนเดิม เขาไม่เซ้าซี้ โตๆ กันแล้ว ตัดสินใจกันเอง เฮียเอามือใหญ่หยาบกร้านวางบนหัวผมแล้วขยี้อย่างหมั่นไส้ก่อนเดินจากไป
ผมมองออกไป เริ่มจมกับความคิดตัวเอง
หลังจากเก็บของกันเสร็จ แขกบ้านแขกเรือนก็รวมตัวกันที่โต๊ะกินข้าว รวบมื้อเช้ากับเที่ยงตอนสิบเอ็ดโมง ทุกคนช่วยกันยกจานอาหารมากมายมาจัดวางบนโต๊ะกินข้าวไม้สักขนาดใหญ่ที่ตรงชานหลังบ้านในร่ม มีหลังคาและระแนงกั้นแสง เป็นโซนที่เอาไว้สำหรับปาร์ตี้แขก ติดกับครัวเช่นกัน
หลังจากนั้นพอทานมื้อเที่ยงเสร็จ พวกเขาก็ขอให้ผมพาออกไปเที่ยวไร่ตอนบ่ายคล้อยเพื่อถ่ายรูป ไอ้เนงัดเอาเลนส์ตัวละแปดหมื่นมาถ่ายรูปให้ฟางที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นอีกชุดเพื่อการนี้โดยเฉพาะ แถมยังเป็นชุดของเจ้ฟ่างที่เจ้หอมบอกว่า อยากใส่ตัวไหนหยิบเลย เจ้แกไม่ว่า เหมือนว่าสามสาวจะวิดิโอคอลหากันแล้วถูกชะตาน่าดู ก็ดีที่สาวๆ เขาสนิทกันง่าย
ส่วนพี่ดิน รายนั้นก็ถ่ายรูปแต่เป็นสายถ่ายวิวเอาไปทำสต็อคหาเงิน เขาเดินคุยกับป๊าผมที่ดูจะคุยกันถูกคอเพราะเป็นสายรักธรรมชาติด้วยกันทั้งคู่ สงสัยป๊าคุยกับเฮียปุ้นจนเบื่อแล้ว
ส่วนพี่เจี้ยน เดินไปเรื่อยเลยครับ อัพไอจีไปเรื่อยเปื่อย มีไลฟ์สดด้วย ทำตัวเป็นเซเลปไปได้ ผมกดดูไลฟ์ของพี่แก มีคนคอมเม้นต์เยอะเหมือนกันนะ ทั้งเพื่อนและคนในบริษัท มันโฆษณาไร่ผมเหมือนเป็นไร่ตัวเอง ผมเลยเม้นต์แหย่ไปทีนึง
Kaowpun Saran: ไอ้พี่เจี้ยน โฆษณาเป็นบ้านตัวเองเลยนะ อยากมาเป็นสะใภ้บ้านผมเหรอ
Dun.Geon: อยากเป็นเขยสิสัส
ถ้าพี่กรมาเห็นคงปรี๊ดแตก
ก่อนจะนึกได้ ผมลืมบอกทุกคนไปเลยว่าอย่าเดินไปทางบ้านเฮียปุ้นนะ เดี๋ยวจะเจอแจ๊กพอต... แต่ก็ช่างมันเถอะ คงไม่มีใครเดินถึงหรอกมั้ง ห่างกันตั้งโยชน์ เฮียยังต้องขี่มอเตอร์ไซค์เอาเลย
ผมปล่อยทุกคนตามสบาย พรุ่งนี้กะว่าจะพาไปเที่ยวดอยอื่นซะหน่อย พาไปให้ครบทุกดอยนั่นแหละ เอาให้เอียนทะเลหมอกไปเลย
ผมหนีมานอนอยู่ที่เปลญวนตาข่ายที่ผูกไว้หลังบ้าน นอนเล่นมือถือพลางก่อนจะกดถ่ายรูปท้องฟ้า เหมือนจะสบายใจแต่หัวผมคิดสะระตะไปเรื่อยเปื่อย
มันไม่สงบ... ผมเอาแต่คิดถึงเขา
แทนที่กลับบ้านมาจะทำให้ผมสบายใจ
ผมเอาแต่เผลอกดเข้าๆ ออกๆ ไปดูข้อความที่คุยกันระหว่างผมกับเขา
มันมีแค่ไม่กี่บรรทัด...
ผมเอาแต่นึกถึงเรื่องคืนนั้น... แม้จะเป็นความทรงจำขาดๆ หายๆ แต่ก็พอจะจำได้ในส่วนที่มันชัดเจน
‘ข้าวปั้น... เรียกเฮียสิครับ’
‘เฮีย... เฮียคิน... อา... เจ็บครับ เบา...’
ผมไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเอง ถ้ารู้สึกแย่ ผมควรจะกลัวเขาเหมือนที่กลัวความมืด
แต่กลิ่นน้ำหอมของเขากลับติดอยู่ปลายจมูก
ผมกดดูรูปภาพในมือถือผ่านปุ่มส่งรูปภาพในไลน์ตรงช่องแชทของเขา... ก่อนจะเหม่อ... มองไปไหนก็ไม่รู้จนมือลั่น
ฟึ่บ!
เสียงส่งข้อความทำเอาผมสะดุ้งโหยง!
เชี่ยแล้วไอ้ปั้น!
ผมกดส่งรูปท้องฟ้าที่ถ่ายเมื่อกี้ไปให้หมอ ผมรีบจะกดลบ แต่ไม่ทันแล้วเมื่อเขาขึ้น read... แทบจะทันที
ผมกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ ไม่รู้จะทำยังไง เขาอ่าน อ่านแต่ไม่ตอบ
หรือจะเปิดมือถือค้างไว้...
ไม่สิ ถ้าเปิดค้างไว้ก็แปลว่าเขาต้องเข้าหน้าแชทของผมไว้เหมือนกันน่ะสิ
อ๊าก!!!!
ผมดิ้นจนกลิ้งตกแปลญวน ลูบเอวตัวเองปอยๆ ไม่นาน เสียงข้อความก็ดังขึ้น ผมเห็นแจ้งเตือนตรงหน้าล็อคสกรีนว่าเขาส่งรูปภาพมาให้ ทำใจอยู่นานก่อนจะกดเข้าไปดู
อารมณ์หงุดหงิดพุ่งขึ้นหน้าทันที...
Akin.L: sent a photo
รูปท้องฟ้าของกรุงเทพตอนเย็นถูกส่งมาให้... กับข้อความสั้นๆ
Akin.L: This sky here is not as beautiful as like there.
“หมอบ้า”
ผมเอามือปิดหน้าที่ร้อนเพราะหงุดหงิดจนเลือดขึ้นหน้า...
...ท้องฟ้าที่นี่ไม่สวยเหมือนที่นั่น...