Chapter – 15
หมอครับ น่ารำคาญ
วันนี้ผมเลิกงานเร็วเป็นพิเศษ หมายถึง... เร็วกว่าปกติน่ะ ไม่ใช่ออกก่อนเวลานะ เพราะว่าผมมีนัดกับหมอครับ
เดี๋ยวก่อน... ไม่ใช่หมอที่พวกคุณคิดหรอกครับ
ผมเดินขึ้นจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่ยังไม่ใช่สถานีที่คอนโดผมอยู่ ผมลงก่อนสองสถานีเพื่อที่จะมาพบคนที่ผมนัดไว้ที่ร้านกาแฟใกล้ๆ สถานีนี้
ผมผลักประตูร้านเข้าไป เป็นร้านเล็กๆ ติดถนน แต่คนไม่เยอะมาก บรรยากาศในร้านเงียบสงบดีเหมาะสำหรับการอ่านหนังสือ ตกแต่งแนวธรรมชาติ โทนสีไปทางส้มๆ ไม้ๆ พนักงานเอ่ยต้อนรับ ผมสั่งโกโก้หวานน้อยก่อนจะหันไปมองหาคนที่ผมนัดเจอ
รับรู้ได้ถึงสัมผัสที่แตะเบาๆ บนบ่า ผมหันกลับไปเห็นหน้าตาน่ารักของคุณหมอสาวที่อาจจะเป็นเจ้าของไข้ผมในอนาคตแล้วยิ้มเขินๆ แม้คุณหมอจะอายุเกือบสามสิบแต่หน้าตาของหมอยังดูเด็กจนผมนึกว่าเป็นรุ่นน้องเสียอีก ร่างเล็กที่สูงแค่บ่าผมในชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนทับด้วยคาร์ดิแกนสีน้ำตาลอ่อน ผมยาวรวบเป็นหางม้า ตากลมโต ปากชมพูๆ ประดับรอยยิ้มสดใส
ฮือ... น่ารักอ่ะครับ
“ข้าวปั้นใช่มั้ยคะ?”
คุณหมออิงลดา จิตแพทย์สาวที่หมออคินแนะนำมายิ้มหวานให้ผมพร้อมกับทักทายอย่างเป็นมิตร
“วะ... หวัดดีครับ หมออิงลดา”
ผมยกมือไหว้คนอายุมากกว่า หมออิงลดายกมือไหว้ตอบ ก่อนจะโบกมือ
“เรียกหมออิงก็ได้ค่ะ” แล้วเธอก็หันไปสั่งกาแฟกับขนมเค้ก จากนั้นก็พากันไปเลือกโต๊ะนั่ง เราเลือกที่จะนั่งหลังๆ มุมเงียบๆ ที่ไม่ค่อยมีคน เพราะผมค่อนข้างอยากให้มันส่วนตัวหน่อย
“หมอได้ยินเรื่องของข้าวปั้นจากหมออคินเยอะแยะเลยค่ะ หมอเล่าว่าเป็นน้องชายของเพื่อนสนิทของเขา”
“เห... จริงเหรอครับ”
ผมยิ้มแห้ง ไอ้หมอมันเอาผมไปเผาอะไร!
“เอ่อ ขอบคุณนะครับที่หมออุตส่าห์ออกมาหาเป็นการส่วนตัว” ผมเริ่มเล่นนิ้วตัวเอง แอบเกร็งนิดๆ ไม่เคยมาปรึกษาจิตแพทย์ตัวเป็นๆ นอกจากทำแบบสำรวจในเว็บไซต์สุขภาพจิต
“ไม่เป็นไรค่ะ หมอลงเวรแล้ว วันนี้เราแค่มาคุยกันนอกรอบแล้วค่อยมาคุยกันว่าหมอจะรับข้าวปั้นเป็นคนไข้เต็มตัวรึเปล่านะคะ” หมออิงยิ้มใจดี “ไม่ต้องเกร็งนะ หมอไม่กัดค่ะ แล้วข้าวปั้นก็ไม่ได้บ้า ข้าวปั้นแค่มาปรึกษาเฉยๆ”
ผมคลายมือออก ถอนหายใจเบาๆ
“ข้าวปั้นคะ”
ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังก้มหน้าอยู่จนกระทั่งหมอเรียก
“ครับ!”
“คิดซะว่ามาคุยกับเพื่อนก็ได้ค่ะ”
ผมพยักหน้า
“งั้นหมอถามนะคะ ข้าวปั้นเป็นโรคกลัวที่มืดเหรอ”
“อ่า... ครับ”
“ได้บอกคนอื่นรึเปล่า”
“เปล่าครับ คือ... ส่วนใหญ่คนที่รู้จะเป็นเพราะเจออาการผมตอนอยู่ในสถานการณ์นั้นน่ะครับ”
“หมายถึง บังเอิญรู้ใช่มั้ยคะ”
“ครับ”
หมออิงพยักหน้า ก่อนจะหันส่งยิ้มให้พนักงานที่ยกของที่สั่งไว้มาเสิร์ฟ ผมรับโกโก้มาดูดแก้เขิน... ความจริงเรื่องนี้ไม่ได้ร้ายแรง แต่สิ่งที่ร้ายแรงคือสาเหตุของมันที่ผมไม่กล้าพูดออกไป จนเกิดเป็นแผลในใจจนถึงทุกวันนี้
“อาการนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ข้าวปั้นรู้สาเหตุหรือเปล่า”
หมออิงจ้องหน้ามองตรงๆ อาจเป็นความเคยชินของหมอที่มักจะมองคนไข้ตรงๆ เพื่อสังเกตปฏิกิริยา แต่ผมไม่ชินเอาซะเลย... โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า
“รู้ครับ... ตอนสิบขวบ”
“เล่าให้หมอฟังได้มั้ยคะ?”
คำถามที่น่ากลัวของหมอมาแล้ว... ผมเงียบ เงียบนาน เหงื่อเริ่มซึมชื้น
เสียง... เสียงร้อง...
“...ปั้น ข้าวปั้นคะ?”
“ไม่ครับ ผมไม่อยากพูด”
หมออิงเงียบ กลับไปตั้งหลักใหม่ เธอไม่คะยั้นคะยอผม ก่อนจะเลื่อนเค้กมาให้
“ทานหน่อยนะคะ แบ่งกัน หมอกินคนเดียวไม่หมด”
ผมมองเค้กที่โดนตัดไปนิดหน่อยแล้วตัดสินใจเอาน้ำตาลเข้าปาก
“ข้าวปั้น รู้มั้ยคะ ว่าโฟเบียรักษาได้นะ” หมออิงพูด “อาการโฟเบียบางอย่างรักษาได้ด้วยยา หากเกี่ยวกับเคมีในสมองผิดปกติ แต่บางอย่างเกิดจากแผลทางใจ ถ้าเป็นแบบนั้นต้องทำพฤติกรรมบำบัด โดยค่อยเป็นค่อยไป”
“ครับ แต่... ผมก็อยู่กับอาการนี้มาได้ตั้งสิบกว่าปี” ผมวางส้อม “คิดว่าคงไม่เป็นไรถ้าไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับสถานการณ์ที่ทำให้อาการออก”
ผมคิดงั้นจริงๆ และปฏิเสธครอบครัวที่พร้อมจะพามารักษาอาการกลัวที่แคบที่มืดเสมอ
“ผมแค่ไม่ชอบการอยู่ในที่แคบและมืด ถ้าแค่มันแคบแต่ไม่มืด หรือมืดแต่ไม่แคบ ผมไม่เป็นไรหรอกครับ”
หมออิงครางในลำคอ ก่อนจะเอียงคอ เธอน่าจะรับรู้ได้ว่าอาการนี้มันไม่ได้ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของผมลำบาก
“งั้น... วันนี้หมอจะไม่รับคนไข้ แต่จะขอแอดเพื่อนเพิ่มอีกหนึ่งคนแทนจะได้มั้ยคะ” หมออิงยื่นโทรศัพท์มาให้ผม “หมอขอเฟซบุ๊คกับไลน์หน่อยได้ป่ะคะ หมอจะเอาไว้เม้าท์เรื่องหมออคิน”
ผมเบิกตากว้าง หน้าแดงขึ้นมาทันที หมออคินมันเอาผมไปเม้าท์อะไรที่โรงพยาบาล หมออิงถึงทำหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มแบบนั้น... ผมรับมือถือหมออิงมาอย่างลังเล ก่อนจะกรอกเบอร์โทรกับเฟซบุ๊คไป หมอรับคืนมา และไม่ถึงวินาที ก็มีแจ้งเตือนผ่านเฟซบุ๊คว่ามีคนส่งคำขอเป็นเพื่อนมา
“อ้าว ไม่มีหมออคินเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊คเหรอคะ?”
หมออิงดูแปลกใจเมื่อเธอหาเพื่อนร่วมกันไม่เจอ ผมส่ายหัว ไม่เห็นจะเคยรู้ว่าหมอเล่นเฟซด้วย
“หมอคนนั้น... หมายถึงหมออคิน เขาเล่นเฟซบุ๊คด้วยเหรอครับ” ผมเริ่มสนใจ หมออิงผงกหัวรัวๆ ก่อนจะค้นหาเพื่อนแล้วยื่นส่งให้ผมดู รูปโปรไฟล์ของเขาโคตรจะแตกต่างกับตัวจริง...
ผมเบิกตากว้าง อ่านชื่อเฟซแล้วมองรูปเขา
“หมอจริงเหรอเนี่ย?”
“ใช่มะ หล่อเนอะคะ แต่เขาไม่รับคนแปลกหน้า ความจริงคนรู้จักถ้าไม่จำเป็นเขาก็ไม่รับนะคะ เขาเพิ่งจะรับแอดเฟซหมอเมื่อไม่นานมานี้เอง แลกกับการรับปรึกษาให้เขา”
ผมมองรูปโปรไฟล์ของเขา
หมออคินมีเค้าโครงหน้าเขาค่อนข้างจะเอเชีย แต่มองอีกมุมก็มีความเป็นลูกครึ่ง จมูกเขาโด่งเป็นสัน ริมฝีปากได้รูปกระจับสวยน่าอิจฉา หน้าผากกว้าง ผมหยักศกมักถูกปาดเซทขึ้นดูดีเสมอ (แต่ผมมักเห็นเขาตอนเซทหลุด) มีไรหนวดเคราบ้างทำให้ดูเข้ม คิ้วหนาเป็นทรงเฉียงขึ้นทำให้ดูดุ ดวงตาคมเรียวสีเขียวประหลาด รูปโปรไฟล์ของเขาเป็นสีโทนทึมๆ เย็นๆ ยืนพิงกำแพงดูสตรีท ชุดลำลองธรรมดาไม่ได้ใส่สูทผูกไทด์ เหมือนเขาจะถ่ายที่ต่างประเทศเพราะเล่นใส่เสื้อคอเต่าสีดำ คลุมทับด้วยโค้ทตัวยาวสีเทาเข้ม
ดูดี... สุดๆ เหมือนหลุดออกมาจากปกนิตยสาร BAZAAR
นี่กูอยู่กับมนุษย์แบบนี้ที่คอนโดเดียวกันแน่นะ...
ผมพึ่งจะมานั่งสังเกต เอาจริงๆ ผมไม่ค่อยได้มองหน้าหมอชัดๆ เลยสักครั้ง ถ้าไม่มองต่ำกว่าอก ก็มองข้ามหัวข้ามไหล่ไปเลยเพราะไม่กล้าสบตา และในรูปหมอไม่ได้ใส่แว่น... ทำให้ลดอายุลงไปเยอะ เหมือนตอนที่เขามาค้างห้องผมครั้งแรก คุณหมอสุดหล่อในรูปที่อยู่ในชุดบอล ผมยังจำได้
ผมหัวเราะ...
“ลองแอดเฟรนด์ไปสิคะ”
“เอ๊ะ... ไม่เอาดีกว่าครับ ผมกับหมอก็ไม่ได้สนิทกัน...”
ไม่สนิทเชี่ยไรล่ะ... โว้ย ความสัมพันธ์ประหลาดฉิบหาย
คำถามคือเขามายุ่งกับผมทำไมนี่แหละประเด็น และเขาเองก็ยังไม่ตอบ ผมไล่เขาออกจากห้องไปเสียก่อน และตั้งแต่วันนั้นก็ผ่านมาได้ห้าวันแล้ว ผมก็ยังไม่เจอหน้าเขาเหมือนเดิม เออ... ผมหลบหน้าเขาด้วยนั่นแหละ
“เอ่อ ผมถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ” ผมทำเหมือนนึกอะไรได้ ไหนๆ คนตรงหน้าก็เป็นหมอจิตแล้ว ลองถามอีกเรื่องนึงละกัน หมออิงเอ่ยรับพลางยกกาแฟดื่ม
“ค่ะ อะไรคะ”
“คือ... คือผมแค่ถามนะครับ แบบ... มันเป็นเรื่องของคนรู้จัก”
“อ่า... ค่ะ ได้ค่ะ” หมออิงยิ้มหวาน... เอ่อ
“คือ... ผู้ชายที่มีอะไรกับผู้ชายได้เนี่ย ต้องเป็นเกย์อย่างเดียวเหรอครับ คือ... คือเพื่อนผมเขาไม่เคยชอบผู้ชายเลยนะครับ แค่... เหมือนเขาจะมีความรู้สึกดีๆ กับหมอ... เอ้ย! กับผู้ชายอีกคนน่ะครับ”
เชี่ยปั้น อยากตีปากตัวเองฉิบหาย!
ผมทำหน้าปั้นยาก หมออิงมองนิ่งๆ ก่อนจะวางถ้วยกาแฟลง
“ข้าวปั้น กำลังจะถามว่า คนที่ไม่ใช่เกย์ ชอบผู้ชายได้มั้ยใช่มั้ยคะ”
ผมเงียบ... ก่อนจะผงกหัว
“ได้สิคะ ไม่เห็นจะแปลกเลย โดยเฉพาะในยุคสมัยที่ข้อจำกัดเรื่องเพศเป็นเรื่องที่ยอมรับกันในสังคมแล้ว ทุกอย่างเป็นความรู้สึกส่วนบุคคลค่ะ อย่ายึดติดกับคำว่าเกย์เลยนะ”
งานนี้หมออิงคอนเฟิร์ม คือ... คือผมก็ใช่ว่าจะไม่รู้ แค่อยากถามให้แน่ใจ
“ไม่ว่าจะชายชอบชาย ชายชอบหญิง หญิงชอบหญิง ล้วนแต่เป็นความรู้สึกส่วนตัว บางคนชอบผู้หญิงมาทั้งชีวิต แต่งงานกับผู้หญิง มีอะไรกับผู้หญิงได้ แต่สุดท้ายกลับรักผู้ชายที่เขาอยู่ด้วยแล้วสบาย โดยที่ไม่ได้รู้สึกกับผู้ชายคนอื่นเลยก็มี ความรู้สึกมนุษย์คือสิ่งที่ยากจะเข้าใจค่ะ”
“ครับ” ผมตอบรับหมอ
“ข้าวปั้นคะ... หมอถามไรหน่อยสิคะ” จู่ๆ หมออิงก็ทำหน้าจริงจัง ผมผงะห่างเล็กน้อย ไม่แน่ใจสิ่งที่หมอจะถาม
“หมออคินใจดีมั้ยคะ”
“หา?”
“จริงจังนะ เขาเป็นรุ่นพี่ของหมอเอง ตอนเป็นรุ่นพี่ที่วอร์ด ดุมาก! ดุฉิบหายเลยค่ะ” ผมอึ้งไป ก่อนจะหัวเราะลั่น
“ฮ่าๆๆ ผมตกใจหมด นึกว่าจะถามอะไร”
“ข้าวปั้น หมอจริงจังนะ ทุกคนในแผนกศัลยกรรมกลัวหมออคินกันทั้งนั้น กับคนไข้เขาก็ดุนะคะ เข้าประชุมทีไรเครียดกันทั้งบอร์ด” หมออิงทำหน้าขนลุก
“ก็... ดุครับ แต่... ก็ใจดีแบบแปลกๆ”
ผมเกาแก้ม กรอกตาขึ้นมองเพดาน ไม่สบตาหมออิง
“แล้ว แล้ว แล้ว... ตอนอยู่ด้วยกันเนี่ย...” หมออิงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ สีหน้าหมอดูตื่นเต้นยิ่งกว่าลุ้นบอลโลก
“หมออิง”
จู่ๆ เสียงทุ้มก็ดังขัดขึ้น เล่นเอาผมกับหมออิงผงะออกจากกันแล้วกันมองเจ้าของเสียงที่อยู่ดีๆ ก็เดินเข้ามาทัก ผมมองตั้งแต่หัวจรดเท้าของหมอที่อยู่ชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ม ผูกไทด์ชิดคอสีดำเลื่อม ทับด้วยเสื้อกั๊กสีกรมกับกางเกงสแลคเข้ารูปสีเดียวกัน แว่นสายตาทำให้เขาดูแก่เรียนแต่ไม่ได้ลดความดูดีของเขาเลยสักนิด
“พี่หมอ” หมออิงหลุดเรียกเขาออกมาตามความเคยชิน
ผมหุบปากก่อนจะกวาดกระเป๋าตัวเองมากอดแล้วลุกขึ้น
“ขะ... ขอบคุณมากนะครับหมออิง ไว้เรื่องค่าปรึกษา... ผม ผมจะติดต่อกลับไป” ผมกระวีกระวาดออกจากโต๊ะ แต่คนตัวสูงกลับรั้งศอกผมไว้พลางหันไปพูดกับหมอรุ่นน้อง
“ไม่เห็นบอกว่าจะมาหาเขาวันนี้”
“นี่เป็นการตกลงกันระหว่างหมอกับคนไข้ค่ะ พี่หมอไม่เกี่ยวนะคะ” หมออิงพูดอย่างรู้งาน มองผมที่พยายามจะบิดแขนออกจากมือใหญ่ที่แข็งอย่างกับคีมเหล็ก
หมออคินหรี่ตามองรุ่นน้องนิ่งๆ มีแววดุอยู่ในทีกับการต่อปากต่อคำ หมออิงยิ้มแหยแต่ใจดีสู้เสือ ชี้มาทางผมที่พยายามแกะแขนตัวเองอยู่อย่างน่าสงสาร
“ข้าวปั้นเขาเจ็บแล้วนะคะพี่หมอ”
หมอเหมือนพึ่งรู้ตัวว่าจับผมแรงไปจึงได้ผ่อนแรงลงพลางถาม
“จะกลับแล้วใช่มั้ยครับ กลับด้วยกันสิ”
“ไม่ครับ วันนี้ผมมีนัดต่อ”
“นัดกับใครครับ”
“เรื่องอะไรของหมอครับ”
ผมไม่กล้ามองหน้าเขา ได้แค่มองแขนตัวเอง แต่ถึงจะไม่มอง แต่ก็รู้เลยว่า... ตาสีเขียวคู่นั้นต้องดุฉิบหายแน่ๆ ดูจากความเงียบหลังจากผมพูดแบบนั้นออกไป
“คุณจะไปดื่มอีกแล้วเหรอ คราวที่แล้วไม่เข็ดรึไง”
เสียงเขาเย็นชาสุดๆ ผมเม้มปากก่อนจะเงยหน้าจ้องกลับ
“ขอโทษนะครับ ผมโตแล้ว ไปไหนก็ได้เรื่องของผมครับ คุณหมอ”
ผมเน้นคำว่า ‘คุณหมอ’ หนักๆ เพื่อให้เขาสำนึกจิตได้เองว่าเขาเป็นหมอนะครับ ไม่ควรมาออกแรงทำร้ายอดีตคนไข้อย่างนี้ หมออคินเหมือนจะพูดอะไร แต่ประตูร้านกลับเปิดเข้ามาอีกครั้ง และผมคงจะไม่สนใจถ้าคนที่เข้ามา ไม่ใช่เจ้าของผมสีน้ำตาลกับร่างโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสแลคพอดีตัวอวดรูปร่างเพรียวบางจนผู้หญิงอิจฉา และเหมือนจะมองหาใครบางคน แน่นอนผมเดาได้ว่าเขาหาใครอยู่
วันนี้ผมใส่เสื้อสีอัปมงคลรึเปล่าวะเนี่ย
“พี่หมออคิน” ชายคนนั้นมองข้ามหัวผมไปยิ้มให้คนตัวสูงกว่าที่ยังจับแขนผมไม่ปล่อย ผมยังคงพยายามดึงตัวเองออกจากการจับกุม แต่หมอกลับเปลี่ยนจากจับข้อศอกผมมากุมแน่นที่มือจนผมเบิกตากว้าง
สัสหมอ!!!
ผมเหงื่อแตก เหลือบมองหมออิงที่มองหน้าผมด้วยสีหน้าปกติ ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร ก่อนจะหันไปทักทายผู้มาใหม่
“หมอวา ลงเวรแล้วเหรอคะ”
เหมือนคนมาใหม่จะไม่ทันเห็นหัวหมออิงเช่นกัน เขาเลิกคิ้วก่อนจะยิ้มให้คนทัก เหลือบมองผมเล็กน้อยเหมือนผมเป็นแค่ต้นไม้ประดับร้าน
อึดอัดจนอยากจะอ้วก...
“หมอคินครับ ผมจะมาชวนไปดื่มครับ ไปกับพวกหมอนนท์ หมอริท”
เขาไม่สนใจคนแปลกหน้าที่ถูกจับอยู่ตรงนี้เลยซักนิด ผมหายใจเข้าลึกๆ กระชากมือออกอย่างแรงแล้วกระชับกระเป๋าเป้ของตัวเองเดินออกจากร้านไปเลย
“ข้าวปั้น!”
ผมไม่สนใจ ล้วงมือถือออกมาจะกดหาเบอร์พี่ดินแต่เขาไม่รับสาย ผมจึงส่งข้อความไปบอกเขาว่าวันนี้จะไปข้าวสาร คราวนี้ผมมีสติมากพอจะเดินลงรถไฟใต้ดินแทนที่จะวิ่งเตลิดเปิดเปิง ผมเดินเร็วๆ ลงบันไดเลื่อน แตะบัตรแล้วเข้าไปในเกททันที
ผมยืนรอรถไฟท่ามกลางคนประมาณสามล้านที่เบียดเสียดกันต่อแถว เนื่องจากวันนี้เป็นวันศุกร์ ใครๆ ก็พากันไปแฮงค์เอ้าท์ทั้งนั้น ผมล้วงเอาหูฟังมาเสียบแล้วเปิดเพลงให้ดังจนสุด กลบทุกเสียงรอบตัว
ปึ้ก! แรงตบที่ไหล่ทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว รีบถอดหูฟังหันกลับไปมอง ผมขมวดคิ้วแน่น เมื่อคนที่เข้ามาทักคือหนึ่งในคนที่ผมจำได้ลางๆ ว่าเป็นหนึ่งในแก๊งที่เจอกันที่ร้านนั่งชิววันนั้น
ไอ้เหี้ยที่ทำผมเสียตัว!
“เหี้ยกันต์”
“ทักกันงี้เลยเหรอวะสัส”
ไอ้หน้าชั่วในชุดพร้อมเที่ยวยิ้มเหยียดให้ผม มันมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนเบ้ปากคว่ำเล็กน้อยเหมือนพิจารณาสิ่งของ ผมถอนหายใจยาว
“มีไร”
“เอ้าสัส วันก่อนที่ดื่มด้วยกันมึงยังดีๆ กะกูอยู่เลย ไหงวันนี้เย็นชาจังคนสวย”
ผมเกลียดไอ้เหี้ยพวกนี้ มันชอบแหย่ผมแบบนี้มาตั้งแต่มหา’ลัย แม่งจบมาได้ก็บุญแค่ไหนแล้ว พฤติกรรมมึงยังเหี้ยอีก มันกับผมอยู่คนละคณะกัน แต่ที่รู้จักกันเพราะเพื่อนผมเป็นเพื่อนกับมัน เลยพอจะรู้จักบ้าง การตีซี้เป็นนิสัยของไอ้กันต์แต่ไม่ใช่กับผม แค่เพราะเหล้าเข้าปากเลยทำให้สามารถสนุกด้วยกันได้เท่านั้น
“สวยเหี้ยไร” ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะถามมัน “เออ วันนั้นใครเอาห่าอะไรให้กูแดก”
“วันนั้น?” ไอ้กันต์ทำหน้านึกก่อนจะร้องอ๋อยาวๆ ผมเริ่มหงุดหงิดอยากฟาดหน้ามันด้วย adidas เบอร์ 41 “ของดีที่เพื่อนกูพกมา ความจริงมันจะมอมสาว แต่มันบอกเห็นหน้ามึงแล้วเงี่ยน เลย... ลองหยอดไปนิดหน่อย คนเมาๆ อ่ะมึง อย่าคิดมาก”
ผัวะ!!!
ผมต่อยมันกลางสถานีที่เต็มไปด้วยผู้คน ก่อนจะแผดเสียงใส่จนกลายเป็นที่สนใจของไทยมุง ไอ้กันต์ทำหน้างงไม่คิดว่าผมจะจริงจังขนาดนี้เพราะมันก็คงไม่รู้ว่ายานั่นมันแรงแค่ไหนและสำหรับคนที่แพ้ยาบางประเภทแบบผมมันอันตรายขนาดไหนน่ะ ไอ้ฉิบหาย!!
“ไอ้เหี้ย! เงี่ยนพ่อมึงสิ ถ้ากูตายเพราะยาเหี้ยๆ ของมึงจะเป็นไง!”
ผมกระทืบซ้ำมันอีก แต่มันกลับลุกขึ้นมาแล้ววางมวยกับผม เกิดเป็นวงตะลุมบอนขนาดย่อมที่เจ้าหน้าที่ประจำสถานีต้องรีบเข้ามาจับแยก ผมทำท่าจะเข้าไปซัดอีกรอบ แต่กลับถูกรั้งไว้ด้วยแรงที่มากกว่าเดิมให้ถอยออกมา ผมโดนลากออกจากสถานีก่อนที่ตำรวจจะมา หายใจหอบกระชั้นจนเลือดขึ้นไปกองบนหน้า กัดฟันจนได้ยินเสียงกรอดลั่นหู
ผมพึ่งเคยเลือดขึ้นหน้าของจริงก็วันนี้แหละ!!
“ปล่อยผมนะหมอ! ผมจะไปกระทืบมัน ไอ้เหี้ยพวกนั้นแม่งเลวตั้งแต่หัวยันส้นตีน!”
คนที่ลากผมออกจาก MRT ยังคงลากผมไปเรื่อยๆ คนก็มองผมไปตลอดทางที่ฟาดงวงฟาดงาเหมือนละครหลังข่าว จนกระทั่งเขาลากผมมาถึงรถที่จอดอยู่ริมฟุตบาท เขาเปิดประตูรถแล้วดันร่างผมเข้าไป ผมหอบหายใจหนักๆ หัวสมองชาวูบๆ เพราะความโมโห มือกำแน่นจนเส้นเลือดปูด
เสียงปิดประตูรถทำให้ผมเริ่มได้สติ ผ่อนลมหายใจ ก่อนจะค่อยๆ หันไปมองคนที่นั่งกอดอกอยู่หน้าพวงมาลัยอย่างใจเย็น เขามองไปข้างหน้า รอผมสงบสติ
“ยาดมมั้ย”
“หมอ!”
ผมจะโกรธอีกแล้วเมื่อเขาถามเหมือนจะล้อเลียน หมอหันมาสบตาผมทั้งๆ ที่ยังกอดอกอยู่ หน้าเขาไม่ยิ้มแม้แต่น้อย ผมเงียบกริบ ก่อนจะกอดกระเป๋าแน่น สะบัดหน้าหันไปอีกฝั่งอย่างไม่สู้
“โมโหอะไรขนาดนั้นครับ อยากโดนจับรึไง”
ผมเงียบ เสียงเขาอ่อนลง
“ข้าวปั้นครับ”
“หมอไม่ต้องมายุ่งกับผมได้มั้ย รำคาญ!”
ผมหันกลับไปพูดสิ่งที่รู้สึกออกไปตรงๆ ด้วยความโมโห หงุดหงิด ก่อนจะเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองพูดมันรุนแรงมาก และเมื่อกี้เขาก็เป็นคนเข้ามาช่วยผมอีกต่างหาก ผมเงียบ ก่อนจะก้มหน้าลง ยกมือข้างหนึ่งปิดตาตัวเอง
“ผม... ผมขอโทษครับ”
ผมหายใจเข้าพลางสะอื้น อยู่ดีๆ น้ำตามันก็ไหล ความน้อยอกน้อยใจ ความโกรธ ความสมเพช ความสับสนมันประดังประเดจนกลั่นออกมาเป็นน้ำตา มันอึดอัดจนผมอยากแผดเสียงร้องออกมา สิ่งที่ผมเจออยู่ตอนนี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ ผมกับหมออาจจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ถ้าความสัมพันธ์มันไม่สับสนวุ่นวาย และเขาเองก็ไม่เคยจะชัดเจนอะไรกับผมซักอย่าง โดยเฉพาะภาพวันนั้นมันยังฝังหัว ทำให้ผมคิดว่า เขาจะทำอะไรแบบนี้กับใครก็ได้ จะชายจริงหญิงแท้เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ผมเองก็แค่โชคร้าย
และยิ่งน้อยใจที่สุด คือผมเสือกยอมรับความรู้สึกตัวเองไปแล้ว...
“ผมเกลียดหมอ หมอแม่งไม่เคยชัดเจนอะไรเลย มีแต่ผมคนเดียวที่วุ่นวายกับความรู้สึกตัวเอง” ผมพูดไปปากสั่นไป น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาเหมือนคนเก็บกด
“อย่ามายุ่งกับผมเลยครับ ถ้าหมอไม่ได้คิดอะไร ผมไม่สามารถทำตัวปกติได้จริงๆ”
คนข้างๆ เงียบไป เสียงสะอึกสะอื้นของผมดังสะท้อนอยู่ในรถที่เงียบสนิท
จนกระทั่งเขาตอบ
“ได้”
พี่หมอทำตัวน่าตีอีกเเล้ว...
จริงอ๊ะเป่า อย่าพึ่งดุพี่หมอกันน้า ให้โอกาสพี่หมอขอแก้ตัว
น้องยูรอเม้นต์ทุกวันเบยยยย
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
https://twitter.com/_SeenYu