บทที่20
“บ๊ายบายน้าพาพวย”
“ไปกันเถอะเมฆ”
“อะ เอ่อ...กูไปก่อนนะเพื่อน เดี๋ยวค่อยคุยกัน บายนะครับน้องเอม”
“ธุจ้าพี่เมฆ”
ไอ้เด็กข้างตัวที่ว่าออกมาอีกรอบพร้อมรอยยิ้ม มันที่ยกมือขึ้นไหว้ไอ้เมฆแบบท่วมหัว แล้วหันไปโบกมือหยอยๆใส่พระพายอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม พระพายที่ไม่มองมันแม้แต่น้อย ดวงตากลมโตน่ารักๆที่ปกติผมมักจะเห็นความสว่างสดใสในดวงตาคู่นั้น แต่ตอนนี้มันกลับหม่นแสง พระพายที่เอาแต่มองมาที่หน้าผม สายตาคู่นั้นเอาแต่จ้องมามองกัน เป็นสายตาที่ผมอ่านมันออก แต่ก็เลือกจะทำเป็นไม่เห็นมันแทน
“พาพายกลับบ้านดีๆนะคะอิเมฆ”
“รู้แล้วไอ้สัด”
ไอ้เมฆที่บอกออกมาแบบนั้น หน้าตาของมันที่ดูจะเหนื่อยมากกว่าปกติเพราะวันนี้มันต้องเผชิญหน้ากับอะไรหลายอย่าง น่าจะตั้งแต่เมื่อคืนก่อนด้วยซ้ำเพราะมันเป็นคนไปรับพายมา
“บ๊ายบายจ้า” เสียงร่าเริงสดใสที่ตะโกนออกมาแบบนั้นตอนที่ไอ้เมฆและพระพายหันหลังเดินออกไปจากประตูห้องของเรา แขนเรียวของมันที่โบกไปมาท่วมหัวเหมือนเชียร์คอนเสิร์ตแบบนั้นมองแล้วชวนให้คนหมั่นไส้ ... แต่คงไม่ใช่ผม
“เยอะไปไหมคะอิหนู”
“ไม่เยอะเลยจ้าอิดอก”
“อิดอกอะไรของมึ๊ง!!” อึงไปสองวิก่อนจะถลึงตาใส่มันตอนที่มันว่าออกมาแบบนั้น ไอ้เด็กตรงหน้าที่หันมามองกันแล้วเริ่มหัวเราะคิกคักตอนที่เห็นผมขึ้นเสียงใส่
“ก็เจ๊พี่มึงชอบพูด อิดอกกกก”
“นั่นมันซิกเนเจอร์กูค่ะ มึงอย่ามาลอก เดี๋ยวกูตีปากให้”
“ดีด้วยปากเจ๊พี่มึงป่ะล่ะ”
“คือนี่ท้าทายกู”
“ก็มาดิคร๊าบบบ” กวนตีนกูน้อยซะเมื่อไหร่
“เอม” เรียกชื่อมันด้วยเสียงนิ่งๆ มองตาเด็กตรงหน้าที่ยังยิ้มตาปิดมองส่งไอ้เมฆกับพระพายหน้าระรื่นอย่างเอาจริง ก่อนที่มันจะหันมามองกัน ดวงตาครึ่งเสี้ยวของมันที่ยิ้มอยู่ตอนนั้นชะงักนิ่งก่อนจะเบิกกว้างขึ้นมานิดนึงตอนหันมาเห็นหน้าผม
“หยอกกกกกก กูหยอกให้แด็ป!” แหกปากใส่กันแบบนั้นด้วยหน้าเหวอๆก่อนจะถอยหลังหนีกันไปอีกสามก้าว มันที่หันหลังวิ่งเข้าห้องไปหน้าตาตื่น กวนตีนกูน้อยล่ะไม่มี
“กูนึกว่าจะแน่”
“ได้ยินจ้าอิดอกกกก”
“ไอ้เอม เดี๋ยวมึงจะโดนกูจริงๆนะ”
“กลัวแล๊วววว” แหกปากโหยหวนดังมาจากทางห้องครัว เห็นแบบนั้นแล้วอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเอือมเพราะมัน แต่ถึงแบบนั้นผมก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้เช่นกัน หันหน้าไปตั้งใจจะปิดประตูห้อง แต่ก็อดจะเหลือบมองทางเดินที่ตอนนี้ว่างเปล่าลงแล้วไม่ได้ คิดว่าเมฆกับพายคงลงไปแล้ว ตอนนี้มันถึงเหลือแค่ทางเดินวางๆ ก็เป็นแค่ทางเดินว่างๆสายหนึ่ง ที่ผมเองก็ไม่ควรเดินไป เพราะแบบนั้นเลยเลือกที่จะปิดประตูลงเงียบๆ หันหน้าเข้ามาในห้องที่ตอนนี้เริ่มจะวุ่นวายเพราะใครบางคนเข้าแล้ว
“ทำอะไรคะ”
“ย่างปลาหมึก” เดินเข้าไปหาไอ้เด็กที่มือถือกอดถุงปลาหมึกแห้งเอาไว้ และตอนนี้ก็กำลังก้มๆเงยๆอยู่หน้าเตาย่างในห้องครัวของผมแบบกำลังหาปุ่มเปิด
“ย่างปลาหมึกแห้ง? อยากกินหรอ”
“เอ๊เจ๊ คิดยังถามก่อน ถามมางี้คิดยังเอ่ย ไม่อยากจะทำหรอวะ” หันมามองหน้ากันแบบหงุดหงิด เหมือนกูผิดที่เข้ามาขัดจังหวะการหาของกินของมัน ริมฝีปากบางๆนั่นเชิดขึ้นมาน้อยๆตอนที่อ้าปากเถียงกัน เป็นเด็กรั้นๆที่ไม่ยอมคน แค่เห็นหน้าก็บอกยี่ห้อแล้วครับ
“กูก็นึกว่ามึงจะแดกหมึกอบเนยไงคะ อันนั้นแดกได้เลยนะไม่ต้องเสียเวลาย่าง” พยักเพยิกหน้าไปให้มันเห็นปลาหมึกอบเนยที่ตั้งอยู่บนโต๊ะกลางห้องครัว ไอ้เอมที่หันมองตามก่อนจะทำปากยื่น มันที่สะบัดหน้าหนีแล้วหันไปหาเตาย่างเหมือนเดิม พยายามก้มๆเงยๆ หนุนนู่นบิดนี่ไปเรื่อย อะ...เครื่องย่างกูจะพังก็วันนี้แหล่ะ
“พอๆค่ะ มึงจะทำของกูพัง ถอยๆออกมานี่ค่ะ” เดินเข้าไปหามันแล้วดึงแขนมันให้ออกมาห่างๆจากเตาย่าง แต่ไอ้เด็กตรงหน้าก็ดื้อไม่เลิก มันที่ขืนแรงเอาไว้แล้วหันหน้ามามองกันแบบหงุดหงิด
“อะไร มันอะไรกันนักคะหนู”
“เจ๊พี่มึงอย่ามายุ่ง กูไม่แดกอันนั้นนะ จะแดกอันนี้แล้ว” ว่าแบบนั้นแล้วทำปากยื่นปากยาว หน้าตาดื้อๆที่ดูเอาเรื่อง ท่าทางที่บอกว่าจะไม่ยอมกันจริงๆ เห็นแบบนั้นแล้วมันอดขำออกมาไม่ได้จริงๆ
“อย่ามาขำนะเว้ย”
“โอเคๆ ไม่ขำ แล้วก็ไม่แดกอันนั้นด้วย”
“ใช่!” ว่าแบบนั้นแล้วพยักหน้าแรงๆจนผมมันขยับ ผมหน้าม้าที่ขยับแรงจนตอนนี้กลายเป็นทรงกะลาครอบไปแล้ว กูล่ะไม่ไหว กลั้นขำจนหน้ากูแดงไปหมดไอ้สัดเอ้ย ... แม่ง น่ารัก
“โอเค งั้นมึงออกมายืนนี่”
“ก็บอกจะแดกอันนี้ไงเจ๊ ทำไมอ่ะ ทำไมตามใจกันไม่ได้ไง!” อะ โวยวายใส่กูซะเสียงดัง หน้าตาคือพร้อมเอาเขาขวิดพุงกู แบบสู้ฟัดมาก โมโหเหมือนตอนควายไม่ได้กินหญ้ายังไงอย่างงั้น
“กูเคยไม่ตามใจมึงหรอคะ ออกมา กูจะทำให้ แม่ง ปรับไฟแรงแบบมึงไม่ต้องย่างแม่งหรอกปลาหมึกแห้ง มึงย่างห้องครัวกูไปเลยให้มันจบๆ!”
“เอ๋า...โกรธอะไรก่อนอ่ะดาบ บอกกันดีๆเอมก็ไม่ดื้อหรอกจริงๆ”
“สัด”
ทำหน้าตาบ้องแบ๊วใส่กูพร้อมยื่นถุงปลาหมึกแห้งที่มันถืออยู่มายัดใส่มือผมทั้งแบบนั้น ... ได้แต่ส่ายหัวใส่มัน แต่สุดท้ายก็ต้องเป็นคนไปจัดการย่างให้มันอยู่ดี กูก็ไม่เข้าใจว่ามึงหรือกูที่ถูกจ้างมาทำงาน ปรายตามองมันก็เห็นมันเดินผ่านหลังผมไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวในครัวหน้าตาเฉย สายตาของมันที่แอบเหลือบๆมองปลาหมึกอบเนยเป็นรอบที่สาม เห็นแบบนั้นก็อดจะแอบขำมันไม่ได้ ผมที่ตั้งไฟยางปลาหมึกแห้งให้มันเรียบร้อยเดินเข้าไปนั่งตรงข้ามมัน
“อยากกินทำไมไม่กินคะ ไหนมึงขอให้กูซื้อให้ไงคะ”
“ไม่เอา” ว่าแบบนั้นแล้วทำปากยื่นออกมา ท่าทางงอนๆชวนให้ยื่นมือไปดึงปากมัน และแน่นอนว่าไม่แค่คิด กูทำด้วย
“โอ้ย เจ็บนะเจ๊”
“จะกินก็กิน อย่าลีลา มากูพากิน” ไม่สนคำโวยวายของมัน ผมก็แค่เอื้อมมือไปแกะถุงปลาหมึกอบเนยนั่นมาแล้วเอาเข้าปาก ไอ้เอมที่มองตามอ้าปากค้างพงาบๆ ทำหน้าทำตาโคตรน่าสงสาร ท่าทางอยากกินแต่ไม่ยอมแตะ
“อร่อยน้า”
“ไม่เอา กินปลาหมึกแห้ง”
“อันนี้มันทำไมคะ อย่าบอกว่าเป็นเพราะพายกินแล้วมึงเลยไม่อยากกินนะ” เป็นผมที่เลิกคิ้วถามมันแบบนั้น ไอ้เอมที่ก็ยู่ปากออกมาทันที ก่อนจะหันหน้าหนีไปมองเตาย่าง
“โคตรจะเด็ก”
“ก็ใครมันจะไปโตแบบเจ๊ แบบพาพวยอ่ะ” เอ้าสัด...อาการแบบนี้คืออะไรนะ คุ้นๆแถวบ้านเรียกหึงแล้วพาล
“หึงแล้วพาล ดูออก”
“ไม่ใช่นะโว้ย”
“ร้อนตัวไปหมด”
“โอ้ย เจ๊แม่ง ไม่อยากจะคุยด้วย” ฟึดฟัดๆ ทำท่าทางที่ตั้งใจจะลุกหนีกันออกไปจากครัวเพราะเถียงสู้ไม่ได้ เห็นแบบนั้นก็เลยดึงแขนมันเอาไว้ก่อน มึงอย่าฝันว่าจะไวกว่ากู
“นั่งลงเอม” บอกมันด้วยเสียงนิ่งๆ ไม่ได้แกล้งทำเสียงสองเสียงสามใส่มันแบบทุกที ไอ้เด็กตรงหน้าที่ลุกขึ้นยืนดูจะชะงักไปเล็กน้อย มันที่หันกลับมามองกันแบบงอแงสุดๆ
“ทำไม ไม่เอา”
“นั่งลง”
“หึ่ย อะไรเล่า” กระแทกตัวลงบนเก้าอี้แรงๆ พร้อมยกแขนมากอดอก ท่าทางที่ผมไม่เคยเห็น อาการแบบนี้ของมันที่ไม่เคยแสดงออกมา เพราะโดยปกติถึงมันจะกวนประสาทบ้าง แต่จริงๆมันค่อนข้างวางตัวดี เหมือนเป็นเด็กที่มีความคิดที่โตเลยพยายามรักษาท่าทีอยู่เสมอแบบคนที่ดูแลตัวเองมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนี้...
“มึงงอแงอะไรกับอิแค่พายกินก่อน”
“เจ๊จะมาใช้คำว่ากับอิแค่ไม่ได้นะเว่ย! ก็นี่มันเป็นของชอบผมอ่ะ ผมชอบผมอยากกินผมให้เจ๊ซื้อให้ แล้วสุดท้ายคนอื่นคาบไปกินอ่ะ แล้วจะให้ผมมากินต่อ แม่งไม่ใช่ป่ะวะ”
“มึงหมายถึงขนมนี่หรืออย่างอื่น” ถามมันออกไปแบบนั้น เด็กตรงหน้าที่ทำท่าจะเถียงออกมาอีกครั้งก็เงียบเสียงลง ปากเล็กๆของมันที่เม้มเข้าหากัน ท่าทางที่ไม่อยากตอบและก็เริ่มจะน้อยใจแบบนั้น เห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ส่ายหัวหน่อยๆส่งไปให้มัน
“มันก็แค่ของกินเอม พายมันไม่ได้ถุยน้ำลายลงไปในถุงสักหน่อยใครถึงจะมากินต่อไม่ได้ มันก็แค่ของกิน ... แบบนี้มันไม่ได้เรียกว่ากินต่อ มันไม่ใช่ของเหลือ แต่มันคือของมึง ... ของที่กูซื้อให้มึง ก็คือของมึง มึงแค่มีน้ำใจให้คนอื่นกินก่อน แต่ของของมึงมันก็คือของมึงอยู่ดี ไม่ใช่ของคนที่มากินก่อน”
“แต่...”
“ขืนมึงคิดเล็กคิดน้อยกับของกินแล้วจะทำยังไงถ้าเจอเรื่องหนักกว่านี้ แยกให้ออกหน่อยเอม ของๆมึงก็คือของมึง ต่อให้ใครแย่งไปแดก เขาก็ไม่ใช่เจ้าของมัน”
“จะบอกว่ากูเป็นเจ้าของรึไง”
“เริ่มฉลาดขึ้นมาเหมือนได้กินหญ้าแล้วเลย ... ก็แน่นอนสิคะ มึงเป็นเจ้าของ ทั้งอิปลาหมึกนี่และตัวกู”
“อยากเขินเลย”
“ก็เขินได้เลยค่ะ” บอกมันออกไปแบบนั้นแล้วยกยิ้มให้ ไอ้เด็กที่ย่นจมูกใส่แล้วมองตรงมา
“แต่อยากด่ามากกว่า มึงด่ากูเป็นควายอ่ะเจ๊ กูแปลออกนะ!”
“หูววว ฉลาดขึ้นจริงๆด้วย”
“อิเจ๊พี่มึง! สักฝุ่นไหมสาดดด กวนกูจัง”
มันที่ว่าแบบนั้นพร้อมถกแขนเสื้อ ก็คือแขนก้างๆที่แค่กูง้างนิ้วดีดมันก็กระเด็น ผมที่ได้ยินเสียง ‘ติ๊ง’ ที่บอกเวลาว่าปลาหมึกแห้งสุกพอดีลุกขึ้นยืนในตอนนั้น ก่อนจะดันถุงปลาหมึกอบเนยไปให้มันแล้วเดินหนีไปดูปลาหมึกที่เตาแทน ... กลิ่นปลาหมึกแห้งที่ถูกย่างหอมอ่อนๆ ควันร้อนๆที่ยิ่งชวนให้น่ากินนั่นทำให้ผมยิ้มออก จัดใส่จานเรียบร้อย พอหันไปหาไอ้เด็กที่นั่งอยู่ที่โต๊ะก็ต้องชะงัก
“มองไรอ่ะ ง่ำๆ” มันที่เงยหน้าขึ้นมาจากถุงปลาหมึกอบเนยแล้วเคี้ยวจนแก้มตุ่ยถามผมออกมาแบบหน้าตาใสซื่อ
“ไหนบอกไม่แดกไงคะ”
“เจ๊บอกของเอม เอมแดกหมด แดกไหม แบ่งกันนะเอมใจดี”
“สัด ตามสบายเลยจ้าอิดอก”
“ดอกจ้า”
กวนตีนกูนักนะ อยากหยิกด้วยปาก กระชากด้วยลิ้นจริงๆเลย ฮึ่ม
.
.
.
“กูนึกว่าคืนนี้มึงจะไม่มาร้าน น้องเอมไม่งอแงหรอวะ”
“ไม่งอแง มันแดกเสร็จก็ตาปรือๆ นอนหลับไปแล้วค่ะ”
“แล้วนี่มึงออกมาน้องรู้ไหม”
“รู้ ... พยักหน้าส่งๆพร้อมกวักมือไล่กูด้วยค่ะ มันบอกกูกวนมัน มันจะหลับจะนอน” บอกไอ้เมฆแบบนั้นพร้อมส่ายหัว แค่นึกถึงแม่งก็ต้องส่ายหัวแล้ว เพลีย ความไอ้เอมมันเป็นแบบนั้น ... แต่ถึงแบบนั้นก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้ นึกถึงตอนที่ผมจะออกมาร้านเมื่อก่อนหน้านี้ เดินเข้าไปบอกมันที่นอนหลับตาอยู่บนเตียง เอานิ้วเขี่ยแก้มมันสองทีแบบหมั่นไส้ กูอยากจะกัด พอบอกว่าจะออกมาที่ร้าน มันที่ไม่ได้ลืมตา แต่ก็เอื้อมมือมาคว้าเอวผมที่นั่งอยู่ข้างเตียงทั้งแบบนั้น ก่อนจะบอกว่า
‘ของเอมนะ ของเอมหมดเลย ห้ามสนใจคนอื่นนะ ห้ามสนใจพาพวยด้วย สนใจแต่เอมนะ’
ก็เป็นซะแบบนั้นแหล่ะ แล้วไม่ยอมคบกูให้มันจบๆไป ดื้อฉิบหาย ... แต่ก็น่ารักจนใจกูเจ็บ
“ยิ้มเหี้ยไรไอ้สัดดาบ กูหลอนรอยยิ้มมึงฉิบหาย พี้กัญชาตามนโยบายหรอสัด”
“ใจเย็นค่ะอิเมฆ พูดเสียงดังออกสื่อเหี้ยไร เดี๋ยวพ่อมึงก็มาลงร้านกูหรอกค่ะ กูไม่หารนะคะอิเพื่อนเวน”
“ก็กูเห็นมึงยิ้มหลอนๆอ่ะ เป็นเหี้ยไรนักวะ ... อย่าบอกกูว่านึกถึงน้องเอม” มันที่มองตรงมาแล้วทำหน้านิ่งๆมองกันแบบรู้ดี สัด... เบื่อความเป็นเพื่อนของมึงกับกู สาระแนรู้ใจ สวยเบื่อค่ะ
“เรื่องกูไหม สาระแน สาระแนไปทุกเรื่องเลยค่ะ”
“รวมถึงเรื่องไปรับพายด้วยใช่ไหมที่มึงว่ากูสาระแน” ไอ้เมฆที่ว่าออกมาแบบนั้นแล้วยกยิ้มมุมปาก มันที่เอนตัวลงพิงพนักโซฟา แขนสองข้างที่พาดลงบนพนักโซฟาแล้ววาดขายาวๆขึ้นมาไขว่ห้าง หล่อแบบหมาต้องวิ่งเยี่ยวรอบร้านกู เปรี้ยวสุดค่ะ
“สวยขอไม่ตอบออกสื่อนะคะ”
“กูไม่ใช่สื่อไอ้สัด ... แต่ถึงมึงไม่ตอบกูว่าวันนี้คำตอบมึงก็ชัดเจนมากแล้ว จริงๆกูก็รอมึงตัดใจจากพายสักที แต่พอมาเห็นแบบนี้กูก็อดช็อคไม่ได้ว่ะ”
“คนเรามันต้องมูฟออนไงคะ มึงก็บอกกูเอง”
“มึงก็มูฟเร็วไป”
“จริงๆกูไม่ได้มูฟเร็ว มึงก็รู้ว่ากูพยายามตัดใจจากพายมานานแล้ว ก่อนหน้านี้กูก็เคยไปจีบน้องกุ๊กมึงจำได้ไหมคะ”
“กุ๊ก กุ๊กไหนวะ คุ้นๆ”
“ไม่คุ้นก็เหี้ย น้องกุ๊กเพื่อนน้องเมลเมียของเฮียทัพ เฮียกูไงไอ้สัด ... คนที่ทำให้กูเป็นพระรอง แล้วหนีไปร้องไห้เหมียนหมาไงคะ ให้เธอได้กับเค้าแล้วจงโชคดี~~” กูร้องเพลงแถมให้เลย ... ไอ้เมฆที่ทำหน้าเบ้ใส่ตอนที่ผมร้องเพลงออกมา ท่าทางที่เหมือนอยากยกตีนข้ามาถีบกัน เป็นKอะไรอ่ะ เสียงกูเพราะมากนะ
“ก็มึงยอมถอยเองไหมวะตอนนั้นอ่ะ”
“กูไม่ได้ยอมถอย แค่รู้ว่าดันทุรังไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกอย่างกูก็ทำเต็มที่ของกูแล้ว แต่น้องเค้ามีคนที่ชอบอยู่แล้วไหม กูก็อยากให้น้องได้มีความสุขกับคนที่น้องรัก เพราะกูรู้ว่า การรักใครแล้วได้ความรักตอบกลับ มันเป็นอะไรที่โคตรโชคดี”
“เหมือนมึงวัดจากตัวเอง ที่ชอบพาย”
“ตอนนั้นก็คงใช่”
“หมายความว่าไงวะ ตอนนั้น?”
“ก็ตอนนั้นกูมีแค่พาย ก็วัดจากที่ตัวเองชอบพาย” บอกมันง่ายๆพร้อมยักไหล่ แล้วเอื้อมมือไปหยิบแก้วเป๊บซี่ขึ้นมาซด
“คือจะบอกว่าตอนนี้มึงมีน้องเอมแล้ว ความรู้สึกมันเลยไม่เหมือนกับตอนน้องกุ๊กว่างั้น”
“อืม...เพราะถ้าเป็นไอ้เอม กูจะไม่ปล่อยมันไปให้ใคร”
“สัด เป็นไรกับเค้าอ่ะครับเพื่อน เจ้าเข้าเจ้าของสุดๆ” อยากตอบออกไปว่าเป็นผัว แต่กลัวแม่งเสือกแล้วล้อว่ากูเป็นตุ๊ดแต่ไปแอบเสียบเค้า นิ่งไว้ตัวกู นิ่งไว้ไอ้ดาบ เอ้ย! ดานี่ ... กูต้องสวยๆสงบสติ คิดแล้วก็นั่งไขว่ห้างแล้วยกนิ้วขึ้นเอาผมทัดหู
“ท่าทางมึงมีพิรุธสัด”
“จะบ้า นี่สวยนะคะ สวยๆเอาผมทัดหู”
“ท่าทางมึงมีพิรุธ เหมือนมึงกำลังปกป้องความจริงอยู่”
“ปกป้องความจริง ปกป้องทำไมคะอิดอก บ้าน่า ฮ่าๆๆ” อย่า อย่าเลิกลั่ก นี่กูดูมีพิรุธหรอคะ หน้าตากูบอกอาการกูออกหรือ ยังไง
“พอ เลิกหลุกหลิกสักทีไอ้ห่า จากกูจะไม่สงสัย กูจะสงสัยก็ตอนนี้แหล่ะ”
“ฮ่าๆ กูก็แกล้งเล่น”
“แต่นะ...กับพายอ่ะ มึงจะไม่ตัดแบบนี้หรอวะ” ไอ้เมฆที่ว่าออกมาแบบนั้น มันที่เปลี่ยนเป็นท่าทางจริงจังแล้วมองหน้ากันนิ่งๆ ผมที่มองตอบกลับไป ก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้ววางแก้วเป๊ปซี่ลงบนโต๊ะ
“แล้วให้กูทำไง ถ้าเป็นมึง ต้องเลือกระหว่างพาย กับทำให้ไอ้จั๊มไม่สบายใจ มึงจะเลือกอะไร”
“สัด ถามเหี้ยไรวะ”
“กูดูออกเถอะไอ้เมฆ มึงเป็นเพื่อนกูมากี่ปี ลีลาอยู่ได้ไอ้จั๊มจะไปอ่อยคนอื่น มันยิ่งชอบคนรวยอยู่”
“จะมีใครรวยกว่ากูอีกไอ้สัด มันไม่ไปไหนหรอก”
“พูดดีไปเหอะ คนเรามันทนรออะไรไม่ได้นานหรอกนะมึง ... กูไม่ได้ตัดสินจากใคร กูตัดสินจากตัวเอง”
“มึงจะหมายถึงตอนที่พายไปเรียนต่อ?”
“อืม ... คนที่สมหวังเท่านั้นแหล่ะ มันถึงจะบอกว่าการรอมันคุ้มค่า แต่ใครแม่งจะรู้วะว่าสุดท้ายรอแล้วมันจะสมหวัง ไม่ใช่ทุกคนหรือเปล่าที่จะได้รับมัน ... และคติกู ถ้ารักก็ต้องสู้ มีแค่ไม่รักเท่านั้นแหล่ะ ถึงจะต้องปล่อยไป”
“เชี่ย คมบาดหน้าเลยสัด”
“ก็มันจริง”
“พูดมาแบบนี้แสดงว่ามึงไม่ได้รักน้องกุ๊กมากขนาดนั้นอ่ะดิ”
“กูชอบนะ ชอบน้อง อยากทำให้น้องยิ้มมากกว่าร้องไห้ กูเห็นน้องมันเศร้าบ่อยด้วยแหล่ะ ... แต่ก็นะ อาจจะจริงแบบมึง กูอาจจะไม่ถึงกับรักน้องขนาดนั้น แต่ในตอนนั้น กูก็ทำเต็มที่ของกูนะ กูสู้กับไอ้บินเต็มที่แล้ว”
“แฟนน้องชื่อบิน?”
“ใช่ ชื่อบินแต่บินไม่ได้นะ กูนี่ที่บินได้ นกจิ๊บๆเลยไอ้สัด”
“ฮ่าๆ แต่เรื่องตอนนั้นมึงหล่อเลยนะ ไม่ได้ลูซเซอร์เหมือนตอนที่พายบอกจะไปเรียนต่อ”
“เพราะมีประสบการณ์จากพายไงวะ ตื้อยังไงก็ได้แค่เพื่อน”
“แล้วถ้าตอนนี้พายไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับมึงแล้วล่ะวะ” ผมที่กำลังเอื้อมมือไปคว้าน้ำแข็งมาใส่แก้วต้องชะงักอีกครั้ง เลิกคิ้วมองหน้าไอ้เมฆแบบไม่เข้าใจ
“มึงหมายความว่าไง”
“ก็ถ้าครั้งนี้พายไม่อยากจะเป็นเพื่อนแล้วล่ะวะ ... มึงจะไม่เปลี่ยนใจจากน้องเอมแน่หรอ พายน่ะ...คนที่มึงเปลี่ยนตัวเองจนถึงตอนนี้ มึงจะตัดไปได้จริงๆหรอวะ”
...
(มีต่อจ้า)