บทที่ 8
“ตายแล้ว~” ป้าสำลีร้องเสียงดังเมื่อเห็นชายหนุ่มตัวโตกลับมาในสภาพเสื้อผ้ายับย่น ผมเผ้าที่ขาออกไปรวบตึงหลุดรุ่ยและมีรอยแผลเต็มตัว “มอญไปเอาชุดทำแผลมาให้คุณสิงห์หน่อยเร็ว”
“ได้จ๊ะป้า” มอญรับคำ
“เกิดอะไรขึ้นคะเนี่ยคุณอิงค์”
“ฝีมือเจ้านี่ครับ” อิงค์บอกพลางขยับให้ดูร่างเล็กหน้าตามอมแมมที่เกาะแน่นอยู่ตรงเสื้อด้านหน้า “มันขึ้นไปติดอยู่ตรงรูปปั้นสิงโตครับ พี่สิงห์เป็นคนปีนขึ้นไปช่วยมันลงมา”
“เจ้าตัวเล็กไม่เป็นไรใช่ไหมคะ บาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า”
“ปลอดภัยดีครับ แต่ตกใจนิดหน่อย”
“คนเจ็บอยู่ทางนี้ไง” สิงห์แกล้งร้องโอดโอยเรียกร้องความสนใจที่ไม่มีใครสนใจ
“ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูก” ป้าสำลียื่นมือไปลูบหัวปลอบขวัญซึ่งเจ้าลูกแมวก็ยอมให้ลูบแต่โดยดี
“อะไรวะ ทีฉันทั้งขู่ทั้งข่วน ไอ้นี่มันมารยาสาไถชัดๆ” สิงห์บ่น
“มารยาอะไรกันคะคุณสิงห์ เจ้าหนูนี่ออกจะไร้เดียงสา” ป้าสำลีว่า
“เฮอะ! ร้ายเดียงสาล่ะไม่ว่า พี่มอญมาพอดีเลยทำแผลให้หน่อย”
มอญที่กำลังจะแกะอุปกรณ์เหลือบตาไปเห็นลูกแมวตากลมขนฟูในอ้อมแขนอิงค์ก็วางกล่องอุปกรณ์ทำแผลไว้ตรงหน้าสิงห์แล้ววิ่งไปร่วมวง “คุณสิงห์ทำเองเลยค่ะ… เจ้าหนูนี่น่ารักจัง ดูสิๆ สีส้มส๊วยสวย หิวไหมจ๊ะเนี่ย หืมมม~ เด็กดีเดี๋ยวพี่มอญเอานมมาให้นะ” พูดจบก็รีบกุลีกุจอเข้าไปในครัว
“แล้วที่ไปคุยมาเป็นยังไงบ้างคะคุณอิงค์” ป้าสำลีถามไถ่
“คุณกมลกับคุณเหมราชชมว่ากาแฟผมอร่อยครับ แล้วก็อยากชวนไปร่วมงานด้วย” อิงค์เล่า
“ดีจังเลยค่ะ แล้วคุณอิงค์ตอบไปว่ายังไง ตกลงใช่ไหม” ป้าสำลีมีท่าทีตื่นเต้นยิ่งกว่าคนโดนชวนเสียอีก
อิงค์ส่ายหน้าเขินๆ “ผมปฏิเสธไปแล้วครับ ผมอยากทำร้านเองมากกว่า”
“คนเก่งของป้าทำอะไรก็เจริญรุ่งเรืองค่ะ” ป้าสำลีลูบไหล่ลูบหลังอวยพร
“คุณอิงค์เก่งจริงๆ นะคะ เพราะคุณท่านเป็นคนเรื่องมาก กินยากเป็นที่สุด แต่เอ่ยชมกาแฟคุณอิงค์ได้เนี่ย อัดรูปหน้าคุณท่านทำเป็นป้ายไวนิลใส่แคปชั่นติดโฆษณาร้านได้เลยนะคะ” มอญกลับออกมากครั้งพร้อมชามใบเล็กกับขวดนมแพะ
“พูดถึงโฆษณา” อิงค์เอ่ยขึ้น “ขอบคุณพี่มอญสำหรับโพสต์นั้นนะครับ”
“โพสต์ไหนคะ” มอญที่กำลังจัดแจงเทนมให้ลูกแมวถาม
“ในทวิต ที่บอกว่าใจสั่นเพราะกาแฟหรือรอยยิ้มผมไงครับ ชื่อแอคเคาน์ molly_nan ต้องเป็นพี่มอญแน่ๆ เลย” อิงค์พูดเขินๆ “ยอดรีกับเฟบเยอะเป็นพันจนผมตกใจเลย… แล้วพี่มอญก็ถ่ายรูปผมสวยมากด้วย ถ่ายตอนที่ไปร้านวันนั้นเหรอครับ”
มอญเลิกคิ้วกำลังอ้าปากจะตอบก็มีเสียงแทรกมาจากด้านหลัง
“พี่มอญเป็นแอดมินเพจของข่วงเมืองสิงห์ เห็นเด๋อๆ ด๋าๆ แบบนี้แต่จบนิเทศด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเลยนะ” สิงห์บอกพลางใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดแผล “เมื่อก่อนเคยทำงานเป็น PR ดาวรุ่งที่กรุงเทพ ขายของเก่งมาก ไม่มีอะไรที่พี่มอญขายไม่ได้”
“แล้วทำไมพี่มอญถึงมาอยู่กับพี่สิงห์ได้ล่ะครับ”
“เพราะพี่ชอบเที่ยวและชอบกินมากค่ะ” มอญเล่าอย่างติดตลก “กินเพลินไปหน่อยก็เลยเป็นอย่างที่คุณอิงค์เห็น แล้วพวกคนที่จ้างงานเขาก็นิยมสาวๆ ขาวๆ หุ่นอึ๋มๆ ตอนหลังพี่เลยตกงาน ว่างๆ เบื่อๆ มาเที่ยวเล่นที่น่าน เจอคุณสิงห์ที่ร้านเหล้านั่งปรับทุกข์กันแล้วเลยชวนมาทำงานด้วยกันค่ะ”
อิงค์มองดูสาวรุ่นพี่ตรงหน้า ถึงจะเข้าอายุหลักสี่แล้วก็ยังดูดี และรูปร่างที่ใครๆ บอกว่าเธออ้วนนั้นจริงๆ ก็แค่สูงใหญ่ มีน้ำมีนวล ไม่ได้ผอมเหมือนหุ่นโชว์ตามตู้เสื้อผ้าเท่านั้น “ผมว่าพี่มอญก็สวยในแบบของพี่นะครับ”
“คุณอิงค์ไม่ต้องมายอพี่หรอกค่ะ พี่รู้ตัวดี” มอญพูดไปยิ้มไป ตอนที่ตกงานเพราะสาเหตุนี้ก็ช้ำใจพอตัว เคยพยายามลดน้ำหนักสารพัดวิธีถึงขึ้นพึ่งยาลดความอ้วนจนเกือบตายเพราะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โชคดีที่คิดได้ทัน และตอนนี้เธอก็คิดว่าหาที่ๆ เหมาะกับตัวเองเจอแล้ว
“แล้วป้าสำลีล่ะครับ มาอยู่กับพี่สิงห์ได้ยังไง”
“ของป้าไม่มีอะไรซับซ้อนค่ะ ก็แค่รู้สึกว่าไอ้เด็กบ้านี่จะปล่อยไว้ตัวคนเดียวได้ยังไง ซักผ้าก็ไม่เป็น ทำอาหารก็ไม่ได้เรื่อง แต่ริอาจจะออกมาสร้างรังอยู่ตัวคนเดียว ทั้งๆ ที่เป็นคุณชายกินนอนอยู่บ้านใหญ่ รอวันขึ้นรับช่วงกิจการต่อจากคุณท่านก็ได้แท้ๆ” ป้าสำลีเล่าไปหัวเราะไป “คุณอิงค์รู้แล้วใช่ไหมคะว่าคุณสิงห์เป็นลูกชายคุณเหมราช”
อิงค์พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น ป้าสำลีก็อยู่กับพี่สิงห์มานานแล้วใช่ไหมครับ”
“ตั้งแต่เกิดค่ะ” ป้าสำลีบอก “ป้าเป็นแม่นมของคุณสิงห์ค่ะ เห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออก รู้นิสัยคุณสิงห์ดีค่ะเห็นตัวดำปากหมาแบบนี้แต่จริงๆ แล้วเป็นลูกแมวขี้เหงาชอบให้คนอื่นเอาใจนะคะ”
“พูดมากไปแล้วป้า” สิงห์ว่าลอยมาตามลม
มอญจัดชามนมเรียบร้อย อิงค์จึงปล่อยลูกแมวลงจากอก ทีแรกมันก็ยังเกาะแขนเขาไว้แน่น จนป้าสำลีต้องเอาช้อนตักนมมาแตะที่ปากให้มันเลียจนเริ่มไว้ใจจึงเดินเตาะแตะไปเลียกินจากชาม
“กินเยอะๆ นะ” อิงค์ลูบหัวลูบหลังเจ้าแมวส้ม มันแอ่นหลังให้อย่างเกียจคร้านก่อนจะร้องเหมียวๆ ออดอ้อนราวกับจะขอให้ลูบอีกเยอะๆ
“ท่าทางมันถูกชะตากับคุณอิงค์นะคะเนี่ย” ป้าสำลีว่า “เลี้ยงไว้สิคะ คุณอิงค์อยู่คนเดียวจะได้ไม่เหงา”
“จะดีเหรอครับ ผมไม่เคยเลี้ยงอะไรเลยนะ”
เจ้าแมวส้มกระดิกหู มันไถหัวกลมๆ เข้าที่หลังมืออิงค์ แล้วจ้องเขาตาแป๊วเหมือนต้องการจะบอกว่า ‘เลี้ยงหนูเถอะ หนูกินง่าย อยู่ง่าย แถมไม่ดื้อไม่ซนด้วยนะ’
อิงค์เกาคางมันกลับรู้สึกเหมือนโดนดวงตาสีอำพันกลมโตนั้นสะกด “ก็ได้ครับ แล้วผมต้องเตรียมอะไรให้มันบ้าง”
“หลักๆ ก็อาหาร ทรายแมวสำหรับขับถ่าย แล้วก็ที่นอนค่ะ” ป้าสำลีบอก “แล้วก็ต้องพาไปทำวัคซีนด้วย”
“เลิกโอ๋แมวได้แล้ว เธอต้องกลับไปเปิดร้านไม่ใช่หรือไง” สิงห์ตะโกนมาแทรกกลางวง
ป้าสำลีหันไปดูนาฬิกาและร้องออกมา “จริงด้วยค่ะนี่ก็จะเที่ยงแล้ว คุณอิงค์รีบไปเถอะ”
“แล้วเจ้าหนูนี่ล่ะครับ”
“เอาไว้นี่แหละค่ะ เดี๋ยวป้ากับพี่มอญจะช่วยดูแลมันให้ก่อนระหว่างที่คุณอิงค์ไปเตรียมบ้านกับข้าวของให้มัน เอาไปตอนนี้ก็คงไม่สะดวกใช่ไหมล่ะคะ”
“ถามเจ้าของบ้านสักคำไหมว่าเขาโอเคหรือเปล่า” สิงห์บ่นลอยมาตามลมแต่ก็ไม่มีใครสนใจ
“จะดีเหรอครับ มันจะไม่รบกวนแขกคนอื่นๆ เหรอครับ”
“ไม่หรอกค่ะตัวแค่นี้จะไปทำอะไรใครได้... หืม จริงไหมลูก” มอญพยักเพยิดกับเจ้าแมวส้มที่ร้องเหมียวๆ ตอบรับทันที “เห็นไหมคะน้องสัญญาแล้วว่าจะไม่ซน”
“แต่ว่า…” อิงค์ยังมีทีท่าลังเล เขาเป็นคนพาเจ้าหนูนี่มาก็ไม่ควรทิ้งไว้เป็นภาระให้ใคร
“เดี๋ยวตอนเย็นเอาไปให้” สิงห์ตะโกนบอกเสียงขุ่นนึกรำคาญมนุษย์ทาสแมวพวกนี้ขึ้นมาตงิดๆ “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ยอมให้มันนอนที่นี่แน่ๆ”
ในที่สุดอิงค์ก็ละสายตาจากแมวแและหันไปพูดด้วย “ไม่เป็นไรครับพี่สิงห์ แค่นี้ก็รบกวนป้าสำลีกับพี่มอญเยอะแล้วผมมารับมันเองดีกว่า เดี๋ยววันนี้ปิดร้านเร็วหน่อย”
“จะมาปิดเร็วอะไรให้เสียรายได้ ปกติปิดร้านกี่โมง” สิงห์ถามเสียงเข้ม
“สองทุ่มครับ”
“เก็บร้านเสร็จค่อยมา”
“กว่าจะเสร็จก็เกือบสามทุ่ม มันดึกนะครับ”
“รอได้”
“แต่ว่ามันมืด…”
“มืดก็ค้าง” สิงห์ว่า “ส่งแมวให้ป้าสำลีแล้วก็ไปได้แล้วไป”
“ถ้างั้นผมฝากด้วยนะครับ” อิงค์ส่งแมวให้ป้าสำลีและขับรถกลับไป
ถึงจะบอกว่ากลับมาเปิดร้านแต่วันนี้บรรยากาศของ It’ sra ก็ยังเงียบเหงาทั้งที่เป็นวันศุกร์ อิงค์เท้าแขนกับเคาน์เตอร์มองเหม่อออกไปด้านนอกที่เงียบเชียบแล้วถอนหายใจ ถึงจะยังแน่ใจว่าตัดสินใจไม่ผิดที่ปฏิเสธคำชวนของเหมราชไป แต่ถ้าลูกค้ายังไม่มีมาแบบนี้เขาคงต้องปิดร้านในเร็ววันแน่
พอทุ่มเศษอิงค์จึงเริ่มเก็บร้านเตรียมไปรับลูกแมวที่ข่วงเมืองสิงห์ ในขณะที่เขากำลังจะพลิกป้ายหน้าร้านเป็นปิดนั้นเองใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามา
“อ้าวบอย ทำไมวันนี้มาเสียค่ำเชียว เพิ่งเลิกซ้อมเหรอ” อิงค์ยิ้มทักทายลูกค้าประจำ “พี่กำลังจะปิดร้านแล้ว แต่ถ้าบอยจะดื่มอะไรเดี๋ยวพี่ชงให้พิเศษเข้ามาก่อนสิ”
บอยไม่ตอบแต่เดินตามอิงค์เข้าไปในร้านเงียบๆ และกระแทกตัวลงนั่งตรงหน้าเคาน์เตอร์ที่เป็นที่ประจำของเขา
อิงค์เองก็สังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มที่เคยสดใสร่าเริงอยู่เสมอดูแปลกไป หน้าตาบูดบึ้งไม่พูดไม่จา คิดว่าคงมีปัญหามาจึงพยายามชวนคุยให้อารมณ์ดี “ของบอยเป็นโกโก้ปั่นหวานน้อยเหมือนเดิมนะ… เออ การแข่งที่บอยชวนพี่ไปดูน่ะ มันอาทิตย์หน้าแล้วนี่ จัดที่ไหนแล้วแข่งกับใครนะ ทีมบอยมีเสื้อหรือสีประจำทีมไหมพี่จะได้แต่งไปเชียร์ถูก”
เด็กหนุ่มไม่ตอบ ได้แต่นั่งก้มหน้านิ่ง มือกำแก้วโกโก้ปั่นแน่นจนเห็นเส้นเลือดที่หลังมือขึ้นปูดโปน
“บอย… บอยเป็นอะไร มีปัญหาในทีมเหรอ หรือว่าเรื่องเรียน บอยเล่าให้พี่ฟังได้นะ… พี่อยากช่วยบอย…”
“พี่ไม่ต้องมาทำเป็นหวังดีกับผมเลย!” จู่ๆ เด็กหนุ่มก็ระเบิดอารมณ์ออกมาเสียงดัง “พี่อิงค์น่ะ… พี่น่ะ… ผมไม่คิดเลยว่าพี่จะเป็นคนแบบนี้ พี่มันสกปรก ทุเรศที่สุด!”
“เดี๋ยวก่อนบอย! นายพูดเรื่องอะไร!!”
“ก็เรื่องเมื่อวานไง!” บอยตะโกนใส่หน้าเขา
“เรื่องเมื่อวาน” อิงค์ทวนคำเสียงสั่น
“ทำอะไรบัดสีบัดเถลิงกลางวันแสกๆ ในร้าน แถมยัง… แถมยัง…” เสียงของบอยสั่นจนขาดหาย
“บอยฟังพี่ก่อนนะ บอยเห็นอะไร” อิงค์พยายามจะเข้ามาอธิบายแต่เขาก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์เลย มันเป็นความเลินเล่อของเขาเองที่เปิดร้านทิ้งไว้ และก็เป็นความมักมากของเขาเองที่เชิญชวนสิงห์
“ไม่เห็นแต่ได้ยิน!” บอยตวาด “ทำเป็นหงิมๆ เงียบๆ หลอกใครๆ ว่าไม่มีพิษภัยแต่กลับใช้หน้าหล่อๆ มาหลอกฟันคนเขาไปทั่ว!!”
“ฟังพี่ก่อนนะบอย” อิงค์เอื้อมมือออกไป แต่เด็กหนุ่มขืนตัวหนีพร้อมกับคว้าแก้วโกโก้ปั่นสาดใส่เขา
“บอย!” อิงค์ยกมือบังไว้ทัน แก้วตกเฉียดขาเขาไปตกแตกกระจายเต็มพื้น แต่ตัวเขาก็เลอะเทอะเปรอะเปื้อนโกโก้ไปหมด
“ผมไม่กินน้ำร้านพี่อีกแล้ว ไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไรพิเรนทร์ๆ บ้าง แม้แต่นมข้นหวานยัง…” บอยเงื้อหมัดขึ้นด้วยแรงโทสะ
อิงค์รู้ตัวว่าหลบไม่พ้น เขาหลับตาเตรียมรับแรงกระแทก
ทันใดนั้นเสียงห้าวก็ตวาดดังขึ้น
“หยุด!” สิงห์ยื่นแขนมากันหมัดของเด็กหนุ่มไว้ได้ทันก่อนที่มันกระทบเข้ากลางแสกหน้าอิงค์พอดี
“พี่สิงห์!” อิงค์อุทาน ทั้งโล่งอกและดีใจ
ด้วยความเชี่ยวชาญด้านต่อยตีของหัวโจกประจำซอยที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก สิงห์วาดแขนข้างที่ใช้กันหมัดคว้าเข้าที่คอเสื้อเด็กหนุ่มแล้วผลักให้ถอยห่างออกไป
บอยพยายามโต้กลับ ถึงจะเป็นนักฬาแต่เขาก็สู้แรงสิงห์ไม่เลย และอึดใจต่อมาเขาก็โดนสิงห์จับเหวี่ยงลงไปนอนสงบสติอารมณ์บนพื้นร้าน
“มีเรื่องอะไรกัน ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันด้วย” สิงห์ถามด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจที่บอกให้รู้ว่าเขาก็กำลังโกรธอยู่เหมือนกัน
“พี่สิงห์ใจเย็นๆ ครับ” อิงค์รีบเข้ามาคว้าแขนสิงห์ไว้ข้างหนึ่ง “บอยไม่ผิดเลย เป็นความผิดผมเอง… ผมทำไม่ดีเอง”
“เธอทำอะไรไม่ดี” สิงห์ถามอิงค์ที่หน้าซีดจนเหลือสองนิ้ว ก่อนจะหันไปหาเด็กหนุ่มที่นอนแผ่หราอยู่บนพื้น “ใครก็ได้อธิบายมาหน่อย”
“คือผม…” อิงค์อึกอัก เขาเองก็ไม่รู้จะเล่ายังไง
“ฮือ…”
เสียงกระซิกดังขึ้นมาจากที่พื้น ทั้งสองหันไปมองเด็กหนุ่มที่ยกสองมือขึ้นปิดหน้าปิดตาและเริ่มต้นสะอื้นอย่างหนัก
“ผม… ผม… ผมตามจีบเธอมาตั้งนานแต่เธอก็ไม่เหลียวแลผมเลย แล้วพี่เป็นใคร แค่เป็นหนุ่มหล่อมาจากเมืองกรุงก็มาหลอกกินตับกันง่ายๆ ในร้านกลางวันแสกๆ เนี่ยนะ” บอยพูดไปสะอื้นไป
“นายว่าไงนะ!” อิงค์ถาม
“ผมได้ยินนะ เมื่อวันก่อนน่ะ ผมมาซื้อกาแฟแล้วผมก็… แล้ววันนี้พี่ก็ไปส่งเธอที่โรงเรียน คงสนุกกันข้ามวันข้ามคืนเลยสินะ”
“เดี๋ยวนะบอย บอยกำลังพูดถึงใคร”
บอยผุดลุกขึ้นนั่งรวดเร็ว “ยังจะมาทำไขสืออีก ก็รสาไง ลูกสาวร้านขนมปัง ผมเห็นนะว่าเมื่อเช้าน่ะสองคนคุยกันอี๋อ๋อสนุกใหญ่เลยแถมยังนัดแนะให้มาหากันอีกด้วย ผมเลยมาดักรอนี่ไง”
“บอย พี่ว่านายเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วนะ” อิงค์พยายามอธิบาย “พี่แค่ไปซื้อขนมปังร้านคุณจามจุรี แล้วมันก็สายแล้วพี่เลยอาสาไปส่งรสาแค่นั้นเอง”
“แล้วเสียงครางที่ผมได้ยินล่ะ พี่จะอธิบายว่าไง!”
“คือ… นั่น…” พวงแก้มขาวซับสีเข้ม อิงค์พูดไม่ออก
“เห็นไหม พี่ไม่ปฏิเสธ”
“นั่นไม่ใช่…”
“เจ้าหนู” สิงห์เอ่ยขึ้นเรียบๆ เขาเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว “ฉันไม่แน่ใจหรอกนะว่าเธอได้ยินอะไร หรือคิดเลยเถิดไปถึงไหน แต่ว่านะคนที่อยู่กับอิงค์ตลอดช่วงบ่ายของเมื่อวานคือฉันเอง”
“พี่สิงห์!” อิงค์หน้าร้อนจนแทบไหม้ เขาหันควับไปมองหน้าสิงห์ แล้วก็รู้ตัวว่าทนมองต่อไม่ได้ เพราะสีหน้าและแววตาในยามนี้ของสิงห์นั้นทั้งซื่อตรงและจริงจัง จนเขาต้องก้มหน้าหนีเพราะกลัวว่าตัวเองจะแสดงอาการแปลกๆ ออกไป
“ว่าไงนะ!” บอยเองก็ตกใจมากไม่แพ้กัน
“ต้องให้ฉันแปลให้ชัดๆ กว่านี้ไหม” สิงห์ถามพลางสอดแขนข้างหนึ่งเข้ารอบเอวอิงค์ราวกับจะประกาศความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
บอยเองก็เขินไม่แพ้กัน ทั้งเรื่องที่สิงห์แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ทั้งเรื่องที่ตัวเองเข้าใจผิดจนเรื่องราวใหญ่โต “ไม่… ไม่ต้องครับ”
“เข้าใจถูกแล้วนะ” สิงห์ถามย้ำ
“ครับ” บอยละล่ำละลักตอบ “ผมต้องขอโทษพี่อิงค์ด้วยนะครับ”
“งั้นก็กลับไปได้แล้ว”
“ผมใจร้อนไปหน่อย ผมไม่ได้ตั้งใจ…” บอยทำท่าจะพูดต่อสิงห์ก็ตัดบทขึ้นเสียก่อน
“แฟนเขาจะคุยกัน คนนอกหมดธุระแล้วก็กลับไป ตกลงนะ” สิงห์เน้นทีละคำช้าๆ ชัดๆ
บอยหน้าแดงเสียเอง “ครับ!” เขารับคำเสียงดังแล้วรีบวิ่งออกจากร้านไป
สิงห์เดินตามออกไปชะโงกหน้าดูเห็นว่าเด็กหนุ่มไปไกลแล้วจึงจัดแจงดึงประตูปิดและลงกลอนให้เรียบร้อย
“พี่สิงห์พูดอะไรน่ะ” อิงค์ที่เป็นใบ้มาสักพักด้วยความเขินจนตัวแทบระเบิดกลั้นใจพูดออกไปได้ในที่สุด
“พูดความจริงไง” สิงห์พูดเรียบๆ
“ใครเป็นแฟนพี่”
“อยากเป็นไหมล่ะ”
“เมื่อเช้ายังบอกว่าดูๆ กันอยู่เลย”
“ตอนนี้ก็ดูอยู่” สิงห์ตอบกำกวม “ไหนส่งมือมาสิ ได้แผลที่ไหนหรือเปล่า” บอกพลางคว้าตัวอิงค์เข้าไปดูใกล้ๆ เขาลูบฝ่ามือไปตามท่อนแขนสำรวจหาร่องรอยขีดข่วนแม้เพียงเล็กน้อย
“ตกลงพี่ชอบผมแล้วเหรอ” อิงค์ถามแข่งกับเสียงหัวใจที่เต้นดังขึ้นเรื่อยๆ
“ชอบแต่ไม่รัก” สิงห์ตอบนิ่งๆ
“ตกลงมันยังไง”
“เธอตัดสินใจเองแล้วกัน” สิงห์ว่าพร้อมกับแนบอุ้งมือลงข้างแก้มนิ่ม ใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบเครื่องดื่มสีเข้มออกจนเห็นเนื้อขาวก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เห็นชายหนุ่มปลอดภัยดี “ฉันเคยเตือนเธอแล้วนี่ ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันจะไม่รักเธอแน่นอน”
อิงค์ยกมือขึ้นจับมือใหญ่ที่ยังแนบอยู่ข้างแก้มแล้วก้มหน้านิ่ง รู้สึกเจ็บแปลบปลาบในอก “รู้แล้ว ไม่ต้องย้ำบ่อยๆ ก็ได้”
“กลัวเธอลืม”
“เอ่อ… แล้วพี่มาหาผมตอนนี้มีอะไรหรือเปล่า” อิงค์เปลี่ยนเรื่อง
“เอาแมวมาให้” สิงห์ชี้ไปที่ตะกร้าใบเล็กซึ่งป้าสำลีดัดแปลงมาจากตะกร้าใส่ของ มีผ้าขนหนูรองอยู่ก้นตะกร้าและปิดปากด้วยผ้าขาวบางไม่ให้แมวกระโดดออกมาได้ “ก็เธอไม่มาสักทีแถมไลน์ไปไม่ตอบ โทรหาก็ไม่รับฉันก็เลยมาเสียเอง”
อิงค์รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู มีข้อความเข้าไม่กี่คำกับจำนวนมิสคอลแค่สองสาย และด้วยจำนวนเท่านี้ทำให้สิงห์ถึงกับต้องรีบบึ่งมาหาเขาเลยเหรอ แล้วตอนนี้ก็เพิ่งจะสองทุ่มครึ่งยังห่างไกลจากเวลานัดตั้งมาก ความเป็นห่วงของสิงห์ที่มีให้เขามันอยู่ในระดับไหนแน่
“คงเป็นตอนที่ผมคุยกับบอยอยู่” อิงค์ชะโงกหน้าลงไปดูในตะกร้า เจ้าแมวส้มตัวน้อยขดตัวนอนหลับปุ๋ยสบายใจทั้งที่ข้างนอกวุ่นวายเสียงดังขนาดนี้แท้ๆ
“พรุ่งนี้เช้าฉันมารับนะ” สิงห์ว่า
อิงค์ละสายตาจากแมวไปหาด้วยความแปลกใจ “รับไปไหนครับ”
“ไปซื้ออาหารแมวกับทรายไง แล้วยังต้องไปทำวัคซีนอีกไม่ใช่เหรอ ฉันเป็นห่วง ไม่อยากให้ไปคนเดียว” สิงห์บอก “เจอกันแปดโมงนะ”
หัวใจที่เพิ่งเริ่มจะสงบลงกลับเด้นแรงขึ้นอีกครั้ง ทั้งที่ย้ำอยู่นั่นว่าให้เขาตัดใจ แต่ก็ไม่เลิกใจดีพร่ำเพรื่อกับเขาเสียที แถมยังเป็นความใจดีที่พิเศษกว่าใครๆ เสียด้วย
“ฉันไปนะ”
สิงห์กำลังจะหันหลังเดินออกไปอิงค์ก็รีบยื่นมือออกไปคว้าชายเสื้อเขาไว้ “พี่สิงห์”
...ถ้าจะใจดีขนาดนี้ งั้นช่วยตามใจเขาอีกสักเรื่องได้ไหม...
“ทำไม”
“เตียงเล็กหน่อยแต่ถ้าพี่ไม่รังเกียจ…” อิงค์เม้มปากแน่นก่อนจะพูดต่อจนจบ “พรุ่งนี้จะได้ตื่นพร้อมกัน”
สิงห์แกะมือเรียวออกจากชายเสื้อแล้วก้าวเข้าหา เขาค่อยโอบแขนเข้ารอบเอวสอบพร้อมกับสอดหน้าเข้าไปกระซิบที่ข้างหู “ถ้าได้นอนกับเธอ ที่พื้นฉันก็นอนได้”
สิงห์นั่งลงบนเตียงขนาดห้าฟุตพลางกวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่ไร้การตกแต่ง มีเพียงเครื่องเรือนและของใช้จำเป็นไม่กี่อย่างเท่านั้น แล้วก็คิดถึงตัวเองสมัยก่อนที่ถูกครอบครัวส่งไปเรียนไกลบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่มีญาติพี่น้องและคนรู้จัก ช่วงกลางวันยังมีเพื่อนคุยแต่พอตกกลางคืนที่แสงไฟดับลงมันช่างเงียบเหงายิ่งนัก คิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงเจ้าของห้องขึ้นมาจับใจ
ประตูห้องน้ำเปิดออกชายหนุ่มในชุดนอนก้าวออกมา รอบคอมีผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องอยู่ที่คอซึ่งเจ้าตัวกำลังใช้ชายผ้าด้านหนึ่งซับน้ำออกจากเรือนผม
“พี่สิงห์จะอาบไหม”
“ฉันอาบมาแล้ว” สิงห์ตอบพลางเอื้อมมือไปคว้าตัวชายหนุ่มให้มานั่งลงตรงกลางระหว่างขาแล้วแย่งผ้าขนหนูมาช่วยเช็ดหัวให้เสียเอง “จวนจะเข้าฤดูฝนแล้ว ที่นี่พอฝนตกโดยเฉพาะกลางคืนจะหนาวมากเธอเตรียมหาผ้าห่มใหม่ด้วยนะ”
อิงค์เหลือบตามองผ้าห่มผืนบางที่อยู่บนเตียง “พี่สิงห์พาไปซื้อหน่อยสิ”
“อืม” สิงห์ครางในลำคอ
“พี่รัดผมก็หล่อแต่ผมว่าพี่ปล่อยผมดูดีกว่านะ” อิงค์ว่าพลางสางปลายนิ้วเล่นไปตามกลุ่มผมที่สยายลงมาคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม สัมผัสเรียบลื่นกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ช่วยยืนยันคำพูดว่าเจ้าตัวอาบน้ำสระผมก่อนมาหาเขาจริงๆ
“เธอชอบคนผมยาวเหรอ” สิงห์ถาม
“ชอบ” อิงค์ตอบ
…ผู้ชายผมยาวเท่จะตาย…
เสียงหวานในห้วงคำนึงดังซ้อนทับขึ้นมากับเสียงชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนตัก
สิงห์ก้มหน้าลงมองชายหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นสบตาเขาพอดี
“พี่สิงห์มองผมทำไมครับ”
สิงห์ทิ้งผ้าขนหนูลงพื้นแล้วคว้าหลังศีรษะชายหนุ่มขึ้นรับจุมพิตแนบแน่น เขาจูบเนิ่นนานโดยไม่พูดอะไรจนคนในอ้อมแขนตัวอ่อนปวกเปียก ริมฝีปากถูกดูดดึงจนชาทำให้น้ำเหนียวในปากไหลล้นออกมา
“พี่สิงห์ขอพักหน่อย” อิงค์ดันหน้าอกร่างหนาออกเล็กน้อย ถึงจะคาดหวังไว้อยู่แล้วแต่จู่ๆ สิงห์ก็เล่นจู่โจมเข้ามาจนเขาตั้งตัวไม่ทัน อิงค์ก้มลงหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาจะเช็ดคราบสกปรกที่เลอะถึงปลายคางก็โดนปลายลิ้นสากฉกกลีบปากกลับไปครอบครองอีกครั้ง
“เดี๋ยวฉันเช็ดให้เอง” สิงห์กระซิบ
เขาใช้ปลายลิ้นแลบเลียตั้งแต่ปลายคางมนลงมาตามซอกคอขาว มาจนถึงแผงอกที่เขาใช้ปลายนิ้วสำรวจรอไว้ก่อนแล้ว สิงห์เขี่ยจุดยอดสีหวานทั้งสองจนมันเป็นตุ่มไตแข็งชูชันเด่นชัดขึ้นมาแม้ยังอยู่ใต้ร่มผ้า เขาครอบริมฝีปากทับลงไปข้างหนึ่งและดูดดึงผ่านเสื้อนอนตัวบางจนเปียกชุ่ม
ร่างโปร่งแอ่นรับสัมผัส มือเรียวเกร็งจิกเข้าใต้กลุ่มผมยาวแน่น “พี่สิงห์ถอดเสื้อก่อน”
“ทำไมล่ะ ไม่ชอบแบบนี้เหรอ”
“ผมอยากให้พี่สัมผัสตรงๆ”
ในขณะที่อิงค์ถอดเสื้อ สิงห์ก็จับเรียวขายาวพาดคร่อมหน้าตักเขาไปด้านหลัง ร่างโปร่งถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อสะโพกแตะโดนส่วนกลางลำตัวที่ดุนดันเป็นสันอยู่ในกางเกงผ้า สิงห์แกล้งขยับเอวไปมาให้มันถูไถกับส่วนอ่อนไหวของเขา
เลือดกายหนุ่มเริ่มเดือนพล่านอิงค์ขยับสะโพกสู้อย่างควบคุมไม่ได้
สิงห์ปลดกางเกงผ้า ผิวเนื้อที่เสียดสียิ่งเพิ่มความเสียวซ่านจนเกินควบคุม เขาดันตัวร่างโปร่งให้นอนราบลงบนเตียง ตาคมจับจ้องร่างขาวเนียนที่ลอยเด่นอยู่ในความมืด
“พี่สิงห์”
เสียงหวานกระซิบเรียกชื่อเขา แต่เสียงที่สิงห์ได้ยินกลับเป็นเสียงของใครอีกคนที่เขาไม่เคยลืมได้ลงแม้เวลาจะผ่านมานานหลายปี หญิงสาวที่เป็นรักครั้งแรกและครั้งเดียวของเขา คนที่สอนให้เขารู้จักคำว่ารักและในขณะเดียวกันก็สอนให้เขารู้จักความเจ็บปวดมากมายเช่นกัน
เขากัดฟันกรอด มือใหญ่คว้าเรียวขายาวขึ้นพาดบ่าแล้วสอดกายเข้าแทรกด้วยอารมณ์สับสนที่พลุ่งพล่านในอก มือเรียวที่ป่ายเปะปะไปทั่วแผ่นหลังกับเสียงครางเรียกชื่อเขาซ้ำไปซ้ำมาเป็นแรงกระตุ้นให้สิงห์เคลื่อนกายรุนแรงขึ้นทุกที
หากทุกครั้งที่รุกรานเข้าไปยังส่วนร้อนรุ่มของอีกฝ่าย ความรู้สึกผิดก็กลับถาโถมล้นปรี่ขึ้นในอกของสิงห์มากขึ้นเท่านั้น
สิงห์สะบัดศีรษะไล่ภาพหญิงสาวที่ยังตามหลอกหลอนอยู่ในหัวจนเรือนผมยาวปลิวกระจาย และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกทีก็ถูกแทนที่ด้วยชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟ ดวงตาที่มีน้ำรื้นขึ้นเต็มกำลังจับจ้องมาที่เขา และราวกับรับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ อิงค์ยื่นมือขึ้นมาคว้าศีรษะเขาดึงไปจูบ
สิงห์คิดไม่ออกแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ในหัวขาวโพลนไปหมด เขาแค่รับรู้รสชาติว่ามันหวานเหลือเกิน หวานจนไม่อาจปล่อยมือ เขาสอดกายเข้าไปซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อลบภาพนั้นออกไปจากใจ
แต่ไม่ว่าจะทำมากเท่าไหร่ มันก็ไม่อาจลบภาพเธอคนนั้นออกไปจากใจได้เลย
จนเขาเริ่มรู้สึกสับสันว่าจริงๆ แล้วตอนนี้ตัวเขากำลังกอดใครอยู่กันแน่
…สิงห์ตื่นเถอะ…
เจ้าของชื่อปรือตาขึ้นมองเจ้าของเสียงหวานที่ดังอยู่ข้างหู
“อืม”
เขาตอบรับพร้อมกับยื่นมือออกไปคว้าใบหน้าขาวที่ลอยอยู่ตรงหน้า เรือนผมดำยาวสยายนุ่มมือจนอยากจะดึงตัวเข้ามากอดแล้วหอมสักฟอด
แต่แล้วภาพนั้นก็หายไปด้วยอีกเสียงที่ดังทับขึ้น
“พี่สิงห์ตื่นเถอะครับ”
สิงห์สะบัดศีรษะเบาๆ ครั้งหนึ่ง ภาพหญิงสาวผมยาวหายไปกลายเป็นชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟกำลังส่งยิ้มมาให้ ในมือของเขาถือกาแฟมาสองแก้ว
อิงค์ขยับนั่งลงข้างกันแล้วส่งแก้วหนึ่งให้เขา “กาแฟครับ”
สิงห์รับแก้วกระเบื้องใส่ลาเต้ร้อนที่เทครีมเป็นรูปหัวใจดวงโตมา กลิ่นกาแฟสดชงใหม่หอมกำจายไปทั่วทำให้ใจสงบ เขายกแก้วขึ้นจิบ ความนุ่มละมุนของครีมกับรสหวานกำซาบที่ปลายลิ้นทำให้หลุดยิ้มออกมาง่ายดาย
“พี่สิงห์ครับ”
“ว่าไง”
“ที่เมื่อวานพี่สิงห์บอกผมว่าให้ไปคิดเองน่ะว่าจะเป็นแฟนหรืออะไร” อิงค์เอ่ยขึ้นช้าๆ ด้วยพวงแก้มสุกปลั่งน่าเอ็นดู
“อืม”
“ผมคิดได้แล้วนะ”
เสียงร้อง เหมียว ดังขึ้นเบาๆ ที่ข้างขา อิงค์วางแก้วกาแฟลงแล้วอุ้มเจ้าก้อนขนสีส้มที่กำลังคลอเคลียอยู่กับขาของเขาขึ้นมาวางบนตัก
“จนกว่าพี่สิงห์จะบอกว่ารัก ผมไม่กล้าเป็นแฟนพี่สิงห์หรอก”
“อืม”
“ดังนั้น” อิงค์ยื่นลูกแมวมาตรงหน้าเขา “ระหว่างนี้พี่ช่วยเป็นพ่อเจ้าเสือน้อยไปก่อนได้ไหมครับ”
ริมฝีปากหนายกยิ้มขึ้นด้วยความเอ็นดู แมวอะไรชื่อ ‘เสือน้อย’ “แล้วใครเป็นแม่มัน”
“ผมไง” อิงค์ตอบตะกุกตะกักด้วยความขัดเขิน “ได้ไหมครับ”
สิงห์มองยิ้มหวานที่กระจายอยู่เต็มหน้าขาว เขายื่นมือออกไปคว้ามือที่ถือลูกแมวนั้นไว้ขยับไปให้พ้นทางแล้วเขยิบเข้าไปจูบปากแม่แมว รสกาแฟขมปร่าที่ปลายลิ้นก่อนจะตามมาด้วยความหวานละมุน
“อิงค์ ฉันอยากตื่นเช้ามากินกาแฟกับเธอทุกวันเลย”
สิงห์กระซิบที่ข้างหู เขารู้สึกและอยากจะทำอย่างนั้นจริงๆ แม้ว่าลึกๆ แล้วตัวเขาเองจะรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าสุดท้ายแล้ว ความหวานนี้จะกลายเป็นความขมขื่นเพราะความเห็นแก่ตัวของเขาเอง
*****************************************TBC******************************************