Last Room บันทึกประจำวันของเสือน้อย2:สงกรานต์ไม่อร่อยเลย(16/4/2020) p.6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Last Room บันทึกประจำวันของเสือน้อย2:สงกรานต์ไม่อร่อยเลย(16/4/2020) p.6  (อ่าน 20107 ครั้ง)

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: Last Room บทที่ 15(21/10/2019) p.3
«ตอบ #90 เมื่อ22-10-2019 12:12:16 »

เพราะคามคิดตื้นๆของดาม หายนะจึงเกิด

ออฟไลน์ NUTSANAN

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1031
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-3
Re: Last Room บทที่ 15(21/10/2019) p.3
«ตอบ #91 เมื่อ23-10-2019 02:06:25 »

เวรจิงงงๆ ปวดหัวค่ะ สงสารอิงค์สุด  :katai1:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 15(21/10/2019) p.3
«ตอบ #92 เมื่อ23-10-2019 14:02:55 »

บทที่ 16

อิงค์ลืมตาตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยอาการปวดหัวเต็มที่และการร้องไห้อย่างหนักเมื่อวานก็ทำให้แสบตาไปหมด

เสือน้อยเห็นว่าผู้ปกครองของตนตื่นแล้วก็รีบกระโจนขึ้นมานั่งอ้อนบนตัก

“ว่าไงเจ้าตัวเล็ก หิวข้าวเหรอ” อิงค์เกาคอมันไปพลางเหลือบดูนาฬิกา แล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเพราะว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว “ไอ้ดาม! ทำไมนายไม่ปลุกเราวะ สายป่านนี้แล้ว”

อิงค์ผุดลุกขึ้นจากเตียงรวดเร็วจนเสือน้อยร่วงจากตัก เขากระโดดข้ามคนที่นอนอยู่บนพื้นคว้าแล้วผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำไป

“ยังไม่เจ็ดโมงเลย สายเสยอะไรวะอิงค์” ดัสกรงัวเงียตอบแล้วพลิกตัวหลับต่อ

“ฉันจะไปส่งกาแฟไม่ทันน่ะสิ!” อิงค์รีบกุลีกุจอจัดกาแฟขึ้นวางท้ายรถมอเตอร์ไซค์แล้วขับออกไปส่ง จนกระทั่งวนมาถึงข่วงเมืองสิงห์เป็นที่สุดท้ายก็เป็นเวลาเกือบเก้าโมงเช้าแล้ว

“สวัสดีครับ” อิงค์แทบกระโดดลงจากรถแล้วรีบยกลังใส่กาแฟไปวางบนโต๊ะ

ป้าสำลีเดินตรงมาหาด้วยความรวดเร็ว “คุณอิงค์ทำไมวันนี้มาสายจังละคะ ป้ากับมอญเป็นห่วงแทบแย่นะรู้ไหม”

“ไม่สบายหรือเปล่าคะ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย” มอญถามต่อด้วยความเป็นห่วง

“ขอโทษครับพอดีผมตื่นสาย” อิงค์ตอบเสียงอ่อย

“ถ้างั้นก็โล่งอกไปค่ะ วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ ป้าเป็นห่วง มาให้ตีซะดีๆ เลย” ป้าสำลีทำเสียงดุพลางตีมือเบาๆ ลงบนต้นแขน

“ขอโทษครับ”

“มัวทำอะไรกันอยู่ล่ะถึงไม่หลับไม่นอน” สิงห์ถามเสียงห้วนมาจากหลังเคาน์เตอร์

“ก็… ไอ้ดามมันชวนกินเหล้าน่ะครับ ผมเลยหลับลึกไปหน่อย” อิงค์อธิบาย

“คงสนุกสุดเหวี่ยงกันน่าดูเลยสินะ”

อิงค์รู้สึกได้ถึงความประชดประชันที่มากับข้อความนั้นจึงละมือจากของที่จัดค้างอยู่และเดินเข้าไปหา “พี่สิงห์ยังโกรธผมอยู่ใช่ไหม ผมขอโทษนะครับ”

“ช่างมันเถอะ! เธออยากจะไปไหนทำอะไรกับใครก็เชิญ ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว” สิงห์ตัดบทเสียงห้วนแล้วลุกขึ้นเดินหนีไปชั้นสอง

“อ้าว คุณสิงห์! เป็นอะไรเนี่ยทำไมเสียมารยาทอย่างนี้ล่ะ ป้าจำไม่ได้นะคะว่าเลี้ยงมาให้เป็นคนแบบนี้ มีอะไรก็มาคุยกันก่อน น้องเขาก็ขอโทษดีๆ แล้ว” ป้าสำลีเท้าเอวโวยวาย

“อย่าว่าพี่สิงห์เลยครับป้าสำลี ผมผิดเองที่เบี้ยวนัด เดี๋ยวผมส่งข้อความมาง้ออีกทีละกันครับ” อิงค์ไม่รู้ถึงวีรกรรมที่ดัสกรทำไว้สักนิดเพราะตื่นเช้ามาทุกอย่างก็อยู่ในสภาพเรียบร้อย แถมดัสกรยังไม่พูดถึงเรื่องที่สิงห์มาหาด้วย เขาจึงยังเข้าใจว่าสิงห์โกรธแค่เรื่องนี้เท่านั้น

“คุณอิงค์ก็ใจเย็นๆ นะคะ” ป้าสำลีเข้ามาจับแขนข้างหนึ่ง

“ผมใจเย็นมานานแล้วล่ะครับป้า” อิงค์ยิ้มเจื่อนๆ เขาหันกลับมาจัดของต่อจนเสร็จแล้วขึ้นรถกลับออกไป

แต่จนแล้วจนรอดสิงห์ก็ไม่ยอมอ่านข้อความหรือรับโทรศัพท์ของเขาเลยจนกระทั่งล่วงเข้าสู่วันอาทิตย์

อิงค์นั่งเท้าคางมองชุดที่เหมราชเตรียมมาให้ คิดไม่ตกว่าควรจะไปดีหรือไม่ เพราะสิงห์ไม่ยอมพูดกับเขาแบบนี้แล้วเขาจะไปกับใคร แต่ถ้าไม่ไปก็เกรงใจเจ้าภาพ เขาถอนหายใจเสียงดังซ้ำแล้วซ้ำอีกจนดัสกรที่นั่งดูอยู่ต้องเอ่ยปาก

“ไม่ไปก็จบ”

“มันจะเสียคนเอาน่ะสิ คุณเหมราชชวนฉันเองเลยนะ”

“แล้วแกจะเอายังไงวะ”

“มาถึงขั้นนี้คงต้องไปว่ะดาม”

“งั้นก็ไปแต่งตัว เดี๋ยวฉันขับรถไปส่งแกจะได้ไม่ไปเก้อคนเดียวไง แล้วถ้ามันอึดอัดมากนักก็รีบลากลับอ้างว่าปวดหัว ท้องเสีย เป็นห่วงเสือน้อยอะไรก็ว่าไป ฉันจะจอดรถรออยู่แถวนั้น แบบนี้ดีไหม”

“แต่ดามกลับกรุงเทพวันนี้นะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแล้วนี่”

“ไปรับส่งแกเต็มที่ก็สี่ทุ่ม เสร็จแล้วฉันตีรถกลับเลยยังไงก็ทัน”

“แต่ว่า…”

“ฉันสะดวกแบบนี้ ที่เหลือแล้วแต่แกเลยว่าจะเอายังไง ฉันก็ช่วยแกได้เท่านี้แหละ คนที่ไม่ใช่แฟนทำแทนทุกเรื่องไม่ได้ หน้าที่ควงแขนไปงานเป็นของไอ้คุณพี่สิงห์นั่นไม่ใช่ฉัน นอกเสียจากว่าแกจะยอมขยับสเตตัสให้ฉัน” ดัสกรแทบจะร้องเป็นเพลงหวังจะให้อิงค์ยิ้มออกสักหน่อยก็ยังดีโดยไม่ได้สำนึกเลยสักนิดว่าที่อิงค์ต้องมานั่งกลุ้มใจอยู่ตอนนี้ก็มีสาเหตุมาจากตัวเองน่ะแหละ

“ข้อเสนอแรกโอเค แต่ข้อหลังปัดตกไปนะ” อิงค์ตบไหล่ดัสกรครั้งหนึ่งแล้วจึงลุกขึ้นแต่งตัวไปงานโดยมีดัสกรขับรถมาส่งที่หน้าเฮือนไกรสร

“มีอะไรรีบโทรมาเลยนะเว้ย!” ดัสกรกำชับ

อิงค์พยักหน้ารับคำและเดินเข้าไปในงาน ระหว่างนั้นเขาก็ส่งข้อความหาสิงห์อีกครั้งว่ามาถึงแล้ว และกำลังจะเดินเข้าไป ซึ่งแน่นอนว่าก็ไม่มีการตอบรับใดๆ เหมือนตลอดสองวันที่ผ่านมา

อิงค์รู้สึกเจ็บแปลบปลาบในอก เขาพยายามเก็บความรู้สึกและมองหาป้ายบอกทางไปห้องโถงตามที่เหมราชบอกมา รู้สึกตงิดใจหน่อยๆ ที่วันนี้แขกที่มาพักดูหนาตากว่าปกติและแต่ละคนก็แต่งตัวสวยงาม ใส่เครื่องเงินเครื่องเพชรล้อแสงไฟวิบวับ

เขาเดินมาจนถึงห้องโถงใหญ่แล้วก็ได้รับคำตอบ ป้ายขนาดใหญ่ทำจากไม้อัดตัดเป็นข้อความอวยพรวันเกิดเจ้าของงานประดับอยู่บนเวที ทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ถูกตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้หลากสีสัน วงดนตรีเครื่องสายล้อมวงกันเล่นเพลงอยู่ตรงมุมหนึ่งสร้างบรรยากาศให้ครึกครื้น มีโต๊ะอาหารและเครื่องดื่มจัดไว้ให้บริการตัวเองตามสไตล์งานเลี้ยงค็อกเทลกระจายอยู่ทั่วไปและผู้คนในชุดสวยงามที่เขาเห็นทุกคนนั้นต่างก็มุ่งหน้ามาที่งานนี้

ตอนนี้อิงค์รู้แล้วว่าทำไมสิงห์ถึงรบเร้าจะพาเขาไปซื้อชุดใหม่ให้ได้ งานเลี้ยงวันเกิดของเจ้าของโรงแรมอันดับหนึ่งในจ.น่านต่อให้บอกว่างานเล็กๆ มันก็ยังหรูหราเกินไปสำหรับคนอย่างเขาอยู่ดี

อิงค์ก้มลงมองดูตัวเองรู้สึกตกประหม่าไปหมด เขารีบหันมองซ้ายขวาหาเจ้าของงานตั้งใจว่าจะรีบอวยพรและรีบชิ่งกลับตามแผนที่วางไว้กับดัสกร

แล้วเขาก็เห็นเหมราชกำลังคุยกับแขกที่มางานอยู่มุมหนึ่งจึงเร่งฝีเท้าเข้าไปหา ระหว่างนั้นเองก็มีใครคนหนึ่งเรียกเขาไว้

“นี่น้อง! น้องน่ะ!”

อิงค์หันไปงงๆ เพราะเขาไม่รู้จักมักจี่ใครสักคน แต่ชายวัยกลางคนคนนั้นก็กลับเดินมาหาเขาด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์อย่างมาก “คุณเรียกผมเหรอครับ”

“ก็ใช่น่ะสิ” ชายคนนั้นแทบจะตะคอกใส่ “ฉันเรียกตั้งนานทำเป็นหูทวนลม ใช้ไม่ได้เลยนะ คุณเหมราชไม่น่าจ้างเธอไว้เลยจริงๆ”

“จ้าง… อะไรนะครับ”

“อะไรเนี่ย ดูทำกิริยาเข้าสิ ไร้มารยาทสิ้นดี ไปเอาเหล้ามาแก้วนึงเร็วๆ เข้า”

“คือผม… ไม่ใช่”

“ยังไม่ไปอีกแน่ะ อะไรของเธอเนี่ย!” แขกคนนั้นเริ่มเสียงดังขึ้นทุกที

อิงค์เหลียวมองเลิ่กลั่กหาตัวช่วยก็พอดีกับที่อินถาซึ่งรับหน้าที่ดูแลแขกเหรื่อภายในงานสังเกตเห็นความผิดปกติและเดินเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย “เกิดอะไรขึ้นครับท่าน”

“อินถามาก็ดีแล้ว ก็เด็กใหม่ของเธอคนนี้น่ะไม่ได้เรื่องเลยใช้ให้ไปเอาเหล้าก็ไม่ไปยังมายืนเซ่ออีก”

“ต้องขอโทษด้วยที่คนของผมเสียมารยาทกับท่านนะครับ” อินถาค้อมศีรษะและหันมากำลังจะอ้าปากต่อว่าแล้วก็เปลี่ยนเป็นตกใจสุดขีดแต่ก็ยังเก็บอาการไว้ เขาหันไปแขกคนนั้นอีกครั้ง “เดี๋ยวผมจะให้ลูกน้องคนอื่นนำเครื่องดื่มที่ท่านต้องการมาเสิร์ฟให้ ผมขอตัวไปดูความเรียบร้อยจุดอื่นก่อนนะครับ”

พูดจบอินถาก็คว้ามืออิงค์แล้วรีบพาเดินเลี่ยงไปอีกทาง

ตอนนี้อิงค์เข้าใจแล้วว่าทำไมแขกคนนั้นถึงมาเบ่งใส่เขา ก็เพราะชุดที่เขาสวมใส่ตอนนี้มันเป็นชุดเดียวกับชุดบริกรในงานเลยน่ะสิ เขารู้สึกหน้าร้อนไปหมดทั้งโกรธทั้งอาย แต่ที่รู้สึกมากที่สุดคืออยากจะรีบหนีกลับไปเร็วๆ

“คงมีเรื่องผิดพลาดทางเทคนิคเล็กน้อยน่ะครับ ผมขอโทษด้วยครับ” อินถาพูดรัวเร็ว

“อย่าขอโทษเลยครับมันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเสียหน่อย” อิงค์รีบบอก

“เกี่ยวสิครับ เพราะคุณท่านฝากเรื่องเอาชุดไปให้คุณไว้กับปู่กมลและผม และผมก็อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นด้วย ชุดที่คุณท่านเลือกไม่ใช่ชุดนี้แน่ๆ ครับ แต่แล้วมันกลับเกิดเรื่องผิดพลาดแบบนี้ขึ้นมาได้ช่างเป็นเรื่องที่เสียมารยาทต่อคุณและช่างหน้าขายหน้าสำหรับผมมาก” อินถากล่าว “กรุณารับคำขอโทษและตามผมมาเถอะครับ เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องชุดให้ใหม่”

“เดี๋ยวผมก็กลับแล้วไม่เป็นไรหรอกครับ อย่าลำบากไปมากกว่านี้เลย”

“ไม่ได้ครับ” อินถายืนกราน “คุณท่านต้องโกรธมากแน่ๆ ที่เห็นคุณใส่ชุดที่ไม่เหมาะสมแบบนี้ และท่านก็คงไม่ชอบใจด้วยที่แขกซึ่งท่านอุตส่าห์เชิญมาด้วยตนเองหนีกลับไปก่อนโดยไม่ทันได้เจอหน้าเพราะมีเรื่องเข้าใจผิดเกิดขึ้น”

“ผมไม่ได้จะหนีกลับเพราะไม่พอใจหรอกนะครับ... แค่รู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ... เอ่อ พอดีวันก่อนไปเที่ยวปัวแล้วโดนฝนมานิดหน่อยน่ะครับ”

“ถ้างั้นก็ช่วยเปลี่ยนชุดและไปพบคุณท่านก่อน ถือว่าผมขอร้องนะครับ… ได้โปรด” อินถากล่าวซ้ำ “แล้วถ้าคุณอิสระต้องการจะกลับก่อนผมจะช่วยจัดการเรื่องรถไปส่งให้ถึงบ้านเลย”

เมื่อไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรอีก อิงค์จึงจำใจรับคำอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ดูเหมือนความซวยยังตามติดเขาไม่เลิก ขายังไม่ทันจะก้าวพ้นประตูห้องโถงเขาก็เจอกับสิงห์ที่เพิ่งมาถึง

วันนี้สิง์แต่งตัวปราณีตกว่าทุกวันด้วยเสื้อผ้าไหมสีกรมท่าปักดิ้นทองลายคชสีห์ตรงสาบเสื้อและสวมกางเกงเข้ารูปสีดำ ผมยาวถูกหวีเก็บและมัดรวบเรียบร้อย เขาดูหล่อเหลาและเด่นสะดุดตา แขกหลายคนที่อยู่ตรงประตูพอเห็นสิงห์ก็รีบตรงเข้ามาทัก ไม่ว่าใครก็อยากจะเอาใจและทำความสนิทสนมกับทายาทคนเดียวของเจ้าของโรงแรมแห่งนี้อยู่แล้ว

อิงค์บังเอิญสบตากับเขาเข้า กำลังลังเลว่าจะเอ่ยปากทักดีหรือไม่เจ้าตัวก็กลับเมินหน้าหนีไปอีกทางเสียก่อน

อิงค์หน้าเสีย ถึงตอนนี้เขาไม่อยากอยู่ในงานอีกต่อไปแม้สักวินาทีเดียวแล้ว เขาอยากหนีกลับโดยเร็วที่สุดหรือหายไปตัวไปจากที่นี่ตอนนี้โดยไม่สนใจว่ามันจะเสียมารยาทแค่ไหน แต่ก็ติดตรงอินถาที่ยังจับแขนเขาไว้แน่น

อินถาพาเขาหลบเลี่ยงฝูงชนที่เริ่มเข้ามาห้อมล้อมสิงห์ และตอนที่กำลังจะหนีพ้นนั่นเองเสียงของเหมราชก็ดังขึ้นด้านหลัง

“ว่าไงเจ้าสิงห์มาถึงแล้วเหรอ”

บรรดาแขกที่รุมล้อมอยู่ช่วยเปิดทางให้เหมราชเดินเข้ามาหาลูกชายได้สะดวก เขาสวมสูทสีดำขลิบทองที่ตัดจากผ้าไหมทอมือในจังหวัด ข้างกายของเขานั้นคือเกตถวาที่วันนี้สวมชุดเจ้านางล้านนาแบบเกาะอกสีชมพูกลีบบัวและคลุมไหล่ด้วยผ้าสีชมพูขลิบทอง เรือนผมยาวถูกมัดเกล้าสวยโชว์คอระหงประดับปิ่นปักผมสีเงินอันใหญ่

“เพิ่งมาถึงสัดครู่นี่เองครับ” สิงห์ตอบ

“แล้วคุณอิสระล่ะไม่ได้มาด้วยกันเหรอ” เหมราชถามพลางกวาดตามองหาแขกอีกคนที่เขาเชิญมางานด้วย

อิงค์ได้ยินดังนั้นก็พยายามจะหลบหลังอินถาแต่เหมราชก็ดันตาไวเห็นเข้าจนได้

“คุณอิสระ!” เหมราชร้องทักเสียงใสและเดินตรงดิ่งมาหา “ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์มางานผม... เอ๊ะ! แล้วมันเกิดอะไรขึ้นทำไมคุณถึง...” ปลายเสียงนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่เห็นอิงค์ใส่ชุดเดียวกับบริกร เขาหันไปจ้องอินถาที่รีบก้มศีรษะขอโทษ

“เป็นความผิดพลาดของผมเองครับท่าน”

“ทำให้แขกของฉันต้องเสียหน้า รู้ใช่ไหมว่าต้องโดนอะไรอินถา” เหมราชกล่าวเสียงเฉียบ

“ผมขอโทษครับคุณท่าน ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วยครับ”

“อย่าโทษอินถาเลยค่ะคุณ” เกตถวารีบบอก “เกตเป็นคนอาสาเอาชุดไปส่งให้คุณอิสระเอง ถ้ามันจะผิดพลาดก็ต้องผิดที่เกต อินถาไม่ได้มีส่วนผิดเลยนะคะ”

เหมราชหันไปสบตาภรรยาที่เกาะแขนมองเขาด้วยแววตารู้สึกผิดแล้วหันไปหาอินถา “ฉันจะสอบสวนเรื่องนี้ทีหลัง” ก่อนจะหันไปพูดกับอิงค์ “ต้องขอโทษจริงๆ ที่คนของผมทำเรื่องผิดพลาดขนาดนี้ เดี๋ยวคุณอิสระตามผมมานะครับผมจะจัดการเรื่องชุดใหม่ที่เหมาะสมให้คุณเอง”

“เดี๋ยวผมจัดการให้เองครับคุณท่าน ขอคุณท่านอย่าได้ลำบากเลย” อินถากล่าว

“ฉันไม่ไว้ใจใครให้ดูแลแขกของฉันอีกแล้ว” เหมราชตัดบท “ผมฝากคุณรับแขกคนอื่นๆ แทนผมก่อนนะเกตเดี๋ยวผมมา”

“ได้ค่ะคุณ”

“เชิญทางนี้ครับ” เหมราชผายมือนำทางและรอให้อิงค์ออกเดินเขาจึงก้าวเดินคู่กันไป

เกตถวาอมยิ้มกับแผนการขั้นแรกที่สำเร็จไปด้วยดี เธอไม่ได้ต้องการอะไรมากแค่อยากให้ผู้ชายคนนั้นตระหนักว่าตัวเองไม่คู่ควรกับสิงห์ ไม่เหมาะสมกับที่แห่งนี้ด้วยประการทั้งปวงและยอมถอยกลับไปอยู่ในที่ๆ ควรอยู่

สิงห์ที่เห็นเหตุการณ์ตลอดเดินเข้ามาประกบเธอข้างหนึ่งถึงจะยังโกรธอิงค์อยู่แต่เขาก็ไม่ชอบใจที่เกตถวามาแกล้งกันแบบนี้ “ฝีมือคุณใช่ไหม คุณคิดจะทำอะไรกันแน่”

เกตถวาหันไปสบตา “เปล่าค่ะ เกตไม่ได้ทำอะไรเลยแค่เอาของไปส่งเอง ต้องโทษพนักงานคนที่ห่อของว่าทำไมถึงหยิบถุงผิดมาให้เกตได้”

“คุณนี่มัน...”

“อะไรเหรอคะ” เกตถวายิ้มหวานให้

“ผมว่าเราต้องคุยกันหน่อย”

“ไม่มีปัญหาค่ะ เกตก็อยากคุยกับคุณมานานแล้วเหมือนกัน”

ทั้งสองแยกตัวจากงานออกมายืนคุยกันตรงระเบียงที่ไม่มีคน

“คุณต้องการอะไรจากผม ถึงได้ตามวอแวผมไม่เลิกเสียทีทั้งที่คุณเป็นคนทิ้งผมไปแท้ๆ” สิงห์ถาม

“ฉันก็ไม่ได้อยากยุ่งกับคุณนักหรอกถ้าคุณไม่ใช่ลูกชายของคุณเหมราช” เกตถวาเถียงกลับ “และกรุณาอย่ามาพูดพล่อยๆ ว่าฉันทิ้งคุณ คุณต่างหากที่ไม่ยอมใยดีฉันและทิ้งฉันไปก่อน”

“คุณว่าไงนะ!”

“คุณลืมคำพูดตัวเองแล้วเหรอ” เกตถวาถามย้อนความรู้สึกเดือดดาลขึ้นมา “ที่บอกว่าถ้าฉันไปทำงานก็ไม่ต้องมาพูดกันอีก”

“แล้วคุณก็ไป นั่นหมายความว่าคุณเลือกพ่อผมมากกว่าผมแล้วไง”

เกตวาถลึงตา “เดี๋ยวนะคุณสิงห์! ถ้าคุณพูดแบบนี้แสดงว่าที่ผ่านมาคุณคิดว่าฉันสวมเขาให้คุณ คิดว่าฉันหลอกว่าไปทำงานแต่จริงๆ แอบคบกับพ่อคุณอย่างนั้นเหรอ”

สิงห์พ่นลมออกจมูก “เรื่องมันก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือไง”

เกตถวาเม้มปากที่ทาสีกุหลาบแน่น ความทรงจำแสนเลวร้ายในคืนนั้นเมื่อห้าปีก่อนยังคงตามหลอกหลอนเธออยู่จนถึงทุกวันนี้

“ฉันไปทำงาน…” เธอพยายามพูดโดยบังคับไม่เสียงตัวเองสั่น “ฉันยอมรับว่าคิดตื้นๆ และไว้ใจหัวหน้าของฉันมากจนไม่คิดว่าเขาจะทำเรื่องทุเรศอย่างนั้น เขาพยายามข่มขืนฉัน…”

“แล้ว…” สิงห์เองก็ดูจะอึ้งไปเหมือนกันกับเรื่องที่เพิ่งได้ยิน

“ฉันขัดขืนสุดชีวิต… ยอมกระทั่งเสี่ยงตายโดดหน้าต่างถึงห้องนั้นจะอยู่ชั้นสี่ คิดว่าถ้ารอดมาได้ก็โชคดีแต่ถ้าไม่รอดก็ยังดีกว่าอยู่แบบตกนรกทั้งเป็น”

“แล้วหลังจากนั้นคุณเป็นอย่างไรบ้าง”

“ฉันมาฟื้นอีกทีที่โรงพยาบาล ขาหักทั้งสองข้างแต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังรอดมาได้ แม่บอกฉันว่าหัวหน้าเล่าว่าฉันปีนหน้าต่างเพราะเมาแล้วเขาก็ไล่ฉันออกทั้งที่ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลย” เกตถวารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้แล้วตอนนี้แต่ก็ยังฝืนเล่าต่อ “ระหว่างที่นอนโรงพยาบาลไม่มีเพื่อนร่วมงานมาเยี่ยมฉันสักคนเพราะพวกเขาเชื่อที่หัวหน้าบอก และในขณะที่ฉันกำลังรู้สึกสิ้นหวังในทุกสิ่งทุกอย่างเขาก็เข้ามา… โรงแรมที่ฉันเข้าพักอยู่ในเครือโรงแรมของคุณเหมราช เขามาเยี่ยมฉันทุกวันและเขาก็เป็นคนเดียวนอกจากแม่ที่ยอมเชื่อเรื่องที่ฉันเล่าแถมยังพยายามหาหลักฐานจากกล้องวงจรปิดและสอบถามพนักงานคนอื่นๆ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ ถึงจะทำไม่สำเร็จแต่ฉันก็ซึ้งใจมาก พอฉันหายดีเขาก็ยังช่วยรับฉันมาทำงานด้วย ฉันยอมรับว่าฉันหลงรักเขาและเป็นฝ่ายเข้าหาเขาก่อน แต่มันก็หลายเดือนหลังจากที่คุณหายไปจากชีวิตฉันแล้ว และฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นพ่อคุณ เขาแค่บอกฉันว่าเมียตายไปแล้วและมีลูกชายเรียนอยู่เมืองนอก เหมือนกับที่คุณบอกฉันแค่ว่าที่บ้านทำธุรกิจโรงแรมน่ะแหละ ฉันก็เพิ่งรู้ว่าลูกชายของเขาคือคุณวันที่เจอกันที่สนามบินน่ะแหละใครจะไปคิดว่าโลกมันจะกลมขนาดนั้น”

“แล้วทำไมคุณไม่บอกผม ผมก็พยายามติดต่อคุณแทบตาย”

“เพราะฉันโกรธคุณมากที่เอาแต่พูดว่าฉันจะไปนอนกับหัวหน้าแล้วมันก็ดันเกิดขึ้นจริง” เกตถวาว่า “คุณพูดซ้ำๆ จนมันเหมือนเป็นคำสาบแช่ง แล้วฉันก็กลัวว่าถ้าบอกไปแทนที่จะได้รับคำปลอบใจ คุณจะไม่เชื่อฉันแล้วต่อว่าฉันเหมือนที่พวกเพื่อนร่วมงานพวกนั้นเอาฉันไปนินทา เพราะคุณคิดอยู่แล้วว่าฉันทำแบบนั้น”

สิงห์พูดไม่ออก เขามองหญิงสาวตรงหน้า ความเจ็บปวดที่ฉายชัดในแววตานั้นช่วยยืนยันว่าเธอไม่ได้โกหก น้ำใสเอ่อขึ้นที่ขอบตาของเธอทั้งสองข้าง สิงห์ขยับเข้าไปหาและยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้

เกตถวาปัดมือของเขาทิ้ง “คุณหายไปในวันที่คุณควรอยู่กับฉันที่สุด แล้วแบบนี้คุณยังกล้ามาหาว่าฉันทิ้งคุณอีกเหรอ ยังมีหน้ามาโกรธที่ฉันเลือกจะอยู่กับคนที่อยู่เคียงข้างฉันอีกเหรอ”

“ผมขอโทษ” สิงห์พูดเสียงแหบแห้ง


“ชุดแบบที่ผมเลือกให้คุณทีแรกไม่มีแล้ว เพราะร้านของเราตัดแค่แบบละหนึ่งชุด ถ้ายังไงคุณอิสระลองดูชุดใหม่นะครับ” เหมราชบอกพลางหยิบชุดขึ้นมาและลองทาบกับตัวชายหนุ่มดูชุดแล้วชุดเล่าแต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าถูกใจสักที

“ชุดไหนก็ได้ครับ อย่าลำบากคุณเลย”

แต่เหมราชไม่สนใจและยังพูดต่อ “คุณชอบสีอะไรครับ สีแดงเลือดนกนี่ก็สวยนะครับ ดูขับผิวดี”

“ทำไมคุณถึงดีกับผมจังเลยครับ” อิงค์อดใจไม่ไหวถามออกไปตรงๆ “ผมเป็นแค่คนรู้จักของลูกชายคุณเอง”

เหมราชลดมือที่ถือเสื้อยกขึ้นทาบตัวเขาไว้ลงจนเห็นใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าสิงห์เลยครับ แค่เป็นความชอบส่วนตัวของผมที่ชื่นชมคนเก่งและมีความมุ่งมั่นพยายามน่ะครับ”

“แล้วคนธรรมดาๆ อย่างผมมีดีอะไรให้คุณชื่นชมล่ะครับ”

เหมราชคลี่ยิ้มเต็มหน้าด้วยความเอ็นดู “ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ ผมแค่อยากรู้จักคนที่เป็นเพื่อนลูกชายให้มากขึ้นก็เลยให้ปู่กมลกับอินถาช่วยหาข้อมูลของคุณมานิดหน่อย”

อิงค์อึ้งไปทันที

เหมราชเอาเสื้อกลับไปแขวนไว้ที่ราวแล้วยกมือขึ้นสัมผัสไหล่อิงค์ “พ่อแม่คุณต้องภูมิใจในตัวคุณมากแน่ๆ ครับ”

อิงค์รู้สึกขอบตาร้อนผ่าว เขาก้มหน้าลงซ่อนน้ำใสที่เริ่มเอ่อขึ้นเต็มสองตา “ขอบคุณครับ” เขาตอบรับด้วยเสียงที่สั่นเครือ

เหมราชยิ้มและกล่าวต่อเพื่อไม่ให้บรรยากาศอึดอัด “อืม สรุปคุณเอาสีไหนดีครับ”

“ขอเป็นสีขาวดีกว่าครับ”

เหมราชพยักหน้า “เดี๋ยวคุณอิสระเข้าไปเปลี่ยนในห้องลองเสื้อตรงนั้นนะครับ ผมจะรอคุณอยู่ตรงนี้แล้วเราจะได้ออกไปพร้อมกัน”

“ครับ” อิงค์ตอบพร้อมกับรับชุดมา

“พอเจ้าสิงห์คบกับคุณนี่น่ารักขึ้นนะครับ ปีนี้ทำการ์ดมาให้ผมด้วย ปกติแค่พูดสุขสันต์วันเกิดนะพ่อยังพูดยากพูดเย็น” เหมราชบอกพลางอวดซองสีขาวที่เพิ่งรับมาจากสิงห์ให้ดู “อยากรู้จังว่าเจ้าสิงห์เขียนอะไรมาให้”

ภาพสุดท้ายที่อิงห์เห็นเหมราชก่อนรูดม่านห้องลองเสื้อปิดคือเขานั่งลงตรงเก้าอี้ ใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุขพลางค่อยแกะซองสีขาวเปิดออกอย่างอย่างทะนุถนอม

แต่พออิงค์เปิดม่านออกมาอีกครั้ง เหมราชนั้นกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธขึง มือกำซองจดหมายแน่นจนมันยับยู่ยี่

“ก… เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” อิงค์ถามแต่เหมราชไม่ตอบและผุดลุกขึ้นเดินออกไปรวดเร็วราวกับจะวิ่ง


สิงห์มองอดีตคนรักด้วยความรู้สึกที่แตกสลาย รู้สึกตัวเองโง่เง่ามากที่ไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเลย “ผมขอโทษ”

เกตถวายกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตา “เรื่องมันผ่านไปแล้ว ช่างมันเถอะค่ะ ฉันกำลังมีชีวิตใหม่ที่ดี อยู่กับคนที่รักฉัน และฉันก็พิ่งรู้ตัวว่าท้องด้วย ฉันตั้งใจจะบอกเขาเป็นของขวัญวันเกิดคืนนี้ ฉันขออย่างเดียวคุณอย่ามาแย่งความสุขนี้ไปจากฉัน ไม่งั้นฉันก็สู้ยิบตาเหมือนกัน”

“ผมไม่ได้คิดทำลายคุณเลยนะ ยังไงคุณก็เป็นเมียพ่อผม ถ้าจะพูดให้ถูกผมก็แค่หงุดหงิดตามประสาแฟนเก่าที่ยังเจ็บจนไม่ลืมไม่ลงเพราะคิดว่าคุณทิ้งไปน่ะแหละ”

“แล้วทำไมจู่ๆ คุณที่ออกจากบ้านไปหลายปีถึงกลับมาพร้อมผู้ชายที่หน้าเหมือนฉันล่ะ ไม่ได้คิดจะทำให้คุณเหมราชเอะใจอะไรเหรอ”

“มันก็แค่เรื่องบังเอิญ! พอรู้ตัวอีกทีเขาก็เข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตผมแล้ว” สิงห์บอก “พอคิดจะจริงจังผมก็เลยจะแนะนำให้คนอื่นรู้จักก็แค่นั้นเอง เพราะผมไม่อยากทำพลาดเหมือนตอนที่คบกับคุณโดยไม่ได้บอกให้ใครๆ รู้ไง”

“อย่างนั้นเหรอ” เกตถวาพึมพำ “งั้นฉันก็ต้องไปขอโทษเขาสินะที่วันนี้แกล้งกันแรงไป ตอนนี้เขาไปเปลี่ยนชุดกับคุณเหมราช เดี๋ยวเขาคงจะกลับมาหาคุณอยู่ใช่ไหม”

แล้วสิงห์ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเพิ่งทำเรื่องเลวร้ายลงไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เขาหมุนตัวกลับจะวิ่งเข้าไปในงานแต่ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะสายเกินไปเสียแล้ว

“เกต! ผมต้องการคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้”

เสียงเย็นชาของเหมราชดังขึ้น ทั้งสองหันไปเห็นเหมราชกำลังย่างสามขุมเข้ามา ในมือถือรูปถ่ายยับย่นที่เกิดจากการขยำของเขา

“คบกันมาตั้งหลายปี ทำไมผมไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลยว่าคนที่ผมรัก.... ภรรยาของผมเคยคบกับลูกชายผมมาก่อน นี่เห็นผมเป็นไอ้โง่หรือไง”

เกตถวาหน้าซีดเผือด ภาพนั้นคือภาพที่เธอกับสิงห์สวมกอดกัน ในมือของเธอถือกุหลาบช่อโตที่เขาให้เป็นของขวัญวันครบรอบเป็นแฟนกัน “คุณคะคือมันไม่ใช่ใช่อย่างที่คุณคิดนะคะ”

“แล้วที่ผมควรจะคิดมันคืออะไรล่ะเกต” เหมราชกำรูปถ่ายแน่น “แกก็พอกันนะไอ้สิงห์ทนเก็บเรื่องนี้มาได้ยังไงตั้งหลายปีโดยไม่บอกฉัน”

“ผมแค่ไม่อยากทำให้พ่อเสียใจ แล้วก็เลือกที่จะออกจากบ้านไปเองนี่ไงครับ” สิงห์รีบบอก

“แล้วทำไมตอนนี้แกถึงตัดสินใจมาบอกฉันล่ะ ทำไมไม่ให้ความลับนี้มันตายไปพร้อมกับแกสองคนซะล่ะ แกกับเกตก็พอกันทั้งคู่ พวกแกหลอกฉัน!”

“พ่อคือผม… ฟังผมก่อน...”

“ฉันไม่ฟัง!” เหมราชตวาดลั่น “ออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้ คุณด้วยเกต ผมไม่ต้องการเห็นหน้าทั้งสองคนอีก!!” แล้วเขาก็ก้าวฉับๆ หนีไป

“คุณคะ! เดี๋ยวก่อนค่ะคุณ” เกตถวาร้องเรียกสามีพร้อมกับวิ่งตามไป

สิงห์ตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้าที่เกิดขึ้นรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีเขายังรู้สึกโกรธแค้นและเตรียมจะสะใจกับแผนที่วางไว้ แล้วต่อมามันก็กลายเป็นความรู้สึกผิด จนตอนนี้เขารู้สึกสมเพชตัวเองเหลือเกินที่ทำเรื่องเลวร้ายลงไป

เขาหันรีหันขวางไปเห็นอิงค์ยืนอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยจึงเดินเข้าไปหา

“สมใจพี่สิงห์แล้วใช่ไหมครับ” อิงค์เอ่ยขึ้นช้าๆ พยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น “ที่ได้แก้แค้นผู้หญิงคนนั้น”

สิงห์ด้วยความตกใจ “เธอ… รู้อยู่แล้ว อย่างนั้นเหรอ”

อิงค์พยักหน้า และสิงห์ยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อได้ฟังความจริงที่ค่อยๆ ถ่ายทอดออกจากปากคนตรงหน้า

“ผมรู้ตั้งแต่วันที่ไปดูแข่งฟุตบอลด้วยกัน” อิงค์เริ่มต้นเล่า “ผมคุยกับบอยเสร็จเร็วก็เลยคิดว่าจะไปรอพี่สิงห์ที่ห้องน้ำ แล้วผมก็บังเอิญเจอคุณเกตถวาและได้ยินที่ทั้งสองคนคุยกัน”

วันนั้นอิงค์จ้องมองภาพตรงหน้าแล้วก็ได้แต่ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาเงียบๆ และเดินกลับไปรอตรงจุดนัดหมายเดิม ที่เขาไม่ยอมหลบเข้าร่มและปล่อยให้ฝนสาดจนเปียกทั้งตัว ก็เพียงเพื่อต้องต้องการซ่อนน้ำตาไว้ในสายฝนไม่ให้ใครเห็น ไม่ใช่เพราะกลัวสิงห์จะหาไม่เจอเพราะแบตโทรศัพท์หมดตามข้ออ้างโง่ๆ ที่บอกไปตอนนั้นเลย

“ผมรู้อยู่แล้วว่าพี่คงเหงา ทำใจไว้แล้วว่าพี่คงเห็นผมเป็นตัวแทนของผู้หญิงคนนั้น แต่ผมก็คิดว่าสักวันพี่คงลืมคนที่ตายไปแล้วได้ หรืออย่างน้อยตัวพี่ก็ยังอยู่กับผม ผมจะยอมปิดตาข้างหนึ่งไปตลอดชีวิตก็ได้ แต่พี่กลับโกหกผม... เธอคนนั้นยังไม่ตาย แล้วเธอก็อยู่ใกล้ตัวพี่แค่นี้เอง” อิงค์พูดช้าๆ ด้วยหัวใจที่แหลกสลาย “พี่รู้ไหมว่ามันเจ็บยิ่งกว่าการที่รู้ว่าพี่ไม่รักผมหรือใช้ผมเป็นตัวแทนอีก การได้เป็นตัวแทนของเธอยังทำให้ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยพี่ก็ยังมองเห็นผมอยู่ในสายตา แต่การที่พี่ใช้ผมเป็นเครื่องมือแก้แค้นนั่นเท่ากับว่าพี่ไม่เคยมองผมในฐานะคนๆ หนึ่งที่รักพี่เลยมาตั้งแต่ต้น”

“อิงค์... ฉัน...”

“วันนี้พี่ทำสำเร็จแล้วใช่ไหม ผมดีใจด้วย ดังนั้น ‘เครื่องมือแก้แค้นอย่างผม’ ก็หมดหน้าที่แล้วสินะ” พูดจบอิงค์ก็กลับหลังหัน

“เดี๋ยวอิงค์ เธอจะไปไหน”

“ลาก่อนครับพี่สิงห์” อิงค์พูดโดยไม่หันหน้ามา “พี่ไม่ใช่คนใจร้ายหรอกเพราะสิ่งที่พี่ทำกับหัวใจของผมมันเลวร้ายกว่านั้นเยอะเลย”

สิงห์ยืนนิ่งก้าวขาไม่ออก ทั้งที่ยังปักใจเชื่อว่าอิงค์มีอะไรกับดัสกร หากแววตาที่แสดงให้เห็นความเจ็บปวดจนเกินบรรยายนั่นก็ไม่ใช่เรื่องโกหกแน่นอนเหมือนกัน

อยากตามไปปลอบ จะกอดแน่นๆ แล้วขอโทษ เขาไม่เคยคิดใช้อิงค์เป็นเครื่องมือทำร้ายผู้หญิงคนนั้นเลยสักนิด แต่พูดไปตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้วเพราะสิ่งที่เขาทำลงไปเมื่อสักครู่ก็ไม่ต่างอะไรจากฆาตกรเลือดเย็น บางทีคนใจร้ายอย่างเขาก็คงเหมาะสมแล้วกับการไม่มีใครไปชั่วชีวิต

ปล่อยให้เขาไปเจอคนใหม่คงเป็นอะไรที่ดีกว่า



ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: Last Room บทที่ 16(23/10/2019) p.4
«ตอบ #93 เมื่อ23-10-2019 14:17:15 »

สิ่งที่เกตถวาทำเหมือนจับปลาสองมือ บอกไม่คิดอะไรกับสิงแล้ว แต่แกล้งอิงค์เนี่ยนะ มันแปลกๆ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: Last Room บทที่ 16(23/10/2019) p.4
«ตอบ #94 เมื่อ23-10-2019 14:33:47 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

พฤติกรรมยัยเกตุถวามันแปลก ๆ ไม่ค่อยสมเหตุผลเท่าไร

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Last Room บทที่ 16(23/10/2019) p.4
«ตอบ #95 เมื่อ23-10-2019 19:40:54 »

เหมือนมันยังไม่สุดต้องมีอะไรในกอไผ่แน่ๆ o22

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: Last Room บทที่ 16(23/10/2019) p.4
«ตอบ #96 เมื่อ24-10-2019 00:25:35 »

เกตถวา การกระทำเธอย้อนแย้งมาก

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: Last Room บทที่ 16(23/10/2019) p.4
«ตอบ #97 เมื่อ24-10-2019 15:34:19 »

 :เฮ้อ:


 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: Last Room บทที่ 16(23/10/2019) p.4
«ตอบ #98 เมื่อ24-10-2019 23:56:21 »

เกตถวาร้ายมาซะขนาดนี้ แต่มาบอกกับพี่สิงห์อีกอย่างนึงเลยเนี่ยนะ แปลกๆนะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Last Room บทที่ 16(23/10/2019) p.4
«ตอบ #99 เมื่อ25-10-2019 07:29:12 »

 :pig4:
 :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Last Room บทที่ 16(23/10/2019) p.4
« ตอบ #99 เมื่อ: 25-10-2019 07:29:12 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: Last Room บทที่ 16(23/10/2019) p.4
«ตอบ #100 เมื่อ25-10-2019 09:23:29 »

 :mew6: :mew6:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 16(23/10/2019) p.4
«ตอบ #101 เมื่อ25-10-2019 19:56:07 »

บทที่ 17

อิงค์เดินราวกับคนไร้วิญญาณออกมาจากเฮือนไกรสร เขาเดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงบีบแตรรถและดัสกรวิ่งมาคว้าตัวไว้

“อิงค์! เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น”

อิงค์เบือนหน้าไปหาดัสกรช้าๆ ไม่มีน้ำตา เขาไม่ได้ร้องไห้ความรู้สึกตอนนี้มันเจ็บจนเกินกว่าที่น้ำตาช่วยบรรเทาได้ “ไม่มีอะไรหรอกดาม ก็แค่อกหักอีกครั้งเอง”

เสียงของอิงค์นั้นแหบแห้งและเศร้าสร้อยจนคนฟังปวดหนึบที่หัวใจตามไปด้วย ดัสกรโอบไหล่เพื่อนไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง “ไป… กลับบ้านกันเดี๋ยวฉันไปส่งนะ”

“ขอบคุณนะดาม”

กลับมาถึง It’ sra อิงค์ก็รีบเปลี่ยนชุดนั้นออกแล้วก้าวขึ้นเตียง อยากหลับ... อยากหนีไปจากโลกความจริงที่แสนเจ็บปวดนี้และไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย พอแล้วกับการที่ต้องโดนคนที่รักทิ้งไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เสือน้อยกระโดดตามผู้ปกครองของมันขึ้นมาบนเตียง มันเอาหัวที่เต็มไปด้วยขนนุ่มๆ ถูไถตรงข้างแก้มอิงค์เพื่อขอนอนด้วย

อิงค์ลืมตาขึ้นมา เห็นตากลมแบ๊วใสซื่อจ้องมองเขาอยู่ เขายื่นแขนออกจากผ้าห่มรั้งตัวเจ้าแมวส้มเข้ามากอดแนบอก “เหลือเราแค่สองคนแล้วนะเสือน้อย พ่อเขาทิ้งเราไปแล้ว”

เสือน้อยร้องเหมียวเบาๆ แล้วซุกตัวนอนในอก อิงค์จึงคิดว่านี่คือคำตอบรับที่มันให้กับเขาว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป

ทางด้านดัสกร เขาเดินวนเวียนเป็นหนูติดจั่นอยู่ที่ชั้นหนึ่ง อิงค์ไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไร แต่จากประโยคที่ว่า ‘อกหักอีกครั้ง’ นั่นหมายความว่าอิงค์เลิกกับคนที่ชื่อสิงห์นั่นแล้วจริงๆ ใช่ไหม เขาควรจะต้องดีใจสิที่จะได้พาอิงค์กลับไปดูแลที่กรุงเทพ แล้วนี่เขาจะมาเสียใจทำไมก็เขาตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่นา

ดัสกรหยุดยืนและเงยหน้าขึ้นมองไปทางขึ้นสอง สีหน้าและแววตาเจ็บปวดของเพื่อนยังคงติดอยู่ในตา เขาถามตัวเองอีกครั้งว่าแบบนี้มันดีแล้วจริงๆ เหรอ

เช้าวันรุ่งขึ้นอิงค์ก็ลุกจากเตียงตามเวลาปกติ อันที่จริงคือเขานอนไม่หลับเลย ในหัวมันฟุ้ซ่านเอาแต่คิดเรื่อยเปื่อย สุดท้ายเขาก็แค่นอนหลับตาเฉยๆ แล้วปล่อยให้เวลามันไหลผ่านไปจนฟ้าสาง

เขาแต่งตัวลงมาพร้อมเสือน้อยเห็นดัสกรนั่งอยู่ที่ชั้นล่างจึงถามออกไป “ทำไมนายยังไม่กลับกรุงเทพล่ะ วันนี้นายต้องไปทำงานแล้วนะ”

“แกมีสภาพแบบนี้จะให้เรากลับได้ไงวะ” ดัสกรว่าพลางทำเป็นอุ้มเสือน้อยขึ้นมา เขาไม่อาจทนมองสภาพซังกะตายที่เหมือนมีแต่ตัวแต่ไร้วิญญาณของอิงค์ได้เต็มตา “บอกมาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“ไม่มีอะไร บอกแล้วไงว่าแค่อกหัก… ฉันออกไปส่งกาแฟก่อนนะ” อิงค์แค่นยิ้มส่งให้เพื่อนแล้วขนของขึ้นท้ายรถมอเตอร์ไซค์ขับออกไป

ดัสกรมองตามรถมอเตอร์ไซค์ที่ค่อยไกลห่างออกไป แล้วจู่ๆ เจ้าแมวส้มที่ญาติดีกับเขามาตลอดห้าวันก็กางเล็บข่วนเข้าที่หลังมือเป็นทางยาวจนเลือดไหลซิบก่อนจะสะบัดตัวหลุดจากมือเขาลงไปยืนอยู่บนพื้น “อะไรของแกวะเสือน้อย มาข่วนกันทำไมเนี่ย” ครั้นพอเขาจะเข้าใกล้ มันก็ไม่ยอมให้แตะตัวอีก

เสือน้อยพองขนขู่ฟ่อใส่แล้วเชิดหน้าหมุนตัวสะบัดหางเป็นวงเดินไปกินอาหารที่อิงค์เทใส่ชามข้าวไว้ให้ ถึงจะเป็นแค่ลูกแมวตัวเล็กๆ แต่มันก็มีสัญชาตญาณหยั่งรู้นะว่าใครมาดีมาร้ายกับมันและเจ้านายของมัน

ทันทีที่รถมอเตอร์ไซค์ของอิงค์ขับเข้ามาจอดหน้าประตูข่วงเมืองสิงห์ป้าสำลีกับมอญก็รีบวิ่งเข้ามาหา ทั้งสองรู้ว่าเมื่อคืนที่งานเลี้ยงวันเกิดของเหมราชต้องมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะได้ข่าวมาว่าจู่ๆ คุณเหมราชก็สั่งให้เลิกงานเลี้ยงแล้วเชิญแขกทั้งหมดกลับทันที โดยไม่มีการร้องเพลงอวยพรหรือเป่าเค้กใดๆ ทั้งสิ้น แล้วสิงห์ก็กลับมาในสภาพที่พร้อมจะอาละวาดเต็มที่ เขาเดินลงส้นเท้าเสียงดังและเอาแต่ขังตัวเองอยู่แต่ในห้องจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมออกมา

“สวัสดีค่ะคุณอิงค์” ป้าสำลีร้องทักคนที่ไม่พูดจาและยิ้มแย้มเหมือนเช่นทุกวัน

“วันนี้คุณอิงค์สีหน้าไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะหรือว่ามีเรื่องกลุ้มใจอะไร” มอญเลียบเคียงถาม “มาๆ คุณอิงค์นั่งพักก่อน เดี๋ยวพี่มอญช่วยจัดของนะคะ”

“ไม่เป็นครับพี่มอญ เดี๋ยวผมทำเอง” อิงค์บอกอย่างเกรงใจก่อนจะเหลียวไปมองเคาน์เตอร์ที่ว่างเปล่าไม่มีแม้เงาของชายหนุ่มผมยาวที่นั่งอยู่ประจำ

“คุณสิงห์ยังไม่ตื่นเลยค่ะ” ป้าสำลีรีบบอก “แต่อีกเดี๋ยวก็น่าจะลงมาแล้วล่ะ คุณอิงค์อยู่กินข้าวเช้ากับป้าสำลีกับพี่มอญก่อนไหมคะ วันนี้ป้าทำข้าวต้มเห็ดหอมของโปรดคุณอิงค์นะ”

“ขอบคุณครับป้าสำลี แต่ผมคงไม่อยู่กินนะครับ”

“ถ้างั้นก็เอากลับไปกินที่บ้านนะคะ เดี๋ยวป้าเอาใส่กล่องให้” ป้าสำลีคะยั้นคะยอ

อิงค์ส่ายหน้า “อย่าลำบากเลยครับ”

“ลำบากอะไรกันคะ… มอญ รีบไปเอาข้าวให้คุณอิงค์หน่อยเร็ว”

“ได้จ๊ะป้า” มอญรับคำ

“ไม่ต้องนะครับพี่มอญ” อิงค์รีบเอ่ยห้าม “ขอบคุณสำหรับน้ำใจและความเอ็นดูที่มีให้ผมตลอดมานะครับ แต่วันนี้ผมรับไว้ไม่ได้จริงๆ ครับ”

ป้าสำลีกับมอญมองหน้ากัน รู้สึกใจคอไม่ค่อยดี

“ทำไมวันนี้คุณอิงค์ถึงพูดจาแปลกๆ แบบนี้ล่ะคะ” ป้าสำลีถาม

อิงค์มองหน้าทั้งสองคน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมความกล้าและพูดเนิบช้า เคยเตรียมใจไว้แล้วว่าเรื่องนี้มันจะต้องมาถึงเข้าสักวันแต่ก็ไม่คิดเลยว่ามันจะเร็วขนาดนี้ “พรุ่งนี้ผมจะไม่มาส่งของที่นี่แล้วนะครับ”

“คุณอิงค์จะไปไหน แล้วจะกลับมาวันไหนคะ พี่มอญจะได้บอกลูกค้าถูก มีคนติดใจกาแฟคุณอิงค์ตั้งเยอะนะคะ” มอญทำเป็นถามออกไปทั้งที่ใจรู้คำตอบแน่ชัดอยู่แล้ว “มะรืนนี้หรือว่าอาทิตย์หน้า พี่มอญจะรอกินกาแฟคุณอิงค์นะคะ”

อิงค์เม้มปากสนิทและส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ใช่แค่วันพรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ แต่ผมจะไม่มาส่งของที่นี่อีกแล้วครับ”

“ร… เรื่องนั้น… ป้ายอมไม่ได้หรอกค่ะ” ป้าสำลีออกอาการตกใจไม่น้อย “คือหมายความว่า… ป้าเป็นแค่คนดูแลค่ะ ป้าไม่ใช่เจ้าของที่นี่ ป้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจค่ะ คุณอิงค์ต้องไปบอกเรื่องนี้กับคุณสิงห์เองนะคะ”

“ใช่ค่ะ” มอญพยักหน้ารัวเร็ว “เรื่องสำคัญขนาดนี้ เราตัดสินใจกันเองไม่ได้ค่ะ ต้องบอกคุณสิงห์เท่านั้น”

“เดี๋ยวป้าไปตามคุณสิงห์ให้นะคะ คุณอิงค์ใจเย็นๆ รอป้าอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวป้ากลับมา… มอญ! แกอยู่เป็นเพื่อนคุณอิงค์นะ” ป้าสำลีลนลานวิ่งกลับเข้าไปในข่วงเมืองสิงห์ ก็บังเอิญเจอกับที่สิงห์เดินลงบันไดมาจากชั้นสอง “คุณสิงห์มาพอดีเลยค่ะ! มานี่หน่อยค่ะ คุณอิงค์มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยค่ะ”

สิงห์หยุดมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู เขาดูซูบซีดไม่แจ่มใส ในแววตาบอบช้ำราวกับพร้อมจะร้องไห้ได้ตลอดเวลาผิดกับคนที่มักจะมาพร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเสมอ

“มาสิคะ” ป้าสำลีคว้าแขนสิงห์และดึงให้เดินตามมาแต่สิงห์ก็ไม่ยอมขยับ

อิงค์สบตาชายหนุ่มผมยาว เขาสูดลมหายใจเข้าจนสุดครั้งหนึ่งแล้วเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเสียเอง “สวัสดีครับคุณสิงห์”

สรรพนามเรียกขานที่ดูเป็นทางการกับน้ำเสียงที่แสนห่างเหินทำเอาป้าสำลีกับมอญหัวใจหล่นวูบ

“ผมจะขอแจ้งว่าตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปผมจะเลิกมาส่งของที่นี่แล้ว…” อิงค์เงียบไป จู่ๆ ริมฝีปากมันก็สั่น เขากำมือแน่นเพื่อรวบรวมความกล้าและกลั้นใจพูดต่อจนจบ “ขอบคุณนะครับ สำหรับความช่วยเหลือเสมอมา”

เขาตัดบทจบแต่เพียงเท่านั้นพร้อมกับค้อมศีรษะแล้วกลับหลังหันเดินออกไป

…เลือกที่จะมาหาเขาเอง ก็ต้องกล้าที่จะเดินกลับไปเองสิ…

ป้าสำลีคว้าต้นแขนสิงห์แน่น “คุณสิงห์จะไม่พูดอะไรกับน้องหน่อยเหรอคะ”

“จะพูดอะไรล่ะป้า ก็เขาตัดสินใจมาแล้วนี่” สิงห์รั้งแขนกลับและเดินไปนั่งเงียบๆ ตรงหลังเคาน์เตอร์ ทั้งที่ในอกปวดจนเจ็บ

...ทำไมเจ้าหนูนั่น ต้องเสียใจขนาดนั่นด้วยล่ะ เจ้าหนูนั่นยังมีคนที่ชื่อดัสกรอีกคนคอยปลอบใจไม่ใช่เหรอไง เขาต่างหากที่ไม่เหลือใครเลย ที่มาบอกลานี่ก็คงจะเลิกขายกาแฟแล้วกลับกรุงเทพไปกับหมอนั่น... ไปอยู่กับพ่อกับแม่น่ะแหละ ไม่มีอะไรที่เขาต้องเป็นห่วงหรือรู้สึกผิดสักหน่อย...

ครู่ใหญ่ต่อมารถญี่ปุ่นคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอด ดัสกรเปิดประตูก้าวลงจากรถและเดินตรงมาหาสิงห์

“ผมมีเรื่องจะคุยด้วย” เขาพูดเสียงดัง

“แต่ผมไม่มี” สิงห์ตอบห้วนๆ

“ยังไงคุณก็ต้องฟัง!” ดัสกรพูดเสียงดังจนเกือบจะตะโกนแล้วตอนนี้

สิงห์ลุกพรวดขึ้นด้วยความหงุดหงิดแล้วก้าวยาวๆ เข้าไปหา “มีอะไร!”

ป้าสำลีกับมอญโผเข้าจับมือกันแน่น เพราะดูท่าสองหนุ่มจะวางมวยใส่กันเป็นแน่แท้

ทั้งสองยืนอยู่ที่ประตู จ้องตากันเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แล้วก็เป็นฝ่ายชายหนุ่มจากเมืองกรุงที่เป็นคนเริ่มก่อน

“ผมขอโทษ” ดัสกรบอก

สิงห์ที่กำลังอารมณ์พลุ่งพล่านเลิกคิ้วสูง นึกสงสัยว่าดัสกรจะมาไม้ไหนอีก “เรื่องอะไร”

ดัสกรอ้ำอึ้ง “คุณทะเลาะกับอิงค์เพราะผมใช่ไหม... นั่นล่ะผมขอโทษ”

“ผมไม่เข้าใจ” สิงห์บอก

“เรื่องคืนนั้นน่ะ อิงค์มันแค่เมาแล้วร้องไห้จนหลับไปเฉยๆ ผมจัดฉากเรื่องทั้งหมดเอง เราไม่ได้มีอะไรกันทั้งนั้นแหละ” ดัสกรนั่งคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีกแล้วก็ตัดสินใจว่าจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้ เมื่อสักครู่นี้เขาสารภาพกับอิงค์ไปแล้วแต่อิงค์กลับบอกว่ามันไม่เกี่ยวกับเขา และไม่พูดอะไรอีก เขาจึงตัดสินใจมาหาสิงห์ที่นี่ เขายอมให้เพื่อนเป็นคนอวดผัว2019 แบบเดิมดีกว่าเศร้าซึมเป็นซอมบี้แบบนี้

“แต่คุณชอบอิงค์?” สิงห์ถาม “เขาเลิกกับผมได้ คุณก็น่าจะดีใจสิ”

“สารภาพรักแล้ว พยายามปล้ำจนเกือบโดนเลิกคบมาแล้วด้วยครั้งหนึ่ง” ดัสกรพูดรัวเร็วกับวีรกรรมอันแสนเลวร้ายแต่หนหลัง “ตอนนี้ไม่กล้าทำอะไรที่ล้ำเส้นคำว่าเพื่อนแล้วเพราะสาบานกับศาลพระภูมิหน้าบ้านหมอนั่นไว้ ถึงตอนนี้จะโดนไฟไหม้ไปหมดแล้วผมก็ไม่กล้าลบหลู่หรอก… คุณจะโกรธ จะด่า จะต่อยผมก็ได้ แต่เชื่อผมทีเถอะว่าเรื่องนี้เป็นความผิดผมคนเดียวไม่เกี่ยวกับหมอนั่นเลย อิงค์มันรักคุณจริงๆ นะมันไม่ได้นอกใจคุณหรอก ที่มันมาอยู่ที่นี่ก็เพราะคุณน่ะแหละ... โอ๊ย!”

ดัสกรร้องเสียงหลงเพราะหมัดของสิงห์พุ่งเข้าใส่เต็มๆ ที่กลางแสกหน้า

“นี่ต่อยกันจริงๆ เหรอเนี่ย!”

“ก็คุณบอกว่าจะต่อยก็ได้” สิงห์ว่า “จะได้จำแม่นๆ ว่าทีหลังอย่าเล่นพิเรนทร์อะไรแบบนี้อีก”

ดัสกรกุมหน้าแน่น ลิ้นรู้สึกได้ถึงรสเลือดเฝื่อนๆ ดูท่าปากจะแตกด้วย คนอะไรหมัดหนักเป็นบ้า

“อ้อ! ถ้าเป็นไปได้ ผมขออีกสักทีได้ไหม ถือว่าเอาคืนในส่วนที่คุณเคยจะปล้ำเจ้าหนูนั่น” สิงห์ถกแขนเสื้อขึ้นพร้อมกับย่างสามขุมเข้าหา เขาอุตส่าห์ถนอมของเขามาตั้งนาน ไม่เคยรังแกบังคับให้ทำถ้าไม่ยินยอมพร้อมใจแล้วไอ้หมอนี่มันถือดียังไงมาทำเรื่องบัดสีแบบนี้

“พ... พอเลย! ตอนนั้นอิงค์มันก็ต่อยผมไปแล้ว”

“ท่าทางหมัดเจ้าหนูนั่นจะแรงไม่พอคุณเลยไม่หลาบจำแล้วกล้าทำอีกไง”

“อ... เอาเป็นว่าคุณหายโกรธอิงค์แล้วนะ เข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้วใช่ไหม ถ้างั้นก็ไปง้ออิงค์มันหน่อยนะ” ดัสกรรีบพูดต่อก่อนจะโดนอีกหมัด “นะ นะ ไปดีกันเถอะนะ”

สิงห์ชะงักไป เขาลดหมัดลงและพูดเสียงเบา “มันสายไปแล้วล่ะ”

“ไม่สายหรอก”

“เมื่อกี้เขาเพิ่งมาบอกว่าจะเลิกมาส่งกาแฟที่นี่ ก็คงคิดจะปิดร้านกลับกรุงเทพไปกับคุณน่ะแหละ”

ดัสกรเงียบไปอึดใจเพราะรู้สึกเอะใจอะไรบางอย่าง “ผมขอถามหน่อย คุณรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับอิงค์บ้าง… รู้ไหมว่าทำไมมันถึงไปอยู่ญี่ปุ่นถึงสามปี”

“ก็ไปเรียนแล้วก็ไปทำงานไง”

ดัสกรเลิกคิ้ว “คุณรู้เรื่องพ่อกับแม่อิงค์ไหม”

สิงห์พยักหน้า “ทั้งคู่เป็นพนักงานบริษัททำงานอยู่ที่กรุงเทพ”

“แค่นั้นเองเหรอ” ดัสกรร้องเสียงดัง

“แล้วมันทำไมหรือไง”

“ก็เพราะผมแปลกใจน่ะสิที่คุณแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหมอนั่นเลย… ผมรู้แล้วล่ะว่าทำไมอิงค์ถึงบอกว่าเรื่องที่ทะเลาะกันไม่เกี่ยวกับผม เรื่องนี้มันเกี่ยวกับคุณล้วนๆ เลย เพราะตอนนี้อิงค์รู้แล้วว่าคุณไม่ได้รักเขาเหมือนที่เขารักคุณสักนิด”

“คุณยิ่งพูดผมยิ่งงงนะเนี่ย”

“ผมจะบอกให้ก็ได้” ดัสกรว่า “พ่อกับแม่อิงค์น่ะเสียไปแล้ว ในอุบัติเหตุไฟไหม้บ้านหลังจากที่อิงค์ขึ้นเครื่องไปญี่ปุ่นได้แค่วันเดียว”

แม้แต่ป้าสำลีกับมอญที่แอบฟังอยู่ก็พลอยตกใจไปด้วย

“เป็นความจริงเหรอ” สิงห์ละล่ำละลักถาม

ดัสกรพยักหน้าและเล่าต่อ “หลังจากเสร็จงานศพพ่อกับแม่อิงค์ก็กลับไปเรียนต่อ และเพราะยังทำใจไม่ได้ แถมบ้านก็ไม่มีให้กลับแล้วก็เลยอยู่ยาวถึงสามปี แต่สุดท้ายทนคิดถึงเมืองไทยไม่ไหวก็เลยกลับมา แต่ก็ปฏิเสธที่จะอยู่กรุงเทพและใช้เงินที่หามาได้ทั้งหมดตอนอยู่ญี่ปุ่นมาลงทุนทำร้านกาแฟที่น่าน โดยให้เหตุผลกับผมและเพื่อนคนอื่นๆ ว่า เป็นที่ที่ทำให้ยิ้มได้อีกครั้ง”

“ที่ที่ทำให้ยิ้มได้อีกครั้ง” สิงห์ทวนคำ

“ห้าปีก่อนหมอนั่นอกหักร้องไห้ฟูมฟายไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่หลายวัน แต่หลังจากที่หนีมาน่านแค่สองวันหนึ่งคืนพอกลับไปเขาก็สามารถลืมเรื่องที่ทำให้เจ็บปวดและยิ้มได้อีกครั้ง ผมคิดว่าอิงค์คงนึกถึงตอนนั้นแล้วเลยอยากจะมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ ส่วนผมที่เป็นห่วงเพื่อนก็ตามมาดู ถ้าเห็นว่าสบายดีก็คงปล่อยให้ทำตามใจ แต่ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นผมจะพาเขากลับ ตอนแรกผมก็ลังเลนะว่าจะทำยังไงดี แต่ตอนนี้ผมคิดว่าได้คำตอบแน่ชัดแล้วล่ะ”

“คุณจะทำอะไร”

“ผมจะพาเขากลับ และจะไม่มีอะไรหรือใครมาขวางผมได้แม้แต่คุณ… แต่ผมคิดว่าคุณก็คงไม่ทำหรอก ก็คุณไม่ได้รักเพื่อนผมจริงนี่นา รู้งี้ไม่น่ามาสารภาพผิดแล้วยอมให้ต่อยเลย พับผ่าสิ!” ดัสกรทิ้งท้ายไว้เท่านั้นแล้วยกโทรศัพท์ที่สั่นอยู่นานแล้วขึ้นรับพลางเดินกลับไปขึ้นรถ “ผมรู้แล้วครับบอส เมื่อเช้าผมก็ส่งข้อความไปลาแล้วนี่ครับ… ครับๆ เดี๋ยวผมกลับไปเคลียร์ให้… วันนี้? บอสโอนค่าตั๋วเครื่องบินมาสิผมจะนั่งเครื่องกลับ อย่างอแงน่าบอสพรุ่งนี้ผมจะไปทำงานแน่ๆ ครับ แค่นี้นะครับจะขับรถ”

รถญี่ปุ่นเคลื่อนตัวออกไปสักพักแล้ว หากสิงห์ยังยืนอยู่ที่เดิม หวนนึกวันที่นอนกอดกันแล้วเขาถามอิงค์ว่าชอบเขาที่ตรงไหน

“ตรงที่พี่ทำให้ผมยิ้มได้อีกครั้ง”

นั่นไม่ใช่คำตอบเรื่อยเปื่อย ไม่ใช่คำตอบเพื่อเอาอกเอาใจเขา แต่มันคือคำตอบที่จริงใจที่สุดของคนที่กำลังไขว่คว้าหาแสงสว่างในวันที่มืดมนที่สุดและพยายามจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง

หลังจากไปส่งกาแฟกลับมาอิงค์ก็ไม่มีแรงจะเปิดร้าน เขาพลิกป้ายเป็น ‘ปิด’ แล้วเดินไปนั่งลงหลังเคาน์เตอร์มองเหม่อดูเสือน้อยที่กำลังเล่นกับแมลงปีกแข็งตัวเล็กที่บินหลงเข้ามาตรงพื้นร้าน คิดในใจว่าเป็นแมวนี่ดีจังเลยนะ ไม่มีเรื่องกลุ้มใจอะไรให้คิด ดูชีวิตมีความสุขจัง ไม่เหมือนกับเขาเลยสักนิด

กับพี่สิงห์ก็จบกันแล้ว...

ส่วนดามก็กลับกรุงเทพไปแล้ว...

และพ่อกับแม่ก็คงกำลังสบายดีอยู่ที่ไหนสักแห่งบนฟ้า...

ตอนนี้ก็คงเหลือแค่ตัวเขากับ It’ sra...

และเสือน้อยเท่านั้น…

อิงค์หยิบอาหารเม็ดขึ้นมาเม็ดหนึ่งแล้วโยนส่งให้เจ้าแมวส้มที่รีบตะครุบกินทันที เขาหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยและฟุบหน้าลงกับเคาน์เตอร์มองเสือน้อยที่หันไปเล่นกับแมลงต่อพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อยส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องจะเอายังต่อดี เขาคงไม่กลับกรุงเทพแน่ๆ แต่ถ้าไม่ฝากขายกาแฟแล้วจะมีวิธีไหนที่จะช่วยเพิ่มรายได้ได้อีก ค่าอาหารเสือน้อยราคาก็ไม่ถูก แล้วเดี๋ยวก็ต้องพาไปฉีดวัคซีนอีก เขาจะเป็นอะไรไม่ได้ งานก็ต้องทำ เขามีเสือน้อยต้องดูแลและก็เพื่อตัวเขาเองด้วย

แล้วความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจที่สะสมมาหลายวันก็ค่อยๆ ดึงอิงค์ให้หลับไปในที่สุด

ภาพสุดท้ายก่อนที่สติจะเลือนไปคือเจ้าลูกแมวส้มส่งเสียงร้องเหมียวๆ และคลอเคลียอยู่ตรงท่อนแขนของเขา

...เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปนะเสือน้อย...

อิงค์รู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกทีเพราะเสียงปึงปังที่หน้าต่างและประตู เขามองออกไปข้างนอกที่ท้องฟ้ามืดครึ้มและสายฝนซึ่งซัดสาดเข้ามาตรงหน้าต่างที่เขาไม่ได้ปิดทำให้พื้นร้านเปียกไปหมด

อิงค์ลุกพรวดไปปิดหน้าต่างก่อนที่น้ำจะท่วมพื้นและทำข้าวของเสียหาย เขาเดินสำรวจดูรอบๆ ร้านเห็นว่าน้ำไม่ได้ทำอะไรพังก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีของสำคัญอย่างหนึ่งหายไป

“เสือน้อย!”

อิงค์ร้องเรียกลั่นก่อนจะวิ่งพล่านไปทั่วร้าน เขาหาทั่วชั้นหนึ่งใต้ตู้ใต้โต๊ะเรื่อยไปจนถึงชั้นสอง เปิดดูบนเตียง ใต้ตู้เสื้อผ้า ในห้องน้ำ เขาหาจนครบทุกซอกทุกมุมของ It’ sra แต่ก็ไม่มีวี่แววของเจ้าลูกแมวส้มเลย

อิงค์รู้สึกใจคอไม่ดีแล้วตอนนี้ เขามองออกไปนอกหน้าต่างที่พายุฝนยังคงซัดสาดอย่างหนัก คิดว่าเสือน้อยคงพลัดหลงออกไปตอนที่เขาเผลอหลับแน่ๆ จึงรีบหยิบร่มแล้ววิ่งฝ่าฝนออกไปตามหารอบๆ ร้าน ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ พงหญ้า เสาไฟฟ้าหรือถังขยะ

บอยกับสารสาที่เพิ่งเลิกเรียนและตั้งใจจะมาหาอะไรกินที่ It’ sra เห็นเจ้าของร้านวิ่งวุ่นตากฝนอยู่ก็ตะโกนถามแข่งกับเสียงฝน

“พี่อิงค์หาอะไรอยู่เหรอครับ!”

“เสือน้อย!” อิงค์ตอบ “เสือน้อยหายไป ฉันหาตั้งนานแล้วยังหาไม่เจอเลย”

“เดี๋ยวพวกเราช่วยหานะคะ” สารสารีบบอก “ไปกันเถอะบอย”

ผ่านไปหลายชั่วโมงจนเริ่มมืดค่ำ ทั้งสามก็กลับมาเจอกันที่หน้าร้าน It’ sra อีกครั้ง

“หาเจอไหม” อิงค์ถามอย่างมีความหวัง

สารสากับบอยส่ายหน้า “ไม่เจอเลยค่ะ”

“เราวนหาจนทั่วแถวนี้แล้ว ไม่รู้มันไปแอบอยู่ที่ไหน” บอยบอก

อิงค์หน้าเสีย “ตอนนี้ค่ำแล้ว บอยกับรสากลับบ้านไปก่อนเถอะ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะเป็นห่วง ขอบคุณมากนะที่ช่วย”

“พี่อิงค์ก็พักด้วยนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้ารสากับบอยมาช่วยหาใหม่นะ”

“ขอบใจนะ” อิงค์รับคำ แต่พอทั้งสองคล้อยหลังออกไปจากร้าน เขาก็คว้าร่มแล้ววิ่งตากฝนออกไปอีกครั้ง

แต่ไม่ว่าจะหาสักเท่าใด ไม่ว่าจะตามต้นไม้ทุกต้น ต้นหญ้าทุกกอ ข้างขยะทุกใบ ถนนทุกสายในละแวกร้านที่อิงค์จะสามารถจินตนาการได้ว่าลูกแมวตัวเล็กๆ อายุไม่ถึงหกเดือนจะวิ่งไปถึงได้ ก็ไม่เจอตัวเสือน้อย

สุดท้ายเขาก็กลับมาที่ It’ sra ตอนฟ้าใกล้สางในสภาพหมดแรงอ่อนล้าเต็มที เขาเปิดประตูเข้าไปในร้านที่แสนเงียบเชียบ กวาดตามองไปทั่วร้านที่ในห้วงเดือนที่ผ่านเคยเห็นเจ้าแมวส้มมาร้องเหมียวๆ คลอเคลียเกาะแข้งเกาะขาจนชินตา แต่ทว่าตอนนี้ไม่มีแม้เงาของมัน

“เสือน้อย”

อิงค์ร้องเรียกออกไปด้วยเสียงที่แหบแห้ง หากเจ้าของชื่อก็ไม่ตอบรับและเดินมาหาเหมือนทุกครั้ง เขาก้าวขาที่ชาไปหมดเพราะเนื้อตัวเปียกปอนและอากาศก็เย็นจัด รู้สึกว่าตัวเองเซนิดๆ เขาพยายามเดินแม้จะเชื่องช้า ไปจนถึงตรงบริเวณที่วางชามข้าวของเสือน้อย ยังมีอาหารเม็ดใส่อยู่เต็มเหมือนตอนที่เขาเทไว้ก่อนจะหลับไป

เขาทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างอ่อนแรงแล้วชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นมากอดไว้

ข้างนอกฝนตกหนักขนาดนั้นแกไปขดตัวนอนหนาวอยู่ที่ไหน... ฟ้าผ่าน่ากลัวจะแอบกับแขนใคร... จะหิวหรือเปล่า... จะมีใครเอาข้าวให้กินไหม... จะบาดเจ็บได้แผลหรือเปล่า... ยังปลอดภัยดีอยู่ใช่ไหม... แกหายไปอยู่ที่กันนะเสือน้อย

อิงค์รู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ที่หยดเป็นสาย มันไม่ได้มาจากเรือนผมที่เปียกจนชุ่มแต่มันไหลรินมาจากดวงตาทั้งสองข้าง เขาก้มหน้าลงซุกกับหัวเข่า

เสียงฟ้าผ่าดังลั่นนอกหน้าต่างราวกับฟ้ากำลังตะโกนใส่หน้าว่าเขาไม่เหลือใครแล้วจริงๆ




ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: Last Room บทที่ 17(25/10/2019) p.4
«ตอบ #102 เมื่อ25-10-2019 21:05:15 »

 :pig4: :pig4: :pig4:


หง่ะ   ชีวิตอิงค์ทำไมเคราะห์ซ้ำกรรมซัดขนาดเน้

ป.ล. ขอให้เสือน้อยถูกพ่อมันพาไปดูแลระหว่างที่อิงค์หลับเถอะนะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: Last Room บทที่ 17(25/10/2019) p.4
«ตอบ #103 เมื่อ25-10-2019 21:29:11 »

 :mew2: :mew2: :mew6: :mew6:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Last Room บทที่ 17(25/10/2019) p.4
«ตอบ #104 เมื่อ25-10-2019 21:45:11 »

สงสารรรร

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: Last Room บทที่ 17(25/10/2019) p.4
«ตอบ #105 เมื่อ25-10-2019 22:38:03 »

 o18


 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ NUTSANAN

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1031
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-3
Re: Last Room บทที่ 17(25/10/2019) p.4
«ตอบ #106 เมื่อ25-10-2019 23:45:13 »

สงสารอิงค์มากก  :m15:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: Last Room บทที่ 17(25/10/2019) p.4
«ตอบ #107 เมื่อ26-10-2019 03:31:13 »

ดราม่าไปอีก

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: Last Room บทที่ 17(25/10/2019) p.4
«ตอบ #108 เมื่อ26-10-2019 07:21:53 »

สงสารอิงค์ ถ้าพี่สิงห์ยังคิดไม่ได้ล่ะก็ เราจะเชียร์ให้ดามพาอิงค์กลับไปอยู่กรุงเทพแล้วนะ

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Last Room บทที่ 17(25/10/2019) p.4
«ตอบ #109 เมื่อ26-10-2019 11:46:02 »

มาม่าได้อีกพร้อมๆ  :o12:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Last Room บทที่ 17(25/10/2019) p.4
« ตอบ #109 เมื่อ: 26-10-2019 11:46:02 »





ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 17(25/10/2019) p.4
«ตอบ #110 เมื่อ27-10-2019 14:27:03 »

บทที่ 18

ยามเช้าของข่วงเมืองสิงห์เมื่อไม่มีชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟแวะมาทักทายก็เงียบเหงาไปถนัด ถึงเมื่อวานอิงค์จะบอกชัดเจนแล้วว่าจะไม่มาอีกแต่ป้าสำลีกับมอญก็ยืนอยู่ที่หน้าประตูชะเง้อชะแง้คอมองผ่านสายฝนออกไป หวังว่าจะเห็นรถมอเตอร์ไซค์ที่เคยคุ้นตาขับเข้ามาจอดเหมือนอย่างเคย

จนเวลาล่วงไปจนถึงเย็น ฝนที่ตกมาตั้งแต่เมื่อวานก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะซาเม็ดเช่นเดียวกับป้าสำลีและมอญที่ยังไม่เลิกนั่งรออิงค์อยู่ที่หน้าประตูข่วงเมืองสิงห์

“คุณอิงค์ไม่คิดจะมาเอาค่ากาแฟที่มาส่งให้เราเมื่อวานเหรอป้า” มอญถามเศร้าๆ พลางล้วงเงินที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อออกนับเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ในรอบวันทั้งที่มันก็ไม่ได้หายไปไหนยังอยู่ครบทุกบาททุกสตางค์

ป้าสำลีส่ายหน้า “ป้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ตอบพลางก้มลงมองกล่องอาหารในมือที่ใส่กับข้าวไว้คอยท่าตั้งแต่เช้า จนถึงตอนนี้เปลี่ยนของข้างในไปสามรอบแล้วแต่คนที่อยากให้ก็ยังไม่วี่แววจะมารับไป

“คุณอิงค์ไม่ตอบข้อความหนูตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะป้า” มอญเปรยขึ้นเบาๆ พลางหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดข้อความที่ส่งไปบอกฝันดีให้ดู “ปกติคุณอิงค์จะตอบทันทีเลยนะ”

ป้าสำลีหยิบโทรศัพท์ของตนออกมาดูบ้างข้อความสวัสดีวันอังคารก็ยังไม่โดนเปิดอ่าน “คุณอิงค์ก็ไม่ตอบป้าเหมือนกัน”

สิงห์ที่ทำเป็นไม่สนใจแต่แอบสังเกตการณ์อยู่ตลอดรู้สึกใจคอไม่ดีแปลกๆ อิงค์จะโกรธหรือไม่พูด ไม่มาหาเขานั่นเขาเข้าใจดี แต่ถึงขั้นไม่ตอบข้อความป้าสำลีกับพี่มอญนี่มันก็ดูผิดวิสัยเจ้าตัวไปหน่อย เขาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดอ่านข้อความที่อิงค์ส่งมาขอโทษอีกครั้ง


พี่สิงห์ผมขอโทษ

พี่สิงห์พรุ่งนี้ผมไปหานะ

พี่สิงห์อยากกินกาแฟกับอะไร

พี่สิงห์อยากได้อะไรผมยอมทำทุกอย่างเลย ผมจะไม่เบี้ยวนัดอีกแล้ว พี่สิงห์ตอบผมหน่อยนะ

คุณพ่อเสือน้อยเลิกงอนได้แล้ว แม่เสือน้อยคิดถึงนะ

พี่สิงห์ผมขอโทษ ยกโทษให้ผมนะ

พี่สิงห์ผมมาถึงงานแล้วนะ

พี่สิงห์อยู่ไหนครับ

คิดถึงพี่สิงห์นะ

อยากเจอพี่สิงห์จัง


ตั้งแต่เมื่อวานเขาอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจำทุกข้อความนั่นได้ขึ้นใจ อยากพิมพ์ตอบไปใจแทบขาด ว่ายกโทษให้แล้ว ทุกอย่างเป็นความผิดของเขา เขาโง่เอง คิดถึงเหมือนกัน แต่ใจก็ไม่กล้าพอจะทำ

อยากจะบอกว่ารักเธอมากมาย แต่คิดได้ตอนนี้ก็คงจะสายเกินไปเสียแล้ว

ระหว่างที่กำลังนั่งอ่านทวนข้อความนั่นอีกครั้งสิงห์ก็ได้ยินเสียงป้าสำลีร้องขึ้น

“จริงเหรอรสา!”

ป้าสำลีที่เป็นห่วงอิงค์จนทนไม่ไหว ตัดสินใจลองโทรถามสารสาเพราะเห็นว่าช่วงนี้สนิทกันและอิงค์ก็แวะเอากาแฟไปส่งให้ที่ร้านจามจุรีด้วย เขาไม่ได้เอาไปฝากขายแต่เจ้าของร้านสั่งมากินเองเพราะตอนนี้คุณปองชัยติดกาแฟฝีมืออิงค์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วหลังจากที่อิงค์ฝากสารสาเอาไปให้ชิม

“ขอบคุณมากนะจ๊ะ”

ทันทีที่ป้าสำลีวางสายจากสารสาเธอก็วิ่งไปหยิบเสื้อกันฝน เอากล่องอาหารที่เตรียมไว้ใส่ตะกร้าแล้วจ้ำพรวดไปที่มอเตอร์ไซค์จ่ายตลาดคู่ใจ

“นั่นป้าสำลีจะออกไปไหนน่ะ” สิงห์ตะโกนถามออกไป

“ไปหาคุณอิงค์ค่ะ” ป้าสำลีบอก “คุณรสาบอกว่าเสือน้อยหายไปตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อเช้าคุณบอยแวะไปหาที่ร้านแล้วเห็นว่าร้านปิดคิดว่าคุณอิงค์ต้องออกไปหาเสือน้อยแน่ๆ ป้าจะไปช่วยคุณอิงค์หาเสือน้อยค่ะ”

“จะบ้าหรือไงป้า ฝนตกหนักขนาดนี้อันตรายจะตาย”

“เดี๋ยวหนูไปด้วยป้า” มอญบอก

“ขึ้นมาเลยมอญ ป้าจะซิ่งแล้ว”

“ทั้งสองคนไม่ต้องไปไหนเลย นี่เวลางานนะ...”

“ป้าขอลาค่ะ แต่ถ้าลาไม่ได้คุณสิงห์จะตัดเงินเดือนป้าหรือจะไล่ป้าออกเลยก็ได้ ป้าทนทำงานกับคนใจร้ายอย่างคุณสิงห์ไม่ได้แล้ว”

“มอญด้วยค่ะ” มอญบอก “ออกรถเร็วป้า”

สิงห์รีบลุกขึ้นและเดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ “ทั้งสองหยุดเดี๋ยวนี้เลยลาองลาออกอะไร ฉันไม่อนุญาต ฉันให้ทั้งคนอยู่ที่นี่เพราะฉันไปหาเจ้าหนูนั่นเองต่างหาก”

“คุณสิงห์ไม่ต้องไปหรอกค่ะ” ป้าสำลีบอกเสียงห้วน

“ป้าว่าไงนะ”

“ก็คุณสิงห์ไม่ได้สนใจคุณอิงค์นี่นา แล้วจะไปทำไม”

“ก็ป้า…” สิงห์ยังพูดไม่ทันจบป้าสำลีก็แทรกขึ้นเสียก่อน

“ถ้าคุณสิงห์จะไปเพราะป้าไม่ต้องไปค่ะ คุณอิงค์ป้ารักของป้า ป้าจะไปดูเอง คุณสิงห์ไม่รักก็อยู่เฝ้าบ้านไปค่ะ” ป้าสำลีพูดจบก็หันไปหามอญ “จับแน่นๆ นะมอญ”

มอญพยักหน้า “จ๊ะป้า”


หลังจากถกเถียงกันอยู่นานสองนาน สิงห์ก็อาศัยความหนุ่มแน่นกว่ายื้อแย่งเอามอเตอร์ไซค์มาได้สำเร็จ เขาขับรถฝ่าสายฝนมายัง It’ sra เห็นรถมอเตอร์ไซค์ของอิงค์จอดอยู่ในที่จอดแต่ร้านปิดสนิทไม่มีแม้แสงไฟสักดวงเล็ดลอดออกมา เขาทุบประตูร้องเรียกเสียงดังแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆ จึงถือวิสาสะใช้กุญแจที่เจ้าของบ้านให้มาและยังไม่ทวงคืนไขเข้าไป

“อิงค์!”

สิงห์กวาดตามองไปรอบร้านเห็นรอยน้ำฝนซึมเข้ามาตามหน้าต่างเลอะเต็มพื้น รอยรองเท้าเปื้อนโคลนเดินย่ำไปทั่ว และมันหายไปด้านหลังร้าน เขาจึงเดินตามรอยเท้านั่นเข้าไป พอเห็นเจ้าของรอยเท้านั่นนอนฟุบอยู่บนพื้น ใจก็ร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขารีบโผเข้าไปนั่งข้างๆ แล้วประคองตัวร่างโปร่งขึ้นมานอนบนตัก เรือนผมนั้นชื้นและเย็นเฉียบ หน้าซีดขาวจนเหมือนกระดาษ เสื้อผ้าที่สวมใส่ยังชุ่มน้ำและเปรอะเปื้อนคราบดินโคลน ในขณะที่ผิวเนื้อนั้นร้อนผ่าวจนเขาสะดุ้ง

“อิงค์… ตื่นสิอิงค์… เป็นไงบ้าง” สิงห์ร้องเรียกอย่างร้อนใจพลางตบมือเบาๆ ลงบนข้างแก้ม แต่อิงค์ก็ยังไม่ยอมลืมตาขึ้นมา เขาเหลียวมองซ้ายขวาเพื่อหาที่นอนพักและก็เห็นที่เหมาะๆ กำลังจะอุ้มตัวขึ้นคนในอ้อมแขนก็ปรือตาขึ้นมาพอดี

“พี่สิงห์?”

“ตื่นแล้วเหรอ” สิงห์ถอนหายใจ “โล่งอกไปที ฉันนึกว่าเธอจะเป็นอะไรไปแล้วเสียอีก ตัวเธอร้อนจี๋เลย”

อิงค์เริ่มได้สติเต็มที่และรู้ตัวว่ากำลังโดนอุ้มอยู่ก็รีบขืนตัวออกห่างถอยหนีไปจนติดกำแพง “คุณสิงห์มาที่นี่ทำไมครับ”

ท่าทีรังเกียจและสรรพนามที่เปลี่ยนไปทันทีทำให้สิงห์รู้สึกเจ็บแปลบในอก แต่จะโทษใครได้ล่ะ ก็ในเมื่อทั้งหมดนี้เขาทำตัวเองทั้งนั้น “ก็มาหาเธอน่ะสิ”

“หาผม? มีธุระอะไรกับผมอีกล่ะครับ” อิงค์ถามเสียงห้วน “ก็เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้วนี่นา”

“ทำไมถึงพูดจาตัดรอนกันแบบนั้นล่ะอิงค์ ฉันเป็นห่วงเธอมากก็เลยมาหาเธอนะ” สิงห์พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แต่ดูเหมือนคนที่กำลังโกรธและน้อยใจซ้ำยังมีไข้สูงจะหูอื้อตาลายไม่ยอมฟังสิ่งที่เขาพยายามอธิบายเลยสักนิดแถมยังคิดเลยเถิดไปกันใหญ่อีก

“หรือว่าอยากมานอนด้วย... จริงสินะ ผมเคยบอกไว้นี่นา ว่าถ้าอยากได้ก็มา แต่ขอโทษนะครับ ไว้วันหลังแล้วกันวันนี้ผมไม่อยากทำ”

“ฉันไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้นสักหน่อย”

“แล้วคุณมาที่นี่ทำไม”

“เพราะฉันเป็นห่วงเธอน่ะสิ แล้วฉันก็อยาก...”

“ถ้างั้นก็กลับไปได้แล้วครับ ผมไม่ได้ต้องการความเป็นห่วงจากคุณ”

“นี่เธอช่วยฟัง…”

“ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก ช่วยกลับไปด้วยครับ”

“ฉันไม่กลับ”

“แล้วผมต้องทำยังไงคุณถึงจะกลับล่ะ!” อิงค์ตะเบ็งเสียงที่แหบเพราะพิษไข้ถามออกไป “ก็ได้… เรามาทำให้มันจบๆ ไป แล้วคุณก็ช่วยกลับไปด้วยนะครับ” พูดจบอิงค์ก็ถอดเสื้อออกโยนไว้ข้างตัว

สิงห์เม้มปากสนิท เขาไม่ได้อยากใจร้ายกับคนป่วยหรอกนะแต่ในเมื่อเข้าใจผิดขนาดนี้ก็ต้องตามน้ำไปก่อนแล้วกัน “เธอจะเอาอย่างนั้นใช่ไหม... งั้นฉันก็ไม่เกรงใจแล้วนะ”

“นี่คุณจะทำอะไรน่ะ” อิงค์ร้องเสียงดังเมื่อคนตัวโตเข้ามาจับเขาอุ้มลอยขึ้นจนได้ แล้วพาเดินไปห้องน้ำ

“ตัวเธอสกปรกขนาดนี้จะให้ฉันเอาลงได้ยังไง” สิงห์ว่าแล้วประคองให้ร่างโปร่งให้ยืนลงบนพื้น “ฉันจะอาบน้ำให้”

“ไม่ต้อง! ผมอาบเอง” อิงค์ทั้งดิ้นรนและพยายามผลักเขาออกไป “ปล่อยผม!”

สิงห์จึงต้องออกแรงจัดการคนป่วยหนักหากยังมีแรงพยศ เขาใช้มือข้างหนึ่งล็อกรอบเอวสอบในขณะที่อีกมือจัดแจงถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือแต่ตัวเปล่าๆ

เขาคว้าฝักบัวขึ้นมาแล้วเปิดจนสุด พอสายน้ำเย็นฉ่ำพุ่งไปกระทบผิวเนื้อ คนในอ้อมแขนก็สะดุ้งเฮือกด้วยความหนาวสะท้านและเผลอเข้าซุกตัวในอกตัวกว้างแน่น

“หนาวเหรอ” สิงห์ถามเสียงนุ่ม แต่อิงค์ก็เอาแต่กัดฟันแน่นไม่ยอมตอบทั้งที่ริมฝีปากสั่นระริก “บ้านเธอไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น อดทนหน่อยนะฉันจะพยายามอาบให้เสร็จเร็วๆ”

“ผมอาบเองได้ เดี๋ยวคุณก็เปียกไปด้วยหรอก” อิงค์พูดเสียงเบาพลางยกมือขึ้นปิดของสงวน จู่ๆ ก็นึกอายขึ้นมาทั้งที่เห็นร่างเปลือยกันมาก็หลายต่อหลายครั้งแล้ว

“ไม่เอาหรอกเดี๋ยวเธออาบไม่สะอาด” สิงห์กระซิบที่ข้างหูแล้วเทแชมพูลงบนมือก่อนจะขยี้ลงบนศีรษะ “หลับตานะเดี๋ยวฟองเข้าตา”

อิงค์ทำตามเพราะตัวเองก็ทนมองหน้าคมนั้นไม่ไหวเหมือนกัน

แต่ยิ่งหลับตายิ่งทำให้อิงค์รู้สึกสัมผัสชัดเจนขึ้น ฝ่ามือใหญ่ที่ลูบไล้ไปบนผิวกายนั้นอ่อนโยนทะนุถนอมไม่ได้ทำรุนแรงใส่ให้ระคายเคืองผิวสักนิด แล้วสิงห์ก็ไม่ได้พูดจาร้ายๆ หรือกระแทกแดกดันแต่น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลน่าฟังจนเขาเกือบจะเคลิ้มตามหลายต่อหลายครั้ง อิงค์จึงพยายามกัดฟันเงียบไว้ไม่โต้ตอบใดๆ เพราะกลัวตัวเองจะใจอ่อนเผลอหลงไหลไปกับความใจดีและให้ใจเขาไปอีก

พอล้างฟองออกจากตัวจนหมดสิงห์ก็คว้าผ้าเช็ดตัวมาห่อร่างโปร่งจนมิดแล้วอุ้มไปนั่งที่เตียง

“อาบน้ำเสร็จแล้วก็ทำสักทีสิ” อิงค์ว่าคนที่ไม่ยอมทำอะไรสักอย่างเอาแต่เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ทุกซอกทุกมุมไม่เว้นแม้แต่ปลายเท้าแถมยังใส่เสื้อผ้าให้อีกต่างหาก “จะใส่ทำไมเดี๋ยวก็ถอดแล้ว”

สิงห์เอื้อมมือไปรั้งตัวร่างโปร่งมานั่งลงบนตักเอาตัวเองห่มให้ต่างผ้าเพิ่มความอบอุ่นให้ ก่อนจะคลุมผ้าเช็ดตัวลงบนศีรษะ “เช็ดผมให้แห้งก่อน ฉันไม่ชอบน้ำหยดเลอะเทอะ”

“ผมแห้งแล้ว” อิงค์พึมพำ “รีบทำให้มันจบๆ ไปสักทีเถอะ”

“เร่งจังเลยนะ” สิงห์ว่าพร้อมกับวางคางเกยลงบนบ่า แล้วค่อยสอดมือลงไปตรงขอบกางเกงนอน

“เดี๋ยวก่อนครับ” อิงค์คว้าข้อมือเขาไว้ “นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ ทำเสร็จแล้วก็ทางใครทางมันนะครับ”

สิงห์ขบกรามแน่น เขาไม่ตอบรับคำพูดนั้นและกระซิบที่ข้างหู “อ้าขาออกสิ... รู้งานหน่อย”

เรียวขาขยับแยกออกจากกันช้าๆ เปิดทางให้มือใหญ่เคลื่อนเข้าสัมผัสได้อย่างถนัดถนี่ ร่างโปร่งสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อปลายนิ้วเย็นแตะลงมาบนจุดอ่อนไหวแล้วกอบกุมไว้ อิงค์กัดฟันแน่น เขาอยากให้สิงห์ลงมือรุนแรงกว่านี้ จะกระแทกกระทั้นใส่เข้ามาหรือจะบังคับข่มขืนเขาไปเลยก็ได้ เขาจะได้รู้สึกโกรธเกลียดอีกฝ่ายได้อย่างเต็มที่และตัดใจให้มันจบๆ ไปเสีย แต่สิ่งที่สิงห์ทำนั้นนุ่มนวลค่อยเป็นค่อยไป ราวกับกำลังประคองตัวเขาให้ล่องลอยขึ้นไปช้าๆ จนเมื่อมันสูงขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกเสียวซ่านก็บีบรัดหัวใจแน่น ลมหายใจเริ่มปั่นป่วน ถึงอุณหภูมิกายจะร้อนอยู่แล้วแต่บริเวณที่มือใหญ่นั้นสัมผัสกลับร้อนยิ่งกว่า

สิงห์แตะปากลงบนบ่าลาดแล้วจูบไล่ขึ้นไปตามลำคอขาวจนมาถึงข้างแก้ม

“อย่าครับ… อย่าจูบ” อิงค์รำพึงพลางเบือนหน้าหนี

สิงห์ขยับริมฝีปากขึ้นมาขบเม้มเนื้ออ่อนที่ใบหูจนมันแดงไปหมดแล้วกระซิบเบาๆ ด้วยน้ำเสียงออดอ้อนที่แสดงถึงความต้องการเต็มที่ “ฉันอยากจูบเธอ”

“คุณสิงห์…”

“ขอฉันจูบเถอะนะ”

อิงค์ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะต่อกรเขาได้ หรืออันที่จริงคือเขาไม่อาจต้านทานความต้องการของร่างกายตัวเองที่มันยังคงจดจำและตอบสนองสัมผัสจากผู้ชายคนนี้ได้ เขาปล่อยให้ริมฝีปากหยักลึกนั้นดูดดึงจนพอใจ เรียวลิ้นรุกรานเข้ามากวาดชิมความหวานจนทั่วโพรงปาก มือข้างหนึ่งล้วงเข้าใต้สาบเสื้อเค้นคลึงยอดอกเล่นจนมันรัดตึงไปหมด ในขณะที่อีกมือหนึ่งซึ่งครอบครองส่วนร้อนรุ่มไว้ก็ขยับปลุกเร้าต่อเนื่องจนอิงค์เผลอร้องออกมา

“อา... คุณสิงห์... อา...”

เสียงครางอย่างมีความสุขนั้นยิ่งกระตุ้นให้คนที่โอบกอดอยู่เร่งมือขึ้นอีก “เรียกพี่สิงห์สิ” เจ้าของชื่อกระซิบขอที่ข้างหู

“ไม่... ไม่เรียก...”

“ทำไมล่ะ” สิงห์กดปลายนิ้วเข้าที่ช่องทางซึ่งชุ่มชื้นจนมิดและถูเข้าถูออก “เธอยังโกรธฉันอยู่ใช่ไหม ฉันขอโทษนะที่เข้าใจเธอผิดไปแต่เธอก็เข้าใจฉันผิดเหมือนกันนะ ฉันไม่เคยคิดใช้เธอเป็นเครื่องมือแก้แค้นหรือเป็นตัวแทนใครเลยนะ”

“ผมไม่เชื่อคุณหรอก... คุณมัน... คนใจร้าย”

“เชื่อหน่อยเถอะนะ”

“ไม่เชื่อหรอก... อ๊ะ! ...” พอปลายนิ้วซึ่งสอดใส่เข้าไปแตะถูกเข้าที่ส่วนไวสัมผัสด้านในอิงค์ก็เริ่มตาพร่าไปหมด ปากบอกปฏิเสธแต่มือกลับเกาะยึดลำคอหนาเป็นหลักไว้แน่น สะโพกเริ่มอยู่ไม่ติดเตียงเมื่อสิงห์เลื่อนอีกมือลงไปขยับโยก เติมเต็มความต้องการทั้งด้านหน้าและด้านหลังพร้อมกลๆ กัน จนส่วนกลางลำตัวนั้นเปียกชุ่มไปหมดทั้งที่สิงห์เพิ่งจะเช็ดตัวให้จนแห้งไปแท้ๆ

ตอนนี้อิงค์ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้อีกแล้ว เขาพ่ายแพ้หมดรูปและเป็นฝ่ายอ้าปากเรียกร้องขอจูบเสียเองซึ่งสิงห์ก็ช่วยปรนเปรอให้จนล้นพร้อมกับเร่งมือขึ้นอีก

และอีกไม่กี่นาทีต่อมาร่างโปร่งก็เกร็งจับแขนแกร่งไว้แน่น ปลายเท้าจิกเตียงจนผ้าปูที่จนยับย่น

“ม… ไม่ไหว... ผมไม่ไหวแล้ว… อ๊ะ…”

เมื่อความต้องการถูกตอบสนองถึงขีดสุด ร่างกายก็กระตุกอย่างแรงก่อนจะผ่อนคลายลง แล้วอิงค์ก็ผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของเขา

“หลับได้สักทีนะ ขนาดป่วยอยู่แท้ๆ ยังฤทธิ์เยอะเสียจริง” สิงห์พึมพำก่อนจะจับตัวร่างโปร่งให้นอนลงในท่าที่สบาย ดูแลเช็ดเนื้อตัวที่เปรอะเปื้อนจนสะอาดแล้วห่มผ้าให้เรียบร้อย

เขาเท้าแขนข้างหนึ่งลงกับเตียงคร่อมตัวร่างโปร่งที่หลับสนิทไว้ จ้องมองคนที่มักส่งยิ้มมาให้เขาเสมอๆ แต่ตอนนี้บนใบหน้านั้นกลับมีแต่รอยน้ำตา สิงห์ก้มหน้าลงจูบซับน้ำตาให้จนหมดแล้วเลื่อนริมฝีปากไปหยุดที่กลางหน้าผาก

“ขอโอกาสให้ฉันได้เป็นคนที่ทำให้เธอยิ้มได้อีกสักครั้งเถอะนะ”


อิงค์เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งเพราะรู้สึกถึงฝ่ามือที่ลูบไล้อยู่บริเวณใบหน้าเรื่อยลงไปตามลำคอและส่วนอื่นๆ ของร่างกาย สัมผัสนั้นเย็นสบายและก็นุ่มนวลเหลือเกินจนเขาขยับเข้าหาอย่างเผลอไผล จมูกได้กลิ่นหอมเย็นที่ให้ความรู้สึกสดชื่น และแว่วได้ยินเสียงทุ้มพูดกระซิบอะไรสักอย่างที่ข้างหู มันเป็นความรู้สึกอบอุ่นราวกับกำลังถูกใครโอบกอดเอาไว้และขับกล่อมบทเพลงแสนหวานให้ฟัง

คนใจดีคนนี้เป็นใครกันนะ... อยากรู้จังว่าเขาเป็นใครกัน... จะใช่คนคนนั้นหรือเปล่า...

อิงค์ลืมตาขึ้นมา เขารีบหันไปมองข้างเตียงและพบว่าคนที่นั่งยิ้มอ่อนโยนอยู่นั้นคือป้าสำลี และความรู้สึกอบอุ่นนั้นก็มาจากผ้าห่มนวมลายแมวที่ห่อตัวเขาไว้แน่น

ไม่มีมือหรืออกอุ่นๆ ของใคร เขาคงฝันละเมอไปเอง และกลิ่นหอมเย็นที่ยังอวลอยู่ตรงปลายจมูกนั้นคงเป็นเพราะอาการไข้จึงทำให้การรับกลิ่นผิดเพี้ยนไป

เขาจับชายผ้าห่มยกขึ้นดม

...แต่ทำไมมันจึงเป็นฝันเพี้ยนๆ ที่เหมือนจริงเหลือเกินนะ...

“คุณอิงค์ตื่นแล้วเหรอคะ” ป้าสำลีร้องด้วยความดีใจพลางเสียบปรอทเข้าข้างรักแร้ของเขาก่อนจะดึงออกมาอ่าน “ไข้ลดลงแล้วนะคะเหลือ 38.5 องศา ทีแรกวัดได้ตั้ง 39 องศาแน่ะ ป้าตกใจแทบแย่”

อิงค์ยกมือขึ้นคลำบริเวณหน้าผากที่มีแผ่นเย็นลดไข้แปะอยู่ “ป้าสำลีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

ป้าสำลีนิ่วหน้าคิด “ก็สักพักแล้วล่ะค่ะ เห็นคุณสิงห์บอกว่าคุณอิงค์เหมือนจะมีไข้ให้ช่วยมาดูหน่อย... คุณอิงค์หลับไปนานเลย ไม่ได้ทานข้าวตั้งแต่เมื่อวานคงจะหิวน่าดู ลุกมาทานข้าวก่อนนะคะ”

อิงค์ค่อยลุกขึ้นนั่งและรับชามใส่ข้าวต้มหมูสับเห็ดหอมมาถือไว้แต่ก็ยังไม่ยอมกิน

“ป้าทำเองค่ะ” ป้าสำลีบอก “คุณอิงค์ทานเยอะๆ นะคะ ถ้าไม่อิ่มมีในหม้ออีก ป้าทำมาเยอะเลย ทานข้าวเสร็จจะได้ทานยานะคะ”

อิงค์พยักหน้า เขาค่อยตักข้าวต้มที่ยังร้อนอยู่ขึ้นเป่าแล้วเอาเข้าปาก ชั่วขณะที่รสชาติกำซาบที่ปลายลิ้นน้ำตาก็ซึมออกมาตรงหางตา

...ทั้งหมดนั่นมันไม่ใช่ความฝัน...

“คุณ... คุณอิงค์ร้องไห้ทำไมคะ ข้าวร้อนไปเหรอ หรือว่าป้าทำไม่อร่อย” ป้าสำลีละล่ำละลักถามและเข้ามาลูบไหล่ลูบหลัง

อิงค์ส่ายหน้า “อร่อยครับ... ผมแค่ซาบซึ้งใจน่ะที่ป้าอุตส่าห์เป็นห่วงและมาดูแลผม ขอบคุณนะครับป้าสำลี”

“โถๆ คนดีของป้า” ป้าสำลีลูบมือลงบนศีรษะ “ทานเยอะๆ นะคะ”

“ขอบคุณครับ” อิงค์ก้มศีรษะให้ครั้งหนึ่งและทานข้าวต้มต่อจนหมด

หลังจากดูจนอิงค์ทานข้าวทานยาและเข้านอนเรียบร้อยป้าสำลีก็เก็บของแล้วเดินลงไปที่ชั้นล่างซึ่งมีใครคนหนึ่งนั่งรออยู่

“เป็นไงบ้าง”

“ทานข้าวหมดและไข้ก็ลดลงบ้างแล้วค่ะ” ป้าสำลีรายงาน

สิงห์พยักหน้าพลางลุกขึ้นยืน “ป้า ผมฝากดูอิงค์ด้วยนะ”

“ได้ค่ะ” ป้าสำลีบอก

“ถ้าไข้ไม่ลดหรือไม่ยอมกินข้าวบอกผมนะ ผมจะมาลากไปโรงพยาบาล”

“แค่พาไปก็พอมั้งคะ อย่าถึงกับลากกันเลย”

“เจ้าหนูนั่นคงยอมให้ผมพาไปง่ายๆ หรอก” สิงห์ว่า “เออนี่ป้า ผมสั่งให้คนเอาเครื่องทำน้ำอุ่นมาส่งนะ ถ้าเขามาฝากป้าดูเขาติดตั้งให้เรียบร้อย แล้วกำชับด้วยว่าอย่าทำเสียงดังปลุกเจ้าหนูนั่นล่ะ”

“มืดค่ำป่านนี้แถมยังฝนตกหนัก มีคนยอมมาส่งด้วยเหรอคะ”

“เงินแก้ปัญหาได้” สิงห์ตอบเรียบๆ “พรุ่งนี้ตื่นมาจะได้มีน้ำอุ่นอาบ แล้วผมฝากป้าถามเจ้าหนูนั่นให้หน่อยว่าตอนเช้าอยากกินอะไรผมจะได้ไปหามาเตรียมไว้ให้”

ป้าสำลีถอนหายใจแรง ไม่รู้ว่าสิงห์จะปากแข็งใจแข็งอะไรนักหนา ตัวเองคอยเช็ดตัวอดหลับอดนอนนั่งเฝ้าเขามาทั้งคืนแถมยังเข้าครัวไปทำข้าวต้มเองกับมือ แต่พอตอนเขาจะตื่นกลับหนีออกมาถูพื้นที่ชั้นหนึ่งแล้วไล่ให้ป้าสำลีไปนั่งเฝ้าแทน และยังห้ามบอกอีกนะว่าตัวเองมา “คุณสิงห์คะ ป้าขอถามตรงๆ นะ คุณสิงห์ไม่รักคุณอิงค์เหรอ… สักนิดนึงก็ไม่เลยเหรอคะ”

สิงห์เงียบไปอึดใจนึกถึงฝ่ามือที่ผลักไสกับคำพูดที่ยังเต็มไปด้วยความโกรธขึง “ถึงอยากจะรัก เขาก็คงไม่ยอมให้ผมรักแล้วล่ะ”

“ก็ง้อสิคะ” ป้าสำลีว่า

“ผมทำไม่เป็นนี่นา”

“ไม่เห็นยากเลยค่ะ... คุณอิงค์ก็นอนป่วยอยู่เนี่ย ขึ้นไปดูแลเองสิคะมาฝากนั่นฝากนี่ป้าอยู่ได้ ป้าเป็นแม่นมแล้วก็เป็นแม่บ้านค่ะไม่ใช่พนักงานธนาคาร”

“เมื่อกี้กว่าจะจับเช็ดตัวเปลี่ยนชุดได้ห้องน้ำแทบแตก ป้าคิดว่าถ้าเขารู้ว่าข้าวต้มนั่นเป็นฝีมือผมเขาจะยอมกินเหรอ”

“เป็นป้า ป้าจะเอาสาดใส่หน้าคุณสิงห์ค่ะ”

“ป้า!” สิงห์ร้อง “นี่สิงห์นะ สิงห์เอง”

“รู้ค่ะ! จำได้! เลี้ยงมากับมือ”

“แล้วตกลงจะช่วยหรือจะแช่งเนี่ย” สิงห์ถามงอนๆ

“อยากช่วยค่ะแต่รำคาญคนลีลาเยอะ นี่ถ้าเป็นละครหลังข่าวป้าเปลี่ยนช่องหนีไปนานแล้วค่ะรำคาญพระเอก ลำไยจั๊ดหนักนัก” ป้าสำลีว่า “แล้วนั่นคุณสิงห์จะออกไปไหนอีกคะ ป้ายังบ่นไม่จบเลยนะ”

“ไปหาเสือน้อย”

“แทนที่จะไปหาแมว ตอนนี้คุณสิงห์เป็นห่วงคุณอิงค์ก่อนดีไหมคะ”

“ก็เพราะเป็นห่วงน่ะสิครับผมถึงต้องรีบหามันให้เจอ” สิงห์บอกพร้อมกับเดินออกประตูไป


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Last Room บทที่ 18(27/10/2019) p.4
«ตอบ #111 เมื่อ27-10-2019 19:49:07 »

 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: Last Room บทที่ 18(27/10/2019) p.4
«ตอบ #112 เมื่อ27-10-2019 19:51:47 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

เสือน้อย  หนูหนีไปเที่ยวไหนลูก  รีบกลับบ้านเถอะ  สังคมให้อภัยหนูแล้วนะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: Last Room บทที่ 18(27/10/2019) p.4
«ตอบ #113 เมื่อ27-10-2019 21:23:50 »

 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: Last Room บทที่ 18(27/10/2019) p.4
«ตอบ #114 เมื่อ28-10-2019 01:43:36 »

เสือน้อยหนูไปอยู่ที่ไหนลูก พ่อแม่เป็นห่วง ขอให้เจอเสือน้อยไวๆนะ

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Last Room บทที่ 18(27/10/2019) p.4
«ตอบ #115 เมื่อ28-10-2019 10:58:35 »

เสือน้อยไปเล่นซนแถวไหนกลับบ้านได้แล้ว

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: Last Room บทที่ 18(27/10/2019) p.4
«ตอบ #116 เมื่อ28-10-2019 13:02:21 »

 :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: Last Room บทที่ 18(27/10/2019) p.4
«ตอบ #117 เมื่อ28-10-2019 14:16:50 »

เสือน้อยหายไปไหนเนี่ย

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 18(27/10/2019) p.4
«ตอบ #118 เมื่อ29-10-2019 12:11:10 »

บทที่ 19

วันต่อมาฝนที่ตกต่อเนื่องมาหลายวันก็หยุดลงจนได้ ท้องฟ้ากลับมาแจ่มใสอีกครั้งเช่นเดียวกับอิงค์ที่ไข้เริ่มลง

ป้าสำลีกับมอญยังคงผลัดมาเฝ้าเขาตลอดเวลาแถมยังเอาอาหารมาให้ครบสามมื้อ แม้อิงค์จะขอร้องให้กลับไปหลายต่อหลายครั้งด้วยความเกรงใจ แต่ก็ไม่มีอะไรทัดทานทั้งสองคนได้อีกแล้วแม้แต่พายุฝน

นอกจากนั้นสิ่งที่สร้างความแปลกใจให้อิงค์ไม่น้อยคือยังมีคนอื่นแวะเวียนมาเยี่ยมเขาไม่ขาดทั้งบอยกับสารสาที่พาคุณปองชัยมาด้วยหลังจากปิดร้านตอนเย็นพร้อมกับขนมปังเนยสดอบใหม่ และปู่กมลกับอินถาที่หอบหิ้วเอาผลไม้กระเช้าใหญ่กับอาหารเสริมบำรุงร่างกายจากคุณเหมราชกับเกตถวามาให้

“หายไวๆ นะครับ” อินถาบอกพลางส่งจานใส่แอปเปิ้ลที่ปอกเปลือกแกะเป็นรูปกระต่ายอย่างปราณีตให้

“ขอบคุณครับ” อิงค์รับมาพินิจดู เจ้ากระต่ายแอปเปิ้ลนั่นน่ารักเกินไปจนเขาแทบไม่กล้ากิน

“คุณท่านกับคุณเกตถวาคืนดีกันแล้ว” ปู่กมลเล่าสถานการณ์ที่เฮือนไกรสรให้ฟัง “คุณสิงห์กลับไปขอโทษ ฉันไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่หรอกนะ แต่ได้ยินเสียงเอะอะมะเทิ่งออกมาจากในห้องอยู่เป็นนานเชียวล่ะ... แล้วพอวันต่อมาคุณท่านสงบใจลงได้ก็เลือกจะให้อภัยน่ะ คุณเกตถวาอยากมาเยี่ยมเธอด้วยตนเองและอยากมาขอโทษด้วย แต่ยังไม่กล้ามาเพราะกลัวว่าเธอจะยังโกรธอยู่เลยส่งให้ฉันมาดูลาดเลาก่อน”

“ถ้าเธออยากมาผมก็ยินดีต้อนรับครับ” อิงค์บอก

“แล้วนี่เธอกินข้าวหรือยัง ฉันเอาวัตถุดิบดีๆ มาด้วยนะ มีปลากับผักหลายอย่างเลยเดี๋ยวให้อินถาจัดการปรุงให้ เธออยากกินอะไรบอกมาได้เลย” ปู่กมลถาม

“เรื่องข้าวปลาไม่ต้องเป็นห่วงหรอกมีฉันดูแลอยู่ทั้งคน” ป้าสำลีแทรกขึ้นพร้อมกับยกถาดใส่หม้อข้าวต้มและชามใบเล็กเข้ามาวางบนโต๊ะ

“ไหนๆ มื้อนี้ทำอะไร” ปู่กมลทำจมูกฟุดฟิดและเอ่ยชื่อเมนูออกมาก่อนที่ป้าสำลีจะตักเสิร์ฟด้วยซ้ำ “ข้าวต้มหมูสับเห็ดหอมรึ? วันก่อนฉันมาเธอก็ทำเมนูนี้ ใจคอจะไม่ให้คนป่วยกินอย่างอื่นเลยหรือไงจ๊ะแม่สำลี”

“เพราะคุณอิงค์บ่นอยากทานน่ะสิ” ป้าสำลีว่าพลางหันไปยิ้มกับคนที่กำลังลงมือทานอย่างเอร็ดอร่อย “เอาน่า ไข้ลดแล้ว อยากทานอะไรก็ทานเถอะดีกว่าทานไม่ได้นะ ไว้หายก่อนป้าจะขุนให้อ้วนเลย”

“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วขอฉันชิมฝีมือเธอหน่อยสิ ไม่ได้กินมานานแล้วคิดถึงจัง” ปู่กมลบอก

“เอาสิ ฉันเตรียมชามมาเผื่อแล้ว อินถาก็ทานด้วยกันนะ” ป้าสำลียิ้มจนแก้มปริแล้วตักส่งให้ทุกคนนั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกัน

“ขอบคุณครับ” อินถารับมาตักชิมไปคำหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “รสมือคุณเปลี่ยนไปหน่อยนะครับ รสชาติกลมกล่อมดีก็จริงแต่วันนี้รู้สึกจะออกหวานนำนะ”

“อายุเยอะแล้วก็อย่างนี้แหละ มือไม่เที่ยง” ป้าสำลีรีบแก้ตัวพลางหัวเราะร่วน

“แต่ถ้าคนกินชอบก็พอแล้วนี่นา” ปู่กมลเอ่ยขึ้นพร้อมกับหลิ่วตาให้อินถาซึ่งพยักหน้าเข้าใจแล้วก้มหน้าก้มตากินต่อ เขาหันไปหาอิงค์และยิ้มให้ “กินเยอะๆ นะ คนทำเขาจะได้ดีใจ”

“อร่อยมากเลยครับ” อิงค์บอกกับป้าสำลี นั่นยิ่งทำให้เธอหุบยิ้มไม่ลงเลยทีเดียว

การที่ทุกคนผลัดกันมาเยี่ยมเขาไม่ขาดทั้งเช้าสายบ่ายเย็นนั้นทำให้อิงค์รู้สึกดีขึ้นมาก ถึงจะอยู่ต่างที่ต่างถิ่นหากก็ไม่ได้อยู่ลำพัง

แต่ว่า...

ถึงอาการทางกายจะดีขึ้นแต่อาการทางใจก็ยังย่ำแย่เพราะยังมีอีกหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวที่เขาอยากให้อยู่ด้วยแต่กลับหายไปเสียได้

สิงห์ไม่มาเยี่ยมเขาเลยแม้แต่วันเดียว ซึ่งนั่นเขาก็ทำใจไว้แล้วเพราะตัวเองเป็นคนบอกเองว่าไม่ต้องการเห็นหน้าอีก ส่วนอีกหนึ่งตัวที่ว่าก็คือเสือน้อย

ถึงสุดท้ายแล้วอิงค์จะหามันไม่เจอแต่เขาก็ยังคงวางชามข้าวของมันไว้ที่เดิม และคอยดูแลเปลี่ยนข้าวเติมน้ำสะอาดใส่ไว้ทุกวันเผื่อว่าวันใดมันกลับมาจะได้มีกิน

อิงค์แข็งแรงดีและกลับมาเปิดร้านได้ในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา แน่นอนว่าลูกค้าขาประจำอย่างบอยและสารสาไม่พลาดที่จะมาแน่ๆ แต่ก็มีคนที่เขาคาดไม่ถึงว่าจะมาเช่นกัน

สิงห์เดินเข้ามาในร้าน วันนี้เขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้าฝ้ายกับกางเกงผ้าตัวใหญ่ และปล่อยผมเผ้ารุงรังดูเซอร์ๆ เหมือนทุกวัน แต่กลับสวมเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงสแลคและมัดผมเรียบร้อย ในมือถือกุหลาบแดงแสนสวยมาช่อหนึ่ง

บอยกับสารสาถึงกับมองเหลียวหลังเพราะเกือบจำไม่ได้ก่อนจะหันกลับมาสบตาและแอบยิ้มให้กัน

“เราว่าง้อสำเร็จ” บอยกระซิบ “แต่งหล่อมาขนาดนี้”

“ความหล่อมีผลกับหัวใจตอนที่จีบ แต่ตอนที่ง้อนี่ต่อให้ใส่สูทผูกไทมาก็ไม่ช่วยนะจ๊ะ” สารสาบอก

“ถึงถือกุหลาบมาด้วยก็ไม่ช่วยเหรอ”

“ถ้าเป็นคนชอบดอกไม้ก็ไม่แน่ แต่เราว่ามุกนี้ใช้กับพี่อิงค์ไม่ได้”

“พนันกันไหมล่ะ” บอยท้า “ถ้าเราทายถูกรสาต้องให้เราหอมแก้ม แต่ถ้าเราทายผิดเราก็จะยอมให้รสาหอมแก้มเราแทน”

“ขี้โกงนี่! รสาไม่เล่นด้วยหรอก” สารสาพูดเขินๆ “บอยเงียบๆ หน่อยรสาจะแอบฟังว่าสองคนนั่นเขาคุยอะไรกัน”

สิงห์หยุดยืนมองคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ตรงประตูครู่หนึ่งก่อนจะรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหา

อิงค์หลบสายตาและเอ่ยทักออกไปตามมารยาทของคนเป็นเจ้าของร้าน “สวัสดีครับ”

“สวัสดี” สิงห์เอ่ยอย่างประหม่านิดๆ

“ผมจำได้ว่าเคยบอกคุณไปแล้วว่าไม่ต้องมาเจอกันอีก” อิงค์พูดเรียบๆ

“ฉันมาขอโทษ” สิงห์พยายามไม่สนใจท่าทีเย็นชานั่น เขาตัดสินใจแล้วว่ายังไงก็ต้องง้อให้สำเร็จ “ฉันพยายามส่งข้อความหาเธอเพื่ออธิบายเรื่องทั้งหมด แต่ดูเหมือนเธอจะบล็อกไลน์หนีฉันไปแล้ว... เป็นความผิดของฉันเองที่ใจร้อนและไม่เชื่อใจเธอ ให้ฉันสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรที่ไหนก็ได้ว่าฉันไม่เคยหลอกใช้เธอเป็นตัวแทนหรือเครื่องมือแก้แค้นเลยจริงๆ ... ขอโทษนะอิงค์ เธอจะยกโทษให้ฉันได้ไหม” เขาส่งช่อดอกไม้ในมือยื่นข้ามเคาน์เตอร์ไปให้

อิงค์เหลือบตาลงมองช่อกุหลาบก่อนจะตอบเสียงเบา “ผมยกโทษให้คุณได้ แต่มันจะไม่เหมือนเดิมครับ”

“ถ้าเธอยกโทษให้แล้ว ก็ช่วยรับมันไปได้ไหม” สิงห์ไม่ละความพยายาม “ส่วนเรื่องจะเหมือนเดิมหรือเปล่าเราค่อยมาคุยกันทีหลังก็ได้นะ”

อิงค์ยื่นมือไปรับช่อดอกไม้มาแล้ววางไว้ข้างตัว “หมดธุระแล้วก็กลับไปได้แล้วครับ”

“ยังไม่หมด” สิงห์รีบพูดต่อ “ฉันอยากมาสั่งกาแฟที่ร้านเธอไปวางขายที่ข่วงเมืองสิงห์อีก”

“ผมไม่ขายให้คุณครับ” อิงค์ตอบ

“ทำไมล่ะ ฉันเห็นเธอยังทำไปส่งที่อื่นอยู่เลยนะ ขอแบ่งให้ฉันบ้างไม่ได้เหรอ”

“ผมคิดการตลาดนี้ขึ้นมาเพราะอยากไปเจอคุณ แต่ตอนนี้ผมไม่อยากเจอคุณอีกแล้ว”

บอยทำเป็นเอามือเท้าคางเพื่อกระซิบคุยกับสารสา “ตามรถพยาบาลให้หน่อย ตรงนี้มีคนเจ็บหนักหนึ่งอัตรา”

“อะไรกันบอย แค่นี้ถอดใจง่ายๆ แล้วเหรอ” สารสาว่า “พวกผู้ชายนี่ไม่ได้เรื่องเลย”

“ประตูทีมพี่อิงค์เหนียวอะ” บอยรำพึง “ต้องรอดูว่าทีมพี่สิงจะบุกกลับยังไง”

“ถ้างั้นฉันขอสั่งกินแก้วนึง” สิงห์ยังไม่ละความพยายาม

“ผมไม่ขายให้คุณครับ” อิงค์ตอบ

สิงห์เงียบไปอึดใจ อันที่จริงเขาไม่อยากใช้ไม้นี้เลย แต่ถ้าอิงค์ใจแข็งขนาดนี้เขาก็ต้องทำ “เธอยังติดค้างฉันเรื่องเลี้ยงกาแฟแทนค่ารักษาเสือน้อยอยู่นะ” พูดจบก็รอดูท่าทีคนตรงหน้า

อิงค์เม้มปากสนิทครั้งหนึ่งก่อนจะตอบ “จะรับอะไรดีครับ”

“รับคนขายกลับบ้านที่นึง”

บอยตบตักฉาด “กองหน้าแม่งกล้าบุกเว้ย! เอาวะงานนี้ฉันทุ่มสุดตัวขอเชียร์ทีมพี่สิงห์”

สารสาเบะปากพร้อมกับชูนิ้วชี้ขึ้นตรงหน้าแล้วกระดิกไปมา “มุกโบราณน้ำเน่าจนยุงไม่กล้าวางไข่แบบนี้ ไม่มีใครเขาใจอ่อนง่ายๆ หรอกย่ะ”

เจ้าของร้านกาแฟหนุ่มยืนอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบ “ทางร้านเราไม่มีบริการนี้ครับ”

“ถ้างั้นฉันสั่งกินที่ร้านได้ใช่ไหม”

“ได้ครับ” อิงค์ตอบ “จะรับอะไรครับ”

“ฉันคิดถึงเธอนะ”

อิงค์เม้มปากสนิทและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ บอกตัวเองว่าอย่าใจอ่อนเด็ดขาด “เมนูนี้ทางเราไม่มีขายครับ”

“อิงค์...”

“ถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจจะดื่มกาแฟก็เชิญกลับไปได้แล้วครับ” เขารีบตัดบท

“ถ้างั้นก็เอาเหมือนเดิมที่นึง”

“เมนูนี้ทางร้านเราไม่มีครับ”

“ที่เธอเคยชงให้ฉันกินน่ะ”

“ผมลืมไปแล้วครับ” อิงค์บอก “ตกลงจะรับอะไรครับ”

สิงห์มีสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เขากวาดตามองเมนูอึดใจก่อนจะสั่ง “ถ้างั้นขอเป็นเอสเพรสโซร้อนแก้วนึง”

อิงค์เผลอขยับปากไปโดยอัตโนมัติเพื่อจะบอกคนกินหวานว่าเมนูนี้เป็นกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล แต่ก็ยั้งตัวเองไว้ได้ทัน เขารีบกดคิดเงินและส่งใบเสร็จให้โดยไม่มองหน้า “เชิญไปนั่งรอที่โต๊ะครับเดี๋ยวผมยกไปเสิร์ฟ”

แต่สิงห์ไม่ได้ขยับไปไหนไกลเขาเลือกนั่งเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ที่อยู่ตรงหน้าเครื่องชงกาแฟพอดีเพื่อจะได้ดูหน้าคนชงได้ชัดๆ

ครู่ต่อมาอิงค์ก็ยกกาแฟมาวางให้ สิงห์ยกขึ้นจิบไปเพียงเล็กน้อยก็รำพึงออกมา “ขม”

“เอสเพรสโซเป็นกาแฟเปล่าๆ ไม่ใส่อะไรเลยย่อมต้องขมอยู่แล้วครับ” อิงค์อธิบายไปตามหน้าที่

“กาแฟไม่ใส่นม ไม่ขมเท่าคนชงไม่ใส่ใจหรอก” สิงห์เปรยขึ้นเบาๆ เขายกกาแฟขึ้นดื่มจนหมดในครั้งเดียวและวางแก้วลง เขาทำท่าจะพูดอะไรต่อแล้วเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ดังขึ้นพอดีเขายกขึ้นดูก่อนจะกดรับ “ได้ครับ อีกห้านาทีเจอกันนะครับ” เขากดวางสายก่อนจะลุกพรวดขึ้น “พรุ่งนี้ฉันจะมาหาใหม่นะ”

อิงค์มองตามหลังคนที่จู่ๆ ก็มาแล้วจู่ๆ ก็รีบร้อนไป เขาก้มมองแก้วกาแฟที่สิงห์วางไว้ ยอมรับว่าเขารู้สึกงุ่นง่านในหัวใจมาก ส่วนหนึ่งก็รู้สึกดีใจที่สิงห์อุตส่าห์ง้อถึงที่ เมื่อกี้เขาแอบสังเกตเห็นว่าตรงมุมปากซ้ายของสิงห์มีรอยช้ำด้วย ถ้าเอามารวมกับเรื่องที่ปู่กมลเล่าจะเป็นไปได้ไหมว่าสิงห์ไปขอโทษคุณเหมราชแล้วโดนชกมา นั่นทำให้เขารู้สึกเห็นใจขึ้นมาก แต่อีกใจหนึ่งเขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าแล้วตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่เขานอนป่วยอยู่เจ้าตัวหายหน้าไปไหน ทำไมเพิ่งโผล่หน้ามาเอาตอนนี้ แล้วสายเรียกเข้าเมื่อสักครู่นี้ เสียงคนที่โทรมาเป็นผู้หญิงถามว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว

...ถ้าหากว่าสิงห์ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวล่ะ ที่แต่งตัวหล่อมาขนาดนั้นคงเพราะมีนัดกับเธอคนนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเลย...

พอคิดได้ดังนั้นแล้วอิงค์ก็เก็บถ้วยกาแฟเดินเข้าไปล้างที่หลังเคาน์เตอร์


วันรุ่งขึ้นสิงห์ก็ยังคงมาหาเขาเช่นเดิมในตอนเช้า เขามาพร้อมกับดอกไม้หนึ่งช่อ มาสั่งเอสเพรสโซร้อนนั่งดื่มหน้าเคาน์เตอร์พลางพยายามชวนอิงค์คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ ซึ่งอิงค์ก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างและตอบแค่อืออออพอไม่ให้เสียมารยาท และคิดว่าผ่านไปสักพักสิงห์ก็คงจะเบื่อและเลิกไปเอง

แต่จนล่วงเข้าสัปดาห์ที่สองสิงห์ก็ยังคงทำเหมือนเดิม สิ่งที่เปลี่ยนไปคือของฝากซึ่งบางวันก็เป็นขนม บางวันก็เป็นกับข้าว

ในส่วนของกองเชียร์เองก็ไม่พลาดที่ตามมาแอบสอดส่องทุกวันเช่นกัน

“พี่อิงค์แม่งใจแข็งว่ะ” บอยกระซิบกับสารสา

“ก็พี่สิงห์ทำตัวเอง” สารสาว่า

“แต่พี่สิงห์ก็ง้อแล้วนะ”

“ง้ออะไร แค่มานั่งกินกาแฟ พูดคนเดียวแล้วก็กลับเนี่ยนะ ไม่คิดจะเปลี่ยนแผนบุกเลยหรือไง” สารสาบอก “เล่นแต่แผนเดิมๆ ซ้ำๆ ซากๆ แบบนี้ถึงได้แพ้ไง บอยก็เป็นกองเชียร์ประสาอะไรไปช่วยติวหน่อยสิ”

“แหมมม รสาก็... ถ้าเราเชี่ยวขนาดนั้นเราจีบรสาติดตั้งแต่ม.สี่แล้วไหม ไม่รอจนถึงม.หกหรอก”

หญิงสาวถอนหายใจ ผู้ชายแถวนี้นี่ไม่ได้อย่างใจเธอสักคน

“พรุ่งนี้ฉันต้องไปธุระในเมือง อาจจะมาหลังเที่ยงนะ หรืออาจจะมาช่วงเย็นเลย” สิงห์เอ่ยขึ้นขณะนั่งจิบกาแฟตรงหน้าเคาน์เตอร์ที่เดิม วันนี้เขามาพร้อมกับปีกไก่หมักมะแขว่นทอดกรอบหนึ่งกิโลที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งร้านตอนเขาเดินเข้ามาพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ อีกหนึ่งกล่อง ทีแรกอิงค์ก็ไม่ได้อยากจะรับอาหารพวกนี้หรอกแต่เพราะสิงห์อ้างว่าป้าสำลีทำมาให้เขาจึงต้องรับไว้ไม่ให้เสียน้ำใจ

“แล้วแต่คุณครับ” อิงค์ตอบเรียบๆ “หรือจะไม่มาเลยก็ได้นะ”

“อย่าพูดจาตัดรอนกันแบบนั้นสิ” สิงห์ว่า เขายกกาแฟขึ้นซดจนหมดแก้ว เบ้หน้าเล็กน้อยกับความขมปร่าลิ้นแล้วลุกขึ้นยืน “พรุ่งนี้เจอกันนะ”

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 18(27/10/2019) p.4
«ตอบ #119 เมื่อ29-10-2019 12:11:49 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

วันรุ่งขึ้นหลังจากที่เปิดร้านไปได้สักพักแล้วอิงค์ก็พบว่านมข้นหวานที่ซื้อตุนไว้หมด เขาเหลียวมองไปรอบๆ ร้านเห็นยังไม่มีลูกค้ามาจึงปิดร้านชั่วคราวแล้วคว้ามอเตอร์ไซค์ขับเข้าไปในเมือง

ระหว่างทางไปร้านสะดวกซื้อนั้นต้องขับรถผ่านโรงพยาบาลสัตว์ซึ่งเขาเคยพาเสือน้อยมารักษาและฉีดวัคซีน ด้วยความคิดถึงเจ้าแมวส้มที่เอ่อล้นขึ้นมาเต็มหัวใจทำให้อิงค์ชะลอรถและจอดลงในที่สุด

เขาเงยหน้าขึ้นมองป้ายโรงพยาบาลก่อนจะลดสายตาลงมองเข้าไปตรงเคาน์เตอร์ด้านใน ภาพวันเวลาเก่าๆ ที่เขาเคยอุ้มเสือน้อยมานั่งรอเรียกตรวจย้อนกลับเข้ามาในความคิด

จนถึงตอนนี้อิงค์ทำทุกวิถีทางแล้วจริงๆ ทั้งปิดป้ายตามหาหน้าร้าน วางชามอาหารไว้หน้าบ้าน เหลือก็แต่วิธีโบร่ำโบราณที่ป้าสำลีเคยเล่าให้ฟังว่าให้ลองบอกไปกับแมวจรตัวอื่นๆ เผื่อว่ามันจะรู้จักหรือเจอเสือน้อยแล้วจะช่วยบอกให้มันกลับบ้าน ซึ่งวิธีนี้เขายังไม่ได้ลองทำเพราะยังไม่เจอแมวตัวไหนเลย อีกทั้งวันนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เข้าเมืองมาหลังจากหายไข้

อิงค์กวาดตามองไปรอบๆ แล้วก็บังเอิญเจอแมวสีดำตัวหนึ่งตรงหน้าถังขยะ เขารีบกระโดดลงจากรถแล้ววิ่งไปหาเจ้าแมวตัวนั้นทันที

“ขอโทษนะครับ” อิงค์นั่งยองลงข้างหลังเจ้าแมวดำที่หันมามองหน้าเขางงๆ “แกเคยเห็นลูกแมวสีส้มมีโบสีชมพูอันใหญ่ผูกอยู่ที่คอไหม.... เขาเป็นผู้ชายนะ ชื่อเสือน้อย ถ้าแกเจอฝากบอกเขาด้วยนะว่าอิงค์คิดถึงมาก ให้รีบกลับบ้านนะ”

เจ้าแมวดำเอียงคอไปมาก่อนจะเอาหัวมาถูที่มือของเขา

“แกเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม ฉันฝากแกไปบอกเพื่อนพี่น้องแมวตัวอื่นๆ ด้วยนะ”

เหมียว~

เจ้าแมวดำร้องเสียงดังก่อนจะสะบัดหางเป็นวงแล้ววิ่งหายเข้าไปในระหว่างซอกตึก

“ฉันฝากด้วยนะ” อิงค์ลุกขึ้นยืนและตะโกนตามหลัง เขามองส่งเจ้าแมวดำตัวนั้นจนมันวิ่งไปลับสายตาจึงหมุนตัวกลับมาเพื่อจะขึ้นรถมอเตอร์ไซค์

หากภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นทำให้เขาหยุดนิ่ง เมื่อคำขอร้องของเขาเป็นจริงขึ้นมาในบัดดล เจ้าแมวดำตัวนั้นกำลังเดินออกมาจากประตูโรงพยาบาลสัตว์พร้อมกับลูกแมวส้มตัวที่เขาตามหา เพียงแต่ว่าตอนนี้เจ้าแมวดำตัวนั้นกลับมาเดินสองขาและมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ผู้ชายที่มีผมยาว

“วันนี้เก่งมากเลยฉีดวัคซีนไม่ร้องสักคำนะลูกพ่อ วันนี้อยากกินอะไรเดี๋ยวพ่อหาให้ แต่ไม่เอาจิ้งจกนะ คุณหมอบอกให้กินอาหารอ่อน... แมลงก็ไม่ได้... เอาเป็นอาหารเม็ดไปก่อนนะ นะ เดี๋ยวโตกว่านี้พ่อสอนจับหนูนะครับคนเก่ง”

อิงค์จ้องมองชายหนุ่มผมยาวตาไม่กะพริบ ก่อนหน้านี้เขาแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบสัตว์โดยเฉพาะสัตว์ตัวเล็กๆ แต่ชายคนที่อยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้กลับตระกองกอดลูกแมวส้มไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอมและคุยเสียงสองกับมันราวกับว่ามันเป็นลูกชายตัวน้อยของเขาจริงๆ

“คุณสิงห์”

เจ้าของชื่อหันมาตามเสียงเรียกดูเขาตกใจไม่น้อยทีเดียวที่เห็นอิงค์ที่นี่

“นั่นเสือน้อยใช่ไหมครับ” อิงค์ชี้มือไปที่ลูกแมวในมือ ถึงจะไม่มีโบสีชมพูที่คอแต่อิงค์ไม่มีวันจำแมวของตัวเองผิดตัวแน่นอน

สิงห์อ้ำอึ้งไปเล็กน้อยพลางชำเลืองตามองลูกแมวในอ้อมแขน ยังไงเขาก็ไม่มีวันปฏิเสธได้เพราะทันทีที่เห็นชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟ เจ้าลูกแมวส้มก็ร้องเหมียวๆ ลั่นด้วยความดีใจแล้วพยายามตะกุยตะกายจะกระโดดไปหา

แต่สิงห์ไม่ยอมปล่อยและกลับจับมันแน่นขึ้นอีก อิงค์จึงเดินเข้าไปหาเพื่อจะแย่งเสือน้อยคืนหากพอมายืนใกล้ๆ เขาจึงเห็นว่าเจ้าลูกแมวส้มนั้นใส่เฝือกที่ขาหลังข้างขวา และนี่เป็นสาเหตุที่สิงห์ไม่ยอมวางมันลง

อิงค์ค่อยยื่นมือไปลูบหัวมันช้าๆ เจ้าแมวส้มรีบเอาหัวถูไถกับอุ้งมือเขาเป็นการใหญ่ท่าทางมันก็คิดถึงเขาไม่แพ้กัน “เสือน้อย... ใช่แกจริงๆ ด้วย” รู้สึกเหมือนมีก้อนขึ้นมาจุกอยู่ที่คอด้วยความดีใจ อิงค์เงยหน้ามองคนที่อุ้มลูกแมวไว้ซึ่งสิงห์ก็กำลังมองมาที่เขาเช่นกัน

“เธอพอจะว่างคุยกับฉันสักครู่ไหม” สิงห์เอ่ยขึ้น “ฉันจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง”

อิงค์พยักหน้า “ได้ครับ”

“งั้นเดี๋ยวไปนั่งคุยกันที่ม้านั่งตรงนั้นละกัน” สิงห์พยักเพยิดไปฝั่งตรงข้ามของถนนซึ่งจัดเป็นสวนสาธารณะเล็กๆ “มันขาเจ็บอยู่ อุ้มยากนิดหนึ่ง เดี๋ยวฉันจะอุ้มไปก่อน พอนั่งเรียบร้อยแล้วฉันจะส่งให้เธอนะ”

อิงค์พยักหน้าแล้วเดินตามสิงห์ไปตรงม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ พอนั่งเสร็จสิงห์ก็ค่อยวางเจ้าลูกแมวลงบนตักเขาก่อนที่ตัวเองจะนั่งลงข้างกัน

“ฉันเจอมันที่ริมถนนตรงสี่แยกทางไปเฮือนไกรสรน่ะ” สิงห์เริ่มต้นเล่า

อิงค์ตกใจไม่น้อยนั่นค่อนข้างไกลพอสมควรจากบ้านของเขา

“มันน่าจะโดนรถชนมั้ง ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันแต่สภาพมันตอนนั้นแย่มากจนฉันก็เกือบจำมันไม่ได้ ดีที่มีโบติดอยู่ที่คอก็เลยมั่นใจ” สิงห์ล้วงมือลงในกระเป๋าและส่งปลอกคอติดโบสีชมพูที่สภาพยับย่นให้เขา “ฉันพามันมาหาหมอ หมอบอกว่ามันเจ็บหนักมาก ขาหลังหัก ร่างกายบอบช้ำ ตอนนั้นหมอบอกให้ทำใจเพราะมันอาจจะไม่รอด”

อิงค์หัวใจหล่นวูบ เขาก้มลงมองเจ้าลูกแมวที่นอนขดอยู่บนตักแล้วเงยหน้ามองสิงห์ “ทำไมคุณไม่ยอมบอกผม”

“ฉันเห็นเธอป่วยอยู่ เลยไม่กล้าบอกกลัวเธอจะยิ่งใจคอไม่ดีไปกันใหญ่ แล้วฉันก็ไม่คิดว่ามันจะตายง่ายๆ ด้วย เจ้าเปี๊ยกเนี่ยใจสู้จะตาย” สิงห์บอกพลางยื่นมือไปเกาคางเสือน้อยเล่นซึ่งมันก็ยื่นหัวให้เขาแต่โดยดีไม่มีอาการขัดขืนเหมือนก่อนหน้านี้ที่เข้าใกล้หน่อยก็ข่วนหรือพองขนขู่ “ฉันมาเฝ้ามันทุกวัน แล้วมันก็หายจริงๆ ด้วย หมอเพิ่งอนุญาตให้ฉันพามันกลับบ้านได้อาทิตย์ก่อนนี่เอง... แม่ลูกหายวันเดียวกันเลย บังเอิญจัง”

อิงค์นึกย้อนกลับไป “ที่คุณรีบร้อนออกไปวันนั้นน่ะเหรอครับ”

สิงห์พยักหน้า “หมอโทรมาตามน่ะเพราะเลยเวลานัดมามากแล้ว”

อิงค์นึกทบทวนในใจ สาเหตุที่สิงห์ไม่มาเยี่ยมเขาเป็นเพราะมาคอยดูแลเสือน้อยนี่เองและดูจากท่าทีของเสือน้อยที่ยอมญาติดีด้วยแล้วเขาก็คิดว่าสิงห์ไม่โกหกแน่ๆ “แล้วพอมันหายดีแล้วทำไมคุณไม่บอกผมล่ะ”

“ยังไม่หายเสียหน่อย ยังใส่เฝือกอยู่เลย” สิงห์บอกอ้อมแอ้ม จะให้สารภาพออกไปตรงๆ ว่าตอนนี้เขากลายเป็นทาสแมวเต็มตัวไปแล้วก็รู้สึกขัดเขินอยู่ไม่น้อย “ต้องพามาหมอ ฉีดยาโน่นนี่นั่นฉันก็กลัวเธอลำบากเพราะต้องขายของ เลยว่าจะเอาไปคืนหลังจากถอดเฝือกเรียบร้อยแล้วน่ะ”

เสือน้อยลืมตาขึ้นมาร้องเหมียวเบาๆ

อิงค์หันรีหันขวางเพราะไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร ในขณะที่สิงห์ล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบเอาขนมแมวเลียออกมาซองหนึ่ง เขาฉีกซองออก ป้ายขนมลงบนหลังมือแล้วยื่นไปตรงหน้าเสือน้อยที่รีบเลียกินอย่างเอร็ดอร่อยทันที นั่นสร้างความตื่นตาตื่นใจให้อิงค์ไม่น้อยเพราะเขาไม่เคยซื้อขนมแมวเลียให้มันกินมาก่อน

“คงหิวน่ะ ได้เวลาอาหารแล้ว” สิงห์บอกแล้วบีบอาหารลงไปบนหลังมือเพิ่มให้อีก “ฉันเคยบีบแล้วยื่นให้กินจากซองมันไม่ยอมกินน่ะ ปากซองมันคมเวลาเลียไปโดนมันคงไม่ชอบ ฉันไปดูในเพจแมวมาเห็นเขาทำแบบนี้กันเลยลองจำมาทำบ้าง”

“ผมขอลองทำบ้างได้ไหม” อิงค์บอก

“ลิ้นแมวคมนะ” สิงห์บอก “มันไม่เหมือนลิ้นคนหรือลิ้นหมา ปุ่มบนลิ้นแมวจะมีลักษณะเหมือนหนามอันเล็กๆ เต็มไปหมดเวลามันเลียจะให้ความรู้สึกเจ็บๆ สากๆ เหมือนเอากระดาษทรายหยาบๆ ประมาณเบอร์สามเบอร์สี่มาถูน่ะ”

“เหรอครับ” อิงค์ทึ่งกับความรู้ใหม่พร้อมกับยื่นมือออกไปให้สิงห์บีบขนมใส่แล้วยื่นไปตรงปากเสือน้อยซึ่งหันมาเลียกินทันที

“เป็นไง สากไหม”

“บอกไม่ถูกครับ” อิงค์ว่า “เจ็บๆ คันๆ จั๊กจี้ดี แต่เหมือนเอากระดาษทรายมาถูจริงๆ ด้วย”

“เอาอีกนะ”

อิงค์พยักหน้า

สิงห์มองดูคนตรงหน้าที่กำลังสนุกสนานกับการเอาขนมให้แมวโดยไม่พูดอะไรอีก เขาค่อยๆ บีบขนมใส่หลังมืออิงค์จนหมดซองจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “เดี๋ยวฉันเอามันไปส่งที่บ้านให้เธอนะ”

“จริงเหรอครับ” อิงค์ถามอย่างกระตือรือร้น “ไม่ต้องรอถอดเฝือกแล้วเหรอ”

“ฉันจะรอได้ยังไงล่ะในเมื่อมันทำให้เธอยิ้มได้ตั้งขนาดนี้” สิงห์บอกพลางลุกขึ้นยืน เห็นแล้วก็นึกอิจฉาแมวชะมัด เขาพยายามคุยด้วยมาเป็นอาทิตย์ได้คำตอบรับแบบเฉยชา แต่แค่เสือน้อยเลียขนมบนหลังมือกลับทำให้อิงค์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ได้ขนาดนั้น

พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น อิงค์ก็รีบก้มหน้าแล้วเม้มปากแน่น แต่ก็ไม่อาจซ่อนรอยยิ้มนั้นไว้ได้หมดเพราะตอนนี้เขาดีใจมากจริงๆ ที่ในที่สุดก็ได้เจอเสือน้อยอีกครั้ง

ทั้งสองขับรถมอเตอร์ไซค์ตามกันมาจนถึง It’ sra สิงห์ก็อุ้มตะกร้าของเสือน้อยมาวางบนพื้นร้าน เจ้าแมวส้มโผล่หน้าออกมามองซ้ายมองขวา พอนึกจำได้ว่าเป็นบ้านตนก็รีบเดินออกมาทันที

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะเสือน้อย” อิงค์บอกพลางอุ้มพามันไปตรงชามข้าวและน้ำ มันพุ่งไปดมๆ ก่อนจะเริ่มกินด้วยความหิว อิงค์นั่งลงข้างกันและจ้องมองมันอย่างแสนรักพร้อมกับลูบหัวลูบหลังไปมา

สิงห์ยืนมองภาพตรงหน้า คิดไม่ผิดเลยที่วันนั้นพลิกแผ่นดินหาเจ้าลูกแมวตัวนี้ เขาเล่าข้ามไปว่าที่เจอเสือน้อยได้เพราะฝนตกถนนลื่นทำให้เขาพลาดขับรถล้ม โชคดีที่แค่ได้รอยถลอกมานิดหน่อยกับข้อเท้าพลิก ดูเหมือนว่าเทพาอารักษ์ตรงนั้นหรือเทพเจ้าแมวคงเห็นใจเขาเลยช่วยให้หาเจอกระมัง

“ฉันกลับก่อนนะ” เขาบอก

“เดี๋ยวครับคุณสิงห์” อิงค์เรียก

สิงห์รีบหันไปอย่างมีความหวังคิดว่าอิงค์คงจะใจอ่อนยอมคืนดีกับเขาแน่ๆ

“ขอบคุณนะครับที่ช่วยดูแลมัน” อิงค์ลุกขึ้นยืนและค้อมศีรษะให้เขาครั้งหนึ่ง “ค่ารักษาทั้งหมดเท่าไหร่ครับ ผมจะจ่ายคืนให้”

สิงห์เม้มปากสนิทด้วยความผิดหวังก่อนจะตอบออกไป “ทบไปเป็นค่ากาแฟเหมือนเดิม”

“ได้ครับ”

สิงห์ยิ้มให้เขาแล้วเดินออกประตูไป

เสือน้อยเงยหน้าขึ้นมาจากชามข้าวเห็นชายหนุ่มผมยาวเดินไปที่ประตูก็เดินกะเผลกตามไปด้วยความรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อจนอิงค์คว้าตัวไม่ทัน อึดใจต่อมาประตูร้านก็เปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับที่สิงห์อุ้มเจ้าแมวส้มที่ทำหน้าตาเหรอหราเข้ามาส่งคืนให้เขา

“มันวิ่งตามฉันออกไปน่ะ เจ้านี่มันซนเธอต้องหูตาไวหน่อย ปิดประตูให้ดีๆ อย่าเผลอล่ะ” สิงห์บอกแล้วกลับออกไปอีกครั้ง

อิงค์ชะโงกหน้าไปมอง เห็นประตูปิดสนิทดีแล้วจึงวางเสือน้อยลง และทันทีที่เท้าแตะพื้นเสือน้อยก็เดินไปที่ประตูแล้วยกสองขาหน้าตะกายประตูสลับกับหันมามองหน้าเขาราวกับจะร้องขออะไรบางอย่าง

อิงค์เดินมายืนข้างมันแล้วดึงประตูเปิดแง้มออก เสือน้อยรีบผลุบออกไปทันทีแต่มันไม่ได้ไปไหนไกล มันวิ่งไปเกาะขาสิงห์ที่กำลังจะขับมอเตอร์ไซค์ออกไป

สิงห์รู้สึกว่ามีอะไรมาเกาะที่ขาก็ก้มหน้าลงมองก่อนจะรีบดับขับเครื่องแล้วตวัดขาลงจากรถมาอุ้มมันขึ้นมา “ออกมาได้ยังไงเนี่ย... หืมมม~ เจ้าตัวดีอย่าดื้อกับแม่เขาสิลูก บอกแล้วไงว่าคืนนี้ให้นอนกับแม่น่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อมาหานะคนเก่ง นะครับ” พูดจบเขาก็จุ๊บมันที่หน้าผากครั้งหนึ่งแล้วหันหน้ากลับไปยัง It’ sra และเป็นอีกครั้งที่อิงค์เห็นท่าทีขัดเขินของชายหนุ่มตัวโตแต่ตอนนี้หดเหลือเท่าลูกแมวเพราะอายที่ถูกเห็นตอนคุยกับเสือน้อย สิงห์เดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับส่งเสือน้อยคืนให้อีกครั้ง “อิงค์ดูแลลูกดีๆ หน่อยสิ ปล่อยออกมาแบบนี้เดี๋ยวก็ถูกรถชนอีกหรอก”

อิงค์รับมาพร้อมกับกล่าว “ขอบคุณครับ”

สิงห์มองเจ้าแมวส้มตาละห้อย “เอ่อ... พรุ่งนี้ฉันมาอีกได้ไหม”

“ก็มาสิครับ”

แต่ยังไม่ทันจะถึงวันรุ่งขึ้น พอพระอาทิตย์ตกดินไปสักพักได้เวลาปิดร้าน เสียงมอเตอร์ไซค์ที่อิงค์คุ้นเคยดีก็แล่นเข้ามาจอดหน้า It’ sra

“ร้านปิดแล้วนะครับ” อิงค์บอกกับคนตัวโตที่มาหายามวิกาล “ถ้าจะกินกาแฟต้องมาพรุ่งนี้เช้า”

“เอาผ้ามาให้น่ะ” สิงห์ดึงผ้าจากในถุงออกมาให้ดู มันเป็นผ้าขนหนูผืนเล็กสีซีด “มันเคยเป็นผ้าเช็ดผมของฉันน่ะ ตอนเอาเสือน้อยกลับบ้านวันแรกมันโดดขึ้นไปขดตัวนอนบนนี้แล้วก็ยึดเป็นของมันตั้งแต่วันนั้นเลย... ฉันกลัวมันนอนไม่หลับน่ะก็เลยเอามาให้” ที่กล่าวอ้างมานั้นเป็นจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขารู้แค่ว่าเขานอนไม่หลับก็เลยขับรถมาหา อยากเจอทั้งแมวและเจ้าของแมว “แล้วนี่ก็เป็นยาบำรุงที่หมอให้มากับขนมแมวเลียน่ะ เผื่อมันหิวตอนดึก”

อิงค์รับถุงใส่ของมา “เสร็จแล้วก็กลับได้แล้วครับ”

“เดี๋ยวก่อนสิ” สิงห์ดึงประตูไว้ เขาเม้มปากอยู่อึดใจก่อนจะสารภาพออกไปตรงๆ “นอนด้วยกันมาตั้งอาทิตย์ จู่ๆ หายไปก็เหงาน่ะ ขอบอกลามันสักหน่อยได้ไหม”

อิงค์พยักหน้าและเปิดประตูให้เขาเข้ามา

“ว่าไงเจ้าตัวเล็ก” สิงห์นั่งลงบนพื้น เสือน้อยพอเห็นว่าใครมาก็รีบวิ่งมาหาแล้วกระโดดขึ้นมานั่งบนตักเขาทันที

เหมียว~

เสือน้อยร้องตอบราวกับทั้งสองคนกำลังคุยกันจริงๆ

“วันนี้ดื้อกับแม่เขาหรือเปล่า กินข้าวเย็นหรือยังครับ”

เหมียว~

“หืมมม~ กินหมดเลยเหรอ เก่งมาก กินเยอะๆ จะได้หายไวๆ นะแล้วนี่แม่เค้าหวีขนให้หนูใช่ไหม ขนเรียบแปล้หล่อเลยลูกพ่อ”

อิงค์ยกหลังมือขึ้นปิดปากพร้อมกับหันหน้าหนี แค่แต่งตัวหล่อมาง้อทุกวันเขาก็อยากจะใจอ่อนให้จะแย่นี่ก็ห้ามใจตัวเองไว้แทบตาย แต่พี่สิงห์มาดนี้ทำเอาเขาใจเขาบางไปหมด... ทีแรกเขาก็คิดว่าพี่สิงห์แกล้งพูดหยอกเล่นกับแมวทำเป็นเอาใจเขาหรือเปล่า แต่ดูไปดูมากลายเป็นทาสแมวไปแล้วจริงๆ นี่นาแถมยังอาการหนักกว่าเขาอีก แล้วดูสิ... มาแทนตัวว่าพ่ออย่างนั้นพ่ออย่างนี้ ไม่ถามแม่เสือน้อยมันสักคำเลยว่าเต็มใจให้เรียกหรือเปล่า และทางเสือน้อยเองตอนนี้ก็ดูจะติดพี่สิงห์มากกว่าเขาแล้วด้วยซ้ำ

อิงค์สูดลมหายใจเข้าเรียกสติ ทำใจให้แข็งดั่งหินผาเช่นเดิมแล้วเดินไปนั่งลงตรงข้าม “ถ้าคิดถึงก็มาหามันได้ครับ ผมก็ไม่ได้ห้ามสักหน่อย”

“แล้วถ้าคิดถึงแม่เสือน้อยล่ะ มาหาได้ไหม” สิงห์ถาม

“ก็... ห้ามไม่ได้นี่ครับ” อิงค์ตอบอ้อมแอ้ม “ผมยังติดเลี้ยงกาแฟคุณสิงห์อยู่นี่นา”

“ได้ยินไหมเสือน้อย แม่แกใจดีจังเลยนะ ยอมให้พ่อมาหาหนูด้วย” สิงห์อุ้มเจ้าแมวส้มขึ้นมาแล้วจุ๊บหน้าผากมันครั้งหนึ่ง

เสือน้อยร้องเหมียว~ ตอบรับแล้วยื่นหน้าไปเลียแก้มเขาครั้งหนึ่ง

“ฝันดีนะเจ้าตัวเล็ก” สิงห์ลูบหัวมันจนหูบู้บี้ก่อนจะยกมือขึ้นจับข้างแก้มคนที่อุ้มมันไว้ “เธอด้วยนะ”

สิงห์พูดจบแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ อิงค์รู้สึกว่ามือใหญ่นั้นแนบชิดเข้ามาเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเจ้าของมือที่ค่อยขยับเข้ามาหา อิงค์นั่งตัวแข็งทื่อไม่รู้จะขยับหรือมองไปทางไหนจึงนั่งก้มหน้าจ้องตาเสือน้อย รู้ตัวอีกทีลมหายใจอุ่นก็มารดอยู่ที่ข้างแก้มแล้ว หัวใจเต้นรัวจนปั่นป่วน อิงค์หลับตาแน่นพร้อมกับกลั้นหายใจ ลมหายใจอุ่นนั้นเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกทีๆ จนรู้สึกได้ถึงปลายจมูกโด่งที่ปัดอยู่ข้างแก้ม

“ฝันถึงฉันบ้างนะ ฉันก็จะฝันถึงเธอเหมือนกัน”

สิงห์กระซิบที่ข้างหูก่อนจะขยับตัวออกไปทิ้งระยะห่างเท่าเดิม

อิงค์ค่อยช้อนสายตามองขึ้นก่อนจะหลุบลงมองเสือน้อยตามเดิมเพราะหน้าคมนั้นกำลังส่งยิ้มหวานที่ทำให้หัวเต้นโครมครามมาให้

“พรุ่งนี้เจอกันนะคุณแม่เสือน้อย”

“ใครอนุญาตให้เรียกแบบนั้น” อิงค์โพล่งออกไปเสียงดัง แต่นั่นก็เป็นตอนที่สิงห์ขี่มอเตอร์ไซค์กลับไปได้สักพักแล้ว

เสือน้อยร้องเหมียวขึ้นมาจากหน้าตัก มันเอียงคอไปมาราวกับจะตอบคำถามของเขาว่า

...แม่น่ะแหละที่เป็นบอกคนให้พ่อเรียกแบบนั้น...

อิงค์หลุบตาลงมองเสือน้อย เขายกมันขึ้นมาในระดับสายตาแล้วจุ๊บที่หน้าผากครั้งหนึ่งก่อนจะกอดมันไว้แนบอก


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด