พิมพ์หน้านี้ - Last Room บันทึกประจำวันของเสือน้อย2:สงกรานต์ไม่อร่อยเลย(16/4/2020) p.6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: leGGyDan ที่ 11-09-2019 14:31:11

หัวข้อ: Last Room บันทึกประจำวันของเสือน้อย2:สงกรานต์ไม่อร่อยเลย(16/4/2020) p.6
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 11-09-2019 14:31:11
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

                         ----------------------------------------------------------------------------------------------

แนะนำเรื่อง

'อิงค์' กลับมาที่ 'ข่วงเมืองสิงห์' อีกครั้งใน 5ปี ให้หลังในฐานะเจ้าของร้านกาแฟเปิดใหม่ It'sra แต่'สิงห์'กลับทำเย็นชาใส่เขา

อิงค์พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้สิงห์สนใจ มาส่งกาแฟก็แล้ว ยิ้มให้ก็แล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งมีนักเดินทางอกหักมาพักที่ข่วงเมืองสิงห์

สิงห์มีท่าทีเปลี่ยนไป กลับไปเป็นชายคนเดิมที่อิงค์ตกหลุมรัก ในคืนนั้นอิงค์จึงตัดสินใจบุกเข้าห้องสิงห์เพื่อเคลียร์ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสองมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันอีกครั้ง แต่สิงห์กลับทิ้งท้ายไว้ด้วยประโยคหนึ่ง

...ฉันไม่อยากให้เธอคาดหวังนะเจ้าหนู จำไว้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นระหว่างเรา แต่ฉันจะไม่มีวันรักเธอ ถ้าไม่คิดจะตัดใจก็เตรียมเจ็บเสียให้พอ...

เพราะหัวใจของสิงห์นั้นยกให้ภรรยาที่เสียไปหลายปีแล้ว

จะรักก็ไม่ให้รัก แต่จะตัดใจก็ไม่ลงเพราะความใจดีพร่ำเพรื่อของสิงห์ที่ดันมีให้อิงค์แค่คนเดียว

Last Room... ห้องสุดท้ายที่ยังว่างอยู่อิงค์จะสามารถเข้าไปอยู่ได้หรือไม่ หรือสุดท้ายแล้วเจ้าของห้องจะปิดตายมันไว้ตลอดไป

หัวข้อ: Re: Last Room
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 11-09-2019 14:41:08
LR 1

เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์สวมทับด้วยแจ๊คเก็ตสีซีดยืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงโถงทางออกของสนามบินน่านนคร นัยน์ตาจับจ้องไปยังกลุ่มคนที่ถือแผ่นป้ายชื่อคนที่มารอรับและแอบคาดหวังลึกๆ ว่ามันจะมีชื่อของเขาโผล่ขึ้นมาตรงไหนสักแห่ง แต่มันคงเป็นได้แค่ความหวังลมแล้งของคนเหงาที่อยากจะมองหาใครสักคนในวันที่ไม่มีใคร...

ในวันที่รู้ว่าแฟนที่คบมาตั้งแต่ม.ปลายจนถึงมหาลัยแอบสวมเขาให้เขาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา และมันคงจะรู้สึกเจ็บกว่าน้อยกว่านี้สักนิดหน่อยถ้าหากว่าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่เพื่อนสนิทที่เธอบอกว่าเป็นเพื่อนสาว... สาวพ่องงงง! ที่อ้างว่าไปพักค้างอ้างแรม กินนอนด้วยกัน ทำไมเขาถึงไม่เอะใจในตัวเพื่อนสาวคนนี้เลยนะทั้งที่กล้ามใหญ่กว่าเขาอีก... ไหนบอกว่าเป็นเทรนด์คนรักสุขภาพฟิตหุ่นเอาไว้หลอกผู้ชาย... คงหมายถึงผู้ชายโง่ๆ อย่างเขาสินะ

คิดมาถึงตรงนี้น้ำตาก็พานจะไหล เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนจะกระชับสายเป้สะพายหลังแล้วออกเดินไปยังประตู ตอนนี้ก็เย็นย่ำมากแล้วเขาต้องรีบหาที่พักให้ได้ก่อนจะมืดค่ำ

เขาวางแผนการเดินทางในครั้งนี้เมื่อเที่ยงนี้เอง หลังจากที่เมาหัวราน้ำหลับไปเมื่อคืนพอลืมตาตื่นขึ้นมามองไปรอบตัวที่มีแต่ภาพของเธอเวียนวนก็รู้ทันทีว่าทนอยู่กรุงเทพไม่ได้แล้ว ใจมันจะขาดรอนๆ เสียให้ได้ พอคิดได้แบบนั้นก็ลุกขึ้นแต่งตัวหยิบข้าวของใช้ใกล้มือยัดลงกระเป๋าแล้วจับแท๊กซี่มาสนามบินดอนเมือง

เขาเหมารถสองแถวมาส่งตามที่อยู่ในจีพีเอส คนขับถามย้ำอยู่สี่รอบก่อนจะปล่อยเขาลงว่าพักที่นี่จริงๆ เหรอ พอเขายืนยันว่าใช่ก็ทำหน้าพิลึกใส่ก่อนจะขับออกไป

เด็กหนุ่มชะโงกหน้าผ่านรั้วที่สูงแค่เอวมองที่อาคารไม้ยกพื้นสูงที่มีบันไดขึ้นตรงกลางขนาบข้างด้วยมุข ด้านหน้าเป็นลานปูนมีใบไม้ร่วงเต็มและมีต้นไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งไว้ประปราย บรรยากาศโดยรอบดูเงียบสงัดมากกว่าเงียบสงบ เขาเขม่นมองเข้าไปด้านในเห็นแสงไฟจุดอยู่บนตะเกียงหัวเสา มีพนักงานต้อนรับในชุดผ้าซิ่นพื้นเมืองยืนอยู่จึงผลักประตูเปิดออกและก้าวเข้าไป
ทันใดนั้นเสียงห้าวก็ดังขึ้นด้านหลัง

“ไปทำอะไรตรงนั้นน่ะเจ้าหนู”

เขาสะดุ้งโหยงหันควับไปมองต้นเสียง หัวเสียหน่อยๆ เพราะคิดว่าด้วยอายุอานามที่ร้อนผ่านหนาวมากว่ายี่สิบปีกับส่วนสูงร้อยแปดสิบถ้วนๆ ไม่น่ามีใครกล้ามาเรียกเขาว่าเจ้าหนูได้

แต่พอหันไปเห็นคนเรียกก็ถึงกับพูดไม่ออก เหนือฟ้ายังมีฟ้าเหนือเสาไฟฟ้ายังมีเปรตวัดสุทัศน์

ชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่สวมเสื้อผ้าฝ้ายคอวีตัวโคร่งที่ลู่แนบเนื้อเห็นกล้ามอกเป็นมัดๆ กับกางเกงเลตัวใหญ่ ผิวสีแทนทำให้ชายคนนี้ดูแตกต่างจากคนแถบเมืองเหนือที่เขาเห็นมาทั้งวันประกอบกับเรือนผมที่ยาวเลยบ่าทำให้ชายคนนี้ดูไม่เหมือนคนท้องที่ยิ่งกว่าเด็กหนุ่มจากต่างถิ่นอย่างเขาเสียอีก

“ผมจะมาพักที่นี่” เขาตอบเกร็งๆ นี่ไม่แปลกใจเลยถ้าจู่ๆ ชายผิวเข้มคนนี้จะชักมีดออกมาจี้

“แต่นั่นมันบ้านร้างนะ”

“ไม่ใช่โรงแรมเหรอ”

“โรงแรมอะไร ที่นี่คือคุ้มเจ้าเทพมาลา” ชายหนุ่มอธิบายต่อ

“ตะ... แต่จีพีเอสมันบอกว่า...” เด็กหนุ่มเลิ่กลั่ก เหลียวมองบ้านข้างหลังสลับกับหน้าจอบอกตำแหน่งในมือ

“ช่างหัวเทคโนโลยีอะไรนั่นเถอะ แถวนี้ไม่ค่อยมีสัญญาณน่ะ”

“แต่มันเปิดไฟแล้วก็มีคน…” เด็กหนุ่มหันกลับไปมองอีกครั้ง ไฟที่ว่าหายไปแล้ว และก็ไม่มีหญิงสาวนุ่งผ้าซิ่นไม่ว่าจะยืน เดินหรือนั่งนอนอยู่ตรงไหน   

“เมื่อกี้คงเป็นเจ้าของบ้านน่ะ เธอชอบออกมาทักทายแขกบ้านแขกเมืองแบบนี้แหละ”

“ก็แสดงว่ามีคนอยู่…”

“อือ”

…นั่นทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาทันที…

“ตั้งแต่ปี 2446 น่ะนะ”

…งั้นนั่นก็ผีจริงๆ สิเฮ้ย! อะไรกันเพิ่งมาถึงก็โดนรับน้องแล้วเรอะ มิน่าล่ะลุงคนขับรถถึงทำหน้าแปลกๆ แล้วก็ไม่บอกกันบ้าง แล้วอะไรคือการตอบด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนการเห็นผีเป็นเรื่องปกติของคนแถวนี้เนี่ย…

ชายหนุ่มผิวสีกวาดตามองเด็กหนุ่มจากต่างถิ่นตั้งแต่หัวจรดเท้า “มาด้วยกันสิ”

“ห๊ะ!”

“ก็หาที่พักอยู่ไม่ใช่เหรอ มีอยู่หลังหนึ่ง เล็กหน่อยแต่ก็ใช้ได้ ถ้าไม่รังเกียจก็มาพักได้ แต่ถ้าไม่เอาก็ตามใจ”

เด็กหนุ่มเหลียวกลับไปมองบ้านด้านหลังอีกครั้ง จู่ๆ ก็ขนลุกซู่อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จนเขาต้องรีบหันไปพยักหน้าให้คนแปลกหน้า “ตกลงครับ”

เด็กหนุ่มเดินตามหลังไปห่างๆ เพราะถ้าเอาความเปลี่ยวของซอยกับหน้าตาตัวเองเป็นตัวตั้ง เขาก็มีสิทธิ์โดนล่อลวงไปทำมิดีมิร้ายได้

แต่โชคดีที่ไม่เป็นเช่นนั้น หลังจากเดินมาจนสุดซอยที่ลึกราว500เมตร ก็มาถึงบ้านไม้สองชั้น หน้าบ้านมีป้ายทำจากไม้กระดานแผ่นใหญ่แกะเป็นตัวอักษรว่า ‘ข่วงเมืองสิงห์’

ชายหนุ่มผิวสีเดินนำเข้าไปที่หน้าเคาน์เล็กๆ ตรงชานบันได “ห้องสุดท้ายพอดี ค่าห้องพันสองแต่คนกันเองลดให้เหลือคืนละแปดร้อยละกัน”

…หืม นี่เราไปสนิทกันตอนไหนวะ…

เด็กหนุ่มเกาหัวแกรกแล้วเปิดกระเป๋าหยิบเงินออกมานับ   

“จะพักกี่คืน”

“สอง”

“สองคืนเอาไปพันห้า แล้วชื่ออะไรล่ะเรา”

เด็กหนุ่มย่นคิ้ว ด้วยหน้าตาดีที่พ่อแม่ให้มาแต่เกิดเขาจึงเคยชินกับการโดนรุกเร็วแต่ที่โดนผู้ชายจีบนี่ถือเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้

“ชื่อจริง ชื่อเล่น หรือชื่อเฟสก็ได้เอามาสักชื่อ”

“อิงค์ครับ”

“ขอเบอร์ด้วย”

“ขอโทษนะครับ คือผมเพิ่งอกหักมาตอนนี้ไม่พร้อมจะมีใคร” เขาตอบเสียงดังฟังชัดพร้อมกับสบตาอีกฝ่ายให้รู้ว่าจริงจัง เห็นหล่อๆ แบบนี้แต่จะมาเล่นๆ ด้วยไม่ได้นะ

ชายหนุ่มผิวสีดูอึ้งๆ ไปเล็กน้อย เขาใช้ปากกาที่จดค้างไว้เคาะเบาๆ ลงบนเอกสารในมือ “ลงทะเบียนน่ะ” บอกได้เท่านั้นก็รีบก้มหน้าเม้มปากกลั้นยิ้มกับท่าทีเด๋อด๋าแบบหน้าแตกหมอไม่รับเย็บของเด็กหนุ่ม

อิงค์กวาดหน้าขึ้นมาประกอบแล้วรีบรับกุญแจห้องมาเดินตรงดิ่งไปห้องพัก

เด็กหนุ่มเปิดแอร์โยนเป้ลงบนเตียงก่อนจะทิ้งตามตัวลงไปบ้าง เขาปิดตาเตรียมรับลมเย็นๆ ที่ออกจากเครื่องปรับอากาศแต่สิ่งได้มาคือ...

“ขอโทษที... ขอโทษที” หนุ่มผิวเข้มพูดไปกลั้นหัวเราะไปกับสภาพของเด็กหนุ่มที่ตัวเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเมื่อจู่ๆ น้ำแอร์ก็เทลงมาใส่เขาเป็นน้ำตก

“ไม่เป็นไรครับ” เด็กหนุ่มพูดไม่ออกกับความซวยซ้ำซวยซ้อนนอกจากยืดอกรับมันถ้าเป็นท่อน้ำแตกเขายังพอเข้าใจได้นะ… แต่นี่คือท่อแอร์! … จะมีสักกี่คนในโลกนะที่โดนท่อน้ำแอร์ระเบิดใส่จนเปียกได้ขนาดนี้

“แล้วจะเอายังไงดีล่ะทีนี้เตียงเปียกหมดเลย ห้องอื่นก็เต็มหมดแล้วด้วย”

“เช็ดพื้นให้แห้งผมก็นอนได้แล้วครับ” อิงค์บอกเพลียๆ ตอนนี้น้ำแอร์ซึมเข้าไปถึงกางเกงในผสมกับเหงื่อจนเหนอะหนะไปหมดแล้ว

“ไม่ได้ๆ จะให้แขกนอนแบบนั้นได้ยังไง” หนุ่มผิวเข้มว่า “เอางี้ยังเหลืออีกห้องนึง ถ้าเธอไม่รังเกียจไปพักห้องนั้นก็ได้”

“ไม่รังเกียจครับ” เด็กหนุ่มตอบรวดเร็ว คงไม่มีอะไรซวยไปมากกว่านี้อีกแล้วล่ะ

เขาเดินตามชายหนุ่มผิวเข้มขึ้นบันไดไปยังชั้นสองและเลี้ยวอีกรอบเพื่อขึ้นบันไดแคบๆ ไปยังห้องที่อยู่ใต้หลังคา ห้องนี้กว้างขวางพอสมควรมีฟูกขนาดใหญ่วางอยู่มุมหนึ่ง มีตู้เสื้อผ้าและมีห้องน้ำในตัว

“เชิญนอนตามสบายนะ ให้นอนฟรีจนกว่าห้องนั้นจะซ่อมเสร็จถือว่าเป็นค่าชดเชยแลกกับการอย่าเอาไปด่าลงอินเตอร์เน็ตก็พอ”

“ขอโทษนะครับที่นี่เป็นห้องรวมเหรอครับ” อิงค์ตั้งข้อสังเกตเพราะเห็นมีของใช้กับเสื้อผ้าวางอยู่ในตู้

“ไม่นะ”

“แล้วของพวกนั้น...”

“นี่ห้องฉัน” หนุ่มผมยาวตอบเรียบๆ “เชิญนอนตามสบายเลยคิดซะว่าเป็นห้องตัวเองละกัน”

นอกจากจะโดนแฟนสวมเขา เกือบหลงไปนอนกับผี โดนน้ำแอร์รั่วใส่ ตอนนี้เขาก็ปีนขึ้นมานอนเตียงคนแปลกหน้าโดยมีคนแปลกหน้าคนนั้นนอนซ้อนอยู่ด้านหลัง

“ราตรีสวัสดิ์” ชายหนุ่มกล่าวอย่างเป็นกันเองก่อนจะดึงผ้าห่มแบ่งไปครึ่งหนึ่ง

อิงค์รวบชายผ้าอีกฝั่งแน่นตามสัญชาตญาณ เขาพยายามเขยิบเข้าไปชิดกำแพงให้มากที่สุดแต่เพราะขนาดตัวของอีกฝ่าย… ไม่สิ ตัวเขาด้วยนี่แหละที่ทำให้ที่นอนขนาดหกฟุตคับแคบไปถนัด

ในขณะที่กำลังพยายามไล่ภาพแฟนเก่ากับชู้รักของเธอออกจากหัวและข่มตานอนให้หลับ กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่คุ้นเคยก็ลอยมาแตะจมูก

อิงค์เอี้ยวตัวไปมองเห็นที่มาของกลิ่นคือเรือนผมยาวที่ระอยู่บนไหล่และแผ่นหลังของคนที่นอนข้างกัน

ทำไมโลกช่างโหดร้ายและชีวิตมันต้องบัดซบถึงขนาดนี้ แชมพูที่วางขายตามท้องตลาดมีอยู่ดาษดื่น แต่ทำไมต้องจำเพาะเจาะจงมาใช้แตงโมมินต์กลิ่นเดียวกันให้คิดถึงด้วยนะ

อิงค์กำผ้าห่มในมือแน่นพยายามปิดตาให้สนิทแต่ยังไงก็ไม่อาจห้ามกลิ่นหอมที่ยังอวลอยู่นั้นเช่นเดียวกับหยดน้ำตาที่ค่อยๆ ไหลออกมาอย่างเงียบเชียบ

ชายหนุ่มผิวแทนลุกขึ้นนั่งในความมืด การที่มีคนแปลกหน้ามานอนอยู่ข้างกายทำให้คนที่คุ้นชินกับการนอนคนเดียวอย่างเขาหลับไม่ค่อยสนิทนัก

เขายกมือขึ้นเสยผมที่ยาวเลยบ่าไปด้านหลัง กำลังจะขยับขยายหาที่นอนใหม่สายตาก็เหลือบไปเห็นคราบน้ำตาบนแก้มของเด็กหนุ่มที่เขาเก็บมาเมื่อเย็น

“เหมือนจะอกหักมาสินะ”

รำพึงเบาๆ พลางใช้นิ้วชี้เกลี่ยลงบนแก้มเพื่อช่วยเช็ดออก แล้วจู่ๆ คนที่นอนหลับอยู่ก็เอียงหน้าเข้าซุกกับฝ่ามือเขาแล้วเกาะเกี่ยวเอาไว้แน่น

ชายหนุ่มถอนหายใจ จะดึงมือออกก็รู้สึกใจร้ายกับคนช้ำรักจนเกินไป เขาจึงค่อยๆ ล้มตัวลงนอนอีกครั้งแล้วสอดอีกมือเข้าใต้ลำตัวร่างโปร่งเพื่อกอดปลอบขวัญ

…ให้แค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้นนะ พรุ่งนี้แกต้องซ่อมท่อแอร์ให้เรียบร้อยแล้วให้เจ้าหนูนี่กลับไปนอนห้อง…



อิงค์นอนตัวแข็งทื่อเมื่อรับรู้ถึงน้ำหนักที่กดลงมาบนหัวไหล่กับความอบอุ่นที่กอดรัดอยู่รอบตัว

เขาเหลือบตาไปมองด้านหลัง เห็นศีรษะของหนุ่มผิวสีอยู่ห่างไปแค่คืบเรือนผมยาวล่วงลงปรกหน้ามาจนถึงลำคอของเขา มันไม่ได้แข็งกระด้างแต่กลับอ่อนนุ่มน่าสัมผัสและยิ่งอยู่ใกล้ๆ ขนาดนี้ยิ่งหอม… หอมจนอยากจะดมว่าแก้มเจ้าของจะหอมแบบนี้หรือเปล่า…

…บ้าไปแล้ว! นี่เราต้องอกหักจนเพ้อไปแล้วแน่ๆ ถึงอยากจะลองหอมแก้มผู้ชาย…

อิงค์ขยับตัวจะสะบัดให้หลุด ถือดียังไงมากอดเขาแบบนี้ นี่จะหลอกแต๊ะอั๋งกันล่ะสิ!

เขาหันไปมองคนหลับอีกครั้ง ดูนอนสบายและกำลังฝันดี อิงค์หยุดดิ้นกลับมานอนขดตัวกลมอย่างสงบเสงี่ยมอีกครั้ง

…แค่ไม่อยากรบกวนหรอกนะ เห็นแก่ว่าให้นอนฟรีคืนนึงหรอกนะ ไม่ใช่เพราะกอดอุ่นๆ กับกลิ่นหอมสดชื่นนี่เลย… ไม่ใช่เลยจริงๆ พรุ่งนี้แอร์ซ่อมเสร็จเขาก็กลับไปนอนที่ห้องพักแล้ว เพราะฉะนั้นแค่คืนนี้คืนเดียว จะยอมให้กอดไปแบบนี้ก็ได้…



ลืมตาขึ้นมาอีกทีอิงค์ก็พบว่าเหลือแค่ตัวเองอยู่บนที่นอนแล้ว รู้สึกสดชื่นที่ได้หลับเต็มตื่นแบบปกติ หลังจากกินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายคืนนับจากวันที่เริ่มระแคะระคายความสัมพันธ์ของแฟนเก่า

เขาอาบน้ำเตรียมลงไปข้างล่าง แล้วก็นึกได้ว่าชุดตัวเองเปียกน้ำแอร์และชายหนุ่มคนนั้นช่วยเอาไปซักตากไว้ กำลังจะใส่ชุดเก่าไปก่อนตาก็เหลือบไปเห็นเสื้อผ้าชุดหนึ่งวางพับไว้บนโต๊ะปลายเตียงตรงกระเป๋าเป้ของเขา

มันเป็นชุดผ้าฝ้ายกางเกงขายาวแบบที่เขาเห็นชายหนุ่มคนนั้นใส่เมื่อวาน ดูจากขนาดแล้วคาดว่าเจ้าตัวคงเอาของตัวเองมาให้ใส่ก่อน

แต่งตัวเรียบร้อยเขาก็ลงจากห้องใต้บันได เดินไปยังส่วนที่จัดไว้สำหรับรับประทานอาหารเช้า
ด้วยว่าตอนนี้เป็นเวลาสายมากแล้ว แขกที่มาพักคนอื่นๆ จึงออกไปเที่ยวกันหมดเหลือแต่เขาคนเดียว อาหารเช้าฟรีที่แถมมากับที่พักก็ถูกเก็บไปแล้ว เขาหันรีหันขวางว่าจะออกไปหาอะไรกินข้างนอก ชายหนุ่มผิวสีก็เดินมาพอดี

“หลวมไปนิดนะ” เขาทักยิ้มๆ

“ก็ผมไม่ได้ตัวใหญ่อย่างคุณนี่นา”

“กางเกงจะหลุดแล้วน่ะ ใส่ให้มันดีๆ สิเจ้าหนู”

อิงค์ก้มลงดูตัวเองที่สภาพตลกชะมัด เสื้อตัวหลวมโพรกพรากจนเขาดูเหมือนเด็กน้อยขโมยเสื้อพ่อมาใส่ ส่วนกางเกงก็เป็นผ้าแบบที่ต้องเอามาป้ายซ้ายป้ายขวาแล้วผูกเชือกซึ่งเขาลองดูจากยูทูปแล้วทำตามอยู่สามสี่รอบ แต่ก็ได้ออกมาดูป่วยๆ ไม่สวยเหมือนคลิปแบบนี้แหละ “ก็ผมไม่ได้พกเข็มขัดมานี่นาเลยใส่ไม่ถนัด”

“กางเกงแบบนี้ใครเขาใช้เข็มขัดกัน” ชายหนุ่มผิวสีกล่าวอย่างเอ็นดูก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ และช่วยใส่ให้ใหม่ “มันมีเชือกสองด้าน เธอจับมันมาไขว้กันแบบนี้แล้วผูกครั้งหนึ่งก่อนจะอ้อมไปด้านหลังแล้วอีกครั้ง ตวัดกลับมาด้านหน้า ผูก แล้วพับขอบม้วนเข้าไปแค่นี้ก็ดูดีแล้วเห็นไหม”

“จริงด้วย” อิงค์รู้สึกอายนิดๆ ที่ต้องมาให้ผู้ชายแปลกหน้าใส่กางเกงให้ แต่ในขณะเดียวกันก็นึกทึ่งกับวิธีการแต่งตัวสไตล์บ้านๆ ที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน

“หิวหรือยังกินข้าวกัน” ชายหนุ่มออกปากชวน

“แต่มันหมดเวลาอาหารเช้าแล้วนี่ครับ”

“กินกับฉันนี่ไง” ชายหนุ่มบอกพลางพยักเพยิดไปทางชามข้าวต้มใส่เห็ดหอมที่เขาถือติดมือมาด้วย

อิงค์กำลังจะกล่าวปฏิเสธแต่น้ำย่อยในกระเพาะกลับชิงตอบตกลงไปเสียก่อน เขาเอามือกุมท้องหวังจะปิดเสียงดังโครกครากด้วยความหิวเพราะไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวาน แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ชายหนุ่มผิวสีอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปและกลับมาพร้อมข้าวต้มอีกชาม

“มีอีกเยอะ เติมได้เต็มที่เลยนะ”

“คุณเอากาแฟไหม ผมชงให้” อิงค์บอกรู้สึกอยากทำอะไรสักอย่างเป็นการตอบแทน

“สักแก้วก็ดีเหมือนกัน”

อิงค์เดินไปยังมุมกาแฟที่ทางที่พักจัดเตรียมไว้ เขาหยิบๆ จับๆ ดูยี่ห้อกาแฟและส่วนผสมที่มีอยู่อึดใจหนึ่งก็ยกกาแฟหอมกรุ่นมาเสิร์ฟให้

“อร่อย” ชายหนุ่มผิวสีชมด้วยความประหลาดใจ เพราะที่มีก็แค่กาแฟยี่ห้อตลาด ไม่ใช่กาแฟมีชื่ออะไร แต่ทำไมมันถึงได้หอมและนุ่มราวกับกาแฟชงสดขนาดนี้

“ผมมั่นใจในฝีมือชงกาแฟมากเลยนะ” อิงค์ยกหางตัวเอง “นี่ไม่ได้เรียนที่ไหน ความสามารถล้วนๆ”

“ก็อร่อยจริงๆ” ชายหนุ่มพยักหน้าและยกขึ้นจิบอีกอึกใหญ่

“ข้าวต้มก็อร่อยดี”

“ฉันทำเอง”

“ฝีมือไม่เบา” อิงค์ยกนิ้วให้และเริ่มชวนคุย “ที่นี่มีพนักงานกี่คนเหรอครับ ทำไมผมไม่เห็นคนอื่นๆ เลยเขาไปทำอะไรกัน”

“รวมฉันด้วยก็มีสามคน”

“โห เจ้าของที่นี่ทำไมเขี้ยวจัง ที่พักใหญ่ขนาดนี้มีคนดูแลแค่สามคนเนี่ยนะ”

“เจ้าของเขี้ยวไหมไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เขาไม่ชอบความวุ่นวายน่ะ”

“แต่เขาก็ดูให้สวัสดิการคุณดีนะ ห้องพักก็ใหญ่ แถมมีอาหารให้กินฟรีด้วย”

คนฟังเลิกคิ้ว รู้สึกว่าต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันนิดหน่อย แต่ก็ไม่คิดจะทัก

“แล้วคุณชื่ออะไร”

“สิงห์”

“เข้ากับคุณดี”

“ยังไง”

“ก็ผิวแทน ตาคม ผมยาว เหมือนแผงคอพญาราชสีห์”

“เพื่อนชอบแซวว่าฉันเหมือนหมา เพิ่งมีเธอนี่แหละชมว่าเหมือนสิงห์”

“อุตส่าห์เลี้ยงข้าวฟรีทั้งที ก็ต้องมีชมกันบ้าง” อิงค์บอก “แล้วนี่คุณอายุเท่าไหร่เห็นเรียกผมเจ้าหนูๆ”

“ถ้าไม่ชอบก็ขอโทษที พอดีเห็นตัวเล็กๆ น่ารักดี”

“เทียบกับคุณใครก็เล็ก แต่เทียบกับคนปกติขนาดตัวผมนี่พอๆ กับกัปตันทีมบาสเลยนะ” อิงค์ว่า “ตกลงคุณอายุเท่าไหร่”

“สามสิบ”

“สวัสดีครับคุณอา” อิงค์ว่าพร้อมกับยกมือไหว้ล้อๆ

“ไอ้เจ้าหนูนี่” สิงห์แกล้งง้างมะเหงกขึ้นก่อนจะถามต่อ “แล้ววันนี้จะไปเที่ยวไหน”

“ไม่รู้เลย ไม่มีแพลนอะไรสักอย่างแค่อกหักเลยหนีมาพักใจน่ะ”

“ทำไมไม่ไปทะเล”

“ทะเลมันร้อน ผมไม่ชอบ” อิงค์ว่า “แค่นี้ก็ร้อนจนนึกว่าอยู่ในนรกแล้ว ยังจะให้ไปอยู่ที่ๆ มีแต่แดดอีก ไม่เอาหรอก ผมเลยจับตั๋วเครื่องบินที่ขึ้นเหนือ มาหาที่เย็นๆ สงบๆ พักใจน่ะ”

“แล้วเป็นไง ที่นี่เย็นสะใจไหม”

“เย็นจนเหงื่อชุ่มกางเกงในเลย!”

สิงห์หัวเราะปากกว้างจนเห็นฟันขาวกับเขี้ยวหน้าซี่เล็ก จนเขานึกแปลกใจว่าคนอะไรหัวเราะได้เสียงดังขนาดนี้เหมือนสิงโตคำรามไม่มีผิด แล้วก็ย้อนกลับมามองตัวเองว่าครั้งสุดท้ายที่ยิ้มได้กว้างขนาดนั้นมันผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ

“เอางี้ ถ้าเธอไม่มีที่ไปเดี๋ยวฉันพาเที่ยวเอง” สิงห์ขันอาสา

“แล้วคุณไม่ต้องทำงานเหรอ”

“งานของฉันคือต้อนรับแขกกับทำอาหารเช้าน่ะ มีงานอีกทีก็ทำข้าวเย็นให้พวกพนักงานกินเลย ช่วงนี้ก็ว่าง”

“เดี๋ยวเจ้านายคุณก็ดุหรอก”

“ไม่ดุหรอกเขาใจดี อีกอย่างการพาเธอไปเที่ยวก็นับเป็นงานดูแลแขกเหมือนกัน เอาเป็นว่าถ้าเธอพอใจก็ทิปหนักๆ หน่อยละกัน”

“โหย~ ขี้งก ผมก็นึกว่าคุณจะพาไปเที่ยวฟรีเสียอีก”

“ของฟรีไม่มีในโลกนะเจ้าหนู” สิงห์หลิ่วตา “เอางี้ ถ้ายอมเรียกพี่จะพาไปเที่ยวฟรีๆ ก็ได้เอ้า!”

“ฝันไปเถอะคุณอา”

“เรียกอาเก็บสองเท่า”

“เขี้ยวจัง พี่ก็พี่เอ้า!”

“ดีมากครับน้องอิงค์”



“กฏข้อหนึ่งของการเที่ยวน่านให้สนุกคือไม่พกโทรศัพท์” สิงห์บอกพลางแบมือออกมาตรงหน้า

“มันเกี่ยวอะไรด้วย”

“เกี่ยวสิ เพราะเธอจะซึมซับบรรยากาศรอบตัวได้ยังตราบใดที่ยังก้มหน้าดูจอไม่ดูวิว”

“แต่…”

“อย่างอแงน่า เป็นเด็กติดโทรศัพท์หรือไง”

อิงค์ล้วงมือลงในกระเป๋า หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาส่งให้ชายหนุ่มแต่แล้วก็เปลี่ยนใจดึงกลับมา “เดี๋ยวแม่ผมโทรมา ถ้าไม่รับเดี๋ยวเรื่องใหญ่”

“ตามใจ… ผ่านข้อหนึ่งไป ทีนี้เราก็มาถึงข้อสอง คือเราจะไม่นั่งรถ แต่เราจะใช้วิธีปั่นจักรยานไป”

“จักรยาน?” อิงค์ทวนคำ

สิงห์พยักหน้าพลางเดินนำไปยังลานจอดจักรยานด้านหน้าที่พัก ซึ่งจัดเตรียมไว้ให้แขกที่มาพักเช่าไปขับเที่ยวชมเมือง
แต่ก็เป็นเหมือนเช่นห้องพัก ตอนนี้เหลือจักรยานรุ่นคุณป้าใช้ขับไปจ่ายตลาดอยู่แค่คันเดียว

“แล้วเราจะไปกันยังไง” อิงค์ถาม

“ฉันขี่เธอซ้อน” สิงห์สรุปรวดเร็ว

“ล้อเล่นน่า!”

“งั้นเธอขี่ฉันซ้อน”

“ตามนั้น”

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Last Room
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 11-09-2019 15:06:04
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

ทั้งสองกระโดดขึ้นจักรยานตามที่ตกลงกัน อิงค์เหยียบเท้าลงบนคันถีบ แต่ถึงขนาดยืนขึ้นใช้น้ำหนักตัวทั้งหมดช่วยกดลงไป จักรยานคันน้อยก็เคลื่อนที่ได้เชื่องช้าประหนึ่งเต่าคลาน

“เปลี่ยนใจไหม” สิงห์ถามยิ้มๆ กับเด็กหนุ่มเมืองกรุงที่เหงื่อแตกซ่ก

อิงค์กระโดดลงจากจักรยานให้สิงห์ขยับมานั่งที่คนขับแล้วจึงนั่งลงซ้อนหลัง

“จับแน่นๆ นะน้องนะ พี่จะซิ่งแล้ว”

“ขี้โม้”

สิงห์เลิกคิ้วแล้วคว้ามือเรียวมาโอบรอบเอวตัวเองก่อนที่รถจะพุ่งฉิวออกไปต่างกับตอนที่อิงค์พยายามปั่นอย่างสิ้นเชิง

อิงค์พยายามจะขืนตัวออกห่างแต่เพราะอีกฝ่ายแกล้งหลบถนนเรียบลงหลุมข้างทางให้กระเทือนไข่ สั่นไปจนถึงคอหอยติดๆ กันทำให้เขาต้องผวาเกาะเอวอีกฝ่ายหลายต่อหลายครั้ง

“เหวยยยย~ คุณพี่สิงห์ครับ ขับดีๆ สิครับ ขับไม่เป็นก็ลงเดี๋ยวผมขับเอง!”

“ฝันไปเถอะ! ใครจะยอมให้เธอขี่กัน”

“ไอ้คุณพี่สิงห์!” อิงค์ร้องเสียงหลงไปตลอดทางจนกระทั่งรถมาจอดลงหน้าวัดภูมินทร์

“แลนมาร์คยอดฮิตของจังหวัดน่าน ใครไม่ได้มาถือว่ามาไม่ถึง” สิงห์บอก

ทีแรกอิงค์คิดว่าไอ้คุณพี่สิงห์คนนี้คงพาเขามาส่งเฉยๆ เหมือนทำหน้าที่คนขับรถ แต่ที่ไหนได้ เขากลับเดินนำพาไปดูนั่นดูนี่และบอกเล่าเรื่องราวโน่นนี่นั่นให้ฟังหลายต่อหลายอย่าง

“นี่ภาพปู่ม่านย่าม่านกระซิบรัก”

“เคยเห็นในละครที่แต้วเล่น” อิงค์ว่า “ทำไมต้องเป็นปู่กับย่า จะเปรียบว่าอยู่มานานแต่สองคนในภาพก็ดูไม่แก่เลยนะ”

“ไม่เกี่ยวกับอายุหรอก จริงๆ แล้วสองคนนี่ไม่ใช่คนไทยน่ะ แต่เป็นชาวพม่า คนพม่าเวลาถึงวัยผู้ใหญ่ ผู้ชายจะเรียกว่าปู่ ผู้หญิงเรียกว่าย่า ส่วนคำว่าม่านก็เป็นคำที่คนไทยสมัยก่อนใช้เรียกคนพม่าน่ะ เธอลองดูการแต่งตัวสิคนไทยที่ไหนแต่งแบบนี้ นี่เป็นเครื่องแต่งกายเต็มยศของชายหญิงชาวพม่าเลยนะ” สิงห์ชี้ชวนให้ดูและอธิบายเป็นฉากราวกับเป็น ‘หนานบัวผัน’ เจ้าของภาพจิตกรรมฝาผนังนี้มาเล่าให้ฟังเอง “เขาเชื่อกันว่าถ้าคู่รักพากันมากระซิบรักขอความรักที่หน้ารูปนี้ความรักจะยืนยาวและมั่นคง”

“ได้ผลไหม ผมถามจริง” อิงค์ถาม “นี่ไม่ได้กวนนะแค่อยากรู้จริงๆ”

“ไม่รู้สิก็คนที่ขอพรไปไม่เคยมาอัปเดทให้ฟังนี่นา” สิงห์ตอบ

เที่ยวชมภาพด้านในจนทั่วก็ลงบันไดมาเดินเล่นในลานกว้าง พนักงานต้อนรับที่ขยับหน้าที่มาเป็นไกด์ส่วนตัวก็เริ่มต้นบรรยายต่อ

“จากหัวถนนตรงวัดช้างค้ำที่อยู่ตรงข้ามโน่นเรื่อยยาวผ่านหน้าวัดไปจนสุดปลายถนนอีกด้านจะปิดทำเป็นถนนคนเดินทุกศุกร์เสาร์อาทิตย์ เรียกว่ากาดข่วงเมืองน่าน มีของขายทุกอย่างแต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นของกิน พอซื้อของเสร็จก็มานั่งพักเหนื่อยพักกินในลานตรงนี้ เขาจะมีบริการขันโตกแทนโต๊ะวางตั้งไว้ให้นั่งได้เลย แล้วก็มีพวกนักร้องหรือศิลปินพื้นบ้านมาร้องเพลงสลับกับทำการแสดงให้ดูฟรีด้วย”

“ผมชอบดูพวกคอนเสิร์ตแต่แบบนี้ไม่เคยดูเลย อยากดูจัง”

“เย็นนี้ก็มี จะมาไหมล่ะเดี๋ยวฉันพามาเดินเล่น”

“ได้เหรอ ไหนว่าต้องทำงานไง”

“เสร็จแล้วก็ออก ไม่เห็นยากเลย”

“จริงนะ”

ทั้งสองเดินอ้อมโบสถ์มาด้านหน้า ด้วยอุณหภูมิในเดือนเมษายนจึงทำให้เหงื่อแตกได้ไม่ยากทั้งที่อยู่ในเมืองเหนือ รถไอติมวอลล์เปิดเพลงดังกระหึ่มแล่นเข้ามาจอด อิงค์มองตามไปเห็นเด็กๆ กรูกันเข้าไปรุมแย่งกันเลือกซื้อไอติมแล้วอดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ เด็กกรุงเทพอย่างเขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับภาพแบบนี้นักเพราะส่วนใหญ่ก็ซื้อจากในตู้แช่ตามร้านสะดวกซื้อหรือซุปเปอร์มาร์เก็ต จำได้ว่าเคยไปมุงกับเพื่อนครั้งหนึ่งที่หน้าโรงเรียนตั้งแต่สมัยเรียนประถมโน่นเลย

กำลังยิ้มอยู่ดีๆ อิงค์ก็หลุดขำออกมาเมื่อชายหนุ่มตัวโตที่มาด้วยกันเข้าไปร่วมวงมุงซื้อไอติมกับเด็กๆ และเปลี่ยนเป็นอมยิ้มน้อยๆ เมื่อสิงห์ช้อนตัวเด็กผู้ชายตัวจ้อยสุดในกลุ่มที่พยายามเขย่งดูแต่ก็ไม่ถึงขึ้นมาขี่คอแล้วช่วยหยิบไอติมให้

จู่ๆ เพลงไลอ้อนคิงส์ก็ดังขึ้นมาในหัว เมื่อจินตนาการซ้อนทับขึ้นมากับภาพตรงหน้า อิงค์ก็รีบหันหน้าหนีไปหัวเราะอีกทาง
แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาแผดเผาจนแสบหน้า อิงค์มองซ้ายมองขวาเห็นซุ้มทางเดินเล็กใต้ท้องพญานาคตรงบันไดหน้าโบสถ์จึงเข้าไปยืนหลบแดดตรงนั้น พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูอะไรระหว่างรอเพลินๆ

“บอกว่าห้ามเล่นโทรศัพท์ไง” เสียงห้าวดังขึ้นพร้อมกับความเย็นที่แนบลงบนแก้มทำให้อิงค์สะดุ้งเฮือก

“เล่นบ้าอะไรเนี่ยลุงมันเย็นนะ”

สิงห์หัวเราะชอบใจที่แกล้งเขาได้ “แหม พ่อคนขวัญอ่อน แล้วนั่นใครใช้ให้เรียกลุง เดี๋ยวเก็บตังนะ”

“ไม่มี๊~ ไหนใครเรียก เมื่อกี้ผมบอกว่าพี่สิงห์สุดหล่อต่างหาก”

“ถ้าเป็นผู้หญิงนี่ฉันด่าว่าตอแหลแล้วนะ”

“แล้วถ้าเป็นผู้ชายอย่างผมล่ะ”

สิงห์ฉีกซองไอติมยักษ์คู่ในมือออกเป็นสองส่วนแล้วส่งให้อันหนึ่ง

“ต้องเสียตังปะ”

“ค่าชม” สิงห์ว่า

อิงค์รับไอติมมาแทะกิน แต่ไม่ว่าจะรีบกินสักเท่าไรก็ไม่อาจเร็วสู้ความร้อนที่แผดเผาแท่งหวานเย็นในมือให้ละลายเป็นน้ำเลอะมือไหลไปถึงข้อศอกได้

“เอ้าๆ นี่แน่ใจนะว่ายี่สิบ กินเลอะกินเทอะเป็นเด็กสองขวบ”

“ก็อากาศมันร้อนอะ” อิงค์ก้มลงไปเลียน้ำหวานที่เลอะมือ ทำให้ไอติมที่เหลือติดอยู่ตรงปลายแท่งไม้ค่อยๆ ไหลจากโคนลงมาตรงปลาย

และก่อนที่ไอติมจะเลื่อนหลุดออกจากปลายแท่งมันก็ถูกงับเข้าปากไปเสียก่อน

อิงค์ตัวแข็งกับหน้าคมที่อยู่ห่างไปไม่ถึงคืบ ถ้าเมื่อกี้ปลายลิ้นเขาตวัดพลาดแค่นิดเดียวก็จะโดนแก้มพี่สิงห์แล้ว

กลิ่นแตงโมมินต์บนเรือนผมยาวลอยมาแตะจมูก อิงค์กลืนน้ำลายเหนียวลงคอเมื่อภาพที่ตัวเองถูกกอดก่ายไว้ทั้งคืนในอ้อมแขนแกร่งนั้นปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิด หัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่เจ้าตัวสาเหตุ กลืนไอติมลงคอแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างสบายอารมณ์

“เสียดายของ” สิงห์พูดยิ้มๆ “มองอะไร… โกรธเหรอ งั้นเอาของฉันไปกินก็ได้” บอกพร้อมกับยื่นแท่งไอติมที่เหลือของตนมาจ่อที่ริมฝีปาก

อิงค์เหลือบสายตาลงมองแท่งหวานเย็นที่เริ่มละลายเป็นหยดเหนียวๆ ประกอบกับท่าทางกระพือเสื้อคอวีที่กว้างจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนของคนตรงหน้าแล้วบอกตรงๆ ว่าเขาคิดดีไม่ได้เลย

เขากลืนน้ำลายลงคอแล้วรีบหันหน้าหนีก่อนความคิดอกุศลจะพาให้ผิดบาปไปมากกว่านี้ทั้งที่อยู่ในวัดในวาแท้ๆ “ไม่เป็นไรครับ”

“อืม” สิงห์ชักมือกลับไปเลียไอติมต่อ “รีบเข้าร่มกันเถอะ เธอหน้าแดงหมดแล้ว รู้สึกจะเป็นลมหน้ามืดอะไรหรือเปล่า”

“ปะ… เปล่า” อิงค์บอกปัดทั้งที่ความรู้สึกลึกๆ ดูจะใกล้เคียงมากทีเดียว “แค่ร้อนน่ะ เข้าร่มกันเถอะ”

“ลืมบอก”

“อะไรครับ”

“ตรงที่เธอไปยืนเมื่อกี้เรียกว่าซุ้มพญานาคคู่ขวัญล่ะ คนที่จะมาขอพรกับปู่ม่านย่าม่านต้องมาลอดใต้ซุ้มนี้ด้วย”

“อ้าว เฮ้ย! แล้วเมื่อกี้พี่สิงห์ทำไมไม่บอกผม ปล่อยให้ยืนอยู่ด้วยกันตั้งนาน”

“กลัวพรสัมฤทธิ์ผลหรือไง” สิงห์หัวเราร่วน “เขามีกรรมวิธีขอ ต้องลอดทวนเข็มสามรอบแล้วขึ้นไปกระซิบ มีบทให้พูดด้วยนะ ใช่ว่าขอกันง่ายๆ ซะเมื่อไหร่ แล้ววันๆ คนก็มาขอตั้งเยอะ เธอคิดว่าแค่นี้จะมีผลอะไรหรือไง… เอ๊ะๆ หรือว่าเธอคิดอะไรกับฉัน”

“พอเลยพี่สิงห์ ผมก็แค่ถือคติไม่เชื่อก็ไม่ลบหลู่แค่นั้นแหละ… หรือว่าพี่คิด”

“เออ” อิงค์สะดุ้ง หน้าร้อนวาบ

“คิดว่าจะพาเธอไปเที่ยวไหนต่อ”

อิงค์ผ่อนลมออกจมูกค่อยหายใจทั่วท้อง ไม่เข้าใจอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ แหย่เล่นเป็นหมาหยอกไก่ของคนอายุเข้าเลขสามเลยจริงๆ “ตกลงพี่จะพาผมไปไหนต่อ”

“ไปโน่นไง” สิงห์ชี้มือไปที่ถนนอีกฝั่งซึ่งขัฝี่จักรยานผ่านมาแล้ว “นั่นคือพิพิธภัณฑ์น่าน เธอต้องไปเช็กอินที่ลานลั่นทมหัวโกร๋นนั่นด้วยนะ เดี๋ยวคนเขาจะว่าว่ามาไม่ถึง”

“อ้าว แล้วทำไมไม่แวะตั้งแต่เมื่อกี้จะย้อนไปย้อนมาทำไม”

“ฉันแค่พามาดูตามลำคับความสำคัญต่างหาก”

“ลืมก็บอกว่าลืมดิแก่แล้วก็เงี้ย ลุงนะลุง”

“อย่ามัวแต่ช้าเดี๋ยวรถก็ชนหรอก” สิงห์ทำเสียงดังเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับคว้ามือเด็กหนุ่มให้เดินข้ามถนนไปด้วยกัน

อิงค์เหลียวมองซ้ายขวา ที่ถนนว่างเปล่าไม่มีรถราวิ่งมาสักคันแล้วก้มลงมองฝ่ามือใหญ่ที่กุมมือตนไว้แน่น ปกติจะเป็นฝ่ายเขาที่จูงมือแฟนตอนข้ามถนน แต่ในเวลาอกหักแบบนี้มีคนจูงไปไหนมาไหนก็รู้สึกดีเหมือนกัน

“ฉันช่วยถ่ายให้ไหม” สิงห์อาสาเมื่อเห็นเด็กหนุ่มพยายามวางกล้องกับพื้นเพื่อถ่ายภาพมุมกว้างของตัวเองกับจ้นลั่นทม

“ถ่ายได้แน่นะ ผมละไม่ไว้ใจพี่เลย” อิงค์หรี่ตามองแต่ก็ยอมส่งโทรศัพท์ให้

สิงห์รับไปกดๆ สักพักก็ส่งคืน “ไปดูเอง”

“อะไรวะพี่ ไม่นับเลยเหรอ นี่ผมยังไม่ทันยิ้มเลยนะ” อิงค์บ่นพลางกดเปิดรูปดู แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจ จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้ดูดีไปเสียทุกรูปกับสภาพหน้าตาเยินๆ ของคนกินเหล้าเมามาหลายวัน แต่องค์ประกอบและอารมณ์ของภาพที่ถ่ายออกมานั้นดูเป็นธรรมชาติที่กำลังพอดีมากๆ

“สวยไหม” สิงห์ถาม

“วิวสวย” อิงค์บอกก่อนจะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า เรื่องอะไรเขาจะชมให้เหลิงกันล่ะ

ทั้งสองเดินสลับกับขี่จักรยานเที่ยวชมไปรอบๆ เมือง ไม่ใช่แค่เพราะไม่มีอะไรให้ต้องรีบเร่งแต่บรรยากาศที่เรียบง่าย ช้าๆ เนิบๆ ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของเมืองน่านนั้นทำให้เขาผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว

“กลับกันเถอะ ได้เวลาทำอาหารเย็นแล้ว” สิงห์เอ่ยขึ้นเมื่อเวลาห้าโมงเย็น

อิงค์จึงกระโดดขึ้นซ้อนท้ายจักรยานเพื่อกลับที่พัก เขาใช้สองมือจับเอวคนขับไว้หลวมๆ พลางมองการใช้ชีวิตสองข้างของคนที่นี่ไปเพลิน ลมที่พัดตีมาเบาๆ พาให้เรือนผมยาวของคนขับกับกลิ่นอ่อนๆ ของแตงโมมินต์ลอยมากระทบจมูก มันให้ความรู้สึกสบายชวนคิดถึงจนเขาเผลอซบหน้าลงบนแผ่นหลังกว้าง



“พี่สิงห์จะทำอะไรเป็นอาหารเย็นเหรอ” อิงค์ที่อยู่ว่างๆ เดินตามเข้าไปดูในครัว

“ไก่มะแขว่น” พ่อครัวบอกเมนูพลางหยิบวัตถุดิบจากตู้เย็นออกมาวางบนโต๊ะ

“อะไรคือมะแขว่น”

“เป็นชื่อสมุนไพรน่ะ หน้าตาคล้ายๆ เม็ดพริกไทยน่ะ รสซ่าแล้วก็มีกลิ่นฉุนแต่หอมเป็นเอกลักษณ์” สิงห์บอกพลางหยิบขวดใส่เม็ดมะแขว่นส่งให้เด็กเมืองกรุงซึ่งรับไปพลิกดูด้วยความสนอกสนใจ

“แล้วเอามาทำอะไรกิน”

“ใช้ปรุงอาหารได้หลายอย่างใส่แกงใส่หมก เป็นเครื่องเทศประจำภาคเหนือ ส่วนเมนูไก่มะแขว่นนี่ถือเป็นอาหารขึ้นชื่อของน่านเลย ไม่ได้กินถือว่ามาไม่ถึง”

“อะไรๆ ก็ถือว่ามาไม่ถึงทุกอย่างเลยนะ”

“ก็ฉันไม่อยากให้เธอพลาดนี่นา นี่อุตส่าห์นำเสนอแต่ของดีๆ นะ”

“ที่ตลาดถนนคนเดินจะมีขายไหมผมจะได้ไปซื้อมาชิม”

“จะไปซื้อทำไมก็ฉันทำให้กินอยู่เนี่ย”

“ผมกินได้เหรอ… ก็พี่สิงห์ทำให้พนักงานแล้วผมก็ไม่ใช่…”

“กินได้เจ้าของที่นี่ใจดี วัตถุดิบมีเหลือเยอะ”

“แต่…”

“ถ้างั้นก็มาช่วยทำ ถือว่าเป็นค่าแรงตกลงไหม”

เห็นว่าน่าสนุกดีประกอบกับเป็นพวกชอบทำและชอบกินอิงค์จึงรีบตกปากรับคำ

“ทำไม่อยากเลยก็แค่เอามหมักไก่ แต่จะมีเคล็ดลับหน่อยตรงที่ไก่ที่ใช้ต้องเป็นส่วนอกของไก่บ้าน จะได้เนื้อเน้นๆ แน่นๆ ฉีกกินอร่อยกว่าส่วนอื่นๆ” สิงห์ทำท่าแบ่งกล้ามอกประกอบ เขาใส่เนื้อไก่ลงในกะละมังก่อนจะตามด้วยเครื่องปรุงรสต่างๆ “อันนี้ปรุงตามชอบเลยนะ บางบ้านก็ใช้แค่เกลือ แต่ฉันว่ารสมันเค็มโดดเลยใช้ซอสถั่วเหลืองแทนแล้วโรยน้ำตางลงไปนิดหน่อย ทีนี้ก็ถึงตาพระเอกของเรา เอามะแขว่นใส่ลงไปต้องกะให้พอดีกันถ้าน้อยไปกลิ่นไม่ก็ไม่หอม ใส่มากไปก็เผ็ดเสียรส… จากนี้ก็หน้าที่เธอล่ะ” บอกพร้อมกับเลื่อนชามมาตรงหน้า

“ให้ผมทำอะไร” อิงค์ถาม

“คลุกเคล้าให้เข้าเนื้อ” สิงห์บอก

อิงค์ค่อยสอดมือลงไปในชามไก่แล้วบีบๆ นวดๆ

“แรงๆ หน่อยสิแบบนั้นมันจะซึมเข้าเนื้อได้ยังไง”

“ผมกลัวไก่เละ”

“มันไม่เละหรอกน่า มานี่จะทำให้ดู”

อิงค์เตรียมขยับหลบให้ แต่สิงห์กลับมายืนซ้อนหลังแล้วเอื้อมมือข้างหนึ่งสอดลงมาในกะละมังวางทับบนมือเขาแล้วพาจับมือขยำไก่เป็นจังหวะ

“ค่อยๆ บีบ ช้าๆ เน้นๆ แบบนี้ ไม่ต้องรีบ”

ความนุ่มหยุ่นเนื้อไก่กับนิ้วมือแข็งแรงที่จับอยู่พาให้ใจสั่น ยิ่งตอนร่างสูงใหญ่นั้นสอดอีกมือขึ้นวางบนโต๊ะข้างตัวเขาเพื่อพักมือแล้วเกยคางลงมาบนไหล่เพื่อดูหน้าตาไก่ให้ชัดๆ อิงค์ยิ่งรู้สึกหมดทางหนี

กว่าจะหมักไก่ได้ที่เตรียมลงทอดก็เล่นเอาอิงค์หมดแรงแข้งขาสั่นถึงขั้นต้องเกาะขอบโต๊ะเลยทีเดียว

“เด็กสมัยนี้ไม่ไหวเลยแค่ให้ขยำไก่กิโลสองกิโลเองหมดแรงซะแล้ว วันหลังหัดไปออกกำลังกายบ้างนะ”

“ผมหมดแรงเพราะลุงน่ะแหละ” อิงค์โอดครวญ

“เมื่อกี้พูดว่าไรนะ เดี๋ยวไม่ให้กินไก่ซะเลยนี่”

“ไม่มีอะไรคร้าบบบ~ พี่สิงห์!” อิงค์แกล้งเน้น นี่ตกลงใครเป็นแขกใครเป็นพนักงานกันแน่ฟะ

พ่อครัวที่กำลังทอดไก่อยู่หน้าเตาหันมาอมยิ้มให้ก่อนจะหันกลับไปพลิกไก่ต่อ


“กินได้แล้ว” สิงห์ยกจานไก่ออกมาวางพร้อมกับกระติ๊บใส่ข้าวเหนียว “มีข้าวสวยด้วยนะเธอไปตักได้เลยอยู่ในครัว”

“ขอบคุณครับ” อิงค์นั่งลงพร้อมกับจานข้าว เขาฉีกไก่ใส่ปาก เม็ดมะแขว่นแตกซ่าในปากและไก่ก็เหนียวนุ่มสู้นฟันอร่อยสมราคาคุย “แล้วพี่สิงห์ไม่กินเหรอ”

สิงห์เปิดกระป๋องเบียร์แล้วชูขึ้นตรงหน้า “ขั้นสุดของการกินกับข้าวคือเอามาแกล้มเบียร์เย็นๆ นี่แหละ”

“โห ขี้โกงอะ กินคนเดียว ผมกินด้วยคนสิ”

“เป็นเด็กเป็นเล็กริอาจจะกินเหล้า”

“ผมอายุยี่สิบแล้วนะ ไม่ผิดกฏหมายสักหน่อย”

สิงห์ยิ้มขันกับความเถียงคำไม่ตกฟาก เขาลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เย็นแล้วหยิบเบียร์มากระป๋องหนึ่ง “แค่กระป๋องเดียวนะเจ้าหนู”

แต่คำว่าสัจจะไม่มีในหมู่โจรฉันใด ก็ไม่มีคำว่ากระป๋องเดียวในวงเหล้าฉันนั้น ในเวลาแค่ชั่วโมงเศษกระป๋องเบียร์ก็วางเรียงรายเต็มโต๊ะ

“พรุ่งนี้กลับกี่โมง” สิงห์ถามเริ่มกรึ่มนิดๆ

“ไฟลท์เช้าเจ็ดโมง”

“เร็วจัง เท่ากับเธอมาอยู่ที่นี่แค่วันกว่าๆ เองนะ”

“อยากอยู่ให้นานกว่านี้ แต่ทำยังไงได้ มันกะทันหันนี่นา แล้ววันจันทร์ก็ต้องกลับไปเรียนแล้วด้วย”

บทสนทนาถูกขัดด้วยการสั่นต่อเนื่องของโทรศัพท์ในกระเป๋า อิงค์หยิบออกมาดู นิ้วเรียวยกขึ้นค้างอยู่ตรงกลางระหว่างกดรับกับตัดสายทิ้ง

“ไหว?” สิงห์ถาม

“ไหวสิ”

“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องเรียน” สิงห์พูดต่อภาพสาวน้อยที่มาพร้อมสายเรียกเข้าดูยังไงก็ไม่ใช่แม่แน่ๆ

อิงค์เงียบไปทันทีก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ นัยน์ตาจับจ้องอยู่ที่หน้าโทรศัพท์ “เราเรียนมัธยมมาด้วยกัน และตอนนี้เราก็เรียนที่เดียวกันถึงจะคนละคณะก็เถอะ”

“ยิ่งเจอยิ่งเจ็บ”

อิงค์พยักหน้า

“แต่ถ้าไม่ไปหาก็จะไม่เจอ”

อิงค์พยักหน้า “แต่ผมทำไม่ได้”

“ได้สิ” สิงห์ตอบ “เริ่มจากออกจากเฟสบุ๊กซะ… เธอจะเลิกร้องไห้ได้ยังไงตราบใดที่ยังเข้าไปดูเฟสเขาตลอดเวลา” นั่นคือสาเหตุที่เขาขอให้อิงค์เก็บโทรศัพท์ไว้ที่ที่พัก เพราะเด็กหนุ่มเอาแต่มองมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับรอให้เธอโทรมาหา

“ก็มันคิดถึง”

“คิดถึงแล้วเจ็บไหม”

อิงค์พยักหน้า

สายโทรศัพท์ตัดไปแล้ว ภาพหน้าจอจึงสว่างวาบขึ้นมาแทนที่

“เปลี่ยนภาพหน้าจอด้วย” สิงห์บอก

อิงค์ก้มลงมองโทรศัพท์ในมือ “นี่เป็นตอนที่เราไปเที่ยวทะเลด้วยกันเมื่อปีก่อน… เธอชอบทะเลมาก”

“เพราะแบบนี้ทะเลถึงได้ร้อนเกินไปสินะ”

อิงค์พยักหน้าเหมือนพระอาทิตย์ย้ายจากบนฟ้ามาอยู่ตรงขอบตาแผดเผาให้ร้อนผ่าว “พี่สิงห์น่ะแหละทำให้ผมยิ่งคิดถึงเธอ”

“อ้าว เกี่ยวอะไรกับฉันวะ”

“ก็พี่อะ ดันมาใช้แชมพูกลิ่นเดียวกับยัยนั่นทำไมเล่า! ได้กลิ่นผมก็ยิ่งคิดถึงน่ะสิ”

“เมาแล้วนะเนี่ย” สิงห์พ่นลมออกจมูกพยายามจะยื่นมือไปดึงกระป๋องบียร์จากเด็กหนุ่ม แต่อีกฝ่ายก็ม้วนตัวหนีแล้วซดรวดเดียวหมดกระป๋อง “เฮ้! เบาๆ หน่อย”

“งือ” อิงค์ครางในลำคอขว้างกระเป๋าเบียร์เปล่าทิ้งแล้วหันมาจ้องหน้าชายหนุ่มด้วยใบหน้าแดงก่ำ “แล้วพี่ก็ยังมาทำดีกับผมอีก”
สายโทรศัพท์ตัดไปก่อนที่จะโทรเข้ามาใหม่อีกครั้ง นัยต์ตาจับจ้องอยู่ที่โทรศัพท์ อยากรับก็อยาก แต่ก็ไม่อยากกลับไปเจ็บอีกแล้ว

“ทำไมเธอตอนพระอาทิตย์ตกดินถึงดูไม่เหมือนเธอตอนพระอาทิตย์ขึ้นเลย เมื่อเช้ายังยิ้มหัวเราะได้ขนาดนั้นแท้ๆ”

“คงเพราะบรรยากาศพาไปละมั้ง” อิงค์ตอบอย่างขมขื่น ตัดสินแล้วว่าจะกดรับไม่ว่ายังเขาก็อยากได้ยินเสียงเธอ “ฮัลโหล… เมย์เหรอ…”

สิงห์ครางในลำคอ ตาคมหรี่ลงเหมือนราชสีห์ที่กำลังหงุดหงิด “งั้นก็ให้บรรยากาศมันพาไปละกัน”

อิงค์ฟังผ่านหูไม่ค่อยเข้าใจคำที่ชายหนุ่มบอก แม้แต่ตอนที่มือใหญ่เอื้อมมาประกบรอบกรอบหน้าแล้วเจ้าของมือนั้นก้มหน้าลงมาประทับริมฝีปาก

“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าดูโทรศัพท์เวลาอยู่ด้วยกัน”

“ผม…” อิงค์ไม่ตอบโต้อะไรในหัวมันว่างเปล่า

สิงห์ก้มลงจูบอีกครั้ง แค่แตะเบาๆ เนิบนาบ ไม่ได้เร่งเร้าหรือรุกราน แต่เพียงแค่นั้นอิงค์กลับไม่อาจขัดขืนอะไรได้ เขาทิ้งโทรศัพท์หลุดมือ เสียงคนรักเก่าในสายดังสะท้อนออกมา

“อิงค์… เกิดอะไรขึ้น… เป็นอะไรทำไมเงียบไป อิงค์!”

แต่ถึงจะเรียกสักกี่ครั้งเจ้าของชื่อก็ไม่สนใจอีกแล้ว เขาปล่อยใจให้บรรยากาศนำพาและปล่อยตัวให้ชายหนุ่มผิวแทนจูงมือขึ้นไปบนห้องใต้หลังคา

ร่างกำยำนั่งลงบนเตียงพร้อมกับรั้งร่างโปร่งให้เข้ามาประชิดอก สองมือค่อยถกชายเสื้อขึ้นสูงเห็นยอดอกสีหวานลอยเด่นอยู่ตรงหน้า

“ช่วยจับไว้หน่อยสิ” สิงห์กระซิบพลางจับชายเสื้อแตะที่รืมฝีปากให้คาบไว้ แล้วเริ่มใช้ปลายลิ้นเล่นกับยอดอก เมื่อมือทั้งสองข้างว่างแล้วก็สามารถลูบไล้เรือนร่างเพรียวสมส่วนนั้นได้เต็มที่ มันไม่เหมือนร่างกายผู้หญิงที่เขาเคยกอดผ่านๆ มา กับผู้ชายก็เคยลองมาบ้างยอมรับว่ารู้สึกดีแต่ก็ไม่ได้ถึงกับติดใจ

หากในขณะที่กำลังลูบไล้สะโพกแน่นกับส่วนซึ่งแสดงความเป็นชายของเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นเขารู้สึกว่ามันแตกต่าง เป็นความรู้สึกแปลกที่บอกไม่ถูกเช่นเดียวกันกับอิงค์ที่ตื่นเต้นไม่แพ้กัน

“ครั้งแรก?”

“ใครมันจะไปมีประสบการณ์เยอะอย่างลุงกันเล่า”

“เรียกลุงอีกแล้ว บอกให้เรียกพี่”

สองขาเรียวสั่นพั่บเมื่อปลายนิ้วแกร่งค่อยแทรกเข้ามาทางด้านหลัง รู้สึกเหมือนหน้ามืดแล้วจู่ๆ ก็ถูกจับเหวี่ยงให้นอนหงายลงบนเตียง กางเกงผ้าถูกดึงออกไปกองอยู่ที่พื้นเช่นเดียวกับกางเกงของสิงห์ที่ตอนนี้ผงาดโชว์ความเป็นชายชาตรีสมชื่อ

“เจ็บไหม?”

“นิดหน่อย” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับกดจูบลงกลางหน้าผาก “แต่สักพักจะรู้สึกดี”

“จริงเหรอ”

“เดี๋ยวก็รู้เอง”

อิงค์สะดุ้งเบาๆ เมื่อสิงห์จับขาของเขายกขึ้นแล้วสอดแทรกความเป็นชายเข้ามาแทนนิ้วมือ เขาพยายามเข้ามาให้สุดแต่ก็ได้แค่เพียงครึ่งเดียวอิงค์ก็ดิ้นพล่านด้วยความอึดอัดคับแน่น มันไม่ได้เจ็บแต่มันรู้สึกขมวดตึงตั้งแต่ตรงที่ถูกแทรกเข้ามาไปจนถึงปลายเท้า ในท้องแน่นหนึบไปตามจังหวะสะโพกที่ขยับเสียดสี ในขณะที่ในอกหวามหวิวจนแทบหายใจไม่ทันกับการโดนปลุกเร้าทั้งด้านหน้าและด้านหลังพร้อมๆ กัน

อิงค์ผวากอดคนตัวโตกว่าแน่น ปลายเล็บจิกลากไปบนแผ่นหลังกว้างพร้อมกับซุกหน้าลงบนบ่าลาด หอบหายใจแรงสูดหายใจที่เจือกลิ่นหอมของแตงโมมิ้นต์ก่อนที่ความสุขสมจะพุ่งถึงจุดสูงสุด

ความเหงาที่โดนย้อมด้วยแอลกอฮอล์ทำให้ความต้องการไม่สงบลงง่ายๆ ทั้งสองกอดก่ายกันครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนจะหลับไปด้วยกันทั้งที่ร่างกายเปลือยเปล่า

จนกระทั่งรุ่งสางสิงห์ลืมตาขึ้นมาเพื่อเตรียมจะไปส่งเด็กหนุ่มเมืองกรุงกลับบ้าน แต่เขาก็พบว่าอีกด้านของเตียงนั้นว่างเปล่าเสียแล้ว

สิงห์โครงศีรษะเล็กน้อยก่อนจะลุกไปอาบน้ำ เขาเปิดฝักบัวให้สายน้ำพุ่งลงมาราดรดศีรษะพร้อมกับหยิบขวดแชมพูขึ้นมา พอนวดเป็นฟองจนกลิ่นหอมฟุ้งเขาก็ชะงักหันไปมองขวดแชมพูอีกครั้งแล้วหยิบทิ้งลงถังขยะ

…ไม่มีอะไร ก็แค่ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแชมพูใหม่พอดี…


เด็กหนุ่มสวมเสื้อแจ๊คเก็ตแล้วกระชับกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายบ่า ในมือถือใบบอร์ดดิ้งพาสที่ผ่านการเช็กอินเรียบร้อย อีกราวหนึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาเครื่องออก

อิงค์หันหน้าไปทางประตูสนามบินมองบรรยากาศเมืองน่านให้เต็มตาอีกครั้ง หลังจากนั้นแฟนเก่าของเขาก็ไม่โทรมาอีกเลย และเขาก็ไม่คิดจะโทรกลับ

มีสายโทรเข้ามาพอดีเขาก้มมองและกดรับทันที

“ครับแม่ อยู่สนามบินแล้วครับกำลังจะกลับ ขอโทษนะครับที่ทำให้เป็นห่วง”

เด็กหนุ่มกดวางสาย นัยน์ตาจับจ้องอยู่ที่ภาพหน้าจอซึ่งเป็นรูปเขากับรูปปั้นสิงหน้าวัด ริมฝีปากหลุดยิ้มออกเล็กน้อย เขาหมุนตัวกลับเข้าไปด้านใน

…ผมดีใจมากเลยนะที่ได้พบคุณ แม้ว่าสุดท้ายแล้วผมกลายเป็นแค่เด็กหลงทางในวันธรรมดาๆ วันหนึ่งของคุณ แต่คุณคือคนพิเศษในวันที่แย่ที่สุดของผม…

ความรักครั้งเก่ามันจบลงแล้ว ครั้งต่อไปจะได้เริ่มต้นไหม และจะเริ่มเมื่อไหร่ยังไม่มีวันรู้ แต่อย่างน้อยถ้ามันจะเริ่มต้น เขาก็รู้แล้วล่ะว่าอยากจะลองเริ่มต้นอีกครั้งที่ไหน

.

.

.

สองปีผ่านไป

“ขอโทษนะครับ ที่นี่ยังมีห้องว่างเหลืออยู่ไหม”

********************************************************************************
Talk

สวัสดีค่ะ leGGyDan เองค่าาาาาไม่เจอกันในเล้านานมาก >.<
เรื่องพี่สิงห์กับน้องอิงค์นี่ทีแรกตั้งใจว่าจะทำวันช็อตลงในเฟส เป็นตอนๆ ไปแก้เบื่อแก้เซ็ง
แต่ด้วยนิสัยเดิมอะน้าาาา ^^ แต่งสั้นไม่เป็นอ่า แล้วมันก็กลายมาเป็นเรื่องสั้น จนตอนนี้ยแล้ว ยาวมั่ก แฮร่
ฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจอีกเรื่องนะคะ

เพื่อความฟินต่อเนื่อง มีนิยายแชทด้วยนะคะ ตอนนี้อัปได้ 5 ตอนแล้วค่ะ ขออนุญาตแปะลิงค์
#แชทลับของพี่สิงห์ (https://www.readawrite.com/a/yZg9l5-Last-Room?r=list_article_by_category)

อ่านเรื่องอื่นๆ ของ >>leGGyDan<< (https://www.facebook.com/leGGyDanLabyrinth/?eid=ARCX5Xz1s3Jgnxe83Dwf0vglYsFFg3j2HFgOgH9MxpJ8yInqSwZEnZpX3BdT7liftIsudKLN70gEQeBR)
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 1 (11/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-09-2019 18:17:19
 :pig4:
 :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 1 (11/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 11-09-2019 20:24:00
LR 2

“สวัสดีครับ ผมเอาขนมมาส่ง”

เสียงทักทายอย่างขยันขันแข็งดังขึ้นที่หน้าประตู ‘ข่วงเมืองสิงห์’ พร้อมกับการปรากฏตัวของร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมกางเกงสแลคสีดำที่หน้าประตู

“เชิญ” เสียงห้าวดังตอบกลับมาจากหลังเคาน์เตอร์

แต่อันจริงคนคนตอบก็แค่ตอบไปตามมารยาท เพราะตอนนี้คนที่เพิ่งมาถึงก็ถอดรองเท้าแล้วเดินตรงดิ่งเข้าไปยังห้องรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มวางถุงกระดาษสองใบใหญ่ที่หอบหิ้วมาวางบนโต๊ะ จัดแจงรื้อของข้างในอันประกอบไปด้วยขวดแก้วบรรจุกาแฟสูตรพิเศษขนาด 200ml คาดฉลากตัวการ์ตูนรูปสัตว์หน้าตาคล้ายสิงโตจำนวน 20 ขวด ปาท่องโก๋ทอดใหม่ๆ ร้อนๆ ที่บรรจุอยู่ในกล่องออกมาวางเรียงในถาดสแตนเลส

ชายหนุ่มบรรจงใช้ที่คีบจัดตัวปาท่องโก๋เรียงกันที่ละชิ้นอย่างเป็นระเบียบก่อนจะเทเครื่องเคียงที่ไว้กินคู่กันอันประกอบด้วยสังขยาใบเตยกับนมข้นหวาน

จัดเตรียมเสร็จก็ถอยออกมายืนมองผลงานให้ดูกลมกลืนสมมาตรกับหม้อใบใหญ่ที่ใส่ข้าวต้มเห็ดหอมวางไว้ก่อนแล้ว

“วันนี้ทำขนมอะไรมาคะคุณอิงค์”

“ปาท่องโก๋ครับ” ชายหนุ่มหันไปตอบสาวใหญ่ร่างท้วมหน้าตาใจดีผู้เป็นเจ้าของที่นี่ “ป้าสำลีชิมสิครับ” ตอบพร้อมกับดึงกล่องพลาสติกใบเล็กออกมาจากถุงกระดาษส่งให้

“เกรงใจจังค่ะ” ป้าสำลีตอบเขินๆ แต่ก็ยื่นมือไปรับไว้โดยเร็ว

“แทนคำขอบคุณที่ช่วยอุดหนุนครับ นี่ผมทำมาเผื่อป้ามอญกับพี่สิงห์ด้วยนะครับ”

“รับทราบค่ะ” ป้าสำลีบอก “แล้วนี่คุณอิงค์อะไรมาหรือยังทานข้าวเช้าด้วยกันก่อนสิ วันนี้คุณสิงห์ทำข้าวต้มเห็ดหอมของโปรดคุณอิงค์นะ”

“เอ่อ… ผม…”

“ป้าจะชวนให้ลำบากใจทำไมก็รู้อยู่ว่าเขาต้องรีบกลับไปเปิดร้าน” เสียงห้าวดังผ่ากลางวงมาจากหลังเคาน์เตอร์

ชายหนุ่มยิ้มแห้งให้ป้าสำลี “ตามนั้นเลยครับ”

“น่าเสียดายจัง เอางี้ เดี๋ยวป้าเอาใส่กล่องให้ แลกกับปาท่องโก๋”

“ไม่เป็นครับแค่ของเล็กน้อยเอง”

“ไม่ได้ๆ ค่ะ คุณอิงค์รอแป๊บนะคะ เดี๋ยวป้ามา” ป้าสำลีขยิบตาให้ครั้งหนึ่งก่อนจะกระวีกระวาดเข้าไปในครัว

ชายหนุ่มพยายามจะคว้าตัวไว้ แต่คุณป้าร่างท้วมผู้มีอายุเฉียดวัยเกษียณอีกไม่กี่ปีก็พลิ้วหาตัวจับยากเสียเหลือเกิน

ระหว่างรอเขาก็เลยถือโอกาสที่ยืนเก้ๆ กังๆ แอบมองคนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ ที่ทำหมางเมินใส่เขาเหมือนคนไม่รู้จักกันทั้งที่เมื่อหลายปีก่อนเคยมีอะไรลึกซึ้งกันแท้ๆ

ไม่สิ…

จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าจำไม่ได้ แต่เขาอาจจะไม่ได้อยู่ในความทรงจำของสิงห์มาตั้งแต่ต้นแล้วก็ได้

‘อิงค์’ หรือ ‘อิสระ’ เคยอกหักจากแฟนสาวที่นอกใจไปดับเพื่อนสนิท ตอนนั้นเขาเจ็บเจียนตายและหนีมาพักใจที่น่าน แล้วก็ได้มาเจอสิงห์พนักงานต้อนรับที่นี่ ด้วยความเมาทำให้พวกเขามีอะไรกัน แต่ทั้งหมดมันก็เป็นความเต็มใจล้วนๆ

หลังจากครั้งนั้นผ่านไปสองปี เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยและกลับมาที่นี่อีกครั้ง ตั้งใจมาฉลองความสำเร็จและอยากลองเริ่มต้นใหม่กับคนเขาไม่เคยลืมได้ลงทั้งที่มีอะไรกันแค่ครั้งเดียว

ทว่ารอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เขาคาดหวังว่าจะได้รับจากหนุ่มผิวแทนผมยาวเหมือนเช่นวันวานนั้นหามีไม่ ไม่ว่าเขาจะพยายามคุยด้วยสักเท่าไหร่คำตอบคือความเงียบและปฎิสัมพันธ์ในลักษณะพนักงานต้อนรับกับแขกผู้มาพักค้างอ้างแรมชั่วคืนเท่านั้น

วันนั้นอิงค์กวาดเศษหน้าที่แตกละเอียดยับกลับไป ก่อนจะกลับมาอีกครั้งในสามปีให้หลัง หลังจากที่เรียนจบในทางที่ใฝ่ฝัน

…เขาอยากเป็นคนชงกาแฟ… อยากมีร้านกาแฟเล็กๆ เป็นของตัวเอง และสถานที่ที่เขาเลือกที่จะมาก่อร่างสร้างฝันก็คือน่านนครแห่งนี้…

อย่างน้อยถ้าไม่ได้แฟน เขาก็ต้องได้ชื่อเสียงกลับไปฝากพ่อกับแม่ที่เมืองกรุงล่ะ คนอย่างไอ้อิงค์จะไม่ยอมเสียหน้าเป็นหนที่สามเด็ดขาด

คนตัวโตที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ขยับตัวหันหลังให้ราวกับรู้ว่าถูกแอบมอง ซึ่งอิงค์ก็ไม่ปฏิเสธอะไร เขายังคงมองร่างสูงใหญ่สมส่วนนั้นต่อไป เวลาห้าปีที่ผ่านไปสิงห์ไว้ผมยาวขึ้นจนตอนนี้มันเริ่มจะยาวถึงกลางหลัง ผมเส้นเล็กดูนุ่มมีน้ำหนักยามเจ้าของยกมือขึ้นเสยลวกๆ แต่มันกลับทิ้งตัวตรงกลับทรงเดิมเหมือนนางแบบในโฆษณาแชมพูจนอิงค์ต้องกำมือแน่นเพื่อไม่ให้เผลอวิ่งเข้าไปซุกแล้วสูดแรงๆ พิสูจน์ว่ายังใช้แชมพูกลิ่นเดิมอยู่หรือเปล่า

อึดใจต่อมาป้าสำลีก็กลับมาพร้อมกล่องพลาสติก ปาท่องโก๋ที่เขาใส่ให้ไปถูกถ่ายเทออกแล้วใส่ข้าวต้มเห็ดหอมมาแทนที่

“นี่ค่ะคุณอิงค์ ทานให้อร่อยนะคะ”

“ขอบคุณครับ”

“พรุ่งนี้เจอกันนะคะ”

“สวัสดีครับป้าสำลี สวัสดีครับคุณสิงห์” อิงค์กล่าวลาพร้อมกับยกมือไหว้

“คุณสิงห์คะ น้องลาแน่ะ” ป้าสำลีร้องทักเมื่อเห็นชายหนุ่มยังนั่งทำหน้ามึนไม่รู้ไม่ชี้

“น้องใครป้า ผมลูกคนเดียว”

“คุณสิงห์!” ป้าสำลีเม้มปากก่อนจะหันมาหาอิงค์ “ขอโทษนะคะ อย่าถือสาเลย คุณสิงห์เขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ”

“ครับ ผมเข้าใจ”

“อ้าว ป้า! นินทาระยะเผาขนไปไหม”

“แบบนี้เรียกตั้งใจพูดให้ได้ยินค่ะไม่ใช่นินทา” ป้าสำลีว่าก่อนจะหันยิ้มกว้างให้ชายหนุ่ม “ตกลงพรุ่งนี้เจอกันนะคะ”

“ครับ” อิงค์ยกมือไหว้อีกครั้งและกลับออกมาสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์กลับร้านของตัวเองที่อยู่ห่างออกไปราวสองช่วงถนน

หลังจากที่ร้านกาแฟเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อสามเดือนก่อน การโปรโมทร้านอย่างแรกของอิงค์คือการฝากขายกับโรงแรมและโฮมสเตย์ต่างๆ ซึ่งทีแรกก็ไม่ยอมรับแต่พอได้ชิมรสชาติกาแฟของเขาก็ให้การตอบรับเป็นอย่างดี แต่เขาก็ไม่ได้ฝากขายหลายแห่งนัก เพราะที่ทำแผนการตลาดนี้ขึ้นมาก็เพื่อหาเรื่องมาหาสิงห์ล้วนๆ ส่วนของที่ขายได้นั่นถือเป็นของแถม

ถามว่าคุ้มค่าไหม ถ้าเอาเรื่องเงินเป็นตัวตั้ง กำไรก็ถือว่างาม แต่ถ้าคิดต้นทุนเป็นหัวใจแล้วล่ะก็เรียกได้ว่าขาดทุนย่อยยับ ยิ้มจนเหงือกแห้งให้ทุกวันมาร่วมสามเดือน อย่าว่าแต่ยิ้มตอบเลยแค่หันมาพูดด้วยดีๆ ยังไม่มีสักคำ

เออ… แล้วเขาก็ยังหน้าด้านหน้าทนขยันมาอยู่ได้นะ

คิดไปก็เจ็บหัวใจจี๊ดๆ อิงค์ดับรถจอดพลางเงยหน้าขึ้นมองป้ายหน้าร้านซึ่งเป็นอาคารปูนสองชั้นที่เขียนคำว่า It’ sra ทำเลของร้านอยู่ในจุดค่อนข้างดีด้านหน้าติดถนนใหญ่ ด้านหลังเป็นวิวดอยเขาน้อย อันเป็นที่ตั้งของวัดพระธาตุเขาน้อย ทำให้มีลูกค้าขาจรแวะมาบ่อยๆ และลูกค้าประจำก็เริ่มมีแล้วทำให้รายได้ในแต่ละวันพออยู่ได้

เขาจับป้ายไม้แกะสลักหน้าร้านที่เขียนว่า ‘ปิด’ พลิกกลับอีกด้านเป็นคำว่า ‘เปิด’ แล้วเดินเข้าไปในร้าน เขาเลือกออกแบบร้านให้เพดานสูงให้อากาศถ่ายเท ทำกำแพงเป็นลายไม้ให้ดูเข้าบรรยากาศพื้นบ้านตกแต่งด้วยไม้ดอกไม้ประดับเล็กๆ เก้าอี้ในร้านมีหลายแบบทั้งเก้าอี้เหล็ก ถังไม้ โซฟา และเก้าอี้ชิงช้าทรงรังนก ทั้งยังมีเก้าอี้ตรงสูงตรงเคาน์เตอร์บาร์ให้ลูกค้าได้เลือกนั่งตามสบายสมกับคอนเซปต์ของร้านที่ตั้งตามชื่อเจ้าของร้านว่า ‘อิสระ’ และนอกจากกาแฟแล้วอิงค์ยังทำขนมอบใหม่หรือของกินเล่นง่ายๆ ไว้ทานคู่กับกาแฟออกมาวางขายทุกวัน ซึ่งแต่ละวันก็จะมีเมนูที่วางประจำกับเมนูที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปไม่ให้เกิดความซ้ำซากจำเจอย่างวันนี้ก็เป็นปาท่องโก๋ที่นำไปฝากวางที่ ‘ข่วงเมืองสิงห์’ เพราะเมื่อวันก่อนป้าสำลีบอกว่าลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติขอมาว่าอยากกินอาหารเช้าแบบไทยๆ ที่ไม่ใช่ข้าว เขาก็นึกถึงปาท่องโก๋นี่แหละก็หวังว่าจะถูกใจกันนะ

อิงค์เดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์และหยิบผ้ากันเปื้อนสีขาวขึ้นมาคาดทับ ว่าจะนั่งคิดถึงพี่สิงห์ของเขาต่ออีกสักหน่อยเสียงกระดิ่งหน้าร้านก็ดังขึ้นพร้อมกับที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งก้าวเข้ามา

‘บอย’ เป็นนักกีฬาฟุตบอลดาวเด่นของโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ เพราะร้านนี้เป็นทางกลับบ้านที่อยู่ห่างออกไปแค่เดินห้านาทีทำให้เด็กหนุ่มแวะเวียนมานั่งเล่นทุกวันจนกลายเป็นลูกค้าขาประจำคนแรกๆ

“โกโก้ปั่นไม่หวาน” อิงค์เอ่ยเมนูประจำพลางเดินไปชงเครื่องดื่มส่งให้เด็กหนุ่มที่มานั่งหน้าเคาน์เตอร์ตำแหน่งที่เขายืนชงกาแฟเหมือนทุกครั้ง อิงค์จดจำรสชาติของลูกค้าทุกคนได้แม่นยำมาก จำได้แม้กระทั่งว่าบางคนถ้ามาเวลาเช้าจะสั่งอีกเมนูหนึ่ง ถ้ามาตอนบ่ายจะสั่งอีกเมนูหนึ่ง นี่เป็นส่วนหนึ่งของความใส่ใจที่ทำให้ลูกค้ามากขึ้นทุกวัน “ทำไมถึงมาเวลานี้ได้ ไม่ไปเรียนเหรอ”

“วันนี้วันเสาร์ใครเขาไปเรียนกัน” บอยตอบ

“เออ พี่ลืมว่ะ” อิงค์หัวเราะ

“แก่แล้วนะพี่น่ะ” บอยว่า “แต่เดี๋ยวจะไปซ้อมเลยแวะมาเติมพลังก่อน”

อิงค์นั่งดูเด็กหนุ่มดูดโกโก้เย็นอย่างเอร็ดอร่อยจนถึงหยดสุดท้าย ในฐานะคนชงกาแฟเห็นแล้วก็อดชื่นใจไม่ได้ “ถามหน่อยสิ กินแบบนี้ไม่ขมเหรอ”

“ไม่อะ”

“ส่วนใหญ่เด็กหนุ่มๆ จะชอบรสหวานมัน มักจะให้ใส่นมกับวิปครีมเพิ่ม มีแต่นายคนเดียวนี่แหละที่สั่งไม่ใส่น้ำตาล”

“ใส่ทำไมแค่มองหน้าคนชงก็หวานจะแย่แล้ว”

“แหม ยอไปเถอะยังไงก็ไม่ให้กินฟรีหรอกนะ”

“ไม่ได้ยอสักหน่อย” บอยว่า “พี่อิงค์ไม่รู้เหรอว่าคนเขาลือกันทั้งเมืองว่าเจ้าของร้านกาแฟเปิดใหม่เป็นหนุ่มเมืองกรุงหน้าตาดี ใครๆ ก็อยากแวะมาดูทั้งนั้นแหละ”

“เออ ดีๆ อยากลืออะไรก็ลือไปเถอะขอแค่มีลูกค้าเข้าร้านเยอะๆ ก็พอ”

“พี่อิงค์ เดือนหน้าผมมีแข่งนัดชิงชนะเลิศระดับจังหวัดล่ะ พี่อิงค์ว่างไปเชียร์ผมปะ”

“โห เก่งนี่หว่า แป๊บๆ ไปถึงนัดชิงแล้วเหรอ ได้ๆ เดี๋ยวพี่ปิดร้านไปเชียร์”

“พี่สัญญาแล้วนะ” เด็กหนุ่มตาเป็นประกายกล้าด้วยความดีใจ

“แน่นอน” อิงค์รับคำมั่นเหมาะ

“งั้นผมไปซ้อมก่อนนะพี่พรุ่งนี้เจอกัน”

“ตั้งใจซ้อมล่ะ”

“ครับผม” พูดจบเด็กหนุ่มนักกีฬาก็เดินออกประตูไป

ร้าน It’ sra มีลูกค้าเข้าออกตลอดแม้จะไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว จนล่วงถึงช่วงบ่าย

กระดิ่งหน้าร้านดังขึ้นพร้อมกับที่ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาแต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนส์ และสะพายเป้มาหนึ่งใบเป็นลักษณะของนักท่องเที่ยวทั่วๆ ไป

“สวัสดีครับ” อิงค์ทักทายพร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะรีบเตรียมเครื่องดื่มและยกมาเสิร์ฟ “เอสเพรสโซเย็นได้แล้วครับ” เสร็จแล้วก็ยืนกอดถาดรีรออยู่อีกนิดเพื่อดูผลตอบรับจากลูกค้าว่าชื่นชอบรสชาติที่เขาชงไหม

แต่หนุ่มนักท่องเที่ยวกลับจิบไปเพียงเล็กน้อยก่อนจะวางลงโดยไม่มีท่าทียินดียินร้ายใดๆ ซ้ำยังถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นั่นทำให้เจ้าของร้านหนุ่มใจเสียรีบถามออกไปทันที

“กาแฟไม่อร่อยเหรอครับ”

ชายหนุ่มส่ายหน้า “อร่อยครับแต่พอดีผมมีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย ขอโทษนะครับที่เสียมารยาท”

อิงค์เดินกลับเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ เขานั่งมองชายหนุ่มอายุไล่เลี่ยกันที่นั่งมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างอยู่อึดใจ ก็ถอนหายใจยืดยาวแล้วลุกขึ้นชงเครื่องดื่มอีกแก้ว

“ขออนุญาตเสิร์ฟครับ”

“ขอโทษนะครับ แต่ผมไม่ได้สั่ง”

อิงค์ยิ้มให้พร้อมกับอธิบายต่อ “เป็นอภินันทนาการพิเศษจากทางร้านครับ แก้วนี้ชื่อว่า วานิลลา ไอซ์ คอฟฟี่… วานิลลามีสรรพคุณช่วยให้รู้สึกสดชื่นผ่อนคลายและสบายใจน่ะครับ... ผมเห็นท่าทางคุณดูเหนื่อยๆ เอสเพรสโซอาจจะเป็นกาแฟแก้วโปรดของคุณแต่ลองเปิดใจให้แก้วนี้ดูสักนิดนะครับ”

ชายหนุ่มพ่ายแพ้ให้กับรอยยิ้มละมุนของเจ้าของร้านที่เหมือนสีกาแฟในแก้วตรงหน้า เขาเอื้อมมือไปหยิบแก้ววานิลลาไอซ์คอฟฟี่ขึ้นมาจิบ กลิ่นหอมอ่อนกำจายขึ้นจมูก และในขณะที่รสขมเข้ามายึดครองพื้นที่เกือบทั้งหมดภายใจปาก ความหวานปร่าที่คลอเคล้ามาเบาๆ ก็ช่วยให้ชุ่มชื่นไม่บาดคอ

“ขอโทษนะครับคุณใช้อะไรทำให้หวานเหรอ รสชาติไม่เหมือนน้ำตาลหรือว่านมข้นหวานเลย”

“น้ำผึ้งครับ” อิงค์บอก “สูตรปกติของที่ร้านจะใช้นมข้นหวาน แต่น้ำผึ้งจะช่วยเติมพลังได้ดีกว่า เหมือนผึ้งน้อยตัวเล็กๆ ที่บินเที่ยวไปทั่วสวนดอกไม้หาน้ำหวานมาเก็บไว้ที่รังไงครับ”

ชายหนุ่มหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยกับท่าทางผึ้งน้อยเริงร่าในทุ่งกว้างของเจ้าของร้านกาแฟหนุ่ม “ฟังคุณพูดแล้วรู้สึกเหมือนทุ่งลาเวนเดอร์ลอยขึ้นมาตรงหน้าเลย ขอบคุณนะครับอร่อยมากเลย”

“ขอบคุณเหมือนกันครับที่ชอบกาแฟของผม” อิงค์ยิ้มก่อนจะหันหลังไปชูหมัดในอากาศ... บอกแล้วว่าคนอย่างไอ้อิงค์ฆ่าได้หยามไม่ได้ เขายอมขาดทุนดีกว่าให้ลูกค้าเดินหน้ามุ่ยออกไปจากร้าน

“เอ่อ ขอโทษนะครับคุณเจ้าของร้านผมขอรบกวนอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

อิงค์รีบปรับสีหน้าเข้าโหมดเจ้าของร้านแสนสุภาพแล้วหันไปตอบ “อะไรครับ”

“พอดีผมเพิ่งมาถึงที่นี่ยังไม่มีที่พักเลย คุณเจ้าของร้านพอจะมีที่พักดีๆ แนะนำไหมครับ”

...ที่พักดีๆ ...

แทบจะได้ยินเสียงแตรสังข์ดังขึ้นในหัว

“มีครับ อยู่ใกล้ๆ นี่เองเดี๋ยวผมไปส่ง”

“จะดีเหรอครับ ผมเกรงใจ” ชายหนุ่มรีบบอกแต่เจ้าของร้านกาแฟก็ถอดผ้ากันเปื้อนโยนเก็บหลังเคาน์เตอร์ คว้ากุญแจรถแล้ววิ่งฉิวออกไปไปสตาร์ทรถมอร์เตอร์ไซค์รอหน้าร้านแล้ว

“ไม่เป็นไรครับ พอดีผมจะไปธุระแถวนั้นพอดี เชิญขึ้นมาเลยครับ”

“เอ่อ... ตกลงครับ”

“อ้าวคุณอิงค์ ลืมอะไรหรือเปล่าคะ” ป้าสำลีร้องทักชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟที่กลับมายืนยิ้มแป้นหน้าเคาน์เตอร์อีกครั้ง

“พอดีมีคุณคนนี้ต้องการที่พักน่ะครับผมก็เลยแนะนำที่นี่ให้” อิงค์รีบบอกเป็นการเอาหน้า

“เดี๋ยวป้าเช็กห้องให้ก่อนนะคะ”

“เหลือห้องสุดท้าย” สิงห์ซึ่งนั่งประจำอยู่ตรงเคาน์เตอร์พูดแทรกขึ้น

“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มนักเดินทางรีบตอบ

“จะพักกี่คืนล่ะ”

“เอ่อ... ผมนอนได้กี่คืนเหรอครับ”

“แล้วนายอยากนอนกี่คืนล่ะ” สิงห์ถามกลับ

“ยังไม่รู้เลยครับ... บอกตามตรงคือผมเพิ่งอกหักมาน่ะครับ จริงๆ ทริปนี้ตั้งใจมากับแฟน แต่เราเลิกกันไปเสียก่อน ทุกอย่างก็จองไปหมดแล้ว ผมเสียดายเงินก็เลยมาคนเดียวน่ะ แต่พอไปที่พักที่จองไว้เป็นห้องคู่แล้วมัน... ทำใจไม่ได้นอนน่ะครับ ห้องเดี่ยวก็เต็มแล้ว ก็เลยขอยกเลิกแล้วมาหาที่นอนใหม่ดีกว่า... ฮ่าฮ่า จะว่าผมโง่ก็ได้นะครับมาเพราะเสียดายเงิน แต่ก็ต้องมาเสียเงินเพิ่มอยู่ดี” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะก่อนจะเม้มปากแน่น

อิงค์ที่เงียบฟังอยู่รู้สึกเห็นใจและเข้าใจขึ้นมาทันที นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ชายคนนี้หงอยเหงา นึกย้อนไปถึงตัวเขาเองในวันนั้นเมื่อห้าปีก่อนก็คงมีสภาพไม่ต่างจากนี้

“มาเครื่องบินใช่ไหม กลับวันไหนล่ะ” สิงห์ถามต่อ

“วันจันทร์ครับ”

“อืม งั้นก็สองคืน คืนเดียวแปดร้อยคนกันเองฉันคิดสองคืนพันห้าตกลงไหม”

“ตกลงครับ”

“ชื่ออะไรล่ะเรา”

“กิตติ์ครับ”

“แล้วนี่นายคิดออกหรือยังว่าจะไปเที่ยวไหน”

ชายหนุ่มส่ายหน้า

“เก็บของเสร็จแล้วลงมาที่นี่สิ ฉันจะพาเที่ยวเอง” สิงห์บอกทั้งรอยยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นยืนอย่างกระตือรือร้น

“คุณสิงห์จะหนีเที่ยวอีกแล้วเหรอคะ”

“ฝากด้วยนะป้าเดี๋ยวเย็นๆ ผมกลับ”

“เอ่อ... จะดีเหรอครับ ผมเกรงใจแล้วผมต้องจ่ายค่าเที่ยวเพิ่ม...”

“ไม่ต้องๆ เป็นบริการพิเศษสำหรับคนอกหักน่ะ” สิงห์รีบโบกมือปฏิเสธพลางเดินออกจากที่นั่งประจำตรงเคาน์เตอร์มาช่วยถือกระเป๋า “เชิญทางนี้เลยครับ เดี๋ยวผมพาไปส่งห้อง”

“ขอบคุณครับ”

อิงค์มองตามแผ่นหลังกว้างกับศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมยาวของคนรัก เอ๊ย! คนที่แอบชอบเดินคู่ไปกับหนุ่มอกหักคนนั้นด้วยความรู้สึกตกตะลึงพอๆ กับขมขื่น และในขณะที่ยังไม่ได้เริ่มทำใจกับความช้ำ เขาก็ต้องทนเห็นคนสองคนซ้อนจักรยานออกไปต่อหน้าต่อตา

เสียงหัวเราะที่คลอเคล้ามากับเสียงล้อจักรยานบดเบียดพื้นถนน กรีดลงบนหัวใจได้เจ็บพอๆ กับคำว่าปฏิเสธ

เขาทำใจกับสถานะตัวเองว่าเป็นได้แค่คนนอกสายตา แต่ไม่เคยคิดว่าจริงๆ แล้วเขาอยู่ต่ำไปกว่านั้น… เป็นแค่วันไนท์สแตนด์ที่สุขสมอารมณ์หมายก็แยกย้ายกันคนละทาง

“คุณอิงค์คะ” ป้าสำลีชะโงกหน้าเข้ามาถามชายหนุ่มที่ยืนเหม่อราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว “โอเคไหมคะ”

“ไม่… ไม่โอเคครับ” อิงค์ตอบด้วยน้ำเสียงเบาหวิวแล้วโผเผไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ขับออกไป

กลับมาถึงร้าน It’ sra แทนที่เจ้าของจะเปิดขายของต่อ อิงค์กลับทิ้งตัวลงนั่งหลังเคาน์เตอร์อย่างหมดอาลัยตายอยาก

“โธ่ ไอ้พี่สิงห์บ้า! นี่สรุปเห็นเราเป็นเครื่องระบายอารมณ์หรือไงวะ”

…งั้นก็ให้บรรยากาศมันพาไปละกัน…

คำหวานในคืนนั้นลอยเข้ามาในหัวเหมือนเข็มทิ่มแทงใจซ้ำแล้วซ้ำอีก

“แล้วนี่จะปลอบใจผู้ชายคนนั้นแบบที่ปลอบใจเราหรือเปล่า”

คิดมาถึงตรงนี้ใจก็จะขาดเสียให้ได้… โบราณว่าไว้อกหักดีกว่ารักไม่เป็น แต่คนอย่างไอ้อิงค์จะไม่ยอมอกหักทั้งที่ยังไม่ได้บอกรักเด็ดขาด

กับผู้หญิงที่รักมากมาย แทบจะมอบกายถวายหัวยังหักอกเขาหน้าด้านๆ แล้วกับผู้ชายที่มีอะไรกันแค่ครั้งเดียวน่ะนะ… หึ! ให้รู้กันไปว่าใจมันจะทนเจ็บได้อีกแค่ไหน

คิดได้แล้วอิงค์ก็ลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้าจนสุดรวบรวมความกล้าผูกเศษใจที่กำลังจะขาดกลับขึ้นมาใหม่ เขาคว้ากุญแจรถและขับกลับไปที่ข่วงเมืองสิงห์อีกครั้ง

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 12(11/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 11-09-2019 20:30:16
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“อ้าวคุณอิงค์ แปลกจังวันนี้เราเจอกันสามรอบแล้วนะคะ” ป้าสำลีถาม

“พี่สิงห์อยู่ไหมครับ”

“กำลังขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดน่ะค่ะ เห็นว่ามีนัดพาแขกออกไปเดินกาดเมืองตอนค่ำๆ คุณอิงค์มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ เดี๋ยวป้าไปตามให้”

…หนอยแน่! มีอาบน้ำเปลี่ยนชุดให้ตัวหอมด้วย ชิชะ! แล้วนี่อะไรเดินเที่ยวกาด ที่สัญญาว่าจะพาเขาไปจนป่านนี้ยังไม่ได้ไปเลยนะ…

อิงค์กัดฟันฉีกยิ้มกว้างตอบป้าสำลี “ไม่เป็นไรครับผมรอได้”

“งั้นเชิญคุณอิงค์ตามสบายเลยนะ ป้าไปทำงานก่อน... อ้อ! วันนี้ลูกค้าก็ชมกาแฟคุณอิงค์กันไม่ขาดปากอีกแล้วนะคะ พรุ่งนี้คุณอิงค์อย่ามาช้านะ เดี๋ยวลูกค้าป้ารอแย่เลย”

“ขอบคุณครับ”

คล้อยหลังป้าสำลี อิงค์ก็หันควับไปทางบันไดที่ทอดนำขึ้นสู่ชั้นสอง

…ไม่รู้จะเปลี่ยนที่นอนหรือเปล่า แต่ก็ลองเสี่ยงดูก่อนละกัน…

อิงค์เหลียวมองซ้ายขวา มีสองสามีภรรยาคู่หนึ่งเดินจับมือกันลงมา เขารีบผิวปากฮัมเพลงทำหมือนเป็นคนใหม่ที่มาพักแกล้งมองดูนั่นดูนี่ พอสองคนนั้นเดินพ้นไปก็รีบก้าวยาวๆ ครั้งละสองขั้นมุ่งตรงไปที่ห้องใต้หลังคา

เขาเอื้อมมือไปจับลูกบิด โชคดีที่มันไม่ได้ล็อก อิงค์ค่อยแง้มประตูเข้าไปพลางกวดตาดูรอบๆ ในห้องว่างเปล่าได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวเปิดอยู่

อิงค์ค่อยๆ แทรกตัวผ่านประตูเข้ามาจัดแจงล็อกให้เรียบร้อย กำลังจะพุ่งไปนั่งลงบนเตียงเตรียมไขว้ห้างทำหน้านิ่ง จิกตาแบบตัวร้ายลอบเข้าห้องพระเอกในละครหลังข่าว ประตูห้องน้ำก็เปิดออกเสียก่อน แผนการที่เตรียมไว้เลยพังไม่เป็นท่า

“นี่นายขึ้นมาบนนี้ได้ยังไง” สิงห์ถามเสียงเข้มด้วยความแปลกใจ

“เอ่อ…” อิงค์พยายามสบตาคนพูดแต่สายตาเจ้ากรรมก็พาลจะมองลงไปยังเนินอกสีแทนที่ยังมีหยดน้ำเกาะพราวเรื่อยลงไปถึงส่วนเอวสอบที่มีผ้าขนหนูผืนเล็กพันไว้อย่างหมิ่นเหม่

“ฉันถามก็ตอบสิ” สิงห์พูดซ้ำ

“ในที่สุดพี่สิงห์ก็ยอมพูดกับผม” อิงค์รวบรวมสติพูดออกไปได้ในที่สุด

“ทำไม”

“แล้วทำไมพี่ถึงไม่พูดกับผม... ทำกับผมเหมือนคนไม่รู้จักกันล่ะ”

สิงห์ถอนหายใจ “ก็ไม่เห็นต้องพูดอะไรกับคนที่มีอะไรกันแค่ครั้งเดียวนี่นา”

“พี่ทำแบบนี้กับแขกทุกคนที่มาพักเหรอ”

“ไม่ทุกคนหรอก เฉพาะคนที่อกหักมาเท่านั้นแหละ” สิงห์พูดหน้าตาเฉย

“เหรอครับ” อิงค์พูดไม่ออก มันไม่ใช่ความรู้สึกเสียใจ แต่เขาผิดหวังกับคำตอบที่ดูไร้ความรับผิดชอบนั่นเหลือเกิน “ถ้างั้นคืนนี้พี่ก็ตั้งใจมีอะไรกับผู้ชายคนนั้นสินะ”

“มั้ง” สิงห์ว่า “รู้เหตุผลแล้วก็ออกไปจากห้องฉันได้แล้วไป ฉันจะแต่งตัว”

“เมื่อกี้พี่สิงห์บอกว่าไม่มีอะไรจะพูดกับคนที่นอนด้วยกันแค่คืนเดียวใช่ไหม” อิงค์สืบเท้าเข้าหาจนอยู่ห่างกันแค่คืบ “แล้วถ้าหากว่านอนด้วยกันมากกว่าครั้งเดียวล่ะ พี่จะยอมพูดด้วยมากกว่านั้นหรือเปล่า” เขาเงยหน้าขึ้นสบตาคมพลางค่อยยกมือขึ้นวางบนหน้าอกกว้างแล้วลากลงไปตามกล้ามเนื้อแน่นช้าๆ

“ติดใจหรือไง”

“ถ้าผมบอกว่าใช่ล่ะ” อิงค์ถามมือเกาะเกี่ยวอยู่ตรงปมเล็กๆ ของชายผ้าที่เอว “พี่ยังพอมีห้องว่างให้ผมหรือเปล่า”

พูดจบก็กลั้นใจรอฟังคำตอบ

…นอกจากเสียตัว ที่เหลือก็มีแต่ได้กับได้… นอกเสียจากว่าพี่สิงห์จะปฏิเสธ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็แค่เสียหน้ากลับไป…

“เหลือห้องสุดท้าย เตียงแคบหน่อย แต่ถ้าอยากพักก็เชิญ” เสียงห้าวกระซิบที่ข้างหู

และก่อนที่อิงค์จะทันตั้งหลัก ร่างสูงใหญ่ก็พุ่งเข้ามาโอบรัดตัว แล้วผลักล้มลงกับเตียง ผ้าขนหนูผืนเล็กนั้นถูกดึงออกไปแล้ว เผยให้เห็นความเป็นชายที่ผงาดพร้อมรบเต็มที่

ยังไม่ทันที่สิงห์จะกระโจนขึ้นทาบทับก็กลับเป็นคนตัวเล็กกว่าที่รอโอกาสนี้มาแสนนานผุดลุกขึ้นชิงครอบครองเจ้าสิงห์น้อยไว้ในโพรงปาก เขาดูดกินอย่างหิวโหยเรียกเสียงตอบรับจากร่างหนาได้เป็นอย่างดี

“อยากอะไรเบอร์นั้น”

“เดี๋ยวพี่เปลี่ยนใจ”

“ถ้างั้นก็ทำเองจนจบเลยละกันนะ” พูดจบสิงห์ก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงก่อนจะกระชากแขนเจ้าของร้านกาแฟหนุ่มให้ขึ้นมานั่งคร่อมลงบนตัว

“เห็นบดเมล็ดกาแฟเก่งอยากรู้ว่าบดอย่างอื่นเก่งด้วยหรือเปล่า”

“ขอมาก็จัดให้” อิงค์ว่า เขาค่อยยกสะโพกขึ้นแล้วกดลงไปช้าๆ ช่องทางที่เพิ่งเคยผ่านมือชายมาเพียงครั้งเดียวคับแน่นจนต้องกัดปากแน่นเพราะมันไม่ได้ใส่เข้าไปได้ง่ายๆ อย่างที่ใจคิด

“ไม่ได้เรื่องเลย” สิงห์คำรามในคอด้วยเสียงที่คล้ายกับเอ็นดูในความพยายามอย่างไม่ประสีประสามากกว่าจะบ่น “ยัดๆ แบบนั้นมันไม่เข้าหรอกนะเจ้าหนู มันต้องขยายก่อน”

คำว่า ‘เจ้าหนู’ ที่หลุดออกปากร่างหนาพาให้ใจสั่นพอๆ กับปลายนิ้วแกร่งที่สอดนำเข้าไปยังช่องทางด้านหลัง แล้วขยับเข้าออกช้าๆ ก่อนจะเร่งให้เร็วขึ้น

“พี่สิงห์”

“อะไร”

“ดี… มันดีมาก”

“ดีอะไร แค่นิ้วเอง มักน้อยจัง” สิงห์ครางในลำคอเบาๆ อย่างพึงใจอาการตอดรัดเป็นจังหวะสู้มือจนเขาเองก็แทบทนไม่ไหว ก่อนที่จะยกให้เป็นหน้าที่เด็กทำเขาคงต้องทำให้เด็กมันดูเป็นตัวอย่างก่อนสักครั้ง

สิงห์พลิกตัวกลับขึ้นมาเป็นฝ่ายคุมเกมเสียเอง เขาจับลูกชายจ่อตรงทางเข้าด้านหลังที่อ่อนนุ่มพร้อมจะรับของเขาแล้วกดส่วนหัวเข้าไป

“ช่วยกันหน่อยสิ” บอกพร้อมกับรั้งแขนอิงค์ลงมาจับต้นขายกขึ้นเพื่อให้พร้อมรับการสอดใส่ที่กำลังจะทวีความรุนแรงและดุดันขึ้น

ขยับเพียงไม่กี่ครั้งคนที่ยังไม่ประสาแต่ใจกล้าก็ล่วงหน้าไปก่อน

“ไวจัง” สิงห์หัวเราะในลำคอ

“ก็แหมมม พี่สิงห์เล่นใส่มาไม่ยั้งขนาดนั้น” อิงค์ร้อง รู้สึกเสียหน้าเบาๆ แต่เจ้าลูกชายตัวโตของสิงห์ที่ยังคงค้างอยู่ในตัวก็ทำให้เกิดอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้งได้ไม่ยากเย็นนัก

“ครั้งต่อไปไม่ยอมให้ไปง่ายๆ แล้วนะ” สิงห์ว่า “ทำต่อสิ” บอกพร้อมจับอิงค์พลิกขึ้นสลับตำแหน่งไปอยู่ด้านบนบ้าง

“อือ… ยังแน่นอยู่เลยอะ”

“นั่นแหละ… ดี…” มือใหญ่กอบกุมสะโพกแล้วขยุ้มส่งจังหวะสอดรับกันอย่างเหมาะเจาะ “แรงขึ้นอีก… ดีมากเจ้าหนู”

อิงค์ยันมือลงบนหน้าอกกว้างเพื่อตั้งหลักขยับโยกให้เต็มที่ ที่เรียกว่าร่างกายเข้ากันได้ดีมันคงเป็นแบบนี้นี่เอง

ความรู้สึกอิ่มเอมล้นปรี่ในอก เปรียบกับการชงกาแฟมันก็เหมือนกับการชงเอสเพรสโซ ที่เฝ้ารอเพื่อให้ได้ทั้งส่วนหัวกาแฟ (Heart) เนื้อกาแฟ (Body) และฟองครีม (Crema) ที่สมบูรณ์แบบ

ถึงตอนนี้เขาจะยังไปไม่ถึง Perfect shot แต่ขอแค่ได้ตัวกับฟองครีมมาก็ยังดี และหวังว่าสักวัน… คงจะมีวันที่เขาได้หัวใจของสิงห์มาครอบครอง

ของเหลวขุ่นสีขาวที่พุ่งออกมาเป็นครั้งที่สองทำให้อิงค์หมดแรงนอนซบลงบนกว้าง

สิงห์เองก็ถึงฝั่งในที่สุด เขาเองก็หอบหายใจแรงไม่แพ้กัน ไม่ได้มีใครมาตอบสนองความต้องการได้ถึงใจมากขนาดนี้มานานแล้ว

อิงค์กอดร่างหนาแน่น พลางซุกหน้าลงถูไถเพื่อสูดกลิ่นแชมพูที่แสนคิดถึงก่อนจะเงยหน้าขึ้นทำจมูกฟุดฟิดพร้อมกับหยิบปอยผมขึ้นมาดมชัดๆ เพราะรู้สึกว่ามันผิดกลิ่นไปจากเมื่อครั้งก่อน

“ทำไมพี่สิงห์เลิกใช้แชมพูกลิ่นนั้นซะล่ะ”

สิงห์ผงกศีรษะขึ้นมองคนที่เกาะอยู่บนหน้าอก ทำตาโตเหมือนลูกแมวตัวเล็กๆ ที่กำลังขู่ฟ่อ “เพราะ…”

“เพราะอะไรพี่…”

สิงห์กลั้นขำแล้วตอบออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เบื่อ”

“อะไรกัน”

“นี่! จะนอนอีกนานไหม ลุกออกไปจากตัวฉันสักทีมันหนักนะ” สิงห์ว่าพร้อมกับลุกขึ้นดีดคนที่นอนอยู่บนอกกลิ้งหลุนๆ ลงไปนอนแผ่บนเตียง

“แล้วนั่นพี่จะไปไหน”

“นัดลูกค้าไว้”

“ไม่ไปไม่ได้เหรอ” อิงค์ร้องเสียงอ่อย

“เป็นอะไรกันทำเป็นมาสั่ง”

“ไม่ได้สั่ง แค่ถาม!” อิงค์เน้นเสียง “เข้าใจไหมครับถามมมม”

สิงห์เท้าเอวมองคนทำหน้าตึงแล้วเอื้อมมือลงมาคว้าหน้ารั้นๆ นั้นให้เงยขึ้นก่อนจะก้มลงจูบหนักๆ ครั้งหนึ่ง และหันไปแต่งตัวต่อ

อิงค์มองตามตาปริบๆ ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างจะว่าปากไม่ตรงกับใจก็ไม่ใช่เพราะสิงห์ไม่ยอมพูดอะไรเลย “ตกลงพี่จะไปนอนกับเขาหรือเปล่า”

“จะนอนได้ไงก็ห้องไม่ว่างแล้ว”

พูดจบสิงห์ก็คว้ากระเป๋าแล้วเดินออกประตูไป ทิ้งให้คนฟังนั่งหัวใจฟูอยู่บนเตียง

*******************************************TBC********************************************

บทที่ 1 เหมือนเป็นอินโทรเข้าเรื่องว่า2คนนี้เค้าเจอกันได้ยังไง
บทที่ 2 นี่จะเข้าเนื้อหาในปัจจุบันแล้ว
ฝากเป็นกำลังใจให้พี่สิงห์กับน้องอิงค์ด้วยนะคะ^^

อ่านเรื่องอื่นๆ ของ >>leGGyDan<< (https://www.facebook.com/leGGyDanLabyrinth/?eid=ARCX5Xz1s3Jgnxe83Dwf0vglYsFFg3j2HFgOgH9MxpJ8yInqSwZEnZpX3BdT7liftIsudKLN70gEQeBR)
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 2(11/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 12-09-2019 01:41:10
รอนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 2(11/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 16-09-2019 19:53:55
รอตอนต่อไป :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 2(11/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-09-2019 11:02:25
พี่สิงห์ปากแข็งจัง
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 2(11/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 17-09-2019 19:42:09
LR3

“คุณอิงค์เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมหน้าตาดูเศร้าๆ” ป้าสำลีถามเจ้าของร้านกาแฟหนุ่มด้วยความเป็นห่วงในเช้าวันหนึ่ง

“ป… เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร” อิงค์รีบตอบ “แค่นอนน้อยน่ะครับ กำลังลองทำขนมสูตรใหม่อยู่ไว้ทำเสร็จแล้วจะเอามาให้ชิมนะครับ”

“ป้าจะรอนะคะ”

“ผมจะรีบทำเลยครับ” อิงค์ว่าพลางพยายามฉีกยิ้มกว้างให้ป้าสำลีและสิงห์ที่นั่งทำหน้าตึงเป็นปกติอยู่หลังเคาน์เตอร์

“อะไร” สิงห์ถาม

อิงค์ฝืนยิ้มต่ออีกราวสองวินาทีก่อนจะตอบ “เปล่าครับ” แล้ววิ่งขึ้นมอเตอร์ไซค์ขับออกไป

ทันทีที่เจ้าของร้านกาแฟหนุ่มคล้อยหลัง ป้าสำลีก็รีบปราดมาเกาะหน้าเคาน์เตอร์ “คุณสิงห์คิดว่าคุณอิงค์ดูแปลกๆ ไปไหมคะ”

“ยังไงป้า” สิงห์ถามกลับนิ่งๆ

“ยังจะมาย้อนอีก ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าคุณอิงค์หงอยขนาดนั้น นี่คุณสิงห์ไปแกล้งอะไรน้องหรือเปล่า”

“ใครจะไปแกล้งมัน ป้าก็พูดไปเรื่อย” สิงห์ย้อนเสียงดัง แต่ในใจก็รับรู้ถึงความผิดปกติเช่นเดียวกับป้าสำลี

“แต่หนูรู้ค่ะว่าคุณอิงค์เครียดเรื่องอะไร” มอญ สาวใหญ่พนักงานอีกคนของข่วงเมืองสิงห์รีบพุ่งเข้ามาร่วมวง

“เรื่องอะไรไหนบอกป้ามาสิ อกหัก หรือว่ากาแฟขายไม่ดี” ป้าสำลีถาม

“คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ป้า” มอญรีบเล่า “เมื่อกี้หนูไปจ่ายตลาดได้ยินพวกแม่บ้านจากโรงแรมอื่นที่มาซื้อของเหมือนกันเม้าว่าช่วงนี้มีลูกค้าป่วยปวดท้อง ท้องเสียบ่อยๆ แล้วสาเหตุเป็นเพราะอะไรรู้ไหมป้า”

“ฉันจะไปรู้เรอะ แกไม่ต้องมาลีลายัยมอญรีบๆ เล่ามาเร็ว”

“เขาบอกว่าเป็นเพราะขนมร้านเจ้าของใหม่จากกรุงเทพไม่สะอาด ใส่สารกันบูดกันราเยอะแถมยังเอาของเก็บเก่าค้างคืนมาขายรวมกับของใหม่อีก”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณอิงค์” ป้าสำลียังไม่เข้าใจ

“เอ๊า! ป้านี่เข้าใจยากจัง ก็เจ้าของคนที่ว่าเขาหมายถึงคุณอิงค์น่ะสิ”

“อกอีแป้นจะแตก ประสาทแดกกันไปทั้งบาง” ป้าสำลีอุทาน “จะเป็นไปได้ยังไง ขนมร้านคุณอิงค์ป้าก็กินอยู่ทุกวันก็สบายดี ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เพิ่งมายังชมแถมถามหาร้านอีกจะตามไปซื้อกลับไปฝากเพื่อนๆ”

“ยังมีอีกนะป้า” มอญเล่าต่อ

“ยังมีอีกเหรอวะ”

“ในเฟสกลุ่ม ‘คนรักน่าน’ น่ะมีคนไปโพสต์รีวิวเรื่องการเที่ยวน่านนี่แหละ อะไรก็ดีไปหมดตั้งแต่การเดินทางที่เที่ยวที่พัก เสียอย่างเดียวคือกาแฟไม่อร่อย”

“แค่กาแฟไม่อร่อยแล้วมันแย่ขนาดนั้นเลยหรือไง” ป้าสำลีเริ่มมีอารมณ์

มอญหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมากดเปิดหน้าเฟสบุ๊คให้ดู “คือที่เขาบรรยายน่ะนะ... นี่ไง... ตั้งราคาเสียแพงแต่กลับใช้วัตถุดิบเกรดต่ำ รสชาติไม่ต่างอะไรกับน้ำล้างแก้ว มีดีหน่อยที่ร้านวิวดีมองไปเห็นเขาน้อยอยู่ด้านหลัง แต่คงแวะครั้งนี้ครั้งเดียวขอบายตลอดกาลเลยจ้า” อ่านจบก็หันไปมองหน้าป้ามอญ “ไม่บอกชื่อร้านก็จริง แต่ร้านกาแฟในน่านที่มองไปเห็นวิวเขาน้อยมีร้านคุณอิงค์ร้านเดียว แล้วคนก็ไปเม้นต์ถามกันใหญ่ ทีแรกคนโพสต์ก็ทำอิดออดไม่บอก แต่สุดท้ายก็บอกหมดเลย ป้าดูสิดู นี่ขุดกันมาทั้งชื่อร้าน รูปเจ้าของร้าน อีกนิดเดียวก็จะบอกชื่อพ่อชื่อแม่คุณอิงค์กับเลขที่บ้านแล้วเนี่ย”

“ไหนบอกตรงไหน ป้าจะได้ไปสู่ขอให้ลูกป้า”

“อ้าวป้า! นี่เรื่องเครียดไหม”

“ป้าก็แค่อยากวิกฤตให้เป็นโอกาส” ป้าสำลีพึมพึมก่อนจะเปลี่ยนท่าที “โถๆๆๆ คุณอิงห์ของป้า คงกำลังเครียดแน่ๆ เลย” บ่นพลางยกมือกุมอกไม่พูดไม่จา สักพักก็เดินหายเข้าไปในครัว

“แล้วนั่นป้าจะไปไหน” สิงห์ร้องถามเมื่อเห็นป้าสำลีเดินออกมาอีกครั้งพร้อมกับกล่องใส่กับข้าวที่ทำเสร็จร้อนๆ

“เอาอาหารไปให้คุณอิงค์ค่ะ” ป้าสำลีตอบ

“ให้มันน้อยๆ หน่อยป้า เจ้าหนูนั่นก็แค่คนรู้จักป้าจะเป็นห่วงอะไรนักหนา”

“ก็ป้ารักของป้านี่นา”

“ถ้าป้าไปแล้วใครจะดูที่นี่” สิงห์ว่า

“ก็คุณสิงห์ไงคะ”

“อ้าว ไหงมาโยนงานให้ผม” สิงห์โวย

“งั้นคุณสิงห์ก็ไปแทนป้าสิคะ” ป้าสำลีบอกพลางยื่นกล่องมาตรงหน้า

สิงห์เหลือบตาลงมองอึดใจก่อนจะหันหน้าหนีพร้อมกับย่นปาก “เรื่องอะไร ทำไมผมต้องไป”

“คุณสิงห์ไม่ไปงั้นป้าไปนะ”

“ป้า! เฮ้ย!” สิงห์หันไปเรียกแต่ผู้สูงวัยร่างท้วมก็เดินผ้าถุงปลิวไปถึงมอเตอร์ไซค์คู่ใจแล้ว

“คุณสิงห์คะ” มอญเรียก

“พอดีเลยพี่มอญ ช่วยผมห้ามป้าสำลีหน่อย เลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว”

มอญฉีกยิ้มกว้าง “ขอโทษนะคะคุณสิงห์ พี่ก็อยากไปให้กำลังใจคุณอิงค์ด้วย ฝากคุณสิงห์ด้วยนะคะ”

“แล้วพี่มอญเป็นอะไรกับเจ้าหนูนั่น” สิงห์ถาม

“เป็น FC ค่ะ”

สิงห์หรี่ตา คนที่นี่เป็นอะไรกันไปหมดแล้วเนี่ย “ทำเป็นพูดดี รู้หรือเปล่าว่าเอฟซีคืออะไร”

“รู้สิคะ เอฟซี มาจากแฟนคลับไงคะ… มัวแต่คุยกับคุณสิงห์เสียเวลา พี่ไปก่อนนะคะ”

“เออดี ไปกันให้หมดเลย” สิงห์ยกมือขึ้นเกาศีรษะ ก่อนจะสะบัดผมที่ยาวถึงกลางหลังให้กระจายไปแล้วทิ้งตัวลงพิงพนักเตรียมจะงีบเสียงทุ้มแหบก็ดังขึ้นที่หน้าเคาน์เตอร์

“พ่อหนุ่มลุงฝากกุญแจหน่อย”

สิงห์ชะโงกหน้ามองออกชายชราในชุดเสื้อยืดกางเกงขายาวเรียบร้อยทับด้วยเสื้อคลุมปักลายดอกบัวด้านหลังอย่างวิจิตรและสวมหมวกสานสีขาว

สิงห์ยื่นมือออกมารับกุญแจห้องพักไว้พลางทอดสายตามองออกไปด้านนอกชายคาที่พักซึ่งพระอาทิตย์กำลังแผดแสงจึงเอ่ยขึ้น
“ข้างนอกอากาศร้อนนะปู่ เอากาแฟนี่ไปกินสิ”

ชายชรามองขวดแก้วที่พนักงานหนุ่มร่างใหญ่หยิบขึ้นมาวางบนเคาน์เตอร์ “เท่าไหร่”

“ฟรี ผมให้” สิงห์บอก

“เช่นนั้นก็ไม่เกรงใจ” ชายชราหยิบขวดกาแฟใส่ย่ามใบเล็กที่สะพายอยู่บนบ่าก่อนจะเดินออกไป





อิงค์ขับมอเตอร์ไซค์ลัดเลาะมาตามทางกลับบ้าน ผ่านจุดที่ราวกับเป็นแลนด์มาร์คให้เขาต้องชะลอรถมองทุกครั้ง ที่แรกคือ ‘คุ้มเจ้าเทพมาลา’ ซึ่งเขาเกือบจะหลงเข้าไปพักและเป็นสถานที่ที่เขาเจอกับสิงห์ครั้งแรก แห่งที่สองคือ ‘เฮือนไกรสร’ เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงสี่แยกใจกลางเมืองน่าน แต่สิ่งที่เตะตาเขาหาใช่ความหรูหราสวยงามของอาคาร แต่เป็นรูปปั้นสิงโตคำรามตัวใหญ่ที่เป็นสัญลักษณ์ของโรงแรมนั่นต่างหาก มันถูกแกะสลักจากหินสีดำสนิท ที่เท้าข้างขวาเหยียบคาลูกแก้วลูกหนึ่งไว้ คนทั่วไปคงมองว่ามันดูดุดันหรือหน้ากลัวและกำลังแยกเขี้ยวขู่คนที่จะมายุ่งกับลูกแก้วของมัน แต่สำหรับเขามันกลับดูว่ามันเหมือนแมวตัวโตที่หน้าดุไปหน่อยกำลังเล่นลูกแก้ว ดูไปดูมาก็ช่างเหมือนใครบางคนที่ข่วงเมืองสิงห์เวลาหัวเราะปากกว้าง จนบางครั้งเขาต้องแกล้งชะลอรถเพื่อให้ติดไฟแดงจะได้จอดดูมันนานๆ

ขับมอเตอร์ไซค์ต่อมาอีกราวสิบนาทีก็ถึง It’s ra อิงค์พลิกป้ายหน้าร้านให้เป็นคำว่าเปิดพร้อมกับไขประตูเข้าไป ครู่หนึ่งลูกค้าประจำก็ผลักประตูเข้ามาอย่างร่าเริง

“สวัสดีครับพี่อิงค์”

“เอาเหมือนเดิมนะเรา” อิงค์ยิ้มตอบเด็กหนุ่มนักกีฬาพร้อมทั้งหยิบแก้วขึ้นมาชงเครื่องดื่ม

“อันนี้ผมไม่ได้สั่งนี่พี่” บอยมองจานใส่เค้กหน้านิ่มรสชอคโกแลตที่เสิร์ฟมาคู่กับแก้วโกโก้เย็นของเขา

“ช่วยกินหน่อย พอดีทำมาเยอะแล้วมันเหลือ” อิงค์ตอบยิ้มๆ

“เดี๋ยวนะพี่ อย่าบอกนะว่าที่เขาลือกันที่ตลาดเป็นเรื่องจริงน่ะ”

“เรื่องอะไร”

บอยอ้ำอึ้งไปเล็กน้อย แน่นอนว่าเขารู้เขารู้ทั้งเรื่องที่เป็นประเด็นอยู่ในและนอกโซเชียล ทีแรกเขาฟังแล้วก็ขำๆ เพราะตัวเขาเป็นลูกค้าประจำแล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นตามนั้นสักนิด “ก็ที่เขาว่าขนมร้านพี่ใส่พวกสารกันบูดกันราเยอะ แถมยังกินแล้วท้องเสีย…”

“ถ้าบอยกังวลจะไม่กินก็ได้นะ” อิงค์ว่าพร้อมกับยื่นมือออกไปจะหยิบจานขนมเค้กคืนแต่เด็กหนุ่มกลับรีบคว้าจานหมับพลางหันหลังให้

“เฮ้ย! ผมจะกิน ผมยังไม่ได้ปฏิเสธสักคำเลยนะ ก็แค่ถามเฉยๆ เอง”

“ไม่กลัวท้องเสียเหรอ”

“ผมกินอยู่ทุกวันก็สบายดี ซื้อไปฝากแม่ หิ้วไปฝากเพื่อนในทีมก็ไม่เห็นมีใครเป็นอะไรนะ… ถ้าจะมีบ่นก็แค่…”

“บ่นอะไร”

“ก็แค่…”

“อย่ามามัวลีลาบอย พูดมาได้แล้ว”

“พวกนั้นแค่…”

“บอย!”

“บอกว่าอร่อยดีน่ะ”

“ไม่ขำนะ”

“ไม่ขำแล้วยิ้มทำไม” บอยว่าพร้อมกับชี้ไปที่หน้าขาวซึ่งแต้มรอยยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปากนั่น “แน่ะ! นั่นไงแอบยิ้มจริงด้วย”

“ไอ้เด็กนี่” อิงค์แกล้งยกมือทำท่าหลังแหวนใส่หยอกๆ ก่อนจะทำเป็นก้มหน้าเช็ดเคาน์เตอร์ทั้งที่มันก็สะอาดดีอยู่แล้ว

“ผมไม่ค่อยรู้เรื่องกาแฟนะ แล้วปกติก็สั่งแต่โกโก้ แต่ที่แน่ๆ คือมันดีมาก ส่วนขนมที่พี่อิงค์ทำอร่อยจริงๆ ผมกล้าเอาลิ้น เอาหัวเป็นประกันเลย พี่อิงค์เชื่อผมได้” บอยว่าพร้อมกับทำท่าชูสามนิ้วสาบานแบบลูกเสือก่อนจะใช้ส้อมตักแบ่งขนมเค้กใส่ปาก “โอ๊ยยยย อร่อยอ่ะพี่อิงค์ เอาใส่กล่องให้อีกสองชิ้นสิ ผมจะเอาไปฝากแม่กับน้อง”

“ขอบใจนะ” อิงค์ยิ้มออกมาได้ในที่สุด เขาจัดแจงเอาขนมใส่กล่องตามที่ลูกค้าประจำสั่ง อึดใจต่อมาประตู It’s ra ก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมกับที่สาวใหญ่สองคนก้าวเข้ามา

“คุณอิงค์อยู่ไหมคะ”

“อ้าว ป้าสำลี พี่มอญ มาได้ไงครับ”

“ป้าสำลีขี่มอเตอร์ไซค์มาค่ะ ส่วนพี่มอญก็ซ้อนท้ายมาอีกที” มอญรีบก้าวยาวๆ เข้าไปรายงานที่หน้าเคาน์เตอร์ ตาเป็นประกายวิบวับโดยไม่คิดจะแอบซ่อนความดีใจที่ได้เห็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดผ้ากันเปื้อน ช่างน่ารักน่าชังถูกใจป้าจริงๆ

“ผมเห็นแล้วครับ” อิงค์กล่าวยิ้มๆ “มีธุระอะไรเหรอครับ”

ป้าสำลีแกะมอญที่ยืนขวางเต็มหน้าเคาน์เตอร์ออกแล้วแทรกตัวเข้าไป “เมื่อกี้ป้าลืมเอากับข้าวให้คุณอิงค์ เลยขับตามมาให้ นี่จ๊ะ”

“ขอบคุณนะครับ”

“แล้วก็พรุ่งนี้อย่าลืมเอากาแฟกับขนมไปส่งนะจ๊ะ ป้าจะรอชิม”

“ขอบคุณครับ”

“พรุ่งนี้เจอกันนะคะคุณอิงค์” พูดจบป้าสำลีก็พยักหน้าเรียกมอญที่กำลังสนอกสนใจขนมในตู้แช่ และการจัดแต่งร้านที่เป็นแนวกึ่งโมเดิร์นพร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้

“เอ่อ ป้าสำลี พี่มอญรอเดี๋ยวครับ” อิงค์เรียกไว้พร้อมกับคว้าถุงใบหนึ่งวิ่งตามไปที่ประตู “ถ้าไม่รังเกียจ เอาไปชิมดูนะครับ ผมเพิ่งลองทำใหม่ยังไม่วางขายหน้าร้าน”

ป้าสำลียื่นมือไปรับมา “เมนูใหม่เหรอคะ”

“ครับ”

“ขอบคุณนะคะ”

เมื่อพ้นประตูร้านออกมายืนด้านนอก มอญก็ร้องเรียก “ป้า!”

“อะไรยัยมอญ”

“อุตส่าห์ถ่อกันมาถึงที่นี่ ป้าไม่พูดให้กำลังใจอะไรคุณอิงค์หน่อยเหรอ”

“อะไรล่ะ”

“ก็เรื่องข่าวลือในเฟสกับที่ตลาดนั่นไง หนูเห็นป้ารีบร้อนมานึกว่าป้าจะมาพูดเรื่องนั้นหรืออย่างน้อยก็จะมาช่วยเหมาขนมกลับไปอะไรแบบนี้ซะอีก”

“แกคิดว่าฉันทำแบบนั้นแล้วคุณอิงค์จะดีใจจริงๆ เหรอ” ป้าสำลีถามกลับ

มอญคิดอยู่สักพักก็ตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก “ก็... ต้องดีใจอยู่แล้วไหมป้า”

“แต่มันไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน” ป้าสำลีว่า “จำได้ไหมมอญ มีช่วงนึงที่ธุรกิจที่พักในน่านบูมมากๆ ใครๆ ก็พากันไปพักที่พักใหม่ๆ สวยๆ จนข่วงเมืองสิงห์ของเราไม่มีคนมีคนมาพักแทบจะกลายเป็นโรงแรมร้าง แล้วจู่ๆ วันหนึ่งก็มีลูกค้าคนหนึ่งมา คนนี้ไม่ได้หลงเข้ามา และไม่ได้มาเพราะที่อื่นเต็มแต่เขามาเพราะตั้งใจมา มอญจำได้ไหมว่าเขาบอกเราว่าอะไร”

“ครั้งที่แล้วที่มารู้สึกติดใจกับบรรยากาศสบายๆ เหมือนอยู่บ้านของที่นี่มาก ก็เลยมาอีก” มอญตอบ

“มันก็แค่อุปสรรคทางการค้าที่คุณอิงค์ต้องเจอ แล้วป้าดูแล้วคุณอิงค์ก็คงไม่ท้อง่ายๆ หรอกไม่งั้นคงไม่มานั่งคิดขนมสูตรใหม่มาขายแบบนี้” ป้าสำลีกล่าวพร้อมกับชูถุงคุ้กกี้ที่แต่งหน้าเป็นรูปดอกไม้มีหน้าตาน่ารักกำลังยิ้มแฉ่งขึ้นมา

“เอามาชิมชิ้นนึงสิป้า” มอญบอกพลางยื่นมือออกไปแต่กลับถูกตีมือเพี๊ยะ

“เอาไว้ไปแกะกินพร้อมกันกับคุณสิงห์ เขาอุตส่าห์มีน้ำใจช่วยเฝ้าโรงแรมให้ ป่านนี้คงยุ่งแย่แล้วเนี่ย”

“ยุ่งจนหลับไปแล้วล่ะไม่ว่า” มอญแกล้งว่า

แต่หลายวันต่อมาสถานการณ์นอกจากจะไม่ดีขึ้นยังกลับแย่ลงเรื่อยๆ ร้านกาแฟ It’s ra ตอนนี้ไม่มีใครแวะเวียนมาเลยนอกจากบอย ส่วนที่ทำไปฝากขายที่ตามโรงแรมก็เหลือกลับวันละเกินครึ่งทั้งที่ก่อนหน้านี้ขายหมดเกือบทุกวัน และที่แย่ที่สุดคือเริ่มมีบางที่ปฏิเสธการฝากขาย แม้แต่ที่ข่วงเมืองสิงห์ที่เคยขายดีจนต้องเอามาเติมระหว่างวันก็ยังมีขนมเหลือ

เย็นวันนี้อิงค์ขับรถเข้ามาจอดหน้าประตูข่วงเมืองสิงห์ด้วยรอยยิ้มฉาบหน้าเป็นปกติ แต่บรรยากาศรอบตัวนั้นกลับไม่สดใสเช่นเคยจนป้าสำลีกับมอญยังได้แต่แอบซุบซิบกันอยู่ห่างๆ

“ท่าทางจะไม่ไหวว่ะ” ป้าสำลีว่า

“นั่นน่ะสิป้า หนูเห็นคุณอิงค์พยายามไปแก้ข่าวลือ ทำเพจโปรโมทร้าน แถมยังคิดโปรโมชั่นลดแลก แจก แถมด้วยนะ แต่หน้าตาบอกบุญไม่รับแบบนี้แสดงว่าไม่เวิร์คแน่ๆ” มอญบอก

“ที่คุณอิงค์คิดมามันก็ดี แต่เมืองเรามันก็เล็กๆ ต่อให้ไม่มีโซเชียลแป๊บเดียวคนก็รู้กันทั่ว แล้ว แถมนักท่องเที่ยวก็ใช่ว่าจะมาก ส่วนใหญ่ก็มาตามรีวิวกันทั้งนั้น จะหาลูกค้าขาจรที่หลงมาชิมจนติดใจไปบอกต่อก็ยากเต็มทีและถึงจะมัดใจลูกค้าได้ แต่การจะใช้วิธีปากต่อปากแบบนั้นมันก็มีระยะเวลาของมันอยู่” ป้าสำลีออกความเห็น

“ก็นั่นน่ะสิป้า อย่างน้อยๆ ก็สองสามเดือนแหละ ร้านเปิดใหม่อีก หนูกลัวคุณอิงค์จะทนไม่ไหวปิดร้านหนีเรากลับกรุงเทพไปจัง”

“ป้าว่าอย่างคุณอิงค์แรงใจคงไม่หมดง่ายๆ หรอกแต่แรงเงินน่ะสิ คนมันต้องกินต้องใช้นะ”

“หนูว่าแรงใจก็จะไม่ไหวแล้วมั้ง ป้าดูสิ อย่าว่าแต่ยิ้มการค้าเลย ยิ้มหลอกลวงแบบนั้นแม้แต่หนูยังไม่กล้าเข้าไปคุยเลย”

“เราจะเติมพลังใจให้คุณอิงค์ได้ยังไงบ้างนะ”

สิ้นคำป้าสำลี ทั้งสองก็เหลือบตาไปมองชายหนุ่มผิวแทนผมยาวที่นั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่หลังเคาน์เตอร์
เป็นจังหวะเดียวกับที่อิงค์ขนกล่องขนมวางซ้อนบนท้ายรถมอเตอร์ไซค์เสร็จพอดีเขาจึงหันมาลาทุกคน “ขอบคุณมากนะครับ ผมไปก่อนนะ”

“จ๊ะ” ป้าสำลีพูดได้เท่านั้นก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างขัดใจตัวเองและใครบางคนที่เอาแต่นั่งทึ่มทื่อเป็นรูปปั้นสิงโตหินประดับที่พักเล่นโทรศัพท์มือถือทั้งที่เธอกับมอญจ้องกันจนตาแทบถลนแล้ว

อิงค์ขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซคกำลังจะสตาร์ทออกไป จู่ๆ คนตัวโตที่ทำเหมือนไม่สนใจนับตั้งเขาเหยียบเท้าเข้ามาที่ข่วงเมืองสิงห์ก็วางโทรศัพท์ลงแล้วเอ่ยขึ้น

“อิงค์เย็นนี้ว่างไหม”

“ไม่ว่างครับ” อิงค์ตอบสวนไปทันที
   
“อย่ามาทำเป็นเล่นตัว ฉันอุตส่าห์ชวน” สิงห์ทำเสียงหงุดหงิดใส่

“ไม่ได้เล่นตัวครับ ผมแค่กำลังคิดสูตรขนมใหม่อยู่ วันนี้ตั้งใจจะลองทำดู”

“ถ้าของขายไม่ได้ ร้านมันจะเจ๊งคิดเมนูใหม่ไปก็เปล่าประโยชน์”

“นั่นคิดดีแล้วใช่ไหมคะถึงพูด” ป้าสำลีป้องปากพึมพำ

อิงค์หน้าชา ขอบตาร้อนวาบ เขากำมือแน่นกับถ้อยคำที่ทิ่มแทงใจแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงฝืนยิ้มตอบไปตามปกติ “ผมก็แค่อยากจะพยายามในแบบของผมให้ถึงที่สุดเท่านั้นเอง”

“ไม่มีประโยชน์” สิงห์ย้ำอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงแสนห้วนของเขาทำเอาชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟยืนยิ่ง อยากพูดก็พูดไม่ออก อยากได้กำลังใจแต่ก็รู้ว่าไม่มีวันได้ แล้วนี่ยังมาทำลายกำลังใจเฮือกสุดท้ายที่เขาพยายามจะรักษาเอาไว้อีก

“แต่ว่า...”

“เฮ้อ...” สิงห์ถอนหายใจเสียงดังจนอิงค์สะดุ้ง เขาลุกขึ้นจากที่นั่งหลังเคาน์เตอร์และเดินออกมา “ฝากด้วยนะป้า”

“ฝากอะไร” ป้าสำลีถามกลับ “แล้วนั่นคุณสิงห์จะไปไหน”

“พาเจ้าหนูนี่ไปเที่ยว” พูดจบสิงห์ก็คว้ามือชายหนุ่มที่ยืนเก้ๆ กังๆ กึ่งลากกึ่งจูงออกไป

“พี่สิงห์จะทำอะไรเนี่ย” อิงค์ถามพลางก้มมองมือใหญ่ที่จับมือตนไว้แน่น “พี่จะพาผมไปไหน”

สิงห์พาเขาเดินมาหยุดยืนหน้าลานจอดจักรยานและเอ่ยขึ้น “จะเดินหรือจะขี่จักรยาน”

“ตกลงพี่จะพาผมไปไหน” อิงค์ถามคำถามเดิม

“ตอบมา!”

“ไกลไหมอะ ผมเดินไกลๆ ไม่ไหวนะ”

“ถ้างั้นก็จักรยาน”

“แต่ผมขี่ให้พี่ซ้อนไม่ไหวนะ พี่ตัวใหญ่ ผม...”

“เรื่องมากจริง” สิงห์คำรามตัดบทก่อนจะกระชับมืออิงค์อีกครั้งแล้วดึงให้เดินตามออกถนนไป

“หมดห่วงแล้วสินะ” ป้าสำลีเปรยขึ้นเบาๆ

มอญที่นั่งอยู่ข้างกันเหลือบไปเห็นสัญญาณเตือนกะพริบขึ้นที่โทรศัพท์มือถือ เธอกดเปิดดูและพบว่าเป็นข้อความโพสต์ใหม่ในเฟสบุ๊ค ‘คนรักน่าน’  เธอเงียบอ่านอยู่อึดใจก่อนจะกดปิดพร้อมกับรอยยิ้ม “หนูก็ว่างั้นแหละป้า... ว่าแต่คุณสิงห์ไม่อยู่เย็นนี้ป้าก็ต้องเป็นคนทำข้าวเย็นให้หนูกินแทนสินะ มาเถอะๆ ท้องหนูร้องจ๊อกๆ แล้วเนี่ย”

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 2(11/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 17-09-2019 19:46:59
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“ตกลงเราจะเดินไปเหรอ... ไม่ไกลใช่ไหม ผมกลัวเป็นภาระอะ” อิงค์เริ่มโวยวายเล็กๆ เพราะความทรงจำเมื่อห้าปีก่อนคือสิงห์พาเขาซ้อนท้ายจักรยานขับพาตะลอนกันไปทั่วอำเภอเมือง ทำเอาเขาหอบแฮ่กทั้งที่เป็นแค่คนซ้อน แล้วนี่คือจะเดินไป! แถมจุดหมายอยู่ที่ไหนก็ไม่ยอมบอก “นี่พี่สิงห์ ตกลงเราจะไปไหนกัน”

แต่จนแล้วจนรอดสิงห์ก็ไม่ยอมตอบ ได้แต่พาเดินดุ่มๆ ไปตามทางที่ไฟถนนไม่ได้สว่างมากนัก ผ่านคุ้มเจ้าเทพมาลาเรื่อยมาจนกระทั่งข้ามถนนตรงหน้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่วันนี้ค่อนข้างคึกคักและคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่มาเดินเที่ยวกาดข่วงเมืองน่านให้ตอนกลางคืน

อิงค์เหลียวมองรอบตัวด้วยความตื่นเต้น กาดยังคงเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับหนุ่มเมืองกรุงอย่างเขา สองข้างทางเต็มไปด้วยอาหารน่ากินทั้งของคาวและของหวาน ตอนนี้ก็เริ่มค่ำแล้วคนที่ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยงเริ่มน้ำลายสอ ได้กลิ่นหอมๆ ก็หันมองทางนั้นทีทางนี้ทีแต่ก็ไม่กล้าหยุดแวะเพราะเกรงใจคนตัวโตที่ยังจับมือไว้ไม่ปล่อย

“กินไหม” ในที่สุดสิงห์ก็ปริปากหลังจากเงียบมาตลอดทางพลางพยักเพยิดไปทางหนึ่ง

อิงค์หันไปมองเห็นปลายทางของสายตานั้นคือร้านขายไก่ย่างที่ส่งกลิ่นหอมฉุย “ก็... ก็ดีครับ”

ได้ยินคำตอบสิงห์ก็เดินเข้าไปยืนหน้าร้านและจัดแจงชี้นิ้วสั่ง “เฮีย เอาไก่ตัวนึง กึ๊นกับตับอีกอย่างละสองไม้ ข้าวเหนียวสองห่อ”

“เท่าไหร่ครับ” อิงค์รีบหยิบกระเป๋าสตางค์ของตนออกมาแต่ยังไม่ทันจะนับเงินสิงห์ก็ชิงจ่ายเรียบร้อยแล้วเดินกลับมายืนเคียงข้างแล้ว

“อยากกินอะไรอีก”

“เอ่อ... น้ำ! เดี๋ยวผมซื้อน้ำให้” อิงค์หันรีหันขวางก่อนจะเห็นร้านน้ำปั่น เขารีบพุ่งตรงเข้าไป “เอาผลไม้รวมปั่นแก้วนึงครับส่วนอีกแก้ว...”

“สตรอว์เบอร์รี่โยเกิร์ตปั่น” สิงห์เดินตามมายืนข้างกันและสั่งเมนูของตน

“หกสิบบาทค่ะ” แม่ค้าบอกราคาพร้อมกับส่งแก้วน้ำให้

อิงค์ยื่นมือไปรับของ และทั้งที่กำเงินไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว แต่กลับถูกคนที่มาด้วยกันชิงจ่ายเงินตัดหน้าไปก่อนอีกครั้ง

สิงห์หันมาคว้าแก้วสตรอร์เบอร์รี่โยเกิร์ตของตัวเองไปดูดก่อนจะเอ่ยขึ้น “อยากกินอะไรอีก”

อิงค์มองไก่อย่างทั้งตัวในถุง “แค่นี้ก็พอแล้วครับ”

“หมดนี่ยังไม่ถึงครึ่งท้องฉันเลยนะ” สิงห์ว่า

อิงค์หลุดขำออกมาเล็กน้อย “นี่กินหรือยัดครับ”

สิงห์มองคนที่แววตาเปลี่ยนไปจากตอนที่เดินออกมาจากข่วงเมืองสิงห์ และรอยยิ้มเล็กๆ ที่แต้มตรงมุมปากก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลลงชัดเจนจนคนที่ยืนข้างกันต้องหันมามอง “อยากกินอะไร อยากให้พาไหนบอกมาสิ  ฉันพาเธอมาเที่ยวกาดตามสัญญาแล้วไง วันนี้ฉันจะตามใจเธอทุกอย่าง”

สายตาอ่อนโยนที่มองมาทำให้อิงค์ต้องหันหน้าหนี “จำได้ด้วยเหรอครับว่าเคยพูดไว้”

“ไม่เคยลืม”

อิงค์เม้มปากแน่น ไม่แฟร์กันเลยกับท่าทีอ่อนโยนที่มาในวันที่หัวใจเหนื่อยล้าแล้วยังมาห้ามไม่ให้รัก แบบนี้เขาจะทำได้ยังไง เขาผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อยแล้วหันไปเผชิญหน้า ...ถ้าเอ่ยปากว่าจะตามใจแล้วละก็ เขาก็ไม่เกรงใจแล้วนะ “พี่สิงห์แนะนำหน่อยสิครับ ผมเพิ่งมาอยู่น่านไม่เท่าไหร่ยังไม่รู้จักเลยว่าที่ไหนน่าเที่ยวหรือมีอะไรน่ากิน”

“ได้”

“ถ้างั้นก็ไปกันเลย” อิงค์ทำท่าจะเดินไปก็โดนคว้าตัวไว้

“เดี๋ยวก่อน”

“ทำไมครับ” อิงค์ถามงงๆ นึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ถูกใจอีก แต่สิงห์กลับเลื่อนมือลงมาจับมือเขาไว้เหมือนเดิม

“คนเยอะ เดี๋ยวหลง” นั่นคือเหตุผลที่คนตัวโตให้ซึ่งอิงค์ก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร อันที่จริงก็เต็มใจให้จับอยู่แล้วไม่ต้องมาทำเป็นดุก็ได้

ทั้งสองเดินเรื่อยๆ จากหัวตลาดไปจนถึงท้ายตลาดวนกลับมาอีกรอบ หลังจากซื้อของจนหนำใจและเริ่มหิวมากแล้วสิงห์ก็พาอิงค์มาจับจองที่นั่งตรงลานหน้าวัดภูมินทร์เพื่อกินอาหารที่ซื้อมา สิงห์คว้าน่องไก่ขึ้นมาแทะในขณะที่อีกมือถือถุงข้าวเหนียวเตรียมพร้อมกัดสลับกัน

อิงค์เหลียวมองดูรอบๆ ที่คนส่วนใหญ่มากันเป็นครอบครัวหรือเป็นคู่ๆ แล้วก็อมยิ้มออกมาเล็กน้อย ถึงจะยังไม่รู้ว่าจะให้นิยามความสัมพันธ์ของพวกเขาว่าอะไรดีแต่การที่สิงห์ยอมพาเขามาเที่ยวและเอาใจเขาราวกับเป็นแฟนขนาดนี้ มันก็ทำให้เขาอดหวังลึกๆ ไม่ได้จริงๆ ถึงแม้ว่าในคืนนั้นสิงห์จะพูดไว้ชัดเจนหลังจากมีอะไรกันเสร็จแล้วก็เถอะ

...ฉันไม่อยากให้เธอคาดหวังนะเจ้าหนู จำไว้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นระหว่างเรา แต่ฉันจะไม่มีวันรักเธอ ถ้าไม่คิดจะตัดใจก็เตรียมเจ็บเสียให้พอ...

อิงค์ผ่อนลมหายใจออก ...ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรนี่นาแค่ตักตวงความสุขที่เขามีให้จากความใจดีพร่ำเพรื่อของเจ้าตัว คิดได้ดังนั้นก็หยิบอาหารขึ้นมากินบ้าง

“พี่สิงห์ตับไก่ร้านนี้อร่อยจัง พี่ลองกินสิ”

“ป้อนสิ”

“พี่ว่าไงนะ!”

“อยากให้ชิมก็ป้อนสิ เห็นไหมว่ามือไม่ว่าง” สิงห์บอกพลางชูมือข้างหนึ่งที่ถือน่องไก่กับอีกมือที่ถือถุงข้าวเหนียวให้ดู

อิงค์ยื่นไม้เสียบตับไก่ไปตรงหน้าอย่างเก้ๆ กังๆ แต่คนตัวโตก็ขยับเอียงคอมางับชิ้นตับรูดออกจากไม้ได้ง่ายดาย “อร่อยไหมครับ”

“ผมเข้าปาก” สิงห์ร้อง เพราะจังหวะที่ก้มหน้าลงมาเมื่อกี้ทำให้ผมร่วงลงมาปรกหน้า เขาพยายามเป่ามันออก พยายามสะบัดศีรษะ แต่ดูจะยิ่งทำให้ผมยุ่งมากขึ้นเสียเปล่าๆ “เอาออกให้หน่อย”

อิงค์วางตับไก่ เอามือเช็ดขากางเกงแล้วชันเข่าขึ้นเอาสองมือสอดเข้าในเรือนผมยาวแล้วเสยไปด้านหลัง สัมผัสของเส้นผมนุ่มที่ไหลผ่านนิ้วกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของแชมพูทำให้เขาคิดถึงช่วงเวลาที่ได้กอดกัน นับตั้งแต่วันที่เขาทำใจกล้าบุกขึ้นห้องไปหาสิงห์นั้นมันก็นานมากแล้ว

“รัดให้ด้วย” สิงห์บอก “ยางรัดผมอยู่ในกระเป๋าเสื้อ”

อิงค์รู้สึกใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อยตอนที่วางมือลงบนหน้าอก สัมผัสแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อชวนหลงใหล ลมหายใจอุ่นกับริมฝีปากหยักลึกนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่กลับแตะต้องไม่ได้ เขาพยายามสงบใจค่อยเลื่อนมือไปตามแผ่นกล้ามเนื้อลงไปในช่องกระเป๋าแล้วหยิบเอาหนังยางออกมาจัดแจงผูกผมเป็นหางม้าให้ มันดูไม่ค่อยสวยนัก แต่ก็พอแก้รำคาญให้คนกำลังกินข้าวไปได้

“เธอเคยกินตำขนุนหรือยังของขึ้นชื่อเมืองน่านเลยนะ ร้านนี้อาจจะไม่ใช่ร้านดังแต่ก็จัดว่าเด็ด”

“มันต้องกินยังไครับ” อิงค์ถามพลางมองเครื่องเคียงที่มีทั้งแคปหมู ผักสด และข้าวเหนียว

“แล้วแต่คนชอบ ส่วนฉันชอบกินกับแคปหมู... มาลองชิมดู” สิงห์หยิบแคปหมูขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วจ้วงลงไปในตำขนุนให้เกี่ยวติดส่วนเนื้อขนุนเน้นๆ ขึ้นมาแล้วยื่นส่งให้ถึงปากคนกินที่รีบอ้ารับทันทีโดยไม่มีเขินอายใดๆ “อร่อยไหม”

อิงค์พยักหน้ารัวๆ ให้แทนคำตอบเพราะมีอาหารอยู่เต็มปาก “เอาอีกคำ”

“หมดโควต้าแล้ว ที่เหลือกินเอง” สิงห์ตอบยิ้มๆ ก่อนจะหยิบไก่อีกน่องขึ้นมาแทะต่อ

“ขอบคุณนะครับที่พามา” อิงค์เอ่ยขึ้นหลังจากที่กินจนอิ่มพลางทอดสายตามองไปยังลานหน้าโบสถ์ตรงที่มีนักดนตรีอิสระกำลังนั่งเกากีตาร์ร้องเพลงอยู่

“เป็นไง ดีขึ้นไหม” สิงห์ถาม “เหนื่อยนักก็พักบ้างเราน่ะ ฉันเข้าใจว่าเธอพยายามเป็นผู้ใหญ่ แถมทำธุรกิจคนเดียวมันก็งี้แหละ เจออะไรก็ต้องยิ้มสู้ไว้ก่อน แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ร้องไห้บ้างก็ได้ไม่มีใครว่าเธออ่อนแอหรอกน่า”

“ไม่เอาหรอก มันตลกนี่นา ผมไม่อยากให้ใครเห็น”

“ฉันคิดว่าหน้าอกฉันกว้างพอจะบังเธอมิดนะ” สิงห์บอกพร้อมกับยกมือขึ้นโอบคนตัวเล็กกว่าให้เอนลงมาพิงไหล่ตน “อยู่บ้านคนเดียวเหงาๆ จะแวะมานั่งเล่นที่ข่วงเมืองสิงห์ก็ได้ ป้าสำลีกับพี่มอญชอบเวลาเธอมาหานะ”

เพลงเดิมหยุดลง นักดนตรีเริ่มเล่นเพลงใหม่

…*บอกฉันสักคำว่าเธอทำได้อย่างไร
เพราะฉันรู้สึกดีทุกครั้งที่อยู่กับเธอ
ที่จริงนับตั้งแต่ที่เรานั้นแรกเจอ
ไม่คิดว่าจะรักได้มากมาย
เธอรู้วิธีดูแลคนที่ห่วงใย
จนฉันแปลกใจความรู้สึกที่ฉันมี
เคยรักมากเท่าไหร่ก็ยังรักได้อีก
ไม่รู้ว่าเป็นได้อย่างไร…
*ยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ-ดา เอ็นโดฟิน


อิงค์หลับตาลง น้ำตารื้นขึ้นน้อยๆ อยากขยับไปซุกอกกว้างนั่นแน่นๆ แต่เพราะอยู่กลางลานหน้าวัดเขาจึงทำได้แค่พิงไหล่สิงห์ไว้เบาๆ

...ไม่แฟร์เลย!... อิงค์ร้องในใจ ...ทำไมพี่ถึงเป็นคนที่ใจร้ายกับผมแบบนี้... อยากใจร้ายนักใช่ไหม อยากแกล้งให้ความหวังกันนักใช่ไหม ได้... งั้นผมขอทำตามใจให้สุดๆ ไปเลยละกันนะ...

“พี่สิงห์” อิงค์กระซิบเสียงเบา

“ทำไม”

“ช่วยพาผมไปที่นึงได้ไหม มีอาหารอีกอย่างที่ผมอยากกิน”

“ที่ไหนล่ะ”

“ห้องใต้หลังคา”

“ที่นั่นมีอะไรที่นายอยากกินหรือไง”

“พี่สิงห์”

สิงห์ไม่ตอบคำถามแต่หันหน้ามาทำอะไรสักอย่างที่คล้ายๆ กับกดจูบลงกลางศีรษะเขาก่อนจะลุกขึ้นยืนและดึงมือเขาให้เดินตามกลับไป

*********************************************TBC********************************************

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่าาาา
เรื่องนี้เราตั้งใจว่าจะให้เบาๆ ดราม่าไม่เยอะ ดำเนินเรื่องเรื่อยๆ ดราม่าเดียวของเรื่องนี้นี้คือเรื่องที่อิงค์ว่าแต่ละตอนจะพาพี่สิงห์ขึ้นเตียงได้ยังไงดี

เพื่อความฟินต่อเนื่อง  #แชทลับของพี่สิงห์  (https://www.readawrite.com/a/yZg9l5-Last-Room?r=index_chat)
 
อ่านเรื่องอื่นๆ ของ >>leGGyDan<< (https://www.facebook.com/leGGyDanLabyrinth/?eid=ARCX5Xz1s3Jgnxe83Dwf0vglYsFFg3j2HFgOgH9MxpJ8yInqSwZEnZpX3BdT7liftIsudKLN70gEQeBR)
 
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 3(17/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-09-2019 06:30:33
อิพี่สิงห์ จิตใจทำด้วยอะไร :hao5:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 3(17/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 18-09-2019 09:16:54
สงสารน้องง รอวันที่พี่สิงห์หลงน้องจนโงหัวไม่ขึ้น!!!
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 3(17/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 18-09-2019 13:10:59
พี่สิงห์มีความหลังอะไรหรือเปล่า :hao4:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 3(17/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 19-09-2019 13:14:50
LR 4

“พี่สิงห์~”

เสียงเครือครางที่ดังมาจากคนใต้ร่างที่ตนทาบทับอยู่ทำให้สิงห์ขยับยกตัวขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าขาวกลายเป็นสีแดงก่ำไปถึงหู ตาหวานเลอะไปด้วยน้ำตาเกรอะกรัง มือใหญ่ยกขึ้นประกบรอบกรอบหน้าก่อนจะใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้เบาๆ

“ทำไม เจ็บเหรอ”

“ป… เปล่า… ดีครับ… แรง… แรงอีก”

สิงห์อมยิ้มนัยน์ตาพราว “ตัวแค่นี้แต่ทะลึ่งจริงๆ เลยนะเรา” พร้อมกับประกบศีรษะลงบดเบียดเร่าร้อนอีกครั้ง ขอมาขนาดนี้ไม่จัดให้ก็เสียเชิงชายหมดน่ะสิ

หลังจากเสียน้ำเสียเหงื่อกันไปหลายยก อิงค์ก็หลับสนิทและรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งเพราะสัมผัสนุ่มๆ เย็นๆ ที่ข้างแก้ม เขาลืมตาขึ้นมาเห็นคนตัวโตกำลังนั่งชะโงกเงื้อมอยู่เหนือตัวเขา เรือนผมยาวสีเข้มระลงข้างแก้ม

“หืมมม” อิงค์ทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งแล้วกระโดดเกาะคอสิงห์แน่น

“อะไร” สิงห์ร้อง เห็นหลับได้น่าหมั่นไส้เลยว่าจะขโมยจูบเล่นๆ แก้เหงาปากสักหน่อย แต่อีกฝ่ายดันตื่นขึ้นมาเสียก่อน

“พี่สิงห์สระผมเหรอ”

“หัวเหนียวก็เลยสระ”

“ว่าแต่กลิ่นแชมพู… เมื่อคืนไม่ใช่กลิ่นนี้นี่นา” อิงค์ว่าพลางซุกหน้าลงกับกลุ่มผมที่เพิ่งสระมาใหม่ๆ แล้วสูดกลิ่นจนเต็มปอด “นี่มันแตงโมมินต์จริงๆ ด้วย!”

“แล้วไง”

“ไหนพี่บอกว่าเบื่อแตงโมมินต์”

“ก็เบื่อน่ะสิ” สิงห์ว่าพลางแกะคนที่เกาะแน่นเป็นลูกลิงลงมานั่งที่ตักแล้วใช้สองแขนโอบรอบตัวไว้ไม่ให้ตะกายขึ้นไปเกาะหัวเขาได้อีก “แต่เธอชอบไม่ใช่เหรอ”

อิงค์หน้าร้อนวาบ เขาใช้ปลายนิ้วชี้สางไปตามเส้นผมยาวสลวยที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้มก่อนจะหมุนเป็นวงเล่นแก้เขิน “พี่สิงห์… ถึงพี่จะโกหกแต่ผมก็ดีใจนะ”

“ไม่รู้จะโกหกไปทำไม” สิงห์พูดต่อ “ก็เห็นถามหาอยู่นั่นแหละ ทั้งที่ทีแรกบอกว่าไม่ชอบเพราะกลิ่นเดียวกับที่แฟนเก่าชอบใช้แท้ๆ” ตอบพลางเหลือบตามองคนที่นั่งขดอยู่บนตัก เดิมทีเขาเป็นคนขี้รำคาญที่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับผมแต่พอได้เห็นรอยยิ้มสดใสที่กลับมาแต้มบนหน้าขาวนั้นอีกครั้ง สิงห์ก็คิดว่ายอมๆ ให้จับสักหน่อยก็ได้

“พี่สิงห์” อิงค์เรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน

“ทำไม”

“แบบนั้นน่ะบ้านผมเรียกหึงนะ”

“บ้านฉันเรียกรำคาญ และที่นี่ก็บ้านฉัน ใช้กฏฉันตกลงนะ” สิงห์แยกเขี้ยวตอบกลับไป

“รำคาญก็รำคาญครับ” อิงค์อมยิ้มพึมพำอย่างไม่เกรงกลัวเขี้ยวที่พร้อมจะงับหัวได้ทุกเมื่อ เพราะถึงจะพูดและทำท่าแบบนั้นแต่สิงห์ก็ยังปล่อยให้เขาจับผมเล่นต่อไป

“แล้ววันนี้จะทำอะไรต่อ” สิงห์ถาม “กาแฟกับขนมก็คงเตรียมไม่ทันแล้ว นี่ก็แปดโมงแล้วจะกลับไปเปิดร้านเลยหรือจะอยู่กินข้าวเช้ากับฉันก่อน”

“ที่พักดีแถมฟรีเบรคฟาสต์ซะด้วย” อิงค์ยิ้มกรุ้มกริ้ม นี่ดีพอๆ กับถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเลย

“เจ้าหนู!” สิงห์เริ่มเสียงดังอย่างอ่อนใจ

“กินข้าวก่อนแล้วค่อยกลับไปเปิดร้านครับ”

สิงห์ช้อนตัวชายหนุ่มออกจากตักวางลงบนเตียงแล้วลุกขึ้นยืน “อาบน้ำเสร็จแล้วก็ตามลงมานะ”

หลังอาบน้ำเสร็จสรรพชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟก็ตรงไปห้องกินข้าวตามคำชวน ป้าสำลีนั่งอยู่กับมอญที่โต๊ะหนึ่ง ส่วนสิงห์นั่งคนเดียวอยู่ที่โต๊ะตัวในสุดทั้งที่โต๊ะของป้าสำลียังมีที่ว่างเหลืออีกที่

“มาช้าจัง ฉันกินข้าวต้มหมดไปสองถ้วยแล้วเนี่ย” สิงห์เอ่ยขึ้นเพื่อบอกคนอื่นเป็นนัยว่าเขาเป็นคนชวนชายหนุ่มมาเอง

“ขอผมทานด้วยคนนะครับ” อิงค์กล่าวขออนุญาตอีกครั้ง

“เชิญเลยค่า” ป้าสำลีตอบยิ้มๆ ก่อนจะหันไปขยิบตากับมอญ เมื่อเห็นเจ้าของร้านกาแฟหนุ่มยังอยู่ในชุดเดียวกับที่เห็นล่าสุดเมื่อวาน

“เมื่อคืนทั้งสองคนไปเที่ยวไหนกันมาคะ” ป้าสำลีซึ่งนั่งอยู่กับมอญโต๊ะถัดไปถามยิ้มๆ

“ถนนคนเดินครับ” อิงค์ตอบพลางตักข้าวต้มหมูสับเห็ดหอมใส่ชามแล้วเดินไปนั่งลงตรงที่วางข้างสิงห์ที่ดูเหมือนทุก “พี่สิงห์เลี้ยงไก่ย่าง ถึงสุดท้ายผมจะได้กินแค่ตับไม้เดียวก็เถอะ ที่เหลือพี่สิงห์กินคนเดียวทั้งตัวหมดเลยครับ”

“ตายแล้ว” ป้าสำลียกมือทาบอก “คุณสิงห์ไม่ได้ลากลงไปกินในน้ำใช่ไหมคะ”

“ป้าสำสีนี่สิงห์เอง… สิงห์ไง” สิงห์ว่าพลางหยิบขนมปังปิ้งขึ้นมาแล้วตักแยมสตรอว์เบอร์รี่โปะลงไป

ป้าสำลีหัวเราะคิกคัก “กินข้าวเสร็จแล้วไปไหนกันต่อคะ”

…ไม่ได้ไปไหน ก็ลากขึ้นมากินกันต่อที่ห้องให้หลังคานี่แหละครับ…

นั่นคือคำตอบในใจอิงค์ที่อยากจะป่าวประกาศร้องออกไปให้ก้องเมืองน่าน แต่ที่พูดออกไปมีแค่ “ไม่ได้ไปไหนครับ กว่าจะกินเสร็จก็ดึกแล้วพี่สิงห์เลยให้ผมนอนค้างด้วย”

“นอกจากแย่งไก่ไปกินคนเดียวแล้วคุณสิงห์แกล้งอะไรคุณอิงค์อีกหรือเปล่าคะ”

ถึงตรงนี้อิงค์พยายามกลั้นใจฝืนทำสีหน้าให้นิ่งมากที่สุด เพราะจินตนาการในหัวมันชอบไปไวเสียจนน่าตี ภาพที่พากันลากไปบนเตียงฝั่งโน้นทีฝั่งนี้ทีในสภาพเกือบเปลือยเปล่าทำให้หน้าร้อนวูบ “ป... เปล่าครับแค่นอนเฉยๆ”

“เหรอคะ” ป้าสำลีพยักหน้ากับอิงค์ ก่อนจะหันไปหรี่ตามองสิงห์แปลกๆ จนอิงค์สงสัยว่าตัวเองตอบอะไรมีพิรุธหรือเปล่า แต่คู่กรณีก็นั่งแทะขนมปิ้งไม่รู้ไม่ชี้เขาจึงคิดว่าตัวเองคงคิดมากไปเอง “ป้าก็นึกสงสัยอยู่ว่าทำไมเช้านี้คุณสิงห์ลุกมาทำอาหารเช้าเองทั้งที่เป็นเวรป้าแท้ๆ ทีแรกก็คิดว่าเพราะเมื่อวานตอนเย็นป้าช่วยทำแทนที่คุณสิงห์ไม่อยู่ แต่ไปๆ มาๆ ป้าว่าไม่ใช่แล้วล่ะ คุณสิงห์น่าจะตั้งใจตื่นมาทำเมนูโปรดให้คุณอิงค์ทานมากกว่า”

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ คงแค่บังเอิญมากกว่า” อิงค์แก้ตัวแทน

“คงบังเอิญจริงๆ แหละค่ะ” มอญรับช่วงต่อ “บังเอิญว่าหมูหมด บังเอิญว่าเห็ดหอมสดก็ไม่มี บังเอิญว่าใครบางคนรีบคว้าจักรยานปั่นไปตลาดเพราะกลัวตลาดจะวายเสียก่อน กลับมางี้เหงื่อแตกซ่กเลยค่ะ”

อิงค์เหลือบตามองสิงห์พลางนึกถึงเหตุผลที่บอกว่าทำไมต้องสระผม และถ้าเขามองไม่ผิด ตอนอาบน้ำเมื่อคืนเขาก็ไม่เห็นเแชมพูกลิ่นแตงโมมินต์ในห้องน้ำ แต่เช้านี้มันกลับมาวางรวมอยู่กับเครื่องอาบน้ำอื่นๆ

“คุณอิงค์ต้องทานเยอะๆ นะคะ คนทำเขาจะได้ดีใจ” ป้าสำลีสำทับ

จู่ๆ สิงห์ก็ไอเสียงดัง “แค่ก! แค่ก!”

ป้าสำสีหันไปขยิบตากับมอญอย่างรู้กัน

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” อิงค์ถาม

“ขนมปังติดคอ”

“คุณสิงห์จะเอากาแฟไหมคะเดี๋ยวพี่ชงให้” มอญถามขึ้น

“ไม่เอา” สิงห์ตอบ

“โอวัลติน?” มอญให้ตัวเลือก “น้ำส้มคั้นสดก็มีนะคะ หรือคุณสิงห์จะเอาน้ำเปล่า”

“เอากาแฟ” สิงห์ว่า

“อ้าว ก็เมื่อกี้คุณสิงห์บอกว่าไม่เอา”

“ไม่กินฝีมือพี่มอญ” สิงห์วางขนมปังลงพลางแลบลิ้นเลียแยมที่เลอะปาก “เนี่ย ถ้าช้าอีกนิดเดียวติดคอตายจริงๆ นะ แค่ก! แค่ก!”

อิงค์ยิ้มกลั้วขำพร้อมกับลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวผมชงให้”

“ชงเองนะไม่เอากาแฟสำเร็จ”

ได้ยินเสียงสั่งมาตามหลัง อิงค์ยิ่งยิ้มขันกว่าเดิม เขาหยิบวัตถุดิบที่มีขึ้นมาดูทีละขวด ก่อนจะเริ่มต้นชงกาแฟ

…ถ้าจำไม่ผิด พี่สิงห์ชอบกินหวานแต่วันนี้ทานคู่กับขนมปังทาแยม…

อิงค์เหลียวไปมองปริมาณแยมที่ป้ายหนาเต็มแผ่นขนมปังแล้วตัดสินใจเทน้ำตาลออกครึ่งช้อน ก่อนจะยกมาเสิร์ฟ

“นี่ครับ”

“ทำไมชงจืดกว่าคราวก่อน” สิงห์ถามทันทีหลังจากที่ยกแก้วกาแฟจรดริมฝีปาก

“ก็ผมเห็นพี่สิงห์กินขนมปังทาแยมเสียหนา กลัวว่าจะเลี่ยน เลยลดน้ำตาลลงหน่อยแล้วใส่กาแฟเพิ่มไปอีกนิด” อิงค์บอก “ไม่อร่อยเหรอครับ”

“ไม่หวาน” คนติดหวานแก้คำให้ใหม่

“เดี๋ยวผมเติมน้ำตาลเพิ่มให้”

“ไม่เป็นไร” สิงห์ยกมือปรามก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง “มองหน้าคนชงแทนก็ได้”

“คุณสิงห์คะ” ป้าสำลีเรียกมาจากอีกโต๊ะ “ป้านั่งอยู่นี่ค่ะ”

“มอญด้วย” มอญยกมือโบกไหวๆ

“ก็เห็นชงกันจัง อุตว่าห์ตบส่งให้สวยๆ แล้วยังไม่พอใจอีกเรอะ” สิงห์ว่าแล้วหันไปคุยกับอิงค์ต่อ “เธอน่ะใส่ใจคนกินดีนะ ถึงจะมีสูตรสำเร็จ แต่ก็รู้จักปรับเปลี่ยนให้เข้ากับอารมณ์คนดื่มและอาหารทานร่วมกันในมื้อนั้นได้”

“พี่สิงห์จะว่ามือผมไม่นิ่งเหรอ” อิงค์พูดติดตลก

“ฉันกำลังจะบอกว่ามันเป็นเสน่ห์ของเธอต่างหาก” สิงห์ว่า “จำคุณกิตติ์ที่เธอพามาพักที่นี่คราวก่อนได้ไหม วันที่ฉันพาเขาไปเที่ยวแล้วแวะซื้อกาแฟร้านอื่นกิน เขาบอกว่าร้านไหนก็ไม่อร่อยเท่าร้านเธอ”

“แล้วพี่สิงห์ล่ะชอบหรือเปล่า”

“กาแฟ?”

“ชอบผมมั้ง แหมมมม” อิงค์พูดเสียดังทีเล่นทีจริงเสียจนป้าสำลีกับมอญที่แอบฟังอยู่ต้องหันมองหน้ากันแล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม

ในขณะที่คนโดนเต๊าะตรงๆ เพียงแค่ไหวไหล่ครั้งหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “กินข้าวเสร็จแล้วจะไปไหน เดี๋ยวไปส่ง”

“อย่าเลยครับผมเกรงใจ เมื่อวานพี่สิงห์ก็อยู่กับผมทั้งคืน… เอ่อ พาผมไปเที่ยวถนนคนเดิน” อิงค์พยายามเรียบเรียงคำพูดใหม่ไม่ให้ดูมีพิรุธเพราะป้าสำลีกับพี่มอญตั้งหน้าตั้งตาเงี่ยหูฟังอยู่ “แล้วถ้าวันนี้ไปด้วยกันอีก ก็จะเสียงานน่ะสิครับ”

“ไม่เสียหรอกเดี๋ยวให้ป้าสำลีอยู่แทน”

“แล้วเจ้านายพี่ไม่ว่าเหรอ”

สิงห์ย่นคิ้ว เจ้าหนูนี่ยังเข้าใจอะไรผิดอยู่จริงๆ ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่คิดแก้ไขให้ถูกต้อง “บอกแล้วไงว่าเขาใจดี”

“ไม่เป็นไรครับ ผมไปคนเดียวดีกว่า วันนี้จะไปคุยกับผู้จัดการห้องอาหารที่โรงแรมเกศกุญชรน่ะครับ”

“คุณอิงค์ได้ฝากวางที่นั่นด้วยเหรอคะ ป้าเพิ่งรู้นะเนี่ย” ป้าสำลีถาม “เก่งนะคะเนี่ย”

“ก็ไปพูดคุยนำเสนออยู่หลายรอบเหมือนกันครับเพราะเขามีร้านเบเกอร์รี่เจ้าประจำอยู่แล้ว”

“คงจะเป็นร้านจามจุรี” ป้าสำลีขยายความ “เจ้านี้เขาดังมากเรื่องขนมปัง ป้าซื้อทานประจำเลย ขนมปังสด ขนมปังแถวที่อยู่ในมื้อเช้าสำหรับแขกที่มาพักข่วงเมืองสิงห์ก็เป็นของร้านนี้”

“ก็เพราะว่าร้านนั้นเขาทำขนมปังเป็นหลักน่ะแหละครับ ผมก็เลยทำขนมเค้กไปเสนอไม่ให้ซ้ำกัน คิดว่าน่าจะช่วยเพิ่มกลุ่มลูกค้าได้ พอพูดแบบนี้ทางนั้นก็เลยลองเปิดใจรับขนมผมไปขายครับ” อิงค์เล่าให้ฟังด้วยความภาคภูมิใจก่อนที่แววตาจะหม่นลงชัดเจน “ทั้งที่อุตส่าห์ทำสำเร็จแล้วแท้ๆ แต่วางขายแค่เดือนเดียวก็เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นเสียได้ ทั้งที่ผมก็เลือกใช้แต่วัตถุดิบดีๆ แล้วนะ... ที่วันนี้ต้องไปหาเพราะเขาส่งข้อความมาบอกยกเลิกแล้วก็จะไปเก็บขนมกลับมาน่ะครับ”

“ไม่เป็นไรนะคะ พลาดเจ้านี้ไปแต่ก็ยังมีที่อื่นอีก คุณอิงค์ลองไปคุยที่เฮือนไกรสรดูสิ” ป้าสำลีออกความเห็น

“โห นั่นโรงแรมใหญ่สุดในเมืองน่านแถมยังเป็นโรงแรมในเครือไกรสรกรุ๊ปที่มีสาขาทั่วประเทศเลยนะครับ ร้านผมก็เป็นร้านเปิดใหม่เล็กๆ ที่เพิ่งจะมีข่าวลือแปลกๆ แถมตอนนี้ยังลบข้อกล่าวหาพวกนั้นไม่ได้เลย ไม่มีหน้าไปเสนอเขาหรอกครับ กลัวเขาไล่กลับออกมา”

“ไม่หรอกค่ะ ผู้จัดการที่นั่นใจดีจะตาย”

“ไว้ให้ผมจัดการอะไรๆ ให้มันเรียบร้อยกว่านี้ก่อนแล้วจะลองดูนะครับ” อิงค์ยกโทรศัพท์ขึ้นดูนาฬิกา “นี่ก็จวนได้เวลานัดแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”

“โชคดีนะคะคุณอิงค์” ป้าสำลีกับมอญอวยพร

“ขอบคุณครับ” อิงค์รับคำพร้อมกับลุกขึ้น “ผมไปนะครับพี่สิงห์”

สิงห์เหลือบตาลงมองขนมปังในมืออยู่อึดใจ ก่อนจะยัดขนมปังที่เหลืออีกครึ่งแผ่นเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆ ตามด้วยยกแก้วกาแฟขึ้นซดรวดเดียวหมด เขาวางแก้วลงและพูดเสียงดัง “ฉันตัดสินใจล่ะ ฉันจะไปด้วย”

โรงแรมเกศกุญชรขึ้นว่าเป็นโรงแรมใหญ่อันดับสองของน่านนคร หน้าโรงแรมนั้นมีรูปปั้นช้างเผือกอันเป็นสัญลักษณ์ตั้งประดับอยู่กลางลานน้ำพุขนาดใหญ่ ในงวงของมันที่ชูขึ้นเหนือหัวนั้นมีลูกแก้วใสขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง ส่วนด้านในโรงแรมนั้นตกแต่งตามสไตล์โมเดิร์นดูสวยงามและทันสมัย

อิงค์ให้สิงห์รออยู่หน้าห้องอาหารส่วนตนเข้าไปพบผู้จัดการคนเดียว หากคนที่รออยู่นั้นทำให้อิงค์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

ทางสิงห์ที่ยืนรออยู่ด้านนอก ยืนไปสักพักก็เริ่มเบื่อ เขาจึงลองเดินวนเยี่ยมชมโรงแรมที่แสนโอ่อ่าไปรอบๆ จนมาหยุดยืนที่หน้ากระจกบานใหญ่อีกฟากหนึ่งของห้องอาหารซึ่งมองเข้าไปเห็นบริเวณที่อิงค์เข้าไปคุยกับผู้จัดการพอดี สิงห์จึงตัดสินใจปักหลักยืนสังเกตการณ์อยู่ตรงนี้ เพราะนอกจากผู้จัดการห้องอาหารที่เขารู้จักยังมีชายวัยกลางคนอีกคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีเช่นกันยืนอยู่ด้วย ซึ่งสิงห์ไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่เห็นชายคนนั้นที่นี่ในเวลาแบบนี้

“สวัสดีครับ ผมอิสระ จากร้าน It’ sra ครับ” อิงค์ทักทายทายอย่างสุภาพพลางยกมือไหว้คุณสุพจน์ผู้จัดการห้องอาหารและชายวัยกลางคนร่างท้วมอีกคนซึ่งเขาไม่รู้จัก

“สวัสดีครับ” สุพจน์รับไหว้ก่อนจะหันไปแนะนำคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน “ส่วนนี่คุณปองชัย เจ้าของร้านเบเกอร์รี่ ‘จามจุรี’ น่ะ”

“คนนี้น่ะเหรอเจ้าของร้านที่โดนรีวิวว่ากาแฟไม่มีคุณภาพทำให้จังหวัดเราเสียชื่อเสียง” เจ้าของร้านเบเกอร์รี่พูดเสียงดัง “แถมยังเอาขนมค้างคืนมาหลอกให้นายช่วยขายอีก เป็นยังไงล่ะฉันเตือนแล้วใช่ไหมว่าไอ้พวกเมืองกรุงเห็นแก่ได้ไว้ใจไม่ได้ ทำอะไรลวกๆ คิดถึงแต่กำไรไม่คำนึงถึงคุณภาพ สู้ร้านฉันที่เป็นร้านเก่าแก่ของน่านไม่ได้”

“ฉันก็แค่อยากลองของใหม่ๆ บ้าง เฮ้อ~ บ่นไปก็เท่านั้น เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว” สุพจน์ถอนหายใจ “จริงๆ ผมก็ไม่อยากทำแบบนี้นะ แต่คุณทำให้เราผิดหวังมากนะคุณอิสระ ทั้งที่วันที่คุณเข้ามานำเสนอคุณทำได้ดีมากแท้ๆ จนพวกเราประทับใจยอมรับของคุณมาวางขาย แต่คุณกลับเอาของใกล้เสียให้เรา ทำให้เราร้านอาหารและโรงแรมของเราเสียชื่อเสียง”

“ขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นครับ” อิงค์กล่าว “แต่ในเรื่องของคุณภาพผมยืนยันว่าเลือกใช้วัตถุดิบอย่างดี ทำขนมสดใหม่ทุกวันครับ”

“แก้ตัวไปก็เท่านั้น คุณมาดูเอาเองก็แล้วกันนี่รับมาเมื่อวานเพิ่งผ่านมาแค่วันเดียวก็เหม็นหืนแบบนี้แล้ว รสชาติก็ไม่คงเส้นคงวาบางชิ้นก็ดีบางชิ้นก็โหลยโท่ยมาก แป้งแข็งร่วนครีมก็หวานจนเลี่ยนกินไม่ได้เลย” สุพจน์กล่าวพลางผายมือไปยังขนมในถาดซึ่งวางอยู่ด้านหลัง

อิงค์จ้องมองขนมในถาดตรงหน้าด้วยความสงสัย “ผมรู้สึกว่ามันแปลกๆ อยู่นะครับ เพราะเค้กทุกชิ้นที่ส่งให้แต่ละร้านผมใช้แป้งก้อนเดียวกัน อบออกมาจากเตาพร้อมกัน ครีมก็ถุงเดียวกัน และชิมแล้วชิมอีกว่ารสชาติใช้ได้ ถ้าหากมันจะมีข้อผิดพลาดที่ทำให้ออกมาแย่ มันก็ควรเป็นเหมือนกันทั้งหมดไม่ใช่หรือครับ ไม่ใช่ดีบ้างเสียบ้างแบบนี้”

“มันก็เป็นไปแล้วนี่ไง” ชายวัยกลางคนเถียงเสียงห้วน

อิงค์เหลือบตามอง ยิ่งรู้สึกมีพิรุธมากขึ้นไปอีก “ถ้ายังไงผมขอรบกวนตรวจสอบของก่อนเก็บคืนนะครับ ว่าใช่ของผมแน่หรือเปล่า” เขาหยิบเค้กขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เนื้อสัมผัสของแป้งและครีมไม่มีปัญหาอะไร เขาวางลงและหยิบชิ้นที่สองขึ้นมาแต่เพียงแค่บิออกแป้งก็ร่วงกราวลงพื้นอย่างที่ผู้จัดการร้านว่า “นี่ไม่ใช่ของผม” เขาร้องออกมาทันทีหลังจากชิมเสร็จ “คุณผู้จัดการคุณต้องลองชิมดูมันไม่ใช่...”

“ผมชิมและให้โอกาสคุณมามากพอแล้ว” สุพจน์กล่าว

อิงค์ไม่ยอมแพ้ เขาหยิบขนมชิ้นที่มีปัญหาขึ้นมาและเดินเข้าไปใกล้ “แต่ว่า...”

“ของพรรณ์นี้ใครเขาจะไปกินกัน” ปองชัยร้องเสียงดังพร้อมกับผลักอิงค์อย่างแรงจนเซไปชนโต๊ะ เขาย่างสามขุมตามเข้าไปและออกแรงผลักครั้งทำให้ถาดใส่ขนมทั้งหมดร่วงลงพื้นเละเทะหมด “ออกไปได้แล้ว!”

“พวกคุณ...”

สิงห์ที่อดทนยืนดูอยู่นานวิ่งเข้ามาเมื่อเห็นว่าเรื่องทำท่าจะบานปลาย “เฮ้! เรื่องแค่นี้ถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือเลยเหรอ” เขาเข้ามาขวางตรงกลางระหว่างอิงค์และสองคนนั่น ด้วยขนาดตัวที่สูงใหญ่น่าเกรงขามทำให้ทั้งสองยอมถอยห่างออกไปเล็กน้อย

“ก็มันทำให้โรงแรมเราเสียชื่อเสียง” สุพจน์บอก

“ยังไง” สิงห์ขอคำอธิบาย

“ของที่มันทำ นอกจากจะไม่ได้คุณภาพและรสชาติแย่แล้วล่าสุดยังทำให้ลูกค้าของเราท้องเสียอีก”

“ไอ้นี่น่ะเหรอ” สิงห์เหลือบตาลงมองขนมที่ตกระเนระนาดอยู่บนพื้น ก่อนจะก้มลงหยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วกัดเข้าปาก

“พี่สิงห์อย่าครับ มันสกปรก…”

เพียงแค่เคี้ยวไปนิดเดียว ไม่ทันจะได้กลืนสิงห์ก็ถ่มมันออกมา “ถุย! สกปรกจริงๆ ด้วย”

“พี่สิงห์” อิงค์รีบส่งผ้าเช็ดหน้าของตนให้อีกฝ่ายเช็ดปาก “ผมบอกแล้วว่าอย่ากิน”

“ใช่ไหมครับคุณสิงห์” ปองชัยหัวเราะหยันในลำคอ

“ใช่! คุณมันสกปรกมาก” สิงห์พูดต่อ “เพราะร้านของคุณทำขนมอร่อยได้ไม่เท่าเจ้าหนูนี่ก็เลยลงทุนทำของเลียนแบบขึ้นมาใส่ร้ายกัน”

“คุณสิงห์เอาอะไรมาพูด!!” ปองชัยเริ่มโวยวายที่โดนกล่าวหา

“ก็เอาความจริงจากขนมนี่ไงมาพูด” สิงห์บอก “เฮอะ! เอาตรงๆ นะ ไม่ต้องชิม แค่หน้าตาขนมพวกนี้ขึ้นไปยืนบนดอยเสมอดาวชะโงกลงมาดูยังรู้เลย ตราของร้านก็ไม่ใช่แล้ว ไหนจะวิธีการตกแต่งที่ไร้ความปราณีต แป้งนี่ก็หมักไม่ได้ที่ แถมยังใช้เนยกับครีมที่ไม่มีคุณภาพอีก เจ้าหนูนี่น่ะไม่ได้ใช้ของแบบนี้หรอกนะ”

“แล้วคุณสิงห์รู้ได้ยังไง” สุพจน์ถาม

“ก็ฉันกินขนมเจ้าหนูนี่อยู่ทุกวัน” สิงห์สบตาเจ้าของร้านเบเกอร์รี่ “คุณปองชัย... หลังจากที่คุณจามจุรีภรรยาของคุณเสียไปอย่างกะทันหันเมื่อปีก่อน รสชาติขนมปังร้านคุณก็เปลี่ยนไป ดูเหมือนว่าคุณเองก็พยายามทำตามสูตรของภรรยาแล้วแต่ไม่ว่ายังไงรสชาติก็ไม่เหมือนเดิมสักที ถึงไม่ได้แย่แต่มันก็ไม่เหมือนเดิม ทำให้จากที่เมื่อก่อนขายดีมากจนต้องต่อคิว แต่ตอนนี้ลูกค้ากลับหายไปเกือบครึ่งเลยไม่ใช่เหรอ”

“มันเป็นเรื่องจริงที่รสชาติขนมปังร้านผมเปลี่ยนไป ลูกค้าอาจจะลดลงบ้างแต่ถึงยังไงก็ขายได้กำไรดี” ปองชัยว่า “แล้วเรื่องในร้านผมมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เจ้าหนูนี่ทำของไม่ได้คุณภาพมาขาย แล้วไหนล่ะหลักฐานที่พวกคุณกล่าวว่าพวกผมเป็นคนใส่ร้ายเจ้าหนูนี่”

“จะว่าไปก็ไม่มีหรอกนะ” สิงห์บอกตามตรง “ถ้าจะมีก็แค่ตุ่มรับรสบนลิ้นของผมนี่แหละ ที่พอจะบอกได้ว่าแป้งที่ใช้ทำขนมพวกนี้เป็นแป้งยี่ห้อเดียวกับที่ร้านคุณใช้ทำขนมปัง เจ้าหนูนี่น่ะใช้อีกยี่ห้อนึง และถ้าจะให้ผมเดาเพิ่ม สาเหตุที่คุณต้องเล่นใหญ่โยนข้าวโยนของทิ้งให้เละเทะทั้งๆ ที่แค่ให้เก็บกลับไปดีๆ ก็ได้ก็เพราะว่าเจ้าหนูนี่ดันนึกอยากชิมขึ้นมาแล้วเอะใจว่าไม่ใช่ของตัวเอง คุณก็เลยกลัวโดนจับได้สินะ... จุ๊ๆ แอคติ้งไม่เนียนไปเรียนมาใหม่นะ อันนี้ผมไม่ให้ผ่าน”

ผู้จัดการโรงแรมหันไปสบตากับเจ้าของร้านขนมปังก่อนจะกล่าวตัดบทเสียดื้อๆ “เอาเป็นว่าผมจะถือเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้ แต่ต่อจากนี้ยังไงผมก็ไม่รับขนมจากร้านนี้อีก”

“มาถึงขั้นนี้แล้วคุณยังยืนกรานจะปฏิเสธก็เรื่องของคุณ” สิงห์คำรามในลำคออย่างไม่ค่อยชอบบทสรุปเท่าใดนัก “แต่พวกคุณไม่คิดจะขอโทษเจ้าหนูนี่หน่อยเลยเหรอ อย่างน้อยที่สุดคุณก็ควรในส่วนที่ทำให้เจ้าหนูนี่เจ็บตัวและข้าวของเสียหายขนาดนี้

“ทำไมต้องขอโทษไอ้เด็กเมื่อวานซืนจากเมืองกรุงที่เพิ่งหัดหมักแป้งได้ ชงกาแฟเป็นนิดๆ หน่อยๆ ก็ลำพองตัวว่าข้าเก่งนักหนานี่ด้วย” ปองชัยว่า

“นี่คุณ!”

“ไม่เป็นไรครับพี่สิงห์” อิงค์คว้าต้นแขนสิงห์ก่อนที่การโต้เถียงจะไปกันใหญ่ “อย่ามีเรื่องกันเลยครับ เราเองก็ไม่ได้มีหลักฐานชัดเจนด้วย อย่าใส่ร้ายเขาสิครับ”

“เมื่อกี้เธอว่าไงนะเจ้าหนู!” สิงห์ร้องเสียงดัง “เธอต่างหากที่เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นคนโดนใส่ร้ายนะ และฉันคนนี้ก็กำลังเถียงแทนเธอที่มัวแต่อ้ำอึ้งอยู่ ถ้าไม่คิดจะมาช่วยกันเถียงก็อย่ามาขัดฉัน เข้าใจ๊!”

“พี่สิงห์...”

“เอาเป็นว่าผมจะชดใช้ค่าเสียหายให้แล้วกันครับ” สุพจน์เสนอ ในฐานะผู้จัดการห้องอาหารเขาก็ไม่อยากมีเรื่องกับสิงห์เท่าใดนัก “แต่เป็นเฉพาะในส่วนของขนมล็อตนี้เท่านั้นตกลงไหม”

“ขอบคุณครับ” อิงค์พยักหน้ายอมรับข้อเสนอ

“ใจดีจริงๆ เลย” สิงห์พ่นลมออกจมูกอย่างแรงจนปีกจมูกกระพือ

“แล้วก็อีกอย่างหนึ่งครับ” อิงค์พูดต่อ “ผมอยากให้คุณช่วยชี้แจงด้วยวิธีการติดป้ายและประกาศลงในเพจของโรงแรมคุณว่าขนมที่ทำให้ลูกค้าท้องเสียนั้นไม่ใช่ของร้านผมครับ”

“เรื่องนั้นก็พอทำให้ได้อยู่ แต่จะมีคนเชื่อหรือเปล่ามันก็อีกเรื่องนะ” สุพจน์ว่า

“แค่นี้ก็พอแล้วครับ” อิงค์ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ขอแค่ไม่ให้ความเข้าใจมันลามไปมากกว่านี้เรื่องกอบกู้ชื่อเสียงร้านที่เหลือผมจะจัดการเอง”

“อวดดี” ปองชัยพึมพำ

“ผมไม่ได้อวดดีหรอกครับ ก็แค่อยากลองพยายามให้ถึงที่สุดดู” อิงค์บอกทั้งรอยยิ้ม “ถ้าหมดธุระแล้ว ผมก็ขอตัวก่อนนะครับ สวัสดีครับคุณสุพจน์ คุณปองชัย คราวหลังถ้ามีโอกาสผมจะลองไปชิมขนมปังร้านคุณนะครับ”

หลังจากที่ขับมอเตอร์ไซค์ออกมาจากโรงแรมเกศกุญชรได้สักพัก สิงห์ที่ยังติดใจไม่หายก็ว่าให้ “นอกจากจะรับข้อเสนอเขาง่ายๆ แล้วยังจะไปอุดหนุนเขาอีกนะ”

อิงค์แกล้งทำเป็นได้ยินไม่ชัด เพื่อเขยิบตัวเข้าไปเบียดคนขับใกล้ๆ ก่อนจะสอดคางวางลงบนบ่าแล้วตะโกนแข่งกับเสียงลม “ผมก็แค่อยากลองชิมขนมปังร้านดังของน่านครับ เดี๋ยวคนเขาจะว่าเอาได้ว่ามาไม่ถึง”

สิงห์ถอนหายใจก่อนจะระบายยิ้มออกมา เจ้าหนูนี่ก็ใจสู้ดีจริงๆ นึกว่าจะแค่กับเรื่องที่มาตามตื๊อเขาเสียอีก “แล้วนี่คิดจะทำยังไงต่อ ขาดลูกค้าไปที่หนึ่งแล้ว ลูกค้ารายใหญ่เสียด้วยนี่”

“ถึงรายได้จะลดลงแต่ถ้าไม่สร้างปัญหาให้ใครผมก็โอเคครับ เดี๋ยวผมจะลองเอาไปเสนอที่อื่นดู แต่อาจจะต้องรอให้เรื่องมันซาลงเสียหน่อย”

“ก็ตามใจ”

“อ๊ะ! พี่สิงห์ชะลอหน่อยๆ”

“มีอะไร” สิงห์กดเหยียบเบรคจนเกือบหัวทิ่ม

“พี่สิงห์ดูนั่นสิ” อิงค์บอกอย่างร่าเริงพลางชี้มือไปทางโรงแรมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงสี่แยกไฟแดง “พี่สิงห์เห็นสิงโตตัวนั้นไหม ที่มันกำลังเล่นลูกแก้วน่ะ ผมว่ามันเหมือนพี่สิงห์เลย”

สิงห์มองไปยังสัตว์สัญลักษณ์ของเฮือนไกรสรก่อนจะพูดเสียงดัง “เหมือนตรงไหนวะ”

อิงค์หัวเราะคิกคัก “ไม่รู้ดิ ผมว่ามันเหมือนพี่สิงห์อะ ผมชอบ”

“สิงโต?”

“ชอบพี่นั่นแหละ” อิงค์ตอบตามตรงก่อนจะซบหน้าลงบนแผ่นหลังกว้าง “ขอบคุณนะที่วันนี้พี่มากับผม ขอบคุณที่ยืนอยู่ข้างผม ทั้งพี่ ป้าสำลีและพี่มอญด้วย ผมขอบคุณจริงๆ”

“เปลี่ยนคำขอบคุณเป็นขนมสักถุง กาแฟสักแก้วรับรองสองคนนั่นดีใจตาย” สิงห์ว่า

“แล้วพี่ล่ะ ต้องได้อะไรถึงจะดีใจ”

“ไม่เอาหรอก ไม่อยากได้อะไรจากเธอ”

“ไม่เอาเหรอ ให้ฟรีๆ เลยนะ” อิงค์ทำเสียงอ้อนพลางสอดมือเข้ารอบเอว

“ทะลึ่งแต่หัววันเลยนะ” สิงห์ว่า “มันใช่ของที่จะมาตอบแทนซะที่ไหนเล่า... ห้องของฉันเธอก็รู้นี่นาว่าอยู่ตรงไหน อยากมาหาเมื่อไหร่ก็มา อยากจะค้างคืนก็ตามใจไม่มีอะไรต้องมาแลกเปลี่ยนทั้งนั้น”

“วันนี้พี่ใจดีเกินไปแล้วนะ”

“ไม่ชอบเหรอ” สิงห์ย้อน “หรืออยากให้ไม่พูดด้วยเหมือนเดิม”

“ชอบดิ” อิงค์ว่า “เออ แล้วตกลงที่พี่ไม่พูดกับผมตั้งนานสองนานเพราะอะไรเหรอ”

“งอน”

“จริงดิ”

“นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา เห็นฉันที่ระบายความใคร่หรือไง ก็อย่างที่ใครๆ เขาว่ากันล่ะนะ พวกหนุ่มเมืองกรุงน่ะมันไว้ใจไม่ได้”

“เหยยยย ผมขอโทษ วันนั้น ผมไม่ได้ตั้งใจทิ้งพี่ไปนะ แต่มันสายแล้ว ผมต้องรีบไปเดี๋ยวขึ้นเครื่องบินไม่ทัน แม่กับพ่อมารอรับอยู่ที่ดอนเมือง ขืนตกเครื่องไปถึงช้าผมโดนสวดยับแน่ นี่แค่เรื่องที่หนีมาเที่ยวน่านโดยไม่บอกก่อนผมก็โดนบ่น โดนงอนไปสามสี่วันเลยนะ”

“แล้วก็หายไปสองปี”

“แฟนเก่าก็ต้องเคลียร์ หนังสือก็ต้องเรียนไหม เรียนไม่จบจะมีงานมีเงินซื้อตั๋วเครื่องบินบินมาหาพี่เหรอ” อิงค์ว่า “แล้วผมก็ต้องให้เวลาตัวเองคิดทบทวนด้วยอะไรหลายๆ อย่างด้วย ว่าชอบพี่จริงๆ หรือว่าแค่หลงเพราะกำลังเฮิร์ตอยู่”

“แล้วคิดได้ยัง”

“คิดได้แล้วถึงกลับมานี่ไง พี่สิงห์ต่างหาก ผมตื๊อขนาดนี้แล้วคิดได้หรือยังว่าควรจะชอบผม”

“ยัง” สิงห์ตอบเสียงดังฟังชัดทันทีโดยไม่เสียเวลาคิด “ขอโทษนะอิงค์ แต่ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหม ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นระหว่างเรา แต่ฉันจะไม่มีวันรักเธอแน่นอน”

“ทำไมล่ะพี่”

รถมอเตอร์ไซค์จอดลงตรงหน้าร้าน It’ sra พอดี สิงห์จึงถอดหมวกกันน็อคออกก่อนจะหันมาสบตา มันคงจะไม่แฟร์เอาเสียเลยถ้าเขาจะไม่ยอมพูดความจริง

“เพราะหัวใจของฉันมันให้คนอื่นไปนานแล้วน่ะสิ”
****************************???
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 4(19/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 19-09-2019 15:09:44
พี่สิงห์เอาใหม่พูดใหม่สิ :z6:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 4(19/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 19-09-2019 21:51:56
อิพี่สิงห์!!! :angry2: :z6:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 4(19/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 22-09-2019 15:07:01
LR 5

“เพราะหัวใจของฉันมันให้คนอื่นไปนานแล้วน่ะสิ”

พูดไปแล้วสิงห์ก็ได้สบตาคนฟังนิ่ง คาดว่าจะได้เห็นอิงค์โกรธ หรือมีท่าทีขุ่นเคืองใส่เขา เขาก็พร้อมจะยอมรับผิด

หากชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟเพียงแย้มยิ้มบาง “อืม ผมว่าผมรู้อยู่แล้วล่ะ”

“เหรอ”

อิงค์พยักหน้า “เป็นเหตุผลเดียวที่พอฟังขึ้นนี่นา เอ่อ… พี่สิงห์เข้ามาข้างในก่อนไหม พี่เพิ่งเคยมาร้านผมเป็นครั้งแรกนี่นา มาๆ เข้ามาก่อน ขอผมอวดร้านหน่อย” พูดจบก็หันไปหยิบป้ายหน้าประตูพลิกเป็นคำว่า ‘เปิด’ แล้วเดินนำเข้าไป โดยมีสิงห์เดินตามหลังมาเงียบๆ

“ผมใช้คอมเซปต์ตามชื่อร้าน ซึ่งก็คือตามชื่อผม ‘อิสระ’ อยากแต่งแบบไหนก็แต่ง มันก็เลยมีทั้งบาร์ โซฟา เก้าอี้สาน แล้วเมื่อเร็วๆ นี้ผมเพิ่งไปสั่งเก้าอี้รังนกมาด้วยนะ ตั้งใจว่าตั้งตรงหน้าตานั่นที่มองไปเห็นยอดวิวเขาน้อย จิบกาแฟไป แกว่งเก้าอี้ให้มันโยกปลิวไปเบาๆ ชมวิวภูเขาสวยๆ ไป แหมมมม ฟังดูดีเลยใช่ไหมล่ะ พี่สิงห์ลองนั่งดูสิแล้วจะติดใจ” อิงค์บอกพลางชี้มือไปที่เก้าอี้

แต่สิงห์แอบเห็นว่าทีแรกอิงค์กำลังจะแตะตัวเขาแล้วก็เปลี่ยนใจแค่ทำเป็นชี้มือเฉยๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินอ้อมไปหลังเคาน์เตอร์

“พี่สิงห์ดื่มกาแฟไหม”

“เมื่อเช้ากินไปแล้ว”

“อันนั้นกาแฟสำเร็จรูป แต่ของผมชงสดนะ รสชาติไม่เหมือนกัน พี่สิงห์เอาหน่อยน่า นะ นะ… มาถึงร้านผมทั้งทีของผมโชว์ฝีมือหน่อยเถอะ”

“ฉันอิ่มแล้ว” สิงห์พูด แต่ดูหมือนเจ้าของร้านกาแฟจะไม่สนใจคำตอบของเขาเลย

“อ้าว นมข้นหวานหมดเหรอ เดี๋ยวผมไปเอาก่อนพี่สิงห์รอแป๊บนะ” แล้วอิงค์ก็ผลุนผันเข้าไปด้านใน

สิงห์ชะโงกหน้ามองข้ามเคาน์เตอร์ไปเห็นกระป๋องนมข้นหวานวางรวมอยู่กับอุปกรณ์อื่นๆ เขาจึงส่งเสียงเรียกเจ้าของร้าน “อิงค์”

“รอแป๊บนะพี่ ไม่รู้ผมเอาไปเก็บไว้ไหนเนี่ย”

ได้ยินแต่เสียงตอบแต่ไม่เห็นตัว สิงห์ถอนหายใจครั้งหนึ่งแล้วเดินอ้อมไปหลังเคาน์เตอร์ เขามองเข้าไปด้านในเห็นเงาตะคุ่มนั่งยองๆ ก้มหน้าอยู่ตรงผนังด้านหนึ่งที่ค่อนข้างมืด และไม่มีวี่แววของชั้นวางของหรือกล่องใดๆ “ตรงนั้นไม่น่ามีนมข้นหวานนะอิงค์”

“ผมทำของตกครับ”

“แล้วทำไมไม่เปิดไฟหาดีๆ”

ชายหนุ่มไม่ตอบ เขาเงียบไปและเอาแต่ก้มหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น

สิงห์เดินเข้าไปยืนซ้อนหลังและส่งเสียงเรียกอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนาน “อิงค์”

“พี่แม่งใจร้ายว่ะ” อิงค์รำพึง เสียงของเขาสั่นนิดๆ “ลูบหลังอยู่ดีๆ แล้วก็ตบหัวผมเฉยเลย”

สิงห์นั่งยองลงข้างๆ แล้วยกมือขึ้นสัมผัสที่ศีรษะ “ถึงได้บอกให้ตัดใจไง”

“เขาเป็นใครเหรอ” อิงค์ถาม “คนที่พี่รักน่ะ”

“ภรรยาที่เสียไปหลายปีแล้ว”

คำตอบของสิงห์ทำให้อิงค์ค่อยหันหน้ากลับมาช้าๆ ใบหน้าคมคายของคนตัวโตกว่านั้นแต้มยิ้มเศร้าเช่นกันกับนัยน์ตาของเขาที่หม่นแสงลง

“ผมขอโทษ” อิงค์พูดเสียงเบา “ผม... เสียใจด้วยครับ”

สิงห์ลูบมือเบาๆ ไปบนศีรษะของเขา “เธอจะเกลียดที่ฉันเป็นแบบนี้ก็ได้ ฉันก็เกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้เหมือนกัน แต่ฉันลืมเขาไม่ได้แล้วก็กลัวเกินกว่าจะมีใครด้วย”

อิงค์มองคนตรงหน้า ในขณะที่ฝ่ามือใหญ่นั้นยังคงลูบวนไปมาไปมาบนศีรษะของเขาอย่างอ่อนโยน เขาก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้วไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวหรอกที่อยากได้ความรักจากสิงห์ แต่ตัวสิงห์เองก็อยากได้จากใครสักคนเหมือนกันเพียงแต่เจ้าตัวยังไม่รู้ว่าจะไปหาจากที่ไหน

เขาขยับศีรษะเบี่ยงออกเล็กน้อยเพื่อให้อุ้งมือใหญ่นั้นเลื่อนลงมาจับที่ข้างแก้ม รู้สึกถึงไออุ่นจากมือที่โอบประคองไว้ เขาคิดทบทวนอีกครั้งและยังรู้สึกเช่นเดิม… เขาอยากจะเป็นคนๆ นั้นที่ได้ยืนอยู่ข้างสิงห์

“ผมไม่ตัดใจหรอกนะ” อิงค์บอก

“ฉันใจร้ายได้มากกว่านี้อีกนะ” สิงห์เตือนอีกครั้ง

“งั้นเรามาวัดกันสักฝุ่นไหมล่ะ” อิงค์พูดติดตลกก่อนจะยิ้มกว้างออกมาพาให้คนมองยิ้มตามไปด้วย

“ได้สิ” สิงห์ตอบพร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปดวลกันตามที่ร้องขอ เขาไม่ได้แลกด้วยหมัดแต่เป็นริมฝีปากและปลายลิ้นที่รุกคืบเข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่าย

เขาจูบจนร่างโปร่งตัวอ่อนพยุงตัวเองให้นั่งยองไม่ไหว ริมฝีปากโดนดูดดึงจนต้องเอนตัวลงซบบนอกกว้าง สิงห์นั่งลงเต็มก้น กางขาทั้งสองข้างออกแล้วรั้งเอวอีกฝ่ายมานั่งตรงกลางระหว่างขา

อิงค์ต่อกรอะไรไม่ได้เลยจริงๆ ริมฝีปากฉ่ำร้อนเหมือนโดนลวก เขาทำได้แค่ใช้สองมือกอดรอบลำคอหนาไว้แน่น นาทีนี้ถ้าสิงห์ต้องการจะกลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัวก็คงยอมให้ทำแต่โดยดี

จูบจนหนำใจ สิงห์ก็ผละออกหากก็ยังก้มลงมาจุ๊บหนักๆ เป็นการทิ้งท้ายอีกครั้ง

“พี่สิงห์จะกินกาแฟหรือเปล่า” อิงค์ที่ยังเกาะไหล่เขาไว้ไม่ปล่อยตอบ

“หานมข้นหวานเจอแล้วเหรอ” สิงห์แกล้งแซว

“ยังไม่เจอเลยครับ”

สิงห์ขมวดคิ้ว “วางอยู่ที่เคาน์เตอร์นั่นไง ฉันเห็นอยู่กระป๋องหนึ่ง”

“ยี่ห้อนั้นไม่อร่อย ผมหาอีกยี่ห้อที่อร่อยกว่า”

“ยี่ห้อไหน”

“ยี่ห้อนี้ไง” อิงค์ตอบพลางวางมือลงตรงกึ่งกลางระหว่างขาที่เขานั่งพิงอยู่ มันดุนนูนขึ้นมาเสียจนเสียดสีกับสะโพกของเขา “ชิมมาหลายครั้งแล้ว ไม่มียี่ห้อไหนสู้ได้เลย”

“ปากวอนเป็นเบาหวานตายนะเราน่ะ”

“อูยยย ถึงตายเลยเหรอ” อิงค์สูดปากทำยิ้มกรุ้มกริ่ม “พี่สิงห์ชอบกินหวานใช่ไหม”

“ใช่”

จู่ๆ อิงค์ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์ก่อนจะเดินกลับมา “แก้วเมื่อเช้าใส่น้ำตาลให้น้อยไปหน่อย งั้นแก้วนี้ผมแถมนมข้นหวานให้พี่สิงห์เป็นพิเศษเลยละกันนะครับ” พูดจบก็ถอดเสื้อที่สวมอยู่ออกโยนลงพื้นแล้วยกกระป๋องนมข้นหวานที่เพิ่งไปหยิบมาโรยลงบนหน้าอก “แค่นี้หวานพอไหมครับ”

“ขอชิมก่อน” สิงห์ตอบพร้อมกับรั้งเอวสอบให้ลงมานั่งชันเข่าคร่อมอยู่ตรงหน้า แล้วตวัดปลายลิ้นชิมรสหวานของนมข้น

ร่างโปร่งแอ่นรับสัมผัสของลิ้นสากที่ลากวนไปรอบๆ ในขณะที่มือใหญ่เค้นคลึงยอดอกสีอ่อนเล่นจนชูชัน

เป็นอีกครั้งที่อิงค์เคลิบเคลิ้มไปกับการปลุกเร้าอย่างช่ำชอง ท้องน้อยขมวดเกร็งเมื่อสิงห์หยุดริมฝีปากตรงบริเวณสะดือที่นมข้นหวานไหลลงไปกองอยู่ เขาค่อยตวัดปลายลิ้นลงไปสลับกับดูดดึงทำให้อิงค์เกิดความรู้สึกเสียวซ่านไปจนถึงปลายนิ้วราวกับกำลังโดนรุกรานจุดอ่อนไหวทั้งที่อยู่ห่างกันอีกคืบ ร่างโปร่งบิดเร่า อิงค์ต้องใช้มือข้างหนึ่งบิดปากไว้เพื่อไม่มีเสียงแปลกปลอมเล็ดลอดออกไปด้านนอก

นาทีต่อมาร่างโปร่งก็ถูกจับนอนลงบนพื้น สิงห์คว้าเอวสอบและดึงให้สะโพกของอิงค์ขยับขึ้นมาวางซ้อนบนตักก่อนจะหันไปคว้ากระป๋องนมข้นหวานขึ้นมา

“พี่สิงห์จะทำอะไรน่ะ”

“ดูเหมือนจะยังหวานไม่ค่อยพอน่ะ”

อิงค์กัดปากแน่น ปลายเท้าเกร็งจิกพื้นเมื่อสัมผัสเย็นนิดๆ ของนมข้นหวานหยดลงมาบนจุดอ่อนไหวระหว่างขา ก่อนจะตามด้วยความเสียวสะท้านที่เขาไม่อาจทนเก็บเสียงได้อีกต่อไปเมื่อสิงห์เริ่มลงลิ้นชิมรสอีกครั้ง เขากวาดปลายลิ้นไปทั่วทั้งด้านหน้าและด้านหลังอย่างรวดเร็วเพื่อไล่ให้ทันนมข้นหวานที่ไหลย้อยเปรอะไปทั่วเพราะสะโพกของอิงค์อยู่ไม่ติดพื้น

“พี่สิงห์ใส่เข้ามาได้แล้ว”

เสียงหวานที่ร้องขอทำให้สิงห์ผละริมฝีปากออก เขารูดซิปกางเกงลง เรียวขาขาวตรงหน้าแยกออกกว้างเห็นช่องทางสีชมพูอมแดงเด่นชัด “แก้วนี้ฉันเลี้ยงเอง เธอชอบแบบเชคหรือชอบแบบปั่นล่ะ”

กลีบปากบางที่ฉ่ำน้ำจากกาบดขยี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกแย้มยิ้มตอบ “ได้หมด ใส่นมข้นหวานเยอะๆ นะ”

ทันทีที่สะโพกหนากลับมาทาบทับแนบสนิท เรียวขายาวก็เกี่ยวกระหวัดรอบเอวหนาแน่น

“เดี๋ยวเทให้หมดกระป๋องเลย” สิงห์ตอบพร้อมกับสอดแขนใต้ข้อพับขาเรียวแล้วรัวใส่ไม่ยั้ง

“พี่สิงห์… ผม… ไม่ไหว… แล้ว…”

“ไม่ไหวก็ไปก่อนเลย” สิงห์ขยับส่งให้จนอีกฝ่ายถึงฝั่งก่อนที่ตัวเองจะตามไปในเวลาใกล้กัน

หลังจากขึ้นไปอาบน้ำล้างคราบทั้งของคาวและหวาน เปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อยอิงค์ก็กลับลงมาหาสิงห์ที่รออยู่ด้านล่าง

เขาชงกาแฟมาสองแก้วแล้วเดินไปหาคนที่นั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้รังนกพลางทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างดูวิวเขาน้อย

“ตรงนี้วิวสวยจริงๆ ด้วย” สิงห์บอก

“กาแฟครับ” อิงค์ยื่นแก้วไปตรงหน้า

สิงห์รับแก้วมาถือไว้ แล้วก้มลงสูดกลิ่นหอมฉุย “มานั่งด้วยกันสิ”

สิ้นคำชวนร่างโปร่งก็หันหลังทิ้งตัวลงมาบนตัก ถึงนั่นจะไม่ใช่ที่นั่งตามที่สิงห์ตั้งใจให้นั่ง แต่เขาก็สอดวงแขนแกร่งเข้ารอบเอวประคองให้อิงค์นั่งได้ถนัดโดยอัตโนมัติ

อิงค์ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบก่อนจะพิงหลังลงกับอกกว้าง หลับตาผ่อนคลายแล้วครางออกมาเบาๆ “ฮือ”

“เป็นยังไง”

“รู้สึกเหมือนเบาหวานขึ้นตา”

สิงห์หัวเราะในลำคอ “จะร้องขอกินอีกไหม”

“ไม่เอาแล้ว มันเหนียว กว่าจะล้างออกหมด” อิงค์ว่า

“ชวนเองนะ”

“เห็นในสารคดีเขาทำกันออกจะดีผมก็อยากลองบ้าง”

“สารคดีอะไร ฉันจะไปหามาดูบ้าง”

“ผมจำไม่ได้แล้ว ดูตอนที่ไปเรียนชงกาแฟที่ญี่ปุ่นน่ะ จำได้แค่ว่ามาตอนดึกๆ” อิงค์บอก “นี่พี่สิงห์วันหลังเราลองเปลี่ยนเป็นน้ำผึ้งดูไหม”

“ไม่เข็ด” สิงห์แยกเขี้ยวใส่คนบนตักที่นั่งหัวเราะคิกคักอย่างหน้าไม่อายด้วยความหมั่นไส้ มือใหญ่คว้าหมับเข้าที่กรามแล้วดึงให้เงยหน้าขึ้นมารับจูบ “ไม่ต้องใส่อะไรหรอก แค่กินเปล่าๆ ก็อร่อยแล้ว”

“จริงเหรอ”

“อือ”

“พี่สิงห์อย่าชมตรงๆ ดิ เขินนะ”

“เออนี่เจ้าหนู กาแฟกับขนมในส่วนที่เหลือน่ะ เอามาส่งให้ฉันทั้งหมดเลย ฉันจะรับไว้ขายเอง” สิงห์พูดขึ้น

“เดี๋ยวพี่สิงห์ก็โดนป้าสำลีว่าหรอกครับที่ทำอะไรโดยพละการ”

“ทำไมต้องว่าล่ะ”

“ผมรู้ครับว่าป้าสำลีเอ็นดูผม แต่จู่ๆ จะให้ต้องจ่ายเงินจำนวนมากมาย แถมยังจะช่วยขายอีก ผมเกรงใจครับ”

“ถ้างั้นคนที่เธอควรจะเกรงใจก็เป็นฉันไม่ใช่ป้าสำลี”

“แต่ป้าสำลีเป็นหัวหน้านะ แล้วพี่สิงห์เป็นแค่ลูกจ้างเดี๋ยวก็โดนตัดเงินเดือนหรอก”

สิงห์ย่นคิ้ว “ไหนพูดใหม่สิ เธอว่าใครเป็นหัวหน้า แล้วใครจะตัดเงินเดือนใครนะ”

“ก็ป้าสำลีเป็นหัวหน้าพนักงานไม่ใช่เหรอครับ”

“ใช่”

“แล้วพี่สิงห์ก็เป็นพนักงานต้อนรับกับทำอาหาร”

“ที่เธอพูดมาก็ไม่ผิด” สิงห์ว่า “แต่ก็ไม่ถูกซะทีเดียว”

“ยังไงครับ”

“ก็ฉันน่ะ…”

“สวัสดีครับ”

เสียงแหบดังขึ้น ทั้งสองหันไปมองชายชราสวมเสื้อคลุมปักลายดอกบัวด้านหลังอย่างวิจิตรและสวมหมวกสานสีขาวที่เพิ่งเปิดประตูร้านเข้ามา

“ส… สวัสดีครับ” อิงค์กล่าวต้อนรับพร้อมกับเด้งตัวลุกขึ้นยืนทันที

“ไงปู่” สิงห์พยักหน้าทักทาย

“สวัสดีครับคุณสิงห์” ชายชราหันไปค้อมศีรษะรับไหว้อิงค์ “ผมมาขอพบคุณอิสระครับ”

“ผมเองครับ” อิงค์ตอบพร้อมกับเดินเข้าไปหา “มีธุระอะไรกับผมหรือครับ”

“ฉันอยากจะสั่งขนมร้านเธอหน่อย” เขากล่าวพลางหยิบนามบัตรออกมาส่งให้ “ฉันชื่อกมล เป็นเจ้าของร้านบัวพันกาบ ที่มาหาวันนี้เพราะอยากจะสั่งกาแฟกับขนมสักหน่อย ไม่ทราบว่าเธอสะดวกหรือเปล่า”

“สะดวกครับ” อิงค์ตอบอย่างกระตือรือร้น “สะดวกมากๆ เลย ต้องการอะไรบ้างแล้วอยากให้ผมไปส่งเมื่อไหร่ครับ”

“พรุ่งนี้” กมลตอบ “สิบโมงตรง เจอกันที่ร้านฉัน เธอไปถูกไหม”

“ผมไม่เคยไป แต่ไม่มีปัญหาครับ”

“ถ้าเช่นนั้นก็ให้คุณสิงห์พาไปแล้วกัน ส่วนรายละเอียดของที่จะให้มาส่งเดี๋ยวฉันสรุปยอดส่งให้ทางอีเมลร้าน”

อิงค์นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แนะนำตัวให้เป็นเรื่องเป็นราว เขารีบหยิบกระเป๋าออกมาจะเอานามบัตรร้านให้แต่ชายชรายกมือปรามไว้

“ฉันมีแล้ว” บอกพร้อมกับล้วงมือลงในย่ามผ้าและดึงเอาขวดแก้วที่มีฉลากรูปคล้ายสิงโตออกมา “ถูกต้องใช่ไหม”

“ครับ ใช่ครับ”

ชายชราหย่อนขวดกลับลงไปในย่ามแล้วหยิบเอาซองคุ้กกี้ที่เป็นรูปดอกไม้หน้ายิ้มออกมา “อันนี้ก็ของเธอใช่ไหม ถึงจะไม่แปะฉลากแต่รสเดียวกับเค้กที่กินไปก่อนหน้านี้เลย”

“ใช่ครับ” อิงค์พยักหน้า “แล้วคุณได้มายังไงครับ อันนี้เป็นชิ้นที่ลองทำผมยังไม่ได้วางขายเลย”

“มีคนใจดีให้ฉันมา” ชายชราตอบอย่างอารมณ์ดีพลางแกะคุ้กกี้ส่งเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย “เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ให้คุณสิงห์พาคุณไปส่งที่ร้านนะ”

“เดี๋ยวนะปู่” สิงห์รีบแย้ง “คือนี่ไม่ได้อยู่ว่างๆ มีงานมีการต้องทำนะ”

“ใช่ครับ พี่สิงห์อู้งานมาช่วยผมสองวันแล้ว ถ้าพรุ่งนี้ขาดงานอีกวัน ไม่โดนตัดเงินเดือนก็โดนไล่ออกแน่ๆ” อิงค์พูดเสียงอ่อยอย่างรู้สึกผิดที่ลากสิงห์มายุ่งกับเรื่องวุ่นวายของตนเอง

“ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครกล้าไล่คุณสิงห์ออกหรอก” ชายชราพูดอย่างอารมณ์ดี

“ทำไมล่ะครับ”

“ฉันจะบอกอะไรดีๆ ให้นะ” ชายชรายกมือป้องปากพร้อมกับกวักมือให้อิงค์โน้มตัวลงมาหา “ก็คุณสิงห์น่ะเขามีเคยซัมติงกับเจ้าของน่ะสิ”

“เอ๊ะ!” อิงค์หน้าแดง เขาคิดออกอยู่เรื่องเดียวว่ามันคือเรื่องอะไร

ชายชราขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง “รู้แล้วเหยียบไว้นะ”

“ครับ”

“เฮ้! ปู่สอนอะไรไม่เข้าท่าให้เจ้าหนูนั่นน่ะ” สิงห์รีบเข้ามาแทรก

“ไม่ใช่เรื่องไม่เข้าท่าเสียหน่อยก็บอกแล้วว่าเรื่องดีๆ” ชายชราหยักยิ้มเจ้าเล่ห์ “เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เจอกันนะ”

“ตาแก่นี่จริงๆ เลย” สิงห์บ่นด้วยท่าทางอิดหนาระอาใจ

อิงค์ก้มหน้าลงอ่านนามบัตรที่ได้รับมาจากกมลอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วดวงตาก็เบิกโตด้วยความตกใจ เพราะที่ตั้งของร้านบัวพันกาบนั้นคือ ‘เฮือนไกรสร’

อิงค์ขยี้ตาแล้วอ่านซ้ำอีกรอบ คิดไม่ถึงว่าโรงแรมหรูที่เขาได้แต่ขับรถผ่านและมองดูจากด้านนอกทุกวัน มาวันนี้เจ้าของห้องอาหารนั้นจะเป็นคนมาเชิญเขาเข้าไปเอง

หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 5(21/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 22-09-2019 16:14:31
ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 5(21/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 22-09-2019 19:42:22
พี่สิงห์ไม่ธรรมดาจริงๆนะ :hao7:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 5(21/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 22-09-2019 19:56:28
 :mew1: :mew1: o13 o13
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 5(21/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-09-2019 10:40:28
ผ่านมาแล้วหลายปีน้องอิงค์ก็ยังคิดว่าพี่สิงห์เป็นแค่พนักงานอยู่เลย 555555
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 5(21/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 25-09-2019 22:10:54
LR 6

เช้าวันรุ่งขึ้นอิงค์ตื่นแต่เช้าอาบแต่งตัวเอากาแฟกับขนมออกไปส่งตามปกติ

ผลจากการที่สุพจน์ ผู้จัดการห้องอาหารของโรงแรมเกศกุญชรขึ้นหน้าเพจอธิบายเรื่องเข้าใจผิดและขอโทษเขาทำให้วันนี้ที่พักอื่นๆ ที่อิงค์ฝากขายประจำไม่ปฏิเสธที่จะรับของทั้งยังให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ทำให้เขามีกำลังใจกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง

หลังจากวนส่งกาแฟตามโฮมเสตย์ในเมืองเสร็จอิงค์ก็นึกขึ้นได้ว่าอยากจะไปร้านจามจุรีดูสักครั้งตามที่พูดไวั และเพราะเข็ดจากการที่จีพีเอสพาหลงไปบ้านร้างเหมือนครั้งก่อนแทนที่จะค้นหาจากกูเกิ้ลเขาจึงเอ่ยถามทางกับคนในพื้นที่ เห็นว่าออกนอกเส้นทางประจำไปไม่ไกลนักจึงลองขับไปดู

พอขับรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปใกล้อิงค์ก็ได้กลิ่นหอมเนยลอยมาแตะจมูกเป็นเครื่องหมายบอกว่าเขามาถูกทางแล้ว

ร้านจามจุรีนั้นเป็นตึกขนาดสูงสามชั้นขนาดสองคูหา ชั้นล่างเปิดเป็นร้านขายของส่วนสองชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัย อิงค์ชะลอรถตอนใกล้ถึงหน้าร้านอย่างสองจิตสองใจว่าจะแวะดีหรือไม่ ถึงเขาจะมาดีแต่เจ้าของร้านอาจไม่อยากต้อนรับเท่าไหร่

และในตอนที่รถมอเตอร์ไซค์ของอิงค์กำลังขับผ่านไป เขาก็เห็นเด็กสาวในชุดนักเรียนม.ปลายคนหนึ่งกำลังเรียงขนมปังที่เพิ่งอบเสร็จใหม่อยู่ตรงตู้กระจก หน้าร้านมีลูกค้ายืนกอดอกรออยู่หนึ่งคน

แม้จะเห็นแค่ข้างหลัง แต่ชายหนุ่มผิวแทนผมยาวตัวโตขนาดนี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่สิงห์ของเขา อิงค์รีบหันมอเตอร์ไซค์กลับพุ่งเข้าไปจอดหน้าร้านทันที

“สวัสดีค่ะ” เด็กสาวร้องทักทายเขาพร้อมกับรอยยิ้มสดใส เรือนผมยาวของเธอถูกรวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลังเรียบร้อย และสวมผ้ากันเปื้อนสีขาวทับชุดนักเรียน เลขบนหน้าอกทำให้รู้ว่าเธออยู่ชั้นปีสูงสุดแล้ว

สิงห์เองก็หันมาเช่นกัน “อ้าว มาทำอะไรเจ้าหนู”

“มาร้านขนมปังก็มาซื้อขนมปังสิครับ” อิงค์ตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง ได้เจอหน้าตั้งแต่ยังไม่ทันได้คิดถึง วันนี้ต้องเป็นวันของเขาแน่ๆ

“รับอะไรดีคะ” เด็กสาวถามอย่างกระตือรือร้น เธอชื่อสารสา เป็นลูกสาวคนเดียวของเจ้าของร้านนี้

อิงค์มองเข้าไปในตู้ที่มีขนมปังวางเรียงกันอยู่หลายแบบจนตัดสินใจไม่ถูก “เอ่อ…”

“ซิกเนเจอร์ของที่นี่คือขนมปังเนยสด” สิงห์แนะนำ

“เหรอครับ”

“ใช่แล้วค่ะ” สารสาตอบเสียงใส “เป็นสูตรที่คุณแม่คิดขึ้นมาเองค่ะ”

“งั้นก็เอาอันนี้ครับ”

“รับอะไรเพิ่มไหมคะ” เธอถามต่อ “นอกจากเนยสดก็ยังมีไส้อื่นๆ อีกนะคะ พี่ลองชิมดูไหม รสาทำเองทุกอันเลยนะ”

อิงค์กวาดตามองขนมปังสีขาวนวลดูฟูนุ่มนานาชนิดทั้งไส้ไก่ แฮม ข้าวโพดและอีกหลายๆ อย่าง ที่ส่งกลิ่นหอมเรียกร้องความสนใจอยู่ในตู้กระจกก่อนจะชี้นิ้ว “เอาขนมปังลูกเกดอีกชิ้นครับ”

“ขอบคุณค่ะ วันหลังเชิญใหม่นะคะ” สารสารับเงินพลางส่งถุงขนมให้เขา ก็พอดีกับที่ปองชัยผู้เป็นเจ้าของร้านเดินออกมาจากด้านหลังพร้อมกับลังใส่ของ

“ขนมปังสิบแถวได้แล้วครับป้าสำลี” เขากล่าวพร้อมกับวางลังใส่ขนมปังลงก่อนจะหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าไม่ใช่คุณป้าร่างท้วมที่มาซื้อเหมือนอย่างเคย แต่เป็นชายหนุ่มผมยาว “คุณสิงห์… วันนี้มาเองเลยเหรอครับ” ปองชัยพูดขัด เขาเหลือบตามองชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟที่ยืนอยู่ข้างกัน “จะมาหาเรื่องกันหรือไง ก็ตกลงกันแล้วนี่นาว่าทางใครทางมัน ร้านเธอขายกาแฟ ร้านฉันขายขนมปังไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก”

อิงค์รีบโบกมือพัลวัน “ผมแค่ผ่านมาซื้อขนมปังครับ ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรเลยครับ”

“แต่ผมตั้งใจมาเอง” สิงห์พูดเรียบๆ

“มีเรื่องอะไรกันเหรอคะพ่อ” สารสาถามอย่างใสซื่อ เธอไม่รู้จริงๆ ว่าผู้เป็นพ่อไปก่อเรื่องอะไรไว้

ปองชัยหันไปหาลูกสาว “รสารีบไปโรงเรียนได้แล้วเดี๋ยวจะสายนะ”

“แต่ว่า…”

“ไปเถอะเดี๋ยวพ่อจัดการเอง” ปองชัยเอ็ดเบาๆ ลูกสาวจึงยอมวางถาดขนมปัง ถอดผ้ากันเปื้อนแล้วเดินกลับเข้าไปด้านใน เมื่อเห็นว่าลูกสาวคล้อยหลังเขาจึงหันมาพูดกับสิงห์ต่อ “คุณสิงห์มีอะไรจะคุยกับผมงั้นหรือครับ”

“ผมได้ยินมาจากคุณสุพจน์ว่าคุณจะปิดร้าน” สิงห์เข้าประเด็นทันที

อิงค์ตาโต หันควับไปมองหน้าสิงห์ก่อนจะก้มลงมองขนมปังที่ยังอุ่นๆ ในมือ

ปองชัยมีท่าทีอึกอักเล็กน้อย แต่ไม่เห็นประโยชน์ที่จะเฉไฉไปทางไหนจึงตอบไปตามตรง “สิ้นเดือนนี้ครับ”

“ยอดขายมันแย่มากเลยหรือครับ” สิงห์ถาม“ไม่แย่ แต่ก็ไม่ดีอย่างที่บอก ตอนนี้รายได้เกือบครึ่งก็มาจากที่ทำส่งกับเกศกุญชร ถ้าเจ้าหนูนั่นขายแต่กาแฟไม่มายุ่งกับพวกขนมปังผมก็คงไม่คิดแผนนี้ขึ้นมา”

“แล้วมันคุ้มเหรอครับกับการเอาขนมปังที่ภรรยาคุณรักและตั้งใจทำมันขึ้นมา มาเป็นสิ่งทำลายคนอื่น” สิงห์กล่าว

“ทางเลือกผมเหลือน้อยเกินไป” ปองชัยพูดโดยไม่ยอมสบตา “ผมเองก็สู้มาพอแล้ว หลังจากภรรยาตายไปก็เหนื่อยเต็มที ก็เลยคิดว่าพอกันทีดีกว่า ทีแรกว่าจะรอให้รสาจบม. ปลายก่อน แต่พอมีเรื่องขึ้นผมก็ไม่ค่อยกล้าสู้หน้าสุพจน์เขาแล้ว และไหนๆ ก็จะปิดอยู่แล้วก็ปิดสิ้นเดือนนี้เลยละกัน”

“พ่อจะปิดร้านทำไมหนูไม่เห็นรู้เรื่องเลย!” สารสาที่แอบยืนฟังอยู่หลังประตูพุ่งออกมา “เป็นเพราะหนูใช่ไหมพ่อ เพราะหนูทำขนมปังรสเดียวกับที่คุณแม่เคยทำไม่ได้ ลูกค้าก็เลยน้อยลงใช่ไหม”

เมื่อเลี่ยงไม่ได้ปองชัยจึงยอมรับกับลูกสาว “มันไม่ใช่ความผิดลูกหรอก พ่อเองก็ทำไม่ได้เหมือนกันทั้งๆ ที่ก็ทำเหมือนตอนแม่เขายังอยู่ทุกอย่าง ลูกก็เห็นว่าลูกค้าที่มาช่วงหลังมีสีหน้าผิดหวังมากแค่ไหนที่ไม่ได้กินขนมปังอร่อยๆ เหมือนตอนที่แม่เขายังอยู่ พ่อก็เลยคิดว่าเราเลิกซะดีกว่า เลิกตอนที่ใครๆ ยังจำรสชาติขนมปังของแม่ได้ ให้แม่เป็นความทรงจำที่ดีของคนกินทุกคน”

“แต่ถ้าพ่อเลิกทำ เราก็จะไม่เหลือความทรงจำของแม่แล้วนะ พ่อไม่ทำก็เรื่องของพ่อ แต่หนูจะทำ ก่อนตายแม่ฝากร้านนี้ไว้กับหนู หนูจะทำ!”

“เป็นเด็กเป็นเล็กทีหน้าที่เรียนก็เรียนไปสิ ลูกจะมาวุ่นวายอะไรกับเรื่องร้าน เรื่องหาเงิน เดี๋ยวพ่อจัดการเอง แล้วนี่ก็ได้เวลาเรียนแล้วไม่ใช่เหรอ บอกให้ไปทำไมยังไม่รีบไปอีก!” ปองชัยตวาดลั่นพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ประตู “ไปได้แล้ว”

สารสาเม้มปากแน่นเธอยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาเร็วๆ ก่อนจะผลุนผันออกไป

“คุณฟังลูกสาวพูดบ้างก็ดีนะครับ” สิงห์พูดขึ้น

“คุณจะมารู้เรื่องในบ้านเราได้ยังไง”

“ผมไม่รู้เรื่องในบ้านคุณ แต่ผมรู้เรื่องขนมปังของร้านคุณเพราะผมก็เป็นคนหนึ่งที่กินขนมปังร้านนี้มาเกือบทั้งชีวิต” สิงห์กล่าว “ผมยังจำได้นะ ตอนเด็กๆ เวลาผมขี่จักรยานไปโรงเรียน คุณป้าจะคอยยืนอยู่หน้าร้านส่งยิ้มทักทายให้ลูกค้าและทุกคนที่ผ่านไปผ่านมา แล้วเวลาผมซื้อป้าก็แอบแถมให้ตลอดเพราะเห็นผมตัวใหญ่กลัวจะกินไม่อิ่ม ตอนที่รู้ว่าคุณป้าเสีย ผมเองก็เสียใจมากเหมือนกันที่จะไม่กินขนมปังฝีมือคุณป้าอีกแล้ว”

“เห็นไหมล่ะ คุณเองก็คิดแบบนั้น”

“ผมแค่เสียใจที่ไม่ได้กินขนมปังฝีมือคุณป้า แต่ผมไม่ได้บอกว่าขนมปังร้านคุณมันไม่อร่อยนะ คนอย่างผมไม่เอาของไม่ดีไปให้ลูกค้ากินหรอก แถมตามร้านสะดวกซื้อก็มีเยอะแยะผมจะถ่อมาหาคุณทำไม”

“ตกลงคุณต้องการอะไรกันแน่คุณสิงห์” ปองชัยถาม

“ท่าทางคุณจะยังไม่เข้าใจสินะ ผมจะได้พูดให้ชัดเจนขึ้น” สิงห์บอก “ที่ผมมาในวันนี้ ไม่ได้มาหาเรื่องต่อจากเมื่อวาน ผมก็แค่มาในฐานะลูกค้าคนหนึ่งซึ่งเสียดายและเสียใจมากๆ ที่รู้ว่าร้านขนมปังเจ้าประจำกำลังจะปิด ก็เลยอยากจะย้อนความหลังกลับมายืนดมกลิ่นเนยหอมๆ มายืนดูขนมปังหน้าตู้กระจกนี้อีกสักครั้งก่อนจะไม่ได้เห็นมันอีก”

ปองชัยมองชายหนุ่มตัวโตตรงหน้าก่อนที่ความทรงจำจะค่อยๆ พาเขาย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ในวันที่ร้านนี้ยังเป็นแค่อาคารไม้หลังเล็กๆ คูหาเดียว

เด็กผู้ชายตัวโตท่าทางแก่นเซี้ยวเป็นหัวโจกประจำอำเภอยืนเกาะตู้กระจกอยู่หน้าร้านเร่งให้หญิงสาวที่สวมผ้ากันเปื้อนสีขาวรีบหยิบขนมปังให้ ครั้นพอเธอห่อใส่กระดาษไขส่งให้ไปก็รีบรับไปกัดกินอย่างเอร็ดอร่อยก่อนจะวิ่งไปโรงเรียนที่อยู่เลยออกไป

“คุณจะจบตำนานขนมปังจามจุรีไว้ที่สามสิบปีนี้ก็ได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากเห็นมันอยู่ไปถึงปีที่สี่สิบ ห้าสิบนะ” สิงห์พูดต่อ
เจ้าของร้านขนมปังสบตาคนตรงหน้าก่อนจะหันไปมองผ้ากันเปื้อนสีขาวที่ลูกสาวถอดวางทิ้งไว้ ตรงชายด้านหนึ่งปักเป็นตัวอักษรเล็กๆ ร้อยเรียงเป็นคำว่า ‘จามจุรี’





เด็กสาวเดินย่ำเท้าหนักๆ ไปตามทาง ตาแดงก่ำรื้นน้ำ ก้าวได้สองทีก็ยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาที ตั้งแต่เกิดและจำความได้เธอก็โตมากับขนมปังของแม่ ในขณะที่เด็กคนอื่นๆ เล่นปั้นดินน้ำมันแต่เธอหัดปั้นแป้งอบขนมปัง เด็กอื่นเล่นขายของแต่เธอช่วยแม่ขายจริงๆ อยู่หน้าร้าน สำหรับเธอขนมปังมันไม่ใช่แค่ร้าน ขนมชนิดหนึ่งหรือเครื่องสร้างรายได้ แต่มันคือความผูกพันธ์ระหว่างเธอกับแม่ การที่พ่อต้องปิดร้านเธอเข้าใจเหตุผลดี แต่เธอยอมรับไม่ได้

“นี่”

เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลัง แต่เด็กสาวไม่สนใจและเดินต่อไปเรื่อยๆ

“นี่”

เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาพร้อมกับที่รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับขึ้นมาตีคู่ เธอพยายามไม่หันไปมองและสับเท้าหนี แต่ก็ดูเหมือนว่าคนขับมอเตอร์ไซค์คันนั้นจะจงใจขับตามเธออย่างไม่ลดละ

“นี่! รสาใช่ไหม รอพี่ก่อน”

“หนูลูกคนเดียวไม่มีพี่”

“ไม่ใช่อย่างนั้นรสา หันมาคุยกันก่อน”

รถมอเตอร์ไซค์เร่งเครื่องนำไปนิดหน่อยก่อนจะจอดปาดหน้า เด็กสาวตั้งท่าจะร้องให้คนช่วยก็พอดีกับที่คนขับกระโดดลงมาถึงตัว เธอจึงสังเกตเห็นว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่มาซื้อขนมปังที่ร้านเธอเมื่อสักครู่

“เดินเร็วชะมัดเลย”

“พี่มีธุระอะไรกับหนู” สารสากอดกระเป๋านักเรียนแน่น ตั้งท่าเตรียมพร้อมวิ่งหากเห็นท่าไม่ดี

“จะไปโรงเรียนใช่ไหมเดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“ไม่เป็นไร หนูเดินไปเองได้” สารสาบอกพร้อมกับออกเดินไป

อิงค์วิ่งกลับไปที่มอเตอร์ไซค์และเข็นตามหลังไปติดๆ

“หนูได้ยินที่พ่อคุยกับพี่สิงห์แล้ว พี่จะมาแก้แค้นเรื่องที่พ่อทำโดยมาลงกับหนูเหรอ”

“เรื่องมันไปกันใหญ่แล้ว วันนี้ฉันแค่แวะมาซื้อขนมปังเอง” อิงค์พยายามอธิบาย

“แล้วพี่ตามหนูมาทำไม”

“ก็บอกแล้วไงว่าอยากคุยด้วย เรื่องร้านขนมปังของแม่เธอน่ะ”

ในที่สุดเด็กสาวก็หยุดเดินและหันมา “ทำไมหรือคะ”

อิงค์รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้นเพราะตอนนี้เขาเริ่มเหงื่อแตกซ่กแล้ว “แค่จะมาบอกว่าถ้าเธออยากจะทำร้านขนมปังของแม่ต่อน่ะมันก็มีวิธีกล่อมพ่อเธออยู่นะ”

“ยังไงคะ”

อิงค์สะบัดหน้าไปทางรถมอเตอร์ไซค์ “เกือบจะแปดโมงแล้ว กระโดดขึ้นมาเดี๋ยวพี่ไปส่ง ขับไปคุยไปจะไม่เสียเวลา”

สารสาเห็นว่าเขาดูซื่อๆ ไม่น่ามีพิษมีภัยประกอบกับรู้จักพี่สิงห์จึงยอมไว้ใจก้าวขึ้นนั่งซ้อนท้าย พอรถเริ่มเคลื่อนตัวออกไปเธอก็เอ่ยปากถาม “ตกลงพี่จะให้หนูทำยังไง”

“พี่จะเสนอให้เธอเปิดร้านเอง”

“เปิดร้านเอง!” เด็กสาวอุทาน “หนูเนี่ยนะ!”

“ใช่!” อิงค์ยืนยัน

สารสาขำในลำคอ “นี่เรากำลังพูดถึงธุรกิจร้านขายขนมนะ ไม่ได้เล่นขายของ อย่างพี่นึกจะก็พูดก็พูดได้ง่ายๆ สิก็บ้านพี่รวยนี่นา ตกลงมาก็ยังนอนอยู่บนฟูกไม่ได้ล้มคลุกฝุ่นอยู่บนดินเหมือนหนูสักหน่อย”

“เธอเอามาจากไหนว่าบ้านพี่รวย”

“อ้าว ก็พี่เป็นคนกรุงเทพ มาซื้อที่เปิดร้านขายกาแฟไปวันๆ แบบนี้ก็ต้องรวยอยู่แล้วสิ”

“ถ้าพี่รวยนะไม่มาขายกาแฟหรอก ตื่นตั้งแต่ตีสามตีสี่มาอบขนมเตรียมร้านเตรียมของเหนื่อยจะตาย พี่นอนอยู่บ้านเฉยๆ แล้วโทรสั่งให้คนเอากาแฟมาส่งให้กินดีกว่า” อิงค์ว่า “พ่อกับแม่พี่เป็นพนักงานบริษัทธรรมดาทั้งคู่ ไม่ได้รวยอะไรเล้ย”

“แล้วพี่เอาเงินมาจากไหน”

“ก็ทำงานสิ” อิงค์บอก “พี่ทำงานเก็บเงินไปเรียนชงกาแฟที่ญี่ปุ่น จริงๆ คอร์สที่เรียนมันแค่หกเดือนจบ แต่เพราะงานที่นู่นมันรายได้ดี พี่เลยใช้โอกาสนี้ไปสมัครเป็นลูกจ้างตามร้านค้า คาเฟ่ต์ต่างๆ พี่ทำมาแล้วทุกตำแหน่งตั้งแต่ล้างจาน เด็กเสิร์ฟไปยันแคชเชียร์ เพื่อที่จะได้มีเงินมาเปิดร้านของตัวเองแล้วระหว่างนั้นก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปด้วยว่าการจะเป็นเจ้าของร้านได้มันต้องทำอะไรบ้าง พอรู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปตั้งสามปีเลยนะ”

“โอ้โห” สารสาร้องอย่างทึ่งจัด “แล้วพ่อกับแม่พี่ไม่ช่วยอะไรเลยเหรอ”

“ช่วยสิ” อิงค์บอก “แต่ไม่ใช่เรื่องค่าใช้จ่ายหรอกนะเพราะอย่างที่บอกว่าพวกเขาก็เป็นแค่พนักงานบริษัท สิ่งที่เขาช่วยพี่คือการสนับสนุนให้พี่ได้ทำทุกๆ อย่างที่พี่อยากทำด้วยตัวเอง เพราะพวกเขาอยากให้พี่มีอิสระเหมือนชื่อที่ตั้งให้พี่ไง”

“แล้วพี่ไม่กลัวเหรอ แบบว่า... ถ้าหากมันเจ๊ง...”

“ถ้ามันจะเจ๊งจริงๆ กว่ามันจะถึงตอนนั้นพี่คิดว่าตัวเองคงทำถึงที่สุดแล้วล่ะ แล้วก็นะมีคำพูดนึงที่พ่อพี่บอกตอนไปส่งขึ้นเครื่องไปญี่ปุ่น พี่จำได้ไม่เคยลืมเลยล่ะ”


“พ่อครับ ผมกลัว”

“กลัวอะไรลูก”

“กลัวทำไม่สำเร็จ” เด็กหนุ่มกำชับสายกระเป๋าเป้แน่นด้วยความสับสนที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นในนาทีสุดท้ายก่อนจะจากประเทศบ้านเกิดไป ใครว่าการรับปริญญาคือความสำเร็จของชีวิต แท้จริงแล้วชีวิตมันยังไม่ได้เริ่มต้นเลยต่างหาก และต่อไปนี้เขาก็กำลังเลือกเส้นทางที่ต้องเดินไปเพียงลำพัง

“ลูกจำวันที่หัดขี่จักรยานครั้งแรกได้ไหม” พ่อถามขึ้น

“จำได้ครับ”

“จำได้ไหมว่าล้มไปกี่ครั้ง”

“นับไม่ถ้วนเลยครับ ได้แผลถลอกปอกเปิกเต็มไปหมด” อิงค์เล่าไปหัวเราะไป “หน้าผาก แขน ขา แทบไม่มีตรงไหนเลยที่ไม่มีแผล”

“แล้วทำไมลูกถึงยิ้มได้ล่ะ”

“ก็วันนี้ผมขี่เป็นแล้วนี่นา พอนึกๆ ไปแล้วมันก็ตลกดี” อิงค์เงียบไป เริ่มเข้าใจว่าพ่อต้องการจะสื่ออะไร

“ล้มก็แค่ลุกใหม่อิงค์ ไม่ว่าจะเป็นถนน สนามหญ้าหรือแม้แต่พรม ล้มลงไปมันก็เจ็บทั้งนั้น ล้มแล้วก็แค่ปัดฝุ่นลุกใหม่ ลูกยังเด็กจะกลัวอะไรกับแผลเล็กๆ น้อยๆ เดี๋ยวก็หาย หรือต่อให้มันจะเป็นแผลเป็น มันก็จะเป็นแผลที่คอยเตือนให้ลูกรู้ว่าได้เรียนรู้อะไรมา”



อิงค์เหลือบตามองรอยจางๆ ตรงใกล้ข้อมือที่สีผิวต่างไปจากบริเวณอื่น มันเป็นรอยน้ำร้อนลวกจากการฝึกทำลาเต้อาร์ตแก้วแรกในชีวิตที่ทำหกเลอะเทอะไปทั่วเพราะยังจับหวะโรยนมกับประคองแก้วไม่เป็น

“พ่อพี่เท่จัง”

“กินใจสุดๆ อะ” อิงค์ขยิบตาผ่านกระจกให้ครั้งหนึ่ง “วันนี้รสาลองไปคิดทบทวนดูว่าจะทำยังไงแล้วไปคุยกับพ่อดู พ่ออยากปิดก็เรื่องของพ่อ แล้ววันหนึ่งเมื่อรสาพร้อม รสาก็ค่อยเปิดมันขึ้นมาใหม่ด้วยตัวของรสาเอง พี่เชื่อว่าแม่ไม่โกรธรสาหรอกและพอถึงวันนั้นพ่อจะต้องเห็นดีเห็นงามด้วยแน่ๆ”

อิงค์จอดรถมอเตอร์ไซค์หน้าประตูโรงเรียนประจำจังหวัดตอนอีกสิบนาทีแปดโมง เด็กสาวก้าวลงรถแล้วหันมากล่าวขอบคุณ

“ขอบคุณนะคะที่มาส่งแล้วยังช่วยให้คำปรึกษาอีก”

“เรียกพี่อิงค์ก็ได้” อิงค์บอก “พี่ก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่มีส่วนทำให้พ่อรสาต้องปิดร้านเร็วขึ้น”

สารสาส่ายหน้า “ขนมปังร้านหนูจะขายดีหรือไม่ดี มันไม่เกี่ยวกับพี่เลยสักนิด”

“อือ” อิงค์ยิ้มให้ก่อนจะก้มลงค้นในกระเป๋าและหยิบเอาขวดกาแฟที่แบ่งไว้ออกมาขวดหนึ่ง “พี่ให้ เอาไว้กินคู่กับขนมปังของรสานะรับรองว่าเข้ากันสุดๆ”

“พี่รู้ได้ไงว่าเข้ากัน”

“เพราะพี่กินขนมปังของรสาหมดแล้วทั้งสองก้อนเลยน่ะสิ ถึงได้รู้ว่ามันอร่อย” อิงค์กล่าวชมจากใจจริง “พี่ไม่เคยกินรสชาติของคุณจามจุรีที่ใครๆ ต่างก็พากันชื่นชมและติดใจ แต่พี่ชื่นชอบรสชาติขนมปังที่รสาทำและรับรู้ถึงความใส่ใจในทุกๆ ก้อน ก็เลยตามมาบอกนี่แหละ ตอนนี้พี่เป็นแฟนคลับรสาแล้วนะ”

เด็กสาวรับขวดแก้วมาถือไว้ ความรู้สึกอุ่นซ่านที่ฉาบผ่านปลายนิ้วทำให้รู้สึกมีพลังขึ้นมาใหม่ ในขณะที่ทุกคนที่มาร้านถามหาแต่ขนมปังของแม่ เพิ่งมีเขาคนแรกที่ชมขนมปังของเธอ สารสาส่งยิ้มกว้างให้อิงค์ “ขายของเก่งนะ พี่น่ะ”
อิงค์ยักคิ้วให้ครั้งหนึ่ง “พี่ไปนะ แล้ววันหลังจะไปอุดหนุนขนมปังฝีมือเธออีก”

“หนูก็จะไปชิมกาแฟฝีมือพี่เหมือนกัน” สารสาชูมือที่ถือขวดกาแฟโบกไหวๆ ก่อนจะกลับหลังหันวิ่งเข้าประตูโรงเรียนพร้อมกับกริ่งบอกเวลาแปดโมง

อิงค์สตาร์ทรถอีกครั้งแล้วขับออกไป เขามัวแต่คุยกับเด็กสาวจึงไม่ทันได้สังเกตว่าห่างไปแค่เล็กน้อยตรงป้อมยามที่หน้าประตูนั่นเองมีเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งยืนดูพวกเขาพวกเขาทั้งสองคุยกันอยู่ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจเป็นที่สุด

###########

อิน้องมันไปทำให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจว้าาาา แล้วแบบนี้เขาจะมาแก้แค้นน้องไหมเนี่ย

อ่านจบแล้วฝากคอมเมนต์หรือชวนเพื่อนมาอ่านเป็นกำลังใจให้เค้าบ้างนะ

หรือจะตามไปคุยกันที่เพจก็ตามนี้เลยค่ะ ---> https://www.facebook.com/leGGyDanLabyrinth/
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 6(25/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 25-09-2019 23:15:39
 อ้าว เด็กผู้ชายคนนั้นชอบน้องรสาหรอ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 6(25/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 25-09-2019 23:56:27
แอบสงสาร รสา
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 6(25/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 26-09-2019 20:19:06
ไม่ว่าจะอาหารหรือขนมถึงจะทำตามสูตร แต่รสมือก็ไม่เหมือนกัน สู้นะรสา o13
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 6(25/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 28-09-2019 02:43:19
น้องคนนั้นต้องชอบอิ้งค์แน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 6(25/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-09-2019 03:05:35
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 6(25/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 01-10-2019 22:42:31
LR 7

ทันทีที่รถมอเตอร์ไซค์ของอิงค์แล่นเข้าจอดหน้าประตูข่วงเมืองสิงห์ ป้าสำลีกับมอญก็กระวีกระวาดออกมาต้อนรับเหมือนอย่างเคย

“สวัสดีค่ะคุณอิงค์”

“อ้าว แล้วทำไมสองคนถึงมาพร้อมกันได้คะ” มอญถามเมื่อเห็นรถมอเตอร์ไซค์ของสิงห์ขับตามมาจอดข้างกัน

“บังเอิญเจอกันที่ร้านจามจุรีน่ะครับ” อิงค์ตอบ

“ไปอาบน้ำนะ” สิงห์เดินผ่านไปพร้อมกับบอกสั้นๆ

ป้าสำลีกับมอญลอบมองหน้ากันเพราะรู้ว่าข้อความเมื่อสักครู่ไม่ได้บอกทั้งสองคนแน่ๆ แล้วสิงห์ตั้งใจจะบอกใครล่ะถ้าไม่ใช่ชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟที่ปากไม่ตอบอะไรแต่ทำตาหวานยืนมองส่งจนกระทั่งสิงห์เดินหายขึ้นไปบนชั้นสองของที่พัก ทั้งสองส่งยิ้มให้กันเงียบๆ

นับตั้งแต่ ‘ผู้หญิงคนนั้น’ จากไปสิงห์ก็ไม่เคยให้ใครมาอยู่ใกล้ตัว ถ้าจะมีก็แค่คู่นอนชั่วครั้งคราวที่ไม่เคยพามาเหยียบที่นี่สักครั้ง แค่พอมีระคายหูมาให้ได้ยินว่าคืนนี้ไม่ได้นอนคนเดียว

แต่พออิงค์ก้าวเข้ามาในข่วงเมืองสิงห์เมื่อหลายปีก่อน ชายหนุ่มคนนี้กลับมีบางสิ่งที่ต่างไปจากคนอื่น เขาไม่ได้แค่เข้ามาแหย่ในอาณาจักรสิงห์เล่นๆ แล้วก็กลับออกไป แต่กลับฝากร่องรอยอะไรบางอย่างไว้ที่ทำให้สิงห์ซึ่งอยู่เดียวดายมานานหลายปีทำท่าราวกับคิดจะมีคู่อีกครั้ง

ป้าสำลีกระแอมเรียกชายหนุ่มที่ยังไม่ละสายตากลับมาจากทางไปห้องใต้หลังคาเบาๆ “วันนี้คุณอิงค์ทำอะไรมาให้ป้าคะ”

“วันนี้ก็มีกาแฟเหมือนเดิมครับ” อิงค์บอก “กับคุ้กกี้อีกนิดหน่อย”

“ที่ให้ชิมเมื่อคราวก่อนใช่ไหมคะ” มอญว่าพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วยความสนอกสนใจ “น่าทานจังค่ะคุณอิงค์ เอ~ คราวก่อนที่ทำให้ชิมเป็นรูปดอกไม้นี่นา ทำไมวันนี้เปลี่ยนเป็นรูปอื่นล่ะคะ”

“รูปดอกไม้มีคนทำเยอะแล้วครับ ผมเลยทำรูปอื่น อันนี้เป็นตัวโลโก้ร้านไงครับ”

“ค่ะ โลโก้ร้าน” มอญพูดซ้ำ “ไม่ได้หมายถึงใครใช่ไหมคะ”

“ก็… เปล่าครับ” อิงค์ตอบอย่างขัดเขินนิดๆ เขาตั้งใจทำเป็นรูปหัวสิงโตน่ะแหละ ส่วนเรื่องว่าหมายถึงใครนั้นก็คงรู้ๆ กันอยู่ ก็แค่ตอนปั้นแป้งนึกถึงหน้าใครบางคนกับนมข้นหวาน แล้วมันก็ได้ออกมาเป็นรูปนี้นี่แหละ

ป้าสำลีกับมอญเริ่มต้นแกะถุงคุ้กกี้ออกชิมเป็นการตรวจสอบขั้นตั้นก่อนส่งผ่านไปถึงปากลูกค้าที่มาพัก อิงค์จึงเอ่ยปากขอยืมพื้นที่ชงกาแฟเพื่อนำมาทานคู่กัน

“ไม่เป็นไรค่ะคุณอิงค์ ป้าเกรงใจ”

“เกรงใจอะไรล่ะครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณทุกคนที่ช่วยเป็นกำลังใจให้ผม คุณสุพจน์ขอโทษเรื่องที่เข้าใจผิด แล้วตอนนี้ร้านอื่นๆ ก็รับกาแฟผมไปขายเหมือนเดิมแล้วครับ”

“ดีจังเลยนะคะคุณอิงค์” มอญปรบมือให้

“หมดเคราะห์แล้วนะคะ” ป้าสำลีลูบหลัง “ต่อจากนี้ไปก็ขอให้ขายดิบขายดี เฮงๆ นะคะ”

“ดังนั้นป้าสำลีกับพี่มอญต้องดื่มกาแฟที่ผมชงนะครับ เป็นการเอาฤกษ์เอาชัยของวันนี้” อิงค์เดินไปที่รถแล้วหยิบอุปกรณ์ที่เตรียมมาจากร้านออกมาวาง

ป้าสำลีกับมอญเขยิบเข้ามามุงดูด้วยความสนอกสนใจ

อิงค์เริ่มต้นด้วยการเทช็อตเอสเพรสโซที่เตรียมมาในกระบอกเก็บความร้อนใส่ในแก้วกระเบื้อง แล้วนำนมสดไปอุ่นในไมโครเวฟให้ร้อนก่อนจะเอาก้านตีฟองนมตีจนกระทั่งได้ฟองนมเนียนๆ ขึ้นมาจึงตักขึ้นมาโรยบนหน้ากาแฟเป็นเส้นๆ หลังจากนั้นก็ใช้ไม้จิ้มฟันขีดขวางลงไปบนเส้นฟองนมสีขาว เกิดเป็นลวดลายคล้ายหัวใจดวงเล็กๆ ลอยอยู่บนหน้าแก้วกาแฟ

“ขอบคุณป้าสำลีกับพี่มอญนะครับที่คอยช่วยเหลือผม” อิงค์เสิร์ฟแก้วกาแฟให้พร้อมกับยิ้มกว้าง

“ขอบคุณค่ะคุณอิงค์” ป้าสำลีกับมอญรับไปด้วยสีหน้าเอ็นดูระคนชื่นชม ถ้าหากสิงห์คิดจะคว้าผู้ชายสักคนมาเป็นสะใภ้บ้าน คนเดียวที่ทั้งสองจะยอมให้ก็คือชายหนุ่มคนนี้นี่แหละ ตอนนี้คุณสิงห์อาจจะยังไม่รู้หัวใจตัวเองก็ไม่เป็นไร แล้วคุณอิงค์ก็คงยังสงวนท่าทีไม่กล้ารุกหนัก

...ไม่เป็นไร ใครไม่ชงเดี๋ยวป้าชงเอง ป้าจะชงให้แก้วแตกเลยคอยดูสิ! ...

ป้าสำลีกับมอญหันมาพยักหน้าให้กันอย่างรู้ใจ

ไม่กี่นาทีต่อมาสิงห์ที่อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็เดินกลับลงมา “จะไปหรือยัง”

“ครับ” อิงค์ตอบได้เท่านั้น ปกติเขาคุ้นตากับสิงห์ในชุดผ้าฝ้ายคอวีตัวโคร่งกับกางเกงผ้าตัวหลวม แต่ที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้แทบจะกลายเป็นคนละคนกัน

สิงห์สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวดูสะอาดตากับกางเกงเข้ารูปสีดำสนิท เรือนผมที่ปกติจะสยายยาวไปข้างหลังถูกจับรวบตึงเรียบร้อย เผยให้เห็นโครงหน้าที่คมอยู่แล้วชัดขึ้นไปอีก

“คุณสิงห์จะไปไหนคะ” ป้าสำลีถาม “แล้วทำไมต้องแต่งตัวหล่อด้วย”

“พาเจ้าหนูนี่ไปหาปู่กมล” สิงห์ตอบ

“ตายแล้ว!” ป้าสำลียกมือทาบอก

“ยังไม่ตายป้า”

“นี่คุณสิงห์ของป้าจะ…”

“พอๆ ป้า หยุดเลยหยุด!” สิงห์รีบพูดเสียงดังดักคอไว้ก่อน “แค่ไปส่ง เพราะปู่เขาจะสั่งกาแฟร้านเจ้าหนูนี่ก็เท่านั้น”

อิงค์นึกขึ้นได้ สถานที่ที่พวกเขากำลังจะไปคือโรงแรมอันดับหนึ่งในเมืองน่าน การที่สิงห์จะต้องแต่งตัวดูดีให้เกียรติสถานที่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เขาก้มลงมองดูตัวเองอย่างขัดเขินถึงจะแต่งตัวคล้ายกันด้วยเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาว แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเองดูปอนๆ ไม่เหมือนเจ้าของร้านกาแฟที่กำลังจะไปเจรจาธุรกิจเลยสักนิด คิดแล้วก็อยากจะกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่บ้างเหมือนกัน

“แล้วนี่ทำอะไรกินกัน” สิงห์กวาดตามองอุปกรณ์ทำลาเต้อาร์ตของอิงค์ที่วางอยู่ก่อนจะมองเลยไปยังแก้วกาแฟที่ป้าสำลีกับมอญดื่มค้างไว้

“ลาเต้ค่ะ” มอญรายงาน “คุณอิงค์วาดเป็นรูปหัวใจดวงเล็กน่ารักๆ ด้วย คุณสิงห์ดูสิคะพี่มอญถ่ายรูปเก็บไว้ด้วยนะ”

สิงห์เหลือบตามองรูปในโทรศัพท์ที่มอญเปิดอวดก่อนจะฮึมฮัมในลำคอเบาๆ ตัวเขาที่อุตส่าห์ถ่อไปส่งถึงร้านได้กินกาแฟธรรมดา แต่สองคนนี้อยู่ที่บ้านเฉยๆ กลับมีลาเต้อาร์ตสวยๆ มาเสิร์ฟถึงที่... เชอะ! แล้วจะไม่ให้เขาน้อยใจได้ยังไง

“ขึ้นรถ” เขากล่าวเสียงห้วนก่อนจะเดินนำไปที่รถมอเตอร์ไซค์

อิงค์ที่ยังไม่รู้ตัวว่าโดนงอนรีบขึ้นซ้อนท้าย

สิงห์บึ่งออกไปเพียงครู่เดียวก็มาถึงเฮือนไกรสร ในขณะที่ขับรถวนรอบสิงโตหินเพื่อหาที่จอดอิงค์ก็สังเกตเห็นว่ามีคนงานกำลังต่อบันไดปีนขึ้นไปบนรูปปั้นเพื่อทำอะไรสักอย่างตรงปากสิงโตที่อ้ากว้าง

สิงห์เองก็เห็นเช่นกัน “สงสัยนกจะเข้าไปทำรัง”

อิงค์พยายามเพ่งมองขึ้นไปดูคนงานที่ทำงานกันอย่างทุลักทุเล นึกสงสัยว่าเจ้านกน้อยนั่นคงดื้อไม่เบาทีเดียว

ด้านหน้าโรงแรมนั้นที่จอดเต็มหมด สิงห์จึงวนไปด้านหลังและแทรกรถเข้าไปจอดตรงใต้ร่มไม้

“เป็นอะไร” สิงห์ถามชายหนุ่มที่พอลงจากรถเขาแล้วก็ไม่ขยับไปไหนเอาแต่ยืนนิ่งและยกมือข้างหนึ่งกุมหน้าอกไว้ จะว่าตกใจที่เขาขับรถซิ่ง แต่ความเร็วแค่ร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงนี่เขาก็ไม่คิดว่ามันเร็วมากเท่าไหร่นะ

“จู่ๆ ก็ตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อยครับ ผมเพิ่งเคยมาคุยธุรกิจที่ดูเป็นทางการขนาดนี้เป็นครั้งแรก” อิงค์ตอบ

“ก็ทำเหมือนเวลาที่เธอไปคุยกับที่อื่นน่ะแหละ”

“กำลังพยายามคิดแบบนั้นอยู่ครับ ขอเวลาผมแป๊บนึงน่ะ” อิงค์หลับตาลงแล้วเริ่มต้นทำสมาธิโดยการสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกช้าๆ โดยมีสิงห์ยืนดูอยู่เงียบๆ

ครั้งแรกผ่านไป...

ครั้งที่สอง...

ครั้งที่สาม...

ตาคมเหลือบลงมองริมฝีปากที่เป่าปากส่งเสียงฟืดฟาดเบาๆ สิงห์ก็รู้สึกว่าตัวเองต้องทำอะไรสักอย่าง

“อิงค์เงยหน้าขึ้นหน่อย”

“ทำไมหรือครับ...”

แล้วเสียงของอิงค์ก็เงียบหายไปเพราะริมฝีปากหยักลึกที่ประกบลงมาแนบสนิท กลีบปากนุ่มกดย้ำซ้ำๆ เบาสลับหนัก และเมื่อริมฝีปากนั้นผละออกมันก็ดึงเอาความกังวลทั้งหมดทั้งมวลไปพร้อมกันด้วย

“พร้อมหรือยัง” สิงห์กระซิบถามที่ข้างหู

“พ... พร้อมแล้วครับ” อิงค์รู้สึกว่าตัวเองร้อนเหมือนเมล็ดกาแฟที่กำลังโดนคั่วด้วยรอยยิ้มอุ่นๆ ที่ส่งมาจากชายหนุ่มผิวแทน เขาเงยหน้าขึ้นสบตาสิงห์ เมื่อฝ่ามือใหญ่จับลงกลางศีรษะแล้วลูบเบาๆ เติมกำลังใจให้จนเต็ม

“เธอทำได้อยู่แล้ว”

อิงค์พยักหน้ารับคำ

“เป็นอะไรอีกล่ะ” สิงห์ถามคนที่จู่ๆ ก็เงียบไปและเอาแต่จ้องหน้าเขา

“ก… ก็แค่คิดว่าวันนี้พี่สิงห์ดูหล่อกว่าทุกวัน” อิงค์ตอบ “ยิ่งรวบผมแบบนี้ยิ่งหล่อ”

สิงห์หยักยิ้มมุมปากก่อนจะก้มหน้าลงมาใกล้ “ถ้าเธอชอบ ฉันแต่งให้ดูทุกวันเลยดีไหม”

อิงค์เขินจนหน้าแดง “แต่งให้ดู ก็ดูนะ”

สิงห์หัวเราะในลำคอก่อนจะยืดตัวขึ้นเต็มความสูง “ไม่เอาหรอกร้อนจะตาย… นอกเสียจากว่าเธอจะมีอะไรมาเป็นของแลกเปลี่ยน” แล้วขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง

ทั้งสองเดินเข้าไปในโรงแรม ตรงหน้าประตูนั้นมีพนักงานต้อนรับคนหนึ่งยืนอยู่ อิงค์เดินเข้าไปหายังไม่ทันจะพูดอะไรเขาก็เอ่ยขึ้นก่อน

“คุณอิสระใช่ไหมครับ เชิญทางนี้เลยครับ คุณกมลรอพบคุณอยู่ด้านในแล้ว ส่วนผมชื่ออินถาครับเป็นผู้ช่วยของคุณกมล”

อิงค์เดินตามหลังพนักงานต้อนรับคนนั้นเข้าไปโดยมีสิงห์เดินตามหลังมาอีกที ระหว่างที่เดินไปตามทางอิงค์ก็เหลียวมองการตกแต่งที่เต็มไปความวิจิตรและปราณีต ด้วยการประดับเสาและหลังคาด้วยลวดลายสลักเสลาตามแบบไทย รวมไปถึงโคมไฟอันใหญ่ที่อยู่ตรงกลางโถง ทุกอย่างเป็นโทนสีไม้ดูสบายตาให้ความรู้สึกเหมือนมาพักผ่อนอยู่ที่บ้านอีกหลัง พนักงานต้อนรับทั้งชายหญิงแต่งกายด้วยชุดไทยล้านนา มีเอกลักษณ์โดดเด่นตรงผ้าซิ่นที่ใช้นุ่งนั้นเป็นพื้นสีดำสนิททอลายพญาราชสีห์สีทองดูน่าเกรงขามและสวยงามในเวลาเดียวกัน

“ถึงแล้วครับ” อินถาซึ่งทำหน้าที่นำทางกล่าวพลางผายมือไปด้านใน

อิงค์เงยหน้าขึ้นมองป้ายห้องอาหารที่แกะสลักจากไม้สักทั้งแผ่นเป็นคำว่า ‘บัวพันกาบ’ แล้วก็นึกประหม่าอยู่ครามครัน เขาหันไปสบตาสิงห์เรียกขวัญและกำลังใจให้ตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน

ห้องอาหารบัวพันกาบนั้นเน้นการตกแต่งเป็นลวดลายดอกบัวขาวตามความหมายของชื่อห้อง อาหารที่เสิร์ฟที่นี่จะเน้นอาหารไทยเป็นหลักซึ่งถูกจัดมาในชุดขันโตกที่แต่งขอบให้มองดูคล้ายกลีบดอกบัวโดยมีจานอาหารวางเรียงอยู่ตรงกลางคล้ายกับเกสร มีนักเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินั่งรับประทานอาหารกันอยู่หลายโต๊ะ

ชายชรานั่งรออยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งลุกขึ้นยืนต้อนรับเมื่อเห็นอินถาพาแขกที่นัดไว้เข้ามา “สวัสครับคุณสิงห์ คุณอิงค์”

“สวัสดีครับคุณกมล” อิงค์รีบยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “ในเมลที่ทางคุณส่งมาให้ผมบอกว่าให้มาตรงเวลานัดหมาย ผมก็เลยไม่ได้เตรียมของมาตามที่เราคุยกันไว้ทีแรก”

“พอดีฉันเปลี่ยนแผนนิดหน่อยน่ะ รบกวนเธอทางนี้หน่อย” ชายชราตอบพลางเดินนำไปยังเคาน์เตอร์ชงกาแฟที่มีอุปกรณ์ทันสมัยครบครันและเมล็ดกาแฟนานาชนิด มันเป็นสวรรค์ขนาดย่อมของคนรักกาแฟจนอิงค์ต้องแอบร้องว้าวในใจ

“มีอะไรหรือครับ” อิงค์ถาม

“ผมอยากให้คุณอิงค์ช่วยชงกาแฟสดให้พวกเราดื่มหน่อยได้ไหมครับ ตามเมนูโจทย์ที่ให้ต่อไปนี้”

“ตกลงนี่ปู่จะขอร่วมงานด้วยหรือจะหลอกใช้งานกันแน่เนี่ย” สิงห์แทรกขึ้น

“ก็เห็นในรีวิวบอกว่ากาแฟขวดอร่อยแต่ที่ชงขายสดๆ อร่อยกว่า”

“มีคอมเมนต์แบบนั้นด้วยเหรอครับ” อิงค์ถามพาซื่อ ตั้งแต่เขาเห็นคอมเมนต์ในทางลบพวกนั้นก็เลี่ยงการเข้าไปดูข้อความอื่นๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกแย่ไปมากกว่าเดิม

“นี่ไง” กมลหันไปรับแท็ปเล็ตจากผู้ช่วยที่เปิดรออยู่แล้วส่งให้ดู โพสต์ตัวปัญหาที่ให้คะแนนรีวิวหนึ่งดาวนั้นตอนนี้มีคนมาตอบต่อท้ายด้วยข้อความชื่นชมพร้อมด้วยภาพประกอบที่เขาจำได้ว่าเป็นลูกค้าที่เคยมาที่ร้านและหนึ่งในนั้นก็คือคุณกิตติ์ที่เขียนชมวานิลลาไอซ์คอฟฟี่ของเขาเสียยืดยาว

“ดีจัง” อิงค์แอบอมยิ้มจนแก้มป่อง

“ส่วนอันนี้ไม่ค่อยเกี่ยวเท่าไหร่แต่คิดว่าน่าสนใจมากครับ” อินถาใช้ปลายนิ้วเลื่อนไปอีกภาพซึ่งมาจากทวิตเตอร์

มันเป็นภาพตัวเขาสวมผ้ากันเปื้อนอยู่ที่ร้านขณะกำลังชงกาแฟในมุมมองที่แอบถ่ายมาจากอีกฟากของเคาน์เตอร์ คำบรรยายพร้อมแฮชแทคทำให้ใจเต้นตึกตักไม่น้อย



 ภาพประกอบ (https://www.facebook.com/666534950159994/posts/1973919452754864/)

ที่ใจมันสั่นเป็นเพราะกาแฟหรือเป็นเพราะรอยยิ้มของพี่แกกันแน่นะ #บาริสต้าหล่อบอกต่อด้วย คนชง #อร่อยบอกต่อ

อิงค์หน้าร้อนขึ้นมาทันที

ปู่กมลไล่สายตาอ่านคอมเมนต์ที่อินถาเลื่อนให้ดู


อู้วววว~งานดีย์❤

แม่ขา~ หนูอยากกินพี่เค้า เอ๊ย! อยากกินกาแฟของพี่เค้าจังเลยค่ะ

พี่คะ ตอนเด็กๆ แม่บอกว่าหนูไม่ยอมกินนมแม่เลยค่ะ ร้องจะกินแต่กาแฟ แสดงว่าเราต้องเกิดมาเป็นเนื้อคู่กันแน่ๆ เลย

ถ้าร้านพี่ไม่รับพนักงานพาร์ทไทม์งั้นหนูขอพาสไปเป็นแฟนประจำตัวพี่เลยได้ไหมคะ

ถึงว่าทำไมยังหาเนื้อคู่ไม่เจอ ที่แท้มัวไปชงกาแฟอยู่ที่น่านนี่เอง

“นายว่าไง” กมลถามความเห็นผู้ช่วย

“เท่าที่เห็นด้วยสายตาก็งานดีครับ แต่ฝีมือจะดีด้วยหรือเปล่าต้องมาพิสูจน์กันครับ”

กมลเงยหน้าขึ้นมองอิงค์ “ตกลงจะทำไหม”

“ผมทำได้ครับ” อิงค์ตอบอย่างกระตือรือร้น “โจทย์ของผมคืออะไรครับ”

“เธอเห็นคุณผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงริมหน้าต่างนั่นไหม” กมลชี้มือไปที่ชายวัยกลางคนซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ “ถ้าเธอทำให้เขาเอ่ยชมกาแฟของเธอได้ ถือว่าผ่าน”

“แล้วผมต้องชงอะไรครับ”

อินถาส่งใบสั่งเครื่องดื่มที่พนักงานของห้องอาหารเพิ่งเดินไปรับมาให้อิงค์

“ลาเต้ร้อน”

อิงค์เริ่มต้นด้วยการทำเอสเพรสโชช็อต สตรีมนมร้อนแล้วเทขึ้นลายทำเป็นรูปหัวใจ

“เธอคิดว่าไง” กมลหันไปกระซิบกับอินถา

“รูปหัวใจเป็นพื้นฐานของการทำลาเต้อาร์ตที่บาริสต้าทุกคนทำเป็นอยู่แล้ว ไม่มีอะไรพิเศษครับ แต่ที่น่าสนใจคือจังหวะข้อมือและความเร็วในการขึ้นลาย เห็นได้ชัดว่าสมาธิดีมากเกิดจากการฝึกฝนมาอย่างหนักครับ”

“คิดว่ารสชาติใช้ได้ไหม” กมลถามต่อ

“อัตราส่วนกาแฟต่อนมเป็น1ต่อ2 และเติมวานิลลาไซรัป 1 ปั๊ม… ตามสูตรนี้แน่นอนว่าจะทำให้ได้รสชาติพื้นฐานที่ดีของลาเต้ ถือว่าอร่อยแต่ไม่ว้าวครับ” อินถาตอบ “ถ้าไม่ใข่เพราะมีฝีมือแค่นี้ ผมคิดว่าเขาเลือกใช้วิธีเพลย์เซฟครับ”

กมลมองดูอิงค์ที่กำลังใช้ช้อนตักฟองนมขึ้นมาแล้วเทใส่ช้อนอีกคันสลับกันไปมาคล้ายกับกำลังพยายามปั้นให้เป็นก้อนกลมๆ ก่อนจะโปะลงไปบนแก้วกาแฟที่ทำเสร็จแล้ว “ฉันว่าเขาไม่ได้เพลย์เซฟนะ”

อินถาพยักหน้าเมื่อเห็นอิงค์ผสมกาแฟลงในฟองนมอีกแก้วแล้วหยิบไม้พายอันเล็กขึ้นมาจุ่มป้ายลงไปบนฟองนมก้อนใหญ่นั้น “ผมคงด่วนตัดสินใจเร็วไป”

“เสร็จแล้วครับ” อิงค์กล่าวพร้อมกับหันผลงานที่เสร็จเรียบร้อยแล้วมาให้เห็นกันชัดๆ

ในแก้วกระเบื้องสีขาวมีสิงโตตัวใหญ่สีน้ำตาลเกาะอยู่คล้ายกับมันกำลังชะโงกหน้าออกมาจากแก้ว ยิ้มและโบกมือให้อย่างอารมณ์ดี





อินถาจัดการยกไปเสิร์ฟให้ ระหว่างที่อิงค์กำลังไขว้นิ้วลุ้นผลอย่างใจจดใจจ่อสิงห์ก็เขยิบมายืนข้างๆ แล้วกระซิบที่ได้ยินกันสองคน

“ทำไมถึงทำลาเต้อาร์ตรูปฉันไปให้คนอื่นกินล่ะ”

อิงค์เหลือบตามอง ระยะที่ห่างกันแค่คืบจนลมหายใจรดต้นคอทำให้เขาต้องเกร็งยืนตัวแข็ง “ใครว่าผมทำรูปพี่สิงห์ ผมทำตัวมาสคอตของที่นี่ต่างหาก”

“กล้าสาบานไหม”

“กล้าอยู่แล้ว”

“เมื่อวานเธอเพิ่งบอกว่ามันเหมือนฉัน”

“หลงตัวเอง”

“เอาดีๆ ฉันน้อยใจนะเนี่ย เมื่อเช้าก็ทำให้ป้าสำลีกับพี่มอญ ทีของฉันได้กินแบบธรรมดา”

“ใครบอก ของพี่สิงห์น่ะพิเศษสุดเลยนะ”

“ตรงไหน”

“ตรงที่ใส่ใจคนชงลงไปด้วยไง”

“เหรอ” สิงห์เขยิบไปใกล้อีกนิดและกระซิบที่ข้างหู “แต่ฉันอยากกินคนชงมากกว่านะ”

อิงค์หน้าร้อนวาบ อีกนิดเดียวริมฝีปากหยักก็จะโดนแก้มเขาอยู่แล้ว อิพี่สิงห์นี่ชอบแกล้งแหย่เขาเล่นโดยไม่เลือกเวล่ำเวลาจริงๆ

อินถาเดินกลับมา สิงห์จึงขยับกลับไปยืนที่เดิมและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เป็นอย่างไรบ้างครับ” อิงค์ถาม

กมลหันไปฟังคำตอบจากผู้ช่วยก่อนจะหันมาบอกอิงค์ “ฉันเปลี่ยนใจไม่รับกาแฟจากร้านเธอแล้ว”

อิงค์หน้าเสีย “ผม… ผมทำอะไรไม่ถูกใจ…”

“แต่ฉันจะจ้างเธอมาทำงานที่นี่แทน” กมลพูดต่อจนจบ

“คุณ… ล้อผมเล่นหรือเปล่าครับ”

“เรื่องแบบนี้ฉันไม่เอามาล้อเล่นหรอก” กมลบอก “ตอนนี้ร้านเรากำลังขาดคน ถ้าเธอไม่รังเกียจจะร่วมงานกับเรา เธอสามารถเริ่มงานได้ทันทีที่พร้อม”

“แต่ว่าผมมีร้านอยู่แล้วนะครับ”

“ทำงานสัปดาห์ละห้าวันจันทร์ถึงศุกร์ วันเสาร์อาทิตย์ฉันให้เธอหยุด เธอจะไปเปิดร้านหรือทำอะไรก็ตามใจเธอ เงินเดือนฉันให้สามหมื่นไม่รวมโอทีและโบนัสประจำปี”

“ขอโทษจริงๆ ครับแต่ผมรับข้อเสนอของคุณไม่ได้จริงๆ” อิงค์ค้อมศีรษะปฏิเสธ

“มีอะไรที่เธอไม่พอใจหรือ ลองเสนอมาสิ ฉันคิดว่าเราตกลงกันได้นะ” กมลกล่าว “ถ้าเธอแค่อยากจะชงกาแฟ เธอก็เห็นแล้วว่าที่นี่มีให้เธอพร้อมทุกอย่าง แถมเธอยังไม่ต้องมาคอยกังวลกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ด้วย”

“ผม…” อิงค์รวบรวมความกล้าและตอบไปตามตรง “จริงอยู่ว่าข้อเสนอนั่นทั้งน่าสนใจและค่อนข้างมั่นคงทางการเงิน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการครับ ผมอยากจะมีร้านเป็นของตัวเอง ถึงจะไม่ใหญ่โตแต่อบอุ่นและมีความสุขด้วยรอยยิ้มของคนที่แวะเวียนมาชิมกาแฟที่ผมชง นั่นต่างหากครับคือความฝันของผม”

“ถ้าอย่างนั้นก็น่าเสียดายนะ” กมลกล่าว “เพราะแทนที่จะได้ร่วมงานกัน เราจะกลายเป็นคู่แข่งทางการค้ากันทันที”

“ถ้าเป็นเช่นนั้นผมก็ยินดีมากเลยครับ”

กมลเลิกคิ้ว “แทนที่จะตกใจหรือเสียใจ เธอกลับดีใจงั้นหรือ ประหลาดคนจัง”

“ต้องดีใจถูกแล้วครับ ห้องอาหารใหญ่ของโรงแรมอันดับหนึ่งในจังหวัดน่านยอมรับผมเป็นคู่แข่ง แสดงว่าผมต้องเก่งพอตัวเลยใช่ไหมล่ะครับ”

“สรุปเจ้าหนูนี่กำลังชมฉันหรือชมตัวเองกันแน่นะ” กมลหันไปหัวเราะกับอินถาอย่างชอบอกชอบใจ

“คุณอิสระครับ ลูกค้าท่านนั้นบอกว่าชอบลาเต้อาร์ตรูปสิงโตมาก อยากจะขอพบบาริสต้าเจ้าของผลงานหน่อยครับ ไม่ทราบว่าคุณสะดวกไหมครับ” อินถากล่าว

“สะดวกมากๆ เลยครับ”

“เชิญครับ” อินถาผายมือพร้อมกับเดินนำไปยังโต๊ะที่ชายคนนั้นนั่งอยู่

“ผมพาคุณอิสระ บาริสต้าที่ชงกาแฟให้คุณมาแล้วครับ”

ชายคนนั้นพับหนังสือพิมพ์ที่อ่านค้างไว้ลงและหันมา

ตอนที่เห็นข้างหลัง อิงค์คะเนว่าเขาคงสักวัยกลางคนแต่พอมาดูใกล้ๆ กลับพบว่าหน้าตายิ่งดูอ่อนกว่าอายุหลายปีนัก เขามีโครงหน้าคมชัด ตาคม แผงคิ้วหนา ดูหล่อเหลาราวกับรูปสลัก

“เธอเองเหรอที่เป็นคนทำสิงโตน่ารักๆ ตัวนี้” เสียงนุ่มทุ้มของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม

“ผมเองครับ”

พอฟังจบ ชายคนนั้นก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมืออิงค์จนเขาตกใจและพูดเสียงดัง

“ชอบนะ อยากได้”

“ว… ว่าไงนะครับ” อิงค์ถึงกับไปไม่เป็น เขาหันมองหน้าสิงห์เลิ่กลั่ก

“ปู่ ฉันชอบคนนี้ ฉันจะเอาคนนี้ ปู่เจรจาเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” ชายคนนั้นพูดรัวเร็ว

“เจรจาล้มเหลวครับท่าน เขาเพิ่งปฏิเสธผมมาเมื่อสักครู่นี่เอง”

“ปู่นี่ไม่ได้เรื่องเลย” ชายคนที่กมลเรียกว่า ‘ท่าน’ ทำเสียงฮึดฮัดในลำคอแล้วหันมาหาอิงค์ “ฉันให้เพิ่มจากราคาที่ปู่บอกอีกหมื่นนึง ไม่ต้องทำงานที่ร้าน หน้าที่ของเธอคือตามฉันไปทุกที่และชงกาแฟให้ฉันกินคนเดียว ตกลงไหม… เอ๊ะ! หรือว่าน้อยไป ปลายปีฉันให้โบนัสหกเดือน แถมพาไปเที่ยวต่างประเทศฟรีปีละหนด้วยนะ หรือจะมากกว่านั้นก็ได้ถ้าเธอสะดวกไป”

“คือ… ผม… ไม่…”

“วันหยุดพิเศษสิบห้าวันต่อปี ตกลงไหม” ชายคนนั้นพูดต่อ “เงินต่อรองได้ แต่จำนวนวันหยุดอย่าต่อรองเลยนะ ฉันคงขาดใจตายแน่ๆ ถ้าไม่ได้กินกาแฟฝีมือเธอ”

“ถ้างั้นก็ให้มันขาดใจตายไปเลยครับ” สิงห์เข้ามาแทรกกลางพร้อมกับคว้าข้อมือชายคนนั้น

“พ… พี่สิงห์…” อิงค์ตาเหลือก ทั้งสิงห์และชายคนนั้นทำท่าพร้อมจะวางมวยใส่กันได้ทุกเมื่อ

“มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของแก”

“ใช่สิครับเพราะผมเป็นคนพาเขามา” สิงห์ตอบ

“เด็กแกเหรอไอ้สิงห์”

“แล้วถ้าผมบอกว่าใช่ล่ะครับ… คุณพ่อ”

อิงค์ตาโต สมองขบคิดอย่างหนัก พยายามประมวลผลกับคำว่า ‘คุณพ่อ’ ที่สิงห์เรียกชายคนนั้น ...พ่ออุ้ย? ... ภาษาเหนือมันแปลว่า ปู่หรือตา… ไม่น่าใช่สินะ เอ๊ะ! หรือจะหมายถึงพ่อเลี้ยง ที่คนเหนือเขาเอาไว้เรียกพวกเจ้านายหรือคนมีเงิน… แล้วคนๆ นี้ถ้าดูจากการแต่งตัวที่ใส่สูทอย่างเนี้ยบแล้วก็น่าจะรวยไม่หยอก ใช่แล้ว! พี่สิงห์ต้องหมายความแบบนั้นแน่ๆ

“คุณท่านกับคุณหนูลดเสียงลงหน่อยได้ไหมครับ แขกท่านอื่นๆ เริ่มมองแล้วนะครับ” อินถาเอ่ยขึ้นเบาๆ

อิงค์หันควับ …คุณหนู? อะไรอี๊กกกก…

ชายคนนั้นหันไปค้อมศีรษะรอบๆ เป็นเชิงขอโทษ ก่อนจะหันมาหาเขาและผายมือไปยังเก้าอี้ข้างตัวที่ว่างอยู่ “เชิญคุณอิสระนั่งครับ”

“ครับ”

อิงค์ยังไม่ทันจะนั่ง สิงห์ก็กระแทกตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วคว้ามืออีกข้างของอิงค์พร้อมสะบัดสายตาไปยังที่ว่างข้างตัว “มานั่งนี่”

“เอ่อ… ผม” อิงค์เหลือบตามองมืออีกข้างที่ชายคนนั้นยังจับไว้ไม่ปล่อย

ชายคนนั้นยอมปล่อยมือ อิงค์จึงเดินไปนั่งกับสิงห์อย่างงงๆ ว่าตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่

“ขออนุญาตแนะนำครับ” อินถาเอ่ยขึ้น ดูท่าเขาจะเข้าใจเครื่องหมายคำถามมากมายบนหน้าอิงค์ “นี่คุณเหมราช เป็นประธานคณะกรรมการผู้บริหารโรงแรมในเครือไกรสรกรุ๊ปคนปัจจุบันครับ”

“อ่อ” อิงค์พยักหน้า รู้สึกสมองมันประมวลผลช้าๆ ชอบกล

“ฉันเป็นเจ้าของที่นี่” เหมราชสรุปให้อีกครั้ง

อิงค์รีบยกมือไหว้แทบไม่ทัน “สวัสดีครับ ขอโทษครับที่ผมเสียมารยาทกับท่าน”

“เธอยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย” เหมราชโบกมือ “ฉันต่างหากที่ชอบเจ้าสิงโตน้อยของเธอมากจนเผลอทำตัวเป็นเด็กๆ ไปหน่อย ทีแรกนึกว่าเป็นฝีมืออินถา ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนของเจ้าสิงห์… นี่ๆ ยกให้พ่อเถอะนะ”

“เจ้าหนูนี่ไม่ใช่สิ่งของจะมายกให้กันง่ายๆ ได้ยังไงล่ะพ่อนี่ก็”

“ซื้อตัวไง ซื้อตัว ทำไมแกนี่เข้าใจอะไรยากจัง” เหมราชว่า “จะเรียกเท่าไหร่ก็ว่ามาเลย พ่อสู้เต็มที่”

“เจ้าหนูนี่ไม่ใช่ลูกน้องผมเสียหน่อย”

“อ้าว ก็เมื่อกี้แกบอกว่าเด็กแก ตกลงมันยังไงล่ะ”

อิงค์เหลือบตามองสิงห์ เขาเองก็แอบลุ้นคำตอบอยู่นิดๆ เหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วก็คิดว่าสิงห์คงจะไม่ตอบอะไรที่มากไปว่า ‘คนรู้จัก’

“ก็ดูๆ กันอยู่”

อิงค์สะดุ้งโหยง จ้องสิงห์ตาไม่กะพริบ

“ดูนี่ดูยังไงวะ ถ้ามากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟนมันก็กิ๊กน่ะสิ”

“ไม่ใช่กิ๊ก” สิงห์ตอบ “ผมไม่มีแฟนจะมีกิ๊กได้ไง”

“คุยกับแกปวดหัว ฉันถามคุณอิสระดีกว่า” เหมราชหันมาหาเขา “ขอเสียมารยาทนะครับ คุณอิสระเป็นอะไรกับลูกชายผมครับ”

คำเรียกขานนั้นสร้างความตกใจให้อิงค์มากกว่าคำถามเสียอีก “ลูก… ลูกชาย?”

เหมราชหันไปมองหน้าสิงห์ “นอกจากจะบอกไม่ได้ว่าเป็นอะไรกันแล้วนี่แกยังไปหลอกอะไรคุณอิสระเขาไว้อีกเนี่ยไอ้สิงห์”

“ผมไม่ได้หลอกอะไรเลยนะ เจ้าหนูนี่มันเข้าใจผิดไปเอง” คนโดนกล่าวหารีบพูด

“พี่สิงห์ไม่ใช่พนักงานของข่วงเมืองสิงห์เหรอ” อิงค์ถาม

“เป็น” สิงห์ตอบ

“แต่ถ้าพี่สิงห์เป็นลูกชายของคุณเหมราชที่เป็นเจ้าของเฮือนไกรสร แล้วทำไมพี่สิงห์ต้องไปเป็นลูกจ้างเขาด้วยล่ะ” อิงค์ยังไม่มีทีท่าจะเข้าใจ

“ไม่ได้เป็นลูกจ้างแต่เป็นเจ้าของ” สิงห์ว่า “ชื่อก็บอกอยู่ไม่ใช่เหรอว่า ‘ข่วงเมืองสิงห์’ แปลตรงตัวก็คืออาณาจักรของสิงห์ หรือก็คือฉันไง”

อิงค์มองชายสองคนตรงหน้าสลับกัน เขารู้สึกว่าตัวเองหลงเข้ามาในอาณาจักรของสิงห์จริงๆ เสียแล้ว


(ต่อข้างล่างค่ะ)

หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 6(25/09/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 01-10-2019 22:45:09
(ต่ตรงนี้ค่ะ)

“เจ้าพ่อบ้านี่ตื๊อไม่เลิกจริงๆ เธอเองก็ไม่ยอมตอบไปให้ชัดๆ ว่าไม่เอา ดูสิ! กว่าจะหนีมาได้ปาไปเกือบชั่วโมง” สิงห์บ่นขณะเดินมาขึ้นรถ

“พี่สิงห์เองก็ตอบไม่ชัดเหมือนกัน” อิงค์เอ่ยขึ้นเบาๆ

“อะไร”

“ที่บอกว่าดูๆ กันอยู่ไง… เอ่อ แต่บอกตามตรงแค่นี้ผมก็ดีใจนะ มันฟังดูดีกว่าคนรู้จักเยอะเลย” พูดเองก็เขินเอง อิงค์ก้มหน้าซ่อนแก้มที่ต้องเริ่มเปลี่ยนสีขึ้นแน่ๆ “เอ่อ.. พี่สิงห์ยังไม่ต้องรีบกลับกับผมก็ได้นะ พ่อพี่บ่นว่านานๆ พี่จะกลับบ้านทีนี่นา แล้วเห็นว่าเมื่อกี้แม่ก็กำลังมาด้วย พี่สิงห์ไม่อยู่เจอแม่ก่อนเหรอ”

“ไม่เอาหรอกไม่อยากเจอ” เสียงของสิงห์เข้มขึ้นทันที

“ทำไมล่ะ”

“แม่ฉันเสียไปตั้งแต่ตอนฉันเกิด คนนี้เป็นแม่เลี้ยงน่ะ”

“แบบนั้นพี่ก็ยิ่งต้องอยู่คอยเอาอกเอาใจพ่อสิ พี่ไม่กลัวพ่อพี่ยกสมบัติให้แม่เลี้ยงกับลูกหมดเหรอ” อิงค์พูดติดตลก

“เขาอยากให้ใครก็ตามใจ ฉันก็มีข่วงเมืองสิงห์แล้วไง” สิงห์ว่า “หรือว่าถ้าเขาตัดฉันออกจากกองมรดก เธอก็จะไม่สนใจฉันแล้วเหรอ”

“พูดไปนั่น ผมคิดว่าพี่เป็นแค่พนักงานต้อนรับจนๆ ด้วยซ้ำ ก็ดูแต่งตัวเข้าสิ”

“แล้วเธอไม่โกรธเหรอ ฉันนึกว่าเธอจะดราม่าแบบในละครหลังข่าวว่าฉันโกหกหลอกลวงเธอ แล้วเธอก็จะหนีฉันไปซะอีก”

“หนีทำไม นี่ผมกำลัง ‘ดูๆ กันอยู่’ กับลูกชายเจ้าของโรงแรมใหญ่เลยนะ” อิงค์เน้นคำแกล้งแซวเขาพร้อมกับยกมือขึ้นคล้องแขนไว้ข้างหนึ่ง “รู้แบบนี้ยิ่งต้องจับให้แน่นสิ จะหนีไปทำไม เผื่อฟลุคตกถังข้าวสาร สบายไปทั้งชาติเลยนะ”

“เหรออออ” สิงห์ลากเสียงล้อเลียน

“แล้วนั่นเขายังจับนกกันไม่เสร็จอีกเหรอ” อิงค์ชี้มือไปที่คนงานซึ่งยังคงสาระวนอยู่ตรงปากรูปปั้นสิงโต

“นั่นน่ะสิ นานแล้วนะเนี่ย” สิงห์เดินเข้าไปใกล้และร้องถาม “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ให้ตามคนมาช่วยไหม”

“ลูกแมวน่ะครับคุณสิงห์” คนงานที่จับบันไดอยู่ตอบ “มันขึ้นไปติดบนนั้นได้ยังไงก็ไม่รู้ แล้วพอพวกผมจะจับลงมามันก็มุดเข้าไปแอบอยู่ตรงซอกด้านในน่ะครับ จะล้วงมือเข้าไปจับก็ขู่ฟ่อ เอาอาหารไปล่อก็ไม่ยอมออกมา ว่าจะเลิกแล้วล่ะครับ มันขึ้นไปได้เดี๋ยวก็คงลงมาได้”

“ขอฉันดูหน่อย” สิงห์ว่าและจับราวบันไดโลหะปีนขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว

“พี่สิงห์ระวังนะครับ” อิงค์ป้องปากตะโกนตามหลัง

คนงานที่ขึ้นมาก่อนเบี่ยงตัวหลบให้สิงห์เข้ามายืนแทนที่ก่อนจะส่งไฟฉายให้ สิงห์รับไฟฉายมาคาบไว้ในปากแล้วมุดเข้าไปตรงปากรูปปั้นสิงโต

แสงไฟสาดไปโดนเจ้าก้อนขนสีส้มขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยขดตัวกลมดิกอยู่ตรงโคนลิ้นด้านใน นัยน์ตากลมโตสีอำพันวาวโรจน์สุกสว่างสู้แสงไฟ มันอ้าปากแยกเขี้ยวพองขนขู่ฟ่อใส่ผู้บุกรุก

สิงห์เท้าแขนลงบนปากรูปปั้นหินแล้วเขยิบตัวเข้าไป เขาอาศัยความยาวของช่วงแขนให้เป็นประโยชน์เอื้อมไปจนถึงตัวมัน

เจ้าก้อนขนน้อยนั้นก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ มันสู้ยิบตาทั้งตะปบและกัดมือใหญ่ที่พยายามจะจับตัวมัน

“โอ๊ย! มันเจ็บนะเว้ยไอ้ตัวเล็กนี่” สิงห์คำรามแข่งกับเสียงขู่ฟ่อ

“พี่สิงห์อย่ากินมันนะครับ” อิงค์ตะโกนบอกด้วยความเป็นห่วง

“ใครจะไปกินแมววะ!” สิงห์ฮึดฮัดในลำคอ ในที่สุดเขาก็สามารถคว้าเข้าที่หลังคอและลากเจ้าก้อนขนนั้นออกมาได้ “ได้ตัวล่ะ”

แต่เจ้าก้อนขนนั่นก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ง่ายๆ มันดิ้นรนทั้งข่วนและถีบเท้าสุดชีวิต

“เฮ้ยๆ อย่าดิ้นสิ” สิงห์ที่ใช้มือเพียงข้างเดียวจับมันไว้เพราะต้องประคองตัวเองลงบันไดไปด้วยเริ่มเอามันไม่อยู่

เจ้าก้อนขนเริ่มเรียนรู้วิธีจู่โจมให้เกิดผล มันกางกรงเล็บคู่หน้าทั้งสองข้างออกเต็มที่แล้วข่วนควับลงบนหน้าคม

“เฮ้ย!”

สิงห์ร้องเสียงหลง ซวนเซจะตกบันได เขาปล่อยมือจากมันแล้วคว้าขั้นบันไดไว้แต่ก็ก้าวพลาดร่วงพรืดไถลลงมารวดเดียวจนถึงขั้นล่างสุด

“ไอ้แมวบ้าเอ๊ย!” สิงห์สบถพลางกุมสะโพก และท่อนแขนกับแก้มที่เป็นรอยข่วนเต็มไปหมด “หนีไปไหนแล้วล่ะ” เขากวาดตามองหารวดเร็ว แล้วเขาก็เจอเจ้าก้อนขนที่ฝากรอยแผลไว้เต็มตัวไปนอนขดอยู่ในอ้อมแขนชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟ

“พี่สิงห์อย่าดุน้อง น้องตกใจกลัวแล้วเห็นไหม” อิงค์เอ็ดเบาๆ

สิงห์จ้องมองเจ้าก้อนขนจอมอาละวาดที่จู่ๆ ก็กลายร่างเป็นลูกแมวน้อยแสนเชื่องไปเสียได้

เจ้าแมวส้มดันหัวกลมๆ ถูไถกับมืออิงค์อย่างออดอ้อนพลางเหลือบตามามองคนตัวโตที่มองมันอยู่ราวกับจะประกาศตัวว่ามันได้เลือกเจ้านายแล้ว… และคนอื่นก็ห้ามมายุ่งเด็ดขาด

สิงห์ยกมือขึ้นกอดอก

…เจ้าแมวนี่ แกตั้งใจจะเป็นศัตรูกับฉันสินะ…

ณ ห้องอาหารบัวพันกาบ หญิงสาวสวยในชุดผ้าไทยล้านนาสีชมพูเดินนวยนาดเข้ามา เรือนผมดำขลับที่ยาวถึงกลางหลังถูกรวบตึงขมวดเป็นมวยตรงท้ายทอยประดับด้วยดอกพุดซ้อนสีขาวนวลเช่นเดียวกับสีผิวของเธอ

เธอเดินเข้าไปหาเหมราชและนั่งลงข้างกัน

“คุณมาช้าไปนิดเดียวเองเกต เจ้าสิงห์เพิ่งจะออกไปเมื่อสักครู่นี่เอง” เหมราชกล่าวกับเกตถวาผู้เป็นภรรยาคนที่สอง พลางชี้มือออกไปด้านนอกผนังซึ่งเป็นบานกระจกเห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งกำลังวิ่งออกไป

หญิงสาวมองตาม สายตาของเธอมองชายหนุ่มผิวแทนผู้เป็นคนขับก่อนจะหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มผู้เป็นคนซ้อนบนตักของเขามีแมวส้มตัวจ้อยเกาะอยู่

“ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะยอมกลับบ้าน วันนี้มาได้ยังไงคะ แล้วนั่นเขาพาใครมาด้วย”

“แฟน” เหมราชตอบ

“ผู้ชาย?” เกตถวาถาม

เหมราชหันไปพยักหน้าให้ “ตอบผมว่าดูๆ กันอยู่ เป็นพ่อลูกกันมาสามสิบกว่าปี ผมเพิ่งเคยได้ยินคำนี้จากปากเจ้าสิงห์นี่แหละ ปกติจะตอบแค่เพื่อน แถมยังดูหวงมากด้วยนะ ท่าทางคนนี้จะเอาจริง”

“เหรอคะ”

“แต่ผมแปลกใจอยู่นิดนึงนะ”

“อะไรคะ”

“ผมกับลูกชายนี่สเปคเดียวกันจริงๆ” เหมราชพูดด้วยรอยยิ้มขำขันพลางจับคางภรรยาเชยขึ้นมองหน้าสะสวยนั้นให้ชัดๆ “ก็เด็กคนนั้นน่ะ หน้าคล้ายคุณมากเลยน่ะสิเพียงแต่เป็นผู้ชายเท่านั้น”

************************TBC*************************
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 7(01/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 02-10-2019 01:30:09
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 7(01/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-10-2019 01:36:22
คุณพ่อ!!!!!
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 7(01/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 02-10-2019 09:39:42
เมียใหม่พ่อคือแฟนเก่าลูกเหรอ รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 7(01/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 02-10-2019 11:12:37
ในที่สุดพี่สิงก็เปิดตัว
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 7(01/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 02-10-2019 23:31:11
เอ๊ะ สงสัยประโยคท้ายของคุณพ่อตะหงิดๆ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 7(01/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 05-10-2019 18:46:47
บทที่ 8

“ตายแล้ว~” ป้าสำลีร้องเสียงดังเมื่อเห็นชายหนุ่มตัวโตกลับมาในสภาพเสื้อผ้ายับย่น ผมเผ้าที่ขาออกไปรวบตึงหลุดรุ่ยและมีรอยแผลเต็มตัว “มอญไปเอาชุดทำแผลมาให้คุณสิงห์หน่อยเร็ว”

“ได้จ๊ะป้า” มอญรับคำ

“เกิดอะไรขึ้นคะเนี่ยคุณอิงค์”

“ฝีมือเจ้านี่ครับ” อิงค์บอกพลางขยับให้ดูร่างเล็กหน้าตามอมแมมที่เกาะแน่นอยู่ตรงเสื้อด้านหน้า “มันขึ้นไปติดอยู่ตรงรูปปั้นสิงโตครับ พี่สิงห์เป็นคนปีนขึ้นไปช่วยมันลงมา”

“เจ้าตัวเล็กไม่เป็นไรใช่ไหมคะ บาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า”

“ปลอดภัยดีครับ แต่ตกใจนิดหน่อย”

“คนเจ็บอยู่ทางนี้ไง” สิงห์แกล้งร้องโอดโอยเรียกร้องความสนใจที่ไม่มีใครสนใจ

“ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูก” ป้าสำลียื่นมือไปลูบหัวปลอบขวัญซึ่งเจ้าลูกแมวก็ยอมให้ลูบแต่โดยดี

“อะไรวะ ทีฉันทั้งขู่ทั้งข่วน ไอ้นี่มันมารยาสาไถชัดๆ” สิงห์บ่น

“มารยาอะไรกันคะคุณสิงห์ เจ้าหนูนี่ออกจะไร้เดียงสา” ป้าสำลีว่า

“เฮอะ! ร้ายเดียงสาล่ะไม่ว่า พี่มอญมาพอดีเลยทำแผลให้หน่อย”

มอญที่กำลังจะแกะอุปกรณ์เหลือบตาไปเห็นลูกแมวตากลมขนฟูในอ้อมแขนอิงค์ก็วางกล่องอุปกรณ์ทำแผลไว้ตรงหน้าสิงห์แล้ววิ่งไปร่วมวง “คุณสิงห์ทำเองเลยค่ะ… เจ้าหนูนี่น่ารักจัง ดูสิๆ สีส้มส๊วยสวย หิวไหมจ๊ะเนี่ย หืมมม~ เด็กดีเดี๋ยวพี่มอญเอานมมาให้นะ” พูดจบก็รีบกุลีกุจอเข้าไปในครัว

“แล้วที่ไปคุยมาเป็นยังไงบ้างคะคุณอิงค์” ป้าสำลีถามไถ่

“คุณกมลกับคุณเหมราชชมว่ากาแฟผมอร่อยครับ แล้วก็อยากชวนไปร่วมงานด้วย” อิงค์เล่า

“ดีจังเลยค่ะ แล้วคุณอิงค์ตอบไปว่ายังไง ตกลงใช่ไหม” ป้าสำลีมีท่าทีตื่นเต้นยิ่งกว่าคนโดนชวนเสียอีก

อิงค์ส่ายหน้าเขินๆ “ผมปฏิเสธไปแล้วครับ ผมอยากทำร้านเองมากกว่า”

“คนเก่งของป้าทำอะไรก็เจริญรุ่งเรืองค่ะ” ป้าสำลีลูบไหล่ลูบหลังอวยพร

“คุณอิงค์เก่งจริงๆ นะคะ เพราะคุณท่านเป็นคนเรื่องมาก กินยากเป็นที่สุด แต่เอ่ยชมกาแฟคุณอิงค์ได้เนี่ย อัดรูปหน้าคุณท่านทำเป็นป้ายไวนิลใส่แคปชั่นติดโฆษณาร้านได้เลยนะคะ” มอญกลับออกมากครั้งพร้อมชามใบเล็กกับขวดนมแพะ

“พูดถึงโฆษณา” อิงค์เอ่ยขึ้น “ขอบคุณพี่มอญสำหรับโพสต์นั้นนะครับ”

“โพสต์ไหนคะ” มอญที่กำลังจัดแจงเทนมให้ลูกแมวถาม

“ในทวิต ที่บอกว่าใจสั่นเพราะกาแฟหรือรอยยิ้มผมไงครับ ชื่อแอคเคาน์ molly_nan ต้องเป็นพี่มอญแน่ๆ เลย” อิงค์พูดเขินๆ “ยอดรีกับเฟบเยอะเป็นพันจนผมตกใจเลย… แล้วพี่มอญก็ถ่ายรูปผมสวยมากด้วย ถ่ายตอนที่ไปร้านวันนั้นเหรอครับ”

มอญเลิกคิ้วกำลังอ้าปากจะตอบก็มีเสียงแทรกมาจากด้านหลัง

“พี่มอญเป็นแอดมินเพจของข่วงเมืองสิงห์ เห็นเด๋อๆ ด๋าๆ แบบนี้แต่จบนิเทศด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเลยนะ” สิงห์บอกพลางใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดแผล “เมื่อก่อนเคยทำงานเป็น PR ดาวรุ่งที่กรุงเทพ ขายของเก่งมาก ไม่มีอะไรที่พี่มอญขายไม่ได้”

“แล้วทำไมพี่มอญถึงมาอยู่กับพี่สิงห์ได้ล่ะครับ”

“เพราะพี่ชอบเที่ยวและชอบกินมากค่ะ” มอญเล่าอย่างติดตลก “กินเพลินไปหน่อยก็เลยเป็นอย่างที่คุณอิงค์เห็น แล้วพวกคนที่จ้างงานเขาก็นิยมสาวๆ ขาวๆ หุ่นอึ๋มๆ ตอนหลังพี่เลยตกงาน ว่างๆ เบื่อๆ มาเที่ยวเล่นที่น่าน เจอคุณสิงห์ที่ร้านเหล้านั่งปรับทุกข์กันแล้วเลยชวนมาทำงานด้วยกันค่ะ”

อิงค์มองดูสาวรุ่นพี่ตรงหน้า ถึงจะเข้าอายุหลักสี่แล้วก็ยังดูดี และรูปร่างที่ใครๆ บอกว่าเธออ้วนนั้นจริงๆ ก็แค่สูงใหญ่ มีน้ำมีนวล ไม่ได้ผอมเหมือนหุ่นโชว์ตามตู้เสื้อผ้าเท่านั้น “ผมว่าพี่มอญก็สวยในแบบของพี่นะครับ”

“คุณอิงค์ไม่ต้องมายอพี่หรอกค่ะ พี่รู้ตัวดี” มอญพูดไปยิ้มไป ตอนที่ตกงานเพราะสาเหตุนี้ก็ช้ำใจพอตัว เคยพยายามลดน้ำหนักสารพัดวิธีถึงขึ้นพึ่งยาลดความอ้วนจนเกือบตายเพราะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โชคดีที่คิดได้ทัน และตอนนี้เธอก็คิดว่าหาที่ๆ เหมาะกับตัวเองเจอแล้ว

“แล้วป้าสำลีล่ะครับ มาอยู่กับพี่สิงห์ได้ยังไง”

“ของป้าไม่มีอะไรซับซ้อนค่ะ ก็แค่รู้สึกว่าไอ้เด็กบ้านี่จะปล่อยไว้ตัวคนเดียวได้ยังไง ซักผ้าก็ไม่เป็น ทำอาหารก็ไม่ได้เรื่อง แต่ริอาจจะออกมาสร้างรังอยู่ตัวคนเดียว ทั้งๆ ที่เป็นคุณชายกินนอนอยู่บ้านใหญ่ รอวันขึ้นรับช่วงกิจการต่อจากคุณท่านก็ได้แท้ๆ” ป้าสำลีเล่าไปหัวเราะไป “คุณอิงค์รู้แล้วใช่ไหมคะว่าคุณสิงห์เป็นลูกชายคุณเหมราช”

อิงค์พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น ป้าสำลีก็อยู่กับพี่สิงห์มานานแล้วใช่ไหมครับ”

“ตั้งแต่เกิดค่ะ” ป้าสำลีบอก “ป้าเป็นแม่นมของคุณสิงห์ค่ะ เห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออก รู้นิสัยคุณสิงห์ดีค่ะเห็นตัวดำปากหมาแบบนี้แต่จริงๆ แล้วเป็นลูกแมวขี้เหงาชอบให้คนอื่นเอาใจนะคะ”

“พูดมากไปแล้วป้า” สิงห์ว่าลอยมาตามลม

มอญจัดชามนมเรียบร้อย อิงค์จึงปล่อยลูกแมวลงจากอก ทีแรกมันก็ยังเกาะแขนเขาไว้แน่น จนป้าสำลีต้องเอาช้อนตักนมมาแตะที่ปากให้มันเลียจนเริ่มไว้ใจจึงเดินเตาะแตะไปเลียกินจากชาม

“กินเยอะๆ นะ” อิงค์ลูบหัวลูบหลังเจ้าแมวส้ม มันแอ่นหลังให้อย่างเกียจคร้านก่อนจะร้องเหมียวๆ ออดอ้อนราวกับจะขอให้ลูบอีกเยอะๆ

“ท่าทางมันถูกชะตากับคุณอิงค์นะคะเนี่ย” ป้าสำลีว่า “เลี้ยงไว้สิคะ คุณอิงค์อยู่คนเดียวจะได้ไม่เหงา”

“จะดีเหรอครับ ผมไม่เคยเลี้ยงอะไรเลยนะ”

เจ้าแมวส้มกระดิกหู มันไถหัวกลมๆ เข้าที่หลังมืออิงค์ แล้วจ้องเขาตาแป๊วเหมือนต้องการจะบอกว่า ‘เลี้ยงหนูเถอะ หนูกินง่าย อยู่ง่าย แถมไม่ดื้อไม่ซนด้วยนะ’

อิงค์เกาคางมันกลับรู้สึกเหมือนโดนดวงตาสีอำพันกลมโตนั้นสะกด “ก็ได้ครับ แล้วผมต้องเตรียมอะไรให้มันบ้าง”

“หลักๆ ก็อาหาร ทรายแมวสำหรับขับถ่าย แล้วก็ที่นอนค่ะ” ป้าสำลีบอก “แล้วก็ต้องพาไปทำวัคซีนด้วย”

“เลิกโอ๋แมวได้แล้ว เธอต้องกลับไปเปิดร้านไม่ใช่หรือไง” สิงห์ตะโกนมาแทรกกลางวง

ป้าสำลีหันไปดูนาฬิกาและร้องออกมา “จริงด้วยค่ะนี่ก็จะเที่ยงแล้ว คุณอิงค์รีบไปเถอะ”

“แล้วเจ้าหนูนี่ล่ะครับ”

“เอาไว้นี่แหละค่ะ เดี๋ยวป้ากับพี่มอญจะช่วยดูแลมันให้ก่อนระหว่างที่คุณอิงค์ไปเตรียมบ้านกับข้าวของให้มัน เอาไปตอนนี้ก็คงไม่สะดวกใช่ไหมล่ะคะ”

“ถามเจ้าของบ้านสักคำไหมว่าเขาโอเคหรือเปล่า” สิงห์บ่นลอยมาตามลมแต่ก็ไม่มีใครสนใจ

“จะดีเหรอครับ มันจะไม่รบกวนแขกคนอื่นๆ เหรอครับ”

“ไม่หรอกค่ะตัวแค่นี้จะไปทำอะไรใครได้... หืม จริงไหมลูก” มอญพยักเพยิดกับเจ้าแมวส้มที่ร้องเหมียวๆ ตอบรับทันที “เห็นไหมคะน้องสัญญาแล้วว่าจะไม่ซน”

“แต่ว่า…” อิงค์ยังมีทีท่าลังเล เขาเป็นคนพาเจ้าหนูนี่มาก็ไม่ควรทิ้งไว้เป็นภาระให้ใคร

“เดี๋ยวตอนเย็นเอาไปให้” สิงห์ตะโกนบอกเสียงขุ่นนึกรำคาญมนุษย์ทาสแมวพวกนี้ขึ้นมาตงิดๆ “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ยอมให้มันนอนที่นี่แน่ๆ”

ในที่สุดอิงค์ก็ละสายตาจากแมวแและหันไปพูดด้วย “ไม่เป็นไรครับพี่สิงห์ แค่นี้ก็รบกวนป้าสำลีกับพี่มอญเยอะแล้วผมมารับมันเองดีกว่า เดี๋ยววันนี้ปิดร้านเร็วหน่อย”

“จะมาปิดเร็วอะไรให้เสียรายได้ ปกติปิดร้านกี่โมง” สิงห์ถามเสียงเข้ม

“สองทุ่มครับ”

“เก็บร้านเสร็จค่อยมา”

“กว่าจะเสร็จก็เกือบสามทุ่ม มันดึกนะครับ”

“รอได้”

“แต่ว่ามันมืด…”

“มืดก็ค้าง” สิงห์ว่า “ส่งแมวให้ป้าสำลีแล้วก็ไปได้แล้วไป”

“ถ้างั้นผมฝากด้วยนะครับ” อิงค์ส่งแมวให้ป้าสำลีและขับรถกลับไป

ถึงจะบอกว่ากลับมาเปิดร้านแต่วันนี้บรรยากาศของ It’ sra ก็ยังเงียบเหงาทั้งที่เป็นวันศุกร์ อิงค์เท้าแขนกับเคาน์เตอร์มองเหม่อออกไปด้านนอกที่เงียบเชียบแล้วถอนหายใจ ถึงจะยังแน่ใจว่าตัดสินใจไม่ผิดที่ปฏิเสธคำชวนของเหมราชไป แต่ถ้าลูกค้ายังไม่มีมาแบบนี้เขาคงต้องปิดร้านในเร็ววันแน่

พอทุ่มเศษอิงค์จึงเริ่มเก็บร้านเตรียมไปรับลูกแมวที่ข่วงเมืองสิงห์ ในขณะที่เขากำลังจะพลิกป้ายหน้าร้านเป็นปิดนั้นเองใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามา

“อ้าวบอย ทำไมวันนี้มาเสียค่ำเชียว เพิ่งเลิกซ้อมเหรอ” อิงค์ยิ้มทักทายลูกค้าประจำ “พี่กำลังจะปิดร้านแล้ว แต่ถ้าบอยจะดื่มอะไรเดี๋ยวพี่ชงให้พิเศษเข้ามาก่อนสิ”

บอยไม่ตอบแต่เดินตามอิงค์เข้าไปในร้านเงียบๆ และกระแทกตัวลงนั่งตรงหน้าเคาน์เตอร์ที่เป็นที่ประจำของเขา

อิงค์เองก็สังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มที่เคยสดใสร่าเริงอยู่เสมอดูแปลกไป หน้าตาบูดบึ้งไม่พูดไม่จา คิดว่าคงมีปัญหามาจึงพยายามชวนคุยให้อารมณ์ดี “ของบอยเป็นโกโก้ปั่นหวานน้อยเหมือนเดิมนะ… เออ การแข่งที่บอยชวนพี่ไปดูน่ะ มันอาทิตย์หน้าแล้วนี่ จัดที่ไหนแล้วแข่งกับใครนะ ทีมบอยมีเสื้อหรือสีประจำทีมไหมพี่จะได้แต่งไปเชียร์ถูก”

เด็กหนุ่มไม่ตอบ ได้แต่นั่งก้มหน้านิ่ง มือกำแก้วโกโก้ปั่นแน่นจนเห็นเส้นเลือดที่หลังมือขึ้นปูดโปน

“บอย… บอยเป็นอะไร มีปัญหาในทีมเหรอ หรือว่าเรื่องเรียน บอยเล่าให้พี่ฟังได้นะ… พี่อยากช่วยบอย…”

“พี่ไม่ต้องมาทำเป็นหวังดีกับผมเลย!” จู่ๆ เด็กหนุ่มก็ระเบิดอารมณ์ออกมาเสียงดัง “พี่อิงค์น่ะ… พี่น่ะ… ผมไม่คิดเลยว่าพี่จะเป็นคนแบบนี้ พี่มันสกปรก ทุเรศที่สุด!”

“เดี๋ยวก่อนบอย! นายพูดเรื่องอะไร!!”

“ก็เรื่องเมื่อวานไง!” บอยตะโกนใส่หน้าเขา

“เรื่องเมื่อวาน” อิงค์ทวนคำเสียงสั่น

“ทำอะไรบัดสีบัดเถลิงกลางวันแสกๆ ในร้าน แถมยัง… แถมยัง…” เสียงของบอยสั่นจนขาดหาย

“บอยฟังพี่ก่อนนะ บอยเห็นอะไร” อิงค์พยายามจะเข้ามาอธิบายแต่เขาก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์เลย มันเป็นความเลินเล่อของเขาเองที่เปิดร้านทิ้งไว้ และก็เป็นความมักมากของเขาเองที่เชิญชวนสิงห์

“ไม่เห็นแต่ได้ยิน!” บอยตวาด “ทำเป็นหงิมๆ เงียบๆ หลอกใครๆ ว่าไม่มีพิษภัยแต่กลับใช้หน้าหล่อๆ มาหลอกฟันคนเขาไปทั่ว!!”

“ฟังพี่ก่อนนะบอย” อิงค์เอื้อมมือออกไป แต่เด็กหนุ่มขืนตัวหนีพร้อมกับคว้าแก้วโกโก้ปั่นสาดใส่เขา

“บอย!” อิงค์ยกมือบังไว้ทัน แก้วตกเฉียดขาเขาไปตกแตกกระจายเต็มพื้น แต่ตัวเขาก็เลอะเทอะเปรอะเปื้อนโกโก้ไปหมด

“ผมไม่กินน้ำร้านพี่อีกแล้ว ไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไรพิเรนทร์ๆ บ้าง แม้แต่นมข้นหวานยัง…” บอยเงื้อหมัดขึ้นด้วยแรงโทสะ
อิงค์รู้ตัวว่าหลบไม่พ้น เขาหลับตาเตรียมรับแรงกระแทก

ทันใดนั้นเสียงห้าวก็ตวาดดังขึ้น

“หยุด!” สิงห์ยื่นแขนมากันหมัดของเด็กหนุ่มไว้ได้ทันก่อนที่มันกระทบเข้ากลางแสกหน้าอิงค์พอดี

“พี่สิงห์!” อิงค์อุทาน ทั้งโล่งอกและดีใจ

ด้วยความเชี่ยวชาญด้านต่อยตีของหัวโจกประจำซอยที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก สิงห์วาดแขนข้างที่ใช้กันหมัดคว้าเข้าที่คอเสื้อเด็กหนุ่มแล้วผลักให้ถอยห่างออกไป

บอยพยายามโต้กลับ ถึงจะเป็นนักฬาแต่เขาก็สู้แรงสิงห์ไม่เลย และอึดใจต่อมาเขาก็โดนสิงห์จับเหวี่ยงลงไปนอนสงบสติอารมณ์บนพื้นร้าน

“มีเรื่องอะไรกัน ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันด้วย” สิงห์ถามด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจที่บอกให้รู้ว่าเขาก็กำลังโกรธอยู่เหมือนกัน

“พี่สิงห์ใจเย็นๆ ครับ” อิงค์รีบเข้ามาคว้าแขนสิงห์ไว้ข้างหนึ่ง “บอยไม่ผิดเลย เป็นความผิดผมเอง… ผมทำไม่ดีเอง”

“เธอทำอะไรไม่ดี” สิงห์ถามอิงค์ที่หน้าซีดจนเหลือสองนิ้ว ก่อนจะหันไปหาเด็กหนุ่มที่นอนแผ่หราอยู่บนพื้น “ใครก็ได้อธิบายมาหน่อย”

“คือผม…” อิงค์อึกอัก เขาเองก็ไม่รู้จะเล่ายังไง

“ฮือ…”

เสียงกระซิกดังขึ้นมาจากที่พื้น ทั้งสองหันไปมองเด็กหนุ่มที่ยกสองมือขึ้นปิดหน้าปิดตาและเริ่มต้นสะอื้นอย่างหนัก

“ผม… ผม… ผมตามจีบเธอมาตั้งนานแต่เธอก็ไม่เหลียวแลผมเลย แล้วพี่เป็นใคร แค่เป็นหนุ่มหล่อมาจากเมืองกรุงก็มาหลอกกินตับกันง่ายๆ ในร้านกลางวันแสกๆ เนี่ยนะ” บอยพูดไปสะอื้นไป

“นายว่าไงนะ!” อิงค์ถาม

“ผมได้ยินนะ เมื่อวันก่อนน่ะ ผมมาซื้อกาแฟแล้วผมก็… แล้ววันนี้พี่ก็ไปส่งเธอที่โรงเรียน คงสนุกกันข้ามวันข้ามคืนเลยสินะ”

“เดี๋ยวนะบอย บอยกำลังพูดถึงใคร”

บอยผุดลุกขึ้นนั่งรวดเร็ว “ยังจะมาทำไขสืออีก ก็รสาไง ลูกสาวร้านขนมปัง ผมเห็นนะว่าเมื่อเช้าน่ะสองคนคุยกันอี๋อ๋อสนุกใหญ่เลยแถมยังนัดแนะให้มาหากันอีกด้วย ผมเลยมาดักรอนี่ไง”

“บอย พี่ว่านายเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วนะ” อิงค์พยายามอธิบาย “พี่แค่ไปซื้อขนมปังร้านคุณจามจุรี แล้วมันก็สายแล้วพี่เลยอาสาไปส่งรสาแค่นั้นเอง”

“แล้วเสียงครางที่ผมได้ยินล่ะ พี่จะอธิบายว่าไง!”

“คือ… นั่น…” พวงแก้มขาวซับสีเข้ม อิงค์พูดไม่ออก

“เห็นไหม พี่ไม่ปฏิเสธ”

“นั่นไม่ใช่…”

“เจ้าหนู” สิงห์เอ่ยขึ้นเรียบๆ เขาเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว “ฉันไม่แน่ใจหรอกนะว่าเธอได้ยินอะไร หรือคิดเลยเถิดไปถึงไหน แต่ว่านะคนที่อยู่กับอิงค์ตลอดช่วงบ่ายของเมื่อวานคือฉันเอง”

“พี่สิงห์!” อิงค์หน้าร้อนจนแทบไหม้ เขาหันควับไปมองหน้าสิงห์ แล้วก็รู้ตัวว่าทนมองต่อไม่ได้ เพราะสีหน้าและแววตาในยามนี้ของสิงห์นั้นทั้งซื่อตรงและจริงจัง จนเขาต้องก้มหน้าหนีเพราะกลัวว่าตัวเองจะแสดงอาการแปลกๆ ออกไป

“ว่าไงนะ!” บอยเองก็ตกใจมากไม่แพ้กัน

“ต้องให้ฉันแปลให้ชัดๆ กว่านี้ไหม” สิงห์ถามพลางสอดแขนข้างหนึ่งเข้ารอบเอวอิงค์ราวกับจะประกาศความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
บอยเองก็เขินไม่แพ้กัน ทั้งเรื่องที่สิงห์แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ทั้งเรื่องที่ตัวเองเข้าใจผิดจนเรื่องราวใหญ่โต “ไม่… ไม่ต้องครับ”

“เข้าใจถูกแล้วนะ” สิงห์ถามย้ำ

“ครับ” บอยละล่ำละลักตอบ “ผมต้องขอโทษพี่อิงค์ด้วยนะครับ”

“งั้นก็กลับไปได้แล้ว”

“ผมใจร้อนไปหน่อย ผมไม่ได้ตั้งใจ…” บอยทำท่าจะพูดต่อสิงห์ก็ตัดบทขึ้นเสียก่อน

“แฟนเขาจะคุยกัน คนนอกหมดธุระแล้วก็กลับไป ตกลงนะ” สิงห์เน้นทีละคำช้าๆ ชัดๆ

บอยหน้าแดงเสียเอง “ครับ!” เขารับคำเสียงดังแล้วรีบวิ่งออกจากร้านไป

สิงห์เดินตามออกไปชะโงกหน้าดูเห็นว่าเด็กหนุ่มไปไกลแล้วจึงจัดแจงดึงประตูปิดและลงกลอนให้เรียบร้อย

“พี่สิงห์พูดอะไรน่ะ” อิงค์ที่เป็นใบ้มาสักพักด้วยความเขินจนตัวแทบระเบิดกลั้นใจพูดออกไปได้ในที่สุด

“พูดความจริงไง” สิงห์พูดเรียบๆ

“ใครเป็นแฟนพี่”

“อยากเป็นไหมล่ะ”

“เมื่อเช้ายังบอกว่าดูๆ กันอยู่เลย”

“ตอนนี้ก็ดูอยู่” สิงห์ตอบกำกวม “ไหนส่งมือมาสิ ได้แผลที่ไหนหรือเปล่า” บอกพลางคว้าตัวอิงค์เข้าไปดูใกล้ๆ เขาลูบฝ่ามือไปตามท่อนแขนสำรวจหาร่องรอยขีดข่วนแม้เพียงเล็กน้อย

“ตกลงพี่ชอบผมแล้วเหรอ” อิงค์ถามแข่งกับเสียงหัวใจที่เต้นดังขึ้นเรื่อยๆ

“ชอบแต่ไม่รัก” สิงห์ตอบนิ่งๆ

“ตกลงมันยังไง”

“เธอตัดสินใจเองแล้วกัน” สิงห์ว่าพร้อมกับแนบอุ้งมือลงข้างแก้มนิ่ม ใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบเครื่องดื่มสีเข้มออกจนเห็นเนื้อขาวก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เห็นชายหนุ่มปลอดภัยดี “ฉันเคยเตือนเธอแล้วนี่ ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันจะไม่รักเธอแน่นอน”

อิงค์ยกมือขึ้นจับมือใหญ่ที่ยังแนบอยู่ข้างแก้มแล้วก้มหน้านิ่ง รู้สึกเจ็บแปลบปลาบในอก “รู้แล้ว ไม่ต้องย้ำบ่อยๆ ก็ได้”

“กลัวเธอลืม”

“เอ่อ… แล้วพี่มาหาผมตอนนี้มีอะไรหรือเปล่า” อิงค์เปลี่ยนเรื่อง

“เอาแมวมาให้” สิงห์ชี้ไปที่ตะกร้าใบเล็กซึ่งป้าสำลีดัดแปลงมาจากตะกร้าใส่ของ มีผ้าขนหนูรองอยู่ก้นตะกร้าและปิดปากด้วยผ้าขาวบางไม่ให้แมวกระโดดออกมาได้ “ก็เธอไม่มาสักทีแถมไลน์ไปไม่ตอบ โทรหาก็ไม่รับฉันก็เลยมาเสียเอง”

อิงค์รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู มีข้อความเข้าไม่กี่คำกับจำนวนมิสคอลแค่สองสาย และด้วยจำนวนเท่านี้ทำให้สิงห์ถึงกับต้องรีบบึ่งมาหาเขาเลยเหรอ แล้วตอนนี้ก็เพิ่งจะสองทุ่มครึ่งยังห่างไกลจากเวลานัดตั้งมาก ความเป็นห่วงของสิงห์ที่มีให้เขามันอยู่ในระดับไหนแน่

“คงเป็นตอนที่ผมคุยกับบอยอยู่” อิงค์ชะโงกหน้าลงไปดูในตะกร้า เจ้าแมวส้มตัวน้อยขดตัวนอนหลับปุ๋ยสบายใจทั้งที่ข้างนอกวุ่นวายเสียงดังขนาดนี้แท้ๆ

“พรุ่งนี้เช้าฉันมารับนะ” สิงห์ว่า

อิงค์ละสายตาจากแมวไปหาด้วยความแปลกใจ “รับไปไหนครับ”

“ไปซื้ออาหารแมวกับทรายไง แล้วยังต้องไปทำวัคซีนอีกไม่ใช่เหรอ ฉันเป็นห่วง ไม่อยากให้ไปคนเดียว” สิงห์บอก “เจอกันแปดโมงนะ”

หัวใจที่เพิ่งเริ่มจะสงบลงกลับเด้นแรงขึ้นอีกครั้ง ทั้งที่ย้ำอยู่นั่นว่าให้เขาตัดใจ แต่ก็ไม่เลิกใจดีพร่ำเพรื่อกับเขาเสียที แถมยังเป็นความใจดีที่พิเศษกว่าใครๆ เสียด้วย

“ฉันไปนะ”

สิงห์กำลังจะหันหลังเดินออกไปอิงค์ก็รีบยื่นมือออกไปคว้าชายเสื้อเขาไว้ “พี่สิงห์”

...ถ้าจะใจดีขนาดนี้ งั้นช่วยตามใจเขาอีกสักเรื่องได้ไหม...

“ทำไม”

“เตียงเล็กหน่อยแต่ถ้าพี่ไม่รังเกียจ…” อิงค์เม้มปากแน่นก่อนจะพูดต่อจนจบ “พรุ่งนี้จะได้ตื่นพร้อมกัน”

สิงห์แกะมือเรียวออกจากชายเสื้อแล้วก้าวเข้าหา เขาค่อยโอบแขนเข้ารอบเอวสอบพร้อมกับสอดหน้าเข้าไปกระซิบที่ข้างหู “ถ้าได้นอนกับเธอ ที่พื้นฉันก็นอนได้”



สิงห์นั่งลงบนเตียงขนาดห้าฟุตพลางกวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่ไร้การตกแต่ง มีเพียงเครื่องเรือนและของใช้จำเป็นไม่กี่อย่างเท่านั้น แล้วก็คิดถึงตัวเองสมัยก่อนที่ถูกครอบครัวส่งไปเรียนไกลบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่มีญาติพี่น้องและคนรู้จัก ช่วงกลางวันยังมีเพื่อนคุยแต่พอตกกลางคืนที่แสงไฟดับลงมันช่างเงียบเหงายิ่งนัก คิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงเจ้าของห้องขึ้นมาจับใจ

ประตูห้องน้ำเปิดออกชายหนุ่มในชุดนอนก้าวออกมา รอบคอมีผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องอยู่ที่คอซึ่งเจ้าตัวกำลังใช้ชายผ้าด้านหนึ่งซับน้ำออกจากเรือนผม

“พี่สิงห์จะอาบไหม”

“ฉันอาบมาแล้ว” สิงห์ตอบพลางเอื้อมมือไปคว้าตัวชายหนุ่มให้มานั่งลงตรงกลางระหว่างขาแล้วแย่งผ้าขนหนูมาช่วยเช็ดหัวให้เสียเอง “จวนจะเข้าฤดูฝนแล้ว ที่นี่พอฝนตกโดยเฉพาะกลางคืนจะหนาวมากเธอเตรียมหาผ้าห่มใหม่ด้วยนะ”

อิงค์เหลือบตามองผ้าห่มผืนบางที่อยู่บนเตียง “พี่สิงห์พาไปซื้อหน่อยสิ”

“อืม” สิงห์ครางในลำคอ

“พี่รัดผมก็หล่อแต่ผมว่าพี่ปล่อยผมดูดีกว่านะ” อิงค์ว่าพลางสางปลายนิ้วเล่นไปตามกลุ่มผมที่สยายลงมาคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม สัมผัสเรียบลื่นกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ช่วยยืนยันคำพูดว่าเจ้าตัวอาบน้ำสระผมก่อนมาหาเขาจริงๆ

“เธอชอบคนผมยาวเหรอ” สิงห์ถาม

“ชอบ” อิงค์ตอบ

…ผู้ชายผมยาวเท่จะตาย…

เสียงหวานในห้วงคำนึงดังซ้อนทับขึ้นมากับเสียงชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนตัก

สิงห์ก้มหน้าลงมองชายหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นสบตาเขาพอดี

“พี่สิงห์มองผมทำไมครับ”

สิงห์ทิ้งผ้าขนหนูลงพื้นแล้วคว้าหลังศีรษะชายหนุ่มขึ้นรับจุมพิตแนบแน่น เขาจูบเนิ่นนานโดยไม่พูดอะไรจนคนในอ้อมแขนตัวอ่อนปวกเปียก ริมฝีปากถูกดูดดึงจนชาทำให้น้ำเหนียวในปากไหลล้นออกมา

“พี่สิงห์ขอพักหน่อย” อิงค์ดันหน้าอกร่างหนาออกเล็กน้อย ถึงจะคาดหวังไว้อยู่แล้วแต่จู่ๆ สิงห์ก็เล่นจู่โจมเข้ามาจนเขาตั้งตัวไม่ทัน อิงค์ก้มลงหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาจะเช็ดคราบสกปรกที่เลอะถึงปลายคางก็โดนปลายลิ้นสากฉกกลีบปากกลับไปครอบครองอีกครั้ง

“เดี๋ยวฉันเช็ดให้เอง” สิงห์กระซิบ

เขาใช้ปลายลิ้นแลบเลียตั้งแต่ปลายคางมนลงมาตามซอกคอขาว มาจนถึงแผงอกที่เขาใช้ปลายนิ้วสำรวจรอไว้ก่อนแล้ว สิงห์เขี่ยจุดยอดสีหวานทั้งสองจนมันเป็นตุ่มไตแข็งชูชันเด่นชัดขึ้นมาแม้ยังอยู่ใต้ร่มผ้า เขาครอบริมฝีปากทับลงไปข้างหนึ่งและดูดดึงผ่านเสื้อนอนตัวบางจนเปียกชุ่ม

ร่างโปร่งแอ่นรับสัมผัส มือเรียวเกร็งจิกเข้าใต้กลุ่มผมยาวแน่น “พี่สิงห์ถอดเสื้อก่อน”

“ทำไมล่ะ ไม่ชอบแบบนี้เหรอ”


“ผมอยากให้พี่สัมผัสตรงๆ”

ในขณะที่อิงค์ถอดเสื้อ สิงห์ก็จับเรียวขายาวพาดคร่อมหน้าตักเขาไปด้านหลัง ร่างโปร่งถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อสะโพกแตะโดนส่วนกลางลำตัวที่ดุนดันเป็นสันอยู่ในกางเกงผ้า สิงห์แกล้งขยับเอวไปมาให้มันถูไถกับส่วนอ่อนไหวของเขา

เลือดกายหนุ่มเริ่มเดือนพล่านอิงค์ขยับสะโพกสู้อย่างควบคุมไม่ได้

สิงห์ปลดกางเกงผ้า ผิวเนื้อที่เสียดสียิ่งเพิ่มความเสียวซ่านจนเกินควบคุม เขาดันตัวร่างโปร่งให้นอนราบลงบนเตียง ตาคมจับจ้องร่างขาวเนียนที่ลอยเด่นอยู่ในความมืด

“พี่สิงห์”

เสียงหวานกระซิบเรียกชื่อเขา แต่เสียงที่สิงห์ได้ยินกลับเป็นเสียงของใครอีกคนที่เขาไม่เคยลืมได้ลงแม้เวลาจะผ่านมานานหลายปี หญิงสาวที่เป็นรักครั้งแรกและครั้งเดียวของเขา คนที่สอนให้เขารู้จักคำว่ารักและในขณะเดียวกันก็สอนให้เขารู้จักความเจ็บปวดมากมายเช่นกัน

เขากัดฟันกรอด มือใหญ่คว้าเรียวขายาวขึ้นพาดบ่าแล้วสอดกายเข้าแทรกด้วยอารมณ์สับสนที่พลุ่งพล่านในอก มือเรียวที่ป่ายเปะปะไปทั่วแผ่นหลังกับเสียงครางเรียกชื่อเขาซ้ำไปซ้ำมาเป็นแรงกระตุ้นให้สิงห์เคลื่อนกายรุนแรงขึ้นทุกที

หากทุกครั้งที่รุกรานเข้าไปยังส่วนร้อนรุ่มของอีกฝ่าย ความรู้สึกผิดก็กลับถาโถมล้นปรี่ขึ้นในอกของสิงห์มากขึ้นเท่านั้น

สิงห์สะบัดศีรษะไล่ภาพหญิงสาวที่ยังตามหลอกหลอนอยู่ในหัวจนเรือนผมยาวปลิวกระจาย และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกทีก็ถูกแทนที่ด้วยชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟ ดวงตาที่มีน้ำรื้นขึ้นเต็มกำลังจับจ้องมาที่เขา และราวกับรับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ อิงค์ยื่นมือขึ้นมาคว้าศีรษะเขาดึงไปจูบ

สิงห์คิดไม่ออกแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ในหัวขาวโพลนไปหมด เขาแค่รับรู้รสชาติว่ามันหวานเหลือเกิน หวานจนไม่อาจปล่อยมือ เขาสอดกายเข้าไปซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อลบภาพนั้นออกไปจากใจ

แต่ไม่ว่าจะทำมากเท่าไหร่ มันก็ไม่อาจลบภาพเธอคนนั้นออกไปจากใจได้เลย

จนเขาเริ่มรู้สึกสับสันว่าจริงๆ แล้วตอนนี้ตัวเขากำลังกอดใครอยู่กันแน่

…สิงห์ตื่นเถอะ…

เจ้าของชื่อปรือตาขึ้นมองเจ้าของเสียงหวานที่ดังอยู่ข้างหู

“อืม”

เขาตอบรับพร้อมกับยื่นมือออกไปคว้าใบหน้าขาวที่ลอยอยู่ตรงหน้า เรือนผมดำยาวสยายนุ่มมือจนอยากจะดึงตัวเข้ามากอดแล้วหอมสักฟอด

แต่แล้วภาพนั้นก็หายไปด้วยอีกเสียงที่ดังทับขึ้น

“พี่สิงห์ตื่นเถอะครับ”

สิงห์สะบัดศีรษะเบาๆ ครั้งหนึ่ง ภาพหญิงสาวผมยาวหายไปกลายเป็นชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟกำลังส่งยิ้มมาให้ ในมือของเขาถือกาแฟมาสองแก้ว

อิงค์ขยับนั่งลงข้างกันแล้วส่งแก้วหนึ่งให้เขา “กาแฟครับ”

สิงห์รับแก้วกระเบื้องใส่ลาเต้ร้อนที่เทครีมเป็นรูปหัวใจดวงโตมา กลิ่นกาแฟสดชงใหม่หอมกำจายไปทั่วทำให้ใจสงบ เขายกแก้วขึ้นจิบ ความนุ่มละมุนของครีมกับรสหวานกำซาบที่ปลายลิ้นทำให้หลุดยิ้มออกมาง่ายดาย

“พี่สิงห์ครับ”

“ว่าไง”

“ที่เมื่อวานพี่สิงห์บอกผมว่าให้ไปคิดเองน่ะว่าจะเป็นแฟนหรืออะไร” อิงค์เอ่ยขึ้นช้าๆ ด้วยพวงแก้มสุกปลั่งน่าเอ็นดู

“อืม”

“ผมคิดได้แล้วนะ”

เสียงร้อง เหมียว ดังขึ้นเบาๆ ที่ข้างขา อิงค์วางแก้วกาแฟลงแล้วอุ้มเจ้าก้อนขนสีส้มที่กำลังคลอเคลียอยู่กับขาของเขาขึ้นมาวางบนตัก

“จนกว่าพี่สิงห์จะบอกว่ารัก ผมไม่กล้าเป็นแฟนพี่สิงห์หรอก”

“อืม”

“ดังนั้น” อิงค์ยื่นลูกแมวมาตรงหน้าเขา “ระหว่างนี้พี่ช่วยเป็นพ่อเจ้าเสือน้อยไปก่อนได้ไหมครับ”

ริมฝีปากหนายกยิ้มขึ้นด้วยความเอ็นดู แมวอะไรชื่อ ‘เสือน้อย’ “แล้วใครเป็นแม่มัน”

“ผมไง” อิงค์ตอบตะกุกตะกักด้วยความขัดเขิน “ได้ไหมครับ”

สิงห์มองยิ้มหวานที่กระจายอยู่เต็มหน้าขาว เขายื่นมือออกไปคว้ามือที่ถือลูกแมวนั้นไว้ขยับไปให้พ้นทางแล้วเขยิบเข้าไปจูบปากแม่แมว รสกาแฟขมปร่าที่ปลายลิ้นก่อนจะตามมาด้วยความหวานละมุน

“อิงค์ ฉันอยากตื่นเช้ามากินกาแฟกับเธอทุกวันเลย”

สิงห์กระซิบที่ข้างหู เขารู้สึกและอยากจะทำอย่างนั้นจริงๆ แม้ว่าลึกๆ แล้วตัวเขาเองจะรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าสุดท้ายแล้ว ความหวานนี้จะกลายเป็นความขมขื่นเพราะความเห็นแก่ตัวของเขาเอง

*****************************************TBC******************************************
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 8(05/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-10-2019 20:07:02
ดราม่าเพราะหน้าเหมือน เลยคิดว่าเป็นตัวแทนสินะ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 8(05/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 05-10-2019 22:48:30
 :mew2: :mew2: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 8(05/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 05-10-2019 23:19:09
อ่านแล้วก่อยากตบอิพี่สิงห์ทุกตอน มอหออว้อยย รอวันน้อง หมดความอดทน หนีไปจากอิพี่ซะ!! :fire: :m31: :katai1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 8(05/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-10-2019 10:30:02
ออๆๆ มันเป็นแบบนี้นี่เอง
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 8(05/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 06-10-2019 11:18:12
รอวันที่พี่สิงห์รักอิงค์จริงๆ ที่ไม่ใช่ตัวแทนของใคร แต่ก็ระวังอิงค์จะทนไม่ไหวก่อนนะ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 8(05/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 07-10-2019 13:54:49
มโนไปเองหรือเปล่าพี่สิงห์ ว่าน้องอิงค์เป็นตัวแทนเพราะหน้าเหมือน  จริงๆก็ชอบที่อิงค์เป็นอิงค์แหละม้างงงง
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 8(05/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 07-10-2019 14:49:25
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 8(05/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 07-10-2019 21:53:18
บทที่ 9

อิงค์ที่เพิ่งมีสัตว์เลี้ยงเป็นครั้งแรกในชีวิตยืนงงๆ อยู่ในดงชั้นวางอาหารแมวซึ่งสูงท่วมหัว เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าอาหารแมวจะมีมากมายขนาดนี้ทั้งแบบเปียกแบบแห้ง มีนม มีอาหารเม็ด แถมยังมีหลายรสไม่ว่าจะเป็นรสตับ เนื้อ ไก่ ไปจนถึงอาหารทะเล มีแบบสำหรับแมวขนยาวขนสั้น แล้วยังต้องซื้อให้ถูกช่วงอายุของแมวอีก นั่นยังไม่นับพวกของกินเล่นอย่างขนมแมวเลียหรือบิสกิตที่วางแยกออกไปอีกชั้นนะ

“จะเอาอะไรก็เอาไปสักอย่างเถอะ” สิงห์ว่าพร้อมกับหยิบถุงอาหารเม็ดรสตับโยนลงตะกร้า

“พี่สิงห์จะมาเลือกลวกๆ แบบนี้ไม่ได้นะ”

“ทำไมจะไม่ได้ เมื่อวานฉันเห็นป้าสำลีกับพี่มอญเอาอะไรให้มันกินมันก็กิน”

“เพราะป้าสำลีกับพี่มอญรู้ต่างหากว่าแมวกินอะไรได้ไม่ได้ อย่างนมที่พี่มอญเอาให้กินก็เป็นนมแพะ เพราะนมวัวจะทำให้แมวท้องเสีย” อิงค์พูดไปตามข้อมูลที่หาอ่านมาคร่าวๆ

สิงห์ครุ่นคิดอยู่อึดใจก่อนจะหยิบอาหารแมวถุงเก่าออกจากตะกร้าแล้วหยิบถุงใหม่ขึ้นมาวางบนมือทำท่าเลียนแบบยูทูปเบอร์รีวิวเครื่องสำอาง “งั้นก็เอาอันนี้ ฉันเคยดูโฆษณามาเห็นบอกว่า มีแมวต้องมีอาร์ ดูสิเจ้าเหมียวที่อยู่หน้าถุงเหมือนเจ้าหนูนั่นเลย มันต้องชอบแน่ๆ ... หรือไม่งั้นก็อันนี้ สมาร์แคท ขนสวยฉับไวขับถ่ายเป็นเวลา เฮ้ย! ฉันว่าอันนี้ดี เอาอันนี้เลย”

“แล้วอันนั้นมันต่างจากอันปกติยังไงครับ” อิงค์ชี้ไปยังถุงอาหารแมวสีเงินที่หน้าซองมีตัวอักษรสีทองคาดทับว่า พรีเมียม และสนนราคาของมันก็สูงกว่ายี่ห้ออื่นๆ ถึงเท่าตัว

“แพงกว่าก็ดีกว่าไง” สิงห์สรุปรวดเร็ว

“แล้วถ้าเสือน้อยไม่ชอบกินล่ะ เปลืองตังเปล่าๆ”

“ถ้างั้นเราก็เอาไปให้หมดทุกอย่างเลยดีไหม ซื้อแบบถุงเล็กไปให้ลองวันละอย่างสองอย่าง ไอ้ตัวเล็กนี่ชอบกินแบบไหนรอบต่อไปค่อยมาซื้อถุงใหญ่”

“เหลือทิ้งก็เสียดายของ”

สิงห์เบะปากพลางยกตะกร้าใส่แมวขึ้นมาระดับสายตา “นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้เอาใจยากจริงๆ เจ้าหนูนี่ เลี้ยงยากนักก็ไปอยู่วัดเถอะ”

เสือน้อยพองขนใส่พร้อมกับร้องเหมียวขู่

“เจ้านี่มันไม่ชอบขี้หน้าฉันจริงๆ ด้วย” เขาแหย่นิ้วเข้าตรงตาตะกร้า

เสือน้อยขยับถอยหลังหนีหนึ่งก้าวก่อนกระโดดตะปบ หากสิงห์ที่รู้อยู่แล้วก็ดึงนิ้วออกได้ทันทำให้เสือน้อยหัวโหม่งตะกร้างงๆ ว่าวัตถุต้องสงสัยที่ยื่นเข้ามาในอาณาเขตของมันหายไปไหน

สิงห์หัวเราะชอบใจเจ้าลูกแมวที่หันไปร้องเหมียวๆ กับอิงค์ “แหม~ มีฟ้องด้วยเว้ย!”

อิงค์รีบอุ้มตะกร้าหนีให้พ้นมือสิงห์ที่ทำท่าจะแหย่นิ้วเข้าไปแกล้งมันอีกรอบ

“ก็พี่สิงห์ชอบแกล้งมันแบบนี้ไง ผมเห็นนะเมื่อเช้าตอนอยู่ที่ร้านมันอุตส่าห์ไปอ้อนพี่สิงห์จะเล่นด้วย พี่สิงห์ก็เอาเท้าเขี่ยมันจนกระเด็น แล้วตอนผมหันหลังให้เมื่อกี้พี่สิงห์ก็แอบดีดหูมันด้วยใช่ไหม”

“มันไม่ได้มาอ้อนแต่มาฝนเล็บกับขาฉันเล่นต่างหาก เนี่ยดูสิเป็นรอยเลย” สิงห์ฟ้องคืนพลางถกขากางเกงให้ดูรอยเล็บแมวบนน่อง “แล้วถ้าเธอหันหลังอยู่เธอเห็นได้ไงว่าฉันดีดหูมัน ฉันอาจจะลูบหัวมันด้วยความเอ็นดูก็ได้นะ”

“ก็มันสะท้อนในกระจก”

สิงห์หน้าหงิก “ตาสับปะรด!”

“มีอะไรใช่ช่วยไหมคะคุณสิงห์” พนักงานสาวประจำร้านสัตว์เลี้ยงเห็นทั้งสองยืนเถียงกันอยู่นานจึงเข้ามาสอบถาม

“พอดีเลยครับ ช่วยเจ้าหนูนี่เลือกอาหารแมวหน่อย” สิงห์ว่า

“ท่าทางยังเด็กอยู่เลย น้องชื่ออะไรคะ”

“อิงค์ครับ”

“น้องอิงค์กี่ขวบแล้วคะ”

“ยี่สิบห้าครับ”

“เอ๋~ ถ้างั้นก็แก่แล้วนะคะ แต่ทำไมตัวเล็กจังเลย น้องเป็นโรคอะไรหรือเปล่าคะ”

“ก็เคยมีคนทักบ่อยๆ ครับว่าผอมไป แต่ผมก็พยายามกินเยอะๆ แล้วก็ออกกำลังกายแล้วนะครับแต่มันก็ไม่อ้วนขึ้นเลย”

พนักงานสาวหน้าเหวอไปเล็กน้อยกับคำตอบ ส่วนสิงห์ก็ตั้งหน้าตั้งตาหัวเราะท้องคัดท้องแข็งจนต้องเอามือจับชั้นวางของเพื่อพยุงตัว

“เขาถามถึงแมว” สิงห์บอกไปขำไป เขาว่าจะทักตั้งแต่คำถามแรกแล้วล่ะแต่เห็นอิงค์ตอบจริงจังแบบซื่อๆ ดูน่ารักดี ทำให้เขานึกถึงวันแรกที่เจอกันเมื่อห้าปีก่อนก็เลยเงียบไว้อยากรู้ว่าเจ้าตัวจะเอะใจตอนไหน

อิงค์อายจนแทบจะมุดถุงอาหารแมวหนี “ขอโทษครับ”

พนักงานสาวเอามือปิดปากกลั้นยิ้มก่อนจะแนะนำต่อ “ตกลงน้องคนไหนกินนะคะ”

“เสือน้อยครับ” อิงค์รีบชี้ไปที่ลูกแมวตาแป๊วในตะกร้า

“ตกลงชื่อเสือน้อยไม่ใช่น้องอิงค์นะคะ”

“ครับ”

ด้วยความช่วยเหลือของพนักงานสาวทั้งสองจึงได้อาหารแมว ขนมแมวเลีย กระบะและทรายแมวมาครบถ้วน ส่วนฟูกนอนนั้นอิงค์ตัดใจจากเบาะกลมนุ่มๆ สีส้มเข้ากับสีขนมันไปก่อนเพราะราคาค่อนข้างสูง แค่นี้ก็ทำเอากระเป๋าฟีบแล้ว แล้วตอนนี้มันก็ดูนอนสะดวกสบายดีในตระกร้าที่ป้าสำลีทำมาให้

“เอาอันนี้ด้วยสิ ไว้ไปเล่นกับมัน” สิงห์หยิบไม้ล่อแมวที่ตรงปลายติดขนไก่ใส่ตะกร้าไปด้วย

เสร็จจากซื้อของก็ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลสัตว์คราวนี้อิงค์ที่มีประสบการณ์หน้าแตกมาแล้วตอนอยู่ร้านอาหารสัตว์จึงไม่ปล่อยไก่แล้วตอนเจ้าหน้าที่ตรงโต๊ะทำประวัติถามชื่อ

“เสือน้อยครับ” เขาตอบเสียงดังฟังชัด ส่วนสิงห์ก็ยืนอมยิ้มมองอยู่เงียบๆ

ระหว่างนั่งรอตรวจอิงค์มองไปรอบๆ เห็นราคาค่าตรวจกับวัคซีนที่ติดอยู่บนป้ายก็หน้าซีดไปเล็กน้อย ถึงจะเปิดร้านกาแฟแต่ก็ใช่ว่าเขาจะมีเงินเยอะแยะแถมเป็นเงินหมุนทั้งนั้น เงินเก็บที่มีก็เอามาลงกับร้านจนเกือบจะหมดตัวแล้ว อิงค์ก้มลงมองเจ้าตัวเล็กที่จ้องตาแป๊วออกมาจากก้นตะกร้าแล้วล้วงมือลงไปลูบหัวมัน ซึ่งมันก็ตอบรับโดยการเชิดหน้าชูคอให้เขาลูบเล่นไปจนถึงหาง

อิงค์ยิ้มกับตัวเอง เมื่อตัดสินใจว่าจะเลี้ยงดูชีวิตหนึ่งแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุดจะมาทำครึ่งๆ กลางๆ หรือทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่ได้

หลังจากตรวจเสร็จสิ้นสัตวแพทย์สาวก็เรียกไปฟังผล

“เธอไปคนเดียวนะ” สิงห์บอกอย่างติดรำคาญนิดๆ

อิงค์ไม่ว่าอะไรและอุ้มตะกร้าเข้าห้องไป แค่สิงห์ที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบสัตว์ยอมมาแกร่วรอกับเขาครึ่งค่อนวันก็ดีถมไปแล้ว

“ผลเลือดกับอุจจาระปกตินะคะ ไม่ติดเชื้ออะไร ไม่เป็นโรคเอดส์แมวกับลูคีเมีย หูมีขี้หูนิดหน่อยหมอล้างออกให้แล้ว แต่ผิวแห้งแล้วก็มีแผลอักเสบทั่วๆ ตัวค่อนข้างเยอะ หมอจ่ายยาให้มีทั้งเป็นแชมพูเอาไปอาบน้ำกับยาทานะคะอีกสองอาทิตย์มาตรวจอีกครั้งพร้อมกับฉีดวัคซีนเข็มที่สองนะคะ”

“ดีจังนะที่แกแข็งแรงดี” อิงค์อุ้มลูบหัวมันครั้งหนึ่งแล้วอุ้มตะกร้าออกมาเพื่อไปจ่ายเงินแต่เจ้าหน้าที่หน้าเคาน์กลับบอกเขาว่ามีคนจัดการให้แล้ว

“คุณสิงห์จ่ายเรียบร้อยแล้วค่ะ”

อิงค์หันไปยังเก้าอี้ตรงจุดนั่งรอ แต่ยังไม่ทันจะมองหา สิงห์ก็เดินมายืนตรงหน้าแล้วคว้าถุงยากับใบนัดที่อิงค์หิ้วพะรุงพะรังอยู่ไปถือเสียเอง “เสร็จแล้วก็กลับกันเถอะ”

“ค่ายาเท่าไหร่ครับ”

“ไม่เป็นไร” สิงห์โบกมือ

“ไม่เป็นไรได้ไงครับ แค่ค่าตรวจก็เกือบพันแล้วนะ”

“ฉันออกเอง”

“แต่ว่า…”

“แม่อุ้มมันไปเฉยๆ ก็พอที่เหลือพ่อจัดการเอง”

“พ่อ…” อิงค์ทวนคำหน้าแดง

“ก็เธอเพิ่งแต่งตั้งให้ฉันเป็นพ่อมันนี่” สิงห์ว่า ที่เขาไม่เข้าไปฟังผลด้วยเพราะรู้ว่าอิงค์ต้องไม่ยอมให้เขาช่วยจ่ายแน่ๆ ตอนอยู่ที่ร้านขายอาหารสัตว์ก็ทีนึงแล้วทั้งที่เขาอุตส่าห์รีบส่งเงินให้แคชเชียร์ก่อนแท้ๆ

“เดี๋ยวสิ้นเดือนปิดงบแล้วผมจ่ายคืนนะ”

“มาจ่ายคงจ่ายคืนอะไรอีก ก็บอกว่าออกให้ไง” สิงห์หันไปเคาะตะกร้าเสือน้อย “นี่เจ้าตัวเล็ก บอกแม่แกหน่อยสิว่าไม่ต้องเป็นห่วง หืม~ แน่ะ ทีแบบนี้ล่ะไม่พูดนะ”

เสือน้อยมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที เหมียว~

“ก็ผมเกรงใจ”

“ถ้าเธอไม่สบายใจนักก็ถือว่าเป็นค่ากาแฟเมื่อเช้าละกัน”

“ผมขายกาแฟแก้วละสี่สิบเองนะครับ”

“งั้นก็หักไปจนกว่าจะครบ”

“ต่อให้ชงให้พี่สิงห์กินทุกวัน เดือนนึงก็ยังไม่พอเลยนะ”

“ไม่พอก็ทบต่อไปเดือนหน้า” สิงห์ว่า “ทำไม? ไม่อยากชงกาแฟให้ฉันกินแล้วเหรอ”

อิงค์นึกถึงคำพูดที่สิงห์บอกกับเขาเมื่อเช้า

“อิงค์ ฉันอยากตื่นเช้ามากินกาแฟกับเธอทุกวันเลย”

เสือน้อยร้องเหมียวเบาๆ ราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

อิงค์ยิ้มให้มัน “พ่อแกนี่น่ารักไม่เบาเลยนะเสือน้อย”

มันร้องตอบ

เหมียว~

ทั้งสองกลับมาถึงร้านตอนใกล้เที่ยงก็เห็นบอยยืนชะเง้อชะแง้รออยู่หน้าร้าน

“มาซื้อโกโก้เหรอบอย เข้ามาสิ” อิงค์ร้องทักออกไปทั้งรอยยิ้มในขณะที่สิงห์ถอนหายใจเฮือกใหญ่และทำหน้าไม่รับแขกอย่างไม่ปิดบังเพราะยังรู้สึกโกรธเรื่องเมื่อวานอยู่ ส่วนอิงค์นั้นเห็นได้ชัดว่าไม่คิดอะไรแล้ว

เจ้าของร้านกาแฟหนุ่มวางตะกร้าใส่แมวลงบนพื้น เจ้าเสือน้อยรีบกระโดดผลุงออกมาหลังจากต้องทนอุดอู้มานาน มันเดินสำรวจไปรอบๆ ร้านอย่างตื่นเต้นกับโลกใบใหม่ ก่อนจะกระโดดขึ้นไปตรงเก้าอี้รังนก เดินหมุนเป็นวงรอบหนึ่งเป็นการประกาศความเป็นเจ้าของแล้วขดตัวลงนอน

“แม้แต่ที่ที่ฉันชอบนั่งแกยังแย่งเลยเหรอวะ” สิงห์บ่นอุบ

บอยเดินไปนั่งลงตรงที่ประจำหน้าเคาน์เตอร์ “พี่อิงค์ เรื่องเมื่อวานผมขอโทษนะ”

“อืม พี่ยกโทษให้” อิงค์ตอบจากใจ เขาไม่ถือสาอะไรแล้ว

บอยค่อยยิ้มออก เขาเปิดกระเป๋าสตางค์และหยิบเงินส่งให้ “นี่ค่าน้ำวันนี้กับเมื่อวานครับ”

“ไม่เป็นไร ถือว่าพี่เลี้ยง…”

แต่อิงค์ยังพูดไม่ทันจบประโยคสิงห์ก็เอื้อมมือมาคว้าเงินไป

“โกโก้ปั่นแก้วละสี่สิบ สองแก้วเป็นแปดสิบ ค่าแก้วที่เธอทำแตกไปอีกยี่สิบรวมเป็นหนึ่งร้อยบาทพอดี ไม่มีทอนนะ”

“ค่าแก้วไม่ต้องคิด…” อิงค์พยายามจะพูดต่อแต่ก็โดนสิงห์ขัดอีกครั้ง

“คิดสิ” สิงห์เอ็ดเบาๆ พร้อมกับยัดเงินใส่มืออิงค์ “ไม่ได้นะเจ้าหนู ของซื้อของขาย เธอใจดีเลี้ยงไปทั่วแบบนี้จะมีกำไรได้ไง”

อิงค์หันไปสบตาบอยที่พยักหน้าขอให้รับเงินไว้ อิงค์จึงเก็บเงินใส่ลิ้นชักและเริ่มชงโกโก้ปั่นไม่หวานให้บอย

ครู่ต่อมาก็มีรถเก๋งคนหนึ่งมาจอดที่หน้าร้าน กลุ่มหญิงสาววัยรุ่นสี่คนก้าวลงมา ทุกคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสมีคนหนึ่งสวมหมวกปีกกว้างทั้งที่ไม่มีแดด

พวกเธอยืนจดๆ จ้องๆ กันอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้ามา

“สวัสดีครับ” อิงค์ร้องทักออกไปจากหลังเคาน์เตอร์ “รับอะไรดีครับ”

หญิงสาวไม่ตอบเขาแต่หันไปรวมหัวซุบซิบกันซึ่งอิงค์ไม่ได้ยิน แต่สิงห์ที่เดินมานั่งตรงบริเวณนั้นพอดีได้ยินเต็มสองหู

“เฮ้ยแก ใช่จริงๆ ด้วยว่ะ”

“ตรงปก!”

“แถมหล่อกว่าในรูปอีก”

ชายหนุ่มอมยิ้มมุมปากแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น

“พวกแกอย่าเพิ่งคุย ไปสั่งกาแฟก่อน ฉันอยากมองหน้าพี่เขาใกล้ๆ” หญิงสาวคนที่หมวกปีกกว้างพูดขึ้น

แล้วพวกเธอทั้งสี่คนก็พากันเปลี่ยนที่มามุงกันตรงเคาน์เตอร์ จนบอยที่นั่งอยู่ก่อนต้องเขยิบหลบเพื่อให้พวกเธอดูเมนูกันได้ถนัด

“น่ากินไปหมดเลย เอาอะไรดี”

“โกโก้ปั่นที่นี่อร่อยนะครับ” บอยบอกพร้อมกับชูแก้วเครื่องดื่มในมือ

“นอกจากโกโก้แล้วมีเมนูอะไรแนะนำอีกไหมคะ” หนึ่งในกลุ่มหญิงสาวหันมาถามอิงค์

“ก็จะเป็นเมนูกาแฟทั้งร้อนและเย็นครับ” อิงค์บอก

“แล้วมีอะไรอีกคะ”

“เอ่อ…” อิงค์ทำหน้านึก สิงห์ก็ตะโกนสั่งมาจากตรงที่นั่ง

“อิงค์เอาลาเต้ร้อนให้แก้วนึง”

“ได้ครับ” เขาร้องตอบไป

“ทำลาเต้อาร์ตสวยๆ มาด้วยนะ แล้วนอกจากสิงโตแล้วเธอทำเป็นตัวอะไรได้อีก”

“พี่สิงห์อยากได้รูปอะไรล่ะครับ”

“แมว” สิงห์ว่าพลางเหลือบตามองเจ้าก้อนขนที่เริ่มกรนเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ ดูท่ามันจะยึดที่ตรงนั้นเป็นมั่นเหมาะเสียแล้ว “อยากกินแมวทำให้หน่อย”

“ทำลาเต้อาร์ตเป็นด้วยเหรอคะ” หญิงสาวถาม

“พอได้ครับ” อิงค์นึกขึ้นได้ว่าถ่ายรูปสิงโตที่ทำให้เหมราชเมื่อวานเก็บไว้ด้วยจึงเปิดโทรศัพท์ให้พวกเธอดู “ถ้าแบบสามมิติก็ประมาณนี้น่ะครับ แล้วก็ลายแบบที่ใช้วิธีการเทกับวาดผมทำได้ทั้งรูปหัวใจ ใบไม้ หงส์หรือตัวการ์ตูนอื่นๆ ก็ได้ครับถ้าคุณลูกค้ามีแบบมา ผมจะพยายามทำให้สุดฝีมือเลยครับ”

“งั้นเอาลาเต้ค่ะวาดเป็นรูปภูเขานะคะ” หญิงสาวได้เมนูแรก “พวกแกล่ะเอาอะไร เอาเหมือนกันไหม คนละลายถ่ายลง IG สวยดี”

แล้วอีกสามคนที่เหลือก็รีเควสรูปสิงโตที่อิงค์ให้ดู ใบไม้แล้วก็รูปหน้ายิ้ม

พอได้กาแฟไปแล้วพวกเธอก็กรี๊ดกร๊าดและผลัดกันถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน

“สมกับเป็นพี่สิงห์จริงๆ” บอยที่นั่งเท้าคางดูดโกโก้ปั่นอยู่เอ่ยขึ้น

“ทำไมเหรอบอย” อิงค์ที่กำลังตั้งใจปั้นฟองนมเป็นรูปแมวถาม

“ก็เมื่อกี้ที่พี่สาวกลุ่มนั้นถามหาเมนูแนะนำพี่ก็อ้ำๆ อึ้งๆ นึกไม่ออกใช่ไหมล่ะ พี่สิงห์เขาเลยตะโกนสั่งลาเต้มาแล้วก็ไกด์นำว่าพี่ทำเป็นรูปอะไรได้ นี่ขนาดผมมากินน้ำร้านพี่ทุกวันยังไม่รู้เลยนะ พี่น่าจะถ่ายรูปไว้แล้วเอามาทำเป็นเมนูคนจะได้รู้ จะได้เป็นจุดขายอีกอย่างของร้านด้วยไง”

“ขอบคุณนะที่แนะนำ พี่ก็ลืมนึกถึงตรงนี้ไปเลย”

พูดไปอิงค์ก็นึกขึ้นได้ว่าเทรนด์การซื้อเครื่องดื่มสมัยนี้หน้าตาต้องมาก่อน ต้องสวย ต้องแปลก ต้องน่ารัก ไว้เป็นพร๊อพประกอบรูปลงโซเชียลเก๋ๆ ส่วนรสชาตินั้นเป็นเรื่องรองขอแค่พอกินได้ก็ได้เปรียบเจ้าอื่นไปหลายขุม แต่ถ้ารสชาติดีด้วยก็ยิ่งขายดี

“แล้วที่บอยบอกว่าสมเป็นพี่สิงห์หมายความว่าไง” อิงค์ถามต่อ

“ก็สมกับเป็นทายาทคนเดียวของไกรสรกรุ๊ปไงครับ” บอยบอก “เทคนิคการขายสุดยอด ข่วงเมืองสิงห์ที่แกบริหารอยู่เห็นว่าพอเรียนจบกลับมาจากเมืองนอกปุ๊บก็ออกมาทำเองโดยไม่แบมือขอเงินที่บ้านสักบาทแล้วก็ประสบผลสำเร็จดีซะด้วย เห็นเงียบๆ แต่คนมาเที่ยวน่านถามหาไม่ขาด เขาทั้งให้ทุนการศึกษาแล้วก็เป็นสปอนเซอร์ใหญ่ให้ทีมฟุตบอลโรงเรียนผมด้วยนะ ที่คนรู้จักเขาทั้งเมืองก็เพราะสร้างชื่อเสียงเองล้วนๆ ไม่พึ่งบารมีพ่อเลย อายุแค่สามสิบห้าแต่ทำได้ขนาดนี้เท่สุดๆ”

อิงค์มองสิงห์ที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ ถึงว่าสิใครๆ ก็รู้จักสิงห์ไม่เว้นแม้แต่พนักงานร้านขายอาหารสัตว์ และเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลสัตว์ แล้วทุกคนก็ดูชื่นชมเขามากทีเดียว

อิงค์ยกลาเต้อาร์ตรูปแมวนอนขดไปเสิร์ฟให้สิงห์ “ได้แล้วครับ”

“ขอบใจนะ”

จังหวะนั้นอิงค์เหลือบไปเห็นว่าบนหน้าจอโทรศัพท์ในมือสิงห์ที่เปิดค้างไว้เป็นรูปถ่ายที่ค่อนข้างจะมั่นใจว่าจะเป็นรูปเขาจึงชะโงกหน้าเข้าไปดู “พี่สิงห์ถ่ายรูปผมทำไมครับ”

“เปล่านี่” สิงห์ขยับโทรศัพท์หลบให้พ้นสายตาและยกกาแฟขึ้นจิบทำไม่รู้ไม่ชี้

อิงค์เหลือบตามองกลุ่มสาวๆ ที่กำลังนั่งจิบกาแฟเม้าท์มอยกันสนุกสนานและนึกเอะใจอะไรบางอย่าง เขาเดินกลับมาที่เคาน์เตอร์และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูทวิตเตอร์อันนั้นอีกครั้ง ยอดรีทวิตกับยอดไลก์พุ่งไปถึงหลักหมื่นแล้ว แต่อิงค์ไม่ได้สนใจตรงนั้น เขาดูเสื้อผ้าที่ตนเองสวมใส่และนึกย้อนกลับไปว่าวันที่พี่มอญมาร้านเขาไม่ได้ใส่ชุดนี้ เสื้อตัวนี้เขาใส่วันที่สิงห์มาที่ร้าน แล้วมุมกล้องที่ถ่ายก็น่าจะมาจากแถวๆ เก้าอี้รังนก และเวลาโพสต์ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันนั่นเอง

อิงค์นึกถึงสีหน้าประหลาดใจมากกว่าจะเขินของพี่มอญตอนเขากล่าวขอบคุณ แล้วหันไปมองสิงห์ที่นั่งจิบกาแฟเล่นโทรศัพท์

กาแฟขวดกับคุ้กกี้ที่ปู่กมลเอาให้เขาดูก็เป็นของที่เขาทำให้เผื่อไปให้สิงห์ที่ข่วงเมืองสิงห์เช่นกัน

ตลอดเวลาที่ผ่านมาสิงห์แอบช่วยเขามาตลอดเลยเลยเหรอ แม้กระทั่งตอนที่ยังทำปั้นปึงไม่ยอมพูดจากัน

เขาหันไปมองสิงห์อีกครั้ง จังหวะอีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมาพอดี อิงค์ส่งยิ้มกว้างไปให้ด้วยความขอบคุณ และสิงห์ก็ส่งยิ้มตอบกลับมา

หลังจากลูกค้าสาวกลุ่มนั้นไปก็มีกลุ่มใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง มากกว่าครึ่งมาตามรีวิวในเพจคนรักน่านกับทวิตเตอร์ ส่วนที่เหลือก็แวะมาเพราะเห็นว่ามีคนเข้าร้านเยอะดีดูน่าสนใจ

วันนี้ It’ sra จึงคึกคักเป็นพิเศษ ถึงจะเหนื่อยแต่อิงค์ก็ยิ้มออก เขาเดินเสิร์ฟกาแฟและคุยกับลูกค้าโต๊ะนั้นโต๊ะนี้ จนคนที่นั่งจิบกาแฟแอบมองอยู่คิดว่าไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วจึงตั้งท่าจะกลับลูกค้าสาวคนใหม่ก็เดินเข้ามาพอดี

“สวัสดีค่าาา~”

“ว่าไงรสา” อิงค์ทักทายลูกสาวร้านขนมปังที่แวะมาตามสัญญา

“รสา!” บอยที่นั่งดูดโกโก้อยู่เงียบๆ ออกอาการลนลานขึ้นมาทันทีที่เจอสาวที่ชอบ

“อ้าวบอยมาทำอะไรที่นี่”

“มาร้านกาแฟก็มาซื้อกาแฟสิ” ด้วยความเขินจึงทำเป็นเก๊กตอบไปแบบแมนๆ ที่คิดว่าเท่ แต่ในมุมมองสาวเจ้านั้นคิดว่าเขาอยากจะกวนเธอและดูไม่น่าคบหาสักนิด

“จะรับอะไรดี” อิงค์ถาม

สารสานั่งลงตรงหน้าเคาน์เตอร์ถัดจากจากบอยนั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มนั่งตัวแข็งเป็นหิน “พี่อิงค์มีเมนูอะไรแนะนำล่ะ”

“กาแฟไหม”

“ก็ได้นะคะ”

“รสาไม่ชอบกินกาแฟไม่ใช่เหรอ” บอยที่แอบฟังอยู่โพล่งออกไป เขาแอบชอบเธอมาตั้งแต่ม.ต้น คุณจามจุรีมักจะเอาขนมปังมาแจกจ่ายให้ทีมฟุตบอลของเขาเวลาซ้อมหรือมีแข่งและเธอก็ตามมาช่วยบ่อยๆ เขาที่ตกหลุมรักเธอตั้งแรกพบพยายามจะชวนคุยแต่ก็เขินจนตัวบิดไปทุกครั้งเลยทำได้แค่มองอยู่ห่างๆ

สารสาหันไปมองเด็กหนุ่ม เธอย่นคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาหาอิงค์ที่ยิ้มหวานเสนอเมนูต่อไปให้

“ชาเขียวไหม”

“อืม” สารสามีทีท่าลังเลเล็กน้อยก่อนจะสั่ง “โกโก้ปั่นละกันค่ะ”

เด็กหนุ่มนี่แอบเงี่ยหูฟังใจเต้นโครมคราม นี่ล่ะนะ แค่คนที่ชอบสั่งเมนูเดียวกัน ก็ดีใจจะแย่แล้ว

“พี่อิงค์ๆ รสามีข่าวดีจะบอก ตกลงพ่อไม่ปิดร้านแล้วล่ะ พ่อตัดสินใจว่าจะสู้ดูอีกสักตั้ง”

“ดีใจด้วยนะ”

“ต้องขอบคุณพี่อิงค์กับพี่สิงห์มากๆ เลยนะคะ”

“พวกพี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นเพราะความตั้งใจของรสาต่างหาก” อิงค์เหลือบตามองเด็กหนุ่มที่นั่งดูดหลอดเล่นทั้งที่โกโก้หมดแก้วไปนานแล้ว เขานึกอยากช่วยให้บอยสมหวังจึงเอ่ยขึ้น “เออนี่รสา อาทิตย์หน้าว่างไหม”

“ว่างค่ะ ทำไมคะ”

“ได้ข่าวว่าฟุตบอลโรงเรียนของจังหวัดเราได้เข้ารอบชิงแล้วนี่ พี่เลยว่าจะไปเชียร์สักหน่อย แต่พี่ไม่มีเพื่อนไปเลย รสาไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ”

เด็กสาวนิ่งคิด อิงค์รีบหยอดเพื่อเร่งให้เธอตัดสินใจ

“รสาไปกับพี่นะ พี่อยากดูมากเลย… นะๆ เดี๋ยวพี่เลี้ยงขนม”

“ได้ค่ะ วันอาทิตย์เจอกันนะคะ” เด็กสาวรับปากมั่นเหมาะแล้วถือแก้วโกโก้ปั่นเดินดูดออกไปอย่างอารมณ์ดี

พอสารสาคล้อยหลังบอยที่นั่งเป็นหุ่นก็กลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง เขาเหลียวมองคนที่แอบชอบเลิ่กลั่ก “พี่อิงค์ทำอะไรน่ะ!”

“ช่วยนายจีบรสาไง”

“ช่วยยังไง”

“ก็ให้รสาไปดูความเก่งกาจของศูนย์หน้าดาวซัลโวไง เท่ขนาดนี้สาวๆ ที่ไหนก็ต้องตกหลุมรัก”

“ง่ายแบบนั้นก็ดีน่ะสิพี่ รสาเกลียดผมจะตาย ที่เขารับปากจะไปดูฟุตบอลเป็นเพราะพี่ชวนหรอกนะ รู้ไว้ด้วย”

“ให้พี่แคนเซิลไหม” อิงค์ถาม

“อย่านะ!”

“อ้าว”

“ถึงงั้น ก็อยากให้ไปดูนี่นา… สักครั้งก็ยังดี” บอยดูดน้ำที่เหลือติดก้นแก้วจนหมดแล้วลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีฮึกเหิม “ผมไปซ้อมก่อนนะพี่ นัดนี้ต้องชนะเท่านั้น!”

“สู้ๆ นะ” อิงค์ชูหมัดให้กำลังใจ เห็นสิงห์ลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกจากร้านจึงรีบวิ่งตามออกไปส่ง “พี่สิงห์กลับแล้วเหรอ ขอบคุณนะครับที่ไปซื้อของเป็นเพื่อน นี่เป็นขนมเล็กๆ น้อยๆ ให้ป้าสำลีกับพี่มอญทานกับกาแฟตอนบ่ายครับ” บอกพลางส่งถุงคุ้กกี้ธัญพืชให้

สิงห์รับมา หน้ามุ่ยน้อยๆ ที่ไม่มีชื่อตนรวมอยู่ในของฝาก แต่ยังไม่ทันจะกล่าวท้วงเจ้าของร้านกาแฟหนุ่มก็หยิบอีกถุงหนึ่งขึ้นมาส่งให้

“อันนี้ของพี่สิงห์”

สิงห์เปิดปากถุงออกดูเค้กหน้านิ่ม ตรงหน้าเค้กที่ปกติจะเป็นช๊อกโกแลตปาดเรียบ ถูกวาดเพิ่มด้วยครีมสดเป็นรูปหัวใจดวงโตใส่ลงไป “ขอบคุณที่ไปเป็นเพื่อนเหรอ”

อิงค์พยักหน้าที่เริ่มแดงไปจนถึงหู “ถึงจริงๆ จะอยากให้ไปเป็นแฟนมากกว่าก็เถอะ”

สิงห์หัวเราะในลำคอ นึกขำในความใจแข็งของตนว่าทนเจ้าสิ่งมีชีวิตน่ารักแบบนี้ได้ยังไง

“วันอาทิตย์หน้าพี่ว่างไหม”

“เธอชวนรสาไปดูบอลแล้วนี่” สิงห์บอกตามที่ได้ยิน

“อยากให้พี่ไปด้วย… ได้ไหม”

“น่าจะต้องทำงาน”

“งั้นก็ไม่เป็นไรครับ”

“แต่จะทำให้ว่างก็ได้นะ”

“ยังไงครับ”

“ต้องแลกเวรให้ป้าสำลีเฝ้าเคาน์เตอร์แทน แล้วฉันก็ต้องไปทำงานอย่างอื่นชดใช้วันหลัง”

“ทำพี่สิงห์ยุ่งยากหรือเปล่า”

“ก็ยุ่งยากอยู่ แต่ถ้าเธอมีของตอบแทนน่าสนใจก็คุ้มที่จะยุ่งยากอยู่นะ… เอางี้ เธอทำอะไรให้กินหน่อยสิ”

“พี่สิงห์อยากกินอะไรครับ”

“แมววันนี้ไม่อร่อยเลย” สิงห์เปรย

“แล้วพี่สิงห์จะกินอะไรครับ”

“แม่แมว” สิงห์พูดยิ้มๆ “เดี๋ยวตอนเย็นมาช่วยอาบน้ำให้เจ้าตัวเล็กนะ”

(ต่อข้างล่างค่ะ)


หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 8(05/10/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 07-10-2019 21:56:09
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“เสือน้อยพ่อแกนี่น่ารักจริงๆ เลยนะ” อิงค์นั่งรออยู่หน้าร้านกับเจ้าเสือน้อยที่กำลังวิ่งไล่ขนไก่ตรงปลายไม้ที่เขาแกว่งล่อไปมาอย่างสนุกสนาน

อิงค์ดึงคอเสื้อขึ้นดมและเช็กกลิ่นปากอีกรอบนึงให้แน่ใจว่ายังหอมอยู่ เขาอาบน้ำทาแป้งรอตั้งแต่หัววัน พอสิงห์มาถึงจะได้รีบอาบน้ำให้แมวแล้วจะได้รีบกลับ… เขาคิดแค่นี้จริงๆ นะไม่ได้คาดหวังอะไรเล้ย~

“อยากให้พ่อแกค้างต้องทำยังไงนะเสือน้อย” อิงค์รำพึงก่อนจะปิดหน้าด้วยความเขินว่าพูดอะไรออกไป เขาเคาะไม้ติดขนไก่รัวๆ จนเจ้าเสือน้อยที่ไล่ตะครุบไม่ทันร้องเหมียวๆ ราวกับจะบ่นว่า

‘แม่เป็นอะไรมากปะ’

“ขอสิ”

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของร่างสูงใหญ่ตรงประตู

สิงห์เดินมานั่งลงข้างกันแล้วดึงเอาไม้ขนไก่จากมืออิงค์ไปแหย่เจ้าเสือน้อยเล่นเสียเอง “พร้อมหรือยัง ไปอาบน้ำกัน”

“พร้อมตั้งนานแล้วครับ”

“มิน่าสิตัวหอมเชียว” สิงห์ชะโงกหน้ามาพิสูจน์ที่ข้างแก้ม ทำเอาคนโดนขโมยหอมหน้าแดงไปหมด

ทีแรกอิงค์คิดว่าการอาบน้ำให้เจ้าเสือน้อยจะไม่ยากเท่าไหร่เพราะตอนตรวจสุขภาพกับฉีดวัคซีนมันก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

แต่เขาคิดผิด!

แมวเป็นสัตว์กลัวน้ำ พอเขาเอาฝักบัวจ่อไปที่ตัวมันปุ๊บ เจ้าตัวเล็กที่นั่งสงบนิ่งอยู่ในกะละมังดีๆ ก็ทำขนพองแล้วกระโจนหนีน้ำขึ้นไปเกาะหัวสิงห์แน่น

เหมียว~ แม้ววว~ หง่าวววว~

ถ้าฟังภาษาแมวรู้เรื่องคงจะได้ยินมันกรีดร้องว่า

‘หนูไม่อาบน้ำนะแม่ ม่ายยย~ หนูหนาว~ หนูยอมตัวเหม็น’

“ไม่ได้นะเสือน้อย เดี๋ยวแผลไม่หาย”

‘ไม่หายก็ช่างมันดิแม่ เดี๋ยวหนูเลียเอาก็ได้’

“เจ้าหนู! เอาไอ้ตัวเล็กนี่ออกจากหัวฉันเดี๋ยวนี้ หนังหัวฉันจะหลุดแล้วเนี่ย! ตกลงแกเป็นแมวหรือตุ๊กแกวะ ไอ้เปี๊ยก!!”

“เสือน้อยมานี่เร็ว มา คนเก่ง”

มันร้องเสียงดังน้ำหูน้ำตาไหล ‘ม่ายอาววว~ แม่ใจร้าย หนูไม่รักแม่แล้ว~’

หลังจากใช้เวลาเกือบชั่วโมงในห้องน้ำ ภารกิจอาบน้ำแมวครั้งแรกในชีวิตอิงค์ก็ประสบผลสำเร็จ

เจ้าเสือน้อยที่โดนขัดสีฉวีวรรณทุกซอกทุกมุมเป่าขนจนแห้งสนิท กระโดดหย็องแหยงไปรอบๆ อย่างอารมณ์ดี เป็นครั้งแรกในชีวิตลูกแมวจรข้างถนนอย่างมันที่รู้สึกสะอาดสบายตัวขนาดนี้ ขนที่พันกันเป็นสังกะตังเรียงเส้นสวย กลิ่นตัวหอมฉุย กลายเป็นแมวคนละตัวไปเลย

“หล่อเลยใช่ไหมล่ะ” อิงค์ยิ้มพอใจในผลงาน

เสือน้อยวิ่งมาพันแข้งพันขาอย่างประจบประแจง

เหมียว~

‘ขอบคุณนะคับ หนูรักแม่ที่สุดเลย~’

เขาหันไปหาสิงห์ที่นั่งหมดสภาพ หัวหูยุ่งเหยิงเพราะโดนเจ้าลูกแมวเล่นงานแล้วหลุดขำออกมาเล็กน้อย “ผมอาบน้ำให้ไหม”

“อือ” สิงห์ครางรับในลำคอพร้อมกับถอดเสื้อผ้าฝ้ายกับกางเกงขายาวที่เปียกจนชุ่มออกกองไว้ที่พื้น เหลือแต่ตัวเปล่าๆ แล้วเดินนำเข้าไปในห้องน้ำ

อิงค์ใจสั่นขณะเดินตามแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามกับสะโพกแน่นสมส่วนเข้าไปในห้องน้ำ

สิงห์เปิดน้ำแล้วโยนฝักบัวส่งให้เขา “อาบให้สะอาดนะเจ้าหนู”

ถึงสิงห์จะยืนก้มหน้าให้แล้วแต่ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่โตกว่ามากอิงค์ก็ยังทำอะไรยากอยู่ดี “น้องสิงห์ลงไปนั่งในกะละมังได้ไหมครับ”

เขาแกล้งแซวแต่สิงห์ก็ทำตามอย่างว่าง่ายโดยการนั่งขัดสมาธิลงบนพื้น อิงค์เทแชมพูลงบนเรือนผมยาวที่ราดน้ำจนชุ่ม เขาขยี้เบาๆ จนขึ้นฟองนุ่มเต็มศีรษะแล้วขยับปลายนิ้วนวดวนไปทั่วๆ

สระผมเสร็จเทน้ำล้างอิงค์ก็เอาสบู่มาถูจนเกิดฟอง เขาโปะฟองไปบนแผ่นหลังกว้าง สีขาวของฟองนุ่มตัดกับผิวสีแทนดูเซ็กซี่บาดใจจนอิงค์ที่พยายามอดใจมาตลอดเริ่มมือไม้สั่น

เขาค่อยๆ ลูบมือไปตามแนวกล้ามเนื้อบ่า ไหล่ ต้นแขน ลงไปจนถึงเนินหน้าอก

สิงห์เหลือบตามองลำแขนเรียวที่พาดลงมา “ตัวเธอเปียกแล้วนี่ มาอาบด้วยกันไหม”

“ย… อย่าดีกว่าครับ”

“ไม่ต้องเกรงใจไปหรอกน่า”

สิงห์คว้าแขนอิงค์แล้วดึงร่างเพรียวให้หมุนมานั่งลงบนตัก ฝักบัวที่เปิดค้างไว้หลุดจากมือร่วงลงพื้นแล้วสะบัดไปมาจนน้ำกระเซ็นไปทั่ว ตอนนี้อิงค์ที่มานั่งอยู่ในอ้อมแขนสิงห์เปียกปอนตั้งหัวจรดเท้า เสื้อยืดตัวบางที่สวมอยู่แนบเนื้อเน้นทุกส่วนสัดและเปิดเผยไปถึงไหนต่อไหน ทำให้เขารู้สึกเหมือนเนื้อตัวล่อนจ้อนทั้งที่ยังสวมเสื้อผ้าอยู่ครบทุกชิ้น

“ฟอกสบู่ต่อนะ” สิงห์คว้าก้อนสบู่มาลูบไปบนผิวเนื้อ เขาแกล้งเน้นตรงจุดยอดสองจุดบนหน้าอกที่นูนเด่นขึ้นมาเป็นพิเศษ

อิงค์เริ่มหายใจขัด ตัวสั่นน้อยๆ ไม่ใช่เพราะสายน้ำเย็นแต่เป็นเพราะมือใหญ่ของคนที่โอบกอดมาจากด้านหลังนั้นรู้ดีเหลือเกินว่าต้องสัมผัสเขาตรงไหนถึงจะทำให้รู้สึกดี บางจุดอย่างตรงหลังหูแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าแค่แตะโดนเบาๆ จะทำให้หัวใจวาบหวิวจนแทบจะขาดใจเสียให้ได้ขนาดนี้ เขาหันหน้าไปหาสิงห์ยังไม่ทันจะเรียกร้องหาจูบ ริมฝีปากหยักลึกก็ประกบปิดลงมาเติมเต็มแนบแน่น

ท่อนขาแข็งแรงสอดเข้าใต้ขาเขาแล้วจับแยกให้กางขาออก

“ฟอกข้างล่างด้วยสิครับ” อิงค์กระซิบขอเสียงพร่า

สิงห์สอดปลายนิ้วลงไปตรงขอบกางเกงยางยืดแล้วดันก้อนสบู่ลงไป ก่อนจะวางมือทับด้านบนแล้วจับสบู่ถูวนไปรอบๆ จากนอกร่มผ้า

“พี่สิงห์ชอบแกล้ง”

“อิงค์ก็ชอบให้ฉันแกล้งนี่นา” สิงห์เป่าลมอุ่นที่ข้างหูแล้วขบเนื้ออ่อนริมหูเบาๆ พลางถกขอบกางเกงยางยืดลง ก้อนสบู่ถูกของที่ซ่อนอยู่ข้างในดีดออกมาตกที่ข้างขา ส่วนยอดที่ชูชันอยู่ตรงแนวกลางลำตัวเลอะไปด้วยของเหลวสีขาวที่แยกไม่ออกว่าเป็นน้ำสบู่หรือน้ำอะไร สิงห์ใช้ปลายนิ้วแตะลงไปเบาๆ แต่กลับทำให้ร่างโปร่งในอ้อมแขนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง “อยากได้อะไรดี มือหรือปาก”

“อ… เอาหมดเลย” อิงค์ตอบเสียงสั่น เกร็งมือเกาะแขนแกร่งแน่น “ของพี่สิงห์ด้วย”

สิงห์กดริมฝีปากลงบนบ่าลาด “ตรงนี้ไม่ถนัด ไปต่อที่เตียงกันนะ” พูดจบก็จับเจ้าของร้านกาแฟหนุ่มถอดเสื้อผ้าจนเหลือแต่ตัวเปล่าๆ หยิบฝักบัวขึ้นมาเปิดน้ำล้างจนหมดฟอง “เกาะคอฉันไว้นะ”

อิงค์ทำตามแบบงงๆ แล้วสิงห์ก็อุ้มเขาลอยขึ้นจากพื้น ทั้งที่เขาเองก็เป็นผู้ชายตัวโตแท้ๆ แต่พออยู่กับสิงห์แล้วกลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าหนูตัวเล็กๆ ไปเลย

เสือน้อยนั่งมองตาแป๊วตอนที่เห็นผู้ปกครองของมันพากันหอบหิ้วขึ้นไปบนชั้นสอง

‘แม่จะไปนอนแล้วเหรอ หนูไปด้วย~’

มันวิ่งเข้ามาคลอเคลียล้อมหน้าล้อมหลังสิงห์ที่คอยใช้เท้าเขี่ยมันไปให้พ้นทาง

‘แม่! พ่อแกล้งหนูอีกแล้ว’

“เจ้าหนูนี่ขี้โวยวายจัง” สิงห์วางอิงค์ลงบนเตียง เขาก้าวตามขึ้นไปทาบทับกำลังจะจูบให้หนำใจ หากสิ่งที่ได้มาเต็มปากคือขนแมว

สิงห์ถ่มขนออกจากปากแล้วจ้องมองเจ้าลูกแมวที่วิ่งขึ้นมานอนบนอกอิงค์หน้าตาเฉยและทำตาเหลือกใส่เขา

‘แม่! พ่อทำไรหนูก็ไม่รู้’

“นี่สินะที่เขาเรียกว่ามารหัวขน” สิงห์บ่นแล้วหิ้วคอเจ้าก้อนขนออกไปโยนไว้หน้าประตูห้อง

เสือน้อยยกสองขาขึ้นฝนเล็บกับประตูที่ปิดสนิทดังแกรกๆ

‘แม่~ ทำไรกันให้หนูเข้าไปด้วยจิ… แม่ค้าบบบบ~ แม่~’

“ฉันบอกเธอแล้วว่ามันขี้โวยวาย” สิงห์พูดขำๆ “แถมยังหวงแม่มันเสียด้วยนะ น่ารำคาญจริงๆ เดี๋ยวจับกินซะเลยนี่”

อิงค์หัวเราะคิกคัก “ลูกไม่อร่อยหรอก กินแม่มันดีกว่า”

สิงห์หันมาจ้องร่างขาว นัยน์ตาพราวระยับ “จริงเหรอ”

เรียวขายาวค่อยชันขึ้นแล้วขยับกางออกอย่างเชิญชวน “ลองชิมดูสิครับ”

สิงห์แลบลิ้นเลียริมฝีปาก “เดี๋ยวจะกินให้หมดตัวเลย”

เสือน้อยเงี่ยหูฟังเสียงกุกกักของเตียงไม้ที่ลั่นเอี๊ยดอ๊าดในห้องอย่างนึกแปลกใจ และไม่มีวี่แววว่าผู้ปกครองของมันคนใดจะมาเปิดประตูให้

มันแลบลิ้นเลียขนที่เป็นมันก่อนจะเดินหมุนเป็นวงแล้วล้มตัวลงนอนขวางที่หน้าประตู

*************************TBC**********************

ขอบคุณที่ติดตามค่าาาา ช่วงนี้กำลังฟิตจะพยายามมาให้ได้ทุก จ. พ. ศ.นะคะ

หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 9(07/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 07-10-2019 23:20:10
ทำ(แมว)เด็กใจแตก สงสารเสือน้อย โดนทิ้งไว้หน้าห้อง
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 9(07/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-10-2019 13:45:26
แม่แมวขยันอ่อยมาก555
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 9(07/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-10-2019 21:13:02
แม่แมวขี้ยั่วมาก ส่วนพ่อแมวก็อย่าใจแข็งนานเลยนะ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 9(07/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 10-10-2019 03:05:39
บทที่10
วันแข่งฟุตบอลนัดชิงแชมป์ระดับจังหวัดมาถึง ดูเหมือนอิงค์ที่เป็นแค่ผู้ชมจะตื่นเต้นกว่าผู้เข้าแข่งขันเสียอีก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ออกไปเที่ยวกับสิงห์ในแบบที่ไม่ใช่การไปทำธุระหรือบังเอิญเจอกันข้างนอกอย่างที่แล้วมา แม้จะมีรสาไปด้วยแต่ก็แค่แป๊บเดียว เพราะเดี๋ยวเขาก็จะปล่อยให้เธอไปอยู่กับบอยแล้ว หลังจากนั้นเขาก็จะได้อยู่กับสิงห์สองคน

เสือน้อยเดินมานั่งมองอิงค์ที่ยืนหมุนไปหมุนมาอยู่หน้ากระจกด้วยความสนอกใจ ไม่น่าเชื่อว่าเวลาแค่หนึ่งอาทิตย์จากลูกแมวจรหน้าตามอมแมมตอนนี้จะกลายเป็นแมวหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลา ร่างกายผอมแกร็นเริ่มมีเนื้อหนังเพราะได้กินอิ่มวันละสามมื้อ

เวลาอิงค์เปิดร้านเสือน้อยจะเดินไปรอบๆ ร้านช่วยต้อนรับลูกค้า มันกลายเป็นที่รักของลูกค้าสาวๆ ซึ่งต้องขอถ่ายรูปกลับไปเป็นที่ระลึกทุกราย แล้วมันก็ฉลาดรู้มุมกล้องเสียด้วยนะว่าต้องเก๊กท่าไหนถึงจะน่ารักบาดใจสาว ท่าประจำของมันคือทำตาโตหันข้างอวดปลอกคอติดโบสีชมพูอันใหญ่ที่อิงค์ซื้อให้เป็นของรับขวัญ ทุกคนจะได้รู้ว่าเสือน้อยเป็นแมวมีเจ้าของนะ

วันไหนรับแขกจนเหนื่อยมันจะหนีมานอนตรงหน้าเคาน์เตอร์ให้อิงค์ขยำพุงเล่น แต่ที่ที่โปรดปรานที่สุดของมันคือเก้าอี้รังนก เวลาบ่ายแก่ๆ แดดอุ่นๆ ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาช่างนอนหลับสบายเป็นที่สุด

“วันนี้อยู่บ้านคนเดียวนะเสือน้อย”

มันร้องตอบเสียงใส เหมียว~

‘แม่ไปไหนอะคับ’

“ไปเชียร์บอลกับพี่สิงห์เย็นๆ กลับ”

เหมียว~

‘คุณแม่ไว้ใจเสือน้อยได้เลยคับ’

เสือน้อยรับคำ ด้วยความที่เป็นแมวมันก็ไม่ค่อยเข้าใจมนุษย์เท่าไหร่หรอก มันรู้แค่ว่าอิงค์เป็นแม่มันเพราะคอยดูแลหาข้าวหาปลาให้กิน พาอาบน้ำทายา กลางคืนก็นอนด้วยกัน เก้าอี้รังนกอาจหลับสบายแต่ที่ที่มันรู้สึกปลอดภัยที่สุดคือตรงหัวไหล่ของอิงค์ที่มันชอบเอาหัวไปซุกนอนทุกคืน ส่วนมนุษย์ยักษ์อีกคนที่ชอบมาวอแวกับแม่อิงค์นั้นเสือน้อยไม่ชอบเลย เขาชอบแกล้งเสือน้อยไม่พอยังชอบแกล้งแม่อิงค์อีก แถมยังเคยไล่เสือน้อยไปนอนนอกห้องด้วย ยังไงมนุษย์ยักษ์คนนี้เสือน้อยก็ไม่ยอมรับมาเป็นพ่อเสือน้อยเด็ดขาด

อิงค์แต่งตัวเสร็จจะลงไปข้างล่าง เสือน้อยรีบยกสองขาหน้าขึ้นตะกายขา เขาจึงก้มตัวลงไปอุ้มมันขึ้นมาหอมครั้งหนึ่ง แล้วจับมันพาดไว้บนหัวไหล่ เพราะเสือน้อยยังตัวเล็กแล้วขั้นบันไดที่ร้านเขานั้นก็ค่อนข้างชัน ตอนเดินขึ้นไม่มีปัญหาแต่ถ้ามันลงเองบางครั้งจะหน้าทิ่ม เวลาลงบันไดมันจึงชอบอ้อนให้อิงค์อุ้มลงเสมอ

ถึงจะเสียเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ ไปกับเสือน้อยค่อนข้างเยอะแต่อิงค์รู้สึกว่าทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไปนั้นแสนคุ้มค่า ไม่ใช่แค่ความรู้สึกอิ่มเอมใจที่ได้ช่วยเหลือสัตว์โลกตัวหนึ่งให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ตอนนี้เสือน้อยกลายมาเป็นสมาชิกอีกคนของ It’ sra และเป็นอีกหนึ่งในรอยยิ้มทุกๆ วันของเขา เป็นอย่างที่ป้าสำลีเคยบอกไว้จริงๆ ว่าคนเลี้ยงแมวไม่มีทางเหงา

อิงค์ลงบันไดมาถึงชั้นล่าง ยิ้มที่ระบายอยู่ในหน้าอยู่แล้วก็กระจ่างชัดขึ้นอีก เมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนรออยู่หน้าร้านแต่เช้าตรู่ทั้งที่เวลาแข่งขันนั้นจัดขึ้นตอนเย็นแท้ๆ

“มารอกินกาแฟฟรี” สิงห์ให้เหตุผล

“แค่ไปดูบอลต้องแต่งตัวหล่อขนาดนี้ด้วยเหรอ” อิงค์ปล่อยเสือน้อยลงพลางกวาดตามองคนที่แปลกตาไปจากทุกวันด้วยเสื้อแจ๊คเก็ตกีฬายี่ห้อดังสีดำกับกางเกงยีนส์สีซีด ผมยาวถูกรวบครึ่งหัวไปไว้ด้านหลังดูเรียบร้อยและเท่ในเวลาเดียวกัน

“ปกติดูบอลก็ไม่แต่งแบบนี้หรอก” สิงห์บอก “พอดีวันนี้ไปเดตน่ะเลยต้องแต่งดีหน่อย”

“เดตเดิดอะไรเล่า” อิงค์ว่า “รสาก็ไปด้วยนะ”

“แต่ฉันไม่ได้ไปกับรสา” สิงห์บอกหน้าตาเฉย “ฉันไปกับเธอ”

อิงค์รู้สึกว่าอุณหภูมิบนหน้าตอนนี้ร้อนจนใช้ต้มกาแฟได้เลย เขาเลี่ยงไปชงกาแฟให้สิงห์ ระหว่างที่ชงก็คอยชะเง้อคอมองข้ามเคาน์เตอร์ไปยังสิงห์ที่กำลังใช้ไม้ติดขนไก่แหย่เสือน้อยเล่น ไปด้วย

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาสิงห์มาหาเขาทุกวันหลังปิดร้าน ดูสิงห์เป็นห่วงเขามากหลังจากเหตุการณ์ที่เขาทะเลาะกับบอยวันนั้น และเห็นสภาพความเป็นอยู่ของเขา ถึงตอนกลางวันร้านจะคึกคักแต่พอตกกลางคืนถนนเส้นนี้ก็ถือว่าเปลี่ยวมาก บ้านหลังที่อยู่ใกล้ที่สุดถึงจะมองออกไปเห็นกันแต่ก็ใช้เวลาเดินมาห้านาที ถ้าหากตอนนั้นสิงห์มาช่วยไม่ทันหรือคนที่บุกมาหาเรื่องไม่ใช่บอยแต่เป็นโจรหรือผู้ไม่ประสงค์ดี เขาจะร้องเรียกให้ใครช่วยได้และเรื่องมันอาจไม่ได้จบดีแบบวันนั้น

ทีแรกอิงค์ก็แอบคิดว่าสิงห์มาหาเพราะหวังอย่างอื่นในตัวเขา เพราะเขาเป็นคนออกปากชวนไว้เองว่าถ้าต้องการก็มาหาได้ทุกเมื่อ แต่สิงห์แค่มาคุย กินกาแฟ แกล้งเสือน้อยให้หงุดหงิดเล่นแล้วก็กลับไปเฉยๆ และเป็นเช่นนี้ทุกวันจนกลายเป็นตัวเขาเองที่นึกเสียดายว่าทำไมถึงได้แค่จูบส่งเข้านอน

อิงค์ล้วงมือลงไปในกระเป๋าและหยิบที่สิ่งเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานออกมาถือไว้แล้วยกกาแฟไปเสิร์ฟ “พี่สิงห์ครับ”

“อะไร” สิงห์เลิกคิ้วเมื่อเห็นเจ้าของร้านกาแฟกำมือยื่นมาตรงหน้า

อิงค์คว้ามือสิงห์ขึ้นมาแล้วมือตัวเองที่ยังกำเป็นหมัดไว้วางลงไป “ผมให้พี่สิงห์”

พออิงค์ชักมือกลับไป สิงห์ถึงได้เห็นว่ามันเป็นกุญแจดอกใหญ่ดอกหนึ่ง

“วันหลังจะได้ไม่ต้องมายืนรอ” อิงค์บอกเขินๆ การให้กุญแจบ้านถือเป็นการให้ความไว้เนื้อเชื่อใจทั้งหมดที่เขามี และเขาก็คิดทบทวนมาหลายรอบแล้วว่าสิงห์ดีพอจะรับมันไว้

สิงห์เขกกำปั้นลงกลางศีรษะเขาเบาๆ ครั้งหนึ่ง “ไม่กลัวฉันพาคนมายกเค้าหรือไง”

“พี่สิงห์รวยกว่าผมตั้งเยอะ แล้วที่ร้านผมก็ไม่มีของมีค่าอะไรน่าขโมยด้วย” อิงค์ว่า

“มีสิ”

“แค่มอเตอร์ไซค์ตกรุ่นคันเดียวเอง”

“ไม่ใช่”

“เครื่องชงกาแฟเหรอ”

“ไม่ใช่”

อิงค์กอดอกครุ่นคิด นึกไม่ออกว่าในร้านเล็กๆ ของตัวเองจะมีของมีค่าอะไรอีก เขาเหลือบตาขึ้นมองสิงห์ที่อมยิ้มมุมปากพร้อมกับเฉลย

“นายไง”

“ขายไม่ได้นะ”

“ไม่ขาย แต่จะขโมยไปเก็บไว้เอง” สิงห์บอก ตาคมก้มลงมองกุญแจในมือ เขายกยิ้มน้อยๆ แล้วเก็บมันใส่กระเป๋าเสื้อ “วันนี้ปิดร้านครึ่งวันบอกลูกค้าไว้แล้วใช่ไหม”

“เรียบร้อยครับ”

“ลงทุนจังเลยนะ” สิงห์กวาดตามองคนที่สวมเสื้อยืดทีมฟุตบอลประจำโรงเรียนเสียเต็มยศ “นี่ถ้าฉันไม่รู้มาก่อนว่าเธอจีบฉัน แล้วเด็กคนนั้นแอบชอบรสาอยู่ ฉันต้องคิดว่าพวกนายสองคนกิ๊กกันแน่ๆ”

“กิ๊กเกิ๊กอะไรล่ะครับ” อิงค์พูดไปหัวเราะไป “ตัวผมน่ะเป็นลูกชายคนเดียว ลูกพี่ลูกน้องหรือหลานก็ไม่มี ผมเลยเอ็นดูบอยเหมือนน้องคนหนึ่ง แล้วบอยน่ะก็เป็นทั้งลูกค้าและเพื่อนคนแรกของผมที่น่านเลยนะ เห็นร้านผมเหงาๆ ก็แวะมาคุยแล้วก็พาเพื่อนมาอุดหนุน วันที่แข่งชนะรอบคัดเลือกก็ยกทีมมานั่งฉลองกันตรงเก้าอี้ที่พี่สิงห์ยืนอยู่นี่แหละ” เขาชี้มือไปที่เสื้อที่สวมอยู่ “เสื้อตัวนี้น่ะรสาเอามาให้เมื่อวันก่อน ตอนที่ผมชวนก็ดูเหมือนไม่อยากไปแต่พอกลับถึงบ้านแล้วก็ส่งข้อความมาคุยกับผมรัวๆ จนตอบแทบไม่ทัน ผมว่านะงานนี้น้องผมมีหวัง”

“เธอแน่ใจนะว่ารสาไม่ได้จีบเธอ”

อิงค์ส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้เลยครับ ไม่เชื่อพี่สิงห์ดูแชทผมกับรสาได้ ทักมาหาถ้าไม่คุยเรื่องขนมก็บ่นพ่อให้ฟัง” พูดจบอิงค์ก็เปิดหน้าข้อความส่งให้เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ

สิงห์รับมาลากดูผ่านๆ ถึงเขาจะดีใจที่อิงค์มีเพื่อนรุ่นน้องให้คุยเล่นและปรึกษาได้ แต่ก็รู้สึกโหวงๆ ในใจแปลกๆ เพราะดูเหมือนจะมีบางมุมของอิงค์ที่เขาไม่เคยได้เห็นแต่สองคนนั่นกลับนำหน้าเขาไปแล้ว อย่างเรื่องแชทนี่ถึงอิงค์จะขอเขาเป็นเพื่อนมานานหลายเดือนแล้วแต่ข้อความในนั้นรวมกันยังไม่เท่ากับที่คุยกับรสาแค่อาทิตย์เดียวเลย

“นายนี่มีแต่คนรักนะ ทั้งป้าสำลี พี่มอญ เสือน้อยแล้วก็ยังเด็กบอยนั่นกับรสาอีก” สิงห์บอกพลางส่งโทรศัพท์คืน มีความตัดพ้อปนไปกับน้ำเสียงนิดๆ

“ไม่ทุกคนหรอกครับ”

“ยังเหลือใครอีกล่ะ”

“พี่สิงห์ไง” อิงค์บอก “จีบมาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นใจอ่อนสักที”

“ไม่อ่อนง่ายๆ หรอก”

“ทำไมล่ะครับ”

ยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนเรียวปาก สิงห์โน้มตัวมาข้างหน้าแล้วกระซิบที่ข้างหู “เพราะเจอหน้าเธอทีไรมันคอยจะแข็งตลอด”

อิงค์ตีมือบนหน้าอกกว้างแก้เขิน “ไม่ต้องมาแกล้งหยอกให้ผมดีใจเลยครับ... เห็นมาทีไรก็กลับไปมือเปล่าตลอด”

“จะทำทุกวันก็กลัวไม่มีแรงตื่นมาเตรียมของตอนเช้า” สิงห์ว่า “ตั้งใจว่าจะทำสัปดาห์ละสองวันพอ อยากจะถนอมเธอไว้นานๆ”

“สองวันนี่วันไหนบ้างครับ”

“วันที่อิงค์ปิดร้าน”

“แล้วอีกวันล่ะครับ”

“วันที่อิงค์เปิดร้าน”

อิงค์ย่นคิ้ว บางที่สิงห์ก็ชอบให้ความหวังจนเขาตามหัวใจตัวเองกลับมาแทบไม่ทัน “นั่นทุกวันแล้วไหมครับ”

“ก็ทุกวันน่ะสิ” สิงห์บอกก่อนจะกดริมฝีปากตรงกลางระหว่างคิ้วให้รอยย่นนั้นคลายออก “ของที่จะเอาไปส่งอยู่ไหนเดี๋ยวฉันช่วยขนขึ้นรถ”

อิงค์นัดเจอสารสาที่สนามแข่ง เมื่อขึ้นไปถึงอัฒจันทร์เชียร์ฝั่งโรงเรียนของบอยคนก็ค่อนข้างหนาตาแล้วเพราะเป็นทีมดังขวัญใจของอำเภอและเป็นแชมป์ประจำจังหวัดปีที่แล้ว แต่ว่าทีมคู่แข่งนั้นก็มีศักดิ์ศรรไม่ต่างกันเพราะก็มีดีกรีเป็นถึงทีมอันดับสองที่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาหลายสมัย เรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งตลอดกาลเลยก็ว่าได้

“พี่อิงค์ทางนี้” สารสาโบกมือเรียกมาจากที่นั่งตำแหน่งด้านหลังประตู เธอมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยเพราะนอกจากพี่ชายคนหล่อแล้วยังมีพี่ชายตัวโตเดินตามมานั่งด้วย “อ้าว พี่สิงห์ก็มาด้วยเหรอคะ”

“พี่ส่งข้อความบอกรสาแล้วนี่นา” อิงค์พูด

“ก็รสานึกว่าพี่สิงห์จะไปนั่งตรงนู้น~” สารสาบุ้ยใบ้ไปทางอัฒจันทร์ตรงที่นั่งของประธานและผู้ทรงคุณวุฒิ

อิงค์มองไปในกลุ่มเห็นเหมราชในชุดเสื้อกีฬาเต็มยศนั่งคุยอยู่อย่างรสกับหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งข้างๆ แต่อิงค์เห็นหน้าเธอไม่ชัดเพราะเหมราชนั่งบังตัวเธอเสียเกือบครึ่งแถมเธอยังหมวกแก๊ปไว้กันแดดอีก แต่ดูจากรูปร่างที่แสนสะโอดสะองนั่นแล้วอิงค์ก็รู้สึกได้เลยว่าเธอยังอยู่ในวัยสาวและคงสวยไม่หยอก ส่วนที่นั่งอีกฝั่งของเหมราชนั้นยังว่างอยู่คล้ายกับตั้งใจจัดไว้ให้ใครสักคนนั่งเพราะที่นั่งอื่นๆ นั้นเต็มหมดแล้ว

“พี่สิงห์จะไปนั่ง...” อิงค์หันไปถามสิงห์ก็ชิงตอบขึ้นเสียก่อน

“ฉันจะนั่งตรงนี้” เขาบอกพลางทรุดตัวลงนั่งข้างๆ อิงค์

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครเหรอ” อิงค์หันไปกระซิบถามกับสารสาด้วยความสงสัย

“คุณเกตถวา ภรรยาคุณเหมราชค่ะ” สารสาบอก

อิงค์เหลือบตามองสิงห์ นี่คงเป็นเหตุผลที่เขาไม่อยากไปนั่งกับพ่อ

การแข่งขันนัดชิงแชมป์เริ่มขึ้นอย่างดุเดือด ทั้งสองทีมต่างใส่กันเต็มที่ ไม่ใช่แค่ตำแหน่งแชมป์ที่ต้องแย่งมา แต่ทีมที่ชนะเพียงทีมเดียวเท่านั้นที่จะได้เป็นตัวแทนระดับจังหวัดไปแข่งในระดับประเทศต่อไป

“บอยเก่งเนอะ” อิงค์ชี้ชวนให้เด็กสาวดูเด็กผู้ชายตัวสูงที่วิ่งฝ่ากองหลังเข้าไปเพื่อทำประตูแต่ก็โดนสกัดเอาไว้ได้ทำให้ยิงพลาดเฉียดประตูไปนิดเดียว อิงค์ตบตักฉาดด้วยความเจ็บใจ “โธ่เอ๊ย! ไม่เป็นไร เอาใหม่ๆ ” เขาป้องปากตะโกนส่งกำลังใจให้คนยิง

“ที่บอกว่าอยากมาดูนี่ไม่ได้โกหกแฮะ” สิงห์กระซิบพลางกำป๊อบคอร์นรสคาราเมลในถังบนตักส่งใส่ปากเคี้ยวหยับๆ แล้วดูดเป๊บซี่ตาม

“ผมชอบดูฟุตบอลอยู่แล้วครับ” อิงค์ตอบ “ทั้งบอลโรงเรียน บอลอบต. บอลมหา’ ลัย บอลสโมสรผมเชียร์ได้หมด แต่ทีมที่เชียร์เป็นแฟนเลยคือบางกอกยูไนเต็ด ตอนอยู่กรุงเทพนี่ผมตามไปดูทุกนัดเลยนะ”

“เหรอ” สิงห์พยักหน้า เขาเองก็เป็นคนชอบดูบอลเหมือนกัน แต่รู้สึกว่านัดนี้ดูคนเชียร์บอลจะสนุกแถมเพลินตากว่ากันเยอะเลย คิดแล้วก็นั่งมองคนข้างๆ พลางกำป๊อบคอร์นใส่ปากเคี้ยวต่อ

เกมดำเนินมาถึงช่วงท้ายแต่ผลคะแนนก็ยังอยู่ที่ศูนย์ประตูต่อศูนย์ เหลือเวลาอีกแค่ห้านาทีเท่านั้น ถ้าหากใครทำประตูได้ในห้านาทีนี้ก็จะได้เป็นแชมป์แน่นอนแบบไม่ต้องสงสัย

“โอ๊ย! ลุ้นจนฉี่จะราดอยู่แล้ว พี่สิงห์ลุกขึ้นมาช่วยกันเชียร์หน่อยเร็ว” อิงค์หันไปดึงคอเสื้อคนที่เอาแต่นั่งกินป๊อบคอร์นให้ลุกขึ้นยืน ซึ่งสิงห์ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย

จู่ๆ ท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้มมาตั้งแต่ช่วงบ่ายเพราะเข้าสู่ต้นฤดูฝนแล้วก็สาดน้ำลงมาสู่สนามแข่งอย่างไม่มีปี่ไม่ขลุ่ย แต่ทั้งผู้เข้าแข่งขันในสนามและกองเชียร์ต่างก็ไม่มีใครยอมถอยกันง่ายๆ

สิงห์คว้ามืออิงค์จะพาเข้าร่ม แต่พอเห็นสายตามุ่งมั่นเป็นประกายกล้าที่มองไปในสนามเขาก็เปลี่ยนเป็นยกมือขึ้นบังฝนให้แทน

“บอยสู้ๆ ยิงเลย!” อิงค์ตะโกนเชียร์สุดเสียงเมื่อเด็กหนุ่มสามารถลากบอลบุกเดี่ยวฝ่ากองหลังเข้าไปถึงหน้าประตูได้อีกครั้ง

ศูนย์หน้าดาวยิงหยุดบอลยืนจ้องตากับผู้รักษาประมือฉมัง ทั้งสนามราวกับจะลุกเป็นไฟท่ามกลางที่สายฝนที่โหมกระหน่ำ บอยเริ่มเขี่ยบอลหลอกล่อซ้ายทีขวาทีแล้วออกวิ่งไปยังประตู เขาเงื้อแข้งขึ้นสุดเตรียมจะหวดเต็มเหนี่ยว

แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!

กองหลังคนหนึ่งวิ่งกลับมาได้ทัน เขาสไลด์ตัวมาจากด้านหลังเพื่อสกัดบอลแต่กลับเสียบเข้าที่ข้อเท้าของบอยเต็มๆ ราวกับจงใจ

เสียงเป่านกหวีดดังลั่น ทั้งสนามเงียบกริบเมื่อศูนย์หน้าดาวยิงทรุดลงไปกองกับพื้นหญ้าสองมือกุมข้อเท้าแน่นด้วยความเจ็บปวด

กรรมการเป่านกหวีดให้ใบเหลืองกองหลังคนนั้นและให้เป็นจุดโทษ แต่ด้วยข้อเท้าที่เจ็บหนักและสายฝนที่สาดมาไม่ขาดสายทำให้แรงยิงลดลงและลูกบอลก็ลอยไปเข้ามือผู้รักษาประตูอย่างง่ายดาย

เวลาแข่งขันหมดลงพอดี กรรมการชูป้ายให้ทดเวลาเจ็บสิบนาที แต่ขาของบอยเจ็บจนวิ่งต่อไม่ไหวแล้ว อิงค์เห็นเด็กหนุ่มยกมือขึ้นปิดหน้าแน่นในขณะที่ให้เปลสนามหามออกไปปฐมพยาบาล

แล้ววิกฤตของทีมบอยก็กลายเป็นโอกาสของคู่แข่งที่สามารถทำประตูพลิกเกมเอาชนะไปได้ในช่วงทดเวลาเจ็บนั้นเอง

การแข่งขันจบลงแล้ว ประธานในพิธีทำการมอบถ้วยรางวัลชนะเลิศให้กับทีมผู้ชนะ พิธีกรประกาศซ้ำไปซ้ำมาถึงรางวัลที่ทีมชนะได้รับคือการเป็นตัวแทนจังหวัดไปแข่งระดับประเทศ อัฒจันทร์เชียร์ฝั่งตรงข้ามร้องเพลงแข่งกับเสียงฝนสนุกสนาน ในขณะที่ทางฝั่งนี้คนดูค่อยๆ ทยอยเดินออกจากสนามไปอย่างเงียบเชียบด้วยความรู้สึกของผู้แพ้

“แพ้แล้วสินะ” สารสาพูดขึ้น เสียงของเธอแทบกลืนหายไปกับสายฝนที่ยังตกลงมาไม่ขาดสาย

“ก็แบบนี้ล่ะนะ กีฬาก็ต้องมีแพ้มีชนะ” อิงค์พูดคล้ายกับจะปลอบใจตัวเองมากกว่า เขาหันไปมองสิงห์ที่ยืนยิ้มแห้งอยู่ข้างๆ “ผมขอไปดูบอยได้ไหม”

สิงห์พยักหน้า “ฉันไปเข้าห้องน้ำนะ เดี๋ยวเจอกันที่ใต้อัฒจันทร์ละกัน”

แล้วทั้งสองก็แยกย้ายกันไป อิงค์ไปที่ห้องพักนักกีฬา คนอื่นๆ ในทีมต่างทยอยเดินกันออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ไม่มีความฮึกเหิม ไม่มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะใดๆ ผิดกับตอนที่เดินเข้าสนามมา

เหลือบอยอยู่เป็นคนสุดท้ายในห้องพักนักกีฬา เขานั่งก้มหน้าอยู่บนม้านั่งตัวในสุด เนื้อตัวเปียกชุ่มและเลอะเศษดินเศษหญ้าในสนาม ข้อเท้าข้างขวาของเขาถูกพันผ้ายืดไว้เรียบร้อย

อิงค์เดินเข้าไปยืนข้างๆ “ข้อเท้า... เจ็บมากไหม”

บอยพยักหน้า อิงค์รู้ดีว่าเด็กหนุ่มไม่อยากพูดเพราะกำลังกลั้นน้ำตาไว้ ความพยายามฝึกซ้อมอย่างหนักทุกวันของเด็กหนุ่มนั้นเขาเห็นมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ไม่มีหรอกนะที่เขาบอกกันว่า ความพยายามอยู่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น เพราะชีวิตคนเรามันไม่ได้สมหวังไปเสียทุกอย่าง

“ข้างนอกฝนตกหนักมากเลย บอยกลับยังไง กลับกับพี่ไหม เดี๋ยวพี่ชงโกโก้ร้อนให้แล้วพอฝนซาพี่จะพาไปส่งบ้าน”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกลับเอง”

“เอ่อ...”

“ขอบคุณนะครับพี่อิงค์ที่มาเชียร์” บอยบอก “ตอนนี้ผมอยากอยู่คนเดียว”

“อืม” อิงค์พยักหน้า “มีอะไรโทรหาพี่ได้นะ” เขายกมือขึ้นสัมผัสไหล่เด็กหนุ่มแล้วบีบแรงๆ ครั้งหนึ่งเป็นการให้กำลังใจก่อนจะกลับออกมา

พอพี่ชายเจ้าของร้านกาแฟคล้อยหลัง เด็กหนุ่มก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตา รู้สึกว่าตัวเองช่างน่าสมเพชเหลือเกินที่มาบาดเจ็บเอาในเวลาสำคัญทำให้ทีมแพ้หมดรูปแบบนี้

ประตูห้องพักนักกีฬาเปิดออกอีกครั้ง เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก เขารีบก้มหน้าซ่อนน้ำตา พร้อมกับแอบเหลือบตามองไปด้วยว่าใครมา

“นี่นาย” เสียงหวานดังขึ้นพร้อมกับที่เจ้าของเสียงหย่อนตัวลงนั่งข้างกัน บอยจำได้ทันทีว่าเป็นใครทั้งที่ยังก้มหน้ามองข้อเท้าตัวเองอยู่

“มีอะไร”

“กินสิ”

ขนมปังเนยสดชิ้นหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า

“อันนี้เราทำเอง อาจจะอร่อยไม่เท่าที่แม่ทำหรอกนะ นายอย่าคาดหวังมาก”

บอยเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนร่วมชั้นที่ได้แต่แอบมองอยู่ห่างๆ แต่วันนี้เธอมานั่งอยู่ถัดจากเขาไปแค่คืบเดียวเท่านั้น เสียงหัวใจเต้นแรงแข่งกับเสียงฟ้าร้องด้านนอก เขายื่นมือออกไปรับขนมปังจากเธอมาถือไว้ “ขอบใจ”

“นายคงชอบฟุตบอลมากสินะ ถึงได้เสียใจกับมันมากมายขนาดนี้” สารสาบอกพร้อมกับยกแก้วโกโก้ปั่นในมือขึ้นดูด

“ก็ใช่น่ะสิ ฉันทุ่มเทฝึกซ้อมทุกวันก็เพื่อมันเลยนะ”

“เหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ”

สารสาเงียบไปเล็กน้อย เธอก้มหน้าดูดโกโก้ปั่นในมืออีกอึกใหญ่ “ฉันเข้าใจนะ เพราะฉันเองก็ชอบเหมือนกัน ปีนี้พลาดไปก็ไม่เป็นไรนะ ปีหน้าสู้ใหม่ แล้วฉันจะมาเชียร์อีก”

“เธอก็ชอบฟุตบอลเหรอ”

“เปล่า” สาราตอบพลางก้มลงมองแก้วโกโก้ปั่นในมือ ทุกๆ วันตอนเย็นเธอเดินผ่านสนามฟุตบอลจะเห็นเพื่อนร่วมห้องของเธอที่แทบไม่เคยคุยกันซ้อมฟุตบอลอย่างหนักอยู่เสมอ เธอเคยพยายามชวนเขาคุยแต่เขากลับถามคำตอบคำทั้งที่กับคนอื่นก็คุยจ้อแท้ๆ สิ่งที่เธอรู้เกี่ยวกับเขาจึงมีแค่ฟุตบอลกับโกโก้ปั่นที่เห็นเขาถือติดมืออยู่เสมอ จนเธอนึกสงสัยว่าฟุตบอลมันสนุกสักแค่ไหนและโกโก้ปั่นมันอร่อยมากขนาดที่เขาวางไม่ลงเชียวเหรอ เธอแค่อยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้จนถึงขั้นขอร้องให้แม่ทำขนมปังมาแจกนักกีฬาเพื่อที่เธอจะได้ถือโอกาสเข้าใกล้เขาแม้จะแค่นิดเดียวก็ตามที

“ฉันชอบนักฟุตบอลต่างหาก โดยเฉพาะศูนย์หน้าตัวยิงนี่เท่จะตาย”

“บังเอิญจัง” บอยบอก “เราเองก็ชอบเหมือนกัน”

“โกโกปั่นใช่ไหม ฉันเห็นนายซื้อกินทุกวันเลย”

“โกโก้ก็ชอบ แต่เราชอบลูกสาวร้านขนมปังมากกว่า” บอยยกขนมปังในมือขึ้นกัดคำโตแก้เขินเมื่อสารสาหันมาสบตากันพอดี “ขนมปังที่แม่เธอทำก็อร่อยนะ แต่เราชอบที่เธอทำมากกว่า”

“ขอบใจ”

สารสาตอบแล้วต่างคนก็ต่างเงียบไป บอยยัดขนมปังที่เหลือทั้งชิ้นเข้าปากเคี้ยวหยับๆ เพื่อเติมพลัง เขากลืนมันลงคอแล้วรีบหันไปหาหญิงสาวก่อนที่ความกล้าจะหายไป

“เป็นแฟนกันป่าว”

“ขอกันง่ายจัง” สารสาพึมพำ

“แล้วคำตอบล่ะ”

“เป็นก็ได้” สารสาตอบ

เด็กหนุ่มยิ้มกว้างด้วยหัวใจที่พองฟู แข่งวันนี้แพ้ก็ไม่เป็นไร คนเราล้มได้ก็ลุกได้ และสักวันชัยชนะมันต้องเป็นของเขา

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 9(07/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 10-10-2019 03:06:36
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

สิงห์ทำธุระส่วนตัวเสร็จออกมาจากห้องน้ำ กำลังจะเดินกลับไปหาอิงค์ตรงจุดนัดพบก็บังเอิญเจอใครคนหนึ่งที่มาเข้าห้องน้ำพอดีเหมือนกัน

หญิงสาวคนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดในชีวิต... ภรรยาคนที่สองของพ่อที่มีอายุพอๆ กับเขา

“มาดูด้วยเหรอคะ” เกตถวาถามพร้อมกับรอยยิ้มหวานที่ทำให้หน้าสวยนั้นยิ่งดูงดงามขึ้นไปอีก เมื่อรวมกับกิริยามายาทที่เรียบร้อยอ่อนหวานจึงไม่แปลกเลยที่ใครๆ จะชอบเธอ โดยเฉพาะพ่อของสิงห์ที่หลงรักจนยอมผิดคำพูดที่ให้ไว้ในวันเผาศพแม่ของสิงห์ว่าจะมีรักเดียวตลอดไป ทั้งสองคบหาดูใจกันนานเท่าใดสิงห์ไม่อาจทราบได้ เพราะตนถูกส่งไปเรียนปริญาโทด้านการบริหารที่เมืองนอก รู้แต่ว่าพอเท้าเหยียบถึงไทยพ่อก็มาต้อนรับพร้อมผู้หญิงคนนี้ที่สนามบินและให้ของขวัญเรียนจบลูกชายเป็นการ์ดแต่งงาน

“ที่นี่เป็นสนามแข่งบอลสาธารณะใครๆ ก็มาดูได้นี่นา” สิงห์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ฉันก็แค่ถามดีๆ ไม่เห็นต้องประชดกันเลยนี่คะ”

“ผมก็แค่พูดไปตามปกติ ไม่ได้ประชดอะไรเลย”

เกตถวาพยายามฝืนทำหน้ายิ้มตอบกลับไป ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเขาเกลียดขี้หน้าเธอมากขนาดไหน ขนาดงานแต่งที่จัดใหญ่โตเป็นงานช้างระดับจังหวัด ลูกชายคนเดียวยังแค่เดินมารดน้ำสังข์แล้วก็หนีกลับไปเงียบๆ โดยไม่มีแม้คำอวยพรสักคำ “พ่อคุณอยู่ทางโน้นแน่ะค่ะ ไม่ไปหาท่านหน่อยเหรอ”

“ไม่ล่ะ ไม่อยากเจอ”

“หมู่นี้คุณไม่ค่อยกลับบ้าน คุณพ่อเป็นห่วงนะคะ อย่างน้อยเสาร์อาทิตย์ก็น่าจะกลับมาทานข้าวด้วยกันบ้าง ไม่ใช่ว่าหายกันไปเลยทั้งที่อาศัยอยู่ห่างกันแค่ช่วงถนนเดียว”

“แต่ผมคิดว่าผมไม่กลับจะดีกว่านะทั้งต่อตัวผมเอง ต่อพ่อและโดยเฉพาะ...” สิงห์เงียบอย่างจงใจเพื่อสร้างความอึดอัดให้หญิงสาวตรงหน้า “ต่อคุณ”

เกตถวาสูดลมหายใจเข้าลึก “ฉันทนได้ค่ะ”

“แต่ผมทนไม่ได้นี่นา” สิงห์บอกด้วยเสียงที่สั่นเครือขึ้นเล็กน้อย “ที่ต้องเห็นความรักห้าปีของผมมันแหลกสลายและพังลงใต้ฝ่าเท้าคุณซ้ำแล้วซ้ำอีก”

ใช่แล้ว… เกตถวาคือหญิงสาวที่เคยเป็นรักครั้งแรกและครั้งเดียวของเขาถึงขั้นคุกเข่าขอเธอแต่งงาน จนกระทั่งเธอหายหน้าไปจากเขาแล้วกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในฐานะภรรยาใหม่ของพ่อ

มันเป็นความเจ็บปวดที่ลึกที่สุดของหัวใจ เจ็บจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ออก

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา สำหรับเขาผู้หญิงที่แสนดีคนนั้นได้ตายจากไปแล้ว และคนที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้คือภรรยาคนใหม่ของพ่อที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน

หญิงสาวเม้มปากสนิทครั้งหนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “ฉันขอโทษ”

“เก็บคำขอโทษของคุณไปซะ วันนี้ผมไม่ต้องการมันแล้ว” สิงห์พูดห้วนๆ “คุณไปหาพ่อเถอะ ผมเองก็มีคนรออยู่เหมือนกัน” เขาก้าวขาออกเดินและจังหวะที่กำลังจะสวนไปนั้นเองเกตถวาก็เอ่ยขึ้น

“ผู้ชายคนที่เป็นเจ้าของร้านกาแฟน่ะเหรอ... เขาเป็นแฟนใหม่คุณอย่างนั้นหรือคะ”

สิงห์หยุดฝีเท้าและหันมาตอบ “ถ้าผมตอบว่าใช่ล่ะ”

“ฉันจะว่าอะไรคุณได้ ก็แค่ประหลาดใจนิดหน่อยที่คนรักใหม่ของคุณช่างหน้าตาคล้ายฉันเหลือเกิน แล้วนี่คุณได้บอกเขาหรือเปล่าว่าสุดท้ายแล้วเขาก็จะได้เป็นแค่ตัวแทนฉันเหมือนคู่นอนคนก่อนๆ ของคุณ” น้ำเสียงหวานปานน้ำผึ้งนั้นมีความเย้ยหยันปนมาอยู่ในที หญิงสาวยกยิ้มมุมปากราวกับผู้ชนะในเกมนี้ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

สิงห์กำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดขึ้นปูดโปน เขาฟาดกำปั้นลงบนกำแพงเต็มเหนี่ยวด้วยแรงโทสะ ปากสั่นระริกจนต้องกัดไว้แน่นเพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องของความเจ็บปวดที่ยังคงเป็นตะกอนนอนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจออกมา

สิงห์มายังจุดนัดพบเห็นร่างโปร่งยืนเบียดตัวหลบลมฝนอยู่ตรงข้างกำแพง เพราะฟ้าแรงมากถึงจะอยู่ตรงใต้อัฒจันทร์ก็ยังมีฝนสาดเข้ามาไม่น้อย “เจ้าหนู! รู้ว่าตรงนี้มันเปียกแล้วทำไมไม่ไปหาที่หลบฝนดีๆ” เขาดุด้วยความเป็นห่วง

“โทรศัพท์ผมแบตหมด ผมกลัวพี่สิงห์มาแล้วหาผมไม่เจอ” อิงค์ให้เหตุผลตามตรง

สิงห์กวาดตามองคนที่ยังยิ้มตอบเขาทั้งที่หนาวจนตัวสั่น เขารีบหันมองซ้ายขวาหาที่หลบฝนใหม่ “มาทางนี้มา”

สิงห์คว้าแขนอิงค์ไปหลบใต้บันไดอัฒจันทร์ซึ่งเป็นมุมอับที่ช่วยกันทั้งลมและฝนได้ดีกว่า อีกทั้งยังไม่คนอื่นๆ อยู่ด้วย

“ฝนตกเปียกหมดเลย” อิงค์บ่นพลางชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกที่ยังคงมืดครึ้ม

“เจ้าหนูอย่าทำแบบนั้น” สิงห์เอ็ดเมื่อหันไปเห็นชายหนุ่มรวบชายเสื้อขึ้นเพื่อบิดน้ำออก

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจทำพื้นเลอะ”

สิงห์โคลงศีรษะอย่างไม่ชอบใจแล้วเอื้อมมือมาดึงชายเสื้อที่ถูกเลิกขึ้นไปสูงถึงหน้าอกลง และจัดแจงจนแน่ใจว่าจะไม่มีผิวเนื้อส่วนใดโผล่พ้นร่มผ้าอีก “เดี๋ยวคนอื่นเห็น” แต่เขาก็ยังรู้สึกขัดใจเหลือเกินกับเสื้อกีฬาซึ่งเป็นพื้นสีขาวที่พอโดนน้ำก็เรียบลู่ไปกับผิวเนื้อเห็นไปถึงไหนต่อไหน

“หวงเหรอ?” อิงค์กระเซ้า

“อือ” สิงห์ครางในลำคอ

“ไม่เห็นต้องหวงเลย ตรงนี้ไม่มีใครสักหน่อยก็อยู่กันแค่สองคน”

“ก็ถ้าปล่อยจนเคยตัวเดี๋ยวจะไปเผลอทำตอนอยู่กับคนอื่นน่ะสิ”

อิงค์แอบอมยิ้มน้อยๆ “ไม่ทำหรอกน่า… แล้วนี่มือพี่สิงห์ไปโดนอะไรมาครับ” เขาคว้ามือใหญ่ที่แดงเป็นจ้ำ มีรอยหนังถลอกเป็นริ้วๆ ขึ้นมาดู

“ล้ม” สิงห์ให้เหตุผลสั้นๆ พร้อมกับดึงมือกลับ แต่อิงค์ยื้อไว้

“เจ็บไหม”

สิงห์สบตาคนตรงหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย และพยักหน้าครั้งหนึ่ง

“ทำไงดีล่ะ ฝนตกหนักแบบนี้จะไปทำแผลที่ไหนได้ พี่สิงห์เจ็บมากไหม ช้ำขนาดนี้อาจจะซ้นหรือมีกระดูกร้าวก็ได้นะ”

สิงห์มองคนที่เริ่มลนลานเพราะแผลของเขาราวกับมันเป็นแผลของตัวเอง ความจริงใจที่อิงค์มีให้นั้นไม่ใช่เรื่องโกหก เขาเองก็รับรู้ได้ด้วยหัวใจ แต่สิ่งที่เขายังติดใจสงสัยคือความรู้สึกนี้มันจะยั่งยืนอยู่ได้นานสักแค่ไหนกัน

ความรักก็เป็นเหมือนเม็ดฝนที่ร่วงหล่นจากฟ้า แรกรักก็ดังพายุโหมกระหน่ำมามืดฟ้ามัวดิน และสุดท้ายแล้วพอลมฝนสงบ ก็ไม่เหลืออะไรเลย นอกจากร่องรอยของฝนกับความเหน็บหนาวที่ยังกัดกินจิตใจเรื่อยมา

“ใส่ยาให้หน่อยสิ” สิงห์พูดเสียงเบาพร้อมกับยกมือขึ้นจ่อที่ริมฝีปากบาง

อิงค์เหลือบตาขึ้นมองคนตรงหน้า แล้วค่อยก้มหน้าลงแตะริมฝีปากเบาๆ หากความร้อนของกลีบปากนั้นกลับทำให้หัวใจของคนที่โดนสัมผัสอุ่นขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับมีคนจุดไม้ขีดไฟท่ามกลางสายฝน

“หายเจ็บไหมครับ”

สิงห์พยักหน้า “แต่ตอนนี้หนาวจังเลย” พูดจบก็ยกสองแขนขึ้นโอบรอบตัวร่างโปร่งแล้วดึงมาประชิดหน้าอก

เขากระชับอ้อมกอดแน่นราวกับลูกแมวหลงทางที่กำลังร้องหาไออุ่นจากคนใจดีสักคน รู้สึกอิจฉาเสือน้อยที่กอดอิงค์ได้ด้วยความบริสุทธิ์ใจในขณะที่หัวใจของเขามันสกปรกเหลือเกินที่ทำตัวเหมือนหลอกใช้ความรักของอีกฝ่ายทั้งที่ไม่สามารถมอบหัวใจตอบแทนให้ได้ นอกเสียจากร่างกายเท่านั้น

และในตอนนั้นเอง สิงห์รู้สึกว่ากำลังถูกสายตาคู่หนึ่งจับจ้อง เขามองข้ามไหล่อิงค์ ฝ่าม่านเม็ดฝนออกไปตรงหลังเสาที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของสนาม

“ขอจูบได้ไหม” สิงห์กระซิบกับคนในอ้อมแขนแล้วใช้อุ้งมือจับปลายคางให้เงยหน้าขึ้น

อิงค์หลับตาลงรับรสสัมผัสอุ่นซ่านที่ริมฝีปาก เขายกสองแขนขึ้นโอบรัดรอบลำคอหนา ไออุ่นที่ส่งผ่านมาถึงกันทำให้สองร่างยิ่งเบียดกายแนบชิดขึ้นทุกที

อีกฟากหนึ่งของสนาม…

มือเรียวกำเป็นหมัดแน่น หญิงสาวกระทืบเท้าแล้วหมุนตัวหนีให้พ้นจากภาพบาดตา

“เป็นอะไรหรือเกต ทำไมหน้าตาไม่ดีเลย” เหมราชหันมาถามภรรยาที่หน้าซีดปากสั่นด้วยความเป็นห่วง

“ฟ้าแรงจังเลยค่ะ เกตกลัว” เกตถวาสอดแขนเข้ารอบลำแขนแกร่งแล้วซบหน้าลงบนหน้าอก

“ไม่เป็นไรนะคนดี ผมอยู่กับเกตตรงนี้นะ” เหมราชบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางลูบหัวลูบไหล่ปลอบขวัญ
 
***********************TBC************************
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 10(10/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 10-10-2019 08:06:22
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 10(10/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 10-10-2019 08:30:37
ไม่โอเคกับแฟนเก่าสิงห์อย่างแรง อิพี่สิงห์ก็น่าตบ เกลียดว้อย
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 10(10/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 10-10-2019 12:49:52
พี่สิงห์ :fcuk:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 10(10/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 10-10-2019 14:20:15
อุ๊ยย  ยัยเกตแรงมากกก   :a5:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 10(10/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 12-10-2019 10:56:45
บทที่ 11

เสียงลมพัดเม็ดฝนมากระทบหน้าต่างยังดังไม่ขาดสาย
ถึงเวลาจะล่วงเข้าสู่วันต่อไปแล้ว สิงห์นอนลืมตาโพลงในความมืด นัยน์ตาเหม่อมองขึ้นไปบนฝ้าเพดานแต่ความคิดกลับล่องลอยไปไกลกว่านั้น...ไปยังอดีตที่ผ่านมานานหลายปี

เขารู้จักกับเกตวาตอนไปเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพ ความสัมพันธ์จากคู่บัดดี้ในงานรับน้องของคณะกลายมาเป็นคู่รัก มันเป็นช่วงเวลาที่หวานชื่นเรียกได้ว่าชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ พวกเขาไม่เคยทะเลาะกันด้วยเรื่องราวใหญ่โต ทุกอย่างราบรื่นดีจนกระทั่งสิงห์ถูกส่งไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ เขาจึงขอเธอแต่งงานและสัญญาว่าเมื่อกลับมาจะให้พ่อไปสู่ขอ

แต่เมื่อเวลาผ่านไปรักทางไกลก็เริ่มมีปัญหา ในขณะที่สิงห์คร่ำเคร่งกับการเรียน เกตถวาเองก็เริ่มทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งในตำแหน่งเลขา งานของเธอทำให้ต้องตามเจ้านายออกไปข้างนอกบ่อยๆ บางครั้งก็เลิกงานค่ำมืด สิงห์ขอให้เธอลาออกไปทำงานอื่นเพราะเป็นห่วงและหวงเนื่องจากเจ้านายคนนั้นเป็นผู้ชาย หากเธอก็ยังยืนยันว่าจะทำงานของเธอต่อไป นี่จึงเป็นสาเหตุทำให้ระยะหลังทั้งสองระหองแหงกันเรื่อยมา

มาวันหนึ่งเกตถวาโทรมาบอกเขาว่าจะต้องตามเจ้านายไปติดต่องานที่ต่างจังหวัดหลายวันซึ่งต้องมีการค้างคืน สิงห์จึงค้านเธอแบบหัวชนฝา และคำตอบของเธอก็เป็นเช่นเดิมเหมือนทุกครั้ง

“เกตต้องไป มันเป็นงานของเกต”

“แต่เกตเลือกงานได้นี่ แบบนี้มันไม่ไหวแล้วนะ”

“หรือว่าสิงห์ไม่เชื่อใจเกต เกตไม่ทำเรื่องเสื่อมเสียหรอกน่า”

“แต่ผู้ชายกับผู้หญิงไปพักค้างอ้างแรมกันสองต่อสอง ต่อให้บอกว่านอนกันคนละห้องมันก็ไม่น่าไว้ใจอยู่ดี”

“แต่ถ้าเกตไม่ไปเขาจะไล่เกตออกนะ”

“ก็ให้มันไล่ออกไปเลย! งานดีๆ มีอีกเยอะแยะ หรือถ้าเกตหางานทำไม่ได้ ผมเลี้ยงเกตเองก็ได้”

“แต่...”

“นอกเสียจากว่าเกตจะมีใจให้มัน เอางี้! ถ้าเกตไป เกตก็ไม่ต้องมาคุยกับผมอีก”

นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่สิงห์ได้คุยกับเธอ เขาพยายามติดต่อเธอทุกทางแต่เธอก็ไม่ยอมตอบข้อความเขา ทำแม้กระทั่งถามไถ่ข่าวคราวจากทางเพื่อนๆ ของเธอที่ไทยก็ได้ความว่าเธอสบายดีเพียงแต่ไม่ต้องการคุยกับเขาตามข้อความสุดท้ายที่เขาทิ้งท้ายไว้ นั่นทำให้สิงห์เสียใจมากและคิดว่าสิ่งที่เขากลัวมาตลอดกลายเป็นเรื่องจริง เกตถวากับเจ้านายคนนั้นคงมีอะไรลึกซึ้งกันแล้วเธอถึงไม่เคยปฏิเสธเขา

ที่เคยบอกว่าทำงานอยู่บริษัทขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เจ้านายเป็นชาวต่างชาติทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ

หลังจากที่ขาดการติดต่อกันไปนานหลายปี พวกเขาก็กลับมาเจออีกครั้ง แต่เป็นการพบกันที่มีแต่จะทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ

สิงห์ยืนเผชิญหน้าอดีตคนรักที่ยืนอยู่เคียงข้างพ่อของตัวเอง เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่หลบวูบทันที มีร้อยพันคำที่อยากถาม แต่เมื่อหันไปเห็นประกายสดใสในแววตาของพ่อที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักหลังจากที่แม่เสียไป สิงห์ก็คิดว่าเขาควรฝังเรื่องนี้ไปเสีย ผู้หญิงคนที่เขารักนั้นได้ตายไปแล้วและที่ยืนอยู่ต่อหน้าตอนนี้คือผู้หญิงอีกคนที่เป็นภรรยาใหม่ของพ่อ เป็นใครสักคนที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน

เขาไม่รื้อฟื้นและเธอก็ไม่พูดถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมา แค่ต่างคนต่างอยู่

แต่การจะทำอย่างนั้นได้มันก็ไม่ง่ายดายขนาดนั้น เมื่อภาพที่พ่อเดินเคียงคู่กับอดีตคนรักอย่างมีความสุขเป็นเหมือนมีดที่กรีดลงบนหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สุดท้ายเขาจึงพาหัวใจที่เจ็บจนทนไม่ไหวออกจากบ้านมาสร้างที่ทางของตัวเองเงียบๆ ที่ ‘ข่วงเมืองสิงห์’ ไม่ยุ่ง ไม่วุ่นวายกับใคร และไม่คิดจะเปิดประตูหัวใจรับใครเข้ามาใหม่แม้จะมีคนมาเทียวไล้เทียวขื่ออยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายก็เงียบหายกันไปทุกรายหลังจากที่เขาบอกไปตรงๆ ว่าจะไม่มีวันเขยิบความสัมพันธ์ไปมากกว่าคู่นอน

คนที่นอนอยู่หลับอยู่บนอกขยับตัวเล็กน้อยดึงให้สิงห์หวนกลับจากอดีตมาสู่ปัจจุบัน เขาหลุบตาลงมองชายหนุ่มในอ้อมแขน

คนแปลกหน้าจากต่างเมืองที่หลงทางเข้ามาในถิ่นของเขาแล้ววนเวียนอยู่นานกว่าใคร ถึงเขาจะทำเย็นชาและพูดจาร้ายๆ ใส่ก็ยังยิ้มให้เขาอยู่เสมอ จนบางครั้งเขาก็นึกสงสัยว่าตัวเองมีดีอะไรถึงทำให้ชายหนุ่มคนนี้ไม่ยอมถอดใจแล้วจากไปดีๆ แบบคนอื่นสักที

สิงห์ยกมือขึ้นจับแก้มนิ่มแล้วไล่ไปตามริมฝีปากที่เขาจูบจนเป็นสีแดงเข้ม บทรักตรงบันไดใต้อัฒจันทร์เมื่อตอนเย็นยังติดตรึง

สายฝนทำให้ร่างเพรียวเปียกปอนแต่กลับไม่สู้ความชื้นที่เกิดจากการเสียดสีของผิวเนื้อ ลมเย็นจนหนาวแต่อุณภูมิกายกลับร้อนรุ่ม เสียงฟ้าร้องดั่งสนั่น แต่เสียงหวานที่เรียกชื่อเขาอยู่ข้างหูกลับชัดเจน

อิงค์ที่ผล็อยหลับไปเพราะหมดแรงจากกิจกรรมที่ทำต่อเนื่องมาตั้งแต่หัวค่ำรู้สึกตัวตื่นขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของปลายนิ้วที่สัมผัสนิ่มนวลอยู่ตรงริมฝีปาก เห็นสิงห์อมยิ้มและกำลังมองมาที่เขา “คิดอะไรอยู่ครับ”

“คิดว่าเวลาที่เธอหลับน่ารักดี” สิงห์ตอบแล้วคนในอ้อมแขนก็คลี่ยิ้มกว้างขึ้นอีก จนเขาอดใจไม่ไหวต้องถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกไป “เธอชอบฉันตรงไหน”

“ตรงที่พี่ทำให้ผมยิ้มได้อีกครั้ง”

สิงห์เลิกคิ้ว “แค่นั้นเองเหรอ”

“แค่นั้นแหละครับ” อิงค์ตอบ

“ตาเธอช้ำ” สิงห์รำพึงพลางใช้ปลายนิ้วไล้ไปเบาๆ ตรงใต้ตา

อิงค์ขยับหลบก่อนจะชะโงกไปดูนาฬิกาเห็นเป็นเวลาตีหนึ่งกว่าจึงเอ่ยปากถาม “ดึกป่านนี้แล้วพี่สิงห์ไม่ต้องรีบกลับเหรอ”

“อยากให้กลับเหรอ” สิงห์ถามกลับ

อิงค์ส่ายหน้าแล้วซุกตัวลงกอดตามเดิม

“งั้นขออยู่แบบนี้สักพัก” สิงห์บอกพร้อมกับกระชับอ้อมให้แน่นขึ้นอีกพลางก้มหน้าลงซุกข้างศีรษะแล้วหอมแรงๆ ไปฟอดหนึ่ง

“อยู่ถึงเช้าเลยก็ได้ครับ” อิงค์กระเซ้า นี่เป็นครั้งแรกหลังที่มีอะไรกันแล้วสิงห์ทำตัวติดหนึบกับเขาแบบนี้ “ว่าแต่เสือน้อยไปไหน พี่สิงห์เห็นเสือน้อยไหมครับ”

“นอนอยู่นั่นไง” สิงห์พยักเพยิดไปตรงมุมห้องที่ลูกแมวสีส้มนอนขดอยู่

“เสือน้อย” อิงค์ร้องเรียก

เจ้าลูกแมวได้ยินเสียงก็ลืมตาก่อนจะผงกหัวขึ้นดู เมื่อเห็นว่าใครเรียกก็รีบกระโดดผลุงขึ้นมาบนเตียง แล้วเอาหัวถูไถไปกับท่อนแขนของอิงค์

“นอนตรงนั้นหนาวล่ะสิ” อิงค์ลูบมือไปบนศีรษะไล่ไปจนถึงปลายหาง เสือน้อยโก่งตัวอย่างเกียจคร้านก่อนจะขดตัวลงนอนบนหมอนข้างศีรษะเขาซึ่งเป็นที่ประจำของมัน “ตรงนี้นอนสบายกว่าใช่ไหมล่ะ”

“แล้วเธอล่ะหนาวไหม” สิงห์ถาม

อิงค์เงยหน้าขึ้นมอง “มีพี่สิงห์กอดอยู่แบบนี้ก็ไม่หนาวแล้วครับ”

สิงห์อมยิ้มแล้วกดจูบลงข้างขมับ “ฝันดีนะ”

“งั้นผมฝันถึงพี่สิงห์นะ” อิงค์ว่า “ก็จะได้ฝันดีไง”

“ตามใจ” สิงห์ตอบพลางกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นเพื่อแบ่งปันไออุ่นให้คนในอ้อมแขนแล้วหลับตาลง

นานแล้วสินะที่ไม่ได้รู้สึกดีขนาดนี้เวลากอดใครสักคน... หรือว่ามันจะถึงเวลาแล้วที่เขาควรจะลองเปิดใจรับใครเข้ามา และใครคนนั้นก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนที่เขากอดอยู่ตอนนี้นี่แหละ


“ป้าสำลีกับพี่มอญอยากจะพูดอะไรกับผมหรือเปล่าครับ” อิงค์ถาม รู้สึกเกร็งๆ เพราะนับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าข่วงเมืองสิงห์เพื่อเอากาแฟมาส่งเหมือนทุกเช้า ทั้งสองก็เอาแต่เดินตามเขาแล้วยิ้มหวานส่งสายตาแปลกๆ มาให้แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ

“มีค่ะ แต่ไม่อยากพูด” ป้าสำลีอมยิ้มจนแก้มปริ

“พูดมาเถอะครับ”

“เมื่อวานไปดูฟุตบอลมาสนุกไหมคะ”

“สนุกครับ”

“แล้วคุณสิงห์ล่ะคะ”

“ก็สนุกครับ”

“กับคุณสิงห์ก็สนุกเหรอคะ”

อิงค์ย่นคิ้วรู้สึกว่าตัวเองตอบไม่ตรงคำถามของป้าสำลียังไงชอบกล

ป้าสำลีป้องปากหัวเราะคิกคักกับพี่มอญ ก่อนที่พี่มอญจะหันมาพูดต่อ

“เมื่อวานพวกเราเห็นคุณสิงห์แต่งตัวอยู่ตั้งนาน ชุดนั่นก็ซื้อใหม่บอกว่ากลัวไปกับคุณอิงค์แล้วจะโดนคนอื่นแซวว่ามากับลุง นานมากๆ แล้วนะคะที่พวกเราไม่ได้เห็นคุณสิงห์ลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้”

“เหรอครับ” อิงค์รับคำเขินๆ

ป้าสำลีกับพี่มอญก้าวเข้ามายืนเกาะแขนคนละข้าง แล้วป้องปากกระซิบกระซาบ “มีอะไรคุณอิงค์ปรึกษาป้ากับมอญได้นะคะ พวกเราอยู่ข้างคุณอิงค์”

“ใช่ค่ะ” มอญพยักหน้าอย่างกระตือรือร้นก่อนจะลดเสียงลงให้เบาที่สุด “นอกเสียจากว่าพวกเราจะไม่จำเป็นแล้วเพราะว่าเมื่อคืน...”

“อะไรครับ”

มอญใช้นิ้วจิ้มข้างแขนอิงค์จึกๆ “ฟุตบอลแพ้แต่คนไม่แพ้... เมื่อคืนคุณอิงค์ได้ทำประตูนำจบเกมไปแบบสวยๆ แล้วน่ะสิคะ คุณสิงห์ถึงได้กลับมาตอนเช้ามืดแบบนี้”

แก้มขาวซับสีเข้มขึ้นเล็กน้อย “มะ... ไม่ใช่นะครับ คือฝนมันตกหนักมาก แล้วพวกเราก็เปียก ผมเลยชวนพี่สิงห์ไปอาบน้ำที่บ้าน... เอ่อ แค่พักรอฝนซาน่ะครับ แล้วก็แบบ...” ที่อิงค์ไม่ยอมรับไปตรงๆ ไม่ใช่เพราะเขินแต่เป็นเพราะสถานะระหว่างพวกเขานั้นมันยังไม่ชัดเจน เขาไม่อยากทำให้สิงห์เสียหายแล้วก็ไม่อยากพูดให้คนอื่นเข้าใจผิด

“อะไรกัน” ป้าสำลีฮึมฮัมอย่างแสนเสียดาย

“คุณอิงค์ออกจะน่ารักขนาดนี้ คุณสิงห์นี่ใจแข็งเกินไปแล้วนะ” มอญพยักหน้าเห็นด้วย

“ถ้าป้าสำลีกับพี่มอญอยากช่วย” เห็นว่าสบโอกาสดีอิงค์จึงลองเอ่ยถามออกไปเพราะอยากรูเรื่องของสิงห์ให้มากขึ้น “ช่วยเล่าเรื่องแฟนเก่าของพี่สิงห์ที่เสียไปแล้วกับเรื่องคุณเกตถวาให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ”

“แฟนเก่า?” มอญทวนคำ “พี่มอญเพิ่งมาอยู่ตอนคุณสิงห์เปิดที่นี่ไม่เห็นเคยรู้เรื่องเลย รู้แต่ว่าเป็นคนไม่เอาใคร ไม่อยากมีแฟน... ป้าสำลีรู้เรื่องไหม”

“ป้ารู้แค่ว่าคุณสิงห์รักเธอมากค่ะ” ป้าสำลีตอบตามตรง “ส่วนเรื่องที่ว่าเธอเป็นใคร ชื่ออะไรนั้นป้าไม่รู้เลยเพราะคุณสิงห์คบกับเธอช่วงอยู่กรุงเทพ ได้แต่คุยอวดว่ารักมากจะแต่งงานด้วย แต่พอกลับจากเมืองนอกก็ไม่พูดถึงอีกเลย ป้าถามก็บอกแค่ว่าเธอตายไปแล้วด้วยใบหน้าเศร้าๆ ค่ะ ป้าเลยไม่ถามอีก”

“จริงเหรอป้า” มอญที่เพิ่งรู้ก็ตกใจและนึกสารไม่น้อยเหมือนกัน

“แล้วป้าจะโกหกแกทำไมวะ”

“ขอบคุณนะครับ” อิงค์พยักหน้า

“ทำอะไรกันอยู่น่ะ”

เสียงสิงห์ดังขึ้นข้างหลัง ป้าสำลีกับมอญรีบปล่อยแขนอิงค์แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“แค่ดูว่าวันนี้คุณอิงค์ทำอะไรมาให้ป้าน่ะค่ะ” ป้าสำลีบอก

“วันนี้มีแต่กาแฟ ไม่มีขนมนะคะคุณสิงห์” มอญหันไปขยิบตากับป้าสำลีกึ่งๆ จะแซวว่าที่ชายหนุ่มไม่มีเวลาตื่นมาทำขนมเป็นเพราะมัวแต่ขลุกอยู่กับใครบางคน

“หมดนี่เป็นของที่เอามาส่งที่ฉันเหรอ” สิงห์ชี้มือไปยังลังที่วางซ้อนกันอยู่ท้ายรถมอเตอร์ไซค์ซึ่งมีทั้งหมดสามใบ

“ครับ... เอ่อ พี่สิงห์ไม่ต้องช่วยหรอกครับ เดี๋ยวผมทำเอง” อิงค์รีบบอกเมื่อเห็นคนตัวโตก้มลงยกลังขึ้นมาทีเดียว

“ไม่เป็นไร” สิงห์พูดเสียงเบาแล้วเดินนำเข้าไปด้านใน

มอญจะเข้าไปช่วยแต่ก็โดนป้าสำลีคว้าคอเสื้อไว้เสียก่อน

“ไปดูอาหารในครัวกันเถอะ”

ป้าสำลีขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง แล้วทั้งสองก็พากันเข้าไปในครัวปล่อยให้ทั้งสองคนอยู่กันตามลำพัง

“พี่สิงห์ไม่ต้องช่วยผมทำก็ได้ เดี๋ยวผมทำเอง”

“อยากช่วย” สิงห์บอก “เมื่อกี้คุยอะไรกับสองคนนั่น”

“ป้าสำลีกับพี่มอญบอกว่าเชียร์ผมอยู่”

“คนถือหางเยอะนะเราน่ะ” สิงห์ว่า

“เยอะขนาดนี้ก็ไม่เห็นพี่ใจอ่อนสักที” อิงค์บอกพลางหมุนตัวเอาหลังพิงโต๊ะเพื่อมองหน้าสิงห์ให้ชัดๆ

สิงห์ไม่ตอบในทันทีได้แต่เงยหน้าขึ้นมาแล้วก็จ้องหน้าเขาอยู่อย่างนั้นจนเป็นฝ่ายอิงค์ที่ทนไม่ไหวต้องเบือนสายตาหนี

“พี่สิงห์พูดอะไรสักอย่างสิ มาจ้องกันแบบนี้ผมหัวใจจะวายนะ”

สิงห์ยกลังที่ตอนนี้ว่างเปล่าขึ้นมาแล้วเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์โดยมีอิงค์เดินตามมาติดๆ

“พี่สิงห์... ทำไมไม่ตอบล่ะ หรือผมพูดอะไรผิดไป”

สิงห์วางลังให้เรียบร้อยแล้วจึงหันมา “ตั้งใจทำงานเหมือนตามจีบฉันนะ”

“ดูอวยพรเข้า” อิงค์พูด รู้สึกงอนนิดๆ

สิงห์อมยิ้มและพูดต่อ “เธอคิดว่าร้านเธอประสบความสำเร็จหรือยังล่ะ”

อิงค์นิ่วหน้านึก “ยัง... แต่ก็คิดว่ามาไกลแล้วล่ะ อีกไม่นานต้องสำเร็จแน่ๆ”

“นั่นล่ะ” สิงห์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบศีรษะเบาๆ ครั้งหนึ่งพร้อมกับรอมยิ้มที่คลี่เต็มริมฝีปาก “พยายามเข้านะ”

*********************TBC***********************
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 11(11/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 12-10-2019 13:58:00
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 11(11/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 12-10-2019 18:00:24
แม่เกตถวา  นางคงหาคนเกาะไปเรื่อย
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 11(11/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-10-2019 23:59:28
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 11(11/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 14-10-2019 21:54:25
ว่าแล้ว แฟนเก่า มีแววว่าจะหวงก้าง หลงตัวเองอีกด้วย
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 11(11/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 16-10-2019 16:21:04
บทที่ 12

พอครบกำหนดทำวัคซีนเข็มที่สอง อิงค์ก็พาเสือน้อยกลับมาพบคุณหมอ ผลการตรวจสุขภาพรอบนี้เสือน้อยสุขภาพดีขึ้นมากแผลตามตัวหายเกือบหมดและร่างกายก็อ้วนท้วนดีน้ำหนักขึ้นมาหลายขีด ตอนนี้มันกลายเป็นแมวน้อยแสนซนแววตาสดใส ขี้เล่น ไม่เหลือคราบลูกแมวขี้กลัวที่เอาแต่ขู่กับซุกอยู่ตรงเสื้อเขาอีกแล้ว ตอนนี้อิงค์ไม่ต้องจับใส่ตะกร้าปิดปากเพราะกลัวมันหนีเตลิด แค่ต้องมีสายจูงเป็นตัวช่วยเพิ่มมาเวลาออกมาข้างนอกเท่านั้น

“มันโชคดีนะคะ ที่ได้คุณเก็บมาเลี้ยง” สัตวแพทย์สาวกล่าวทั้งรอยยิ้มพลางลูบหัวเกาคางให้เสือน้อย ก่อนจะอุ้มส่งมาคืนให้อิงค์ “นัดครั้งหน้าอีกหนึ่งอาทิตย์นะคะ”

“ขอบคุณครับ”

อิงค์รับเสือน้อยคืนมาอุ้มพาดบ่าเดินออกมาที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงินแต่ก็ได้รับคำตอบเหมือนครั้งที่แล้ว

“คุณสิงห์จัดการให้แล้วค่ะ”

อิงค์หันไปหาคนที่ขออาสามาเป็นพลขับ กำลังจะเอ่ยปากท้วงเรื่องค่าใช้จ่ายอีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน

“ทบไปกับค่ากาแฟ” สิงห์บอกพลางยื่นนิ้วไปเขี่ยหูเสือน้อยเล่น มันทำหูลู่อย่างหงุดหงิดก่อนจะยกเท้าหน้าขึ้นมาตะปบนิ้วเขา “อะไรกัน เจ้าหนูนี่เล่นกับคนอื่นไปทั่วแต่ไหงกัดแต่ฉันล่ะ”

“ก็พี่สิงห์ชอบแกล้งมัน” อิงค์ว่า “แมวไม่ชอบให้จับหูกับหนวดครับ อีกที่คือที่หาง แต่จะชอบให้เกาคางกับลูบหัว พี่สิงห์ยื่นมือมาสิเดี๋ยวผมให้ลองอุ้มดู”

สิงห์เบะปาก “ไม่เอาหรอก แม่เลี้ยงมันไปคนเดียวเถอะ พ่อมีหน้าที่แค่จ่ายตังก็พอ”

“ดูพูดเข้าสิ งอนอะไรเสือน้อยครับ มันก็เป็นแค่แมวนะ”

“ไม่ได้งอน แค่ไม่ค่อยชอบตัวอะไรเล็กๆ ที่ต้องเอาอกเอาใจแบบนี้น่ะมันน่ารำคาญ แล้วนี่อาหารเจ้าตัวเล็กที่ซื้อไปคราวก่อนหมดหรือยัง จะได้ไปซื้อเลย”

แล้วทั้งสองก็มาแวะที่ร้านขายอาหารสัตว์ พนักงานสาวจำอิงค์ได้เข้ามาทักทายและช่วยแนะนำอาหารเหมือนเดิม

สิงห์เห็นทั้งคู่ดูจะคุยกันถูกคอจึงแอบเดินแยกตัวออกจากร้านไปเงียบๆ มายังศูนย์การค้าที่ตั้งอยู่บริเวณเดียวกันเพื่อซื้อของบางอย่าง และในระหว่างที่กำลังยืนเลือกนั่นเอง ใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามาทัก

“ว่าไง” เหมราชทักลูกชาย

สิงห์เหลือบตามองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างพ่อเล็กน้อยก่อนจะทำเป็นไม่เห็น “ครับ”

เท่าที่จำความได้พ่อของเขาไม่ค่อยชอบออกมาเดินห้างหรือไปงานสังคมเพราะว่าเหงาที่ต้องเดินคนเดียวและเอาแต่หมกตัวอยู่กับงาน แต่นับตั้งแต่ผู้หญิงคนนี้เข้ามาในชีวิตเขาเริ่มกลับมาสดใสอีกครั้ง ทำให้คนรอบข้างโดยเฉพาะคนเก่าคนแก่อย่างปู่กมลกับป้าสำลีพลอยอิ่มอกอิ่มใจไปด้วยและให้การต้อนรับผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างดี นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกจะเงียบมาตลอด

“ฉันแอบเห็นว่าแกไปงานฟุตบอลด้วยนี่นา แล้วทำไมไม่มานั่งด้วยกันล่ะ ฉันอุตส่าห์ให้เขาเตรียมที่ไว้เผื่อแล้ว”

“พอดีผมไปกับคนอื่นด้วยน่ะครับ”

“คุณอิสระน่ะเหรอ” เหมราชทวนความเข้าใจ “จากที่เจอกันครั้งก่อนก็สองอาทิตย์กว่าแล้ว ปกติฉันเห็นแกคุยกับใครไม่เกินสัปดาห์ คนนี้คบนานนะเนี่ย ตกลงเอาจริง?”

“แล้วพ่อมีปัญหาเหรอครับ”

“เปล่าๆ” เหมราชว่า “ฉันไม่อะไรกับเรื่องนี้อยู่แล้ว ที่ถามนี่เพราะจะชวนแกไปงานวันเกิดฉันอาทิตย์หน้า ฉันอยากให้เขาไปด้วย”

“จะดีเหรอครับ”

เหมราชเลิกคิ้ว “พูดแบบนี้แสดงว่าแกจะไปเหรอ”

“ก็เห็นบ่นว่าผมไม่ยอมกลับบ้าน ผมก็เลยจะกลับแล้วนี่ไง แต่บอกไว้ก่อนนะว่าผมคงไม่อยู่นาน”

“แค่โผล่ไปให้เห็นหน้าก็พอแล้ว แกอย่าลืมชวนคุณอิสระให้ฉันนะ”

“พ่อชวนเองเลยครับ เขาซื้ออาหารแมวอยู่ร้านข้างๆ นี่เอง”

“แบบนั้นก็ได้” เหมราชหันไปหาภรรยาและเอ่ยขออนุญาต “เดี๋ยวผมมานะเกต”

“ได้ค่ะ”

“เกตอยากได้อะไรก็ดูไว้นะ เดี๋ยวผมกลับมาจ่ายเงิน”

“รีบไปรีบมานะคะ”

“จ๊ะที่รัก” เหมราชรับคำแล้วรีบเดินลิ่วๆ ออกไป ทิ้งเกตถวาไว้กับสิงห์สองคน

สิงห์ถอนหายใจเสียงดังเมื่อรู้ว่าพลาดไปเสียแล้วที่บอกพ่อไปแบบนั้น เขารีบหันหลังกลับไปสนใจสิ่งที่กำลังเลือกค้างไว้ต่อ แต่เธอก็ยังมาดึงความสนใจจากเขาไปอยู่ได้

“ให้เกตช่วยเลือกไหมคะ” หญิงสาวบอกพร้อมกับก้าวมายืนข้างๆ “คุณชอบสีเข้มๆ งั้นเอาเป็นแบบนี้ดีไหมคะ”

“ผมไม่ได้ใช้เอง”

“แล้วซื้อให้ใครคะ”

“แมวที่บ้าน”

เกตถวาย่นคิ้ว “ท่าทางแมวจะตัวใหญ่นะคะ”

“อือ”

“คุณคิดจะพาเขาไปงานด้วยจริงๆ เหรอ”

“ทำไมถึงจะพาไปไม่ได้ล่ะ”

เกตถวาเงียบไปอึดใจ งานวันเกิดเหมราชนั้นถึงจะไม่ใช่งานทางการแต่ก็ไม่ใช่งานเล็กๆ การพาใครสักคนไปด้วยนั่นเท่ากับเป็นการเปิดตัวให้คนอื่นรับรู้ “คุณคิดจะจริงจังกับผู้ชายคนนั้นจริงๆ เหรอ”

“ไม่เกี่ยวกับคุณ”

“ฉันก็ไม่ได้อยากยุ่งหรอกค่ะ แค่เป็นห่วงน่ะ”

“ห่วงเรื่องตัวเองเถอะ” สิงห์ว่า

เกตถวาไม่สนใจถ้อยคำพูดหมางเมินของเขาและพูดต่อ “ถ้าคุณคิดจะเอาเขามาทำให้ฉันเสียใจล่ะก็ ฉันว่าคุณคิดผิดนะ เป็นคุณเองมากกว่าที่ต้องเสียใจ เพราะสุดท้ายแล้วคุณจะไม่เหลือใครเลย”

“มันก็เรื่องของผม” สิงห์ละสายตาจากสิ่งที่ดูอยู่หันมามองเธออย่างนึกรำคาญใจ “เอาจริงนะเกต ผมว่าคุณห่วงตัวเองเถอะ ความลับของคุณกอดเอาไว้แน่นๆ นะ ผมน่ะยังไงก็ลูกชายคนเดียวต่อให้ทะเลาะกันบ้านแตกพ่อก็ไม่ฆ่าผมหรอก หรือต่อให้เขาไล่ผมออกจากบ้านผมก็ไม่แคร์อยู่ดี แต่คุณน่ะ พ่อผมคงไม่เอาไว้แน่ถ้ารู้ว่าคุณหลอกอะไรเขาไว้บ้าง”

“ทำเป็นพูดดี แล้วคุณล่ะ รู้ได้ไงว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้เข้าหาคุณเพราะเรื่องเงินเหมือนคนที่แล้วๆ มา” เพราะถูกว่าแรงๆ เธอจึงตอกกลับไปบ้าง

“เหมือนคุณน่ะเหรอ” สิงห์ย้อนเข้าให้ด้วยเหลืออดเต็มที “ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ เพราะคุณแท้ๆ ตอนนี้ผมเลยตาสว่างขึ้นเยอะเลย”

พูดจบเขาก็เหลือบไปเห็นสีที่คิดว่าคนรับน่าจะชอบจึงหยิบออกมาจากชั้นและรีบเดินหนีไป

เกตถวากัดฟันแน่น เธอมองคนตัวใหญ่ที่เดินห่างออกไป ยอมรับว่าคนมีชนักติดหลังอย่างเธอไม่เคยวางใจคนเคยมีอดีตร่วมกันอยู่แล้ว ที่ทนนิ่งมาได้หลายปีเพราะอีกฝ่ายเลือกที่จะเงียบและออกไปจากบ้าน แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้วสิงห์อาจจะกำลังวางแผนกลับมาแก้แค้นเธอก็ได้ ไม่เช่นนั้นจู่ๆ เขาจะกลับมาพร้อมกับคนที่หน้าตาคล้ายเธอทำไม

เกตถวายกมือขึ้นกุมท้อง เธอจะไม่ยอมให้ใครมาพรากความสุขที่เธอพยายามไขว้คว้ามาแทบตายไปเด็ดขาด ถ้าหากจะมีใครสักคนต้องเจ็บในเรื่องนี้ มันต้องไม่ใช่เธอ

ทางอิงค์ที่ซื้ออาหารเสร็จแล้วออกมายืนรอสิงห์ที่รถมอเตอร์ไซค์ เมื่อสักครู่คุณเหมราชเพิ่งมาชวนแกมคะคั้นคะยอให้เขาไปงานวันเกิด และเขาก็ตอบตกลงไปแล้วเพราะเหมราชบอกว่าสิงห์ไปด้วยและเขาก็เกรงใจเจ้าของงานที่อุตส่าห์มาเชิญด้วยตัวเอง

สิงห์เดินหน้ามุ่ยกลับมาร้านขายอาหารสัตว์ อุตส่าห์เลี่ยงจะคุยด้วยทำไมยังมาตื๊ออยู่ได้นะ ไม่รู้ผู้หญิงคนนั้นคิดอะไรอยู่กันแน่

เขากำลังพยายามปรับอารมณ์ให้กลับมาดีอีกครั้งเพราะไม่อยากให้อิงค์คิดมากแต่ก็รู้สึกว่ามันยากเย็นเสียเหลือเกินเมื่อภาพอดีตเดิมๆ มันพลอยจะผุดขึ้นมาในหัวตลอด

ภาพเขากอดกับผู้หญิงคนนั้นแล้วจู่ๆ ก็กลายเป็นคนอื่นมาแทนที่ จนเผลอคิดไปถึงว่าถ้าวันนั้นที่ทะเลาะกัน เขารีบง้อเธอให้เร็วกว่านี้ คนที่เดินมาซื้อของกับเธอในวันนี้อาจจะยังเป็นเขาอยู่ก็ได้

“โธ่เว้ย!”

ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดตัวเองจนต้องหยุดทึ้งหัวตัวเองให้เลิกคิด

“พี่สิงห์ทำอะไรอยู่ครับ”

สิงห์หันไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนอุ้มลูกแมวส้มและกำลังมองมาที่เขาด้วยความเป็นห่วง แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ต้องใช้ความพยายามอีกแล้วที่ต้องลืมผู้หญิงคนนั้น

“ผมยุ่งหมดแล้วเนี่ย”

ในระหว่างที่มองคนซึ่งกำลังช่วยสางผมเขาให้เข้าที่สิงห์ก็ยกยิ้มขึ้นน้อยๆ “แค่คันน่ะ เมื่อเช้าลืมสระผม”

“ยี้!” อิงค์ทำแกล้งเสียงเล็กเสียงน้อยพลางยกมือขึ้นปิดจมูก

“ไม่ต้องมาทำเป็นรังเกียจเลย เมื่อกี้ยังจับเล่นอยู่เลยนะ” สิงห์ว่า

“เมื่อกี้คุณเหมราชมาชวนผมไปงานวันเกิด ผมตอบตกลงไปแล้วนะ”

“ก็ตามนั้นแหละ”

“แล้วนี่พี่สิงห์ไปซื้ออะไรมา” อิงค์ถามพร้อมกับเหลือบตาลงมองถุงใส่ของใบใหญ่ในมือสิงห์

สิงห์ยกขึ้นมาส่งให้ “อยากรู้ก็เปิดดูสิ”

“ผมดูได้เหรอ”

“อือ”

อิงค์รับมางงๆ เสือน้อยที่เกาะอยู่บนไหล่เองก็ชะเง้อคอมามองด้วยความสนใจเช่นกัน

ของที่อยู่ข้างในถุงนั้นเป็นผ้าห่มผืนหนาลายตัวการ์ตูนรูปแมวสีส้มในอิริยาบทต่างๆ

“ผ้าห่มน่ารักจัง พี่สิงห์ชอบอะไรแบบนี้เหรอเนี่ย เห็นที่ห้องใช้แต่สีดำ”

“ไม่ชอบหรอก แต่คิดว่าเธอน่าจะชอบ”

“ชอบครับ น่ารักดี”

“ชอบแล้วก็ใช้ด้วยนะ”

“อันนี้พี่สิงห์ซื้อให้ผมเหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ”

“แล้วพี่สิงห์ซื้อให้ผมทำไม”

“เข้าหน้าฝนแล้ว แถมพายุยังเข้าอีกฝนตกเกือบทุกวัน อากาศก็เริ่มหนาว ฉันเห็นที่ห้องเธอมีแค่ผ้าห่มบางๆ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” สิงห์บอก

อิงค์หน้าร้อนขึ้นเล็กน้อย เห็นสิงห์พูดไว้ตั้งนานแล้วแต่ไม่คิดว่าจะซื้อให้จริงๆ นอกเหนือจากนั้นคือความเป็นห่วงเป็นใยและความใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยของเขา แล้วแบบนี้จะให้เขาตัดใจยังไงไหวเนี่ย “เอ่อ… อันนี้ให้เนื่องในโอกาสอะไรครับ”

“อยากให้” สิงห์ว่า “ทำไม? เหตุผลแค่นี้ไม่ได้เหรอ”

“ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับ ผมจะใช้ทุกวันเลย”

สิงห์มองคนซึ่งกอดของที่เขาให้แน่นทั้งที่มันเป็นแค่ผ้าห่มธรรมดาผืนหนึ่ง รอยยิ้มกระจายไปทั่วหน้าขาวที่เจ้าตัวก้มลงซ่อนพวงแก้มที่ซับสีเลือดฝาดไว้ในผ้าห่ม

เห็นคนรับดีใจขนาดนี้ คนให้ก็เริ่มรู้สึกขัดเขินขึ้นมาหน่อยๆ สิงห์จึงรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง พอคิดได้เช่นนั้นแล้วก็รีบคว้าผ้าห่มจากมืออิงค์มาคลี่ออกแล้วเอาไปพันรอบตัวชายหนุ่มจนเหลือแต่เสี้ยวหน้าเล็กๆ โผล่ออกมา

“เป็นไงอุ่นไหม”

“อกพี่สิงห์อุ่นกว่า” อิงค์ตอบเสียงอู้อี้นิดๆ เพราะโดนผ้าพันไว้

“ของมันแน่อยู่แล้ว

“พี่สิงห์ช่วยอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

“อะไรเหรอ”

อิงค์ดึงผ้าห่มออกจากตัวแล้วสะบัดไปโอบรอบตัวสิงห์ “จะได้มีกลิ่นตัวพี่สิงห์ติดอยู่ เวลาผมห่มก็จะได้คิดถึงพี่ไง”

“แค่คิดถึงเหรอ”

“แล้วจะให้ผมทำอะไรครับ”

“นึกว่าจะเอาไว้ช่วยตัวเองเสียอีก”

“พี่สิงห์ทะลึ่ง” คนโดนแซวหน้าแดงไปถึงหู “ผมยังไม่ได้คิดอะไรถึงขั้นนั้นเลยนะ”

“อิงค์”

“ครับ” เจ้าของชื่อตอบรับเมื่อผ้าห่มผืนหนาถูกคลุมลงมาบนศีรษะโดยไม่ทันตั้งตัว

ใต้ผืนผ้าที่คลุมไว้ ท่อนแขนแกร่งยื่นออกมาดึงตัวเขาเข้าไปหาพร้อมกับที่เจ้าของเจ้าของมือนั้นก้มหน้าลงมาจูบ

มันเป็นแค่จูบแผ่วค่อยและรวดเร็วเหมือนลมพัดผ่าน แต่ตอนนั้นเอง ในหัวใจของคนที่เคยตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าจะไม่ขอรักใครอีกแล้ว ความรู้สึกหนึ่งมันกลับค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา

แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้… เขาขอเวลาอีกสักนิดถ้ามั่นใจเมื่อไร เขาจะเปิดประตูหัวใจต้อนรับคนที่ยืนรออยู่เข้ามาข้างในแน่นอน


หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 12(16/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-10-2019 18:21:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 12(16/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 16-10-2019 19:26:58
อย่ารอจนสายไปล่ะ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 12(16/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 16-10-2019 20:21:33
ระวังจะสายเกินไปแล้วจะหาว่าเจ้ไม่เตือน o18
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 12(16/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-10-2019 02:33:55
ยัยเกตถวา หล่อนมันร้ายจริงๆ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 12(16/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-10-2019 12:07:34
 :กอด1: :pig4: :pig4: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 12(16/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 17-10-2019 20:01:33
บทที่ 13

ประตูร้าน It’ sra เปิดออก เจ้าของร้านหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่หลังเคาน์เตอร์ก็ร้องเชื้อเชิญไปตามอัตโนมัติ

“ยินดีต้อนรับครับ”

นักเดินทางที่เพิ่งมาถึง เป็นชายหนุ่มร่างสูงสวมเสื้อทันสมัยและแว่นตาสีดำ ในมือถือกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งที่เขาหอบหิ้วลงมาจากรถญี่ปุ่นซึ่งจอดอยู่หน้าร้าน เขากวาดตามองไปรอบๆ อย่างสนอกสนใจก่อนจะเดินมาหยุดยืนตรงหน้าเคาน์เตอร์พลางพิจารณาดูเจ้าของร้านที่ยังก้มหน้าก้มตาชงกาแฟอยู่อย่างพิถีพิถัน

“ขอสั่งเครื่องดื่มหน่อยครับ”

“จะรับอะไรดีครับ” อิงค์ตอบก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองแล้วเขาก็ร้องเสียงดังจนบอยกับสารสาที่นั่งคุยกระหนิงกระหนิงกันอยู่ตรงโต๊ะใกล้ประตูสะดุ้งหันไปมอง

“ดาม!”

“ไอ้อิงค์!”

“เป็นไงมาไงถึงมาถึงน่านได้เนี่ย” อิงค์รีบออกมาจากหลังเคาน์เตอร์เพื่อให้การต้อนรับ

“เป็นเพราะคิดถึงแกไง” ดามหรือดัสกรว่า เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนของอิงค์ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยและเป็นคนที่สนิทกับอิงค์มากที่สุด

“นั่งก่อนๆ ดามกินไร เดี๋ยวเราเลี้ยงเอง”

“พูดงี้ไม่เกรงใจนะเว้ย” ดัสกรนั่งลงตรงหน้าเคาน์เตอร์ “เอามอคค่าเย็นๆ ชื่นใจมาแก้วนึง”

“ได้ตามที่ขอ” อิงค์ชงเครื่องดื่มเสิร์ฟให้พร้อมกับเค้กชอคโกแลตอีกสองชนิด “มาเหนื่อยๆ กินเยอะๆ นะ แล้วนี่ดามเป็นไงบ้าง”

“สบายดี” ดัสกรเริ่มต้นเล่าพลางดูดมอคค่าสลับกับตัดแบ่งขนมเค้กใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย เรื่องฝีมือของอิงค์นั้นเขาไม่แปลกใจอยู่แล้วเพราะเป็นหนูลองยาโดนให้ชิมมาตลอด “ทำอยู่บริษัทเดิมที่ฝึกงานน่ะแหละ พอดีคุยกับหน้าถูกคอเลยอยู่ยาวเลย”

“แล้วไอ้โอ๊ตกับแบงค์ล่ะ” อิงค์ถามถึงเพื่อนคนอื่น

“ก็อย่างที่เห็นในไลน์น่ะแหละ ไอ้โอ๊ตกลับไปทำงานบริษัทพ่อ ส่วนไอ้แบงค์ยังเรียนป.โทอยู่” ดัสกรบอก “ก่อนมานี่เพิ่งไปกินเหล้าด้วยกันมา มีแต่แกน่ะแหละที่ไม่ไป น่านนี่มันมีดียังไงถึงทำแกหลงจนไม่กลับไปหาแสงสีที่เมืองกรุงวะ ฉันขับมาตลอดทางไม่เห็นเจออะไรนอกจากป่ากับเขา เงี๊ยบเงียบ ห้างอะไรก็ไม่มีแกอยู่ได้ไงวะ”

“ก็เพราะมันสงบนี่แหละถึงได้ชอบ” อิงค์ตอบสั้นๆ

ดัสกรเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “แกชอบแบบนี้จริงดิ”

“อืม” อิงค์พยักหน้า “แล้วนี่ดามจะอยู่กี่วัน”

“ห้าวันน่ะ” ดัสกรบอก “ตั้งใจใช้วันลาพักร้อนทั้งหมดมาหาแกเลยนะเนี่ย”

“มันเหลือแล้วกลัวไม่ได้ใช้สิทธิ์มากกว่ามั้ง”

“อย่ามาทำเป็นรู้ทัน” ดัสกรหัวเราะกลบเกลื่อนที่โดนจับได้

สิงห์ที่เพิ่งเดินเข้าประตูมามองเจ้าของร้านกาแฟกับชายแปลกหน้าแล้วหันไปกระซิบถามบอย “นั่นใครน่ะเจ้าหนู”

“ผมก็แอบนั่งฟังจนหูจะเป็นตะคริวแล้วเนี่ยพี่สิงห์” บอยป้องปากกระซิบกระซาบ “เหมือนจะเป็นเพื่อนสนิทสมัยมหา’ ลัยน่ะ มาจากกรุงเทพเพิ่งมาถึงตะกี้แล้วจะอยู่เที่ยวห้าวัน”

สิงห์พยักหน้าพลางมองชายหนุ่มสองคนที่นั่งคุยหัวร่อต่อกระซิกอยู่ด้วยกันโดยอิงค์นั้นไม่มีทีท่าว่าจะหันมาเห็นเขาด้วยซ้ำทั้งที่ตัวก็ใหญ่ยืนเต็มหน้าประตูขนาดนี้

“เพื่อนแน่เหรอ”

บอยไหวไหล่ “พี่เขาว่าแบบนั้น ถ้าพี่สิงห์อยากรู้ก็ลองไปถามดูสิ”

“ได้ความยังไงมาเล่าให้พวกเราฟังด้วยนะคะ” สารสารีบบอก

สิงห์เดินไปที่เคาน์เตอร์แล้วกระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่ง อิงค์ละสายตาจากเพื่อนคนนั้นขึ้นมามองเขา ในขณะที่ไอ้หนุ่มหน้ามนจากกรุงเทพนั่นยังเกาคางเล่นกับเสือน้อยอยู่

“พี่สิงห์มาได้ไงเนี่ย”

“คิดถึง” สิงห์ตอบพลางนั่งลงตรงหน้าเคาน์เตอร์ข้างดัสกร

“เมื่อเช้าเพิ่งเจอกันเอง” อิงค์ตอบยิ้มๆ

“ก็อยากเจออีก”

“พี่สิงห์จะกินอะไรครับ”

“อิงค์ชงอะไรมาฉันก็กินได้ทั้งนั้นแหละ”

“งั้นรอเดี๋ยวนะครับ… อ้าว กาแฟหมด ผมไปเอากาแฟหลังร้านก่อนนะ”

พออิงค์ออกไปจากเคาน์เตอร์ สิงห์ก็เหลือบตาไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกัน และก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังเท้าคางมองมาที่เขาอย่างไม่ปิดบัง

“มีอะไร” สิงห์ถามพลางพยายามเรียกร้องความสนใจจากเสือน้อยโดยการใช้ไม้ติดขนไก่แหย่ แต่มันก็ไม่ใยดีเขาเลยสักนิด และเปลี่ยนท่าจากนั่งหมอบเป็นนอนหงายเหยียดยาวหลับตาพริ้มให้ดัสกรเกาพุงเล่นอีก

“ผมเป็นเพื่อนสนิทอิงค์ชื่อดาม” ดัสกรแนะนำตัว แค่ประโยคหยอกล้อที่ตั้งใจแสดงความสนิทสนมกับอิงค์กับสายตาไม่เป็นมิตรที่มองมา เขาก็รู้แล้วว่าชายคนนี้ตั้งใจจะประกาศตัวเป็นศัตรูกับเขา แล้วเขาก็ยินดีเป็นเสียด้วย

“อือ” สิงห์ครางในลำคอ

“แล้วคุณล่ะเป็นใคร”

“เป็นคนที่คุยกันอยู่”

ดัสกรเลิกคิ้ว “ใช่เหรอ”

“ไม่เชื่อก็ถามอิงค์ดูเองสิ”

อิงค์เดินกลับมาจากหลังร้านพอดี ดัสกรจึงรีบชิงถามขึ้น

“ผู้ชายคนนี้เป็นใครน่ะอิงค์เห็นคุยกันสนิทสนมเชียว… แฟนเหรอ”

“เฮ้ย! ไม่ใช่”

“จริงอะ” ดัสกรแกล้งกระเซ้า

“ไม่ใช่จริงๆ”

“แล้วเขาเป็นใคร”

อิงค์เหลือบตามองสิงห์ที่หน้าตึงขึ้นมาเล็กน้อย นั่นยิ่งทำให้อิงค์ใจแป้วและเข้าใจผิดว่าเจ้าตัวไม่ชอบใจที่ให้คนอื่นมาแซวแบบนี้ “พี่สิงห์เป็นเจ้าของที่พักชื่อข่วงเมืองสิงห์ที่ฉันเอาขนมไปฝากขายน่ะ”

“เหรอ” ดัสกรลากเสียงพลางเหลือบตามองชายหนุ่มตัวโตที่มองตาขวางตอบกลับมา เขายกยิ้มนิดๆ คล้ายกับจะเยาะหยันให้แล้วหันกลับไปคุยกับอิงค์ต่อ “ฉันขอนอนด้วยนะอิงค์ นี่ตั้งใจจะมานอนกับแกเลยไม่ได้จองห้องพักมา”

“มานอนที่พักผมไหมครับ ยังมีที่พักเหลืออยู่ เพื่อนอิงค์ผมให้พักฟรีเลย” สิงห์แทรกขึ้นอย่างเป็นทางการทั้งที่ก่อนหน้านี้จะงับหัวกันอยู่แล้ว

“ข้อเสนอดีจัง แต่ผมขอรับแค่น้ำใจนะครับคุณสิงห์ พอดีไม่เจออิงค์นานเลยอยากนอนคุยกันยาวๆ เหมือนสมัยอยู่หอน่ะ” ดัสกรตอบก่อนจะหันไปหาเพื่อนสนิท “ได้ไหมแก ฉันรบกวนหรือเปล่า”

“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” อิงค์รีบบอก “ห้องนอนเราอยู่ชั้นสอง ดามขึ้นเอาของไปเก็บได้เลย”

“เฮ้ย! ฉันเกรงใจว่ะ แกมีชุดที่นอนสำรองไหม เดี๋ยวฉันปูนอนที่พื้นดีกว่า จะได้ไม่รบกวนแกมาก” ดัสกรรีบพูดต่อเพราะรู้อยู่แล้วว่าอิงค์ไม่มีทางให้เขานอนพื้นแน่นอน

“รบกวนอะไร ไอ้นี่นี่อย่ามาเกรงใจไม่เข้าเรื่อง” อิงค์ว่า “ไป! เอาของขึ้นไปเก็บ จะเข้าห้องน้ำก็อยู่ในห้องนอนนั่นน่ะแหละ อยากได้อะไรเพิ่มก็เปิดตู้หาเอาได้เลย”

“ขอบใจนะเว้ย!” ดัสกรลุกไปโอบไหล่เพื่อนรักครั้งหนึ่งก่อนจะหันมาขยิบตาให้สิงห์แล้วคว้ากระเป๋าเดินทางขึ้นไปชั้นสองตามที่เจ้าของบ้านบอก

บอยที่นั่งสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ กับสารสาป้องปากกระซิบกันสองคน

“งานนี้ต้องมีคนเจ็บว่ะ”

“รสาก็ว่างั้นแหละ” สารสาพยักหน้าพลางยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบ นึกเสียดายหน่อยๆ ที่ไม่ทันได้สั่งเค้ก ท่าทางวันนี้จะมีเรื่องให้นั่งยาวๆ ซะแล้ว

อิงค์หันไปยิ้มส่งเพื่อนจนคล้อยหลังจึงหันกลับมาและเห็นสิงห์นั่งหน้าบอกบุญไม่รับ เขารีบชงกาแฟที่ค้างไว้ให้เสร็จแล้วเสิร์ฟให้สิงห์ที่ยกขึ้นจิบเพียงเล็กน้อยก็วางลง “ขม”

“ผมก็ชงสูตรปกติที่ชงให้ทุกครั้งนี่นา เอางี้ เดี๋ยวผมชงให้ใหม่นะ”

“ไม่ต้อง ไม่อยากกินแล้ว”

“ทำไมล่ะครับ”

“ไอ้หมอนั่นเป็นใคร” สิงห์ถามเสียงห้วน

“เพื่อนครับ ชื่อดาม” อิงค์บอก “หรือว่าพี่สิงห์โกรธที่หมอนั่นมันแซวว่าเป็นแฟนผมเหรอ… ผมขอโทษแทนมันด้วยนะครับ ดามมันคนปากไว ชอบแซวแรงๆ น่ะแต่ไม่มีอะไรหรอก”

“ฉันไม่ได้หงุดหงิดหมอนั่น ฉันหงุดหงิดเธอนี่แหละ”

“อ้าว” อิงค์ร้อง ยังไม่ทันจะถามต่อสิงห์ก็ลุกขึ้นแล้วคว้ามือดึงไปหลังร้าน

เขาผลักร่างโปร่งหลังชนกำแพงแล้วเอามือข้างหนึ่งค้ำไว้เหนือหัว “ทำไมถึงบอกว่าฉันเป็นแค่คนรู้จักล่ะ”

“ก็… ก็มันเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอครับ” อิงค์ตอบตะกุกตะกัก หน้าของสิงห์อยู่ห่างไปแค่คืบ สายตาคมดุดันจนเขาแทบไม่กล้ามองตรงๆ

“ตกลงเธอไม่ได้จีบฉันอยู่เหรอ” สิงห์ถามเสียงแข็ง

“ก็ใช่ แต่พี่สิงห์ยังไม่ตอบตกลงเป็นแฟนผมเลย ผมจะกล้าบอกใครๆ แบบนั้นได้ไงล่ะ”

“ทีฉันยังกล้าบอกใครๆ ว่าเธอเป็นคนที่ดูๆ กันอยู่เลย”

“ก็…” อิงค์ย่นปาก ก้มหน้าสำนึกผิดก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองคนตัวสูงกว่าที่ส่งสายตาดุมาให้ แล้วเขาก็อดอมยิ้มจนแก้มแทบปริไม่ได้

“เป็นอะไร จู่ๆ ก็ยิ้ม”

“เขินคนแอบหึง”

สิงห์เหมือนได้สติขึ้นมานิดหนึ่ง เขากะพริบตาถี่ๆ แล้วพูดเสียงเบาลงเล็กน้อย “ไม่ได้หึงสักหน่อย”

“บ้านผมเรียกแบบนี้” อิงค์พูดยิ้มๆ “บ้านพี่เรียกไรล่ะ”

“ก็… รำคาญ”

“รำคาญก็รำคาญครับ” อิงค์ทำเป็นพยักหน้าทำความเข้าใจ “รำคาญคนที่มาเกาะแกะเนอะ”

“ก็…” สิงห์พ่นลมออกจมูก รู้สึกเสียฟอร์มนิดๆ เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ตกลงจะให้ไอ้หมอนั่นค้างด้วยเหรอ”

“พี่ก็ได้ยินแล้วนี่”

“แล้วเธอก็จะนอนกับมัน”

“ก็ห้องผมนี่นา”

“แล้วฉันล่ะ” สิงห์ถามออกไปได้ในที่สุด “เธอจะให้ฉันนอนไหน”

“พูดยังกะปกติมานอนทุกวัน”

“ก็ช่วงนี้ไม่ปกติ”

อิงค์หลุดขำออกมาเล็กน้อย เขารู้สึกดีใจในความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ นี่ ทั้งยังเอ็นดูคนตัวโตที่จู่ๆ ก็หงุดหงิดงุ่นง่านขึ้นมากับเรื่องแค่นี้… นี่แสดงว่าเขาเข้าใกล้ความฝันเข้าไปทุกทีแล้วสินะ

แต่ตอนนี้… ขอเขาเข้าใกล้อย่างอื่นอีกนิดเถอะนะ

“พี่สิงห์ครับ”

“อะไร”

“ดีกันนะ” อิงค์กระซิบเสียงหวานพร้อมกับคล้องมือลงรอบคอคนตัวสูงกว่าแล้วดึงลงมาจูบ ซึ่งสิงห์ก็ตอบรับทันทีด้วยการสอดวงแขนกระชับรอบเอวสอบพลางเบียดกายเข้าหาจนร่างโปร่งนั้นแทบจมหายเข้าไปในอกแกร่ง

“พอก่อนครับ” อิงค์ผละริมฝีปากที่ยังดูดดึงไว้อย่างไม่รู้จักพอออกพร้อมกับยกมือขึ้นกันไว้ไม่ให้สิงห์จู่โจมเข้ามาได้อีก

“ทำไม”

“มันจะหยุดไม่ได้น่ะสิครับ” อิงค์หลุบตาลงมองส่วนสะโพกที่ยังสัมผัสกันแนบสนิท จนรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ดุนดันอยู่ใต้ร่มผ้านั่น

“ปิดร้านสักครึ่งชั่วโมงไม่ได้เหรอ” สิงห์กระเซ้าพลางเบี่ยงศีรษะไปขบเนื้ออ่อนที่ใบหูจนเป็นรอยฟันจางๆ เป็นคนอ่อยเขาแท้ๆ แต่กลับมาหักดิบเขากลางคันแบบนี้มันน่าลงโทษให้ลุกไม่ขึ้นจริงๆ “ไม่อยากกินกาแฟแล้ว แต่อยากกินคนชงมากกว่า”

“เดี๋ยวผมชดเชยให้น่า”

“เมื่อไหร่ล่ะ ได้ข่าวว่าหมอนั่นจะอยู่ห้าวัน”

“ก็วันที่หกน่ะแหละ”

“วางมัดจำมาเลยดีกว่า”

อิงค์ยิ้มก่อนจะเขย่งตัวขึ้นไปจุ๊บเบาๆ ครั้งหนึ่ง

“มัดจำน้อยจัง” สิงห์ว่า หากก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี “ฉันกลับก่อนนะ คืนนี้คงไม่มาแล้ว”

“เดี๋ยวผมไลน์หานะ ตอบด้วยล่ะ”

“อือ”

“ไปทำงานก่อนนะครับ ลูกค้ามาแล้ว”

พูดตบอิงค์ก็จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วเดินแยกตัวออกไปก่อนเพื่อไม่ให้คนอื่นผิดสังเกต

สิงห์เดินตามออกมาทีหลัง เขาทำเป็นไม่สนใจคนที่กำลังชงกาแฟให้ลูกค้าอยู่แต่แอบทำมือไวยื่นไปบีบสะโพกแรงๆ ครั้งหนึ่ง

อิงค์เหลือบตาขึ้นมองค้อนเบาๆ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้ สิงห์ยกยิ้มมุมปากแล้วหันไปจะลูบหัวเสือน้อยสักครั้งก่อนกลับ แต่เจ้าลูกแมวส้มที่นอนแผ่ให้คนแปลกหน้าจากเมืองกรุงเกาพุงเล่นเมื่อสักครู่กลับหมอบตัวลงต่ำในท่าเตรียมพร้อมแล้วยกขาหน้าขึ้นตะปบเขา

สิงห์หลุบตาลงมองปลายนิ้วชี้ที่มีเลือดไหลซิบแล้วมองเลยไปยังเสือน้อยที่ยังทำท่าขู่ฟ่อใส่เขา

…แหม~ ไอ้ตัวเล็กนี่อย่าให้แม่เอ็งเผลอเชียวนะ พ่อจะพาไปให้พระอาจารย์ที่วัดอบรมซะให้เข็ด! …

ดัสกรเดินลงบันไดมาจากชั้นสองมองตามคนตัวโตที่เดินออกจากร้านไป เพราะอยู่มุมสูงเขาจึงมองเห็นว่าสิงห์แอบจับก้นเพื่อนของเขาโดยที่เจ้าตัวไม่ต่อว่า

เขาเดินเข้าไปหาอิงค์ กวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่อึดใจก่อนจะแสร้งยิ้มออกมาทำเหมือนไม่เห็นเรื่องเมื่อครู่ “ขอบใจที่ให้พักด้วยนะ”

“แล้วนี่ดามแพลนจะไปเที่ยวไหนบ้าง เราจะพาไป”

“ไม่ได้คิดเลย ตามใจแกเลยละกันว่าที่ไหนดีที่ไหนเด็ด แต่ที่แน่ๆ ต้องมีนั่นนะเว้ย!” ดัสกรบอกพลางทำท่ายกแก้วขึ้นซด

“ได้เลยเดี๋ยวจัดให้แต่ต้องรอปิดร้านก่อนนะ”

“ปิดกี่โมง”

“สองทุ่ม”

“ไม่มีปัญหา” ตอนนั้นเองที่ดัสกรเหลือบไปเห็นรอยแดงที่ใบหู เขายื่นมือออกไปจะจับดูให้ชัดๆ แต่อิงค์กลับเบี่ยงตัวหลบ “รอยอะไรน่ะ… เหมือนรอยฟัน”

“เสือน้อยกัด” อิงค์พยักเพยิดไปทางเจ้าแมวส้มที่นั่งตาแป๊วมองผู้ปกครองของมันอยู่อย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่าจู่ๆ ก็กลายเป็นแพะรับบาปไปเสียได้ “เมื่อกี้เล่นกับมันแรงไปหน่อย”

ดัสกรเหลือบตามองเสือน้อยแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย “แมวบ้านนายนี่ดุเหมือนกันนะ”

ในเมื่อเจ้าถิ่นเขาแสดงความเป็นเจ้าของขนาดนี้ คิดว่าคนต่างถิ่นอย่างเขาจะไม่กล้าเช็กอินล่ะสิ แต่ที่แน่ๆ อย่างน้อยเขาต้องทำให้ ‘แมวตัวโตเจ้าของรอยกัด’ นั่นรู้เสียหน่อยว่าใครมาก่อนมาหลัง

หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 13(17/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-10-2019 20:09:54
 :pig4: :pig4: :pig4:

อ้าว......ยังไง ๆ  ที่ว่าคนมาก่อนเนี่ย  เป็นเพื่อนมาก่อนหรือเป็นแฟนมาก่อน?  แต่ไม่น่าจะแฟนอ่ะนะ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 13(17/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-10-2019 20:32:36
 :z1:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 13(17/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 17-10-2019 20:50:14
เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อหรือตั้งใจจุดไฟให้อิงค์
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 13(17/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-10-2019 21:49:47
 :mew1: :mew1: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 13(17/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 17-10-2019 23:49:57
เอาหน่อยดาม ให้พี่สิงห์สะเทือนบ้างจ้า
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 13(17/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-10-2019 23:59:17
 งานนี้มีวางมวยแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 13(17/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 18-10-2019 20:57:45
มีหึงๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 13(17/10/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 19-10-2019 07:59:38
บทที่ 14

“สวัสดีครับ”

เสียงเจื้อยแจ้วทักทายของชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟดังขึ้นที่หน้าประตูข่วงเมืองสิงห์ตอนเช้าตรู่เหมือนเช่นทุกวัน ป้าสำลีกับมอญรีบกุลีกุจอออกมาต้อนรับ แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ใครบางคนจะไวกว่า

สองพนักงานสาวของข่วงเมืองสิงห์จูงมือกันหลบเข้าหลังเสาเตรียมนินทาเจ้านายที่มายืนเฝ้าหน้าเคาน์เตอร์ ปากบอกไม่รักเขาแต่การกระทำสวนทางกันไปคนละโยชน์ แต่ยังไม่ทันจะเริ่มบทสนทนาทั้งสองก็สังเกตเห็นว่าสิงห์ยืนกอดอกทำหน้าตึงกว่าทุกวัน พวกเธอชะเง้อคอออกไปมองและเห็นต้นตอของบรรยากาศมาคุนั้นเป็นหนุ่มหล่อแปลกหน้าที่กำลังช่วยเจ้าของร้านกาแฟยกของกระหนุงกระหนิง

“อันนี้เอาวางตรงนี้ใช่ไหมอิงค์” ดัสกรถามพลางวางกล้องใส่ของลงบนโต๊ะ

“ขอบใจนะดาม” อิงค์วางของลงข้างกันแล้วหยิบขวดกาแฟออกมาจัดแจง

“ไอ้กล่องพวกนี้เหมือนจะเบาแต่ก็โคตรหนักเลยแล้วแบบนี้แกจะไม่ให้ฉันมาช่วยแกได้ไงวะ”

“เราก็ยกจนชินแล้วล่ะ แล้วตอนนี้ดามก็มาเที่ยวพักผ่อน เราจะใช้เพื่อนทำงานได้ไง”

“ก็เพราะเป็นเพื่อนน่ะสิถึงอยากช่วย นอกจากเพื่อนแล้วใครจะช่วยแกวะ” ดัสกรตั้งใจพูดดังๆ ให้ลอยลมไปกระทบหูคนที่ทำตาขวางใส่เขาอยู่และมันได้ผล สิงห์หน้าหงิกขึ้นอีก “เอาจริงๆ นะอิงค์ ฉันว่าแกกลับไปทำงานที่กรุงเทพดีกว่าไหม งานสบายกว่านี้แล้วได้เงินดีมีตั้งเยอะ หรือถ้าแกอยากจะเปิดร้านเองจริงๆ ทั้งฉัน ไอ้โอ๊ต ไอ้แบงค์ก็พร้อมจะช่วยแกอยู่แล้ว อยู่ไกลแบบนี้จะช่วยอุดหนุนเพื่อนก็ลำบาก”

“ก็ดีแล้ว” อิงค์ว่า “เพราะเราไม่อยากรบกวนพวกนายไง… แล้วก็เลิกกล่อมเราได้แล้ว บอกแล้วไงว่าไม่กลับ”

ดัสกรกลอกตา “ใจแข็งจริงๆ สิพับผ่า”

อิงค์หันไปยิ้มให้เพื่อนรัก “แค่เรื่องนี้ตามใจเราหน่อยน่า”

ดัสกรยกมือขึ้นมาทำเป็นนับนิ้ว “ก็ตามใจมาสามปีแล้วล่ะนะ ตั้งแต่แกรั้นจะไปอยู่คนเดียวที่ญี่ปุ่น ตอนนี้แกก็กลับมาหาพวกฉันที่เมืองไทยแล้ว เอาเป็นว่าฉันยอมรออีกสักพักก็ได้”

“ขอบใจนะที่ตามใจเรา” อิงค์บอกก่อนจะหยิบถุงขนมกับกาแฟที่แบ่งไว้ส่วนหนึ่งเดินไปหาคนที่กลับไปนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ “เอากาแฟกับขนมมาให้ครับ”

“นึกว่าจะไม่พูดด้วยซะแล้ว เห็นจิ๊จ๊ะอยู่แต่กับหมอนั่นสองคน” สิงห์ค่อยหน้ายืดออกเล็กน้อยพลางยื่นมืออออกไปรับถุงของฝากมาเปิดดู “เย็นนี้เธอว่างไหม”

“วันนี้ผมปิดร้านครึ่งวันครับ นัดกับดามไปไหว้พระ”

“จะไปวัดไหนบ้างล่ะ”

“ก็ที่พี่สิงห์เคยพาผมไป วัดพระธาตุเขาน้อย วัดภูมินทร์ วัดพระธาตุแช่แห้ง แล้วก็วัดช้างค้ำ”

“จะไหว้กันทั้งคืนเลยเหรอ โบสถ์เขาก็มีเวลาปิดนะ”

“ค่ำๆ ว่าจะไปร้านหมูกระทะนั่งจิบเบียร์” อิงค์บอก “ดามมันพวกขี้เหล้าน่ะครับ”

“เธอก็จะกินด้วยเหรอ”

“ปล่อยเพื่อนกินคนเดียวก็แปลกๆ สิครับ”

สิงห์เลิกคิ้ว “ระวังตัวให้ดีนะ เธอคออ่อนจะตาย”

“พี่สิงห์หมายความว่าไง”

“ก็ตามนั้นแหละ”

อิงค์เหลียวไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังและส่งยิ้มหวานมาให้ราวกับรู้ตัวว่ากำลังถูกนินทา “ดามมันไม่ทำอะไรผมหรอกพี่สิงห์สบายใจได้ มันเป็นแค่เพื่อนจริงๆ ”

“เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อล่ะไม่ว่า” สิงห์เปรย

“มันคิดไม่คิดไม่ซื่อก็เรื่องของมัน เอาเป็นว่าผมไม่นอกใจพี่หรอกน่า”

“เชื่อได้เหรอ”

“เชื่อได้ดิ”

“อือ เชื่อก็เชื่อ กินเสร็จกลับบ้านส่งข้อความบอกด้วยนะ”

“รับทราบครับ” อิงค์รับคำยิ้มๆ “นี่ขนาดยังไม่ใช่แฟนยังหวงขนาดนี้ เป็นแฟนแล้วจะขนาดไหนหนอ~”

“จะจับล่ามโซ่ขังไว้ในห้อง”

“งานโซ่แส้กุญแจมือก็มาวุ้ย”

“พูดงี้อยากโดนเฆี่ยนเหรอ”

“ถ้าเป็นแส้พี่สิงห์ผมจะยื่นก้นรอเลย เฆี่ยนแรงๆ เลยนะ”

“ทะลึ่งแต่เช้าเลยนะเรา”

“พี่สิงห์ชวนผมลงล่างก่อนนะ”

“แล้วพรุ่งนี้ล่ะว่างไหม” สิงห์วกกลับเข้าเรื่อง

“พรุ่งนี้จะไปเที่ยวปัวครับ พอดีดามมันอยากไปดูทุ่งนากว้างๆ เขียวๆ ไกลสุดลูกหูลูกตาแบบที่คนอื่นเขาถ่ายภาพกันผมเลยว่าจะปิดร้านพาไปสักหน่อย” อิงค์บอก

“ลงทุนจังเลยนะ” สิงห์เหน็บเบาๆ “วันหยุดครึ่งวัน พรุ่งนี้ก็ปิดอีกวัน”

“ก็เพื่อนอุตส่าห์มาหาทั้งทีนี่นา”

“ไปถูกเหรอ ให้ฉันไปด้วยไหม”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเกรงใจ”

สิงห์หน้ามุ่ยขึ้นมาเล็กน้อยที่อิงค์จะไปไหนมาไหนไกลหูไกลตาเขากับคนอื่นตั้งสองวัน แถมกลางคืนยังนอนห้องเดียวกันอีก “แล้วตกลงเธอจะมีคิวให้ฉันวันไหน

“พี่สิงห์จะชวนผมไปไหนหรือทำอะไรเหรอ”

“วันอาทิตย์นี้เธอจะไปงานวันเกิดพ่อฉันไม่ใช่เหรอ ฉันจะพาเธอไปหาชุดใหม่”

“ถึงขั้นต้องซื้อใหม่เลยเหรอครับ คุณเหมราชบอกว่างานเล็กๆ แค่กินข้าวเย็นด้วยกันเอง”

“ถ้าพ่อฉันว่าเล็กมันก็เล็กแหละ แต่แต่งตัวดีๆ ไปก็ดีกว่าใช่ไหมล่ะ”

“ผมก็พอมีชุดดีๆ อยู่นะ”

“มีชุดพื้นเมืองด้วยเหรอ” สิงห์ว่า “พ่อฉันชอบให้ใส่ผ้าไทยน่ะ ถึงจะบอกว่าไม่มีธีมแต่ใครๆ ก็ใส่มาเอาใจกันทั้งนั้น เธอแต่งแบบอื่นไปมันจะแปลกน่ะสิ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายหรอกเดี๋ยวฉันซื้อให้เอง”

“ออกให้อีกแล้ว ป๋าจัง”

“สรุปว่างวันไหน”

“พรุ่งนี้ก็ได้ครับ” อิงค์บอก “ผมพาดามไปเที่ยวตอนเช้า แล้วกลับมาซื้อของกับพี่สิงห์ตอนเย็นดีไหมครับ”

“ตามนั้น”

“นี่อิงค์ จะแปดโมงแล้วนะ รีบกลับไปเปิดร้านกันเถอะ” ดัสกรแทรกขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเดินไปสตาร์ตมอเตอร์ไซค์รอ

“ผมไปก่อนนะครับ มะรืนเจอกัน” อิงค์กำลังจะผละจากไป สิงห์ก็เอื้อมมือมาคว้าตัวไว้แล้วพูดด้วยเสียงเบาให้ได้ยินกันแค่สองคน

“พรุ่งนี้บอกหมอนั่นให้เฝ้าร้าน ล็อกประตูปิดหน้าต่างให้ดีๆ ด้วยล่ะ”

“ทำไมเหรอครับ”

“ก็เพราะเธอจะไม่ได้กลับไปนอนที่ห้องน่ะสิ”

“แล้วจะไปไหน”

“ซื้อชุดมาแล้วก็ต้องลองใส่สิ ถ้าไม่หล่อจะได้เอาไปเปลี่ยน”

“ลองทั้งคืนเลยเหรอครับ” อิงค์แซวกลับ

“ชุดมันถอดง่ายแต่ใส่ยากน่ะ ค่ามัดจำที่ให้ไว้ฉันจะให้เธอจ่ายคืนให้คุ้มเลย” สิงห์บอกยิ้มๆ “พรุ่งนี้เจอกันนะ”

“ครับ”

ดัสกรมองเพื่อนรักที่เดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กลับมาขึ้นรถแล้วมองเลยไปยังคนตัวโตที่กลับไปนั่งลงหลังเคาน์เตอร์

เหตุผลที่อิงค์ไม่อยากกลับกรุงเทพนั้นเขาและเพื่อนๆ รู้ดีอยู่เต็มอก แต่ที่เขาสงสัยคือทำไมถึงเลือกมาอยู่ที่น่าน ที่นี่มีอะไรดีนักหนา ตอนจะเปิดร้านอะไรก็ไม่ยอมบอกหรือขอความช่วยเหลืออะไร ลงมือทำทุกอย่างคนเดียว เขามารู้อีกทีก็ได้รับข้อความว่าเปิดร้านเรียบร้อยแล้วให้มาเที่ยวได้ แต่กว่าจะเคลียร์งานของตัวเองได้ก็ใช้เวลาหลายเดือน พอเรียบร้อยปุ๊บถึงได้รีบจัดของลงกระเป๋าแล้วบึ่งมาหานี่ล่ะ

ถ้าเหตุผลเป็นเรื่องของความเงียบสงบจริงอย่างที่เจ้าตัวบอก เขาจะพอทำใจยอมให้อยู่แล้วไปๆ มาๆ เอาก็ได้ แต่ถ้าเหตุผลเป็นเพราะคนแล้วล่ะก็ เห็นทีคงจะยอมให้ไม่ได้ง่ายๆ

#############################################################

“หาชุดใหม่สำหรับงานวันเกิดเหรอคะคุณ” เกตถวาถามสามีที่กำลังง่วนอยู่กับการเลือกดูเสื้อผ้าในร้านผ้าไทยของโรงแรม

“คุณว่าชุดนี้สวยไหม” เหมราชหันมาขอความเห็นพลางหยิบเสื้อผ้าไหมสีเข้มขึ้นมา

“สวยค่ะ แต่มันไม่ดูวัยรุ่นไปหน่อยเหรอคะ”

“อ๋อ อันนี้ผมไม่ได้ใส่เอง ว่าจะส่งไปให้คุณอิสระน่ะ เขาอุตส่าห์สละเวลามางานวันเกิดผมแล้วก็ไม่อยากให้ต้องมากังวลเรื่องหาชุดอีก” เหมราชบอก “คุณช่วยผมเลือกหน่อยสิ ถามปู่กับอินถาก็ไม่ได้เรื่องเลย พวกนี้ไม่มีหัวแฟชั่น”

“ขอโทษด้วยครับคุณท่าน พอดีผมมีดีแค่เรื่องกินถึงได้รับหน้าที่ดูแลห้องอาหาร” ปู่กมลที่ยืนอยู่ถัดออกไปกับอินถาบอก

เกตถวานึกไม่ชอบใจขึ้นมาเล็กน้อยว่าทำไมเหมราชถึงเอ็นดูคนที่เพิ่งเจอกันครั้งสองครั้งนักหนา ชวนมางานวันเกิดก็เรื่องนึงแล้วนี่ถึงขนาดมาหาชุดให้อีก

แต่เธอก็ยังเก็บสีหน้าและอารมณ์ได้ดีก่อนจะหันไปเปิดดูชุดที่แขวนมากมายอยู่บนราวแล้วเลือกหยิบออกมาชุดหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นแบบนี้ดีไหมคะ ครั้งก่อนที่มาที่นี่ เกตเห็นเขาใส่เสื้อสีขาว คิดว่าน่าจะชอบสีนี้ แล้วเขาก็เป็นผู้ชายตัวสูงใส่กับกางเกงผ้าตัวนี้ก็ดูเข้าทีดีนะคะ”

“จะว่าไปครั้งก่อนที่ผมไปชวนเขาที่ร้านอาหารสัตว์เขาก็ใส่เสื้อสีขาวนะ คุณนี่ช่างสังเกตจริงๆ ขอบคุณนะเกต ตั้งแต่คบกับคุณมา คุณไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลยสักเรื่อง”

“คุณก็ชมเกินไปค่ะ แค่เลือกชุดแค่นี้เอง”

“ผมพูดจริงนะ” เหมราชว่าก่อนจะหันไปหาพนักงานของร้าน “ห่อให้เรียบร้อย แล้วปู่ช่วยเอาไปให้คุณอิสระด้วยนะ”

“ครับคุณท่าน”

“ตายล่ะ ได้เวลาประชุมแล้ว ผมไปก่อนนะเกต เย็นๆ เจอกันนะจ๊ะ”

เกตถวายิ้มส่งสามี ครั้นพอเขาคล้อยหลังไปก็หันไปหากมลที่กำลังรับถุงใส่ของจากพนักงานมาพอดี

“เดี๋ยวเกตเอาไปให้คุณอิสระเองก็ได้ค่ะ” เธอเอ่ยพลางถือวิสาสะรับถุงมาเสียเอง

“จะดีเหรอครับคุณเกต คุณท่านฝากงานนี้ไว้กับผม” กมลกล่าว

“ปู่มีงานที่ต้องดูแลห้องอาหาร แล้วตอนนี้ก็ยังไม่ได้บาริสต้าคนใหม่ อินถาก็ต้องลงมือไปช่วยเองเป็นบางวัน แถมช่วงนี้ฝนตกบ่อย คนที่มาพักออกไปเที่ยวไหนไม่ได้ก็มาใช้บริการเยอะเสียด้วย ปู่กับอินถาไปดูแลตรงนั้นเถอะผิดพลาดไปจะแย่ นี่แค่เอาของไปส่ง งานง่ายๆ แค่นี้เองเกตทำได้อยู่แล้วค่ะ” เกตถวายิ้มหวานให้อย่างยินดี

กมลหันไปสบตาอินถา ถึงจะไม่ใคร่สบายใจที่ต้องรบกวนแต่ก็ยินยอมให้เธอทำตามต้องการ “รบกวนคุณเกตด้วยนะครับ”

“เกตจะตั้งใจเอาไปส่งอย่างดีเลยค่ะไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”

############################################################

ประตูหน้าร้าน It’ sra เปิดออก อิงค์ส่งเสียงต้อนรับไปอย่างเคย “สวัสดีครับ”

เกตถวาเหลียวมองรอบร้านอย่างสนอกสนใจก่อนจะเดินไปหยุดลงที่หน้าเคาน์เตอร์ เธอกวาดตามองชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่อึดใจจนอิงค์ที่โดนมองอยู่รู้สึกไม่ดีและเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ

“คุณลูกค้าจะรับอะไรดีครับ”

เกตถวาเงยหน้าขึ้นสบตาและยิ้มหวานให้ “สวัสดีค่ะ ฉันมาพบคุณอิสระค่ะ”

“ผมเองครับ”

“ขอโทษนะคะที่เมื่อครู่ฉันเสียมารยาทไปหน่อย พอดีสามีบอกฉันว่าให้มาหาผู้ชายหล่อๆ ที่หน้าตาคล้ายฉันน่ะค่ะ นึกแปลกใจอยู่ว่าจะหน้าตาแบบไหน ที่แท้ก็หน้าตาดีสมกับที่เขาว่าจริงๆ ” เธอจีบปากจีบคอพูด

“แล้วสามีคุณ…”

“ตายจริง ฉันนี่แย่จังมัวแต่พูดอะไรก็ไม่รู้ลืมแนะนำตัวไปได้… ฉันเป็นภรรยาของคุณเหมราชค่ะ ชื่อเกตถวา คุณอิสระเรียกฉันว่าพี่เกตก็ได้นะคะ”

“ครับ” อิงค์รับคำ “แต่ผมว่าผมเรียกคุณเกตดีกว่าเพราะอย่างไรคุณก็มีศักดิ์เป็นแม่พี่สิงห์”

เกตถวารู้สึกเสียหน้าเล็กๆ แต่ก็ยังปั้นยิ้มต่อได้ “แล้วแต่คุณอิสระสะดวกละกันค่ะ”

“แล้วคุณเกตมีธุระอะไรถึงมาหาผมถึงที่นี่ครับ”

“ฉันเอาของที่คุณเหมราชฝากมาให้ค่ะ” เกตถวายิ้มหวานพลางส่งของในมือให้ “เป็นชุดสำหรับใส่ไปงานวันเกิดคุณเหมราชน่ะค่ะ”

“ผมเกรงใจจังครับ ชวนไปงานแล้วยังให้ของอีก จริงๆ ควรเป็นฝ่ายผมที่ต้องเตรียมไปให้มากกว่า”

“อย่าเกรงใจเลยค่ะ รับไปเถอะ ชุดนี้สามีฉันตั้งใจเลือกเองกับมือเลยนะคะ หวังว่าถึงวันงานจะเห็นคุณใส่ไป”

ได้ยินดังนั้นอิงค์จึงต้องรับมา “ขอบคุณคุณเกตที่เอามาให้นะครับ ผมฝากขอบคุณคุณเหมราชด้วยนะครับสำหรับน้ำใจ”

“ได้ค่ะ” เกตถวาบอก “เจอกันวันอาทิตย์นะคะ”

“รอสักครู่นะครับ”

“อะไรคะ”

“เพื่อเป็นการขอบคุณที่เสียเวลามา ผมขอเลี้ยงกาแฟคุณเกตสักแก้วได้ไหมครับ”

“จะดีเหรอคะ ฉันแค่ถือของมาเฉยๆ เองไม่ได้ลำบากอะไรเลย”

“ดีสิครับ คุณเกตจะดื่มอะไรครับ”

“ขอเป็นลาเต้เย็นก็ได้ค่ะ คุณเหมราชบอกว่าคุณชงอร่อย”

“ได้เลยครับ” อิงค์รีบจัดการชงเครื่องดื่มส่งให้เธอ และส่งให้พร้อมกับขนมเค้กอีกชุดหนึ่ง “อันนี้ฝากไปทานด้วยนะครับ มีของคุณเกตกับคุณเหมราช แล้วก็ปู่กมลกับคุณอินถาด้วย”

“ขอบคุณนะคะ พวกเขาต้องดีใจมากแน่ๆ เลยค่ะ” เกตถวารับของมาแล้วเดินออกไปขึ้นรถที่เธอขับมา

เธอสตาร์ตรถขับออกไปและเพียงแค่พ้นหัวโค้งถนนเธอก็จอดรถชิดข้างทาง

“นึกว่าจะเป็นคนแบบไหน ก็แค่ผู้ชายบ้านๆ แถมยังปากดีอีก คนอุตส่าห์จะญาติดีด้วยแท้ๆ สงสัยสิงห์จะเสี้ยมกันมาสินะ”

เกตถวาเหลือบไปมองแก้วเครื่องดื่มกับถุงขนมเค้กที่วางอยู่บนเบาะข้างตัวด้วยสายตาเหยียดหยัน

“ใครจะไปกินของพรรค์นี้กัน” เธอเปิดกระจกรถแล้วโยนของทั้งหมดลงถังขยะข้างเสาไฟฟ้าก่อนจะขับออกไป

########################################################

“ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใครเหรออิงค์” ดัสกรที่เพิ่งเดินลงมาจากชั้นสองถาม

“ภรรยาคุณเหมราช แม่เลี้ยงพี่สิงห์น่ะ พอดีคุณเหมราชเขาชวนฉันไปงานวันเกิดเขาน่ะ คุณเกตเลยเอาชุดที่จะใช้ใส่ไปมาให้”

“ที่แกคุยกับคุณสิงห์เมื่อเช้าสินะ” ดัสกรลำดับเรื่องตาม “ตกลงแกกับเขานี่ไม่ได้เป็นแค่คนรู้จักกันสินะ”

“ก็คนรู้จักน่ะแหละ” อิงค์ยังปากแข็ง “แกก็เคยไปงานวันเกิดพ่อเรา ยังเป็นแค่เพื่อนเราเลยนี่นา”

“อื้อหือ ฟังแล้วเจ็บจี๊ดเลยแฮะ”

ตั้งแต่ตอนที่อิงค์เลิกราจากแฟนเก่าที่ชื่อเมย์ ดัสกรที่แอบชอบมานานก็สารภาพรักทันทีหวังจะหาจังหวะที่เจ้าตัวหัวใจอ่อนแอเข้าแทรก แถมยังมีใช้กำลังปลุกปล้ำกันเล็กน้อยด้วย ยอมรับว่าตอนนั้นยังวัยรุ่น ใจร้อน คิดน้อยไปหน่อย สุดท้ายก็ไม่สำเร็จแถมยังเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้อิงค์หนีไปกินเหล้าเมาคนเดียว แต่ที่หนักที่สุดคือขึ้นเครื่องบินหนีมาน่านนี่แหละ พอกลับกรุงเทพเจอหน้ากันก็ไม่ยอมพูดด้วย เขาทั้งขอโทษและตามง้อเช้าเย็น จนสุดท้ายเขาต้องสาบานต่อหน้าศาลพระภูมิบ้านอิงค์ตั้งหลายรอบว่าจะไม่ล้ำเส้นของความเป็นเพื่อนอีก นั่นล่ะอิงค์ถึงได้ยอมกลับมาคบกับเขาเหมือนเดิม

“ตกลงเป็นอะไรกัน สารภาพมาสิ ไม่ต้องมาอ้อมค้อม ฉันมองตาแกก็รู้ถึงไส้ติ่ง ว่าชอบเขาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”

“ไม่เท่าไหร่หรอก ถ้าตามที่พี่เขาบอกก็เรียกว่ากำลังดูๆ กันอยู่”

“แล้วนอนกันยัง”

“ก็หลายรอบแล้ว”

“กูไม่น่าถามเลยเว้ย! ” ดัสกรฟุบหน้าลงกับโต๊ะแล้วร้องเสียงดังด้วยความช้ำใจ “เต๊าะมาตั้งหลายปีไม่สำเร็จไม่พอ แถมยังปล่อยให้หนุ่มบ้านนอกที่ไหนก็ไม่รู้หลอกคาบไปแดกอีก”

“ก็ดามให้เราบอกตรงๆ เองนะ”

“เออๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไร”

“แล้วพี่สิงห์ก็ไม่เป็นไม่ใช่หมาด้วย มาคาบไปดงไปแดกอะไร เขาเป็นพ่อเสือน้อยนะ” อิงค์หันไปลูบหัวเจ้าแมวส้มที่นอนหมอบอยู่ข้างแขนก่อนจะพูดด้วยเสียงสอง “ใช่ไหมครับ พี่สิงห์เป็นคุณพ่อเสือน้อยเนอะ”

เหมียวววว~

“ฉันว่าแมวมันร้องว่า ไม่อาววว~ ว่ะ” ดัสกรพึมพัมขึ้นมาจากวงแขน

“แล้วก็รู้ไว้ด้วยว่าเป็นฉันต่างหากที่เป็นคนหลอกฟันเขา เขาไม่ได้หลอกฟันฉัน”

ดัสกรเงยหน้าขึ้นมาเผชิญหน้ากับความจริงอีกครั้ง ตาแดงๆ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล “แล้วถึงขั้นนอนด้วยกันกันหลายรอบแล้วทำไมยังไม่เป็นอะไรกันอีกล่ะ”

“ก็พี่สิงห์เขายังลืมแฟนเก่าที่ตายไปแล้วไม่ได้น่ะสิ”

“สู้กับคนตายยากนะแก” ดัสกรว่า “เพราะไม่ว่ายังไงคนๆ นั้นก็จะยังอยู่ในความทรงจำของเขาไปตลอด”

“ไม่ยากหรอก ยังไงก็ตายไปแล้ว กลับมาแย่งเขาคืนไปไม่ได้หรอก” อิงค์บอก “สู้กับคนเป็นสิยากกว่าเพราะอาจจะกลับมาหากันได้ทุกเมื่อ”

ดัสกรพยักหน้าตาม “ที่แกพูดมามันก็มีเหตุผล”

“เชียร์เราหน่อยสิ” อิงค์ว่า “พี่เขาบอกว่าอีกนิดเดียวก็จะจีบติดแล้วเนี่ย”

“ไม่อะ” ดัสกรเบะปาก “เกลียดขี้หน้าหมอนี่”

“ดามไม่อยากเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวเหรอ”

“อยากเป็นผัวเจ้าบ่าวมากกว่า”

“ดาม” อิงค์กดเสียงต่ำให้รู้ว่าไม่ประโยคนี้เขาไม่เล่นด้วย “เราตกลงกันแล้วใช่ไหม”

“ครับคุณเพื่อน ขอโทษครับ” ดัสกรรีบขอโทษ “เอาเป็นว่าสู้ๆ นะ” ปากบอกไปแบบนั้นแต่แอบไขว้นิ้วอยู่ข้างหลัง และแช่งให้เลิกกันไวๆ ...เอ๊ะ! หรือไม่ต้องแช่งนะ ก็เจ้าบอกเองนี่นาว่ายังไม่ได้เป็นอะไรกัน ก็ขอให้เป็นไปตามนั้นตลอดไปละกัน



หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 14(19/10/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-10-2019 08:17:38
ตัวเร่งเยอะ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 14(19/10/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-10-2019 08:39:10
  :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 14(19/10/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 19-10-2019 09:42:18
 :pig4: :pig4: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 14(19/10/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-10-2019 10:31:20
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม ๆ เจ้าดาม  แกอย่าไปร่วมมือกับยัยเกตุนั่นเด็ดขาดนะ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 14(19/10/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 19-10-2019 10:38:07
จุดจบของคนแบบเกตนี่จะเปนยังไงหรอ  :katai1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 14(19/10/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 19-10-2019 11:35:14
เอาใจช่วยเหมือนกัน  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 14(19/10/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-10-2019 05:23:43
ขอให้ยัยเกต โป๊ะแตกเร็วๆนี้เถอะ หมั่นไส้
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 14(19/10/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 20-10-2019 20:47:53
ดามเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อจริงๆด้วย รำคาญยัยเกต รอวันที่พ่อพี่สิงห์รู้ความจริงว่านางร้ายขนาดไหน
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 14(19/10/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 21-10-2019 11:46:26
บทที่ 15


วันรุ่งขึ้น หลังจากอิงค์ส่งของในตอนเช้าเสร็จ ทั้งสองก็เดินทางโดยรถของดัสกรซึ่งเจ้าตัวเป็นคนขับลัดเลาะไปตามทุ่งนาและเนินเขาตามเส้นทางที่จีพีเอสบอกเพื่อไปยัง อ. ปัวซึ่งอยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองราว 70 กิโลเมตร

การจะได้ภาพถ่ายทุ่งนาสีเขียวขจีสวยๆ นั้นสามารถมาท่องเที่ยวได้หลายเวลาขึ้นกับว่าชอบบรรยากาศแบบไหน สดชื่นยามเช้า สดใสตอนสายๆ หรือเงียบสงบปนเหงานิดๆ ก็มาช่วงเย็น แต่ดัสกรนั้นเห็นว่าไหนๆ มาแล้วก็อยากจะเก็บบรรยากาศหลายๆ แบบ ทั้งยังเป็นข้ออ้างในการกักตัวอิงค์ให้อยู่กับเขาได้ทั้งวันอีกด้วย

“มาอยู่ตั้งหลายเดือนฉันนึกว่าแกเที่ยวทั่วแล้วซะอีก ที่ไหนได้ยังไม่เคยไปเหมือนกัน” ดัสกรแซวคนที่อาสาจะพาเที่ยวแต่กลับไม่รู้ทางสักนิด

“ก็งานยุ่งนี่นา” อิงค์แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ

“แล้วคุณสิงห์อะไรของแกเขาไม่พาไปไหนบ้างเหรอ”

“ก็พาไปหลายที่ แต่ก็อยู่แค่ในอำเภอเมืองน่ะ ยังไม่เคยออกไปไหนไกลๆ เลย”

“ยังดีที่คำตอบมีสถานที่เที่ยว ฉันนึกว่าแกจะบอกว่าเขาชวนแต่ขึ้นเตียงซะอีก”

“ไอ้นี่!”

“ก็ดูเขาเป็นคนแบบนั้น” ดัสกรพูดหน้าตาเฉย

“อาทิตย์ก่อนเพิ่งพาเสื้อน้อยไปทำวัคซีนแล้วก็ไปซื้ออาหารแมวด้วยกันมา”

“โรงพยาบาลกับร้านอาหารสัตว์นับเป็นที่เที่ยวด้วยเหรอวะ”

“อาทิตย์ก่อนโน้นก็ไปดูแข่งฟุตบอล ก่อนหน้านั้นก็ไปเดินเที่ยวกาด” อิงค์เล่าไปก็เขินไปเพราะทุกครั้งที่ไหนด้วยกันมักจะกลับมาจบที่เตียงทุกครั้งตามที่ดัสกรแซวจริงๆ นั่นแหละ “อาทิตย์ก่อนเขาก็เพิ่งซื้อผ้าห่มลายแมวให้ด้วย”

“อ้อ! ไอ้ผืนที่แกหวงหนักหวงหนาว่าห้ามฉันแตะเด็ดขาดใช่ไหม”

“ก็มันมีกลิ่นตัวพี่สิงห์ติดอยู่ นายเอาไปใช้เดี๋ยวกลิ่นก็เพี้ยนน่ะสิ”

“เบื่อคนอวดผัวว่ะ” ดัสกรย่นปาก ชักจะเหม็นความรักจนอยากเปลี่ยนเรื่องคุย ก็พอดีกับที่จีพีเอสซึ่งเปิดไว้ดันร้องเตือนขึ้นมาว่าพวกเขากำลังจะไปผิดทาง

“นั่นๆ ต้องเลี้ยวตรงนั้น ไอ้ดาม นายน่ะมัวแต่ชวนคุยไม่ดูทางเลย”

“เอ้า! โทษฉันคนเดียวได้ไงวะแกก็ไม่ดูเหมือนกัน” ดัสกรรีบหลบรถเข้าข้างทางแล้ววนรถกลับ

โชคดีที่วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสหลังจากฝนตกๆ หยุดๆ ติดต่อกันมาหลายวัน พวกเขาจึงอยู่เที่ยวกันจนบ่ายคล้อยจึงขับรถกลับ แต่แล้วฟ้าที่โปร่งมาทั้งวันก็กลับกลายเป็นมืดครึ้มแล้วฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่จนมองทางข้างหน้าแทบไม่เห็น ดัสกรแทบไม่แตะคันเร่งเนื่องจากต่างคนก็ไม่ชำนาญเส้นทางที่เป็นสันเขาและทุ่งนาถ้าพลาดนิดเดียวคือตกลงไปตายแน่นอน

และในขณะที่ค่อยๆ คลำทางกลับกันมาอยู่นั้นฟ้าก็ผ่าลงมาเปรี้ยงใหญ่ใส่ต้นไม้สูงที่อยู่ข้างทาง ลำต้นหนาค่อยๆ ปริแตกออกจากกันแล้วหักครืนล้มลงมาปิดทางเดินรถต่อหน้าต่อตา

“เอายังไงดีวะแก” ดัสกรขอความเห็น

“เราลองไปทางอื่นดู” อิงค์บอกพลางกดรีเฟรซแอปพลิเคชั่นแผนที่นำทางซึ่งใช้เวลาคำนวณอยู่อึดใจก็แสดงเส้นทางใหม่ที่อ้อมไปค่อนข้างไกล

อิงค์มองดูนาฬิกาซ้ำแล้วซ้ำเล่าสลับกับฝนที่ไม่มีทีท่าจะซาเม็ดลงและตัดสินใจส่งข้อความหาสิงห์ว่านัดวันนี้คงต้องขอยกเลิกเสียแล้ว

“ฝนตกหนักถึงขนาดมองทางไม่เห็นเลยเหรอ” สิงห์ถามกลับมา

“ใช่แล้วครับ แล้วจู่ๆ ฟ้าก็ผ่าใส่ต้นไม้ล้มมาขวางทางอีก”

“แล้วนี่ขับมาเส้นทางไหน”

“ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกันก็ขับมาเรื่อยๆ ตามจีพีเอสบอกน่ะครับ”

“เธอจอดรถเฉยๆ แล้วส่งโลเคชั่นมาเดี๋ยวฉันไปรับเอง”

“อย่าลำบากเลยครับ ฝนมันตกหนักมากจริงๆ ตามที่จีพีเอสคำนวณอีกสักชั่วโมงผมก็น่าจะถึงบ้านแล้วล่ะ” อิงค์พิมพ์ตอบไป

“พากันมาดีๆ ล่ะ แล้วเธอจะว่างไปซื้อชุดกับฉันวันไหน นี่ก็วันศุกร์แล้วนะ งานจัดวันอาทิตย์นี้นะอย่าลืม”

“ผมลืมบอกพี่สิงห์เลย เรื่องชุดน่ะผมไม่ลำบากพี่สิงห์แล้วล่ะครับ พอดีคุณเหมราชเตรียมมาให้แล้ว”

“แล้วยังไง เธอจะเบี้ยวนัดฉันเหรอ”

“ผมไม่ได้จะเบี้ยวนัดพี่สิงห์สักหน่อย แค่จะบอกว่าผมมีชุดแล้ว พี่ไม่ต้องซื้อให้ผมแล้ว”

“แต่ฉันอยากซื้อให้นี่นา”

“ถ้าผมไม่ใส่ชุดที่คุณเหมราชเตรียมมาให้มันก็จะดูไม่ดีน่ะสิครับ”

“แต่เธอไปกับฉันนะ”

“แต่เป็นงานคุณเหมราชนะครับ เขาอุตส่าห์เลือกเองแล้วให้คุณเกตถวาก็เอามาส่งให้ที่ร้าน ผมไม่ใส่ได้หรอก”

“เธอเจอกับเกตแล้วเหรอ”

“เธอสวยจังเลยนะครับแล้วก็ดูนิสัยดีด้วย”

“เกตพูดอะไรแปลกๆ กับเธอหรือเปล่า”

“ไม่นี่ครับ… ทำไมเหรอ”

“เปล่า”

“ผมว่าก็ดูเธอเป็นคนดีนะ ทำไมพี่สิงห์ถึงเกลียดเธอล่ะครับ”

“มันก็เรื่องของฉันไม่เกี่ยวกับเธอเสียหน่อย!”

นั่นเป็นข้อความสุดท้ายที่สิงห์ส่งมาก่อนจะเงียบหายไป อิงค์จึงเปลี่ยนใจเป็นโทรหา แต่สิงห์ก็ไม่ยอมรับสาย เขาจึงได้แต่ทิ้งข้อความไว้

“ขอโทษครับที่ผมละลาบละล้วง”



โทรศัพท์สั่นเป็นครั้งที่สามจากสายโทรเข้า แต่สิงห์ก็ยังคงไม่สนใจ เขาไม่ได้โกรธที่อิงค์พูดถึงผู้หญิงคนนั้นก็แค่ไม่อยากได้ยินชื่อ ที่เขาตัดบทไม่คุยต่อและไม่รับสายเพราะรู้ตัวว่าเริ่มอารมณ์ไม่ดี จึงไม่อยากทำให้เรื่องมันบานปลายไปมากกว่านี้ เหมือนที่เคยทำพลาดมาก่อน

ตาคมจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างที่อากาศแจ่มใส ทั้งที่เป็นจังหวัดเดียวกันแท้ๆ เป็นเพราะฝนมันตกไม่ทั่วฟ้า... หรือเป็นเพราะใครบางคนกำลังโกหกเขาอยู่กันแน่นะ มันฟังดูมีเหตุผลที่ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย… ออกไปเที่ยวกับเพื่อนสนิท ฝนตกหนัก มีฟ้าผ่าต้นไม้ล้มจนต้องอ้อมไปอีกทาง ยกเลิกนัดไม่พอ ชุดที่นัดว่าจะไปซื้อด้วยกันก็มีคนใจดีซื้อมาให้แล้วอีกต่างหาก

ทำไมเขาถึงรู้สึกสังหรณ์ใจอะไรแปลกๆ เหมือนกับว่าเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วกำลังจะซ้ำรอยอีกครั้ง

…ฉันสามารถเชื่อใจเธอได้จริงๆ ใช่ไหม เธอจะไม่หลอกฉันเหมือนผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม…



ในที่สุดดัสกรก็สามารถประคองรถขับกลับมาจนถึง It’ sra ได้อย่างปลอดภัยแต่ก็เป็นเวลามืดค่ำแล้ว

เสือน้อยที่โดนทิ้งให้อยู่ตัวเดียวมาทั้งวันรีบมารอรับอิงค์ที่หน้าประตู มันตะกายขากางเกงเขาไม่หยุดจนเขาต้องอุ้มขึ้นพาดบ่าปลอบขวัญ

“เป็นไงเสือน้อย เหงาล่ะสิ ขอโทษนะที่กลับเสียมืดเลย”

“ดูท่าเจ้าตัวนี้มันติดแกน่าดูเลยนะ เห็นกลางคืนก็นอนด้วยกัน”

“ฉันต่างหากที่ติดมัน ตั้งแต่มีมันมานอนด้วยกลางคืนฉันหลับสนิทขึ้นเยอะเลย” อิงค์ยกตัวเสือน้อยขึ้นระดับสายตา มันยื่นหน้ามาเอาจมูกดุนๆ เขาจึงเอาปากไปจุ๊บเหนือปลายจมูกสีชมพูเบาๆ ครั้งหนึ่ง เสือน้อยร้องชอบใจแล้วตะกายไปเกาะไหล่ตรงที่ประจำของมัน

“ก็ดีแล้ว” ดัสกรยิ้มกับภาพตรงหน้า “นี่แกจะเอาอาหารให้เสือน้อยแล้วเล่นกับมันก่อนใช่ไหม งั้นฉันขอไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนนะเหนียวตัวจะแย่แล้ว”

อิงค์อุ้มเสือน้อยไปวางหน้าจานข้าวของมันแล้วเทอาหารเม็ดใส่จานที่ว่างเปล่า ในระหว่างที่เสือน้อยกำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอิงค์ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง

ข้อความขอโทษที่ส่งไปก่อนหน้านี้ยังไม่ถูกเปิดอ่าน สิงห์คงจะโกรธเขามากจริงๆ ที่ยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่องแถมยังเบี้ยวนัดอีก

อิงค์พิมพ์ข้อความต่อไปว่า

“ถึงบ้านแล้วครับ”

เขาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วนั่งลงมองเสือน้อยกินอาหารไปเรื่อยๆ พลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย

ครู่หนึ่งดัสกรที่อาบน้ำเสร็จก็เดินมาหา “เป็นอะไรวะแก ทำไมทำหน้าเศร้าเชียว หรือว่าทะเลาะกับพี่สิงห์ของแกเรื่องที่วันนี้เบี้ยวนัด”

“อือ” อิงค์พยักหน้าหงอยๆ

“โอ๊ย~ เรื่องแค่นี้เอง แกง้อเขาไปหรือยัง”

“ส่งข้อความไปขอโทษแล้ว แต่เขาไม่ยอมอ่าน”

“เดี๋ยวก็อ่านน่า อาจจะกำลังวุ่นๆ อยู่ก็ได้ แกบอกว่าเขาเป็นเจ้าของโรงแรมไม่ใช่เหรอ คงรับแขกอยู่มั้ง มาๆ อย่ามัวแต่เครียดเลยแก มากินเหล้ากันดีกว่า” ดัสกรบอกพลางชูถุงที่ใส่ทั้งขวดเหล้าและเบียร์กระป๋องขึ้นมาให้ดู

“แล้วนั่นนายไปซื้อมาจากไหนเยอะแยะ”

“ก็ตอนแวะปั๊มเมื่อเช้าไง เมื่อกี้ฉันค้นตู้เย็นแกแล้วมีน้ำแข็งกับซาโซดาพร้อม”

“อันนั้นเราเอาไว้ชงเครื่องดื่มขาย”

“ขอกินก่อนน่า คืนนี้ไม่มีลูกค้ามาแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เราซื้อใช้ มาๆ นั่งนี่” ดัสกรตบมือลงบนเก้าอี้เปล่าข้างตัวพลางจัดแจงชงเหล้า “เหมือนยังขาดกับแกล้มแฮะ”

อิงค์ถอนหายใจอย่างจนใจจะห้าม “มีถั่วแมคคาเดเมียที่ฉันซื้อมาไว้ทำขนมน่ะ พอใช้แก้ขัดได้ไหม”

ดัสกรตบตักฉาด “จัดมาเลยเพื่อน!”

พอกับแกล้มพร้อมดัสกรก็เริ่มตั้งวง หลังจากดื่มกันไปสักพัก แทนที่อิงค์จะอารมณ์ดีขึ้นก็กลับไม่พูดไม่จายิ่งกว่าเดิมและเอาแต่นั่งจิบเงียบๆ จนดัสกรต้องเอ่ยปากถาม

“เป็นอะไรวะแก”

“เปล่า”

“แล้วนั่งซึมกระทือทำไมวะ”

“อยู่ๆ ก็คิดถึงสมัยก่อนขึ้นมาว่ะ”

ดัสกรพยักหน้าเข้าใจ “อยู่คนเดียวมันก็เหงาแบบนี้แหละแก ฉันถึงบอกไงว่าให้แกกลับกรุงเทพ เหงายังไงก็ยังมีพวกฉันนะ”

เขาพยายามปลอบแต่อิงค์ก็ยังเงียบเหมือนเดิมเขาจึงใช้แรงจูงใจใหม่ถึงจะไม่ค่อยชอบใจนักก็ตาม

“แล้วไอ้คุณพี่สิงห์อะไรของแกนั่นน่ะ เขาดีกับแกไหม”

อิงค์พยักหน้า

“เออ ก็ดีแล้ว ถ้าเขาดูแลแกดีพวกฉันก็หมดห่วง นี่... เล่าให้ฟังหน่อยแกชอบเขาตรงไหน”

“ก็… ตรงที่เขาทำให้ฉันยิ้มได้อีกครั้งล่ะมั้ง”

ดัสกรขมวดคิ้ว “ทำไมต้องมีมั้งด้วยวะ อะไรของแกวะอิงค์ เมื่อเช้าแกยังทำตัวเป็นคนอวดผัว2019 อยู่เลย อย่ามาเหงียมน่า ฉันไม่ว่าอะไรแกหรอก ไม่ล้อด้วย เขามีอะไรเด็ด… ขนาดหรือลีลา” พยายามลากลงเรื่องใต้สะดือหวังดึงบรรยากาศให้ครึกครื้นขึ้นแต่อิงค์กลับหน้าซีดหนักกว่าเดิม

“เฮ้ย… อิงค์ มีอะไร บอกฉันได้นะ”

อิงค์ส่ายหน้า

“แกทำหน้าอมทุกข์ขนาดนั้นมันจะไม่มีได้ยังไงวะ”

“ก็… มันไม่มีอะไรจริงๆ นี่นา”

“งั้นก็ทำตัวให้ร่าเริงหน่อยสิ วันอาทิตย์นี้เขาจะพาแกไปงานวันเกิดพ่อเขาไม่ใช่เหรอ นี่แม่เลี้ยงเขาก็เพิ่งเอาชุดมาให้แกเมื่อวาน”

แต่คำพูดที่หวังปลอบใจของดัสกรกลับไปสะกิดเอาอะไรบางอย่างในใจอิงค์ให้เปิดออก เขาหันไปมองถุงของที่ได้รับมาจากเกตถวา แล้วจู่ๆ น้ำตาก็ไหลรินเป็นสาย มันมาจากความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดให้ใครฟังได้

“เฮ้ย! ไอ้อิงค์ แกเป็นไรวะ ร้องไห้ทำไม” ดัสกรลนลานทำอะไรไม่ถูก เขารีบวางแก้วเหล้าลงแล้วโผเข้ากอดเพื่อนรักเอาไว้แน่น “ไม่เป็นไรๆ อิงค์ไม่เป็นไร ฉันอยู่นี่แล้ว แกไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะเว้ย”



เวลาผ่านไปสักพักสิงห์ก็เริ่มใจเย็นลง และรู้สึกงี่เง่าเต็มทีว่าจะมาหงุดหงิดอิงค์ทำไมกับเรื่องฟ้าฝนที่มันเหนือการควบคุม แล้วอิงค์เองก็ไม่เคยโกหกเขาสักครั้ง ไม่เหมือนผู้หญิงคนนั้นที่หักหลังเขาไปสักหน่อย

สิงห์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไล่อ่านดูข้อความอีกครั้ง เห็นข้อความล่าสุดส่งมาตอนเกือบสองทุ่มว่ามาถึงบ้านแล้ว ตอนนี้เพิ่งจะห้าทุ่ม อิงค์น่าจะยังไม่นอนเขาจึงส่งข้อความว่าจะไปหา ขอโทษทางโทรศัพท์ไม่ดีหรอก เขาขอไปง้อตรงๆ ดีกว่าอยู่ห่างกันแค่นี้เอง แล้วสิงห์ก็รีบแต่งตัวขับรถออกจากบ้านไป



เสียงข้อความเข้าโทรศัพท์ของอิงค์ดังขึ้น ดัสกรหยิบขึ้นมาดู เห็นข้อความว่าสิงห์กำลังจะมาหาก็ลังเลว่าจะปลุกคนที่ร้องไห้จนผล็อยหลับไปแล้วขึ้นมาดีหรือไม่

จู่ๆ อิงค์ก็ร้องไห้หนักมาก แต่ไม่ยอมพูดอะไรกับเขาสักคำ ซึ่งเหมือนกับวันนั้นเมื่อสามปีก่อนไม่มีผิด นั่นทำให้เขารู้สึกใจคอไม่ดีเลยเพราะเช้าวันรุ่งขึ้นอิงค์ก็ยังไม่พูดระบายเรื่องที่ทำให้ร้องไห้ให้ฟัง แต่เลือกจะทำเป็นยิ้ม เข้มแข็งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนที่จะเก็บกระเป๋าหนีเขาไปอยู่ญี่ปุ่น

ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั่นเองเสียงรถมอเตอร์ไซค์ก็ขับมาจอดหน้าบ้านแล้ว ดัสกรชะโงกมองออกไปนอกต่างเห็นสิงห์หยุดยืนอยู่หน้าประตูครู่หนึ่งก่อนจะเปิดเข้ามาทั้งที่เขามั่นใจว่าล็อกเองกับมือ

ดัสกรนึกแปลกใจไม่น้อยที่อิงค์ให้กุญแจบ้านกับผู้ชายคนนั้น สองคนนี้สนิทกันถึงขั้นนั้นเลยเหรอ ขนาดตัวเขายังไม่เคยได้รับความไว้วางใจขนาดนี้เลย

แล้วดัสกรก็คิดแผนการหนึ่งขึ้นมาได้ ถึงจะไม่ดีนักแต่ก็โคตรคุ้ม ถ้าหากผู้ชายคนนี้ผ่านด่านนี้ไปได้เขาก็จะยอมรับและให้อิงค์อยู่ที่น่านต่อ แต่ถ้าไม่ได้เขาก็จะมีข้ออ้างพอจะลากอิงค์กลับกรุงเทพ

ว่าแล้วดัสกรก็ถอดเสื้อผ้าออกจนหมดแล้วมุดเข้าไปนอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับคนที่หลับไปแล้ว



สิงห์จอดรถอยู่หน้า It’ sra เห็นไฟปิดเงียบ ส่งข้อความไปหาอีกอิงค์ก็ไม่ยอมอ่านทั้งที่รถมอเตอร์ไซค์ของอิงค์และรถญี่ปุ่นของดัสกรก็จอดอยู่ข้างกัน

เขายืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าอิงค์เคยให้กุญแจบ้านเขาไว้ เขาหยิบมันออกมาคิดทบทวนอยู่อึดใจ เขาไม่ได้มีเจตนาร้ายก็แค่อยากมาคุยกันให้เรียบร้อยก่อนจะข้ามวัน เขาไม่อยากทำพลาดซ้ำรอยเดิมแบบที่ทำกับเกตถวาอีก

สิงห์เปิดประตูเข้าไป แวบแรกคือได้กลิ่นเหล้าคละคลุ้ง เขากวาดตามองไปเห็นขวดเหล้ากับโซดาล้มกลิ้งอยู่บนพื้น และบนเคาน์เตอร์มีแก้วสองใบที่ยังมีเหล้าเหลืออยู่ประมาณนึง

จู่ๆ สิงห์ก็รู้สึกใจคอไม่ดี คิดว่าหันหลังกลับไปก่อนอาจจะดีกว่า แต่สุดท้ายเขาก็อยากทำให้มันกระจ่างไปทุกๆ เรื่อง ทั้งเรื่องของอิงค์ และความรู้สึกของตัวเอง จนถึงตอนนี้เขายังคงเชื่อมั่นว่าอิงค์ไม่ได้มาหลอกลวงเขา ผู้ชายคนนั้นเป็นแค่เพื่อน และเพื่อนธรรมดาเขาก็กินเหล้าด้วยกันเป็นปกติอยู่แล้ว

สิงห์เดินขึ้นไปชั้นสอง น่าแปลก ทั้งที่ไม่คิดอะไรแท้ๆ แต่สองขากลับหนักอึ้งเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมารั้งไว้ว่าอย่าเพิ่งขึ้นไปตอนนี้เลย

เขาเดินมาจนถึงประตูห้องนอนในที่สุดและเปิดประตูเข้าไป แล้วภาพตรงหน้านั้นก็แทบทำให้เขาล้มทั้งยืน

ภาพคนสองคนนอนกอดกันแน่นบนเตียง

ดัสกรทำเป็นงัวเงียลืมตาขึ้นลุกขึ้นนั่ง ทำให้ผ้าห่มร่มลงมากองที่เอวเห็นร่างกายที่เปลือยเปล่าและชายหนุ่มอีกคนซึ่งยังหลับอยู่ก็ไม่ได้สวมอะไรติดกายเลยเช่นกัน “อ้าวคุณสิงห์มาทำอะไรตอนนี้ครับ”

“นี่... พวกเธอทำอะไรกัน” สิงห์พยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น

ดัสกรไหวไหล่ “เปล่านี่ครับ แค่นอนเฉยๆ เอง อากาศมันหนาวน่ะเลยต้องนอนเบียดๆ กัน คุณอยากจะมานอนกับพวกเราอีกคนไหมล่ะ ผมไม่ถือหรอกนะ คนเยอะๆ สนุกดีออก”

“เชิญพวกเธอสนุกกันไปเถอะ!” สิงห์พูดเสียงดังจนเกือบตวาดด้วยความโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แล้วผลุนผลันออกไป หมดสิ้นกันแล้วกับความไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่ว่าใครหน้าไหนมันก็เหมือนๆ กัน ต่อจากนี้ไปเขาจะไม่เชื่อใจใครอีกแล้ว

บนเตียงที่เราเคยนอนด้วยกัน ใต้ผ้าห่มที่เขาเป็นคนซื้อให้ ไหนล่ะที่เคยบอกว่ารักเขาคนเดียว ที่ไม่ยอมบอกใครๆ ว่าเป็นอะไรกับเขา แม้แต่ตอนที่แนะนำกับไอ้หมอนั่นไม่ใช่เพราะเกรงใจเขาหรอก แต่เพราะกลัวว่าเขาจะจับได้ต่างหาก

ภาพของทั้งสองคนนอนกอดกันยังติดตรึงอยู่ในตาเช่นเดียวกันกับรอยยิ้มและทุกๆ ถ้อยคำที่เคยพูดกับเขา

“ขอบคุณครับ ผมจะห่มทุกคืนเลย”

สุดท้ายทุกๆ อย่างมันก็เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ!

ได้... ในเมื่อเธอทำกับฉันแบบนี้ ถ้างั้นฉันจะขอเอาคืนบ้างมันก็คงสมน้ำสมเนื้อกันดีใช่ไหม เขาจะไม่ยอมเป็นคนโง่ที่ต้องทนเจ็บอยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว ทั้งเธอทั้งผู้หญิงคนนั้น เราก็เจ็บไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ!



หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 15(21/10/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-10-2019 12:38:39
 :เฮ้อ:



 :3123: :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 15(21/10/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-10-2019 16:05:48
เฮ้อ ไปกันใหญ่
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 15(21/10/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-10-2019 17:45:33
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิดาม  อิเลวชาติ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 15(21/10/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 21-10-2019 19:56:20
เอาเข้าไปหาเหาใส่หัวเพื่อนนี่สนุกนักใช่มั๊ย :z6:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 15(21/10/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 21-10-2019 21:16:58
ดามเห็นแก่ตัว นิสัยไม่ดีเลย
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 15(21/10/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 21-10-2019 22:29:59
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 15(21/10/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-10-2019 00:04:28
ดาม ทำแบบนี้มันไม่โอเคเลยเด้อ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 15(21/10/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-10-2019 12:12:16
เพราะคามคิดตื้นๆของดาม หายนะจึงเกิด
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 15(21/10/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 23-10-2019 02:06:25
เวรจิงงงๆ ปวดหัวค่ะ สงสารอิงค์สุด  :katai1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 15(21/10/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 23-10-2019 14:02:55
บทที่ 16

อิงค์ลืมตาตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยอาการปวดหัวเต็มที่และการร้องไห้อย่างหนักเมื่อวานก็ทำให้แสบตาไปหมด

เสือน้อยเห็นว่าผู้ปกครองของตนตื่นแล้วก็รีบกระโจนขึ้นมานั่งอ้อนบนตัก

“ว่าไงเจ้าตัวเล็ก หิวข้าวเหรอ” อิงค์เกาคอมันไปพลางเหลือบดูนาฬิกา แล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเพราะว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว “ไอ้ดาม! ทำไมนายไม่ปลุกเราวะ สายป่านนี้แล้ว”

อิงค์ผุดลุกขึ้นจากเตียงรวดเร็วจนเสือน้อยร่วงจากตัก เขากระโดดข้ามคนที่นอนอยู่บนพื้นคว้าแล้วผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำไป

“ยังไม่เจ็ดโมงเลย สายเสยอะไรวะอิงค์” ดัสกรงัวเงียตอบแล้วพลิกตัวหลับต่อ

“ฉันจะไปส่งกาแฟไม่ทันน่ะสิ!” อิงค์รีบกุลีกุจอจัดกาแฟขึ้นวางท้ายรถมอเตอร์ไซค์แล้วขับออกไปส่ง จนกระทั่งวนมาถึงข่วงเมืองสิงห์เป็นที่สุดท้ายก็เป็นเวลาเกือบเก้าโมงเช้าแล้ว

“สวัสดีครับ” อิงค์แทบกระโดดลงจากรถแล้วรีบยกลังใส่กาแฟไปวางบนโต๊ะ

ป้าสำลีเดินตรงมาหาด้วยความรวดเร็ว “คุณอิงค์ทำไมวันนี้มาสายจังละคะ ป้ากับมอญเป็นห่วงแทบแย่นะรู้ไหม”

“ไม่สบายหรือเปล่าคะ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย” มอญถามต่อด้วยความเป็นห่วง

“ขอโทษครับพอดีผมตื่นสาย” อิงค์ตอบเสียงอ่อย

“ถ้างั้นก็โล่งอกไปค่ะ วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ ป้าเป็นห่วง มาให้ตีซะดีๆ เลย” ป้าสำลีทำเสียงดุพลางตีมือเบาๆ ลงบนต้นแขน

“ขอโทษครับ”

“มัวทำอะไรกันอยู่ล่ะถึงไม่หลับไม่นอน” สิงห์ถามเสียงห้วนมาจากหลังเคาน์เตอร์

“ก็… ไอ้ดามมันชวนกินเหล้าน่ะครับ ผมเลยหลับลึกไปหน่อย” อิงค์อธิบาย

“คงสนุกสุดเหวี่ยงกันน่าดูเลยสินะ”

อิงค์รู้สึกได้ถึงความประชดประชันที่มากับข้อความนั้นจึงละมือจากของที่จัดค้างอยู่และเดินเข้าไปหา “พี่สิงห์ยังโกรธผมอยู่ใช่ไหม ผมขอโทษนะครับ”

“ช่างมันเถอะ! เธออยากจะไปไหนทำอะไรกับใครก็เชิญ ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว” สิงห์ตัดบทเสียงห้วนแล้วลุกขึ้นเดินหนีไปชั้นสอง

“อ้าว คุณสิงห์! เป็นอะไรเนี่ยทำไมเสียมารยาทอย่างนี้ล่ะ ป้าจำไม่ได้นะคะว่าเลี้ยงมาให้เป็นคนแบบนี้ มีอะไรก็มาคุยกันก่อน น้องเขาก็ขอโทษดีๆ แล้ว” ป้าสำลีเท้าเอวโวยวาย

“อย่าว่าพี่สิงห์เลยครับป้าสำลี ผมผิดเองที่เบี้ยวนัด เดี๋ยวผมส่งข้อความมาง้ออีกทีละกันครับ” อิงค์ไม่รู้ถึงวีรกรรมที่ดัสกรทำไว้สักนิดเพราะตื่นเช้ามาทุกอย่างก็อยู่ในสภาพเรียบร้อย แถมดัสกรยังไม่พูดถึงเรื่องที่สิงห์มาหาด้วย เขาจึงยังเข้าใจว่าสิงห์โกรธแค่เรื่องนี้เท่านั้น

“คุณอิงค์ก็ใจเย็นๆ นะคะ” ป้าสำลีเข้ามาจับแขนข้างหนึ่ง

“ผมใจเย็นมานานแล้วล่ะครับป้า” อิงค์ยิ้มเจื่อนๆ เขาหันกลับมาจัดของต่อจนเสร็จแล้วขึ้นรถกลับออกไป

แต่จนแล้วจนรอดสิงห์ก็ไม่ยอมอ่านข้อความหรือรับโทรศัพท์ของเขาเลยจนกระทั่งล่วงเข้าสู่วันอาทิตย์

อิงค์นั่งเท้าคางมองชุดที่เหมราชเตรียมมาให้ คิดไม่ตกว่าควรจะไปดีหรือไม่ เพราะสิงห์ไม่ยอมพูดกับเขาแบบนี้แล้วเขาจะไปกับใคร แต่ถ้าไม่ไปก็เกรงใจเจ้าภาพ เขาถอนหายใจเสียงดังซ้ำแล้วซ้ำอีกจนดัสกรที่นั่งดูอยู่ต้องเอ่ยปาก

“ไม่ไปก็จบ”

“มันจะเสียคนเอาน่ะสิ คุณเหมราชชวนฉันเองเลยนะ”

“แล้วแกจะเอายังไงวะ”

“มาถึงขั้นนี้คงต้องไปว่ะดาม”

“งั้นก็ไปแต่งตัว เดี๋ยวฉันขับรถไปส่งแกจะได้ไม่ไปเก้อคนเดียวไง แล้วถ้ามันอึดอัดมากนักก็รีบลากลับอ้างว่าปวดหัว ท้องเสีย เป็นห่วงเสือน้อยอะไรก็ว่าไป ฉันจะจอดรถรออยู่แถวนั้น แบบนี้ดีไหม”

“แต่ดามกลับกรุงเทพวันนี้นะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแล้วนี่”

“ไปรับส่งแกเต็มที่ก็สี่ทุ่ม เสร็จแล้วฉันตีรถกลับเลยยังไงก็ทัน”

“แต่ว่า…”

“ฉันสะดวกแบบนี้ ที่เหลือแล้วแต่แกเลยว่าจะเอายังไง ฉันก็ช่วยแกได้เท่านี้แหละ คนที่ไม่ใช่แฟนทำแทนทุกเรื่องไม่ได้ หน้าที่ควงแขนไปงานเป็นของไอ้คุณพี่สิงห์นั่นไม่ใช่ฉัน นอกเสียจากว่าแกจะยอมขยับสเตตัสให้ฉัน” ดัสกรแทบจะร้องเป็นเพลงหวังจะให้อิงค์ยิ้มออกสักหน่อยก็ยังดีโดยไม่ได้สำนึกเลยสักนิดว่าที่อิงค์ต้องมานั่งกลุ้มใจอยู่ตอนนี้ก็มีสาเหตุมาจากตัวเองน่ะแหละ

“ข้อเสนอแรกโอเค แต่ข้อหลังปัดตกไปนะ” อิงค์ตบไหล่ดัสกรครั้งหนึ่งแล้วจึงลุกขึ้นแต่งตัวไปงานโดยมีดัสกรขับรถมาส่งที่หน้าเฮือนไกรสร

“มีอะไรรีบโทรมาเลยนะเว้ย!” ดัสกรกำชับ

อิงค์พยักหน้ารับคำและเดินเข้าไปในงาน ระหว่างนั้นเขาก็ส่งข้อความหาสิงห์อีกครั้งว่ามาถึงแล้ว และกำลังจะเดินเข้าไป ซึ่งแน่นอนว่าก็ไม่มีการตอบรับใดๆ เหมือนตลอดสองวันที่ผ่านมา

อิงค์รู้สึกเจ็บแปลบปลาบในอก เขาพยายามเก็บความรู้สึกและมองหาป้ายบอกทางไปห้องโถงตามที่เหมราชบอกมา รู้สึกตงิดใจหน่อยๆ ที่วันนี้แขกที่มาพักดูหนาตากว่าปกติและแต่ละคนก็แต่งตัวสวยงาม ใส่เครื่องเงินเครื่องเพชรล้อแสงไฟวิบวับ

เขาเดินมาจนถึงห้องโถงใหญ่แล้วก็ได้รับคำตอบ ป้ายขนาดใหญ่ทำจากไม้อัดตัดเป็นข้อความอวยพรวันเกิดเจ้าของงานประดับอยู่บนเวที ทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ถูกตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้หลากสีสัน วงดนตรีเครื่องสายล้อมวงกันเล่นเพลงอยู่ตรงมุมหนึ่งสร้างบรรยากาศให้ครึกครื้น มีโต๊ะอาหารและเครื่องดื่มจัดไว้ให้บริการตัวเองตามสไตล์งานเลี้ยงค็อกเทลกระจายอยู่ทั่วไปและผู้คนในชุดสวยงามที่เขาเห็นทุกคนนั้นต่างก็มุ่งหน้ามาที่งานนี้

ตอนนี้อิงค์รู้แล้วว่าทำไมสิงห์ถึงรบเร้าจะพาเขาไปซื้อชุดใหม่ให้ได้ งานเลี้ยงวันเกิดของเจ้าของโรงแรมอันดับหนึ่งในจ.น่านต่อให้บอกว่างานเล็กๆ มันก็ยังหรูหราเกินไปสำหรับคนอย่างเขาอยู่ดี

อิงค์ก้มลงมองดูตัวเองรู้สึกตกประหม่าไปหมด เขารีบหันมองซ้ายขวาหาเจ้าของงานตั้งใจว่าจะรีบอวยพรและรีบชิ่งกลับตามแผนที่วางไว้กับดัสกร

แล้วเขาก็เห็นเหมราชกำลังคุยกับแขกที่มางานอยู่มุมหนึ่งจึงเร่งฝีเท้าเข้าไปหา ระหว่างนั้นเองก็มีใครคนหนึ่งเรียกเขาไว้

“นี่น้อง! น้องน่ะ!”

อิงค์หันไปงงๆ เพราะเขาไม่รู้จักมักจี่ใครสักคน แต่ชายวัยกลางคนคนนั้นก็กลับเดินมาหาเขาด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์อย่างมาก “คุณเรียกผมเหรอครับ”

“ก็ใช่น่ะสิ” ชายคนนั้นแทบจะตะคอกใส่ “ฉันเรียกตั้งนานทำเป็นหูทวนลม ใช้ไม่ได้เลยนะ คุณเหมราชไม่น่าจ้างเธอไว้เลยจริงๆ”

“จ้าง… อะไรนะครับ”

“อะไรเนี่ย ดูทำกิริยาเข้าสิ ไร้มารยาทสิ้นดี ไปเอาเหล้ามาแก้วนึงเร็วๆ เข้า”

“คือผม… ไม่ใช่”

“ยังไม่ไปอีกแน่ะ อะไรของเธอเนี่ย!” แขกคนนั้นเริ่มเสียงดังขึ้นทุกที

อิงค์เหลียวมองเลิ่กลั่กหาตัวช่วยก็พอดีกับที่อินถาซึ่งรับหน้าที่ดูแลแขกเหรื่อภายในงานสังเกตเห็นความผิดปกติและเดินเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย “เกิดอะไรขึ้นครับท่าน”

“อินถามาก็ดีแล้ว ก็เด็กใหม่ของเธอคนนี้น่ะไม่ได้เรื่องเลยใช้ให้ไปเอาเหล้าก็ไม่ไปยังมายืนเซ่ออีก”

“ต้องขอโทษด้วยที่คนของผมเสียมารยาทกับท่านนะครับ” อินถาค้อมศีรษะและหันมากำลังจะอ้าปากต่อว่าแล้วก็เปลี่ยนเป็นตกใจสุดขีดแต่ก็ยังเก็บอาการไว้ เขาหันไปแขกคนนั้นอีกครั้ง “เดี๋ยวผมจะให้ลูกน้องคนอื่นนำเครื่องดื่มที่ท่านต้องการมาเสิร์ฟให้ ผมขอตัวไปดูความเรียบร้อยจุดอื่นก่อนนะครับ”

พูดจบอินถาก็คว้ามืออิงค์แล้วรีบพาเดินเลี่ยงไปอีกทาง

ตอนนี้อิงค์เข้าใจแล้วว่าทำไมแขกคนนั้นถึงมาเบ่งใส่เขา ก็เพราะชุดที่เขาสวมใส่ตอนนี้มันเป็นชุดเดียวกับชุดบริกรในงานเลยน่ะสิ เขารู้สึกหน้าร้อนไปหมดทั้งโกรธทั้งอาย แต่ที่รู้สึกมากที่สุดคืออยากจะรีบหนีกลับไปเร็วๆ

“คงมีเรื่องผิดพลาดทางเทคนิคเล็กน้อยน่ะครับ ผมขอโทษด้วยครับ” อินถาพูดรัวเร็ว

“อย่าขอโทษเลยครับมันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเสียหน่อย” อิงค์รีบบอก

“เกี่ยวสิครับ เพราะคุณท่านฝากเรื่องเอาชุดไปให้คุณไว้กับปู่กมลและผม และผมก็อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นด้วย ชุดที่คุณท่านเลือกไม่ใช่ชุดนี้แน่ๆ ครับ แต่แล้วมันกลับเกิดเรื่องผิดพลาดแบบนี้ขึ้นมาได้ช่างเป็นเรื่องที่เสียมารยาทต่อคุณและช่างหน้าขายหน้าสำหรับผมมาก” อินถากล่าว “กรุณารับคำขอโทษและตามผมมาเถอะครับ เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องชุดให้ใหม่”

“เดี๋ยวผมก็กลับแล้วไม่เป็นไรหรอกครับ อย่าลำบากไปมากกว่านี้เลย”

“ไม่ได้ครับ” อินถายืนกราน “คุณท่านต้องโกรธมากแน่ๆ ที่เห็นคุณใส่ชุดที่ไม่เหมาะสมแบบนี้ และท่านก็คงไม่ชอบใจด้วยที่แขกซึ่งท่านอุตส่าห์เชิญมาด้วยตนเองหนีกลับไปก่อนโดยไม่ทันได้เจอหน้าเพราะมีเรื่องเข้าใจผิดเกิดขึ้น”

“ผมไม่ได้จะหนีกลับเพราะไม่พอใจหรอกนะครับ... แค่รู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ... เอ่อ พอดีวันก่อนไปเที่ยวปัวแล้วโดนฝนมานิดหน่อยน่ะครับ”

“ถ้างั้นก็ช่วยเปลี่ยนชุดและไปพบคุณท่านก่อน ถือว่าผมขอร้องนะครับ… ได้โปรด” อินถากล่าวซ้ำ “แล้วถ้าคุณอิสระต้องการจะกลับก่อนผมจะช่วยจัดการเรื่องรถไปส่งให้ถึงบ้านเลย”

เมื่อไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรอีก อิงค์จึงจำใจรับคำอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ดูเหมือนความซวยยังตามติดเขาไม่เลิก ขายังไม่ทันจะก้าวพ้นประตูห้องโถงเขาก็เจอกับสิงห์ที่เพิ่งมาถึง

วันนี้สิง์แต่งตัวปราณีตกว่าทุกวันด้วยเสื้อผ้าไหมสีกรมท่าปักดิ้นทองลายคชสีห์ตรงสาบเสื้อและสวมกางเกงเข้ารูปสีดำ ผมยาวถูกหวีเก็บและมัดรวบเรียบร้อย เขาดูหล่อเหลาและเด่นสะดุดตา แขกหลายคนที่อยู่ตรงประตูพอเห็นสิงห์ก็รีบตรงเข้ามาทัก ไม่ว่าใครก็อยากจะเอาใจและทำความสนิทสนมกับทายาทคนเดียวของเจ้าของโรงแรมแห่งนี้อยู่แล้ว

อิงค์บังเอิญสบตากับเขาเข้า กำลังลังเลว่าจะเอ่ยปากทักดีหรือไม่เจ้าตัวก็กลับเมินหน้าหนีไปอีกทางเสียก่อน

อิงค์หน้าเสีย ถึงตอนนี้เขาไม่อยากอยู่ในงานอีกต่อไปแม้สักวินาทีเดียวแล้ว เขาอยากหนีกลับโดยเร็วที่สุดหรือหายไปตัวไปจากที่นี่ตอนนี้โดยไม่สนใจว่ามันจะเสียมารยาทแค่ไหน แต่ก็ติดตรงอินถาที่ยังจับแขนเขาไว้แน่น

อินถาพาเขาหลบเลี่ยงฝูงชนที่เริ่มเข้ามาห้อมล้อมสิงห์ และตอนที่กำลังจะหนีพ้นนั่นเองเสียงของเหมราชก็ดังขึ้นด้านหลัง

“ว่าไงเจ้าสิงห์มาถึงแล้วเหรอ”

บรรดาแขกที่รุมล้อมอยู่ช่วยเปิดทางให้เหมราชเดินเข้ามาหาลูกชายได้สะดวก เขาสวมสูทสีดำขลิบทองที่ตัดจากผ้าไหมทอมือในจังหวัด ข้างกายของเขานั้นคือเกตถวาที่วันนี้สวมชุดเจ้านางล้านนาแบบเกาะอกสีชมพูกลีบบัวและคลุมไหล่ด้วยผ้าสีชมพูขลิบทอง เรือนผมยาวถูกมัดเกล้าสวยโชว์คอระหงประดับปิ่นปักผมสีเงินอันใหญ่

“เพิ่งมาถึงสัดครู่นี่เองครับ” สิงห์ตอบ

“แล้วคุณอิสระล่ะไม่ได้มาด้วยกันเหรอ” เหมราชถามพลางกวาดตามองหาแขกอีกคนที่เขาเชิญมางานด้วย

อิงค์ได้ยินดังนั้นก็พยายามจะหลบหลังอินถาแต่เหมราชก็ดันตาไวเห็นเข้าจนได้

“คุณอิสระ!” เหมราชร้องทักเสียงใสและเดินตรงดิ่งมาหา “ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์มางานผม... เอ๊ะ! แล้วมันเกิดอะไรขึ้นทำไมคุณถึง...” ปลายเสียงนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่เห็นอิงค์ใส่ชุดเดียวกับบริกร เขาหันไปจ้องอินถาที่รีบก้มศีรษะขอโทษ

“เป็นความผิดพลาดของผมเองครับท่าน”

“ทำให้แขกของฉันต้องเสียหน้า รู้ใช่ไหมว่าต้องโดนอะไรอินถา” เหมราชกล่าวเสียงเฉียบ

“ผมขอโทษครับคุณท่าน ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วยครับ”

“อย่าโทษอินถาเลยค่ะคุณ” เกตถวารีบบอก “เกตเป็นคนอาสาเอาชุดไปส่งให้คุณอิสระเอง ถ้ามันจะผิดพลาดก็ต้องผิดที่เกต อินถาไม่ได้มีส่วนผิดเลยนะคะ”

เหมราชหันไปสบตาภรรยาที่เกาะแขนมองเขาด้วยแววตารู้สึกผิดแล้วหันไปหาอินถา “ฉันจะสอบสวนเรื่องนี้ทีหลัง” ก่อนจะหันไปพูดกับอิงค์ “ต้องขอโทษจริงๆ ที่คนของผมทำเรื่องผิดพลาดขนาดนี้ เดี๋ยวคุณอิสระตามผมมานะครับผมจะจัดการเรื่องชุดใหม่ที่เหมาะสมให้คุณเอง”

“เดี๋ยวผมจัดการให้เองครับคุณท่าน ขอคุณท่านอย่าได้ลำบากเลย” อินถากล่าว

“ฉันไม่ไว้ใจใครให้ดูแลแขกของฉันอีกแล้ว” เหมราชตัดบท “ผมฝากคุณรับแขกคนอื่นๆ แทนผมก่อนนะเกตเดี๋ยวผมมา”

“ได้ค่ะคุณ”

“เชิญทางนี้ครับ” เหมราชผายมือนำทางและรอให้อิงค์ออกเดินเขาจึงก้าวเดินคู่กันไป

เกตถวาอมยิ้มกับแผนการขั้นแรกที่สำเร็จไปด้วยดี เธอไม่ได้ต้องการอะไรมากแค่อยากให้ผู้ชายคนนั้นตระหนักว่าตัวเองไม่คู่ควรกับสิงห์ ไม่เหมาะสมกับที่แห่งนี้ด้วยประการทั้งปวงและยอมถอยกลับไปอยู่ในที่ๆ ควรอยู่

สิงห์ที่เห็นเหตุการณ์ตลอดเดินเข้ามาประกบเธอข้างหนึ่งถึงจะยังโกรธอิงค์อยู่แต่เขาก็ไม่ชอบใจที่เกตถวามาแกล้งกันแบบนี้ “ฝีมือคุณใช่ไหม คุณคิดจะทำอะไรกันแน่”

เกตถวาหันไปสบตา “เปล่าค่ะ เกตไม่ได้ทำอะไรเลยแค่เอาของไปส่งเอง ต้องโทษพนักงานคนที่ห่อของว่าทำไมถึงหยิบถุงผิดมาให้เกตได้”

“คุณนี่มัน...”

“อะไรเหรอคะ” เกตถวายิ้มหวานให้

“ผมว่าเราต้องคุยกันหน่อย”

“ไม่มีปัญหาค่ะ เกตก็อยากคุยกับคุณมานานแล้วเหมือนกัน”

ทั้งสองแยกตัวจากงานออกมายืนคุยกันตรงระเบียงที่ไม่มีคน

“คุณต้องการอะไรจากผม ถึงได้ตามวอแวผมไม่เลิกเสียทีทั้งที่คุณเป็นคนทิ้งผมไปแท้ๆ” สิงห์ถาม

“ฉันก็ไม่ได้อยากยุ่งกับคุณนักหรอกถ้าคุณไม่ใช่ลูกชายของคุณเหมราช” เกตถวาเถียงกลับ “และกรุณาอย่ามาพูดพล่อยๆ ว่าฉันทิ้งคุณ คุณต่างหากที่ไม่ยอมใยดีฉันและทิ้งฉันไปก่อน”

“คุณว่าไงนะ!”

“คุณลืมคำพูดตัวเองแล้วเหรอ” เกตถวาถามย้อนความรู้สึกเดือดดาลขึ้นมา “ที่บอกว่าถ้าฉันไปทำงานก็ไม่ต้องมาพูดกันอีก”

“แล้วคุณก็ไป นั่นหมายความว่าคุณเลือกพ่อผมมากกว่าผมแล้วไง”

เกตวาถลึงตา “เดี๋ยวนะคุณสิงห์! ถ้าคุณพูดแบบนี้แสดงว่าที่ผ่านมาคุณคิดว่าฉันสวมเขาให้คุณ คิดว่าฉันหลอกว่าไปทำงานแต่จริงๆ แอบคบกับพ่อคุณอย่างนั้นเหรอ”

สิงห์พ่นลมออกจมูก “เรื่องมันก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือไง”

เกตถวาเม้มปากที่ทาสีกุหลาบแน่น ความทรงจำแสนเลวร้ายในคืนนั้นเมื่อห้าปีก่อนยังคงตามหลอกหลอนเธออยู่จนถึงทุกวันนี้

“ฉันไปทำงาน…” เธอพยายามพูดโดยบังคับไม่เสียงตัวเองสั่น “ฉันยอมรับว่าคิดตื้นๆ และไว้ใจหัวหน้าของฉันมากจนไม่คิดว่าเขาจะทำเรื่องทุเรศอย่างนั้น เขาพยายามข่มขืนฉัน…”

“แล้ว…” สิงห์เองก็ดูจะอึ้งไปเหมือนกันกับเรื่องที่เพิ่งได้ยิน

“ฉันขัดขืนสุดชีวิต… ยอมกระทั่งเสี่ยงตายโดดหน้าต่างถึงห้องนั้นจะอยู่ชั้นสี่ คิดว่าถ้ารอดมาได้ก็โชคดีแต่ถ้าไม่รอดก็ยังดีกว่าอยู่แบบตกนรกทั้งเป็น”

“แล้วหลังจากนั้นคุณเป็นอย่างไรบ้าง”

“ฉันมาฟื้นอีกทีที่โรงพยาบาล ขาหักทั้งสองข้างแต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังรอดมาได้ แม่บอกฉันว่าหัวหน้าเล่าว่าฉันปีนหน้าต่างเพราะเมาแล้วเขาก็ไล่ฉันออกทั้งที่ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลย” เกตถวารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้แล้วตอนนี้แต่ก็ยังฝืนเล่าต่อ “ระหว่างที่นอนโรงพยาบาลไม่มีเพื่อนร่วมงานมาเยี่ยมฉันสักคนเพราะพวกเขาเชื่อที่หัวหน้าบอก และในขณะที่ฉันกำลังรู้สึกสิ้นหวังในทุกสิ่งทุกอย่างเขาก็เข้ามา… โรงแรมที่ฉันเข้าพักอยู่ในเครือโรงแรมของคุณเหมราช เขามาเยี่ยมฉันทุกวันและเขาก็เป็นคนเดียวนอกจากแม่ที่ยอมเชื่อเรื่องที่ฉันเล่าแถมยังพยายามหาหลักฐานจากกล้องวงจรปิดและสอบถามพนักงานคนอื่นๆ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ ถึงจะทำไม่สำเร็จแต่ฉันก็ซึ้งใจมาก พอฉันหายดีเขาก็ยังช่วยรับฉันมาทำงานด้วย ฉันยอมรับว่าฉันหลงรักเขาและเป็นฝ่ายเข้าหาเขาก่อน แต่มันก็หลายเดือนหลังจากที่คุณหายไปจากชีวิตฉันแล้ว และฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นพ่อคุณ เขาแค่บอกฉันว่าเมียตายไปแล้วและมีลูกชายเรียนอยู่เมืองนอก เหมือนกับที่คุณบอกฉันแค่ว่าที่บ้านทำธุรกิจโรงแรมน่ะแหละ ฉันก็เพิ่งรู้ว่าลูกชายของเขาคือคุณวันที่เจอกันที่สนามบินน่ะแหละใครจะไปคิดว่าโลกมันจะกลมขนาดนั้น”

“แล้วทำไมคุณไม่บอกผม ผมก็พยายามติดต่อคุณแทบตาย”

“เพราะฉันโกรธคุณมากที่เอาแต่พูดว่าฉันจะไปนอนกับหัวหน้าแล้วมันก็ดันเกิดขึ้นจริง” เกตถวาว่า “คุณพูดซ้ำๆ จนมันเหมือนเป็นคำสาบแช่ง แล้วฉันก็กลัวว่าถ้าบอกไปแทนที่จะได้รับคำปลอบใจ คุณจะไม่เชื่อฉันแล้วต่อว่าฉันเหมือนที่พวกเพื่อนร่วมงานพวกนั้นเอาฉันไปนินทา เพราะคุณคิดอยู่แล้วว่าฉันทำแบบนั้น”

สิงห์พูดไม่ออก เขามองหญิงสาวตรงหน้า ความเจ็บปวดที่ฉายชัดในแววตานั้นช่วยยืนยันว่าเธอไม่ได้โกหก น้ำใสเอ่อขึ้นที่ขอบตาของเธอทั้งสองข้าง สิงห์ขยับเข้าไปหาและยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้

เกตถวาปัดมือของเขาทิ้ง “คุณหายไปในวันที่คุณควรอยู่กับฉันที่สุด แล้วแบบนี้คุณยังกล้ามาหาว่าฉันทิ้งคุณอีกเหรอ ยังมีหน้ามาโกรธที่ฉันเลือกจะอยู่กับคนที่อยู่เคียงข้างฉันอีกเหรอ”

“ผมขอโทษ” สิงห์พูดเสียงแหบแห้ง


“ชุดแบบที่ผมเลือกให้คุณทีแรกไม่มีแล้ว เพราะร้านของเราตัดแค่แบบละหนึ่งชุด ถ้ายังไงคุณอิสระลองดูชุดใหม่นะครับ” เหมราชบอกพลางหยิบชุดขึ้นมาและลองทาบกับตัวชายหนุ่มดูชุดแล้วชุดเล่าแต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าถูกใจสักที

“ชุดไหนก็ได้ครับ อย่าลำบากคุณเลย”

แต่เหมราชไม่สนใจและยังพูดต่อ “คุณชอบสีอะไรครับ สีแดงเลือดนกนี่ก็สวยนะครับ ดูขับผิวดี”

“ทำไมคุณถึงดีกับผมจังเลยครับ” อิงค์อดใจไม่ไหวถามออกไปตรงๆ “ผมเป็นแค่คนรู้จักของลูกชายคุณเอง”

เหมราชลดมือที่ถือเสื้อยกขึ้นทาบตัวเขาไว้ลงจนเห็นใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าสิงห์เลยครับ แค่เป็นความชอบส่วนตัวของผมที่ชื่นชมคนเก่งและมีความมุ่งมั่นพยายามน่ะครับ”

“แล้วคนธรรมดาๆ อย่างผมมีดีอะไรให้คุณชื่นชมล่ะครับ”

เหมราชคลี่ยิ้มเต็มหน้าด้วยความเอ็นดู “ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ ผมแค่อยากรู้จักคนที่เป็นเพื่อนลูกชายให้มากขึ้นก็เลยให้ปู่กมลกับอินถาช่วยหาข้อมูลของคุณมานิดหน่อย”

อิงค์อึ้งไปทันที

เหมราชเอาเสื้อกลับไปแขวนไว้ที่ราวแล้วยกมือขึ้นสัมผัสไหล่อิงค์ “พ่อแม่คุณต้องภูมิใจในตัวคุณมากแน่ๆ ครับ”

อิงค์รู้สึกขอบตาร้อนผ่าว เขาก้มหน้าลงซ่อนน้ำใสที่เริ่มเอ่อขึ้นเต็มสองตา “ขอบคุณครับ” เขาตอบรับด้วยเสียงที่สั่นเครือ

เหมราชยิ้มและกล่าวต่อเพื่อไม่ให้บรรยากาศอึดอัด “อืม สรุปคุณเอาสีไหนดีครับ”

“ขอเป็นสีขาวดีกว่าครับ”

เหมราชพยักหน้า “เดี๋ยวคุณอิสระเข้าไปเปลี่ยนในห้องลองเสื้อตรงนั้นนะครับ ผมจะรอคุณอยู่ตรงนี้แล้วเราจะได้ออกไปพร้อมกัน”

“ครับ” อิงค์ตอบพร้อมกับรับชุดมา

“พอเจ้าสิงห์คบกับคุณนี่น่ารักขึ้นนะครับ ปีนี้ทำการ์ดมาให้ผมด้วย ปกติแค่พูดสุขสันต์วันเกิดนะพ่อยังพูดยากพูดเย็น” เหมราชบอกพลางอวดซองสีขาวที่เพิ่งรับมาจากสิงห์ให้ดู “อยากรู้จังว่าเจ้าสิงห์เขียนอะไรมาให้”

ภาพสุดท้ายที่อิงห์เห็นเหมราชก่อนรูดม่านห้องลองเสื้อปิดคือเขานั่งลงตรงเก้าอี้ ใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุขพลางค่อยแกะซองสีขาวเปิดออกอย่างอย่างทะนุถนอม

แต่พออิงค์เปิดม่านออกมาอีกครั้ง เหมราชนั้นกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธขึง มือกำซองจดหมายแน่นจนมันยับยู่ยี่

“ก… เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” อิงค์ถามแต่เหมราชไม่ตอบและผุดลุกขึ้นเดินออกไปรวดเร็วราวกับจะวิ่ง


สิงห์มองอดีตคนรักด้วยความรู้สึกที่แตกสลาย รู้สึกตัวเองโง่เง่ามากที่ไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเลย “ผมขอโทษ”

เกตถวายกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตา “เรื่องมันผ่านไปแล้ว ช่างมันเถอะค่ะ ฉันกำลังมีชีวิตใหม่ที่ดี อยู่กับคนที่รักฉัน และฉันก็พิ่งรู้ตัวว่าท้องด้วย ฉันตั้งใจจะบอกเขาเป็นของขวัญวันเกิดคืนนี้ ฉันขออย่างเดียวคุณอย่ามาแย่งความสุขนี้ไปจากฉัน ไม่งั้นฉันก็สู้ยิบตาเหมือนกัน”

“ผมไม่ได้คิดทำลายคุณเลยนะ ยังไงคุณก็เป็นเมียพ่อผม ถ้าจะพูดให้ถูกผมก็แค่หงุดหงิดตามประสาแฟนเก่าที่ยังเจ็บจนไม่ลืมไม่ลงเพราะคิดว่าคุณทิ้งไปน่ะแหละ”

“แล้วทำไมจู่ๆ คุณที่ออกจากบ้านไปหลายปีถึงกลับมาพร้อมผู้ชายที่หน้าเหมือนฉันล่ะ ไม่ได้คิดจะทำให้คุณเหมราชเอะใจอะไรเหรอ”

“มันก็แค่เรื่องบังเอิญ! พอรู้ตัวอีกทีเขาก็เข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตผมแล้ว” สิงห์บอก “พอคิดจะจริงจังผมก็เลยจะแนะนำให้คนอื่นรู้จักก็แค่นั้นเอง เพราะผมไม่อยากทำพลาดเหมือนตอนที่คบกับคุณโดยไม่ได้บอกให้ใครๆ รู้ไง”

“อย่างนั้นเหรอ” เกตถวาพึมพำ “งั้นฉันก็ต้องไปขอโทษเขาสินะที่วันนี้แกล้งกันแรงไป ตอนนี้เขาไปเปลี่ยนชุดกับคุณเหมราช เดี๋ยวเขาคงจะกลับมาหาคุณอยู่ใช่ไหม”

แล้วสิงห์ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเพิ่งทำเรื่องเลวร้ายลงไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เขาหมุนตัวกลับจะวิ่งเข้าไปในงานแต่ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะสายเกินไปเสียแล้ว

“เกต! ผมต้องการคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้”

เสียงเย็นชาของเหมราชดังขึ้น ทั้งสองหันไปเห็นเหมราชกำลังย่างสามขุมเข้ามา ในมือถือรูปถ่ายยับย่นที่เกิดจากการขยำของเขา

“คบกันมาตั้งหลายปี ทำไมผมไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลยว่าคนที่ผมรัก.... ภรรยาของผมเคยคบกับลูกชายผมมาก่อน นี่เห็นผมเป็นไอ้โง่หรือไง”

เกตถวาหน้าซีดเผือด ภาพนั้นคือภาพที่เธอกับสิงห์สวมกอดกัน ในมือของเธอถือกุหลาบช่อโตที่เขาให้เป็นของขวัญวันครบรอบเป็นแฟนกัน “คุณคะคือมันไม่ใช่ใช่อย่างที่คุณคิดนะคะ”

“แล้วที่ผมควรจะคิดมันคืออะไรล่ะเกต” เหมราชกำรูปถ่ายแน่น “แกก็พอกันนะไอ้สิงห์ทนเก็บเรื่องนี้มาได้ยังไงตั้งหลายปีโดยไม่บอกฉัน”

“ผมแค่ไม่อยากทำให้พ่อเสียใจ แล้วก็เลือกที่จะออกจากบ้านไปเองนี่ไงครับ” สิงห์รีบบอก

“แล้วทำไมตอนนี้แกถึงตัดสินใจมาบอกฉันล่ะ ทำไมไม่ให้ความลับนี้มันตายไปพร้อมกับแกสองคนซะล่ะ แกกับเกตก็พอกันทั้งคู่ พวกแกหลอกฉัน!”

“พ่อคือผม… ฟังผมก่อน...”

“ฉันไม่ฟัง!” เหมราชตวาดลั่น “ออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้ คุณด้วยเกต ผมไม่ต้องการเห็นหน้าทั้งสองคนอีก!!” แล้วเขาก็ก้าวฉับๆ หนีไป

“คุณคะ! เดี๋ยวก่อนค่ะคุณ” เกตถวาร้องเรียกสามีพร้อมกับวิ่งตามไป

สิงห์ตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้าที่เกิดขึ้นรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีเขายังรู้สึกโกรธแค้นและเตรียมจะสะใจกับแผนที่วางไว้ แล้วต่อมามันก็กลายเป็นความรู้สึกผิด จนตอนนี้เขารู้สึกสมเพชตัวเองเหลือเกินที่ทำเรื่องเลวร้ายลงไป

เขาหันรีหันขวางไปเห็นอิงค์ยืนอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยจึงเดินเข้าไปหา

“สมใจพี่สิงห์แล้วใช่ไหมครับ” อิงค์เอ่ยขึ้นช้าๆ พยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น “ที่ได้แก้แค้นผู้หญิงคนนั้น”

สิงห์ด้วยความตกใจ “เธอ… รู้อยู่แล้ว อย่างนั้นเหรอ”

อิงค์พยักหน้า และสิงห์ยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อได้ฟังความจริงที่ค่อยๆ ถ่ายทอดออกจากปากคนตรงหน้า

“ผมรู้ตั้งแต่วันที่ไปดูแข่งฟุตบอลด้วยกัน” อิงค์เริ่มต้นเล่า “ผมคุยกับบอยเสร็จเร็วก็เลยคิดว่าจะไปรอพี่สิงห์ที่ห้องน้ำ แล้วผมก็บังเอิญเจอคุณเกตถวาและได้ยินที่ทั้งสองคนคุยกัน”

วันนั้นอิงค์จ้องมองภาพตรงหน้าแล้วก็ได้แต่ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาเงียบๆ และเดินกลับไปรอตรงจุดนัดหมายเดิม ที่เขาไม่ยอมหลบเข้าร่มและปล่อยให้ฝนสาดจนเปียกทั้งตัว ก็เพียงเพื่อต้องต้องการซ่อนน้ำตาไว้ในสายฝนไม่ให้ใครเห็น ไม่ใช่เพราะกลัวสิงห์จะหาไม่เจอเพราะแบตโทรศัพท์หมดตามข้ออ้างโง่ๆ ที่บอกไปตอนนั้นเลย

“ผมรู้อยู่แล้วว่าพี่คงเหงา ทำใจไว้แล้วว่าพี่คงเห็นผมเป็นตัวแทนของผู้หญิงคนนั้น แต่ผมก็คิดว่าสักวันพี่คงลืมคนที่ตายไปแล้วได้ หรืออย่างน้อยตัวพี่ก็ยังอยู่กับผม ผมจะยอมปิดตาข้างหนึ่งไปตลอดชีวิตก็ได้ แต่พี่กลับโกหกผม... เธอคนนั้นยังไม่ตาย แล้วเธอก็อยู่ใกล้ตัวพี่แค่นี้เอง” อิงค์พูดช้าๆ ด้วยหัวใจที่แหลกสลาย “พี่รู้ไหมว่ามันเจ็บยิ่งกว่าการที่รู้ว่าพี่ไม่รักผมหรือใช้ผมเป็นตัวแทนอีก การได้เป็นตัวแทนของเธอยังทำให้ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยพี่ก็ยังมองเห็นผมอยู่ในสายตา แต่การที่พี่ใช้ผมเป็นเครื่องมือแก้แค้นนั่นเท่ากับว่าพี่ไม่เคยมองผมในฐานะคนๆ หนึ่งที่รักพี่เลยมาตั้งแต่ต้น”

“อิงค์... ฉัน...”

“วันนี้พี่ทำสำเร็จแล้วใช่ไหม ผมดีใจด้วย ดังนั้น ‘เครื่องมือแก้แค้นอย่างผม’ ก็หมดหน้าที่แล้วสินะ” พูดจบอิงค์ก็กลับหลังหัน

“เดี๋ยวอิงค์ เธอจะไปไหน”

“ลาก่อนครับพี่สิงห์” อิงค์พูดโดยไม่หันหน้ามา “พี่ไม่ใช่คนใจร้ายหรอกเพราะสิ่งที่พี่ทำกับหัวใจของผมมันเลวร้ายกว่านั้นเยอะเลย”

สิงห์ยืนนิ่งก้าวขาไม่ออก ทั้งที่ยังปักใจเชื่อว่าอิงค์มีอะไรกับดัสกร หากแววตาที่แสดงให้เห็นความเจ็บปวดจนเกินบรรยายนั่นก็ไม่ใช่เรื่องโกหกแน่นอนเหมือนกัน

อยากตามไปปลอบ จะกอดแน่นๆ แล้วขอโทษ เขาไม่เคยคิดใช้อิงค์เป็นเครื่องมือทำร้ายผู้หญิงคนนั้นเลยสักนิด แต่พูดไปตอนนี้มันก็สายไปเสียแล้วเพราะสิ่งที่เขาทำลงไปเมื่อสักครู่ก็ไม่ต่างอะไรจากฆาตกรเลือดเย็น บางทีคนใจร้ายอย่างเขาก็คงเหมาะสมแล้วกับการไม่มีใครไปชั่วชีวิต

ปล่อยให้เขาไปเจอคนใหม่คงเป็นอะไรที่ดีกว่า


หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 16(23/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 23-10-2019 14:17:15
สิ่งที่เกตถวาทำเหมือนจับปลาสองมือ บอกไม่คิดอะไรกับสิงแล้ว แต่แกล้งอิงค์เนี่ยนะ มันแปลกๆ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 16(23/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-10-2019 14:33:47
 :pig4: :pig4: :pig4:

พฤติกรรมยัยเกตุถวามันแปลก ๆ ไม่ค่อยสมเหตุผลเท่าไร
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 16(23/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 23-10-2019 19:40:54
เหมือนมันยังไม่สุดต้องมีอะไรในกอไผ่แน่ๆ o22
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 16(23/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-10-2019 00:25:35
เกตถวา การกระทำเธอย้อนแย้งมาก
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 16(23/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-10-2019 15:34:19
 :เฮ้อ:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 16(23/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 24-10-2019 23:56:21
เกตถวาร้ายมาซะขนาดนี้ แต่มาบอกกับพี่สิงห์อีกอย่างนึงเลยเนี่ยนะ แปลกๆนะ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 16(23/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-10-2019 07:29:12
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 16(23/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-10-2019 09:23:29
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 16(23/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 25-10-2019 19:56:07
บทที่ 17

อิงค์เดินราวกับคนไร้วิญญาณออกมาจากเฮือนไกรสร เขาเดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงบีบแตรรถและดัสกรวิ่งมาคว้าตัวไว้

“อิงค์! เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น”

อิงค์เบือนหน้าไปหาดัสกรช้าๆ ไม่มีน้ำตา เขาไม่ได้ร้องไห้ความรู้สึกตอนนี้มันเจ็บจนเกินกว่าที่น้ำตาช่วยบรรเทาได้ “ไม่มีอะไรหรอกดาม ก็แค่อกหักอีกครั้งเอง”

เสียงของอิงค์นั้นแหบแห้งและเศร้าสร้อยจนคนฟังปวดหนึบที่หัวใจตามไปด้วย ดัสกรโอบไหล่เพื่อนไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง “ไป… กลับบ้านกันเดี๋ยวฉันไปส่งนะ”

“ขอบคุณนะดาม”

กลับมาถึง It’ sra อิงค์ก็รีบเปลี่ยนชุดนั้นออกแล้วก้าวขึ้นเตียง อยากหลับ... อยากหนีไปจากโลกความจริงที่แสนเจ็บปวดนี้และไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย พอแล้วกับการที่ต้องโดนคนที่รักทิ้งไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เสือน้อยกระโดดตามผู้ปกครองของมันขึ้นมาบนเตียง มันเอาหัวที่เต็มไปด้วยขนนุ่มๆ ถูไถตรงข้างแก้มอิงค์เพื่อขอนอนด้วย

อิงค์ลืมตาขึ้นมา เห็นตากลมแบ๊วใสซื่อจ้องมองเขาอยู่ เขายื่นแขนออกจากผ้าห่มรั้งตัวเจ้าแมวส้มเข้ามากอดแนบอก “เหลือเราแค่สองคนแล้วนะเสือน้อย พ่อเขาทิ้งเราไปแล้ว”

เสือน้อยร้องเหมียวเบาๆ แล้วซุกตัวนอนในอก อิงค์จึงคิดว่านี่คือคำตอบรับที่มันให้กับเขาว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป

ทางด้านดัสกร เขาเดินวนเวียนเป็นหนูติดจั่นอยู่ที่ชั้นหนึ่ง อิงค์ไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไร แต่จากประโยคที่ว่า ‘อกหักอีกครั้ง’ นั่นหมายความว่าอิงค์เลิกกับคนที่ชื่อสิงห์นั่นแล้วจริงๆ ใช่ไหม เขาควรจะต้องดีใจสิที่จะได้พาอิงค์กลับไปดูแลที่กรุงเทพ แล้วนี่เขาจะมาเสียใจทำไมก็เขาตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่นา

ดัสกรหยุดยืนและเงยหน้าขึ้นมองไปทางขึ้นสอง สีหน้าและแววตาเจ็บปวดของเพื่อนยังคงติดอยู่ในตา เขาถามตัวเองอีกครั้งว่าแบบนี้มันดีแล้วจริงๆ เหรอ

เช้าวันรุ่งขึ้นอิงค์ก็ลุกจากเตียงตามเวลาปกติ อันที่จริงคือเขานอนไม่หลับเลย ในหัวมันฟุ้ซ่านเอาแต่คิดเรื่อยเปื่อย สุดท้ายเขาก็แค่นอนหลับตาเฉยๆ แล้วปล่อยให้เวลามันไหลผ่านไปจนฟ้าสาง

เขาแต่งตัวลงมาพร้อมเสือน้อยเห็นดัสกรนั่งอยู่ที่ชั้นล่างจึงถามออกไป “ทำไมนายยังไม่กลับกรุงเทพล่ะ วันนี้นายต้องไปทำงานแล้วนะ”

“แกมีสภาพแบบนี้จะให้เรากลับได้ไงวะ” ดัสกรว่าพลางทำเป็นอุ้มเสือน้อยขึ้นมา เขาไม่อาจทนมองสภาพซังกะตายที่เหมือนมีแต่ตัวแต่ไร้วิญญาณของอิงค์ได้เต็มตา “บอกมาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“ไม่มีอะไร บอกแล้วไงว่าแค่อกหัก… ฉันออกไปส่งกาแฟก่อนนะ” อิงค์แค่นยิ้มส่งให้เพื่อนแล้วขนของขึ้นท้ายรถมอเตอร์ไซค์ขับออกไป

ดัสกรมองตามรถมอเตอร์ไซค์ที่ค่อยไกลห่างออกไป แล้วจู่ๆ เจ้าแมวส้มที่ญาติดีกับเขามาตลอดห้าวันก็กางเล็บข่วนเข้าที่หลังมือเป็นทางยาวจนเลือดไหลซิบก่อนจะสะบัดตัวหลุดจากมือเขาลงไปยืนอยู่บนพื้น “อะไรของแกวะเสือน้อย มาข่วนกันทำไมเนี่ย” ครั้นพอเขาจะเข้าใกล้ มันก็ไม่ยอมให้แตะตัวอีก

เสือน้อยพองขนขู่ฟ่อใส่แล้วเชิดหน้าหมุนตัวสะบัดหางเป็นวงเดินไปกินอาหารที่อิงค์เทใส่ชามข้าวไว้ให้ ถึงจะเป็นแค่ลูกแมวตัวเล็กๆ แต่มันก็มีสัญชาตญาณหยั่งรู้นะว่าใครมาดีมาร้ายกับมันและเจ้านายของมัน

ทันทีที่รถมอเตอร์ไซค์ของอิงค์ขับเข้ามาจอดหน้าประตูข่วงเมืองสิงห์ป้าสำลีกับมอญก็รีบวิ่งเข้ามาหา ทั้งสองรู้ว่าเมื่อคืนที่งานเลี้ยงวันเกิดของเหมราชต้องมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะได้ข่าวมาว่าจู่ๆ คุณเหมราชก็สั่งให้เลิกงานเลี้ยงแล้วเชิญแขกทั้งหมดกลับทันที โดยไม่มีการร้องเพลงอวยพรหรือเป่าเค้กใดๆ ทั้งสิ้น แล้วสิงห์ก็กลับมาในสภาพที่พร้อมจะอาละวาดเต็มที่ เขาเดินลงส้นเท้าเสียงดังและเอาแต่ขังตัวเองอยู่แต่ในห้องจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมออกมา

“สวัสดีค่ะคุณอิงค์” ป้าสำลีร้องทักคนที่ไม่พูดจาและยิ้มแย้มเหมือนเช่นทุกวัน

“วันนี้คุณอิงค์สีหน้าไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะหรือว่ามีเรื่องกลุ้มใจอะไร” มอญเลียบเคียงถาม “มาๆ คุณอิงค์นั่งพักก่อน เดี๋ยวพี่มอญช่วยจัดของนะคะ”

“ไม่เป็นครับพี่มอญ เดี๋ยวผมทำเอง” อิงค์บอกอย่างเกรงใจก่อนจะเหลียวไปมองเคาน์เตอร์ที่ว่างเปล่าไม่มีแม้เงาของชายหนุ่มผมยาวที่นั่งอยู่ประจำ

“คุณสิงห์ยังไม่ตื่นเลยค่ะ” ป้าสำลีรีบบอก “แต่อีกเดี๋ยวก็น่าจะลงมาแล้วล่ะ คุณอิงค์อยู่กินข้าวเช้ากับป้าสำลีกับพี่มอญก่อนไหมคะ วันนี้ป้าทำข้าวต้มเห็ดหอมของโปรดคุณอิงค์นะ”

“ขอบคุณครับป้าสำลี แต่ผมคงไม่อยู่กินนะครับ”

“ถ้างั้นก็เอากลับไปกินที่บ้านนะคะ เดี๋ยวป้าเอาใส่กล่องให้” ป้าสำลีคะยั้นคะยอ

อิงค์ส่ายหน้า “อย่าลำบากเลยครับ”

“ลำบากอะไรกันคะ… มอญ รีบไปเอาข้าวให้คุณอิงค์หน่อยเร็ว”

“ได้จ๊ะป้า” มอญรับคำ

“ไม่ต้องนะครับพี่มอญ” อิงค์รีบเอ่ยห้าม “ขอบคุณสำหรับน้ำใจและความเอ็นดูที่มีให้ผมตลอดมานะครับ แต่วันนี้ผมรับไว้ไม่ได้จริงๆ ครับ”

ป้าสำลีกับมอญมองหน้ากัน รู้สึกใจคอไม่ค่อยดี

“ทำไมวันนี้คุณอิงค์ถึงพูดจาแปลกๆ แบบนี้ล่ะคะ” ป้าสำลีถาม

อิงค์มองหน้าทั้งสองคน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมความกล้าและพูดเนิบช้า เคยเตรียมใจไว้แล้วว่าเรื่องนี้มันจะต้องมาถึงเข้าสักวันแต่ก็ไม่คิดเลยว่ามันจะเร็วขนาดนี้ “พรุ่งนี้ผมจะไม่มาส่งของที่นี่แล้วนะครับ”

“คุณอิงค์จะไปไหน แล้วจะกลับมาวันไหนคะ พี่มอญจะได้บอกลูกค้าถูก มีคนติดใจกาแฟคุณอิงค์ตั้งเยอะนะคะ” มอญทำเป็นถามออกไปทั้งที่ใจรู้คำตอบแน่ชัดอยู่แล้ว “มะรืนนี้หรือว่าอาทิตย์หน้า พี่มอญจะรอกินกาแฟคุณอิงค์นะคะ”

อิงค์เม้มปากสนิทและส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ใช่แค่วันพรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ แต่ผมจะไม่มาส่งของที่นี่อีกแล้วครับ”

“ร… เรื่องนั้น… ป้ายอมไม่ได้หรอกค่ะ” ป้าสำลีออกอาการตกใจไม่น้อย “คือหมายความว่า… ป้าเป็นแค่คนดูแลค่ะ ป้าไม่ใช่เจ้าของที่นี่ ป้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจค่ะ คุณอิงค์ต้องไปบอกเรื่องนี้กับคุณสิงห์เองนะคะ”

“ใช่ค่ะ” มอญพยักหน้ารัวเร็ว “เรื่องสำคัญขนาดนี้ เราตัดสินใจกันเองไม่ได้ค่ะ ต้องบอกคุณสิงห์เท่านั้น”

“เดี๋ยวป้าไปตามคุณสิงห์ให้นะคะ คุณอิงค์ใจเย็นๆ รอป้าอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวป้ากลับมา… มอญ! แกอยู่เป็นเพื่อนคุณอิงค์นะ” ป้าสำลีลนลานวิ่งกลับเข้าไปในข่วงเมืองสิงห์ ก็บังเอิญเจอกับที่สิงห์เดินลงบันไดมาจากชั้นสอง “คุณสิงห์มาพอดีเลยค่ะ! มานี่หน่อยค่ะ คุณอิงค์มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยค่ะ”

สิงห์หยุดมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู เขาดูซูบซีดไม่แจ่มใส ในแววตาบอบช้ำราวกับพร้อมจะร้องไห้ได้ตลอดเวลาผิดกับคนที่มักจะมาพร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเสมอ

“มาสิคะ” ป้าสำลีคว้าแขนสิงห์และดึงให้เดินตามมาแต่สิงห์ก็ไม่ยอมขยับ

อิงค์สบตาชายหนุ่มผมยาว เขาสูดลมหายใจเข้าจนสุดครั้งหนึ่งแล้วเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเสียเอง “สวัสดีครับคุณสิงห์”

สรรพนามเรียกขานที่ดูเป็นทางการกับน้ำเสียงที่แสนห่างเหินทำเอาป้าสำลีกับมอญหัวใจหล่นวูบ

“ผมจะขอแจ้งว่าตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปผมจะเลิกมาส่งของที่นี่แล้ว…” อิงค์เงียบไป จู่ๆ ริมฝีปากมันก็สั่น เขากำมือแน่นเพื่อรวบรวมความกล้าและกลั้นใจพูดต่อจนจบ “ขอบคุณนะครับ สำหรับความช่วยเหลือเสมอมา”

เขาตัดบทจบแต่เพียงเท่านั้นพร้อมกับค้อมศีรษะแล้วกลับหลังหันเดินออกไป

…เลือกที่จะมาหาเขาเอง ก็ต้องกล้าที่จะเดินกลับไปเองสิ…

ป้าสำลีคว้าต้นแขนสิงห์แน่น “คุณสิงห์จะไม่พูดอะไรกับน้องหน่อยเหรอคะ”

“จะพูดอะไรล่ะป้า ก็เขาตัดสินใจมาแล้วนี่” สิงห์รั้งแขนกลับและเดินไปนั่งเงียบๆ ตรงหลังเคาน์เตอร์ ทั้งที่ในอกปวดจนเจ็บ

...ทำไมเจ้าหนูนั่น ต้องเสียใจขนาดนั่นด้วยล่ะ เจ้าหนูนั่นยังมีคนที่ชื่อดัสกรอีกคนคอยปลอบใจไม่ใช่เหรอไง เขาต่างหากที่ไม่เหลือใครเลย ที่มาบอกลานี่ก็คงจะเลิกขายกาแฟแล้วกลับกรุงเทพไปกับหมอนั่น... ไปอยู่กับพ่อกับแม่น่ะแหละ ไม่มีอะไรที่เขาต้องเป็นห่วงหรือรู้สึกผิดสักหน่อย...

ครู่ใหญ่ต่อมารถญี่ปุ่นคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอด ดัสกรเปิดประตูก้าวลงจากรถและเดินตรงมาหาสิงห์

“ผมมีเรื่องจะคุยด้วย” เขาพูดเสียงดัง

“แต่ผมไม่มี” สิงห์ตอบห้วนๆ

“ยังไงคุณก็ต้องฟัง!” ดัสกรพูดเสียงดังจนเกือบจะตะโกนแล้วตอนนี้

สิงห์ลุกพรวดขึ้นด้วยความหงุดหงิดแล้วก้าวยาวๆ เข้าไปหา “มีอะไร!”

ป้าสำลีกับมอญโผเข้าจับมือกันแน่น เพราะดูท่าสองหนุ่มจะวางมวยใส่กันเป็นแน่แท้

ทั้งสองยืนอยู่ที่ประตู จ้องตากันเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แล้วก็เป็นฝ่ายชายหนุ่มจากเมืองกรุงที่เป็นคนเริ่มก่อน

“ผมขอโทษ” ดัสกรบอก

สิงห์ที่กำลังอารมณ์พลุ่งพล่านเลิกคิ้วสูง นึกสงสัยว่าดัสกรจะมาไม้ไหนอีก “เรื่องอะไร”

ดัสกรอ้ำอึ้ง “คุณทะเลาะกับอิงค์เพราะผมใช่ไหม... นั่นล่ะผมขอโทษ”

“ผมไม่เข้าใจ” สิงห์บอก

“เรื่องคืนนั้นน่ะ อิงค์มันแค่เมาแล้วร้องไห้จนหลับไปเฉยๆ ผมจัดฉากเรื่องทั้งหมดเอง เราไม่ได้มีอะไรกันทั้งนั้นแหละ” ดัสกรนั่งคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีกแล้วก็ตัดสินใจว่าจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้ เมื่อสักครู่นี้เขาสารภาพกับอิงค์ไปแล้วแต่อิงค์กลับบอกว่ามันไม่เกี่ยวกับเขา และไม่พูดอะไรอีก เขาจึงตัดสินใจมาหาสิงห์ที่นี่ เขายอมให้เพื่อนเป็นคนอวดผัว2019 แบบเดิมดีกว่าเศร้าซึมเป็นซอมบี้แบบนี้

“แต่คุณชอบอิงค์?” สิงห์ถาม “เขาเลิกกับผมได้ คุณก็น่าจะดีใจสิ”

“สารภาพรักแล้ว พยายามปล้ำจนเกือบโดนเลิกคบมาแล้วด้วยครั้งหนึ่ง” ดัสกรพูดรัวเร็วกับวีรกรรมอันแสนเลวร้ายแต่หนหลัง “ตอนนี้ไม่กล้าทำอะไรที่ล้ำเส้นคำว่าเพื่อนแล้วเพราะสาบานกับศาลพระภูมิหน้าบ้านหมอนั่นไว้ ถึงตอนนี้จะโดนไฟไหม้ไปหมดแล้วผมก็ไม่กล้าลบหลู่หรอก… คุณจะโกรธ จะด่า จะต่อยผมก็ได้ แต่เชื่อผมทีเถอะว่าเรื่องนี้เป็นความผิดผมคนเดียวไม่เกี่ยวกับหมอนั่นเลย อิงค์มันรักคุณจริงๆ นะมันไม่ได้นอกใจคุณหรอก ที่มันมาอยู่ที่นี่ก็เพราะคุณน่ะแหละ... โอ๊ย!”

ดัสกรร้องเสียงหลงเพราะหมัดของสิงห์พุ่งเข้าใส่เต็มๆ ที่กลางแสกหน้า

“นี่ต่อยกันจริงๆ เหรอเนี่ย!”

“ก็คุณบอกว่าจะต่อยก็ได้” สิงห์ว่า “จะได้จำแม่นๆ ว่าทีหลังอย่าเล่นพิเรนทร์อะไรแบบนี้อีก”

ดัสกรกุมหน้าแน่น ลิ้นรู้สึกได้ถึงรสเลือดเฝื่อนๆ ดูท่าปากจะแตกด้วย คนอะไรหมัดหนักเป็นบ้า

“อ้อ! ถ้าเป็นไปได้ ผมขออีกสักทีได้ไหม ถือว่าเอาคืนในส่วนที่คุณเคยจะปล้ำเจ้าหนูนั่น” สิงห์ถกแขนเสื้อขึ้นพร้อมกับย่างสามขุมเข้าหา เขาอุตส่าห์ถนอมของเขามาตั้งนาน ไม่เคยรังแกบังคับให้ทำถ้าไม่ยินยอมพร้อมใจแล้วไอ้หมอนี่มันถือดียังไงมาทำเรื่องบัดสีแบบนี้

“พ... พอเลย! ตอนนั้นอิงค์มันก็ต่อยผมไปแล้ว”

“ท่าทางหมัดเจ้าหนูนั่นจะแรงไม่พอคุณเลยไม่หลาบจำแล้วกล้าทำอีกไง”

“อ... เอาเป็นว่าคุณหายโกรธอิงค์แล้วนะ เข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้วใช่ไหม ถ้างั้นก็ไปง้ออิงค์มันหน่อยนะ” ดัสกรรีบพูดต่อก่อนจะโดนอีกหมัด “นะ นะ ไปดีกันเถอะนะ”

สิงห์ชะงักไป เขาลดหมัดลงและพูดเสียงเบา “มันสายไปแล้วล่ะ”

“ไม่สายหรอก”

“เมื่อกี้เขาเพิ่งมาบอกว่าจะเลิกมาส่งกาแฟที่นี่ ก็คงคิดจะปิดร้านกลับกรุงเทพไปกับคุณน่ะแหละ”

ดัสกรเงียบไปอึดใจเพราะรู้สึกเอะใจอะไรบางอย่าง “ผมขอถามหน่อย คุณรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับอิงค์บ้าง… รู้ไหมว่าทำไมมันถึงไปอยู่ญี่ปุ่นถึงสามปี”

“ก็ไปเรียนแล้วก็ไปทำงานไง”

ดัสกรเลิกคิ้ว “คุณรู้เรื่องพ่อกับแม่อิงค์ไหม”

สิงห์พยักหน้า “ทั้งคู่เป็นพนักงานบริษัททำงานอยู่ที่กรุงเทพ”

“แค่นั้นเองเหรอ” ดัสกรร้องเสียงดัง

“แล้วมันทำไมหรือไง”

“ก็เพราะผมแปลกใจน่ะสิที่คุณแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหมอนั่นเลย… ผมรู้แล้วล่ะว่าทำไมอิงค์ถึงบอกว่าเรื่องที่ทะเลาะกันไม่เกี่ยวกับผม เรื่องนี้มันเกี่ยวกับคุณล้วนๆ เลย เพราะตอนนี้อิงค์รู้แล้วว่าคุณไม่ได้รักเขาเหมือนที่เขารักคุณสักนิด”

“คุณยิ่งพูดผมยิ่งงงนะเนี่ย”

“ผมจะบอกให้ก็ได้” ดัสกรว่า “พ่อกับแม่อิงค์น่ะเสียไปแล้ว ในอุบัติเหตุไฟไหม้บ้านหลังจากที่อิงค์ขึ้นเครื่องไปญี่ปุ่นได้แค่วันเดียว”

แม้แต่ป้าสำลีกับมอญที่แอบฟังอยู่ก็พลอยตกใจไปด้วย

“เป็นความจริงเหรอ” สิงห์ละล่ำละลักถาม

ดัสกรพยักหน้าและเล่าต่อ “หลังจากเสร็จงานศพพ่อกับแม่อิงค์ก็กลับไปเรียนต่อ และเพราะยังทำใจไม่ได้ แถมบ้านก็ไม่มีให้กลับแล้วก็เลยอยู่ยาวถึงสามปี แต่สุดท้ายทนคิดถึงเมืองไทยไม่ไหวก็เลยกลับมา แต่ก็ปฏิเสธที่จะอยู่กรุงเทพและใช้เงินที่หามาได้ทั้งหมดตอนอยู่ญี่ปุ่นมาลงทุนทำร้านกาแฟที่น่าน โดยให้เหตุผลกับผมและเพื่อนคนอื่นๆ ว่า เป็นที่ที่ทำให้ยิ้มได้อีกครั้ง”

“ที่ที่ทำให้ยิ้มได้อีกครั้ง” สิงห์ทวนคำ

“ห้าปีก่อนหมอนั่นอกหักร้องไห้ฟูมฟายไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่หลายวัน แต่หลังจากที่หนีมาน่านแค่สองวันหนึ่งคืนพอกลับไปเขาก็สามารถลืมเรื่องที่ทำให้เจ็บปวดและยิ้มได้อีกครั้ง ผมคิดว่าอิงค์คงนึกถึงตอนนั้นแล้วเลยอยากจะมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ ส่วนผมที่เป็นห่วงเพื่อนก็ตามมาดู ถ้าเห็นว่าสบายดีก็คงปล่อยให้ทำตามใจ แต่ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นผมจะพาเขากลับ ตอนแรกผมก็ลังเลนะว่าจะทำยังไงดี แต่ตอนนี้ผมคิดว่าได้คำตอบแน่ชัดแล้วล่ะ”

“คุณจะทำอะไร”

“ผมจะพาเขากลับ และจะไม่มีอะไรหรือใครมาขวางผมได้แม้แต่คุณ… แต่ผมคิดว่าคุณก็คงไม่ทำหรอก ก็คุณไม่ได้รักเพื่อนผมจริงนี่นา รู้งี้ไม่น่ามาสารภาพผิดแล้วยอมให้ต่อยเลย พับผ่าสิ!” ดัสกรทิ้งท้ายไว้เท่านั้นแล้วยกโทรศัพท์ที่สั่นอยู่นานแล้วขึ้นรับพลางเดินกลับไปขึ้นรถ “ผมรู้แล้วครับบอส เมื่อเช้าผมก็ส่งข้อความไปลาแล้วนี่ครับ… ครับๆ เดี๋ยวผมกลับไปเคลียร์ให้… วันนี้? บอสโอนค่าตั๋วเครื่องบินมาสิผมจะนั่งเครื่องกลับ อย่างอแงน่าบอสพรุ่งนี้ผมจะไปทำงานแน่ๆ ครับ แค่นี้นะครับจะขับรถ”

รถญี่ปุ่นเคลื่อนตัวออกไปสักพักแล้ว หากสิงห์ยังยืนอยู่ที่เดิม หวนนึกวันที่นอนกอดกันแล้วเขาถามอิงค์ว่าชอบเขาที่ตรงไหน

“ตรงที่พี่ทำให้ผมยิ้มได้อีกครั้ง”

นั่นไม่ใช่คำตอบเรื่อยเปื่อย ไม่ใช่คำตอบเพื่อเอาอกเอาใจเขา แต่มันคือคำตอบที่จริงใจที่สุดของคนที่กำลังไขว่คว้าหาแสงสว่างในวันที่มืดมนที่สุดและพยายามจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง

หลังจากไปส่งกาแฟกลับมาอิงค์ก็ไม่มีแรงจะเปิดร้าน เขาพลิกป้ายเป็น ‘ปิด’ แล้วเดินไปนั่งลงหลังเคาน์เตอร์มองเหม่อดูเสือน้อยที่กำลังเล่นกับแมลงปีกแข็งตัวเล็กที่บินหลงเข้ามาตรงพื้นร้าน คิดในใจว่าเป็นแมวนี่ดีจังเลยนะ ไม่มีเรื่องกลุ้มใจอะไรให้คิด ดูชีวิตมีความสุขจัง ไม่เหมือนกับเขาเลยสักนิด

กับพี่สิงห์ก็จบกันแล้ว...

ส่วนดามก็กลับกรุงเทพไปแล้ว...

และพ่อกับแม่ก็คงกำลังสบายดีอยู่ที่ไหนสักแห่งบนฟ้า...

ตอนนี้ก็คงเหลือแค่ตัวเขากับ It’ sra...

และเสือน้อยเท่านั้น…

อิงค์หยิบอาหารเม็ดขึ้นมาเม็ดหนึ่งแล้วโยนส่งให้เจ้าแมวส้มที่รีบตะครุบกินทันที เขาหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยและฟุบหน้าลงกับเคาน์เตอร์มองเสือน้อยที่หันไปเล่นกับแมลงต่อพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อยส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องจะเอายังต่อดี เขาคงไม่กลับกรุงเทพแน่ๆ แต่ถ้าไม่ฝากขายกาแฟแล้วจะมีวิธีไหนที่จะช่วยเพิ่มรายได้ได้อีก ค่าอาหารเสือน้อยราคาก็ไม่ถูก แล้วเดี๋ยวก็ต้องพาไปฉีดวัคซีนอีก เขาจะเป็นอะไรไม่ได้ งานก็ต้องทำ เขามีเสือน้อยต้องดูแลและก็เพื่อตัวเขาเองด้วย

แล้วความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจที่สะสมมาหลายวันก็ค่อยๆ ดึงอิงค์ให้หลับไปในที่สุด

ภาพสุดท้ายก่อนที่สติจะเลือนไปคือเจ้าลูกแมวส้มส่งเสียงร้องเหมียวๆ และคลอเคลียอยู่ตรงท่อนแขนของเขา

...เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปนะเสือน้อย...

อิงค์รู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกทีเพราะเสียงปึงปังที่หน้าต่างและประตู เขามองออกไปข้างนอกที่ท้องฟ้ามืดครึ้มและสายฝนซึ่งซัดสาดเข้ามาตรงหน้าต่างที่เขาไม่ได้ปิดทำให้พื้นร้านเปียกไปหมด

อิงค์ลุกพรวดไปปิดหน้าต่างก่อนที่น้ำจะท่วมพื้นและทำข้าวของเสียหาย เขาเดินสำรวจดูรอบๆ ร้านเห็นว่าน้ำไม่ได้ทำอะไรพังก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีของสำคัญอย่างหนึ่งหายไป

“เสือน้อย!”

อิงค์ร้องเรียกลั่นก่อนจะวิ่งพล่านไปทั่วร้าน เขาหาทั่วชั้นหนึ่งใต้ตู้ใต้โต๊ะเรื่อยไปจนถึงชั้นสอง เปิดดูบนเตียง ใต้ตู้เสื้อผ้า ในห้องน้ำ เขาหาจนครบทุกซอกทุกมุมของ It’ sra แต่ก็ไม่มีวี่แววของเจ้าลูกแมวส้มเลย

อิงค์รู้สึกใจคอไม่ดีแล้วตอนนี้ เขามองออกไปนอกหน้าต่างที่พายุฝนยังคงซัดสาดอย่างหนัก คิดว่าเสือน้อยคงพลัดหลงออกไปตอนที่เขาเผลอหลับแน่ๆ จึงรีบหยิบร่มแล้ววิ่งฝ่าฝนออกไปตามหารอบๆ ร้าน ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ พงหญ้า เสาไฟฟ้าหรือถังขยะ

บอยกับสารสาที่เพิ่งเลิกเรียนและตั้งใจจะมาหาอะไรกินที่ It’ sra เห็นเจ้าของร้านวิ่งวุ่นตากฝนอยู่ก็ตะโกนถามแข่งกับเสียงฝน

“พี่อิงค์หาอะไรอยู่เหรอครับ!”

“เสือน้อย!” อิงค์ตอบ “เสือน้อยหายไป ฉันหาตั้งนานแล้วยังหาไม่เจอเลย”

“เดี๋ยวพวกเราช่วยหานะคะ” สารสารีบบอก “ไปกันเถอะบอย”

ผ่านไปหลายชั่วโมงจนเริ่มมืดค่ำ ทั้งสามก็กลับมาเจอกันที่หน้าร้าน It’ sra อีกครั้ง

“หาเจอไหม” อิงค์ถามอย่างมีความหวัง

สารสากับบอยส่ายหน้า “ไม่เจอเลยค่ะ”

“เราวนหาจนทั่วแถวนี้แล้ว ไม่รู้มันไปแอบอยู่ที่ไหน” บอยบอก

อิงค์หน้าเสีย “ตอนนี้ค่ำแล้ว บอยกับรสากลับบ้านไปก่อนเถอะ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะเป็นห่วง ขอบคุณมากนะที่ช่วย”

“พี่อิงค์ก็พักด้วยนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้ารสากับบอยมาช่วยหาใหม่นะ”

“ขอบใจนะ” อิงค์รับคำ แต่พอทั้งสองคล้อยหลังออกไปจากร้าน เขาก็คว้าร่มแล้ววิ่งตากฝนออกไปอีกครั้ง

แต่ไม่ว่าจะหาสักเท่าใด ไม่ว่าจะตามต้นไม้ทุกต้น ต้นหญ้าทุกกอ ข้างขยะทุกใบ ถนนทุกสายในละแวกร้านที่อิงค์จะสามารถจินตนาการได้ว่าลูกแมวตัวเล็กๆ อายุไม่ถึงหกเดือนจะวิ่งไปถึงได้ ก็ไม่เจอตัวเสือน้อย

สุดท้ายเขาก็กลับมาที่ It’ sra ตอนฟ้าใกล้สางในสภาพหมดแรงอ่อนล้าเต็มที เขาเปิดประตูเข้าไปในร้านที่แสนเงียบเชียบ กวาดตามองไปทั่วร้านที่ในห้วงเดือนที่ผ่านเคยเห็นเจ้าแมวส้มมาร้องเหมียวๆ คลอเคลียเกาะแข้งเกาะขาจนชินตา แต่ทว่าตอนนี้ไม่มีแม้เงาของมัน

“เสือน้อย”

อิงค์ร้องเรียกออกไปด้วยเสียงที่แหบแห้ง หากเจ้าของชื่อก็ไม่ตอบรับและเดินมาหาเหมือนทุกครั้ง เขาก้าวขาที่ชาไปหมดเพราะเนื้อตัวเปียกปอนและอากาศก็เย็นจัด รู้สึกว่าตัวเองเซนิดๆ เขาพยายามเดินแม้จะเชื่องช้า ไปจนถึงตรงบริเวณที่วางชามข้าวของเสือน้อย ยังมีอาหารเม็ดใส่อยู่เต็มเหมือนตอนที่เขาเทไว้ก่อนจะหลับไป

เขาทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างอ่อนแรงแล้วชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นมากอดไว้

ข้างนอกฝนตกหนักขนาดนั้นแกไปขดตัวนอนหนาวอยู่ที่ไหน... ฟ้าผ่าน่ากลัวจะแอบกับแขนใคร... จะหิวหรือเปล่า... จะมีใครเอาข้าวให้กินไหม... จะบาดเจ็บได้แผลหรือเปล่า... ยังปลอดภัยดีอยู่ใช่ไหม... แกหายไปอยู่ที่กันนะเสือน้อย

อิงค์รู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ที่หยดเป็นสาย มันไม่ได้มาจากเรือนผมที่เปียกจนชุ่มแต่มันไหลรินมาจากดวงตาทั้งสองข้าง เขาก้มหน้าลงซุกกับหัวเข่า

เสียงฟ้าผ่าดังลั่นนอกหน้าต่างราวกับฟ้ากำลังตะโกนใส่หน้าว่าเขาไม่เหลือใครแล้วจริงๆ



หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 17(25/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-10-2019 21:05:15
 :pig4: :pig4: :pig4:


หง่ะ   ชีวิตอิงค์ทำไมเคราะห์ซ้ำกรรมซัดขนาดเน้

ป.ล. ขอให้เสือน้อยถูกพ่อมันพาไปดูแลระหว่างที่อิงค์หลับเถอะนะ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 17(25/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-10-2019 21:29:11
 :mew2: :mew2: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 17(25/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 25-10-2019 21:45:11
สงสารรรร
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 17(25/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 25-10-2019 22:38:03
 o18


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 17(25/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 25-10-2019 23:45:13
สงสารอิงค์มากก  :m15:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 17(25/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 26-10-2019 03:31:13
ดราม่าไปอีก
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 17(25/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 26-10-2019 07:21:53
สงสารอิงค์ ถ้าพี่สิงห์ยังคิดไม่ได้ล่ะก็ เราจะเชียร์ให้ดามพาอิงค์กลับไปอยู่กรุงเทพแล้วนะ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 17(25/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 26-10-2019 11:46:02
มาม่าได้อีกพร้อมๆ  :o12:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 17(25/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 27-10-2019 14:27:03
บทที่ 18

ยามเช้าของข่วงเมืองสิงห์เมื่อไม่มีชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟแวะมาทักทายก็เงียบเหงาไปถนัด ถึงเมื่อวานอิงค์จะบอกชัดเจนแล้วว่าจะไม่มาอีกแต่ป้าสำลีกับมอญก็ยืนอยู่ที่หน้าประตูชะเง้อชะแง้คอมองผ่านสายฝนออกไป หวังว่าจะเห็นรถมอเตอร์ไซค์ที่เคยคุ้นตาขับเข้ามาจอดเหมือนอย่างเคย

จนเวลาล่วงไปจนถึงเย็น ฝนที่ตกมาตั้งแต่เมื่อวานก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะซาเม็ดเช่นเดียวกับป้าสำลีและมอญที่ยังไม่เลิกนั่งรออิงค์อยู่ที่หน้าประตูข่วงเมืองสิงห์

“คุณอิงค์ไม่คิดจะมาเอาค่ากาแฟที่มาส่งให้เราเมื่อวานเหรอป้า” มอญถามเศร้าๆ พลางล้วงเงินที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อออกนับเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ในรอบวันทั้งที่มันก็ไม่ได้หายไปไหนยังอยู่ครบทุกบาททุกสตางค์

ป้าสำลีส่ายหน้า “ป้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ตอบพลางก้มลงมองกล่องอาหารในมือที่ใส่กับข้าวไว้คอยท่าตั้งแต่เช้า จนถึงตอนนี้เปลี่ยนของข้างในไปสามรอบแล้วแต่คนที่อยากให้ก็ยังไม่วี่แววจะมารับไป

“คุณอิงค์ไม่ตอบข้อความหนูตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะป้า” มอญเปรยขึ้นเบาๆ พลางหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดข้อความที่ส่งไปบอกฝันดีให้ดู “ปกติคุณอิงค์จะตอบทันทีเลยนะ”

ป้าสำลีหยิบโทรศัพท์ของตนออกมาดูบ้างข้อความสวัสดีวันอังคารก็ยังไม่โดนเปิดอ่าน “คุณอิงค์ก็ไม่ตอบป้าเหมือนกัน”

สิงห์ที่ทำเป็นไม่สนใจแต่แอบสังเกตการณ์อยู่ตลอดรู้สึกใจคอไม่ดีแปลกๆ อิงค์จะโกรธหรือไม่พูด ไม่มาหาเขานั่นเขาเข้าใจดี แต่ถึงขั้นไม่ตอบข้อความป้าสำลีกับพี่มอญนี่มันก็ดูผิดวิสัยเจ้าตัวไปหน่อย เขาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดอ่านข้อความที่อิงค์ส่งมาขอโทษอีกครั้ง


พี่สิงห์ผมขอโทษ

พี่สิงห์พรุ่งนี้ผมไปหานะ

พี่สิงห์อยากกินกาแฟกับอะไร

พี่สิงห์อยากได้อะไรผมยอมทำทุกอย่างเลย ผมจะไม่เบี้ยวนัดอีกแล้ว พี่สิงห์ตอบผมหน่อยนะ

คุณพ่อเสือน้อยเลิกงอนได้แล้ว แม่เสือน้อยคิดถึงนะ

พี่สิงห์ผมขอโทษ ยกโทษให้ผมนะ

พี่สิงห์ผมมาถึงงานแล้วนะ

พี่สิงห์อยู่ไหนครับ

คิดถึงพี่สิงห์นะ

อยากเจอพี่สิงห์จัง


ตั้งแต่เมื่อวานเขาอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจำทุกข้อความนั่นได้ขึ้นใจ อยากพิมพ์ตอบไปใจแทบขาด ว่ายกโทษให้แล้ว ทุกอย่างเป็นความผิดของเขา เขาโง่เอง คิดถึงเหมือนกัน แต่ใจก็ไม่กล้าพอจะทำ

อยากจะบอกว่ารักเธอมากมาย แต่คิดได้ตอนนี้ก็คงจะสายเกินไปเสียแล้ว

ระหว่างที่กำลังนั่งอ่านทวนข้อความนั่นอีกครั้งสิงห์ก็ได้ยินเสียงป้าสำลีร้องขึ้น

“จริงเหรอรสา!”

ป้าสำลีที่เป็นห่วงอิงค์จนทนไม่ไหว ตัดสินใจลองโทรถามสารสาเพราะเห็นว่าช่วงนี้สนิทกันและอิงค์ก็แวะเอากาแฟไปส่งให้ที่ร้านจามจุรีด้วย เขาไม่ได้เอาไปฝากขายแต่เจ้าของร้านสั่งมากินเองเพราะตอนนี้คุณปองชัยติดกาแฟฝีมืออิงค์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วหลังจากที่อิงค์ฝากสารสาเอาไปให้ชิม

“ขอบคุณมากนะจ๊ะ”

ทันทีที่ป้าสำลีวางสายจากสารสาเธอก็วิ่งไปหยิบเสื้อกันฝน เอากล่องอาหารที่เตรียมไว้ใส่ตะกร้าแล้วจ้ำพรวดไปที่มอเตอร์ไซค์จ่ายตลาดคู่ใจ

“นั่นป้าสำลีจะออกไปไหนน่ะ” สิงห์ตะโกนถามออกไป

“ไปหาคุณอิงค์ค่ะ” ป้าสำลีบอก “คุณรสาบอกว่าเสือน้อยหายไปตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อเช้าคุณบอยแวะไปหาที่ร้านแล้วเห็นว่าร้านปิดคิดว่าคุณอิงค์ต้องออกไปหาเสือน้อยแน่ๆ ป้าจะไปช่วยคุณอิงค์หาเสือน้อยค่ะ”

“จะบ้าหรือไงป้า ฝนตกหนักขนาดนี้อันตรายจะตาย”

“เดี๋ยวหนูไปด้วยป้า” มอญบอก

“ขึ้นมาเลยมอญ ป้าจะซิ่งแล้ว”

“ทั้งสองคนไม่ต้องไปไหนเลย นี่เวลางานนะ...”

“ป้าขอลาค่ะ แต่ถ้าลาไม่ได้คุณสิงห์จะตัดเงินเดือนป้าหรือจะไล่ป้าออกเลยก็ได้ ป้าทนทำงานกับคนใจร้ายอย่างคุณสิงห์ไม่ได้แล้ว”

“มอญด้วยค่ะ” มอญบอก “ออกรถเร็วป้า”

สิงห์รีบลุกขึ้นและเดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ “ทั้งสองหยุดเดี๋ยวนี้เลยลาองลาออกอะไร ฉันไม่อนุญาต ฉันให้ทั้งคนอยู่ที่นี่เพราะฉันไปหาเจ้าหนูนั่นเองต่างหาก”

“คุณสิงห์ไม่ต้องไปหรอกค่ะ” ป้าสำลีบอกเสียงห้วน

“ป้าว่าไงนะ”

“ก็คุณสิงห์ไม่ได้สนใจคุณอิงค์นี่นา แล้วจะไปทำไม”

“ก็ป้า…” สิงห์ยังพูดไม่ทันจบป้าสำลีก็แทรกขึ้นเสียก่อน

“ถ้าคุณสิงห์จะไปเพราะป้าไม่ต้องไปค่ะ คุณอิงค์ป้ารักของป้า ป้าจะไปดูเอง คุณสิงห์ไม่รักก็อยู่เฝ้าบ้านไปค่ะ” ป้าสำลีพูดจบก็หันไปหามอญ “จับแน่นๆ นะมอญ”

มอญพยักหน้า “จ๊ะป้า”


หลังจากถกเถียงกันอยู่นานสองนาน สิงห์ก็อาศัยความหนุ่มแน่นกว่ายื้อแย่งเอามอเตอร์ไซค์มาได้สำเร็จ เขาขับรถฝ่าสายฝนมายัง It’ sra เห็นรถมอเตอร์ไซค์ของอิงค์จอดอยู่ในที่จอดแต่ร้านปิดสนิทไม่มีแม้แสงไฟสักดวงเล็ดลอดออกมา เขาทุบประตูร้องเรียกเสียงดังแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆ จึงถือวิสาสะใช้กุญแจที่เจ้าของบ้านให้มาและยังไม่ทวงคืนไขเข้าไป

“อิงค์!”

สิงห์กวาดตามองไปรอบร้านเห็นรอยน้ำฝนซึมเข้ามาตามหน้าต่างเลอะเต็มพื้น รอยรองเท้าเปื้อนโคลนเดินย่ำไปทั่ว และมันหายไปด้านหลังร้าน เขาจึงเดินตามรอยเท้านั่นเข้าไป พอเห็นเจ้าของรอยเท้านั่นนอนฟุบอยู่บนพื้น ใจก็ร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขารีบโผเข้าไปนั่งข้างๆ แล้วประคองตัวร่างโปร่งขึ้นมานอนบนตัก เรือนผมนั้นชื้นและเย็นเฉียบ หน้าซีดขาวจนเหมือนกระดาษ เสื้อผ้าที่สวมใส่ยังชุ่มน้ำและเปรอะเปื้อนคราบดินโคลน ในขณะที่ผิวเนื้อนั้นร้อนผ่าวจนเขาสะดุ้ง

“อิงค์… ตื่นสิอิงค์… เป็นไงบ้าง” สิงห์ร้องเรียกอย่างร้อนใจพลางตบมือเบาๆ ลงบนข้างแก้ม แต่อิงค์ก็ยังไม่ยอมลืมตาขึ้นมา เขาเหลียวมองซ้ายขวาเพื่อหาที่นอนพักและก็เห็นที่เหมาะๆ กำลังจะอุ้มตัวขึ้นคนในอ้อมแขนก็ปรือตาขึ้นมาพอดี

“พี่สิงห์?”

“ตื่นแล้วเหรอ” สิงห์ถอนหายใจ “โล่งอกไปที ฉันนึกว่าเธอจะเป็นอะไรไปแล้วเสียอีก ตัวเธอร้อนจี๋เลย”

อิงค์เริ่มได้สติเต็มที่และรู้ตัวว่ากำลังโดนอุ้มอยู่ก็รีบขืนตัวออกห่างถอยหนีไปจนติดกำแพง “คุณสิงห์มาที่นี่ทำไมครับ”

ท่าทีรังเกียจและสรรพนามที่เปลี่ยนไปทันทีทำให้สิงห์รู้สึกเจ็บแปลบในอก แต่จะโทษใครได้ล่ะ ก็ในเมื่อทั้งหมดนี้เขาทำตัวเองทั้งนั้น “ก็มาหาเธอน่ะสิ”

“หาผม? มีธุระอะไรกับผมอีกล่ะครับ” อิงค์ถามเสียงห้วน “ก็เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้วนี่นา”

“ทำไมถึงพูดจาตัดรอนกันแบบนั้นล่ะอิงค์ ฉันเป็นห่วงเธอมากก็เลยมาหาเธอนะ” สิงห์พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แต่ดูเหมือนคนที่กำลังโกรธและน้อยใจซ้ำยังมีไข้สูงจะหูอื้อตาลายไม่ยอมฟังสิ่งที่เขาพยายามอธิบายเลยสักนิดแถมยังคิดเลยเถิดไปกันใหญ่อีก

“หรือว่าอยากมานอนด้วย... จริงสินะ ผมเคยบอกไว้นี่นา ว่าถ้าอยากได้ก็มา แต่ขอโทษนะครับ ไว้วันหลังแล้วกันวันนี้ผมไม่อยากทำ”

“ฉันไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้นสักหน่อย”

“แล้วคุณมาที่นี่ทำไม”

“เพราะฉันเป็นห่วงเธอน่ะสิ แล้วฉันก็อยาก...”

“ถ้างั้นก็กลับไปได้แล้วครับ ผมไม่ได้ต้องการความเป็นห่วงจากคุณ”

“นี่เธอช่วยฟัง…”

“ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก ช่วยกลับไปด้วยครับ”

“ฉันไม่กลับ”

“แล้วผมต้องทำยังไงคุณถึงจะกลับล่ะ!” อิงค์ตะเบ็งเสียงที่แหบเพราะพิษไข้ถามออกไป “ก็ได้… เรามาทำให้มันจบๆ ไป แล้วคุณก็ช่วยกลับไปด้วยนะครับ” พูดจบอิงค์ก็ถอดเสื้อออกโยนไว้ข้างตัว

สิงห์เม้มปากสนิท เขาไม่ได้อยากใจร้ายกับคนป่วยหรอกนะแต่ในเมื่อเข้าใจผิดขนาดนี้ก็ต้องตามน้ำไปก่อนแล้วกัน “เธอจะเอาอย่างนั้นใช่ไหม... งั้นฉันก็ไม่เกรงใจแล้วนะ”

“นี่คุณจะทำอะไรน่ะ” อิงค์ร้องเสียงดังเมื่อคนตัวโตเข้ามาจับเขาอุ้มลอยขึ้นจนได้ แล้วพาเดินไปห้องน้ำ

“ตัวเธอสกปรกขนาดนี้จะให้ฉันเอาลงได้ยังไง” สิงห์ว่าแล้วประคองให้ร่างโปร่งให้ยืนลงบนพื้น “ฉันจะอาบน้ำให้”

“ไม่ต้อง! ผมอาบเอง” อิงค์ทั้งดิ้นรนและพยายามผลักเขาออกไป “ปล่อยผม!”

สิงห์จึงต้องออกแรงจัดการคนป่วยหนักหากยังมีแรงพยศ เขาใช้มือข้างหนึ่งล็อกรอบเอวสอบในขณะที่อีกมือจัดแจงถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือแต่ตัวเปล่าๆ

เขาคว้าฝักบัวขึ้นมาแล้วเปิดจนสุด พอสายน้ำเย็นฉ่ำพุ่งไปกระทบผิวเนื้อ คนในอ้อมแขนก็สะดุ้งเฮือกด้วยความหนาวสะท้านและเผลอเข้าซุกตัวในอกตัวกว้างแน่น

“หนาวเหรอ” สิงห์ถามเสียงนุ่ม แต่อิงค์ก็เอาแต่กัดฟันแน่นไม่ยอมตอบทั้งที่ริมฝีปากสั่นระริก “บ้านเธอไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น อดทนหน่อยนะฉันจะพยายามอาบให้เสร็จเร็วๆ”

“ผมอาบเองได้ เดี๋ยวคุณก็เปียกไปด้วยหรอก” อิงค์พูดเสียงเบาพลางยกมือขึ้นปิดของสงวน จู่ๆ ก็นึกอายขึ้นมาทั้งที่เห็นร่างเปลือยกันมาก็หลายต่อหลายครั้งแล้ว

“ไม่เอาหรอกเดี๋ยวเธออาบไม่สะอาด” สิงห์กระซิบที่ข้างหูแล้วเทแชมพูลงบนมือก่อนจะขยี้ลงบนศีรษะ “หลับตานะเดี๋ยวฟองเข้าตา”

อิงค์ทำตามเพราะตัวเองก็ทนมองหน้าคมนั้นไม่ไหวเหมือนกัน

แต่ยิ่งหลับตายิ่งทำให้อิงค์รู้สึกสัมผัสชัดเจนขึ้น ฝ่ามือใหญ่ที่ลูบไล้ไปบนผิวกายนั้นอ่อนโยนทะนุถนอมไม่ได้ทำรุนแรงใส่ให้ระคายเคืองผิวสักนิด แล้วสิงห์ก็ไม่ได้พูดจาร้ายๆ หรือกระแทกแดกดันแต่น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลน่าฟังจนเขาเกือบจะเคลิ้มตามหลายต่อหลายครั้ง อิงค์จึงพยายามกัดฟันเงียบไว้ไม่โต้ตอบใดๆ เพราะกลัวตัวเองจะใจอ่อนเผลอหลงไหลไปกับความใจดีและให้ใจเขาไปอีก

พอล้างฟองออกจากตัวจนหมดสิงห์ก็คว้าผ้าเช็ดตัวมาห่อร่างโปร่งจนมิดแล้วอุ้มไปนั่งที่เตียง

“อาบน้ำเสร็จแล้วก็ทำสักทีสิ” อิงค์ว่าคนที่ไม่ยอมทำอะไรสักอย่างเอาแต่เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ทุกซอกทุกมุมไม่เว้นแม้แต่ปลายเท้าแถมยังใส่เสื้อผ้าให้อีกต่างหาก “จะใส่ทำไมเดี๋ยวก็ถอดแล้ว”

สิงห์เอื้อมมือไปรั้งตัวร่างโปร่งมานั่งลงบนตักเอาตัวเองห่มให้ต่างผ้าเพิ่มความอบอุ่นให้ ก่อนจะคลุมผ้าเช็ดตัวลงบนศีรษะ “เช็ดผมให้แห้งก่อน ฉันไม่ชอบน้ำหยดเลอะเทอะ”

“ผมแห้งแล้ว” อิงค์พึมพำ “รีบทำให้มันจบๆ ไปสักทีเถอะ”

“เร่งจังเลยนะ” สิงห์ว่าพร้อมกับวางคางเกยลงบนบ่า แล้วค่อยสอดมือลงไปตรงขอบกางเกงนอน

“เดี๋ยวก่อนครับ” อิงค์คว้าข้อมือเขาไว้ “นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ ทำเสร็จแล้วก็ทางใครทางมันนะครับ”

สิงห์ขบกรามแน่น เขาไม่ตอบรับคำพูดนั้นและกระซิบที่ข้างหู “อ้าขาออกสิ... รู้งานหน่อย”

เรียวขาขยับแยกออกจากกันช้าๆ เปิดทางให้มือใหญ่เคลื่อนเข้าสัมผัสได้อย่างถนัดถนี่ ร่างโปร่งสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อปลายนิ้วเย็นแตะลงมาบนจุดอ่อนไหวแล้วกอบกุมไว้ อิงค์กัดฟันแน่น เขาอยากให้สิงห์ลงมือรุนแรงกว่านี้ จะกระแทกกระทั้นใส่เข้ามาหรือจะบังคับข่มขืนเขาไปเลยก็ได้ เขาจะได้รู้สึกโกรธเกลียดอีกฝ่ายได้อย่างเต็มที่และตัดใจให้มันจบๆ ไปเสีย แต่สิ่งที่สิงห์ทำนั้นนุ่มนวลค่อยเป็นค่อยไป ราวกับกำลังประคองตัวเขาให้ล่องลอยขึ้นไปช้าๆ จนเมื่อมันสูงขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกเสียวซ่านก็บีบรัดหัวใจแน่น ลมหายใจเริ่มปั่นป่วน ถึงอุณหภูมิกายจะร้อนอยู่แล้วแต่บริเวณที่มือใหญ่นั้นสัมผัสกลับร้อนยิ่งกว่า

สิงห์แตะปากลงบนบ่าลาดแล้วจูบไล่ขึ้นไปตามลำคอขาวจนมาถึงข้างแก้ม

“อย่าครับ… อย่าจูบ” อิงค์รำพึงพลางเบือนหน้าหนี

สิงห์ขยับริมฝีปากขึ้นมาขบเม้มเนื้ออ่อนที่ใบหูจนมันแดงไปหมดแล้วกระซิบเบาๆ ด้วยน้ำเสียงออดอ้อนที่แสดงถึงความต้องการเต็มที่ “ฉันอยากจูบเธอ”

“คุณสิงห์…”

“ขอฉันจูบเถอะนะ”

อิงค์ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะต่อกรเขาได้ หรืออันที่จริงคือเขาไม่อาจต้านทานความต้องการของร่างกายตัวเองที่มันยังคงจดจำและตอบสนองสัมผัสจากผู้ชายคนนี้ได้ เขาปล่อยให้ริมฝีปากหยักลึกนั้นดูดดึงจนพอใจ เรียวลิ้นรุกรานเข้ามากวาดชิมความหวานจนทั่วโพรงปาก มือข้างหนึ่งล้วงเข้าใต้สาบเสื้อเค้นคลึงยอดอกเล่นจนมันรัดตึงไปหมด ในขณะที่อีกมือหนึ่งซึ่งครอบครองส่วนร้อนรุ่มไว้ก็ขยับปลุกเร้าต่อเนื่องจนอิงค์เผลอร้องออกมา

“อา... คุณสิงห์... อา...”

เสียงครางอย่างมีความสุขนั้นยิ่งกระตุ้นให้คนที่โอบกอดอยู่เร่งมือขึ้นอีก “เรียกพี่สิงห์สิ” เจ้าของชื่อกระซิบขอที่ข้างหู

“ไม่... ไม่เรียก...”

“ทำไมล่ะ” สิงห์กดปลายนิ้วเข้าที่ช่องทางซึ่งชุ่มชื้นจนมิดและถูเข้าถูออก “เธอยังโกรธฉันอยู่ใช่ไหม ฉันขอโทษนะที่เข้าใจเธอผิดไปแต่เธอก็เข้าใจฉันผิดเหมือนกันนะ ฉันไม่เคยคิดใช้เธอเป็นเครื่องมือแก้แค้นหรือเป็นตัวแทนใครเลยนะ”

“ผมไม่เชื่อคุณหรอก... คุณมัน... คนใจร้าย”

“เชื่อหน่อยเถอะนะ”

“ไม่เชื่อหรอก... อ๊ะ! ...” พอปลายนิ้วซึ่งสอดใส่เข้าไปแตะถูกเข้าที่ส่วนไวสัมผัสด้านในอิงค์ก็เริ่มตาพร่าไปหมด ปากบอกปฏิเสธแต่มือกลับเกาะยึดลำคอหนาเป็นหลักไว้แน่น สะโพกเริ่มอยู่ไม่ติดเตียงเมื่อสิงห์เลื่อนอีกมือลงไปขยับโยก เติมเต็มความต้องการทั้งด้านหน้าและด้านหลังพร้อมกลๆ กัน จนส่วนกลางลำตัวนั้นเปียกชุ่มไปหมดทั้งที่สิงห์เพิ่งจะเช็ดตัวให้จนแห้งไปแท้ๆ

ตอนนี้อิงค์ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้อีกแล้ว เขาพ่ายแพ้หมดรูปและเป็นฝ่ายอ้าปากเรียกร้องขอจูบเสียเองซึ่งสิงห์ก็ช่วยปรนเปรอให้จนล้นพร้อมกับเร่งมือขึ้นอีก

และอีกไม่กี่นาทีต่อมาร่างโปร่งก็เกร็งจับแขนแกร่งไว้แน่น ปลายเท้าจิกเตียงจนผ้าปูที่จนยับย่น

“ม… ไม่ไหว... ผมไม่ไหวแล้ว… อ๊ะ…”

เมื่อความต้องการถูกตอบสนองถึงขีดสุด ร่างกายก็กระตุกอย่างแรงก่อนจะผ่อนคลายลง แล้วอิงค์ก็ผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของเขา

“หลับได้สักทีนะ ขนาดป่วยอยู่แท้ๆ ยังฤทธิ์เยอะเสียจริง” สิงห์พึมพำก่อนจะจับตัวร่างโปร่งให้นอนลงในท่าที่สบาย ดูแลเช็ดเนื้อตัวที่เปรอะเปื้อนจนสะอาดแล้วห่มผ้าให้เรียบร้อย

เขาเท้าแขนข้างหนึ่งลงกับเตียงคร่อมตัวร่างโปร่งที่หลับสนิทไว้ จ้องมองคนที่มักส่งยิ้มมาให้เขาเสมอๆ แต่ตอนนี้บนใบหน้านั้นกลับมีแต่รอยน้ำตา สิงห์ก้มหน้าลงจูบซับน้ำตาให้จนหมดแล้วเลื่อนริมฝีปากไปหยุดที่กลางหน้าผาก

“ขอโอกาสให้ฉันได้เป็นคนที่ทำให้เธอยิ้มได้อีกสักครั้งเถอะนะ”


อิงค์เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งเพราะรู้สึกถึงฝ่ามือที่ลูบไล้อยู่บริเวณใบหน้าเรื่อยลงไปตามลำคอและส่วนอื่นๆ ของร่างกาย สัมผัสนั้นเย็นสบายและก็นุ่มนวลเหลือเกินจนเขาขยับเข้าหาอย่างเผลอไผล จมูกได้กลิ่นหอมเย็นที่ให้ความรู้สึกสดชื่น และแว่วได้ยินเสียงทุ้มพูดกระซิบอะไรสักอย่างที่ข้างหู มันเป็นความรู้สึกอบอุ่นราวกับกำลังถูกใครโอบกอดเอาไว้และขับกล่อมบทเพลงแสนหวานให้ฟัง

คนใจดีคนนี้เป็นใครกันนะ... อยากรู้จังว่าเขาเป็นใครกัน... จะใช่คนคนนั้นหรือเปล่า...

อิงค์ลืมตาขึ้นมา เขารีบหันไปมองข้างเตียงและพบว่าคนที่นั่งยิ้มอ่อนโยนอยู่นั้นคือป้าสำลี และความรู้สึกอบอุ่นนั้นก็มาจากผ้าห่มนวมลายแมวที่ห่อตัวเขาไว้แน่น

ไม่มีมือหรืออกอุ่นๆ ของใคร เขาคงฝันละเมอไปเอง และกลิ่นหอมเย็นที่ยังอวลอยู่ตรงปลายจมูกนั้นคงเป็นเพราะอาการไข้จึงทำให้การรับกลิ่นผิดเพี้ยนไป

เขาจับชายผ้าห่มยกขึ้นดม

...แต่ทำไมมันจึงเป็นฝันเพี้ยนๆ ที่เหมือนจริงเหลือเกินนะ...

“คุณอิงค์ตื่นแล้วเหรอคะ” ป้าสำลีร้องด้วยความดีใจพลางเสียบปรอทเข้าข้างรักแร้ของเขาก่อนจะดึงออกมาอ่าน “ไข้ลดลงแล้วนะคะเหลือ 38.5 องศา ทีแรกวัดได้ตั้ง 39 องศาแน่ะ ป้าตกใจแทบแย่”

อิงค์ยกมือขึ้นคลำบริเวณหน้าผากที่มีแผ่นเย็นลดไข้แปะอยู่ “ป้าสำลีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

ป้าสำลีนิ่วหน้าคิด “ก็สักพักแล้วล่ะค่ะ เห็นคุณสิงห์บอกว่าคุณอิงค์เหมือนจะมีไข้ให้ช่วยมาดูหน่อย... คุณอิงค์หลับไปนานเลย ไม่ได้ทานข้าวตั้งแต่เมื่อวานคงจะหิวน่าดู ลุกมาทานข้าวก่อนนะคะ”

อิงค์ค่อยลุกขึ้นนั่งและรับชามใส่ข้าวต้มหมูสับเห็ดหอมมาถือไว้แต่ก็ยังไม่ยอมกิน

“ป้าทำเองค่ะ” ป้าสำลีบอก “คุณอิงค์ทานเยอะๆ นะคะ ถ้าไม่อิ่มมีในหม้ออีก ป้าทำมาเยอะเลย ทานข้าวเสร็จจะได้ทานยานะคะ”

อิงค์พยักหน้า เขาค่อยตักข้าวต้มที่ยังร้อนอยู่ขึ้นเป่าแล้วเอาเข้าปาก ชั่วขณะที่รสชาติกำซาบที่ปลายลิ้นน้ำตาก็ซึมออกมาตรงหางตา

...ทั้งหมดนั่นมันไม่ใช่ความฝัน...

“คุณ... คุณอิงค์ร้องไห้ทำไมคะ ข้าวร้อนไปเหรอ หรือว่าป้าทำไม่อร่อย” ป้าสำลีละล่ำละลักถามและเข้ามาลูบไหล่ลูบหลัง

อิงค์ส่ายหน้า “อร่อยครับ... ผมแค่ซาบซึ้งใจน่ะที่ป้าอุตส่าห์เป็นห่วงและมาดูแลผม ขอบคุณนะครับป้าสำลี”

“โถๆ คนดีของป้า” ป้าสำลีลูบมือลงบนศีรษะ “ทานเยอะๆ นะคะ”

“ขอบคุณครับ” อิงค์ก้มศีรษะให้ครั้งหนึ่งและทานข้าวต้มต่อจนหมด

หลังจากดูจนอิงค์ทานข้าวทานยาและเข้านอนเรียบร้อยป้าสำลีก็เก็บของแล้วเดินลงไปที่ชั้นล่างซึ่งมีใครคนหนึ่งนั่งรออยู่

“เป็นไงบ้าง”

“ทานข้าวหมดและไข้ก็ลดลงบ้างแล้วค่ะ” ป้าสำลีรายงาน

สิงห์พยักหน้าพลางลุกขึ้นยืน “ป้า ผมฝากดูอิงค์ด้วยนะ”

“ได้ค่ะ” ป้าสำลีบอก

“ถ้าไข้ไม่ลดหรือไม่ยอมกินข้าวบอกผมนะ ผมจะมาลากไปโรงพยาบาล”

“แค่พาไปก็พอมั้งคะ อย่าถึงกับลากกันเลย”

“เจ้าหนูนั่นคงยอมให้ผมพาไปง่ายๆ หรอก” สิงห์ว่า “เออนี่ป้า ผมสั่งให้คนเอาเครื่องทำน้ำอุ่นมาส่งนะ ถ้าเขามาฝากป้าดูเขาติดตั้งให้เรียบร้อย แล้วกำชับด้วยว่าอย่าทำเสียงดังปลุกเจ้าหนูนั่นล่ะ”

“มืดค่ำป่านนี้แถมยังฝนตกหนัก มีคนยอมมาส่งด้วยเหรอคะ”

“เงินแก้ปัญหาได้” สิงห์ตอบเรียบๆ “พรุ่งนี้ตื่นมาจะได้มีน้ำอุ่นอาบ แล้วผมฝากป้าถามเจ้าหนูนั่นให้หน่อยว่าตอนเช้าอยากกินอะไรผมจะได้ไปหามาเตรียมไว้ให้”

ป้าสำลีถอนหายใจแรง ไม่รู้ว่าสิงห์จะปากแข็งใจแข็งอะไรนักหนา ตัวเองคอยเช็ดตัวอดหลับอดนอนนั่งเฝ้าเขามาทั้งคืนแถมยังเข้าครัวไปทำข้าวต้มเองกับมือ แต่พอตอนเขาจะตื่นกลับหนีออกมาถูพื้นที่ชั้นหนึ่งแล้วไล่ให้ป้าสำลีไปนั่งเฝ้าแทน และยังห้ามบอกอีกนะว่าตัวเองมา “คุณสิงห์คะ ป้าขอถามตรงๆ นะ คุณสิงห์ไม่รักคุณอิงค์เหรอ… สักนิดนึงก็ไม่เลยเหรอคะ”

สิงห์เงียบไปอึดใจนึกถึงฝ่ามือที่ผลักไสกับคำพูดที่ยังเต็มไปด้วยความโกรธขึง “ถึงอยากจะรัก เขาก็คงไม่ยอมให้ผมรักแล้วล่ะ”

“ก็ง้อสิคะ” ป้าสำลีว่า

“ผมทำไม่เป็นนี่นา”

“ไม่เห็นยากเลยค่ะ... คุณอิงค์ก็นอนป่วยอยู่เนี่ย ขึ้นไปดูแลเองสิคะมาฝากนั่นฝากนี่ป้าอยู่ได้ ป้าเป็นแม่นมแล้วก็เป็นแม่บ้านค่ะไม่ใช่พนักงานธนาคาร”

“เมื่อกี้กว่าจะจับเช็ดตัวเปลี่ยนชุดได้ห้องน้ำแทบแตก ป้าคิดว่าถ้าเขารู้ว่าข้าวต้มนั่นเป็นฝีมือผมเขาจะยอมกินเหรอ”

“เป็นป้า ป้าจะเอาสาดใส่หน้าคุณสิงห์ค่ะ”

“ป้า!” สิงห์ร้อง “นี่สิงห์นะ สิงห์เอง”

“รู้ค่ะ! จำได้! เลี้ยงมากับมือ”

“แล้วตกลงจะช่วยหรือจะแช่งเนี่ย” สิงห์ถามงอนๆ

“อยากช่วยค่ะแต่รำคาญคนลีลาเยอะ นี่ถ้าเป็นละครหลังข่าวป้าเปลี่ยนช่องหนีไปนานแล้วค่ะรำคาญพระเอก ลำไยจั๊ดหนักนัก” ป้าสำลีว่า “แล้วนั่นคุณสิงห์จะออกไปไหนอีกคะ ป้ายังบ่นไม่จบเลยนะ”

“ไปหาเสือน้อย”

“แทนที่จะไปหาแมว ตอนนี้คุณสิงห์เป็นห่วงคุณอิงค์ก่อนดีไหมคะ”

“ก็เพราะเป็นห่วงน่ะสิครับผมถึงต้องรีบหามันให้เจอ” สิงห์บอกพร้อมกับเดินออกประตูไป

หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 18(27/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-10-2019 19:49:07
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 18(27/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-10-2019 19:51:47
 :pig4: :pig4: :pig4:

เสือน้อย  หนูหนีไปเที่ยวไหนลูก  รีบกลับบ้านเถอะ  สังคมให้อภัยหนูแล้วนะ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 18(27/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-10-2019 21:23:50
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 18(27/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 28-10-2019 01:43:36
เสือน้อยหนูไปอยู่ที่ไหนลูก พ่อแม่เป็นห่วง ขอให้เจอเสือน้อยไวๆนะ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 18(27/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 28-10-2019 10:58:35
เสือน้อยไปเล่นซนแถวไหนกลับบ้านได้แล้ว
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 18(27/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-10-2019 13:02:21
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 18(27/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 28-10-2019 14:16:50
เสือน้อยหายไปไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 18(27/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 29-10-2019 12:11:10
บทที่ 19

วันต่อมาฝนที่ตกต่อเนื่องมาหลายวันก็หยุดลงจนได้ ท้องฟ้ากลับมาแจ่มใสอีกครั้งเช่นเดียวกับอิงค์ที่ไข้เริ่มลง

ป้าสำลีกับมอญยังคงผลัดมาเฝ้าเขาตลอดเวลาแถมยังเอาอาหารมาให้ครบสามมื้อ แม้อิงค์จะขอร้องให้กลับไปหลายต่อหลายครั้งด้วยความเกรงใจ แต่ก็ไม่มีอะไรทัดทานทั้งสองคนได้อีกแล้วแม้แต่พายุฝน

นอกจากนั้นสิ่งที่สร้างความแปลกใจให้อิงค์ไม่น้อยคือยังมีคนอื่นแวะเวียนมาเยี่ยมเขาไม่ขาดทั้งบอยกับสารสาที่พาคุณปองชัยมาด้วยหลังจากปิดร้านตอนเย็นพร้อมกับขนมปังเนยสดอบใหม่ และปู่กมลกับอินถาที่หอบหิ้วเอาผลไม้กระเช้าใหญ่กับอาหารเสริมบำรุงร่างกายจากคุณเหมราชกับเกตถวามาให้

“หายไวๆ นะครับ” อินถาบอกพลางส่งจานใส่แอปเปิ้ลที่ปอกเปลือกแกะเป็นรูปกระต่ายอย่างปราณีตให้

“ขอบคุณครับ” อิงค์รับมาพินิจดู เจ้ากระต่ายแอปเปิ้ลนั่นน่ารักเกินไปจนเขาแทบไม่กล้ากิน

“คุณท่านกับคุณเกตถวาคืนดีกันแล้ว” ปู่กมลเล่าสถานการณ์ที่เฮือนไกรสรให้ฟัง “คุณสิงห์กลับไปขอโทษ ฉันไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่หรอกนะ แต่ได้ยินเสียงเอะอะมะเทิ่งออกมาจากในห้องอยู่เป็นนานเชียวล่ะ... แล้วพอวันต่อมาคุณท่านสงบใจลงได้ก็เลือกจะให้อภัยน่ะ คุณเกตถวาอยากมาเยี่ยมเธอด้วยตนเองและอยากมาขอโทษด้วย แต่ยังไม่กล้ามาเพราะกลัวว่าเธอจะยังโกรธอยู่เลยส่งให้ฉันมาดูลาดเลาก่อน”

“ถ้าเธออยากมาผมก็ยินดีต้อนรับครับ” อิงค์บอก

“แล้วนี่เธอกินข้าวหรือยัง ฉันเอาวัตถุดิบดีๆ มาด้วยนะ มีปลากับผักหลายอย่างเลยเดี๋ยวให้อินถาจัดการปรุงให้ เธออยากกินอะไรบอกมาได้เลย” ปู่กมลถาม

“เรื่องข้าวปลาไม่ต้องเป็นห่วงหรอกมีฉันดูแลอยู่ทั้งคน” ป้าสำลีแทรกขึ้นพร้อมกับยกถาดใส่หม้อข้าวต้มและชามใบเล็กเข้ามาวางบนโต๊ะ

“ไหนๆ มื้อนี้ทำอะไร” ปู่กมลทำจมูกฟุดฟิดและเอ่ยชื่อเมนูออกมาก่อนที่ป้าสำลีจะตักเสิร์ฟด้วยซ้ำ “ข้าวต้มหมูสับเห็ดหอมรึ? วันก่อนฉันมาเธอก็ทำเมนูนี้ ใจคอจะไม่ให้คนป่วยกินอย่างอื่นเลยหรือไงจ๊ะแม่สำลี”

“เพราะคุณอิงค์บ่นอยากทานน่ะสิ” ป้าสำลีว่าพลางหันไปยิ้มกับคนที่กำลังลงมือทานอย่างเอร็ดอร่อย “เอาน่า ไข้ลดแล้ว อยากทานอะไรก็ทานเถอะดีกว่าทานไม่ได้นะ ไว้หายก่อนป้าจะขุนให้อ้วนเลย”

“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วขอฉันชิมฝีมือเธอหน่อยสิ ไม่ได้กินมานานแล้วคิดถึงจัง” ปู่กมลบอก

“เอาสิ ฉันเตรียมชามมาเผื่อแล้ว อินถาก็ทานด้วยกันนะ” ป้าสำลียิ้มจนแก้มปริแล้วตักส่งให้ทุกคนนั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกัน

“ขอบคุณครับ” อินถารับมาตักชิมไปคำหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “รสมือคุณเปลี่ยนไปหน่อยนะครับ รสชาติกลมกล่อมดีก็จริงแต่วันนี้รู้สึกจะออกหวานนำนะ”

“อายุเยอะแล้วก็อย่างนี้แหละ มือไม่เที่ยง” ป้าสำลีรีบแก้ตัวพลางหัวเราะร่วน

“แต่ถ้าคนกินชอบก็พอแล้วนี่นา” ปู่กมลเอ่ยขึ้นพร้อมกับหลิ่วตาให้อินถาซึ่งพยักหน้าเข้าใจแล้วก้มหน้าก้มตากินต่อ เขาหันไปหาอิงค์และยิ้มให้ “กินเยอะๆ นะ คนทำเขาจะได้ดีใจ”

“อร่อยมากเลยครับ” อิงค์บอกกับป้าสำลี นั่นยิ่งทำให้เธอหุบยิ้มไม่ลงเลยทีเดียว

การที่ทุกคนผลัดกันมาเยี่ยมเขาไม่ขาดทั้งเช้าสายบ่ายเย็นนั้นทำให้อิงค์รู้สึกดีขึ้นมาก ถึงจะอยู่ต่างที่ต่างถิ่นหากก็ไม่ได้อยู่ลำพัง

แต่ว่า...

ถึงอาการทางกายจะดีขึ้นแต่อาการทางใจก็ยังย่ำแย่เพราะยังมีอีกหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวที่เขาอยากให้อยู่ด้วยแต่กลับหายไปเสียได้

สิงห์ไม่มาเยี่ยมเขาเลยแม้แต่วันเดียว ซึ่งนั่นเขาก็ทำใจไว้แล้วเพราะตัวเองเป็นคนบอกเองว่าไม่ต้องการเห็นหน้าอีก ส่วนอีกหนึ่งตัวที่ว่าก็คือเสือน้อย

ถึงสุดท้ายแล้วอิงค์จะหามันไม่เจอแต่เขาก็ยังคงวางชามข้าวของมันไว้ที่เดิม และคอยดูแลเปลี่ยนข้าวเติมน้ำสะอาดใส่ไว้ทุกวันเผื่อว่าวันใดมันกลับมาจะได้มีกิน

อิงค์แข็งแรงดีและกลับมาเปิดร้านได้ในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา แน่นอนว่าลูกค้าขาประจำอย่างบอยและสารสาไม่พลาดที่จะมาแน่ๆ แต่ก็มีคนที่เขาคาดไม่ถึงว่าจะมาเช่นกัน

สิงห์เดินเข้ามาในร้าน วันนี้เขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้าฝ้ายกับกางเกงผ้าตัวใหญ่ และปล่อยผมเผ้ารุงรังดูเซอร์ๆ เหมือนทุกวัน แต่กลับสวมเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงสแลคและมัดผมเรียบร้อย ในมือถือกุหลาบแดงแสนสวยมาช่อหนึ่ง

บอยกับสารสาถึงกับมองเหลียวหลังเพราะเกือบจำไม่ได้ก่อนจะหันกลับมาสบตาและแอบยิ้มให้กัน

“เราว่าง้อสำเร็จ” บอยกระซิบ “แต่งหล่อมาขนาดนี้”

“ความหล่อมีผลกับหัวใจตอนที่จีบ แต่ตอนที่ง้อนี่ต่อให้ใส่สูทผูกไทมาก็ไม่ช่วยนะจ๊ะ” สารสาบอก

“ถึงถือกุหลาบมาด้วยก็ไม่ช่วยเหรอ”

“ถ้าเป็นคนชอบดอกไม้ก็ไม่แน่ แต่เราว่ามุกนี้ใช้กับพี่อิงค์ไม่ได้”

“พนันกันไหมล่ะ” บอยท้า “ถ้าเราทายถูกรสาต้องให้เราหอมแก้ม แต่ถ้าเราทายผิดเราก็จะยอมให้รสาหอมแก้มเราแทน”

“ขี้โกงนี่! รสาไม่เล่นด้วยหรอก” สารสาพูดเขินๆ “บอยเงียบๆ หน่อยรสาจะแอบฟังว่าสองคนนั่นเขาคุยอะไรกัน”

สิงห์หยุดยืนมองคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ตรงประตูครู่หนึ่งก่อนจะรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหา

อิงค์หลบสายตาและเอ่ยทักออกไปตามมารยาทของคนเป็นเจ้าของร้าน “สวัสดีครับ”

“สวัสดี” สิงห์เอ่ยอย่างประหม่านิดๆ

“ผมจำได้ว่าเคยบอกคุณไปแล้วว่าไม่ต้องมาเจอกันอีก” อิงค์พูดเรียบๆ

“ฉันมาขอโทษ” สิงห์พยายามไม่สนใจท่าทีเย็นชานั่น เขาตัดสินใจแล้วว่ายังไงก็ต้องง้อให้สำเร็จ “ฉันพยายามส่งข้อความหาเธอเพื่ออธิบายเรื่องทั้งหมด แต่ดูเหมือนเธอจะบล็อกไลน์หนีฉันไปแล้ว... เป็นความผิดของฉันเองที่ใจร้อนและไม่เชื่อใจเธอ ให้ฉันสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรที่ไหนก็ได้ว่าฉันไม่เคยหลอกใช้เธอเป็นตัวแทนหรือเครื่องมือแก้แค้นเลยจริงๆ ... ขอโทษนะอิงค์ เธอจะยกโทษให้ฉันได้ไหม” เขาส่งช่อดอกไม้ในมือยื่นข้ามเคาน์เตอร์ไปให้

อิงค์เหลือบตาลงมองช่อกุหลาบก่อนจะตอบเสียงเบา “ผมยกโทษให้คุณได้ แต่มันจะไม่เหมือนเดิมครับ”

“ถ้าเธอยกโทษให้แล้ว ก็ช่วยรับมันไปได้ไหม” สิงห์ไม่ละความพยายาม “ส่วนเรื่องจะเหมือนเดิมหรือเปล่าเราค่อยมาคุยกันทีหลังก็ได้นะ”

อิงค์ยื่นมือไปรับช่อดอกไม้มาแล้ววางไว้ข้างตัว “หมดธุระแล้วก็กลับไปได้แล้วครับ”

“ยังไม่หมด” สิงห์รีบพูดต่อ “ฉันอยากมาสั่งกาแฟที่ร้านเธอไปวางขายที่ข่วงเมืองสิงห์อีก”

“ผมไม่ขายให้คุณครับ” อิงค์ตอบ

“ทำไมล่ะ ฉันเห็นเธอยังทำไปส่งที่อื่นอยู่เลยนะ ขอแบ่งให้ฉันบ้างไม่ได้เหรอ”

“ผมคิดการตลาดนี้ขึ้นมาเพราะอยากไปเจอคุณ แต่ตอนนี้ผมไม่อยากเจอคุณอีกแล้ว”

บอยทำเป็นเอามือเท้าคางเพื่อกระซิบคุยกับสารสา “ตามรถพยาบาลให้หน่อย ตรงนี้มีคนเจ็บหนักหนึ่งอัตรา”

“อะไรกันบอย แค่นี้ถอดใจง่ายๆ แล้วเหรอ” สารสาว่า “พวกผู้ชายนี่ไม่ได้เรื่องเลย”

“ประตูทีมพี่อิงค์เหนียวอะ” บอยรำพึง “ต้องรอดูว่าทีมพี่สิงจะบุกกลับยังไง”

“ถ้างั้นฉันขอสั่งกินแก้วนึง” สิงห์ยังไม่ละความพยายาม

“ผมไม่ขายให้คุณครับ” อิงค์ตอบ

สิงห์เงียบไปอึดใจ อันที่จริงเขาไม่อยากใช้ไม้นี้เลย แต่ถ้าอิงค์ใจแข็งขนาดนี้เขาก็ต้องทำ “เธอยังติดค้างฉันเรื่องเลี้ยงกาแฟแทนค่ารักษาเสือน้อยอยู่นะ” พูดจบก็รอดูท่าทีคนตรงหน้า

อิงค์เม้มปากสนิทครั้งหนึ่งก่อนจะตอบ “จะรับอะไรดีครับ”

“รับคนขายกลับบ้านที่นึง”

บอยตบตักฉาด “กองหน้าแม่งกล้าบุกเว้ย! เอาวะงานนี้ฉันทุ่มสุดตัวขอเชียร์ทีมพี่สิงห์”

สารสาเบะปากพร้อมกับชูนิ้วชี้ขึ้นตรงหน้าแล้วกระดิกไปมา “มุกโบราณน้ำเน่าจนยุงไม่กล้าวางไข่แบบนี้ ไม่มีใครเขาใจอ่อนง่ายๆ หรอกย่ะ”

เจ้าของร้านกาแฟหนุ่มยืนอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบ “ทางร้านเราไม่มีบริการนี้ครับ”

“ถ้างั้นฉันสั่งกินที่ร้านได้ใช่ไหม”

“ได้ครับ” อิงค์ตอบ “จะรับอะไรครับ”

“ฉันคิดถึงเธอนะ”

อิงค์เม้มปากสนิทและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ บอกตัวเองว่าอย่าใจอ่อนเด็ดขาด “เมนูนี้ทางเราไม่มีขายครับ”

“อิงค์...”

“ถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจจะดื่มกาแฟก็เชิญกลับไปได้แล้วครับ” เขารีบตัดบท

“ถ้างั้นก็เอาเหมือนเดิมที่นึง”

“เมนูนี้ทางร้านเราไม่มีครับ”

“ที่เธอเคยชงให้ฉันกินน่ะ”

“ผมลืมไปแล้วครับ” อิงค์บอก “ตกลงจะรับอะไรครับ”

สิงห์มีสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เขากวาดตามองเมนูอึดใจก่อนจะสั่ง “ถ้างั้นขอเป็นเอสเพรสโซร้อนแก้วนึง”

อิงค์เผลอขยับปากไปโดยอัตโนมัติเพื่อจะบอกคนกินหวานว่าเมนูนี้เป็นกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล แต่ก็ยั้งตัวเองไว้ได้ทัน เขารีบกดคิดเงินและส่งใบเสร็จให้โดยไม่มองหน้า “เชิญไปนั่งรอที่โต๊ะครับเดี๋ยวผมยกไปเสิร์ฟ”

แต่สิงห์ไม่ได้ขยับไปไหนไกลเขาเลือกนั่งเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ที่อยู่ตรงหน้าเครื่องชงกาแฟพอดีเพื่อจะได้ดูหน้าคนชงได้ชัดๆ

ครู่ต่อมาอิงค์ก็ยกกาแฟมาวางให้ สิงห์ยกขึ้นจิบไปเพียงเล็กน้อยก็รำพึงออกมา “ขม”

“เอสเพรสโซเป็นกาแฟเปล่าๆ ไม่ใส่อะไรเลยย่อมต้องขมอยู่แล้วครับ” อิงค์อธิบายไปตามหน้าที่

“กาแฟไม่ใส่นม ไม่ขมเท่าคนชงไม่ใส่ใจหรอก” สิงห์เปรยขึ้นเบาๆ เขายกกาแฟขึ้นดื่มจนหมดในครั้งเดียวและวางแก้วลง เขาทำท่าจะพูดอะไรต่อแล้วเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ดังขึ้นพอดีเขายกขึ้นดูก่อนจะกดรับ “ได้ครับ อีกห้านาทีเจอกันนะครับ” เขากดวางสายก่อนจะลุกพรวดขึ้น “พรุ่งนี้ฉันจะมาหาใหม่นะ”

อิงค์มองตามหลังคนที่จู่ๆ ก็มาแล้วจู่ๆ ก็รีบร้อนไป เขาก้มมองแก้วกาแฟที่สิงห์วางไว้ ยอมรับว่าเขารู้สึกงุ่นง่านในหัวใจมาก ส่วนหนึ่งก็รู้สึกดีใจที่สิงห์อุตส่าห์ง้อถึงที่ เมื่อกี้เขาแอบสังเกตเห็นว่าตรงมุมปากซ้ายของสิงห์มีรอยช้ำด้วย ถ้าเอามารวมกับเรื่องที่ปู่กมลเล่าจะเป็นไปได้ไหมว่าสิงห์ไปขอโทษคุณเหมราชแล้วโดนชกมา นั่นทำให้เขารู้สึกเห็นใจขึ้นมาก แต่อีกใจหนึ่งเขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าแล้วตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่เขานอนป่วยอยู่เจ้าตัวหายหน้าไปไหน ทำไมเพิ่งโผล่หน้ามาเอาตอนนี้ แล้วสายเรียกเข้าเมื่อสักครู่นี้ เสียงคนที่โทรมาเป็นผู้หญิงถามว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว

...ถ้าหากว่าสิงห์ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวล่ะ ที่แต่งตัวหล่อมาขนาดนั้นคงเพราะมีนัดกับเธอคนนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเลย...

พอคิดได้ดังนั้นแล้วอิงค์ก็เก็บถ้วยกาแฟเดินเข้าไปล้างที่หลังเคาน์เตอร์


วันรุ่งขึ้นสิงห์ก็ยังคงมาหาเขาเช่นเดิมในตอนเช้า เขามาพร้อมกับดอกไม้หนึ่งช่อ มาสั่งเอสเพรสโซร้อนนั่งดื่มหน้าเคาน์เตอร์พลางพยายามชวนอิงค์คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ ซึ่งอิงค์ก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างและตอบแค่อืออออพอไม่ให้เสียมารยาท และคิดว่าผ่านไปสักพักสิงห์ก็คงจะเบื่อและเลิกไปเอง

แต่จนล่วงเข้าสัปดาห์ที่สองสิงห์ก็ยังคงทำเหมือนเดิม สิ่งที่เปลี่ยนไปคือของฝากซึ่งบางวันก็เป็นขนม บางวันก็เป็นกับข้าว

ในส่วนของกองเชียร์เองก็ไม่พลาดที่ตามมาแอบสอดส่องทุกวันเช่นกัน

“พี่อิงค์แม่งใจแข็งว่ะ” บอยกระซิบกับสารสา

“ก็พี่สิงห์ทำตัวเอง” สารสาว่า

“แต่พี่สิงห์ก็ง้อแล้วนะ”

“ง้ออะไร แค่มานั่งกินกาแฟ พูดคนเดียวแล้วก็กลับเนี่ยนะ ไม่คิดจะเปลี่ยนแผนบุกเลยหรือไง” สารสาบอก “เล่นแต่แผนเดิมๆ ซ้ำๆ ซากๆ แบบนี้ถึงได้แพ้ไง บอยก็เป็นกองเชียร์ประสาอะไรไปช่วยติวหน่อยสิ”

“แหมมม รสาก็... ถ้าเราเชี่ยวขนาดนั้นเราจีบรสาติดตั้งแต่ม.สี่แล้วไหม ไม่รอจนถึงม.หกหรอก”

หญิงสาวถอนหายใจ ผู้ชายแถวนี้นี่ไม่ได้อย่างใจเธอสักคน

“พรุ่งนี้ฉันต้องไปธุระในเมือง อาจจะมาหลังเที่ยงนะ หรืออาจจะมาช่วงเย็นเลย” สิงห์เอ่ยขึ้นขณะนั่งจิบกาแฟตรงหน้าเคาน์เตอร์ที่เดิม วันนี้เขามาพร้อมกับปีกไก่หมักมะแขว่นทอดกรอบหนึ่งกิโลที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งร้านตอนเขาเดินเข้ามาพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ อีกหนึ่งกล่อง ทีแรกอิงค์ก็ไม่ได้อยากจะรับอาหารพวกนี้หรอกแต่เพราะสิงห์อ้างว่าป้าสำลีทำมาให้เขาจึงต้องรับไว้ไม่ให้เสียน้ำใจ

“แล้วแต่คุณครับ” อิงค์ตอบเรียบๆ “หรือจะไม่มาเลยก็ได้นะ”

“อย่าพูดจาตัดรอนกันแบบนั้นสิ” สิงห์ว่า เขายกกาแฟขึ้นซดจนหมดแก้ว เบ้หน้าเล็กน้อยกับความขมปร่าลิ้นแล้วลุกขึ้นยืน “พรุ่งนี้เจอกันนะ”

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 18(27/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 29-10-2019 12:11:49
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

วันรุ่งขึ้นหลังจากที่เปิดร้านไปได้สักพักแล้วอิงค์ก็พบว่านมข้นหวานที่ซื้อตุนไว้หมด เขาเหลียวมองไปรอบๆ ร้านเห็นยังไม่มีลูกค้ามาจึงปิดร้านชั่วคราวแล้วคว้ามอเตอร์ไซค์ขับเข้าไปในเมือง

ระหว่างทางไปร้านสะดวกซื้อนั้นต้องขับรถผ่านโรงพยาบาลสัตว์ซึ่งเขาเคยพาเสือน้อยมารักษาและฉีดวัคซีน ด้วยความคิดถึงเจ้าแมวส้มที่เอ่อล้นขึ้นมาเต็มหัวใจทำให้อิงค์ชะลอรถและจอดลงในที่สุด

เขาเงยหน้าขึ้นมองป้ายโรงพยาบาลก่อนจะลดสายตาลงมองเข้าไปตรงเคาน์เตอร์ด้านใน ภาพวันเวลาเก่าๆ ที่เขาเคยอุ้มเสือน้อยมานั่งรอเรียกตรวจย้อนกลับเข้ามาในความคิด

จนถึงตอนนี้อิงค์ทำทุกวิถีทางแล้วจริงๆ ทั้งปิดป้ายตามหาหน้าร้าน วางชามอาหารไว้หน้าบ้าน เหลือก็แต่วิธีโบร่ำโบราณที่ป้าสำลีเคยเล่าให้ฟังว่าให้ลองบอกไปกับแมวจรตัวอื่นๆ เผื่อว่ามันจะรู้จักหรือเจอเสือน้อยแล้วจะช่วยบอกให้มันกลับบ้าน ซึ่งวิธีนี้เขายังไม่ได้ลองทำเพราะยังไม่เจอแมวตัวไหนเลย อีกทั้งวันนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เข้าเมืองมาหลังจากหายไข้

อิงค์กวาดตามองไปรอบๆ แล้วก็บังเอิญเจอแมวสีดำตัวหนึ่งตรงหน้าถังขยะ เขารีบกระโดดลงจากรถแล้ววิ่งไปหาเจ้าแมวตัวนั้นทันที

“ขอโทษนะครับ” อิงค์นั่งยองลงข้างหลังเจ้าแมวดำที่หันมามองหน้าเขางงๆ “แกเคยเห็นลูกแมวสีส้มมีโบสีชมพูอันใหญ่ผูกอยู่ที่คอไหม.... เขาเป็นผู้ชายนะ ชื่อเสือน้อย ถ้าแกเจอฝากบอกเขาด้วยนะว่าอิงค์คิดถึงมาก ให้รีบกลับบ้านนะ”

เจ้าแมวดำเอียงคอไปมาก่อนจะเอาหัวมาถูที่มือของเขา

“แกเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม ฉันฝากแกไปบอกเพื่อนพี่น้องแมวตัวอื่นๆ ด้วยนะ”

เหมียว~

เจ้าแมวดำร้องเสียงดังก่อนจะสะบัดหางเป็นวงแล้ววิ่งหายเข้าไปในระหว่างซอกตึก

“ฉันฝากด้วยนะ” อิงค์ลุกขึ้นยืนและตะโกนตามหลัง เขามองส่งเจ้าแมวดำตัวนั้นจนมันวิ่งไปลับสายตาจึงหมุนตัวกลับมาเพื่อจะขึ้นรถมอเตอร์ไซค์

หากภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นทำให้เขาหยุดนิ่ง เมื่อคำขอร้องของเขาเป็นจริงขึ้นมาในบัดดล เจ้าแมวดำตัวนั้นกำลังเดินออกมาจากประตูโรงพยาบาลสัตว์พร้อมกับลูกแมวส้มตัวที่เขาตามหา เพียงแต่ว่าตอนนี้เจ้าแมวดำตัวนั้นกลับมาเดินสองขาและมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ผู้ชายที่มีผมยาว

“วันนี้เก่งมากเลยฉีดวัคซีนไม่ร้องสักคำนะลูกพ่อ วันนี้อยากกินอะไรเดี๋ยวพ่อหาให้ แต่ไม่เอาจิ้งจกนะ คุณหมอบอกให้กินอาหารอ่อน... แมลงก็ไม่ได้... เอาเป็นอาหารเม็ดไปก่อนนะ นะ เดี๋ยวโตกว่านี้พ่อสอนจับหนูนะครับคนเก่ง”

อิงค์จ้องมองชายหนุ่มผมยาวตาไม่กะพริบ ก่อนหน้านี้เขาแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบสัตว์โดยเฉพาะสัตว์ตัวเล็กๆ แต่ชายคนที่อยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้กลับตระกองกอดลูกแมวส้มไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอมและคุยเสียงสองกับมันราวกับว่ามันเป็นลูกชายตัวน้อยของเขาจริงๆ

“คุณสิงห์”

เจ้าของชื่อหันมาตามเสียงเรียกดูเขาตกใจไม่น้อยทีเดียวที่เห็นอิงค์ที่นี่

“นั่นเสือน้อยใช่ไหมครับ” อิงค์ชี้มือไปที่ลูกแมวในมือ ถึงจะไม่มีโบสีชมพูที่คอแต่อิงค์ไม่มีวันจำแมวของตัวเองผิดตัวแน่นอน

สิงห์อ้ำอึ้งไปเล็กน้อยพลางชำเลืองตามองลูกแมวในอ้อมแขน ยังไงเขาก็ไม่มีวันปฏิเสธได้เพราะทันทีที่เห็นชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟ เจ้าลูกแมวส้มก็ร้องเหมียวๆ ลั่นด้วยความดีใจแล้วพยายามตะกุยตะกายจะกระโดดไปหา

แต่สิงห์ไม่ยอมปล่อยและกลับจับมันแน่นขึ้นอีก อิงค์จึงเดินเข้าไปหาเพื่อจะแย่งเสือน้อยคืนหากพอมายืนใกล้ๆ เขาจึงเห็นว่าเจ้าลูกแมวส้มนั้นใส่เฝือกที่ขาหลังข้างขวา และนี่เป็นสาเหตุที่สิงห์ไม่ยอมวางมันลง

อิงค์ค่อยยื่นมือไปลูบหัวมันช้าๆ เจ้าแมวส้มรีบเอาหัวถูไถกับอุ้งมือเขาเป็นการใหญ่ท่าทางมันก็คิดถึงเขาไม่แพ้กัน “เสือน้อย... ใช่แกจริงๆ ด้วย” รู้สึกเหมือนมีก้อนขึ้นมาจุกอยู่ที่คอด้วยความดีใจ อิงค์เงยหน้ามองคนที่อุ้มลูกแมวไว้ซึ่งสิงห์ก็กำลังมองมาที่เขาเช่นกัน

“เธอพอจะว่างคุยกับฉันสักครู่ไหม” สิงห์เอ่ยขึ้น “ฉันจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง”

อิงค์พยักหน้า “ได้ครับ”

“งั้นเดี๋ยวไปนั่งคุยกันที่ม้านั่งตรงนั้นละกัน” สิงห์พยักเพยิดไปฝั่งตรงข้ามของถนนซึ่งจัดเป็นสวนสาธารณะเล็กๆ “มันขาเจ็บอยู่ อุ้มยากนิดหนึ่ง เดี๋ยวฉันจะอุ้มไปก่อน พอนั่งเรียบร้อยแล้วฉันจะส่งให้เธอนะ”

อิงค์พยักหน้าแล้วเดินตามสิงห์ไปตรงม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ พอนั่งเสร็จสิงห์ก็ค่อยวางเจ้าลูกแมวลงบนตักเขาก่อนที่ตัวเองจะนั่งลงข้างกัน

“ฉันเจอมันที่ริมถนนตรงสี่แยกทางไปเฮือนไกรสรน่ะ” สิงห์เริ่มต้นเล่า

อิงค์ตกใจไม่น้อยนั่นค่อนข้างไกลพอสมควรจากบ้านของเขา

“มันน่าจะโดนรถชนมั้ง ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันแต่สภาพมันตอนนั้นแย่มากจนฉันก็เกือบจำมันไม่ได้ ดีที่มีโบติดอยู่ที่คอก็เลยมั่นใจ” สิงห์ล้วงมือลงในกระเป๋าและส่งปลอกคอติดโบสีชมพูที่สภาพยับย่นให้เขา “ฉันพามันมาหาหมอ หมอบอกว่ามันเจ็บหนักมาก ขาหลังหัก ร่างกายบอบช้ำ ตอนนั้นหมอบอกให้ทำใจเพราะมันอาจจะไม่รอด”

อิงค์หัวใจหล่นวูบ เขาก้มลงมองเจ้าลูกแมวที่นอนขดอยู่บนตักแล้วเงยหน้ามองสิงห์ “ทำไมคุณไม่ยอมบอกผม”

“ฉันเห็นเธอป่วยอยู่ เลยไม่กล้าบอกกลัวเธอจะยิ่งใจคอไม่ดีไปกันใหญ่ แล้วฉันก็ไม่คิดว่ามันจะตายง่ายๆ ด้วย เจ้าเปี๊ยกเนี่ยใจสู้จะตาย” สิงห์บอกพลางยื่นมือไปเกาคางเสือน้อยเล่นซึ่งมันก็ยื่นหัวให้เขาแต่โดยดีไม่มีอาการขัดขืนเหมือนก่อนหน้านี้ที่เข้าใกล้หน่อยก็ข่วนหรือพองขนขู่ “ฉันมาเฝ้ามันทุกวัน แล้วมันก็หายจริงๆ ด้วย หมอเพิ่งอนุญาตให้ฉันพามันกลับบ้านได้อาทิตย์ก่อนนี่เอง... แม่ลูกหายวันเดียวกันเลย บังเอิญจัง”

อิงค์นึกย้อนกลับไป “ที่คุณรีบร้อนออกไปวันนั้นน่ะเหรอครับ”

สิงห์พยักหน้า “หมอโทรมาตามน่ะเพราะเลยเวลานัดมามากแล้ว”

อิงค์นึกทบทวนในใจ สาเหตุที่สิงห์ไม่มาเยี่ยมเขาเป็นเพราะมาคอยดูแลเสือน้อยนี่เองและดูจากท่าทีของเสือน้อยที่ยอมญาติดีด้วยแล้วเขาก็คิดว่าสิงห์ไม่โกหกแน่ๆ “แล้วพอมันหายดีแล้วทำไมคุณไม่บอกผมล่ะ”

“ยังไม่หายเสียหน่อย ยังใส่เฝือกอยู่เลย” สิงห์บอกอ้อมแอ้ม จะให้สารภาพออกไปตรงๆ ว่าตอนนี้เขากลายเป็นทาสแมวเต็มตัวไปแล้วก็รู้สึกขัดเขินอยู่ไม่น้อย “ต้องพามาหมอ ฉีดยาโน่นนี่นั่นฉันก็กลัวเธอลำบากเพราะต้องขายของ เลยว่าจะเอาไปคืนหลังจากถอดเฝือกเรียบร้อยแล้วน่ะ”

เสือน้อยลืมตาขึ้นมาร้องเหมียวเบาๆ

อิงค์หันรีหันขวางเพราะไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร ในขณะที่สิงห์ล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบเอาขนมแมวเลียออกมาซองหนึ่ง เขาฉีกซองออก ป้ายขนมลงบนหลังมือแล้วยื่นไปตรงหน้าเสือน้อยที่รีบเลียกินอย่างเอร็ดอร่อยทันที นั่นสร้างความตื่นตาตื่นใจให้อิงค์ไม่น้อยเพราะเขาไม่เคยซื้อขนมแมวเลียให้มันกินมาก่อน

“คงหิวน่ะ ได้เวลาอาหารแล้ว” สิงห์บอกแล้วบีบอาหารลงไปบนหลังมือเพิ่มให้อีก “ฉันเคยบีบแล้วยื่นให้กินจากซองมันไม่ยอมกินน่ะ ปากซองมันคมเวลาเลียไปโดนมันคงไม่ชอบ ฉันไปดูในเพจแมวมาเห็นเขาทำแบบนี้กันเลยลองจำมาทำบ้าง”

“ผมขอลองทำบ้างได้ไหม” อิงค์บอก

“ลิ้นแมวคมนะ” สิงห์บอก “มันไม่เหมือนลิ้นคนหรือลิ้นหมา ปุ่มบนลิ้นแมวจะมีลักษณะเหมือนหนามอันเล็กๆ เต็มไปหมดเวลามันเลียจะให้ความรู้สึกเจ็บๆ สากๆ เหมือนเอากระดาษทรายหยาบๆ ประมาณเบอร์สามเบอร์สี่มาถูน่ะ”

“เหรอครับ” อิงค์ทึ่งกับความรู้ใหม่พร้อมกับยื่นมือออกไปให้สิงห์บีบขนมใส่แล้วยื่นไปตรงปากเสือน้อยซึ่งหันมาเลียกินทันที

“เป็นไง สากไหม”

“บอกไม่ถูกครับ” อิงค์ว่า “เจ็บๆ คันๆ จั๊กจี้ดี แต่เหมือนเอากระดาษทรายมาถูจริงๆ ด้วย”

“เอาอีกนะ”

อิงค์พยักหน้า

สิงห์มองดูคนตรงหน้าที่กำลังสนุกสนานกับการเอาขนมให้แมวโดยไม่พูดอะไรอีก เขาค่อยๆ บีบขนมใส่หลังมืออิงค์จนหมดซองจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “เดี๋ยวฉันเอามันไปส่งที่บ้านให้เธอนะ”

“จริงเหรอครับ” อิงค์ถามอย่างกระตือรือร้น “ไม่ต้องรอถอดเฝือกแล้วเหรอ”

“ฉันจะรอได้ยังไงล่ะในเมื่อมันทำให้เธอยิ้มได้ตั้งขนาดนี้” สิงห์บอกพลางลุกขึ้นยืน เห็นแล้วก็นึกอิจฉาแมวชะมัด เขาพยายามคุยด้วยมาเป็นอาทิตย์ได้คำตอบรับแบบเฉยชา แต่แค่เสือน้อยเลียขนมบนหลังมือกลับทำให้อิงค์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ได้ขนาดนั้น

พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น อิงค์ก็รีบก้มหน้าแล้วเม้มปากแน่น แต่ก็ไม่อาจซ่อนรอยยิ้มนั้นไว้ได้หมดเพราะตอนนี้เขาดีใจมากจริงๆ ที่ในที่สุดก็ได้เจอเสือน้อยอีกครั้ง

ทั้งสองขับรถมอเตอร์ไซค์ตามกันมาจนถึง It’ sra สิงห์ก็อุ้มตะกร้าของเสือน้อยมาวางบนพื้นร้าน เจ้าแมวส้มโผล่หน้าออกมามองซ้ายมองขวา พอนึกจำได้ว่าเป็นบ้านตนก็รีบเดินออกมาทันที

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะเสือน้อย” อิงค์บอกพลางอุ้มพามันไปตรงชามข้าวและน้ำ มันพุ่งไปดมๆ ก่อนจะเริ่มกินด้วยความหิว อิงค์นั่งลงข้างกันและจ้องมองมันอย่างแสนรักพร้อมกับลูบหัวลูบหลังไปมา

สิงห์ยืนมองภาพตรงหน้า คิดไม่ผิดเลยที่วันนั้นพลิกแผ่นดินหาเจ้าลูกแมวตัวนี้ เขาเล่าข้ามไปว่าที่เจอเสือน้อยได้เพราะฝนตกถนนลื่นทำให้เขาพลาดขับรถล้ม โชคดีที่แค่ได้รอยถลอกมานิดหน่อยกับข้อเท้าพลิก ดูเหมือนว่าเทพาอารักษ์ตรงนั้นหรือเทพเจ้าแมวคงเห็นใจเขาเลยช่วยให้หาเจอกระมัง

“ฉันกลับก่อนนะ” เขาบอก

“เดี๋ยวครับคุณสิงห์” อิงค์เรียก

สิงห์รีบหันไปอย่างมีความหวังคิดว่าอิงค์คงจะใจอ่อนยอมคืนดีกับเขาแน่ๆ

“ขอบคุณนะครับที่ช่วยดูแลมัน” อิงค์ลุกขึ้นยืนและค้อมศีรษะให้เขาครั้งหนึ่ง “ค่ารักษาทั้งหมดเท่าไหร่ครับ ผมจะจ่ายคืนให้”

สิงห์เม้มปากสนิทด้วยความผิดหวังก่อนจะตอบออกไป “ทบไปเป็นค่ากาแฟเหมือนเดิม”

“ได้ครับ”

สิงห์ยิ้มให้เขาแล้วเดินออกประตูไป

เสือน้อยเงยหน้าขึ้นมาจากชามข้าวเห็นชายหนุ่มผมยาวเดินไปที่ประตูก็เดินกะเผลกตามไปด้วยความรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อจนอิงค์คว้าตัวไม่ทัน อึดใจต่อมาประตูร้านก็เปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับที่สิงห์อุ้มเจ้าแมวส้มที่ทำหน้าตาเหรอหราเข้ามาส่งคืนให้เขา

“มันวิ่งตามฉันออกไปน่ะ เจ้านี่มันซนเธอต้องหูตาไวหน่อย ปิดประตูให้ดีๆ อย่าเผลอล่ะ” สิงห์บอกแล้วกลับออกไปอีกครั้ง

อิงค์ชะโงกหน้าไปมอง เห็นประตูปิดสนิทดีแล้วจึงวางเสือน้อยลง และทันทีที่เท้าแตะพื้นเสือน้อยก็เดินไปที่ประตูแล้วยกสองขาหน้าตะกายประตูสลับกับหันมามองหน้าเขาราวกับจะร้องขออะไรบางอย่าง

อิงค์เดินมายืนข้างมันแล้วดึงประตูเปิดแง้มออก เสือน้อยรีบผลุบออกไปทันทีแต่มันไม่ได้ไปไหนไกล มันวิ่งไปเกาะขาสิงห์ที่กำลังจะขับมอเตอร์ไซค์ออกไป

สิงห์รู้สึกว่ามีอะไรมาเกาะที่ขาก็ก้มหน้าลงมองก่อนจะรีบดับขับเครื่องแล้วตวัดขาลงจากรถมาอุ้มมันขึ้นมา “ออกมาได้ยังไงเนี่ย... หืมมม~ เจ้าตัวดีอย่าดื้อกับแม่เขาสิลูก บอกแล้วไงว่าคืนนี้ให้นอนกับแม่น่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อมาหานะคนเก่ง นะครับ” พูดจบเขาก็จุ๊บมันที่หน้าผากครั้งหนึ่งแล้วหันหน้ากลับไปยัง It’ sra และเป็นอีกครั้งที่อิงค์เห็นท่าทีขัดเขินของชายหนุ่มตัวโตแต่ตอนนี้หดเหลือเท่าลูกแมวเพราะอายที่ถูกเห็นตอนคุยกับเสือน้อย สิงห์เดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับส่งเสือน้อยคืนให้อีกครั้ง “อิงค์ดูแลลูกดีๆ หน่อยสิ ปล่อยออกมาแบบนี้เดี๋ยวก็ถูกรถชนอีกหรอก”

อิงค์รับมาพร้อมกับกล่าว “ขอบคุณครับ”

สิงห์มองเจ้าแมวส้มตาละห้อย “เอ่อ... พรุ่งนี้ฉันมาอีกได้ไหม”

“ก็มาสิครับ”

แต่ยังไม่ทันจะถึงวันรุ่งขึ้น พอพระอาทิตย์ตกดินไปสักพักได้เวลาปิดร้าน เสียงมอเตอร์ไซค์ที่อิงค์คุ้นเคยดีก็แล่นเข้ามาจอดหน้า It’ sra

“ร้านปิดแล้วนะครับ” อิงค์บอกกับคนตัวโตที่มาหายามวิกาล “ถ้าจะกินกาแฟต้องมาพรุ่งนี้เช้า”

“เอาผ้ามาให้น่ะ” สิงห์ดึงผ้าจากในถุงออกมาให้ดู มันเป็นผ้าขนหนูผืนเล็กสีซีด “มันเคยเป็นผ้าเช็ดผมของฉันน่ะ ตอนเอาเสือน้อยกลับบ้านวันแรกมันโดดขึ้นไปขดตัวนอนบนนี้แล้วก็ยึดเป็นของมันตั้งแต่วันนั้นเลย... ฉันกลัวมันนอนไม่หลับน่ะก็เลยเอามาให้” ที่กล่าวอ้างมานั้นเป็นจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขารู้แค่ว่าเขานอนไม่หลับก็เลยขับรถมาหา อยากเจอทั้งแมวและเจ้าของแมว “แล้วนี่ก็เป็นยาบำรุงที่หมอให้มากับขนมแมวเลียน่ะ เผื่อมันหิวตอนดึก”

อิงค์รับถุงใส่ของมา “เสร็จแล้วก็กลับได้แล้วครับ”

“เดี๋ยวก่อนสิ” สิงห์ดึงประตูไว้ เขาเม้มปากอยู่อึดใจก่อนจะสารภาพออกไปตรงๆ “นอนด้วยกันมาตั้งอาทิตย์ จู่ๆ หายไปก็เหงาน่ะ ขอบอกลามันสักหน่อยได้ไหม”

อิงค์พยักหน้าและเปิดประตูให้เขาเข้ามา

“ว่าไงเจ้าตัวเล็ก” สิงห์นั่งลงบนพื้น เสือน้อยพอเห็นว่าใครมาก็รีบวิ่งมาหาแล้วกระโดดขึ้นมานั่งบนตักเขาทันที

เหมียว~

เสือน้อยร้องตอบราวกับทั้งสองคนกำลังคุยกันจริงๆ

“วันนี้ดื้อกับแม่เขาหรือเปล่า กินข้าวเย็นหรือยังครับ”

เหมียว~

“หืมมม~ กินหมดเลยเหรอ เก่งมาก กินเยอะๆ จะได้หายไวๆ นะแล้วนี่แม่เค้าหวีขนให้หนูใช่ไหม ขนเรียบแปล้หล่อเลยลูกพ่อ”

อิงค์ยกหลังมือขึ้นปิดปากพร้อมกับหันหน้าหนี แค่แต่งตัวหล่อมาง้อทุกวันเขาก็อยากจะใจอ่อนให้จะแย่นี่ก็ห้ามใจตัวเองไว้แทบตาย แต่พี่สิงห์มาดนี้ทำเอาเขาใจเขาบางไปหมด... ทีแรกเขาก็คิดว่าพี่สิงห์แกล้งพูดหยอกเล่นกับแมวทำเป็นเอาใจเขาหรือเปล่า แต่ดูไปดูมากลายเป็นทาสแมวไปแล้วจริงๆ นี่นาแถมยังอาการหนักกว่าเขาอีก แล้วดูสิ... มาแทนตัวว่าพ่ออย่างนั้นพ่ออย่างนี้ ไม่ถามแม่เสือน้อยมันสักคำเลยว่าเต็มใจให้เรียกหรือเปล่า และทางเสือน้อยเองตอนนี้ก็ดูจะติดพี่สิงห์มากกว่าเขาแล้วด้วยซ้ำ

อิงค์สูดลมหายใจเข้าเรียกสติ ทำใจให้แข็งดั่งหินผาเช่นเดิมแล้วเดินไปนั่งลงตรงข้าม “ถ้าคิดถึงก็มาหามันได้ครับ ผมก็ไม่ได้ห้ามสักหน่อย”

“แล้วถ้าคิดถึงแม่เสือน้อยล่ะ มาหาได้ไหม” สิงห์ถาม

“ก็... ห้ามไม่ได้นี่ครับ” อิงค์ตอบอ้อมแอ้ม “ผมยังติดเลี้ยงกาแฟคุณสิงห์อยู่นี่นา”

“ได้ยินไหมเสือน้อย แม่แกใจดีจังเลยนะ ยอมให้พ่อมาหาหนูด้วย” สิงห์อุ้มเจ้าแมวส้มขึ้นมาแล้วจุ๊บหน้าผากมันครั้งหนึ่ง

เสือน้อยร้องเหมียว~ ตอบรับแล้วยื่นหน้าไปเลียแก้มเขาครั้งหนึ่ง

“ฝันดีนะเจ้าตัวเล็ก” สิงห์ลูบหัวมันจนหูบู้บี้ก่อนจะยกมือขึ้นจับข้างแก้มคนที่อุ้มมันไว้ “เธอด้วยนะ”

สิงห์พูดจบแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ อิงค์รู้สึกว่ามือใหญ่นั้นแนบชิดเข้ามาเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเจ้าของมือที่ค่อยขยับเข้ามาหา อิงค์นั่งตัวแข็งทื่อไม่รู้จะขยับหรือมองไปทางไหนจึงนั่งก้มหน้าจ้องตาเสือน้อย รู้ตัวอีกทีลมหายใจอุ่นก็มารดอยู่ที่ข้างแก้มแล้ว หัวใจเต้นรัวจนปั่นป่วน อิงค์หลับตาแน่นพร้อมกับกลั้นหายใจ ลมหายใจอุ่นนั้นเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกทีๆ จนรู้สึกได้ถึงปลายจมูกโด่งที่ปัดอยู่ข้างแก้ม

“ฝันถึงฉันบ้างนะ ฉันก็จะฝันถึงเธอเหมือนกัน”

สิงห์กระซิบที่ข้างหูก่อนจะขยับตัวออกไปทิ้งระยะห่างเท่าเดิม

อิงค์ค่อยช้อนสายตามองขึ้นก่อนจะหลุบลงมองเสือน้อยตามเดิมเพราะหน้าคมนั้นกำลังส่งยิ้มหวานที่ทำให้หัวเต้นโครมครามมาให้

“พรุ่งนี้เจอกันนะคุณแม่เสือน้อย”

“ใครอนุญาตให้เรียกแบบนั้น” อิงค์โพล่งออกไปเสียงดัง แต่นั่นก็เป็นตอนที่สิงห์ขี่มอเตอร์ไซค์กลับไปได้สักพักแล้ว

เสือน้อยร้องเหมียวขึ้นมาจากหน้าตัก มันเอียงคอไปมาราวกับจะตอบคำถามของเขาว่า

...แม่น่ะแหละที่เป็นบอกคนให้พ่อเรียกแบบนั้น...

อิงค์หลุบตาลงมองเสือน้อย เขายกมันขึ้นมาในระดับสายตาแล้วจุ๊บที่หน้าผากครั้งหนึ่งก่อนจะกอดมันไว้แนบอก

หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 19(29/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 29-10-2019 12:36:53
ดีใจ เสือน้อยกลับมาแล้ว พร้อมหน้าที่พิเศษเป็นกามเทพ รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 19(29/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 29-10-2019 12:38:46
หวานๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 19(29/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 29-10-2019 13:17:56
คืนดีกันสักที :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 19(29/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-10-2019 16:45:03
หูยยยย พี่สิงห์โหมดทาสแมว น่ารักมากเลย
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 19(29/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 29-10-2019 20:06:13
 :pig4: :pig4: :pig4:

แค่ไม่กี่วัน กลายเป็นทาสแมวไปซะแล้ว
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 19(29/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 29-10-2019 21:34:31
 :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 19(29/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 29-10-2019 21:53:27
อย่างอนนักเลย
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 19(29/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-10-2019 15:47:51
 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 19(29/10/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 31-10-2019 11:37:33
บทที่ 20

“เสือน้อย?” บอยที่เปิดประตูเข้ามาในร้านร้องเสียงดัง เช่นเดียวกันกับสารสาที่รีบพุ่งไปหาเจ้าแมวส้มที่นั่งเก๊กหน้าหล่อรอต้อนรับลูกค้าอยู่บนเคาน์เตอร์ตรงที่ประจำของมัน

“เสือน้อยจริงๆ ด้วย พี่อิงค์เจอมันที่ไหนคะ”

“คุณสิงห์เป็นคนเจอน่ะ” อิงค์ตอบพลางลงมือชงเครื่องดื่มให้ก่อนที่ลูกค้าประจำทั้งสองจะทันได้สั่งเสียอีก “เขาเจอมันอยู่ข้างทาง ตรงสี่แยกทางไปเฮือนไกรสร ขามันหักเขาเลยพาไปโรงพยาบาลแล้วก็ช่วยดูแลมันจนดีขึ้นแล้วก็เอาส่งให้ฉันเมื่อวานน่ะ”

“เก่งจังเลยน้า~ เสือน้อย” สารสาเกาคางเจ้าแมวส้มเป็นรางวัลที่สู้ชีวิตผ่านมาได้

“แต่จะว่าไปมันก็หลงไปไกลมากเลยครับ” บอยตั้งข้อสังเกต

“นั่นสิ ขนาดขี่มอเตอร์ไซค์จากที่นี่ไปยังเกือบยี่สิบนาทีเลยนะ” สารสาเห็นด้วย “เขาว่ากันว่าแมวก็มีความสามารถในการดมกลิ่นและการจำทางกลับได้ดีมากเลยนะ หรือว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้หลงทางทางแต่มันกำลังจะไปหาใครหรือเปล่า”

“มันจะหาใครล่ะ ก็บ้านพี่อิงค์อยู่นี่” บอยถามต่อ ทั้งสองแอบสบตากันเงียบๆ อย่างเข้าใจกัน เพราะสี่แยกตรงนั้นเป็นทางไปเฮือนไกรสรก็จริง แต่ถ้าขับรถเลยไปอีกหน่อยก็จะถึงข่วงเมืองสิงห์แล้ว

“รสาก็ไม่รู้เหมือนกัน” สารสาบอกพลางหันไปยิ้มกับเสือน้อย “แกไปหาใครเหรอเสือน้อย”

เหมียว~

ทั้งสองลอบมองอิงค์ที่ดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจแล้วหันมายิ้มให้กันเงียบๆ ก่อนจะรับแก้วโกโก้ปั่นมาแล้วเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ใกล้ประตูที่ตอนนี้กลายเป็นที่นั่งประจำที่ใหม่ไปแล้ว

อึดใจต่อมา ประตูร้านก็เปิดออกพร้อมกับที่สิงห์ในชุดหล่อก้าวเข้ามา วันนี้เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนและไม่มีดอกไม้หรือกับข้าวมาฝากอิงค์ ที่ถือหอบหิ้วพะรุงพะรังอยู่ในมือคืออาหารกับทรายแมวที่เขาขนมาจากบ้าน

“ให้ฉันเอาไปวางไว้ตรงไหนดี”

อิงค์บุ้ยใบ้ไปทางด้านหลังร้าน “ขอบคุณนะครับ”

วางของเสร็จสิงห์ก็เดินมานั่งที่หน้าเคาน์เตอร์ แต่แทนที่จะสั่งกาแฟเขากลับแวะทักทายเสือน้อยที่เดินมาไซ้ที่ข้างแขนเขาก่อนจะกระโดดลงไปนอนหงายท้องเหยียดยาวบนตักให้สิงห์เกาพุง

“ว่าไงลูกพ่อ ชอบแบบนี้ใช่ไหม นี่แน่ะๆ”

เหมียว~

เสือน้อยร้อง ขาทั้งสี่ชี้ขึ้นฟ้าเป็นอาการบอกว่ามันกำลังมีความสุขสุดๆ

สิงห์มัวแต่เล่นอยู่กับเสือน้อยจนลืมสั่งกาแฟไปเสียสนิท มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงวางแก้วกาแฟลงบนเคาน์เตอร์ข้างตัว เขาเงยหน้าขึ้นทันมองเห็นแผ่นหลังอิงค์กลับหลังเดินเข้าไปในเคาน์เตอร์แล้ว

สิงห์ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้พลางเอื้อมมือไปยกแก้วกาแฟที่ไม่ได้สั่งขึ้นจิบ ทันทีที่ปลายลิ้นสัมผัสของเหลวสีดำในแก้ว ริมฝีปากได้รูปก็ยกยิ้มขึ้นทันที มันไม่ได้มีแต่ความขมปร่าเหมือนทุกวัน หากตามด้วยรสหวานละมุนคุ้นลิ้นที่ทำให้เขาตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาหันไปมองคนที่ทำเป็นจัดโน่นวางนี่โดยไม่ทีท่าจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน จึงได้แต่พูดฝากลมเอ่ยชมไปเบาๆ

“วันนี้กาแฟหวานเหมือนหน้าคนชงเลย”

“อย่าเข้าใจผิดครับ” อิงค์พูดเรียบๆ “ผมแค่ไม่ชอบเห็นคนที่กินกาแฟของผมแล้วทำหน้าจะเป็นจะตายก็เท่านั้นเอง”

“ฉันก็ยังไม่ได้เข้าใจอะไรผิดนี่นา” สิงห์ว่าพลางเท้าแขนลงกับเคาน์เตอร์แล้วมองหน้าชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟพลางจิบกาแฟต่อ เคยคิดว่าเก้าอี้รังนกข้างหน้าต่างวิวดีแต่วิวตรงเคาน์เตอร์นี่น่ามองมากกว่ากันเยอะเลย “แค่บอกว่าวันนี้กาแฟอร่อยจัง... ถ้าพรุ่งนี้ฉันอยากกินแบบนี้อีกต้องสั่งยังไงเหรอ”

“ก็สั่งเหมือนเดิม”

“สั่งเหมือนเดิมก็ได้กาแฟขมๆ น่ะสิ” สิงห์กระเซ้า “เมนูนี้ไม่มีชื่อเรียกเหรอ”

อิงค์เงียบไป เขาจะตอบออกไปได้ยังไงว่ามันไม่มีเมนูนี้ในร้าน เพราะมันเป็นเมนูพิเศษที่เขาชงตามใจลิ้นคนกิน... เป็นสูตรเฉพาะที่สิงห์คนเดียวเท่านั้นจะได้กิน

“ถ้ามันไม่มีชื่องั้นฉันตั้งเองนะ” สิงห์พูดต่อ

“ตามใจคุณสิครับ”

“ฉันจะเรียกมันว่า ‘ที่รัก’ ” สิงห์ว่า “ดีไหม... พรุ่งนี้ตอนมาสั่งฉันจะได้บอกว่า ‘ขอกาแฟที่รักแก้วนึงครับ’ ... แหม~ ยิ่งกินยิ่งติดใจถ้าวันนี้ฉันขอสั่งที่รักกลับบ้านแก้วนึง อิงค์จะว่าอะไรไหม”

อิงค์ปรายตามามอง เขาไม่ตอบโต้อะไรเพียงแต่เอื้อมมือข้ามเคาน์เตอร์มาเพื่อจะหยิบแก้วกาแฟคืน

“เฮ้ย! อะไรเนี่ย” สิงห์ร้องพลางคว้าแก้วกาแฟหลบ “เดี๋ยวตีมือแตกเลย ฉันยังกินที่รักไม่หมดเลยนะ”

“ไม่ให้กินแล้วครับ” อิงค์ว่าเขาเริ่มจะหมดความอดทนแล้วนะ “พูดมาก... น่ารำคาญ”

“ก็เธออนุญาตให้ฉันตั้งชื่อเองนี่นา แล้วฉันก็แค่ชอบมากเลยเรียกเมนูนี้ว่าที่รัก ไม่ได้เรียกว่าอิงค์สักหน่อย หรืออิงค์อยากให้ฉันเรียกว่าที่รัก”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน ทำไมยิ่งฟังยิ่งงง แล้ววนเข้ามาหาเขาได้ยังไงเนี่ย “ถ้ายังไม่เลิกเรียกแบบนั้น พรุ่งนี้ผมจะให้กินกาแฟขมๆ เหมือนเดิมนะ” อิงค์ว่า

“ดูสิเสือน้อย แม่เขาแกล้งพ่ออีกแล้ว” ฟ้องใครไม่ได้สิงห์ก็ก้มหน้าลงทำตาละห้อยกับเจ้าแมวส้มที่นอนอยู่บนตัก

เสือน้อยผงกหัวขึ้นมาแล้วร้อง เหมียว~ ยาวๆ

“เห็นไหม เสือน้อยยังบอกให้อิงค์ยกโทษให้ฉันเลยนะ”

อิงค์เม้มปากสนิท จะด่าคนก็ไม่ได้จะโกรธแมวก็กระไร เขาจึงเดินหนีออกจากเคาน์เตอร์ไปเก็บโต๊ะที่ลูกค้าดื่มเสร็จแล้ว

เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาบอยกับสารสาโดยตลอด ทั้งสองมองหน้ากันเป็นนัยว่า “พวกเราพลาดอะไรไปหรือเปล่า”

“วันก่อนพี่อิงค์ยังไม่ยอมพูดด้วยเลยสักคำ” บอยพึมพำ

“ท่าทางจะเกี่ยวกับที่เมื่อวานพี่อิงค์ปิดร้านหายไปครึ่งค่อนวันแน่ๆ” สารสาวิเคราะห์ “แต่ที่แน่ๆ รสาว่างานนี้เราต้องยกความดีความชอบให้เสือน้อยนะ”

“เห็นด้วย” บอยพยักหน้า แล้วแกล้งทำเป็นไถลตัวเอนไปกับพนักเพื่อแอบมองว่าอิงค์กำลังทำอะไร ในขณะที่สารสารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความรายงานป้าสำลี

แต่สารสายังไม่ทันจะส่งเรียงความเหตุการณ์ได้ครบถ้วน เสียงแก้วตกแตกดังเพล้ง! ก็ดังขึ้นด้านหลัง พร้อมกับถ้อยคำต่อว่าต่อขานเสียงดัง

“ซุ่มซ่ามจริง ทำงานประสาอะไร! ดูสิรองเท้าฉันเลอะหมดแล้ว นายจะรับผิดชอบยังไงเนี่ย” ลูกค้าผู้ชายคนหนึ่งกล่าวอย่างหัวเสียกับคราบกาแฟที่กระเซ็นเต็มรองเท้าหนังขัดมัน

“ขอโทษครับๆ” อิงค์ได้แต่พูดซ้ำๆ พร้อมกับก้มตัวลงเก็บเศษแก้ว

“ยังจะมาห่วงเช็ดพื้นอีก ไปเอาผ้ามาเช็ดรองเท้าให้ฉันก่อนสิ ไอ้ร้านเฮงซวยนี่วันหลังฉันจะไม่มาเหยียบอีกแล้ว”

ลูกค้าคนอื่นในร้านพากันหันมามองและป้องปากกระซิบกระซาบถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

สารสาคว้าแขนบอยจะให้ช่วยทำอะไรสักอย่าง แต่บอยยังไม่ทันจะได้คิดด้วยซ้ำว่าจะช่วยยังไง ชายหนุ่มผมยาวที่นั่งเล่นกับเจ้าแมวส้มอยู่ก็อุ้มมันวางลงบนพื้นแล้วรีบลุกไปหา

“ขอโทษครับคุณลูกค้า” สิงห์กล่าวอย่างสุภาพพร้อมกับย่อตัวลงนั่งข้างอิงค์ “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ รองเท้าของคุณทำจากหนังคุณภาพดีไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เดี๋ยวผมเช็ดให้นะครับ”

“ก็ทำเร็วๆ สิ” ลูกค้าคนนั้นบอกพร้อมกับยื่นเท้าพรวดเข้ามาตรงหน้าสิงห์อย่างไร้มารยาทที่สุด

“คุณสิงห์...” อิงค์จะหันไปบอกว่าไม่ต้องมาช่วยแต่สิงห์กลับยกมือปรามไว้แล้วกระซิบเสียงเบา

“ไปชงกาแฟมาใหม่ เอาเค้กแถมมาด้วยชิ้นนึง ตรงนี้ฉันจัดการเอง”

“แต่...”

สิงห์หลิ่วตาให้ครั้งหนึ่งพร้อมกับแตะที่หัวไหล่ อิงค์จึงยอมลุกไปทำตามแต่โดยดี

“เชิญนั่งก่อนนะครับ” สิงห์กล่าวพร้อมกับผายมือ

ทางด้านลูกค้าอารมณ์ร้อนพอเห็นคนมาพินอบพิเทาก็เริ่มใจเย็นลงถึงจะยังมีท่าทีฮึดฮัดอยู่บ้างแต่ก็ไม่บ่นว่าอะไรอีก เพียงครู่เดียวสิงห์ก็จัดการคราบบนรองเท้าหนังขัดมันนั่นจนสะอาดเอี่ยมเหมือนใหม่และเก็บเศษแก้วเรียบร้อย ก็พอดีกับที่อิงค์กลับออกมาพร้อมกับกาแฟแก้วใหม่และเค้กสตรอว์เบอร์รี่น่าทาน

“ขอโทษด้วยนะครับที่เสียมารยาท” อิงค์กล่าว “นี่แทนคำขอโทษจากร้านเราครับ”

“อบรมพนักงานของคุณใหม่ด้วยนะ” ลูกค้าคนนั้นหันไปพูดกับสิงห์

สิงห์เหลือบตามองเจ้าของร้านตัวจริงที่โดนเข้าใจผิดแล้วก็กล่าวยิ้มๆ “ผมไม่ใช่เจ้าของร้านครับ ผู้ชายคนนี้ต่างหากที่เป็นเจ้าของร้าน”

“แล้วคุณเป็นใครล่ะ ทำงานดูคล่องเชียว”

“ผมเป็นเจ้าของโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ นี่ครับชื่อว่าข่วงเมืองสิงห์” สิงห์แนะนำตัวพร้อมกับส่งนามบัตรให้ “ถ้าคุณลูกค้ายังไม่มีที่พักผมยินดีต้อนรับนะครับ แล้วจะให้ส่วนลดเป็นพิเศษด้วย”

“อ้าว ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่เกี่ยวอะไรกับที่นี่นี่นาแล้วมาช่วยเก็บเศษแก้ว เช็ดรองเท้าให้ผมทำไม”

“ผมไม่ได้ช่วยคุณครับ แต่ผมช่วยแฟนผมต่างหาก” สิงห์ตอบง่ายๆ ทั้งรอยยิ้มแต่ทำเอาลูกค้าหัวร้อนคนนั้น เจ้าของร้านกาแฟที่โดนพาดพิงและลูกค้าอื่นๆ ที่จู่ๆ ก็กลายมาเป็นสักขีพยานเงียบไปตามๆ กัน “ขอโทษอีกครั้งนะครับ ผมให้ส่วนลดที่พักคุณ 50% เลย ครั้งนี้ไม่พักก็ไม่เป็นไรครับ เก็บนามบัตรผมไว้ครั้งหน้ามาเที่ยวน่านอีกนำมาแสดงที่เคาน์เตอร์ได้เลยครับ ผมจะดูแลคุณเอง”

“ครับ” ลูกค้าหัวร้อนคนนั้นพยักหน้า ไปต่อไม่ถูก รู้แต่ว่าลืมเรื่องที่โกรธไปแล้ว เขาหันไปยกแก้วกาแฟขึ้นจิบก่อนจะพึมพำ “อร่อยดีนี่นา”

“ตามสบายนะครับ” สิงห์กล่าวอีกครั้งแล้วคว้าแขนอิงค์ให้เดินตามเข้าไปหลังร้าน

“ไม่เห็นต้องมาช่วยผมเลย” อิงค์ทำปากขมุบขมิบ “เรื่องแค่นี้ผมจัดการเองได้”

“ก็อยากช่วยแฟนนี่นา”

“ใครเป็นแฟนคุณ”

“เจ้าของร้านกาแฟนี้ไง”

“ไม่ใช่สักหน่อย”

“เดี๋ยวก็ใช่” สิงห์พูดหน้าตาเฉย “ยังไงหลังจากนี้ก็ไม่มีใครกล้าจีบเธอแน่ๆ เพราะฉันประกาศตัวเป็นเจ้าของไปแล้ว”

“คนใจร้าย” อิงค์ว่า

“ก็เป็นคนใจร้ายของเธอมาตั้งนานแล้วนี่นา” สิงห์บอกพร้อมกับคว้ามืออิงค์ขึ้นมาดูเห็นรอยกรีดเล็กๆ บนปลายนิ้วชี้มือขวาก็ร้องขึ้นทันที “แก้วบาดนี่นา...”

อิงค์รีบดึงมือหนี “นิดหน่อยเองครับ”

“ล้างแผลหรือยัง”

“ล้างแล้ว”

“ล้างสะอาดแน่เหรอ แผลเหมือนจะลึกเลยนะ ยังมีเลือดซึมอยู่เลย มานี่ฉันล้างให้ใหม่” สิงห์คว้ามืออิงค์ดึงไปที่อ่างล้างมือแล้วเข้ามายืนซ้อนด้านหลังก่อนจะเปิดน้ำให้ไหลผ่านแผลแล้วช่วยล้างมือทั้งที่ยังยืนอยู่ในท่านั้น “เจ็บไหม”

“นิดหน่อย” อิงค์พยายามจะขืนตัวหนีแต่ข้างหน้าก็อ่างล้างมือ ข้างหลังก็อกกว้าง สองข้างก็ติดอ้อมแขนแกร่งที่โอบไว้รอบตัว กลายเป็นว่าจะขยับไปทางไหนก็โดนเขากอดอยู่ดี แถมมือยังโดนจับไว้แน่นอีก

“ต้องปิดแผลนะเนี่ยเดี๋ยวเชื้อโรคเข้า” สิงห์พูดขึ้นหลังจากล้างจนมั่นใจว่าสะอาดไม่มีเศษผงหรือเศษแก้วเหลือติดอยู่แน่ๆ “ที่ร้านเธอมีพลาสเตอร์ติดแผลไหม”

อิงค์ส่ายหน้า

“ถ้างั้นรอแป๊บนะ เดี๋ยวฉันไปซื้อมาให้”

“ไม่ต้องหรอกครับ แค่...” แต่อิงค์ห้ามไม่ทันเมื่อหนุ่มผมยาวรีบก้าวเร็วๆ ออกไป

“เดี๋ยวก่อนครับพี่สิงห์” บอยเรียกไว้

“มีอะไรฉันกำลังรีบ”

บอยเปิดกระเป๋าแล้วหยิบเอาพลาสเตอร์ลายการ์ตูนที่เขาพกติดตัวไว้ตลอดเวลาเพราะมักจะได้แผลตอนซ้อมฟุตบอลบ่อยๆ ส่งให้ไปทั้งกล่อง “ติดกันจนกว่าจะพอใจเลยครับ”

สิงห์พยักหน้าแล้วคว้ากล่องพลาสเตอร์เดินฉับๆ กลับไปหลังร้าน

บอยยิ้มกริ่มอย่างพึงพอใจในผลงานของตัวเอง ในขณะที่สารสานั่งปรบมือให้ด้วยความภาคภูมิใจในตัวแฟน

“เท่มากเลยบอย”

“ไม่เท่าไหร่หรอก เรื่องแค่นี้เอง”

“ร้านอยู่ใกล้จัง” อิงค์บ่นปนประชดนิดๆ เขามองออกไปเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ดูท่างานนี้จะไม่มีใครอยู่ข้างเขาสักคน

“ส่งมือมา” สิงห์พูดพลางคว้ามือเรียวขึ้นมาพินิจดูบาดแผลแล้วบรรจงติดพลาสเตอร์ลงไปอย่างเบามือ พอเสร็จแล้วอิงค์ก็จะดึงมือกลับแต่สิงห์กลับยื้อไว้แล้วประทับริมฝีปากทับลงไปบนพลาสเตอร์นั้น “หายไวๆ นะ”

“ถึงเวลามันก็หายเองแหละ”

“ต้องหายไวขึ้นสิ” สิงห์พูดยิ้มๆ “ฉันทำแบบนี้กับเสือน้อยทุกวันเลยนะตอนที่มันป่วยน่ะ”

“ผมไม่ใช่เสือน้อยสักหน่อย” อิงค์พูดอ้อมแอ้ม ไม่รู้จะเถียงยังไงดีแล้ว

“แต่เป็นแม่เสือน้อย” สิงห์พูดต่อ แล้วเขาก็ไม่พูดอะไรอีกได้แต่กุมมือเรียวไว้อย่างนั้น ใช้ปลายนิ้วโป้งถูวนไปมารอบๆ จนอิงค์ต้องพูดเพื่อทำลายความเงียบที่มากเกินไปจนเกือบจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่กำลังเต้นแรง

“ขอบคุณนะครับที่ช่วย” เขาพูดจากใจ “ถ้าไม่ได้คุณสิงห์ช่วย ผมก็คงแย่เหมือนกันเพราะมัวแต่ลนลานทำอะไรไม่ถูก ทั้งๆ ที่ก็เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง”

“อย่าคิดมากสิ” สิงห์พูดเสียงเบา “เธอยังอ่อนประสบการณ์เดี๋ยวเปิดร้านไปอีกสักพักจะมีปัญหามาให้เจอและแก้อีกเยอะเลย”

อิงค์พยักหน้า “คุณสิงห์เก่งนะ ดูแลโรงแรมคนเดียว ของผมแค่ร้านกาแฟเล็กๆ ยังลำบากแทบแย่”

“ฉันไม่ได้อยู่ตัวเดียวนี่นา มีป้าสำลีกับพี่มอญคอยช่วย” สิงห์บอก “เธอเองก็ไม่ได้อยู่คนเดียวเหมือนกัน เธอยังมีเสือน้อยกับฉันไง”

“เสือน้อยนับได้ แต่คุณสิงห์ไม่นับครับ”

“ใจร้ายกว่าฉันก็คนใจแข็งอย่างเธอนี่แหละนะ”

“ผมขอมือคืนได้ไหมครับ” อิงค์บอกพลางค่อยๆ ดึงมือออก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเกรงใจทั้งที่เป็นมือตัวเอง ยิ่งเห็นสายตาเว้าวอนของสิงห์ตอนที่มือเขาหลุดออกมาจากมือใหญ่ เขายิ่งรู้สึกผิดจนเผลอคิดว่าหรือจะยอมให้จับต่อไปดี แต่คิดแล้วก็พบว่าไม่ดีกับหัวใจตัวเองแน่ๆ จึงรีบเอามือไปแอบซุกไว้ด้านหลัง

“นี่อิงค์วันนี้ปิดร้านเร็วหน่อยได้ไหม”

“ทำไมครับ”

“จะชวนไปซื้อปลอกคออันใหม่ให้เสือน้อยไง” สิงห์บอก “มันไม่มีปลอกคอแบบนี้เดี๋ยวหลงไปไหน คนเขาก็ไม่รู้น่ะสิว่ามีเจ้าของ”

อิงค์ไตร่ตรองอยู่อึดใจก่อนจะพยักหน้า “ตกลงครับ” แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าแล้วทำไมเขาต้องไปกับสิงห์ด้วยล่ะ “ไม่สิ... ผมไปซื้อเองก็ได้ คุณสิงห์ไม่ต้องไปหรอก”

“ฉันไม่ไปแล้วใครจะจ่ายตัง”

“ผมไง”

“แต่เราตกลงกันแล้วนี่นาว่าเธอเป็นคนเลี้ยง ส่วนค่าใช้จ่ายฉันจะรับผิดชอบเอง” สิงห์บอก “ไม่ได้หรอกเสือน้อยก็เป็นลูกฉันเหมือนกันนะ”

“ไม่ให้เป็นแล้ว” อิงค์พูดอ้อมแอ้ม “ผมเลี้ยงของผมคนเดียวได้”

“เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวลำบากนะอิงค์” สิงห์ทำเสียงอ่อนเสียงหวาน “อย่างน้อยก็ให้ฉันได้ทำหน้าที่พ่อดูแลมันเถอะ”

ดูเปรียบเทียบเข้าสิ... คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวอะไรกันแค่เลี้ยงแมวเอง... แต่ก็ไม่รู้ทำไมเขาถึงต้องเขินจนต้องหลุบสายตาหนีด้วยก็ไม่รู้

“ก็...”

“เอางี้ดีกว่า ฉันเปลี่ยนใจแล้ว” สิงห์พูดขึ้นเมื่อเห็นท่าทีลำบากใจของคนตรงหน้า “เดี๋ยวฉันไปซื้อคนเดียวดีกว่า แล้วจะถ่ายรูปส่งมาให้เธอช่วยเลือกดีไหม เธอก็ไม่ต้องอึดอัดที่จะไปกับฉัน ฉันได้ออกตังและเสือน้อยก็ได้ปลอกคอใหม่วินวินด้วยกันทุกฝ่าย”

อิงค์คิดทบทวนข้อเสนอนี้อีกครั้งก่อนจะพยักหน้า “แบบนี้ก็ได้ครับ”

“ถ้างั้นฉันไปก่อนนะ” สิงห์บอก เขาเดินไปจนเกือบจะถึงประตูร้านแล้วก่อนจะหันกลับมา “แล้วเธอจะให้ฉันส่งรูปให้เธอทางไหนดีล่ะ”

“ไลน์ไงครับ”

“แต่เธอบล็อกไลน์ฉันไปแล้วนี่นา”

อิงค์นึกขึ้นได้ เขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าแอปพลิเคชั่นไปเพื่อจัดการยกเลิกการบล็อกเพื่อน แต่พอทำอย่างนั้นเสร็จเงยหน้าขึ้นมาเห็นคนที่ยืนมือไพล่หลังส่งยิ้มกว้างมาให้เขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าโดนหลอกเสียแล้ว “แผนสูง”

“แค่ถามเองนะว่าจะให้ส่งรูปให้ดูทางไหน” สิงห์บอก “ถึงร้านแล้วจะรีบถ่ายรูปส่งมาให้ดูเลยนะ รอดูด้วยล่ะ”

อิงค์ยืนมองคนที่ผิวปากเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี เสือน้อยเดินมาตะกายที่ขากางเกง อิงค์ก้มลงมองแล้วอุ้มมันขึ้นมาฟัดพุงครั้งหนึ่งด้วยความมันเขี้ยว “พ่อแกนี่มันจริงๆ เลยนะเสือน้อย”

...ว่าพ่อไม่ได้ก็ขอมาลงที่ลูกแทนละกัน...

อิงค์นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์โดยมีโทรศัพท์วางอยู่ตรงหน้า ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชัวโมงนับจากสิงห์ออกจากร้านไปโทรศัพท์ของเขาก็ดังถี่ๆ พร้อมกับข้อความเข้าราวกับคนส่งเก็บกดมานาน

แต่อิงค์ไม่กดเข้าไปในแอปพลิเคชั่น เขาอาศัยอ่านเอาจากการแจ้งเตือนที่แสดงบนหน้าจอ

..ขืนเข้าไปอ่านเลย ทางโน้นก็ยิ่งได้ใจไปน่ะสิ อยากส่งอะไรมาก็ตามใจเขาไม่เข้าไปอ่านหรอก ไม่บล็อกแล้วก็ได้แต่เขาก็จะไม่สนใจเหมือนกัน...


อิงค์

อิงค์

อิงค์จ๊ะ

อิงค์จ๋า

...จะเรียกอีกนานไหมเนี่ย...

ตอบหน่อย

...ให้ตายก็ไม่ตอบหรอก...

ที่รัก

...ใครเป็นที่รักวะ...

อิงค์คิดแล้วรีบหยิบโทรศัพท์มาพิมพ์ตอบกลับไป

ใคร?

ที่รัก?

อิงค์เงียบรออึดใจอีกด้านก็พิมพ์ตอบมา

ที่รักของเสือน้อย

...ยังจะมาเล่นลิ้นอีก! ...

มีอะไรครับ

ฉันอยู่ที่ร้านขายของเล่นแมวแล้ว

มันมีเยอะแยะเลย

เลือกไม่ถูก

คุณแม่เสือน้อยช่วยเลือกให้ลูกหน่อย

...จะพิมพ์ขยักขย่อนทำไมเนี่ย พิมพ์ทีเดียวยาวๆ เลยไม่ได้หรือไงนะ เจ้าพ่อบ้านี่...

แล้วแต่คุณเลยครับ

สักพักสิงห์ก็พิมพ์ตอบกลับมา

มันมีเยอะนี่นา

ลายตาไปหมด

ฉันว่ารอบนี้จะเอาแบบมีกระพรวนด้วย

เวลามันเดินไปไหนมาไหนเธอจะได้ยินเสียง

เธอว่าดีไหม

แต่แบบนี้ก็สวยอะ

*ส่งรูปปลอกคอแบบผ้าพันคอคาวบอยสีกรมท่าติดดาวสีทองมาให้ดู

ลูกพ่อสิงห์ใส่ต้องหล่อมากแน่ๆ เลย

แต่ไม่มีกระพรวน

หรือเราจะซื้อไปติดเองดีล่ะ

*ส่งรูปปลอกคอสีฟ้าติดดอกไม้ทำจากผ้าน่ารักมุ้งมิ้งมาให้ดู

คุณแม่ชอบแบบนี้ไหม

แบบนี้ก็น่ารัก

มีดอกไม้กุ๊กกิ๊กด้วย

อิงค์ที่นั่งเท้าคางอ่านอยู่ อดทนทำใจแข็งไม่ไหวคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ถามไปอีกรอบ

ไหนกระพรวน??

อ่อ

โทดที

ลืมๆ

ก็มันสวยอ่าาา

งั้นแบบนี้ล่ะ

แบบนี้แบบนี้ๆๆ

*ส่งรูปปลอกคอแบบมีกระพรวนลูกเล็กลูกใหญ่ห้อยโดยรอบมาให้ดูครบทุกสีที่ร้านมี

เดินไปทางไหนเสียงดังสะใจแน่นอน

เอาสีชมพูเหมือนเดิมไหม

พ่อตามใจแม่

*ส่งสติ๊กเกอร์หน้ายิ้มกรุ้มกริ่ม

เด๋วนะ

*ส่งปลอกคอห้อยกระพรวนแบบมีลายเรียบๆ สีฟ้ากับสีชมพูแป๋นแหลนมาให้ดู

หรือจะเอาแบบนี้ดี

เรียบลงมาหน่อย

มะกี้ดูแหววไป

ลูกเราเป็นผู้ชายเนาะ

อันนี้สีชมพูไม่สวยอะแม่

พ่อเอาสีฟ้านะ

...เออจะเอาอะไรก็เอามาสักอันเถอะ

อ๊ะ!

...อะไรอีกกกก~...

แม่ใจเย็นนะ

...เย็นกว่านี้ก็ภูเขาน้ำแข็งขั้วโลกแล้วล่ะจ๊ะพ่อจ๋า...

อย่าใจร้อนรีบเลือก

...ทางนี้ไม่ได้ใจร้อนเล้ยยยย~ ทางโน้นน่ะแหละโลเลเรื่องมากอยู่ได้...

มีนี่อีกๆ

*ส่งรูปปลอกคอติดโบอันใหญ่มีกระพรวนห้อยอยู่ตรงกลางมาให้ดูครบทุกสี

...เออ อันนี้สวยดีแฮะ...

มีโบด้วย

พ่อจำได้ว่าแม่ชอบโบใช่ไหม

...ไม่ต้องทำมาเป็นจำได้เลย...

มีโบกับกระพรวนครบเลย

...ครบแล้วก็จบได้แล้ว เอาอันนี้แหละ เอามาาา~...

ง่า~~~

เยอะไปหมด

เลือกไม่ถูกเลย

รู้งี้ให้เธอมาด้วยก็ดีหรอก

...เอาแบบนี้แหละ ชอบแบบนี้ ขอดูสีก่อน รอแป๊บนึง...

อิงค์

อิงค์

???

ตกลงเอาแบบไหน

ไม่ตอบฉันจะตัดสินใจเองแล้วนะ

...ใจร้อนขึ้นมาเชียว บอกว่าขอดูสีก่อน เดี๋ยววงส่งไปให้...

นี่เลย

...อะไรอีกล่ะ ตกลงร้านนี้มันมีกี่แบบกันเนี่ย เยอะไปหมด...

*ส่งรูปปลอกคอสีดำมีหนามแบบร๊อคเกอร์มาให้ดู

ลูกพ่อสิงห์ขาร็อค

ตกลงเอาแบบนี้นะ

จ่ายเงินล่ะ

...ก็บอกให้รอก่อนไง ไอ้พ่อบ้านี่! ...

อิงค์รีบพิมพ์ตอบไปก่อนจะได้อะไรที่ไม่เข้าท่ามา

เด๋วครับ

ไม่เอาอันนี้

เอาอันนี้

*ส่งรูปปลอกคอที่มีโบอันใหญ่ติดกระพรวนแล้ววงกลมทับอันสีแดงส่งกลับไป

ตกลงนะ

...อิงค์วางโทรศัพท์ลงและถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เซฟปลอกคอสือน้อยไว้ได้ แต่ยังไม่ทันจะนั่งจินตนาการถึงปลอกคออันใหม่ที่ถูกใจบนคอเจ้าแมวส้มสิงห์ก็พิมพ์ต่อมา

แดงเหรอ??

ลูกเราผู้ชายนะ

ดำไหม

ฟ้าก็ยังดี

น้ำตาลอะ

แดงมัน

อิงค์รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ตอบกลับไป

มันทำไมครับ

ไม่ชอบก็ไม่ต้องซื้อมา เด๋วผมไปซื้อเอง

...ลีลาเยอะจริง...

แดงสวยจ๊ะ

รสนิยมดีมาก ไฮแฟชั่นสุดๆ

สีแดงแรงฤทธิ์ เด่นสะดุดตา

ใส่อยู่หน้าร้าน มองลงมาจากยอดเขาน้อยก็เห็นจ๊ะ

คุณแม่เสือน้อยนี่เลือกเก่งสุดๆ เลยจ๊ะ

*ส่งสติ๊กเกอร์รูปแมวถือกล่องใส่หัวใจพร้อมข้อความ เอาใจไปเลย

...หมั่นไส้! นี่ถ้าอยู่ด้วยกันเจอหยิกเนื้อขาดไปแล้วนะ...

แล้วสิงห์ก็เงียบหายไปสักพัก อิงค์คิดว่าเขาคงกำลังจ่ายเงิน หากอึดใจต่อมาก็ส่งข้อความกลับมาอีก

อิงค์

อิงค์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ตอบไป

อะไรอีกครับ

แล้วสีดำแบบนี้ล่ะ

อิงค์ชอบไหม

*ส่งรูปตัวเองช่วงครึ่งล่างของใบหน้าจนถึงกลางอกและเปิดคอเสื้อเชิ้ตให้เห็นปลอกคอหนังสีดำสนิทที่สวมอยู่รอบคอมาให้ดู

จะได้รู้ว่ามีเจ้าของ

อิงค์เผลอกลั้นหายใจกับภาพลำคอเซ็กซี่ที่แสดงขึ้นมา พยายามบังคับมือตัวเองไม่ให้กดเซฟรูปนั้นแล้วพิมพ์ตอบไป

...เล่นพิเรนทร์อะไรแบบนี้ อยากโดนแส้ฟาดนักหรือไง...

ใครครับ

อิงค์ไง

อิงค์เม้มปากสนิท ...เขาล่ะเกลียดผู้ชายใจร้ายคนนี้จริงๆ ...

ใครถาม?

สิงห์ตอบกลับมาทันที

*ส่งสติ๊กเกอร์หน้าตกใจ

*ส่งสติ๊กเกอร์หน้าร้องไห้

จะฟ้องเสือน้อย แม่ไม่รักพ่อแล้ว

*ส่งสติ๊กเกอร์ร้องไห้เหมียนหมา

อิงค์พ่นลมออกจมูกก่อนจะพิมพ์ตอบ

คุณสิงห์

รีบจ่ายเงิน

อย่าเถลไถล

รีบกลับบ้าน

เสือน้อยรอกินข้าวอยู่

พอกดส่งเสร็จก็ภาวนาว่าให้อีกฝ่ายเลิกตอบมาสักทีแค่นี้หัวใจก็ทำงานหนักจะแย่แล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมปราณีเขาเลย

แล้วแม่อะ

รอพ่ออยู่ป่าว

*ส่งสติ๊กเกอร์รูปหัวใจพร้อมกับคำว่า Love ให้


อิงค์วางโทรศัพท์ลง เขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะไม่ตอบโต้อะไรอีก ไม่ว่าสิงห์จะพิมพ์อะไรมาก็ตาม

ถึงจะทำเหมือนตัดรอนกันด้วยความรำคาญเต็มที ทว่า ทุกคนที่อยู่ในร้าน It’ sra ตอนนั้น เมื่อมองเข้าไปในเคาน์เตอร์ก็จะได้เห็นชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟกำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับโทรศัพท์ จนพวกเขาพากันสงสัยว่าใครกันนะที่เป็นคนที่ชายคนนี้กับกำลังคุยด้วย

########################################################

Note

เพื่ออรรถรส กรุณาเปิดอ่าน #แชทลับของพี่สิงห์ ประกอบค่ะ

https://www.readawrite.com/c/7e698fb103fdb65d475f224ddc810b6b



หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 20(31/10/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 31-10-2019 12:10:34
มุ้งมิ้งไม่เข้ากับหน้าเลย
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 20(31/10/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 31-10-2019 12:18:19
 :z1:


 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 20(31/10/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 31-10-2019 12:57:06
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 20(31/10/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 31-10-2019 12:58:40
เขินอ่าาาาา :hao7:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 20(31/10/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 02-11-2019 14:21:24
บทที่ 21

ถึงปากจะบ่นว่ารำคาญแต่พอสิงห์ส่งรูปปลอกคอสีแดงในถุงพลาสติกหลังจากจ่ายเงินเสร็จอิงค์ก็เอาแต่นั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์สลับกับประตูร้านจนตาแทบจะถลน

“ไหนบอกว่าจะรีบไปรีบมาไง คนบ้าอะไรลีลาชะมัด” อิงค์รำพึงพลางไถลตัวหมอบราบไปกับเคาน์เตอร์ แนบหน้ากับพื้นมองดูโทรศัพท์ที่จู่ๆ ก็เงียบไปทั้งที่ก่อนหน้านี้ทั้งสั่นและส่งเสียงเรียกร้องความสนใจจากเขาอยู่ตลอดเวลา

“คนบางคนก็ปากไม่ตรงกับใจนะ” บอยที่ยังนั่งสังเกตการณ์อยู่กระซิบกับสารสา

“มันก็ต้องเล่นตัวบ้าง ได้ไปง่ายๆ ก็จะไม่เห็นค่ากันน่ะสิ” สารสาว่า

“รสาอย่างอนเราหนักแบบนี้นะ เราง้อคนไม่เก่ง”

“บอยดีกับรสาขนาดนี้ รสาไม่โกรธหรอก” สารสาบอกยิ้มๆ

“จริงเหรอ”

“จริงสิ” สารสาว่า “พูดแล้วก็คอแห้งเลยเนี่ย บอยไปสั่งโกโก้ให้รสาอีกแก้วสิ แล้วแอบดูมาด้วยนะว่าพี่อิงค์ทำอะไรอยู่”

“รับแซ่บ” บอยกำลังจะลุกขึ้นก็พอดีกับที่ประตูร้านเปิดออกออก เห็นเงาร่างสูงใหญเดินเข้ามาจึงรีบนั่งลงเพราะคิดว่าเป็นสิงห์กลับมาแล้ว

แต่คนที่เพิ่งผ่านเข้าประตูมาคือเหมราชกับภรรยาของเขา

“เอาไงดีรสา งานนี้จะมีศึกพ่อผัวลูกสะใภ้หรือเปล่า” บอยถาม

“นิ่งไว้ก่อนบอย นิ่งไว้ เราก็ไม่รู้ว่าพี่สิงห์เขาบอกพ่อเรื่องเป็นแฟนกับพี่อิงค์หรือเปล่า บางทีเขาอาจจะแค่อยากพาแฟนมากินกาแฟเฉยๆ ก็ได้ บอยเล่าให้รสาฟังว่าปู่เคยกมลมาทาบทามพี่อิงค์ไปเป็นบาริสต้าที่บัวพันกาบไม่ใช่เหรอ ตอนพี่อิงค์ป่วยรสาก็เห็นปู่กมลเอาของมาเยี่ยมไข้ด้วยนี่” สารสาออกความเห็น “แต่เพื่อความชัวร์ เดี๋ยวรสาไลน์บอกป้าสำลีกับพี่มอญก่อน บอยจับตาดูสองคนนั่นไว้นะ”

บอยพยักหน้าขึงขัง แต่ยังไม่ทันจะเหลือบตาไปดูก็กลับกลายเป็นคนอายุหันมาเห็นพวกเขาทั้งสองและเอ่ยทักขึ้นมาก่อน

“อ้าว! นี่ลูกสาวคุณจามจุรี ว่าที่เจ้าของร้านคนใหม่นี่นา”

“สวัสดีค่ะ” สารสารีบเก็บโทรศัพท์ให้พ้นสายตาพลางยกมือไหว้ เมืองน่านนั้นก็เล็กๆ ใครๆ ก็รู้จักกันทั่วแถมพี่สิงห์ก็เป็นลูกค้าขาประจำร้านเธอมาตั้งแต่เด็ก

“วันนี้ไม่อยู่ร้านเหรอจ๊ะ” เหมราชถามต่อ

“ให้คุณพ่อช่วยดูแลร้านค่ะ พอดีว่ารสามีธุระกับเพื่อน”

เหมราชหันมามองเด็กหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ตรงกันพร้อมกับหลิ่วตา ทำเอาบอยรีบยกมือไหว้สปอนเซอร์รายใหญ่ของการแข่งขันฟุตบอลแทบไม่ทัน

“สวัสดีครับ”

“ฉันจำเธอได้” เหมราชชี้นิ้ว “เธอเป็นกองหน้าของทีมฟุตบอลโรงเรียนใช่ไหม วันนั้นฉันไปดูเธอแข่งด้วยนะ เธอยิงประตูสวยมากเลย เสียดายที่วันนั้นล้มจนขาเจ็บไปเสียก่อนไม่อย่างนั้นต้องทำประตูได้แน่ๆ เลย”

บอยหน้าร้อนขึ้นมาทันที ไม่คิดว่าผู้ใหญ่ระดับนี้จะจำเด็กอย่างเขาได้ด้วย “ขอบคุณครับ”

“เพื่อนเหรอ” เหมราชหันมาพูดยิ้มๆ กับเด็กสาว

“ค่ะ”

“เขาบอกว่าเพื่อนแน่ะ ถ้าไม่อยากเข้าเฟรนด์โซนก็บอกเธอไปตรงๆ นะ” เหมราชหันไปแซวเด็กหนุ่ม “ชื่ออะไรนะเรา”

“บอยครับ”

“ปีหน้าก็ลงแข่งอีกใช่ไหม ฉันจะตามไปเชียร์นะ”

“ขอบคุณครับ” บอยยกมือไหว้

แล้วเหมราชก็เดินนำไปที่เคาน์เตอร์โดยมีหญิงสาวที่มาด้วยกันเดินตามไปติดๆ

“รสาได้ยินที่คุณเหมราชพูดหรือเปล่า เขาชมฉัน แล้วก็บอกว่าปีหน้าจะไปเชียร์ฉันด้วยนะ! โอ๊ย~ สู่ขิตแล้ววันนี้ ฉันจะไปเล่าให้แม่กับน้องสาวฟัง” บอยหันไปกระซิบกระซาบด้วยความตื่นเต้น “เราไปบอกพี่อิงค์ให้รีบยกโทษให้พี่สิงห์เถอะ พ่อสามีดีแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นะ”

“อย่ากระโตกกระตากไปสิบอย เงียบๆ แล้วฟังไปว่าเขาคุยอะไรกัน ฉันพิมพ์หาป้าสำลีไม่เสร็จสักทีเนี่ย”

บอยพยักหน้ารับทราบและทำหน้าที่สอดแนมต่อ

“สวัสดีครับคุณเหมราช” อิงค์เดินออกมาด้านหลังเคาน์เตอร์เพื่อต้อนรับพร้อมกับยกมือไหว้ เขาเหลือบตาไปมองหญิงสาวที่ยืนเยื้องไปข้างหลังพลางยกมือมือไหว้อีกหนึ่งครั้งถึงอย่างไรเธอก็เป็นภรรยาคุณเหมราชและอายุมากกว่าเขา “สวัสดีครับคุณเกตถวา”

“ได้ข่าวว่าเธอป่วยฉันก็เลยแวะมาเยี่ยมน่ะแล้วก็อยากมาคุยกับเธอหน่อย เธอพอจะว่างคุยกับฉันสักครู่ไหม” เหมราชกล่าว

“ได้ครับ” อิงค์รีบบอกพลางผายมือไปทางโต๊ะที่อยู่ติดหน้าต่างและมีโซฟาให้นั่ง “เชิญทางนี้เลยครับ เดี๋ยวผมชงกาแฟมาให้นะครับ คุณเหมราชอยากจะรับอะไรดีครับ”

“ฉันขอลาเต้ร้อนกับสิงโตน้อยแบบครั้งที่แล้วนะ” เหมราชรีบบอก

“แล้วคุณเกตถวาล่ะครับ” อิงค์ถามต่อ

“เธอทานกาแฟไม่ได้น่ะ” เหมราชบอก “คาเฟอีนไม่ค่อยดีกับลูกในท้อง ขอน้ำเปล่าก็พอ”

อิงค์เดินกลับที่เคาน์เตอร์เพื่อชงกาแฟ เขาสังเกตเห็นว่ามีสัญญาณเตือนข้อความเข้าจึงรีบหยิบขึ้นมาอ่าน แต่กลับกลายเป็นข้อความเลื่อนนัดจากสิงห์

ห้องพักมีปัญญานิดหน่อยน่ะ เหมือนท่อแอร์จะรั่วอีกแล้ว ฉันกลับไปช่วยดูให้ป้าสำลีก่อนนะ เดี๋ยวจัดการอะไรเรียบร้อยจะไปหา

เย็นนี้อยากกินอะไรเดี๋ยวฉันบอกป้าสำลีให้ทำไปให้

*ส่งสติ๊กเกอร์รูปคนทำหน้าครุ่นคิดพร้อมกับมีเครื่องหมายคำถามอันใหญ่


อ่านจบอิงค์ก็เก็บโทรศัพท์ใส่ประเป๋า เจออ้อนมากๆ เข้าแบบนี้เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทนใจแข็งได้สักกี่น้ำ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้คือเขาต้องให้ความสนใจกับผู้มาเยือนทั้งสองก่อน

อิงค์เหลือบตาไปมองเหมราชก่อนจะเลื่อนไปมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกัน ดูจากสีหน้าขณะพูดคุยและมือของฝ่ายชายที่เอื้อมไปจับมือฝ่ายหญิงตรงหัวเข่าเขาก็รู้ว่าทั้งสองต้องดีกันแล้วแน่นอนโดยไม่ต้องอ้างอิงจากคำบอกกล่าวของปู่กมลที่มาเยี่ยมก่อนหน้านี้เลย และเรื่องที่ทั้งสองมาหาเขาในวันนี้ก็คงจะเป็นเรื่องราวในวันนั้นแน่ๆ อันที่จริงเขาเองก็รู้สึกผิดมาตลอด เพราะคิดว่าตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องวุ่นวายนี้ ทำให้คุณเหมราชทะเลาะกับภรรยาและสุดท้ายงานวันเกิดที่อุตส่าห์จัดขึ้นมาอย่างสวยงสมและใหญ่โตก็ล่ม นี่จึงเป็นอีกสาเหตุที่เขาคิดว่าไม่อยากกลับไปคืนดีกับสิงห์ บางทีเขาอาจไม่เหมาะสมกับที่นั่นและควรกลับมาอยู่คนเดียวเงียบๆ ในที่ของตัวเองดีกว่า

ชงกาแฟเสร็จอิงค์ก์ยกไปเสิร์ฟ เหมราชยังคงมีสีหน้าตื่นตาตื่นใจกับลาเต้อาร์ตรูปสิงโตของเขาโดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าเขาเพิ่มลูกสิงโตตัวเล็กเกาะขอบแก้วไปอีกตัวด้วย

“ชื่นใจจริงๆ” เหมราชมีสีหน้าพออกพอใจหน้าหลังยกแก้วขึ้นจิบ “นี่ถ้าเปลี่ยนใจอยากไปทำงานกับฉันวันไหนบอกนะ ฉันพร้อมต้อนรับเธอเสมอ”

“ขอบคุณครับ” อิงค์ค้อมศีรษะขอบคุณ ถ้าเป็นคนอื่นชมขนาดนี้เขาอาจจะคิดว่าเป็นคำป้อยอไปเรื่อยแต่กับเหมราชนี่เขาไม่เคยคิดว่าโกหกเลย เพราะว่าแววตาเป็นประกายนั้นมันเหมือนกับสิงห์เมื่อวานตอนที่เขาชงกาแฟสูตรพิเศษไปให้กินไม่มีผิด ไม่ได้จะอวยว่าตัวเองเก่งแค่ความภูมิใจที่ทำถูกปากถูกใจคนกินได้ “แล้วคุณหมราชอยากจะคุยอะไรกับผมครับ”

“นั่งก่อนสิๆ” เหมราชรีบผายมือเชื้อเชิญเมื่อเห็นเจ้าของร้านกาแฟหนุ่มยังยืนอยู่

พออิงค์นั่งลงเรียบร้อยเหมราชก็เหลียวไปมองภรรยาครั้งหนึ่งก่อนจะหันมาหาอิงค์ “ให้เธอพูดเองนะ”

“ขอโทษด้วยนะคะที่เสียมารยาทกับคุณ” เกตถวาเอ่ยขึ้น เสียงของเธอสั่นและดูประหม่านิดๆ ไม่ได้มั่นอกมั่นใจเหมือนกับตอนที่เธอมาร้านครั้งก่อน “ฉันผิดเองที่คิดมาก ระแวงว่าคุณสิงห์ใช้คุณมาแก้แค้น จนทำตัวไร้สาระแล้วก็...”

“ตอนนี้ก็เริ่มไร้สาระแล้วจ๊ะ” เหมราชเอ่ยขึ้นเบาๆ “สั้นๆ แต่ได้ใจความนะ”

“ฉันขอโทษค่ะที่ลากคุณเข้ามาเกี่ยวกับการทะเลาะกันของฉันกับคุณสิงห์” เกตถวาพูดต่อ “อันที่จริงเรื่องของเรามันควรจบไปตั้งแต่ห้าปีก่อนแล้ว ฉันเลือกจะหันหลังให้เขาเองและเขาก็คิดแบบนั้นด้วยการไม่ตามหา แต่เพราะการที่เราจบกันแบบไม่ที่ไม่เคยเคลียร์ให้เข้าใจ และความเข้าใจผิดมันก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเราก็ไม่ได้ทำร้ายแค่ตัวเราเองแต่พลอยทำให้คนอื่นเจ็บไปด้วย”

เธอเว้นวรรคไปเล็กน้อยและหันไปมองเหมราชก่อนจะพูดต่อ “ฉันไม่ได้รักคุณสิงห์แล้ว ฉันลืมเขาไปตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว ตอนนี้ฉันรักคุณเหมราช”

“มีอะไรอยากพูดต่ออีกไหม” เหมราชถามเมื่อเห็นเธอเงียบไป

เกตถวาส่ายหน้า

“งั้นฉันพูดต่อนะ” เหมราชบอก “ขอโทษอีกครั้งที่ลูกชายกับภรรยาฉันทำให้เธอวุ่นวาย”

“ผมยกโทษให้ครับ” อิงค์กล่าว

“ขอบใจนะ” เหมราชบอก “เธอคงแอบคิดใช่ไหมว่าทำไมฉันใจดี ยกโทษให้ทั้งสองคนง่ายจัง ไม่ตะขิดตะขวงใจอะไรเลยเหรอ”

“เปล่านะครับ... ผมไม่ได้...”

เหมราชรีบพูดต่อ “ฉันไม่ได้ใจดีอะไรหรอก แค่แก่แล้วน่ะ... อีกไม่นานก็ลงโลงแล้ว อะไรอภัยให้ได้ก็รีบอภัย แล้วฉันก็ชั่งน้ำหนักแล้วว่าชีวิตแบบไหนมันดี หรือมีความสุขมากกว่ากัน แล้วฉันก็ตอบตัวเองได้ว่าการที่มีเธออยู่มันดีกว่าตอนอยู่เหงาๆ คนเดียวเยอะเลย อย่างน้อยถ้าเธอจะมาหลอกกันก็ถือซะว่าฉันจ่ายเงินซื้อความสุขไปละกันนะ”

“ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะคะ” เกตถวาพูดเสียงเบา

“ก็พูดกันไว้ก่อน” เหมราชว่า “แล้วเธอก็กำลังจะมีลูกให้ฉันอีกคนด้วย ฉันไม่ได้สัมผัสความรู้สึกดีใจตอนจะเป็นพ่อคนแบบนี้มานานแล้ว”

“ถ้าคุณรักเด็ก อยากมีสักโหลฉันก็ท้องไหวค่ะ” เกตถวารีบพูดเอาใจ แต่ในใจก็คิดเช่นนั้นจริงๆ

“ดีๆ เอาให้พอตั้งทีมฟุตบอลได้เลยนะ” เหมราชพูดทั้งรอยยิ้มก่อนจะหันมาหาอิงค์อีกครั้ง “แล้วนี่เจ้าลูกชายฉันไปไหนล่ะ ป้าสำลีส่งข่าวว่าช่วงนี้งานการไม่ทำ มานั่งเฝ้าง้อเธอที่นี่ แล้วนี่ใจอ่อนให้บ้างหรือยัง”

อิงค์ไม่ตอบ ซึ่งดูเหมือนเหมราชจะเข้าใจความหมายดี

“อืม เรื่องของคนสองคนฉันก็คงพูดอะไรมากไม่ได้ ก็เอาเป็นว่าไม่ว่าเธอจะชงกาแฟให้ฉันกินในฐานะลูกชายอีกคนหรือฐานะเจ้าของร้านกาแฟที่ประสบความสำเร็จฉันก็ยินดีทั้งนั้น ละนะ”

“ขอบคุณครับ”

“ฉันกลับก่อนนะ วันหลังจะแวะมาอุดหนุนใหม่”

“ได้ยินไหมรสา พ่อผัวตัวอย่างชัดๆ” บอยหันไปถาม “กองเชียร์อย่างเราคงไม่จำเป็นแล้วมั้ง พี่สิงห์มีกองหลังดีขนาดนี้”

“เกมรักยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพคนอกหัก” สารสาว่า “ตราบใดที่พี่อิงค์ยังไม่ยอมคืน เราก็ยังเลิกเชียร์ไม่ได้หรอก”

อิงค์ออกมาส่งเหมราชกับเกตวาหน้าร้าน ในระหว่างที่มองทั้งสองเดินเคียงคู่กันขึ้นรถและขับออกไป อิงค์ก็อดคิดถึงคำพูดหนึ่งของพ่อขึ้นมาไม่ได้

ออกไปเจ็บเสียให้พอ ล้มแล้วก็แค่ลุกขึ้นมาใหม่

เขาเหลือบตาลงมองรอยน้ำร้อนลวกที่ข้อมือของตนเองในวันที่ทำพลาด

จะว่าไปความรักมันก็เหมือนกับการชงกาแฟนั่นแหละ มันก็มีผิดพลาดกันได้ รสชาติของกาแฟที่ชงได้บางคนก็ชอบ บางคนก็ว่าขม ต้องเติมนมหรือน้ำตาลงไปเพื่อเพิ่มความกลมกล่อม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ไม่มีอะไรเป็นสูตรสำเร็จหรือความอร่อยที่ตายตัว จะมีก็แค่ความลงตัวของคนกินว่าชอบแบบไหนก็เท่านั้น

ถ้าชงพลาดพลั้งใส่ส่วนผสมผิดจนรสชาติผิดเพี้ยน ก็มีทางเลือกว่าจะเททิ้งหรือลองปรุงใหม่จนกว่าจะได้รสชาติที่พอใจ

แล้วกาแฟของเขาล่ะ อยากให้มันเป็นแบบไหนดี

อิงค์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดอ่านข้อความแชทของสิงห์อีกครั้ง นิ้วขยับพิมพ์ตอบกลับไป

จะรอนะครับ

แต่พอจะกดส่งก็กลับลังเลกดลบทั้ง แล้วก็เปลี่ยนใจพิมพ์ใหม่ เป็นแบบนี้วนไปวนมาอยู่หลายรอบ สุดท้ายเขาก็เลือกจะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าตามเดิม



หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 21(2/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-11-2019 15:27:33
 คืนดีเร็วๆนะ :katai1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 21(2/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-11-2019 17:39:41
 :pig4: :pig4: :pig4:

รำยัยอิงค์  ลีลาเหลือเกิน  จะพิมพ์ส่งก็ทำไปเลย  ยึกยักอยู่ได้  รมณ์เสีย
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 21(2/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-11-2019 19:39:14
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 21(2/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 02-11-2019 22:32:16
...

เรื่องแบบนี้ คิดทบทวนไปมาดีแล้วละอิงค์

ทิ้งจังหวะให้ได้คิดทั้งเราและเขา

ที่ผ่านมา อิงค์เดินเข้าหาตลอด มาลองยืนนิ่งๆแล้วมองดูอะไรๆให้ชัดเจนดีกว่า


...


 :hao5:  :hao3:  :hao5:  :hao3:  :hao5:  :hao3:

...
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 21(2/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 03-11-2019 13:20:35
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 21(2/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 03-11-2019 14:37:24
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 21(2/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 04-11-2019 06:59:38
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 21(2/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 04-11-2019 22:46:40
บทที่ 22

ผ่านไปจนถึงเวลาปิดร้าน สิงห์ที่บอกว่าจะกลับไปทำธุระแล้วมาหาพร้อมข้าวเย็นก็ยังคงไม่มาและไม่ส่งข้อความอะไรมาอีก

อิงค์ยืนอยู่หน้าประตูร้าน ฝนที่เริ่มตกปรอยๆ มาตั้งแต่ช่วงเย็นเริ่มหนาเม็ดขึ้นทุกที เขาชะเง้อคอมองผ่านม่านเม็ดฝนออกไปยังถนนที่ทอดยาวเข้าไปในตัวเมือง แต่ก็ไม่มีวี่แววของรถมอเตอร์ไซค์หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ จะผ่านมาในยามวิกาลเช่นนี้ เขาจึงดึงประตูปิดรีบเก็บร้านและขึ้นไปอาบน้ำเตรียมจะนอน

อาบน้ำเสร็จออกมาฝนก็ตกหนักมากแล้ว อีกทั้งพอเข้ากลางเดือนตุลาคมอากาศก็ยิ่งเย็นลงมากขึ้นเรื่อยๆ อิงค์รีบหนีความหนาวเข้าซุกตัวในผ้าอุ่นๆ และเรียกหาเสือน้อยที่เล่นอยู่ตรงหน้าต่างให้มานอนด้วยกัน

“เสือน้อยมานอนกันเถอะ”

อิงค์ร้องเรียก แต่เจ้าแมวส้มกลับไม่หันมามองเขาด้วยซ้ำและเอาแต่จ้องตาไม่กะพริบออกไปนอกหน้าต่าง

“เสือน้อย~” อิงค์ตบหมอนเรียกไปด้วยแต่มันก็ยังไม่สนใจเขาอยู่ดี ทั้งยังยกสองขาหน้าขึ้นตะกุยหน้าต่างเหมือนจะพยายามออกไปหาใครด้านนอก

อิงค์ลุกจากที่นอนเดินไปที่หน้าต่าง และชะโงกมองออกไปด้วยความสงสัยว่าเสือน้อยดูอะไรอยู่ ในใจก็แอบนึกกลัวไม่น้อยว่าถ้าหากเป็นผีหรือโจรที่มาปล้นล่ะจะทำยังไงดี

เขาเขม่นมองฝ่าความมืดและสายฝนออกไป ตรงใต้ชายคาหน้าประตูมีชายคนหนึ่งยืนเบียดกายหลบฝนอยู่

แทบไม่ต้องเสียเวลาคิด ถึงจะไม่เห็นหน้าแค่เงาตะคุ่มของโครงร่างสูงใหญ่กับเรือนผมที่ยาวจนเกือบถึงกลางหลัง อิงค์มองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าชายคนนั้นเป็นใคร

“พี่สิงห์!”

อิงค์รีบวิ่งลงบันไดไปชั้นล่าง ปลดสลักกลอนที่ใส่ไว้สามชั้น และพอประตูเปิดออกชายคนที่ตัวเปียกโชกตั้งแต่ตัวจรดเท้าก็หันมามองเขา สีหน้าของสิงห์นั้นซีดเล็กน้อยด้วยความหนาวแต่ริมฝีปากก็คลี่ยิ้มออกได้ทันทีที่เห็นหน้าคนเปิดประตู

“ฉันเอาปลอกคอมาให้” เขาบอกพลางล้วงมือเข้าไปในเสื้อดึงเอาถุงพลาสติกที่ซุกเอาไว้อย่างดีเพราะกลัวของข้างในจะเปียกออกมาให้ “แล้วก็นี่ด้วย”

อิงค์ก้มลงมองปลอกคอสีแดงติดกระพรวนในถุงกับกล่องใส่อาหารแล้วเงยหน้ามองสิงห์อีกครั้ง “ทำไมไม่ส่งข้อความมาบอกล่ะครับว่าจะมา”

“ส่งแล้ว” สิงห์ตอบ “ส่งไปตั้งสี่ห้าข้อความแต่ไม่เห็นเธออ่าน”

อิงค์นึกถึงโทรศัพท์ที่วางชาร์จไว้บนหัวเตียง พอเก็บร้านเสร็จเขาก็ไปอาบน้ำแล้วเตรียมจะนอนเลยไม่ได้สนใจว่าจะมีใครติดต่อมา “แล้วกุญแจก็มีทำไมไม่ไขเข้ามาล่ะครับ”

“ฉันยังใช้มันได้เหรอ” สิงห์ถามกลับ “เห็นเธอยังโกรธอยู่ ฉันเลยไม่กล้าใช้”

“ก็…” อิงค์พูดไม่ออก สิงห์พูดมาก็ถูกเป็นเขา เขาก็ไม่กล้าใช้หมือนกัน

“อืม… หมดธุระแล้วฉันกลับก่อนนะ ฝากบอกลาเสือน้อยด้วย”

“เดี๋ยวครับ” อิงค์เรียก “ฝนตกหนักขนาดนี้ รอให้ฝนซาก่อนค่อยกลับก็ได้ครับ”

“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงตัวฉันก็เปียกอยู่แล้ว มันคงไม่เปียกไปมากกว่านี้แล้วล่ะ”

“แต่มันอันตรายไม่ใช่หรือไง เข้ามาสิครับ เดี๋ยวผมให้ยืมชุดเปลี่ยน” อิงค์พร้อมกับดึงประตูเปิดให้กว้างขึ้น

“ขอบใจนะ” แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ขยับไปไหนไกลจากหน้าประตูมากนักเพราะกลัวว่าจะทำน้ำหยดเลอะพื้นร้านที่ถูจนสะอาดแล้ว แม้ว่าอิงค์จะเรียกให้เขามานั่งก่อนก็ตาม

เหมียว~

เสียงร้องดังมาจากบันไดชั้นบน เสือน้อยที่เห็นอิงค์รีบร้อนออกจากห้องก็ตามลงมาด้วย ขาที่ยังเจ็บอยู่ทำให้มันเดินไม่ถนัดนักแต่พอมันเห็นว่าใครยืนอยู่ที่ชั้นล่างก็รีบกระโดดแผล็วลงมาจนสิงห์เผลอวิ่งไปรับที่หน้าบันได

“ว่าไงลูกพ่อ เอ้า! ค่อยๆ เดิน ขาก็เจ็บยังจะวิ่งอีกนะเรา” สิงห์อุ้มมันขึ้นมาแล้วเอาหน้าผากชนกัน เสือน้อยเอาขาหน้าเกาะบ่าพ่อของมันแล้วร้องตอบ

เหมียว~ เหมียว~

“คิดถึงพ่อเหรอครับคนเก่ง จ้า~ พ่อก็คิดถึงหนูเหมือนกัน”

อิงค์ปล่อยให้สองพ่อลูกคุยกัน แล้วเดินเลี่ยงขึ้นไปชั้นสอง “เดี๋ยวผมไปเอาผ้าเช็ดตัวให้นะครับ”

แต่พอกลับลงมาอีกครั้งอิงค์ก็ต้องแปลกใจเพราะตอนนี้สิงห์กลับลงไปนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น โดยมีเสือน้อยเกาะอยู่บนหัว ตอนแรกที่เห็นเขาก็นึกว่าสองพ่อลูกเล่นอะไรกันแผลงๆ แต่พอมองอีกทีถึงได้เห็นว่าขาหน้าข้างขวาของเสือน้อยติดอยู่กับเส้นผมของสิงห์

สิงห์หันมาเห็นเขาก็เอ่ยขึ้น “อิงค์มีกรรไกรไหม ขอยืมหน่อยสิ”

“จะเอาไปทำไมครับ”

“จะตัดผม” สิงห์บอกมือข้างหนึ่งของเขาต้องคอยอุ้มเจ้าแมวส้มไว้เพราะขามันหัก ส่วนมืออีกข้างก็คอยจับขาหน้าอีกข้างไว้ไม่ให้ยื่นเข้าไปพันกับผมส่วนอื่นอีก

“ถึงกับจะต้องตัดเลยเหรอ”

“ฉันแกะมาสักพักแล้ว มันไม่ออกสักที สงสารเสือน้อยด้วยเมื่อยแย่แล้วเนี่ย”

“เดี๋ยวก่อนครับ!” อิงค์ร้องเสียงดังพร้อมกับเดินเข้าไปหา “เดี๋ยวผมแกะให้ คุณสิงห์จับเสือน้อยไว้นิ่งๆ นะ”

เขาค้อมตัวลงพยายามจะดูให้ชัดๆ ดูเหมือนว่ากลุ่มผมจะเข้าไปพันกับเล็บของเสือน้อยและเพราะผมสิงห์เปียกอยู่มันจึงไม่ลื่นหยุดออกง่ายๆ แต่กลับพันกันเป็นปมแน่นอยู่ แถมจุดที่ติดนั้นก็อยู่ใกล้กับหนังศีรษะจึงทำให้ยิ่งแกะยากไปกันใหญ่ เขาไม่สงสัยเลยว่าทำไมสิงห์ถึงแกะไม่ได้ ขนาดเขาใช้สองมือค่อยๆ ดึงออกทีละเส้นสองเส้นยังยากเลย

“อิงค์ แกะไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ ตัดไปเลยดีกว่า” สิงห์บอกเมื่อเห็นอิงค์ขยับเปลี่ยนท่าไปมาด้วยความลำบากอยู่หลายครั้ง เพราะพอจะยืนก็ต้องก้มตัวลงมา แต่พอจะนั่งก็กลายเป็นต่ำไปจนแกะไม่ถนัด

“ไม่ได้ครับ” อิงค์ยืนยัน “เดี๋ยวผมคุณสิงห์แหว่ง”

“พรุ่งนี้ฉันก็ไปตัดให้มันเท่าๆ กันไง”

“มันก็จะสั้นน่ะสิครับ”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ไม่ได้ตัดผมนานแล้ว”

“เป็นครับ” อิงค์พึมพำ “มันติดอะไรนะ ทำไมไม่ออกสักที... คุณนี่ก็จริงๆ ไม่ระวังเอาเสียเลย ทำยังไงถึงให้มันเอาขาหน้าเข้าไปพันได้ถึงขนาดนี้ล่ะครับ”

“มันชอบเล่นผมฉันน่ะ” สิงห์พูดขึ้นเบาๆ “เหมือนเธอเลย ชอบตะกาย ชอบตะครุบเล่นไม่รู้ติดใจอะไรนักหนา เมื่อกี้มันก็เล่นของมันตามปกติน่ะแหละ แต่ฉันก็ลืมไปว่าผมตัวเองเปียกอยู่แล้วเพิ่งขับมอเตอร์ไซค์ฝ่าพายุมามันก็คงยุ่งๆ ก็เลยเป็นแบบนี้นี่แหละ”

ฟังแล้วจู่ๆ อิงค์ก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมาหน่อยๆ เขาชวนเข้าบ้านก็ไม่เข้า แต่พอเห็นเสือน้อยกลับรีบวิ่งไปหา แล้วยังมาเปรียบเทียบเขากับเสือน้อยอีก หรือจริงๆ แล้วสิงห์อาจจะแค่อยากมาเจอเสือน้อยก็ได้ ไม่ได้อยากมาเจอเขานักหรอก

หลังจากใช้ความพยายามอยู่ครู่ใหญ่ อิงค์ก็สามารถดึงผมเส้นสุดท้ายออกจากกรงเล็บของเสือน้อยได้เรียบร้อย

“เสร็จแล้วครับ” อิงค์ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องตัดผมสิงห์ เขาอุ้มเสือน้อยไว้ในแขนข้างหนึ่งและดุมันเบาๆ “วันหลังอย่าเล่นซนแบบนี้อีกนะ”

เหมียว~

“ยังจะเถียงอีกนะ”

“เสือน้อยบอกว่า ‘ครับแม่’ ต่างหาก ไม่ได้เถียงสักหน่อย” สิงห์บอก

อิงค์เหล่ตามอง “คุณสิงห์ไม่ต้องมาแก้ตัวแทนเลยครับซนพอกันเลยทั้งคู่”

เหมียว~

“เสือน้อยขอโทษแล้วนะ”

อิงค์จนใจจะต่อปากต่อคำกับสองพ่อลูกที่เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย เขาจึงเปลี่ยนเรื่อง “ไปอาบน้ำได้แล้วครับเดี๋ยวจะเป็นหวัด”

“อิงค์ก็ลุกก่อนสิ”

คำตอบรับผสมรอยยิ้มกว้างของสิงห์ทำให้อิงค์รู้ตัวว่าตอนที่พยายามแกะเสือน้อยออกนั้นทำให้เขาเผลอขยับขึ้นมานั่งอยู่บนตักสิงห์โดยไม่รู้ตัว ถึงว่าสิ ทำไมตำแหน่งที่นั่งอยู่นี้ถึงได้สบายจัง นอกจากนั้นตอนนี้เขายังวางมือพักไว้บนบ่ากว้างด้วยความเมื่อยด้วย

อิงค์ชักมือกลับมา พอขยับตัวจะลุกขึ้นก็รู้สึกถึงสองแขนแกร่งที่วางคล้องหลวมๆ ไว้รอบเอว เขาหลุบตาลงมองความใกล้ที่มีระยะห่างแค่ลูกแมวกั้น “ลุกไม่ได้ก็คุณสิงห์กอดอยู่”

“ไม่ได้กอดแน่นเลย ไม่ชอบก็ลุกสิ”

“ก็บอกว่าลุกไม่ได้”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องลุก อยู่แบบนี้ยันเช้าเลยละกัน”

อิงค์รู้สึกว่าอีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที และเขาก็ไม่ได้ขยับหลบไปทางไหน ลมหายใจอุ่นวันนี้ผสมกลิ่นฝน ร่างหนาเปียกชื้นเย็นๆ นิดๆ ไม่ได้ทำให้รู้สึกหนาวกลับกันยิ่งรู้สึกดึงดูดให้เข้าไปใกล้ๆ เพื่อหาความอบอุ่นที่ซ่อนอยู่ใต้ร่มผ้า

อีกเพียงนิดเดียวริมฝีปากหยักลึกนั้นก็จะสัมผัสลงมา เจ้าแมวส้มในอ้อมแขนก็เกิดอึดอัดขึ้นมาเพราะโดนบีบอยู่ตรงกลาง มันร้องเหมียว~ เสียงดังแล้วดิ้นหลุดลงไปยืนที่พื้น ทำให้อิงค์ได้สติรีบขืนตัวออกห่างแล้วลุกขึ้นยืน

“ไปอาบน้ำครับ” อิงค์บอกพร้อมกับส่งผ้าเช็ดตัวกับชุดสำหรับเปลี่ยนให้แล้วก็รีบวิ่งกลับขึ้นไปชั้นสอง

สิงห์มองตามหลังคนที่ผลุนผลันจากไปแล้วก้มลงมองชุดในมือที่ดูแล้วจะเป็นชุดของเจ้าของบ้านเอง เขายกผ้าให้มือขึ้นดมถึงจะไม่หอมเท่ากลิ่นกายเจ้าตัวแต่ก็ให้ความรู้สึกชื่นใจไม่แพ้กัน

อิงค์หนีขึ้นมานั่งซุกผ้าห่มอ่านข้อความที่สิงห์ส่งมาก่อนหน้านี้ ในใจก็ยังนึกถึงตอนที่เกือบจะจูบกันเมื่อสักครู่ นึกโกรธตัวเองว่าเผลอใจง่ายอีกแล้ว ที่ชวนให้อยู่ไม่ใช่เพราะว่าใจอ่อนก็แค่ใจดีกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็เท่านั้นเอง ใครมันจะไปปล่อยให้ขับมอเตอร์ไซค์ตากฝนกลับบ้านกันล่ะ เดี๋ยวไปเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาเขาจะสู้หน้าคุณเหมราชได้ยังไง

เพียงครู่เดียวสิงห์ก็เดินออกมาจากห้องน้ำ เขาสวมเพียงแค่กางเกงตัวเดียวและถือเสื้อมาส่งคืนให้ “เสื้อฟิตมากเลย ใส่ไม่ได้น่ะ”

“นั่นเสื้อยืดตัวที่ใหญ่ที่สุดของผมแล้วนะครับ” แต่อิงค์ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะกางเกงผ้าแบบฟรีไซซ์ตัวที่เขาใส่หลวม สิงห์ยังใส่พอดีตัวแถมขายังลอยหน่อยๆ เลยด้วย

“ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยนะ บอกแล้วว่าฉันกลับเลยดีกว่า รบกวนเธอเปล่าๆ”

“ไม่รบกวนหรอกครับ” อิงค์ว่า “คืนนี้คุณค้างที่นี่ก็ได้ เดี๋ยวเช้าค่อยกลับ”

“จะดีเหรอ” สิงห์ถามยิ้มๆ

อิงค์ชี้ไปที่พื้นพร้อมกับโยนหมอนส่งให้ใบหนึ่ง “ที่นอนของคุณคือตรงนั้นครับ”

สิงห์หมุนหาที่เหมาะๆ ตรงข้างเตียงแล้วล้มตัวลงนอน พื้นปูนปูกระเบื้องที่เย็นจัดรู้สึกเย็นสะดุ้งหลังนิดๆ อากาศก็หนาว สักพักคนที่เพิ่งตากฝนมาก็จามเสียงดัง “ฮัดชิ้ว!”

“นี่ครับ” อิงค์บอกพลางส่งผ้าห่มของตัวเองให้

“ไม่ต้องหรอก เอามาให้ฉันแล้วเธอจะห่มอะไรล่ะ” สิงห์ดันผ้านวมลายแมวส้มที่เขาซื้อให้คืนเจ้าของนึกดีใจนิดๆ ที่อิงค์ยังคงใช้มันอยู่ แต่อิงค์ก็ยังยืนยันจะให้เขาแล้วหยิบผ้าห่มผืนเก่าของตัวเองมาคลี่ออกห่มแทน

“เดี๋ยวผมใช้ผืนนี้ก็ได้”

“ผืนนั้นบางนิดเดียวเองนะ”

“ไม่เป็นไรครับ คุณสิงห์ไม่ได้ใส่เสื้อนี่นาน่าจะหนาวกว่าผม” อิงค์บอกแล้วหันไปเรียกเจ้าแมวส้มที่นอนหมอบอยู่ตรงมุมหนึ่ง “นอนกันเถอะเสือน้อย”

เหมียว~

เสือน้อยร้องตอบอย่างร่าเริงแล้วเดินมาหาแต่แทนที่จะกระโดดขึ้นเตียงไปหาอิงค์มันกลับเดินวนบนหมอนของสิงห์ที่พื้นแล้วล้มตัวลงนอน

“เสือน้อย ขึ้นไปนอนกับแม่เขาสิลูก” สิงห์บอกพร้อมกับอุ้มตัวเสือน้อยขึ้นไปวางบนเตียงข้างหมอนอิงค์

“นอนนะ”

แต่อิงค์ยังพูดไม่ทันจบประโยคดีเสือน้อยก็ลุกขึ้นแล้วกระโดดลงไปนั่งตาแป๊วบนตักสิงห์

เหมียว~

“สงสัยมันอยากจะให้เรานอนด้วยกัน” สิงห์พูดยิ้มๆ

“แต่ผมไม่อยากนอนกับคุณ” อิงค์ดึงผ้าขึ้นห่มจนมิดหัวแล้วนอนหันหลังให้

ตอนที่กำลังจะเคลิ้มหลับนั้นเอง อิงค์ก็รู้สึกถึงอะไรอุ่นๆ ตรงต้นแขนเขาปรือตาขึ้นเล็กน้อยเห็นเสือน้อยมานอนอยู่ข้างๆ ก็กระชับผ้าห่มแล้วหลับตาลงนอนต่อ แต่ว่า…

…ทำไมผ้าห่มมันถึงหนาขึ้นล่ะ? ...

อิงค์ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาจับชายผ้าที่ตอนนี้ไม่ได้มีแค่ผืนเดียวขึ้นดูแล้วเหลียวมองข้ามไหล่ไปเห็นคนตัวโตกำลังแต่งตัวด้วยชุดที่ใส่มาจึงร้องถามไป “นั่นคุณสิงห์จะไปไหนครับ”

“จะกลับบ้านไง”

อิงค์หันไปมองนอกหน้าต่างที่ฝนยังไม่มีทีท่าจะซาเม็ดแล้วหันกลับมาหาสิงห์อีกครั้ง “ผมบอกว่าให้นอนค้างได้ไงครับ หรือว่าคุณนอนไม่สบายเพราะผมให้นอนพื้น”

“เธอต่างหากที่ไม่สบายใจที่ฉันนอนด้วย” สิงห์กล่าว “ฉันดูเธออยู่ เห็นนอนเกร็งไม่ยอมขยับเปลี่ยนท่าเลย คงอึดอัดใช่ไหมล่ะ นี่ก็ดึกมากแล้วด้วย พรุ่งนี้เธอต้องตื่นเตรียมของแต่เช้า ฉันไม่อยากเห็นเธออดนอนเพราะฉัน… ฉันไปนะ” พูดจบก็เดินไปที่ประตู

“คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่เนี่ย!” อิงค์โพล่งออกไป

สิงห์หยุดแล้วหันกลับมา นึกแปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมอิงค์ถึงดูโมโหขนาดนั้น “แค่อยากให้เธอนอนสบาย”

“ก็ผมบอกแล้วไงว่าให้นอนได้ แล้วคุณจะดันทุรังกลับไปทำไมอีกล่ะ!” อิงค์พูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เขาสะบัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วพุ่งไปยืนประจันหน้ากับสิงห์ “คุณมันก็เป็นซะแบบนี้ ผมอยากให้ทำอย่างคุณก็รั้นจะทำอีกอย่าง ปากก็ไม่ตรงกับใจ บอกว่าห้ามไม่ให้ผมรักแต่มาทำตัวให้ความหวัง พอผมหมดหวังจะตัดใจคุณก็กลับมาง้อผมอีก ผมป่วยก็ไม่เคยมาเยี่ยมสักครั้งแต่กลับไปนั่งเฝ้าแมวตัวที่คุณบอกว่าเกลียดได้ทั้งวัน ทำกับข้าวมาให้ก็อ้างว่าป้าสำลีเป็นคนทำ บอกว่ามาหาผมแต่เอาแต่นั่งเล่นกับเสือน้อย ตกลงคุณรักใครกันแน่ ผมหรือเสือน้อย”

“ก็ต้องเธออยู่แล้ว” สิงห์ตอบ จากคำถามยืดยาวนั้นสมองของเขาประมวลผลได้ความว่าอิงค์กำลังน้อยใจที่เขาสนใจเสือน้อยมากกว่าตัวเอง

“ผมไม่เชื่อหรอก คุณอยากกลับนัก ก็กลับไปเลยครับ ผมไม่สนใจคุณแล้ว”

สิงห์มองคนที่ทำหน้าตาบึ้งตึงใส่เขาแล้วก็อดใจไม่ไหวรวบตัวมากอดแนบอกและนั่นยิ่งทำให้อิงค์โวยวายหนักกว่าเดิม

“คุณจะทำอะไรเนี่ย!”

“ฉันไม่กลับแล้ว คืนนี้ฉันจะนอนกับเธอ” สิงห์บอกหน้าตาเฉย “เธอพูดถูก ก็ฉันมันคนปากไม่ตรงกับใจแถมพูดอย่างทำอย่างด้วย ตอนนี้เธอไล่ให้ฉันกลับ ฉันก็เลยจะอยู่แล้ว”

“ถ้า... ถ้างั้นจะอยู่ก็ได้ครับ”

“ขอบคุณนะ”

“อ้าว” อิงค์ร้องเสียงหลง

“ก็ฉันจะปรับปรุงตัวแล้วไง จะทำตามที่เธอบอกทุกอย่างเลย”

อิงค์หน้ายู่ เขาก้มลงมองสองแขนที่ตวัดรอบตัวไว้แล้วถามเสียงห้วน “แล้วกอดผมทำไม”

“อยากกอด”

“ผมไม่ให้กอด”

“งั้นยิ่งต้องกอดให้แน่นเลย”

“คุณสิงห์!”

“เรียกพี่สิงห์เหมือนเดิมก่อนแล้วจะปล่อย”

“ไม่เรียก”

“ไม่เรียกก็จะกอดแบบนี้แหละ”

“คุณ...”

“เรียกคุณอีกคำจะจูบแล้วนะ”

“ค...” อิงค์เม้มปากแน่น ริมฝีปากชวนหลงใหลขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น จนวินาทีสุดท้ายที่เกือบจะแตะกันเขาก็รีบยกมือขึ้นกันแล้วเอ่ยเรียกเสียงแผ่ว “พี่สิงห์”

“ชื่นใจจัง” สิงห์พึมพำ “ได้ยินแบบนี้ชักไม่อยากปล่อยมือแล้ว”

“ขี้โกงนี่นา” อิงค์โวยวาย

อิงค์พยายามผลักเขาออกไป แต่เจ้าของอ้อมแขนแกร่งนั้นก็รัดตัวแน่นขึ้นทุกทีๆ ทั้งสองยื้อยุดกันไปมา จนล้มหงายลงไปอยู่บนเตียงโดยที่สิงห์คร่อมอยู่ด้านบน ริมฝีปากคลาดกันไปนิดเดียวเมื่อเจ้าตัวหันหน้าหลบ สิงห์จึงฝังปลายจมูกลงที่แก้มขาวแล้วกระซิบที่ข้างหู

“จริงๆ แล้วฉันไม่ได้ทำตามใจเธอหรอก ฉันทำตามใจตัวเองนี่แหละ พอเธอไม่อยู่ฉันถึงรู้ว่าฉันมีความสุขก็เพราะเธอ”

ถ้อยคำหวานหูนั้นทำให้อิงค์หันหน้ากลับมาสบตาคนที่กำลังมองมาที่เขาพร้อมกับรอยยิ้ม

“ดีกันนะ”

อิงค์ก้มหลบสายตาแล้วพึมพำเสียงเบา “ผมกลัว”

สิงห์พลิกตัวลงนอนข้างกัน เขาคลายอ้อมแขนออกเล็กน้อยให้อิงค์มีพื้นที่ขยับตัวให้สบายแต่ก็ไม่ปล่อยมือ “เธอกลัวอะไร”

“วันที่ผมจะไปญี่ปุ่น” อิงค์เอ่ยขึ้นช้าๆ “วันสุดท้ายที่ผมได้คุยกับพ่อ ผมบอกพ่อว่าผมกลัวที่จะไปอยู่คนเดียว ผมกลัวที่จะล้มเหลว พ่อให้กำลังใจผมให้สู้ ให้ผมมีชีวิตอิสระตามที่พ่อตั้งชื่อให้ผม พ่อบอกชีวิตมันก็เหมือนจักรยาน ล้มแล้วก็แค่ลุกขึ้นใหม่ แต่ว่านะพี่สิงห์... ทำไมล้มแต่ละครั้งมันเจ็บจัง... เจ็บจนผมไม่อยากลุกอีกแล้ว”

สิงห์ทอดสายตามองคนในอ้อมแขน ประกายสดใสที่เคยมีในแววตาหายไป เขาเลื่อนมือขึ้นจับแก้มแล้วลูบปลอบขวัญเบาๆ “ฉันก็เคยคิดแบบเธอเหมือนกัน หลังจากเลิกกับเกตแล้วรู้เรื่องทุกอย่าง ฉันก็ออกจากบ้านมาทำข่วงเมืองสิงห์ อยู่คนเดียวเงียบๆ ไปวันๆ ก็มีความสุขดีไม่คิดจะมีใครอีกแล้ว พอมีเธอเข้ามา พระอาทิตย์ก็ยังขึ้นตอนเช้าเหมือนเดิม อากาศเมืองน่านก็ยังคงดีไม่มีอะไรเปลี่ยน ทุกๆ วันก็ยังดำเนินไปแบบปกติธรรมดา แต่รอยยิ้มของเธอมันกลับทำให้หัวใจของฉันสดชื่นขึ้นเยอะเลย เธอไม่สงสัยเหรอว่าทำไมเธอถึงเห็นฉันนั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์ทุกวัน จริงๆ แล้วฉันไม่ได้ชอบนั่งอยู่ตรงนั้นเลย ฉันแค่ไปนั่งรอเธอ เฝ้ารอเสียงรถมอเตอร์ไซค์ขับเข้ามาพร้อมกับเสียงทักทาย รอดูรอยยิ้มที่อยู่ๆ ก็ฉันเสพติดมันเหมือนคาเฟอีนในกาแฟ ถ้าเธอบอกว่าฉันคือคนที่ทำให้เธอยิ้มได้ เธอก็เป็นคนที่ทำให้ฉันเป็นแบบนี้น่ะแหละ”

อิงค์เงยหน้าขึ้นมอง ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสิงห์จะทำอะไรแบบนั้น

“เธอยังไม่อยากลุกก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันนั่งเป็นเพื่อน ที่บ้านฉันมีที่นั่งดีๆ เยอะเลย หรือเธอจะขี่จักรยานไปกับฉันก็ได้ เธอซ้อนฉันขี่รับรองไม่พาล้ม อย่างมากก็แค่ตกหลุม”

คำพูดของสิงห์ทำให้อิงค์นึกถึงวันแรกที่มาน่านเมื่อห้าปีก่อนตอนที่ขี่จักรยานไปเที่ยวรอบเมืองด้วยกัน สิงห์บังคับพาเขาไปเที่ยวนู่นกินนี่โดยอ้างว่ากลัวคนจะครหาว่ามาไม่ถึง ภาพหน้าตัวเองโทรมๆ เพราะเพิ่งอกหักกินไม่ได้นอนมาหลับกับสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่สิงห์ถ่ายให้ยังคงอยู่ในโทรศัพท์ แต่หยิบออกมาดูกี่ครั้งก็ยังทำให้มีความสุขได้ทุกครั้ง

อิงค์หลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย สิงห์กระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกนิดสอดหน้าให้แก้มแนบแก้มแล้วลูบมือลงบนศีรษะ

“วันนั้นร้องไห้หรือเปล่า”

“วันไหนครับ”

“วันเกิดพ่อฉันน่ะ” สิงห์บอก “วันนั้นเธอทำหน้าเหมือนโลกจะแตก แล้ววันรุ่งขึ้นก็ตาช้ำมากเลย ฉันขอโทษนะที่ปล่อยให้เธอกลับไปคนเดียว ในเวลาแบบนั้นฉันควรจะอยู่กับเธอแท้ๆ ฉันนี่แย่จริงๆ”

“ไม่ได้ร้องครับ” อิงค์ตอบ “ผมแค่นอนไม่ค่อยหลับมาตั้งแต่วันที่พี่สิงห์โกรธผมเรื่องเบี้ยวนัด”

“ตอนนั้นอุตส่าห์มาหา จะมาปรับความเข้าใจแล้วดันเจอเพื่อนเธอแกล้งแบบนั้นฉันก็ของขึ้นน่ะสิ”

“ดามเล่าให้ฟังแล้ว” อิงค์บอก “โดนพี่สิงห์ต่อยปากแตกไปด้วยใช่ไหม”

“แค่นั้นยังน้อยไป ไม่ฆ่าให้ตายก็บุญเท่าไหร่แล้ว”

“ตอนผมป่วยพี่สิงห์ก็ไม่มาเยี่ยม” อิงค์ตัดพ้อ

“มาแล้วเธอไล่ให้กลับ”

“จะกลับก็กลับตั้งแต่แรกสิ มาทำแบบนั้นแล้วหนีกลับก่อนได้ไง” อิงค์พูดเสียงเบาลงเล็กน้อย คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีไรก็อายทุกที “ก็จะยกโทษให้ตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่จู่ๆ ก็มาหายตัวไปอีก ผมก็ยิ่งไม่มั่นใจสิว่าพี่สิงห์จะยังไงกับผม”

“ก็ออกไปตามหาเสือน้อยให้เธอน่ะแหละ”

“แล้วทำไมไม่มาบอกกันดีๆ ละครับ ฝากป้าสำสีมาบอกก็ได้ นี่เล่นโกหกกันเป็นขบวนการ”

“ก็อย่างที่บอกไปแล้วน่ะแหละ มันเจ็บหนักขนาดนั้น ฉันกลัวเธอใจคอไม่ดี พอมันดีขึ้นแล้วก็เอามาคืนนี่ไง”

“ขอบคุณนะครับที่ออกไปตามหามัน” อิงค์บอก

“ถ้าเธอยังไม่แน่ใจเรื่องของเรา ฉันก็ไม่เร่งรัดเธอหรอก วันนี้ก็นอนคิดไปอีกคืนพรุ่งนี้ค่อยให้คำตอบฉันก็ได้”

“ขอบคุณครับ” อิงค์กำลังจะซุกหน้าเข้าในอ้อมอกกว้าง แต่แล้วสิงห์กลับลุกขึ้นนั่งแล้วถอดเสื้อออกโยนไปข้างเตียง “พี่สิงห์ถอดเสื้อทำไมน่ะ”

“ก็เสื้อมันเปียกนี่นา ฉันกลัวเธอหนาว แล้วกอดอกเปลือยๆ แบบนี้เธอก็ชอบมากกว่าด้วยใช่ไหมล่ะ” สิงห์ว่า “แล้วนั่นเธอหน้าแดงทำไม คิดอะไรอยู่”

“เปล่าสักหน่อย” อิงค์ตอบอ้อมแอ้ม เบื่อคนรู้ทันจริงๆ ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร

“จริงอะ”

“พี่สิงห์ต่างหากที่คิด”

“ก็คิด” สิงห์ตอบตามตรง

“นั่นไง”

“แต่ไม่ทำก็ได้ เธอก็รู้ฉันไม่เคยฝืนใจเธออยู่แล้ว”

“ใครว่าไม่เคย”

“ตอนไหน”

“ก็ตอนนั้นไง”

สิงห์ทำเป็นนิ่วหน้าคิด “จริงเหรอ ปากบอกว่าไม่ แต่มืองี้จับแขนแน่นฉันเลยแล้วตอนหลังยังเป็นฝ่ายมาจูบฉันเองด้วยแถมตรงนั้นก็ตอดนิ้วฉันตุบๆ จนฉันปวดนิ้วไปหมดเลย จนฉันแอบคิดว่าต้องไปเล่นกล้ามนิ้วบ้างแล้วไม่งั้นเธอต้องทำนิ้วฉันหัก...”

“พี่สิงห์!” อิงค์ร้องพร้อมกับยกมือขึ้นปิดหู “ไม่ต้องพูดแล้ว ผมไม่อยากฟัง”

สิงห์ก้มลงจูบครั้งหนึ่ง “ฟังก่อนสิ ฉันมีอะไรที่อยากทำกับเธอมากกว่านั้นอีกนะ”

อิงค์เอามือออกจากหูรอฟัง “อะไรครับ”

“นอนกอดเธอเฉยๆ ทดแทนส่วนของวันนั้นที่หนีกลับไปก่อน แล้วก็...” สิงห์เว้นวรรคไปเพื่อนอนลงข้างกันอีกครั้ง เขาสอดแขนเข้าใต้ตัวร่างโปร่งซึ่งครั้งนี้ไม่ต้องใช้ความพยายามบังคับใดๆ เจ้าตัวก็ขยับขึ้นมานอนหนุนอกเขาเรียบร้อย

“แล้วก็อะไรอีกครับ” อิงค์ถามด้วยความอยากรู้

“อยากกินกาแฟฝีมือเธอจัง” สิงห์ทำเสียงอ้อน

“พรุ่งนี้เช้าผมชงให้นะครับ”

“สัญญาแล้วนะ”

“ครับ”

อิงค์ตอบพร้อมกับหลับตารับริมฝีปากที่ประกบลงมา ปลายลิ้นหวานแทรกเข้ามาสอดประสานจนแทบจะเป็นหนึ่งเดียว เช่นเดียวกับสองมือที่กุมกันไว้แน่น ทั้งสองจูบกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าทดแทนความความคิดถึงที่ห่างกันไปหลายวัน

เสือน้อยครางเหมียวเบาๆ ด้วยความงอนที่โดนเจ้าของเมินใส่ มันลุกขึ้นมาเดินวนๆ แล้วล้มตัวลงนอนบนหมอนของอิงค์

ทั้งสองผละออกจากกันแล้วหัวเราะเบาๆ

“โดนเสือน้อยแย่งที่แล้วคืนนี้เธอจะนอนที่ไหน” สิงห์กระซิบกับกลีบปากอุ่นเปียกชื้น

“ตรงนี้ ได้ไหมครับ” อิงค์ก้มหน้าลงแตะริมฝีปากกลางอกกว้างครั้งหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นรับจูบแทนคำตอบรับอนุญาตจากสิงห์

นอกหน้าต่างฝนยังคงสาดกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายและอากาศก็เหน็บหนาวจนฝ้าขึ้นจับบางๆ ที่กระจกหน้าต่าง แต่ในอ้อมแขนที่กอดเขาไว้ตอนนี้มันช่างอบอุ่นเหลือเกิน

###############

talk

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ
ตอนหน้าจบแล้วค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ

หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 22(4/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 04-11-2019 23:06:10
ค่อยยังชั่ว ดีกันแล้ว
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 22(4/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-11-2019 23:18:46
เสือน้อยน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 22(4/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-11-2019 00:16:46
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 22(4/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 05-11-2019 11:16:06
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 22(4/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-11-2019 18:54:27
 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 22(4/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-11-2019 11:24:26
 คืนดีกันแล้วววว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 22(4/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 07-11-2019 19:23:28
บทที่ 23

“อ้าวเสือน้อย พี่อิงค์ซื้อปลอกคอให้ใหม่เหรอ น่ารักเชียว” บอยที่แวะมาพร้อมกับสารสาร้องทัก ตอนนี้สองคนนี้ตัวติดกันเสียจนอิงค์นึกหมั่นไส้เล็กๆ

“ไหนๆ ขอพี่รสาถ่ายรูปหน่อย~” สารสาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป ทางฝ่ายเจ้าตัวเล็กถึงขาจะเจ็บอยู่ข้างหนึ่งแต่พอเห็นกล้องก็โพสต์ท่ายิ้มสู้ทันที “เท่ค่ะลูก~อูยยย หล่อๆ ขอมุมนี้อีกรูปน้า~”

“รสาถ่ายแต่เสือน้อยอะ เราน้อยใจแล้วนะ ถ่ายเราบ้างสิ” บอยบอกพร้อมกับตั้งท่าชูสองนิ้วเตรียมพร้อม

“งั้นบอยไปยืนข้างเสือน้อย อ๊ะ! อย่าบังเสือน้อยสิ ถอยไปทางขวาหน่อย... ไปอีก... ถอยไปทางขวาอีก... อีกหน่อย...”

“เอ่อ... รสาจ๊ะ บอยว่าถ้าซ้ายอีกหน่อย บอกไปยืนอยู่ยอดเขาน้อยแล้วให้รสาถ่ายก็ได้มั้งจ๊ะ” บอยพูดงอนๆ เพราะสาวเจ้าดันให้เธอเขยิบไปเขยิบมาจนจะถึงสุดปลายเคาน์เตอร์แล้ว

“แหมๆ ล้อเล่นแค่นี้ทำงอน” สารสาว่า “ถ่ายเสร็จตั้งนานแล้ว บอยมาดูสิ สวยไหม”

“ไหนๆ” บอยรีบขยับมาดูรูปที่สารสาถ่ายและในตอนนั้นเองที่ประตูร้านเปิดออก เมื่อเห็นว่าใครมาทั้งสองก็รีบคว้าแก้วโกโก้ปั่นหลบไปนั่งตรงที่ประจำ

“สวัสดีครับ”

“วันนี้พี่อิงค์เอ่ยทักก่อนเว้ย!” บอยป้องปากกระซิบกระซาบในขณะที่สารสาทำหน้าที่รายงานป้าสำลีเช่นเคย

“จะรับอะไรดีครับ” อิงค์ถามคนที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋าอยู่หน้าเคาน์เตอร์

“รับคนขายกลับบ้านที่นึง” สิงห์ตอบ

“บอกแล้วไงครับว่าเมนูนี้ร้านเราไม่มีขาย”

“แย่จังอุตส่าห์คิดมาจากบ้าน ตั้งใจว่าจะมากินเลยนะ” สิงห์ทำเป็นตีหน้าเศร้าพลอยทำให้กองเชียร์ลุ้นจนตัวโก่งโดยหารู้ไม่ว่าทั้งสองคืนดีกันตั้งแต่เมื่อวานแล้ว และสิงห์ก็ค้างคืนที่นี่ถึงจะเป็นค่ำคืนแรกที่อยู่ด้วยกันบนเตียงโดยปราศจากเซ็กซ์แต่กลับให้ความรู้สึกอิ่มในใจสุดๆ และเขาก็อยู่ช่วยอิงค์เปิดร้านจนเสร็จจึงกลับไปเปลี่ยนชุดก่อนที่บอยกับสารสาจะมาถึงราวชั่วโมงก่อนนี่เอง

“ถ้าคิดไม่ออกก็ไปนั่งคิดก่อนก็ได้ครับ ยืนตรงนี้เกะกะหน้าเคาน์เตอร์” อิงค์ว่า

สิงห์เหลียวไปมองด้านหลังที่เริ่มมีลูกค้ามาต่อคิวรอซื้อกาแฟราว 2-3 คน “เอางั้นก็ได้” เขาไหวไหล่ก่อนจะเดินไปนั่งลงตรงที่ประจำของเขาพลางกวักมือเรียกเสือน้อย เจ้าแมวส้มรีบกระโดดแผล็วไปหาคุณพ่อของมันทันที “ว่าไงครับคนเก่งเช้านี้ยุ่งไหมครับ”

เหมียว~

“โห คนมาขอถ่ายรูปเยอะจนหนูแทบไม่ได้พักเลยเหรอครับ”

“อะไรล่ะเนี่ยพี่สิงห์ เดินเกมช้าแบบนี้กองเชียร์จะหลับแล้วนะ” บอยบ่นกระปอดกระแปด

“นั่นดิ” สารสาว่า “นี่ถ้าไม่ใช่พี่สิงห์รสายุให้พี่อิงค์หาคนใหม่แล้วนะ ดูๆ นั่งเล่นกับเสือน้อยสบายใจ ไม่แคร์ใจกองเชียร์อย่างเราเลย”

หลังจากลูกค้าซาจากหน้าเคาน์เตอร์ อิงค์ก็ยังคงวุ่นๆ กับการจัดนู่นเตรียมนี่ให้เข้าที่เข้าทาง และจังหวะนั้นเองสิงห์ที่นั่งรอจังหวะอยู่นานแล้วก็ค่อยลุกขึ้นไปยืนหน้าเคาน์เตอร์เงียบๆ

“ฉันคิดออกแล้วว่าจะกินอะไรดี” เขาพูดเสียงเรียบ

“จะรับอะไรครับ” อิงค์ถามโดยไม่เงยหน้ขึ้นมา เขากำลังเปิดนมข้นหวานกระป๋องใหม่และดูเหมือนที่เปิดอันเก่าของเขาจะมีปัญหาเพราะเจาะผ่านฝาเหล็กไม่เข้าสักที

“เป็นแฟนกันนะ”

อิงค์เงยหน้าขึ้นมอง และสิงห์ก็กำลังมองมาที่เขาเช่นกันจังหวะนั้นเองทั้งสองจึงสบตากันพอดี

แก้มขาวร้อนวาบ มือลื่นทำที่เปิดกระป๋องนมหลุดมือ อิงค์ทำเป็นก้มเก็บและถามซ้ำทั้งที่แน่ใจว่าตนเองฟังไม่ผิด “อะไรนะครับ”

“ฉันบอกว่าลาเต้แก้วนึง”

คนรับออเดอร์ตาโต “เมื่อกี้พี่สิงห์ไม่ได้พูดแบบนี้นี่นา”

“แล้วอิงค์ได้ยินว่าอะไรล่ะ”

“เป็นแฟนกันนะ”

“ตกลง” สิงห์ตอบหน้าตาเฉย

อิงค์พูดไม่ออก ในขณะที่กองเชียร์ขอบสนามก็อึ้งไม่แพ้กัน

บอยยกแก้วค้างปากงับหลอดไม่ถูก “เฮ้ย! เผลอแป๊บเดียวกองหน้าแม่งยิงประตูเฉยเลยว่ะ”

“กรรมการจะเป่าฟาวล์หรือเปล่าเนี่ย” สารสาพึมพำด้วยความตื่นเต้นราวกับเป็นคนถูกบอกรักเสียเอง “ตอบสักทีสิพี่อิงค์… ตอบบบ~”

แก้มขาวเปลี่ยนเป็นสีเข้มจัดขึ้นทุกทีจนลามไปถึงใบหู อิงค์มือสั่นยิ่งเปิดกระป๋องนมข้นหวานไม่ถูกไปกันใหญ่ “เดี๋ยวก่อนนะครับ... คือผม...”

“ทำไมเหรอ” สิงห์ถามเสียงนุ่ทพลางยื่นมือข้ามเคาน์ตอร์ไปหยิบกระป๋องนมข้นหวานมาเปิดให้แล้วส่งคืน “ฉันบอกแล้วไงว่าให้โอกาสเธอคิดหนึ่งคืน แล้วนี่ก็เช้าแล้ว... ฉันอยากตื่นเช้ามากินกาแฟที่ชงเธอทุกวัน เธอยินดีจะชงให้ฉันกินหรือเปล่า”

พอไม่มีกระป๋องนมข้นหวานให้จับแก้เขิน อิงค์ก็เลยต้องยืนนิ่งๆ แทน หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ตอนตัวเองบอกรักเขายังไม่รู้สึกยากขนาดนี้ ทั้งที่คำตอบก็มีชัดเจนอยู่แล้วในใจ “ผม...”

ทันใดนั้นเองรถญี่ปุ่นก็วิ่งเข้ามาจอดหน้าร้านแล้วเจ้าของรถก็วิ่งพรวดลงมากอดเจ้าของร้านกาแฟแน่น

“อิงค์ ฉันมาอีกแล้ว คิดถึงแกจังเลย!”

“ดาม?” อิงค์ละล่ำละลักถามด้วยความตกใจกับการมาปุบปับของเพื่อนสนิทอีกครั้ง

“ทำไมทำหน้าอย่างกับเห็นผีวะแก” ดัสกรคลายวงแขนออกเล็กน้อย “ไม่เซอร์ไพรส์เหรอ เฮ้ย! ดีใจใช่ไหมล่าา~ นี่เพื่อนอุตส่าห์ใช้วันลาปีงบใหม่มาหาเลยนะ”

“โอ๊ตกับแบงค์ล่ะ” อิงค์ถาม

“เหมือนเดิม ติดงานกับติดเรียน เรามาคนเดียว” ดัสกรว่า “เดี๋ยวเราเอาของขึ้นไปเก็บบนห้องก่อนนะ”

“คุณไม่ได้จองห้องพักมาอีกแล้วเหรอครับ” สิงห์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแสนสุภาพทั้งที่เริ่มหงุดหงิดที่โดนเมินตอนช่วงเวลากำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม

ดัสกรไหวไหล่ “จองทำไมให้เปลือง ก็ผมมีเพื่อนอยู่น่าน ผมนอนกับเพื่อนผมก็สะดวกดี” บอกหน้าตาเฉยแล้วหันไปยิ้มกับอิงค์

“ผมขออนุญาตเสนอที่พักให้คุณได้ไหมครับ” สิงห์กล่าวอย่างเป็นทางการพลางหยิบนามบัตรออกมา “ถ้าคุณอยากพักผ่อนสไตล์บ้านๆ แต่ยังคงความสะดวกสบายผมขอแนะนำที่ข่วงเมืองสิงห์ซึ่งผมดูแลอยู่ปกติยอดจองเต็มตลอดปีแถมยังได้คะแนนรีวิวติดท๊อปของทุกเว็บจองโรงแรม แต่ถ้าคุณชอบความหรูหราผมจะจัดห้องสวีทที่เฮือนไกรสรที่การันตีด้วยระดับสี่ดาวให้ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย ทั้งหมดฟรีแถมอาหาเช้าตลอดระยะเวลาที่เข้าพัก รวมทั้งบริการเสริมอื่นๆ ด้วยครับ”

ดัสกรทำหน้าแบบทึ่งจัด “สุดยอดเลยครับ”

“คุณสนใจข้อเสนอของผมไหมครับ” สิงห์ถามย้ำ

ดัสกรทำเป็นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มพลางวางมือลงรอบคอให้คนตัวโตที่มองอยู่หงุดหงิดเล่นๆ “ไม่ดีกว่าครับ ผมพักกับอิงค์ก็สบายดีอยู่แล้วขอบคุณนะครับ”

สิงห์กัดกรามแน่น แต่ก็ยังฝืนตีสีหน้าให้เป็นปกติเพราะยังไงหมอนี่ก็ยังเป็นเพื่อนอิงค์ แต่ยิ่งเห็นเจ้าหนุ่มกรุงเทพยักคิ้วให้เขาก็นึกอยากจะเอาคืนอีกสักหมัดเหมือนกัน ดูท่าว่าแผลคราวทีแล้วจะหายเร็วเกินไปนะ

“แต่ผมสนใจ” อิงค์เอ่ยแทรกขึ้นพร้อมกับดึงมือดัสกรออกจากรอบคอ

สิงห์เลิกคิ้วในขณะที่ดัสกรร้องขึ้นทันที “อะไรกันอิงค์ นี่อิงค์ยังไม่ตัดใจจากเขาอีกเหรอ”

แต่อิงค์ไม่สนใจที่ดัสกรพูดและหันไปหาสิงห์ “พี่สิงห์ครับ ข้อเสนอเรื่องห้องเมื่อกี้ขอผมไปนอนแทนดามได้หรือเปล่าครับ”

“ไม่ได้หรอกห้องเต็มแล้ว”

“อ้าว” อิงค์ร้อง

“เหลือห้องสุดท้าย” สิงห์รีบพูดต่อ “แคบหน่อย แต่มีห้องน้ำในตัว ไวไฟแรงแถมฟรีอาหารเช้าแล้วก็...”

“แล้วก็อะไรครับ”

“แถมเจ้าของห้องด้วย ถ้าเธอสนใจฉันให้เข้าพักได้ทันทีเลย”

“ข้อเสนอดีขนาดนี้ คิดค่าพักยังไงครับ”

“คนกันเอง ฉันขอกาแฟแค่วันละแก้วก็พอ”

“ไม่เอาอะ”

“ทำไมล่ะ”

“บางวันอาจจะอยากชงให้กินวันละสองแก้ว”

“ฉันไม่กินกาแฟก่อนนอน แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นคนชงกาแฟแทนจะให้กินเช้าสายบ่ายเย็นหรือวันละสิบครั้งก็สบายมาก”

“ขอคิดดูก่อนได้ไหมครับ”

“อิงค์”

“อะไรครับ”

“ตกลงเถอะ อยากพากลับบ้านไปไหว้คนที่บ้านจะแย่แล้วเนี่ย”

“เดี๋ยวก่อนนะอิงค์ นี่พูดเรื่องอะไรกัน” ดัสกรเสนอหน้าเข้ามาแทรกกลางวง เขาหันมองหน้าคนสองคนที่จู่ๆ ก็สบตาหวานเยิ้มราวกับในร้านนี้มีกันอยู่กันแค่สองคน “ตกลงนี่นายยังไม่เข็ดจริงๆ เหรอ ลืมแล้วเหรอว่าเขาทำนายร้องไห้เสียใจไปตั้งเท่าไหร่”

“จำได้” อิงค์ตอบยิ้มๆ “แล้วก็จำได้ด้วยว่าไม่ใช่ความผิดพี่สิงห์ แต่เป็นความผิดดามล้วนๆ เลย แล้วดามก็คงไม่ลืมที่บนบานกับศาลพระภูมิหน้าบ้านเราไว้ใช่ไหม ถึงบ้านจะไฟไหม้ไปแล้วแต่เรายังอยู่และจำได้นะ”

ดัสกรเก็บปากแทบไม่ทันและถอยไปตั้งหลักก้าวหนึ่ง “ก็จำได้... แต่ว่าไอ้หมอนี่มันมีดีอะไรวะอิงค์ ไหนตอบให้ฉันฟังสักสองข้อสิ ขอแบบเป็นรูปธรรมจับต้องได้นะ ไอ้แบบนิสัยดีไรงี้ฉันไม่เอา”

“ข้อหนึ่งหล่อ ข้อสองรวยแถมข้อสามให้ด้วยว่าเขาเป็นพ่อเสือน้อยแล้วเราก็รักเขา… อ้าว สี่ข้อแล้วนี่ แค่นี้พอไหมดาม หรือว่าดามอยากได้อีก”

“พอๆ ฉันไม่อยากฟังแล้ว ฉันเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บนะ” ดัสกรรีบโบกมือ

“อย่ายุ่งกับเตียงฉันนะ แล้วคืนนี้ก็อยู่เฝ้าบ้านดีๆ หาข้าวกินเองตกลงนะ”

“อ้าว แล้วอิงค์ไม่พาเราไปเที่ยวไหนเหรอ”

อิงค์ส่ายหน้า “ดามมาปุบปับ วันนี้เราไม่ว่างจะไปนอนบ้านแฟน ถ้าดามไม่โอเคคุยกับแฟนเราเองนะ”

ดัสกรกรเหลือบตามองสิงห์ที่ยักคิ้วให้ครั้งหนึ่ง “สนใจไปกินข้าวบ้านผมไหมครับ”

“ไม่เอา ไม่สน” ดัสกรบอกแล้วลากกระเป๋าเดินขึ้นชั้นสองไป

สิงห์หัวเราะในลำคอก่อนจะหันไปหาคนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ “พูดเองนะ... ที่บอกจะไปนอนบ้านแฟนน่ะ”

“ครับ” อิงค์พยักหน้าพร้อมกับส่งกาแฟในแก้วกระเบื้องที่เพิ่งชงเสร็จส่งให้ “ขี้เกียจเล่นตัวแล้ว แถมกองเชียร์พี่สิงห์ก็เยอะเหลือเกิน เขาลุ้นกันจนเหน็บจะกินแล้วผมจะทำให้ผิดหวังได้ไงล่ะ” บอกพลางพยักเพยิดไปทางบอยกับสารสาที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาฟังพอเห็นว่าเขายิ้มให้ก็ยิ้มตอบแก้เขินแล้วเป็นหันไปคุยกันเอง

สิงห์รับแก้วกาแฟที่โรยนมเป็นรูปหัวใจมาถือไว้ เขายกขึ้นจิบเพียงเล็กน้อยก่อนจะวางแก้วลงแล้วคว้ามือคนชงดึงหายเข้าไปหลังร้าน เขาผลักอิงค์จนหลังชนกำแพงแล้วก้าวเข้าหา แต่ยังไม่ทันจะประชิดตัวคนโดนผลักก็กลับเป็นฝ่ายโผเข้าหาก่อน

“ขมๆ หวานๆ แปลกดี” อิงค์รำพึงเบาๆ กับริมฝีปากหยักที่ยังขบเม้มกลีบล่างของตนไว้แน่น จะว่าไปนี่ก็นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาจูบกันหลังจากที่กินแฟ

“ขออีกคำนะ” สิงห์เผลอปากออกทำท่าจะงับอีกรอบ อิงค์รีบเม้มปากสนิทแล้วถอยห่างเล็กน้อย

“ยังเช้าอยู่เลย” อิงค์บอก “ลูกค้ามาแล้วครับ ผมไปขายของก่อนนะ”

“เดี๋ยวตอนเย็นฉันมารับนะ เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ” สิงห์จงใจเน้นคำว่า ‘เตรียมตัวให้พร้อม’ ให้รู้ว่าคืนนี้อิงค์ต้องเจอกับอะไรบ้างหลังจากที่ปล่อยให้เขานอนเหงามาหลายวัน

อิงค์ไม่ตอบ เขาหันหน้าหลบริมฝีปากที่พุ่งเข้าใส่อีกรอบแล้วผละออกไปหน้าร้าน ทิ้งให้คนตัวโตงับอากาศเล่น

พอตกเย็นสิงห์ก็ขับรถมารอตั้งแต่อิงค์ยังเก็บร้านไม่เสร็จ เขาเข้าไปนั่งรอตรงเก้าอี้รังนกในร้านและใช้ไม้ติดขนไก่หยอกเล่นกับเสือน้อยระหว่างรออิงค์เก็บเสื้อผ้าไปค้างคืนกับเขา ทั้งที่เขาก็บอกแล้วแท้ๆ ว่าไม่ต้อง เพราะเอาไปคืนนี้ก็คงไม่ได้ใช้ ตอนเช้าก็ใส่ตัวเดิมกลับมาก็ได้ ส่วนผ้าเช็ดตัวเครื่องอาบน้ำอะไรก็มีพร้อมหมดแล้ว

“กลัวอิงค์หนีหรือไงครับถึงต้องรีบแจ้นมาเฝ้าเนี่ย” ดัสกรอดแขวะเบาๆ ไม่ได้

“อืม” สิงห์ตอบยิ้มๆ แต่แค่นั้นก็ทำเอาดัสกรไปต่อไม่ถูกแล้ว เขาหันไปทำปากขมุบขมิบและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมแทน

พักหนึ่งอิงค์ก็เดินลงบันไดมาพร้อมเป้หนึ่งใบและตะกร้าสำหรับใส่เสือน้อย

“รู้ใจจัง” สิงห์บอกพลางอุ้มเจ้าแมวส้มวางลงไปในตะกร้าแล้วปิดฝาเรียบร้อย

“นี่ไปค้างกี่คืนเนี่ย ถึงกับขนกันไปทั้งบ้านเลย ให้เสือน้อยอยู่กับฉันก็ได้” ดัสกรพูดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

“เสือน้อยเคยออกไปข้างนอกแล้วโดนรถชนมา ถ้าตื่นมาไม่เห็นฉันหรืออิงค์เดี๋ยวมันจะเตลิดน่ะสิ” สิงห์บอก “ตอนที่มันป่วยใหม่ๆ มันกลัวคนมากเลยนะ ใครจะจับก็ไม่ยอม แล้วก็ซึมไปเลย มันคงเจ็บขามากแล้วฝนก็ตกหนัก อยู่ตัวเดียวตรงนั้นนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ตอนนั้นฉันถึงต้องไปเฝ้ามันทุกวันไง”

“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ” อิงค์ถาม

สิงห์ยื่นแขนให้ดู พอสังเกตดีๆ ก็จะเห็นรอยข่วนที่ยังเหลือจางๆ ตรงนั้นตรงนี้เต็มไปหมด “แรกๆ มันก็ไม่ได้ติดฉันแบบนี้หรอกนะ ก็ได้กันไปหลายแผลแหละกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง”

อิงค์ลูบมือไปตามท่อนแขนแล้วเงยหน้าขึ้นมองสิงห์ “ขอบคุณนะครับที่ช่วยมัน”

“เพราะฉันรู้ว่ามันสำคัญกับเธอไง เธอถึงยอมตากฝนออกไปหามันจนตัวเองป่วยหนัก” สิงห์บอก “และถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดที่เธอยอมทำถึงขนาดนั้น... สำหรับเธอเจ้าหนูนี่ก็ถือเป็นคนในครอบครัวคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ใช่ไหมล่ะ”

อิงค์พยักหน้า

เพราะดัสกรมองอยู่ สิงห์จึงทำได้แค่เอื้อมมือไปสัมผัสแขนอิงค์เป็นการให้กำลังใจ “เรารีบไปกันเถอะ ป้าสำลีกับมอญคงรอแย่แล้ว สองคนนั่นดีใจใหญ่เลยพอฉันบอกว่านี้เธอจะมา”

“ครับ” อิงค์ตอบแล้วหันไปสั่งการต่างๆ กับดัสกรเรื่องใส่กุญแจลงกลอนต่างๆ อีกครั้งก่อนจะขึ้นซ้อนท้ายรถสิงห์อออกไป

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 22(4/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 07-11-2019 19:27:07
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

แล้วก็เป็นตามที่สิงห์บอก พอรถมอเตอร์ไซค์แล่นเข้ามาจอดหน้าข่วงเมืองสิงห์ ป้าสำลีกับมอญที่นั่งรอยืนรออยู่หน้าประตูก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับ

“สวัสค่ะคุณอิงค์” ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน

“สวัสดีครับ” อิงค์กล่าวพลางยกมือไหว้ เพราะเมื่อเช้าสิงห์พูดแปลกๆ อย่างเรื่องจะพาไปไหว้คนที่บ้านน่ะแหละ เลยพลอยทำให้เขารู้สึกประหม่าไปเล็กน้อย “วันนี้ขอรบกวนด้วยนะครับ”

“รบกวนอะไรกันคะ ไม่เลยค่ะ” ป้าสำลีรีบเข้ามาเกาะแขนอิงค์ข้างหนึ่งในขณะที่มอญเกาะอีกข้าง

“ใช่เลยค่ะคุณอิงค์” มอญพยักหน้ารับเป็นลูกคู่ “ว่าแต่ว่าพี่มอญขอถามอะไรคุณอิงค์หน่อยได้ไหมคะ”

“อะไรครับ”

“ตกลงว่าสองคน...” มอญยิ้มกับป้าสำลีแล้วหันไปมองสิงห์ที่กำลังอุ้มเสือน้อยออกจากตะกร้าก่อนจะหัวเราะคิกคัก “เรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ”

“เรียบ... เรียบร้อยอะไรครับ”

มอญเอาไหล่กระแทกเขินๆ ครั้งหนึ่ง “อย่ามาเล่นตัวเลยค่ะ น้องรสาเล่าให้พวกเราฟังหมดแล้ว พอคุณสิงห์ขอเป็นแฟนเสร็จ คุณอิงค์ตอบตกลงก็ลากกันเข้าไปหลังร้าน... ไปทำอะไรกันเหรอคะ... อย่าบอกนะว่าไปชงกาแฟกินกันสองคน พี่มอญไม่เชื่อหรอก”

“ไปกินกาแฟจริงๆ ครับ” อิงค์ตอบอ้อมแอ้ม ...ก็ไม่ได้โกหกจริงๆ นะ...

“แน่ะๆ ยังทำปากแข็ง”

“แหม~ ยัยมอญ มาถามอะไรประเจิดประเจ้อแบบนั้น” ป้าสำลีเอ็ดเบาๆ “คุณอิงค์ไม่ต้องไปสนใจมอญหรอกค่ะ พูดเรื่องลามกอะไรแต่หัววัน คุณอิงค์รีบขึ้นห้องไปอาบน้ำนอนเถอะ ป้าจัดห้องให้เรียบร้อยแล้ว ทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน แล้วจะกินกันยังไงก็ตามแต่สะดวก”

“ป้า~” มอญร้องเสียงหลง

“ป้าหมายถึงถ้าหิวจะไปหาอะไรกินกันก็ตามสะดวก” ป้าสำลีรีบแก้คำพูดใหม่ก่อนจะขยิบตาให้กันพลางเหลือบตามองชายหนุ่มที่ไม่ตอบโต้อะไรแต่หน้าแดงไปถึงไหนๆ “หรือกินมาแล้วจะไม่กินก็ตามใจ แต่พรุ่งนี้ต้องกินนะคะเพราะคุณสิงห์ซื้อวัตถุดิบมาเตรียมทำอาหารให้คุณอิงค์เต็มตู้เย็นเลย ทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่ผักปลาเยอะแยะไปหมด ถึงคืนนี้จะเหนื่อยยังไงพรุ่งนี้ก็ต้องลงมากินข้าวด้วยกันนะคะ”

“พอๆ ทั้งสองคน” สิงห์เข้ามาแทรกโดยการยืนซ้อนหลังอิงค์แล้ววางมือลงบนไหล่ “ป้าสำลีกับพี่มอญแซวขนาดนี้เดี๋ยววันหลังเจ้าหนูนี่ก็เขินจนไม่กล้ามาหาอีกหรอก”

“ขอโทษค่ะ พวกเราตื่นเต้นไปหน่อย ก็เพิ่งเคยเห็นคุณสิงห์พาใครมาบ้านในฐานะอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนไม่ใช่แขกเป็นครั้งแรก” มอญบอก

สิงห์ผ่อนลมหายใจออกจมูกเบาๆ ครั้งหนึ่ง “ฉันพาเจ้าหนูนี่ขึ้นไปดูห้องนะฝากดูเสือน้อยด้วย” พูดจบก็เลื่อนมือลงไปคว้าข้อมืออิงค์แล้วจูงหนีขึ้นไปบนห้องใต้หลังคาก่อนที่จะโดนแซวมากไปกว่านี้อีก

อิงค์กวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่เขาไม่ได้เข้ามานานแล้ว คิดถึงครั้งแรกที่เข้ามาในนี้เพราะต้องย้ายห้องเนื่องจากท่อแอร์รั่วแล้วก็อดขำในความซวยซ้ำซวยซ้อนของตัวเองไม่ได้ ยิ่งครั้งที่สองยิ่งขำไปกันใหญ่กับความใจกล้าหน้าด้านของตนเองที่คิดจะบุกมาปล้ำเจ้าของห้อง ครั้งสามที่เขาเป็นอ้อนขอเข้ามานอนด้วย

และครั้งนี้... ครั้งที่สี่...

ความคิดหยุดชะงักไปเมื่อร่างสูงใหญ่เดินเข้ามายืนซ้อนหลังแบบแนบชิดพร้อมกับสอดแขนเข้ารอบเอวแล้วโอบกอดเอาไว้แน่น

“คิดอะไรอยู่ถึงได้เงียบไป” สิงห์ถาม

“คิดไม่ถึงว่าผมจะได้มาในห้องนี้อีก” อิงค์ตอบ “และไม่ได้เข้ามาแบบงงๆ หรือแอบเข้ามาเหมือนครั้งก่อนๆ ด้วย แต่พี่สิงห์ไปรับผมมาเองแล้วผมก็เต็มใจมา”

สิงห์กดริมฝีปากลงข้างขมับ ตัวเขาเองก็ไม่คิดว่าจะมีวันนี้เหมือนกัน ทั้งที่คิดว่าตัวเองปิดตายประตูหัวใจไม่คิดจะรักใครอีกแล้ว แต่สุดท้ายก็กลับกลายเป็นตัวเขาที่เป็นฝ่ายออกไปตามคนที่คิดจะพยายามบุกเข้ามา และพากลับมาอยู่ด้วยกันเสียเอง “ฉันบอกรักเธอหรือยัง”

อิงค์เอนหลังลงพิงอกกว้างนั้นเต็มที่อย่างไม่กลัวจะล้มเพราะถึงอย่างไรสิงห์ไม่ปล่อยมือจากเขาอยู่แล้ว “ยังเลยครับ ได้แต่ขอเป็นแฟน”

หน้าคมสอดเข้ามาวางลงบนหัวไหล่แล้วกระซิบที่ข้างหูราวกับกลัวว่าคนฟังจะไม่ได้ยิน “รักนะ”

อิงค์วางมือทาบลงไปบนท่อนแขนที่กอดรัดอยู่รอบตัวแล้วหันไปสบตาสิงห์ “รักเหมือนครับ” แล้วหลับตาลงรับรอยจูบที่ประทับลงมา

ลิ้นอุ่นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปากแล้วกวาดชิมจนทั่วกระตุ้นเร้าอย่างหนักจนอิงค์เริ่มหายใจไม่ทัน มือใหญ่ลูบผ่านไปทั่วแผ่นหลังและแนวสะโพกเกิดความรู้สึกหวาบไปทั่วทั้งร่าง

“อาบน้ำไหม” สิงห์กระซิบถามเป็นอันรู้กันว่าจะทำอะไรต่อจากนี้

“อาบมาแล้วครับ” อิงค์ตอบพร้อมกับถอดเสื้อออกโยนลงบนพื้น

ตาคมพราวระยับขึ้นทันทีเมื่อผิวขาวเนียนที่ไม่ได้เห็นมานานปรากฏสู่สายตา สิงห์พุ่งเข้าไปจูบอีกครั้งพลางรุกไล่ร่างโปร่งหงายหลังล้มลงบนเตียงโดยมีตัวเขาที่ยังจูบไม่ปล่อยคร่อมทับอยู่ด้านบน

“ถึงว่าสิ หายขึ้นไปชั้นสองนานเลย”

“ก็พี่สิงห์บอกให้ผมเตรียมตัวให้พร้อม” อิงค์บอกอายๆ “ผมก็ทำตามแล้วไง”

สิงห์เลิกคิ้ว “ทำอะไร”

“อยากรู้ก็ดูเองสิครับ”

มือใหญ่สอดลงตรงขอบกางเกงผ้าแล้วรูดทั้งกางเกงชั้นนอกและชั้นผ่านเรียวขายาวออกไปโยนกองรวมไว้กับเสื้อ สิงห์จับท่อนขาแยกออกพาดค้างไว้บนต้นแขน เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากราวกับสิงโตกำลังหิวกระหายเมื่อเห็นเหยื่อนอนรอให้กินอยู่ตรงหน้า และเหยื่อก็เป็นเนื้อสีชมพูหวานฉ่ำดูเย้ายวนใจเสียเหลือเกิน

สิงห์ลงมือกินทันทีโดยไม่รอช้า ลิ้นอุ่นกวาดไปทั่วทั้งด้านบนและด้านล่าง

ร่างโปร่งนอนเกร็งจนสะโพกแทบไม่ติดเตียง ฝ่ามือสอดเข้าใต้เรือนผมยาวแล้วขยุ้มไปมาเหมือนว่ามันจะช่วยลดอการที่เหมือนกำลังโดนกระแสไฟฟ้าช็อตไปทั่วร่างนี้ได้ เรียวขาคอยจะหนีบเข้าหากันแต่ก็ติดร่างหนาที่สอดแทรกอยู่ตรงกลาง อิงค์จึงทำได้แค่เกี่ยวกระหวัดขาไว้ด้วยกันตรงรอบเอวของอีกฝ่าย

“พี่สิงห์... พอก่อนครับ... อย่าเพิ่ง...”

สิงห์ละปากจากความร้อนที่ครอบครองอยู่เงยหน้าขึ้นมองคนใต้ร่างที่บิดเกร็งไปถึงตัว “ไม่เป็นไร เสร็จเลยก็ได้”

“ไม่เอา...” อิงค์กระซิบเสียงพร่า “ผมไม่อยากทำแบบครั้งที่แล้ว... ผมอยากเสร็จพร้อมพี่สิงห์”

อ้อนกันถึงขนาดนี้มีหรือคนอย่างสิงห์จะทนได้ไหว เพราะเขาเองก็อดใจมานานแล้วเหมือนกัน เขาลุกขึ้นถอดเสื้อและกางเกงของตนออกจนเหลือแต่ตัวเปล่าเปลือย

ถึงไม่ตั้งใจจะมองและเห็นมาก็หลายครั้งแล้ว แต่อิงค์ก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้ ผิวสีแทนยิ่งขับให้ร่างกำยำสมส่วนดูเร่าร้อนแม้ตอนนี้อากาศจะเย็นจัด เรือนผมยาวที่กระจายลงมาปิดหน้าอกบางส่วนทำให้เขายิ่งรู้สึกอยากเอามือไปปัดออกดูว่ามีอะไรซ่อนอยู่ และความเป็นชายที่อยู่ตรงกลางระหว่างท่อนขาแกร่งนั้นก็ดูเหมือนจะพร้อมแล้วเหมือนกัน

สิงห์ทาบทับร่างลงมาอีกครั้งพร้อมกับสอดใส่เข้ามาในตัวอิงค์ที่รออยู่แล้ว แต่ด้วยขนาดของลูกชายสิงห์ที่อยู่ในเกณฑ์ใหญ่ที่สุดของมาตรฐานชายไทยและระยะเวลาการที่ห่างหายกันไปนานของทั้งสองจะทำให้เกิดความคับแน่นมากกว่าทุกครั้ง

ร่างโปร่งผวาขึ้นจากเตียงจนสิงห์ต้องรีบจูบปากปลอบขวัญ แล้วค่อยขยับเข้าออกช้าๆ เพื่อให้เกิดความเคยชิน และเพิ่มสารหล่อลื่นตามธรรมชาติ เพียงแค่ครู่เดียวสิงห์ก็สามารถสอดใส่ความรักเข้าไปในตัวอิงค์ได้จนสุด

จากจังหวะเนิบช้าในทีแรกเริ่มรุนแรงและเร่งเร้า อิงค์จิกเล็บลงบนแนวบ่าที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นอย่างเผลอตัว หากสำหรับสิงห์รอยแผลนั้นไม่ได้ทำให้เจ็บแต่เป็นเหมือนแส้เฆี่ยนให้เขายิ่งกดสะโพกเข้าลึกและถี่กระชั้นมากขึ้น

ดูเหมือนอิงค์ที่อดกลั้นมาได้สักพักใหญ่จะเป็นฝ่ายอดทนไม่ไหวก่อน ปลายเท้าเกร็งกวาดไปบนผ้าปูเตียงจนยับยู่ ในอกวาบหวิวรู้สึกเสียวซ่านไปทั้งร่าง

สิงห์ประกบปากลงมาเติมเต็มความรู้สึกหวามหวานให้จนสุดทางพร้อมกับเร่งความเร็วขึ้นอีกเพื่อส่งตัวเองตามอิงค์ไปติดๆ

ทั้งสองกอดกันแน่น ร่างกายชื้นเหงื่อเต็มไปด้วยคราบไคลของความรัก โดยที่สิงห์ยังคงปักหลักอยู่ในตัวอิงค์

“ขออยู่แบบนี้อีกหน่อยนะ” สิงห์กระซิบเสียงพร่า “แบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกว่าได้กอดเธอหมดทั้งตัวแล้วจริงๆ”

แก้มที่แดงอยู่แล้วจากการออกแรงมากมายซับสีเข้มขึ้นอีก อิงค์สอดมือเข้าโอบรอบแผ่นหลังกว้างแล้วลูบไล้ไปทั่ว เขาเองก็ชอบความสนิทแนบชิดแบบนี้เหมือนกัน

“อิงค์” สิงห์เรียกขึ้น

“อะไรครับ”

สิงห์ยกตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้สบตากันชัดๆ และพูดความในใจที่เหลือออกมา “เธอไม่ได้มีแค่เสือน้อยนะ เธอยังมีฉันอีกคนอยู่ตรงนี้กับเธอ... ขอให้ฉันเป็นครอบครัวของเธอได้หรือเปล่า”

อิงค์รู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าว เขาโผเข้ากอดสิงห์แน่นแล้วซบหน้าแนบลงบนอกกว้างเพื่อซ่อนน้ำตาที่กำลังจะไหล “ครับ”

สิงห์กดจูบลงข้างขมับแล้วโอบกอดคนในอ้อมแขนแน่นขึ้นอีก ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนท่านอนให้ถนัด แล้วในตอนนั้นเองลูกชายของเขาที่ยังคงคาอยู่ให้ตัวอิงค์ก็เกิดเสียดสีไปมา จากที่เหมือนจะหลับไปแล้วรอบหนึ่งก็กลับมาตื่นเต็มตาอีกครั้ง

“พี่สิงห์... ท... ทำไม...” ตอนนี้อิงค์เริ่มรู้สึกว่าทั้งตัวร้อนไปหมดอีกรอบโดยมีต้นกำเนิดจากจุดที่ยังคงเชื่อมถึงกันอยู่

“ช่วยไม่ได้” สิงห์กระซิบเจ้าเล่ห์ “ถ้างั้นก็ต่ออีกสักยกละกันนะ”


อิงค์มารู้สึกตัวตื่นอีกทีตอนได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก เขาหยิบมากดปิดและหันไปหาสิงห์แต่พื้นที่เหลือบนเตียงนั้นว่างเปล่า อิงค์กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก็ไม่เห็นแม้เงา แต่มีเสื้อผ้าหนึ่งชุดพร้อมผ้าเช็ดตัววางเตรียมไว้ให้ตรงปลายเตียง

อิงค์ลุกไปอาบน้ำแต่งตัว ครั้งนี้ชุดที่สวมใส่นั้นพอดีตัวไม่หลวมโพรกพรากน่าเกลียดแบบคราวที่แล้วเพราะสิงห์ตั้งใจซื้อมาเตรียมไว้ให้อิงค์โดยเฉพาะ ไม่ได้ให้ใส่ชุดตัวเอง อีกทั้งยังไม่ได้มีแค่ชุดเดียวแต่มีอีกหลายชุดไว้เผื่อวันไหนอิงค์นึกอยากจะมาปุบปับหรือถ้าอิงค์อยากจะย้ายมาอยู่ด้วยกันเลยเขาก็พร้อมจะซื้อตู้เสื้อผ้ามาเพิ่มอีกใบแล้ว

ระหว่างทางเดินลงไปชั้นล่าง อิงค์ก็กวาดสายตามองไปรอบๆ ข่วงเมืองสิงห์ มองผ่านหน้าต่างออกไปด้านนอกที่บรรยากาศเงียบสงบและสดชื่น เขาเดินช้าๆ เนิบๆ ตามจังหวะเวลาของคนเมืองน่าน ค่อยๆ ซึมซับสิ่งต่างๆ รอบตัวเอาไว้ ห้าปีที่แล้วที่เขามาเป็นยังไง วันนี้ความรู้สึกนั้นก็ยังเหมือนเดิม

...ความรู้สึกที่หัวใจเหนื่อยล้าได้เติมเต็ม และสัมผัสได้ว่าสิ่งดีๆ กำลังจะเริ่มต้นขึ้น...

พอเข้าไปในห้องอหาร เขาก็เห็นร่างสูงใหญ่คุ้นตาในชุดเสื้อผ้าฝ้ายแบบที่เจ้าตัวสวมใส่เสมอๆ กำลังจัดวางหม้อข้าวต้มอยู่ตรงโต๊ะด้านใน วันนี้ผมยาวไม่ได้มัดแต่ปล่อยกระจายอยู่ด้านหลัง มีเสือน้อยเดินคลอเคลียอยู่ที่ข้างขาขอเล่นด้วย แต่พอเห็นว่าพ่อไม่สนใจมันก็เปลี่ยนวิธีเรียกร้องความสนใจเป็นกระโดดขึ้นไปนอนแผ่บนเก้าอี้

รอยยิ้มบางค่อยคลี่ขึ้นบนริมฝีปากกับภาพตรงหน้า และยิ่งกระจายไปเต็มหน้าเมื่อสิงห์หันมาสบตาเขา

“อิงค์กินข้าว” สิงห์บอกสั้นๆ พลางพยักเพยิดไปยังชามข้าวต้มหมูสับเห็ดหอมร้อนๆ ในมือที่เตรียมไว้ให้แล้วเดินไปนั่งลงตรงเก้าอี้ถัดจากเสือน้อย เขาเอื้อมมือไปเกาพุงให้เจ้าแมวส้มที่นอนเหยียดยาวคอยท่ารออยู่แล้ว

“ครับ” อิงค์ตอบก่อนจะหยิบแก้วขึ้นมาชงกาแฟสำหรับสี่ที่ สิ่งที่อิงค์เตรียมใส่เป้มานั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่เสื้อผ้าแต่เป็นอุปกรณ์ชงกาแฟที่เขาเตรียมมาด้วย

พอเขาชงเสร็จป้าสำลีกับมอญก็เดินเข้ามาพอดี

“กาแฟครับป้าสำลี พี่มอญ” อิงค์บอกพร้อมกับยกไปส่งให้แต่ละคนกับมือ ซึ่งทั้งสองก็รับไปพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนที่เขาจะหยิบกาแฟสองแก้วที่เหลือแล้วเดินไปนั่งลงข้างสิงห์ “แก้วนี้ของพี่สิงห์ครับ”

“ไม่อิ่มเติมได้อีกนะ” สิงห์บอก “ฉันทำไว้ให้เธอเยอะเลย”

ทั้งสองสบตาแล้วยิ้มให้กันพร้อมกับลงมือรับประทานอาหารเช้า

ไม่มีใครรู้ว่ารักครั้งนี้จะอยู่นานแค่ไหน จะแค่ชั่วคราวเหมือนรักครั้งก่อนที่ผ่านเข้ามา หรือว่าจะคงอยู่ตลอดไป แต่ตอนนี้ทั้งคู่ก็พร้อมแล้วที่จะจับมือและเริ่มต้นออกเดินไปพร้อมๆ กัน


The End

#####################

Talk

ไม่น่าเชื่อว่าพล็อตเรื่องสั้นจะพาเรามาไกลขนาดนี้ได้ ที่คิดไว้เต็มที่ก็แค่ร้อยหน้า แต่ตอนนี้ถึงบทที่23 คือ184 หน้า เปรียบเทียบง่ายๆ ก็ยาวเกินER กับเสียงซ่อนหัวใจไปแล้ว และยาวกว่า Textbook2ที่ 174 หน้า

ขอบคุณทุกๆ คนที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ
พล็อตในบางช่วงบางตอนที่ดูหลวมไปบ้าง หรือห้วนบ้างไม่ได้อย่างใจ ต้องขอโทษด้วย นี่ก็พยายามเต็มที่ในฐานะนัก(อยากจะ)เขียน ก็จะพยายามฝึกฝีมือต่อไปนะคะ


ใครมีทวิตเตอร์ละอยากเม้ามอยเป็นการส่วนตัว มาฟอลกันได้นะคะ แต่เราอาจจะไม่ได้อัปนิยายเท่าไหร่ ส่วนมากจะเอาไว้ติ่งกับอัปของกินและรีทวิตรูปแมวค่ะ Check out PiGGy (@leGGyDan): https://twitter.com/leGGyDan?s=09


หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 23 จบ(7/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 07-11-2019 21:01:16
ชอบเรื่องนี้มากจ้า ความจิงชอบทุกเรื่องที่คนเขียนแต่งเลยค่ะ. อ่านแล้วมีความสุข ถึงแม้จะอยากตบอิพี่สิงห์ไปบ้าง เป็นกำลังใจมห้คนแต่ง แต่งเรื่องต่อไปมาให้อ่านจ้า :กอด1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 23 จบ(7/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-11-2019 22:49:23
 :katai2-1: o13 :katai2-1:



 :กอด1: :L2: :L2: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :L2: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 23 จบ(7/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 07-11-2019 22:51:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 23 จบ(7/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Seilong2 ที่ 08-11-2019 00:42:49
สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 23 จบ(7/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-11-2019 01:25:30
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 23 จบ(7/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-11-2019 01:29:10
ซึ้งอ่าาาาาา   :hao5:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 23 จบ(7/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-11-2019 06:35:58
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 23 จบ(7/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 09-11-2019 07:46:46
 :pig4: :pig4:

 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 23 จบ(7/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 10-11-2019 03:28:01
สนุกมากค่ะ
พี่สิงห์โหด แต่เฮียก็น่ารัก
ยิ่งไปอ่าน "แชทลับ" ของเฮียกะน้อง
ยิ่งน่ารัก ... เฮียค่อดจะมุ้งมิ้งเลย

ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องราวดี ๆ :pig4:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 23 จบ(7/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 14-11-2019 04:53:37
 :mew1: :mew1: :กอด1: :กอด1: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 23 จบ(7/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: tangtey59 ที่ 14-11-2019 08:31:49
เรื่องนี้ สนุกมากค่ะ ผู้แต่งเขียนดีมากเลยยยย
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 23 จบ(7/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 14-11-2019 14:15:58
 :haun4: ชอบความอยู่ดีๆก็ลากขึ้นเตียงได้แบบปุบปับบบบ พี่สิงห์ฮอตมากแม่ ส่วนหนูน้อยอิงค์ก็คือนัวนะจ๊ะว่าไม่ได้ต่อไปนี้ขอให้มีแต่รเื่องดีๆนะลูกกกกก แต่นี่เอฟซีเสือน้อยนะจ๊ะดวงใจแม่เลยยยยยรักสุดในเรื่อง  :mew1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 23 จบ(7/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 16-11-2019 10:30:12
กว่าจะเข้าใจกันเหนื่อยกันไป ต้องยกความดีความชอบให้เจ้าเสือน้อยเลย ไม่อย่างงั้นคงสมหวังช้ากว่านี้ สนุกดีค่ะ รอตอนพิเศษอยู่จ้า
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 23 จบ(7/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: BearinMind ที่ 20-11-2019 22:09:59
ขอบคุณที่แต่งให้อ่านค่ะ :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 23 จบ(7/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 21-11-2019 07:17:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 23 จบ(7/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: nyxca ที่ 21-03-2020 23:31:11
อิพี่สิงนี่ยังไง เมียตายและบอกให้หัวใจคนอื่นไปแล้ว เอ้า งงใจ น้องอิงค์ไม่ต้องไปสนใจนางหรอกลูก ปล่อยให้นางแห้งตายไปกับอดีตนั่นแหละ ไร้สาระจริงๆคนตายก็ตายไป คนอยู่นี่สิไม่รักษาน้ำใจกันเลย



Edit///อ่านจบหน้าสองแล้ว เสียใจจังค่ะ ถ้าเราเป็นอิงค์ และรู้ความในใจของสิงทั้งหมดเราคงเจ็บปวดโครตๆ จงรักภักดีและยังรักผู้หญิงที่ทิ้งตัวเองไป ยอมสิง อิงค์ไปเถอะนะถ้ารู้ความจริงแล้ว ความรักแบบนี้อยู่คนเดียวดีกว่า


Edit//จบหน้าสามละ ให้อิสิงมันโดนบ้างก็ดีนะคะ พูดตรงๆเป็นพระเอกที่ทำให้เสียความรู้สึกมาก ไปเดินห้างกับอิงค์แต่คิดถึงเกตตลอด ดูเหมือนอยากกลับไปหาเกตตลอด แต่ก็กลัวอิงค์หลอกทั้งที่บอกจะไม่รักเค้าขอเทพระเอกคนนี้ ไม่ไหว แต่อ่านต่อนะ5555 เพราะรักอิงล้วนๆ


Edit///อ่านจบแล้ว เรื่องนี้ทำให้เราอินจริงๆนะ เพราะอ่านจนจบเราก็ยังเกลียดสิงห์มากอยู่ดี อาจจะเพราะคนเขียนใส่ความคิดของสิงห์ที่มีต่อเกตมาพอสมควรเลยทำให้เรารู้สึกว่าสิงก็ไม่ได้แคร์อิงค์เท่าไหร่ หรือจะบอกว่าสิงห์สายซึนก็คงไม่ใช้มั้ง

-ตอนแรกเจอกันบอกหัวใจให้คนอื่นไปแล้ว รักใครไม่ได้อีก หลังๆท้ายเรื่องบอกรักอิงค์
-ตอนไปเดินห้างกับอิงค์แล้วเจอพ่อกับเกตก็คิดว่าถ้าไม่ทะเลาะกับเกตุวันนั้นคงเป็นตัวเอวที่เดินอยุ่ข้างๆแทนพ่อ(แต่เจอหน้าเกตุก็ทำเป็นไม่แคร์นะ งงปะ)
-จูบอิงค์ตรงสนามเชียร์กีฬาให้เกตุเห็น ประชดหลอ? แล้วเกตุทำเหมือนไม่โอเคทีแรกแต่มากลับลำท้ายเรื่องบอกกลัวพระเอกแก้แค้น

อันนี้เราบันทึกไว้เผื่อวันหลังมาเจอจะได้รู้ว่าอ่านแล้วและคิดไงกะเรื่องนี้เพราะเราจำไม่ค่อยได้ว่าอ่านอะไรไปบ้าง สรุปขอบคุณคนเขียนค่ะ อย่างที่บอกเราอินมากและสิงห์เป็น1ในพระเอกที่้เราไม่ชอบ แต่อิงค์จะเป็นหนึ่งในนายเอกที่้เราชอบค่ะ ขอบคุณค่า^^
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 23 จบ(7/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 22-03-2020 08:14:09
เพิ่งได้ตามอ่านทีเดียวจบ ดีมากๆเลยค่ะ ฮือออออออ หลงรักพี่สิงห์หนุ่มวัย 35 กับเมียเด็กกว่า 10 ปี น้องอิงค์ของเขา อ่านแล้วนึกถึงบรรยากาศที่น่านเลย อยากไปเที่ยวอีกซักครั้ง ขอบคุณที่เขียนเรื่องนี้มาให้อ่านนะคะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Last Room บทที่ 23 จบ(7/11/2019) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 13-04-2020 21:53:18
บนทึกประจำวันของเสือน้อย : แม่อิงค์ของเสือน้อย


ผมเป็นแมวส้ม ผมเกิดมาในลังกระดาษที่กองสุมๆ อยู่ในบ้านร้างหลังหนึ่งพร้อมพี่ชายอีกสองตัว พวกเราทั้งสามตัวเป็นแมวส้มเหมือนกันหมด แม่ทิ้งเราไปแต่เด็กปล่อยให้เราสามตัวพี่น้องผจญภัยในเมืองน่านกันตามยถากรรม

พี่ๆ ของผมชอบเล่นไล่จับผีเสื้อ ผมเองก็เหมือนกันมาวันหนึ่งเจอผีเสื้อปีกสีขาวตัวเล็กน่ารัก พวกเราซึ่งมีพี่ใหญ่นำทีมก็พยายามไล่ตะครุบมันไปรอบๆ

ผีเสื้อสีขาวบินออกไปที่ถนน พี่ใหญ่ของผมที่ต้องการแสดงความเท่ให้น้องๆ ดูก็รีบกระโจนตามออกไป

โครม!

รถคันหนึ่งวิ่งผ่านมาพอดี ผมซึ่งยังเด็กมองไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พี่รองรีบคาบคอผมลากกลับบ้านและบอกผมว่าพี่ใหญ่ไปสวรรค์แล้ว

พี่ใหญ่ของผมนี่เก่งจังเลยนะ กระโดดแค่ครั้งเดียวก็ไปไกลถึงสวรรค์แล้ว

ผมอยู่กับพี่รองสองคน พี่รองจะเป็นคนคอยสอนให้ผมหาอาหารและสอนให้ผมหนีศัตรู พี่รองบอกว่าศัตรูตัวร้ายของเราคือรถ หมาแล้วก็มนุษย์เพราะมนุษย์จะทุบตีและไล่เรา มีครั้งหนึ่งผมจำได้แม่นเลย เรากำลังค้นของกินจากสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าถังขยะจู่ๆ ก็มีมนุษย์ผู้ชายวิ่งมาต่อว่าเราด้วยท่าทางน่ากลัวแล้วก็สั่งให้หมาที่เขาเลี้ยงไว้วิ่งไล่กัดเรา เจ้าบางแก้วจอมดุร้ายตัวนั้นดูหยิ่งผยองแล้วก็ภูมิอกภูมิใจกระดิกหางให้มนุษย์ใหญ่เลย แล้วก็ให้มนุษย์ลูบหัวด้วย พี่รองบอกว่าหมาน่ะเป็นสัตว์ที่ไม่มีสมองแล้วก็โง่ ชอบให้มนุษย์บงการ ส่วนแมวอย่างเราเป็นสัตว์ชั้นสูง เราฉลาด ไม่ชอบให้ใครมาชี้นิ้วสั่ง และเราก็อยู่ของเราเองได้ คันก็แค่เอาหัวหรือตัวถูๆ กับท่อนไม้บ้างเสาไฟฟ้าบ้าง แถมก็มีเท้าปุยๆ ตั้งสี่เท้าเกาเองก็ได้ทำไมต้องไปง้อพวกมนุษย์ด้วย

วันหนึ่งผมเจ็บขาออกไปหาอาหารไม่ไหว พี่รองจึงอาสาออกไปหาให้ ผมนอนรออยู่ในลังกระดาษใบเก่าของเรา พอได้ยินเสียงอะไรกุกกักก็คอยชะโงกหน้าออกไปมองเพราะคิดว่าพี่รองกลับมาแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ บางครั้งก็เป็นนก หนู หรือแค่เสียงใบไม้ปลิว

ผมนอนรอพี่รองอยู่สามวัน พี่รองก็ไม่กลับมา ขาผมเริ่มหายเจ็บแต่ท้องหิวจนแสบไปหมด ผมจึงรวบรวมเรี่ยวแรงที่ยังพอมีเหลือ เดินออกจากลังกระดาษเพื่อไปหาอาหาร โชคดีที่เจอคนทิ้งก้างปลาที่ยังพอมีเนื้อติดลงถังขยะ ตัวผมที่หิวมาหลายวันจึงรบแทะกินอย่างเอร็ดอร่อยจนลืมมองดูรอบๆ ว่าเจ้าบางแก้วคู่ปรับเก่าของผมได้มายืนจังก้าอยู่ด้านหลัง

มันหมอบตัวราบไปกับพื้นแล้วกระโจนเข้าใส่ โชคดีที่ผมตัวเล็กจึงย่อตัวหลบกรงเล็บของเจ้าบางแก้วจอมโหดไปได้ เจ้าหมาตัวนั้นหันหลังกลับมาขู่ฟ่อใส่ คงตั้งใจจะจับผมไปอวดเจ้านายมนุษย์ของมันให้ได้แน่ๆ ผม วิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต แต่เจ้าบางแก้วนั่นก็วิ่งตามมาติดๆ ผมจึงตัดสินใจปีนขึ้นไปหลบบนรูปปั้นสิงโตเพราะพี่รองสอนว่าหมาปีนต้นไม้ไม่ได้

เจ้าบางแก้วเห่าอย่างขัดใจ มันเดินวนไปวนมารอบรูปปั้นสิงโตที่ผมซ่อนตัวอยู่เป็นนานก่อนจากไปเพราะได้เวลากินข้าวเย็น

ผมชะโงกหน้าลงไปมองข้างล่าง มันสูงจนใจหวิว ขึ้นมาได้แต่ดันลงไม่ได้ ผมนอนขดตัวหลบแดดอยู่ในปากสิงโตนั่นด้วยความอ่อนแรง คิดถึงพี่ใหญ่ พี่รอง ถ้าพี่ทั้งสองตัวยังอยู่คงช่วยเลียหูเลียขนที่ยุ่งให้จนเรียบแล้วก็หาอาหารมาให้ผมกินแน่ๆ แต่ตอนนี้พี่ๆ ไม่อยู่แล้ว เหลือผมอยู่ตัวเดียว

...เหงาจัง...

“อิงค์ มีแมวอยู่ตรงนี้แน่ะ”

ผมลืมตาขึ้นมาเห็นมนุษย์ตัวโตผิวดำผมยาวพยายามเอื้อมมือมาจับตัวผม ไม่นะ! แกจะจับฉันไปกินเหรอเจ้ามนุษย์ ฉันไม่อยอมหรอกนะ

แง้ววววววว!

ผมสู้สุดชีวิต ถึงจะเป็นแค่ลูกแมวตัวเล็กๆ อายุสองเดือนก็เถอะ ผมจะไม่ยอมเสียศักดิศรีให้มนุษย์มาจับตัวได้ง่ายๆ เหมือนที่พี่ๆ สอนไว้ แต่แล้วผมก็พลาดท่าเข้าจนได้ ร่างเล็กกระจ้อยร่อยไร้เรี่ยวแรงของผมลอยลอยละล่องตกลงสู่วงแขนของใครคนหนึ่ง

ผมลืมตาโตมองคนที่อุ้มผมไว้ ใครคนนั้นก็ทำตาโตใส่ผมเหมือนกัน

ใครจะไปรู้ว่าหลังจากที่สบตากันเสี้ยวนาทีนั้น ชีวิตแมวส้มกำพร้าอย่างผมก็เปลี่ยนไปตลอดกาล...

แต่ผมไม่ได้ผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ใหญ่พี่รองนะ ผมไม่ได้มาอยู่กับมนุษย์ ผมมาอยู่กับแม่ต่างหาก

แม่ผมชื่ออิงค์ และตั้งชื่อให้ผมว่า เสือน้อย โห~ เป็นชื่อที่เท่มากเลย ผมชอบชื่อนี้ที่สุดเลยคับแม่

แม่อิงค์เป็นมนุษย์แต่บางครั้งผมก็ว่าแม่อิงค์เหมือนเทวดา เพราะแม่อิงค์ตัวขาว สูง หล่อ ยิ้มทีเหมือนโลกมันสว่างสดใสไปจนถึงสวรรค์แล้วก็ใจดีมากๆ ด้วย ตามใจผมทุกอย่าง หาข้าวให้กิน พานอนบนที่นอนอุ่นๆ ซื้อปลอกคอให้ใส่

แม่อิงค์เป็นเจ้าของร้านกาแฟชื่อ It’ s Ra เห็นไหมแม่อิงค์ของผมนอกจากหน้าตาดีแล้วยังเก่งอีกด้วย ร้านของแม่ตั้งอยู่ตรงทางไปวัดเขาน้อย ใครมาเที่ยวจังหวัดน่านก็มาแวะชิมกาแฟแม่อิงค์ได้นะ ผมไม่เคยชิมหรอก แมวกินนมวัวแล้วปวกท้องนะเผื่อมนุษย์บางคนไม่รู้ แต่ผมรู้ว่ากาแฟที่แม่อิงค์ชงต้องอร่อยแน่ๆ เมนูซิกเนเจอร์ของร้านเป็นลาเต้ที่ปั้นฟองนมเป็นรูปหน้าผมล่ะ แม่ผมขายไม่แพงนะแก้วละสี่สิบเอง ซื้อหนึ่งแก้วแถมรอยยิ้มของแม่อิงค์กับใบเสร็จ ซื้อสองแก้วแถมถุงใส่ ซื้อสามแก้วก็ได้ไปสามแก้วแหละ ดีจะตาย

อะ! แล้วถ้าคุณถือขนมแมวเลียติดมือมาด้วย ไม่ว่าจะซื้อกี่แก้วผมก็จะยอมให้จกพุงหนึ่งที นี่ผมอุทิศตนเพื่อร้านสุดๆ เลยนะ ผมรับลูกค้าเก่งจะตาย ใครมาก็ต้องขอถ่ายรูป เบื่อจังเลยเป็นคนดังเนี่ย ผมชอบนอนเฝ้าแม่อิงค์ที่หน้าเคาน์เตอร์เวลาแม่อิงค์ชงกาแฟ ถ้วยสแตนเลสมันสะท้อนแสงวิบวับๆ ดูเพลินตาดี กลิ่นกาแฟหอมฟุ้ง แต่ถ้าวันไหนผมรับแขกเหนื่อยผมจะหนีไปนอนบนเก้าอี้รังนกตรงข้างหน้าต่าง ตรงนั้นเบาะนุ่มมีแดดส่องอุ่นๆ นอนสบาย ถ้าใครมาเจอผมหลับอนุญาตให้ถ่ายรูปได้ แต่ช่วยเลือกรูปสวยๆ ลงอินสตาแกรมหน่อยนะ อย่าลงภาพน่าเกลียดประเภทลิ้นห้อย พุงปลิ้นล่ะ เดี๋ยวเสียชื่อเน็ตไอด้อลคนดังแห่งจังหวัดน่านหมด

นับตั้งแต่มาอยู่กับแม่อิงค์ชีวิตของผมเปลี่ยนไปมากไม่ตกระกำลำบากเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ใช่ว่าจะมีความสุขทุกวันเพราะวันดีคืนดีก็มีมนุษย์ยักษ์ตัวดำที่พยายามจะกินผมวันนั้นมาหาแม่อิงค์ ท่าทางของเขาไม่เป็นมิตรเลย ชอบแกล้งแม่อิงค์ ให้แม่อิงค์ร้องครางเสียงดังด้วยความเจ็บปวดบางครั้งแม่อิงค์ก็ถึงกับร้องไห้เลยด้วย ผมก็เลยต้องทำตัวเป็นบอดี้การ์ดคอยกันท่าไม่ให้มนุษย์ยักษ์ตัวดำนั่นเข้ามาใกล้แม่ได้ ถึงผมจะตัวเล็ก แต่ผมสู้สุดใจเพื่อปกป้องแม่ผมนะ ผมทั้งกัดทั้งข่วนมนุษย์ยักษ์ตัวดำนั่น แต่สุดท้ายเพราะผมตัวกะจิ๋วหลิว ผมก็เลยโดนหิ้วคอออกมาทิ้งไว้หน้าห้อง แล้วเจ้ามนุษย์ยักษ์ตัวดำนั่นก็ล็อกประตูเข้าไปแกล้งแม่อิงค์ทั้งคืน ผมก็ทำได้แค่ร้องเหมียวๆ นอนเฝ้าหน้าห้องรอจนฟ้าสางแม่อิงค์ถึงออกมาเปิดประตูให้

ผมไม่ชอบเจ้ามนุษย์ยักษ์ตัวดำนี่เลย ชอบแกล้งผมทั้งต่อหน้าและลับหลังแม่ แต่แม่อิงค์สถาปนาเขาเป็นพ่อ ไม่นะฮะแม่ มีพ่อน่าตาน่าเกลียดแบบนี้ แถมยังเป็นตาลุงผมเผ้ายาวรุงรังอีก ผมยอมมีแม่คนเดียวดีกว่าพ่อไม่ต้องมีหัวก็ได้

มาวันนึงแม่อิงค์เดินโซเซกลับมา แม่อิงค์ดูสีหน้าไม่ดีเลย ผมอยากทำให้แม่อิงค์ยิ้ม เอาหัวถูไถ พยายามอ้อนให้แม่อิงค์ยิ้ม แต่แม่อิงค์ก็ยิ้มได้จืดจางเสียยิ่งกว่าน้ำล้างก้างปลาทูอีก แล้วแม่อิงค์ก็ผล็อยหลับไปตรงเคาน์เตอร์ ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง มนุษย์ยักษ์ตัวดำไม่มาหาแม่ที่ร้านหลายวันแล้ว หรือว่าแม่จะคิดถึงเขา หึ! อย่างน้อยเขาก็เป็นพ่อแบบไม่เต็มใจของเสือน้อยนี่นา เพื่อแม่อิงค์แล้ว เสือน้อยจะไปตามหามนุษย์ยักษ์ตัวดำนั่นให้ก็ได้

ผมกระโดดออกทางหน้าต่างและเดิมตามถนนเข้าไปในเมือง แม่อิงค์กับมนุษย์ยักษ์ตัวดำพาผมเข้าเมืองหลายครั้งเพื่อไปหาหมอฉีดวัคซีนและผมก็เคยไปบ้านมนุษย์ยักษ์ตัวดำมาแล้วครั้งหนึ่ง ผมต้องทำได้สิ แค่ไปบ้านหมอนั่นเอง ผมเก่ง ผมทำได้อยู่แล้ว

ผมเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสี่แยกใหญ่ จู่ๆ คู่ปรับตลอดกาลของผมก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ เจ้าบางแก้วขาโหดเห่าขรม แต่ผมในวันนี้ไม่เหมือนในวันนั้นอีกแล้ว ผมหันไปร้องขู่เสียงดัง

“แน่จริงก็ตามให้ทันสิพี่”

แล้วผมก็วิ่งหนีสุดชีวิต

คิดว่าผมจะบวก? บ้าเหรอ! ผมเป็นลูกแมวตัวเล็กน่าทะนุถนอมอายุแค่สามเดือนเองนะ จะไปสู้ไอ้บางแก้วขาโหดอายุสองขวบตัวโตเต็มวัยฟันแหลมเต็มปากแบบนั้นได้ยังไง ผมคิดถึงพี่ใหญ่พี่รอง แต่ผมอยากกลับบ้านไปนอนกับแม่อิงค์มากกว่า

ผมแข็งแรงขึ้นมากกว่าตอนที่เจอกันครั้งก่อน ดังนั้นผมจึงวิ่งทิ้งห่างแบบไม่เห็นฝุ่น แต่ผมคงจะหลงระเริงกับชัยชนะของตัวเองมากเกินไป ตอนที่ผมหันไปยิ้มเยาะใส่เจ้าบางแก้วขาโหดผมลืมตัวไปว่ายืนอยู่กลางถนนแล้วรถคันหนึ่งก็พุ่งมาพอดี ผมโดนชนเข้าที่กลางตัว ร่างเล็กๆ ของผมลอยละล่องไปตกในพงหญ้าข้างทาง

ผีเสื้อ?

ผมเห็นผีเสื้อตัวหนึ่งบินผ่านหน้าไปโดยมีพี่ใหญ่วิ่งไล่ และมีพี่รองวิ่งตามไปติดๆ ผมพยายามลุกขึ้นแต่ผมขยับไม่ได้เหมือนขาหลังทั้งสองข้างของผมจะหัก ผมร้องรียกพี่ชายทั้งสองแต่ก็ไม่มีใครสนใจผมเลย

“พี่ใหญ่ พี่รอง แม่อิงค์ ช่วยผมด้วย”

ผมร้องจนเสียงแหบ ฝนก็ตกลงมาราวกับพายุเข้า ถึงผมจะมีขนฟูหนานุ่มแต่ผมที่ตัวเปียกปอนก็หนาวจนตัวสั่น ผมนอนขดตัวแน่น คิดถึงแม่อิงค์เหลือเกิน แม่อิงค์ตื่นมาหาผมไม่เจอต้องตกใจแน่ๆ แม่อิงค์จะมาตามหาผมไหมนะ แม่อิงค์จะรู้ไหมว่าเสือน้อยนอนอยู่ตรงนี้ เสือน้อยขอโทษนะคับแม่อิงค์ที่เสือน้อยหามนุษย์ยักษ์ตัวดำให้แม่อิงค์ไม่เจอ

ผมนอนอยู่นานจนฟ้ามืด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อดังฝ่าสายฝนมาด้วยความเป็นห่วง

“เสือน้อย”

มนุษย์ยักษ์ตัวดำนี่เอง ผมหาเขาเจอแล้ว ผมนี่เก่งที่สุดเลย

แต่เจ้ามนุษย์ยักษ์ตัวดำไม่ได้พาผมกลับบ้าน เขาพาผมไปหาพี่หมอคนสวย พี่หมอช่วยรักษาขาผมที่บาดเจ็บ พี่หมอชมผมด้วยล่ะว่าผมเก่งมาก เป็นแมวตัวอื่นคงตายไปแล้ว

แน่นอนอยู่แล้วนี่เสือน้อยลูกแม่อิงค์นะ แต่ตอนนี้ผมเหนื่อยจังเลยคับแม่ ผมขอนอนก่อนนะ แล้วตื่นมาผมจะไปหาแม่อิงค์นะคับ

แต่ผมก็ยังนอนซมอยู่อีกหลายวัน ระหว่างนั้นผมนอนร้องไห้คิดถึงแม่อิงค์ทุกวัน มีแต่มนุษย์ยักษ์ตัวดำมาหา คอยมาลูบหัวแปรงขนแล้วก็เอาขนมแมวเลียมาให้ถึงจะโดนผมข่วนไปหลายครั้งเพราะงอแงจะให้เขาพาไปหาแม่อิงค์จนแขนเขาเต็มไปด้วยรอยเล็บสวยๆ ของผม เขาก็ยังคงแวะเวียนมาหาผมตลอด

อืม~ จะว่าไปเขาก็เป็นคนดีนี่นา ถ้างั้นผมจะยอมญาติดีกับเจ้ามนุษย์ยักษ์ตัวดำนี่ก็ได้... เปล่านะ ผมไม่ได้ชอบเขาหรอก ยังไงแม่อิงค์ก็ยังเป็นคนดีที่หนึ่งของผมอยู่เสมอ... แต่ว่า... อ๊ะ! พ่อสิงห์คับ เกาตรงนั้นอีก เสือน้อยชอบ งื้อ~ พ่อค้าบ~ เสือน้อยหิวหนมเอาหนมให้เสือน้อยหน่อย

“เป็นอะไรเนี่ยเจ้าตัวเล็ก จู่ๆ ก็เอาหัวมาถู อดทนหน่อยนะคนเก่ง เดี๋ยวหายดีเมื่อไหร่พ่อจะพาไปหาแม่แกนะ”

“คับพ่อ เสือน้อยจะเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซนคับ”

ในที่สุดเขาก็ได้กลับมาอยู่กับแม่อิงค์อีกครั้ง พ่อสิงห์ของเสือน้อยซื้อปลอกคออันใหม่ให้ด้วยเป็นโบสีแดงสวยจัง แต่ถึงยังไงพ่อสิงห์ก็ยังนิสัยไม่ดีชอบทิ้งเสือน้อยไว้หน้าห้องแล้วแกล้งแม่อิงค์ตลอดเลย

หึ! เอาเถอะ เสือน้อยนอนหน้าห้องก็ได้ หน้าท้องนี่ผมก็นอนจนชินแล้วล่ะ

พี่ใหญ่ พี่รองคับ ผมคิดถึงพวกพี่นะแต่ผมยังไปหาพวกพี่ไม่ได้นะ ผมขอโทษด้วยเพราะตอนนี้ผมมีหน้าที่สำคัญคือการดูแลแม่อิงค์ไม่ให้โดนพ่อสิงห์แกล้งไปมากกว่านี้...

อ๊ะ! ประตูห้องเปิดแล้ว ผมรีบลุกขึ้นยืนแต่ผมไม่ได้กระดิกหางนะ แบบนั้นน่ะมันหมาชัดๆ เสือน้อยเป็นแมว เสือน้อยแค่ยืนเฉยๆ มองหน้าพ่อสิงห์ด้วยตากลมโตเป็นลำไยแล้วเอาเท้ามังคุดตะบปเท้าพ่อสิงห์ให้รู้ว่าผมโกรธนะที่พ่อแกล้งแม่แล้วเอาผมมาทิ้งแบบนี้ ว่าแต่ทำไมพ่อสิงห์ไม่ใส่เสื้อผ้าล่ะ หรือว่าโดนแม่อิงค์เอาคืนจนเสื้อขาดเลยใช่ไหมล่ะ

“เบาๆ นะลูกพ่อ แม่เขาหลับแล้ว”

“คับพ่อ”

ผมรับคำแล้วรีบวิ่งฉิวกระโดดขึ้นไปบนหัวเตียง แม่อิงค์นอนคว่ำหน้าหลับไปแล้ว ผมเดินวนเป็นวงอยู่สองสามรอบก่อนจะขดตัวลงนอนพลางมองแผ่นหลังของแม่อิงค์ที่โผล่พ้นผ้าห่มเห็นรอยแดงเป็นวงๆ เต็มไปหมด พ่อสิงห์น่ะปืดประตูได้แต่ทำไมไม่ปิดหน้าต่าง ดูสิ! แม่โดนยุงกัดแล้วเนี่ย

พ่อสิงห์ปิดประตูเดินตามเข้ามาล้มตัวลงนอนข้างๆ แม่

“ฝันดีนะเจ้าตัวเล็ก”

พ่อสิงห์ลูบตั้งแต่หัวผมไปจนถึงหางก่อนจะก้มลงจูบแม่ พ่อดึงตัวแม่ไปกอดแนบอกแล้วก็หลับไปด้วยกัน

งือ~ ผมเองก็หลับบ้างดีกว่า วันนี้เหนื่อยจัง นอนให้แขกถ่ายรูปทั้งวันเลย ฝันดีนะคับแม่อิงค์พ่อสิงห์ พรุ่งนี้ผมอยากกินหนมแมวเลียจังขอให้ผมกินเยอะๆ เลยนะคับ

**************************************************************************


สุขสันต์สันวันสงกรานต์ค่ะ ถ้าชอบฝากคอมเมนต์ให้บ้างนะคะ เดี๋ยวจะได้มีตอนพิเศษแบนี้มาอีกเรื่อยๆ

หัวข้อ: Re: Last Room บันทึกประจำวันของเสือน้อย:แม่อิงค์ของเสือน้อย(13/4/2020) p.6
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 14-04-2020 08:54:14
น่ารักทั้งคนทั้งแมว
หัวข้อ: Re: Last Room บันทึกประจำวันของเสือน้อย:แม่อิงค์ของเสือน้อย(13/4/2020) p.6
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 14-04-2020 09:00:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Last Room บันทึกประจำวันของเสือน้อย:แม่อิงค์ของเสือน้อย(13/4/2020) p.6
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 16-04-2020 22:20:47
บันทึกประจำวันของเสือน้อย2 : สงกรานต์ไม่อร่อยเลย


วันนี้อากาศสดใส ผมนั่งอาบแดดอยู่ตรงหน้าต่าง  หลังจากผ่านช่วงเวลาเลวร้ายที่ต้องพลัดพรากจากแม่อิงค์เพราะไปตามหาพ่อสิงห์จนขาหักเวลาก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นมากไม่ใช่แมวเด็กน้อยที่วิ่งทะเล่อทะล่าออกไปให้รถชน แต่เป็นแมวหนุ่มสุดหล่อโตเต็มวัยอายุสี่เดือน แม่อิงค์เลี้ยงดีช่วงนี้น้ำหนักก็เลยขึ้นพรวดพราดไปหน่อยจากตอนเจอแม่อิงค์ครั้งแรกผอมแห้งหนักหนึ่งกิโลนิดๆ ขนหร็อมแหร็มผิวแห้งแตกรรแหงเกาทีฟุ้งเป็นฝุ่น PM2.5 ตอนนี้ผมหนักสองโลกว่าเกือบสามโลแล้วขนก็ขึ้นแน่นฟูนุ่ม พ่อสิงห์ชอบแซวว่าผมอ้วนตุ๊ต๊ะเหมือนม้วนไหมพรมสีส้ม หน้ากลมเหมือนหมู จมูกชมพู่ ตาเป็นลำไย เท้าเป็นมังคุด พ่อสิงห์น่ะชอบพูดไปเรื่อย นี่ลูกชายไม่ใช่ของกิน ชอบเอาไปเปรียบกับอะไยก็ไม่ยู้ว ผมไม่รักพ่อสิงห์แย้ว

ผมนอนดูแม่อิงค์ยืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจก แม่อิงค์หมุนไปหมุนมาอยู่หลายรอบแล้ว ใส่ตัวนั้นถอดตัวนี้ แล้วสักพักก็หันมาขอความเห็นจากลูกชายสุดหล่อ ใช่สิ! ก็ผมเป็นผู้นำด้านแฟชั่นนี่นา ล่าสุดพ่อสิงห์ซื้อปลอกคอคาวบอยสีกรมท่าโคตรเท่ให้แถมยังติดกระดิ่งสีทองฟรุ้งฟริ้งเดินไปทางไหนสาวๆ ก็พากันเหลียวมามอง เพราะผมหล่อ? เปล่าหรอก ผมเอาเล็บไปฝนขาเค้า ขอท่ดค้าบผมนึกว่าแม่อิงค์ซื้อโต๊ะมาใหม่

“ตัวนี้ดีไหมเสือน้อย” แม่อิงค์ในชุดลายดอกชบาสีแดงสดหันมาถาม

ผมทำโตลุกขึ้นนั่งบนสองขาหลัง “เมี้ยว~ สุดมากแม่ เอาตัวนี้แหละ แม่อิงค์สอนว่าจะถูกจะแพงเอาแดงไว้ก่อน”

“แต่สีแดงมันจะดูเด่นไปหรือเปล่านะ พี่สิงห์ไม่ชอบอะไรแบบนี้นี่นา” แม่อิงค์โยนเสื้อออกจากตัวแล้วหยิบเสื้อลายฮาวายมาใส่ “แล้วตัวนี้ละเสือน้อย”

“นี่ก็แซ่บมากแม่ พ่อสิงห์ต้องชอบแน่ๆ ผมเห็นแล้วหิวเลยเนี่ย อยากกินพิซซ่า วันนี้มีโปรไหมแม่หนูอยากกินปลาทูใส่สับปะรด อะเมี้ยว~”   

“บ่นยาวขนาดนี้ไม่ดีแน่เลย”

“ป่าวนะแม่ หนูชมแม่ต่างหาก อ้าวแล้วนั่นแม่เอาเสื้อตัดอ้อยมาใส่ทำไม หนูอยากกินสับปะรด ไม่ได้อยากกินอ้อย”

“อะไรเสือน้อย ตัวนั้นก็ไม่ดีตัวนี้ก็ไม่เอา ชักจะขี้บ่นเหมือนพ่อเราไปทุกทีแล้วนะ”

แม่อิงค์ทำหน้ายู่ใส่ผมพร้อมกับเอาชี้มาแตะที่จมูก

“เหมียว~ หนูไม่ได้บ่นสักหน่อย หนูชมแม่ตะหาก”

“สรุปใส่ตัวไหนดีเนี่ย ยังเลือกไม่ได้เลย จวนจะได้เวลานัดแล้วแท้ๆ”

ผมหันไปมองบนเตียงที่แม่อิงค์โยนเสื้อเชิ้ตกับเสื้อยืดสกรีนลายวางไว้เต็มไปหมด นี่แหละสาเหตุที่ผมต้องระเห็จตัวเองมานอนตรงขอบหน้าต่าง โชคดีที่แดดเดือนเมษาไม่ร้อนเท่าไหร่ แต่ทำไมผมได้กลิ่นเหมือนขนหางไหม้แฮะ ง่ะ! แม่อิงค์ค้าบ หนูขอครีมกันแดดหน่อยขนหนูไหม้จนเป็นสีส้มหมดแย้ววววว~

เหมียววว~

“ว่าไงครับคนเก่ง ร้องทำไมหิวข้าวเหรอ เมื่อกี้เพิ่งกินอาหารไปนี่นา เอาขนมไหม”

“หนมๆ เหยอ” ผมตาโตทันที “เอางับแม่ เอารสซีฟู้ดนะ ผมไม่ชอบรสตับมันคาวปาก”

ประตูห้องเปิดออก พ่อสิงห์เดินเข้ามา

“พอเลยอิงค์ เธอน่ะตามใจมันเกินไปแล้วนะ พุงเป็นก้อนแล้วเนี่ย”

มาถึงก็บ่นแม่อิงค์ใหญ่เลย แถมยังจับท้องเสือน้อยเล่นด้วย

“เสือน้อยไม่ได้อ้วนสักหน่อย แค่ขนฟูขึ้นต่างหาก”

“ใช่คับแม่อิงค์ เสือน้อยตัวนิดเดียวเอง ที่กลมๆ เพราะขนทั้งนั้นเลย”

“แล้วไอ้นิ่มๆ นี่อะไร”

“พ่ออย่าจับจิ เสือน้อยจั๊กจี๊ บอกว่าอย่าไง แง้ววววว~”

“ขนก็ขน”

พ่อสิงห์หัวเราะร่วนแถมยังไม่วายจับขนที่ขึ้นฟูเป็นแผ่นๆ ใต้คางผมดึงเล่นอีกแน่ะ งือ~ วันนี้งดรักพ่อสิงห์หนึ่งวัน

“แล้วนั่นเธอจะไปตัดอ้อยที่ไหนน่ะอิงค์ นี่มันสงกรานต์นะแต่งตัวจ๊าบๆ หน่อยดิ” พ่อสิงห์บ่นพลางจับตัวแม่อิงค์หมุนไปรอบๆ ทำเอาผมที่เม่อิงค์ยังอุ้มอยู่ในมือตาลายไปหมด “สีแดงก็มีทำไมไม่ใส่ตัวนั้นล่ะ”

“ใช่ไหมพ่อ ผมก็ว่าแม่ใส่สีแดงสวยกว่าเนอะ”

“นี่ดูฉันซะก่อน” พ่อสิงห์กางสองแขนออกอวดเสื้อเชิ้ตลายดอกชบาสีแดงสด ข้างเอวเหน็บปืนฉีดน้ำกระบอกเล็กไว้

“แต่เสื้อสีนี้มันเข้ากับปลอกคอเสือน้อยนี่นา” แม่อิงค์ว่างั้น โห นี่แม่อิงค์รักผมจะตายเห็นไหม

“มันจะไปยากอะไร” พ่อสิงห์เอื้อมมือมาปลดปลอกคอคาวบอยสุดเท่ออกจากคอผมแล้วเอาปลอกคอที่ตัดเย็บเป็นรูปปกเสื้อเชิ้ตลายดอกชบาสีแดงสดใส่ให้แทน “ให้ป้าสำลีทำให้น่ะ จะได้เข้าชุดกัน”

แม่อิงค์ยิ้มกว้าง ทำเอาผมยิ้มตามไปด้วยเพราะผมแอบเห็นนะว่าแม่อิงค์เพิ่งซื้อเสื้อสีแดงตัวนั้นมาจากตลาดวันก่อน พ่อสิงห์นี่รู้ใจแม่อิงค์จริงๆ เลย งั้นผมหายงอนแล้วก็ได้ แต่ไม่ยอมให้จกพุงแล้วนะ

พอมาถึงวัดแม่อิงค์ก็ใส่สายจูงให้ผมแล้วปล่อยผมลงเดิน เห็นไหมล่ะ ผมบอกแล้วว่าผมโตเป็นหนุ่ม ไม่ต้องให้พ่อกับแม่คอยอุ้มเหมือนแต่ก่อน

“กว่าจะถึง อุ้มจนปวดแขนเลยเนี่ย ฉันว่าเธอต้องเพลาๆ ขนมมันลงจริงๆ นะ”

“โอเค พ่อสิงห์ ผมงอนพ่อสิงห์ต่อดีกว่า เมี้ยว~”

ผมเชิดใส่พ่อสิงห์ที่ยังไม่เลิกหัวเราะเยาะพุงขนของผม แล้วหันมองไปรอบๆ แม่อิงค์เคยมาผมมาวัดหลายครั้งแล้ว ปกติก็จะเงียบๆ แต่ทำไมวันนี้ดูครึกครื้นจังแถมทุกคนก็แต่งตัวกันสวยๆ หรือเพราะว่าวันนี้คือวันสงกรานต์เหรอ แล้วสงกรานต์คืออะไรอะคับแม่อิงค์ สงกรานต์เหมือนปลาทูไหม ผมกินได้ปะ มันมีก้างให้ผมแทะไหมคับ เอ๊ะ! กลิ่นอะไรหอมๆ น้า~ แม่คับนั่นปลาทูนี่นา แม่~ ปลาทู ตรงนั้นมีปลาทู หนูอยากกินปลาทู แม่ค้าบบบบบ~

“เหมียวววว~”

“อย่าซนสิเสือน้อย เดี๋ยวก็หลงกันหรอก”

แม่ดุผม แล้วก็อุ้มผมขึ้นมาเกาะบ่า “ผมไม่ได้ซนซะหน่อยผมแค่อยากกินปลาทู”

“แล้วนั่นพี่สิงห์ทำอะไรครับ”

“คนเยอะ เดี๋ยวหลง”

แม่อิงค์ก็ซนเหมือนกันล่ะสิ ถึงได้โดนพ่อสิงห์จับมือแน่นเชียว แม่ลูกเหมือนกันเปี๊ยบเลย ว่าแต่ทำไมแก้มแม่อิงค์แดงจัง เป็นไข้เหยอคับ เข้าร่มกันเถอะ นั่นไง ข้างบาตรพระตรงนั้นมีปิ่นโตส่ปลาทูวางไว้ด้วย เขาวางไว้ให้เสือน้อยแน่ๆ เลยคับแม่

“สวัสดีค่ะคุณอิงค์ แหมวันนี้แต่งตัวมาเข้าเซ็ตกันพ่อแม่ลูกเลยนะคะ”

อ้าว! ป้ามอญ กับป้าสำลีนี่เองหวัดดีคับ

“มิน่าล่ะมาอ้อนป้าให้ช่วยเอาผ้าลายดอกมาเย็บทำปลอกคอให้หน่อยที่แท้ก็เพื่อการนี้นี่เอง ร้ายนะคะคุณสิงห์”

“เงียบน่าป้า”

“พี่อิงค์ พี่สิงห์สวัสดีครับ”

หวัดดีคับ~ ลูกพี่บอย พี่รสา

“ว่าไงเสือน้อย ปลอกคอสีแดงสดใสหล่อเชียวนะวันนี้”

พี่รสาลูบหัวผมพร้อมกับเกาคางให้ เนี่ย! พี่รสาน่ะรู้งาน เอ๊ย! รู้ใจว่าผมชอบไม่ชอบอะไร สมแล้วที่เสือน้อยแต่งตั้งเป็นประธานชมรมแฟนคลับเสือน้อยแห่งจังหวัดน่านที่ตอนนี้มีสมาชิกสี่คนแล้วคือพี่รสา ลูกพี่บอย ป้าสำลีและป้ามอญ

“นี่เป็นสงกรานต์ครั้งแรกของเสือน้อยน่ะ พี่เลยอยากพามันมาเปิดหูเปิดตาด้วย”

เหมียว~ ขอบคุณนะคับแม่อิงค์ที่คิดถึงผม

“เดี๋ยวเขาจะเล่นน้ำกันแล้ว เราไปเล่นน้ำกันไหมคะพี่สิงห์ พี่อิงค์”

“ไปๆ แม่อิงค์ ไปกินสงกรานต์กัน เสือน้อยอยากกินสงกรานต์แล้ว”

“เจ้าหนูนี่ร้องใหญ่เลย วันนี้ดูอารมณ์ดีจัง”

“พ่อสิงห์แกะปลาทูให้เสือน้อยหน่อย เอาแต่เนื้อไม่เอาก้างนะ เดี๋ยวก้างตำคอเสือน้อยเจ็บ อ้าว แล้วนั่นแม่อิงค์จะอุ้มเสือน้อยไปไหนอะ ปลาทูอยู่นั่นอะแม่ ไม่กินกรานต์กันแล้วเหรอ เมี้ยวววว!”

ซ่า~

เมี้ยววววว~ แง้ววววว~ แม่หลอกหนูนี่นา แม่~ หนูหนาว หนูไม่เอาสงกรานต์แล้วแม่ ไม่อร่อยเลย แม่!

ผ่านไปพักใหญ่ แม่อิงค์ก็อุ้มผมที่ตัวเปียกไปจนถึงขนอ่อนใต้ไข่เดินไปนั่งหลบร้อนใต้ต้นคูณต้นใหญ่หลังวัด แม่อิงค์เงยหน้าขึ้นมองดอกสีเหลืองอร่ามที่ห้อยเป็นพวงระย้าเต็มต้นจนไม่เห็นสีเขียวของใบอย่างชื่นชม ส่วนผมนั่งขนลีบอยู่บนตักแม่พยายามเลียขนตัวเองให้แห้ง ยังไงกลีบดอกคูณสีเหลืองนุ่มๆ ก็สวยสู้หลังปลาทูทอดกรอบๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไม่ได้หรอก

พ่อสิงห์เดินมานั่งข้างๆ แม่อิงค์พลางหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นสภาพเปียกปอนของเราสองแม่ลูกแถมยังเลอะแป้งดินสอพองจนตอนนี้กลายแมว พ่อสิงห์พยายามจะเช็ดแป้งดินสอพองเหนียวๆ ที่ติดตรงหน้าผากให้ผมแต่ผมงอนอยู่เพราะพ่อเป็นตัวการทำให้ผมเปียกแถมยังไม่เอาปลาทูมาง้อผมอีก ผมก็เลยหันหัวหนีเอาไปซุกอกแม่อิงค์ไว้แทน

“มันเป็นอะไรน่ะ”

“สงสัยจะหนาว เสือน้อยไม่ชอบอาบน้ำนี่นา”

พ่อสิงห์ถอดเสื้อตัวในออกโยนพาดไว้บนรากต้นคูณที่โผล่พ้นดินขึ้นมาแล้วถอดเสื้อกล้ามตัวในที่ยังไม่เปียกมาออกมาก่อนจะดึงผมไปจากอกแม่อิงค์แล้วห่อผมด้วยเสื้อกล้ามจนกลายเป็นแมวมัมมี่เหลือแต่ตากลมๆ โผล่ออกมามองทางนั้นทีทางนี้ที

“ไหนเธอบอกว่ามันขนฟูไง แต่เปียกขนาดนี้ตัวไม่เห็นเล็กลงเลยนะ”

“พี่สิงห์ก็ยังไม่เลิกแซวเสือน้อยเรื่องนี้ เดี๋ยวเสือน้อยก็งอนไม่ยอมกินข้าวหรอก”

“อย่างเจ้าตัวเล็กเนี่ยนะจะไม่ยอมกินข้าวโถๆๆๆ เสือน้อยลูกพ่อขนาดขาหักยังคลานมากินขนมแมวเลียเลย”

“ก็ตอนเล็กๆ เสือน้อยเป็นแมวจรข้างถนนนี่นา คงอยู่มาแบบยากลำบากปากกัดตีนถีบพอได้กินของดีๆ ก็เลยกินใหญ่เลย... อื้อ!”

“เป็นอะไรเจ้าหนู”

“แป้งเข้าตาครับ”

“เงยหน้ามาฉันเช็ดให้”

พ่อสิงห์รีบเช็ดให้แม่เร็ว ผมดูทีวีมา เค้าบอกว่าแป้งพวกนี้ถ้าเข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้เลยนะพ่อ ถ้าแม่อิงค์ตาบอกก็จะไม่ได้เห็นเสือน้อยตอนแต่งตัวหล่อๆ ไม่ได้เห็นตอนเสือน้อยโตเป็นหนุ่ม มีแมวสาวๆ สวยๆ มาติดพัน แล้วอยู่กินกันมีลูกเต็มบ้านให้แม่อิงค์แกะปลาทูให้อีกแล้ว งือ~ พ่อสิงห์ช่วยแม่อิงค์เร็ว

เอ๊ะ! ว่าแต่ทำไมพ่อสิงห์ใช้มือเช็ดตาให้แม่อิงค์แต่กลับใช้ลิ้นเช็ดปากล่ะ อ๋อ! จะว่าไปพ่อสิงห์ก็เป็นพ่อแมวนี่นา ใช้วิธีเลียปากให้ก็ถูกแล้ว เลียลงมาถึงคอเลยคับพ่อแป้งเปื้อนคอแม่ด้วย ตรงนั้นไง ตรงนั้นอีกนิดนึง แม่เงยหน้าให้เลียแล้ว

“อื้อ~”

แม่อิงค์ครางเหมือนเสือน้อยเวลาโดนเกาคางเลย สบายใช่ไหมล่ะ เข้าใจเสือน้อยแล้วใช่ป่าว ต่อไปแม่อิงค์ต้องเกาคางเกาพุงให้เสือน้อยบ่อยๆ นะ

“เล่นสงกรานต์กันต่อไหม”

“ยังจะเล่นอีกเหรอครับ”

นั่นดิพ่อสิงห์ แม่อิงค์เปียกหมดแล้วนะ แทนที่จะเล่นน้ำ พ่อมาช่วยเลียขนแม่ให้แห้งดีกว่า

“เล่นสองคนไง”

“พ่อกะแม่จะเล่นก็เล่นกันสองคนนะ ผมไม่เอาแล้วนะ ผมหนาว เหมียว~”

ผมร้องเสียงดัง พ่อสิงห์เหมือนเข้าใจหัวอกแมวขี้หนาวอย่างผมในที่สุด พ่ออุ้มผมลงจากตักไปวางตรงที่แดดส่องผ่านกิ่งต้นคูนลงมาแล้วผูกเชือกล่ามไว้กับกิ่งหนึ่งกันผมวิ่งหนี แหม~ ผมไม่หนีไปไหนหรอก อ่า~ ตรงนี้สบายดีจัง

ผมเหมอบตัวลงเหยียดยาวกับพื้นพร้อมกับกระดกก้นขึ้นบิดขีเกียจเตรียมจะนอน ผมหันไปมองพ่อสิงห์ก็กำลังจับตัวแม่อิงค์หันหน้าเข้าหาต้นไม้แล้วทำท่าเดียวกับผมเหมือนกัน

อย่างนั้นแหละแม่อิงค์ ยืดตัวเยอะๆ แอ่นตูดสูงๆ นะ พ่อสิงห์นี่สมเป็นพ่อเสือน้อยจริงๆ รู้จักโยคะแมวด้วย นั่นแหละคับพ่อ แม่อิงค์หลับตาพริ้มเลยต้องกำลังมีความสุขมากแน่ๆ

“อา~ พี่สิงห์ ปืนฉีดน้ำพี่กระบอกใหญ่จัง”

“ชอบไหมล่ะ ใส่น้ำได้เยอะ แถมยังฉีดแรงด้วยนะ”

“จริงเหรอ”

“เดี๋ยวฉันขออัดกระสุนให้เต็มก่อน เดี๋ยวจะฉีดให้เธอปลิวไปติดต้นไม้เลย”

“อื้อ~ อย่านะครับผมกลัวแล้ว พี่สิงห์ อย่าแกล้งผมเลย อา~”

เหมียวววว~

พ่อสิงห์โยนปืนฉีดน้ำกระบอกเล็กมาตกข้าง ผมหมอบตัวลงนอนมองปืนฉีกน้ำกระบอกนั้นแล้วหันไปมองพ่อสิงห์ที่กำลังเลียขนที่หลังให้แม่อิงค์ ตกลงวันนี้พ่อสิงห์พกปืนฉีดน้ำมากี่กระบอกกันแน่เนี่ย แอบเอาซุกไว้ที่ไหนอีกทำไมเสือน้อยไม่เห็นหนอ~

“พี่สิงห์~ ผมยอมแล้ว พี่สิงห์ฉีดน้ำมาเลย ผม... อา~”

“อย่าเพิ่งยอมแพ้สิอิงค์ อีกนิดนึงนะ”

ผมปล่อยให้พ่อสิงห์กับแม่อิงค์เล่นสงกรานต์กันไปส่วนตัวผมนอนผึ่งแดดจนขนเริ่มแห้ง พ่อสิงห์กับแม่อิงค์ก็เล่นสงกรานต์กันเสร็จพอดี

“กลับบ้านกันเถอะเสือน้อย”

“คับแม่”

แม่อิงค์อุ้มผมขึ้นพาดบ่า แก้มแม่แดงๆ เหมือนคนเป็นไข้ พ่อสิงห์น่ะชวนแม่เล่นสงกรานต์นานไปแล้วนะกลับบ้านไปเป่าขนให้แม่อิงค์ด้วยนะ

พอกลับถึงบ้านพ่อกับลากแม่อิงค์ไปเล่นสงกรานต์กันต่อสองคนในห้องน้ำ ทิ้งให้ผมนั่งเลียขนอยู่ตรงเก้าอี้รังนก วันนี้ It’s Ra ปิด ผมก็เลยมีเวลานอนพักสบายๆ ไม่ต้องรับแขก

ผมเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้กลิ่นอะไรหอมๆ ลอยมาแตะจมูก

เหมียวววว~

“เสือน้อยมากินข้าวลูก”

เสียงพ่อสิงห์ร้องเรียกผมรับลุกพรวดขึ้นทันที ผมยังไม่หายงอนพ่อนะ ผมแค่เป็นเด็กว่าง่ายเฉยๆ

“คับพ่อสิงห์”

ผมวิ่งฉิวไปหาพ่อสิงห์ที่ถือชามข้าวไว้รอ เย้~ ปลาทู พ่อสิงห์น่ารักที่สุดเลย

“มันคงเบื่ออาหารเม็ดละมั้ง ดูสิ ทำตาโต ขย้ำกินใหญ่เลย”

พ่อสิงห์ลูบหัวผมจนหูลู่ก่อนจะลุกไปนั่งกินข้าวกับแม่อิงค์ที่โต๊ะ

“ไม่ต้องรีบกินนะลูก ไม่อิ่มก็บอกพ่อมีอีกตัวเดี๋ยวแกะให้”

เหมียวววว~

ผมรับคำเสียงใส ปลาทูดีที่สุดอยู่แล้ว แต่สงกรานต์ไม่อร่อยเลย ทั้งเปียก ทั้งแฉะจนถึงไข่แมว แถมพ่อสิงห์กับแม่อิงค์ก็เล่นสนุกกันอยู่สองคน ไม่เอาอะเสือน้อยไม่อิน ปีหน้าปล่ยเสือน้อยไว้กับปลาทูที่บ้านนะ เดี๋ยวเสือน้อยเฝ้าร้านให้เอง เชิญพ่อกับแม่สาดกันให้สนุกตั้งแต่ใต้ต้นคูณยันประตูห้องนอนเลยนะครับ

***********************
ถ้าชอบก็ฝากคอมเมนต์ให้บ้างนะคะ
หัวข้อ: Re: Last Room บันทึกประจำวันของเสือน้อย2:สงกรานต์ไม่อร่อยเลย(16/4/2020) p.6
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 19-04-2020 18:25:47
 :jul3: :jul3:  เสือน้อยพูดได้ดี