Last Room บันทึกประจำวันของเสือน้อย2:สงกรานต์ไม่อร่อยเลย(16/4/2020) p.6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Last Room บันทึกประจำวันของเสือน้อย2:สงกรานต์ไม่อร่อยเลย(16/4/2020) p.6  (อ่าน 22646 ครั้ง)

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: Last Room บทที่ 7(01/10/2019)
«ตอบ #30 เมื่อ02-10-2019 01:30:09 »

 :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: Last Room บทที่ 7(01/10/2019)
«ตอบ #31 เมื่อ02-10-2019 01:36:22 »

คุณพ่อ!!!!!

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Last Room บทที่ 7(01/10/2019)
«ตอบ #32 เมื่อ02-10-2019 09:39:42 »

เมียใหม่พ่อคือแฟนเก่าลูกเหรอ รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Last Room บทที่ 7(01/10/2019)
«ตอบ #33 เมื่อ02-10-2019 11:12:37 »

ในที่สุดพี่สิงก็เปิดตัว

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: Last Room บทที่ 7(01/10/2019)
«ตอบ #34 เมื่อ02-10-2019 23:31:11 »

เอ๊ะ สงสัยประโยคท้ายของคุณพ่อตะหงิดๆ

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 7(01/10/2019)
«ตอบ #35 เมื่อ05-10-2019 18:46:47 »

บทที่ 8

“ตายแล้ว~” ป้าสำลีร้องเสียงดังเมื่อเห็นชายหนุ่มตัวโตกลับมาในสภาพเสื้อผ้ายับย่น ผมเผ้าที่ขาออกไปรวบตึงหลุดรุ่ยและมีรอยแผลเต็มตัว “มอญไปเอาชุดทำแผลมาให้คุณสิงห์หน่อยเร็ว”

“ได้จ๊ะป้า” มอญรับคำ

“เกิดอะไรขึ้นคะเนี่ยคุณอิงค์”

“ฝีมือเจ้านี่ครับ” อิงค์บอกพลางขยับให้ดูร่างเล็กหน้าตามอมแมมที่เกาะแน่นอยู่ตรงเสื้อด้านหน้า “มันขึ้นไปติดอยู่ตรงรูปปั้นสิงโตครับ พี่สิงห์เป็นคนปีนขึ้นไปช่วยมันลงมา”

“เจ้าตัวเล็กไม่เป็นไรใช่ไหมคะ บาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า”

“ปลอดภัยดีครับ แต่ตกใจนิดหน่อย”

“คนเจ็บอยู่ทางนี้ไง” สิงห์แกล้งร้องโอดโอยเรียกร้องความสนใจที่ไม่มีใครสนใจ

“ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูก” ป้าสำลียื่นมือไปลูบหัวปลอบขวัญซึ่งเจ้าลูกแมวก็ยอมให้ลูบแต่โดยดี

“อะไรวะ ทีฉันทั้งขู่ทั้งข่วน ไอ้นี่มันมารยาสาไถชัดๆ” สิงห์บ่น

“มารยาอะไรกันคะคุณสิงห์ เจ้าหนูนี่ออกจะไร้เดียงสา” ป้าสำลีว่า

“เฮอะ! ร้ายเดียงสาล่ะไม่ว่า พี่มอญมาพอดีเลยทำแผลให้หน่อย”

มอญที่กำลังจะแกะอุปกรณ์เหลือบตาไปเห็นลูกแมวตากลมขนฟูในอ้อมแขนอิงค์ก็วางกล่องอุปกรณ์ทำแผลไว้ตรงหน้าสิงห์แล้ววิ่งไปร่วมวง “คุณสิงห์ทำเองเลยค่ะ… เจ้าหนูนี่น่ารักจัง ดูสิๆ สีส้มส๊วยสวย หิวไหมจ๊ะเนี่ย หืมมม~ เด็กดีเดี๋ยวพี่มอญเอานมมาให้นะ” พูดจบก็รีบกุลีกุจอเข้าไปในครัว

“แล้วที่ไปคุยมาเป็นยังไงบ้างคะคุณอิงค์” ป้าสำลีถามไถ่

“คุณกมลกับคุณเหมราชชมว่ากาแฟผมอร่อยครับ แล้วก็อยากชวนไปร่วมงานด้วย” อิงค์เล่า

“ดีจังเลยค่ะ แล้วคุณอิงค์ตอบไปว่ายังไง ตกลงใช่ไหม” ป้าสำลีมีท่าทีตื่นเต้นยิ่งกว่าคนโดนชวนเสียอีก

อิงค์ส่ายหน้าเขินๆ “ผมปฏิเสธไปแล้วครับ ผมอยากทำร้านเองมากกว่า”

“คนเก่งของป้าทำอะไรก็เจริญรุ่งเรืองค่ะ” ป้าสำลีลูบไหล่ลูบหลังอวยพร

“คุณอิงค์เก่งจริงๆ นะคะ เพราะคุณท่านเป็นคนเรื่องมาก กินยากเป็นที่สุด แต่เอ่ยชมกาแฟคุณอิงค์ได้เนี่ย อัดรูปหน้าคุณท่านทำเป็นป้ายไวนิลใส่แคปชั่นติดโฆษณาร้านได้เลยนะคะ” มอญกลับออกมากครั้งพร้อมชามใบเล็กกับขวดนมแพะ

“พูดถึงโฆษณา” อิงค์เอ่ยขึ้น “ขอบคุณพี่มอญสำหรับโพสต์นั้นนะครับ”

“โพสต์ไหนคะ” มอญที่กำลังจัดแจงเทนมให้ลูกแมวถาม

“ในทวิต ที่บอกว่าใจสั่นเพราะกาแฟหรือรอยยิ้มผมไงครับ ชื่อแอคเคาน์ molly_nan ต้องเป็นพี่มอญแน่ๆ เลย” อิงค์พูดเขินๆ “ยอดรีกับเฟบเยอะเป็นพันจนผมตกใจเลย… แล้วพี่มอญก็ถ่ายรูปผมสวยมากด้วย ถ่ายตอนที่ไปร้านวันนั้นเหรอครับ”

มอญเลิกคิ้วกำลังอ้าปากจะตอบก็มีเสียงแทรกมาจากด้านหลัง

“พี่มอญเป็นแอดมินเพจของข่วงเมืองสิงห์ เห็นเด๋อๆ ด๋าๆ แบบนี้แต่จบนิเทศด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเลยนะ” สิงห์บอกพลางใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดแผล “เมื่อก่อนเคยทำงานเป็น PR ดาวรุ่งที่กรุงเทพ ขายของเก่งมาก ไม่มีอะไรที่พี่มอญขายไม่ได้”

“แล้วทำไมพี่มอญถึงมาอยู่กับพี่สิงห์ได้ล่ะครับ”

“เพราะพี่ชอบเที่ยวและชอบกินมากค่ะ” มอญเล่าอย่างติดตลก “กินเพลินไปหน่อยก็เลยเป็นอย่างที่คุณอิงค์เห็น แล้วพวกคนที่จ้างงานเขาก็นิยมสาวๆ ขาวๆ หุ่นอึ๋มๆ ตอนหลังพี่เลยตกงาน ว่างๆ เบื่อๆ มาเที่ยวเล่นที่น่าน เจอคุณสิงห์ที่ร้านเหล้านั่งปรับทุกข์กันแล้วเลยชวนมาทำงานด้วยกันค่ะ”

อิงค์มองดูสาวรุ่นพี่ตรงหน้า ถึงจะเข้าอายุหลักสี่แล้วก็ยังดูดี และรูปร่างที่ใครๆ บอกว่าเธออ้วนนั้นจริงๆ ก็แค่สูงใหญ่ มีน้ำมีนวล ไม่ได้ผอมเหมือนหุ่นโชว์ตามตู้เสื้อผ้าเท่านั้น “ผมว่าพี่มอญก็สวยในแบบของพี่นะครับ”

“คุณอิงค์ไม่ต้องมายอพี่หรอกค่ะ พี่รู้ตัวดี” มอญพูดไปยิ้มไป ตอนที่ตกงานเพราะสาเหตุนี้ก็ช้ำใจพอตัว เคยพยายามลดน้ำหนักสารพัดวิธีถึงขึ้นพึ่งยาลดความอ้วนจนเกือบตายเพราะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โชคดีที่คิดได้ทัน และตอนนี้เธอก็คิดว่าหาที่ๆ เหมาะกับตัวเองเจอแล้ว

“แล้วป้าสำลีล่ะครับ มาอยู่กับพี่สิงห์ได้ยังไง”

“ของป้าไม่มีอะไรซับซ้อนค่ะ ก็แค่รู้สึกว่าไอ้เด็กบ้านี่จะปล่อยไว้ตัวคนเดียวได้ยังไง ซักผ้าก็ไม่เป็น ทำอาหารก็ไม่ได้เรื่อง แต่ริอาจจะออกมาสร้างรังอยู่ตัวคนเดียว ทั้งๆ ที่เป็นคุณชายกินนอนอยู่บ้านใหญ่ รอวันขึ้นรับช่วงกิจการต่อจากคุณท่านก็ได้แท้ๆ” ป้าสำลีเล่าไปหัวเราะไป “คุณอิงค์รู้แล้วใช่ไหมคะว่าคุณสิงห์เป็นลูกชายคุณเหมราช”

อิงค์พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น ป้าสำลีก็อยู่กับพี่สิงห์มานานแล้วใช่ไหมครับ”

“ตั้งแต่เกิดค่ะ” ป้าสำลีบอก “ป้าเป็นแม่นมของคุณสิงห์ค่ะ เห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออก รู้นิสัยคุณสิงห์ดีค่ะเห็นตัวดำปากหมาแบบนี้แต่จริงๆ แล้วเป็นลูกแมวขี้เหงาชอบให้คนอื่นเอาใจนะคะ”

“พูดมากไปแล้วป้า” สิงห์ว่าลอยมาตามลม

มอญจัดชามนมเรียบร้อย อิงค์จึงปล่อยลูกแมวลงจากอก ทีแรกมันก็ยังเกาะแขนเขาไว้แน่น จนป้าสำลีต้องเอาช้อนตักนมมาแตะที่ปากให้มันเลียจนเริ่มไว้ใจจึงเดินเตาะแตะไปเลียกินจากชาม

“กินเยอะๆ นะ” อิงค์ลูบหัวลูบหลังเจ้าแมวส้ม มันแอ่นหลังให้อย่างเกียจคร้านก่อนจะร้องเหมียวๆ ออดอ้อนราวกับจะขอให้ลูบอีกเยอะๆ

“ท่าทางมันถูกชะตากับคุณอิงค์นะคะเนี่ย” ป้าสำลีว่า “เลี้ยงไว้สิคะ คุณอิงค์อยู่คนเดียวจะได้ไม่เหงา”

“จะดีเหรอครับ ผมไม่เคยเลี้ยงอะไรเลยนะ”

เจ้าแมวส้มกระดิกหู มันไถหัวกลมๆ เข้าที่หลังมืออิงค์ แล้วจ้องเขาตาแป๊วเหมือนต้องการจะบอกว่า ‘เลี้ยงหนูเถอะ หนูกินง่าย อยู่ง่าย แถมไม่ดื้อไม่ซนด้วยนะ’

อิงค์เกาคางมันกลับรู้สึกเหมือนโดนดวงตาสีอำพันกลมโตนั้นสะกด “ก็ได้ครับ แล้วผมต้องเตรียมอะไรให้มันบ้าง”

“หลักๆ ก็อาหาร ทรายแมวสำหรับขับถ่าย แล้วก็ที่นอนค่ะ” ป้าสำลีบอก “แล้วก็ต้องพาไปทำวัคซีนด้วย”

“เลิกโอ๋แมวได้แล้ว เธอต้องกลับไปเปิดร้านไม่ใช่หรือไง” สิงห์ตะโกนมาแทรกกลางวง

ป้าสำลีหันไปดูนาฬิกาและร้องออกมา “จริงด้วยค่ะนี่ก็จะเที่ยงแล้ว คุณอิงค์รีบไปเถอะ”

“แล้วเจ้าหนูนี่ล่ะครับ”

“เอาไว้นี่แหละค่ะ เดี๋ยวป้ากับพี่มอญจะช่วยดูแลมันให้ก่อนระหว่างที่คุณอิงค์ไปเตรียมบ้านกับข้าวของให้มัน เอาไปตอนนี้ก็คงไม่สะดวกใช่ไหมล่ะคะ”

“ถามเจ้าของบ้านสักคำไหมว่าเขาโอเคหรือเปล่า” สิงห์บ่นลอยมาตามลมแต่ก็ไม่มีใครสนใจ

“จะดีเหรอครับ มันจะไม่รบกวนแขกคนอื่นๆ เหรอครับ”

“ไม่หรอกค่ะตัวแค่นี้จะไปทำอะไรใครได้... หืม จริงไหมลูก” มอญพยักเพยิดกับเจ้าแมวส้มที่ร้องเหมียวๆ ตอบรับทันที “เห็นไหมคะน้องสัญญาแล้วว่าจะไม่ซน”

“แต่ว่า…” อิงค์ยังมีทีท่าลังเล เขาเป็นคนพาเจ้าหนูนี่มาก็ไม่ควรทิ้งไว้เป็นภาระให้ใคร

“เดี๋ยวตอนเย็นเอาไปให้” สิงห์ตะโกนบอกเสียงขุ่นนึกรำคาญมนุษย์ทาสแมวพวกนี้ขึ้นมาตงิดๆ “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ยอมให้มันนอนที่นี่แน่ๆ”

ในที่สุดอิงค์ก็ละสายตาจากแมวแและหันไปพูดด้วย “ไม่เป็นไรครับพี่สิงห์ แค่นี้ก็รบกวนป้าสำลีกับพี่มอญเยอะแล้วผมมารับมันเองดีกว่า เดี๋ยววันนี้ปิดร้านเร็วหน่อย”

“จะมาปิดเร็วอะไรให้เสียรายได้ ปกติปิดร้านกี่โมง” สิงห์ถามเสียงเข้ม

“สองทุ่มครับ”

“เก็บร้านเสร็จค่อยมา”

“กว่าจะเสร็จก็เกือบสามทุ่ม มันดึกนะครับ”

“รอได้”

“แต่ว่ามันมืด…”

“มืดก็ค้าง” สิงห์ว่า “ส่งแมวให้ป้าสำลีแล้วก็ไปได้แล้วไป”

“ถ้างั้นผมฝากด้วยนะครับ” อิงค์ส่งแมวให้ป้าสำลีและขับรถกลับไป

ถึงจะบอกว่ากลับมาเปิดร้านแต่วันนี้บรรยากาศของ It’ sra ก็ยังเงียบเหงาทั้งที่เป็นวันศุกร์ อิงค์เท้าแขนกับเคาน์เตอร์มองเหม่อออกไปด้านนอกที่เงียบเชียบแล้วถอนหายใจ ถึงจะยังแน่ใจว่าตัดสินใจไม่ผิดที่ปฏิเสธคำชวนของเหมราชไป แต่ถ้าลูกค้ายังไม่มีมาแบบนี้เขาคงต้องปิดร้านในเร็ววันแน่

พอทุ่มเศษอิงค์จึงเริ่มเก็บร้านเตรียมไปรับลูกแมวที่ข่วงเมืองสิงห์ ในขณะที่เขากำลังจะพลิกป้ายหน้าร้านเป็นปิดนั้นเองใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามา

“อ้าวบอย ทำไมวันนี้มาเสียค่ำเชียว เพิ่งเลิกซ้อมเหรอ” อิงค์ยิ้มทักทายลูกค้าประจำ “พี่กำลังจะปิดร้านแล้ว แต่ถ้าบอยจะดื่มอะไรเดี๋ยวพี่ชงให้พิเศษเข้ามาก่อนสิ”

บอยไม่ตอบแต่เดินตามอิงค์เข้าไปในร้านเงียบๆ และกระแทกตัวลงนั่งตรงหน้าเคาน์เตอร์ที่เป็นที่ประจำของเขา

อิงค์เองก็สังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มที่เคยสดใสร่าเริงอยู่เสมอดูแปลกไป หน้าตาบูดบึ้งไม่พูดไม่จา คิดว่าคงมีปัญหามาจึงพยายามชวนคุยให้อารมณ์ดี “ของบอยเป็นโกโก้ปั่นหวานน้อยเหมือนเดิมนะ… เออ การแข่งที่บอยชวนพี่ไปดูน่ะ มันอาทิตย์หน้าแล้วนี่ จัดที่ไหนแล้วแข่งกับใครนะ ทีมบอยมีเสื้อหรือสีประจำทีมไหมพี่จะได้แต่งไปเชียร์ถูก”

เด็กหนุ่มไม่ตอบ ได้แต่นั่งก้มหน้านิ่ง มือกำแก้วโกโก้ปั่นแน่นจนเห็นเส้นเลือดที่หลังมือขึ้นปูดโปน

“บอย… บอยเป็นอะไร มีปัญหาในทีมเหรอ หรือว่าเรื่องเรียน บอยเล่าให้พี่ฟังได้นะ… พี่อยากช่วยบอย…”

“พี่ไม่ต้องมาทำเป็นหวังดีกับผมเลย!” จู่ๆ เด็กหนุ่มก็ระเบิดอารมณ์ออกมาเสียงดัง “พี่อิงค์น่ะ… พี่น่ะ… ผมไม่คิดเลยว่าพี่จะเป็นคนแบบนี้ พี่มันสกปรก ทุเรศที่สุด!”

“เดี๋ยวก่อนบอย! นายพูดเรื่องอะไร!!”

“ก็เรื่องเมื่อวานไง!” บอยตะโกนใส่หน้าเขา

“เรื่องเมื่อวาน” อิงค์ทวนคำเสียงสั่น

“ทำอะไรบัดสีบัดเถลิงกลางวันแสกๆ ในร้าน แถมยัง… แถมยัง…” เสียงของบอยสั่นจนขาดหาย

“บอยฟังพี่ก่อนนะ บอยเห็นอะไร” อิงค์พยายามจะเข้ามาอธิบายแต่เขาก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์เลย มันเป็นความเลินเล่อของเขาเองที่เปิดร้านทิ้งไว้ และก็เป็นความมักมากของเขาเองที่เชิญชวนสิงห์

“ไม่เห็นแต่ได้ยิน!” บอยตวาด “ทำเป็นหงิมๆ เงียบๆ หลอกใครๆ ว่าไม่มีพิษภัยแต่กลับใช้หน้าหล่อๆ มาหลอกฟันคนเขาไปทั่ว!!”

“ฟังพี่ก่อนนะบอย” อิงค์เอื้อมมือออกไป แต่เด็กหนุ่มขืนตัวหนีพร้อมกับคว้าแก้วโกโก้ปั่นสาดใส่เขา

“บอย!” อิงค์ยกมือบังไว้ทัน แก้วตกเฉียดขาเขาไปตกแตกกระจายเต็มพื้น แต่ตัวเขาก็เลอะเทอะเปรอะเปื้อนโกโก้ไปหมด

“ผมไม่กินน้ำร้านพี่อีกแล้ว ไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไรพิเรนทร์ๆ บ้าง แม้แต่นมข้นหวานยัง…” บอยเงื้อหมัดขึ้นด้วยแรงโทสะ
อิงค์รู้ตัวว่าหลบไม่พ้น เขาหลับตาเตรียมรับแรงกระแทก

ทันใดนั้นเสียงห้าวก็ตวาดดังขึ้น

“หยุด!” สิงห์ยื่นแขนมากันหมัดของเด็กหนุ่มไว้ได้ทันก่อนที่มันกระทบเข้ากลางแสกหน้าอิงค์พอดี

“พี่สิงห์!” อิงค์อุทาน ทั้งโล่งอกและดีใจ

ด้วยความเชี่ยวชาญด้านต่อยตีของหัวโจกประจำซอยที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก สิงห์วาดแขนข้างที่ใช้กันหมัดคว้าเข้าที่คอเสื้อเด็กหนุ่มแล้วผลักให้ถอยห่างออกไป

บอยพยายามโต้กลับ ถึงจะเป็นนักฬาแต่เขาก็สู้แรงสิงห์ไม่เลย และอึดใจต่อมาเขาก็โดนสิงห์จับเหวี่ยงลงไปนอนสงบสติอารมณ์บนพื้นร้าน

“มีเรื่องอะไรกัน ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันด้วย” สิงห์ถามด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจที่บอกให้รู้ว่าเขาก็กำลังโกรธอยู่เหมือนกัน

“พี่สิงห์ใจเย็นๆ ครับ” อิงค์รีบเข้ามาคว้าแขนสิงห์ไว้ข้างหนึ่ง “บอยไม่ผิดเลย เป็นความผิดผมเอง… ผมทำไม่ดีเอง”

“เธอทำอะไรไม่ดี” สิงห์ถามอิงค์ที่หน้าซีดจนเหลือสองนิ้ว ก่อนจะหันไปหาเด็กหนุ่มที่นอนแผ่หราอยู่บนพื้น “ใครก็ได้อธิบายมาหน่อย”

“คือผม…” อิงค์อึกอัก เขาเองก็ไม่รู้จะเล่ายังไง

“ฮือ…”

เสียงกระซิกดังขึ้นมาจากที่พื้น ทั้งสองหันไปมองเด็กหนุ่มที่ยกสองมือขึ้นปิดหน้าปิดตาและเริ่มต้นสะอื้นอย่างหนัก

“ผม… ผม… ผมตามจีบเธอมาตั้งนานแต่เธอก็ไม่เหลียวแลผมเลย แล้วพี่เป็นใคร แค่เป็นหนุ่มหล่อมาจากเมืองกรุงก็มาหลอกกินตับกันง่ายๆ ในร้านกลางวันแสกๆ เนี่ยนะ” บอยพูดไปสะอื้นไป

“นายว่าไงนะ!” อิงค์ถาม

“ผมได้ยินนะ เมื่อวันก่อนน่ะ ผมมาซื้อกาแฟแล้วผมก็… แล้ววันนี้พี่ก็ไปส่งเธอที่โรงเรียน คงสนุกกันข้ามวันข้ามคืนเลยสินะ”

“เดี๋ยวนะบอย บอยกำลังพูดถึงใคร”

บอยผุดลุกขึ้นนั่งรวดเร็ว “ยังจะมาทำไขสืออีก ก็รสาไง ลูกสาวร้านขนมปัง ผมเห็นนะว่าเมื่อเช้าน่ะสองคนคุยกันอี๋อ๋อสนุกใหญ่เลยแถมยังนัดแนะให้มาหากันอีกด้วย ผมเลยมาดักรอนี่ไง”

“บอย พี่ว่านายเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วนะ” อิงค์พยายามอธิบาย “พี่แค่ไปซื้อขนมปังร้านคุณจามจุรี แล้วมันก็สายแล้วพี่เลยอาสาไปส่งรสาแค่นั้นเอง”

“แล้วเสียงครางที่ผมได้ยินล่ะ พี่จะอธิบายว่าไง!”

“คือ… นั่น…” พวงแก้มขาวซับสีเข้ม อิงค์พูดไม่ออก

“เห็นไหม พี่ไม่ปฏิเสธ”

“นั่นไม่ใช่…”

“เจ้าหนู” สิงห์เอ่ยขึ้นเรียบๆ เขาเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว “ฉันไม่แน่ใจหรอกนะว่าเธอได้ยินอะไร หรือคิดเลยเถิดไปถึงไหน แต่ว่านะคนที่อยู่กับอิงค์ตลอดช่วงบ่ายของเมื่อวานคือฉันเอง”

“พี่สิงห์!” อิงค์หน้าร้อนจนแทบไหม้ เขาหันควับไปมองหน้าสิงห์ แล้วก็รู้ตัวว่าทนมองต่อไม่ได้ เพราะสีหน้าและแววตาในยามนี้ของสิงห์นั้นทั้งซื่อตรงและจริงจัง จนเขาต้องก้มหน้าหนีเพราะกลัวว่าตัวเองจะแสดงอาการแปลกๆ ออกไป

“ว่าไงนะ!” บอยเองก็ตกใจมากไม่แพ้กัน

“ต้องให้ฉันแปลให้ชัดๆ กว่านี้ไหม” สิงห์ถามพลางสอดแขนข้างหนึ่งเข้ารอบเอวอิงค์ราวกับจะประกาศความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
บอยเองก็เขินไม่แพ้กัน ทั้งเรื่องที่สิงห์แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ทั้งเรื่องที่ตัวเองเข้าใจผิดจนเรื่องราวใหญ่โต “ไม่… ไม่ต้องครับ”

“เข้าใจถูกแล้วนะ” สิงห์ถามย้ำ

“ครับ” บอยละล่ำละลักตอบ “ผมต้องขอโทษพี่อิงค์ด้วยนะครับ”

“งั้นก็กลับไปได้แล้ว”

“ผมใจร้อนไปหน่อย ผมไม่ได้ตั้งใจ…” บอยทำท่าจะพูดต่อสิงห์ก็ตัดบทขึ้นเสียก่อน

“แฟนเขาจะคุยกัน คนนอกหมดธุระแล้วก็กลับไป ตกลงนะ” สิงห์เน้นทีละคำช้าๆ ชัดๆ

บอยหน้าแดงเสียเอง “ครับ!” เขารับคำเสียงดังแล้วรีบวิ่งออกจากร้านไป

สิงห์เดินตามออกไปชะโงกหน้าดูเห็นว่าเด็กหนุ่มไปไกลแล้วจึงจัดแจงดึงประตูปิดและลงกลอนให้เรียบร้อย

“พี่สิงห์พูดอะไรน่ะ” อิงค์ที่เป็นใบ้มาสักพักด้วยความเขินจนตัวแทบระเบิดกลั้นใจพูดออกไปได้ในที่สุด

“พูดความจริงไง” สิงห์พูดเรียบๆ

“ใครเป็นแฟนพี่”

“อยากเป็นไหมล่ะ”

“เมื่อเช้ายังบอกว่าดูๆ กันอยู่เลย”

“ตอนนี้ก็ดูอยู่” สิงห์ตอบกำกวม “ไหนส่งมือมาสิ ได้แผลที่ไหนหรือเปล่า” บอกพลางคว้าตัวอิงค์เข้าไปดูใกล้ๆ เขาลูบฝ่ามือไปตามท่อนแขนสำรวจหาร่องรอยขีดข่วนแม้เพียงเล็กน้อย

“ตกลงพี่ชอบผมแล้วเหรอ” อิงค์ถามแข่งกับเสียงหัวใจที่เต้นดังขึ้นเรื่อยๆ

“ชอบแต่ไม่รัก” สิงห์ตอบนิ่งๆ

“ตกลงมันยังไง”

“เธอตัดสินใจเองแล้วกัน” สิงห์ว่าพร้อมกับแนบอุ้งมือลงข้างแก้มนิ่ม ใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบเครื่องดื่มสีเข้มออกจนเห็นเนื้อขาวก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เห็นชายหนุ่มปลอดภัยดี “ฉันเคยเตือนเธอแล้วนี่ ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันจะไม่รักเธอแน่นอน”

อิงค์ยกมือขึ้นจับมือใหญ่ที่ยังแนบอยู่ข้างแก้มแล้วก้มหน้านิ่ง รู้สึกเจ็บแปลบปลาบในอก “รู้แล้ว ไม่ต้องย้ำบ่อยๆ ก็ได้”

“กลัวเธอลืม”

“เอ่อ… แล้วพี่มาหาผมตอนนี้มีอะไรหรือเปล่า” อิงค์เปลี่ยนเรื่อง

“เอาแมวมาให้” สิงห์ชี้ไปที่ตะกร้าใบเล็กซึ่งป้าสำลีดัดแปลงมาจากตะกร้าใส่ของ มีผ้าขนหนูรองอยู่ก้นตะกร้าและปิดปากด้วยผ้าขาวบางไม่ให้แมวกระโดดออกมาได้ “ก็เธอไม่มาสักทีแถมไลน์ไปไม่ตอบ โทรหาก็ไม่รับฉันก็เลยมาเสียเอง”

อิงค์รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู มีข้อความเข้าไม่กี่คำกับจำนวนมิสคอลแค่สองสาย และด้วยจำนวนเท่านี้ทำให้สิงห์ถึงกับต้องรีบบึ่งมาหาเขาเลยเหรอ แล้วตอนนี้ก็เพิ่งจะสองทุ่มครึ่งยังห่างไกลจากเวลานัดตั้งมาก ความเป็นห่วงของสิงห์ที่มีให้เขามันอยู่ในระดับไหนแน่

“คงเป็นตอนที่ผมคุยกับบอยอยู่” อิงค์ชะโงกหน้าลงไปดูในตะกร้า เจ้าแมวส้มตัวน้อยขดตัวนอนหลับปุ๋ยสบายใจทั้งที่ข้างนอกวุ่นวายเสียงดังขนาดนี้แท้ๆ

“พรุ่งนี้เช้าฉันมารับนะ” สิงห์ว่า

อิงค์ละสายตาจากแมวไปหาด้วยความแปลกใจ “รับไปไหนครับ”

“ไปซื้ออาหารแมวกับทรายไง แล้วยังต้องไปทำวัคซีนอีกไม่ใช่เหรอ ฉันเป็นห่วง ไม่อยากให้ไปคนเดียว” สิงห์บอก “เจอกันแปดโมงนะ”

หัวใจที่เพิ่งเริ่มจะสงบลงกลับเด้นแรงขึ้นอีกครั้ง ทั้งที่ย้ำอยู่นั่นว่าให้เขาตัดใจ แต่ก็ไม่เลิกใจดีพร่ำเพรื่อกับเขาเสียที แถมยังเป็นความใจดีที่พิเศษกว่าใครๆ เสียด้วย

“ฉันไปนะ”

สิงห์กำลังจะหันหลังเดินออกไปอิงค์ก็รีบยื่นมือออกไปคว้าชายเสื้อเขาไว้ “พี่สิงห์”

...ถ้าจะใจดีขนาดนี้ งั้นช่วยตามใจเขาอีกสักเรื่องได้ไหม...

“ทำไม”

“เตียงเล็กหน่อยแต่ถ้าพี่ไม่รังเกียจ…” อิงค์เม้มปากแน่นก่อนจะพูดต่อจนจบ “พรุ่งนี้จะได้ตื่นพร้อมกัน”

สิงห์แกะมือเรียวออกจากชายเสื้อแล้วก้าวเข้าหา เขาค่อยโอบแขนเข้ารอบเอวสอบพร้อมกับสอดหน้าเข้าไปกระซิบที่ข้างหู “ถ้าได้นอนกับเธอ ที่พื้นฉันก็นอนได้”



สิงห์นั่งลงบนเตียงขนาดห้าฟุตพลางกวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่ไร้การตกแต่ง มีเพียงเครื่องเรือนและของใช้จำเป็นไม่กี่อย่างเท่านั้น แล้วก็คิดถึงตัวเองสมัยก่อนที่ถูกครอบครัวส่งไปเรียนไกลบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่มีญาติพี่น้องและคนรู้จัก ช่วงกลางวันยังมีเพื่อนคุยแต่พอตกกลางคืนที่แสงไฟดับลงมันช่างเงียบเหงายิ่งนัก คิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงเจ้าของห้องขึ้นมาจับใจ

ประตูห้องน้ำเปิดออกชายหนุ่มในชุดนอนก้าวออกมา รอบคอมีผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องอยู่ที่คอซึ่งเจ้าตัวกำลังใช้ชายผ้าด้านหนึ่งซับน้ำออกจากเรือนผม

“พี่สิงห์จะอาบไหม”

“ฉันอาบมาแล้ว” สิงห์ตอบพลางเอื้อมมือไปคว้าตัวชายหนุ่มให้มานั่งลงตรงกลางระหว่างขาแล้วแย่งผ้าขนหนูมาช่วยเช็ดหัวให้เสียเอง “จวนจะเข้าฤดูฝนแล้ว ที่นี่พอฝนตกโดยเฉพาะกลางคืนจะหนาวมากเธอเตรียมหาผ้าห่มใหม่ด้วยนะ”

อิงค์เหลือบตามองผ้าห่มผืนบางที่อยู่บนเตียง “พี่สิงห์พาไปซื้อหน่อยสิ”

“อืม” สิงห์ครางในลำคอ

“พี่รัดผมก็หล่อแต่ผมว่าพี่ปล่อยผมดูดีกว่านะ” อิงค์ว่าพลางสางปลายนิ้วเล่นไปตามกลุ่มผมที่สยายลงมาคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม สัมผัสเรียบลื่นกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ช่วยยืนยันคำพูดว่าเจ้าตัวอาบน้ำสระผมก่อนมาหาเขาจริงๆ

“เธอชอบคนผมยาวเหรอ” สิงห์ถาม

“ชอบ” อิงค์ตอบ

…ผู้ชายผมยาวเท่จะตาย…

เสียงหวานในห้วงคำนึงดังซ้อนทับขึ้นมากับเสียงชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนตัก

สิงห์ก้มหน้าลงมองชายหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นสบตาเขาพอดี

“พี่สิงห์มองผมทำไมครับ”

สิงห์ทิ้งผ้าขนหนูลงพื้นแล้วคว้าหลังศีรษะชายหนุ่มขึ้นรับจุมพิตแนบแน่น เขาจูบเนิ่นนานโดยไม่พูดอะไรจนคนในอ้อมแขนตัวอ่อนปวกเปียก ริมฝีปากถูกดูดดึงจนชาทำให้น้ำเหนียวในปากไหลล้นออกมา

“พี่สิงห์ขอพักหน่อย” อิงค์ดันหน้าอกร่างหนาออกเล็กน้อย ถึงจะคาดหวังไว้อยู่แล้วแต่จู่ๆ สิงห์ก็เล่นจู่โจมเข้ามาจนเขาตั้งตัวไม่ทัน อิงค์ก้มลงหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาจะเช็ดคราบสกปรกที่เลอะถึงปลายคางก็โดนปลายลิ้นสากฉกกลีบปากกลับไปครอบครองอีกครั้ง

“เดี๋ยวฉันเช็ดให้เอง” สิงห์กระซิบ

เขาใช้ปลายลิ้นแลบเลียตั้งแต่ปลายคางมนลงมาตามซอกคอขาว มาจนถึงแผงอกที่เขาใช้ปลายนิ้วสำรวจรอไว้ก่อนแล้ว สิงห์เขี่ยจุดยอดสีหวานทั้งสองจนมันเป็นตุ่มไตแข็งชูชันเด่นชัดขึ้นมาแม้ยังอยู่ใต้ร่มผ้า เขาครอบริมฝีปากทับลงไปข้างหนึ่งและดูดดึงผ่านเสื้อนอนตัวบางจนเปียกชุ่ม

ร่างโปร่งแอ่นรับสัมผัส มือเรียวเกร็งจิกเข้าใต้กลุ่มผมยาวแน่น “พี่สิงห์ถอดเสื้อก่อน”

“ทำไมล่ะ ไม่ชอบแบบนี้เหรอ”


“ผมอยากให้พี่สัมผัสตรงๆ”

ในขณะที่อิงค์ถอดเสื้อ สิงห์ก็จับเรียวขายาวพาดคร่อมหน้าตักเขาไปด้านหลัง ร่างโปร่งถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อสะโพกแตะโดนส่วนกลางลำตัวที่ดุนดันเป็นสันอยู่ในกางเกงผ้า สิงห์แกล้งขยับเอวไปมาให้มันถูไถกับส่วนอ่อนไหวของเขา

เลือดกายหนุ่มเริ่มเดือนพล่านอิงค์ขยับสะโพกสู้อย่างควบคุมไม่ได้

สิงห์ปลดกางเกงผ้า ผิวเนื้อที่เสียดสียิ่งเพิ่มความเสียวซ่านจนเกินควบคุม เขาดันตัวร่างโปร่งให้นอนราบลงบนเตียง ตาคมจับจ้องร่างขาวเนียนที่ลอยเด่นอยู่ในความมืด

“พี่สิงห์”

เสียงหวานกระซิบเรียกชื่อเขา แต่เสียงที่สิงห์ได้ยินกลับเป็นเสียงของใครอีกคนที่เขาไม่เคยลืมได้ลงแม้เวลาจะผ่านมานานหลายปี หญิงสาวที่เป็นรักครั้งแรกและครั้งเดียวของเขา คนที่สอนให้เขารู้จักคำว่ารักและในขณะเดียวกันก็สอนให้เขารู้จักความเจ็บปวดมากมายเช่นกัน

เขากัดฟันกรอด มือใหญ่คว้าเรียวขายาวขึ้นพาดบ่าแล้วสอดกายเข้าแทรกด้วยอารมณ์สับสนที่พลุ่งพล่านในอก มือเรียวที่ป่ายเปะปะไปทั่วแผ่นหลังกับเสียงครางเรียกชื่อเขาซ้ำไปซ้ำมาเป็นแรงกระตุ้นให้สิงห์เคลื่อนกายรุนแรงขึ้นทุกที

หากทุกครั้งที่รุกรานเข้าไปยังส่วนร้อนรุ่มของอีกฝ่าย ความรู้สึกผิดก็กลับถาโถมล้นปรี่ขึ้นในอกของสิงห์มากขึ้นเท่านั้น

สิงห์สะบัดศีรษะไล่ภาพหญิงสาวที่ยังตามหลอกหลอนอยู่ในหัวจนเรือนผมยาวปลิวกระจาย และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกทีก็ถูกแทนที่ด้วยชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟ ดวงตาที่มีน้ำรื้นขึ้นเต็มกำลังจับจ้องมาที่เขา และราวกับรับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ อิงค์ยื่นมือขึ้นมาคว้าศีรษะเขาดึงไปจูบ

สิงห์คิดไม่ออกแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ในหัวขาวโพลนไปหมด เขาแค่รับรู้รสชาติว่ามันหวานเหลือเกิน หวานจนไม่อาจปล่อยมือ เขาสอดกายเข้าไปซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อลบภาพนั้นออกไปจากใจ

แต่ไม่ว่าจะทำมากเท่าไหร่ มันก็ไม่อาจลบภาพเธอคนนั้นออกไปจากใจได้เลย

จนเขาเริ่มรู้สึกสับสันว่าจริงๆ แล้วตอนนี้ตัวเขากำลังกอดใครอยู่กันแน่

…สิงห์ตื่นเถอะ…

เจ้าของชื่อปรือตาขึ้นมองเจ้าของเสียงหวานที่ดังอยู่ข้างหู

“อืม”

เขาตอบรับพร้อมกับยื่นมือออกไปคว้าใบหน้าขาวที่ลอยอยู่ตรงหน้า เรือนผมดำยาวสยายนุ่มมือจนอยากจะดึงตัวเข้ามากอดแล้วหอมสักฟอด

แต่แล้วภาพนั้นก็หายไปด้วยอีกเสียงที่ดังทับขึ้น

“พี่สิงห์ตื่นเถอะครับ”

สิงห์สะบัดศีรษะเบาๆ ครั้งหนึ่ง ภาพหญิงสาวผมยาวหายไปกลายเป็นชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟกำลังส่งยิ้มมาให้ ในมือของเขาถือกาแฟมาสองแก้ว

อิงค์ขยับนั่งลงข้างกันแล้วส่งแก้วหนึ่งให้เขา “กาแฟครับ”

สิงห์รับแก้วกระเบื้องใส่ลาเต้ร้อนที่เทครีมเป็นรูปหัวใจดวงโตมา กลิ่นกาแฟสดชงใหม่หอมกำจายไปทั่วทำให้ใจสงบ เขายกแก้วขึ้นจิบ ความนุ่มละมุนของครีมกับรสหวานกำซาบที่ปลายลิ้นทำให้หลุดยิ้มออกมาง่ายดาย

“พี่สิงห์ครับ”

“ว่าไง”

“ที่เมื่อวานพี่สิงห์บอกผมว่าให้ไปคิดเองน่ะว่าจะเป็นแฟนหรืออะไร” อิงค์เอ่ยขึ้นช้าๆ ด้วยพวงแก้มสุกปลั่งน่าเอ็นดู

“อืม”

“ผมคิดได้แล้วนะ”

เสียงร้อง เหมียว ดังขึ้นเบาๆ ที่ข้างขา อิงค์วางแก้วกาแฟลงแล้วอุ้มเจ้าก้อนขนสีส้มที่กำลังคลอเคลียอยู่กับขาของเขาขึ้นมาวางบนตัก

“จนกว่าพี่สิงห์จะบอกว่ารัก ผมไม่กล้าเป็นแฟนพี่สิงห์หรอก”

“อืม”

“ดังนั้น” อิงค์ยื่นลูกแมวมาตรงหน้าเขา “ระหว่างนี้พี่ช่วยเป็นพ่อเจ้าเสือน้อยไปก่อนได้ไหมครับ”

ริมฝีปากหนายกยิ้มขึ้นด้วยความเอ็นดู แมวอะไรชื่อ ‘เสือน้อย’ “แล้วใครเป็นแม่มัน”

“ผมไง” อิงค์ตอบตะกุกตะกักด้วยความขัดเขิน “ได้ไหมครับ”

สิงห์มองยิ้มหวานที่กระจายอยู่เต็มหน้าขาว เขายื่นมือออกไปคว้ามือที่ถือลูกแมวนั้นไว้ขยับไปให้พ้นทางแล้วเขยิบเข้าไปจูบปากแม่แมว รสกาแฟขมปร่าที่ปลายลิ้นก่อนจะตามมาด้วยความหวานละมุน

“อิงค์ ฉันอยากตื่นเช้ามากินกาแฟกับเธอทุกวันเลย”

สิงห์กระซิบที่ข้างหู เขารู้สึกและอยากจะทำอย่างนั้นจริงๆ แม้ว่าลึกๆ แล้วตัวเขาเองจะรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าสุดท้ายแล้ว ความหวานนี้จะกลายเป็นความขมขื่นเพราะความเห็นแก่ตัวของเขาเอง

*****************************************TBC******************************************

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Last Room บทที่ 8(05/10/2019)
«ตอบ #36 เมื่อ05-10-2019 20:07:02 »

ดราม่าเพราะหน้าเหมือน เลยคิดว่าเป็นตัวแทนสินะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: Last Room บทที่ 8(05/10/2019)
«ตอบ #37 เมื่อ05-10-2019 22:48:30 »

 :mew2: :mew2: :mew6: :mew6:

ออฟไลน์ NUTSANAN

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1031
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-3
Re: Last Room บทที่ 8(05/10/2019)
«ตอบ #38 เมื่อ05-10-2019 23:19:09 »

อ่านแล้วก่อยากตบอิพี่สิงห์ทุกตอน มอหออว้อยย รอวันน้อง หมดความอดทน หนีไปจากอิพี่ซะ!! :fire: :m31: :katai1:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: Last Room บทที่ 8(05/10/2019)
«ตอบ #39 เมื่อ06-10-2019 10:30:02 »

ออๆๆ มันเป็นแบบนี้นี่เอง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Last Room บทที่ 8(05/10/2019)
« ตอบ #39 เมื่อ: 06-10-2019 10:30:02 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: Last Room บทที่ 8(05/10/2019)
«ตอบ #40 เมื่อ06-10-2019 11:18:12 »

รอวันที่พี่สิงห์รักอิงค์จริงๆ ที่ไม่ใช่ตัวแทนของใคร แต่ก็ระวังอิงค์จะทนไม่ไหวก่อนนะ

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
Re: Last Room บทที่ 8(05/10/2019)
«ตอบ #41 เมื่อ07-10-2019 13:54:49 »

มโนไปเองหรือเปล่าพี่สิงห์ ว่าน้องอิงค์เป็นตัวแทนเพราะหน้าเหมือน  จริงๆก็ชอบที่อิงค์เป็นอิงค์แหละม้างงงง

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Last Room บทที่ 8(05/10/2019)
«ตอบ #42 เมื่อ07-10-2019 14:49:25 »

 :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 8(05/10/2019)
«ตอบ #43 เมื่อ07-10-2019 21:53:18 »

บทที่ 9

อิงค์ที่เพิ่งมีสัตว์เลี้ยงเป็นครั้งแรกในชีวิตยืนงงๆ อยู่ในดงชั้นวางอาหารแมวซึ่งสูงท่วมหัว เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าอาหารแมวจะมีมากมายขนาดนี้ทั้งแบบเปียกแบบแห้ง มีนม มีอาหารเม็ด แถมยังมีหลายรสไม่ว่าจะเป็นรสตับ เนื้อ ไก่ ไปจนถึงอาหารทะเล มีแบบสำหรับแมวขนยาวขนสั้น แล้วยังต้องซื้อให้ถูกช่วงอายุของแมวอีก นั่นยังไม่นับพวกของกินเล่นอย่างขนมแมวเลียหรือบิสกิตที่วางแยกออกไปอีกชั้นนะ

“จะเอาอะไรก็เอาไปสักอย่างเถอะ” สิงห์ว่าพร้อมกับหยิบถุงอาหารเม็ดรสตับโยนลงตะกร้า

“พี่สิงห์จะมาเลือกลวกๆ แบบนี้ไม่ได้นะ”

“ทำไมจะไม่ได้ เมื่อวานฉันเห็นป้าสำลีกับพี่มอญเอาอะไรให้มันกินมันก็กิน”

“เพราะป้าสำลีกับพี่มอญรู้ต่างหากว่าแมวกินอะไรได้ไม่ได้ อย่างนมที่พี่มอญเอาให้กินก็เป็นนมแพะ เพราะนมวัวจะทำให้แมวท้องเสีย” อิงค์พูดไปตามข้อมูลที่หาอ่านมาคร่าวๆ

สิงห์ครุ่นคิดอยู่อึดใจก่อนจะหยิบอาหารแมวถุงเก่าออกจากตะกร้าแล้วหยิบถุงใหม่ขึ้นมาวางบนมือทำท่าเลียนแบบยูทูปเบอร์รีวิวเครื่องสำอาง “งั้นก็เอาอันนี้ ฉันเคยดูโฆษณามาเห็นบอกว่า มีแมวต้องมีอาร์ ดูสิเจ้าเหมียวที่อยู่หน้าถุงเหมือนเจ้าหนูนั่นเลย มันต้องชอบแน่ๆ ... หรือไม่งั้นก็อันนี้ สมาร์แคท ขนสวยฉับไวขับถ่ายเป็นเวลา เฮ้ย! ฉันว่าอันนี้ดี เอาอันนี้เลย”

“แล้วอันนั้นมันต่างจากอันปกติยังไงครับ” อิงค์ชี้ไปยังถุงอาหารแมวสีเงินที่หน้าซองมีตัวอักษรสีทองคาดทับว่า พรีเมียม และสนนราคาของมันก็สูงกว่ายี่ห้ออื่นๆ ถึงเท่าตัว

“แพงกว่าก็ดีกว่าไง” สิงห์สรุปรวดเร็ว

“แล้วถ้าเสือน้อยไม่ชอบกินล่ะ เปลืองตังเปล่าๆ”

“ถ้างั้นเราก็เอาไปให้หมดทุกอย่างเลยดีไหม ซื้อแบบถุงเล็กไปให้ลองวันละอย่างสองอย่าง ไอ้ตัวเล็กนี่ชอบกินแบบไหนรอบต่อไปค่อยมาซื้อถุงใหญ่”

“เหลือทิ้งก็เสียดายของ”

สิงห์เบะปากพลางยกตะกร้าใส่แมวขึ้นมาระดับสายตา “นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้เอาใจยากจริงๆ เจ้าหนูนี่ เลี้ยงยากนักก็ไปอยู่วัดเถอะ”

เสือน้อยพองขนใส่พร้อมกับร้องเหมียวขู่

“เจ้านี่มันไม่ชอบขี้หน้าฉันจริงๆ ด้วย” เขาแหย่นิ้วเข้าตรงตาตะกร้า

เสือน้อยขยับถอยหลังหนีหนึ่งก้าวก่อนกระโดดตะปบ หากสิงห์ที่รู้อยู่แล้วก็ดึงนิ้วออกได้ทันทำให้เสือน้อยหัวโหม่งตะกร้างงๆ ว่าวัตถุต้องสงสัยที่ยื่นเข้ามาในอาณาเขตของมันหายไปไหน

สิงห์หัวเราะชอบใจเจ้าลูกแมวที่หันไปร้องเหมียวๆ กับอิงค์ “แหม~ มีฟ้องด้วยเว้ย!”

อิงค์รีบอุ้มตะกร้าหนีให้พ้นมือสิงห์ที่ทำท่าจะแหย่นิ้วเข้าไปแกล้งมันอีกรอบ

“ก็พี่สิงห์ชอบแกล้งมันแบบนี้ไง ผมเห็นนะเมื่อเช้าตอนอยู่ที่ร้านมันอุตส่าห์ไปอ้อนพี่สิงห์จะเล่นด้วย พี่สิงห์ก็เอาเท้าเขี่ยมันจนกระเด็น แล้วตอนผมหันหลังให้เมื่อกี้พี่สิงห์ก็แอบดีดหูมันด้วยใช่ไหม”

“มันไม่ได้มาอ้อนแต่มาฝนเล็บกับขาฉันเล่นต่างหาก เนี่ยดูสิเป็นรอยเลย” สิงห์ฟ้องคืนพลางถกขากางเกงให้ดูรอยเล็บแมวบนน่อง “แล้วถ้าเธอหันหลังอยู่เธอเห็นได้ไงว่าฉันดีดหูมัน ฉันอาจจะลูบหัวมันด้วยความเอ็นดูก็ได้นะ”

“ก็มันสะท้อนในกระจก”

สิงห์หน้าหงิก “ตาสับปะรด!”

“มีอะไรใช่ช่วยไหมคะคุณสิงห์” พนักงานสาวประจำร้านสัตว์เลี้ยงเห็นทั้งสองยืนเถียงกันอยู่นานจึงเข้ามาสอบถาม

“พอดีเลยครับ ช่วยเจ้าหนูนี่เลือกอาหารแมวหน่อย” สิงห์ว่า

“ท่าทางยังเด็กอยู่เลย น้องชื่ออะไรคะ”

“อิงค์ครับ”

“น้องอิงค์กี่ขวบแล้วคะ”

“ยี่สิบห้าครับ”

“เอ๋~ ถ้างั้นก็แก่แล้วนะคะ แต่ทำไมตัวเล็กจังเลย น้องเป็นโรคอะไรหรือเปล่าคะ”

“ก็เคยมีคนทักบ่อยๆ ครับว่าผอมไป แต่ผมก็พยายามกินเยอะๆ แล้วก็ออกกำลังกายแล้วนะครับแต่มันก็ไม่อ้วนขึ้นเลย”

พนักงานสาวหน้าเหวอไปเล็กน้อยกับคำตอบ ส่วนสิงห์ก็ตั้งหน้าตั้งตาหัวเราะท้องคัดท้องแข็งจนต้องเอามือจับชั้นวางของเพื่อพยุงตัว

“เขาถามถึงแมว” สิงห์บอกไปขำไป เขาว่าจะทักตั้งแต่คำถามแรกแล้วล่ะแต่เห็นอิงค์ตอบจริงจังแบบซื่อๆ ดูน่ารักดี ทำให้เขานึกถึงวันแรกที่เจอกันเมื่อห้าปีก่อนก็เลยเงียบไว้อยากรู้ว่าเจ้าตัวจะเอะใจตอนไหน

อิงค์อายจนแทบจะมุดถุงอาหารแมวหนี “ขอโทษครับ”

พนักงานสาวเอามือปิดปากกลั้นยิ้มก่อนจะแนะนำต่อ “ตกลงน้องคนไหนกินนะคะ”

“เสือน้อยครับ” อิงค์รีบชี้ไปที่ลูกแมวตาแป๊วในตะกร้า

“ตกลงชื่อเสือน้อยไม่ใช่น้องอิงค์นะคะ”

“ครับ”

ด้วยความช่วยเหลือของพนักงานสาวทั้งสองจึงได้อาหารแมว ขนมแมวเลีย กระบะและทรายแมวมาครบถ้วน ส่วนฟูกนอนนั้นอิงค์ตัดใจจากเบาะกลมนุ่มๆ สีส้มเข้ากับสีขนมันไปก่อนเพราะราคาค่อนข้างสูง แค่นี้ก็ทำเอากระเป๋าฟีบแล้ว แล้วตอนนี้มันก็ดูนอนสะดวกสบายดีในตระกร้าที่ป้าสำลีทำมาให้

“เอาอันนี้ด้วยสิ ไว้ไปเล่นกับมัน” สิงห์หยิบไม้ล่อแมวที่ตรงปลายติดขนไก่ใส่ตะกร้าไปด้วย

เสร็จจากซื้อของก็ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลสัตว์คราวนี้อิงค์ที่มีประสบการณ์หน้าแตกมาแล้วตอนอยู่ร้านอาหารสัตว์จึงไม่ปล่อยไก่แล้วตอนเจ้าหน้าที่ตรงโต๊ะทำประวัติถามชื่อ

“เสือน้อยครับ” เขาตอบเสียงดังฟังชัด ส่วนสิงห์ก็ยืนอมยิ้มมองอยู่เงียบๆ

ระหว่างนั่งรอตรวจอิงค์มองไปรอบๆ เห็นราคาค่าตรวจกับวัคซีนที่ติดอยู่บนป้ายก็หน้าซีดไปเล็กน้อย ถึงจะเปิดร้านกาแฟแต่ก็ใช่ว่าเขาจะมีเงินเยอะแยะแถมเป็นเงินหมุนทั้งนั้น เงินเก็บที่มีก็เอามาลงกับร้านจนเกือบจะหมดตัวแล้ว อิงค์ก้มลงมองเจ้าตัวเล็กที่จ้องตาแป๊วออกมาจากก้นตะกร้าแล้วล้วงมือลงไปลูบหัวมัน ซึ่งมันก็ตอบรับโดยการเชิดหน้าชูคอให้เขาลูบเล่นไปจนถึงหาง

อิงค์ยิ้มกับตัวเอง เมื่อตัดสินใจว่าจะเลี้ยงดูชีวิตหนึ่งแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุดจะมาทำครึ่งๆ กลางๆ หรือทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่ได้

หลังจากตรวจเสร็จสิ้นสัตวแพทย์สาวก็เรียกไปฟังผล

“เธอไปคนเดียวนะ” สิงห์บอกอย่างติดรำคาญนิดๆ

อิงค์ไม่ว่าอะไรและอุ้มตะกร้าเข้าห้องไป แค่สิงห์ที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบสัตว์ยอมมาแกร่วรอกับเขาครึ่งค่อนวันก็ดีถมไปแล้ว

“ผลเลือดกับอุจจาระปกตินะคะ ไม่ติดเชื้ออะไร ไม่เป็นโรคเอดส์แมวกับลูคีเมีย หูมีขี้หูนิดหน่อยหมอล้างออกให้แล้ว แต่ผิวแห้งแล้วก็มีแผลอักเสบทั่วๆ ตัวค่อนข้างเยอะ หมอจ่ายยาให้มีทั้งเป็นแชมพูเอาไปอาบน้ำกับยาทานะคะอีกสองอาทิตย์มาตรวจอีกครั้งพร้อมกับฉีดวัคซีนเข็มที่สองนะคะ”

“ดีจังนะที่แกแข็งแรงดี” อิงค์อุ้มลูบหัวมันครั้งหนึ่งแล้วอุ้มตะกร้าออกมาเพื่อไปจ่ายเงินแต่เจ้าหน้าที่หน้าเคาน์กลับบอกเขาว่ามีคนจัดการให้แล้ว

“คุณสิงห์จ่ายเรียบร้อยแล้วค่ะ”

อิงค์หันไปยังเก้าอี้ตรงจุดนั่งรอ แต่ยังไม่ทันจะมองหา สิงห์ก็เดินมายืนตรงหน้าแล้วคว้าถุงยากับใบนัดที่อิงค์หิ้วพะรุงพะรังอยู่ไปถือเสียเอง “เสร็จแล้วก็กลับกันเถอะ”

“ค่ายาเท่าไหร่ครับ”

“ไม่เป็นไร” สิงห์โบกมือ

“ไม่เป็นไรได้ไงครับ แค่ค่าตรวจก็เกือบพันแล้วนะ”

“ฉันออกเอง”

“แต่ว่า…”

“แม่อุ้มมันไปเฉยๆ ก็พอที่เหลือพ่อจัดการเอง”

“พ่อ…” อิงค์ทวนคำหน้าแดง

“ก็เธอเพิ่งแต่งตั้งให้ฉันเป็นพ่อมันนี่” สิงห์ว่า ที่เขาไม่เข้าไปฟังผลด้วยเพราะรู้ว่าอิงค์ต้องไม่ยอมให้เขาช่วยจ่ายแน่ๆ ตอนอยู่ที่ร้านขายอาหารสัตว์ก็ทีนึงแล้วทั้งที่เขาอุตส่าห์รีบส่งเงินให้แคชเชียร์ก่อนแท้ๆ

“เดี๋ยวสิ้นเดือนปิดงบแล้วผมจ่ายคืนนะ”

“มาจ่ายคงจ่ายคืนอะไรอีก ก็บอกว่าออกให้ไง” สิงห์หันไปเคาะตะกร้าเสือน้อย “นี่เจ้าตัวเล็ก บอกแม่แกหน่อยสิว่าไม่ต้องเป็นห่วง หืม~ แน่ะ ทีแบบนี้ล่ะไม่พูดนะ”

เสือน้อยมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที เหมียว~

“ก็ผมเกรงใจ”

“ถ้าเธอไม่สบายใจนักก็ถือว่าเป็นค่ากาแฟเมื่อเช้าละกัน”

“ผมขายกาแฟแก้วละสี่สิบเองนะครับ”

“งั้นก็หักไปจนกว่าจะครบ”

“ต่อให้ชงให้พี่สิงห์กินทุกวัน เดือนนึงก็ยังไม่พอเลยนะ”

“ไม่พอก็ทบต่อไปเดือนหน้า” สิงห์ว่า “ทำไม? ไม่อยากชงกาแฟให้ฉันกินแล้วเหรอ”

อิงค์นึกถึงคำพูดที่สิงห์บอกกับเขาเมื่อเช้า

“อิงค์ ฉันอยากตื่นเช้ามากินกาแฟกับเธอทุกวันเลย”

เสือน้อยร้องเหมียวเบาๆ ราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

อิงค์ยิ้มให้มัน “พ่อแกนี่น่ารักไม่เบาเลยนะเสือน้อย”

มันร้องตอบ

เหมียว~

ทั้งสองกลับมาถึงร้านตอนใกล้เที่ยงก็เห็นบอยยืนชะเง้อชะแง้รออยู่หน้าร้าน

“มาซื้อโกโก้เหรอบอย เข้ามาสิ” อิงค์ร้องทักออกไปทั้งรอยยิ้มในขณะที่สิงห์ถอนหายใจเฮือกใหญ่และทำหน้าไม่รับแขกอย่างไม่ปิดบังเพราะยังรู้สึกโกรธเรื่องเมื่อวานอยู่ ส่วนอิงค์นั้นเห็นได้ชัดว่าไม่คิดอะไรแล้ว

เจ้าของร้านกาแฟหนุ่มวางตะกร้าใส่แมวลงบนพื้น เจ้าเสือน้อยรีบกระโดดผลุงออกมาหลังจากต้องทนอุดอู้มานาน มันเดินสำรวจไปรอบๆ ร้านอย่างตื่นเต้นกับโลกใบใหม่ ก่อนจะกระโดดขึ้นไปตรงเก้าอี้รังนก เดินหมุนเป็นวงรอบหนึ่งเป็นการประกาศความเป็นเจ้าของแล้วขดตัวลงนอน

“แม้แต่ที่ที่ฉันชอบนั่งแกยังแย่งเลยเหรอวะ” สิงห์บ่นอุบ

บอยเดินไปนั่งลงตรงที่ประจำหน้าเคาน์เตอร์ “พี่อิงค์ เรื่องเมื่อวานผมขอโทษนะ”

“อืม พี่ยกโทษให้” อิงค์ตอบจากใจ เขาไม่ถือสาอะไรแล้ว

บอยค่อยยิ้มออก เขาเปิดกระเป๋าสตางค์และหยิบเงินส่งให้ “นี่ค่าน้ำวันนี้กับเมื่อวานครับ”

“ไม่เป็นไร ถือว่าพี่เลี้ยง…”

แต่อิงค์ยังพูดไม่ทันจบประโยคสิงห์ก็เอื้อมมือมาคว้าเงินไป

“โกโก้ปั่นแก้วละสี่สิบ สองแก้วเป็นแปดสิบ ค่าแก้วที่เธอทำแตกไปอีกยี่สิบรวมเป็นหนึ่งร้อยบาทพอดี ไม่มีทอนนะ”

“ค่าแก้วไม่ต้องคิด…” อิงค์พยายามจะพูดต่อแต่ก็โดนสิงห์ขัดอีกครั้ง

“คิดสิ” สิงห์เอ็ดเบาๆ พร้อมกับยัดเงินใส่มืออิงค์ “ไม่ได้นะเจ้าหนู ของซื้อของขาย เธอใจดีเลี้ยงไปทั่วแบบนี้จะมีกำไรได้ไง”

อิงค์หันไปสบตาบอยที่พยักหน้าขอให้รับเงินไว้ อิงค์จึงเก็บเงินใส่ลิ้นชักและเริ่มชงโกโก้ปั่นไม่หวานให้บอย

ครู่ต่อมาก็มีรถเก๋งคนหนึ่งมาจอดที่หน้าร้าน กลุ่มหญิงสาววัยรุ่นสี่คนก้าวลงมา ทุกคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสมีคนหนึ่งสวมหมวกปีกกว้างทั้งที่ไม่มีแดด

พวกเธอยืนจดๆ จ้องๆ กันอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้ามา

“สวัสดีครับ” อิงค์ร้องทักออกไปจากหลังเคาน์เตอร์ “รับอะไรดีครับ”

หญิงสาวไม่ตอบเขาแต่หันไปรวมหัวซุบซิบกันซึ่งอิงค์ไม่ได้ยิน แต่สิงห์ที่เดินมานั่งตรงบริเวณนั้นพอดีได้ยินเต็มสองหู

“เฮ้ยแก ใช่จริงๆ ด้วยว่ะ”

“ตรงปก!”

“แถมหล่อกว่าในรูปอีก”

ชายหนุ่มอมยิ้มมุมปากแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น

“พวกแกอย่าเพิ่งคุย ไปสั่งกาแฟก่อน ฉันอยากมองหน้าพี่เขาใกล้ๆ” หญิงสาวคนที่หมวกปีกกว้างพูดขึ้น

แล้วพวกเธอทั้งสี่คนก็พากันเปลี่ยนที่มามุงกันตรงเคาน์เตอร์ จนบอยที่นั่งอยู่ก่อนต้องเขยิบหลบเพื่อให้พวกเธอดูเมนูกันได้ถนัด

“น่ากินไปหมดเลย เอาอะไรดี”

“โกโก้ปั่นที่นี่อร่อยนะครับ” บอยบอกพร้อมกับชูแก้วเครื่องดื่มในมือ

“นอกจากโกโก้แล้วมีเมนูอะไรแนะนำอีกไหมคะ” หนึ่งในกลุ่มหญิงสาวหันมาถามอิงค์

“ก็จะเป็นเมนูกาแฟทั้งร้อนและเย็นครับ” อิงค์บอก

“แล้วมีอะไรอีกคะ”

“เอ่อ…” อิงค์ทำหน้านึก สิงห์ก็ตะโกนสั่งมาจากตรงที่นั่ง

“อิงค์เอาลาเต้ร้อนให้แก้วนึง”

“ได้ครับ” เขาร้องตอบไป

“ทำลาเต้อาร์ตสวยๆ มาด้วยนะ แล้วนอกจากสิงโตแล้วเธอทำเป็นตัวอะไรได้อีก”

“พี่สิงห์อยากได้รูปอะไรล่ะครับ”

“แมว” สิงห์ว่าพลางเหลือบตามองเจ้าก้อนขนที่เริ่มกรนเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ ดูท่ามันจะยึดที่ตรงนั้นเป็นมั่นเหมาะเสียแล้ว “อยากกินแมวทำให้หน่อย”

“ทำลาเต้อาร์ตเป็นด้วยเหรอคะ” หญิงสาวถาม

“พอได้ครับ” อิงค์นึกขึ้นได้ว่าถ่ายรูปสิงโตที่ทำให้เหมราชเมื่อวานเก็บไว้ด้วยจึงเปิดโทรศัพท์ให้พวกเธอดู “ถ้าแบบสามมิติก็ประมาณนี้น่ะครับ แล้วก็ลายแบบที่ใช้วิธีการเทกับวาดผมทำได้ทั้งรูปหัวใจ ใบไม้ หงส์หรือตัวการ์ตูนอื่นๆ ก็ได้ครับถ้าคุณลูกค้ามีแบบมา ผมจะพยายามทำให้สุดฝีมือเลยครับ”

“งั้นเอาลาเต้ค่ะวาดเป็นรูปภูเขานะคะ” หญิงสาวได้เมนูแรก “พวกแกล่ะเอาอะไร เอาเหมือนกันไหม คนละลายถ่ายลง IG สวยดี”

แล้วอีกสามคนที่เหลือก็รีเควสรูปสิงโตที่อิงค์ให้ดู ใบไม้แล้วก็รูปหน้ายิ้ม

พอได้กาแฟไปแล้วพวกเธอก็กรี๊ดกร๊าดและผลัดกันถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน

“สมกับเป็นพี่สิงห์จริงๆ” บอยที่นั่งเท้าคางดูดโกโก้ปั่นอยู่เอ่ยขึ้น

“ทำไมเหรอบอย” อิงค์ที่กำลังตั้งใจปั้นฟองนมเป็นรูปแมวถาม

“ก็เมื่อกี้ที่พี่สาวกลุ่มนั้นถามหาเมนูแนะนำพี่ก็อ้ำๆ อึ้งๆ นึกไม่ออกใช่ไหมล่ะ พี่สิงห์เขาเลยตะโกนสั่งลาเต้มาแล้วก็ไกด์นำว่าพี่ทำเป็นรูปอะไรได้ นี่ขนาดผมมากินน้ำร้านพี่ทุกวันยังไม่รู้เลยนะ พี่น่าจะถ่ายรูปไว้แล้วเอามาทำเป็นเมนูคนจะได้รู้ จะได้เป็นจุดขายอีกอย่างของร้านด้วยไง”

“ขอบคุณนะที่แนะนำ พี่ก็ลืมนึกถึงตรงนี้ไปเลย”

พูดไปอิงค์ก็นึกขึ้นได้ว่าเทรนด์การซื้อเครื่องดื่มสมัยนี้หน้าตาต้องมาก่อน ต้องสวย ต้องแปลก ต้องน่ารัก ไว้เป็นพร๊อพประกอบรูปลงโซเชียลเก๋ๆ ส่วนรสชาตินั้นเป็นเรื่องรองขอแค่พอกินได้ก็ได้เปรียบเจ้าอื่นไปหลายขุม แต่ถ้ารสชาติดีด้วยก็ยิ่งขายดี

“แล้วที่บอยบอกว่าสมเป็นพี่สิงห์หมายความว่าไง” อิงค์ถามต่อ

“ก็สมกับเป็นทายาทคนเดียวของไกรสรกรุ๊ปไงครับ” บอยบอก “เทคนิคการขายสุดยอด ข่วงเมืองสิงห์ที่แกบริหารอยู่เห็นว่าพอเรียนจบกลับมาจากเมืองนอกปุ๊บก็ออกมาทำเองโดยไม่แบมือขอเงินที่บ้านสักบาทแล้วก็ประสบผลสำเร็จดีซะด้วย เห็นเงียบๆ แต่คนมาเที่ยวน่านถามหาไม่ขาด เขาทั้งให้ทุนการศึกษาแล้วก็เป็นสปอนเซอร์ใหญ่ให้ทีมฟุตบอลโรงเรียนผมด้วยนะ ที่คนรู้จักเขาทั้งเมืองก็เพราะสร้างชื่อเสียงเองล้วนๆ ไม่พึ่งบารมีพ่อเลย อายุแค่สามสิบห้าแต่ทำได้ขนาดนี้เท่สุดๆ”

อิงค์มองสิงห์ที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ ถึงว่าสิใครๆ ก็รู้จักสิงห์ไม่เว้นแม้แต่พนักงานร้านขายอาหารสัตว์ และเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลสัตว์ แล้วทุกคนก็ดูชื่นชมเขามากทีเดียว

อิงค์ยกลาเต้อาร์ตรูปแมวนอนขดไปเสิร์ฟให้สิงห์ “ได้แล้วครับ”

“ขอบใจนะ”

จังหวะนั้นอิงค์เหลือบไปเห็นว่าบนหน้าจอโทรศัพท์ในมือสิงห์ที่เปิดค้างไว้เป็นรูปถ่ายที่ค่อนข้างจะมั่นใจว่าจะเป็นรูปเขาจึงชะโงกหน้าเข้าไปดู “พี่สิงห์ถ่ายรูปผมทำไมครับ”

“เปล่านี่” สิงห์ขยับโทรศัพท์หลบให้พ้นสายตาและยกกาแฟขึ้นจิบทำไม่รู้ไม่ชี้

อิงค์เหลือบตามองกลุ่มสาวๆ ที่กำลังนั่งจิบกาแฟเม้าท์มอยกันสนุกสนานและนึกเอะใจอะไรบางอย่าง เขาเดินกลับมาที่เคาน์เตอร์และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูทวิตเตอร์อันนั้นอีกครั้ง ยอดรีทวิตกับยอดไลก์พุ่งไปถึงหลักหมื่นแล้ว แต่อิงค์ไม่ได้สนใจตรงนั้น เขาดูเสื้อผ้าที่ตนเองสวมใส่และนึกย้อนกลับไปว่าวันที่พี่มอญมาร้านเขาไม่ได้ใส่ชุดนี้ เสื้อตัวนี้เขาใส่วันที่สิงห์มาที่ร้าน แล้วมุมกล้องที่ถ่ายก็น่าจะมาจากแถวๆ เก้าอี้รังนก และเวลาโพสต์ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันนั่นเอง

อิงค์นึกถึงสีหน้าประหลาดใจมากกว่าจะเขินของพี่มอญตอนเขากล่าวขอบคุณ แล้วหันไปมองสิงห์ที่นั่งจิบกาแฟเล่นโทรศัพท์

กาแฟขวดกับคุ้กกี้ที่ปู่กมลเอาให้เขาดูก็เป็นของที่เขาทำให้เผื่อไปให้สิงห์ที่ข่วงเมืองสิงห์เช่นกัน

ตลอดเวลาที่ผ่านมาสิงห์แอบช่วยเขามาตลอดเลยเลยเหรอ แม้กระทั่งตอนที่ยังทำปั้นปึงไม่ยอมพูดจากัน

เขาหันไปมองสิงห์อีกครั้ง จังหวะอีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมาพอดี อิงค์ส่งยิ้มกว้างไปให้ด้วยความขอบคุณ และสิงห์ก็ส่งยิ้มตอบกลับมา

หลังจากลูกค้าสาวกลุ่มนั้นไปก็มีกลุ่มใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง มากกว่าครึ่งมาตามรีวิวในเพจคนรักน่านกับทวิตเตอร์ ส่วนที่เหลือก็แวะมาเพราะเห็นว่ามีคนเข้าร้านเยอะดีดูน่าสนใจ

วันนี้ It’ sra จึงคึกคักเป็นพิเศษ ถึงจะเหนื่อยแต่อิงค์ก็ยิ้มออก เขาเดินเสิร์ฟกาแฟและคุยกับลูกค้าโต๊ะนั้นโต๊ะนี้ จนคนที่นั่งจิบกาแฟแอบมองอยู่คิดว่าไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วจึงตั้งท่าจะกลับลูกค้าสาวคนใหม่ก็เดินเข้ามาพอดี

“สวัสดีค่าาา~”

“ว่าไงรสา” อิงค์ทักทายลูกสาวร้านขนมปังที่แวะมาตามสัญญา

“รสา!” บอยที่นั่งดูดโกโก้อยู่เงียบๆ ออกอาการลนลานขึ้นมาทันทีที่เจอสาวที่ชอบ

“อ้าวบอยมาทำอะไรที่นี่”

“มาร้านกาแฟก็มาซื้อกาแฟสิ” ด้วยความเขินจึงทำเป็นเก๊กตอบไปแบบแมนๆ ที่คิดว่าเท่ แต่ในมุมมองสาวเจ้านั้นคิดว่าเขาอยากจะกวนเธอและดูไม่น่าคบหาสักนิด

“จะรับอะไรดี” อิงค์ถาม

สารสานั่งลงตรงหน้าเคาน์เตอร์ถัดจากจากบอยนั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มนั่งตัวแข็งเป็นหิน “พี่อิงค์มีเมนูอะไรแนะนำล่ะ”

“กาแฟไหม”

“ก็ได้นะคะ”

“รสาไม่ชอบกินกาแฟไม่ใช่เหรอ” บอยที่แอบฟังอยู่โพล่งออกไป เขาแอบชอบเธอมาตั้งแต่ม.ต้น คุณจามจุรีมักจะเอาขนมปังมาแจกจ่ายให้ทีมฟุตบอลของเขาเวลาซ้อมหรือมีแข่งและเธอก็ตามมาช่วยบ่อยๆ เขาที่ตกหลุมรักเธอตั้งแรกพบพยายามจะชวนคุยแต่ก็เขินจนตัวบิดไปทุกครั้งเลยทำได้แค่มองอยู่ห่างๆ

สารสาหันไปมองเด็กหนุ่ม เธอย่นคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาหาอิงค์ที่ยิ้มหวานเสนอเมนูต่อไปให้

“ชาเขียวไหม”

“อืม” สารสามีทีท่าลังเลเล็กน้อยก่อนจะสั่ง “โกโก้ปั่นละกันค่ะ”

เด็กหนุ่มนี่แอบเงี่ยหูฟังใจเต้นโครมคราม นี่ล่ะนะ แค่คนที่ชอบสั่งเมนูเดียวกัน ก็ดีใจจะแย่แล้ว

“พี่อิงค์ๆ รสามีข่าวดีจะบอก ตกลงพ่อไม่ปิดร้านแล้วล่ะ พ่อตัดสินใจว่าจะสู้ดูอีกสักตั้ง”

“ดีใจด้วยนะ”

“ต้องขอบคุณพี่อิงค์กับพี่สิงห์มากๆ เลยนะคะ”

“พวกพี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นเพราะความตั้งใจของรสาต่างหาก” อิงค์เหลือบตามองเด็กหนุ่มที่นั่งดูดหลอดเล่นทั้งที่โกโก้หมดแก้วไปนานแล้ว เขานึกอยากช่วยให้บอยสมหวังจึงเอ่ยขึ้น “เออนี่รสา อาทิตย์หน้าว่างไหม”

“ว่างค่ะ ทำไมคะ”

“ได้ข่าวว่าฟุตบอลโรงเรียนของจังหวัดเราได้เข้ารอบชิงแล้วนี่ พี่เลยว่าจะไปเชียร์สักหน่อย แต่พี่ไม่มีเพื่อนไปเลย รสาไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ”

เด็กสาวนิ่งคิด อิงค์รีบหยอดเพื่อเร่งให้เธอตัดสินใจ

“รสาไปกับพี่นะ พี่อยากดูมากเลย… นะๆ เดี๋ยวพี่เลี้ยงขนม”

“ได้ค่ะ วันอาทิตย์เจอกันนะคะ” เด็กสาวรับปากมั่นเหมาะแล้วถือแก้วโกโก้ปั่นเดินดูดออกไปอย่างอารมณ์ดี

พอสารสาคล้อยหลังบอยที่นั่งเป็นหุ่นก็กลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง เขาเหลียวมองคนที่แอบชอบเลิ่กลั่ก “พี่อิงค์ทำอะไรน่ะ!”

“ช่วยนายจีบรสาไง”

“ช่วยยังไง”

“ก็ให้รสาไปดูความเก่งกาจของศูนย์หน้าดาวซัลโวไง เท่ขนาดนี้สาวๆ ที่ไหนก็ต้องตกหลุมรัก”

“ง่ายแบบนั้นก็ดีน่ะสิพี่ รสาเกลียดผมจะตาย ที่เขารับปากจะไปดูฟุตบอลเป็นเพราะพี่ชวนหรอกนะ รู้ไว้ด้วย”

“ให้พี่แคนเซิลไหม” อิงค์ถาม

“อย่านะ!”

“อ้าว”

“ถึงงั้น ก็อยากให้ไปดูนี่นา… สักครั้งก็ยังดี” บอยดูดน้ำที่เหลือติดก้นแก้วจนหมดแล้วลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีฮึกเหิม “ผมไปซ้อมก่อนนะพี่ นัดนี้ต้องชนะเท่านั้น!”

“สู้ๆ นะ” อิงค์ชูหมัดให้กำลังใจ เห็นสิงห์ลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกจากร้านจึงรีบวิ่งตามออกไปส่ง “พี่สิงห์กลับแล้วเหรอ ขอบคุณนะครับที่ไปซื้อของเป็นเพื่อน นี่เป็นขนมเล็กๆ น้อยๆ ให้ป้าสำลีกับพี่มอญทานกับกาแฟตอนบ่ายครับ” บอกพลางส่งถุงคุ้กกี้ธัญพืชให้

สิงห์รับมา หน้ามุ่ยน้อยๆ ที่ไม่มีชื่อตนรวมอยู่ในของฝาก แต่ยังไม่ทันจะกล่าวท้วงเจ้าของร้านกาแฟหนุ่มก็หยิบอีกถุงหนึ่งขึ้นมาส่งให้

“อันนี้ของพี่สิงห์”

สิงห์เปิดปากถุงออกดูเค้กหน้านิ่ม ตรงหน้าเค้กที่ปกติจะเป็นช๊อกโกแลตปาดเรียบ ถูกวาดเพิ่มด้วยครีมสดเป็นรูปหัวใจดวงโตใส่ลงไป “ขอบคุณที่ไปเป็นเพื่อนเหรอ”

อิงค์พยักหน้าที่เริ่มแดงไปจนถึงหู “ถึงจริงๆ จะอยากให้ไปเป็นแฟนมากกว่าก็เถอะ”

สิงห์หัวเราะในลำคอ นึกขำในความใจแข็งของตนว่าทนเจ้าสิ่งมีชีวิตน่ารักแบบนี้ได้ยังไง

“วันอาทิตย์หน้าพี่ว่างไหม”

“เธอชวนรสาไปดูบอลแล้วนี่” สิงห์บอกตามที่ได้ยิน

“อยากให้พี่ไปด้วย… ได้ไหม”

“น่าจะต้องทำงาน”

“งั้นก็ไม่เป็นไรครับ”

“แต่จะทำให้ว่างก็ได้นะ”

“ยังไงครับ”

“ต้องแลกเวรให้ป้าสำลีเฝ้าเคาน์เตอร์แทน แล้วฉันก็ต้องไปทำงานอย่างอื่นชดใช้วันหลัง”

“ทำพี่สิงห์ยุ่งยากหรือเปล่า”

“ก็ยุ่งยากอยู่ แต่ถ้าเธอมีของตอบแทนน่าสนใจก็คุ้มที่จะยุ่งยากอยู่นะ… เอางี้ เธอทำอะไรให้กินหน่อยสิ”

“พี่สิงห์อยากกินอะไรครับ”

“แมววันนี้ไม่อร่อยเลย” สิงห์เปรย

“แล้วพี่สิงห์จะกินอะไรครับ”

“แม่แมว” สิงห์พูดยิ้มๆ “เดี๋ยวตอนเย็นมาช่วยอาบน้ำให้เจ้าตัวเล็กนะ”

(ต่อข้างล่างค่ะ)



ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 8(05/10/2019)
«ตอบ #44 เมื่อ07-10-2019 21:56:09 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“เสือน้อยพ่อแกนี่น่ารักจริงๆ เลยนะ” อิงค์นั่งรออยู่หน้าร้านกับเจ้าเสือน้อยที่กำลังวิ่งไล่ขนไก่ตรงปลายไม้ที่เขาแกว่งล่อไปมาอย่างสนุกสนาน

อิงค์ดึงคอเสื้อขึ้นดมและเช็กกลิ่นปากอีกรอบนึงให้แน่ใจว่ายังหอมอยู่ เขาอาบน้ำทาแป้งรอตั้งแต่หัววัน พอสิงห์มาถึงจะได้รีบอาบน้ำให้แมวแล้วจะได้รีบกลับ… เขาคิดแค่นี้จริงๆ นะไม่ได้คาดหวังอะไรเล้ย~

“อยากให้พ่อแกค้างต้องทำยังไงนะเสือน้อย” อิงค์รำพึงก่อนจะปิดหน้าด้วยความเขินว่าพูดอะไรออกไป เขาเคาะไม้ติดขนไก่รัวๆ จนเจ้าเสือน้อยที่ไล่ตะครุบไม่ทันร้องเหมียวๆ ราวกับจะบ่นว่า

‘แม่เป็นอะไรมากปะ’

“ขอสิ”

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของร่างสูงใหญ่ตรงประตู

สิงห์เดินมานั่งลงข้างกันแล้วดึงเอาไม้ขนไก่จากมืออิงค์ไปแหย่เจ้าเสือน้อยเล่นเสียเอง “พร้อมหรือยัง ไปอาบน้ำกัน”

“พร้อมตั้งนานแล้วครับ”

“มิน่าสิตัวหอมเชียว” สิงห์ชะโงกหน้ามาพิสูจน์ที่ข้างแก้ม ทำเอาคนโดนขโมยหอมหน้าแดงไปหมด

ทีแรกอิงค์คิดว่าการอาบน้ำให้เจ้าเสือน้อยจะไม่ยากเท่าไหร่เพราะตอนตรวจสุขภาพกับฉีดวัคซีนมันก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

แต่เขาคิดผิด!

แมวเป็นสัตว์กลัวน้ำ พอเขาเอาฝักบัวจ่อไปที่ตัวมันปุ๊บ เจ้าตัวเล็กที่นั่งสงบนิ่งอยู่ในกะละมังดีๆ ก็ทำขนพองแล้วกระโจนหนีน้ำขึ้นไปเกาะหัวสิงห์แน่น

เหมียว~ แม้ววว~ หง่าวววว~

ถ้าฟังภาษาแมวรู้เรื่องคงจะได้ยินมันกรีดร้องว่า

‘หนูไม่อาบน้ำนะแม่ ม่ายยย~ หนูหนาว~ หนูยอมตัวเหม็น’

“ไม่ได้นะเสือน้อย เดี๋ยวแผลไม่หาย”

‘ไม่หายก็ช่างมันดิแม่ เดี๋ยวหนูเลียเอาก็ได้’

“เจ้าหนู! เอาไอ้ตัวเล็กนี่ออกจากหัวฉันเดี๋ยวนี้ หนังหัวฉันจะหลุดแล้วเนี่ย! ตกลงแกเป็นแมวหรือตุ๊กแกวะ ไอ้เปี๊ยก!!”

“เสือน้อยมานี่เร็ว มา คนเก่ง”

มันร้องเสียงดังน้ำหูน้ำตาไหล ‘ม่ายอาววว~ แม่ใจร้าย หนูไม่รักแม่แล้ว~’

หลังจากใช้เวลาเกือบชั่วโมงในห้องน้ำ ภารกิจอาบน้ำแมวครั้งแรกในชีวิตอิงค์ก็ประสบผลสำเร็จ

เจ้าเสือน้อยที่โดนขัดสีฉวีวรรณทุกซอกทุกมุมเป่าขนจนแห้งสนิท กระโดดหย็องแหยงไปรอบๆ อย่างอารมณ์ดี เป็นครั้งแรกในชีวิตลูกแมวจรข้างถนนอย่างมันที่รู้สึกสะอาดสบายตัวขนาดนี้ ขนที่พันกันเป็นสังกะตังเรียงเส้นสวย กลิ่นตัวหอมฉุย กลายเป็นแมวคนละตัวไปเลย

“หล่อเลยใช่ไหมล่ะ” อิงค์ยิ้มพอใจในผลงาน

เสือน้อยวิ่งมาพันแข้งพันขาอย่างประจบประแจง

เหมียว~

‘ขอบคุณนะคับ หนูรักแม่ที่สุดเลย~’

เขาหันไปหาสิงห์ที่นั่งหมดสภาพ หัวหูยุ่งเหยิงเพราะโดนเจ้าลูกแมวเล่นงานแล้วหลุดขำออกมาเล็กน้อย “ผมอาบน้ำให้ไหม”

“อือ” สิงห์ครางรับในลำคอพร้อมกับถอดเสื้อผ้าฝ้ายกับกางเกงขายาวที่เปียกจนชุ่มออกกองไว้ที่พื้น เหลือแต่ตัวเปล่าๆ แล้วเดินนำเข้าไปในห้องน้ำ

อิงค์ใจสั่นขณะเดินตามแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามกับสะโพกแน่นสมส่วนเข้าไปในห้องน้ำ

สิงห์เปิดน้ำแล้วโยนฝักบัวส่งให้เขา “อาบให้สะอาดนะเจ้าหนู”

ถึงสิงห์จะยืนก้มหน้าให้แล้วแต่ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่โตกว่ามากอิงค์ก็ยังทำอะไรยากอยู่ดี “น้องสิงห์ลงไปนั่งในกะละมังได้ไหมครับ”

เขาแกล้งแซวแต่สิงห์ก็ทำตามอย่างว่าง่ายโดยการนั่งขัดสมาธิลงบนพื้น อิงค์เทแชมพูลงบนเรือนผมยาวที่ราดน้ำจนชุ่ม เขาขยี้เบาๆ จนขึ้นฟองนุ่มเต็มศีรษะแล้วขยับปลายนิ้วนวดวนไปทั่วๆ

สระผมเสร็จเทน้ำล้างอิงค์ก็เอาสบู่มาถูจนเกิดฟอง เขาโปะฟองไปบนแผ่นหลังกว้าง สีขาวของฟองนุ่มตัดกับผิวสีแทนดูเซ็กซี่บาดใจจนอิงค์ที่พยายามอดใจมาตลอดเริ่มมือไม้สั่น

เขาค่อยๆ ลูบมือไปตามแนวกล้ามเนื้อบ่า ไหล่ ต้นแขน ลงไปจนถึงเนินหน้าอก

สิงห์เหลือบตามองลำแขนเรียวที่พาดลงมา “ตัวเธอเปียกแล้วนี่ มาอาบด้วยกันไหม”

“ย… อย่าดีกว่าครับ”

“ไม่ต้องเกรงใจไปหรอกน่า”

สิงห์คว้าแขนอิงค์แล้วดึงร่างเพรียวให้หมุนมานั่งลงบนตัก ฝักบัวที่เปิดค้างไว้หลุดจากมือร่วงลงพื้นแล้วสะบัดไปมาจนน้ำกระเซ็นไปทั่ว ตอนนี้อิงค์ที่มานั่งอยู่ในอ้อมแขนสิงห์เปียกปอนตั้งหัวจรดเท้า เสื้อยืดตัวบางที่สวมอยู่แนบเนื้อเน้นทุกส่วนสัดและเปิดเผยไปถึงไหนต่อไหน ทำให้เขารู้สึกเหมือนเนื้อตัวล่อนจ้อนทั้งที่ยังสวมเสื้อผ้าอยู่ครบทุกชิ้น

“ฟอกสบู่ต่อนะ” สิงห์คว้าก้อนสบู่มาลูบไปบนผิวเนื้อ เขาแกล้งเน้นตรงจุดยอดสองจุดบนหน้าอกที่นูนเด่นขึ้นมาเป็นพิเศษ

อิงค์เริ่มหายใจขัด ตัวสั่นน้อยๆ ไม่ใช่เพราะสายน้ำเย็นแต่เป็นเพราะมือใหญ่ของคนที่โอบกอดมาจากด้านหลังนั้นรู้ดีเหลือเกินว่าต้องสัมผัสเขาตรงไหนถึงจะทำให้รู้สึกดี บางจุดอย่างตรงหลังหูแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าแค่แตะโดนเบาๆ จะทำให้หัวใจวาบหวิวจนแทบจะขาดใจเสียให้ได้ขนาดนี้ เขาหันหน้าไปหาสิงห์ยังไม่ทันจะเรียกร้องหาจูบ ริมฝีปากหยักลึกก็ประกบปิดลงมาเติมเต็มแนบแน่น

ท่อนขาแข็งแรงสอดเข้าใต้ขาเขาแล้วจับแยกให้กางขาออก

“ฟอกข้างล่างด้วยสิครับ” อิงค์กระซิบขอเสียงพร่า

สิงห์สอดปลายนิ้วลงไปตรงขอบกางเกงยางยืดแล้วดันก้อนสบู่ลงไป ก่อนจะวางมือทับด้านบนแล้วจับสบู่ถูวนไปรอบๆ จากนอกร่มผ้า

“พี่สิงห์ชอบแกล้ง”

“อิงค์ก็ชอบให้ฉันแกล้งนี่นา” สิงห์เป่าลมอุ่นที่ข้างหูแล้วขบเนื้ออ่อนริมหูเบาๆ พลางถกขอบกางเกงยางยืดลง ก้อนสบู่ถูกของที่ซ่อนอยู่ข้างในดีดออกมาตกที่ข้างขา ส่วนยอดที่ชูชันอยู่ตรงแนวกลางลำตัวเลอะไปด้วยของเหลวสีขาวที่แยกไม่ออกว่าเป็นน้ำสบู่หรือน้ำอะไร สิงห์ใช้ปลายนิ้วแตะลงไปเบาๆ แต่กลับทำให้ร่างโปร่งในอ้อมแขนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง “อยากได้อะไรดี มือหรือปาก”

“อ… เอาหมดเลย” อิงค์ตอบเสียงสั่น เกร็งมือเกาะแขนแกร่งแน่น “ของพี่สิงห์ด้วย”

สิงห์กดริมฝีปากลงบนบ่าลาด “ตรงนี้ไม่ถนัด ไปต่อที่เตียงกันนะ” พูดจบก็จับเจ้าของร้านกาแฟหนุ่มถอดเสื้อผ้าจนเหลือแต่ตัวเปล่าๆ หยิบฝักบัวขึ้นมาเปิดน้ำล้างจนหมดฟอง “เกาะคอฉันไว้นะ”

อิงค์ทำตามแบบงงๆ แล้วสิงห์ก็อุ้มเขาลอยขึ้นจากพื้น ทั้งที่เขาเองก็เป็นผู้ชายตัวโตแท้ๆ แต่พออยู่กับสิงห์แล้วกลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าหนูตัวเล็กๆ ไปเลย

เสือน้อยนั่งมองตาแป๊วตอนที่เห็นผู้ปกครองของมันพากันหอบหิ้วขึ้นไปบนชั้นสอง

‘แม่จะไปนอนแล้วเหรอ หนูไปด้วย~’

มันวิ่งเข้ามาคลอเคลียล้อมหน้าล้อมหลังสิงห์ที่คอยใช้เท้าเขี่ยมันไปให้พ้นทาง

‘แม่! พ่อแกล้งหนูอีกแล้ว’

“เจ้าหนูนี่ขี้โวยวายจัง” สิงห์วางอิงค์ลงบนเตียง เขาก้าวตามขึ้นไปทาบทับกำลังจะจูบให้หนำใจ หากสิ่งที่ได้มาเต็มปากคือขนแมว

สิงห์ถ่มขนออกจากปากแล้วจ้องมองเจ้าลูกแมวที่วิ่งขึ้นมานอนบนอกอิงค์หน้าตาเฉยและทำตาเหลือกใส่เขา

‘แม่! พ่อทำไรหนูก็ไม่รู้’

“นี่สินะที่เขาเรียกว่ามารหัวขน” สิงห์บ่นแล้วหิ้วคอเจ้าก้อนขนออกไปโยนไว้หน้าประตูห้อง

เสือน้อยยกสองขาขึ้นฝนเล็บกับประตูที่ปิดสนิทดังแกรกๆ

‘แม่~ ทำไรกันให้หนูเข้าไปด้วยจิ… แม่ค้าบบบบ~ แม่~’

“ฉันบอกเธอแล้วว่ามันขี้โวยวาย” สิงห์พูดขำๆ “แถมยังหวงแม่มันเสียด้วยนะ น่ารำคาญจริงๆ เดี๋ยวจับกินซะเลยนี่”

อิงค์หัวเราะคิกคัก “ลูกไม่อร่อยหรอก กินแม่มันดีกว่า”

สิงห์หันมาจ้องร่างขาว นัยน์ตาพราวระยับ “จริงเหรอ”

เรียวขายาวค่อยชันขึ้นแล้วขยับกางออกอย่างเชิญชวน “ลองชิมดูสิครับ”

สิงห์แลบลิ้นเลียริมฝีปาก “เดี๋ยวจะกินให้หมดตัวเลย”

เสือน้อยเงี่ยหูฟังเสียงกุกกักของเตียงไม้ที่ลั่นเอี๊ยดอ๊าดในห้องอย่างนึกแปลกใจ และไม่มีวี่แววว่าผู้ปกครองของมันคนใดจะมาเปิดประตูให้

มันแลบลิ้นเลียขนที่เป็นมันก่อนจะเดินหมุนเป็นวงแล้วล้มตัวลงนอนขวางที่หน้าประตู

*************************TBC**********************

ขอบคุณที่ติดตามค่าาาา ช่วงนี้กำลังฟิตจะพยายามมาให้ได้ทุก จ. พ. ศ.นะคะ


ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Last Room บทที่ 9(07/10/2019) p.2
«ตอบ #45 เมื่อ07-10-2019 23:20:10 »

ทำ(แมว)เด็กใจแตก สงสารเสือน้อย โดนทิ้งไว้หน้าห้อง

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: Last Room บทที่ 9(07/10/2019) p.2
«ตอบ #46 เมื่อ08-10-2019 13:45:26 »

แม่แมวขยันอ่อยมาก555

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: Last Room บทที่ 9(07/10/2019) p.2
«ตอบ #47 เมื่อ09-10-2019 21:13:02 »

แม่แมวขี้ยั่วมาก ส่วนพ่อแมวก็อย่าใจแข็งนานเลยนะ

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 9(07/10/2019) p.2
«ตอบ #48 เมื่อ10-10-2019 03:05:39 »

บทที่10
วันแข่งฟุตบอลนัดชิงแชมป์ระดับจังหวัดมาถึง ดูเหมือนอิงค์ที่เป็นแค่ผู้ชมจะตื่นเต้นกว่าผู้เข้าแข่งขันเสียอีก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ออกไปเที่ยวกับสิงห์ในแบบที่ไม่ใช่การไปทำธุระหรือบังเอิญเจอกันข้างนอกอย่างที่แล้วมา แม้จะมีรสาไปด้วยแต่ก็แค่แป๊บเดียว เพราะเดี๋ยวเขาก็จะปล่อยให้เธอไปอยู่กับบอยแล้ว หลังจากนั้นเขาก็จะได้อยู่กับสิงห์สองคน

เสือน้อยเดินมานั่งมองอิงค์ที่ยืนหมุนไปหมุนมาอยู่หน้ากระจกด้วยความสนอกใจ ไม่น่าเชื่อว่าเวลาแค่หนึ่งอาทิตย์จากลูกแมวจรหน้าตามอมแมมตอนนี้จะกลายเป็นแมวหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลา ร่างกายผอมแกร็นเริ่มมีเนื้อหนังเพราะได้กินอิ่มวันละสามมื้อ

เวลาอิงค์เปิดร้านเสือน้อยจะเดินไปรอบๆ ร้านช่วยต้อนรับลูกค้า มันกลายเป็นที่รักของลูกค้าสาวๆ ซึ่งต้องขอถ่ายรูปกลับไปเป็นที่ระลึกทุกราย แล้วมันก็ฉลาดรู้มุมกล้องเสียด้วยนะว่าต้องเก๊กท่าไหนถึงจะน่ารักบาดใจสาว ท่าประจำของมันคือทำตาโตหันข้างอวดปลอกคอติดโบสีชมพูอันใหญ่ที่อิงค์ซื้อให้เป็นของรับขวัญ ทุกคนจะได้รู้ว่าเสือน้อยเป็นแมวมีเจ้าของนะ

วันไหนรับแขกจนเหนื่อยมันจะหนีมานอนตรงหน้าเคาน์เตอร์ให้อิงค์ขยำพุงเล่น แต่ที่ที่โปรดปรานที่สุดของมันคือเก้าอี้รังนก เวลาบ่ายแก่ๆ แดดอุ่นๆ ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาช่างนอนหลับสบายเป็นที่สุด

“วันนี้อยู่บ้านคนเดียวนะเสือน้อย”

มันร้องตอบเสียงใส เหมียว~

‘แม่ไปไหนอะคับ’

“ไปเชียร์บอลกับพี่สิงห์เย็นๆ กลับ”

เหมียว~

‘คุณแม่ไว้ใจเสือน้อยได้เลยคับ’

เสือน้อยรับคำ ด้วยความที่เป็นแมวมันก็ไม่ค่อยเข้าใจมนุษย์เท่าไหร่หรอก มันรู้แค่ว่าอิงค์เป็นแม่มันเพราะคอยดูแลหาข้าวหาปลาให้กิน พาอาบน้ำทายา กลางคืนก็นอนด้วยกัน เก้าอี้รังนกอาจหลับสบายแต่ที่ที่มันรู้สึกปลอดภัยที่สุดคือตรงหัวไหล่ของอิงค์ที่มันชอบเอาหัวไปซุกนอนทุกคืน ส่วนมนุษย์ยักษ์อีกคนที่ชอบมาวอแวกับแม่อิงค์นั้นเสือน้อยไม่ชอบเลย เขาชอบแกล้งเสือน้อยไม่พอยังชอบแกล้งแม่อิงค์อีก แถมยังเคยไล่เสือน้อยไปนอนนอกห้องด้วย ยังไงมนุษย์ยักษ์คนนี้เสือน้อยก็ไม่ยอมรับมาเป็นพ่อเสือน้อยเด็ดขาด

อิงค์แต่งตัวเสร็จจะลงไปข้างล่าง เสือน้อยรีบยกสองขาหน้าขึ้นตะกายขา เขาจึงก้มตัวลงไปอุ้มมันขึ้นมาหอมครั้งหนึ่ง แล้วจับมันพาดไว้บนหัวไหล่ เพราะเสือน้อยยังตัวเล็กแล้วขั้นบันไดที่ร้านเขานั้นก็ค่อนข้างชัน ตอนเดินขึ้นไม่มีปัญหาแต่ถ้ามันลงเองบางครั้งจะหน้าทิ่ม เวลาลงบันไดมันจึงชอบอ้อนให้อิงค์อุ้มลงเสมอ

ถึงจะเสียเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ ไปกับเสือน้อยค่อนข้างเยอะแต่อิงค์รู้สึกว่าทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไปนั้นแสนคุ้มค่า ไม่ใช่แค่ความรู้สึกอิ่มเอมใจที่ได้ช่วยเหลือสัตว์โลกตัวหนึ่งให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ตอนนี้เสือน้อยกลายมาเป็นสมาชิกอีกคนของ It’ sra และเป็นอีกหนึ่งในรอยยิ้มทุกๆ วันของเขา เป็นอย่างที่ป้าสำลีเคยบอกไว้จริงๆ ว่าคนเลี้ยงแมวไม่มีทางเหงา

อิงค์ลงบันไดมาถึงชั้นล่าง ยิ้มที่ระบายอยู่ในหน้าอยู่แล้วก็กระจ่างชัดขึ้นอีก เมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนรออยู่หน้าร้านแต่เช้าตรู่ทั้งที่เวลาแข่งขันนั้นจัดขึ้นตอนเย็นแท้ๆ

“มารอกินกาแฟฟรี” สิงห์ให้เหตุผล

“แค่ไปดูบอลต้องแต่งตัวหล่อขนาดนี้ด้วยเหรอ” อิงค์ปล่อยเสือน้อยลงพลางกวาดตามองคนที่แปลกตาไปจากทุกวันด้วยเสื้อแจ๊คเก็ตกีฬายี่ห้อดังสีดำกับกางเกงยีนส์สีซีด ผมยาวถูกรวบครึ่งหัวไปไว้ด้านหลังดูเรียบร้อยและเท่ในเวลาเดียวกัน

“ปกติดูบอลก็ไม่แต่งแบบนี้หรอก” สิงห์บอก “พอดีวันนี้ไปเดตน่ะเลยต้องแต่งดีหน่อย”

“เดตเดิดอะไรเล่า” อิงค์ว่า “รสาก็ไปด้วยนะ”

“แต่ฉันไม่ได้ไปกับรสา” สิงห์บอกหน้าตาเฉย “ฉันไปกับเธอ”

อิงค์รู้สึกว่าอุณหภูมิบนหน้าตอนนี้ร้อนจนใช้ต้มกาแฟได้เลย เขาเลี่ยงไปชงกาแฟให้สิงห์ ระหว่างที่ชงก็คอยชะเง้อคอมองข้ามเคาน์เตอร์ไปยังสิงห์ที่กำลังใช้ไม้ติดขนไก่แหย่เสือน้อยเล่น ไปด้วย

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาสิงห์มาหาเขาทุกวันหลังปิดร้าน ดูสิงห์เป็นห่วงเขามากหลังจากเหตุการณ์ที่เขาทะเลาะกับบอยวันนั้น และเห็นสภาพความเป็นอยู่ของเขา ถึงตอนกลางวันร้านจะคึกคักแต่พอตกกลางคืนถนนเส้นนี้ก็ถือว่าเปลี่ยวมาก บ้านหลังที่อยู่ใกล้ที่สุดถึงจะมองออกไปเห็นกันแต่ก็ใช้เวลาเดินมาห้านาที ถ้าหากตอนนั้นสิงห์มาช่วยไม่ทันหรือคนที่บุกมาหาเรื่องไม่ใช่บอยแต่เป็นโจรหรือผู้ไม่ประสงค์ดี เขาจะร้องเรียกให้ใครช่วยได้และเรื่องมันอาจไม่ได้จบดีแบบวันนั้น

ทีแรกอิงค์ก็แอบคิดว่าสิงห์มาหาเพราะหวังอย่างอื่นในตัวเขา เพราะเขาเป็นคนออกปากชวนไว้เองว่าถ้าต้องการก็มาหาได้ทุกเมื่อ แต่สิงห์แค่มาคุย กินกาแฟ แกล้งเสือน้อยให้หงุดหงิดเล่นแล้วก็กลับไปเฉยๆ และเป็นเช่นนี้ทุกวันจนกลายเป็นตัวเขาเองที่นึกเสียดายว่าทำไมถึงได้แค่จูบส่งเข้านอน

อิงค์ล้วงมือลงไปในกระเป๋าและหยิบที่สิ่งเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานออกมาถือไว้แล้วยกกาแฟไปเสิร์ฟ “พี่สิงห์ครับ”

“อะไร” สิงห์เลิกคิ้วเมื่อเห็นเจ้าของร้านกาแฟกำมือยื่นมาตรงหน้า

อิงค์คว้ามือสิงห์ขึ้นมาแล้วมือตัวเองที่ยังกำเป็นหมัดไว้วางลงไป “ผมให้พี่สิงห์”

พออิงค์ชักมือกลับไป สิงห์ถึงได้เห็นว่ามันเป็นกุญแจดอกใหญ่ดอกหนึ่ง

“วันหลังจะได้ไม่ต้องมายืนรอ” อิงค์บอกเขินๆ การให้กุญแจบ้านถือเป็นการให้ความไว้เนื้อเชื่อใจทั้งหมดที่เขามี และเขาก็คิดทบทวนมาหลายรอบแล้วว่าสิงห์ดีพอจะรับมันไว้

สิงห์เขกกำปั้นลงกลางศีรษะเขาเบาๆ ครั้งหนึ่ง “ไม่กลัวฉันพาคนมายกเค้าหรือไง”

“พี่สิงห์รวยกว่าผมตั้งเยอะ แล้วที่ร้านผมก็ไม่มีของมีค่าอะไรน่าขโมยด้วย” อิงค์ว่า

“มีสิ”

“แค่มอเตอร์ไซค์ตกรุ่นคันเดียวเอง”

“ไม่ใช่”

“เครื่องชงกาแฟเหรอ”

“ไม่ใช่”

อิงค์กอดอกครุ่นคิด นึกไม่ออกว่าในร้านเล็กๆ ของตัวเองจะมีของมีค่าอะไรอีก เขาเหลือบตาขึ้นมองสิงห์ที่อมยิ้มมุมปากพร้อมกับเฉลย

“นายไง”

“ขายไม่ได้นะ”

“ไม่ขาย แต่จะขโมยไปเก็บไว้เอง” สิงห์บอก ตาคมก้มลงมองกุญแจในมือ เขายกยิ้มน้อยๆ แล้วเก็บมันใส่กระเป๋าเสื้อ “วันนี้ปิดร้านครึ่งวันบอกลูกค้าไว้แล้วใช่ไหม”

“เรียบร้อยครับ”

“ลงทุนจังเลยนะ” สิงห์กวาดตามองคนที่สวมเสื้อยืดทีมฟุตบอลประจำโรงเรียนเสียเต็มยศ “นี่ถ้าฉันไม่รู้มาก่อนว่าเธอจีบฉัน แล้วเด็กคนนั้นแอบชอบรสาอยู่ ฉันต้องคิดว่าพวกนายสองคนกิ๊กกันแน่ๆ”

“กิ๊กเกิ๊กอะไรล่ะครับ” อิงค์พูดไปหัวเราะไป “ตัวผมน่ะเป็นลูกชายคนเดียว ลูกพี่ลูกน้องหรือหลานก็ไม่มี ผมเลยเอ็นดูบอยเหมือนน้องคนหนึ่ง แล้วบอยน่ะก็เป็นทั้งลูกค้าและเพื่อนคนแรกของผมที่น่านเลยนะ เห็นร้านผมเหงาๆ ก็แวะมาคุยแล้วก็พาเพื่อนมาอุดหนุน วันที่แข่งชนะรอบคัดเลือกก็ยกทีมมานั่งฉลองกันตรงเก้าอี้ที่พี่สิงห์ยืนอยู่นี่แหละ” เขาชี้มือไปที่เสื้อที่สวมอยู่ “เสื้อตัวนี้น่ะรสาเอามาให้เมื่อวันก่อน ตอนที่ผมชวนก็ดูเหมือนไม่อยากไปแต่พอกลับถึงบ้านแล้วก็ส่งข้อความมาคุยกับผมรัวๆ จนตอบแทบไม่ทัน ผมว่านะงานนี้น้องผมมีหวัง”

“เธอแน่ใจนะว่ารสาไม่ได้จีบเธอ”

อิงค์ส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้เลยครับ ไม่เชื่อพี่สิงห์ดูแชทผมกับรสาได้ ทักมาหาถ้าไม่คุยเรื่องขนมก็บ่นพ่อให้ฟัง” พูดจบอิงค์ก็เปิดหน้าข้อความส่งให้เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ

สิงห์รับมาลากดูผ่านๆ ถึงเขาจะดีใจที่อิงค์มีเพื่อนรุ่นน้องให้คุยเล่นและปรึกษาได้ แต่ก็รู้สึกโหวงๆ ในใจแปลกๆ เพราะดูเหมือนจะมีบางมุมของอิงค์ที่เขาไม่เคยได้เห็นแต่สองคนนั่นกลับนำหน้าเขาไปแล้ว อย่างเรื่องแชทนี่ถึงอิงค์จะขอเขาเป็นเพื่อนมานานหลายเดือนแล้วแต่ข้อความในนั้นรวมกันยังไม่เท่ากับที่คุยกับรสาแค่อาทิตย์เดียวเลย

“นายนี่มีแต่คนรักนะ ทั้งป้าสำลี พี่มอญ เสือน้อยแล้วก็ยังเด็กบอยนั่นกับรสาอีก” สิงห์บอกพลางส่งโทรศัพท์คืน มีความตัดพ้อปนไปกับน้ำเสียงนิดๆ

“ไม่ทุกคนหรอกครับ”

“ยังเหลือใครอีกล่ะ”

“พี่สิงห์ไง” อิงค์บอก “จีบมาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นใจอ่อนสักที”

“ไม่อ่อนง่ายๆ หรอก”

“ทำไมล่ะครับ”

ยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนเรียวปาก สิงห์โน้มตัวมาข้างหน้าแล้วกระซิบที่ข้างหู “เพราะเจอหน้าเธอทีไรมันคอยจะแข็งตลอด”

อิงค์ตีมือบนหน้าอกกว้างแก้เขิน “ไม่ต้องมาแกล้งหยอกให้ผมดีใจเลยครับ... เห็นมาทีไรก็กลับไปมือเปล่าตลอด”

“จะทำทุกวันก็กลัวไม่มีแรงตื่นมาเตรียมของตอนเช้า” สิงห์ว่า “ตั้งใจว่าจะทำสัปดาห์ละสองวันพอ อยากจะถนอมเธอไว้นานๆ”

“สองวันนี่วันไหนบ้างครับ”

“วันที่อิงค์ปิดร้าน”

“แล้วอีกวันล่ะครับ”

“วันที่อิงค์เปิดร้าน”

อิงค์ย่นคิ้ว บางที่สิงห์ก็ชอบให้ความหวังจนเขาตามหัวใจตัวเองกลับมาแทบไม่ทัน “นั่นทุกวันแล้วไหมครับ”

“ก็ทุกวันน่ะสิ” สิงห์บอกก่อนจะกดริมฝีปากตรงกลางระหว่างคิ้วให้รอยย่นนั้นคลายออก “ของที่จะเอาไปส่งอยู่ไหนเดี๋ยวฉันช่วยขนขึ้นรถ”

อิงค์นัดเจอสารสาที่สนามแข่ง เมื่อขึ้นไปถึงอัฒจันทร์เชียร์ฝั่งโรงเรียนของบอยคนก็ค่อนข้างหนาตาแล้วเพราะเป็นทีมดังขวัญใจของอำเภอและเป็นแชมป์ประจำจังหวัดปีที่แล้ว แต่ว่าทีมคู่แข่งนั้นก็มีศักดิ์ศรรไม่ต่างกันเพราะก็มีดีกรีเป็นถึงทีมอันดับสองที่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาหลายสมัย เรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งตลอดกาลเลยก็ว่าได้

“พี่อิงค์ทางนี้” สารสาโบกมือเรียกมาจากที่นั่งตำแหน่งด้านหลังประตู เธอมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยเพราะนอกจากพี่ชายคนหล่อแล้วยังมีพี่ชายตัวโตเดินตามมานั่งด้วย “อ้าว พี่สิงห์ก็มาด้วยเหรอคะ”

“พี่ส่งข้อความบอกรสาแล้วนี่นา” อิงค์พูด

“ก็รสานึกว่าพี่สิงห์จะไปนั่งตรงนู้น~” สารสาบุ้ยใบ้ไปทางอัฒจันทร์ตรงที่นั่งของประธานและผู้ทรงคุณวุฒิ

อิงค์มองไปในกลุ่มเห็นเหมราชในชุดเสื้อกีฬาเต็มยศนั่งคุยอยู่อย่างรสกับหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งข้างๆ แต่อิงค์เห็นหน้าเธอไม่ชัดเพราะเหมราชนั่งบังตัวเธอเสียเกือบครึ่งแถมเธอยังหมวกแก๊ปไว้กันแดดอีก แต่ดูจากรูปร่างที่แสนสะโอดสะองนั่นแล้วอิงค์ก็รู้สึกได้เลยว่าเธอยังอยู่ในวัยสาวและคงสวยไม่หยอก ส่วนที่นั่งอีกฝั่งของเหมราชนั้นยังว่างอยู่คล้ายกับตั้งใจจัดไว้ให้ใครสักคนนั่งเพราะที่นั่งอื่นๆ นั้นเต็มหมดแล้ว

“พี่สิงห์จะไปนั่ง...” อิงค์หันไปถามสิงห์ก็ชิงตอบขึ้นเสียก่อน

“ฉันจะนั่งตรงนี้” เขาบอกพลางทรุดตัวลงนั่งข้างๆ อิงค์

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครเหรอ” อิงค์หันไปกระซิบถามกับสารสาด้วยความสงสัย

“คุณเกตถวา ภรรยาคุณเหมราชค่ะ” สารสาบอก

อิงค์เหลือบตามองสิงห์ นี่คงเป็นเหตุผลที่เขาไม่อยากไปนั่งกับพ่อ

การแข่งขันนัดชิงแชมป์เริ่มขึ้นอย่างดุเดือด ทั้งสองทีมต่างใส่กันเต็มที่ ไม่ใช่แค่ตำแหน่งแชมป์ที่ต้องแย่งมา แต่ทีมที่ชนะเพียงทีมเดียวเท่านั้นที่จะได้เป็นตัวแทนระดับจังหวัดไปแข่งในระดับประเทศต่อไป

“บอยเก่งเนอะ” อิงค์ชี้ชวนให้เด็กสาวดูเด็กผู้ชายตัวสูงที่วิ่งฝ่ากองหลังเข้าไปเพื่อทำประตูแต่ก็โดนสกัดเอาไว้ได้ทำให้ยิงพลาดเฉียดประตูไปนิดเดียว อิงค์ตบตักฉาดด้วยความเจ็บใจ “โธ่เอ๊ย! ไม่เป็นไร เอาใหม่ๆ ” เขาป้องปากตะโกนส่งกำลังใจให้คนยิง

“ที่บอกว่าอยากมาดูนี่ไม่ได้โกหกแฮะ” สิงห์กระซิบพลางกำป๊อบคอร์นรสคาราเมลในถังบนตักส่งใส่ปากเคี้ยวหยับๆ แล้วดูดเป๊บซี่ตาม

“ผมชอบดูฟุตบอลอยู่แล้วครับ” อิงค์ตอบ “ทั้งบอลโรงเรียน บอลอบต. บอลมหา’ ลัย บอลสโมสรผมเชียร์ได้หมด แต่ทีมที่เชียร์เป็นแฟนเลยคือบางกอกยูไนเต็ด ตอนอยู่กรุงเทพนี่ผมตามไปดูทุกนัดเลยนะ”

“เหรอ” สิงห์พยักหน้า เขาเองก็เป็นคนชอบดูบอลเหมือนกัน แต่รู้สึกว่านัดนี้ดูคนเชียร์บอลจะสนุกแถมเพลินตากว่ากันเยอะเลย คิดแล้วก็นั่งมองคนข้างๆ พลางกำป๊อบคอร์นใส่ปากเคี้ยวต่อ

เกมดำเนินมาถึงช่วงท้ายแต่ผลคะแนนก็ยังอยู่ที่ศูนย์ประตูต่อศูนย์ เหลือเวลาอีกแค่ห้านาทีเท่านั้น ถ้าหากใครทำประตูได้ในห้านาทีนี้ก็จะได้เป็นแชมป์แน่นอนแบบไม่ต้องสงสัย

“โอ๊ย! ลุ้นจนฉี่จะราดอยู่แล้ว พี่สิงห์ลุกขึ้นมาช่วยกันเชียร์หน่อยเร็ว” อิงค์หันไปดึงคอเสื้อคนที่เอาแต่นั่งกินป๊อบคอร์นให้ลุกขึ้นยืน ซึ่งสิงห์ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย

จู่ๆ ท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้มมาตั้งแต่ช่วงบ่ายเพราะเข้าสู่ต้นฤดูฝนแล้วก็สาดน้ำลงมาสู่สนามแข่งอย่างไม่มีปี่ไม่ขลุ่ย แต่ทั้งผู้เข้าแข่งขันในสนามและกองเชียร์ต่างก็ไม่มีใครยอมถอยกันง่ายๆ

สิงห์คว้ามืออิงค์จะพาเข้าร่ม แต่พอเห็นสายตามุ่งมั่นเป็นประกายกล้าที่มองไปในสนามเขาก็เปลี่ยนเป็นยกมือขึ้นบังฝนให้แทน

“บอยสู้ๆ ยิงเลย!” อิงค์ตะโกนเชียร์สุดเสียงเมื่อเด็กหนุ่มสามารถลากบอลบุกเดี่ยวฝ่ากองหลังเข้าไปถึงหน้าประตูได้อีกครั้ง

ศูนย์หน้าดาวยิงหยุดบอลยืนจ้องตากับผู้รักษาประมือฉมัง ทั้งสนามราวกับจะลุกเป็นไฟท่ามกลางที่สายฝนที่โหมกระหน่ำ บอยเริ่มเขี่ยบอลหลอกล่อซ้ายทีขวาทีแล้วออกวิ่งไปยังประตู เขาเงื้อแข้งขึ้นสุดเตรียมจะหวดเต็มเหนี่ยว

แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!

กองหลังคนหนึ่งวิ่งกลับมาได้ทัน เขาสไลด์ตัวมาจากด้านหลังเพื่อสกัดบอลแต่กลับเสียบเข้าที่ข้อเท้าของบอยเต็มๆ ราวกับจงใจ

เสียงเป่านกหวีดดังลั่น ทั้งสนามเงียบกริบเมื่อศูนย์หน้าดาวยิงทรุดลงไปกองกับพื้นหญ้าสองมือกุมข้อเท้าแน่นด้วยความเจ็บปวด

กรรมการเป่านกหวีดให้ใบเหลืองกองหลังคนนั้นและให้เป็นจุดโทษ แต่ด้วยข้อเท้าที่เจ็บหนักและสายฝนที่สาดมาไม่ขาดสายทำให้แรงยิงลดลงและลูกบอลก็ลอยไปเข้ามือผู้รักษาประตูอย่างง่ายดาย

เวลาแข่งขันหมดลงพอดี กรรมการชูป้ายให้ทดเวลาเจ็บสิบนาที แต่ขาของบอยเจ็บจนวิ่งต่อไม่ไหวแล้ว อิงค์เห็นเด็กหนุ่มยกมือขึ้นปิดหน้าแน่นในขณะที่ให้เปลสนามหามออกไปปฐมพยาบาล

แล้ววิกฤตของทีมบอยก็กลายเป็นโอกาสของคู่แข่งที่สามารถทำประตูพลิกเกมเอาชนะไปได้ในช่วงทดเวลาเจ็บนั้นเอง

การแข่งขันจบลงแล้ว ประธานในพิธีทำการมอบถ้วยรางวัลชนะเลิศให้กับทีมผู้ชนะ พิธีกรประกาศซ้ำไปซ้ำมาถึงรางวัลที่ทีมชนะได้รับคือการเป็นตัวแทนจังหวัดไปแข่งระดับประเทศ อัฒจันทร์เชียร์ฝั่งตรงข้ามร้องเพลงแข่งกับเสียงฝนสนุกสนาน ในขณะที่ทางฝั่งนี้คนดูค่อยๆ ทยอยเดินออกจากสนามไปอย่างเงียบเชียบด้วยความรู้สึกของผู้แพ้

“แพ้แล้วสินะ” สารสาพูดขึ้น เสียงของเธอแทบกลืนหายไปกับสายฝนที่ยังตกลงมาไม่ขาดสาย

“ก็แบบนี้ล่ะนะ กีฬาก็ต้องมีแพ้มีชนะ” อิงค์พูดคล้ายกับจะปลอบใจตัวเองมากกว่า เขาหันไปมองสิงห์ที่ยืนยิ้มแห้งอยู่ข้างๆ “ผมขอไปดูบอยได้ไหม”

สิงห์พยักหน้า “ฉันไปเข้าห้องน้ำนะ เดี๋ยวเจอกันที่ใต้อัฒจันทร์ละกัน”

แล้วทั้งสองก็แยกย้ายกันไป อิงค์ไปที่ห้องพักนักกีฬา คนอื่นๆ ในทีมต่างทยอยเดินกันออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ไม่มีความฮึกเหิม ไม่มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะใดๆ ผิดกับตอนที่เดินเข้าสนามมา

เหลือบอยอยู่เป็นคนสุดท้ายในห้องพักนักกีฬา เขานั่งก้มหน้าอยู่บนม้านั่งตัวในสุด เนื้อตัวเปียกชุ่มและเลอะเศษดินเศษหญ้าในสนาม ข้อเท้าข้างขวาของเขาถูกพันผ้ายืดไว้เรียบร้อย

อิงค์เดินเข้าไปยืนข้างๆ “ข้อเท้า... เจ็บมากไหม”

บอยพยักหน้า อิงค์รู้ดีว่าเด็กหนุ่มไม่อยากพูดเพราะกำลังกลั้นน้ำตาไว้ ความพยายามฝึกซ้อมอย่างหนักทุกวันของเด็กหนุ่มนั้นเขาเห็นมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ไม่มีหรอกนะที่เขาบอกกันว่า ความพยายามอยู่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น เพราะชีวิตคนเรามันไม่ได้สมหวังไปเสียทุกอย่าง

“ข้างนอกฝนตกหนักมากเลย บอยกลับยังไง กลับกับพี่ไหม เดี๋ยวพี่ชงโกโก้ร้อนให้แล้วพอฝนซาพี่จะพาไปส่งบ้าน”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกลับเอง”

“เอ่อ...”

“ขอบคุณนะครับพี่อิงค์ที่มาเชียร์” บอยบอก “ตอนนี้ผมอยากอยู่คนเดียว”

“อืม” อิงค์พยักหน้า “มีอะไรโทรหาพี่ได้นะ” เขายกมือขึ้นสัมผัสไหล่เด็กหนุ่มแล้วบีบแรงๆ ครั้งหนึ่งเป็นการให้กำลังใจก่อนจะกลับออกมา

พอพี่ชายเจ้าของร้านกาแฟคล้อยหลัง เด็กหนุ่มก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตา รู้สึกว่าตัวเองช่างน่าสมเพชเหลือเกินที่มาบาดเจ็บเอาในเวลาสำคัญทำให้ทีมแพ้หมดรูปแบบนี้

ประตูห้องพักนักกีฬาเปิดออกอีกครั้ง เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก เขารีบก้มหน้าซ่อนน้ำตา พร้อมกับแอบเหลือบตามองไปด้วยว่าใครมา

“นี่นาย” เสียงหวานดังขึ้นพร้อมกับที่เจ้าของเสียงหย่อนตัวลงนั่งข้างกัน บอยจำได้ทันทีว่าเป็นใครทั้งที่ยังก้มหน้ามองข้อเท้าตัวเองอยู่

“มีอะไร”

“กินสิ”

ขนมปังเนยสดชิ้นหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า

“อันนี้เราทำเอง อาจจะอร่อยไม่เท่าที่แม่ทำหรอกนะ นายอย่าคาดหวังมาก”

บอยเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนร่วมชั้นที่ได้แต่แอบมองอยู่ห่างๆ แต่วันนี้เธอมานั่งอยู่ถัดจากเขาไปแค่คืบเดียวเท่านั้น เสียงหัวใจเต้นแรงแข่งกับเสียงฟ้าร้องด้านนอก เขายื่นมือออกไปรับขนมปังจากเธอมาถือไว้ “ขอบใจ”

“นายคงชอบฟุตบอลมากสินะ ถึงได้เสียใจกับมันมากมายขนาดนี้” สารสาบอกพร้อมกับยกแก้วโกโก้ปั่นในมือขึ้นดูด

“ก็ใช่น่ะสิ ฉันทุ่มเทฝึกซ้อมทุกวันก็เพื่อมันเลยนะ”

“เหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ”

สารสาเงียบไปเล็กน้อย เธอก้มหน้าดูดโกโก้ปั่นในมืออีกอึกใหญ่ “ฉันเข้าใจนะ เพราะฉันเองก็ชอบเหมือนกัน ปีนี้พลาดไปก็ไม่เป็นไรนะ ปีหน้าสู้ใหม่ แล้วฉันจะมาเชียร์อีก”

“เธอก็ชอบฟุตบอลเหรอ”

“เปล่า” สาราตอบพลางก้มลงมองแก้วโกโก้ปั่นในมือ ทุกๆ วันตอนเย็นเธอเดินผ่านสนามฟุตบอลจะเห็นเพื่อนร่วมห้องของเธอที่แทบไม่เคยคุยกันซ้อมฟุตบอลอย่างหนักอยู่เสมอ เธอเคยพยายามชวนเขาคุยแต่เขากลับถามคำตอบคำทั้งที่กับคนอื่นก็คุยจ้อแท้ๆ สิ่งที่เธอรู้เกี่ยวกับเขาจึงมีแค่ฟุตบอลกับโกโก้ปั่นที่เห็นเขาถือติดมืออยู่เสมอ จนเธอนึกสงสัยว่าฟุตบอลมันสนุกสักแค่ไหนและโกโก้ปั่นมันอร่อยมากขนาดที่เขาวางไม่ลงเชียวเหรอ เธอแค่อยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้จนถึงขั้นขอร้องให้แม่ทำขนมปังมาแจกนักกีฬาเพื่อที่เธอจะได้ถือโอกาสเข้าใกล้เขาแม้จะแค่นิดเดียวก็ตามที

“ฉันชอบนักฟุตบอลต่างหาก โดยเฉพาะศูนย์หน้าตัวยิงนี่เท่จะตาย”

“บังเอิญจัง” บอยบอก “เราเองก็ชอบเหมือนกัน”

“โกโกปั่นใช่ไหม ฉันเห็นนายซื้อกินทุกวันเลย”

“โกโก้ก็ชอบ แต่เราชอบลูกสาวร้านขนมปังมากกว่า” บอยยกขนมปังในมือขึ้นกัดคำโตแก้เขินเมื่อสารสาหันมาสบตากันพอดี “ขนมปังที่แม่เธอทำก็อร่อยนะ แต่เราชอบที่เธอทำมากกว่า”

“ขอบใจ”

สารสาตอบแล้วต่างคนก็ต่างเงียบไป บอยยัดขนมปังที่เหลือทั้งชิ้นเข้าปากเคี้ยวหยับๆ เพื่อเติมพลัง เขากลืนมันลงคอแล้วรีบหันไปหาหญิงสาวก่อนที่ความกล้าจะหายไป

“เป็นแฟนกันป่าว”

“ขอกันง่ายจัง” สารสาพึมพำ

“แล้วคำตอบล่ะ”

“เป็นก็ได้” สารสาตอบ

เด็กหนุ่มยิ้มกว้างด้วยหัวใจที่พองฟู แข่งวันนี้แพ้ก็ไม่เป็นไร คนเราล้มได้ก็ลุกได้ และสักวันชัยชนะมันต้องเป็นของเขา

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 9(07/10/2019) p.2
«ตอบ #49 เมื่อ10-10-2019 03:06:36 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

สิงห์ทำธุระส่วนตัวเสร็จออกมาจากห้องน้ำ กำลังจะเดินกลับไปหาอิงค์ตรงจุดนัดพบก็บังเอิญเจอใครคนหนึ่งที่มาเข้าห้องน้ำพอดีเหมือนกัน

หญิงสาวคนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดในชีวิต... ภรรยาคนที่สองของพ่อที่มีอายุพอๆ กับเขา

“มาดูด้วยเหรอคะ” เกตถวาถามพร้อมกับรอยยิ้มหวานที่ทำให้หน้าสวยนั้นยิ่งดูงดงามขึ้นไปอีก เมื่อรวมกับกิริยามายาทที่เรียบร้อยอ่อนหวานจึงไม่แปลกเลยที่ใครๆ จะชอบเธอ โดยเฉพาะพ่อของสิงห์ที่หลงรักจนยอมผิดคำพูดที่ให้ไว้ในวันเผาศพแม่ของสิงห์ว่าจะมีรักเดียวตลอดไป ทั้งสองคบหาดูใจกันนานเท่าใดสิงห์ไม่อาจทราบได้ เพราะตนถูกส่งไปเรียนปริญาโทด้านการบริหารที่เมืองนอก รู้แต่ว่าพอเท้าเหยียบถึงไทยพ่อก็มาต้อนรับพร้อมผู้หญิงคนนี้ที่สนามบินและให้ของขวัญเรียนจบลูกชายเป็นการ์ดแต่งงาน

“ที่นี่เป็นสนามแข่งบอลสาธารณะใครๆ ก็มาดูได้นี่นา” สิงห์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ฉันก็แค่ถามดีๆ ไม่เห็นต้องประชดกันเลยนี่คะ”

“ผมก็แค่พูดไปตามปกติ ไม่ได้ประชดอะไรเลย”

เกตถวาพยายามฝืนทำหน้ายิ้มตอบกลับไป ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเขาเกลียดขี้หน้าเธอมากขนาดไหน ขนาดงานแต่งที่จัดใหญ่โตเป็นงานช้างระดับจังหวัด ลูกชายคนเดียวยังแค่เดินมารดน้ำสังข์แล้วก็หนีกลับไปเงียบๆ โดยไม่มีแม้คำอวยพรสักคำ “พ่อคุณอยู่ทางโน้นแน่ะค่ะ ไม่ไปหาท่านหน่อยเหรอ”

“ไม่ล่ะ ไม่อยากเจอ”

“หมู่นี้คุณไม่ค่อยกลับบ้าน คุณพ่อเป็นห่วงนะคะ อย่างน้อยเสาร์อาทิตย์ก็น่าจะกลับมาทานข้าวด้วยกันบ้าง ไม่ใช่ว่าหายกันไปเลยทั้งที่อาศัยอยู่ห่างกันแค่ช่วงถนนเดียว”

“แต่ผมคิดว่าผมไม่กลับจะดีกว่านะทั้งต่อตัวผมเอง ต่อพ่อและโดยเฉพาะ...” สิงห์เงียบอย่างจงใจเพื่อสร้างความอึดอัดให้หญิงสาวตรงหน้า “ต่อคุณ”

เกตถวาสูดลมหายใจเข้าลึก “ฉันทนได้ค่ะ”

“แต่ผมทนไม่ได้นี่นา” สิงห์บอกด้วยเสียงที่สั่นเครือขึ้นเล็กน้อย “ที่ต้องเห็นความรักห้าปีของผมมันแหลกสลายและพังลงใต้ฝ่าเท้าคุณซ้ำแล้วซ้ำอีก”

ใช่แล้ว… เกตถวาคือหญิงสาวที่เคยเป็นรักครั้งแรกและครั้งเดียวของเขาถึงขั้นคุกเข่าขอเธอแต่งงาน จนกระทั่งเธอหายหน้าไปจากเขาแล้วกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในฐานะภรรยาใหม่ของพ่อ

มันเป็นความเจ็บปวดที่ลึกที่สุดของหัวใจ เจ็บจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ออก

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา สำหรับเขาผู้หญิงที่แสนดีคนนั้นได้ตายจากไปแล้ว และคนที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้คือภรรยาคนใหม่ของพ่อที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน

หญิงสาวเม้มปากสนิทครั้งหนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “ฉันขอโทษ”

“เก็บคำขอโทษของคุณไปซะ วันนี้ผมไม่ต้องการมันแล้ว” สิงห์พูดห้วนๆ “คุณไปหาพ่อเถอะ ผมเองก็มีคนรออยู่เหมือนกัน” เขาก้าวขาออกเดินและจังหวะที่กำลังจะสวนไปนั้นเองเกตถวาก็เอ่ยขึ้น

“ผู้ชายคนที่เป็นเจ้าของร้านกาแฟน่ะเหรอ... เขาเป็นแฟนใหม่คุณอย่างนั้นหรือคะ”

สิงห์หยุดฝีเท้าและหันมาตอบ “ถ้าผมตอบว่าใช่ล่ะ”

“ฉันจะว่าอะไรคุณได้ ก็แค่ประหลาดใจนิดหน่อยที่คนรักใหม่ของคุณช่างหน้าตาคล้ายฉันเหลือเกิน แล้วนี่คุณได้บอกเขาหรือเปล่าว่าสุดท้ายแล้วเขาก็จะได้เป็นแค่ตัวแทนฉันเหมือนคู่นอนคนก่อนๆ ของคุณ” น้ำเสียงหวานปานน้ำผึ้งนั้นมีความเย้ยหยันปนมาอยู่ในที หญิงสาวยกยิ้มมุมปากราวกับผู้ชนะในเกมนี้ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

สิงห์กำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดขึ้นปูดโปน เขาฟาดกำปั้นลงบนกำแพงเต็มเหนี่ยวด้วยแรงโทสะ ปากสั่นระริกจนต้องกัดไว้แน่นเพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้องของความเจ็บปวดที่ยังคงเป็นตะกอนนอนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจออกมา

สิงห์มายังจุดนัดพบเห็นร่างโปร่งยืนเบียดตัวหลบลมฝนอยู่ตรงข้างกำแพง เพราะฟ้าแรงมากถึงจะอยู่ตรงใต้อัฒจันทร์ก็ยังมีฝนสาดเข้ามาไม่น้อย “เจ้าหนู! รู้ว่าตรงนี้มันเปียกแล้วทำไมไม่ไปหาที่หลบฝนดีๆ” เขาดุด้วยความเป็นห่วง

“โทรศัพท์ผมแบตหมด ผมกลัวพี่สิงห์มาแล้วหาผมไม่เจอ” อิงค์ให้เหตุผลตามตรง

สิงห์กวาดตามองคนที่ยังยิ้มตอบเขาทั้งที่หนาวจนตัวสั่น เขารีบหันมองซ้ายขวาหาที่หลบฝนใหม่ “มาทางนี้มา”

สิงห์คว้าแขนอิงค์ไปหลบใต้บันไดอัฒจันทร์ซึ่งเป็นมุมอับที่ช่วยกันทั้งลมและฝนได้ดีกว่า อีกทั้งยังไม่คนอื่นๆ อยู่ด้วย

“ฝนตกเปียกหมดเลย” อิงค์บ่นพลางชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกที่ยังคงมืดครึ้ม

“เจ้าหนูอย่าทำแบบนั้น” สิงห์เอ็ดเมื่อหันไปเห็นชายหนุ่มรวบชายเสื้อขึ้นเพื่อบิดน้ำออก

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจทำพื้นเลอะ”

สิงห์โคลงศีรษะอย่างไม่ชอบใจแล้วเอื้อมมือมาดึงชายเสื้อที่ถูกเลิกขึ้นไปสูงถึงหน้าอกลง และจัดแจงจนแน่ใจว่าจะไม่มีผิวเนื้อส่วนใดโผล่พ้นร่มผ้าอีก “เดี๋ยวคนอื่นเห็น” แต่เขาก็ยังรู้สึกขัดใจเหลือเกินกับเสื้อกีฬาซึ่งเป็นพื้นสีขาวที่พอโดนน้ำก็เรียบลู่ไปกับผิวเนื้อเห็นไปถึงไหนต่อไหน

“หวงเหรอ?” อิงค์กระเซ้า

“อือ” สิงห์ครางในลำคอ

“ไม่เห็นต้องหวงเลย ตรงนี้ไม่มีใครสักหน่อยก็อยู่กันแค่สองคน”

“ก็ถ้าปล่อยจนเคยตัวเดี๋ยวจะไปเผลอทำตอนอยู่กับคนอื่นน่ะสิ”

อิงค์แอบอมยิ้มน้อยๆ “ไม่ทำหรอกน่า… แล้วนี่มือพี่สิงห์ไปโดนอะไรมาครับ” เขาคว้ามือใหญ่ที่แดงเป็นจ้ำ มีรอยหนังถลอกเป็นริ้วๆ ขึ้นมาดู

“ล้ม” สิงห์ให้เหตุผลสั้นๆ พร้อมกับดึงมือกลับ แต่อิงค์ยื้อไว้

“เจ็บไหม”

สิงห์สบตาคนตรงหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย และพยักหน้าครั้งหนึ่ง

“ทำไงดีล่ะ ฝนตกหนักแบบนี้จะไปทำแผลที่ไหนได้ พี่สิงห์เจ็บมากไหม ช้ำขนาดนี้อาจจะซ้นหรือมีกระดูกร้าวก็ได้นะ”

สิงห์มองคนที่เริ่มลนลานเพราะแผลของเขาราวกับมันเป็นแผลของตัวเอง ความจริงใจที่อิงค์มีให้นั้นไม่ใช่เรื่องโกหก เขาเองก็รับรู้ได้ด้วยหัวใจ แต่สิ่งที่เขายังติดใจสงสัยคือความรู้สึกนี้มันจะยั่งยืนอยู่ได้นานสักแค่ไหนกัน

ความรักก็เป็นเหมือนเม็ดฝนที่ร่วงหล่นจากฟ้า แรกรักก็ดังพายุโหมกระหน่ำมามืดฟ้ามัวดิน และสุดท้ายแล้วพอลมฝนสงบ ก็ไม่เหลืออะไรเลย นอกจากร่องรอยของฝนกับความเหน็บหนาวที่ยังกัดกินจิตใจเรื่อยมา

“ใส่ยาให้หน่อยสิ” สิงห์พูดเสียงเบาพร้อมกับยกมือขึ้นจ่อที่ริมฝีปากบาง

อิงค์เหลือบตาขึ้นมองคนตรงหน้า แล้วค่อยก้มหน้าลงแตะริมฝีปากเบาๆ หากความร้อนของกลีบปากนั้นกลับทำให้หัวใจของคนที่โดนสัมผัสอุ่นขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับมีคนจุดไม้ขีดไฟท่ามกลางสายฝน

“หายเจ็บไหมครับ”

สิงห์พยักหน้า “แต่ตอนนี้หนาวจังเลย” พูดจบก็ยกสองแขนขึ้นโอบรอบตัวร่างโปร่งแล้วดึงมาประชิดหน้าอก

เขากระชับอ้อมกอดแน่นราวกับลูกแมวหลงทางที่กำลังร้องหาไออุ่นจากคนใจดีสักคน รู้สึกอิจฉาเสือน้อยที่กอดอิงค์ได้ด้วยความบริสุทธิ์ใจในขณะที่หัวใจของเขามันสกปรกเหลือเกินที่ทำตัวเหมือนหลอกใช้ความรักของอีกฝ่ายทั้งที่ไม่สามารถมอบหัวใจตอบแทนให้ได้ นอกเสียจากร่างกายเท่านั้น

และในตอนนั้นเอง สิงห์รู้สึกว่ากำลังถูกสายตาคู่หนึ่งจับจ้อง เขามองข้ามไหล่อิงค์ ฝ่าม่านเม็ดฝนออกไปตรงหลังเสาที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของสนาม

“ขอจูบได้ไหม” สิงห์กระซิบกับคนในอ้อมแขนแล้วใช้อุ้งมือจับปลายคางให้เงยหน้าขึ้น

อิงค์หลับตาลงรับรสสัมผัสอุ่นซ่านที่ริมฝีปาก เขายกสองแขนขึ้นโอบรัดรอบลำคอหนา ไออุ่นที่ส่งผ่านมาถึงกันทำให้สองร่างยิ่งเบียดกายแนบชิดขึ้นทุกที

อีกฟากหนึ่งของสนาม…

มือเรียวกำเป็นหมัดแน่น หญิงสาวกระทืบเท้าแล้วหมุนตัวหนีให้พ้นจากภาพบาดตา

“เป็นอะไรหรือเกต ทำไมหน้าตาไม่ดีเลย” เหมราชหันมาถามภรรยาที่หน้าซีดปากสั่นด้วยความเป็นห่วง

“ฟ้าแรงจังเลยค่ะ เกตกลัว” เกตถวาสอดแขนเข้ารอบลำแขนแกร่งแล้วซบหน้าลงบนหน้าอก

“ไม่เป็นไรนะคนดี ผมอยู่กับเกตตรงนี้นะ” เหมราชบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางลูบหัวลูบไหล่ปลอบขวัญ
 
***********************TBC************************

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Last Room บทที่ 9(07/10/2019) p.2
« ตอบ #49 เมื่อ: 10-10-2019 03:06:36 »





ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: Last Room บทที่ 10(10/10/2019) p.2
«ตอบ #50 เมื่อ10-10-2019 08:06:22 »

 :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ NUTSANAN

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1031
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-3
Re: Last Room บทที่ 10(10/10/2019) p.2
«ตอบ #51 เมื่อ10-10-2019 08:30:37 »

ไม่โอเคกับแฟนเก่าสิงห์อย่างแรง อิพี่สิงห์ก็น่าตบ เกลียดว้อย

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Last Room บทที่ 10(10/10/2019) p.2
«ตอบ #52 เมื่อ10-10-2019 12:49:52 »

พี่สิงห์ :fcuk:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: Last Room บทที่ 10(10/10/2019) p.2
«ตอบ #53 เมื่อ10-10-2019 14:20:15 »

อุ๊ยย  ยัยเกตแรงมากกก   :a5:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 10(10/10/2019) p.2
«ตอบ #54 เมื่อ12-10-2019 10:56:45 »

บทที่ 11

เสียงลมพัดเม็ดฝนมากระทบหน้าต่างยังดังไม่ขาดสาย
ถึงเวลาจะล่วงเข้าสู่วันต่อไปแล้ว สิงห์นอนลืมตาโพลงในความมืด นัยน์ตาเหม่อมองขึ้นไปบนฝ้าเพดานแต่ความคิดกลับล่องลอยไปไกลกว่านั้น...ไปยังอดีตที่ผ่านมานานหลายปี

เขารู้จักกับเกตวาตอนไปเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพ ความสัมพันธ์จากคู่บัดดี้ในงานรับน้องของคณะกลายมาเป็นคู่รัก มันเป็นช่วงเวลาที่หวานชื่นเรียกได้ว่าชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ พวกเขาไม่เคยทะเลาะกันด้วยเรื่องราวใหญ่โต ทุกอย่างราบรื่นดีจนกระทั่งสิงห์ถูกส่งไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ เขาจึงขอเธอแต่งงานและสัญญาว่าเมื่อกลับมาจะให้พ่อไปสู่ขอ

แต่เมื่อเวลาผ่านไปรักทางไกลก็เริ่มมีปัญหา ในขณะที่สิงห์คร่ำเคร่งกับการเรียน เกตถวาเองก็เริ่มทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งในตำแหน่งเลขา งานของเธอทำให้ต้องตามเจ้านายออกไปข้างนอกบ่อยๆ บางครั้งก็เลิกงานค่ำมืด สิงห์ขอให้เธอลาออกไปทำงานอื่นเพราะเป็นห่วงและหวงเนื่องจากเจ้านายคนนั้นเป็นผู้ชาย หากเธอก็ยังยืนยันว่าจะทำงานของเธอต่อไป นี่จึงเป็นสาเหตุทำให้ระยะหลังทั้งสองระหองแหงกันเรื่อยมา

มาวันหนึ่งเกตถวาโทรมาบอกเขาว่าจะต้องตามเจ้านายไปติดต่องานที่ต่างจังหวัดหลายวันซึ่งต้องมีการค้างคืน สิงห์จึงค้านเธอแบบหัวชนฝา และคำตอบของเธอก็เป็นเช่นเดิมเหมือนทุกครั้ง

“เกตต้องไป มันเป็นงานของเกต”

“แต่เกตเลือกงานได้นี่ แบบนี้มันไม่ไหวแล้วนะ”

“หรือว่าสิงห์ไม่เชื่อใจเกต เกตไม่ทำเรื่องเสื่อมเสียหรอกน่า”

“แต่ผู้ชายกับผู้หญิงไปพักค้างอ้างแรมกันสองต่อสอง ต่อให้บอกว่านอนกันคนละห้องมันก็ไม่น่าไว้ใจอยู่ดี”

“แต่ถ้าเกตไม่ไปเขาจะไล่เกตออกนะ”

“ก็ให้มันไล่ออกไปเลย! งานดีๆ มีอีกเยอะแยะ หรือถ้าเกตหางานทำไม่ได้ ผมเลี้ยงเกตเองก็ได้”

“แต่...”

“นอกเสียจากว่าเกตจะมีใจให้มัน เอางี้! ถ้าเกตไป เกตก็ไม่ต้องมาคุยกับผมอีก”

นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่สิงห์ได้คุยกับเธอ เขาพยายามติดต่อเธอทุกทางแต่เธอก็ไม่ยอมตอบข้อความเขา ทำแม้กระทั่งถามไถ่ข่าวคราวจากทางเพื่อนๆ ของเธอที่ไทยก็ได้ความว่าเธอสบายดีเพียงแต่ไม่ต้องการคุยกับเขาตามข้อความสุดท้ายที่เขาทิ้งท้ายไว้ นั่นทำให้สิงห์เสียใจมากและคิดว่าสิ่งที่เขากลัวมาตลอดกลายเป็นเรื่องจริง เกตถวากับเจ้านายคนนั้นคงมีอะไรลึกซึ้งกันแล้วเธอถึงไม่เคยปฏิเสธเขา

ที่เคยบอกว่าทำงานอยู่บริษัทขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เจ้านายเป็นชาวต่างชาติทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ

หลังจากที่ขาดการติดต่อกันไปนานหลายปี พวกเขาก็กลับมาเจออีกครั้ง แต่เป็นการพบกันที่มีแต่จะทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ

สิงห์ยืนเผชิญหน้าอดีตคนรักที่ยืนอยู่เคียงข้างพ่อของตัวเอง เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่หลบวูบทันที มีร้อยพันคำที่อยากถาม แต่เมื่อหันไปเห็นประกายสดใสในแววตาของพ่อที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักหลังจากที่แม่เสียไป สิงห์ก็คิดว่าเขาควรฝังเรื่องนี้ไปเสีย ผู้หญิงคนที่เขารักนั้นได้ตายไปแล้วและที่ยืนอยู่ต่อหน้าตอนนี้คือผู้หญิงอีกคนที่เป็นภรรยาใหม่ของพ่อ เป็นใครสักคนที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน

เขาไม่รื้อฟื้นและเธอก็ไม่พูดถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมา แค่ต่างคนต่างอยู่

แต่การจะทำอย่างนั้นได้มันก็ไม่ง่ายดายขนาดนั้น เมื่อภาพที่พ่อเดินเคียงคู่กับอดีตคนรักอย่างมีความสุขเป็นเหมือนมีดที่กรีดลงบนหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สุดท้ายเขาจึงพาหัวใจที่เจ็บจนทนไม่ไหวออกจากบ้านมาสร้างที่ทางของตัวเองเงียบๆ ที่ ‘ข่วงเมืองสิงห์’ ไม่ยุ่ง ไม่วุ่นวายกับใคร และไม่คิดจะเปิดประตูหัวใจรับใครเข้ามาใหม่แม้จะมีคนมาเทียวไล้เทียวขื่ออยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายก็เงียบหายกันไปทุกรายหลังจากที่เขาบอกไปตรงๆ ว่าจะไม่มีวันเขยิบความสัมพันธ์ไปมากกว่าคู่นอน

คนที่นอนอยู่หลับอยู่บนอกขยับตัวเล็กน้อยดึงให้สิงห์หวนกลับจากอดีตมาสู่ปัจจุบัน เขาหลุบตาลงมองชายหนุ่มในอ้อมแขน

คนแปลกหน้าจากต่างเมืองที่หลงทางเข้ามาในถิ่นของเขาแล้ววนเวียนอยู่นานกว่าใคร ถึงเขาจะทำเย็นชาและพูดจาร้ายๆ ใส่ก็ยังยิ้มให้เขาอยู่เสมอ จนบางครั้งเขาก็นึกสงสัยว่าตัวเองมีดีอะไรถึงทำให้ชายหนุ่มคนนี้ไม่ยอมถอดใจแล้วจากไปดีๆ แบบคนอื่นสักที

สิงห์ยกมือขึ้นจับแก้มนิ่มแล้วไล่ไปตามริมฝีปากที่เขาจูบจนเป็นสีแดงเข้ม บทรักตรงบันไดใต้อัฒจันทร์เมื่อตอนเย็นยังติดตรึง

สายฝนทำให้ร่างเพรียวเปียกปอนแต่กลับไม่สู้ความชื้นที่เกิดจากการเสียดสีของผิวเนื้อ ลมเย็นจนหนาวแต่อุณภูมิกายกลับร้อนรุ่ม เสียงฟ้าร้องดั่งสนั่น แต่เสียงหวานที่เรียกชื่อเขาอยู่ข้างหูกลับชัดเจน

อิงค์ที่ผล็อยหลับไปเพราะหมดแรงจากกิจกรรมที่ทำต่อเนื่องมาตั้งแต่หัวค่ำรู้สึกตัวตื่นขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของปลายนิ้วที่สัมผัสนิ่มนวลอยู่ตรงริมฝีปาก เห็นสิงห์อมยิ้มและกำลังมองมาที่เขา “คิดอะไรอยู่ครับ”

“คิดว่าเวลาที่เธอหลับน่ารักดี” สิงห์ตอบแล้วคนในอ้อมแขนก็คลี่ยิ้มกว้างขึ้นอีก จนเขาอดใจไม่ไหวต้องถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกไป “เธอชอบฉันตรงไหน”

“ตรงที่พี่ทำให้ผมยิ้มได้อีกครั้ง”

สิงห์เลิกคิ้ว “แค่นั้นเองเหรอ”

“แค่นั้นแหละครับ” อิงค์ตอบ

“ตาเธอช้ำ” สิงห์รำพึงพลางใช้ปลายนิ้วไล้ไปเบาๆ ตรงใต้ตา

อิงค์ขยับหลบก่อนจะชะโงกไปดูนาฬิกาเห็นเป็นเวลาตีหนึ่งกว่าจึงเอ่ยปากถาม “ดึกป่านนี้แล้วพี่สิงห์ไม่ต้องรีบกลับเหรอ”

“อยากให้กลับเหรอ” สิงห์ถามกลับ

อิงค์ส่ายหน้าแล้วซุกตัวลงกอดตามเดิม

“งั้นขออยู่แบบนี้สักพัก” สิงห์บอกพร้อมกับกระชับอ้อมให้แน่นขึ้นอีกพลางก้มหน้าลงซุกข้างศีรษะแล้วหอมแรงๆ ไปฟอดหนึ่ง

“อยู่ถึงเช้าเลยก็ได้ครับ” อิงค์กระเซ้า นี่เป็นครั้งแรกหลังที่มีอะไรกันแล้วสิงห์ทำตัวติดหนึบกับเขาแบบนี้ “ว่าแต่เสือน้อยไปไหน พี่สิงห์เห็นเสือน้อยไหมครับ”

“นอนอยู่นั่นไง” สิงห์พยักเพยิดไปตรงมุมห้องที่ลูกแมวสีส้มนอนขดอยู่

“เสือน้อย” อิงค์ร้องเรียก

เจ้าลูกแมวได้ยินเสียงก็ลืมตาก่อนจะผงกหัวขึ้นดู เมื่อเห็นว่าใครเรียกก็รีบกระโดดผลุงขึ้นมาบนเตียง แล้วเอาหัวถูไถไปกับท่อนแขนของอิงค์

“นอนตรงนั้นหนาวล่ะสิ” อิงค์ลูบมือไปบนศีรษะไล่ไปจนถึงปลายหาง เสือน้อยโก่งตัวอย่างเกียจคร้านก่อนจะขดตัวลงนอนบนหมอนข้างศีรษะเขาซึ่งเป็นที่ประจำของมัน “ตรงนี้นอนสบายกว่าใช่ไหมล่ะ”

“แล้วเธอล่ะหนาวไหม” สิงห์ถาม

อิงค์เงยหน้าขึ้นมอง “มีพี่สิงห์กอดอยู่แบบนี้ก็ไม่หนาวแล้วครับ”

สิงห์อมยิ้มแล้วกดจูบลงข้างขมับ “ฝันดีนะ”

“งั้นผมฝันถึงพี่สิงห์นะ” อิงค์ว่า “ก็จะได้ฝันดีไง”

“ตามใจ” สิงห์ตอบพลางกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นเพื่อแบ่งปันไออุ่นให้คนในอ้อมแขนแล้วหลับตาลง

นานแล้วสินะที่ไม่ได้รู้สึกดีขนาดนี้เวลากอดใครสักคน... หรือว่ามันจะถึงเวลาแล้วที่เขาควรจะลองเปิดใจรับใครเข้ามา และใครคนนั้นก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนที่เขากอดอยู่ตอนนี้นี่แหละ


“ป้าสำลีกับพี่มอญอยากจะพูดอะไรกับผมหรือเปล่าครับ” อิงค์ถาม รู้สึกเกร็งๆ เพราะนับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าข่วงเมืองสิงห์เพื่อเอากาแฟมาส่งเหมือนทุกเช้า ทั้งสองก็เอาแต่เดินตามเขาแล้วยิ้มหวานส่งสายตาแปลกๆ มาให้แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ

“มีค่ะ แต่ไม่อยากพูด” ป้าสำลีอมยิ้มจนแก้มปริ

“พูดมาเถอะครับ”

“เมื่อวานไปดูฟุตบอลมาสนุกไหมคะ”

“สนุกครับ”

“แล้วคุณสิงห์ล่ะคะ”

“ก็สนุกครับ”

“กับคุณสิงห์ก็สนุกเหรอคะ”

อิงค์ย่นคิ้วรู้สึกว่าตัวเองตอบไม่ตรงคำถามของป้าสำลียังไงชอบกล

ป้าสำลีป้องปากหัวเราะคิกคักกับพี่มอญ ก่อนที่พี่มอญจะหันมาพูดต่อ

“เมื่อวานพวกเราเห็นคุณสิงห์แต่งตัวอยู่ตั้งนาน ชุดนั่นก็ซื้อใหม่บอกว่ากลัวไปกับคุณอิงค์แล้วจะโดนคนอื่นแซวว่ามากับลุง นานมากๆ แล้วนะคะที่พวกเราไม่ได้เห็นคุณสิงห์ลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้”

“เหรอครับ” อิงค์รับคำเขินๆ

ป้าสำลีกับพี่มอญก้าวเข้ามายืนเกาะแขนคนละข้าง แล้วป้องปากกระซิบกระซาบ “มีอะไรคุณอิงค์ปรึกษาป้ากับมอญได้นะคะ พวกเราอยู่ข้างคุณอิงค์”

“ใช่ค่ะ” มอญพยักหน้าอย่างกระตือรือร้นก่อนจะลดเสียงลงให้เบาที่สุด “นอกเสียจากว่าพวกเราจะไม่จำเป็นแล้วเพราะว่าเมื่อคืน...”

“อะไรครับ”

มอญใช้นิ้วจิ้มข้างแขนอิงค์จึกๆ “ฟุตบอลแพ้แต่คนไม่แพ้... เมื่อคืนคุณอิงค์ได้ทำประตูนำจบเกมไปแบบสวยๆ แล้วน่ะสิคะ คุณสิงห์ถึงได้กลับมาตอนเช้ามืดแบบนี้”

แก้มขาวซับสีเข้มขึ้นเล็กน้อย “มะ... ไม่ใช่นะครับ คือฝนมันตกหนักมาก แล้วพวกเราก็เปียก ผมเลยชวนพี่สิงห์ไปอาบน้ำที่บ้าน... เอ่อ แค่พักรอฝนซาน่ะครับ แล้วก็แบบ...” ที่อิงค์ไม่ยอมรับไปตรงๆ ไม่ใช่เพราะเขินแต่เป็นเพราะสถานะระหว่างพวกเขานั้นมันยังไม่ชัดเจน เขาไม่อยากทำให้สิงห์เสียหายแล้วก็ไม่อยากพูดให้คนอื่นเข้าใจผิด

“อะไรกัน” ป้าสำลีฮึมฮัมอย่างแสนเสียดาย

“คุณอิงค์ออกจะน่ารักขนาดนี้ คุณสิงห์นี่ใจแข็งเกินไปแล้วนะ” มอญพยักหน้าเห็นด้วย

“ถ้าป้าสำลีกับพี่มอญอยากช่วย” เห็นว่าสบโอกาสดีอิงค์จึงลองเอ่ยถามออกไปเพราะอยากรูเรื่องของสิงห์ให้มากขึ้น “ช่วยเล่าเรื่องแฟนเก่าของพี่สิงห์ที่เสียไปแล้วกับเรื่องคุณเกตถวาให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ”

“แฟนเก่า?” มอญทวนคำ “พี่มอญเพิ่งมาอยู่ตอนคุณสิงห์เปิดที่นี่ไม่เห็นเคยรู้เรื่องเลย รู้แต่ว่าเป็นคนไม่เอาใคร ไม่อยากมีแฟน... ป้าสำลีรู้เรื่องไหม”

“ป้ารู้แค่ว่าคุณสิงห์รักเธอมากค่ะ” ป้าสำลีตอบตามตรง “ส่วนเรื่องที่ว่าเธอเป็นใคร ชื่ออะไรนั้นป้าไม่รู้เลยเพราะคุณสิงห์คบกับเธอช่วงอยู่กรุงเทพ ได้แต่คุยอวดว่ารักมากจะแต่งงานด้วย แต่พอกลับจากเมืองนอกก็ไม่พูดถึงอีกเลย ป้าถามก็บอกแค่ว่าเธอตายไปแล้วด้วยใบหน้าเศร้าๆ ค่ะ ป้าเลยไม่ถามอีก”

“จริงเหรอป้า” มอญที่เพิ่งรู้ก็ตกใจและนึกสารไม่น้อยเหมือนกัน

“แล้วป้าจะโกหกแกทำไมวะ”

“ขอบคุณนะครับ” อิงค์พยักหน้า

“ทำอะไรกันอยู่น่ะ”

เสียงสิงห์ดังขึ้นข้างหลัง ป้าสำลีกับมอญรีบปล่อยแขนอิงค์แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“แค่ดูว่าวันนี้คุณอิงค์ทำอะไรมาให้ป้าน่ะค่ะ” ป้าสำลีบอก

“วันนี้มีแต่กาแฟ ไม่มีขนมนะคะคุณสิงห์” มอญหันไปขยิบตากับป้าสำลีกึ่งๆ จะแซวว่าที่ชายหนุ่มไม่มีเวลาตื่นมาทำขนมเป็นเพราะมัวแต่ขลุกอยู่กับใครบางคน

“หมดนี่เป็นของที่เอามาส่งที่ฉันเหรอ” สิงห์ชี้มือไปยังลังที่วางซ้อนกันอยู่ท้ายรถมอเตอร์ไซค์ซึ่งมีทั้งหมดสามใบ

“ครับ... เอ่อ พี่สิงห์ไม่ต้องช่วยหรอกครับ เดี๋ยวผมทำเอง” อิงค์รีบบอกเมื่อเห็นคนตัวโตก้มลงยกลังขึ้นมาทีเดียว

“ไม่เป็นไร” สิงห์พูดเสียงเบาแล้วเดินนำเข้าไปด้านใน

มอญจะเข้าไปช่วยแต่ก็โดนป้าสำลีคว้าคอเสื้อไว้เสียก่อน

“ไปดูอาหารในครัวกันเถอะ”

ป้าสำลีขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง แล้วทั้งสองก็พากันเข้าไปในครัวปล่อยให้ทั้งสองคนอยู่กันตามลำพัง

“พี่สิงห์ไม่ต้องช่วยผมทำก็ได้ เดี๋ยวผมทำเอง”

“อยากช่วย” สิงห์บอก “เมื่อกี้คุยอะไรกับสองคนนั่น”

“ป้าสำลีกับพี่มอญบอกว่าเชียร์ผมอยู่”

“คนถือหางเยอะนะเราน่ะ” สิงห์ว่า

“เยอะขนาดนี้ก็ไม่เห็นพี่ใจอ่อนสักที” อิงค์บอกพลางหมุนตัวเอาหลังพิงโต๊ะเพื่อมองหน้าสิงห์ให้ชัดๆ

สิงห์ไม่ตอบในทันทีได้แต่เงยหน้าขึ้นมาแล้วก็จ้องหน้าเขาอยู่อย่างนั้นจนเป็นฝ่ายอิงค์ที่ทนไม่ไหวต้องเบือนสายตาหนี

“พี่สิงห์พูดอะไรสักอย่างสิ มาจ้องกันแบบนี้ผมหัวใจจะวายนะ”

สิงห์ยกลังที่ตอนนี้ว่างเปล่าขึ้นมาแล้วเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์โดยมีอิงค์เดินตามมาติดๆ

“พี่สิงห์... ทำไมไม่ตอบล่ะ หรือผมพูดอะไรผิดไป”

สิงห์วางลังให้เรียบร้อยแล้วจึงหันมา “ตั้งใจทำงานเหมือนตามจีบฉันนะ”

“ดูอวยพรเข้า” อิงค์พูด รู้สึกงอนนิดๆ

สิงห์อมยิ้มและพูดต่อ “เธอคิดว่าร้านเธอประสบความสำเร็จหรือยังล่ะ”

อิงค์นิ่วหน้านึก “ยัง... แต่ก็คิดว่ามาไกลแล้วล่ะ อีกไม่นานต้องสำเร็จแน่ๆ”

“นั่นล่ะ” สิงห์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบศีรษะเบาๆ ครั้งหนึ่งพร้อมกับรอมยิ้มที่คลี่เต็มริมฝีปาก “พยายามเข้านะ”

*********************TBC***********************

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: Last Room บทที่ 11(11/10/2019) p.2
«ตอบ #55 เมื่อ12-10-2019 13:58:00 »

 :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: Last Room บทที่ 11(11/10/2019) p.2
«ตอบ #56 เมื่อ12-10-2019 18:00:24 »

แม่เกตถวา  นางคงหาคนเกาะไปเรื่อย

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: Last Room บทที่ 11(11/10/2019) p.2
«ตอบ #57 เมื่อ13-10-2019 23:59:28 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: Last Room บทที่ 11(11/10/2019) p.2
«ตอบ #58 เมื่อ14-10-2019 21:54:25 »

ว่าแล้ว แฟนเก่า มีแววว่าจะหวงก้าง หลงตัวเองอีกด้วย

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: Last Room บทที่ 11(11/10/2019) p.2
«ตอบ #59 เมื่อ16-10-2019 16:21:04 »

บทที่ 12

พอครบกำหนดทำวัคซีนเข็มที่สอง อิงค์ก็พาเสือน้อยกลับมาพบคุณหมอ ผลการตรวจสุขภาพรอบนี้เสือน้อยสุขภาพดีขึ้นมากแผลตามตัวหายเกือบหมดและร่างกายก็อ้วนท้วนดีน้ำหนักขึ้นมาหลายขีด ตอนนี้มันกลายเป็นแมวน้อยแสนซนแววตาสดใส ขี้เล่น ไม่เหลือคราบลูกแมวขี้กลัวที่เอาแต่ขู่กับซุกอยู่ตรงเสื้อเขาอีกแล้ว ตอนนี้อิงค์ไม่ต้องจับใส่ตะกร้าปิดปากเพราะกลัวมันหนีเตลิด แค่ต้องมีสายจูงเป็นตัวช่วยเพิ่มมาเวลาออกมาข้างนอกเท่านั้น

“มันโชคดีนะคะ ที่ได้คุณเก็บมาเลี้ยง” สัตวแพทย์สาวกล่าวทั้งรอยยิ้มพลางลูบหัวเกาคางให้เสือน้อย ก่อนจะอุ้มส่งมาคืนให้อิงค์ “นัดครั้งหน้าอีกหนึ่งอาทิตย์นะคะ”

“ขอบคุณครับ”

อิงค์รับเสือน้อยคืนมาอุ้มพาดบ่าเดินออกมาที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงินแต่ก็ได้รับคำตอบเหมือนครั้งที่แล้ว

“คุณสิงห์จัดการให้แล้วค่ะ”

อิงค์หันไปหาคนที่ขออาสามาเป็นพลขับ กำลังจะเอ่ยปากท้วงเรื่องค่าใช้จ่ายอีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน

“ทบไปกับค่ากาแฟ” สิงห์บอกพลางยื่นนิ้วไปเขี่ยหูเสือน้อยเล่น มันทำหูลู่อย่างหงุดหงิดก่อนจะยกเท้าหน้าขึ้นมาตะปบนิ้วเขา “อะไรกัน เจ้าหนูนี่เล่นกับคนอื่นไปทั่วแต่ไหงกัดแต่ฉันล่ะ”

“ก็พี่สิงห์ชอบแกล้งมัน” อิงค์ว่า “แมวไม่ชอบให้จับหูกับหนวดครับ อีกที่คือที่หาง แต่จะชอบให้เกาคางกับลูบหัว พี่สิงห์ยื่นมือมาสิเดี๋ยวผมให้ลองอุ้มดู”

สิงห์เบะปาก “ไม่เอาหรอก แม่เลี้ยงมันไปคนเดียวเถอะ พ่อมีหน้าที่แค่จ่ายตังก็พอ”

“ดูพูดเข้าสิ งอนอะไรเสือน้อยครับ มันก็เป็นแค่แมวนะ”

“ไม่ได้งอน แค่ไม่ค่อยชอบตัวอะไรเล็กๆ ที่ต้องเอาอกเอาใจแบบนี้น่ะมันน่ารำคาญ แล้วนี่อาหารเจ้าตัวเล็กที่ซื้อไปคราวก่อนหมดหรือยัง จะได้ไปซื้อเลย”

แล้วทั้งสองก็มาแวะที่ร้านขายอาหารสัตว์ พนักงานสาวจำอิงค์ได้เข้ามาทักทายและช่วยแนะนำอาหารเหมือนเดิม

สิงห์เห็นทั้งคู่ดูจะคุยกันถูกคอจึงแอบเดินแยกตัวออกจากร้านไปเงียบๆ มายังศูนย์การค้าที่ตั้งอยู่บริเวณเดียวกันเพื่อซื้อของบางอย่าง และในระหว่างที่กำลังยืนเลือกนั่นเอง ใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามาทัก

“ว่าไง” เหมราชทักลูกชาย

สิงห์เหลือบตามองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างพ่อเล็กน้อยก่อนจะทำเป็นไม่เห็น “ครับ”

เท่าที่จำความได้พ่อของเขาไม่ค่อยชอบออกมาเดินห้างหรือไปงานสังคมเพราะว่าเหงาที่ต้องเดินคนเดียวและเอาแต่หมกตัวอยู่กับงาน แต่นับตั้งแต่ผู้หญิงคนนี้เข้ามาในชีวิตเขาเริ่มกลับมาสดใสอีกครั้ง ทำให้คนรอบข้างโดยเฉพาะคนเก่าคนแก่อย่างปู่กมลกับป้าสำลีพลอยอิ่มอกอิ่มใจไปด้วยและให้การต้อนรับผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างดี นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกจะเงียบมาตลอด

“ฉันแอบเห็นว่าแกไปงานฟุตบอลด้วยนี่นา แล้วทำไมไม่มานั่งด้วยกันล่ะ ฉันอุตส่าห์ให้เขาเตรียมที่ไว้เผื่อแล้ว”

“พอดีผมไปกับคนอื่นด้วยน่ะครับ”

“คุณอิสระน่ะเหรอ” เหมราชทวนความเข้าใจ “จากที่เจอกันครั้งก่อนก็สองอาทิตย์กว่าแล้ว ปกติฉันเห็นแกคุยกับใครไม่เกินสัปดาห์ คนนี้คบนานนะเนี่ย ตกลงเอาจริง?”

“แล้วพ่อมีปัญหาเหรอครับ”

“เปล่าๆ” เหมราชว่า “ฉันไม่อะไรกับเรื่องนี้อยู่แล้ว ที่ถามนี่เพราะจะชวนแกไปงานวันเกิดฉันอาทิตย์หน้า ฉันอยากให้เขาไปด้วย”

“จะดีเหรอครับ”

เหมราชเลิกคิ้ว “พูดแบบนี้แสดงว่าแกจะไปเหรอ”

“ก็เห็นบ่นว่าผมไม่ยอมกลับบ้าน ผมก็เลยจะกลับแล้วนี่ไง แต่บอกไว้ก่อนนะว่าผมคงไม่อยู่นาน”

“แค่โผล่ไปให้เห็นหน้าก็พอแล้ว แกอย่าลืมชวนคุณอิสระให้ฉันนะ”

“พ่อชวนเองเลยครับ เขาซื้ออาหารแมวอยู่ร้านข้างๆ นี่เอง”

“แบบนั้นก็ได้” เหมราชหันไปหาภรรยาและเอ่ยขออนุญาต “เดี๋ยวผมมานะเกต”

“ได้ค่ะ”

“เกตอยากได้อะไรก็ดูไว้นะ เดี๋ยวผมกลับมาจ่ายเงิน”

“รีบไปรีบมานะคะ”

“จ๊ะที่รัก” เหมราชรับคำแล้วรีบเดินลิ่วๆ ออกไป ทิ้งเกตถวาไว้กับสิงห์สองคน

สิงห์ถอนหายใจเสียงดังเมื่อรู้ว่าพลาดไปเสียแล้วที่บอกพ่อไปแบบนั้น เขารีบหันหลังกลับไปสนใจสิ่งที่กำลังเลือกค้างไว้ต่อ แต่เธอก็ยังมาดึงความสนใจจากเขาไปอยู่ได้

“ให้เกตช่วยเลือกไหมคะ” หญิงสาวบอกพร้อมกับก้าวมายืนข้างๆ “คุณชอบสีเข้มๆ งั้นเอาเป็นแบบนี้ดีไหมคะ”

“ผมไม่ได้ใช้เอง”

“แล้วซื้อให้ใครคะ”

“แมวที่บ้าน”

เกตถวาย่นคิ้ว “ท่าทางแมวจะตัวใหญ่นะคะ”

“อือ”

“คุณคิดจะพาเขาไปงานด้วยจริงๆ เหรอ”

“ทำไมถึงจะพาไปไม่ได้ล่ะ”

เกตถวาเงียบไปอึดใจ งานวันเกิดเหมราชนั้นถึงจะไม่ใช่งานทางการแต่ก็ไม่ใช่งานเล็กๆ การพาใครสักคนไปด้วยนั่นเท่ากับเป็นการเปิดตัวให้คนอื่นรับรู้ “คุณคิดจะจริงจังกับผู้ชายคนนั้นจริงๆ เหรอ”

“ไม่เกี่ยวกับคุณ”

“ฉันก็ไม่ได้อยากยุ่งหรอกค่ะ แค่เป็นห่วงน่ะ”

“ห่วงเรื่องตัวเองเถอะ” สิงห์ว่า

เกตถวาไม่สนใจถ้อยคำพูดหมางเมินของเขาและพูดต่อ “ถ้าคุณคิดจะเอาเขามาทำให้ฉันเสียใจล่ะก็ ฉันว่าคุณคิดผิดนะ เป็นคุณเองมากกว่าที่ต้องเสียใจ เพราะสุดท้ายแล้วคุณจะไม่เหลือใครเลย”

“มันก็เรื่องของผม” สิงห์ละสายตาจากสิ่งที่ดูอยู่หันมามองเธออย่างนึกรำคาญใจ “เอาจริงนะเกต ผมว่าคุณห่วงตัวเองเถอะ ความลับของคุณกอดเอาไว้แน่นๆ นะ ผมน่ะยังไงก็ลูกชายคนเดียวต่อให้ทะเลาะกันบ้านแตกพ่อก็ไม่ฆ่าผมหรอก หรือต่อให้เขาไล่ผมออกจากบ้านผมก็ไม่แคร์อยู่ดี แต่คุณน่ะ พ่อผมคงไม่เอาไว้แน่ถ้ารู้ว่าคุณหลอกอะไรเขาไว้บ้าง”

“ทำเป็นพูดดี แล้วคุณล่ะ รู้ได้ไงว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้เข้าหาคุณเพราะเรื่องเงินเหมือนคนที่แล้วๆ มา” เพราะถูกว่าแรงๆ เธอจึงตอกกลับไปบ้าง

“เหมือนคุณน่ะเหรอ” สิงห์ย้อนเข้าให้ด้วยเหลืออดเต็มที “ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ เพราะคุณแท้ๆ ตอนนี้ผมเลยตาสว่างขึ้นเยอะเลย”

พูดจบเขาก็เหลือบไปเห็นสีที่คิดว่าคนรับน่าจะชอบจึงหยิบออกมาจากชั้นและรีบเดินหนีไป

เกตถวากัดฟันแน่น เธอมองคนตัวใหญ่ที่เดินห่างออกไป ยอมรับว่าคนมีชนักติดหลังอย่างเธอไม่เคยวางใจคนเคยมีอดีตร่วมกันอยู่แล้ว ที่ทนนิ่งมาได้หลายปีเพราะอีกฝ่ายเลือกที่จะเงียบและออกไปจากบ้าน แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้วสิงห์อาจจะกำลังวางแผนกลับมาแก้แค้นเธอก็ได้ ไม่เช่นนั้นจู่ๆ เขาจะกลับมาพร้อมกับคนที่หน้าตาคล้ายเธอทำไม

เกตถวายกมือขึ้นกุมท้อง เธอจะไม่ยอมให้ใครมาพรากความสุขที่เธอพยายามไขว้คว้ามาแทบตายไปเด็ดขาด ถ้าหากจะมีใครสักคนต้องเจ็บในเรื่องนี้ มันต้องไม่ใช่เธอ

ทางอิงค์ที่ซื้ออาหารเสร็จแล้วออกมายืนรอสิงห์ที่รถมอเตอร์ไซค์ เมื่อสักครู่คุณเหมราชเพิ่งมาชวนแกมคะคั้นคะยอให้เขาไปงานวันเกิด และเขาก็ตอบตกลงไปแล้วเพราะเหมราชบอกว่าสิงห์ไปด้วยและเขาก็เกรงใจเจ้าของงานที่อุตส่าห์มาเชิญด้วยตัวเอง

สิงห์เดินหน้ามุ่ยกลับมาร้านขายอาหารสัตว์ อุตส่าห์เลี่ยงจะคุยด้วยทำไมยังมาตื๊ออยู่ได้นะ ไม่รู้ผู้หญิงคนนั้นคิดอะไรอยู่กันแน่

เขากำลังพยายามปรับอารมณ์ให้กลับมาดีอีกครั้งเพราะไม่อยากให้อิงค์คิดมากแต่ก็รู้สึกว่ามันยากเย็นเสียเหลือเกินเมื่อภาพอดีตเดิมๆ มันพลอยจะผุดขึ้นมาในหัวตลอด

ภาพเขากอดกับผู้หญิงคนนั้นแล้วจู่ๆ ก็กลายเป็นคนอื่นมาแทนที่ จนเผลอคิดไปถึงว่าถ้าวันนั้นที่ทะเลาะกัน เขารีบง้อเธอให้เร็วกว่านี้ คนที่เดินมาซื้อของกับเธอในวันนี้อาจจะยังเป็นเขาอยู่ก็ได้

“โธ่เว้ย!”

ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดตัวเองจนต้องหยุดทึ้งหัวตัวเองให้เลิกคิด

“พี่สิงห์ทำอะไรอยู่ครับ”

สิงห์หันไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนอุ้มลูกแมวส้มและกำลังมองมาที่เขาด้วยความเป็นห่วง แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ต้องใช้ความพยายามอีกแล้วที่ต้องลืมผู้หญิงคนนั้น

“ผมยุ่งหมดแล้วเนี่ย”

ในระหว่างที่มองคนซึ่งกำลังช่วยสางผมเขาให้เข้าที่สิงห์ก็ยกยิ้มขึ้นน้อยๆ “แค่คันน่ะ เมื่อเช้าลืมสระผม”

“ยี้!” อิงค์ทำแกล้งเสียงเล็กเสียงน้อยพลางยกมือขึ้นปิดจมูก

“ไม่ต้องมาทำเป็นรังเกียจเลย เมื่อกี้ยังจับเล่นอยู่เลยนะ” สิงห์ว่า

“เมื่อกี้คุณเหมราชมาชวนผมไปงานวันเกิด ผมตอบตกลงไปแล้วนะ”

“ก็ตามนั้นแหละ”

“แล้วนี่พี่สิงห์ไปซื้ออะไรมา” อิงค์ถามพร้อมกับเหลือบตาลงมองถุงใส่ของใบใหญ่ในมือสิงห์

สิงห์ยกขึ้นมาส่งให้ “อยากรู้ก็เปิดดูสิ”

“ผมดูได้เหรอ”

“อือ”

อิงค์รับมางงๆ เสือน้อยที่เกาะอยู่บนไหล่เองก็ชะเง้อคอมามองด้วยความสนใจเช่นกัน

ของที่อยู่ข้างในถุงนั้นเป็นผ้าห่มผืนหนาลายตัวการ์ตูนรูปแมวสีส้มในอิริยาบทต่างๆ

“ผ้าห่มน่ารักจัง พี่สิงห์ชอบอะไรแบบนี้เหรอเนี่ย เห็นที่ห้องใช้แต่สีดำ”

“ไม่ชอบหรอก แต่คิดว่าเธอน่าจะชอบ”

“ชอบครับ น่ารักดี”

“ชอบแล้วก็ใช้ด้วยนะ”

“อันนี้พี่สิงห์ซื้อให้ผมเหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ”

“แล้วพี่สิงห์ซื้อให้ผมทำไม”

“เข้าหน้าฝนแล้ว แถมพายุยังเข้าอีกฝนตกเกือบทุกวัน อากาศก็เริ่มหนาว ฉันเห็นที่ห้องเธอมีแค่ผ้าห่มบางๆ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” สิงห์บอก

อิงค์หน้าร้อนขึ้นเล็กน้อย เห็นสิงห์พูดไว้ตั้งนานแล้วแต่ไม่คิดว่าจะซื้อให้จริงๆ นอกเหนือจากนั้นคือความเป็นห่วงเป็นใยและความใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยของเขา แล้วแบบนี้จะให้เขาตัดใจยังไงไหวเนี่ย “เอ่อ… อันนี้ให้เนื่องในโอกาสอะไรครับ”

“อยากให้” สิงห์ว่า “ทำไม? เหตุผลแค่นี้ไม่ได้เหรอ”

“ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับ ผมจะใช้ทุกวันเลย”

สิงห์มองคนซึ่งกอดของที่เขาให้แน่นทั้งที่มันเป็นแค่ผ้าห่มธรรมดาผืนหนึ่ง รอยยิ้มกระจายไปทั่วหน้าขาวที่เจ้าตัวก้มลงซ่อนพวงแก้มที่ซับสีเลือดฝาดไว้ในผ้าห่ม

เห็นคนรับดีใจขนาดนี้ คนให้ก็เริ่มรู้สึกขัดเขินขึ้นมาหน่อยๆ สิงห์จึงรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง พอคิดได้เช่นนั้นแล้วก็รีบคว้าผ้าห่มจากมืออิงค์มาคลี่ออกแล้วเอาไปพันรอบตัวชายหนุ่มจนเหลือแต่เสี้ยวหน้าเล็กๆ โผล่ออกมา

“เป็นไงอุ่นไหม”

“อกพี่สิงห์อุ่นกว่า” อิงค์ตอบเสียงอู้อี้นิดๆ เพราะโดนผ้าพันไว้

“ของมันแน่อยู่แล้ว

“พี่สิงห์ช่วยอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

“อะไรเหรอ”

อิงค์ดึงผ้าห่มออกจากตัวแล้วสะบัดไปโอบรอบตัวสิงห์ “จะได้มีกลิ่นตัวพี่สิงห์ติดอยู่ เวลาผมห่มก็จะได้คิดถึงพี่ไง”

“แค่คิดถึงเหรอ”

“แล้วจะให้ผมทำอะไรครับ”

“นึกว่าจะเอาไว้ช่วยตัวเองเสียอีก”

“พี่สิงห์ทะลึ่ง” คนโดนแซวหน้าแดงไปถึงหู “ผมยังไม่ได้คิดอะไรถึงขั้นนั้นเลยนะ”

“อิงค์”

“ครับ” เจ้าของชื่อตอบรับเมื่อผ้าห่มผืนหนาถูกคลุมลงมาบนศีรษะโดยไม่ทันตั้งตัว

ใต้ผืนผ้าที่คลุมไว้ ท่อนแขนแกร่งยื่นออกมาดึงตัวเขาเข้าไปหาพร้อมกับที่เจ้าของเจ้าของมือนั้นก้มหน้าลงมาจูบ

มันเป็นแค่จูบแผ่วค่อยและรวดเร็วเหมือนลมพัดผ่าน แต่ตอนนั้นเอง ในหัวใจของคนที่เคยตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าจะไม่ขอรักใครอีกแล้ว ความรู้สึกหนึ่งมันกลับค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา

แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้… เขาขอเวลาอีกสักนิดถ้ามั่นใจเมื่อไร เขาจะเปิดประตูหัวใจต้อนรับคนที่ยืนรออยู่เข้ามาข้างในแน่นอน



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด