บทที่ 6
ผ้าโพกหัวถูกเลื่อนลงมาปกปิดใบหน้าลดความแสบร้อนจากแสงแดดที่แผดส่อง รุ่งภพกลับมาทำงานในแพปลาตามเดิมแล้วเพราะตรัยต้องออกไปดูที่บนเกาะเพื่อประเมินสิ่งที่จะปลูกสร้างในอนาคต เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ติดตามไปด้วย ลูกชายเถ้าแก่บอกให้รอเพียงแค่นั้น หากกลับมาแล้วจะโทรตามอีกที
หนุ่มใต้เลิกคิดถึงนายจ้างแล้วทุ่มความสนใจทั้งหมดไปลงที่งานแทน ชายหนุ่มกางถุงพลาสติกออกรองก้นถังสำหรับใส่ปลา วันนี้ต้องแพ็คปลาที่เรือลำอื่นเอามาขายเข้าห้องเย็น รอเปิดประมูลในวันรุ่งขึ้นแล้วเอารายได้เข้าแพปลา
“ลูกชายเถ้าแก่กลับกรุงเทพไปแล้วเหรอวะ ไม่เห็นหน้าเห็นตาเลย” มิ่งขวัญใช้พลั่วตักน้ำแข็งโปะทับปลาในถัง หุ้มด้วยถุงอีกชั้นแล้วลากเข้าห้องเย็น
“เขาก็ไปทำธุระของเขาบ้างสิ ทำไม? มึงอยากเจอเหรอ?”
“นิดนึง...เขาดุไหมวะ”
รุ่งภพเม้มปากทำหน้าครุ่นคิด “ไม่นะ”
ไม่ดุแต่ก็ไม่ได้ใจดีจนคุยเล่นได้
“เฮ้ยมึง!” รุ่งภพตื่นจากภวังค์หลังจากโดนเพื่อนสะกิดยิกๆ จนหลังแทบไหม้ “เรือยอร์ชใครหลงมาเทียบท่าที่แพเราวะ”
“จะไปรู้เหรอ มาหาซื้อของทะเลหรือเปล่า...” ชายหนุ่มชะงักเมื่อเห็นว่าใครลงมาจากเรือ “คุณตรัย”
“ห๊ะ! นั่นลูกชายเถ้าแก่เหรอ? รวยเหี้ยๆ” นั่นชมใช่ไหม?
มิ่งขวัญยังไม่เคยเห็นลูกชายเถ้าแก่แบบใกล้ชิดมาก่อน ปกติจะเห็นจากที่ไกลๆ เท่านั้นเพราะอยู่แต่ในห้องเย็น ไม่ค่อยได้เข้าออฟฟิศเหมือนเพื่อนสนิท “สวัสดีครับ...นายหัว”
ตรัยรับไหว้หนุ่มใต้ทั้งสอง นึกเห็นใจรุ่งภพเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหงื่อไคลไหลพรากจนเปียกชุ่ม “ทำอะไรกันอยู่เหรอ”
“แพ็คปลาเก็บเข้าห้องเย็นครับ”
“เหนื่อยไหม”
ทั้งสองคนมองกันเลิ่กลั่ก ไม่คาดคิดกับคำถามคล้ายห่วงใย “มะ...ไม่ค่อยครับ”
“อืม...ปกติเลิกงานกี่โมง”
“ก็...จนกว่าจะเสร็จอ่ะครับ”
“ฉันอนุญาตให้เธอกลับไปพักก่อนได้ พรุ่งนี้ต้องไปสงขลาอีก จะได้ไม่ล้า”
รุ่งภพหันมองเพื่อนสนิท สีหน้าลำบากใจเพราะไม่อยากเอาเปรียบเพื่อน “ไม่เป็นไรครับ อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว”
“มึงไปเถอะ เดี๋ยวกูเรียกไอ้ปิ๊กมาช่วยก็ได้” มิ่งขวัญเอ่ยถึงเด็กเฝ้าห้องเย็น มันไม่ได้มีหน้าแพ็คปลาแต่มีหน้าที่ขนปลาเข้าไปเก็บในห้องที่มันเฝ้า
“ขอบใจเว้ย เดี๋ยวตอนเย็นกูเอาตังเกไปฝากนะ” มิ่งขวัญพยักหน้ารับ ไม่ได้คิดว่าเพื่อนเอาเปรียบแต่กำลังคิดถึงเมนูอาหารที่ต้องตุนเอาไว้ให้หมาตะกละของรุ่งภพต่างหาก
“ถ้าตกลงกันได้แล้วก็แยกย้ายไปพักผ่อน ไม่ใช่ไปหลับบนรถวันพรุ่งนี้นะ ฉันจะทุบให้” ตรัยตักเตือนด้วยน้ำเสียงกึ่งดุกึ่งหมันเขี้ยว
รุ่งภพยิ้มแห้งแก้อาการเก้อเขิน ไม่คิดว่าตรัยจะหยิบยกเรื่องนี้มาล้อกัน
“มิ่งขวัญ พรุ่งนี้ตอนเย็นไปรับคนของฉันที่สนามบินให้หน่อยสิ” ตรัยเอ่ยปากไหว้วาน เนื่องจากคนทางโน้นเลื่อนไฟลท์บินกะทันหัน ทำให้เขาเลื่อนนัดออกไปไม่ทัน
“ใครเหรอครับ”
“ผู้ช่วยของฉัน เดี๋ยวส่งรูปไปให้”
“เย็นนี่กี่โมงครับ”
“ฉันไม่แน่ใจว่าเขาจองตั๋วรอบไหน เอาเบอร์ไปแล้วกัน จะได้โทรถามกันได้”
พอสั่งงานเสร็จก็เข้าไปเคลียร์เอกสารต่อในออฟฟิศ รุ่งภพมองตามแผ่นหลังของนายจ้างจนหายลับเข้าไปหลังบานประตู เขาถอดถุงมือออกแล้วนั่งพักเหนื่อยบนไม้พาเลท แก้ผ้าโพกหัวออกมาเช็ดเหงื่อจนหน้าแดงก่ำ
“ไปสงขลากันทำไมวะ?”
รุ่งภพไม่ได้ตอบเพื่อนในทันที ไม่ใช่ไม่ไว้ใจแต่ตรงนี้ไม่ได้มีแค่เราเพียงสองคน หากเรื่องรั่วไหลอาจจะสร้างความยุ่งยากให้กับตรัยในภายหลัง “เขาอยากเจอคุณอดุลย์น่ะ”
“อ่อ” มิ่งขวัญไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก ลูกชายเถ้าแก่อยากเจอคุณอดุลย์ก็ไม่แปลกเพราะเป็นคนรับซื้อปลารายใหญ่ประจำแพ “มึงไปวันเดียวก็กลับใช่มะ”
“ไม่รู้ว่ะ ไปกลับก็หลายชั่วโมงอยู่นะ อาจจะค้างคืน”
“แล้วผู้ช่วยอะไรนั่น รับมาแล้วจะทำยังไงต่ออ่ะ ให้ค้างไหน?”
“ไม่รู้ว่ะ มึงเข้าไปถามคุณตรัยดิ...หรือไม่ก็โทรไปถามผู้ช่วยเขา”
“พักไหนก็ช่างแม่ง อย่ามาเป็นภาระให้กูก็แล้วกัน”
วันเดินทางค่อนข้างอึมครึมเพราะฟ้าฝนไม่ค่อยจะเป็นใจเท่าไหร่นัก ตรัยต้องสลับให้รุ่งภพเป็นคนขับเพราะบางช่วงถนนลื่นและเขาเองก็ไม่ค่อยจะสันทัดเส้นทาง ถนนคดโค้งและค่อนข้างอับสายตา ประกอบกับฝนที่เทลงมาไม่หยุด แม้จะไม่หนักแต่ก็บดบังวิสัยทัศน์
“หาอะไรกินกันก่อนดีกว่า สายมากแล้ว” เจ้าของรถเอ่ยปากทักเมื่อขับเข้าเมืองตรังมาได้ระยะหนึ่ง
“ไปกินหมูย่างเมืองตรังกันไหมครับ ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว” สดชื่นขึ้นมาเชียว เรื่องกินนี่ไวนัก
“จะกินร้านไหนก็เลือกเอา เดี๋ยวเลี้ยง”
หมูย่างเป็นอาหารขึ้นชื่อของจังหวัดตรัง ตรัยยังไม่เคยลองชิมจึงไม่รู้ว่ารสเด็ดจริงไหม ตั้งแต่ขับรถเข้าเขตเทศบาลก็เจอแต่หมูย่างเต็มไปหมดจนเลือกไม่ถูก คนชำนาญพื้นที่ตรงดิ่งเข้าไปในตลาดสดอย่างตั้งใจ แถมยังลากเขาลงจากรถแล้วเดินเท้าเข้าไปด้านในด้วยความมุ่งมั่น สุดท้ายก็แห้วเพราะร้านปิดแล้วเนื่องจากสายเกิน
ชายหนุ่มทำหน้าม่อยก่อนจะให้ความหวังกับเขาอีกครั้งด้วยการพาเดินออกจากตลาดไปตามถนนห้วยยอด บรรยากาศเมืองตรังค่อนข้างคึกคักเลยทีเดียว อาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่เปิดเป็นร้านอาหารเรียงรายตลอดทั้งเส้นทาง เรามาถึงร้านหมูย่างอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นร้านชื่อดังเหมือนกัน เนื่องจากร้านค่อนข้างแคบและโต๊ะเต็มแล้ว เขาจึงให้รุ่งภพสั่งใส่กล่องกลับไปแทน
เราแวะร้านขนมเค้กกันตังก่อนกลับไปขึ้นรถ ตรัยไม่ได้อยากกินแต่คนที่มาด้วยกันร่ำร้องจะเข้าไปซื้อให้ได้ เลยต้องแวะอย่างจำใจ
“นั่งทานหมูย่างในร้านได้นะคะ ทางร้านมีเครื่องดื่มให้ด้วย ลูกค้าชอบสั่งมาทานคู่กับเค้กกันตังค่ะ”
เจ้าของร้านแนะนำเมนูขายดี เขาสั่งเค้กกันตังรสดั้งเดิมไปหนึ่งชิ้น ส่วนรุ่งภพสั่งเค้กส้มและกาแฟอีกสองแก้วให้กับเขาและตัวเอง ระหว่างรอขนมมาเสิร์ฟก็จัดการหมูย่างรสเด็ดที่ซื้อมากินเป็นมื้อเช้า มันอร่อยตรงหนังเพราะกรอบแล้วเคี้ยวมัน เนื้อนุ่มแต่แห้งไปนิด กินมากๆ แล้วฝืดคอ
“ถ้าเป็นร้านอาโกนะ หนังจะกรอบกว่านี้อีกครับ เนื้อหมูของเขาหวานติดลิ้นเลย หอมเครื่องเทศสุดๆ”
น้ำเสียงเจื้อยแจ้วเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนฟัง รุ่งภพเป็นคนกินเก่งมาก ตั้งแต่รู้จักกันมายังไม่เคยเห็นชายหนุ่มเลือกกินเลยสักครั้ง “แบ่งเค้กส้มมาทางนี้บ้างสิ”
ตรัยเลื่อนจานเค้กไข่ไปให้ชายหนุ่มชิมบ้างหลังจากตักชิมเค้กส้มจนแหว่งไปเกือบครึ่ง รสชาติหวานอมเปรี้ยวอร่อยถูกปากกว่าเค้กไข่กันตังมาก เขาตักชิมเพลินจนเกือบหมด โดนชายหนุ่มจ้องเขม็งจนต้องสั่งมาคืนแทนชิ้มเดิม
นั่งกินขนมกันเพลินจนลืมเวลา กว่าจะได้ออกเดินทางต่อก็เกือบเที่ยงแล้ว แม้ฝนจะหยุดตกไปแล้วแต่เขายังคงให้รุ่งภพเป็นคนขับต่อ เส้นทางต่อจากนี้ต้องตัดผ่านเขตภูเขา ถนนคัดเคี้ยวและโค้งเยอะมาก ถึงอย่างนั้นรุ่งภพก็ยังบังคับรถได้นุ่มนวล ไม่เร็วเกินไปแต่ก็ไม่ช้าจนเต่ากัดยาง
ทะเลสาบสงขลาปรากฎให้เห็นเมื่อรุ่งภพเลี้ยวรถเข้าไปจอดข้างอาคารหลังหนึ่งบริเวณท่าเทียบเรือใหม่ขององค์การสะพานปลา ท่าเทียบเรือแห่งนี้ใหญ่กว่าแพปลาของพ่อหลายเท่าตัว อีกทั้งยังมีสัตว์น้ำหลากหลายทั้งที่จับได้ตามธรรมชาติและเพาะเลี้ยงเอง เขาจับยึดไหล่ของรุ่งภพขณะก้าวเดินผ่านแอ่งน้ำที่ละลายมาจากน้ำแข็งป่น เราไม่ได้ใส่รองเท้าบูทเหมือนคนที่นี่เพราะไม่ได้มาติดต่องานกับองค์การโดยตรง
หนุ่มใต้พาเขาเดินออกจากอาคารมายังจุดนัดหมายตรงท่าเทียบเรือริมทะเลสาบ จุดจอดเรือค่อนข้างวุ่นวายเนื่องจากมีการขนส่งสินค้าลงเรือหลายลำ เอเย่นต์รับซื้อปลากางโต๊ะพับนั่งรออยู่ก่อนแล้ว แผ่นกระดาษถูกวางกองเอาไว้เกลื่อน หากไม่ทับเอาไว้ด้วยเครื่องคิดเลขคงปลิวหายลงไปในทะเลสาบแน่นอน
“สวัสดีครับ ผมคือคนที่โทรมานัดคุณเอาไว้” ตรัยแนะนำตัวทันทีที่มาถึง
“เห็นไอ้รุ่งก็รู้แล้วครับ” คนโดนทักยิ้มกว้าง ยกมือไหว้สวัสดี “ไงเรา ไม่เห็นหน้าเห็นตาเลยนะช่วงนี้”
“ปิดอ่าวสามเดือนไงครับคุณอดุลย์ อยู่ในช่วงเก็บเนื้อเก็บตัวก็เงี้ย”
หนุ่มวัยกลางคนหัวเราะเสียงแผ่ว นึกเอ็นดูรุ่งภพมาแต่ไหนแต่ไรแล้วเพราะคุยด้วยแล้วถูกคอ “ว่างก็มาช่วยทางนี้ได้นะ เดี๋ยวกันตำแหน่งต้นกลไว้ให้”
ตรัยขมวดคิ้ว พูดจาหยอกล้อกันแบบนี้เขาไม่ค่อยจะชอบใจเท่าไหร่นัก
“ไม่ไหวมั้งครับ ผมความรู้น้อย เดี๋ยวไปพังห้องเครื่องคุณเข้า ได้ลอยเท้งกันกลางทะเลแน่”
“งั้นเป็นสรั่ง ก็ได้เอ้า เราถนัดคุมคนไม่ใช่เหรอ”
ตรัยขยับขึ้นมาบังชายหนุ่ม คนของเขาก็คือคนของเขา เล่นดึงตัวไปดื้อๆ แบบนี้ ไม่ข้ามหน้าข้ามตาไปหน่อยเหรอ? “ขอโทษนะครับ เรามาเริ่มคุยธุระสำคัญกันดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา”
“โอเค” ชายวัยกลางคนรื้อแฟ้มเล่มบางออกมาจากกองกระดาษแล้วยื่นส่งให้กับคนขอ “ใบเสร็จกับใบแจ้งหนี้ที่คุณขอดู”
ตรัยรับแฟ้มมาเปิดแล้วไล่สายตามองหาตัวเลขรอบล่าสุด เขาจำได้ดีว่ามีจำนวนเท่าไหร่ ที่น่าโมโหคือมันตรงกับใบสรุปยอดขายที่เสมียนบัญชีให้มา
ฝ่ามือหนาสอดเอกสารเข้าแฟ้มด้วยความหงุดหงิด ปลาเป็นตันจะหายไปได้ยังไง ถ้าไม่หายที่ต้นทางก็ต้องหายที่ปลายทางนี่แหละ ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนโดนปล้นกลางทางกันชัดๆ
กลางทาง?
“ใครเป็นคนเอาปลามาส่งรอบที่แล้ว”
“หือ? ถ้าเป็นรอบล่าสุด พี่ยะเอามาส่งครับ” รุ่งภพตอบด้วยเสียงงุนงง
“ยะ?”
“ช่างเครื่องเรือของเราไงครับ ตัวล่ำๆ แขนใหญ่ๆ” แสดงท่าทางประกอบด้วยการเบ่งกล้ามแขนทั้งสองข้าง มันก็น่าเอ็นดูอยู่หรอกแต่ไม่ใช่เวลาชม
“คุณได้ปลาลดลงตั้งแต่รอบไหน จำได้ไหมครับ”
“อ่า...ไม่แน่ใจนะ น่าจะสามรอบก่อนล่ะมั้ง คนส่งปลาคนใหม่บอกว่าจับได้น้อยเพราะช่วงนี้หยุดเรือบ่อย ตอนแรกว่าจะโทรไปถามเถ้าแก่แล้วล่ะ กลัวจะมีปัญหากับศูนย์ควบคุมประมง แต่ได้ยินว่าไม่ค่อยสบายเลยไม่อยากรบกวน ไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไรกัน”
“เขาคงฉวยโอกาสตอนพ่อไม่ค่อยสบายน่ะครับ หลังๆ มานี้ท่านไม่ค่อยได้ตรวจบัญชี ยิ่งทิ้งงานไปรักษาตัวด้วยแล้วยิ่งทางสะดวก” ตรัยขบกรามแน่นด้วยความโมโห พวกมันคงวางแผนตั้งแต่ออกเอกสารเท็จแล้ว คงไปถ่ายปลากันที่ไหนสักแห่งแล้วเหลือจำนวนให้เท่ากับตัวเลขที่เฟคไว้ “ผมขอยืมเอกสารไปทำสำเนาหน่อยได้ไหมครับ”
“ตามสบายเลยครับ ถ้าเป็นอย่างนี้ผมต้องออกเช็คตามจำนวนเงินในใบแจ้งหนี้นะครับ ปัญหาภายในพวกคุณต้องไปจัดการกันเอาเอง”
“แน่นอนครับ ผมไม่ปล่อยให้กระทบมาถึงคุณหรอก” เขายื่นเอกสารทั้งแฟ้มให้รุ่งภพเอาไปถ่าย ส่วนตัวเองนั่งกันท่าหนุ่มใหญ่อยู่กับโต๊ะ รอจนกระทั่งรุ่งภพถ่ายเอกสารเสร็จก็ขอตัวกลับ ร่ำลาพอเป็นมารยาท ไม่ยืดเยื้อเหมือนตอนมา
“เขาคงชอบเธอน่าดู ถึงขนาดออกปากชวนไปทำงานด้วย”
“เขาก็พูดไปงั้นแหละครับ คนแก่ขี้เหงาก็งี้แหละ ชวนคุยไปเรื่อย”
“เดี๋ยวก่อน อายุเขาไม่น่าจะถึงห้าสิบนะ เขาเรียกวัยกลางคนยังไม่แก่สักหน่อย”
“พอสี่สิบหัวก็เริ่มหงอกแล้วครับ เผลอแป๊บเดียวอายุก็ครึ่งร้อยเข้าไปแล้ว พอหกสิบก็ได้เบี้ยผู้สูงอายุพอดี แก่อย่างเป็นทางการ” เหมือนโดนเบรคอารมณ์จนหัวทิ่ม เริ่มไม่มั่นใจในตัวเองขึ้นมาทันที
ไอ้เด็กนี่ ไม่แก่บ้างก็ให้มันรู้ไป
“งั้นโชคดีไป ฉันเพิ่งจะสามสิบเอง อีกหลายสิบปีกว่าจะแก่อย่างเป็นทางการ”
รุ่งภพหัวเราะร่วนขณะปลดล็อคประตูรถ เราออกจากท่าเทียบเรือกันตอนย่ำค่ำ ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาขุ่น อีกไม่นานคงมืดสนิทไม่เหมาะกับการเดินทาง
“ค้างสักคืนก็แล้วกัน” เขาไม่อยากขับรถกลับในตอนกลางคืนเพราะเส้นทางอันตรายพอสมควร รุ่งภพจึงแนะนำให้ไปพักในหาดใหญ่เพราะสะดวกสบายกว่ามาก อาหารการกินก็เยอะแยะ คิดว่าเหตุผลอย่างหลังน่าจะเป็นจุดประสงค์หลักเสียมากกว่า
“โทรไปบอกพ่อแม่หรือยัง เขาจะได้ไม่ต้องห่วง” ตรัยยังไม่เคยเห็นพ่อแม่ของชายหนุ่ม ตอนไปบ้านรุ่งภพครั้งแรกก็ไม่เจอใครเลย คิดว่าออกไปทำงานกันหมดเลยไม่ได้ถาม
“ผมอยู่คนเดียวครับ” คนพูดเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แม้ไม่เห็นความรู้สึกโศกเศร้าในแววตาแต่ตรัยก็หลีกเลี่ยงที่จะถามถึง เปลี่ยนไปพูดเรื่องที่ชายหนุ่มสนใจแทน
“เย็นนี้กินอะไรดี”
รุ่งภพยิ้มเผล่หลังจากได้ยินคำถามใหม่ เรารีบเช็คอินแล้วขึ้นห้องเอากระเป๋าไปเก็บ เขาไม่ได้จองห้องแยกกับชายหนุ่มเพราะอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้หญิงจึงไม่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม
“กินอะไรดีอ่า...”
“แล้วอยากกินอะไรล่ะ” ตรัยถามซ้ำอีกครั้ง ตลาดกลางคืนในเมืองสงขลาคือแหล่งอาหารชั้นยอด ทั้งขนมและเครื่องดื่มละลานตาเต็มไปหมด ถนนตลอดทั้งเส้นล้วนคึกคักโดยเฉพาะบริเวณห้างสรรพสินค้าและตึกแถวพาณิชย์ที่เปิดขายของกันเกือบทุกห้อง
“กำลังคิดอยู่ครับ อืม...”
“อย่าลืมนึกถึงฉันด้วยล่ะ” ตรัยเปิดกล้องในโทรศัพท์มือถือเพื่อถ่ายโคมเต็งลั้งที่แขวนห้อยระย้าเต็มถนน “หลับหรือไงห๊ะ? ถ้ามันเลือกยากขนาดนั้นเดี๋ยวฉันเลือกให้”
“คุณอยากกินอะไรอ่ะครับ”
“ซาลาเปาทอดไหม? เพื่อนฉันเคยแท็กให้ดูในเฟส น่ากินอยู่นะ”
รุ่งภพเม้มริมฝีปาก บางทีก็ขบ บางทีก็ยู่ เห็นแล้วน่ามันเขี้ยวคันมืออยากจะบีบ “ไปกินซาลาเปาทอดก็ได้ครับ แล้วร้านมันอยู่ตรงไหนอ่า...”
เราตระเวนหาร้านเด็ดกันอีกครั้ง คงไม่ผิดหวังเหมือนตอนเช้าหรอกมั้ง
เดินงมทางกันอยู่นาน สุดท้ายก็ถึงร้านดังเมืองหาดใหญ่ ตรัยสั่งซาลาเปาทอดเป็นอย่างแรกตามด้วยหมั่นโถว ซาลาเปานึ่งและลูกชิ้นปิ้ง รุ่งภพไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าตัวเองอยากกินอะไร พออาหารมาเสิร์ฟก็นั่งแทะเล็มอย่างมีความสุข ทั้งหมั่นโถวกะเพราไก่ไข่ดาว ซาลาเปาไส้หมูหยอง ตอนแรกนึกว่าจะจบที่ซาลาเปาจักรพรรดิ์เพราะเครื่องแน่นมากทั้งหมูสับ ไข่ต้ม เห็ดหอมและกุนเชียง ขนาดเขาตัวใหญ่กว่ายังอิ่มจนจุกแต่ชายหนุ่มกลับยัดขนมจีบและลูกชิ้นปิ้งต่อได้เรื่อยๆ กินดุจนคนเลี้ยงหน้าซีดกันเลยทีเดียว
“อีโนไหม?”
“หือ? เอามาทำไมครับ”
“ไม่แน่นเหรอ”
ส่ายหัวลูบพุงปุๆ “สบ๊าย ยังต่อได้อีกนะครับ...ถ้าคุณเลี้ยงไหว”
“เธอมีแฟนหรือยัง”
“หา? ยังหรอกครับ ทำไมเหรอ”
“ฉันสงสารแฟนในอนาคตของเธอน่ะ จะเลี้ยงไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้?”
รุ่งภพยู่ปาก “ผมต้องเลี้ยงเขาสิครับ จะให้เขามาเลี้ยงผมได้ไง”
“เหรอ? อย่าไปแย่งเขากินก็แล้วกัน” ตรัยยังไม่เลิกแซว อันที่จริงความคิดของชายหนุ่มก็ดูจะพึ่งพาได้อยู่บ้าง แต่กินเก่งขนาดนี้คงต้องเลี้ยงตัวเองให้รอดก่อน “เอารังนกอีกสักถ้วยไหม”
ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีแฟน งั้นก็ให้เขาเลี้ยงไปก่อนแล้วกัน
“ไม่เอาอ่ะครับ” คราวนี้ส่ายหัว สร้างความแปลกใจให้กับคนเลี้ยงเป็นอย่างมาก
“ปฎิเสธเป็นด้วย?”
“คุณอ่ะ!”
น้ำเสียงเง้างอดเรียกเสียงหัวเราะจากตรัยได้อีกครั้ง เขาสั่งรังนกจากร้านรถเข็นข้างทางมากินถ้วยหนึ่ง รสชาติไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เป็นน้ำใสๆ และมีเส้นรังนกลอยอืดอยู่ในน้ำแข็งป่น
ถึงว่าทำไมไม่กิน
ไม่มีเตือนกันด้วยนะ แถมยังยิ้มขำอีกต่างหาก
“รังนกมันมีหลายเกรดครับ ถ้าตามรถเข็นน่าจะเป็นเกรดสาม ถ้าเกรดดีกว่านี้ราคาจะแพงมาก เฉพาะเกรดสามขีดนึงก็สองพันแล้ว”
ขีดนึงสองพัน ตกกิโลกรัมละสองหมื่นบาท
ตรัยไม่ได้ตื่นเต้นกับราคาพวกนี้ เขาไม่ชอบกินของพวกนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วเพราะไม่ใช่ทาสการตลาด แค่เห็นว่าแปลกดีเลยลองดู ปกติจะเห็นในรูปแบบบรรจุขวดเพียงเท่านั้น
“เมื่อย” ตรัยหลุดปากบ่นเมื่อกลับมาถึงห้องพัก
หนุ่มใต้นั่งลงบนขอบเตียง ไม่ปิดบังความเป็นห่วงในแววตา “ผมนวดให้เอาไหมครับ”
“นวดเป็นเหรอ เดี๋ยวอัมพาตถามหาล่ะยุ่งเลย”
“แค่นวดครับ ไม่ได้จับเส้น ขนาดเถ้าแก่ยังผ่านมือผมมาแล้วเลย นวดจนหลับคามือ” ทำมือขยุกขยุยเหมือนอยากขยำอะไรสักอย่าง
“ไหนลองนวดตรงน่องดูหน่อย” เอนหลังพิงหัวเตียงแล้วพาดขาเกยตักของชายหนุ่ม
“กล้ามเนื้อคุณแข็งมากเลยครับ”
“เดินทั้งวันไง”
“ไม่ๆ ผมหมายถึงกล้ามเนื้อคุณแน่นมาก ออกกำลังกายบ่อยเหรอครับ” คลึงกล้ามเนื้อต้นขาของตรัยเล่น เขาก็ทำงานทั้งวันแต่ไม่สามารถเพิ่มมวลกล้ามเนื้อให้กับตัวเองได้ กินเท่าไหร่ก็ถูกเผาผลาญออกไปจนหมดเพราะต้องขยับร่างกายตลอดเวลา
“ไม่บ่อยหรอก ถ้าว่างก็เล่นเวท วันไหนอากาศดีก็ออกไปวิ่งบ้าง”
“อ๋อ...” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะการพูดคุย ตรัยคว้าโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย ยังไม่ทันได้พูดทักทาย เสียงโวยวายก็ดังขึ้นแผดแก้วหู
(คุณตรัย กุญแจบ้านล่ะครับ ผมเข้าบ้านพ่อคุณไม่ได้)
“อ้าว ลืมไปเลย”
(ลืมได้ยังไงกันครับ แล้วผมจะไปนอนที่ไหนล่ะ)
“ไปนอนบ้านมิ่งขวัญก่อนได้ไหม เดี๋ยวกลับไปให้เบิกเงินชดเชย”
(คุยกับเขาเองแล้วกันครับ)
ดูเหมือนผู้ช่วยของเขาจะไม่มีทางเลือก ถึงได้ยอมง่ายๆ แต่โดยดี
(ครับนายหัว)
“ให้คนของฉันไปพักบ้านนายคืนนึงได้ไหม เขาไม่วุ่นวายหรอก...แค่เอาใจยากนิดนึง” เหมือนได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสาย เป็นนานกว่ามิ่งขวัญจะตอบรับกลับมาด้วยน้ำเสียงกล้ำกลืน
(บ้านผมไม่มีแอร์นะครับ ถ้าเขาทนร้อนได้ก็โอเค)
แรงนวดกลับมาสม่ำเสมออีกครั้งหลังจากตรัยคุยโทรศัพท์เสร็จ ช่วงท้ายๆ เขาเปิดสปีคเกอร์โฟนให้รุ่งภพได้ยินด้วย ชายหนุ่มยิ้มแห้งตอนได้ยินน้ำเสียงตึงๆ จากเพื่อนสนิท ไม่กล้าสอดปากออกความคิดเห็นใดๆ นอกจากก้มหน้าก้มตานวดให้เขาอย่างจริงจัง
ให้มันได้อย่างนี้สิ...
TBC
ลงตอนแบตใกล้หมด ลุ้นมากเพราะเมื่อคืนก็หมดเหมือนกัน เลยไม่ทันได้ลง 5555555