Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7  (อ่าน 40719 ครั้ง)

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*******************************************************

Hunter of the sea

พรานทะเล



ยามห่างไกลใจโหยหาย
..จำต้องฝากกายไว้ในเล..


สารบัญ


--------------------------------------------------------------------

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-12-2019 20:51:18 โดย แสงเหนือ/Aurora »

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
Re: Hunter of the sea พรานทะเล บทนำ
«ตอบ #1 เมื่อ27-08-2019 20:52:59 »

พรานทะเล

 

บทนำ





ยาเล เฮ่ ยาเล ยาเล เฮ่ ยาเล

ท่วงทำนองของคนหาปลาถูกขับขานเพื่อรวมพลังกายให้เป็นหนึ่งเดียวยามสาวอวนสีดำขึ้นมาจากท้องทะเลกว้าง แรงงานหลายชีวิตในเรือประมงลำใหญ่ยืนเรียงกันเป็นแถวบริเวณกราบเรือตั้งแต่หัวจรดท้าย หนุ่มวัยฉกรรจ์นับสิบคนภายใต้เสื้อสีน้ำเงินเข้มสกรีนตัวอักษร ‘โชคชัยนาวา’ กลางแผ่นหลังกำลังดึงตาข่ายผืนใหญ่ขึ้นมาด้วยเรี่ยวแรงจากสองมือ เสียงเป่านกหวีดให้จังหวะจากหัวหน้าคนงานดังขึ้นอยู่เป็นระยะ บทเพลงเนิบช้าเริ่มถี่กระชั้นเป็นจังหวะฮึกเหิม จากที่สาวอวนอยู่เนือยๆ ก็เร่งให้เร็วขึ้นไปตามจังหวะเพลง จวบจนวงอวนแคบลงจนเห็นปลาดิ้นกระโดดไปมาอยู่ในวงล้อม เสียงนกหวีดก็ดังขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณให้หยุดมือ

“เครนพร้อมแล้วชิ้ว[1]”

“ดึงสวิงลงไปช้อนเลย”

เสียงทุ้มแหบห้าวตะโกนบอกคนงานดังก้อง คนออกคำสั่งสาวเท้าเข้าไปยืนข้างกราบเรือ ชะโงกดูปลามากมายในอวนใหญ่ก่อนจะสั่งให้คนงานใช้สวิงอันใหญ่ยักษ์ช้อนปลาเหล่านั้นขึ้นมากองไว้บนเรือ

“ได้เยอะไหมวะไอ้รุ่ง”

“ไม่เท่าไหร่  คงโดนเรือปั่นไฟล่อไปทางโน้นหมดแล้ว” หนุ่มชื่อรุ่งพยักหน้าไปทางเรือประมงอีกลำที่เปิดไฟสว่างจ้าจนตาแทบบอด

“โทรไปแจ้งศูนย์บัญชาการฯ เลยดีมะ ทำแบบนี้มันผิดกฏนะเว้ย เขาห้ามแล้วยังดันทุรังอีก เมื่อไหร่จะปลดใบเหลืองจาก IUU[2] ได้สักทีวะ”

“เรือจากไหนก็ไม่รู้ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย”

“แล้วจะปล่อยไว้แบบนี้เหรอวะ ใช้ไฟล่อขนาดนี้พวกลูกปลาวัยอ่อนคงโดนช้อนขึ้นไปบาน เอาไปก็กินไม่ได้ ส่งเข้าโรงงานไปทำอาหารสัตว์หมด แม่งไม่เหลือไว้ให้พวกมันขยายพันธุ์ แล้วอย่างงี้พวกเราจะจับอะไรล่ะ ตัวเล็กก็จับไม่ได้ ตัวใหญ่ก็โตไม่ทัน”

“ไม่ใช่ว่ากูไม่สนใจนะเว้ย..แต่มึงต้องคิดให้รอบคอบ เกิดเป็นเรือของพวกนายทุนเถื่อนขึ้นมาคนแจ้งจะโดนเล่นงานเอานะเว้ย อันตรายจะตายห่า”

มิ่งขวัญระบายลมหายใจฟึดฟัด ยกมือเท้าสะเอวแล้วเหล่มองเพื่อนที่เดินสั่งงานเหมือนคนไร้วิญญาณ “เหนื่อยเหรอวะ ทำไมมึงดูห่อเหี่ยวแท้”

“เหนื่อยดิ..เมื่อก่อนลงอวนแค่สองรอบก็วิ่งเรือเข้าฝั่งได้แล้ว เดี๋ยวนี้ต้องลงแทบทุกวัน ได้มาทีละนิดทีละหน่อยอีกต่างหากกว่าจะคุ้มต้นทุน เหนื่อยเยอะขึ้นแต่เปอร์เซ็นต์ได้เท่าเดิม พวกคนงานเริ่มบ่นกันแล้วด้วย กลับไปคราวนี้คงได้ประกาศหาคนงานใหม่กันอีกรอบแน่ๆ เงินดีแต่งานหนัก จะทนได้สักกี่คนกัน” รุ่งภพบ่นด้วยความหงุดหงิด การออกเรือแต่ละรอบจะใช้เวลา 3-5 วัน แต่ระยะหลังเริ่มนานขึ้นเพราะหาปลาได้ยากกว่าแต่ก่อน “ไต๋จะให้ลงอวนรอบสุดท้ายหรือยังวะ”

“รอบสุดท้ายแล้วมั้ง ส่งท้ายก่อนปิดอ่าวไง”

“ส่งท้ายหรือปลาไม่ได้ตามเป้า” ออกเรือแต่ละครั้งค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่าแสน ใครเล่าจะอยากกลับไปมือเปล่า หากน้ำมันยังไม่หมดก็ต้องแล่นหากันต่อไป ซึ่งระยะหลังมานี้พวกเราประสบกับปัญหา Over Fishing เรื้อรังมาหลายปีจากการทำประมงเกินขนาดและปัญหาเรือล้นทะเลไทย ทำให้หาปลาได้ยากขึ้นและเกิดการแย่งชิงทรัพยากรกันบ่อยครั้งโดยไม่เลือกวิธีการ

“ได้เยอะได้น้อยก็ช่างมันเถอะ อย่าให้เข้าเนื้อก็พอ กูอยากกลับบ้านใจจะขาดแล้วโว้ย” เสียงตะโกนจากหนุ่มตัวโตชื่อมิ่งขวัญดังลั่นไปถึงเก๋งเรือชั้นบนสุด ไต้ก๋งถึงกับชะโงกหน้าออกมาดูด้วยสงสัยว่าลูกชายเกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีก “ไม่มีอะไรพ่อ เรียกขวัญกำลังใจกันเฉยๆ” แก้ตัวเสร็จก็เหวี่ยงคราดโกยปลาดันลงไปเก็บใต้ท้องเรือ ผู้ช่วยมือหนึ่งสัญชาติเมียนมาร์แต่พูดไทยได้อ้อแอ้รีบคัดแยกปลามีราคาออกจากกอง ลูกจ้างรายนี้อายุน้อยกว่ารุ่งภพสามปีและตัวเล็กกว่ามาก เรียนรู้ภาษาไทยได้ไวและคล่องแคล่วรวดเร็ว แม้จะยังพูดไม่ชัดแต่ก็พอฟังออก สั่งงานรู้เรื่องโดยไม่ต้องใช้ล่ามหรือภาษามือให้วุ่นวาย

ชิ้วประจำเรือจับจ้องกองปลาตรงหน้าแล้วเร่งมือจดคัดแยกชนิดของปลาและสัตว์น้ำจำพวกหมึกที่ติดมากับอวนลงในสมุดล็อคบุ๊ค[3]เพื่อบันทึกการทำประมง หลังจากไล่สายตาตรวจหน้างานอีกครั้งอย่างถี่ถ้วนก็เหน็บสมุดบันทึกปกอ่อนเอาไว้ด้านหลังขอบกางเกง สาวเท้าเข้าไปช่วยคนงานแบกตะกร้าน้ำแข็งป่นมาเทราดบนกองปลาเพื่อน็อคให้มันคงความสดใหม่เอาไว้จนกว่าจะถึงปลายทาง

“ถ้าเจอหมึกหรือปลาชนิดอื่นที่ไม่ใช่ฝูงปลากะมงให้แยกออกมาจากกองก่อนนะ ใส่หลัวเอาไว้ต่างหาก เดี๋ยวแยกดองน้ำเกลือทีหลัง เข้าใจไหม” มิ่งขวัญตะโกนสั่งคนงานที่กำลังรุมล้อมอยู่ตรงกองปลาขนาดใหญ่ คนงานพวกนี้มักผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่เสมอ เก่าไปใหม่มา ไม่ค่อยมีใครทำงานบนเรือได้ทนนัก พวกเขาจึงต้องคอยตรวจตราและสั่งงานเกือบทุกครั้งที่ออกเรือ

ชิ้วเรือวัยยี่สิบห้ายกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อไคลบนใบหน้า แม้ลมทะเลจะพัดโกรกแต่คนใช้แรงงานอย่างเขากลับร้อนอบอ้าวจากหงาดเหงื่อแรงกาย กลิ่นคาวปลาโชยคลุ้งตลบอบอวนไปทั่วลำเรือ โดยเฉพาะกลิ่นเหมือนปลาเค็มตากแห้งซึ่งมีอานุภาพรุนแรงนัก การใช้ชีวิตบนเรือกับพวกผู้ชายจำนวนมากห่างไกลจากคำว่าสะอาดไปไกลโข หากไม่จำเป็นจะไม่มีการใช้น้ำจืดกันเด็ดขาด พวกเราจึงอาบน้ำแค่วันละครั้งเท่านั้น หากไม่เปื้อนก็จะไม่อาบกันเลย เรื่องกลิ่นไม่พึงประสงค์จึงเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นตัวหรือกลิ่นคาวปลา

[เก็บอวนได้ ทำความสะอาดอุปกรณ์กับพื้นเรือให้เรียบร้อย วันนี้เป็นรอบสุดท้ายแล้ว เราจะถอนสมอและกลับเข้าฝั่งในตอนสายของวันนี้ เคลียร์พื้นที่ให้เรียบร้อยแล้วพักผ่อนกันตามสบาย]

เสียงเฮดังสนั่นไปทั่วลำเรือเมื่อไต้ก๋งประกาศผ่านลำโพงให้เก็บอวน พวกคนงานมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นมาทันทีทันใด มีเรี่ยวมีแรงลำเลียงปลาลงไปเก็บไว้ในห้องเย็นกันอย่างขันแข็ง คงคิดถึงบ้าน คิดถึงลูกเมียกันเต็มทน

“เดี๋ยวกูลงไปสาวทุ่นเอง มึงขึ้นไปรออวนบนเสากระโดงไป” ชิ้วเรือบอกกับเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า หลังจากกู้อวนแล้วต้องนำอวนขึ้นไปพาดไว้บนคานเพื่อจัดเรียงให้คลายตัวและทำความสะอาดก่อนจะเก็บม้วนไว้ตรงหัวเรือ

เสียงกระโดดลงไปในน้ำดังตูมตามด้วยคนงานอีกจำนวนหนึ่ง หลังจากเร่งมือสาวทุ่นพยุงอวนขึ้นเรือจนหมดก็ถือโอกาสชำระคราบสกปรกและขัดถูเอาเมือกปลาออกจากลำตัวและใบหน้า ชิ้วหนุ่มโหนตัวขึ้นไปยืนบนกราบเรือเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจสุดท้าย เสื้อเปียกโชกถูกถอดออกมาบิดน้ำ เผยให้เห็นผิวสีแทนสม่ำเสมอเต็มไปด้วยหยดน้ำเกาะพราวตามลำตัว

เส้นผมเปียกลู่ถูกเสยขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าเรียวเล็กขัดกับริมฝีปากเอิบอิ่ม จมูกเป็นสันไม่โด่งมากนัก ค่อนข้างธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น ส่วนที่ดีที่สุดบนใบหน้าคงหนีไม่พ้นดวงตากลมโตรับกับคิ้วสวยได้รูป รวมไปถึงขนตางอนยาวซึ่งเปียกน้ำจนชุ่มในตอนนี้

ชายหนุ่มยกสายยางขึ้นราดหัวให้น้ำไหลไปตามลำตัวเพื่อชะล้างความเหนียวเหนอะหนะจากน้ำทะเล เขาอยู่คอยให้คนงานเก็บกวาดจนเรียบร้อยแล้วจึงเข้าไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าในเก๋งนอนชั้นสอง เสียงเงียบผิดปกติทำเอาชิ้วเรือหนุ่มถอนหายใจยาว เพ่งสายตาไปยังเชือกที่ถูกกัดด้วยความอิดหนาระอาใจ

เอาอีกแล้วไอ้ตัวยุ่ง

“อ้าว ไงไอ้รุ่ง” หนุ่มร่างบึ้กเช็ดมือกับผ้าขี้ริ้ว กลิ่นจาระบีโชยเข้าจมูกเจือกลิ่นน้ำมันเครื่องจางๆ “มาทำไรแถวห้องเครื่องวะ”

“มาตามหาไอ้ตังเกอ่ะ พี่เห็นมันบ้างป่ะ”

“เห็นนอนเฝ้าจุมโพ่[4]อยู่อ่ะ มึงเดินไปดูตรงท้ายเรือยัง”

คนตามหาอยากจะยิ้มและร้องไห้ในคราวเดียวกัน นี่หมากูตะกละจนถึงขนาดไปนอนเฝ้าคนครัวเลยเหรอวะ “งั้นเดี๋ยวฉันไปดูก่อนนะ กลัวมันกระโดดลงไปเล่นน้ำเหมือนคราวก่อนแล้วขึ้นมาไม่ได้อีก ซวยเลย”

“เดี๋ยวก่อนดิ” ท่อนแขนภายใต้เสื้อยืดคนงานสีเขียวเข้มถูกรั้งไว้ ชิ้วหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม แววตาตื่นเต้นของช่างเครื่องเรือดูประหลาดยิ่งนักในความรู้สึกของชายหนุ่ม ”รอบนี้ได้ปลาเยอะไหมวะ”

“พอได้พี่ ไม่น่าจะขาดทุน”

“อะไรวะ ลงอวนตั้งหลายรอบ จะขาดทุนได้ไง” ยังคงถามเรื่องปลาต่อ เขาไม่ได้ใส่ใจกับคำถามเท่าใดนักเมื่อเหลือบไปเห็นก้อนกลมๆ สีน้ำตาลอ่อนวิ่งดุ๊กดิ๊กคาบกระดูกก้อนโตไปทางหัวเรือ

เดี๋ยวนะ จุมโพ่แม่งซื้อกระดูกมาเลี้ยงหมาด้วยเหรอวะ จะเอาใจกันเกินไปแล้ว

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน หาได้เท่าเดิมแต่ทำไมส่วนแบ่งลดลงก็ไม่รู้ สงสัยปลาไม่ได้เกรดมั้งราคาเลยลดลง ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงจุดได้ไม่คุ้มเสีย เถ้าแก่คงได้หันไปเปิดกิจการอย่างอื่นแทนแน่ๆ”

ช่างเครื่องเรือหน้าเสียไปวูบหนึ่งก่อนจะรีบกลบเกลื่อนด้วยการถามย้ำ “แล้ว... รอบนี้ได้ปลาอะไรมาบ้างล่ะ”

“ได้ปลามงอ่ะ ถ้ารวมกับรอบก่อนๆ ก็ได้หลายชนิดอยู่” สีหน้าของช่างเครื่องแช่มชื่นขึ้นมาทันใด ปลากะมงที่เขาพูดถึงสามารถส่งออกไปขายมาเลย์ได้ ส่วนปลารอบก่อนๆ จะเป็นปลาหลังเขียวและมีปลาทูน่าปะปนอยู่บ้าง ปลาพวกนี้นายทุนส่วนใหญ่นิยมนำส่งโรงงานเพื่อเอาไปทำเป็นปลากระป๋อง หลังจากแปรรูปแล้วจะถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นปลาซาร์ดีนหรือปลาแมคเคอเรลเพื่อให้ดูไฮโซ

“เถ้าแก่ยังหาคนขับรถส่งปลาไม่ได้ใช่ไหมวะ กูจะได้อาสาไปส่งให้” เถ้าแก่ที่ว่าเป็นเจ้าของเรือประมงและแพปลาที่พวกเราทำงานอยู่ ตอนนี้ตำแหน่งคนขับรถส่งปลายังว่าง เนื่องจากคนเก่าลาออกไปขับสองแถวซึ่งเงินดีกว่า

“พี่ร้อนเงินป่ะเนี่ย เห็นช่วยขับมาเป็นเดือนละนะ จะเก็บเงินแต่งเมียเหรอพี่?”

“เออน่า ไม่ดีหรือไง? มึงจะได้ไม่ต้องวิ่งหัวหมุนเหมือนเดือนก่อนไง ส่งบิลเสร็จก็กลับไปพักเลย เดี๋ยวกูไปส่งปลาให้เอง”

ชิ้วเรือพยักหน้าเนือยๆ ผิดกับน้ำเสียงกระตือรือร้นของอีกฝ่าย ชายหนุ่มเอ่ยปากขอตัวแล้วเดินแยกไปทางหัวเรือ เจ้าก้อนขนสีน้ำตาลอ้วนไม่ชายตาแลเจ้าของมันเลยสักนิด เอาแต่แทะกระดูกก้อนโตอย่างเมามัน

ปกติหมามันต้องดีใจที่เห็นเจ้าของไม่ใช่เหรอวะ ทำไมเขาโดนเมินล่ะ?

ชายหนุ่มขยุ้มผิวเนื้อตรงหลังคอมันเล่นอย่างหมันเขี้ยว ไถลตัวนั่งพิงพุงของมันแล้วหยิบสมุดเล่มเดิมออกมากางเปิด ไล่ตรวจผลการจับสัตว์น้ำย้อนหลังด้วยความสงสัย

ทำไมรายได้สวนทางกับปริมาณวะ?

เสียงคลื่นลมดังแทรกเป็นระยะสลับกับเสียงนกร้อง ไฟตรงเครนดับลงเมื่อพระอาทิตย์ทอแสงขึ้นมาจากขอบฟ้าไกล ชายหนุ่มอ้าปากหาวหวอดดวงตาหรี่ปรือ ‘เรือประมงโชคชัยนาวา 2’ กำลังแล่นผ่านเกาะปอดะแล้วบ่ายหน้าเข้าหาชายฝั่งด้วยกำลังเร็วคงที่ พรายฟองคลื่นทิ้งตัวยาวรับกับแสงแดดอุ่น ชายหนุ่มบิดขี้เกียจแล้วยืนขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหวูดยาวๆ ให้สัญญาณ เขาเอนกายพิงกราบเรืออย่างเกียจคร้าน ทอดมองบ้านเรือนบริเวณปากอ่าวขยายใหญ่ขึ้นจนเต็มม่านตา

เสียงเห่าลิงโลดด้วยความดีใจเรียกเสียงหัวเราะจากลูกเรือในเก๋งได้เป็นอย่างดี มันกระดิกหางรัวแล้ววิ่งไปมารอบตัวเขาพร้อมกับคาบกระดูกเอาไว้ในปาก เจ้าของหมาเท้าสะเอวมองอย่างหมั่นไส้ จะดีใจหรือห่วงกินก็เลือกเอาสักอย่างเถอะพ่อคุณ

“กลับมาแล้วโว้ยยยยย”

ท่อนแขนหนาหนักพาดทับลงบนลำคอ มิ่งขวัญทอดสายตามองไปยังจุดเดียวกับเขา ความยินดีถาโถมเข้าใส่ภายในใจจนเต็มตื้น หลังจากไม่ได้เห็นชายฝั่งมานานถึงสิบวันเต็ม

ถึงสักที..แพโชคชัย


TBC


[1] ชิ้ว เป็นตำแหน่งหนึ่งในเรือ ทำหน้าที่คล้ายกับหัวหน้าคนงาน

[2] IUU ย่อมาจาก Illegal Unreported and Unregulated Fishing เกิดจากคณะกรรมาธิการประมงขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO ซึ่ง IUU Fishing หมายถึงการทำประมงที่ผิดกฏหมาย การประมงที่ขาดรายงาน และการประมงที่ขาดการควบคุม โดยสหภาพยุโรปได้ให้ใบเหลืองแก่ประเทศไทยเพื่อเป็นการเตือน เนื่องจากยังไม่มีมาตรการที่รัดกุมพอจะป้องกันและขจัดปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายได้ หากพ้นเวลาที่กำหนดไว้ สหภาพยุโรป หรือ EU อาจจะห้ามนำเข้าสินค้าประมงจากไทยทุกประเภท ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและการส่งออกเป็นอย่างมาก ทำให้รัฐสูญเสียตัวเลขกว่าแสนล้านบาท อีกทั้ง IUU ยังเกี่ยวข้องกับปัญหาการลักลอบค้ามนุษย์ การฟอกเงินและการใช้แรงงานบังคับอีกด้วย

[3] Log Book คือ สมุดบันทึกการทำประมงของเรือพาณิชย์ จัดทำขึ้นตามประกาศของกรมประมง กำหนดรูปแบบบันทึกตามชนิดของเครื่องมือ เพื่อรายงานการจับสัตว์น้ำ ไม่เกี่ยวพันกับการประมงที่ผิดกฎหมาย

[4] จุมโพ่ ตำแหน่งคนครัวประจำเรือ



TALK

สวัสดีค่ะ จำกันได้ไหมเอ่ย หลังจากไปทะเลาะตบตีกับนิยายตัวเองมานานก็ได้ฤกษ์ลงใหม่ซักที แสงเคยลงนิยายที่เล้ามาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ...น่าจะสักปีหรือสองปีก่อน ตอนนั้นแก้เยอะมากเลยตัดสินใจลบไป จนตอนนี้แต่งจบแล้วคงได้ลงให้อ่านกันยาวๆ หวังว่านักอ่านจะชอบนะคะ ติติงได้ค่ะแต่แสงรบกวนขอแบบสุภาพนะคะ จิตใจอ่อนแอ ฮ่ะๆๆๆ

สุดท้ายนี้ขอให้นักอ่านสนุกกับพรานทะเลของแสงนะคะ..ฝากตัวรอบที่สอง โค้งงงง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-08-2019 20:58:55 โดย แสงเหนือ/Aurora »

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 1
«ตอบ #2 เมื่อ27-08-2019 20:57:49 »

บทที่ 1

     

‘แพโชคชัย’ ในวันนี้ครึกครื้นกว่าทุกวันเนื่องด้วยเป็นสัปดาห์สุดท้ายของการออกเรือปกติแล้ว หลังจากนี้จะมีการปิดอ่าวสามเดือนเพื่อฟื้นฟูความเสื่อมโทรมของท้องทะเลและให้ปลาได้วางไข่ตามฤดูกาล ในช่วงนี้จะมีคำสั่งห้ามเรือทุกลำเข้าไปทำประมงในเขตปิด 4 จังหวัดฝั่งอันดามัน เรือพาณิชย์จะต้องออกไปหาปลาในเขตจังหวัดอื่นแทนชั่วคราวจนกว่าจะถึงฤดูกาลเปิดอ่าวอีกครั้งค่อยกลับมาทำประมงในเขตเดิม

ชิ้วประจำเรือโชคชัยนาวา 2 กระโดดลงจากเรือแล้วลากเชือกไปคล้องยังหัวเสา ชายหนุ่มหันไปโบกมือให้เพื่อนสนิทแล้วเดินแยกไปยังตราชั่ง รอชั่งน้ำหนักตะกร้าปลาที่มิ่งขวัญใช้สวิงตักขึ้นมาจากห้องเย็นใต้ท้องเรือ

“ไอ้รุ่ง ขึ้นปลาเสร็จแล้ว เอ็งเรียกรวมคนงานทีตะ เถ้าแก่ชัยมีเรื่องอิแจ้ง” ไต๋เมือง พ่อของมิ่งขวัญสะกิดแผ่นหลังของเพื่อนลูก ใบหน้าชุ่มเหงื่อเงยขึ้นจากการกรอกแบบฟอร์มทำใบสรุปยอดสินค้า ชายหนุ่มเหลือบมองตัวเลขดิจิตอลบนตาชั่งอีกครั้งก่อนจะถามย้อนคนเป็นไต๋เรือ

“ไซร้ไต๋หม้ายเรียกเองล่ะ”

“ลุงอิไปแจ้งเรือเข้าที่ศูนย์ปีโป้[1] เสร็จแล้วอิแขบหลบตะไอ้บ่าว” แกแบมือขอสมุดบันทึกจากเขา รุ่งภพหยิบให้เพราะต้องใช้กรอกข้อมูลลงบันทึกในรายงานขาเข้า ช่วงนี้ทางการกำลังเร่งควบคุมเรือประมงโดยใช้ระบบการแจ้งเข้า-แจ้งออกจากท่าเพื่อเป็นการตรวจสอบ เพื่อให้การทำประมงเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของ IUU ซึ่งเรือและเครื่องมือประมงจะต้องถูกตามกฎหมาย มีใบอนุญาตและมีการใช้แรงงานที่ถูกต้อง เพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ำและอาชีพประมงไทย

ชายหนุ่มเร่งมือจดตัวเลขบนตราชั่งจนเสร็จในช่วงบ่าย หลังจากส่งเอกสารให้กับเสมียนบัญชีในออฟฟิศแล้วก็ไปตรวจความเรียบร้อยของรถส่งปลาต่อ เกือบ 60% ของปลาที่จับได้จะถูกส่งไปขายต่อที่จังหวัดสงขลา พอไปถึงก็เห็นช่างเครื่องยืนแกร่วอยู่ก่อนแล้ว ถังบรรจุปลาถูกขนขึ้นรถจนเต็มคอกแต่ยังไปไหนไม่ได้เพราะต้องรอใบส่งสินค้าและใบแจ้งหนี้จากเสมียนบัญชี

“เอาใครติดรถไปด้วยล่ะพี่”

ช่างเครื่องส่ายหน้า “ไม่เอาไปหรอก เกะกะ”

“อ้าว แล้วใครจะช่วยยกของล่ะ”

“คนยกเยอะแยะ มึงไปทำงานของมึงเถอะ ไม่ต้องห่วงกูหรอก”

ช่างเครื่องตัดบทด้วยท่าทีรำคาญใจ คนโดนไล่ทางอ้อมถอนหายใจหนัก เดินไปหยิบโทรโข่งประกาศเรียกรวมคนงานตามคำสั่งของไต๋เรือ

“เถ้าแก่ครับ” ชายหนุ่มเคาะประตูห้องทำงานใหญ่ในออฟฟิศ เปิดเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงอนุญาต “เรียกรวมคนงานแล้วครับ”

เจ้าของแพปลาวัยเกษียณวางแฟ้มเอกสารลงแล้วถอดแว่นตาออก ชายสูงวัยลุกขึ้นจากเก้าอี้ ส่งมือให้ชายหนุ่มช่วยประคองยามก้าวเดิน

“เหมือนจะมาไม่ครบนะ” เปรยกับชายหนุ่มหลังกวาดตามองคนงานเบื้องหน้า

“ไต๋เมืองไปศูนย์ปีโป้ครับ พี่ยะไปส่งปลา”

“อืม..สวัสดีทุกๆ คน ต้องขอโทษด้วยนะที่เรียกรวมกะทันหันแบบนี้ ฉันมีเรื่องสำคัญจะประกาศอยู่สองเรื่อง ทุกคนคงจะทราบกันดีอยู่แล้วเรื่องปิดอ่าว ช่วงนี้งานในแพจะว่างหน่อย ยกเว้นคนประจำเรือที่ต้องออกทะเลนานขึ้น ฉันเองก็จะถือโอกาสนี้ไปผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเหมือนกัน ปวดมานานแล้วคงได้เวลารักษาเสียที ระหว่างนี้ฉันจะให้ลูกชายมาช่วยดูแลงานในแพแทนชั่วคราว รักษาการณ์แทนไปก่อน”

“ลูกบ่าว!!!” เสียงฮือฮาดังขึ้น น้อยคนนักจะรู้ว่าเถ้าแก่มีลูกชาย ส่วนใหญ่จะเป็นคนเก่าคนแก่เท่านั้น เนื่องจากเถ้าแก่ชัยแยกทางกับภรรยาก่อนจะย้ายมาลงหลักปักฐานที่กระบี่ ส่วนลูกชายก็ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพเป็นส่วนใหญ่ นานทีปีหนถึงจะลงมาหาสักครั้งหนึ่ง

“เรื่องที่สอง” เถ้าแก่ชัยเปล่งเสียงตะโกนเพื่อเรียกความสนใจของพวกคนงาน “ฉันขอไกด์อาสาสมัครหนึ่งคน ขับรถเป็น รู้เส้นทางและสถานที่ท่องเที่ยวในกระบี่เป็นอย่างดี มีค่าตอบแทนให้อย่างเหมาะสม มีใครจะอาสาไหม”

“จะให้ไปนำเที่ยวใครเหรอครับ” มิ่งขวัญแทรกตัวเข้าไปหาเพื่อน พาดแขนลงบนไหล่แล้วส่งถุงน้ำอัดลมให้ดูดคลายความร้อน

“ลูกชายฉันเอง”

ทุกคนเงียบกริบ ไม่มีใครอาสาแม้แต่คนเดียว เนื่องจากคนงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติ เกือบครึ่งแยกย้ายกันกลับไปทำงานต่อ ถ้าเอาคุณสมบัติขับรถเป็น รู้เส้นทางและแหล่งท่องเที่ยวดีก็เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น นอกจากเขาและเพื่อนตัวโตแล้วยังมีเสมียนออฟฟิศที่ยังยืนละล้าละลังรออยู่แต่ไม่กล้าเสนอตัว

“มึงไปดิไอ้รุ่ง สายแดกอย่างมึงน่าจะช่ำชอง”

“มึงก็พอกันแหละ ทำไมไม่ไปเองล่ะ” เขาแซะมิ่งขวัญกลับ ทุกซอกหลืบในกระบี่มันก็รู้จักดีไม่แพ้เขา

“สนใจไหมพวกเอ็ง”

“ไอ้รุ่งเลยครับเถ้าแก่ ขับรถได้ ขับเรือเป็น ใจเย็นแถมยังยิ้มเก่ง บริการทุกระดับประทับใจ” ชิ้วหนุ่มกรอกตามองเพื่อนสนิท อวยกันถึงขนาดนี้ กูต้องขอบใจไหม?

“รุ่งเป็นคนใจเย็น ลูกชายฉันน่าจะชอบ”

คนใจเย็นส่งยิ้มแปลกแปร่ง รู้สึกพิลึกกับคำพูดของเถ้าแก่ “แล้วเขาจะมาวันไหนเหรอครับ”

“เดือนหน้าล่ะมั้ง ต้องเคลียร์งานของเขาก่อน”

หลังจากนัดแนะวันเวลากับเถ้าแก่เรียบร้อยแล้วเขาก็ขอตัวไปทำงานต่อ พวกเสมียนในออฟฟิศยืนคอตกกันเป็นแถว พอได้ยินว่าลูกชายเถ้าแก่จะมาก็ตื่นเต้นกันยกใหญ่ ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเลยด้วยซ้ำ เขาอาจจะมีลูกมีเมียไปแล้วก็ได้ คงไม่ใช่หนุ่มในฝันเหมือนนิยายที่พวกเธอซื้อมาอ่านกันหรอก

“งี้มึงก็ไม่ต้องออกเรือกับพวกกูแล้วดิ”

“เปลี่ยนกันไหมล่ะ ให้มึงไปแทน”

“ไม่เอาอ่ะ ถ้าเป็นผู้หญิงก็ว่าไปอย่าง ผู้ชายด้วยกันกูหวาบ” ช่างกล้าพูด ไม่ได้ดูสารรูปตัวเองเลย เขาต่างหากล่ะที่ต้องกลัวมึง

ชายหนุ่มหยิกผิวเนื้อข้างเอวเพื่อนไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ มันแหกปากร้องโวยวายจนลั่นแพ โอเวอร์แอคติ้งซะไม่มี “ตังเก กลับบ้านเรากันดีกว่าลูก”

ตบมือเรียกความสนใจจากลูกนอกไส้ เจ้าก้อนขนกำลังนั่งน้ำลายหยดแหมะ จ้องเข่งปลาทูตาละห้อย

“มันเป็นปลาทูสด กินได้ที่ไหนล่ะ ลุกเร็ว! กลับไปกินข้าวที่บ้านโน่น”

นั่งปักหลักเฝ้าไม่มีกระดิก กลอกตาล่อกแล่กมองเจ้าของสลับกับเข่งปลาทูสด พอเขาไม่ให้ก็ฟาดตีนสะกิด..

เอาที่มึงสบายใจเลยตังเก



ผ่านมาสองอาทิตย์แล้วหลังจากทางการประกาศปิดอ่าวตามฤดูกาล เรายังไม่ได้นำเรือออกไปลงอวนที่ไหนเพราะต้องรอซ่อมบำรุงประจำปีก่อน ระหว่างนี้จึงต้องช่วยคนงานบนแพคัดปลาและขึ้นของจากเรือประมงลำอื่นไปก่อน กว่าจะได้ออกเรืออีกครั้งคงเป็นปลายเดือนหน้า

คลื่นสูงม้วนตัวซัดสาดเข้าสู่ท่าเทียบเรือของแพปลาจนเปียกโชก ชิ้วหนุ่มเช็ดคราบน้ำที่กระเซ็นมาโดนใบหน้าลวกๆ ก่อนจะลากถังใส่หมึกที่เรือลำอื่นเอามาลงไปเก็บไว้ที่ห้องเย็นด้านใน

ขณะช่วยคนงานจากเรือลำอื่นลำเลียงถังเข้าไปในห้องแช่ก็เหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากออฟฟิศพอดี ตอนแรกนึกว่าจะเดินผ่านเลยไปแต่ดันมายืนกอดอกอยู่ใกล้ๆ แถมยังจ้องมองมาด้วยสายตาใคร่รู้

มายืนจ้องแบบนี้ มันกดดันนะเฮ้ย

เขาเลิกสนใจเพราะคิดว่าเป็นลูกค้าที่มาเลือกซื้ออาหารทะเลสด ที่นี่ไม่มีอะไรให้ดูมากนัก เดี๋ยวเบื่อก็คงจะไปเอง..มั้ง?

“คุณตรัย” เจ้าของชื่อหมุนตัวไปตามเสียงเรียก ยกยิ้มบางเบาเมื่อเห็นไต้ก๋งเมือง “เดินดูทั่วหรือยังครับ อยากไปดูตรงไหนเป็นพิเศษไหม? เดี๋ยวผม..อ้าว เจอพอดีเลย ไอ้รุ่ง! เอ็งมานี่หน่อย”

คนโดนเรียกหันขวับแต่ยังไม่หยุดลากขอบถังเข้าไปในห้องเย็น

“ยังไม่มาอีก เร็วสิวะ” ไต๋เมืองกวักมือเรียกด้วยสีหน้าไม่ได้ดั่งใจ ชายหนุ่มขานรับแบบจำใจแล้วเหวี่ยงถังให้คนอื่นทำแทน “คนนี้ไงครับที่เถ้าแก่จัดไว้ให้” ไต๋เมืองพยักเพยิดไปยังชายหนุ่มที่กำลังเดินมา ทั้งตัวมีเพียงกางเกงเลสีน้ำเงินเข้มแนบลู่ติดกาย ส่วนท่อนบนเปลือยเปล่าชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่ออาบผิวสีแทน “สวัสดีลูกชายเถ้าแก่หรือยัง ไอ้รุ่ง”

ชายหนุ่มขมวดคิ้วพนมมืออย่างว่าง่าย..ไหนบอกจะมาเดือนหน้าไงวะ? นี่เพิ่งจะผ่านไปสิบวันเอง “สวัสดีครับ”

ลูกชายเถ้าแก่จริงเหรอ? คนกรุงเทพผิวพรรณสะอาดตาแบบนี้ทุกคนเลยไหม? พอมายืนใกล้ๆ กันแบบนี้แล้วอย่างกับผู้ดีในดงโจร

“ชื่อรุ่งเหรอ”

“รุ่งภพครับ” ชายหนุ่มแนะนำตัวขณะปาดหยดเหงื่อที่กำลังจะไหลเข้าตา

“คุณตรัยอยากให้มันพาไปไหน บอกมันไปได้เลยครับ ทุกซอกทุกมุมของกระบี่มันรู้หมดแหละ ไม่เสียชื่อเด็กกระบี่แน่นอน”

คุณตรัยงั้นเหรอ? จะเรียกยังไงดีล่ะทีนี้ เขาเป็นลูกชายเถ้าแก่ก็ถือว่าเป็นเจ้านายคนหนึ่งเหมือนกัน เรียกเถ้าแก่น้อยดีไหมนะ? ไม่เอาดีกว่า..เรียกแบบนี้แล้วนึกถึงยี่ห้อสาหร่ายทะเลขึ้นมาเลย

“เดี๋ยวผมคุยกับเขาเองก็ได้ครับ ไต๋ไปทำงานต่อเถอะ”

ไต๋เมืองยิ้มรับและตบบ่ารุ่งภพสองสามทีเป็นการฝากฝัง ชิ้วหนุ่มนึกเรียบเรียงคำพูดในหัวแล้วเอ่ยปากถามออกไปตรงๆ

“นายหัว..อยากให้ผมพาไปเที่ยวไหนบ้างเหรอครับ ผมจะได้กะเวลาแล้วก็เส้นทางถูก”

คิ้วเข้มขมวดยุ่งเมื่อได้ยินชายหนุ่มเรียกขานกันด้วยภาษาถิ่นใต้ “ไม่ได้จะไปเที่ยว ฉันแค่อยากไปสำรวจวิถีชีวิตแล้วก็วัฒนธรรมท้องถิ่นของคนที่นี่น่ะ จะเอาไปปรับใช้กับรีสอร์ทที่กำลังจะสร้าง” ตรัยบอกออกไปตามตรง จะได้ไม่ผิดจุดประสงค์ในการเดินทาง

“รีสอร์ท? จะสร้างแถวไหนเหรอครับ” ได้รับเพียงความเงียบตอบกลับมา ชายหนุ่มรู้ว่าคำถามของตัวเองออกจะเสียมารยาทไปสักหน่อย เขาไม่ได้อยากก้าวก่ายหรือสอดรู้สอดเห็นอะไรหรอก แต่กระบี่มีที่เที่ยวเป็นร้อย เขาแค่อยากได้ข้อมูลมาทำไกด์ไลน์เท่านั้นเอง

“ถ้านายหัวไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรครับ ผมแค่อยากรู้ทำเลนิดหน่อย จะได้เจาะลึกที่เที่ยวแถวนั้น” ชายหนุ่มยกยิ้มติดขัด มิตรภาพส่อแววล่มตั้งแต่วันแรกที่พบเจอ

“ฉันจะสร้างรีสอร์ทบนเกาะ”

“เกาะ!” ชายหนุ่มเบิกตาโต การสร้างรีสอร์ทบนเกาะนั้นยุ่งยากหลายเท่าตัว ไม่ว่าจะเป็นการถือครองหรือการจ่ายส่วนต่างอีกมากมายเพื่อดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ นอกจากความรวยแล้วต้องใช้อำนาจควบคู่ไปกับผลประโยชน์ด้วย ลูกชายของเถ้าแก่ไม่ธรรมดาซะแล้วสิ

“ใช่ ฉันมีเอกสารสิทธิ์ที่ดินบนเกาะแห่งหนึ่งในกระบี่..เป็นมรดกตกทอดน่ะ”

“ถ้านายหัวจะทำรีสอร์ทบนเกาะ แล้วจะให้ผมนำเที่ยวบนฝั่งทำไมล่ะครับ?”

“ฉันอยากตกแต่งรีสอร์ทด้วยวัฒนธรรมของชาวปักษ์ใต้น่ะ คงความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ ไม่ใช่มาทะเลแต่เหมือนยังอยู่กรุงเทพ แบบนั้นมันก็ไม่ใช่”

“อ๋อ..” รอยยิ้มจางปรากฎขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่ม รีสอร์ทส่วนใหญ่มักจะออกแบบมาให้ทันสมัยเพื่อรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวและอำนวยความสะดวกสบายให้ทุกสิ่งอย่าง กิจกรรมมากมายถูกคิดค้นเพื่อสนองความต้องการของผู้คนสมัยใหม่ น้อยนักที่จะมาดื่มด่ำกับธรรมชาติอย่างแท้จริง

“แล้วนายหัวจะไปที่ไหนบ้างล่ะครับ?”

“ไม่รู้..ถ้ารู้จะจ้างไกด์มาทำไม”

เออว่ะ..นั่นน่ะสิ “งั้นเดี๋ยวผมร่างโปรแกรมให้แล้วกันนะครับ จะไปวันพรุ่งนี้เลยไหม?”

“ยังก่อน ฉันต้องทำความเข้าใจกับระบบงานของที่นี่ก่อน..คงอีกสักระยะ”

“ครับ งั้น... ผมขอตัวไปทำงานต่อนะ”

ตรัยพยักหน้าให้ ค่อนข้างพอใจกับอุปนิสัยและความนึกคิดของชายหนุ่มพอควร เป็นคนนอบน้อมแต่ไม่ประจบประแจง น่าจะอยู่กับเขาได้

“เดี๋ยวก่อน”

“ครับ?”

"ขอเบอร์ติดต่อได้ไหม เผื่อไม่เจอตัวจะได้โทรตาม”




 TBC



  [1] ศูนย์ PIPO ย่อมาจาก Port in – port out : PIPO อ่านออกเสียงว่าไปโป้ แต่คนเรือจะออกเสียงเพี้ยนเป็นปีโป้ เป็นศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออกของเรือประมง เริ่มทดลองใช้ระบบนำร่องในปี พ.ศ.2558 เพื่อควบคุมการทำประมงผิดกฎหมาย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-08-2019 20:05:22 โดย แสงเหนือ/Aurora »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: Hunter of the sea พรานทะเล
«ตอบ #3 เมื่อ27-08-2019 22:23:35 »

 :katai2-1:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Hunter of the sea พรานทะเล
«ตอบ #4 เมื่อ27-08-2019 23:34:59 »

 o13
 :katai2-1:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Hunter of the sea พรานทะเล
«ตอบ #5 เมื่อ28-08-2019 15:23:07 »

 :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 2
«ตอบ #6 เมื่อ28-08-2019 20:03:01 »

  บทที่ 2



   เกลียวคลื่นม้วนตัวเข้าหาชายฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่าไม่เคยหยุดพัก แสงสีส้มแดงตรงเส้นขอบฟ้าบ่งบอกสัญญาณเริ่มต้นวันใหม่อีกครั้งแทนความดำมืด รุ่งภพนอนบิดขี้เกียจอยู่นานกว่าจะลุกขึ้นไปอาบน้ำเตรียมตัวออกไปใช้แรงงานเหมือนเคย ชายหนุ่มหาวหวอดหลับตาฟังทางมะพร้าวหลังบ้านเสียดสีกันดังซ่อกแซ่ก สายลมอุ่นพัดโชยมาคลอเคลียผิวกาย ไม่ได้ช่วยให้คลายร้อนเท่าไหร่นักอีกทั้งยังทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะและไม่สบายตัว

   เจ้าของบ้านริมทะเลกลืนแซนวิสชิ้นละห้าบาทลงคอขณะกดล็อคประตูบ้าน ชายหนุ่มมองเศษแฮมเท่าขี้เล็บด้วยความอนาถจิต เลือกกินแต่ชั้นในสุดก่อนจะยกส่วนที่เหลือให้กับจอมตะกละผู้เขมือบได้ทุกอย่างบนโลกใบนี้

   เขายิ้มเอ็นดูขณะยืนมองหมาอ้วนพุงพลุ้ยทิ้งตัวนอนแหมะกินแผ่นขนมปังสีขาวด้วยหน้าตามู่ทู่ ชายหนุ่มย่ำเท้าเดินออกจากบ้าน สูดอากาศสดชื่นเข้าปอดระหว่างทางเดินไปยังแพปลา

   นอกจากตังเกเขาก็ไม่เหลือใครอีก พ่อก็เสียไปหลายปีแล้วด้วยโรคมะเร็งกล่องเสียงเพราะสูบบุหรี่อย่างหนัก ส่วนแม่ก็แยกทางไปมีครอบครัวใหม่ ต่างคนต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง แม้จะเสียใจและโดดเดี่ยวในช่วงแรกๆ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ปรับตัวได้เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป

   ต่อให้เดินเอ้อระเหยลอยชายแค่ไหนก็ยังมาถึงแพปลาในตอนเช้าตรู่ ฟ้าสว่างมากแล้วไม่หลงเหลือความขมุกขมัวอีกต่อไป ชีวิตประจำวันของเขาเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง กลิ่นคาวปลาคุ้นจมูก ตามด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายและเสียงเครื่องบดน้ำแข็งดังประสานกันฟังแล้วโคตรหนวกหู ถึงอย่างนั้นพวกคนงานก็ยังอุตส่าห์ตะเบงเสียงคุยกันไม่มีย่อท้อ แม้จะต้องตะโกนจนคอแทบแตกก็ยอม

   ชายหนุ่มตบสะโพกตังเกเบาๆ ให้มันนั่งลงระหว่างรอเขาคลุกข้าวกับปลาทูให้มันกิน วันนี้รุ่งภพตั้งใจจะให้มันวิ่งเล่นอยู่ในแพปลา ไม่ได้อยากเอามันมาด้วยหรอกแต่จนใจจะไล่เพราะมันวิ่งตาม

   “รุ่ง” ไต๋เมืองนั่งยองข้างเขา ในมือถือบุหรี่ยี่ห้อตลาดควันกรุ่น แกเร่งสูบให้หมดมวนก่อนใครจะมาเห็น เพราะเถ้าแก่เคยออกกฎเอาไว้ว่าห้ามสูบบุหรี่ในเขตแพปลา “วันนี้เอ็งหม้ายต้องไปไหนตะ อยู่แพปลานี่ล่ะ”

   “อ้าว พรื้อล่ะ? ฉันต้องไปส่งปลาให้ร้านอาหารนะ”

   “เดี๋ยวห้ายไอ้มิ่งมันไปแทน เอ็งแลคุณตรัยอยู่นี่ละ เผื่อเติ้นอยากได้ไอ่ไหรอิได้เรียกหา”

   “ก็ได้” ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำไม่ได้คัดค้านอะไร อยู่ในแพปลาก็ดี จะได้เคลียร์สมุดบันทึกไปด้วยเลย ระยะหลังมานี้เขารู้สึกว่าส่วนแบ่งรายได้มันหดหายจนผิดสังเกต ปริมาณปลาเท่าเดิมแต่รายได้ลดลง คนงานเริ่มบ่นกันหนักขึ้นจนเขาเหนื่อยใจ คงต้องลองเทียบเกรดและน้ำหนักปลากับรอบก่อนๆ ดู หากจับได้ลดลงหรือเกรดต่ำจากเดิมจริง คงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากทำใจยอมรับมัน “เมื่อไหร่ลุงอิเลิกสูบยาสักทีล่ะ พ่อฉันก็ตายไปคนนึงแล้ว อยากอายุสั้นเหมือนพ่อฉันเหรอ?”

   “มันเลิกได้ง่ายๆ เท่ไหนเล่าเอ็งก็..ข้าก็พยายามโหย่ นี่ก็ลดลงมาเยอะแล้ว สูบแค่วันละมวนเอง”

   “ไม่ห่วงตัวเองก็ห่วงลูกห่วงเมียบ้างนะลุง ไม่สูบก็ตายได้..ตายเพราะควันของคนสูบนี่ล่ะ”

   “ฮื้อ ขี้บ่นแท้วะ ไปดีกว่า รำคาญเอ็ง” พูดจบก็เผ่นแหน่บ เถียงไม่ออกเพราะรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด

   รุ่งภพส่ายหน้า เลิกใส่ใจคนแก่หัวดื้อแล้วลากสายยางมาล้างเม็ดข้าวที่ติดอยู่เต็มมือ ล้างเสร็จก็นั่งเฝ้าหมากินข้าวพร้อมกับไล่เทียบตัวเลขในสมุดบันทึกย้อนหลัง

   เสียงเห่าอย่างเกียจคร้านดังขึ้นเหมือนไม่ค่อยเต็มใจนัก รุ่งภพเงยหน้าขึ้นมองเงาที่พาดทับลงมาบนตัวเขา ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วยกมือไหว้ ลูกชายเถ้าแก่มีสีหน้าอิดโรยเล็กน้อยแต่ขอบตาดำเป็นปื้นอย่างกับหมีแพนด้า ไม่หลับไม่นอนหรือยังไง?

   “สวัสดีครับนายหัว มาแต่เช้าเลย”

   “อย่าเรียกนายหัวได้ไหม นึกถึงจำเลยรักขึ้นมาเลย”

   รุ่งภพหลุดเสียงหัวเราะออกมาดังพรืด รู้สึกตลกเมื่อเห็นสีหน้าแปลกแปร่งของชายหนุ่ม “นายหัว เอ้ย คุณตรัยดูละครด้วยเหรอครับ”

   “นางเอกสวยก็เลยดู” พูดหยอกไปอย่างนั้น ความจริงแล้วแค่เดินผ่านทีวีตอนละครไตเติ้ลเท่านั้นเอง ตอนนั้นน้องสะใภ้เขาบ้าเห่อมาก เปิดดูจนเขาจำเพลงไตเติ้ลได้จนถึงทุกวันนี้

   เชิญคุณลงทัณฑ์บัญชา~

   “วันนี้ไม่ออกเรือเหรอ?”

   “ไม่ได้ออกมาหลายวันแล้วครับ ต้องรอให้เรือซ่อมบำรุงเสร็จก่อน..วันนี้คุณอยากไปไหนไหม ผมพาไปได้นะ”

   “ยังก่อน ฉันยังไม่รีบ”

   “โฮ่ง!!”

   ตรัยส่งมือให้หมาพุงพลุ้ยดมกลิ่น พอมันกิ   นข้าวในกะละมังหมดก็เริ่มหันเหความสนใจมายังเขา “กัดไหม”

   “ไม่กัดครับ หมาของผมใจดีและเป็นมิตรกับทุกคน” มันทำทีท่าเป็นมิตรด้วยการดมและซุกจมูกไปตามซอกนิ้วของตรัย สักพักก็ทำจมูกบานเพยิบก่อนจะส่งเสียงฟึดฟัดออกมาเหมือนฉุนอะไรสักอย่าง พอหมดความสนใจก็สะบัดตูดหนีไปนั่งเฝ้าสาวคัดปลาต่อ หวังจะได้ปลาทูอีกสักตัวมาเป็นของว่างหลังมื้อเช้า

   รุ่งภพยิ้มเจื่อน รู้สึกอับอายขายขี้หน้าเป็นอย่างมาก

   “เรือพวกนี้เป็นของเราหมดเลยเหรอ” คนถามพยักหน้าไปยังเรือหลายลำที่จอดเทียบท่าบริเวณสันเขื่อน สีสันละลานตาและชื่อเรือยาวเหยียดตามด้วยตัวเลขต่อท้าย

   “ไม่ใช่หรอกครับ มีเรือจากเจ้าอื่นมาขอเทียบท่าและขึ้นของด้วย ถ้าเป็นเรือของเถ้าแก่เองจะมีอยู่ห้าลำครับ เป็นเรือพาณิชย์ลำใหญ่สองลำ เรือประมงขนาดกลางสามลำ เวลาสังเกตเรือพาณิชย์ให้ดูตรงหัวเรือครับ จะมีอักษร ป. อยู่ตรงหัวเรือ ตรงขอบจะเป็นชื่อแล้วก็เลขทะเบียนเรือ ส่วนใหญ่เรือพาณิชย์ที่ออกจับปลาจะเป็นเรืออวนลาก อวนรุน อวนลอยแล้วก็อวนล้อม แล้วแต่นายทุนเขาจะเลือกลงทุนครับ”

   “แล้วของเราเป็นเรืออะไร”

   “ถ้าลำใหญ่เป็นเรืออวนลอยกับเรืออวนล้อมอย่างละลำครับ ตอนนี้เรืออวนลอยเก่ามากแล้วเราเลยใช้แต่เรืออวนล้อมอย่างเดียว ส่วนเรือขนาดกลางเป็นเรือไดหมึกหนึ่งลำ ดักกุ้งหนึ่งลำแล้วก็อวนปูอีกหนึ่งลำครับ”

   “ถูกกฎหมายใช่ไหม ช่วงนี้มีข่าวไม่ค่อยดีเลย”

   “คุณไม่ต้องกังวลหรอกครับ เถ้าแก่แกให้ความร่วมมือกับทางการเป็นอย่างดี จัดทำทะเบียน ขอใบอนุญาตถูกต้องทั้งคนทั้งเรือนั่นแหละครับ เรือที่มีปัญหาอยู่ตอนนี้จะเป็นเรือเถื่อนไม่ขึ้นทะเบียนกับกรมประมงครับ ส่วนใหญ่จะเป็นเรือที่จดทะเบียนไม่ตรงกับเครื่องมือ แล้วก็พวกอวนลาก อวนรุนที่ลักลอบจับปลาในเขตหวงห้ามครับ”

   ตรัยขมวดคิ้ว เขายังไม่คอยเข้าใจวิธีการทำประมงพวกนี้นัก “ทำไมมีหลายอวนจัง เรือพวกนี้ทำประมงไม่เหมือนกันเหรอ”

   “เราจะเรียกเรือตามลักษณะของอวนครับ อวนแต่ละประเภทจะมีวิธีการดักจับที่ไม่เหมือนกัน อย่างเรืออวนล้อมหรือที่เรียกกันว่าอวนดำจะล้อมจับบริเวณผิวน้ำถึงกลางน้ำ ถ้าเป็นอวนลากอวนรุน ก้นอวนจะยาวกวาดลากไปตามพื้นใต้ทะเล อวนแบบนี้ทำลายทรัพยากรใต้น้ำครับ จัดเป็นเครื่องมือทำลายล้างเพราะจับปลาที่ไม่ใช่เป้าหมาย ชาวประมงดั้งเดิมจับปลาเพื่อนำมาบริโภคแต่เรือพวกนี้จับปลาเล็กปลาน้อยเข้าโรงงานไปแปรรูปเป็นอาหารสัตว์กันหมด บางทีก็เอาไปทำปุ๋ย เรามีปัญหากับ EU เรื่องนี้แหละครับ หลายประเทศยกเลิกการใช้อวนลากอวนรุนกันไปหมดแล้ว บ้านเราถือว่าผ่อนผันให้เยอะมาก ยอมให้ขึ้นทะเบียนถูกกฎหมายตั้งหลายพันลำ”

   “ทำไมล่ะ? ยกเลิกไปเลยไม่ได้เหรอ”

   รุ่งภพยิ้มอ่อน ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก “คงต้องรอจนกว่าสัญญาอนุญาตจะหมดน่ะครับ ยกเลิกเลยไม่ได้หรอก กระทบกับธุรกิจหลายภาคส่วน ไหนจะโรงงานแปรรูป ไหนจะซัพพลาย ทำได้แค่ควบคุมตาอวนเท่านั้นแหละครับ ไม่ให้ถี่มากจนเกินไป เวลาจับพวกลูกปลาจะได้ว่ายออกได้”

   ตรัยพยักหน้าเข้าใจ ธุรกิจโรงแรมของครอบครัวเขาก็รับอาหารทะเลพวกนี้มาจากซับพลายอีกทอดหนึ่ง จะโทษคนทำประมงอย่างเดียวก็ไม่ได้ ในเมื่อผู้บริโภคยังต้องการ มันก็ต้องมีการแสวงหากันต่อไป

   ดวงตาคมทอดมองเรือหลากสีโต้คลื่นลอยโคลงไปมา เขาละสายตาออกห่าง เปลี่ยนความสนใจใคร่รู้ไปยังสมุดบันทึกในมือของรุ่งภพแทน

   “กำลังทำอะไรอยู่เหรอ?”

   “อ๋อ ผมกำลังไล่เทียบปริมาณปลาแต่ละรอบดูน่ะครับ จะดูว่าจับได้มากได้น้อยแค่ไหนบ้าง”

   “ของวันไหน? จดเอาไว้ทุกรอบเลยเหรอ”

   “ครับ ทุกครั้งที่มีการชั่งน้ำหนักปลา ผมจะจดเอาไว้ในสมุดตัวเองก่อนแล้วค่อยคัดลอกใส่แบบฟอร์ม” ลายมือเขาค่อนข้างชุ่ย ต้องตั้งใจเขียนถึงจะอ่านออก

   “ขอดูหน่อยสิ”

   ชายหนุ่มส่งสมุดบันทึกให้กับตรัยอย่างว่าง่าย สมุดปกอ่อนยับเยินและเป็นรอยด่างดวงจากคราบสกปรกไม่ต่างกับลายมืออ่านยากด้านใน แต่ละหน้าจะบันทึกวันเวลาเอาไว้อย่างละเอียด นอกจากน้ำหนักและชนิดของปลาแล้วยังมีพิกัดละติจูดและลองจิจูดอีกด้วย

   “เล่มนี้เป็นบันทึกขั้นต้นนะครับ จดแต่น้ำหนักและชนิดของปลา ถ้าคุณอยากรู้ราคาต่อกิโลกรัมต้องไปดูที่เสมียนบัญชีครับ”

   “เธอเป็นคนจดบันทึกรายละเอียดพวกนี้หมดเลยเหรอ”

   “ครับ ผมเป็นชิ้วประจำเรือ”

   “ชิ้ว?” ทวนคำเรียกของชายหนุ่มแต่ไม่ได้ถามต่อว่าหมายถึงอะไรเพราะกำลังยุ่งกับตัวเลขในกระดาษ..ทำไมตัวเลขในช่องรวมถึงไม่ตรงกับใบสรุปยอดขายที่เขาเรียกดูจากเสมียนบัญชี “เธอว่างหรือเปล่า เข้าไปช่วยฉันดูเอกสารในออฟฟิศหน่อยสิ”

   “หา?” ชายหนุ่มชี้นิ้วเข้าหาตัว ให้เขาไปเข้าช่วยงานในออฟฟิศเนี่ยนะ แล้วจะมีเสมียนไว้ทำไม?

   รุ่งภพเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจขณะเดินตามลูกชายเถ้าแก่เข้าไปในออฟฟิศขนาดกะทัดรัดของแพปลา ชายหนุ่มคุ้นเคยกับห้องแอร์เย็นฉ่ำนี้ดี เขาต้องเข้ามาส่งแบบฟอร์มชั่งน้ำหนักให้กับเสมียนบัญชีทุกครั้งหลังกลับเข้าฝั่ง พอเปิดประตูเข้ามาจะเจอกับโซฟารับแขกใหม่เอี่ยม ถัดไปเป็นโต๊ะทำงานโล่งๆ ไม่มีพาร์ทิชันกั้น ด้านซ้ายมือเป็นแคนทีนขนาดเล็กสำหรับชงเครื่องดื่มและชั้นเก็บขนม ส่วนด้านขวาเป็นห้องทำงานส่วนตัวของเถ้าแก่ชัย มีการก่อผนังเพิ่มเติมและใส่ประตูกระจกทึบแสงเข้าไปแทนที่เพื่อความเป็นส่วนตัวของนายจ้าง ชายหนุ่มยิ้มให้สาวบัญชีร่างผอมขณะเดินผ่าน เธอยิ้มตอบด้วยท่าทางเกร็งเครียด ไม่ค่อยสดใสเหมือนเพื่อนร่วมงานอีกสองคนที่ยิ้มทักทายเถ้าแก่น้อยด้วยความกะตือรือร้นจนเกินพอดี

   ห้องทำงานของเถ้าแก่เป็นระเบียบขึ้นจากเดิมเยอะมาก แม้จะมีเอกสารมากมายกองอยู่บนโต๊ะทำงานแต่ก็ถูกจัดวางอย่างเป็นสัดส่วน ไม่รกหรือเกะกะสายตาเหมือนเมื่อก่อน ตรัยเปิดสมุดบันทึกของชายหนุ่มดูอีกครั้งอย่างจริงจัง ไล่เทียบกับใบสรุปยอดขายและรายงานทางบัญชีที่เขาใช้อำนาจเรียกดู

   “นั่งก่อนสิ”

   คนสั่งไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองด้วยซ้ำเพราะกำลังยุ่งอยู่กับตัวเลขในสมุดบันทึก รุ่งภพนั่งลงเงียบๆ ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงใดออกไปรบกวน

   “ทำไมปริมาณปลาในบันทึกมีมากกว่าล่ะ” เสียงพึมพำบอกกับตัวเองระหว่างไล่ดูชนิดและจำนวนปลาในบันทึกของรุ่งภพ ชนิดตรงกันแต่จำนวนไม่เท่ากัน “ปลาที่จับได้ส่งออกหมดเลยเหรอ”

   “ห๊ะ...” ชายหนุ่มอุทานออกมาด้วยไม่ทันตั้งตัว เขากำลังมองรูปเด็กชายสองคนในกรอบไม้อย่างพิจารณาและคิดว่าคนไหนคือตรัยตอนเด็ก จึงไม่ทันได้ฟังคำถามเมื่อครู่นี้

   ตรัยถอนหายใจหนัก ทวนคำถามอีกครั้งอย่างใจเย็น “ฉันถามว่า ปลาที่จับได้ส่งออกหมดเลยเหรอ”

   “แล้วแต่ชนิดครับ มีส่งให้ซัพพลายแล้วก็ร้านอาหารในจังหวัดด้วย”

   “เราเอาไปส่งให้เขาหรือเขามาเอาเอง”

   “แล้วแต่ครับ ซัพพลายบางเจ้าก็มาเลือกเอง ส่วนพวกปลาเลยจะมีร้านอาหารสั่งจองเอาไว้ครับ ถ้าจับได้ต้องเอาไปส่งให้เขาทันที” นอกจากนี้แพโชคชัยยังรับหน้าที่เป็นคนกลางเปิดประมูลสัตว์น้ำให้กับเรือลำอื่นอีกด้วย อีกทั้งยังเปิดบริการตู้แช่ให้เช่าอีก รายรับหลายทางแต่คนละส่วนกับออกเรือเอง

   “ปลาเลยคืออะไร?”

   “ปลาเลยเป็นปลาเศรษฐกิจครับ พวกหมึก กุ้ง ปลากะพง ปลาทรายแดง ปลาจะละเม็ด ปลามีราคาน่ะครับ” ลูกชายเถ้าแก่ส่งเสียงอ่อในลำคอเป็นเชิงรับรู้ รุ่งภพขมวดคิ้ว ข้อมูลแค่นี้ถามเสมียนหน้าห้องเอาก็ได้ “ผมรู้แค่เรื่องทั่วไปนะครับ เฉพาะงานที่เป็นหน้าที่ของผม”

   “เรื่องทั่วไปนั่นแหละที่ฉันอยากรู้ ตัวเลขพวกนี้มันตกแต่งได้ ค่าใช้จ่ายเท่าเดิมแต่รายได้ลดลงจนฮวบฮาบ ไม่ผิดสังเกตไปหน่อยเหรอ?”

   “รายได้ลดลง จริงๆ เหรอครับ” จะตกงานไหมอ่ะ สำหรับรุ่งภพห่วงเรื่องนี้ยิ่งกว่าอะไร

   “ใช่..แต่ตัวเลขมันโดดเกินไป ฉันกำลังคิดว่ามีคนเล่นตุกติกในบัญชี” เขาพุ่งเป้าไปยังเสมียนบัญชีเป็นคนแรกเพราะน่าสงสัยสุด

   “เล่นตุกติกในบัญชี? หมายถึง... ลงบัญชีเท็จเหรอครับ” รุ่งภพเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดขัด ลูกชายเถ้าแก่ไม่ได้มีท่าทีเกรี้ยวกราดหรือหงุดหงิดอะไร ออกจะสงบนิ่งเกินไปด้วยซ้ำ

   “ประมาณนั้น ฉันพยายามตรวจใบเสร็จ ตรวจรายรับ ตรวจค่าใช้จ่ายแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติเลย นอกจากปลาที่ลดลง”

   “ลดลงเหรอ? เท่าที่ผมตรวจดูก็ไม่นะครับ!..พวกเราก็พยายามจับให้ได้เท่าเดิม”

   ตรัยยิ้มให้กับท่าทางตื่นตระหนกนั้น “ฉันเกือบจะถอดใจแล้ว..ถ้าไม่เห็นสมุดบันทึกของเธอก่อน” ชายหนุ่มเลื่อนสายตามองสมุดในมือเขา “ฉันอยากรู้ว่าสมุดเล่มนี้น่าเชื่อถือได้มากแค่ไหน”

   “เชื่อถือได้สิครับ หลังกลับเข้าฝั่งต้องใช้สมุดเล่มนี้ทำรายงานล็อกบุ๊คส่งศูนย์ปีโป้ด้วย ให้เขาลงบันทึกว่าเรือเข้าท่ากี่โมง จับได้สัตว์น้ำชนิดไหนบ้าง ปริมาณเท่าไหร่ กรมประมงเขาออกกฏควบคุมมาครับ”

   “ศูนย์ปีโป้คืออะไร?”

   “ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออกเรือประมงครับ จะออกไปจับปลาก็ต้องไปแจ้งก่อน พอกลับเข้าฝั่งแล้วก็ต้องไปแจ้งเหมือนกัน เขาจะดูใบอนุญาต ใบอาชญาบัตรเรือแล้วก็เอกสารของคนงานว่าถูกต้องครบถ้วนไหม”

   รุ่งภพน่าจะออกเสียงผิด มันน่าจะเรียกว่าศูนย์ไปโป้มากกว่า ไม่ใช่ปีโป้เยลลี่ขนมของเด็ก “มีศูนย์ควบคุมอีกทีนึงสินะ” ตรัยหมุนปากกาในมือเล่นขณะครุ่นคิด เขาอยากได้รายงานฉบับนั้นเพราะน่าเชื่อถือกว่า คงต้องแวะเข้าไปศูนย์ไปโป้ก่อนแล้วขอถ่ายเอกสารกลับมา

   “งั้นเดี๋ยวเราไปศูนย์ปีโป้กัน”

   “ไปทำไมครับ?”

   “ฉันอยากได้รายงานฉบับนั้น”

   “เรามีต้นฉบับครับ ศูนย์เขาเก็บแต่สำเนา”

   “อ้อ แล้วต้นฉบับมันอยู่ไหนล่ะ?”

   “เถ้าแก่เก็บไว้ในห้องนี้แหละครับ แต่ไม่รู้ว่าแฟ้มไหน”

   “งั้นเดี๋ยวค่อยหาก็ได้” ถ้ามันอยู่ในห้องพ่อก็คงไม่หายไปไหนหรอก “ฉันถามอะไรหน่อยสิ พวกเธอกำหนดราคาปลากันยังไงเหรอ ทำไมแต่ละรอบไม่เท่ากันเลย”

   “อิงจากราคากลางในแต่ละวันครับ ถ้าปลาไม่ได้ขาดตลาด ราคาจะใกล้เคียงกันครับ ไม่ห่างกันมาก”

   “งั้นเหรอ เดี๋ยวเธอช่วยเทียบจำนวนปลาในสมุดกับใบสรุปยอดขายให้ฉันทีสิ แยกออกมาแต่ละรอบว่าลดหรือเพิ่มเท่าไหร่ เดี๋ยวฉันจะลองตรวจค่าใช้จ่ายอื่นๆ ดูอีกรอบ”

   รุ่งภพเพ่งมองเอกสารมากมายบนโต๊ะสลับกับเงยหน้าขึ้นมองคนสั่ง เริ่มรู้สึกตาลายขึ้นมาดื้อๆ เมื่อนึกถึงตัวเลขมากมายในเอกสาร

   “คุณไว้ใจผมเหรอครับ”

   “แล้วไว้ใจได้ไหมล่ะ? ฉันอยากได้คนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานเอกสารพวกนี้ อีกอย่าง..เธอเป็นคนที่พ่อฉันเลือกให้มาดูแลฉัน คงไว้ใจได้ในระดับหนึ่ง..ใช่ไหม?”

   “แต่เรายังไม่รู้จักกันดีพอ”

   “เจอกันทุกวัน เดี๋ยวก็รู้จักกันดีเอง”

    “คุณน่าจะขอให้ไต๋ช่วย”

   “ขอแล้ว..แต่เขาโบ้ยให้เธอทำ

    รุ่งภพหน้าบูด กะแล้วเชียวทำไมหวยถึงมาออกที่เขาได้

   ไม่มีเสียงตอบรับนอกจากแววตาของคนครุ่นคิดหนัก ปัญหาแบบนี้คงไม่มีใครอยากยุ่งด้วยนัก ตรัยเองก็ไม่อยากบีบคั้นแต่จำเป็นต้องใช้คนนอกเข้ามาช่วยจริงๆ

   “ว่ายังไงล่ะ จะช่วยไหม?”

   “เอ่อ...”

   โครกกกกกกกกกกก

   รุ่งภพตัวแข็งทื่อกับเสียงประหลาดจากตัวเอง ได้แต่ยิ้มแห้งแล้วนั่งกุมท้อง หิวจนกระเพาะเต้นโครกคราก ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนอกจากแซนวิสห้าบาทที่กัดกินเพียงแต่ไส้

   “...”

   ตรัยนิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าจะได้รับการตอบกลับเช่นนี้ เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความขบขัน ความเคร่งเครียดจริงจังปลิวหาย เหลือเพียงบรรยากาศผ่อนคลายกับเรื่องน่าอายของชายหนุ่ม

   จะว่าไป..เด็กนี่ก็น่ารักดี 



TBC


ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 607
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 2 l 28/8/62
«ตอบ #7 เมื่อ29-08-2019 11:43:16 »

 :pig2: ก็ว่าคุ้นๆชื่อเรื่องอยู่ ติดตามค่าา

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 2 l 28/8/62
«ตอบ #8 เมื่อ29-08-2019 12:17:21 »

 :katai5: :katai5: น่ารักกกกก

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 2 l 28/8/62
«ตอบ #9 เมื่อ29-08-2019 19:09:42 »

 :pig4:
 :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 2 l 28/8/62
« ตอบ #9 เมื่อ: 29-08-2019 19:09:42 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 2 l 28/8/62
«ตอบ #10 เมื่อ29-08-2019 19:12:39 »

ตามติดค่ะ

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 3 l 29/8/62
«ตอบ #11 เมื่อ29-08-2019 19:55:35 »

บทที่ 3



   “ไม่ได้กินข้าวมาเหรอ?”

   “ยังครับ”

   “แล้วทำไมไม่กินล่ะ อาหารเช้าสำคัญมากนะรู้ไหม”

   “จริงๆ แล้ว...วันนี้ผมต้องเอาปลาไปส่งให้ร้านอาหารในเมืองก็เลยจะไปหาอะไรกินที่โน่น...แต่ไต๋ไม่ให้ผมไปเพราะกลัวคุณจะเรียกหาน่ะครับ”

   “อ้อ..เป็นเพราะฉันสินะ” ทำให้ชายหนุ่มอดข้าวแล้วยังจะใช้งานอีกต่างหาก “งั้นก็ไปกินข้าวกันก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมาคุยกันต่อ”

   ยังจะคุยอีกเหรอ? “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

   “จะไปไหน?”

   “ไปกินข้าวไงครับ”

   “ฉันหมายถึงไปกินด้วยกัน...ฉันก็ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเหมือนกัน” ตรัยลุกขึ้นแล้วเดินนำ เปิดประตูให้ชายหนุ่มออกไปก่อนแล้วปิดล็อกตามหลัง

   “แล้วมาบอกว่าอาหารเช้าสำคัญ ตัวเองก็ยังไม่ได้กินแท้ๆ”

   “บ่นอะไร ได้ยินนะ”

   สะดุ้งเฮือกแล้วหันมายิ้มเผล่ รีบยกมือไหว้เป็นเชิงขอโทษ “เดี๋ยวผมหาอะไรกินแถวนี้ก็ได้ครับ คุณ...เอ่อ ตามสบายเลย” ความหมายก็คือต่างคนต่างไปจะดีกว่า

   “ถ้าเธอไม่ไปด้วยแล้วฉันจะสบายได้ยังไง คนนำทางก็ไม่มี ร้านอาหารในจังหวัดนี้ก็ไม่รู้จัก เกิดหลงขึ้นมาจะทำยังไง...มันเสียเวลานะ”

   รุ่งภพแอบกลอกตา ในโลกนี้มี GPS นะรู้ยัง “โอเคครับ ผมพาไปก็ได้” ขี้คร้านจะเถียง อีกอย่าง GPS ก็ใช่ว่าจะแน่นอนเสมอไป หากหลงขึ้นมามันก็ทำให้เสียเวลาจริงๆ นั่นแหละ

   “ต้องว่านอนสอนง่ายแบบนี้สิ ถึงจะดี”

   คราวนี้ตรัยเป็นฝ่ายเดินนำไปยังลานจอดรถ ช่วงขาที่ยาวกว่าแทบจะทำให้รุ่งภพเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งแทน ชายหนุ่มเปิดประตูข้างคนขับอย่างระมัดระวังและปิดอย่างเบามือ รถเอสยูวีสีขาวใหม่เอี่ยมทำเอาเกร็งไปทั้งตัว ไม่กล้าแม้แต่จะทิ้งรอยนิ้วมือเอาไว้เลยด้วยซ้ำ

   “คาดเข็มขัดด้วย”

   ชายหนุ่มลากสายเข็มขัดนิรภัยเสียบเข้ากับตัวล็อคตามคำสั่ง ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความระมัดระวังจนน่าหงุดหงิดรำคาญใจ แค่คาดเข็มขัดก็เสียเวลาไปหลายนาทีแล้ว

   พอคาดเสร็จก็นั่งตัวแข็งจนเขาเกร็งตาม รถของตัวเองแท้ๆ ทำไมต้องบ้าจี้ตามเด็กนี่ด้วยก็ไม่รู้

   ประสาทชะมัด




   ร้านอาหารที่หนุ่มใต้พามาเป็นร้านขนมจีนเก่าแก่ บรรยากาศของร้านค่อนข้างคึกคักมีลูกค้าแออัดอยู่เกือบทุกโต๊ะ ตรัยเหลือบมองฝ้าทีบาร์เก่าเหลืองบนเพดานและเสาไม้เก่าซีด คงเปิดมาหลายปีแล้วและน่าจะมีชื่อเสียงพอสมควร

   “พาเข้าร้านขนมจีนแต่เช้าเลย กินตอนท้องว่างเดี๋ยวก็ท้องเสียหรอก”

   “ร้านนี้ทำขนมจีนแป้งสดครับไม่ใช่แป้งหมัก เส้นนุ่มมาก น้ำยาเขาอร่อยมากเลยนะครับ ผมอยากให้คุณลองชิม... แต่ถ้าคุณไม่อยากกิน เปลี่ยนร้านก็ได้นะครับ”

   “เปลี่ยนตอนนี้คงไม่ทันแล้วล่ะ” เข้ามานั่งแล้วด้วย ถ้าเดินออกไปมันจะเสียมารยาท “เธอสั่งก็แล้วกัน ฉันสั่งไม่ถูกหรอก” ตรัยผลักเมนูอาหารไปให้ชายหนุ่ม ร้านนี้มีน้ำยาหลายอย่างแต่ไม่รู้อย่างไหนอร่อยบ้าง คงต้องให้คนในพื้นที่เป็นคนจัดการ “นี่ผักอะไร”

   ผักที่เป็นเครื่องเคียงบนโต๊ะมีให้เลือกเป็นถาดใหญ่ เขารู้จักแค่เพียงถั่วงอก ถั่วฝักยาวและแตงกวาดองเท่านั้น ยกเว้นก็แต่ยอดสีเขียวอ่อน ใบมันลื่นที่เขาไม่รู้จักและไม่เคยเห็น

   “ใบมันปูครับ เป็นผักพื้นบ้านของเรา ประโยชน์เยอะนะครับ ช่วยชะลอแก่แล้วก็ต้านเซลล์มะเร็งด้วย”

   ตรัยเลิกคิ้วขึ้นจ้องมองยอดอ่อนคล้ายใบมะม่วงอย่างไม่เชื่อสายตา “จริงเหรอ ประโยชน์เยอะกว่าเบอร์รี่สกัดอีก”

   “จริงครับ ได้รับการวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลเลยนะ” ต้องทำหน้าจริงจังขนาดนั้นเชียว

   “เหรอ...แล้วกินยังไงล่ะ”

   “เอาเข้าปากแล้วก็เคี้ยวไงครับ”

   ตรัยรู้สึกได้ถึงหางคิ้วที่กำลังกระตุกถี่ เด็กนี่คงไม่ได้มีเจตนาจะกวนโมโหแต่อย่างใด...แต่บางทีก็ซื่อและทื่อเกินไปจนน่าโมโห

   “เอาเถอะ” เขาวางยอดมันปูคืนใส่ถาด ถึงมันจะมีประโยชน์มากแต่เขาจะไม่กินอะไรแปลกๆ เป็นอันขาด

   รอไม่นานชามกระเบื้องก็ถูกยกเข้ามาเสิร์ฟ ตรัยมองน้ำยาขนมจีนในชามอย่างสนใจ สีจัดจ้านน่าดูและเต็มไปด้วยผักนานาชนิด ทั้งมะละกอหั่นแว่น มันเทศแล้วก็มะเขือเปราะ พอก้มลงไปดมก็ได้กลิ่นเครื่องแกงหอมอ่อนๆ ไม่ฉุนนัก หน้าตาและกลิ่นผ่าน เหลือแต่รสชาติที่ยังไม่ได้ลอง

   “เธอสั่งน้ำยาอะไรให้ฉัน”

   “น้ำยาแกงไตปลาครับ คุณเคยกินไหม”

   “ไม่เคย มันเผ็ดไหม”

   “อืม..สำหรับผมไม่เผ็ดนะครับ” ลิ้นใครลิ้นมัน กินแทนกันไม่ได้ “คุณจะกินน้ำยากะทิของผมไหม? เขาโขลกปลาทะเลข้างเหลืองลงไปด้วยนะ เอาไหมครับ..เดี๋ยวผมตักให้”

   “เอานิดเดียวนะ ขอชิมก่อน” ตรัยพอจะรู้ฤทธิ์อาหารใต้อยู่บ้าง เขาเคยไปกินแถวรามคำแหงครั้งหนึ่ง คำเดียวรู้เรื่องเลย เผ็ดจนน้ำตาไหล

   “ผมราดลงบนขนมจีนเลยนะครับ” หนุ่มใต้ตักน้ำยากะทิราดลงไปแค่ช้อนเดียวเท่านั้นเมื่อตรัยพยักหน้าอนุญาต ทั้งคนกินและคนตักให้ลุ้นพอๆ กัน ถ้าไม่รอดคงต้องสั่งน้ำพริกหวานๆ มากินแทน “เป็นไงบ้างครับ เผ็ดไหม?”

   ตรัยส่ายหน้าแทนคำตอบ มันไม่เผ็ดอย่างที่คิดเอาไว้ แถมยังได้กลิ่นหอมของกระชายผสมกับกลิ่นขมิ้นนิดๆ เครื่องแกงแน่นแต่ไม่ฉุนจนเกินไป

   “เอาแกงไตปลาไหมครับ?”

   “เดี๋ยวตักเอง เธอกินไปเถอะ” แกงไตปลาก็อร่อยไม่แพ้กัน รสชาติออกเค็มนิดหน่อยและผักเยอะอย่างกับจับฉ่าย

   “เอาไก่ทอดไหมครับ เดี๋ยวผมไปตักมาให้”

   ตรัยพยักหน้ารับ มองตามชายหนุ่มไปยังหน้าร้าน เด็กคนนี้ใส่ใจคนรอบข้างและซื่อตรงต่อความรู้สึก คิดแบบไหนก็พูดออกมาแบบนั้น ไม่เสแสร้งเหมือนคนส่วนใหญ่ที่เขาเคยพบเจอ

   “ไก่ทอดปักษ์ใต้มาแล้วครับ”

   ไก่ทอดที่รุ่งภพเอามาเป็นปีกบนและน่องติดสะโพก หนังกรอบมากเหมือนเพิ่งเอาขึ้นมาจากกะทะใหม่ๆ เขาชิมเพียงหนังส่วนนอกของมันเท่านั้นเพราะไม่อยากมือเปื้อนเลยใช้ช้อนตัดเอา

    “คุณครับ...”

   “ว่า?” ตรัยเงยหน้าขึ้นมองคนเรียก คิ้วเข้มเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม หลุบตามองหนังไก่ทอดห่อใบมันปูในจานของตัวเอง “ให้ฉันเหรอ?”

   “ครับ...ตอนเด็กๆ ผมไม่ชอบกินผัก...แต่ถ้าทำแบบนี้จะกินง่ายขึ้น”

   “ฉันไม่ใช่เด็ก แล้วฉันบอกตอนไหนว่าไม่ชอบกินผัก?...แค่ไม่กินอะไรแปลกๆ เท่านั้นเอง”

   “อ่อ...เหรอครับ” รุ่งภพยิ้มเก้อ ใบหน้าจืดเจื่อนกับสถานการณ์ชวนอึดอัด “ผมจุ้นจ้านเอง ขอโทษนะครับ” เอื้อมมือไปเอากลับแต่ตรัยหยุดเอาไว้

   “ไหนๆ ก็ทำมาแล้ว ลองชิมสักหน่อยก็ได้”

   หนุ่มใต้ใจชื้นขึ้นเป็นกอง นั่งลุ้นพอๆ กับตอนชิมน้ำยาขนมจีน “เป็นไงครับ”

   “ก็ดี...ทำอีกสิ”

   พอโดนชมเข้าหน่อยก็ยิ้มดีใจเสียยกใหญ่ เป็นคนยิ้มเก่งอย่างที่พ่อเคยบอกเอาไว้จริงๆ ด้วย



   
   พวกเรากลับมาทำงานกันต่อหลังจากรุ่งภพหลุดปากตอบตกลงอย่างลืมตัว เด็กบ้านี่พออิ่มแล้วก็ง่วงนอน ส่งเสียงเออออใส่เขาเหมือนตัดความรำคาญ กว่าจะรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไปก็ปฏิเสธไม่ได้แล้ว

    เอกสารต้นฉบับของล็อคบุ๊คอยู่ในตู้ไม้สักสำหรับเก็บเอกสารสำคัญ มันมีเพียงแฟ้มเดียวเท่านั้นเพราะเริ่มจัดทำไปได้ไม่กี่เดือน รูปแบบของรายงานการทำประมงมีขนาดเท่ากับหน้ากระดาษ A4 แบ่งเป็นช่องตาราง ระบุตั้งแต่ชื่อเรือ ทะเบียนเรือ เครื่องมือการทำประง พื้นที่การจับไปจนถึงเส้นละติจูดลองจิจูด มีช่องระบุชื่อปลาแยกมาให้ต่างหากด้วย ทำให้ง่ายต่อการจดน้ำหนักลงไปในตารางโดยไม่ต้องระบุชนิดลงไปเอง

   “เดี๋ยวเธอตรวจเทียบน้ำหนักปลาในใบสรุปยอดขายกับล็อคบุ๊คให้ฉันที ถ้าตัวเลขไม่เท่ากันก็ใช้ดินสอวงเอาไว้ เดี๋ยวค่อยมาหาสาเหตุกันอีกที”

   รุ่งภพรับคำแล้วขนเอกสารจำเป็นไปนั่งทำบนพื้นพรมด้านล่าง แค่โต๊ะทำงานตัวเดียวคงไม่พอใช้ เจอเอกสารของตรัยเข้าไปก็แทบไม่เหลืออะไรให้วางแล้ว

   จากนั่งอยู่ดีๆ ก็เริ่มไหลและเลื้อยลงไปนอนกับพื้นไม่เกรงใจเจ้าของห้อง ตรัยส่ายหัวเล็กน้อยแต่ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ แค่ขอให้มาช่วยก็หน้าหดหน้าซีดเต็มทีแล้ว จะนั่งทำนอนทำก็ช่างเถอะ อย่าหลับเหมือนตอนอยู่บนรถก็เป็นพอ

   ชายหนุ่มนอนวงตัวเลขจนลืมเวลา เผลอแป๊บเดียวก็บ่ายแก่แล้ว เขาลุกขึ้นแล้วนำไปให้ตรัยดู ชายหนุ่มยังง่วนอยู่กับโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ เหมือนเขียนสูตรคำนวณอะไรสักอย่าง

   “เป็นไงบ้าง?”

   “น้ำหนักไม่เท่ากันครับ หายไปเป็นตันเลย”

   “ปลาพวกนี้เอาไปขายที่สงขลาที่เดียวใช่ไหม?”

   “ถ้ารอบไหนได้ปลาฝูงมาเยอะก็จะเอาไปขายที่องค์การสะพานปลาจังหวัดสงขลาครับ เขาจะออกใบรับรองสุขอนามัยกำกับมาให้ เราต้องแนบให้กับคนรับซื้อด้วยเพราะเขาต้องส่งปลาพวกนี้ไปขายต่อที่ต่างประเทศ

   “ฉันจะติดต่อกับคนรับซื้อปลาพวกนี้ได้ยังไง เธอมีเบอร์เขาไหม?”

   รุ่งภพส่ายหน้า “เถ้าแก่น่าจะมีเบอร์โทรอยู่ในสมุดนะครับ เขาชื่ออดุลย์”

   ตรัยรื้อค้นสมุดโทรศัพท์เล่มสีเขียวออกมาเปิดดู รายชื่อส่วนใหญ่เป็นตัวอักษรย่อ พ่อคงจดเอาไว้ลวกๆ ตามความเข้าใจของตัวเอง “ช่วยหาที”

   หนุ่มใต้ไล่ปลายนิ้วหารายชื่อ พอเจอก็ส่งให้ตรัยกดโทรหา รอสายไม่นานนักก็ได้ยินเสียงล้งเล้งดังลอดออกมาจากโทรศัพท์

   ตรัยใช้เวลาคุยกับปลายสายค่อนข้างนานจนคนรอหาวหวอดอีกครั้งด้วยความง่วง พอโดนดุด้วยสายตาก็ยืดตัวตรงขึ้นมาทีหนึ่ง สักพักก็ไหลไปกองกับพนักเก้าอี้ตามเดิม ดวงตาเริ่มหรี่ปรือเพราะสะสมความเหน็ดเหนื่อยเอาไว้หลายวัน

   “เดี๋ยวเราไปสงขลากัน” 

   “หา!” สะดุ้งตื่นจนเกือบจะพลัดตกจากเก้าอี้ “ไปทำไมครับ?”

   “ไปดูเอกสารที่เราให้เขาไป ฉันอยากเห็นตัวจริง”

   “ให้เขาถ่ายรูปแล้วส่งมาในไลน์สิครับ”

   “ฉันจะสำเนาเอกสารเอาไว้ด้วย ตอนแรกจะให้เขาแฟ็กซ์มาแต่เขาไม่สะดวก”

   “ผมต้องไปด้วยเหรอครับ?”

   “ใช่” เป็นคำสั่งและห้ามปฎิเสธ

   “แล้ว..คุณจะไปวันไหนอ่ะ”

   “ต้องรอฝ่ายโน้นโทรมานัดอีกที เตรียมตัวเอาไว้แล้วกัน เผื่อได้ค้างคืนเพราะต้องขับรถหลายชั่วโมง”

   หนุ่มใต้ถอนหายใจเซ็งกับวันเดินทางที่กำลังจะมาถึง อยากจะขอตัวกลับบ้านแต่ไม่กล้าเอ่ยปากเพราะตรัยยังยุ่งกับตัวเลขที่เขาวงเอาไว้

   เมื่อยจะตายอยู่แล้ว พวกเสมียนออฟฟิศนั่งอยู่ได้ยังไงนะตั้งเจ็ดแปดชั่วโมง เส้นไม่ยึดกันบ้างเหรอ?

   ก๊อก ก๊อก ก๊อก

   “เชิญ”

   ไต๋เมืองเปิดประตูเข้ามาหลังจากได้รับอนุญาต รุ่งภพดีดตัวลุกขึ้นให้พ่อของเพื่อนสนิทนั่งแทน ส่วนตัวเองถอยร่นไปนั่งตรงเก้าอี้ชุดมุมห้อง เผื่อคุยนานจะได้แอบงีบสักตื่นหนึ่งก็ยังดี

   “ไต๋มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

   “เดี๋ยวผมจะเอาเรือเข้าไปซ่อมบำรุงประจำปี คุณตรัยอยากไปดูคานเรือไหมครับ”

   “คานเรือ? อยู่แถวไหนเหรอครับ ถ้าไม่ไกลมากผมก็ว่าจะไปอยู่” ตรัยถามด้วยความสนใจ อยากรู้เหมือนกันว่าซ่อมบำรุงกันยังไง ในเมื่อเรือมีขนาดใหญ่ออกปานนั้น

   “ปากแม่น้ำนี่เองครับ ให้ไอ้รุ่งพาไปก็ได้”

   “เอ้า ไซร้ลุงหม้ายพาไปเองล่ะ” ตรัยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เพิ่งได้ยินชายหนุ่มพูดสำเนียงใต้ก็วันนี้

   “เอ็งว่างก็พาเติ้นไปกันถิ ลุงอิไปกับเรือ ไปด้วยกันอิหลบพันพรือหล่าว รถก็หม้ายได้เอาไป โว๊ะ”

   ตรัยมองคนทั้งสองเถียงกันสลับไปมา ปกติเขาจะชินกับสำเนียงเนิบนาบของคนเหนือมากกว่าเพราะออกตรวจโรงแรมแถบนั้นบ่อย พอมาฟังคนใต้คุยกันก็ให้ความรู้สึกแปลกไปอีกแบบ เหมือนฟังคนทะเลาะกันเลย ทั้งรัวเร็วและเสียงดัง

   “อ้าว แล้วลุงอิหลบพันพรือ”

   “ห้ายไอ้มิ่งเอารถเครื่องไปรับ”

   “เอ๊าะเหรอ” เด็กหนุ่มจบการคุยดื้อๆ เพราะรู้สึกอยากหาวจนกลั้นไม่อยู่

   “เดี๋ยวคุณตรัยไปกับไอ้รุ่งมันนะครับ ผมจะไปพร้อมเรือ”

   “ครับ ไต๋ไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมตามไป”

   ตรัยปิดโปรแกรมเอ็กเซลล์ในคอมพิวเตอร์ คว้ากุญแจรถขึ้นมาถืออีกครั้งแล้วเอ่ยเรียกชายหนุ่มเสียงดุ

   “ลุกขึ้น เดี๋ยวค่อยไปนอนต่อบนรถ”

   ถ้าเป็นคนอื่นคงโดนเขาด่าเปิงไปแล้ว ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทำไมต้องใจอ่อนกับเด็กคนนี้อยู่เรื่อยเลย


TBC


        มีนักอ่านเก่าจำได้ด้วย ขอบคุณนะคะที่ยังไม่ลืมกันเพราะหายไปนานมาก แล้วก็ขอบคุณนักอ่านใหม่ที่หลงเข้ามาด้วยนะคะ หลงแล้วหลงเลยห้ามหาทางออก 5555

ฝากน้องรุ่งด้วยนะคะ น้องเป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซนค่ะ  :mew2:



ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 3 l 29/8/62
«ตอบ #12 เมื่อ30-08-2019 16:29:06 »

คนเขียนข้อมูลเรื่องประมงแน่นจัง ทำการบ้านมาดีนะคะ ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 4 l 30/8/62
«ตอบ #13 เมื่อ30-08-2019 21:55:38 »

บทที่ 4



   รุ่งภพฝากฝังตังเกเอาไว้กับเพื่อนสนิทก่อนจะขึ้นรถเอสยูวีคันเดิมเป็นรอบที่สองของวัน ชายหนุ่มบอกเส้นทางให้กับคนขับจนมาถึงคานเรือแห่งหนึ่งบริเวณปากแม่น้ำ ระหว่างทางเดินเข้าอู่ได้สวนทางกับช่างเครื่องเรือเข้าพอดีจึงหลุดปากทักทายตามความเคยชิน

   “อ้าว พี่ยะ มากับเขาด้วยเหรอ”

   “มาสิวะ กูเป็นช่างเครื่องนะเว้ย ไม่มาได้ไง”

   “แล้วจะไปไหนอ่ะ จะกลับแล้วเหรอ”

   “เออ ส่วนของเครื่องยนต์ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร นานตรงทำสีใหม่เท่านั้นแหละ กูก็เลยขอไต๋กลับก่อน” ช่างเครื่องหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจนักเพราะสนใจคนข้างหลังชิ้วเรือมากกว่า “นั่นใครวะ เพื่อนมึงเหรอ”

   รุ่งภพสะดุ้งโหยงเมื่อโดนหาเหาใส่หัว ชายหนุ่มหมุนตัวกลับไปมองใบหน้าเรียบเฉยของนายจ้าง แม้จะไม่แสดงอาการหงุดหงิดก็รับรู้ได้ว่าไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่นัก “ใช่ที่ไหนเล่า ลูกชายเถ้าแก่เว้ยพี่” ชายหนุ่มเขยิบตัวเข้าไปกระซิบกระซาบข้างหูของช่างเครื่องเรือ “ชื่อตรัย”

   “จริงดิ?”

   “อือ”

   ช่างเครื่องเรือเปลี่ยนสีหน้าโดยพลัน แววตาขี้เล่นเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันที “สวัสดีครับ ผมชื่อยติ เป็นช่างเครื่องเรือครับ” หนุ่มล่ำยกมือไหว้เหมือนไม่ค่อยเต็มใจนัก ด้วยอายุน่าจะไล่เลี่ยกันเพียงแต่ฐานะด้อยกว่าเท่านั้นเอง “นายหัวจะมาคุมแพปลาแทนเถ้าแก่เหรอครับ”

   “ไม่เชิง ถ้าชอบก็อาจจะสานต่อ...คงต้องดูกันอีกที” ตรัยพูดไปตามที่คิด เขากำลังจะวางมือจากธุรกิจของคุณยายให้น้องชายรับช่วงต่อ เพราะเห็นว่าพ่อมีอายุมากแล้วต้องมีคนคอยดูแล

   “เหรอครับ”

   ตอบเหมือนขอไปที ตรัยได้แต่มองอย่างสงสัยเมื่อช่างเครื่องหนุ่มรีบกล่าวลาเหมือนเร่งรีบ ไม่แม้แต่จะกล่าวลารุ่งภพเลยด้วยซ้ำ ปล่อยให้ยืนเหวออย่างงุนงงท่ามกลางเปลวแดดร้อนสามสิบเจ็ดองศาแบบ real feel

   “อ้าว นึกจะไปก็ไป...รีบไปไหนของเขานะ”

   “จะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานไหม ฉันจะได้เข้าไปคนเดียว”

   เสียงตึงตังด้านหลังบ่งบอกให้รู้ว่าชายหนุ่มวิ่งตามมาติดๆ ตรัยชะลอฝีเท้าขณะเดินผ่านแผงกั้นเข้าไปยังลานโล่งถมด้วยดินลูกรังสีน้ำตาลแดง พื้นดินอัดแน่นถูกตีทับด้วยเส้นเหล็กคล้ายกับรางรถไฟขนาดย่อม ตัวรางทอดยาวและแบ่งออกเป็นสี่แฉก บนรางมีเรือขึ้นคานอยู่ห้าลำ โครงสร้างสูงทะมึนผิดกับตอนอยู่ในน้ำลิบลับ ลำใหญ่สุดตรงหน้าเขาคงสูงไม่ต่ำกว่าห้าเมตร

   เขามองหาเรือของพ่อ มันยังจอดลอยนิ่งอยู่ริมตลิ่ง นอกจากรางที่ทอดยาวไปจนถึงตลิ่งแล้วก็ไม่เห็นเครนยกหรือตัวช่วยใดๆ เลย

   “แล้วเขาจะเอาเรือขึ้นมาได้ยังไง” เรือใหญ่ขนาดนี้ต้องมีน้ำหนักหลายตันแน่นอน

   “ต้องรอให้น้ำขึ้นก่อนครับ เขาจะเอาสาลี่ลงไปรับแล้วให้คนงานดำน้ำลงไปเอาลิ่มไม้รองใต้ท้องเรือกันเรือโคลงอีกที พอเรือนิ่งก็ใช้สลิงกว้านสาลี่เข้าราง คราวนี้ก็เลื่อนไปมาได้ง่ายแล้วครับ” ตรัยยังนึกภาพไม่ออกนัก แต่เขาไม่มีเวลาอยู่ดูถึงตอนน้ำขึ้นหรอก “เดินระวังพวกเศษไม้ด้วยนะครับ บางแผ่นมันมีตะปูคาอยู่”

   เศษไม้ชิ้นเล็กชิ้นน้อยถูกทิ้งเอาไว้รอบคานเรือ บางอันก็หักพังเป็นฟันฉลาม บางอันก็มีตะปูติดตรึงอยู่ ขณะเดินผ่านเรือลำหนึ่ง รุ่งภพก็ชี้เขาให้ดูลิ่มไม้ขนาดเท่าต้นขารองอยู่ใต้ท้องเรือทั้งซ้ายขวาประมาณหกถึงเจ็ดอัน สีของเรือลำนี้หลุดลอกจนเห็นเนื้อไม้เพราะผ่านการล่องน้ำมาเป็นเวลานาน เรือลำนี้มีขนาดพอๆ กับเรือโชคชัยนาวาของพ่อ ช่างต้องต่อนั่งร้านเป็นบันไดถึงสามชั้นกว่าจะปีนขึ้นไปถึงเก๋งเรือ

   “มาแหล้วเหรอครับ”

   ไต๋เมืองกล่าวทัก เป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาพร้อมกับชายผู้หนึ่ง อายุน่าจะไล่เลี่ยกับรุ่งภพเพราะใบหน้ายังดูอ่อนเยาว์ “สวัสดีครับ ผมชื่อณัฐครับ เป็นช่างต่อเรือของที่นี่”

   ช่างต่อเรือดูเหมือนจะรู้จักและคุ้นเคยกับคนงานของพ่อเขาเป็นอย่างดี พอเห็นรุ่งภพก็คว้าตัวเข้าไปกอดหมับ ทักทายกันอย่างสนิทสนม ตบหลังตบบ่าเหมือนรู้จักกันมานานปี

   ตรัยเสมองไปทางอื่นเมื่อถูกหลงลืมไปชั่วขณะ ปล่อยให้พวกเขาคุยกันแล้วเดินแยกมาดูเรือของพ่อตรงริมตลิ่ง แม่น้ำสายใหญ่ทอดยาวเข้ามาไม่ลึกนัก สามารถมองเห็นเวิ้งอ่าวได้จากสุดสายตา

   “เรือใหม่คงใช้เวลาซ่อมบำรุงไม่นานนัก เพิ่งจะต่อได้ 2-3 ปีเอง” ณัฐเดินเข้ามาสมทบ อธิบายให้ตรัยฟังคร่าวๆ เพราะหน้าที่ซ่อมบำรุงเรือลำนี้เป็นของเขาโดยตรง “เท่าที่สอบถามจากช่างเครื่องประจำเรือ เครื่องยนต์ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับเพราะเป็นเรือใหม่ แค่ขูดเพรียงออกนิดหน่อยกับตอกหมันอุดยาแนวก็เสร็จแล้วครับ แต่ต้องรอหลายวันหน่อยเพราะต้องทำสีใหม่ด้วย รอยน้ำมันกลบสีเก่าจนซีดไปหมดแล้ว

   “ปกติเรือแบบนี้ใช้เครื่องยนต์อะไรเหรอ”

   “เครื่องยนต์ดีเซลครับ มีหลายยี่ห้อแล้วก็หลายรุ่น ถ้ามีทุนเยอะหน่อยก็สั่งตรงจากนอกครับ ราคาสูงแต่ใช้ทน ถ้าทุนน้อยก็ใช้เครื่องยนต์รถบรรทุกมาดัดแปลงเอาเหมือนเรือลำแรกของเถ้าแก่ชัยครับ แต่มันมีข้อเสียคือเสื่อมสภาพเร็ว เถ้าแก่แกไม่ค่อยให้เอาออกทะเลแล้วเพราะเครื่องไม่ค่อยดี อีกสักปีสองปีก็น่าจะปลดระวางแล้วล่ะครับ”

   “ปลดระวาง? เราเปลี่ยนเครื่องยนต์แล้วเอากลับมาใช้ไม่ได้เหรอ”

   “ได้ครับ แต่เถ้าแก่แกอยากขายแล้วต่อลำใหม่แทน จะได้ขยับขยายแล้วติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ๆ เข้าไปด้วย ที่เพิ่มเข้ามาตอนนี้ก็มีระบบ VMS ครับ ต่อไปต้องโดนบังคับใช้แน่ๆ เพราะกรมประมงต้องใช้ตรวจสอบเรือ”

   “ระบบ VMS คืออะไร”

   “เป็นอุปกรณ์ติดตามเรือประมงครับ ตอนนี้ทางการกำลังแก้ไขเรือประมงเถื่อนอยู่ เลยขอความร่วมมือให้ติดตั้งเพื่อระบุตำแหน่งของเรือผ่านระบบดาวเทียม GPS มันจะส่งสัญญาณเข้าศูนย์วิทยุชายฝั่ง ระบุตำแหน่งของเรือและข้อมูลเรือไปยังศูนย์ปฎิบัติการกรมประมงอีกทีครับ”

   “สะดวกดีนะ เทคโนโลยีพวกนี้”

   “ตั้งแต่มีการนำระบบโซนาร์มาใช้ค้นหาฝูงปลา เถ้าแก่ก็สนใจเรื่องเทคโนโลยีมาตลอดครับ หลายปีมานี้ก็พยายามติดตั้งปรับเปลี่ยนหลายอย่าง แกเป็นคนแก่โลกกว้าง ไม่ยึดติดกับความคิดเดิมๆ”

   น้ำเสียงหยอกเย้าแต่ให้ความรู้สึกเทิดทูน ดูสนิทสนมเกินกว่านายช่างและลูกค้าประจำของอู่เรือ

   “คุณรู้จักเขาดีกว่าลูกอย่างผมอีก” ขนาดเขายังไม่รู้เลยว่าพ่อจะขายเรือ

   ณัฐยิ้ม เขากอดอกมองไปยังเรือโชคชัยนาวา 2 ด้วยสายตาภาคภูมิใจ “ผมได้โอกาสจากเถ้าแก่มาเยอะครับ แกไว้ใจให้ผมเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงต่อเรือโชคชัยนาวา 2 ขึ้นมาเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นผมกดดันมากนะเพราะยังมือใหม่อยู่ พอทำสำเร็จก็เหมือนพลิกชีวิตอ่ะครับ พอได้คุมงานใหญ่ขึ้นก็ได้เลื่อนตำแหน่ง จากเด็กทดลองงานกลายเป็นช่างเต็มตัว มันไม่ง่ายเลยถ้าไม่ได้รับโอกาสนั้น”

   “เหรอ...แล้วกับสองคนนั้นล่ะ” ตรัยพยักหน้าไปทางไต๋เมืองกับรุ่งภพ “สนิทกับพวกเขาเหมือนกันเหรอ”

   “ผมกับไอ้รุ่งเคยเรียนช่างด้วยกันครับ เป็นรุ่นพี่มันสองปี กับลูกชายไต๋ก็สนิทนะครับ สมัยนั้นผมชอบไปตั้งวงก๊งเหล้าบ้านไต๋บ่อยๆ รู้จักกันมาหลายปีแล้วครับ”

   ตรัยพยักหน้ารับ คุยกันไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งไต๋เมืองขอตัวกลับ จึงเหลือแค่รุ่งภพที่นั่งสัปหงกรอเขาด้วยความง่วงซึม
   ไปอดหลับอดนอนจากไหนมา เขาผลักหัวไหล่ชายหนุ่มเบาๆ จนอีกฝ่ายรู้สึกตัว

   “เสร็จแล้ว จะกลับไหมหรือจะนอนนี่?”

   ชายหนุ่มอ้าปากหาว เอี้ยวตัวบิดจนกระดูกลั่นกร๊อบ “โอย...ปวดชะมัด”

   “ร้องอย่างกับคนแก่”

   “ก็มันเมื่อยนี่ครับ นั่งทั้งวัน เส้นยึดไปทั้งตัวแล้ว”

   “ฉันหันไปทีไรก็เห็นเธอนอนอยู่ตลอด แทบจะหลับคาพื้นเลยด้วยซ้ำ”

   คนโดนย้อนทำหน้ามุ่ย ยกตัวขึ้นไปนั่งบนรถแล้วงับประตูเบาๆ “ก็มันไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายเลยนี่ครับ จะนั่งหรือนอนก็เมื่อยเหมือนกันนั่นแหละ”

   “ปิดประตูอีกรอบซิ..มันไม่สนิท” หันไปสั่งชายหนุ่ม ดูจากน้ำหนักมือที่ดึงเข้าหาตัวแล้วเขาคงต้องเอื้อมไปปิดเอง “พนักงานอาวุโสของฉันนั่งทำงานในออฟฟิศมาตั้ง 20 ปี ไม่เห็นเป็นอะไรเลย”

   “เหมือนกันที่ไหนล่ะครับ ผมทำงานหนักจนชินแล้ว นั่งทั้งวันไม่ได้หรอก ปวดหลัง”

   “ปวดหลัง? อายุเท่าไหร่กันห๊ะ 40 แล้วค่อยมาบ่น”

   “อ๋อ งั้นคุณก็บ่นได้แล้วสิครับ”

   “หน้าฉันแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ชายหนุ่มหัวเราะคิกคักพาให้เขายิ้มตาม ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ขณะรถติดอยู่ตรงแยกไฟแดง

   “ติดอะไรนะ? ไม่ขยับเลย”

   “วันนี้มีถนนคนเดินครับ รถเลยเยอะ”

   “ถนนคนเดินเหรอ? น่าเที่ยวไหม”

   “สำหรับผมน่าเที่ยวนะ มันเป็นสตรีทฟู้ดอ่ะครับ ขายพวกของกินกับงานฝีมือ คุณจะแวะลงไปดูไหมครับ ผมจะหาที่จอดรถให้”

   “เอาสิ จะได้หาอะไรกินด้วยเลย”

   หนุ่มใต้บอกพิกัดช่องจอดรถในซอยลัดแห่งหนึ่ง ถนนคนเดินสายนี้ไม่ได้ใหญ่จนเดินไม่ทั่วแต่มีร้านค้าละลานตาเต็มไปหมด เวลาเดินเที่ยวจึงต้องใช้เวลานาน

   เราเดินผ่านร้านกิ๊ฟช็อปขายของจุกจิกจำพวกต่างหูและยางมัดผมเป็นร้านแรก ถัดมาเป็นร้านรองเท้าสานและร้านเทียนหอมแกะสลักกลิ่นอโรมา เสียงจอแจของผู้คนดังกลบเสียงดนตรีจากเวทีกลาง ได้ยินเพียงเสียงกลองหนักๆ เท่านั้นเพราะบางร้านก็เอาเพลงมาเปิดเองเพื่อดึงดูดลูกค้าที่เดินผ่านไปมา

   “ฝีมือดี”

   หนุ่มใต้ชะโงกมองสิ่งที่ตรัยออกปากชม มันเป็นภาพศิลปะจากทิชชู่อาร์ต ไล่เฉดสีสวยงามจนเหมือนภาพวาด ราคาคงแรงน่าดูเพราะตั้งโชว์เอาไว้จนขอบกระดาษเก่าเหลือง

   “ภาพนี้เราคาเท่าไหร่เหรอครับ?” เจ้าของร้านบอกราคาที่ทำให้ขายไม่ออก ตรัยทำเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ ไม่ได้ถามรายละเอียดต่อเพราะรู้สึกไม่คุ้มถ้าต้องซื้อหลายๆ ภาพ

   “คุณอยากได้เหรอ? ผมทำให้ก็ได้นะ”

   “ทำเป็น?”

   “เดี๋ยวโชว์ฝีมือให้ดูเลย” ชายหนุ่มแบมือขอเงิน 20 บาทจากตรัยแล้วเลือกภาพการ์ตูนขนาด A4 ไปนั่งทำตรงหลังร้าน นอกจากภาพที่ตั้งโชว์เอาไว้เรียกแขกแล้ว เจ้าของร้านยังทำเป็นซุ้มศิลปะขนาดเล็กให้เด็กๆ มาฝึกฝีมือในราคาย่อมเยาว์กันอีกด้วย

   “มีแต่เด็กๆ”

   “อายเหรอครับ” ชายหนุ่มเอ่ยแซว เขายังพอกลมกลืนแต่ตรัยเหมือนผู้ปกครองที่มานั่งเฝ้าเด็กอีกทีหนึ่ง “ลองทำสักหน่อยไหม แค่จิ้มทิชชู่ลงบนกระดาษเอง”

   ภาพทิชชู่อาร์ตต้องอาศัยความอดทนในการจิ้มทิชชู่ให้ติดกันจนเป็นเนื้อเดียว ละเอียดมากละเอียดน้อยก็อยู่ที่ความพยายาม ภาพจะออกมาสวยได้ต้องขยันและใจเย็น หากเป็นรูปที่ยากกว่านี้อาจต้องใช้เวลากันเป็นเดือน

   “ไม้มันเล็ก ฉันไม่ถนัด”

   “มือคุณใหญ่นี่ครับ สงสัยต้องใช้ไม้เสียบลูกชิ้นแทน” ภาพการ์ตูนลายเส้นชัดขนาดนี้ยังทำให้เลอะออกมานอกขอบได้ โบว์คิตตี้เลยบิดเบี้ยวแถมยังทำสีเปรอะออกไปจนถึงขอบหู

   “เลิก! ไม่ทำแล้ว” โยนไม้ทิ้งอย่างจนใจ ให้รุ่งภพทำคนเดียวยังสวยกว่า “เธอผสมก้อนทิชชู่พวกนี้เป็นด้วยเหรอ”
   “เป็นสิครับ ไม่ยากหรอก แค่ผสมกาวกับสีเข้าไปก็ใช้ได้แล้ว”

   ตรัยยิ้มให้กับท่าทางอวดเบ่งนั้น “ฉันอยากได้รูปแบบหน้าร้านไปแต่งรีสอร์ท ถ้าเธอทำได้ฉันจะจ้าง” หนุ่มใต้ทำตาโต ชะเง้อมองรูปหน้าร้านสลับกับคนว่าจ้าง “ราคาตามความเหมาะสม”

   พอโดนดักคอก็ทำหน้าม่อย กะจะเอาไปตั้งตัวกันเลยทีเดียว “คุณชอบดอกลีลาวดีเหรอครับ?”

   “เปล่านี่”

   “อ้าว ก็คุณอยากได้ภาพนั้น”

   “ฉันไม่ได้อยากได้ภาพนั้น แต่อยากได้ภาพประมาณนั้น เธอจะทำภาพดอกไม้หรือภาพวิวทิวทัศน์อะไรมาก็ได้ เอาสักสิบรูปก็พอ”

   “สิบรูป! ภาพนึงก็ใช้เวลาเป็นเดือนแล้วครับ ปีนึงจะเสร็จหรือเปล่ายังไม่รู้เลย”

   “ค่อยๆ ทำไปสิ ฉันไม่รีบ...ไม่ได้จะสร้างรีสอร์ทวันนี้พรุ่งนี้สักหน่อย”

   “เอาจริงเหรอครับ” นึกว่าพูดเล่นซะอีก

   “จริง” ตรัยเช็ดมือกับชายเสื้อของเด็กหนุ่ม ทิ้งคราบสีจากก้อนทิชชู่เปียกเอาไว้คาตา “ทำไปก่อนนะ เดี๋ยวไปหาซื้ออะไรมาให้กิน”

   รุ่งภพอ้าปากค้าง มองตามแผ่นหลังสูงใหญ่ด้วยแววตาตกตะลึง

   เสื้อเขาไม่ใช่ผ้าขี้ริ้วนะ






   ตรัยกลับมาอีกครั้งพร้อมกับโรตีกรอบ ราดนมจนชุ่มแถมยังโรยหน้าด้วยโอวัลตินภูเขาไฟ รุ่งภพตาวาวเมื่อเห็นขนม โยนไม้จิ้มฟันทิ้งและร่ำร้องจะกินค็อกเทลกีวีในมือของเขาอย่างเหิมเกริม

   “อยากกินก็ไปซื้อมาใหม่”

   พอเขาออกปากเลี้ยงก็วิ่งจี๋ไปยังร้านขายค็อกเทลแทบจะทันที หน้าที่อพยพสิ่งของเลยตกเป็นของเขา ทั้งรูปภาพ ทั้งถาดใส่โรตีกรอบ ตกลงใครเป็นเจ้านายใครเป็นลูกน้องกันแน่นะ

   “พรุ่งนี้มาทำงานในแพหรือเปล่า?”

   “มาสิครับ เรือยังซ่อมอยู่ ผมจะไปไหนได้ล่ะ”

   ลมทะเลพัดเข้ามาปะทะขณะเดินทอดน่องอยู่ริมสันเขื่อน อากาศเย็นสบายไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนตอนกลางวัน ช่วงหัวค่ำแบบนี้มีคนมาออกกำลังกายกันเยอะมาก บริเวณนี้จึงคึกคักเป็นพิเศษ มีทั้งเครื่องเล่นออกกำลังกายและจุดชมวิวริมทะเล

   “แพเรามีเรือตั้ง 5 ลำไม่ใช่เหรอ? ฉันนึกว่าใครว่างก็ให้ไปทำลำอื่นก่อน”

   “ตอนนี้เราเหลือแต่เรือลำเล็กแล้วครับ ผมจะไปแทนได้ยังไง แค่ไต๋กับลูกเรืออีกสองคนก็ล้นแล้ว” เรือลำเล็กจะใช้คนงานเพียงเท่านี้ หากมากไปจะวุ่นวาย มือไม้พันกันจนงานหยุดชะงัก “ถ้าคนไม่ขาดเขาก็ไม่ดึงไปหรอกครับ ใครอยู่ลำไหนก็ประจำลำนั้น ไม่เหมือนเรือใหญ่ที่คนขาดบ่อย คนเยอะก็วุ่นวาย งานก็หนักแถมยังออกเรือนานอีกต่างหาก ดีอย่างเดียวคือเงินดี” ถ้าไม่มือเติบก็เก็บได้เป็นกอบเป็นกำอยู่

   “ถ้าไม่ได้ไปไหนก็มาช่วยงานฉันที่ออฟฟิศหน่อย เดี๋ยวตอนบ่ายพาออกไปซื้อของ”

   “ซื้ออะไรครับ?”

   “ซื้อของมาทำทิชชู่อาร์ตไง จะเอาไหมค่าจ้างน่ะ”

   “เอาคร้าบ” พอพูดถึงค่าจ้างก็ยิ้มกว้างประจบแจงใส่ น่าแปลกที่ตรัยไม่ได้นึกรังเกียจท่าทีนั้น ตรงกันข้าม..


   ออกจะเอ็นดูเสียด้วยซ้ำ
 


TBC


ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 5 l 31/8/62
«ตอบ #14 เมื่อ31-08-2019 20:20:39 »

บทที่ 5




   แพปลาโชคชัยมีเสมียนประจำอยู่สามคน แบ่งเป็นเสมียนออฟฟิศสองคนคือ เสมียนฝ่ายบุคคลและเสมียนบัญชี ส่วนเสมียนคนสุดท้ายเป็นเสมียนแพปลา ไม่ค่อยได้เข้าออฟฟิศเท่าไหร่นักเพราะต้องเปิดประมูลราคาปลาอยู่ด้านนอก

   วันนี้ตรัยเข้าออฟฟิศเช้ากว่าปกติ เขาต้องการตรวจดูเอกสารทั้งหมดด้วยตัวเองจึงต้องเข้ามาก่อนจะถึงเวลางาน แม้เอกสารที่เสมียนบัญชีเอามาให้จะครบถ้วนแล้วแต่เขากลับรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง ตัวเลขในเอกสารกลมเกินไป แม้กระทั่งค่าใช้จ่ายที่ต้องบวกภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าไปด้วยอีก 7%

   เสียงผลักประตูจากด้านนอกทำให้ตรัยหยุดชะงักมือที่กำลังรื้อค้นแผ่นเอกสารในชั้นเก็บพลาสติก เขาตวัดมองด้วยแววตาดุ พอเห็นว่าเป็นใครก็ผ่อนคลายลง

   “ทำอะไรอยู่เหรอครับ?” หนุ่มใต้ชำเลืองมองเอกสารในมือของชายหนุ่ม “นั่นแบบฟอร์มที่ผมกรอกเอาไว้นี่ครับ”

   “แบบฟอร์ม?”

   “อื้ม แบบฟอร์มชั่งน้ำหนักแล้วก็ชนิดของปลาแต่ละรอบที่จับได้ครับ พี่หมิวเขาทำให้ พอชั่งน้ำหนักเสร็จก็กรอกตัวเลขลงไปอย่างเดียวครับ เร็วดี”

   ในแบบฟอร์มระบุชื่อปลาและสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ เรียงยาวจนสุดหน้ากระดาษ ส่วนตารางด้านขวาเป็นช่องกรอกน้ำหนัก ระบุจำนวนตะกร้าและน้ำหนักต่อกิโลกรัม

   “เก็บไว้ เดี๋ยวเอาไปแนบกับล็อคบุ๊ค”

   “เอาไปเลยเหรอครับ? ถ้าพี่หมิวถามถึงล่ะ”

   “เขาไม่รู้นี่ว่าใครเอาไป” ตอบแบบไม่ใส่ใจนักเพราะกำลังสนใจเครื่องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานของหญิงสาวมากกว่า “ล็อคพาสเวิร์ดยูเซอร์เอาไว้ซะด้วย ไม่ธรรมดา” ออฟฟิศขนาดเล็กแบบนี้ไม่น่าจะมีนโยบายใช้พาสเวิร์ด พอลองเปิดคอมพิวเตอร์ของเสมียนคนอื่นดูก็เข้าไปใช้งานได้ปกติ ถ้าไม่ใช่ความลับของกิจการก็ต้องเป็นความลับของตัวเอง “หมิวนี่ชื่อเล่นของเสมียนบัญชีเหรอ?”

   “ครับ ชื่อจริงชื่อลลิตา”

   “นั่นฉันรู้อยู่แล้ว พื้นเพเขาเป็นคนที่นี่เหรอ?”

   “ครับ...เขาเคยทำบัญชีในโรงงานมาก่อน พอแม่เสียก็ลาออก ว่างงานอยู่พักหนึ่งก็มาขอทำงานกับเถ้าแก่ครับ ตอนนั้นเสมียนคนเก่าเกษียณพอดี เถ้าแก่ก็เลยรับไว้เพราะเห็นว่ามีประสบการณ์”

   “แค่นี้เองเหรอ”

   รุ่งภพขมวดคิ้ว แล้วจะเอาแค่ไหน “แคนี้แหละครับ คุณจะเอาแค่ไหนล่ะ ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ต้องไปถามพวกสาวคัดปลาครับ เรื่องเมาท์มอยเยอะแยะ อยากได้เฟสใคร ไลน์ใครก็ไปขอได้ครับ...มีครบทุกคน”

   “ทุกคนเลยเหรอ?” ตรัยเลิกคิ้ว นึกระแวงในใจ “หมายถึงพวกเขาแลกเบอร์แลกแอคเคาน์กันเองใช่ไหม”

   “ก็...ส่วนใหญ่จะแลกกันเองครับ ถ้าใครไม่ให้...ก็ตามล่า” ตามล่ากันยังไงเขาไม่ทราบ พอรู้ตัวอีกทีพวกเธอก็แอดเฟรนด์เข้ามาแล้ว “คุณก็ระวังเอาไว้ให้ดีนะครับ บางทีอาจจะโดนส่องอยู่ก็ได้”

   “ส่องไปก็ไม่เห็นอะไรหรอก ฉันไม่ได้เปิดพับบลิค” เฟสบุ๊คน่าจะโดนรบกวนได้ง่ายสุด ส่วนไลน์คงไม่มีปัญหาอะไรเพราะต้องแอดจากเบอร์โทรและไอดี “เธอรู้เฟสฉันหรือเปล่า”

   “อ่ะ...เอ่อ”

   “ตะกุกตะกักแบบนี้ แสดงว่ามีใช่ไหม” ชายหนุ่มยิ้มแห้งเพราะเพิ่งได้มันมาจากสาวๆ ก่อนเข้างานเมื่อครู่นี้เอง “งั้นแอดมาสิ เดี๋ยวกดรับให้”

   “หา?”

   “หาอะไรล่ะ แอดมาเร็วๆ เข้า” หนุ่มใต้ลนลานหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาตามคำสั่ง กดจิ้มแอดเฟรนด์จากช่องค้นหา ภาพโปรไฟล์แบบถ่ายย้อนแสงปรากฎขึ้น เห็นเพียงเสี้ยวหน้าคมคายสลัวราง

   ตรัยกดรับคำขอของชายหนุ่ม รอยยิ้มเอ็นดูปรากฎขึ้นตรงมุมปากเมื่อเข้าไปเยี่ยมชมภาพโปรไฟล์ของอีกฝ่ายดูบ้าง
   ตกลงเขารับคนหรือรับหมาเป็นเพื่อนกันแน่?

   ภาพโปรไฟล์ไม่ได้บ่งบอกถึงตัวตนเจ้าของแอคเคาน์เลยสักนิด เขาเห็นแต่ภาพหมาพุงหลามนอนคาบปลาทูอย่างเกียจคร้าน แถมยังเหลือบตามองกล้องเหมือนรู้มุมถ่าย เอียงคอนิด ขมวดคิ้วหน่อย?

   แอ๊บแบ๊วซะไม่มี




   ตรัยชวนหนุ่มใต้เกงานตั้งแต่บ่ายสอง หลังจากรวบรวมเอกสารเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ขับรถตระเวนซื้อของกันแถวตลาดเก่า รุ่งภพเลือกใช้แผ่นกระจกใสขนาด 8X10 แทนกระดาษร้อยแกรม โดยให้เหตุผลว่าทนทานกว่าและเป็นการเพิ่มมูลค่าของชิ้นงาน

   รายการถัดไปคือการซื้ออุปกรณ์สำหรับทำทิชชู่อาร์ต เขาพารุ่งภพแวะซื้อที่ซูเปอร์มาเก็ตใกล้ๆ เพราะเป็นของหาง่ายไม่ต้องตามหาเหมือนกระจกของชายหนุ่ม อุปกรณ์ที่ต้องซื้อมีแค่ทิชชู่ กาวลาเท็กซ์แล้วก็สีโปสเตอร์เพียงเท่านั้น หากเป็นเขาคงใช้เวลาซื้อเพียงไม่นานเพราะได้ของที่ต้องการแล้วก็กลับ ต่างจากรุ่งภพที่ตระเวนหาของกินจนทั่วห้าง สุดท้ายก็ได้แค่นมใกล้จะหมดอายุมาแพ็คหนึ่ง

   ซื้อมากินคนเดียวไม่พอยังยัดเยียดให้เขาช่วยกินอีก เหลืออีกแค่วันเดียวก็จะหมดอายุแล้ว ไม่เคยมีใครทำกับเขาแบบนี้มาก่อน นับเป็นครั้งแรกที่ได้แตะของโละทิ้ง น่าประทับใจจริงๆ

   “ขับเข้าไปจอดใต้ต้นหูกวางก็ได้ครับ ร่มๆ”

   หนุ่มใต้ชี้ไปทางร่มไม้ใหญ่ริมชายหาด ตรัยอนุญาตให้ชายหนุ่มเลิกงานก่อนเวลาเพื่อกลับมาทำทิชชู่อาร์ตให้เขาที่บ้านของตัวเอง “บ้านเธอเงียบดีนะ เงียบจนวังเวง”

   เจ้าของบ้านหัวเราะกับคำเปรียบเปรยของนายจ้าง มันก็ไม่ได้วังเวงขนาดนั้น แค่ล้อมรอบด้วยสวนมะพร้าวเท่านั้นเอง “แถวนี้มีแต่สวนครับ บ้านเลยปลูกห่างกันเยอะ ถ้าไม่ติดหน้าหาดก็อยู่ในสวนโน่น”

   “เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะร้องเรียกให้ใครช่วย”

   “โทรเรียก 1669 ไงครับ”

   “ถ้าโดนปล้นขึ้นมาจะทำยังไง รถพยาบาลช่วยได้เหรอ”

   “งั้นก็โทรแจ้งตำรวจ”

   “ตายก่อนพอดี”

   “อย่ามองในแง่ร้ายนักสิครับ ไม่ใช่ละครหลังข่าวสักหน่อย เขาอาจจะมาช่วยทันก็ได้”

   ตรัยส่ายหัวเพราะภาพลักษณ์ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในความคิดเขาไม่ค่อยจะดีนัก “ถ้ามีปัญหาอะไรโทรมาก็แล้วกัน”

   “คุณจะมาช่วยเหรอครับ?”

    “อืม...มาช่วยเก็บศพ”

   “...”

   “ให้ฉันอยู่ช่วยไหม?”

   “ผมยังไม่ตายครับ”

   ตรัยหัวเราะลั่น เขาไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นสักหน่อย “ฉันหมายถึงทิชชู่อาร์ต กลับมาก่อน อย่าเพิ่งคิดไปไหนไกล”

   “อ้าว...งั้น...ช่วยฉีกกระดาษทิชชู่ก็ได้ครับ เอ่อ...” ตรัยเลิกคิ้วเมื่อชายหนุ่มอึกอัก “ช่วยแล้วจะหักเงินค่าจ้างไหมครับ”

   “ยังจะอุตส่าห์งกอีกนะ ไม่หักหรอก ถ้างานห่วยค่อยว่ากันอีกที”

   การทำทิชชู่อาร์ตไม่ได้ยุ่งยากอะไรนัก แค่ฉีกทิชชู่แช่น้ำแล้วบิดจนหมาด เทกาวราดแล้วนวดเหมือนแป้งทำขนมเท่านั้นเอง เสร็จแล้วก็ผสมสีลงไปแล้วนวดซ้ำ จะใช้เวลาตรงนี้นานหน่อยเพราะต้องผสมให้ครบ 12 สี

   “ทำไมใช้สีโปสเตอร์ล่ะ ใช้สีน้ำไม่ได้เหรอ”

   “ได้ครับ แต่สีโปสเตอร์มันจะสดกว่า”

   นวดเสร็จก็เก็บใส่กล่องปิดไว้กันลมเข้า หากผึ่งทิ้งเอาไว้นานๆ มันจะแข็ง ทำให้เสียของเพราะใช้งานไม่ได้ “เสร็จแล้วครับ...คุณหิวไหม จะเย็นแล้วยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย”

   “จะทำให้กินเหรอ”

   “ครับ เดี๋ยวผมทอดไข่ดาวให้”

   ตรัยขมวดคิ้วกับเมนูมักง่ายของชายหนุ่ม “ทำเป็นใช่ไหม?”

   “เป็นสิครับ ทอดไข่ดาวง่ายจะตาย” ทำกับข้าวให้หมายังเคยมาแล้ว แค่ตอกไข่ใส่กะทะจะไปยากเย็นอะไรกัน

   ตรัยเดินตามเจ้าของบ้านเข้าไปในครัว บ้านของรุ่งภพเล็กมาก ครัวแทบจะติดกับห้องนอนเลยด้วยซ้ำ ห้องน้ำก็อยู่ในมุมอับ ดีหน่อยที่สะอาดสะอ้าน แม้จะเห็นขนหมาร่วงหล่นอยู่ประปรายก็ตาม “หมาเธออยู่ไหน ไม่เห็นเลย”

   “คงไปวิ่งเล่นแถวนี้แหละครับ มันไม่ชอบเฝ้าบ้าน ถ้าไม่ถึงเวลากินข้าวก็ไม่กลับหรอก”

   “ดีนะ ไม่ติดเจ้าของ”

   “แล้วแต่อารมณ์มันครับ บางวันก็ตามเฝ้าจนน่ารำคาญ” ขนาดเข้าห้องน้ำยังตามเลย ตะกุยประตูแกรกกรากจะเข้าไปด้วยให้ได้ “เสร็จแล้วคร้าบ ไข่ดาวเชฟรุ่ง”

   คนตั้งตัวเป็นเชฟตักไข่ดาววางบนข้าว ไม่รู้ว่าหิวหรืออร่อย เผลอแป๊บเดียวก็ถูกกินเรียบจนเกลี้ยงจาน ทำเอารุ่งภพดีใจจนยิ้มแก้มปริเพราะไม่ค่อยได้ทำอาหารให้คนกินเท่าไหร่นัก…


   ทำให้หมากินอย่างเดียว
   


TBC


ออฟไลน์ bnmshhhhhhh

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 5 l 31/8/62
«ตอบ #15 เมื่อ31-08-2019 23:45:12 »

หลอกให้รุ่งแอดเฟรนซะแล้วววว :hao3:

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 5 l 31/8/62
«ตอบ #16 เมื่อ01-09-2019 08:20:01 »

ชอบอ่ะ ได้ความรู้เยอะด้วย

ขอบคุณผู้แต่งนะ

ออฟไลน์ รสมารี

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 5 l 31/8/62
«ตอบ #17 เมื่อ02-09-2019 15:23:08 »

เคยอ่านนานมากแล้ว เป็นอีกเรื่องที่ชอบ ดีใจที่เอามาลงใหม่

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 5 l 31/8/62
«ตอบ #18 เมื่อ02-09-2019 16:11:36 »

 :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 6 l 2/9/62
«ตอบ #19 เมื่อ02-09-2019 21:49:40 »

บทที่ 6



   ผ้าโพกหัวถูกเลื่อนลงมาปกปิดใบหน้าลดความแสบร้อนจากแสงแดดที่แผดส่อง รุ่งภพกลับมาทำงานในแพปลาตามเดิมแล้วเพราะตรัยต้องออกไปดูที่บนเกาะเพื่อประเมินสิ่งที่จะปลูกสร้างในอนาคต เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ติดตามไปด้วย ลูกชายเถ้าแก่บอกให้รอเพียงแค่นั้น หากกลับมาแล้วจะโทรตามอีกที

   หนุ่มใต้เลิกคิดถึงนายจ้างแล้วทุ่มความสนใจทั้งหมดไปลงที่งานแทน ชายหนุ่มกางถุงพลาสติกออกรองก้นถังสำหรับใส่ปลา วันนี้ต้องแพ็คปลาที่เรือลำอื่นเอามาขายเข้าห้องเย็น รอเปิดประมูลในวันรุ่งขึ้นแล้วเอารายได้เข้าแพปลา

   “ลูกชายเถ้าแก่กลับกรุงเทพไปแล้วเหรอวะ ไม่เห็นหน้าเห็นตาเลย” มิ่งขวัญใช้พลั่วตักน้ำแข็งโปะทับปลาในถัง หุ้มด้วยถุงอีกชั้นแล้วลากเข้าห้องเย็น

   “เขาก็ไปทำธุระของเขาบ้างสิ ทำไม? มึงอยากเจอเหรอ?”

   “นิดนึง...เขาดุไหมวะ”

   รุ่งภพเม้มปากทำหน้าครุ่นคิด “ไม่นะ”

   ไม่ดุแต่ก็ไม่ได้ใจดีจนคุยเล่นได้

   “เฮ้ยมึง!” รุ่งภพตื่นจากภวังค์หลังจากโดนเพื่อนสะกิดยิกๆ จนหลังแทบไหม้ “เรือยอร์ชใครหลงมาเทียบท่าที่แพเราวะ”

   “จะไปรู้เหรอ มาหาซื้อของทะเลหรือเปล่า...” ชายหนุ่มชะงักเมื่อเห็นว่าใครลงมาจากเรือ “คุณตรัย”

   “ห๊ะ! นั่นลูกชายเถ้าแก่เหรอ? รวยเหี้ยๆ” นั่นชมใช่ไหม?

   มิ่งขวัญยังไม่เคยเห็นลูกชายเถ้าแก่แบบใกล้ชิดมาก่อน ปกติจะเห็นจากที่ไกลๆ เท่านั้นเพราะอยู่แต่ในห้องเย็น ไม่ค่อยได้เข้าออฟฟิศเหมือนเพื่อนสนิท “สวัสดีครับ...นายหัว”

   ตรัยรับไหว้หนุ่มใต้ทั้งสอง นึกเห็นใจรุ่งภพเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหงื่อไคลไหลพรากจนเปียกชุ่ม “ทำอะไรกันอยู่เหรอ”

   “แพ็คปลาเก็บเข้าห้องเย็นครับ”

   “เหนื่อยไหม”

   ทั้งสองคนมองกันเลิ่กลั่ก ไม่คาดคิดกับคำถามคล้ายห่วงใย “มะ...ไม่ค่อยครับ”

   “อืม...ปกติเลิกงานกี่โมง”

   “ก็...จนกว่าจะเสร็จอ่ะครับ”

   “ฉันอนุญาตให้เธอกลับไปพักก่อนได้ พรุ่งนี้ต้องไปสงขลาอีก จะได้ไม่ล้า”

   รุ่งภพหันมองเพื่อนสนิท สีหน้าลำบากใจเพราะไม่อยากเอาเปรียบเพื่อน “ไม่เป็นไรครับ อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว”

   “มึงไปเถอะ เดี๋ยวกูเรียกไอ้ปิ๊กมาช่วยก็ได้” มิ่งขวัญเอ่ยถึงเด็กเฝ้าห้องเย็น มันไม่ได้มีหน้าแพ็คปลาแต่มีหน้าที่ขนปลาเข้าไปเก็บในห้องที่มันเฝ้า

   “ขอบใจเว้ย เดี๋ยวตอนเย็นกูเอาตังเกไปฝากนะ” มิ่งขวัญพยักหน้ารับ ไม่ได้คิดว่าเพื่อนเอาเปรียบแต่กำลังคิดถึงเมนูอาหารที่ต้องตุนเอาไว้ให้หมาตะกละของรุ่งภพต่างหาก

   “ถ้าตกลงกันได้แล้วก็แยกย้ายไปพักผ่อน ไม่ใช่ไปหลับบนรถวันพรุ่งนี้นะ ฉันจะทุบให้” ตรัยตักเตือนด้วยน้ำเสียงกึ่งดุกึ่งหมันเขี้ยว

   รุ่งภพยิ้มแห้งแก้อาการเก้อเขิน ไม่คิดว่าตรัยจะหยิบยกเรื่องนี้มาล้อกัน

   “มิ่งขวัญ พรุ่งนี้ตอนเย็นไปรับคนของฉันที่สนามบินให้หน่อยสิ” ตรัยเอ่ยปากไหว้วาน เนื่องจากคนทางโน้นเลื่อนไฟลท์บินกะทันหัน ทำให้เขาเลื่อนนัดออกไปไม่ทัน

   “ใครเหรอครับ”

   “ผู้ช่วยของฉัน เดี๋ยวส่งรูปไปให้”

   “เย็นนี่กี่โมงครับ”

   “ฉันไม่แน่ใจว่าเขาจองตั๋วรอบไหน เอาเบอร์ไปแล้วกัน จะได้โทรถามกันได้”

   พอสั่งงานเสร็จก็เข้าไปเคลียร์เอกสารต่อในออฟฟิศ รุ่งภพมองตามแผ่นหลังของนายจ้างจนหายลับเข้าไปหลังบานประตู เขาถอดถุงมือออกแล้วนั่งพักเหนื่อยบนไม้พาเลท แก้ผ้าโพกหัวออกมาเช็ดเหงื่อจนหน้าแดงก่ำ

   “ไปสงขลากันทำไมวะ?”

   รุ่งภพไม่ได้ตอบเพื่อนในทันที ไม่ใช่ไม่ไว้ใจแต่ตรงนี้ไม่ได้มีแค่เราเพียงสองคน หากเรื่องรั่วไหลอาจจะสร้างความยุ่งยากให้กับตรัยในภายหลัง “เขาอยากเจอคุณอดุลย์น่ะ”

   “อ่อ” มิ่งขวัญไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก ลูกชายเถ้าแก่อยากเจอคุณอดุลย์ก็ไม่แปลกเพราะเป็นคนรับซื้อปลารายใหญ่ประจำแพ “มึงไปวันเดียวก็กลับใช่มะ”

   “ไม่รู้ว่ะ ไปกลับก็หลายชั่วโมงอยู่นะ อาจจะค้างคืน”

   “แล้วผู้ช่วยอะไรนั่น รับมาแล้วจะทำยังไงต่ออ่ะ ให้ค้างไหน?”

   “ไม่รู้ว่ะ มึงเข้าไปถามคุณตรัยดิ...หรือไม่ก็โทรไปถามผู้ช่วยเขา”

   “พักไหนก็ช่างแม่ง อย่ามาเป็นภาระให้กูก็แล้วกัน”





   วันเดินทางค่อนข้างอึมครึมเพราะฟ้าฝนไม่ค่อยจะเป็นใจเท่าไหร่นัก ตรัยต้องสลับให้รุ่งภพเป็นคนขับเพราะบางช่วงถนนลื่นและเขาเองก็ไม่ค่อยจะสันทัดเส้นทาง ถนนคดโค้งและค่อนข้างอับสายตา ประกอบกับฝนที่เทลงมาไม่หยุด แม้จะไม่หนักแต่ก็บดบังวิสัยทัศน์

   “หาอะไรกินกันก่อนดีกว่า สายมากแล้ว” เจ้าของรถเอ่ยปากทักเมื่อขับเข้าเมืองตรังมาได้ระยะหนึ่ง

   “ไปกินหมูย่างเมืองตรังกันไหมครับ ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว” สดชื่นขึ้นมาเชียว เรื่องกินนี่ไวนัก

   “จะกินร้านไหนก็เลือกเอา เดี๋ยวเลี้ยง”

   หมูย่างเป็นอาหารขึ้นชื่อของจังหวัดตรัง ตรัยยังไม่เคยลองชิมจึงไม่รู้ว่ารสเด็ดจริงไหม ตั้งแต่ขับรถเข้าเขตเทศบาลก็เจอแต่หมูย่างเต็มไปหมดจนเลือกไม่ถูก คนชำนาญพื้นที่ตรงดิ่งเข้าไปในตลาดสดอย่างตั้งใจ แถมยังลากเขาลงจากรถแล้วเดินเท้าเข้าไปด้านในด้วยความมุ่งมั่น สุดท้ายก็แห้วเพราะร้านปิดแล้วเนื่องจากสายเกิน

   ชายหนุ่มทำหน้าม่อยก่อนจะให้ความหวังกับเขาอีกครั้งด้วยการพาเดินออกจากตลาดไปตามถนนห้วยยอด บรรยากาศเมืองตรังค่อนข้างคึกคักเลยทีเดียว อาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่เปิดเป็นร้านอาหารเรียงรายตลอดทั้งเส้นทาง เรามาถึงร้านหมูย่างอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นร้านชื่อดังเหมือนกัน เนื่องจากร้านค่อนข้างแคบและโต๊ะเต็มแล้ว เขาจึงให้รุ่งภพสั่งใส่กล่องกลับไปแทน

   เราแวะร้านขนมเค้กกันตังก่อนกลับไปขึ้นรถ ตรัยไม่ได้อยากกินแต่คนที่มาด้วยกันร่ำร้องจะเข้าไปซื้อให้ได้ เลยต้องแวะอย่างจำใจ

   “นั่งทานหมูย่างในร้านได้นะคะ ทางร้านมีเครื่องดื่มให้ด้วย ลูกค้าชอบสั่งมาทานคู่กับเค้กกันตังค่ะ”

   เจ้าของร้านแนะนำเมนูขายดี เขาสั่งเค้กกันตังรสดั้งเดิมไปหนึ่งชิ้น ส่วนรุ่งภพสั่งเค้กส้มและกาแฟอีกสองแก้วให้กับเขาและตัวเอง ระหว่างรอขนมมาเสิร์ฟก็จัดการหมูย่างรสเด็ดที่ซื้อมากินเป็นมื้อเช้า มันอร่อยตรงหนังเพราะกรอบแล้วเคี้ยวมัน เนื้อนุ่มแต่แห้งไปนิด กินมากๆ แล้วฝืดคอ

   “ถ้าเป็นร้านอาโกนะ หนังจะกรอบกว่านี้อีกครับ เนื้อหมูของเขาหวานติดลิ้นเลย หอมเครื่องเทศสุดๆ”

   น้ำเสียงเจื้อยแจ้วเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนฟัง รุ่งภพเป็นคนกินเก่งมาก ตั้งแต่รู้จักกันมายังไม่เคยเห็นชายหนุ่มเลือกกินเลยสักครั้ง “แบ่งเค้กส้มมาทางนี้บ้างสิ”

   ตรัยเลื่อนจานเค้กไข่ไปให้ชายหนุ่มชิมบ้างหลังจากตักชิมเค้กส้มจนแหว่งไปเกือบครึ่ง รสชาติหวานอมเปรี้ยวอร่อยถูกปากกว่าเค้กไข่กันตังมาก เขาตักชิมเพลินจนเกือบหมด โดนชายหนุ่มจ้องเขม็งจนต้องสั่งมาคืนแทนชิ้มเดิม

   นั่งกินขนมกันเพลินจนลืมเวลา กว่าจะได้ออกเดินทางต่อก็เกือบเที่ยงแล้ว แม้ฝนจะหยุดตกไปแล้วแต่เขายังคงให้รุ่งภพเป็นคนขับต่อ เส้นทางต่อจากนี้ต้องตัดผ่านเขตภูเขา ถนนคัดเคี้ยวและโค้งเยอะมาก ถึงอย่างนั้นรุ่งภพก็ยังบังคับรถได้นุ่มนวล ไม่เร็วเกินไปแต่ก็ไม่ช้าจนเต่ากัดยาง

   ทะเลสาบสงขลาปรากฎให้เห็นเมื่อรุ่งภพเลี้ยวรถเข้าไปจอดข้างอาคารหลังหนึ่งบริเวณท่าเทียบเรือใหม่ขององค์การสะพานปลา ท่าเทียบเรือแห่งนี้ใหญ่กว่าแพปลาของพ่อหลายเท่าตัว อีกทั้งยังมีสัตว์น้ำหลากหลายทั้งที่จับได้ตามธรรมชาติและเพาะเลี้ยงเอง เขาจับยึดไหล่ของรุ่งภพขณะก้าวเดินผ่านแอ่งน้ำที่ละลายมาจากน้ำแข็งป่น เราไม่ได้ใส่รองเท้าบูทเหมือนคนที่นี่เพราะไม่ได้มาติดต่องานกับองค์การโดยตรง

   หนุ่มใต้พาเขาเดินออกจากอาคารมายังจุดนัดหมายตรงท่าเทียบเรือริมทะเลสาบ จุดจอดเรือค่อนข้างวุ่นวายเนื่องจากมีการขนส่งสินค้าลงเรือหลายลำ เอเย่นต์รับซื้อปลากางโต๊ะพับนั่งรออยู่ก่อนแล้ว แผ่นกระดาษถูกวางกองเอาไว้เกลื่อน หากไม่ทับเอาไว้ด้วยเครื่องคิดเลขคงปลิวหายลงไปในทะเลสาบแน่นอน

   “สวัสดีครับ ผมคือคนที่โทรมานัดคุณเอาไว้” ตรัยแนะนำตัวทันทีที่มาถึง

   “เห็นไอ้รุ่งก็รู้แล้วครับ” คนโดนทักยิ้มกว้าง ยกมือไหว้สวัสดี “ไงเรา ไม่เห็นหน้าเห็นตาเลยนะช่วงนี้”

   “ปิดอ่าวสามเดือนไงครับคุณอดุลย์ อยู่ในช่วงเก็บเนื้อเก็บตัวก็เงี้ย”

   หนุ่มวัยกลางคนหัวเราะเสียงแผ่ว นึกเอ็นดูรุ่งภพมาแต่ไหนแต่ไรแล้วเพราะคุยด้วยแล้วถูกคอ “ว่างก็มาช่วยทางนี้ได้นะ เดี๋ยวกันตำแหน่งต้นกลไว้ให้”

   ตรัยขมวดคิ้ว พูดจาหยอกล้อกันแบบนี้เขาไม่ค่อยจะชอบใจเท่าไหร่นัก

   “ไม่ไหวมั้งครับ ผมความรู้น้อย เดี๋ยวไปพังห้องเครื่องคุณเข้า ได้ลอยเท้งกันกลางทะเลแน่”

   “งั้นเป็นสรั่ง ก็ได้เอ้า เราถนัดคุมคนไม่ใช่เหรอ”

   ตรัยขยับขึ้นมาบังชายหนุ่ม คนของเขาก็คือคนของเขา เล่นดึงตัวไปดื้อๆ แบบนี้ ไม่ข้ามหน้าข้ามตาไปหน่อยเหรอ? “ขอโทษนะครับ เรามาเริ่มคุยธุระสำคัญกันดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา”

   “โอเค” ชายวัยกลางคนรื้อแฟ้มเล่มบางออกมาจากกองกระดาษแล้วยื่นส่งให้กับคนขอ “ใบเสร็จกับใบแจ้งหนี้ที่คุณขอดู”

   ตรัยรับแฟ้มมาเปิดแล้วไล่สายตามองหาตัวเลขรอบล่าสุด เขาจำได้ดีว่ามีจำนวนเท่าไหร่ ที่น่าโมโหคือมันตรงกับใบสรุปยอดขายที่เสมียนบัญชีให้มา

   ฝ่ามือหนาสอดเอกสารเข้าแฟ้มด้วยความหงุดหงิด ปลาเป็นตันจะหายไปได้ยังไง ถ้าไม่หายที่ต้นทางก็ต้องหายที่ปลายทางนี่แหละ ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนโดนปล้นกลางทางกันชัดๆ

   กลางทาง?

   “ใครเป็นคนเอาปลามาส่งรอบที่แล้ว”

   “หือ? ถ้าเป็นรอบล่าสุด พี่ยะเอามาส่งครับ” รุ่งภพตอบด้วยเสียงงุนงง

   “ยะ?”

   “ช่างเครื่องเรือของเราไงครับ ตัวล่ำๆ แขนใหญ่ๆ” แสดงท่าทางประกอบด้วยการเบ่งกล้ามแขนทั้งสองข้าง มันก็น่าเอ็นดูอยู่หรอกแต่ไม่ใช่เวลาชม

   “คุณได้ปลาลดลงตั้งแต่รอบไหน จำได้ไหมครับ”

   “อ่า...ไม่แน่ใจนะ น่าจะสามรอบก่อนล่ะมั้ง คนส่งปลาคนใหม่บอกว่าจับได้น้อยเพราะช่วงนี้หยุดเรือบ่อย ตอนแรกว่าจะโทรไปถามเถ้าแก่แล้วล่ะ กลัวจะมีปัญหากับศูนย์ควบคุมประมง แต่ได้ยินว่าไม่ค่อยสบายเลยไม่อยากรบกวน ไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไรกัน”

    “เขาคงฉวยโอกาสตอนพ่อไม่ค่อยสบายน่ะครับ หลังๆ มานี้ท่านไม่ค่อยได้ตรวจบัญชี ยิ่งทิ้งงานไปรักษาตัวด้วยแล้วยิ่งทางสะดวก” ตรัยขบกรามแน่นด้วยความโมโห พวกมันคงวางแผนตั้งแต่ออกเอกสารเท็จแล้ว คงไปถ่ายปลากันที่ไหนสักแห่งแล้วเหลือจำนวนให้เท่ากับตัวเลขที่เฟคไว้ “ผมขอยืมเอกสารไปทำสำเนาหน่อยได้ไหมครับ”

   “ตามสบายเลยครับ ถ้าเป็นอย่างนี้ผมต้องออกเช็คตามจำนวนเงินในใบแจ้งหนี้นะครับ ปัญหาภายในพวกคุณต้องไปจัดการกันเอาเอง”

   “แน่นอนครับ ผมไม่ปล่อยให้กระทบมาถึงคุณหรอก” เขายื่นเอกสารทั้งแฟ้มให้รุ่งภพเอาไปถ่าย ส่วนตัวเองนั่งกันท่าหนุ่มใหญ่อยู่กับโต๊ะ รอจนกระทั่งรุ่งภพถ่ายเอกสารเสร็จก็ขอตัวกลับ ร่ำลาพอเป็นมารยาท ไม่ยืดเยื้อเหมือนตอนมา

   “เขาคงชอบเธอน่าดู ถึงขนาดออกปากชวนไปทำงานด้วย”

   “เขาก็พูดไปงั้นแหละครับ คนแก่ขี้เหงาก็งี้แหละ ชวนคุยไปเรื่อย”

   “เดี๋ยวก่อน อายุเขาไม่น่าจะถึงห้าสิบนะ เขาเรียกวัยกลางคนยังไม่แก่สักหน่อย”

   “พอสี่สิบหัวก็เริ่มหงอกแล้วครับ เผลอแป๊บเดียวอายุก็ครึ่งร้อยเข้าไปแล้ว พอหกสิบก็ได้เบี้ยผู้สูงอายุพอดี แก่อย่างเป็นทางการ” เหมือนโดนเบรคอารมณ์จนหัวทิ่ม เริ่มไม่มั่นใจในตัวเองขึ้นมาทันที

   ไอ้เด็กนี่ ไม่แก่บ้างก็ให้มันรู้ไป

   “งั้นโชคดีไป ฉันเพิ่งจะสามสิบเอง อีกหลายสิบปีกว่าจะแก่อย่างเป็นทางการ”

   รุ่งภพหัวเราะร่วนขณะปลดล็อคประตูรถ เราออกจากท่าเทียบเรือกันตอนย่ำค่ำ ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาขุ่น อีกไม่นานคงมืดสนิทไม่เหมาะกับการเดินทาง

   “ค้างสักคืนก็แล้วกัน” เขาไม่อยากขับรถกลับในตอนกลางคืนเพราะเส้นทางอันตรายพอสมควร รุ่งภพจึงแนะนำให้ไปพักในหาดใหญ่เพราะสะดวกสบายกว่ามาก อาหารการกินก็เยอะแยะ คิดว่าเหตุผลอย่างหลังน่าจะเป็นจุดประสงค์หลักเสียมากกว่า

   “โทรไปบอกพ่อแม่หรือยัง เขาจะได้ไม่ต้องห่วง” ตรัยยังไม่เคยเห็นพ่อแม่ของชายหนุ่ม ตอนไปบ้านรุ่งภพครั้งแรกก็ไม่เจอใครเลย คิดว่าออกไปทำงานกันหมดเลยไม่ได้ถาม

   “ผมอยู่คนเดียวครับ” คนพูดเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แม้ไม่เห็นความรู้สึกโศกเศร้าในแววตาแต่ตรัยก็หลีกเลี่ยงที่จะถามถึง เปลี่ยนไปพูดเรื่องที่ชายหนุ่มสนใจแทน

   “เย็นนี้กินอะไรดี”

   รุ่งภพยิ้มเผล่หลังจากได้ยินคำถามใหม่ เรารีบเช็คอินแล้วขึ้นห้องเอากระเป๋าไปเก็บ เขาไม่ได้จองห้องแยกกับชายหนุ่มเพราะอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้หญิงจึงไม่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม

   “กินอะไรดีอ่า...”

   “แล้วอยากกินอะไรล่ะ” ตรัยถามซ้ำอีกครั้ง ตลาดกลางคืนในเมืองสงขลาคือแหล่งอาหารชั้นยอด ทั้งขนมและเครื่องดื่มละลานตาเต็มไปหมด ถนนตลอดทั้งเส้นล้วนคึกคักโดยเฉพาะบริเวณห้างสรรพสินค้าและตึกแถวพาณิชย์ที่เปิดขายของกันเกือบทุกห้อง

   “กำลังคิดอยู่ครับ อืม...”

   “อย่าลืมนึกถึงฉันด้วยล่ะ” ตรัยเปิดกล้องในโทรศัพท์มือถือเพื่อถ่ายโคมเต็งลั้งที่แขวนห้อยระย้าเต็มถนน “หลับหรือไงห๊ะ? ถ้ามันเลือกยากขนาดนั้นเดี๋ยวฉันเลือกให้”

   “คุณอยากกินอะไรอ่ะครับ”

   “ซาลาเปาทอดไหม? เพื่อนฉันเคยแท็กให้ดูในเฟส น่ากินอยู่นะ”

   รุ่งภพเม้มริมฝีปาก บางทีก็ขบ บางทีก็ยู่ เห็นแล้วน่ามันเขี้ยวคันมืออยากจะบีบ “ไปกินซาลาเปาทอดก็ได้ครับ แล้วร้านมันอยู่ตรงไหนอ่า...”

   เราตระเวนหาร้านเด็ดกันอีกครั้ง คงไม่ผิดหวังเหมือนตอนเช้าหรอกมั้ง

   เดินงมทางกันอยู่นาน สุดท้ายก็ถึงร้านดังเมืองหาดใหญ่ ตรัยสั่งซาลาเปาทอดเป็นอย่างแรกตามด้วยหมั่นโถว ซาลาเปานึ่งและลูกชิ้นปิ้ง รุ่งภพไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าตัวเองอยากกินอะไร พออาหารมาเสิร์ฟก็นั่งแทะเล็มอย่างมีความสุข ทั้งหมั่นโถวกะเพราไก่ไข่ดาว ซาลาเปาไส้หมูหยอง ตอนแรกนึกว่าจะจบที่ซาลาเปาจักรพรรดิ์เพราะเครื่องแน่นมากทั้งหมูสับ ไข่ต้ม เห็ดหอมและกุนเชียง ขนาดเขาตัวใหญ่กว่ายังอิ่มจนจุกแต่ชายหนุ่มกลับยัดขนมจีบและลูกชิ้นปิ้งต่อได้เรื่อยๆ กินดุจนคนเลี้ยงหน้าซีดกันเลยทีเดียว

   “อีโนไหม?”

   “หือ? เอามาทำไมครับ”

   “ไม่แน่นเหรอ”

   ส่ายหัวลูบพุงปุๆ “สบ๊าย ยังต่อได้อีกนะครับ...ถ้าคุณเลี้ยงไหว”

   “เธอมีแฟนหรือยัง”

   “หา? ยังหรอกครับ ทำไมเหรอ”

   “ฉันสงสารแฟนในอนาคตของเธอน่ะ จะเลี้ยงไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้?”

   รุ่งภพยู่ปาก “ผมต้องเลี้ยงเขาสิครับ จะให้เขามาเลี้ยงผมได้ไง”

   “เหรอ? อย่าไปแย่งเขากินก็แล้วกัน” ตรัยยังไม่เลิกแซว อันที่จริงความคิดของชายหนุ่มก็ดูจะพึ่งพาได้อยู่บ้าง แต่กินเก่งขนาดนี้คงต้องเลี้ยงตัวเองให้รอดก่อน “เอารังนกอีกสักถ้วยไหม”

   ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีแฟน งั้นก็ให้เขาเลี้ยงไปก่อนแล้วกัน

   “ไม่เอาอ่ะครับ” คราวนี้ส่ายหัว สร้างความแปลกใจให้กับคนเลี้ยงเป็นอย่างมาก

   “ปฎิเสธเป็นด้วย?”

   “คุณอ่ะ!”

   น้ำเสียงเง้างอดเรียกเสียงหัวเราะจากตรัยได้อีกครั้ง เขาสั่งรังนกจากร้านรถเข็นข้างทางมากินถ้วยหนึ่ง รสชาติไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เป็นน้ำใสๆ และมีเส้นรังนกลอยอืดอยู่ในน้ำแข็งป่น

   ถึงว่าทำไมไม่กิน

   ไม่มีเตือนกันด้วยนะ แถมยังยิ้มขำอีกต่างหาก

   “รังนกมันมีหลายเกรดครับ ถ้าตามรถเข็นน่าจะเป็นเกรดสาม ถ้าเกรดดีกว่านี้ราคาจะแพงมาก เฉพาะเกรดสามขีดนึงก็สองพันแล้ว”

   ขีดนึงสองพัน ตกกิโลกรัมละสองหมื่นบาท

   ตรัยไม่ได้ตื่นเต้นกับราคาพวกนี้ เขาไม่ชอบกินของพวกนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วเพราะไม่ใช่ทาสการตลาด แค่เห็นว่าแปลกดีเลยลองดู ปกติจะเห็นในรูปแบบบรรจุขวดเพียงเท่านั้น

   “เมื่อย” ตรัยหลุดปากบ่นเมื่อกลับมาถึงห้องพัก

   หนุ่มใต้นั่งลงบนขอบเตียง ไม่ปิดบังความเป็นห่วงในแววตา “ผมนวดให้เอาไหมครับ”

   “นวดเป็นเหรอ เดี๋ยวอัมพาตถามหาล่ะยุ่งเลย”

   “แค่นวดครับ ไม่ได้จับเส้น ขนาดเถ้าแก่ยังผ่านมือผมมาแล้วเลย นวดจนหลับคามือ” ทำมือขยุกขยุยเหมือนอยากขยำอะไรสักอย่าง

   “ไหนลองนวดตรงน่องดูหน่อย” เอนหลังพิงหัวเตียงแล้วพาดขาเกยตักของชายหนุ่ม

   “กล้ามเนื้อคุณแข็งมากเลยครับ”

   “เดินทั้งวันไง”

   “ไม่ๆ ผมหมายถึงกล้ามเนื้อคุณแน่นมาก ออกกำลังกายบ่อยเหรอครับ” คลึงกล้ามเนื้อต้นขาของตรัยเล่น เขาก็ทำงานทั้งวันแต่ไม่สามารถเพิ่มมวลกล้ามเนื้อให้กับตัวเองได้ กินเท่าไหร่ก็ถูกเผาผลาญออกไปจนหมดเพราะต้องขยับร่างกายตลอดเวลา
   “ไม่บ่อยหรอก ถ้าว่างก็เล่นเวท วันไหนอากาศดีก็ออกไปวิ่งบ้าง”

   “อ๋อ...” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะการพูดคุย ตรัยคว้าโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย ยังไม่ทันได้พูดทักทาย เสียงโวยวายก็ดังขึ้นแผดแก้วหู

   (คุณตรัย กุญแจบ้านล่ะครับ ผมเข้าบ้านพ่อคุณไม่ได้)

   “อ้าว ลืมไปเลย”

   (ลืมได้ยังไงกันครับ แล้วผมจะไปนอนที่ไหนล่ะ)

   “ไปนอนบ้านมิ่งขวัญก่อนได้ไหม เดี๋ยวกลับไปให้เบิกเงินชดเชย”

   (คุยกับเขาเองแล้วกันครับ)

   ดูเหมือนผู้ช่วยของเขาจะไม่มีทางเลือก ถึงได้ยอมง่ายๆ แต่โดยดี

   (ครับนายหัว)

   “ให้คนของฉันไปพักบ้านนายคืนนึงได้ไหม เขาไม่วุ่นวายหรอก...แค่เอาใจยากนิดนึง” เหมือนได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสาย เป็นนานกว่ามิ่งขวัญจะตอบรับกลับมาด้วยน้ำเสียงกล้ำกลืน

   (บ้านผมไม่มีแอร์นะครับ ถ้าเขาทนร้อนได้ก็โอเค)

   แรงนวดกลับมาสม่ำเสมออีกครั้งหลังจากตรัยคุยโทรศัพท์เสร็จ ช่วงท้ายๆ เขาเปิดสปีคเกอร์โฟนให้รุ่งภพได้ยินด้วย ชายหนุ่มยิ้มแห้งตอนได้ยินน้ำเสียงตึงๆ จากเพื่อนสนิท ไม่กล้าสอดปากออกความคิดเห็นใดๆ นอกจากก้มหน้าก้มตานวดให้เขาอย่างจริงจัง


   ให้มันได้อย่างนี้สิ...



TBC

ลงตอนแบตใกล้หมด ลุ้นมากเพราะเมื่อคืนก็หมดเหมือนกัน เลยไม่ทันได้ลง 5555555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 6 l 2/9/62
« ตอบ #19 เมื่อ: 02-09-2019 21:49:40 »





ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 6 l 2/9/62
«ตอบ #20 เมื่อ03-09-2019 19:14:41 »

 :pig4:
 o13
 :3123:

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 7 l 3/9/62
«ตอบ #21 เมื่อ03-09-2019 21:52:12 »

บทที่ 7



   สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดถูกส่งคืนผู้เป็นเจ้าของ มิ่งขวัญถอนหายใจหนัก สตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์อีกครั้งเมื่อเจ้าของโทรศัพท์ตกลงกับคนปลายสายเรียบร้อยแล้ว

   “ขึ้นมาสิคุณ”

   “เดี๋ยวดิ ของเยอะไม่เห็นเหรอ” คนเพิ่งเดินทางมาถึงแบกกระเป๋าใบใหญ่คั่นไว้ตรงกลางเบาะเก่าขาดซึ่งแปะทับด้วยเทปใส ร่างในชุดทำงานเรียบกริบวาดขาขึ้นคร่อมตามหลัง ใบหน้าบึ้งตึงขณะกวาดสายตามองไปรอบบ้านของพ่อเจ้านาย

   ไหนบอกจะทิ้งกุญแจบ้านเอาไว้ให้ไง สุดท้ายก็มาเก้อ

   “เกาะไว้ด้วยล่ะ หล่นลงไปผมไม่ตามเก็บนะ”

   คนโดนแซวตีหน้ายุ่ง อยากจะเอื้อมมือไปฉีกทึ้งกระชากหัวของมันให้รู้แล้วรู้รอดไป ทำไมเขาต้องมานั่งรถมอเตอร์ไซค์ป่วยออดๆ แอดๆ หลังเครื่องแลนดิ้งด้วยนะ เหนื่อยก็เหนื่อย ง่วงก็ง่วง แถมกระเป๋าก็เกะกะ ไม่ได้ดั่งใจเลยสักอย่าง

   “ตกลงคุณชื่ออะไรนะ มาวินเหรอ”

   “ผมชื่อธาวิน บอกไปแล้วไง หูตึงเหรอ”

   “ตอนอยู่ในสนามบินผมได้ยินไม่ชัดอ่ะ เห็นคุณรีบก็เลยไม่ได้ถามซ้ำ”

   อย่างกับตอนนี้จะได้ยินชัดนักแหละ เสียงท่อดังอย่างกับโรงสี เครื่องยนต์ก็ขลุกขลัก จะดับแหล่ไม่ดับแหล่อยู่รอมร่อ “บ้านคุณอยู่ไกลไหม”

   “ไม่ไกลหรอก เลยปากแม่น้ำไปก็ถึงแล้ว”

   รถเก่าเก็บเคลื่อนตัวโยกเยกผ่านสันเขื่อนแล้วลัดเลาะเข้าไปในคลองสายหนึ่ง ถนนเส้นเล็กโรยด้วยหินคลุกขรุขระ ข้างทางเป็นป่ากล้วยดำมืด บ้านทุกหลังปิดไฟมืดสนิท ครั้นมองฝ่าความมืดออกไปยังฝั่งคลองก็ดูจะวังเวงพอๆ กัน ธาวินพอจะมองเห็นได้เลือนลางผ่านแสงไฟริบหรี่จากหน้ารถเท่านั้น เงาตะคุ่มริมน้ำคงเป็นกระชังปลาของชาวบ้าน เขาไม่แน่ใจว่าคลองสายนี้เป็นน้ำกร่อยหรือเปล่า เนื่องจากสังเกตเห็นรากต้นไม้งองุ้มจากอีกฝั่ง สานกันเป็นร่างแหคล้ายระบบนิเวศของป่าชายเลน

   แถ่ด แถ่ด แถ่ด กึก

   เสียงเครื่องยนต์กระตุกติดกันหลายครั้งยิ่งทำให้ธาวินใจไม่ดี เขาเอื้อมมือผ่านกระเป๋าไปดึงเสื้อยืดของคนขับแล้วจิกไว้แน่น รถเครื่องคันเก่ากระชากตัวเพียงนิดแล้วแน่นิ่งไปเหมือนหมดแรง

   “....”

   ความมืดโรยตัวเข้าปกคลุมเมื่อไร้แสงไฟนำทาง ธาวินตัวแข็งทื่อ ได้แต่จ้องต้นคอของคนตรงหน้าไม่กล้าเหลียวมองไปรอบกาย

   “เอ้า ลงก่อนดิคุณ ผมจะดูรถ”

   ปีนลงอย่างเก้กังพร้อมกับอุ้มกระเป๋าไว้ในอ้อมแขน ขยับไปชิดคนตัวโตอย่างระแวดระวัง กลัวสิ่งที่มองไม่เห็นปรากฎตัว “ระ…รถเป็นอะไรเหรอ”

   “ไม่รู้เหมือนกัน...รถมันเก่าแล้วอ่ะ เป็นได้หลายอย่าง”

   “แล้วทำไมไม่ซื้อคันใหม่ไปเลยล่ะ”

   “เฮ้ย! รถมันยังใช้ได้อยู่ ผมไม่ได้รวยมีเงินถุงเงินถังเหมือนพวกเศรษฐีนะครับ จะซื้ออะไรแต่ละทีก็ต้องคิดแล้วคิดอีก ได้ของใหม่แต่ไม่มีจะแดกก็ไม่เอานะคุณ”

   “หยาบคาย” เพิ่งจะรู้จักกันยังไม่กี่ชั่วโมงเอง กล้าพูดคำหยาบใส่เขาได้ไง

   “ผมก็เป็นแบบนี้แหละ ความจริงคุณไม่ต้องพูดเพราะกับผมก็ได้นะ กูมึงไปเลยก็ได้...ผมไม่ถือ”

   “แต่ฉันถือ!” ธาวินข่มใจให้เย็นลง เขาสูดลมหายเข้าลึกกับความกวนประสาทของมิ่งขวัญ “แล้วจะกลับยังไงล่ะทีนี้”

   “เดินเอาแล้วกัน อีกนิดเดียวเอง” มิ่งขวัญปิดเบาะแล้วปัดขาตั้งขึ้น ธาวินวิ่งตามคนจูงรถหน้าเหวอ ทำไมเขาต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย

   “เดี๋ยวสิ ทำไมไม่ลองซ่อมดูก่อนล่ะ”

   “ซ่อมอะไรล่ะ น้ำมันหมด ผมลืมเติม”

   “อะไรนะ! ทำไมสะเพร่าแบบนี้เนี่ย”

   มิ่งขวัญจุ๊ปาก ทำเป็นหงุดหงิดไม่สนใจแววตาหวาดระแวงเหมือนกระต่ายขี้กลัว “อย่าโวยวายน่า หนวกหู”

   “อะ ไอ้…” จะด่ากลับก็ไม่กล้า กลัวมันโมโหแล้วต่อยหน้าแหกเอา ได้แต่จ้ำเดินตามอย่างหงุดหงิด แบกกระเป๋าจนกล้ามปูดเพราะลากไม่ได้ เนื่องจากพื้นถนนโรยด้วยหินคลุก เขาทดลองลากแล้วแต่มันไม่เวิร์ค

   เสียงหมาหอนดังโหยโหนในความมืดอันแสนวังเวง ธาวินขยับตัวเข้าไปเบียดชิดท่อนแขนกำยำอย่างขลาดกลัว เขาไม่ชินกับบรรยากาศเงียบสงัดแบบนี้ ด้วยกรุงเทพเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล ต่อให้ดึกดื่นแค่ไหนก็ยังเห็นรถแล่นผ่านมาบ้าง ไม่ใช่มองไปทางไหนก็เจอแต่ความมืด ไฟทางก็ไม่มี น่ากลัวจะตาย

   “คุณจะเดินเบียดผมทำไมเนี่ย ขาดความอบอุ่นเหรอ”

   “มันน่ากลัวอ่ะ...นายไม่กลัวเหรอ”

   “กลัวอะไรล่ะ อยู่มาตั้งแต่เกิด” เจ้าถิ่นเหลือบมองกระเป๋าใบย่อมในมือของคนข้างกาย ในเมื่อถือเองได้เขาจึงไม่คิดเสนอตัวเข้าไปช่วย “ถึงแล้ว หลังนี้แหละ”

   เจ้าของบ้านเข็นรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปไว้ใต้ถุนบ้าน ธาวินสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นหมาสองตัวโผล่หัวขึ้นมาจากใต้บันได พวกมันส่งเสียงเห่าระงมเมื่อเห็นคนแปลกหน้า พอมิ่งขวัญจุ๊ปากดุมันก็เห่าอีกสองสามครั้งพอเป็นพิธี เหมือนเห่าไปตามหน้าที่เพียงแค่นั้น

   มิ่งขวัญอาศัยแสงจันทร์ส่องเดินขึ้นบันไดไม่รอเขา ธาวินรีบตามติดด้วยการกระโดดขึ้นบันไดไปทีละสองขั้น เสียงดังตุบตับด้านหลังทำให้เจ้าของบ้านหันกลับมามองพร้อมกับชักสีหน้าใส่ด้วยความไม่พอใจ

   “เบาดิคุณ พ่อกับแม่ผมนอนแล้ว” ฉวยกระเป๋าในมือแบบบางมาถือให้ เห็นแล้วขัดหูขัดตาเหลือเกิน กลัวจะพลัดตกลงไปตายซะก่อน “ถอดรองเท้าด้วย ใครสั่งใครสอนให้ใส่รองเท้าขึ้นบ้านห๊ะ!”

   ธาวินแยกเขี้ยวใส่แผ่นหลังของคนนำหน้า ถอดรองเท้าหนังสีดำขะมุกขะมอมออกอย่างลุกลนท่ามกลางความมืดมิดเพราะมิ่งขวัญไม่ยอมเปิดไฟหน้าบ้านให้ เขาอาศัยเงาร่างสูงใหญ่เป็นจุดโฟกัสในสายตา พยายามเดินเหยียบไม้กระดานเนื้อมันอย่างแผ่วเบาตามเข้าไปในห้องของชายหนุ่ม

   แสงจากหลอดไฟแบบรางยาวทำเขาตาพร่าไปชั่วขณะ หลังจากปรับสายตาได้แล้วก็เริ่มสำรวจสภาพแวดล้อมทันที ห้องของมิ่งขวัญกว้างแค่ครึ่งเดียวของขนาดห้องในคอนโดเขา เฟอร์นิเจอร์ก็ขัดตาไม่เข้ากันเลยสักนิด มีทั้งตู้ไม้สักและชั้นพลาสติกสำหรับวางของแทนตู้เสื้อผ้า บริเวณฝาบ้านติดโปสเตอร์รวมดาวซัลโวของฟุตบอลโลกเมื่อสี่ปีก่อน มีกรอบรูปครอบครัวปะปนอยู่บ้างไม่กี่รูป ส่วนอีกมุมหนึ่งของห้องค่อนข้างรกเลยทีเดียว เสื้อผ้าใช้แล้วกองสุม บางตัวก็ถอดกองไว้กับพื้น ไร้ระเบียบสิ้นดี

   “จะยืนทำหน้ารังเกียจอีกนานไหม เที่ยงคืนตีหนึ่งเข้าไปแล้ว นอนได้แล้วคุณ” มิ่งขวัญวางกระเป๋าของชายหนุ่มไว้ข้างตะกร้าผ้า ธาวินแทบจะวิ่งถลาไปลากออกมาเพราะเห็นกางเกงในตัวหนึ่งถอดม้วนอยู่ไม่ไกล

   อี๋...หยะแหยง

   เจ้าของห้องแอบหัวเราะในใจกับสีหน้าท่าทางของชายหนุ่ม เขาเอนตัวลงบนฟูกนอนกระดิกเท้ามองธาวินลากกระเป๋าเสื้อผ้าไปเก็บไว้อีกฟากหนึ่งตรงมุมห้อง

   “ฉันอยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอ่ะ”

   “ห้องน้ำอยู่ข้างล่างอ่ะ ลงไปคนเดียวนะ ผมจะนอนแล้ว”

   ธาวินเม้มปากอย่างขัดเคือง อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ใครจะกล้าเดินลงไปคนเดียว “ลงไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”

   “หมกเม็ดสักคืนก็ได้ ผมไม่ถือหรอก” เจ้าของห้องตบฟูกนอนปุๆ อย่างเชิญชวน “มานอนเร็ว พรุ่งนี้ผมต้องตื่นแต่เช้านะ”

   “แต่…”

   “หรือจะลงไปคนเดียว”

   โธ่เว้ย! นอนก็นอนวะ

   คนไม่ได้ดั่งใจล้มตัวลงนอนด้วยสีหน้ากระฟัดกระเฟียด ไม่คิดจะปลดเข็มขัดหรือเอาชายเสื้อออกแต่อย่างใด นอนมันทั้งอย่างนั้นบนฟูกเนื้อแข็ง ดวงตาเบิกค้างเมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความมืดมิดอีกครั้งหนึ่ง

   นอนไม่หลับอ่ะ

   ชายหนุ่มพลิกตัวคะแคงข้าง หันหลังให้กับเจ้าของฟูกนอน พยายามทำตัวลีบเล็กและกระเถิบออกห่างจนแทบจะตกขอบฟูก

   คนอาศัยนอนขมวดคิ้วเมื่อเจ้าของห้องขยับตัวไปมา เผลอร้องเสียงหลงด้วยความตกใจเมื่อโดนลากเข้าไปจนชิดแผ่นอกกว้าง เกือบจะร้องโวยวายออกไปอยู่แล้วถ้าไม่ได้ยินน้ำเสียงกึ่งดุกึ่งขำเข้าเสียก่อน

   “ทำบ้าอะไรห๊ะ?”

   “รังเกียจผมเหรอ นอนซะห่างเชียว อีกนิดก็จะตกขอบฟูกอยู่ละ ไม่ลงไปนอนบนไม้กระดานเลยล่ะ”

   “ฉันเกรงใจ กลัวนายจะนอนไม่สบาย”

   “อ๋อเหรอ” มิ่งขวัญปล่อยมือจากข้อแขนนุ่ม สัมผัสนุ่มมือทำเอาจิตใจไขว้เขวไปครู่หนึ่ง “ขยับเข้ามาอีกนิดเถอะ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า กลัวเป็นสาวน้อยไปได้”

   “สาวน้อยบ้าอะไร ฉันเป็นผู้ชายนะ” เหวี่ยงกำปั้นตุ๊ยท้องคนปากพล่อยดังอั้ก มิ่งขวัญคว้าข้อมือนุ่มอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ยึดไว้แน่นไม่ยอมปล่อยอีกเลย “ปล่อยนะเว้ย”

   “ไม่ปล่อย นอนได้แล้วน่า อย่าวุ่นวาย...ถ้ายังรั้นไม่ฟัง ผมจะไล่คุณออกไปนอนนอกห้องนะ”

   คราวนี้เก็บปากเก็บคำเงียบเพราะไม่กล้าออกไปนอนกลางบ้านเพียงลำพัง ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เลิกยื้อยุดข้อมือกับเจ้าของห้อง ก่อสงครามประสาทต่อไปอีกครึ่งคืน



TBC


ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 8 l 3/9/62
«ตอบ #22 เมื่อ03-09-2019 21:57:18 »

บทที่ 8



   หาดใหญ่ในยามเช้าคึกคักไม่แพ้กลางคืนเลย ตรัยรีบเช็คเอาท์และคืนกุญแจตอนแปดโมงเช้า เขาเหวี่ยงแขนแก้อาการเมื่อยขบขณะนั่งรออาหารเช้าในร้านแต่เตี้ยมชื่อดังแห่งหนึ่ง

   ดวงตาคมลอบมองรอยยับข้างแก้มของหนุ่มใต้อย่างนึกมันเขี้ยว เขาแทบไม่ได้นอนเพราะโดนเบียดโดนซุกแทบทั้งคืน แถมยังโดนแย่งผ้าห่มอีก ต้องหลับๆ ตื่นๆ เกือบทั้งคืนเพราะอีกฝ่ายครางอืออาอย่างกับเด็กนอนละเมอ

   ขนาดขยับหนีจนแทบจะติดขอบฟูกอยู่แล้วยังกลิ้งมาหาได้ ต้องปล่อยเลยตามเลยให้ซุกซบจนพอใจ กลายเป็นที่มาของอาการเมื่อยขบในเช้านี้

   “บะกุ๊ดเต๋มาแล้วครับ” รุ่งภพร้องบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ช้อนกับตะเกียบเตรียมพร้อม แม้ก่อนหน้านี้จะยัดติ่มซำเข้าไปหลายเข่งแล้วก็ตาม

   ตรัยละเลียดจิบชาในถ้วยจนหมด มองบะกุ๊ดเต๋ในชามใบใหญ่อย่างนึกสนใจ “สั่งอะไรมา”

   “เครื่องในตุ๋นยาจีนครับ คนหาดใหญ่เขาเรียกบะกุ๊ดเต๋ มาถึงหาดใหญ่แล้วไม่กินแสดงว่ามาไม่ถึงนะครับ”

   “ขนาดนั้นเลย” ลองตักน้ำแกงขึ้นมาดมแล้วซดไปคำหนึ่ง รสชาติเข้มข้นมากและได้กลิ่นเครื่องยาจีนกลบจมูก “เหม็นฉุน”

   “หอมจะตาย น้ำแกงหว๊าน หวาน”

   “เอาไปกินคนเดียวเลยไป ยกให้” ตรัยยกให้โดยไม่นึกเสียดาย เขาชอบกินติ่มซำมากกว่า โดยเฉพาะซี่โครงหมูน้ำแดงกับปลากระพงทอดอบซอส ฮะเก๋ากับขนมจีบก็อร่อย มีให้เลือกหลายหน้า คุ้มค่ากับการต่อคิวยาวเป็นชั่วโมง

   “คุณไม่ชอบอาหารรสจัด กลิ่นแรงๆ เหรอครับ”

   “รู้ได้ไง?”

   “สังเกตเอาครับ ตอนไปร้านขนมจีนคุณก็ตักน้ำยาขึ้นมาดมก่อน”

   ความพอใจแล่นวาบในอก นอกจากคนในครอบครัวแล้วก็มีชายหนุ่มนี่แหละที่ใส่ใจ “ความจริงก็กินได้…แต่ถ้าเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง” เขาตอบตามความเป็นจริง “แล้วเธอล่ะ ไม่ชอบกินอะไรบ้าง”

   คนโดนถามกลับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เผลอคิดนานจนตรัยหลุดขำ

   จริงจังแค่ไหน...แค่ไหนเรียกจริงจัง

   “ไม่น่าจะมีใช่ไหม กินอะไรก็อร่อยไปหมดทุกอย่างแหละ”

   “ครับ แหะ แหะ” ยอมรับแต่โดยดี เขาเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย ถึงรสชาติอาหารจะห่วยสักแค่ไหนเขาก็ไม่เคยเททิ้งให้เสียของ

   “เลี้ยงง่าย”

   รุ่งภพขมวดคิ้ว รู้สึกทะแม่งกับคำชมอยู่บ้างแต่ไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจ “อิ่มแล้วครับ กลับกันเถอะ”

   ปากบอกอิ่มแต่สั่งชานมเย็นมากินอีกแก้วคืออะไร? ตรัยส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ส่งกุญแจรถให้รุ่งภพขับเช่นเคยเพราะเริ่มชินที่มีคนคอยขับให้

   “แวะเที่ยวสักหน่อยไหม ยังเช้าอยู่เลย”

   “ไม่รีบกลับเหรอครับ”

   ตรัยส่ายหน้า กวาดสายตามองกรุ๊ปทัวร์นานาชาติแห่รับบัตรคิวหน้าร้านแต่เตี้ยมที่พวกเขาจากมา “เธอรีบกลับหรือเปล่าล่ะ ถ้ารีบก็ไม่ต้องแวะ”

   “ไม่รีบหรอกครับ” คนทำงานหาเช้ากินค่ำแบบเขา ไม่มีธุระที่ไหนหรอก “คุณจะแวะเที่ยวที่ไหนบ้างล่ะครับ? บอกมาเลย”

   “ถ้ารู้คงขับเองแล้ว”

   ประโยคคุ้นๆ นะ “แล้วแต่ผมเลยใช่ไหมครับ?”

   ส่งเสียงอืมไปคำหนึ่ง ดวงตาจับจ้องไปยังวิวทะเลสาบระหว่างที่รถแล่นข้ามสะพานติณสูลานนท์ ป้ายบอกทางเคลื่อนผ่านจนเข้าสู่เขตอำเภอสทิงพระ ไม่นานก็ถึงซุ้มประตูวัดพะโคะ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในจังหวัดสงขลา

   วัดพะโคะแห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่และมีชื่อเสียงมายาวนาน ฝังวิสุงคามสีมาตั้งแต่ พ.ศ. 840 เป็นวัดสำคัญของจังหวัดสงขลา สมเด็จเจ้าพะโคะ หรือ หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดเคยจำพรรษาอยู่ในวัดแห่งนี้เมื่อนานมาแล้ว

    เราเดินขึ้นเขาพัทธสิงค์ด้วยบันไดนาคทอดยาวไปยังตัววัด ระหว่างเดินสวนกับนักท่องเที่ยวแม่ลูกคู่หนึ่งก็ทราบว่ามีทางขึ้นทั้งหมดสามทาง จะขับรถขึ้นไปด้านหลังหรือขึ้นลิฟท์ก็ได้ แต่พวกเราเดินขึ้นบันไดมาได้ครึ่งทางแล้วจึงไม่อยากย้อนกลับไปอีก

   ถึงช้าหรือเร็วก็ช่างมันเถอะ...เขาไม่รีบ

   พอได้ออกกำลังก็ได้เม็ดเหงื่อมาจนท่วมตัว รุ่งภพทิ้งให้เขานั่งพักอยู่คนเดียวตรงเชิงบันไดขั้นบนสุด ชายหนุ่มดูเหมือนจะชินชากับความร้อนจนไม่รู้สึกอะไร ตรงดิ่งไปนั่งขอพรพระสิวลีกลางแดดจ้าได้หน้าตาเฉย

   “ขออะไรนานแท้”

   “ขอให้รวย ขอให้ถูกหวยรางวัลที่หนึ่งครับ”

   “ถ้ามันง่ายขนาดนั้น คงถูกกันทั้งประเทศแล้ว”

   “คุณนี่! อย่าขัดลาภผมสิครับ”

   ตรัยถึงกับส่ายหน้า กล้าขึ้นเสียงดุเขาเพราะเรื่องไร้สาระเนี่ยนะ? “ไปข้างในกันเถอะ”

   “แป๊บนึงครับ”

   “.…” ส่ายหัวอีกครั้งแล้วนั่งรออย่างจำใจ รอจนกระทั่งธูปที่ชายหนุ่มจุดหงิกงอลงมาจนเป็นรูปร่างคล้ายกับ...ตัวเลข?

   อย่าบอกนะ...

   “ไปกันเถอะครับ เสร็จแล้ว”

   “ได้เลขอะไรมาล่ะ?”

   หัวเราะกลบเกลื่อนอาการเคอะเขินของตัวเอง “รู้ด้วยเหรอครับ”

   “ไม่รู้เลยมั้ง ใครมันจะบ้าไปนั่งจ้องขี้ธูปเหมือนเธอล่ะ”

   เถียงไม่ออกก็ยู่ปาก ผายมือให้เขาเดินนำเข้าวัดไปสักการะหลวงปู่ทวดด้านหน้ามณฑป เรากล่าวคำอาราธนาอย่างตั้งใจ ปิดทองรูปหล่อจำลองและถวายดอกไม้เป็นพุทธบูชา

   “อย่าเพิ่งไปนะครับ ขอเขย่าเซียมซีก่อน”

   “ขอหวยอีกแล้วเหรอ?” จะมากไปแล้วนะ

   “จะดูดวงครับ”   

   ติ้วไม้ในกระบอกสีแดงถูกเขย่าจนส่งเสียงกึงกังลั่นโบสถ์ การเขย่าติ้วก็ต้องลุ้นเช่นเดียวกันว่าจะได้ไม้ดีหรือไม้ร้าย...หรือไม่ก็อาจจะเทลงมาทั้งกระบอกเหมือนอย่างตอนนี้

   “ดวงแรงจังนะ”

   “อย่าแซวสิครับ” เขย่าใหม่อีกครั้งอย่างไม่นึกยอมแพ้ สุดท้ายติ้วไม้ก็หล่นออกมาหนึ่งอันตามความต้องการของชายหนุ่ม

   “คุณจะเขย่าไหมครับ”

   “ไม่เอาล่ะ ไม่ชอบดูดวงล่วงหน้า”

   หนุ่มใต้ยิ้มเจื่อน กราบลาพระแล้วเดินหาใบเซียมซี

   “ดีไหมล่ะ”

   “ดีมั้งครับ ผมจะได้โชคลาภแต่จะมีเรื่องให้เดือดเนื้อร้อนใจ”

   “อย่าไปยึดติดกับคำทำนายมาก จะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวเราทั้งนั้นแหละ”

   ชายหนุ่มทำเพียงแค่ยิ้มรับ ปล่อยคำทำนายไว้เบื้องหลัง ก้าวเดินต่อไปยังพระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ ตรัยยกมือขึ้นพนมแล้วกล่าวคำอธิษฐานต่อพระบรมสารีริกธาตุซึ่งประดิษฐานอยู่ในเจดีย์นั้น พวกเราเดินวนรอบโถงทางเดินจนรอบ ผลัดกันตีระฆังจนฝูงนกตีปีกบินหนีกันพึ่บพั่บ บางตัวก็พุ่งเข้าใส่พวกเราอย่างไร้ทิศทาง ทั้งคนทั้งนกต่างก็ตกใจไม่แพ้กัน

   “แกว๊ก!/แว๊ก!”

   รุ่งภพเอามือป้องหัวแล้วนั่งจุ้มปุ้กลงไปกับพื้น ส่วนเขาผงะหนีจนเกือบหงายหลัง พอตั้งตัวได้ต่างคนต่างก็หัวเราะออกมาอย่างขำขันกับท่าทางประหลาดของอีกฝ่าย

   นกเป็นฝูงเลยนะ บินชนไม่กลัวหรอก กลัวจะโดนจิกจนตัวลายเสียมากกว่า

   เจดีย์ขาวสะท้อนแสงแดดวาววับตัดกับจีวรสีเหลืองที่ห่อหุ้มอยู่ตรงเชิงฐาน นกแตกรังเมื่อครู่เริ่มรวมฝูงกันอีกครั้งแล้วบินกลับเข้าไปซุกซ่อนตามซอกหลืบใต้ยอดเจดีย์เก่า ตรัยละสายตาจากฝูงนกแล้วหันมองคนข้างกาย หลุดยิ้มอย่างพลั้งเผลอกับกิริยาอ้าปากหวอของชายหนุ่ม

   สนใจนกจนลืมเขาไปแล้วมั้ง

   “เดี๋ยวแวะกุฎิเจ้าอาวาสก่อนนะ ฉันจะทำบุญสมทบทุนสร้างอาคารปฎิบัติธรรมให้วัดสักหน่อย” บอกกับชายหนุ่มก่อนกลับ เขาโอนเงินเข้าบัญชีวัดไปจำนวนหนึ่ง ส่วนรุ่งภพขอร่วมทำบุญตามกำลังทรัพย์ที่ตัวเองมี เนื่องจากบริจาคไปไม่น้อยท่านเจ้าอาวาสเลยให้วัตถุมงคลกลับมาจำนวนหนึ่ง เขาเลยมอบให้รุ่งภพไปหนึ่งอัน เป็นเหรียญหลวงปู่ทวดเนื้อเงินลงยาสีฟ้าอมเขียว

   สีคล้ายกับน้ำทะเล

    “ราคาเช่าองค์นึงเป็นพันเลยนะครับ ผมไม่กล้ารับหรอก...เกรงใจ”

   “รับไปเถอะ อย่าขัดคำสั่ง”

   “แต่...”

   “ถ้าไม่อยากได้ฟรี งั้นหักจากเงินเดือนเธอก็ได้”

   “ขอบคุณมากครับที่ให้ฟรี”

   ตรัยหัวเราะขำ ตั้งแต่รู้จักกันมายังไม่เคยเห็นเงินของรุ่งภพกระเด็นออกจากเป๋าสักบาทเดียว “ให้ไปแล้วก็ใส่ด้วยล่ะ”

   “ไม่แถมสร้อยด้วยเหรอครับ”

   “ได้คืบจะเอาศอก” สำนึกซะที่ไหน ยังมากัดริมฝีปากมองตาวิ้งๆ อีกต่างหาก “งั้นเก็บไว้ที่ฉันก่อนแล้วกัน เดี๋ยวไปทำสร้อยมาให้”

   “ขอบคุณครับที่เมตตา”

   “หรือจะเก็บเอาไว้เอง เห็นเขาพูดกันว่าท่านศักดิ์สิทธิ์มาก พกติดตัวเอาไว้ ไปไหนมาไหนจะได้แคล้วคลาด”

   “ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้” ยิ้มแล้วชูข้อมือให้อีกฝ่ายดู “ผมมีหินปะการังแล้ว เป็นเครื่องรางเหมือนกัน”

   ตรัยคว้าข้อมือของชายหนุ่มแล้วดึงเข้ามาใกล้ เพ่งมองสร้อยข้อมือเชือกถักเก่าคร่ำร้อยเม็ดหินสีแดงขนาดเท่าลูกปัดแต่ผิวขรุขระ

   “ไปเอามาจากไหน”

   “จากพ่อครับ”

   “ความจริงมันเป็นสัตว์ไม่ใช่ปะการังหรอกนะ รู้ไหม” ปะการังแดงเป็นอัญมณีอินทรีย์ที่หายากและถูกควบคุมการค้าขายอย่างเข้มงวดภายใต้อนุสัญญาไซเตส จัดเป็นปะการังมีค่าเพราะเป็นปะการังน้ำลึก ไม่ใช่ปะการังน้ำตื้นที่พบเห็นได้ทั่วไป

   “รู้ครับ” ชายหนุ่มดึงมือออก ลูบคลึงหินบนสร้อยอย่างใจลอย “มันเป็นความเชื่อของพวกเรา ถ้าสวมใส่หินปะการังแดงจะช่วยปัดเป่าโชคร้ายและภัยอันตราย…มันเป็นของที่ผมกับแม่ช่วยกันหามาให้พ่อ แต่ตอนนั้นเราไม่ค่อยมีเงิน...ก็เลยได้มาแค่เศษเหลือของปะการัง”

   “แล้วพ่อของเธอ...ไม่ใส่มันแล้วเหรอ?”

   “พ่อเสียแล้วครับ ส่วนแม่…ก็แยกย้ายไปมีครอบครัวใหม่” เหลือทิ้งไว้แค่ความทรงจำที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่นัก

   ตรัยขยี้ผมของชายหนุ่มแล้วจับโคลงไปมาคล้ายปลอบประโลม ดูเหมือนคำถามของเขาจะกระตุ้นความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนักของชายหนุ่ม ถึงได้ก้มหน้าหลบซ่อนรอยรื้นในดวงตา

   “รุ่ง...กินไอติมไหม ฉันเลี้ยง”

   “หา?” แววตารื้นน้ำมองสบ สีหน้าสับสนและงุนงง “ไอติมเหรอ?”

   “อื้ม จะกินไหมล่ะ จอดขายอยู่ข้างรถเราน่ะ” ชี้ไปยังรถเข็นพ่วงข้าง แม่ค้ากำลังตักไอศกรีมใส่ถ้วยให้กับเด็กๆ ที่ยืนล้อมรถเข็นอยู่

   “กินครับ” น้ำเสียงยังฟังดูเลื่อนลอย แต่สัญชาตญาณความงกยังคงดีอยู่

   รุ่งภพวิ่งไปต่อแถวหลังเด็กๆ ส่วนเขามีหน้าที่คอยจ่ายตังค์ ดูเหมือนไอศกรีมกะทิสดจะช่วยเยียวยาจิตใจของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี...

   หรือเป็นเพราะได้กินของฟรีกันแน่นะ?

   ตรัยชักเริ่มไม่แน่ใจ 


TBC


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 8 l 3/9/62
«ตอบ #23 เมื่อ04-09-2019 00:06:15 »

 o13

 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 8 l 3/9/62
«ตอบ #24 เมื่อ04-09-2019 01:16:21 »

สนุกดีค่ะ​ อ่านเพลินเลย

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 9 l 4/9/62
«ตอบ #25 เมื่อ04-09-2019 22:10:50 »

บทที่ 9




   เสียงช้อนกระทบกับขอบจานดังต่อเนื่องพอๆ กับเสียงพูดคุย ฝั่งหนึ่งจ้วงเอาเหมือนตายอดตายอยาก ส่วนอีกฝั่งคุยจ้อกันหงุงหงิง ข้าวปลาไม่กินเพราะสนใจสารพัดครีมบำรุงผิวกันมากกว่า

   “พี่วินใช้ครีมของลาแมร์ด้วยเหรอคะ” สาวน้อยหนึ่งเดียวของบ้านถามด้วยน้ำเสียงอิจฉา เธอก็อยากใช้บ้างแต่ไม่มีปัญญาจะซื้อ

   “จริงๆ แล้วลาแมร์ไม่ค่อยช่วยให้หน้าใสเท่าไหร่นะ มันช่วยให้ความชุ่มชื้นกับผิวหน้ามากกว่า พี่เป็นคนหน้าแห้งมากๆ แล้วก็ลอกด้วย พอใช้ตัวนี้แล้วดีขึ้นก็เลยซื้อมาใช้เรื่อยๆ พวกริ้วรอยก็มาช้าลง ของแพงแต่ดี พี่เลยไม่ค่อยรู้สึกเสียดายเงินเท่าไหร่”

   มิ่งขวัญเบ้ปากใส่ ทำเป็นอวดร่ำอวดรวยใส่น้องสาวเขา แล้วไอ้ลาแมร์นี่มันคืออะไร? ใช่กาละแมหรือเปล่าวะ? “ผู้ชายอะไรวะมาร์คหน้าทาครีม”

   “งานของฉันต้องพบปะผู้คนเยอะแยะ จะปล่อยให้โทรมเหมือนนายได้ยังไง”

   “อย่างผมน่ะเหรอโทรม? ถ้าคนอย่างผมโทรมคุณก็ขี้โรคแล้ว อ้อนแอ้นอย่างกับผู้หญิง ไม่เห็นจะแข็งแรงตรงไหน”

   “อย่างน้อยฉันก็ดูดีกว่านายก็แล้วกัน ใช่ไหมคะ น้องมน” หันไปขอความเห็นจากมนชนก น้องสาวของมิ่งขวัญพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ไม่เห็นพี่ชายอยู่ในสายตา

   “พี่วินดูดีกว่าเยอะเลยค่ะ ต่างกันราวฟ้ากับเหว”

   “ไอ้มน! เดี๋ยวเอ็งอิโดนหักค่าขนม”

   “แม่! แลเพ่มิ่งถิ คนเขาแหลงความจริงกะรับหม้ายด้าย” เด็กสาวหันไปฟ้องแม่ด้วยน้ำเสียงงอแง

   “เอ็งเป็นน้องใครกันแน่ ทำไมไม่เข้าข้างพี่ตัวเองวะ” มิ่งขวัญไม่ยอมแพ้ น้ำมันจะมาข้นไปกว่าเลือดได้ยังไง

   “เว้ย เห็นกันโหย่ทนโท่ว่าใครดูดีกว่า หนูเป็นเด็กต้องหม้ายขี้ฮก”

   “ไอ้...”

   ปึง!

   “เวลากินข้าวไม่ใช่เวลาทะเลาะกัน เป็นพี่น้องกันพันพรือ? ตีกันได้ตีกันดี ถ้าไม่กินแล้วก็ออกไป แขกมาบ้านแทนที่จะต้อนรับ นี่อะไร? ไม่มีมารยาท”

   วงข้าวเงียบกริบเมื่อเจอฤทธิ์ของไต๋เมืองเข้าไป เด็กสาวดูจะสลดที่สุด คว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพายไหล่แล้วมองเขาตาละห้อย “งั้นหนูไปโรงเรียนก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”

   “หือ? ช่วงนี้ปิดเทอมไม่ใช่เหรอ ทำไมยังไปโรงเรียนอยู่ล่ะ” ธาวินถามด้วยความสงสัย

   “คุณครูนัดติวภาษาอังกฤษก่อนเปิดเทอมค่ะพี่วิน  คะแนนสอบหนูแย่ เทอมนี้ได้เกรดไม่ค่อยดีค่ะ”

   ธาวินส่งเสียงอืมในลำคอ “ตอนไปติวอ่ะ เวลาไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามครูเขาให้ละเอียด สมมติเขาสอนเรื่อง Tense เราก็ถามวิธีใช้แล้วลองเขียนตัวอย่างเป็นประโยคให้เขาดู ถ้าผิดเขาจะได้แก้ให้ อย่าท่องเป็นไดอะล็อก เวลาเปลี่ยนรูปประโยคเราจะไปไม่เป็น”

   “พี่วินพูดภาษาอังกฤษได้ไหมคะ”

   “ได้สิครับ พี่ทำงานโรงแรม ถ้าพูดไม่ได้นี่แย่เลยเพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติ”

   “พี่วินต้องพูดเก่งมากๆ แน่เลย สอนหนูบ้างสิคะ หนูก็อยากพูดได้บ้าง”

   “ถ้าสอนให้พูดสนทนาก็พอได้ แต่ถ้าหนูต้องใช้สอบ ให้คุณครูสอนจะดีกว่านะครับ” ธาวินไม่สามารถเก็งข้อสอบให้กับเด็กสาวได้เพราะไม่ใช่ครูสอนพิเศษ

   “งั้นเรียนกับคุณครูด้วยแล้วก็พี่วินด้วย”

   “ถ้าว่างพี่จะสอนให้นะ”

   “อย่าเลยครับ คุณมาทำงานให้คุณตรัยไม่ใช่เหรอ จะรบกวนกันเปล่าๆ” ไต๋เมืองไม่ค่อยเห็นด้วยนัก

   “ไม่เป็นไรหรอกครับไต๋ ผมคงอยู่ที่นี่อีกหลายอาทิตย์เลย ถ้าวันไหนว่างผมจะสอนให้ครับ ถ้าน้องเขาอยากเรียนผมก็เต็มใจสอน ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกครับ”

   “งั้นพักโหย่นี้เลยหม้าย เดี๋ยวน้าทำกับข้าวเลี้ยง ตอบแทนน้ำใจต่ะ”

   “เอ่อ...” ธาวินไม่คาดคิดว่าแม่ของเด็กสาวจะใจดีจนถึงขนาดชวนมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ เขาเหลือบไปมองลูกชายเจ้าของบ้าน อีกฝ่ายทำเพียงแค่ยักไหล่ไม่ออกความคิดเห็นใดๆ “ขอบคุณนะครับคุณน้า…แต่ผมก็เกรงใจเหมือนกัน เพิ่งจะรู้จักกันแท้ๆ”

   “พวกเราต่างหากที่ต้องเกรงใจ ค่าตอบแทนคุณก็ไม่เรียก จะให้มาสอนฟรีๆ ได้ยังไง” ไต๋เมืองเห็นด้วยกับภรรยา หากไม่ได้จ่ายเงินค่าจ้างก็ขอให้ได้เลี้ยงข้าวปลาอาหารตอบแทนก็ยังดี

   “มาอยู่ด้วยกันเถอะค่ะ แม่หนูทำกับข้าวอร่อยมากเลยนะ”

   “เขาไม่ใช่ไอ้รุ่งนะไอ้มน จะได้เอาของกินมาล่อเขานะ” มิ่งขวัญพาดพิงถึงเพื่อน ป่านนี้กลับถึงบ้านแล้วยังก็ไม่รู้

   “ผมขอคุยกับคุณตรัยก่อนนะครับ” ธาวินแบ่งรับแบ่งสู้ ถ้าอยู่กับคุณตรัยก็คงไม่พ้นกล่องข้าวเวฟกับอาหารตามสั่ง

   “คุณตรัยไปสงขลาไม่ใช่เหรอครับ เขาได้โทรมาบอกคุณไหมว่าจะกลับวันไหน” ไต๋เมืองก็เพิ่งจะทราบเมื่อเช้านี้ แถมยังรู้แบบกระชั้นชิดทั้งเรื่องของเจ้านายและเรื่องที่ธาวินมานอนค้างเมื่อคืนนี้

   “กลับวันนี้ครับไต๋ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่ากี่โมง”

   มิ่งขวัญหยิบกุญแจรถเมื่อได้ยินน้องสาวเอ่ยเรียกอย่างรีบเร่ง “คุณจะไปรอนายหัวที่แพปลาหรือเปล่า?”

   “ถามทำไม?”

   “ผมจะไปส่ง ยังไงก็ต้องไปทำงานที่โน่นอยู่แล้ว”

   “แวะส่งหนูที่ท่ารถก่อนนะ”

   “เออน่า รู้แล้ว” คนเป็นพี่พยักหน้าตัดความรำคาญก่อนจะหันไปส่งสายตาเร่งชายอีกคน “จะไปหรือไม่ไป…หรือจะรออยู่ที่นี่?”

   “ไปก็ได้ เดี๋ยวไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าก่อน”

   “นั่งอัดกันสามคนก็เต็มแล้ว ไม่มีที่ว่างให้กระเป๋าคุณหรอก”

   “อ้าว แล้วจะทำยังไงล่ะ” ของส่วนตัวเขาจะทิ้งไว้บ้านคนอื่นได้ยังไง

   “ก็ทิ้งไว้นี่ก่อน ถ้าคุณจะพักที่อื่นจริงๆ เดี๋ยวผมเอาไปให้ทีหลัง” เจ้าของกระเป๋าเสื้อผ้าเหลือบมองประตูห้องของมิ่งขวัญด้วยสายตาอาวรณ์ “ลีลาแท้ ตกลงมันเป็นกระเป๋าหรือลูกกันแน่ ต้องเข้าไปร่ำรามันก่อนไหม?”

   “ไอ้บ้า! จะไปก็รีบไปสิ” ดันหลังคนตัวใหญ่ลงบันไดแล้วก้าวตามลงไปติดๆ “ไปรถคันเมื่อคืนเหรอ?”

   “ก็ใช่ไง จะเอารถอะไรล่ะ? บ้านผมไม่มีรถเก๋งให้คุณนั่งหรอกนะ ไม่มีปัญญาซื้อ”

   “ฉันยังไม่ได้พูดอะไรซักคำ ก็เห็นเมื่อคืนน้ำมันหมดไม่ใช่เหรอ? หรือเติมแล้ว”

   “เติมแล้ว บ้านผมมีน้ำมันสำรอง”

   “ก็แค่นั้นแหละ พูดอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ” เขาใส่รองเท้าหนังของตัวเองแล้วเดินไปยืนรอหน้าบ้าน เห็นมนชนกกำลังนั่งเล่นอยู่กับหมาเลยเดินเข้าไปหาอย่างกล้าๆ กลัว “กัดไหมอ่ะ?”

   “ไม่กัดค่ะ” เธอชี้ไปยังหมาขนแต้ม “ตัวนี้ชื่อดาวเรือง”

   “น่ารักดี ขอมือหน่อยได้ไหม?” มันยอมทำความรู้จักกับเขาอย่างว่าง่าย แถมยังยกขาหน้าส่งให้อีกหลายครั้ง “แล้วตัวนั้นล่ะ”

   “ตัวนี้ชื่อตังเกค่ะ”

   “อ้วนตุ้บเชียว ทำหมันเหรอ?”

   “ตัวผู้ค่ะพี่”

   “อ้าวเหรอ?” ก็มันนอนทับพุงตัวเองอยู่ เขาจะไปเห็นได้ยังไง “ยินดีที่ได้รู้จักนะตังเก” ธาวินแบมือรอเก้อเพราะมันไม่ยอมส่งขาหน้ามาทำความรู้จักเขา...อินดี้เหมือนใครเนี่ย?

   “นั่งเล่นกับหมาอยู่นั่นแหละ เมื่อไหร่จะได้ไปกันสักที?”

   “ก็แล้วทำไมไม่เรียกล่ะ”

   “สาบานว่าไม่ได้ยินเสียงรถ?”

   “เออ ได้ยินแต่ไม่ลุก พอใจไหม”

   “ก็แค่นั้นแหละ คุณนั่งกลางนะ เดี๋ยวให้ยัยมนนั่งท้าย” มิ่งขวัญจัดแจง ให้เด็กผู้หญิงนั่งกลางก็ดูจะน่าเกลียดเกินไป ถึงจะเป็นพี่น้องกันแต่คนอื่นไม่ได้มารับรู้ด้วย ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็รวดเร็วไปหมดโดยเฉพาะข่าวสารที่ไม่ผ่านการกรอง

   ซอยเปลี่ยวในยามเช้ายังคงไร้ผู้คนเหมือนคืนที่ผ่านมา ความน่ากลัวลดลงไปบ้างแล้วเหลือแต่ความเงียบสงบภายใต้แสงแดดอุ่น ธาวินหันซ้ายหันขวาตลอดทางที่หนุ่มตัวโตขับผ่าน บ้านเรือนละแวกนี้สร้างด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ หากใครมีบ้านปูนก็มักจะสร้างแบบชั้นเดียวขนาดกะทัดรัด เกือบทุกบ้านมีคนอยู่ตลอด หากไม่ออกมานั่งทำปลาก็ออกมานั่งพูดคุยกับเพื่อนบ้านเหมือนเป็นกิจวัตรประจำวัน

   “อากาศดีจังเลย” ไม่ต้องสูดกลิ่นควัน ไม่ต้องผจญกับรถติดยาวเหยียด แม้จะเข้าสู่เขตของชุมชนมาได้สักพักหนึ่งแล้วแต่ก็ยังหายใจได้โล่งคอ

   “พี่มิ่งเร็วๆ รถจะออกแล้ว” เด็กสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังชี้มือไปยังท่ารถสองแถวที่จอดคอยอยู่หน้าตลาดแห่งหนึ่ง เธอตะโกนเรียกคนขับวัยดึกแล้วโบกมืออย่างร้อนรน

   “ขับอย่างกับเต่าคลาน”

   “เร็วได้แค่นี้แหละ”

   ธาวินส่ายหน้ากับคำตอบของชายหนุ่ม เขายกมือรับไหว้เด็กสาว สัญญาว่าจะโทรไปบอกถ้าตัดสินใจพักที่บ้านของเธอ

    หนุ่มตัวโตขับรถออกจากตลาดด้วยความเร็วคงที่แบบเต่ากัดยาง ธาวินถอนหายใจหนัก อยากจะนั่งหลับให้รู้แล้วรู้รอดไป ตื่นมาอีกทีก็ถึงแพปลาเลยอะไรงี้

   เอี๊ยดดดดดดด

   “เหวอ!” คนซ้อนร้องเสียงหลง ตวัดแขนรัดเอวหนาตามสัญชาตญาณ แรงเบรคทำให้ก้นของเขาไหลลงจากเบาะไปหาคนขับ ตอนนี้ตัวของเราแนบชิดติดกันมาก มีเพียงเสื้อผ้าที่ขวางกั้นระหว่างแผ่นอกราบเรียบกับแผ่นหลังกว้าง “เบรคทำไม?”

   “คางคกตัดหน้า”

   “...”

   ธาวินรู้สึกเหมือนโดนอะไรสักอย่างฟาดจนสมองมึนเบลอ เขามองสัตว์ตัวน้อยคล้ายกบแต่ผิวตะปุ่มตะป่ำกำลังกระโดดโหยงเหยงข้ามถนนอย่างใจเย็น

   คางคกก็มีชีวิต ถ้าเราเหยียบมันจนไส้แตกแล้วปล่อยให้รถคันอื่นทับซ้ำจนแบนติดถนนก็ดูจะโหดร้ายเกินไป ธาวินพยักหน้าคล้อยตามกับความคิดของตัวเอง เขาผละมือออกแล้วขยับก้นออกห่าง จัดท่านั่งให้กับตัวเองตามเดิม

   เอี๊ยดดดดดดด

   “เฮ้ย!” คราวนี้จิกเล็บเข้าไปที่เอวของคนขับด้วย แรงเบรคคราวนี้ทำให้แนบสนิทกันยิ่งกว่าเดิม แม้กระทั่งโคนขายังนาบติดจนสัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง “อะไรอีกล่ะคราวนี้?” กระชากเสียงถามด้วยความหงุดหงิด

   “แมลงสาบตัดหน้า”

   ความโมโหพุ่งปรี๊ดไปถึงสมอง ได้ยินเสียงวิ้งๆ ในหูกันเลยทีเดียว “แมลงสาบบ้าบออะไรมาวิ่งเล่นอยู่บนถนน นายแกล้งฉันหรือเปล่าเนี่ย? ไม่ตลกนะเว้ย”

   “แกล้งอะไรล่ะ มันเพิ่งวิ่งลงท่อระบายน้ำไปเมื่อกี้นี้เอง”

   แมลงสาบหรือหนูวะ วิ่งลงท่อระบายน้ำด้วย “หลอกกันป่ะเนี่ย?”

   “ผมจะหลอกคุณทำไมล่ะ เบรคกลางถนนแบบนี้อันตรายจะตาย ใครเขาทำกัน”

   มึงไง

   ธาวินเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาขยับตัวออกเพียงนิดแต่คราวนี้เกาะเอวสอบเอาไว้แน่น ไม่ปล่อยมืออีกเลยจนกระทั่งถึงแพปลา

   “เดินระวังๆ ด้วยล่ะ มันลื่น”

   ธาวินหมุนตัวมองรอบๆ แพปลาด้วยความแปลกใจ เขาเข้าใจผิดมาตลอด คิดว่าแพปลาคือโป๊ะที่ลอยอยู่ติดกับทะเลและมีเรือประมงจอดอยู่ล้อมรอบ อาคารที่เขาเห็นอยู่นี้ไม่คล้ายกับแพปลาในความคิดเท่าไหร่นัก โป๊ะที่จินตนาการเอาไว้คือเขื่อนกั้นน้ำยาวหลายสิบเมตร คล้ายกันอย่างเดียวคือเรือที่จอดเทียบท่า มีทั้งลำเล็กลำใหญ่ หลายขนาดและหลายสี

   “ระวังถัง!” ข้อศอกนุ่มถูกฉุดอย่างแรงด้วยน้ำมือของคนตัวโต ธาวินโดนดึงจนตัวเซ หลบถังที่เฉียดใบหน้าไปอย่างหวุดหวิดจากการชักรอกตามไลน์เชือก

   “เข้าไปนั่งรอในออฟฟิศก่อนไป เดี๋ยวผมแจ้งเสมียนให้ อยากได้อะไรก็บอกเขา” มิ่งขวัญพยักหน้าไปทางออฟฟิศ ให้ไปอยู่ข้างในคงดีกว่า จะได้ไม่ต้องเกะกะวุ่นวายคนทำงาน

   “ยังไม่เข้าหรอก เดี๋ยวรอให้คุณตรัยมาก่อนดีกว่า”

   “ไม่เข้าแล้วจะไปอยู่ที่ไหน?”

   “อยู่กับนายไง อยู่ด้วยได้เปล่า”

    “ผมต้องทำงาน”

   “ก็ทำไปสิ ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”

   “ตลกละ คุณจะไปนั่งดูผมทำงานหรือไง?”

   “อืม” พยักหน้ายืนยัน ยังไงก็จะไป

   “เออ! จะไปก็ไป” จำยอมอย่างไม่ค่อยพอใจ “เคยเห็นแต่คนอื่นเขามีเมียไปนั่งเฝ้า กูนี่อะไรวะ? เมียก็ไม่ใช่ แถมยังเป็นตัวผู้อีกต่างหาก”

   “พูดอะไรงึมงำๆ”

   “ไม่ต้องรู้ทุกเรื่องก็ได้มั้งคุณ”

   พวกคนงานในห้องเย็นโห่แซวกันใหญ่ตอนเห็นหนุ่มหน้าตาดีเดินตามหลังเขามาต้อยๆ  ธาวินค่อนข้างเป็นกันเองและไม่ได้ถือตัวกับคนงานหาเช้ากินค่ำอย่างพวกเรา ทั้งยังสามารถพูดคุยได้อย่างลื่นไหล แม้จะติดขัดในเรื่องภาษาอยู่บ้างแต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคอันใด

   หนุ่มตัวโตแอบยิ้ม เผลอจ้องมองเสี้ยวหน้าขาวใสอย่างลืมตัว..

   ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดนี่หว่า



TBC

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 9 l 4/9/62
«ตอบ #26 เมื่อ04-09-2019 23:12:45 »

 :pig4:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 9 l 4/9/62
«ตอบ #27 เมื่อ05-09-2019 23:44:31 »

 :L2: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 9 l 4/9/62
«ตอบ #28 เมื่อ06-09-2019 20:39:28 »

บทที่ 10




   ตรัยถอนหายใจขณะย้ำปลายเท้าเพื่อเหยียบเบรค เขายึดรถมาขับเองตั้งแต่ออกจากวัดแล้ว เราไม่แวะที่ไหนอีกเลยนอกจากเติมน้ำมันและเข้าห้องน้ำ หากไม่ติดทางเลี่ยงขุดเจาะถนนก็คงจะถึงกระบี่ตั้งนานแล้ว รถติดยาวขนาดนี้กว่าจะถึงก็คงมืดค่ำ ขนาดรุ่งภพหลับไปหลายตื่นแล้วยังไปไม่ถึงไหนเลย

   เขาต้องโทรไปบอกธาวินให้ค้างที่บ้านของมิ่งขวัญอีกหนึ่งคืนเพราะคงกลับไปไม่ทันช่วงหัวค่ำ ป่านนี้แพปลาคงปิดไปแล้ว คงไม่ดีนักถ้าจะให้อยู่รอ

   “หิวหรือเปล่า?” ตุ๊กตาหน้ารถของเขาพยักหน้าแล้วส่ายหัว ตรัยถึงกับหลุดหัวเราะหลังคร่ำเคร่งจากการขับรถมาเป็นเวลานาน “ตกลงหิวหรือไม่หิวกันแน่”

   “ก็นิดนึงครับ...แต่ไม่อยากแวะที่ไหนแล้ว”

   “แบตหมดแล้วเหรอ? เสียงหงอยเชียว” ปกติจะร่าเริงอยู่ตลอด ต่อให้ง่วงแค่ไหนก็ยังสดใสแบบมึนๆ อาจจะเหนื่อยและเพลียจากการเดินทาง

   หนุ่มใต้เหล่มองเขาแล้วยิ้มรับ หลังจากหลุดพ้นจากเส้นทางติดขัดก็ยิงยาวแบบโล่งๆ คราวนี้รุ่งภพจ้องถนนตาเขม็ง คงกลัวว่าเขาจะขับเลยทางเข้าบ้านของตัวเอง “เบาหน่อยครับ จะถึงแล้ว”

   “มืดมาก น่าจะติดไฟทางเอาไว้สักหน่อย” ตรัยบ่นขณะเลี้ยวรถเข้าซอย

   “ใครจะติดล่ะครับ ไม่ใช่ถนนสาธารณะสักหน่อย” ก็แค่ทางตัดผ่านสวนมะพร้าว เป็นถนนร่วมแต่ส่วนบุคคล

   “ไม่มีทางเข้าออกทางอื่นแล้วเหรอ?”

   “มีครับแต่ต้องอ้อม มันไกล”

   น่าจะไกลมากจนต้องมาใช้ทางเข้าออกเปลี่ยวร้างขนาดนี้

   ตรัยชะลอรถเมื่อเห็นเงาตะคุ่มของต้นหูกวางริมชายหาด บริเวณนี้ค่อนข้างปลอดโปร่งไร้สิ่งบดบัง สามารถมองเห็นทัศนียภาพโดยรอบได้ผ่านแสงเงาสลัวจากดวงจันทร์เว้าแหว่งบนท้องฟ้า

   “เดี๋ยวหยิบถุงขนมตรงเบาะหลังไปกินด้วยนะ ฉันให้”

   “ขอบคุณครับ” ดูเหมือนขนมฟรีจะเรียกความกระฉับกระเฉงกลับมาได้บ้าง พอปลดสายคาดเบลท์เสร็จก็เอี้ยวตัวข้ามเบาะไปคว้ามาทันที

   “เหวอ!”

   ตรัยหันขวับไปมองตามร้องเสียงร้อง ตวัดมือคว้าเอวของชายหนุ่มเอาไว้ได้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะทิ่มหัวลงไปปักบนพื้นรถ “เป็นอะไรหรือเปล่า?”

   “ไม่ๆๆ ดึงผมขึ้นไปหน่อย” รุ่งภพยันตัวขึ้นตามแรงดึงตรงบั้นเอว “เอื้อมไปหยิบไม่ถึงอ่ะครับ รถคุณกว้างชะมัด”

   “มันเป็นความผิดของรถฉันหรือไง? แทนที่จะลงไปเปิดประตูแล้วหยิบ นี่อะไร? มักง่าย”

   คนโดนดุหน้าจ๋อย นั่งตัวลีบเถียงไม่ออก “ขอโทษครับ”

   ตรัยส่ายหัวแล้วลงไปหยิบถุงขนมด้วยตัวเอง รุ่งภพตามลงมาอย่างอ้อยอิ่ง พอโดนดุก็ไม่อยากได้ขนมฟรีแล้ว อยากหนีเข้าบ้านมากกว่า

   “เอาไป”

   “ขอบคุณครับ”

   “ทำหน้าเหมือนไม่อยากได้ เมื่อกี้ยังยิ้มดีใจอยู่เลย” หลายอารมณ์เหลือเกินวันนี้

   “เปล่าครับ” รับมาถือไว้ ก้มหน้ามองพื้นทรายไม่กล้าสบตาเหมือนเช่นเคย

   “เด็กจริงๆ โดนดุแค่นี้ก็น้อยใจแล้ว” ตรัยดีดหน้าผากชายหนุ่มด้วยความเอ็นดู รุ่งภพร้องประท้วงลูบหัวตัวเองป้อยๆ “ถ้าไม่ได้อ่านประวัติเธอมาก่อน ฉันคงไม่เชื่อว่าเธอเป็นหัวหน้าคนงานแน่ๆ”

   “คุณอ่านประวัติผมด้วยเหรอครับ” ตาโตขึ้นมาเชียว

   “ตกใจทำไม? ก็ประวัติที่เธอกรอกเอาไว้ตอนสมัครงานนั่นแหละ” เขาไม่ได้ไปขุดคุ้ยอะไรสักหน่อย แค่ดูอายุงาน ประวัติการศึกษาแล้วก็ความสนใจของชายหนุ่มเท่านั้นเอง “เธอชอบทำงานประดิษฐ์เหรอ?”

   “ห๊ะ?”

   “เห็นเขียนเอาไว้ในงานอดิเรก หรือเขียนไปงั้นๆ”

   “อ๋อ” รุ่งภพจำไม่ค่อยได้แล้วว่ากรอกอะไรลงไปในใบสมัครบ้าง คุ้นๆ ว่ามีงานอดิเรก ความสามารถพิเศษแล้วก็อนาคตที่คาดหวังไว้ “ผมชอบประดิษฐ์ของ DIY ครับ พวกของเหลือใช้ ของรีไซเคิลอะไรพวกนี้”

   “ทำไมถึงเลือกเรียนช่างล่ะ น่าจะไปเรียนพวกออกแบบ จะได้ทำงานด้านนี้โดยตรง”

   “ผม...เรียนตามเพื่อนอ่ะครับ ตอนนั้นไม่รู้จะเรียนอะไร พอจบก็ทำงาน ไม่ได้เรียนต่อเหมือนคนอื่นเขา” ช่วงนั้นพ่อเขาเสียพอดี แม่ก็มีครอบครัวใหม่เลยไม่อยากไปรบกวนเท่าไหร่นัก

   “แล้วอยากเรียนต่อหรือเปล่า”

   “ถ้ามีโอกาสก็อยากเรียนครับ...แต่คงไม่ใช่ตอนนี้” เขายังไม่พร้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินหรือเรื่องเวลา

   ตรัยพิงแผ่นหลังกับตัวรถ ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับ “นั่นเรือเธอหรือเปล่า?”

   เจ้าของบ้านมองตามสายตาของคนถาม เห็นเรือหัวโทงจอดเกยหาดในสภาพเอียนเอง “เรือของพ่อผมครับ ต่อเอาไว้นานแล้ว”

   “เธอใช้อยู่เหรอ? ทำไมจอดตากแดดตากลมเอาไว้แบบนั้น”

   “ใช้บ้างครับ นานๆ ที”

   ตรัยเลิกคิ้ว หันกลับมาจ้องชายหนุ่มด้วยแววตาสงสัย “เธอคงไม่ได้ขับเรือไปทำงานหรอกใช่ไหม?”

   เจ้าของบ้านระเบิดเสียงหัวเราะ ความจริงก็ขับไปได้แต่มันไม่มีที่จอดให้เรือเล็กอย่างเขาเนี่ยสิ “อยากขับไปเหมือนกันครับถ้ามันมีที่ให้เรือเล็กจอด”

   “แล้วจอดไม่ได้เหรอ”

   “ก็จอดได้แต่มันจะเกะกะเรือใหญ่เขา บ้านผมอยู่ใกล้เดินตัดหาดเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว ส่วนเรือนี่ก็เอาไว้ใช้ตอนหน้ากุ้งหน้าปูเยอะๆ จับเองขายเอง กำไรจะดีกว่า”

   “ถ้ากำไรดี ทำไมถึงมาทำงานในแพปลาล่ะ”

   “กุ้งกับปูมีหน้ามีฤดูของมันครับ ไม่ได้มีเยอะทุกวัน ปีนึงแทบจะนับครั้งได้เลย ถ้าทำงานในแพจะมั่นคงกว่าครับ”

   ตรัยพยักหน้ารับฟัง การทำประมงไม่ว่าจะเรือเล็กหรือเรือใหญ่ล้วนไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากความสามารถเฉพาะตัวแล้วยังต้องอาศัยปัจจัยภายนอกอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ ฤดูกาลหรือแม้กระทั่งวงจรชีวิตของสัตว์น้ำ ไม่ใช่นึกจะจับก็ออกเรือไปได้เลย มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

   อาหารทะเลแพงเพราะมันหายาก เขาเริ่มเข้าใจคนทำประมงมากขึ้นหลังจากได้เข้ามาสัมผัสด้วยตัวเอง

   ตรัยลอบมองหนุ่มใต้ตอนเผลอ เขาโชคดีที่ได้รู้จักกับรุ่งภพ หากไม่มีชายหนุ่มเขาก็คงจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มแก้ปัญหาจากตรงไหนเพราะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงานประมงเลย แม้จะนึกขอบคุณอีกฝ่ายแต่ก็ไม่ได้พูดมันออกมา เอาไว้จบปัญหาทั้งหมดเมื่อไหร่ เขาจะตอบแทนชายหนุ่มให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำให้ได้






   เอกสารหลายฉบับถูกพลิกไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนเกิดรอยยับ ธาวินมีสีหน้าเคร่งเครียดเป็นระยะขณะกดเครื่องคิดเลขคำนวณส่วนต่างที่สูญเสียไป ชายหนุ่มยึดเอาจำนวนปลาในล็อคบุ๊คเป็นตัวเลขต้นฉบับ คิดค่าเสียหายคร่าวๆ ได้ตัวเลขถึงหกหลักเลยทีเดียว

   “ฉันสงสัยคนขับรถส่งปลา”

   ธาวินพยักหน้าเห็นด้วย “มีความเป็นไปได้สูงครับ เพราะถ้าขึ้นปลาตามน้ำหนักที่แจ้งไว้ในล็อกบุ๊คก็ไม่น่าจะหายไปเยอะขนาดนี้”

   “หักปลาชนิดอื่นออกแล้วหรือยัง เราไม่ได้ส่งไปขายที่สงขลาทั้งหมดนะ” ตรัยเอ่ยปากเตือน เขายังจำปลาเลยที่รุ่งภพบอกได้

   “ผมหักออกแล้วครับ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม คนออกเอกสารต้องมีเอี่ยวด้วยแน่นอน ส่วนจะไปถ่ายโอนกันยังไง คงต้องเค้นกันอีกที”

   “แต่เราไม่มีหลักฐาน”

   “ก็พอมีครับ...แต่ยังอ่อนเกินไป พวกใบแจ้งหนี้กับใบเสร็จพวกนี้มันเมคได้ แค่ปรินท์จากคอมพ์ก็เสร็จแล้ว จะเอากี่แผ่นก็ดูไม่ออกหรอกครับว่าอันไหนตัวจริงตัวปลอม เดี๋ยวผมจะเคลียร์ระบบออกเอกสารใหม่ ใช้กระดาษ 4 Copy ไปเลยครับ ประทับตราต้นฉบับให้ลูกค้าเซ็นต์แล้วก็ให้ต้นฉบับเขาไป ส่วนเราก็เก็บสำเนาเอาไว้สามแผ่น กระจายกันเก็บ จะได้ยันกันได้”

   “จัดการให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้ได้ไหม แล้วก็ให้ช่างมาแฮกพาสเวิร์ดในคอมพ์ของลลิตาด้วย ฉันอยากได้ข้อมูลในนั้น”

   “ได้ครับ วันหยุดผมจะให้ช่างเข้ามาทำ” วันหยุดทางสะดวก จะทำอะไรก็ง่ายเพราะไม่มีใครเข้ามาทำงาน เจ้าของเครื่องจะไม่มีทางรู้เลยว่าใครเข้ามาทำอะไรกับคอมพิวเตอร์ของตัวเองบ้าง “ถ้าในไฟล์งานเธอบันทึกยอดตรงตามล็อกบุ๊คก็ง่ายครับ...แต่ถ้าไม่”

   “เราก็จะไม่มีหลักฐานอะไรเลย นอกจากล็อกบุ๊คแค่เล่มเดียว”

   “อย่างน้อยมันก็เป็นหลักฐานที่ใช้ส่งให้กับศูนย์ไปโป้นะครับ ก็มีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง”

   ตรัยพยักหน้าแต่ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่นัก หลักฐานยังอ่อนเกินไป ยากต่อการสอบสวน “เรื่องที่พักว่าไง? ตกลงพักกับมิ่งขวัญแน่แล้วใช่ไหม”

   “ครับ ว่าจะอยู่สอนอิงค์ให้ลูกของไต๋เมืองเขาน่ะครับ แลกกับค่าอาหารแล้วก็ที่พัก”

   “ไม่เหนื่อยเกินไปเหรอ? ยังไงฉันก็ออกค่าที่พักกับค่าอาหารให้อยู่แล้ว”

   “ไม่หรอกครับ น้องเขาก็ตั้งใจเรียนดี สอนง่ายครับ ไม่เหนื่อย”

   “ลูกชายของไต๋น่ะเหรอ”

   “ใช่ที่ไหนล่ะครับ สอนให้ลูกสาวคนเล็กของเขาต่างหาก ที่โรงเรียนเขาสอนแต่ทฤษฏี น้องจะจบ ม.ปลายอยู่แล้วแต่ยังพูดงูๆ ปลาๆ อยู่เลย”

   “ตามใจก็แล้วกัน ส่วนเบี้ยเลี้ยงฉันยังให้เหมือนเดิมนะ เดี๋ยวโอนเข้าบัญชีให้”

   “ขอบคุณครับ เจ้านายใจดีขนาดนี้ ขออยู่ยาวสักปีเลยได้ไหม”

   “อยู่ได้...แต่ต้องย้ายมาทำงานที่นี่นะ ส่วนเบี้ยเลี้ยงก็งดไป อ้อ...โบนัสก็ต้องลดลงด้วย ตามผลประกอบการ”

   “พูดเล่นครับบอส ใจเย็นๆ” ขืนย้ายมาอยู่จริง เงินเดือนคงลดฮวบฮาบจนใจหาย ตามผลประกอบการงั้นเหรอ? ขอกลับไปอยู่กรุงเทพตามเดิมดีกว่า

   ตรัยกระตุกยิ้ม เขาใจดีเป็นบางเรื่องเท่านั้น ส่วนเรื่องไหนที่ไม่เห็นด้วยอย่าหวังว่าจะได้อะไรไปจากเขา “อยากได้อะไรก็หาเอานะ อยู่ในห้องนี้แหละ ฉันขนมาหมดแล้ว”

   “อ้าว แล้วคุณจะไหนล่ะครับ ไม่อยู่ดูเอกสารด้วยกันเหรอ?”

   “จะเอาขนมไปฝากเด็กสักหน่อย ไม่เจอหลายวันแล้ว หายไปไหนก็ไม่รู้”

   “เด็กที่ไหนครับ?”

   “เพื่อนของมิ่งขวัญไง” เดินไปหยิบขนมปังปิ้งสังขยาบนโต๊ะรับแขก กลิ่นเนยนมหอมฟุ้งจนเห็นธาวินแอบกลืนน้ำลาย

   “รุ่งภพน่ะเหรอครับ”

   “ใช่…ก็มีอยู่คนเดียวนั่นแหละ”

   ธาวินจำชายหนุ่มร่างเล็กได้เพราะอีกฝ่ายมาหามิ่งขวัญตั้งแต่เช้าตรู่ เขาตื่นมาก็เจอชายหนุ่มนั่งรอกินข้าวอยู่ก่อนแล้ว เป็นเด็กอัธยาศัยดีต่างกับเพื่อนอีกคนลิบลับ

   รวมไปถึงหมาอ้วนจอมหยิ่งนั่นด้วย

   ทั้งเพื่อนทั้งหมาไม่ได้นิสัยดีๆ จากชายหนุ่มมาเลยสักนิด


 TBC


ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
บทที่ 11




   แอร์ตัวเก่าในห้องสอบสวนไม่ได้ช่วยให้เย็นขึ้นหนำซ้ำยังส่งกลิ่นอับเจือจางเนื่องจากน้ำยาแอร์เริ่มเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน ตรัยยกขาขึ้นไขว่ห้างแล้วประสานมือเอาไว้บนหน้าตัก หลังจากนั่งฟังผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งพล่ามถึงชีวิตประจำวันและการทำงานในตำแหน่งเสมียนมานานนับชั่วโมง

   “เอาล่ะครับ คุณลลิตา หลังจากชิ้วเรือส่งใบแจ้งน้ำหนักปลามาให้แล้ว คุณถึงจะออกใบส่งของพร้อมกับใบแจ้งหนี้ไปให้กับลูกค้าใช่ไหมครับ พอปลาถึงมือลูกค้า คนขับรถส่งปลาก็จะเอาสำเนาอีกใบให้ลูกค้าเซ็นแล้วดึงกลับ ซึ่งเอกสารตรงนี้มันตรวจสอบได้ยากเพราะไม่ใช่เอกสารออกเป็นชุด มีสำเนา มีลายเซ็นก็จริงแต่มันปลอมแปลงได้ง่าย ในฐานะที่คุณเป็นคนออกเอกสาร คำถามแรกก็คือ ทำไมน้ำหนักปลาในล็อกบุ๊คกับใบแจ้งหนี้ถึงไม่ตรงกันครับ”

   ตำรวจสอบสวนทวนรายละเอียดและชี้แจงหลักฐานให้ผู้ต้องสงลัยทราบหลังจากส่งหมายเรียกเชิญให้เธอมาสอบปากคำ ยังไม่มีการปรักปรำหรือยัดเยียดข้อหาใดๆ เพราะหลักฐานค่อนข้างอ่อน แค่เรียกเข้ามาชี้แจงและรับทราบข้อกล่าวหาเท่านั้น เนื่องจากเธอเป็นเสมียนบัญชี พวกเอกสารการเงินเธอจะเป็นคนจัดการทั้งหมด ทางนายจ้างจึงตั้งข้อสันนิษฐานให้เธออยู่ในฐานะผู้ต้องสงสัยลำดับแรก

   “ฉันก็เอาตัวเลขมาจากชิ้วเรือนั่นแหละค่ะ ทำไมคุณตำรวจไม่เรียกเขามาสอบปากคำด้วยล่ะ?”

   “ทางนายจ้างไม่ได้สงสัยเขานี่ครับ”

   “เขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องเหมือนกัน ทำไมยัดเยียดข้อกล่าวหาให้ฉันคนเดียวล่ะคะ” หญิงสาวไม่ยอม ส่งเสียงโวยวายจนตำรวจต้องปรามให้เบาลง

   “เขาแค่จดตัวเลขตามตราชั่ง มีพยานรู้เห็นเยอะแยะ ส่วนเธอน่ะ ตอนออกเอกสารมีใครเห็นตัวเลขในนั้นบ้างล่ะ” ตรัยตอบกลับเสียงเย็น ไม่แม้แต่จะเหลือบมองเธอ

   “มีพยานรู้เห็นแล้วไง ตัวเลขตั้งเยอะตั้งแยะ ใครมันจะไปจำได้หมด เขาอาจจะเขียนใส่ในล็อกบุ๊คอีกอย่าง เอามาส่งให้ฉันอีกอย่างก็ได้ ใครจะไปรู้”

   “ฉันมีแบบฟอร์มที่เขาเอามาส่งให้เธอ ตัวเลขมันตรงกับในล็อกบุ๊ค”

   หญิงสาวเผลอกระถดตัวหนีเมื่อถูกคาดคั้นด้วยสายตาคมดุ “ขะ..เขาส่งมาตั้งหลายแผ่น คุณมีทุกฉบับหรือเปล่าล่ะ”

   ตรัยชะงัก เริ่มไขว้เขวเพราะไม่เคยตรวจตัวเลขด้วยตัวเอง

   เขาอาจจะไว้ใจรุ่งภพมากเกินไป

   “ถ้าไม่แน่ใจก็อย่าด่วนปรักปรำกันสิคะ แบบนี้ประวัติของฉันเสียหายนะคะ ใครจะรับผิดชอบ”

   ตำรวจรีบเข้ามาไกล่เกลี่ยเมื่อเห็นเธอทำท่าจะโวยวายไม่ยอมหยุด “ใจเย็นก่อนครับ เดี๋ยวผมจะเรียกชิ้วเรือมาสอบปากคำอีกคนหนึ่ง ทางนายจ้างไม่มีปัญหาใช่ไหมครับ”

   ตรัยเหลือบมองธาวินที่นั่งรออยู่ในห้องแล้วพยักหน้าอนุญาต แค่สอบปากคำคงไม่มีปัญหาอะไร “แล้วจะเอายังไงกับเธอต่อล่ะครับ”

   “คดีฉ้อโกงเป็นคดีอาญาก็จริงแต่คงต้องดูที่เจตนากันก่อน อีกอย่างหลักฐานก็ยังไม่แน่ชัด คงต้องปล่อยตัวไปก่อนล่ะครับ เดี๋ยวค่อยเรียกมาสอบปากคำเพิ่ม”

   หญิงสาวยิ้มเหยียด ใบหน้าบิดเบี้ยวจากความดีใจ “งั้นฉันขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะคะ หวังว่าจะจับคนผิดได้เร็วๆ”

   “ถ้าเธอหนีล่ะครับ” ธาวินรู้คำตอบอยู่แล้วแต่ต้องการขู่ให้เธอกลัว

   “ถ้าหนี คุณลลิตาจะตกเป็นผู้ต้องหาทันทีครับ สามารถจับกุมได้เลยทันที”

   “ถือว่าเข้าใจตรงกันแล้วนะครับ คุณลลิตา”

   หญิงสาวเม้มปาก ดวงตาสั่นไหวกับคำขู่ของธาวิน “เข้าใจดีเลยค่ะ ขอตัวนะคะ”

   “เดี๋ยวก่อน”

   “คุณตรัยจะยัดเยียดข้อหาอะไรให้ฉันอีกล่ะคะ”

   “ฉันจะพักงานเธอตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ไม่ต้องเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศแล้วจนกว่าคดีจะปิด”

   “ถ้าพักงานฉันก็ต้องพักงานไอ้รุ่งด้วย แบบนี้สิถึงจะยุติธรรมกับทุกคน...ใช่ไหมคะคุณตำรวจ?” เธอไม่ยอมถูกมองไม่ดีคนเดียวหรอก

   “อ่า...อยู่ในดุลพินิจของนายจ้างครับ”

   “ได้…” ตรัยยืนขึ้น ดวงตาแข็งกร้าวขณะจ้องมองเธอ “ฉันพักงานเขาด้วยก็ได้ เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะอยู่ใครจะไป”

   หญิงสาวหน้าซีดเผือด ไม่กล้าสู้สายตากับชายหนุ่ม จึงหลบเลี่ยงออกมาจากห้องสอบสวนอย่างรวดเร็วจนเกือบจะกลายเป็นวิ่งหนี

   หลังจากลลิตากลับไปแล้ว ตรัยก็เรียกธาวินมานั่งด้วยกันหน้าโต๊ะสอบสวน “ผมสงสัยคนขับรถส่งปลาด้วย เขาชื่อยติ เป็นช่างเครื่องเรือ”

   “เป็นช่างเครื่อง? ทำไมถึงมาขับรถส่งปลาได้ล่ะครับ”

   “คนที่แพขาดพอดี เขาก็เลยอาสา แถมยังขับไปคนเดียวด้วย ไม่ให้ใครตาม”

   ธาวินยื่นรูปถ่ายและประวัติการทำงานให้ตำรวจดู “ตั้งแต่คุณตำรวจส่งหมายเรียกไปให้ลลิตา เขาก็ไม่มาทำงานอีกเลยครับ ผมให้ไต๋ไปตามที่บ้านเช่าก็ไม่เจอ แบบนี้มันมีพิรุธนะครับ”

   “มีพิรุธจริงๆ นั่นแหละครับ เดี๋ยวผมตามให้แล้วกัน ปัญหาจริงๆ มันอยู่ตรงเอกสารพวกนี้มากกว่า ใครพูดจริงพูดเท็จกันแน่?”

   ตรัยเหลือบมองเอกสารในมือของตำรวจหนุ่ม ใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตาเยือกเย็น








   
   “รางวัลเลขท้าย 2 ตัว เลขที่ออก...”

   ทุกคนหยุดงานในมือแล้วเดินเข้ามารุมล้อมทีวีจอแบนตรงเสาต้นเขื่อง เสียงลูกบอลสีแดงหมุนกุกกักตามแรงหมุน เจ้าหน้าที่สาวในจอทีวีเปิดภาชนะเมื่อผู้มีเกียรติตักลูกบอลนำโชคส่งให้

   “2...9 ฟังอีกครั้งนะคะ 2...9”

   “ปั๊ดโธ่เว้ย!”

   “กูว่าแล้ว”

   “เอ็งกะแหลงงี้ทุกงวดแหละ งวดเท่แล้วกะพูดงี้” เสียงโห่ร้องอย่างสิ้นหวังดังระงมไปทั่วอาคาร คนอับโชคเดินคอตกกลับไปทำงานต่อ รอลุ้นกันใหม่ในงวดหน้า

   “ถูกล่ะสิมึง เก็บเงียบเชียวนะ” มิ่งขวัญกอดคอเพื่อนสนิท ยิ้มหน้าบานขนาดนี้ ใครๆ ก็ดูออก

   “กูคือผู้รอดชีวิตหลังสี่โมงเย็นเว้ย”

   “ไอ้สัด! ไม่บอกกู มึงไปเอาเลขเด็ดมาจากไหนวะ”

   “จากสงขลาไง ขากลับคุณตรัยเขาแวะไหว้พระด้วย กูนั่งรอขี้ธูปเป็นชั่วโมง โดนคุณตรัยบ่นจนหูชา”

   “แล้วนายหัวถูกไหม?”

   “ไอ้บ้า คนรวยเขาไม่เล่นหวยกันหรอก”

   “มึงรู้ได้ไง เถ้าแก่ยังเล่นเลย”

   “เออว่ะ”

   “ไม่รู้ล่ะ เย็นนี้มึงต้องเลี้ยงเหล้ากู เดี๋ยวกูตามพี่ณัฐมาแดกด้วย”

   “เลี้ยงห่าอะไรล่ะ กูต้องเอาล็อตเตอรีไปขึ้นเงินก่อน”

   “โอ้โห ถูกสลากกินแบ่งซะด้วย ไม่ธรรมดา”

   “ปกติแดกกูทุกงวดไง เพิ่งจะแบ่งกูงวดนี้แหละ”

   “อย่าเผลอทำหล่นนะมึง”

   “ไม่กลัว กูประทับดีเอ็นเอเอาไว้แล้ว แผล่บๆ” แลบลิ้นล้อเลียนข่าวดัง หลังจากเทหมึกกล้วยใส่ถาดสแตนเลสแล้ว เราสองคนก็ทำการคัดแยกขนาดตัวและความสมบูรณ์ของเส้นหนวดลงตะกร้าสำหรับชั่ง คนรอบตัวเขายังคงพูดเรื่องหวยไม่ยอมจบสิ้น เพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่นาทีก็เก็งงวดใหม่กันต่อแล้ว

   ชายหนุ่มยกตะกร้าใส่หมึกหกใบลงรถเข็นแล้วออกแรงลากไปยังตาชั่ง สวนทางกับเสมียนบัญชีซึ่งขับมอเตอร์ไซค์ป้ายแดงเข้ามาพอดี เขาคงไม่สนใจถ้าเธอไม่ทำสีหน้าบูดบึ้งเหมือนไปกินรังแตนที่ไหนมา แถมยังร้อนรนขนของเข้าออก พอเพ่งมองดีๆ แล้วถึงรู้ว่าเป็นของใช้ส่วนตัวบนโต๊ะเธอ

   “พี่หมิวจะขนไปไหนเหรอครับ? เกิดอะไรขึ้น”

   “สาบานว่าไม่รู้ อย่ามาทำหน้าซื่อตาใสหน่อยเลย ถ้าฉันถูกพักงานเธอก็ต้องโดนด้วย”

   “อะ...อะไรนะครับ ผะ...ผมเหรอ?”

   “ใช่ อย่าคิดว่าประจบสอพลอเขาแล้วเธอจะรอดล่ะ”

   “หมายความว่ายังไง? ทำไมเขาต้องพักงานผมด้วยล่ะ” รุ่งภพไม่เข้าใจ เขาทำอะไรผิด?

   “ข้อหายักยอกเงินจากแพปลายังไงล่ะ ฉันกับเธอ เราตกเป็นผู้ต้องสงสัยเหมือนกัน”

        “จริงเหรอวะไอ้รุ่ง?” มิ่งขวัญถามเพื่อน ถ้ารุ่งภพบอกว่าไม่ได้ทำเขาก็พร้อมจะเชื่อ

        “ไม่…กูไม่ได้ทำ เขาก็น่าจะรู้ ทะ...ทำไมถึงสั่งพักงานกูด้วยล่ะ?”

        ลลิตาแค่นเสียงหัวเราะ “มันเป็นดุลพินิจของนายจ้างน่ะ ฉันก็ไม่เข้าใจหรอก แต่คิดว่าเขาคงไม่ไว้ใจเธอ”

   เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางหัว รุ่งภพหูอื้อตาลาย เขาไม่เคยเห็นใครถูกพักงานแล้วได้กลับมาทำงานต่อกันสักคน หากไม่หางานใหม่ก็ถูกไล่ออก ชีวิตต้องกินต้องใช้ จะเอาเงินมาจากไหนถ้าต้องอยู่รอเฉยๆ จนกว่าจะถูกเรียกให้กลับไปทำงาน

   “ไอ้รุ่ง! คุณตรัยมาพอดีเลย มึงไปถามเขาสิ” มิ่งขวัญสะกิดเพื่อน ชี้ไปยังรถเอสยูวีคันเดิม

   หนุ่มใต้เดินเปะปะเข้าไปหา ใบหน้าชาวาบเมื่ออีกฝ่ายเดินผ่านเลยไปเหมือนไม่เคยรู้จักกัน

   ลลิตามองเขาด้วยแววตาสมเพช รุ่งภพไม่เคยรู้สึกอับอายเท่านี้มาก่อนในชีวิต เขาเคยได้รับความใจดีจากตรัยจนทุกคนอิจฉา พอมาวันนี้ทุกอย่างเหมือนลงเหวไปหมด...อย่าว่าแต่มองเมินเลย แค่หางตาเขายังไม่คิดจะเหลือบแลกันเลยด้วยซ้ำ

   ไม่จำเป็นต้องถามอะไรให้มากความ

   แค่นี้ก็ได้คำตอบแล้ว

   เขาไม่ได้มีค่าอะไรในสายตาของตรัยเลย...ก็แค่คนงานคนหนึ่ง จะไปมีน้ำหนักในใจของอีกฝ่ายได้ยังไง


TBC


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด