บทที่ 21
ปุยเมฆสีขาวกระจายตัวเป็นรูปเกล็ดปลาเหนือน่านฟ้าทั่วสารทิศ ตรัยยกมือป้องแสงแดดขณะแหงนหน้าขึ้นมองความแจ่มใส เขาดูเมฆไม่เป็นหรอกแต่เดาว่าวันนี้อากาศคงจะดี
“เดี๋ยวนี้ชาวประมงยังดูก้อนเมฆกันอยู่ไหม?” เขาถามมิ่งขวัญเพราะเป็นคนเดียวที่ยังยืนอ้อยอิ่งอยู่ตรงกราบเรือ
“ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ๆ ดูไม่ค่อยเป็นกันหรอกครับ อาศัยเรดาร์อย่างเดียวเลย แม่นยำกว่า”
“ต้องเป็นคนรุ่นเก่าๆ สินะ”
“ผมกับไอ้รุ่งก็ดูเป็นนะครับ ของแบบนี้มันสืบทอดกันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย จดจำเอาไว้ก็ไม่เสียหาย จะหวังพึ่งแต่เทคโนโลยีอย่างเดียวมันก็ไม่ได้”
ตรัยพยักหน้าเห็นด้วย สุดท้ายแล้วก็ต้องพึ่งตัวเองกันทั้งนั้น แต่จะพึ่งได้มากได้น้อยก็อีกเรื่อง “แล้วดูยังไงเหรอ เมฆแบบนี้ดีไหม?”
“ถ้าเมฆนอนแผ่เป็นละอองคลื่นแบบนี้ ลมจะดีครับ ออกเรือได้ไกล แต่ถ้าวันไหนเมฆก่อตัวเป็นแนวทึบคล้ายภูเขาลูกใหญ่สีออกเทาดำต้องระวังให้ดีครับ วันนั้นอาจจะมีพายุหรือฝนฟ้าคะนอง”
พอเรือแล่นหลุดพ้นปากอ่าวมาแล้วก็มองไม่เห็นอะไรอีกนอกจากผืนน้ำกับผืนฟ้า คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเลจริงดังว่า แม้จะรู้สึกปลอดโปร่งและเป็นอิสระแต่ไม่ทำให้รู้สึกปลอดภัยเลย
“ไต๋ให้มาตามครับ จะลาของไหว้แล้ว”
รุ่งภพเดินมาบอกอีกครั้งถึงขั้นตอนการออกเรือ หนุ่มใต้ชี้นิ้วกำกับให้ตรัยเข้าไปนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้า จุดธูปส่งให้พร้อมกับกิมฮวยขนนกยูง ไต๋เมืองจัดแจงพิธีการต่อจากนั้น ให้ลูกชายเถ้าแก่เหน็บกิมฮวยเอาไว้ในถาดผลไม้ พนมมือแล้วกล่าวนำลาเครื่องเซ่นไหว้ก่อนจะหลีกทางให้ลูกเรือปักธูปลงกระถาง
ควันธูปลอยกรุ่นและสลายไปอย่างรวดเร็วตามแรงลม พวงกล้วยดิบที่แขวนห้อยอยู่ตรงเสากระโดงถูกปลดออกเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับชาวเรือ
“พวกคุณกินขนมไหมครับ เดี๋ยวผมแบ่งให้” รุ่งภพตักทองหยอดสีส้มสุกใส่ถ้วยใบเล็กแยกให้ต่างหาก ส่วนที่แบ่งให้กับลูกเรือจะจัดไว้รวมกันในถาดใหญ่ ใครอยากกินก็หยิบ บริการด้วยตัวเอง
“ผมขอถ้วยนึงครับ” คนบอกยกหนึ่งนิ้วประกอบ แบมือรอรับถ้วยอย่างเนียนๆ
“อยากกินอะไรก็ไปตักเอาเอง” หนุ่มใต้บอกกับคนงานต่างด้าวที่นิสัยเริ่มจะเหมือนคนไทยเข้าไปทุกที
“เอาให้เขาไปก็ได้ พวกพี่ขอแอปเปิ้ลกับกล้วยหอมอย่างละลูกก็พอ” สิปาเอ่ยปากยกให้อย่างใจดี ชายหนุ่มเลือกแอปเปิ้ลในถาดแล้วโยนให้เพื่อนรับ ระหว่างนั้นก็จิ๊กขนมถ้วยฟูยัดเข้าปากเพราะเห็นสีสันน่ากินดี
“เดี๋ยวเอ็งเผากระดาษแล้วจุดประทัดให้ลุงอีกชุดนะ เอาชุดใหญ่เลย เดี๋ยวลุงไปไหว้เสด็จเตี่ยก่อน”
รุ่งภพกระจายงานต่อทันทีหลังจากได้รับคำสั่ง เขาให้เพื่อนขึ้นไปโยงประทัดหน้าเรือส่วนตัวเองนั่งเผากระดาษกงเต๊กปึกใหญ่ ฟังเสียงประทัดปุ้งปั้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เด็กมึงด้านชามาก”
ตรัยพยักหน้าเห็นด้วย ขนาดเขาอยู่ห่างออกมาตั้งไกลยังยกมืออุดหูแทบไม่ทัน พอประทัดดอกสุดท้ายระเบิดจนหมด ไต๋เมืองก็ชะโงกหน้าออกมาเรียกอีกครั้ง คราวนี้กวักมือให้ปีนขึ้นไปบนเก๋ง เขาเลยหยิบรุ่งภพติดมือมาด้วยแม้ชายหนุ่มจะมีสีหน้าเหมือนไม่ค่อยเต็มใจ
“ไหว้อะไรเหรอครับ?” สิปาถามเพราะได้กลิ่นธูปลอยมาปะทะตั้งแต่ปีนขึ้นบันไดมา
“ไหว้เสด็จเตี่ยครับ” เสด็จเตี่ยของไต้ก๋งเรือคือกรมหลวงชุมพร หรือหมอพรเทวดา องค์บิดาแห่งทหารเรือไทย “คนเรือนับถือท่านมากครับ ทุกครั้งที่ออกเรือจะต้องบอกกล่าวและขอให้ท่านปกปักคุ้มครองอยู่เสมอ”
เห็นพวงมาลัยแขวนทับกันจนบานฟูฟ่องก็พอจะนึกภาพออกว่าศรัทธาเพียงไหน นอกจากภาพเหมือนที่ติดอยู่บนสุดแล้วยังมียันต์กันภัยอีกร้อยแปดที่แปะติดจนเต็มห้อง ดูเหมือนห้องนี้จะเป็นห้องบังคับเรือเพราะสังเกตได้จากพังงาไม้ขนาดใหญ่และกระจกกว้างแบบ 180 องศา ภายในห้องมีเบาะนั่งเล็กแคบวางอยู่สองตัว ตัวหนึ่งถูกยึดครองไปแล้วโดยเพื่อนสนิทและเด็กของมัน
“นี่ห้องบังคับเรือหรือเปล่าครับ”
“ครับ ตรงนี้จะมีนายท้ายเป็นคนคอยคุม ดูร่องน้ำ ถือท้ายปล่อยอวน แล้วก็ต้องดูเข็มเทียบเรือเป็นด้วยครับ ต้องมีประสบการณ์มีใบประกาศถึงจะทำได้ ถ้าดูเข็มผิดแล้วพาเรือออกไปนอกเขตนี่ยุ่งเลยครับ อันตราย”
“เขตอะไรเหรอครับ?”
“ไอ้รุ่งเอ็งอธิบายทีซิ” ไต๋เมืองโยนให้ชิ้วเรือเป็นคนตอบ แกถนัดแต่ปฎิบัติไม่ถนัดทฤษฎี
“เขตในทะเลครับ อาณาเขตทางทะเลของแต่ละประเทศจะแบ่งออกเป็น น่านน้ำภายใน ทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่อง แล้วก็เขตเศรษฐกิจจำเพาะครับ ถัดจากเขตเศรษฐกิจจำเพาะออกไปก็จะเป็นทะเลหลวงที่ไม่อยู่ในอำนาจของประเทศใด เขตนี้จะสามารถเดินเรือหรือบินผ่านได้อย่างเสรีภาพ”
“แล้วมันแบ่งเขตกันยังไงอ่ะ จะรู้ได้ยังไงว่าเขตไหนเป็นเขตไหน”
“ต้องดูจากเส้นฐานที่กำหนดขอบเขตครับ อย่างทะเลภายในก็กำหนดจากอ่าว ปากแม่น้ำหรือทะเลสาบ ถัดจากทะเลภายในก็จะเป็นอาณาเขตไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล ถัดออกมาอีกก็จะเป็นเขตต่อเนื่องแต่รวมกับทะเลอาณาเขตแล้วต้องไม่เกิน 24 ไมล์ทะเล ถัดออกมาอีกก็จะเป็นเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ตรงเขตนี้จะมีปัญหานิดนึงเพราะเราถูกล้อมรอบด้วยเขตเศรษฐกิจจำเพาะของเพื่อนบ้านเหมือนกัน บางจุดก็เป็นพื้นที่ทับซ้อน ทำให้ไม่มีทางออกไปสู่ทะเลหลวง”
“มีปัญหายังไง?” ตรัยถามหลังจากนั่งเงียบมานาน
“อย่างที่บอกครับว่ามันเป็นพื้นที่ทับซ้อน บางจุดก็ยังไม่ได้ตกลงกันให้เป็นเขตพัฒนาร่วม ต่างคนต่างอ้างสิทธิ์เลยเกิดปัญหาบุกรุกทั้งที่ตั้งใจแล้วก็ไม่ได้ตั้งใจ”
“หมายถึงเราบุกรุกเข้าไปในเขตของเขาเหรอ?”
“ไม่ใช่แค่เราฝ่ายเดียวหรอกครับ ถ้าหลงเข้าไปในพื้นที่ทับซ้อนอย่างเดียวคงไม่เท่าไหร่ แต่บางคนก็เลยเถิด รุกล้ำอาณาเขตกันก็มี”
“หมายถึงรุกล้ำอาณาเขตของประเทศเลยใช่ไหม? ไม่ใช่แค่พื้นที่ทับซ้อน” รุ่งภพพยักหน้า “แล้วถ้าแล่นเรือผ่านนี่ถือว่าบุกรุกไหม”
รุ่งภพส่ายหน้า “บางลำไม่ได้แล่นผ่านอย่างเดียวน่ะสิครับ ดันเข้าไปหาปลาในเขตของเขาด้วย พูดง่ายๆ ก็คือลักลอบเข้าไปทำประมงในบ้านเขาแบบไม่ยอมเสียค่าธรรมเนียมนั่นแหละ โดนเขาไล่ยิงกลับมาไม่รู้กี่ลำแล้ว หนักสุดก็จมเรือ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ถ้าเราลุกล้ำเข้าไปอาณาเขตของเขาจริงๆ ก็เป็นสิทธิ์ของเขาครับ กฎหมายของเขาไม่เหมือนบ้านเรา เด็ดขาดกว่ากันเยอะ”
“แล้วถ้าเขารุกล้ำเข้ามาในเขตของเราล่ะ?”
“ก็จะถูกจับดำเนินคดีแล้วส่งกลับครับ…แค่นั้น”
หลังจากเรียบเรียงเรื่องอาณาเขตทางทะเลจนมึนตึ้บ แขกประจำเรือก็ถูกเชิญขึ้นลังกาของไต้ก๋งเรือ มันเป็นเก๋งชั้นสุดท้ายที่อัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกไม่ว่าจะเป็นกล่องรับสัญญาณผ่านดาวเทียม ทีวี ตู้เย็นหรือแม้กระทั่งเครื่องทำน้ำอุ่น สิปาถึงกับร้องว้าวเมื่อเห็นเตียงพับได้ขนาดสองคนนอน ชายหนุ่มใช้เวลาเดินสำรวจห้องพักอยู่ครู่ใหญ่ ค่อนข้างพอใจแม้จะแออัดไปบ้างก็ตาม
ตรัยปีนบันไดลงจากเก๋งเมื่อไต้ก๋งเรือเริ่มจมจ่อมอยู่กับการคำนวณทิศทางของคลื่นและกระแสน้ำไหล ไต๋บอกกับพวกเขาว่าจะต้องวางแผนการล้อมอวนเอาไว้ล่วงหน้า เนื่องจากฝูงปลาแต่ละชนิดจะเปลี่ยนแปลงแหล่งอาศัยและเคลื่อนที่ไปตามการไหลเวียนของกระแสน้ำอุ่นและกระแสน้ำเย็น เพราะปลาไม่ใช่สัตว์ที่ว่ายน้ำอยู่กับที่ เราจึงต้องค้นหาและไล่ตามมันให้เจอ
“สวัสดี ภาษาพม่าพูดยังไง”
“มิงกะลาบา”
“มิงกะลาบา...ฉันออกเสียงถูกไหม” หนุ่มต่างด้าวพยักหน้ารัวแล้วยกนิ้วให้ อวยหนักจนสิปานึกเขิน “แล้วยินดีที่ได้รู้จักอ่ะ?”
“ตุ๊ยยาดา หวันตาบ่าแด”
“ตวยหยาดา หวันบ่าแด” สำเนียงขาดๆ เกินๆ เรียกเสียงหัวเราะจากคนงานแถวนั้นได้เป็นอย่างดี ขนาดตรัยยังนั่งยิ้มขำแม้จะฟังบ้างไม่ฟังบ้างเพราะกำลังมองหารุ่งภพอยู่
“ถ้าน้ำมันหมดทำไงอ่ะ มีปั๊มเติมน้ำมันกลางทะเลไหม?” สิปาเริ่มตั้งคำถาม
“ปั๊มไม่มีครับ มีแต่เรือเติมน้ำมัน”
“แล้วเขาเติมกันยังไงอ่ะ”
“ลากหัวจ่ายมาเติมไงครับ ก็เหมือนเติมน้ำมันรถนั่นแหละ” ชมรม หนุ่มต่างด้าวแต่พูดไทยคล่องปร๋อเล่าให้ฟังด้วยสำเนียงติดเหน่อ นอกจากชมรมแล้วยังมีคนงานอีกหลายคนยังนั่งเอกเขนกอยู่บนพื้นเรือ บางคนก็นอนแผ่เหมือนมาปิกนิก เตรียมจะหลับกันอีกรอบแม้จะเริ่มเย็นแล้วก็ตาม
“ดูว่างเนอะ”
“ช่วงไหนว่างต้องนอนเอาแรงไว้ก่อนครับ ถ้าลงอวนนี่แทบจะไม่ได้นอนเลย ทำกันทั้งคืนก็มี”
“แล้วปกตินอนตรงไหนเหรอ? มีห้องให้นอนไหม”
“มีครับ ในเก๋งนั่นไง” พยักหน้าไปทางเก๋งเรือชั้นล่างที่มีขนาดใหญ่กว่าลังกาเป็นสองเท่า “เห็นใหญ่ๆ แบบนั้นแต่นอนอัดกันเป็นสิบนะครับ เมื่อปีก่อนเถ้าแก่เพิ่งจะติดแอร์ให้พวกเรา เลยสบายขึ้นมาหน่อยไม่ค่อยร้อน…”
ตรัยไม่ได้อยู่ฟังจนจบเพราะเห็นรุ่งภพเดินผ่านเข้ามาในสายตา เขาตรงดิ่งไปหาชายหนุ่ม คว้าข้อมือเอาไว้แล้วลากไปอีกทางที่เป็นมุมอับสายตา
“จะทำอะไรครับ!”
“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย ไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย”
“เป็นคุณไม่ตกใจเหรอครับ คุยกันดีๆ ก็ได้ไม่เห็นต้องลากกันแบบนี้เลย”
“แล้วเธออยู่ให้ฉันคุยดีๆ ไหมล่ะ?” ตรัยปล่อยข้อมือของชายหนุ่ม เริ่มจะน้อยใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“คุณอยากคุยเรื่องอะไรล่ะครับ”
ไม่บอกแต่หยิบสร้อยออกมาแล้วบังคับสวมให้ “ถ้าไม่อยากโดนเหมือนวันนั้นก็อยู่นิ่งๆ”
“ดะ...โดนอะไร?”
“แบบนี้ไง” เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้แต่รุ่งภพรีบผลักออก
“ห้ามทำแบบนี้บนเรือนะ!”
“ทำไมจะทำไม่ได้ วันนั้นก็ทำบนเรือเหมือนกัน”
“มันไม่เหมือนกัน! เรือลำนี้ต่อมาจากไม้ใหญ่ เราถึงให้ความเคารพแม่ย่านางกันมาก ห้ามทำเรื่องไม่ดีนะ”
ตรัยทำหน้าบึ้ง นึกในใจว่าจูบมันไม่ดีตรงไหนกัน “ไม่ทำก็ได้แต่เธอต้องสวมสร้อยที่ฉันให้”
หนุ่มใต้จับสร้อยคอที่ตรัยสวมให้ เขาจำจี้พระได้เพราะตรัยเคยบอกจะยกให้ตอนไปไหว้พระที่สงขลา “นึกว่าคุณลืมไปแล้ว”
“จะลืมได้ยังไง สัญญากับเธอไว้แล้ว”
“ขอบคุณนะครับ”
“เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหม”
“ไม่ได้ครับ ขอบคุณก็คือขอบคุณ” เดี๋ยวนี้รู้จักปฏิเสธเป็นแล้ว ไม่ยอมคล้อยตามเหมือนที่ผ่านๆ มา
“แล้วเมื่อกี้จะไปไหน?” ตรัยเปลี่ยนคำถาม เพิ่งจะนึกได้ว่าชายหนุ่มกำลังจะปีนขึ้นไปบนเก๋งเรือ
“จะไปเฝ้าหม้อให้ไต๋ครับ”
“เฝ้าหม้อ?”
รุ่งภพหลุดยิ้มเมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มทำสีหน้าประหลาด “คิดอะไรอยู่ครับ ผมหมายถึงหม้อเข็มทิศ”
“อ่อ...งั้นฉันไปด้วย” ไต๋เมืองคงจะสงสัยเพราะเขาเพิ่งจะปีนลงมาเมื่อครู่นี้
“ไปไหนกัน!”
รุ่งภพสะดุ้งโหยงกับเสียงวินาศสันตะโรของคนมาใหม่ เขาถอนหายใจแล้วพูดประโยคเมื่อครู่นี้อีกครั้ง สุดท้ายก็ได้ผู้ติดสอยห้อยตามไปด้วยอีกสองคน
“ไอ้มิ่งลงไปนอนแล้วเหรอลุง”
“เออ…เอ็งดูๆ มันให้ลุงหน่อยนะ รู้สึกเหมือนมันซึมๆ ยังไงก็ไม่รู้”
“จ้ะ เดี๋ยวฉันช่วยดูให้” หนุ่มใต้ทิ้งตรัยเอาไว้ตรงทางเข้าแล้วตรงดิ่งไปนั่งเฝ้าหม้อเข็มทิศตามที่เคยพูดเอาไว้ เขากลั้นยิ้มเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของชายหนุ่ม ไม่ค่อยรู้สึกขัดเขินเท่าไหร่แล้วหากไม่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
“อันนี้เครื่องอะไรเหรอครับ?” สิปาใช้ปลายนิ้วเคาะหน้าจอขนาดกะทัดรัด มันเหมือนเครื่องประมวลผลอะไรสักอย่าง ภาพในจอเป็นสีดำสนิทและมีเส้นรอบวงหลายชั้น สักพักก็จะเห็นคลื่นสีแดงเป็นเม็ดๆ กระจายอยู่เป็นหย่อมๆ แล้วก็หลุดหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เครื่องโซนาร์ครับ ใช้ค้นหาฝูงปลา ถ้ามีปลามันจะขึ้นเป็นเม็ดคลื่นสีแดงๆ แบบนี้”
“เหมือนจอเรดาร์เลยนะครับ”
“หลักการทำงานคล้ายกันครับแต่โซนาร์จะใช้คลื่นเสียงและใช้ในน้ำ ส่วนเรดาร์ใช้ในอากาศ”
“ผมขอถ่ายวิดีโอได้ไหมครับ ไต๋จะอนุญาตไหมถ้าผมจะเอาไปตัดต่อลงยูทูป”
ไต๋เมืองเลิกคิ้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มเช็คกล้อง “คุณทำยูทูปเหรอครับ”
“ฝากสับตะไคร้แล้วก็กดกระดิ่งด้วยนะครับ”
รุ่งภพทรุดตัวลงไปนั่งขำเมื่อเห็นสีหน้างงงวยของผู้เป็นลุง
“ทำไมต้องสับตะไคร้ด้วยล่ะครับ?”
ตรัยส่ายหัว ช่วยแก้ความเข้าใจของไต๋ใหม่ “มันหมายถึงกดติดตามช่องมันในยูทูปน่ะครับ จริงๆ เขาเรียกซับสไคร์บไม่ใช่สับตะไคร้..มึงก็เล่นไม่รู้เรื่องไอ้ปา” ประโยคหลังเขาหันไปด่าเพื่อน
“ขอโต้ดก๊าบ” ชายหนุ่มยกมือไหว้ “เดี๋ยวผมขอข้อมูลเกี่ยวกับการทำประมงหน่อยได้ไหมครับ จะได้เอาสตอรี่ไปใส่ในคลิปให้มันดูมีเรื่องมีราวหน่อย”
“ครับ...แล้วผมต้องออกกล้องด้วยหรือเปล่า” ยังไม่ทันได้คำตอบก็เตรียมจัดแต่งทรงผมเอาไว้แล้ว
“ถ้าไต๋อนุญาตผมก็ถ่ายครับ” หนุ่มยูทูปเริ่มตั้งกล้อง รุ่งภพเลยต้องเขยิบไปนั่งกับตรัยเพื่อไม่ให้เข้าเฟรม “เดี๋ยวไต๋ช่วยอธิบายขั้นตอนการทำประมงหน่อยนะครับ”
“มันไม่มีขั้นมีตอนอะไรหรอกครับ อยู่ที่ประสบการณ์ของไต๋เรือล้วนๆ ดูปลาใต้น้ำเป็นหรือเปล่า? คำนวณได้ไหมว่าฝูงนี้ประมาณกี่โล? รู้หรือเปล่าว่าเป็นปลาอะไร? รู้แล้ววางอวนได้ไหม น้ำเดินไปทางไหน แล้วก็ต้องรู้ด้วยนะว่าวันนี้น้ำกี่ค่ำ ปลาจะอยู่ตรงไหน? ต่อให้มีโซน่าร์แต่ไม่รู้แหล่ง หาให้ทั่วทะเลก็ไม่เจอหรอก”
“เร็วไปครับไต๋ ขอเริ่มจากเบสิคก่อนได้ไหมครับ”
“...งั้นเริ่มจากการแยกประเภทของเรือก่อนดีไหมครับ จะได้ไม่งง” ไต๋เมืองเสนอแนะ “ประมงไทยหลักๆ ก็จะมีประมงพาณิชย์กับประมงพื้นบ้าน ในส่วนของประมงพาณิชย์ก็จะแยกย่อยไปอีกตามลักษณะของอวนที่ใช้กัน อย่างเรือลำนี้ใช้อวนดำก็เรียกเรืออวนดำหรืออวนล้อมจับ ถ้าใช้อวนลากก็เรียกเรืออวนลาก ถ้าใช้อวนรุนก็เรียกเรืออวนรุน...แต่เรืออวนรุนยกเลิกไปแล้วเหลือแต่รุนเคยอย่างเดียว พอจะเข้าใจไหมครับ”
“ครับ พอจะตามทันอยู่ครับ ทำไมถึงยกเลิกเรืออวนรุนไปแล้วล่ะครับ”
“...เพราะมันขุดทำลายหน้าดินครับ การทำประมงอวนรุนต้องใช้คันถ่างประกอบอวน เวลาเรือแล่นไปข้างหน้า คันถ่างตัวนี้ก็จะขุดหน้าดินขึ้นมาทำให้พื้นทะเลเสียหาย เขาก็เลยประกาศให้ยกเลิกเหลือแค่รุนเคยอย่างเดียว”
“เคยคืออะไรเหรอครับ?”
“เหมือนอัดคลิป 20 คำถามอ่ะ” ตรัยเอียงริมฝีปากกระซิบข้างหูของหนุ่มใต้ รุ่งภพย่นคอหนี คว้าแอปเปิ้ลมากั้นกลาง “เอามาทำไม ไม่หิว” ปากบอกไม่หิวแต่รับมาปอกให้
“นั่งเฉยๆ สิครับ อย่ารุ่มร่าม”
“พูดเหมือนฉันเป็นคนหื่มกามไปได้”
“ช่วยเงียบๆ หน่อยได้ไหมครับตรงนั้นน่ะ!” สิปากดหยุดวิดีโอแล้วส่งเสียงเตือน “ต่อเลยครับไต๋”
“ถึงไหนแล้วนะ?”
“ถึง ‘เคย’ คืออะไรแล้วครับ”
“อ่อ…เคยได้ยินกุ้งเคยไหมครับ นั่นแหละครับที่เขาเอามาใช้ทำกะปิกัน”
“อ๋อ งั้นเรากลับมาที่เรืออวนดำกันดีกว่าครับ”
“โอเค...อวนดำจัดอยู่ในประเภทของอวนล้อมจับครับ นอกจากอวนดำก็มีอวนเขียว อวนล้อมปลาทู อวนล้อมจับปลากะตัก ขนาดของตาอวนแต่ละประเภทจะไม่เท่ากัน ขนาดของตาอวนมาตรฐานจะอยู่ที่ 2.5 เซนติเมตร แต่ก็ต้องดูด้วยว่าปลาที่จับเป็นปลาอะไร ถ้าจับปลาทูหรือปลาลังก็จะใช้ตาใหญ่กว่าประมาณ 3-4 เซนติเมตร ส่วนใหญ่จะใช้กันมากในฝั่งอ่าวไทยเพราะปลาทูเยอะกว่าฝั่งอันดามัน”
“แล้วประมงพื้นบ้านล่ะครับ ทำเหมือนกันไหม?”
“ประมงพื้นบ้านเขาจับสัตว์น้ำตามฤดูกาลครับ ส่วนใหญ่จะใช้อวนติดตา อาจจะเป็นตาข่าย อวนลอยหรืออวนจม บางครั้งก็เรียกตามสัตว์น้ำที่จับได้ อย่างอวนกุ้ง อวนจมปู อวนล้อมติดปลาทู อวนปลากุเลา หรือไม่ก็อวนลอยปลาอินทรีครับ จะได้มากหรือได้น้อยก็ขึ้นอยู่กับความยาวและชนิดของอวน”
คนคุมกล้องพยักหน้าดูพอใจกับข้อมูลที่ไต้ก๋งสรุปให้ “อีกนิดนะครับไต๋ ผมขอถามความคิดเห็นเกี่ยวกับมุมมองในการทำประมงหน่อยได้ครับ”
“เกี่ยวกับ IUU หรือเปล่าครับ?”
“ประมาณนั้นครับ ถ้าไต๋ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็พอแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ มันก็แค่มุมมอง...สำหรับผมน่ะนะ การทำประมงมันไม่มีคำว่าพอดีหรอก จะได้มากหรือได้น้อยยังไงก็ต้องได้ ถ้าได้มากก็ถือว่าเป็นกำไร ถ้าได้น้อยก็ขอให้เพียงพอที่จะยังชีพได้ เราไปกำหนดไม่ได้หรอกว่าต้องได้เท่านั้นเท่านี้ทุกๆ วัน ผมอยากจะบอกว่าปัญหาโอเวอร์ฟิชชิ่งไม่ได้เกิดจากการที่พวกเราจับปลาหรอกนะ มันเกิดจากพวกทำประมงไร้จิตสำนึกต่างหาก ใช้อวนตาถี่ไปตัดวงจรชีวิตปลาเล็กปลาน้อยจนหมด ไม่มีโอกาสให้มันได้ขยายพันธุ์ได้เจริญเติบโต ถ้าจะแก้ก็ขอให้แก้ให้ถูกจุดด้วย…แค่นั้นแหละ”
สิปากดบันทึกวิดีโอแล้วเปลี่ยนมาเป็นโหมดถ่ายภาพแทน ชายหนุ่มเก็บภาพนิ่งของไต๋เรือโดยมีฉากหลังเป็นแสงสุดท้ายสาดส่อง ให้ความรู้สึกหดหู่แต่ยังมีความหวังให้ก้าวเดิน
ชายหนุ่มจ้องมองออกไปยังเส้นขอบฟ้าไกลลิบเบื้องหน้า ความอ้างว้างจากท้องทะเลวิ่งเข้าเกาะกุมหัวใจเขา แม้จะเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้มานับไม่ถ้วนแต่ไม่มีครั้งไหนรุนแรงเท่าครั้งนี้
“ตรัย...”
สิปาหยุดริมฝีปากเอาไว้แค่นั้นเมื่อเห็นเพื่อนสนิทนั่งรอจนหลับไปแล้วด้วยการเอนซบซอกไหล่ของหนุ่มใต้ตัวบาง
เจ้าของไหล่ยิ้มให้อย่างฝืดเฝื่อน นั่งตัวแข็งให้อีกฝ่ายเอาเปรียบจนเมื่อยขบไปทั้งตัว
หลับจริงหรือแกล้งวะ?
ถ้าเขาปลุกมันจะตื่นขึ้นมาแบบสะลึมสะลือหรือแหกปากด่าเขาเป็นอย่างแรกกันแน่?
ให้ทาย…
TBC