Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7  (อ่าน 35382 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
บทที่ 19






I’m only one call away
I’ll be there to save the day
Superman got nothing on me
I’m only one call away
(One call away - Charlie Puth)


   ท่วงทำนองของเพลงสากลถูกขับร้องด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนประสานกับเสียงคล่อมจังหวะของเด็กสาว ถึงอย่างนั้นธาวินก็ยังควบคุมเพลงได้โดยไม่หลงจังหวะ พอจบท่อนฮุคก็ให้เด็กสาวแปลออกมาทีละท่อนจนกระทั่งพอใจ

   “I’m only one call away ฉันจะไปหาทันทีแค่เธอเรียก~” เด็กสาวยังฮัมเพลงต่อไม่หยุด ดูจะชอบใจกับท่อนนี้พอสมควร

   “โรแมนติกเนอะ” ธาวินคุยเด็กสาว

   “เพลงเสี่ยวฉิบหาย ทำไมแปลแล้วออกมาเลี่ยนแบบนี้อ่ะ” มิ่งขวัญขัดคอ ชีวิตจริงไม่เป็นแบบนั้นหรอก กว่าจะออกจากบ้านไปหาก็ล่อไปเป็นชั่วโมงแล้ว

   “เลี่ยนก็ไม่ต้องฟังสิ เข้าบ้านไปเลยไป”

   “นี่บ้านผม...ผมจะอยู่ตรงไหนก็ได้”

   ธาวินชะงัก เกือบลืมไปแล้วว่าไม่ใช่บ้านของตัวเอง “งั้นฉันไปเองก็ได้”

   “เฮ้ยคุณ! ผมไม่ได้จะไล่คุณนะ” รั้งท่อนแขนเล็กเอาไว้ หัวใจเริ่มร้อนรน “ผมมันปากไม่ดีเอง ขอโทษนะ”

   “ไม่ต้องขอโทษหรอก ที่นายพูดน่ะถูกแล้ว ฉันมันก็แค่คนอาศัย จะไปไล่เจ้าของบ้านได้ยังไง”

   “น้อยใจเหรอ? คิดอะไรกับผมหรือเปล่าเนี่ย”

   “ไอ้บ้า!” ธาวินเหวี่ยงหมัดตุ้บตั้บ จะโกรธก็โกรธได้ไม่สุดเลยสักที คราวนี้เขาไม่กลัวมิ่งขวัญสวนกลับเหมือนตอนแรกๆ แล้ว หลังจากเผลอตัวลงไม้ลงมือใส่ หนุ่มตัวโตก็แค่เบี่ยงตัวหลบและปัดป้องเพียงเท่านั้น ไม่เคยใช้กำลังกับเขาเลย

   “โฮ่งๆ หงิ๋งๆๆ”

   นังดาวเรืองเห่าระงมเมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์เรือดังมาแต่ไกล น้าเรส่งตะกร้าจ่ายกับข้าวให้กับลูกสาว ยื่นมือให้สามีดึงขึ้นแล้วช่วยกันดันเรือเข้าไปเก็บใต้ถุนบ้าน

   “ทำไอ่ไหรกันอยู่ตะเด็กๆ ว่างมาช่วยแม่ทำกับข้าวสักหิดหม้าย”

   “จะแกงอะไรเหรอครับน้าเร” ธาวินชะโงกดูกับข้าวในตะกร้า ไม่เห็นอะไรเลยเพราะโดนผักใบเขียวบดบังหมด

   “วันนี้ด้ายปูม้ามากะลุยแหม็ด อิทำน้ำชุบไข่ปูกับแกงเขียวหวานปูต่ะ”

   “น้ำชุบ?”

   “น้ำพริกค่ะพี่วิน” เด็กสาวช่วยแปลให้

   “เดี๋ยวผมช่วยนะครับ”

   “หือ? อิช่วยกันหมดนี่เลยหม้าย” ทั้งลูกสาวลูกชายเดินตามเข้าครัวกันเป็นแถว ปกติจะมีแต่มนชนกมาคอยช่วย ส่วนมิ่งขวัญไม่ค่อยได้เข้าครัวนัก ส่วนใหญ่จะรับหน้าที่ขูดมะพร้าวหรือติดเตาถ่านเพียงเท่านั้น หากวันไหนต้องนึ่งหรือต้มเป็นเวลานาน

   “หวันมุ้งมิ้ง ละ ช่วยกันอิได้เสร็จแขบๆ ”

   “เอ้า ช่วยกะช่วย เดี๋ยวมิ่งกับวินไปนึ่งปูทำน้ำชุบต่ะ มนมาช่วยแม่แกง เอ้อ…พ่อล่ะ พ่อไปไซร้ แม่อิให้ปอกพร้าว”

   “ยาแนวเรืออยู่จ้ะ เดี๋ยวหนูปอกห้ายกะได้”

   มิ่งขวัญหยิบมีดอีโต้มาถือแล้วเดินออกไปหน้าบ้าน เฉาะเปลือกมะพร้าวแห้งปั้กๆ ฉีกดึงกาบออกไม่กี่ครั้งก็ได้มะพร้าวสำหรับขูดคั้นกะทิแล้ว

   “คุณเอาปูไปล้างนะ เดี๋ยวผมจุดเตาให้แม่ก่อน” ถุงปูม้าถูกเทใส่กะละมังสแตนเลส ธาวินรับมาถืออย่างงงๆ ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเพราะไม่ถนัดทำกับข้าว

   “ต้องล้างยังไงอ่ะ”

   “เอายางที่มัดมันออกก่อน เสร็จแล้วก็ใช้แปรงถูไปตามซอกก้าม ล้างให้สะอาดแล้วพักไว้”

   ชายหนุ่มทำตามอย่างเก้กัง พอล้างเสร็จก็เอาไปให้ตรวจเหมือนส่งการบ้าน พอมิ่งขวัญพยักหน้าบอกผ่านก็ถอนหายใจโล่งอก นั่งรอหนุ่มตัวโตติดเตาเพื่อนึ่งปู

   “เก่งจัง” หลุดปากชมเมื่อเห็นเปลวเพลิงลุกไหม้บนรังผึ้ง

   “แค่นี้ต้องชมด้วย ใครๆ ก็ทำได้”

   “ก็ฉันทำไม่ได้นี่ จุดทีไรได้แต่ควัน”

   “เวลาจุดต้องหักกิ่งไม้ก้านเล็กๆ มาสุมไว้ก่อนจะได้ติดง่าย พอไฟลุกก็ทุบถ่านให้แตกเป็นก้อนเล็กๆ แล้วใส่ตามลงไป ถ้าใส่ก้อนใหญ่ลงไปเลยมันติดยาก ดีไม่ดีมันจะทำให้ไฟที่เราจุดติดแล้วดับอีกต่างหาก”

   “จุดเตาก็ต้องมีเสต็บด้วย”

   “ของทุกอย่างมันก็ต้องมีขั้นมีตอนทั้งนั้นแหละ อยู่ที่ใครจะหาทางลัดได้ดีกว่า” มิ่งขวัญยกซึ้งขึ้นตั้ง จับปูนอนหงายแล้ววางเรียงจนเต็มซึ้ง

   “จับมันหงายท้องทำไมอ่ะ?”

   “เวลานึ่งน้ำในตัวปูจะไหลออกมา ถ้าอยากให้เนื้อหวานก็ต้องหงายทิ้งเอาไว้ น้ำจะได้ค้างอยู่ในกระดอง เวลาสุกเนื้อปูจะได้ไม่แห้งเกินไปด้วย”

   “ทำกินเองก็ลำบากเหมือนกันเนอะ”

   “ไม่ลำบากหรอก ถ้าเอาแต่คิดแบบนั้นก็ทำกินไม่เป็นหรอก ซื้อเป็นอย่างเดียว”

   “รู้สึกเหมือนโดนด่าเลยอ่ะ” ธาวินทำปากมุบมิบ เขาเกิดมาสบายจนเคยชิน ถึงไม่ร่ำรวยล้นฟ้าแต่ก็ไม่เคยขัดสน ถูกสังคมในเมืองหล่อหลอมให้แก้ปัญหาด้วยเงินจนเคยตัว ขนาดคอนโดมีครัวและอุปกรณ์ครบครัน เขายังไม่เคยคิดจะแตะมันเลยด้วยซ้ำ เช้ากลางวันเย็นฝากท้องเอาไว้นอกบ้านสามเวลา ง่ายสุดก็ร้านสะดวกซื้อ เขาไม่คิดว่ามันสิ้นเปลืองอะไรเมื่อเทียบกับรายได้มากมายในแต่ละเดือน...

   มันก็จริงอย่างมิ่งขวัญว่า เพราะคิดว่ามันลำบากก็เลยไม่เคยใส่ใจ จนกระทั่งอายุป่านนี้แล้วเขายังทำอะไรไม่เป็นเลยนอกจากทอดไข่ดาวเละๆ ฟองหนึ่ง

   “ผมไม่ได้ว่าคุณนะ คนเราเกิดมาไม่เท่ากัน ถ้าคุณไม่เดือดร้อนก็ไม่เป็นไรหรอก ทุกคนก็อยากสบายกันทั้งนั้น บางทีผมก็ซื้อกินเพราะขี้เกียจทำอยู่เหมือนกัน”

   ธาวินกัดริมฝีปากกลั้นยิ้ม มิ่งขวัญเป็นคนปากไวไม่ค่อยคิดถึงความรู้สึกของคนอื่น แต่ระยะหลังมานี้เหมือนจะเก็บปากเก็บคำมากขึ้น รู้จักพูดก่อนคิด ถ้าพลั้งเผลอพูดอะไรที่ไม่ดีต่อความรู้สึกก็จะปลอบใจกันแบบนี้

   เหมือนตบหัวแล้วลูบหลังไปหน่อย แต่โดยรวมก็ดีขึ้นกว่าวันแรกที่รู้จักกัน

   “เดี๋ยวผมไปเอาครกมาตำน้ำพริกก่อนนะ”

   ปูนึ่งเริ่มส่งกลิ่นหอมยั่วจมูก พอเปิดฝาซึ้งออกดูก็เห็นก้ามของมันเปลี่ยนเป็นสีส้มทั่วทั้งตัว น้ำในกระดองเดือดคลั่กควันทะลัก ใบหน้าขาวเห่อแดงจากความร้อนที่ปะทุขึ้นจากเตา

   “น้ำลายหกลงไปแล้วมั้ง” มิ่งขวัญวางครกลงบนม้านั่ง หยิบปูนึ่งลงมาแกะกระดองออกแล้วหักก้ามให้กับธาวิน “กินไหม?”

   พยักหน้ารัว แววตาจดจ่อ ยื่นมือออกไปคว้าแต่มิ่งขวัญไม่ยอมให้

   “ต้องทำไงก่อน”   

   ตวัดตามองอย่างหงุดหงิดแล้วฟาดมือลงไปสองตุ้บ

   “โอ๊ย! คนกรุงเทพนี่ยังไงนะ ชอบใช้กำลังแท้วะ?” ลูบรอยแดงบนแขนตัวเองด้วยสีหน้าเสแสร้ง ธาวินฟาดมือลงไปซ้ำอีกหนึ่งที กว่าจะได้กินก็เหนื่อยจนแทบโมโห

   มิ่งขวัญส่งเสบียงไปให้อีกหลายก้ามระหว่างตำน้ำพริก หนุ่มใต้บุบกระเทียมและตำพริกขี้หนูอย่างคล่องแคล่ว ใส่กะปิและน้ำตาลโตนดลงไปโดยไม่ต้องตวงให้เสียเวลา ตบท้ายด้วยการบีบมะนาวแล้วตักให้แขกประจำบ้านเป็นคนชิม

   “เป็นไง เผ็ดไปเปล่า?”

   “พอดีแล้วล่ะ...หอมกะปิ” แลบลิ้นแตะตรงปลายช้อนอีกครั้งแล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ

   “ไหนชิมมั่ง” หันปลายช้อนเข้าหาตัวเองแล้วแตะลิ้นลงไปซ้ำ พอได้รสที่ธาวินต้องการก็ใส่เนื้อปูนึ่งลงไปผสม โรยหน้าด้วยไข่ปูปิดท้ายแล้วยกไปให้คนในครัวจัดจาน

   ปล่อยให้ธาวินนั่งคิดฟุ้งซ่านอยู่เพียงลำพัง นึกถึงลิ้นใหญ่ที่ชิมน้ำพริกต่อจากเขา

   ทำไมไม่เปลี่ยนช้อนก่อนเล่า?

   ไอ้บ้าเอ๊ย!







   มื้อค่ำในวันนี้แทบจะไม่มีใครสนใจละครดัง ทุกสายตาจดจ่ออยู่กับจานอาหาร โดยเฉพาะธาวินที่กำลังคร่ำเคร่งกับการแงะเนื้อปูออกจากก้ามไม่มีย่อท้อ

   “ไม่กินแกงเขียวหวานสักหน่อยล่ะคุณ?” มิ่งขวัญตักแกงเขียวหวานราดลงบนเม็ดข้าว ธาวินก้มมองแล้วขมวดคิ้ว เขี่ยผักสีเขียวที่ไม่รู้จักออกเหลือไว้แต่ปูนิ่มแทน “ไม่กินใบชะครามเข้าไปด้วยล่ะ”

   “กินไม่เป็น”

   “เอาเข้าปากแล้วก็เคี้ยวไง ไม่เห็นจะยากเลย”

   “มิ่ง” ไต๋เมืองส่งเสียงดุ “คุณเขาไม่กินก็อย่าไปบังคับเขาสิ!”

   “แต่มันมีประโยชน์”

   “มีประโยชน์ยังไงเหรอ?” ธาวินไม่อยากให้บรรยากาศเสีย เลยเขี่ยใบชะครามกลับมาพิจารณาใหม่

   “มันช่วยบำรุงสายตาได้นะ คุณน่ะชอบเล่นโทรศัพท์ดึกๆ ดื่นๆ กินเข้าไปเยอะๆ สายตาจะได้ไม่เสีย” ชะครามเป็นพืชชายฝั่ง ขึ้นทั้งดินเค็มและดินจืด ใบแคบยาวคล้ายกับใบชะอมแต่อวบน้ำ รสชาติเค็มจัด นิยมนำไปเพิ่มรสเค็มให้กับอาหาร หากนำไปแกงอย่างอื่นต้องลวกน้ำเจือจางเสียก่อน ทานแต่พอดีถึงจะเป็นยาช่วยบำรุงร่างกาย

   “เอมแล้วยังล่ะลูก” มิ่งขวัญพยักหน้าเมื่อแม่ถาม “เอมแล้วกะแกะปูห้ายเติ่นทีต่ะ มือหลุหละ แหม็ดแล้ว กินม่ายทันนุ้ยมันแหม่ะ ซัดเอาๆ เหลือให้เติ้นกินบ้างถิ”

   มนชนกฉีกยิ้มแป้นเมื่อโดนแม่แซว ปากยังคงเคี้ยวเนื้อปูกุบกับ เด็กสาวเช็ดนิ้วมันแพร่บกับผ้าเช็ดมือ ลูบพุงกลมป่องก่อนจะเรอออกมาเบาๆ “โอย~ อิ่มแปล้แล่ ชาดหรอยได้แรงอก”

   “น่าเกลียด! กินไม่เผื่อชาติหน้า อ้วนอีตายหล่าว อืดอย่างกะหมูสามชั้น”

   “พี่มิ่ง! เอิด แล้ว ถ้าหนูเป็นหมูพี่ก็เป็นหมีควา…”

   “เฮ้! พี่น้องคู่เน้นิ เป็นเอานักแล้ว ตีกันได้ทุกวัน ไม่ตีกันสักวันอิตายม้าย” ไต๋เมืองกราดตามองดุทั้งพี่ทั้งน้อง มนชนกทำหน้าหงอ ส่วนมิ่งขวัญ...ลอยหน้าลอยตาล้อน้องไม่กลัวเกรง

   ไต๋เมืองส่ายหน้ากับสงครามขนาดย่อมในวงข้าว ชายแก่ยกขันน้ำขึ้นดื่มขณะมองดูลูกชายแกะเนื้อปูให้แขกอย่างขะมักเขม้น “ตอรือต้องออกเลแล้วต่ะ ถ้าเจอเจ้ารุ่งตอใด กะบอกมันด้วยนิ อิได้เตรียมเสบียง เตรียมน้ำแข็งทัน พ่ออิไปเอาเรือออกจากคานแล้ว”

   “จ้ะพ่อ”

   บอกกล่าวลูกชายเสร็จก็ชักชวนเมียไปดูละครกันหงุงหงิง มนชนกทำหน้าเอือมที่พ่อกับแม่จีบกันไม่เกรงใจลูกเต้า เด็กสาวรอเก็บถ้วยชามลงไปล้างโดยมีธาวินเดินตามลงมาช่วย

   “ตอรือแปลว่าอะไรเหรอ?”

   “ตอรือแปลว่าวันมะรืนค่ะ”

   “งั้นวันมะรืนพี่ชายเราก็ต้องออกเรือแล้วใช่ไหม?” ตรงกับวันกลับของเขาพอดี

   “ใช่ค่า คราวนี้คงไปนานเพราะต้องอ้อมไปจับที่จังหวัดอื่น กว่าทะเลอ่าวเราจะเปิดให้ทำประมงก็เดือนหน้าโน่น พ่อบอกว่ารอไม่ได้หรอกค่ะ เดี๋ยวไม่มีเงินจ่ายค่าแรงคนงาน แค่จ้างเฝ้าเรืออย่างเดียวก็สามร้อยแล้ว”

   เด็กสาวแอบเล่าข่าวจากวงใน เธอล้างฟองออกจากจานแล้วส่งให้ธาวินเก็บ “ไปอาบน้ำเถอะไป เดี๋ยวพี่ล้างที่เหลือเอง”

   “ช่วยกันดีกว่าค่ะ ให้พี่วินทำคนเดียวได้ไง เดี๋ยวแม่ดุหนู”

   “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวให้พี่เราช่วยก็ได้”

   คนเดินลงมากินน้ำชะงักเท้าดังกึก พยักหน้ารับอย่างจำใจเมื่อถูกจ้องมองด้วยแววตาคาดคั้น

   “ขอบคุณค่า~ งั้นหนูไปอาบน้ำก่อนนะคะ Good night.” ขอบคุณด้วยน้ำเสียงเริงร่า พอพี่ชายพยักหน้าตกลงก็วิ่งฉิวออกไปทันที

   “วันนี้ไม่ใช่เวรผมสักหน่อย”

   “พรุ่งนี้น้องต้องไปโรงเรียน ช่วยหน่อยไม่ได้หรือไง”

   “ตกลงยัยมนมันน้องผมหรือน้องคุณกันแน่”

   “ยกให้ไหมล่ะ เดี๋ยวเอาไปเลี้ยงเอง”

   “ยกตัวเองให้แทนได้ไหมล่ะ?”

   “ไม่อยากได้อ่ะ ไม่น่ารัก”

   “ใจร้าย” มิ่งขวัญคนหยาบหายไปแล้ว เหลือแต่เสียงตะแง้วๆ ราวกับแมว

   “เมื่อกี้นี้น้องบอกว่านายจะออกเรือวันมะรืน จะไปจับปลาที่ไหนกันเหรอ?”

   “ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะไประนองหรือไม่ก็สตูล คงไม่อ้อมไปอ่าวไทยหรอก...ไกล”  กรมประมงประกาศปิดอ่าวฝั่งอันดามันแค่ 4 จังหวัดเท่านั้น ไล่ตั้งแต่พังงา ภูเก็ต เรื่อยไปจนถึงกระบี่และตรัง ถ้าเรือใหญ่จะวางอวนต้องออกไปในเขตน้ำลึกหรือไปหาบริเวณจังหวัดใกล้เคียงอย่างระนองหรือสตูลแทน ระยะเวลาในการออกเรือก็จะเพิ่มมากขึ้นตามระยะทางที่ไกลออกไป

   “ฉันจะกลับกรุงเทพแล้วนะ”

   มิ่งขวัญชะงัก หลุบสายตาลงจ้องฟองน้ำยาล้างจานบนฝ่ามือ “ไปวันไหน?”

   “วันเดียวกับที่นายออกเรือ”

   “ไม่คิดจะไปส่งผมสักหน่อยเหรอ?”

   “นายก็ไม่ได้ไปส่งฉันขึ้นเครื่องเหมือนกันนั่นแหละ”

   “งั้นก็เลื่อนวันกลับออกไปก่อน จะรีบกลับไปทำไม” มิ่งขวัญไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องรั้งชายหนุ่มเอาไว้ด้วย...แค่อยากให้ธาวินไปส่งแค่นั้นจริงๆ เหรอ?

   “ใครจะไปรู้ล่ะ ฉันจองตั๋วไปแล้วนี่...ไม่คิดว่านายจะออกเรือวันเดียวกัน”

   เสียงถอนหายใจดังระงม มิ่งขวัญคอตก จ้องมองคนตรงหน้าด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป “ผมชอบคุณนะ”

   “...!”

   “จริงๆ แล้วอยู่กับคุณก็สนุกดี ผมได้คิดทบทวนตัวเองหลายอย่าง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนดีขึ้นมานิดนึง”

   “จะสารภาพรักกับฉันเหรอ?”

   “เพ้อเจ้อ...ผมแค่อยากจะบอกว่ายินดีที่ได้รู้จักคุณต่างหาก”

   ธาวินถอนหายใจโล่งอก รู้สึกวูบโหวงไปนิดแต่ไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจ

   มันเป็นไปไม่ได้หรอก มิ่งขวัญไม่มีทางมาชอบคนอย่างเขา

   “อืม...ยินดีที่ได้รู้จักนะ” ธาวินเหลือบมองถ้วยชามที่แช่อยู่ในกะละมัง ยุงหลายตัวบินว่อน ทำให้บรรยากาศในตอนนี้ดูเป็นกันเองดี

   รู้จักกันตั้งนานแต่เพิ่งมาพูดเอาป่านนี้

   พิลึกชะมัด...

   ความสัมพันธ์ของเราสองคน


TBC

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
จะลงเอยกันยังไงนะแต่ละคู่​ ดูยากดูต่างกันขนาดนี้

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มิ่ง กับ วิน มาจริงๆด้วย

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
บทที่ 20





   “…ขออย่าให้ขัด อย่าให้ข้อง ให้แคล้วคลาดทุกอย่าง ขอให้ปลาชุกชุม ขอให้สมปรารถนา จะให้รางวัลแก่แม่ย่านาง”

   ควันธูปลอยกรุ่นรับแสงอาทิตย์ในยามเช้า ไต้ก๋งเรือจรดมือลงบนหน้าผาก ปักธูปลงบนเครื่องเซ่นอย่างละหนึ่งดอกไล่ตั้งแต่เป็ดพะโล้ หมูสามชั้น ขนมหวานตระกูลทองทั้งหลายและผลไม้ที่ตระเตรียมมาเป็นเครื่องเซ่นให้กับแม่ยาเรือ

   “คุณตรัยครับ เดี๋ยวผมรบกวนไปผูกผ้าสามสีให้ทีนะครับ”

   “ผูกตรงไหนเหรอครับ”

   “ตรงโขนเรือครับ” ชี้ไปยังหัวเรือด้านหน้าที่มีเครื่องเซ่นวางอยู่ “ไอ้รุ่ง! ยืนเฉยทำไมล่ะ เอาผ้าสามสีมาให้คุณเขาผูกสิวะ”

   คนโดนเรียกชะโงกหน้าออกมาจากแผ่นหลังของเพื่อนสนิทแล้วยิ้มเฝื่อน ไม่อาจขัดคำสั่งไต้ก๋งได้จึงต้องหอบหิ้วผ้าสามสีและดอกไม้กำใหญ่มาให้กับทายาทเจ้าของเรือ

   “ต้องผูกยังไงเหรอ” ตรัยเอ่ยถามเสียงนุ่ม คำว่าคิดถึงเวียนวนหลังจากถูกหลบหน้าหลบตามาหลายวัน

   “มัดตรงหัวโขนได้เลยครับ แล้วก็มัดดอกไม้บนผ้าสามสีอีกที” ส่งดอกไม้ให้ด้วยมือไม้สั่นเทา ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับเจ้านายหนุ่ม

   “กลัวฉันเหรอ” ตรัยกระซิบถาม รับดอกดาวเรืองจากมือหยาบมาติดบนโขนเรือ

        รุ่งภพส่ายหน้า คอยระวังไม่ให้ตรัยก้าวไปเหยียบโขนเรือซึ่งเป็นที่สถิตของแม่ย่านาง

   “งั้นก็รังเกียจ” ส่ายหน้าอีกครั้ง หยิบน้ำมะพร้าวอ่อนให้รดตรงเสากระโดงเรือ “ถ้าไม่รังเกียจก็ช่วยเงยหน้าขึ้นมาพูดกันดีๆ ได้ไหม”

   “ผม…ไม่กล้า”

   “ทำไมถึงไม่กล้าล่ะ ฉันไม่ใช่คนใจยักษ์ใจมารสักหน่อย”

   “ผม...ผมอาย”

   ตรัยชะมักมือที่กำลังพรมน้ำมะพร้าว หันกลับมามองชายหนุ่มที่เดินตามด้วยแววตาคาดไม่ถึง “อายฉันเหรอ? หรืออายเรื่องคืนนั้น”

   ก้มหน้าหลบ แก้มแดงก่ำไปถึงใบหู

   คงเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า

   เขาพอจะมีหวังใช่ไหม สักวันหนึ่งความรู้สึกของเราคงตรงกัน

   “ทำบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน”

   “ยังจะทำอีกเหรอ! ไม่เอาแล้วนะ” ร้องบอกเสียงหลงหน้าตาแตกตื่น คงต้องให้เวลาอีกสักพัก ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป

   “กลัวอะไรขนาดนั้น”

   รุ่งภพเม้มริมฝีปาก รู้สึกประหม่ากับตรัยเวอร์ชันนี้ “แล้ว...คุณจะไปกับพวกเราจริงๆ เหรอครับ?”

   “รู้ด้วยเหรอ...นึกว่าหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน”

   “ไต๋เพิ่งบอกพวกเราเมื่อเช้าครับ” หนุ่มใต้ทำหน้างอ เผลอมองตอบอย่างลืมตัว

   เขาเป็นแบบนี้ก็เพราะใครกันล่ะ...

   นึกว่าจะหนีหน้าไปได้อีกสักอาทิตย์ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตามลงเรือไปด้วยกันเช่นนี้

   รุ่งภพไม่ได้ซื่อจนไร้เดียงสา เขารู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร แม้จะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่กลับไม่นึกรังเกียจอย่างที่ควรจะเป็น เขายอมรับว่าหวั่นไหวทุกครั้งที่นึกถึง อาจจะเป็นเพราะความใจดีที่อีกฝ่ายมอบให้จนบางครั้งก็หลงคิดว่าตัวเองนั้นสำคัญ

   เขาควรทำอย่างไรดี...

   อยากจะขอเวลาคิดทบทวนอีกสักระยะแต่ตรัยไม่เปิดโอกาสให้กันเลย

   หนุ่มใต้ถอนหายใจหนักขณะคล้องประทัดตรงเสากระโดงเรือ หลังจากเซ่นไหว้แม่ย่านางแล้วต้องทำการจุดประทัดเพื่อเอาฤกษ์เอาชัยก่อนเรือออก ชาวประมงนั้นให้ความเคารพแม่ย่านางเป็นอย่างมาก แม้ปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือจนทันสมัยแต่ก็ยังคงให้ความสำคัญกับประเพณีดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน

   “คุณตรัยครับ เอกสารที่ผมขอล่ะครับ?” ไต๋เมืองปีนขึ้นมาบนเรืออีกครั้ง ใต้รักแร้และวงแขนเหน็บแฟ้มเอกสารเต็มไปหมด ดูวุ่นวายจนคนมองขมวดคิ้ว

   “ผมให้คุณฝนจัดการแล้วครับ”

   “แล้ว...ของอีกคนล่ะครับ? ที่บอกว่าจะขอตามไปด้วย”

   “กำลังไปถ่ายเอกสารให้อยู่ครับ”

   ตรัยหันกลับไปมองหนุ่มใต้อีกครั้งเมื่อไต๋เมืองเดินจากไป รุ่งภพหนีเขาขึ้นไปอยู่บนบันไดลิงแล้ว มือข้างหนึ่งกำลังเอื้อมขึ้นไปจุดประทัดที่แขวนห้อยอยู่หน้าเรือ

   ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

   “เหวอ!”

   เสียงประทัดดังกลบเสียงร้องจนเกือบมิด คนร้องไม่ใช่ตรัยแต่เป็นช่างต่อเรือหนุ่มที่เดินดุ่มๆ ขึ้นมาอย่างรีบร้อน

   “พี่ณัฐ!”

   “ก็เออสิวะ! มึงเห็นเป็นใครล่ะ”

   “พี่ขึ้นมาทำอะไรอ่ะ?” รุ่งภพปีนบันไดลงมาอย่างรวดเร็ว ปัดเศษประทัดออกให้ตั้งแต่เส้นผมจนถึงคอเสื้อ

   “มาทำงานสิวะไอ้ห่า”

   “งาน? งานอะไร ซ่อมบำรุงเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ”

   ณัฐขมวดคิ้ว กลายเป็นฝ่ายงงเสียเอง “นี่มึงไปมุดหัวอยู่ไหนมาวะไอ้รุ่ง? คุณตรัยเขาจ้างกูพิเศษให้มาเป็นช่างเครื่องชั่วคราวไง”

   “จริงเหรอ? ไปคุยกันตอนไหนน่ะ...ทำไมผมไม่รู้” ถามเสียงแผ่ว ไม่คิดว่าตรัยจะชวนหนุ่มรุ่นพี่คนนี้มาทำงานด้วย

   “ตอนไปกินเหล้าที่บ้านมึงไง คุณวินเขาชวนแล้วกูก็ว่างพอดี พอคุณตรัยตกลงกูก็เก็บกระเป๋าตรงดิ่งมานี่เลย”

   “ใจง่าย”

   “เดี๋ยวกูถีบ” ไม่เดี๋ยวหรอกเพราะเงื้อแล้ว

   “แล้วงานพี่อ่ะ”

   “ถ้ายุ่งกูจะมาไหม? มีสมองก็คิดหน่อย” ทิ้งถ้อยคำเจ็บแสบเอาไว้แล้วหันไปทักทายคนจ่ายค่าจ้างให้ชั่วคราว “สวัสดีครับคุณตรัย เมื่อกี้ว่าจะทักก็ไม่ได้ทัก โดนไอ้รุ่งมันรับน้องซะก่อน”

   “เปล่าสักหน่อย…ก็เดินเข้ามาไม่ดูเอง” บ่นด้วยน้ำเสียงอุบอิบก่อนจะรีบเผ่นหนี

   ตรัยมองตามแผ่นหลังเล็กแคบไปจนสุดสายตา เขาระบายลมหายใจหนัก ไม่อยากรุกมากไปกว่านี้เพราะกลัวอีกฝ่ายจะแตกตื่น

   แค่นี้ก็ขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว แม้จะรู้สึกสงสารแต่เขาก็ไม่มีความคิดที่จะล้มเลิกแต่อย่างใด

   ในเมื่อเขาตัดสินใจเดินหน้าแล้ว...ก็ต้องเดินต่อไปให้สุดทาง






   แสงแดดในยามสายทวีความร้อนแรงเพิ่มขึ้นจนผิวแทบไหม้ ตรัยกระพือคอเสื้อขณะเดินดูการทำงานในแพปลา ดูเหมือนวันนี้คนงานหนาแน่นกว่าปกติเพราะมีทั้งคนงานประจำแพและคนงานประจำเรือ เขาสอดส่องสายตามองหารุ่งภพหลังแยกจากณัฐแล้วเดินลงมาด้านล่าง ลำพังตัวของชายหนุ่มนั้นหาไม่ยากหรอก แต่จะเข้าหายังไงไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกกระอักกระอ่วนใจมากเกินไปต่างหาก

   [คนงานประจำเรือมาเข้าแถวหน้าเรือด่วน]

   เสียงประกาศจากไต๋เมืองดังผ่านโทรโข่งขยายเสียง คนที่ถูกเรียกวิ่งมาเข้าแถวหน้ากระดานแบบเรียงหนึ่ง ส่วนรุ่งภพน่าจะตามมาเป็นคนสุดท้ายเพราะต้องคุมท่อลำเลียงส่งก้อนน้ำแข็งใส่เครื่องป่นลงไปเก็บใต้ท้องเรือ

   “มิ่งเอ็งไปยืนหัวแถว...ต่อด้วยณัฐ” ไต๋เมืองจัดแจงลำดับหัวท้าย “ไอ้รุ่งล่ะ?”

   “ป่นน้ำแข็งก้อนอยู่พ่อ”

   “คนนั้นน่ะเอาไว้สุดท้ายก็ได้ เห็นกันมาตั้งนมนานแล้ว ไม่เป็นไรหรอก” เจ้าหน้าที่หญิงร่างท้วมโบกมือเหมือนให้ผ่าน น้ำเสียงใจดีผิดกับใบหน้าที่เคร่งขรึม “เอาบัตรของไต๋มาตรวจก่อน ไหนใบประกาศนายเรือล่ะ?”

   “เอ...เดี๋ยวนะครับ” พลิกแฟ้มที่หอบหิ้วมาจนเต็มทั้งสองมือ

   “ให้ช่วยไหมลุง?” รุ่งภพสะกิด มือเย็นเฉียบจนไต้ก๋งเรือถดแขนหนี

   “เอ็งมาพอดีเลย หาใบประกาศให้ข้าที” ส่งแฟ้มที่ถืออยู่ให้ทั้งหมด ตัดช่องน้อยแต่พอตัว

   รุ่งภพขมวดคิ้วใช้เวลารื้อค้นอยู่พักใหญ่ พอเห็นเจ้าหน้าที่รอนานก็ส่งสายตาขอความช่วยเหลือ ตรัยซึ่งรออยู่ก่อนแล้วเบียดมิ่งขวัญแล้วแทรกตัวเข้าไปช่วยแทบจะทันที “เจอแล้วจ้ะ” ดึงใบประกาศนายเรือของไต้ก๋งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดู “จะตรวจทะเบียนเรือกับใบค่าน้ำด้วยไหมครับ?”

   เจ้าหน้าที่ชุดตรวจพยักหน้า ระหว่างตรวจเอกสารก็ส่งทีมขึ้นไปบนเรือตรวจวัดขนาดของตาอวน

   “ขนาดตาอวน 2.5 เซนติเมตรครับ” หยิบไม้บรรทัดขึ้นทาบ ตะโกนให้คนด้านล่างได้ยิน

   “เรืออวนดำ ขนาดอวนมาตรฐาน...” เจ้าหน้าที่อาวุโสทวนข้อมูลในใบอาชญาบัตรก่อนจะติ๊กปากกาลงบนเอกสารของหน่วยงาน “ติดตั้งระบบ VMS เรียบร้อยแล้ว ส่วนอุปกรณ์ความปลอดภัย...” แหงนมองไปยังลำเรือ “มีห่วงยาง มีเสื้อชูชีพ เรือฉุกเฉินล่ะมีไหม?”

   “เก็บไว้ด้านหลังครับ เป็นเรือไฟเบอร์กลาส”

   “รอบนี้พาไปทั้งหมด 25 คนนะ คนไทย 10 เมียนมาร์ 15” รุ่งภพรับเอกสารชุดเก่าคืนแล้วส่งให้ตรัยเก็บ เป็นภาพที่ดูแปลกเมื่อเห็นลูกชายเถ้าแก่ทำตัวเหมือนลูกน้องของคนงาน

   “ตรวจร่างกายคนงานเรียบร้อยหมดแล้วนะ” เธอเดินไล่ตรวจทีละคนเริ่มจากมิ่งขวัญ “ผ่าน” เพราะคุ้นเคยกันดีจึงแทบจะไม่ได้ตรวจอะไรเลยนอกจากบัตรประชาชน “คนนี้มาใหม่เหรอ?” ชี้ไปที่ณัฐแล้วเริ่มซักชุดใหญ่

   “ช่างเครื่องเรือครับ รับเข้ามาชั่วคราว”

   “มีใบประกาศช่างเครื่องเรือไหม?” ณัฐพยักหน้า เอาใบประกาศช่างเครื่องเรือออกมายืนยัน “แล้ว Seaman Book ล่ะ ทำหรือยัง?”

   “ต้องทำด้วยเหรอครับ ผมนึกว่าบังคับเฉพาะแรงงานต่างด้าว”

   “ของแรงงานต่างด้าวเรียก Sea book วัตถุประสงค์มันต่างกัน ของเขาเอาไว้ป้องกันปัญหาการขนถ่ายแรงงานผิดกฎหมาย ส่วนหนังสือคนประจำเรือของไทย เรียก Seaman Book เอาไว้บันทึกประวัติแล้วก็ใช้ตรวจสอบระยะเวลาในการทำงาน พอมีทักษะในการทำงานก็สามารถเอาไปสมัครขอรับใบประกาศโน่นนี่นั่นได้ ไม่ต้องสอบหลายขั้นหลายตอน”

   “บังคับหรือเปล่าครับ ผมยังไม่ได้ทำเลย...แล้วแบบนี้ผมจะออกเรือได้ไหม?”

   “ยังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการจ้ะ ตอนนี้ยังสามารถออกเรือได้ตามปกติแต่ต่อไปบังคับแน่นอน ถ้ามีเวลาก็ไปทำซะนะ ต่ออายุหนังสือทุกๆ 5 ปี” เธอมาร์คดอกจันไว้หน้าชื่อของชายหนุ่มแล้วขยับไปตรวจคนต่อไป “เป็นไงบ้างชมรม เก็บเงินได้เท่าไหร่แล้วล่ะ ถึงล้านหรือยัง?”

   “โห! เอาเปนล้านเลยเหรอ ถ้าเกะได้เยอะขนาดนั้น กลับบ้านไปนานแล้”

   คำตอบพาซื่อทำเอาทุกคนฮาครืน ตรัยเองก็พลอยขำไปด้วย เพิ่งเห็นมุมตลกของคนงาน “ทีอย่างงี้พูดไทยได้คล่องปร๋อเชียวนะ เอาบัตรสีชมพูมาโชว์หน่อยซิ” คนงานหนุ่มต่างสัญชาติโชว์บัตรสีชมพูเคลือบพลาสติกกันน้ำอย่างดีให้ดูพร้อมกับรอยยิ้มแป้น “ไม่ต้องยิ้มเหมือนในรูปก็ได้ แล้ว Sea book ล่ะ? อยู่ไหน...”

   “อยู่นี่ครับ” รุ่งภพส่งหนังสือคนประจำเรือให้ตรวจสอบ เอกสารชุดนี้ไต๋เรือจะเป็นคนเก็บเพื่อป้องกันการสูญหาย เนื่องจากลูกเรือบางคนก็วางทิ้งขว้างไม่เก็บรักษาเหมือนบัตรประจำตัว

   “โอเคแต่ยังไม่เรียบร้อย รอบนี้มีคนนอกขอไปด้วยอีกสองคนใช่ไหม คนไหนล่ะ?”

   “ผมเองครับ” ตรัยยกมือขึ้น เรียกหาเอกสารจากคุณฝนฝ่ายบุคคล

   “แล้วอีกคนล่ะคะ?”

   “กำลังถ่ายเอกสารอยู่ครับ…”

   “มาแล้วครับๆๆ มาแล้วๆๆ” เสียงตะโกนนำมาก่อน ตามด้วยร่างหนากำยำที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาอย่างทุลักทุเลเพราะสะพายกล้องเอาไว้รอบตัว “โทษทีครับ ช้าไปหน่อย"

   “ช้าเพราะถ่ายเอกสารหรือช้าเพราะน้ำแตงโมปั่นคะ?”

   คนโดนเหน็บยิ้มไม่จืด ดูดน้ำแตงโมปั่นดังอึ้กราวกับจะตอกย้ำคำต่อว่าของเจ้าหน้าที่ “กินทิ้งทวนไงครับ เดี๋ยวออกเรือแล้วไม่ได้กิน”

   “อ่ะจ้ะ แล้วจะขึ้นไปทำอะไรกันเหรอคะ ไม่เห็นแจ้งเหตุผลเอาไว้เลย”

   “มันต้องเข้มงวดขนาดนี้เลยเหรอครับ?”

   “ช่วงนี้ก็จะเข้มงวดนิดหนึ่งค่ะ คุณสิปา…ใช่ไหมคะ?” เธอถามคนมาใหม่ “ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรือหรือกิจการของแพปลาเลย พอจะบอกข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ทราบคร่าวๆ หน่อยได้ไหมคะว่าจะขึ้นไปทำอะไร”

   “ขึ้นไปเป็นเพื่อนมันไงครับ” ชี้ไปยังตรัย “ผมเป็นเพื่อนสนิทมัน พอจะเกี่ยวข้องบ้างไหมครับ”

   ตรัยส่ายหน้ากับคำตอบข้างๆ คูๆ ของเพื่อนสนิท “มึงบอกเขาว่าไปเที่ยวก็จบแล้ว”

   “นั่นน่ะสิคะ เข้าท่ากว่าเมื่อกี้ตั้งเยอะ” เจ้าหน้าที่ทำเพียงแค่ตรวจสอบความเรียบร้อย ไม่ได้มีสิทธิ์ไปห้ามใครขึ้นเรือหากมันเป็นความประสงค์ของผู้เป็นเจ้าของ “งั้นพวกเรากลับก่อนแล้วกันนะคะ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพค่ะ”

   รุ่งภพขอแฟ้มคืนจากตรัยเมื่อเจ้าหน้าที่กลับไปแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ยอมคืนให้แถมยังยื้อชายหนุ่มเอาไว้ใกล้ๆ ตัว “ผมจะรีบไปทำงาน”

   “ขอเวลาเดี๋ยวเดียวเอง มาทำความรู้จักกับเพื่อนของฉันก่อน” เพื่อนของเขายิ้มกว้างรออยู่นานแล้ว แววตาระริกระรี้ คงจำรุ่งภพได้เพราะภาพที่เขาโพสต์ “แนะนำตัวสิวะไอ้ห่า!”

   “สะ...สวัสดีครับ ผมชื่อรุ่งครับ”

   ตรัยถอนหายใจ หันมาพูดเสียงอ่อนกับชายหนุ่ม “ฉันไม่ได้ว่าเธอนะ...ฉันหมายถึงมันต่างหาก”

   “สองมาตรฐานไอ้สัด น้องมันแนะนำตัวเองก่อนก็ถูกแล้วเว่ย ระบบอาวุโสอ่ะ รู้จักมะ?”

   “มาคิดๆ ดูแล้ว...อย่ารู้จักมันเลยดีกว่า” ตรัยดึงคนข้างตัวออกห่าง เพื่อนของเขาร้องโวยวาย วิ่งตามมาจนพวงกล้องปลิวสะบัด

   “ถามน้องมันก่อนสิวะ น้องมันอาจจะอยากรู้จักกูก็ได้”

   “เธออยากรู้จักมันไหม?” ตรัยขยิบตาให้ชายหนุ่มแต่อีกฝ่ายไม่เล่นด้วย

   “คุณชื่ออะไรเหรอครับ ผมจะได้เรียกถูก”
   
   “ชื่อจริงชื่อสิปา นามสกุล...”

   “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ครับ” หนุ่มใต้รีบเบรค ไม่คิดว่าเพื่อนของตรัยจะมาเต็มขนาดนี้

   “อ่อเหรอ งั้นเรียกพี่ปาเฉยๆ ก็ได้ กูอนุญาต"

        "ใครเขาอยากนับญาติกับมึงกัน”

   “กูให้น้องมันเรียก ไม่ได้ให้มึงเรียก” สิปาถลึงตาใส่เพื่อนที่ชอบขัดจังหวะ “จะว่าไป...เด็กมึงนี่ก็หน้าตาดีเหมือนกันนะ”

   “ดะ...เด็กที่ไหนครับ?” รุ่งภพถึงกับยืนไม่ติด รู้สึกแปลกๆ เมื่อถูกจ้องมองอย่างพิจารณา

   “อ้าว? เด็กมึงไม่รู้เรื่องเหรอวะ ไอ้หญิงมันอุตส่าห์ไปดูดวงหาฤกษ์หายามให้มึงเลยนะเว้ย”

   ตรัยส่ายหน้า ไอ้พวกกระต่ายตื่นตูม ทำเด็กของเขาแตกตื่นหมด “กำลังตะล่อมอยู่ อย่าพูดเยอะเดี๋ยวไก่ตื่น”

   สิปาร้องอ๋อ ทำนิ้วโอเค “แล้วไอ้น้องนี่ไปกับพวกเราด้วยหรือเปล่า?”

   “มึงคิดว่ากูตามใครอยู่ล่ะ”

   “แจ่มแจ้งเลยทีนี้ กูเลยพลอยได้อานิสงค์ไปด้วยเลย” สิปานึกขอบใจเพื่อน เขากำลังหาคอนเทนต์ใหม่ๆ ไปลงช่องยูทูปของตัวเอง แม้จะทำเป็นงานอดิเรกแต่ก็สร้างรายได้ไม่แพ้งานประจำ “เออเกือบลืม” หันกลับไปหาคนที่ยังยืนงงอยู่ข้างเพื่อน “กดรับเพื่อนให้ทีดิ ในเฟสอ่ะ”

   “เฟสผมเหรอครับ?”

   “เออ เฟสที่มึงยังไม่ได้ตั้งชื่ออ่ะ”

   รุ่งภพหลุดเสียงหัวเราะ เพื่อนของตรัยคนนี้ทำตัวได้เป็นกันเองอย่างน่าประหลาด “อยากเปลี่ยนเหมือนกันครับแต่มันติดลิมิตแล้วอ่ะ ไม่รู้จะแก้ยังไง”

   “แบบนี้นี่เอง ปล่อยให้กูรออยู่ตั้งนานว่าเมื่อไหร่มึงจะตั้งชื่อ”

   “พี่รู้จักเฟสผมได้ไงครับ?”

   ถามด้วยน้ำเสียงสุภาพจนสิปาไม่กล้าหยาบใส่ “ก็เพื่อนพี่มันลงรูปเอ็งแล้วแท็กชื่อมา พี่ก็แอดดิเพราะพี่มันคนทั่วถึง”

   “แอดไปทั่วแต่เขาไม่รับ” ตรัยเหน็บเพื่อน แอบชำเลืองมองหน้าฟีดของหนุ่มใต้

   “พูดอะไรช่วยเกรงใจเพื่อนหลักพันของกูด้วยครับ”

   “เพื่อนหลักพันแต่รู้จักแค่หลักสิบ”

   “อย่าเอาความจริงมาพูดดิว้า คิดซะว่าที่เหลือเป็น FC กูก็แล้วกัน”

   รุ่งภพกลั้นขำจนไหล่สั่นเมื่อสิปาชูนิ้วบอกไอเลิฟยู ตรงข้ามกับตรัยที่มีสีหน้าเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด ปัดความรักของเพื่อนสนิททิ้งแล้วกระทืบซ้ำอย่างไม่ไยดี


   หวูดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


   เสียงสัญญาณจากหวูดเรือดังสะท้อนก้องคุ้งน้ำ เครื่องยนต์ขนาดใหญ่สั่นไหวพ่นควันสีเทาลอยกรุ่นขณะพาลำเรือถอยห่างจากฝั่งเพื่อเดินทางไกล คนบนเรือทอดมองฝั่งเป็นครั้งสุดท้ายอย่างหงอยเหงา คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคงหนีไม่พ้นมิ่งขวัญที่รู้สึกเหมือนอะไรขาดหายไป

   หากเขาเพ่งมองให้นานกว่านี้อีกสักนิด คงจะเห็นร่างของใครคนหนึ่งที่ยอมสละตั๋วเครื่องบินแล้วตามมาส่งในวินาทีสุดท้าย… 
 


TBC


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
น่าสงสาร

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
บทที่ 21




   ปุยเมฆสีขาวกระจายตัวเป็นรูปเกล็ดปลาเหนือน่านฟ้าทั่วสารทิศ ตรัยยกมือป้องแสงแดดขณะแหงนหน้าขึ้นมองความแจ่มใส เขาดูเมฆไม่เป็นหรอกแต่เดาว่าวันนี้อากาศคงจะดี

   “เดี๋ยวนี้ชาวประมงยังดูก้อนเมฆกันอยู่ไหม?” เขาถามมิ่งขวัญเพราะเป็นคนเดียวที่ยังยืนอ้อยอิ่งอยู่ตรงกราบเรือ

   “ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ๆ ดูไม่ค่อยเป็นกันหรอกครับ อาศัยเรดาร์อย่างเดียวเลย แม่นยำกว่า”

   “ต้องเป็นคนรุ่นเก่าๆ สินะ”

   “ผมกับไอ้รุ่งก็ดูเป็นนะครับ ของแบบนี้มันสืบทอดกันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย จดจำเอาไว้ก็ไม่เสียหาย จะหวังพึ่งแต่เทคโนโลยีอย่างเดียวมันก็ไม่ได้”

   ตรัยพยักหน้าเห็นด้วย สุดท้ายแล้วก็ต้องพึ่งตัวเองกันทั้งนั้น แต่จะพึ่งได้มากได้น้อยก็อีกเรื่อง “แล้วดูยังไงเหรอ เมฆแบบนี้ดีไหม?”

   “ถ้าเมฆนอนแผ่เป็นละอองคลื่นแบบนี้ ลมจะดีครับ ออกเรือได้ไกล แต่ถ้าวันไหนเมฆก่อตัวเป็นแนวทึบคล้ายภูเขาลูกใหญ่สีออกเทาดำต้องระวังให้ดีครับ วันนั้นอาจจะมีพายุหรือฝนฟ้าคะนอง”

   พอเรือแล่นหลุดพ้นปากอ่าวมาแล้วก็มองไม่เห็นอะไรอีกนอกจากผืนน้ำกับผืนฟ้า คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเลจริงดังว่า แม้จะรู้สึกปลอดโปร่งและเป็นอิสระแต่ไม่ทำให้รู้สึกปลอดภัยเลย

   “ไต๋ให้มาตามครับ จะลาของไหว้แล้ว”

   รุ่งภพเดินมาบอกอีกครั้งถึงขั้นตอนการออกเรือ หนุ่มใต้ชี้นิ้วกำกับให้ตรัยเข้าไปนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้า จุดธูปส่งให้พร้อมกับกิมฮวยขนนกยูง  ไต๋เมืองจัดแจงพิธีการต่อจากนั้น ให้ลูกชายเถ้าแก่เหน็บกิมฮวยเอาไว้ในถาดผลไม้ พนมมือแล้วกล่าวนำลาเครื่องเซ่นไหว้ก่อนจะหลีกทางให้ลูกเรือปักธูปลงกระถาง

   ควันธูปลอยกรุ่นและสลายไปอย่างรวดเร็วตามแรงลม พวงกล้วยดิบที่แขวนห้อยอยู่ตรงเสากระโดงถูกปลดออกเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับชาวเรือ

   “พวกคุณกินขนมไหมครับ เดี๋ยวผมแบ่งให้” รุ่งภพตักทองหยอดสีส้มสุกใส่ถ้วยใบเล็กแยกให้ต่างหาก ส่วนที่แบ่งให้กับลูกเรือจะจัดไว้รวมกันในถาดใหญ่ ใครอยากกินก็หยิบ บริการด้วยตัวเอง

   “ผมขอถ้วยนึงครับ” คนบอกยกหนึ่งนิ้วประกอบ แบมือรอรับถ้วยอย่างเนียนๆ

   “อยากกินอะไรก็ไปตักเอาเอง” หนุ่มใต้บอกกับคนงานต่างด้าวที่นิสัยเริ่มจะเหมือนคนไทยเข้าไปทุกที

   “เอาให้เขาไปก็ได้ พวกพี่ขอแอปเปิ้ลกับกล้วยหอมอย่างละลูกก็พอ” สิปาเอ่ยปากยกให้อย่างใจดี ชายหนุ่มเลือกแอปเปิ้ลในถาดแล้วโยนให้เพื่อนรับ ระหว่างนั้นก็จิ๊กขนมถ้วยฟูยัดเข้าปากเพราะเห็นสีสันน่ากินดี

   “เดี๋ยวเอ็งเผากระดาษแล้วจุดประทัดให้ลุงอีกชุดนะ เอาชุดใหญ่เลย เดี๋ยวลุงไปไหว้เสด็จเตี่ยก่อน”

   รุ่งภพกระจายงานต่อทันทีหลังจากได้รับคำสั่ง เขาให้เพื่อนขึ้นไปโยงประทัดหน้าเรือส่วนตัวเองนั่งเผากระดาษกงเต๊กปึกใหญ่ ฟังเสียงประทัดปุ้งปั้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย

   “เด็กมึงด้านชามาก”

   ตรัยพยักหน้าเห็นด้วย ขนาดเขาอยู่ห่างออกมาตั้งไกลยังยกมืออุดหูแทบไม่ทัน พอประทัดดอกสุดท้ายระเบิดจนหมด ไต๋เมืองก็ชะโงกหน้าออกมาเรียกอีกครั้ง คราวนี้กวักมือให้ปีนขึ้นไปบนเก๋ง เขาเลยหยิบรุ่งภพติดมือมาด้วยแม้ชายหนุ่มจะมีสีหน้าเหมือนไม่ค่อยเต็มใจ

   “ไหว้อะไรเหรอครับ?” สิปาถามเพราะได้กลิ่นธูปลอยมาปะทะตั้งแต่ปีนขึ้นบันไดมา

   “ไหว้เสด็จเตี่ยครับ” เสด็จเตี่ยของไต้ก๋งเรือคือกรมหลวงชุมพร หรือหมอพรเทวดา องค์บิดาแห่งทหารเรือไทย “คนเรือนับถือท่านมากครับ ทุกครั้งที่ออกเรือจะต้องบอกกล่าวและขอให้ท่านปกปักคุ้มครองอยู่เสมอ”

   เห็นพวงมาลัยแขวนทับกันจนบานฟูฟ่องก็พอจะนึกภาพออกว่าศรัทธาเพียงไหน นอกจากภาพเหมือนที่ติดอยู่บนสุดแล้วยังมียันต์กันภัยอีกร้อยแปดที่แปะติดจนเต็มห้อง ดูเหมือนห้องนี้จะเป็นห้องบังคับเรือเพราะสังเกตได้จากพังงาไม้ขนาดใหญ่และกระจกกว้างแบบ 180 องศา ภายในห้องมีเบาะนั่งเล็กแคบวางอยู่สองตัว ตัวหนึ่งถูกยึดครองไปแล้วโดยเพื่อนสนิทและเด็กของมัน

   “นี่ห้องบังคับเรือหรือเปล่าครับ”

   “ครับ ตรงนี้จะมีนายท้ายเป็นคนคอยคุม ดูร่องน้ำ ถือท้ายปล่อยอวน แล้วก็ต้องดูเข็มเทียบเรือเป็นด้วยครับ ต้องมีประสบการณ์มีใบประกาศถึงจะทำได้ ถ้าดูเข็มผิดแล้วพาเรือออกไปนอกเขตนี่ยุ่งเลยครับ อันตราย”

   “เขตอะไรเหรอครับ?”

   “ไอ้รุ่งเอ็งอธิบายทีซิ” ไต๋เมืองโยนให้ชิ้วเรือเป็นคนตอบ แกถนัดแต่ปฎิบัติไม่ถนัดทฤษฎี

   “เขตในทะเลครับ อาณาเขตทางทะเลของแต่ละประเทศจะแบ่งออกเป็น น่านน้ำภายใน ทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่อง แล้วก็เขตเศรษฐกิจจำเพาะครับ ถัดจากเขตเศรษฐกิจจำเพาะออกไปก็จะเป็นทะเลหลวงที่ไม่อยู่ในอำนาจของประเทศใด เขตนี้จะสามารถเดินเรือหรือบินผ่านได้อย่างเสรีภาพ”

   “แล้วมันแบ่งเขตกันยังไงอ่ะ จะรู้ได้ยังไงว่าเขตไหนเป็นเขตไหน”

   “ต้องดูจากเส้นฐานที่กำหนดขอบเขตครับ อย่างทะเลภายในก็กำหนดจากอ่าว ปากแม่น้ำหรือทะเลสาบ ถัดจากทะเลภายในก็จะเป็นอาณาเขตไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล ถัดออกมาอีกก็จะเป็นเขตต่อเนื่องแต่รวมกับทะเลอาณาเขตแล้วต้องไม่เกิน 24 ไมล์ทะเล ถัดออกมาอีกก็จะเป็นเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ตรงเขตนี้จะมีปัญหานิดนึงเพราะเราถูกล้อมรอบด้วยเขตเศรษฐกิจจำเพาะของเพื่อนบ้านเหมือนกัน บางจุดก็เป็นพื้นที่ทับซ้อน ทำให้ไม่มีทางออกไปสู่ทะเลหลวง”

   “มีปัญหายังไง?” ตรัยถามหลังจากนั่งเงียบมานาน

   “อย่างที่บอกครับว่ามันเป็นพื้นที่ทับซ้อน บางจุดก็ยังไม่ได้ตกลงกันให้เป็นเขตพัฒนาร่วม ต่างคนต่างอ้างสิทธิ์เลยเกิดปัญหาบุกรุกทั้งที่ตั้งใจแล้วก็ไม่ได้ตั้งใจ”

   “หมายถึงเราบุกรุกเข้าไปในเขตของเขาเหรอ?”

   “ไม่ใช่แค่เราฝ่ายเดียวหรอกครับ ถ้าหลงเข้าไปในพื้นที่ทับซ้อนอย่างเดียวคงไม่เท่าไหร่ แต่บางคนก็เลยเถิด รุกล้ำอาณาเขตกันก็มี”

   “หมายถึงรุกล้ำอาณาเขตของประเทศเลยใช่ไหม? ไม่ใช่แค่พื้นที่ทับซ้อน” รุ่งภพพยักหน้า “แล้วถ้าแล่นเรือผ่านนี่ถือว่าบุกรุกไหม”

   รุ่งภพส่ายหน้า “บางลำไม่ได้แล่นผ่านอย่างเดียวน่ะสิครับ ดันเข้าไปหาปลาในเขตของเขาด้วย พูดง่ายๆ ก็คือลักลอบเข้าไปทำประมงในบ้านเขาแบบไม่ยอมเสียค่าธรรมเนียมนั่นแหละ โดนเขาไล่ยิงกลับมาไม่รู้กี่ลำแล้ว หนักสุดก็จมเรือ”

   “ขนาดนั้นเลยเหรอ”

   “ถ้าเราลุกล้ำเข้าไปอาณาเขตของเขาจริงๆ ก็เป็นสิทธิ์ของเขาครับ กฎหมายของเขาไม่เหมือนบ้านเรา เด็ดขาดกว่ากันเยอะ”

   “แล้วถ้าเขารุกล้ำเข้ามาในเขตของเราล่ะ?”

   “ก็จะถูกจับดำเนินคดีแล้วส่งกลับครับ…แค่นั้น”

   หลังจากเรียบเรียงเรื่องอาณาเขตทางทะเลจนมึนตึ้บ แขกประจำเรือก็ถูกเชิญขึ้นลังกาของไต้ก๋งเรือ มันเป็นเก๋งชั้นสุดท้ายที่อัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกไม่ว่าจะเป็นกล่องรับสัญญาณผ่านดาวเทียม ทีวี ตู้เย็นหรือแม้กระทั่งเครื่องทำน้ำอุ่น สิปาถึงกับร้องว้าวเมื่อเห็นเตียงพับได้ขนาดสองคนนอน ชายหนุ่มใช้เวลาเดินสำรวจห้องพักอยู่ครู่ใหญ่ ค่อนข้างพอใจแม้จะแออัดไปบ้างก็ตาม

        ตรัยปีนบันไดลงจากเก๋งเมื่อไต้ก๋งเรือเริ่มจมจ่อมอยู่กับการคำนวณทิศทางของคลื่นและกระแสน้ำไหล ไต๋บอกกับพวกเขาว่าจะต้องวางแผนการล้อมอวนเอาไว้ล่วงหน้า เนื่องจากฝูงปลาแต่ละชนิดจะเปลี่ยนแปลงแหล่งอาศัยและเคลื่อนที่ไปตามการไหลเวียนของกระแสน้ำอุ่นและกระแสน้ำเย็น เพราะปลาไม่ใช่สัตว์ที่ว่ายน้ำอยู่กับที่ เราจึงต้องค้นหาและไล่ตามมันให้เจอ

      “สวัสดี ภาษาพม่าพูดยังไง”

      “มิงกะลาบา”

      “มิงกะลาบา...ฉันออกเสียงถูกไหม” หนุ่มต่างด้าวพยักหน้ารัวแล้วยกนิ้วให้ อวยหนักจนสิปานึกเขิน “แล้วยินดีที่ได้รู้จักอ่ะ?”

      “ตุ๊ยยาดา หวันตาบ่าแด”

      “ตวยหยาดา หวันบ่าแด” สำเนียงขาดๆ เกินๆ เรียกเสียงหัวเราะจากคนงานแถวนั้นได้เป็นอย่างดี ขนาดตรัยยังนั่งยิ้มขำแม้จะฟังบ้างไม่ฟังบ้างเพราะกำลังมองหารุ่งภพอยู่

      “ถ้าน้ำมันหมดทำไงอ่ะ มีปั๊มเติมน้ำมันกลางทะเลไหม?” สิปาเริ่มตั้งคำถาม

      “ปั๊มไม่มีครับ มีแต่เรือเติมน้ำมัน”

      “แล้วเขาเติมกันยังไงอ่ะ”

      “ลากหัวจ่ายมาเติมไงครับ ก็เหมือนเติมน้ำมันรถนั่นแหละ” ชมรม หนุ่มต่างด้าวแต่พูดไทยคล่องปร๋อเล่าให้ฟังด้วยสำเนียงติดเหน่อ นอกจากชมรมแล้วยังมีคนงานอีกหลายคนยังนั่งเอกเขนกอยู่บนพื้นเรือ บางคนก็นอนแผ่เหมือนมาปิกนิก เตรียมจะหลับกันอีกรอบแม้จะเริ่มเย็นแล้วก็ตาม

      “ดูว่างเนอะ”

      “ช่วงไหนว่างต้องนอนเอาแรงไว้ก่อนครับ ถ้าลงอวนนี่แทบจะไม่ได้นอนเลย ทำกันทั้งคืนก็มี”

      “แล้วปกตินอนตรงไหนเหรอ? มีห้องให้นอนไหม”

      “มีครับ ในเก๋งนั่นไง” พยักหน้าไปทางเก๋งเรือชั้นล่างที่มีขนาดใหญ่กว่าลังกาเป็นสองเท่า “เห็นใหญ่ๆ แบบนั้นแต่นอนอัดกันเป็นสิบนะครับ เมื่อปีก่อนเถ้าแก่เพิ่งจะติดแอร์ให้พวกเรา เลยสบายขึ้นมาหน่อยไม่ค่อยร้อน…”

      ตรัยไม่ได้อยู่ฟังจนจบเพราะเห็นรุ่งภพเดินผ่านเข้ามาในสายตา เขาตรงดิ่งไปหาชายหนุ่ม คว้าข้อมือเอาไว้แล้วลากไปอีกทางที่เป็นมุมอับสายตา

      “จะทำอะไรครับ!”

      “ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย ไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย”

      “เป็นคุณไม่ตกใจเหรอครับ คุยกันดีๆ ก็ได้ไม่เห็นต้องลากกันแบบนี้เลย”

      “แล้วเธออยู่ให้ฉันคุยดีๆ ไหมล่ะ?” ตรัยปล่อยข้อมือของชายหนุ่ม เริ่มจะน้อยใจขึ้นมาบ้างแล้ว

      “คุณอยากคุยเรื่องอะไรล่ะครับ”

      ไม่บอกแต่หยิบสร้อยออกมาแล้วบังคับสวมให้ “ถ้าไม่อยากโดนเหมือนวันนั้นก็อยู่นิ่งๆ”

      “ดะ...โดนอะไร?”

      “แบบนี้ไง” เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้แต่รุ่งภพรีบผลักออก

      “ห้ามทำแบบนี้บนเรือนะ!”

      “ทำไมจะทำไม่ได้ วันนั้นก็ทำบนเรือเหมือนกัน”

      “มันไม่เหมือนกัน! เรือลำนี้ต่อมาจากไม้ใหญ่ เราถึงให้ความเคารพแม่ย่านางกันมาก ห้ามทำเรื่องไม่ดีนะ”

      ตรัยทำหน้าบึ้ง นึกในใจว่าจูบมันไม่ดีตรงไหนกัน “ไม่ทำก็ได้แต่เธอต้องสวมสร้อยที่ฉันให้”

      หนุ่มใต้จับสร้อยคอที่ตรัยสวมให้ เขาจำจี้พระได้เพราะตรัยเคยบอกจะยกให้ตอนไปไหว้พระที่สงขลา “นึกว่าคุณลืมไปแล้ว”

      “จะลืมได้ยังไง สัญญากับเธอไว้แล้ว”

      “ขอบคุณนะครับ”

      “เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหม”

      “ไม่ได้ครับ ขอบคุณก็คือขอบคุณ” เดี๋ยวนี้รู้จักปฏิเสธเป็นแล้ว ไม่ยอมคล้อยตามเหมือนที่ผ่านๆ มา

      “แล้วเมื่อกี้จะไปไหน?” ตรัยเปลี่ยนคำถาม เพิ่งจะนึกได้ว่าชายหนุ่มกำลังจะปีนขึ้นไปบนเก๋งเรือ

      “จะไปเฝ้าหม้อให้ไต๋ครับ”

      “เฝ้าหม้อ?”

      รุ่งภพหลุดยิ้มเมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มทำสีหน้าประหลาด “คิดอะไรอยู่ครับ ผมหมายถึงหม้อเข็มทิศ”

       “อ่อ...งั้นฉันไปด้วย” ไต๋เมืองคงจะสงสัยเพราะเขาเพิ่งจะปีนลงมาเมื่อครู่นี้

       “ไปไหนกัน!”

   รุ่งภพสะดุ้งโหยงกับเสียงวินาศสันตะโรของคนมาใหม่ เขาถอนหายใจแล้วพูดประโยคเมื่อครู่นี้อีกครั้ง สุดท้ายก็ได้ผู้ติดสอยห้อยตามไปด้วยอีกสองคน

   “ไอ้มิ่งลงไปนอนแล้วเหรอลุง”

   “เออ…เอ็งดูๆ มันให้ลุงหน่อยนะ รู้สึกเหมือนมันซึมๆ ยังไงก็ไม่รู้”

   “จ้ะ เดี๋ยวฉันช่วยดูให้” หนุ่มใต้ทิ้งตรัยเอาไว้ตรงทางเข้าแล้วตรงดิ่งไปนั่งเฝ้าหม้อเข็มทิศตามที่เคยพูดเอาไว้ เขากลั้นยิ้มเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของชายหนุ่ม ไม่ค่อยรู้สึกขัดเขินเท่าไหร่แล้วหากไม่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง

   “อันนี้เครื่องอะไรเหรอครับ?” สิปาใช้ปลายนิ้วเคาะหน้าจอขนาดกะทัดรัด มันเหมือนเครื่องประมวลผลอะไรสักอย่าง ภาพในจอเป็นสีดำสนิทและมีเส้นรอบวงหลายชั้น สักพักก็จะเห็นคลื่นสีแดงเป็นเม็ดๆ กระจายอยู่เป็นหย่อมๆ แล้วก็หลุดหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   “เครื่องโซนาร์ครับ ใช้ค้นหาฝูงปลา ถ้ามีปลามันจะขึ้นเป็นเม็ดคลื่นสีแดงๆ แบบนี้”

   “เหมือนจอเรดาร์เลยนะครับ”

   “หลักการทำงานคล้ายกันครับแต่โซนาร์จะใช้คลื่นเสียงและใช้ในน้ำ ส่วนเรดาร์ใช้ในอากาศ”

   “ผมขอถ่ายวิดีโอได้ไหมครับ ไต๋จะอนุญาตไหมถ้าผมจะเอาไปตัดต่อลงยูทูป”

   ไต๋เมืองเลิกคิ้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มเช็คกล้อง “คุณทำยูทูปเหรอครับ”

   “ฝากสับตะไคร้แล้วก็กดกระดิ่งด้วยนะครับ”

   รุ่งภพทรุดตัวลงไปนั่งขำเมื่อเห็นสีหน้างงงวยของผู้เป็นลุง

   “ทำไมต้องสับตะไคร้ด้วยล่ะครับ?”

   ตรัยส่ายหัว ช่วยแก้ความเข้าใจของไต๋ใหม่ “มันหมายถึงกดติดตามช่องมันในยูทูปน่ะครับ จริงๆ เขาเรียกซับสไคร์บไม่ใช่สับตะไคร้..มึงก็เล่นไม่รู้เรื่องไอ้ปา” ประโยคหลังเขาหันไปด่าเพื่อน

   “ขอโต้ดก๊าบ” ชายหนุ่มยกมือไหว้ “เดี๋ยวผมขอข้อมูลเกี่ยวกับการทำประมงหน่อยได้ไหมครับ จะได้เอาสตอรี่ไปใส่ในคลิปให้มันดูมีเรื่องมีราวหน่อย”

   “ครับ...แล้วผมต้องออกกล้องด้วยหรือเปล่า” ยังไม่ทันได้คำตอบก็เตรียมจัดแต่งทรงผมเอาไว้แล้ว

   “ถ้าไต๋อนุญาตผมก็ถ่ายครับ” หนุ่มยูทูปเริ่มตั้งกล้อง รุ่งภพเลยต้องเขยิบไปนั่งกับตรัยเพื่อไม่ให้เข้าเฟรม “เดี๋ยวไต๋ช่วยอธิบายขั้นตอนการทำประมงหน่อยนะครับ”

   “มันไม่มีขั้นมีตอนอะไรหรอกครับ อยู่ที่ประสบการณ์ของไต๋เรือล้วนๆ ดูปลาใต้น้ำเป็นหรือเปล่า? คำนวณได้ไหมว่าฝูงนี้ประมาณกี่โล? รู้หรือเปล่าว่าเป็นปลาอะไร? รู้แล้ววางอวนได้ไหม น้ำเดินไปทางไหน แล้วก็ต้องรู้ด้วยนะว่าวันนี้น้ำกี่ค่ำ ปลาจะอยู่ตรงไหน? ต่อให้มีโซน่าร์แต่ไม่รู้แหล่ง หาให้ทั่วทะเลก็ไม่เจอหรอก”

   “เร็วไปครับไต๋ ขอเริ่มจากเบสิคก่อนได้ไหมครับ”

   “...งั้นเริ่มจากการแยกประเภทของเรือก่อนดีไหมครับ จะได้ไม่งง” ไต๋เมืองเสนอแนะ “ประมงไทยหลักๆ ก็จะมีประมงพาณิชย์กับประมงพื้นบ้าน ในส่วนของประมงพาณิชย์ก็จะแยกย่อยไปอีกตามลักษณะของอวนที่ใช้กัน อย่างเรือลำนี้ใช้อวนดำก็เรียกเรืออวนดำหรืออวนล้อมจับ ถ้าใช้อวนลากก็เรียกเรืออวนลาก ถ้าใช้อวนรุนก็เรียกเรืออวนรุน...แต่เรืออวนรุนยกเลิกไปแล้วเหลือแต่รุนเคยอย่างเดียว พอจะเข้าใจไหมครับ”

   “ครับ พอจะตามทันอยู่ครับ ทำไมถึงยกเลิกเรืออวนรุนไปแล้วล่ะครับ”

   “...เพราะมันขุดทำลายหน้าดินครับ การทำประมงอวนรุนต้องใช้คันถ่างประกอบอวน เวลาเรือแล่นไปข้างหน้า คันถ่างตัวนี้ก็จะขุดหน้าดินขึ้นมาทำให้พื้นทะเลเสียหาย เขาก็เลยประกาศให้ยกเลิกเหลือแค่รุนเคยอย่างเดียว”

   “เคยคืออะไรเหรอครับ?”

   “เหมือนอัดคลิป 20 คำถามอ่ะ” ตรัยเอียงริมฝีปากกระซิบข้างหูของหนุ่มใต้ รุ่งภพย่นคอหนี คว้าแอปเปิ้ลมากั้นกลาง “เอามาทำไม ไม่หิว” ปากบอกไม่หิวแต่รับมาปอกให้

   “นั่งเฉยๆ สิครับ อย่ารุ่มร่าม”

   “พูดเหมือนฉันเป็นคนหื่มกามไปได้”

   “ช่วยเงียบๆ หน่อยได้ไหมครับตรงนั้นน่ะ!” สิปากดหยุดวิดีโอแล้วส่งเสียงเตือน “ต่อเลยครับไต๋”

   “ถึงไหนแล้วนะ?”

   “ถึง ‘เคย’ คืออะไรแล้วครับ”

   “อ่อ…เคยได้ยินกุ้งเคยไหมครับ นั่นแหละครับที่เขาเอามาใช้ทำกะปิกัน”

   “อ๋อ งั้นเรากลับมาที่เรืออวนดำกันดีกว่าครับ”

   “โอเค...อวนดำจัดอยู่ในประเภทของอวนล้อมจับครับ นอกจากอวนดำก็มีอวนเขียว อวนล้อมปลาทู อวนล้อมจับปลากะตัก ขนาดของตาอวนแต่ละประเภทจะไม่เท่ากัน ขนาดของตาอวนมาตรฐานจะอยู่ที่ 2.5 เซนติเมตร แต่ก็ต้องดูด้วยว่าปลาที่จับเป็นปลาอะไร ถ้าจับปลาทูหรือปลาลังก็จะใช้ตาใหญ่กว่าประมาณ 3-4 เซนติเมตร ส่วนใหญ่จะใช้กันมากในฝั่งอ่าวไทยเพราะปลาทูเยอะกว่าฝั่งอันดามัน”

   “แล้วประมงพื้นบ้านล่ะครับ ทำเหมือนกันไหม?”

   “ประมงพื้นบ้านเขาจับสัตว์น้ำตามฤดูกาลครับ ส่วนใหญ่จะใช้อวนติดตา อาจจะเป็นตาข่าย อวนลอยหรืออวนจม บางครั้งก็เรียกตามสัตว์น้ำที่จับได้ อย่างอวนกุ้ง อวนจมปู อวนล้อมติดปลาทู อวนปลากุเลา หรือไม่ก็อวนลอยปลาอินทรีครับ จะได้มากหรือได้น้อยก็ขึ้นอยู่กับความยาวและชนิดของอวน”

   คนคุมกล้องพยักหน้าดูพอใจกับข้อมูลที่ไต้ก๋งสรุปให้ “อีกนิดนะครับไต๋ ผมขอถามความคิดเห็นเกี่ยวกับมุมมองในการทำประมงหน่อยได้ครับ”

   “เกี่ยวกับ IUU หรือเปล่าครับ?”

   “ประมาณนั้นครับ ถ้าไต๋ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็พอแล้ว”

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ มันก็แค่มุมมอง...สำหรับผมน่ะนะ การทำประมงมันไม่มีคำว่าพอดีหรอก จะได้มากหรือได้น้อยยังไงก็ต้องได้ ถ้าได้มากก็ถือว่าเป็นกำไร ถ้าได้น้อยก็ขอให้เพียงพอที่จะยังชีพได้ เราไปกำหนดไม่ได้หรอกว่าต้องได้เท่านั้นเท่านี้ทุกๆ วัน ผมอยากจะบอกว่าปัญหาโอเวอร์ฟิชชิ่งไม่ได้เกิดจากการที่พวกเราจับปลาหรอกนะ มันเกิดจากพวกทำประมงไร้จิตสำนึกต่างหาก ใช้อวนตาถี่ไปตัดวงจรชีวิตปลาเล็กปลาน้อยจนหมด ไม่มีโอกาสให้มันได้ขยายพันธุ์ได้เจริญเติบโต ถ้าจะแก้ก็ขอให้แก้ให้ถูกจุดด้วย…แค่นั้นแหละ”

   สิปากดบันทึกวิดีโอแล้วเปลี่ยนมาเป็นโหมดถ่ายภาพแทน ชายหนุ่มเก็บภาพนิ่งของไต๋เรือโดยมีฉากหลังเป็นแสงสุดท้ายสาดส่อง ให้ความรู้สึกหดหู่แต่ยังมีความหวังให้ก้าวเดิน

   ชายหนุ่มจ้องมองออกไปยังเส้นขอบฟ้าไกลลิบเบื้องหน้า ความอ้างว้างจากท้องทะเลวิ่งเข้าเกาะกุมหัวใจเขา แม้จะเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้มานับไม่ถ้วนแต่ไม่มีครั้งไหนรุนแรงเท่าครั้งนี้

   “ตรัย...”

   สิปาหยุดริมฝีปากเอาไว้แค่นั้นเมื่อเห็นเพื่อนสนิทนั่งรอจนหลับไปแล้วด้วยการเอนซบซอกไหล่ของหนุ่มใต้ตัวบาง

   เจ้าของไหล่ยิ้มให้อย่างฝืดเฝื่อน นั่งตัวแข็งให้อีกฝ่ายเอาเปรียบจนเมื่อยขบไปทั้งตัว

   หลับจริงหรือแกล้งวะ?

   ถ้าเขาปลุกมันจะตื่นขึ้นมาแบบสะลึมสะลือหรือแหกปากด่าเขาเป็นอย่างแรกกันแน่?

   ให้ทาย… 



TBC


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อย่าไปทำลายโอกาส​เขาสิปา

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
บทที่ 22






   กริ๊ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!


   กริ่งกู้อวนดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มการทำงาน ลูกเรือทั้งหมดปีนลงจากเก๋งพักด้วยสีหน้างัวเงียและผมฟูยุ่ง ขณะนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว เรือโชคชัยนาวารุ่นที่สองกำลังถูกคลื่นตีโต้ไปมาระหว่างจอดลอยลำอยู่เหนือเป้าหมาย ในบรรดาลูกเรือทั้งหมด มิ่งขวัญเป็นคนเดียวที่ไม่แสดงอาการง่วงนอนออกมาให้เห็น หนุ่มตัวโตยืนประจำอยู่ข้างเครื่องกว้าน กำลังม้วนสมอเรือขึ้นมาเก็บแข่งกับรุ่งภพที่กำลังไล่ดับไฟทุกดวงในเรือจนรอบด้านตกอยู่ในความมืดมิด แทบจะมองไม่เห็นอะไรเลยหากไม่ได้แสงดาวส่องนำทาง

   “จะจับปลากันมืดๆ แบบนี้เหรอวะ มองไม่เห็นอะไรเลย” สิปากระซิบถามเพื่อน เขายังไม่ได้นอนเลยสักตื่นเพราะมัวแต่ตัดต่อวิดีโอที่ถ่ายไว้

   “ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวก็คงเปิดไฟมั้ง” ตรัยหยุดพูดเพียงแค่นั้นเพราะเสียงเครื่องยนต์เรือดังกลบจนไม่รู้สึกถึงความเงียบสงัดอย่างที่ควรจะเป็น เขาลากเพื่อนเข้าไปหลบใต้เก๋งเมื่อเห็นรุ่งภพเดินสั่งงานไปทั่วลำเรือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

   [ปล่อยได้!]

        พอได้ยินเสียงสั่งจากลำโพงขยายเสียง เหล่าคนงานก็เข้าประจำตำแหน่งข้างกราบเรือ เหวี่ยงพวงเชือกสีน้ำตาลเข้มโยนลงน้ำ ทิ้งทุ่นยางพยุงอวนไว้เบื้องหลังให้เรือลากล้อมจนเป็นวงกลม

         [ขวาไปๆ...ขวาๆ...เบาก่อน...เบาๆ ตรงไปก่อน...ตรงไปๆ...ขวาๆ]

         เสียงของไต้ก๋งดังขึ้นกำกับการทำงานของนายท้าย หลังจากเร่งเครื่องตีวงขวาไปได้ครึ่งทาง เนื้ออวนสีดำสนิทก็ถูกเชือกมานถ่วงลงไปจากกราบเรืออย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานลูกกระสงพยุงอวนก็มาบรรจบกันจนเต็มวง

         เสียงกริ่งดังขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้เป็นสัญญาณให้กู้อวน

         “ใครโดด มึงหรือกู?” มิ่งขวัญตะโกนถามเพื่อน รุ่งภพพยักหน้าถอดรองเท้าบูทกันน้ำออก

         “กูโดดเอง มึงไปประจำข้างตู้กว้านเถอะ” หนุ่มใต้ชะโงกดูปลายเชือกบนผิวน้ำ พยักหน้าเรียกคนงานใหม่เข้ามาดูขณะปีนขึ้นกราบเรือเพื่อเตรียมโดด

         “เดี๋ยวๆๆ! จะทำอะไร!” ตรัยรีบวิ่งเข้ามาจับ อุ้มยกชายหนุ่มลงมายืนบนพื้นเรือดังเดิม

         “ทำอะไรของคุณเนี่ย! ผมจะลงไปเอาเชือกขึ้นมาโยงกับเรือครับ” หนุ่มใต้ดึงมือของตรัยออกจากเอว ถลึงตาใส่เมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะลากเขาลงไปอีกครั้ง

        “ทำไมต้องโดดเองด้วยล่ะ คนงานตั้งเยอะแยะ”

        “พูดแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ” รุ่งภพถอนหายใจใส่ “บางคนเพิ่งมาใหม่ ผมก็ต้องทำให้เขาดูก่อน รอบต่อไปจะได้ไม่กลัวเวลาผมสั่งให้พวกเขาโดดลงไปลากเชือก”

   “โดดลงไปกลางทะเลเนี่ยนะ? ไม่กลัวก็บ้าแล้ว”

   “ลูกเรือทุกคนว่ายน้ำเป็นครับ มันเป็นงาน...คุณต้องเข้าใจ”

   เขาไม่อยากเข้าใจแต่คงห้ามอะไรไม่ได้ หากออกปากให้คนอื่นทำแทน รุ่งภพอาจจะเดือดร้อนเพราะลูกเรือไม่เชื่อฟัง

   ตู้มมมมมมมมม

   หนุ่มใต้ก้มตัวแล้วกระโดดลงไปเหมือนนักกีฬาว่ายน้ำ จ้วงแขนเพียงไม่กี่ครั้งก็คว้าปลายเชือกเอาไว้ได้ แม้จะลำบากตอนลากกลับเข้ามาเล็กน้อยแต่ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี คลื่นไม่แรงอย่างที่คิดแต่ในน้ำคงเย็นมากเพราะชายหนุ่มสั่นไปทั้งตัวตอนปีนกลับขึ้นมา

   “เอ้ามึง ผ้าขนหนู”

   ตรัยรับผ้าขนหนูที่เพื่อนโยนให้มาคลุมตัวของชายหนุ่ม “ผ้าใคร? มึงไปเอามาจากไหน”

   “ไม่รู้ เห็นตากอยู่เลยขอยืมมาก่อน”

   “ยืมกับใคร?”

        “ยืมในใจ”

        “....”

   หมดคำจะพูด รุ่งภพถอนหายใจอีกครั้งกับความปั่นป่วนภายในเรือ เขาเช็ดผมลวกๆ แล้วเพ่งผ้าขนหนูในมือ คงเป็นของลูกเรือคนใดคนหนึ่งที่ตากเอาไว้ด้านหลังของเก๋งเรือ

        [จับมาน]

         หนุ่มใต้โยนผ้าขนหนูเปียกชื้นขึ้นไปพาดบนราวเก๋ง สวมรองเท้าบูทของตัวเองอย่างรีบเร่งแล้วตะโกนสั่งคนงานให้ดึงเชือกขึ้นเตรียมกว้านหูอวนกลับเข้าเรือ

        “เอาเลย”

        มิ่งขวัญสบตากับเพื่อนแล้วพยักหน้าให้ หนุ่มตัวโตหมุนเครื่องกว้านเก็บสายมานขึ้นเรือ รูดหูอวนจนปิดสนิทดักทางหนีของฝูงปลา
   “โทษนะ อันนี้เครื่องอะไรอ่ะ”

   มิ่งขวัญหันไปตามแรงสะกิด เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นมนุษย์กล้องชะโงกหน้าเข้ามาถามด้วยแววตาสงสัย “เครื่องกว้านสายมาน”

        “สายมานคืออะไร?”

   “สายมานคือเชือก...เชือกเส้นใหญ่ๆ เอาไว้ร้อยผ่านห่วงวงแหวนสำหรับกว้านรูดปิดด้านล่างของผืนอวนไม่ให้ปลามันว่ายหนี” แม้จะแสดงสีหน้าหงุดหงิดแต่ก็ยอมตอบคำถามเพราะจำได้ว่าชายคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของลูกชายเถ้าแก่เรือ “จะถามอะไรอีกไหม ผมจะทำงาน”

   “ไม่ถามละ สู้ๆ นะ” สิปาชูสองนิ้วให้พร้อมกับรอยยิ้มให้กำลังใจ เขาไม่ถือสากับน้ำเสียงห้วนสั้นของชายหนุ่ม เข้าใจว่าตัวเองคงเกะกะเพราะถือกล้องเดินไปเดินมาจนคนอื่นทำงานไม่สะดวกเท่าที่ควร

   “จับเวลาแล้วนะ” มิ่งขวัญตะโกนบอกเพื่อน กดนาฬิกาจับเวลาเมื่อเริ่มบล็อคอวน

        “ใครคุมเครนวะ?”

   “บังรอด” เสียงลวดสลิงบดรอกดังขึ้นเสียดหู มิ่งขวัญหันไปทางหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบที่กำลังใช้พาวเวอร์บล็อคกว้านลูกกระสงและเนื้ออวนยกขึ้นสูง กันปลาว่ายหนีออกไปทางปากอวน

   [ระวังรอก ดูรอกด้วย เบาๆ...ตีหัวมาเยอะๆ หน่อย พอ!]

   เสียงไต้ก๋งดังขึ้นอีกครั้งกำกับการทำงานของลูกเรือ รุ่งภพถอยมายืนข้างตรัยหลบเนื้ออวนที่ถูกกว้านขึ้น “ฉันเกะกะหรือเปล่า”

   หนุ่มใต้ยิ้มขณะไล่เปิดไฟอีกครั้งจนสว่างไสวไปทั่วเรือ “ไม่มีใครกล้าว่าคุณหรอกครับ”

   “ไม่ว่าต่อหน้าแต่ว่าในใจหรือเปล่า?”

   “ถ้าไม่อยากโดนว่าคุณก็ไปช่วยพวกเขาสาวอวนสิครับ” รุ่งภพพูดไปอย่างนั้นเอง ไม่คิดว่าตรัยจะทำจริง

   “สอนหรือเปล่าล่ะ? ถ้าสอนก็จะช่วย”

   “เอาจริงเหรอครับ?”

   “คนอย่างฉันไม่พูดเล่น”

   ตำแหน่งของลูกเรือถูกปรับเปลี่ยนในนาทีสุดท้ายเมื่อลูกชายเถ้าแก่แทรกตัวเข้ามาตรงหัวแถว ทุกคนมีสีหน้าตกตะลึง ซ้ำยังขยี้ตาตัวเองหลายครั้งเหมือนเจอภาพหลอน

   “พร้อมนะครับ” ตรัยพยักหน้า จับเนื้ออวนตามชายหนุ่ม “ผมจะเป็นต้นเสียงให้จังหวะ ถ้าลูกเรือขานรับก็สาวขึ้นครั้งนึงแล้วสะบัด จังหวะจะช้าในตอนแรกแล้วก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ ตามให้ทันนะครับ”

   คอร์สเร่งรัดไม่เผื่อเวลาให้ทดลองงานเลยด้วยซ้ำ ผืนอวนในมือเริ่มหนักอึ้งเมื่อปลาถูกโอบเข้ามาจนวงแคบด้วยหัวเครน

   “เฮ้...เห่...ยาเล... (เฮ่...ยา...เล)”

   เผลอละสายตาจากผืนอวนเมื่อได้ยินน้ำเสียงเห่ร้องของคนให้จังหวะ รุ่งภพกุมกระชับมือเขาแล้วชักนำจนขยับไปพร้อมกับคนงาน ผืนอวนสีดำเลื่อมถูกดึงขึ้นมาพาดบนกราบเรือ ตีวงอวนให้แคบลงมาอีกด้วยแรงคน หลังจากเกินขีดจำกัดของเครนยก





   “เฮ...ยาเล... (เฮ่ ยาเล)
โอ เฮ ยาลาลาลา... (เฮ่ ยาเล)
เอ้า เฮ ยาลาลาลา... (เฮ่ ยาเล)
อ่ะ ยาลาลา เฮ้ ลา... (เฮ่ ยาเล)
ยาลาเฮ้ ยาลาฮา... (เฮ่ ยาเล)
เฮ...ยาเล... (เฮ่...ยา...เล)”






   เสียงให้จังหวะหยุดลงเมื่ออวนสีดำถูกสาวจนก้นตื้น พอปากอวนแคบลงจึงเห็นปลาว่ายวนเบียดเสียดจนเต็มไปหมด ปริมาณไม่น้อยเลยเมื่อลูกเรือสองคนชักรูดสวิงยักษ์ลงไปช้อนขึ้นมาจากวงอวน

   ตรัยปล่อยมือที่เริ่มชาหนึบจากการทำงาน เวลาผ่านไปเร็วมาก ไม่นานก็เห็นเส้นขอบฟ้าเริ่มปรากฎแสงเจือจางจากอรุณรุ่งในยามเช้าตรู่

   “เยอะจริง” เขาก้มมองก้อนปลาใต้ท้องเรือ บางตัวก็กระเด็นออกมาดิ้นบนพื้นเพราะสวิงใหญ่กว่าปากทางเข้าจนยัดเข้าไปไม่หมด

   “วงนี้ยังถือว่าน้อยนะครับ ยังไม่พอจ่ายค่าจ้างคนงานเลยด้วยซ้ำ...ออกเรือมาแล้วเราก็ต้องจับให้คุ้มทุนก่อนแล้วค่อยว่ากันเรื่องกำไร ต้นทางมันอาจจะดูเยอะ แต่พอกระจายออกไปแล้ว มันก็เหลือให้คนซื้อเห็นแค่ไม่กี่ตัวหรอกครับ เวลาไปเลือกซื้ออาหารจะมีสักกี่คนที่ตั้งคำถามว่าได้มันมายังไง มีแต่จะคิดว่ามันสดไหม? จะเอาไปทำอะไรกินมากกว่า”

    แสงแรกของวันส่องลอดตาอวนจนเกิดเป็นเงาตาข่ายทาบทับตัวเรือ ตรัยมองย้อนแสงของดวงอาทิตย์ไปยังเงาของคนงานที่แบกตะกร้าขึ้นบ่าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หยาดเหงื่อไหลหลั่งท่วมท้นเนื้อตัวที่เปียกปอน ถึงอย่างนั้นก็ยังยิ้มสู้เมื่อนึกถึงรายได้ที่คอยจุนเจือ

   แม้อาชีพนี้จะถูกมองว่าโหดร้าย แต่อย่างน้อย…มันก็สร้างโอกาสและรายได้ให้กับใครอีกหลายคน

   “เหนื่อยหรือเปล่า”

   รุ่งภพเอียงคอสงสัย น้ำเสียงของตรัยไม่ใช่แค่ตั้งคำถามเพื่อต้องการคำตอบเพียงเท่านั้น เขารู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่แผ่ซ่านผ่านไออุ่น หนุ่มใต้ลอบมองเสี้ยวหน้าคมคายใต้แสงแดด หัวใจเต้นระส่ำเมื่ออีกฝ่ายยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

   เขาเชื่อใจตรัยได้ใช่ไหม?

   หากวางมือให้อีกฝ่ายจับจูง เราจะเดินไปด้วยกันจนสุดทางได้หรือเปล่า?



TBC


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ตั้งแต่อ่านเรื่องนี้​ บอกเลยค่ะว่าไม่บ่นเรื่องราคาอาหารทะเลเลย

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
บทที่ 23





   ต้มยำหัวปลากะพงถูกนำมาเสิร์ฟหลังจากแล่เนื้อออกมาทำลวกจิ้มจนเหลือเพียงแต่ก้าง การกินอาหารบนเรือไม่มีโต๊ะหรือเก้าอี้มาวางให้ นอกจากพื้นกระดานแล้วก็มีแค่กองอวนที่พอจะปีนป่ายขึ้นไปนั่งได้ พวกเราเลยจับกลุ่มนั่งกินมื้อเช้ากันบนพื้น วางจานอาหารไว้ตรงกลางแล้วนั่งล้อมเป็นวงกลม

   “พี่ณัฐมากินข้าวด้วยกันดิ” รุ่งภพตะโกนเรียกชายหนุ่มรุ่นพี่ ณัฐเดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เสยผมชุ่มเหงื่อให้พ้นสายตา

   “ร้อนฉิบหายเลยห้องเครื่อง” ชายหนุ่มบ่นหลังจากขลุกอยู่กับเครื่องจักรยนต์มาเป็นเวลานาน “แกงอะไรวะ?”

   “ต้มยำหัวปลากะพงกับลวกจิ้มพี่”

   “รอบนี้ได้ปลากะพงด้วยเหรอ”

   รุ่งภพพยักหน้าระหว่างแกะเนื้อตรงกระพุ้งแก้มปลาใส่จานตรัย “ได้มาหกตัว ใหญ่มากอ่ะพี่ น่าจะตัวละสิบโลได้มั้ง”

   “มาทำงานครั้งแรกก็คุ้มแล้วกู กินแต่กะพงขาวมานาน ได้กินกะพงแดงสักที”

   “คุ้มจริงต้องกะพงแสมพี่”

   “เออจริง แต่กว่าจะได้แดกคงนั่งตกจนเหี่ยวอ่ะ” รุ่งภพกับชายหนุ่มรุ่นพี่หัวเราะกันอยู่สองคนเพราะคนอื่นไม่เข้าใจความแตกต่างที่พวกเขาพูดถึง

   “กะพงแดง กะพงขาวอะไรวะ? มันก็ปลากะพงเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” สิปาจุดประเด็น ความสงสัยนี้เขาต้องได้คำตอบ

   “กะพงขาวเป็นปลาเลี้ยงครับเนื้อจะยุ่ย ถ้าเป็นกะพงแสมหรือกะพงแดงจะเป็นปลาที่โตตามธรรมชาติครับ เนื้อจะแน่นกินอร่อยกว่า”

   “จริงเด่ะ? ทำไมกูไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเลยวะ” ลองตักชิมอีกหนึ่งคำ เนื้อนุ่มหยุ่นค่อนข้างหวาน “กูรู้อย่างเดียวคืออร่อยแค่นั้นแหละ”

   “ต่อมรับรสมึงตายด้านไง แดกแต่เหล้าจนลิ้นแข็งไปหมดแล้วมั้ง” ตรัยส่ายหน้า ขนาดเขายังแยกความแตกต่างออกเลย ระหว่างเนื้อกะพงแดงที่อยู่ตรงหน้ากับเนื้อกะพงขาวที่เคยกินในภัตตาคารจีนนั้นไม่เหมือนกัน

   “มึงก็พูดไป แดกเหล้าลิ้นไม่แข็งหรอกเว้ย มีลิ้นเปลี้ย~ ฮ่ะๆๆๆๆ” คนโดนด่าไม่มีสลดแถมยังเลียลิ้นให้ดูเป็นตัวอย่าง

   “กินเยอะๆ นะครับ ปลากะพงเป็นปลาหน้าดินไม่ใช่ปลาผิวน้ำ นานๆ ถึงจะติดอวนล้อมขึ้นมาสักที ไม่ใช่ว่าจะจับกันได้ง่ายๆ นะครับ”

   “แล้วปกติเขาใช้อวนอะไรจับกันอ่ะ?” สิปายัดเนื้อปลาเข้าไปจนแก้มพอง ในเมื่อเป็นของแรร์ก็ต้องกินให้คุ้ม

   “ปลาหน้าดินชอบหากินตามพื้นทะเลตามก้อนหินครับ เรือที่จับได้เยอะจะเป็นเรืออวนลากครับเพราะถุงอวนยาว อีกวิธีก็ง่ายๆ ครับ ใช้เบ็ดตกเอาหรือไม่ก็ทำลอบดักปลา” รุ่งภพอธิบายขณะที่ยังสาละวนอยู่กับการแกะปลาให้ตรัยและเพื่อนสนิท “อิ่มแล้วเหรอมิ่ง? กินน้อยแท้วะ”

   มิ่งขวัญทำเพียงแค่พยักหน้าไม่พูดไม่จา ลุกออกจากวงไปเงียบๆ เพื่อล้างจานของตัวเอง

   “มันดูหงอยๆ นะ” ณัฐเอ่ยทัก รู้สึกผิดสังเกตมาหลายวันแล้ว

   “ผมไปดูมันหน่อยดีกว่า” รุ่งภพชันตัวลุกขึ้น หันไปบอกกับตรัยก่อนไป “เดี๋ยวผมมานะครับ”

     หนุ่มใต้เดินตรงไปยังท้ายเรือ ตรงส่วนนี้จะเป็นครัวของจุมโพ่ มีทั้งถังน้ำแข็งใส่อาหารสดและผักที่เริ่มจะเหี่ยวเฉาตามวันเวลา เขาเอ่ยปากทักทายพ่อครัวงานยุ่ง อีกฝ่ายทำเพียงแค่พยักหน้ารับเพราะกำลังหั่นผักเตรียมอาหารในมื้อต่อไป

   “มิ่ง?” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงหยั่งเชิง มิ่งขวัญยังคงนั่งชันเข่าเหม่อมองคลื่นทะเลอย่างไร้จุดหมาย “มึงเป็นไรเปล่าวะ? ไม่สบายเหรอ” เขาอังมือลงบนหน้าผากเพื่อน อีกฝ่ายถอนหายใจแล้วหันกลับมามองกัน

   “กูไม่ได้เป็นอะไร แค่...”

   “แค่?”

   “แค่...รู้สึกเหมือนอะไรมันหายไป”

   “แล้วมันอะไรล่ะ?” ขนาดเจ้าตัวยังไม่รู้แล้วเขาจะรู้ได้ยังไง

   มิ่งขวัญไม่ตอบแต่เลี่ยงไปคุยประเด็นอื่น “มึงเคยคิดถึงใครคนนึงมากๆ ไหม”

   รุ่งภพอึกอัก “ก็…เคยอยู่”

   “แล้วมึงทำยังไง”

   “ก็ไม่ทำไง คิดถึงก็ไปหา...ไม่เห็นจะยากเลย” พูดน่ะง่ายแต่ความจริงคือแอบมองอยู่ห่างๆ

   “แล้วถ้าคนๆ นั้นเป็นผู้ชายล่ะ”

   “มึง…คิดถึงผู้ชายเหรอ?” รุ่งภพทำหน้าเหวอ ทำไมเขากับเพื่อนต้องมาหัวอกเดียวกันด้วยวะ

   “แปลกใช่ไหมล่ะ กูก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน พอไม่ได้เจอกันเหมือนทุกวันกูแม่งเพิ่งจะรู้สึก ยิ่งรู้ว่าเขาอยู่ไกลก็ยิ่งคิดถึงหนักเข้าไปอีก จะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”

   “มิ่ง” รุ่งภพเรียกสติเพื่อน “บนโลกนี้มีเครื่องมือสื่อสารที่เรียกว่าโทรศัพท์อยู่นะ”

   มิ่งขวัญมึนไปพักหนึ่งกับประโยควกวนของเพื่อนสนิท “เออว่ะ! กูก็มีเบอร์เขานี่หว่า ทำไมไม่โทรไปคุยวะ”

   “นั่นน่ะสิ ไอ้ฟาย มึงจะดราม่าทำเพื่อ?” ทำคนอื่นเขาเป็นห่วงไปหมด มันน่าบีบคอให้ตายคามือ

   “มึงแม่งเพื่อนแท้กูจริงๆ ว่ะ ใจนะเว้ยที่ช่วยให้กูตาสว่าง” มิ่งขวัญยิ้มหน้าชื่น ลากคอเพื่อนไปซุกดงรักแร้

   “ไอ้เหี้ย! อุแหวะ ปล่อยกู๊!” กว่าจะหลุดออกมาได้แทบจะขาดใจตายอยู่กลางดง

   ขอถีบสักทีก็แล้วกัน ไอ้สารเลว!

   “กูอยากโทรแบบเห็นหน้าอ่ะ เขาเรียกว่าไรนะ เฟสไทม์ป่ะ”

   “จะเฟสจะไลน์ก็โทรไปเถอะ” คนพูดควักยาดมออกมายัดจมูก ใบหน้าซีดเผือดและเหงื่อแตกพลั่ก “แต่โทรศัพท์รุ่นมึงโทรไม่ได้นี่หว่า”

   “เดี๋ยวเงินออกค่อยซื้อใหม่ มึงไปเป็นเพื่อนกูด้วยนะ”

   “เออ แล้วแต่มึงเลย” ปล่อยให้มันนั่งฝันลมๆ แล้งๆ ไปก่อนก็แล้วกัน เขาเดินกลับเข้ามาในวงข้าวอีกครั้ง ทุกคนอิ่มกันหมดแล้ว เหลือแค่ตรัยนั่งคอยอยู่คนเดียว

   “ไปทำอะไรมา? ทำไมหน้าเป็นงั้น”

   “ตกถังขยะมาครับ”

   ตรัยเลิกคิ้ว ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก “พวกคนงานเข้าไปนอนกันหมดแล้ว เธอจะเข้าไปนอนต่อไหม ง่วงหรือเปล่า?”

   หนุ่มใต้ส่ายหน้า งานของเขาไม่ค่อยได้ออกแรงอะไรนัก แค่ขีดๆ เขียนๆ แล้วก็เข้าไปช่วยบ้างตอนลูกเรืองานล้นมือ “เดี๋ยวทวนงานที่จดในบันทึกก่อนครับ ถ้าคุณง่วงก็ขึ้นไปนอนก่อนเถอะ”

   “ฉันจะนอนพร้อมเธอ”

   รุ่งภพจนใจจะห้ามปราม ตรัยลงมานอนเบียดเขาหลายคืนแล้ว ถ้าไม่เกรงใจเขาก็เกรงใจคนงานสักหน่อยเถอะ นอนเกร็งกันไปหมด ดูเรียบร้อยผิดหูผิดตา

   จะหายใจแรงๆ ยังไม่กล้า คนที่เคยกรนก็นอนเงียบ ไม่รู้ว่าได้หลับบ้างหรือเปล่า

   “ดูทำหน้าเข้า ไม่อยากให้ไปนอนด้วยเหรอ”

   “ไม่ใช่อย่างนั้น คุณทำแบบนี้พวกคนงานจะนอนไม่หลับเอา”

   “งั้นเธอก็ขึ้นไปนอนกับฉันข้างบนสิ ไต๋ไม่ว่าหรอก เขาเอ็นดูเธอจะตาย”

   “ผมไม่อยากให้ตัวเองได้สิทธิ์เหนือคนอื่น ขนาดไอ้มิ่งเป็นลูกมันยังไม่ขึ้นไปเลย”

   “ฉันก็ไม่อยากได้สิทธิ์เหนือคนอื่นเหมือนกัน ลงมานอนกับเธอก็ถูกแล้ว” ตรัยทำมึน เขาจะนอนซะอย่างใครจะทำไม

   “ตามใจคุณเลยครับ” พูดไปก็เท่านั้น

        คนหน้ามึนแอบยิ้ม รู้สึกว่าหน้าของตัวเองด้านขึ้นตั้งแต่ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง

        ด้านได้อายอด เขายึดคตินี้

        “เมื่อไหร่จะกลับ ออกมาเป็นอาทิตย์แล้วนะ”

        “เบื่อแล้วเหรอครับ”

        “เห็นแต่ฟ้ากับทะเล อยากเข้าฝั่งจะแย่แล้ว”

        “ลงอวนอีกสักรอบก็น่าจะได้กลับแล้วล่ะครับ รอบนี้ออกมาไกล กว่าจะไปกว่าจะกลับหมดน้ำมันไปหลายถัง เดี๋ยวก็ต้องหยุดเดือนหงายอีก ต้องกักตุนของเผื่อเอาไว้ด้วยครับ ถ้าของในแพปลาขาดอาหารทะเลจะปรับขึ้นราคาเพราะเรือไม่ออกไปทำประมงกัน”

   “ทำไมต้องหยุดเดือนหงายด้วยล่ะ”

   “มันเป็นคืนเดือนแจ้งครับ กระแสน้ำแรงทำให้วางอวนลำบาก พวกปลาจะหากินไปทั่วแล้วก็ลงไปลึกกว่าเดิมเพราะได้แสงสว่างจากดวงจันทร์ ถ้าเรือลำไหนใช้โซนาร์ก็ไม่มีปัญหาครับแต่อาจจะได้น้อยเพราะปลามันไม่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ชาวประมงเลยไม่ค่อยจับปลาในคืนเดือนหงายกัน ถ้ามีแสงสว่างมากปลามันจะมุดลงหน้าดินกันหมดเพราะมองเห็นอวน ทำให้จับไม่ได้ 100% ครับ”

   “พอไม่มีเรือออก ปลาก็ขาดตลาดใช่ไหมเลยต้องขึ้นราคา”

   “มันก็ไม่ถึงกับขาดตลาดหรอกครับ แพปลาแต่ละที่จะมีของที่ฟรีสเอาไว้ในห้องเย็นอยู่แต่ไม่เยอะเท่านั้นเอง ช่วงเรือหยุดเดือนหงายปลาผิวน้ำอย่างปลาทู ปลาหลังเขียว ปลาอินทรีจะมีราคาสูงเพราะเรืออวนล้อมหยุดช่วงนี้กัน แต่แม่ค้าบางเจ้าก็ถือโอกาสช่วงนี้ขึ้นราคาอาหารทะเลทุกชนิดแล้วอ้างว่าเป็นช่วงเรือหยุด ฟันกำไรเอากับปลาหน้าดินที่จับได้ทุกเวลาไม่เกี่ยวกับเดือนมืดหรือเดือนหงาย อย่างปลาเก๋า ปลากะพงแดง ปลาสำลี ปลาเห็ดโคน ปลาพวกนี้มาจากเรืออวนลากทั้งนั้น ถ้าแม่ค้าปั่นราคาก็แสดงว่าคุณกำลังโดนหลอกแล้วล่ะครับ”

   “สงสัยต้องพกเธอติดตัวไปด้วยตลอดแล้วล่ะ จะได้ไม่โดนหลอกไง”

   “คุณเป็นลูกเจ้าของแพปลานะครับ ไม่มีใครกล้าหลอกคุณหรอก”

   “ฉันเป็นแค่ลูกไม่ใช่เจ้าของแพปลาสักหน่อย”

   “ลูกเจ้าของก็เหมือนเจ้าของนั่นแหละครับ”

   “งั้นลูกเจ้าของมีสิทธิ์อะไรบ้างล่ะ” ตรัยโน้มหน้าเข้าไปหาชายหนุ่ม กระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “สามารถยึดคนงานของพ่อมาเป็นของตัวเองได้หรือเปล่า?”

   “คนงานคนไหนล่ะครับ”

   “คนตรงหน้าฉันนี่ไง”






   
   เสียงคำรามของเครื่องจักรสั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้งสู่การเดินทางที่ยาวไกลออกไป หลังจากฟื้นฟูกำลังกายกำลังใจจากการนอนหลับพักผ่อนแล้วก็ถึงเวลาทำงานต่อ กองอวนที่สุมกองเอาไว้ถูกรื้อออกมาตรวจหารอยฉีกขาด ตรงไหนเว้าตรงไหนแหว่งก็ปะชุนให้ติดแน่น เตรียมพร้อมสำหรับการทิ้งอวนในรอบต่อไป

   “พวกเขาเอาอะไรมาทาที่หน้า? สีเหลืองๆ” ตรัยถามหนุ่มใต้ข้างตัว ตอนแรกนึกว่าเป็นแป้งดินสอพองแต่พอมองใกล้ๆ แล้วไม่ใช่

   “แป้งทานาคาครับ”

   “แป้งอะไร? ทำไมเป็นสีเหลืองล่ะ เขาผสมสีเหรอ”

   “เป็นแป้งพม่าครับ ฝนจากไม้ทานาคา พวกคนงานชอบเอามาทาดับกลิ่นตัวกัน เวลาใช้ต้องละลายน้ำครับ ถ้าช่วงไหนมีเวลาพวกเขาจะทำลายที่แก้มด้วย บางทีก็เป็นรูปใบไม้ บางทีก็ปาดวนๆ เอา” หนุ่มใต้เอื้อมมือไปขอกระปุกแป้งจากเมียนมาร์หนุ่ม “จะลองทาดูไหมครับ”

   ตรัยมีสีหน้าขัดขืนในตอนแรก ลอบมองชายหนุ่มสลับกับกระปุกแป้งสีเหลืองนวล “ถ้าฉันทา เธอต้องทาด้วยนะ”

   “ได้ครับ ไม่มีปัญหา ปกติผมก็ทาบ่อยๆ อยู่แล้ว”

   “จริงเหรอ? ไม่เคยเห็น”

   “ผมทาก่อนนอนครับ มีช่วงนึงผมเป็นสิวเยอะ ชมรมก็เลยเอามาฝาก เห็นว่าช่วยรักษาสิวก็เลยใช้ดู”

   “แล้วช่วยได้จริงไหม” ระหว่างคุยก็เอียงแก้มให้ชายหนุ่มทาแป้งให้

   “ก็ดีขึ้นนะครับ หน้าไม่ค่อยมัน รอยสิวก็จางลงเรื่อยๆ เหลือแต่รอยกระเพราะผมออกแดดบ่อย”

   ตรัยพิจารณาผิวหน้าของชายหนุ่ม แม้จะเห็นรูขุมขนอยู่บ้างแต่ก็เนียนใสจนเห็นรอยตกกระอยู่ประปราย “นอกจากรอยสิวแล้ว ลบรอยตีนกาได้หรือเปล่า”

   หนุ่มใต้หลุดขำจนไหล่สั่น เผลอทำแก้มของตรัยเลอะไปครึ่งแถบ “ถามนี่จะเอาไปใช้เหรอครับ?”

   “ถ้าลบได้ก็จะใช้”

   “ไม่รู้เหมือนกันครับ” รุ่งภพไล้ปลายนิ้วบนริ้วรอยแถวหางตา “ความจริงรอยตีนกาก็ไม่ได้แย่นะครับ อย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งเตือนใจว่าเราผ่านอะไรมาแล้วบ้าง”

   “ฉันไม่อยากแก่ อยู่กับเธอแล้วเหมือนพ่อลูกอย่างที่เด็กนั่นพูดเลย” นึกถึงวันที่ออกไปขายปูกับชายหนุ่มแล้วโดนทักว่าเป็นพ่อลูกกัน

   “อย่าไปถือสาเด็กเลยครับ เขาพูดความจริง”

   “เดี๋ยวเถอะ”

   หนุ่มใต้เอนตัวหนีหลบฝ่ามือที่เอื้อมมาหยิกแก้ม “ไม่มีใครหนีความแก่พ้นหรอกครับ จะแก่เร็วแก่ช้าก็ต้องแก่อยู่ดี” เขาลบรอยแป้งที่เลอะออกแล้ววาดลายใหม่ทับลงไป “เสร็จแล้วครับ”

   “วาดอะไร? ขีดๆ เขียนๆ อยู่ตั้งนาน”

   “วาดรูปใบไม้ครับ เห็นพวกคนงานชอบวาดกัน” หนุ่มใต้ปิดฝากระปุก หันไปส่งคืนให้เจ้าของ

   “เดี๋ยวสิ! ฉันยังไม่ได้ทาให้เธอเลย” ตรัยคว้ากระปุกกลับคืน ผสมแป้งกับน้ำแล้วแตะปลายนิ้วลงบนแก้มกลม “วาดรูปอะไรดี”

   “อย่าพิสดารมากนะครับ”

   ตรัยข่มเสียงหัวเราะในลำคอ ลากปลายนิ้วลงบนหน้าผากสามขีด ไล่ลงมาตรงหางตาแล้วจบลงที่มุมปาก “เสร็จแล้ว”

   “เร็วจัง” หนุ่มใต้ขมวดคิ้ว ควักโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาส่องดู “ฮ่ะๆๆ คุณวาดรอยตีนกาหรือหนวดแมวให้ผมกันแน่? เส้นใหญ่ไปนะครับ” พูดไปหัวเราะไปเพราะนึกขำริ้วรอยบนหน้าของตัวเอง “หาเพื่อนเหรอครับ ถึงมาเร่งแก่กันแบบนี้”

   “แล้วแก่เป็นเพื่อนกันได้ไหมล่ะ?”

   เสียงกระซิบดังให้ได้ยินเพียงเราสอง ตรัยยังคงเว้นระยะห่างไม่ให้ใกล้ชิดกันจนเกินไป หากแต่สายตานั้นสื่อความหมายเกินคำพูด ทำให้หนุ่มใต้ไม่กล้ามองสบ ต้องเมินหนีเพราะความเขินอาย

   “เขยิบไปหน่อยชมรม” รุ่งภพแทรกตัวผ่าเข้าไปกลางวงอวน ริ้วรอยประหลาดบนใบหน้าทำเอาพวกคนงานหัวเราะกันเกรียวกราว “ไม่ตลก!” ถลึงตาใส่แล้วแย่งชุนอวนมาปะเอง

   ตรัยยิ้มอ่อนทอดสายตามองคนที่นั่งหันหลังให้ เขาไม่เข้าไปกวนใจชายหนุ่มอีก หากแต่ยังวนเวียนอยู่แถวนั้น ถามไถ่ความเป็นอยู่ของคนงาน

   “ไหวนะ เมื่อคืนงานหนักน่าดูเลย”

   “คะ...ครับ ไหวครับ” คนงานหนุ่มใหญ่ตอบเสียงตะกุกตะกัก เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับลูกชายของนายจ้าง “หนักแค่ไหนก็ต้องทนครับ กรีดยางก็ไม่พอกิน ลูกก็ต้องเรียนหนังสือ ถ้าไม่ได้เถ้าแก่ผมนี่แย่เลยครับ”

   “ลูกเรียนอยู่ชั้นอะไรแล้ว”

   “เรียนมหาลัยแล้วครับ แกอยากเรียนก็เลยไปขอกู้ กยศ. มา เลิกเรียนก็ไปทำงานพิเศษ ผมไม่อยากให้ลูกลำบากเลยมาของานเถ้าแก่ทำ อย่างน้อยก็มีรายได้ประจำ ไม่ต้องมานั่งเครียดราคายางอีก”

   “ถ้าจำเป็นต้องใช้เงินมาขอเบิกล่วงหน้าได้นะ เดี๋ยวผมจะคุยกับพ่อเรื่องทุนการศึกษาให้” ตรัยบอกด้วยน้ำเสียงเห็นใจ เขาหันมองไปรอบตัวด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง ผู้คนรอบตัวเขาคงมาด้วยจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกัน

   หากคนเรามีทางเลือก คงไม่มีใครอยากทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำเช่นนี้


   
   
เห่ เฮ้ เฮ เฮ เห่... เห่ เฮ เห่ เฮ เฮ้   เห่ เฮ้ เฮ เฮ เห่... เห่ เฮ เห่ เฮ้ เฮ
ชีเอยหนอชีวา กรรมมาแต่ปางไหน      จับปลาหาเลี้ยงกาย ทำงานกลางคลื่นลม
ยามใดคลื่นลมดี ได้ปลาดั่งใจสม      ลูกเมียคลายระทม เงินทองมีเต็มมือ...



TBC



ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ตอนแรกนะนึกว่ามิ่งขวัญไม่มีโทรศัพท์​เลยไม่มีการโทรหา​ ที่ไหนได้แค่ลืมไปว่าใช้โทรก็ได้​ โธ่เอ้ย​คนเรา

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตรัยโน้มหน้าเข้าไปหาชายหนุ่ม กระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “สามารถยึดคนงานของพ่อมาเป็นของตัวเองได้หรือเปล่า?”

   “คนงานคนไหนล่ะครับ”

   “คนตรงหน้าฉันนี่ไง”

โอยยยยยยยย

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
บทที่ 24





   จุดหมายปลายทางต่อไปคือจังหวัดใกล้เคียงอย่างระนองที่ยังไม่ถูกประกาศปิดอ่าวในฤดูกาลนี้ หลังจากแล่นเรือมาถึงไต้ก๋งก็มีสีหน้าเครียดขึงดูกระวนกระวายเพราะมีเรือลำอื่นเข้ามาทำประมงในเขตนี้มากกว่าที่คิด ซึ่งจะทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรเพิ่มขึ้น ทำให้เสียโอกาสเพราะปลาไม่เพียงพอ

   “ไต๋จะพาเราไปไหน?” ตรัยเอ่ยถามหนุ่มใต้ที่นอนอยู่เคียงข้างกัน ภายในเก๋งเรือถูกดับไฟจนมืดสนิทเพราะถึงเวลาเข้านอนแล้ว หากแต่เขายังไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิดแม้จะข่มตาหลับมาเป็นชั่วโมงแล้วก็ตาม

   เรือโชคชัยนาวาละทิ้งจุดหมายเดิมแล้วแล่นออกไปไกลจนไม่เห็นแนวชายฝั่ง ตรัยค่อนข้างเป็นกังวลเพราะเห็นเมฆสีดำทะมึนตั้งเค้าอยู่ไม่ไกลจากเส้นขอบฟ้า

   “คงพาออกห่างจากเรือลำอื่นน่ะครับ ไปกระจุกกันอยู่ตรงนั้นยังไงก็เสียเวลาเปล่า” รุ่งภพกระซิบตอบ ไม่ใช่แค่เขากับตรัยที่ยังนอนไม่หลับ ลูกเรืออีกหลายคนก็ยังนอนคุยนอนเล่นโทรศัพท์กันอยู่เพราะนั่งว่างมาหลายวันแล้ว แทบไม่ได้ใช้แรงอะไรเลยจึงนอนดึกกันพอสมควร “ร้อนไหมครับ”

   ตรัยส่งเสียงหึในลำคอ ตะแคงหน้าเข้าหาชายหนุ่ม “เย็นๆ เหมือนจะหนาว”

   “หนาวเหรอครับ?” หนุ่มใต้อังมือข้างแก้มและซอกคอของคนบอกหนาว แม้ภายในเก๋งจะติดแอร์ช่วยคลายร้อนแต่ก็ไม่ได้เย็นจนรู้สึกหนาวอะไรขนาดนั้น “ปวดหัวหรือเปล่าครับ”

   “เปล่า” ตรัยยื้อข้อมือของชายหนุ่ม พลิกมากุมทับแล้วดึงไปซุกตรงกลางอก “ฉันคงไม่ชินกับอากาศกลางทะเลน่ะ เลยรู้สึกเย็นกว่าปกติ”

   “เอาผ้าห่มไหมครับ”

   ตรัยพยักหน้า เขยิบตัวไปซุกผ้าห่มของชายหนุ่ม “อุ่น”

   “ปล่อยได้แล้วครับ” ดึงมือออกแต่ตรัยไม่ยอม

   “ปล่อยอะไร?” อีกฝ่ายก็ตีมึนไม่ยอมปล่อย รู้ว่าชายหนุ่มไม่กล้าพูดแบบเต็มประโยคเพราะกลัวคนอื่นจะรู้ว่าคุยเรื่องอะไรกัน “นอนกันเถอะ ฉันง่วงแล้ว”

   ตรัยลอบยิ้มสมใจในความมืด ป่านนี้เจ้าของมือคงนอนหน้ามุ่ยเพราะเสียรู้ให้กับเขา

   ยิ่งนานวัน ความรู้สึกชอบพอก็ยิ่งเพิ่มพูน มันรวดเร็วเกินคาดกับความรู้สึกถลำลึกภายในใจ






   
   แสงจากวันใหม่ขับไล่ความมืดมิดให้จางหายไปจากเส้นขอบฟ้า ตรัยหยีตาสู้แสงไฟภายในเก๋งหลังจากสะดุ้งตื่นเพราะเสียงกริ่งที่แผดร้อง เขาคลานออกจากเก๋งนอนคับแคบไปยังด้านนอก พวกลูกเรือกำลังปล่อยอวนลงน้ำ และหนึ่งในคนงานเหล่านั้นมีเพื่อนสนิทของเขารวมอยู่ด้วย

   “ตื่นแล้วก็ลงมาสิวะ” สิปากวักมือเรียกเมื่อหันไปเห็นเพื่อนเกาะรั้วเก๋งเฝ้ามองดู ตรัยเดินลงไปตามเสียงเรียก ผมเผ้าชี้ฟูและเปลือกตาพับปิดลงมาเกือบครึ่ง “สภาพ...มึงลืมตาหรือยังเนี่ย?”

   “ลืมได้แค่นี้แหละ” เขาอ้าปากหาว จ้องมองไปยังรุ่งภพที่กำลังง่วนอยู่กับสมุดจดภายในมือ “รอบนี้ได้ปลาอะไรเหรอ ดูเยอะกว่ารอบก่อนอีก”

   “ปลาหลังเขียวครับ” ปลาหลังเขียวเป็นปลากระดูกแข็ง มักจะอยู่รวมกันเป็นฝูงทำให้จับได้คราวละมากๆ ปลาชนิดนี้นิยมนำไปทำเป็นปลากระป๋อง หากเป็นต่างประเทศจะเรียกรวมๆ ว่าปลาซาร์ดีนหรือปลาเฮร์ริง หากเป็นภาษาไทยจะเรียกกันหลายชื่อตามแต่ละท้องถิ่น บางทีก็เรียกปลากุแล ปลาอกแล ปลามงหรือปลาหลังเขียว

   “มันเอาไปทำเมนูอะไรได้บ้างเนี่ย?” สิปาซูมกล้องถ่ายตัวปลา มันเป็นปลามีเกร็ด ใต้ท้องอวบโย้ ตรงหลังและครีบเป็นสีน้ำเงินเข้ม ขนาดเล็กกว่าปลาทูที่มีขายตามตลาด

   “เมนูปลากระป๋องไงครับ”

   “ถามจริง?” สิปาแกว่งหางปลาห้อยต่องแต่ง สีหน้าไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก

   “จะหลอกทำไมล่ะครับ ปลาหลังเขียวก็คือปลาซาร์ดีนในกระป๋องนี่แหละ มันตัวเล็กแต่เนื้อเยอะ แถมราคาก็ถูกกว่าปลาทูปลาลังเยอะ ทางโรงงานก็เลยรับซื้อกัน”

   “แล้วที่จับได้นี่ล่ะ? ส่งเข้าโรงงานเหรอ”

   รุ่งภพส่ายหน้า “ส่งไม่ไหวหรอกครับ เขากดราคา ตอนนี้เราเอาไปแปรรูปเป็นปลาหวานตากแห้งแทนครับ ทำเป็นสินค้าโอทอป กระจายรายได้ให้กับชุมชนด้วย”

   “เป็นไงวะปลาหวานตากแห้ง? อยากกินอ่ะ”

   “อยากกินก็ต้องรอเข้าฝั่งก่อนครับ ตอนนี้กินพล่าปลาไปก่อนแล้วกัน”

   “พล่าปลา?” ตรัยถามซ้ำ คำว่า ‘พล่า’ มันใช้กับของดิบไม่ใช่เหรอ?

   “ในบรรดาเมนูทั้งหมด พล่าปลาหลังเขียวอร่อยสุดแล้วครับ”

   “มันดิบ”

   “ก็เหมือนปลาดิบญี่ปุ่นนั่นแหละครับ จับมาสดๆ แบบนี้ไม่มีกลิ่นคาวหรอก เดี๋ยวโดนน้ำมะนาวกลบก็หอมฟุ้งแล้ว” หนุ่มใต้เมินเสียงเตือนจากตรัย “ใครจะกินก็ตามมานะครับ ถ้าไม่อยากกินก็รอกับข้าวของจุมโพ่โน่น น่าจะเสร็จตอนสายๆ…มั้ง”

   “ต้องลองสักหน่อยแล้ว ปลาดิบไทยจะสู้ปลาดิบญี่ปุ่นได้หรือเปล่า” สิปาถูมือ เดินตามหลังรุ่งภพไปติดๆ ด้วยอาการน้ำลายสอ “กูถ่ายวิดีโอตอนมึงทำพล่าปลาได้เปล่าวะ”

   “ทำอาหารก็ต้องถ่ายด้วยเหรอ?”

   “อรรถรส~”

   “แล้วแต่เลยครับ อย่าติดหน้าผมก็พอ”

   แล้วมหกรรมแล่เนื้อปลาก็เริ่มต้นขึ้น การทำพล่าปลาหลังเขียวต้องเลือกปลาสดจัดเท่านั้น หากไม่สดจะมีกลิ่นคาวและไม่อร่อย ขั้นตอนแรกก็เริ่มจากการขอดเกล็ดและแล่เนื้อแบบฟิเลสองชิ้น คุมอุณหภูมิของเนื้อปลาด้วยการแช่น้ำแข็งแล้วพักไว้

   หลังจากนั้นก็เอาเนื้อปลามาขยำสุกด้วยน้ำส้มสายชูเพื่อดับคาว เนื้อปลาจะซีดลงเพราะเมือกตรงผิวหนังถูกชะล้างออกไปแล้ว พอได้เนื้อปลาสีชมพูอ่อนก็บีบน้ำมะนาวลงไปสักสองลูก ตามด้วยน้ำปลา พริก ตะไคร้และหอมแดงคลุกเคล้าจนเข้ากัน ชิมรสเปรี้ยวเค็มเผ็ดแล้วโรยด้วยใบสะระแหน่ปิดท้าย

   “อื้ม~ นุ่มเหนียว หอมตะไคร้อบอวนในปาก”

   “เปรี้ยว” ตรัยหยีตาหลังจากชิมไปได้หนึ่งคำ

   “ไหนบอกไม่กินไง” สิปาย้อนถามเพื่อน

   “ชิม”

   “ต้องเคี้ยวย้ำๆ ครับถึงจะได้รสหวานจากเนื้อปลา” รุ่งภพตักแบ่งใส่จานให้เพื่อนตัวเองบ้าง เผื่อแผ่ไปถึงณัฐที่ผูกเปลนอนอยู่ท้ายเรือ “กินแล้วท้องเสียห้ามว่ากันนะครับ”

   ตรัยวางช้อนแทบจะทันที ส่วนสิปาถือช้อนค้าง กำลังชั่งใจว่าจะหยุดหรือไปต่อ…อีกคำน่า แค่คำเดียวคงไม่เป็นไรหรอก

   ระรอกคลื่นก่อตัวแรงขึ้นจนเรือโยน เผลอเดี๋ยวเดียวก็เห็นกลุ่มเมฆหม่นครึ้มตั้งเค้าดำทะมึนลอยมาใกล้ สายฟ้าแลบแปลบปลาบแล่นผ่านแนวเมฆ นกนางนวลบินว่อน มุ่งหน้าเข้าหาชายฝั่งที่ปลอดภัย

   “ตกแน่ๆ”

   ตรัยเท้ามือทั้งสองข้างลงบนกราบเรือ แหงนหน้ามองพายุที่ก่อตัวอยู่ไม่ไกล “เราจะกลับไปทันไหม?”

   “ไม่น่าจะทันนะครับ ไต๋อาจจะเอาเรือไปหลบฝนแถวภูเก็ตก่อน เมฆทะมึนขนาดนี้คงแล่นต่อไปลำบากครับ คลื่นแรง” ตอนนี้เราแล่นมาถึงรอยต่อระหว่างจังหวัดแล้ว หากจะแล่นต่อไปจนถึงกระบี่คงไม่ทันพายุฝน

   “ดูเมฆก็รู้แล้วเหรอ?”

   “ผมเป็น ‘พรานทะเล’ นะครับ...อย่าลืมสิ”

   เส้นทางขากลับไม่ได้แล่นออกไปไกลเหมือนตอนมา หากแต่แล่นเลียบชายฝั่งห่างจากภูเก็ตประมาณ 12 ไมล์ทะเล ไต้ก๋งเพิ่งประกาศเมื่อครู่นี้ให้เตรียมตัวรับมือกับพายุฝน หากไม่ไหวจริงๆ ค่อยแล่นเรือเข้าหาฝั่ง หลบคลื่นลมก่อนชั่วคราว

   “ผมว่าขึ้นข้างบนกันเถอะครับ เดี๋ยวฝนตกจะได้ไม่ต้องแย่งกันปีนขึ้นเก๋ง” หนุ่มใต้เสนอแนะเพราะบันไดขึ้นลงเก๋งมีแค่ตัวเดียว ปกติก็แย่งกันปีนอยู่แล้ว ไม่อยากจะนึกถึงช่วงชุลมุนเลย

   ตรัยพยักหน้ารับ เดินไปเรียกเพื่อนสนิทตรงท้ายเรือ “อ้าว? ไปไหนแล้ว”

   “เห็นบอกว่าจะไปส่งแฟกซ์อ่ะครับ” มิ่งขวัญชี้ไปทางห้องน้ำ สีหน้ายังดูงุนงงกับคำที่สิปาเลือกใช้

   ไปขี้ก็บอกไปขี้ดิวะ มันเกี่ยวอะไรกับส่งแฟกซ์อ่ะ?

   ตรัยมองไปทางห้องน้ำแล้วถอนหายใจยาว พอเห็นพล่าปลาถูกกินจนเกลี้ยงก็ได้ส่ายหัว ดันตะบี้ตะบันกินเข้าไปซะเยอะ ขนาดคนทำยังกินแค่ 3-4 ชิ้นเอง นึกว่ากระเพาะตัวเองทำจากเหล็กหรือไงนะ?

   “ปา?” ตรัยเคาะประตูห้องน้ำเรียกเพื่อน มันส่งเสียงอือกลับมาเหมือนไม่ค่อยอยากตอบเท่าไหร่นัก “เป็นไงบ้าง”

   “กูส่งแฟกซ์อยู่ ไม่ว่างคุย!”

   “ก็บอกแล้วว่ามันดิบ ถึงมันจะอร่อยแต่มึงก็ต้องรู้จักความพอดีนะเว้ย ไม่ใช่กินจนเกลี้ยงขนาดนั้น” ตอนเขาออกไปดูท้องฟ้าด้านนอก พล่าปลาที่รุ่งภพทำยังเหลืออยู่เกือบครึ่งชาม ไม่คิดว่ามันจะซัดเข้าไปคนเดียวจนหมด

   “มึงตามมาซ้ำเติมกูถึงหน้าส้วมเลยเหรอ? จะมาเทศนาอะไรตอนนี้ กูขี้ไม่ออกเว้ย!”

   รุ่งภพที่ตามมาด้วยความเป็นห่วงถึงกับหัวเราะขำ นึกเห็นใจอยู่หรอกแต่เพื่อนของตรัยคนนี้ยังตลกได้แม้จะถ่ายท้องอยู่ในส้วมก็ตาม

   “ควันไอ่ไหรวะ? โขมงเชียว” เสียงตะโกนแตกตื่นของคนงานดังมาถึงท้ายเก๋ง รุ่งภพรีบวิ่งออกไปดู ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มเมื่อได้ยินคำว่า ‘ควัน’

   “ไฟไหม้! เรือโดนไฟไหม้!”

   “ไหม้ตรงไหนๆ ไปเอาถังดับเพลิงมาสิวะ!” มิ่งขวัญโผล่พรวดออกมาหน้าเรือ จับลูกเรือเขย่าจนหัวสั่น สีหน้ามืดทะมึน

   “มะ...ไหม้ ไหม้ลำอื่นครับ”

   “อะไรนะ?”

   “ไหม้เรือลำอื่นครับ ไม่ใช่เรือเรา”

   รุ่งภพถอนหายใจโล่งอก เห็นเรือที่ถูกไฟไหม้จอดลอยลำควันโขมง “พูดให้เคลียร์สิวะไอ้ห่า กูก็นึกว่าไหม้เรือเรา”

   “มึงใช่ไหมเป็นคนแหกปาก? เดี๋ยวกูตบหัวทิ่ม แตกตื่นกันทั้งเรือแล้วเนี่ย!” มิ่งขวัญปล่อยคอเสื้อของคนงานใหม่ หงุดหงิดหัวร้อนจนไม่มีใครเข้าใกล้

   “ไฟไหม้! ไหม้ตรงไหนวะ? ไหม้ไปถึงห้องน้ำหรือเปล่า กูขอขี้ต่ออีกแป๊บนึงได้ไหม?” สิปาเดินลากขาออกมาด้วยสภาพสะโหลสะเหล ใบหน้าซีดโทรมและเหงื่อแตกพลั่ก

   “รูดซิปก่อนไอ้สัด” ตรัยกระซิบบอกเพื่อน มันยังติดตะขอกางเกงไม่เสร็จดีเลยด้วยซ้ำ

   “เชิญคุณไปส่งแฟกซ์ต่อได้เลยครับ ไม่ได้ไหม้เรือเราหรอก” มิ่งขวัญผายมือไปทางห้องน้ำ คนท้องเสียตบไหล่แทนคำขอบใจ วิ่งเข้าห้องน้ำต่อเพราะข้าศึกรุกประชิด

   “มีคนตกน้ำด้วยว่ะมิ่ง” รุ่งภพชี้ไปยังกลุ่มคนที่ลอยคออยู่ไม่ไกลจากเปลวเพลิง

   “ถ้าจะช่วยก็ต้องเบนหัวเรือเข้าไปใกล้ๆ ไม่งั้นโยนห่วงยางเข้าไปไม่ถึง” หนุ่มตัวโตกวาดสายมามองไปรอบๆ นอกจากเรือที่โดนไฟไหม้แล้ว บริเวณใกล้ๆ กันยังมีเรืออีกลำจอดลอยอยู่ “ทำไมเรือลำนั้นไม่ช่วยพวกเขาวะ อยู่ใกล้กว่าเราแท้ๆ”

   “เหมือนกำลังดึงสายอะไรอยู่?” รุ่งภพไม่แน่ใจนักเพราะควันรมจนมองแทบไม่เห็น มันเป็นเชือกหรือสายอะไรสักอย่างที่เชื่อมติดกับเรือลำที่ไหม้ ทำไมไม่ตัดทิ้งไปเลยล่ะ เดี๋ยวก็ลามไปติดเรือตัวเองหรอก

   “เกิดอะไรขึ้น?”

   “ไฟไหม้เรือลำโน้นน่ะพี่ณัฐ”  รุ่งภพพยักหน้าไปยังทิศทางที่ควันไฟกำลังโหมกระหน่ำด้วยแรงลม “ไหม้ได้ยังไงก็ไม่รู้”

   “คราบน้ำมันลอยเต็มเลย น้ำมันรั่วแน่ๆ”

   เรือโชคชัยนาวาเปลี่ยนทิศทางแล้วแล่นเข้าหาเรือที่ถูกไฟคลอกตามคำสั่งของไต้ก๋ง พวกลูกเรือขนถังดับเพลิงและห่วงยางออกมาเตรียมไว้พร้อม ซักซ้อมการช่วยเหลือตามที่ได้อบรมมา

    “เอาคนเจ็บหนักขึ้นมาก่อน”

   คราบน้ำมันรั่วไหลคืออุปสรรคใหญ่เพราะเปลวเพลิงลามเลียไปทั่วผิวน้ำ หลายคนถูกไฟคลอกจนผิวหนังเหวอะหวะ กรีดร้องโหยหวนน่าสยดสยอง

   “ช่วยด้วย! ช่วยพวกเราด้วย”

   ตรัยชะเง้อมองไปยังเสียงเรียก อีกฟากฝั่งของเรือที่ถูกไหม้ก็มีคนลอยคออยู่เหมือนกัน “เรือลำนั้นอยู่ใกล้กว่าทำไมไม่ช่วย?”

   “มันเป็นเรือน้ำมันครับคุณ” คนที่ถูกช่วยขึ้นมาเอ่ยบอก พอซักถามความเป็นมาถึงได้ทราบว่าเป็นเจ้าของเรือ “เขาไม่เอาเรือเข้าไปเสี่ยงหรอก ถ้าดึงหัวจ่ายออกไปได้คงไม่จอดลอยอยู่แบบนี้”

   “แล้วไฟไหม้ได้ยังไงเหรอครับ”

   “ไอ้คนเติมมันคงลากหัวจ่ายไปโดนปั๊มเทอร์โบเข้า พอเกิดประกายไฟก็ลุกไหม้อย่างที่เห็น” แววตาเหนื่อยล้าจ้องมองไปยังซากเรือลุกไหม้ของตัวเอง ณัฐถอนหายใจหนัก เข้าใจดีถึงความสูญเสียของผู้เป็นเจ้าของ

   “ถ้าจะช่วยคนฟากโน้น เราต้องแล่นอ้อมเข้าไปทางเรือน้ำมันนะ”

     “อ้อมไกลเหมือนกันนะ ตรงไปเลยไม่ได้เหรอ” ตรัยถามถึงความเป็นไปได้

   “อันตรายครับ คราบน้ำมันเกลื่อนเลย” มิ่งขวัญตอบแทนช่างเครื่องประจำเรือ สัญญาณวิทยุในมือขาดๆ หายๆ ได้ยินรหัสอะไรสักอย่างดังลอดออกมาจากลำโพง

   ตรัยละสายตาจากเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วเดินไปหิ้วปีกเพื่อนที่เดินโซเซออกมาจากห้องน้ำ เขาทิ้งมันเอาไว้กับคนเจ็บ โยนกล่องปฐมพยาบาลให้เพราะเห็นซองเกลือแร่นอนอยู่ก้นกล่อง ก่อนจะไหว้วานให้ลูกเรือคนหนึ่งไปหยิบขวดน้ำกับแก้วมาให้มันชงดื่ม กว่าจะจัดแจงดูใจมันเสร็จเรือของเราก็แล่นอ้อมไปถึงเรือน้ำมันแล้ว

   พวกเราตำหนิคนบนเรือน้ำมันด้วยสายตาที่ไม่ยอมช่วยเหลือคนบาดเจ็บในน้ำ หากแต่ฝ่ายนั้นไม่ได้สนใจพวกเราเลยสักนิด ยังคงตั้งหน้าตั้งตาดึงหัวจ่ายออกมาจากซากเครนจนใกล้จะหลุดอยู่รอมร่อ

   เราใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการดึงคนเจ็บขึ้นเรือ เนื่องจากกระแสลมพัดแรงส่งผลให้คลื่นใต้น้ำก่อตัวเป็นระลอกสูง ห่วงยางที่โยนให้ไปไม่ถึงผู้รับ ถูกคลื่นซัดไปไกลหลายครั้งจนต้องโยนใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า คนบาดเจ็บแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานจนผิวหนังเหี่ยวซีด บาดแผลพุพองจากไฟลวกกลายเป็นผิวเนื้อเปื่อยยุ่ย หลังจากช่วยเหลือคนเจ็บขึ้นมาจนหมด นายท้ายก็หันหัวเรือบ่ายหน้าเข้าหาฝั่ง ผ่านเรือน้ำมันขนาดเล็กที่ดัดแปลงมาจากเรือประมง

   “ตำรวจน้ำ! ตำรวจน้ำมาว่ะพี่!”

   น้ำเสียงตื่นตกใจจากเรือจ่ายน้ำมันดังขึ้นเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตรัยเห็นชายคนหนึ่งก้าวออกมายืนหน้าเก๋ง ลักษณะเหมือนเป็นผู้นำเพราะลูกเรือที่มีอยู่น้อยนิดต่างรอความเห็นจากชายผู้นี้

   “งั้นมึงเอาหัวจ่ายออก ไม่ต้องดึงกลับมาแล้วทิ้งไปเลย”

   “เอาออกยังไงอ่ะพี่ ฉันทำไม่เป็น”

   “ปิดวาล์วก่อนสิวะไอ้โง่!”

   “วาล์วอยู่ตรงไหนอ่ะ?”

   “มึงก็หาสิวะ คิดเองน่ะเป็นไหม!” ตัวหัวหน้าเริ่มหงุดหงิดและงุ่นง่าน พวกมันไม่ยอมไปไหนเพราะไม่รู้วิธีเอาหัวจ่ายออกจากถังน้ำมันนี่เอง

   “ระ...เรือตำรวจมาถึงแล้วพี่ ไม่ทันแล้วพี่!” คนบนเรือน้ำมันวิ่งสวนกันไปมาแลดูวุ่นวาย เรือของเราซึ่งอยู่ใกล้ได้ยินแม้กระทั่งเสียงก่นว่าและเสียงพูดคุยด้วยความตื่นกลัว

   ตรัยก้าวไปหาเจ้าของซากเรือ ถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เรือน้ำมันที่คุณเติมถูกกฎหมายหรือเปล่าครับ?”

   เจ้าของซากเรือก้มหน้าหลบสายตาด้วยความละอายใจ ตรัยลุกขึ้นแล้วเร่งฝีเท้าไปหานายท้าย ลางสังหรณ์บางอย่างบอกกับเขาให้รีบหนีห่างจากเรือลำนี้ไปไกลๆ

   “นี่คือเรือตรวจการณ์ ทุกคนหยุดอยู่กับที่เดี๋ยวนี้ นี่คือคำสั่ง!”

   ปัง!

   พวกมันเพิกเฉยต่อเสียงประกาศซ้ำยังส่งลูกกระสุนไปเปิดศึก ตรัยก้มตัวหลบตามสัญชาตญาณ ภายในหูดังวิ้งจากเสียงกัมปนาท เมื่อไม่มีนัดที่สองและสามตามมาจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สิ่งแรกที่เขามองเห็นคือร่างของรุ่งภพที่ถูกบังคับให้ยืนหมิ่นเหม่อยู่ตรงหัวเรือโดยมีปืนจ่อแนบข้างขมับด้วยฝีมือของคนที่เขารู้จักดี...


   ไอ้ยะ! 


TBC


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :a5: ลุ้นระทึก

ออฟไลน์ Kungkakung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ไอ้ยะ!!! :z6: :z6: :z6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
บทที่ 25





   “มึง!”

   “เออ กูเอง พรหมลิขิตฉิบหาย มาเจอกันอีกจนได้” มันดึงรุ่งภพมาบังตัวเอง ยิ้มเหี้ยมเมื่อโดดข้ามเรือมาได้สำเร็จ แถมยังได้ตัวประกันมาอย่างง่ายดายเพราะยืนโง่อยู่คนเดียวตรงหัวเรือ “ใช่ไหมวะ ไอ้รุ่ง”

   “กรรมลิขิตน่ะสิไม่ว่า”

   “ไม่เจอกันนาน ดูดีขึ้นนะมึง” มันส่งสายตาลามเลียไปทั่วร่างกาย รุ่งภพขนหัวลุกกับความเปลี่ยนแปลงของคนเคยรู้จัก “จับไปขายคงได้ราคาดี”

   “มึงมันเลวจนกู่ไม่กลับแล้วไอ้เหี้ย”

   “ปากดี เดี๋ยวกูตบด้วยด้ามปืน...หรือมึงอยากโดนตบด้วยด้ามกู?” มันก้มลงไปกระซิบข้างหูของชายหนุ่ม “แต่ไม่ใช่แค่กูคนเดียวนะ ถ้าพวกกูรอดไปได้ มึงได้โดนทั้งลำแน่”

   “ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้นะ!”

   ยติเลิกคิ้วเมื่อสังเกตเห็นลูกชายของเถ้าแก่ “วันรวมญาติหรือไงวะ พวกมึงถึงได้แห่กันขึ้นเรือมาแบบนี้” คราวนี้มันมีสีหน้าจริงจังขึ้น หากพลั้งมือฆ่าคนพวกนี้เข้า เรื่องคงไม่จบแค่ตรงนี้แน่นอน แม้จะหนีไปได้แต่ก็จะถูกไล่ล่าอย่างเอาเป็นเอาตาย เรื่องอาจจะเงียบช้าเพราะตำรวจจะถูกกดดันจากคนมีอำนาจกว้างขวางอย่างเถ้าแก่

   แม้จะแค้นใจเรื่องคดีก่อนหน้านั้นแต่ก็ต้องระมัดระวังไม่ไปแตะของร้อนอย่างตรัยเข้า มันพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่รุ่งภพ พยายามลากชายหนุ่มข้ามเรือไปให้ได้ด้วยการเหวี่ยงพาดช่วงที่เรือทั้งสองลำถูกคลื่นซัดเข้ามากระทบกัน

   หากแต่มันไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น เนื่องจากนายท้ายเดินเครื่องออกห่างอยู่ตลอดพยายามต้านแรงคลื่นสุดกำลัง

   “บอกให้นายท้ายมึงหยุดเรือเดี๋ยวนี้!” มันตะโกนสั่งแล้วหันปืนไปยังกลุ่มคนบาดเจ็บที่พวกเขาช่วยขึ้นมา “ไม่งั้นกูจะยิงไปทีละคนจนกว่ามึงจะสั่งให้มันหยุดเรือ”

   “หยุดเรือก่อนเทียน!” คนสั่งให้หยุดไม่ใช่ตรัย หากแต่เป็นไต้ก๋งที่ไต่บันไดลงมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ถ้ามึงยังสำนึกได้ว่ากูเคยช่วยเหลืออะไรมึงไว้บ้างก็ปล่อยไอ้รุ่งมันไปซะ”

   “บุญคุณก็ส่วนบุญคุณ มันคนละคนกัน ฉันคงทำตามที่ไต๋บอกไม่ได้หรอก”

   ไต๋เมืองส่ายหน้าแววตาผิดหวัง “กูไม่น่าฝากมึงเข้าทำงานกับเถ้าแก่เลย เลี้ยงเสือเลี้ยงจระเข้เอาไว้ชัดๆ”

   “เสียใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว” มันลากตัวประกันไปยังจุดต่ำสุดของกราบเรือ พยายามดันตัวรุ่งภพข้ามไปอีกลำโดยมีคนของมันช่วยดึงอยู่อีกฝั่ง

   ผลั่ก!

   ตรัยอาศัยจังหวะที่รุ่งภพเงื้อเท้าถีบวิ่งไปรับชายหนุ่ม หากแต่ยติตั้งตัวได้เร็วเกินไป จิกผมหนุ่มใต้จนร้องลั่นเหวี่ยงร่างของรุ่งภพข้ามไปอีกครั้งด้วยเรี่ยวแรงโมโห

   “รุ่ง!/ไอ้รุ่ง!”

   ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย ร่างของรุ่งภพถูกเหวี่ยงกระแทกเข้ากราบเรืออย่างหมิ่นเหม่ ก่อนจะร่วงหายลงไปในน้ำพร้อมกับหัวใจที่หล่นวูบของใครอีกหลายคน

   หนึ่งในนั้นคือตรัยที่รีบวิ่งเข้าไปยังจุดที่ชายหนุ่มตกโดยไม่สนใจทางปืนของใครทั้งสิ้น “รุ่ง! รุ่ง!” เขาตะโกนเรียกชายหนุ่มอยู่นานด้วยอาการร้อนรน พอเห็นเงาจากใต้น้ำลอยขึ้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก รีบกวาดสายตามองหาห่วงยางชูชีพเพื่อโยนลงไปด้านล่าง

   “คุณตรัยหลบ!”

   ตรัยหมอบลงทันทีที่ณัฐตะโกนบอก ด้ามชะแลงเหวี่ยงข้ามศีรษะไปแบบเฉียดฉิว เขาได้ยินเสียงเนื้อกระทบกับเหล็กกล้าตามด้วยเสียงลั่นของกระดูกที่แตกหัก คนถูกฟาดล้มทั้งยืน ช่วงลำตัวปรากฎรอยช้ำและท่อนแขนผิดรูปแลดูบิดเบี้ยว เขาเพิ่งสังเกตว่า ‘มัน’ ไม่มีปืนอยู่ในมือแล้ว พอมองหาก็เห็นเพื่อนสนิทชูวัตถุอันตรายให้ดูพร้อมกับรอยยิ้มร่า คงเก็บมาตอนที่มันถูกฟาดเมื่อกี้นี้

   ปัง!

   เสียงปืนนัดที่สองไม่ดังเท่านัดแรก เสียงของใครสักคนหนึ่งล้มลงอยู่ด้านหลังเขา..

   “พี่ณัฐ!”

   ตรัยหมุนตัวกลับไปมองเมื่อได้ยินเสียงตะโกนจากมิ่งขวัญ ร่างของณัฐทรุดลงไปกับพื้น รอยเลือดตรงช่วงท้องแผ่กว้างจนเปียกชุ่ม ไม่นานเสื้อยืดสีตุ่นก็อาบย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉาน

   “ถ้าขยับ มึงตาย”

   ตรัยกัดฟันกรอด ตัวหัวหน้าเลือดเย็นกว่าที่เขาคิด มันยิงโดยไม่ลังเลเลยสักนิด พอเรือถูกคลื่นซัดเข้ามาเกยกันอีกครั้งมันก็โดดตามลูกน้องของมันมาแล้วจ่อปืนใส่พวกเรา กวาดสายตามองหาตัวประกันรายต่อไป

   “เราไม่เคยมีเรื่องผิดใจกัน ต่างคนต่างไปไม่ดีกว่าเหรอ” เขาพยายามเกลี้ยกล่อม หวังให้มันเปลี่ยนใจ

   “กูจะไม่กลับไปมือเปล่า ใครขัดขวาง...ตาย!”

   “ถ้ามึงกล้ายิง กูก็กล้ายิงเหมือนกัน” ไต๋เมืองชักปืนออกมาขู่บ้าง มันเป็นปืนลูกโม่รุ่นเก่าแต่ดูขลังในสายตาของลูกเรือ “จะอยู่หรือไปก็เลือกเอา ถ้ามึงกลับเรือมึงไปดีๆ กูจะไม่ยิงตอบโต้ แต่ถ้าไม่...ก็ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”

   มันเหมือนจะไม่ยอมในทีแรก สุดท้ายก็ลังเลและโดดกลับไปที่เรือของตัวเองแต่โดยดี

   ตรัยไม่รู้เหตุผลที่มันเปลี่ยนใจ ดูจากรูปการณ์แล้ว มันได้เปรียบกว่าเพราะใช้ปืนกึ่งอัตโนมัติซึ่งบรรจุกระสุนได้มากกว่า จะกราดยิงสักกี่นัดก็ได้ ต่างจากปืนลูกโม่ที่บรรจุได้เพียงหกนัด หลังจากพวกมันยอมถอยเราก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาวิ่งเข้าไปดูอาการของณัฐก่อนเป็นอย่างแรก ชายหนุ่มยังคงยิ้มได้แม้ใบหน้าจะซีดเป็นกระดาษแล้วก็ตาม

   “ปา มึงมาช่วยห้ามเลือดให้เขาที” เขาเรียกเพื่อน มันปฐมพยาบาลเก่งเพราะเคยอบรมหลักสูตร จป. หลายครั้ง ตั้งแต่สมัยเรียนจนกระทั่งเป็นวิศวกรเต็มตัว

   “แล้วมึงจะไปไหน?”

   “ไปช่วยรุ่ง”

   ตรัยพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้สงบขณะโยนห่วงยางลงไปในน้ำ เม็ดฝนเริ่มโปรายปรายลงมาดับเพลิงร้อนจากซากเรือที่กำลังจะจมลง รุ่งภพไม่อาจคว้าห่วงยางเอาไว้ได้เพราะคลื่นแรงเกินไปประกอบกับลมพัดกระหน่ำ ชายหนุ่มมีสีหน้าสิ้นหวัง พยายามพยุงตัวไม่ให้จมลงแม้จะหมดแรงว่ายแล้วก็ตาม

   “อดทนไว้ก่อนนะ ฉันจะเอาเรือเล็กออกไปช่วย!”

   “อย่าครับ! คุณจะโดนคลื่นซัดออกไปไกล” รุ่งภพตะโกนเตือน ชายหนุ่มพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายว่ายเข้าหาห่วงยางที่ถูกคลื่นซัดเข้ามาจนใกล้ “อีกนิดเดียว...”

   อีกนิดเดียวก็จะคว้าไว้ได้แล้ว...

   “โอ๊ย!”

   “รุ่ง!”

   หนุ่มใต้ชักมือกลับเมื่อถูกเศษไม้เผาไหม้ลอยเข้ามากระทบ ผิวหนังของเขาร้อนฉ่า น้ำตาร่วงหล่นเพราะความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนบนหลังมือ

   “ฮึก...”

   ชายหนุ่มกัดฟันแล้วจุ่มข้อมือตัวเองลงไปในเกลียวคลื่น หวังบรรเทาอาการเจ็บปวดแต่มันแสบยิ่งกว่าเดิม

   “ไต๋!” ตรัยตะโกนเรียกไต้ก๋งเรือ น้ำเสียงดุดันเพราะความกังวลใจ “ไต๋! ให้นายท้ายเทียบเรือเข้าใกล้เขาอีกหน่อยได้ไหม”

   “มันอันตรายนะครับ แค่ประคองเรือเอาไว้แบบนี้นายท้ายก็แย่แล้ว”

   “แล้วเขาล่ะ...” ตรัยชี้ไปยังร่างเล็กในเกลียวคลื่น “เขาก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน”

   ไต๋เมืองมีสีหน้าลำบากใจ “ผมประสานกับทางตำรวจน้ำแล้ว เขาบอกจะส่งคนมาช่วย...”

   “แล้วเมื่อไหร่ล่ะ?” ตอนนี้เรือตำรวจน้ำกำลังไล่ล่าเรือเถื่อนอยู่ รุ่งภพรอต่อไปไม่ได้แล้ว เขาเองก็เช่นกัน

   “งั้นเอาอย่างงี้แล้วกันนะครับ ผมจะให้ไอ้มิ่งลงไปช่วย เดี๋ยวให้มันผูกเชือกเข้ากับตัวแล้วว่ายไปคว้าไอ้รุ่งมา...”

   “ผมไปเอง”

   “อะ...อะไรนะครับ?”

   “ผมจะไปเอง” เขาไม่อยากยืนลุ้นอีกต่อไปแล้ว “ให้มิ่งอยู่ดูณัฐไปเถอะ”

   หลังจากตัดสินใจแน่วแน่เขาก็ผูกเชือกเข้ากับเอวแล้วโดดลงไปในเกลียวคลื่นระลอกใหญ่ มวลน้ำด้านใต้ค่อนข้างอุ่นแต่ผิวน้ำเย็นเฉียบเพราะเม็ดฝนที่กำลังโปรยปราย เขาเตะเท้าแล้วว่ายตรงเข้าไปหาชายหนุ่ม มันไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะถูกคลื่นปะทะอยู่ตลอดเวลาจากแรงลมที่ไร้ทิศทาง เขาต้องคอยหลบเศษซากจากเรือที่ลุกไหม้อยู่เป็นระยะ กลิ่นน้ำมันเหม็นหืนลอยคลุ้งไปหมด แม้จะเหนื่อยแต่ก็เริ่มใจชื้น เขาเริ่มยิ้มออกเมื่อเห็นรุ่งภพอยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อมมือ

   “ฉันมาช่วยแล้ว” เขาเอื้อมคว้าชายหนุ่มเข้าสู่อ้อมกอด รุ่งภพทิ้งตัวในอกเขาอย่างไว้เนื้อเชื่อใจ ดวงตาปิดสนิท ร่างกายสั่นเทา “ปลอดภัยแล้ว...ไม่เป็นอะไรแล้ว”

   ตรัยกดจูบลงบนเส้นผมเปียกชื้น พยายามลอยตัวนิ่งให้คนบนเรือดึงเชือกกลับ เขาคว้าข้อมือของชายหนุ่มขึ้นมาดูรอยแผลที่ถูกไฟลวก ผิวหนังพุพองเหวอะหวะและซีดเซียวเพราะแช่อยู่ในน้ำทะเลมาเป็นเวลานาน

   “กำอะไร?”

   ตรัยพยายามแกะมือของชายหนุ่มออก ดูเหมือนรุ่งภพจะกำเอาไว้ซะแน่นจนแข็งเกร็งไปหมดแล้ว

   สร้อยข้อมือ?

   ขาดซะแล้ว

   เขาเก็บสร้อยข้อมือของชายหนุ่มใส่กระเป๋ากางเกงแล้วโอบกระชับร่างในอ้อมแขนเอาไว้มั่น แม้จะถูกคลื่นซัดจนตัวลอยก็ไม่หวาดหวั่น ในเมื่อหัวใจของเขาเลือกแล้ว ต่อให้ต้องเจอกับอุปสรรคอะไร...เขาก็จะไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มต้องเผชิญกับมันเพียงลำพัง

   เสียงเครื่องยนต์หนักสั่นสะเทือนไปถึงคลื่นใต้น้ำ ตรัยกอดกระชับเอวของคนในอ้อมกอด หันไปยังทิศทางของเสียงด้วยความระแวดระวังตัว

   “ผมประสานกับทางตำรวจน้ำแล้ว เขาบอกจะส่งคนมาช่วย...”

   เสียงไต้ก๋งดังสะท้อนอยู่ในหู ตรัยเบิกตากว้างขณะแหงนมองเรือเหล็กสีเทาเข้ม ไม่คิดว่าคนที่ตำรวจน้ำส่งมาช่วยจะเป็นเรือรบลำใหญ่เช่นนี้

   ท่ามกลางละอองฝนที่พร่างพรม เขาเห็นธงไตรรงค์ปลิวสะบัด ตรงกลางธงเป็นวงกลมสีแดง มีช้างเผือกทรงเครื่องแท่นยืนเด่นอยู่กลางธง

   ธงของราชนาวี


TBC


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ตื่นเต้นมากๆใจสั่นระทึกเลยค่ะ

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ไอ้ยะ.....มึงไม่ตายดีแน่ๆ

ตังเกรอน้องรุ่ง อยู่นะ

ออฟไลน์ Dark_Sky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :hao5: สนุกมากยิ่งอ่านแล้วยิ่งคิดถึงบ้านเลย มาต่อไวๆนะรอจ้าา

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
บทที่ 26




   ตึกอุบัติเหตุฉุกเฉินในช่วงเย็นยังคงคราคร่ำไปด้วยผู้คนแม้ฝนจะตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์เรือไหม้ที่เจ้าหน้าที่ทหารนำมาส่ง ยกเว้นก็แต่ณัฐที่ถูกส่งไปผ่าตัดโรงพยาบาลอื่น เนื่องจากอุปกรณ์การแพทย์ของที่นี่ไม่พร้อมจึงต้องส่งเข้าไปรักษาในตัวเมือง

        “ยังไม่เสร็จอีกเหรอวะ?”

        ตรัยส่ายหน้าอย่างเหนื่อยล้า เขาเขยิบไปนั่งเก้าอี้ตัวริมสุดเพื่อเว้นที่ให้มิ่งขวัญประคองเพื่อนของเขาลงมานั่งข้างๆ กัน “น่าจะนาน เขาต้องรักษาคนอาการหนักก่อน” มันเป็นระบบการรักษาตามอาการ ไม่ว่าจะโรงพยาบาลไหนๆ ผู้ป่วยวิกฤตย่อมมาก่อนเสมอ “ไต๋เมืองล่ะ?”

        “นั่งรถฉุกเฉินไปกับพี่ณัฐครับ”

        ตรัยพยักหน้ารับ เขาก้มมองนาฬิกาข้อมือ เกือบชั่วโมงแล้วที่นั่งรออยู่ตรงนี้ “มึงเอาเกลือแร่มาด้วยเหรอ?”

        “ใช่ที่ไหนล่ะ พยาบาลเขาชงให้” สิปาโคลงหัว ยกเกลือแร่ขึ้นจิบเป็นระยะตามคำแนะนำของพยาบาล “แล้วทางตำรวจว่าไงบ้าง”

        “ถูกจับหมดนั่นแหละ พอเรือตำรวจน้ำไล่ตามไปก็มีเรือทหารอีกลำแล่นไปดักไว้อยู่ก่อนแล้ว”

   “ทำไมเขาสอบปากคำมึงนานแท้วะ” สิปาถามเพื่อนเพราะถูกตำรวจดึงตัวเอาไว้นานสุด

   “มันมีคดีเก่าด้วย ไอ้คนที่จับรุ่งเป็นตัวประกันน่ะ มันโกงเงินพ่อกู”

   “เหยดเข้ โลกกลมหรือพรหมลิขิต” สิปาดูเหมือนจะมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาหน่อยนึงแล้ว ถึงได้กลับมาร่าเริงดังเดิม “งี้ก็จับเข้าคุกหมดเลยดิวะ”

        “ตอนนี้คงฝากขังเอาไว้ก่อน เขาต้องสืบสวนต่ออีกนาน ได้ยินว่าเรือพวกมันเป็นเรือเช่า พอสืบหาคนเช่าก็เหมือนจะเจอตอ”

        “ธุรกิจพวกนี้มันมีนอกมีในครับ เผลอๆ ไอ้พวกนี้มันถูกจ้างมาคุมเรืออีกทีด้วยซ้ำ เดี๋ยวนี้เรือประมงลำเก่าๆ โดนดัดแปลงเป็นเรือซอยเยอะ นายทุนพวกนี้เขาไปรับน้ำมันมาจากเรือแทงค์ครับเพราะมันถูกกว่า ภาษีก็ไม่ต้องเสีย ถึงจะเสี่ยงแต่กำไรมันล่อตา” มิ่งขวัญสาวไส้ธุรกิจมืดออกมาไม่มีกั๊ก มีเพียงสิปาที่นั่งฟังอย่างตื่นเต้น ส่วนตรัยนั้นดูกระวนกระวายเพราะยังไม่เห็นคนของตัวเองออกมาเลย

        เสียงเมโลดี้เก่าๆ ดังขึ้นเหมือนลมหายใจเฮือกสุดท้าย มิ่งขวัญกดปุ่มลอกล่อนบนโทรศัพท์แล้วพูดกับปลายสายด้วยสำเนียงทองแดง พวกเขาพอจะจับใจความได้ว่าไต๋เมืองต้องอยู่เฝ้าณัฐจนถึงพรุ่งนี้เช้า เนื่องจากยังติดต่อญาติของณัฐไม่ได้จึงต้องอยู่ดูอาการก่อน

        “ณัฐเป็นไงบ้าง” ตรัยถามหลังจากหนุ่มตัวโตกดวางสาย

   “กำลังผ่าตัดอยู่ครับ หมอบอกว่าต้องตัดลำไส้ทิ้งบางส่วนเพราะโดนกระสุนปืน พ่อกำลังหาเบอร์ติดต่อแม่ของพี่ณัฐอยู่ครับ...พี่ณัฐเขาเรียกหา”

   “เขาเพ้อเหรอ?”

   “เปล่าครับ ก่อนเข้าห้องผ่าตัดยังรู้สึกตัวดีอยู่ น่าจะคิดถึงแม่มากกว่าเพราะแม่เขาอยู่ภูเก็ต”

   “ณัฐเป็นคนภูเก็ตเหรอ?”

   “เขาเกิดที่ภูเก็ตครับ พี่เขาเคยเล่าให้ฟังตอนย้ายมาอยู่กระบี่ใหม่ๆ ว่ามีปัญหาขัดแย้งกับพวกนายทุนที่ดิน แม่เขาไม่อยากให้มีเรื่องก็เลยส่งมาอยู่กับญาติที่กระบี่แทน”

   “โดนพวกนายทุนกว้านซื้อที่ดินเหรอ?” ตรัยคาดเดาเพราะเคยอยู่ในแวดวงของธุรกิจสีเทานี้

   “กว้านซื้อก็ยังได้ตังค์ครับ แต่นี่แอบอ้างทำโฉนดขึ้นมาขับไล่พวกชาวบ้านออก หวังจะได้ที่ดินฟรีเพราะชาวอุรักลาโว้ยบางคนไม่ได้ถือสัญชาติไทยด้วยซ้ำ”

   “อูรักลาโว้ย?”

   “พวกเขาเป็นชาวเลครับ”

   “แล้วชาวเลไม่ใช่คนไทยเหรอ?”

   มิ่งขวัญส่ายหน้า ไม่รู้จะอธิบายยังไง “พวกเขาเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ครับ อพยพไปเรื่อยตามเกาะต่างๆ ในอันดามัน ตั้งแต่มาเลย์ ไทย เรื่อยไปจนถึงพม่า หลังจากเกิดสึนามิก็เริ่มลงหลักปักฐานกันมากขึ้น กระจายกันอยู่เป็นชุมชนในพื้นที่ห้าจังหวัดของไทยตั้งแต่ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่แล้วก็สตูลครับ”

   “ทำไมชาวเลหน้าตาอปป้าจังวะ” พอสิปานึกถึงใบหน้าเกลี้ยงเกลาของช่างเครื่องหนุ่มก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้

   “พี่ณัฐเขาเป็นลูกเสี้ยวครับ แม่เขาเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น” 

   เรื่องช็อกสุดท้ายของวันจบลงแค่นั้นเมื่อร่างของคนที่เฝ้ารอถูกเข็นออกมาด้านนอก ตรัยรีบลุกเดินไปหา ย่อตัวลงแล้วประคองข้อมือข้างที่เจ็บอย่างแผ่วเบา

   “หมอว่ายังไงบ้าง”

   “อย่าให้แผลโดนน้ำครับ”

   คนรอฟังเลิกคิ้ว “แค่นั้นเองเหรอ?”

   เวรเปลหลุดเสียงหัวเราะขณะยื่นใบจ่ายยามาให้เขา “น้องเขาหลับน่ะครับ คุณหมอเองก็ยุ่งๆ แต่เท่าที่พยาบาลบอกมาคร่าวๆ น้องเขาเป็นแผลไฟไหม้ระดับสองนะครับ แรกๆ อาจจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนอยู่บ้าง อีกสัก 2-3 อาทิตย์ก็น่าจะหายดีแล้วครับ”

   “แล้วตรงขามันล่ะครับ โดนไฟลวกด้วยเหรอ?” มิ่งขวัญจิ้มนิ้วลงไปบนผ้ายืดบริเวณข้อเท้า รุ่งภพร้องลั่น ถลึงตาใส่เพื่อนจนปูดโปน

   “ไอ้เหี้ย! กูเจ็บนะ”

   “พูดให้มันดีๆ” ตรัยเอ่ยเสียงดุขณะจับข้อเท้าข้างที่เจ็บของชายหนุ่มยกขึ้น “ตกลงเป็นอะไร โดนไฟลวกจริงเหรอ?”

   “ซ้นครับ คงไปเตะโดนอะไรเข้าตอนตกลงไป”

   ตรัยไล่สายตาสำรวจทั่วทั้งตัวของชายหนุ่มอีกครั้ง พอไม่เห็นบาดแผลตรงไหนอีกจึงเข็นไปรับยาที่หน้าห้องจ่ายยาประจำตึก เขาเดินไปรับยาเมื่อเภสัชกรเรียกชื่อของชายหนุ่ม อาการบาดเจ็บตรงกับที่เวรเปลบอก ตรัยขยับเมื่อเพื่อนเข้ามาฟังรายละเอียดการดูแลรักษาด้วย เขาหันกลับไปมองด้านหลัง เห็นคนเจ็บกำลังทุบตีมิ่งขวัญอยู่ คงทะเลาะกันเรื่องอะไรสักอย่างด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง

   “คนไข้มีแผลเปิดตรงข้อมือนะคะ คุณหมอสั่งยาแอนติไบโอติกสำหรับฆ่าเชื้อมาให้ ทานสามเวลาหลังอาหารจนกว่ายาจะหมดนะคะ ห้ามหยุดยาเอง แล้วก็มียาแก้ปวด ทานเมื่อปวดทุก 4-6 ชั่วโมง ส่วนครีมทาแผลให้ทาวันละสองครั้งเช้าเย็น ช่วงสัปดาห์แรกอาจจะต้องให้พยาบาลเป็นคนทำแผลให้นะคะ หลังจากสะกิดตุ่มหนองออกแล้วอาจจะปิดไว้แค่ผ้าพันแผลบางๆ แสดงว่าแผลใกล้จะหายแล้ว ให้คนไข้บริหารข้อมือบ่อยๆ ด้วยนะคะเพื่อลดอาการดึงรั้งของแผลไฟไหม้ หากปล่อยเอาไว้อาจจะทำให้ข้อต่อผิดรูปได้ค่ะ”

   “ทำแผลนี่…ทำโรงพยาบาลไหนก็ได้ใช่ไหมครับ”

   “ใช่ค่ะ ทำที่โรงพยาบาลที่คนไข้ใช้สิทธิประกันสังคมก็ได้ค่ะ หรือจะทำที่คลินิกก็ได้นะคะ แล้วแต่คนไข้สะดวกเลย”

   “ขอบคุณครับ”

   ตรัยรับยาถุงใหญ่มาถือไว้ ยึดบัตรประจำตัวของชายหนุ่มเอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยคืนตอนหายดี พอเดินกลับไปหาก็เห็นคนบนรถเข็นทำหน้าเบ้ มองถุงยาในมือเขาด้วยแววตาหวาดหวั่น ราวกับมันเป็นอาวุธร้ายแรง

   “ไอ้รุ่ง! ยามึงเป็นกระสอบเลยว่ะ ยินดีด้วยเพื่อน มึงจะตายก็คราวนี้แหละ”

   รุ่งภพอ้าปากด่าเพื่อนแบบดูดเสียง ชายหนุ่มหันมาทำสีหน้าออดอ้อนใส่เขา เผลอใจสั่นไปวูบหนึ่งก่อนจะกลับมานิ่งสงบดังเดิม

   “ไม่กินได้ไหมอ่ะ”

   “ไม่กินได้ยังไง มันเป็นยาฆ่าเชื้อ ต้องกินทุกเม็ดจนกว่าจะหมด”

   “ขอย้ำว่าทุกเม็ด” มิ่งขวัญเน้นเสียงตรงประโยคหลัง ตรัยเริ่มรู้สึกสงสัย ต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างเกี่ยวกับยาแน่นอน

   “แค่กินยามันต้องเศร้าขนาดนั้นเลยเหรอ?” เขาถามเพราะเห็นรุ่งภพทำคอตก สีหน้าสิ้นหวังประหนึ่งเกิดเรื่องเศร้าในชีวิต

   “มันกินยายากครับ กินกี่เม็ดก็อ้วกออกมาหมด”

   “ผมกลืนไม่ได้”

   “ยาเม็ดนิดเดียวเอง ทำไมจะกลืนไม่ได้”

   “มันติดคอ”

   “คิดไปเอง”

   มิ่งขวัญขยี้หัวเพื่อนจนเส้นผมกระจุย ยิ้มเอ็นดูแต่ก็ยังไม่เลิกแกล้ง “เอายาน้ำไหม?”

   “มีเหรอ” ถามด้วยตาเป็นประกาย สุดท้ายก็ดีใจเก้อเพราะโดนเพื่อนหลอก

   “กูประชดไอ้ห่า มึงไม่ใช่เด็กนะเว้ย หมอเขาจะได้เอายาน้ำให้กินอ่ะ”

   “แล้วผู้ใหญ่กินยาน้ำไม่ได้เหรอ? มันก็ยาเหมือนกันนั่นแหละ”

   “เถียงข้างๆ คูๆ ไอ้สัด”

   ตรัยส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ ต่างจากสิปาที่ยืนดูด้วยความขำขัน บางทีก็เข้าไปร่วมวงทะเลาะด้วย ไอ้ผู้ใหญ่ไม่รู้จักโตพวกนี้…

   ช่วยทำตัวให้สมกับอายุหน่อยได้ไหม?






        เรือโชคชัยนาวาแล่นถึงกระบี่ล่าช้าไปหนึ่งวันเต็ม เกล็ดน้ำแข็งใต้ท้องเรือแปรสภาพเป็นน้ำเย็นเฉียบแช่ตัวปลา การขนถ่ายทำได้ง่ายกว่าตอนมีก้อนน้ำแข็งปะปนอยู่ ใช้เวลาไม่นานก็ขนลงไปยังจุดคัดแยกจนหมด หน้าที่มิ่งขวัญเสร็จแล้วแต่ยังกลับไม่ได้ เขาต้องอยู่ทำงานแทนเพื่อนที่ขาเป๋และมือพัง

   “ไต๋อ่ะพี่มิ่ง?” คนงานในแพตะโกนถาม พอคนหนึ่งให้ความสนใจ คนต่อๆ ไปก็เข้ามารุมล้อม

   “อยู่ภูเก็ต”

   “ได้ข่าวว่าช่างเครื่องโดนยิง จริงป่ะพี่?” คนถามชื่อปิ๊ก มันอายุน้อยที่สุดในแพปลา ค่อนข้างแสบ ไม่ค่อยเกรงกลัวใคร

   “มึงรู้ได้ยังไง?”

   “ก็พวกไต๋เขาวิทยุคุยกันอ่ะ คุยไปคุยมารู้กันทั้งแพเลย” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นลูกพี่ถอนหายใจดังเฮือก “แล้วช่างเครื่องเป็นไงบ้างอ่ะพี่ รอดป่ะ?”

   “รอดสิวะ! ถึงมือหมอแล้วไม่รอดได้ไง”

   “ถึงมือหมอก็ตายได้เหมือนกันนะ พี่ไม่เคยดูละครเหรอที่หมอออกมาบอกญาติคนไข้อ่ะ” เด็กหนุ่มกระแอมไอให้โล่งคอแล้วดัดเสียงให้นุ่มทุ้ม “หมอขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ เราพยายามเต็มที่แล้ว”

   “จะเอาให้ตายให้ได้เลยใช่มะ?”

   “ล้อเล่น รอดปลอดภัยก็ดีแล้วคร้าบ” เด็กหนุ่มตัวดำยิ้มยิงฟันขาว ช่วยมิ่งขวัญชั่งน้ำหนักตะกร้าแทนชิ้วเรือ “งี้ก็ต้องหาช่างเครื่องคนใหม่อีกแล้วดิ”

   “เออ แม่งตำแหน่งอาถรรพ์หรือไงวะ กี่คนๆ ก็ออกหมด”

   “แบบนี้มันต้องพิสูจน์นะพี่”

   “พิสูจน์ไงวะ?”

   “ออกเรือรอบหน้าพี่ลองไปเป็นช่างเครื่องดูดิ”

   “เดี๋ยวกูถีบ!”

   พวกมันพากันหัวเราะคิกคัก กว่าจะแยกย้ายไปจัดออร์เดอร์ได้ก็บ่ายแก่เต็มที เดี๋ยวเย็นนี้ต้องเอาปลาไปส่งในชุมชนอีก กว่าจะได้ปลาหวานตากแห้งออกไปขายก็ต้องรออีก 3-4 วัน กว่าจะแล่เนื้อ กว่าจะหมัก กว่าจะตากแดด ถ้าหากปริมาณเยอะก็อาจจะใช้เวลาทำเป็นอาทิตย์เลยก็มี

   หนุ่มตัวโตหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาหลังจากเสร็จงานทั้งในส่วนของตัวเองและในส่วนของรุ่งภพ ชายหนุ่มถอดรองเท้าบูทแล้วกระโดดขึ้นไปนั่งบนถังน้ำแข็งใหญ่ โทรศัพท์เครื่องเก่าสั่นครืดก่อนจะดับคามือ เขาต้องกดเปิดปิดซ้ำๆ กว่ามันจะใช้งานได้ นึกท้อใจจนอยากจะเขวี้ยงทิ้งไปหลายครั้งแต่พอนึกถึงคนไกลก็ได้แต่กัดฟันข่มอารมณ์ไว้แล้วไล่หาเบอร์อย่างรีบเร่งก่อนที่เครื่องจะดับไปอีกครั้ง คนใจเสาะสูดหายใจเข้าลึกแล้วกดโทรออก หัวใจเต้นเร็วด้วยความตื่นเต้น ไม่รู้จะทักทายยังไงดี

   แต่เจ้าของเบอร์ไม่รับสาย ปล่อยให้สัญญาณดังอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งมันตัดไป

   ถ้าเขาส่งข้อความไป มันจะดูเป็นการรบกวนเกินไปหรือเปล่านะ?

   แล้วจะพิมพ์อะไรดีล่ะ...คิดถึงดีไหมนะ

   ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวเขาหาว่าเราใจง่าย

   ชายหนุ่มกดพิมพ์ข้อความแล้วลบอยู่หลายรอบ จนกระทั่งรุ่งภพเดินกะเผลกมาหาก็ยังไม่รู้สึกตัว

   (ทำอะไรอยู่)

   แค่นี้ก็พอแล้วมั้ง ถ้าคนเขามีใจเดี๋ยวก็คงตอบกลับมาเองแหละ...

   เข้าข้างตัวเองอีกแล้วกู

   ชายหนุ่มถอนหายใจยาว สะดุ้งโหยงเมื่อหันมาเจอรุ่งภพ “ไอ้เหี้ย! ตกใจหมด”

   “โถ พ่อคนขวัญอ่อน” รุ่งภพแซวเพื่อน “มึงจะกลับหรือยังอ่ะ กูกลับด้วย”

   “จะไปหาไอ้ตังเกเหรอ?”

   “อือ...ไม่เจอกันตั้งหลายวัน คิดถึง”

   “มันจะคิดถึงมึงหรือเปล่าเหอะ ป่านนี้ทำหมากูท้องไปแปดครอกแล้วมั้ง” ช่วงนี้นังดาวเรืองมันติดสัด ไอ้ตังเกมาอยู่โยงเฝ้าหลายวันแล้ว ติดสาวจนไม่สนใจเจ้าของ หน้ามืดตามัวจริงๆ ไอ้หมาหื่นกาม

        “เวอร์” รุ่งภพรุนหลังเพื่อนให้รีบกลับก่อนที่จะใครตามมาเจอ “กูว่าพาดาวเรืองไปทำหมันเถอะ”

        “กูก็ว่าจะพาไปอยู่เหมือนกัน เดี๋ยวดูก่อนว่ามันติดลูกหรือเปล่า ถ้าไม่ติดค่อยพาไป” มิ่งขวัญรีบจนลืมโทรศัพท์เอาไว้บนฝาถัง รุ่งภพจึงหันไปหยิบให้แต่ลืมไปว่ามือตัวเองนั้นเดี้ยงอยู่ โทรศัพท์ของเพื่อนจึงร่วงหล่นไปตามแรงโน้มถ่วง ส่งผลให้ฝาหลังแตกกระจายและแบตเตอรี่กระเด็นออก หมดสิ้นอายุขัยในเสี้ยววินาที

   “...”

   คนทำหล่นยิ้มแหย จะก้มลงไปเก็บก็ทำให้ไม่ได้เพราะขานั้นเดี้ยงไม่ต่างกัน

   “เค้าขอโทษ”



TBC


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านยังไม่อิ่มเลย

หมดเสียแล้ว

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
มารอจ้ะ​

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด