บทที่ 31
เสียงเห่าเกรียวกราวดังขึ้นต้อนรับเมื่อมอเตอร์ไซค์คันเก่าแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน พอมิ่งขวัญส่งเสียงเอ็ดตะเพิดไปคำหนึ่งหมาประจำบ้านก็หยุดเห่าแล้วมุดกลับไปนอนใต้บันไดตามเดิม ชายหนุ่มเดินขึ้นบ้านด้วยอาการเหนื่อยล้า เหงื่อโทรมกายจนเสื้อเปียกโชกเพราะกรำงานหนักมาเกือบทั้งวัน
“มิ่ง มีคนส่งพัสดุมาห้ายนิ”
“พัสดุอะไรอ่ะแม่?” ร้อยวันพันปีเคยมีใครส่งอะไรมาให้ที่ไหนล่ะ
“ม่ายโร้ เอ็งไม่ได้สั่งของออนไลน์เอาไว้เร้อ”
“สั่งเป็นที่ไหนล่ะแม่ก็...ไม่ใช่ไอ้มนนะ” ชายหนุ่มบ่นพึมพำ รื้อหามีดคัตเตอร์ของน้องสาวแล้วหยิบกล่องพัสดุขนาดเท่าฝ่ามือมาอ่านชื่อของผู้ส่ง
ธาวิน?
ส่งอะไรมา?
มิ่งขวัญกรีดเทปกาวออกแล้วหยิบของด้านในออกมาแกะดู มันเป็นเคสโทรศัพท์สกรีนลายกราฟฟิก พื้นหลังสีดำลวดลายสีชมพู
“อะไรอ่ะ เคสโทรศัพท์เหรอ?”
“ยุ่งน่า” โยกกล่องพัสดุหลบมือของน้องสาว ขนาดเดินหนีเข้าห้องมาแล้วก็ยังตามมาป่วนไม่เลิกรา
“พี่มิ่งสั่งของออนไลน์มาเหรอ? ร้านไหนอ่ะ ลายสวยจัง”
“เปล่า...คุณวินเขาส่งมาให้”
เด็กสาวเหล่มองตัวอักษรภาษาอังกฤษด้านหลังเคส เธอขมวดคิ้วจนเป็นตัวหนอนและคิดว่าธาวินอาจจะส่งมาผิดคน “แต่มันเป็นเคสคู่นะ”
“เคสคู่เหรอ? ดูไงวะ”
มนชนกชี้ไปที่ตัวอักษรด้านหลังซึ่งสกรีนคำว่า ‘He’s Mine’
“แปลว่า’ไรวะ?”
“มันเป็นคำที่แสดงความเป็นเจ้าของอ่ะ แบบว่า...เขาเป็นของฉัน อะไรประมาณนี้” ตอนแปลให้พี่ชายฟังเธอรู้สึกเขินอยู่นิดหน่อย พอสังเกตเคสดีๆ อีกครั้งก็ยิ่งเขินหนักเข้าไปอีก มันเป็นลายเส้นรูปหัวใจซ้อนกัน หากแต่มีแค่ครึ่งเสี้ยว ต้องนำเคสอีกอันมาประกบกันถึงจะเป็นภาพหัวใจเต็มดวง “พี่วินเขาส่งมาผิดหรือเปล่าอ่ะ เอามาใส่มั่วซั่วเดี๋ยวเขาโทรมาทวงก็โดนด่าหรอก”
“ไม่ด่าหรอกน่า ส่งมาถูกคนแล้ว”
เธอนั่งมองพี่ชายชื่นชมเคสใหม่ด้วยสีหน้าก้ำกึ่ง ตั้งแต่ไปซื้อโทรศัพท์มาใหม่ก็โทรคุยกับใครไม่รู้แทบทั้งวัน แม้อีกฝ่ายจะบอกว่าคุยกับธาวินแต่เธอไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไหร่นัก คิดว่าเป็นแฟนของพี่ซะมากกว่า
ขนาดเธอเป็นลูกศิษย์เรียนภาษาด้วยกันทุกวันยังไม่โทรคุยกันบ่อยขนาดนี้เลย นับประสาอะไรกับมิ่งขวัญที่หาเรื่องทะเลาะกันอยู่ตลอด
อีกเดี๋ยวพี่วินต้องโทรมาทวงเคสแน่ๆ เธอไม่เชื่อหรอกว่าเคสนั่นจะเป็นของพี่ชาย
“ออกไปได้แล้วยัยมน เอ็งเป็นผู้หญิงอย่ามาอยู่ในห้องผู้ชายนานๆ เดี๋ยวพี่จะเสียหาย เข้าใจเปล่า”
ตรรกะอะไรของพี่มันวะ?
เด็กสาวขมวดคิ้วขณะเดินตึงตังออกไปจากห้อง เดี๋ยวนี้มีลับลมคมในเยอะนักนะ เธอยังไม่ทันจะก้าวขาพ้นจากห้องก็ตามมาปิดประตูไล่หลังแล้ว
มิ่งขวัญลอบถอนหายใจยาวเมื่อไล่น้องสาวออกไปได้ ชายหนุ่มลูบเคสโทรศัพท์แผ่วเบา ความรู้สึกยินดียังคงท่วมท้นหลังจากรับรู้ความหมายของตัวอักษรบนฝาเคส
ต่อให้ถูกจูงจมูกหรือสนตะพายเขาก็ยินดีทั้งนั้น
มิ่งขวัญกดเข้าแอพพลิเคชันไลน์แล้วเลือกการโทรแบบวิดีโอคอล ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับธาวินคืบหน้าไปไกลแล้วจนกระทั่งตกลงคบหาดูใจกัน แม้จะเป็นเพียงแค่การพูดคุยผ่านโทรศัพท์แต่พวกเราก็รู้สึกว่ามันเพียงพอแล้วสำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ เนื่องจากธาวินยังไม่สามารถตัดใจกับฐานเงินเดือนในตอนนี้ได้ เขาจึงต้องเร่งออกเรือตัวเป็นเกลียวเพื่อไต่ระดับขึ้นสู่ไปตำแหน่งที่มั่นคงมากยิ่งขึ้น
มิ่งขวัญไม่เคยคิดถึงอนาคต แต่พอได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับธาวินบ่อยๆ เขาก็เริ่มฉุกคิดและลงมือทำ การวางแผนอนาคตในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อธาวินเท่านั้นแต่เพื่อตัวของเขาเองด้วย อีกหน่อยพ่อก็คงจะปลดเกษียณ หากเขายังลอยไปลอยมาเช่นนี้ คนที่จะลำบากก็คือครอบครัวของเขาเอง
พอคิดไปถึงวันนั้นก็รู้สึกห่อเหี่ยวแล้ว เขาจึงต้องทุ่มเทให้มากเพื่อเป็นคนที่พึ่งพาได้ในสักวันหนึ่ง
(ว่าไง)
มิ่งขวัญเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินแต่เสียงจากคนปลายสาย “เปิดกล้องหน่อย อยากเห็นหน้า”
(เดี๋ยวก่อน กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่)
“จริงเหรอ? งั้นรีบเปิดให้ไวเลย”
(ทะลึ่ง)
มิ่งขวัญหัวเราะเมื่อโดนด่า เขานั่งฟังเสียงขลุกขลักจากปลายสายเงียบๆ จนกระทั่งธาวินยอมเปิดกล้อง หนุ่มตัวโตขมวดคิ้วเมื่อเห็นใบหน้าซูบเซียวและเหนื่อยล้า “เพิ่งเลิกงานเหรอ?”
(อืม วันนี้เหนื่อยมากๆ เลย วิ่งรอกตั้งสองงาน)
“ทั้งโรงแรมมีแค่คุณคนเดียวหรือไง ทำไมไม่เรียกคนอื่นมาช่วยล่ะ”
(วันนี้ผู้จัดการแผนกจัดเลี้ยงลาป่วย ฉันก็เลยต้องเข้าไปช่วยเซ็ทอัพทั้งสองงาน)
“งานอะไรเหรอ?”
(งานแต่งน่ะ ทำแค่พิธีเช้า)
“ทำไมไม่จัดที่บ้านล่ะ ไปจัดที่โรงแรมทำไม? บ้านเจ้าสาวอยู่ในโรงแรมเหรอ”
ธาวินขำคิก กรอบหน้าไร้แว่นดูละมุนขึ้นไม่เคร่งขรึมเหมือนทุกวัน (เดี๋ยวนี้ใครๆ เขาก็จัดกันที่โรงแรมทั้งนั้นแหละ มันสะดวก)
“เหรอ...แล้วถ้าเป็นงานของเราล่ะ คุณอยากจัดที่ไหน”
(พูดจริงหรือจ้อจี้ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนะ ไม่แต่งหรอก)
“คุณอายเหรอ”
ธาวินถอนหายใจเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสลดของชายหนุ่ม (มันก็แค่พิธีอย่างหนึ่ง ฉันไม่ได้มองว่ามันสำคัญอะไรกับชีวิตฉัน นอกจากป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ว่าเป็นสามีภรรยากันแล้วก็ไม่เห็นว่ามันจะเกิดประโยชน์อะไรอีก แต่ถ้าหากมันมีคุณค่าทางใจล่ะก็ ฉันชอบงานแบบเรียบง่ายมากกว่า เชิญแค่คนสนิทก็พอไม่ต้องแห่กันมาทั้งหมู่บ้าน)
“งั้นเราไปแต่งกันที่เกาะของคุณตรัยดีไหม แต่งเสร็จก็ฮันนีมูนเลย”
(อยากแต่งงานขนาดนั้นเลยเหรอ?)
“ผมอยากผูกมัดคุณเอาไว้ คุณจะได้ไม่ทิ้งผม”
(แต่งแล้วก็เลิกได้ มันก็แค่พันธะอย่างหนึ่ง พอหมดรักแล้วก็ทางใครทางมัน)
“ผมจะไม่มีวันหมดรักคุณ”
(ตอนนี้ก็พูดได้สิ นายกำลังหลง...ฉันต่างหากที่ต้องเป็นคนกลัว)
“อย่าดูถูกความรักของผมสิ...ผมจริงจังนะ” มิ่งขวัญนึกน้อยใจขึ้นมาบ้าง ธาวินไม่เคยเชื่อใจเขาเต็มร้อยแม้ว่าเขาจะพร่ำบอกอยู่เสมอว่าจริงจัง
มันไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่ววูบอย่างที่ชายหนุ่มคิด เขาทบทวนตัวเองดีแล้วถึงได้ตัดสินใจเดินหน้าต่อ
(วินไม่ได้ดูถูกความรักของมิ่งนะ วินแค่...อยากเผื่อใจไว้ให้ตัวเองบ้าง)
“ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็น พิสูจน์จนกว่าคุณจะมั่นใจ”
(งั้นคงต้องพิสูจน์ตลอดชีวิตแล้วล่ะ)
“ตลอดชีวิตก็ยอม ผมรักคุณไปแล้วนี่”
ธาวินกัดริมฝีปากกลั้นยิ้ม ยังไม่ชินกับคำหวานของชายหนุ่ม (วินส่งพัสดุไปให้นะ ได้รับยัง)
“เคสนี่อ่ะเหรอ” จะโชว์เคสให้ดูแต่ลืมไปว่าใส่เข้ากับโทรศัพท์แล้ว
(ชอบไหม?)
“ชอบ...ชอบความหมายภาษาอังกฤษ” คราวนี้ธาวินหน้าแดงก่ำ ไม่กล้าสบตาอยู่พักหนึ่ง
(ไหนบอกไม่เก่งภาษาอังกฤษไง รู้ความหมายมันด้วยเหรอ)
“ตอนแรกไม่รู้หรอกแต่ยัยมนแปลให้ฟัง” มิ่งขวัญยิ้มเมื่อเห็นท่าทางน่ารักนั่น “มันเป็นเคสคู่ใช่ไหม?”
(อืม เห็นมิ่งไม่ยอมซื้อเคสมาใส่สักทีก็เลยไปสั่งทำมา เดี๋ยวถอดของวินให้ดู...) เคสโทรศัพท์ของธาวินเป็นสีขาวแต่สกรีนลายเดียวกัน (พอเอาเคสทั้งสองอันมาประกบกันก็จะกลายเป็นรูปหัวใจเต็มดวง น่ารักไหม?)
“น่ารัก...คุณนะไม่ใช่เคส”
ธาวินหลุดยิ้มเขิน หัวใจชุ่มฉ่ำจนแทบจะล้นปริ่มหลังจากผ่านความแห้งแล้งและเดียวดายมาหลายปี แต่ความสัมพันธ์ของเรายังอยู่ในระยะเริ่มต้นเท่านั้น หนทางยังอีกยาวไกล หลังจากหมดช่วงโปรโมชันแล้วคงต้องดูกันอีกที
เขาคงไม่ได้คาดหวังกับความรักครั้งนี้มากเกินไปใช่ไหม?
สิปากางภาพพิมพ์และรูปถ่ายจากโดรนเปรียบเทียบกันเพื่อจัดทำแผนที่และเส้นทางโดยรวม เกาะบูลันมีขนาดค่อนข้างใหญ่พอสมควร พื้นที่ส่วนมากเป็นป่าพรุและป่าดิบชื้นตามลำดับ ด้านทิศตะวันออกของเกาะถูกปิดล้อมด้วยหน้าผาสูงชัน ทำให้หาดบริเวณนี้เป็นแอ่งกะทะ คล้ายกับลากูนหรือทะเลใน
“กูไปสำรวจด้านนี้มาแล้วเว่ย โคตรสวยอ่ะมึงแต่มันต้องเดินป่าเข้าไปหลายกิโลอยู่ อ่าวด้านนี้เหมือนจะถูกหน้าผาปิดล้อมแต่จริงๆ แล้วมันมีช่องลอดคล้ายๆ ถ้ำลอดอ่ะ น้ำทะเลมันเชื่อมกัน ถ้าเป็นช่วงน้ำลดน่าจะเห็นทางเข้าออกแต่ทีมสำรวจกูไม่เป๊ะเรื่องเวลาน้ำขึ้นน้ำลงว่ะ กูก็เลยให้พวกเขาดำลงไปสำรวจเลย” สิปาวางภาพถ่ายใต้น้ำให้เพื่อนดู “ช่องลอดแคบนิดนึงน่าจะผ่านได้แต่คนตัวเล็กๆ ว่ะ แต่ที่เด็ดคืออะไรรู้ป่ะ ปะการังเว่ย ทั้งดอกไม้ทะเล ทั้งเขากวาง ทั้งสันหนาม คือสวยมากอ่ะ แล้วปลาแม่งว่ายเต็มไปหมดเลย ไม่ลึกด้วย สน็อกเกิลได้สบาย”
“มันเดินอ้อมไปตามชายหาดได้ไหม แบบไม่ต้องเข้าป่าน่ะ”
“มันเป็นเขาหินปูนกั้นไว้ ไปไม่ได้ทางตัน ต้องเข้าทางป่าอย่างเดียวเลย วันเวย์”
“กี่กิโล?”
“ประมาณห้ากิโลได้ กูทำแผนที่ได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ด้านทิศตะวันตกเป็นพื้นที่สร้างรีสอร์ทของมึง ส่วนด้านทิศตะวันออกเป็นลากูน ตรงกลางเกาะเป็นป่าดิบชื้นนะ มีลำธารอยู่สายหนึ่งแต่กูยังไปไม่ถึงต้นน้ำ ยังไม่เจอสัตว์ดุร้ายอะไรนะ เห็นแต่นกเงือกกับนกอินทรีโฉบไปมา ส่วนทิศเหนือกับใต้ยังไม่ได้สำรวจ เดี๋ยวอีกสองวันค่อยไปใหม่ วันนี้ต้องไปรับสถาปนิกก่อน เขามาไฟลท์เช้า”
“อืม ถ้าเขาสะดวกจะไปดูพื้นที่วันนี้เลยก็ได้นะ”
“ให้พักก่อนไหมล่ะ”
“นั่งเครื่องแค่ชั่วโมงเดียว คงไม่เจ็ทแลคหรอกมั้ง”
“เขาเป็นผู้หญิง อย่าโหดร้ายนักเลยน่า”
ตรัยขมวดคิ้ว “ผู้หญิง? เขาไม่มีปัญหาใช่ไหมถ้าต้องลงพื้นที่”
“เขารับอาสาเอง ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ”
“เจอกันที่แพปลาแล้วกัน”
พอตกลงกันเสร็จตรัยก็เดินแยกไปหาพ่อที่หลังบ้าน ตอนนี้เถ้าแก่ชัยกำลังฟื้นฟูแปลงผักที่เหี่ยวเฉาให้กลับมาสวยงามดังเดิมด้วยการรื้อปลูกใหม่ นอกจากพรวนดินแล้วพ่อก็ไม่เคยใช้เขาช่วยอะไรอีก ขนาดจะรดน้ำต้นไม้ไถ่โทษให้ยังไม่ยอมเลย
“วันนี้พ่อจะเข้าออฟฟิศหรือเปล่าครับ”
“ไปส่งแม่แกก่อนแล้วค่อยเข้าแพปลา” ตรีทิพย์มีกำหนดกลับวันนี้ หลังจากอยู่ยาวมาหลายสัปดาห์เพื่อหารือเรื่องความเสื่อมโทรมของทะเลในบางพื้นที่ หลายโครงการเกิดขึ้นเพื่อลดปริมาณขยะพลาสติกจากมือคน รวมไปถึงการปิดพื้นที่บางแห่งเพื่อฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและปลูกปะการังใหม่ทดแทน “วันนี้รุ่งไม่มาเหรอ?”
“เขาโทรมาบอกว่าเรือกุ้งเข้าน่ะครับ ป่านนี้คงอยู่ที่แพปลาแล้ว” ปกติรุ่งภพจะมากินข้าวด้วยทุกเช้าเพราะเป็นคำสั่งของตรีทิพย์ บางวันก็เข้ามาช่วยทำอาหารบ้างถ้ามาทันตอนที่แม่ของเขากำลังเตรียมของ แม้จะยังทำอาหารได้ไม่คล่องแต่ก็เป็นที่น่าพอใจเพราะรสชาติออกมาดี
“งั้นก็ไม่ได้ไปส่งแม่แกน่ะสิ เดี๋ยวก็โดนบ่นยาว” ระยะหลังมานี้อดีตภรรยาค่อนข้างเอ็นดูเด็กหนุ่มเพราะบ่นอะไรอีกฝ่ายก็ไม่เคยเถียง ต่างจากเขากับลูกชายที่ไม่ค่อยได้ดั่งใจนัก เธอจึงเอนเอียงไปทางรุ่งภพมากกว่าเพราะใช้ง่ายและพูดคุยกันถูกคอ
“น้องโทรไปบอกแม่แล้วครับ เดี๋ยวนี้เขาแลกไลน์แลกเบอร์กันไว้แล้ว”
“อ๋อเหรอ ตอนแรกทำท่าเหมือนจะเป็นจะตาย”
“นินทาอะไรคะ! สายป่านนี้แล้วยังไม่มากินข้าวกันอีก ต้องให้เรียกทุกวันเลยไม่รู้ทำไม” พอพูดถึงก็โผล่มาทันที เถ้าแก่ชัยทำหน้าเซ็งแล้วเดินกุมไม้เท้าเข้าบ้าน พอรุ่งภพไม่อยู่ก็ดูเหมือนจะหงุดหงิดกว่าเดิมเป็นสองเท่า
คงเป็นเพราะตื่นมาทำกับข้าวตั้งแต่เช้าแล้ววันนี้ไม่มีคนช่วย ไหนจะต้องเตรียมตัวเดินทางอีกเลยทำให้ยุ่งจนหัวฟู เช้าวันนี้เราสามคนจึงทานข้าวกันอย่างเร่งรีบเพราะกลัวคุณนายจะตกเครื่อง กว่าจะขับรถกลับเข้าแพปลาก็เที่ยงแล้ว ตรงกับช่วงพักของคนงานพอดี ตรัยจึงไม่เห็นรุ่งภพอยู่ในอาคาร
“ปิ๊ก เห็นรุ่งไหม?” เขาตะโกนถามคนงานขับรถโฟล์กลิฟท์มือใหม่
“อยู่บล็อกสามมั้งครับ วันนี้อวนจมกุ้งเข้า น่าจะกำลังคัดกุ้งกันอยู่”
“ยังไม่พักอีกเหรอ?” บล็อกสามอยู่ระหว่างเสาอาคารต้นที่ห้าและหก ตรัยต้องเดินเลี่ยงตะกร้าปลาอยู่เป็นระยะกว่าจะไปถึงบล็อกที่เรือกุ้งเข้า “เที่ยงแล้ว ไม่ไปกินข้าวกันเหรอ?”
รุ่งภพชะงักมือเมื่อได้ยินเสียงกระซิบข้างใบหู หนุ่มใต้หันไปมอง เห็นคนแกล้งยืนยิ้มกริ่มซ่อนถุงอะไรสักอย่างไว้ด้านหลัง “ซื้อขนมมาฝากหรือเปล่าครับ”
“กินข้าวหรือยัง”
“กินยำมาม่าแล้วครับ คนในแพเขาทำเผื่อ”
ตรัยยอมส่งขนมที่ชายหนุ่มฝากซื้อให้แต่โดยดี มันเป็นขนมปังเย็นสีชมพูหวาน ราดด้วยนมข้นหลายชั้นจนรู้สึกเลี่ยนคอ “กินหวานมากๆ เดี๋ยวก็เป็นเบาหวานหรอก”
“อาหย่อย~” ฟังที่ไหนล่ะ กลายเป็นเด็กติดขนมไปแล้วตั้งแต่ถูกบังคับให้กินยาแทบทุกวัน ชายหนุ่มขูดกินแต่นมข้นหวานแล้วกลับไปทำงานต่อ ตรัยเลยลองตักชิมบ้าง เขาแอบเบ้หน้ากับความหวานซ้ำซ้อนรีบกลืนลงคอโดยไม่เสียเวลาเคี้ยวให้เมื่อยกราม
“เมื่อไหร่จะเสร็จ”
“มาช่วยกันสิครับจะได้เสร็จเร็วๆ” รุ่งภพพูดไปอย่างนั้นแต่ไม่คิดว่าตรัยจะทำจริง “เอาจริงดิ”
“คัดยังไง”
“ผมพูดเล่น คุณเข้าไปทำงานในออฟฟิศเถอะครับ ไม่ต้องช่วยหรอก”
“ฉันว่าง โดนพ่อไล่ออกแล้ว”
“เรื่องจริง?”
“เชื่อป่ะล่ะ”
รุ่งภพสั่นหัว ส่งถุงมือยางให้ชายหนุ่มอย่างจำใจ “ถ้าว่างก็มาช่วยคัดไซส์กุ้งให้หน่อยครับ ตัวใหญ่ใส่ตะกร้าเบอร์ 1 ไซส์กลางใส่ตะกร้าเบอร์ 2 ไซส์เล็กใส่ตะกร้าเบอร์ 3 โอเคไหมครับ?”
“อ่า...โอเค” เนื่องจากไซส์ค่อนข้างแตกต่างทำให้เด็กใหม่ทำงานได้อย่างราบรื่น “นี่กุ้งอะไรเหรอ?”
“กุ้งแชบ๊วยครับ กุ้งน้ำเค็มที่เราจับได้จะมีแค่กุ้งแชบ๊วยกับกุ้งลายเสือ”
“แล้วกุ้งตัวเล็กๆ ที่ขายในตลาดล่ะ”
“อันนั้นกุ้งขาวครับ เป็นกุ้งน้ำเค็มเหมือนกันแต่ได้มาจากการเพาะเลี้ยง” รุ่งภพหยิบขนมปังเย็นมากินต่อ เกล็ดน้ำแข็งละลายไปเยอะแล้วเหลือแต่ก้อนขนมปังชุ่มน้ำหวาน “อีกไม่กี่วันก็จะเปิดอ่าวแล้ว เดือนหน้าคงได้ออกเรือเต็มที่ ถ้าคุณจะไปเที่ยวเกาะลันตาต้องรีบหน่อยนะครับ ช่วงนี้ผมยังหยุดได้อีกหลายวัน ถ้าออกเรือแล้วหยุดยากครับ”
“งั้นไปอาทิตย์หน้าก็ได้...แต่ฝนจะตกหรือเปล่าก็ไม่รู้” ช่วงนี้เป็นปลายมรสุม พูดยังไม่ทันขาดคำเมฆดำทะมึนก็ตั้งเค้ามาอีกแล้ว
“แดดออกได้หิดนึง มืดพรึ่บๆ มาหล่าวเด้” เพื่อนร่วมงานแหงนหน้าขึ้นมองแนวเมฆครึ้ม ชี้ให้รุ่งภพดูกลุ่มฝนที่ไล่มาจากกลางทะเล
“แหลงยังไม่ทันขาดคำก็ลงเม็ดมาหล่าว ตกครึ่มๆ ได้ทุกวัน ตอใดอิหมดฝนซักทีน้อ”
ตรัยยิ้มเมื่อได้ยินชายหนุ่มแหลงใต้ เวลาอยู่กับเขารุ่งภพจะพูดภาษากลางตลอด พอได้ยินจังๆ แบบนี้ก็รู้สึกว่าภาษาใต้นั้นมีเสน่ห์มากกว่าเคยคิด
“นายครับ” ปิ๊ก คนงานขับรถโฟลคลิฟท์เข้ามาสะกิดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “คุณสิปาถามหาครับ บอกว่าสถาปนิกมาถึงแล้ว”
“อืม เดี๋ยวไป”
“คุณสิปาบอกให้ไปเร็วๆ ครับ”
“เออ รู้แล้ว” ตรัยโยนกุ้งกลับเข้ากองแล้วถอดถุงมือออก “เดี๋ยวกลับมาช่วยนะ”
หนุ่มใต้ส่งรอยยิ้มหวานมาให้ นั่นยิ่งทำให้ตรัยไม่อยากลุกไปไหนเลย หากไม่ได้ปิ๊กคอยสะกิดเรียกอยู่เป็นพักๆ เขาก็คงจะนั่งอยู่ที่เดิม ไปไม่ถึงออฟฟิศสักทีหนึ่ง
“สวัสดีค่ะพี่ตรัย” ตรัยชะงักเมื่อได้ยินน้ำเสียงเคยคุ้น เขาต้องใช้เวลานึกอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะจำได้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร “ปัทมา?”
“ค่ะ ปัดเอง” สถาปนิกที่สิปาพามาคืออดีตรุ่นน้องต่างคณะที่เคยรู้จักกันมาก่อน “พอปัดเห็นโปรเจ็กต์ของพี่ตรัยก็รีบขออาสาทันทีเลยค่ะ”
“ไอ้วีย์มันอนุญาตให้มาด้วยเหรอ” ปวีย์เป็นเพื่อนของเขาแล้วก็เป็นลุงรหัสของหญิงสาว ตอนนี้มันทำบริษัทออกแบบและตกแต่งอยู่ ตรัยเลยขอให้มันช่วยจัดทีมให้แต่ไม่คิดว่ามันจะส่งผู้หญิงมา
“ปัทดื้อจะมาเองแหละค่ะ อยากเจอพี่ตรัยจะแย่” เธอยิ้มหวานแล้วเกาะแขนอ้อน ตั้งแต่ตรัยวางมือจากงานโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเธอก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย หากเป็นเมื่อก่อนคงได้นัดรวมตัวไปนั่งดื่มกันบ้าง รำลึกความหลังสมัยเรียน
“ไหนแบบบ้านของพี่ล่ะ”
“เจอหน้าก็ทวงงานกันเลยเหรอคะ? แต่ปัดรู้ทันค่ะ เตรียมมาให้เรียบร้อย” เธอส่งกระบอกใส่แบบไปให้แล้วอธิบายเนื้องาน “กระท่อมที่พี่ตรัยอยากได้ปัดออกแบบเป็นหลังคาทรงกลมนะคะ พื้นที่ใช้สอย 25 ตารางเมตร มีทั้งหมด 20 หลัง เรียงต่อกันเป็นรูปใบพัด ตรงสะพานเชื่อมปัดเพิ่มจุดนั่งเล่นชมวิวเข้าไปด้วย ถ้าพี่ตรัยโอเค ปัดจะได้ส่งตัวนี้ให้พี่ปาเอาไปทำ Shop drawing เลย”
“อืม...แล้วล็อบบี้ล่ะ พี่ก็อยากได้เป็นกระท่อมเหมือนกัน”
“ปัดต้องไปดูพื้นที่จริงก่อนค่ะ เห็นพี่ปาบอกว่าเป็นพื้นที่น้ำทะเลกัดเซาะด้วย ถ้าหมุดเดิมยังอยู่ในทะเลปัดว่าจะออกแบบเป็นสะพานยาวให้เรือเข้ามาเทียบจอดเลยค่ะ พอแขกลงจากเรือมาก็จะเห็นล็อบบี้เป็นอย่างแรก พอเข้าไปในล็อบบี้ก็จะเห็นห้องพักแบบเมาท์เทนวิวทางซ้ายมือ แล้วก็แบบโอเชียนวิวทางขวามือ”
ตรัยดูแบบอย่างละเอียดอีกครั้งแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ “เดี๋ยวทำ EIA ให้พี่ด้วยนะ”
“ได้ค่ะ” ปัทมารับแบบคืนแล้วยิ้มกว้างเพราะงานผ่าน “ทำไมพี่ตรัยไม่สร้างเป็นพูลวิล่าไปเลยล่ะคะ เกาะส่วนตัวแบบนี้น่าจะทำห้องพักเป็นแบบไฮท์เอนด์นะคะ ลูกค้าต่างชาติน่าจะชอบ”
“พี่ทำตามใจตัวเองไม่ได้ทำตามใจลูกค้า”
หญิงสาวยิ้มเจื่อนกับรสนิยมที่สวนทาง “เอ่อ...เราไปหาอะไรทานกันก่อนไหมคะ ปัดยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันเลย”
“ได้สิ...พี่ก็ยังไม่ได้กินอะไรเหมือนกัน” ตรัยเคาะห้องทำงานพ่อเพื่อชวนไปทานข้าว แต่เถ้าแก่ชัยปฎิเสธเพราะเพิ่งทานอาหารตามสั่งไปเมื่อครู่นี้ “แล้วสิปาล่ะ? ปัดเห็นไอ้ปาไหม”
“พี่ปาไปเข้าห้องน้ำค่ะ เราไปรอที่รถกันก่อนไหมคะ เดี๋ยวค่อยโทรตามก็ได้”
ตรัยพยักหน้าแล้วเดินนำหญิงสาวไปที่รถ ไม่นานสิปาก็ตามมาสมทบ เป็นการเลี้ยงต้อนรับสถาปนิกคนใหม่ไปในตัว
ในขณะที่คนทั้งสามกำลังรับประทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย รุ่งภพก็นั่งชะเง้อคอยครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งคัดกุ้งเสร็จ คนที่บอกว่าจะมาช่วยก็ยังไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา
TBC
*ตรงงานเขียนแบบอาจจะมีผิดพลาดบ้างนะคะ หากตรงไหนไม่ถูกต้องแนะนำได้นะคะ ขอบคุณค่าาาาาา
