บทที่ 35
วันทำงานเวียนกลับมาอีกครั้งหลังจากเติมเต็มพลังกายและพลังใจจนล้นปริ่ม พอกลับเข้าสู่วงจรชีวิตปกติก็ต่างคนต่างยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง แม้ตอนนี้งานก่อสร้างบนเกาะบูลันจะเดินหน้าไปไม่ถึง 25% อย่างที่วางแผนไว้แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ตรัยต้องหนักใจอะไรเพราะสาเหตุอยู่ที่สภาพอากาศซึ่งควบคุมไม่ได้ สิ่งที่เขาหนักใจคือรุ่งภพต่างหาก พอกลับมาได้ไม่ทันข้ามวันก็ออกเรือหายไปแล้ว ยังดีที่เขายึดตังเกเอาไว้ได้ จึงค่อยเบาใจหน่อยเพราะยังไงชายหนุ่มก็ต้องกลับมารับมันอยู่ดี
“ตรงล็อบบี้ปัดเน้นงานไม้เหมือนเดิมนะคะ ทำเป็นกระโจมใช้ผนังไม้ไผ่ขัดสาน ตรงล็อบบี้จะเป็นศูนย์กลางของรีสอร์ทเชื่อมไปยังห้องพักปีกซ้ายและห้องพักปีกขวา ตรงส่วนของด้านหน้าก็สร้างเป็นสะพานยื่นออกไปสำหรับเทียบเรือ...พี่ตรัยชอบไหมคะ อยากได้อะไรเพิ่มไหม?”
“ตรงสะพานเทียบเรือพี่ว่ามันโล่งไป น่าจะทำเป็นกระโจมแตรเล็กๆ สำหรับนั่งเล่นด้วย ตรงนี้จะเห็นวิวทะเลใกล้ที่สุดเพราะสะพานค่อนข้างยาว”
“ได้ค่ะ แล้วห้องอาหารล่ะค่ะ พี่ตรัยมีไอเดียหรือยัง”
“พี่อยากได้ห้องอาหารริมชายหาดสไตล์ปักษ์ใต้น่ะ” ตรัยหยิบรูปถ่ายที่อัดแล้วออกมาให้เธอดู “รูปพวกนี้พี่ถ่ายที่เกาะลันตา ปัดลองเอาไปเป็น Ref. แล้วออกแบบคร่าวๆ มาให้พี่ดูก่อน”
รูปที่ตรัยส่งให้เป็นภาพเรือนไม้และบ้านแถวเก่าแก่ในชุมชนเมืองเก่าบ้านศรีรายา หนึ่งในนั้นมีภาพศาลาของหมู่บ้านชาวเลรวมอยู่ด้วย ปัทมาหยิบรูปใบสุดท้ายขึ้นมาดูนานเป็นพิเศษเพราะเป็นภาพเดียวที่ถ่ายติดคน
“พี่ตรัยไปเที่ยวกับคนงานคนนี้เหรอคะ? ปัดก็นึกว่าพี่ไปคนเดียว”
“พี่ให้เขาไปเป็นไกด์ด้วยน่ะ”
“อ๋อ แหม...ไกด์แต่งตัวน่ารักจังเลยนะคะ” แม้ปากจะชื่นชมแต่ลึกๆ แล้วเธออิจฉา เป็นแค่คนงานหาปลาแต่กลับได้ใกล้ชิดเจ้านายถึงเพียงนี้ “ผู้ชายนุ่งผ้าถุง แปลกดี”
“คนใต้เขาเรียกโสร่ง มันเป็นผ้าบาติก เพนท์สี คงนุ่งได้ทั้งผู้ชายผู้หญิงนั่นแหล่ะ” เพียงแต่ลวดลายที่ผู้ชายใช้นุ่งจะเรียบง่ายกว่าหรือไม่ก็เป็นสีพื้นไปเลย เท่าที่เขาเคยเห็นจะเป็นลายขวางคล้ายกับผ้าขาวม้าเป็นส่วนใหญ่ ไม่สดใสแบบที่รุ่งภพนุ่ง
“พี่ตรัยจ้างเขาเท่าไหร่เหรอคะ? เผื่อวันไหนปัดอยากไปเที่ยวแถวนี้จะได้จ้างเขามาเป็นไกด์บ้าง”
ตรัยจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเธอเหมือนค้นหาอะไรบางอย่าง “พี่ว่าปัดหาไกด์ที่เป็นบริษัทนำเที่ยวจะดีกว่า ตอนนี้เปิดอ่าวแล้ว เขาคงไม่ว่างหรอก”
“เปิดอ่าว? คืออะไรเหรอคะ”
ตรัยเคาะปลายนิ้วลงบนขอบโต๊ะ ดันปลายลิ้นดุนแก้มเพราะขี้เกียจอธิบายให้เธอฟัง “เอาเป็นว่าเขาไม่ว่างก็แล้วกัน”
“ค่ะ ไม่ว่างก็ไม่ว่าง” เธอไม่เซ้าซี้เพราะไม่อยากให้ตรัยต้องหงุดหงิด “ไปเที่ยวมาตั้งหลายวัน ไม่มีขนมมาฝากปัดบ้างเหรอคะ” หญิงสาวส่งเสียงอ้อน เท้าแขนลงบนโต๊ะแล้วโน้มหน้าเข้าไปหา
ตรัยเลิกคิ้วขึ้นแล้วทำสีหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ เขาลุกไปหยิบถุงของฝากใบใหญ่บนโต๊ะรับแขกแล้วยื่นให้เธอหมดทั้งถุง
“หมดนี่เลยเหรอคะ?”
“อยากได้อะไรก็หยิบเอา แต่เหลือเอาไว้บ้างนะ พี่ยังไม่ได้เอาไปให้พวกเสมียนเลย”
“นี่มัน...” เธอล้วงของฝากที่ตรัยซื้อมาออกจากถุง “ปลาเค็มเหรอคะ?”
“ปลาแดดเดียวต่างหาก ไร้ก้างด้วยนะ เมื่อวานพี่ทอดกินแล้ว อร่อยดี” นอกจากปลาแดดเดียวแล้วยังมีกระปิกุ้งเคยจากทุ่งหยีเพ็งด้วย ของพวกนี้รุ่งภพเป็นคนเลือก ส่วนเขามีหน้าที่จ่ายเงินเพียงอย่างเดียว “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ ไม่ชอบกินเหรอ”
“เปล่าค่ะ...ปัดเอาไปแค่ถุงเดียวแล้วกันนะคะ พอดีห้องที่ปัดพักเขาไม่ให้ทำอาหารน่ะค่ะ” เธอเลือกห่อที่เล็กที่สุดออกมา ขณะที่กำลังควานหาก็ไปสะดุดกับถุงอีกใบที่ซ้อนอยู่ใต้ก้น “เอ๊ะ? อะไรน่ะ” ตรัยหันมามองเธอเมื่อได้ยินเสียงแกะถุงพลาสติก “อันนี้ผ้าบาติกหรือเปล่าคะ? ปัดขออันนี้แทนได้ไหมคะพี่ตรัย”
ตรัยวางหน้าขรึม ดึงถุงผ้าบาติกออกจากมือเธอ “อันนี้ไม่ใช่ของฝาก”
“แบ่งให้ปัดผืนนึงไม่ได้เหรอคะ ปัดเห็นพี่ตรัยซื้อมาตั้งหลายผืน เอาปลาเค็มไปปัดก็กินไม่ได้ นะคะ...น้า”
“งั้นเอาสีแดงไปแล้วกัน” ตรัยหยิบสีฉูดฉาดให้เธอผืนหนึ่ง เป็นผ้าทอเนื้อนิ่มลวดลายวิจิตรบรรจง
“ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวปัดจะใส่มาให้ดูนะคะ”
“อืม” ตรัยไม่ได้ตอบอะไรไปมากกว่านั้น ถ้าเธอใส่มาทำงานเขาก็ต้องเห็นอยู่แล้ว
“เอ่อ...บ่ายวันมะรืนพี่ตรัยว่างไหมคะ คือ...คุณอาของปัดเขาอยากจะเข้ามาคุยเรื่องการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนเกาะน่ะค่ะ”
“ให้เขาเข้ามาคุยก่อนแล้วกัน พี่ก็สนใจอยู่ อาจจะเอามาใช้เป็นไฟสำรองแทน ถ้าเกิดวันไหนเครื่องปั่นไฟมันมีปัญหาขึ้นมาจะได้มีไฟสำรองใช้”
“ได้ค่ะ ขอบคุณที่ให้โอกาสคุณอาของปัดนะคะ แล้วก็...ขอบคุณที่ให้ผ้าผืนนี้ด้วย”
ปัทมาขอตัวกลับไปทำงานต่อทันทีที่ได้ของฝากสมใจเธอ ใจจริงอยากอยู่ต่อเพราะวันนี้ตรัยอยู่ห้องทำงานคนเดียว ไม่มีเถ้าแก่ตามมาด้วยเหมือนทุกครั้ง แต่เธอคงนั่งทำงานที่นี่ไม่ไหวเพราะวันนี้เป็นวันสิ้นเดือน พวกเสมียนเดินเข้าเดินออกมาส่งรายงานอยู่ตลอด งานของเธอคงไปไม่ถึงไหนเพราะถูกรบกวนสมาธิแทบทั้งวัน
“น้องชะเอมคะ mistake แปลว่าผิดพลาด แต่ถ้า miss you มากๆ นี่ผิดไหม”
มุกจีบสาวแบบนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากสิปา
“เว้นน้องมันไว้คนเถอะค่า เดี๋ยวน้องมันฝึกงานจบแล้วไม่กลับมาทำงานกับเราต่อจะทำไง”
“ไม่กลับมาทำงานที่นี่เพราะจะไปอยู่กับพี่ที่ระยองใช่ไหมครับ”
“เปล่าค่ะ กลัวจนต้องหนีไปที่อื่นแทน”
เสียงหัวเราะดังครึกครื้นไปทั่วออฟฟิศ ปัทมาเดินสวนกับชายหนุ่ม ยิ้มให้เพียงนิดก่อนจะเดินผ่านไป
“พี่คนนั้นดู...หยิ่งจังเลยนะคะ” ชะเอม เด็กฝึกงานเปรยขึ้นเพราะตั้งแต่วันแรกที่เธอมาจนถึงวันนี้ยังไม่เคยทักทายพวกเราเลยสักคน
“คนสวยก็งี้แหละหนู อย่าไปสนใจเลย” สิปาโบกมือ ไม่เก็บมาใส่ใจ
“อ้าว พี่พูดงี้หมายความว่าไง? จะบอกว่าพวกหนูไม่สวยก็เลยหยิ่งไม่ได้อย่างเขางั้นเหรอ”
ฉิบหายละกู ไหงแว้งมากัดกันได้วะ
วิศกรหนุ่มรีบเผ่นแผลวเข้าห้องทำงานเพื่อนก่อนที่จะโดนรุมทึ้งไปมากกว่านี้ เขาทักทายเพื่อนแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานใหญ่ พอเห็นถุงของฝากที่ปัทมาวางไว้ก็รื้อออกมาดู
“อะไรวะ ปลาเค็ม?”
“ปลาแดดเดียว จะกินก็หยิบไป”
“กินดิบๆ ได้เลยอ่อ?”
“มึงกินได้มึงก็กินไปดิ” ตรัยขี้เกียจเถียงกับมันเลยขุดเรื่องงานมาเฉ่งต่อ “ตกลงหาเรือบาส ได้ยัง”
“หาได้เป็นชาติละ กูระดับไหนให้มันรู้บ้าง คอนเน็กชั่นระดับโลกเว้ย” ปากพูดไปส่วนมือก็ล้วงหยิบ เผลอแป๊บเดียวของฝากในถุงก็อันตธานเข้าไปอยู่ในกระเป๋าของมันจนหมด “ได้กับแกล้มละ เย็นนี้แดกเหล้ากัน”
“อะไรมึง ขึ้นฝั่งมาก็ร้องหาเหล้าเลยเหรอวะ จะเข้าพรรษาแล้วนะมึง ให้เหล้า = แช่งอ่ะ มึงไม่เคยดูโฆษณาเหรอ”
“กูอกหัก”
มาแบบดื้อๆ จนตรัยงง “อะไรนะ กูหูฝาดไปหรือเปล่า?”
“กูอกหัก...กินเหล้าเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ อยากเมาว่ะ”
ตรัยสังเกตแววตาเพื่อน ปกติแล้วมันเป็นคนร่าเริงจนเข้าขั้นบ้า หากไม่สังเกตแววตาคงมองไม่ออกว่าภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มนั่นซ่อนความรู้สึกอะไรไว้ “ใครหักอกเพื่อนกูวะ”
“เพื่อนมึงไง”
ตรัยเลิกคิ้ว “ใคร? ไอ้วีย์มีเมียแล้วตัดไป ต้องเป็นไอ้อั้มแน่ๆ เลย มันโสดอยู่”
สิปาชูนิ้วกลางให้เพื่อน ให้มันโสดต่อไปอ่ะดีแล้ว “เพื่อนมึงมีแต่ผู้ชายเหรอไอ้เหี้ย!”
“ปา...กลุ่มเรามีเพื่อนผู้หญิงคนเดียวนะเว้ย แล้วมันก็แต่งงานไปแล้วด้วย”
“กูรู้แล้ว”
“มึงอยากเป็นชู้กับเมียชาวบ้านเหรอ?”
“เขากำลังจะหย่ากัน”
“กูก็เห็นรักๆ เลิกๆ มาหลายรอบแล้ว” สามีของเพื่อนเขาเป็นคนเจ้าชู้แต่ฐานิดาก็ให้โอกาสมันมาตลอด จะมีก็พักหลังๆ ที่เธอเริ่มปรึกษากับทนายอย่างจริงจัง
“ก็ถ้ายังรักเขาอยู่ทำไมต้องมาให้ความหวังกับกูด้วยล่ะ! ทั้งชวนไปกินข้าว ชวนไปดูหนัง ไหนจะโทรมาคุยจนดึกดื่นอีก แบบนี้เหรอที่คนเป็นเพื่อนเขาทำกัน พอกูคิดเกินกว่าเพื่อนก็หาว่ากูคิดเองเออเองอีก ทั้งที่มันเป็นคนเริ่มก่อนแท้ๆ...ทำไมถึงมีแค่กูที่รู้สึกอยู่คนเดียววะ” คนอกหักกุมหัวใจของตัวเอง แววตาแดงเรื่อ น้ำเสียงสั่นเครือ
“มึงคบกันมันมากี่ปีแล้ว ยังไม่รู้นิสัยมันอีกเหรอ มันเคยไปไหนคนเดียวบ้าง ยังไงก็ต้องโทรไปตามเพื่อนสักคนหนึ่งให้ไปกับมันจนได้แหละ พอมึงตามใจมันก็โทรหาแต่มึงนั่นแหละ เป็นไงล่ะทีนี้ เอาใจไปให้เขาเองแล้วจะโทษใครได้”
“กูผิดเหรอ?”
ตรัยตบไหล่เพื่อน “ความรักมันไม่มีถูกผิดหรอก แต่มึงก็ต้องดูความเหมาะสมด้วยว่ามันควรหรือไม่ควร”
“เออ เกือบเป็นชู้กับเมียชาวบ้านแล้วกู”
“เกือบห่าอะไรล่ะ ไม่ได้เฉียดเข้าใกล้เลยด้วยซ้ำ มึงโดนมันปฎิเสธมาไม่ใช่เหรอ ไม่ได้ตัดใจเองสักหน่อย”
“มันก็คือๆ กันแหละวะ ไม่รู้แหละ เย็นนี้แดกเหล้ากัน” อยากจะเมาแล้วลืมให้หมด แม้จะเป็นแค่ช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ ก็ตาม “วันนี้พ่อมึงไม่เข้าแพเหรอ?”
“อยู่เล่นกับหมาที่บ้านโน่น”
“หมาที่ไหนวะ?”
“หมาของรุ่งเขาน่ะ เขาออกเรือกูก็เลยยึดมาเลี้ยงให้”
“เอ๊ะ? มึงพูดผิดหรือเปล่า หมายถึงช่วยเลี้ยงให้ใช่มะ”
“ประมาณนั้น”
เสียงหวีดแหลมของหวูดเรือดังขัดจังหวะการสนทนาของคนในห้อง ตรัยลุกจากเก้าอี้แล้วดึงมู่ลี่ลง พอเห็นว่าเป็นเรือที่ออกไปนานกว่าสัปดาห์แล้วดีใจจนเนื้อเต้น รีบเดินออกไปหาคนที่ห่างหายไปนานจนคิดถึง
“วันนี้ไม่ไปเกาะเหรอครับ”
ประโยคแรกที่รอคอยกลับเป็นคำถามชวนโมโห เหมือนแปลกใจว่าทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่ ต้องดีใจที่เห็นเขาไม่ใช่เหรอ? “เธอออกเรือเป็นอาทิตย์ ฉันจะอยู่แต่ในเกาะได้ยังไง” อยู่ที่นี่ยังพอจะตามข่าวได้บ้าง แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินก็เงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี
“ไอ้รุ่ง! เย็นนี้แดกเหล้ากัน”
“มาจากไหนเนี่ย?” รุ่งภพขมวดคิ้วแล้วยกท่อนแขนของสิปาลงจากบ่า “ตามสบายเลยครับ วันนี้ผมกินไม่ไหวหรอก เดี๋ยวเลิกงานก็กลับบ้านนอนแล้ว”
“อะไรว้า...งั้นกูไปกินบ้านมึงนะ”
“ถามกูหรือยัง?”
“ทำไมต้องถามมึงด้วยล่ะ อ่อ...กูลืมไป พวกมึงมีซัมติงกันอยู่นี่หว่า” สิปาเกาหัว อยากดื่มแต่ไม่รู้จะไปเมาที่ไหนดี “งั้นไปแดกบ้านมึงก็ได้ พ่อมึงจะด่าไหมวะ”
“พ่อกูไม่ด่าหรอก กูนี่แหละจะด่า”
รุ่งภพหันมองคนทั้งสองเถียงกันแล้วส่ายหัว “ไปกินบ้านผมก็ได้ครับ พวกคุณซื้อแค่กับแกล้มไปก็พอ ที่บ้านผมยังมีเหล้าเหลืออยู่”
“มันต้องอย่างนี้สิวะ น้องรักของพี่”
“ไสหัวไปไกลๆ นี่ของกู”
“น้องช่ะ?”
‘เมีย’ ตรัยขยับปากแบบไม่มีเสียง ดันเพื่อนออกไปห่างๆ แล้วสวมรอยเข้าไปยืนใกล้ๆ แทน รุ่งภพไม่รู้เรื่องอะไรหรอกเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการชั่งน้ำหนักปลา กว่าจะบรรจุปลาลงถังแล้วขนเข้าห้องเก็บรักษาความเย็นก็มืดค่ำแล้ว ไหนจะต้องแวะไปรับหมากลับบ้านอีก กว่าจะถึงบ้านกันจริงๆ ก็สองทุ่มโน่น
“นั่งกินกันในบ้านก็ได้ครับ ข้างนอกยุงเยอะ” เจ้าของบ้านปูที่นอนให้หมาของตัวเองก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ ปล่อยให้ตรัยหยิบแก้วหยิบจานเองโดยไม่ต้องชี้บอก เพราะมาบ่อยจนรู้ทุกซอกทุกมุมแล้ว
สายลมพริ้วไหวพัดกิ่งไม้เสียดสีกับหลังคาจนเกิดเสียง รุ่งภพออกมานั่งดูทีวีอยู่พักหนึ่งแม้ไม่ได้ร่วมวงด้วยแต่ก็ส่งเสียงพูดคุยอยู่เป็นระยะ จนกระทั่งทนง่วงไม่ไหวนั่นแหละถึงได้เดินเข้าห้อง ปล่อยให้เขากับเพื่อนนั่งดื่มกันอยู่สองคน
“เมื่อไหร่มึงจะเมาวะ?”
“อ้าว? นี่กูยังไม่เมาอีกเหรอ”
ตรัยถอนหายใจแล้วส่ายหน้า มันคงเมาแล้วล่ะ แต่ยังไม่น็อก “มึงกินย้อมใจหรือกินย้อมตับวะไอ้ปา น้องมันมีเหล้าตั้งครึ่งโหลเลยนะไอ้ห่า มึงจะเหมาคนเดียวหมดเลยไม่ได้นะเว้ย”
“ของฟรี กูสู้ตาย~”
“เดี๋ยวกูน็อกกลางอากาศเลยไอ้ห่านี่ พรุ่งนี้มึงไปซื้อมาใช้น้องมันเลยนะ หรือไม่ก็เอาเงินมา” เขาต้องรักษาผลประโยชน์ให้ชายหนุ่ม โดนผลาญไปขนาดนี้ ตื่นมาคงได้ช็อกตามไปอีกคน
“เอาไปเลย กูให้หมดเลย” ยื่นกระเป๋าสตางค์ให้ทั้งใบ “กูไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ชีวิตแม่งเฮงซวย รักเขา...เขาไม่รักตอบ แถมยังเสือกไปชอบคนมีเจ้าของอีก แถมคนที่กูชอบก็ยังเป็นเพื่อนของกูอีก รุงรังฉิบหายเลยชีวิต”
“มึงลองคิดทบทวนตัวเองให้ดีก่อน เป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปี เพิ่งจะมาหวั่นไหวอะไรเอาตอนนี้ ถ้าจะรักก็คงรักไปตั้งนานแล้วล่ะ”
“ถ้าไม่ใช่ความรักแล้วมันคืออะไรล่ะ?”
“ไอ้รักน่ะกูไม่เถียงหรอก...แต่ความรักที่มึงมีให้เขามันเป็นแบบไหนต่างหาก รักแบบเพื่อนหรือว่ารักแบบแฟน”
“กูไม่เข้าใจ แล้วไอ้ความคิดถึง อยากคุยอยากเจอหน้านี่ยังไม่ชัดอีกเหรอ?”
“มึงทนเห็นตอนมันสวีทกับแฟนได้ไหมล่ะ?”
สิปาชะงัก แม้จะรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างแต่ก็ยังทนได้ ไม่ได้โกรธเคืองจนถึงขนาดต้องไปจับแยกคนทั้งสองออกจากกัน “ก็เขาเป็นผัวเมียกัน กูจะทำอะไรได้ล่ะ”
“มึงทนได้แต่กูทนไม่ได้ ขนาดเห็นรุ่งยิ้มให้คนอื่นกูยังหงุดหงิดเลย ถ้ากูเป็นมึง กูคงเสียใจตั้งแต่วันที่รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ในตัวของเขาแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาฟูมฟายตอนโดนเขาปฏิเสธเอาแบบนี้”
คนเมานั่งเงียบเพื่อทบทวนความรู้สึกของตัวเองอย่างที่เพื่อนบอก แม้จะพยายามแค่ไหนแต่ก็ยังแยกแยะความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อฐานิดาไม่ได้สักที
“ค่อยๆ คิดไปนะมึง กูไปนอนก่อนละ” ตรัยตบไหล่เพื่อน เขาไม่ได้อยากทิ้งมันเอาไว้แต่เพราะคนที่ทำให้มันอกหักโทรเข้ามาพอดีเลยต้องขอแยกตัวออกมาก่อน
“อือ...” เจ้าของบ้านส่งเสียงประท้วงอืออาเมื่อถูกดึงตัวเข้าไปกกกอด ตรัยก้มจูบริมฝีปากอิ่มแล้วเกาหลังกล่อมจนชายหนุ่มนิ่งไป
“ฮัลโหล” เขารับสายเพื่อนแล้วเปิดกล้องเพื่อสังเกตสีหน้ามัน
(มืดมาก เปิดไฟหน่อยได้ไหม)
“อยากเห็นหน้ากู” ตรัยเปิดเพียงโคมไฟตรงหัวโต๊ะ รุ่งภพขยับใบหน้าหนีแสง เขาจึงเปลี่ยนไปนอนตะแคงข้างแล้วใช้แผ่นหลังบังแสงไว้ “โทรมาทำไมดึกๆ ดื่นๆ ไม่มีมารยาท”
(กูพยายามจะนอนแล้วแต่มันนอนไม่หลับว่ะ โทษนะมึง)
“แล้วโทรมาทำไม”
(ปาอยู่กับมึงใช่ไหม?)
“อือ แดกเหล้าย้อมใจอยู่”
(มึงรู้แล้วใช่ไหม คือ...กูไม่ได้อยากจะทำร้ายจิตใจมันนะเว้ย แต่...มันไม่ใช่จริงๆ ว่ะ)
“มันคงกำลังสับสน มึงให้เวลามันหน่อยก็แล้วกัน แล้วก็อย่าโทรไปอ่อยมันอีกล่ะ เดี๋ยวมันเตลิดอีกแล้วจะยุ่ง” ตรัยเตือนเพื่อน แค่นี้ก็วุ่นวายพอแล้วเพราะความเอาแต่ใจของหญิงสาว “แล้วแฟนมึงเป็นไงมั่ง กลับมาเป็นเด็กดีอีกแล้วเหรอ”
(ก็เหมือนเดิมแหละ แต่ช่วงนี้อยู่ติดบ้านมากขึ้น ไม่ค่อยเที่ยวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว)
“งั้นก็ดีแล้ว ถ้ามันยังไม่เลิกนิสัยเจ้าชู้อีกก็เลิกเหอะ อย่าให้อภัยซ้ำซากอีกเลยเพราะมันไม่ใช่ความรักแต่มันคือความโง่”
(ด่ากูเหี้ยยังไม่เจ็บเท่านี้เลย) คนปลายสายบ่นอุบ ในบรรดาเพื่อนทั้งหมดเธอเชื่อฟังตรัยที่สุดเพราะไม่ค่อยจะตามใจ (แล้วนั่นมึงกอดใครอยู่ ใช่น้องคนนั้นป่ะ)
ตรัยถือกล้องไปทางชายหนุ่ม กดจูบบนแก้มอิ่มโชว์คนปลายสาย “อย่าเสียงดังนะมึง เดี๋ยวน้องตื่น”
ฐานิดารีบอุดปาก เกือบหลุดเสียงกรี๊ดออกมากับภาพเมื่อครู่นี้ (แก้มยุ้ยจังเลยอ่ะ หลับไม่รู้เรื่องเหมือนเด็กเลย)
“คงเหนื่อยน่ะ ปกติหูไวจะตาย”
(พามาเจอบ้างดิ เดือนหน้าก็ได้ กูจองตั๋วไปเที่ยวที่ภูเก็ตไว้ มาเที่ยวด้วยกันไหม)
“ดูก่อนว่าว่างเปล่า ถ้าไม่มีอะไรกูวางแล้วนะ ง่วงนอน”
ความจริงเขายังไม่ง่วงหรอก แต่ไม่อยากให้ใครมาจ้องหน้าคนในอ้อมแขนมากกว่า แม้คนๆ นั้นจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากก็ตามที
ความน่ารักของรุ่งภพน่ะ...ให้เขามองคนเดียวก็พอแล้วTBC