Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7  (อ่าน 35387 ครั้ง)

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
บทที่ 34




   พอกลับมาถึงวิลล่าตรัยก็รั้งร่างของชายหนุ่มโถมลงบนเตียงนอน เขาอยากจับฟัดตั้งแต่เห็นชายหนุ่มเปลี่ยนชุดแล้ว แม้รุ่งภพจะไม่มีส่วนโค้งเว้าเหมือนผู้หญิงแต่กลับมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ชวนให้หลงใหล กล้ามเนื้อที่ได้จากการทำงานหนักนั้นไม่ได้แข็งหรือใหญ่จนเกินไป อาจจะเป็นเพราะเจ้าตัวกินแต่ของไม่มีประโยชน์เลยสร้างกล้ามเนื้อไม่ได้เท่าที่ควร

   แต่แบบนี้ก็ดีแล้ว...หุ่นกำลังดี

   “ยะ...อย่าเพิ่ง! ผมยังไม่พร้อม” หนุ่มใต้ร้องห้าม พยายามดึงผ้าบาติกลงมาปิดโคนขาของตัวเอง

   “แล้วจะเมื่อไหร่จะพร้อม?”

   “ไม่รู้...”

   ตรัยถอนหายใจแรงระบายความหงุดหงิดจากอารมณ์ที่หยุดชะงัก เขายังนั่งคล่อมอยู่บนตัวของชายหนุ่ม สีหน้าบึ้งตึงเมื่อได้คำตอบไม่ชัดเจน “ไม่รู้ไม่ได้ จะให้ฉันรอไปถึงเมื่อไหร่ ฉันอยากรักเธอตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ”

   “คุณรักผมเพราะต้องการเรื่องแบบนี้เหรอครับ”

   ดวงตาคมดุจ้องมองคนใต้ร่างนิ่งนาน รุ่งภพยังคงหายใจหอบถี่จากความตกใจเมื่อครู่นี้ “ถ้าไม่รักจะต้องการเหรอ”

   รุ่งภพสับสนกับความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง “แต่ผม...ผมกลัว”

   “มันไม่น่ากลัวหรอก เราจะเติมความสุขให้กัน...นะ”

   ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดผิวหน้า หนุ่มใต้เม้มริมฝีปากแล้วพยักหน้าตอบรับอย่างเอียงอาย เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงเลยนอนนิ่งให้อีกฝ่ายเป็นผู้นำ โสร่งผ้าบาติกถูกรั้งขึ้นไปบนโคนขาอีกครั้ง เสื้อผ้าฝ้ายสีขาวถูกปลดออก เผยผิวกายเปลือยเปล่าสู่สายตาของคนมอง

   ตรัยสะกิดปลายนิ้วลงบนยอดอกของชายหนุ่ม คนใต้ร่างสะท้านเยือก กัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้อง

   “อือ...”

   ริมฝีปากหนาตามลงมาทาบทับปิดกลั้นเสียงร้องของคนใต้ร่าง ตรัยโอบประคองแผ่นหลังเปลือยแล้วยกตัวของชายหนุ่มนั่งคล่อมตัก บดสะโพกเบียดเร้าขณะแทรกปลายลิ้นเข้าไปในปากของอีกคน

   “อื้ม...” ดวงตากลมหรี่ปรือตามแรงอารมณ์ที่เผาไหม้ เสียงดูดกลืนบนริมฝีปากดังสะท้อนเข้ามาในหู ปลายลิ้นฉ่ำชื้นจากน้ำลายของเราสองคน มันเป็นจูบที่ยาวนานจนเขาเริ่มหายใจไม่ทัน พอตรัยถอนจูบออกก็รู้สึกชาหนึบไปทั่วทั้งโพรงปาก เราจูบกันนานมากจนหยาดน้ำสีใสเชื่อมต่อระหว่างกัน

   ฝ่ามือหนาลูบไล้ไปทั่วโคนขาขณะลากจูบลงมาบนฐานคอ ตรัยแค่แตะจูบและขบเบาๆ เท่านั้นไม่ทำรอยเหมือนเอาไว้ครั้งก่อน คนใต้ร่างขยับตัวอย่างอึดอัดเมื่อเขาเลื่อนริมฝีปากลงมาตรงแผ่นอก พยายามดันหัวไหล่ของเขาออกเมื่อสัมผัสได้ถึงปลายลิ้นที่แตะไล้ลงมาตรงปลายยอด

   “อึก...”

   ตรัยรุกคืบปลายนิ้วไปตามซอกขาแล้วกอบกุมตัวตนของชายหนุ่ม เขาควานหากระเป๋าสตางค์ของตัวเองขณะเลาะเล็มอยู่บนผิวกาย ผ้าบาติกสีฟ้าคือผืนเดียวที่ยังรั้งอยู่บนสะโพกของชายหนุ่ม ทั้งยั่วเย้าและบีบรัดหัวใจของคนมอง “เธอแต่งแบบนี้แล้วน่ามองเป็นบ้า”

   มือหนาปลดกระดุมกางเกงของตัวเอง ยังไม่ทันจะดึงซองถุงยางออกมาจากกระเป๋าก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์แผดลั่นไปทั่วห้อง

   รุ่งภพผลักตรัยออกแล้วฉวยโอกาสนั้นวิ่งหนีเข้าห้องอาบน้ำ ใจของเขายังสั่นระทึกเมื่อนึกถึงสัมผัสที่ร้อนรุ่มดั่งไฟสุม

   “โธ่เว้ย!”

   ได้ยินเสียงสบถดังมาจากด้านนอก ตรัยคงหัวเสียน่าดูเพราะใช้เวลาอยู่นานกว่าจะตะล่อมเขาได้ หนุ่มใต้แก้ปมผ้าบาติกแล้วปลดออก ก้าวเข้าไปยืนใต้ฝักบัวให้สายน้ำชะล้างอารมณ์ที่ค้างคา

   ขอเวลาทำใจอีกหน่อยก็แล้วกัน
   






   เช้าวันใหม่มาพร้อมกับเม็ดฝนที่ปรายโปรยเต็มฟากฟ้า คนตื่นแต่เช้ายืนกอดอกจ้องมองม่านฝนเบื้องหน้าด้วยแววตาเหม่อลอย ความคิดวนเวียนอยู่กับสายที่โทรเข้ามาขัดจังหวะเมื่อตอนดึก ตอนแรกก็นึกขอบคุณแต่หลังจากออกมาได้ยินเสียงหวานๆ เล็ดลอดออกมาจากปลายสายเขาก็เริ่มคิดมาก ตอนแรกก็คุยกันเรื่องงานแต่พอนานเข้าก็เปลี่ยนเป็นคุยเล่นแทน

   เขานอนฟังจนกระทั่งเผลอหลับด้วยความรู้สึกอ้างว้างที่เกาะกุมในใจ

   จะให้เขามั่นใจได้ยังไง แม้จะอยู่ด้วยกันตอนนี้...แต่เขาก็ยังรู้สึกเหมือนมีอะไรมาแทรกกลางอยู่ดี

   รุ่งภพถอนหายใจแผ่วเมื่อเม็ดฝนเริ่มซาลงจนเห็นแสงอาทิตย์โผล่พ้นจากขอบฟ้า เขายืนอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหน
แล้ว...นานจนกระทั่งฝนหยุดตก ทิ้งไว้แต่สะพานสายรุ้งที่ทอดยาว

   “มารอพระอาทิตย์ขึ้นเหรอ”

   “ทำไมคุณชอบมาเงียบๆ นะ” รุ่งภพหันไปมองคนด้านหลัง อ้อมกอดที่คุ้นเคยหวนกลับมาอีกครั้งแต่ไม่อาจเติมเต็มความรู้สึกได้ดังเดิม

   “เธอก็ชอบหนีฉันมาเงียบๆ เหมือนกัน ทำไมไม่ปลุกล่ะ ฉันจะได้ตื่นมาดูเป็นเพื่อน”

   “ผมตื่นเช้า คุณตื่นไม่ไหวหรอก”

   “ยังไม่ทันได้ปลุกเลย” ตรัยกดปลายคางลงบนหัวไหล่ของชายหนุ่ม เขาเพิ่งสังเกตเห็นรอยฝนบนขอบสระ พอแหงนมองไปบนท้องฟ้าก็เห็นเมฆฝนลอยแน่น ฟ้ายังไม่เปิดเท่าไหร่นัก “ตื่นมาดูฝนเหรอ”

   “ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นล่ะครับ แล้วทำไมคุณยังไม่ไปอาบน้ำอีกล่ะ สายแล้วนะ”

   “วันนี้เที่ยวอุทยานที่เดียวเอง ไม่ต้องรีบก็ได้”

   “ต้องรีบสิครับ เดี๋ยวฝนตกลงมาอีกก็ไม่ได้เที่ยวกันพอดี”

   “มันจะตกอีกเหรอ?”   

   “อาจจะครับ อากาศบนเกาะไม่แน่นอน ถ้าตกก็ตกทั้งวันนั่นแหละ”

   ตรัยยอมไปอาบน้ำแต่โดยดีแต่ไม่ได้รีบร้อนที่จะเช็คเอาท์ออกจากห้องพัก เราอยู่ทานอาหารเช้าที่รีสอร์ทก่อนออกเดินทางไปยังใต้สุดของเกาะ ระหว่างเดินทางก็แวะซื้อขนมไปเรื่อย เอาใจหนุ่มใต้ที่เซื่องซึมจนผิดสังเกต

   ไม่สบายหรือเปล่านะ?

   ฟ้าเปิดมากขึ้นเมื่อเรามาถึงอุทยานหมู่เกาะลันตา วันนี้มีนักท่องเที่ยวไม่เยอะนักเพราะฝนที่เทลงมาตั้งแต่ช่วงเช้าทำให้พื้นดินเฉอะแฉะอยู่พอสมควร ขนาดเดินด้วยความระมัดระวังยังหวิดลื่นล้มไปตั้งหลายหน ตรัยต้องคว้าข้อมือของเขาไปจูงไว้ พาเดินเหมือนกลัวว่าเขาจะหลงทาง

   “จะเดินป่าไหม” ตรัยถามคิดเห็นของคนที่มาด้วยกันขณะยืนดูแผนที่ในอุทยาน

   “เดินก็ได้ครับ แค่ 1.7 กิโลเอง”

   “อย่ากัดฟันพูดสิ” ตรัยหัวเราะกับท่าทางของชายหนุ่ม เส้นทางศึกษาธรรมชาติบนอุทยานใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ เป็นเส้นทางชมป่าดิบชื้นและมหัศจรรย์พันธุ์ไม้นานาชนิด

   การเดินทางค่อนข้างลำบากสำหรับรุ่งภพเพราะชายหนุ่มคีบรองเท้าแตะมาทำให้ปีนป่ายไม่ค่อยสะดวก แม้เส้นทางจะไม่ได้ลาดชันมากนักแต่บางสถานีก็ต้องไต่บันไดขึ้นลงเพื่อเยี่ยมชมพันธุ์ไม้ของอุทยาน เราหยุดพักกันตรงสถานีกฤษณา มองผีเสื้อโบยบินหาน้ำหวานจากดอกไม้ป่าและฟังเสียงใบไม้เสียดสีกันในไพรกว้าง

   “ไหวไหม เดี๋ยวให้ขี่หลัง”

   “ยังไม่อยากกลิ้งตกบันไดลงมาตายคู่ครับ ผมเดินเองปลอดภัยกว่า”

   ตรัยหน้าบึ้งกับคำตอบไม่รักษาน้ำใจของชายหนุ่ม เขาแย่งขวดน้ำจากรุ่งภพมาดื่มต่อแล้วสั่งให้ชายหนุ่มไปยืนใต้ต้นกฤษณาที่ใกล้จะสูญพันธุ์

   เขายิ้มขณะถ่ายภาพชายหนุ่มกางแขนโอบต้นไม้ใหญ่ ไม้กฤษณาเป็นไม้ที่ขึ้นในป่าดิบแล้ง ความหอมของมันเกิดจากน้ำยางที่สร้างขึ้นมารักษาบาดแผลที่เชื้อราหรือแมลงมาทำไว้ ทำให้เกิดกลิ่นหอมธรรมชาติซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด

   เส้นทางศึกษาธรรมชาติสิ้นสุดที่สถานีปลวกซึ่งเป็นสถานีสุดท้าย เราไม่ได้สนใจมากนักจึงเดินผ่านไปยังประภาคารที่สูงเด่นบนแหลมโตนด บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวที่เห็นหาดทั้งสองด้าน ฝั่งซ้ายเป็นหาดหินโค้งเว้า ส่วนฝั่งขวาเป็นหาดทรายล้วนแลดูแปลกตา

   “โอ๊ะ!”

   ตรัยหันขวับไปคว้าชายหนุ่มเมื่อได้ยินเสียงร้อง รองเท้าแตะที่ตรากตรำมานานไม่สามารถสวมใส่ได้อีกแล้วเพราะหูรองเท้าที่ขาดหลุด รุ่งภพเบะปากมองซากรองเท้าด้วยแววตาเสียดาย พยายามยัดหูหนีบข้างที่หลุดเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่าจนลืมสนใจทิวทัศน์รอบๆ ตัว

   จุดชมวิวบนแหลมโตนดลมเย็นสบายและแรงมาก จุดเด่นของที่นี่คือประภาคารสีขาวที่ตั้งอยู่บนปลายแหลมซึ่งยื่นล้ำออกไปในทะเล บริเวณโดยรอบโอบล้อมด้วยป่าหินงามและต้นตาลโตนดซึ่งเป็นที่มาของชื่อแหลม ตรัยถือกล้องแล้วถ่ายรูปในโหมดพาโนราม่า วันนี้ไม่ค่อยมีคนมากนัก นอกจากเราแล้วก็มีแค่ชายหญิงอีกคู่หนึ่งที่กำลังคุกเข่าขอแต่งงานกัน

        เป็นการขอแต่งงานที่เรียบง่ายที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา ไม่มีช่อดอกไม้ ไม่มีพยาน ไม่ตากล้อง มีเพียงแหวนเพชรเม็ดเล็กๆ เพียงวงเดียวและสายตาที่มุ่งมั่นจริงใจของคนขอ

       ตรัยลดกล้องลงและหันกลับมามองคนข้างกาย รุ่งภพกำลังง่วนอยู่กับการยัดหูรองเท้าที่หลุดเข้าไปใหม่ เขาอมยิ้มแล้วเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม เด็ดดอกหญ้าแถวนั้นแล้วซ่อนมันเอาไว้ด้านหลัง ก่อนจะนั่งยองๆ แล้วมอบให้

       “Will you marry me?”

       “ฮะ?”

       “แต่งงานกันนะ” ตรัยยื่นดอกไม้ให้ชายหนุ่ม คิ้วขมวดเล็กน้อยเมื่อดอกไม้ที่แสนบอบบางถูกลมพัดจนก้านหักงอ รุ่งภพกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ไหวจนเผลอหลุดขำ รับช่อดอกไม้ไปดมแม้จะไม่ได้กลิ่นอะไรเลยก็ตาม

       “เล่นอะไรครับเนี่ย”

       “ขอแต่งงานไง”

       “ดอกตีนตุ๊กแกเนี่ยนะ”

      “อ้าว มันชื่อนี้เหรอ ไม่เป็นไร...เราจะได้รักกันเหนียวแน่นเหมือนชื่อมันไง ดีไหม?”

      “เอาที่คุณสบายใจเลย”

      “คำตอบล่ะครับ”

      หนุ่มใต้แย้มยิ้มแต่แววตาสั่นไหว เขาคิดว่าตรัยคงพูดเล่นไปอย่างนั้น ไม่ได้คิดจะจริงจังอะไร “ตกลงก็ได้” รุ่งภพม้วนดอกหญ้าในมือเป็นวงแหวน ถักสานกันจนเป็นตัวเรือนแล้วสวมให้กับคนขอ “ถือว่าแต่งกันแล้วนะครับ”

      ตรัยก้มมองแหวนดอกหญ้าบนมือแล้วยิ้มพราย ประทับจูบลงบนแหวนดอกไม้แล้วส่งสายตาลึกซึ้งไปยังชายหนุ่ม เขาไม่เคยนึกถึงการแต่งงานมาก่อน มันค่อนข้างไกลตัวจนกระทั่งได้เจอกับคนที่หัวใจบอกใช่และอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า
หรือจนวันตาย... 



TBC



ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
จะหวานก็หวานไม่สุด​ อารมณ์​มันมัวๆ

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จะหวานก็หวานไม่สุด​ อารมณ์​มันมัวๆ

ใช่ที่สุด

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ Seilong2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
หวานแต่ หวานไม่สุดยังไงไม่รู้ มันเหมือนจะมีพายุอารมณ์เข้าอีกระลอก รุ่งจะเป็นยังไงบ้างนะ

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
บทที่ 35






   วันทำงานเวียนกลับมาอีกครั้งหลังจากเติมเต็มพลังกายและพลังใจจนล้นปริ่ม พอกลับเข้าสู่วงจรชีวิตปกติก็ต่างคนต่างยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง แม้ตอนนี้งานก่อสร้างบนเกาะบูลันจะเดินหน้าไปไม่ถึง 25% อย่างที่วางแผนไว้แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ตรัยต้องหนักใจอะไรเพราะสาเหตุอยู่ที่สภาพอากาศซึ่งควบคุมไม่ได้ สิ่งที่เขาหนักใจคือรุ่งภพต่างหาก พอกลับมาได้ไม่ทันข้ามวันก็ออกเรือหายไปแล้ว ยังดีที่เขายึดตังเกเอาไว้ได้ จึงค่อยเบาใจหน่อยเพราะยังไงชายหนุ่มก็ต้องกลับมารับมันอยู่ดี

   “ตรงล็อบบี้ปัดเน้นงานไม้เหมือนเดิมนะคะ ทำเป็นกระโจมใช้ผนังไม้ไผ่ขัดสาน ตรงล็อบบี้จะเป็นศูนย์กลางของรีสอร์ทเชื่อมไปยังห้องพักปีกซ้ายและห้องพักปีกขวา ตรงส่วนของด้านหน้าก็สร้างเป็นสะพานยื่นออกไปสำหรับเทียบเรือ...พี่ตรัยชอบไหมคะ อยากได้อะไรเพิ่มไหม?”

   “ตรงสะพานเทียบเรือพี่ว่ามันโล่งไป น่าจะทำเป็นกระโจมแตรเล็กๆ สำหรับนั่งเล่นด้วย ตรงนี้จะเห็นวิวทะเลใกล้ที่สุดเพราะสะพานค่อนข้างยาว”

   “ได้ค่ะ แล้วห้องอาหารล่ะค่ะ พี่ตรัยมีไอเดียหรือยัง”

   “พี่อยากได้ห้องอาหารริมชายหาดสไตล์ปักษ์ใต้น่ะ” ตรัยหยิบรูปถ่ายที่อัดแล้วออกมาให้เธอดู “รูปพวกนี้พี่ถ่ายที่เกาะลันตา ปัดลองเอาไปเป็น Ref. แล้วออกแบบคร่าวๆ มาให้พี่ดูก่อน”

   รูปที่ตรัยส่งให้เป็นภาพเรือนไม้และบ้านแถวเก่าแก่ในชุมชนเมืองเก่าบ้านศรีรายา หนึ่งในนั้นมีภาพศาลาของหมู่บ้านชาวเลรวมอยู่ด้วย ปัทมาหยิบรูปใบสุดท้ายขึ้นมาดูนานเป็นพิเศษเพราะเป็นภาพเดียวที่ถ่ายติดคน

   “พี่ตรัยไปเที่ยวกับคนงานคนนี้เหรอคะ? ปัดก็นึกว่าพี่ไปคนเดียว”

   “พี่ให้เขาไปเป็นไกด์ด้วยน่ะ”

   “อ๋อ แหม...ไกด์แต่งตัวน่ารักจังเลยนะคะ” แม้ปากจะชื่นชมแต่ลึกๆ แล้วเธออิจฉา เป็นแค่คนงานหาปลาแต่กลับได้ใกล้ชิดเจ้านายถึงเพียงนี้ “ผู้ชายนุ่งผ้าถุง แปลกดี”

   “คนใต้เขาเรียกโสร่ง มันเป็นผ้าบาติก เพนท์สี คงนุ่งได้ทั้งผู้ชายผู้หญิงนั่นแหล่ะ” เพียงแต่ลวดลายที่ผู้ชายใช้นุ่งจะเรียบง่ายกว่าหรือไม่ก็เป็นสีพื้นไปเลย เท่าที่เขาเคยเห็นจะเป็นลายขวางคล้ายกับผ้าขาวม้าเป็นส่วนใหญ่ ไม่สดใสแบบที่รุ่งภพนุ่ง

   “พี่ตรัยจ้างเขาเท่าไหร่เหรอคะ? เผื่อวันไหนปัดอยากไปเที่ยวแถวนี้จะได้จ้างเขามาเป็นไกด์บ้าง”

   ตรัยจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเธอเหมือนค้นหาอะไรบางอย่าง “พี่ว่าปัดหาไกด์ที่เป็นบริษัทนำเที่ยวจะดีกว่า ตอนนี้เปิดอ่าวแล้ว เขาคงไม่ว่างหรอก”

   “เปิดอ่าว? คืออะไรเหรอคะ”

   ตรัยเคาะปลายนิ้วลงบนขอบโต๊ะ ดันปลายลิ้นดุนแก้มเพราะขี้เกียจอธิบายให้เธอฟัง “เอาเป็นว่าเขาไม่ว่างก็แล้วกัน”

   “ค่ะ ไม่ว่างก็ไม่ว่าง” เธอไม่เซ้าซี้เพราะไม่อยากให้ตรัยต้องหงุดหงิด “ไปเที่ยวมาตั้งหลายวัน ไม่มีขนมมาฝากปัดบ้างเหรอคะ” หญิงสาวส่งเสียงอ้อน เท้าแขนลงบนโต๊ะแล้วโน้มหน้าเข้าไปหา

   ตรัยเลิกคิ้วขึ้นแล้วทำสีหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ เขาลุกไปหยิบถุงของฝากใบใหญ่บนโต๊ะรับแขกแล้วยื่นให้เธอหมดทั้งถุง

   “หมดนี่เลยเหรอคะ?”

   “อยากได้อะไรก็หยิบเอา แต่เหลือเอาไว้บ้างนะ พี่ยังไม่ได้เอาไปให้พวกเสมียนเลย”

   “นี่มัน...” เธอล้วงของฝากที่ตรัยซื้อมาออกจากถุง “ปลาเค็มเหรอคะ?”

   “ปลาแดดเดียวต่างหาก ไร้ก้างด้วยนะ เมื่อวานพี่ทอดกินแล้ว อร่อยดี” นอกจากปลาแดดเดียวแล้วยังมีกระปิกุ้งเคยจากทุ่งหยีเพ็งด้วย ของพวกนี้รุ่งภพเป็นคนเลือก ส่วนเขามีหน้าที่จ่ายเงินเพียงอย่างเดียว “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ ไม่ชอบกินเหรอ”

   “เปล่าค่ะ...ปัดเอาไปแค่ถุงเดียวแล้วกันนะคะ พอดีห้องที่ปัดพักเขาไม่ให้ทำอาหารน่ะค่ะ” เธอเลือกห่อที่เล็กที่สุดออกมา ขณะที่กำลังควานหาก็ไปสะดุดกับถุงอีกใบที่ซ้อนอยู่ใต้ก้น “เอ๊ะ? อะไรน่ะ” ตรัยหันมามองเธอเมื่อได้ยินเสียงแกะถุงพลาสติก “อันนี้ผ้าบาติกหรือเปล่าคะ? ปัดขออันนี้แทนได้ไหมคะพี่ตรัย”

   ตรัยวางหน้าขรึม ดึงถุงผ้าบาติกออกจากมือเธอ “อันนี้ไม่ใช่ของฝาก”

   “แบ่งให้ปัดผืนนึงไม่ได้เหรอคะ ปัดเห็นพี่ตรัยซื้อมาตั้งหลายผืน เอาปลาเค็มไปปัดก็กินไม่ได้ นะคะ...น้า”

   “งั้นเอาสีแดงไปแล้วกัน” ตรัยหยิบสีฉูดฉาดให้เธอผืนหนึ่ง เป็นผ้าทอเนื้อนิ่มลวดลายวิจิตรบรรจง

   “ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวปัดจะใส่มาให้ดูนะคะ”

   “อืม” ตรัยไม่ได้ตอบอะไรไปมากกว่านั้น ถ้าเธอใส่มาทำงานเขาก็ต้องเห็นอยู่แล้ว

   “เอ่อ...บ่ายวันมะรืนพี่ตรัยว่างไหมคะ คือ...คุณอาของปัดเขาอยากจะเข้ามาคุยเรื่องการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนเกาะน่ะค่ะ”

   “ให้เขาเข้ามาคุยก่อนแล้วกัน พี่ก็สนใจอยู่ อาจจะเอามาใช้เป็นไฟสำรองแทน ถ้าเกิดวันไหนเครื่องปั่นไฟมันมีปัญหาขึ้นมาจะได้มีไฟสำรองใช้”

   “ได้ค่ะ ขอบคุณที่ให้โอกาสคุณอาของปัดนะคะ แล้วก็...ขอบคุณที่ให้ผ้าผืนนี้ด้วย”

   ปัทมาขอตัวกลับไปทำงานต่อทันทีที่ได้ของฝากสมใจเธอ ใจจริงอยากอยู่ต่อเพราะวันนี้ตรัยอยู่ห้องทำงานคนเดียว ไม่มีเถ้าแก่ตามมาด้วยเหมือนทุกครั้ง แต่เธอคงนั่งทำงานที่นี่ไม่ไหวเพราะวันนี้เป็นวันสิ้นเดือน พวกเสมียนเดินเข้าเดินออกมาส่งรายงานอยู่ตลอด งานของเธอคงไปไม่ถึงไหนเพราะถูกรบกวนสมาธิแทบทั้งวัน

   “น้องชะเอมคะ mistake แปลว่าผิดพลาด แต่ถ้า miss you มากๆ นี่ผิดไหม”

        มุกจีบสาวแบบนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากสิปา

        “เว้นน้องมันไว้คนเถอะค่า เดี๋ยวน้องมันฝึกงานจบแล้วไม่กลับมาทำงานกับเราต่อจะทำไง”

        “ไม่กลับมาทำงานที่นี่เพราะจะไปอยู่กับพี่ที่ระยองใช่ไหมครับ”

        “เปล่าค่ะ กลัวจนต้องหนีไปที่อื่นแทน”

        เสียงหัวเราะดังครึกครื้นไปทั่วออฟฟิศ ปัทมาเดินสวนกับชายหนุ่ม ยิ้มให้เพียงนิดก่อนจะเดินผ่านไป

        “พี่คนนั้นดู...หยิ่งจังเลยนะคะ” ชะเอม เด็กฝึกงานเปรยขึ้นเพราะตั้งแต่วันแรกที่เธอมาจนถึงวันนี้ยังไม่เคยทักทายพวกเราเลยสักคน

        “คนสวยก็งี้แหละหนู อย่าไปสนใจเลย” สิปาโบกมือ ไม่เก็บมาใส่ใจ

        “อ้าว พี่พูดงี้หมายความว่าไง? จะบอกว่าพวกหนูไม่สวยก็เลยหยิ่งไม่ได้อย่างเขางั้นเหรอ”

        ฉิบหายละกู ไหงแว้งมากัดกันได้วะ   

        วิศกรหนุ่มรีบเผ่นแผลวเข้าห้องทำงานเพื่อนก่อนที่จะโดนรุมทึ้งไปมากกว่านี้ เขาทักทายเพื่อนแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานใหญ่ พอเห็นถุงของฝากที่ปัทมาวางไว้ก็รื้อออกมาดู

        “อะไรวะ ปลาเค็ม?”

        “ปลาแดดเดียว จะกินก็หยิบไป”

        “กินดิบๆ ได้เลยอ่อ?”

        “มึงกินได้มึงก็กินไปดิ” ตรัยขี้เกียจเถียงกับมันเลยขุดเรื่องงานมาเฉ่งต่อ “ตกลงหาเรือบาส ได้ยัง”

        “หาได้เป็นชาติละ กูระดับไหนให้มันรู้บ้าง คอนเน็กชั่นระดับโลกเว้ย” ปากพูดไปส่วนมือก็ล้วงหยิบ เผลอแป๊บเดียวของฝากในถุงก็อันตธานเข้าไปอยู่ในกระเป๋าของมันจนหมด “ได้กับแกล้มละ เย็นนี้แดกเหล้ากัน”

        “อะไรมึง ขึ้นฝั่งมาก็ร้องหาเหล้าเลยเหรอวะ จะเข้าพรรษาแล้วนะมึง ให้เหล้า = แช่งอ่ะ มึงไม่เคยดูโฆษณาเหรอ”

        “กูอกหัก”

        มาแบบดื้อๆ จนตรัยงง “อะไรนะ กูหูฝาดไปหรือเปล่า?”

        “กูอกหัก...กินเหล้าเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ อยากเมาว่ะ”

        ตรัยสังเกตแววตาเพื่อน ปกติแล้วมันเป็นคนร่าเริงจนเข้าขั้นบ้า หากไม่สังเกตแววตาคงมองไม่ออกว่าภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มนั่นซ่อนความรู้สึกอะไรไว้ “ใครหักอกเพื่อนกูวะ”

        “เพื่อนมึงไง”

        ตรัยเลิกคิ้ว “ใคร? ไอ้วีย์มีเมียแล้วตัดไป ต้องเป็นไอ้อั้มแน่ๆ เลย มันโสดอยู่”

   สิปาชูนิ้วกลางให้เพื่อน ให้มันโสดต่อไปอ่ะดีแล้ว “เพื่อนมึงมีแต่ผู้ชายเหรอไอ้เหี้ย!”

   “ปา...กลุ่มเรามีเพื่อนผู้หญิงคนเดียวนะเว้ย แล้วมันก็แต่งงานไปแล้วด้วย”

   “กูรู้แล้ว”

   “มึงอยากเป็นชู้กับเมียชาวบ้านเหรอ?”

   “เขากำลังจะหย่ากัน”

   “กูก็เห็นรักๆ เลิกๆ มาหลายรอบแล้ว” สามีของเพื่อนเขาเป็นคนเจ้าชู้แต่ฐานิดาก็ให้โอกาสมันมาตลอด จะมีก็พักหลังๆ ที่เธอเริ่มปรึกษากับทนายอย่างจริงจัง

   “ก็ถ้ายังรักเขาอยู่ทำไมต้องมาให้ความหวังกับกูด้วยล่ะ! ทั้งชวนไปกินข้าว ชวนไปดูหนัง ไหนจะโทรมาคุยจนดึกดื่นอีก แบบนี้เหรอที่คนเป็นเพื่อนเขาทำกัน พอกูคิดเกินกว่าเพื่อนก็หาว่ากูคิดเองเออเองอีก ทั้งที่มันเป็นคนเริ่มก่อนแท้ๆ...ทำไมถึงมีแค่กูที่รู้สึกอยู่คนเดียววะ” คนอกหักกุมหัวใจของตัวเอง แววตาแดงเรื่อ น้ำเสียงสั่นเครือ

   “มึงคบกันมันมากี่ปีแล้ว ยังไม่รู้นิสัยมันอีกเหรอ มันเคยไปไหนคนเดียวบ้าง ยังไงก็ต้องโทรไปตามเพื่อนสักคนหนึ่งให้ไปกับมันจนได้แหละ พอมึงตามใจมันก็โทรหาแต่มึงนั่นแหละ เป็นไงล่ะทีนี้ เอาใจไปให้เขาเองแล้วจะโทษใครได้”

   “กูผิดเหรอ?”

   ตรัยตบไหล่เพื่อน “ความรักมันไม่มีถูกผิดหรอก แต่มึงก็ต้องดูความเหมาะสมด้วยว่ามันควรหรือไม่ควร”

   “เออ เกือบเป็นชู้กับเมียชาวบ้านแล้วกู”

   “เกือบห่าอะไรล่ะ ไม่ได้เฉียดเข้าใกล้เลยด้วยซ้ำ มึงโดนมันปฎิเสธมาไม่ใช่เหรอ ไม่ได้ตัดใจเองสักหน่อย”

   “มันก็คือๆ กันแหละวะ ไม่รู้แหละ เย็นนี้แดกเหล้ากัน” อยากจะเมาแล้วลืมให้หมด แม้จะเป็นแค่ช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ ก็ตาม “วันนี้พ่อมึงไม่เข้าแพเหรอ?”

   “อยู่เล่นกับหมาที่บ้านโน่น”

   “หมาที่ไหนวะ?”

   “หมาของรุ่งเขาน่ะ เขาออกเรือกูก็เลยยึดมาเลี้ยงให้”

   “เอ๊ะ? มึงพูดผิดหรือเปล่า หมายถึงช่วยเลี้ยงให้ใช่มะ”

   “ประมาณนั้น”

   เสียงหวีดแหลมของหวูดเรือดังขัดจังหวะการสนทนาของคนในห้อง ตรัยลุกจากเก้าอี้แล้วดึงมู่ลี่ลง พอเห็นว่าเป็นเรือที่ออกไปนานกว่าสัปดาห์แล้วดีใจจนเนื้อเต้น รีบเดินออกไปหาคนที่ห่างหายไปนานจนคิดถึง

   “วันนี้ไม่ไปเกาะเหรอครับ”

   ประโยคแรกที่รอคอยกลับเป็นคำถามชวนโมโห เหมือนแปลกใจว่าทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่ ต้องดีใจที่เห็นเขาไม่ใช่เหรอ?  “เธอออกเรือเป็นอาทิตย์ ฉันจะอยู่แต่ในเกาะได้ยังไง” อยู่ที่นี่ยังพอจะตามข่าวได้บ้าง แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินก็เงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

   “ไอ้รุ่ง! เย็นนี้แดกเหล้ากัน”

   “มาจากไหนเนี่ย?” รุ่งภพขมวดคิ้วแล้วยกท่อนแขนของสิปาลงจากบ่า “ตามสบายเลยครับ วันนี้ผมกินไม่ไหวหรอก เดี๋ยวเลิกงานก็กลับบ้านนอนแล้ว”

   “อะไรว้า...งั้นกูไปกินบ้านมึงนะ”

   “ถามกูหรือยัง?”

   “ทำไมต้องถามมึงด้วยล่ะ อ่อ...กูลืมไป พวกมึงมีซัมติงกันอยู่นี่หว่า” สิปาเกาหัว อยากดื่มแต่ไม่รู้จะไปเมาที่ไหนดี “งั้นไปแดกบ้านมึงก็ได้ พ่อมึงจะด่าไหมวะ”

   “พ่อกูไม่ด่าหรอก กูนี่แหละจะด่า”

   รุ่งภพหันมองคนทั้งสองเถียงกันแล้วส่ายหัว “ไปกินบ้านผมก็ได้ครับ พวกคุณซื้อแค่กับแกล้มไปก็พอ ที่บ้านผมยังมีเหล้าเหลืออยู่”

   “มันต้องอย่างนี้สิวะ น้องรักของพี่”

   “ไสหัวไปไกลๆ นี่ของกู”

   “น้องช่ะ?”

   ‘เมีย’

   ตรัยขยับปากแบบไม่มีเสียง ดันเพื่อนออกไปห่างๆ แล้วสวมรอยเข้าไปยืนใกล้ๆ แทน รุ่งภพไม่รู้เรื่องอะไรหรอกเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการชั่งน้ำหนักปลา กว่าจะบรรจุปลาลงถังแล้วขนเข้าห้องเก็บรักษาความเย็นก็มืดค่ำแล้ว ไหนจะต้องแวะไปรับหมากลับบ้านอีก กว่าจะถึงบ้านกันจริงๆ ก็สองทุ่มโน่น

   “นั่งกินกันในบ้านก็ได้ครับ ข้างนอกยุงเยอะ” เจ้าของบ้านปูที่นอนให้หมาของตัวเองก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ ปล่อยให้ตรัยหยิบแก้วหยิบจานเองโดยไม่ต้องชี้บอก เพราะมาบ่อยจนรู้ทุกซอกทุกมุมแล้ว

   สายลมพริ้วไหวพัดกิ่งไม้เสียดสีกับหลังคาจนเกิดเสียง รุ่งภพออกมานั่งดูทีวีอยู่พักหนึ่งแม้ไม่ได้ร่วมวงด้วยแต่ก็ส่งเสียงพูดคุยอยู่เป็นระยะ จนกระทั่งทนง่วงไม่ไหวนั่นแหละถึงได้เดินเข้าห้อง ปล่อยให้เขากับเพื่อนนั่งดื่มกันอยู่สองคน

   “เมื่อไหร่มึงจะเมาวะ?”

   “อ้าว? นี่กูยังไม่เมาอีกเหรอ”

   ตรัยถอนหายใจแล้วส่ายหน้า มันคงเมาแล้วล่ะ แต่ยังไม่น็อก “มึงกินย้อมใจหรือกินย้อมตับวะไอ้ปา น้องมันมีเหล้าตั้งครึ่งโหลเลยนะไอ้ห่า มึงจะเหมาคนเดียวหมดเลยไม่ได้นะเว้ย”

    “ของฟรี กูสู้ตาย~”

   “เดี๋ยวกูน็อกกลางอากาศเลยไอ้ห่านี่ พรุ่งนี้มึงไปซื้อมาใช้น้องมันเลยนะ หรือไม่ก็เอาเงินมา” เขาต้องรักษาผลประโยชน์ให้ชายหนุ่ม โดนผลาญไปขนาดนี้ ตื่นมาคงได้ช็อกตามไปอีกคน

   “เอาไปเลย กูให้หมดเลย” ยื่นกระเป๋าสตางค์ให้ทั้งใบ “กูไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ชีวิตแม่งเฮงซวย รักเขา...เขาไม่รักตอบ แถมยังเสือกไปชอบคนมีเจ้าของอีก แถมคนที่กูชอบก็ยังเป็นเพื่อนของกูอีก รุงรังฉิบหายเลยชีวิต”

   “มึงลองคิดทบทวนตัวเองให้ดีก่อน เป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปี เพิ่งจะมาหวั่นไหวอะไรเอาตอนนี้ ถ้าจะรักก็คงรักไปตั้งนานแล้วล่ะ”

   “ถ้าไม่ใช่ความรักแล้วมันคืออะไรล่ะ?”

   “ไอ้รักน่ะกูไม่เถียงหรอก...แต่ความรักที่มึงมีให้เขามันเป็นแบบไหนต่างหาก รักแบบเพื่อนหรือว่ารักแบบแฟน”

   “กูไม่เข้าใจ แล้วไอ้ความคิดถึง อยากคุยอยากเจอหน้านี่ยังไม่ชัดอีกเหรอ?”

   “มึงทนเห็นตอนมันสวีทกับแฟนได้ไหมล่ะ?”

   สิปาชะงัก แม้จะรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างแต่ก็ยังทนได้ ไม่ได้โกรธเคืองจนถึงขนาดต้องไปจับแยกคนทั้งสองออกจากกัน “ก็เขาเป็นผัวเมียกัน กูจะทำอะไรได้ล่ะ”

   “มึงทนได้แต่กูทนไม่ได้ ขนาดเห็นรุ่งยิ้มให้คนอื่นกูยังหงุดหงิดเลย ถ้ากูเป็นมึง กูคงเสียใจตั้งแต่วันที่รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ในตัวของเขาแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาฟูมฟายตอนโดนเขาปฏิเสธเอาแบบนี้”

   คนเมานั่งเงียบเพื่อทบทวนความรู้สึกของตัวเองอย่างที่เพื่อนบอก แม้จะพยายามแค่ไหนแต่ก็ยังแยกแยะความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อฐานิดาไม่ได้สักที

   “ค่อยๆ คิดไปนะมึง กูไปนอนก่อนละ” ตรัยตบไหล่เพื่อน เขาไม่ได้อยากทิ้งมันเอาไว้แต่เพราะคนที่ทำให้มันอกหักโทรเข้ามาพอดีเลยต้องขอแยกตัวออกมาก่อน

   “อือ...” เจ้าของบ้านส่งเสียงประท้วงอืออาเมื่อถูกดึงตัวเข้าไปกกกอด ตรัยก้มจูบริมฝีปากอิ่มแล้วเกาหลังกล่อมจนชายหนุ่มนิ่งไป

   “ฮัลโหล” เขารับสายเพื่อนแล้วเปิดกล้องเพื่อสังเกตสีหน้ามัน

   (มืดมาก เปิดไฟหน่อยได้ไหม)

   “อยากเห็นหน้ากู” ตรัยเปิดเพียงโคมไฟตรงหัวโต๊ะ รุ่งภพขยับใบหน้าหนีแสง เขาจึงเปลี่ยนไปนอนตะแคงข้างแล้วใช้แผ่นหลังบังแสงไว้ “โทรมาทำไมดึกๆ ดื่นๆ ไม่มีมารยาท”

   (กูพยายามจะนอนแล้วแต่มันนอนไม่หลับว่ะ โทษนะมึง)

   “แล้วโทรมาทำไม”

   (ปาอยู่กับมึงใช่ไหม?)

   “อือ แดกเหล้าย้อมใจอยู่”

   (มึงรู้แล้วใช่ไหม คือ...กูไม่ได้อยากจะทำร้ายจิตใจมันนะเว้ย แต่...มันไม่ใช่จริงๆ ว่ะ)

   “มันคงกำลังสับสน มึงให้เวลามันหน่อยก็แล้วกัน แล้วก็อย่าโทรไปอ่อยมันอีกล่ะ เดี๋ยวมันเตลิดอีกแล้วจะยุ่ง” ตรัยเตือนเพื่อน แค่นี้ก็วุ่นวายพอแล้วเพราะความเอาแต่ใจของหญิงสาว “แล้วแฟนมึงเป็นไงมั่ง กลับมาเป็นเด็กดีอีกแล้วเหรอ”

   (ก็เหมือนเดิมแหละ แต่ช่วงนี้อยู่ติดบ้านมากขึ้น ไม่ค่อยเที่ยวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว)

   “งั้นก็ดีแล้ว ถ้ามันยังไม่เลิกนิสัยเจ้าชู้อีกก็เลิกเหอะ อย่าให้อภัยซ้ำซากอีกเลยเพราะมันไม่ใช่ความรักแต่มันคือความโง่”

   (ด่ากูเหี้ยยังไม่เจ็บเท่านี้เลย) คนปลายสายบ่นอุบ ในบรรดาเพื่อนทั้งหมดเธอเชื่อฟังตรัยที่สุดเพราะไม่ค่อยจะตามใจ (แล้วนั่นมึงกอดใครอยู่ ใช่น้องคนนั้นป่ะ)

   ตรัยถือกล้องไปทางชายหนุ่ม กดจูบบนแก้มอิ่มโชว์คนปลายสาย “อย่าเสียงดังนะมึง เดี๋ยวน้องตื่น”

   ฐานิดารีบอุดปาก เกือบหลุดเสียงกรี๊ดออกมากับภาพเมื่อครู่นี้ (แก้มยุ้ยจังเลยอ่ะ หลับไม่รู้เรื่องเหมือนเด็กเลย)

   “คงเหนื่อยน่ะ ปกติหูไวจะตาย”

   (พามาเจอบ้างดิ เดือนหน้าก็ได้ กูจองตั๋วไปเที่ยวที่ภูเก็ตไว้ มาเที่ยวด้วยกันไหม)

   “ดูก่อนว่าว่างเปล่า ถ้าไม่มีอะไรกูวางแล้วนะ ง่วงนอน”

   ความจริงเขายังไม่ง่วงหรอก แต่ไม่อยากให้ใครมาจ้องหน้าคนในอ้อมแขนมากกว่า แม้คนๆ นั้นจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากก็ตามที

   ความน่ารักของรุ่งภพน่ะ...ให้เขามองคนเดียวก็พอแล้ว




TBC



ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ night-nnc

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :pig4:
ผ้าสีแดงนั้น อย่าทำให้น้องเข้าใจผิดน้าาาา

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ความน่ารักของรุ่งภพน่ะ...ให้เขามองคนเดียวก็พอแล้ว

ความน่ารักของรุ่งภพน่ะ...ให้เขามองคนเดียวก็พอแล้ว

บรรทัดนี้ .......................

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
มันก้หวานอะนะแต่มันขุ่นๆมัวๆอยุ่หน่อยๆ ปัทต้องมาเพิ่มความร้าวฉานแน่ๆอ่ะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
บทที่ 36.1



รุ่งภพอ้าปากหาวหวอดขณะโยนตะกร้าใบสุดท้ายขึ้นไปซ้อนกันจนเป็นตั้งสูง หลายวันมานี้บ้านของเขาโดนยึดจนกลายเป็นโรงเหล้าของสิปาไปแล้ว ช่วงนี้ตรัยเลยต้องมานอนที่บ้านเขาแทบทุกวันเพราะมีเพื่อนขี้เหล้าที่กลายร่างเป็นลำยองสาขา 2

“เมื่อไหร่วินจะลงมากระบี่อ่ะ คิดถึง..อยากเจอ”

รุ่งภพอ้าปากหาวอีกครั้งแล้วเอนตัวลงไปนอนบนไม้พาเลท ตรงนี้เป็นมุมอับสายตาจึงไม่น่าเกลียดมากนักเพราะไม่ค่อยมีใครเดินผ่านไปมา

(ยังหาวันลาไม่ได้เลย ช่วงนี้งานจัดเลี้ยงแน่นมาก กว่าจะว่างก็หลังปีใหม่โน่น)

มิ่งขวัญบึนปาก ผลักขาเพื่อนให้เขยิบเข้าไปด้านในเพื่อขอนั่งด้วย “ถ้าความคิดถึงมันฆ่าคนได้ ผมคงตายไปหลายรอบแล้ว”

(อย่ามาทำปากหวาน ช่วงนี้ติดเกมส์แท้ๆ เอาเวลาที่ไหนมาคิดถึงกัน)

รุ่งภพหลุดหัวเราะ ตั้งแต่ใช้โทรศัพท์เครื่องใหม่คล่องมันก็โหลดเกมส์มาจนเต็มเครื่อง ว่างเป็นไม่ได้เหมือนนึกถึงเกมส์ทุกลมหายใจ

“เกมส์มันจะไปสู้คุณได้ยังไง มาหากันหน่อยนะ 2-3 วันก็ยังดี”

(ขอดูความประพฤติก่อนแล้วกัน ถ้าเป็นเด็กดีวินจะลาพักร้อนไปหา)

“ผมก็เป็นเด็กดีทุกวันแหละ”

(งั้นเด็กดีช่วยเลิกบุหรี่ให้หน่อยได้ไหมครับ)

“รู้ได้ไง..ผมไม่เคยสูบให้คุณเห็นเลยนะ”

(มีสายโทรมารายงาน)

“ไอ้มนล่ะสิ..ยัยเด็กขี้ฟ้อง” พอรู้ว่าเขาคุยกับธาวินก็โทรไปรายงานตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ทำตัวอย่างกับสายลับจับบ้านเล็ก เขาแทบกระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลย

(ไม่ต้องไปว่าน้องเลย น้องมันเป็นห่วงหรอกถึงได้โทรมาบอก ถ้าไม่รักตัวเองก็หัดเกรงใจคนอื่นบ้าง ควันจากบุหรี่มันอันตรายนะ ดมเข้าไปมากๆ ได้เป็นมะเร็งตายกันพอดี)

“แต่ผมสูบข้างนอกนะ ไม่ได้สูบในบ้าน”

(มิ่งขวัญ..ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นนะ เรากำลังพูดถึงโทษของบุหรี่ต่างหากล่ะ รู้ไหมว่าการสูบบุหรี่หนึ่งมวนจะทำให้ชีวิตสั้นลงไปตั้งเจ็ดนาที ถ้าสูบหนึ่งซอง..)

“โอเคๆ เลิกก็เลิก ความจริงผมก็ไม่ค่อยได้สูบหรอก ถ้าไม่อยากให้สูบก็น่าจะบอกกันตรงๆ ไม่เห็นต้องโทรไปฟ้องเลย”

(นายมันรั้นไง เคยฟังคนอื่นเขาด้วยเหรอ น้องมันไม่อยากทะเลาะด้วยถึงได้โทรมาปรึกษาคนนอกอย่างฉันไง)

“วินไม่ใช่คนนอกสักหน่อย”

(คนนอกสิ ฉันไม่ใช่คนในครอบครัวนาย)

“พี่สะใภ้ไม่ใช่คนนอกครับ จำไว้เลย”

เสียงโอ้กอ้ากจากเพื่อนสนิทไม่สามารถกระเทาะความหนาบนใบหน้าของมิ่งขวัญได้ แค่นี้ยังเบสิค ถ้าได้คุยกันตามลำพังจะยิ่งกว่านี้อีก..

ขนาดรถอ้อยคว่ำยังไม่หวานเท่านี้เลย

มิ่งขวัญกดตัดสายเพราะธาวินต้องรีบสรุปวาระการประชุมอะไรสักอย่างเมื่อเช้านี้ เขาเดินไปส่งเพื่อนที่รถของเจ้านาย ไม่ได้ถามซอกแซกอะไรนักเพราะพอจะรู้ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองอยู่

“ไอ้รุ่ง ไอ้รุ่ง!” มิ่งขวัญเตะขาเพื่อนให้ลืมตาตื่น ไม่รู้ไปอดหลับอดนอนมาจากไหน หาวได้หาวดีแทบทั้งวัน “นายมาโน่นแล้ว..แต่พาใครมาด้วยไม่รู้ว่ะ”

“ไหน?”

“ทางนี้เว้ย มึงลืมตาก่อนสิวะไอ้ห่านี่” มิ่งขวัญหมุนตัวเพื่อนให้หันมาอีกทาง

“เอ๊ะ?/อ้าว!”

เสียงอุทานจากรุ่งภพและชายที่เดินมากับตรัยดังขึ้นพร้อมกันเมื่อเห็นหน้าตาของอีกฝ่าย ตรัยสาวเท้าเข้าไปหาชายหนุ่มทันที คิ้วขมวดจนเป็นร่องลึก “รู้จักเหรอ?”

“อาภาส”

คนที่รุ่งภพเรียกเป็นชายวัยห้าสิบแต่ยังไม่แก่เท่าไหร่นัก นอกจากผมที่บางลงและริ้วรอยที่ชัดขึ้นก็ไม่มีเปลี่ยนแปลงอีกแม้จะผ่านมาแปดปีแล้วก็ตาม

“ไงหนู..ไม่เจอกันตั้งนาน ทำไมหน้าไม่เปลี่ยนเลยวะ”

“อาภาสรู้จักเขาด้วยเหรอคะ?” ปัทมาที่เดินตามหลังมาถามด้วยความสงสัย แค่คนงานคนเดียวทำไมต้องทำเหมือนมันสำคัญนักก็ไม่รู้

“รู้จักสิหลาน..ลูกชายแม่เลี้ยงของหลานไง”

“อะไรนะ! ไอ้..คนนี้แน่เหรอคะ?”

“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ หน้าพิมพ์เดียวกับคุณกิ่งเขาเลยเห็นไหม” รวิภาสเชยคางของชายหนุ่มขึ้น พอเหลือบไปเห็นแววตาขุ่นมัวจากตรัยก็รีบปล่อยมือลงอย่างรวดเร็ว ทำไมต้องทำเหมือนไม่พอใจด้วยล่ะ?

“สรุปคือรู้จักกันใช่ไหมครับ” ตรัยถามอีกครั้งให้แน่ใจ

“ครับ ไม่ใช่ญาติก็เหมือนใช่ จริงไหม?” ประโยคหลังรวิภาสหันไปพูดกับชายหนุ่ม รุ่งภพทำเพียงแค่ยิ้มเฝื่อน คงเป็นญาติที่ห่างกันมากเพราะหลังจากงานศพพ่อก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย “กระบี่กับสุราษฎ์ไม่ได้ไกลกันเลย ทำไมไม่ไปหาแม่เราบ้างล่ะ ไม่คิดถึงแม่บ้างเหรอ?”

“ผมไม่สะดวกครับ แค่โทรคุยกันก็น่าจะพอแล้ว”

“ถ้าฉันเป็นแม่นายแล้วมาได้ยินนายพูดแบบนี้คงเสียใจแย่ มีลูกก็เหมือนไม่มี” ปัทมาพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยเหมือนไม่ใส่ใจนัก เธอไม่ได้เข้าข้างแม่เลี้ยงแต่พูดไปตามที่รู้สึก

“คุณก็น่าจะรู้ดีว่าทำไมผมถึงไม่อยากไป”

“เรื่องตั้งนานมาแล้วยังเก็บมาคิดอีกเหรอเนี่ย? คนอื่นเขาไปถึงไหนกันแล้วมีแต่นายที่ถอยหลังลงคลอง” ปัทมากระตุกยิ้มตรงข้ามกับรุ่งภพที่กำหมัดแน่น เธอรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใครแต่จดจำไม่ได้เพราะเคยเจอกันเพียงหนเดียว

ครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายในงานเผาศพที่เธอไม่อยากไป

“คุณไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของคนที่ไม่มีใครต้องการหรอก” ครอบครัวของเธอไม่มีใครต้องการเขา นั่นคือเหตุผลที่เขายอมทนอยู่คนเดียวมาจนถึงทุกวันนี้

ต้องห่างจากแม่ ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ต้องแสร้งทำเป็นยิ้มแล้วบอกว่าอยู่ได้เพราะไม่อยากให้แม่ลำบากใจ

แรงบีบตรงฝ่ามือทำให้รุ่งภพหลุดจากอาการใจลอย ตอนแรกเขานึกว่าเป็นตรัยจึงหันกลับไปยิ้มให้ แต่แล้วก็ต้องยิ้มค้างเมื่อหันกลับไปเจอเพื่อนสนิทของตัวเอง

เขาเหลียวมองตรัย อีกฝ่ายจ้องมองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว หากแต่สายตานั้นเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงและสงสัย เหมือนผิดหวังอยู่ลึกๆ

“ผมว่าเรา..ไปหาอะไรทานกันดีกว่าครับ จะได้คุยเรื่องงานกันต่อด้วย” รวิภาสรีบตัดบท ไม่อยากให้เรื่องในอดีตถูกขุดคุ้ยขึ้นมาประจานความใจแคบของครอบครัว “ไปด้วยกันไหมรุ่ง อาจองร้านอาหารเอาไว้แล้ว”

จองเอาไว้แล้ว งั้นก็แสดงว่านัดกันไว้แล้วโดยที่ไม่มีใครนึกถึงเขา

“ไม่ดีมั้งคะอาภาส ตัวเขามีแต่กลิ่นอะไรก็ไม่รู้ มันจะรบกวนลูกค้าคนอื่นเขานะคะ”

รุ่งภพเหลือบมองตรัยเพื่อขอความคิดเห็น แต่อีกฝ่ายกลับยืนเงียบจ้องมองเขาด้วยแววตาที่แปลกไป

ปกติเขาต้องกลับกับตรัยทุกเย็นแต่วันนี้คงไม่ต้องแล้วเพราะดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ต้องการเขา

“ขอบคุณนะครับอาภาส แต่ผมว่า..ผมกลับบ้านดีกว่าครับ” รุ่งภพหันไปหาเพื่อนสนิท “ไปกันเถอะมิ่ง”

จนกระทั่งเขาเดินออกมาแล้วตรัยก็ยังคงยืนเฉย รุ่งภพกลืนความขนขื่นลงคอ เขาทำผิดอะไรเหรอ? ทำไมอีกฝ่ายถึงได้เมินกัน

 

TBC



 

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ทำไม มันอึน อึน มัว มัว อ่่ะ

กลับบ้าน ไปกอดกับตังเก ดีกว่า

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ทำผิดหวัง​อีก​แล้ว​

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ night-nnc

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เป็นไรกันอีกเนี้ยยยย

ออฟไลน์ Frankdar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ไม่เข้าใจอิคุณตรัย แล้วจะไม่ให้น้องนอยด์ได้ไง ตอนอยู่ด้วยกันก็ดีอยู่หรอก พอมีคนอื่นทำไมพฤติกรรมแปลกๆ  ไม่เก็ทมากๆๆ  :z6:
ชะนีปัทมาก็น่ารำคาญ ขี้เหยียดเกิ้น  สงสารน้องดูท่าปมครอบครัวจะไม่ธรรมดาแล้ว

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตรัยโกรธที่น้องไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังแน่เลย :katai1:

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
สนุกดี ได้ความรู้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
   
บทที่ 36.2

   

   เย็นวันนั้นไม่มีใครแวะเวียนมาบ้านเขา แม้แต่สิปาที่เป็นแขกประจำก็ยังเงียบกริบ เขานั่งรอจนกระทั่งห้าทุ่มถึงได้ปิดบ้านนอน ไม่กล้าโทรไปถามเพราะยังรู้สึกไม่มั่นใจกับแววตาที่ได้รับเมื่อเย็นนี้


   หรือตรัยจะไม่พอใจเขาเรื่องแม่ เพราะอีกฝ่ายให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก คงไม่เห็นด้วยที่เขาทำกับแม่แบบนั้น


   รุ่งภพพลิกตัวไปมาเพราะไม่สามารถข่มตาหลับได้ลง หลังจากพ่อเสีย เขาก็อยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอดและไม่เคยพูดถึงชีวิตครอบครัวของตัวเองให้ใครฟังอีกเลย มันไม่ใช่เรื่องเล่าที่น่าฟังอะไรนักและเขาเองก็ไม่อยากจะพูดถึง กับแม่ก็โทรคุยกันบ้างไม่ได้ตัดขาดไปจากชีวิต อาจจะดูเหมือนเหินห่างแต่เขาก็ยังรักและคิดถึงแม่อยู่เสมอ


   เขาควรไปคุยกับตรัยเรื่องแม่ หากอีกฝ่ายขัดเคืองเขาด้วยเรื่องนี้จะได้เปิดอกคุยกันให้เข้าใจ


   คราวนี้รุ่งภพข่มตาหลับอีกครั้ง ไม่มีใครอยากดูไม่ดีในสายตาของคนที่เรารักหรอก เขาไม่ได้จะไปแก้ตัวเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้น เพียงแค่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจในมุมมองของเขาบ้างก็เท่านั้น..


   แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องกระทบใบหน้าจนต้องฝืนลืมตาตื่น รุ่งภพจำไม่ได้ว่าเผลอหลับไปตอนไหนเพราะมีให้เรื่องให้คิดเยอะแยะไปหมด เขาแหงนมองนาฬิกาบนผนังแล้วถอนหายใจโล่งอก เพิ่งจะเจ็ดโมงกว่า แม้จะยังเช้าอยู่แต่ก็ไม่บ่อยนักที่เขาตื่นสาย


   หนุ่มใต้อาบน้ำแต่งตัวอย่างรีบเร่งแล้วไล่ต้อนตังเกออกจากบ้าน วันนี้เขาต้องออกทะเลอีกครั้งหลังจากหยุดยาวเมื่อช่วงเดือนหงาย คราวนี้เขาตั้งใจเอาตังเกไปด้วยเพราะไม่อยากเอาไปฝากใครเลี้ยง อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนคิดถึงหรือเป็นห่วงเหมือนที่ผ่านมา


   “สวัสดีครับ” หลังจากพาตังเกไปส่งบนเรือแล้วเขาก็ตรงมายังออฟฟิศ หนุ่มใต้ชะโงกหน้าเข้าไปทักทายเสมียนก่อน ดูลาดเลาว่าตรัยมาหรือยัง


   “หวัดดีจ้า มีอะไรหรือเปล่าเอ่ย”


   “เอ่อ..คุณตรัยมาหรือยังครับ”


   “มาแล้ว อยู่ในห้องแหนะ” พี่ฝนพยักหน้าไปทางห้องทำงานของเถ้าแก่ “จะคุยกับคุณตรัยเหรอ?” รุ่งภพพยักหน้าขณะดันประตูเปิดแล้วเดินเข้าไปในออฟฟิศ “เคาะประตูแล้วรอให้เขาอนุญาตก่อนนะ เขาไม่ได้อยู่คนเดียว”


   “แล้วอยู่กับใครเหรอครับ..ผมเข้าไปได้ไหม?”


   “ก็คงจะได้ล่ะมั้ง..รอให้เขาอนุญาตก่อนแล้วกันค่อยเข้า คุณตรัยน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่อีกคนนี่สิ..” คนที่อยู่กับตรัยคงไม่ใช่เถ้าแก่ เพราะโดยปกติแล้วสามารถเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปได้เลยโดยไม่ต้องรอคำอนุญาต


   หนุ่มใต้เคาะประตูแล้วรอตามที่พี่ฝนบอก เขาก้มมองปลายเท้าของตัวเองจนกระทั่งได้ยินเสียงอนุญาตจากด้านใน


   รอยยิ้มที่เตรียมมาชะงักค้างเมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ข้างตรัย


   “คุณยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ ผมขอเวลาคุยแค่เดี๋ยวเดียว”


   “เรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว”


   “..ส่วนตัวครับ” รุ่งภพเหลือบมองไปทางหญิงสาว “ขอคุยกันตามลำพังได้ไหม?”


   หญิงสาวแค่นเสียงหัวเราะ “สงสัยจะเป็นความลับระดับโลก นี่ปัดต้องออกไปรอนอกห้องหรือเปล่าคะพี่ตรัย”


   “พี่ขอเวลาเดี๋ยวแล้วกัน”


   “คนเขาคุยเรื่องงานกันอยู่แท้ๆ” เธอถอนหายใจแล้วส่งสายตาตำหนิไปยังรุ่งภพ “ปัดออกไปก็ได้ค่ะ..แต่ขอผ้าถุงบาติกอีกผืนได้ไหมคะ” เธอยิ้มหวานขณะต่อรอง


   “จะเอาอีกเหรอ? พี่ไม่คิดว่าปัดจะชอบใส่อะไรแบบนี้” ตรัยเอ่ยถามด้วยแปลกใจ เขายังเก็บถุงของฝากเอาไว้ในห้องทำงานพ่อ เลยหยิบออกมาให้เธออีกหนึ่งผืน


   “ก็ปัดเห็นพี่ตรัยชอบ เลยอยากลองดูบ้าง”


   “รู้ได้ไงว่าพี่ชอบ”


   “ถ้าไม่ชอบจะซื้อมาเป็นโหลเหรอคะ”


   รุ่งภพรู้สึกเหมือนไร้ตัวตน พวกเขาคงลืมไปแล้วว่ามีเขาอยู่ในห้องนี้ด้วย


   “พี่จะซื้อไปฝากแม่ต่างหาก” ตรัยหยิบผ้าพื้นสีม่วงส่งให้เธอ


   “ขอสีฟ้าได้ไหมคะ ลายดอกลีลาวดีน่ะค่ะ”


   ตรัยชะงักไปชั่วครู่ พอตวัดมองไปทางรุ่งภพก็เห็นชายหนุ่มยืนนิ่งเหมือนคนไร้วิญญาณ “ผืนนี้มีคนใส่ไปแล้ว ปัดเอาผืนใหม่ไปดีกว่า อย่าใส่ของมือสองเลย”


   “ก็ได้ค่ะ” เธอลุกขึ้นยืนเต็มตัวเผยให้เห็นผ้านุ่งบาติกสีร้อนแรงบนเรือนร่าง “เดี๋ยวปัดจะไปหัดนุ่งให้มันสวยกว่านี้ ตอนนี้ยังมือใหม่อยู่”


   “แค่นี้ก็สวยแล้ว”


   หัวใจคนฟังหวั่นไหว คนหนึ่งยิ้มยินดีแต่อีกคนยิ้มขมขื่น


   “ปัดไปแล้วนะคะ”


   “อืม..เสร็จแล้วเดี๋ยวพี่ออกไปเรียก”


   พอได้อยู่กันตามลำพังสองต่อสองก็ต่างฝ่ายต่างเงียบจนรู้สึกอึดอัด ตรัยถอนหายใจขณะจ้องมองชายหนุ่ม เขาดันเก้าอี้ที่ปัทมานั่งเมื่อครู่นี้ให้รุ่งภพนั่งแทน “นั่งลง”


   รุ่งภพยังคงยืนนิ่ง หัวใจหนักอึ้งกับความสนิทสนมที่เห็นเมื่อครู่นี้ คำพูดของปิ๊กลอยเข้ามาในหัวทันที..ที่เห็นพวกเขานั่งกอดนั่งซบกันคงเป็นเรื่องจริงสินะ


   “ถ้าผมเป็นคนนอก คงนึกว่าคุณสองคนเป็นแฟนกัน”


   “พูดอะไรของเธอ? ถ้าจะมาทำตัวงี่เง่าก็ออกไปเถอะ ฉันไม่อยากทะเลาะกับเธอเรื่องนี้”


   “แล้วอยากทะเลาะเรื่องไหนล่ะ เรื่องแม่ของผมเหรอ?”


   “ฉันบอกเหรอว่าอยากทะเลาะ ถ้าไม่คิดจะมาอธิบายอะไรก็กลับไป”


   “ไล่จังเลยนะครับ ผมไปแน่..แต่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”


   “อะไร?”


   “คุณชอบผมเพราะอะไรเหรอ? ถ้าผมไม่ใช่คนอย่างที่คุณหวังไว้..คุณยังจะชอบผมอยู่ไหม?”


   นัยน์ตาคมแฝงแววดุ ตวัดมองคนถามด้วยความรู้สึกไม่พอใจ “เธอกำลังดูถูกความรู้สึกของฉันอยู่นะ คำถามงี่เง่าแบบนี้ตอบไปก็เสียเวลาเปล่า ยังไงเธอก็มีคำตอบให้กับตัวเองอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”


   “..แล้วคำตอบของคุณเป็นอย่างที่ผมคิดหรือเปล่าล่ะ”


   ตรัยเริ่มหงุดหงิดจนหัวเสีย เขายังมีงานที่คั่งค้างอยู่อีกมากจึงตอบปัดชายหนุ่มเพราะอยากไม่ยืดเยื้อให้เสียเวลา “เธอคิดยังไงฉันก็คิดอย่างนั้นแหละ ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ออกไปได้แล้ว ฉันจะทำงาน”


   คนถูกไล่ลำคอขมปร่า รุ่งภพรู้ว่าตัวเองงี่เง่าแต่ไม่เคยคิดเลยว่าจุดจบของเราจะมาถึงอย่างรวดเร็ว “ถ้าคุณไม่ว่าอะไร..ผมขอของมือสองคืนนะครับ”


   ผ้าบาติกสีฟ้าลายดอกลีลาวดีถูกหยิบออกจากถุงอย่างถือวิสาสะ รุ่งภพไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต พอหยิบฉวยออกมาได้ก็เอามากอดไว้แนบอก


   ถ้าหากไม่เห็นค่าก็อย่าเก็บเอาไว้เลย..


   รุ่งภพยิ้มให้กับตัวเองแล้วหันหลังเดินจากมา


   

   TBC


วางเพลิง เดี๋ยวพรุ่งนี้มาดับให้นะคะ  :fire:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ฮื่ออ คุณตรัย!

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
อย่าขุ่นเคืองใจกันเลย :ling1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Frankdar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น้องยังเด็กอยู่มั้ย ใช่ว่าจะเจนโลกแบบตรัยนะ บางเรื่องก็ต้องไม่มั่นใจอยู่แล้ว ทั้งฐานะ ทั้งเพศสภาพ  เวลามีผู้หญิงคนนี้อยู่ ไม่เคยพูดดีๆ ไม่เคยอธิบายให้ชัดเจน  ตอนน้องเฟลเรื่องครอบครัวก็ไม่เคยให้กำลังใจ  หลังๆมาจ้องจะฟัดอย่างเดียว  อิคุณตรัยน่ารำคาญ น้องรุ่งหนีไปปปปป  ไปที่อื่นเลยลูก ให้มันคลั่งตายไปเลย หมั่นไส้

ออฟไลน์ night-nnc

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตรัยไม่สมเหตุสมผลเลย :z6: :z6: :z6:

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
ถึงตอนที่ 20 ละ

ออฟไลน์ แสงเหนือ/Aurora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
บทที่ 37






หงับ


เสียงเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อยดังขึ้นเป็นระยะผสมกับน้ำลายที่หยดติ๋ง รุ่งภพยิ้มใจลอยขณะป้อนเนื้อปลาต้มสุกให้กับตังเก หลายวันมานี้มันกินแต่ปลาเป็นมื้อหลัก ต้มบ้าง ทอดบ้างแล้วแต่จุมโพ่จะทำให้ หลายอาทิตย์มานี้พวกเรากินนอนอยู่บนเรือจนแทบไม่เห็นฝั่ง พอกลับเข้าท่าและขึ้นปลาเสร็จก็ออกเรือต่อ เคยชินกับการมองเห็นทะเลรอบด้านและเส้นขอบฟ้าที่ไม่มีวันสิ้นสุด

“เอาอีกไหม?”

มันแลบลิ้นแผล่บแล้วทำท่าหวัดดีตามที่เขาเคยสอน รุ่งภพแกะเนื้อปลาป้อนมันจนเหลือแต่ก้าง พอมันเห็นว่าเสบียงหมดก็เปิดตูดแน่บไปหาจุมโพ่เป็นรายต่อไป

รักกูจัด ไม่เหลียวหลังเลยสักนิด

“โดนหมาเมินแค่นี้ ต้องร้องไห้ด้วยเหรอวะ”

รุ่งภพรีบเช็ดหยดน้ำที่เอ่อซึมตรงขอบตา รีบหันหน้าออกไปทางทะเลเพื่อหลบสายตาเพื่อน “มึงไม่ไปเฝ้าหม้อให้ไต๋ล่ะ”

“กูลงมาเยี่ยว”

“ข้างบนก็มีห้องน้ำมั้ง”

“กูลงมาหาอะไรแดกด้วย” มิ่งขวัญแบ่งขนมเปี๊ยะให้เพื่อน ช่วงนี้ตรงกับเทศกาลสาร์ทจีนพอดี บนเรือเลยมีแต่ขนมเปี๊ยะ ขนมเข่ง ขนมเทียน “ช่วงนี้มึงมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ทำไมชีวิตดูเศร้าจังวะ”

“ทะเลาะกับคุณตรัยน่ะ” รุ่งภพไม่คิดจะปิดเพื่อน ระหว่างเราไม่มีความลับต่อกันเพราะผ่านช่วงเวลาทุกข์ยากมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก

“น้ำหน้าอย่างมึงเนี่ยนะ? เอาความกล้าที่ไหนไปทะเลาะกับลูกเจ้านายวะ มึงไม่กลัวเขาไล่ออกเหรอ”

“ก็ทะเลาะไปแล้ว จะให้ทำไงล่ะ”

“เจริญพรละเพื่อนกู เกิดเขาไล่มึงออกขึ้นมามึงจะรู้ไหม มึงเล่นเอาตีนเหยียบฝั่งแทบจะนับนาทีได้ พอเรือลำนี้เข้ามึงก็โดดไปออกเรือลำโน้น ไม่เหนื่อยเหรอวะ ถามจริง?”

“เป็นห่วงกูเหรอ”

“เปล่า กูห่วงหมา แดกแต่ปลาจนหน้าจะเป็นก้างอยู่ละ”

“ซึ้งฉิบหายเลยเพื่อน น้ำตากูนี่ไหลไปถึงตีน” รุ่งภพน้ำตาไหลพราก เปรียบเทียบอะไรของมึง

มิ่งขวัญหัวเราะเพื่อน สักพักก็เงียบลงแล้วปรับสีหน้าเป็นจริงจัง “ทะเลาะกันแรงมากเลยเหรอ ปกติมึงเป็นคนใจเย็นมากเลยนะ ขนาดโดนด่าโดนตะคอกมึงยังไม่โกรธเลย”

“ไม่ได้ทะเลาะกันรุนแรงหรอก กูมัน..งี่เง่าไปเองแหละ” งี่เง่าอย่างเขาว่า

“อะไรวะ? ยิ่งฟังก็ยิ่งงง แล้วมึงไปงี่เง่าอะไรใส่เขา”

“มึงรู้ใช่ไหมว่ากูกับเขา..”

“เออ..ก็พอจะรู้อยู่ เดินตามกันต้อยๆ ซะขนาดนั้น ไม่รู้ก็ควายแล้ว”

“เขาคงไม่ตามกูอีกแล้วล่ะ..เพราะเขาเจอคนที่ดีกว่ากูแล้ว” คนที่เหมาะสม คนที่สามารถเปิดเผยได้โดยไม่อายใคร

“กูไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องมันเป็นมายังไง แต่ทุกครั้งที่กูเห็นเขามองมึง..กูเห็นความรักในแววตาเขา”

“มึงคงมองผิดแล้วล่ะมิ่ง”

“ไอ้รุ่ง” มิ่งขวัญจับไหล่เพื่อนแล้วบังคับให้หันมา “มึงตั้งสติแล้วโล๊ะเรื่องทุกอย่างในหัวทิ้งไปให้หมดเลยนะ จะคนใหม่คนเก่าก็ช่างแม่ง มึงอยู่กับเขามาตั้งนาน ใกล้ชิดยิ่งกว่าใครๆ มึงไม่เคยรับรู้ความรู้สึกของเขาเลยเหรอ?”

รุ่งภพก้มหน้า ขอบตาร้อนผ่าว

“มองหน้ากูแล้วพูดออกมา”

“ระ..รู้”

“รู้แล้วจะยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้เหรอ? มึงจะยอมให้คนอื่นมาคาบกระดูกไปเฉยๆ แบบนี้ไม่ได้นะเว้ย เราต้องปกป้องของๆ เราสิวะ”

“กูไม่ใช่หมานะไอ้เหี้ย” รุ่งภพซัดเพื่อนตุ้บตั้บ น้ำตาไหลย้อนเหือดแห้งไปในทันที

“ยิ้มได้แล้วสิมึง”

“...ไม่รู้ว่าเขายังจะต้องการกูอยู่ไหม”

มิ่งขวัญขยี้ผมเพื่อน “มั่นใจในตัวเองหน่อยสิวะ มึงเป็นคนบอกให้กูเดินหน้าเองแท้ๆ ทีตัวเองเสือกเดินถอยหลัง”

“มึงจะให้กูเอาอะไรมามั่นใจวะ ทุกวันนี้ก็เหมือนฝันจะแย่” รุ่งภพส่ายหน้า “กูกับเขามาถึงจุดนี้ได้ยังไงกันนะ” พอย้อนความทรงจำกลับไปก็เห็นแต่ภาพของเราเต็มไปหมด

“มึงก็อย่าคิดว่ามันเป็นฝันสิ ถ้ามองทุกอย่างด้วยความจริงมึงก็จะไม่ตื่นมาเจอกับความฝัน”

นั่นสินะ..

ถ้าเขามองทุกอย่างด้วยความจริงตั้งแต่แรก ก็คงไม่ต้องหวาดระแวงถึงเพียงนี้

เราสองคนนั่งมองเกลียวคลื่นภายใต้ท้องฟ้าสีหม่นในยามเย็น ไม่นานเสียงกริ่งก็ดังขึ้นผ่านลำโพงที่ติดอยู่บนเสา มิ่งขวัญฉุดแขนเขาลุกขึ้นแล้วตบบ่าให้กำลังใจ เราแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ตน ปล่อยอวนผืนยาวลงน้ำเพื่อหาปลามาเติมเรือ

“ไอ้ไหรวะ!”

“ไอ้ไหรล่ะ?”

คนอุทานชี้ไปยังเงาขนาดใหญ่ในวงอวน “แลถินั่น ตัวใญ๋ทั่ม[1] ใช่ไอ้หลามม้าย”

เสียงฮือฮาดังขึ้น ไม่มีใครกล้าโดดลงไปในวงอวนเพื่อเอาเชือกขึ้นมาโยงกับลำเรือ รุ่งภพเดินแหวกฝูงคนเข้าไปยังจุดที่ใกล้ที่สุด ทันเห็นเงาร่างใหญ่ยักษ์สะบัดครีบเหนือผิวน้ำ

“ฉลามวาฬน่ะ คงว่ายตามฝูงปลามาแล้วออกไปไม่ทัน” ลำตัวสีน้ำเงินจุดกำลังว่ายเบียดผืนอวนอยู่ ส่วนหัวที่โตเกินขนาดส่ายไปมาเพื่อหาทางออกจากกรงที่กักขัง

“ทำไมตัวมันเป็นสีน้ำเงินจุดอ่ะชิ้ว ไม่เห็นเหมือนในหนังเลย”

“เอ็งมาจากไหนวะ ไม่รู้จักฉลามวาฬเหรอ” รุ่งภพถามคนงานใหม่

“ผมมาจากสุรินทร์ครับ”

หนุ่มใต้ร้องอ๋อ คนไม่รู้ไม่ใช่คนโง่ เพียงแต่เขาอาจจะไม่เคยพบเห็นสิ่งเหล่านั้นมาก่อนในชีวิต “จะอธิบายยังไงดีล่ะ เอาเป็นว่าฉลามวาฬไม่ดุร้ายเหมือนฉลามในหนังก็แล้วกัน มันตัวใหญ่ก็จริงแต่ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อหรอกนะ อาหารหลักของมันคือแพลงก์ตอน รู้จักแพลงก์ตอนใช่ไหม?”

“รู้จักครับ ไอ้ที่มันลอยเป็นแพสีเขียวๆ ในน้ำบ่”

“นั่นแหละ ฉลามวาฬจะกินอาหารแบบกรองกิน นอกจากแพลงก์ตอนแล้วก็มีพวกเคยกับไข่ปลาที่ลอยมาตามน้ำ เห็นตัวใหญ่แบบนี้แต่รักสงบนะ ไม่เป็นอันตรายกับใคร”

“งั้นค่อยโล่งใจหน่อยครับ นึกว่าจะโดนเขมือบเหมือนในหนังซะแล้ว”

“ถ้าหายกลัวแล้วก็โดดลงไป”

“ห๊ะ!” หนุ่มสุรินท์อ้าปากค้าง มองฉลามวาฬขนาด 5-6 เมตรสลับกับชิ้วเรือด้วยสีหน้าซีดเผือด “ละ ลงไปทำหยัง”

“ไปช่วยมันน่ะสิถามได้” รุ่งภพถอดรองเท้าบูทออกก่อนจะตะโกนบอกคนงานเก่าอีก 4-5 คนให้โดดลงไปช่วยกัน

“ไอ้รุ่ง” เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียก เห็นเพื่อนกำลังไต่บันไดเก๋งลงมาหาพร้อมกับวิทยุมดดำเครื่องหนึ่ง “พ่อบอกให้ลงไปช่วยกันดันอวน”

“รู้แล้ว กำลังจะลงไป” รุ่งภพบอกเพื่อน “มึงไปเอาเชือกมาคล้องมันทีดิ พอพวกกูดันอวนลง มึงก็บังคับให้มันว่ายมาทางกู”

“เออได้ เฮ้ย! หยุดดึงอวนก่อนเว้ย” รับคำเพื่อนแล้วหันไปล้งเล้งใส่คนคุมเครน

รุ่งภพโดดลงไปในวงอวนอย่างไม่ลังเล ปกติแล้วฉลามวาฬไม่ใช่สัตว์ดุร้าย มันไม่ค่อยสนใจมนุษย์เท่าไหร่นัก จึงไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไรนอกจากขนาดที่ใหญ่โต

“มันจะมุดลงอย่างเดียวเลยพี่ ไม่ว่ายมาทางเราเลย”

“มิ่ง!” รุ่งภพตะโกนเรียกเพื่อน “จับมันได้หรือยัง”

“เดี๋ยวๆ!” มิ่งขวัญเหวี่ยงบ่วงเชือกลงน้ำอีกครั้ง คราวนี้คล้องส่วนหางเอาไว้ได้จึงรีบตะโกนบอกคนในน้ำทันที “ได้แล้ว เอาเลย!”

ชิ้วหนุ่มยกตัวขึ้นดันขอบอวนลงไปใต้น้ำจนเกิดช่องพอให้มันว่ายข้าม เขาเห็นฉลามวาฬสะบัดตัวตามแรงบังคับตรงปลายหางแล้วว่ายชนอวนเพื่อหาทางออก ใช้เวลาไม่นานสามารถหลุดพ้นออกได้พร้อมกับปลาอีกหลายตัวที่ว่ายตามกันมา

“เอ้าเฮ!”

“ตัดเชือกออกเร็วๆ เข้า” บ่วงเชือกที่คล้องอยู่ตรงปลายหางถูกตัดออก รุ่งภพคว้าเศษเอาไว้ได้ทันหลังจากถูกฉลามวาฬสะบัดหางใส่จนตัวเกือบปลิว

หนุ่มใต้ลูบน้ำออกจากใบหน้าแล้วตีแขนเพื่อพยุงตัว ฉลามวาฬยังคงว่ายเอื่อยเฉื่อยตามนิสัย มันลอยตัวอยู่พักหนึ่งก่อนจะดำดิ่งสู่ห้วงลึก รุ่งภพปล่อยขอบอวนให้ลอยขึ้นเพื่อสกัดฝูงปลาที่ว่ายหนีออกไปตอนที่พวกเขาปล่อยฉลามวาฬออก แม้จะเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

เสียงเห่าจากบนเรือเรียกความสนใจให้หันมอง รุ่งภพอมยิ้มเมื่อเห็นลำตัวอ้อนป้อมตะกายอยู่บนกราบเรือ พอว่ายเข้าไปใกล้มันก็ส่งเสียงหงุงหงิ๋งเหมือนบ่นอะไรสักอย่าง ใบหน้ายับย่นเหมือนคนขมวดคิ้วเพราะความเครียด ทีอย่างนี้ทำมาเป็นห่วงเป็นใยเขา พอเขาอยากกอดอยากเล่นด้วยก็เมินกัน

นิสัยไม่ดีจริงๆ เลย..











 

แพโชคชัยยังคงวุ่นวายเหมือนทุกวัน   ทั้งเรือเข้าเรือออกและพ่อค้าแม่ค้าที่มารอเปียปลากันตั้งแต่เช้า มิ่งขวัญชะเง้อมองเพื่อนด้วยความเป็นห่วง พอไม่เห็นมันโดดขึ้นเรือลำไหนอีกก็ถอนหายใจยาว

โล่งอกไปที หากเป็นหลายอาทิตย์ก่อนมันคงเร่งขึ้นปลาจนมือหงิก พอชั่งน้ำหนักเสร็จก็แล่นไปขึ้นเรืออีกลำ ทำตัวเหมือนคนไม่มีบ้านให้กลับเลยยึดเรือเป็นบ้านแทน

“ขอโทษนะครับ..ไม่ทราบว่าตอนนี้มีตำแหน่งงานไหนว่างบ้างไหมครับ ผมอยากจะมาสมัครงาน”

“จะมาสมัครงานก็ไปติดต่อที่ออฟฟิศสิวะ พวกกูไม่ใช่คนรับสมัครนะเฮ้ย จะรู้ได้ไงวะว่าตำแหน่งไหนว่างไม่ว่าง!” เพราะเป็นคนปากไวเลยพูดไปตามที่ใจคิด พอหันกลับไปมองคนถามเท่านั้นแหละ แทบจะยกมือขึ้นมาตบปากตัวเองสักพันครั้ง “วิน!”

“ถามดีๆ ทำไมต้องใส่อารมณ์ด้วยล่ะ”

“ผมขอโทษ ผมไม่นึกว่าเป็นคุณ”

ธาวินทำหน้างอง้ำ “อะไรกัน จำเสียงวินไม่ได้เหรอ? คุยกันเกือบทุกวันแท้ๆ มันน่าน้อยใจจริงๆ”

“ไม่งอนดิ ไม่ใช่จำไม่ได้แต่ผมไม่นึกว่าเป็นคุณต่างหาก แล้วจะมาทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะ? ผมจะได้ไปรับ”

“เซอร์ไพรส์ไง..ดีใจป่ะ”

“มาก” มิ่งขวัญอยากโผเข้าไปกอดคนตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ แต่อีกใจนึงก็รู้สึกเขินอยู่นิดหน่อยเพราะไม่ได้เจอหน้ากันมานาน “แล้วที่บอกว่าจะมาสมัครงานน่ะ จริงเหรอ?”

“มีตำแหน่งไหนว่างป่ะล่ะ”

“เต็มหมดแล้ว..เหลือแต่หัวใจผมอ่ะที่ยังว่าง ไม่ต้องสมัครแค่เอาความรักมาแลกกันก็พอ”

ธาวินขำคิกกับมุกเสี่ยวของชายหนุ่ม “ห้าบาทสิบบาทก็เอาเนอะ”

“คุณจะได้ใจอ่อนเร็วๆ ไง”

“จะให้อ่อนไปถึงไหนล่ะ แค่นี้ก็เหลวเป็นน้ำแล้ว”

“ดี ผมจะได้ยกดื่มเลย ไม่ต้องเคี้ยว”

“ประสาท คนนะไม่ใช่ของกิน” ธาวินรู้ความหมายแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้

“เย็นนี้ไปกินข้าวที่บ้านผมนะ”

หนุ่มแว่นพยักหน้าแล้วยิ้มให้ พออีกฝ่ายเลิกงานก็เดินตามไปขึ้นรถ เขามาถึงกระบี่หลายวันแล้วแต่พักอยู่ที่โรงแรมในตัวเมือง คราวนี้ไม่ได้ไปพักที่บ้านของมิ่งขวัญเหมือนแต่ก่อนเพราะมาโดยไม่ได้บอกใครเอาไว้ล่วงหน้า อีกอย่างเขาไม่ได้สอนหนังสือให้กับมนชนกแล้ว จะให้ไปขออยู่ด้วยเหมือนแต่ก่อนก็รู้สึกเกรงใจ

“เดี๋ยวไปส่งไอ้รุ่งก่อนนะ”

“อื้ม แล้ว..ไหนรุ่งล่ะ?”

“มันบอกจะไปหาคุณตรัยก่อน เดี๋ยวคงมา..มั้ง”

“อย่ามั้งสิ”

นั่งรอไม่นานก็เห็นร่างซูบเซียวของรุ่งภพเดินเข้ามาพร้อมกับหมาตัวอ้วน ธาวินขมวคิ้วเมื่อเห็นรูปร่างของหมากับเจ้าของที่ไม่บาลานซ์กันเอาซะเลย คนหนึ่งผอมเพรียวแต่อีกตัวกลับอ้วนซะจนตุ้บตั้บ

“ไปทำอะไรมาเนี่ย ซูบเชียว”

รุ่งภพส่งยิ้มซีดเซียวไปให้แล้วส่ายหน้าตอบ

“ได้คุยกับนายหรือยัง?”

ส่ายหน้าอีกครั้งแววตาผิดหวัง “พี่ฝนบอกว่าคุณตรัยไปภูเก็ต ไม่รู้จะกลับวันไหน” ไม่รู้เหมือนกันว่าไปทำไม ไปคนเดียวหรือว่าไปกับใคร?

พอคิดถึงตรงนี้หัวใจของรุ่งภพก็เหมือนจะเต้นช้าลงจนไม่รู้สึก ความมั่นใจที่สู้อุตส่าห์รวบรวมมาถดถอยจนเหลือแต่ความหวาดหวั่น

เราจะจบกันแบบนี้จริงๆ น่ะเหรอ?

ถ้าหากตอนนั้นเขาใจเย็นขึ้นอีกนิด ไม่ไปหาเรื่องตรัยก่อนก็อาจจะได้คุยกันดีๆ แต่หัวใจมันไม่มีเหตุผล เขาไม่อาจควบคุมได้แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าไม่ควร

“งั้นก็กลับไปพักก่อน มึงไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเดือนแล้ว ป่านนี้บ้านร้างไปแล้วมั้ง” มิ่งขวัญกระทืบคันสตาร์ทแล้วเร่งเครื่อง ใช้เวลาอยู่นานเพราะติดๆ ดับๆ จนธาวินท้อใจ

“จะรอดไหมเนี่ย?”

“เหอะน่า คุณขึ้นมาก่อน เดี๋ยวให้ไอ้รุ่งนั่งท้าย” ธาวินกางขานั่งคร่อมบนเบาะโดยไม่อิดออด พยายามเบียดเข้าไปจนชิดกับคนขับเพื่อเหลือที่ว่างให้กับรุ่งภพ “นั่งได้ไหมรุ่ง”

“เอ่อ..มึงไปเถอะมิ่ง เดี๋ยวกูกลับกับไอ้ปิ๊กก็ได้” รุ่งภพมองหมาตัวเองสลับกับที่ว่างบนเบาะรถ อัดสามคนน่ะพออยู่แล้วแต่คงไม่เหลือที่ให้ตังเกนั่ง

มิ่งขวัญมองตามสายตาเพื่อน ตบหน้าผากตัวเองดังแป๊ะแล้วโอดครวญออกมา “ฉิบหาย กูลืมไอ้ตังเกไปเลย ถ้าตัวเล็กๆ ก็หิ้วไปได้อยู่หรอก นี่อะไร? อ้วนอย่างกับหมู”

เหมือนมันจะรู้ว่าโดนว่า จากที่นอนแทะขาตัวเองอยู่เงียบๆ ก็โดดผลุงขึ้นมาเห่าเถียง

“มึงจะไปส่งคุณวินก็ไปเถอะ” รุ่งภพไล่เพื่อน เดี๋ยวเขาต้องกลับเข้าไปในแพปลาอีกรอบหนึ่งเพื่อขอติดรถรุ่นน้องไปลงตรงปากทาง

“คงไม่ได้ไปส่งหรอก เดี๋ยวจะพากลับไปนอนบ้าน” มิ่งขวัญกลั้วหัวเราะแม้จะโดนทุบจนเจ็บหลัง รุ่งภพอมยิ้มเมื่อเห็นเพื่อนมีความสุข ไม่คิดว่ามันจะอดทนและมั่นคงกับธาวินขนาดนี้ แม้ระยะทางจะเป็นอุปสรรคแต่ความรักไม่จืดจางลงไปเลย

“พี่ไปแล้วนะ ถ้าถึงบ้านแล้วก็ไลน์มาบอกด้วย พี่จะได้หายห่วง” รุ่งภพเป็นอีกคนที่ธาวินเผื่อแผ่ความห่วงใยไปให้ ด้วยนิสัยอ่อนน้อมและร่าเริงของชายหนุ่มทำให้เขาเอ็นดูได้ไม่ยาก แม้วันนี้จะดูหม่นหมองไปบ้างแต่ก็ยังอุตส่าห์ยิ้มให้ตรงข้ามกับแววตาที่เศร้าซึม

เส้นทางไปบ้านของมิ่งขวัญยังคงเปลี่ยวร้างเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ธาวินไม่ได้รู้สึกกลัวเหมือนแต่ก่อนแล้วเพราะช่วงที่อาศัยอยู่กับมิ่งขวัญเข้าๆ ออกๆ จนคุ้นชิน เขาจำได้แม้กระทั่งกระชังปลาที่ปักอยู่ริมคลอง ต้นกล้วยที่ขึ้นเบียดกันจนแน่นขนัดและบ้านเรือนที่ปลูกห่างกันเป็นโยชน์

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนคุณคงจิกเอวผมแน่นเวลาขับผ่านทางนี้”

ธาวินหลุดยิ้ม จ้องมองหลังคอของคนขับที่ถูกแดดเผาจนเป็นรอยไหม้ “จำได้ด้วยเหรอ”

“อะไรที่เกี่ยวกับคุณ ผมจำได้หมดแหละ”

“ตอนนั้นฉันไม่ชอบนายเลย คนอะไร..โคตรกวนตีน”

“ใจร้ายจัง..แต่ผมชอบวินนะ ถ้าไม่ชอบคงไม่เรียกร้องความสนใจแบบนั้นหรอก”

“ว้อท? นั่นเรียกร้องความสนใจเหรอ ไอ้เราก็นึกว่าหาเรื่อง”

“หาเรื่องให้วินสนใจไง ตอนนั้นวินชอบทำหน้าหยิ่งใส่ผมอ่ะ ผมไม่รู้จะเข้าหายังไงก็เลยทำตัวแบบนั้น”

“อ๋อเหรอ เกือบโดนเกลียดแล้วไหมล่ะ”

“แค่เกือบใช่ไหม สุดท้ายก็เปลี่ยนมาเป็นรักแทน”

“พูดเองเออเองก็ได้เนอะคนเรา” ธาวินยิ้มขำ ชายหนุ่มสอดแขนกอดรัดบั้นเอวหนาแล้วเกยคางเอาไว้บนบ่าแข็ง

“ก็ไม่อยากจะพูดเองเออเองหรอก ขืนรอให้คุณพูดผมคงแก่ตายพอดี”



“รักนะครับ”



มิ่งขวัญนิ่งงัน นึกว่าตัวเองหูฝาดจนต้องถามซ้ำให้แน่ใจ “เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ?”

“วินพูดว่า..วินก็รักมิ่งเหมือนกันครับ”

คนฟังหัวใจเต้นรัว ถึงกับขับรถเป๋ไม่เป็นทางเพราะดีใจจนตาพร่า หากแต่ดีใจได้ไม่นานนักก็โดนทุบจนไหล่ทรุด คนที่บอกว่ารักกันเมื่อกี้เปลี่ยนโหมดเป็นนางมารร้ายฉับพลัน ด่าเขาไฟแล่บเพราะเกือบกลิ้งตกลงไปจากแรงเหวี่ยงเมื่อครู่นี้

มิ่งขวัญปาดเหงื่อ อนาคตของเขาคงไม่พ้นถูกซ้อมเพราะกลัวเมีย



TBC



[1] ใญ๋ทั่ม ภาษาใต้ หมายถึง ใหญ่โต มโหฬาร





 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด