ตอนพิเศษ
Once in memory
จำ...ตลอดไป
ฟอร์จูนเนอร์สีขาวจอดเทียบตรงปากทางเข้าบ้านของชายหนุ่มอย่างนุ่มนวล เจ้าของรถเคาะนิ้วกับพวงมาลัยด้วยอาการครุ่นคิด ไม่ได้ฟังเสียงเรียกของผู้ร่วมทาง รู้ตัวอีกทีก็โดนเขย่าแขนอย่างกล้าๆ กลัวๆ ดวงตากลมเสมองประตูรถ เขาเข้าใจความหมายแต่หัวคิ้วกลับเลิกขึ้น แสร้งทำเหมือนว่าไม่เข้าใจแทน
"ปะ...ปลดล็อกประตูรถให้หน่อยครับ"
ตรัยถอนหายใจหนักกับอาการกลัวเกรงของชายหนุ่ม ไม่น่าพาเข้าไปในห้องสอบสวนด้วยเลย
"ช่วยทำตัวเหมือนตอนปกติหน่อยได้ไหม ฉันไม่ใช่เจ้าหนี้เธอนะ จะกลัวอะไรนักหนา"
“ก็ผมไม่ชินนี่นา คุณดู...”
“ดูยังไง?” หนุ่มใต้เหลือบมองเขา ไม่กล้าพูดออกมา “พูดมาเถอะ”
“ละ...เลือดเย็น ไม่เห็นใจใคร”
“ทำไมฉันต้องเห็นใจคนที่ร้ายกับฉันด้วยล่ะ” รุ่งภพเม้มปาก ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้ “เธอน่ะใจอ่อนเกินไป ถึงได้โดนเอารัดเอาเปรียบแบบนี้ไง”
“ผมน่ะเหรอโดนเอารัดเอาเปรียบ?”
“เกือบจะเป็นแพะรับบาปอยู่แล้วยังไม่รู้ตัวอีก” คนโดนแซวหน้ามุ่ย จับประตูแล้วส่งสายตาบอกอีกครั้ง ตรัยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ โยนแพ็คเกจห้องพักที่ได้มาจากเส้นสายในโรงแรมใส่ตักของชายหนุ่ม “ไปเลือกมา ฉันจะพาเธอไปละลายพฤติกรรม”
“ละลายทำไมอ่ะครับ ผมพฤติกรรมไม่ดีเหรอ?”
ตรัยถึงกับหลุดขำกับใบหน้างุนงงของชายหนุ่ม “ไม่ใช่แบบนั้น ฉันอยากให้เราทำความคุ้นเคยกันเอาไว้ อีกหน่อยฉันคงจะย้ายมาอยู่ที่นี่ถาวร เธอจะได้ชินเวลาอยู่กับฉัน”
“ต้องชินด้วยเหรอครับ เราคงไม่ได้อยู่ติดกันตลอด 24 ชั่วโมงหรอก”
“ก็ไม่แน่”
“แล้ว…คุณอยากไปไหนล่ะครับ” แพ็คเกจห้องพักมีให้เลือกมากมาย ทั้งแบบรีสอร์ท แบบโรงแรมและวิลล่าส่วนตัว “ไปอ่าวนางไหม? แถวนั้นมีร้านอาหารกับไนท์คลับเยอะ คุณน่าจะชอบ"
"ฉันไม่ใช่สายปาร์ตี้ ขอธรรมชาติ สงบๆ"
"ป่าช้าไหมครับ"
"หึ...เล่นด้วยแล้วลามปาม เดี๋ยวปั๊ดฆ่าหมกป่าเลย"
"ขอโทษครับ" หน้าจ๋อยสนิท ส่งสายตาสำนึกผิดเรียกร้องความเห็นใจ
ตรัยพยักหน้าไม่ถือโทษ กำชับอีกครั้งก่อนจะปลดล็อกประตูรถให้กับชายหนุ่ม
“เลือกให้ดีล่ะ”
พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะขับรถแล่นออกไป
*********************************
แผงอาหารริมทางเท้าคือที่ฝากท้องมือเช้าก่อนออกเดินทาง เด็กใต้เจ้าถิ่นพาหนุ่มเมืองกรุงเดินลัดตรอกซอกซอยอย่างคล่องแคล่วแล้วพาไปโผล่อีกฟากของถนนซึ่งอยู่ตรงข้ามกับท่าเรือ ชายหนุ่มจัดแจงเลือกโต๊ะแล้วร่ายรายการอาหารอันน้อยนิดให้ตรัยฟังด้วยน้ำเสียงแจ่มใส
พอท้องอิ่มเราสองคนก็หิ้วกระเป๋าขึ้นไปสะพานไม้เล็กๆ สองแผ่นทอดยาวไปยังตัวเรือรูปทรงแปลกตา ภายในเรือค่อนข้างกว้างขวาง มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งต่างจากชั้นสองที่มีแต่เพิงผ้าใบเอาไว้กันแดด ที่นั่งตามอัธยาสัย จะนั่งจะนอนก็เลือกเอาตามใจชอบ
"นี่เรืออะไรเหรอ?" ตรัยถามหลังจากปีนตามเด็กใต้ขึ้นมาบนชั้นสอง เขาเลื่อนกระเป๋าเสื้อผ้าไปไว้มุมหนึ่งแล้วขยับมานั่งใกล้กับชายหนุ่มใต้หลังคาผ้าใบที่กางไว้
เรือที่พวกเราโดยสารมาเป็นเรือสองชั้นทาสีฟ้าสด ชั้นล่างมีที่นั่งเป็นรูปตัวยู ส่วนชั้นบนเป็นพื้นเรียบๆ มีเพิงหลังคาผ้าใบกางคล่อม พอบังแดดบังฝนได้
"เรือหัวตัดครับ เรือแบบนี้บรรทุกของชิ้นใหญ่ๆ ได้เพราะขนย้ายง่ายกว่าเรือแบบอื่น ตอนขึ้นมาคุณเห็นมอ’ไซต์ไหมครับ นั่นเขาก็รับขนเหมือนกัน คันละ 50 บาทมั้งถ้าผมจำไม่ผิด ถ้าใครไม่อยากเสียค่าเช่าบนเกาะก็ขนมอ'ไซต์มาขับเองได้ครับ" รุ่งภพต้องตะเบงเสียงเล็กน้อยเพื่อแข่งกับเสียงลมพัด ตรัยเลยขยับเข้าไปใกล้อีกนิดจนรอยกระเล็กๆ บนผิวแก้ม
"บนเกาะมีมอ'ไซต์ให้เช่าด้วยเหรอ?"
"มีครับ...แต่ราคาสูงนิดนึง" รุ่งภพหยีตาสู้แสงแดด ลดพัดโกรกตลอดตั้งแต่เรือออก ทำให้เส้นผมของชายหนุ่มพันกันยุ่ง ยิ่งเสยยิ่งทัดก็ยิ่งกระเซอะกระเซิง
"มียางสักเส้นไหม เอามามัดผมก่อนสิ" เผลอเอื้อมมือไปช่วยสางให้ สัมผัสได้ถึงความแข็งกระด้างและเหนียวเหนอะพอสมควร "สระผมบ้างไหมเนี่ย?"
เขาแค่เอ่ยแซวเล่นๆ เท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอาย
"สระครับแต่ไม่บ่อย" พูดจบก็เบี่ยงหัวหนี ไม่ยอมให้เขาจับเล่นเหมือนเมื่อครู่นี้อีก
"เหรอ...แล้วได้ใช้ครีมนวดบ้างเปล่า"
ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจหนัก "มันเปลืองครับ ผมเป็นผู้ชาย เอาแค่สะอาดก็พอแล้วครับ"
ตรัยยิ้มกับน้ำเสียงตึงๆ ของชายหนุ่ม เขาไม่พูดเรื่องนี้อีก ปล่อยให้ความเงียบเข้าแทนที่แล้วเหม่อมองไปยังป่าโกงกางเขียวขจีสุดโค้งน้ำ
เรือแล่นไปอย่างช้าๆ ไม่เร่งรีบ ทันเห็นชาวบ้านละแวกนี้คัดท้ายเรือหางยาวออกหาปลาอยู่เป็นระยะ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษก็มาถึงท่าเรือมูตูประจำเกาะ
บรรยากาศบนท่าเทียบเรือเงียบสงบกว่าที่คิดเอาไว้ เราไม่ต้องนั่งรถสองแถวเข้าไปหาที่พักเพราะคนของรีสอร์ทมารอรับอยู่แล้ว ถนนเส้นหลักบนเกาะส่วนใหญ่เป็นถนนคอนกรีต แต่ช่วงที่แยกตัวเข้าไปยังรีสอร์ทจะเป็นทางลูกรังพื้นผิวขรุขระ มีรอยล้อรถตัดผ่านสวนยางเข้าไปสู่ที่พักซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใน
ตรัยหันมองป้ายรีสอร์ตเก่าคร่ำที่ติดอยู่หน้าทางเข้า สถานที่ที่รุ่งภพพามาเป็นเกาะแห่งหนึ่งที่เงียบสงบสมใจ
เกาะจำงั้นเหรอ...
ขอให้มีแต่ความทรงจำดีๆ ก็แล้วกัน
*************************************
แพ็คเกจห้องพักที่รุ่งภพเลือกเป็นบ้านไม้หลังเดี่ยวฝังตัวอยู่บนไหล่เขา บ้านทุกหลังหันหน้าออกสู่ทะเล ไล่ระดับลงมาจนถึงชายหาด วัสดุที่ใช้สร้างเป็นไม้ไผ่ผสมกับไม้เนื้อแข็ง ทิวทัศน์โดยรอบค่อนข้างร่มรื่นเพราะได้เงาจากต้นไม้ใหญ่ขึ้นแซมสลับอยู่บนภูเขา
"อากาศดี"
"เงียบไหมครับ?"
"ค่อนข้าง..." เขาหรี่ตาขณะมองฝ่าเปลวแดดไปยังชายหาดเบื้องหน้า "คนไม่เยอะเท่าไหร่ ต้องรอดูตอนเย็นอีกที"
รุ่งภพยัดกระเป๋าใบเล็กเข้าตู้ข้างเตียง แพ็คเกจห้องพักที่ตรัยให้มามีเพียงห้องเดียว จึงต้องนอนด้วยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ออกไปข้างนอกกันเถอะ”
"ไปไหนครับ"
"เดินเล่นรอบๆ ก่อน...แถวนี้มีร้านมอเตอร์ไซต์ให้เช่าไหม?"
รุ่งภพสั่นหน้า ถึงจะเคยมาเมื่อหลายปีก่อนแต่ก็จำไม่ได้แล้วว่าร้านอยู่ตรงไหน "เดี๋ยวผมถามทางรีสอร์ทให้ครับ เผื่อเขามีให้เราเช่า"
ทางรีสอร์ทไม่มีมอเตอร์ไซค์ให้เช่าแต่ป้าแม่บ้านใจดีให้ยืมใช้ชั่วคราวก่อนเพราะเห็นว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน รุ่งภพยิ้มตาหยี รับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะขับด้วยความระมัดระวังและจะนำมาส่งคืนก่อนป้าเลิกงาน ชายหนุ่มสตาร์ทเครื่องแล้วเอ่ยเรียกให้ตรัยซ้อนท้าย รถมอเตอร์ไซค์ยวบลงเล็กน้อยเมื่อน้ำหนักเทไปทางด้านหลัง ฝ่ามืออบอุ่นเกาะเอวคนขับกันตก รุ่งภพรู้สึกใจหวิวแปลกๆ เมื่อได้ยินเสียงกระซิบจากคนด้านหลัง
"โอเค...ออกรถได้"
ตรัยตบสะโพกของชายหนุ่มเบาๆ เป็นเชิงให้เคลื่อนรถออกจากรีสอร์ท เราทิ้งสวนยางไว้ด้านหลังแล้วมุ่งหน้าไปตามถนนเลียบชายหาด น้ำทะเลสีครามเบื้องหน้าสะท้อนแสงแดดจนเป็นประกายระยิบระยับ พอพ้นบริเวณของรีสอร์ทไปแล้วก็เห็นแต่ผืนทะเลเวิ้งว้างว่างเปล่า แทบจะมองหาผู้คนไม่เจอกันเลยทีเดียว
หนุ่มใต้ขับรถพาคนซ้อนตระเวนไปทั่วจนถึงหมู่บ้านชาวเลละแวกหนึ่ง บริเวณนี้มีเพิงร้านค้าขายอาหารและของที่ระลึกให้เห็นอยู่เป็นระยะ ตรัยเลยสั่งให้หยุดรถแล้วฝากท้องมื้อกลางวันกับร้านอาหารใต้แห่งหนึ่งใต้ร่มไม้ใหญ่ เจ้าของร้านเป็นหญิงมุสลิมใจดีและทำข้าวหมกไก่อร่อยมาก กลิ่นหอมเจียวพัดโชยเข้าจมูก น่องและอกไก่เนื้อนุ่มถูกราดด้วยน้ำจิ้มสีเขียวหอมกลิ่นสะระแหน่ รสชาติออกเปรี้ยวอมหวานจนรุ่งถพต้องเอ่ยปากขอเพิ่มอีกหนึ่งจาน
"เอิ้ก...อุ๊บ! ขอโทษครับ!" เด็กใต้ยกมือปิดปากตาโต เสียงเรอเมื่อกี้ไม่เบาเลย ตัวก็แค่นี้แต่ยัดทั้งข้าวทั้งไก่ลงไปได้ยังไงตั้งสองจาน
"กะจะอิ่มถึงเย็นนี้เลยไหม"
"โหย~ เดินห้านาทีก็ย่อยแล้วครับ โอ๊ะ! ตรงโน้นมีร้านกาแฟด้วย" ชี้ไปยังร้านติดถนนฝั่งตรงข้าม ควันจากหม้อกาแฟพวยพุ่ง เห็นลุงคนขายกำลังเขย่าถุงกาแฟลวกน้ำร้อนอย่างมีชั้นเชิง ไม่รีบเร่งเพราะลูกค้าไม่ค่อยมี
"ยังจะกินอีกเหรอ?"
"แวะสักหน่อยสิครับ...ไหนๆ ก็มาแล้ว ไปกันๆ"
ตามนั้น เขาจะปฏิเสธอะไรได้
กาแฟชงหอมกลิ่นนมสดค่อนข้างหวานมันเกินไปสำหรับเขา รู้สึกคิดผิดที่ให้รุ่งภพเป็นคนสั่ง เด็กใต้ติดรสหวานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เลยจัดเต็มทั้งนมข้นและนมสดจนกาแฟสีซีดไปเลยทีเดียว
"ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะครับ? ไม่อร่อยเหรอ"
"ชิมเอาเอง" ยื่นแก้วกาแฟให้ชายหนุ่ม ตอนแรกส่ายหน้าแต่เขาบังคับด้วยสายตา เลยยอมชิมด้วยการเสียบหลอดของตัวเองลงไปในแก้วเขา
รังเกียจเขาหรือกลัวเขารังเกียจ?
"อร่อยไหมล่ะ"
"ก็อร่อยดีนี่ครับ...หวานมัน" ดูดซ้ำอีกปื้ดใหญ่ ลืมหมดแล้วความเกรงใจ
"ถ้าอร่อยก็แลกกัน"
"เฮ้ย! ได้ไงล่ะครับ" ร้องเสียงหลงเมื่อโดนดึงแก้วโอเลี้ยงไปจากมือ
"ทำไม? หวงของกินเหรอ"
"มะ...ไม่ใช่ คือ...ก็ได้ครับ" พอเห็นตรัยเลิกคิ้วรอคำตอบก็คอตก สุดท้ายก็ต้องให้เพราะไม่อยากมีปากมีเสียงกับเจ้านาย "หลอดครับ"
ตรัยดูดน้ำสีดำในแก้วหลังจากรับหลอดของตัวเองกลับคืนมา รสชาติหวานอมขม ค่อยยังชั่วกว่ากาแฟเยอะ "มองอะไร?"
"โอเคแล้วนะครับ"
"โอเคแล้วก็ได้...ไปไหนต่อดีล่ะ" หันไปมองรอบตัว แสงอาทิตย์ยังคงเจิดจ้า ส่องประกายผ่านแมกไม้เคล้าคลอกับสายลมบาง
"อืม...ขับวนรอบเกาะดูไหมครับ เจอหาดสวยๆ ค่อยแวะ"
ตรัยพยักหน้าตกลง เราขับรถออกจากหมู่บ้านแห่งแรกเลียบไปตามหาดทรายขาวยาวเป็นกิโลเพื่อมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง เกาะแห่งนี้เหมาะสำหรับคนรักธรรมชาติจริงๆ เพราะไม่มีกิจกรรมบันเทิงอะไรเลย นอกจากเล่นน้ำ นั่งเล่นและเดินเล่นริมชายหาดแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทำอีก มีบางช่วงที่รู้สึกเบื่อนิดหน่อย หากไม่ถือกล้องติดมาด้วยก็คงไม่รู้จะทำอะไรดี
"ร้อนหรือเปล่า? เอาเสื้อคลุมฉันไปใส่ก่อนไหม" ตะโกนถามข้างหูแข่งกับเสียงลมอื้ออึง ถึงรุ่งภพจะไม่ใส่ใจเรื่องสีผิว แต่ขับรถตากแดดนานๆ แบบนี้ก็เสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังได้เหมือนกัน
"ไม่เป็นไรครับ ผมชินแล้ว" รีบร้องห้ามเมื่อเหลือบไปเห็นคนด้านหลังกำลังถอดเสื้อคลุมออกจากตัว "คุณก็นั่งตากแดดเหมือนกัน ไม่ต้องถอดให้ผมหรอกครับ ผมทนได้"
"เหมือนกันที่ไหนล่ะ ฉันยังหุบแขนได้แต่เธอต้องจับแฮนด์รถนะ...ถามจริง? ไม่แสบผิวบ้างหรือไง"
"ก็แสบครับ...แต่ทนได้"
"ขอซื้อได้ไหมคำนี้ นึกว่าตัวเองถ่ายโฆษณาสีทนได้อยู่หรือไง จะทนอะไรนักหนา" ตรัยบ่นยาวกับความเกรงใจไม่เข้าท่าของชายหนุ่ม "ถ้าไม่อยากใส่ก็ตามใจ เดี๋ยวแวะหาดหินตรงโน้นหน่อยก็แล้วกัน...ฉันจะถ่ายรูป" ไม่อยากใส่ก็ไม่บังคับ ถึงจะขัดใจอยู่บ้างแต่ก็เลือกที่จะปล่อยผ่านแล้วบังคับอ้อมๆ แทน
รอให้แดดรากว่านี้สักหน่อย ค่อยไปขับรถเล่นต่อก็แล้วกัน
"ลงมาด้วยกันสิ" น้ำเสียงเอ่ยชวนแต่สายตาออกคำสั่ง หนุ่มใต้รีบดึงกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ออกแล้วกระโดดย่ำโขดหินตามมาอย่างคล่องแคล่ว
ตรัยผลักชิงช้าให้ชายหนุ่มนั่งรอใต้เงาไม้ หลังจากถ่ายรูปจนพอใจแล้วจึงเดินกลับมาหาแล้วช่วยไกวให้เบาๆ
"นั่งไหมครับ?" ทำท่าจะลุกแต่โดนกดไหล่ไว้
"นั่งไปเถอะ" เขาไกวชิงช้าแรงขึ้นจนรุ่งภพเท้าลอย ชายหนุ่มร้องลั่น โวยวายเสียงหลง เป็นครั้งแรกที่ตรัยรู้สึกสนุก ยิ่งห้ามก็ยิ่งแกล้งจนคนขี้เกรงใจน็อตหลุด เผลอสบถคำหยาบออกมาอย่างลืมตัว
"ไม่สนุกนะครับ!" ตวัดตามองเขียวปั้ดเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะขลุกขลักในลำคอ หนุ่มใต้เสยผมตัวเองแรงๆ ขจัดความกรุ่นโกรธที่ปะทุอยู่ในหัว เขาไม่ชอบทำอะไรโลดโผนแบบนี้ เกิดหล่นลงไปคอหักตายจะทำยังไงเล่า เขายังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย
"โกรธเหรอ? โกรธเป็นด้วย"
ยังมีหน้ามาถามอีก ให้เขาเป็นคนแกว่งบ้างไหมเล่า
"ก็คุณแกล้งผมอ่ะ บอกแล้วว่าไม่เล่นๆ"
"อ้าว นึกว่าสนุก ได้ยินว่าเอาอีกๆ" ตรัยยิ้มกว้าง ผิดกับอีกคนที่โมโหจนหน้าเขียว เขาขยี้เส้นผมหยาบกระด้าง แล้วพาดแขนคล้องคอชายหนุ่ม "ไม่เอาน่า ฉันแค่อยากให้เธอสนุกเวลามาเที่ยวกับฉันเท่านั้นเอง เรามาทำความคุ้นเคยกันไม่ใช่เหรอ เธออย่าทำเหมือนพาลูกทัวร์มาเที่ยวสิ"
"แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะครับ ถ้าจะให้พาเที่ยวเหมือนเพื่อนผมทำไม่ได้หรอก คุณเป็นเจ้านาย...ไม่ใช่เพื่อนผม"
"ฉันก็ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนเธอ" หนุ่มใต้สะอึกไปชั่วครู่ สีหน้าไม่สู้ดีนักกับถ้อยคำตอบรับเมื่อครู่นี้ "เราเป็นเพื่อนกันไม่ได้แน่ๆ ฉันรู้สึกแบบนั้น เธอเด็กเกินกว่าจะเป็นเพื่อนกับฉัน...แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะคบกันไม่ได้นี่ จริงไหม?"
แต่จะได้ไปต่อในฐานะอะไรค่อยว่ากันอีกที
รุ่งภพกระโดดลงจากโขดหิน หลุบตามองรอยเท้าของตัวเองบนผืนทราย รู้สึกทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ บางครั้งตรัยก็ดูใจดีแต่บางครั้งก็เข้าถึงยาก กับความสัมพันธ์ไม่มีชื่อเรียกแบบนี้ไม่ได้ทำให้เขาดีใจเลยสักนิด จากประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้เขาเรียนรู้อยู่หนึ่งอย่าง...อย่าคาดหวังถ้าไม่อยากได้ความผิดหวังกลับมา
ระหว่างเราน่ะ เป็นแค่ลูกจ้างกับนายจ้างดีที่สุดแล้ว
*******************************
"งานประจำปีเหรอ?"
"ใช่ครับ ป้าแม่บ้านบอกว่ามีเปิดวิกชกมวยด้วย...ไปดูกันไหมครับ" คนคาบข่าวมาบอกต่อนัยน์ตาวาววับ ถ้าชวนไม่สำเร็จก็ตั้งใจจะไปเพียงคนเดียว
"จัดตรงไหนล่ะ วัดเหรอ?"
"จัดในหมู่บ้านครับ ไปกัน" ออกปากชวนอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเริ่มสนใจ
"แล้วจะไปยังไงล่ะ มืดค่ำป่านนี้แล้ว รถก็ไม่มีแล้วด้วย"
"มีรถรับส่งของรีสอร์ทครับ" พอเห็นตรัยยังนั่งนิ่งก็หน้าจ๋อย "ไปแป๊บเดียวก็ได้ ไปหาซื้ออะไรกินกัน"
"ฉันไม่หิว"
"งั้นผมไปคนเดียวนะครับ"
ตรัยเงยหน้าขึ้นจากแท็บเล็ตแล้วจ้องเขม็งไปยังชายหนุ่ม พอเห็นรุ่งภพหดคอเหมือนกลัวจะโดนดุก็ตวัดขาลงจากเตียงอย่างเกียจคร้าน
"ถ้ามันไม่สนุก ฉันจะไล่เธอออกไปนอนหน้าระเบียง"
เหมือนมีเมฆสีเทาครึ้มลอยเข้ามาปกคลุมอยู่เหนือศีรษะ รุ่งภพยู่ปาก...น่าจะแอบไปคนเดียวซะตั้งแต่แรก ไม่ขึ้นมาชวนก็ดีหรอก
"ทำปากมุบมิบอะไรของเธอ ตกลงจะไปหรือไม่ไป?" ตรัยขมวดคิ้วส่งสายตาดุ เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย อยากจะนอนพักผ่อนเพราะเพลียแดดมาทั้งวัน
"ไปสิคร้าบ~"
พอลงมาด้านล่างรถของรีสอร์ทก็มาจอดรออยู่ตรงทางเข้าเรียบร้อยแล้ว ผู้โดยสารอัดแน่นทั้งในแคปและท้ายรถ ตรัยถึงกับถอนหายใจแล้วส่ายหัว ตั้งท่าจะเดินกลับห้องพัก ในขณะที่รุ่งภพยังคงยืนนิ่ง สายตามุ่งมั่นไม่ยอมถอดใจ
"กลับห้องเถอะ คนเต็มแล้ว ไม่เห็นเหรอ"
"เต็มที่ไหนล่ะครับ ยังนั่งได้อีกตั้งหนึ่งคน คุณจะกลับก็กลับไปคนเดียวสิ"
ตรัยส่งสายตาคาดโทษชายหนุ่ม พอไม่มีที่ว่างเหลือให้ก็สลัดเขาทิ้งทันที "ตอนแรกฉันก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอกนะ งานประจำปีอะไรเนี่ย…แต่ตอนนี้ชักจะอยากไปขึ้นมาแล้วสิ มันจะสนุกสักแค่ไหนกัน เธอถึงได้อยากไปนักหนา"
คนอยากไปทำตาโต มองที่ว่างตรงท้ายรถสลับกับใบหน้าของเจ้านาย "แต่มันนั่งได้แค่คนเดียว!"
"อ๋อเหรอ" ตรัยกระโดดขึ้นท้ายรถ ผู้โดยสารทุกคนพร้อมใจกันขยับเข้าไปชิดด้านใน จนกระทั่งเขานั่งขัดสมาธิได้อย่างสะดวกสบายเลยทีเดียว
"แล้วผมอ่ะ?"
"เหลืออยู่ที่เดียว จะนั่งไหมล่ะ?"
"ตรงไหน?"
"ตักฉัน"
*******************************
งานประจำปีของหมู่บ้านบนเกาะจำไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการเหมือนงานวัดที่มีมหรสพมากมายให้รับชมตามอัธยาสัย นอกจากเวทีมวยแล้วก็ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจอีกในความรู้สึกเขา คนที่ตื่นเต้นคงมีแต่รุ่งภพ พอตะเกียกตะกายลงจากรถมาได้ก็วิ่งปร๋อเข้าใส่ของกินแทบจะทันที
"เท่าไหร่ครับ" ตรัยถามแม่ค้าขายขนม รีบยื่นแบงค์ร้อยให้ก่อนที่คนสั่งจะควักเงิน
"เดี๋ยวผมจ่ายเอง" หันมาโต้แย้งทั้งที่หูยังแดงเถือก
"ซื้อให้ อย่าเรื่องเยอะ" เอ่ยเสียงดุแล้วหยิบฉวยขนมในถุงมาหนึ่งชิ้น "ขนมอะไรเนี่ย?"
"ขนมผูกรักครับ"
แผ่นแป้งขนาดเล็กในมือถูกทอดจนเหลืองกรอบ ตรงกลางแผ่นถูกขมวดเป็นปมคล้ายกับโบว์ผูกผมและมีไส้สอดอยู่ตรงกลาง น่าจะเป็นขนมพื้นบ้านเพราะตรัยไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน "เหมือนกินขนมปั้นสิบ"
"ไส้ขนมทำจากเนื้อปลาทะเลครับ ผัดกับพริกแกงแล้วก็ใช้สมุนไพรช่วยดับกลิ่นคาว"
"ทำไมเรียกขนมผูกรักล่ะ? ไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหน"
"เพราะตอนห่อต้องใช้ความตั้งใจในการผูกไงครับ เหมือนความรักที่ค่อยๆ ผูกจนแน่นแฟ้นกลมเกลียว ในกระบี่หากินยากมากนะครับ ต้องไปหาซื้อถึงสตูลโน่น ของฝากขึ้นชื่อจังหวัดเขา"
"ถึงว่า...พอเห็นก็วิ่งเข้าใส่เลย หากินยากนี่เอง" ตรัยเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ สำหรับรุ่งภพคงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าของกินอีกแล้ว "จะเอาอะไรอีกไหม ฉันเลี้ยง"
"แหม...เกรงใจจังเลยครับ งั้น...แวะร้านลูกชิ้นปิ้งตรงโน้นหน่อยนะครับ อะแฮ่ม...คอชักแห้ง ขอน้ำปั่นอีกสักแก้วก็แล้วกัน โอ๊ะ! ตรงนั้นมีปลาหมึกย่างด้วยอ่ะครับ หอมจังเลย...ตรงโน้นขายก๋วยจั๊บด้วย น่ากินจัง..."
ตรัยหรี่ตามองคนขี้เกรงใจ เส้นประสาทตรงขมับกระตุกยิกๆ แวะมันแทบทุกร้านขนาดนี้ ยังจะกล้าพูดว่าเกรงใจอีกเหรอ!
"ตกลงชวนฉันมาเที่ยวหรือมาซื้อขนมให้เธอกิน"
"หือ?" ยังจะหันมาทำหน้างงๆ ใส่อีก เดี๋ยวปั๊ดทุบเลยไอ้เด็กนี่ "อุ้ย! แหะๆ ขอซื้อถั่วต้มอีกถุงนึงนะครับ เดี๋ยวค่อยไปดูมวยกันเนอะ"
ฉีกยิ้มประจบแล้วรีบจ่ายเงินให้กับพ่อค้า…
"พักครึ่งๆ" เสียงคนพากษ์มวยประกาศออกไมค์เมื่อหมดยกของนักชกรุ่นเล็ก "มวยรุ่นเล็กจบไปแล้ว มาต่อกันที่มวยรุ่นใหญ่กันบ้างดีกว่า ระหว่างที่นักมวยของเรากำลังเตรียมตัว มีใครอยากมาขึ้นชกชิมลางบ้างหม้ายยย" เสียงสะท้อนของกรรมการรุ่นเดอะสะท้อนออกลำโพงข้างเวที รุ่งภพยกนิ้วขึ้นอุดหู ถุงถั่วต้มเฉี่ยวหน้าตรัยไปแบบหวุดหวิด
"ถือดีๆ สิ" เงยหน้ามอง หยิบถั่วในถุงแล้วแกะเปลือกให้ "อะไร?"
"อ้าว ไม่ได้จะกินเหรอครับ เห็นจ้องเมื่อกี้"
"ฉันบอกให้ถือดีๆ ไม่ได้บอกว่าจะกินสักหน่อย" คราวนี้ตะเบงเสียงแข่งกับลำโพง รุ่งภพทำหน้าแหยง หดมือกลับทันที
"ก็ผมไม่ได้ยินอ่ะ เห็นคุณมองก็นึกว่าอยากกิน" คนเขาอุตส่าห์แกะให้ กินเองก็ได้วะ
"ของรางวัลสำหรับแชมป์มือสมัครเล่นสนับสนุนโดยรีสอร์ทและร้านอาหารที่ร่วมรายการ เป็นกิฟวอยเชอร์ดินเนอร์สุดหรูริมชายหาด อาหารและเครื่องดื่มจัดเต็มแบบแน่นโต๊ะ ชกเสร็จก็ไปเดทกันต่อเล้ยยยย"
รุ่งภพตาลุกวาว แทบจะพุ่งไปยังโต๊ะลงทะเบียนข้างเวที "สมัครยังไงอ่ะครับ หรือขึ้นชกได้เลย"
ตรัยรั้งคอเสื้อของชายหนุ่ม "เดี๋ยวๆ จะทำอะไร? อย่าบอกนะว่าจะขึ้นชก"
"ผมอยากได้กิฟวอยเชอร์อ่ะ"
ตรัยเลิกคิ้ว ไล่สายตาสำรวจร่างกายของชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า "มั่นใจว่าจะชนะ?"
"ถ้าไม่ต่อยกับนักมวยอาชีพก็ 50:50 ครับ"
"ตามใจ ต้องเรียกหน่วยปฐมพยาบาลมาสแตนบายไหม"
“โอ้โห! ดูถูก"
ตรัยกระตุกยิ้มแล้วพยักเพยิดไปทางด้านหลังของชายหนุ่ม "ดูคู่ชกของตัวเองซะก่อนเถอะ"
ผู้ลงทะเบียนเข้าท้าชิงเป็นฝรั่งรูปร่างล่ำสัน แค่ส่วนสูงก็กินขาดแล้ว โต๊ะลงทะเบียนเงียบกริบ ไม่มีใครกล้างัดข้อแม้แต่คนเดียว
“ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต"
"อย่าขู่กันสิครับ"
"ขู่อะไร พูดเรื่องจริง จะต่อยเขาถึงหรือเปล่ายังไม่รู้เลย"
คนโดนสบประมาทหน้าตาบูดบึ้ง "ว่าแต่ผมแล้วคุณล่ะ เอาชนะเขาได้หรือเปล่าเหอะ"
"สูสี"
"จริงเร้อ...ไม่เชื่อหรอก ต่อยเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้"
ตรัยเริ่มยั้วะ รู้ว่าเด็กมันพูดยั่วแต่ก็อดโมโหไม่ได้อยู่ดี
ได้...เดี๋ยวจะชกให้เด็กมันดู
"ผมขอขึ้นชกครับ"
**********************************
แกร๊ง!
"ยกที่ 1 เริ่มได้"
สิ้นสุดเสียงระฆัง สองนักชกมือสมัครเล่นก็ตั้งการ์ด ซอยเท้าเข้าลองเชิง
ส่วนสูงพอกัน ส่วนรูปร่างก็พอฟัดพอเหวี่ยงแต่กล้ามเนื้อของตรัยไม่หนาเท่า ยกแรกจึงสะบักสะบอมไปไม่น้อยเพราะคู่ชกรุกหนักมาก เตะต่อยไม่ยั้งมือ
รุ่งภพรู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยช้ำบนโหนกแก้มของเจ้านาย พอหมดยกแรกจึงรีบตรงดิ่งไปข้างสังเวียน มุดเชือกเข้าไปหาแล้วบีบนวดให้
"ไหวไหมครับ ทำไมคุณเอาแต่ตั้งรับล่ะ อย่าบอกนะว่าต่อยไม่เป็น"
"เป็นไม่เป็นเดี๋ยวก็รู้"
ตรัยยัดฟันยางเข้าปาก ดีดตัวลุกขึ้นจากม้านั่งเมื่อได้ยินเสียงระฆังเริ่มยกต่อไป เขามองตามแผ่นหลังของรุ่งภพ หลังจากหามุมหน้าเวทีได้ก็ส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจแต่สีหน้าออกกังวล
ไม่รู้ว่าห่วงเขาหรือห่วงกิฟวอยเชอร์กันแน่
ยกที่สองตรัยเริ่มรุกบ้างแต่ยังตั้งรับเป็นส่วนใหญ่ ถึงจะเจ็บตัวแต่ก็ยังยืนหยัดอยู่บนเวทีได้อย่างสบาย ผิดกับคู่ชกที่หอบหายใจหนัก ทั่วทั้งตัวมีแต่เหงื่อชุ่มโชก เริ่มออกหมัดได้เชื่องช้าและหนืดหน่วงเต็มที
ขนาดเขาเต้นฟุตเวิร์คอย่างเดียวก็เหนื่อยจะแย่แล้ว นี่ฝ่ายตรงข้ามเล่นออกลวดลายตั้งแต่ยังไม่เริ่ม หมดแรงเร็วขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เขาเองก็ใช่จะยืนเฉยให้คู่ชกซ้อม อาจจะมีพลาดหรือผิดจังหวะบ้าง แต่ก็ไม่ได้เจ็บหนักจนหน้ามืดตาลาย
ผลั้วะ!
อีกหนึ่งนาทีหมดยก ตรัยเตะอัดสีข้างของคู่ชกแล้วฮุกซ้ายหนักๆ จนอีกฝ่ายหน้าหัน เขาหันไปยักคิ้วให้รุ่งภพ ชายหนุ่มยกนิ้วโป้งให้แทนคำชมแล้วป้องปากตะโกนซะดังลั่น "คุณตรัยสู้ๆ เพื่อกิฟวอยเชอร์ของเรา"
เดี๋ยวปั๊ดล้มมวยเลย
"คุณ! ระวังซ้าย"
ผลั๊วะ!!
โลกหมุนติ้วกันเลยทีเดียว ได้ยินเสียงรุ่งภพร้องลั่นด้วยความตกใจ ตามด้วยเสียงกรี๊ดของสาวชาวบ้าน
ตรัยสะบัดหน้าเรียกสติ เหนี่ยวเชือกกั้นเวทีเป็นหลักยึด กำลังจะตั้งการ์ดรับแต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีคู่ชกของเขาก็ร่วงไปกองกับพื้นแล้ว
"ผู้ชนะ ได้แก่...มุมน้ำเงิน ตรัย...ตีนลั่น ลั่น ลั่นนนน เชิญผู้มอบรางวัลขึ้นมาบนเวทีด้วยครับ"
ฉายาบ้าบออะไรกัน
น่าอับอายขายขี้หน้าชะมัด
เขาเดินไปรับรางวัลกลางเวทีอย่างจำใจและร่วมถ่ายภาพหมู่ด้วยสีหน้าอันบูดบึ้ง
"อ่ะ...เอาไป" พอลงมาด้านล่างก็ยื่นบัตรรางวัลให้กับคนรอรับ รุ่งภพตะครุบหมับ ตาเป็นประกายกับของฟรีที่ได้มา "เขาให้ไปกินที่ไหนดูซิ? จะได้วางแผนเที่ยววันพรุ่งนี้ทีเดียวเลย"
"เอ่อ...จัดตรงหาดติงไหรอ่ะครับ น่าจะเป็นของห้องอาหารในรีสอร์ทแถวนั้น แต่...”
ตรัยเลิกคิ้วขึ้น สางเหงื่อบนเส้นผมใส่ชายหนุ่ม "แต่อะไร?"
"แต่...บัตรใช้ได้อาทิตย์หน้านะครับ...เขาระบุวันมาด้วย"
มือที่กำลังสางผมอยู่หยุดชะงัก แย่งบัตรจากชายหนุ่มมาดูด้วยตาของตัวเอง พอเห็นวันที่ในกระดาษก็สบถออกมาอย่างหัวเสีย
ลงวันที่กะเกณฑ์แบบนี้ ถ้าไม่หวังให้คนได้รางวัลต้องอยู่ยาวก็ต้องหวังให้กลับมาเที่ยวอีกรอบแน่
"ไม่คุ้มค่าเหนื่อยเลย ให้ตายสิ" เขาต่อเก้าอี้แล้วทิ้งตัวนอนบนตักของชายหนุ่มอย่างหมดแรง
"ให้ผมเรียกหน่วยปฐมพยาบาลไหมครับ"
ตรัยถลึงตาใส่คนแซว "ก้มหน้าลงมาหน่อยซิ"
ก้มลงไปอย่างว่าง่าย ไม่ได้ระวังตัวเลยสักนิด "มีอะไรเหรอครับ"
เป๊าะ!
"โอ๊ย! เจ็บนะ"
"สมควรโดน ส่วนบัตรรางวัลนี่ก็ให้คนอื่นเขาไปเถอะ เก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้"
"เสียดายอ่ะ" มองบัตรตาละห้อย อาลัยอาวรณ์ขั้นสุด
"ให้เขาไปเถอะน่า พรุ่งนี้เธออยากกินอะไรเดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง เอาเหมือนในบัตรเลยก็ได้ โอเคไหม?"
"โอเคก็ได้ครับ" รับคำด้วยรอยยิ้มแป้น คอยบีบนวดประจบประแจงอย่างเอาใจ
แค่เห็นแววตาคู่นั้นเปล่งประกายด้วยความสุข ใจของคนมองก็อ่อนยวบแบบไม่มีเหตุผล รู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ อยากเป็นเจ้าของรอยยิ้มนั้นขึ้นมาทันใด...
TBC