พิมพ์หน้านี้ - Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 27-08-2019 20:40:28

หัวข้อ: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 27-08-2019 20:40:28
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*******************************************************

Hunter of the sea

พรานทะเล

(https://uppic.cc/d/5aEd)

ยามห่างไกลใจโหยหาย
..จำต้องฝากกายไว้ในเล..


สารบัญ

บทนำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70865.msg3999934#msg3999934)
บทที่ 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70865.msg3999935#msg3999935)
บทที่ 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70865.msg4000144#msg4000144)

--------------------------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล บทนำ
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 27-08-2019 20:52:59
พรานทะเล

 

บทนำ





ยาเล เฮ่ ยาเล ยาเล เฮ่ ยาเล

ท่วงทำนองของคนหาปลาถูกขับขานเพื่อรวมพลังกายให้เป็นหนึ่งเดียวยามสาวอวนสีดำขึ้นมาจากท้องทะเลกว้าง แรงงานหลายชีวิตในเรือประมงลำใหญ่ยืนเรียงกันเป็นแถวบริเวณกราบเรือตั้งแต่หัวจรดท้าย หนุ่มวัยฉกรรจ์นับสิบคนภายใต้เสื้อสีน้ำเงินเข้มสกรีนตัวอักษร ‘โชคชัยนาวา’ กลางแผ่นหลังกำลังดึงตาข่ายผืนใหญ่ขึ้นมาด้วยเรี่ยวแรงจากสองมือ เสียงเป่านกหวีดให้จังหวะจากหัวหน้าคนงานดังขึ้นอยู่เป็นระยะ บทเพลงเนิบช้าเริ่มถี่กระชั้นเป็นจังหวะฮึกเหิม จากที่สาวอวนอยู่เนือยๆ ก็เร่งให้เร็วขึ้นไปตามจังหวะเพลง จวบจนวงอวนแคบลงจนเห็นปลาดิ้นกระโดดไปมาอยู่ในวงล้อม เสียงนกหวีดก็ดังขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณให้หยุดมือ

“เครนพร้อมแล้วชิ้ว[1]”

“ดึงสวิงลงไปช้อนเลย”

เสียงทุ้มแหบห้าวตะโกนบอกคนงานดังก้อง คนออกคำสั่งสาวเท้าเข้าไปยืนข้างกราบเรือ ชะโงกดูปลามากมายในอวนใหญ่ก่อนจะสั่งให้คนงานใช้สวิงอันใหญ่ยักษ์ช้อนปลาเหล่านั้นขึ้นมากองไว้บนเรือ

“ได้เยอะไหมวะไอ้รุ่ง”

“ไม่เท่าไหร่  คงโดนเรือปั่นไฟล่อไปทางโน้นหมดแล้ว” หนุ่มชื่อรุ่งพยักหน้าไปทางเรือประมงอีกลำที่เปิดไฟสว่างจ้าจนตาแทบบอด

“โทรไปแจ้งศูนย์บัญชาการฯ เลยดีมะ ทำแบบนี้มันผิดกฏนะเว้ย เขาห้ามแล้วยังดันทุรังอีก เมื่อไหร่จะปลดใบเหลืองจาก IUU[2] ได้สักทีวะ”

“เรือจากไหนก็ไม่รู้ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย”

“แล้วจะปล่อยไว้แบบนี้เหรอวะ ใช้ไฟล่อขนาดนี้พวกลูกปลาวัยอ่อนคงโดนช้อนขึ้นไปบาน เอาไปก็กินไม่ได้ ส่งเข้าโรงงานไปทำอาหารสัตว์หมด แม่งไม่เหลือไว้ให้พวกมันขยายพันธุ์ แล้วอย่างงี้พวกเราจะจับอะไรล่ะ ตัวเล็กก็จับไม่ได้ ตัวใหญ่ก็โตไม่ทัน”

“ไม่ใช่ว่ากูไม่สนใจนะเว้ย..แต่มึงต้องคิดให้รอบคอบ เกิดเป็นเรือของพวกนายทุนเถื่อนขึ้นมาคนแจ้งจะโดนเล่นงานเอานะเว้ย อันตรายจะตายห่า”

มิ่งขวัญระบายลมหายใจฟึดฟัด ยกมือเท้าสะเอวแล้วเหล่มองเพื่อนที่เดินสั่งงานเหมือนคนไร้วิญญาณ “เหนื่อยเหรอวะ ทำไมมึงดูห่อเหี่ยวแท้”

“เหนื่อยดิ..เมื่อก่อนลงอวนแค่สองรอบก็วิ่งเรือเข้าฝั่งได้แล้ว เดี๋ยวนี้ต้องลงแทบทุกวัน ได้มาทีละนิดทีละหน่อยอีกต่างหากกว่าจะคุ้มต้นทุน เหนื่อยเยอะขึ้นแต่เปอร์เซ็นต์ได้เท่าเดิม พวกคนงานเริ่มบ่นกันแล้วด้วย กลับไปคราวนี้คงได้ประกาศหาคนงานใหม่กันอีกรอบแน่ๆ เงินดีแต่งานหนัก จะทนได้สักกี่คนกัน” รุ่งภพบ่นด้วยความหงุดหงิด การออกเรือแต่ละรอบจะใช้เวลา 3-5 วัน แต่ระยะหลังเริ่มนานขึ้นเพราะหาปลาได้ยากกว่าแต่ก่อน “ไต๋จะให้ลงอวนรอบสุดท้ายหรือยังวะ”

“รอบสุดท้ายแล้วมั้ง ส่งท้ายก่อนปิดอ่าวไง”

“ส่งท้ายหรือปลาไม่ได้ตามเป้า” ออกเรือแต่ละครั้งค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่าแสน ใครเล่าจะอยากกลับไปมือเปล่า หากน้ำมันยังไม่หมดก็ต้องแล่นหากันต่อไป ซึ่งระยะหลังมานี้พวกเราประสบกับปัญหา Over Fishing เรื้อรังมาหลายปีจากการทำประมงเกินขนาดและปัญหาเรือล้นทะเลไทย ทำให้หาปลาได้ยากขึ้นและเกิดการแย่งชิงทรัพยากรกันบ่อยครั้งโดยไม่เลือกวิธีการ

“ได้เยอะได้น้อยก็ช่างมันเถอะ อย่าให้เข้าเนื้อก็พอ กูอยากกลับบ้านใจจะขาดแล้วโว้ย” เสียงตะโกนจากหนุ่มตัวโตชื่อมิ่งขวัญดังลั่นไปถึงเก๋งเรือชั้นบนสุด ไต้ก๋งถึงกับชะโงกหน้าออกมาดูด้วยสงสัยว่าลูกชายเกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีก “ไม่มีอะไรพ่อ เรียกขวัญกำลังใจกันเฉยๆ” แก้ตัวเสร็จก็เหวี่ยงคราดโกยปลาดันลงไปเก็บใต้ท้องเรือ ผู้ช่วยมือหนึ่งสัญชาติเมียนมาร์แต่พูดไทยได้อ้อแอ้รีบคัดแยกปลามีราคาออกจากกอง ลูกจ้างรายนี้อายุน้อยกว่ารุ่งภพสามปีและตัวเล็กกว่ามาก เรียนรู้ภาษาไทยได้ไวและคล่องแคล่วรวดเร็ว แม้จะยังพูดไม่ชัดแต่ก็พอฟังออก สั่งงานรู้เรื่องโดยไม่ต้องใช้ล่ามหรือภาษามือให้วุ่นวาย

ชิ้วประจำเรือจับจ้องกองปลาตรงหน้าแล้วเร่งมือจดคัดแยกชนิดของปลาและสัตว์น้ำจำพวกหมึกที่ติดมากับอวนลงในสมุดล็อคบุ๊ค[3]เพื่อบันทึกการทำประมง หลังจากไล่สายตาตรวจหน้างานอีกครั้งอย่างถี่ถ้วนก็เหน็บสมุดบันทึกปกอ่อนเอาไว้ด้านหลังขอบกางเกง สาวเท้าเข้าไปช่วยคนงานแบกตะกร้าน้ำแข็งป่นมาเทราดบนกองปลาเพื่อน็อคให้มันคงความสดใหม่เอาไว้จนกว่าจะถึงปลายทาง

“ถ้าเจอหมึกหรือปลาชนิดอื่นที่ไม่ใช่ฝูงปลากะมงให้แยกออกมาจากกองก่อนนะ ใส่หลัวเอาไว้ต่างหาก เดี๋ยวแยกดองน้ำเกลือทีหลัง เข้าใจไหม” มิ่งขวัญตะโกนสั่งคนงานที่กำลังรุมล้อมอยู่ตรงกองปลาขนาดใหญ่ คนงานพวกนี้มักผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่เสมอ เก่าไปใหม่มา ไม่ค่อยมีใครทำงานบนเรือได้ทนนัก พวกเขาจึงต้องคอยตรวจตราและสั่งงานเกือบทุกครั้งที่ออกเรือ

ชิ้วเรือวัยยี่สิบห้ายกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อไคลบนใบหน้า แม้ลมทะเลจะพัดโกรกแต่คนใช้แรงงานอย่างเขากลับร้อนอบอ้าวจากหงาดเหงื่อแรงกาย กลิ่นคาวปลาโชยคลุ้งตลบอบอวนไปทั่วลำเรือ โดยเฉพาะกลิ่นเหมือนปลาเค็มตากแห้งซึ่งมีอานุภาพรุนแรงนัก การใช้ชีวิตบนเรือกับพวกผู้ชายจำนวนมากห่างไกลจากคำว่าสะอาดไปไกลโข หากไม่จำเป็นจะไม่มีการใช้น้ำจืดกันเด็ดขาด พวกเราจึงอาบน้ำแค่วันละครั้งเท่านั้น หากไม่เปื้อนก็จะไม่อาบกันเลย เรื่องกลิ่นไม่พึงประสงค์จึงเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นตัวหรือกลิ่นคาวปลา

[เก็บอวนได้ ทำความสะอาดอุปกรณ์กับพื้นเรือให้เรียบร้อย วันนี้เป็นรอบสุดท้ายแล้ว เราจะถอนสมอและกลับเข้าฝั่งในตอนสายของวันนี้ เคลียร์พื้นที่ให้เรียบร้อยแล้วพักผ่อนกันตามสบาย]

เสียงเฮดังสนั่นไปทั่วลำเรือเมื่อไต้ก๋งประกาศผ่านลำโพงให้เก็บอวน พวกคนงานมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นมาทันทีทันใด มีเรี่ยวมีแรงลำเลียงปลาลงไปเก็บไว้ในห้องเย็นกันอย่างขันแข็ง คงคิดถึงบ้าน คิดถึงลูกเมียกันเต็มทน

“เดี๋ยวกูลงไปสาวทุ่นเอง มึงขึ้นไปรออวนบนเสากระโดงไป” ชิ้วเรือบอกกับเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า หลังจากกู้อวนแล้วต้องนำอวนขึ้นไปพาดไว้บนคานเพื่อจัดเรียงให้คลายตัวและทำความสะอาดก่อนจะเก็บม้วนไว้ตรงหัวเรือ

เสียงกระโดดลงไปในน้ำดังตูมตามด้วยคนงานอีกจำนวนหนึ่ง หลังจากเร่งมือสาวทุ่นพยุงอวนขึ้นเรือจนหมดก็ถือโอกาสชำระคราบสกปรกและขัดถูเอาเมือกปลาออกจากลำตัวและใบหน้า ชิ้วหนุ่มโหนตัวขึ้นไปยืนบนกราบเรือเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจสุดท้าย เสื้อเปียกโชกถูกถอดออกมาบิดน้ำ เผยให้เห็นผิวสีแทนสม่ำเสมอเต็มไปด้วยหยดน้ำเกาะพราวตามลำตัว

เส้นผมเปียกลู่ถูกเสยขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าเรียวเล็กขัดกับริมฝีปากเอิบอิ่ม จมูกเป็นสันไม่โด่งมากนัก ค่อนข้างธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น ส่วนที่ดีที่สุดบนใบหน้าคงหนีไม่พ้นดวงตากลมโตรับกับคิ้วสวยได้รูป รวมไปถึงขนตางอนยาวซึ่งเปียกน้ำจนชุ่มในตอนนี้

ชายหนุ่มยกสายยางขึ้นราดหัวให้น้ำไหลไปตามลำตัวเพื่อชะล้างความเหนียวเหนอะหนะจากน้ำทะเล เขาอยู่คอยให้คนงานเก็บกวาดจนเรียบร้อยแล้วจึงเข้าไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าในเก๋งนอนชั้นสอง เสียงเงียบผิดปกติทำเอาชิ้วเรือหนุ่มถอนหายใจยาว เพ่งสายตาไปยังเชือกที่ถูกกัดด้วยความอิดหนาระอาใจ

เอาอีกแล้วไอ้ตัวยุ่ง

“อ้าว ไงไอ้รุ่ง” หนุ่มร่างบึ้กเช็ดมือกับผ้าขี้ริ้ว กลิ่นจาระบีโชยเข้าจมูกเจือกลิ่นน้ำมันเครื่องจางๆ “มาทำไรแถวห้องเครื่องวะ”

“มาตามหาไอ้ตังเกอ่ะ พี่เห็นมันบ้างป่ะ”

“เห็นนอนเฝ้าจุมโพ่[4]อยู่อ่ะ มึงเดินไปดูตรงท้ายเรือยัง”

คนตามหาอยากจะยิ้มและร้องไห้ในคราวเดียวกัน นี่หมากูตะกละจนถึงขนาดไปนอนเฝ้าคนครัวเลยเหรอวะ “งั้นเดี๋ยวฉันไปดูก่อนนะ กลัวมันกระโดดลงไปเล่นน้ำเหมือนคราวก่อนแล้วขึ้นมาไม่ได้อีก ซวยเลย”

“เดี๋ยวก่อนดิ” ท่อนแขนภายใต้เสื้อยืดคนงานสีเขียวเข้มถูกรั้งไว้ ชิ้วหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม แววตาตื่นเต้นของช่างเครื่องเรือดูประหลาดยิ่งนักในความรู้สึกของชายหนุ่ม ”รอบนี้ได้ปลาเยอะไหมวะ”

“พอได้พี่ ไม่น่าจะขาดทุน”

“อะไรวะ ลงอวนตั้งหลายรอบ จะขาดทุนได้ไง” ยังคงถามเรื่องปลาต่อ เขาไม่ได้ใส่ใจกับคำถามเท่าใดนักเมื่อเหลือบไปเห็นก้อนกลมๆ สีน้ำตาลอ่อนวิ่งดุ๊กดิ๊กคาบกระดูกก้อนโตไปทางหัวเรือ

เดี๋ยวนะ จุมโพ่แม่งซื้อกระดูกมาเลี้ยงหมาด้วยเหรอวะ จะเอาใจกันเกินไปแล้ว

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน หาได้เท่าเดิมแต่ทำไมส่วนแบ่งลดลงก็ไม่รู้ สงสัยปลาไม่ได้เกรดมั้งราคาเลยลดลง ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงจุดได้ไม่คุ้มเสีย เถ้าแก่คงได้หันไปเปิดกิจการอย่างอื่นแทนแน่ๆ”

ช่างเครื่องเรือหน้าเสียไปวูบหนึ่งก่อนจะรีบกลบเกลื่อนด้วยการถามย้ำ “แล้ว... รอบนี้ได้ปลาอะไรมาบ้างล่ะ”

“ได้ปลามงอ่ะ ถ้ารวมกับรอบก่อนๆ ก็ได้หลายชนิดอยู่” สีหน้าของช่างเครื่องแช่มชื่นขึ้นมาทันใด ปลากะมงที่เขาพูดถึงสามารถส่งออกไปขายมาเลย์ได้ ส่วนปลารอบก่อนๆ จะเป็นปลาหลังเขียวและมีปลาทูน่าปะปนอยู่บ้าง ปลาพวกนี้นายทุนส่วนใหญ่นิยมนำส่งโรงงานเพื่อเอาไปทำเป็นปลากระป๋อง หลังจากแปรรูปแล้วจะถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นปลาซาร์ดีนหรือปลาแมคเคอเรลเพื่อให้ดูไฮโซ

“เถ้าแก่ยังหาคนขับรถส่งปลาไม่ได้ใช่ไหมวะ กูจะได้อาสาไปส่งให้” เถ้าแก่ที่ว่าเป็นเจ้าของเรือประมงและแพปลาที่พวกเราทำงานอยู่ ตอนนี้ตำแหน่งคนขับรถส่งปลายังว่าง เนื่องจากคนเก่าลาออกไปขับสองแถวซึ่งเงินดีกว่า

“พี่ร้อนเงินป่ะเนี่ย เห็นช่วยขับมาเป็นเดือนละนะ จะเก็บเงินแต่งเมียเหรอพี่?”

“เออน่า ไม่ดีหรือไง? มึงจะได้ไม่ต้องวิ่งหัวหมุนเหมือนเดือนก่อนไง ส่งบิลเสร็จก็กลับไปพักเลย เดี๋ยวกูไปส่งปลาให้เอง”

ชิ้วเรือพยักหน้าเนือยๆ ผิดกับน้ำเสียงกระตือรือร้นของอีกฝ่าย ชายหนุ่มเอ่ยปากขอตัวแล้วเดินแยกไปทางหัวเรือ เจ้าก้อนขนสีน้ำตาลอ้วนไม่ชายตาแลเจ้าของมันเลยสักนิด เอาแต่แทะกระดูกก้อนโตอย่างเมามัน

ปกติหมามันต้องดีใจที่เห็นเจ้าของไม่ใช่เหรอวะ ทำไมเขาโดนเมินล่ะ?

ชายหนุ่มขยุ้มผิวเนื้อตรงหลังคอมันเล่นอย่างหมันเขี้ยว ไถลตัวนั่งพิงพุงของมันแล้วหยิบสมุดเล่มเดิมออกมากางเปิด ไล่ตรวจผลการจับสัตว์น้ำย้อนหลังด้วยความสงสัย

ทำไมรายได้สวนทางกับปริมาณวะ?

เสียงคลื่นลมดังแทรกเป็นระยะสลับกับเสียงนกร้อง ไฟตรงเครนดับลงเมื่อพระอาทิตย์ทอแสงขึ้นมาจากขอบฟ้าไกล ชายหนุ่มอ้าปากหาวหวอดดวงตาหรี่ปรือ ‘เรือประมงโชคชัยนาวา 2’ กำลังแล่นผ่านเกาะปอดะแล้วบ่ายหน้าเข้าหาชายฝั่งด้วยกำลังเร็วคงที่ พรายฟองคลื่นทิ้งตัวยาวรับกับแสงแดดอุ่น ชายหนุ่มบิดขี้เกียจแล้วยืนขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหวูดยาวๆ ให้สัญญาณ เขาเอนกายพิงกราบเรืออย่างเกียจคร้าน ทอดมองบ้านเรือนบริเวณปากอ่าวขยายใหญ่ขึ้นจนเต็มม่านตา

เสียงเห่าลิงโลดด้วยความดีใจเรียกเสียงหัวเราะจากลูกเรือในเก๋งได้เป็นอย่างดี มันกระดิกหางรัวแล้ววิ่งไปมารอบตัวเขาพร้อมกับคาบกระดูกเอาไว้ในปาก เจ้าของหมาเท้าสะเอวมองอย่างหมั่นไส้ จะดีใจหรือห่วงกินก็เลือกเอาสักอย่างเถอะพ่อคุณ

“กลับมาแล้วโว้ยยยยย”

ท่อนแขนหนาหนักพาดทับลงบนลำคอ มิ่งขวัญทอดสายตามองไปยังจุดเดียวกับเขา ความยินดีถาโถมเข้าใส่ภายในใจจนเต็มตื้น หลังจากไม่ได้เห็นชายฝั่งมานานถึงสิบวันเต็ม

ถึงสักที..แพโชคชัย


TBC


[1] ชิ้ว เป็นตำแหน่งหนึ่งในเรือ ทำหน้าที่คล้ายกับหัวหน้าคนงาน

[2] IUU ย่อมาจาก Illegal Unreported and Unregulated Fishing เกิดจากคณะกรรมาธิการประมงขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO ซึ่ง IUU Fishing หมายถึงการทำประมงที่ผิดกฏหมาย การประมงที่ขาดรายงาน และการประมงที่ขาดการควบคุม โดยสหภาพยุโรปได้ให้ใบเหลืองแก่ประเทศไทยเพื่อเป็นการเตือน เนื่องจากยังไม่มีมาตรการที่รัดกุมพอจะป้องกันและขจัดปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายได้ หากพ้นเวลาที่กำหนดไว้ สหภาพยุโรป หรือ EU อาจจะห้ามนำเข้าสินค้าประมงจากไทยทุกประเภท ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและการส่งออกเป็นอย่างมาก ทำให้รัฐสูญเสียตัวเลขกว่าแสนล้านบาท อีกทั้ง IUU ยังเกี่ยวข้องกับปัญหาการลักลอบค้ามนุษย์ การฟอกเงินและการใช้แรงงานบังคับอีกด้วย

[3] Log Book คือ สมุดบันทึกการทำประมงของเรือพาณิชย์ จัดทำขึ้นตามประกาศของกรมประมง กำหนดรูปแบบบันทึกตามชนิดของเครื่องมือ เพื่อรายงานการจับสัตว์น้ำ ไม่เกี่ยวพันกับการประมงที่ผิดกฎหมาย

[4] จุมโพ่ ตำแหน่งคนครัวประจำเรือ



TALK

สวัสดีค่ะ จำกันได้ไหมเอ่ย หลังจากไปทะเลาะตบตีกับนิยายตัวเองมานานก็ได้ฤกษ์ลงใหม่ซักที แสงเคยลงนิยายที่เล้ามาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ...น่าจะสักปีหรือสองปีก่อน ตอนนั้นแก้เยอะมากเลยตัดสินใจลบไป จนตอนนี้แต่งจบแล้วคงได้ลงให้อ่านกันยาวๆ หวังว่านักอ่านจะชอบนะคะ ติติงได้ค่ะแต่แสงรบกวนขอแบบสุภาพนะคะ จิตใจอ่อนแอ ฮ่ะๆๆๆ

สุดท้ายนี้ขอให้นักอ่านสนุกกับพรานทะเลของแสงนะคะ..ฝากตัวรอบที่สอง โค้งงงง
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 27-08-2019 20:57:49
บทที่ 1

     

‘แพโชคชัย’ ในวันนี้ครึกครื้นกว่าทุกวันเนื่องด้วยเป็นสัปดาห์สุดท้ายของการออกเรือปกติแล้ว หลังจากนี้จะมีการปิดอ่าวสามเดือนเพื่อฟื้นฟูความเสื่อมโทรมของท้องทะเลและให้ปลาได้วางไข่ตามฤดูกาล ในช่วงนี้จะมีคำสั่งห้ามเรือทุกลำเข้าไปทำประมงในเขตปิด 4 จังหวัดฝั่งอันดามัน เรือพาณิชย์จะต้องออกไปหาปลาในเขตจังหวัดอื่นแทนชั่วคราวจนกว่าจะถึงฤดูกาลเปิดอ่าวอีกครั้งค่อยกลับมาทำประมงในเขตเดิม

ชิ้วประจำเรือโชคชัยนาวา 2 กระโดดลงจากเรือแล้วลากเชือกไปคล้องยังหัวเสา ชายหนุ่มหันไปโบกมือให้เพื่อนสนิทแล้วเดินแยกไปยังตราชั่ง รอชั่งน้ำหนักตะกร้าปลาที่มิ่งขวัญใช้สวิงตักขึ้นมาจากห้องเย็นใต้ท้องเรือ

“ไอ้รุ่ง ขึ้นปลาเสร็จแล้ว เอ็งเรียกรวมคนงานทีตะ เถ้าแก่ชัยมีเรื่องอิแจ้ง” ไต๋เมือง พ่อของมิ่งขวัญสะกิดแผ่นหลังของเพื่อนลูก ใบหน้าชุ่มเหงื่อเงยขึ้นจากการกรอกแบบฟอร์มทำใบสรุปยอดสินค้า ชายหนุ่มเหลือบมองตัวเลขดิจิตอลบนตาชั่งอีกครั้งก่อนจะถามย้อนคนเป็นไต๋เรือ

“ไซร้ไต๋หม้ายเรียกเองล่ะ”

“ลุงอิไปแจ้งเรือเข้าที่ศูนย์ปีโป้[1] เสร็จแล้วอิแขบหลบตะไอ้บ่าว” แกแบมือขอสมุดบันทึกจากเขา รุ่งภพหยิบให้เพราะต้องใช้กรอกข้อมูลลงบันทึกในรายงานขาเข้า ช่วงนี้ทางการกำลังเร่งควบคุมเรือประมงโดยใช้ระบบการแจ้งเข้า-แจ้งออกจากท่าเพื่อเป็นการตรวจสอบ เพื่อให้การทำประมงเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของ IUU ซึ่งเรือและเครื่องมือประมงจะต้องถูกตามกฎหมาย มีใบอนุญาตและมีการใช้แรงงานที่ถูกต้อง เพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ำและอาชีพประมงไทย

ชายหนุ่มเร่งมือจดตัวเลขบนตราชั่งจนเสร็จในช่วงบ่าย หลังจากส่งเอกสารให้กับเสมียนบัญชีในออฟฟิศแล้วก็ไปตรวจความเรียบร้อยของรถส่งปลาต่อ เกือบ 60% ของปลาที่จับได้จะถูกส่งไปขายต่อที่จังหวัดสงขลา พอไปถึงก็เห็นช่างเครื่องยืนแกร่วอยู่ก่อนแล้ว ถังบรรจุปลาถูกขนขึ้นรถจนเต็มคอกแต่ยังไปไหนไม่ได้เพราะต้องรอใบส่งสินค้าและใบแจ้งหนี้จากเสมียนบัญชี

“เอาใครติดรถไปด้วยล่ะพี่”

ช่างเครื่องส่ายหน้า “ไม่เอาไปหรอก เกะกะ”

“อ้าว แล้วใครจะช่วยยกของล่ะ”

“คนยกเยอะแยะ มึงไปทำงานของมึงเถอะ ไม่ต้องห่วงกูหรอก”

ช่างเครื่องตัดบทด้วยท่าทีรำคาญใจ คนโดนไล่ทางอ้อมถอนหายใจหนัก เดินไปหยิบโทรโข่งประกาศเรียกรวมคนงานตามคำสั่งของไต๋เรือ

“เถ้าแก่ครับ” ชายหนุ่มเคาะประตูห้องทำงานใหญ่ในออฟฟิศ เปิดเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงอนุญาต “เรียกรวมคนงานแล้วครับ”

เจ้าของแพปลาวัยเกษียณวางแฟ้มเอกสารลงแล้วถอดแว่นตาออก ชายสูงวัยลุกขึ้นจากเก้าอี้ ส่งมือให้ชายหนุ่มช่วยประคองยามก้าวเดิน

“เหมือนจะมาไม่ครบนะ” เปรยกับชายหนุ่มหลังกวาดตามองคนงานเบื้องหน้า

“ไต๋เมืองไปศูนย์ปีโป้ครับ พี่ยะไปส่งปลา”

“อืม..สวัสดีทุกๆ คน ต้องขอโทษด้วยนะที่เรียกรวมกะทันหันแบบนี้ ฉันมีเรื่องสำคัญจะประกาศอยู่สองเรื่อง ทุกคนคงจะทราบกันดีอยู่แล้วเรื่องปิดอ่าว ช่วงนี้งานในแพจะว่างหน่อย ยกเว้นคนประจำเรือที่ต้องออกทะเลนานขึ้น ฉันเองก็จะถือโอกาสนี้ไปผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเหมือนกัน ปวดมานานแล้วคงได้เวลารักษาเสียที ระหว่างนี้ฉันจะให้ลูกชายมาช่วยดูแลงานในแพแทนชั่วคราว รักษาการณ์แทนไปก่อน”

“ลูกบ่าว!!!” เสียงฮือฮาดังขึ้น น้อยคนนักจะรู้ว่าเถ้าแก่มีลูกชาย ส่วนใหญ่จะเป็นคนเก่าคนแก่เท่านั้น เนื่องจากเถ้าแก่ชัยแยกทางกับภรรยาก่อนจะย้ายมาลงหลักปักฐานที่กระบี่ ส่วนลูกชายก็ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพเป็นส่วนใหญ่ นานทีปีหนถึงจะลงมาหาสักครั้งหนึ่ง

“เรื่องที่สอง” เถ้าแก่ชัยเปล่งเสียงตะโกนเพื่อเรียกความสนใจของพวกคนงาน “ฉันขอไกด์อาสาสมัครหนึ่งคน ขับรถเป็น รู้เส้นทางและสถานที่ท่องเที่ยวในกระบี่เป็นอย่างดี มีค่าตอบแทนให้อย่างเหมาะสม มีใครจะอาสาไหม”

“จะให้ไปนำเที่ยวใครเหรอครับ” มิ่งขวัญแทรกตัวเข้าไปหาเพื่อน พาดแขนลงบนไหล่แล้วส่งถุงน้ำอัดลมให้ดูดคลายความร้อน

“ลูกชายฉันเอง”

ทุกคนเงียบกริบ ไม่มีใครอาสาแม้แต่คนเดียว เนื่องจากคนงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติ เกือบครึ่งแยกย้ายกันกลับไปทำงานต่อ ถ้าเอาคุณสมบัติขับรถเป็น รู้เส้นทางและแหล่งท่องเที่ยวดีก็เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น นอกจากเขาและเพื่อนตัวโตแล้วยังมีเสมียนออฟฟิศที่ยังยืนละล้าละลังรออยู่แต่ไม่กล้าเสนอตัว

“มึงไปดิไอ้รุ่ง สายแดกอย่างมึงน่าจะช่ำชอง”

“มึงก็พอกันแหละ ทำไมไม่ไปเองล่ะ” เขาแซะมิ่งขวัญกลับ ทุกซอกหลืบในกระบี่มันก็รู้จักดีไม่แพ้เขา

“สนใจไหมพวกเอ็ง”

“ไอ้รุ่งเลยครับเถ้าแก่ ขับรถได้ ขับเรือเป็น ใจเย็นแถมยังยิ้มเก่ง บริการทุกระดับประทับใจ” ชิ้วหนุ่มกรอกตามองเพื่อนสนิท อวยกันถึงขนาดนี้ กูต้องขอบใจไหม?

“รุ่งเป็นคนใจเย็น ลูกชายฉันน่าจะชอบ”

คนใจเย็นส่งยิ้มแปลกแปร่ง รู้สึกพิลึกกับคำพูดของเถ้าแก่ “แล้วเขาจะมาวันไหนเหรอครับ”

“เดือนหน้าล่ะมั้ง ต้องเคลียร์งานของเขาก่อน”

หลังจากนัดแนะวันเวลากับเถ้าแก่เรียบร้อยแล้วเขาก็ขอตัวไปทำงานต่อ พวกเสมียนในออฟฟิศยืนคอตกกันเป็นแถว พอได้ยินว่าลูกชายเถ้าแก่จะมาก็ตื่นเต้นกันยกใหญ่ ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเลยด้วยซ้ำ เขาอาจจะมีลูกมีเมียไปแล้วก็ได้ คงไม่ใช่หนุ่มในฝันเหมือนนิยายที่พวกเธอซื้อมาอ่านกันหรอก

“งี้มึงก็ไม่ต้องออกเรือกับพวกกูแล้วดิ”

“เปลี่ยนกันไหมล่ะ ให้มึงไปแทน”

“ไม่เอาอ่ะ ถ้าเป็นผู้หญิงก็ว่าไปอย่าง ผู้ชายด้วยกันกูหวาบ” ช่างกล้าพูด ไม่ได้ดูสารรูปตัวเองเลย เขาต่างหากล่ะที่ต้องกลัวมึง

ชายหนุ่มหยิกผิวเนื้อข้างเอวเพื่อนไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ มันแหกปากร้องโวยวายจนลั่นแพ โอเวอร์แอคติ้งซะไม่มี “ตังเก กลับบ้านเรากันดีกว่าลูก”

ตบมือเรียกความสนใจจากลูกนอกไส้ เจ้าก้อนขนกำลังนั่งน้ำลายหยดแหมะ จ้องเข่งปลาทูตาละห้อย

“มันเป็นปลาทูสด กินได้ที่ไหนล่ะ ลุกเร็ว! กลับไปกินข้าวที่บ้านโน่น”

นั่งปักหลักเฝ้าไม่มีกระดิก กลอกตาล่อกแล่กมองเจ้าของสลับกับเข่งปลาทูสด พอเขาไม่ให้ก็ฟาดตีนสะกิด..

เอาที่มึงสบายใจเลยตังเก



ผ่านมาสองอาทิตย์แล้วหลังจากทางการประกาศปิดอ่าวตามฤดูกาล เรายังไม่ได้นำเรือออกไปลงอวนที่ไหนเพราะต้องรอซ่อมบำรุงประจำปีก่อน ระหว่างนี้จึงต้องช่วยคนงานบนแพคัดปลาและขึ้นของจากเรือประมงลำอื่นไปก่อน กว่าจะได้ออกเรืออีกครั้งคงเป็นปลายเดือนหน้า

คลื่นสูงม้วนตัวซัดสาดเข้าสู่ท่าเทียบเรือของแพปลาจนเปียกโชก ชิ้วหนุ่มเช็ดคราบน้ำที่กระเซ็นมาโดนใบหน้าลวกๆ ก่อนจะลากถังใส่หมึกที่เรือลำอื่นเอามาลงไปเก็บไว้ที่ห้องเย็นด้านใน

ขณะช่วยคนงานจากเรือลำอื่นลำเลียงถังเข้าไปในห้องแช่ก็เหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากออฟฟิศพอดี ตอนแรกนึกว่าจะเดินผ่านเลยไปแต่ดันมายืนกอดอกอยู่ใกล้ๆ แถมยังจ้องมองมาด้วยสายตาใคร่รู้

มายืนจ้องแบบนี้ มันกดดันนะเฮ้ย

เขาเลิกสนใจเพราะคิดว่าเป็นลูกค้าที่มาเลือกซื้ออาหารทะเลสด ที่นี่ไม่มีอะไรให้ดูมากนัก เดี๋ยวเบื่อก็คงจะไปเอง..มั้ง?

“คุณตรัย” เจ้าของชื่อหมุนตัวไปตามเสียงเรียก ยกยิ้มบางเบาเมื่อเห็นไต้ก๋งเมือง “เดินดูทั่วหรือยังครับ อยากไปดูตรงไหนเป็นพิเศษไหม? เดี๋ยวผม..อ้าว เจอพอดีเลย ไอ้รุ่ง! เอ็งมานี่หน่อย”

คนโดนเรียกหันขวับแต่ยังไม่หยุดลากขอบถังเข้าไปในห้องเย็น

“ยังไม่มาอีก เร็วสิวะ” ไต๋เมืองกวักมือเรียกด้วยสีหน้าไม่ได้ดั่งใจ ชายหนุ่มขานรับแบบจำใจแล้วเหวี่ยงถังให้คนอื่นทำแทน “คนนี้ไงครับที่เถ้าแก่จัดไว้ให้” ไต๋เมืองพยักเพยิดไปยังชายหนุ่มที่กำลังเดินมา ทั้งตัวมีเพียงกางเกงเลสีน้ำเงินเข้มแนบลู่ติดกาย ส่วนท่อนบนเปลือยเปล่าชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่ออาบผิวสีแทน “สวัสดีลูกชายเถ้าแก่หรือยัง ไอ้รุ่ง”

ชายหนุ่มขมวดคิ้วพนมมืออย่างว่าง่าย..ไหนบอกจะมาเดือนหน้าไงวะ? นี่เพิ่งจะผ่านไปสิบวันเอง “สวัสดีครับ”

ลูกชายเถ้าแก่จริงเหรอ? คนกรุงเทพผิวพรรณสะอาดตาแบบนี้ทุกคนเลยไหม? พอมายืนใกล้ๆ กันแบบนี้แล้วอย่างกับผู้ดีในดงโจร

“ชื่อรุ่งเหรอ”

“รุ่งภพครับ” ชายหนุ่มแนะนำตัวขณะปาดหยดเหงื่อที่กำลังจะไหลเข้าตา

“คุณตรัยอยากให้มันพาไปไหน บอกมันไปได้เลยครับ ทุกซอกทุกมุมของกระบี่มันรู้หมดแหละ ไม่เสียชื่อเด็กกระบี่แน่นอน”

คุณตรัยงั้นเหรอ? จะเรียกยังไงดีล่ะทีนี้ เขาเป็นลูกชายเถ้าแก่ก็ถือว่าเป็นเจ้านายคนหนึ่งเหมือนกัน เรียกเถ้าแก่น้อยดีไหมนะ? ไม่เอาดีกว่า..เรียกแบบนี้แล้วนึกถึงยี่ห้อสาหร่ายทะเลขึ้นมาเลย

“เดี๋ยวผมคุยกับเขาเองก็ได้ครับ ไต๋ไปทำงานต่อเถอะ”

ไต๋เมืองยิ้มรับและตบบ่ารุ่งภพสองสามทีเป็นการฝากฝัง ชิ้วหนุ่มนึกเรียบเรียงคำพูดในหัวแล้วเอ่ยปากถามออกไปตรงๆ

“นายหัว..อยากให้ผมพาไปเที่ยวไหนบ้างเหรอครับ ผมจะได้กะเวลาแล้วก็เส้นทางถูก”

คิ้วเข้มขมวดยุ่งเมื่อได้ยินชายหนุ่มเรียกขานกันด้วยภาษาถิ่นใต้ “ไม่ได้จะไปเที่ยว ฉันแค่อยากไปสำรวจวิถีชีวิตแล้วก็วัฒนธรรมท้องถิ่นของคนที่นี่น่ะ จะเอาไปปรับใช้กับรีสอร์ทที่กำลังจะสร้าง” ตรัยบอกออกไปตามตรง จะได้ไม่ผิดจุดประสงค์ในการเดินทาง

“รีสอร์ท? จะสร้างแถวไหนเหรอครับ” ได้รับเพียงความเงียบตอบกลับมา ชายหนุ่มรู้ว่าคำถามของตัวเองออกจะเสียมารยาทไปสักหน่อย เขาไม่ได้อยากก้าวก่ายหรือสอดรู้สอดเห็นอะไรหรอก แต่กระบี่มีที่เที่ยวเป็นร้อย เขาแค่อยากได้ข้อมูลมาทำไกด์ไลน์เท่านั้นเอง

“ถ้านายหัวไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรครับ ผมแค่อยากรู้ทำเลนิดหน่อย จะได้เจาะลึกที่เที่ยวแถวนั้น” ชายหนุ่มยกยิ้มติดขัด มิตรภาพส่อแววล่มตั้งแต่วันแรกที่พบเจอ

“ฉันจะสร้างรีสอร์ทบนเกาะ”

“เกาะ!” ชายหนุ่มเบิกตาโต การสร้างรีสอร์ทบนเกาะนั้นยุ่งยากหลายเท่าตัว ไม่ว่าจะเป็นการถือครองหรือการจ่ายส่วนต่างอีกมากมายเพื่อดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ นอกจากความรวยแล้วต้องใช้อำนาจควบคู่ไปกับผลประโยชน์ด้วย ลูกชายของเถ้าแก่ไม่ธรรมดาซะแล้วสิ

“ใช่ ฉันมีเอกสารสิทธิ์ที่ดินบนเกาะแห่งหนึ่งในกระบี่..เป็นมรดกตกทอดน่ะ”

“ถ้านายหัวจะทำรีสอร์ทบนเกาะ แล้วจะให้ผมนำเที่ยวบนฝั่งทำไมล่ะครับ?”

“ฉันอยากตกแต่งรีสอร์ทด้วยวัฒนธรรมของชาวปักษ์ใต้น่ะ คงความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ ไม่ใช่มาทะเลแต่เหมือนยังอยู่กรุงเทพ แบบนั้นมันก็ไม่ใช่”

“อ๋อ..” รอยยิ้มจางปรากฎขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่ม รีสอร์ทส่วนใหญ่มักจะออกแบบมาให้ทันสมัยเพื่อรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวและอำนวยความสะดวกสบายให้ทุกสิ่งอย่าง กิจกรรมมากมายถูกคิดค้นเพื่อสนองความต้องการของผู้คนสมัยใหม่ น้อยนักที่จะมาดื่มด่ำกับธรรมชาติอย่างแท้จริง

“แล้วนายหัวจะไปที่ไหนบ้างล่ะครับ?”

“ไม่รู้..ถ้ารู้จะจ้างไกด์มาทำไม”

เออว่ะ..นั่นน่ะสิ “งั้นเดี๋ยวผมร่างโปรแกรมให้แล้วกันนะครับ จะไปวันพรุ่งนี้เลยไหม?”

“ยังก่อน ฉันต้องทำความเข้าใจกับระบบงานของที่นี่ก่อน..คงอีกสักระยะ”

“ครับ งั้น... ผมขอตัวไปทำงานต่อนะ”

ตรัยพยักหน้าให้ ค่อนข้างพอใจกับอุปนิสัยและความนึกคิดของชายหนุ่มพอควร เป็นคนนอบน้อมแต่ไม่ประจบประแจง น่าจะอยู่กับเขาได้

“เดี๋ยวก่อน”

“ครับ?”

"ขอเบอร์ติดต่อได้ไหม เผื่อไม่เจอตัวจะได้โทรตาม”




 TBC



  [1] ศูนย์ PIPO ย่อมาจาก Port in – port out : PIPO อ่านออกเสียงว่าไปโป้ แต่คนเรือจะออกเสียงเพี้ยนเป็นปีโป้ เป็นศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออกของเรือประมง เริ่มทดลองใช้ระบบนำร่องในปี พ.ศ.2558 เพื่อควบคุมการทำประมงผิดกฎหมาย

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-08-2019 22:23:35
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-08-2019 23:34:59
 o13
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 28-08-2019 15:23:07
 :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 28-08-2019 20:03:01
  บทที่ 2



   เกลียวคลื่นม้วนตัวเข้าหาชายฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่าไม่เคยหยุดพัก แสงสีส้มแดงตรงเส้นขอบฟ้าบ่งบอกสัญญาณเริ่มต้นวันใหม่อีกครั้งแทนความดำมืด รุ่งภพนอนบิดขี้เกียจอยู่นานกว่าจะลุกขึ้นไปอาบน้ำเตรียมตัวออกไปใช้แรงงานเหมือนเคย ชายหนุ่มหาวหวอดหลับตาฟังทางมะพร้าวหลังบ้านเสียดสีกันดังซ่อกแซ่ก สายลมอุ่นพัดโชยมาคลอเคลียผิวกาย ไม่ได้ช่วยให้คลายร้อนเท่าไหร่นักอีกทั้งยังทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะและไม่สบายตัว

   เจ้าของบ้านริมทะเลกลืนแซนวิสชิ้นละห้าบาทลงคอขณะกดล็อคประตูบ้าน ชายหนุ่มมองเศษแฮมเท่าขี้เล็บด้วยความอนาถจิต เลือกกินแต่ชั้นในสุดก่อนจะยกส่วนที่เหลือให้กับจอมตะกละผู้เขมือบได้ทุกอย่างบนโลกใบนี้

   เขายิ้มเอ็นดูขณะยืนมองหมาอ้วนพุงพลุ้ยทิ้งตัวนอนแหมะกินแผ่นขนมปังสีขาวด้วยหน้าตามู่ทู่ ชายหนุ่มย่ำเท้าเดินออกจากบ้าน สูดอากาศสดชื่นเข้าปอดระหว่างทางเดินไปยังแพปลา

   นอกจากตังเกเขาก็ไม่เหลือใครอีก พ่อก็เสียไปหลายปีแล้วด้วยโรคมะเร็งกล่องเสียงเพราะสูบบุหรี่อย่างหนัก ส่วนแม่ก็แยกทางไปมีครอบครัวใหม่ ต่างคนต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง แม้จะเสียใจและโดดเดี่ยวในช่วงแรกๆ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ปรับตัวได้เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป

   ต่อให้เดินเอ้อระเหยลอยชายแค่ไหนก็ยังมาถึงแพปลาในตอนเช้าตรู่ ฟ้าสว่างมากแล้วไม่หลงเหลือความขมุกขมัวอีกต่อไป ชีวิตประจำวันของเขาเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง กลิ่นคาวปลาคุ้นจมูก ตามด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายและเสียงเครื่องบดน้ำแข็งดังประสานกันฟังแล้วโคตรหนวกหู ถึงอย่างนั้นพวกคนงานก็ยังอุตส่าห์ตะเบงเสียงคุยกันไม่มีย่อท้อ แม้จะต้องตะโกนจนคอแทบแตกก็ยอม

   ชายหนุ่มตบสะโพกตังเกเบาๆ ให้มันนั่งลงระหว่างรอเขาคลุกข้าวกับปลาทูให้มันกิน วันนี้รุ่งภพตั้งใจจะให้มันวิ่งเล่นอยู่ในแพปลา ไม่ได้อยากเอามันมาด้วยหรอกแต่จนใจจะไล่เพราะมันวิ่งตาม

   “รุ่ง” ไต๋เมืองนั่งยองข้างเขา ในมือถือบุหรี่ยี่ห้อตลาดควันกรุ่น แกเร่งสูบให้หมดมวนก่อนใครจะมาเห็น เพราะเถ้าแก่เคยออกกฎเอาไว้ว่าห้ามสูบบุหรี่ในเขตแพปลา “วันนี้เอ็งหม้ายต้องไปไหนตะ อยู่แพปลานี่ล่ะ”

   “อ้าว พรื้อล่ะ? ฉันต้องไปส่งปลาให้ร้านอาหารนะ”

   “เดี๋ยวห้ายไอ้มิ่งมันไปแทน เอ็งแลคุณตรัยอยู่นี่ละ เผื่อเติ้นอยากได้ไอ่ไหรอิได้เรียกหา”

   “ก็ได้” ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำไม่ได้คัดค้านอะไร อยู่ในแพปลาก็ดี จะได้เคลียร์สมุดบันทึกไปด้วยเลย ระยะหลังมานี้เขารู้สึกว่าส่วนแบ่งรายได้มันหดหายจนผิดสังเกต ปริมาณปลาเท่าเดิมแต่รายได้ลดลง คนงานเริ่มบ่นกันหนักขึ้นจนเขาเหนื่อยใจ คงต้องลองเทียบเกรดและน้ำหนักปลากับรอบก่อนๆ ดู หากจับได้ลดลงหรือเกรดต่ำจากเดิมจริง คงทำอะไรไม่ได้มากนอกจากทำใจยอมรับมัน “เมื่อไหร่ลุงอิเลิกสูบยาสักทีล่ะ พ่อฉันก็ตายไปคนนึงแล้ว อยากอายุสั้นเหมือนพ่อฉันเหรอ?”

   “มันเลิกได้ง่ายๆ เท่ไหนเล่าเอ็งก็..ข้าก็พยายามโหย่ นี่ก็ลดลงมาเยอะแล้ว สูบแค่วันละมวนเอง”

   “ไม่ห่วงตัวเองก็ห่วงลูกห่วงเมียบ้างนะลุง ไม่สูบก็ตายได้..ตายเพราะควันของคนสูบนี่ล่ะ”

   “ฮื้อ ขี้บ่นแท้วะ ไปดีกว่า รำคาญเอ็ง” พูดจบก็เผ่นแหน่บ เถียงไม่ออกเพราะรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด

   รุ่งภพส่ายหน้า เลิกใส่ใจคนแก่หัวดื้อแล้วลากสายยางมาล้างเม็ดข้าวที่ติดอยู่เต็มมือ ล้างเสร็จก็นั่งเฝ้าหมากินข้าวพร้อมกับไล่เทียบตัวเลขในสมุดบันทึกย้อนหลัง

   เสียงเห่าอย่างเกียจคร้านดังขึ้นเหมือนไม่ค่อยเต็มใจนัก รุ่งภพเงยหน้าขึ้นมองเงาที่พาดทับลงมาบนตัวเขา ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วยกมือไหว้ ลูกชายเถ้าแก่มีสีหน้าอิดโรยเล็กน้อยแต่ขอบตาดำเป็นปื้นอย่างกับหมีแพนด้า ไม่หลับไม่นอนหรือยังไง?

   “สวัสดีครับนายหัว มาแต่เช้าเลย”

   “อย่าเรียกนายหัวได้ไหม นึกถึงจำเลยรักขึ้นมาเลย”

   รุ่งภพหลุดเสียงหัวเราะออกมาดังพรืด รู้สึกตลกเมื่อเห็นสีหน้าแปลกแปร่งของชายหนุ่ม “นายหัว เอ้ย คุณตรัยดูละครด้วยเหรอครับ”

   “นางเอกสวยก็เลยดู” พูดหยอกไปอย่างนั้น ความจริงแล้วแค่เดินผ่านทีวีตอนละครไตเติ้ลเท่านั้นเอง ตอนนั้นน้องสะใภ้เขาบ้าเห่อมาก เปิดดูจนเขาจำเพลงไตเติ้ลได้จนถึงทุกวันนี้

   เชิญคุณลงทัณฑ์บัญชา~

   “วันนี้ไม่ออกเรือเหรอ?”

   “ไม่ได้ออกมาหลายวันแล้วครับ ต้องรอให้เรือซ่อมบำรุงเสร็จก่อน..วันนี้คุณอยากไปไหนไหม ผมพาไปได้นะ”

   “ยังก่อน ฉันยังไม่รีบ”

   “โฮ่ง!!”

   ตรัยส่งมือให้หมาพุงพลุ้ยดมกลิ่น พอมันกิ   นข้าวในกะละมังหมดก็เริ่มหันเหความสนใจมายังเขา “กัดไหม”

   “ไม่กัดครับ หมาของผมใจดีและเป็นมิตรกับทุกคน” มันทำทีท่าเป็นมิตรด้วยการดมและซุกจมูกไปตามซอกนิ้วของตรัย สักพักก็ทำจมูกบานเพยิบก่อนจะส่งเสียงฟึดฟัดออกมาเหมือนฉุนอะไรสักอย่าง พอหมดความสนใจก็สะบัดตูดหนีไปนั่งเฝ้าสาวคัดปลาต่อ หวังจะได้ปลาทูอีกสักตัวมาเป็นของว่างหลังมื้อเช้า

   รุ่งภพยิ้มเจื่อน รู้สึกอับอายขายขี้หน้าเป็นอย่างมาก

   “เรือพวกนี้เป็นของเราหมดเลยเหรอ” คนถามพยักหน้าไปยังเรือหลายลำที่จอดเทียบท่าบริเวณสันเขื่อน สีสันละลานตาและชื่อเรือยาวเหยียดตามด้วยตัวเลขต่อท้าย

   “ไม่ใช่หรอกครับ มีเรือจากเจ้าอื่นมาขอเทียบท่าและขึ้นของด้วย ถ้าเป็นเรือของเถ้าแก่เองจะมีอยู่ห้าลำครับ เป็นเรือพาณิชย์ลำใหญ่สองลำ เรือประมงขนาดกลางสามลำ เวลาสังเกตเรือพาณิชย์ให้ดูตรงหัวเรือครับ จะมีอักษร ป. อยู่ตรงหัวเรือ ตรงขอบจะเป็นชื่อแล้วก็เลขทะเบียนเรือ ส่วนใหญ่เรือพาณิชย์ที่ออกจับปลาจะเป็นเรืออวนลาก อวนรุน อวนลอยแล้วก็อวนล้อม แล้วแต่นายทุนเขาจะเลือกลงทุนครับ”

   “แล้วของเราเป็นเรืออะไร”

   “ถ้าลำใหญ่เป็นเรืออวนลอยกับเรืออวนล้อมอย่างละลำครับ ตอนนี้เรืออวนลอยเก่ามากแล้วเราเลยใช้แต่เรืออวนล้อมอย่างเดียว ส่วนเรือขนาดกลางเป็นเรือไดหมึกหนึ่งลำ ดักกุ้งหนึ่งลำแล้วก็อวนปูอีกหนึ่งลำครับ”

   “ถูกกฎหมายใช่ไหม ช่วงนี้มีข่าวไม่ค่อยดีเลย”

   “คุณไม่ต้องกังวลหรอกครับ เถ้าแก่แกให้ความร่วมมือกับทางการเป็นอย่างดี จัดทำทะเบียน ขอใบอนุญาตถูกต้องทั้งคนทั้งเรือนั่นแหละครับ เรือที่มีปัญหาอยู่ตอนนี้จะเป็นเรือเถื่อนไม่ขึ้นทะเบียนกับกรมประมงครับ ส่วนใหญ่จะเป็นเรือที่จดทะเบียนไม่ตรงกับเครื่องมือ แล้วก็พวกอวนลาก อวนรุนที่ลักลอบจับปลาในเขตหวงห้ามครับ”

   ตรัยขมวดคิ้ว เขายังไม่คอยเข้าใจวิธีการทำประมงพวกนี้นัก “ทำไมมีหลายอวนจัง เรือพวกนี้ทำประมงไม่เหมือนกันเหรอ”

   “เราจะเรียกเรือตามลักษณะของอวนครับ อวนแต่ละประเภทจะมีวิธีการดักจับที่ไม่เหมือนกัน อย่างเรืออวนล้อมหรือที่เรียกกันว่าอวนดำจะล้อมจับบริเวณผิวน้ำถึงกลางน้ำ ถ้าเป็นอวนลากอวนรุน ก้นอวนจะยาวกวาดลากไปตามพื้นใต้ทะเล อวนแบบนี้ทำลายทรัพยากรใต้น้ำครับ จัดเป็นเครื่องมือทำลายล้างเพราะจับปลาที่ไม่ใช่เป้าหมาย ชาวประมงดั้งเดิมจับปลาเพื่อนำมาบริโภคแต่เรือพวกนี้จับปลาเล็กปลาน้อยเข้าโรงงานไปแปรรูปเป็นอาหารสัตว์กันหมด บางทีก็เอาไปทำปุ๋ย เรามีปัญหากับ EU เรื่องนี้แหละครับ หลายประเทศยกเลิกการใช้อวนลากอวนรุนกันไปหมดแล้ว บ้านเราถือว่าผ่อนผันให้เยอะมาก ยอมให้ขึ้นทะเบียนถูกกฎหมายตั้งหลายพันลำ”

   “ทำไมล่ะ? ยกเลิกไปเลยไม่ได้เหรอ”

   รุ่งภพยิ้มอ่อน ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก “คงต้องรอจนกว่าสัญญาอนุญาตจะหมดน่ะครับ ยกเลิกเลยไม่ได้หรอก กระทบกับธุรกิจหลายภาคส่วน ไหนจะโรงงานแปรรูป ไหนจะซัพพลาย ทำได้แค่ควบคุมตาอวนเท่านั้นแหละครับ ไม่ให้ถี่มากจนเกินไป เวลาจับพวกลูกปลาจะได้ว่ายออกได้”

   ตรัยพยักหน้าเข้าใจ ธุรกิจโรงแรมของครอบครัวเขาก็รับอาหารทะเลพวกนี้มาจากซับพลายอีกทอดหนึ่ง จะโทษคนทำประมงอย่างเดียวก็ไม่ได้ ในเมื่อผู้บริโภคยังต้องการ มันก็ต้องมีการแสวงหากันต่อไป

   ดวงตาคมทอดมองเรือหลากสีโต้คลื่นลอยโคลงไปมา เขาละสายตาออกห่าง เปลี่ยนความสนใจใคร่รู้ไปยังสมุดบันทึกในมือของรุ่งภพแทน

   “กำลังทำอะไรอยู่เหรอ?”

   “อ๋อ ผมกำลังไล่เทียบปริมาณปลาแต่ละรอบดูน่ะครับ จะดูว่าจับได้มากได้น้อยแค่ไหนบ้าง”

   “ของวันไหน? จดเอาไว้ทุกรอบเลยเหรอ”

   “ครับ ทุกครั้งที่มีการชั่งน้ำหนักปลา ผมจะจดเอาไว้ในสมุดตัวเองก่อนแล้วค่อยคัดลอกใส่แบบฟอร์ม” ลายมือเขาค่อนข้างชุ่ย ต้องตั้งใจเขียนถึงจะอ่านออก

   “ขอดูหน่อยสิ”

   ชายหนุ่มส่งสมุดบันทึกให้กับตรัยอย่างว่าง่าย สมุดปกอ่อนยับเยินและเป็นรอยด่างดวงจากคราบสกปรกไม่ต่างกับลายมืออ่านยากด้านใน แต่ละหน้าจะบันทึกวันเวลาเอาไว้อย่างละเอียด นอกจากน้ำหนักและชนิดของปลาแล้วยังมีพิกัดละติจูดและลองจิจูดอีกด้วย

   “เล่มนี้เป็นบันทึกขั้นต้นนะครับ จดแต่น้ำหนักและชนิดของปลา ถ้าคุณอยากรู้ราคาต่อกิโลกรัมต้องไปดูที่เสมียนบัญชีครับ”

   “เธอเป็นคนจดบันทึกรายละเอียดพวกนี้หมดเลยเหรอ”

   “ครับ ผมเป็นชิ้วประจำเรือ”

   “ชิ้ว?” ทวนคำเรียกของชายหนุ่มแต่ไม่ได้ถามต่อว่าหมายถึงอะไรเพราะกำลังยุ่งกับตัวเลขในกระดาษ..ทำไมตัวเลขในช่องรวมถึงไม่ตรงกับใบสรุปยอดขายที่เขาเรียกดูจากเสมียนบัญชี “เธอว่างหรือเปล่า เข้าไปช่วยฉันดูเอกสารในออฟฟิศหน่อยสิ”

   “หา?” ชายหนุ่มชี้นิ้วเข้าหาตัว ให้เขาไปเข้าช่วยงานในออฟฟิศเนี่ยนะ แล้วจะมีเสมียนไว้ทำไม?

   รุ่งภพเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจขณะเดินตามลูกชายเถ้าแก่เข้าไปในออฟฟิศขนาดกะทัดรัดของแพปลา ชายหนุ่มคุ้นเคยกับห้องแอร์เย็นฉ่ำนี้ดี เขาต้องเข้ามาส่งแบบฟอร์มชั่งน้ำหนักให้กับเสมียนบัญชีทุกครั้งหลังกลับเข้าฝั่ง พอเปิดประตูเข้ามาจะเจอกับโซฟารับแขกใหม่เอี่ยม ถัดไปเป็นโต๊ะทำงานโล่งๆ ไม่มีพาร์ทิชันกั้น ด้านซ้ายมือเป็นแคนทีนขนาดเล็กสำหรับชงเครื่องดื่มและชั้นเก็บขนม ส่วนด้านขวาเป็นห้องทำงานส่วนตัวของเถ้าแก่ชัย มีการก่อผนังเพิ่มเติมและใส่ประตูกระจกทึบแสงเข้าไปแทนที่เพื่อความเป็นส่วนตัวของนายจ้าง ชายหนุ่มยิ้มให้สาวบัญชีร่างผอมขณะเดินผ่าน เธอยิ้มตอบด้วยท่าทางเกร็งเครียด ไม่ค่อยสดใสเหมือนเพื่อนร่วมงานอีกสองคนที่ยิ้มทักทายเถ้าแก่น้อยด้วยความกะตือรือร้นจนเกินพอดี

   ห้องทำงานของเถ้าแก่เป็นระเบียบขึ้นจากเดิมเยอะมาก แม้จะมีเอกสารมากมายกองอยู่บนโต๊ะทำงานแต่ก็ถูกจัดวางอย่างเป็นสัดส่วน ไม่รกหรือเกะกะสายตาเหมือนเมื่อก่อน ตรัยเปิดสมุดบันทึกของชายหนุ่มดูอีกครั้งอย่างจริงจัง ไล่เทียบกับใบสรุปยอดขายและรายงานทางบัญชีที่เขาใช้อำนาจเรียกดู

   “นั่งก่อนสิ”

   คนสั่งไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองด้วยซ้ำเพราะกำลังยุ่งอยู่กับตัวเลขในสมุดบันทึก รุ่งภพนั่งลงเงียบๆ ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงใดออกไปรบกวน

   “ทำไมปริมาณปลาในบันทึกมีมากกว่าล่ะ” เสียงพึมพำบอกกับตัวเองระหว่างไล่ดูชนิดและจำนวนปลาในบันทึกของรุ่งภพ ชนิดตรงกันแต่จำนวนไม่เท่ากัน “ปลาที่จับได้ส่งออกหมดเลยเหรอ”

   “ห๊ะ...” ชายหนุ่มอุทานออกมาด้วยไม่ทันตั้งตัว เขากำลังมองรูปเด็กชายสองคนในกรอบไม้อย่างพิจารณาและคิดว่าคนไหนคือตรัยตอนเด็ก จึงไม่ทันได้ฟังคำถามเมื่อครู่นี้

   ตรัยถอนหายใจหนัก ทวนคำถามอีกครั้งอย่างใจเย็น “ฉันถามว่า ปลาที่จับได้ส่งออกหมดเลยเหรอ”

   “แล้วแต่ชนิดครับ มีส่งให้ซัพพลายแล้วก็ร้านอาหารในจังหวัดด้วย”

   “เราเอาไปส่งให้เขาหรือเขามาเอาเอง”

   “แล้วแต่ครับ ซัพพลายบางเจ้าก็มาเลือกเอง ส่วนพวกปลาเลยจะมีร้านอาหารสั่งจองเอาไว้ครับ ถ้าจับได้ต้องเอาไปส่งให้เขาทันที” นอกจากนี้แพโชคชัยยังรับหน้าที่เป็นคนกลางเปิดประมูลสัตว์น้ำให้กับเรือลำอื่นอีกด้วย อีกทั้งยังเปิดบริการตู้แช่ให้เช่าอีก รายรับหลายทางแต่คนละส่วนกับออกเรือเอง

   “ปลาเลยคืออะไร?”

   “ปลาเลยเป็นปลาเศรษฐกิจครับ พวกหมึก กุ้ง ปลากะพง ปลาทรายแดง ปลาจะละเม็ด ปลามีราคาน่ะครับ” ลูกชายเถ้าแก่ส่งเสียงอ่อในลำคอเป็นเชิงรับรู้ รุ่งภพขมวดคิ้ว ข้อมูลแค่นี้ถามเสมียนหน้าห้องเอาก็ได้ “ผมรู้แค่เรื่องทั่วไปนะครับ เฉพาะงานที่เป็นหน้าที่ของผม”

   “เรื่องทั่วไปนั่นแหละที่ฉันอยากรู้ ตัวเลขพวกนี้มันตกแต่งได้ ค่าใช้จ่ายเท่าเดิมแต่รายได้ลดลงจนฮวบฮาบ ไม่ผิดสังเกตไปหน่อยเหรอ?”

   “รายได้ลดลง จริงๆ เหรอครับ” จะตกงานไหมอ่ะ สำหรับรุ่งภพห่วงเรื่องนี้ยิ่งกว่าอะไร

   “ใช่..แต่ตัวเลขมันโดดเกินไป ฉันกำลังคิดว่ามีคนเล่นตุกติกในบัญชี” เขาพุ่งเป้าไปยังเสมียนบัญชีเป็นคนแรกเพราะน่าสงสัยสุด

   “เล่นตุกติกในบัญชี? หมายถึง... ลงบัญชีเท็จเหรอครับ” รุ่งภพเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดขัด ลูกชายเถ้าแก่ไม่ได้มีท่าทีเกรี้ยวกราดหรือหงุดหงิดอะไร ออกจะสงบนิ่งเกินไปด้วยซ้ำ

   “ประมาณนั้น ฉันพยายามตรวจใบเสร็จ ตรวจรายรับ ตรวจค่าใช้จ่ายแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติเลย นอกจากปลาที่ลดลง”

   “ลดลงเหรอ? เท่าที่ผมตรวจดูก็ไม่นะครับ!..พวกเราก็พยายามจับให้ได้เท่าเดิม”

   ตรัยยิ้มให้กับท่าทางตื่นตระหนกนั้น “ฉันเกือบจะถอดใจแล้ว..ถ้าไม่เห็นสมุดบันทึกของเธอก่อน” ชายหนุ่มเลื่อนสายตามองสมุดในมือเขา “ฉันอยากรู้ว่าสมุดเล่มนี้น่าเชื่อถือได้มากแค่ไหน”

   “เชื่อถือได้สิครับ หลังกลับเข้าฝั่งต้องใช้สมุดเล่มนี้ทำรายงานล็อกบุ๊คส่งศูนย์ปีโป้ด้วย ให้เขาลงบันทึกว่าเรือเข้าท่ากี่โมง จับได้สัตว์น้ำชนิดไหนบ้าง ปริมาณเท่าไหร่ กรมประมงเขาออกกฏควบคุมมาครับ”

   “ศูนย์ปีโป้คืออะไร?”

   “ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออกเรือประมงครับ จะออกไปจับปลาก็ต้องไปแจ้งก่อน พอกลับเข้าฝั่งแล้วก็ต้องไปแจ้งเหมือนกัน เขาจะดูใบอนุญาต ใบอาชญาบัตรเรือแล้วก็เอกสารของคนงานว่าถูกต้องครบถ้วนไหม”

   รุ่งภพน่าจะออกเสียงผิด มันน่าจะเรียกว่าศูนย์ไปโป้มากกว่า ไม่ใช่ปีโป้เยลลี่ขนมของเด็ก “มีศูนย์ควบคุมอีกทีนึงสินะ” ตรัยหมุนปากกาในมือเล่นขณะครุ่นคิด เขาอยากได้รายงานฉบับนั้นเพราะน่าเชื่อถือกว่า คงต้องแวะเข้าไปศูนย์ไปโป้ก่อนแล้วขอถ่ายเอกสารกลับมา

   “งั้นเดี๋ยวเราไปศูนย์ปีโป้กัน”

   “ไปทำไมครับ?”

   “ฉันอยากได้รายงานฉบับนั้น”

   “เรามีต้นฉบับครับ ศูนย์เขาเก็บแต่สำเนา”

   “อ้อ แล้วต้นฉบับมันอยู่ไหนล่ะ?”

   “เถ้าแก่เก็บไว้ในห้องนี้แหละครับ แต่ไม่รู้ว่าแฟ้มไหน”

   “งั้นเดี๋ยวค่อยหาก็ได้” ถ้ามันอยู่ในห้องพ่อก็คงไม่หายไปไหนหรอก “ฉันถามอะไรหน่อยสิ พวกเธอกำหนดราคาปลากันยังไงเหรอ ทำไมแต่ละรอบไม่เท่ากันเลย”

   “อิงจากราคากลางในแต่ละวันครับ ถ้าปลาไม่ได้ขาดตลาด ราคาจะใกล้เคียงกันครับ ไม่ห่างกันมาก”

   “งั้นเหรอ เดี๋ยวเธอช่วยเทียบจำนวนปลาในสมุดกับใบสรุปยอดขายให้ฉันทีสิ แยกออกมาแต่ละรอบว่าลดหรือเพิ่มเท่าไหร่ เดี๋ยวฉันจะลองตรวจค่าใช้จ่ายอื่นๆ ดูอีกรอบ”

   รุ่งภพเพ่งมองเอกสารมากมายบนโต๊ะสลับกับเงยหน้าขึ้นมองคนสั่ง เริ่มรู้สึกตาลายขึ้นมาดื้อๆ เมื่อนึกถึงตัวเลขมากมายในเอกสาร

   “คุณไว้ใจผมเหรอครับ”

   “แล้วไว้ใจได้ไหมล่ะ? ฉันอยากได้คนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานเอกสารพวกนี้ อีกอย่าง..เธอเป็นคนที่พ่อฉันเลือกให้มาดูแลฉัน คงไว้ใจได้ในระดับหนึ่ง..ใช่ไหม?”

   “แต่เรายังไม่รู้จักกันดีพอ”

   “เจอกันทุกวัน เดี๋ยวก็รู้จักกันดีเอง”

    “คุณน่าจะขอให้ไต๋ช่วย”

   “ขอแล้ว..แต่เขาโบ้ยให้เธอทำ

    รุ่งภพหน้าบูด กะแล้วเชียวทำไมหวยถึงมาออกที่เขาได้

   ไม่มีเสียงตอบรับนอกจากแววตาของคนครุ่นคิดหนัก ปัญหาแบบนี้คงไม่มีใครอยากยุ่งด้วยนัก ตรัยเองก็ไม่อยากบีบคั้นแต่จำเป็นต้องใช้คนนอกเข้ามาช่วยจริงๆ

   “ว่ายังไงล่ะ จะช่วยไหม?”

   “เอ่อ...”

   โครกกกกกกกกกกก

   รุ่งภพตัวแข็งทื่อกับเสียงประหลาดจากตัวเอง ได้แต่ยิ้มแห้งแล้วนั่งกุมท้อง หิวจนกระเพาะเต้นโครกคราก ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนอกจากแซนวิสห้าบาทที่กัดกินเพียงแต่ไส้

   “...”

   ตรัยนิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าจะได้รับการตอบกลับเช่นนี้ เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความขบขัน ความเคร่งเครียดจริงจังปลิวหาย เหลือเพียงบรรยากาศผ่อนคลายกับเรื่องน่าอายของชายหนุ่ม

   จะว่าไป..เด็กนี่ก็น่ารักดี 



TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 2 l 28/8/62
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 29-08-2019 11:43:16
 :pig2: ก็ว่าคุ้นๆชื่อเรื่องอยู่ ติดตามค่าา
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 2 l 28/8/62
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 29-08-2019 12:17:21
 :katai5: :katai5: น่ารักกกกก
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 2 l 28/8/62
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 29-08-2019 19:09:42
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 2 l 28/8/62
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 29-08-2019 19:12:39
ตามติดค่ะ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 3 l 29/8/62
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 29-08-2019 19:55:35
บทที่ 3



   “ไม่ได้กินข้าวมาเหรอ?”

   “ยังครับ”

   “แล้วทำไมไม่กินล่ะ อาหารเช้าสำคัญมากนะรู้ไหม”

   “จริงๆ แล้ว...วันนี้ผมต้องเอาปลาไปส่งให้ร้านอาหารในเมืองก็เลยจะไปหาอะไรกินที่โน่น...แต่ไต๋ไม่ให้ผมไปเพราะกลัวคุณจะเรียกหาน่ะครับ”

   “อ้อ..เป็นเพราะฉันสินะ” ทำให้ชายหนุ่มอดข้าวแล้วยังจะใช้งานอีกต่างหาก “งั้นก็ไปกินข้าวกันก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมาคุยกันต่อ”

   ยังจะคุยอีกเหรอ? “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

   “จะไปไหน?”

   “ไปกินข้าวไงครับ”

   “ฉันหมายถึงไปกินด้วยกัน...ฉันก็ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเหมือนกัน” ตรัยลุกขึ้นแล้วเดินนำ เปิดประตูให้ชายหนุ่มออกไปก่อนแล้วปิดล็อกตามหลัง

   “แล้วมาบอกว่าอาหารเช้าสำคัญ ตัวเองก็ยังไม่ได้กินแท้ๆ”

   “บ่นอะไร ได้ยินนะ”

   สะดุ้งเฮือกแล้วหันมายิ้มเผล่ รีบยกมือไหว้เป็นเชิงขอโทษ “เดี๋ยวผมหาอะไรกินแถวนี้ก็ได้ครับ คุณ...เอ่อ ตามสบายเลย” ความหมายก็คือต่างคนต่างไปจะดีกว่า

   “ถ้าเธอไม่ไปด้วยแล้วฉันจะสบายได้ยังไง คนนำทางก็ไม่มี ร้านอาหารในจังหวัดนี้ก็ไม่รู้จัก เกิดหลงขึ้นมาจะทำยังไง...มันเสียเวลานะ”

   รุ่งภพแอบกลอกตา ในโลกนี้มี GPS นะรู้ยัง “โอเคครับ ผมพาไปก็ได้” ขี้คร้านจะเถียง อีกอย่าง GPS ก็ใช่ว่าจะแน่นอนเสมอไป หากหลงขึ้นมามันก็ทำให้เสียเวลาจริงๆ นั่นแหละ

   “ต้องว่านอนสอนง่ายแบบนี้สิ ถึงจะดี”

   คราวนี้ตรัยเป็นฝ่ายเดินนำไปยังลานจอดรถ ช่วงขาที่ยาวกว่าแทบจะทำให้รุ่งภพเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งแทน ชายหนุ่มเปิดประตูข้างคนขับอย่างระมัดระวังและปิดอย่างเบามือ รถเอสยูวีสีขาวใหม่เอี่ยมทำเอาเกร็งไปทั้งตัว ไม่กล้าแม้แต่จะทิ้งรอยนิ้วมือเอาไว้เลยด้วยซ้ำ

   “คาดเข็มขัดด้วย”

   ชายหนุ่มลากสายเข็มขัดนิรภัยเสียบเข้ากับตัวล็อคตามคำสั่ง ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความระมัดระวังจนน่าหงุดหงิดรำคาญใจ แค่คาดเข็มขัดก็เสียเวลาไปหลายนาทีแล้ว

   พอคาดเสร็จก็นั่งตัวแข็งจนเขาเกร็งตาม รถของตัวเองแท้ๆ ทำไมต้องบ้าจี้ตามเด็กนี่ด้วยก็ไม่รู้

   ประสาทชะมัด




   ร้านอาหารที่หนุ่มใต้พามาเป็นร้านขนมจีนเก่าแก่ บรรยากาศของร้านค่อนข้างคึกคักมีลูกค้าแออัดอยู่เกือบทุกโต๊ะ ตรัยเหลือบมองฝ้าทีบาร์เก่าเหลืองบนเพดานและเสาไม้เก่าซีด คงเปิดมาหลายปีแล้วและน่าจะมีชื่อเสียงพอสมควร

   “พาเข้าร้านขนมจีนแต่เช้าเลย กินตอนท้องว่างเดี๋ยวก็ท้องเสียหรอก”

   “ร้านนี้ทำขนมจีนแป้งสดครับไม่ใช่แป้งหมัก เส้นนุ่มมาก น้ำยาเขาอร่อยมากเลยนะครับ ผมอยากให้คุณลองชิม... แต่ถ้าคุณไม่อยากกิน เปลี่ยนร้านก็ได้นะครับ”

   “เปลี่ยนตอนนี้คงไม่ทันแล้วล่ะ” เข้ามานั่งแล้วด้วย ถ้าเดินออกไปมันจะเสียมารยาท “เธอสั่งก็แล้วกัน ฉันสั่งไม่ถูกหรอก” ตรัยผลักเมนูอาหารไปให้ชายหนุ่ม ร้านนี้มีน้ำยาหลายอย่างแต่ไม่รู้อย่างไหนอร่อยบ้าง คงต้องให้คนในพื้นที่เป็นคนจัดการ “นี่ผักอะไร”

   ผักที่เป็นเครื่องเคียงบนโต๊ะมีให้เลือกเป็นถาดใหญ่ เขารู้จักแค่เพียงถั่วงอก ถั่วฝักยาวและแตงกวาดองเท่านั้น ยกเว้นก็แต่ยอดสีเขียวอ่อน ใบมันลื่นที่เขาไม่รู้จักและไม่เคยเห็น

   “ใบมันปูครับ เป็นผักพื้นบ้านของเรา ประโยชน์เยอะนะครับ ช่วยชะลอแก่แล้วก็ต้านเซลล์มะเร็งด้วย”

   ตรัยเลิกคิ้วขึ้นจ้องมองยอดอ่อนคล้ายใบมะม่วงอย่างไม่เชื่อสายตา “จริงเหรอ ประโยชน์เยอะกว่าเบอร์รี่สกัดอีก”

   “จริงครับ ได้รับการวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลเลยนะ” ต้องทำหน้าจริงจังขนาดนั้นเชียว

   “เหรอ...แล้วกินยังไงล่ะ”

   “เอาเข้าปากแล้วก็เคี้ยวไงครับ”

   ตรัยรู้สึกได้ถึงหางคิ้วที่กำลังกระตุกถี่ เด็กนี่คงไม่ได้มีเจตนาจะกวนโมโหแต่อย่างใด...แต่บางทีก็ซื่อและทื่อเกินไปจนน่าโมโห

   “เอาเถอะ” เขาวางยอดมันปูคืนใส่ถาด ถึงมันจะมีประโยชน์มากแต่เขาจะไม่กินอะไรแปลกๆ เป็นอันขาด

   รอไม่นานชามกระเบื้องก็ถูกยกเข้ามาเสิร์ฟ ตรัยมองน้ำยาขนมจีนในชามอย่างสนใจ สีจัดจ้านน่าดูและเต็มไปด้วยผักนานาชนิด ทั้งมะละกอหั่นแว่น มันเทศแล้วก็มะเขือเปราะ พอก้มลงไปดมก็ได้กลิ่นเครื่องแกงหอมอ่อนๆ ไม่ฉุนนัก หน้าตาและกลิ่นผ่าน เหลือแต่รสชาติที่ยังไม่ได้ลอง

   “เธอสั่งน้ำยาอะไรให้ฉัน”

   “น้ำยาแกงไตปลาครับ คุณเคยกินไหม”

   “ไม่เคย มันเผ็ดไหม”

   “อืม..สำหรับผมไม่เผ็ดนะครับ” ลิ้นใครลิ้นมัน กินแทนกันไม่ได้ “คุณจะกินน้ำยากะทิของผมไหม? เขาโขลกปลาทะเลข้างเหลืองลงไปด้วยนะ เอาไหมครับ..เดี๋ยวผมตักให้”

   “เอานิดเดียวนะ ขอชิมก่อน” ตรัยพอจะรู้ฤทธิ์อาหารใต้อยู่บ้าง เขาเคยไปกินแถวรามคำแหงครั้งหนึ่ง คำเดียวรู้เรื่องเลย เผ็ดจนน้ำตาไหล

   “ผมราดลงบนขนมจีนเลยนะครับ” หนุ่มใต้ตักน้ำยากะทิราดลงไปแค่ช้อนเดียวเท่านั้นเมื่อตรัยพยักหน้าอนุญาต ทั้งคนกินและคนตักให้ลุ้นพอๆ กัน ถ้าไม่รอดคงต้องสั่งน้ำพริกหวานๆ มากินแทน “เป็นไงบ้างครับ เผ็ดไหม?”

   ตรัยส่ายหน้าแทนคำตอบ มันไม่เผ็ดอย่างที่คิดเอาไว้ แถมยังได้กลิ่นหอมของกระชายผสมกับกลิ่นขมิ้นนิดๆ เครื่องแกงแน่นแต่ไม่ฉุนจนเกินไป

   “เอาแกงไตปลาไหมครับ?”

   “เดี๋ยวตักเอง เธอกินไปเถอะ” แกงไตปลาก็อร่อยไม่แพ้กัน รสชาติออกเค็มนิดหน่อยและผักเยอะอย่างกับจับฉ่าย

   “เอาไก่ทอดไหมครับ เดี๋ยวผมไปตักมาให้”

   ตรัยพยักหน้ารับ มองตามชายหนุ่มไปยังหน้าร้าน เด็กคนนี้ใส่ใจคนรอบข้างและซื่อตรงต่อความรู้สึก คิดแบบไหนก็พูดออกมาแบบนั้น ไม่เสแสร้งเหมือนคนส่วนใหญ่ที่เขาเคยพบเจอ

   “ไก่ทอดปักษ์ใต้มาแล้วครับ”

   ไก่ทอดที่รุ่งภพเอามาเป็นปีกบนและน่องติดสะโพก หนังกรอบมากเหมือนเพิ่งเอาขึ้นมาจากกะทะใหม่ๆ เขาชิมเพียงหนังส่วนนอกของมันเท่านั้นเพราะไม่อยากมือเปื้อนเลยใช้ช้อนตัดเอา

    “คุณครับ...”

   “ว่า?” ตรัยเงยหน้าขึ้นมองคนเรียก คิ้วเข้มเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม หลุบตามองหนังไก่ทอดห่อใบมันปูในจานของตัวเอง “ให้ฉันเหรอ?”

   “ครับ...ตอนเด็กๆ ผมไม่ชอบกินผัก...แต่ถ้าทำแบบนี้จะกินง่ายขึ้น”

   “ฉันไม่ใช่เด็ก แล้วฉันบอกตอนไหนว่าไม่ชอบกินผัก?...แค่ไม่กินอะไรแปลกๆ เท่านั้นเอง”

   “อ่อ...เหรอครับ” รุ่งภพยิ้มเก้อ ใบหน้าจืดเจื่อนกับสถานการณ์ชวนอึดอัด “ผมจุ้นจ้านเอง ขอโทษนะครับ” เอื้อมมือไปเอากลับแต่ตรัยหยุดเอาไว้

   “ไหนๆ ก็ทำมาแล้ว ลองชิมสักหน่อยก็ได้”

   หนุ่มใต้ใจชื้นขึ้นเป็นกอง นั่งลุ้นพอๆ กับตอนชิมน้ำยาขนมจีน “เป็นไงครับ”

   “ก็ดี...ทำอีกสิ”

   พอโดนชมเข้าหน่อยก็ยิ้มดีใจเสียยกใหญ่ เป็นคนยิ้มเก่งอย่างที่พ่อเคยบอกเอาไว้จริงๆ ด้วย



   
   พวกเรากลับมาทำงานกันต่อหลังจากรุ่งภพหลุดปากตอบตกลงอย่างลืมตัว เด็กบ้านี่พออิ่มแล้วก็ง่วงนอน ส่งเสียงเออออใส่เขาเหมือนตัดความรำคาญ กว่าจะรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไปก็ปฏิเสธไม่ได้แล้ว

    เอกสารต้นฉบับของล็อคบุ๊คอยู่ในตู้ไม้สักสำหรับเก็บเอกสารสำคัญ มันมีเพียงแฟ้มเดียวเท่านั้นเพราะเริ่มจัดทำไปได้ไม่กี่เดือน รูปแบบของรายงานการทำประมงมีขนาดเท่ากับหน้ากระดาษ A4 แบ่งเป็นช่องตาราง ระบุตั้งแต่ชื่อเรือ ทะเบียนเรือ เครื่องมือการทำประง พื้นที่การจับไปจนถึงเส้นละติจูดลองจิจูด มีช่องระบุชื่อปลาแยกมาให้ต่างหากด้วย ทำให้ง่ายต่อการจดน้ำหนักลงไปในตารางโดยไม่ต้องระบุชนิดลงไปเอง

   “เดี๋ยวเธอตรวจเทียบน้ำหนักปลาในใบสรุปยอดขายกับล็อคบุ๊คให้ฉันที ถ้าตัวเลขไม่เท่ากันก็ใช้ดินสอวงเอาไว้ เดี๋ยวค่อยมาหาสาเหตุกันอีกที”

   รุ่งภพรับคำแล้วขนเอกสารจำเป็นไปนั่งทำบนพื้นพรมด้านล่าง แค่โต๊ะทำงานตัวเดียวคงไม่พอใช้ เจอเอกสารของตรัยเข้าไปก็แทบไม่เหลืออะไรให้วางแล้ว

   จากนั่งอยู่ดีๆ ก็เริ่มไหลและเลื้อยลงไปนอนกับพื้นไม่เกรงใจเจ้าของห้อง ตรัยส่ายหัวเล็กน้อยแต่ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ แค่ขอให้มาช่วยก็หน้าหดหน้าซีดเต็มทีแล้ว จะนั่งทำนอนทำก็ช่างเถอะ อย่าหลับเหมือนตอนอยู่บนรถก็เป็นพอ

   ชายหนุ่มนอนวงตัวเลขจนลืมเวลา เผลอแป๊บเดียวก็บ่ายแก่แล้ว เขาลุกขึ้นแล้วนำไปให้ตรัยดู ชายหนุ่มยังง่วนอยู่กับโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ เหมือนเขียนสูตรคำนวณอะไรสักอย่าง

   “เป็นไงบ้าง?”

   “น้ำหนักไม่เท่ากันครับ หายไปเป็นตันเลย”

   “ปลาพวกนี้เอาไปขายที่สงขลาที่เดียวใช่ไหม?”

   “ถ้ารอบไหนได้ปลาฝูงมาเยอะก็จะเอาไปขายที่องค์การสะพานปลาจังหวัดสงขลาครับ เขาจะออกใบรับรองสุขอนามัยกำกับมาให้ เราต้องแนบให้กับคนรับซื้อด้วยเพราะเขาต้องส่งปลาพวกนี้ไปขายต่อที่ต่างประเทศ

   “ฉันจะติดต่อกับคนรับซื้อปลาพวกนี้ได้ยังไง เธอมีเบอร์เขาไหม?”

   รุ่งภพส่ายหน้า “เถ้าแก่น่าจะมีเบอร์โทรอยู่ในสมุดนะครับ เขาชื่ออดุลย์”

   ตรัยรื้อค้นสมุดโทรศัพท์เล่มสีเขียวออกมาเปิดดู รายชื่อส่วนใหญ่เป็นตัวอักษรย่อ พ่อคงจดเอาไว้ลวกๆ ตามความเข้าใจของตัวเอง “ช่วยหาที”

   หนุ่มใต้ไล่ปลายนิ้วหารายชื่อ พอเจอก็ส่งให้ตรัยกดโทรหา รอสายไม่นานนักก็ได้ยินเสียงล้งเล้งดังลอดออกมาจากโทรศัพท์

   ตรัยใช้เวลาคุยกับปลายสายค่อนข้างนานจนคนรอหาวหวอดอีกครั้งด้วยความง่วง พอโดนดุด้วยสายตาก็ยืดตัวตรงขึ้นมาทีหนึ่ง สักพักก็ไหลไปกองกับพนักเก้าอี้ตามเดิม ดวงตาเริ่มหรี่ปรือเพราะสะสมความเหน็ดเหนื่อยเอาไว้หลายวัน

   “เดี๋ยวเราไปสงขลากัน” 

   “หา!” สะดุ้งตื่นจนเกือบจะพลัดตกจากเก้าอี้ “ไปทำไมครับ?”

   “ไปดูเอกสารที่เราให้เขาไป ฉันอยากเห็นตัวจริง”

   “ให้เขาถ่ายรูปแล้วส่งมาในไลน์สิครับ”

   “ฉันจะสำเนาเอกสารเอาไว้ด้วย ตอนแรกจะให้เขาแฟ็กซ์มาแต่เขาไม่สะดวก”

   “ผมต้องไปด้วยเหรอครับ?”

   “ใช่” เป็นคำสั่งและห้ามปฎิเสธ

   “แล้ว..คุณจะไปวันไหนอ่ะ”

   “ต้องรอฝ่ายโน้นโทรมานัดอีกที เตรียมตัวเอาไว้แล้วกัน เผื่อได้ค้างคืนเพราะต้องขับรถหลายชั่วโมง”

   หนุ่มใต้ถอนหายใจเซ็งกับวันเดินทางที่กำลังจะมาถึง อยากจะขอตัวกลับบ้านแต่ไม่กล้าเอ่ยปากเพราะตรัยยังยุ่งกับตัวเลขที่เขาวงเอาไว้

   เมื่อยจะตายอยู่แล้ว พวกเสมียนออฟฟิศนั่งอยู่ได้ยังไงนะตั้งเจ็ดแปดชั่วโมง เส้นไม่ยึดกันบ้างเหรอ?

   ก๊อก ก๊อก ก๊อก

   “เชิญ”

   ไต๋เมืองเปิดประตูเข้ามาหลังจากได้รับอนุญาต รุ่งภพดีดตัวลุกขึ้นให้พ่อของเพื่อนสนิทนั่งแทน ส่วนตัวเองถอยร่นไปนั่งตรงเก้าอี้ชุดมุมห้อง เผื่อคุยนานจะได้แอบงีบสักตื่นหนึ่งก็ยังดี

   “ไต๋มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

   “เดี๋ยวผมจะเอาเรือเข้าไปซ่อมบำรุงประจำปี คุณตรัยอยากไปดูคานเรือไหมครับ”

   “คานเรือ? อยู่แถวไหนเหรอครับ ถ้าไม่ไกลมากผมก็ว่าจะไปอยู่” ตรัยถามด้วยความสนใจ อยากรู้เหมือนกันว่าซ่อมบำรุงกันยังไง ในเมื่อเรือมีขนาดใหญ่ออกปานนั้น

   “ปากแม่น้ำนี่เองครับ ให้ไอ้รุ่งพาไปก็ได้”

   “เอ้า ไซร้ลุงหม้ายพาไปเองล่ะ” ตรัยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เพิ่งได้ยินชายหนุ่มพูดสำเนียงใต้ก็วันนี้

   “เอ็งว่างก็พาเติ้นไปกันถิ ลุงอิไปกับเรือ ไปด้วยกันอิหลบพันพรือหล่าว รถก็หม้ายได้เอาไป โว๊ะ”

   ตรัยมองคนทั้งสองเถียงกันสลับไปมา ปกติเขาจะชินกับสำเนียงเนิบนาบของคนเหนือมากกว่าเพราะออกตรวจโรงแรมแถบนั้นบ่อย พอมาฟังคนใต้คุยกันก็ให้ความรู้สึกแปลกไปอีกแบบ เหมือนฟังคนทะเลาะกันเลย ทั้งรัวเร็วและเสียงดัง

   “อ้าว แล้วลุงอิหลบพันพรือ”

   “ห้ายไอ้มิ่งเอารถเครื่องไปรับ”

   “เอ๊าะเหรอ” เด็กหนุ่มจบการคุยดื้อๆ เพราะรู้สึกอยากหาวจนกลั้นไม่อยู่

   “เดี๋ยวคุณตรัยไปกับไอ้รุ่งมันนะครับ ผมจะไปพร้อมเรือ”

   “ครับ ไต๋ไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมตามไป”

   ตรัยปิดโปรแกรมเอ็กเซลล์ในคอมพิวเตอร์ คว้ากุญแจรถขึ้นมาถืออีกครั้งแล้วเอ่ยเรียกชายหนุ่มเสียงดุ

   “ลุกขึ้น เดี๋ยวค่อยไปนอนต่อบนรถ”

   ถ้าเป็นคนอื่นคงโดนเขาด่าเปิงไปแล้ว ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทำไมต้องใจอ่อนกับเด็กคนนี้อยู่เรื่อยเลย


TBC


        มีนักอ่านเก่าจำได้ด้วย ขอบคุณนะคะที่ยังไม่ลืมกันเพราะหายไปนานมาก แล้วก็ขอบคุณนักอ่านใหม่ที่หลงเข้ามาด้วยนะคะ หลงแล้วหลงเลยห้ามหาทางออก 5555

ฝากน้องรุ่งด้วยนะคะ น้องเป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซนค่ะ  :mew2:


หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 3 l 29/8/62
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 30-08-2019 16:29:06
คนเขียนข้อมูลเรื่องประมงแน่นจัง ทำการบ้านมาดีนะคะ ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 4 l 30/8/62
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 30-08-2019 21:55:38
บทที่ 4



   รุ่งภพฝากฝังตังเกเอาไว้กับเพื่อนสนิทก่อนจะขึ้นรถเอสยูวีคันเดิมเป็นรอบที่สองของวัน ชายหนุ่มบอกเส้นทางให้กับคนขับจนมาถึงคานเรือแห่งหนึ่งบริเวณปากแม่น้ำ ระหว่างทางเดินเข้าอู่ได้สวนทางกับช่างเครื่องเรือเข้าพอดีจึงหลุดปากทักทายตามความเคยชิน

   “อ้าว พี่ยะ มากับเขาด้วยเหรอ”

   “มาสิวะ กูเป็นช่างเครื่องนะเว้ย ไม่มาได้ไง”

   “แล้วจะไปไหนอ่ะ จะกลับแล้วเหรอ”

   “เออ ส่วนของเครื่องยนต์ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร นานตรงทำสีใหม่เท่านั้นแหละ กูก็เลยขอไต๋กลับก่อน” ช่างเครื่องหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจนักเพราะสนใจคนข้างหลังชิ้วเรือมากกว่า “นั่นใครวะ เพื่อนมึงเหรอ”

   รุ่งภพสะดุ้งโหยงเมื่อโดนหาเหาใส่หัว ชายหนุ่มหมุนตัวกลับไปมองใบหน้าเรียบเฉยของนายจ้าง แม้จะไม่แสดงอาการหงุดหงิดก็รับรู้ได้ว่าไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่นัก “ใช่ที่ไหนเล่า ลูกชายเถ้าแก่เว้ยพี่” ชายหนุ่มเขยิบตัวเข้าไปกระซิบกระซาบข้างหูของช่างเครื่องเรือ “ชื่อตรัย”

   “จริงดิ?”

   “อือ”

   ช่างเครื่องเรือเปลี่ยนสีหน้าโดยพลัน แววตาขี้เล่นเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันที “สวัสดีครับ ผมชื่อยติ เป็นช่างเครื่องเรือครับ” หนุ่มล่ำยกมือไหว้เหมือนไม่ค่อยเต็มใจนัก ด้วยอายุน่าจะไล่เลี่ยกันเพียงแต่ฐานะด้อยกว่าเท่านั้นเอง “นายหัวจะมาคุมแพปลาแทนเถ้าแก่เหรอครับ”

   “ไม่เชิง ถ้าชอบก็อาจจะสานต่อ...คงต้องดูกันอีกที” ตรัยพูดไปตามที่คิด เขากำลังจะวางมือจากธุรกิจของคุณยายให้น้องชายรับช่วงต่อ เพราะเห็นว่าพ่อมีอายุมากแล้วต้องมีคนคอยดูแล

   “เหรอครับ”

   ตอบเหมือนขอไปที ตรัยได้แต่มองอย่างสงสัยเมื่อช่างเครื่องหนุ่มรีบกล่าวลาเหมือนเร่งรีบ ไม่แม้แต่จะกล่าวลารุ่งภพเลยด้วยซ้ำ ปล่อยให้ยืนเหวออย่างงุนงงท่ามกลางเปลวแดดร้อนสามสิบเจ็ดองศาแบบ real feel

   “อ้าว นึกจะไปก็ไป...รีบไปไหนของเขานะ”

   “จะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานไหม ฉันจะได้เข้าไปคนเดียว”

   เสียงตึงตังด้านหลังบ่งบอกให้รู้ว่าชายหนุ่มวิ่งตามมาติดๆ ตรัยชะลอฝีเท้าขณะเดินผ่านแผงกั้นเข้าไปยังลานโล่งถมด้วยดินลูกรังสีน้ำตาลแดง พื้นดินอัดแน่นถูกตีทับด้วยเส้นเหล็กคล้ายกับรางรถไฟขนาดย่อม ตัวรางทอดยาวและแบ่งออกเป็นสี่แฉก บนรางมีเรือขึ้นคานอยู่ห้าลำ โครงสร้างสูงทะมึนผิดกับตอนอยู่ในน้ำลิบลับ ลำใหญ่สุดตรงหน้าเขาคงสูงไม่ต่ำกว่าห้าเมตร

   เขามองหาเรือของพ่อ มันยังจอดลอยนิ่งอยู่ริมตลิ่ง นอกจากรางที่ทอดยาวไปจนถึงตลิ่งแล้วก็ไม่เห็นเครนยกหรือตัวช่วยใดๆ เลย

   “แล้วเขาจะเอาเรือขึ้นมาได้ยังไง” เรือใหญ่ขนาดนี้ต้องมีน้ำหนักหลายตันแน่นอน

   “ต้องรอให้น้ำขึ้นก่อนครับ เขาจะเอาสาลี่ลงไปรับแล้วให้คนงานดำน้ำลงไปเอาลิ่มไม้รองใต้ท้องเรือกันเรือโคลงอีกที พอเรือนิ่งก็ใช้สลิงกว้านสาลี่เข้าราง คราวนี้ก็เลื่อนไปมาได้ง่ายแล้วครับ” ตรัยยังนึกภาพไม่ออกนัก แต่เขาไม่มีเวลาอยู่ดูถึงตอนน้ำขึ้นหรอก “เดินระวังพวกเศษไม้ด้วยนะครับ บางแผ่นมันมีตะปูคาอยู่”

   เศษไม้ชิ้นเล็กชิ้นน้อยถูกทิ้งเอาไว้รอบคานเรือ บางอันก็หักพังเป็นฟันฉลาม บางอันก็มีตะปูติดตรึงอยู่ ขณะเดินผ่านเรือลำหนึ่ง รุ่งภพก็ชี้เขาให้ดูลิ่มไม้ขนาดเท่าต้นขารองอยู่ใต้ท้องเรือทั้งซ้ายขวาประมาณหกถึงเจ็ดอัน สีของเรือลำนี้หลุดลอกจนเห็นเนื้อไม้เพราะผ่านการล่องน้ำมาเป็นเวลานาน เรือลำนี้มีขนาดพอๆ กับเรือโชคชัยนาวาของพ่อ ช่างต้องต่อนั่งร้านเป็นบันไดถึงสามชั้นกว่าจะปีนขึ้นไปถึงเก๋งเรือ

   “มาแหล้วเหรอครับ”

   ไต๋เมืองกล่าวทัก เป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาพร้อมกับชายผู้หนึ่ง อายุน่าจะไล่เลี่ยกับรุ่งภพเพราะใบหน้ายังดูอ่อนเยาว์ “สวัสดีครับ ผมชื่อณัฐครับ เป็นช่างต่อเรือของที่นี่”

   ช่างต่อเรือดูเหมือนจะรู้จักและคุ้นเคยกับคนงานของพ่อเขาเป็นอย่างดี พอเห็นรุ่งภพก็คว้าตัวเข้าไปกอดหมับ ทักทายกันอย่างสนิทสนม ตบหลังตบบ่าเหมือนรู้จักกันมานานปี

   ตรัยเสมองไปทางอื่นเมื่อถูกหลงลืมไปชั่วขณะ ปล่อยให้พวกเขาคุยกันแล้วเดินแยกมาดูเรือของพ่อตรงริมตลิ่ง แม่น้ำสายใหญ่ทอดยาวเข้ามาไม่ลึกนัก สามารถมองเห็นเวิ้งอ่าวได้จากสุดสายตา

   “เรือใหม่คงใช้เวลาซ่อมบำรุงไม่นานนัก เพิ่งจะต่อได้ 2-3 ปีเอง” ณัฐเดินเข้ามาสมทบ อธิบายให้ตรัยฟังคร่าวๆ เพราะหน้าที่ซ่อมบำรุงเรือลำนี้เป็นของเขาโดยตรง “เท่าที่สอบถามจากช่างเครื่องประจำเรือ เครื่องยนต์ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับเพราะเป็นเรือใหม่ แค่ขูดเพรียงออกนิดหน่อยกับตอกหมันอุดยาแนวก็เสร็จแล้วครับ แต่ต้องรอหลายวันหน่อยเพราะต้องทำสีใหม่ด้วย รอยน้ำมันกลบสีเก่าจนซีดไปหมดแล้ว

   “ปกติเรือแบบนี้ใช้เครื่องยนต์อะไรเหรอ”

   “เครื่องยนต์ดีเซลครับ มีหลายยี่ห้อแล้วก็หลายรุ่น ถ้ามีทุนเยอะหน่อยก็สั่งตรงจากนอกครับ ราคาสูงแต่ใช้ทน ถ้าทุนน้อยก็ใช้เครื่องยนต์รถบรรทุกมาดัดแปลงเอาเหมือนเรือลำแรกของเถ้าแก่ชัยครับ แต่มันมีข้อเสียคือเสื่อมสภาพเร็ว เถ้าแก่แกไม่ค่อยให้เอาออกทะเลแล้วเพราะเครื่องไม่ค่อยดี อีกสักปีสองปีก็น่าจะปลดระวางแล้วล่ะครับ”

   “ปลดระวาง? เราเปลี่ยนเครื่องยนต์แล้วเอากลับมาใช้ไม่ได้เหรอ”

   “ได้ครับ แต่เถ้าแก่แกอยากขายแล้วต่อลำใหม่แทน จะได้ขยับขยายแล้วติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ๆ เข้าไปด้วย ที่เพิ่มเข้ามาตอนนี้ก็มีระบบ VMS ครับ ต่อไปต้องโดนบังคับใช้แน่ๆ เพราะกรมประมงต้องใช้ตรวจสอบเรือ”

   “ระบบ VMS คืออะไร”

   “เป็นอุปกรณ์ติดตามเรือประมงครับ ตอนนี้ทางการกำลังแก้ไขเรือประมงเถื่อนอยู่ เลยขอความร่วมมือให้ติดตั้งเพื่อระบุตำแหน่งของเรือผ่านระบบดาวเทียม GPS มันจะส่งสัญญาณเข้าศูนย์วิทยุชายฝั่ง ระบุตำแหน่งของเรือและข้อมูลเรือไปยังศูนย์ปฎิบัติการกรมประมงอีกทีครับ”

   “สะดวกดีนะ เทคโนโลยีพวกนี้”

   “ตั้งแต่มีการนำระบบโซนาร์มาใช้ค้นหาฝูงปลา เถ้าแก่ก็สนใจเรื่องเทคโนโลยีมาตลอดครับ หลายปีมานี้ก็พยายามติดตั้งปรับเปลี่ยนหลายอย่าง แกเป็นคนแก่โลกกว้าง ไม่ยึดติดกับความคิดเดิมๆ”

   น้ำเสียงหยอกเย้าแต่ให้ความรู้สึกเทิดทูน ดูสนิทสนมเกินกว่านายช่างและลูกค้าประจำของอู่เรือ

   “คุณรู้จักเขาดีกว่าลูกอย่างผมอีก” ขนาดเขายังไม่รู้เลยว่าพ่อจะขายเรือ

   ณัฐยิ้ม เขากอดอกมองไปยังเรือโชคชัยนาวา 2 ด้วยสายตาภาคภูมิใจ “ผมได้โอกาสจากเถ้าแก่มาเยอะครับ แกไว้ใจให้ผมเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงต่อเรือโชคชัยนาวา 2 ขึ้นมาเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นผมกดดันมากนะเพราะยังมือใหม่อยู่ พอทำสำเร็จก็เหมือนพลิกชีวิตอ่ะครับ พอได้คุมงานใหญ่ขึ้นก็ได้เลื่อนตำแหน่ง จากเด็กทดลองงานกลายเป็นช่างเต็มตัว มันไม่ง่ายเลยถ้าไม่ได้รับโอกาสนั้น”

   “เหรอ...แล้วกับสองคนนั้นล่ะ” ตรัยพยักหน้าไปทางไต๋เมืองกับรุ่งภพ “สนิทกับพวกเขาเหมือนกันเหรอ”

   “ผมกับไอ้รุ่งเคยเรียนช่างด้วยกันครับ เป็นรุ่นพี่มันสองปี กับลูกชายไต๋ก็สนิทนะครับ สมัยนั้นผมชอบไปตั้งวงก๊งเหล้าบ้านไต๋บ่อยๆ รู้จักกันมาหลายปีแล้วครับ”

   ตรัยพยักหน้ารับ คุยกันไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งไต๋เมืองขอตัวกลับ จึงเหลือแค่รุ่งภพที่นั่งสัปหงกรอเขาด้วยความง่วงซึม
   ไปอดหลับอดนอนจากไหนมา เขาผลักหัวไหล่ชายหนุ่มเบาๆ จนอีกฝ่ายรู้สึกตัว

   “เสร็จแล้ว จะกลับไหมหรือจะนอนนี่?”

   ชายหนุ่มอ้าปากหาว เอี้ยวตัวบิดจนกระดูกลั่นกร๊อบ “โอย...ปวดชะมัด”

   “ร้องอย่างกับคนแก่”

   “ก็มันเมื่อยนี่ครับ นั่งทั้งวัน เส้นยึดไปทั้งตัวแล้ว”

   “ฉันหันไปทีไรก็เห็นเธอนอนอยู่ตลอด แทบจะหลับคาพื้นเลยด้วยซ้ำ”

   คนโดนย้อนทำหน้ามุ่ย ยกตัวขึ้นไปนั่งบนรถแล้วงับประตูเบาๆ “ก็มันไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายเลยนี่ครับ จะนั่งหรือนอนก็เมื่อยเหมือนกันนั่นแหละ”

   “ปิดประตูอีกรอบซิ..มันไม่สนิท” หันไปสั่งชายหนุ่ม ดูจากน้ำหนักมือที่ดึงเข้าหาตัวแล้วเขาคงต้องเอื้อมไปปิดเอง “พนักงานอาวุโสของฉันนั่งทำงานในออฟฟิศมาตั้ง 20 ปี ไม่เห็นเป็นอะไรเลย”

   “เหมือนกันที่ไหนล่ะครับ ผมทำงานหนักจนชินแล้ว นั่งทั้งวันไม่ได้หรอก ปวดหลัง”

   “ปวดหลัง? อายุเท่าไหร่กันห๊ะ 40 แล้วค่อยมาบ่น”

   “อ๋อ งั้นคุณก็บ่นได้แล้วสิครับ”

   “หน้าฉันแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ชายหนุ่มหัวเราะคิกคักพาให้เขายิ้มตาม ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ขณะรถติดอยู่ตรงแยกไฟแดง

   “ติดอะไรนะ? ไม่ขยับเลย”

   “วันนี้มีถนนคนเดินครับ รถเลยเยอะ”

   “ถนนคนเดินเหรอ? น่าเที่ยวไหม”

   “สำหรับผมน่าเที่ยวนะ มันเป็นสตรีทฟู้ดอ่ะครับ ขายพวกของกินกับงานฝีมือ คุณจะแวะลงไปดูไหมครับ ผมจะหาที่จอดรถให้”

   “เอาสิ จะได้หาอะไรกินด้วยเลย”

   หนุ่มใต้บอกพิกัดช่องจอดรถในซอยลัดแห่งหนึ่ง ถนนคนเดินสายนี้ไม่ได้ใหญ่จนเดินไม่ทั่วแต่มีร้านค้าละลานตาเต็มไปหมด เวลาเดินเที่ยวจึงต้องใช้เวลานาน

   เราเดินผ่านร้านกิ๊ฟช็อปขายของจุกจิกจำพวกต่างหูและยางมัดผมเป็นร้านแรก ถัดมาเป็นร้านรองเท้าสานและร้านเทียนหอมแกะสลักกลิ่นอโรมา เสียงจอแจของผู้คนดังกลบเสียงดนตรีจากเวทีกลาง ได้ยินเพียงเสียงกลองหนักๆ เท่านั้นเพราะบางร้านก็เอาเพลงมาเปิดเองเพื่อดึงดูดลูกค้าที่เดินผ่านไปมา

   “ฝีมือดี”

   หนุ่มใต้ชะโงกมองสิ่งที่ตรัยออกปากชม มันเป็นภาพศิลปะจากทิชชู่อาร์ต ไล่เฉดสีสวยงามจนเหมือนภาพวาด ราคาคงแรงน่าดูเพราะตั้งโชว์เอาไว้จนขอบกระดาษเก่าเหลือง

   “ภาพนี้เราคาเท่าไหร่เหรอครับ?” เจ้าของร้านบอกราคาที่ทำให้ขายไม่ออก ตรัยทำเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ ไม่ได้ถามรายละเอียดต่อเพราะรู้สึกไม่คุ้มถ้าต้องซื้อหลายๆ ภาพ

   “คุณอยากได้เหรอ? ผมทำให้ก็ได้นะ”

   “ทำเป็น?”

   “เดี๋ยวโชว์ฝีมือให้ดูเลย” ชายหนุ่มแบมือขอเงิน 20 บาทจากตรัยแล้วเลือกภาพการ์ตูนขนาด A4 ไปนั่งทำตรงหลังร้าน นอกจากภาพที่ตั้งโชว์เอาไว้เรียกแขกแล้ว เจ้าของร้านยังทำเป็นซุ้มศิลปะขนาดเล็กให้เด็กๆ มาฝึกฝีมือในราคาย่อมเยาว์กันอีกด้วย

   “มีแต่เด็กๆ”

   “อายเหรอครับ” ชายหนุ่มเอ่ยแซว เขายังพอกลมกลืนแต่ตรัยเหมือนผู้ปกครองที่มานั่งเฝ้าเด็กอีกทีหนึ่ง “ลองทำสักหน่อยไหม แค่จิ้มทิชชู่ลงบนกระดาษเอง”

   ภาพทิชชู่อาร์ตต้องอาศัยความอดทนในการจิ้มทิชชู่ให้ติดกันจนเป็นเนื้อเดียว ละเอียดมากละเอียดน้อยก็อยู่ที่ความพยายาม ภาพจะออกมาสวยได้ต้องขยันและใจเย็น หากเป็นรูปที่ยากกว่านี้อาจต้องใช้เวลากันเป็นเดือน

   “ไม้มันเล็ก ฉันไม่ถนัด”

   “มือคุณใหญ่นี่ครับ สงสัยต้องใช้ไม้เสียบลูกชิ้นแทน” ภาพการ์ตูนลายเส้นชัดขนาดนี้ยังทำให้เลอะออกมานอกขอบได้ โบว์คิตตี้เลยบิดเบี้ยวแถมยังทำสีเปรอะออกไปจนถึงขอบหู

   “เลิก! ไม่ทำแล้ว” โยนไม้ทิ้งอย่างจนใจ ให้รุ่งภพทำคนเดียวยังสวยกว่า “เธอผสมก้อนทิชชู่พวกนี้เป็นด้วยเหรอ”
   “เป็นสิครับ ไม่ยากหรอก แค่ผสมกาวกับสีเข้าไปก็ใช้ได้แล้ว”

   ตรัยยิ้มให้กับท่าทางอวดเบ่งนั้น “ฉันอยากได้รูปแบบหน้าร้านไปแต่งรีสอร์ท ถ้าเธอทำได้ฉันจะจ้าง” หนุ่มใต้ทำตาโต ชะเง้อมองรูปหน้าร้านสลับกับคนว่าจ้าง “ราคาตามความเหมาะสม”

   พอโดนดักคอก็ทำหน้าม่อย กะจะเอาไปตั้งตัวกันเลยทีเดียว “คุณชอบดอกลีลาวดีเหรอครับ?”

   “เปล่านี่”

   “อ้าว ก็คุณอยากได้ภาพนั้น”

   “ฉันไม่ได้อยากได้ภาพนั้น แต่อยากได้ภาพประมาณนั้น เธอจะทำภาพดอกไม้หรือภาพวิวทิวทัศน์อะไรมาก็ได้ เอาสักสิบรูปก็พอ”

   “สิบรูป! ภาพนึงก็ใช้เวลาเป็นเดือนแล้วครับ ปีนึงจะเสร็จหรือเปล่ายังไม่รู้เลย”

   “ค่อยๆ ทำไปสิ ฉันไม่รีบ...ไม่ได้จะสร้างรีสอร์ทวันนี้พรุ่งนี้สักหน่อย”

   “เอาจริงเหรอครับ” นึกว่าพูดเล่นซะอีก

   “จริง” ตรัยเช็ดมือกับชายเสื้อของเด็กหนุ่ม ทิ้งคราบสีจากก้อนทิชชู่เปียกเอาไว้คาตา “ทำไปก่อนนะ เดี๋ยวไปหาซื้ออะไรมาให้กิน”

   รุ่งภพอ้าปากค้าง มองตามแผ่นหลังสูงใหญ่ด้วยแววตาตกตะลึง

   เสื้อเขาไม่ใช่ผ้าขี้ริ้วนะ






   ตรัยกลับมาอีกครั้งพร้อมกับโรตีกรอบ ราดนมจนชุ่มแถมยังโรยหน้าด้วยโอวัลตินภูเขาไฟ รุ่งภพตาวาวเมื่อเห็นขนม โยนไม้จิ้มฟันทิ้งและร่ำร้องจะกินค็อกเทลกีวีในมือของเขาอย่างเหิมเกริม

   “อยากกินก็ไปซื้อมาใหม่”

   พอเขาออกปากเลี้ยงก็วิ่งจี๋ไปยังร้านขายค็อกเทลแทบจะทันที หน้าที่อพยพสิ่งของเลยตกเป็นของเขา ทั้งรูปภาพ ทั้งถาดใส่โรตีกรอบ ตกลงใครเป็นเจ้านายใครเป็นลูกน้องกันแน่นะ

   “พรุ่งนี้มาทำงานในแพหรือเปล่า?”

   “มาสิครับ เรือยังซ่อมอยู่ ผมจะไปไหนได้ล่ะ”

   ลมทะเลพัดเข้ามาปะทะขณะเดินทอดน่องอยู่ริมสันเขื่อน อากาศเย็นสบายไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนตอนกลางวัน ช่วงหัวค่ำแบบนี้มีคนมาออกกำลังกายกันเยอะมาก บริเวณนี้จึงคึกคักเป็นพิเศษ มีทั้งเครื่องเล่นออกกำลังกายและจุดชมวิวริมทะเล

   “แพเรามีเรือตั้ง 5 ลำไม่ใช่เหรอ? ฉันนึกว่าใครว่างก็ให้ไปทำลำอื่นก่อน”

   “ตอนนี้เราเหลือแต่เรือลำเล็กแล้วครับ ผมจะไปแทนได้ยังไง แค่ไต๋กับลูกเรืออีกสองคนก็ล้นแล้ว” เรือลำเล็กจะใช้คนงานเพียงเท่านี้ หากมากไปจะวุ่นวาย มือไม้พันกันจนงานหยุดชะงัก “ถ้าคนไม่ขาดเขาก็ไม่ดึงไปหรอกครับ ใครอยู่ลำไหนก็ประจำลำนั้น ไม่เหมือนเรือใหญ่ที่คนขาดบ่อย คนเยอะก็วุ่นวาย งานก็หนักแถมยังออกเรือนานอีกต่างหาก ดีอย่างเดียวคือเงินดี” ถ้าไม่มือเติบก็เก็บได้เป็นกอบเป็นกำอยู่

   “ถ้าไม่ได้ไปไหนก็มาช่วยงานฉันที่ออฟฟิศหน่อย เดี๋ยวตอนบ่ายพาออกไปซื้อของ”

   “ซื้ออะไรครับ?”

   “ซื้อของมาทำทิชชู่อาร์ตไง จะเอาไหมค่าจ้างน่ะ”

   “เอาคร้าบ” พอพูดถึงค่าจ้างก็ยิ้มกว้างประจบแจงใส่ น่าแปลกที่ตรัยไม่ได้นึกรังเกียจท่าทีนั้น ตรงกันข้าม..


   ออกจะเอ็นดูเสียด้วยซ้ำ
 


TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 5 l 31/8/62
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 31-08-2019 20:20:39
บทที่ 5




   แพปลาโชคชัยมีเสมียนประจำอยู่สามคน แบ่งเป็นเสมียนออฟฟิศสองคนคือ เสมียนฝ่ายบุคคลและเสมียนบัญชี ส่วนเสมียนคนสุดท้ายเป็นเสมียนแพปลา ไม่ค่อยได้เข้าออฟฟิศเท่าไหร่นักเพราะต้องเปิดประมูลราคาปลาอยู่ด้านนอก

   วันนี้ตรัยเข้าออฟฟิศเช้ากว่าปกติ เขาต้องการตรวจดูเอกสารทั้งหมดด้วยตัวเองจึงต้องเข้ามาก่อนจะถึงเวลางาน แม้เอกสารที่เสมียนบัญชีเอามาให้จะครบถ้วนแล้วแต่เขากลับรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง ตัวเลขในเอกสารกลมเกินไป แม้กระทั่งค่าใช้จ่ายที่ต้องบวกภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าไปด้วยอีก 7%

   เสียงผลักประตูจากด้านนอกทำให้ตรัยหยุดชะงักมือที่กำลังรื้อค้นแผ่นเอกสารในชั้นเก็บพลาสติก เขาตวัดมองด้วยแววตาดุ พอเห็นว่าเป็นใครก็ผ่อนคลายลง

   “ทำอะไรอยู่เหรอครับ?” หนุ่มใต้ชำเลืองมองเอกสารในมือของชายหนุ่ม “นั่นแบบฟอร์มที่ผมกรอกเอาไว้นี่ครับ”

   “แบบฟอร์ม?”

   “อื้ม แบบฟอร์มชั่งน้ำหนักแล้วก็ชนิดของปลาแต่ละรอบที่จับได้ครับ พี่หมิวเขาทำให้ พอชั่งน้ำหนักเสร็จก็กรอกตัวเลขลงไปอย่างเดียวครับ เร็วดี”

   ในแบบฟอร์มระบุชื่อปลาและสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ เรียงยาวจนสุดหน้ากระดาษ ส่วนตารางด้านขวาเป็นช่องกรอกน้ำหนัก ระบุจำนวนตะกร้าและน้ำหนักต่อกิโลกรัม

   “เก็บไว้ เดี๋ยวเอาไปแนบกับล็อคบุ๊ค”

   “เอาไปเลยเหรอครับ? ถ้าพี่หมิวถามถึงล่ะ”

   “เขาไม่รู้นี่ว่าใครเอาไป” ตอบแบบไม่ใส่ใจนักเพราะกำลังสนใจเครื่องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานของหญิงสาวมากกว่า “ล็อคพาสเวิร์ดยูเซอร์เอาไว้ซะด้วย ไม่ธรรมดา” ออฟฟิศขนาดเล็กแบบนี้ไม่น่าจะมีนโยบายใช้พาสเวิร์ด พอลองเปิดคอมพิวเตอร์ของเสมียนคนอื่นดูก็เข้าไปใช้งานได้ปกติ ถ้าไม่ใช่ความลับของกิจการก็ต้องเป็นความลับของตัวเอง “หมิวนี่ชื่อเล่นของเสมียนบัญชีเหรอ?”

   “ครับ ชื่อจริงชื่อลลิตา”

   “นั่นฉันรู้อยู่แล้ว พื้นเพเขาเป็นคนที่นี่เหรอ?”

   “ครับ...เขาเคยทำบัญชีในโรงงานมาก่อน พอแม่เสียก็ลาออก ว่างงานอยู่พักหนึ่งก็มาขอทำงานกับเถ้าแก่ครับ ตอนนั้นเสมียนคนเก่าเกษียณพอดี เถ้าแก่ก็เลยรับไว้เพราะเห็นว่ามีประสบการณ์”

   “แค่นี้เองเหรอ”

   รุ่งภพขมวดคิ้ว แล้วจะเอาแค่ไหน “แคนี้แหละครับ คุณจะเอาแค่ไหนล่ะ ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ต้องไปถามพวกสาวคัดปลาครับ เรื่องเมาท์มอยเยอะแยะ อยากได้เฟสใคร ไลน์ใครก็ไปขอได้ครับ...มีครบทุกคน”

   “ทุกคนเลยเหรอ?” ตรัยเลิกคิ้ว นึกระแวงในใจ “หมายถึงพวกเขาแลกเบอร์แลกแอคเคาน์กันเองใช่ไหม”

   “ก็...ส่วนใหญ่จะแลกกันเองครับ ถ้าใครไม่ให้...ก็ตามล่า” ตามล่ากันยังไงเขาไม่ทราบ พอรู้ตัวอีกทีพวกเธอก็แอดเฟรนด์เข้ามาแล้ว “คุณก็ระวังเอาไว้ให้ดีนะครับ บางทีอาจจะโดนส่องอยู่ก็ได้”

   “ส่องไปก็ไม่เห็นอะไรหรอก ฉันไม่ได้เปิดพับบลิค” เฟสบุ๊คน่าจะโดนรบกวนได้ง่ายสุด ส่วนไลน์คงไม่มีปัญหาอะไรเพราะต้องแอดจากเบอร์โทรและไอดี “เธอรู้เฟสฉันหรือเปล่า”

   “อ่ะ...เอ่อ”

   “ตะกุกตะกักแบบนี้ แสดงว่ามีใช่ไหม” ชายหนุ่มยิ้มแห้งเพราะเพิ่งได้มันมาจากสาวๆ ก่อนเข้างานเมื่อครู่นี้เอง “งั้นแอดมาสิ เดี๋ยวกดรับให้”

   “หา?”

   “หาอะไรล่ะ แอดมาเร็วๆ เข้า” หนุ่มใต้ลนลานหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาตามคำสั่ง กดจิ้มแอดเฟรนด์จากช่องค้นหา ภาพโปรไฟล์แบบถ่ายย้อนแสงปรากฎขึ้น เห็นเพียงเสี้ยวหน้าคมคายสลัวราง

   ตรัยกดรับคำขอของชายหนุ่ม รอยยิ้มเอ็นดูปรากฎขึ้นตรงมุมปากเมื่อเข้าไปเยี่ยมชมภาพโปรไฟล์ของอีกฝ่ายดูบ้าง
   ตกลงเขารับคนหรือรับหมาเป็นเพื่อนกันแน่?

   ภาพโปรไฟล์ไม่ได้บ่งบอกถึงตัวตนเจ้าของแอคเคาน์เลยสักนิด เขาเห็นแต่ภาพหมาพุงหลามนอนคาบปลาทูอย่างเกียจคร้าน แถมยังเหลือบตามองกล้องเหมือนรู้มุมถ่าย เอียงคอนิด ขมวดคิ้วหน่อย?

   แอ๊บแบ๊วซะไม่มี




   ตรัยชวนหนุ่มใต้เกงานตั้งแต่บ่ายสอง หลังจากรวบรวมเอกสารเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ขับรถตระเวนซื้อของกันแถวตลาดเก่า รุ่งภพเลือกใช้แผ่นกระจกใสขนาด 8X10 แทนกระดาษร้อยแกรม โดยให้เหตุผลว่าทนทานกว่าและเป็นการเพิ่มมูลค่าของชิ้นงาน

   รายการถัดไปคือการซื้ออุปกรณ์สำหรับทำทิชชู่อาร์ต เขาพารุ่งภพแวะซื้อที่ซูเปอร์มาเก็ตใกล้ๆ เพราะเป็นของหาง่ายไม่ต้องตามหาเหมือนกระจกของชายหนุ่ม อุปกรณ์ที่ต้องซื้อมีแค่ทิชชู่ กาวลาเท็กซ์แล้วก็สีโปสเตอร์เพียงเท่านั้น หากเป็นเขาคงใช้เวลาซื้อเพียงไม่นานเพราะได้ของที่ต้องการแล้วก็กลับ ต่างจากรุ่งภพที่ตระเวนหาของกินจนทั่วห้าง สุดท้ายก็ได้แค่นมใกล้จะหมดอายุมาแพ็คหนึ่ง

   ซื้อมากินคนเดียวไม่พอยังยัดเยียดให้เขาช่วยกินอีก เหลืออีกแค่วันเดียวก็จะหมดอายุแล้ว ไม่เคยมีใครทำกับเขาแบบนี้มาก่อน นับเป็นครั้งแรกที่ได้แตะของโละทิ้ง น่าประทับใจจริงๆ

   “ขับเข้าไปจอดใต้ต้นหูกวางก็ได้ครับ ร่มๆ”

   หนุ่มใต้ชี้ไปทางร่มไม้ใหญ่ริมชายหาด ตรัยอนุญาตให้ชายหนุ่มเลิกงานก่อนเวลาเพื่อกลับมาทำทิชชู่อาร์ตให้เขาที่บ้านของตัวเอง “บ้านเธอเงียบดีนะ เงียบจนวังเวง”

   เจ้าของบ้านหัวเราะกับคำเปรียบเปรยของนายจ้าง มันก็ไม่ได้วังเวงขนาดนั้น แค่ล้อมรอบด้วยสวนมะพร้าวเท่านั้นเอง “แถวนี้มีแต่สวนครับ บ้านเลยปลูกห่างกันเยอะ ถ้าไม่ติดหน้าหาดก็อยู่ในสวนโน่น”

   “เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะร้องเรียกให้ใครช่วย”

   “โทรเรียก 1669 ไงครับ”

   “ถ้าโดนปล้นขึ้นมาจะทำยังไง รถพยาบาลช่วยได้เหรอ”

   “งั้นก็โทรแจ้งตำรวจ”

   “ตายก่อนพอดี”

   “อย่ามองในแง่ร้ายนักสิครับ ไม่ใช่ละครหลังข่าวสักหน่อย เขาอาจจะมาช่วยทันก็ได้”

   ตรัยส่ายหัวเพราะภาพลักษณ์ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในความคิดเขาไม่ค่อยจะดีนัก “ถ้ามีปัญหาอะไรโทรมาก็แล้วกัน”

   “คุณจะมาช่วยเหรอครับ?”

    “อืม...มาช่วยเก็บศพ”

   “...”

   “ให้ฉันอยู่ช่วยไหม?”

   “ผมยังไม่ตายครับ”

   ตรัยหัวเราะลั่น เขาไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นสักหน่อย “ฉันหมายถึงทิชชู่อาร์ต กลับมาก่อน อย่าเพิ่งคิดไปไหนไกล”

   “อ้าว...งั้น...ช่วยฉีกกระดาษทิชชู่ก็ได้ครับ เอ่อ...” ตรัยเลิกคิ้วเมื่อชายหนุ่มอึกอัก “ช่วยแล้วจะหักเงินค่าจ้างไหมครับ”

   “ยังจะอุตส่าห์งกอีกนะ ไม่หักหรอก ถ้างานห่วยค่อยว่ากันอีกที”

   การทำทิชชู่อาร์ตไม่ได้ยุ่งยากอะไรนัก แค่ฉีกทิชชู่แช่น้ำแล้วบิดจนหมาด เทกาวราดแล้วนวดเหมือนแป้งทำขนมเท่านั้นเอง เสร็จแล้วก็ผสมสีลงไปแล้วนวดซ้ำ จะใช้เวลาตรงนี้นานหน่อยเพราะต้องผสมให้ครบ 12 สี

   “ทำไมใช้สีโปสเตอร์ล่ะ ใช้สีน้ำไม่ได้เหรอ”

   “ได้ครับ แต่สีโปสเตอร์มันจะสดกว่า”

   นวดเสร็จก็เก็บใส่กล่องปิดไว้กันลมเข้า หากผึ่งทิ้งเอาไว้นานๆ มันจะแข็ง ทำให้เสียของเพราะใช้งานไม่ได้ “เสร็จแล้วครับ...คุณหิวไหม จะเย็นแล้วยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย”

   “จะทำให้กินเหรอ”

   “ครับ เดี๋ยวผมทอดไข่ดาวให้”

   ตรัยขมวดคิ้วกับเมนูมักง่ายของชายหนุ่ม “ทำเป็นใช่ไหม?”

   “เป็นสิครับ ทอดไข่ดาวง่ายจะตาย” ทำกับข้าวให้หมายังเคยมาแล้ว แค่ตอกไข่ใส่กะทะจะไปยากเย็นอะไรกัน

   ตรัยเดินตามเจ้าของบ้านเข้าไปในครัว บ้านของรุ่งภพเล็กมาก ครัวแทบจะติดกับห้องนอนเลยด้วยซ้ำ ห้องน้ำก็อยู่ในมุมอับ ดีหน่อยที่สะอาดสะอ้าน แม้จะเห็นขนหมาร่วงหล่นอยู่ประปรายก็ตาม “หมาเธออยู่ไหน ไม่เห็นเลย”

   “คงไปวิ่งเล่นแถวนี้แหละครับ มันไม่ชอบเฝ้าบ้าน ถ้าไม่ถึงเวลากินข้าวก็ไม่กลับหรอก”

   “ดีนะ ไม่ติดเจ้าของ”

   “แล้วแต่อารมณ์มันครับ บางวันก็ตามเฝ้าจนน่ารำคาญ” ขนาดเข้าห้องน้ำยังตามเลย ตะกุยประตูแกรกกรากจะเข้าไปด้วยให้ได้ “เสร็จแล้วคร้าบ ไข่ดาวเชฟรุ่ง”

   คนตั้งตัวเป็นเชฟตักไข่ดาววางบนข้าว ไม่รู้ว่าหิวหรืออร่อย เผลอแป๊บเดียวก็ถูกกินเรียบจนเกลี้ยงจาน ทำเอารุ่งภพดีใจจนยิ้มแก้มปริเพราะไม่ค่อยได้ทำอาหารให้คนกินเท่าไหร่นัก…


   ทำให้หมากินอย่างเดียว
   


TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 5 l 31/8/62
เริ่มหัวข้อโดย: bnmshhhhhhh ที่ 31-08-2019 23:45:12
หลอกให้รุ่งแอดเฟรนซะแล้วววว :hao3:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 5 l 31/8/62
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 01-09-2019 08:20:01
ชอบอ่ะ ได้ความรู้เยอะด้วย

ขอบคุณผู้แต่งนะ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 5 l 31/8/62
เริ่มหัวข้อโดย: รสมารี ที่ 02-09-2019 15:23:08
เคยอ่านนานมากแล้ว เป็นอีกเรื่องที่ชอบ ดีใจที่เอามาลงใหม่
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 5 l 31/8/62
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 02-09-2019 16:11:36
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 6 l 2/9/62
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 02-09-2019 21:49:40
บทที่ 6



   ผ้าโพกหัวถูกเลื่อนลงมาปกปิดใบหน้าลดความแสบร้อนจากแสงแดดที่แผดส่อง รุ่งภพกลับมาทำงานในแพปลาตามเดิมแล้วเพราะตรัยต้องออกไปดูที่บนเกาะเพื่อประเมินสิ่งที่จะปลูกสร้างในอนาคต เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ติดตามไปด้วย ลูกชายเถ้าแก่บอกให้รอเพียงแค่นั้น หากกลับมาแล้วจะโทรตามอีกที

   หนุ่มใต้เลิกคิดถึงนายจ้างแล้วทุ่มความสนใจทั้งหมดไปลงที่งานแทน ชายหนุ่มกางถุงพลาสติกออกรองก้นถังสำหรับใส่ปลา วันนี้ต้องแพ็คปลาที่เรือลำอื่นเอามาขายเข้าห้องเย็น รอเปิดประมูลในวันรุ่งขึ้นแล้วเอารายได้เข้าแพปลา

   “ลูกชายเถ้าแก่กลับกรุงเทพไปแล้วเหรอวะ ไม่เห็นหน้าเห็นตาเลย” มิ่งขวัญใช้พลั่วตักน้ำแข็งโปะทับปลาในถัง หุ้มด้วยถุงอีกชั้นแล้วลากเข้าห้องเย็น

   “เขาก็ไปทำธุระของเขาบ้างสิ ทำไม? มึงอยากเจอเหรอ?”

   “นิดนึง...เขาดุไหมวะ”

   รุ่งภพเม้มปากทำหน้าครุ่นคิด “ไม่นะ”

   ไม่ดุแต่ก็ไม่ได้ใจดีจนคุยเล่นได้

   “เฮ้ยมึง!” รุ่งภพตื่นจากภวังค์หลังจากโดนเพื่อนสะกิดยิกๆ จนหลังแทบไหม้ “เรือยอร์ชใครหลงมาเทียบท่าที่แพเราวะ”

   “จะไปรู้เหรอ มาหาซื้อของทะเลหรือเปล่า...” ชายหนุ่มชะงักเมื่อเห็นว่าใครลงมาจากเรือ “คุณตรัย”

   “ห๊ะ! นั่นลูกชายเถ้าแก่เหรอ? รวยเหี้ยๆ” นั่นชมใช่ไหม?

   มิ่งขวัญยังไม่เคยเห็นลูกชายเถ้าแก่แบบใกล้ชิดมาก่อน ปกติจะเห็นจากที่ไกลๆ เท่านั้นเพราะอยู่แต่ในห้องเย็น ไม่ค่อยได้เข้าออฟฟิศเหมือนเพื่อนสนิท “สวัสดีครับ...นายหัว”

   ตรัยรับไหว้หนุ่มใต้ทั้งสอง นึกเห็นใจรุ่งภพเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหงื่อไคลไหลพรากจนเปียกชุ่ม “ทำอะไรกันอยู่เหรอ”

   “แพ็คปลาเก็บเข้าห้องเย็นครับ”

   “เหนื่อยไหม”

   ทั้งสองคนมองกันเลิ่กลั่ก ไม่คาดคิดกับคำถามคล้ายห่วงใย “มะ...ไม่ค่อยครับ”

   “อืม...ปกติเลิกงานกี่โมง”

   “ก็...จนกว่าจะเสร็จอ่ะครับ”

   “ฉันอนุญาตให้เธอกลับไปพักก่อนได้ พรุ่งนี้ต้องไปสงขลาอีก จะได้ไม่ล้า”

   รุ่งภพหันมองเพื่อนสนิท สีหน้าลำบากใจเพราะไม่อยากเอาเปรียบเพื่อน “ไม่เป็นไรครับ อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว”

   “มึงไปเถอะ เดี๋ยวกูเรียกไอ้ปิ๊กมาช่วยก็ได้” มิ่งขวัญเอ่ยถึงเด็กเฝ้าห้องเย็น มันไม่ได้มีหน้าแพ็คปลาแต่มีหน้าที่ขนปลาเข้าไปเก็บในห้องที่มันเฝ้า

   “ขอบใจเว้ย เดี๋ยวตอนเย็นกูเอาตังเกไปฝากนะ” มิ่งขวัญพยักหน้ารับ ไม่ได้คิดว่าเพื่อนเอาเปรียบแต่กำลังคิดถึงเมนูอาหารที่ต้องตุนเอาไว้ให้หมาตะกละของรุ่งภพต่างหาก

   “ถ้าตกลงกันได้แล้วก็แยกย้ายไปพักผ่อน ไม่ใช่ไปหลับบนรถวันพรุ่งนี้นะ ฉันจะทุบให้” ตรัยตักเตือนด้วยน้ำเสียงกึ่งดุกึ่งหมันเขี้ยว

   รุ่งภพยิ้มแห้งแก้อาการเก้อเขิน ไม่คิดว่าตรัยจะหยิบยกเรื่องนี้มาล้อกัน

   “มิ่งขวัญ พรุ่งนี้ตอนเย็นไปรับคนของฉันที่สนามบินให้หน่อยสิ” ตรัยเอ่ยปากไหว้วาน เนื่องจากคนทางโน้นเลื่อนไฟลท์บินกะทันหัน ทำให้เขาเลื่อนนัดออกไปไม่ทัน

   “ใครเหรอครับ”

   “ผู้ช่วยของฉัน เดี๋ยวส่งรูปไปให้”

   “เย็นนี่กี่โมงครับ”

   “ฉันไม่แน่ใจว่าเขาจองตั๋วรอบไหน เอาเบอร์ไปแล้วกัน จะได้โทรถามกันได้”

   พอสั่งงานเสร็จก็เข้าไปเคลียร์เอกสารต่อในออฟฟิศ รุ่งภพมองตามแผ่นหลังของนายจ้างจนหายลับเข้าไปหลังบานประตู เขาถอดถุงมือออกแล้วนั่งพักเหนื่อยบนไม้พาเลท แก้ผ้าโพกหัวออกมาเช็ดเหงื่อจนหน้าแดงก่ำ

   “ไปสงขลากันทำไมวะ?”

   รุ่งภพไม่ได้ตอบเพื่อนในทันที ไม่ใช่ไม่ไว้ใจแต่ตรงนี้ไม่ได้มีแค่เราเพียงสองคน หากเรื่องรั่วไหลอาจจะสร้างความยุ่งยากให้กับตรัยในภายหลัง “เขาอยากเจอคุณอดุลย์น่ะ”

   “อ่อ” มิ่งขวัญไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก ลูกชายเถ้าแก่อยากเจอคุณอดุลย์ก็ไม่แปลกเพราะเป็นคนรับซื้อปลารายใหญ่ประจำแพ “มึงไปวันเดียวก็กลับใช่มะ”

   “ไม่รู้ว่ะ ไปกลับก็หลายชั่วโมงอยู่นะ อาจจะค้างคืน”

   “แล้วผู้ช่วยอะไรนั่น รับมาแล้วจะทำยังไงต่ออ่ะ ให้ค้างไหน?”

   “ไม่รู้ว่ะ มึงเข้าไปถามคุณตรัยดิ...หรือไม่ก็โทรไปถามผู้ช่วยเขา”

   “พักไหนก็ช่างแม่ง อย่ามาเป็นภาระให้กูก็แล้วกัน”





   วันเดินทางค่อนข้างอึมครึมเพราะฟ้าฝนไม่ค่อยจะเป็นใจเท่าไหร่นัก ตรัยต้องสลับให้รุ่งภพเป็นคนขับเพราะบางช่วงถนนลื่นและเขาเองก็ไม่ค่อยจะสันทัดเส้นทาง ถนนคดโค้งและค่อนข้างอับสายตา ประกอบกับฝนที่เทลงมาไม่หยุด แม้จะไม่หนักแต่ก็บดบังวิสัยทัศน์

   “หาอะไรกินกันก่อนดีกว่า สายมากแล้ว” เจ้าของรถเอ่ยปากทักเมื่อขับเข้าเมืองตรังมาได้ระยะหนึ่ง

   “ไปกินหมูย่างเมืองตรังกันไหมครับ ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว” สดชื่นขึ้นมาเชียว เรื่องกินนี่ไวนัก

   “จะกินร้านไหนก็เลือกเอา เดี๋ยวเลี้ยง”

   หมูย่างเป็นอาหารขึ้นชื่อของจังหวัดตรัง ตรัยยังไม่เคยลองชิมจึงไม่รู้ว่ารสเด็ดจริงไหม ตั้งแต่ขับรถเข้าเขตเทศบาลก็เจอแต่หมูย่างเต็มไปหมดจนเลือกไม่ถูก คนชำนาญพื้นที่ตรงดิ่งเข้าไปในตลาดสดอย่างตั้งใจ แถมยังลากเขาลงจากรถแล้วเดินเท้าเข้าไปด้านในด้วยความมุ่งมั่น สุดท้ายก็แห้วเพราะร้านปิดแล้วเนื่องจากสายเกิน

   ชายหนุ่มทำหน้าม่อยก่อนจะให้ความหวังกับเขาอีกครั้งด้วยการพาเดินออกจากตลาดไปตามถนนห้วยยอด บรรยากาศเมืองตรังค่อนข้างคึกคักเลยทีเดียว อาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่เปิดเป็นร้านอาหารเรียงรายตลอดทั้งเส้นทาง เรามาถึงร้านหมูย่างอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นร้านชื่อดังเหมือนกัน เนื่องจากร้านค่อนข้างแคบและโต๊ะเต็มแล้ว เขาจึงให้รุ่งภพสั่งใส่กล่องกลับไปแทน

   เราแวะร้านขนมเค้กกันตังก่อนกลับไปขึ้นรถ ตรัยไม่ได้อยากกินแต่คนที่มาด้วยกันร่ำร้องจะเข้าไปซื้อให้ได้ เลยต้องแวะอย่างจำใจ

   “นั่งทานหมูย่างในร้านได้นะคะ ทางร้านมีเครื่องดื่มให้ด้วย ลูกค้าชอบสั่งมาทานคู่กับเค้กกันตังค่ะ”

   เจ้าของร้านแนะนำเมนูขายดี เขาสั่งเค้กกันตังรสดั้งเดิมไปหนึ่งชิ้น ส่วนรุ่งภพสั่งเค้กส้มและกาแฟอีกสองแก้วให้กับเขาและตัวเอง ระหว่างรอขนมมาเสิร์ฟก็จัดการหมูย่างรสเด็ดที่ซื้อมากินเป็นมื้อเช้า มันอร่อยตรงหนังเพราะกรอบแล้วเคี้ยวมัน เนื้อนุ่มแต่แห้งไปนิด กินมากๆ แล้วฝืดคอ

   “ถ้าเป็นร้านอาโกนะ หนังจะกรอบกว่านี้อีกครับ เนื้อหมูของเขาหวานติดลิ้นเลย หอมเครื่องเทศสุดๆ”

   น้ำเสียงเจื้อยแจ้วเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนฟัง รุ่งภพเป็นคนกินเก่งมาก ตั้งแต่รู้จักกันมายังไม่เคยเห็นชายหนุ่มเลือกกินเลยสักครั้ง “แบ่งเค้กส้มมาทางนี้บ้างสิ”

   ตรัยเลื่อนจานเค้กไข่ไปให้ชายหนุ่มชิมบ้างหลังจากตักชิมเค้กส้มจนแหว่งไปเกือบครึ่ง รสชาติหวานอมเปรี้ยวอร่อยถูกปากกว่าเค้กไข่กันตังมาก เขาตักชิมเพลินจนเกือบหมด โดนชายหนุ่มจ้องเขม็งจนต้องสั่งมาคืนแทนชิ้มเดิม

   นั่งกินขนมกันเพลินจนลืมเวลา กว่าจะได้ออกเดินทางต่อก็เกือบเที่ยงแล้ว แม้ฝนจะหยุดตกไปแล้วแต่เขายังคงให้รุ่งภพเป็นคนขับต่อ เส้นทางต่อจากนี้ต้องตัดผ่านเขตภูเขา ถนนคัดเคี้ยวและโค้งเยอะมาก ถึงอย่างนั้นรุ่งภพก็ยังบังคับรถได้นุ่มนวล ไม่เร็วเกินไปแต่ก็ไม่ช้าจนเต่ากัดยาง

   ทะเลสาบสงขลาปรากฎให้เห็นเมื่อรุ่งภพเลี้ยวรถเข้าไปจอดข้างอาคารหลังหนึ่งบริเวณท่าเทียบเรือใหม่ขององค์การสะพานปลา ท่าเทียบเรือแห่งนี้ใหญ่กว่าแพปลาของพ่อหลายเท่าตัว อีกทั้งยังมีสัตว์น้ำหลากหลายทั้งที่จับได้ตามธรรมชาติและเพาะเลี้ยงเอง เขาจับยึดไหล่ของรุ่งภพขณะก้าวเดินผ่านแอ่งน้ำที่ละลายมาจากน้ำแข็งป่น เราไม่ได้ใส่รองเท้าบูทเหมือนคนที่นี่เพราะไม่ได้มาติดต่องานกับองค์การโดยตรง

   หนุ่มใต้พาเขาเดินออกจากอาคารมายังจุดนัดหมายตรงท่าเทียบเรือริมทะเลสาบ จุดจอดเรือค่อนข้างวุ่นวายเนื่องจากมีการขนส่งสินค้าลงเรือหลายลำ เอเย่นต์รับซื้อปลากางโต๊ะพับนั่งรออยู่ก่อนแล้ว แผ่นกระดาษถูกวางกองเอาไว้เกลื่อน หากไม่ทับเอาไว้ด้วยเครื่องคิดเลขคงปลิวหายลงไปในทะเลสาบแน่นอน

   “สวัสดีครับ ผมคือคนที่โทรมานัดคุณเอาไว้” ตรัยแนะนำตัวทันทีที่มาถึง

   “เห็นไอ้รุ่งก็รู้แล้วครับ” คนโดนทักยิ้มกว้าง ยกมือไหว้สวัสดี “ไงเรา ไม่เห็นหน้าเห็นตาเลยนะช่วงนี้”

   “ปิดอ่าวสามเดือนไงครับคุณอดุลย์ อยู่ในช่วงเก็บเนื้อเก็บตัวก็เงี้ย”

   หนุ่มวัยกลางคนหัวเราะเสียงแผ่ว นึกเอ็นดูรุ่งภพมาแต่ไหนแต่ไรแล้วเพราะคุยด้วยแล้วถูกคอ “ว่างก็มาช่วยทางนี้ได้นะ เดี๋ยวกันตำแหน่งต้นกลไว้ให้”

   ตรัยขมวดคิ้ว พูดจาหยอกล้อกันแบบนี้เขาไม่ค่อยจะชอบใจเท่าไหร่นัก

   “ไม่ไหวมั้งครับ ผมความรู้น้อย เดี๋ยวไปพังห้องเครื่องคุณเข้า ได้ลอยเท้งกันกลางทะเลแน่”

   “งั้นเป็นสรั่ง ก็ได้เอ้า เราถนัดคุมคนไม่ใช่เหรอ”

   ตรัยขยับขึ้นมาบังชายหนุ่ม คนของเขาก็คือคนของเขา เล่นดึงตัวไปดื้อๆ แบบนี้ ไม่ข้ามหน้าข้ามตาไปหน่อยเหรอ? “ขอโทษนะครับ เรามาเริ่มคุยธุระสำคัญกันดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา”

   “โอเค” ชายวัยกลางคนรื้อแฟ้มเล่มบางออกมาจากกองกระดาษแล้วยื่นส่งให้กับคนขอ “ใบเสร็จกับใบแจ้งหนี้ที่คุณขอดู”

   ตรัยรับแฟ้มมาเปิดแล้วไล่สายตามองหาตัวเลขรอบล่าสุด เขาจำได้ดีว่ามีจำนวนเท่าไหร่ ที่น่าโมโหคือมันตรงกับใบสรุปยอดขายที่เสมียนบัญชีให้มา

   ฝ่ามือหนาสอดเอกสารเข้าแฟ้มด้วยความหงุดหงิด ปลาเป็นตันจะหายไปได้ยังไง ถ้าไม่หายที่ต้นทางก็ต้องหายที่ปลายทางนี่แหละ ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนโดนปล้นกลางทางกันชัดๆ

   กลางทาง?

   “ใครเป็นคนเอาปลามาส่งรอบที่แล้ว”

   “หือ? ถ้าเป็นรอบล่าสุด พี่ยะเอามาส่งครับ” รุ่งภพตอบด้วยเสียงงุนงง

   “ยะ?”

   “ช่างเครื่องเรือของเราไงครับ ตัวล่ำๆ แขนใหญ่ๆ” แสดงท่าทางประกอบด้วยการเบ่งกล้ามแขนทั้งสองข้าง มันก็น่าเอ็นดูอยู่หรอกแต่ไม่ใช่เวลาชม

   “คุณได้ปลาลดลงตั้งแต่รอบไหน จำได้ไหมครับ”

   “อ่า...ไม่แน่ใจนะ น่าจะสามรอบก่อนล่ะมั้ง คนส่งปลาคนใหม่บอกว่าจับได้น้อยเพราะช่วงนี้หยุดเรือบ่อย ตอนแรกว่าจะโทรไปถามเถ้าแก่แล้วล่ะ กลัวจะมีปัญหากับศูนย์ควบคุมประมง แต่ได้ยินว่าไม่ค่อยสบายเลยไม่อยากรบกวน ไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไรกัน”

    “เขาคงฉวยโอกาสตอนพ่อไม่ค่อยสบายน่ะครับ หลังๆ มานี้ท่านไม่ค่อยได้ตรวจบัญชี ยิ่งทิ้งงานไปรักษาตัวด้วยแล้วยิ่งทางสะดวก” ตรัยขบกรามแน่นด้วยความโมโห พวกมันคงวางแผนตั้งแต่ออกเอกสารเท็จแล้ว คงไปถ่ายปลากันที่ไหนสักแห่งแล้วเหลือจำนวนให้เท่ากับตัวเลขที่เฟคไว้ “ผมขอยืมเอกสารไปทำสำเนาหน่อยได้ไหมครับ”

   “ตามสบายเลยครับ ถ้าเป็นอย่างนี้ผมต้องออกเช็คตามจำนวนเงินในใบแจ้งหนี้นะครับ ปัญหาภายในพวกคุณต้องไปจัดการกันเอาเอง”

   “แน่นอนครับ ผมไม่ปล่อยให้กระทบมาถึงคุณหรอก” เขายื่นเอกสารทั้งแฟ้มให้รุ่งภพเอาไปถ่าย ส่วนตัวเองนั่งกันท่าหนุ่มใหญ่อยู่กับโต๊ะ รอจนกระทั่งรุ่งภพถ่ายเอกสารเสร็จก็ขอตัวกลับ ร่ำลาพอเป็นมารยาท ไม่ยืดเยื้อเหมือนตอนมา

   “เขาคงชอบเธอน่าดู ถึงขนาดออกปากชวนไปทำงานด้วย”

   “เขาก็พูดไปงั้นแหละครับ คนแก่ขี้เหงาก็งี้แหละ ชวนคุยไปเรื่อย”

   “เดี๋ยวก่อน อายุเขาไม่น่าจะถึงห้าสิบนะ เขาเรียกวัยกลางคนยังไม่แก่สักหน่อย”

   “พอสี่สิบหัวก็เริ่มหงอกแล้วครับ เผลอแป๊บเดียวอายุก็ครึ่งร้อยเข้าไปแล้ว พอหกสิบก็ได้เบี้ยผู้สูงอายุพอดี แก่อย่างเป็นทางการ” เหมือนโดนเบรคอารมณ์จนหัวทิ่ม เริ่มไม่มั่นใจในตัวเองขึ้นมาทันที

   ไอ้เด็กนี่ ไม่แก่บ้างก็ให้มันรู้ไป

   “งั้นโชคดีไป ฉันเพิ่งจะสามสิบเอง อีกหลายสิบปีกว่าจะแก่อย่างเป็นทางการ”

   รุ่งภพหัวเราะร่วนขณะปลดล็อคประตูรถ เราออกจากท่าเทียบเรือกันตอนย่ำค่ำ ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาขุ่น อีกไม่นานคงมืดสนิทไม่เหมาะกับการเดินทาง

   “ค้างสักคืนก็แล้วกัน” เขาไม่อยากขับรถกลับในตอนกลางคืนเพราะเส้นทางอันตรายพอสมควร รุ่งภพจึงแนะนำให้ไปพักในหาดใหญ่เพราะสะดวกสบายกว่ามาก อาหารการกินก็เยอะแยะ คิดว่าเหตุผลอย่างหลังน่าจะเป็นจุดประสงค์หลักเสียมากกว่า

   “โทรไปบอกพ่อแม่หรือยัง เขาจะได้ไม่ต้องห่วง” ตรัยยังไม่เคยเห็นพ่อแม่ของชายหนุ่ม ตอนไปบ้านรุ่งภพครั้งแรกก็ไม่เจอใครเลย คิดว่าออกไปทำงานกันหมดเลยไม่ได้ถาม

   “ผมอยู่คนเดียวครับ” คนพูดเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แม้ไม่เห็นความรู้สึกโศกเศร้าในแววตาแต่ตรัยก็หลีกเลี่ยงที่จะถามถึง เปลี่ยนไปพูดเรื่องที่ชายหนุ่มสนใจแทน

   “เย็นนี้กินอะไรดี”

   รุ่งภพยิ้มเผล่หลังจากได้ยินคำถามใหม่ เรารีบเช็คอินแล้วขึ้นห้องเอากระเป๋าไปเก็บ เขาไม่ได้จองห้องแยกกับชายหนุ่มเพราะอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้หญิงจึงไม่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม

   “กินอะไรดีอ่า...”

   “แล้วอยากกินอะไรล่ะ” ตรัยถามซ้ำอีกครั้ง ตลาดกลางคืนในเมืองสงขลาคือแหล่งอาหารชั้นยอด ทั้งขนมและเครื่องดื่มละลานตาเต็มไปหมด ถนนตลอดทั้งเส้นล้วนคึกคักโดยเฉพาะบริเวณห้างสรรพสินค้าและตึกแถวพาณิชย์ที่เปิดขายของกันเกือบทุกห้อง

   “กำลังคิดอยู่ครับ อืม...”

   “อย่าลืมนึกถึงฉันด้วยล่ะ” ตรัยเปิดกล้องในโทรศัพท์มือถือเพื่อถ่ายโคมเต็งลั้งที่แขวนห้อยระย้าเต็มถนน “หลับหรือไงห๊ะ? ถ้ามันเลือกยากขนาดนั้นเดี๋ยวฉันเลือกให้”

   “คุณอยากกินอะไรอ่ะครับ”

   “ซาลาเปาทอดไหม? เพื่อนฉันเคยแท็กให้ดูในเฟส น่ากินอยู่นะ”

   รุ่งภพเม้มริมฝีปาก บางทีก็ขบ บางทีก็ยู่ เห็นแล้วน่ามันเขี้ยวคันมืออยากจะบีบ “ไปกินซาลาเปาทอดก็ได้ครับ แล้วร้านมันอยู่ตรงไหนอ่า...”

   เราตระเวนหาร้านเด็ดกันอีกครั้ง คงไม่ผิดหวังเหมือนตอนเช้าหรอกมั้ง

   เดินงมทางกันอยู่นาน สุดท้ายก็ถึงร้านดังเมืองหาดใหญ่ ตรัยสั่งซาลาเปาทอดเป็นอย่างแรกตามด้วยหมั่นโถว ซาลาเปานึ่งและลูกชิ้นปิ้ง รุ่งภพไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าตัวเองอยากกินอะไร พออาหารมาเสิร์ฟก็นั่งแทะเล็มอย่างมีความสุข ทั้งหมั่นโถวกะเพราไก่ไข่ดาว ซาลาเปาไส้หมูหยอง ตอนแรกนึกว่าจะจบที่ซาลาเปาจักรพรรดิ์เพราะเครื่องแน่นมากทั้งหมูสับ ไข่ต้ม เห็ดหอมและกุนเชียง ขนาดเขาตัวใหญ่กว่ายังอิ่มจนจุกแต่ชายหนุ่มกลับยัดขนมจีบและลูกชิ้นปิ้งต่อได้เรื่อยๆ กินดุจนคนเลี้ยงหน้าซีดกันเลยทีเดียว

   “อีโนไหม?”

   “หือ? เอามาทำไมครับ”

   “ไม่แน่นเหรอ”

   ส่ายหัวลูบพุงปุๆ “สบ๊าย ยังต่อได้อีกนะครับ...ถ้าคุณเลี้ยงไหว”

   “เธอมีแฟนหรือยัง”

   “หา? ยังหรอกครับ ทำไมเหรอ”

   “ฉันสงสารแฟนในอนาคตของเธอน่ะ จะเลี้ยงไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้?”

   รุ่งภพยู่ปาก “ผมต้องเลี้ยงเขาสิครับ จะให้เขามาเลี้ยงผมได้ไง”

   “เหรอ? อย่าไปแย่งเขากินก็แล้วกัน” ตรัยยังไม่เลิกแซว อันที่จริงความคิดของชายหนุ่มก็ดูจะพึ่งพาได้อยู่บ้าง แต่กินเก่งขนาดนี้คงต้องเลี้ยงตัวเองให้รอดก่อน “เอารังนกอีกสักถ้วยไหม”

   ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีแฟน งั้นก็ให้เขาเลี้ยงไปก่อนแล้วกัน

   “ไม่เอาอ่ะครับ” คราวนี้ส่ายหัว สร้างความแปลกใจให้กับคนเลี้ยงเป็นอย่างมาก

   “ปฎิเสธเป็นด้วย?”

   “คุณอ่ะ!”

   น้ำเสียงเง้างอดเรียกเสียงหัวเราะจากตรัยได้อีกครั้ง เขาสั่งรังนกจากร้านรถเข็นข้างทางมากินถ้วยหนึ่ง รสชาติไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เป็นน้ำใสๆ และมีเส้นรังนกลอยอืดอยู่ในน้ำแข็งป่น

   ถึงว่าทำไมไม่กิน

   ไม่มีเตือนกันด้วยนะ แถมยังยิ้มขำอีกต่างหาก

   “รังนกมันมีหลายเกรดครับ ถ้าตามรถเข็นน่าจะเป็นเกรดสาม ถ้าเกรดดีกว่านี้ราคาจะแพงมาก เฉพาะเกรดสามขีดนึงก็สองพันแล้ว”

   ขีดนึงสองพัน ตกกิโลกรัมละสองหมื่นบาท

   ตรัยไม่ได้ตื่นเต้นกับราคาพวกนี้ เขาไม่ชอบกินของพวกนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วเพราะไม่ใช่ทาสการตลาด แค่เห็นว่าแปลกดีเลยลองดู ปกติจะเห็นในรูปแบบบรรจุขวดเพียงเท่านั้น

   “เมื่อย” ตรัยหลุดปากบ่นเมื่อกลับมาถึงห้องพัก

   หนุ่มใต้นั่งลงบนขอบเตียง ไม่ปิดบังความเป็นห่วงในแววตา “ผมนวดให้เอาไหมครับ”

   “นวดเป็นเหรอ เดี๋ยวอัมพาตถามหาล่ะยุ่งเลย”

   “แค่นวดครับ ไม่ได้จับเส้น ขนาดเถ้าแก่ยังผ่านมือผมมาแล้วเลย นวดจนหลับคามือ” ทำมือขยุกขยุยเหมือนอยากขยำอะไรสักอย่าง

   “ไหนลองนวดตรงน่องดูหน่อย” เอนหลังพิงหัวเตียงแล้วพาดขาเกยตักของชายหนุ่ม

   “กล้ามเนื้อคุณแข็งมากเลยครับ”

   “เดินทั้งวันไง”

   “ไม่ๆ ผมหมายถึงกล้ามเนื้อคุณแน่นมาก ออกกำลังกายบ่อยเหรอครับ” คลึงกล้ามเนื้อต้นขาของตรัยเล่น เขาก็ทำงานทั้งวันแต่ไม่สามารถเพิ่มมวลกล้ามเนื้อให้กับตัวเองได้ กินเท่าไหร่ก็ถูกเผาผลาญออกไปจนหมดเพราะต้องขยับร่างกายตลอดเวลา
   “ไม่บ่อยหรอก ถ้าว่างก็เล่นเวท วันไหนอากาศดีก็ออกไปวิ่งบ้าง”

   “อ๋อ...” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะการพูดคุย ตรัยคว้าโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย ยังไม่ทันได้พูดทักทาย เสียงโวยวายก็ดังขึ้นแผดแก้วหู

   (คุณตรัย กุญแจบ้านล่ะครับ ผมเข้าบ้านพ่อคุณไม่ได้)

   “อ้าว ลืมไปเลย”

   (ลืมได้ยังไงกันครับ แล้วผมจะไปนอนที่ไหนล่ะ)

   “ไปนอนบ้านมิ่งขวัญก่อนได้ไหม เดี๋ยวกลับไปให้เบิกเงินชดเชย”

   (คุยกับเขาเองแล้วกันครับ)

   ดูเหมือนผู้ช่วยของเขาจะไม่มีทางเลือก ถึงได้ยอมง่ายๆ แต่โดยดี

   (ครับนายหัว)

   “ให้คนของฉันไปพักบ้านนายคืนนึงได้ไหม เขาไม่วุ่นวายหรอก...แค่เอาใจยากนิดนึง” เหมือนได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสาย เป็นนานกว่ามิ่งขวัญจะตอบรับกลับมาด้วยน้ำเสียงกล้ำกลืน

   (บ้านผมไม่มีแอร์นะครับ ถ้าเขาทนร้อนได้ก็โอเค)

   แรงนวดกลับมาสม่ำเสมออีกครั้งหลังจากตรัยคุยโทรศัพท์เสร็จ ช่วงท้ายๆ เขาเปิดสปีคเกอร์โฟนให้รุ่งภพได้ยินด้วย ชายหนุ่มยิ้มแห้งตอนได้ยินน้ำเสียงตึงๆ จากเพื่อนสนิท ไม่กล้าสอดปากออกความคิดเห็นใดๆ นอกจากก้มหน้าก้มตานวดให้เขาอย่างจริงจัง


   ให้มันได้อย่างนี้สิ...



TBC

ลงตอนแบตใกล้หมด ลุ้นมากเพราะเมื่อคืนก็หมดเหมือนกัน เลยไม่ทันได้ลง 5555555
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 6 l 2/9/62
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-09-2019 19:14:41
 :pig4:
 o13
 :3123:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 7 l 3/9/62
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 03-09-2019 21:52:12
บทที่ 7



   สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดถูกส่งคืนผู้เป็นเจ้าของ มิ่งขวัญถอนหายใจหนัก สตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์อีกครั้งเมื่อเจ้าของโทรศัพท์ตกลงกับคนปลายสายเรียบร้อยแล้ว

   “ขึ้นมาสิคุณ”

   “เดี๋ยวดิ ของเยอะไม่เห็นเหรอ” คนเพิ่งเดินทางมาถึงแบกกระเป๋าใบใหญ่คั่นไว้ตรงกลางเบาะเก่าขาดซึ่งแปะทับด้วยเทปใส ร่างในชุดทำงานเรียบกริบวาดขาขึ้นคร่อมตามหลัง ใบหน้าบึ้งตึงขณะกวาดสายตามองไปรอบบ้านของพ่อเจ้านาย

   ไหนบอกจะทิ้งกุญแจบ้านเอาไว้ให้ไง สุดท้ายก็มาเก้อ

   “เกาะไว้ด้วยล่ะ หล่นลงไปผมไม่ตามเก็บนะ”

   คนโดนแซวตีหน้ายุ่ง อยากจะเอื้อมมือไปฉีกทึ้งกระชากหัวของมันให้รู้แล้วรู้รอดไป ทำไมเขาต้องมานั่งรถมอเตอร์ไซค์ป่วยออดๆ แอดๆ หลังเครื่องแลนดิ้งด้วยนะ เหนื่อยก็เหนื่อย ง่วงก็ง่วง แถมกระเป๋าก็เกะกะ ไม่ได้ดั่งใจเลยสักอย่าง

   “ตกลงคุณชื่ออะไรนะ มาวินเหรอ”

   “ผมชื่อธาวิน บอกไปแล้วไง หูตึงเหรอ”

   “ตอนอยู่ในสนามบินผมได้ยินไม่ชัดอ่ะ เห็นคุณรีบก็เลยไม่ได้ถามซ้ำ”

   อย่างกับตอนนี้จะได้ยินชัดนักแหละ เสียงท่อดังอย่างกับโรงสี เครื่องยนต์ก็ขลุกขลัก จะดับแหล่ไม่ดับแหล่อยู่รอมร่อ “บ้านคุณอยู่ไกลไหม”

   “ไม่ไกลหรอก เลยปากแม่น้ำไปก็ถึงแล้ว”

   รถเก่าเก็บเคลื่อนตัวโยกเยกผ่านสันเขื่อนแล้วลัดเลาะเข้าไปในคลองสายหนึ่ง ถนนเส้นเล็กโรยด้วยหินคลุกขรุขระ ข้างทางเป็นป่ากล้วยดำมืด บ้านทุกหลังปิดไฟมืดสนิท ครั้นมองฝ่าความมืดออกไปยังฝั่งคลองก็ดูจะวังเวงพอๆ กัน ธาวินพอจะมองเห็นได้เลือนลางผ่านแสงไฟริบหรี่จากหน้ารถเท่านั้น เงาตะคุ่มริมน้ำคงเป็นกระชังปลาของชาวบ้าน เขาไม่แน่ใจว่าคลองสายนี้เป็นน้ำกร่อยหรือเปล่า เนื่องจากสังเกตเห็นรากต้นไม้งองุ้มจากอีกฝั่ง สานกันเป็นร่างแหคล้ายระบบนิเวศของป่าชายเลน

   แถ่ด แถ่ด แถ่ด กึก

   เสียงเครื่องยนต์กระตุกติดกันหลายครั้งยิ่งทำให้ธาวินใจไม่ดี เขาเอื้อมมือผ่านกระเป๋าไปดึงเสื้อยืดของคนขับแล้วจิกไว้แน่น รถเครื่องคันเก่ากระชากตัวเพียงนิดแล้วแน่นิ่งไปเหมือนหมดแรง

   “....”

   ความมืดโรยตัวเข้าปกคลุมเมื่อไร้แสงไฟนำทาง ธาวินตัวแข็งทื่อ ได้แต่จ้องต้นคอของคนตรงหน้าไม่กล้าเหลียวมองไปรอบกาย

   “เอ้า ลงก่อนดิคุณ ผมจะดูรถ”

   ปีนลงอย่างเก้กังพร้อมกับอุ้มกระเป๋าไว้ในอ้อมแขน ขยับไปชิดคนตัวโตอย่างระแวดระวัง กลัวสิ่งที่มองไม่เห็นปรากฎตัว “ระ…รถเป็นอะไรเหรอ”

   “ไม่รู้เหมือนกัน...รถมันเก่าแล้วอ่ะ เป็นได้หลายอย่าง”

   “แล้วทำไมไม่ซื้อคันใหม่ไปเลยล่ะ”

   “เฮ้ย! รถมันยังใช้ได้อยู่ ผมไม่ได้รวยมีเงินถุงเงินถังเหมือนพวกเศรษฐีนะครับ จะซื้ออะไรแต่ละทีก็ต้องคิดแล้วคิดอีก ได้ของใหม่แต่ไม่มีจะแดกก็ไม่เอานะคุณ”

   “หยาบคาย” เพิ่งจะรู้จักกันยังไม่กี่ชั่วโมงเอง กล้าพูดคำหยาบใส่เขาได้ไง

   “ผมก็เป็นแบบนี้แหละ ความจริงคุณไม่ต้องพูดเพราะกับผมก็ได้นะ กูมึงไปเลยก็ได้...ผมไม่ถือ”

   “แต่ฉันถือ!” ธาวินข่มใจให้เย็นลง เขาสูดลมหายเข้าลึกกับความกวนประสาทของมิ่งขวัญ “แล้วจะกลับยังไงล่ะทีนี้”

   “เดินเอาแล้วกัน อีกนิดเดียวเอง” มิ่งขวัญปิดเบาะแล้วปัดขาตั้งขึ้น ธาวินวิ่งตามคนจูงรถหน้าเหวอ ทำไมเขาต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย

   “เดี๋ยวสิ ทำไมไม่ลองซ่อมดูก่อนล่ะ”

   “ซ่อมอะไรล่ะ น้ำมันหมด ผมลืมเติม”

   “อะไรนะ! ทำไมสะเพร่าแบบนี้เนี่ย”

   มิ่งขวัญจุ๊ปาก ทำเป็นหงุดหงิดไม่สนใจแววตาหวาดระแวงเหมือนกระต่ายขี้กลัว “อย่าโวยวายน่า หนวกหู”

   “อะ ไอ้…” จะด่ากลับก็ไม่กล้า กลัวมันโมโหแล้วต่อยหน้าแหกเอา ได้แต่จ้ำเดินตามอย่างหงุดหงิด แบกกระเป๋าจนกล้ามปูดเพราะลากไม่ได้ เนื่องจากพื้นถนนโรยด้วยหินคลุก เขาทดลองลากแล้วแต่มันไม่เวิร์ค

   เสียงหมาหอนดังโหยโหนในความมืดอันแสนวังเวง ธาวินขยับตัวเข้าไปเบียดชิดท่อนแขนกำยำอย่างขลาดกลัว เขาไม่ชินกับบรรยากาศเงียบสงัดแบบนี้ ด้วยกรุงเทพเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล ต่อให้ดึกดื่นแค่ไหนก็ยังเห็นรถแล่นผ่านมาบ้าง ไม่ใช่มองไปทางไหนก็เจอแต่ความมืด ไฟทางก็ไม่มี น่ากลัวจะตาย

   “คุณจะเดินเบียดผมทำไมเนี่ย ขาดความอบอุ่นเหรอ”

   “มันน่ากลัวอ่ะ...นายไม่กลัวเหรอ”

   “กลัวอะไรล่ะ อยู่มาตั้งแต่เกิด” เจ้าถิ่นเหลือบมองกระเป๋าใบย่อมในมือของคนข้างกาย ในเมื่อถือเองได้เขาจึงไม่คิดเสนอตัวเข้าไปช่วย “ถึงแล้ว หลังนี้แหละ”

   เจ้าของบ้านเข็นรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปไว้ใต้ถุนบ้าน ธาวินสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นหมาสองตัวโผล่หัวขึ้นมาจากใต้บันได พวกมันส่งเสียงเห่าระงมเมื่อเห็นคนแปลกหน้า พอมิ่งขวัญจุ๊ปากดุมันก็เห่าอีกสองสามครั้งพอเป็นพิธี เหมือนเห่าไปตามหน้าที่เพียงแค่นั้น

   มิ่งขวัญอาศัยแสงจันทร์ส่องเดินขึ้นบันไดไม่รอเขา ธาวินรีบตามติดด้วยการกระโดดขึ้นบันไดไปทีละสองขั้น เสียงดังตุบตับด้านหลังทำให้เจ้าของบ้านหันกลับมามองพร้อมกับชักสีหน้าใส่ด้วยความไม่พอใจ

   “เบาดิคุณ พ่อกับแม่ผมนอนแล้ว” ฉวยกระเป๋าในมือแบบบางมาถือให้ เห็นแล้วขัดหูขัดตาเหลือเกิน กลัวจะพลัดตกลงไปตายซะก่อน “ถอดรองเท้าด้วย ใครสั่งใครสอนให้ใส่รองเท้าขึ้นบ้านห๊ะ!”

   ธาวินแยกเขี้ยวใส่แผ่นหลังของคนนำหน้า ถอดรองเท้าหนังสีดำขะมุกขะมอมออกอย่างลุกลนท่ามกลางความมืดมิดเพราะมิ่งขวัญไม่ยอมเปิดไฟหน้าบ้านให้ เขาอาศัยเงาร่างสูงใหญ่เป็นจุดโฟกัสในสายตา พยายามเดินเหยียบไม้กระดานเนื้อมันอย่างแผ่วเบาตามเข้าไปในห้องของชายหนุ่ม

   แสงจากหลอดไฟแบบรางยาวทำเขาตาพร่าไปชั่วขณะ หลังจากปรับสายตาได้แล้วก็เริ่มสำรวจสภาพแวดล้อมทันที ห้องของมิ่งขวัญกว้างแค่ครึ่งเดียวของขนาดห้องในคอนโดเขา เฟอร์นิเจอร์ก็ขัดตาไม่เข้ากันเลยสักนิด มีทั้งตู้ไม้สักและชั้นพลาสติกสำหรับวางของแทนตู้เสื้อผ้า บริเวณฝาบ้านติดโปสเตอร์รวมดาวซัลโวของฟุตบอลโลกเมื่อสี่ปีก่อน มีกรอบรูปครอบครัวปะปนอยู่บ้างไม่กี่รูป ส่วนอีกมุมหนึ่งของห้องค่อนข้างรกเลยทีเดียว เสื้อผ้าใช้แล้วกองสุม บางตัวก็ถอดกองไว้กับพื้น ไร้ระเบียบสิ้นดี

   “จะยืนทำหน้ารังเกียจอีกนานไหม เที่ยงคืนตีหนึ่งเข้าไปแล้ว นอนได้แล้วคุณ” มิ่งขวัญวางกระเป๋าของชายหนุ่มไว้ข้างตะกร้าผ้า ธาวินแทบจะวิ่งถลาไปลากออกมาเพราะเห็นกางเกงในตัวหนึ่งถอดม้วนอยู่ไม่ไกล

   อี๋...หยะแหยง

   เจ้าของห้องแอบหัวเราะในใจกับสีหน้าท่าทางของชายหนุ่ม เขาเอนตัวลงบนฟูกนอนกระดิกเท้ามองธาวินลากกระเป๋าเสื้อผ้าไปเก็บไว้อีกฟากหนึ่งตรงมุมห้อง

   “ฉันอยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอ่ะ”

   “ห้องน้ำอยู่ข้างล่างอ่ะ ลงไปคนเดียวนะ ผมจะนอนแล้ว”

   ธาวินเม้มปากอย่างขัดเคือง อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ใครจะกล้าเดินลงไปคนเดียว “ลงไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”

   “หมกเม็ดสักคืนก็ได้ ผมไม่ถือหรอก” เจ้าของห้องตบฟูกนอนปุๆ อย่างเชิญชวน “มานอนเร็ว พรุ่งนี้ผมต้องตื่นแต่เช้านะ”

   “แต่…”

   “หรือจะลงไปคนเดียว”

   โธ่เว้ย! นอนก็นอนวะ

   คนไม่ได้ดั่งใจล้มตัวลงนอนด้วยสีหน้ากระฟัดกระเฟียด ไม่คิดจะปลดเข็มขัดหรือเอาชายเสื้อออกแต่อย่างใด นอนมันทั้งอย่างนั้นบนฟูกเนื้อแข็ง ดวงตาเบิกค้างเมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความมืดมิดอีกครั้งหนึ่ง

   นอนไม่หลับอ่ะ

   ชายหนุ่มพลิกตัวคะแคงข้าง หันหลังให้กับเจ้าของฟูกนอน พยายามทำตัวลีบเล็กและกระเถิบออกห่างจนแทบจะตกขอบฟูก

   คนอาศัยนอนขมวดคิ้วเมื่อเจ้าของห้องขยับตัวไปมา เผลอร้องเสียงหลงด้วยความตกใจเมื่อโดนลากเข้าไปจนชิดแผ่นอกกว้าง เกือบจะร้องโวยวายออกไปอยู่แล้วถ้าไม่ได้ยินน้ำเสียงกึ่งดุกึ่งขำเข้าเสียก่อน

   “ทำบ้าอะไรห๊ะ?”

   “รังเกียจผมเหรอ นอนซะห่างเชียว อีกนิดก็จะตกขอบฟูกอยู่ละ ไม่ลงไปนอนบนไม้กระดานเลยล่ะ”

   “ฉันเกรงใจ กลัวนายจะนอนไม่สบาย”

   “อ๋อเหรอ” มิ่งขวัญปล่อยมือจากข้อแขนนุ่ม สัมผัสนุ่มมือทำเอาจิตใจไขว้เขวไปครู่หนึ่ง “ขยับเข้ามาอีกนิดเถอะ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า กลัวเป็นสาวน้อยไปได้”

   “สาวน้อยบ้าอะไร ฉันเป็นผู้ชายนะ” เหวี่ยงกำปั้นตุ๊ยท้องคนปากพล่อยดังอั้ก มิ่งขวัญคว้าข้อมือนุ่มอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ยึดไว้แน่นไม่ยอมปล่อยอีกเลย “ปล่อยนะเว้ย”

   “ไม่ปล่อย นอนได้แล้วน่า อย่าวุ่นวาย...ถ้ายังรั้นไม่ฟัง ผมจะไล่คุณออกไปนอนนอกห้องนะ”

   คราวนี้เก็บปากเก็บคำเงียบเพราะไม่กล้าออกไปนอนกลางบ้านเพียงลำพัง ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เลิกยื้อยุดข้อมือกับเจ้าของห้อง ก่อสงครามประสาทต่อไปอีกครึ่งคืน



TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 8 l 3/9/62
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 03-09-2019 21:57:18
บทที่ 8



   หาดใหญ่ในยามเช้าคึกคักไม่แพ้กลางคืนเลย ตรัยรีบเช็คเอาท์และคืนกุญแจตอนแปดโมงเช้า เขาเหวี่ยงแขนแก้อาการเมื่อยขบขณะนั่งรออาหารเช้าในร้านแต่เตี้ยมชื่อดังแห่งหนึ่ง

   ดวงตาคมลอบมองรอยยับข้างแก้มของหนุ่มใต้อย่างนึกมันเขี้ยว เขาแทบไม่ได้นอนเพราะโดนเบียดโดนซุกแทบทั้งคืน แถมยังโดนแย่งผ้าห่มอีก ต้องหลับๆ ตื่นๆ เกือบทั้งคืนเพราะอีกฝ่ายครางอืออาอย่างกับเด็กนอนละเมอ

   ขนาดขยับหนีจนแทบจะติดขอบฟูกอยู่แล้วยังกลิ้งมาหาได้ ต้องปล่อยเลยตามเลยให้ซุกซบจนพอใจ กลายเป็นที่มาของอาการเมื่อยขบในเช้านี้

   “บะกุ๊ดเต๋มาแล้วครับ” รุ่งภพร้องบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ช้อนกับตะเกียบเตรียมพร้อม แม้ก่อนหน้านี้จะยัดติ่มซำเข้าไปหลายเข่งแล้วก็ตาม

   ตรัยละเลียดจิบชาในถ้วยจนหมด มองบะกุ๊ดเต๋ในชามใบใหญ่อย่างนึกสนใจ “สั่งอะไรมา”

   “เครื่องในตุ๋นยาจีนครับ คนหาดใหญ่เขาเรียกบะกุ๊ดเต๋ มาถึงหาดใหญ่แล้วไม่กินแสดงว่ามาไม่ถึงนะครับ”

   “ขนาดนั้นเลย” ลองตักน้ำแกงขึ้นมาดมแล้วซดไปคำหนึ่ง รสชาติเข้มข้นมากและได้กลิ่นเครื่องยาจีนกลบจมูก “เหม็นฉุน”

   “หอมจะตาย น้ำแกงหว๊าน หวาน”

   “เอาไปกินคนเดียวเลยไป ยกให้” ตรัยยกให้โดยไม่นึกเสียดาย เขาชอบกินติ่มซำมากกว่า โดยเฉพาะซี่โครงหมูน้ำแดงกับปลากระพงทอดอบซอส ฮะเก๋ากับขนมจีบก็อร่อย มีให้เลือกหลายหน้า คุ้มค่ากับการต่อคิวยาวเป็นชั่วโมง

   “คุณไม่ชอบอาหารรสจัด กลิ่นแรงๆ เหรอครับ”

   “รู้ได้ไง?”

   “สังเกตเอาครับ ตอนไปร้านขนมจีนคุณก็ตักน้ำยาขึ้นมาดมก่อน”

   ความพอใจแล่นวาบในอก นอกจากคนในครอบครัวแล้วก็มีชายหนุ่มนี่แหละที่ใส่ใจ “ความจริงก็กินได้…แต่ถ้าเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง” เขาตอบตามความเป็นจริง “แล้วเธอล่ะ ไม่ชอบกินอะไรบ้าง”

   คนโดนถามกลับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เผลอคิดนานจนตรัยหลุดขำ

   จริงจังแค่ไหน...แค่ไหนเรียกจริงจัง

   “ไม่น่าจะมีใช่ไหม กินอะไรก็อร่อยไปหมดทุกอย่างแหละ”

   “ครับ แหะ แหะ” ยอมรับแต่โดยดี เขาเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย ถึงรสชาติอาหารจะห่วยสักแค่ไหนเขาก็ไม่เคยเททิ้งให้เสียของ

   “เลี้ยงง่าย”

   รุ่งภพขมวดคิ้ว รู้สึกทะแม่งกับคำชมอยู่บ้างแต่ไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจ “อิ่มแล้วครับ กลับกันเถอะ”

   ปากบอกอิ่มแต่สั่งชานมเย็นมากินอีกแก้วคืออะไร? ตรัยส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ส่งกุญแจรถให้รุ่งภพขับเช่นเคยเพราะเริ่มชินที่มีคนคอยขับให้

   “แวะเที่ยวสักหน่อยไหม ยังเช้าอยู่เลย”

   “ไม่รีบกลับเหรอครับ”

   ตรัยส่ายหน้า กวาดสายตามองกรุ๊ปทัวร์นานาชาติแห่รับบัตรคิวหน้าร้านแต่เตี้ยมที่พวกเขาจากมา “เธอรีบกลับหรือเปล่าล่ะ ถ้ารีบก็ไม่ต้องแวะ”

   “ไม่รีบหรอกครับ” คนทำงานหาเช้ากินค่ำแบบเขา ไม่มีธุระที่ไหนหรอก “คุณจะแวะเที่ยวที่ไหนบ้างล่ะครับ? บอกมาเลย”

   “ถ้ารู้คงขับเองแล้ว”

   ประโยคคุ้นๆ นะ “แล้วแต่ผมเลยใช่ไหมครับ?”

   ส่งเสียงอืมไปคำหนึ่ง ดวงตาจับจ้องไปยังวิวทะเลสาบระหว่างที่รถแล่นข้ามสะพานติณสูลานนท์ ป้ายบอกทางเคลื่อนผ่านจนเข้าสู่เขตอำเภอสทิงพระ ไม่นานก็ถึงซุ้มประตูวัดพะโคะ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในจังหวัดสงขลา

   วัดพะโคะแห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่และมีชื่อเสียงมายาวนาน ฝังวิสุงคามสีมาตั้งแต่ พ.ศ. 840 เป็นวัดสำคัญของจังหวัดสงขลา สมเด็จเจ้าพะโคะ หรือ หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดเคยจำพรรษาอยู่ในวัดแห่งนี้เมื่อนานมาแล้ว

    เราเดินขึ้นเขาพัทธสิงค์ด้วยบันไดนาคทอดยาวไปยังตัววัด ระหว่างเดินสวนกับนักท่องเที่ยวแม่ลูกคู่หนึ่งก็ทราบว่ามีทางขึ้นทั้งหมดสามทาง จะขับรถขึ้นไปด้านหลังหรือขึ้นลิฟท์ก็ได้ แต่พวกเราเดินขึ้นบันไดมาได้ครึ่งทางแล้วจึงไม่อยากย้อนกลับไปอีก

   ถึงช้าหรือเร็วก็ช่างมันเถอะ...เขาไม่รีบ

   พอได้ออกกำลังก็ได้เม็ดเหงื่อมาจนท่วมตัว รุ่งภพทิ้งให้เขานั่งพักอยู่คนเดียวตรงเชิงบันไดขั้นบนสุด ชายหนุ่มดูเหมือนจะชินชากับความร้อนจนไม่รู้สึกอะไร ตรงดิ่งไปนั่งขอพรพระสิวลีกลางแดดจ้าได้หน้าตาเฉย

   “ขออะไรนานแท้”

   “ขอให้รวย ขอให้ถูกหวยรางวัลที่หนึ่งครับ”

   “ถ้ามันง่ายขนาดนั้น คงถูกกันทั้งประเทศแล้ว”

   “คุณนี่! อย่าขัดลาภผมสิครับ”

   ตรัยถึงกับส่ายหน้า กล้าขึ้นเสียงดุเขาเพราะเรื่องไร้สาระเนี่ยนะ? “ไปข้างในกันเถอะ”

   “แป๊บนึงครับ”

   “.…” ส่ายหัวอีกครั้งแล้วนั่งรออย่างจำใจ รอจนกระทั่งธูปที่ชายหนุ่มจุดหงิกงอลงมาจนเป็นรูปร่างคล้ายกับ...ตัวเลข?

   อย่าบอกนะ...

   “ไปกันเถอะครับ เสร็จแล้ว”

   “ได้เลขอะไรมาล่ะ?”

   หัวเราะกลบเกลื่อนอาการเคอะเขินของตัวเอง “รู้ด้วยเหรอครับ”

   “ไม่รู้เลยมั้ง ใครมันจะบ้าไปนั่งจ้องขี้ธูปเหมือนเธอล่ะ”

   เถียงไม่ออกก็ยู่ปาก ผายมือให้เขาเดินนำเข้าวัดไปสักการะหลวงปู่ทวดด้านหน้ามณฑป เรากล่าวคำอาราธนาอย่างตั้งใจ ปิดทองรูปหล่อจำลองและถวายดอกไม้เป็นพุทธบูชา

   “อย่าเพิ่งไปนะครับ ขอเขย่าเซียมซีก่อน”

   “ขอหวยอีกแล้วเหรอ?” จะมากไปแล้วนะ

   “จะดูดวงครับ”   

   ติ้วไม้ในกระบอกสีแดงถูกเขย่าจนส่งเสียงกึงกังลั่นโบสถ์ การเขย่าติ้วก็ต้องลุ้นเช่นเดียวกันว่าจะได้ไม้ดีหรือไม้ร้าย...หรือไม่ก็อาจจะเทลงมาทั้งกระบอกเหมือนอย่างตอนนี้

   “ดวงแรงจังนะ”

   “อย่าแซวสิครับ” เขย่าใหม่อีกครั้งอย่างไม่นึกยอมแพ้ สุดท้ายติ้วไม้ก็หล่นออกมาหนึ่งอันตามความต้องการของชายหนุ่ม

   “คุณจะเขย่าไหมครับ”

   “ไม่เอาล่ะ ไม่ชอบดูดวงล่วงหน้า”

   หนุ่มใต้ยิ้มเจื่อน กราบลาพระแล้วเดินหาใบเซียมซี

   “ดีไหมล่ะ”

   “ดีมั้งครับ ผมจะได้โชคลาภแต่จะมีเรื่องให้เดือดเนื้อร้อนใจ”

   “อย่าไปยึดติดกับคำทำนายมาก จะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวเราทั้งนั้นแหละ”

   ชายหนุ่มทำเพียงแค่ยิ้มรับ ปล่อยคำทำนายไว้เบื้องหลัง ก้าวเดินต่อไปยังพระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ ตรัยยกมือขึ้นพนมแล้วกล่าวคำอธิษฐานต่อพระบรมสารีริกธาตุซึ่งประดิษฐานอยู่ในเจดีย์นั้น พวกเราเดินวนรอบโถงทางเดินจนรอบ ผลัดกันตีระฆังจนฝูงนกตีปีกบินหนีกันพึ่บพั่บ บางตัวก็พุ่งเข้าใส่พวกเราอย่างไร้ทิศทาง ทั้งคนทั้งนกต่างก็ตกใจไม่แพ้กัน

   “แกว๊ก!/แว๊ก!”

   รุ่งภพเอามือป้องหัวแล้วนั่งจุ้มปุ้กลงไปกับพื้น ส่วนเขาผงะหนีจนเกือบหงายหลัง พอตั้งตัวได้ต่างคนต่างก็หัวเราะออกมาอย่างขำขันกับท่าทางประหลาดของอีกฝ่าย

   นกเป็นฝูงเลยนะ บินชนไม่กลัวหรอก กลัวจะโดนจิกจนตัวลายเสียมากกว่า

   เจดีย์ขาวสะท้อนแสงแดดวาววับตัดกับจีวรสีเหลืองที่ห่อหุ้มอยู่ตรงเชิงฐาน นกแตกรังเมื่อครู่เริ่มรวมฝูงกันอีกครั้งแล้วบินกลับเข้าไปซุกซ่อนตามซอกหลืบใต้ยอดเจดีย์เก่า ตรัยละสายตาจากฝูงนกแล้วหันมองคนข้างกาย หลุดยิ้มอย่างพลั้งเผลอกับกิริยาอ้าปากหวอของชายหนุ่ม

   สนใจนกจนลืมเขาไปแล้วมั้ง

   “เดี๋ยวแวะกุฎิเจ้าอาวาสก่อนนะ ฉันจะทำบุญสมทบทุนสร้างอาคารปฎิบัติธรรมให้วัดสักหน่อย” บอกกับชายหนุ่มก่อนกลับ เขาโอนเงินเข้าบัญชีวัดไปจำนวนหนึ่ง ส่วนรุ่งภพขอร่วมทำบุญตามกำลังทรัพย์ที่ตัวเองมี เนื่องจากบริจาคไปไม่น้อยท่านเจ้าอาวาสเลยให้วัตถุมงคลกลับมาจำนวนหนึ่ง เขาเลยมอบให้รุ่งภพไปหนึ่งอัน เป็นเหรียญหลวงปู่ทวดเนื้อเงินลงยาสีฟ้าอมเขียว

   สีคล้ายกับน้ำทะเล

    “ราคาเช่าองค์นึงเป็นพันเลยนะครับ ผมไม่กล้ารับหรอก...เกรงใจ”

   “รับไปเถอะ อย่าขัดคำสั่ง”

   “แต่...”

   “ถ้าไม่อยากได้ฟรี งั้นหักจากเงินเดือนเธอก็ได้”

   “ขอบคุณมากครับที่ให้ฟรี”

   ตรัยหัวเราะขำ ตั้งแต่รู้จักกันมายังไม่เคยเห็นเงินของรุ่งภพกระเด็นออกจากเป๋าสักบาทเดียว “ให้ไปแล้วก็ใส่ด้วยล่ะ”

   “ไม่แถมสร้อยด้วยเหรอครับ”

   “ได้คืบจะเอาศอก” สำนึกซะที่ไหน ยังมากัดริมฝีปากมองตาวิ้งๆ อีกต่างหาก “งั้นเก็บไว้ที่ฉันก่อนแล้วกัน เดี๋ยวไปทำสร้อยมาให้”

   “ขอบคุณครับที่เมตตา”

   “หรือจะเก็บเอาไว้เอง เห็นเขาพูดกันว่าท่านศักดิ์สิทธิ์มาก พกติดตัวเอาไว้ ไปไหนมาไหนจะได้แคล้วคลาด”

   “ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้” ยิ้มแล้วชูข้อมือให้อีกฝ่ายดู “ผมมีหินปะการังแล้ว เป็นเครื่องรางเหมือนกัน”

   ตรัยคว้าข้อมือของชายหนุ่มแล้วดึงเข้ามาใกล้ เพ่งมองสร้อยข้อมือเชือกถักเก่าคร่ำร้อยเม็ดหินสีแดงขนาดเท่าลูกปัดแต่ผิวขรุขระ

   “ไปเอามาจากไหน”

   “จากพ่อครับ”

   “ความจริงมันเป็นสัตว์ไม่ใช่ปะการังหรอกนะ รู้ไหม” ปะการังแดงเป็นอัญมณีอินทรีย์ที่หายากและถูกควบคุมการค้าขายอย่างเข้มงวดภายใต้อนุสัญญาไซเตส จัดเป็นปะการังมีค่าเพราะเป็นปะการังน้ำลึก ไม่ใช่ปะการังน้ำตื้นที่พบเห็นได้ทั่วไป

   “รู้ครับ” ชายหนุ่มดึงมือออก ลูบคลึงหินบนสร้อยอย่างใจลอย “มันเป็นความเชื่อของพวกเรา ถ้าสวมใส่หินปะการังแดงจะช่วยปัดเป่าโชคร้ายและภัยอันตราย…มันเป็นของที่ผมกับแม่ช่วยกันหามาให้พ่อ แต่ตอนนั้นเราไม่ค่อยมีเงิน...ก็เลยได้มาแค่เศษเหลือของปะการัง”

   “แล้วพ่อของเธอ...ไม่ใส่มันแล้วเหรอ?”

   “พ่อเสียแล้วครับ ส่วนแม่…ก็แยกย้ายไปมีครอบครัวใหม่” เหลือทิ้งไว้แค่ความทรงจำที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่นัก

   ตรัยขยี้ผมของชายหนุ่มแล้วจับโคลงไปมาคล้ายปลอบประโลม ดูเหมือนคำถามของเขาจะกระตุ้นความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนักของชายหนุ่ม ถึงได้ก้มหน้าหลบซ่อนรอยรื้นในดวงตา

   “รุ่ง...กินไอติมไหม ฉันเลี้ยง”

   “หา?” แววตารื้นน้ำมองสบ สีหน้าสับสนและงุนงง “ไอติมเหรอ?”

   “อื้ม จะกินไหมล่ะ จอดขายอยู่ข้างรถเราน่ะ” ชี้ไปยังรถเข็นพ่วงข้าง แม่ค้ากำลังตักไอศกรีมใส่ถ้วยให้กับเด็กๆ ที่ยืนล้อมรถเข็นอยู่

   “กินครับ” น้ำเสียงยังฟังดูเลื่อนลอย แต่สัญชาตญาณความงกยังคงดีอยู่

   รุ่งภพวิ่งไปต่อแถวหลังเด็กๆ ส่วนเขามีหน้าที่คอยจ่ายตังค์ ดูเหมือนไอศกรีมกะทิสดจะช่วยเยียวยาจิตใจของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี...

   หรือเป็นเพราะได้กินของฟรีกันแน่นะ?

   ตรัยชักเริ่มไม่แน่ใจ 


TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 8 l 3/9/62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 04-09-2019 00:06:15
 o13

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 8 l 3/9/62
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-09-2019 01:16:21
สนุกดีค่ะ​ อ่านเพลินเลย
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 9 l 4/9/62
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 04-09-2019 22:10:50
บทที่ 9




   เสียงช้อนกระทบกับขอบจานดังต่อเนื่องพอๆ กับเสียงพูดคุย ฝั่งหนึ่งจ้วงเอาเหมือนตายอดตายอยาก ส่วนอีกฝั่งคุยจ้อกันหงุงหงิง ข้าวปลาไม่กินเพราะสนใจสารพัดครีมบำรุงผิวกันมากกว่า

   “พี่วินใช้ครีมของลาแมร์ด้วยเหรอคะ” สาวน้อยหนึ่งเดียวของบ้านถามด้วยน้ำเสียงอิจฉา เธอก็อยากใช้บ้างแต่ไม่มีปัญญาจะซื้อ

   “จริงๆ แล้วลาแมร์ไม่ค่อยช่วยให้หน้าใสเท่าไหร่นะ มันช่วยให้ความชุ่มชื้นกับผิวหน้ามากกว่า พี่เป็นคนหน้าแห้งมากๆ แล้วก็ลอกด้วย พอใช้ตัวนี้แล้วดีขึ้นก็เลยซื้อมาใช้เรื่อยๆ พวกริ้วรอยก็มาช้าลง ของแพงแต่ดี พี่เลยไม่ค่อยรู้สึกเสียดายเงินเท่าไหร่”

   มิ่งขวัญเบ้ปากใส่ ทำเป็นอวดร่ำอวดรวยใส่น้องสาวเขา แล้วไอ้ลาแมร์นี่มันคืออะไร? ใช่กาละแมหรือเปล่าวะ? “ผู้ชายอะไรวะมาร์คหน้าทาครีม”

   “งานของฉันต้องพบปะผู้คนเยอะแยะ จะปล่อยให้โทรมเหมือนนายได้ยังไง”

   “อย่างผมน่ะเหรอโทรม? ถ้าคนอย่างผมโทรมคุณก็ขี้โรคแล้ว อ้อนแอ้นอย่างกับผู้หญิง ไม่เห็นจะแข็งแรงตรงไหน”

   “อย่างน้อยฉันก็ดูดีกว่านายก็แล้วกัน ใช่ไหมคะ น้องมน” หันไปขอความเห็นจากมนชนก น้องสาวของมิ่งขวัญพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ไม่เห็นพี่ชายอยู่ในสายตา

   “พี่วินดูดีกว่าเยอะเลยค่ะ ต่างกันราวฟ้ากับเหว”

   “ไอ้มน! เดี๋ยวเอ็งอิโดนหักค่าขนม”

   “แม่! แลเพ่มิ่งถิ คนเขาแหลงความจริงกะรับหม้ายด้าย” เด็กสาวหันไปฟ้องแม่ด้วยน้ำเสียงงอแง

   “เอ็งเป็นน้องใครกันแน่ ทำไมไม่เข้าข้างพี่ตัวเองวะ” มิ่งขวัญไม่ยอมแพ้ น้ำมันจะมาข้นไปกว่าเลือดได้ยังไง

   “เว้ย เห็นกันโหย่ทนโท่ว่าใครดูดีกว่า หนูเป็นเด็กต้องหม้ายขี้ฮก”

   “ไอ้...”

   ปึง!

   “เวลากินข้าวไม่ใช่เวลาทะเลาะกัน เป็นพี่น้องกันพันพรือ? ตีกันได้ตีกันดี ถ้าไม่กินแล้วก็ออกไป แขกมาบ้านแทนที่จะต้อนรับ นี่อะไร? ไม่มีมารยาท”

   วงข้าวเงียบกริบเมื่อเจอฤทธิ์ของไต๋เมืองเข้าไป เด็กสาวดูจะสลดที่สุด คว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพายไหล่แล้วมองเขาตาละห้อย “งั้นหนูไปโรงเรียนก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”

   “หือ? ช่วงนี้ปิดเทอมไม่ใช่เหรอ ทำไมยังไปโรงเรียนอยู่ล่ะ” ธาวินถามด้วยความสงสัย

   “คุณครูนัดติวภาษาอังกฤษก่อนเปิดเทอมค่ะพี่วิน  คะแนนสอบหนูแย่ เทอมนี้ได้เกรดไม่ค่อยดีค่ะ”

   ธาวินส่งเสียงอืมในลำคอ “ตอนไปติวอ่ะ เวลาไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามครูเขาให้ละเอียด สมมติเขาสอนเรื่อง Tense เราก็ถามวิธีใช้แล้วลองเขียนตัวอย่างเป็นประโยคให้เขาดู ถ้าผิดเขาจะได้แก้ให้ อย่าท่องเป็นไดอะล็อก เวลาเปลี่ยนรูปประโยคเราจะไปไม่เป็น”

   “พี่วินพูดภาษาอังกฤษได้ไหมคะ”

   “ได้สิครับ พี่ทำงานโรงแรม ถ้าพูดไม่ได้นี่แย่เลยเพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติ”

   “พี่วินต้องพูดเก่งมากๆ แน่เลย สอนหนูบ้างสิคะ หนูก็อยากพูดได้บ้าง”

   “ถ้าสอนให้พูดสนทนาก็พอได้ แต่ถ้าหนูต้องใช้สอบ ให้คุณครูสอนจะดีกว่านะครับ” ธาวินไม่สามารถเก็งข้อสอบให้กับเด็กสาวได้เพราะไม่ใช่ครูสอนพิเศษ

   “งั้นเรียนกับคุณครูด้วยแล้วก็พี่วินด้วย”

   “ถ้าว่างพี่จะสอนให้นะ”

   “อย่าเลยครับ คุณมาทำงานให้คุณตรัยไม่ใช่เหรอ จะรบกวนกันเปล่าๆ” ไต๋เมืองไม่ค่อยเห็นด้วยนัก

   “ไม่เป็นไรหรอกครับไต๋ ผมคงอยู่ที่นี่อีกหลายอาทิตย์เลย ถ้าวันไหนว่างผมจะสอนให้ครับ ถ้าน้องเขาอยากเรียนผมก็เต็มใจสอน ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกครับ”

   “งั้นพักโหย่นี้เลยหม้าย เดี๋ยวน้าทำกับข้าวเลี้ยง ตอบแทนน้ำใจต่ะ”

   “เอ่อ...” ธาวินไม่คาดคิดว่าแม่ของเด็กสาวจะใจดีจนถึงขนาดชวนมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ เขาเหลือบไปมองลูกชายเจ้าของบ้าน อีกฝ่ายทำเพียงแค่ยักไหล่ไม่ออกความคิดเห็นใดๆ “ขอบคุณนะครับคุณน้า…แต่ผมก็เกรงใจเหมือนกัน เพิ่งจะรู้จักกันแท้ๆ”

   “พวกเราต่างหากที่ต้องเกรงใจ ค่าตอบแทนคุณก็ไม่เรียก จะให้มาสอนฟรีๆ ได้ยังไง” ไต๋เมืองเห็นด้วยกับภรรยา หากไม่ได้จ่ายเงินค่าจ้างก็ขอให้ได้เลี้ยงข้าวปลาอาหารตอบแทนก็ยังดี

   “มาอยู่ด้วยกันเถอะค่ะ แม่หนูทำกับข้าวอร่อยมากเลยนะ”

   “เขาไม่ใช่ไอ้รุ่งนะไอ้มน จะได้เอาของกินมาล่อเขานะ” มิ่งขวัญพาดพิงถึงเพื่อน ป่านนี้กลับถึงบ้านแล้วยังก็ไม่รู้

   “ผมขอคุยกับคุณตรัยก่อนนะครับ” ธาวินแบ่งรับแบ่งสู้ ถ้าอยู่กับคุณตรัยก็คงไม่พ้นกล่องข้าวเวฟกับอาหารตามสั่ง

   “คุณตรัยไปสงขลาไม่ใช่เหรอครับ เขาได้โทรมาบอกคุณไหมว่าจะกลับวันไหน” ไต๋เมืองก็เพิ่งจะทราบเมื่อเช้านี้ แถมยังรู้แบบกระชั้นชิดทั้งเรื่องของเจ้านายและเรื่องที่ธาวินมานอนค้างเมื่อคืนนี้

   “กลับวันนี้ครับไต๋ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่ากี่โมง”

   มิ่งขวัญหยิบกุญแจรถเมื่อได้ยินน้องสาวเอ่ยเรียกอย่างรีบเร่ง “คุณจะไปรอนายหัวที่แพปลาหรือเปล่า?”

   “ถามทำไม?”

   “ผมจะไปส่ง ยังไงก็ต้องไปทำงานที่โน่นอยู่แล้ว”

   “แวะส่งหนูที่ท่ารถก่อนนะ”

   “เออน่า รู้แล้ว” คนเป็นพี่พยักหน้าตัดความรำคาญก่อนจะหันไปส่งสายตาเร่งชายอีกคน “จะไปหรือไม่ไป…หรือจะรออยู่ที่นี่?”

   “ไปก็ได้ เดี๋ยวไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าก่อน”

   “นั่งอัดกันสามคนก็เต็มแล้ว ไม่มีที่ว่างให้กระเป๋าคุณหรอก”

   “อ้าว แล้วจะทำยังไงล่ะ” ของส่วนตัวเขาจะทิ้งไว้บ้านคนอื่นได้ยังไง

   “ก็ทิ้งไว้นี่ก่อน ถ้าคุณจะพักที่อื่นจริงๆ เดี๋ยวผมเอาไปให้ทีหลัง” เจ้าของกระเป๋าเสื้อผ้าเหลือบมองประตูห้องของมิ่งขวัญด้วยสายตาอาวรณ์ “ลีลาแท้ ตกลงมันเป็นกระเป๋าหรือลูกกันแน่ ต้องเข้าไปร่ำรามันก่อนไหม?”

   “ไอ้บ้า! จะไปก็รีบไปสิ” ดันหลังคนตัวใหญ่ลงบันไดแล้วก้าวตามลงไปติดๆ “ไปรถคันเมื่อคืนเหรอ?”

   “ก็ใช่ไง จะเอารถอะไรล่ะ? บ้านผมไม่มีรถเก๋งให้คุณนั่งหรอกนะ ไม่มีปัญญาซื้อ”

   “ฉันยังไม่ได้พูดอะไรซักคำ ก็เห็นเมื่อคืนน้ำมันหมดไม่ใช่เหรอ? หรือเติมแล้ว”

   “เติมแล้ว บ้านผมมีน้ำมันสำรอง”

   “ก็แค่นั้นแหละ พูดอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ” เขาใส่รองเท้าหนังของตัวเองแล้วเดินไปยืนรอหน้าบ้าน เห็นมนชนกกำลังนั่งเล่นอยู่กับหมาเลยเดินเข้าไปหาอย่างกล้าๆ กลัว “กัดไหมอ่ะ?”

   “ไม่กัดค่ะ” เธอชี้ไปยังหมาขนแต้ม “ตัวนี้ชื่อดาวเรือง”

   “น่ารักดี ขอมือหน่อยได้ไหม?” มันยอมทำความรู้จักกับเขาอย่างว่าง่าย แถมยังยกขาหน้าส่งให้อีกหลายครั้ง “แล้วตัวนั้นล่ะ”

   “ตัวนี้ชื่อตังเกค่ะ”

   “อ้วนตุ้บเชียว ทำหมันเหรอ?”

   “ตัวผู้ค่ะพี่”

   “อ้าวเหรอ?” ก็มันนอนทับพุงตัวเองอยู่ เขาจะไปเห็นได้ยังไง “ยินดีที่ได้รู้จักนะตังเก” ธาวินแบมือรอเก้อเพราะมันไม่ยอมส่งขาหน้ามาทำความรู้จักเขา...อินดี้เหมือนใครเนี่ย?

   “นั่งเล่นกับหมาอยู่นั่นแหละ เมื่อไหร่จะได้ไปกันสักที?”

   “ก็แล้วทำไมไม่เรียกล่ะ”

   “สาบานว่าไม่ได้ยินเสียงรถ?”

   “เออ ได้ยินแต่ไม่ลุก พอใจไหม”

   “ก็แค่นั้นแหละ คุณนั่งกลางนะ เดี๋ยวให้ยัยมนนั่งท้าย” มิ่งขวัญจัดแจง ให้เด็กผู้หญิงนั่งกลางก็ดูจะน่าเกลียดเกินไป ถึงจะเป็นพี่น้องกันแต่คนอื่นไม่ได้มารับรู้ด้วย ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็รวดเร็วไปหมดโดยเฉพาะข่าวสารที่ไม่ผ่านการกรอง

   ซอยเปลี่ยวในยามเช้ายังคงไร้ผู้คนเหมือนคืนที่ผ่านมา ความน่ากลัวลดลงไปบ้างแล้วเหลือแต่ความเงียบสงบภายใต้แสงแดดอุ่น ธาวินหันซ้ายหันขวาตลอดทางที่หนุ่มตัวโตขับผ่าน บ้านเรือนละแวกนี้สร้างด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ หากใครมีบ้านปูนก็มักจะสร้างแบบชั้นเดียวขนาดกะทัดรัด เกือบทุกบ้านมีคนอยู่ตลอด หากไม่ออกมานั่งทำปลาก็ออกมานั่งพูดคุยกับเพื่อนบ้านเหมือนเป็นกิจวัตรประจำวัน

   “อากาศดีจังเลย” ไม่ต้องสูดกลิ่นควัน ไม่ต้องผจญกับรถติดยาวเหยียด แม้จะเข้าสู่เขตของชุมชนมาได้สักพักหนึ่งแล้วแต่ก็ยังหายใจได้โล่งคอ

   “พี่มิ่งเร็วๆ รถจะออกแล้ว” เด็กสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังชี้มือไปยังท่ารถสองแถวที่จอดคอยอยู่หน้าตลาดแห่งหนึ่ง เธอตะโกนเรียกคนขับวัยดึกแล้วโบกมืออย่างร้อนรน

   “ขับอย่างกับเต่าคลาน”

   “เร็วได้แค่นี้แหละ”

   ธาวินส่ายหน้ากับคำตอบของชายหนุ่ม เขายกมือรับไหว้เด็กสาว สัญญาว่าจะโทรไปบอกถ้าตัดสินใจพักที่บ้านของเธอ

    หนุ่มตัวโตขับรถออกจากตลาดด้วยความเร็วคงที่แบบเต่ากัดยาง ธาวินถอนหายใจหนัก อยากจะนั่งหลับให้รู้แล้วรู้รอดไป ตื่นมาอีกทีก็ถึงแพปลาเลยอะไรงี้

   เอี๊ยดดดดดดด

   “เหวอ!” คนซ้อนร้องเสียงหลง ตวัดแขนรัดเอวหนาตามสัญชาตญาณ แรงเบรคทำให้ก้นของเขาไหลลงจากเบาะไปหาคนขับ ตอนนี้ตัวของเราแนบชิดติดกันมาก มีเพียงเสื้อผ้าที่ขวางกั้นระหว่างแผ่นอกราบเรียบกับแผ่นหลังกว้าง “เบรคทำไม?”

   “คางคกตัดหน้า”

   “...”

   ธาวินรู้สึกเหมือนโดนอะไรสักอย่างฟาดจนสมองมึนเบลอ เขามองสัตว์ตัวน้อยคล้ายกบแต่ผิวตะปุ่มตะป่ำกำลังกระโดดโหยงเหยงข้ามถนนอย่างใจเย็น

   คางคกก็มีชีวิต ถ้าเราเหยียบมันจนไส้แตกแล้วปล่อยให้รถคันอื่นทับซ้ำจนแบนติดถนนก็ดูจะโหดร้ายเกินไป ธาวินพยักหน้าคล้อยตามกับความคิดของตัวเอง เขาผละมือออกแล้วขยับก้นออกห่าง จัดท่านั่งให้กับตัวเองตามเดิม

   เอี๊ยดดดดดดด

   “เฮ้ย!” คราวนี้จิกเล็บเข้าไปที่เอวของคนขับด้วย แรงเบรคคราวนี้ทำให้แนบสนิทกันยิ่งกว่าเดิม แม้กระทั่งโคนขายังนาบติดจนสัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง “อะไรอีกล่ะคราวนี้?” กระชากเสียงถามด้วยความหงุดหงิด

   “แมลงสาบตัดหน้า”

   ความโมโหพุ่งปรี๊ดไปถึงสมอง ได้ยินเสียงวิ้งๆ ในหูกันเลยทีเดียว “แมลงสาบบ้าบออะไรมาวิ่งเล่นอยู่บนถนน นายแกล้งฉันหรือเปล่าเนี่ย? ไม่ตลกนะเว้ย”

   “แกล้งอะไรล่ะ มันเพิ่งวิ่งลงท่อระบายน้ำไปเมื่อกี้นี้เอง”

   แมลงสาบหรือหนูวะ วิ่งลงท่อระบายน้ำด้วย “หลอกกันป่ะเนี่ย?”

   “ผมจะหลอกคุณทำไมล่ะ เบรคกลางถนนแบบนี้อันตรายจะตาย ใครเขาทำกัน”

   มึงไง

   ธาวินเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาขยับตัวออกเพียงนิดแต่คราวนี้เกาะเอวสอบเอาไว้แน่น ไม่ปล่อยมืออีกเลยจนกระทั่งถึงแพปลา

   “เดินระวังๆ ด้วยล่ะ มันลื่น”

   ธาวินหมุนตัวมองรอบๆ แพปลาด้วยความแปลกใจ เขาเข้าใจผิดมาตลอด คิดว่าแพปลาคือโป๊ะที่ลอยอยู่ติดกับทะเลและมีเรือประมงจอดอยู่ล้อมรอบ อาคารที่เขาเห็นอยู่นี้ไม่คล้ายกับแพปลาในความคิดเท่าไหร่นัก โป๊ะที่จินตนาการเอาไว้คือเขื่อนกั้นน้ำยาวหลายสิบเมตร คล้ายกันอย่างเดียวคือเรือที่จอดเทียบท่า มีทั้งลำเล็กลำใหญ่ หลายขนาดและหลายสี

   “ระวังถัง!” ข้อศอกนุ่มถูกฉุดอย่างแรงด้วยน้ำมือของคนตัวโต ธาวินโดนดึงจนตัวเซ หลบถังที่เฉียดใบหน้าไปอย่างหวุดหวิดจากการชักรอกตามไลน์เชือก

   “เข้าไปนั่งรอในออฟฟิศก่อนไป เดี๋ยวผมแจ้งเสมียนให้ อยากได้อะไรก็บอกเขา” มิ่งขวัญพยักหน้าไปทางออฟฟิศ ให้ไปอยู่ข้างในคงดีกว่า จะได้ไม่ต้องเกะกะวุ่นวายคนทำงาน

   “ยังไม่เข้าหรอก เดี๋ยวรอให้คุณตรัยมาก่อนดีกว่า”

   “ไม่เข้าแล้วจะไปอยู่ที่ไหน?”

   “อยู่กับนายไง อยู่ด้วยได้เปล่า”

    “ผมต้องทำงาน”

   “ก็ทำไปสิ ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”

   “ตลกละ คุณจะไปนั่งดูผมทำงานหรือไง?”

   “อืม” พยักหน้ายืนยัน ยังไงก็จะไป

   “เออ! จะไปก็ไป” จำยอมอย่างไม่ค่อยพอใจ “เคยเห็นแต่คนอื่นเขามีเมียไปนั่งเฝ้า กูนี่อะไรวะ? เมียก็ไม่ใช่ แถมยังเป็นตัวผู้อีกต่างหาก”

   “พูดอะไรงึมงำๆ”

   “ไม่ต้องรู้ทุกเรื่องก็ได้มั้งคุณ”

   พวกคนงานในห้องเย็นโห่แซวกันใหญ่ตอนเห็นหนุ่มหน้าตาดีเดินตามหลังเขามาต้อยๆ  ธาวินค่อนข้างเป็นกันเองและไม่ได้ถือตัวกับคนงานหาเช้ากินค่ำอย่างพวกเรา ทั้งยังสามารถพูดคุยได้อย่างลื่นไหล แม้จะติดขัดในเรื่องภาษาอยู่บ้างแต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคอันใด

   หนุ่มตัวโตแอบยิ้ม เผลอจ้องมองเสี้ยวหน้าขาวใสอย่างลืมตัว..

   ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดนี่หว่า



TBC
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 9 l 4/9/62
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-09-2019 23:12:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 9 l 4/9/62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-09-2019 23:44:31
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l บทที่ 9 l 4/9/62
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 06-09-2019 20:39:28
บทที่ 10




   ตรัยถอนหายใจขณะย้ำปลายเท้าเพื่อเหยียบเบรค เขายึดรถมาขับเองตั้งแต่ออกจากวัดแล้ว เราไม่แวะที่ไหนอีกเลยนอกจากเติมน้ำมันและเข้าห้องน้ำ หากไม่ติดทางเลี่ยงขุดเจาะถนนก็คงจะถึงกระบี่ตั้งนานแล้ว รถติดยาวขนาดนี้กว่าจะถึงก็คงมืดค่ำ ขนาดรุ่งภพหลับไปหลายตื่นแล้วยังไปไม่ถึงไหนเลย

   เขาต้องโทรไปบอกธาวินให้ค้างที่บ้านของมิ่งขวัญอีกหนึ่งคืนเพราะคงกลับไปไม่ทันช่วงหัวค่ำ ป่านนี้แพปลาคงปิดไปแล้ว คงไม่ดีนักถ้าจะให้อยู่รอ

   “หิวหรือเปล่า?” ตุ๊กตาหน้ารถของเขาพยักหน้าแล้วส่ายหัว ตรัยถึงกับหลุดหัวเราะหลังคร่ำเคร่งจากการขับรถมาเป็นเวลานาน “ตกลงหิวหรือไม่หิวกันแน่”

   “ก็นิดนึงครับ...แต่ไม่อยากแวะที่ไหนแล้ว”

   “แบตหมดแล้วเหรอ? เสียงหงอยเชียว” ปกติจะร่าเริงอยู่ตลอด ต่อให้ง่วงแค่ไหนก็ยังสดใสแบบมึนๆ อาจจะเหนื่อยและเพลียจากการเดินทาง

   หนุ่มใต้เหล่มองเขาแล้วยิ้มรับ หลังจากหลุดพ้นจากเส้นทางติดขัดก็ยิงยาวแบบโล่งๆ คราวนี้รุ่งภพจ้องถนนตาเขม็ง คงกลัวว่าเขาจะขับเลยทางเข้าบ้านของตัวเอง “เบาหน่อยครับ จะถึงแล้ว”

   “มืดมาก น่าจะติดไฟทางเอาไว้สักหน่อย” ตรัยบ่นขณะเลี้ยวรถเข้าซอย

   “ใครจะติดล่ะครับ ไม่ใช่ถนนสาธารณะสักหน่อย” ก็แค่ทางตัดผ่านสวนมะพร้าว เป็นถนนร่วมแต่ส่วนบุคคล

   “ไม่มีทางเข้าออกทางอื่นแล้วเหรอ?”

   “มีครับแต่ต้องอ้อม มันไกล”

   น่าจะไกลมากจนต้องมาใช้ทางเข้าออกเปลี่ยวร้างขนาดนี้

   ตรัยชะลอรถเมื่อเห็นเงาตะคุ่มของต้นหูกวางริมชายหาด บริเวณนี้ค่อนข้างปลอดโปร่งไร้สิ่งบดบัง สามารถมองเห็นทัศนียภาพโดยรอบได้ผ่านแสงเงาสลัวจากดวงจันทร์เว้าแหว่งบนท้องฟ้า

   “เดี๋ยวหยิบถุงขนมตรงเบาะหลังไปกินด้วยนะ ฉันให้”

   “ขอบคุณครับ” ดูเหมือนขนมฟรีจะเรียกความกระฉับกระเฉงกลับมาได้บ้าง พอปลดสายคาดเบลท์เสร็จก็เอี้ยวตัวข้ามเบาะไปคว้ามาทันที

   “เหวอ!”

   ตรัยหันขวับไปมองตามร้องเสียงร้อง ตวัดมือคว้าเอวของชายหนุ่มเอาไว้ได้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะทิ่มหัวลงไปปักบนพื้นรถ “เป็นอะไรหรือเปล่า?”

   “ไม่ๆๆ ดึงผมขึ้นไปหน่อย” รุ่งภพยันตัวขึ้นตามแรงดึงตรงบั้นเอว “เอื้อมไปหยิบไม่ถึงอ่ะครับ รถคุณกว้างชะมัด”

   “มันเป็นความผิดของรถฉันหรือไง? แทนที่จะลงไปเปิดประตูแล้วหยิบ นี่อะไร? มักง่าย”

   คนโดนดุหน้าจ๋อย นั่งตัวลีบเถียงไม่ออก “ขอโทษครับ”

   ตรัยส่ายหัวแล้วลงไปหยิบถุงขนมด้วยตัวเอง รุ่งภพตามลงมาอย่างอ้อยอิ่ง พอโดนดุก็ไม่อยากได้ขนมฟรีแล้ว อยากหนีเข้าบ้านมากกว่า

   “เอาไป”

   “ขอบคุณครับ”

   “ทำหน้าเหมือนไม่อยากได้ เมื่อกี้ยังยิ้มดีใจอยู่เลย” หลายอารมณ์เหลือเกินวันนี้

   “เปล่าครับ” รับมาถือไว้ ก้มหน้ามองพื้นทรายไม่กล้าสบตาเหมือนเช่นเคย

   “เด็กจริงๆ โดนดุแค่นี้ก็น้อยใจแล้ว” ตรัยดีดหน้าผากชายหนุ่มด้วยความเอ็นดู รุ่งภพร้องประท้วงลูบหัวตัวเองป้อยๆ “ถ้าไม่ได้อ่านประวัติเธอมาก่อน ฉันคงไม่เชื่อว่าเธอเป็นหัวหน้าคนงานแน่ๆ”

   “คุณอ่านประวัติผมด้วยเหรอครับ” ตาโตขึ้นมาเชียว

   “ตกใจทำไม? ก็ประวัติที่เธอกรอกเอาไว้ตอนสมัครงานนั่นแหละ” เขาไม่ได้ไปขุดคุ้ยอะไรสักหน่อย แค่ดูอายุงาน ประวัติการศึกษาแล้วก็ความสนใจของชายหนุ่มเท่านั้นเอง “เธอชอบทำงานประดิษฐ์เหรอ?”

   “ห๊ะ?”

   “เห็นเขียนเอาไว้ในงานอดิเรก หรือเขียนไปงั้นๆ”

   “อ๋อ” รุ่งภพจำไม่ค่อยได้แล้วว่ากรอกอะไรลงไปในใบสมัครบ้าง คุ้นๆ ว่ามีงานอดิเรก ความสามารถพิเศษแล้วก็อนาคตที่คาดหวังไว้ “ผมชอบประดิษฐ์ของ DIY ครับ พวกของเหลือใช้ ของรีไซเคิลอะไรพวกนี้”

   “ทำไมถึงเลือกเรียนช่างล่ะ น่าจะไปเรียนพวกออกแบบ จะได้ทำงานด้านนี้โดยตรง”

   “ผม...เรียนตามเพื่อนอ่ะครับ ตอนนั้นไม่รู้จะเรียนอะไร พอจบก็ทำงาน ไม่ได้เรียนต่อเหมือนคนอื่นเขา” ช่วงนั้นพ่อเขาเสียพอดี แม่ก็มีครอบครัวใหม่เลยไม่อยากไปรบกวนเท่าไหร่นัก

   “แล้วอยากเรียนต่อหรือเปล่า”

   “ถ้ามีโอกาสก็อยากเรียนครับ...แต่คงไม่ใช่ตอนนี้” เขายังไม่พร้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินหรือเรื่องเวลา

   ตรัยพิงแผ่นหลังกับตัวรถ ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับ “นั่นเรือเธอหรือเปล่า?”

   เจ้าของบ้านมองตามสายตาของคนถาม เห็นเรือหัวโทงจอดเกยหาดในสภาพเอียนเอง “เรือของพ่อผมครับ ต่อเอาไว้นานแล้ว”

   “เธอใช้อยู่เหรอ? ทำไมจอดตากแดดตากลมเอาไว้แบบนั้น”

   “ใช้บ้างครับ นานๆ ที”

   ตรัยเลิกคิ้ว หันกลับมาจ้องชายหนุ่มด้วยแววตาสงสัย “เธอคงไม่ได้ขับเรือไปทำงานหรอกใช่ไหม?”

   เจ้าของบ้านระเบิดเสียงหัวเราะ ความจริงก็ขับไปได้แต่มันไม่มีที่จอดให้เรือเล็กอย่างเขาเนี่ยสิ “อยากขับไปเหมือนกันครับถ้ามันมีที่ให้เรือเล็กจอด”

   “แล้วจอดไม่ได้เหรอ”

   “ก็จอดได้แต่มันจะเกะกะเรือใหญ่เขา บ้านผมอยู่ใกล้เดินตัดหาดเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว ส่วนเรือนี่ก็เอาไว้ใช้ตอนหน้ากุ้งหน้าปูเยอะๆ จับเองขายเอง กำไรจะดีกว่า”

   “ถ้ากำไรดี ทำไมถึงมาทำงานในแพปลาล่ะ”

   “กุ้งกับปูมีหน้ามีฤดูของมันครับ ไม่ได้มีเยอะทุกวัน ปีนึงแทบจะนับครั้งได้เลย ถ้าทำงานในแพจะมั่นคงกว่าครับ”

   ตรัยพยักหน้ารับฟัง การทำประมงไม่ว่าจะเรือเล็กหรือเรือใหญ่ล้วนไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากความสามารถเฉพาะตัวแล้วยังต้องอาศัยปัจจัยภายนอกอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ ฤดูกาลหรือแม้กระทั่งวงจรชีวิตของสัตว์น้ำ ไม่ใช่นึกจะจับก็ออกเรือไปได้เลย มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

   อาหารทะเลแพงเพราะมันหายาก เขาเริ่มเข้าใจคนทำประมงมากขึ้นหลังจากได้เข้ามาสัมผัสด้วยตัวเอง

   ตรัยลอบมองหนุ่มใต้ตอนเผลอ เขาโชคดีที่ได้รู้จักกับรุ่งภพ หากไม่มีชายหนุ่มเขาก็คงจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มแก้ปัญหาจากตรงไหนเพราะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงานประมงเลย แม้จะนึกขอบคุณอีกฝ่ายแต่ก็ไม่ได้พูดมันออกมา เอาไว้จบปัญหาทั้งหมดเมื่อไหร่ เขาจะตอบแทนชายหนุ่มให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำให้ได้






   เอกสารหลายฉบับถูกพลิกไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนเกิดรอยยับ ธาวินมีสีหน้าเคร่งเครียดเป็นระยะขณะกดเครื่องคิดเลขคำนวณส่วนต่างที่สูญเสียไป ชายหนุ่มยึดเอาจำนวนปลาในล็อคบุ๊คเป็นตัวเลขต้นฉบับ คิดค่าเสียหายคร่าวๆ ได้ตัวเลขถึงหกหลักเลยทีเดียว

   “ฉันสงสัยคนขับรถส่งปลา”

   ธาวินพยักหน้าเห็นด้วย “มีความเป็นไปได้สูงครับ เพราะถ้าขึ้นปลาตามน้ำหนักที่แจ้งไว้ในล็อกบุ๊คก็ไม่น่าจะหายไปเยอะขนาดนี้”

   “หักปลาชนิดอื่นออกแล้วหรือยัง เราไม่ได้ส่งไปขายที่สงขลาทั้งหมดนะ” ตรัยเอ่ยปากเตือน เขายังจำปลาเลยที่รุ่งภพบอกได้

   “ผมหักออกแล้วครับ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม คนออกเอกสารต้องมีเอี่ยวด้วยแน่นอน ส่วนจะไปถ่ายโอนกันยังไง คงต้องเค้นกันอีกที”

   “แต่เราไม่มีหลักฐาน”

   “ก็พอมีครับ...แต่ยังอ่อนเกินไป พวกใบแจ้งหนี้กับใบเสร็จพวกนี้มันเมคได้ แค่ปรินท์จากคอมพ์ก็เสร็จแล้ว จะเอากี่แผ่นก็ดูไม่ออกหรอกครับว่าอันไหนตัวจริงตัวปลอม เดี๋ยวผมจะเคลียร์ระบบออกเอกสารใหม่ ใช้กระดาษ 4 Copy ไปเลยครับ ประทับตราต้นฉบับให้ลูกค้าเซ็นต์แล้วก็ให้ต้นฉบับเขาไป ส่วนเราก็เก็บสำเนาเอาไว้สามแผ่น กระจายกันเก็บ จะได้ยันกันได้”

   “จัดการให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้ได้ไหม แล้วก็ให้ช่างมาแฮกพาสเวิร์ดในคอมพ์ของลลิตาด้วย ฉันอยากได้ข้อมูลในนั้น”

   “ได้ครับ วันหยุดผมจะให้ช่างเข้ามาทำ” วันหยุดทางสะดวก จะทำอะไรก็ง่ายเพราะไม่มีใครเข้ามาทำงาน เจ้าของเครื่องจะไม่มีทางรู้เลยว่าใครเข้ามาทำอะไรกับคอมพิวเตอร์ของตัวเองบ้าง “ถ้าในไฟล์งานเธอบันทึกยอดตรงตามล็อกบุ๊คก็ง่ายครับ...แต่ถ้าไม่”

   “เราก็จะไม่มีหลักฐานอะไรเลย นอกจากล็อกบุ๊คแค่เล่มเดียว”

   “อย่างน้อยมันก็เป็นหลักฐานที่ใช้ส่งให้กับศูนย์ไปโป้นะครับ ก็มีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง”

   ตรัยพยักหน้าแต่ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่นัก หลักฐานยังอ่อนเกินไป ยากต่อการสอบสวน “เรื่องที่พักว่าไง? ตกลงพักกับมิ่งขวัญแน่แล้วใช่ไหม”

   “ครับ ว่าจะอยู่สอนอิงค์ให้ลูกของไต๋เมืองเขาน่ะครับ แลกกับค่าอาหารแล้วก็ที่พัก”

   “ไม่เหนื่อยเกินไปเหรอ? ยังไงฉันก็ออกค่าที่พักกับค่าอาหารให้อยู่แล้ว”

   “ไม่หรอกครับ น้องเขาก็ตั้งใจเรียนดี สอนง่ายครับ ไม่เหนื่อย”

   “ลูกชายของไต๋น่ะเหรอ”

   “ใช่ที่ไหนล่ะครับ สอนให้ลูกสาวคนเล็กของเขาต่างหาก ที่โรงเรียนเขาสอนแต่ทฤษฏี น้องจะจบ ม.ปลายอยู่แล้วแต่ยังพูดงูๆ ปลาๆ อยู่เลย”

   “ตามใจก็แล้วกัน ส่วนเบี้ยเลี้ยงฉันยังให้เหมือนเดิมนะ เดี๋ยวโอนเข้าบัญชีให้”

   “ขอบคุณครับ เจ้านายใจดีขนาดนี้ ขออยู่ยาวสักปีเลยได้ไหม”

   “อยู่ได้...แต่ต้องย้ายมาทำงานที่นี่นะ ส่วนเบี้ยเลี้ยงก็งดไป อ้อ...โบนัสก็ต้องลดลงด้วย ตามผลประกอบการ”

   “พูดเล่นครับบอส ใจเย็นๆ” ขืนย้ายมาอยู่จริง เงินเดือนคงลดฮวบฮาบจนใจหาย ตามผลประกอบการงั้นเหรอ? ขอกลับไปอยู่กรุงเทพตามเดิมดีกว่า

   ตรัยกระตุกยิ้ม เขาใจดีเป็นบางเรื่องเท่านั้น ส่วนเรื่องไหนที่ไม่เห็นด้วยอย่าหวังว่าจะได้อะไรไปจากเขา “อยากได้อะไรก็หาเอานะ อยู่ในห้องนี้แหละ ฉันขนมาหมดแล้ว”

   “อ้าว แล้วคุณจะไหนล่ะครับ ไม่อยู่ดูเอกสารด้วยกันเหรอ?”

   “จะเอาขนมไปฝากเด็กสักหน่อย ไม่เจอหลายวันแล้ว หายไปไหนก็ไม่รู้”

   “เด็กที่ไหนครับ?”

   “เพื่อนของมิ่งขวัญไง” เดินไปหยิบขนมปังปิ้งสังขยาบนโต๊ะรับแขก กลิ่นเนยนมหอมฟุ้งจนเห็นธาวินแอบกลืนน้ำลาย

   “รุ่งภพน่ะเหรอครับ”

   “ใช่…ก็มีอยู่คนเดียวนั่นแหละ”

   ธาวินจำชายหนุ่มร่างเล็กได้เพราะอีกฝ่ายมาหามิ่งขวัญตั้งแต่เช้าตรู่ เขาตื่นมาก็เจอชายหนุ่มนั่งรอกินข้าวอยู่ก่อนแล้ว เป็นเด็กอัธยาศัยดีต่างกับเพื่อนอีกคนลิบลับ

   รวมไปถึงหมาอ้วนจอมหยิ่งนั่นด้วย

   ทั้งเพื่อนทั้งหมาไม่ได้นิสัยดีๆ จากชายหนุ่มมาเลยสักนิด


 TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! บทที่ 10 l 6/9/62
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 06-09-2019 20:44:53
บทที่ 11




   แอร์ตัวเก่าในห้องสอบสวนไม่ได้ช่วยให้เย็นขึ้นหนำซ้ำยังส่งกลิ่นอับเจือจางเนื่องจากน้ำยาแอร์เริ่มเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน ตรัยยกขาขึ้นไขว่ห้างแล้วประสานมือเอาไว้บนหน้าตัก หลังจากนั่งฟังผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งพล่ามถึงชีวิตประจำวันและการทำงานในตำแหน่งเสมียนมานานนับชั่วโมง

   “เอาล่ะครับ คุณลลิตา หลังจากชิ้วเรือส่งใบแจ้งน้ำหนักปลามาให้แล้ว คุณถึงจะออกใบส่งของพร้อมกับใบแจ้งหนี้ไปให้กับลูกค้าใช่ไหมครับ พอปลาถึงมือลูกค้า คนขับรถส่งปลาก็จะเอาสำเนาอีกใบให้ลูกค้าเซ็นแล้วดึงกลับ ซึ่งเอกสารตรงนี้มันตรวจสอบได้ยากเพราะไม่ใช่เอกสารออกเป็นชุด มีสำเนา มีลายเซ็นก็จริงแต่มันปลอมแปลงได้ง่าย ในฐานะที่คุณเป็นคนออกเอกสาร คำถามแรกก็คือ ทำไมน้ำหนักปลาในล็อกบุ๊คกับใบแจ้งหนี้ถึงไม่ตรงกันครับ”

   ตำรวจสอบสวนทวนรายละเอียดและชี้แจงหลักฐานให้ผู้ต้องสงลัยทราบหลังจากส่งหมายเรียกเชิญให้เธอมาสอบปากคำ ยังไม่มีการปรักปรำหรือยัดเยียดข้อหาใดๆ เพราะหลักฐานค่อนข้างอ่อน แค่เรียกเข้ามาชี้แจงและรับทราบข้อกล่าวหาเท่านั้น เนื่องจากเธอเป็นเสมียนบัญชี พวกเอกสารการเงินเธอจะเป็นคนจัดการทั้งหมด ทางนายจ้างจึงตั้งข้อสันนิษฐานให้เธออยู่ในฐานะผู้ต้องสงสัยลำดับแรก

   “ฉันก็เอาตัวเลขมาจากชิ้วเรือนั่นแหละค่ะ ทำไมคุณตำรวจไม่เรียกเขามาสอบปากคำด้วยล่ะ?”

   “ทางนายจ้างไม่ได้สงสัยเขานี่ครับ”

   “เขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องเหมือนกัน ทำไมยัดเยียดข้อกล่าวหาให้ฉันคนเดียวล่ะคะ” หญิงสาวไม่ยอม ส่งเสียงโวยวายจนตำรวจต้องปรามให้เบาลง

   “เขาแค่จดตัวเลขตามตราชั่ง มีพยานรู้เห็นเยอะแยะ ส่วนเธอน่ะ ตอนออกเอกสารมีใครเห็นตัวเลขในนั้นบ้างล่ะ” ตรัยตอบกลับเสียงเย็น ไม่แม้แต่จะเหลือบมองเธอ

   “มีพยานรู้เห็นแล้วไง ตัวเลขตั้งเยอะตั้งแยะ ใครมันจะไปจำได้หมด เขาอาจจะเขียนใส่ในล็อกบุ๊คอีกอย่าง เอามาส่งให้ฉันอีกอย่างก็ได้ ใครจะไปรู้”

   “ฉันมีแบบฟอร์มที่เขาเอามาส่งให้เธอ ตัวเลขมันตรงกับในล็อกบุ๊ค”

   หญิงสาวเผลอกระถดตัวหนีเมื่อถูกคาดคั้นด้วยสายตาคมดุ “ขะ..เขาส่งมาตั้งหลายแผ่น คุณมีทุกฉบับหรือเปล่าล่ะ”

   ตรัยชะงัก เริ่มไขว้เขวเพราะไม่เคยตรวจตัวเลขด้วยตัวเอง

   เขาอาจจะไว้ใจรุ่งภพมากเกินไป

   “ถ้าไม่แน่ใจก็อย่าด่วนปรักปรำกันสิคะ แบบนี้ประวัติของฉันเสียหายนะคะ ใครจะรับผิดชอบ”

   ตำรวจรีบเข้ามาไกล่เกลี่ยเมื่อเห็นเธอทำท่าจะโวยวายไม่ยอมหยุด “ใจเย็นก่อนครับ เดี๋ยวผมจะเรียกชิ้วเรือมาสอบปากคำอีกคนหนึ่ง ทางนายจ้างไม่มีปัญหาใช่ไหมครับ”

   ตรัยเหลือบมองธาวินที่นั่งรออยู่ในห้องแล้วพยักหน้าอนุญาต แค่สอบปากคำคงไม่มีปัญหาอะไร “แล้วจะเอายังไงกับเธอต่อล่ะครับ”

   “คดีฉ้อโกงเป็นคดีอาญาก็จริงแต่คงต้องดูที่เจตนากันก่อน อีกอย่างหลักฐานก็ยังไม่แน่ชัด คงต้องปล่อยตัวไปก่อนล่ะครับ เดี๋ยวค่อยเรียกมาสอบปากคำเพิ่ม”

   หญิงสาวยิ้มเหยียด ใบหน้าบิดเบี้ยวจากความดีใจ “งั้นฉันขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะคะ หวังว่าจะจับคนผิดได้เร็วๆ”

   “ถ้าเธอหนีล่ะครับ” ธาวินรู้คำตอบอยู่แล้วแต่ต้องการขู่ให้เธอกลัว

   “ถ้าหนี คุณลลิตาจะตกเป็นผู้ต้องหาทันทีครับ สามารถจับกุมได้เลยทันที”

   “ถือว่าเข้าใจตรงกันแล้วนะครับ คุณลลิตา”

   หญิงสาวเม้มปาก ดวงตาสั่นไหวกับคำขู่ของธาวิน “เข้าใจดีเลยค่ะ ขอตัวนะคะ”

   “เดี๋ยวก่อน”

   “คุณตรัยจะยัดเยียดข้อหาอะไรให้ฉันอีกล่ะคะ”

   “ฉันจะพักงานเธอตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ไม่ต้องเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศแล้วจนกว่าคดีจะปิด”

   “ถ้าพักงานฉันก็ต้องพักงานไอ้รุ่งด้วย แบบนี้สิถึงจะยุติธรรมกับทุกคน...ใช่ไหมคะคุณตำรวจ?” เธอไม่ยอมถูกมองไม่ดีคนเดียวหรอก

   “อ่า...อยู่ในดุลพินิจของนายจ้างครับ”

   “ได้…” ตรัยยืนขึ้น ดวงตาแข็งกร้าวขณะจ้องมองเธอ “ฉันพักงานเขาด้วยก็ได้ เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะอยู่ใครจะไป”

   หญิงสาวหน้าซีดเผือด ไม่กล้าสู้สายตากับชายหนุ่ม จึงหลบเลี่ยงออกมาจากห้องสอบสวนอย่างรวดเร็วจนเกือบจะกลายเป็นวิ่งหนี

   หลังจากลลิตากลับไปแล้ว ตรัยก็เรียกธาวินมานั่งด้วยกันหน้าโต๊ะสอบสวน “ผมสงสัยคนขับรถส่งปลาด้วย เขาชื่อยติ เป็นช่างเครื่องเรือ”

   “เป็นช่างเครื่อง? ทำไมถึงมาขับรถส่งปลาได้ล่ะครับ”

   “คนที่แพขาดพอดี เขาก็เลยอาสา แถมยังขับไปคนเดียวด้วย ไม่ให้ใครตาม”

   ธาวินยื่นรูปถ่ายและประวัติการทำงานให้ตำรวจดู “ตั้งแต่คุณตำรวจส่งหมายเรียกไปให้ลลิตา เขาก็ไม่มาทำงานอีกเลยครับ ผมให้ไต๋ไปตามที่บ้านเช่าก็ไม่เจอ แบบนี้มันมีพิรุธนะครับ”

   “มีพิรุธจริงๆ นั่นแหละครับ เดี๋ยวผมตามให้แล้วกัน ปัญหาจริงๆ มันอยู่ตรงเอกสารพวกนี้มากกว่า ใครพูดจริงพูดเท็จกันแน่?”

   ตรัยเหลือบมองเอกสารในมือของตำรวจหนุ่ม ใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตาเยือกเย็น








   
   “รางวัลเลขท้าย 2 ตัว เลขที่ออก...”

   ทุกคนหยุดงานในมือแล้วเดินเข้ามารุมล้อมทีวีจอแบนตรงเสาต้นเขื่อง เสียงลูกบอลสีแดงหมุนกุกกักตามแรงหมุน เจ้าหน้าที่สาวในจอทีวีเปิดภาชนะเมื่อผู้มีเกียรติตักลูกบอลนำโชคส่งให้

   “2...9 ฟังอีกครั้งนะคะ 2...9”

   “ปั๊ดโธ่เว้ย!”

   “กูว่าแล้ว”

   “เอ็งกะแหลงงี้ทุกงวดแหละ งวดเท่แล้วกะพูดงี้” เสียงโห่ร้องอย่างสิ้นหวังดังระงมไปทั่วอาคาร คนอับโชคเดินคอตกกลับไปทำงานต่อ รอลุ้นกันใหม่ในงวดหน้า

   “ถูกล่ะสิมึง เก็บเงียบเชียวนะ” มิ่งขวัญกอดคอเพื่อนสนิท ยิ้มหน้าบานขนาดนี้ ใครๆ ก็ดูออก

   “กูคือผู้รอดชีวิตหลังสี่โมงเย็นเว้ย”

   “ไอ้สัด! ไม่บอกกู มึงไปเอาเลขเด็ดมาจากไหนวะ”

   “จากสงขลาไง ขากลับคุณตรัยเขาแวะไหว้พระด้วย กูนั่งรอขี้ธูปเป็นชั่วโมง โดนคุณตรัยบ่นจนหูชา”

   “แล้วนายหัวถูกไหม?”

   “ไอ้บ้า คนรวยเขาไม่เล่นหวยกันหรอก”

   “มึงรู้ได้ไง เถ้าแก่ยังเล่นเลย”

   “เออว่ะ”

   “ไม่รู้ล่ะ เย็นนี้มึงต้องเลี้ยงเหล้ากู เดี๋ยวกูตามพี่ณัฐมาแดกด้วย”

   “เลี้ยงห่าอะไรล่ะ กูต้องเอาล็อตเตอรีไปขึ้นเงินก่อน”

   “โอ้โห ถูกสลากกินแบ่งซะด้วย ไม่ธรรมดา”

   “ปกติแดกกูทุกงวดไง เพิ่งจะแบ่งกูงวดนี้แหละ”

   “อย่าเผลอทำหล่นนะมึง”

   “ไม่กลัว กูประทับดีเอ็นเอเอาไว้แล้ว แผล่บๆ” แลบลิ้นล้อเลียนข่าวดัง หลังจากเทหมึกกล้วยใส่ถาดสแตนเลสแล้ว เราสองคนก็ทำการคัดแยกขนาดตัวและความสมบูรณ์ของเส้นหนวดลงตะกร้าสำหรับชั่ง คนรอบตัวเขายังคงพูดเรื่องหวยไม่ยอมจบสิ้น เพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่นาทีก็เก็งงวดใหม่กันต่อแล้ว

   ชายหนุ่มยกตะกร้าใส่หมึกหกใบลงรถเข็นแล้วออกแรงลากไปยังตาชั่ง สวนทางกับเสมียนบัญชีซึ่งขับมอเตอร์ไซค์ป้ายแดงเข้ามาพอดี เขาคงไม่สนใจถ้าเธอไม่ทำสีหน้าบูดบึ้งเหมือนไปกินรังแตนที่ไหนมา แถมยังร้อนรนขนของเข้าออก พอเพ่งมองดีๆ แล้วถึงรู้ว่าเป็นของใช้ส่วนตัวบนโต๊ะเธอ

   “พี่หมิวจะขนไปไหนเหรอครับ? เกิดอะไรขึ้น”

   “สาบานว่าไม่รู้ อย่ามาทำหน้าซื่อตาใสหน่อยเลย ถ้าฉันถูกพักงานเธอก็ต้องโดนด้วย”

   “อะ...อะไรนะครับ ผะ...ผมเหรอ?”

   “ใช่ อย่าคิดว่าประจบสอพลอเขาแล้วเธอจะรอดล่ะ”

   “หมายความว่ายังไง? ทำไมเขาต้องพักงานผมด้วยล่ะ” รุ่งภพไม่เข้าใจ เขาทำอะไรผิด?

   “ข้อหายักยอกเงินจากแพปลายังไงล่ะ ฉันกับเธอ เราตกเป็นผู้ต้องสงสัยเหมือนกัน”

        “จริงเหรอวะไอ้รุ่ง?” มิ่งขวัญถามเพื่อน ถ้ารุ่งภพบอกว่าไม่ได้ทำเขาก็พร้อมจะเชื่อ

        “ไม่…กูไม่ได้ทำ เขาก็น่าจะรู้ ทะ...ทำไมถึงสั่งพักงานกูด้วยล่ะ?”

        ลลิตาแค่นเสียงหัวเราะ “มันเป็นดุลพินิจของนายจ้างน่ะ ฉันก็ไม่เข้าใจหรอก แต่คิดว่าเขาคงไม่ไว้ใจเธอ”

   เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางหัว รุ่งภพหูอื้อตาลาย เขาไม่เคยเห็นใครถูกพักงานแล้วได้กลับมาทำงานต่อกันสักคน หากไม่หางานใหม่ก็ถูกไล่ออก ชีวิตต้องกินต้องใช้ จะเอาเงินมาจากไหนถ้าต้องอยู่รอเฉยๆ จนกว่าจะถูกเรียกให้กลับไปทำงาน

   “ไอ้รุ่ง! คุณตรัยมาพอดีเลย มึงไปถามเขาสิ” มิ่งขวัญสะกิดเพื่อน ชี้ไปยังรถเอสยูวีคันเดิม

   หนุ่มใต้เดินเปะปะเข้าไปหา ใบหน้าชาวาบเมื่ออีกฝ่ายเดินผ่านเลยไปเหมือนไม่เคยรู้จักกัน

   ลลิตามองเขาด้วยแววตาสมเพช รุ่งภพไม่เคยรู้สึกอับอายเท่านี้มาก่อนในชีวิต เขาเคยได้รับความใจดีจากตรัยจนทุกคนอิจฉา พอมาวันนี้ทุกอย่างเหมือนลงเหวไปหมด...อย่าว่าแต่มองเมินเลย แค่หางตาเขายังไม่คิดจะเหลือบแลกันเลยด้วยซ้ำ

   ไม่จำเป็นต้องถามอะไรให้มากความ

   แค่นี้ก็ได้คำตอบแล้ว

   เขาไม่ได้มีค่าอะไรในสายตาของตรัยเลย...ก็แค่คนงานคนหนึ่ง จะไปมีน้ำหนักในใจของอีกฝ่ายได้ยังไง


TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! บทที่ 10-11 l 6/9/62
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 06-09-2019 21:56:14
สนุกมากค่ะรีไรท์ใหม่อ่านลื่นได้ความรู้เพิม   :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! บทที่ 10-11 l 6/9/62
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-09-2019 22:07:31
โอ้ยสงสารน้อง
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! บทที่ 10-11 l 6/9/62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-09-2019 22:23:32
 :เฮ้อ:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! บทที่ 12 l 8/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 08-09-2019 12:56:51
บทที่ 12





   พอขาดเสมียนบัญชีไปคนหนึ่ง เสมียนที่เหลืออีกสองคนก็งานยุ่งจนแทบไม่ได้หยุดพัก แม้ธาวินจะเข้ามาช่วยจัดการงานบัญชีบางส่วนให้แต่ก็ยังติดขัดเพราะยังวางระบบไม่เรียบร้อยดี คุณฝนซึ่งเป็นเสมียนฝ่ายบุคคลค่อนข้างรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ดี คอยชี้แจงและอธิบายส่วนงานต่างๆ ให้ธาวินเข้าใจมากยิ่งขึ้น งานฝ่ายบุคคลที่เธอรับผิดชอบอยู่จะหนักไปทางเอกสารของแรงงานต่างด้าวเสียเป็นส่วนใหญ่ รวมไปถึงการขึ้นทะเบียนและขออนุญาตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือเรือประมงทุกลำในแพปลา

   ส่วนเสมียนอีกคนอายุยังน้อย ไม่ค่อยได้อยู่ในออฟฟิศมากนักเพราะต้องออกไปเปิดประมูลปลาแทบทุกวัน พวกคนงานเรียกเธอว่าเสมียนแพปลา หากมีเรือลำไหนเข้ามาขอขึ้นท่า เธอจะต้องเป็นตัวกลางออกไปเปิดประมูลสัตว์น้ำและคิดค่าธรรมเนียมผ่านท่าเป็นค่าบริการให้กับแพปลา

   “คุณจะพักงานรุ่งภพจริงๆ เหรอครับ”

   “อืม”

   ธาวินไม่กล้าถามต่อเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมจากเจ้านาย “เอ่อ เมื่อเช้ามีเด็กนักเรียนสายอาชีพเข้ามาขอฝึกงานด้วยครับ ผมว่าจะรับเอาไว้ น้องเรียนสายบัญชีมา น่าจะสอนงานได้ง่าย”

   “ตามนั้น”

   “คุณจะดูไฟล์เอกสารที่ช่างกู้มาจากถังขยะในคอมฯ ลลิตาไหมครับ เขาเพิ่งส่งมาให้เมื่อวานแต่กู้ได้ไม่ครบนะครับ บางไฟล์ก็ถูกเขียนทับไปแล้ว”

   “เอาไว้ก่อน จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ ฉันอยากคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวหน่อย” ตรัยออกปากไล่ เขากำลังไล่ดูเอกสารส่วนตัวที่คุณฝนเอามาให้ คราวนี้ไม่ใช่แค่ประวัติในใบสมัครงานเท่านั้นแต่รวมไปถึงสำเนาเอกสารประจำตัวและหน้าสมุดบัญชีธนาคารสำหรับจ่ายเงินเดือนของแต่ละคนด้วย

   เขารอจนกระทั่งธาวินออกไปพ้นจากห้องแล้วจึงกดโทรศัพท์หาเพื่อนสนิท บอกเลขที่บัญชีของคนทั้งสามและขอรายการเคลื่อนไหวทางบัญชีอย่างลับๆ ย้อนหลังสามเดือน

   หากไม่เจอรายการผิดปกติก็แล้วไป

   แต่ถ้าเจอล่ะก็...เขาไม่เลี้ยงเอาไว้แน่นอน





   
   ไฟดวงสุดท้ายในออฟฟิศถูกปิดลงในเวลาสามทุ่มครึ่ง หนุ่มแว่นร่างบางบิดขี้เกียจจนตัวงอขณะก้าวออกมายืนด้านนอก แพปลาในเวลานี้เงียบงันปราศจากเสียงเอ็ดตะโรและพูดคุยของคนงาน มีเพลงเสียงคลื่นลากตัวเข้าหาฝั่งและเสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือของใครสักคนในห้องเย็น

   แปะ!

   แล้วก็เสียงตบยุงด้วยอีกหนึ่งเสียง?

   ธาวินหันมองต้นตอของเสียงตบยุงหนักแน่นเมื่อครู่นี้ ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นใครคนหนึ่งนั่งทำหน้ายุ่งอยู่ตรงม้านั่ง

   “มาคอยใครอ่ะ?”

   “คอยเมียมั้ง...ก็รู้อยู่ยังจะถามอีก” มิ่งขวัญลุกขึ้น สีหน้ายังคงหงุดหงิดเพราะนั่งตบยุงจนลายพร้อยไปทั้งตัว

   “ความจริงไม่ต้องมารอก็ได้นะ ถ้ามันดึกมากฉันไปค้างกับคุณตรัยเอาก็ได้”

   “ก็มารับแล้วไง ก็ต้องกลับด้วยกันดิ”

   “รู้แล้ว พูดเผื่อไว้วันหลัง”

   “ยังจะมีวันหลังอีกเหรอ ทำงานแปดชั่วโมงไม่พอหรือไง ยิ่งกว่าแรงงานทาสซะอีก”

   “ปากเหรอนั่น เกิดคุณตรัยมาได้ยินเข้าเดี๋ยวก็โดนไล่ออกจากงานหรอก”

   “เอะอะก็พักงาน เอะอะก็ไล่ออก เจ้านายคุณไม่มีเหตุผลเอาซะเลย” หนุ่มตัวโตนึกถึงเพื่อนสนิท รุ่งภพโดนพักงานมาเกือบอาทิตย์แล้ว จนป่านนี้ตรัยก็ยังไม่เรียกตัวกลับไปทำงานเลย

   “รู้ได้ไงว่าไม่มีเหตุผล คนระดับนั้นเขาไม่ใช้อารมณ์ตัดสินปัญหาหรอก แล้วก็ไม่จำเป็นต้องบอกเหตุผลให้พวกเรารู้ด้วย”

   “ต้องบอกดิ! ในเมื่อคนเสียหายคือเพื่อนผม”

   “ฉันบอกแน่...แต่จะบอกแค่เขาคนเดียว คนอื่นไม่เกี่ยว”

   มิ่งขวัญหันขวับ วางตัวไม่ถูกไปชั่วขณะเมื่อลูกชายเถ้าแก่เดินเข้ามาเงียบๆ ด้านหลังเขา “แล้วมันเมื่อไหร่ล่ะครับ เพื่อนผมไม่ได้อยู่เฉยๆ แล้วเงินงอกออกมาเองนะครับ มันต้องออกเรือไปจับปูมาขายหาเงินใช้ แล้วหน้านี้มันหน้าปูที่ไหนล่ะ อวนปลาก็ไม่มี มรสุมก็จะเข้า กว่านายหัวจะเรียกมันกลับมาทำงาน พอดีเรือล่มตาย”

   “ไปแช่งเพื่อนทำไมล่ะ!” ธาวินหยิกกล้ามเนื้อตรงช่วงเอวของชายหนุ่ม อยากจะหยิกซ้ำแต่ก็จนใจเพราะอีกฝ่ายแทบจะไม่รู้สึกสะทกสะเทือนอะไรเลย

   “แช่งที่ไหนกันเล่า แค่เปรียบเปรยเฉยๆ”

   “เปรียบเปรยบ้าบออะไร ปากไม่เป็นมงคล”

   ตรัยยังคงนิ่งเฉย สักพักก็รู้สึกเอะใจกับสิ่งที่ได้ยิน “ไหนว่าช่วงนี้ปิดอ่าวไง ทำไมเอาเรือออกทะเลได้ล่ะ”

   หรือว่ารุ่งภพโกหกเขา?

   “เขาไม่ได้ห้ามเรือเล็กนี่ครับ พวกเบ็ด แห อวนตื้นยังทำกันได้ปกติ ที่ห้ามน่ะเรือใหญ่ต่างหาก”

   “งั้นเหรอ...”

   มิ่งขวัญยังรอความเห็นเพิ่มเติมจากเจ้านายหนุ่ม คิดว่าอีกฝ่ายจะยกเลิกการพักงานของเพื่อนสนิท แต่ไม่ใช่…

   “งั้นฉันกลับก่อนนะวิน นายมีคนมารับแล้วนี่”

   “ห๊ะ? เอ่อ…ครับ” ธาวินตอบรับอย่างอ้ำอึ้ง ไม่คิดว่าตรัยจะทิ้งกันไปดื้อๆ แบบนี้ทั้งที่ยังคุยกันไม่จบดี

   “เจ้านายคุณนี่มัน...”

   ธาวินตบไหล่ปลอบใจชายหนุ่ม เขาทำงานกับตรัยมานาน ทั้งเขี้ยวทั้งเล็บเห็นมาหมดแล้ว ยิ่งเงียบเท่าไหร่ยิ่งน่าขนลุก เมื่อกี้นี้ไม่เอาเรื่องกับมิ่งขวัญก็ดีเท่าไหร่แล้ว พูดจามะนาวไม่มีน้ำแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน

   เขาคงต้องอบรมมารยาทมิ่งขวัญขนานใหญ่ จะได้ช่วยลดอัตราความเสี่ยงถูกไล่ออกในภายหลัง







   ต้นยางเกือบร้อยต้นปลูกเรียงกันเป็นแถวบนผืนดินรกร้าง มันคือแผลใหญ่ในใจของลลิตาเพราะมันคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเธอตกต่ำจนเป็นหนี้เป็นสินล้นพ้นตัว

   ต้นยางเหล่านี้เคยทำให้ครอบครัวของเธอเฟื่องฟูถึงขีดสุดและตกต่ำถึงขีดสุดเช่นกัน เนื่องจากน้ำยางล้นตลาดขายไม่ได้ราคาเหมือนเก่าก่อน แม่ของเธอเลยเครียดหนักจนล้มป่วย สุดท้ายก็ตรอมใจตายด้วยภาระหนี้สินที่รุมเร้า ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ให้เธอแบกรับแต่เพียงลำพัง

   เธอต้องลาออกจากงานเพื่อหลบหนีเจ้าหนี้ไปอาศัยห้องเช่ารูหนูอยู่ชั่วคราว มันทั้งเก่าโทรมและเหม็นอับ เป็นห้องโล่งๆ และมีแต่ขยะทิ้งเอาไว้เกลื่อนกลาด ไม่ได้รับการทำความสะอาดแม้จะมีคนเช่าใหม่ย้ายเข้ามา

   หากไม่ได้ยติคอยช่วยเหลือในวันนั้น เธอก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อ ผู้หญิงตัวคนเดียวและไม่เหลือใครให้พึ่งพิงอย่างเธอมันรู้สึกเคว้งคว้างไปหมด พอมีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาช่วยจัดการทุกอย่างในชีวิตให้ เธอก็ตกหลุมรักอย่างง่ายดาย ยอมตัดใจขายผืนดินในครอบครองทั้งหมดเพื่อใช้หนี้ ยกเว้นบ้านของแม่ซึ่งมีโฉนดแยกกัน

   เธอเหลือเงินอยู่นิดหน่อยหลังจากใช้หนี้ไปจนหมดแล้ว ยติยอมย้ายมาอยู่กับเธอที่บ้านแต่ยังคงเช่าห้องทิ้งเอาไว้และกลับไปนอนบ้างเป็นบางครั้งโดยให้เหตุผลว่าอยู่ใกล้กับแพปลา หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ชวนเธอไปทำงานด้วยกันเมื่อคบหากันมาได้สักระยะ ตอนนั้นเถ้าแก่ชัยกำลังหาเสมียนบัญชีมาช่วยงาน แล้วเธอก็จบมาทางด้านนี้โดยตรงเลยผ่านการสัมภาษณ์อย่างง่ายดาย

   “พี่จะหมกตัวอยู่แต่ในบ้านไปถึงเมื่อไหร่ จะทำอะไรก็รีบเข้าสิ เดี๋ยวพวกตำรวจสาวตัวมาถึงก็ได้ซวยกันหมดหรอก”

   คนอาศัยนอนไขว่ห้างดูบอลในช่องเคเบิลด้วยสีหน้าหงุดหงิด ไม่สนใจเสียงตวาดแว้ดจากเจ้าของบ้าน “มึงห่วงกูหรือห่วงตัวเองกันแน่วะ อย่านึกว่าโยนความผิดให้ไอ้รุ่งแล้วตำรวจจะเลิกสงสัยมึงนะอีหมิว มึงน่ะขึ้นบัญชีดำเป็นคนแรกเลย สำเหนียกเอาไว้ด้วย”

   “แล้วไง คิดว่าฉันโง่ทิ้งหลักฐานเอาไว้เหรอ ไฟล์ในคอมฯ ก็ลบทิ้งไปหมดแล้ว มันจะเอาหลักฐานจากไหนมาจับฉัน เหลือแต่พี่นั่นแหละ บอกให้หนีก็ไม่หนี ถ้าโดนจับได้อย่าซัดทอดมาถึงฉันก็แล้วกัน”

   “กูคงอยู่รอให้มันจับเข้าซังเตหรอก”

   “แล้วตอนนี้รออะไรอยู่ล่ะ รีบแบ่งเงินแล้วทางใครทางมันสิ” อดีตคนเคยรักส่งสายตาเชือดเฉือนใส่กัน พอมีเรื่องเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้อง ความรักก็เริ่มแปรเปลี่ยนและจางหายไปในที่สุด

   “กูก็รอเงินอยู่นี่แหละโว้ย ปลารอบสุดท้ายยังตกเบิกอยู่เลย”

   “อะไรนะ! เป็นเดือนแล้วนะพี่ยะ เขายังไม่จ่ายอีกเหรอ”

   ยติเขวี้ยงรีโมททิ้งลงพื้นอย่างหงุดหงิดเมื่อทีมเจ้าบ้านแพ้ทีมเยือนอย่างยับเยิน หมดกันสองหมื่นกู “โกหลาวกำลังวิ่งเต้นเรื่องอาชญาบัตรอยู่ มึงจะให้กูทำไงห๊ะ! ระหว่างเรือลำเป็นสิบล้านกับเงินค่าปลาไม่กี่แสน เขาก็ต้องเลือกเรือก่อนสิอีโง่”

   “แล้วจะรออย่างไร้จุดหมายแบบนี้เหรอ ฉันโดนพักงานนะพี่ ฉันต้องใช้เงิน”

   “กูก็ต้องใช้เหมือนกันล่ะวะ” ยติตะคอกอย่างหงุดหงิด แค่ทำเอกสารปลอมนิดหน่อยเสือกขอส่วนแบ่งตั้งครึ่งต่อครึ่ง “เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะลองเข้าไปคุยกับโกหลาวดูก่อน มึงก็อยู่เงียบๆ อย่าทำตัวมีพิรุธ อยู่แต่ในบ้านนี่แหละ ไม่ต้องออกไปไหน”

    “จะออกไปไหนได้ล่ะ เงินก็ไม่มี ทำไมพี่ไม่แบ่งเงินรอบที่แล้วมาให้ฉันใช้ก่อนล่ะ จะเก็บไปถึงเมื่อไหร่”

   “แล้วเงินที่แบ่งให้รอบแรกล่ะ มึงใช้หมดไปแล้วเหรอ?”

   “ไม่หมดได้ไงล่ะ ก็เอามาจ่ายหนี้ให้พี่ไง”

   “งั้นก็รอแบ่งทีเดียวจะได้ไม่งง”

   “ฉันทำบัญชีนะ พี่จะงงอะไร เดี๋ยวฉันจัดการให้ก็ได้”

   “พูดไม่รู้ความ กูบอกว่าเดี๋ยวค่อยแบ่ง”

   เธอย่นคอหนีเมื่อยติเงื้อมือขึ้นเหมือนจะตบ ความรักที่เคยมีมันหมดไปนานแล้ว ยิ่งช่วงหลังเล่นเสียบ่อยมันก็เอาความโมโหนั้นมาลงกับเธอ

   หลังจากคบกันมาหลายปี สันดานมันก็เริ่มออก ทั้งติดเหล้าทั้งติดพนัน สารพัดสารเพจะหาเรื่องเสียเงินมาให้ ดีอยู่อย่างคือไม่เจ้าชู้มั่วไปเรื่อย เธอต้องรับภาระหนี้สินอีกครั้งจากการกระทำของมัน อยากเลิกก็เลิกไม่ได้เพราะมันตามรังควานไม่หยุดหย่อน หลังจากหาลู่ทางยักยอกเถ้าแก่ได้เธอก็ยื่นข้อตกลงให้ทางใครทางมัน เธอไม่คิดจะกลับไปทำงานในแพปลาหรอกแต่จะให้หนีก็ไม่เอาเหมือนกัน อายุความตั้งสิบปี เงินไม่กี่แสนจะใช้ได้นานสักแค่ไหนกัน

   สู้ป้ายความผิดไปให้แพะรับบาปยังดีกว่า

   เธอสู้อุตส่าห์ทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบ ลบและทำลายทุกอย่างที่จะใช้เป็นหลักฐานมัดตัว เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแล้วให้ยติขนถ่ายปลาไปขายระหว่างทาง มันจะเป็นคนแรกที่ตำรวจออกหมายจับหลังจากสืบทราบว่าใครเป็นผู้ขับรถขนส่งปลาในรอบนั้น ระหว่างหนีกับติดคุกคงไม่ต้องเดาว่ามันจะเลือกอะไร

   ขอเพียงยื้อเวลาให้มันหนีไปได้ก่อนตำรวจจะตามตัวเจอ ทุกอย่างก็จะลอยนวลไม่มีใครสาวมาถึงตัวเธอ


TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! บทที่ 12 l 8/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-09-2019 14:03:56
 :z6:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! บทที่ 12 l 8/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Kungkakung ที่ 08-09-2019 14:06:27
 :m16: :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! บทที่ 12 l 8/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-09-2019 15:28:51
 :3125:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! บทที่ 13 l 10/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 10-09-2019 20:27:07
บทที่ 13





   (กูส่งเมลล์ให้มึงแล้วนะ ไปเปิดดูเอาเองแล้วก็ห้ามเอาไปเผยแพร่ที่ไหนด้วย ถ้ามึงจะส่งข้อมูลในนั้นให้ตำรวจ มึงก็ต้องไปขอหมายศาลมาให้มันถูกต้อง…แต่ถ้ามึงจะเล่นนอกกฎหมาย...อันนี้ก็แล้วแต่มึง)

   “ขอบใจอั้ม” ตรัยตอบกลับปลายสายด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ เขาคลิกกล่องข้อความในอีเมลล์แล้วเรียกดูรายการสเตทเมนท์ที่เพื่อนส่งมาให้ “นี่รายการย้อนหลังสามเดือนเหรอ?”

   (ก็ใช่น่ะสิ มึงขอแค่ไหนก็แค่นั้นแหละ)

   ตรัยแทบไม่ต้องเสียเวลาไล่ดูข้อมูลในบัญชีของรุ่งภพเลย นอกจากเงินเดือนและรายการถอนแล้วก็แทบจะขาวสะอาดไม่มีสิ่งใดเจือปน “รายการเดินบัญชีน้อยจริง”

   (มันแล้วแต่คนเว้ย บางคนก็ฝากถอนแค่เงินเดือน บางคนก็ยาวเป็นหางว่าว)

   “อืม...เดี๋ยวกูเลี้ยงข้าวมึงหนึ่งมื้อ อยากกินอะไรก็ว่ามา”

   (อะไรว้า? ข้าวมื้อเดียวกับงานเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางเนี่ยนะ)

   ปลายสายโอดครวญ ถึงจะมีอำนาจเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าแต่ก็ใช่ว่าจะเรียกดูได้ตามใจ “เลานจ์ VIP หนึ่งห้อง พอใจไหม?”

   (มันต้องงี้สิวะ ถึงจะคุ้มค่ากับความเสี่ยงของกูหน่อย)

   “งั้นแค่นี้นะ เดี๋ยวค่อยโทรไปอีกที”

   (ยังจะโทรมาอีกเรอะ!...)

   ตรัยกดวางสายไม่สนใจเสียงโวยวายของเพื่อนสนิท มุมปากยังคงยกยิ้มพอใจกับยอดเงินอันน้อยนิดในบัญชีของหนุ่มใต้ตาแป๋ว รุ่งภพค่อนข้างมีวินัยทางการเงินพอใช้ รู้จักออมเงินจนเหลือเก็บจำนวนหนึ่ง ถึงไม่มากแต่ก็เอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉินได้ ต่างจากรายการเดินบัญชีอีกสองเล่มที่ยอดเงินเข้าออกเละเทะ จากยอดหลักแสนไปยอดหลักศูนย์ ขึ้นๆ ลงๆ ยิ่งกว่ากราฟหุ้นเสียอีก

   ยอดเงินพวกนี้มันมาจากไหน?

   ไม่ใช่รายได้ปกติแน่นอน

   เขากดโทรออกอีกครั้งแต่ไม่ใช่เบอร์เดิมของเพื่อนสนิท ปลายสายกดรับแทบจะทันทีพร้อมรับคำสั่งจากผู้เป็นนาย

   อีเมลล์ถูกส่งต่อไปยังผู้ที่ได้รับมอบหมาย หลังจากนี้ต่างหากถึงจะเรียกว่านรกของจริง

   ไม่ใช่แค่ประวัติที่จะถูกขุดคุ้ย หากเขาสืบทราบความจริงเมื่อไหร่ เงินสักบาทก็จะไม่เหลือให้เห็นเลย

   เขาก็มีวิธีของเขา แน่นอนว่ารวดเร็วกว่าตำรวจเยอะ





   คลื่นทะเลปั่นป่วนตามกระแสลมแรง พาลให้เรือลำน้อยถูกโยนขึ้นลงจนเกือบพลิกคว่ำ รุ่งภพต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดในการบังคับเรือเข้าหาฝั่ง หนีพายุฝนที่กำลังจะตามมา

   วันนี้ได้ปูมาแค่กระป๋องเดียวแถมตัวยังเล็กอยู่มากเขาเลยต้องปล่อยไปเกือบครึ่ง โชคดีที่เมื่อวานขายได้เยอะจึงเหลือเงินอยู่เต็มกระเป๋า หากไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอะไรก็คงจะอยู่ได้อีกหลายวัน พอซื้ออาหารเม็ดให้ตังเกหนึ่งถุงและจ่ายค่าน้ำค่าไฟตอนสิ้นเดือน

   ตอนนี้ทำอะไรได้ก็ทำไปก่อน เขายังไม่อยากควักเงินในบัญชีออกมาใช้ มันเป็นเงินฉุกเฉิน หากไม่คอขาดบาดตายจริงๆ เขาจะไม่ไปถอนออกมาเด็ดขาด

   หนุ่มใต้สลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งแล้วออกแรงดันท้ายเรือขึ้นชายหาด เขาเซล้มหลายครั้งจากแรงพัดของคลื่นน้ำ ชายหนุ่มได้ยินเสียงเห่าของตังเกแว่วๆ แต่ยังไม่มีเวลาไปสนใจมากนักเพราะต้องประคองเรือและตัวเองเข้าหาฝั่ง จังหวะหนึ่งที่กำลังจะเซล้มลงไปอีกครั้งก็ได้มือหนึ่งเข้ามาช่วยฉุดรั้งให้ยืนขึ้นอย่างมั่นคง

   “ให้ช่วยไหม?”

   รุ่งภพกระพริบตาถี่ไล่หยดน้ำเค็มปร่าที่ซัดจนเปียกโชก เขายังคงสับสนงุนงง นึกว่าคนตรงหน้าคือภาพลวง “คุณตรัย...”

   “ก็ฉันน่ะสิ คิดว่าใครล่ะ” เจ้าของร่างสูงตอบกลับสีหน้าเรียบเฉย

   “คุณ...มาทำไมครับ?” น้ำเสียงไม่สู้ดีนัก แถมยังหลบตาเวลาพูดคุย “จะมาจับผมเหรอ?”

   “ทำผิดอะไรไว้ล่ะ?”

   “ผม...เปล่า ผมไม่ได้ทำ” ไม่ได้ทำ ไม่รู้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ

   “ถ้าไม่ได้ทำแล้วจะกลัวทำไม?”

   “ก็...คุณ...คุณสั่งพักงานเพราะสงสัยผมไม่ใช่เหรอ?” รุ่งภพไม่เข้าใจ ตรัยต้องการอะไรจากเขากันแน่

   “ตอนแรกก็ลังเลอยู่นิดหน่อย…แต่ตอนนี้ไม่แล้ว” เขายอมรับว่าไขว้เขว ไม่ได้ปักใจเชื่อเต็มร้อยแต่ก็ไม่ไว้ใจเช่นเดียวกัน “ฉันจำเป็นต้องพักงานเธอด้วยเพราะเธอก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเอกสารเหมือนกัน ถึงจะเป็นแค่การกรอกตัวเลขลงไปในแบบฟอร์มก็เถอะ อย่างน้อยก็ป้องกันคนนินทา...จะได้ไม่มีใครหาว่าฉันลำเอียงเข้าข้างเธอ”

   หนุ่มใต้หน้าร้อนซู่ ทำไมบรรยากาศอึมครึมเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นแจ่มใสขึ้นมาได้นะ “งั้น...ผมก็กลับไปทำงานได้แล้วใช่ไหมครับ?”

   “ยังก่อน...ฉันอยากให้ลลิตาตายใจก่อน รอจนกว่าตำรวจจะจับนายยติได้แล้วค่อยเค้นให้สองคนนั้นยอมรับสารภาพ”

   “ยติ? พี่ยะเหรอครับ”

   “ใช่ เขาเป็นคนขับรถส่งปลา จะไม่รู้ว่าปลาหายได้ยังไงจริงไหม?”

   รุ่งภพคิดตาม ขับรถส่งปลาแต่ละครั้งต้องรอใบอินวอยจากเสมียนบัญชีก่อน หลังจากนั้นก็บรรทุกปลาที่จัดขึ้นรถไปส่งให้กับซับพลายที่จังหวัดสงขลา

   แทบจะอยู่กับปลาตามลำพังสองต่อสองเลยด้วยซ้ำ

   “ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะร่วมมือกัน”

   “สองคนนั้นยังมีความลับอีกเยอะ” ต่อหน้าคนอื่นทำเป็นไม่รู้จักกันแต่ลับหลังรวมหัวกันสูบเงินของพ่อเขาไปเข้ากระเป๋าตัวเองอย่างหน้าด้าน

   “ความลับอะไรเหรอครับ?”

   ตรัยยิ้มให้กับท่าทางงุนงงของชายหนุ่ม ตอนนี้กางเกงของเขาถูกคลื่นซัดจนเปียกชุ่มไปถึงต้นขาแล้วหลังจากวิ่งลงมาช่วยประคองอีกฝ่ายเมื่อครู่นี้ “เดี๋ยวค่อยคุยกันทีหลังดีกว่าไหม? เอาเรือขึ้นไปผูกก่อนเถอะ ก่อนที่จะเปียกไปมากกว่านี้”

   “คุณไม่สงสัยผมแล้วจริงๆ นะ?”

   “เอาเรือขึ้นก่อน เร็วๆ”

   รุ่งภพเริ่มพยุงตัวเองไม่ไหวแล้ว คลื่นเริ่มแรงขึ้นทุกทีจนเรือหวิดจม หากไม่ได้แรงจากตรัยช่วยฉุดลากก็คงไม่ถึงไหน จะหวังให้ตังเกมาช่วย มันก็ทำได้แค่เห่าเรียกแล้วเชิดหน้านั่งรออย่างคุณชาย

   “โกรธฉันหรือเปล่า?”

   หนุ่มใต้อ้าปากหายใจหอบ ทรุดตัวลงนั่งริมหาดอย่างหมดแรง “โกรธเรื่องอะไรครับ”

   “ยังจะมาย้อนถามอีก” ตรัยนั่งยองข้างๆ ไม่ได้แปะก้นลงไปนาบกับทรายเหมือนชายหนุ่ม “หลายวันมานี้เธอคงลำบากมาก เอาไว้ฉันจะชดเชยให้ทีหลังนะ”

   รุ่งภพส่ายหน้า ลากอวนลงจากเรือแล้วเริ่มแกะปูออกทีละตัว “ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่ได้โกรธอะไร แค่...ตกใจนิดหน่อย” ชายหนุ่มก้มหน้า ในความตกใจนั้นยังมีความผิดหวังน้อยใจปนอยู่ด้วย เพียงแต่เขาไม่ได้พูดมันออกไปเท่านั้นเอง

   เขาเป็นใครและอีกฝ่ายเป็นใคร

   เขามันก็แค่คนงานคนหนึ่ง จะไปมีปากมีเสียงอะไรได้ พูดไปก็เท่านั้น...อย่าไปหวังให้อีกฝ่ายใส่ใจเลย

   “อยากให้ปลอบขวัญไหม”

   “ปลอบขวัญ? มะ...ไม่ต้องหรอกครับ” คงไม่ได้จะเอาเงินฟาดหัวกันหรอกใช่ไหม ถึงเขาจะชอบเงินแต่ก็อยากได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองมากกว่า...ไม่ใช่แบบนี้ “แค่ให้ผมกลับไปทำงานก็พอแล้ว”

   “ตอนนี้คงยังไม่ได้” ตรัยลอบยิ้มเมื่อเห็นหนุ่มใต้ทำหน้าสลด แขนและขาเปื้อนเม็ดทรายเต็มไปหมด สภาพเหมือนลูกหมาตกน้ำเข้าไปทุกที “นายยะหนีไปแล้ว ฉันไม่อยากให้ลลิตาหนีไปอีกคน ระหว่างนี้...เธอก็ทำทิชชู่อาร์ตให้ฉันไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันจ้างพิเศษ ไม่ต้องออกเรือไปจับปูแล้ว หน้าฝนแบบนี้อันตราย”

   รุ่งภพเงยหน้าขึ้น ลืมทิชชู่อาร์ตไปเสียสนิท

   “อย่าบอกนะว่าลืม” ชายหนุ่มยิ้มแหย มือไม้พันกับอวนจนยุ่งเหยิงไปหมด ลำบากตรัยต้องมาช่วยแกะให้ “แกะปูไม่พอยังต้องมาแกะมือคนอีก”

   “ผมแก้เองก็ได้”

   “อยู่นิ่งๆ” ยื้อมือของชายหนุ่มไว้ เขาแทบจะกำได้รอบ ทำไมถึงผอมแบบนี้นะ “ฝนมาแล้วนะ ขนเข้าไปแกะในบ้านเถอะ”

   รุ่งภพดึงมือออกจากการเกาะกุมหลังจากแก้ตาข่ายอวนออกมาได้ “ยังไม่ตกหรอกครับ ลมมันพัดเมฆไปทางอื่นแล้ว”

   “เมฆตั้งเค้ามืดมากเลยนะ เธอแน่ใจเหรอ?”

   “คุณไม่เชื่อใจลูกทะเลเหรอครับ ทะเลเป็นบ้านของผม...ผมจะไม่รู้จักบ้านของตัวเองได้ยังไง”

   ตรัยมองลึกเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่ม รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นผิดจังหวะไปครู่หนึ่งยามได้เห็นรอยยิ้มพิมพ์ใจ “ฉันเชื่อเธอ”

   หนุ่มใต้ชะงักงัน ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตอบรับง่ายดายถึงเพียงนี้

   “ฉันช่วยแกะดีกว่า จะได้เสร็จเร็วๆ” ดึงอวนขึ้นมาไว้ในมือแล้วแหวกตาข่ายไล่หาปูเหมือนที่ชายหนุ่มทำ “แกะยังไง?”

   “ต้องใช้ตะขอถ่างตาข่ายออกครับ แกะมือเดี๋ยวก้ามหลุด” สาธิตให้ดูก่อนจะส่งตะขอให้ลองทำ

   “เธอจับปูอะไรมา ใช่ปูม้าหรือเปล่า?”

   “ใจจริงอยากได้ปูม้าครับ แต่บางทีก็เลือกไม่ได้ ตอนนี้ได้อะไรก็ต้องเอามาก่อน”

   นอกจากปูม้าก็มีปูหินติดมาค่อนข้างเยอะ ก้ามใหญ่โตแข็งแรงแต่ไม่ค่อยมีใครนิยมกินกันนักเพราะเนื้อน้อย ส่วนใหญ่จะแกะก้ามเอาเนื้อมาทำข้าวผัดเสียมากกว่าเพราะราคาไม่แพงเท่าปูชนิดอื่น

   “เธอจับยังไงไม่ให้มันหนีบ”

   “จับใต้ท้องครับ ถ้าตัวไหนมีไข่นอกจับปิ้งต้องแยกเอาไว้นะครับ ไข่มันผสมกับเชื้อแล้ว ต้องเอาไปเข้าธนาคารปูให้เขาเพาะพันธุ์ต่อ”

   “ปล่อยมันไปเลยไม่ได้เหรอ”

   “ก็ได้ครับ...แต่ถ้าเอาไปเข้าธนาคาร โอกาสที่ไข่พวกนี้จะรอดออกมาแล้วเติบโตกลับคืนสู่ทะเลจะสูงกว่า เขามีศูนย์อนุบาลสำหรับฟักตัวโดยเฉพาะ เสียเวลานิดหน่อยแต่ช่วยเพิ่มปริมาณให้กับพวกมัน ไม่ใช่แค่ปูที่ได้ประโยชน์ พวกเราชาวประมงก็ได้ประโยชน์จากมันด้วย”

   ตรัยลอบมองเจ้าของเสียงเจื้อยแจ้ว เขานั่งเปียกอยู่ตรงนี้ร่วมชั่วโมงจนกระทั่งแกะปูออกมาจนหมด นึกแปลกใจในความอดทนของตัวเองอยู่เหมือนกัน คนไม่เคยง้อใครอย่างเขากลับพ่ายแพ้ให้กับชายหนุ่มที่ไม่มีอิทธิพลอะไรเลย

   ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรุ่งภพใจดีเกินไปหรือเป็นพวกไม่คิดอะไรเลยกันแน่



TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! บทที่ 14 l 10/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 10-09-2019 20:37:54
บทที่ 14



   
   จำนวนเงินในบัญชีมีไม่เพียงพอ โปรดทำรายการใหม่อีกครั้ง

   เจ้าของร่างล่ำสันกระแทกบัตร ATM เข้าไปในตู้อีกครั้งอย่างหงุดหงิด กดรหัสแล้วถอนเงินจำนวนเดิมอีกครั้งด้วยท่าทางหัวเสีย

   จำนวนเงินในบัญชีมีไม่เพียงพอ โปรดทำรายการใหม่อีกครั้ง

   “เป็นห่าอะไรวะ!”

   “เสร็จหรือยังล่ะพี่ เดี๋ยวก็มีใครมาเห็นเข้าหรอก” หญิงสาวในชุดเสื้อคลุมมิดชิดกระซิบถาม เธอถือกระเป๋าใบใหญ่ติดมาด้วย ท่าทางหลุกหลิกดูลุกลน

   “ก็มันกดไม่ได้ มึงจะให้กูทำยังไงล่ะวะ! เป็นห่าอะไรก็ไม่รู้แม่ง! บอกเงินไม่พอ เงินไม่พออยู่นั่นแหละ เงินเข้าตั้งหลายแสนแต่เสือกกดไม่ออก เป็นเหี้ยอะไรวะ!” ทุบตู้ด้วยความโมโห ด่ากราดไปถึงธนาคาร

   “ติดที่วงเงินหรือเปล่าพี่ บัตรมันให้ถอนวงเงินกี่บาท”

   “กูจะไปรู้เหรอวะ มึงทำเป็นก็มาทำสิ! ยืนรอเป็นคุณนายอยู่ได้” กระชากหญิงสาวมาหน้าตู้ เธอรีบเปลี่ยนวงเงินให้ถอนได้สูงสุดทันทีผ่านระบบอัตโนมัติของตู้ ATM

   จำนวนเงินในบัญชีมีไม่เพียงพอ โปรดทำรายการใหม่อีกครั้ง

   “เอ๊ะ? ทำไมล่ะ”

   “เป็นไงล่ะ อีโง่! ก็เหมือนเดิมนั่นแหละวะ” เธอเม้มปากไม่ตอบโต้ อดทนเพื่อเงินส่วนแบ่งที่กำลังจะได้รับ “มึงกดดูอะไร?”

   “จะเช็คยอดเงิน”

   “ไม่ต้องเสร่อ ออกไป! เดี๋ยวกูเช็คเอง” ผลักหญิงสาวออกอย่างไม่ไยดีแล้วเบี่ยงตัวบังหน้าจอไม่ให้คนข้างหลังมองเห็น

   ถ้าบวกกับเงินขายปลารอบก่อนก็ได้ตัวเลขกลมๆ มาพอดี มันจำได้แม่นโดยไม่ต้องกดเช็คยอดเลยด้วยซ้ำ

   ยอดเงินคงเหลือ 0.00 บาท

   ยอดเงินถอนได้ 0.00 บาท

   “...!!!”

   “เป็นไปไม่ได้”

   “เงินกู! เงินกูหายไปได้ยังวะ!”








   ตรัยจิบกาแฟซองที่บังคับให้เจ้าของบ้านชงให้อย่างอารมณ์ดี เขาโอนยอดเงินที่ควรจะเป็นของพ่อกลับเข้าบัญชีอย่างใจเย็น แม้วิธีการที่ได้มาจะไม่โปร่งใสเท่าใดนัก แต่เขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรมาก แค่ได้คืนก็พอแล้ว

   ถ้าพวกมันรู้ว่าเงินถูกดูดออกไปหมดแล้วคงดิ้นพล่านกันน่าดู

   “วันนี้คุณดูอารมณ์ดีจังเลยครับ”

   “เหรอ? เดี๋ยวเย็นนี้พาไปเลี้ยงข้าว”

   รุ่งภพขมวดคิ้วยุ่ง หยุดมือจากการจิ้มก้อนทิชชู่ให้เป็นรูปของกลีบบัว “เลี้ยงเนื่องในโอกาสอะไรครับ?”

   “เพราะฉันอารมณ์ดีไง”

   คราวนี้ทำสีหน้าประหลาด ตรัยถึงกับหลุดขำกับใบหน้าก่งก๊งที่เจ้าตัวแสดงออกมา “ไปวันอื่นได้ไหมครับ ตอนเย็นผมต้องเอาปูไปขายที่หน้าหาด”

   “ปูอะไร? ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ให้ออกเรืออีก”

   “ผมต้องออกไปเก็บอวนครับ ถ้าปล่อยทิ้งไว้มันจะกลายเป็นขยะ”

   “อ้อ ปูคือของแถมว่างั้น”

   “ก็...ประมาณนั้นครับ เก็บไว้เองก็กินไม่หมด” ก้มหน้าก้มตาจิ้มก้อนทิชชู่ต่อ คราวนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้างแล้วเมื่อได้ส่วนของกลีบบัวจนครบตัดกับละอองเกสรสีเหลืองนวล

   “ฉันอยากได้ดอกลีลาวดี ไม่ได้อยากได้ดอกบัว” ตรัยเริ่มพาล นึกหงุดหงิดที่ไม่ได้ดั่งใจ

   “คุณเคยบอกว่าภาพอะไรก็ได้นี่ครับ ผมจำได้”

   “เหรอ...ฉันเคยพูดแบบนั้นเหรอ?”

   เจ้าของบ้านทำหน้ามุ่ย นึกเข่นเขี้ยวในใจกับท่าทางยียวนของชายหนุ่ม “ถ้าจะเปลี่ยนไม่ทันแล้วนะครับ เหลือแต้มใบบัวอีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว”

   “งั้นแผ่นนี้ไม่จ่ายเงิน”

   “งั้นผมเก็บไว้ตั้งโชว์ที่บ้านก็ได้”

   “งั้นคืนเงินค่าของมาเพราะฉันเป็นคนออก”

   “เขี้ยว”

   “เดี๋ยวเถอะ เอาใหญ่แล้วนะ กล้าว่าฉันงกเหรอ?” แกล้งทำตาดุใส่ชายหนุ่ม ใบหน้าบึ้งตึงพอๆ กัน

   “คุณอย่าเก๊ผมสิครับ”

   “เด็กบ้า...ทำไมฉันเหมือนผู้ใหญ่รังแกเด็กเลยล่ะ”

   “ก็มันจริงนี่นา” คราวนี้ทำเสียงอ่อย เขาเป็นเจ้าของบ้านแท้ๆ แต่ต้องลงมานั่งบนพื้นแล้วทำงานจนหลังขดหลังแข็ง ส่วนแขกนั่งเก้าอี้จิบกาแฟสบายใจเฉิบ ตกลงใครเป็นเจ้าของบ้านกันแน่นะ?

   “ทำไมถึงเลือกดอกบัวล่ะ ชอบดอกบัวเหรอ?”

   ชายหนุ่มส่ายหน้า “คุณจะเอาภาพพวกนี้ไปตกแต่งรีสอร์ทไม่ใช่เหรอครับ ผมก็เลยเลือกภาพที่มีความหมายดีๆ ไง”

   “งั้นบอกความหมายดีๆ ของดอกบัวให้รู้หน่อยสิ”

   “บัวเป็นสัญลักษณ์ของคุณงามความดีครับ คนเราก็เปรียบเสมือนกับบัวสี่เหล่า เมื่อชูดอกโผล่พ้นผิวน้ำก็จะกลายเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน”

   ตรัยเท้าค้างนิ่งฟังอย่างตั้งใจ เขาจ้องมองแพขนตางอนยาวของชายหนุ่ม ไล่สายตาผ่านแก้มตอบไปยังริมฝีปากอิ่มตึงสีแดงซีด “ขอบใจนะ เกือบสาธุแล้วเมื่อกี้”

   “คุณอ่ะ!”

   “จะไปขายปูก็ตามใจ…แต่ต้องให้ฉันไปด้วย”

   “ไปทำไมอ่ะครับ มันไม่สนุกหรอก”

   “จะไป”

   เสียงแข็งขนาดนี้จะไปคัดค้านยังไงไหว ได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม เป็นนายทาสขับเรือให้ชายหนุ่มนั่ง ตามด้วยหมาอีกหนึ่งตัว

   ทั้งคนทั้งหมา เอาแต่ใจพอกัน

   เสียงเครื่องยนต์เล็กดังสะท้านก้องในหูผสมกับเสียงลมอื้ออึงตีกระทบกันไปมา ส่งผลให้ผู้โดยสารเริ่มผะอืดผะอมในลำคอ อยากจะคายของเก่าคืนสู่ทะเล

   เป็นครั้งแรกที่ตรัยรู้สึกเมาเรือ อาจจะเป็นเพราะเรือของรุ่งภพลำเล็กเกินไป ไม่สามารถต้านคลื่นได้ดีเท่าเรือใหญ่ ทำให้ถูกโยนไปมาจนเวียนหัว

   ตรัยนวดขมับแล้วสูดหายใจเข้าลึก ทันเห็นเจ้าของเรือก้มหน้าแอบยิ้มกับอาการย่ำแย่ของเขา

   เขาจะทำเป็นไม่เห็นก็แล้วกัน เห็นแก่ความลำบากที่เคยสร้างไว้กับชายหนุ่ม

   “ทำไมหมาเธออ้วนจัง”

   รุ่งภพเงยหน้าขึ้นจากคันบังคับ มองพุงห้อยย้อยของหมาตัวเองแล้วยิ้มกว้างด้วยความเอ็นดู “ก็มันกินเยอะไงครับ”

   “เธอก็กินเยอะไม่เห็นอ้วน”

   “ผมไม่ได้กินแล้วนอนแบบไอ้ตังเกนี่ครับ กินเสร็จแล้วก็ทำงาน จะเอาไขมันมาจากไหน”

   เหมือนมันรู้ว่าถูกนินทา เลยหันมาทำหน้าก่งก๊งพิมพ์เดียวกับเจ้าของ “เธอก็กินแล้วนอนบ้างสิ”

   “อดตายกันพอดี”

   “เดี๋ยวฉันเลี้ยงเธอเอง เอาไหม?” พอหลุดปากพูดออกไปก็นึกสงสัยตัวเอง นี่เขาเป็นอะไรไปแล้ว? ทำไมต้องไปพูดหยอกล้อชายหนุ่มแบบนั้น

   “คุณหายเมาเรือแล้วเหรอครับ” ดูเหมือนรุ่งภพจะไม่เล่นด้วย หนุ่มใต้เปลี่ยนเรื่องคุยทันที ทำให้นึกหงุดหงิดภายในใจอยู่ลึกๆ

   “ยัง เมาหนักกว่าเดิมด้วย ฉันหลบน้ำลายจากหมาเธอจนหน้ามืดไปหมดแล้ว บอกให้มันหุบปากทีได้ไหม?”
   รุ่งภพถึงกับหลุดขำกับสีหน้ากึ่งโมโหกึ่งยิ้มของชายหนุ่ม เขาโอบหมาตัวเองเข้ามากอด มันเลียปากแผล่บๆ แล้วโบกสะบัดลิ้นท้าลมต่อไป

   เขาจะไปห้ามมันหุบปากได้ยังไง ขนาดมันยังสั่งตัวเองไม่ได้เลย







   หน้าหาดที่รุ่งภพนำเรือมาเทียบท่าเป็นสันทรายลดหลั่นกินอาณาเขตกว้างขวาง ยามน้ำลดจะเห็นเป็นลอนทรายผุบโผล่เหมือนทิวเขาลูกเตี้ย ชายหนุ่มสามารถขับเรือขึ้นไปเกยบนชายหาดได้อย่างสบายเพราะวันนี้คลื่นลมสงบ ไม่ครวญคลั่งเหมือนคราวที่แล้ว

   ตรัยกระโดดลงจากเรือต่อจากตังเก เขาให้มันนำหน้าไปก่อนตามด้วยรุ่งภพที่เดินรั้งท้าย เจ้าหมาอ้วนวิ่งปุเลงจนพุงกระเพื่อมไปนั่งแปะจองที่ให้กับเจ้านายอย่างรู้งาน มันนั่งหน้าเชิดแต่ขาแบะเพราะติดพุง ให้ความรู้สึกน่าหมั่นไส้มากกว่าน่ารักน่าเอ็นดูไปไกลโข

   “มันจะเรียกลูกค้าหรือไล่ลูกค้ากันแน่”

   “มันน่ารักจะตาย คุณมองไม่เห็นความน่ารักของมันเหรอครับ” เพราะไม่เห็นน่ะสิถึงได้ถาม เขาไม่ได้หน้ามืดตามัวเป็นทาสหมาเหมือนชายหนุ่มนี่ “ช่วยถือกิโลให้หน่อยครับ”

   ตรัยรับตราชั่งมาถือไว้อย่างเต็มใจ อีกมือหนึ่งก็ช่วยหิ้วกระป๋องใส่ปูไปวางตั้งบนสันเขื่อน เหลือกระจาดและตะกร้าใส่ของจุกจิกให้ชายหนุ่มถือตามมาเท่านั้น

   พอขึ้นไปบนสันเขื่อนถึงได้เห็นร้านค้าขายอาหารทะเลตั้งเรียงรายตลอดทางเดินติดถนน ฝั่งตรงข้ามเป็นเกสเฮาส์และร้านขายของที่ระลึกจำพวกเปลือกหอยและผ้าบาติก เขาเดินข้ามไปดูด้วยความสนใจ นอกจากโมบายแล้วยังมีม่านเปลือกหอยหลากสีสัน มันดูสวยงามในความรู้สึกเขา ชวนให้นึกถึงทะเลทุกครั้งเมื่อแรกมอง

   เขาซื้อโมบายเปลือกหอยกลับมาสองอัน ให้รุ่งภพหนึ่งอันและเก็บไปแขวนที่บ้านพ่ออีกหนึ่งอัน ชายหนุ่มขมวดคิ้วดูเหมือนไม่อยากได้ ทำเขาใจแป้วไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยื่นมือออกมารับไว้
   “ถ้าไม่เอาก็บอก ฉันไม่ได้บังคับ”

   “คุณซื้อมาให้ผมไม่ใช่เหรอครับ ไม่รับได้ยังไง”

   “ทำหน้าเหมือนไม่อยากได้”

   รุ่งภพยิ้มแหย หลุบตามองโมบายเปลือกหอยฟอกสีแล้วแกว่งเล่นจนเกิดเสียงกรุ๋งกริ๋งน่าฟัง “ปกติผมไม่ค่อยอุดหนุนของพวกนี้หรอกครับ เดี๋ยวนี้เปลือกหอยสวยๆ หายากแล้ว พอหาพวกเปลือกเก่าๆ ไม่ได้เขาก็ไปจับหอยเป็นๆ มาต้มเอาเปลือก มันไม่ใช่เพื่อการบริโภคแต่ตอบสนองความต้องการของคนบางกลุ่มเท่านั้น”

   “พูดซะรู้สึกผิดเลย เอาไปคืนดีไหม”

   หนุ่มใต้แย้มยิ้มปลอบประโลม “เขาไม่รับคืนหรอกครับ อีกอย่าง...โมบายที่คุณซื้อมาเป็นเปลือกหอยครางกับหอยแครงครับ หอยพวกนี้วงจรชีวิตสั้น ตายทับถมกันให้เกลื่อน เอามาฟอกเอามาย้อมสีก็ขายได้แล้วแต่ไม่สวยเท่าเปลือกหอยทรงอื่น แถมราคาก็ถูกกว่าตั้งเยอะ คุณซื้อมาอันละ 20 ใช่ไหมครับ” ชูขึ้นสูงแล้วกะขนาดด้วยสายตา “ขนาดนี้ไม่น่าจะเกิน 20 นะ”

   ตรัยหน้าบึ้ง ตอนแรกเขาจะเอาม่านเปลือกหอยแต่พอถึงเวลาจ่ายเงินถึงได้รู้ว่าลืมหยิบกระเป๋าสตางค์มา “ฉันมีเงินติดตัวอยู่ 50 ตอนนี้เหลือ 10 บาท เย็นนี้คงต้องเปลี่ยนเป็นเธอเลี้ยงข้าวฉันแทนแล้วล่ะ”

   “ผมเลี้ยงคุณก็ได้แต่คุณต้องช่วยผมขายปูนะ ถ้าขายไม่หมดก็ไม่เลี้ยงครับ”

   “แบบนี้เขาเรียกมัดมือชกนะ ฉันยังไม่ได้ตกลงเลย”

   “ถ้าไม่ช่วยก็นั่งเฉยๆ ครับ เย็นนี้ก็ตัวใครตัวมัน”

   ตรัยแยกเขี้ยวใส่ชายหนุ่ม รับกระเป๋าเงินมาคาดเอวอย่างจำใจ “ฝากไว้ก่อนเถอะ”

   พอทำอะไรไม่ได้ก็ฝากหนี้แค้นเอาไว้กับสายลมว่างเปล่า คงไม่มีโอกาสได้ทวงคืน เลยทำได้แค่บ่นลมบ่นฟ้าไปเท่านั้น

   “พี่คับ เอาปูโลนึง นึ่งให้ด้วย”

   รุ่งภพเงยหน้าขึ้นมองมือน้อยๆ ที่กำแบงค์สีแดงมาให้จนยับยู่ยี่ “พี่ไม่รับนึ่งนะ ถ้าหนูจะนึ่งต้องไปจ้างร้านอาหารตามสั่งนึ่งให้ เขาคิด 50 บาท แถมน้ำจิ้มให้ด้วย”

   หนูน้อยวัยประถมหันซ้ายหันขวามองหาร้านอาหารตามสั่ง แก้มยุ้ยๆ พองเข้าพองออกขณะกางนิ้วนับเลขที่เพิ่มขึ้น “พี่คิดเลขให้หนูหน่อย”

   รุ่งภพแย้มยิ้มด้วยความเอ็นดู เขาลดราคาให้หนูน้อยเป็นพิเศษจะได้เหลือเงินไปจ้างนึ่งปู “หนูมาคนเดียวเหรอ?”

   “หนูมากับแม่” ชี้ไปทางร้านส้มตำใต้ต้นสน รุ่งภพเห็นหญิงสาวร่างบางมองมาทางนี้เป็นระยะแล้วโบกมือให้ขณะรอส้มตำจากแม่ค้ารถเข็น “แล้วพี่อ่ะ? มากับพ่อเหรอ”

   มากับพ่อ?

   หนุ่มใต้มองตามสายตาเด็ก ตรัยมีสีหน้ามืดทะมึนอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรู้ว่า ‘พ่อ’ ที่หนูน้อยถามไปเมื่อครู่นั้นหมายถึงใคร

   “มะ…ไม่ใช่นะ” รุ่งภพตอบด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นเพราะกำลังกลั้นหัวเราะอยู่

   “อ้าว ไม่ใช่พ่อเหรอ?”

   “ก็ไม่ใช่น่ะสิ” ตรัยถลึงตาใส่หนูน้อย ยังมาทำหน้าบ้องแบ๊วเอียงคอสงสัยอีก ไม่ได้น่ารักเลยสักนิดเจ้าเด็กมีปัญหาทางสายตา “จะขำอีกนานไหม?”

   “ฮึก...ฮ่ะๆๆๆ ขะ...ขอโทษครับ มันอดไม่ได้จริงๆ อ่ะ ฮ่ะๆๆ”

   ใบหน้าคมบึ้งตึงสวนทางกับเสียงหัวเราะงอหงายของคนข้างๆ รุ่งภพกุมท้องจนตัวงอ พอเห็นหน้าเขาก็ขำแล้วขำอีกไม่ยอมหยุด ขำจนตกเก้าอี้ ลงไปกลิ้งกับพื้นกันเลยทีเดียว

   แชะ!

   เสียงชัตเตอร์ถูกเสียงหัวเราะกลบจนมิด ตรัยยกยิ้มแต่แววตาประสงค์ร้าย กดอัพรูปภาพลงเฟสบุ๊คแล้วแท็กชื่อของชายหนุ่มอย่างเปิดเผย

   ถ้าเห็นภาพหลุดของตัวเองจะทำหน้ายังไงนะ...



   Trai Tamophas is feeling old with พรุ่งนี้ค่อยตั้งชื่อ วันนี้ขี้เกียจตั้ง: ไม่แก่บ้างก็แล้วไป


TBC


วันนี้มาสองตอนเลย ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ให้กำลังใจนะคะ  :L2: :L2: :L2: เจอกันพรุ่งนี้ค่าาาาา

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! บทที่ 13-14 l 10/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-09-2019 02:32:15
ตามติด​เชียวนะคุณ​ตรัย
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! บทที่ 13-14 l 10/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-09-2019 15:40:46
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! บทที่ 15 l 11/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 11-09-2019 20:06:47
บทที่ 15





   แสงจากสายฟ้าสว่างวูบวาบ ตามด้วยเสียงคำรามก้องสั่นสะเทือนไปทั่วอาคาร ธาวินต้องยกมือขึ้นอุดหูอยู่บ่อยครั้ง ไม่เป็นอันทำงานเพราะหวาดเสียวกับเสียงเปรี้ยงปร้าง เขาเยี่ยมหน้าออกไปดูสถานการณ์นอกออฟฟิศ เห็นคนงานวิ่งเก็บของหนีฝนกันให้วุ่น ตะกร้าล้มระเนระนาดจากสายลมกรรโชกแรง

   “ออกมาทำไม? จะเอาอะไรหรือเปล่า”

   “อยากกินกาแฟ” รีบบอกความต้องการออกไปทันที ก่อนที่ฝนจะตกแล้วอดกิน

   “กาแฟตอนหกโมงเย็นเนี่ยนะ? จะไม่หลับไม่นอนหรือไงกันคุณ”

   “พูดมาก สั่งอะไรก็ไปซื้อมาเถอะน่า” หันหลังจะกลับเข้าออฟฟิศแต่หยุดชะงักเพราะเพิ่งนึกอะไรได้ “ถ้าเจอร้านปลาหมึกย่างซื้อมาให้ด้วยนะ เอาน้ำจิ้มแซ่บๆ”

   มิ่งขวัญส่ายหัวแต่จนใจจะบ่นว่า กินแต่ละอย่าง...คงไม่ได้แก่ตายหรอก เป็นโรคตายซะก่อน “ตังค์อ่ะ?”

   “ออกให้ก่อนไม่ได้หรือไง”

   “ไม่ออกให้หรอก กาแฟบ้าอะไรแก้วเป็นร้อย! ผมซื้อร้านรถเข็นได้ตั้งห้าแก้วสิบแก้ว มันก็กาแฟเหมือนกันนั่นแหละ” แถมจะสั่งแต่ละทีก็ยากเย็นเข็ญใจ เมนูบ้าบออะไรก็ไม่รู้ แค่จำชื่อกาแฟอย่างเดียวก็ปวดหัวจะแย่ ยังต้องมาจำขนาดแก้วอีกต่างหาก เดี๋ยวแกรนเด เดี๋ยวเวนติ...เวรจริงๆ ชีวิตกู

   “พูดมาก เอาตังค์ไป”

   “เอาไร?” ถามเสียงดุแต่อีกฝ่ายไม่สนใจ

   “ไอซ์แกรนเดคาปูชิโน่แก้วนึง”

   หนุ่มตัวโตเบ้ปาก ยังดีที่คราวนี้สั่งง่าย ไม่เติมโน่นเติมนี่จนสับสนไปหมด “วันนี้จะกลับกี่ทุ่ม”

   “ไม่เกินสามทุ่ม โอเค๊”

   “ทำอะไรนักหนา ได้เด็กฝึกงานมาช่วยแล้วไม่ใช่เหรอ?”

   “ไม่ได้ทำงานของแพปลาหรอก ฉันกำลังรวบรวมหลักฐานที่ได้มาเพิ่มให้คุณตรัยอยู่ ตอนนี้ตำรวจออกหมายจับเสมียนบัญชีแล้ว คงไม่ยืดเยื้ออย่างที่คิดเอาไว้แล้วล่ะ”

   “ทำไมเร็วจังเลยล่ะ พี่หมิวรับสารภาพแล้วเหรอ”

   “สารภาพอะไรล่ะ หนีไปกับนายยติแล้ว”

   “คุณรู้ได้ไงว่าเขาหนีไปกับพี่ยะ”

   “ตำรวจไปเจอสองคนนั้นเข้าพอดีน่ะสิ...ทะเลาะอะไรกันก็ไม่รู้หน้าตู้ ATM เสียดายจับไม่ทัน ขนาดตำรวจควักปืนออกมาขู่พวกนั้นยังไม่หยุดวิ่งกันเลย”

   “แบบนี้ไอ้รุ่งก็กลับทำงานได้แล้วดิ”

   “ก็คงจะเป็นอย่างงั้น เดี๋ยวค่อยถามคุณตรัยอีกที” ธาวินไม่แน่ใจนัก หมู่นี้เจ้านายของเขาหายตัวบ่อยๆ ถ้าไม่อัพสเตตัสเขาก็คงไม่รู้หรอกว่าไปขลุกอยู่กับรุ่งภพ “จะได้กินไหมเนี่ย? กาแฟอ่ะ”

   “จะไปซื้อเดี๋ยวนี้แหละ!” กระแทกเสียงใส่แล้วเดินปึงปังออกไป ธาวินถลึงตาไล่หลัง ใช้นิดใช่หน่อยทำเป็นไม่พอใจ

   หนุ่มแว่นนั่งจมกับกองเอกสารต่อจนลืมเวลา ไฟล์จากถังขยะที่กู้มาได้เป็นหลักฐานมัดตัวที่สามารถเอาผิดได้ โดยเฉพาะไฟล์สรุปยอดขายที่มีการแก้ไขตัวเลขซ้ำไปซ้ำมา รวมถึงไฟล์นับสต็อคที่ไม่ตรงกันด้วย

   เสียงเม็ดฝนตกกระทบหลังคาสร้างความกังวลให้กับชายหนุ่มไม่น้อย เขานึกถึงคนที่ออกไปซื้อกาแฟให้ด้านนอก ป่านนี้แล้วยังไม่กลับมาเลย

   รถดับกลางทางอีกหรือเปล่านะ?

   ธาวินปิดแอร์ภายในห้อง เก็บเอกสารเข้าลิ้นชักเพราะเริ่มไม่มีสมาธิในการทำงาน เขาหยิบร่มคันใหญ่ติดมือไปด้วยหนึ่งคัน กึ่งเดินกึ่งวิ่งฝ่าเม็ดฝนโปรยปรายไปดักรอมิ่งขวัญที่ลานจอดรถ

   ไม่มีวี่แววของเศษเหล็กเคลื่อนที่เลยสักนิด

   ลมหายใจบางเบาถูกระบายออก ความเย็นชื้นจากเม็ดฝนตกกระเซ็นโดนใบหน้า แม้จะพยายามเบียดหลบใต้ชายคาแล้วก็ไม่อาจหนีพ้นเพราะลมพัดแรง

   ฝนเพิ่งจะลงเม็ด ถ้าเดาจากนิสัยใจร้อนของมิ่งขวัญแล้ว หนุ่มตัวโตคงไม่หยุดหลบฝนที่ไหนแน่

   ถ้ารถไม่ดับกลางทางก็น่าจะขับฝ่ามา...

   ธาวินยืนแกร่วจนเริ่มเมื่อย เขานั่งยองๆ แล้วพาดร่มคันโตเอาไว้บนไหล่ ดวงตาภายใต้กรอบแว่นเพ่งมองเงาวูบไหวภายใต้หมอกฝน พอเห็นเงาเป็นรูปร่างชัดเจนก็ผุดลุกขึ้นด้วยความดีใจ

   หากแต่ความดีใจเมื่อครู่นี้กลับเลือนหาย เมื่อเงาร่างที่ปรากฎไม่ใช่คนที่เขารอคอย

   “ลลิตา!”

   “ทำหน้าอย่างกับเห็นผี”

   ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงไม่ใช่หรือไง? ใครใช้ให้เธอโผล่มาในสภาพกระเซอะกระเซิงแบบนี้ล่ะ

   “ถ้าจะมอบตัวล่ะก็...เธอมาผิดที่แล้ว”

   “ฉันไม่ได้มามอบตัว!” เธอตวาดเสียงลั่น ไม่รู้ว่าคนงานในอาคารจะได้ยินหรือเปล่าเพราะลำพังเสียงฝนก็ดังกลบจนมิดแล้ว “ฉันมาหาคุณตรัย”

   “คุณตรัยไม่อยู่ที่นี่”

   “งั้นก็โทรเรียกเขามา” เธอตากฝนจนร่างเปียกโชก ธาวินส่ายหัวอย่างเวทนา กดโทรศัพท์ตามที่เธอสั่งแต่ต่อสายหาตำรวจแทน “โทรหาคุณตรัยแค่คนเดียวเท่านั้นนะ…ถ้าโทรหาคนอื่น มือฉันอาจจะลั่นโดยไม่ได้ตั้งใจ”

   กริ๊ก!

   ธาวินหน้าซีดเผือด ถอยหลังหนีอาวุธสีดำเมี่ยมในมือของหญิงสาว

   จ่อขนาดนี้ยังบอกว่าไม่ตั้งใจอีกเหรอ?

   ตอแหลทั้งเพ

   “อยู่เฉยๆ!”

   อยู่เป็นเป้าให้ยิงก็โง่แล้ว!

   เขาเป็นคนตัดสินใจรวดเร็วเสมอจึงขว้างร่มใส่เธอสุดแรงเกิด พอเห็นอีกฝ่ายลดปืนลงก็ม้วนตัวเข้าหาที่กำบังอย่างสวยงาม

   หวังว่ากองขยะตรงนี้จะช่วยยื้อชีวิตให้เขาได้

   “ไอ้บ้า! แกอยู่ไหน! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”

   มีสมองคิดหรือเปล่าเนี่ย? ใครจะโง่ออกไปกัน

   เขาซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบ อาศัยความมืดและฝนหนาเม็ดซ่อนเร้นกายใต้ถุงขยะกองพะเนิน มือหนึ่งกดโทรศัพท์หามิ่งขวัญ คนแรกที่นึกถึงยามมีภัย

   …ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก…

   ปัดโธ่เว้ย! อย่าบอกนะว่าแบตหมดอีกแล้วน่ะ ทั้งรถทั้งโทรศัพท์นี่พอกันเลย จะพึ่งพาอะไรได้บ้าง?

   โทรหาตำรวจก็ไม่ติด ให้มันได้อย่างนี้สิ!

   โทรหาคุณตรัยก็ได้วะ

   (ฮัลโหล)   

   “คุณอยู่ไหน มาช่วยผมด่วนเลยนะ!” น้ำเสียงจากปลายสายฟังดูแจ่มใส ส่วนเขาน่ะเหรอ...กำลังจะคลุ้มคลั่งเพราะกลัวตายน่ะสิ

   (พูดดังๆ หน่อยได้ไหม...ไม่ได้ยินเลย)

   ธาวินดึงทึ้งผมของตัวเอง เบียดแผ่นหลังแนบไปกับถุงขยะเมื่อหญิงสาวเดินปรี่มาทางนี้ “ผมจะโดนเสมียนของคุณยิงตายอยู่แล้ว รีบมาช่วยเดี๋ยวนี้เลย”

        (อะไรนะ! เสมียนของพ่อต่างหาก ไม่ใช่ของฉัน)

   ตกใจเรื่องไหนของเขาน่ะ? มันใช่เวลามาแก้ต่างไหม “รีบมาเร็วๆ นะครับ ผมยังไม่อยากหยุดหายใจ!”

        “อย่าคิดว่าจะหนีฉันพ้นนะ!”

   ธาวินสะดุ้งโหยงเมื่อเธอเตะถุงขยะใบหนึ่งกระเด็นข้ามหัวเขา ชายหนุ่มถอดแว่นออกเพราะมันพร่ามัวจากหยดน้ำ โชคยังดีที่สายตาไม่สั้นมาก จึงพอมองเห็นได้ชัดระยะหนึ่ง “ผมอยู่ตรงลานจอดรถหลังแพปลา ส่งใครก็ได้มาช่วยผมที...ผมกลัวจริงๆ นะ”

   เขากระซิบเสียงสั่น นาทีนี้ไม่อาจข่มกลั้นความกลัวได้อีกแล้ว

        (ฉันจะโทรให้คนเฝ้าห้องเย็นไปช่วย ถ้าเขาอยากได้อะไรก็เออออไปก่อน อย่าไปขัดขืน...เข้าใจไหม)

   “ผมซ่อนตัวอยู่...คุณมาเร็วๆ นะ”

   ตรัยวางสายไปแล้ว ความรู้สึกเคว้งคว้างกลับมาอีกครั้งแต่คราวนี้รุนแรงยิ่งกว่าเดิม

   มองไปทางไหนก็ว่างเปล่า

   ไม่เห็นความช่วยเหลือใดๆ เลย

   “ฉันไม่ได้อยากทำอย่างนี้หรอกนะ...แต่ฉันไม่มีทางเลือก! ถะ...ถ้าคุณตรัยรับปากจะไม่เอาเรื่องฉัน…ฉะ ฉันจะยอมสารภาพหมดเลยว่าใครเป็นคนรับซื้อปลาเถื่อนบ้าง ฉะ...ฉันรู้แหล่งนะ รู้ด้วยว่าพวกมันเอาไปขายกันที่ไหน” คราวนี้เธอลดปืนลง ใบหน้าสิ้นหวัง ร่างกายสั่นเทา “ออกมาคุยกับฉันสิ! ขอแค่รับปากว่าจะไม่เอาเรื่องฉัน...ฉันจะยอมทุกอย่างเลย”

   เขายังกลัวปืนในมือของเธออยู่ แต่พอชั่งน้ำหนักดูแล้ว เธอน่าจะเอามาขู่มากกว่า คงไม่ได้คิดจะยิงจริงๆ หรอก

   ชายหนุ่มขยับตัวออกจากที่ซ่อน ไม่ได้โผล่พรวดปุบปับเพราะคิดว่าจะลองหยั่งเสียงถามดูก่อน   

   “สาวนุ้ยจากไหนต่ะ? มายืนตากฝนทำไอ่ไหรตรงเน้นิ”

   “ระวังปืน!”

   เสียงตะโกนเตือนไม่ช่วยอะไร ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก พอรู้ตัวอีกทีลลิตาก็ลงไปนอนพะงาบอยู่กับพื้นแล้วด้วยแรงถีบจากมิ่งขวัญ

   “เหี้ยอะไรวะเนี่ย!”

   ธาวินรีบออกจากที่ซ่อนแล้วเตะปืนออกไปห่างๆ เขาย่อตัวลงดูอาการของคนบนพื้น ใบหน้าของหญิงสาวยังคงบิดเบี้ยวจากอาการเจ็บจุกที่มิ่งขวัญประเคนให้อย่างหนักหน่วงด้วยความตกใจ

   “หือ? ตัวคุณเหม็นอย่างกับขยะเปียก”

   ธาวินถลึงตาใส่ด้วยความโมโห ยังจะมาทำสีหน้ารังเกียจกันอีก “ถ้าไม่มารอนาย ฉันก็ไม่ตกอยู่ในสภาพนี้หรอก”

   “โทษทีคุณ รถผมเสียน่ะ น้ำเข้าเครื่อง...ดับอนาถเลย”

   “โทรไปก็ไม่ติด”

   “แบตหมด”

   ว่าแล้วเชียว “แล้วมายังไงอ่ะ เดินมาเหรอ?”

        “จะบ้าเหรอคุณ! ทางเป็นกิโลใครจะเดิน นั่งวินมาดิ ไม่ได้โง่นะครับ”

   “อ๋อเหรอ แล้วไหนกาแฟกับปลาหมึกย่างฉันล่ะ?” เขาถามถึงของกินที่สั่ง ความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนจางหายไปมากแล้วเมื่อมิ่งขวัญปรากฎตัว

   “....”

   “เงียบแบบนี้หมายความว่ายังไง”

   “เทกระจาดไปแล้วอ่ะ” ชี้ไปยังเศษซากของแก้วกาแฟและถุงปลาหมึกที่หกกระจายเรี่ยราด “จะกินไหมล่ะ? เดี๋ยวโกยให้”

   “เก็บไว้กินคนเดียวเถอะ”

        เสียงไซเรนดังฝ่าสายฝนมาแต่ไกล ไฟสีแดงบนหลังคารถสว่าบวาบพุ่งเข้ามาจอดล้อมพวกเขาเป็นวงกลม ตำรวจหลายนายลงจากรถอย่างระมัดระวัง อาวุธครบมือแต่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เพราะสถานการณ์สุ่มเสี่ยงคลี่คลายไปแล้วด้วยดี...

   “ไม่บุบสลายตรงไหนใช่ไหมวิน?”

   ธาวินพยักหน้าให้เจ้านาย อีกฝ่ายนำรุ่งภพติดสอยให้ตามมาด้วย คงไปอยู่ด้วยกันอีกตามเคย “มิ่งขวัญมาช่วยไว้ทันพอดีครับ”

   ตรัยตบไหล่หนุ่มตัวโตแทนคำขอบคุณ เขาร้อนใจมากเพราะโทรหาใครไม่ติดเลย คาดว่าคงปิดเครื่องกันหมดเพราะเสียงฟ้าร้องดังมาก “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”

    “จะเอาไงต่อล่ะครับ” ธาวินพยักหน้าไปยังหญิงสาว เธอยังคงนอนแซ่วแต่ไม่ยอมให้ตำรวจควบคุมตัว

   “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจก็แล้วกัน ไหนๆ ก็เรียกมาแล้ว”

   “เธอรู้แหล่งรับซื้อปลาเถื่อนด้วยนะครับ ถ้าคุณไม่เอาเรื่อง เธอจะยอมสารภาพ”

   “ฉันไม่ได้สนใจเรื่องแหล่งรับซื้ออะไรนั่น ได้เงินคืนก็พอแล้ว ส่วนคนผิด...ก็ต้องรับผลที่ตัวเองก่อ”

   ธาวินไม่ได้ถามต่อให้มากความเพราะรู้ดีว่าเจ้านายคนนี้ไม่ได้มือสะอาดจนหมดจด เรื่องบางเรื่องก็ต้องใช้วิธีซิกแซกบ้าง ส่วนจะเป็นวิธีไหน...เขาไม่มีสิทธิ์ได้รับรู้

   พวกเรายกโขยงไปโรงพักเพื่อแจ้งข้อหาและลงบันทึกประจำวัน หญิงสาวโดนข้อหาเพิ่มอีกหลายกระทง ทั้งพกปืนโดยไม่รับอนุญาตและครอบครองปืนเถื่อนไม่มีทะเบียน

   ไปเอามาจากไหนก็ไม่รู้ คงไม่ได้ไปขโมยใครมาหรอกนะ ไม่งั้นได้โดนเพิ่มอีกกระทงแน่

   “เหม็นตัวเองชะมัด”

   ธาวินมองรอยเปื้อนตรงชายเสื้อแล้วย่นจมูกหนี กลิ่นเหม็นเน่ายังตามหลอกหลอน คงต้องถอดทิ้งแล้วเดินตัวเปล่า

   “จะทำอะไร?”

   “จะถอดทิ้ง เหม็น! ไม่ไหวแล้ว”

        “ทนใส่ไปก่อน เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้ว” พวกเราต้องรอตรัยเคลียร์เรื่องคดีก่อน ตอนนี้มืดมากแล้ว คงต้องอาศัยรถเจ้านายกลับ

   “ไม่เอาอ่ะ เหม็นจะตาย เลอะน้ำอะไรก็ไม่รู้ ฉันทนไม่ไหวหรอก” พูดจบก็ดึงเสื้อหลุดออกทีเดียวพรวด โชว์ผิวขาวกระจ่างเหมือนไม่เคยโดนแดดในชีวิต

   มิ่งขวัญรีบเอาตัวเข้าบังอย่างลนลาน ถอดเสื้อตัวเองสวมให้ปกปิดความแตกต่างที่ดึงดูดสายตาของผู้คน

   “ทำอะไรเนี่ย! เอาคืนไปเลย เหม็นเหงื่อ”

   “อย่าเรื่องมากนะ” คราวนี้ถลึงตาดุ ไม่ยอมให้เหมือนที่แล้วมา “หัดแหกตาดูรอบตัวซะบ้าง อยากให้คนมองนักหรือไง”

   ธาวินกวาดสายตามองไปรอบตัว ตอนนี้เขานั่งรออยู่หน้าโรงพักซึ่งเต็มไปด้วยญาติที่มาติดต่อขอประกันตัว “สะ…ใส่ก็ได้”

   ยอมสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อแต่โดยดี หลังจากเห็นสายตาจับจ้องทั้งหญิงและชาย เสื้อยืดตัวโคร่งที่ถูกบังคับใส่ในตอนแรกทิ้งตัวลงปกคลุมถึงต้นขา ได้กลิ่นเหงื่อจางๆ ผสมกับกลิ่นอับชื้นจากสายฝน

   ปกติแล้วธาวินไม่ใช้ของร่วมกับคนอื่น ยกเว้นครั้งนี้ที่เป็นเหตุสุดวิสัยและเขาก็ไม่ได้นึกรังเกียจเหมือนอย่างเคย อาจจะเป็นเพราะเจตนาของผู้ให้ เขาเลยทำใจร้ายไม่ลง แถมยังรู้สึกดีอย่างไม่คาดคิดกับความใส่ใจของชายหนุ่ม

   ถ้าตัดความสถุลออกไป มิ่งขวัญก็เป็นคนใช้ได้เหมือนกันนะ




TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! บทที่ 15 l 11/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 11-09-2019 20:36:13
ชอบ

อยากไปเที่ยวใต้ อีก เพราะเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! บทที่ 15 l 11/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-09-2019 20:47:24
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! บทที่ 15 l 11/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 11-09-2019 20:48:37
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! บทที่ 15 l 11/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-09-2019 21:51:07
 o13
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! บทที่ 15 l 11/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-09-2019 23:52:19
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l ตอนพิเศษ Once in memory จำ..ตลอดไป 17/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 17-09-2019 20:09:24
ตอนพิเศษ
Once in memory
จำ...ตลอดไป




   ฟอร์จูนเนอร์สีขาวจอดเทียบตรงปากทางเข้าบ้านของชายหนุ่มอย่างนุ่มนวล เจ้าของรถเคาะนิ้วกับพวงมาลัยด้วยอาการครุ่นคิด ไม่ได้ฟังเสียงเรียกของผู้ร่วมทาง รู้ตัวอีกทีก็โดนเขย่าแขนอย่างกล้าๆ กลัวๆ ดวงตากลมเสมองประตูรถ เขาเข้าใจความหมายแต่หัวคิ้วกลับเลิกขึ้น แสร้งทำเหมือนว่าไม่เข้าใจแทน

   "ปะ...ปลดล็อกประตูรถให้หน่อยครับ"

   ตรัยถอนหายใจหนักกับอาการกลัวเกรงของชายหนุ่ม ไม่น่าพาเข้าไปในห้องสอบสวนด้วยเลย

   "ช่วยทำตัวเหมือนตอนปกติหน่อยได้ไหม ฉันไม่ใช่เจ้าหนี้เธอนะ จะกลัวอะไรนักหนา"

   “ก็ผมไม่ชินนี่นา คุณดู...”

   “ดูยังไง?” หนุ่มใต้เหลือบมองเขา ไม่กล้าพูดออกมา “พูดมาเถอะ”

   “ละ...เลือดเย็น ไม่เห็นใจใคร”   

   “ทำไมฉันต้องเห็นใจคนที่ร้ายกับฉันด้วยล่ะ” รุ่งภพเม้มปาก ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้ “เธอน่ะใจอ่อนเกินไป ถึงได้โดนเอารัดเอาเปรียบแบบนี้ไง”

   “ผมน่ะเหรอโดนเอารัดเอาเปรียบ?”

   “เกือบจะเป็นแพะรับบาปอยู่แล้วยังไม่รู้ตัวอีก” คนโดนแซวหน้ามุ่ย จับประตูแล้วส่งสายตาบอกอีกครั้ง ตรัยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ โยนแพ็คเกจห้องพักที่ได้มาจากเส้นสายในโรงแรมใส่ตักของชายหนุ่ม “ไปเลือกมา ฉันจะพาเธอไปละลายพฤติกรรม”

   “ละลายทำไมอ่ะครับ ผมพฤติกรรมไม่ดีเหรอ?”

   ตรัยถึงกับหลุดขำกับใบหน้างุนงงของชายหนุ่ม “ไม่ใช่แบบนั้น ฉันอยากให้เราทำความคุ้นเคยกันเอาไว้ อีกหน่อยฉันคงจะย้ายมาอยู่ที่นี่ถาวร เธอจะได้ชินเวลาอยู่กับฉัน”

   “ต้องชินด้วยเหรอครับ เราคงไม่ได้อยู่ติดกันตลอด 24 ชั่วโมงหรอก”

   “ก็ไม่แน่”

   “แล้ว…คุณอยากไปไหนล่ะครับ” แพ็คเกจห้องพักมีให้เลือกมากมาย ทั้งแบบรีสอร์ท แบบโรงแรมและวิลล่าส่วนตัว “ไปอ่าวนางไหม? แถวนั้นมีร้านอาหารกับไนท์คลับเยอะ คุณน่าจะชอบ"

   "ฉันไม่ใช่สายปาร์ตี้ ขอธรรมชาติ สงบๆ"

   "ป่าช้าไหมครับ"

   "หึ...เล่นด้วยแล้วลามปาม เดี๋ยวปั๊ดฆ่าหมกป่าเลย"

   "ขอโทษครับ" หน้าจ๋อยสนิท ส่งสายตาสำนึกผิดเรียกร้องความเห็นใจ

   ตรัยพยักหน้าไม่ถือโทษ กำชับอีกครั้งก่อนจะปลดล็อกประตูรถให้กับชายหนุ่ม

   “เลือกให้ดีล่ะ”

   พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะขับรถแล่นออกไป




*********************************



   แผงอาหารริมทางเท้าคือที่ฝากท้องมือเช้าก่อนออกเดินทาง เด็กใต้เจ้าถิ่นพาหนุ่มเมืองกรุงเดินลัดตรอกซอกซอยอย่างคล่องแคล่วแล้วพาไปโผล่อีกฟากของถนนซึ่งอยู่ตรงข้ามกับท่าเรือ ชายหนุ่มจัดแจงเลือกโต๊ะแล้วร่ายรายการอาหารอันน้อยนิดให้ตรัยฟังด้วยน้ำเสียงแจ่มใส

   พอท้องอิ่มเราสองคนก็หิ้วกระเป๋าขึ้นไปสะพานไม้เล็กๆ สองแผ่นทอดยาวไปยังตัวเรือรูปทรงแปลกตา ภายในเรือค่อนข้างกว้างขวาง มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งต่างจากชั้นสองที่มีแต่เพิงผ้าใบเอาไว้กันแดด ที่นั่งตามอัธยาสัย จะนั่งจะนอนก็เลือกเอาตามใจชอบ

   "นี่เรืออะไรเหรอ?" ตรัยถามหลังจากปีนตามเด็กใต้ขึ้นมาบนชั้นสอง เขาเลื่อนกระเป๋าเสื้อผ้าไปไว้มุมหนึ่งแล้วขยับมานั่งใกล้กับชายหนุ่มใต้หลังคาผ้าใบที่กางไว้

   เรือที่พวกเราโดยสารมาเป็นเรือสองชั้นทาสีฟ้าสด ชั้นล่างมีที่นั่งเป็นรูปตัวยู ส่วนชั้นบนเป็นพื้นเรียบๆ มีเพิงหลังคาผ้าใบกางคล่อม พอบังแดดบังฝนได้

   "เรือหัวตัดครับ เรือแบบนี้บรรทุกของชิ้นใหญ่ๆ ได้เพราะขนย้ายง่ายกว่าเรือแบบอื่น ตอนขึ้นมาคุณเห็นมอ’ไซต์ไหมครับ นั่นเขาก็รับขนเหมือนกัน คันละ 50 บาทมั้งถ้าผมจำไม่ผิด ถ้าใครไม่อยากเสียค่าเช่าบนเกาะก็ขนมอ'ไซต์มาขับเองได้ครับ" รุ่งภพต้องตะเบงเสียงเล็กน้อยเพื่อแข่งกับเสียงลมพัด ตรัยเลยขยับเข้าไปใกล้อีกนิดจนรอยกระเล็กๆ บนผิวแก้ม

   "บนเกาะมีมอ'ไซต์ให้เช่าด้วยเหรอ?"

   "มีครับ...แต่ราคาสูงนิดนึง" รุ่งภพหยีตาสู้แสงแดด ลดพัดโกรกตลอดตั้งแต่เรือออก ทำให้เส้นผมของชายหนุ่มพันกันยุ่ง ยิ่งเสยยิ่งทัดก็ยิ่งกระเซอะกระเซิง

   "มียางสักเส้นไหม เอามามัดผมก่อนสิ" เผลอเอื้อมมือไปช่วยสางให้ สัมผัสได้ถึงความแข็งกระด้างและเหนียวเหนอะพอสมควร "สระผมบ้างไหมเนี่ย?"

   เขาแค่เอ่ยแซวเล่นๆ เท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอาย

   "สระครับแต่ไม่บ่อย" พูดจบก็เบี่ยงหัวหนี ไม่ยอมให้เขาจับเล่นเหมือนเมื่อครู่นี้อีก

   "เหรอ...แล้วได้ใช้ครีมนวดบ้างเปล่า"

   ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจหนัก "มันเปลืองครับ ผมเป็นผู้ชาย เอาแค่สะอาดก็พอแล้วครับ"

   ตรัยยิ้มกับน้ำเสียงตึงๆ ของชายหนุ่ม เขาไม่พูดเรื่องนี้อีก ปล่อยให้ความเงียบเข้าแทนที่แล้วเหม่อมองไปยังป่าโกงกางเขียวขจีสุดโค้งน้ำ

   เรือแล่นไปอย่างช้าๆ ไม่เร่งรีบ ทันเห็นชาวบ้านละแวกนี้คัดท้ายเรือหางยาวออกหาปลาอยู่เป็นระยะ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษก็มาถึงท่าเรือมูตูประจำเกาะ

   บรรยากาศบนท่าเทียบเรือเงียบสงบกว่าที่คิดเอาไว้ เราไม่ต้องนั่งรถสองแถวเข้าไปหาที่พักเพราะคนของรีสอร์ทมารอรับอยู่แล้ว ถนนเส้นหลักบนเกาะส่วนใหญ่เป็นถนนคอนกรีต แต่ช่วงที่แยกตัวเข้าไปยังรีสอร์ทจะเป็นทางลูกรังพื้นผิวขรุขระ มีรอยล้อรถตัดผ่านสวนยางเข้าไปสู่ที่พักซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใน

   ตรัยหันมองป้ายรีสอร์ตเก่าคร่ำที่ติดอยู่หน้าทางเข้า สถานที่ที่รุ่งภพพามาเป็นเกาะแห่งหนึ่งที่เงียบสงบสมใจ

   เกาะจำงั้นเหรอ...

   ขอให้มีแต่ความทรงจำดีๆ ก็แล้วกัน




*************************************





   แพ็คเกจห้องพักที่รุ่งภพเลือกเป็นบ้านไม้หลังเดี่ยวฝังตัวอยู่บนไหล่เขา บ้านทุกหลังหันหน้าออกสู่ทะเล ไล่ระดับลงมาจนถึงชายหาด วัสดุที่ใช้สร้างเป็นไม้ไผ่ผสมกับไม้เนื้อแข็ง ทิวทัศน์โดยรอบค่อนข้างร่มรื่นเพราะได้เงาจากต้นไม้ใหญ่ขึ้นแซมสลับอยู่บนภูเขา

   "อากาศดี"

   "เงียบไหมครับ?"

   "ค่อนข้าง..." เขาหรี่ตาขณะมองฝ่าเปลวแดดไปยังชายหาดเบื้องหน้า "คนไม่เยอะเท่าไหร่ ต้องรอดูตอนเย็นอีกที"

   รุ่งภพยัดกระเป๋าใบเล็กเข้าตู้ข้างเตียง แพ็คเกจห้องพักที่ตรัยให้มามีเพียงห้องเดียว จึงต้องนอนด้วยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

   “ออกไปข้างนอกกันเถอะ”

   "ไปไหนครับ"

   "เดินเล่นรอบๆ ก่อน...แถวนี้มีร้านมอเตอร์ไซต์ให้เช่าไหม?"

   รุ่งภพสั่นหน้า ถึงจะเคยมาเมื่อหลายปีก่อนแต่ก็จำไม่ได้แล้วว่าร้านอยู่ตรงไหน "เดี๋ยวผมถามทางรีสอร์ทให้ครับ เผื่อเขามีให้เราเช่า"

   ทางรีสอร์ทไม่มีมอเตอร์ไซค์ให้เช่าแต่ป้าแม่บ้านใจดีให้ยืมใช้ชั่วคราวก่อนเพราะเห็นว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน รุ่งภพยิ้มตาหยี รับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะขับด้วยความระมัดระวังและจะนำมาส่งคืนก่อนป้าเลิกงาน ชายหนุ่มสตาร์ทเครื่องแล้วเอ่ยเรียกให้ตรัยซ้อนท้าย รถมอเตอร์ไซค์ยวบลงเล็กน้อยเมื่อน้ำหนักเทไปทางด้านหลัง ฝ่ามืออบอุ่นเกาะเอวคนขับกันตก รุ่งภพรู้สึกใจหวิวแปลกๆ เมื่อได้ยินเสียงกระซิบจากคนด้านหลัง

   "โอเค...ออกรถได้"

   ตรัยตบสะโพกของชายหนุ่มเบาๆ เป็นเชิงให้เคลื่อนรถออกจากรีสอร์ท เราทิ้งสวนยางไว้ด้านหลังแล้วมุ่งหน้าไปตามถนนเลียบชายหาด น้ำทะเลสีครามเบื้องหน้าสะท้อนแสงแดดจนเป็นประกายระยิบระยับ พอพ้นบริเวณของรีสอร์ทไปแล้วก็เห็นแต่ผืนทะเลเวิ้งว้างว่างเปล่า แทบจะมองหาผู้คนไม่เจอกันเลยทีเดียว

   หนุ่มใต้ขับรถพาคนซ้อนตระเวนไปทั่วจนถึงหมู่บ้านชาวเลละแวกหนึ่ง บริเวณนี้มีเพิงร้านค้าขายอาหารและของที่ระลึกให้เห็นอยู่เป็นระยะ ตรัยเลยสั่งให้หยุดรถแล้วฝากท้องมื้อกลางวันกับร้านอาหารใต้แห่งหนึ่งใต้ร่มไม้ใหญ่ เจ้าของร้านเป็นหญิงมุสลิมใจดีและทำข้าวหมกไก่อร่อยมาก กลิ่นหอมเจียวพัดโชยเข้าจมูก น่องและอกไก่เนื้อนุ่มถูกราดด้วยน้ำจิ้มสีเขียวหอมกลิ่นสะระแหน่ รสชาติออกเปรี้ยวอมหวานจนรุ่งถพต้องเอ่ยปากขอเพิ่มอีกหนึ่งจาน

   "เอิ้ก...อุ๊บ! ขอโทษครับ!" เด็กใต้ยกมือปิดปากตาโต เสียงเรอเมื่อกี้ไม่เบาเลย ตัวก็แค่นี้แต่ยัดทั้งข้าวทั้งไก่ลงไปได้ยังไงตั้งสองจาน

   "กะจะอิ่มถึงเย็นนี้เลยไหม"

   "โหย~ เดินห้านาทีก็ย่อยแล้วครับ โอ๊ะ! ตรงโน้นมีร้านกาแฟด้วย" ชี้ไปยังร้านติดถนนฝั่งตรงข้าม ควันจากหม้อกาแฟพวยพุ่ง เห็นลุงคนขายกำลังเขย่าถุงกาแฟลวกน้ำร้อนอย่างมีชั้นเชิง ไม่รีบเร่งเพราะลูกค้าไม่ค่อยมี

   "ยังจะกินอีกเหรอ?"

   "แวะสักหน่อยสิครับ...ไหนๆ ก็มาแล้ว ไปกันๆ"

   ตามนั้น เขาจะปฏิเสธอะไรได้

   กาแฟชงหอมกลิ่นนมสดค่อนข้างหวานมันเกินไปสำหรับเขา รู้สึกคิดผิดที่ให้รุ่งภพเป็นคนสั่ง เด็กใต้ติดรสหวานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เลยจัดเต็มทั้งนมข้นและนมสดจนกาแฟสีซีดไปเลยทีเดียว

   "ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะครับ? ไม่อร่อยเหรอ"

   "ชิมเอาเอง" ยื่นแก้วกาแฟให้ชายหนุ่ม ตอนแรกส่ายหน้าแต่เขาบังคับด้วยสายตา เลยยอมชิมด้วยการเสียบหลอดของตัวเองลงไปในแก้วเขา

   รังเกียจเขาหรือกลัวเขารังเกียจ?

   "อร่อยไหมล่ะ"

   "ก็อร่อยดีนี่ครับ...หวานมัน" ดูดซ้ำอีกปื้ดใหญ่ ลืมหมดแล้วความเกรงใจ

   "ถ้าอร่อยก็แลกกัน"

   "เฮ้ย! ได้ไงล่ะครับ" ร้องเสียงหลงเมื่อโดนดึงแก้วโอเลี้ยงไปจากมือ

   "ทำไม? หวงของกินเหรอ"

   "มะ...ไม่ใช่ คือ...ก็ได้ครับ" พอเห็นตรัยเลิกคิ้วรอคำตอบก็คอตก สุดท้ายก็ต้องให้เพราะไม่อยากมีปากมีเสียงกับเจ้านาย "หลอดครับ"

   ตรัยดูดน้ำสีดำในแก้วหลังจากรับหลอดของตัวเองกลับคืนมา รสชาติหวานอมขม ค่อยยังชั่วกว่ากาแฟเยอะ "มองอะไร?"

   "โอเคแล้วนะครับ"

   "โอเคแล้วก็ได้...ไปไหนต่อดีล่ะ" หันไปมองรอบตัว แสงอาทิตย์ยังคงเจิดจ้า ส่องประกายผ่านแมกไม้เคล้าคลอกับสายลมบาง

   "อืม...ขับวนรอบเกาะดูไหมครับ เจอหาดสวยๆ ค่อยแวะ"

   ตรัยพยักหน้าตกลง เราขับรถออกจากหมู่บ้านแห่งแรกเลียบไปตามหาดทรายขาวยาวเป็นกิโลเพื่อมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง เกาะแห่งนี้เหมาะสำหรับคนรักธรรมชาติจริงๆ เพราะไม่มีกิจกรรมบันเทิงอะไรเลย นอกจากเล่นน้ำ นั่งเล่นและเดินเล่นริมชายหาดแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทำอีก มีบางช่วงที่รู้สึกเบื่อนิดหน่อย หากไม่ถือกล้องติดมาด้วยก็คงไม่รู้จะทำอะไรดี

   "ร้อนหรือเปล่า? เอาเสื้อคลุมฉันไปใส่ก่อนไหม" ตะโกนถามข้างหูแข่งกับเสียงลมอื้ออึง ถึงรุ่งภพจะไม่ใส่ใจเรื่องสีผิว แต่ขับรถตากแดดนานๆ แบบนี้ก็เสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังได้เหมือนกัน

   "ไม่เป็นไรครับ ผมชินแล้ว" รีบร้องห้ามเมื่อเหลือบไปเห็นคนด้านหลังกำลังถอดเสื้อคลุมออกจากตัว "คุณก็นั่งตากแดดเหมือนกัน ไม่ต้องถอดให้ผมหรอกครับ ผมทนได้"

   "เหมือนกันที่ไหนล่ะ ฉันยังหุบแขนได้แต่เธอต้องจับแฮนด์รถนะ...ถามจริง? ไม่แสบผิวบ้างหรือไง"

   "ก็แสบครับ...แต่ทนได้"

   "ขอซื้อได้ไหมคำนี้ นึกว่าตัวเองถ่ายโฆษณาสีทนได้อยู่หรือไง จะทนอะไรนักหนา" ตรัยบ่นยาวกับความเกรงใจไม่เข้าท่าของชายหนุ่ม "ถ้าไม่อยากใส่ก็ตามใจ เดี๋ยวแวะหาดหินตรงโน้นหน่อยก็แล้วกัน...ฉันจะถ่ายรูป" ไม่อยากใส่ก็ไม่บังคับ ถึงจะขัดใจอยู่บ้างแต่ก็เลือกที่จะปล่อยผ่านแล้วบังคับอ้อมๆ แทน

   รอให้แดดรากว่านี้สักหน่อย ค่อยไปขับรถเล่นต่อก็แล้วกัน

   "ลงมาด้วยกันสิ" น้ำเสียงเอ่ยชวนแต่สายตาออกคำสั่ง หนุ่มใต้รีบดึงกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ออกแล้วกระโดดย่ำโขดหินตามมาอย่างคล่องแคล่ว

   ตรัยผลักชิงช้าให้ชายหนุ่มนั่งรอใต้เงาไม้ หลังจากถ่ายรูปจนพอใจแล้วจึงเดินกลับมาหาแล้วช่วยไกวให้เบาๆ

   "นั่งไหมครับ?" ทำท่าจะลุกแต่โดนกดไหล่ไว้

   "นั่งไปเถอะ" เขาไกวชิงช้าแรงขึ้นจนรุ่งภพเท้าลอย ชายหนุ่มร้องลั่น โวยวายเสียงหลง เป็นครั้งแรกที่ตรัยรู้สึกสนุก ยิ่งห้ามก็ยิ่งแกล้งจนคนขี้เกรงใจน็อตหลุด เผลอสบถคำหยาบออกมาอย่างลืมตัว

   "ไม่สนุกนะครับ!" ตวัดตามองเขียวปั้ดเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะขลุกขลักในลำคอ หนุ่มใต้เสยผมตัวเองแรงๆ ขจัดความกรุ่นโกรธที่ปะทุอยู่ในหัว เขาไม่ชอบทำอะไรโลดโผนแบบนี้ เกิดหล่นลงไปคอหักตายจะทำยังไงเล่า เขายังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย

   "โกรธเหรอ? โกรธเป็นด้วย"

   ยังมีหน้ามาถามอีก ให้เขาเป็นคนแกว่งบ้างไหมเล่า

   "ก็คุณแกล้งผมอ่ะ บอกแล้วว่าไม่เล่นๆ"

   "อ้าว นึกว่าสนุก ได้ยินว่าเอาอีกๆ" ตรัยยิ้มกว้าง ผิดกับอีกคนที่โมโหจนหน้าเขียว เขาขยี้เส้นผมหยาบกระด้าง แล้วพาดแขนคล้องคอชายหนุ่ม "ไม่เอาน่า ฉันแค่อยากให้เธอสนุกเวลามาเที่ยวกับฉันเท่านั้นเอง เรามาทำความคุ้นเคยกันไม่ใช่เหรอ เธออย่าทำเหมือนพาลูกทัวร์มาเที่ยวสิ"

   "แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะครับ ถ้าจะให้พาเที่ยวเหมือนเพื่อนผมทำไม่ได้หรอก คุณเป็นเจ้านาย...ไม่ใช่เพื่อนผม"

       "ฉันก็ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนเธอ" หนุ่มใต้สะอึกไปชั่วครู่ สีหน้าไม่สู้ดีนักกับถ้อยคำตอบรับเมื่อครู่นี้ "เราเป็นเพื่อนกันไม่ได้แน่ๆ ฉันรู้สึกแบบนั้น เธอเด็กเกินกว่าจะเป็นเพื่อนกับฉัน...แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะคบกันไม่ได้นี่ จริงไหม?"

   แต่จะได้ไปต่อในฐานะอะไรค่อยว่ากันอีกที

   รุ่งภพกระโดดลงจากโขดหิน หลุบตามองรอยเท้าของตัวเองบนผืนทราย รู้สึกทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ บางครั้งตรัยก็ดูใจดีแต่บางครั้งก็เข้าถึงยาก กับความสัมพันธ์ไม่มีชื่อเรียกแบบนี้ไม่ได้ทำให้เขาดีใจเลยสักนิด จากประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้เขาเรียนรู้อยู่หนึ่งอย่าง...อย่าคาดหวังถ้าไม่อยากได้ความผิดหวังกลับมา

   ระหว่างเราน่ะ เป็นแค่ลูกจ้างกับนายจ้างดีที่สุดแล้ว





*******************************






   "งานประจำปีเหรอ?"

   "ใช่ครับ ป้าแม่บ้านบอกว่ามีเปิดวิกชกมวยด้วย...ไปดูกันไหมครับ" คนคาบข่าวมาบอกต่อนัยน์ตาวาววับ ถ้าชวนไม่สำเร็จก็ตั้งใจจะไปเพียงคนเดียว

   "จัดตรงไหนล่ะ วัดเหรอ?"

   "จัดในหมู่บ้านครับ ไปกัน" ออกปากชวนอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเริ่มสนใจ

   "แล้วจะไปยังไงล่ะ มืดค่ำป่านนี้แล้ว รถก็ไม่มีแล้วด้วย"

   "มีรถรับส่งของรีสอร์ทครับ" พอเห็นตรัยยังนั่งนิ่งก็หน้าจ๋อย "ไปแป๊บเดียวก็ได้ ไปหาซื้ออะไรกินกัน"

   "ฉันไม่หิว"

   "งั้นผมไปคนเดียวนะครับ"

   ตรัยเงยหน้าขึ้นจากแท็บเล็ตแล้วจ้องเขม็งไปยังชายหนุ่ม พอเห็นรุ่งภพหดคอเหมือนกลัวจะโดนดุก็ตวัดขาลงจากเตียงอย่างเกียจคร้าน

   "ถ้ามันไม่สนุก ฉันจะไล่เธอออกไปนอนหน้าระเบียง"

   เหมือนมีเมฆสีเทาครึ้มลอยเข้ามาปกคลุมอยู่เหนือศีรษะ รุ่งภพยู่ปาก...น่าจะแอบไปคนเดียวซะตั้งแต่แรก ไม่ขึ้นมาชวนก็ดีหรอก

   "ทำปากมุบมิบอะไรของเธอ ตกลงจะไปหรือไม่ไป?" ตรัยขมวดคิ้วส่งสายตาดุ เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย อยากจะนอนพักผ่อนเพราะเพลียแดดมาทั้งวัน

   "ไปสิคร้าบ~"

   พอลงมาด้านล่างรถของรีสอร์ทก็มาจอดรออยู่ตรงทางเข้าเรียบร้อยแล้ว ผู้โดยสารอัดแน่นทั้งในแคปและท้ายรถ ตรัยถึงกับถอนหายใจแล้วส่ายหัว ตั้งท่าจะเดินกลับห้องพัก ในขณะที่รุ่งภพยังคงยืนนิ่ง สายตามุ่งมั่นไม่ยอมถอดใจ

   "กลับห้องเถอะ คนเต็มแล้ว ไม่เห็นเหรอ"

   "เต็มที่ไหนล่ะครับ ยังนั่งได้อีกตั้งหนึ่งคน คุณจะกลับก็กลับไปคนเดียวสิ"

   ตรัยส่งสายตาคาดโทษชายหนุ่ม พอไม่มีที่ว่างเหลือให้ก็สลัดเขาทิ้งทันที "ตอนแรกฉันก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอกนะ งานประจำปีอะไรเนี่ย…แต่ตอนนี้ชักจะอยากไปขึ้นมาแล้วสิ มันจะสนุกสักแค่ไหนกัน เธอถึงได้อยากไปนักหนา"

   คนอยากไปทำตาโต มองที่ว่างตรงท้ายรถสลับกับใบหน้าของเจ้านาย "แต่มันนั่งได้แค่คนเดียว!"

   "อ๋อเหรอ" ตรัยกระโดดขึ้นท้ายรถ ผู้โดยสารทุกคนพร้อมใจกันขยับเข้าไปชิดด้านใน จนกระทั่งเขานั่งขัดสมาธิได้อย่างสะดวกสบายเลยทีเดียว

   "แล้วผมอ่ะ?"

   "เหลืออยู่ที่เดียว จะนั่งไหมล่ะ?"

   "ตรงไหน?"

   "ตักฉัน"






*******************************






   งานประจำปีของหมู่บ้านบนเกาะจำไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการเหมือนงานวัดที่มีมหรสพมากมายให้รับชมตามอัธยาสัย นอกจากเวทีมวยแล้วก็ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจอีกในความรู้สึกเขา คนที่ตื่นเต้นคงมีแต่รุ่งภพ พอตะเกียกตะกายลงจากรถมาได้ก็วิ่งปร๋อเข้าใส่ของกินแทบจะทันที

   "เท่าไหร่ครับ" ตรัยถามแม่ค้าขายขนม รีบยื่นแบงค์ร้อยให้ก่อนที่คนสั่งจะควักเงิน

   "เดี๋ยวผมจ่ายเอง" หันมาโต้แย้งทั้งที่หูยังแดงเถือก

   "ซื้อให้ อย่าเรื่องเยอะ" เอ่ยเสียงดุแล้วหยิบฉวยขนมในถุงมาหนึ่งชิ้น "ขนมอะไรเนี่ย?"

   "ขนมผูกรักครับ"

   แผ่นแป้งขนาดเล็กในมือถูกทอดจนเหลืองกรอบ ตรงกลางแผ่นถูกขมวดเป็นปมคล้ายกับโบว์ผูกผมและมีไส้สอดอยู่ตรงกลาง น่าจะเป็นขนมพื้นบ้านเพราะตรัยไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน "เหมือนกินขนมปั้นสิบ"

   "ไส้ขนมทำจากเนื้อปลาทะเลครับ ผัดกับพริกแกงแล้วก็ใช้สมุนไพรช่วยดับกลิ่นคาว"

   "ทำไมเรียกขนมผูกรักล่ะ? ไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหน"

   "เพราะตอนห่อต้องใช้ความตั้งใจในการผูกไงครับ เหมือนความรักที่ค่อยๆ ผูกจนแน่นแฟ้นกลมเกลียว ในกระบี่หากินยากมากนะครับ ต้องไปหาซื้อถึงสตูลโน่น ของฝากขึ้นชื่อจังหวัดเขา"

   "ถึงว่า...พอเห็นก็วิ่งเข้าใส่เลย หากินยากนี่เอง" ตรัยเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ สำหรับรุ่งภพคงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าของกินอีกแล้ว "จะเอาอะไรอีกไหม ฉันเลี้ยง"

   "แหม...เกรงใจจังเลยครับ งั้น...แวะร้านลูกชิ้นปิ้งตรงโน้นหน่อยนะครับ อะแฮ่ม...คอชักแห้ง ขอน้ำปั่นอีกสักแก้วก็แล้วกัน โอ๊ะ! ตรงนั้นมีปลาหมึกย่างด้วยอ่ะครับ หอมจังเลย...ตรงโน้นขายก๋วยจั๊บด้วย น่ากินจัง..."

   ตรัยหรี่ตามองคนขี้เกรงใจ เส้นประสาทตรงขมับกระตุกยิกๆ แวะมันแทบทุกร้านขนาดนี้ ยังจะกล้าพูดว่าเกรงใจอีกเหรอ!

   "ตกลงชวนฉันมาเที่ยวหรือมาซื้อขนมให้เธอกิน"

   "หือ?" ยังจะหันมาทำหน้างงๆ ใส่อีก เดี๋ยวปั๊ดทุบเลยไอ้เด็กนี่ "อุ้ย! แหะๆ ขอซื้อถั่วต้มอีกถุงนึงนะครับ เดี๋ยวค่อยไปดูมวยกันเนอะ"

   ฉีกยิ้มประจบแล้วรีบจ่ายเงินให้กับพ่อค้า…

   "พักครึ่งๆ" เสียงคนพากษ์มวยประกาศออกไมค์เมื่อหมดยกของนักชกรุ่นเล็ก "มวยรุ่นเล็กจบไปแล้ว มาต่อกันที่มวยรุ่นใหญ่กันบ้างดีกว่า ระหว่างที่นักมวยของเรากำลังเตรียมตัว มีใครอยากมาขึ้นชกชิมลางบ้างหม้ายยย" เสียงสะท้อนของกรรมการรุ่นเดอะสะท้อนออกลำโพงข้างเวที รุ่งภพยกนิ้วขึ้นอุดหู ถุงถั่วต้มเฉี่ยวหน้าตรัยไปแบบหวุดหวิด

   "ถือดีๆ สิ" เงยหน้ามอง หยิบถั่วในถุงแล้วแกะเปลือกให้ "อะไร?"

   "อ้าว ไม่ได้จะกินเหรอครับ เห็นจ้องเมื่อกี้"

   "ฉันบอกให้ถือดีๆ ไม่ได้บอกว่าจะกินสักหน่อย" คราวนี้ตะเบงเสียงแข่งกับลำโพง รุ่งภพทำหน้าแหยง หดมือกลับทันที

   "ก็ผมไม่ได้ยินอ่ะ เห็นคุณมองก็นึกว่าอยากกิน" คนเขาอุตส่าห์แกะให้ กินเองก็ได้วะ

   "ของรางวัลสำหรับแชมป์มือสมัครเล่นสนับสนุนโดยรีสอร์ทและร้านอาหารที่ร่วมรายการ เป็นกิฟวอยเชอร์ดินเนอร์สุดหรูริมชายหาด อาหารและเครื่องดื่มจัดเต็มแบบแน่นโต๊ะ ชกเสร็จก็ไปเดทกันต่อเล้ยยยย"

   รุ่งภพตาลุกวาว แทบจะพุ่งไปยังโต๊ะลงทะเบียนข้างเวที "สมัครยังไงอ่ะครับ หรือขึ้นชกได้เลย"

   ตรัยรั้งคอเสื้อของชายหนุ่ม "เดี๋ยวๆ จะทำอะไร? อย่าบอกนะว่าจะขึ้นชก"

   "ผมอยากได้กิฟวอยเชอร์อ่ะ"

   ตรัยเลิกคิ้ว ไล่สายตาสำรวจร่างกายของชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า "มั่นใจว่าจะชนะ?"

   "ถ้าไม่ต่อยกับนักมวยอาชีพก็ 50:50 ครับ"

   "ตามใจ ต้องเรียกหน่วยปฐมพยาบาลมาสแตนบายไหม"

   “โอ้โห! ดูถูก"

   ตรัยกระตุกยิ้มแล้วพยักเพยิดไปทางด้านหลังของชายหนุ่ม "ดูคู่ชกของตัวเองซะก่อนเถอะ"

   ผู้ลงทะเบียนเข้าท้าชิงเป็นฝรั่งรูปร่างล่ำสัน แค่ส่วนสูงก็กินขาดแล้ว โต๊ะลงทะเบียนเงียบกริบ ไม่มีใครกล้างัดข้อแม้แต่คนเดียว

   “ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต"

   "อย่าขู่กันสิครับ"

   "ขู่อะไร พูดเรื่องจริง จะต่อยเขาถึงหรือเปล่ายังไม่รู้เลย"

   คนโดนสบประมาทหน้าตาบูดบึ้ง "ว่าแต่ผมแล้วคุณล่ะ เอาชนะเขาได้หรือเปล่าเหอะ"

   "สูสี"

   "จริงเร้อ...ไม่เชื่อหรอก ต่อยเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้"

   ตรัยเริ่มยั้วะ รู้ว่าเด็กมันพูดยั่วแต่ก็อดโมโหไม่ได้อยู่ดี

   ได้...เดี๋ยวจะชกให้เด็กมันดู

   "ผมขอขึ้นชกครับ"






**********************************







   แกร๊ง!

   "ยกที่ 1 เริ่มได้"

   สิ้นสุดเสียงระฆัง สองนักชกมือสมัครเล่นก็ตั้งการ์ด ซอยเท้าเข้าลองเชิง

   ส่วนสูงพอกัน ส่วนรูปร่างก็พอฟัดพอเหวี่ยงแต่กล้ามเนื้อของตรัยไม่หนาเท่า ยกแรกจึงสะบักสะบอมไปไม่น้อยเพราะคู่ชกรุกหนักมาก เตะต่อยไม่ยั้งมือ

   รุ่งภพรู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยช้ำบนโหนกแก้มของเจ้านาย พอหมดยกแรกจึงรีบตรงดิ่งไปข้างสังเวียน มุดเชือกเข้าไปหาแล้วบีบนวดให้

   "ไหวไหมครับ ทำไมคุณเอาแต่ตั้งรับล่ะ อย่าบอกนะว่าต่อยไม่เป็น"

   "เป็นไม่เป็นเดี๋ยวก็รู้"

   ตรัยยัดฟันยางเข้าปาก ดีดตัวลุกขึ้นจากม้านั่งเมื่อได้ยินเสียงระฆังเริ่มยกต่อไป เขามองตามแผ่นหลังของรุ่งภพ หลังจากหามุมหน้าเวทีได้ก็ส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจแต่สีหน้าออกกังวล

   ไม่รู้ว่าห่วงเขาหรือห่วงกิฟวอยเชอร์กันแน่

   ยกที่สองตรัยเริ่มรุกบ้างแต่ยังตั้งรับเป็นส่วนใหญ่ ถึงจะเจ็บตัวแต่ก็ยังยืนหยัดอยู่บนเวทีได้อย่างสบาย ผิดกับคู่ชกที่หอบหายใจหนัก ทั่วทั้งตัวมีแต่เหงื่อชุ่มโชก เริ่มออกหมัดได้เชื่องช้าและหนืดหน่วงเต็มที

   ขนาดเขาเต้นฟุตเวิร์คอย่างเดียวก็เหนื่อยจะแย่แล้ว นี่ฝ่ายตรงข้ามเล่นออกลวดลายตั้งแต่ยังไม่เริ่ม หมดแรงเร็วขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

   เขาเองก็ใช่จะยืนเฉยให้คู่ชกซ้อม อาจจะมีพลาดหรือผิดจังหวะบ้าง แต่ก็ไม่ได้เจ็บหนักจนหน้ามืดตาลาย

   ผลั้วะ!

   อีกหนึ่งนาทีหมดยก ตรัยเตะอัดสีข้างของคู่ชกแล้วฮุกซ้ายหนักๆ จนอีกฝ่ายหน้าหัน เขาหันไปยักคิ้วให้รุ่งภพ ชายหนุ่มยกนิ้วโป้งให้แทนคำชมแล้วป้องปากตะโกนซะดังลั่น "คุณตรัยสู้ๆ เพื่อกิฟวอยเชอร์ของเรา"

   เดี๋ยวปั๊ดล้มมวยเลย

   "คุณ! ระวังซ้าย"

   ผลั๊วะ!!

   โลกหมุนติ้วกันเลยทีเดียว ได้ยินเสียงรุ่งภพร้องลั่นด้วยความตกใจ ตามด้วยเสียงกรี๊ดของสาวชาวบ้าน

   ตรัยสะบัดหน้าเรียกสติ เหนี่ยวเชือกกั้นเวทีเป็นหลักยึด กำลังจะตั้งการ์ดรับแต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีคู่ชกของเขาก็ร่วงไปกองกับพื้นแล้ว

   "ผู้ชนะ ได้แก่...มุมน้ำเงิน ตรัย...ตีนลั่น ลั่น ลั่นนนน เชิญผู้มอบรางวัลขึ้นมาบนเวทีด้วยครับ"

   ฉายาบ้าบออะไรกัน

   น่าอับอายขายขี้หน้าชะมัด

   เขาเดินไปรับรางวัลกลางเวทีอย่างจำใจและร่วมถ่ายภาพหมู่ด้วยสีหน้าอันบูดบึ้ง

   "อ่ะ...เอาไป" พอลงมาด้านล่างก็ยื่นบัตรรางวัลให้กับคนรอรับ รุ่งภพตะครุบหมับ ตาเป็นประกายกับของฟรีที่ได้มา "เขาให้ไปกินที่ไหนดูซิ? จะได้วางแผนเที่ยววันพรุ่งนี้ทีเดียวเลย"

   "เอ่อ...จัดตรงหาดติงไหรอ่ะครับ น่าจะเป็นของห้องอาหารในรีสอร์ทแถวนั้น แต่...”

   ตรัยเลิกคิ้วขึ้น สางเหงื่อบนเส้นผมใส่ชายหนุ่ม "แต่อะไร?"

   "แต่...บัตรใช้ได้อาทิตย์หน้านะครับ...เขาระบุวันมาด้วย"

   มือที่กำลังสางผมอยู่หยุดชะงัก แย่งบัตรจากชายหนุ่มมาดูด้วยตาของตัวเอง พอเห็นวันที่ในกระดาษก็สบถออกมาอย่างหัวเสีย
        ลงวันที่กะเกณฑ์แบบนี้ ถ้าไม่หวังให้คนได้รางวัลต้องอยู่ยาวก็ต้องหวังให้กลับมาเที่ยวอีกรอบแน่

   "ไม่คุ้มค่าเหนื่อยเลย ให้ตายสิ" เขาต่อเก้าอี้แล้วทิ้งตัวนอนบนตักของชายหนุ่มอย่างหมดแรง

   "ให้ผมเรียกหน่วยปฐมพยาบาลไหมครับ"

   ตรัยถลึงตาใส่คนแซว "ก้มหน้าลงมาหน่อยซิ"

   ก้มลงไปอย่างว่าง่าย ไม่ได้ระวังตัวเลยสักนิด "มีอะไรเหรอครับ"

   เป๊าะ!

   "โอ๊ย! เจ็บนะ"

   "สมควรโดน ส่วนบัตรรางวัลนี่ก็ให้คนอื่นเขาไปเถอะ เก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้"

   "เสียดายอ่ะ" มองบัตรตาละห้อย อาลัยอาวรณ์ขั้นสุด

   "ให้เขาไปเถอะน่า พรุ่งนี้เธออยากกินอะไรเดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง เอาเหมือนในบัตรเลยก็ได้ โอเคไหม?"

   "โอเคก็ได้ครับ" รับคำด้วยรอยยิ้มแป้น คอยบีบนวดประจบประแจงอย่างเอาใจ

   แค่เห็นแววตาคู่นั้นเปล่งประกายด้วยความสุข ใจของคนมองก็อ่อนยวบแบบไม่มีเหตุผล รู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ อยากเป็นเจ้าของรอยยิ้มนั้นขึ้นมาทันใด...




TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l ตอนพิเศษ Once in memory จำ..ตลอดไป 17/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-09-2019 20:48:41
 o13

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l ตอนพิเศษ Once in memory จำ..ตลอดไป 17/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-09-2019 21:51:07
อะไรจะตามใจกันขนาดนี้
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l ตอนพิเศษ Once in memory จำ..ตลอดไป 17/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 17-09-2019 22:40:29
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l ตอนพิเศษ Once in memory จำ..ตลอดไป 17/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 17-09-2019 22:46:37
 :m25:   :ruready 
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 16 l 19/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 19-09-2019 20:40:22
บทที่ 16





   อธิชาติ ทำนานนท์: ใครวะ? หัวเราะอร่อย

   Pawee Suksomboon: แคปชั่นอะไรของมึง?

   ผู้หญิง อย่าหยุดสวย: น่ารักว่ะ หัวเราะจนตาปิดเลย ^^

   Pawee Suksomboon: เด็กที่ไหนวะ? ถึงกับถ่ายลงเฟส ไม่ธรรมดา

   อธิชาติ ทำนานนท์: เด็กมันหรือเปล่า

   Trai Tamophas: ถ้าใช่แล้วจะทำไม?

   ปาเจรา จริยาโหนติ: ไม่ทำไมร้อก พวกกูจะได้จัดขันหมากไปสู่ขอ

   ผู้หญิง อย่าหยุดสวย: 5555+ เอาสินสอดเท่าไหร่ดี

   Trai Tamophas: พวกเหี้ย! เล่นด้วยแล้วลามปาม

    ปาเจรา จริยาโหนติ: นั่นชื่อเฟสเด็กมึงอ่อ ถามจริง? ตกลงมันจะตั้งชื่อเมื่อไหร่วะ

   ผู้หญิง อย่าหยุดสวย: โถอีปา ดูชื่อเฟสมึงก่อนมั้ยคะ จะท่องไปไหว้ครูเหรอ มึงไม่เปลี่ยนโปรไฟล์เป็นพานไหว้ครูไปด้วยเลยล่ะ

   อธิชาติ ทำนานนท์: อยากกินปูวววววว

   ปาเจรา จริยาโหนติ: ปูวววววพ่อง มึงกลับไปทำนาที่นนท์เลยไป๊ @อธิชาติ ทำนานนท์




   รุ่งภพพรั่งพรูลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก เขาเพิ่งเห็นรูปที่ตรัยอัพลงเฟสบุ๊ค เป็นภาพที่ขี้เหร่เกินจะบรรยาย
   หัวเราะจนหน้ายับขนาดนั้น น่ารักตรงไหนกัน?

   ดูเหมือนคนที่เข้ามาคอมเมนต์จะมีแต่เพื่อนสนิท ทุกคนดูงงกับแคปชั่นเพราะไม่มีที่มาที่ไปเลยสักนิด

   เหมือนจะรู้กันอยู่สองคน..

   แค่คนในภาพกับคนที่ลงภาพเพียงเท่านั้น

   หนุ่มใต้วางโทรศัพท์ลงแล้วกลับมามาดอวนต่อ ถึงจะไม่ได้ออกไปวางอวนแล้วแต่ก็ต้องซ่อมแซมเอ็นที่ขาดจนเป็นรูโหว่ เขายังไม่ได้กลับไปทำงานเพราะตรัยยังไม่ได้สั่ง วันทั้งวันจึงว่างเป็นอย่างมาก นอกจากงานทิชชู่อาร์ตแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทำอีก จะให้มุมานะทำแต่ทิชชู่อย่างเดียวก็เห็นจะไม่รอด งานแบบนี้ต้องใช้แรงบันดาลใจพอสมควร

   ซึ่งตอนนี้ยังหาไม่เจอ บินหายไปกับภาพในเฟสบุ๊คแล้ว

   ชายหนุ่มพิงแผ่นหลังแนบต้นหูกวางริมชายหาด สองขาเหยียดตรงบนแคร่ไม้ไผ่สีเก่าซีด มือหนึ่งลากผืนอวนขึ้นมาไว้บนหน้าตัก อีกมือสอดเชือกร้อยกระสวยอย่างคล่องแคล่ว

   เสียงเห่าโฮ่งของตังเกเรียกเจ้าของให้หันกลับไปมองทางหน้าบ้าน เจ้าหมาขี้เกียจวิ่งตุ้บตั้บไปดมล้อรถของผู้มาเยือน เกือบจะง้างขาฉี่ไปแล้วถ้าไม่โดนเจ้าของรถเอ็ดใส่และไล่ตะเพิดออกมาซะก่อน

   “มาอีกแล้วเหรอครับ?”

   “อย่าทำหน้าเหมือนไม่อยากต้อนรับจะได้ไหม” ตรัยนั่งเบียดตรงปลายขาของชายหนุ่ม ส่งถุงขนมให้เหมือนทุกครั้งที่มาหา “เมื่อเช้าเจอขนมบ้าบิ่นเลยซื้อมา เขาเพิ่งมาขายวันแรก ไม่รู้อร่อยไหม”

   “ผมไม่ใช่หนูทดลองนะครับ” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็หยิบกินไปหลายชิ้น “อร่อยดีครับ หอมมะพร้าว”

   “เย็นนี้ทำกับข้าวเผื่อฉันด้วยนะ” ตรัยหยิบไอแพดออกมาทำงาน เช็คอีเมลล์และไลน์ที่ธาวินส่งมาให้ ช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้เข้าออฟฟิศเท่าไหร่นัก มาขลุกอยู่ที่บ้านของรุ่งภพเกือบทุกวันเพราะติดใจบรรยากาศของที่นี่

   “วันนี้ผมจะกินหมูกะทะกับเพื่อนนะครับ”

   “ใคร? มิ่งขวัญเหรอ”

   เจ้าของบ้านพยักหน้า “พี่ณัฐด้วยครับ”

   “ณัฐ? ช่างต่อเรือใช่ไหม” ตรัยยังจำช่างหนุ่มในอู่ต่อเรือได้แม้จะเคยคุยกันแค่หนเดียว “โอเค...ฉันไปกินที่อื่นก็ได้”

   น้ำเสียงเหมือนจะน้อยใจอยู่หน่อยๆ เพราะเจ้าของบ้านไม่เอ่ยปากชวน “เอ่อ...ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากชวนนะครับ…แต่เวลาพวกเราเมาแล้วค่อนข้างจะ...เละเทะน่ะครับ”

   “กินเหล้ากันด้วย”

   “อาหารหลักเลยครับ หมูกะทะแค่กับแกล้ม”

   “ถ้าฉันอยู่ด้วยพวกเธอจะอึดอัดไหม?”

   รุ่งภพนิ่งคิด “เอ่อ...ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมตอบไม่ได้หรอก”

   “ถ้าเป็นเธอ…จะอึดอัดไหม”

   หนุ่มใต้ส่ายหน้า เขาตอบได้แค่ในส่วนของเขา...เพราะระหว่างเรานั้นแทบจะไม่เหลือช่องว่างใดๆ แล้ว เล่นมาหาเกือบทุกวันแบบนี้ ถ้าอึดอัดคงอยู่ด้วยกันไม่รอดหรอกเพราะมาทีก็อยู่ยาวตั้งครึ่งค่อนวัน

   ตรัยยกยิ้มอย่างพึงพอใจ ความรู้สึกประหม่าเมื่อครู่ผ่อนคลายลงจนไม่รู้สึก “งั้นฉันกินด้วยคนนะ จะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนของเธอด้วย”

   โฮ่ง!

   รุ่งภพสะดุ้งกับเสียงเห่า เผลอตัวไปชั่วครู่กับสายตาอ้อร้อของชายหนุ่ม “ตังเก! จะเอาอะไรห๊ะ”

   กางอุ้งเท้าตะกุยขากางเกงของตรัยแกรกกราก ร้องหงิงๆ จ้องขนมจนตาวาว “เหมือนเธอเลย เห็นขนมแล้วตาวาว”

   ชายหนุ่มทำหน้างอ เขาเป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอ?

   “ชิ้นเดียวพอนะ” ตรัยพูดกับหมา หย่อนขนมบ้าบิ่นให้มันงับอย่างระวัง “พอแล้ว กินเยอะไม่ดี มันไม่ใช่อาหารหมา”  พอเขาเลื่อนถุงขนมไปทางรุ่งภพก็สะกิดหงิงๆ ขอกินอีก พอเขาไม่หยิบให้ก็พ่นลมใส่ฟืดฟาด สะบัดหน้าพรืดแล้วหันตูดใส่เหมือนจะบอกให้รู้ว่างอนกัน

   ตรัยขมวดคิ้วมองมันสลับกับคนเป็นเจ้าของ นิสัยเกเรเอาแต่ใจแบบนี้ไปได้จากใครมา?




   
   ดวงอาทิตย์ลดลงต่ำพรากแสงสว่างไปจากท้องฟ้า แคร่ตัวเดิมถูกเปลี่ยนเป็นวงเหล้าขนาดย่อมที่มีเตาหมูกะทะอยู่ตรงกลาง นอกจากเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมสถาบันอย่างช่างต่อเรือแล้วยังพ่วงธาวินติดมาด้วยอีกคนหนึ่ง

   “มากับเขาด้วยเหรอ”

   ธาวินปล่อยถุงหูหิ้วที่ใส่ผักและเนื้อหมักลงบนแคร่ “โดนลากมาน่ะสิครับ...ให้มาช่วยหิ้วของแท้ๆ เลย” ประโยคหลังเหมือนบ่นกับตัวเอง

   “กินเลี้ยงอะไรกันหรือเปล่า? เหล้าเป็นลังเลย” ตรัยเปิดฝาลังที่มิ่งขวัญยกมา เล่นยกโหลมาแบบนี้จะเอาให้เมาไปถึงชาติหน้าเลยหรือไง

   “หวัดดีครับนายหัว”

   “เรียกแค่ชื่อก็พอ”

   หนุ่มตัวโตทำหน้างงจนกระทั่งรุ่งภพกระซิบบอกถึงเหตุผล “เอ่อ…ครับ คะ…คุณตรัย”

   ตรัยพยักหน้ารับ ยังคงสงสัยกับปริมาณของน้ำเมา “ซื้อมากินยกลังกันเลยเหรอ?”

   “ซื้อมาเผื่อไว้คราวหน้าครับ ไม่รู้จะถูกหวยอีกเมื่อไหร่”

   “ใครถูกหวย?”

   “ไอ้รุ่งครับ ถูกล็อตเตอรี่ตั้งหลายใบ”

   ตรัยเลิกคิ้ว “ใช่เลขที่ไปนั่งจ้องขี้ธูปมาหรือเปล่า?”

   “จำได้ด้วยเหรอครับ” รุ่งภพยิ้มแห้ง ไม่คิดว่าตรัยจะจำได้

   “จำได้แม่นเลยล่ะ นั่งรอเป็นชั่วโมงขนาดนั้น”

   “แหม...มันก็ไม่ได้นานขนาดนั้น”

   “แน่ใจเหรอ? เธอไม่ได้มานั่งคอยเหมือนฉันนี่”

   มิ่งขวัญสบตากับธาวิน ทำไมพวกเขาถึงกลายเป็นส่วนเกินไปได้ล่ะ “เอ่อ...ติดเตากันก่อนไหมครับ พี่ณัฐมาจะได้กินเลย”

   “…เอาสิ” ตรัยหลีกทางให้ รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อยที่หลงลืมคนทั้งสอง

   “มึงมาติดเตาดีกว่าไอ้รุ่ง เดี๋ยวกูเข้าไปทำกับแกล้มเพิ่ม” มิ่งขวัญส่งไฟแช็กกับถุงใส่ถ่านให้เพื่อนสนิท หนุ่มตัวโตลากธาวินติดมือไปด้วยโดยไม่ถามความสมัครใจ เรียกเสียงโวยวายตั้งแต่หน้าหาดไปจนถึงในครัว

   พวกเราเตรียมของใส่จานและจุดยากันยุงเอาไว้พร้อม พอช่างต่อเรือมาถึงก็ได้ฤกษ์เปิดหมูกะทะแบบรวมมิตร ทั้งเนื้อหมูเนื้อไก่เนื้อวัวย่างปนกันไปหมด ตรงช่องใส่น้ำซุปก็อัดแน่นไปด้วยลูกชิ้นและสารพัดผักที่ซื้อมา

   แน่นจนไม่มีที่จะหย่อนอะไรลงไปแล้ว

   ตรัยกับธาวินได้แต่นั่งมองคนทั้งสามประโคมทุกอย่างที่ซื้อมาลงไปจนแออัด ตะเกียบของเขายังคงสะอาดเพราะไม่สามารถคีบอะไรลงไปย่างได้เลย

   ย่างก็ไม่ทันแถมยังกินไม่ทันอีกต่างหาก คนพวกนี้ไปตายอดตายอยากจากไหนมาก็ไม่รู้ มาถึงก็ซัดเอาๆ ไม่ลืมหูลืมตา

   “ทำไมไม่กินล่ะครับ?” รุ่งภพเงยหน้าขึ้นมาถาม หลังจากคีบเนื้อย่างมากองจนเต็มชาม

   “กินอะไรล่ะ ยังไม่ได้ย่างสักกะชิ้น” หนุ่มใต้หันกลับไปมองความแออัดในกะทะ ร้องอุ้ยออกมาหนึ่งคำก่อนจะคีบเนื้อในชามของตัวเองยกให้เขา “กินไปสิ เอามาให้ฉันทำไม”

   “เดี๋ยวผมย่างให้ครับ พวกเรากินกันเร็ว จะอืดก็ตอนอิ่มนั่นแหละครับ” รุ่งภพชะลอสปีดของตัวเองลง ตักเต้าหู้ไข่และลูกชิ้นที่สุกแล้วลงมาก่อน “คุณวินเอาอะไรไหมครับ เดี๋ยวผมตักให้”

   “เอาลูกชิ้นก็ได้ ขอบใจนะ”

   “ตักเองไม่เป็นเหรอคุณ” มิ่งขวัญชักมือกลับ เนื้อที่อยู่บนปลายตะเกียบหลุดร่วงจากอาการชะงักงันเมื่อครู่นี้

   “ฉันไม่ใช่คนต้มนี่นา ใครจะไปกล้าตัก”

   “จะกินอะไรก็ตักไปได้เลยครับ พวกผมไม่ชอบปล่อยให้กะทะว่างน่ะครับ เห็นแล้วมันอดไม่ได้ต้องคีบเติมตลอด” ช่างต่อเรือบอกด้วยถ้อยคำสุภาพ สมัยเรียนแย่งกันกินบ่อยเลยติดนิสัยนี้มาจนถึงปัจจุบัน

   “ขอบคุณนะครับ ผม...ไม่ค่อยได้กินอะไรแบบนี้เท่าไหร่ เลยไม่รู้จะแทรกยังไง” ธาวินยอมรับว่าทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มยังไงเพราะไม่ค่อยได้กินอาหารปิ้งย่างแบบนี้เท่าไหร่นัก

   “งั้นคราวหลังมากินด้วยกันอีกสิครับ ตอนนี้ก็ซ้อมมือไปก่อน”

   “คงต้องให้ณัฐสอนแล้วล่ะ”

   มิ่งขวัญกระแทกตะเกียบลงชามจนแคร่สั่น แววตาขุ่นมัวอย่างเห็นได้ชัด “เรื่องแค่นี้ก็ต้องให้สอนด้วย ถ้าย่างเนื้อไม่เป็นก็ไม่ต้องทำอะไรกินแล้วคุณ”

   “ยุ่งอะไรด้วยล่ะ ไม่ได้ขอให้นายสอนสักหน่อย”

   ณัฐรีบโบกมือห้าม “เดี๋ยวๆๆ ไม่ได้จะทะเลาะกันหรอกใช่ไหม?”

   “เชอะ!/เชอะ!”

   สะบัดหน้าหนีไปคนล่ะทางเหมือนโกรธกันมาแต่ชาติปางก่อน ตอนอยู่ในครัวยังดีๆ อยู่เลย ผีเข้าผีออกจริงๆ คู่นี้ “ถ้วยนี้แกงอะไรเหรอ?” ตรัยใช้ช้อนตักไข่แดงพวงเล็กพวงน้อยขึ้นมาจากชาม กลิ่นต้มยำหอมฟุ้งแต่ไม่รู้ว่าใช้อะไรเป็นส่วนประกอบ

   “ต้มยำพวงไข่อ่อนครับ ไข่ไก่นั่นแหละแต่ยังไม่ตกใบ” รุ่งภพพยักหน้าแล้วยิ้มให้ ไม่ได้คะยั้นคะยอให้กินในทันที “เป็นไงบ้างครับ”

   ตรัยพยักหน้าให้หลังจากชิมรสไปหนึ่งคำ “เผ็ด...แต่อร่อยดี”

   “ไอ้มิ่งมันมือหนักครับ ถ้าไม่ไหวกินอย่างอื่นก็ได้ เอาหมึกนึ่งมะนาวไหมครับ” เลื่อนจานหมึกนึ่งมะนาวมาให้ใกล้ๆ แถมยังรินเหล้าเติมจนล้นปริ่ม ตรัยแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย

   “มึงไปขอหวยที่ไหนมาวะไอ้รุ่ง” ณัฐถามรุ่นน้องระหว่างคีบหมูสามชั้นย่างเข้าปาก สีหน้าเอร็ดอร่อยกับไขมันที่เพิ่มพูน

   “สงขลาพี่ ไม่คิดว่าจะถูกเหมือนกัน”

   “ไปขอไกลแท้วะ”

   “ไม่ได้ตั้งใจไปขอหรอก ทางผ่านน่ะเลยแวะเข้าไปไหว้พระ คนมันดวงดีก็งี้ เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่”

   มิ่งขวัญหัวเราะเสียงเย็นในลำคอ “หลังจากนั้นก็ซวยรับทรัพย์เลย เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่”

   เสียงแซวจากหนุ่มตัวโตเรียกสายตาค้อนควักจากคนเคยซวย ณัฐซึ่งไม่รู้เรื่องราวก่อนหน้านั้นนึกว่าแซวกันเล่นๆ จึงไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรนัก “พวกคุณสองคนจะย้ายมาอยู่ที่กระบี่เลยหรือเปล่าครับ” ณัฐถามคนต่างถิ่นทั้งสอง “ตั้งแต่ที่เจอกันวันนั้นก็นานแล้วเหมือนกันนะ ผมนึกว่าคุณจะกลับไปแล้วซะอีก” ประโยคสุดท้ายเขาเจาะจงพูดกับตรัยโดยเฉพาะ

   “ผมมีแพลนจะย้ายมาอยู่ที่นี่ถาวร ส่วนวินเขามาทำงานแค่ชั่วคราวน่ะ”

   “อ๋อ แล้วคุณวินจะกลับเมื่อไหร่เหรอครับ”

   “เรียกพี่ก็ได้นะ อายุเราไม่น่าจะห่างกันมาก” ธาวินหยิบยื่นมิตรภาพให้ด้วยรอยยิ้ม “พี่จะกลับเร็วๆ นี้แหละ เดี๋ยววางระบบงานในออฟฟิศเสร็จก็กลับแล้ว”

   “ทำงานเสร็จก็กลับเลยเหรอครับ มาถึงกระบี่ทั้งทีไม่ไปเที่ยวสักหน่อยเหรอ?”

   “แค่ออกจากบ้านก็บ่นเป็นกระบุงแล้ว ไปไหนก็บอกร้อน จะไปเที่ยวที่ไหนได้” มิ่งขวัญแฉคนร่วมบ้าน พอเห็นธาวินให้ความสนิทสนมกับณัฐก็นึกขวางหูขวางตาไปเสียหมด

   ธาวินไม่สนใจคนแฉ เลือกที่จะคุยกับณัฐมากกว่าหนุ่มตัวโตที่นั่งข้าง “ผมมาเที่ยวกระบี่หลายครั้งแล้วครับ ไปมาเกือบหมดแล้ว เหลือแค่ออกไปนอนกลางทะเลเท่านั้นแหละที่ยังไม่ได้ทำ”

   “ไม่น่าเชื่อ”

   “ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ ไม่ได้ขอร้องให้เชื่อสักหน่อย” ธาวินถลึงตาใส่หนุ่มใต้ร่างยักษ์ แอบเทน้ำจิ้มใส่แก้วเหล้าด้วยความหมั่นไส้

   “ถุย! เหล้าเสียหรือเปล่าวะ?”

   “หือ? จริงดิ” ณัฐคว้าขวดเหล้าขึ้นมาดูวันหมดอายุอย่างตื่นตูม

   รุ่งภพดมแก้วเหล้าในมือของตัวเอง สีหน้างุนงงเหมือนมีเครื่องหมายคำถามขึ้นอยู่เต็มใบหน้า “กินเข้าไปจนจะหมดขวดอยู่แล้วนะ มึงเพิ่งมาบอกอะไรตอนเน้~”

   ตรัยถึงกับหลุดยิ้มขำ สงสัยลิ้นจระเข้กันทั้งกลุ่ม เหล้าเสียหรือไม่เสียแยกไม่เป็นกันหรือยังไง?

   “เสียพ่อง เพิ่งจะผลิตเมื่อเดือนที่แล้ว” ณัฐกระทุ้งเท้าถีบรุ่นน้อง ตกใจจนลืมไปเสียสนิท...เหล้ากลั่นมันจะไปบูดได้ยังไง “ทำอะไรหกลงไปหรือเปล่า? ไอ้หัวดอ ทำกูตกใจแหม็ด”   

   “เททิ้งก็ได้”

   “เออ ชงใหม่ก็สิ้นเรื่อง” รุ่งภพเกือบจะบ้วนทิ้งอยู่แล้วเชียว “ถ้าเหล้าเสียจริงคงมีแต่คุณวินคนเดียวที่รอด”

   ธาวินหัวเราะ เขาดื่มแต่น้ำอัดลมเพราะไม่อยากเมาตอนขากลับ “ถ้าพวกนายเป็นอะไรไป อย่างน้อยก็ยังเหลือฉันไว้เรียกปอเต๊กตึ๊งได้”

   “พวกผมคงไม่อาการหนักขนาดนั้นหรอกครับ เรียกแค่รถพยาบาลก็พอ”

   รุ่งภพหัวเราะร่วนกับสีย่ำแย่ของเพื่อนสนิท พอซัดเหล้าเข้าไปอีกสองแก้วก็เริ่มทรงตัวไม่อยู่ ไหลไปกองกับแคร่จนตรัยต้องดึงขึ้นมาพิงกับตัวเอง “ยังตายตอนนี้ไม่ได้น้า~ ต้องไปสร้างบ้านให้ปลาก่อน”

   “เมาแล้วมั้งนั่น” มิ่งขวัญผลักหัวเพื่อน ตรัยคว้าเอาไว้แทบไม่ทันเพราะหงายหลังจนเกือบจะตกแคร่

   “บ้านปลาเหรอ มันคืออะไรอ่ะ?”

   “สนใจเหรอคุณ”

   “ไม่สนแล้วจะถามเหรอ”

   ณัฐส่ายหน้า ขี้คร้านจะเข้าไปร่วมวงเถียงด้วยเลยนั่งจิบเหล้าเงียบๆ สลับกับมองดูรุ่งภพอยู่เป็นระยะ “เข้าไปนอนก่อนไหมมึง? เดี๋ยวพวกกูเก็บจานให้”

   “ยังไม่เมา...” ยังมีสติอยู่แต่เริ่มเลื้อยไม่เป็นทาง “บ้านปลาก็คือปะการังปลอมไงคร้าบ~”

   ธาวินยิ้มงง ส่งสายตาให้มิ่งขวัญแปลความหมายอีกรอบหนึ่ง “ปะการังเทียมไงคุณ ทำจากทางมะพร้าวบ้าง เชือกบ้าง ยางรถยนต์บ้าง พอถึงฤดูวางไข่ปลามันจะว่ายเข้ามาหลบในเขตน้ำตื้น อาศัยปะการังเป็นที่ฟักไข่ แต่ตอนนี้ปะการังจริงเหลืออยู่น้อยจนแทบไม่มีแล้ว พอไม่มีปะการังปลาก็อยู่ไม่ได้ พอมันอยู่ไม่ได้…เราก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน”

   “ถึงต้องไปสร้างให้มันงาย~”

   “ปกติมันคอแข็งนะครับ สงสัยซัดแต่เหล้าไม่ค่อยได้เล็มกับแกล้มเหมือนพวกเรา” ณัฐดีดก้อนน้ำแข็งป่นใส่หน้าผากของรุ่นน้อง คนโดนรังแกคลำหัวป้อยๆ เล่นเอาหัวเราะกันทั้งวงเพราะเจ็บไม่ถูกทาง

   “คลำตรงไหนน่ะ โดนดีดตรงหน้าผากไม่ใช่เหรอ” ตรัยจับข้อมือของชายหนุ่มลดลง กดตรงรอยหยดน้ำบนหน้าผากแล้วลูบเช็ดให้

   คนเจ็บนั่งอึน ไม่หือไม่อือแต่นั่งจ้องเขาตาเยิ้ม

   ตรัยชักมือกลับ รู้สึกประหม่าขึ้นมาทันใด

   เขาต้องเมาแล้วแน่ๆ ทำไมถึงรู้สึกเขินกับสายตาของชายหนุ่ม? “แล้วจะไปสร้างกันที่ไหนเหรอ” ประโยคนี้เขาถามกับมิ่งขวัญ พยายามหาเรื่องคุยเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกๆ ภายในอก

   “เดี๋ยวต้องประสานกับกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านอีกทีครับ พวกเขาทำกันมานานแล้ว ส่วนพวกเราเพิ่งจะไปเข้าร่วมเมื่อปีที่แล้วนี้เอง”

   “เราต้องไปช่วยเขาทำเหรอ”

   “เรียกว่าร่วมด้วยช่วยกันดีกว่าครับ เรากอบโกยผลประโยชน์จากทะเลเหมือนกันก็ต้องช่วยกันชดเชยดูแล มันไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่งเพราะทะเลเป็นของส่วนรวม ถ้าหวังแต่จะพึ่งให้คนนั้นคนนี้ทำ ทะเลบ้านเราก็คงตายไปนานแล้ว”
   “ฉันดีใจนะที่ได้ยินแบบนี้ อย่างน้อยพ่อของฉันก็ไม่ได้ทำธุรกิจแบบเห็นแก่ตัว” ตรัยยิ้มขณะพูด ลอบมองคนเมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเงียบไป “หลับไปแล้วเหรอ?”

   “ยาง~ ยังหวาย” ยกหัวขึ้นมาจากแก้วเหล้า การได้ยินยังแจ่มชัดแต่การตอบสนองถดถอยลงทุกที ณัฐเองก็ตามรุ่นน้องไปติดๆ ไม่มียั้งเพราะเหล้าฟรี

   “จะกลับบ้านได้ไหมเนี่ย?” ธาวินจิ้มแขนสะกิด สภาพของณัฐยังดีกว่ารุ่งภพมากเพราะยังคงนั่งนิ่งเว้นแต่ลมหายใจถี่แรง

   “ไม่กลับหรอกครับ…กลัววูบ เดี๋ยวนอนกับไอ้รุ่งมันดีกว่า”

   ตรัยขมวดคิ้ว มองคนเมาทั้งสองสลับกัน

   “งั้นก็โอเคครับ พี่จะได้ไม่ต้องโทรเรียกปอเต๊กตึ๊ง” ธาวินยังไม่เลิกแซว “แล้วพรุ่งนี้จะไปทำงานไหวเหรอ”

   “หยุดสักวัน คานเรือคงไม่เจ๊งหรอกครับ”

   “คานเรือ?”

   “อู่ต่อเรือน่ะ” มิ่งขวัญแก้คำใหม่

   “ณัฐทำอู่ต่อเรือเหรอ”

   “อือ...ผมเป็นช่าง”

   “ช่างหัวมาน~”

   “กูน็อกให้มึงสลบไปเลยได้ไหมไอ้รุ่ง…เมาแล้วกวนตีนฉิบหายไอ้ห่า” ณัฐเงื้อมือขึ้นเตรียมจะฟาดแต่รุ่งภพกลิ้งตัวหลบ โดดขึ้นไปนั่งซ้อนตักแล้วยึดตรัยเป็นโล่กำบัง

   “….”

   เพล้ง!

   แก้วเหล้าในมือของมิ่งขวัญหลุดร่วงกระทบกับขอบจาน เศษอาหารกระจายเกลื่อนสังเวยความตกใจเมื่อครู่นี้

   โบราณว่าไว้อย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมาแต่ดูจากสีหน้าแข็งค้างของคุณตรัยแล้ว...มึงไม่รอดแน่ไอ้รุ่ง

   “รุ่ง มะ...มานั่งกับพี่วินตรงนี้ดีกว่ามา”

   “อือ…ไม่เอา เดี๋ยวพี่ณัฐตี” ส่ายหน้าไม่ยอมลงจากตัก แถมยังซุกหน้ามุดไหล่ของตรัยอีก

   “ช่างเถอะ เขาอยากนั่งก็ปล่อยให้นั่งไป” ตรัยถอนหายใจ คล้องมือรวบเอวเล็กแล้วจับให้นั่งตรงหว่างขา สักพักก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะรุ่งภพอยู่ไม่นิ่งขยับไปขยับมา “ฉันพาเขาไปนอนก่อนแล้วกัน”

   พูดจบก็ลากตัวออกไปทันทีท่ามกลางสายตางุนงงของคนที่เหลือ

   “เพื่อนผมจะโดนฆ่าหมกห้องหรือเปล่า?”

   “จะบ้าเหรอ! คุณตรัยเขาไม่ใช่ฆาตกรนะ” ธาวินตวาดแว้ด ถึงจะเป็นห่วงอยู่บ้างแต่ไม่ได้ประสาทเสียเหมือนกับมิ่งขวัญ “ตามไปดูกันไหม?”

   “เมื่อกี้ยังด่าผมอยู่เลย”

   “ไปดูให้แน่ใจเฉยๆ ไงว่าถึงห้องหรือเปล่า”

   “คุณตรัยเขาไม่ได้เมาสักหน่อย เดินตัวปลิวขนาดนั้น คงไม่พาไอ้รุ่งไปวัดพื้นที่ไหนหรอก”

   “เอ๊ะ! แล้วเมื่อกี้ใครมันประสาทเสียใส่ฉันก่อนล่ะ”

   “ผมก็พูดไปงั้นเอง คิดเป็นจริงเป็นจังไปได้”

   “อะ…ไอ้...”

   ณัฐถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพ่งมองแก้วเหล้าในมือแล้วกระดกรวดเดียวหมด ช่างต่อเรือหนุ่มเดินโซซัดโซเซเข้าบ้าน ทิ้งเสียงหนวกหูเอาไว้เบื้องหลังพร้อมกับความเสียดายเหล้าอีกครึ่งขวดที่ยังเหลืออยู่

   จะตีกันตายไหมล่ะนั่น?

   สงสัยธาวินต้องโทรเรียกรถปอเต๊กตึ๊งให้ตัวเองแล้วล่ะมั้ง




TBC



หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 16 l 19/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-09-2019 22:06:16
หวงแรงมาก
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 16 l 19/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 19-09-2019 22:37:06
ถ้าเราสอบเสร็จจะมาตามอ่านนะคะ
อ่านนิดหน่อยก่อนแล้ว ชอบบบบบบบ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 17 l 20/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 20-09-2019 21:09:10
บทที่ 17






   ไม้ไผ่ลำใหญ่ถูกมีดพร้าเล่มยาวฟันฉับจนหักโค่นออกจากกอ ส่วนของโคนไม้ยังคาอยู่ในกอไผ่ ลำพังแค่มิ่งขวัญคนเดียวคงดึงออกมาได้สบายแต่กับธาวินนั้น...คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าดึงหลุดออกไปจากกอ

   ยิ่งมองก็ยิ่งหงุดหงิด เป็นผู้ชายซะเปล่าแต่แรงอย่างกับมด

   “มาช่วยหรือมาเป็นภาระเนี่ย? ไปเล่นตรงอื่นไป อยู่ตรงนี้ก็เกะกะ”

   ธาวินหน้าบูด ถลึงตาใส่คนปากปีจอ “ก็ลำมันใหญ่อ่ะ ช่วยดึงให้หน่อยไม่ได้หรือไง”

   ส่ายหัวแล้วกระชากทีเดียวหลุด “เอ้า พอใจยัง?”

   ไม่มีเสียงตอบเพราะธาวินกำลังแบกไม้ไผ่ขึ้นบ่าอย่างทุลักทุเล คงหนักน่าดูเพราะกัดฟันจนหน้าบิดเบี้ยว เซไปทางโน้นที เซไปทางนั้นที ปัดไปเป๋มาจนเกือบจะฟาดกะโหลกของมิ่งขวัญเข้าให้

   “เอ๊ะ? ทำไมเบาอ่ะ” พอหันกลับไปมองด้านหลังก็เห็นหนุ่มตัวโตแทรกกายเข้ามาช่วยแบกตรงช่วงท้าย ดวงตาแข็งกร้าวจ้องเขม็งมายังเขา สีหน้าหงุดหงิดจนดูบึ้งตึง

   “เดินไปสิ! จะยืนแบกอยู่ตรงนี้ทั้งวันเลยหรือไง”

   “ก็แล้วทำไมต้องดุด้วยล่ะ!”

   “ไม่ดุได้ไง ไหล่คุณแดงหมดแล้วไม่รู้สึกเจ็บเลยหรือไง...หรือไม่มีความรู้สึก?”

   ธาวินก้มมองลาดไหล่ของตัวเอง รอยแดงที่เห็นไม่ใช่แค่รอยช้ำเท่านั้นแต่ยังเป็นรอยถลอกเพราะถูกครูดจากข้อต่อของไม้ไผ่ที่ยังถากไม่เรียบดี “มันก็ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น แค่แสบนิดหน่อยเอง”

   พวกเขาแบกลำไม้ไผ่มากองไว้บนชายหาด ธาวินทำท่าจะตามเข้าไปช่วยอีกครั้งแต่โดนหนุ่มตัวโตชี้หน้าแล้วโยนกล่องปฐมพยาบาลใส่ เขายื่นมือออกไปรับแทบไม่ทัน พออีกฝ่ายโยนเสื้อคลุมตามมาทีหลังจึงโปะลงบนหัวอย่างสวยงาม

   มองอะไรไม่เห็นเลย

   ธาวินตะเกียกตะกายดึงเสื้อตัวใหญ่ออกจากหัว เขาขมวดคิ้วขณะกำเสื้อในมือแล้วชูขึ้น ถ้าไม่ใส่แล้วจะเอามาทำไม? “โยนเสื้อนายมาให้ฉันทำไม”

   “นั่งอยู่ตรงนี้ เฉย...เฉย อย่าเพ่นพล่าน” ใช้สายตาบังคับให้นั่งลงบนเสื่อที่ชาวบ้านเอามาปูให้ มิ่งขวัญแกะกล่องปฐมพยาบาลแล้วทายาปิดแผลให้อย่างรวดเร็ว “นั่งอยู่ตรงนี้แหละ ใส่เสื้อคลุมเอาไว้ด้วย เดี๋ยวไม่สบาย”

   ผิวของธาวินแพ้ง่าย เข้าไปในสวนมะพร้าวแค่แป๊บเดียวก็แดงเถือกไปทั้งแขน

   “เป็นห่วงก็บอก”

   มิ่งขวัญกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างในแววตาด้วยการส่ายหน้าปฎิเสธคำพูดของชายหนุ่ม “ห่วงตัวเองมากกว่า เกิดคุณเป็นอะไรไปก็ไม่พ้นผมอีกแหละ เหนื่อยทั้งขึ้นทั้งล่อง”

   ธาวินเบ้ปาก ยอมสวมเสื้อคลุมของมิ่งขวัญโดยไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอีกต่อไปแล้วเมื่อต้องใช้ของร่วมกับชายหนุ่ม “เมื้อกี้ฉันไปสอยทางมะพร้าวลงมาด้วยนะ สนุกมากๆ เลย”

   “ไปสอยตอนไหน ทำไมผมไม่เห็น” มิ่งขวัญคุ้ยกระติกน้ำแข็งแล้วส่งขวดน้ำให้กับคนคุยอวด “ไม่ต้องรีบๆ กินน้ำก่อน เดี๋ยวคอแห้ง“

   ธาวินรับน้ำมาดื่มอย่างเคืองๆ “ตอนนายโดนผู้ใหญ่บ้านเรียกไปตัดไม้ไผ่ไง ฉันก็เลยเดินตามอีกกลุ่มเข้าไปในสวนมะพร้าว ใช้ตะขอกระตุกตั้งนานแหนะกว่าจะหลุด”

   “ได้กี่ทาง”

   ชูสองนิ้วสู้ตาย “สอง”

   “โว๊ะ อุตส่าห์ฟังตั้งนาน ได้แค่สองทางยังจะมาคุยอีก คนอื่นเขาสอยกันได้เป็นสิบ”

   “ก็ฉันยังไม่เทิร์นโปรนี่” เถียงคอตั้งปากเชิดรั้น “แล้วจะสร้างบ้านให้ปลากันยังไงอ่ะ ต้องแบกไม้ไผ่กับทางมะพร้าวลงไปสร้างในน้ำเหรอ?”

   มิ่งขวัญถึงกับหลุดหัวเราะ หนุ่มตัวโตแย่งขวดน้ำในมือของธาวินมาดื่มต่ออย่างลืมตัว “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เดี๋ยวผมตัดไม้ไผ่เสร็จจะออกมาทำให้ดู” พูดจบก็ส่งขวดน้ำกลับคืน ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับน้ำที่หายไปเกือบครึ่งขวด กว่าธาวินจะรู้สึกตัวมิ่งขวัญก็เดินหายเข้าไปในป่าแล้ว

   “คุณวินครับ!”

   เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียก เห็นรุ่งภพวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา ไรเหงื่อเปียกซึมไปทั่วกรอบหน้า “ไม่ต้องวิ่งก็ได้ จะรีบร้อนไปไหนกัน”

   “ทำอะไรอยู่หรือเปล่าครับ”

   ส่ายหน้าเศร้า “นั่งหายใจทิ้งไปวันๆ อยู่ ไม่มีใครอยากให้พี่ช่วยเลย เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการก็งี้แหละ”

   รุ่งภพยิ้มเฝื่อน ไม่สามารถรรับมือกับโหมดดราม่าของธาวินได้ “ถ้าไม่ได้ทำอะไร ไปช่วยพวกผมทำซั้งเชือกกับกองปะการังเทียมไหมครับ”

   “ทำตรงไหนอ่ะ?”

   “เลยสวนมะพร้าวไปหน่อยเดียวเองครับ เป็นหอประชุมของชาวบ้าน”

   ธาวินยื่นมือให้รุ่งภพช่วยฉุด เขาปัดเศษทรายออกจากเนื้อตัว ตั้งใจจะเดินไปสำรวจดูก่อนถ้าไม่เวิร์คค่อยกลับมา “ซั้งเชือกคืออะไรเหรอ? ต้องตัดไม้ไผ่กับทางมะพร้าวเหมือนทางนี้หรือเปล่า”

   “ไม่ครับ ไม่ๆ ซั้งเชือกก็ทำจากเชือกนั่นแหละครับ ตรงที่คุณวินทำอยู่เราเรียกว่าซั้งกอ เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านแต่มันเปื่อยเร็วไม่ค่อยทน ถ้าเป็นซั้งเชือกจะอยู่ในน้ำได้นานกว่าครับ”

   “เหรอ...แล้วมีใครไปทำมั่งอ่ะ”

   “ก็มีหลายหน่วยงานครับ”

   “ไม่ใช่ ฉันหมายถึงพวกเราน่ะ มีใครไปทำบ้าง”

   “อ๋อ ส่วนใหญ่จะเป็นคนงานผู้หญิงครับ แล้วก็พวกไต๋เรือกับเสมียนออฟฟิศ” รุ่งภพเดินนำเข้าไปในอาคารโล่งๆ หลังหนึ่งถัดจากสวนมะพร้าวริมชายหาด ภายในนั้นกึกก้องไปด้วยเสียงจากไมโครโฟน เจ้าหน้าที่สาวสองคนกำลังสาธิตวิธีทำซั้งเชือกอยู่บนเวทีแบบเตี้ย อุปกรณ์ที่ใช้มีเพียงเชือกใยยักษ์และแกลลอนสำหรับถ่วงน้ำเพียงเท่านั้น

   “คุณตรัยล่ะ? เขามาด้วยหรือเปล่า” หลังจากส่งรุ่งภพเข้านอนในวันนั้นก็หายหน้าหายไปตาไปหมกตัวอยู่ที่เกาะตั้งหลายวัน

   “มาครับ นั่งอยู่ตรงนั้นไง” ชี้ไปตรงกลุ่มเก้าอี้แถวกลาง รุ่งภพพาชายหนุ่มเดินแหวกทางเข้าไปหา พอตรัยเห็นคนทั้งสองก็ขยับไปนั่งเก้าอี้ว่างอีกตัวหนึ่ง ส่งเชือกใยยักษ์ที่ฉีกแล้วกับแกลลอนให้รุ่งภพผูก ทั้งยังส่งสายตาให้นั่งใกล้เหมือนบังคับอยู่กลายๆ

   “ต้องเริ่มยังไงล่ะนี่?” ธาวินจับปลายเชือกทบกัน มองคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างงุนงง

   “เอาปลายเชือกผูกยึดกับเสาก่อนครับ เส้นนี้เป็นเส้นหลัก เสร็จแล้วก็เอาเชือกสั้นมาผูกทบตรงกลางสองเส้น จะได้เป็นสี่เส้นแบบนี้” ชูเชือกในมือให้ดูเป็นตัวอย่าง “ตามทันไหมครับ”

   “อ่อ มัดปมยังไงก็ได้ใช่ไหม”

   “ครับ เสร็จแล้วก็คลายเกลียวเชือกทั้งสี่เส้นออกเป็นฝอยๆ ครับ ให้มันเป็นหญ้าเทียม”

   “ถ้ามีกีฬาสี เอาไปเป็นพู่เชียร์ลีดเดอร์ได้เลยนะเนี่ย”

   ตรัยหลุดเสียงหัวเราะ ตอนแรกเขาก็คิดแบบนั้นเหมือนกันแต่ไม่อยากทำลายจินตนาการของรุ่งภพ

   “แล้วเส้นนึงต้องทำกี่พู่อ่ะ”

   “เชือกเส้นหลักยาว 12 เมตรครับ ถ้ากะระยะแล้วจะทำได้แปดชั้น เราต้องเหลือปลายเชือกเอาไว้ผูกกับแท่นปูนถ่วงน้ำด้วย อีกด้านก็ผูกกับแกลลอนถ่วงให้มันลอยขึ้น”

   “จะทำได้สักกี่นาทีกัน” ตรัยสบประมาทเพราะรู้ดีว่าธาวินไม่ชอบงานประดิษฐ์ประดอยแบบนี้

   ธาวินส่ายหน้า ส่อแววล่มตั้งแต่ยังไม่เริ่ม “คุณกลับเข้าฝั่งตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ ไม่เห็นเข้าออฟฟิศเลย”

   “ก็ไปๆ มาๆ ไม่ได้อยู่ที่เกาะตลอดหรอก…แค่แวะไปดูอะไรเรื่อยเปื่อย”

   “จะเริ่มสร้างรีสอร์ทแล้วเหรอครับ”

   “อืม เริ่มร่างแบบคร่าวๆ แล้ว” หลายวันมานี้ตรัยค่อนข้างสับสนในความรู้สึกของตัวเองพอสมควร เขาลอบมองรุ่งภพด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป แม้จะยังไม่อยากยอมรับแต่สัมผัสนุ่มหยุ่นในวันนั้นยังคงติดตรึงไม่สร่างซา

   คนเมาไม่ผิด...คนที่ผิดคือคนที่ไม่เมาต่างหาก





   “เดินดีๆ สิ” เขาบอกกับคนเมาหลังจากฉุดกระชากเข้ามาจนถึงห้อง

   “อือ...เดินไม่หวายแล้ว ขอขี่คอหน่อยน้า”

   ตะกายจะขึ้นหลังเขาให้ได้ ตรัยต้องรวบขัอมือทั้งสองข้างแล้วจับอุ้มพาดบ่าตัดปัญหาคนนัวเนีย

   เพี๊ยะ!

   “อยู่เฉยๆ อย่าดิ้น” ฟาดก้นไปหนึ่งทีอย่างอดไม่ได้ พอเมาแล้วดื้อกว่าเดิมเป็นสิบเท่า

   “แหวะ จะอ้วก”

   รีบปล่อยลงบนฟูกแทบไม่ทัน มันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นถ้าคนเมาไม่รั้งต้นคอของเขาเข้ากอดรัดแล้วเกลือกกลิ้งริมฝีปากตัวเองหยอกล้อกับใบหน้าเขา สัมผัสร้อนเจือกลิ่นแอลกอฮอล์ปัดผ่านทำให้รู้สึกหวามไหว ทั้งยังมอมเมาให้ลุ่มหลงอยู่กับความนุ่มหยุ่นของริมฝีปากอิ่มแดง

   “ตังเก...มาให้พ่อกอดหน่อยน้า” ป่ายมือเปะปะ ปรือตาขึ้นมองแล้วขมวดคิ้วยุ่ง “ทำไมตังเกหน้าเหมือนคุณตรัยเลยล่ะ?”

   “ก็ฉันน่ะสิ...ไม่ใช่หมาของเธอสักหน่อย”

   ตรัยจับยึดปลายนิ้วมือของชายหนุ่ม หัวใจเต้นดังจนได้ยินเสียงสะท้อนในแผ่นอก อยากลองสัมผัสริมฝีปากนั้นดูอีกสักครั้งแต่ไม่มีโอกาสได้ทำเพราะได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาก่อน

   “...!”

   ณัฐ…

   ช่างเรือหนุ่มทำหน้าเหมือนเห็นผี ตรัยได้แต่พึมพำบอกว่าไม่มีอะไรและแสดงอาการเหมือนลังเลใจอยู่ชั่วครู่ พอเห็นรุ่งภพเริ่มกรนหลับก็หุนหันออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งความสงสัยก้ำกึ่งเอาไว้ในใจของช่างเรือ






   รุ่งภพโบกมือเรียกร้องความสนใจจากตรัย เขาถามชายหนุ่มไปหลายรอบแล้วว่าจะออกไปติดตั้งซั้งเชือกด้วยกันหรือเปล่าแต่ตรัยก็ยังนั่งนิ่งไม่ตอบสนองใดๆ

   “หลับหรือเปล่า?”

   “เหมือน...คนใจลอยมากกว่านะครับ” หนุ่มใต้บอกกับธาวิน เปลี่ยนจากโบกมือมาเป็นสะกิดเรียก ตรัยหันขวับ เปลือกตาที่หลุบลงเมื่อคู่นี้ตวัดจ้องเขม็ง ทำเอาคนเรียกหน้าซีดเผือด เผลอขยับตัวออกห่างไปเบียดชิดกับธาวิน

   “มีอะไร?” ตรัยปรับแววตาให้อ่อนลง แม้กระทั่งน้ำเสียงก็อ่อนลงด้วยเช่นเดียวกัน

   “ทางหน่วยงานเขาขออาสาสมัครที่ดำน้ำได้ลงไปติดตั้งซั้งเชือกในทะเลครับ ผมก็เลยมาถาม...เผื่อคุณอยากทำ”

   “เธอไปหรือเปล่าล่ะ”

   “ไปครับ”

   “ถ้าเธอไปฉันก็ไป”

   “คุณวินไปไหมครับ”

   ธาวินส่ายหัว โบกมือขอบาย “ไม่เอาล่ะ พี่ดำน้ำไปเป็น”

   การทำซั้งเชือกไม่ยุ่งยากเหมือนซั้งกอ อุปกรณ์ไม่เยอะแต่ใช้เวลาทำนาน กว่าจะได้ครบตามที่กำหนดก็กินเวลาหลายชั่วโมง จากเช้าเคลื่อนไปบ่าย จากบ่ายเคลื่อนไปจนบ่ายคล้อย ขนาดรุ่งภพเองยังรู้สึกเมื่อยล้า นับประสาอะไรกับธาวินที่งอแงจะล้มเลิกอยู่หลายรอบ หากไม่ได้รุ่งภพคอยช่วยจนจบเส้น ซั้งเชือกในมือของชายหนุ่มคงไปใม่ถึงไหน ค้างเติ่งอยู่เพียงแค่ครึ่งเดียว

   “ทุกคนค้า~” เสียงปรบมือจากเจ้าหน้าที่สาวเรียกความสนใจไปยังด้านหน้าเวทีอีกครั้งหนึ่ง “เสร็จเรียบร้อยแล้วสำหรับซั้งเชือกที่พวกเราร่วมแรงร่วมใจกันทำมาตั้งแต่เช้า ไม่น่าเชื่อเลยว่าปีนี้พวกเราจะมารวมตัวกันได้เยอะขนาดนี้ ส่วนหนึ่งก็ต้องขอขอบคุณโซเชียลที่ทำให้ทุกคนเข้าถึงกิจกรรมดีๆ แบบนี้นะค้า”

   เธอลากเสียงผ่านไมโครโฟน พยายามสันทนาการเต็มที่แต่ไม่ค่อยมีใครให้ความร่วมมือเท่าไหร่นัก

   “เมื่อเช้าเราอธิบายความแตกต่างของซั้งเชือกกับซั้งกอไปแล้วนะคะ เดี๋ยวทางเจ้าหน้าที่จะขอทวนกับคนที่มาใหม่อีกรอบนึงก่อนเนอะ ข้อดีของซั้งเชือกก็คือความคงทน คงอยู่ได้นานเป็นปีไม่ต้องทำบ่อย จุดประสงค์ของการทำซั้งเชือกก็เพื่อทดแทนหญ้าทะเลและปะการังที่หายไป ให้สัตว์น้ำได้กลับเข้ามาหลบอาศัยและวางไข่ตามวงจรของมันอย่างที่ควรจะเป็นกันนะคะ”

   “ซั้งเชือกพวกนี้ พอปล่อยลงทะเลแล้วพวกเพรียงกับแพลงตอนจะเข้ามาเกาะจนกลายเป็นเมือกใส การสางเชือกให้เป็นฝอยจะช่วยให้ไข่ปลายึดเกาะได้ดีขึ้น ลักษณะใกล้เคียงกับหญ้าทะเลแต่ไม่มีกลิ่นหอมดึงดูดเหมือนอย่างซั้งกอที่ใช้ทางมะพร้าวเป็นวัสดุค่ะ”

   “มันจะไปมีประโยชน์อะไร โดนเรือใหญ่ลากอวนก็พังหมดแล้ว ไปห้ามพวกเรือใหญ่ที่ลักลอบเข้ามาในเขตสามไมล์ให้ได้ก่อนเถอะ” เสียงจากคนกลุ่มหนึ่งพูดโพล่งขัดจังหวะ น้ำเสียงหาเรื่องอย่างเห็นได้ชัด

   “ใช่ๆ เดือนก่อนก็เข้ามาลากแถวชายฝั่ง กวาดซั้งกอของพวกเราระเนระนาดไปหมด ปะการังก็ตายพื้นทะเลก็โดนกวาดจนตะกอนเลนมันฟุ้ง ไม่เห็นมีใครมารับผิดชอบเลย พวกเราอุตส่าห์ปักธงแจ้งเขตเอาไว้แล้วก็ยังทำ ซั้งตรงนั้นพวกเราทำไว้อนุบาลสัตว์น้ำ ไม่มีใครเขาจับกันหรอกถ้าไม่ใช่พวกเห็นแก่ตัว” คุณลุงที่นั่งใกล้กับเจ้าหน้าที่พูดขึ้นอย่างเหลืออด ไหนๆ วันนี้ก็มารวมตัวกันหมดแล้วทั้งนายทุนเรือเล็กนายทุนเรือใหญ่ จัดประชุมไปเลยก็แล้วกัน

   “พวกนายทุนเรือพาณิชย์มันอยากประหยัดน้ำมันไงลุง ไม่ต้องออกเรือไกลแถมยังได้กำไรบานเบอะ ไม่เชื่อก็ลองถามนายทุนพวกนี้ดูสิ” พยักหน้ามาทางกลุ่มของตรัยด้วยแววตากล่าวโทษ “ส่งลูกปลาตัวเล็กตัวน้อยไปทำปลาป่นตั้งเท่าไหร่แล้ว พวกนายทุนเรือใหญ่กับโรงงานชอบเอาเปรียบชาวบ้าน เรือก็ใหญ่กว่าแท้ๆ แต่ชอบมาเบียดเบียนเรือเล็กอย่างพวกเรา”

   “ใจเย็นๆ กันก่อนนะคะ” เจ้าหน้าที่สาวรีบเข้ามาไกล่เกลี่ย “ตอนนี้เรือใหญ่เข้ามาทำประมงในเขตสามไมล์ทะเลไม่ได้แล้วเพราะมีกฎหมายออกมาบังคับใช้แล้วค่ะ ถ้าลักลอบเข้ามาโดนปรับแน่นอน”

   “เห๊อะ! ปรับแค่ไม่กี่พัน ไม่สะเทือนขนหน้าแข้งพวกมันด้วยซ้ำ เดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็เอาใหม่ไม่หลาบไม่จำกันหรอก”

   ตรัยระบายลมหายใจยาว ไม่คิดว่าจะถูกลากเข้าไปพัวพันกับเรื่องแบบนี้ “เรือพาณิชย์ไม่ได้เห็นแก่ตัวกันหมดทุกลำหรอกนะครับ ตรงไหนผิดเราก็แก้ ตรงไหนห้ามเราก็ไม่ทำ ไม่มีใครอยากละเมิดกฎให้ถูกเพิกถอนทะเบียนเรือหรอก มันไม่คุ้ม”

   เจ้าของเรือพาณิชย์ลำอื่นพยักหน้าเห็นด้วย “ไอ้เรือที่คุณกล่าวหาน่ะ มันเป็นเรือเถื่อนหรือเปล่า พรก.ประกาศแบ่งเขตชัดเจนแล้ว ไต๋เรือเขารู้ดี ตรงไหนควรจับ ตรงไหนไม่ควรจับ ถ้าคุณพบเห็นก็แจ้ง ศปมผ. ไปสิ เดี๋ยวนี้เขาไม่ปรับกันพันสองพันแล้ว เขาริบสัตว์น้ำแล้วก็ยึดเครื่องมือทำประมงด้วย ใช่ไหมครับคุณเจ้าหน้าที่?”

   “ใช่แล้วค่ะ ทางกรมประมงได้ขอความร่วมมือให้เรือพาณิชย์ติดตั้งระบบ VMS ติดตามเรือแล้ว หากมีเรือลักลอบเข้ามาในเขตชายฝั่งจริง หน่วยปฏิบัติการเฝ้าระวังจะเห็นทันทีค่ะ ทางศูนย์ฯ ได้มีการจัดตั้งชุดตรวจและได้ทำการประสานกำลังจากเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายในการสอดส่องดูแลทั้งทางบกและทางน้ำ หากพบเจอการทำประมงผิดกฎหมายสามารถแจ้งมาที่ ศปมผ. ได้เลยค่ะ เราจะประสานงานกับยามฝั่งและส่งชุดตรวจออกไปทันที”

   “ชุดตรวจจับแต่ชาวบ้านน่ะสิ พวกเราไม่ใช่ปัญหาของ EU สักหน่อย เรือพื้นบ้านของพวกเราทำประมงกันแบบพอกินพอขาย ไม่ได้จับแต่ปลาเป็ดเข้าโรงงานไปทำเป็นปุ๋ยเป็นอาหารสัตว์เหมือนที่เรือพาณิชย์ทำ เล่นไปตัดวงจรมันแบบนั้น ปลาโตไม่ทันเพราะใครเป็นตัวปัญหากันแน่ พอปลาไม่มีก็เหมารวมว่าพวกเราทำประมงเกินขนาด บังคับเรือพื้นบ้านให้ขึ้นทะเบียนไม่พอยังมารื้อทำลายเครื่องมือทำมาหากินของพวกเราอีก แทนที่จะไปไล่เบี้ยเอากับตัวต้นเหตุ ดันมาเก็บเล็กเก็บน้อยกับพวกเราซะงั้น”

   คราวนี้รุ่งภพไม่อยู่เฉย เขาทำงานในเรือใหญ่มานาน แม้จะกอบโกยจนเต็มลำแต่ก็ไม่เคยไปตัดวงจรชีวิตของลูกปลาเหล่านั้น “พี่ก็เหมารวมไม่ต่างกันหรอก ผมทำงานบนเรือใหญ่มาตั้งหลายปียังไม่เคยเห็นไต๋เอาเรือเข้าไปจับปลาในเขตน้ำตื้นเลย เราออกไปไกลกว่านั้นตั้งหลายสิบไมล์ พวกลูกปลาไม่ใช่เป้าหมายของพวกเราสักหน่อย มันถ่วงอวน เอาขึ้นยาก ราคาก็ผูกขาดกับโรงงาน มันไม่ค่อยได้กำไรหรอกนะพี่ เว้นแต่โรงงานจะเข้ามาลงทุนออกเรือเอง”

   “ใครจะไปรู้ล่ะ กูไม่เคยทำงานบนเรือใหญ่นี่”

   “มึงพูดกับน้องเขาดีๆ ก็ได้ห่า” คนในกลุ่มช่วยปรามเพราะเห็นว่ารุ่งภพอธิบายด้วยเหตุผล

   “ถ้าพูดถึงเรื่องจับสัตว์น้ำวัยอ่อน ทำไมไม่พูดถึงโพงพาง ไม่พูดถึงไซดักของพวกคุณบ้างล่ะ มันก็จับสัตว์น้ำไม่เลือกเหมือนกันนั่นแหละ ไม่งั้นจะโดนรื้อถอนเหรอ” เจ้าของเรือพาณิชย์อีกลำพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ไม่ยอมรับผิดแต่เพียงฝ่ายเดียว

   “มันเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านโว้ย รู้ไม่จริงอย่าเสือก” ตะโกนบอกด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว แววตาเกรี้ยวกราดทำท่าจะปรี่เข้าไปหาเรื่อง

   “อันธพาล”

   “ถ้าพวกกูอันพาล มึงก็พวกสันดานเสียแหละวะ ไอ้พวกเห็นแก่ตัว”

   พอเห็นท่าไม่ดีตรัยจึงรีบลุกขึ้นแล้วดึงรุ่งภพกับธาวินให้ถอยห่าง หนุ่มใต้สะบัดข้อมือออกทำท่าเหมือนจะเข้าไปคลุกวงในกับฝ่ายตรงข้าม เขาต้องบีบเอาไว้จนแน่นแล้วถลึงตาดุ

   “ใจเย็นกันก่อนค่า ถ้าไม่อยากไปจบที่โรงพักต้องงดใช้กำลังกันนะคะ” เจ้าหน้าที่สาวตะโกนใส่ไมค์จนได้ยินเสียงวี้ดจากลำโพง ทุกคนพากันอุดหู เหตุการณ์สงบลงชั่วคราว “โอเค โปรดอยู่ในความสงบ”

   “คุณตรัย เรากลับกันเถอะ” ธาวินสะกิดแขนเจ้านายอย่างหวาดๆ นึกโอดครวญอยู่ในใจ...ไม่น่าตามมาเลย

   “รุ่งพาวินกลับไปก่อน”

   “แล้วคุณล่ะครับ”

   “เดี๋ยวตามไป” เขายังไปไหนไม่ได้ ไหนจะไต๋เรือและคนงานที่ยังอยู่ในนี้อีก

   “ไม่ต้องไปไหนหรอกครับ” ผู้ใหญ่บ้านเดินแทรกเข้ามาหาด้วยสีหน้าละอายใจ “คนของผมผิดเองที่เริ่มก่อน ต้องขอโทษด้วยนะครับ ช่วงนี้มีแต่ปัญหาเต็มไปหมด พวกเราก็อ่วมหนักเหมือนกัน บางคนไม่เข้าใจก็ผูกใจเจ็บ นิสัยอาจจะโผงผางไปบ้างแต่พวกเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอก”

   “ผมเข้าใจนะครับ พวกเราต่างก็ได้รับผลกระทบจากโอเวอร์ฟิชชิ่งเหมือนกัน...แต่การมาหาเรื่องทะเลาะกันแบบนี้มันไม่ใช่ทางออก เราควรจะคุยกันด้วยเหตุผลและหาทางออกร่วมกันไม่ใช่เหรอครับ? ไม่ใช่มาขัดแย้งกันเองแบบนี้” ตรัยถึงกับส่ายหน้า การที่รัฐบาลเข้ามาแก้ปัญหาเรื้อรังของวงการประมงไทยนับเป็นเรื่องที่ควรทำตั้งนานแล้ว เพียงแต่วิธีที่ใช้ออกจะรีบเร่งมากไปหน่อย แทนที่จะแก้ปัญหากลับสร้างผลกระทบต่อไปจนเป็นลูกโซ่ “ถึงขนาดเรือจะต่างกันแต่พวกเรามีอาชีพเดียวกันไม่ใช่เหรอครับ ทำไมไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันล่ะ”

   ชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นด้วยกับความคิดของตรัย แม้จะทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยๆ เรื่องอาณาเขตทำมาหากินแต่ก็ไม่เคยรุนแรงจนถึงขั้นนี้ “งั้นเรามาสร้างเครือข่ายชุมชนชาวประมงกัน คอยเป็นหูเป็นตาสอดส่องพวกเรือเถื่อน ช่วยกันฟื้นฟูพื้นที่ทำมาหากินให้กลับมาอุดมสมบูรณ์เหมือนเดิม ตกลงไหม”

   “ว่าไงล่ะเอ็ง” ผู้ใหญ่บ้านหันไปถามชายหนุ่มเลือดร้อน อีกฝ่ายมีท่าทางฮึดฮัดสุดท้ายก็พยักหน้ารับอย่างจำใจ “เป็นอันว่าตกลงแล้วนะ จะได้จบเรื่องนี้กันสักที ไม่งั้นก็กระทบกระทั่งกันอยู่นั่น คนที่เขาไม่รู้เรื่องก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย เรือดีๆ ก็มี เรือไม่ดีก็เยอะ ต้องรู้จักแยกแยะเสียบ้างอย่าเหมารวม”

   “ทางหน่วยงานของเราก็ใช่ว่าจะนิ่งนอนใจนะคะ เรารับฟังปัญหาทุกอย่างและดำเนินการแก้ไขกันอยู่ตลอด อาจจะล่าช้าไปบ้างเพราะต้องตรวจสอบให้ละเอียด ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่สามารถปลดใบเหลืองจากอียูได้อย่างที่หวังกันไว้แต่ทางเราก็พยายามอุดช่องโหว่กันอยู่ตลอด เพื่อให้ทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องและเพื่อความยั่งยืนของทะเลไทยค่ะ”

   “เอาเถอะ เสร็จเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น”

   “ถ้ามองระยะยาว มันก็เป็นผลดีนั่นแหละ จะได้เผื่ออนาคต เผื่อลูกเผื่อหลานของเราด้วย”

   “อย่านานก็แล้วกัน ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว พวกเราต้องหาเงินส่งลูกไปเรียนหนังสืออีก”

   หลังจากเจรจากันเสร็จสิ้น ชาวบ้านส่วนหนึ่งก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เหลือเพียงนักดำน้ำอาสาสมัครและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนำซั้งเชือกลงไปติดตั้งในทะเล ธาวินต้องแยกตัวกลับมาหน้าหาดเพราะดำน้ำไม่เป็นและไม่มีใบอนุญาตดำน้ำ เขากลับมาตายรังที่เดิม ทางมะพร้าวและไม้ไผ่ที่ทิ้งเอาไว้ถูกขนขึ้นเรือไปหมดแล้ว เหลือเพียงคนเดียวที่ยังทำไม่เสร็จ นั่งกรอกกระสอบทรายอยู่เพียงลำพัง

   “ให้ช่วยไหม”

   มิ่งขวัญเงยหน้าขึ้น คิ้วเข้มเลิกสูงเมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่ม “ทำซั้งเชือกเสร็จแล้วเหรอ”

   “รู้ได้ไงอ่ะ ตอนไปฉันไม่ได้บอกใครเลยนะ”

   “นิสัยไม่ดี ถ้าผมไม่ออกมาเห็นคุณเดินออกไปกับไอ้รุ่งพอดีก็ตามหาไปเถอะ คงนึกว่าโดนตัวอะไรงาบลงทะเลไปแล้ว” ชายหนุ่มแบกกระสอบทรายขึ้นบ่า เดินลุยน้ำไปขึ้นเรือโดยมีธาวินตามหลังมาติดๆ

   “ลืมอ่ะ ขอโทษน้า”

   “ช่างเถอะ” มิ่งขวัญบอกปัดเหมือนไม่ใส่ใจ “จะไปหรือเปล่า? ไปก็ขึ้นมา”

   “ไปด้วย!” กระโดดโหยงเหยงปีนขึ้นเรือ มิ่งขวัญแอบหัวเราะกับท่าทางประหลาดของชายหนุ่ม เอื้อมมือไปฉุดแขนเล็กแล้วดึงขึ้นจนตัวลอย

   “ไม่หนักเหรอ”

   “หนักอะไร? ตัวเบาอย่างกับนุ่น”

   “ตลกละ ฉันหนักตั้งหกสิบเลยนะ ทำไมยกเหมือนไม่หนักเลยล่ะ”

   “หนักหกสิบเองเหรอ สูงเท่าไหร่เนี่ย?” มิ่งขวัญขมวดคิ้ว มองสำรวจเรือนร่างของชายหนุ่ม

   “172” ยืดอกอย่างภูมิใจในความสมส่วนของตัวเอง

   “ยืดทำไม เตี้ยจะตายห่า”

   “ใครจะไปสูงเหมือนคุณล่ะครับ สูงอย่างกับเสาไฟฟ้า คราวหลังติดหลอดไฟไว้บนหัวด้วยเลยนะ คนขาจะได้ไม่เข้าใจผิด”

   “เพ้อเจ้อ นั่งลง! จะออกเรือแล้ว” หนุ่มตัวโตโยกพังงาเพื่อกลับหัวเรือหันหน้าออกสู่อ่าว ธาวินร้องลั่นเสียงหลง หาที่จับยึดไม่ทันจึงล้มก้นจ้ำเบ้ากลิ้งลงไม่เป็นท่า

   “ไอ้บ้า! แกล้งฉันอีกแล้วนะ”

   เสียงหัวเราะถูกกลืนหายไปกับเสียงของเครื่องยนต์เรือ คงเห็นแต่แววตายิ้มได้และฟันขาวสะอาดตัดกับสีผิว ธาวินทำหน้างอง้ำได้ชั่วครู่ก็หลุดยิ้ม แววตาของมิ่งขวัญในตอนนี้ดูอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์ในยามเย็น

   พรายฟองคลื่นผุดเป็นทางยามใบพัดหมุนวนส่งเรือแล่นไปบนผืนน้ำ มิ่งขวัญชะลอเรือเมื่อขับผ่านไม้ไผ่ลำเก่าที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ต้น หนุ่มตัวโตดับเครื่องยนต์แล้วผูกเชือกยาวเกือบสามเมตรตรงโคนไผ่ ปลายอีกด้านผูกยึดติดกับถุงกระสอบทรายสำหรับถ่วงให้จมน้ำ

   แล่นออกมาไม่ไกลจากฝั่งมากนักก็เห็นไม้ไผ่ลำเก่าล้มระเนระนาดเหลืออยู่ไม่กี่ต้น พวกเราต้องแยกไปทิ้งซั้งจำนวนสามจุด เขาลูบรอยบั้งตรงปล้องไม้ไผ่อย่างสงสัยระหว่างช่วยมิ่งขวัญผูกเชือกยาว 3 เมตรตรงโคนไผ่ยึดกับกระสอบทราย

   “ทำไมต้องเจาะรูไม้ไผ่ด้วยล่ะ?” ลูบรอยถากตรงปล้องไม้ไผ่อย่างสงสัย

   “บั้งให้น้ำเข้า จะได้จมง่าย” เส้นเลือดบนหลังมือเด่นชัดยามผูกทางมะพร้าวยึดเอาไว้ตรงกลางเชือก “เดี๋ยวคุณผูกทางมะพร้าวแซมเข้าไปอีกสองกิ่งนะ ผมจะทำต่ออีกห้าต้น”

   ซั้งหนึ่งกอจะใช้ต้นไผ่ประมาณ 20 ต้นเพื่อให้ดูแน่นหนา ระดับความลึกที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 10  เมตร ถ้าลึกกว่านั้นกระสอบทรายจะดึงไม้ไผ่จนจมมิด เวลาชาวประมงมาจับสัตว์น้ำบริเวณนี้จะมองไม่เห็น ทำให้อวนหรือเครื่องมือทำประมงเสียหาย จึงต้องกะระดับความลึกเพื่อให้ปลายไม้ไผ่โผล่พ้นขึ้นมาจนสามารถมองเห็นได้ชัดเจน

   “แล้วธงนี่ล่ะ” ธาวินหยิบธงแดงชูขึ้น จะให้เอาไปประกอบตรงส่วนไหน

   “ผูกติดกับปลายยอด เวลามีเรือเข้ามาใกล้เขาจะได้รู้ ไม่เข้ามาวางอวนแถวนี้”

   การทำงานบนเรือไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะถูกคลื่นโยนไปมาจนกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ เขาไม่มีอาการเมาเรือแต่ทรงตัวค่อนข้างลำบาก นอกจากคลื่นแล้วยังมีลมทะเลพัดโกรกเข้ามาไม่หยุด ผมของธาวินเริ่มเปลี่ยนเป็นรังนก ยุ่งเหยิงไปหมดไม่เหลือคราบของหนุ่มเจ้าสำอาง

   “วันนี้สนุกไหม” มิ่งขวัญถามด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึมแต่แววตาคาดหวัง

   “ก็โอเค ระทึกดี”

   “ระทึก?”

   ธาวินหัวเราะ เล่าให้ฟังย้อนหลังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ถ้านายไปด้วยนะ คงได้มีเรื่องกันจริงๆ แน่”

   “ถ้าคุณห้ามผมก็ฟัง”

   ธาวินเลิกคิ้ว อย่างมิ่งขวัญน่ะเหรอจะฟังเขา? “จะพยายามเชื่อก็แล้วกันนะ”

   “เชื่อได้แน่นอน ตั้งแต่รู้จักคุณ ผมรู้สึกว่าตัวเองใจเย็นขึ้นเยอะเลย”

   “จริงเหรอ? แสดงว่าฉันเป็นคนใจเย็น นายถึงได้เย็นตามฉันไง”

   มิ่งขวัญส่ายหัว ตอบกลับแบบไม่ปราณี “เปล่าอ่ะ โดนคุณยั่วโมโหจนปลงไปแล้วต่างหาก”

   “ฉันไปยั่วโมโหนายตอนไหนกัน มั่วแล้ว”

   “ทุกตอนนั่นแหละ ตื่นมาก็โมโหแล้ว ตีนนี่แทบจะฟาดขึ้นมาบนหน้าผม”

   ธาวินหน้าร้อนซู่ ปกติเขาเป็นคนนอนเรียบร้อยแต่วันนั้นร้อนมากจึงเขยิบไปนอนตรงปลายฟูกเพราะพัดลมตั้งอยู่ตรงนั้น “เดี๋ยวก็ไม่อยู่ให้โมโหแล้วน่า”

   “จะกลับแล้วเหรอ?”

   “อืม…” ปกติธาวินเป็นคนพูดมากแต่ตอนนี้กลับพูดไม่ออกสักประโยคเพราะรู้สึกหน่วงๆ ภายในอก

   ใจหายเหมือนกันนะ

   “แล้วจะกลับมาอีกไหม?”

   “ไม่รู้เหมือนกัน” เขายังไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลับมา “ไม่ดีใจเหรอ ฉันกำลังจะกลับแล้วไง”

   “ทำไมต้องดีใจด้วยล่ะ”

   “นายไม่ชอบฉันนี่”

   “ผมบอกตอนไหนว่าไม่ชอบ”

   “อ้าว…ตอนเจอกันวันแรกไง นายทำเหมือนไม่เต็มใจจะให้ฉันไปอยู่ด้วย”

   “ผมก็เป็นของผมแบบนี้แหละ ไม่ได้เกลียดคุณสักหน่อย”

   “เหรอ? แล้วตอนนี้ล่ะ...”

   “ตอนนี้ทำไม”

   “ชอบแล้วหรือยัง”

   มิ่งขวัญหลบสายตาทำเป็นยุ่งวุ่นวายกับการปล่อยซั้งลงทะเล เขารู้ว่าธาวินหยอกเล่นแต่ก็เผลอใจเต้นไม่เป็นส่ำกับแววตาล้อเลียนนั้น

   หนุ่มกรุงเทพยิ้มกริ่ม เอนกายพิงกราบเรือแล้วทอดสายตามองตามกระสอบทรายที่ดึงรั้งทางมะพร้าวไหลลงสู่ทะเล ลำไม้ไผ่ติดธงสีแดงสะบัดไหว ปลายยอดไหวเอนไปตามเกลียวคลื่น หยอกล้อกับแสงสุดท้ายในยามเย็น

   ถ้ามีโอกาส...เขาก็อยากจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งเหมือนกัน
 


TBC


        สู้ๆ นะคะคุณ mab ขอให้ผลสอบเป็นอย่างที่ตั้งใจนะคะ แสงเป็นกำลังใจให้  :กอด1:
       
        ขอบคุณคอมเมนต์จากขาประจำด้วยนะคะ 555 ได้อ่านคอมเมนต์แล้วมีกำลังใจขึ้นเยอะเลย ถึงตัวเองจะไม่ค่อยเขียนทอล์คก็เถอะ แฮร่ เดี๋ยวตอนหน้าจะพาไปปล่อยเกาะนะคะ เจอกันพรุ่งนี้น้า เลิฟฟฟฟฟฟฟ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 17 l 20/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-09-2019 22:24:06
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 17 l 20/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-09-2019 23:14:36
 :impress2:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 18 l 21/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 21-09-2019 20:27:21
บทที่ 18






   เรือตรวจการณ์ดับเครื่องยนต์หลังจากลัดเลาะเข้ามาในหมู่เกาะแห่งหนึ่ง ผืนน้ำสีเขียวใสสะท้อนแสงแดดเป็นประกายระยับจับสายตา อากาศในวันนี้ปลอดโปร่งปราศจากเมฆฝนเช่นทุกวัน ตรัยสูดหายใจลึกรับอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด เขาสวมตีนกบให้กับตัวเองหลังจากใส่ชุดดำน้ำเรียบร้อยแล้ว   

   “ใครไม่มีบัตรดำน้ำห้ามลงนะครับ ลีดเดอร์ช่วยดูด้วย” เสียงของเจ้าหน้าที่ตะโกนเตือนขณะที่ลูกทีมอาสาสมัครกำลังจับคู่บัดดี้กัน “ส่วนคนที่ไม่ได้ลงไปให้รอสแตนบายอยู่บนเรือนะครับ คอยรับส่งอุปกรณ์แล้วก็ระวังเรือลำอื่นให้ด้วย เดี๋ยวจะแล่นมาชนกับนักดำน้ำเข้า”

   ทุกคนบนเรือขานรับด้วยน้ำเสียงแข็งขัน เริ่มปฏิบัติภารกิจด้วยการขนซั้งเชือกลงไปในน้ำพร้อมกับถังออกซิเจนสำหรับเติมลมใส่แกลลอน รุ่งภพเองก็สวมชุดและประกอบถังเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงเขาที่ยังนั่งเช็คถังอากาศอยู่ตรงบันไดเรือ

   “ให้ช่วยอะไรไหมครับ”

   “ดูแรงดันตรงเกจให้หน่อย” เขาบอกขณะเปิดวาล์วถังอากาศจนสุดแล้วหมุนกลับมาเพียงเล็กน้อย รุ่งภพนั่งคุกเข่าลงข้างเขา ช่วยตรวจดูแรงดันจากเกจให้ พอเห็นเข็มนิ่งก็ลามไปตรวจเช็คปุ่มเติมลมและปล่อยลมจากเสื้อ BCD ที่เขาจะต้องสวม

   “เราต้องลงไปลึกไหม” เขาถามขณะสวมเสื้อ BCD เข้ากับลำตัว สะพายถังอากาศหนักอึ้งเอาไว้บนแผ่นหลัง

   “ประมาณ 20 เมตรครับ” หนุ่มใต้ช่วยติดสายรัดเข็มขัดให้ แพขนตางอนยาวหลุบลงต่ำ ใกล้จนเห็นรอยกระเล็กๆ บนผิวแก้ม ตรัยเผลอกลั้นลมหายใจเมื่อถูกคุกคามจากฝ่ามืออุ่น หน้าท้องเสียววูบจากรอยสัมผัสที่ลากไล้ลงต่ำไปยังเข็มขัดใต้เอว

   ต้องรีบตะครุบมือของรุ่งภพไว้แล้วยึดแน่น ชายหนุ่มสะดุ้งตกใจ เงยหน้าขึ้นมองเขาตาโต

   “ผะ...ผมแค่จะเช็คเข็มขัดถ่วงน้ำหนักให้...”

   ตรัยควบคุมลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติ ความรู้สึกเหมือนไฟช็อตเมื่อครู่นี้ทำเอาวาบหวิวไปทั่วช่องท้อง “ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันทำเอง เธอลงไปก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวฉันอุ้มถังอากาศอีกใบเอง”

   เขาเบนความสนใจไปยังถังอากาศอีกใบที่ต้องนำติดตัวลงไปด้วย เจ้าหน้าที่บอกให้เราอัดอากาศเข้าไปในทุ่นแกลลอนที่ผูกติดกับซั้งด้วยเพื่อให้เชือกมันลอยตัว

   “พร้อมนะครับ”

   “อืม” ตรัยพยักหน้ารับ เอาเรกูเลเตอร์เข้าปากแล้วก้าวกระโดดลงสู่ผืนน้ำ ทะเลสีเขียวมรกตค่อนข้างใสจนเห็นแผ่นหลังปราดเปรียวของชายหนุ่ม ซั้งเชือกในมือของรุ่งภพแผ่สยายราวกับพุ่มสาหร่ายแตกกอ มันหมุนเป็นเกลียวตามการเคลื่อนไหวของคนถือ เป็นภาพที่สวยงามเพียงชั่วครู่ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความยุ่งเหยิงจากปลายเชือกที่ม้วนมาพันกัน

   ตรัยส่ายหัว เขากลั้นยิ้มเมื่อเห็นชายหนุ่มตีขาหนีเชือกจนวุ่นวาย

   เอวเล็กสอบถูกรวบกอดด้วยท่อนแขนเพียงข้างเดียว หนุ่มใต้รั้งแขนของตรัยออก รู้สึกประหลาดเมื่อโดนสวมกอดจากทางด้านหลัง

   ตรัยเขกหัวให้ชายหนุ่มลอยตัวนิ่งๆ เขาต้องใช้ขาหนีบถังอากาศเอาไว้ขณะแก้ปลายเชือกออกจากข้อเท้าเล็ก ตีนกบถูกเชือกดึงรั้งจนหลุดออก ยังดีที่เขาคว้าเอาไว้ได้ทันและสวมมันกลับคืนให้กับเจ้าของโดยไม่นึกรังเกียจส้นเท้าแตกระคายมือ

   รุ่งภพออกอาการเก้อเขินเล็กน้อยและไม่กล้าสบตาเขา ชายหนุ่มพลิกตัวดำดิ่งลงไปโดยไม่รั้งรอเขาอีก ตรัยอมยิ้มขณะอุ้มถังอากาศตามติดด้วยความเอ็นดู

   อุณหภูมิใต้น้ำเริ่มเย็นลงจนรู้สึกได้เมื่อดำลึกลงมาเกินสิบเมตร นาฬิดิจิตอลบนข้อมือบอกระดับความลึกปัจจุบันอยู่ที่ 17 เมตร  อุณหภูมิลดลงเหลือ 28 องศาเซลเซียส ทัศนวิสัยเริ่มขุ่นมัวเล็กน้อยแต่ยังมองเห็นได้ชัดอยู่ นักดำน้ำทีมแรกลงไปถึงพื้นทรายแล้วและกำลังผูกเชือกเข้ากับแท่นคอนกรีตทรงจตุรัสแบบโปร่งซึ่งวางซ้อนกันเป็นตั้งสูง

   แท่นคอนกรีตนี้น่าจะเอามาทิ้งไว้นานแล้วเพราะมีตะไคร่และหอยเกาะอยู่เต็มไปหมด บริเวณโดยรอบมีฝูงปลาหลายชนิดว่ายวนอยู่ไม่ห่าง บางตัวก็ว่ายเข้ามาคลอเคลีย บางตัวก็ว่ายผลุบหายเข้าไปในซากแท่นแล้วไม่โผล่ขึ้นมาอีกเลย

   รุ่งภพกวักมือเรียกให้เขาว่ายไปหา ชายหนุ่มถือวิสาสะฝากเชือกทั้งหมดไว้ที่เขาด้วยการคล้องพาดลงมาบนท่อนแขน จากนั้นก็ว่ายมาหยิบไปผูกกับแท่นคอนกรีตทีละเส้นจนหมด ใช้เวลาไม่นานนักบริเวณนี้ก็เต็มไปด้วยซั้งเชือกแผ่สยายเต็มอาณาเขต ฝูงปลาเริ่มว่ายวนเข้าพุ่มนั้นออกพุ่มนี้ ดูสนุกกับสิ่งแปลกปลอมที่มนุษย์นำมาให้

   เขายกนิ้วให้ชายหนุ่ม เราว่ายเกาะเกี่ยวไปยังปลายเชือกแล้วอัดอากาศจากถังที่อุ้มมาเข้าไปในแกลลอนที่ผูกไว้ ทุ่นขนาดย่อมถูกอัดลมเข้าไปจนเต็มใบ มันดึงเชือกให้ตั้งขึ้นทวนกระแสน้ำจนเป็นเส้นตรง นักดำน้ำทุกคนว่ายออกห่างเพื่อดูผลงานของตัวเองในมุมกว้าง และในส่วนของเจ้าหน้าที่จะมีการถ่ายภาพและจดบันทึกลงชาร์ตด้วยเพื่อนำไปประเมินผล

   ตรัยละสายตาจากพวงเชือกหันไปหาหนุ่มใต้ รุ่งภพยังคงว่ายวนเวียนอยู่รอบตัวเขาและชี้ชวนให้ขึ้นไปยังด้านบน ตรัยหันกลับไปมองซั้งเชือกเป็นครั้งสุดท้าย ทันเห็นครอบครัวหมึกตัวใสกำลังพุ่งหัวไปข้างหน้าแล้วจมหายไปในพุ่มเชือกยอดบนสุด เขาหันไปมองรุ่งภพแล้วส่งยิ้มผ่านดวงตา นี่คือสิ่งที่มนุษย์กลุ่มหนึ่งพอจะทำให้ได้เพื่อรักษาสมดุลให้กับทะเลไทย

   “วันนี้อากาศดีนะ...ฝนคงสอบผ่านแล้ว”

   รุ่งภพเลิกคิ้วขึ้น ถอดถังอากาศคืนให้กับเจ้าหน้าที่ระหว่างปลดชุดดำน้ำออก “จะเล่นมุกฝนไม่ตกใช่ไหมครับ?”

   ตรัยหัวเราะ เขาไม่ใช่คนสนุกสนานเฮฮา แค่อยากหาเรื่องชวนคุยแต่ดูไม่เป็นธรรมชาติเอาซะเลย “ไปเที่ยวกันไหม”

   “หือ? ไปวันนี้เหรอครับ”

   “ใช่...เดี๋ยวให้เขาแวะไปส่งที่มารีนาได้ไหม”

   “ก็...น่าจะได้มั้งครับ” มารีนาเป็นท่าเทียบเรือของพวกเศรษฐี มันเป็นทางผ่านก็จริงแต่ต้องแล่นเข้าไปในร่องน้ำของท่าเรือเอกชน “คุณจะไปไหนเหรอครับ ไม่ให้ผมพาไปแล้วเหรอ”

   “ฉันจะพาเธอไปติดเกาะ”

   “ติดเกาะ?”

   ตรัยยักคิ้วให้ข้างหนึ่ง มุมปากยกยิ้มขณะเท้าคางมองสีหน้างุนงงของชายหนุ่ม

   เขาแค่อยากแน่ใจอีกสักนิด…หากอยู่ด้วยกันตามลำพังอีกครั้ง ความรู้สึกนั้นจะหวนกลับมาไหม?






   หนุ่มตังเกมองไปรอบตัวอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นเรือยอร์ชมากมายจอดเรียงรายอยู่เต็มปากอ่าว มารีนาเป็นท่าเทียบเรือพิเศษที่คนธรรมดาอย่างเขาไม่มีวันเข้าถึง แค่ค่าอาหารในซุปเปอร์มาเก็ตเขาก็ไม่มีปัญญาจ่ายแล้ว คนที่มาเลือกซื้อโดยไม่ลำบากเงินในกระเป๋าล้วนเป็นคนรวยกันทั้งนั้น รุ่งภพจึงเหมือนกาดำในฝูงหงส์ ตกเป็นเป้าสายตาของคนที่เดินผ่านไปมาเพราะสวมใส่เพียงเสื้อผ้าปอนๆ

   รู้สึกเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง

   “...?”

   หนุ่มใต้ชะงักเมื่อถูกกอบกุมฝ่ามือที่เริ่มเปียกชื้นจากความประหม่า ตรัยจับจูงเขาเหมือนกลัวจะพลัดหลง เสี้ยวหนึ่งภายในใจรู้สึกเก้อเขินเพราะไม่เคยกุมมือใครโจ่งแจ้งขนาดนี้มาก่อน ยิ่งเป็นผู้ชายด้วยกันก็ยิ่งโดดเด่นเข้าไปใหญ่ ถึงจะอายจนแก้มแดงแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยเพราะมันช่วยให้อบอุ่นภายในใจ

   รุ่งภพรู้สึกสบายใจขึ้นหลังจากเดินผ่านเครื่องตรวจไปยัง Sea float บริเวณนี้ไม่ค่อยมีคนมากนักจึงลดความอึดอัดลงไปได้บ้าง เขาเดินเหยียบแผ่นปูกันลื่นตามหลังตรัยไปยังเรือยอร์ชรูปลักษณ์ปราดเปรียวลำหนึ่ง มันจอดรออย่างสงบและมีการ์ดรักษาความปลอดภัยตลอดเวลา

   ต้องรวยแค่ไหนกันนะ ถึงจะมีเรือยอร์ชเป็นของตัวเอง

   “ขึ้นมาสิ”

   ตรัยดึงชายหนุ่มขึ้นแล้วตรงดิ่งไปยังห้องควบคุมเรือ การ์ดด้านล่างช่วยปลดเชือกคล้องให้ โบกมือให้เรือแล่นออกจากช่องอย่างนุ่มนวล

   “คุณขับเรือเป็นด้วยเหรอครับ?” ความสามารถซ่อนเร้นนี้มันทำให้เขาตกใจอยู่นิดหน่อย

   “ถ้ามีพวงมาลัยก็ขับไม่ยากหรอก ให้ถือคันบังคับเลี้ยวแบบเธอคงไม่ไหว”

   รุ่งภพเบะปาก พังงาของเขาขับง่ายกว่าพวงมาลัยอีก แค่โยกซ้ายโยกขวาเอง

   พอไม่มีอะไรทำก็ได้แต่นั่งเซ็งบนเบาะตัวยาวหลังคนขับ เขากลายเป็นตัวไร้ประโยชน์ไปโดยปริยายเพราะไม่สามารถช่วยอะไรได้แม้กระทั่งขับเรือ

   รุ่งภพขับเรือแบบนี้ไม่เป็น ตรัยเองก็คงจะไม่ไว้ใจให้เขาขับด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงจะถามไปนานแล้วไม่ปล่อยให้เขานั่งสบายแบบนี้หรอก

   “คุณซื้อหมึกสดมาทำไมตั้งเยอะแยะครับ จะทำอาหารกินบนเรือเหรอ?” เขารื้อถุงพลาสติกออกดู นอกจากหมึกในถาดโฟมแล้วยังมีน้ำเปล่าและกระป๋องเบียร์อีกครึ่งแพ็ค

   “อื้ม...จริงๆ ฉันจะซื้อมาเป็นเหยื่อตกปลา แต่ถ้าตกไม่ได้ก็กินมันแทนนั่นแหละ”

   “มีเบ็ดเหรอครับ?”

   “มี…เหน็บอยู่บนดาดฟ้าเรือน่ะ”

   “งั้นไม่ต้องกังวลเลยครับ ตกได้แน่นอนเพราะมีผมอยู่ด้วย”

   “เบ่งใหญ่เลยนะ แข่งกันตกไหมล่ะ” ตรัยปรับแผงควบคุมเป็นโหมด Autopilot เขาหันมาประจันหน้ากับชายหนุ่ม ปล่อยให้เรือวิ่งอัตโนมัติไปยังพิกัดที่ตั้งไว้

   “ชนะแล้วได้อะไรครับ”

   “อยากได้อะไรล่ะ” ตรัยถามกลับ ชายหนุ่มกัดริมฝีปาก ท่าจะคิดหนักเพราะคิ้วเริ่มยุ่ง “คิดนานจัง ไม่มีอะไรที่อยากได้เลยเหรอ?”

   “ไม่รู้สิครับ ยังคิดไม่ออกเลยว่าอยากได้อะไร...แล้วถ้าคุณชนะล่ะ?”

   ตรัยชะงัก คิดแต่จะให้จนลืมนึกถึงตัวเอง “ถ้าชนะแล้วจะบอก”

   “ขอราคาเบาๆ นะครับ”

   “ฉันไม่ได้จะให้เธอซื้ออะไรสักหน่อย”

   “อ้าว แล้วคุณอยากได้อะไรจากผมล่ะครับ”

   ตรัยจ้องมองชายหนุ่มด้วยแววตาซับซ้อน “มันไม่ใช่ของที่ต้องหาซื้อหรอก…มั่นใจได้ฉันไม่สูบเงินในกระเป๋าเธอแน่นอน” เขาทิ้งประโยคคลุมเคลือเอาไว้ให้ชายหนุ่มขบคิดแล้วหันกลับไปควบคุมเรือต่อ วันนี้กระแสลมค่อนข้างดี ดูจากจอเรดาร์แล้วน่าจะแจ่มใสจนถึงเย็น

   เรือยอร์ชสีขาวแล่นผ่านท่าเรือและสิ่งปลูกสร้างออกสู่เวิ้งอ่าวกว้าง ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็แล่นเข้าสู่หมู่เกาะหนาแน่น รุ่งภพอมยิ้มจนแก้มตุ่ยเมื่อเห็นลิงแสมตัวน้อยกำลังห้อยโหนกิ่งโกงกางด้วยท่วงท่าพิศดาร มันเหลียวหลังกลับมามองพวกเขาด้วยอาการสนใจใคร่รู้ ดูคุ้นชินกับมนุษย์พอสมควร คงมีเรือลัดเลาะเข้ามาเที่ยวแถวนี้อยู่บ้างแต่คงจะนานๆ ทีเพราะเงียบสงบจนเคว้งคว้าง

   “จะพาผมไปเกาะไหนครับ ใช่เกาะของคุณหรือเปล่า?”

   “เพิ่งจะมาถามเนาะคนเรา ถ้าพาไปขายจะรู้ไหม”

   “ผมไว้ใจคุณหรอกนะครับ ถึงได้ไม่ถามน่ะ”

   “เชื่อคนง่ายจริง ขนาดฉันยังไม่ไว้ใจตัวเองเลย”

   รุ่งภพหันขวับ อ้าปากเหวอทำตาโต

   เรือยอร์ชชะลอความเร็วลงเมื่อแล่นเข้ามาในเขตร่องน้ำตื้น สุดปลายคลื่นเป็นหาดทรายโค้งสีขาวโดดเด่น บริเวณโดยรอบถูกโอบล้อมด้วยขุนเขาสูงชัน เวิ้งอ่าวรูปจันทร์เสี้ยวสะท้อนแสงแดดเป็นสีเขียวคราม ทิวมะพร้าวเบื้องหน้าเอนไหวตามแรงลม ส่งเสียงซ่อกแซ่กผสานกับเสียงนกร้อง

   “ว้าว~” รุ่งภพก้มตัวลงกำผงทรายที่ละเอียดราวกับผงแป้ง แม้จะมีเศษใบไม้และลูกมะพร้าวแห้งกรังหล่นอยู่เต็มไปหมดแต่ก็ยังไม่อาจลดทอนความสวยงาม

   “ต้นมะพร้าวเยอะจังเลยครับ”

   ตรัยหิ้วรองเท้าตามมาพร้อมกับมีดพร้าหนึ่งเล่ม เราต้องใช้ดิงกี แล่นเข้าฝั่งเพราะทิ้งสมอเอาไว้ค่อนข้างไกล “สมัยก่อนทวดของฉันเคยอาศัยอยู่บนเกาะนี้ พอท่านเสีย คุณตาก็แบ่งพื้นที่ทำสวนมะพร้าวอยู่หลายปีแล้วก็ปล่อยทิ้งร้าง กรรมสิทธิ์เลยตกทอดมาเรื่อยจนถึงฉัน บางส่วนก็แปลงเป็นโฉนดแล้ว บางส่วนก็ยังเป็น นส.3ก อยู่”

   “ทำไมถึงพาผมมาล่ะครับ?”

   “อยากพามา” แค่นั้น ไม่มีอะไรซับซ้อน

   “ตรงนั้นมีบ้านด้วย!” ชี้ไปยังเพิงง่อนแง่นสุดโค้งหาด

   “เหลือแต่โครงแล้ว เดี๋ยวค่อยรื้อออก สะพานนั่นก็ด้วย” ตอไม้ตรงหน้ายังพอมีเค้าโครงของบ้านพักอยู่บ้าง เพราะปล่อยทิ้งร้างเอาไว้นานนม จึงโดนลมและฝนกัดกร่อนจนผุพังไปหมด เสาไม้โอนเอนและเศษไม้ไผ่แตกหักเก่าคร่ำจนขึ้นรา รุ่งภพล้มเสาให้เอนราบลงไปกับพื้น แบมือขอมีดจากเขาฟันฉับลงบนคานค้ำ พังโครงสร้างที่เหลือให้ย่อยยับลงในพริบตา

   รื้อเก่ง

   “ปล่อยเอาไว้อันตรายครับ ไหนๆ ก็จะรื้ออยู่แล้วงั้นก็รื้อไปเลยแล้วกัน...เนอะ”

   “ตามนั้น” เขาจะไปค้านอะไรได้ล่ะ พังลงมาแล้วนี่…

   เราเดินเลียบชายหาดผ่านสวนมะพร้าวแน่นขนัด โค้งหาดเบื้องหน้าเป็นรอยเว้าแหว่งจากการกัดเซาะของน้ำทะเลและคลื่นลม กลายเป็นทางน้ำไหลเข้าไปท่วมในเกาะเป็นแอ่งใหญ่ พืชพรรรณจำพวกโกงกางขึ้นกระจายอยู่เต็มไปหมด สะท้อนความเขียวชอุ่มทอดเงาลงสู่ผืนน้ำกลายเป็นสีมรกต ตัดกับทะเลสีฟ้าด้านนอกจนกลายเป็นน้ำสองสีที่ไม่ค่อยกลมกลืน

   “น้ำใสจัง ลงไปเล่นได้ไหมครับ” ใสจนเห็นปลาแหวกว่ายอยู่ในนั้น ชายหนุ่มไม่รอให้เจ้าของอนุญาต เล่นโถมตัวลงน้ำดื้อๆ แล้วยิ้มกว้างอย่างถูกใจ “น้ำเย็นมากเลยครับ ลงมาเล่นด้วยกันเร็ว”

   กวักมือเรียกแล้ววักน้ำใส่ “เล่นเป็นเด็กๆ”

   “ก็ผมยังไม่แก่นี่ครับ…หรือว่าคุณแก่แล้ว?”

   ตรัยแยกเขี้ยวใส่คนแซว “ไม่เด็กแล้วก็ไม่แก่ อยู่ในวัยผู้ใหญ่เข้าใจไหม”

   “อะไรนะ?” เอามือป้องหูทำเป็นไม่ได้ยิน “อยู่ในวัยผู้สูงอายุแล้วเหรอ!”

    คนโดนกล่าวหาความดันพุ่งปรี๊ด กระโจนลงน้ำด้วยสีหน้าฉุนเฉียว

   “ว๊ากกก!”

   หนุ่มใต้ร้องตะโกนลั่นป่า ตะเกียกตะกายหนีมือที่ตามมาตะครุบจนหกคะเมนตีลังกา รุ่งภพตวัดมือโอบรั้งลำคอหนาเมื่อถูกจับทุ่ม แก้มแดงก่ำจากการสำลักน้ำติดต่อกัน

   “เป็นไงล่ะ ยังว่าฉันแก่อยู่ไหม?”

   “แก่! นี่ไง...ตีนกาเพียบเลย” จิ้มนิ้วไปตรงรอยขีดจางๆ บริเวณหางตา ตรัยเลื่อนมือลงไปประคองเอวของชายหนุ่ม จ้องริมฝีปากอิ่มด้วยหัวใจเต้นรัว

   คิดถึงคืนนั้นอีกแล้ว

   รุ่งภพละปลายนิ้วออกแล้ววักน้ำใส่แก้เก้อ ดวงตากลมหลุบลงต่ำมองริมฝีปากหยักที่เคลื่อนเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าว

   ตูมมม!

   เหมือนได้ยินเสียงบุ๋งๆ อยู่ในหัว ชายหนุ่มดันตัวเองขึ้นสู่ผิวน้ำพร้อมกับเสียงไอโขลกจนแสบร้อนในลำคอ “อะไรอ่ะ! แน่จริงอย่าเล่นทีเผลอเด่ะ” คำพูดคำจาเริ่มห้วนตามแรงอารมณ์

   “ทีใครทีมัน” ตรัยไม่สนใจสีหน้าบูดบึ้งของชายหนุ่ม เขากระโจนเข้าหาอีกครั้ง เล่นสนุกจนหลงวัย

   “ไม่เอาแล้ว ฮือ...พอแล้ว”

   ร้องงอแงแล้วหนีขึ้นฝั่ง พอสู้ไม่ได้ก็ยอมแพ้กันดื้อๆ นอนแผ่หลาหอบหายใจจนตัวโยน

   ตรัยหยิกแก้มของชายหนุ่มด้วยความมันเขี้ยว รอจนกระทั่งรุ่งภพหายเหนื่อยแล้วจึงพากันเดินกลับออกมาด้านนอก ไม่รู้ว่าใครเด็กใครแก่กันแน่ ทำไมคนที่บ่นเหนื่อยไม่หยุดจึงกลายเป็นคนแซวเสียเอง

   แสงแดดเริ่มโรยลาเหลือทิ้งไว้เพียงไออุ่นบนผิวทราย เสียงมะพร้าวหล่นตุ้บดังให้ได้ยินเป็นระยะขณะเดินออกมาหน้าหาด รุ่งภพหยิบติดมือมาสองลูกหลังจากเขย่าฟังและเลือกเปลือกที่ไม่หยาบมากนัก ชายหนุ่มใช้มีดปาดเปลือกออกอย่างชำนาญ เฉาะเปิดฝาให้ด้วยรอยมีดเรียบกริบ

   “อื้ม...หวานเหมือนกันนะ” ตรัยยกดื่มจนหมด ค่อนข้างพอใจกับรสชาติของน้ำมะพร้าวที่รุ่งภพปอกให้

   “หวานสิครับ มะพร้าวแก่แล้ว”

   “ถ้าอ่อนไม่หวานเหรอ”

   “อืม...ต้นสูงแบบนี้น่าจะเป็นมะพร้าวแกงนะครับแต่ไม่รู้พันธุ์อะไร ผลอ่อนจะฝาดครับ แถวบ้านผมปลูกไว้คั้นน้ำกะทิกันทั้งนั้น”

   “เหรอ...ปีนขึ้นไปเก็บมาลูกนึงเร็ว ฉันอยากชิม”   

   “โหย…คนนะครับไม่ใช่ลิง เอาไว้วันหลังเถอะ สูงขนาดนี้คงต้องทำบันไดปีนแล้วล่ะ” ชายหนุ่มโอดครวญ แค่แหงนหน้ามองก็เมื่อยคอแล้ว

   ขนาดลิงยังคิดหนักเลย

   ตรัยหัวเราะกับท่าทางของชายหนุ่ม แสงสุดท้ายจากดวงอาทิตย์สาดส่องผ่านทิวเขา ส่องกระทบแผ่นหลังของเราสองคนจนเกิดเงาบนผืนทราย

   “เกาะนี้มีชื่อไหมครับ”

   ดวงตาคมทอดมองหาดโค้งเว้าเบื้องหน้า ตรัยพยักหน้ารับ นึกถึงชื่อประหลาดในเอกสารที่ดิน “เกาะบูลัน ภาษาอะไรก็ไม่รู้”

   “ภาษามลายูครับ แปลว่าดวงจันทร์”

   “แปลภาษาได้ด้วย?”

   รุ่งภพส่ายหน้า “แปลไม่ได้หรอกครับ อาศัยจดจำเอา หลายพื้นที่ในภาคใต้ก็มีรากศัพท์มาจากภาษามลายูนั่นแหละครับ อย่างเกาะนี้ก็น่าจะตั้งตามลักษณะของชายหาด โค้งเป็นจันทร์เสี้ยวเลย...เหมือนวงเดือน”

   “วงเดือนงั้นเหรอ?...แปลเป็นไทยก็เพราะดี” ตรัยทอดมองโค้งหาดสีขาวเว้าแหว่งตามรอยคลื่น จดจำชื่อหาดเอาไว้ในใจ
   “ผมเอามะพร้าวกลับไปได้ไหมครับ”

    “หือ?” ตรัยเลิกคิ้วขึ้นเมื่อชายหนุ่มชี้ไปยังมะพร้าวแห้งที่หล่นเกลื่อน “จะเอากลับไปทำอะไร”

   “เอาไปคั้นกะทิขายครับ เสียดาย”

   เจ้าของเกาะพ่นลมหายใจออกมาดังพรืด ดูเหมือนความงกในตัวของรุ่งภพจะฝังรากลึกจนเกินเยียวยา สุดท้ายเรือยอร์ชของเขาก็กลายเป็นเรือบรรทุกมะพร้าวตามความต้องการของชายหนุ่ม

   “ไปอาบน้ำในเคบินก่อนไป ตัวเปียกมาทั้งวันแล้ว เดี๋ยวไม่สบายกันพอดี”

   “ผมไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนอ่ะครับ”

   “เดี๋ยวหยิบให้ เดินลงทางนี้” เขาดันแผ่นหลังของชายหนุ่มให้เดินลงบันไดข้างห้องบังคับเรือ

   ภายในเคบินใต้ท้องเรือมีห้องนอนอยู่สองห้องพร้อมห้องน้ำในตัว เขาหยิบเสื้อผ้าสำรองให้รุ่งภพก่อนจะแยกไปอาบอีกห้องหนึ่ง ด้านในเรือค่อนข้างคับแคบแต่สะดวกสบายด้วยการตกแต่งแบบบิวท์อิน เน้นงานผิวไม้และเครื่องหนังเป็นหลัก นอกจากห้องนอนแล้วยังมีเคาน์เตอร์ครัวและตู้เย็นสำหรับปรุงอาหารอีกด้วย ใช้เป็นบ้านหลังย่อมกลางทะเลได้เลย

   ตรัยแกะไส้กรอกใส่จานแล้วเอาเข้าไมโครเวฟ หลังจากเอากระป๋องเบียร์ออกมาจากตู้แช่รุ่งภพก็อาบน้ำเสร็จพอดี เสื้อสีขาวค่อนข้างเปียกชื้นเพราะชายหนุ่มเช็ดตัวไม่แห้ง ตรัยเบือนสายตาหลบ ใจแกว่งกับผ้าแนบเนื้อจนเห็นยอดอกสีเข้มผ่านเสื้อตัวบาง

   “ทำไมไม่เช็ดตัวให้แห้งก่อน เสื้อเปียกหมด” ทำเสียดุเข้าใส่แต่ภายใจใจเหลวแหลกเป็นขี้ผึ้งลนไฟ

   “ก็เช็ดแล้วนะครับ” สนใจที่ไหนล่ะ พอโดนดุก็เอาผ้าขนหนูโปะหัวแล้วหนีขึ้นไปดาดฟ้าด้านบน

   ตรัยหิ้วกระป๋องเบียร์เดินตาม แกะหมึกออกจากถาดแล้วเกี่ยวเข้ากับสายเบ็ด รุ่งภพจิ้มไส้กรอกเวฟเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ ไม่สนใจใคร “ลมแรงมาก คงไม่ได้กินแล้วล่ะปลา”

   ชาหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วย กรอสายเบ็ดที่ถูกลมพัดจนเส้นตึงกลับเข้ามาเล็กน้อยแล้วพิงคันทิ้งไว้โดยไม่คาดหวังอีก ดวงตากลมทอดมองทิวเขาผ่านแสงจันทร์สีเหลืองนวล ลมหายใจทอดยาวเจือกลิ่นแอลกอฮอล์อยู่เล็กน้อย

   “ถ้าทำรีสอร์ท คุณจะตัดต้นไม้พวกนี้ไหมครับ”

   สีหน้าของตรัยขรึมลง การทำรีสอร์ทต้องปรับพื้นที่เพื่อรองรับโครงสร้าง เขาเองก็นึกเสียดายต้นไม้พวกนี้อยู่ไม่น้อยแต่จะให้ล้มเลิกแล้วปล่อยเกาะทิ้งร้างเอาไว้แบบนี้เขาก็ไม่อยากทำ “บางทีธุรกิจก็สวนทางกับจิตสำนึกเหมือนกันนะ”

   “ไม่หรอกครับ มนุษย์กับธรรมชาติอยู่ร่วมกันได้ เราก็แค่ปรับตัวให้กลมกลืนกับมันเท่านั้นเอง”

   “สงสัยวิลล่าสไตล์ทรอปิคอลของฉันคงต้องเปลี่ยนเป็นกระท่อมชาวเกาะแล้วล่ะมั้ง”

   “ถ้าสร้างจริงเดี๋ยวผมมาช่วยมุงหลังคาให้”

   “พูดแล้วนะ”

   “ต้องมีค่าจ้างนะครับ ไม่ทำให้ฟรี”

   “งก” สีหน้าของตรัยบึ้งตึงขัดกับเสียงหัวเราะของชายหนุ่ม เขากระดกเบียร์ลงคออึกใหญ่แล้วนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาก่อนหน้านี้

   เขาไม่ค่อยได้มีเวลาผ่อนคลายแบบนี้เท่าไหร่นัก ด้วยภาระงานหลายอย่างทำให้ริดรอนความสุขในชีวิตประจำวันไปมากพอสมควร

   “ขอบใจนะ”

   รุ่งภพเงยหน้าขึ้นจากจานไส้กรอก แก้มบวมตุ่ยอย่างกับปลาทอง “ขอบใจอะไรครับ?”

   “ตอนแรกฉันยังลังเลว่าจะมาอยู่ที่นี่ได้ไหม…แต่พอได้เจอเธอ…ได้รู้จักเธอ ฉันก็รู้ว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดจริงๆ มันดีกว่าที่คิดเอาไว้มาก…เพราะมีเธอฉันเลยรู้สึกว่าชีวิตมันง่ายขึ้น ไม่รู้สึกแปลกที่แปลกทางอย่างที่คิด”

   ชายหนุ่มทำแก้มพองก๋า อ้าปากแล้วหุบแทบจะเหมือนปลาทองเข้าไปทุกที

   “เอ่อ...ผมก็โชคดีเหมือนกันที่ได้รู้จักคุณ...คุณ...ใจดีกว่าที่คิดเอาไว้เยอะเลย”

   “แค่นั้นเองเหรอ”

   ตรัยชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ชายหนุ่ม รุ่งภพผงะถอยด้วยความตกใจขณะที่ยังคาบช้อนคาเอาไว้ในปาก ตรัยยิ้มขณะเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ สัมผัสจากลมหายใจแผ่วบางแต่ชัดเจนในความรู้สึก ความเย็นจากช้อนแนบประทับด้วยแรงกดจากริมฝีปากของตัวเอง

   “ถ้าฉันทำกับเธอแบบนี้...ยังจะคิดว่าฉันใจดีอยู่อีกไหม?”

   ไม่มีคำตอบนอกจากแก้มแดงเรื่อที่ปรากฎสู่สายตา

   ตรัยหลุดยิ้ม

   เขากรอสายเบ็ดของตัวเองขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงสั่นกระตุกจากปลายสาย

   ปลาตัวใหญ่ถูกดึงขึ้นท่ามกลางความสับสนเออเร่อของชายหนุ่ม คนชนะยกยิ้มเพียงบางเบา นึกถึงสัมผัสเย็นชืดจากช้อนที่ขวางกั้นแต่ตราตรึงยิ่งกว่าครั้งไหน

   รอยจูบเมื่อครู่นี้…ถือว่าเป็นรางวัลของเขาก็แล้วกัน



TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 18 l 21/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 21-09-2019 21:49:31
ชอบ ในสาระที่สอดแทรก

ตอนหน้า  ขอคู่ มิ่ง กับวิน บ้างนะ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 18 l 21/9/62 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-09-2019 22:06:17
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 19 l 22/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 22-09-2019 19:48:14
บทที่ 19






I’m only one call away
I’ll be there to save the day
Superman got nothing on me
I’m only one call away
(One call away - Charlie Puth)


   ท่วงทำนองของเพลงสากลถูกขับร้องด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนประสานกับเสียงคล่อมจังหวะของเด็กสาว ถึงอย่างนั้นธาวินก็ยังควบคุมเพลงได้โดยไม่หลงจังหวะ พอจบท่อนฮุคก็ให้เด็กสาวแปลออกมาทีละท่อนจนกระทั่งพอใจ

   “I’m only one call away ฉันจะไปหาทันทีแค่เธอเรียก~” เด็กสาวยังฮัมเพลงต่อไม่หยุด ดูจะชอบใจกับท่อนนี้พอสมควร

   “โรแมนติกเนอะ” ธาวินคุยเด็กสาว

   “เพลงเสี่ยวฉิบหาย ทำไมแปลแล้วออกมาเลี่ยนแบบนี้อ่ะ” มิ่งขวัญขัดคอ ชีวิตจริงไม่เป็นแบบนั้นหรอก กว่าจะออกจากบ้านไปหาก็ล่อไปเป็นชั่วโมงแล้ว

   “เลี่ยนก็ไม่ต้องฟังสิ เข้าบ้านไปเลยไป”

   “นี่บ้านผม...ผมจะอยู่ตรงไหนก็ได้”

   ธาวินชะงัก เกือบลืมไปแล้วว่าไม่ใช่บ้านของตัวเอง “งั้นฉันไปเองก็ได้”

   “เฮ้ยคุณ! ผมไม่ได้จะไล่คุณนะ” รั้งท่อนแขนเล็กเอาไว้ หัวใจเริ่มร้อนรน “ผมมันปากไม่ดีเอง ขอโทษนะ”

   “ไม่ต้องขอโทษหรอก ที่นายพูดน่ะถูกแล้ว ฉันมันก็แค่คนอาศัย จะไปไล่เจ้าของบ้านได้ยังไง”

   “น้อยใจเหรอ? คิดอะไรกับผมหรือเปล่าเนี่ย”

   “ไอ้บ้า!” ธาวินเหวี่ยงหมัดตุ้บตั้บ จะโกรธก็โกรธได้ไม่สุดเลยสักที คราวนี้เขาไม่กลัวมิ่งขวัญสวนกลับเหมือนตอนแรกๆ แล้ว หลังจากเผลอตัวลงไม้ลงมือใส่ หนุ่มตัวโตก็แค่เบี่ยงตัวหลบและปัดป้องเพียงเท่านั้น ไม่เคยใช้กำลังกับเขาเลย

   “โฮ่งๆ หงิ๋งๆๆ”

   นังดาวเรืองเห่าระงมเมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์เรือดังมาแต่ไกล น้าเรส่งตะกร้าจ่ายกับข้าวให้กับลูกสาว ยื่นมือให้สามีดึงขึ้นแล้วช่วยกันดันเรือเข้าไปเก็บใต้ถุนบ้าน

   “ทำไอ่ไหรกันอยู่ตะเด็กๆ ว่างมาช่วยแม่ทำกับข้าวสักหิดหม้าย”

   “จะแกงอะไรเหรอครับน้าเร” ธาวินชะโงกดูกับข้าวในตะกร้า ไม่เห็นอะไรเลยเพราะโดนผักใบเขียวบดบังหมด

   “วันนี้ด้ายปูม้ามากะลุยแหม็ด อิทำน้ำชุบไข่ปูกับแกงเขียวหวานปูต่ะ”

   “น้ำชุบ?”

   “น้ำพริกค่ะพี่วิน” เด็กสาวช่วยแปลให้

   “เดี๋ยวผมช่วยนะครับ”

   “หือ? อิช่วยกันหมดนี่เลยหม้าย” ทั้งลูกสาวลูกชายเดินตามเข้าครัวกันเป็นแถว ปกติจะมีแต่มนชนกมาคอยช่วย ส่วนมิ่งขวัญไม่ค่อยได้เข้าครัวนัก ส่วนใหญ่จะรับหน้าที่ขูดมะพร้าวหรือติดเตาถ่านเพียงเท่านั้น หากวันไหนต้องนึ่งหรือต้มเป็นเวลานาน

   “หวันมุ้งมิ้ง ละ ช่วยกันอิได้เสร็จแขบๆ ”

   “เอ้า ช่วยกะช่วย เดี๋ยวมิ่งกับวินไปนึ่งปูทำน้ำชุบต่ะ มนมาช่วยแม่แกง เอ้อ…พ่อล่ะ พ่อไปไซร้ แม่อิให้ปอกพร้าว”

   “ยาแนวเรืออยู่จ้ะ เดี๋ยวหนูปอกห้ายกะได้”

   มิ่งขวัญหยิบมีดอีโต้มาถือแล้วเดินออกไปหน้าบ้าน เฉาะเปลือกมะพร้าวแห้งปั้กๆ ฉีกดึงกาบออกไม่กี่ครั้งก็ได้มะพร้าวสำหรับขูดคั้นกะทิแล้ว

   “คุณเอาปูไปล้างนะ เดี๋ยวผมจุดเตาให้แม่ก่อน” ถุงปูม้าถูกเทใส่กะละมังสแตนเลส ธาวินรับมาถืออย่างงงๆ ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเพราะไม่ถนัดทำกับข้าว

   “ต้องล้างยังไงอ่ะ”

   “เอายางที่มัดมันออกก่อน เสร็จแล้วก็ใช้แปรงถูไปตามซอกก้าม ล้างให้สะอาดแล้วพักไว้”

   ชายหนุ่มทำตามอย่างเก้กัง พอล้างเสร็จก็เอาไปให้ตรวจเหมือนส่งการบ้าน พอมิ่งขวัญพยักหน้าบอกผ่านก็ถอนหายใจโล่งอก นั่งรอหนุ่มตัวโตติดเตาเพื่อนึ่งปู

   “เก่งจัง” หลุดปากชมเมื่อเห็นเปลวเพลิงลุกไหม้บนรังผึ้ง

   “แค่นี้ต้องชมด้วย ใครๆ ก็ทำได้”

   “ก็ฉันทำไม่ได้นี่ จุดทีไรได้แต่ควัน”

   “เวลาจุดต้องหักกิ่งไม้ก้านเล็กๆ มาสุมไว้ก่อนจะได้ติดง่าย พอไฟลุกก็ทุบถ่านให้แตกเป็นก้อนเล็กๆ แล้วใส่ตามลงไป ถ้าใส่ก้อนใหญ่ลงไปเลยมันติดยาก ดีไม่ดีมันจะทำให้ไฟที่เราจุดติดแล้วดับอีกต่างหาก”

   “จุดเตาก็ต้องมีเสต็บด้วย”

   “ของทุกอย่างมันก็ต้องมีขั้นมีตอนทั้งนั้นแหละ อยู่ที่ใครจะหาทางลัดได้ดีกว่า” มิ่งขวัญยกซึ้งขึ้นตั้ง จับปูนอนหงายแล้ววางเรียงจนเต็มซึ้ง

   “จับมันหงายท้องทำไมอ่ะ?”

   “เวลานึ่งน้ำในตัวปูจะไหลออกมา ถ้าอยากให้เนื้อหวานก็ต้องหงายทิ้งเอาไว้ น้ำจะได้ค้างอยู่ในกระดอง เวลาสุกเนื้อปูจะได้ไม่แห้งเกินไปด้วย”

   “ทำกินเองก็ลำบากเหมือนกันเนอะ”

   “ไม่ลำบากหรอก ถ้าเอาแต่คิดแบบนั้นก็ทำกินไม่เป็นหรอก ซื้อเป็นอย่างเดียว”

   “รู้สึกเหมือนโดนด่าเลยอ่ะ” ธาวินทำปากมุบมิบ เขาเกิดมาสบายจนเคยชิน ถึงไม่ร่ำรวยล้นฟ้าแต่ก็ไม่เคยขัดสน ถูกสังคมในเมืองหล่อหลอมให้แก้ปัญหาด้วยเงินจนเคยตัว ขนาดคอนโดมีครัวและอุปกรณ์ครบครัน เขายังไม่เคยคิดจะแตะมันเลยด้วยซ้ำ เช้ากลางวันเย็นฝากท้องเอาไว้นอกบ้านสามเวลา ง่ายสุดก็ร้านสะดวกซื้อ เขาไม่คิดว่ามันสิ้นเปลืองอะไรเมื่อเทียบกับรายได้มากมายในแต่ละเดือน...

   มันก็จริงอย่างมิ่งขวัญว่า เพราะคิดว่ามันลำบากก็เลยไม่เคยใส่ใจ จนกระทั่งอายุป่านนี้แล้วเขายังทำอะไรไม่เป็นเลยนอกจากทอดไข่ดาวเละๆ ฟองหนึ่ง

   “ผมไม่ได้ว่าคุณนะ คนเราเกิดมาไม่เท่ากัน ถ้าคุณไม่เดือดร้อนก็ไม่เป็นไรหรอก ทุกคนก็อยากสบายกันทั้งนั้น บางทีผมก็ซื้อกินเพราะขี้เกียจทำอยู่เหมือนกัน”

   ธาวินกัดริมฝีปากกลั้นยิ้ม มิ่งขวัญเป็นคนปากไวไม่ค่อยคิดถึงความรู้สึกของคนอื่น แต่ระยะหลังมานี้เหมือนจะเก็บปากเก็บคำมากขึ้น รู้จักพูดก่อนคิด ถ้าพลั้งเผลอพูดอะไรที่ไม่ดีต่อความรู้สึกก็จะปลอบใจกันแบบนี้

   เหมือนตบหัวแล้วลูบหลังไปหน่อย แต่โดยรวมก็ดีขึ้นกว่าวันแรกที่รู้จักกัน

   “เดี๋ยวผมไปเอาครกมาตำน้ำพริกก่อนนะ”

   ปูนึ่งเริ่มส่งกลิ่นหอมยั่วจมูก พอเปิดฝาซึ้งออกดูก็เห็นก้ามของมันเปลี่ยนเป็นสีส้มทั่วทั้งตัว น้ำในกระดองเดือดคลั่กควันทะลัก ใบหน้าขาวเห่อแดงจากความร้อนที่ปะทุขึ้นจากเตา

   “น้ำลายหกลงไปแล้วมั้ง” มิ่งขวัญวางครกลงบนม้านั่ง หยิบปูนึ่งลงมาแกะกระดองออกแล้วหักก้ามให้กับธาวิน “กินไหม?”

   พยักหน้ารัว แววตาจดจ่อ ยื่นมือออกไปคว้าแต่มิ่งขวัญไม่ยอมให้

   “ต้องทำไงก่อน”   

   ตวัดตามองอย่างหงุดหงิดแล้วฟาดมือลงไปสองตุ้บ

   “โอ๊ย! คนกรุงเทพนี่ยังไงนะ ชอบใช้กำลังแท้วะ?” ลูบรอยแดงบนแขนตัวเองด้วยสีหน้าเสแสร้ง ธาวินฟาดมือลงไปซ้ำอีกหนึ่งที กว่าจะได้กินก็เหนื่อยจนแทบโมโห

   มิ่งขวัญส่งเสบียงไปให้อีกหลายก้ามระหว่างตำน้ำพริก หนุ่มใต้บุบกระเทียมและตำพริกขี้หนูอย่างคล่องแคล่ว ใส่กะปิและน้ำตาลโตนดลงไปโดยไม่ต้องตวงให้เสียเวลา ตบท้ายด้วยการบีบมะนาวแล้วตักให้แขกประจำบ้านเป็นคนชิม

   “เป็นไง เผ็ดไปเปล่า?”

   “พอดีแล้วล่ะ...หอมกะปิ” แลบลิ้นแตะตรงปลายช้อนอีกครั้งแล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ

   “ไหนชิมมั่ง” หันปลายช้อนเข้าหาตัวเองแล้วแตะลิ้นลงไปซ้ำ พอได้รสที่ธาวินต้องการก็ใส่เนื้อปูนึ่งลงไปผสม โรยหน้าด้วยไข่ปูปิดท้ายแล้วยกไปให้คนในครัวจัดจาน

   ปล่อยให้ธาวินนั่งคิดฟุ้งซ่านอยู่เพียงลำพัง นึกถึงลิ้นใหญ่ที่ชิมน้ำพริกต่อจากเขา

   ทำไมไม่เปลี่ยนช้อนก่อนเล่า?

   ไอ้บ้าเอ๊ย!







   มื้อค่ำในวันนี้แทบจะไม่มีใครสนใจละครดัง ทุกสายตาจดจ่ออยู่กับจานอาหาร โดยเฉพาะธาวินที่กำลังคร่ำเคร่งกับการแงะเนื้อปูออกจากก้ามไม่มีย่อท้อ

   “ไม่กินแกงเขียวหวานสักหน่อยล่ะคุณ?” มิ่งขวัญตักแกงเขียวหวานราดลงบนเม็ดข้าว ธาวินก้มมองแล้วขมวดคิ้ว เขี่ยผักสีเขียวที่ไม่รู้จักออกเหลือไว้แต่ปูนิ่มแทน “ไม่กินใบชะครามเข้าไปด้วยล่ะ”

   “กินไม่เป็น”

   “เอาเข้าปากแล้วก็เคี้ยวไง ไม่เห็นจะยากเลย”

   “มิ่ง” ไต๋เมืองส่งเสียงดุ “คุณเขาไม่กินก็อย่าไปบังคับเขาสิ!”

   “แต่มันมีประโยชน์”

   “มีประโยชน์ยังไงเหรอ?” ธาวินไม่อยากให้บรรยากาศเสีย เลยเขี่ยใบชะครามกลับมาพิจารณาใหม่

   “มันช่วยบำรุงสายตาได้นะ คุณน่ะชอบเล่นโทรศัพท์ดึกๆ ดื่นๆ กินเข้าไปเยอะๆ สายตาจะได้ไม่เสีย” ชะครามเป็นพืชชายฝั่ง ขึ้นทั้งดินเค็มและดินจืด ใบแคบยาวคล้ายกับใบชะอมแต่อวบน้ำ รสชาติเค็มจัด นิยมนำไปเพิ่มรสเค็มให้กับอาหาร หากนำไปแกงอย่างอื่นต้องลวกน้ำเจือจางเสียก่อน ทานแต่พอดีถึงจะเป็นยาช่วยบำรุงร่างกาย

   “เอมแล้วยังล่ะลูก” มิ่งขวัญพยักหน้าเมื่อแม่ถาม “เอมแล้วกะแกะปูห้ายเติ่นทีต่ะ มือหลุหละ แหม็ดแล้ว กินม่ายทันนุ้ยมันแหม่ะ ซัดเอาๆ เหลือให้เติ้นกินบ้างถิ”

   มนชนกฉีกยิ้มแป้นเมื่อโดนแม่แซว ปากยังคงเคี้ยวเนื้อปูกุบกับ เด็กสาวเช็ดนิ้วมันแพร่บกับผ้าเช็ดมือ ลูบพุงกลมป่องก่อนจะเรอออกมาเบาๆ “โอย~ อิ่มแปล้แล่ ชาดหรอยได้แรงอก”

   “น่าเกลียด! กินไม่เผื่อชาติหน้า อ้วนอีตายหล่าว อืดอย่างกะหมูสามชั้น”

   “พี่มิ่ง! เอิด แล้ว ถ้าหนูเป็นหมูพี่ก็เป็นหมีควา…”

   “เฮ้! พี่น้องคู่เน้นิ เป็นเอานักแล้ว ตีกันได้ทุกวัน ไม่ตีกันสักวันอิตายม้าย” ไต๋เมืองกราดตามองดุทั้งพี่ทั้งน้อง มนชนกทำหน้าหงอ ส่วนมิ่งขวัญ...ลอยหน้าลอยตาล้อน้องไม่กลัวเกรง

   ไต๋เมืองส่ายหน้ากับสงครามขนาดย่อมในวงข้าว ชายแก่ยกขันน้ำขึ้นดื่มขณะมองดูลูกชายแกะเนื้อปูให้แขกอย่างขะมักเขม้น “ตอรือต้องออกเลแล้วต่ะ ถ้าเจอเจ้ารุ่งตอใด กะบอกมันด้วยนิ อิได้เตรียมเสบียง เตรียมน้ำแข็งทัน พ่ออิไปเอาเรือออกจากคานแล้ว”

   “จ้ะพ่อ”

   บอกกล่าวลูกชายเสร็จก็ชักชวนเมียไปดูละครกันหงุงหงิง มนชนกทำหน้าเอือมที่พ่อกับแม่จีบกันไม่เกรงใจลูกเต้า เด็กสาวรอเก็บถ้วยชามลงไปล้างโดยมีธาวินเดินตามลงมาช่วย

   “ตอรือแปลว่าอะไรเหรอ?”

   “ตอรือแปลว่าวันมะรืนค่ะ”

   “งั้นวันมะรืนพี่ชายเราก็ต้องออกเรือแล้วใช่ไหม?” ตรงกับวันกลับของเขาพอดี

   “ใช่ค่า คราวนี้คงไปนานเพราะต้องอ้อมไปจับที่จังหวัดอื่น กว่าทะเลอ่าวเราจะเปิดให้ทำประมงก็เดือนหน้าโน่น พ่อบอกว่ารอไม่ได้หรอกค่ะ เดี๋ยวไม่มีเงินจ่ายค่าแรงคนงาน แค่จ้างเฝ้าเรืออย่างเดียวก็สามร้อยแล้ว”

   เด็กสาวแอบเล่าข่าวจากวงใน เธอล้างฟองออกจากจานแล้วส่งให้ธาวินเก็บ “ไปอาบน้ำเถอะไป เดี๋ยวพี่ล้างที่เหลือเอง”

   “ช่วยกันดีกว่าค่ะ ให้พี่วินทำคนเดียวได้ไง เดี๋ยวแม่ดุหนู”

   “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวให้พี่เราช่วยก็ได้”

   คนเดินลงมากินน้ำชะงักเท้าดังกึก พยักหน้ารับอย่างจำใจเมื่อถูกจ้องมองด้วยแววตาคาดคั้น

   “ขอบคุณค่า~ งั้นหนูไปอาบน้ำก่อนนะคะ Good night.” ขอบคุณด้วยน้ำเสียงเริงร่า พอพี่ชายพยักหน้าตกลงก็วิ่งฉิวออกไปทันที

   “วันนี้ไม่ใช่เวรผมสักหน่อย”

   “พรุ่งนี้น้องต้องไปโรงเรียน ช่วยหน่อยไม่ได้หรือไง”

   “ตกลงยัยมนมันน้องผมหรือน้องคุณกันแน่”

   “ยกให้ไหมล่ะ เดี๋ยวเอาไปเลี้ยงเอง”

   “ยกตัวเองให้แทนได้ไหมล่ะ?”

   “ไม่อยากได้อ่ะ ไม่น่ารัก”

   “ใจร้าย” มิ่งขวัญคนหยาบหายไปแล้ว เหลือแต่เสียงตะแง้วๆ ราวกับแมว

   “เมื่อกี้นี้น้องบอกว่านายจะออกเรือวันมะรืน จะไปจับปลาที่ไหนกันเหรอ?”

   “ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะไประนองหรือไม่ก็สตูล คงไม่อ้อมไปอ่าวไทยหรอก...ไกล”  กรมประมงประกาศปิดอ่าวฝั่งอันดามันแค่ 4 จังหวัดเท่านั้น ไล่ตั้งแต่พังงา ภูเก็ต เรื่อยไปจนถึงกระบี่และตรัง ถ้าเรือใหญ่จะวางอวนต้องออกไปในเขตน้ำลึกหรือไปหาบริเวณจังหวัดใกล้เคียงอย่างระนองหรือสตูลแทน ระยะเวลาในการออกเรือก็จะเพิ่มมากขึ้นตามระยะทางที่ไกลออกไป

   “ฉันจะกลับกรุงเทพแล้วนะ”

   มิ่งขวัญชะงัก หลุบสายตาลงจ้องฟองน้ำยาล้างจานบนฝ่ามือ “ไปวันไหน?”

   “วันเดียวกับที่นายออกเรือ”

   “ไม่คิดจะไปส่งผมสักหน่อยเหรอ?”

   “นายก็ไม่ได้ไปส่งฉันขึ้นเครื่องเหมือนกันนั่นแหละ”

   “งั้นก็เลื่อนวันกลับออกไปก่อน จะรีบกลับไปทำไม” มิ่งขวัญไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องรั้งชายหนุ่มเอาไว้ด้วย...แค่อยากให้ธาวินไปส่งแค่นั้นจริงๆ เหรอ?

   “ใครจะไปรู้ล่ะ ฉันจองตั๋วไปแล้วนี่...ไม่คิดว่านายจะออกเรือวันเดียวกัน”

   เสียงถอนหายใจดังระงม มิ่งขวัญคอตก จ้องมองคนตรงหน้าด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป “ผมชอบคุณนะ”

   “...!”

   “จริงๆ แล้วอยู่กับคุณก็สนุกดี ผมได้คิดทบทวนตัวเองหลายอย่าง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนดีขึ้นมานิดนึง”

   “จะสารภาพรักกับฉันเหรอ?”

   “เพ้อเจ้อ...ผมแค่อยากจะบอกว่ายินดีที่ได้รู้จักคุณต่างหาก”

   ธาวินถอนหายใจโล่งอก รู้สึกวูบโหวงไปนิดแต่ไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจ

   มันเป็นไปไม่ได้หรอก มิ่งขวัญไม่มีทางมาชอบคนอย่างเขา

   “อืม...ยินดีที่ได้รู้จักนะ” ธาวินเหลือบมองถ้วยชามที่แช่อยู่ในกะละมัง ยุงหลายตัวบินว่อน ทำให้บรรยากาศในตอนนี้ดูเป็นกันเองดี

   รู้จักกันตั้งนานแต่เพิ่งมาพูดเอาป่านนี้

   พิลึกชะมัด...

   ความสัมพันธ์ของเราสองคน


TBC
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 19 l 22/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-09-2019 20:24:21
จะลงเอยกันยังไงนะแต่ละคู่​ ดูยากดูต่างกันขนาดนี้
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 19 l 22/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-09-2019 21:00:59
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 19 l 22/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 22-09-2019 21:51:00
มิ่ง กับ วิน มาจริงๆด้วย
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 19 l 22/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 23-09-2019 14:47:22
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 20 l 23/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 23-09-2019 20:31:43
บทที่ 20





   “…ขออย่าให้ขัด อย่าให้ข้อง ให้แคล้วคลาดทุกอย่าง ขอให้ปลาชุกชุม ขอให้สมปรารถนา จะให้รางวัลแก่แม่ย่านาง”

   ควันธูปลอยกรุ่นรับแสงอาทิตย์ในยามเช้า ไต้ก๋งเรือจรดมือลงบนหน้าผาก ปักธูปลงบนเครื่องเซ่นอย่างละหนึ่งดอกไล่ตั้งแต่เป็ดพะโล้ หมูสามชั้น ขนมหวานตระกูลทองทั้งหลายและผลไม้ที่ตระเตรียมมาเป็นเครื่องเซ่นให้กับแม่ยาเรือ

   “คุณตรัยครับ เดี๋ยวผมรบกวนไปผูกผ้าสามสีให้ทีนะครับ”

   “ผูกตรงไหนเหรอครับ”

   “ตรงโขนเรือครับ” ชี้ไปยังหัวเรือด้านหน้าที่มีเครื่องเซ่นวางอยู่ “ไอ้รุ่ง! ยืนเฉยทำไมล่ะ เอาผ้าสามสีมาให้คุณเขาผูกสิวะ”

   คนโดนเรียกชะโงกหน้าออกมาจากแผ่นหลังของเพื่อนสนิทแล้วยิ้มเฝื่อน ไม่อาจขัดคำสั่งไต้ก๋งได้จึงต้องหอบหิ้วผ้าสามสีและดอกไม้กำใหญ่มาให้กับทายาทเจ้าของเรือ

   “ต้องผูกยังไงเหรอ” ตรัยเอ่ยถามเสียงนุ่ม คำว่าคิดถึงเวียนวนหลังจากถูกหลบหน้าหลบตามาหลายวัน

   “มัดตรงหัวโขนได้เลยครับ แล้วก็มัดดอกไม้บนผ้าสามสีอีกที” ส่งดอกไม้ให้ด้วยมือไม้สั่นเทา ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับเจ้านายหนุ่ม

   “กลัวฉันเหรอ” ตรัยกระซิบถาม รับดอกดาวเรืองจากมือหยาบมาติดบนโขนเรือ

        รุ่งภพส่ายหน้า คอยระวังไม่ให้ตรัยก้าวไปเหยียบโขนเรือซึ่งเป็นที่สถิตของแม่ย่านาง

   “งั้นก็รังเกียจ” ส่ายหน้าอีกครั้ง หยิบน้ำมะพร้าวอ่อนให้รดตรงเสากระโดงเรือ “ถ้าไม่รังเกียจก็ช่วยเงยหน้าขึ้นมาพูดกันดีๆ ได้ไหม”

   “ผม…ไม่กล้า”

   “ทำไมถึงไม่กล้าล่ะ ฉันไม่ใช่คนใจยักษ์ใจมารสักหน่อย”

   “ผม...ผมอาย”

   ตรัยชะมักมือที่กำลังพรมน้ำมะพร้าว หันกลับมามองชายหนุ่มที่เดินตามด้วยแววตาคาดไม่ถึง “อายฉันเหรอ? หรืออายเรื่องคืนนั้น”

   ก้มหน้าหลบ แก้มแดงก่ำไปถึงใบหู

   คงเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า

   เขาพอจะมีหวังใช่ไหม สักวันหนึ่งความรู้สึกของเราคงตรงกัน

   “ทำบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน”

   “ยังจะทำอีกเหรอ! ไม่เอาแล้วนะ” ร้องบอกเสียงหลงหน้าตาแตกตื่น คงต้องให้เวลาอีกสักพัก ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป

   “กลัวอะไรขนาดนั้น”

   รุ่งภพเม้มริมฝีปาก รู้สึกประหม่ากับตรัยเวอร์ชันนี้ “แล้ว...คุณจะไปกับพวกเราจริงๆ เหรอครับ?”

   “รู้ด้วยเหรอ...นึกว่าหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน”

   “ไต๋เพิ่งบอกพวกเราเมื่อเช้าครับ” หนุ่มใต้ทำหน้างอ เผลอมองตอบอย่างลืมตัว

   เขาเป็นแบบนี้ก็เพราะใครกันล่ะ...

   นึกว่าจะหนีหน้าไปได้อีกสักอาทิตย์ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตามลงเรือไปด้วยกันเช่นนี้

   รุ่งภพไม่ได้ซื่อจนไร้เดียงสา เขารู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร แม้จะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่กลับไม่นึกรังเกียจอย่างที่ควรจะเป็น เขายอมรับว่าหวั่นไหวทุกครั้งที่นึกถึง อาจจะเป็นเพราะความใจดีที่อีกฝ่ายมอบให้จนบางครั้งก็หลงคิดว่าตัวเองนั้นสำคัญ

   เขาควรทำอย่างไรดี...

   อยากจะขอเวลาคิดทบทวนอีกสักระยะแต่ตรัยไม่เปิดโอกาสให้กันเลย

   หนุ่มใต้ถอนหายใจหนักขณะคล้องประทัดตรงเสากระโดงเรือ หลังจากเซ่นไหว้แม่ย่านางแล้วต้องทำการจุดประทัดเพื่อเอาฤกษ์เอาชัยก่อนเรือออก ชาวประมงนั้นให้ความเคารพแม่ย่านางเป็นอย่างมาก แม้ปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือจนทันสมัยแต่ก็ยังคงให้ความสำคัญกับประเพณีดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน

   “คุณตรัยครับ เอกสารที่ผมขอล่ะครับ?” ไต๋เมืองปีนขึ้นมาบนเรืออีกครั้ง ใต้รักแร้และวงแขนเหน็บแฟ้มเอกสารเต็มไปหมด ดูวุ่นวายจนคนมองขมวดคิ้ว

   “ผมให้คุณฝนจัดการแล้วครับ”

   “แล้ว...ของอีกคนล่ะครับ? ที่บอกว่าจะขอตามไปด้วย”

   “กำลังไปถ่ายเอกสารให้อยู่ครับ”

   ตรัยหันกลับไปมองหนุ่มใต้อีกครั้งเมื่อไต๋เมืองเดินจากไป รุ่งภพหนีเขาขึ้นไปอยู่บนบันไดลิงแล้ว มือข้างหนึ่งกำลังเอื้อมขึ้นไปจุดประทัดที่แขวนห้อยอยู่หน้าเรือ

   ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

   “เหวอ!”

   เสียงประทัดดังกลบเสียงร้องจนเกือบมิด คนร้องไม่ใช่ตรัยแต่เป็นช่างต่อเรือหนุ่มที่เดินดุ่มๆ ขึ้นมาอย่างรีบร้อน

   “พี่ณัฐ!”

   “ก็เออสิวะ! มึงเห็นเป็นใครล่ะ”

   “พี่ขึ้นมาทำอะไรอ่ะ?” รุ่งภพปีนบันไดลงมาอย่างรวดเร็ว ปัดเศษประทัดออกให้ตั้งแต่เส้นผมจนถึงคอเสื้อ

   “มาทำงานสิวะไอ้ห่า”

   “งาน? งานอะไร ซ่อมบำรุงเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ”

   ณัฐขมวดคิ้ว กลายเป็นฝ่ายงงเสียเอง “นี่มึงไปมุดหัวอยู่ไหนมาวะไอ้รุ่ง? คุณตรัยเขาจ้างกูพิเศษให้มาเป็นช่างเครื่องชั่วคราวไง”

   “จริงเหรอ? ไปคุยกันตอนไหนน่ะ...ทำไมผมไม่รู้” ถามเสียงแผ่ว ไม่คิดว่าตรัยจะชวนหนุ่มรุ่นพี่คนนี้มาทำงานด้วย

   “ตอนไปกินเหล้าที่บ้านมึงไง คุณวินเขาชวนแล้วกูก็ว่างพอดี พอคุณตรัยตกลงกูก็เก็บกระเป๋าตรงดิ่งมานี่เลย”

   “ใจง่าย”

   “เดี๋ยวกูถีบ” ไม่เดี๋ยวหรอกเพราะเงื้อแล้ว

   “แล้วงานพี่อ่ะ”

   “ถ้ายุ่งกูจะมาไหม? มีสมองก็คิดหน่อย” ทิ้งถ้อยคำเจ็บแสบเอาไว้แล้วหันไปทักทายคนจ่ายค่าจ้างให้ชั่วคราว “สวัสดีครับคุณตรัย เมื่อกี้ว่าจะทักก็ไม่ได้ทัก โดนไอ้รุ่งมันรับน้องซะก่อน”

   “เปล่าสักหน่อย…ก็เดินเข้ามาไม่ดูเอง” บ่นด้วยน้ำเสียงอุบอิบก่อนจะรีบเผ่นหนี

   ตรัยมองตามแผ่นหลังเล็กแคบไปจนสุดสายตา เขาระบายลมหายใจหนัก ไม่อยากรุกมากไปกว่านี้เพราะกลัวอีกฝ่ายจะแตกตื่น

   แค่นี้ก็ขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว แม้จะรู้สึกสงสารแต่เขาก็ไม่มีความคิดที่จะล้มเลิกแต่อย่างใด

   ในเมื่อเขาตัดสินใจเดินหน้าแล้ว...ก็ต้องเดินต่อไปให้สุดทาง






   แสงแดดในยามสายทวีความร้อนแรงเพิ่มขึ้นจนผิวแทบไหม้ ตรัยกระพือคอเสื้อขณะเดินดูการทำงานในแพปลา ดูเหมือนวันนี้คนงานหนาแน่นกว่าปกติเพราะมีทั้งคนงานประจำแพและคนงานประจำเรือ เขาสอดส่องสายตามองหารุ่งภพหลังแยกจากณัฐแล้วเดินลงมาด้านล่าง ลำพังตัวของชายหนุ่มนั้นหาไม่ยากหรอก แต่จะเข้าหายังไงไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกกระอักกระอ่วนใจมากเกินไปต่างหาก

   [คนงานประจำเรือมาเข้าแถวหน้าเรือด่วน]

   เสียงประกาศจากไต๋เมืองดังผ่านโทรโข่งขยายเสียง คนที่ถูกเรียกวิ่งมาเข้าแถวหน้ากระดานแบบเรียงหนึ่ง ส่วนรุ่งภพน่าจะตามมาเป็นคนสุดท้ายเพราะต้องคุมท่อลำเลียงส่งก้อนน้ำแข็งใส่เครื่องป่นลงไปเก็บใต้ท้องเรือ

   “มิ่งเอ็งไปยืนหัวแถว...ต่อด้วยณัฐ” ไต๋เมืองจัดแจงลำดับหัวท้าย “ไอ้รุ่งล่ะ?”

   “ป่นน้ำแข็งก้อนอยู่พ่อ”

   “คนนั้นน่ะเอาไว้สุดท้ายก็ได้ เห็นกันมาตั้งนมนานแล้ว ไม่เป็นไรหรอก” เจ้าหน้าที่หญิงร่างท้วมโบกมือเหมือนให้ผ่าน น้ำเสียงใจดีผิดกับใบหน้าที่เคร่งขรึม “เอาบัตรของไต๋มาตรวจก่อน ไหนใบประกาศนายเรือล่ะ?”

   “เอ...เดี๋ยวนะครับ” พลิกแฟ้มที่หอบหิ้วมาจนเต็มทั้งสองมือ

   “ให้ช่วยไหมลุง?” รุ่งภพสะกิด มือเย็นเฉียบจนไต้ก๋งเรือถดแขนหนี

   “เอ็งมาพอดีเลย หาใบประกาศให้ข้าที” ส่งแฟ้มที่ถืออยู่ให้ทั้งหมด ตัดช่องน้อยแต่พอตัว

   รุ่งภพขมวดคิ้วใช้เวลารื้อค้นอยู่พักใหญ่ พอเห็นเจ้าหน้าที่รอนานก็ส่งสายตาขอความช่วยเหลือ ตรัยซึ่งรออยู่ก่อนแล้วเบียดมิ่งขวัญแล้วแทรกตัวเข้าไปช่วยแทบจะทันที “เจอแล้วจ้ะ” ดึงใบประกาศนายเรือของไต้ก๋งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดู “จะตรวจทะเบียนเรือกับใบค่าน้ำด้วยไหมครับ?”

   เจ้าหน้าที่ชุดตรวจพยักหน้า ระหว่างตรวจเอกสารก็ส่งทีมขึ้นไปบนเรือตรวจวัดขนาดของตาอวน

   “ขนาดตาอวน 2.5 เซนติเมตรครับ” หยิบไม้บรรทัดขึ้นทาบ ตะโกนให้คนด้านล่างได้ยิน

   “เรืออวนดำ ขนาดอวนมาตรฐาน...” เจ้าหน้าที่อาวุโสทวนข้อมูลในใบอาชญาบัตรก่อนจะติ๊กปากกาลงบนเอกสารของหน่วยงาน “ติดตั้งระบบ VMS เรียบร้อยแล้ว ส่วนอุปกรณ์ความปลอดภัย...” แหงนมองไปยังลำเรือ “มีห่วงยาง มีเสื้อชูชีพ เรือฉุกเฉินล่ะมีไหม?”

   “เก็บไว้ด้านหลังครับ เป็นเรือไฟเบอร์กลาส”

   “รอบนี้พาไปทั้งหมด 25 คนนะ คนไทย 10 เมียนมาร์ 15” รุ่งภพรับเอกสารชุดเก่าคืนแล้วส่งให้ตรัยเก็บ เป็นภาพที่ดูแปลกเมื่อเห็นลูกชายเถ้าแก่ทำตัวเหมือนลูกน้องของคนงาน

   “ตรวจร่างกายคนงานเรียบร้อยหมดแล้วนะ” เธอเดินไล่ตรวจทีละคนเริ่มจากมิ่งขวัญ “ผ่าน” เพราะคุ้นเคยกันดีจึงแทบจะไม่ได้ตรวจอะไรเลยนอกจากบัตรประชาชน “คนนี้มาใหม่เหรอ?” ชี้ไปที่ณัฐแล้วเริ่มซักชุดใหญ่

   “ช่างเครื่องเรือครับ รับเข้ามาชั่วคราว”

   “มีใบประกาศช่างเครื่องเรือไหม?” ณัฐพยักหน้า เอาใบประกาศช่างเครื่องเรือออกมายืนยัน “แล้ว Seaman Book ล่ะ ทำหรือยัง?”

   “ต้องทำด้วยเหรอครับ ผมนึกว่าบังคับเฉพาะแรงงานต่างด้าว”

   “ของแรงงานต่างด้าวเรียก Sea book วัตถุประสงค์มันต่างกัน ของเขาเอาไว้ป้องกันปัญหาการขนถ่ายแรงงานผิดกฎหมาย ส่วนหนังสือคนประจำเรือของไทย เรียก Seaman Book เอาไว้บันทึกประวัติแล้วก็ใช้ตรวจสอบระยะเวลาในการทำงาน พอมีทักษะในการทำงานก็สามารถเอาไปสมัครขอรับใบประกาศโน่นนี่นั่นได้ ไม่ต้องสอบหลายขั้นหลายตอน”

   “บังคับหรือเปล่าครับ ผมยังไม่ได้ทำเลย...แล้วแบบนี้ผมจะออกเรือได้ไหม?”

   “ยังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการจ้ะ ตอนนี้ยังสามารถออกเรือได้ตามปกติแต่ต่อไปบังคับแน่นอน ถ้ามีเวลาก็ไปทำซะนะ ต่ออายุหนังสือทุกๆ 5 ปี” เธอมาร์คดอกจันไว้หน้าชื่อของชายหนุ่มแล้วขยับไปตรวจคนต่อไป “เป็นไงบ้างชมรม เก็บเงินได้เท่าไหร่แล้วล่ะ ถึงล้านหรือยัง?”

   “โห! เอาเปนล้านเลยเหรอ ถ้าเกะได้เยอะขนาดนั้น กลับบ้านไปนานแล้”

   คำตอบพาซื่อทำเอาทุกคนฮาครืน ตรัยเองก็พลอยขำไปด้วย เพิ่งเห็นมุมตลกของคนงาน “ทีอย่างงี้พูดไทยได้คล่องปร๋อเชียวนะ เอาบัตรสีชมพูมาโชว์หน่อยซิ” คนงานหนุ่มต่างสัญชาติโชว์บัตรสีชมพูเคลือบพลาสติกกันน้ำอย่างดีให้ดูพร้อมกับรอยยิ้มแป้น “ไม่ต้องยิ้มเหมือนในรูปก็ได้ แล้ว Sea book ล่ะ? อยู่ไหน...”

   “อยู่นี่ครับ” รุ่งภพส่งหนังสือคนประจำเรือให้ตรวจสอบ เอกสารชุดนี้ไต๋เรือจะเป็นคนเก็บเพื่อป้องกันการสูญหาย เนื่องจากลูกเรือบางคนก็วางทิ้งขว้างไม่เก็บรักษาเหมือนบัตรประจำตัว

   “โอเคแต่ยังไม่เรียบร้อย รอบนี้มีคนนอกขอไปด้วยอีกสองคนใช่ไหม คนไหนล่ะ?”

   “ผมเองครับ” ตรัยยกมือขึ้น เรียกหาเอกสารจากคุณฝนฝ่ายบุคคล

   “แล้วอีกคนล่ะคะ?”

   “กำลังถ่ายเอกสารอยู่ครับ…”

   “มาแล้วครับๆๆ มาแล้วๆๆ” เสียงตะโกนนำมาก่อน ตามด้วยร่างหนากำยำที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาอย่างทุลักทุเลเพราะสะพายกล้องเอาไว้รอบตัว “โทษทีครับ ช้าไปหน่อย"

   “ช้าเพราะถ่ายเอกสารหรือช้าเพราะน้ำแตงโมปั่นคะ?”

   คนโดนเหน็บยิ้มไม่จืด ดูดน้ำแตงโมปั่นดังอึ้กราวกับจะตอกย้ำคำต่อว่าของเจ้าหน้าที่ “กินทิ้งทวนไงครับ เดี๋ยวออกเรือแล้วไม่ได้กิน”

   “อ่ะจ้ะ แล้วจะขึ้นไปทำอะไรกันเหรอคะ ไม่เห็นแจ้งเหตุผลเอาไว้เลย”

   “มันต้องเข้มงวดขนาดนี้เลยเหรอครับ?”

   “ช่วงนี้ก็จะเข้มงวดนิดหนึ่งค่ะ คุณสิปา…ใช่ไหมคะ?” เธอถามคนมาใหม่ “ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรือหรือกิจการของแพปลาเลย พอจะบอกข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ทราบคร่าวๆ หน่อยได้ไหมคะว่าจะขึ้นไปทำอะไร”

   “ขึ้นไปเป็นเพื่อนมันไงครับ” ชี้ไปยังตรัย “ผมเป็นเพื่อนสนิทมัน พอจะเกี่ยวข้องบ้างไหมครับ”

   ตรัยส่ายหน้ากับคำตอบข้างๆ คูๆ ของเพื่อนสนิท “มึงบอกเขาว่าไปเที่ยวก็จบแล้ว”

   “นั่นน่ะสิคะ เข้าท่ากว่าเมื่อกี้ตั้งเยอะ” เจ้าหน้าที่ทำเพียงแค่ตรวจสอบความเรียบร้อย ไม่ได้มีสิทธิ์ไปห้ามใครขึ้นเรือหากมันเป็นความประสงค์ของผู้เป็นเจ้าของ “งั้นพวกเรากลับก่อนแล้วกันนะคะ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพค่ะ”

   รุ่งภพขอแฟ้มคืนจากตรัยเมื่อเจ้าหน้าที่กลับไปแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ยอมคืนให้แถมยังยื้อชายหนุ่มเอาไว้ใกล้ๆ ตัว “ผมจะรีบไปทำงาน”

   “ขอเวลาเดี๋ยวเดียวเอง มาทำความรู้จักกับเพื่อนของฉันก่อน” เพื่อนของเขายิ้มกว้างรออยู่นานแล้ว แววตาระริกระรี้ คงจำรุ่งภพได้เพราะภาพที่เขาโพสต์ “แนะนำตัวสิวะไอ้ห่า!”

   “สะ...สวัสดีครับ ผมชื่อรุ่งครับ”

   ตรัยถอนหายใจ หันมาพูดเสียงอ่อนกับชายหนุ่ม “ฉันไม่ได้ว่าเธอนะ...ฉันหมายถึงมันต่างหาก”

   “สองมาตรฐานไอ้สัด น้องมันแนะนำตัวเองก่อนก็ถูกแล้วเว่ย ระบบอาวุโสอ่ะ รู้จักมะ?”

   “มาคิดๆ ดูแล้ว...อย่ารู้จักมันเลยดีกว่า” ตรัยดึงคนข้างตัวออกห่าง เพื่อนของเขาร้องโวยวาย วิ่งตามมาจนพวงกล้องปลิวสะบัด

   “ถามน้องมันก่อนสิวะ น้องมันอาจจะอยากรู้จักกูก็ได้”

   “เธออยากรู้จักมันไหม?” ตรัยขยิบตาให้ชายหนุ่มแต่อีกฝ่ายไม่เล่นด้วย

   “คุณชื่ออะไรเหรอครับ ผมจะได้เรียกถูก”
   
   “ชื่อจริงชื่อสิปา นามสกุล...”

   “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ครับ” หนุ่มใต้รีบเบรค ไม่คิดว่าเพื่อนของตรัยจะมาเต็มขนาดนี้

   “อ่อเหรอ งั้นเรียกพี่ปาเฉยๆ ก็ได้ กูอนุญาต"

        "ใครเขาอยากนับญาติกับมึงกัน”

   “กูให้น้องมันเรียก ไม่ได้ให้มึงเรียก” สิปาถลึงตาใส่เพื่อนที่ชอบขัดจังหวะ “จะว่าไป...เด็กมึงนี่ก็หน้าตาดีเหมือนกันนะ”

   “ดะ...เด็กที่ไหนครับ?” รุ่งภพถึงกับยืนไม่ติด รู้สึกแปลกๆ เมื่อถูกจ้องมองอย่างพิจารณา

   “อ้าว? เด็กมึงไม่รู้เรื่องเหรอวะ ไอ้หญิงมันอุตส่าห์ไปดูดวงหาฤกษ์หายามให้มึงเลยนะเว้ย”

   ตรัยส่ายหน้า ไอ้พวกกระต่ายตื่นตูม ทำเด็กของเขาแตกตื่นหมด “กำลังตะล่อมอยู่ อย่าพูดเยอะเดี๋ยวไก่ตื่น”

   สิปาร้องอ๋อ ทำนิ้วโอเค “แล้วไอ้น้องนี่ไปกับพวกเราด้วยหรือเปล่า?”

   “มึงคิดว่ากูตามใครอยู่ล่ะ”

   “แจ่มแจ้งเลยทีนี้ กูเลยพลอยได้อานิสงค์ไปด้วยเลย” สิปานึกขอบใจเพื่อน เขากำลังหาคอนเทนต์ใหม่ๆ ไปลงช่องยูทูปของตัวเอง แม้จะทำเป็นงานอดิเรกแต่ก็สร้างรายได้ไม่แพ้งานประจำ “เออเกือบลืม” หันกลับไปหาคนที่ยังยืนงงอยู่ข้างเพื่อน “กดรับเพื่อนให้ทีดิ ในเฟสอ่ะ”

   “เฟสผมเหรอครับ?”

   “เออ เฟสที่มึงยังไม่ได้ตั้งชื่ออ่ะ”

   รุ่งภพหลุดเสียงหัวเราะ เพื่อนของตรัยคนนี้ทำตัวได้เป็นกันเองอย่างน่าประหลาด “อยากเปลี่ยนเหมือนกันครับแต่มันติดลิมิตแล้วอ่ะ ไม่รู้จะแก้ยังไง”

   “แบบนี้นี่เอง ปล่อยให้กูรออยู่ตั้งนานว่าเมื่อไหร่มึงจะตั้งชื่อ”

   “พี่รู้จักเฟสผมได้ไงครับ?”

   ถามด้วยน้ำเสียงสุภาพจนสิปาไม่กล้าหยาบใส่ “ก็เพื่อนพี่มันลงรูปเอ็งแล้วแท็กชื่อมา พี่ก็แอดดิเพราะพี่มันคนทั่วถึง”

   “แอดไปทั่วแต่เขาไม่รับ” ตรัยเหน็บเพื่อน แอบชำเลืองมองหน้าฟีดของหนุ่มใต้

   “พูดอะไรช่วยเกรงใจเพื่อนหลักพันของกูด้วยครับ”

   “เพื่อนหลักพันแต่รู้จักแค่หลักสิบ”

   “อย่าเอาความจริงมาพูดดิว้า คิดซะว่าที่เหลือเป็น FC กูก็แล้วกัน”

   รุ่งภพกลั้นขำจนไหล่สั่นเมื่อสิปาชูนิ้วบอกไอเลิฟยู ตรงข้ามกับตรัยที่มีสีหน้าเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด ปัดความรักของเพื่อนสนิททิ้งแล้วกระทืบซ้ำอย่างไม่ไยดี


   หวูดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


   เสียงสัญญาณจากหวูดเรือดังสะท้อนก้องคุ้งน้ำ เครื่องยนต์ขนาดใหญ่สั่นไหวพ่นควันสีเทาลอยกรุ่นขณะพาลำเรือถอยห่างจากฝั่งเพื่อเดินทางไกล คนบนเรือทอดมองฝั่งเป็นครั้งสุดท้ายอย่างหงอยเหงา คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคงหนีไม่พ้นมิ่งขวัญที่รู้สึกเหมือนอะไรขาดหายไป

   หากเขาเพ่งมองให้นานกว่านี้อีกสักนิด คงจะเห็นร่างของใครคนหนึ่งที่ยอมสละตั๋วเครื่องบินแล้วตามมาส่งในวินาทีสุดท้าย… 
 


TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 20 l 23/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-09-2019 21:49:37
น่าสงสาร
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 20 l 23/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-09-2019 10:36:54
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 21 l 24/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 24-09-2019 21:42:59
บทที่ 21




   ปุยเมฆสีขาวกระจายตัวเป็นรูปเกล็ดปลาเหนือน่านฟ้าทั่วสารทิศ ตรัยยกมือป้องแสงแดดขณะแหงนหน้าขึ้นมองความแจ่มใส เขาดูเมฆไม่เป็นหรอกแต่เดาว่าวันนี้อากาศคงจะดี

   “เดี๋ยวนี้ชาวประมงยังดูก้อนเมฆกันอยู่ไหม?” เขาถามมิ่งขวัญเพราะเป็นคนเดียวที่ยังยืนอ้อยอิ่งอยู่ตรงกราบเรือ

   “ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ๆ ดูไม่ค่อยเป็นกันหรอกครับ อาศัยเรดาร์อย่างเดียวเลย แม่นยำกว่า”

   “ต้องเป็นคนรุ่นเก่าๆ สินะ”

   “ผมกับไอ้รุ่งก็ดูเป็นนะครับ ของแบบนี้มันสืบทอดกันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย จดจำเอาไว้ก็ไม่เสียหาย จะหวังพึ่งแต่เทคโนโลยีอย่างเดียวมันก็ไม่ได้”

   ตรัยพยักหน้าเห็นด้วย สุดท้ายแล้วก็ต้องพึ่งตัวเองกันทั้งนั้น แต่จะพึ่งได้มากได้น้อยก็อีกเรื่อง “แล้วดูยังไงเหรอ เมฆแบบนี้ดีไหม?”

   “ถ้าเมฆนอนแผ่เป็นละอองคลื่นแบบนี้ ลมจะดีครับ ออกเรือได้ไกล แต่ถ้าวันไหนเมฆก่อตัวเป็นแนวทึบคล้ายภูเขาลูกใหญ่สีออกเทาดำต้องระวังให้ดีครับ วันนั้นอาจจะมีพายุหรือฝนฟ้าคะนอง”

   พอเรือแล่นหลุดพ้นปากอ่าวมาแล้วก็มองไม่เห็นอะไรอีกนอกจากผืนน้ำกับผืนฟ้า คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเลจริงดังว่า แม้จะรู้สึกปลอดโปร่งและเป็นอิสระแต่ไม่ทำให้รู้สึกปลอดภัยเลย

   “ไต๋ให้มาตามครับ จะลาของไหว้แล้ว”

   รุ่งภพเดินมาบอกอีกครั้งถึงขั้นตอนการออกเรือ หนุ่มใต้ชี้นิ้วกำกับให้ตรัยเข้าไปนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้า จุดธูปส่งให้พร้อมกับกิมฮวยขนนกยูง  ไต๋เมืองจัดแจงพิธีการต่อจากนั้น ให้ลูกชายเถ้าแก่เหน็บกิมฮวยเอาไว้ในถาดผลไม้ พนมมือแล้วกล่าวนำลาเครื่องเซ่นไหว้ก่อนจะหลีกทางให้ลูกเรือปักธูปลงกระถาง

   ควันธูปลอยกรุ่นและสลายไปอย่างรวดเร็วตามแรงลม พวงกล้วยดิบที่แขวนห้อยอยู่ตรงเสากระโดงถูกปลดออกเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับชาวเรือ

   “พวกคุณกินขนมไหมครับ เดี๋ยวผมแบ่งให้” รุ่งภพตักทองหยอดสีส้มสุกใส่ถ้วยใบเล็กแยกให้ต่างหาก ส่วนที่แบ่งให้กับลูกเรือจะจัดไว้รวมกันในถาดใหญ่ ใครอยากกินก็หยิบ บริการด้วยตัวเอง

   “ผมขอถ้วยนึงครับ” คนบอกยกหนึ่งนิ้วประกอบ แบมือรอรับถ้วยอย่างเนียนๆ

   “อยากกินอะไรก็ไปตักเอาเอง” หนุ่มใต้บอกกับคนงานต่างด้าวที่นิสัยเริ่มจะเหมือนคนไทยเข้าไปทุกที

   “เอาให้เขาไปก็ได้ พวกพี่ขอแอปเปิ้ลกับกล้วยหอมอย่างละลูกก็พอ” สิปาเอ่ยปากยกให้อย่างใจดี ชายหนุ่มเลือกแอปเปิ้ลในถาดแล้วโยนให้เพื่อนรับ ระหว่างนั้นก็จิ๊กขนมถ้วยฟูยัดเข้าปากเพราะเห็นสีสันน่ากินดี

   “เดี๋ยวเอ็งเผากระดาษแล้วจุดประทัดให้ลุงอีกชุดนะ เอาชุดใหญ่เลย เดี๋ยวลุงไปไหว้เสด็จเตี่ยก่อน”

   รุ่งภพกระจายงานต่อทันทีหลังจากได้รับคำสั่ง เขาให้เพื่อนขึ้นไปโยงประทัดหน้าเรือส่วนตัวเองนั่งเผากระดาษกงเต๊กปึกใหญ่ ฟังเสียงประทัดปุ้งปั้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย

   “เด็กมึงด้านชามาก”

   ตรัยพยักหน้าเห็นด้วย ขนาดเขาอยู่ห่างออกมาตั้งไกลยังยกมืออุดหูแทบไม่ทัน พอประทัดดอกสุดท้ายระเบิดจนหมด ไต๋เมืองก็ชะโงกหน้าออกมาเรียกอีกครั้ง คราวนี้กวักมือให้ปีนขึ้นไปบนเก๋ง เขาเลยหยิบรุ่งภพติดมือมาด้วยแม้ชายหนุ่มจะมีสีหน้าเหมือนไม่ค่อยเต็มใจ

   “ไหว้อะไรเหรอครับ?” สิปาถามเพราะได้กลิ่นธูปลอยมาปะทะตั้งแต่ปีนขึ้นบันไดมา

   “ไหว้เสด็จเตี่ยครับ” เสด็จเตี่ยของไต้ก๋งเรือคือกรมหลวงชุมพร หรือหมอพรเทวดา องค์บิดาแห่งทหารเรือไทย “คนเรือนับถือท่านมากครับ ทุกครั้งที่ออกเรือจะต้องบอกกล่าวและขอให้ท่านปกปักคุ้มครองอยู่เสมอ”

   เห็นพวงมาลัยแขวนทับกันจนบานฟูฟ่องก็พอจะนึกภาพออกว่าศรัทธาเพียงไหน นอกจากภาพเหมือนที่ติดอยู่บนสุดแล้วยังมียันต์กันภัยอีกร้อยแปดที่แปะติดจนเต็มห้อง ดูเหมือนห้องนี้จะเป็นห้องบังคับเรือเพราะสังเกตได้จากพังงาไม้ขนาดใหญ่และกระจกกว้างแบบ 180 องศา ภายในห้องมีเบาะนั่งเล็กแคบวางอยู่สองตัว ตัวหนึ่งถูกยึดครองไปแล้วโดยเพื่อนสนิทและเด็กของมัน

   “นี่ห้องบังคับเรือหรือเปล่าครับ”

   “ครับ ตรงนี้จะมีนายท้ายเป็นคนคอยคุม ดูร่องน้ำ ถือท้ายปล่อยอวน แล้วก็ต้องดูเข็มเทียบเรือเป็นด้วยครับ ต้องมีประสบการณ์มีใบประกาศถึงจะทำได้ ถ้าดูเข็มผิดแล้วพาเรือออกไปนอกเขตนี่ยุ่งเลยครับ อันตราย”

   “เขตอะไรเหรอครับ?”

   “ไอ้รุ่งเอ็งอธิบายทีซิ” ไต๋เมืองโยนให้ชิ้วเรือเป็นคนตอบ แกถนัดแต่ปฎิบัติไม่ถนัดทฤษฎี

   “เขตในทะเลครับ อาณาเขตทางทะเลของแต่ละประเทศจะแบ่งออกเป็น น่านน้ำภายใน ทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่อง แล้วก็เขตเศรษฐกิจจำเพาะครับ ถัดจากเขตเศรษฐกิจจำเพาะออกไปก็จะเป็นทะเลหลวงที่ไม่อยู่ในอำนาจของประเทศใด เขตนี้จะสามารถเดินเรือหรือบินผ่านได้อย่างเสรีภาพ”

   “แล้วมันแบ่งเขตกันยังไงอ่ะ จะรู้ได้ยังไงว่าเขตไหนเป็นเขตไหน”

   “ต้องดูจากเส้นฐานที่กำหนดขอบเขตครับ อย่างทะเลภายในก็กำหนดจากอ่าว ปากแม่น้ำหรือทะเลสาบ ถัดจากทะเลภายในก็จะเป็นอาณาเขตไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล ถัดออกมาอีกก็จะเป็นเขตต่อเนื่องแต่รวมกับทะเลอาณาเขตแล้วต้องไม่เกิน 24 ไมล์ทะเล ถัดออกมาอีกก็จะเป็นเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ตรงเขตนี้จะมีปัญหานิดนึงเพราะเราถูกล้อมรอบด้วยเขตเศรษฐกิจจำเพาะของเพื่อนบ้านเหมือนกัน บางจุดก็เป็นพื้นที่ทับซ้อน ทำให้ไม่มีทางออกไปสู่ทะเลหลวง”

   “มีปัญหายังไง?” ตรัยถามหลังจากนั่งเงียบมานาน

   “อย่างที่บอกครับว่ามันเป็นพื้นที่ทับซ้อน บางจุดก็ยังไม่ได้ตกลงกันให้เป็นเขตพัฒนาร่วม ต่างคนต่างอ้างสิทธิ์เลยเกิดปัญหาบุกรุกทั้งที่ตั้งใจแล้วก็ไม่ได้ตั้งใจ”

   “หมายถึงเราบุกรุกเข้าไปในเขตของเขาเหรอ?”

   “ไม่ใช่แค่เราฝ่ายเดียวหรอกครับ ถ้าหลงเข้าไปในพื้นที่ทับซ้อนอย่างเดียวคงไม่เท่าไหร่ แต่บางคนก็เลยเถิด รุกล้ำอาณาเขตกันก็มี”

   “หมายถึงรุกล้ำอาณาเขตของประเทศเลยใช่ไหม? ไม่ใช่แค่พื้นที่ทับซ้อน” รุ่งภพพยักหน้า “แล้วถ้าแล่นเรือผ่านนี่ถือว่าบุกรุกไหม”

   รุ่งภพส่ายหน้า “บางลำไม่ได้แล่นผ่านอย่างเดียวน่ะสิครับ ดันเข้าไปหาปลาในเขตของเขาด้วย พูดง่ายๆ ก็คือลักลอบเข้าไปทำประมงในบ้านเขาแบบไม่ยอมเสียค่าธรรมเนียมนั่นแหละ โดนเขาไล่ยิงกลับมาไม่รู้กี่ลำแล้ว หนักสุดก็จมเรือ”

   “ขนาดนั้นเลยเหรอ”

   “ถ้าเราลุกล้ำเข้าไปอาณาเขตของเขาจริงๆ ก็เป็นสิทธิ์ของเขาครับ กฎหมายของเขาไม่เหมือนบ้านเรา เด็ดขาดกว่ากันเยอะ”

   “แล้วถ้าเขารุกล้ำเข้ามาในเขตของเราล่ะ?”

   “ก็จะถูกจับดำเนินคดีแล้วส่งกลับครับ…แค่นั้น”

   หลังจากเรียบเรียงเรื่องอาณาเขตทางทะเลจนมึนตึ้บ แขกประจำเรือก็ถูกเชิญขึ้นลังกาของไต้ก๋งเรือ มันเป็นเก๋งชั้นสุดท้ายที่อัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกไม่ว่าจะเป็นกล่องรับสัญญาณผ่านดาวเทียม ทีวี ตู้เย็นหรือแม้กระทั่งเครื่องทำน้ำอุ่น สิปาถึงกับร้องว้าวเมื่อเห็นเตียงพับได้ขนาดสองคนนอน ชายหนุ่มใช้เวลาเดินสำรวจห้องพักอยู่ครู่ใหญ่ ค่อนข้างพอใจแม้จะแออัดไปบ้างก็ตาม

        ตรัยปีนบันไดลงจากเก๋งเมื่อไต้ก๋งเรือเริ่มจมจ่อมอยู่กับการคำนวณทิศทางของคลื่นและกระแสน้ำไหล ไต๋บอกกับพวกเขาว่าจะต้องวางแผนการล้อมอวนเอาไว้ล่วงหน้า เนื่องจากฝูงปลาแต่ละชนิดจะเปลี่ยนแปลงแหล่งอาศัยและเคลื่อนที่ไปตามการไหลเวียนของกระแสน้ำอุ่นและกระแสน้ำเย็น เพราะปลาไม่ใช่สัตว์ที่ว่ายน้ำอยู่กับที่ เราจึงต้องค้นหาและไล่ตามมันให้เจอ

      “สวัสดี ภาษาพม่าพูดยังไง”

      “มิงกะลาบา”

      “มิงกะลาบา...ฉันออกเสียงถูกไหม” หนุ่มต่างด้าวพยักหน้ารัวแล้วยกนิ้วให้ อวยหนักจนสิปานึกเขิน “แล้วยินดีที่ได้รู้จักอ่ะ?”

      “ตุ๊ยยาดา หวันตาบ่าแด”

      “ตวยหยาดา หวันบ่าแด” สำเนียงขาดๆ เกินๆ เรียกเสียงหัวเราะจากคนงานแถวนั้นได้เป็นอย่างดี ขนาดตรัยยังนั่งยิ้มขำแม้จะฟังบ้างไม่ฟังบ้างเพราะกำลังมองหารุ่งภพอยู่

      “ถ้าน้ำมันหมดทำไงอ่ะ มีปั๊มเติมน้ำมันกลางทะเลไหม?” สิปาเริ่มตั้งคำถาม

      “ปั๊มไม่มีครับ มีแต่เรือเติมน้ำมัน”

      “แล้วเขาเติมกันยังไงอ่ะ”

      “ลากหัวจ่ายมาเติมไงครับ ก็เหมือนเติมน้ำมันรถนั่นแหละ” ชมรม หนุ่มต่างด้าวแต่พูดไทยคล่องปร๋อเล่าให้ฟังด้วยสำเนียงติดเหน่อ นอกจากชมรมแล้วยังมีคนงานอีกหลายคนยังนั่งเอกเขนกอยู่บนพื้นเรือ บางคนก็นอนแผ่เหมือนมาปิกนิก เตรียมจะหลับกันอีกรอบแม้จะเริ่มเย็นแล้วก็ตาม

      “ดูว่างเนอะ”

      “ช่วงไหนว่างต้องนอนเอาแรงไว้ก่อนครับ ถ้าลงอวนนี่แทบจะไม่ได้นอนเลย ทำกันทั้งคืนก็มี”

      “แล้วปกตินอนตรงไหนเหรอ? มีห้องให้นอนไหม”

      “มีครับ ในเก๋งนั่นไง” พยักหน้าไปทางเก๋งเรือชั้นล่างที่มีขนาดใหญ่กว่าลังกาเป็นสองเท่า “เห็นใหญ่ๆ แบบนั้นแต่นอนอัดกันเป็นสิบนะครับ เมื่อปีก่อนเถ้าแก่เพิ่งจะติดแอร์ให้พวกเรา เลยสบายขึ้นมาหน่อยไม่ค่อยร้อน…”

      ตรัยไม่ได้อยู่ฟังจนจบเพราะเห็นรุ่งภพเดินผ่านเข้ามาในสายตา เขาตรงดิ่งไปหาชายหนุ่ม คว้าข้อมือเอาไว้แล้วลากไปอีกทางที่เป็นมุมอับสายตา

      “จะทำอะไรครับ!”

      “ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย ไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย”

      “เป็นคุณไม่ตกใจเหรอครับ คุยกันดีๆ ก็ได้ไม่เห็นต้องลากกันแบบนี้เลย”

      “แล้วเธออยู่ให้ฉันคุยดีๆ ไหมล่ะ?” ตรัยปล่อยข้อมือของชายหนุ่ม เริ่มจะน้อยใจขึ้นมาบ้างแล้ว

      “คุณอยากคุยเรื่องอะไรล่ะครับ”

      ไม่บอกแต่หยิบสร้อยออกมาแล้วบังคับสวมให้ “ถ้าไม่อยากโดนเหมือนวันนั้นก็อยู่นิ่งๆ”

      “ดะ...โดนอะไร?”

      “แบบนี้ไง” เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้แต่รุ่งภพรีบผลักออก

      “ห้ามทำแบบนี้บนเรือนะ!”

      “ทำไมจะทำไม่ได้ วันนั้นก็ทำบนเรือเหมือนกัน”

      “มันไม่เหมือนกัน! เรือลำนี้ต่อมาจากไม้ใหญ่ เราถึงให้ความเคารพแม่ย่านางกันมาก ห้ามทำเรื่องไม่ดีนะ”

      ตรัยทำหน้าบึ้ง นึกในใจว่าจูบมันไม่ดีตรงไหนกัน “ไม่ทำก็ได้แต่เธอต้องสวมสร้อยที่ฉันให้”

      หนุ่มใต้จับสร้อยคอที่ตรัยสวมให้ เขาจำจี้พระได้เพราะตรัยเคยบอกจะยกให้ตอนไปไหว้พระที่สงขลา “นึกว่าคุณลืมไปแล้ว”

      “จะลืมได้ยังไง สัญญากับเธอไว้แล้ว”

      “ขอบคุณนะครับ”

      “เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหม”

      “ไม่ได้ครับ ขอบคุณก็คือขอบคุณ” เดี๋ยวนี้รู้จักปฏิเสธเป็นแล้ว ไม่ยอมคล้อยตามเหมือนที่ผ่านๆ มา

      “แล้วเมื่อกี้จะไปไหน?” ตรัยเปลี่ยนคำถาม เพิ่งจะนึกได้ว่าชายหนุ่มกำลังจะปีนขึ้นไปบนเก๋งเรือ

      “จะไปเฝ้าหม้อให้ไต๋ครับ”

      “เฝ้าหม้อ?”

      รุ่งภพหลุดยิ้มเมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มทำสีหน้าประหลาด “คิดอะไรอยู่ครับ ผมหมายถึงหม้อเข็มทิศ”

       “อ่อ...งั้นฉันไปด้วย” ไต๋เมืองคงจะสงสัยเพราะเขาเพิ่งจะปีนลงมาเมื่อครู่นี้

       “ไปไหนกัน!”

   รุ่งภพสะดุ้งโหยงกับเสียงวินาศสันตะโรของคนมาใหม่ เขาถอนหายใจแล้วพูดประโยคเมื่อครู่นี้อีกครั้ง สุดท้ายก็ได้ผู้ติดสอยห้อยตามไปด้วยอีกสองคน

   “ไอ้มิ่งลงไปนอนแล้วเหรอลุง”

   “เออ…เอ็งดูๆ มันให้ลุงหน่อยนะ รู้สึกเหมือนมันซึมๆ ยังไงก็ไม่รู้”

   “จ้ะ เดี๋ยวฉันช่วยดูให้” หนุ่มใต้ทิ้งตรัยเอาไว้ตรงทางเข้าแล้วตรงดิ่งไปนั่งเฝ้าหม้อเข็มทิศตามที่เคยพูดเอาไว้ เขากลั้นยิ้มเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของชายหนุ่ม ไม่ค่อยรู้สึกขัดเขินเท่าไหร่แล้วหากไม่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง

   “อันนี้เครื่องอะไรเหรอครับ?” สิปาใช้ปลายนิ้วเคาะหน้าจอขนาดกะทัดรัด มันเหมือนเครื่องประมวลผลอะไรสักอย่าง ภาพในจอเป็นสีดำสนิทและมีเส้นรอบวงหลายชั้น สักพักก็จะเห็นคลื่นสีแดงเป็นเม็ดๆ กระจายอยู่เป็นหย่อมๆ แล้วก็หลุดหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   “เครื่องโซนาร์ครับ ใช้ค้นหาฝูงปลา ถ้ามีปลามันจะขึ้นเป็นเม็ดคลื่นสีแดงๆ แบบนี้”

   “เหมือนจอเรดาร์เลยนะครับ”

   “หลักการทำงานคล้ายกันครับแต่โซนาร์จะใช้คลื่นเสียงและใช้ในน้ำ ส่วนเรดาร์ใช้ในอากาศ”

   “ผมขอถ่ายวิดีโอได้ไหมครับ ไต๋จะอนุญาตไหมถ้าผมจะเอาไปตัดต่อลงยูทูป”

   ไต๋เมืองเลิกคิ้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มเช็คกล้อง “คุณทำยูทูปเหรอครับ”

   “ฝากสับตะไคร้แล้วก็กดกระดิ่งด้วยนะครับ”

   รุ่งภพทรุดตัวลงไปนั่งขำเมื่อเห็นสีหน้างงงวยของผู้เป็นลุง

   “ทำไมต้องสับตะไคร้ด้วยล่ะครับ?”

   ตรัยส่ายหัว ช่วยแก้ความเข้าใจของไต๋ใหม่ “มันหมายถึงกดติดตามช่องมันในยูทูปน่ะครับ จริงๆ เขาเรียกซับสไคร์บไม่ใช่สับตะไคร้..มึงก็เล่นไม่รู้เรื่องไอ้ปา” ประโยคหลังเขาหันไปด่าเพื่อน

   “ขอโต้ดก๊าบ” ชายหนุ่มยกมือไหว้ “เดี๋ยวผมขอข้อมูลเกี่ยวกับการทำประมงหน่อยได้ไหมครับ จะได้เอาสตอรี่ไปใส่ในคลิปให้มันดูมีเรื่องมีราวหน่อย”

   “ครับ...แล้วผมต้องออกกล้องด้วยหรือเปล่า” ยังไม่ทันได้คำตอบก็เตรียมจัดแต่งทรงผมเอาไว้แล้ว

   “ถ้าไต๋อนุญาตผมก็ถ่ายครับ” หนุ่มยูทูปเริ่มตั้งกล้อง รุ่งภพเลยต้องเขยิบไปนั่งกับตรัยเพื่อไม่ให้เข้าเฟรม “เดี๋ยวไต๋ช่วยอธิบายขั้นตอนการทำประมงหน่อยนะครับ”

   “มันไม่มีขั้นมีตอนอะไรหรอกครับ อยู่ที่ประสบการณ์ของไต๋เรือล้วนๆ ดูปลาใต้น้ำเป็นหรือเปล่า? คำนวณได้ไหมว่าฝูงนี้ประมาณกี่โล? รู้หรือเปล่าว่าเป็นปลาอะไร? รู้แล้ววางอวนได้ไหม น้ำเดินไปทางไหน แล้วก็ต้องรู้ด้วยนะว่าวันนี้น้ำกี่ค่ำ ปลาจะอยู่ตรงไหน? ต่อให้มีโซน่าร์แต่ไม่รู้แหล่ง หาให้ทั่วทะเลก็ไม่เจอหรอก”

   “เร็วไปครับไต๋ ขอเริ่มจากเบสิคก่อนได้ไหมครับ”

   “...งั้นเริ่มจากการแยกประเภทของเรือก่อนดีไหมครับ จะได้ไม่งง” ไต๋เมืองเสนอแนะ “ประมงไทยหลักๆ ก็จะมีประมงพาณิชย์กับประมงพื้นบ้าน ในส่วนของประมงพาณิชย์ก็จะแยกย่อยไปอีกตามลักษณะของอวนที่ใช้กัน อย่างเรือลำนี้ใช้อวนดำก็เรียกเรืออวนดำหรืออวนล้อมจับ ถ้าใช้อวนลากก็เรียกเรืออวนลาก ถ้าใช้อวนรุนก็เรียกเรืออวนรุน...แต่เรืออวนรุนยกเลิกไปแล้วเหลือแต่รุนเคยอย่างเดียว พอจะเข้าใจไหมครับ”

   “ครับ พอจะตามทันอยู่ครับ ทำไมถึงยกเลิกเรืออวนรุนไปแล้วล่ะครับ”

   “...เพราะมันขุดทำลายหน้าดินครับ การทำประมงอวนรุนต้องใช้คันถ่างประกอบอวน เวลาเรือแล่นไปข้างหน้า คันถ่างตัวนี้ก็จะขุดหน้าดินขึ้นมาทำให้พื้นทะเลเสียหาย เขาก็เลยประกาศให้ยกเลิกเหลือแค่รุนเคยอย่างเดียว”

   “เคยคืออะไรเหรอครับ?”

   “เหมือนอัดคลิป 20 คำถามอ่ะ” ตรัยเอียงริมฝีปากกระซิบข้างหูของหนุ่มใต้ รุ่งภพย่นคอหนี คว้าแอปเปิ้ลมากั้นกลาง “เอามาทำไม ไม่หิว” ปากบอกไม่หิวแต่รับมาปอกให้

   “นั่งเฉยๆ สิครับ อย่ารุ่มร่าม”

   “พูดเหมือนฉันเป็นคนหื่มกามไปได้”

   “ช่วยเงียบๆ หน่อยได้ไหมครับตรงนั้นน่ะ!” สิปากดหยุดวิดีโอแล้วส่งเสียงเตือน “ต่อเลยครับไต๋”

   “ถึงไหนแล้วนะ?”

   “ถึง ‘เคย’ คืออะไรแล้วครับ”

   “อ่อ…เคยได้ยินกุ้งเคยไหมครับ นั่นแหละครับที่เขาเอามาใช้ทำกะปิกัน”

   “อ๋อ งั้นเรากลับมาที่เรืออวนดำกันดีกว่าครับ”

   “โอเค...อวนดำจัดอยู่ในประเภทของอวนล้อมจับครับ นอกจากอวนดำก็มีอวนเขียว อวนล้อมปลาทู อวนล้อมจับปลากะตัก ขนาดของตาอวนแต่ละประเภทจะไม่เท่ากัน ขนาดของตาอวนมาตรฐานจะอยู่ที่ 2.5 เซนติเมตร แต่ก็ต้องดูด้วยว่าปลาที่จับเป็นปลาอะไร ถ้าจับปลาทูหรือปลาลังก็จะใช้ตาใหญ่กว่าประมาณ 3-4 เซนติเมตร ส่วนใหญ่จะใช้กันมากในฝั่งอ่าวไทยเพราะปลาทูเยอะกว่าฝั่งอันดามัน”

   “แล้วประมงพื้นบ้านล่ะครับ ทำเหมือนกันไหม?”

   “ประมงพื้นบ้านเขาจับสัตว์น้ำตามฤดูกาลครับ ส่วนใหญ่จะใช้อวนติดตา อาจจะเป็นตาข่าย อวนลอยหรืออวนจม บางครั้งก็เรียกตามสัตว์น้ำที่จับได้ อย่างอวนกุ้ง อวนจมปู อวนล้อมติดปลาทู อวนปลากุเลา หรือไม่ก็อวนลอยปลาอินทรีครับ จะได้มากหรือได้น้อยก็ขึ้นอยู่กับความยาวและชนิดของอวน”

   คนคุมกล้องพยักหน้าดูพอใจกับข้อมูลที่ไต้ก๋งสรุปให้ “อีกนิดนะครับไต๋ ผมขอถามความคิดเห็นเกี่ยวกับมุมมองในการทำประมงหน่อยได้ครับ”

   “เกี่ยวกับ IUU หรือเปล่าครับ?”

   “ประมาณนั้นครับ ถ้าไต๋ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็พอแล้ว”

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ มันก็แค่มุมมอง...สำหรับผมน่ะนะ การทำประมงมันไม่มีคำว่าพอดีหรอก จะได้มากหรือได้น้อยยังไงก็ต้องได้ ถ้าได้มากก็ถือว่าเป็นกำไร ถ้าได้น้อยก็ขอให้เพียงพอที่จะยังชีพได้ เราไปกำหนดไม่ได้หรอกว่าต้องได้เท่านั้นเท่านี้ทุกๆ วัน ผมอยากจะบอกว่าปัญหาโอเวอร์ฟิชชิ่งไม่ได้เกิดจากการที่พวกเราจับปลาหรอกนะ มันเกิดจากพวกทำประมงไร้จิตสำนึกต่างหาก ใช้อวนตาถี่ไปตัดวงจรชีวิตปลาเล็กปลาน้อยจนหมด ไม่มีโอกาสให้มันได้ขยายพันธุ์ได้เจริญเติบโต ถ้าจะแก้ก็ขอให้แก้ให้ถูกจุดด้วย…แค่นั้นแหละ”

   สิปากดบันทึกวิดีโอแล้วเปลี่ยนมาเป็นโหมดถ่ายภาพแทน ชายหนุ่มเก็บภาพนิ่งของไต๋เรือโดยมีฉากหลังเป็นแสงสุดท้ายสาดส่อง ให้ความรู้สึกหดหู่แต่ยังมีความหวังให้ก้าวเดิน

   ชายหนุ่มจ้องมองออกไปยังเส้นขอบฟ้าไกลลิบเบื้องหน้า ความอ้างว้างจากท้องทะเลวิ่งเข้าเกาะกุมหัวใจเขา แม้จะเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้มานับไม่ถ้วนแต่ไม่มีครั้งไหนรุนแรงเท่าครั้งนี้

   “ตรัย...”

   สิปาหยุดริมฝีปากเอาไว้แค่นั้นเมื่อเห็นเพื่อนสนิทนั่งรอจนหลับไปแล้วด้วยการเอนซบซอกไหล่ของหนุ่มใต้ตัวบาง

   เจ้าของไหล่ยิ้มให้อย่างฝืดเฝื่อน นั่งตัวแข็งให้อีกฝ่ายเอาเปรียบจนเมื่อยขบไปทั้งตัว

   หลับจริงหรือแกล้งวะ?

   ถ้าเขาปลุกมันจะตื่นขึ้นมาแบบสะลึมสะลือหรือแหกปากด่าเขาเป็นอย่างแรกกันแน่?

   ให้ทาย… 



TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 21 l 24/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-09-2019 22:48:40
อย่าไปทำลายโอกาส​เขาสิปา
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 22 l 26/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 26-09-2019 21:22:19
บทที่ 22






   กริ๊ง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!


   กริ่งกู้อวนดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มการทำงาน ลูกเรือทั้งหมดปีนลงจากเก๋งพักด้วยสีหน้างัวเงียและผมฟูยุ่ง ขณะนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว เรือโชคชัยนาวารุ่นที่สองกำลังถูกคลื่นตีโต้ไปมาระหว่างจอดลอยลำอยู่เหนือเป้าหมาย ในบรรดาลูกเรือทั้งหมด มิ่งขวัญเป็นคนเดียวที่ไม่แสดงอาการง่วงนอนออกมาให้เห็น หนุ่มตัวโตยืนประจำอยู่ข้างเครื่องกว้าน กำลังม้วนสมอเรือขึ้นมาเก็บแข่งกับรุ่งภพที่กำลังไล่ดับไฟทุกดวงในเรือจนรอบด้านตกอยู่ในความมืดมิด แทบจะมองไม่เห็นอะไรเลยหากไม่ได้แสงดาวส่องนำทาง

   “จะจับปลากันมืดๆ แบบนี้เหรอวะ มองไม่เห็นอะไรเลย” สิปากระซิบถามเพื่อน เขายังไม่ได้นอนเลยสักตื่นเพราะมัวแต่ตัดต่อวิดีโอที่ถ่ายไว้

   “ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวก็คงเปิดไฟมั้ง” ตรัยหยุดพูดเพียงแค่นั้นเพราะเสียงเครื่องยนต์เรือดังกลบจนไม่รู้สึกถึงความเงียบสงัดอย่างที่ควรจะเป็น เขาลากเพื่อนเข้าไปหลบใต้เก๋งเมื่อเห็นรุ่งภพเดินสั่งงานไปทั่วลำเรือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

   [ปล่อยได้!]

        พอได้ยินเสียงสั่งจากลำโพงขยายเสียง เหล่าคนงานก็เข้าประจำตำแหน่งข้างกราบเรือ เหวี่ยงพวงเชือกสีน้ำตาลเข้มโยนลงน้ำ ทิ้งทุ่นยางพยุงอวนไว้เบื้องหลังให้เรือลากล้อมจนเป็นวงกลม

         [ขวาไปๆ...ขวาๆ...เบาก่อน...เบาๆ ตรงไปก่อน...ตรงไปๆ...ขวาๆ]

         เสียงของไต้ก๋งดังขึ้นกำกับการทำงานของนายท้าย หลังจากเร่งเครื่องตีวงขวาไปได้ครึ่งทาง เนื้ออวนสีดำสนิทก็ถูกเชือกมานถ่วงลงไปจากกราบเรืออย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานลูกกระสงพยุงอวนก็มาบรรจบกันจนเต็มวง

         เสียงกริ่งดังขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้เป็นสัญญาณให้กู้อวน

         “ใครโดด มึงหรือกู?” มิ่งขวัญตะโกนถามเพื่อน รุ่งภพพยักหน้าถอดรองเท้าบูทกันน้ำออก

         “กูโดดเอง มึงไปประจำข้างตู้กว้านเถอะ” หนุ่มใต้ชะโงกดูปลายเชือกบนผิวน้ำ พยักหน้าเรียกคนงานใหม่เข้ามาดูขณะปีนขึ้นกราบเรือเพื่อเตรียมโดด

         “เดี๋ยวๆๆ! จะทำอะไร!” ตรัยรีบวิ่งเข้ามาจับ อุ้มยกชายหนุ่มลงมายืนบนพื้นเรือดังเดิม

         “ทำอะไรของคุณเนี่ย! ผมจะลงไปเอาเชือกขึ้นมาโยงกับเรือครับ” หนุ่มใต้ดึงมือของตรัยออกจากเอว ถลึงตาใส่เมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะลากเขาลงไปอีกครั้ง

        “ทำไมต้องโดดเองด้วยล่ะ คนงานตั้งเยอะแยะ”

        “พูดแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ” รุ่งภพถอนหายใจใส่ “บางคนเพิ่งมาใหม่ ผมก็ต้องทำให้เขาดูก่อน รอบต่อไปจะได้ไม่กลัวเวลาผมสั่งให้พวกเขาโดดลงไปลากเชือก”

   “โดดลงไปกลางทะเลเนี่ยนะ? ไม่กลัวก็บ้าแล้ว”

   “ลูกเรือทุกคนว่ายน้ำเป็นครับ มันเป็นงาน...คุณต้องเข้าใจ”

   เขาไม่อยากเข้าใจแต่คงห้ามอะไรไม่ได้ หากออกปากให้คนอื่นทำแทน รุ่งภพอาจจะเดือดร้อนเพราะลูกเรือไม่เชื่อฟัง

   ตู้มมมมมมมมม

   หนุ่มใต้ก้มตัวแล้วกระโดดลงไปเหมือนนักกีฬาว่ายน้ำ จ้วงแขนเพียงไม่กี่ครั้งก็คว้าปลายเชือกเอาไว้ได้ แม้จะลำบากตอนลากกลับเข้ามาเล็กน้อยแต่ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี คลื่นไม่แรงอย่างที่คิดแต่ในน้ำคงเย็นมากเพราะชายหนุ่มสั่นไปทั้งตัวตอนปีนกลับขึ้นมา

   “เอ้ามึง ผ้าขนหนู”

   ตรัยรับผ้าขนหนูที่เพื่อนโยนให้มาคลุมตัวของชายหนุ่ม “ผ้าใคร? มึงไปเอามาจากไหน”

   “ไม่รู้ เห็นตากอยู่เลยขอยืมมาก่อน”

   “ยืมกับใคร?”

        “ยืมในใจ”

        “....”

   หมดคำจะพูด รุ่งภพถอนหายใจอีกครั้งกับความปั่นป่วนภายในเรือ เขาเช็ดผมลวกๆ แล้วเพ่งผ้าขนหนูในมือ คงเป็นของลูกเรือคนใดคนหนึ่งที่ตากเอาไว้ด้านหลังของเก๋งเรือ

        [จับมาน]

         หนุ่มใต้โยนผ้าขนหนูเปียกชื้นขึ้นไปพาดบนราวเก๋ง สวมรองเท้าบูทของตัวเองอย่างรีบเร่งแล้วตะโกนสั่งคนงานให้ดึงเชือกขึ้นเตรียมกว้านหูอวนกลับเข้าเรือ

        “เอาเลย”

        มิ่งขวัญสบตากับเพื่อนแล้วพยักหน้าให้ หนุ่มตัวโตหมุนเครื่องกว้านเก็บสายมานขึ้นเรือ รูดหูอวนจนปิดสนิทดักทางหนีของฝูงปลา
   “โทษนะ อันนี้เครื่องอะไรอ่ะ”

   มิ่งขวัญหันไปตามแรงสะกิด เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นมนุษย์กล้องชะโงกหน้าเข้ามาถามด้วยแววตาสงสัย “เครื่องกว้านสายมาน”

        “สายมานคืออะไร?”

   “สายมานคือเชือก...เชือกเส้นใหญ่ๆ เอาไว้ร้อยผ่านห่วงวงแหวนสำหรับกว้านรูดปิดด้านล่างของผืนอวนไม่ให้ปลามันว่ายหนี” แม้จะแสดงสีหน้าหงุดหงิดแต่ก็ยอมตอบคำถามเพราะจำได้ว่าชายคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของลูกชายเถ้าแก่เรือ “จะถามอะไรอีกไหม ผมจะทำงาน”

   “ไม่ถามละ สู้ๆ นะ” สิปาชูสองนิ้วให้พร้อมกับรอยยิ้มให้กำลังใจ เขาไม่ถือสากับน้ำเสียงห้วนสั้นของชายหนุ่ม เข้าใจว่าตัวเองคงเกะกะเพราะถือกล้องเดินไปเดินมาจนคนอื่นทำงานไม่สะดวกเท่าที่ควร

   “จับเวลาแล้วนะ” มิ่งขวัญตะโกนบอกเพื่อน กดนาฬิกาจับเวลาเมื่อเริ่มบล็อคอวน

        “ใครคุมเครนวะ?”

   “บังรอด” เสียงลวดสลิงบดรอกดังขึ้นเสียดหู มิ่งขวัญหันไปทางหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบที่กำลังใช้พาวเวอร์บล็อคกว้านลูกกระสงและเนื้ออวนยกขึ้นสูง กันปลาว่ายหนีออกไปทางปากอวน

   [ระวังรอก ดูรอกด้วย เบาๆ...ตีหัวมาเยอะๆ หน่อย พอ!]

   เสียงไต้ก๋งดังขึ้นอีกครั้งกำกับการทำงานของลูกเรือ รุ่งภพถอยมายืนข้างตรัยหลบเนื้ออวนที่ถูกกว้านขึ้น “ฉันเกะกะหรือเปล่า”

   หนุ่มใต้ยิ้มขณะไล่เปิดไฟอีกครั้งจนสว่างไสวไปทั่วเรือ “ไม่มีใครกล้าว่าคุณหรอกครับ”

   “ไม่ว่าต่อหน้าแต่ว่าในใจหรือเปล่า?”

   “ถ้าไม่อยากโดนว่าคุณก็ไปช่วยพวกเขาสาวอวนสิครับ” รุ่งภพพูดไปอย่างนั้นเอง ไม่คิดว่าตรัยจะทำจริง

   “สอนหรือเปล่าล่ะ? ถ้าสอนก็จะช่วย”

   “เอาจริงเหรอครับ?”

   “คนอย่างฉันไม่พูดเล่น”

   ตำแหน่งของลูกเรือถูกปรับเปลี่ยนในนาทีสุดท้ายเมื่อลูกชายเถ้าแก่แทรกตัวเข้ามาตรงหัวแถว ทุกคนมีสีหน้าตกตะลึง ซ้ำยังขยี้ตาตัวเองหลายครั้งเหมือนเจอภาพหลอน

   “พร้อมนะครับ” ตรัยพยักหน้า จับเนื้ออวนตามชายหนุ่ม “ผมจะเป็นต้นเสียงให้จังหวะ ถ้าลูกเรือขานรับก็สาวขึ้นครั้งนึงแล้วสะบัด จังหวะจะช้าในตอนแรกแล้วก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ ตามให้ทันนะครับ”

   คอร์สเร่งรัดไม่เผื่อเวลาให้ทดลองงานเลยด้วยซ้ำ ผืนอวนในมือเริ่มหนักอึ้งเมื่อปลาถูกโอบเข้ามาจนวงแคบด้วยหัวเครน

   “เฮ้...เห่...ยาเล... (เฮ่...ยา...เล)”

   เผลอละสายตาจากผืนอวนเมื่อได้ยินน้ำเสียงเห่ร้องของคนให้จังหวะ รุ่งภพกุมกระชับมือเขาแล้วชักนำจนขยับไปพร้อมกับคนงาน ผืนอวนสีดำเลื่อมถูกดึงขึ้นมาพาดบนกราบเรือ ตีวงอวนให้แคบลงมาอีกด้วยแรงคน หลังจากเกินขีดจำกัดของเครนยก





   “เฮ...ยาเล... (เฮ่ ยาเล)
โอ เฮ ยาลาลาลา... (เฮ่ ยาเล)
เอ้า เฮ ยาลาลาลา... (เฮ่ ยาเล)
อ่ะ ยาลาลา เฮ้ ลา... (เฮ่ ยาเล)
ยาลาเฮ้ ยาลาฮา... (เฮ่ ยาเล)
เฮ...ยาเล... (เฮ่...ยา...เล)”






   เสียงให้จังหวะหยุดลงเมื่ออวนสีดำถูกสาวจนก้นตื้น พอปากอวนแคบลงจึงเห็นปลาว่ายวนเบียดเสียดจนเต็มไปหมด ปริมาณไม่น้อยเลยเมื่อลูกเรือสองคนชักรูดสวิงยักษ์ลงไปช้อนขึ้นมาจากวงอวน

   ตรัยปล่อยมือที่เริ่มชาหนึบจากการทำงาน เวลาผ่านไปเร็วมาก ไม่นานก็เห็นเส้นขอบฟ้าเริ่มปรากฎแสงเจือจางจากอรุณรุ่งในยามเช้าตรู่

   “เยอะจริง” เขาก้มมองก้อนปลาใต้ท้องเรือ บางตัวก็กระเด็นออกมาดิ้นบนพื้นเพราะสวิงใหญ่กว่าปากทางเข้าจนยัดเข้าไปไม่หมด

   “วงนี้ยังถือว่าน้อยนะครับ ยังไม่พอจ่ายค่าจ้างคนงานเลยด้วยซ้ำ...ออกเรือมาแล้วเราก็ต้องจับให้คุ้มทุนก่อนแล้วค่อยว่ากันเรื่องกำไร ต้นทางมันอาจจะดูเยอะ แต่พอกระจายออกไปแล้ว มันก็เหลือให้คนซื้อเห็นแค่ไม่กี่ตัวหรอกครับ เวลาไปเลือกซื้ออาหารจะมีสักกี่คนที่ตั้งคำถามว่าได้มันมายังไง มีแต่จะคิดว่ามันสดไหม? จะเอาไปทำอะไรกินมากกว่า”

    แสงแรกของวันส่องลอดตาอวนจนเกิดเป็นเงาตาข่ายทาบทับตัวเรือ ตรัยมองย้อนแสงของดวงอาทิตย์ไปยังเงาของคนงานที่แบกตะกร้าขึ้นบ่าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หยาดเหงื่อไหลหลั่งท่วมท้นเนื้อตัวที่เปียกปอน ถึงอย่างนั้นก็ยังยิ้มสู้เมื่อนึกถึงรายได้ที่คอยจุนเจือ

   แม้อาชีพนี้จะถูกมองว่าโหดร้าย แต่อย่างน้อย…มันก็สร้างโอกาสและรายได้ให้กับใครอีกหลายคน

   “เหนื่อยหรือเปล่า”

   รุ่งภพเอียงคอสงสัย น้ำเสียงของตรัยไม่ใช่แค่ตั้งคำถามเพื่อต้องการคำตอบเพียงเท่านั้น เขารู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่แผ่ซ่านผ่านไออุ่น หนุ่มใต้ลอบมองเสี้ยวหน้าคมคายใต้แสงแดด หัวใจเต้นระส่ำเมื่ออีกฝ่ายยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

   เขาเชื่อใจตรัยได้ใช่ไหม?

   หากวางมือให้อีกฝ่ายจับจูง เราจะเดินไปด้วยกันจนสุดทางได้หรือเปล่า?



TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 22 l 26/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-09-2019 21:41:13
ตั้งแต่อ่านเรื่องนี้​ บอกเลยค่ะว่าไม่บ่นเรื่องราคาอาหารทะเลเลย
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 22 l 26/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 26-09-2019 23:49:46
 :katai2-1:

 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 23 l 27/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 27-09-2019 21:04:18
บทที่ 23





   ต้มยำหัวปลากะพงถูกนำมาเสิร์ฟหลังจากแล่เนื้อออกมาทำลวกจิ้มจนเหลือเพียงแต่ก้าง การกินอาหารบนเรือไม่มีโต๊ะหรือเก้าอี้มาวางให้ นอกจากพื้นกระดานแล้วก็มีแค่กองอวนที่พอจะปีนป่ายขึ้นไปนั่งได้ พวกเราเลยจับกลุ่มนั่งกินมื้อเช้ากันบนพื้น วางจานอาหารไว้ตรงกลางแล้วนั่งล้อมเป็นวงกลม

   “พี่ณัฐมากินข้าวด้วยกันดิ” รุ่งภพตะโกนเรียกชายหนุ่มรุ่นพี่ ณัฐเดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เสยผมชุ่มเหงื่อให้พ้นสายตา

   “ร้อนฉิบหายเลยห้องเครื่อง” ชายหนุ่มบ่นหลังจากขลุกอยู่กับเครื่องจักรยนต์มาเป็นเวลานาน “แกงอะไรวะ?”

   “ต้มยำหัวปลากะพงกับลวกจิ้มพี่”

   “รอบนี้ได้ปลากะพงด้วยเหรอ”

   รุ่งภพพยักหน้าระหว่างแกะเนื้อตรงกระพุ้งแก้มปลาใส่จานตรัย “ได้มาหกตัว ใหญ่มากอ่ะพี่ น่าจะตัวละสิบโลได้มั้ง”

   “มาทำงานครั้งแรกก็คุ้มแล้วกู กินแต่กะพงขาวมานาน ได้กินกะพงแดงสักที”

   “คุ้มจริงต้องกะพงแสมพี่”

   “เออจริง แต่กว่าจะได้แดกคงนั่งตกจนเหี่ยวอ่ะ” รุ่งภพกับชายหนุ่มรุ่นพี่หัวเราะกันอยู่สองคนเพราะคนอื่นไม่เข้าใจความแตกต่างที่พวกเขาพูดถึง

   “กะพงแดง กะพงขาวอะไรวะ? มันก็ปลากะพงเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” สิปาจุดประเด็น ความสงสัยนี้เขาต้องได้คำตอบ

   “กะพงขาวเป็นปลาเลี้ยงครับเนื้อจะยุ่ย ถ้าเป็นกะพงแสมหรือกะพงแดงจะเป็นปลาที่โตตามธรรมชาติครับ เนื้อจะแน่นกินอร่อยกว่า”

   “จริงเด่ะ? ทำไมกูไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเลยวะ” ลองตักชิมอีกหนึ่งคำ เนื้อนุ่มหยุ่นค่อนข้างหวาน “กูรู้อย่างเดียวคืออร่อยแค่นั้นแหละ”

   “ต่อมรับรสมึงตายด้านไง แดกแต่เหล้าจนลิ้นแข็งไปหมดแล้วมั้ง” ตรัยส่ายหน้า ขนาดเขายังแยกความแตกต่างออกเลย ระหว่างเนื้อกะพงแดงที่อยู่ตรงหน้ากับเนื้อกะพงขาวที่เคยกินในภัตตาคารจีนนั้นไม่เหมือนกัน

   “มึงก็พูดไป แดกเหล้าลิ้นไม่แข็งหรอกเว้ย มีลิ้นเปลี้ย~ ฮ่ะๆๆๆๆ” คนโดนด่าไม่มีสลดแถมยังเลียลิ้นให้ดูเป็นตัวอย่าง

   “กินเยอะๆ นะครับ ปลากะพงเป็นปลาหน้าดินไม่ใช่ปลาผิวน้ำ นานๆ ถึงจะติดอวนล้อมขึ้นมาสักที ไม่ใช่ว่าจะจับกันได้ง่ายๆ นะครับ”

   “แล้วปกติเขาใช้อวนอะไรจับกันอ่ะ?” สิปายัดเนื้อปลาเข้าไปจนแก้มพอง ในเมื่อเป็นของแรร์ก็ต้องกินให้คุ้ม

   “ปลาหน้าดินชอบหากินตามพื้นทะเลตามก้อนหินครับ เรือที่จับได้เยอะจะเป็นเรืออวนลากครับเพราะถุงอวนยาว อีกวิธีก็ง่ายๆ ครับ ใช้เบ็ดตกเอาหรือไม่ก็ทำลอบดักปลา” รุ่งภพอธิบายขณะที่ยังสาละวนอยู่กับการแกะปลาให้ตรัยและเพื่อนสนิท “อิ่มแล้วเหรอมิ่ง? กินน้อยแท้วะ”

   มิ่งขวัญทำเพียงแค่พยักหน้าไม่พูดไม่จา ลุกออกจากวงไปเงียบๆ เพื่อล้างจานของตัวเอง

   “มันดูหงอยๆ นะ” ณัฐเอ่ยทัก รู้สึกผิดสังเกตมาหลายวันแล้ว

   “ผมไปดูมันหน่อยดีกว่า” รุ่งภพชันตัวลุกขึ้น หันไปบอกกับตรัยก่อนไป “เดี๋ยวผมมานะครับ”

     หนุ่มใต้เดินตรงไปยังท้ายเรือ ตรงส่วนนี้จะเป็นครัวของจุมโพ่ มีทั้งถังน้ำแข็งใส่อาหารสดและผักที่เริ่มจะเหี่ยวเฉาตามวันเวลา เขาเอ่ยปากทักทายพ่อครัวงานยุ่ง อีกฝ่ายทำเพียงแค่พยักหน้ารับเพราะกำลังหั่นผักเตรียมอาหารในมื้อต่อไป

   “มิ่ง?” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงหยั่งเชิง มิ่งขวัญยังคงนั่งชันเข่าเหม่อมองคลื่นทะเลอย่างไร้จุดหมาย “มึงเป็นไรเปล่าวะ? ไม่สบายเหรอ” เขาอังมือลงบนหน้าผากเพื่อน อีกฝ่ายถอนหายใจแล้วหันกลับมามองกัน

   “กูไม่ได้เป็นอะไร แค่...”

   “แค่?”

   “แค่...รู้สึกเหมือนอะไรมันหายไป”

   “แล้วมันอะไรล่ะ?” ขนาดเจ้าตัวยังไม่รู้แล้วเขาจะรู้ได้ยังไง

   มิ่งขวัญไม่ตอบแต่เลี่ยงไปคุยประเด็นอื่น “มึงเคยคิดถึงใครคนนึงมากๆ ไหม”

   รุ่งภพอึกอัก “ก็…เคยอยู่”

   “แล้วมึงทำยังไง”

   “ก็ไม่ทำไง คิดถึงก็ไปหา...ไม่เห็นจะยากเลย” พูดน่ะง่ายแต่ความจริงคือแอบมองอยู่ห่างๆ

   “แล้วถ้าคนๆ นั้นเป็นผู้ชายล่ะ”

   “มึง…คิดถึงผู้ชายเหรอ?” รุ่งภพทำหน้าเหวอ ทำไมเขากับเพื่อนต้องมาหัวอกเดียวกันด้วยวะ

   “แปลกใช่ไหมล่ะ กูก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน พอไม่ได้เจอกันเหมือนทุกวันกูแม่งเพิ่งจะรู้สึก ยิ่งรู้ว่าเขาอยู่ไกลก็ยิ่งคิดถึงหนักเข้าไปอีก จะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”

   “มิ่ง” รุ่งภพเรียกสติเพื่อน “บนโลกนี้มีเครื่องมือสื่อสารที่เรียกว่าโทรศัพท์อยู่นะ”

   มิ่งขวัญมึนไปพักหนึ่งกับประโยควกวนของเพื่อนสนิท “เออว่ะ! กูก็มีเบอร์เขานี่หว่า ทำไมไม่โทรไปคุยวะ”

   “นั่นน่ะสิ ไอ้ฟาย มึงจะดราม่าทำเพื่อ?” ทำคนอื่นเขาเป็นห่วงไปหมด มันน่าบีบคอให้ตายคามือ

   “มึงแม่งเพื่อนแท้กูจริงๆ ว่ะ ใจนะเว้ยที่ช่วยให้กูตาสว่าง” มิ่งขวัญยิ้มหน้าชื่น ลากคอเพื่อนไปซุกดงรักแร้

   “ไอ้เหี้ย! อุแหวะ ปล่อยกู๊!” กว่าจะหลุดออกมาได้แทบจะขาดใจตายอยู่กลางดง

   ขอถีบสักทีก็แล้วกัน ไอ้สารเลว!

   “กูอยากโทรแบบเห็นหน้าอ่ะ เขาเรียกว่าไรนะ เฟสไทม์ป่ะ”

   “จะเฟสจะไลน์ก็โทรไปเถอะ” คนพูดควักยาดมออกมายัดจมูก ใบหน้าซีดเผือดและเหงื่อแตกพลั่ก “แต่โทรศัพท์รุ่นมึงโทรไม่ได้นี่หว่า”

   “เดี๋ยวเงินออกค่อยซื้อใหม่ มึงไปเป็นเพื่อนกูด้วยนะ”

   “เออ แล้วแต่มึงเลย” ปล่อยให้มันนั่งฝันลมๆ แล้งๆ ไปก่อนก็แล้วกัน เขาเดินกลับเข้ามาในวงข้าวอีกครั้ง ทุกคนอิ่มกันหมดแล้ว เหลือแค่ตรัยนั่งคอยอยู่คนเดียว

   “ไปทำอะไรมา? ทำไมหน้าเป็นงั้น”

   “ตกถังขยะมาครับ”

   ตรัยเลิกคิ้ว ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก “พวกคนงานเข้าไปนอนกันหมดแล้ว เธอจะเข้าไปนอนต่อไหม ง่วงหรือเปล่า?”

   หนุ่มใต้ส่ายหน้า งานของเขาไม่ค่อยได้ออกแรงอะไรนัก แค่ขีดๆ เขียนๆ แล้วก็เข้าไปช่วยบ้างตอนลูกเรืองานล้นมือ “เดี๋ยวทวนงานที่จดในบันทึกก่อนครับ ถ้าคุณง่วงก็ขึ้นไปนอนก่อนเถอะ”

   “ฉันจะนอนพร้อมเธอ”

   รุ่งภพจนใจจะห้ามปราม ตรัยลงมานอนเบียดเขาหลายคืนแล้ว ถ้าไม่เกรงใจเขาก็เกรงใจคนงานสักหน่อยเถอะ นอนเกร็งกันไปหมด ดูเรียบร้อยผิดหูผิดตา

   จะหายใจแรงๆ ยังไม่กล้า คนที่เคยกรนก็นอนเงียบ ไม่รู้ว่าได้หลับบ้างหรือเปล่า

   “ดูทำหน้าเข้า ไม่อยากให้ไปนอนด้วยเหรอ”

   “ไม่ใช่อย่างนั้น คุณทำแบบนี้พวกคนงานจะนอนไม่หลับเอา”

   “งั้นเธอก็ขึ้นไปนอนกับฉันข้างบนสิ ไต๋ไม่ว่าหรอก เขาเอ็นดูเธอจะตาย”

   “ผมไม่อยากให้ตัวเองได้สิทธิ์เหนือคนอื่น ขนาดไอ้มิ่งเป็นลูกมันยังไม่ขึ้นไปเลย”

   “ฉันก็ไม่อยากได้สิทธิ์เหนือคนอื่นเหมือนกัน ลงมานอนกับเธอก็ถูกแล้ว” ตรัยทำมึน เขาจะนอนซะอย่างใครจะทำไม

   “ตามใจคุณเลยครับ” พูดไปก็เท่านั้น

        คนหน้ามึนแอบยิ้ม รู้สึกว่าหน้าของตัวเองด้านขึ้นตั้งแต่ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง

        ด้านได้อายอด เขายึดคตินี้

        “เมื่อไหร่จะกลับ ออกมาเป็นอาทิตย์แล้วนะ”

        “เบื่อแล้วเหรอครับ”

        “เห็นแต่ฟ้ากับทะเล อยากเข้าฝั่งจะแย่แล้ว”

        “ลงอวนอีกสักรอบก็น่าจะได้กลับแล้วล่ะครับ รอบนี้ออกมาไกล กว่าจะไปกว่าจะกลับหมดน้ำมันไปหลายถัง เดี๋ยวก็ต้องหยุดเดือนหงายอีก ต้องกักตุนของเผื่อเอาไว้ด้วยครับ ถ้าของในแพปลาขาดอาหารทะเลจะปรับขึ้นราคาเพราะเรือไม่ออกไปทำประมงกัน”

   “ทำไมต้องหยุดเดือนหงายด้วยล่ะ”

   “มันเป็นคืนเดือนแจ้งครับ กระแสน้ำแรงทำให้วางอวนลำบาก พวกปลาจะหากินไปทั่วแล้วก็ลงไปลึกกว่าเดิมเพราะได้แสงสว่างจากดวงจันทร์ ถ้าเรือลำไหนใช้โซนาร์ก็ไม่มีปัญหาครับแต่อาจจะได้น้อยเพราะปลามันไม่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ชาวประมงเลยไม่ค่อยจับปลาในคืนเดือนหงายกัน ถ้ามีแสงสว่างมากปลามันจะมุดลงหน้าดินกันหมดเพราะมองเห็นอวน ทำให้จับไม่ได้ 100% ครับ”

   “พอไม่มีเรือออก ปลาก็ขาดตลาดใช่ไหมเลยต้องขึ้นราคา”

   “มันก็ไม่ถึงกับขาดตลาดหรอกครับ แพปลาแต่ละที่จะมีของที่ฟรีสเอาไว้ในห้องเย็นอยู่แต่ไม่เยอะเท่านั้นเอง ช่วงเรือหยุดเดือนหงายปลาผิวน้ำอย่างปลาทู ปลาหลังเขียว ปลาอินทรีจะมีราคาสูงเพราะเรืออวนล้อมหยุดช่วงนี้กัน แต่แม่ค้าบางเจ้าก็ถือโอกาสช่วงนี้ขึ้นราคาอาหารทะเลทุกชนิดแล้วอ้างว่าเป็นช่วงเรือหยุด ฟันกำไรเอากับปลาหน้าดินที่จับได้ทุกเวลาไม่เกี่ยวกับเดือนมืดหรือเดือนหงาย อย่างปลาเก๋า ปลากะพงแดง ปลาสำลี ปลาเห็ดโคน ปลาพวกนี้มาจากเรืออวนลากทั้งนั้น ถ้าแม่ค้าปั่นราคาก็แสดงว่าคุณกำลังโดนหลอกแล้วล่ะครับ”

   “สงสัยต้องพกเธอติดตัวไปด้วยตลอดแล้วล่ะ จะได้ไม่โดนหลอกไง”

   “คุณเป็นลูกเจ้าของแพปลานะครับ ไม่มีใครกล้าหลอกคุณหรอก”

   “ฉันเป็นแค่ลูกไม่ใช่เจ้าของแพปลาสักหน่อย”

   “ลูกเจ้าของก็เหมือนเจ้าของนั่นแหละครับ”

   “งั้นลูกเจ้าของมีสิทธิ์อะไรบ้างล่ะ” ตรัยโน้มหน้าเข้าไปหาชายหนุ่ม กระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “สามารถยึดคนงานของพ่อมาเป็นของตัวเองได้หรือเปล่า?”

   “คนงานคนไหนล่ะครับ”

   “คนตรงหน้าฉันนี่ไง”






   
   เสียงคำรามของเครื่องจักรสั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้งสู่การเดินทางที่ยาวไกลออกไป หลังจากฟื้นฟูกำลังกายกำลังใจจากการนอนหลับพักผ่อนแล้วก็ถึงเวลาทำงานต่อ กองอวนที่สุมกองเอาไว้ถูกรื้อออกมาตรวจหารอยฉีกขาด ตรงไหนเว้าตรงไหนแหว่งก็ปะชุนให้ติดแน่น เตรียมพร้อมสำหรับการทิ้งอวนในรอบต่อไป

   “พวกเขาเอาอะไรมาทาที่หน้า? สีเหลืองๆ” ตรัยถามหนุ่มใต้ข้างตัว ตอนแรกนึกว่าเป็นแป้งดินสอพองแต่พอมองใกล้ๆ แล้วไม่ใช่

   “แป้งทานาคาครับ”

   “แป้งอะไร? ทำไมเป็นสีเหลืองล่ะ เขาผสมสีเหรอ”

   “เป็นแป้งพม่าครับ ฝนจากไม้ทานาคา พวกคนงานชอบเอามาทาดับกลิ่นตัวกัน เวลาใช้ต้องละลายน้ำครับ ถ้าช่วงไหนมีเวลาพวกเขาจะทำลายที่แก้มด้วย บางทีก็เป็นรูปใบไม้ บางทีก็ปาดวนๆ เอา” หนุ่มใต้เอื้อมมือไปขอกระปุกแป้งจากเมียนมาร์หนุ่ม “จะลองทาดูไหมครับ”

   ตรัยมีสีหน้าขัดขืนในตอนแรก ลอบมองชายหนุ่มสลับกับกระปุกแป้งสีเหลืองนวล “ถ้าฉันทา เธอต้องทาด้วยนะ”

   “ได้ครับ ไม่มีปัญหา ปกติผมก็ทาบ่อยๆ อยู่แล้ว”

   “จริงเหรอ? ไม่เคยเห็น”

   “ผมทาก่อนนอนครับ มีช่วงนึงผมเป็นสิวเยอะ ชมรมก็เลยเอามาฝาก เห็นว่าช่วยรักษาสิวก็เลยใช้ดู”

   “แล้วช่วยได้จริงไหม” ระหว่างคุยก็เอียงแก้มให้ชายหนุ่มทาแป้งให้

   “ก็ดีขึ้นนะครับ หน้าไม่ค่อยมัน รอยสิวก็จางลงเรื่อยๆ เหลือแต่รอยกระเพราะผมออกแดดบ่อย”

   ตรัยพิจารณาผิวหน้าของชายหนุ่ม แม้จะเห็นรูขุมขนอยู่บ้างแต่ก็เนียนใสจนเห็นรอยตกกระอยู่ประปราย “นอกจากรอยสิวแล้ว ลบรอยตีนกาได้หรือเปล่า”

   หนุ่มใต้หลุดขำจนไหล่สั่น เผลอทำแก้มของตรัยเลอะไปครึ่งแถบ “ถามนี่จะเอาไปใช้เหรอครับ?”

   “ถ้าลบได้ก็จะใช้”

   “ไม่รู้เหมือนกันครับ” รุ่งภพไล้ปลายนิ้วบนริ้วรอยแถวหางตา “ความจริงรอยตีนกาก็ไม่ได้แย่นะครับ อย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งเตือนใจว่าเราผ่านอะไรมาแล้วบ้าง”

   “ฉันไม่อยากแก่ อยู่กับเธอแล้วเหมือนพ่อลูกอย่างที่เด็กนั่นพูดเลย” นึกถึงวันที่ออกไปขายปูกับชายหนุ่มแล้วโดนทักว่าเป็นพ่อลูกกัน

   “อย่าไปถือสาเด็กเลยครับ เขาพูดความจริง”

   “เดี๋ยวเถอะ”

   หนุ่มใต้เอนตัวหนีหลบฝ่ามือที่เอื้อมมาหยิกแก้ม “ไม่มีใครหนีความแก่พ้นหรอกครับ จะแก่เร็วแก่ช้าก็ต้องแก่อยู่ดี” เขาลบรอยแป้งที่เลอะออกแล้ววาดลายใหม่ทับลงไป “เสร็จแล้วครับ”

   “วาดอะไร? ขีดๆ เขียนๆ อยู่ตั้งนาน”

   “วาดรูปใบไม้ครับ เห็นพวกคนงานชอบวาดกัน” หนุ่มใต้ปิดฝากระปุก หันไปส่งคืนให้เจ้าของ

   “เดี๋ยวสิ! ฉันยังไม่ได้ทาให้เธอเลย” ตรัยคว้ากระปุกกลับคืน ผสมแป้งกับน้ำแล้วแตะปลายนิ้วลงบนแก้มกลม “วาดรูปอะไรดี”

   “อย่าพิสดารมากนะครับ”

   ตรัยข่มเสียงหัวเราะในลำคอ ลากปลายนิ้วลงบนหน้าผากสามขีด ไล่ลงมาตรงหางตาแล้วจบลงที่มุมปาก “เสร็จแล้ว”

   “เร็วจัง” หนุ่มใต้ขมวดคิ้ว ควักโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาส่องดู “ฮ่ะๆๆ คุณวาดรอยตีนกาหรือหนวดแมวให้ผมกันแน่? เส้นใหญ่ไปนะครับ” พูดไปหัวเราะไปเพราะนึกขำริ้วรอยบนหน้าของตัวเอง “หาเพื่อนเหรอครับ ถึงมาเร่งแก่กันแบบนี้”

   “แล้วแก่เป็นเพื่อนกันได้ไหมล่ะ?”

   เสียงกระซิบดังให้ได้ยินเพียงเราสอง ตรัยยังคงเว้นระยะห่างไม่ให้ใกล้ชิดกันจนเกินไป หากแต่สายตานั้นสื่อความหมายเกินคำพูด ทำให้หนุ่มใต้ไม่กล้ามองสบ ต้องเมินหนีเพราะความเขินอาย

   “เขยิบไปหน่อยชมรม” รุ่งภพแทรกตัวผ่าเข้าไปกลางวงอวน ริ้วรอยประหลาดบนใบหน้าทำเอาพวกคนงานหัวเราะกันเกรียวกราว “ไม่ตลก!” ถลึงตาใส่แล้วแย่งชุนอวนมาปะเอง

   ตรัยยิ้มอ่อนทอดสายตามองคนที่นั่งหันหลังให้ เขาไม่เข้าไปกวนใจชายหนุ่มอีก หากแต่ยังวนเวียนอยู่แถวนั้น ถามไถ่ความเป็นอยู่ของคนงาน

   “ไหวนะ เมื่อคืนงานหนักน่าดูเลย”

   “คะ...ครับ ไหวครับ” คนงานหนุ่มใหญ่ตอบเสียงตะกุกตะกัก เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับลูกชายของนายจ้าง “หนักแค่ไหนก็ต้องทนครับ กรีดยางก็ไม่พอกิน ลูกก็ต้องเรียนหนังสือ ถ้าไม่ได้เถ้าแก่ผมนี่แย่เลยครับ”

   “ลูกเรียนอยู่ชั้นอะไรแล้ว”

   “เรียนมหาลัยแล้วครับ แกอยากเรียนก็เลยไปขอกู้ กยศ. มา เลิกเรียนก็ไปทำงานพิเศษ ผมไม่อยากให้ลูกลำบากเลยมาของานเถ้าแก่ทำ อย่างน้อยก็มีรายได้ประจำ ไม่ต้องมานั่งเครียดราคายางอีก”

   “ถ้าจำเป็นต้องใช้เงินมาขอเบิกล่วงหน้าได้นะ เดี๋ยวผมจะคุยกับพ่อเรื่องทุนการศึกษาให้” ตรัยบอกด้วยน้ำเสียงเห็นใจ เขาหันมองไปรอบตัวด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง ผู้คนรอบตัวเขาคงมาด้วยจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกัน

   หากคนเรามีทางเลือก คงไม่มีใครอยากทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำเช่นนี้


   
   
เห่ เฮ้ เฮ เฮ เห่... เห่ เฮ เห่ เฮ เฮ้   เห่ เฮ้ เฮ เฮ เห่... เห่ เฮ เห่ เฮ้ เฮ
ชีเอยหนอชีวา กรรมมาแต่ปางไหน      จับปลาหาเลี้ยงกาย ทำงานกลางคลื่นลม
ยามใดคลื่นลมดี ได้ปลาดั่งใจสม      ลูกเมียคลายระทม เงินทองมีเต็มมือ...



TBC


หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 23 l 27/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-09-2019 21:23:00
ตอนแรกนะนึกว่ามิ่งขวัญไม่มีโทรศัพท์​เลยไม่มีการโทรหา​ ที่ไหนได้แค่ลืมไปว่าใช้โทรก็ได้​ โธ่เอ้ย​คนเรา
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 23 l 27/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 27-09-2019 22:57:32
ตรัยโน้มหน้าเข้าไปหาชายหนุ่ม กระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “สามารถยึดคนงานของพ่อมาเป็นของตัวเองได้หรือเปล่า?”

   “คนงานคนไหนล่ะครับ”

   “คนตรงหน้าฉันนี่ไง”

โอยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 24 l 28/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 28-09-2019 20:38:57
บทที่ 24





   จุดหมายปลายทางต่อไปคือจังหวัดใกล้เคียงอย่างระนองที่ยังไม่ถูกประกาศปิดอ่าวในฤดูกาลนี้ หลังจากแล่นเรือมาถึงไต้ก๋งก็มีสีหน้าเครียดขึงดูกระวนกระวายเพราะมีเรือลำอื่นเข้ามาทำประมงในเขตนี้มากกว่าที่คิด ซึ่งจะทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรเพิ่มขึ้น ทำให้เสียโอกาสเพราะปลาไม่เพียงพอ

   “ไต๋จะพาเราไปไหน?” ตรัยเอ่ยถามหนุ่มใต้ที่นอนอยู่เคียงข้างกัน ภายในเก๋งเรือถูกดับไฟจนมืดสนิทเพราะถึงเวลาเข้านอนแล้ว หากแต่เขายังไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิดแม้จะข่มตาหลับมาเป็นชั่วโมงแล้วก็ตาม

   เรือโชคชัยนาวาละทิ้งจุดหมายเดิมแล้วแล่นออกไปไกลจนไม่เห็นแนวชายฝั่ง ตรัยค่อนข้างเป็นกังวลเพราะเห็นเมฆสีดำทะมึนตั้งเค้าอยู่ไม่ไกลจากเส้นขอบฟ้า

   “คงพาออกห่างจากเรือลำอื่นน่ะครับ ไปกระจุกกันอยู่ตรงนั้นยังไงก็เสียเวลาเปล่า” รุ่งภพกระซิบตอบ ไม่ใช่แค่เขากับตรัยที่ยังนอนไม่หลับ ลูกเรืออีกหลายคนก็ยังนอนคุยนอนเล่นโทรศัพท์กันอยู่เพราะนั่งว่างมาหลายวันแล้ว แทบไม่ได้ใช้แรงอะไรเลยจึงนอนดึกกันพอสมควร “ร้อนไหมครับ”

   ตรัยส่งเสียงหึในลำคอ ตะแคงหน้าเข้าหาชายหนุ่ม “เย็นๆ เหมือนจะหนาว”

   “หนาวเหรอครับ?” หนุ่มใต้อังมือข้างแก้มและซอกคอของคนบอกหนาว แม้ภายในเก๋งจะติดแอร์ช่วยคลายร้อนแต่ก็ไม่ได้เย็นจนรู้สึกหนาวอะไรขนาดนั้น “ปวดหัวหรือเปล่าครับ”

   “เปล่า” ตรัยยื้อข้อมือของชายหนุ่ม พลิกมากุมทับแล้วดึงไปซุกตรงกลางอก “ฉันคงไม่ชินกับอากาศกลางทะเลน่ะ เลยรู้สึกเย็นกว่าปกติ”

   “เอาผ้าห่มไหมครับ”

   ตรัยพยักหน้า เขยิบตัวไปซุกผ้าห่มของชายหนุ่ม “อุ่น”

   “ปล่อยได้แล้วครับ” ดึงมือออกแต่ตรัยไม่ยอม

   “ปล่อยอะไร?” อีกฝ่ายก็ตีมึนไม่ยอมปล่อย รู้ว่าชายหนุ่มไม่กล้าพูดแบบเต็มประโยคเพราะกลัวคนอื่นจะรู้ว่าคุยเรื่องอะไรกัน “นอนกันเถอะ ฉันง่วงแล้ว”

   ตรัยลอบยิ้มสมใจในความมืด ป่านนี้เจ้าของมือคงนอนหน้ามุ่ยเพราะเสียรู้ให้กับเขา

   ยิ่งนานวัน ความรู้สึกชอบพอก็ยิ่งเพิ่มพูน มันรวดเร็วเกินคาดกับความรู้สึกถลำลึกภายในใจ






   
   แสงจากวันใหม่ขับไล่ความมืดมิดให้จางหายไปจากเส้นขอบฟ้า ตรัยหยีตาสู้แสงไฟภายในเก๋งหลังจากสะดุ้งตื่นเพราะเสียงกริ่งที่แผดร้อง เขาคลานออกจากเก๋งนอนคับแคบไปยังด้านนอก พวกลูกเรือกำลังปล่อยอวนลงน้ำ และหนึ่งในคนงานเหล่านั้นมีเพื่อนสนิทของเขารวมอยู่ด้วย

   “ตื่นแล้วก็ลงมาสิวะ” สิปากวักมือเรียกเมื่อหันไปเห็นเพื่อนเกาะรั้วเก๋งเฝ้ามองดู ตรัยเดินลงไปตามเสียงเรียก ผมเผ้าชี้ฟูและเปลือกตาพับปิดลงมาเกือบครึ่ง “สภาพ...มึงลืมตาหรือยังเนี่ย?”

   “ลืมได้แค่นี้แหละ” เขาอ้าปากหาว จ้องมองไปยังรุ่งภพที่กำลังง่วนอยู่กับสมุดจดภายในมือ “รอบนี้ได้ปลาอะไรเหรอ ดูเยอะกว่ารอบก่อนอีก”

   “ปลาหลังเขียวครับ” ปลาหลังเขียวเป็นปลากระดูกแข็ง มักจะอยู่รวมกันเป็นฝูงทำให้จับได้คราวละมากๆ ปลาชนิดนี้นิยมนำไปทำเป็นปลากระป๋อง หากเป็นต่างประเทศจะเรียกรวมๆ ว่าปลาซาร์ดีนหรือปลาเฮร์ริง หากเป็นภาษาไทยจะเรียกกันหลายชื่อตามแต่ละท้องถิ่น บางทีก็เรียกปลากุแล ปลาอกแล ปลามงหรือปลาหลังเขียว

   “มันเอาไปทำเมนูอะไรได้บ้างเนี่ย?” สิปาซูมกล้องถ่ายตัวปลา มันเป็นปลามีเกร็ด ใต้ท้องอวบโย้ ตรงหลังและครีบเป็นสีน้ำเงินเข้ม ขนาดเล็กกว่าปลาทูที่มีขายตามตลาด

   “เมนูปลากระป๋องไงครับ”

   “ถามจริง?” สิปาแกว่งหางปลาห้อยต่องแต่ง สีหน้าไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก

   “จะหลอกทำไมล่ะครับ ปลาหลังเขียวก็คือปลาซาร์ดีนในกระป๋องนี่แหละ มันตัวเล็กแต่เนื้อเยอะ แถมราคาก็ถูกกว่าปลาทูปลาลังเยอะ ทางโรงงานก็เลยรับซื้อกัน”

   “แล้วที่จับได้นี่ล่ะ? ส่งเข้าโรงงานเหรอ”

   รุ่งภพส่ายหน้า “ส่งไม่ไหวหรอกครับ เขากดราคา ตอนนี้เราเอาไปแปรรูปเป็นปลาหวานตากแห้งแทนครับ ทำเป็นสินค้าโอทอป กระจายรายได้ให้กับชุมชนด้วย”

   “เป็นไงวะปลาหวานตากแห้ง? อยากกินอ่ะ”

   “อยากกินก็ต้องรอเข้าฝั่งก่อนครับ ตอนนี้กินพล่าปลาไปก่อนแล้วกัน”

   “พล่าปลา?” ตรัยถามซ้ำ คำว่า ‘พล่า’ มันใช้กับของดิบไม่ใช่เหรอ?

   “ในบรรดาเมนูทั้งหมด พล่าปลาหลังเขียวอร่อยสุดแล้วครับ”

   “มันดิบ”

   “ก็เหมือนปลาดิบญี่ปุ่นนั่นแหละครับ จับมาสดๆ แบบนี้ไม่มีกลิ่นคาวหรอก เดี๋ยวโดนน้ำมะนาวกลบก็หอมฟุ้งแล้ว” หนุ่มใต้เมินเสียงเตือนจากตรัย “ใครจะกินก็ตามมานะครับ ถ้าไม่อยากกินก็รอกับข้าวของจุมโพ่โน่น น่าจะเสร็จตอนสายๆ…มั้ง”

   “ต้องลองสักหน่อยแล้ว ปลาดิบไทยจะสู้ปลาดิบญี่ปุ่นได้หรือเปล่า” สิปาถูมือ เดินตามหลังรุ่งภพไปติดๆ ด้วยอาการน้ำลายสอ “กูถ่ายวิดีโอตอนมึงทำพล่าปลาได้เปล่าวะ”

   “ทำอาหารก็ต้องถ่ายด้วยเหรอ?”

   “อรรถรส~”

   “แล้วแต่เลยครับ อย่าติดหน้าผมก็พอ”

   แล้วมหกรรมแล่เนื้อปลาก็เริ่มต้นขึ้น การทำพล่าปลาหลังเขียวต้องเลือกปลาสดจัดเท่านั้น หากไม่สดจะมีกลิ่นคาวและไม่อร่อย ขั้นตอนแรกก็เริ่มจากการขอดเกล็ดและแล่เนื้อแบบฟิเลสองชิ้น คุมอุณหภูมิของเนื้อปลาด้วยการแช่น้ำแข็งแล้วพักไว้

   หลังจากนั้นก็เอาเนื้อปลามาขยำสุกด้วยน้ำส้มสายชูเพื่อดับคาว เนื้อปลาจะซีดลงเพราะเมือกตรงผิวหนังถูกชะล้างออกไปแล้ว พอได้เนื้อปลาสีชมพูอ่อนก็บีบน้ำมะนาวลงไปสักสองลูก ตามด้วยน้ำปลา พริก ตะไคร้และหอมแดงคลุกเคล้าจนเข้ากัน ชิมรสเปรี้ยวเค็มเผ็ดแล้วโรยด้วยใบสะระแหน่ปิดท้าย

   “อื้ม~ นุ่มเหนียว หอมตะไคร้อบอวนในปาก”

   “เปรี้ยว” ตรัยหยีตาหลังจากชิมไปได้หนึ่งคำ

   “ไหนบอกไม่กินไง” สิปาย้อนถามเพื่อน

   “ชิม”

   “ต้องเคี้ยวย้ำๆ ครับถึงจะได้รสหวานจากเนื้อปลา” รุ่งภพตักแบ่งใส่จานให้เพื่อนตัวเองบ้าง เผื่อแผ่ไปถึงณัฐที่ผูกเปลนอนอยู่ท้ายเรือ “กินแล้วท้องเสียห้ามว่ากันนะครับ”

   ตรัยวางช้อนแทบจะทันที ส่วนสิปาถือช้อนค้าง กำลังชั่งใจว่าจะหยุดหรือไปต่อ…อีกคำน่า แค่คำเดียวคงไม่เป็นไรหรอก

   ระรอกคลื่นก่อตัวแรงขึ้นจนเรือโยน เผลอเดี๋ยวเดียวก็เห็นกลุ่มเมฆหม่นครึ้มตั้งเค้าดำทะมึนลอยมาใกล้ สายฟ้าแลบแปลบปลาบแล่นผ่านแนวเมฆ นกนางนวลบินว่อน มุ่งหน้าเข้าหาชายฝั่งที่ปลอดภัย

   “ตกแน่ๆ”

   ตรัยเท้ามือทั้งสองข้างลงบนกราบเรือ แหงนหน้ามองพายุที่ก่อตัวอยู่ไม่ไกล “เราจะกลับไปทันไหม?”

   “ไม่น่าจะทันนะครับ ไต๋อาจจะเอาเรือไปหลบฝนแถวภูเก็ตก่อน เมฆทะมึนขนาดนี้คงแล่นต่อไปลำบากครับ คลื่นแรง” ตอนนี้เราแล่นมาถึงรอยต่อระหว่างจังหวัดแล้ว หากจะแล่นต่อไปจนถึงกระบี่คงไม่ทันพายุฝน

   “ดูเมฆก็รู้แล้วเหรอ?”

   “ผมเป็น ‘พรานทะเล’ นะครับ...อย่าลืมสิ”

   เส้นทางขากลับไม่ได้แล่นออกไปไกลเหมือนตอนมา หากแต่แล่นเลียบชายฝั่งห่างจากภูเก็ตประมาณ 12 ไมล์ทะเล ไต้ก๋งเพิ่งประกาศเมื่อครู่นี้ให้เตรียมตัวรับมือกับพายุฝน หากไม่ไหวจริงๆ ค่อยแล่นเรือเข้าหาฝั่ง หลบคลื่นลมก่อนชั่วคราว

   “ผมว่าขึ้นข้างบนกันเถอะครับ เดี๋ยวฝนตกจะได้ไม่ต้องแย่งกันปีนขึ้นเก๋ง” หนุ่มใต้เสนอแนะเพราะบันไดขึ้นลงเก๋งมีแค่ตัวเดียว ปกติก็แย่งกันปีนอยู่แล้ว ไม่อยากจะนึกถึงช่วงชุลมุนเลย

   ตรัยพยักหน้ารับ เดินไปเรียกเพื่อนสนิทตรงท้ายเรือ “อ้าว? ไปไหนแล้ว”

   “เห็นบอกว่าจะไปส่งแฟกซ์อ่ะครับ” มิ่งขวัญชี้ไปทางห้องน้ำ สีหน้ายังดูงุนงงกับคำที่สิปาเลือกใช้

   ไปขี้ก็บอกไปขี้ดิวะ มันเกี่ยวอะไรกับส่งแฟกซ์อ่ะ?

   ตรัยมองไปทางห้องน้ำแล้วถอนหายใจยาว พอเห็นพล่าปลาถูกกินจนเกลี้ยงก็ได้ส่ายหัว ดันตะบี้ตะบันกินเข้าไปซะเยอะ ขนาดคนทำยังกินแค่ 3-4 ชิ้นเอง นึกว่ากระเพาะตัวเองทำจากเหล็กหรือไงนะ?

   “ปา?” ตรัยเคาะประตูห้องน้ำเรียกเพื่อน มันส่งเสียงอือกลับมาเหมือนไม่ค่อยอยากตอบเท่าไหร่นัก “เป็นไงบ้าง”

   “กูส่งแฟกซ์อยู่ ไม่ว่างคุย!”

   “ก็บอกแล้วว่ามันดิบ ถึงมันจะอร่อยแต่มึงก็ต้องรู้จักความพอดีนะเว้ย ไม่ใช่กินจนเกลี้ยงขนาดนั้น” ตอนเขาออกไปดูท้องฟ้าด้านนอก พล่าปลาที่รุ่งภพทำยังเหลืออยู่เกือบครึ่งชาม ไม่คิดว่ามันจะซัดเข้าไปคนเดียวจนหมด

   “มึงตามมาซ้ำเติมกูถึงหน้าส้วมเลยเหรอ? จะมาเทศนาอะไรตอนนี้ กูขี้ไม่ออกเว้ย!”

   รุ่งภพที่ตามมาด้วยความเป็นห่วงถึงกับหัวเราะขำ นึกเห็นใจอยู่หรอกแต่เพื่อนของตรัยคนนี้ยังตลกได้แม้จะถ่ายท้องอยู่ในส้วมก็ตาม

   “ควันไอ่ไหรวะ? โขมงเชียว” เสียงตะโกนแตกตื่นของคนงานดังมาถึงท้ายเก๋ง รุ่งภพรีบวิ่งออกไปดู ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มเมื่อได้ยินคำว่า ‘ควัน’

   “ไฟไหม้! เรือโดนไฟไหม้!”

   “ไหม้ตรงไหนๆ ไปเอาถังดับเพลิงมาสิวะ!” มิ่งขวัญโผล่พรวดออกมาหน้าเรือ จับลูกเรือเขย่าจนหัวสั่น สีหน้ามืดทะมึน

   “มะ...ไหม้ ไหม้ลำอื่นครับ”

   “อะไรนะ?”

   “ไหม้เรือลำอื่นครับ ไม่ใช่เรือเรา”

   รุ่งภพถอนหายใจโล่งอก เห็นเรือที่ถูกไฟไหม้จอดลอยลำควันโขมง “พูดให้เคลียร์สิวะไอ้ห่า กูก็นึกว่าไหม้เรือเรา”

   “มึงใช่ไหมเป็นคนแหกปาก? เดี๋ยวกูตบหัวทิ่ม แตกตื่นกันทั้งเรือแล้วเนี่ย!” มิ่งขวัญปล่อยคอเสื้อของคนงานใหม่ หงุดหงิดหัวร้อนจนไม่มีใครเข้าใกล้

   “ไฟไหม้! ไหม้ตรงไหนวะ? ไหม้ไปถึงห้องน้ำหรือเปล่า กูขอขี้ต่ออีกแป๊บนึงได้ไหม?” สิปาเดินลากขาออกมาด้วยสภาพสะโหลสะเหล ใบหน้าซีดโทรมและเหงื่อแตกพลั่ก

   “รูดซิปก่อนไอ้สัด” ตรัยกระซิบบอกเพื่อน มันยังติดตะขอกางเกงไม่เสร็จดีเลยด้วยซ้ำ

   “เชิญคุณไปส่งแฟกซ์ต่อได้เลยครับ ไม่ได้ไหม้เรือเราหรอก” มิ่งขวัญผายมือไปทางห้องน้ำ คนท้องเสียตบไหล่แทนคำขอบใจ วิ่งเข้าห้องน้ำต่อเพราะข้าศึกรุกประชิด

   “มีคนตกน้ำด้วยว่ะมิ่ง” รุ่งภพชี้ไปยังกลุ่มคนที่ลอยคออยู่ไม่ไกลจากเปลวเพลิง

   “ถ้าจะช่วยก็ต้องเบนหัวเรือเข้าไปใกล้ๆ ไม่งั้นโยนห่วงยางเข้าไปไม่ถึง” หนุ่มตัวโตกวาดสายมามองไปรอบๆ นอกจากเรือที่โดนไฟไหม้แล้ว บริเวณใกล้ๆ กันยังมีเรืออีกลำจอดลอยอยู่ “ทำไมเรือลำนั้นไม่ช่วยพวกเขาวะ อยู่ใกล้กว่าเราแท้ๆ”

   “เหมือนกำลังดึงสายอะไรอยู่?” รุ่งภพไม่แน่ใจนักเพราะควันรมจนมองแทบไม่เห็น มันเป็นเชือกหรือสายอะไรสักอย่างที่เชื่อมติดกับเรือลำที่ไหม้ ทำไมไม่ตัดทิ้งไปเลยล่ะ เดี๋ยวก็ลามไปติดเรือตัวเองหรอก

   “เกิดอะไรขึ้น?”

   “ไฟไหม้เรือลำโน้นน่ะพี่ณัฐ”  รุ่งภพพยักหน้าไปยังทิศทางที่ควันไฟกำลังโหมกระหน่ำด้วยแรงลม “ไหม้ได้ยังไงก็ไม่รู้”

   “คราบน้ำมันลอยเต็มเลย น้ำมันรั่วแน่ๆ”

   เรือโชคชัยนาวาเปลี่ยนทิศทางแล้วแล่นเข้าหาเรือที่ถูกไฟคลอกตามคำสั่งของไต้ก๋ง พวกลูกเรือขนถังดับเพลิงและห่วงยางออกมาเตรียมไว้พร้อม ซักซ้อมการช่วยเหลือตามที่ได้อบรมมา

    “เอาคนเจ็บหนักขึ้นมาก่อน”

   คราบน้ำมันรั่วไหลคืออุปสรรคใหญ่เพราะเปลวเพลิงลามเลียไปทั่วผิวน้ำ หลายคนถูกไฟคลอกจนผิวหนังเหวอะหวะ กรีดร้องโหยหวนน่าสยดสยอง

   “ช่วยด้วย! ช่วยพวกเราด้วย”

   ตรัยชะเง้อมองไปยังเสียงเรียก อีกฟากฝั่งของเรือที่ถูกไหม้ก็มีคนลอยคออยู่เหมือนกัน “เรือลำนั้นอยู่ใกล้กว่าทำไมไม่ช่วย?”

   “มันเป็นเรือน้ำมันครับคุณ” คนที่ถูกช่วยขึ้นมาเอ่ยบอก พอซักถามความเป็นมาถึงได้ทราบว่าเป็นเจ้าของเรือ “เขาไม่เอาเรือเข้าไปเสี่ยงหรอก ถ้าดึงหัวจ่ายออกไปได้คงไม่จอดลอยอยู่แบบนี้”

   “แล้วไฟไหม้ได้ยังไงเหรอครับ”

   “ไอ้คนเติมมันคงลากหัวจ่ายไปโดนปั๊มเทอร์โบเข้า พอเกิดประกายไฟก็ลุกไหม้อย่างที่เห็น” แววตาเหนื่อยล้าจ้องมองไปยังซากเรือลุกไหม้ของตัวเอง ณัฐถอนหายใจหนัก เข้าใจดีถึงความสูญเสียของผู้เป็นเจ้าของ

   “ถ้าจะช่วยคนฟากโน้น เราต้องแล่นอ้อมเข้าไปทางเรือน้ำมันนะ”

     “อ้อมไกลเหมือนกันนะ ตรงไปเลยไม่ได้เหรอ” ตรัยถามถึงความเป็นไปได้

   “อันตรายครับ คราบน้ำมันเกลื่อนเลย” มิ่งขวัญตอบแทนช่างเครื่องประจำเรือ สัญญาณวิทยุในมือขาดๆ หายๆ ได้ยินรหัสอะไรสักอย่างดังลอดออกมาจากลำโพง

   ตรัยละสายตาจากเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วเดินไปหิ้วปีกเพื่อนที่เดินโซเซออกมาจากห้องน้ำ เขาทิ้งมันเอาไว้กับคนเจ็บ โยนกล่องปฐมพยาบาลให้เพราะเห็นซองเกลือแร่นอนอยู่ก้นกล่อง ก่อนจะไหว้วานให้ลูกเรือคนหนึ่งไปหยิบขวดน้ำกับแก้วมาให้มันชงดื่ม กว่าจะจัดแจงดูใจมันเสร็จเรือของเราก็แล่นอ้อมไปถึงเรือน้ำมันแล้ว

   พวกเราตำหนิคนบนเรือน้ำมันด้วยสายตาที่ไม่ยอมช่วยเหลือคนบาดเจ็บในน้ำ หากแต่ฝ่ายนั้นไม่ได้สนใจพวกเราเลยสักนิด ยังคงตั้งหน้าตั้งตาดึงหัวจ่ายออกมาจากซากเครนจนใกล้จะหลุดอยู่รอมร่อ

   เราใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการดึงคนเจ็บขึ้นเรือ เนื่องจากกระแสลมพัดแรงส่งผลให้คลื่นใต้น้ำก่อตัวเป็นระลอกสูง ห่วงยางที่โยนให้ไปไม่ถึงผู้รับ ถูกคลื่นซัดไปไกลหลายครั้งจนต้องโยนใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า คนบาดเจ็บแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานจนผิวหนังเหี่ยวซีด บาดแผลพุพองจากไฟลวกกลายเป็นผิวเนื้อเปื่อยยุ่ย หลังจากช่วยเหลือคนเจ็บขึ้นมาจนหมด นายท้ายก็หันหัวเรือบ่ายหน้าเข้าหาฝั่ง ผ่านเรือน้ำมันขนาดเล็กที่ดัดแปลงมาจากเรือประมง

   “ตำรวจน้ำ! ตำรวจน้ำมาว่ะพี่!”

   น้ำเสียงตื่นตกใจจากเรือจ่ายน้ำมันดังขึ้นเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตรัยเห็นชายคนหนึ่งก้าวออกมายืนหน้าเก๋ง ลักษณะเหมือนเป็นผู้นำเพราะลูกเรือที่มีอยู่น้อยนิดต่างรอความเห็นจากชายผู้นี้

   “งั้นมึงเอาหัวจ่ายออก ไม่ต้องดึงกลับมาแล้วทิ้งไปเลย”

   “เอาออกยังไงอ่ะพี่ ฉันทำไม่เป็น”

   “ปิดวาล์วก่อนสิวะไอ้โง่!”

   “วาล์วอยู่ตรงไหนอ่ะ?”

   “มึงก็หาสิวะ คิดเองน่ะเป็นไหม!” ตัวหัวหน้าเริ่มหงุดหงิดและงุ่นง่าน พวกมันไม่ยอมไปไหนเพราะไม่รู้วิธีเอาหัวจ่ายออกจากถังน้ำมันนี่เอง

   “ระ...เรือตำรวจมาถึงแล้วพี่ ไม่ทันแล้วพี่!” คนบนเรือน้ำมันวิ่งสวนกันไปมาแลดูวุ่นวาย เรือของเราซึ่งอยู่ใกล้ได้ยินแม้กระทั่งเสียงก่นว่าและเสียงพูดคุยด้วยความตื่นกลัว

   ตรัยก้าวไปหาเจ้าของซากเรือ ถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เรือน้ำมันที่คุณเติมถูกกฎหมายหรือเปล่าครับ?”

   เจ้าของซากเรือก้มหน้าหลบสายตาด้วยความละอายใจ ตรัยลุกขึ้นแล้วเร่งฝีเท้าไปหานายท้าย ลางสังหรณ์บางอย่างบอกกับเขาให้รีบหนีห่างจากเรือลำนี้ไปไกลๆ

   “นี่คือเรือตรวจการณ์ ทุกคนหยุดอยู่กับที่เดี๋ยวนี้ นี่คือคำสั่ง!”

   ปัง!

   พวกมันเพิกเฉยต่อเสียงประกาศซ้ำยังส่งลูกกระสุนไปเปิดศึก ตรัยก้มตัวหลบตามสัญชาตญาณ ภายในหูดังวิ้งจากเสียงกัมปนาท เมื่อไม่มีนัดที่สองและสามตามมาจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สิ่งแรกที่เขามองเห็นคือร่างของรุ่งภพที่ถูกบังคับให้ยืนหมิ่นเหม่อยู่ตรงหัวเรือโดยมีปืนจ่อแนบข้างขมับด้วยฝีมือของคนที่เขารู้จักดี...


   ไอ้ยะ! 


TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 24 l 28/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-09-2019 21:27:01
 :a5: ลุ้นระทึก
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 24 l 28/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Kungkakung ที่ 28-09-2019 21:37:46
ไอ้ยะ!!! :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 24 l 28/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-09-2019 23:45:14
 :hao7:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 25 l 29/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 29-09-2019 15:01:50
บทที่ 25





   “มึง!”

   “เออ กูเอง พรหมลิขิตฉิบหาย มาเจอกันอีกจนได้” มันดึงรุ่งภพมาบังตัวเอง ยิ้มเหี้ยมเมื่อโดดข้ามเรือมาได้สำเร็จ แถมยังได้ตัวประกันมาอย่างง่ายดายเพราะยืนโง่อยู่คนเดียวตรงหัวเรือ “ใช่ไหมวะ ไอ้รุ่ง”

   “กรรมลิขิตน่ะสิไม่ว่า”

   “ไม่เจอกันนาน ดูดีขึ้นนะมึง” มันส่งสายตาลามเลียไปทั่วร่างกาย รุ่งภพขนหัวลุกกับความเปลี่ยนแปลงของคนเคยรู้จัก “จับไปขายคงได้ราคาดี”

   “มึงมันเลวจนกู่ไม่กลับแล้วไอ้เหี้ย”

   “ปากดี เดี๋ยวกูตบด้วยด้ามปืน...หรือมึงอยากโดนตบด้วยด้ามกู?” มันก้มลงไปกระซิบข้างหูของชายหนุ่ม “แต่ไม่ใช่แค่กูคนเดียวนะ ถ้าพวกกูรอดไปได้ มึงได้โดนทั้งลำแน่”

   “ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้นะ!”

   ยติเลิกคิ้วเมื่อสังเกตเห็นลูกชายของเถ้าแก่ “วันรวมญาติหรือไงวะ พวกมึงถึงได้แห่กันขึ้นเรือมาแบบนี้” คราวนี้มันมีสีหน้าจริงจังขึ้น หากพลั้งมือฆ่าคนพวกนี้เข้า เรื่องคงไม่จบแค่ตรงนี้แน่นอน แม้จะหนีไปได้แต่ก็จะถูกไล่ล่าอย่างเอาเป็นเอาตาย เรื่องอาจจะเงียบช้าเพราะตำรวจจะถูกกดดันจากคนมีอำนาจกว้างขวางอย่างเถ้าแก่

   แม้จะแค้นใจเรื่องคดีก่อนหน้านั้นแต่ก็ต้องระมัดระวังไม่ไปแตะของร้อนอย่างตรัยเข้า มันพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่รุ่งภพ พยายามลากชายหนุ่มข้ามเรือไปให้ได้ด้วยการเหวี่ยงพาดช่วงที่เรือทั้งสองลำถูกคลื่นซัดเข้ามากระทบกัน

   หากแต่มันไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น เนื่องจากนายท้ายเดินเครื่องออกห่างอยู่ตลอดพยายามต้านแรงคลื่นสุดกำลัง

   “บอกให้นายท้ายมึงหยุดเรือเดี๋ยวนี้!” มันตะโกนสั่งแล้วหันปืนไปยังกลุ่มคนบาดเจ็บที่พวกเขาช่วยขึ้นมา “ไม่งั้นกูจะยิงไปทีละคนจนกว่ามึงจะสั่งให้มันหยุดเรือ”

   “หยุดเรือก่อนเทียน!” คนสั่งให้หยุดไม่ใช่ตรัย หากแต่เป็นไต้ก๋งที่ไต่บันไดลงมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ถ้ามึงยังสำนึกได้ว่ากูเคยช่วยเหลืออะไรมึงไว้บ้างก็ปล่อยไอ้รุ่งมันไปซะ”

   “บุญคุณก็ส่วนบุญคุณ มันคนละคนกัน ฉันคงทำตามที่ไต๋บอกไม่ได้หรอก”

   ไต๋เมืองส่ายหน้าแววตาผิดหวัง “กูไม่น่าฝากมึงเข้าทำงานกับเถ้าแก่เลย เลี้ยงเสือเลี้ยงจระเข้เอาไว้ชัดๆ”

   “เสียใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว” มันลากตัวประกันไปยังจุดต่ำสุดของกราบเรือ พยายามดันตัวรุ่งภพข้ามไปอีกลำโดยมีคนของมันช่วยดึงอยู่อีกฝั่ง

   ผลั่ก!

   ตรัยอาศัยจังหวะที่รุ่งภพเงื้อเท้าถีบวิ่งไปรับชายหนุ่ม หากแต่ยติตั้งตัวได้เร็วเกินไป จิกผมหนุ่มใต้จนร้องลั่นเหวี่ยงร่างของรุ่งภพข้ามไปอีกครั้งด้วยเรี่ยวแรงโมโห

   “รุ่ง!/ไอ้รุ่ง!”

   ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย ร่างของรุ่งภพถูกเหวี่ยงกระแทกเข้ากราบเรืออย่างหมิ่นเหม่ ก่อนจะร่วงหายลงไปในน้ำพร้อมกับหัวใจที่หล่นวูบของใครอีกหลายคน

   หนึ่งในนั้นคือตรัยที่รีบวิ่งเข้าไปยังจุดที่ชายหนุ่มตกโดยไม่สนใจทางปืนของใครทั้งสิ้น “รุ่ง! รุ่ง!” เขาตะโกนเรียกชายหนุ่มอยู่นานด้วยอาการร้อนรน พอเห็นเงาจากใต้น้ำลอยขึ้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก รีบกวาดสายตามองหาห่วงยางชูชีพเพื่อโยนลงไปด้านล่าง

   “คุณตรัยหลบ!”

   ตรัยหมอบลงทันทีที่ณัฐตะโกนบอก ด้ามชะแลงเหวี่ยงข้ามศีรษะไปแบบเฉียดฉิว เขาได้ยินเสียงเนื้อกระทบกับเหล็กกล้าตามด้วยเสียงลั่นของกระดูกที่แตกหัก คนถูกฟาดล้มทั้งยืน ช่วงลำตัวปรากฎรอยช้ำและท่อนแขนผิดรูปแลดูบิดเบี้ยว เขาเพิ่งสังเกตว่า ‘มัน’ ไม่มีปืนอยู่ในมือแล้ว พอมองหาก็เห็นเพื่อนสนิทชูวัตถุอันตรายให้ดูพร้อมกับรอยยิ้มร่า คงเก็บมาตอนที่มันถูกฟาดเมื่อกี้นี้

   ปัง!

   เสียงปืนนัดที่สองไม่ดังเท่านัดแรก เสียงของใครสักคนหนึ่งล้มลงอยู่ด้านหลังเขา..

   “พี่ณัฐ!”

   ตรัยหมุนตัวกลับไปมองเมื่อได้ยินเสียงตะโกนจากมิ่งขวัญ ร่างของณัฐทรุดลงไปกับพื้น รอยเลือดตรงช่วงท้องแผ่กว้างจนเปียกชุ่ม ไม่นานเสื้อยืดสีตุ่นก็อาบย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉาน

   “ถ้าขยับ มึงตาย”

   ตรัยกัดฟันกรอด ตัวหัวหน้าเลือดเย็นกว่าที่เขาคิด มันยิงโดยไม่ลังเลเลยสักนิด พอเรือถูกคลื่นซัดเข้ามาเกยกันอีกครั้งมันก็โดดตามลูกน้องของมันมาแล้วจ่อปืนใส่พวกเรา กวาดสายตามองหาตัวประกันรายต่อไป

   “เราไม่เคยมีเรื่องผิดใจกัน ต่างคนต่างไปไม่ดีกว่าเหรอ” เขาพยายามเกลี้ยกล่อม หวังให้มันเปลี่ยนใจ

   “กูจะไม่กลับไปมือเปล่า ใครขัดขวาง...ตาย!”

   “ถ้ามึงกล้ายิง กูก็กล้ายิงเหมือนกัน” ไต๋เมืองชักปืนออกมาขู่บ้าง มันเป็นปืนลูกโม่รุ่นเก่าแต่ดูขลังในสายตาของลูกเรือ “จะอยู่หรือไปก็เลือกเอา ถ้ามึงกลับเรือมึงไปดีๆ กูจะไม่ยิงตอบโต้ แต่ถ้าไม่...ก็ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”

   มันเหมือนจะไม่ยอมในทีแรก สุดท้ายก็ลังเลและโดดกลับไปที่เรือของตัวเองแต่โดยดี

   ตรัยไม่รู้เหตุผลที่มันเปลี่ยนใจ ดูจากรูปการณ์แล้ว มันได้เปรียบกว่าเพราะใช้ปืนกึ่งอัตโนมัติซึ่งบรรจุกระสุนได้มากกว่า จะกราดยิงสักกี่นัดก็ได้ ต่างจากปืนลูกโม่ที่บรรจุได้เพียงหกนัด หลังจากพวกมันยอมถอยเราก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาวิ่งเข้าไปดูอาการของณัฐก่อนเป็นอย่างแรก ชายหนุ่มยังคงยิ้มได้แม้ใบหน้าจะซีดเป็นกระดาษแล้วก็ตาม

   “ปา มึงมาช่วยห้ามเลือดให้เขาที” เขาเรียกเพื่อน มันปฐมพยาบาลเก่งเพราะเคยอบรมหลักสูตร จป. หลายครั้ง ตั้งแต่สมัยเรียนจนกระทั่งเป็นวิศวกรเต็มตัว

   “แล้วมึงจะไปไหน?”

   “ไปช่วยรุ่ง”

   ตรัยพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้สงบขณะโยนห่วงยางลงไปในน้ำ เม็ดฝนเริ่มโปรายปรายลงมาดับเพลิงร้อนจากซากเรือที่กำลังจะจมลง รุ่งภพไม่อาจคว้าห่วงยางเอาไว้ได้เพราะคลื่นแรงเกินไปประกอบกับลมพัดกระหน่ำ ชายหนุ่มมีสีหน้าสิ้นหวัง พยายามพยุงตัวไม่ให้จมลงแม้จะหมดแรงว่ายแล้วก็ตาม

   “อดทนไว้ก่อนนะ ฉันจะเอาเรือเล็กออกไปช่วย!”

   “อย่าครับ! คุณจะโดนคลื่นซัดออกไปไกล” รุ่งภพตะโกนเตือน ชายหนุ่มพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายว่ายเข้าหาห่วงยางที่ถูกคลื่นซัดเข้ามาจนใกล้ “อีกนิดเดียว...”

   อีกนิดเดียวก็จะคว้าไว้ได้แล้ว...

   “โอ๊ย!”

   “รุ่ง!”

   หนุ่มใต้ชักมือกลับเมื่อถูกเศษไม้เผาไหม้ลอยเข้ามากระทบ ผิวหนังของเขาร้อนฉ่า น้ำตาร่วงหล่นเพราะความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนบนหลังมือ

   “ฮึก...”

   ชายหนุ่มกัดฟันแล้วจุ่มข้อมือตัวเองลงไปในเกลียวคลื่น หวังบรรเทาอาการเจ็บปวดแต่มันแสบยิ่งกว่าเดิม

   “ไต๋!” ตรัยตะโกนเรียกไต้ก๋งเรือ น้ำเสียงดุดันเพราะความกังวลใจ “ไต๋! ให้นายท้ายเทียบเรือเข้าใกล้เขาอีกหน่อยได้ไหม”

   “มันอันตรายนะครับ แค่ประคองเรือเอาไว้แบบนี้นายท้ายก็แย่แล้ว”

   “แล้วเขาล่ะ...” ตรัยชี้ไปยังร่างเล็กในเกลียวคลื่น “เขาก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน”

   ไต๋เมืองมีสีหน้าลำบากใจ “ผมประสานกับทางตำรวจน้ำแล้ว เขาบอกจะส่งคนมาช่วย...”

   “แล้วเมื่อไหร่ล่ะ?” ตอนนี้เรือตำรวจน้ำกำลังไล่ล่าเรือเถื่อนอยู่ รุ่งภพรอต่อไปไม่ได้แล้ว เขาเองก็เช่นกัน

   “งั้นเอาอย่างงี้แล้วกันนะครับ ผมจะให้ไอ้มิ่งลงไปช่วย เดี๋ยวให้มันผูกเชือกเข้ากับตัวแล้วว่ายไปคว้าไอ้รุ่งมา...”

   “ผมไปเอง”

   “อะ...อะไรนะครับ?”

   “ผมจะไปเอง” เขาไม่อยากยืนลุ้นอีกต่อไปแล้ว “ให้มิ่งอยู่ดูณัฐไปเถอะ”

   หลังจากตัดสินใจแน่วแน่เขาก็ผูกเชือกเข้ากับเอวแล้วโดดลงไปในเกลียวคลื่นระลอกใหญ่ มวลน้ำด้านใต้ค่อนข้างอุ่นแต่ผิวน้ำเย็นเฉียบเพราะเม็ดฝนที่กำลังโปรยปราย เขาเตะเท้าแล้วว่ายตรงเข้าไปหาชายหนุ่ม มันไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะถูกคลื่นปะทะอยู่ตลอดเวลาจากแรงลมที่ไร้ทิศทาง เขาต้องคอยหลบเศษซากจากเรือที่ลุกไหม้อยู่เป็นระยะ กลิ่นน้ำมันเหม็นหืนลอยคลุ้งไปหมด แม้จะเหนื่อยแต่ก็เริ่มใจชื้น เขาเริ่มยิ้มออกเมื่อเห็นรุ่งภพอยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อมมือ

   “ฉันมาช่วยแล้ว” เขาเอื้อมคว้าชายหนุ่มเข้าสู่อ้อมกอด รุ่งภพทิ้งตัวในอกเขาอย่างไว้เนื้อเชื่อใจ ดวงตาปิดสนิท ร่างกายสั่นเทา “ปลอดภัยแล้ว...ไม่เป็นอะไรแล้ว”

   ตรัยกดจูบลงบนเส้นผมเปียกชื้น พยายามลอยตัวนิ่งให้คนบนเรือดึงเชือกกลับ เขาคว้าข้อมือของชายหนุ่มขึ้นมาดูรอยแผลที่ถูกไฟลวก ผิวหนังพุพองเหวอะหวะและซีดเซียวเพราะแช่อยู่ในน้ำทะเลมาเป็นเวลานาน

   “กำอะไร?”

   ตรัยพยายามแกะมือของชายหนุ่มออก ดูเหมือนรุ่งภพจะกำเอาไว้ซะแน่นจนแข็งเกร็งไปหมดแล้ว

   สร้อยข้อมือ?

   ขาดซะแล้ว

   เขาเก็บสร้อยข้อมือของชายหนุ่มใส่กระเป๋ากางเกงแล้วโอบกระชับร่างในอ้อมแขนเอาไว้มั่น แม้จะถูกคลื่นซัดจนตัวลอยก็ไม่หวาดหวั่น ในเมื่อหัวใจของเขาเลือกแล้ว ต่อให้ต้องเจอกับอุปสรรคอะไร...เขาก็จะไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มต้องเผชิญกับมันเพียงลำพัง

   เสียงเครื่องยนต์หนักสั่นสะเทือนไปถึงคลื่นใต้น้ำ ตรัยกอดกระชับเอวของคนในอ้อมกอด หันไปยังทิศทางของเสียงด้วยความระแวดระวังตัว

   “ผมประสานกับทางตำรวจน้ำแล้ว เขาบอกจะส่งคนมาช่วย...”

   เสียงไต้ก๋งดังสะท้อนอยู่ในหู ตรัยเบิกตากว้างขณะแหงนมองเรือเหล็กสีเทาเข้ม ไม่คิดว่าคนที่ตำรวจน้ำส่งมาช่วยจะเป็นเรือรบลำใหญ่เช่นนี้

   ท่ามกลางละอองฝนที่พร่างพรม เขาเห็นธงไตรรงค์ปลิวสะบัด ตรงกลางธงเป็นวงกลมสีแดง มีช้างเผือกทรงเครื่องแท่นยืนเด่นอยู่กลางธง

   ธงของราชนาวี


TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 25 l 29/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-09-2019 19:27:45
ตื่นเต้นมากๆใจสั่นระทึกเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 25 l 29/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 29-09-2019 20:14:08
ไอ้ยะ.....มึงไม่ตายดีแน่ๆ

ตังเกรอน้องรุ่ง อยู่นะ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 25 l 29/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Sky ที่ 29-09-2019 21:33:11
 :hao5: สนุกมากยิ่งอ่านแล้วยิ่งคิดถึงบ้านเลย มาต่อไวๆนะรอจ้าา
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 25 l 29/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 29-09-2019 22:15:41
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 26 l 30/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 30-09-2019 20:40:54
บทที่ 26




   ตึกอุบัติเหตุฉุกเฉินในช่วงเย็นยังคงคราคร่ำไปด้วยผู้คนแม้ฝนจะตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์เรือไหม้ที่เจ้าหน้าที่ทหารนำมาส่ง ยกเว้นก็แต่ณัฐที่ถูกส่งไปผ่าตัดโรงพยาบาลอื่น เนื่องจากอุปกรณ์การแพทย์ของที่นี่ไม่พร้อมจึงต้องส่งเข้าไปรักษาในตัวเมือง

        “ยังไม่เสร็จอีกเหรอวะ?”

        ตรัยส่ายหน้าอย่างเหนื่อยล้า เขาเขยิบไปนั่งเก้าอี้ตัวริมสุดเพื่อเว้นที่ให้มิ่งขวัญประคองเพื่อนของเขาลงมานั่งข้างๆ กัน “น่าจะนาน เขาต้องรักษาคนอาการหนักก่อน” มันเป็นระบบการรักษาตามอาการ ไม่ว่าจะโรงพยาบาลไหนๆ ผู้ป่วยวิกฤตย่อมมาก่อนเสมอ “ไต๋เมืองล่ะ?”

        “นั่งรถฉุกเฉินไปกับพี่ณัฐครับ”

        ตรัยพยักหน้ารับ เขาก้มมองนาฬิกาข้อมือ เกือบชั่วโมงแล้วที่นั่งรออยู่ตรงนี้ “มึงเอาเกลือแร่มาด้วยเหรอ?”

        “ใช่ที่ไหนล่ะ พยาบาลเขาชงให้” สิปาโคลงหัว ยกเกลือแร่ขึ้นจิบเป็นระยะตามคำแนะนำของพยาบาล “แล้วทางตำรวจว่าไงบ้าง”

        “ถูกจับหมดนั่นแหละ พอเรือตำรวจน้ำไล่ตามไปก็มีเรือทหารอีกลำแล่นไปดักไว้อยู่ก่อนแล้ว”

   “ทำไมเขาสอบปากคำมึงนานแท้วะ” สิปาถามเพื่อนเพราะถูกตำรวจดึงตัวเอาไว้นานสุด

   “มันมีคดีเก่าด้วย ไอ้คนที่จับรุ่งเป็นตัวประกันน่ะ มันโกงเงินพ่อกู”

   “เหยดเข้ โลกกลมหรือพรหมลิขิต” สิปาดูเหมือนจะมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาหน่อยนึงแล้ว ถึงได้กลับมาร่าเริงดังเดิม “งี้ก็จับเข้าคุกหมดเลยดิวะ”

        “ตอนนี้คงฝากขังเอาไว้ก่อน เขาต้องสืบสวนต่ออีกนาน ได้ยินว่าเรือพวกมันเป็นเรือเช่า พอสืบหาคนเช่าก็เหมือนจะเจอตอ”

        “ธุรกิจพวกนี้มันมีนอกมีในครับ เผลอๆ ไอ้พวกนี้มันถูกจ้างมาคุมเรืออีกทีด้วยซ้ำ เดี๋ยวนี้เรือประมงลำเก่าๆ โดนดัดแปลงเป็นเรือซอยเยอะ นายทุนพวกนี้เขาไปรับน้ำมันมาจากเรือแทงค์ครับเพราะมันถูกกว่า ภาษีก็ไม่ต้องเสีย ถึงจะเสี่ยงแต่กำไรมันล่อตา” มิ่งขวัญสาวไส้ธุรกิจมืดออกมาไม่มีกั๊ก มีเพียงสิปาที่นั่งฟังอย่างตื่นเต้น ส่วนตรัยนั้นดูกระวนกระวายเพราะยังไม่เห็นคนของตัวเองออกมาเลย

        เสียงเมโลดี้เก่าๆ ดังขึ้นเหมือนลมหายใจเฮือกสุดท้าย มิ่งขวัญกดปุ่มลอกล่อนบนโทรศัพท์แล้วพูดกับปลายสายด้วยสำเนียงทองแดง พวกเขาพอจะจับใจความได้ว่าไต๋เมืองต้องอยู่เฝ้าณัฐจนถึงพรุ่งนี้เช้า เนื่องจากยังติดต่อญาติของณัฐไม่ได้จึงต้องอยู่ดูอาการก่อน

        “ณัฐเป็นไงบ้าง” ตรัยถามหลังจากหนุ่มตัวโตกดวางสาย

   “กำลังผ่าตัดอยู่ครับ หมอบอกว่าต้องตัดลำไส้ทิ้งบางส่วนเพราะโดนกระสุนปืน พ่อกำลังหาเบอร์ติดต่อแม่ของพี่ณัฐอยู่ครับ...พี่ณัฐเขาเรียกหา”

   “เขาเพ้อเหรอ?”

   “เปล่าครับ ก่อนเข้าห้องผ่าตัดยังรู้สึกตัวดีอยู่ น่าจะคิดถึงแม่มากกว่าเพราะแม่เขาอยู่ภูเก็ต”

   “ณัฐเป็นคนภูเก็ตเหรอ?”

   “เขาเกิดที่ภูเก็ตครับ พี่เขาเคยเล่าให้ฟังตอนย้ายมาอยู่กระบี่ใหม่ๆ ว่ามีปัญหาขัดแย้งกับพวกนายทุนที่ดิน แม่เขาไม่อยากให้มีเรื่องก็เลยส่งมาอยู่กับญาติที่กระบี่แทน”

   “โดนพวกนายทุนกว้านซื้อที่ดินเหรอ?” ตรัยคาดเดาเพราะเคยอยู่ในแวดวงของธุรกิจสีเทานี้

   “กว้านซื้อก็ยังได้ตังค์ครับ แต่นี่แอบอ้างทำโฉนดขึ้นมาขับไล่พวกชาวบ้านออก หวังจะได้ที่ดินฟรีเพราะชาวอุรักลาโว้ยบางคนไม่ได้ถือสัญชาติไทยด้วยซ้ำ”

   “อูรักลาโว้ย?”

   “พวกเขาเป็นชาวเลครับ”

   “แล้วชาวเลไม่ใช่คนไทยเหรอ?”

   มิ่งขวัญส่ายหน้า ไม่รู้จะอธิบายยังไง “พวกเขาเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ครับ อพยพไปเรื่อยตามเกาะต่างๆ ในอันดามัน ตั้งแต่มาเลย์ ไทย เรื่อยไปจนถึงพม่า หลังจากเกิดสึนามิก็เริ่มลงหลักปักฐานกันมากขึ้น กระจายกันอยู่เป็นชุมชนในพื้นที่ห้าจังหวัดของไทยตั้งแต่ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่แล้วก็สตูลครับ”

   “ทำไมชาวเลหน้าตาอปป้าจังวะ” พอสิปานึกถึงใบหน้าเกลี้ยงเกลาของช่างเครื่องหนุ่มก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้

   “พี่ณัฐเขาเป็นลูกเสี้ยวครับ แม่เขาเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น” 

   เรื่องช็อกสุดท้ายของวันจบลงแค่นั้นเมื่อร่างของคนที่เฝ้ารอถูกเข็นออกมาด้านนอก ตรัยรีบลุกเดินไปหา ย่อตัวลงแล้วประคองข้อมือข้างที่เจ็บอย่างแผ่วเบา

   “หมอว่ายังไงบ้าง”

   “อย่าให้แผลโดนน้ำครับ”

   คนรอฟังเลิกคิ้ว “แค่นั้นเองเหรอ?”

   เวรเปลหลุดเสียงหัวเราะขณะยื่นใบจ่ายยามาให้เขา “น้องเขาหลับน่ะครับ คุณหมอเองก็ยุ่งๆ แต่เท่าที่พยาบาลบอกมาคร่าวๆ น้องเขาเป็นแผลไฟไหม้ระดับสองนะครับ แรกๆ อาจจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนอยู่บ้าง อีกสัก 2-3 อาทิตย์ก็น่าจะหายดีแล้วครับ”

   “แล้วตรงขามันล่ะครับ โดนไฟลวกด้วยเหรอ?” มิ่งขวัญจิ้มนิ้วลงไปบนผ้ายืดบริเวณข้อเท้า รุ่งภพร้องลั่น ถลึงตาใส่เพื่อนจนปูดโปน

   “ไอ้เหี้ย! กูเจ็บนะ”

   “พูดให้มันดีๆ” ตรัยเอ่ยเสียงดุขณะจับข้อเท้าข้างที่เจ็บของชายหนุ่มยกขึ้น “ตกลงเป็นอะไร โดนไฟลวกจริงเหรอ?”

   “ซ้นครับ คงไปเตะโดนอะไรเข้าตอนตกลงไป”

   ตรัยไล่สายตาสำรวจทั่วทั้งตัวของชายหนุ่มอีกครั้ง พอไม่เห็นบาดแผลตรงไหนอีกจึงเข็นไปรับยาที่หน้าห้องจ่ายยาประจำตึก เขาเดินไปรับยาเมื่อเภสัชกรเรียกชื่อของชายหนุ่ม อาการบาดเจ็บตรงกับที่เวรเปลบอก ตรัยขยับเมื่อเพื่อนเข้ามาฟังรายละเอียดการดูแลรักษาด้วย เขาหันกลับไปมองด้านหลัง เห็นคนเจ็บกำลังทุบตีมิ่งขวัญอยู่ คงทะเลาะกันเรื่องอะไรสักอย่างด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง

   “คนไข้มีแผลเปิดตรงข้อมือนะคะ คุณหมอสั่งยาแอนติไบโอติกสำหรับฆ่าเชื้อมาให้ ทานสามเวลาหลังอาหารจนกว่ายาจะหมดนะคะ ห้ามหยุดยาเอง แล้วก็มียาแก้ปวด ทานเมื่อปวดทุก 4-6 ชั่วโมง ส่วนครีมทาแผลให้ทาวันละสองครั้งเช้าเย็น ช่วงสัปดาห์แรกอาจจะต้องให้พยาบาลเป็นคนทำแผลให้นะคะ หลังจากสะกิดตุ่มหนองออกแล้วอาจจะปิดไว้แค่ผ้าพันแผลบางๆ แสดงว่าแผลใกล้จะหายแล้ว ให้คนไข้บริหารข้อมือบ่อยๆ ด้วยนะคะเพื่อลดอาการดึงรั้งของแผลไฟไหม้ หากปล่อยเอาไว้อาจจะทำให้ข้อต่อผิดรูปได้ค่ะ”

   “ทำแผลนี่…ทำโรงพยาบาลไหนก็ได้ใช่ไหมครับ”

   “ใช่ค่ะ ทำที่โรงพยาบาลที่คนไข้ใช้สิทธิประกันสังคมก็ได้ค่ะ หรือจะทำที่คลินิกก็ได้นะคะ แล้วแต่คนไข้สะดวกเลย”

   “ขอบคุณครับ”

   ตรัยรับยาถุงใหญ่มาถือไว้ ยึดบัตรประจำตัวของชายหนุ่มเอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยคืนตอนหายดี พอเดินกลับไปหาก็เห็นคนบนรถเข็นทำหน้าเบ้ มองถุงยาในมือเขาด้วยแววตาหวาดหวั่น ราวกับมันเป็นอาวุธร้ายแรง

   “ไอ้รุ่ง! ยามึงเป็นกระสอบเลยว่ะ ยินดีด้วยเพื่อน มึงจะตายก็คราวนี้แหละ”

   รุ่งภพอ้าปากด่าเพื่อนแบบดูดเสียง ชายหนุ่มหันมาทำสีหน้าออดอ้อนใส่เขา เผลอใจสั่นไปวูบหนึ่งก่อนจะกลับมานิ่งสงบดังเดิม

   “ไม่กินได้ไหมอ่ะ”

   “ไม่กินได้ยังไง มันเป็นยาฆ่าเชื้อ ต้องกินทุกเม็ดจนกว่าจะหมด”

   “ขอย้ำว่าทุกเม็ด” มิ่งขวัญเน้นเสียงตรงประโยคหลัง ตรัยเริ่มรู้สึกสงสัย ต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างเกี่ยวกับยาแน่นอน

   “แค่กินยามันต้องเศร้าขนาดนั้นเลยเหรอ?” เขาถามเพราะเห็นรุ่งภพทำคอตก สีหน้าสิ้นหวังประหนึ่งเกิดเรื่องเศร้าในชีวิต

   “มันกินยายากครับ กินกี่เม็ดก็อ้วกออกมาหมด”

   “ผมกลืนไม่ได้”

   “ยาเม็ดนิดเดียวเอง ทำไมจะกลืนไม่ได้”

   “มันติดคอ”

   “คิดไปเอง”

   มิ่งขวัญขยี้หัวเพื่อนจนเส้นผมกระจุย ยิ้มเอ็นดูแต่ก็ยังไม่เลิกแกล้ง “เอายาน้ำไหม?”

   “มีเหรอ” ถามด้วยตาเป็นประกาย สุดท้ายก็ดีใจเก้อเพราะโดนเพื่อนหลอก

   “กูประชดไอ้ห่า มึงไม่ใช่เด็กนะเว้ย หมอเขาจะได้เอายาน้ำให้กินอ่ะ”

   “แล้วผู้ใหญ่กินยาน้ำไม่ได้เหรอ? มันก็ยาเหมือนกันนั่นแหละ”

   “เถียงข้างๆ คูๆ ไอ้สัด”

   ตรัยส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ ต่างจากสิปาที่ยืนดูด้วยความขำขัน บางทีก็เข้าไปร่วมวงทะเลาะด้วย ไอ้ผู้ใหญ่ไม่รู้จักโตพวกนี้…

   ช่วยทำตัวให้สมกับอายุหน่อยได้ไหม?






        เรือโชคชัยนาวาแล่นถึงกระบี่ล่าช้าไปหนึ่งวันเต็ม เกล็ดน้ำแข็งใต้ท้องเรือแปรสภาพเป็นน้ำเย็นเฉียบแช่ตัวปลา การขนถ่ายทำได้ง่ายกว่าตอนมีก้อนน้ำแข็งปะปนอยู่ ใช้เวลาไม่นานก็ขนลงไปยังจุดคัดแยกจนหมด หน้าที่มิ่งขวัญเสร็จแล้วแต่ยังกลับไม่ได้ เขาต้องอยู่ทำงานแทนเพื่อนที่ขาเป๋และมือพัง

   “ไต๋อ่ะพี่มิ่ง?” คนงานในแพตะโกนถาม พอคนหนึ่งให้ความสนใจ คนต่อๆ ไปก็เข้ามารุมล้อม

   “อยู่ภูเก็ต”

   “ได้ข่าวว่าช่างเครื่องโดนยิง จริงป่ะพี่?” คนถามชื่อปิ๊ก มันอายุน้อยที่สุดในแพปลา ค่อนข้างแสบ ไม่ค่อยเกรงกลัวใคร

   “มึงรู้ได้ยังไง?”

   “ก็พวกไต๋เขาวิทยุคุยกันอ่ะ คุยไปคุยมารู้กันทั้งแพเลย” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นลูกพี่ถอนหายใจดังเฮือก “แล้วช่างเครื่องเป็นไงบ้างอ่ะพี่ รอดป่ะ?”

   “รอดสิวะ! ถึงมือหมอแล้วไม่รอดได้ไง”

   “ถึงมือหมอก็ตายได้เหมือนกันนะ พี่ไม่เคยดูละครเหรอที่หมอออกมาบอกญาติคนไข้อ่ะ” เด็กหนุ่มกระแอมไอให้โล่งคอแล้วดัดเสียงให้นุ่มทุ้ม “หมอขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ เราพยายามเต็มที่แล้ว”

   “จะเอาให้ตายให้ได้เลยใช่มะ?”

   “ล้อเล่น รอดปลอดภัยก็ดีแล้วคร้าบ” เด็กหนุ่มตัวดำยิ้มยิงฟันขาว ช่วยมิ่งขวัญชั่งน้ำหนักตะกร้าแทนชิ้วเรือ “งี้ก็ต้องหาช่างเครื่องคนใหม่อีกแล้วดิ”

   “เออ แม่งตำแหน่งอาถรรพ์หรือไงวะ กี่คนๆ ก็ออกหมด”

   “แบบนี้มันต้องพิสูจน์นะพี่”

   “พิสูจน์ไงวะ?”

   “ออกเรือรอบหน้าพี่ลองไปเป็นช่างเครื่องดูดิ”

   “เดี๋ยวกูถีบ!”

   พวกมันพากันหัวเราะคิกคัก กว่าจะแยกย้ายไปจัดออร์เดอร์ได้ก็บ่ายแก่เต็มที เดี๋ยวเย็นนี้ต้องเอาปลาไปส่งในชุมชนอีก กว่าจะได้ปลาหวานตากแห้งออกไปขายก็ต้องรออีก 3-4 วัน กว่าจะแล่เนื้อ กว่าจะหมัก กว่าจะตากแดด ถ้าหากปริมาณเยอะก็อาจจะใช้เวลาทำเป็นอาทิตย์เลยก็มี

   หนุ่มตัวโตหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาหลังจากเสร็จงานทั้งในส่วนของตัวเองและในส่วนของรุ่งภพ ชายหนุ่มถอดรองเท้าบูทแล้วกระโดดขึ้นไปนั่งบนถังน้ำแข็งใหญ่ โทรศัพท์เครื่องเก่าสั่นครืดก่อนจะดับคามือ เขาต้องกดเปิดปิดซ้ำๆ กว่ามันจะใช้งานได้ นึกท้อใจจนอยากจะเขวี้ยงทิ้งไปหลายครั้งแต่พอนึกถึงคนไกลก็ได้แต่กัดฟันข่มอารมณ์ไว้แล้วไล่หาเบอร์อย่างรีบเร่งก่อนที่เครื่องจะดับไปอีกครั้ง คนใจเสาะสูดหายใจเข้าลึกแล้วกดโทรออก หัวใจเต้นเร็วด้วยความตื่นเต้น ไม่รู้จะทักทายยังไงดี

   แต่เจ้าของเบอร์ไม่รับสาย ปล่อยให้สัญญาณดังอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งมันตัดไป

   ถ้าเขาส่งข้อความไป มันจะดูเป็นการรบกวนเกินไปหรือเปล่านะ?

   แล้วจะพิมพ์อะไรดีล่ะ...คิดถึงดีไหมนะ

   ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวเขาหาว่าเราใจง่าย

   ชายหนุ่มกดพิมพ์ข้อความแล้วลบอยู่หลายรอบ จนกระทั่งรุ่งภพเดินกะเผลกมาหาก็ยังไม่รู้สึกตัว

   (ทำอะไรอยู่)

   แค่นี้ก็พอแล้วมั้ง ถ้าคนเขามีใจเดี๋ยวก็คงตอบกลับมาเองแหละ...

   เข้าข้างตัวเองอีกแล้วกู

   ชายหนุ่มถอนหายใจยาว สะดุ้งโหยงเมื่อหันมาเจอรุ่งภพ “ไอ้เหี้ย! ตกใจหมด”

   “โถ พ่อคนขวัญอ่อน” รุ่งภพแซวเพื่อน “มึงจะกลับหรือยังอ่ะ กูกลับด้วย”

   “จะไปหาไอ้ตังเกเหรอ?”

   “อือ...ไม่เจอกันตั้งหลายวัน คิดถึง”

   “มันจะคิดถึงมึงหรือเปล่าเหอะ ป่านนี้ทำหมากูท้องไปแปดครอกแล้วมั้ง” ช่วงนี้นังดาวเรืองมันติดสัด ไอ้ตังเกมาอยู่โยงเฝ้าหลายวันแล้ว ติดสาวจนไม่สนใจเจ้าของ หน้ามืดตามัวจริงๆ ไอ้หมาหื่นกาม

        “เวอร์” รุ่งภพรุนหลังเพื่อนให้รีบกลับก่อนที่จะใครตามมาเจอ “กูว่าพาดาวเรืองไปทำหมันเถอะ”

        “กูก็ว่าจะพาไปอยู่เหมือนกัน เดี๋ยวดูก่อนว่ามันติดลูกหรือเปล่า ถ้าไม่ติดค่อยพาไป” มิ่งขวัญรีบจนลืมโทรศัพท์เอาไว้บนฝาถัง รุ่งภพจึงหันไปหยิบให้แต่ลืมไปว่ามือตัวเองนั้นเดี้ยงอยู่ โทรศัพท์ของเพื่อนจึงร่วงหล่นไปตามแรงโน้มถ่วง ส่งผลให้ฝาหลังแตกกระจายและแบตเตอรี่กระเด็นออก หมดสิ้นอายุขัยในเสี้ยววินาที

   “...”

   คนทำหล่นยิ้มแหย จะก้มลงไปเก็บก็ทำให้ไม่ได้เพราะขานั้นเดี้ยงไม่ต่างกัน

   “เค้าขอโทษ”



TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 26 l 30/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-09-2019 21:26:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 26 l 30/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 30-09-2019 21:45:57
อ่านยังไม่อิ่มเลย

หมดเสียแล้ว
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 26 l 30/9/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-10-2019 00:28:56
มารอจ้ะ​
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 27-28 l 3/10/62 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 03-10-2019 18:24:15
บทที่ 27





   รุ่งภพสิงอยู่ในห้องของมิ่งขวัญได้หลายวันแล้ว หลังจากอาการบาดเจ็บที่ขาเริ่มดีขึ้นเขาก็เริ่มเดินเหินได้คล่องไม่ต้องอาศัยคนช่วยพยุงอีกต่อไป หนุ่มใต้ไม่ค่อยได้กลับไปนอนที่บ้านเท่าไหร่นักเพราะตังเกยังติดดาวเรืองอยู่ ประกอบกับหลบหน้าใครบางคนด้วยจึงหอบผ้าหอบผ่อนมานอนที่ห้องเพื่อนมันซะเลย

   ตอนนี้ห้องของมิ่งขวัญสะอาดและดูสบายตาขึ้นมาก คงเป็นฝีมือของคนร่วมห้องคนเก่าที่ย้ายออกไปแล้วแต่ยังทิ้งสิ่งเหล่านี้เอาไว้ย้ำเตือนความทรงจำ ไม่ว่าจะเป็นกระถางต้นไม้พุ่มเล็กน่ารัก ผ้าม่านสีขาวโปร่งและโต๊ะอ่านหนังสือแบบพับได้ ซึ่งมันทำให้ดูสดใสไม่ต่างจากห้องนอนของเด็กสาว หากไม่เห็นมิ่งขวัญนอนอยู่เขาคงนึกว่าตัวเองเข้าห้องผิดอย่างแน่นอน

   “ยึดโทรศัพท์กูเลยเนอะ”

   “ช่วยไม่ได้ อยากทำของกูพังเอง”

   “ซื้อใหม่ไหมล่ะ เดี๋ยวกูไปช่วยดูให้”

   “ขาหายแล้วเหรอ?” มิ่งขวัญคืนโทรศัพท์ให้เพื่อน อ้าปากหาวเพราะความง่วงนอน “เมื่อกี้นายส่งไลน์มา เขาบอกว่ามึงลืมถุงยาเอาไว้ที่เขา เดี๋ยวจะเอามาให้ที่บ้านนะ”

   “บ้านไหน?”

   “มึงอยู่บ้านกูก็ต้องเอามาให้บ้านกูดิ” มิ่งขวัญขมวดคิ้ว เริ่มจะสับสนกับเพื่อนของตัวเอง

   “มึงบอกเขาเหรอว่ากูอยู่ที่นี่!”

   “เออ...ทำไมอ่ะ?”

   “กูไม่อยากกินยา”

   “ไอ้ฟาย มึงก็งอแงเป็นเด็กๆ แผลที่ข้อมือไม่หายสักทีก็เพราะว่ามึงไม่กินยานั่นแหละ”

   “ไม่เกี่ยว!”

   “เถียงอีกละ เอาไว้มึงค่อยไปเถียงกับนายโน่น เห็นบอกว่าจะเข้ามาเย็นๆ อ่ะ เขาจะไปดูรถโฟลคลิฟท์ในเมืองก่อน”

   “รถโฟลคลิฟท์เหรอ?”

   “สงสัยเอามาให้พวกเราใช้แทนรถเข็นแน่เลย”

   รุ่งภพก้มหน้าอ่านไลน์ในโทรศัพท์ ในขณะที่เขาทำตัวเป็นเด็กดื้อไม่ยอมกินยา ตรัยกลับยุ่งจนงานล้นมือแทบไม่มีเวลาติดต่อเขา

   “ถ้ามึงไม่ใช้โทรศัพท์ กูขอยืมต่อนะ” มิ่งขวัญฉวยโทรศัพท์เพื่อนกลับไปเล่นอีกครั้ง กดเข้าแอพสีน้ำเงินเพื่อส่องใครบางคน

   “ยืมอีกละ เล่นอะไรนักหนาวะ?” เจ้าของโทรศัพท์มุดแขนเพื่อนแล้วก้มมองบนหน้าจอ “เฟสคุณวินนี่? มึงส่องเฟสเขาทำไมอ่ะ”

   คนโดนถามอึกอัก เขี่ยนิ้วบนหน้าจอไปมาจนไปเจอรูปหนึ่ง

   “อย่าบอกนะว่า...”

   “เออ อย่างที่มึงคิดนั่นแหละ” ตอบเพื่อนด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเมื่อเห็นภาพบาดตา “คนกรุงเทพเที่ยวเป็นแต่ผับกันหรือไงวะ แล้วดูดิ...แค่ไปกินเหล้าต้องนั่งกอดกันด้วยเหรอวะ?”

   “แค่กอดคอไหมล่ะ”

   “กอดคอก็ไม่ได้!”

   รุ่งภพส่ายหน้าเอือมระอาเมื่อเพื่อนใช้เฟสบุ๊คของเขากดอันไลค์ภาพเมื่อครู่ “เฟสกูไหมล่ะนั่น”

   “ยืม”

   เอาที่มึงสบายใจเลย “ตกลงผู้ชายที่มึงคิดถึงคือคุณวินเหรอ?”

   “ทำไมมึงไม่ตกใจเลยวะ”

   “ก็เขาน่ารักขนาดนั้น กูยังชอบมองบ่อยๆ เลย”

   “ไอ้รุ่ง!” มึงจะตีท้ายครัวเพื่อนมึงเหรอ?

   “หนวกหูน่า มึงจะตะโกนทำไมฮะ?” รุ่งภพอุดหูตัวเอง ยกเท้ายันเพื่อนไปโครมหนึ่ง “ตกลงมึงชอบเขาจริงๆ ใช่ไหม? หรือแค่อารมณ์ชั่ววูบ”

   “ไม่รู้ว่ะ เดี๋ยวนี้แม่ง...พอคิดถึงทีไรใจมันสั่นทุกทีเลย”

   “มึงเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า?”

   “กูจริงจัง”

   “ถ้าจริงจังก็ลุยเลย อย่าปล่อยให้โอกาสหลุดมืออีก” รุ่งภพตบไหล่เพื่อน เขาก็บอกกับตัวเองด้วยเช่นกัน

   แม้จะเป็นความสัมพันธ์ที่อธิบายได้ยาก...แต่เขาก็ไม่ควรปิดกั้นหัวใจของตัวเอง





   มิ่งขวัญได้โทรศัพท์ใหม่รวดเร็วทันใจเพราะลากเขาไปซื้อตั้งแต่ห้างเปิด ตอนนี้คงเปิดศึกรบกับน้องสาวอยู่เพราะได้ยินเสียงแง้วๆ ดังเล็ดลอดมาจากบนบ้าน รุ่งภพส่ายหัวแล้วงับโดนัทเข้าปาก ให้น้องลองเล่นโทรศัพท์สักเดี๋ยวนึงจะเป็นไรไป ตอนนี้เป็นเวลาทำงาน ถึงโทรไปธาวินก็ไม่ว่างมารับสายหรอก

       “ไม่ขึ้นไปนั่งเล่นบนบ้านล่ะ มานั่งตากลมทำไม”

       รุ่งภพยิ้มกว้างเมื่อเห็นเจ้าของบ้าน ยื่นกล่องขนมให้เพราะรู้ว่าลุงชอบกิน “มารอคุณตรัยจ้ะลุง พี่ณัฐเป็นไงบ้าง?”
ไต๋เมืองถอนหายใจแล้วนั่งลงข้างชายหนุ่ม “ญาติเขามารับกลับไปแล้ว เห็นว่าจะให้ไปอยู่ที่ฟาร์มมุกหรือไงนี่แหละ”

       “แม่พี่ณัฐน่ะเหรอครับ”

       “ไม่ใช่หรอก คงเป็นพี่ชายล่ะมั้ง” หยิบขนมกินอีกชิ้นก่อนที่เมียจะมาเห็น “ลุงติดต่อใครไม่ได้เลย กำลังจะเอาตัวกลับมา

       รักษาต่อที่กระบี่แล้ว พี่เขาดันโผล่มาซะก่อน” หยิบอีกชิ้นและอีกชิ้น

       “เบาหน่อยลุง เดี๋ยวน้ำตาลก็ขึ้นหรอก”

       “เออน่า นานๆ ที แล้วเอ็งมารอคุณตรัยทำไมล่ะ?”

       “เขาจะเอายามาให้น่ะจ้ะ”

       “แผลยังไม่หายอีกเหรอ?” คนเป็นแผลยิ้มแห้ง มันก็ใกล้จะหายแล้วล่ะแต่ยังเป็นตุ่มหนองอยู่ “โน่น มาพอดีเลย”

       รถสีขาวฝุ่นเขรอะแล่นเข้ามาจอดใต้ร่มไม้ใหญ่ ตรัยก้าวลงจากรถพร้อมกับถุงยาที่ถูกแกะไปเม็ดเดียว กว่าจะรู้ว่ารุ่งภพลืมยาไว้ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าลืมหรือว่าจงใจเพราะไม่เคยโทรมาทวงเลยสักครั้ง

       “สวัสดีครับไต๋”

       “เอายามาให้ไอ้รุ่งเหรอครับ”

       “ครับ เดี๋ยวว่าจะรับไปทำแผลด้วย” เขาหันไปหารุ่งภพ “วันนี้ยังไม่ได้ไปทำแผลใช่ไหม?”

       “ยังครับ”

       “ไต๋เพิ่งกลับมาเหรอครับ? ณัฐเป็นไงบ้าง ติดต่อแม่เขาได้หรือยัง” ตรัยถามถึงช่างเรือหนุ่ม เขาแวะไปเยี่ยมแล้วหลายครั้งแต่ณัฐหลับตลอดเลยไม่ค่อยได้คุยกัน

        “พี่ชายเขามารับไปแล้วครับ”

        ตรัยพยักหน้าไม่ถามต่อ ในเมื่อติดต่อญาติได้แล้วเขาก็โล่งใจ “ผมตกลงเช่ารถโฟลคลิฟท์มาสองคันนะครับ จะได้ทุ่นแรงเวลาเข็นของคราวละมากๆ แล้วก็ประหยัดเวลาด้วย เดี๋ยวทางบริษัทเขาจะส่งคนมาอบรมทุกวันจันทร์-อังคารนะครับ รบกวนไต๋ช่วยคัดคนให้ผมหน่อยนะ ผมอยากได้คนที่เรียนรู้เร็วหรือไม่ก็เคยมีประสบการณ์ขับรถโฟลคลิฟท์มาก่อน”

        “ได้ครับ เดี๋ยวผมจัดการให้”

        ไต๋เมืองปล่อยให้คนทั้งสองคุยกันตามลำพัง ส่วนตัวเองแยกไปจัดการตามคำขอของชายหนุ่ม คงต้องประเมินคร่าวๆ ก่อนว่าแผนกไหนต้องใช้บ้างแล้วค่อยไปคัดคนอีกที

   “แผลที่ข้อมือเป็นไงบ้าง” ตรัยถามถึงแผลไฟไหม้ รุ่งภพยังพันข้อมือเอาไว้อยู่แสดงว่าแผลยังไม่หายดี

   “ยังเป็นหนองอยู่ครับ”

   “คราวนี้ต้องกินยาแล้วนะ” คนกินยายากก้มหน้ายอมรับชะตากรรม ไม่กล้าดื้อเพราะเห็นแววตาเหนื่อยล้าของชายหนุ่ม “จะกลับบ้านเลยไหมหรือจะค้างบ้านไต๋ต่อ”

   รุ่งภพเหลือบมองถุงยาในมือแล้วพยักหน้า อุตส่าห์หนีมาได้ตั้งหลายวันสุดท้ายก็ไม่พ้นอยู่ดี “งานที่แพยุ่งมากไหมครับ?”

   “พอประมาณ” ตรัยเปิดประตูให้ชายหนุ่มขึ้นรถ “ฉันรับช่างเครื่องคนใหม่มาแล้วนะ อาจจะไม่เก่งเท่าณัฐแต่ความรู้ก็แน่นอยู่”

   “เดี๋ยวก่อนครับ ผมเอาตังเกไปด้วยได้ไหม”

   ตรัยขมวดคิ้ว ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะพาหมามาด้วย “จะเอาไปยังไง เดี๋ยวต้องแวะโรงพยาบาลอีก” พอเห็นอีกฝ่ายทำหน้าหงอยเขาก็ใจอ่อนอีกจนได้ “ก็ได้ ไปเรียกมันมาสิ”

   “ขอบคุณนะครับ”

   ใช้เวลายื้อยุดอยู่นาน สุดท้ายก็ไม่ได้พาไปด้วยเพราะมันไม่ยอมกลับ ไต๋บอกให้ทิ้งเอาไว้ที่นี่ก่อน ถ้ามันหายติดสัดเดี๋ยวก็กลับบ้านเอง รุ่งภพเองก็ดื้อไม่ต่างกันเพราะจะพากลับไปให้ได้ เขาต้องรั้งตัวไปขึ้นรถแล้วส่งสายตาดุจึงยอมฟัง

   “ผมเป็นห่วงมันอ่ะ”

   “มันเป็นธรรมชาติของสัตว์ เดี๋ยวหายแล้วมันก็กลับบ้านเองนั่นแหละ”

   การทำแผลใช้เวลาไม่นานนักเพราะไปช่วงว่างพอดี ไม่ค่อยมีคนมาคอยคิวเท่าไหร่นัก เราแวะทานอาหารข้างทางก่อนกลับ เป็นร้านรถเข็นขายราดหน้ายอดผักรสชาติแฟรนไชน์ ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่เขาก็ตระเวนชิมจนเกือบจะทั่วซอยแล้ว ค่าอาหารต่อเดือนลดฮวบลงไปมากเพราะนานๆ ครั้งจะเหยียบเข้าห้างสักทีหนึ่ง

   บ้านของรุ่งภพยังทางเปลี่ยวเหมือนเดิมและรกครึ้มไปด้วยสวนมะพร้าวเกือบร้อยต้น ตรัยถอดรองเท้าแล้วหิ้วถุงขนมเข้าไปไว้ในครัว แกะยาฆ่าเชื้อออกมาหนึ่งเม็ดแล้วรินน้ำใส่แก้วเตรียมไว้พร้อม

   “เดี๋ยวค่อยกินไม่ได้เหรอครับ”

   “ไม่ได้”

   เดินตึงตังมาหยิบยาในมือเขาด้วยสีหน้ากระเง้ากระงอด พอเอาเข้าปากก็อมไว้อย่างนั้นไม่ยอมกลืน “ขมอ่ะ”

   “กินน้ำเข้าไปเยอะๆ” กว่าจะกลืนลงไปได้แทบขาดใจ ทั้งจมูกและปากแดงก่ำเพราะสำลักไอไปหลายครั้ง “กลืนลงไปแล้วนะ”

   อ้าปากให้ดูเหมือนประชด ตรัยยิ้มขำโน้มหน้าลงไปสำรวจ ฝ่ามือหนากอบกุมพวงแก้มอิ่ม ไล่สายตาซอกซอนไปทั่วโพรงปากก่อนจะแนบประทับลงไปแผ่วเบา

   รุ่งภพผงะหนีในตอนแรกก่อนจะยืนนิ่งให้อีกฝ่ายรังแก ค่อยๆ ซึมซับไออุ่นจากริมฝีปากผ่าวร้อน ดูดกลืนความรู้สึกของกันและกัน

   “หายขมหรือยัง” ตรัยลูบปลายนิ้วลงบนขอบปากนุ่มหยุ่น สัมผัสนั้นยังตรึงใจ “หรือยังไม่หายขม”

   “หะ...หายแล้ว” รีบดันตัวออกเมื่ออีกฝ่ายโน้มหน้าลงมาอีกครั้ง “ผะ...ผมจะอาบน้ำ”

   “ก็อาบไปสิ ใครว่าอะไร”

   เจ้าของบ้านทำหน้างอง้ำ พอเห็นตรัยเดินไปนั่งเก้าอี้หน้าห้องแล้วรื้อหนังสือออกมาอ่านก็รู้ทันทีว่าชายหนุ่มยังไม่ยอมกลับในตอนนี้ “ผมจะปิดบ้านแล้วครับ”

   “อะไร? ไล่แขกเหรอ”

   “ไม่ได้ไล่...แค่เชิญให้กลับ”

   “ต่างกันตรงไหน” ตรัยไม่แม้แต่จะลุกขึ้น ยังเปิดหนังสืออ่านต่อไปเรื่อยๆ เหมือนแกล้งเจ้าของบ้าน “ที่นี่ที่ไหนเหรอ?” ชี้ให้ดูภาพในสมุด

   “เกาะลันตาครับ”

   “สวยดี ชุมชนดูหลากหลายวัฒนธรรม...น่าไปเที่ยว”

   “ไปไหมครับ”

   ตรัยสบตาคนถาม เขายิ้มแล้วแกล้งบีบปลายคางของชายหนุ่มอย่างมันเขี้ยว “รอให้เธอหายดีก่อนค่อยไป”

   คนโดนแกล้งทำหน้ามุ่ย ดึงมือของตรัยออกแล้วหนีเข้าห้องของตัวเอง คนขี้แกล้งส่งเสียงหัวเราะไล่หลัง วางหนังสือท่องเที่ยวทิ้งเอาไว้บนโต๊ะแล้วเดินออกไปเบาๆ

   ให้เวลาปรับตัวอีกหน่อยแล้วกัน

   หลังจากไปเที่ยวด้วยกันแล้ว อะไรๆ คงดีขึ้น



TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 27-28 l 3/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 03-10-2019 18:33:38
บทที่ 28




   กลุ่มควันสีขาวหม่นพวยพุ่งจากใต้อาคารขึ้นสู่ท้องฟ้า เจ้าของรถคันสีขาวรีบก้าวลงจากรถทันทีที่ดับเครื่อง เขารีบวิ่งไปยังต้นตอของควันด้วยความกังวล นึกว่าเกิดเพลิงไหม้แต่ที่ไหนได้ กลับกลายเป็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังสุมหัวย่างอะไรสักอย่างอยู่โดยมีหัวหน้าแก๊งค์อย่างรุ่งภพเป็นคนนำ

   “ทำอะไรกัน? ไม่ทำงานทำการกันหรือยังไง” พอพญามดมา เหล่ามดงานก็แตกรังวิ่งหนีกันพรึ่บพรั่บ เหลือเพียงรุ่งภพกับมิ่งขวัญที่ไม่มีการมีงานทำกันจริงๆ

   “หายดีแล้วเหรอถึงมาทำงาน”

   “ยังครับ...แต่อยู่บ้านมันเบื่อนี่นา”

   ตรัยส่ายหัวกับน้ำเสียงอแงของชายหนุ่ม “แล้วย่างอะไรอยู่” พยักหน้าไปยังตัวประหลาดในตะแกรงปิ้งที่มิ่งขวัญถือ

   “แมงดาทะเลครับ”

   “ไปเอามาจากไหน” จำได้ว่าที่แพไม่เคยมี   

   “เรือชาวบ้านเอามาขายครับ ผมเลยซื้อมาสามตัว” แมงดาทะเลนั้นมีรูปร่างเหมือนจานคว่ำ หางแหลมยาวและมีไข่ใต้กระดอง

   “ชอบกินอะไรกันแปลกๆ มีพิษหรือเปล่าก็ไม่รู้” ตรัยบ่นเหมือนไม่ค่อยชอบใจนัก เห็นชายหนุ่มเจริญอาหารก็ดีอยู่หรอกแต่ต้องไม่เปิบพิสดารกันแบบนี้

   “มันเป็นแมงดาจานหางเหลี่ยมครับ กินได้”

   “กินได้จริงๆ ครับนาย ถ้าเป็นแมงดาถ้วยหางจะกลม ตัวนั้นมีพิษครับ บางคนก็เรียกแมงดาไฟ บางคนก็เรียกเหรา ชาวประมงเขาไม่จับกันครับ ถ้าเจอก็ปล่อยทิ้งเลย”

   “แล้วจะกินยังไงล่ะ มันมีเนื้อข้างในเหรอ?”

        “เดี๋ยวเลาะกระดองแล้วเอาไข่มันออกมาครับ เอาไปกินแกล้มเหล้า”

        “อ๋อ จะกินเหล้ากันใช่ไหม? ถึงได้เตรียมกับแกล้มกันตั้งแต่เช้า” ตรัยชำเลืองมองแผลบนข้อมือของชายหนุ่ม เป็นการเตือนกลายๆ ว่าห้ามกิน

        มิ่งขวัญเห็นท่าไม่ดีเลยหยิบสมอลทอร์คมาเสียบหูแล้วเปิดเพลงดังสนั่น ผิวปากฮัมเพลงงึมงำ มือหนึ่งแซะมีดเลาะกระดองแมงดาออก อีกมือหนึ่งก็ใช้ช้อนขูดไข่ทั้งยวงใส่กะละมัง พอย่างไฟแล้วมันจะจับตัวกันเป็นก้อนไม่แตกเละเหมือนแคะสด

        “กินนี้ดเดียวเอง ได้ไหมครับ” ทำนิ้วประกอบ แววตาวิงวอน

        “นิดเดียวน่ะแค่ไหน”

        “สามแก้ว”

        “เยอะไป”

        “งั้นสอง”

        “แก้วเดียวพอ” หนุ่มใต้ทอดถอนหายใจ ปากตูมเต่ง ใบหน้าบูดบึ้ง

        “แก้วเดียวมันจะไปรู้รสอะไรล่ะครับ ไม่กินซะยังดีกว่า”

        “งั้นก็ไม่ต้องกิน”
       
        คนประชดหันขวับ ยิ้มประจบทันควัน “ล้อเล่นครับ แก้วเดียวก็แก้วเดียว”

        “แล้วจะไปกินกันที่ไหน?”

        “ที่นี่แหละครับ เดี๋ยวรอให้เลิกงานก่อน คุณจะมากินด้วยกันไหมครับ”

   “ไม่รู้จะกลับมาทันหรือเปล่า ฉันต้องพาสิปาไปดูพื้นที่รอบเกาะก่อน” หนุ่มใต้ทำหน้าสงสัยแต่ไม่ได้ถามออกไป ตรัยพอจะเดาออกเลยบอกอาชีพจริงๆ ของเพื่อนสนิทให้ชายหนุ่มรู้ “สิปามันเป็นวิศวกร สร้างโรงแรมรีสอร์ทแถวชายหาดมาเยอะ ฉันก็เลยอยากให้มันมาช่วยดูให้ เดี๋ยวจะเริ่มร่างแบบกันคร่าวๆ ดูก่อนแล้วค่อยให้สถาปนิกมาสำรวจพื้นที่อีกทีว่าเป็นไปได้ไหม ฉันอยากจะสร้างบ้านพักส่วนหน้าก่อนแล้วค่อยไปไล่สำรวจพื้นที่ในเกาะอีกที”

   “จะสร้างตรงไหนเหรอครับ”

   “ยังไม่แน่ใจ อาจจะต้องปรับพื้นที่แถวดงมะพร้าวหรือไม่ก็ต้องรอสำรวจหาดให้รอบเกาะก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที”

   “ตรงป่าโกงกางก็ดีนะครับ”

   “ตรงที่เธอลงไปเล่นน้ำน่ะเหรอ” เขายังจำวันที่ชายหนุ่มโดดลงไปในน้ำได้ แถมยังชวนเขาเล่นสนุกจนลืมอายุ

   “ตรงนั้นก็สวยนะครับ ทำเป็นกระท่อมตากอากาศแล้วก็ทำสะพานไม้เชื่อมบ้านแต่ละหลังเอา ตอนเดินบนสะพานจะได้ใกล้ชิดกับต้นไม้ด้วย ร่มรื่นดีออก”

   “เอาแบบนั้นก็ได้ ฉันตามใจเธอ”

   คนโดนตามใจแก้มแดงซ่าน ไม่สามารถกลั้นยิ้มของตัวเองได้ จึงระบายความสุขด้วยการตบตีเพื่อนสนิทของตัวเอง

   “โอ๊ย! มึงมาตีกูทำไมเนี่ย?” มิ่งขวัญร้องโวยวาย กุมรอยตีบนท่อนแขนกำยำของตัวเอง

   “เขิน”

   “ไอ้...” อยากจะด่าก็ด่าไม่ออก ถ้าไม่เห็นนายนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ เขาตบกะโหลกมันไปแล้ว

   ฝากไว้ก่อนเถอะมึง

   คิดบัญชีแค้นในใจอย่างนึกเคือง อย่านึกว่าเขาดูไม่ออกนะ ถึงจะทำเป็นไม่สนใจแต่เขาก็คอยสังเกตเพื่อนตัวเองอยู่ตลอด แม้จะยังไม่แน่ใจแต่เขาก็เชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองเพราะเคยผ่านความสัมพันธ์คลุมเคลือแบบนี้มาแล้ว จึงมองออกว่าอะไรเป็นอะไร

   เดี๋ยวรอให้กูแน่ใจกว่านี้อีกสักนิด จะจับคั้นไปถึงกระดูกเลยคอยดู







   
   เกาะบูลันยังคงเงียบสงบไม่ต่างจากครั้งสุดท้ายที่เขาพารุ่งภพมาเยือนเมื่อเดือนก่อน คนใช้ชีวิตในเมืองใหญ่มานานนึกพึงพอใจกับธรรมชาติเช่นนี้ เขาไม่ได้อยากสร้างรีสอร์ทใหญ่โตอะไร ความต้องการจริงๆ ของเขาคือการใช้ชีวิตบั้นปลายที่นี่ต่างหาก เพียงแต่เกาะนี้ใหญ่เกินไปและอยู่ค่อนข้างไกล เขาไม่อยากอยู่อย่างโดดเดี่ยว จึงตัดสินใจทำรีสอร์ทเพื่อให้ชีวิตไม่เหงาจนเกินไปนัก

   “สวยว่ะ”

   “วันนี้น้ำทะเลขุ่นไปหน่อย ถ้ามาวันฟ้าเปิดจะสวยกว่านี้” ตรัยกระโดดลงจากเรือดิงกี้แล้วลุยน้ำขึ้นชายหาด วันนี้เมฆค่อนข้างครึ้ม อยู่นานคงไม่ดีนักเพราะฝนไล่หลังมาแต่ไกล

   “วิวสวยขนาดนี้สร้างรีสอร์ทสไตล์รัสติคหรือทรอปิคอลไม่ดีกว่าเหรอวะ มึงต้องการแค่กระท่อมไม่กี่หลังจริงๆ เหรอ?”

   “กระท่อมไม่ดีตรงไหน ธรรมชาติดีออก”

   “สาบานว่าไม่ได้เอาใจใคร”

   ตรัยหัวเราะในลำคอ เดินนำไปยังแอ่งน้ำที่มีป่าโกงกางขึ้นหรอมแหรม “ที่รุ่งเสนอมามันก็ดีไม่ใช่เหรอ? เน้นสายธรรมชาติแล้วก็อนุรักษ์ไปด้วยในตัว”

   “แม่มึงคงปลื้มน่าดู ได้ลูกสะใภ้คอเดียวกัน”

   “ปลื้มจริงก็ดีน่ะสิ”

   สิปาหัวเราะขำ ถึงแม่ของตรัยจะใจดีแต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ อย่าไปคาดหวังจะดีกว่า “งั้นกูวาง Lay Out ตรงนี้เลยนะ เป็นกระท่อม 20 หลังมีสะพานเป็นทางเชื่อม มึงจะวางแนวกระท่อมยังไงล่ะ เอาเป็นแถวตอนลึกหรือจะวางเป็นรูปใบพัด”

   “รูปใบพัดดีกว่า แบ่งเป็นฟากละ 10 ห้อง โอเคไหม ส่วนฟรอนต์กับห้องอาหารกูยังไม่ได้คิด เดี๋ยวรอถามสถาปนิกอีกที”

   “โอเค งั้นกูยึดเรือมึงไว้เลยนะ เดี๋ยวกูจะเอาคนเข้ามาสำรวจพื้นที่ในเกาะ เสร็จแล้วเดี๋ยวทำแผนที่ให้”

   “ตามสบาย”

   เสียงฟ้าขู่คำรามต้อนพวกเขากลับขึ้นเรือแม้จะลงมาสำรวจได้เพียงแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น สิปายังคงยืนถ่ายรูปมุมกว้างของชายหาด เขาต้องเตรียมพื้นที่ไว้ใช้ขนถ่ายวัสดุก่อสร้างด้วย หากจะทำเป็นสะพานจากกลางอ่าวเข้าไปก็ต้องดูระยะโขดหินอีกเพื่อไม่ให้ติดท้องเรือจนเกินไป

   ตรัยบังคับเรือฝ่าคลื่นลมและกลับเข้าท่าอย่างปลอดภัยในเวลาเย็นย่ำ ฝนยังไล่มาไม่ถึงชายฝั่ง เห็นเพียงท้องฟ้าสีแดงหม่นห่างไกลและสายฟ้าฟาดอยู่เป็นระยะ

   เสียงโหวกเหวกโวยวายดังต้อนรับทันทีที่ย่างเท้าถึงแพปลา อาคารด้านในมีแสงนีออนส่องสว่างอยู่เป็นบางจุด พอให้เห็นกลุ่มคนฝูงหนึ่งกำลังซดเหล้ากันอย่างเมามัน

   “ปาร์ตี้ยาดองกันเหรอวะ ไม่ชวนกันเลยไอ้พวกนี้”

   “กูนึกว่ากินเหล้ากันปกติ ไม่นึกว่าจะเล่นยาดองกัน” ตรัยเดินหลบคนเมาที่นอนกองกันระเนระนาด นับคร่าวๆ แล้วไม่ต่ำกว่าหกคน “รุ่ง รุ่ง! ลุกไหวไหม?” ตบแก้มชายหนุ่มเบาๆ แล้วฉุดให้ลุกขึ้น ยังดีที่เข้ามาตั้งวงแถวออฟฟิศ ถ้าไปตั้งตรงสันเขื่อนคงได้เห็นศพลอยอืดพรุ่งนี้แน่

   “แก้วเดียวๆ...แก้วเดียวแต่รอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้~” ชูนิ้วขึ้นเหมือนขอเหล้าอีก พอโดนตรัยจับรวบไปทั้งฝ่ามือก็ร้องเพลงอ้อแอ้ตามเสียงเคาะ “ได้หมดล่ะถ้ากูสดชื่น ให้กินเหล้าท้างคืนกูก้อหม้ายพรือ~”

   พอเมาแล้วดูเหมือนจะกล้าขึ้นกว่าเดิมเยอะ ทั้งสายตาก้อร่อก้อติกและถึงเนื้อถึงตัวกว่าแต่ก่อน “พอๆๆ หยุดๆ” เขารวบตัวชายหนุ่มแล้วยกขึ้น ก่อนจะหันไปประเมินสถานการณ์ในวงเหล้า “ใครกลับบ้านไหวก็กลับ ส่วนพวกที่นอนอยู่ตรงนี้ให้ขนเข้าไปนอนในออฟฟิศโน่น เดี๋ยวฉันเปิดประตูให้ เข้าใจไหม” กำชับคนที่ยังพอมีสติอยู่บ้างก่อนจะหิ้วปีกรุ่งภพไปขึ้นรถ

   “มิ่งขวัญไปไหนแล้ว ทำไมไม่ดูเพื่อนเลย” ตรัยบ่นอย่างหัวเสีย เขาจะไว้ใจฝากรุ่งภพเอาไว้กับใครได้บ้าง “ปา ไอ้ปา?”

   “เดี๋ยวๆ แหม่เว้ย เอาไปทั้งโหลเลยแล้วกัน” คนโดนเรียกอุ้มโหลเอาไว้ในอ้อมแขน “ขอนะ เออๆ ขอบใจๆ” ขอกันดื้อๆ คนเมาก็เออออแถมแก้วเป๊กให้อย่างใจดี “เรียกกูทำไมวะ”

   “เปิดประตูให้หน่อย”

   “หน้าหลัง”

   “หลังดีกว่า ให้เขานอนไปเลย” ตรัยวางตัวชายหนุ่มลงและปรับเบาะจนเอนไปด้านหลัง หวังจะให้คนเมานอนสบายๆ แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเพราะรุ่งภพอยู่ไม่นิ่ง ทั้งแกะทั้งดึงเข็มขัดนิรภัยออกจนเขาต้องคาดซ้ำอยู่หลายครั้ง

   เพี๊ยะ!

   “ฮึก...” คนโดนตีมือน้ำตาคลอ ปากเริ่มเบะจมูกแดงก่ำ

   “ร้องไห้จนน้ำตาท่วมก็ไม่สงสารหรอก ถ้าดื้อจะตีอีก” ปากขู่แต่ใจอ่อนไหว ต้องรีบปิดประตูรถก่อนที่จะใจอ่อนอีกรอบ ขณะกำลังจะเดินอ้อมไปฝั่งคนขับก็เห็นมิ่งขวัญเดินคุยโทรศัพท์มาแต่ไกล “ไปไหนมา ทำไมไม่ดูเพื่อน”

   “คะ คุยโทรศัพท์ครับ” มิ่งขวัญลดโทรศัพท์ในมือลง ชะเง้อมองหาเพื่อนแต่ไม่เจอ “แล้วมันไปไหนแล้วล่ะครับ”

   ตรัยถอนหายใจ ถ้าเพื่อนตกน้ำตกท่าไปจะรู้ไหม “อยู่ในรถ ไปดูคนที่เหลือด้วย ฉันจะพาเขากลับบ้าน”

   พูดจบก็บึ่งรถออกไปเลย มิ่งขวัญยังไม่ทันได้ถามเลยด้วยซ้ำว่าจะเอากลับไปบ้านไหน?



TBC


ชดเชยให้นะคะ โทษฐานที่หายไป 2 วัน  :mew2:


หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 27-28 l 3/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-10-2019 18:37:02
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 27-28 l 3/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-10-2019 18:51:57
มีการเขินแบบแสดงออกให้เพื่อนรู้ด้วย
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 27-28 l 3/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 03-10-2019 19:42:58
อิ่ม.......
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 29 l 4/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 04-10-2019 21:38:31
บทที่ 29







   คนเมายังคงดึงทึ้งสายรัดเข็มขัดออกพร้อมกับส่งเสียงขัดใจออกมาอยู่เป็นระยะ ตรัยส่ายหัวแล้วถอนหายใจหนัก ไม่รู้ซัดไปกี่แก้วถึงได้ดีแตกแบบนี้

   “เวียนหัว...”

   “ฉิบหาย มันจะอ้วกหรือเปล่าวะ?” สิปาเหลียวมองคนด้านหลัง ถอนหายใจเฮือกเพราะสายเข็มขัดหลุดไปแล้ว

        “มึงหาถุงให้น้องที กูน่าจะยัดไว้แถวๆ ประตูอ่ะ หาดู” ตรัยเหลือบมองกระจกหลัง เห็นคนเมางัดร่างขึ้นจากเบาะแล้วโถมตัวเข้าใส่เบาะหน้าตามด้วยเสียงคลื่นไส้

        “แว้กกกกก อย่าอ้วกรดหัวกู๊!” คนโดนกอดรัดพยายามแกะมือตุ๊กแกของคนเมาออก แต่ยิ่งแกะยิ่งรัดแน่นและดูเหมือนรุ่งภพจะสนุกเพราะนึกว่าเล่นด้วย

        “ขับช่าแท้ล่ะ บิดไปเรยนิร้อยเย่ ถึงไหนถึงกานนน แว้น แว้น แว๊นนนนน”

        สิปาไอจนตาเหลือกเมื่อถูกคนเมารัดคอ “ไอ้เหี้ย! มึงนั่งอยู่ในรถยนต์เว้ย ไม่ใช่มอ’ไซค์ ปล่อยกูวววว”

        "รุ่งภพ หยุด! ปล่อยมือเดี๋ยวนี้” ตรัยกระทืบเบรคแล้วหักพวงมาลัยรถหลบข้างทาง “ฉันบอกให้หยุดไง!” คราวนี้ตะคอกใส่เสียงดังพร้อมกับกระชากแขนจนตัวปลิว “ถ้ายังเล่นพิเรนทร์แบบเมื่อกี้นี้อีกล่ะก็ อย่าหาว่าฉันใจร้ายนะ”

        พอโดนดุก็กลับไปนั่งคุดคู้ที่เบาะของตัวเอง ยกเข่าขึ้นมากอดแล้วส่งเสียงสะอื้นฮัก

        “มึงตวาดดังเกินไปหรือเปล่าวะเมื่อกี้ น้องมันตกใจนะเว้ย”

        “มึงจะโอ๋ไหมล่ะ? เดี๋ยวได้โดนรัดคอแบบเมื่อกี้”

        สิปาทำหน้าสยอง ลูบคอตัวเองหลังจากผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญ “งั้นปล่อยมันไว้งั้นแหละ ขืนอาละวาดขึ้นมาอีกได้ตายห่ากันยกคันแน่

        ความสงบกลับคืนมาอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงของคนเมาอีกเลย ตรัยสามารถขับรถได้อย่างราบรื่นตลอดทางและกลับมาถึงบ้านในเวลาเกือบสามทุ่ม

        “ปลุกไหม?”

        “อย่าเด็ดขาด” ตรัยเอ่ยเตือนเพื่อนด้วยความหวังดี เขาส่งกุญแจบ้านให้เพื่อนส่วนตัวเองเข้าไปช้อนอุ้มคนเมาลงจากรถ

        “พร้อมเข้าหอยังเพื่อน  ทา ดาดาดา ทา ด๊าดาดา~”

        “มันใช่เวลามาเล่นไหม เปิดประตูสิวะกูหนัก”

        สิปาทำหน้าบูด บ่นพึมพำถึงความไม่โรแมนติกของเพื่อน ไหนๆ ท่าก็ได้แล้ว ซ้อมๆ ไปก่อนก็ได้นี่นา คนเขาอุตส่าห์หวังดีช่วยเทรนให้ ไม่ขอบคุณแล้วยังมาดุกันอีก

   “กลับมาแล้วเหรอลูก”

   “พ่อ!”

   “อุ้มใครมาด้วยน่ะ”

   “แม่!”

   วันรวมญาติที่แท้ทรู สิปายกมือไหว้ทักทายผู้ใหญ่ก่อนจะเดินไปสิงสถิตเงียบๆ ตรงมุมห้อง เรื่องในครอบครัวเขาไม่ยุ่ง เอาไว้เพื่อนใกล้จะจมน้ำตายเมื่อไหร่เขาค่อยเข้าไปช่วยก็แล้วกัน

   “วางเขาลงก่อนไหมแล้วมานั่งคุยกันดีๆ” คนเป็นแม่สั่งเสียงเย็น

   “รุ่งภพ?” เถ้าแก่ชัยเอ่ยเรียกเมื่อเห็นคนที่ลูกชายอุ้มอยู่ “เป็นอะไร? เมา? แล้วทำไมไม่เอาไปส่งบ้าน พามาบ้านเราทำไม?”

   ตรัยทอดถอนใจ มีแต่คำถามเต็มไปหมดจนไม่รู้จะตอบอันไหนก่อนดี “เขา...อยู่คนเดียวน่ะครับ ผมกลัวจะไม่สบายก็เลยพากลับมาที่บ้าน”

   “ดูเป็นห่วงเป็นใยจังเลยนะ”

   “เราสนิทกันครับ เขาไม่ได้เกเรอย่างที่แม่คิดหรอก ก็ดื่มบ้างตามประสาผู้ชายแต่วันนี้ดื่มเยอะไปหน่อยเท่านั้นเอง” ตรัยแก้ตัวแทน ไม่อยากให้แม่มองรุ่งภพไม่ดี

   “คุณตรี” เถ้าแก่ชัยเอ่ยขัดอดีตภรรยา “ผมว่าเราแยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อนดีกว่า เดินทางมาเหนื่อยๆ น้ำท่ายังไม่ได้อาบเลย”

   “พ่อกับแม่เพิ่งมาถึงเหรอครับ”

   “ก่อนหน้าแกแป๊บเดียวเอง” เถ้าแก่ชัยเป็นคนตอบ ส่วนตรีทิพย์ยังนั่งพิจารณาคนเมาอยู่ “ยังจะไปนั่งจ้องเด็กมันอีก ดูแม่แกสิตรัย”

   “ก็ฉันสงสัยนี่...ยังเด็กอยู่เลย ดูจากอายุแล้วไม่น่าจะสนิทกับตรัยได้เลย”

   “ไอ้โคแก่ชอบกินหญ้าอ่อน”

   “อะไรนะ!”

   “มึงนั่งเงียบๆ ก็ดีอยู่แล้ว” ตรัยถลึงตาใส่เพื่อน คนปากพล่อยยกมือขึ้นอุดปากแทบไม่ทัน ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ แล้วก้มหน้างุด

   “ที่เพื่อนพูดหมายความว่ายังไงน่ะตรัย” ตรีทิพย์คาดคั้นลูก รู้สึกตงิดตั้งแต่เห็นอุ้มกันเข้ามาแล้ว หากเป็นเพื่อนคนอื่นคงไม่อุ้มกันแบบนี้ เท่าที่จำได้ก็เห็นปล่อยทิ้งเอาไว้รอให้สร่างเมากันเอง “บอกแม่มาเดี๋ยวนี้นะ”

   “ถ้าบอกแม่จะรับได้เหรอครับ” ได้ยินเสียงร้องอูยมาจากมุมห้องแต่ตรัยไม่คิดจะสนใจ

   ตรีทิพย์ปากคอสั่น มองหน้าลูกสลับกับเด็กหนุ่มอีกคน “อย่าบอกนะว่า...”

   “ยาดมไหม?” เถ้าแก่ชัยยื่นยาดมไปให้หลังจากสูดไปแล้วจนหัวโล่ง

   “ฉันซีเรียส”

   “เครียดไปก็เท่านั้นแหละ คิดว่าห้ามลูกได้ไหมล่ะ?” คนเป็นแม่ชะงักงัน รู้สึกอึดอัดคับแน่นในอก ยังไม่อยากยอมรับในเรื่องนี้ “ลูกโตแล้วนะตรี เขาไม่จำเป็นต้องขอความเห็นจากเราแล้ว”

   “แต่ฉัน...” เธอเหลือบมองคนของลูก ยังไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่นัก ขนาดตัวเองยังดูแลไม่ได้เลย แล้วจะดูแลลูกชายเธอได้ยังไง

   “เอาไว้คุยกันพรุ่งนี้เช้าดีกว่าไหม รอให้เจ้ารุ่งมันฟื้นก่อน จะได้มานั่งคุยกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตากัน” เถ้าแก่ชัยพูดตัดบท แกผ่านโลกมาเยอะแล้ว ประกอบกับตอนป่วยทำให้รู้สึกปลงยิ่งกว่าเดิม “ไว้รอคุยกับเด็กมันก่อน อย่าเพิ่งตีโพยตีพายเลย”

   “ก็ได้” เธอยอมจำนน “มาค่ะ ฉันช่วยพยุง”

   “ผมช่วยดีกว่าครับ” ตรัยรีบเข้าไปช่วยพยุงแทนแม่ “ผ่าข้อเข่าเทียมเป็นไงบ้างครับพ่อ”

   “ไม่ปวดแล้วล่ะ หมอกรุงเทพเขาเก่ง ผ่าวันเดียวเดินได้เลย”

   “ทำไมรีบกลับล่ะครับ น่าจะอยู่พักฟื้นที่โน่นก่อน”

   “รำคาญยายแก บ่นเช้าบ่นเย็น กว่าจะถึงวันผ่าเล่นเอาหูแทบบอด รู้งี้ไม่ไปพักที่บ้านแกก็ดีหรอก”

   “ไม่พักแล้วใครจะคอยดูแลคุณล่ะคะ”

   “ผมแค่ปวดเข่า จริงๆ ไม่ต้องมีคนคอยดูแลก็ได้ ถ้าไม่ติดว่าต้องไปรอคิวผ่าตรวจโน่นนี่นั่น ผมคงนั่งเครื่องแบบไปเช้าเย็นกลับแล้ว”

   คราวนี้คู่แม่ลูกนัดกันถอนหายใจยาว ปล่อยให้คนแก่พูดอวดดีต่อไปจนถึงห้องนอน พอส่งพ่อเข้าห้องอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ตรัยก็หันไปสบตากับผู้เป็นแม่แล้วบอกกู้ดไนท์เหมือนตอนอยู่ที่บ้าน เธอยังคงยิ้มให้ลูกเช่นเคย หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ฝืดฝืนเต็มที

   ได้แต่หวังว่าวันพรุ่งนี้จะดีขึ้น









   คนเมาทุบกระหม่อมตัวเองให้หายมึนหลังจากตื่นขึ้นมาในบ้านของคนอื่น คนแรกที่เห็นตอนลืมตาคือเพื่อนของตรัยที่ลงไปนอนอยู่บนพื้น ส่วนเขาได้นอนบนเตียงกว้างเพียงลำพังเพราะตื่นมาก็ไม่เห็นใครอีกเลยนอกจากสิปาเพียงคนเดียว

   ตรัยเข้ามาทีหลังตอนเขาเข้าไปล้างหน้าบ้วนปากเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มมีสีหน้าดำทะมึนขณะสาธยายวีรกรรมของเขาให้ฟังด้วยน้ำเสียงเข่นเขี้ยว คนก่อเรื่องจำได้บ้างไม่ได้บ้างเพราะสติในตอนนั้นมันเลือนลางเต็มที ในเวลานี้จึงทำได้เพียงแค่ส่งสายตาวิงวอนและขอโทษ รู้สึกผิดคาดเล็กน้อยเพราะตรัยยอมอภัยให้โดยไม่ดุสักคำเดียว

   หากแต่ดีใจได้ไม่นานก็เหมือนถูกโลกถล่มใส่ รุ่งภพอยากจะระเบิดสมองตัวเองเดี๋ยวนั้นหลังจากรับรู้สถานการณ์อันน่าหวาดหวั่นระหว่างเรา

   “ไม่ออกไปได้ไหม ผมกลัว” ยึดแขนลูกชายเจ้าของบ้านเอาไว้แน่น ไม่กล้าก้าวออกไปจากเซฟโซน

   “แม่ฉันใจดี ไม่ดุหรอก”

   ทำตาละห้อยใส่ ปากเบะไม่อยากไป “ผมยังไม่พร้อม”

   “แต่ฉันพร้อมแล้ว” พูดจบก็ลากออกมาจากห้องนอนทันที แม่กับพ่อนั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว กำลังทานน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ที่เขาไปซื้อมา “น้องมาแล้วครับ”

   “นั่งลงก่อนสิ”

   รุ่งภพเลือกนั่งเก้าอี้ตัวสุดท้าย ห่างจากเจ้าของบ้านและห่างจากทุกคน

   “ไปนั่งซะไกลขนาดนั้นจะให้ตะโกนคุยกันเรอะ” เถ้าแก่ชัยพูดไปหัวเราะไปด้วยความเอ็นดูเด็ก เห็นมาตั้งแต่ตัวยังเท่าเมี่ยง ไม่คิดว่าโตขึ้นจะได้มาเกี่ยวดองกัน

   “ขอโทษครับ” เอ่ยขอโทษเสียงอ่อยแล้วขยับมานั่งข้างตรัย

   “ดูเป็นคนขี้เกรงใจจังเลยนะ” ตรีทิพย์เริ่มพูดคุยกับชายหนุ่มบ้าง เห็นแบบนี้แล้วก็โล่งใจไปเปราะหนึ่งเพราะดูเหมือนจะคุยด้วยง่าย ไม่ได้มีนิสัยเกเรอย่างที่คิด “อายุเท่าไหร่แล้วล่ะเรา”

   “25 แล้วครับ”

   “25 แล้วเหรอ? หน้าเด็กจัง” นึกว่า 18-19 อาจเป็นเพราะขนาดตัวที่เล็กบางเหมือนเด็กวัยรุ่นที่ยังเติบโตไม่เต็มที่ “แล้วมารู้จักกับตรัยได้ยังไงล่ะ”

   “ผม...ทำงานที่แพปลาครับ”

   ตรีทิพย์เลิกคิ้ว หันมองลูกชายตัวเอง...สมภารกินไก่วัดหรือนี่? “แล้วทำงานอะไร ไม่ได้แบกหามอะไรใช่ไหม?”

   “เปล่าครับ ผมเป็นชิ้วเรือ”

   “ชิ้วเรือ?”

   “งานจดบันทึกน่ะ แต่ต้องออกไปกับเรือ” คราวนี้เถ้าแก่เป็นคนตอบ กลัวอดีตภรรยาจะซักไซ้ไปจนถึงเรื่องของสิทธิมนุษยชน “ไม่ใช่งานหนักอะไรหรอกน่า ผมไม่เอาคนแคระไปแบกหามอะไรอย่างที่คุณพูดหรอก”

   “เถ้าแก่อ่ะ”

   “อะไรห๊า หรือไม่จริง?”

   ตรัยแอบหัวเราะ ไม่คิดว่าพ่อจะเอ่ยแซวความเตี้ยของชายหนุ่ม “ผ่านไหมครับแม่”

   “เพิ่งจะคุยไปได้นิดเดียวเอง เอางี้...เดี๋ยววันมะรืนแม่จะไปทำงานจิตอาสาเก็บขยะใต้ทะเลแถวอ่าวมาหยา ไปช่วยกันหน่อยสิเด็กๆ ขยะพลาสติกพวกนี้มันไม่ย่อยสลายไปง่ายๆ พอปล่อยทิ้งเอาไว้ก็จะเกิดสารเคมีกระจายอยู่ในทะเล พอปลาได้รับสารเคมีคนก็ได้รับด้วยเพราะกินปลาเข้าไป ที่ป่วยๆ กันเนี่ยก็ฝีมือมนุษย์ทั้งนั้นแหละไม่ใช่เชื้อโรคกลายพันธุ์ที่ไหนหรอก”

   “งั้น...ผมขอหยุดงานวันนึงได้ไหมครับ” รุ่งภพหันไปถามเจ้านายทั้งสอง มันเป็นวันทำงานซึ่งเขาไม่ได้หยุด

   เถ้าแก่เหลือบมองอดีตภรรยา พอโดนจ้องเขม็งก็ได้แต่พยักหน้าตอบตกลง “ถ้าไม่ได้ออกเรือก็ไปเถอะ”

   “ขอบคุณครับ แล้วผมต้องเตรียมอะไรไปบ้างครับ”

   ตรีทิพย์ค่อนข้างพอใจกับความกระตือรือร้นของชายหนุ่ม “เตรียมใจไปอย่างเดียวก็พอจ้ะ แล้วน้องมีบัตรดำน้ำหรือเปล่าแม่ลืมถาม”

   “ไม่มีคงไม่เป็นไรมั้งครับ ขนาดโดดลงไปว่ายกลางทะเลยังทำมาแล้วเลย”

   “คุณอ่ะ”

   ตรัยอมยิ้มเมื่อได้ยินน้ำเสียงตัดพ้อกึ่งโมโหของชายหนุ่ม เขาเลื่อนจานปาท่องโก๋ให้เพราะเห็นว่ายังไม่ได้กินอะไร แต่รุ่งภพกลับส่ายหน้าแล้วถามเขาว่าทานข้าวเช้าแล้วหรือยัง แถมยังถามเผื่อแผ่ไปถึงพ่อกับแม่ เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากผู้ใหญ่ทั้งสอง

   เป็นคำถามธรรมดาแต่ใส่ใจความรู้สึก

   หวังว่าพ่อกับแม่จะประทับใจและเอ็นดูรุ่งภพเหมือนกับเขา 



TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 29 l 4/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-10-2019 22:26:20
อัยย่ะ​ มีความพัฒนา
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 29 l 4/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 04-10-2019 22:57:51
ลุ้นหนักมาก

ตอนนี้  “พร้อมเข้าหอยังเพื่อน  ทา ดาดาดา ทา ด๊าดาดา~”

สุดท้าย ก้อ............
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 30 l 6/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 06-10-2019 18:50:18
บทที่ 30






   เถ้าแก่ชัยอยู่ติดบ้านได้แค่วันเดียวก็ออกอาการเบื่อหน่าย หลังจากอดีตภรรยาออกไปทำงานกับกลุ่มอาสาสมัครของเธอแล้วเขาก็ออกมาทำงานของตัวเองบ้าง แม้จะถูกลูกชายคัดค้านก็ไม่ยอมฟังแถมยังบังคับให้มาส่งอีกต่างหาก โดยยกเด็กในสังกัดอย่างรุ่งภพมาข่มขู่ทุกครั้งที่ลูกชายคอยห้ามปราม

   ห้ามเหรอ? เดี๋ยวไม่ยกให้เลย

   เจ้าของแพปลาผู้บุกเบิกเดินถือไม้เท้าทักทายคนงานด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงถามไถ่ถึงอาการเจ็บป่วยดังขึ้นระงม เถ้าแก่ต้องหยุดพูดคุยอยู่เป็นระยะ ระหว่างนั้นก็สังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในแพปลา

   ดูสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นจากเดิมมาก การทำงานจัดเป็นล็อกเป็นแถวเพื่อให้สะดวกต่อการใช้รถโฟลคลิฟท์เคลื่อนย้ายสิ่งของ

   “เด็กเข็นรถคงแฮปปี้น่าดูเลยสิท่า”

   “สนุกแค่ช่วงแรกๆ เท่านั้นแหละครับ” ตรัยเปิดประตูห้องทำงานให้พ่อ ส่งเอกสารต้นทุนค่าใช้จ่ายและผลประกอบการทั้งหมดให้เจ้าของตัวจริงตรวจ “ผมให้วินมาวางระบบงานในออฟฟิศใหม่แล้วนะครับ เอกสารจะได้ลิงค์กันไม่เก็บไว้ที่คนใดคนหนึ่ง”

   เถ้าแก่ชัยพยักหน้า ตรวจยอดเงินที่ลูกชายกระทบให้ด้วยความพอใจ “ทำงานละเอียดกว่าพ่ออีก สนใจมาคุมแพไหมลูก พ่อจะยกให้”

   “ถ้าให้เข้ามาดูแลเต็มตัวคงไม่ไหวครับ ผมอยากทำรีสอร์ทมากกว่า ขอเข้ามาบริหารงานเดือนละครั้งได้ไหมครับ?” ตรัยแกล้งหยอกพ่อ หากโครงการก่อสร้างรีสอร์ทลงตัวแล้วอาจจะมีเวลาเข้ามาดูแลมากกว่านี้ ไม่ใช่แค่เดือนละครั้งอย่างที่พูด แล้วอีกอย่าง...คนของเขาก็อยู่ที่นี่ หากมาแค่เดือนละครั้งจริงเขาคงถูกความคิดถึงทับจนตาย

   “สงสัยต้องจ้างผู้จัดการมาดูแลซะแล้วมั้ง”

   “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ยังไงผมก็ต้องไปๆ มาๆ ระหว่างเกาะกับแพปลาอยู่แล้ว ถ้ารีสอร์ทสร้างเสร็จผมคงมีเวลามากขึ้น เทียวไปเทียวมาวันละหลายรอบก็ยังได้ วิ่งเรือแป๊บเดียวเอง”

   “นึกว่าจะย้ายไปอยู่บนเกาะถาวร”

   “รอไปพร้อมพ่อไงครับ”

   “ยังอีกนาน พ่อยังห่วงแพปลาอยู่” เถ้าแก่ชัยไม่คล้อยตาม “แล้วเด็กแกล่ะ จะย้ายไปอยู่กับแกไหม?”

   “รุ่งน่ะเหรอครับ?”

   “มีกี่คนกันล่ะพ่อคุณ”

   “คนเดียวก็พอแล้วครับ” ตรัยยิ้มเมื่อนึกถึงเด็กเขา “เรายังไม่ได้คุยกันถึงขนาดนั้นครับ ถ้าเขาอยากจะอยู่บนฝั่งผมก็ไม่ห้าม จะได้ช่วยกันดูแลพ่อไง”

   “เออดี เดี๋ยวยกแพปลาให้ไอ้รุ่งมันไปเลย”

   “จะทำพินัยกรรมเลยไหมล่ะครับ เดี๋ยวผมติดต่อทนายให้”

   “ยังโว้ย! ข้ายังไม่รีบตาย!”

   เถ้าแก่ชัยแทบจะล้มโต๊ะแล้วจับลูกชายตี เปิดช่องให้หน่อยไม่ได้รีบจัดแจงให้กันเชียวนะ คนอย่างเถ้าแก่ชัย ไม่ปล่อยให้ลูกสะใภ้อดตายหรอกโว้ย

   เอ๊ะ หรือว่าลูกเขยหว่า?








   กิจกรรมบิ๊กคลีนนิ่งใต้ทะเลจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาหลายวันแล้ว คิวล่าสุดของวันนี้คืออ่าวมาหยาที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจนถูกขนานนามว่า ‘สวรรค์ใต้ฟ้า วิมานบนดิน’ ด้วยทัศนียภาพของเวิ้งอ่าวที่โอบล้อมไปด้วยหน้าผาสูงเกือบ 100 เมตร รวมถึงหาดทรายขาวละเอียดและน้ำทะเลสีมรกต

   “ของจริงกับในรูปไม่ค่อยเหมือนกันเลยนะ” ตรัยยกมือป้องสายตาจากแสงแดด สวรรค์ของคนรักทะเลในตอนนี้ไม่เหมือนกับภาพที่เคยเห็นเลย ไม่ว่าจะเป็นน้ำทะเลสีขุ่นหรือหาดทรายที่เสื่อมโทรม “สงสัยคนถ่ายรีทัชรูปเยอะไปหน่อย”

   “ไม่หรอกครับ ช่วงที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักก็น่าจะสวยเหมือนในรูปนั่นแหละ” เด็กใต้ประจำถิ่นก้าวขึ้นมายืนเคียงข้าง ทอดมองเวิ้งอ่าวเบื้องหน้าด้วยแววตาเสียดาย

   “เปลี่ยนไปเยอะมาก”

   “ปะการังที่นี่กำลังจะตายครับ มันฟอกขาวเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพราะถูกรบกวนทุกวัน ยิ่งช่วงไฮซีซันคนเป็นพันเลยครับ เดินจนแทบจะชนกันเลย ผมมาแค่ครั้งเดียวก็เข็ดแล้ว ขนาดเป็นคนในท้องที่ยังรู้สึกว่ามันไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่”

   “งั้นช่วงนี้ก็โลว์ซีซันน่ะสิ คนไม่ค่อยเยอะ” เห็นเรือทอดสมออยู่หน้าอ่าวแค่ไม่กี่ลำ นักท่องเที่ยวเล่นน้ำกันประปราย ไม่ค่อยเห็นคนไทยเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติที่มาแบบวันเดย์ทริป

   เรือที่แม่ของตรัยเช่ามาทิ้งสมอห่างจากชายฝั่งค่อนข้างมากเพื่อหลีกเลี่ยงปะการังที่กำลังย่ำแย่ จิตอาสาที่มาด้วยกันเริ่มเตรียมอุปกรณ์สำหรับดำน้ำ นอกจากคนไทยแล้วยังมีชาวต่างชาติเข้าร่วมด้วย มันไม่ใช่แค่การรวมตัวกันเก็บขยะเพียงอย่างเดียวหากแต่เป็นการลงพื้นที่เพื่อศึกษาสภาพแวดล้อมที่กำลังเสื่อมโทรมจากขยะพวกนี้

   “เตรียมตัวลงน้ำได้แล้วจ้ะ” ตรีทิพย์เดินมาตามเพราะไม่เห็นทั้งสองคนอยู่ในจุดปล่อยตัว “วันนี้แม่ขอเป็นบัดดี้กับตรัยนะ แม่อยากดำน้ำกับลูกชาย” เธอเหลือบมองคนที่ลูกชายพามา อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะคัดค้านอะไรไหม

   “แล้วรุ่งล่ะครับ” ดำน้ำต้องมีบัดดี้ หากเกิดเรื่องฉุกเฉินจะได้ช่วยเหลือกันได้ทัน

   ตรีทิพย์เลิกคิ้ว หันไปตะโกนเรียกชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ท้ายเรือ “ครูเกรท มาตรงนี้หน่อยค่ะ!”

   ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเดินมาหาตามเสียงเรียก อายุใกล้เคียงกับตรัย น่าจะมากกว่ากันไม่กี่ปี “มีอะไรเหรอครับ?”

   “วันนี้พี่จะดำน้ำกับลูกชายนะ ขอเปลี่ยนบัดดี้วันนึงได้ไหมเอ่ย?”

   “จะให้ผมดำกับใครล่ะครับ”

   ตรีทิพย์โอบไหล่คนของลูกให้หันไปทางคุณครูหนุ่ม “คนนี้ค่ะ น้องชื่อรุ่ง...ฝากด้วยนะจ๊ะ”

   “ครับ” ครูเกรทตอบรับเพียงสั้นๆ ไล่สายตามองรุ่งภพเหมือนตำหนิ “ป่านนี้แล้วทำไมยังไม่เปลี่ยนชุดอีกล่ะ ถึงจะเป็นงานอาสาสมัครแต่ก็ต้องรู้จักเคารพส่วนรวมด้วย คนอื่นเขาพร้อมกันหมดแล้วแต่ต้องมาคอยพวกคุณอีก ใช้ได้ที่ไหนกัน”

   “ขอโทษครับ เรา เอ่อ...เราเพิ่งมาเป็นครั้งแรก” รุ่งภพหน้าเสียเพราะไม่ได้ตั้งจะทำให้คนอื่นต้องล่าช้า

   “นั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่เอาไว้ใช้แก้ตัว คราวหลังก็ช่วยสังเกตคนรอบข้างหน่อย ไม่ใช่มายืนชมนกชมไม้กันอยู่ตรงนี้”

   “ครูเกรทคะ” ตรีทิพย์ปรามเสียงอ่อน ครูหนุ่มคนนี้เป็นคนตรงและพูดจาโผงผาง ค่อนข้างเจ้าระเบียบและติดนิสัยสอนสั่งตามประสาคุณครูที่เข้มงวด “อย่าตำหนินักเลยค่ะ คนเพิ่งเคยมาจะไปรู้ได้ยังไง”

   “แบบนี้ถือว่าเข้าข้างลูกนะครับคุณตรี”

   ตรัยขมวดคิ้วเริ่มหงุดหงิดเมื่ออีกฝ่ายต่อความยาวสาวความยืดไม่จบไม่สิ้นกันสักที “ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้องรอ”

   “ได้ไงล่ะลูก แล้วน้องจะคู่กับใคร”

   “เราจับคู่กันสามคนก็ได้”

   “แล้วครูเกรทล่ะ”

   “ปัญหาของเขาก็ให้เขาจัดการเอง”

   คนทั้งสองจ้องกันตาเขม็ง รุ่งภพยิ่งทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นตรีทิพย์ถอนหายใจหนัก สีหน้าลำบากใจ “งั้นแม่คู่กับครูเกรทเหมือนเดิมก็ได้ ไปเปลี่ยนชุดกันเถอะไป เดี๋ยวต้องประชุมกันอีกว่าจะลงตรงจุดไหน”

   “ให้ผมไปกับครูเกรทดีกว่าครับ” รุ่งภพรีบออกตัว เขาพอจะเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่อยู่บ้าง เธอคงอยากอยู่กับลูกและใช้เวลาด้วยกันเมื่อมีโอกาส “ผมขอไปเปลี่ยนชุดแป๊บเดียวครับ...ไม่นาน”

   หนุ่มใต้วิ่งตื๋อออกไปแล้ว ทิ้งความอึดอัดใจระหว่างคนทั้งสามเอาไว้เบื้องหลัง ชายหนุ่มรีบประกอบถังอากาศเข้ากับชุดดำน้ำอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานอย่างที่บอก ทำให้ครูหนุ่มคลายความอคติลงไปได้บ้าง

   ก่อนจะดำลงไปเก็บขยะใต้ทะเลต้องมีการวางแผนและกระจายงานกันก่อนเพื่อให้ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมพื้นที่ให้มากที่สุด บัดดี้แต่ละคู่จะแยกไปตามจุดต่างๆ เว้นช่วงทิ้งห่างไม่ไกลกันมาก รุ่งภพส่งยิ้มให้กับคนหน้าบึ้งอย่างเอาใจ ถึงไม่ได้เป็นบัดดี้คู่กันแต่ก็ยังอยู่ในบริเวณเดียวกัน ตรัยจึงคลายใจลงไปได้มากและยิ้มตอบในที่สุด

   “เมื่อกี้ขอโทษด้วยนะ พี่พูดแรงไปหน่อย” ครูเกรทบอกกับชายหนุ่มหลังจากได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง

   รุ่งภพเหลียวมองตรัยที่อยู่ห่างออกไปเกือบสิบเมตร ชายหนุ่มยิ้มเฝื่อน แม้จะไม่ได้โกรธแต่ก็เสียความรู้สึกอยู่ไม่น้อย “ไม่เป็นไรครับ”

   “โกรธพี่หรือเปล่า?”

   “ไม่หรอกครับ”

   “พูดน้อยจังเลยเรา...หรือกลัวพี่ด่าเลยไม่กล้าพูด” รุ่งภพส่งสายตาประมาณว่ายังไม่รู้ตัวอีกเหรอ ครูเกรทถึงกับหลุดยิ้มขำกับความซื่อของชายหนุ่ม “พี่เป็นคนนิสัยเสียแบบนี้แหละ จริงๆ แล้วไม่มีอะไรหรอก ปากร้ายแต่ใจดี”

   รุ่งภพยิ้มแห้ง ร้ายแบบนี้ก็ไม่ไหวนะ ตักเตือนกันดีๆ ก็ได้ “พี่เป็นครูเหรอครับ” ต้องอยู่ฝ่ายปกครองแน่ๆ เลย

   “พี่เป็นครูสอนดำน้ำ”

   “อ้าว? ผมก็นึกว่าครูสอนหนังสือ”

   “ไม่ไหวหรอก คงได้โดนเด็กเกลียดทั้งโรงเรียนแน่”

   ก็รู้ตัวนี่นา “แล้ว...ที่สอนอยู่ล่ะครับ เขากลัวพี่กันเยอะไหม?” รุ่งภพไม่กล้าใช้คำว่าเกลียดเลยเลี่ยงเป็นคำว่ากลัวแทน

   “ที่สอนอยู่ไม่ใช่เด็กสักหน่อย มันก็มีดุบ้างเพราะต้องเน้นความปลอดภัย มาทำเล่นๆ ไม่ได้หรอก พี่ไม่ออกบัตรดำน้ำให้เด็ดขาด เสียชื่อสถาบันหมด”

   “แบบนี้นี่เอง” ถึงว่าทำไมดุจัง

   “เดี๋ยวพี่ถือถุงตาข่ายให้แล้วน้องเป็นคนเก็บขยะนะ ตรงนี้มีปะการังเยอะ ถือไม่ดีอาจจะไปเกี่ยวโดนมันเข้า” ครูหนุ่มส่งกรรไกรและที่คีบให้กับรุ่งภพ เริ่มแจกแจงงานเพราะเห็นกลุ่มอื่นดำลงไปกันเกือบหมดแล้ว "ใช้สัญญาณมือเป็นนะ"

   “เป็นครับ”

   โลกใต้ทะเลบริเวณอ่าวมาหยาเต็มไปด้วยปะการังไร้สีสัน รุ่งภพสามารถมองเห็นขยะได้อย่างง่ายดายเพราะเป็นสิ่งแปลกปลอมท่ามกลางปะการังที่หน้าตาคล้ายกันเกือบทั้งหมด ทั้งหลอดครีมกันแดด เศษพลาสติกและกล่องโฟม เป็นที่น่าสลดใจเมื่อเห็นปลาไททันกำลังทุบตีกับขยะพวกนี้เพื่อควานหาอาหาร

   เราว่ายเก็บไปเรื่อยจนได้ขยะตุงก้นถุง ฟองอากาศจากถังออกซิเจนลอยเกลื่อนท่ามกลางมวลหมู่ปลาที่ว่ายอยู่รายล้อม หนุ่มใต้ลัดเลาะกองหินอย่างเพลิดเพลินจนลืมคนถือถุงด้านหลัง ครูเกรทที่มัวแต่ตัดเศษพลาสติกตรงกลุ่มก้อนปะการังอยู่จึงไม่ทันได้สังเกต ปล่อยให้บัดดี้ว่ายห่างออกไปเรื่อยๆ จนพ้นจากสายตา

   รุ่งภพหันซ้ายหันขวาและหมุนไปรอบตัวเมื่อไม่เห็นบัดดี้ของตัวเอง ชายหนุ่มยังลอยงงในดงปลา กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ขยะเต็มมือจนถือไม่ได้แล้ว เขาตั้งท่าจะว่ายกลับไปยังทิศทางเดิม อ้อมหินกองใหญ่และปะการังกิ่งแหลม หากแต่คนที่เจอกลับไม่ใช่บัดดี้ที่พลัดหลงเพราะเขาว่ายอ้อมไปผิดฝั่งจึงไปเจอกับบัดดี้คู่แม่ลูกแทน

   ขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้น ตรัยก็หันมาเห็นชายหนุ่มเข้าพอดี แม้จะสวมหน้ากากอยู่แต่รุ่งภพเดาได้เลยว่าอีกฝ่ายต้องขมวดคิ้วอยู่แน่ๆ ไม่ทันไรก็กวักมือเรียกให้เข้าไปหา ชายหนุ่มจึงชูขยะในมือขึ้นขณะตีขาว่ายน้ำอย่างงุ่มง่าม

    ตรีทิพย์ยังไม่เห็นเขาเพราะกำลังมุดเข้าไปเก็บขยะใต้ซอกหิน เราอยู่ไกลกันพอประมาณ ยังว่ายไปไม่ถึงครึ่งทางเลยด้วยซ้ำรุ่งภพก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของถังออกซิเจน

   เกิดอะไรขึ้น? ทำไมสูดอากาศจากเรกูเลเตอร์ไม่ได้เลย!

   เขาพยายามสูดออกซิเจนอยู่หลายครั้งแต่มันสูดไม่ขึ้น ลมหายใจของเขาเริ่มติดขัด รู้สึกอึดอัดและแน่นไปทั้งหน้าอกจนเริ่มดิ้นทุรนทุราย หูของเขาเริ่มปวดแปลบจากแรงดันอากาศ มือทั้งสองข้างไขว่คว้าเปะปะ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ทนไม่ไหว ร่างกายก็สั่งให้สูดลมหายใจเข้าหอบเอาน้ำมวลหนึ่งเข้าไปทางจมูก



   ช่วยด้วย!



   รุ่งภพพยายามกำมือแล้วชูไปข้างหน้าอย่างไร้ทิศทาง เขารู้สึกเหมือนร่างกายของตัวเองกำลังจมดิ่งลงสู่ผิวทราย ไม่นานดวงตาของเขาก็เริ่มมืดหม่น ภายในอกถูกบีบรัดจนสัมผัสได้ถึงหัวใจที่กำลังเต้นถี่เพราะความหวาดกลัว

   เฮือก!

   ใครคนหนึ่งดันท่ออากาศใส่ปากเขา รุ่งภพรีบสูดออกซิเจนเข้าไปอย่างเร่งร้อน ไม่อาจควบคุมจังหวะหายใจได้จึงหายใจทั้งทางปากและทางจมูก หลังจากสำลักน้ำและเริ่มปรับลมหายใจได้ก็สัมผัสได้ถึงฝ่ามืออบอุ่นที่โอบประคองอยู่หลังคอ ชายหนุ่มโผเข้ากอดคนช่วยอย่างเสียขวัญ ดวงตาร้อนผ่าวเมื่อผ่านพ้นเสี้ยววินาทีแห่งความตาย

   ตรัยบีบกระชับฝ่ามือของชายหนุ่มเอาไว้แน่น หัวใจของเขาร่วงหล่นตั้งแต่เห็นรุ่งภพหยุดชะงักด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก พอเห็นชายหนุ่มกุมลำคอแล้วเริ่มดิ้นสะเปะสะปะเขาก็รีบว่ายไปหาทันทีด้วยอาการร้อนรน สัญญาณมือขอความช่วยเหลือเหมือนใช้แรงเฮือกสุดท้ายส่งมาให้ หลังจากนั้นชายหนุ่มก็แน่นิ่งไป ร่างกายดำดิ่งเหมือนไม่รู้สึกตัว

   พอเข้าไปถึงตัวเขาก็จับคนไม่ได้สตินอนหงายแล้วดันท่ออากาศสำรองของตัวเองใส่ปากของชายหนุ่ม ไม่นานรุ่งภพก็รู้สึกตัวแล้วสูดออกซิเจนเข้าไปอย่างต่อเนื่องทั้งทางปากและจมูกจนสำลักน้ำ เขาต้องลูบแขนลูบไหล่และประคองใบหน้าของชายหนุ่มขึ้นเพื่อเรียกเป็นการเรียกสติ พออีกฝ่ายเห็นเขาก็โผเข้าหาเหมือนเด็กขวัญเสีย เนื้อตัวสั่นเทาไปหมดจนเขาต้องหันไปส่งสัญญาณมือบอกแม่ว่าจะพาขึ้นไปด้านบน

   ตรีทิพย์พยักหน้าแล้วตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ เธอไม่ได้ตามขึ้นไปด้วยเพราะเห็นครูเกรทกำลังว่ายมาทางนี้ด้วยท่าทางกังวล

   กลับขึ้นไปแล้วจะแพนิคหรือเปล่าก็ไม่รู้ กว่าเธอจะว่ายไปถึงตัวของเด็กหนุ่มได้ก็ต้องใช้เวลาเกือบสักพัก

   “เฮือก! แค่กๆ แค่กๆๆ”

   “ใจเย็นๆ ค่อยๆ สูดหายใจ ช้าๆ นั่นแหละ” ตรัยยังคงโอบประคองชายหนุ่มเอาไว้ในวงแขน เราไม่สามารถขึ้นสู่ผิวน้ำได้ทันทีอย่างใจนึกเพราะดำน้ำลึกมาเป็นเวลานาน แม้จะสร้างความกังวลให้กับรุ่งภพแต่เขาก็ต้องทำ เราต้องพักน้ำด้วยการลอยตัวอยู่นิ่งๆ พักหนึ่งก่อนเพื่อลดอาการปอดฉีกจากแรงกดอากาศที่ต่างกัน ช่วงเวลาที่อยู่ใต้ผิวน้ำสำหรับรุ่งภพคงยาวนานแทบขาดใจ เขาต้องกอดชายหนุ่มเอาไว้แน่นเมื่อเห็นความกระวนกระวายผ่านแววตา

   “เมื่อกี้นี้...ผมนึกว่าตัวเองจะตายซะแล้ว”

   ตรัยส่ายหน้า ลูบหยดน้ำออกจากผิวแก้มของชายหนุ่ม “ฉันไม่ยอมให้เธอตายหรอก”

   “...ตอนหายใจไม่ออก...มันทรมานมาก...ผม...” รุ่งภพนึกถึงความรู้สึกเมื่อครู่นี้ แรงดิ้นรนเฮือกสุดท้ายและลมหายใจที่ขาดห้วงยังคงสะท้อนอยู่ในหัว

   “อย่าไปนึกถึงมันเลยนะ ทิ้งความรู้สึกแย่ๆ นั่นไปซะ...นึกถึงแต่ฉันก็พอ” อ้อมกอดที่ปลอดภัยและสัมผัสปลอบโยนถูกมอบให้ รุ่งภพกอดตอบชายหนุ่ม ซบหน้าลงบนไหล่กว้าง ซึมซับความอบอุ่นอ่อนหวานลบความหวั่นวิตกภายในใจ

   ตรัยพาชายหนุ่มกลับขึ้นเรือทันทีแล้วช่วยเปลี่ยนชุดให้ รุ่งภพยังมีอาการเซื่องซึมอยู่บ้างแต่ไม่มีอาการหวาดระแวงเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว

   “เกิดอะไรขึ้น!” ครูเกรทถอดถังอากาศออก ตรงดิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าร้อนใจ

   ตรีทิพย์ตามมาติดๆ เธอตรวจสอบถังอากาศที่เด็กหนุ่มใช้เป็นอย่างแรก “พี่คิดว่าถังอากาศน่าจะมีปัญหา”

   “ทางร้านเขาเช็คให้ทุกแทงค์ก่อนเอาขึ้นมาแล้วนี่ครับ” ครูหนุ่มถอดเรกูเลเตอร์ของรุ่งภพออกแล้วสวมของตัวเองเข้าไปแทน “ก็ใช้ได้นี่นา...” คราวนี้เอาเรกูเลเตอร์ของรุ่งภพสวมกลับเข้าไปอีกครั้งแต่เข็มปรับแรงดันไม่ขึ้นเลย “ตัวปรับแรงดันน่าจะเสีย”

   “ดีนะที่ตรัยไปช่วยทัน ไม่งั้นแย่แน่”

   “แล้วคุณมัวทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ดูแลเขา” ตรัยเอ่ยตำหนิเสียงขุ่น เขาไม่น่าปล่อยให้รุ่งภพไปกับชายคนนี้เลย
   
   “ก็เก็บขยะนี่แหละ! ผมมาเก็บขยะนะไม่ได้มาตามเฝ้าใคร จะไปรู้ได้ไงว่าน้องมันว่ายออกไปตอนไหน หันมาอีกทีก็ไม่เจอแล้ว ผมก็ตกใจพอๆ กับคุณนั่นแหละ”

   “งั้นคราวหลังก็หัดสังเกตคนอื่นบ้างนะ ไม่ใช่สนใจแต่เรื่องของตัวเอง”

   หนุ่มใต้เขย่าแขนตรัย ภายในใจรู้สึกผิดที่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน “ผมผิดเองครับ ผมน่าจะรอครูเกรทก่อน ไม่ใช่ว่ายออกมาคนเดียวแบบนั้น”

   ตรีทิพย์ถอนหายใจยาว มันไม่ใช่ความผิดของเด็กหนุ่มทั้งหมดหรอก อุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหายต่างหากคือสาเหตุที่แท้จริง “หนูอย่าโทษตัวเองเลย ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

   “ผมทำให้ทุกคนเดือดร้อน”

   ตรีทิพย์ยิ้ม ลูบเส้นผมเปียกชื้นของเด็กหนุ่ม “ไม่มีใครเดือดร้อนเพราะหนูหรอก พวกเราทุกคนเป็นห่วงหนูต่างหาก...โดยเฉพาะลูกชายแม่”

   ตรัยยิ้มให้คนขี้กังวลสบายใจ เขาส่งสายตาข่มขู่ไปให้ครูหนุ่ม อีกฝ่ายจึงฉีกยิ้มให้ราวกับประชด

   “ขอบคุณนะครับ”

   น้ำเสียงของรุ่งภพยังคงเศร้าสลดอยู่ ตรีทิพย์ยืนมองลูกชายเล่นผมของเด็กหนุ่ม นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นมุมอบอุ่นอ่อนโยนแบบนี้ของลูก แม้จะหนักใจกับความสัมพันธ์ของคนทั้งสองแต่ก็ไม่อาจกีดกัน เธอไม่อยากพรากรอยยิ้มไปจากลูก ถึงจะไม่ใช่ลูกสะใภ้ในอุดมคติอย่างที่หวังเอาไว้แต่รุ่งภพก็ไม่ได้แย่ คงจะมีสักวันหนึ่งที่เธอจะนึกเอ็นดูเด็กหนุ่มได้อย่างสนิทใจ



TBC


หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 30 l 6/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 06-10-2019 21:04:28
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 30 l 6/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-10-2019 21:35:12
ขวัญ​เอยขวัญ​มา​
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 30 l 6/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-10-2019 08:08:05
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 31 l 8/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 08-10-2019 20:33:56
บทที่ 31





       เสียงเห่าเกรียวกราวดังขึ้นต้อนรับเมื่อมอเตอร์ไซค์คันเก่าแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน พอมิ่งขวัญส่งเสียงเอ็ดตะเพิดไปคำหนึ่งหมาประจำบ้านก็หยุดเห่าแล้วมุดกลับไปนอนใต้บันไดตามเดิม ชายหนุ่มเดินขึ้นบ้านด้วยอาการเหนื่อยล้า เหงื่อโทรมกายจนเสื้อเปียกโชกเพราะกรำงานหนักมาเกือบทั้งวัน

       “มิ่ง มีคนส่งพัสดุมาห้ายนิ”

       “พัสดุอะไรอ่ะแม่?” ร้อยวันพันปีเคยมีใครส่งอะไรมาให้ที่ไหนล่ะ

       “ม่ายโร้ เอ็งไม่ได้สั่งของออนไลน์เอาไว้เร้อ”

       “สั่งเป็นที่ไหนล่ะแม่ก็...ไม่ใช่ไอ้มนนะ” ชายหนุ่มบ่นพึมพำ รื้อหามีดคัตเตอร์ของน้องสาวแล้วหยิบกล่องพัสดุขนาดเท่าฝ่ามือมาอ่านชื่อของผู้ส่ง

       ธาวิน?

       ส่งอะไรมา?

       มิ่งขวัญกรีดเทปกาวออกแล้วหยิบของด้านในออกมาแกะดู มันเป็นเคสโทรศัพท์สกรีนลายกราฟฟิก พื้นหลังสีดำลวดลายสีชมพู

       “อะไรอ่ะ เคสโทรศัพท์เหรอ?”

       “ยุ่งน่า” โยกกล่องพัสดุหลบมือของน้องสาว ขนาดเดินหนีเข้าห้องมาแล้วก็ยังตามมาป่วนไม่เลิกรา

       “พี่มิ่งสั่งของออนไลน์มาเหรอ? ร้านไหนอ่ะ ลายสวยจัง”

       “เปล่า...คุณวินเขาส่งมาให้”

       เด็กสาวเหล่มองตัวอักษรภาษาอังกฤษด้านหลังเคส เธอขมวดคิ้วจนเป็นตัวหนอนและคิดว่าธาวินอาจจะส่งมาผิดคน “แต่มันเป็นเคสคู่นะ”

       “เคสคู่เหรอ? ดูไงวะ”

       มนชนกชี้ไปที่ตัวอักษรด้านหลังซึ่งสกรีนคำว่า ‘He’s Mine’

   “แปลว่า’ไรวะ?”

   “มันเป็นคำที่แสดงความเป็นเจ้าของอ่ะ แบบว่า...เขาเป็นของฉัน อะไรประมาณนี้” ตอนแปลให้พี่ชายฟังเธอรู้สึกเขินอยู่นิดหน่อย พอสังเกตเคสดีๆ อีกครั้งก็ยิ่งเขินหนักเข้าไปอีก มันเป็นลายเส้นรูปหัวใจซ้อนกัน หากแต่มีแค่ครึ่งเสี้ยว ต้องนำเคสอีกอันมาประกบกันถึงจะเป็นภาพหัวใจเต็มดวง “พี่วินเขาส่งมาผิดหรือเปล่าอ่ะ เอามาใส่มั่วซั่วเดี๋ยวเขาโทรมาทวงก็โดนด่าหรอก”
   “ไม่ด่าหรอกน่า ส่งมาถูกคนแล้ว”

   เธอนั่งมองพี่ชายชื่นชมเคสใหม่ด้วยสีหน้าก้ำกึ่ง ตั้งแต่ไปซื้อโทรศัพท์มาใหม่ก็โทรคุยกับใครไม่รู้แทบทั้งวัน แม้อีกฝ่ายจะบอกว่าคุยกับธาวินแต่เธอไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไหร่นัก คิดว่าเป็นแฟนของพี่ซะมากกว่า

   ขนาดเธอเป็นลูกศิษย์เรียนภาษาด้วยกันทุกวันยังไม่โทรคุยกันบ่อยขนาดนี้เลย นับประสาอะไรกับมิ่งขวัญที่หาเรื่องทะเลาะกันอยู่ตลอด

   อีกเดี๋ยวพี่วินต้องโทรมาทวงเคสแน่ๆ เธอไม่เชื่อหรอกว่าเคสนั่นจะเป็นของพี่ชาย

   “ออกไปได้แล้วยัยมน เอ็งเป็นผู้หญิงอย่ามาอยู่ในห้องผู้ชายนานๆ เดี๋ยวพี่จะเสียหาย เข้าใจเปล่า”

   ตรรกะอะไรของพี่มันวะ?

   เด็กสาวขมวดคิ้วขณะเดินตึงตังออกไปจากห้อง เดี๋ยวนี้มีลับลมคมในเยอะนักนะ เธอยังไม่ทันจะก้าวขาพ้นจากห้องก็ตามมาปิดประตูไล่หลังแล้ว

   มิ่งขวัญลอบถอนหายใจยาวเมื่อไล่น้องสาวออกไปได้ ชายหนุ่มลูบเคสโทรศัพท์แผ่วเบา ความรู้สึกยินดียังคงท่วมท้นหลังจากรับรู้ความหมายของตัวอักษรบนฝาเคส

   ต่อให้ถูกจูงจมูกหรือสนตะพายเขาก็ยินดีทั้งนั้น

   มิ่งขวัญกดเข้าแอพพลิเคชันไลน์แล้วเลือกการโทรแบบวิดีโอคอล ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับธาวินคืบหน้าไปไกลแล้วจนกระทั่งตกลงคบหาดูใจกัน แม้จะเป็นเพียงแค่การพูดคุยผ่านโทรศัพท์แต่พวกเราก็รู้สึกว่ามันเพียงพอแล้วสำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ เนื่องจากธาวินยังไม่สามารถตัดใจกับฐานเงินเดือนในตอนนี้ได้ เขาจึงต้องเร่งออกเรือตัวเป็นเกลียวเพื่อไต่ระดับขึ้นสู่ไปตำแหน่งที่มั่นคงมากยิ่งขึ้น

   มิ่งขวัญไม่เคยคิดถึงอนาคต แต่พอได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับธาวินบ่อยๆ เขาก็เริ่มฉุกคิดและลงมือทำ การวางแผนอนาคตในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อธาวินเท่านั้นแต่เพื่อตัวของเขาเองด้วย อีกหน่อยพ่อก็คงจะปลดเกษียณ หากเขายังลอยไปลอยมาเช่นนี้ คนที่จะลำบากก็คือครอบครัวของเขาเอง

   พอคิดไปถึงวันนั้นก็รู้สึกห่อเหี่ยวแล้ว เขาจึงต้องทุ่มเทให้มากเพื่อเป็นคนที่พึ่งพาได้ในสักวันหนึ่ง

   (ว่าไง)

   มิ่งขวัญเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินแต่เสียงจากคนปลายสาย “เปิดกล้องหน่อย อยากเห็นหน้า”

   (เดี๋ยวก่อน กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่)

   “จริงเหรอ? งั้นรีบเปิดให้ไวเลย”

   (ทะลึ่ง)

   มิ่งขวัญหัวเราะเมื่อโดนด่า เขานั่งฟังเสียงขลุกขลักจากปลายสายเงียบๆ จนกระทั่งธาวินยอมเปิดกล้อง หนุ่มตัวโตขมวดคิ้วเมื่อเห็นใบหน้าซูบเซียวและเหนื่อยล้า “เพิ่งเลิกงานเหรอ?”

   (อืม วันนี้เหนื่อยมากๆ เลย วิ่งรอกตั้งสองงาน)

   “ทั้งโรงแรมมีแค่คุณคนเดียวหรือไง ทำไมไม่เรียกคนอื่นมาช่วยล่ะ”

   (วันนี้ผู้จัดการแผนกจัดเลี้ยงลาป่วย ฉันก็เลยต้องเข้าไปช่วยเซ็ทอัพทั้งสองงาน)

   “งานอะไรเหรอ?”

   (งานแต่งน่ะ ทำแค่พิธีเช้า)

   “ทำไมไม่จัดที่บ้านล่ะ ไปจัดที่โรงแรมทำไม? บ้านเจ้าสาวอยู่ในโรงแรมเหรอ”

   ธาวินขำคิก กรอบหน้าไร้แว่นดูละมุนขึ้นไม่เคร่งขรึมเหมือนทุกวัน (เดี๋ยวนี้ใครๆ เขาก็จัดกันที่โรงแรมทั้งนั้นแหละ มันสะดวก)

   “เหรอ...แล้วถ้าเป็นงานของเราล่ะ คุณอยากจัดที่ไหน”

   (พูดจริงหรือจ้อจี้ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนะ ไม่แต่งหรอก)

   “คุณอายเหรอ”

   ธาวินถอนหายใจเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสลดของชายหนุ่ม (มันก็แค่พิธีอย่างหนึ่ง ฉันไม่ได้มองว่ามันสำคัญอะไรกับชีวิตฉัน นอกจากป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ว่าเป็นสามีภรรยากันแล้วก็ไม่เห็นว่ามันจะเกิดประโยชน์อะไรอีก แต่ถ้าหากมันมีคุณค่าทางใจล่ะก็ ฉันชอบงานแบบเรียบง่ายมากกว่า เชิญแค่คนสนิทก็พอไม่ต้องแห่กันมาทั้งหมู่บ้าน)

   “งั้นเราไปแต่งกันที่เกาะของคุณตรัยดีไหม แต่งเสร็จก็ฮันนีมูนเลย”

   (อยากแต่งงานขนาดนั้นเลยเหรอ?)

   “ผมอยากผูกมัดคุณเอาไว้ คุณจะได้ไม่ทิ้งผม”

   (แต่งแล้วก็เลิกได้ มันก็แค่พันธะอย่างหนึ่ง พอหมดรักแล้วก็ทางใครทางมัน)

   “ผมจะไม่มีวันหมดรักคุณ”

   (ตอนนี้ก็พูดได้สิ นายกำลังหลง...ฉันต่างหากที่ต้องเป็นคนกลัว)

   “อย่าดูถูกความรักของผมสิ...ผมจริงจังนะ” มิ่งขวัญนึกน้อยใจขึ้นมาบ้าง ธาวินไม่เคยเชื่อใจเขาเต็มร้อยแม้ว่าเขาจะพร่ำบอกอยู่เสมอว่าจริงจัง

   มันไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่ววูบอย่างที่ชายหนุ่มคิด เขาทบทวนตัวเองดีแล้วถึงได้ตัดสินใจเดินหน้าต่อ

   (วินไม่ได้ดูถูกความรักของมิ่งนะ วินแค่...อยากเผื่อใจไว้ให้ตัวเองบ้าง)

   “ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็น พิสูจน์จนกว่าคุณจะมั่นใจ”

   (งั้นคงต้องพิสูจน์ตลอดชีวิตแล้วล่ะ)

   “ตลอดชีวิตก็ยอม ผมรักคุณไปแล้วนี่”

   ธาวินกัดริมฝีปากกลั้นยิ้ม ยังไม่ชินกับคำหวานของชายหนุ่ม (วินส่งพัสดุไปให้นะ ได้รับยัง)

   “เคสนี่อ่ะเหรอ” จะโชว์เคสให้ดูแต่ลืมไปว่าใส่เข้ากับโทรศัพท์แล้ว

   (ชอบไหม?)

   “ชอบ...ชอบความหมายภาษาอังกฤษ” คราวนี้ธาวินหน้าแดงก่ำ ไม่กล้าสบตาอยู่พักหนึ่ง

   (ไหนบอกไม่เก่งภาษาอังกฤษไง รู้ความหมายมันด้วยเหรอ)

   “ตอนแรกไม่รู้หรอกแต่ยัยมนแปลให้ฟัง” มิ่งขวัญยิ้มเมื่อเห็นท่าทางน่ารักนั่น “มันเป็นเคสคู่ใช่ไหม?”

   (อืม เห็นมิ่งไม่ยอมซื้อเคสมาใส่สักทีก็เลยไปสั่งทำมา เดี๋ยวถอดของวินให้ดู...) เคสโทรศัพท์ของธาวินเป็นสีขาวแต่สกรีนลายเดียวกัน (พอเอาเคสทั้งสองอันมาประกบกันก็จะกลายเป็นรูปหัวใจเต็มดวง น่ารักไหม?)

   “น่ารัก...คุณนะไม่ใช่เคส”

   ธาวินหลุดยิ้มเขิน หัวใจชุ่มฉ่ำจนแทบจะล้นปริ่มหลังจากผ่านความแห้งแล้งและเดียวดายมาหลายปี แต่ความสัมพันธ์ของเรายังอยู่ในระยะเริ่มต้นเท่านั้น หนทางยังอีกยาวไกล หลังจากหมดช่วงโปรโมชันแล้วคงต้องดูกันอีกที

   เขาคงไม่ได้คาดหวังกับความรักครั้งนี้มากเกินไปใช่ไหม?








   สิปากางภาพพิมพ์และรูปถ่ายจากโดรนเปรียบเทียบกันเพื่อจัดทำแผนที่และเส้นทางโดยรวม เกาะบูลันมีขนาดค่อนข้างใหญ่พอสมควร พื้นที่ส่วนมากเป็นป่าพรุและป่าดิบชื้นตามลำดับ ด้านทิศตะวันออกของเกาะถูกปิดล้อมด้วยหน้าผาสูงชัน ทำให้หาดบริเวณนี้เป็นแอ่งกะทะ คล้ายกับลากูนหรือทะเลใน

   “กูไปสำรวจด้านนี้มาแล้วเว่ย โคตรสวยอ่ะมึงแต่มันต้องเดินป่าเข้าไปหลายกิโลอยู่ อ่าวด้านนี้เหมือนจะถูกหน้าผาปิดล้อมแต่จริงๆ แล้วมันมีช่องลอดคล้ายๆ ถ้ำลอดอ่ะ น้ำทะเลมันเชื่อมกัน ถ้าเป็นช่วงน้ำลดน่าจะเห็นทางเข้าออกแต่ทีมสำรวจกูไม่เป๊ะเรื่องเวลาน้ำขึ้นน้ำลงว่ะ กูก็เลยให้พวกเขาดำลงไปสำรวจเลย” สิปาวางภาพถ่ายใต้น้ำให้เพื่อนดู “ช่องลอดแคบนิดนึงน่าจะผ่านได้แต่คนตัวเล็กๆ ว่ะ แต่ที่เด็ดคืออะไรรู้ป่ะ ปะการังเว่ย ทั้งดอกไม้ทะเล ทั้งเขากวาง ทั้งสันหนาม คือสวยมากอ่ะ แล้วปลาแม่งว่ายเต็มไปหมดเลย ไม่ลึกด้วย สน็อกเกิลได้สบาย”

   “มันเดินอ้อมไปตามชายหาดได้ไหม แบบไม่ต้องเข้าป่าน่ะ”

   “มันเป็นเขาหินปูนกั้นไว้ ไปไม่ได้ทางตัน ต้องเข้าทางป่าอย่างเดียวเลย วันเวย์”

   “กี่กิโล?”

   “ประมาณห้ากิโลได้ กูทำแผนที่ได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ด้านทิศตะวันตกเป็นพื้นที่สร้างรีสอร์ทของมึง ส่วนด้านทิศตะวันออกเป็นลากูน ตรงกลางเกาะเป็นป่าดิบชื้นนะ มีลำธารอยู่สายหนึ่งแต่กูยังไปไม่ถึงต้นน้ำ ยังไม่เจอสัตว์ดุร้ายอะไรนะ เห็นแต่นกเงือกกับนกอินทรีโฉบไปมา ส่วนทิศเหนือกับใต้ยังไม่ได้สำรวจ เดี๋ยวอีกสองวันค่อยไปใหม่ วันนี้ต้องไปรับสถาปนิกก่อน เขามาไฟลท์เช้า”

   “อืม ถ้าเขาสะดวกจะไปดูพื้นที่วันนี้เลยก็ได้นะ”

   “ให้พักก่อนไหมล่ะ”

   “นั่งเครื่องแค่ชั่วโมงเดียว คงไม่เจ็ทแลคหรอกมั้ง”

   “เขาเป็นผู้หญิง อย่าโหดร้ายนักเลยน่า”

   ตรัยขมวดคิ้ว “ผู้หญิง? เขาไม่มีปัญหาใช่ไหมถ้าต้องลงพื้นที่”

   “เขารับอาสาเอง ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ”

   “เจอกันที่แพปลาแล้วกัน”

   พอตกลงกันเสร็จตรัยก็เดินแยกไปหาพ่อที่หลังบ้าน ตอนนี้เถ้าแก่ชัยกำลังฟื้นฟูแปลงผักที่เหี่ยวเฉาให้กลับมาสวยงามดังเดิมด้วยการรื้อปลูกใหม่ นอกจากพรวนดินแล้วพ่อก็ไม่เคยใช้เขาช่วยอะไรอีก ขนาดจะรดน้ำต้นไม้ไถ่โทษให้ยังไม่ยอมเลย

   “วันนี้พ่อจะเข้าออฟฟิศหรือเปล่าครับ”

   “ไปส่งแม่แกก่อนแล้วค่อยเข้าแพปลา” ตรีทิพย์มีกำหนดกลับวันนี้ หลังจากอยู่ยาวมาหลายสัปดาห์เพื่อหารือเรื่องความเสื่อมโทรมของทะเลในบางพื้นที่ หลายโครงการเกิดขึ้นเพื่อลดปริมาณขยะพลาสติกจากมือคน รวมไปถึงการปิดพื้นที่บางแห่งเพื่อฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและปลูกปะการังใหม่ทดแทน “วันนี้รุ่งไม่มาเหรอ?”

   “เขาโทรมาบอกว่าเรือกุ้งเข้าน่ะครับ ป่านนี้คงอยู่ที่แพปลาแล้ว” ปกติรุ่งภพจะมากินข้าวด้วยทุกเช้าเพราะเป็นคำสั่งของตรีทิพย์ บางวันก็เข้ามาช่วยทำอาหารบ้างถ้ามาทันตอนที่แม่ของเขากำลังเตรียมของ แม้จะยังทำอาหารได้ไม่คล่องแต่ก็เป็นที่น่าพอใจเพราะรสชาติออกมาดี

   “งั้นก็ไม่ได้ไปส่งแม่แกน่ะสิ เดี๋ยวก็โดนบ่นยาว” ระยะหลังมานี้อดีตภรรยาค่อนข้างเอ็นดูเด็กหนุ่มเพราะบ่นอะไรอีกฝ่ายก็ไม่เคยเถียง ต่างจากเขากับลูกชายที่ไม่ค่อยได้ดั่งใจนัก เธอจึงเอนเอียงไปทางรุ่งภพมากกว่าเพราะใช้ง่ายและพูดคุยกันถูกคอ

   “น้องโทรไปบอกแม่แล้วครับ เดี๋ยวนี้เขาแลกไลน์แลกเบอร์กันไว้แล้ว”

   “อ๋อเหรอ ตอนแรกทำท่าเหมือนจะเป็นจะตาย”

   “นินทาอะไรคะ! สายป่านนี้แล้วยังไม่มากินข้าวกันอีก ต้องให้เรียกทุกวันเลยไม่รู้ทำไม” พอพูดถึงก็โผล่มาทันที เถ้าแก่ชัยทำหน้าเซ็งแล้วเดินกุมไม้เท้าเข้าบ้าน พอรุ่งภพไม่อยู่ก็ดูเหมือนจะหงุดหงิดกว่าเดิมเป็นสองเท่า

   คงเป็นเพราะตื่นมาทำกับข้าวตั้งแต่เช้าแล้ววันนี้ไม่มีคนช่วย ไหนจะต้องเตรียมตัวเดินทางอีกเลยทำให้ยุ่งจนหัวฟู เช้าวันนี้เราสามคนจึงทานข้าวกันอย่างเร่งรีบเพราะกลัวคุณนายจะตกเครื่อง กว่าจะขับรถกลับเข้าแพปลาก็เที่ยงแล้ว ตรงกับช่วงพักของคนงานพอดี ตรัยจึงไม่เห็นรุ่งภพอยู่ในอาคาร

   “ปิ๊ก เห็นรุ่งไหม?” เขาตะโกนถามคนงานขับรถโฟล์กลิฟท์มือใหม่

   “อยู่บล็อกสามมั้งครับ วันนี้อวนจมกุ้งเข้า น่าจะกำลังคัดกุ้งกันอยู่”

   “ยังไม่พักอีกเหรอ?” บล็อกสามอยู่ระหว่างเสาอาคารต้นที่ห้าและหก ตรัยต้องเดินเลี่ยงตะกร้าปลาอยู่เป็นระยะกว่าจะไปถึงบล็อกที่เรือกุ้งเข้า “เที่ยงแล้ว ไม่ไปกินข้าวกันเหรอ?”

   รุ่งภพชะงักมือเมื่อได้ยินเสียงกระซิบข้างใบหู หนุ่มใต้หันไปมอง เห็นคนแกล้งยืนยิ้มกริ่มซ่อนถุงอะไรสักอย่างไว้ด้านหลัง “ซื้อขนมมาฝากหรือเปล่าครับ”

   “กินข้าวหรือยัง”

   “กินยำมาม่าแล้วครับ คนในแพเขาทำเผื่อ”

   ตรัยยอมส่งขนมที่ชายหนุ่มฝากซื้อให้แต่โดยดี มันเป็นขนมปังเย็นสีชมพูหวาน ราดด้วยนมข้นหลายชั้นจนรู้สึกเลี่ยนคอ “กินหวานมากๆ เดี๋ยวก็เป็นเบาหวานหรอก”

   “อาหย่อย~” ฟังที่ไหนล่ะ กลายเป็นเด็กติดขนมไปแล้วตั้งแต่ถูกบังคับให้กินยาแทบทุกวัน ชายหนุ่มขูดกินแต่นมข้นหวานแล้วกลับไปทำงานต่อ ตรัยเลยลองตักชิมบ้าง เขาแอบเบ้หน้ากับความหวานซ้ำซ้อนรีบกลืนลงคอโดยไม่เสียเวลาเคี้ยวให้เมื่อยกราม

   “เมื่อไหร่จะเสร็จ”

   “มาช่วยกันสิครับจะได้เสร็จเร็วๆ” รุ่งภพพูดไปอย่างนั้นแต่ไม่คิดว่าตรัยจะทำจริง “เอาจริงดิ”

   “คัดยังไง”

   “ผมพูดเล่น คุณเข้าไปทำงานในออฟฟิศเถอะครับ ไม่ต้องช่วยหรอก”

   “ฉันว่าง โดนพ่อไล่ออกแล้ว”

   “เรื่องจริง?”

   “เชื่อป่ะล่ะ”

   รุ่งภพสั่นหัว ส่งถุงมือยางให้ชายหนุ่มอย่างจำใจ “ถ้าว่างก็มาช่วยคัดไซส์กุ้งให้หน่อยครับ ตัวใหญ่ใส่ตะกร้าเบอร์ 1 ไซส์กลางใส่ตะกร้าเบอร์ 2 ไซส์เล็กใส่ตะกร้าเบอร์ 3 โอเคไหมครับ?”

   “อ่า...โอเค” เนื่องจากไซส์ค่อนข้างแตกต่างทำให้เด็กใหม่ทำงานได้อย่างราบรื่น “นี่กุ้งอะไรเหรอ?”

   “กุ้งแชบ๊วยครับ กุ้งน้ำเค็มที่เราจับได้จะมีแค่กุ้งแชบ๊วยกับกุ้งลายเสือ”

   “แล้วกุ้งตัวเล็กๆ ที่ขายในตลาดล่ะ”

   “อันนั้นกุ้งขาวครับ เป็นกุ้งน้ำเค็มเหมือนกันแต่ได้มาจากการเพาะเลี้ยง” รุ่งภพหยิบขนมปังเย็นมากินต่อ เกล็ดน้ำแข็งละลายไปเยอะแล้วเหลือแต่ก้อนขนมปังชุ่มน้ำหวาน “อีกไม่กี่วันก็จะเปิดอ่าวแล้ว เดือนหน้าคงได้ออกเรือเต็มที่ ถ้าคุณจะไปเที่ยวเกาะลันตาต้องรีบหน่อยนะครับ ช่วงนี้ผมยังหยุดได้อีกหลายวัน ถ้าออกเรือแล้วหยุดยากครับ”

   “งั้นไปอาทิตย์หน้าก็ได้...แต่ฝนจะตกหรือเปล่าก็ไม่รู้” ช่วงนี้เป็นปลายมรสุม พูดยังไม่ทันขาดคำเมฆดำทะมึนก็ตั้งเค้ามาอีกแล้ว

   “แดดออกได้หิดนึง มืดพรึ่บๆ มาหล่าวเด้” เพื่อนร่วมงานแหงนหน้าขึ้นมองแนวเมฆครึ้ม ชี้ให้รุ่งภพดูกลุ่มฝนที่ไล่มาจากกลางทะเล

   “แหลงยังไม่ทันขาดคำก็ลงเม็ดมาหล่าว ตกครึ่มๆ ได้ทุกวัน ตอใดอิหมดฝนซักทีน้อ”

   ตรัยยิ้มเมื่อได้ยินชายหนุ่มแหลงใต้ เวลาอยู่กับเขารุ่งภพจะพูดภาษากลางตลอด พอได้ยินจังๆ แบบนี้ก็รู้สึกว่าภาษาใต้นั้นมีเสน่ห์มากกว่าเคยคิด

   “นายครับ” ปิ๊ก คนงานขับรถโฟลคลิฟท์เข้ามาสะกิดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “คุณสิปาถามหาครับ บอกว่าสถาปนิกมาถึงแล้ว”

   “อืม เดี๋ยวไป”

   “คุณสิปาบอกให้ไปเร็วๆ ครับ”

   “เออ รู้แล้ว” ตรัยโยนกุ้งกลับเข้ากองแล้วถอดถุงมือออก “เดี๋ยวกลับมาช่วยนะ”

   หนุ่มใต้ส่งรอยยิ้มหวานมาให้ นั่นยิ่งทำให้ตรัยไม่อยากลุกไปไหนเลย หากไม่ได้ปิ๊กคอยสะกิดเรียกอยู่เป็นพักๆ เขาก็คงจะนั่งอยู่ที่เดิม ไปไม่ถึงออฟฟิศสักทีหนึ่ง

   “สวัสดีค่ะพี่ตรัย”

   ตรัยชะงักเมื่อได้ยินน้ำเสียงเคยคุ้น เขาต้องใช้เวลานึกอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะจำได้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร “ปัทมา?”

   “ค่ะ ปัดเอง” สถาปนิกที่สิปาพามาคืออดีตรุ่นน้องต่างคณะที่เคยรู้จักกันมาก่อน “พอปัดเห็นโปรเจ็กต์ของพี่ตรัยก็รีบขออาสาทันทีเลยค่ะ”

   “ไอ้วีย์มันอนุญาตให้มาด้วยเหรอ” ปวีย์เป็นเพื่อนของเขาแล้วก็เป็นลุงรหัสของหญิงสาว ตอนนี้มันทำบริษัทออกแบบและตกแต่งอยู่ ตรัยเลยขอให้มันช่วยจัดทีมให้แต่ไม่คิดว่ามันจะส่งผู้หญิงมา

   “ปัทดื้อจะมาเองแหละค่ะ อยากเจอพี่ตรัยจะแย่” เธอยิ้มหวานแล้วเกาะแขนอ้อน ตั้งแต่ตรัยวางมือจากงานโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเธอก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย หากเป็นเมื่อก่อนคงได้นัดรวมตัวไปนั่งดื่มกันบ้าง รำลึกความหลังสมัยเรียน

   “ไหนแบบบ้านของพี่ล่ะ”

   “เจอหน้าก็ทวงงานกันเลยเหรอคะ? แต่ปัดรู้ทันค่ะ เตรียมมาให้เรียบร้อย” เธอส่งกระบอกใส่แบบไปให้แล้วอธิบายเนื้องาน “กระท่อมที่พี่ตรัยอยากได้ปัดออกแบบเป็นหลังคาทรงกลมนะคะ พื้นที่ใช้สอย 25 ตารางเมตร มีทั้งหมด 20 หลัง เรียงต่อกันเป็นรูปใบพัด ตรงสะพานเชื่อมปัดเพิ่มจุดนั่งเล่นชมวิวเข้าไปด้วย ถ้าพี่ตรัยโอเค ปัดจะได้ส่งตัวนี้ให้พี่ปาเอาไปทำ Shop drawing  เลย”

   “อืม...แล้วล็อบบี้ล่ะ พี่ก็อยากได้เป็นกระท่อมเหมือนกัน”

   “ปัดต้องไปดูพื้นที่จริงก่อนค่ะ เห็นพี่ปาบอกว่าเป็นพื้นที่น้ำทะเลกัดเซาะด้วย ถ้าหมุดเดิมยังอยู่ในทะเลปัดว่าจะออกแบบเป็นสะพานยาวให้เรือเข้ามาเทียบจอดเลยค่ะ พอแขกลงจากเรือมาก็จะเห็นล็อบบี้เป็นอย่างแรก พอเข้าไปในล็อบบี้ก็จะเห็นห้องพักแบบเมาท์เทนวิวทางซ้ายมือ แล้วก็แบบโอเชียนวิวทางขวามือ”

   ตรัยดูแบบอย่างละเอียดอีกครั้งแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ “เดี๋ยวทำ EIA  ให้พี่ด้วยนะ”

   “ได้ค่ะ” ปัทมารับแบบคืนแล้วยิ้มกว้างเพราะงานผ่าน “ทำไมพี่ตรัยไม่สร้างเป็นพูลวิล่าไปเลยล่ะคะ เกาะส่วนตัวแบบนี้น่าจะทำห้องพักเป็นแบบไฮท์เอนด์นะคะ ลูกค้าต่างชาติน่าจะชอบ”

   “พี่ทำตามใจตัวเองไม่ได้ทำตามใจลูกค้า”

   หญิงสาวยิ้มเจื่อนกับรสนิยมที่สวนทาง “เอ่อ...เราไปหาอะไรทานกันก่อนไหมคะ ปัดยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันเลย”

   “ได้สิ...พี่ก็ยังไม่ได้กินอะไรเหมือนกัน” ตรัยเคาะห้องทำงานพ่อเพื่อชวนไปทานข้าว แต่เถ้าแก่ชัยปฎิเสธเพราะเพิ่งทานอาหารตามสั่งไปเมื่อครู่นี้ “แล้วสิปาล่ะ? ปัดเห็นไอ้ปาไหม”

   “พี่ปาไปเข้าห้องน้ำค่ะ เราไปรอที่รถกันก่อนไหมคะ เดี๋ยวค่อยโทรตามก็ได้”

   ตรัยพยักหน้าแล้วเดินนำหญิงสาวไปที่รถ ไม่นานสิปาก็ตามมาสมทบ เป็นการเลี้ยงต้อนรับสถาปนิกคนใหม่ไปในตัว

   ในขณะที่คนทั้งสามกำลังรับประทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย รุ่งภพก็นั่งชะเง้อคอยครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งคัดกุ้งเสร็จ คนที่บอกว่าจะมาช่วยก็ยังไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา



TBC


*ตรงงานเขียนแบบอาจจะมีผิดพลาดบ้างนะคะ หากตรงไหนไม่ถูกต้องแนะนำได้นะคะ ขอบคุณค่าาาาาา  :mew1:

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 31 l 8/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-10-2019 21:05:21
เขินๆกับคู่นั้น
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 31 l 8/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-10-2019 21:08:37
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 31 l 8/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 08-10-2019 21:09:19
ชอบมิ่งวิน น่ารักดี
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 31 l 8/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 08-10-2019 21:26:18
มาแล้วววว  รอมาตั้งสองวัน

มิ่ง วิน ก็มา

ว่าแต่ ปัทมา จะเป็นคนแยก ตรัย กับ รุ่ง ป่ะ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 31 l 8/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sexysunn ที่ 08-10-2019 23:01:59
ซุ่ทอ่านมาจนตอนที่ 31 แล้ว  ภาษาดีมากเบย  พวกข้อมูลการทำประมงก็แน่น  ติดตามนะครับ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 31 l 8/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 09-10-2019 11:37:43
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 32 l 9/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 09-10-2019 20:43:32
บทที่ 32





   ตั้งแต่ผิดนัดกันวันนั้น รุ่งภพก็ไม่ค่อยได้เจอกับตรัยอีกเพราะอีกฝ่ายกำลังยุ่งอยู่กับรีสอร์ทที่กำลังจะสร้างขึ้น ขนาดบางวันเขาแวะไปทำอาหารเช้าให้ที่บ้านยังไม่เจอเลย ช่วงนี้ก็เลยดูเหมือนจะห่างๆ กันไปบ้าง ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่นักเพราะตรัยอยู่บนเกาะแทบทั้งวันและที่นั่นก็ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ เขาก็เลยรู้สึกเหงาอยู่บ้างเวลาที่ไม่มีอีกฝ่ายมาคอยกวนใจ

   พอมีตรัยเข้ามาในชีวิต เขาก็เริ่มอยู่คนเดียวไม่เป็นแล้ว...   

   “เอ้าพี่? มานั่งเล่นเอ็มวีอะไรตรงนี้วะ”

   รุ่งภพเหลือบตามองคนทัก พอเห็นว่าเป็นใครก็ถอนหายใจเซ็ง “ถ้าจะสายขนาดนี้มึงไม่ต้องมาก็ได้นะไอ้ปิ๊ก”

   “ขาดลามาสายมันเป็นเรื่องธรรมดาพี่ ถ้าผมอยู่ทำงานเกินเวลาเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”

   “มันคงไม่มีวันนั้นหรอก กูเห็นห้าโมงเย็นทีไรมึงเปิดตูดแน่บไปก่อนชาวบ้านเขาทุกที”

   “เลิกงานก็ต้องกลับบ้านดิพี่ จะอยู่เลยเวลาทำไม เดี๋ยวเสียดุลการค้า”

   “เหรอ?” รุ่งภพลากเสียงยาว “มึงสาบานว่าเลิกงานแล้วตรงกลับบ้าน กูเห็นไหลไปเรื่อย ไปเสียดุลการค้าที่อื่นน่ะสิ”

   หนุ่มรุ่นน้องหัวเราะแหะ “มันก็ต้องไปผ่อนคลายกันบ้าง ขนาดลูกเถ้าแก่ยังไปเลย”

   “อะไรนะ?” รุ่งภพชะงัก หันกลับไปถามคนพูดอีกครั้งเพราะนึกว่าตัวเองหูฝาด

   “ลูกเถ้าแก่ไง...คุณตรัยอ่ะ”

   “เขาทำไม?”

   “อ้าว? ก็ที่เราคุยกันเมื่อกี้ไง เมื่อคืนผมเจอเขาที่ผับแถวอ่าวนาง ไปกับคุณคนสวยที่คุณสิปาพามาอ่ะ”

   รุ่งภพหน้าชา คุณคนสวยที่ว่าคงเป็นสถาปนิกที่ตรัยเคยบอกไว้ “เจอเมื่อคืนเหรอ?”

   “อื้ม เห็นไปนั่งดื่มกันสามคน แก๊งเขานั่นแหละ”

   กลับเข้าฝั่งมาแล้วทำไมไม่โทรมาหาเขา?

   “ผมว่านะ คุณคนสวยต้องเป็นแฟนคุณตรัยแน่ๆ เลยว่ะพี่ เห็นนั่งกอดนั่งซบกันอยู่สองคน ตอนอยู่กับคุณสิปานี่นั่งเฉ้ย แทบไม่คุยกันด้วยซ้ำ”

   “จริงเหรอ?” รุ่งภพถามด้วยน้ำเสียงล่องลอย หัวใจหวั่นไหวปวดหนึบหลังจากปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าหากัน

   “เอ้า? จริงดิพี่ ผมจะโกหกทำเพื่อ เห็นมากับตา”

   หัวใจคนเปลี่ยนได้รวดเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ? เขายังไม่ทันได้ซึมซับความสุขจากความรักเลยด้วยซ้ำ ความทุกข์ก็เข้ามาเคาะประตูหัวใจแล้ว

   รุ่งภพยังไม่เคยเจอผู้หญิงคนนั้นเพราะตรัยยังไม่เคยพามาแนะนำให้รู้จัก แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว...เขาจะพามาแนะนำให้รู้จักในฐานะอะไรล่ะ เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันด้วยซ้ำ

   หนุ่มใต้สูดหายใจเข้าลึกแล้วกลับไปทำงานของตัวเองต่อ เขายังเชื่อใจอีกฝ่ายอยู่แม้จะไม่เต็มร้อยเท่าไหร่นัก หากมันเป็นความจริงเขาก็อยากจะได้ยินจากปากของตรัยเอง

   เขาเคี่ยวกรำร่างกายของตัวเองตั้งแต่เช้าจนล่วงเลยมาถึงบ่าย อาศัยงานหนักช่วยบรรเทาความยุ่งเหยิงภายในหัว แม้จะช่วยไม่ได้มากแต่มันก็ทำให้เขาผ่านพ้นช่วงเวลาสับสนและโฟกัสแต่เรื่องงาน

   “โอ้โห! ได้ปูม้ามาเต็มเลย” รุ่งภพโยนเชือกสลิงลงไปให้เด็กติดเรือนำไปเกี่ยวขอบถัง ตอนนี้เป็นช่วงเวลาน้ำลดเรือจึงอยู่ต่ำกว่าแพปลามาก ต้องอาศัยแรงชักรอกจากเชือกสลิงดึงถังขึ้นมาจากตัวเรือ “มีปูไข่นอกติดมาบ้างไหมครับ”

   ไต้ก๋งประจำเรืออวนปูส่งกระป๋องใบใหญ่ให้รุ่งภพถือ ในนั้นมีปูม้าตัวใหญ่อยู่เกือบครึ่งกระป๋อง ทุกตัวมีไข่นอกกระดองหมดเป็นสีเทาอมดำเตรียมพร้อมที่จะฟักตัว “ตอนแรกมีเยอะกว่านี้แต่ลุงปล่อยไปบ้างแล้ว ส่วนในกระป๋องนั่นเดี๋ยวเอาไปฝากเข้าธนาคารปู โอกาสรอดน่าจะมีมากกว่า”

   ธนาคารปูเป็นนโยบายของกรมประมงที่จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการเพาะฟักลูกปูกลับคืนสู่ทะเล เปรียบเสมือนโรงพยาบาลที่รับฝากท้องและอนุบาลจนกระทั่งฟักตัว ปูที่นำไปฝากจะเป็นปูไข่นอกกระดองที่ได้รับการผสมเชื้อแล้ว เนื่องจากแม่ปูหนึ่งตัวจะสามารถฟักไข่ได้เป็นล้านฟอง สามารถขยายพันธุ์ได้มากหากไม่ถูกจับไปขายจนหมดเพราะค่านิยมในการบริโภค

   “รอบนี้จับได้น้อยว่ารอบก่อนหรือเปล่า” รุ่งภพถามหลังจากชั่งน้ำหนักเสร็จ

   “ถ้าไม่ใช้ไม้บรรทัดที่คุณตรัยให้เอาไปวัดขนาดก็น่าจะได้เยอะกว่านี้แหละ บางตัวขนาดมันเหลื่อมๆ กันลุงก็ไม่กล้าจับ กลัวโดนด่าถ้าไม่จับตามไซส์ที่เขาให้วัด”

   “ไม่เป็นไรหรอก ได้แค่ไหนก็แค่นั้นแหละลุง”

   “แต่ว่าก็ว่าเถอะ ถึงเราจะปล่อยปูตัวเล็กๆ ไป เดี๋ยวมันก็โดนคนอื่นจับไปอยู่ดีนั่นแหละ”

    “ถ้าไม่มีคนเริ่มจะมีคนตามเหรอครับ คุณตรัยเขาเอากฎของฝรั่งมาใช้ ที่โน่นเขาเคร่งครัดมาก เราอาจจะทำไม่ได้เท่าเขาแต่อย่างน้อยก็ได้ทำล่ะนะ ถึงจะแค่เล็กน้อยก็ยังดี”

   รุ่งภพถอดเอี๊ยมออกหลังจากชั่งน้ำหนักปูเสร็จเรียบร้อยแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเลิกงานแล้วแต่เขายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่มื้อเที่ยง หากเป็นเมื่อก่อนคงรู้สึกหิวจนหน้ามืดต่างจากตอนนี้ที่ไม่อยากกินอะไรเลย หนุ่มใต้เช็ดเหงื่อบนหน้าลวกๆ ขณะเดินไปเข้าห้องน้ำ มันคงไม่มีปัญหาอะไรหากเขาไม่สวนทางกับใครคนหนึ่งเข้าซะก่อน

   ไม่ใช่หนึ่งแต่เป็นสองต่างหาก...

   “กลับมาแล้วเหรอครับ” รุ่งภพเป็นคนทักก่อน ปลายเสียงติดสั่นเล็กน้อย แววตาเหินห่างเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินมากับใคร…

   ใช่ผู้หญิงที่ปิ๊กพูดถึงหรือเปล่านะ? หน้าตาสะสวยและดูมั่นอกมั่นใจแบบสาวยุคใหม่ ดูเหมาะกับตรัยมากกว่าเขาเป็นไหนๆ
   “กำลังจะไปไหน” ตรัยไม่ตอบซ้ำยังถามกลับ น้ำเสียงของชายหนุ่มแหบพร่าและแววตาง่วงงุนเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน รุ่งภพไม่เคยเห็นอีกฝ่ายในสภาพย่ำแย่แบบนี้ ระหว่างแฮงค์เหล้ากับไม่สบาย เขาเลือกที่จะเชื่ออย่างแรกมากกว่า...

   “ผมจะกลับบ้านแล้วครับ” รุ่งภพยังรอคำถามไถ่ซึ่งเต็มไปด้วยห่วงใยเหมือนที่แล้วมา ใจที่เคยชื้นเริ่มแห้งผาก ปกติต้องถามเป็นชุดแล้วหากแต่วันนี้กลับไม่ รอแล้วรอเล่าอีกฝ่ายก็ยังยืนเงียบ หนุ่มใต้เหลือบมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายเขา เธอยังยืนคอยไม่ไปไหน เขาเลยขอเป็นฝ่ายไปแทน “งั้นผมขอตัวนะครับ”

   “เดี๋ยวสิ!”

   “พี่ตรัยคะ” หญิงสาวส่งเสียงปราม เธอรั้งแขนของชายหนุ่มไว้ไม่ให้ตามคนงานคนนั้นไป “ไปรับคุณลุงแล้วกลับบ้านกันเถอะค่ะ ปัดอยากเห็นหลักหมุดในโฉนดเร็วๆ เราจะได้เดินหน้าสร้างล็อบบี้ตามแบบต่อ”

   ตรัยนวดขมับตัวเองแล้วมองไปทางที่รุ่งภพเดินลับไป “อืม...ไปกันเถอะ”   

   
   รุ่งภพทิ้งตัวพิงกำแพงเหมือนคนหมดแรง เขาแอบมองตรัยกับผู้หญิงคนนั้นเดินไปด้วยกันจนสุดสายตา ไม่มีอีกแล้วคนที่คอยวิ่งตามเขา ในสายตาของตรัย...คนสำคัญคงไม่ใช่เขาอีกต่อไปแล้ว

   หนุ่มใต้ขยี้จมูกตัวเองจนแดงเรื่อเพื่อคลายความแสบร้อน ลำคอขมปร่าจากความผิดหวังที่หลอกตัวเองมาตลอดทั้งเช้า

   เขาต้องกลับบ้าน...กลับไปในที่ของตัวเอง









        รุ่งภพจะไม่หลั่งน้ำตาให้กับเรื่องที่ทำให้ผิดหวัง อาจเป็นเพราะหัวใจผ่านความสูญเสียจนชาชินแล้ว ก็แค่กลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้งเหมือนอย่างที่แล้วมา

   หงิ๋ง~

   หนุ่มใต้ยิ้มเมื่อได้ยินเสียงเรียกทักทายจากเพื่อนร่วมบ้าน เขาโอบกอดขนนุ่มๆ ของตังเกแล้วซบหน้าลงไปบนแผงคอ มันยอมนั่งเฉยให้กอดเมื่อรับรู้ถึงความเศร้าของเจ้านาย ต่อให้ไม่เหลือใครเขาก็ยังมีมันเป็นกำลังใจเสมอมา

   รุ่งภพนั่งกอดมันอยู่นานจนได้เสียงล้อรถบดทรายเข้ามาจอดตรงหน้าบ้าน พอเดินออกไปดูก็เห็นร่างสูงคุ้นตาของคนที่เพิ่งแยกจาก คราวนี้ตรัยมาคนเดียวไม่มีผู้หญิงคนนั้นตามมาด้วยให้รู้สึกบาดสายตา

   “มาทำไมครับ”

   “มาไม่ได้?”

   รุ่งภพทำหน้าตึง ความไม่พอใจปะทุขึ้นจากความรู้สึกสะสมที่เก็บกดมาหลายวัน “คุณหายไปเป็นอาทิตย์ ผมนั่งรอโทรศัพท์แต่คุณก็ไม่โทรมา พอกลับเข้าฝั่งก็ไม่คิดจะโทรมาบอกให้รู้กันสักนิด ผมก็เป็นห่วงไปเถอะ ส่วนคุณก็ไปเที่ยว ไปกินเหล้า...แค่โทรมาบอกกันสักคำมันจะตายเหรอ?”

   “ใครบอกเธอ”

   “ใครบอกก็ช่างมันเถอะ แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะ?”

   “มันดึกแล้วฉันก็เลยไม่ได้โทรบอก กะจะมาหาวันนี้เลยทีเดียว”

   “เหรอครับ? คุณกลับมาตั้งแต่เมื่อวานแต่เพิ่งโผล่มาแพปลาตอนเย็นเนี่ยนะ แถมยังมากับผู้หญิงอีก” รุ่งภพส่ายหน้าไม่เชื่อคำพูดของชายหนุ่ม “คุณไม่ได้ตั้งใจจะมาหาผมหรอก”

   “ฉันต้องพาเขาไปดูโฉนดของเกาะ พอส่งเขากลับไปแล้วฉันก็มาหาเธอนี่ไง”

   “เธอสวยมากเลยนะครับ” หนุ่มใต้พูดเสียงแผ่ว ไม่ได้สนใจฟังเรื่องที่ตรัยเพิ่งบอกไปเมื่อครู่นี้ “ไปทำงานด้วยกันเป็นอาทิตย์ไม่รู้สึกหวั่นไหวบ้างเลยเหรอ”

   “ทำไมถามแบบนั้น?”

   รุ่งภพเม้มริมฝีปาก เขายังสองจิตสองใจกับสิ่งที่ปิ๊กเล่า “ก็แค่ถามดู ขนาดผมเห็นเธอครั้งแรกยังใจสั่นเลย”

   “รุ่ง!” ตรัยคว้าหัวไหล่ของชายหนุ่มแล้วบีบเค้น อารมณ์คุกรุ่นบวกกับอาการปวดหัวก่อนหน้านี้สร้างความหงุดหงิดจนนึกโมโห “พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? อย่ามาทำเจ้าชู้โลเลใส่ฉันนะ ฉันไม่ชอบ!”

   “บอกตัวเองเถอะครับ ใครกันแน่ที่เจ้าชู้”

   “เลิกยอกย้อนฉันสักที! มีอะไรก็พูด อย่ามาทำตัวงี่เง่าแบบนี้”

   รุ่งภพโกรธจนน้ำตาคลอ เป็นครั้งแรกที่โดนตวาดเสียงดังด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเช่นนี้ “ถ้าผมงี่เง่าก็ไม่ต้องมายุ่ง! ไปหาคนดีคนเก่งของคุณโน่นเลย อยากจะพากันไปไหน อยากจะทำอะไรก็เรื่องของคุณเลย! ไม่ต้องมาสนใจผม”

   คนโดนตวาดตะเบงเสียงสู้ สะบัดไหล่ตัวเองจนหลุดจากการควบคุมแล้วพยายามผลักอีกฝ่ายออกเพื่อปิดประตูบ้าน

   “รุ่งภพ!”

   ตรัยเรียกชื่อเต็มของชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงลอดไรฟัน ดวงตาลุกวาบขณะโถมตัวเข้าใส่ด้วยเรี่ยวแรงโมโห รุ่งภพเองก็ไม่ได้อยู่เฉยทั้งสะบัดและดิ้นพล่าน เมื่อความโกรธเริ่มเข้ามาแทนที่ก็มีแต่ความอยากจะเอาชนะ พยายามหาทางหลุดพ้นจนไม่เลือกวิธีการ

   “โอ๊ย!”

   ตรัยเหวี่ยงชายหนุ่มออกอย่างแรงจนกระเด็นล้ม เขายกหลังมือขึ้นมาดูรอยฟันที่กัดจนจมเขี้ยว รอยช้ำห้อเลือดปรากฎขึ้นหลังจากนั้น บางซี่เป็นรอยถลอกมีเลือดไหลซิบจนรู้สึกแสบ

   “จะเอาแบบนี้ใช่ไหม? ได้...”

   คนโดนกัดเหวี่ยงบานประตูปิดดังลั่นจนผนังบ้านสั่นสะเทือน รุ่งภพกระถดตัวถอยหนี เริ่มใจเสียเมื่อเห็นแววตาเย็นชืดไร้ความรู้สึกใดๆ มาเจือปน

   “อึก...ปล่อย!” รุ่งภพดึงมือที่คว้าจับลำคอออก แม้จะไม่ได้บีบจนแน่นแต่ก็ทำให้รู้สึกอึดอัดจนลมหายใจสั่นคลอน

   “ถ้าพูดกันดีๆ แล้วไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องพูด ฉันอยากทำอะไรก็เรื่องฉันใช่ไหม? พูดแล้วอย่ามานึกเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”

   ชายหนุ่มตาแดงก่ำ ความรู้สึกในตอนนี้ตีกันมั่วไปหมด พอความโกรธทุเลาลงแล้วความน้อยใจก็เข้ามาแทน “ผมเกลียดคุณ” พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทาตรงข้ามกับแววตาที่เจ็บร้าว

   “เหรอ...แต่ฉันรักเธอ”

   “...อื้อ!”

   ความรู้สึกแรกคือตกใจและความรู้สึกต่อมาคือสับสน คำรักที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวมาพร้อมกับความรู้สึกอ่อนหวานร้อนแรงบนริมฝีปาก มันไม่ได้อ่อนโยนแบบแตะสัมผัสเหมือนคราวที่แล้วเพราะถูกบดคลึงและขบเม้มจนปริแตก รุ่งภพครางประท้วงและผละหนี หากแต่อีกฝ่ายไม่ยินยอมและบังคับจูบอีกครั้งอย่างดึงดันเหมือนต้องการลงโทษที่เขาทำตัวไม่ดีใส่เมื่อครู่นี้

   พอบดขยี้จนพอใจก็แทรกปลายลิ้นลัดเลาะเข้ามาในโพรงปาก สำรวจรูปฟันอย่างถี่ถ้วนแล้วเกี่ยวรัดพัวพันกับปลายลิ้นเขา ความเหนียวหนืดในปากปลุกเร้าความต้องการบางอย่างจากส่วนลึก รุ่งภพไม่ได้สัมผัสใครแบบนี้มานานมากแล้ว มันทำให้เขานึกย้อนไปถึงช่วงวัยรุ่นที่เริ่มมีความรักเป็นครั้งแรก แม้ไม่ได้ช่ำชองนักแต่เขาก็รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง

   เขากำลังมีความต้องการ...ความต้องการที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยรสจูบที่ยาวนาน

   ตรัยลดใบหน้าไปยังซอกคอของชายหนุ่มแล้วดูดดุนทิ้งรอยไว้ เขาตลบชายเสื้อขึ้นมากองบนเนินอกของคนใต้ร่างแล้วแนบริมฝีปากลงไปสัมผัสกับผิวกายเปลือยเปล่า ทิ้งร่องรอยเอาไว้ทั่วตั้งแต่แผงอกเรื่อยไปจนถึงสะดือ

   “อื้ม...” คนถูกกระทำหน้าแดงก่ำ หยุดผลักไสและโอนอ่อนตั้งแต่ได้ยินคำว่า ‘รัก’ จากปากของตรัยแล้ว ต่างคนต่างหลงมัวเมาอยู่ในห้วงของอารมณ์ สนใจแต่ความต้องการตรงหน้าจนหลงลืมสาเหตุที่ทำให้ผิดใจกัน


   งับ!


   ตรัยหยุดชะงักเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหลังน่อง เขาละมือจากขอบกางเกงของรุ่งภพแล้วเอี้ยวตัวกลับไปมองด้านหลัง พบว่าขากางเกงยีนส์ของเขาถูกเขี้ยวสีขาววาววับงับเอาไว้แน่น ดูเหมือนสัตว์เลี้ยงของรุ่งภพพยายามจะช่วยเจ้านายของมันด้วยการลากเขาออกมาจากร่างของชายหนุ่ม

   “ตังเก! อย่าทำเขา” รุ่งภพยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเลขณะรวบเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ชายหนุ่มวิ่งอ้อมไปตะครุบมันจากด้านหลังแล้วยกอุ้มจนตัวลอย “กัดเข้าไหมครับ!”

   ตรัยส่ายหน้า เลิกขากางเกงขึ้นให้ชายหนุ่มเห็นรอยกดของเขี้ยวที่เป็นรอยช้ำ มันไม่ได้ตั้งใจจะกัดเขาหรอก คงอยากลากเขาออกไปให้พ้นเจ้านายของมันมากกว่า “เพิ่งรู้ว่ามีมันอยู่ด้วย”

   โดนเมินไม่พอยังถูกมองว่าไร้ตัวตนอีกต่างหาก รุ่งภพปล่อยมันลงแล้วรั้งตัวมากอดไว้ ตั้งแต่เล็กจนโตมันไม่เคยกัดใครเลย ได้แต่ส่งเสียงขู่ทำเป็นเก่งแต่ใจจริงน่ะขี้กลัว

   ตอนเขาทะเลาะกับตรัยมันคงตกใจมาก คงจดๆ จ้องๆ อยู่นานว่าจะเข้ามาช่วยดีไหม

   “ขอบใจนะ” มันแลบลิ้นเลียแก้มเขาแล้วส่ายหางดุกดิกรับคำชม

   “คราวหลังไม่ต้อง” ตรัยต่อท้ายประโยคของชายหนุ่ม นึกหมั่นไส้ที่เห็นมันออดอ้อนออเซาะเหมือนเยาะเย้ย แถมยังนั่งนิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อน ทำเหมือนเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   “คุณก็...” รุ่งภพหน้าบึ้ง คลายวงแขนเมื่อเห็นว่าตังเกไม่ได้ทำท่าจะเข้าไปทำร้ายตรัยอีก “เจ็บหรือเปล่าครับ?”

   “เธอกัดเจ็บกว่าเยอะ”

   “สมควรโดน”

   ตรัยถอนหายใจเมื่อได้ยินน้ำเสียงปั้นปึ่งของชายหนุ่ม เขาเหยียดขาออกแล้วเอนพิงขาเก้าอี้ ไม่คิดจะลุกขึ้นไปนั่งดีๆ เพราะเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ “เรามาคุยกันดีๆ ได้ไหม? เธอโกรธฉันเรื่องอะไรกันแน่”

   “...ผมคงหึงจนงี่เง่าอย่างที่คุณว่า”

   “ฉันควรจะดีใจหรือเปล่าที่ได้ยินว่าเธอหึง” ตรัยดึงชายหนุ่มลงมานั่งบนตัก รุ่งภพไม่ได้ขัดขืนแต่เปลี่ยนจากนั่งตักลงไปนั่งข้างๆ แทน “กับปัดน่ะ...ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขาหรอกนะ ต่อให้สวยแค่ไหนฉันก็มองแต่เธอคนเดียว”

   รุ่งภพขมวดคิ้ว รู้สึกสับสนกับคำเรียกของชายหนุ่ม “แล้วที่ไปเที่ยวกันเมื่อคืน...”

   “ทำไมเหรอ?” ตรัยบีบกระชับฝ่ามือของชายหนุ่มแล้วดึงขึ้นมาจูบอย่างโหยหา

   “เปล่าครับ ช่างมันเถอะ”

   “หายโกรธแล้วใช่ไหม”

   “หายก็ได้...แต่อย่าหายไปแบบนี้อีกนะครับ ผมเป็นห่วง”

   “สรุปว่าหึงหรือเป็นห่วงกันแน่?”

   “กลับบ้านไปเลยไป”

   ตรัยโอบกอดชายหนุ่ม หัวเราะร่าขณะเอนซบบนไหล่เล็ก “ไม่กลับ จะนอนนี่”

   อุณหภูมิที่สูงผิดปกติจากร่างกายของอีกฝ่ายทำให้รุ่งภพขมวดคิ้ว เขาเพิ่งสังเกตเห็นเพราะก่อนหน้านั้นนึกถึงแต่ความทุกข์ของตัวเอง "คุณไม่สบายหรือเปล่าครับ”

   “ปวดหัวนิดหน่อย ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก”

   รุ่งภพอังมือบนหน้าผากและซอกคอของชายหนุ่ม ไม่ร้อนมากแต่ก็วางใจไม่ได้เช่นกัน “ปล่อยก่อนครับ ผมจะไปเอายา”

   “หิวข้าว”

   “ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเหรอครับ”

   “อื้ม รอมากินพร้อมเธอ”

   “อยากกินอะไรล่ะครับ เดี๋ยวผมออกไปซื้อให้” รุ่งภพส่งยาแก้ไขให้ชายหนุ่มกินสองเม็ด พยายามพยุงตรัยขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ดีๆ แต่อีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือแถมยังยึดตักของเขาเป็นหมอนหนุนอีก

   “ทำให้กินหน่อย”

   “ทำอะไรล่ะครับ ที่บ้านผมมีแต่ไข่กับปลากระป๋อง”

   “งั้นก็กินไข่กับปลากระป๋อง”

   “คุณนี่นะ...ลุกขึ้นไปนอนดีๆ สิครับ” รุ่งภพเอ่ยปากไล่ขณะคิดเมนูอาหารอยู่ในหัว

   ทำไข่น้ำกับยำปลากระป๋องดีไหมนะ?

   “เดี๋ยวเราไปเที่ยวเกาะลันตากันนะ”

   “ได้ฤกษ์แล้วเหรอครับ”

   ตรัยหยิกแก้มของชายหนุ่มเมื่อโดนประชดด้วยคำพูด “ที่หายไปก็ไปเร่งเคลียร์แบบมานี่แหละ จะได้อยู่เที่ยวกับเธอหลายๆ วันไง”

   “รอให้คุณหายป่วยก่อนครับ ค่อยว่ากัน”

   รุ่งภพไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องนี้อีก เขายิ้มให้คนป่วยแล้วลูบหัวกล่อมจนอีกฝ่ายเคลิ้มหลับ ได้แต่หวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก เพราะมันคงสะกิดรอยร้าวในใจเขาให้แตกหักและพังครืน



TBC

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 32 l 9/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-10-2019 21:33:28
ใจหงายใจคว่ำหมดพ่อคุณ​เอ้ย
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 32 l 9/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 09-10-2019 21:40:41
ชอบ ตอนที่ตังเก เข้ามากัดอ่ะ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 32 l 9/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-10-2019 01:19:51
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 32 l 9/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 10-10-2019 15:48:59
ทำดีมากตังเก :pig4: :p :L2:ig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 33 l 10/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 10-10-2019 20:44:09
บทที่ 33




   เกาะลันตาเป็นเกาะที่หลบซ่อนอยู่ท่ามกลางท้องทะเลสีฟ้าคราม ประกอบไปด้วยเกาะลันตาน้อยและเกาะลันตาใหญ่ ด้วยระยะทางที่ห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่ทำให้เกาะแห่งนี้ยังคงความสวยงามของธรรมชาติดั้งเดิมไว้ ทั้งหาดทรายขาวและน้ำทะเลใสสะอาด แฝงไปด้วยความสงบและเรียบง่ายของวัฒนธรรมสี่ชุมชน

   เกาะแห่งนี้มีผู้คนมาอาศัยอยู่ยาวนานกว่าร้อยปีแล้ว มีทั้งชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม ชาวไทยจีนและชาวไทยใหม่ผสมผสานกัน ทำให้เกิดวัฒนธรรมประเพณีที่หลากหลายประกอบกับความเจริญตรงหัวเกาะและท่าเรือแถบชายหาดฝั่งตะวันตกทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมเยือนไม่ได้ขาด และพวกเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นเดียวกัน

   รุ่งภพยิ้มกว้างใส่กล้องตัวใหญ่ราคาแพงขณะยืนเป็นแบบให้ตรัยถ่ายรูปอยู่ใต้สะพานสิริลันตา เราอาศัยแพขนานยนต์ในการนำรถข้ามมาด้วย พอถึงเกาะลันตาน้อยก็มุ่งหน้าขึ้นสะพานไปหมู่บ้านศาลาด่านซึ่งตั้งอยู่บนเกาะลันตาใหญ่ บริเวณนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีทั้งท่าเรือ โรงแรมและร้านอาหารนานาชนิด เราแวะหาอะไรเติมท้องกันก่อนออกเดินทางไปยังชุมชนทุ่งหยีเพ็ง เส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ตรัยเลือกไว้ว่าจะเที่ยวเป็นที่แรก

   “วันนี้คงได้เที่ยวแค่ทุ่งหยีเพ็งที่เดียว แค่นั่งเรือชมป่าชายเลนก็สองชั่วโมงแล้วครับ”

   ตรัยหันไปยิ้มกับคนบอก ไม่ได้ซีเรียสเรื่องเวลาเท่าไหร่นัก “มีเวลาเที่ยวตั้งหลายวัน ฉันไม่รีบ”

   “แต่ผมรีบครับ เป็นห่วงตังเกมัน”

   “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ถ้าอยู่กับพ่อฉันไม่คำว่าอดหรอก”

   รุ่งภพถอนหายใจ “นั่นแหละครับที่น่าเป็นห่วง กลัวมันจะพุงแตกตายไม่ได้แก่ตายน่ะสิครับ”

   ก่อนมาเที่ยวพวกเราเอาตังเกไปฝากเลี้ยงที่บ้านเถ้าแก่ชั่วคราวโดยนำอาหารเม็ดไปให้ด้วย แม้จะเป็นคำสั่งจากตรัยแต่เขาก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดี มันมีทั้งความเกรงใจและความเป็นห่วงผสมกัน เพราะความเอ็นดูของเถ้าแก่นั่นแหละที่ทำให้มันอ้วนจนอืดเป็นหมูขนาดนี้

   คนที่นำร่องซื้อขนมนมเนยมาให้มันกินก็เถ้าแก่นี่แหละ พอมีคนนำก็มีคนตาม เดี๋ยวคนนู้นให้เดี๋ยวคนนี้ให้จนมันเคยตัว ใครให้อะไรมาก็กินหมดจนเขากลัวว่ามันจะโดนยาเบื่อเข้าสักวันหนึ่งเพราะความไม่ระวังตัว

   “ร้อนชะมัด” อากาศในยามบ่ายร้อนมากจนตรัยรู้สึกคิดผิดที่มานั่งเรือเล่นเวลานี้ มันร้อนมากจนเขาเห็นหยดเหงื่อบนกรอบหน้าของรุ่งภพ แม้จะมีร่มขนาดใหญ่กางให้แต่ก็บังไม่ได้ทั้งหมด ดูเหมือนวันนี้แดดจะแรงกว่าปกติจนลุงคนพายหายใจหอบเพราะความอบอ้าวของบรรยากาศ “พายเข้าไปในร่มหน่อยได้ไหมครับ”

   ตรัยชี้ไปยังร่มไม้ข้างคลองที่เอนเข้าหากันจนกลายเป็นอุโมงค์ธรรมชาติ เขารีบยกกล้องขึ้นถ่ายภาพเมื่อได้โลเคชั่นที่ต้องการ ตรงนี้วิวดีและแสงสวย แม้นายแบบจะหน้าตามู่ทู่ไปสักหน่อยแต่ยังน่ารักในสายตาเขา

   คุณลุงคนพายเล่าว่าทุ่งหยีเพ็งแห่งนี้เป็นคลองน้ำเค็มทอดตัวยาวไหลออกไปยังปากอ่าวลันตา บริเวณโดยรอบรายล้อมไปด้วยป่าชายเลนผืนใหญ่ สัตว์น้ำตามธรรมชาติมีอยู่มากมายและอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยเสน่ห์ของวัฒนธรรมชุมชนที่ตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่นี้

   เพราะสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้ชุมชนเลือกที่จะปรับตัวด้วยการสร้างมิติในการท่องเที่ยวขึ้นมาใหม่เพื่อคงไว้ซึ่งเสน่ห์ของทุ่งหยีเพ็งอย่างยั่งยืน จากแรงขับเคลื่อนของคนในชุมชนก่อให้เกิดแนวคิดอนุรักษ์พื้นที่สีเขียวขึ้น จากนั้นก็ต่อยอดด้านการท่องเที่ยวเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน จากเรือแจวที่ใช้ลำเลียงไม้เผาถ่านในวันนั้นสู่เรือชมป่าในวันนี้ ฟื้นฟูวิถีชีวิตของคนในชุมชมขึ้นมาอีกครั้งผ่านอาชีพใหม่ที่ไม่ต้องทำลายผืนป่าอีกต่อไป

   “เอาหมวกไหม?”

   “ไม่ค่อยร้อนแล้วครับ คุณใส่ไปเถอะ เพิ่งจะหายไข้แท้ๆ” ไม่ใช่กลับไปแล้วไข้กลับนะ เขาคงโดนตรีทิพย์บ่นยาวเพราะไม่ดูแลลูกชายของเธอให้ดี “หยุดถ่ายผมได้แล้วครับ ไปถ่ายลิงโน่น”

   “ไหน?” ตรัยลดกล้องลงแล้วมองหาลิงที่ชายหนุ่มว่า “หน้าเหมือนเธอเลย”

   “เหรอครับ ถ้าตัวที่นั่งอยู่เหมือนผม งั้นตัวที่กำลังโหนต้นไม้อยู่ก็เหมือนคุณ”

   “ถ้าพวกมันสองตัวเป็นแฟนกัน ฉันยอมเป็นตัวที่โหนต้นไม้ให้เธอก็ได้”

   หนุ่มใต้ตาโตมองลุงคนพายเลิ่กลั่ก ในขณะที่ตรัยส่งเสียงหัวเราะแผ่ว หลังจากจ้องมองใบหน้าแดงก่ำของชายหนุ่มจนพอใจแล้วก็หันไปเก็บภาพท้องน้ำเขียวขจี

   เสียงกระพือปีกบินโฉบมาแต่ไกล ทอดเงาของเจ้าเวหาลงสู่ผืนน้ำ นกอินทรีตัวใหญ่บินวนมองหาเหยื่อ ไม่นานก็ร่อนลงต่ำเมื่อพบเจอเป้าหมายที่ต้องการ

    ตรัยจับภาพตอนมันล่าปลาเอาไว้ได้ ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นธรรมชาติของสัตว์ป่า ซึ่งบ่งบอกว่าทุ่งหยีเพ็งแห่งนี้ยังอุดมสมบูรณ์ดี

   รากโกงกางที่ค้ำจุนก็ไม่ต่างจากความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชน รุ่งภพเคยบอกว่าคนกับธรรมชาตินั้นอยู่ร่วมกันได้...และเขาก็ได้เห็นแล้วในวันนี้








   รุ่งภพวางกระเป๋าสะพายไว้บนเดย์เบดแล้วทิ้งตัวลงตาม เรามาถึงวิลล่าของรีสอร์ทในเวลาบ่อยคล้อยจนเกือบจะเย็นเต็มที เขารู้สึกเพลียเล็กน้อยจากการเดินทาง ส่วนตรัยท่าทางจะเพลียแดด พอเข้าห้องนอนปุ๊บก็ทิ้งตัวลงเตียงทันทีไม่สนใจเวลคัมดริ๊งที่พนักงานเอามาเสิร์ฟต้อนรับถึงที่

   หนุ่มใต้หยิบแก้วน้ำทรงสวยขึ้นจิบ รู้สึกพอใจกับรสชาติเปรี้ยวซ่าของน้ำมะนาวโซดาและกลิ่นอัญชัญอ่อนๆ เขาดื่มในส่วนของตรัยเข้าไปด้วยก่อนจะส่งแก้วคืนให้กับพนักงานของรีสอร์ท หลังจากนั่งพักจนหายเหนื่อยก็ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินออกไปดูพระอาทิตย์ตกริมระเบียง รีสอร์ทที่ตรัยจองไว้เป็นวิลล่าสไตล์ทรอปิคอลที่ฝังตัวอยู่บนเชิงเขา นอกจากห้องนอนหลักแล้วยังมีห้องสำรองแยกอีกหลายห้อง ทั้งห้องนั่งเล่น ห้องโฮมเธียเตอร์ รวมไปถึงห้องครัวและศาลานั่งเล่นริมสระว่ายน้ำ

   “ปล่อยให้ฉันหลับแล้วมาแอบดูพระอาทิตย์ตกคนเดียวเหรอ”

   “เปล่าสักหน่อย” รุ่งภพทาบฝ่ามือลงบนท่อนแขนที่โอบกอดเขาเอาไว้จากทางด้านหลัง หนุ่มใต้หลับตาลงซึมซับความอ่อนหวานจากริมฝีปากอุ่น เขาเอียงแก้มให้ตรัยจูบขณะจ้องมองแสงสีแดงที่สาดส่องบนผืนฟ้า “พระอาทิตย์ตกแล้ว”

   “เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ขึ้นใหม่”

   “แล้วก็จะตกอีกรอบนึง”

   “ไม่ว่าวันไหนๆ เราก็จะอยู่ด้วยกันแบบนี้” ตรัยกระชับอ้อมกอดแล้วกดจูบลงบนเส้นผม นึกรักกลิ่นแสงแดดและกลิ่นไอทะเลบนตัวของชายหนุ่ม มันทำให้เขานึกถึงวันที่สดใสและเป็นพลังที่ช่วยเติมเต็มในยามที่เหนื่อยล้า

   “...เป็นผมจะดีเหรอ?”

   “เป็นเธอน่ะดีแล้ว” ตรัยกระซิบข้างหูของชายหนุ่ม “พรุ่งนี้ไปเที่ยวไหนกันดีหืม? วางแผนเอาไว้หรือยัง”

   หนุ่มใต้พยักหน้า “ตอนเช้าผมจะพาคุณไปเที่ยวชุมชนเมืองเก่าก่อน แล้วตอนบ่ายค่อยแวะไปดูวิถีชีวิตของชุมชนชาวเลที่หมู่บ้านสังกาอู้ ส่วนวันสุดท้าย...” รุ่งภพหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังมาจากห้องนอน “โทรศัพท์คุณหรือเปล่าครับ?”

   “แป๊บนะ เดี๋ยวฉันมา”

   เดี๋ยวของตรัยใช้เวลาไปเกือบสามสิบนาทีได้ รุ่งภพรอจนกระทั่งฟ้ามืด ไม่ว่ามองไปอีกกี่ครั้งตรัยก็ยังคุยโทรศัพท์กับปลายสายไม่เสร็จเสียที

   คุยกับใครกันนะ?

   รุ่งภพนั่งลงริมขอบสระแล้วหย่อนปลายเท้าลงไปแกว่งน้ำเล่น ดวงตากลมมองผ่านทิวไม้แน่นขนัดไปยังทะเลดำมืดที่มองเห็นได้ทั้งเวิ้งอ่าว หนุ่มใต้ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความเงียบงันยามค่ำคืน รู้สึกเหงาขึ้นมาดื้อๆ โดยไม่มีสาเหตุ

   คืนนั้นเขาเข้านอนก่อนเพราะดูเหมือนตรัยกำลังยุ่งกับการคุยโทรศัพท์ หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วก็เดินย่องไปนอนอีกห้องที่อยู่ติดกัน ห้องพักแบบวิลล่าก็ดีอย่างนี้ คล้ายกับบ้านหลังหนึ่งที่มีให้เลือกหลายห้องนอน

   “หนีมาอยู่คนเดียวอีกแล้ว”

   กำลังจะเคลิ้มหลับอยู่แล้วก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะมีคนมานอนทับ รุ่งภพดันตัวออกแล้วผลักตรัยลงไปนอนดีๆ “เห็นคุณคุยโทรศัพท์อยู่ ผมไม่อยากกวน”

   “ไม่อยากกวนหรือกลัวฉัน?”

   “ทำไมผมต้องกลัวคุณด้วยล่ะ”

   “ไม่กลัวก็ดี...งั้นทำเลยนะ” ตรัยยกตัวขึ้นคล่อมอีกครั้งแต่คนใต้ร่างรู้ทัน ยกมือขึ้นมาขวางกั้นไว้

   “จะทำอะไรครับ”

   “คนเป็นแฟนกัน อยู่ด้วยกันสองต่อสอง คิดว่าจะทำอะไรได้อีกล่ะ นอกจาก...”

   “นอนครับ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านะ”

   ตรัยหน้าบูด “อ้อยเข้าปากช้างแล้ว ใครมันจะไปคายออก”

   “เดี๋ยวก่อนครับ ผมไปตกลงเป็นแฟนคุณตอนไหน”

   “ตอนนี้แหละ...เป็นแฟนกันนะ”

   คนโดนขอปุบปับเปล่งเสียงหัวเราะ พยายามดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงคาง “ถ้าคุณลงไปนอนดีๆ ผมจะไม่เล่นตัว”

   “ยอมให้ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ”

   ตรัยยอมปล่อยชายหนุ่มแล้วพลิกตัวลงไปนอนดีๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายพาดแขนลงมาโอบกอด แม้รุ่งภพจะห่อตัวอยู่ในผ้าห่มจนสัมผัสเนื้อตัวไม่ได้เลยก็ตาม








   
   ชุมชนเมืองเก่าในเกาะลันตาใหญ่คือหมู่บ้านศรีรายาที่มีอายุกว่าร้อยปี เสน่ห์ของชุมชนแห่งนี้คือเรือนไม้แถวหน้าแคบที่ยื่นล้ำไปถึงชายทะเล บริเวณทางเดินมีทางเชื่อมต่อกันทุกซอกทุกซอย ตัวชุมชนตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ ห่างจากแหล่งท่องเที่ยวทางทิศตะวันตกที่ชายหาดเป็นที่นิยมกว่า

   เรือนไม้โบราณของชุมชนแห่งนี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบบ้านจีนโบราณ มีการตกแต่งโคมไฟประดับบริเวณหน้าบ้านและทางเดินถนนทั้งสองข้างทาง เรือนไม้แถวส่วนใหญ่ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นร้านอาหารและเกสเฮาส์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว นอกจากพิพิธภัณฑ์ในชุมชนแล้วยังมีการแสดงศิลปะวัฒนธรรมของชาวเลด้วย

   “รองเง็ง?” ตรัยขมวดคิ้วขณะยืนอ่านการศิลปะการร้องรำของชาวไทยใหม่ในพิพิธภัณฑ์ของชุมชน “การแสดงพื้นเมืองมีสีไวโอลินด้วยเหรอ?”

   “ถ้าผมจำไม่ผิด ต้นฉบับรองเง็งน่าจะมาจากทางยุโรปแล้วก็ผสมผสานกับวัฒนธรรมของอาหรับ หลังจากนั้นก็แพร่กระจายไปตามแหลมมลายู นอกจากสามจังหวัดชายแดนใต้ที่เล่นกันแล้วก็มีจังหวัดแถบอันดามันนี่แหละครับที่ยังเล่นกันอยู่”

   “แล้วที่นี่มีการแสดงให้ดูไหม”

   “ไม่แน่ใจนะครับ ถ้ามาตอนงานเทศกาลน่ะได้ดูแน่ๆ ส่วนใหญ่เขาจะเล่นกันในงานแต่งหรืองานมงคล”

   “มีงานเทศกาลด้วยเหรอ มีตอนไหน?”

   “เดือนมีนาคมครับ ชื่องานเทศกาลลานตา ลันตา”

   “เลยมาแล้วนี่นา”

   “เดี๋ยวเราไปดูที่บ้านสังกาอู้ก็ได้ครับ ที่นั่นมีคณะรองเง็งอยู่ ถ้าโชคดีก็อาจจะได้ดูตอนเขาซ้อมรำกัน”

   “มันเป็นการแสดงแบบไหนเหรอ? คล้ายลิเกของไทยไหม?”

   “อืม...คล้ายลำตัดมากกว่าครับ มีพ่อเพลงแม่เพลง รองเง็งแถบอันดามันจะเล่นกันแบบสนุกสนาน ถ้าเป็นแถบชายแดนใต้จะเล่นกันแบบสุภาพครับ ท่ารำชดช้อย แล้วก็มีรองเง็งตันหยงอีกแบบครับ แปลงจากภาษามลายูมาเป็นคำร้องแบบไทยๆ ใช้ร้องเกี้ยวกันครับ”   

   “เกี้ยวยังไง? ไหนเกี้ยวให้ฟังหน่อย”

   “เกี้ยวใครครับ”

   “เกี้ยวฉันสิ จะเกี้ยวใครล่ะ”

   รุ่งภพหัวเราะ “รุ่นนี้ไม่ต้องเกี้ยวแล้วมั้งครับ”

   คนแซวเดินหัวเราะร่าเข้าร้านขนมหวานไปแล้ว ทิ้งตรัยยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่หน้าร้านคนเดียวเพราะตีความหมายออกมาแล้วก็คงไม่พ้นคำว่าแก่อยู่ดี

   แก่แล้วเกี้ยวไม่ได้หรือไง?

   เขาก็อยากจะโดนจีบบ้างอะไรบ้าง

   นอกจากร้านอาหารแล้วยังมีคาเฟ่ขนมหวานและร้านเครื่องดื่มอีกมากมายเปิดขายกันอยู่ทุกซอกซอย คาเฟ่ที่รุ่งภพเข้ามานั่งเล่นเป็นบาร์กึ่งเกสเฮาส์ที่มีกลิ่นอายของความเก่าแฝงอยู่ในตัวบ้านและรูปถ่ายจากอดีต ตลาดชุมชนในวันนี้ค่อนข้างเงียบเหงามีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเพียงไม่กี่คนเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะช่วงโลว์ซีซั่นที่อากาศและฝนไม่เป็นใจ

   “สั่งน้ำอะไรมา”

   “น้ำมะม่วงปั่นครับ” หนุ่มใต้ยังยุ่งอยู่กับการถ่ายรูป เขาไม่ค่อยได้เข้าร้านแบบนี้บ่อยนัก พอเห็นอะไรน่ารักๆ ก็อยากจะถ่ายเก็บเอาไว้ดู “กินแพนเค้กไปก่อนนะครับ ผมสั่งสมูทตี้ให้คุณแล้ว อีกเดี๋ยวก็คงมา”

   “อยากกินน้ำมะม่วง”

   รุ่งภพเงยหน้าขึ้นจากกล้องโทรศัพท์ “จะเปลี่ยนไหมครับ เดี๋ยวผมไปบอกเขาให้”

   “อยากกินแก้วเธอ”

   รุ่งภพแสร้งถอนหายใจแล้วส่ายหัว แม้จะแสดงอาการเอือมระอาแต่ก็ยอมเก็บโทรศัพท์แล้วเลื่อนแก้วน้ำไปให้ “พอใจหรือยังครับ”

   “ชื่นใจ”

   หนุ่มใต้หลุดเสียงหัวเราะกับน้ำเสียงชื่นใจของชายหนุ่ม เรานั่งคุยนั่งเล่นกันอยู่ในร้านพักใหญ่กว่าจะเดินทางไปถึงจุดหมายต่อไปก็บ่ายคล้อยแล้ว

   ‘หมู่บ้านสังกาอู้’

   ชุมชนแห่งนี้เป็นที่ตั้งของชุมชนดั้งเดิมบนเกาะลันตา คนในชุมชนเป็นชาวไทยใหม่หรือชาวเลที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับท้องทะเลกว้าง บ้านเรือนแถบนี้แตกต่างจากเรือนไม้ในชุมชนเก่าบ้านศรีรายา แม้จะสร้างด้วยไม้เหมือนกันแต่ก็สร้างแบบเรียบง่าย ส่วนใหญ่เป็นบ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูง เกือบทุกหลังหันหน้าเข้าหาทะเลหมด แต่ละบ้านต้องมีเรืออย่างน้อย 1-2 ลำ

   “ชาวเลที่นี่เกี่ยวดองเป็นญาติพี่น้องกัน บ้านเลยสร้างติดๆ กันแบบนี้ ไม่รั้วไม่มีกำแพงอะไรหรอก พอเกิดคลื่นสึนามิเราก็ย้ายเข้ามาอยู่ฝั่งใน บางบ้านก็มีมูลนิธิมาสร้างให้ แทนบ้านเดิมที่ถูกทำลายไป” ก๊ะ  ลูกสาวคนสุดท้องของโต๊ะครูเก่าแก่เล่าให้เราฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

   หมู่บ้านสังกะอู้ไม่เหมือนชุมชนเมืองเก่าที่เปิดบ้านเป็นร้านค้าต้อนรับนักท่องเที่ยว ชาวบ้านที่นี่อยู่กันแบบเรียบง่าย ยึดอาชีพจากการทำประมงเป็นหลัก

   “สังกาอู้แปลว่าอะไรเหรอครับ”

   “สังกาอู้แปลว่าปลากระเบน ตรงด้านหลังหมู่บ้านจะเป็นอ่าวเล็กอ่าวน้อย ไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกกันได้นะ”

   ตรัยพยักหน้าขณะมองข้ามแนวต้นไม้ไปยังอ่าวเล็กด้านหลัง เขานึกถึงณัฐขึ้นมาทันทีเมื่อทราบว่าชุมชนชาวเลแห่งนี้เป็นชาวเลอุรักลาโว้ย เกือบทุกคนที่เห็นจะมีผิวสีคล้ำ หน้าตาดุดันแต่ว่าเป็นมิตร

   “ถ้ามาช่วงวันเพ็ญเดือน 6 เดือน 11 ก็จะได้ดูพิธีลอยเข พวกเราจะทำเรือปาจั๊กจากไม้ระกำแล้วก็ประดับดอกไม้ให้สวยงามเพื่อลอยความทุกข์ความชั่วร้ายทิ้งลงทะเลไป ตกเย็นก็เล่นร็องเง็งกันสนุกสนานหลังจากเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว”

   ก๊ะยกหม้อข้าวลงจากกองไฟที่สุมอยู่หน้าบ้าน เธอใส่ทางมะพร้าวเข้าไปอีกเพื่อเผาหอยติบแล้วเอามากินแกล้มกับข้าวมันกะทิของชาวเล

   “งั้นวันนี้ผมก็อดดูรองเง็งน่ะสิครับ สงสัยต้องมาอีกทีตอนสิ้นปี”

   “คุณลองเดินไปดูตรงศาลาหมู่บ้านก่อน บางวันเขาก็มาซ้อมกันตรงนั้น” ก๊ะส่งข้าวมันกะทิให้เราชิมแล้วเดินหายไปทางหลังบ้าน ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับชายคนหนึ่ง คงเป็นคนในครอบครัวเธอ

   “บัง เขาบอกว่าวันนี้มีซ้อมรำกัน น่าจะซ้อมกันทั้งวันแหละ เดี๋ยวตอนเย็นๆ จะมีเด็กนักเรียนมาซ้อมด้วย”

   “บัง?” ตรัยทวนคำเรียกอย่างงุนงง “โทษนะครับ ชาวเลที่นี่นับถือศาสนาอิสลามกันเหรอครับ?”

   บังหัวเราะ ไม่ได้โกรธเคืองที่โดนเข้าใจผิด “เปล่าหรอกครับ พวกเรานับถือบรรพบุรุษของพวกเราต่างหาก ในหมู่บ้านจะมีโต๊ะหมอเป็นคนทำพิธีอยู่คนหนึ่ง อย่างลอยเรือหรือไม่ก็ไม่แก้บน ส่วนคำว่า ‘บัง’ น่ะ ใช้เรียกกันทั่วไปในแถบมลายูครับ ไม่เกี่ยวกับนับถือศานาอะไรหรอก”

   ตรัยร้องอ๋อกับความรู้ใหม่ เขาจดบันทึกมันลงในโน๊ตแพดของโทรศัพท์แล้วโบกมือลาครอบครัวชาวเลผู้เอื้อเฟื้อหลังจากกินข้าวมันกะทิและหอยติบจนอิ่มแปล้

   เราลัดเลาะชายหาดด้านหลังไปยังศาลาประจำหมู่บ้าน แสงอาทิตย์ยามเย็นอาบไล้ไปทั่วผืนฟ้า ภาพเรือเล็กแล่นเข้าหาฝั่งตอกย้ำให้นึกถึงชีวิตที่ต้องดิ้นรนของคนทะเล

   ตรัยจ้องมองแผ่นหลังเล็กที่เดินนำหน้าอยู่ไม่ไกล หนุ่มใต้กระโดดคล่องแคล่วไปบนโขดหิน เผลอเดี๋ยวเดียวก็ปีนป่ายไปถึงหินก้อนสุดท้ายที่ถูกคลื่นซัดจนเปียกโชก...

   “อ๊ะ!”

   คนก็เปียกไม่แพ้กัน ดันไปถึงตอนที่คลื่นซัดขึ้นมาพอดี

   ตรัยหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ สงสารอยู่หรอกแต่ขำมากกว่า “อยากเล่นน้ำก็ไม่บอก”

   หนุ่มใต้เบะปากเพราะไม่ได้เปียกแค่บางส่วนแต่เปียกไปเกือบทั้งตัว “ไม่ตลกนะ”

   “จะไปหาเสื้อผ้าจากไหนมาเปลี่ยนล่ะ ตั้งแต่เดินมายังไม่เห็นร้านขายของเลย”

   “เรากลับไปยืมเสื้อผ้าบังก่อนดีไหมครับ”

   รุ่งภพได้เสื้อผ้ามาเปลี่ยนตามต้องการแต่ไม่ใช่ชุดของบังอย่างที่หวังเอาไว้ พอก๊ะเห็นสภาพของเขาก็หัวเราะลั่น เข้าไปหยิบเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยนอย่างใจดี เป็นชุดใหม่เอี่ยมแต่ไม่ถูกใจผู้ใส่เท่าไหร่นัก

   “นุ่งโสร่งแก้ขัดไปก่อนแล้วกันนะ เป็นชุดของก๊ะเองแต่ยังไม่เคยใส่หรอก ส่วนชุดของบังน่ะมีแต่เก่าๆ ขาดๆ จะเอามาให้ก็เกรงใจ”

   “พวกเราต่างหากที่ต้องเกรงใจ เอาเป็นว่าผมขอซื้อต่อแล้วกันนะครับ ก๊ะจะได้เอาไปซื้อชุดใหม่แทนชุดนี้” เธอไม่ได้ปฎิเสธน้ำใจของคนให้ หากไม่รับก็คงจะโดนคะยั้นคะยอไม่เลิกรา

   “เขาใส่แล้วน่ารักดี”

   ตรัยยิ้มกว้างอย่างเห็นด้วย โสร่งที่รุ่งภพใส่เป็นผ้าบาติกสีฟ้าสดใส ลวดลายบนผืนผ้าแต่งแต้มด้วยดอกลีลาวดีสีขาวนวล ยามถูกสายลมหยอกล้อยิ่งขับเน้นให้เห็นเรือนร่างของผู้สวมใส่ เย้ายวนใจจนไม่อาจละสายตา

   “เลิกมองได้แล้วครับ...ผมเขิน”

   “ไม่อยากไปดูรองเง็งแล้ว...อยากดูเธอมากกว่า”

   “บ้า ผมไม่มีอะไรให้คุณดูหรอก” หนุ่มใต้เขินจนหน้าแดงก่ำ รีบเดินลิ่วๆ ไปจนถึงศาลา “ยังไม่เลิกกันเลยครับ”

   ตอนนี้ใกล้จะมืดเต็มทีแล้วแต่ใจกลางหมู่บ้านยังมีเสียงของดนตรีขับขานอยู่ ศาลาที่ว่านี้เหมือนเป็นลานซ้อมรำของคณะรองเง็งในหมู่บ้าน ได้ยินว่าวันพรุ่งนี้จะมีงานแต่งที่ไหนสักแห่ง วันนี้จึงเป็นวันซ้อมใหญ่ทำให้เลิกช้ากว่าปกติ

   “ฟังไม่ออก” ถึงจะบ่นแต่ก็ถ่ายรูปไม่หยุดมือ

   “ฟังออกก็แปลกแล้วครับ นั่นภาษาถิ่น ขนาดผมยังฟังไม่ออกเลย”

   คณะรองเง็งในหมู่บ้านเป็นการร้องรำแบบดั้งเดิม ไม่มีบทเกี้ยวอย่างรองเง็งตันหยงที่รุ่งภพบอก ภาษาที่ใช้เป็นภาษามลายูซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักและธรรมชาติรอบๆ ตัว การร่ายรำเป็นไปตามจังหวะที่ถูกขับร้องโดยแม่เพลง ใช้การเคลื่อนไหวของเท้าเป็นหลักผสมผสานกับท่ารำด้วยมือ

   นอกจากพวกเราแล้วยังมีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นเข้ามาชมการซ้อมรำด้วย บางคนก็เข้าไปร่วมวงกับคณะนางรำอย่างสนุกสนาน รุ่งภพที่แต่งตัวกลมกลืนกับชาวบ้านที่นี่ก็โดนต้อนเข้าไปในวงไม่ต่างกัน ดูเหมือนเพลงนี้จะเป็นเพลงสุดท้ายแล้ว ทางคณะจึงปล่อยให้ผู้มาเยือนได้ร่วมสนุกด้วยกันเป็นการส่งท้าย

   ตรัยอมยิ้มขณะโฟกัสภาพในกล้องถ่ายรูป เขาจับภาพของรุ่งภพแล้วเปลี่ยนโหมดในกล้องให้ถ่ายเป็นภาพวิดีโอแทน ชายหนุ่มกำลังเตะเท้าร่ายรำอย่างสนุกสนาน ได้ยินเสียงหัวเราะดังแว่วสอดประสานกับท่วงทำนองของดนตรี

   เจ้าของเสียงหัวเราะคงไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังทำให้ใจของคนมองสั่นไหวเพียงใด



TBC



หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 33 l 10/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-10-2019 21:41:09
สายตามันเป็นสีชมพู​ มอวไปทางไหนก็สดใส
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 33 l 10/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 10-10-2019 21:42:02
 :pig4: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 33 l 10/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-10-2019 23:22:25
 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 33 l 10/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 11-10-2019 19:39:17
 :pig4:      :pig4:      :pig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 33 l 10/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: night-nnc ที่ 12-10-2019 02:21:39
ชอบ ตามอ่านจนทัน สนุกมากกก
บรรยายดี น้องน่ารัก
 o18 o18 o18
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 34 l 11/10/62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 12-10-2019 20:36:33
บทที่ 34




   พอกลับมาถึงวิลล่าตรัยก็รั้งร่างของชายหนุ่มโถมลงบนเตียงนอน เขาอยากจับฟัดตั้งแต่เห็นชายหนุ่มเปลี่ยนชุดแล้ว แม้รุ่งภพจะไม่มีส่วนโค้งเว้าเหมือนผู้หญิงแต่กลับมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ชวนให้หลงใหล กล้ามเนื้อที่ได้จากการทำงานหนักนั้นไม่ได้แข็งหรือใหญ่จนเกินไป อาจจะเป็นเพราะเจ้าตัวกินแต่ของไม่มีประโยชน์เลยสร้างกล้ามเนื้อไม่ได้เท่าที่ควร

   แต่แบบนี้ก็ดีแล้ว...หุ่นกำลังดี

   “ยะ...อย่าเพิ่ง! ผมยังไม่พร้อม” หนุ่มใต้ร้องห้าม พยายามดึงผ้าบาติกลงมาปิดโคนขาของตัวเอง

   “แล้วจะเมื่อไหร่จะพร้อม?”

   “ไม่รู้...”

   ตรัยถอนหายใจแรงระบายความหงุดหงิดจากอารมณ์ที่หยุดชะงัก เขายังนั่งคล่อมอยู่บนตัวของชายหนุ่ม สีหน้าบึ้งตึงเมื่อได้คำตอบไม่ชัดเจน “ไม่รู้ไม่ได้ จะให้ฉันรอไปถึงเมื่อไหร่ ฉันอยากรักเธอตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ”

   “คุณรักผมเพราะต้องการเรื่องแบบนี้เหรอครับ”

   ดวงตาคมดุจ้องมองคนใต้ร่างนิ่งนาน รุ่งภพยังคงหายใจหอบถี่จากความตกใจเมื่อครู่นี้ “ถ้าไม่รักจะต้องการเหรอ”

   รุ่งภพสับสนกับความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง “แต่ผม...ผมกลัว”

   “มันไม่น่ากลัวหรอก เราจะเติมความสุขให้กัน...นะ”

   ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดผิวหน้า หนุ่มใต้เม้มริมฝีปากแล้วพยักหน้าตอบรับอย่างเอียงอาย เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงเลยนอนนิ่งให้อีกฝ่ายเป็นผู้นำ โสร่งผ้าบาติกถูกรั้งขึ้นไปบนโคนขาอีกครั้ง เสื้อผ้าฝ้ายสีขาวถูกปลดออก เผยผิวกายเปลือยเปล่าสู่สายตาของคนมอง

   ตรัยสะกิดปลายนิ้วลงบนยอดอกของชายหนุ่ม คนใต้ร่างสะท้านเยือก กัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้อง

   “อือ...”

   ริมฝีปากหนาตามลงมาทาบทับปิดกลั้นเสียงร้องของคนใต้ร่าง ตรัยโอบประคองแผ่นหลังเปลือยแล้วยกตัวของชายหนุ่มนั่งคล่อมตัก บดสะโพกเบียดเร้าขณะแทรกปลายลิ้นเข้าไปในปากของอีกคน

   “อื้ม...” ดวงตากลมหรี่ปรือตามแรงอารมณ์ที่เผาไหม้ เสียงดูดกลืนบนริมฝีปากดังสะท้อนเข้ามาในหู ปลายลิ้นฉ่ำชื้นจากน้ำลายของเราสองคน มันเป็นจูบที่ยาวนานจนเขาเริ่มหายใจไม่ทัน พอตรัยถอนจูบออกก็รู้สึกชาหนึบไปทั่วทั้งโพรงปาก เราจูบกันนานมากจนหยาดน้ำสีใสเชื่อมต่อระหว่างกัน

   ฝ่ามือหนาลูบไล้ไปทั่วโคนขาขณะลากจูบลงมาบนฐานคอ ตรัยแค่แตะจูบและขบเบาๆ เท่านั้นไม่ทำรอยเหมือนเอาไว้ครั้งก่อน คนใต้ร่างขยับตัวอย่างอึดอัดเมื่อเขาเลื่อนริมฝีปากลงมาตรงแผ่นอก พยายามดันหัวไหล่ของเขาออกเมื่อสัมผัสได้ถึงปลายลิ้นที่แตะไล้ลงมาตรงปลายยอด

   “อึก...”

   ตรัยรุกคืบปลายนิ้วไปตามซอกขาแล้วกอบกุมตัวตนของชายหนุ่ม เขาควานหากระเป๋าสตางค์ของตัวเองขณะเลาะเล็มอยู่บนผิวกาย ผ้าบาติกสีฟ้าคือผืนเดียวที่ยังรั้งอยู่บนสะโพกของชายหนุ่ม ทั้งยั่วเย้าและบีบรัดหัวใจของคนมอง “เธอแต่งแบบนี้แล้วน่ามองเป็นบ้า”

   มือหนาปลดกระดุมกางเกงของตัวเอง ยังไม่ทันจะดึงซองถุงยางออกมาจากกระเป๋าก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์แผดลั่นไปทั่วห้อง

   รุ่งภพผลักตรัยออกแล้วฉวยโอกาสนั้นวิ่งหนีเข้าห้องอาบน้ำ ใจของเขายังสั่นระทึกเมื่อนึกถึงสัมผัสที่ร้อนรุ่มดั่งไฟสุม

   “โธ่เว้ย!”

   ได้ยินเสียงสบถดังมาจากด้านนอก ตรัยคงหัวเสียน่าดูเพราะใช้เวลาอยู่นานกว่าจะตะล่อมเขาได้ หนุ่มใต้แก้ปมผ้าบาติกแล้วปลดออก ก้าวเข้าไปยืนใต้ฝักบัวให้สายน้ำชะล้างอารมณ์ที่ค้างคา

   ขอเวลาทำใจอีกหน่อยก็แล้วกัน
   






   เช้าวันใหม่มาพร้อมกับเม็ดฝนที่ปรายโปรยเต็มฟากฟ้า คนตื่นแต่เช้ายืนกอดอกจ้องมองม่านฝนเบื้องหน้าด้วยแววตาเหม่อลอย ความคิดวนเวียนอยู่กับสายที่โทรเข้ามาขัดจังหวะเมื่อตอนดึก ตอนแรกก็นึกขอบคุณแต่หลังจากออกมาได้ยินเสียงหวานๆ เล็ดลอดออกมาจากปลายสายเขาก็เริ่มคิดมาก ตอนแรกก็คุยกันเรื่องงานแต่พอนานเข้าก็เปลี่ยนเป็นคุยเล่นแทน

   เขานอนฟังจนกระทั่งเผลอหลับด้วยความรู้สึกอ้างว้างที่เกาะกุมในใจ

   จะให้เขามั่นใจได้ยังไง แม้จะอยู่ด้วยกันตอนนี้...แต่เขาก็ยังรู้สึกเหมือนมีอะไรมาแทรกกลางอยู่ดี

   รุ่งภพถอนหายใจแผ่วเมื่อเม็ดฝนเริ่มซาลงจนเห็นแสงอาทิตย์โผล่พ้นจากขอบฟ้า เขายืนอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหน
แล้ว...นานจนกระทั่งฝนหยุดตก ทิ้งไว้แต่สะพานสายรุ้งที่ทอดยาว

   “มารอพระอาทิตย์ขึ้นเหรอ”

   “ทำไมคุณชอบมาเงียบๆ นะ” รุ่งภพหันไปมองคนด้านหลัง อ้อมกอดที่คุ้นเคยหวนกลับมาอีกครั้งแต่ไม่อาจเติมเต็มความรู้สึกได้ดังเดิม

   “เธอก็ชอบหนีฉันมาเงียบๆ เหมือนกัน ทำไมไม่ปลุกล่ะ ฉันจะได้ตื่นมาดูเป็นเพื่อน”

   “ผมตื่นเช้า คุณตื่นไม่ไหวหรอก”

   “ยังไม่ทันได้ปลุกเลย” ตรัยกดปลายคางลงบนหัวไหล่ของชายหนุ่ม เขาเพิ่งสังเกตเห็นรอยฝนบนขอบสระ พอแหงนมองไปบนท้องฟ้าก็เห็นเมฆฝนลอยแน่น ฟ้ายังไม่เปิดเท่าไหร่นัก “ตื่นมาดูฝนเหรอ”

   “ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นล่ะครับ แล้วทำไมคุณยังไม่ไปอาบน้ำอีกล่ะ สายแล้วนะ”

   “วันนี้เที่ยวอุทยานที่เดียวเอง ไม่ต้องรีบก็ได้”

   “ต้องรีบสิครับ เดี๋ยวฝนตกลงมาอีกก็ไม่ได้เที่ยวกันพอดี”

   “มันจะตกอีกเหรอ?”   

   “อาจจะครับ อากาศบนเกาะไม่แน่นอน ถ้าตกก็ตกทั้งวันนั่นแหละ”

   ตรัยยอมไปอาบน้ำแต่โดยดีแต่ไม่ได้รีบร้อนที่จะเช็คเอาท์ออกจากห้องพัก เราอยู่ทานอาหารเช้าที่รีสอร์ทก่อนออกเดินทางไปยังใต้สุดของเกาะ ระหว่างเดินทางก็แวะซื้อขนมไปเรื่อย เอาใจหนุ่มใต้ที่เซื่องซึมจนผิดสังเกต

   ไม่สบายหรือเปล่านะ?

   ฟ้าเปิดมากขึ้นเมื่อเรามาถึงอุทยานหมู่เกาะลันตา วันนี้มีนักท่องเที่ยวไม่เยอะนักเพราะฝนที่เทลงมาตั้งแต่ช่วงเช้าทำให้พื้นดินเฉอะแฉะอยู่พอสมควร ขนาดเดินด้วยความระมัดระวังยังหวิดลื่นล้มไปตั้งหลายหน ตรัยต้องคว้าข้อมือของเขาไปจูงไว้ พาเดินเหมือนกลัวว่าเขาจะหลงทาง

   “จะเดินป่าไหม” ตรัยถามคิดเห็นของคนที่มาด้วยกันขณะยืนดูแผนที่ในอุทยาน

   “เดินก็ได้ครับ แค่ 1.7 กิโลเอง”

   “อย่ากัดฟันพูดสิ” ตรัยหัวเราะกับท่าทางของชายหนุ่ม เส้นทางศึกษาธรรมชาติบนอุทยานใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ เป็นเส้นทางชมป่าดิบชื้นและมหัศจรรย์พันธุ์ไม้นานาชนิด

   การเดินทางค่อนข้างลำบากสำหรับรุ่งภพเพราะชายหนุ่มคีบรองเท้าแตะมาทำให้ปีนป่ายไม่ค่อยสะดวก แม้เส้นทางจะไม่ได้ลาดชันมากนักแต่บางสถานีก็ต้องไต่บันไดขึ้นลงเพื่อเยี่ยมชมพันธุ์ไม้ของอุทยาน เราหยุดพักกันตรงสถานีกฤษณา มองผีเสื้อโบยบินหาน้ำหวานจากดอกไม้ป่าและฟังเสียงใบไม้เสียดสีกันในไพรกว้าง

   “ไหวไหม เดี๋ยวให้ขี่หลัง”

   “ยังไม่อยากกลิ้งตกบันไดลงมาตายคู่ครับ ผมเดินเองปลอดภัยกว่า”

   ตรัยหน้าบึ้งกับคำตอบไม่รักษาน้ำใจของชายหนุ่ม เขาแย่งขวดน้ำจากรุ่งภพมาดื่มต่อแล้วสั่งให้ชายหนุ่มไปยืนใต้ต้นกฤษณาที่ใกล้จะสูญพันธุ์

   เขายิ้มขณะถ่ายภาพชายหนุ่มกางแขนโอบต้นไม้ใหญ่ ไม้กฤษณาเป็นไม้ที่ขึ้นในป่าดิบแล้ง ความหอมของมันเกิดจากน้ำยางที่สร้างขึ้นมารักษาบาดแผลที่เชื้อราหรือแมลงมาทำไว้ ทำให้เกิดกลิ่นหอมธรรมชาติซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด

   เส้นทางศึกษาธรรมชาติสิ้นสุดที่สถานีปลวกซึ่งเป็นสถานีสุดท้าย เราไม่ได้สนใจมากนักจึงเดินผ่านไปยังประภาคารที่สูงเด่นบนแหลมโตนด บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวที่เห็นหาดทั้งสองด้าน ฝั่งซ้ายเป็นหาดหินโค้งเว้า ส่วนฝั่งขวาเป็นหาดทรายล้วนแลดูแปลกตา

   “โอ๊ะ!”

   ตรัยหันขวับไปคว้าชายหนุ่มเมื่อได้ยินเสียงร้อง รองเท้าแตะที่ตรากตรำมานานไม่สามารถสวมใส่ได้อีกแล้วเพราะหูรองเท้าที่ขาดหลุด รุ่งภพเบะปากมองซากรองเท้าด้วยแววตาเสียดาย พยายามยัดหูหนีบข้างที่หลุดเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่าจนลืมสนใจทิวทัศน์รอบๆ ตัว

   จุดชมวิวบนแหลมโตนดลมเย็นสบายและแรงมาก จุดเด่นของที่นี่คือประภาคารสีขาวที่ตั้งอยู่บนปลายแหลมซึ่งยื่นล้ำออกไปในทะเล บริเวณโดยรอบโอบล้อมด้วยป่าหินงามและต้นตาลโตนดซึ่งเป็นที่มาของชื่อแหลม ตรัยถือกล้องแล้วถ่ายรูปในโหมดพาโนราม่า วันนี้ไม่ค่อยมีคนมากนัก นอกจากเราแล้วก็มีแค่ชายหญิงอีกคู่หนึ่งที่กำลังคุกเข่าขอแต่งงานกัน

        เป็นการขอแต่งงานที่เรียบง่ายที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา ไม่มีช่อดอกไม้ ไม่มีพยาน ไม่ตากล้อง มีเพียงแหวนเพชรเม็ดเล็กๆ เพียงวงเดียวและสายตาที่มุ่งมั่นจริงใจของคนขอ

       ตรัยลดกล้องลงและหันกลับมามองคนข้างกาย รุ่งภพกำลังง่วนอยู่กับการยัดหูรองเท้าที่หลุดเข้าไปใหม่ เขาอมยิ้มแล้วเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม เด็ดดอกหญ้าแถวนั้นแล้วซ่อนมันเอาไว้ด้านหลัง ก่อนจะนั่งยองๆ แล้วมอบให้

       “Will you marry me?”

       “ฮะ?”

       “แต่งงานกันนะ” ตรัยยื่นดอกไม้ให้ชายหนุ่ม คิ้วขมวดเล็กน้อยเมื่อดอกไม้ที่แสนบอบบางถูกลมพัดจนก้านหักงอ รุ่งภพกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ไหวจนเผลอหลุดขำ รับช่อดอกไม้ไปดมแม้จะไม่ได้กลิ่นอะไรเลยก็ตาม

       “เล่นอะไรครับเนี่ย”

       “ขอแต่งงานไง”

       “ดอกตีนตุ๊กแกเนี่ยนะ”

      “อ้าว มันชื่อนี้เหรอ ไม่เป็นไร...เราจะได้รักกันเหนียวแน่นเหมือนชื่อมันไง ดีไหม?”

      “เอาที่คุณสบายใจเลย”

      “คำตอบล่ะครับ”

      หนุ่มใต้แย้มยิ้มแต่แววตาสั่นไหว เขาคิดว่าตรัยคงพูดเล่นไปอย่างนั้น ไม่ได้คิดจะจริงจังอะไร “ตกลงก็ได้” รุ่งภพม้วนดอกหญ้าในมือเป็นวงแหวน ถักสานกันจนเป็นตัวเรือนแล้วสวมให้กับคนขอ “ถือว่าแต่งกันแล้วนะครับ”

      ตรัยก้มมองแหวนดอกหญ้าบนมือแล้วยิ้มพราย ประทับจูบลงบนแหวนดอกไม้แล้วส่งสายตาลึกซึ้งไปยังชายหนุ่ม เขาไม่เคยนึกถึงการแต่งงานมาก่อน มันค่อนข้างไกลตัวจนกระทั่งได้เจอกับคนที่หัวใจบอกใช่และอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า
หรือจนวันตาย... 



TBC


หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 34 l 11/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-10-2019 21:10:43
จะหวานก็หวานไม่สุด​ อารมณ์​มันมัวๆ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 34 l 11/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 12-10-2019 21:19:28
จะหวานก็หวานไม่สุด​ อารมณ์​มันมัวๆ

ใช่ที่สุด
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 34 l 11/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-10-2019 21:36:20
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 34 l 11/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 12-10-2019 23:06:38
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 34 l 11/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Seilong2 ที่ 13-10-2019 19:53:41
หวานแต่ หวานไม่สุดยังไงไม่รู้ มันเหมือนจะมีพายุอารมณ์เข้าอีกระลอก รุ่งจะเป็นยังไงบ้างนะ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 35 l 14/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 14-10-2019 18:07:57
บทที่ 35






   วันทำงานเวียนกลับมาอีกครั้งหลังจากเติมเต็มพลังกายและพลังใจจนล้นปริ่ม พอกลับเข้าสู่วงจรชีวิตปกติก็ต่างคนต่างยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง แม้ตอนนี้งานก่อสร้างบนเกาะบูลันจะเดินหน้าไปไม่ถึง 25% อย่างที่วางแผนไว้แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ตรัยต้องหนักใจอะไรเพราะสาเหตุอยู่ที่สภาพอากาศซึ่งควบคุมไม่ได้ สิ่งที่เขาหนักใจคือรุ่งภพต่างหาก พอกลับมาได้ไม่ทันข้ามวันก็ออกเรือหายไปแล้ว ยังดีที่เขายึดตังเกเอาไว้ได้ จึงค่อยเบาใจหน่อยเพราะยังไงชายหนุ่มก็ต้องกลับมารับมันอยู่ดี

   “ตรงล็อบบี้ปัดเน้นงานไม้เหมือนเดิมนะคะ ทำเป็นกระโจมใช้ผนังไม้ไผ่ขัดสาน ตรงล็อบบี้จะเป็นศูนย์กลางของรีสอร์ทเชื่อมไปยังห้องพักปีกซ้ายและห้องพักปีกขวา ตรงส่วนของด้านหน้าก็สร้างเป็นสะพานยื่นออกไปสำหรับเทียบเรือ...พี่ตรัยชอบไหมคะ อยากได้อะไรเพิ่มไหม?”

   “ตรงสะพานเทียบเรือพี่ว่ามันโล่งไป น่าจะทำเป็นกระโจมแตรเล็กๆ สำหรับนั่งเล่นด้วย ตรงนี้จะเห็นวิวทะเลใกล้ที่สุดเพราะสะพานค่อนข้างยาว”

   “ได้ค่ะ แล้วห้องอาหารล่ะค่ะ พี่ตรัยมีไอเดียหรือยัง”

   “พี่อยากได้ห้องอาหารริมชายหาดสไตล์ปักษ์ใต้น่ะ” ตรัยหยิบรูปถ่ายที่อัดแล้วออกมาให้เธอดู “รูปพวกนี้พี่ถ่ายที่เกาะลันตา ปัดลองเอาไปเป็น Ref. แล้วออกแบบคร่าวๆ มาให้พี่ดูก่อน”

   รูปที่ตรัยส่งให้เป็นภาพเรือนไม้และบ้านแถวเก่าแก่ในชุมชนเมืองเก่าบ้านศรีรายา หนึ่งในนั้นมีภาพศาลาของหมู่บ้านชาวเลรวมอยู่ด้วย ปัทมาหยิบรูปใบสุดท้ายขึ้นมาดูนานเป็นพิเศษเพราะเป็นภาพเดียวที่ถ่ายติดคน

   “พี่ตรัยไปเที่ยวกับคนงานคนนี้เหรอคะ? ปัดก็นึกว่าพี่ไปคนเดียว”

   “พี่ให้เขาไปเป็นไกด์ด้วยน่ะ”

   “อ๋อ แหม...ไกด์แต่งตัวน่ารักจังเลยนะคะ” แม้ปากจะชื่นชมแต่ลึกๆ แล้วเธออิจฉา เป็นแค่คนงานหาปลาแต่กลับได้ใกล้ชิดเจ้านายถึงเพียงนี้ “ผู้ชายนุ่งผ้าถุง แปลกดี”

   “คนใต้เขาเรียกโสร่ง มันเป็นผ้าบาติก เพนท์สี คงนุ่งได้ทั้งผู้ชายผู้หญิงนั่นแหล่ะ” เพียงแต่ลวดลายที่ผู้ชายใช้นุ่งจะเรียบง่ายกว่าหรือไม่ก็เป็นสีพื้นไปเลย เท่าที่เขาเคยเห็นจะเป็นลายขวางคล้ายกับผ้าขาวม้าเป็นส่วนใหญ่ ไม่สดใสแบบที่รุ่งภพนุ่ง

   “พี่ตรัยจ้างเขาเท่าไหร่เหรอคะ? เผื่อวันไหนปัดอยากไปเที่ยวแถวนี้จะได้จ้างเขามาเป็นไกด์บ้าง”

   ตรัยจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเธอเหมือนค้นหาอะไรบางอย่าง “พี่ว่าปัดหาไกด์ที่เป็นบริษัทนำเที่ยวจะดีกว่า ตอนนี้เปิดอ่าวแล้ว เขาคงไม่ว่างหรอก”

   “เปิดอ่าว? คืออะไรเหรอคะ”

   ตรัยเคาะปลายนิ้วลงบนขอบโต๊ะ ดันปลายลิ้นดุนแก้มเพราะขี้เกียจอธิบายให้เธอฟัง “เอาเป็นว่าเขาไม่ว่างก็แล้วกัน”

   “ค่ะ ไม่ว่างก็ไม่ว่าง” เธอไม่เซ้าซี้เพราะไม่อยากให้ตรัยต้องหงุดหงิด “ไปเที่ยวมาตั้งหลายวัน ไม่มีขนมมาฝากปัดบ้างเหรอคะ” หญิงสาวส่งเสียงอ้อน เท้าแขนลงบนโต๊ะแล้วโน้มหน้าเข้าไปหา

   ตรัยเลิกคิ้วขึ้นแล้วทำสีหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ เขาลุกไปหยิบถุงของฝากใบใหญ่บนโต๊ะรับแขกแล้วยื่นให้เธอหมดทั้งถุง

   “หมดนี่เลยเหรอคะ?”

   “อยากได้อะไรก็หยิบเอา แต่เหลือเอาไว้บ้างนะ พี่ยังไม่ได้เอาไปให้พวกเสมียนเลย”

   “นี่มัน...” เธอล้วงของฝากที่ตรัยซื้อมาออกจากถุง “ปลาเค็มเหรอคะ?”

   “ปลาแดดเดียวต่างหาก ไร้ก้างด้วยนะ เมื่อวานพี่ทอดกินแล้ว อร่อยดี” นอกจากปลาแดดเดียวแล้วยังมีกระปิกุ้งเคยจากทุ่งหยีเพ็งด้วย ของพวกนี้รุ่งภพเป็นคนเลือก ส่วนเขามีหน้าที่จ่ายเงินเพียงอย่างเดียว “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ ไม่ชอบกินเหรอ”

   “เปล่าค่ะ...ปัดเอาไปแค่ถุงเดียวแล้วกันนะคะ พอดีห้องที่ปัดพักเขาไม่ให้ทำอาหารน่ะค่ะ” เธอเลือกห่อที่เล็กที่สุดออกมา ขณะที่กำลังควานหาก็ไปสะดุดกับถุงอีกใบที่ซ้อนอยู่ใต้ก้น “เอ๊ะ? อะไรน่ะ” ตรัยหันมามองเธอเมื่อได้ยินเสียงแกะถุงพลาสติก “อันนี้ผ้าบาติกหรือเปล่าคะ? ปัดขออันนี้แทนได้ไหมคะพี่ตรัย”

   ตรัยวางหน้าขรึม ดึงถุงผ้าบาติกออกจากมือเธอ “อันนี้ไม่ใช่ของฝาก”

   “แบ่งให้ปัดผืนนึงไม่ได้เหรอคะ ปัดเห็นพี่ตรัยซื้อมาตั้งหลายผืน เอาปลาเค็มไปปัดก็กินไม่ได้ นะคะ...น้า”

   “งั้นเอาสีแดงไปแล้วกัน” ตรัยหยิบสีฉูดฉาดให้เธอผืนหนึ่ง เป็นผ้าทอเนื้อนิ่มลวดลายวิจิตรบรรจง

   “ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวปัดจะใส่มาให้ดูนะคะ”

   “อืม” ตรัยไม่ได้ตอบอะไรไปมากกว่านั้น ถ้าเธอใส่มาทำงานเขาก็ต้องเห็นอยู่แล้ว

   “เอ่อ...บ่ายวันมะรืนพี่ตรัยว่างไหมคะ คือ...คุณอาของปัดเขาอยากจะเข้ามาคุยเรื่องการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนเกาะน่ะค่ะ”

   “ให้เขาเข้ามาคุยก่อนแล้วกัน พี่ก็สนใจอยู่ อาจจะเอามาใช้เป็นไฟสำรองแทน ถ้าเกิดวันไหนเครื่องปั่นไฟมันมีปัญหาขึ้นมาจะได้มีไฟสำรองใช้”

   “ได้ค่ะ ขอบคุณที่ให้โอกาสคุณอาของปัดนะคะ แล้วก็...ขอบคุณที่ให้ผ้าผืนนี้ด้วย”

   ปัทมาขอตัวกลับไปทำงานต่อทันทีที่ได้ของฝากสมใจเธอ ใจจริงอยากอยู่ต่อเพราะวันนี้ตรัยอยู่ห้องทำงานคนเดียว ไม่มีเถ้าแก่ตามมาด้วยเหมือนทุกครั้ง แต่เธอคงนั่งทำงานที่นี่ไม่ไหวเพราะวันนี้เป็นวันสิ้นเดือน พวกเสมียนเดินเข้าเดินออกมาส่งรายงานอยู่ตลอด งานของเธอคงไปไม่ถึงไหนเพราะถูกรบกวนสมาธิแทบทั้งวัน

   “น้องชะเอมคะ mistake แปลว่าผิดพลาด แต่ถ้า miss you มากๆ นี่ผิดไหม”

        มุกจีบสาวแบบนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากสิปา

        “เว้นน้องมันไว้คนเถอะค่า เดี๋ยวน้องมันฝึกงานจบแล้วไม่กลับมาทำงานกับเราต่อจะทำไง”

        “ไม่กลับมาทำงานที่นี่เพราะจะไปอยู่กับพี่ที่ระยองใช่ไหมครับ”

        “เปล่าค่ะ กลัวจนต้องหนีไปที่อื่นแทน”

        เสียงหัวเราะดังครึกครื้นไปทั่วออฟฟิศ ปัทมาเดินสวนกับชายหนุ่ม ยิ้มให้เพียงนิดก่อนจะเดินผ่านไป

        “พี่คนนั้นดู...หยิ่งจังเลยนะคะ” ชะเอม เด็กฝึกงานเปรยขึ้นเพราะตั้งแต่วันแรกที่เธอมาจนถึงวันนี้ยังไม่เคยทักทายพวกเราเลยสักคน

        “คนสวยก็งี้แหละหนู อย่าไปสนใจเลย” สิปาโบกมือ ไม่เก็บมาใส่ใจ

        “อ้าว พี่พูดงี้หมายความว่าไง? จะบอกว่าพวกหนูไม่สวยก็เลยหยิ่งไม่ได้อย่างเขางั้นเหรอ”

        ฉิบหายละกู ไหงแว้งมากัดกันได้วะ   

        วิศกรหนุ่มรีบเผ่นแผลวเข้าห้องทำงานเพื่อนก่อนที่จะโดนรุมทึ้งไปมากกว่านี้ เขาทักทายเพื่อนแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานใหญ่ พอเห็นถุงของฝากที่ปัทมาวางไว้ก็รื้อออกมาดู

        “อะไรวะ ปลาเค็ม?”

        “ปลาแดดเดียว จะกินก็หยิบไป”

        “กินดิบๆ ได้เลยอ่อ?”

        “มึงกินได้มึงก็กินไปดิ” ตรัยขี้เกียจเถียงกับมันเลยขุดเรื่องงานมาเฉ่งต่อ “ตกลงหาเรือบาส ได้ยัง”

        “หาได้เป็นชาติละ กูระดับไหนให้มันรู้บ้าง คอนเน็กชั่นระดับโลกเว้ย” ปากพูดไปส่วนมือก็ล้วงหยิบ เผลอแป๊บเดียวของฝากในถุงก็อันตธานเข้าไปอยู่ในกระเป๋าของมันจนหมด “ได้กับแกล้มละ เย็นนี้แดกเหล้ากัน”

        “อะไรมึง ขึ้นฝั่งมาก็ร้องหาเหล้าเลยเหรอวะ จะเข้าพรรษาแล้วนะมึง ให้เหล้า = แช่งอ่ะ มึงไม่เคยดูโฆษณาเหรอ”

        “กูอกหัก”

        มาแบบดื้อๆ จนตรัยงง “อะไรนะ กูหูฝาดไปหรือเปล่า?”

        “กูอกหัก...กินเหล้าเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ อยากเมาว่ะ”

        ตรัยสังเกตแววตาเพื่อน ปกติแล้วมันเป็นคนร่าเริงจนเข้าขั้นบ้า หากไม่สังเกตแววตาคงมองไม่ออกว่าภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มนั่นซ่อนความรู้สึกอะไรไว้ “ใครหักอกเพื่อนกูวะ”

        “เพื่อนมึงไง”

        ตรัยเลิกคิ้ว “ใคร? ไอ้วีย์มีเมียแล้วตัดไป ต้องเป็นไอ้อั้มแน่ๆ เลย มันโสดอยู่”

   สิปาชูนิ้วกลางให้เพื่อน ให้มันโสดต่อไปอ่ะดีแล้ว “เพื่อนมึงมีแต่ผู้ชายเหรอไอ้เหี้ย!”

   “ปา...กลุ่มเรามีเพื่อนผู้หญิงคนเดียวนะเว้ย แล้วมันก็แต่งงานไปแล้วด้วย”

   “กูรู้แล้ว”

   “มึงอยากเป็นชู้กับเมียชาวบ้านเหรอ?”

   “เขากำลังจะหย่ากัน”

   “กูก็เห็นรักๆ เลิกๆ มาหลายรอบแล้ว” สามีของเพื่อนเขาเป็นคนเจ้าชู้แต่ฐานิดาก็ให้โอกาสมันมาตลอด จะมีก็พักหลังๆ ที่เธอเริ่มปรึกษากับทนายอย่างจริงจัง

   “ก็ถ้ายังรักเขาอยู่ทำไมต้องมาให้ความหวังกับกูด้วยล่ะ! ทั้งชวนไปกินข้าว ชวนไปดูหนัง ไหนจะโทรมาคุยจนดึกดื่นอีก แบบนี้เหรอที่คนเป็นเพื่อนเขาทำกัน พอกูคิดเกินกว่าเพื่อนก็หาว่ากูคิดเองเออเองอีก ทั้งที่มันเป็นคนเริ่มก่อนแท้ๆ...ทำไมถึงมีแค่กูที่รู้สึกอยู่คนเดียววะ” คนอกหักกุมหัวใจของตัวเอง แววตาแดงเรื่อ น้ำเสียงสั่นเครือ

   “มึงคบกันมันมากี่ปีแล้ว ยังไม่รู้นิสัยมันอีกเหรอ มันเคยไปไหนคนเดียวบ้าง ยังไงก็ต้องโทรไปตามเพื่อนสักคนหนึ่งให้ไปกับมันจนได้แหละ พอมึงตามใจมันก็โทรหาแต่มึงนั่นแหละ เป็นไงล่ะทีนี้ เอาใจไปให้เขาเองแล้วจะโทษใครได้”

   “กูผิดเหรอ?”

   ตรัยตบไหล่เพื่อน “ความรักมันไม่มีถูกผิดหรอก แต่มึงก็ต้องดูความเหมาะสมด้วยว่ามันควรหรือไม่ควร”

   “เออ เกือบเป็นชู้กับเมียชาวบ้านแล้วกู”

   “เกือบห่าอะไรล่ะ ไม่ได้เฉียดเข้าใกล้เลยด้วยซ้ำ มึงโดนมันปฎิเสธมาไม่ใช่เหรอ ไม่ได้ตัดใจเองสักหน่อย”

   “มันก็คือๆ กันแหละวะ ไม่รู้แหละ เย็นนี้แดกเหล้ากัน” อยากจะเมาแล้วลืมให้หมด แม้จะเป็นแค่ช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ ก็ตาม “วันนี้พ่อมึงไม่เข้าแพเหรอ?”

   “อยู่เล่นกับหมาที่บ้านโน่น”

   “หมาที่ไหนวะ?”

   “หมาของรุ่งเขาน่ะ เขาออกเรือกูก็เลยยึดมาเลี้ยงให้”

   “เอ๊ะ? มึงพูดผิดหรือเปล่า หมายถึงช่วยเลี้ยงให้ใช่มะ”

   “ประมาณนั้น”

   เสียงหวีดแหลมของหวูดเรือดังขัดจังหวะการสนทนาของคนในห้อง ตรัยลุกจากเก้าอี้แล้วดึงมู่ลี่ลง พอเห็นว่าเป็นเรือที่ออกไปนานกว่าสัปดาห์แล้วดีใจจนเนื้อเต้น รีบเดินออกไปหาคนที่ห่างหายไปนานจนคิดถึง

   “วันนี้ไม่ไปเกาะเหรอครับ”

   ประโยคแรกที่รอคอยกลับเป็นคำถามชวนโมโห เหมือนแปลกใจว่าทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่ ต้องดีใจที่เห็นเขาไม่ใช่เหรอ?  “เธอออกเรือเป็นอาทิตย์ ฉันจะอยู่แต่ในเกาะได้ยังไง” อยู่ที่นี่ยังพอจะตามข่าวได้บ้าง แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินก็เงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี

   “ไอ้รุ่ง! เย็นนี้แดกเหล้ากัน”

   “มาจากไหนเนี่ย?” รุ่งภพขมวดคิ้วแล้วยกท่อนแขนของสิปาลงจากบ่า “ตามสบายเลยครับ วันนี้ผมกินไม่ไหวหรอก เดี๋ยวเลิกงานก็กลับบ้านนอนแล้ว”

   “อะไรว้า...งั้นกูไปกินบ้านมึงนะ”

   “ถามกูหรือยัง?”

   “ทำไมต้องถามมึงด้วยล่ะ อ่อ...กูลืมไป พวกมึงมีซัมติงกันอยู่นี่หว่า” สิปาเกาหัว อยากดื่มแต่ไม่รู้จะไปเมาที่ไหนดี “งั้นไปแดกบ้านมึงก็ได้ พ่อมึงจะด่าไหมวะ”

   “พ่อกูไม่ด่าหรอก กูนี่แหละจะด่า”

   รุ่งภพหันมองคนทั้งสองเถียงกันแล้วส่ายหัว “ไปกินบ้านผมก็ได้ครับ พวกคุณซื้อแค่กับแกล้มไปก็พอ ที่บ้านผมยังมีเหล้าเหลืออยู่”

   “มันต้องอย่างนี้สิวะ น้องรักของพี่”

   “ไสหัวไปไกลๆ นี่ของกู”

   “น้องช่ะ?”

   ‘เมีย’

   ตรัยขยับปากแบบไม่มีเสียง ดันเพื่อนออกไปห่างๆ แล้วสวมรอยเข้าไปยืนใกล้ๆ แทน รุ่งภพไม่รู้เรื่องอะไรหรอกเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการชั่งน้ำหนักปลา กว่าจะบรรจุปลาลงถังแล้วขนเข้าห้องเก็บรักษาความเย็นก็มืดค่ำแล้ว ไหนจะต้องแวะไปรับหมากลับบ้านอีก กว่าจะถึงบ้านกันจริงๆ ก็สองทุ่มโน่น

   “นั่งกินกันในบ้านก็ได้ครับ ข้างนอกยุงเยอะ” เจ้าของบ้านปูที่นอนให้หมาของตัวเองก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ ปล่อยให้ตรัยหยิบแก้วหยิบจานเองโดยไม่ต้องชี้บอก เพราะมาบ่อยจนรู้ทุกซอกทุกมุมแล้ว

   สายลมพริ้วไหวพัดกิ่งไม้เสียดสีกับหลังคาจนเกิดเสียง รุ่งภพออกมานั่งดูทีวีอยู่พักหนึ่งแม้ไม่ได้ร่วมวงด้วยแต่ก็ส่งเสียงพูดคุยอยู่เป็นระยะ จนกระทั่งทนง่วงไม่ไหวนั่นแหละถึงได้เดินเข้าห้อง ปล่อยให้เขากับเพื่อนนั่งดื่มกันอยู่สองคน

   “เมื่อไหร่มึงจะเมาวะ?”

   “อ้าว? นี่กูยังไม่เมาอีกเหรอ”

   ตรัยถอนหายใจแล้วส่ายหน้า มันคงเมาแล้วล่ะ แต่ยังไม่น็อก “มึงกินย้อมใจหรือกินย้อมตับวะไอ้ปา น้องมันมีเหล้าตั้งครึ่งโหลเลยนะไอ้ห่า มึงจะเหมาคนเดียวหมดเลยไม่ได้นะเว้ย”

    “ของฟรี กูสู้ตาย~”

   “เดี๋ยวกูน็อกกลางอากาศเลยไอ้ห่านี่ พรุ่งนี้มึงไปซื้อมาใช้น้องมันเลยนะ หรือไม่ก็เอาเงินมา” เขาต้องรักษาผลประโยชน์ให้ชายหนุ่ม โดนผลาญไปขนาดนี้ ตื่นมาคงได้ช็อกตามไปอีกคน

   “เอาไปเลย กูให้หมดเลย” ยื่นกระเป๋าสตางค์ให้ทั้งใบ “กูไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ชีวิตแม่งเฮงซวย รักเขา...เขาไม่รักตอบ แถมยังเสือกไปชอบคนมีเจ้าของอีก แถมคนที่กูชอบก็ยังเป็นเพื่อนของกูอีก รุงรังฉิบหายเลยชีวิต”

   “มึงลองคิดทบทวนตัวเองให้ดีก่อน เป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปี เพิ่งจะมาหวั่นไหวอะไรเอาตอนนี้ ถ้าจะรักก็คงรักไปตั้งนานแล้วล่ะ”

   “ถ้าไม่ใช่ความรักแล้วมันคืออะไรล่ะ?”

   “ไอ้รักน่ะกูไม่เถียงหรอก...แต่ความรักที่มึงมีให้เขามันเป็นแบบไหนต่างหาก รักแบบเพื่อนหรือว่ารักแบบแฟน”

   “กูไม่เข้าใจ แล้วไอ้ความคิดถึง อยากคุยอยากเจอหน้านี่ยังไม่ชัดอีกเหรอ?”

   “มึงทนเห็นตอนมันสวีทกับแฟนได้ไหมล่ะ?”

   สิปาชะงัก แม้จะรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างแต่ก็ยังทนได้ ไม่ได้โกรธเคืองจนถึงขนาดต้องไปจับแยกคนทั้งสองออกจากกัน “ก็เขาเป็นผัวเมียกัน กูจะทำอะไรได้ล่ะ”

   “มึงทนได้แต่กูทนไม่ได้ ขนาดเห็นรุ่งยิ้มให้คนอื่นกูยังหงุดหงิดเลย ถ้ากูเป็นมึง กูคงเสียใจตั้งแต่วันที่รู้ว่าไม่มีสิทธิ์ในตัวของเขาแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาฟูมฟายตอนโดนเขาปฏิเสธเอาแบบนี้”

   คนเมานั่งเงียบเพื่อทบทวนความรู้สึกของตัวเองอย่างที่เพื่อนบอก แม้จะพยายามแค่ไหนแต่ก็ยังแยกแยะความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อฐานิดาไม่ได้สักที

   “ค่อยๆ คิดไปนะมึง กูไปนอนก่อนละ” ตรัยตบไหล่เพื่อน เขาไม่ได้อยากทิ้งมันเอาไว้แต่เพราะคนที่ทำให้มันอกหักโทรเข้ามาพอดีเลยต้องขอแยกตัวออกมาก่อน

   “อือ...” เจ้าของบ้านส่งเสียงประท้วงอืออาเมื่อถูกดึงตัวเข้าไปกกกอด ตรัยก้มจูบริมฝีปากอิ่มแล้วเกาหลังกล่อมจนชายหนุ่มนิ่งไป

   “ฮัลโหล” เขารับสายเพื่อนแล้วเปิดกล้องเพื่อสังเกตสีหน้ามัน

   (มืดมาก เปิดไฟหน่อยได้ไหม)

   “อยากเห็นหน้ากู” ตรัยเปิดเพียงโคมไฟตรงหัวโต๊ะ รุ่งภพขยับใบหน้าหนีแสง เขาจึงเปลี่ยนไปนอนตะแคงข้างแล้วใช้แผ่นหลังบังแสงไว้ “โทรมาทำไมดึกๆ ดื่นๆ ไม่มีมารยาท”

   (กูพยายามจะนอนแล้วแต่มันนอนไม่หลับว่ะ โทษนะมึง)

   “แล้วโทรมาทำไม”

   (ปาอยู่กับมึงใช่ไหม?)

   “อือ แดกเหล้าย้อมใจอยู่”

   (มึงรู้แล้วใช่ไหม คือ...กูไม่ได้อยากจะทำร้ายจิตใจมันนะเว้ย แต่...มันไม่ใช่จริงๆ ว่ะ)

   “มันคงกำลังสับสน มึงให้เวลามันหน่อยก็แล้วกัน แล้วก็อย่าโทรไปอ่อยมันอีกล่ะ เดี๋ยวมันเตลิดอีกแล้วจะยุ่ง” ตรัยเตือนเพื่อน แค่นี้ก็วุ่นวายพอแล้วเพราะความเอาแต่ใจของหญิงสาว “แล้วแฟนมึงเป็นไงมั่ง กลับมาเป็นเด็กดีอีกแล้วเหรอ”

   (ก็เหมือนเดิมแหละ แต่ช่วงนี้อยู่ติดบ้านมากขึ้น ไม่ค่อยเที่ยวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว)

   “งั้นก็ดีแล้ว ถ้ามันยังไม่เลิกนิสัยเจ้าชู้อีกก็เลิกเหอะ อย่าให้อภัยซ้ำซากอีกเลยเพราะมันไม่ใช่ความรักแต่มันคือความโง่”

   (ด่ากูเหี้ยยังไม่เจ็บเท่านี้เลย) คนปลายสายบ่นอุบ ในบรรดาเพื่อนทั้งหมดเธอเชื่อฟังตรัยที่สุดเพราะไม่ค่อยจะตามใจ (แล้วนั่นมึงกอดใครอยู่ ใช่น้องคนนั้นป่ะ)

   ตรัยถือกล้องไปทางชายหนุ่ม กดจูบบนแก้มอิ่มโชว์คนปลายสาย “อย่าเสียงดังนะมึง เดี๋ยวน้องตื่น”

   ฐานิดารีบอุดปาก เกือบหลุดเสียงกรี๊ดออกมากับภาพเมื่อครู่นี้ (แก้มยุ้ยจังเลยอ่ะ หลับไม่รู้เรื่องเหมือนเด็กเลย)

   “คงเหนื่อยน่ะ ปกติหูไวจะตาย”

   (พามาเจอบ้างดิ เดือนหน้าก็ได้ กูจองตั๋วไปเที่ยวที่ภูเก็ตไว้ มาเที่ยวด้วยกันไหม)

   “ดูก่อนว่าว่างเปล่า ถ้าไม่มีอะไรกูวางแล้วนะ ง่วงนอน”

   ความจริงเขายังไม่ง่วงหรอก แต่ไม่อยากให้ใครมาจ้องหน้าคนในอ้อมแขนมากกว่า แม้คนๆ นั้นจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากก็ตามที

   ความน่ารักของรุ่งภพน่ะ...ให้เขามองคนเดียวก็พอแล้ว




TBC


หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 35 l 14/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-10-2019 18:48:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 35 l 14/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: night-nnc ที่ 14-10-2019 20:01:05
 :pig4:
ผ้าสีแดงนั้น อย่าทำให้น้องเข้าใจผิดน้าาาา
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 35 l 14/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 14-10-2019 20:03:52
ความน่ารักของรุ่งภพน่ะ...ให้เขามองคนเดียวก็พอแล้ว

ความน่ารักของรุ่งภพน่ะ...ให้เขามองคนเดียวก็พอแล้ว

บรรทัดนี้ .......................
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 35 l 14/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 15-10-2019 23:00:27
มันก้หวานอะนะแต่มันขุ่นๆมัวๆอยุ่หน่อยๆ ปัทต้องมาเพิ่มความร้าวฉานแน่ๆอ่ะ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 35 l 14/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-10-2019 08:36:55
 :L2: :pig4: :L2: 
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 36.1 l 16/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 16-10-2019 20:35:58
บทที่ 36.1



รุ่งภพอ้าปากหาวหวอดขณะโยนตะกร้าใบสุดท้ายขึ้นไปซ้อนกันจนเป็นตั้งสูง หลายวันมานี้บ้านของเขาโดนยึดจนกลายเป็นโรงเหล้าของสิปาไปแล้ว ช่วงนี้ตรัยเลยต้องมานอนที่บ้านเขาแทบทุกวันเพราะมีเพื่อนขี้เหล้าที่กลายร่างเป็นลำยองสาขา 2

“เมื่อไหร่วินจะลงมากระบี่อ่ะ คิดถึง..อยากเจอ”

รุ่งภพอ้าปากหาวอีกครั้งแล้วเอนตัวลงไปนอนบนไม้พาเลท ตรงนี้เป็นมุมอับสายตาจึงไม่น่าเกลียดมากนักเพราะไม่ค่อยมีใครเดินผ่านไปมา

(ยังหาวันลาไม่ได้เลย ช่วงนี้งานจัดเลี้ยงแน่นมาก กว่าจะว่างก็หลังปีใหม่โน่น)

มิ่งขวัญบึนปาก ผลักขาเพื่อนให้เขยิบเข้าไปด้านในเพื่อขอนั่งด้วย “ถ้าความคิดถึงมันฆ่าคนได้ ผมคงตายไปหลายรอบแล้ว”

(อย่ามาทำปากหวาน ช่วงนี้ติดเกมส์แท้ๆ เอาเวลาที่ไหนมาคิดถึงกัน)

รุ่งภพหลุดหัวเราะ ตั้งแต่ใช้โทรศัพท์เครื่องใหม่คล่องมันก็โหลดเกมส์มาจนเต็มเครื่อง ว่างเป็นไม่ได้เหมือนนึกถึงเกมส์ทุกลมหายใจ

“เกมส์มันจะไปสู้คุณได้ยังไง มาหากันหน่อยนะ 2-3 วันก็ยังดี”

(ขอดูความประพฤติก่อนแล้วกัน ถ้าเป็นเด็กดีวินจะลาพักร้อนไปหา)

“ผมก็เป็นเด็กดีทุกวันแหละ”

(งั้นเด็กดีช่วยเลิกบุหรี่ให้หน่อยได้ไหมครับ)

“รู้ได้ไง..ผมไม่เคยสูบให้คุณเห็นเลยนะ”

(มีสายโทรมารายงาน)

“ไอ้มนล่ะสิ..ยัยเด็กขี้ฟ้อง” พอรู้ว่าเขาคุยกับธาวินก็โทรไปรายงานตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ทำตัวอย่างกับสายลับจับบ้านเล็ก เขาแทบกระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลย

(ไม่ต้องไปว่าน้องเลย น้องมันเป็นห่วงหรอกถึงได้โทรมาบอก ถ้าไม่รักตัวเองก็หัดเกรงใจคนอื่นบ้าง ควันจากบุหรี่มันอันตรายนะ ดมเข้าไปมากๆ ได้เป็นมะเร็งตายกันพอดี)

“แต่ผมสูบข้างนอกนะ ไม่ได้สูบในบ้าน”

(มิ่งขวัญ..ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นนะ เรากำลังพูดถึงโทษของบุหรี่ต่างหากล่ะ รู้ไหมว่าการสูบบุหรี่หนึ่งมวนจะทำให้ชีวิตสั้นลงไปตั้งเจ็ดนาที ถ้าสูบหนึ่งซอง..)

“โอเคๆ เลิกก็เลิก ความจริงผมก็ไม่ค่อยได้สูบหรอก ถ้าไม่อยากให้สูบก็น่าจะบอกกันตรงๆ ไม่เห็นต้องโทรไปฟ้องเลย”

(นายมันรั้นไง เคยฟังคนอื่นเขาด้วยเหรอ น้องมันไม่อยากทะเลาะด้วยถึงได้โทรมาปรึกษาคนนอกอย่างฉันไง)

“วินไม่ใช่คนนอกสักหน่อย”

(คนนอกสิ ฉันไม่ใช่คนในครอบครัวนาย)

“พี่สะใภ้ไม่ใช่คนนอกครับ จำไว้เลย”

เสียงโอ้กอ้ากจากเพื่อนสนิทไม่สามารถกระเทาะความหนาบนใบหน้าของมิ่งขวัญได้ แค่นี้ยังเบสิค ถ้าได้คุยกันตามลำพังจะยิ่งกว่านี้อีก..

ขนาดรถอ้อยคว่ำยังไม่หวานเท่านี้เลย

มิ่งขวัญกดตัดสายเพราะธาวินต้องรีบสรุปวาระการประชุมอะไรสักอย่างเมื่อเช้านี้ เขาเดินไปส่งเพื่อนที่รถของเจ้านาย ไม่ได้ถามซอกแซกอะไรนักเพราะพอจะรู้ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองอยู่

“ไอ้รุ่ง ไอ้รุ่ง!” มิ่งขวัญเตะขาเพื่อนให้ลืมตาตื่น ไม่รู้ไปอดหลับอดนอนมาจากไหน หาวได้หาวดีแทบทั้งวัน “นายมาโน่นแล้ว..แต่พาใครมาด้วยไม่รู้ว่ะ”

“ไหน?”

“ทางนี้เว้ย มึงลืมตาก่อนสิวะไอ้ห่านี่” มิ่งขวัญหมุนตัวเพื่อนให้หันมาอีกทาง

“เอ๊ะ?/อ้าว!”

เสียงอุทานจากรุ่งภพและชายที่เดินมากับตรัยดังขึ้นพร้อมกันเมื่อเห็นหน้าตาของอีกฝ่าย ตรัยสาวเท้าเข้าไปหาชายหนุ่มทันที คิ้วขมวดจนเป็นร่องลึก “รู้จักเหรอ?”

“อาภาส”

คนที่รุ่งภพเรียกเป็นชายวัยห้าสิบแต่ยังไม่แก่เท่าไหร่นัก นอกจากผมที่บางลงและริ้วรอยที่ชัดขึ้นก็ไม่มีเปลี่ยนแปลงอีกแม้จะผ่านมาแปดปีแล้วก็ตาม

“ไงหนู..ไม่เจอกันตั้งนาน ทำไมหน้าไม่เปลี่ยนเลยวะ”

“อาภาสรู้จักเขาด้วยเหรอคะ?” ปัทมาที่เดินตามหลังมาถามด้วยความสงสัย แค่คนงานคนเดียวทำไมต้องทำเหมือนมันสำคัญนักก็ไม่รู้

“รู้จักสิหลาน..ลูกชายแม่เลี้ยงของหลานไง”

“อะไรนะ! ไอ้..คนนี้แน่เหรอคะ?”

“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ หน้าพิมพ์เดียวกับคุณกิ่งเขาเลยเห็นไหม” รวิภาสเชยคางของชายหนุ่มขึ้น พอเหลือบไปเห็นแววตาขุ่นมัวจากตรัยก็รีบปล่อยมือลงอย่างรวดเร็ว ทำไมต้องทำเหมือนไม่พอใจด้วยล่ะ?

“สรุปคือรู้จักกันใช่ไหมครับ” ตรัยถามอีกครั้งให้แน่ใจ

“ครับ ไม่ใช่ญาติก็เหมือนใช่ จริงไหม?” ประโยคหลังรวิภาสหันไปพูดกับชายหนุ่ม รุ่งภพทำเพียงแค่ยิ้มเฝื่อน คงเป็นญาติที่ห่างกันมากเพราะหลังจากงานศพพ่อก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย “กระบี่กับสุราษฎ์ไม่ได้ไกลกันเลย ทำไมไม่ไปหาแม่เราบ้างล่ะ ไม่คิดถึงแม่บ้างเหรอ?”

“ผมไม่สะดวกครับ แค่โทรคุยกันก็น่าจะพอแล้ว”

“ถ้าฉันเป็นแม่นายแล้วมาได้ยินนายพูดแบบนี้คงเสียใจแย่ มีลูกก็เหมือนไม่มี” ปัทมาพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยเหมือนไม่ใส่ใจนัก เธอไม่ได้เข้าข้างแม่เลี้ยงแต่พูดไปตามที่รู้สึก

“คุณก็น่าจะรู้ดีว่าทำไมผมถึงไม่อยากไป”

“เรื่องตั้งนานมาแล้วยังเก็บมาคิดอีกเหรอเนี่ย? คนอื่นเขาไปถึงไหนกันแล้วมีแต่นายที่ถอยหลังลงคลอง” ปัทมากระตุกยิ้มตรงข้ามกับรุ่งภพที่กำหมัดแน่น เธอรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใครแต่จดจำไม่ได้เพราะเคยเจอกันเพียงหนเดียว

ครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายในงานเผาศพที่เธอไม่อยากไป

“คุณไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของคนที่ไม่มีใครต้องการหรอก” ครอบครัวของเธอไม่มีใครต้องการเขา นั่นคือเหตุผลที่เขายอมทนอยู่คนเดียวมาจนถึงทุกวันนี้

ต้องห่างจากแม่ ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ต้องแสร้งทำเป็นยิ้มแล้วบอกว่าอยู่ได้เพราะไม่อยากให้แม่ลำบากใจ

แรงบีบตรงฝ่ามือทำให้รุ่งภพหลุดจากอาการใจลอย ตอนแรกเขานึกว่าเป็นตรัยจึงหันกลับไปยิ้มให้ แต่แล้วก็ต้องยิ้มค้างเมื่อหันกลับไปเจอเพื่อนสนิทของตัวเอง

เขาเหลียวมองตรัย อีกฝ่ายจ้องมองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว หากแต่สายตานั้นเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงและสงสัย เหมือนผิดหวังอยู่ลึกๆ

“ผมว่าเรา..ไปหาอะไรทานกันดีกว่าครับ จะได้คุยเรื่องงานกันต่อด้วย” รวิภาสรีบตัดบท ไม่อยากให้เรื่องในอดีตถูกขุดคุ้ยขึ้นมาประจานความใจแคบของครอบครัว “ไปด้วยกันไหมรุ่ง อาจองร้านอาหารเอาไว้แล้ว”

จองเอาไว้แล้ว งั้นก็แสดงว่านัดกันไว้แล้วโดยที่ไม่มีใครนึกถึงเขา

“ไม่ดีมั้งคะอาภาส ตัวเขามีแต่กลิ่นอะไรก็ไม่รู้ มันจะรบกวนลูกค้าคนอื่นเขานะคะ”

รุ่งภพเหลือบมองตรัยเพื่อขอความคิดเห็น แต่อีกฝ่ายกลับยืนเงียบจ้องมองเขาด้วยแววตาที่แปลกไป

ปกติเขาต้องกลับกับตรัยทุกเย็นแต่วันนี้คงไม่ต้องแล้วเพราะดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ต้องการเขา

“ขอบคุณนะครับอาภาส แต่ผมว่า..ผมกลับบ้านดีกว่าครับ” รุ่งภพหันไปหาเพื่อนสนิท “ไปกันเถอะมิ่ง”

จนกระทั่งเขาเดินออกมาแล้วตรัยก็ยังคงยืนเฉย รุ่งภพกลืนความขนขื่นลงคอ เขาทำผิดอะไรเหรอ? ทำไมอีกฝ่ายถึงได้เมินกัน

 

TBC



 
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 36.1 l 16/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 16-10-2019 21:38:34
ทำไม มันอึน อึน มัว มัว อ่่ะ

กลับบ้าน ไปกอดกับตังเก ดีกว่า
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 36.1 l 16/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-10-2019 22:06:39
ทำผิดหวัง​อีก​แล้ว​
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 36.1 l 16/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-10-2019 23:23:08
 :เฮ้อ:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 36.1 l 16/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: night-nnc ที่ 16-10-2019 23:45:40
เป็นไรกันอีกเนี้ยยยย
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 36.1 l 16/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Frankdar ที่ 17-10-2019 00:27:15
ไม่เข้าใจอิคุณตรัย แล้วจะไม่ให้น้องนอยด์ได้ไง ตอนอยู่ด้วยกันก็ดีอยู่หรอก พอมีคนอื่นทำไมพฤติกรรมแปลกๆ  ไม่เก็ทมากๆๆ  :z6:
ชะนีปัทมาก็น่ารำคาญ ขี้เหยียดเกิ้น  สงสารน้องดูท่าปมครอบครัวจะไม่ธรรมดาแล้ว
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 36.1 l 16/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 17-10-2019 10:01:46
ตรัยโกรธที่น้องไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังแน่เลย :katai1:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 36.1 l 16/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 17-10-2019 19:55:41
สนุกดี ได้ความรู้
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 36.2 l 17/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 17-10-2019 21:09:26
   
บทที่ 36.2

   

   เย็นวันนั้นไม่มีใครแวะเวียนมาบ้านเขา แม้แต่สิปาที่เป็นแขกประจำก็ยังเงียบกริบ เขานั่งรอจนกระทั่งห้าทุ่มถึงได้ปิดบ้านนอน ไม่กล้าโทรไปถามเพราะยังรู้สึกไม่มั่นใจกับแววตาที่ได้รับเมื่อเย็นนี้


   หรือตรัยจะไม่พอใจเขาเรื่องแม่ เพราะอีกฝ่ายให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก คงไม่เห็นด้วยที่เขาทำกับแม่แบบนั้น


   รุ่งภพพลิกตัวไปมาเพราะไม่สามารถข่มตาหลับได้ลง หลังจากพ่อเสีย เขาก็อยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอดและไม่เคยพูดถึงชีวิตครอบครัวของตัวเองให้ใครฟังอีกเลย มันไม่ใช่เรื่องเล่าที่น่าฟังอะไรนักและเขาเองก็ไม่อยากจะพูดถึง กับแม่ก็โทรคุยกันบ้างไม่ได้ตัดขาดไปจากชีวิต อาจจะดูเหมือนเหินห่างแต่เขาก็ยังรักและคิดถึงแม่อยู่เสมอ


   เขาควรไปคุยกับตรัยเรื่องแม่ หากอีกฝ่ายขัดเคืองเขาด้วยเรื่องนี้จะได้เปิดอกคุยกันให้เข้าใจ


   คราวนี้รุ่งภพข่มตาหลับอีกครั้ง ไม่มีใครอยากดูไม่ดีในสายตาของคนที่เรารักหรอก เขาไม่ได้จะไปแก้ตัวเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้น เพียงแค่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจในมุมมองของเขาบ้างก็เท่านั้น..


   แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องกระทบใบหน้าจนต้องฝืนลืมตาตื่น รุ่งภพจำไม่ได้ว่าเผลอหลับไปตอนไหนเพราะมีให้เรื่องให้คิดเยอะแยะไปหมด เขาแหงนมองนาฬิกาบนผนังแล้วถอนหายใจโล่งอก เพิ่งจะเจ็ดโมงกว่า แม้จะยังเช้าอยู่แต่ก็ไม่บ่อยนักที่เขาตื่นสาย


   หนุ่มใต้อาบน้ำแต่งตัวอย่างรีบเร่งแล้วไล่ต้อนตังเกออกจากบ้าน วันนี้เขาต้องออกทะเลอีกครั้งหลังจากหยุดยาวเมื่อช่วงเดือนหงาย คราวนี้เขาตั้งใจเอาตังเกไปด้วยเพราะไม่อยากเอาไปฝากใครเลี้ยง อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนคิดถึงหรือเป็นห่วงเหมือนที่ผ่านมา


   “สวัสดีครับ” หลังจากพาตังเกไปส่งบนเรือแล้วเขาก็ตรงมายังออฟฟิศ หนุ่มใต้ชะโงกหน้าเข้าไปทักทายเสมียนก่อน ดูลาดเลาว่าตรัยมาหรือยัง


   “หวัดดีจ้า มีอะไรหรือเปล่าเอ่ย”


   “เอ่อ..คุณตรัยมาหรือยังครับ”


   “มาแล้ว อยู่ในห้องแหนะ” พี่ฝนพยักหน้าไปทางห้องทำงานของเถ้าแก่ “จะคุยกับคุณตรัยเหรอ?” รุ่งภพพยักหน้าขณะดันประตูเปิดแล้วเดินเข้าไปในออฟฟิศ “เคาะประตูแล้วรอให้เขาอนุญาตก่อนนะ เขาไม่ได้อยู่คนเดียว”


   “แล้วอยู่กับใครเหรอครับ..ผมเข้าไปได้ไหม?”


   “ก็คงจะได้ล่ะมั้ง..รอให้เขาอนุญาตก่อนแล้วกันค่อยเข้า คุณตรัยน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่อีกคนนี่สิ..” คนที่อยู่กับตรัยคงไม่ใช่เถ้าแก่ เพราะโดยปกติแล้วสามารถเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปได้เลยโดยไม่ต้องรอคำอนุญาต


   หนุ่มใต้เคาะประตูแล้วรอตามที่พี่ฝนบอก เขาก้มมองปลายเท้าของตัวเองจนกระทั่งได้ยินเสียงอนุญาตจากด้านใน


   รอยยิ้มที่เตรียมมาชะงักค้างเมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ข้างตรัย


   “คุณยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ ผมขอเวลาคุยแค่เดี๋ยวเดียว”


   “เรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว”


   “..ส่วนตัวครับ” รุ่งภพเหลือบมองไปทางหญิงสาว “ขอคุยกันตามลำพังได้ไหม?”


   หญิงสาวแค่นเสียงหัวเราะ “สงสัยจะเป็นความลับระดับโลก นี่ปัดต้องออกไปรอนอกห้องหรือเปล่าคะพี่ตรัย”


   “พี่ขอเวลาเดี๋ยวแล้วกัน”


   “คนเขาคุยเรื่องงานกันอยู่แท้ๆ” เธอถอนหายใจแล้วส่งสายตาตำหนิไปยังรุ่งภพ “ปัดออกไปก็ได้ค่ะ..แต่ขอผ้าถุงบาติกอีกผืนได้ไหมคะ” เธอยิ้มหวานขณะต่อรอง


   “จะเอาอีกเหรอ? พี่ไม่คิดว่าปัดจะชอบใส่อะไรแบบนี้” ตรัยเอ่ยถามด้วยแปลกใจ เขายังเก็บถุงของฝากเอาไว้ในห้องทำงานพ่อ เลยหยิบออกมาให้เธออีกหนึ่งผืน


   “ก็ปัดเห็นพี่ตรัยชอบ เลยอยากลองดูบ้าง”


   “รู้ได้ไงว่าพี่ชอบ”


   “ถ้าไม่ชอบจะซื้อมาเป็นโหลเหรอคะ”


   รุ่งภพรู้สึกเหมือนไร้ตัวตน พวกเขาคงลืมไปแล้วว่ามีเขาอยู่ในห้องนี้ด้วย


   “พี่จะซื้อไปฝากแม่ต่างหาก” ตรัยหยิบผ้าพื้นสีม่วงส่งให้เธอ


   “ขอสีฟ้าได้ไหมคะ ลายดอกลีลาวดีน่ะค่ะ”


   ตรัยชะงักไปชั่วครู่ พอตวัดมองไปทางรุ่งภพก็เห็นชายหนุ่มยืนนิ่งเหมือนคนไร้วิญญาณ “ผืนนี้มีคนใส่ไปแล้ว ปัดเอาผืนใหม่ไปดีกว่า อย่าใส่ของมือสองเลย”


   “ก็ได้ค่ะ” เธอลุกขึ้นยืนเต็มตัวเผยให้เห็นผ้านุ่งบาติกสีร้อนแรงบนเรือนร่าง “เดี๋ยวปัดจะไปหัดนุ่งให้มันสวยกว่านี้ ตอนนี้ยังมือใหม่อยู่”


   “แค่นี้ก็สวยแล้ว”


   หัวใจคนฟังหวั่นไหว คนหนึ่งยิ้มยินดีแต่อีกคนยิ้มขมขื่น


   “ปัดไปแล้วนะคะ”


   “อืม..เสร็จแล้วเดี๋ยวพี่ออกไปเรียก”


   พอได้อยู่กันตามลำพังสองต่อสองก็ต่างฝ่ายต่างเงียบจนรู้สึกอึดอัด ตรัยถอนหายใจขณะจ้องมองชายหนุ่ม เขาดันเก้าอี้ที่ปัทมานั่งเมื่อครู่นี้ให้รุ่งภพนั่งแทน “นั่งลง”


   รุ่งภพยังคงยืนนิ่ง หัวใจหนักอึ้งกับความสนิทสนมที่เห็นเมื่อครู่นี้ คำพูดของปิ๊กลอยเข้ามาในหัวทันที..ที่เห็นพวกเขานั่งกอดนั่งซบกันคงเป็นเรื่องจริงสินะ


   “ถ้าผมเป็นคนนอก คงนึกว่าคุณสองคนเป็นแฟนกัน”


   “พูดอะไรของเธอ? ถ้าจะมาทำตัวงี่เง่าก็ออกไปเถอะ ฉันไม่อยากทะเลาะกับเธอเรื่องนี้”


   “แล้วอยากทะเลาะเรื่องไหนล่ะ เรื่องแม่ของผมเหรอ?”


   “ฉันบอกเหรอว่าอยากทะเลาะ ถ้าไม่คิดจะมาอธิบายอะไรก็กลับไป”


   “ไล่จังเลยนะครับ ผมไปแน่..แต่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”


   “อะไร?”


   “คุณชอบผมเพราะอะไรเหรอ? ถ้าผมไม่ใช่คนอย่างที่คุณหวังไว้..คุณยังจะชอบผมอยู่ไหม?”


   นัยน์ตาคมแฝงแววดุ ตวัดมองคนถามด้วยความรู้สึกไม่พอใจ “เธอกำลังดูถูกความรู้สึกของฉันอยู่นะ คำถามงี่เง่าแบบนี้ตอบไปก็เสียเวลาเปล่า ยังไงเธอก็มีคำตอบให้กับตัวเองอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”


   “..แล้วคำตอบของคุณเป็นอย่างที่ผมคิดหรือเปล่าล่ะ”


   ตรัยเริ่มหงุดหงิดจนหัวเสีย เขายังมีงานที่คั่งค้างอยู่อีกมากจึงตอบปัดชายหนุ่มเพราะอยากไม่ยืดเยื้อให้เสียเวลา “เธอคิดยังไงฉันก็คิดอย่างนั้นแหละ ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ออกไปได้แล้ว ฉันจะทำงาน”


   คนถูกไล่ลำคอขมปร่า รุ่งภพรู้ว่าตัวเองงี่เง่าแต่ไม่เคยคิดเลยว่าจุดจบของเราจะมาถึงอย่างรวดเร็ว “ถ้าคุณไม่ว่าอะไร..ผมขอของมือสองคืนนะครับ”


   ผ้าบาติกสีฟ้าลายดอกลีลาวดีถูกหยิบออกจากถุงอย่างถือวิสาสะ รุ่งภพไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต พอหยิบฉวยออกมาได้ก็เอามากอดไว้แนบอก


   ถ้าหากไม่เห็นค่าก็อย่าเก็บเอาไว้เลย..


   รุ่งภพยิ้มให้กับตัวเองแล้วหันหลังเดินจากมา


   

   TBC


วางเพลิง เดี๋ยวพรุ่งนี้มาดับให้นะคะ  :fire:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 36.2 l 17/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-10-2019 21:39:20
 :katai1:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 36.2 l 17/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 17-10-2019 21:47:09
 :katai1:

 :katai1:

 :katai1:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 36.2 l 17/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 17-10-2019 22:28:19
ฮื่ออ คุณตรัย!
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 36.2 l 17/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 17-10-2019 22:53:47
อย่าขุ่นเคืองใจกันเลย :ling1:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 36.2 l 17/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-10-2019 23:00:42
 :hao4:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 36.2 l 17/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Frankdar ที่ 18-10-2019 08:31:19
น้องยังเด็กอยู่มั้ย ใช่ว่าจะเจนโลกแบบตรัยนะ บางเรื่องก็ต้องไม่มั่นใจอยู่แล้ว ทั้งฐานะ ทั้งเพศสภาพ  เวลามีผู้หญิงคนนี้อยู่ ไม่เคยพูดดีๆ ไม่เคยอธิบายให้ชัดเจน  ตอนน้องเฟลเรื่องครอบครัวก็ไม่เคยให้กำลังใจ  หลังๆมาจ้องจะฟัดอย่างเดียว  อิคุณตรัยน่ารำคาญ น้องรุ่งหนีไปปปปป  ไปที่อื่นเลยลูก ให้มันคลั่งตายไปเลย หมั่นไส้
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 36.2 l 17/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: night-nnc ที่ 18-10-2019 12:07:37
ตรัยไม่สมเหตุสมผลเลย :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 36.2 l 17/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 18-10-2019 17:48:20
ถึงตอนที่ 20 ละ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 37 l 18/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 18-10-2019 19:38:00
บทที่ 37






หงับ


เสียงเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อยดังขึ้นเป็นระยะผสมกับน้ำลายที่หยดติ๋ง รุ่งภพยิ้มใจลอยขณะป้อนเนื้อปลาต้มสุกให้กับตังเก หลายวันมานี้มันกินแต่ปลาเป็นมื้อหลัก ต้มบ้าง ทอดบ้างแล้วแต่จุมโพ่จะทำให้ หลายอาทิตย์มานี้พวกเรากินนอนอยู่บนเรือจนแทบไม่เห็นฝั่ง พอกลับเข้าท่าและขึ้นปลาเสร็จก็ออกเรือต่อ เคยชินกับการมองเห็นทะเลรอบด้านและเส้นขอบฟ้าที่ไม่มีวันสิ้นสุด

“เอาอีกไหม?”

มันแลบลิ้นแผล่บแล้วทำท่าหวัดดีตามที่เขาเคยสอน รุ่งภพแกะเนื้อปลาป้อนมันจนเหลือแต่ก้าง พอมันเห็นว่าเสบียงหมดก็เปิดตูดแน่บไปหาจุมโพ่เป็นรายต่อไป

รักกูจัด ไม่เหลียวหลังเลยสักนิด

“โดนหมาเมินแค่นี้ ต้องร้องไห้ด้วยเหรอวะ”

รุ่งภพรีบเช็ดหยดน้ำที่เอ่อซึมตรงขอบตา รีบหันหน้าออกไปทางทะเลเพื่อหลบสายตาเพื่อน “มึงไม่ไปเฝ้าหม้อให้ไต๋ล่ะ”

“กูลงมาเยี่ยว”

“ข้างบนก็มีห้องน้ำมั้ง”

“กูลงมาหาอะไรแดกด้วย” มิ่งขวัญแบ่งขนมเปี๊ยะให้เพื่อน ช่วงนี้ตรงกับเทศกาลสาร์ทจีนพอดี บนเรือเลยมีแต่ขนมเปี๊ยะ ขนมเข่ง ขนมเทียน “ช่วงนี้มึงมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ทำไมชีวิตดูเศร้าจังวะ”

“ทะเลาะกับคุณตรัยน่ะ” รุ่งภพไม่คิดจะปิดเพื่อน ระหว่างเราไม่มีความลับต่อกันเพราะผ่านช่วงเวลาทุกข์ยากมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก

“น้ำหน้าอย่างมึงเนี่ยนะ? เอาความกล้าที่ไหนไปทะเลาะกับลูกเจ้านายวะ มึงไม่กลัวเขาไล่ออกเหรอ”

“ก็ทะเลาะไปแล้ว จะให้ทำไงล่ะ”

“เจริญพรละเพื่อนกู เกิดเขาไล่มึงออกขึ้นมามึงจะรู้ไหม มึงเล่นเอาตีนเหยียบฝั่งแทบจะนับนาทีได้ พอเรือลำนี้เข้ามึงก็โดดไปออกเรือลำโน้น ไม่เหนื่อยเหรอวะ ถามจริง?”

“เป็นห่วงกูเหรอ”

“เปล่า กูห่วงหมา แดกแต่ปลาจนหน้าจะเป็นก้างอยู่ละ”

“ซึ้งฉิบหายเลยเพื่อน น้ำตากูนี่ไหลไปถึงตีน” รุ่งภพน้ำตาไหลพราก เปรียบเทียบอะไรของมึง

มิ่งขวัญหัวเราะเพื่อน สักพักก็เงียบลงแล้วปรับสีหน้าเป็นจริงจัง “ทะเลาะกันแรงมากเลยเหรอ ปกติมึงเป็นคนใจเย็นมากเลยนะ ขนาดโดนด่าโดนตะคอกมึงยังไม่โกรธเลย”

“ไม่ได้ทะเลาะกันรุนแรงหรอก กูมัน..งี่เง่าไปเองแหละ” งี่เง่าอย่างเขาว่า

“อะไรวะ? ยิ่งฟังก็ยิ่งงง แล้วมึงไปงี่เง่าอะไรใส่เขา”

“มึงรู้ใช่ไหมว่ากูกับเขา..”

“เออ..ก็พอจะรู้อยู่ เดินตามกันต้อยๆ ซะขนาดนั้น ไม่รู้ก็ควายแล้ว”

“เขาคงไม่ตามกูอีกแล้วล่ะ..เพราะเขาเจอคนที่ดีกว่ากูแล้ว” คนที่เหมาะสม คนที่สามารถเปิดเผยได้โดยไม่อายใคร

“กูไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องมันเป็นมายังไง แต่ทุกครั้งที่กูเห็นเขามองมึง..กูเห็นความรักในแววตาเขา”

“มึงคงมองผิดแล้วล่ะมิ่ง”

“ไอ้รุ่ง” มิ่งขวัญจับไหล่เพื่อนแล้วบังคับให้หันมา “มึงตั้งสติแล้วโล๊ะเรื่องทุกอย่างในหัวทิ้งไปให้หมดเลยนะ จะคนใหม่คนเก่าก็ช่างแม่ง มึงอยู่กับเขามาตั้งนาน ใกล้ชิดยิ่งกว่าใครๆ มึงไม่เคยรับรู้ความรู้สึกของเขาเลยเหรอ?”

รุ่งภพก้มหน้า ขอบตาร้อนผ่าว

“มองหน้ากูแล้วพูดออกมา”

“ระ..รู้”

“รู้แล้วจะยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้เหรอ? มึงจะยอมให้คนอื่นมาคาบกระดูกไปเฉยๆ แบบนี้ไม่ได้นะเว้ย เราต้องปกป้องของๆ เราสิวะ”

“กูไม่ใช่หมานะไอ้เหี้ย” รุ่งภพซัดเพื่อนตุ้บตั้บ น้ำตาไหลย้อนเหือดแห้งไปในทันที

“ยิ้มได้แล้วสิมึง”

“...ไม่รู้ว่าเขายังจะต้องการกูอยู่ไหม”

มิ่งขวัญขยี้ผมเพื่อน “มั่นใจในตัวเองหน่อยสิวะ มึงเป็นคนบอกให้กูเดินหน้าเองแท้ๆ ทีตัวเองเสือกเดินถอยหลัง”

“มึงจะให้กูเอาอะไรมามั่นใจวะ ทุกวันนี้ก็เหมือนฝันจะแย่” รุ่งภพส่ายหน้า “กูกับเขามาถึงจุดนี้ได้ยังไงกันนะ” พอย้อนความทรงจำกลับไปก็เห็นแต่ภาพของเราเต็มไปหมด

“มึงก็อย่าคิดว่ามันเป็นฝันสิ ถ้ามองทุกอย่างด้วยความจริงมึงก็จะไม่ตื่นมาเจอกับความฝัน”

นั่นสินะ..

ถ้าเขามองทุกอย่างด้วยความจริงตั้งแต่แรก ก็คงไม่ต้องหวาดระแวงถึงเพียงนี้

เราสองคนนั่งมองเกลียวคลื่นภายใต้ท้องฟ้าสีหม่นในยามเย็น ไม่นานเสียงกริ่งก็ดังขึ้นผ่านลำโพงที่ติดอยู่บนเสา มิ่งขวัญฉุดแขนเขาลุกขึ้นแล้วตบบ่าให้กำลังใจ เราแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ตน ปล่อยอวนผืนยาวลงน้ำเพื่อหาปลามาเติมเรือ

“ไอ้ไหรวะ!”

“ไอ้ไหรล่ะ?”

คนอุทานชี้ไปยังเงาขนาดใหญ่ในวงอวน “แลถินั่น ตัวใญ๋ทั่ม[1] ใช่ไอ้หลามม้าย”

เสียงฮือฮาดังขึ้น ไม่มีใครกล้าโดดลงไปในวงอวนเพื่อเอาเชือกขึ้นมาโยงกับลำเรือ รุ่งภพเดินแหวกฝูงคนเข้าไปยังจุดที่ใกล้ที่สุด ทันเห็นเงาร่างใหญ่ยักษ์สะบัดครีบเหนือผิวน้ำ

“ฉลามวาฬน่ะ คงว่ายตามฝูงปลามาแล้วออกไปไม่ทัน” ลำตัวสีน้ำเงินจุดกำลังว่ายเบียดผืนอวนอยู่ ส่วนหัวที่โตเกินขนาดส่ายไปมาเพื่อหาทางออกจากกรงที่กักขัง

“ทำไมตัวมันเป็นสีน้ำเงินจุดอ่ะชิ้ว ไม่เห็นเหมือนในหนังเลย”

“เอ็งมาจากไหนวะ ไม่รู้จักฉลามวาฬเหรอ” รุ่งภพถามคนงานใหม่

“ผมมาจากสุรินทร์ครับ”

หนุ่มใต้ร้องอ๋อ คนไม่รู้ไม่ใช่คนโง่ เพียงแต่เขาอาจจะไม่เคยพบเห็นสิ่งเหล่านั้นมาก่อนในชีวิต “จะอธิบายยังไงดีล่ะ เอาเป็นว่าฉลามวาฬไม่ดุร้ายเหมือนฉลามในหนังก็แล้วกัน มันตัวใหญ่ก็จริงแต่ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อหรอกนะ อาหารหลักของมันคือแพลงก์ตอน รู้จักแพลงก์ตอนใช่ไหม?”

“รู้จักครับ ไอ้ที่มันลอยเป็นแพสีเขียวๆ ในน้ำบ่”

“นั่นแหละ ฉลามวาฬจะกินอาหารแบบกรองกิน นอกจากแพลงก์ตอนแล้วก็มีพวกเคยกับไข่ปลาที่ลอยมาตามน้ำ เห็นตัวใหญ่แบบนี้แต่รักสงบนะ ไม่เป็นอันตรายกับใคร”

“งั้นค่อยโล่งใจหน่อยครับ นึกว่าจะโดนเขมือบเหมือนในหนังซะแล้ว”

“ถ้าหายกลัวแล้วก็โดดลงไป”

“ห๊ะ!” หนุ่มสุรินท์อ้าปากค้าง มองฉลามวาฬขนาด 5-6 เมตรสลับกับชิ้วเรือด้วยสีหน้าซีดเผือด “ละ ลงไปทำหยัง”

“ไปช่วยมันน่ะสิถามได้” รุ่งภพถอดรองเท้าบูทออกก่อนจะตะโกนบอกคนงานเก่าอีก 4-5 คนให้โดดลงไปช่วยกัน

“ไอ้รุ่ง” เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียก เห็นเพื่อนกำลังไต่บันไดเก๋งลงมาหาพร้อมกับวิทยุมดดำเครื่องหนึ่ง “พ่อบอกให้ลงไปช่วยกันดันอวน”

“รู้แล้ว กำลังจะลงไป” รุ่งภพบอกเพื่อน “มึงไปเอาเชือกมาคล้องมันทีดิ พอพวกกูดันอวนลง มึงก็บังคับให้มันว่ายมาทางกู”

“เออได้ เฮ้ย! หยุดดึงอวนก่อนเว้ย” รับคำเพื่อนแล้วหันไปล้งเล้งใส่คนคุมเครน

รุ่งภพโดดลงไปในวงอวนอย่างไม่ลังเล ปกติแล้วฉลามวาฬไม่ใช่สัตว์ดุร้าย มันไม่ค่อยสนใจมนุษย์เท่าไหร่นัก จึงไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไรนอกจากขนาดที่ใหญ่โต

“มันจะมุดลงอย่างเดียวเลยพี่ ไม่ว่ายมาทางเราเลย”

“มิ่ง!” รุ่งภพตะโกนเรียกเพื่อน “จับมันได้หรือยัง”

“เดี๋ยวๆ!” มิ่งขวัญเหวี่ยงบ่วงเชือกลงน้ำอีกครั้ง คราวนี้คล้องส่วนหางเอาไว้ได้จึงรีบตะโกนบอกคนในน้ำทันที “ได้แล้ว เอาเลย!”

ชิ้วหนุ่มยกตัวขึ้นดันขอบอวนลงไปใต้น้ำจนเกิดช่องพอให้มันว่ายข้าม เขาเห็นฉลามวาฬสะบัดตัวตามแรงบังคับตรงปลายหางแล้วว่ายชนอวนเพื่อหาทางออก ใช้เวลาไม่นานสามารถหลุดพ้นออกได้พร้อมกับปลาอีกหลายตัวที่ว่ายตามกันมา

“เอ้าเฮ!”

“ตัดเชือกออกเร็วๆ เข้า” บ่วงเชือกที่คล้องอยู่ตรงปลายหางถูกตัดออก รุ่งภพคว้าเศษเอาไว้ได้ทันหลังจากถูกฉลามวาฬสะบัดหางใส่จนตัวเกือบปลิว

หนุ่มใต้ลูบน้ำออกจากใบหน้าแล้วตีแขนเพื่อพยุงตัว ฉลามวาฬยังคงว่ายเอื่อยเฉื่อยตามนิสัย มันลอยตัวอยู่พักหนึ่งก่อนจะดำดิ่งสู่ห้วงลึก รุ่งภพปล่อยขอบอวนให้ลอยขึ้นเพื่อสกัดฝูงปลาที่ว่ายหนีออกไปตอนที่พวกเขาปล่อยฉลามวาฬออก แม้จะเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

เสียงเห่าจากบนเรือเรียกความสนใจให้หันมอง รุ่งภพอมยิ้มเมื่อเห็นลำตัวอ้อนป้อมตะกายอยู่บนกราบเรือ พอว่ายเข้าไปใกล้มันก็ส่งเสียงหงุงหงิ๋งเหมือนบ่นอะไรสักอย่าง ใบหน้ายับย่นเหมือนคนขมวดคิ้วเพราะความเครียด ทีอย่างนี้ทำมาเป็นห่วงเป็นใยเขา พอเขาอยากกอดอยากเล่นด้วยก็เมินกัน

นิสัยไม่ดีจริงๆ เลย..











 

แพโชคชัยยังคงวุ่นวายเหมือนทุกวัน   ทั้งเรือเข้าเรือออกและพ่อค้าแม่ค้าที่มารอเปียปลากันตั้งแต่เช้า มิ่งขวัญชะเง้อมองเพื่อนด้วยความเป็นห่วง พอไม่เห็นมันโดดขึ้นเรือลำไหนอีกก็ถอนหายใจยาว

โล่งอกไปที หากเป็นหลายอาทิตย์ก่อนมันคงเร่งขึ้นปลาจนมือหงิก พอชั่งน้ำหนักเสร็จก็แล่นไปขึ้นเรืออีกลำ ทำตัวเหมือนคนไม่มีบ้านให้กลับเลยยึดเรือเป็นบ้านแทน

“ขอโทษนะครับ..ไม่ทราบว่าตอนนี้มีตำแหน่งงานไหนว่างบ้างไหมครับ ผมอยากจะมาสมัครงาน”

“จะมาสมัครงานก็ไปติดต่อที่ออฟฟิศสิวะ พวกกูไม่ใช่คนรับสมัครนะเฮ้ย จะรู้ได้ไงวะว่าตำแหน่งไหนว่างไม่ว่าง!” เพราะเป็นคนปากไวเลยพูดไปตามที่ใจคิด พอหันกลับไปมองคนถามเท่านั้นแหละ แทบจะยกมือขึ้นมาตบปากตัวเองสักพันครั้ง “วิน!”

“ถามดีๆ ทำไมต้องใส่อารมณ์ด้วยล่ะ”

“ผมขอโทษ ผมไม่นึกว่าเป็นคุณ”

ธาวินทำหน้างอง้ำ “อะไรกัน จำเสียงวินไม่ได้เหรอ? คุยกันเกือบทุกวันแท้ๆ มันน่าน้อยใจจริงๆ”

“ไม่งอนดิ ไม่ใช่จำไม่ได้แต่ผมไม่นึกว่าเป็นคุณต่างหาก แล้วจะมาทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะ? ผมจะได้ไปรับ”

“เซอร์ไพรส์ไง..ดีใจป่ะ”

“มาก” มิ่งขวัญอยากโผเข้าไปกอดคนตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ แต่อีกใจนึงก็รู้สึกเขินอยู่นิดหน่อยเพราะไม่ได้เจอหน้ากันมานาน “แล้วที่บอกว่าจะมาสมัครงานน่ะ จริงเหรอ?”

“มีตำแหน่งไหนว่างป่ะล่ะ”

“เต็มหมดแล้ว..เหลือแต่หัวใจผมอ่ะที่ยังว่าง ไม่ต้องสมัครแค่เอาความรักมาแลกกันก็พอ”

ธาวินขำคิกกับมุกเสี่ยวของชายหนุ่ม “ห้าบาทสิบบาทก็เอาเนอะ”

“คุณจะได้ใจอ่อนเร็วๆ ไง”

“จะให้อ่อนไปถึงไหนล่ะ แค่นี้ก็เหลวเป็นน้ำแล้ว”

“ดี ผมจะได้ยกดื่มเลย ไม่ต้องเคี้ยว”

“ประสาท คนนะไม่ใช่ของกิน” ธาวินรู้ความหมายแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้

“เย็นนี้ไปกินข้าวที่บ้านผมนะ”

หนุ่มแว่นพยักหน้าแล้วยิ้มให้ พออีกฝ่ายเลิกงานก็เดินตามไปขึ้นรถ เขามาถึงกระบี่หลายวันแล้วแต่พักอยู่ที่โรงแรมในตัวเมือง คราวนี้ไม่ได้ไปพักที่บ้านของมิ่งขวัญเหมือนแต่ก่อนเพราะมาโดยไม่ได้บอกใครเอาไว้ล่วงหน้า อีกอย่างเขาไม่ได้สอนหนังสือให้กับมนชนกแล้ว จะให้ไปขออยู่ด้วยเหมือนแต่ก่อนก็รู้สึกเกรงใจ

“เดี๋ยวไปส่งไอ้รุ่งก่อนนะ”

“อื้ม แล้ว..ไหนรุ่งล่ะ?”

“มันบอกจะไปหาคุณตรัยก่อน เดี๋ยวคงมา..มั้ง”

“อย่ามั้งสิ”

นั่งรอไม่นานก็เห็นร่างซูบเซียวของรุ่งภพเดินเข้ามาพร้อมกับหมาตัวอ้วน ธาวินขมวคิ้วเมื่อเห็นรูปร่างของหมากับเจ้าของที่ไม่บาลานซ์กันเอาซะเลย คนหนึ่งผอมเพรียวแต่อีกตัวกลับอ้วนซะจนตุ้บตั้บ

“ไปทำอะไรมาเนี่ย ซูบเชียว”

รุ่งภพส่งยิ้มซีดเซียวไปให้แล้วส่ายหน้าตอบ

“ได้คุยกับนายหรือยัง?”

ส่ายหน้าอีกครั้งแววตาผิดหวัง “พี่ฝนบอกว่าคุณตรัยไปภูเก็ต ไม่รู้จะกลับวันไหน” ไม่รู้เหมือนกันว่าไปทำไม ไปคนเดียวหรือว่าไปกับใคร?

พอคิดถึงตรงนี้หัวใจของรุ่งภพก็เหมือนจะเต้นช้าลงจนไม่รู้สึก ความมั่นใจที่สู้อุตส่าห์รวบรวมมาถดถอยจนเหลือแต่ความหวาดหวั่น

เราจะจบกันแบบนี้จริงๆ น่ะเหรอ?

ถ้าหากตอนนั้นเขาใจเย็นขึ้นอีกนิด ไม่ไปหาเรื่องตรัยก่อนก็อาจจะได้คุยกันดีๆ แต่หัวใจมันไม่มีเหตุผล เขาไม่อาจควบคุมได้แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าไม่ควร

“งั้นก็กลับไปพักก่อน มึงไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเดือนแล้ว ป่านนี้บ้านร้างไปแล้วมั้ง” มิ่งขวัญกระทืบคันสตาร์ทแล้วเร่งเครื่อง ใช้เวลาอยู่นานเพราะติดๆ ดับๆ จนธาวินท้อใจ

“จะรอดไหมเนี่ย?”

“เหอะน่า คุณขึ้นมาก่อน เดี๋ยวให้ไอ้รุ่งนั่งท้าย” ธาวินกางขานั่งคร่อมบนเบาะโดยไม่อิดออด พยายามเบียดเข้าไปจนชิดกับคนขับเพื่อเหลือที่ว่างให้กับรุ่งภพ “นั่งได้ไหมรุ่ง”

“เอ่อ..มึงไปเถอะมิ่ง เดี๋ยวกูกลับกับไอ้ปิ๊กก็ได้” รุ่งภพมองหมาตัวเองสลับกับที่ว่างบนเบาะรถ อัดสามคนน่ะพออยู่แล้วแต่คงไม่เหลือที่ให้ตังเกนั่ง

มิ่งขวัญมองตามสายตาเพื่อน ตบหน้าผากตัวเองดังแป๊ะแล้วโอดครวญออกมา “ฉิบหาย กูลืมไอ้ตังเกไปเลย ถ้าตัวเล็กๆ ก็หิ้วไปได้อยู่หรอก นี่อะไร? อ้วนอย่างกับหมู”

เหมือนมันจะรู้ว่าโดนว่า จากที่นอนแทะขาตัวเองอยู่เงียบๆ ก็โดดผลุงขึ้นมาเห่าเถียง

“มึงจะไปส่งคุณวินก็ไปเถอะ” รุ่งภพไล่เพื่อน เดี๋ยวเขาต้องกลับเข้าไปในแพปลาอีกรอบหนึ่งเพื่อขอติดรถรุ่นน้องไปลงตรงปากทาง

“คงไม่ได้ไปส่งหรอก เดี๋ยวจะพากลับไปนอนบ้าน” มิ่งขวัญกลั้วหัวเราะแม้จะโดนทุบจนเจ็บหลัง รุ่งภพอมยิ้มเมื่อเห็นเพื่อนมีความสุข ไม่คิดว่ามันจะอดทนและมั่นคงกับธาวินขนาดนี้ แม้ระยะทางจะเป็นอุปสรรคแต่ความรักไม่จืดจางลงไปเลย

“พี่ไปแล้วนะ ถ้าถึงบ้านแล้วก็ไลน์มาบอกด้วย พี่จะได้หายห่วง” รุ่งภพเป็นอีกคนที่ธาวินเผื่อแผ่ความห่วงใยไปให้ ด้วยนิสัยอ่อนน้อมและร่าเริงของชายหนุ่มทำให้เขาเอ็นดูได้ไม่ยาก แม้วันนี้จะดูหม่นหมองไปบ้างแต่ก็ยังอุตส่าห์ยิ้มให้ตรงข้ามกับแววตาที่เศร้าซึม

เส้นทางไปบ้านของมิ่งขวัญยังคงเปลี่ยวร้างเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ธาวินไม่ได้รู้สึกกลัวเหมือนแต่ก่อนแล้วเพราะช่วงที่อาศัยอยู่กับมิ่งขวัญเข้าๆ ออกๆ จนคุ้นชิน เขาจำได้แม้กระทั่งกระชังปลาที่ปักอยู่ริมคลอง ต้นกล้วยที่ขึ้นเบียดกันจนแน่นขนัดและบ้านเรือนที่ปลูกห่างกันเป็นโยชน์

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนคุณคงจิกเอวผมแน่นเวลาขับผ่านทางนี้”

ธาวินหลุดยิ้ม จ้องมองหลังคอของคนขับที่ถูกแดดเผาจนเป็นรอยไหม้ “จำได้ด้วยเหรอ”

“อะไรที่เกี่ยวกับคุณ ผมจำได้หมดแหละ”

“ตอนนั้นฉันไม่ชอบนายเลย คนอะไร..โคตรกวนตีน”

“ใจร้ายจัง..แต่ผมชอบวินนะ ถ้าไม่ชอบคงไม่เรียกร้องความสนใจแบบนั้นหรอก”

“ว้อท? นั่นเรียกร้องความสนใจเหรอ ไอ้เราก็นึกว่าหาเรื่อง”

“หาเรื่องให้วินสนใจไง ตอนนั้นวินชอบทำหน้าหยิ่งใส่ผมอ่ะ ผมไม่รู้จะเข้าหายังไงก็เลยทำตัวแบบนั้น”

“อ๋อเหรอ เกือบโดนเกลียดแล้วไหมล่ะ”

“แค่เกือบใช่ไหม สุดท้ายก็เปลี่ยนมาเป็นรักแทน”

“พูดเองเออเองก็ได้เนอะคนเรา” ธาวินยิ้มขำ ชายหนุ่มสอดแขนกอดรัดบั้นเอวหนาแล้วเกยคางเอาไว้บนบ่าแข็ง

“ก็ไม่อยากจะพูดเองเออเองหรอก ขืนรอให้คุณพูดผมคงแก่ตายพอดี”



“รักนะครับ”



มิ่งขวัญนิ่งงัน นึกว่าตัวเองหูฝาดจนต้องถามซ้ำให้แน่ใจ “เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ?”

“วินพูดว่า..วินก็รักมิ่งเหมือนกันครับ”

คนฟังหัวใจเต้นรัว ถึงกับขับรถเป๋ไม่เป็นทางเพราะดีใจจนตาพร่า หากแต่ดีใจได้ไม่นานนักก็โดนทุบจนไหล่ทรุด คนที่บอกว่ารักกันเมื่อกี้เปลี่ยนโหมดเป็นนางมารร้ายฉับพลัน ด่าเขาไฟแล่บเพราะเกือบกลิ้งตกลงไปจากแรงเหวี่ยงเมื่อครู่นี้

มิ่งขวัญปาดเหงื่อ อนาคตของเขาคงไม่พ้นถูกซ้อมเพราะกลัวเมีย



TBC



[1] ใญ๋ทั่ม ภาษาใต้ หมายถึง ใหญ่โต มโหฬาร




หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 37 l 18/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-10-2019 20:12:35
อยากฟัดตังเก​ รักนะอย่างห่างๆ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 37 l 18/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 18-10-2019 20:22:14
คุณตรัยกลับมาก๊อนนน คู่นู้นยังไม่เข้าใจกันเลย ส่วนคู่นี้ก็หวานจะมดขึ้นทะเลหมดแล้ว
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 37 l 18/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 18-10-2019 20:31:23
ไหนว่าจะมาดับเพลิงที่วางไว้

มันยังไม่ดับอ่ะ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 37 l 18/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 18-10-2019 20:51:26
มิ่งกับวินเป็นคู่ที่น่ารักดี :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 37 l 18/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: night-nnc ที่ 18-10-2019 21:19:45
อีพี่ยังไม่มาเคลียร์
 :m16: :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 37 l 18/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-10-2019 21:48:11
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 37 l 18/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 18-10-2019 22:20:42
งงกับตรัยอะ ผีเข้าเหรออ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 37 l 18/10/62 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Frankdar ที่ 19-10-2019 00:34:37
คู่มิ่งวินน่ารักมาก ดีใจที่เปลี่ยนมาเพจ6แล้ว เปิดเพจ5ทีไร เจอซีนจะฟัดน้องแล้วอยากตบอิคุณตรัย  ให้กระตือรือร้นเหมือนตอนจะฟัดเค้ามั่ง อินนนนน
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 38 l 19/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 19-10-2019 20:19:21
บทที่ 38

 



ถ้วยกาแฟควันกรุ่นส่งไอร้อนพวยพุ่งระเหยไปกับสายลมเย็น แว่วเสียงดนตรีแจ๊สในคาเฟ่เปิดคลออยู่เป็นระยะสลับกับเสียงพูดคุยของนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปมา ตรัยควานช้อนคนกาแฟจนเย็นชืด เหม่อมองสีสันยามเย็นในย่านเก่ากลางเมืองภูเก็ตด้วยอาการใจลอย

“ตรัย กูชวนมึงมาเที่ยวนะเว้ย ช่วยทำหน้าให้มันเอ็นจอยหน่อยได้ไหมวะ เห็นหน้ามึงทีไรแล้วความอยากเที่ยวของกูหดฟีบลงไปเลย”

“กูบอกแล้วว่าไม่อยากมา มึงก็คะยั้นคะยออยู่ได้”

“ก็กูอยากเจอมึงอ่ะ อยากเจอน้องด้วยแต่ดันแห้วซะงั้น” ฐานิดาบ่นอุบ ตักไอศกรีมในถ้วยอย่างกระแทกกระทั้นเพราะไม่ได้ดั่งใจ

“ก็แห้วไม่ต่างกันหรอก ขนาดกูดักรอมาเป็นเดือนยังไม่เจอเลย”

“สมน้ำหน้า เสือกไปใจดีกับอีนั่นพร่ำเพรื่อดีนัก โดนทิ้งเลยเป็นไง”

“ทำไมมึงไปเรียกจิกเขาอย่างนั้น ถ้ามีคนอื่นมาเรียกมึงอย่างนี้บ้าง มึงจะชอบเหรอ?”

“มึงก็เป็นอย่างเงี้ย เข้าใจนะเว้ยว่าที่บ้านมึงสั่งสอนมาให้เป็นเจนเทิลแมน แต่การที่มึงไปชื่นชมหรือเอาใจผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าแฟนมันก็ไม่ใช่ป่ะ เป็นกูกูก็ปรี๊ดเหมือนกันแหละเว้ย”

ตรัยถอนหายใจหนัก เขารู้แล้วว่าตัวเองทำไม่ถูก อยากจะขอโทษอยากจะปรับความเข้าใจแต่ก็สายไปซะแล้ว “กูสำนึกแล้วไง กับปัดก็ไม่ได้อะไรแล้ว”

“อ๋อเหรอ? แล้วอี..” ฐานิดาหยุดชะงักเมื่อเพื่อนส่งสายตาดุ “แล้วเขารู้ด้วยหรือเปล่าล่ะ มึงไม่ได้อะไรแล้วแต่เขาอาจจะมาอะไรกับมึงก็ได้ ถ้าคนมันไม่ชอบจะหาเรื่องมาวอแวมึงทำไม”

“กูคุยกับเขาแล้ว เข้าใจกันดีแล้ว เดี๋ยวเสร็จงานเขาก็กลับ เคลียร์นะ” ตรัยไม่คิดว่าการที่เขาเทคแคร์ผู้หญิงจะสร้างเรื่องยุ่งยากใจให้ถึงเพียงนี้ หลังจากทะเลาะกันวันนั้นเขาก็ไม่เห็นรุ่งภพอีกเลย แม้จะไปดักรอตอนเรือเข้าแล้วแต่ก็คลาดกันตลอด พอนานวันเข้าเขาก็เริ่มร้อนรน ไม่เป็นอันทำงานจนต้องหันหน้าไปปรึกษากับเพื่อนสนิท

ปัญหาที่เขาไม่เคยคาดคิดถูกฐานิดาร่ายให้ฟังจนยาวเหยียด พอมาคิดดูแล้วมองในมุมของรุ่งภพ เขาก็พบว่าตัวเองก็ทนไม่ไหวเช่นเดียวกันหากคนที่รักไปใจดีกับคนอื่น

“สงสัยกูต้องปิดแพปลาสักอาทิตย์นึงแล้วมั้ง ถ้าไม่มีเรือออกจะโดดไปลำไหนได้อีก”

“ใจเย็นเพื่อน เดี๋ยวก็โดนพ่อมึงตัดออกจากกองมรดกหรอก”

“แล้วจะให้กูทำไง พอหยุดงานไปเฝ้าเขาก็ไม่มา พอรู้ว่าเขาเข้าฝั่งก็ไปหาไม่ทันอีก เขาไม่อยากเจอกูขนาดนั้นเลยเหรอ?” ต่างจากเขาที่คิดถึงตลอดเวลา

“ไม่ใช่ว่าน้องมันไม่อยากเจอมึงหรอก เขาคงไม่อยากเห็นมึงอยู่กับอี..ยัยนั่นมากกว่า”

ตรัยระบายความเครียดผ่านการถอนหายใจครั้งที่ร้อย เขาจ่ายเงินค่าอาหารแล้วพาเพื่อนเดินลัดเลาะตรอกเก่าๆ ไปขึ้นรถที่จอดอยู่แถวหอนาฬิกา “กลับเลยไหม ป่านนี้แฟนมึงหนีไปลงอ่างแล้วมั้ง ออกมานานขนาดนี้”

“ปากเหรอนั่น” ฐานิดาตวาดแว้ด “มันไม่กล้าหรอกเพราะกระเป๋าเงินมันอยู่ที่กู”

“แน่นอนจริงๆ”

“อยู่แล้ว” เธอยักไหล่ วันนี้ปล่อยให้สามีนอนพักสบายๆ ไปก่อน ยังเหลือเวลาเที่ยวอีกตั้งหลายวัน เธอจึงเลือกไปกับเพื่อนก่อนเพราะตรัยมาหาแค่วันเดียว “เดี๋ยวมึงแวะฟาร์มไข่มุกให้กูก่อนนะ กูจะเอาแหวนไปซ่อม”

“ฟาร์มไข่มุกรับซ่อมแหวนด้วยเหรอ” ไม่ได้ขายแต่ไข่มุกอย่างเดียวเหรอไง?

“เขาทำร้านเครื่องประดับด้วยย่ะ ไม่ได้ขายแค่ไข่มุกอย่างเดียวนะแต่ขายพวกเพชรพลอยแล้วก็หินสีด้วย ร้านเขามีแต่ช่างทำเครื่องประดับเก่งๆ แถมหน้าร้านยังจำลองเป็นแฟคเตอรีให้เข้าชมด้วยนะ มีประวัติมีนิทรรศการเกี่ยวกับไข่มุกเต็มเลย”

ตรัยนึกถึงสร้อยข้อมือหินปะการังแดงที่เก็บอยู่ในกระเป๋าสตางค์เขา เพราะเจ้าของไม่เอ่ยปากทวงเขาเลยลืมไปซะสนิท ตอนนั้นรุ่งภพเองก็ไม่ค่อยจะมีสติเท่าไหร่นัก อาจจะคิดว่าทำตกทะเลไปแล้วเลยไม่เอ่ยถามถึง

“ถึงแล้วมึง”

The Sun’s Pearl

ร้านเครื่องประดับมุกที่ฐานิดาแนะนำมาเป็นฟาร์มหอยมุกใหญ่ขนาดใหญ่ที่มีกระชังอยู่หลังร้าน ดูจากจำนวนคนที่เข้ามาเที่ยวชมคงเป็นฟาร์มอันดับต้นๆ ของจังหวัดนี้ ตรัยกวาดสายตาสำรวจสินค้าและการตกแต่งภายในร้านขณะเดินตามเพื่อนเข้าไปด้านใน ดูเหมือนฟาร์มแห่งนี้จะเป็นศูนย์ผลิตและจัดจำหน่ายแบบครบวงจร ไม่เหมือนร้านขายเครื่องประดับทั่วไปเพราะมีการจัดแสดงสินค้าแยกเป็นหมวดหมู่ตามคอลเล็คชันด้วย แถมยังให้ความรู้เกี่ยวกับไข่มุกด้วยการจำลองสถานที่เป็นแบบแฟคเตอรีโชว์รูม ทั้งสายพันธุ์ การเพาะเลี้ยงและการผลิต สร้างจุดเด่นให้กับแบรนด์และสร้างจุดแข็งไปในตัว

ตรัยหยิบสร้อยข้อมือเก่าขาดออกมาจากกระเป๋าสตางค์แล้วส่งให้กับพนักงานหน้าร้านเพื่อซ่อมแซม เธอถามถึงการเจียระไนหินและตัวเรือนที่เขาต้องการใช้แทนเชือกที่ขาดรุ่ย ตรัยยืนคิดนิ่งนานขณะจ้องมองเครื่องประดับในตู้โชว์ เขาบอกความต้องการของตัวเองแล้วนั่งรออย่างอดทน

งานสั่งทำต้องใช้เวลาขึ้นรูปและเจียระไนหลายชั่วโมง ฐานิดาถึงกับบ่นอุบเพราะของเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตรัยเลยตัดความรำคาญด้วยการซื้อต่างหูไข่มุกให้เธอไปอีกคู่หนึ่ง คราวนี้ฐานิดาเงียบกริบ นั่งเล่นโทรศัพท์เงียบๆ ไม่กวนใจเขาอีกต่อไป

ตรัยนั่งมองรูปในหน้าจอมือถือของตัวเองอย่างใจลอย ภาพแหวนดอกไม้ทำให้เขานึกถึงรอยยิ้มของคนให้ เขายังอยากเห็นรอยยิ้มนั้นอีกครั้ง รอยยิ้มที่มีความสุขไม่ใช่รอยยิ้มเศร้าเหมือนครั้งสุดท้ายที่เจอกัน

เขาผิดไปแล้ว ยกโทษให้เขาได้หรือเปล่าคนดี..

“น้องณัฐจะไปไหนคะ! คุณซันยังประชุมไม่เสร็จเลย”

“จะกลับแล้วครับ ขี้เกียจรอ”

“แต่คุณซันบอกให้รอ..”

“รอมาเป็นชั่วโมงแล้วครับ เขาเป็นเด็กหรือไงทำไมต้องให้ผมมานั่งเฝ้าด้วย เสียเวลาชะมัด”

“แต่..”

ตรัยเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์แล้วเพ่งมองไปยังต้นตอที่ทุ่มเถียงกันอยู่หน้าห้องส่วนตัวของประธานกรรมการ

“ณัฐ?”

เจ้าของชื่อหันขวับไปตามเสียงเรียก อดีตช่างเครื่องเรืออ้าปากค้างเมื่อเห็นเจ้านายเก่า รีบเดินลิ่วๆ เข้ามาหาทันทีพร้อมกับพนักงานหญิงคนนั้นที่ตามติดเหมือนเงาตามตัว

“มาไงครับเนี่ย?”

“ขับรถมา” ณัฐทำหน้าบูดเมื่อโดนกวน “ณัฐเถอะ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ดูเหมือนจะรู้จักกับผู้บริหารของที่นี่ด้วย

“เอ่อ..ผม..ผมรู้จักกับเจ้าของร้านน่ะครับ”

“แค่คนรู้จักเองเหรอ?” ถึงขนาดให้เข้าไปรอในห้องส่วนตัวคงไม่ใช่คนรู้จักกันธรรมดา

“ตอนนี้เป็นแค่คนรู้จักแล้วครับ”

ตรัยไม่ถามต่อเพราะดูเหมือนชายหนุ่มลำบากใจที่จะตอบคำถามเขา “แผลเป็นไงบ้าง หายดีแล้วใช่ไหม”

“ดีขึ้นเยอะแล้วครับ เหลือแต่รอยแผลเป็น”

“โทษทีนะ ไม่ได้มาเยี่ยมเลย”

“ผมเข้าใจครับ ทางโน้นก็คงยุ่งมากเพราะขาดคนกะทันหัน ความจริงผมก็อยากกลับไปทำต่อ..”

“ไม่ให้ไป!”

น้ำเสียงดุดันมาพร้อมกับท่อนแขนที่โอบรัดรอบเอวสอบ พนักงานหญิงที่ตามติดรีบถอยห่างออกไปทันทีเมื่อถูกชายร่างหนาส่งสายตาเป็นเชิงไล่

“จะไปไหนก็เรื่องของกู” อดีตช่างเรือหนุ่มสะบัดตัวออกจากวงแขนกำยำด้วยสีหน้ารำคาญใจ หากแต่คนที่โอบกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ ทั้งยังบีบแน่นจนได้ยินเสียงโอดครวญเบาๆ จากปากของชายหนุ่ม

“พูดให้มันดีๆ ถ้าไม่อยากอายก็อย่าทำให้กูโมโห กูเตือนแล้วนะ”

ตรัยขมวดคิ้วกับท่าทางของคนทั้งสอง ขยับตัวจะเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยให้แต่โดนฐานิดาดึงไว้ก่อน

“ไม่ได้จะไปไหน พอดีเจอเจ้านายเก่า เลยคุยกันเฉยๆ” ณัฐตอบเสียงห้วน

เจ้าของอ้อมแขนที่กักกันณัฐเอาไว้จ้องตรัยตาแข็ง ส่วนสูงของเราไม่ต่างกันมาก แต่อีกฝ่ายรูปร่างกำยำกว่าจนเห็นกล้ามเนื้อเด่นชัดไปทั้งตัว “สวัสดีครับ ผมชื่อตรัย” ตรัยแนะนำตัวเองก่อน “คุณเป็นพี่ชายของเขาใช่ไหม?”

“มันบอกว่าผมเป็นพี่ชายเหรอ?”

“เปล่า แต่ตอนเขาโดนยิง คนของผมบอกว่าเขากลับไปกับพี่ชาย”

“อ่อ..ครับ พี่ชายก็พี่ชาย” ถึงปากจะยอมรับแต่แววตาไม่ยินดี “ผมซัน เป็น ‘เจ้าของ’ ที่นี่” เจ้าของฟาร์มไข่มุกโอบกระเอวของคนในอ้อมแขนเข้ามาประชิดตัว “แล้วก็เป็นเจ้าของมันด้วย”

“พูดบ้าอะไรของมึง กูไม่ใช่หมานะ ถึงเป็นหมากูก็ไม่ต้องการเจ้าของประสาทแดกอย่างมึงหรอก”

คนประสาทแดกตาลุกวาว กระตุกยิ้มเหี้ยมแล้วกระซิบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ปากดีให้ได้ตลอดแล้วกัน กลับถึงบ้านเมื่อไหร่มึงได้ร้องเหมือนหมาแน่”

“ตกลงพวกคุณเป็นพี่น้องกันจริงใช่ไหม?” ตรัยถามอย่างอดไม่ได้เพราะดูแล้วไม่น่าจะใช่พี่น้องกันจริงๆ

“แล้วแต่จะคิด” เจ้าของฟาร์มตอบปัด ปล่อยอดีตช่างเรือหนุ่มแล้วเปลี่ยนมากุมมือแทน “เชิญตามสบายนะครับ ผมคงต้องขอตัวก่อน”

“เดี๋ยวสิ กูยังไม่คุยไม่เสร็จเลย” ณัฐขืนตัวเอาไว้ ไม่ยอมโดนลากไปตามแรงดึง

“เป็นแค่เจ้านายเก่าไม่ใช่เหรอ? แค่ทักทายกันก็พอแล้วน่า คนที่มึงต้องคุยคือกูต่างหาก”

“คุยอะไร? กูไม่มีอะไรจะคุยกับมึง”

“แต่กูมี รับรองได้คุยกันยาวแน่”

ณัฐเม้มริมฝีปากไม่กล้าอาละวาดเพราะคนเยอะ ชายหนุ่มตะโกนบอกลาตรัยขณะโดนลากไปอีกทางหนึ่งด้วยสีหน้าของคนไม่เต็มใจ

“เหมือนผัวเมียทะเลาะกันเลยว่ะ” ฐานิดาออกความเห็น พี่น้องก็บ้าแล้ว

“คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง” คนอย่างณัฐคงไม่ยอมให้ใครมาบังคับได้ง่ายๆ ถึงจะทำเหมือนไม่เต็มใจแต่ก็ไม่เคยขัดความต้องการของอีกฝ่ายเลย

“แหวนที่คุณลูกค้าสั่งทำได้แล้วค่ะ”

ตรัยละสายตาจากมุมอาคารที่คนทั้งสองเดินออกไป เขาหยิบแหวนคู่ขึ้นมาจากถาดกำมะหยี่ที่พนักงานส่งให้ ตอนนี้หินปะการังของรุ่งภพถูกเจียระไนจนกลมสวย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะโกรธหรือเปล่าที่เขาถือวิสาสะแบ่งหินออกเป็นสองส่วนโดยพละการเพื่อทำแหวนคู่ให้กับเรา

แหวนคู่ที่มาจากหินก้อนเดียวกัน

แหวนคู่ที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ







TBC


หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 38 l 19/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 19-10-2019 21:19:57
รีบกลับไปง้อรุ่งเดี๋ยวนี้เลยค่ะคุณตรัยยย
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 38 l 19/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-10-2019 21:33:13
จ้ะ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 38 l 19/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 19-10-2019 22:20:06
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 38 l 19/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 19-10-2019 22:23:08
รอ  ตอนต่อไป

ด้วยใจจดจ่อ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 38 l 19/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-10-2019 22:54:22
 :z1:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 38 l 19/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Frankdar ที่ 19-10-2019 23:55:47
ไอเลิฟพี่ฐานิดา มาโปรดจริงๆ  ส่วนอิพี่ลดความเป็นสุภาพบุรุษลงบ้าง เจนเทิลแมนแบบแคร์คนข้างตัวด้วยที่รัก จัมวรั้ยยยยย   ทีนี้ไปง้อน้องเลยยย น้องรุ่งก็เล่นตัวเยอะๆนะ หมั่นไส้คน    ดับไฟแค้นจริงๆค่ะ  ไฟหมั่นไส้ลุกพรึ่บพรับแทน
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 38 l 19/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: night-nnc ที่ 20-10-2019 12:21:46
เป็นไงละพี่ ตอนทำไม่คิดพอเขาหนีก็อยู่ไม่ได้ สมน้ำหน้า
อยากอ่านเรื่องของณัฐเลยยย
 :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 39 l 20/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 20-10-2019 20:22:11
บทที่ 39



ลีลาวดีกลีบสุดท้ายถูกสีขาวนวลแต่งแต้มจนกลายเป็นดอกที่สมบูรณ์ในที่สุด รุ่งภพวางไม้จิ้มลงแล้วมองภาพบนกระจกด้วยรอยยิ้มหม่น เขาใช้เวลาทั้งวันทำทิชชู่อาร์ตแผ่นสุดท้ายจนสำเร็จ พรุ่งนี้คงได้รวบรวมไปให้กับผู้ว่าจ้าง เขาจะไม่คิดเงินอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่ว่าตรัยจะยินดีหรือไม่ก็ตาม

หากอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกกับเขาเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว อย่างน้อย..นี่ก็จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาทำให้ได้เพื่อตอบแทนความทรงจำดีๆ ที่มีให้กัน     

หนุ่มใต้ลูบรอยนูนของกลีบดอกและใบไม้สีเขียวที่แซมสลับอยู่ในภาพ นึกใจลอยไปถึงลายผ้าบาติกที่อีกฝ่ายเคยชมว่าน่ามองยามอยู่บนร่างเขา

ในสายตาตรัย คงไม่ใช่เขาคนเดียวที่น่ามอง หากเป็นผู้หญิงใส่ ยังไงก็ต้องน่ามองกว่าอยู่แล้ว

เสียงเคาะประตูบ้านทำให้เขาหลุดจากภวังค์ รุ่งภพหันไปมองคนเคาะโดยไม่ได้ขยับลุกไปไหน เขายังไม่ได้ปิดประตูบ้านแม้จะมืดมากแล้วก็ตาม

“ขอเข้าไปได้ไหม”

คนในความคิดยืนอยู่หน้าประตูบ้านแล้วเอ่ยปากขออนุญาตเขา รุ่งภพแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง หากตังเกไม่กระโจนเข้าไปหาเขาคงนึกว่าอีกฝ่ายคือภาพลวง

“ถ้ากัดจะไม่ให้กินขนม” ตรัยชูถุงขนมล่อ มันนั่งจ๋องทันทีแล้วยกขาหวัดดีอย่างรู้งาน “ถ้าหลีกทางให้จะยกให้ทั้งถุงเลย”

เขาเดินอ้อมตัวมันเข้าไปในบ้าน เจ้าหมาตะกละนั่งนิ่งจ้องถุงขนมน้ำลายยืด เขาหัวเราะเบาๆ แล้วหยิบกระดูกอัดแท่งให้มันไปแทะเล่น พอได้ขนมก็วิ่งตัวปลิวออกไปนอกบ้าน ตรัยระบายลมหายใจยาวกับความใจง่ายของมัน ถ้าโจรเข้าบ้านคงโดนยกเค้าไปหมดไม่เหลือแม้แต่ตอ

“เธอผอมลงอีกแล้วนะ”

รุ่งภพหลุบตาลงมองข้อต่อของกระดูกที่เห็นชัดบนหลังมือของตัวเอง ความคิดถึงหลั่งไหลจนท่วมท้นเมื่อได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย อยากจะเอ่ยขอโทษแต่ดันพูดไม่ออกเพราะก้อนแข็งๆ มันจุกอยู่ที่ลำคอ

“ขอโทษนะ”

“...?” รุ่งภพเงยหน้าขึ้นพร้อมกับสายตาตั้งคำถาม คนที่ควรจะขอโทษคือเขาไม่ใช่เหรอที่ทำตัวงี่เง่าใส่อีกฝ่าย ทำไมถึงกลับกลายเป็นตรัยที่เอ่ยปากขอโทษแทน

“ขอโทษที่ทำให้เธอรู้สึกไม่ดี ขอโทษที่ทำให้เธอเสียใจ”

“มะ..ไม่ ผมต้องหากที่ต้องขอโทษ ผมทำตัวงี่เง่า ทำให้คุณหงุดหงิด”

ตรัยกอบกุมมือของชายหนุ่ม รู้สึกใจหายกับความผ่ายผอมในชั่วระยะเวลาไม่ถึงเดือน “ฉันต่างหากที่ไม่เข้าใจเธอ..เธอไม่พอใจที่เห็นฉันสนิทกับปัดใช่ไหม?”

“ผมคิดว่าคุณชอบเธอ”

“เผื่อเธอยังไม่รู้ ฉันเป็นคนรักเดียวใจเดียวนะ” ตรัยจูบอุ้งมือของชายหนุ่ม “ถ้าฉันจะชอบปัด คงชอบตั้งแต่รู้จักกันตอนอยู่มหา’ ลัยแล้ว”

“รู้จักกันมาก่อนเหรอครับ ผมนึกว่าเพิ่งรู้จักกันตอนทำงาน”

“เขาเป็นรุ่นน้องของเพื่อนฉัน เราเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน” ตรัยรั้งตัวของชายหนุ่มมากอดไว้ให้คลายความคิดถึง “พวกเธอต่างหากที่รู้จักกันมาก่อน รู้จักกันก่อนฉันอีก”

“คุณโกรธผมเรื่องแม่หรือเปล่าครับ?”

ตรัยโยกตัวของชายหนุ่มแล้วกดจูบลงบนไหล่แคบ “ไม่ได้โกรธที่เธอทำกับแม่แบบนั้น แต่โกรธที่เธอไม่เคยเล่าให้ฟังมากกว่า”

“ผมไม่กล้าเล่า..กลัวคุณจะเกลียดผม เพราะผมทำไม่ดีกับแม่”

“ฉันเชื่อว่าสิ่งที่เธอทำลงไปมันมีเหตุผล รุ่งภพที่ฉันรู้จักไม่ใช่คนใจร้ายแบบนั้น”

ขอบตาของชายหนุ่มร้อนผ่าว อ้อมกอดที่ได้รับอบอุ่นจนใจละลาย “พ่อกับแม่ผมเลิกกันเพราะพ่อไม่มีเวลาให้ อย่างที่ผมเคยบอก..สมัยก่อนพ่อต้องออกเรือไปไกลมากเพราะบริษัทที่จ้างงานเขาทำประมงนอกน่านน้ำ บางทีก็ไปไต้หวัน บางทีก็ไปอินโด ไปทีก็ไปกันหลายเดือน นานๆ ถึงจะกลับมาสักครั้ง ตอนนั้นผมเองก็ติดเกมส์ ติดเพื่อน..” ชายหนุ่มหยุดเล่าไปครู่หนึ่งเพื่อเช็ดน้ำตาที่ไหลหยด “แม่คงเหงา..สุดท้ายก็เลิกกันแล้วย้ายไปอยู่กับ..แฟนใหม่”

ตรัยกอดกระชับชายหนุ่ม ครอบครัวของเขาก็แตกแยกไม่ต่างกันแต่จบสวยด้วยเหตุผลที่เข้ากันไม่ได้ ซึ่งยังมีความรู้สึกดีๆ หลงเหลือให้กันอยู่

“พอเลิกกันพ่อก็ลาออกจากงาน เอาเงินเก็บมาซื้อเรือแล้วออกไปวางอวนใกล้ๆ บ้าน..เป็นครั้งแรกที่ผมได้อยู่กับพ่อทุกวัน เรากินข้าวพร้อมกันทุกมื้อ พอกลับจากวิท’ลัย ผมก็ไปช่วยพ่อวางอวนตอนใกล้มืด ตอนเช้าก็ไปกู้อวนก่อนไปเรียน ถ้าแม่ยังอยู่เราก็คงได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างที่แม่หวังเอาไว้..แต่มันสายไปแล้วเพราะแม่ไม่เคยกลับมา”

“ไม่ต้องเล่าแล้วล่ะ ฉันไม่อยากรู้แล้ว” ตรัยเช็ดน้ำตาให้ชายหนุ่ม พอเห็นรุ่งภพสะอื้นหนักเขาก็ไม่อยากฟังอีกต่อไปแล้ว

รุ่งภพส่ายหน้า เขาไม่อยากมีความลับกับตรัยจึงเล่าต่อด้วยน้ำเสียงติดสะอื้น “พอพ่อเสีย..แม่บอกว่าจะพาผมไปอยู่ด้วย ตอนนั้นผมดีใจมากที่ได้เจอแม่..แต่ครอบครัวใหม่ของแม่เขาไม่ต้องการผม แม่เองก็ดูเหมือนจะลำบากใจ ผม..ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไง เลยบอกว่าไม่อยากไปอยู่กับแม่..ไม่มีใครเลี้ยงก็ช่าง ต่อให้ต้องอดตายผมก็จะอยู่ที่นี่..ดีกว่าไปเป็นส่วนเกินในครอบครัวของคนอื่น ส่วนเกินที่ไม่มีใครอยากได้”

“ชู่ว พอแล้ว ไม่ร้องนะ” ตรัยกดจูบลงบนเส้นผมของชายหนุ่ม ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่สงสัยเรื่องในอดีตของชายหนุ่มเลย

“ผมพูดไม่ดีกับแม่”

“เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าเก็บมาคิดมากอีกเลยนะ” ตรัยหมุนตัวของชายหนุ่มให้หันมาสบตา “ต่อไปนี้ก็คุยกับแม่ดีๆ ถ้าไม่อยากไปหาเขาที่สุราษฎ์ก็นัดมาเจอกันที่อื่นก็ได้นี่ จริงไหม?”

“ผมกลัวแม่ไม่มา”

“ยังไม่ทันจะนัดเลย รู้ได้ไงว่าไม่มา”

“คุณไปกับผมนะ”

“ฉันต้องไปกับเธออยู่แล้ว ไปเจอแม่ยายไง” รุ่งภพหยุดร้องแล้วหลุดยิ้มออกมา “ฉันจะเป็นครอบครัวให้เธอเอง ไม่โดดเดี่ยวอีกแล้วนะ”

“ขอบคุณนะครับ..ขอบคุณ” รุ่งภพโอบกอดชายหนุ่ม แนบจูบลงไปกลางอกตรงตำแหน่งของหัวใจ “ผมรักคุณนะ”

“ฉันก็รักเธอ”

ตรัยดึงชายหนุ่มขึ้นมาจูบตอบ สัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน

แค่จูบผะแผ่ว ไม่ได้ล่วงเกินไปมากกว่านั้น

เราสบตากันนิ่งนานหลังจากถอนจูบออก ตรัยดันตัวของชายหนุ่มลงจากตักหากแต่อีกฝ่ายไม่ยินยอม ตวัดแขนคล้องคอเขาเอาไว้แน่นแล้วแนบจูบลงมาอีกครั้ง

ตรัยครางแผ่วเมื่อริมฝีปากอิ่มขบย้ำเพื่อหาทางแทรกปลายลิ้นเข้ามาในโพรงปากเขา มือผอมปัดป่ายไปทั่วไหล่กว้าง พยายามแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตแล้วถอดออกไปให้พ้นตัว

“รู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น” เขายึดข้อมือซุกซน รุ่งภพพยักหน้าช้าๆ ริมฝีปากอิ่มฉ่ำวาวจากรสจูบเมื่อครู่นี้ “หยุดตอนนี้ยังทันนะ”

หนุ่มใต้บิดข้อมือออกแล้วโถมตัวเข้ามาในอกเขา “คืนนี้คุณอยู่กับผมนะ”

ตรัยโอบกอดชายหนุ่ม ลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเรื่อยไปจนถึงสะโพกเล็ก คนบนตักขมวดเกร็งเล็กน้อยตอนเขาบีบขย้ำเนินเนื้อกลมทั้งสองข้าง หนุ่มใต้กดสะโพกหนีฝ่ามือเขา เบียดลงตรงเป้ากางเกงที่แข็งขืนเต็มที

“อือ..”

ตรัยสบถออกมาไม่เป็นคำเมื่อเห็นใบหน้าแดงเรื่อ ดวงตาหลับพริ้มของคนบนตัก เขาช้อนก้นของชายหนุ่มขึ้นแล้วกระเตงเข้าห้องไปทั้งอย่างนั้น พอวางชายหนุ่มลงบนฟูกนอนก็จัดการลอกคราบออกไปจนหมด ไล่จูบตั้งแต่กรอบหน้าเรื่อยไปจนถึงทรวงอก สัมผัสทุกตารางนิ้วให้สมกับที่เฝ้าอดทนมานาน สูดดมกลิ่นกายของชายหนุ่มเหมือนคนบ้า อยากจะกลืนกินเข้าไปทั้งตัว

“อ๊ะ..คุณ!”

สุ้มเสียงน่ารักเปล่งออกมาเมื่อถูกกัดตรงยอดอก มันรู้สึกเจ็บแปลบในตอนแรกแล้วเปลี่ยนเป็นเสียววาบเมื่อถูกครอบครองด้วยการดูดดุน

รุ่งภพระบายอารมณ์ด้วยการขยุ้มกลุ่มผมที่ระอยู่ตรงแผ่นอก ตรัยปลดตะขอแล้วรูดซิปกางเกงลง ดันขอบเข็มขัดลงไปจนพ้นท่อนขาเผยให้เห็นชั้นในสีดำเข้มห่อหุ้มส่วนกลางกายที่แข็งชันจนเป็นรูปร่าง

หนุ่มใต้เบือนสายตาหนีช่วงล่างที่ตึงแน่นของอีกฝ่าย ตรัยหัวเราะเบาๆ กับอาการเขินอายนั้น เขาลดตัวลงก้มจูบชายหนุ่ม ขบย้ำบนต้นคอและแผงอกขณะถอดเสื้อผ้าออกจากร่างกาย

“อื้ม..”

รุ่งภพเปล่งเสียงครางหน้าเชิด โคนขาถูกอ้ากว้างเพื่อต้อนรับส่วนหนึ่งของอีกคน

“คุณตรัย..”

“หยุดไม่ได้แล้วนะ” ซองถุงยางถูกกัดฉีกแล้วสวมใส่เพื่อป้องกัน ตรัยค้นหาซองเจลหล่อลื่นในกระเป๋าสตางค์แล้วบีบราดลงบนปลายนิ้ว รุ่งภพเกร็งตัวต่อต้านเมื่อถูกป้ายวนช่องทางคับแคบของตัวเอง ชายหนุ่มกลั้นหายใจรับปลายนิ้วอุ่น ลมหายใจแปรปรวนกับความอึดอัดที่สอดแทรกเข้ามา

“เจ็บหรือเปล่า”

หนุ่มใต้ส่ายหน้า พยายามผ่อนลมหายใจช้าๆ เพื่อดูดกลืนปลายนิ้วเข้าไปจนสุดโคน

“อื้ม..อะ..”

ชายหนุ่มเปล่งเสียงครางเมื่อปลายนิ้วถูกดึงออก มันกลับเข้ามาใหม่อีกครั้งแล้วสอดเข้าสอดออกจนรู้สึกเสียดเสียว รุ่งภพหุบขาแล้วบิดตัวเร่า หน้าท้องเกร็งกระตุกเมื่อนิ้วที่สองสอดเข้ามา

ตรัยแตะจูบลงบนสะดือเล็ก ถอนปลายนิ้วออกแล้วถูไถแก่นกายอวบใหญ่เสียดสีกับร่องสะโพกเหนียวเหนอะ เสียงทุ้มคำรามต่ำเมื่อคนใต้ร่างอ้าขากว้าง ริมฝีปากอิ่มเผยออ้าขณะที่เขาดันกายเข้าไปเสาะหาความอบอุ่น

“อะ..มันแน่น ยะ..อย่าเพิ่ง”

ตรัยกดจูบลงบนหัวเข่าของชายหนุ่มแล้วดันสะโพกเข้าไปจนสุดโดยไม่ฟังห้าม รุ่งภพกรีดร้องเสียงแหลม ลมหายใจหอบถี่ หยดเหงื่อผุดพราย

“ฮึก จะ..เจ็บ”

“ขอโทษนะครับคนดี”

คนดีของตรัยกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้อง ใบหูแดงก่ำกับคำเรียกขานละลายใจ “เราเป็นคนๆ เดียวกันแล้วนะ”

“อื้ม..”

ตรัยกระชับบั้นท้ายเล็กแล้วขยับสะโพกเข้าหาเบาๆ อย่างลองเชิง คนใต้ร่างเปล่งเสียงครางเหมือนอึดอัด พยายามเกี่ยวขารั้งสะโพกเขาให้แนบชิดยิ่งกว่าเดิม

“คุณตรัย”

“ครับ”

“ระ เร็วอีก..”

ตรัยหลุดยิ้มกับเสียงสั่งบางเบาจนแทบไม่ได้ยิน อดใจกับความน่ารักไม่ไหวจนต้องโน้มตัวลงไปจูบอีกหลายครั้ง รุ่งภพครางอย่างสุขสมเมื่อเขาหยัดสะโพกฝังกายเข้าไปจนลึก ฝ่ามือทั้งสองข้างกุมกระชับรอบเอวผอม กระทั้นกายเข้าหาอย่างบ้าคลั่งไม่ต่างจากคลื่นที่สาดกระทบบนหาดทราย

“อื้ม..ผะ ผมรักคุณ ระ..รัก”

“พูดอีกสิ”

“ผมรักคุณ รักคุณ ระ..รักคุณ”

คำสารภาพที่ได้ยินไม่บ่อยนักทำหัวใจของคนฟังเต้นแรงจนเจ็บอก ตรัยถอนสะโพกแล้วกดลึกเข้าไปจนสุด ฝากฝังตัวตนเอาไว้ในช่องทางอุ่นแคบที่บีบรัดถี่รัวเพราะความสุขสม

“อ่า..” ตรัยคำรามในลำคอขณะเหยียดกายขึ้นแล้วเกร็งกระตุกเหนือร่างเล็ก “ฉันก็รักเธอ..เด็กดี”

รุ่งภพปิดเปลือกตาลงเมื่อถูกประทับจูบ ไม่นานก็สัมผัสได้ถึงโลหะบางอย่างที่สวมใส่ลงมาบนนิ้วนางข้างซ้าย “อื้อ..อะไร?”

“แหวนของเรา”

“หัวแหวนมัน..”

“มันเป็นหินปะการังจากสร้อยข้อมือเธอ..โกรธหรือเปล่าที่ฉันเอามาเป็นแหวนคู่”

รุ่งภพส่ายหน้า กดจูบลงไปบนเรือนแหวน “ผมนึกว่าทำหายไปในทะเลแล้ว พ่อผมรักหินก้อนนี้มาก ไม่เคยให้ห่างตัวเลย”

“ตอนนั้นเธอกำมันแน่นมาก ฉันแงะตั้งนานกว่าจะออก” ตรัยส่งแหวนอีกวงให้กับชายหนุ่ม “สวมให้ฉันบ้างสิ”

เจ้าของหินสวมแหวนให้คนสั่งอย่างว่าง่าย ปิดท้ายด้วยการจุมพิตเนิ่นนานบนหลังมือ

“อ๊ะ..คุณ!”

“ครับ?”

“อื้อ..”

รุ่งภพร้องเสียงหลงเมื่อถูกกระแทกโดยไม่ทันตั้งตัว ขาของเขาถูกจับแยกเพื่อรองรับความต้องการที่คุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้งเหมือนคนไม่รู้จักพอของชายหนุ่ม ริมฝีปากเห่อช้ำถูกดูดดุนเพื่อหยุดเสียงห้าม คนโดนเอาเปรียบอย่างเขาจึงทำได้เพียงทุบกำปั้นลงบนไหล่เปลือยของอีกฝ่าย แม้จะหยุดไม่ได้แต่ก็ขอให้ได้ประท้วงก็ยังดี

ตรัยกระซิบข้างหูของคนโดนรังแกแล้วเอ่ยคำรักซ้ำๆ จนชายหนุ่มใจอ่อน ตอกย้ำตัวตนเข้าไปจนลึกเพื่อย้ำเตือนคนใต้ร่างว่าเป็นของเขาโดยสมบูรณ์

รุ่งภพคือคนรัก..

คือคู่ชีวิต..

คือคนที่เขาอยากจะอยู่ด้วยจนวันตาย






TBC

ตอนหน้าจบแล้วน้าาาาาาา

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 39 l 20/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 20-10-2019 20:39:36
คุณตรัยมาเคลียร์แล้ว :katai2-1: พอบอกว่าจะจบก็ใจหายเลยค่ะ5555555555
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 39 l 20/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-10-2019 22:00:56
นึกว่าจะไม่มีวันนี้ซะแล้ว
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 39 l 20/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 20-10-2019 22:27:00
ดีกันง่ายไปมั้ยอ่ะ ดีปุ๊บปล้ำปั๊บ ไวไฟกันจริงๆ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 39 l 20/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 20-10-2019 22:43:47
ไม่นะ......

จะรีบจบไปไหนอ่ะ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 39 l 20/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Frankdar ที่ 20-10-2019 22:58:09
เคลียร์แล้วววว โล่งใจ :hao5:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 39 l 20/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-10-2019 00:12:41
 :haun4:


 :man1: :man1: :pig4: :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 39 l 20/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 21-10-2019 18:30:15
อ่านได้เรื่อยๆ ได้ความรู้เพิ่มเติมอีกด้วย
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 40 END l 21/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 21-10-2019 19:48:22
บทที่ 40

   

ฤดูร้อนเวียนมาบรรจบอีกครั้ง หอบเอาความสดใสและแสงแดดจ้าคืนสู่ทะเลงาม เกาะบูลันในวันนี้ไม่เงียบเหงาเหมือนก่อนแล้ว วันแรกของการเปิดตัวเริ่มขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ เริ่มจากเตรียมสถานที่และจัดคิวการแสดงประจำรีสอร์ท พนักงานในชุดผ้าถุงปาเต๊ะเดินสวนกันให้วุ่น ทั้งส่วนต้อนรับ เสิร์ฟอาหารและรักษาความปลอดภัย

วงเดือนรีสอร์ท

รุ่งภพอมยิ้มเมื่อแหงนหน้าขึ้นมองแผ่นป้ายบอกทางบนสะพานเทียบเรือ มันทำให้เขานึกถึงตอนมาเกาะแห่งนี้ครั้งแรกแล้วถกเถียงกันเรื่องชื่อและความหมายของเกาะกับผู้เป็นเจ้าของ ไม่คิดว่าตรัยจะเอาชื่อที่เขาแปลเป็นภาษาไทยไปตั้งเป็นชื่อของรีสอร์ท รู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ที่ชายหนุ่มยังจำได้และใส่ใจถึงเพียงนี้

แผ่นป้ายบอกทางแบบสองทิศปักอยู่บนสะพานไม้สำหรับเทียบท่า ด้านขวาไปรีเซฟชั่นและห้องพัก ส่วนด้านซ้ายไปห้องอาหารและศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยว ถัดจากป้ายบอกทางเป็นป้ายเขตปลอดพลาดสติก มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษกำกับไว้ แขกที่มาเข้าพักสามารถเลือกใช้กระเป๋าเตยปาหนันที่ทางรีสอร์ทแจกให้ใช้ระหว่างพักอยู่ที่นี่ ถัดลงมาอีกเป็นป้ายเตือนสองภาษาเช่นเดียวกัน กำกับเอาไว้ว่าห้ามให้อาหารปลา

เสียงไวโอลินแว่วหวานผ่านลำโพงขยายเสียง รุ่งภพหันไปมองทางห้องอาหารริมชายหาด ตอนนี้แขกส่วนใหญ่ปาร์ตี้กันอยู่ที่นั่น เนื่องจากเรือนไม้ไผ่หลังนั้นเป็นทั้งห้องจัดเลี้ยงและฟลอร์เต้นรำไปในตัว

งานเปิดตัวของรีสอร์ทเริ่มขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ

รุ่งภพพยุงเถ้าแก่ชัยเข้าไปในงานพร้อมกับเพื่อน วันนี้มิ่งขวัญแต่งกายเรียบร้อยด้วยเสื้อเชิ้ตตัวใหม่และกางเกงผ้าเนื้อดี ผมถูกตัดและหวีเสยจนเรียบแปล้ หนวดเคราถูกเล็มออกเพื่อให้เกียรติเจ้าของงาน

“ยังสวยเหมือนเดิมเลย ไม่สิ..สวยกว่าเดิมอีก” เถ้าแก่ชัยบอกกับคนพยุงขณะเดินชมทิวทัศน์รอบนอก ต้นไม้และพงหญ้าถูกปรับทัศนียภาพจนดูสะอาดตา นอกจากต้นไม้เขียวขจีแล้วยังมีดอกไม้ป่านานาชนิดขึ้นแซมสลับแลดูสดใส

“เถ้าแก่เคยมาด้วยเหรอครับ”

“เคยมาดูแลอยู่ช่วงหนึ่ง เจ้าของที่เขาไหว้วานเราก็ต้องมา”

เสียงไวโอลินเงียบไปแล้ว หลังจากนั้นไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงกลองรำมะนาผสานกับเสียงของกีตาร์โปร่ง พอเพลงบรรเลงเริ่มเปลี่ยนเป็นจังหวะสนุกสนาน เจ้าของรีสอร์ทก็โค้งคำนับเพื่อขอแขกกิตติมศักดิ์เต้นรำแทนการเปิดฟลอร์

เด็กหญิงในชุดบานงและเด็กชายในชุดตะโล๊ะบลางอจากโรงเรียนท้องถิ่นจับคู่เข้าไปสมทบ เริ่มจากการย่ำเท้าแบบง่ายๆ และหมุนตัวให้เข้ากับจังหวะของเพลงรองเง็ง แขกในงานเริ่มจับคู่กันออกไปเต้นรำบ้าง พยายามเลียนแบบท่าเต้นจากเด็กๆ ด้วยการหันหน้าเข้าหาคู่ของตัวเองและซอยเท้าตาม

รุ่งภพนั่งลงด้านหลังเก้าอี้นั่งของเถ้าแก่ พอเพลงลาฆูดูวอบรรเลงจบตรัยก็จับจูงคู่เต้นรำของตัวเองเข้ามานั่งพัก เธอเป็นหญิงชรารูปร่างปราดเปรียว แววตาเชิดรั้นเย่อหยิ่งและแข็งแรงเกินอายุ

คุณยายของตรัย

รุ่งภพก้มหน้าลงเมื่อเธอปรายตามองมา เรื่องระหว่างเขากับตรัยถูกเปิดเผยไปนานแล้ว แม้จะไม่ได้ถูกพาไปแนะนำตัวอย่างเป็นทางการแต่ก็ได้มีการพูดคุยกันบ้างผ่านโทรศัพท์และวิดีโอคอล

“มากับเขาด้วยเรอะ” หญิงชราเอ่ยถามเมื่อเห็นเขา แววตาเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใด

“ครับ”

“พูดเหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วง ถามคำตอบคำ ไม่น่ารักเอาซะเลย”

“คุณยายครับ..ก็คุณยายถามแค่นั้น จะให้น้องตอบว่ายังไงล่ะครับ” ตรัยเอ่ยขัดคอผู้เป็นยาย เธอค้อนขวักแล้วเอ่ยเสียงเครือ

“แตะนิดแตะหน่อยก็ไม่ได้ โอ๋กันเข้าไปสิ!”

เถ้าแก่ชัยกระแอมไอ ส่งสายตาให้ลูกชายถอยไปแล้วออกปากชวนคุยไปเรื่องอื่น “คุณแม่เอายาดมไหมครับ?”

“เป็นลูกฉันเหรอถึงมาเรียกฉันว่าแม่”

“อ่อ..ครับๆ คุณหญิงแม่”

หญิงชราเม้มริมฝีปากจนบางเฉียบแล้วส่งเสียงขัดใจในลำคอ “แล้วเอายาดมมาให้ฉันทำไม?” มองเมินยาดมหลอดเล็กที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้ “ไม่เอา! เอาคืนไป ฉันไม่ใช้ของร่วมกับแก”

“โธ่..ก็ผมเห็นคุณหญิงแม่เต้นซะลืมแก่ขนาดนั้น ก็เลยกลัวจะเป็นลมเป็นแล้งไปไงครับ”

“ฉันยังแข็งแรงมีไฟอยู่ย่ะ ไม่ต้องพึ่งยาดมยาหอมเหมือนแกหรอก”

ตรัยส่ายหน้าให้กับไม่ลงรอยของคนแก่ ปล่อยให้พ่อกับยายคุยกันไป? ส่วนตัวเองเดินเข้าไปหาคนรักแล้วฉุดรั้งให้เข้ามายืนอยู่กลางฟลอร์

“คุณ! ผมไม่อยากเต้น”

“กังวลอะไรหืม? คนอื่นเขาเต้นกันเยอะแยะ ไม่มีใครสนใจพวกเราหรอก” ตรัยกุมมือชายหนุ่มแล้วจับบังคับให้ก้าวเท้าตาม

“ผมไม่อยากให้คนอื่นมองคุณไม่ดี แขกตั้งเยอะแยะ คุณไม่อายเหรอครับ”

ตรัยส่ายหน้าแล้วหมุนตัวของชายหนุ่มเข้ามากักขังในอ้อมแขน “ฉันไม่สนใจคนอื่นหรอก ฉันสนแค่เธอ” นัยน์ตาคมหลุบต่ำ ปิดบังความเขินด้วยการโขกหน้าผากกับไหล่เขา “เรียนเป็นไงบ้าง”

“อืม..พอไหวครับ ตอนนี้ยังเรียนหมวดวิชาทั่วไปอยู่ แล้วก็พื้นฐานการออกแบบ ปีหน้าถึงจะเรียนวิชาบังคับแล้วก็เอกเลือก”

“ไหวแน่นะ พักงานในแพก่อนไหมจะได้เรียนให้เต็มที่” ตรัยหว่านล้อม ตอนรุ่งภพบอกจะเรียนต่อเขาดีใจมาก ไม่แปลกใจเลยที่ชายหนุ่มเลือกเรียนสาขานวัตกรรมการออกแบบ รุ่งภพถนัดงาน DIY เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สามารถต่อยอดได้หลากหลายสาขา ทั้งงานออกแบบ งานผลิตและงานตกแต่ง

“เรียนแค่เสาร์-อาทิตย์เอง ไม่เหนื่อยหรอกครับ”

“ตามใจแค่ตอนนี้เท่านั้นนะ เดี๋ยวถ้าคุณฝนหาชิ้วเรือมาแทนเธอได้เมื่อไหร่ ฉันจะให้เธองดออกเรือทันที” ตรัยดึงชายหนุ่มออกจากวงเต้นรำเมื่อนักดนตรีบรรเลงเพลงท่อนสุดท้าย เขาพารุ่งภพเดินย้อนกลับมายังสะพานยาวหน้ารีสอร์ท เรือยอร์ชส่วนตัวจอดคอยอยู่ก่อนแล้ว โดยมีผู้จัดการรีสอร์ทถือกุญแจยืนคอยเขา

“อ้าว? ตรัย จะพาน้องไปไหนน่ะลูก”

“สวัสดีครับ คุณตรี”

รอยยิ้มใจดีประดับอยู่บนใบหน้าของตรีทิพย์ เธอมองเด็กหนุ่มข้างกายลูกด้วยแววตายินดีหลังจากไม่ได้เจอกันนานมากเพราะต่างคนต่างยุ่งจนไม่มีเวลา “จะเอาเรือออกไปไหนกันจ๊ะ”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”

ตรีทิพย์หันไปเลิกคิ้วถามลูก นึกเป็นห่วงเพราะเย็นมากแล้ว

“ไปใกล้ๆ นี่เองครับ ไม่ได้ออกไปไหนไกลหรอก”

“ไม่บอกก็ตามใจ เดี๋ยวแม่จะกลับแล้วนะลูก เป็นห่วงน้องขวัญ เขาใกล้จะคลอดแล้ว” ตรีทิพย์เอ่ยถึงลูกสะใภ้คนเล็ก ตอนนี้ท้องแก่ใกล้คลอดเต็มทีแล้ว อีกไม่นานคงได้รับขวัญหลาน

“ฝากรับขวัญหลานด้วยนะครับ”

“ไม่รับฝากจ้ะ ถ้าคลอดแล้วแม่จะโทรมาบอก ยังไม่รู้เลยว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“ไม่ได้ซาวด์เหรอครับ?” ตรัยถามด้วยความแปลกใจ น้องชายของเขาไม่น่าจะอดทนรอลุ้นได้จนถึงวันคลอด

“ซาวด์จ้ะ แต่ไม่เห็น สงสัยจะขี้อาย ซาวด์ทีไรหนีบเอาไว้ตลอดเลย” เธอหัวเราะอารมณ์ดี รู้สึกตื่นเต้นกับหลานคนแรก

“งั้นผมขอรับขวัญคนสุดท้ายแล้วกันนะครับ เดี๋ยวรอให้รุ่งสอบเสร็จก่อนแล้วค่อยไป”

“เดี๋ยวแม่บอกตาวให้แล้วกันนะ ตรัยจะพาน้องไปไหนก็รีบไปเถอะลูก เดี๋ยวมืดค่ำแล้วมันอันตราย”

ตรัยรับคำแล้วกอดลาแม่ก่อนจาก เขาฝากรีสอร์ทให้ผู้จัดการดูแลก่อนจะพารุ่งภพลงเรือแล้วขับอ้อมไปทางหลังเกาะ ทิวทัศน์แถบนี้เป็นไหล่เขาและผาเตี้ย หาดทรายไม่สวยเหมือนด้านหน้าเพราะเต็มไปด้วยก้อนหินตะปุ่มตะป่ำ เขาพาชายหนุ่มไต่ความชันขึ้นไปบนเชิงเขา รุ่งภพอ้าปากค้างเมื่อเห็นดอกหญ้าในความทรงจำขึ้นเบียดกับกองหินจนกลายเป็นทุ่งกว้าง ตรัยตวัดแขนกอดรัดชายหนุ่ม กดจูบลงบนแก้มอิ่มแล้วเอ่ยกระซิบข้างใบหู

“ชอบไหม? มันเพิ่งขึ้นเมื่อเดือนก่อนแต่ขยายพันธุ์ได้ช้ามาก ฉันเลยให้คนงานขึ้นมาริดหญ้าต้นอื่นออก กลัวมันโดนกลืน”

“เหมือนทุ่งดอกไม้เลย” ก้านดอกโอนเอนตามแรงลม เหมือนระบำดอกไม้กลางทุ่งกว้าง

“เอาไว้ดูวิวพระอาทิตย์ตกกับเธอสองคน”

รุ่งภพเอนหลังพิงอกคนกอด ทอดถอนใจอย่างเป็นสุขกับชีวิตที่มีเขา “ขอบคุณนะครับ”

“เรียนจบแล้วมาอยู่ด้วยกันนะ”

หนุ่มใต้พยักหน้าตอบรับคำชวน เขาคิดเอาไว้นานแล้วว่าจะเข้ามาช่วยงานตรัยหลังเรียนจบ แม้จะผูกพันกับงานในแพปลามาหลายปีแต่เขารักศิลปะการออกแบบมากกว่า ถึงอาชีพการงานจะเปลี่ยนไปแต่สายเลือดพรานทะเลยังคงอยู่ ความรู้ที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กยังคงไหลเวียนอยู่ในตัวเขา แม้ภายภาคหน้าจะไม่มีโอกาสได้ใช้แต่เขาก็ยังสามารถถ่ายทอดให้กับคนรุ่นหลังได้สืบสานต่อถึงวิถีชีวิตชาวประมงที่ยั่งยืน

สายลมฤดูร้อนพัดพาความอบอุ่นเข้ามาห่มใจ รุ่งภพกระซิบรักเสียงแผ่ว หัวใจเป็นสุขเมื่อได้รับอ้อมกอดกระชับแน่นกลับคืนมา



END


หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 40 END l 21/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Frankdar ที่ 21-10-2019 22:37:49
ผ่านไปด้วยดี ขอบคุณมากนะคะที่แต่งนิยาย น่ารักๆมาให้อ่าน ได้ความรู้ด้วยค่ะ  จบแล้วคงคิดถึงน้องรุ่งแย่  :hao5:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 40 END l 21/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-10-2019 04:00:02
ไอ้เราก็มองหา​ นึกว่าถูกดันไปอยู่อีกหน้า​
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 40 END l 21/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 22-10-2019 15:59:06
ใกล้จะอ่านจบละ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 40 END l 21/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 22-10-2019 22:15:18
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 40 END l 21/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 24-10-2019 22:44:47
Happyกันไปในตอนจบ นึกว่าตรัยจะโดนชะนีจิกนานกว่านี้ ดีที่ตรัยคิดได้ทัน ไม่งั้นสงสารน้องรุ่งแย่เลย สนุกค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 40 END l 21/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 24-10-2019 22:56:21
 :pig4:สำหรับนิยายดีๆค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 40 END l 21/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Cappello ที่ 25-10-2019 21:18:04
สนุกมากค่าา
อ่านแล้วอยากไปเที่ยวใต้เลย 5555
อยากไปเล่นน้ำทะเลอีก
ขอบคุณมากๆค่าาา
 o13 o13
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนที่ 40 END l 21/10/62 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 26-10-2019 12:35:12
เป็นเรื่องราวที่น่ารักมากค่ะ
น้องรุ่งน่ารักมาเลย ชอบตังเกด้วย
อ่านเพลินมากได้ ำด้ความรู้เกี่ยวกับการมำประมงด้วย

ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ 1 l 27/10/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 27-10-2019 15:46:57
ตอนพิเศษ

แจ็ค แดเนียล



หนุ่มร่างสูงถอดแว่นสีชาออกหลังจากเรือรับส่งจอดให้ลงตรงจุดเทียบท่า แววตาทะเล้นทอดมองพุ่มไม้เลื้อยของต้นเฟื่องฟ้าลัดเลาะกิ่งก้านไปตามแนวสะพานด้วยสายตาชื่นชม ช่อดอกสีชมพูสดกำลังบานสะพรั่งตัดกับสีเทอร์ควอยซ์ของน้ำทะเล เขาอมยิ้มด้วยความพึงพอใจขณะก้าวเดินไปยังกระท่อมรีเซฟชั่นเบื้องหน้า เสื้อฮาวายที่หยิบฉวยมาใส่แบบลวกๆ ถูกลมทะเลพัดโกรกจนเห็นมัดกล้ามอยู่รำไร อากาศดีมากจนได้กลิ่นสะอาดของสายลม แม้ดวงอาทิตย์จะแผดจ้าอยู่กลางศีรษะแต่ไม่อาจลดทอนความสวยงามจากธรรมชาติลงไปได้เลย

“วงเดือนรีสอร์ทสวัสดีค่ะ”

“ผมต้องการพบเจ้าของรีสอร์ทครับ” เขาแจ้งความประสงค์ รีเซฟชั่นนิสสาวยิ้มค้างก่อนจะถามกลับด้วยความไม่แน่ใจ

“คุณลูกค้าอยากให้ทางเราช่วยอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ? หากยังไม่ได้จองห้องพักสามารถลงทะเบียนตรงนี้ได้เลยค่ะ เรายังมีห้องว่างให้บริการ” เธอยิ้มและพยายามถามความต้องการจากลูกค้า ถ้าไม่ใช่ปัญหาใหญ่เธอก็ควรจะจัดการเอง ไม่ใช่โทรเรียกเจ้าของรีสอร์ททุกครั้งที่แขกเรียกหา “ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าต้องการบ้านพักแบบไหนคะ ถ้าเป็นโอเชียนวิวจะเห็นทะเลด้านหน้า ถ้าเป็นเมาท์เทนวิวจะเห็นป่าและภูเขาอยู่ด้านหลังค่ะ”

หนุ่มร่างสูงเคาะนิ้วบนเคาน์เตอร์ต้อนรับ พอหันมองไปรอบตัวก็เห็นลูกค้าของรีสอร์ทกำลังรอเช็คอินต่อจากเขาอีกหลายคน “เอาโอเชียนวิวก็ได้ครับ”

เธอยิ้มกว้างเมื่อเขาไม่ดื้อดึง “รบกวนขอพาสปอร์ตหรือบัตรประจำตัวอย่างใดอย่างหนึ่งนะคะ”

ชายหนุ่มยื่นบัตรประชาชนให้เธอและกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียนจนเสร็จ เธอยื่นกุญแจให้และเรียกพนักงานอีกคนมาช่วยนำทาง

รู้งี้โทรมาก่อนก็ดี

บ้านพักแบบโอเชียนวิวอยู่ทางฝั่งขวาของรีสอร์ท มีสะพานไม้ทอดยาวเป็นเส้นโค้งเชื่อมต่อบ้านพักแต่ละหลังเข้าหากัน เมื่อมองจากมุมสูงจะเห็นกระท่อมจำนวนยี่สิบหลังโอบล้อมแอ่งน้ำเป็นรูปใบพัดโดยมีกระท่อมของรีเซฟชั่นเป็นจุดศูนย์กลาง

หนุ่มร่างสูงวางกระเป๋าใส่กล้องเอาไว้บนเตียงหลังจากเดินเข้ามาในบ้านพัก เขาผลักบานหน้าต่างออกเพื่อชื่นชมวิวทะเลสีฟ้าใส เวิ้งอ่าวภายใต้หุบเขาเขียวขจีเหมือนเมืองลับแลที่ไม่มีใครพบเห็น นอกจากเรือใบของรีสอร์ทที่จอดลอยอยู่กลางอ่าวก็ไม่เห็นเรือลำไหนแล่นผ่านอีกเลย

สงบดีเหมือนกัน ได้ยินแต่เสียงคลื่นสาดกระทบบนชายหาดแทรกสลับกับเสียงนกร้องอยู่เป็นระยะ

เขาปิดบ้านพักแล้วเดินย้อนกลับมายังจุดรีเซฟชั่นอีกครั้งเพื่อผ่านไปยังห้องอาหารอีกฟากหนึ่งของชายหาด บริเวณนี้เป็นจุดสันทนาการสำหรับลูกค้าที่มาเข้ามาพัก มีทั้งห้องอาหาร ฟลอร์เต้นรำ ร้านขายของที่ระลึกและแปลงผักอินทรีย์ที่ปลูกเอาไว้สำหรับกินเอง

ถัดจากแปลงผักเป็นทางดินกว้างสองเมตร บริเวณโดยรอบถูกโอบล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ต่างจากอีกฟากที่เป็นสวนมะพร้าวเก่าแก่ ถูกขุดรอกจนกลายเป็นท้องร่องเพื่อรองรับกิจกรรมผจญภัย

เขาสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดแล้วเดินลัดเลาะพุ่มมันปูเข้าสู่ทางดิน นอกจากแปลงผักแล้วยังมีแปลงดอกไม้หลากสีสันขึ้นเบียดกันแน่นขนัดจนกลายเป็นพุ่มดกหนา ถัดจากค้างไม้เลื้อยสำหรับบังสายตาเป็นอาคารโล่งๆ หลังหนึ่ง มุงด้วยใบจากสองชั้น ด้านในมีลำไม้ไผ่และอุปกรณ์สำหรับงานช่างวางเกลื่อน ใกล้ๆ กันมีเก้าอี้ไม้ไผ่ที่ยังต่อไม่เสร็จดีอยู่หลายตัว นึกแปลกใจที่อาคารไม้หลังนี้ไม่มีใครอยู่ ดูจากข้าวของที่ทิ้งไว้เกะกะน่าจะมีคนอยู่ไม่ต่ำกว่า 3-4 คน

จนกระทั่งได้ยินเสียงทุ่มเถียงกันดังแว่วมาจากด้านหลัง พอเดินไปดูก็เห็นกลุ่มคนที่เขาคาดไว้

“มึงบุบถั่วฝักยาวอีกนิดนึงสิวะไอ้ห่า ขนาดกระเทียมยังตำไม่แตกเลย มึงมีแรงไหมเนี่ย?”

“ตำแรงก็บน ตำค่อยก็บ่น เอาใจยากจริ๊ง” คนตำบ่นออดแอด ไม่ได้เกรงกลัวคนสั่งเลยสักนิด

“เดี๋ยวกูถีบตกแคร่ มึงไปแกะปูม้าเลย เดี๋ยวกูตำเอง” แย่งครกมาตำเองตามที่พูด พอได้ดั่งใจก็ปรุงรสและคลุกเคล้าจนได้กลิ่นเครื่องปรุงหอมฟุ้ง ปิดท้ายด้วยมะนาวฝานบางๆ ชวนให้น้ำลายสอ

“ช้อนๆ” เรียกหาช้อนแล้วชิมรส ทำปากจ๊อบแจ๊บสีหน้าปะแล่ม

“เป็นไงวะพี่”

“มันหรอยหนัด”

“โธ่ นึกว่าแดกไม่ได้ซะแล้ว”

“แดกไม่ได้ก็ไม่ต้องแดก”

“ดุอย่างกับหมาเลยเว้ย เมื่อคืนผัวไม่ทำการบ้านเหรอจ๊ะ” พูดยังไม่ทันขาดคำก็โดนถีบเข้ายอดอกจนหงายหลังฝุ่นตลบ ไม่มีใครเข้าไปช่วยแถมยังรอสมน้ำหน้า บ้างก็ถีบซ้ำด้วยสีหน้าสะใจ

“ไอ้ฟาย เดี๋ยวมึงก็โดนผัวเขาหักเบี้ยเลี้ยงหรอก”

“เรื่องอื่นแซวได้แต่เรื่องผัวห้ามแซวเว้ย..ใช่ไหมพี่”

“ไอ้พวกเหี้ย!”

“ฮ่ะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

เสียงหัวเราะครึกครื้นดังลั่นสะท้านป่า คนถูกแซวกระตุกยิ้มร้าย ลับมีดกับปากครกด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม

เด็กวัยรุ่นห้าคนพร้อมใจกันหุบปากฉับเมื่อได้ยินเสียงคมมีดเสียดแทงในหู สีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมผิดกับเมื่อครู่นี้ลิบลับ พวกเด็กๆ พากันส่งซิกขยิบตาให้ช่วยกันหั่นข้าวโพดและขูดแครอทอย่างเร่งรีบ กว่าจะใส่ปูม้าลงไปตำในขั้นตอนสุดท้ายก็เล่นเอาเหงื่อแตกพลั่กกันเป็นทิวแถว

“ไม่เจอกันตั้งนาน ดูเป็นแม่บ้านแม่เรือนขึ้นนะมึง”

“หือ?” ทุกคนหันขวับมามองเขาด้วยสีหน้าสงสัย ชายหนุ่มจับจ้องคนตำเป็นพิเศษ พอเห็นอีกฝ่ายทำตาโตเท่าไข่ห่านเขาก็ยักคิ้วให้พร้อมกับหลุดยิ้มขำ

“คุณสิปา!” รุ่งภพรีบลุกมาหาด้วยความตื่นเต้น ลอบสำรวจร่างกายเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนสแกนหาความผิดปกติ “แม่บ้านแม่เรือนอะไรกันครับ คุณก็พูดไปเรื่อย”

“กูก็พูดตามที่เห็น ไม่นึกว่ามึงจะทำอาหารคล่องขนาดนี้” ท่าควงสากลับมีดไม่ธรรมดาเลย นึกสงสารเพื่อนตัวเองขึ้นมาตะหงิด “แล้วทำอะไรกินอ่ะ? กูกินด้วยได้ไหม”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ?” พาไปนั่งบนแคร่ไม้ไผ่ พวกเด็กๆ พากันลุกพรึ่บแล้วยกมือไหว้เขาแบบงงๆ “คุณมาได้จังหวะพอดีเลย เมื่อเช้าคนที่แพเพิ่งเอาปูม้ามาส่ง ผมอุตส่าห์บากหน้าไปขอแบ่งมาจากคุณเชฟเลยนะ ตั้งใจจะตำปูม้าให้ไอ้ลิงพวกนี้กินกัน”

“มึงใช้คำว่าบากหน้าเนี่ยนะ? ระดับแฟนเจ้าของเกาะเลยนะเว้ย” พวกเด็กๆ พากันพยักหน้ากันหงึกหงักแต่ก็รู้ฤทธิ์ของเชฟประจำเกาะดี

“เขาต้องควบคุมวัตถุดิบนี่ครับ ยิ่งไม่ใช่หน้าปูด้วย เขาก็ต้องกันไว้ให้ลูกค้าก่อนสิ” รุ่งภพช่วยแก้ต่างให้ ความจริงแล้วเชฟไม่ใช่คนใจร้ายอะไรหรอก เขามีนิสัยนิ่งๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นเรื่องของอาหารจะจริงจังมาก ถึงขั้นคำนวณปริมาณต่อจานกันเลยทีเดียว “แล้วคุณล่ะครับ หายไปไหนมา ไม่ติดต่อมาบ้างเลย”

“ไปใช้ชีวิตมา”

“เอาดีๆ สิครับ คุณตรัยเป็นห่วงคุณมากนะ” พอส่งมอบรีสอร์ทให้ตรัยเสร็จก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลย งานเปิดตัวก็ไม่มา โทรไปก็ไม่ติด

“กูไปอยู่ไซต์ที่เบตงมา มันไม่ค่อยมีสัญญาณอ่ะ อยู่ในหุบเขา”

รุ่งภพอ้าปากค้าง ไล่สายตาสำรวจคนตรงหน้าอีกครั้งเพราะรู้ดีถึงสถานการณ์ตึงเครียดที่ชายแดนใต้ “คุณไม่กลัวเหรอ?”

“มันไม่ได้แย่อย่างที่คิดหรอก เบตงน่ะปลอดภัยสุดแล้วเพราะมันเป็นเมืองปิด ด่านตรวจเยอะจะตาย พวกก่อเหตุมันมีเป้าหมายไม่ค่อยยิงใครมั่วซั่วหรอก ถ้าจะเดินทางก็อย่าออกหลังบ่ายสาม ยิ่งเป็นวันศุกร์ยิ่งห้ามเลย ชาวบ้านเขาไปละหมาดกัน พอถนนว่าง ทางก็เปลี่ยว เราจะตกเป็นเป้าได้ง่าย”

“หูย..เกิดวันดีคืนดีเปรี้ยงปร้างขึ้นมา คงได้นอนยาวอ่ะครับ..เนอะ”

“มึงเนอะกับใคร” รุ่งภพดึงหน้าถาม ไอ้เด็กพวกนี้ นับวันยิ่งปีนเกรียว

“ขอโต้ดก๊าบ”

“แล้วต้องกลับไปอีกไหมครับ”

“คงไม่ได้กลับแล้วล่ะ งานเสร็จแล้ว เดี๋ยวกลับไปประจำไซต์ที่ระยองต่อ”

รุ่งภพถอนหายใจโล่งอก ตักตำปูม้าใส่ถาดแล้วแล้วยื่นช้อนให้กับเขา “เจอคุณตรัยหรือยังครับ”

“มันอยู่ไหนอ่ะ ไม่เห็นเลย” สิปาส่ายหน้า เขายิ้มเมื่อเห็นเด็กๆ จ้องตำปูม้าตาละห้อย พอเขายังไม่กินก็ไม่มีใครกล้าตัก ถึงจะดูห่ามดูกวนไปบ้างแต่ก็รู้จักมารยาท ไม่ข้ามหน้าข้ามตาผู้ใหญ่อย่างเขา

“ถ้าไม่อยู่ที่รีเซฟชั่นก็น่าจะอยู่ที่ศูนย์ดำน้ำครับ”

“มีศูนย์ดำน้ำด้วย?” เขาถามขณะเคี้ยวก้ามปูเนื้อหนึบ พอรุ่งภพพยักหน้าอนุญาตพวกเด็กๆ ก็จ้วงช้อนแย่งปูกันอย่างเมามัน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือแต่ข้าวโพดกับแครอทเอาไว้ให้ดูต่างหน้า คนเก็บกินก็ไม่ใช่ใคร ลูกพี่ของพวกมันนั่นแหละ “อยู่ตรงไหนวะ”

“อยู่ข้างล็อบบี้ครับ มันจะมีศาลายื่นออกมานอกสะพานอ่ะ เอาไว้เป็นจุดรวมพล ออกเรือ แล้วก็ดูตารางเวลาดำน้ำ”

“อยู่ในทะเลเลยเหรอ นึกว่ามีสระว่ายน้ำแยกให้ต่างหาก”

“เราไม่ได้สอนดำน้ำครับ เป็นแค่ศูนย์จัดเตรียมอุปกรณ์เฉยๆ” รุ่งภพส่งถาดและครกให้เด็กๆ เอาไปเก็บล้างหลังจากกินกันจนอิ่มไม่เหลืออะไรเลย “คุณจองห้องพักเอาไว้หรือเปล่าครับ?”

 “จองแล้ว อยู่ฝั่งขวา”

“เดี๋ยวผมให้คนไปย้ายของให้นะครับ คุณตรัยเขาสร้างบ้านพักแยกเอาไว้ต่างหากตรงเชิงเขาน่ะครับ จะได้ไม่ปะปนกับลูกค้า”

“ตรงไหนวะ? อยู่ลึกไหม”

“ลึกอะไรล่ะครับ อยู่ติดทะเลเลย สงสัยต้นไม้จะบังอ่ะ บางหลังก็สร้างอยู่บนต้นไม้โน่น”

“มันคิดว่าตัวเองเป็นทาร์ซานหรือไง ไม่ต้องเดินเข้าบ้านแต่โหนเข้าไปไรงี้” รุ่งภพหัวเราะจนตาปิดเมื่อเขาเปิดปากแซะเพื่อน ส่วนเด็กๆ พากันยิ้มแห้งไม่กล้าลามปามเจ้าของเกาะ “แล้วเด็กพวกนี้ใครวะ ไม่ไปเรียนกันเหรอ?”

“เด็กในรีสอร์ทนี่แหละครับ มีเรียนแค่ครึ่งเช้า เรียนเสร็จก็กลับมาช่วยผมทำเฟอร์นิเจอร์ต่อ”

“เรียนช่างเหรอ?” เขาถามเพราะเด็กบางคนยังใส่เสื้อช็อปอยู่

“เรียนช่างสามคน เรียนคอมฯ สองคนครับ”

“อ่อ พอว่างก็มาเป็นลูกมือช่วยมึงว่างั้น” รุ่งภพพยักหน้าแต่พวกเด็กๆ สั่นหัวกันด็อกแด็ก

“พี่รุ่งบังคับครับ” ไอ้อ้นเป็นคนเริ่ม

“หลอกให้มาศึกษาดูงานแต่ความจริงใช้ตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ” ไอ้บาสสุมไฟ

“ช่าย จิกหัวใช้อย่างทาสในเรือนเบี้ย” ไอ้แม็กสาดเชื้อเพลิง

“พอไม่ได้ดั่งใจก็ทุบตี” ไอ้ป๊อกระบายความเจ็บช้ำ ส่วนไอ้ต้น..

“บังคับขืนใจจนต้องยอมพลีกาย” คนเล่านั่งพับเพียบบนพื้น ป้ายน้ำลายใต้ตาเป็นเอฟเฟ็กต์ ร้องไห้กระซิกเหมือนคนบ้า

“เดี๋ยวก่อนไอ้ต้น มึงมาพลีกายให้กูตอนไหน” รุ่งภพถึงกับกุมขมับ อยากจะยกเท้าถีบไอ้พวกนี้เรียงตัว เรื่องกดขี่เขายอมรับแต่เรื่องบังคับขืนใจเขาปฎิเสธ

“พี่จำไม่ได้เหรอ วันก่อนยังให้พวกผมครางให้ฟังอยู่เลย อุ๊ย อุ๊ยๆ อุ๊ยๆ”

“โอ๊ะ โอะโอะ โอะโอ๊ะ”

“อิ๊ อิอิ อิอิ๊”

“อ๊าย อายๆ อ่ายอ๊าย อ่ายๆ อ้ายจ๋า”

สิปาหัวเราะจนกรามค้างเพราะไอ้เด็กพวกนี้ดัดเสียงซะจนแหลมปรี๊ด แถมไอ้คนต้นเรื่องยังจับเพื่อนมาแทงข้างหลังแสดงภาพประกอบอีก เลียนแบบได้เกือบเหมือน ยกเว้นอารมณ์บนใบหน้า

“ไอ้พวกเวรตะไล กูไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าพวกมึงแล้วโว้ย” รุ่งภพเหมือนคนปรอทแตก ไม่อยากจะคิดเลยว่าโดนไอ้เด็กพวกนี้ปู้ยี่ปู้ยำทางสายตามากี่รอบ

“ทะเลาะอะไรกันอีกล่ะ เสียงดังไปถึงข้างหน้า”

“คุณตรัย ฮือ~” พอเจ้าของมาก็เบะปากเตรียมฟ้อง พวกเด็กๆ สะดุ้งเฮือกกันเป็นแถว ยืนกุมเป้า ก้มหน้าคอตก รอรับชะตากรรมจากเจ้านาย “ไอ้เด็กพวกนี้มันแกล้งผม”

“เปล่านะ!”

ปฏิเสธเสียงแข็งแต่ท่าทางร้อนตัว ตรัยส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ พอกันนั่นแหละทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ “ไงมึง โผล่หัวมาได้แล้วเหรอ” เขาเอ่ยทักเพื่อน แอบเห็นพวกเด็กๆ ถอนหายใจโล่งอก พากันยิ้มรื่นเมื่อเขาไม่เอาความ

“คิดถึงเลยมาหา”

“ขนลุกไอ้สัด มึงมาก็ดีแล้ว มาช่วยกูทำสระว่ายน้ำหน่อย”

“สระว่ายน้ำอะไรวะ ไหนบอกไม่ทำไง”

“ตอนแรกก็กะจะไม่ทำนั่นแหละ แต่ลูกค้าดำน้ำไม่เป็นกันเยอะ กูเลยเปิดเป็นคอร์สสั้นๆ สอนแค่ดำน้ำตื้นพอ” เขาเดินไปหาคนรัก ดูเหมือนรุ่งภพจะลืมเรื่องฟ้องไปชั่วขณะ นั่งฟังตาแป๋วเชียว ถ้าไม่บอกอายุคงนึกว่ารุ่นราวคราวเดียวกับเด็กพวกนี้

“แล้วมึงจะทำตรงไหน”

“ใกล้ชายหาดนี่แหละ กูขุดสระเอาไว้แล้ว เหลือแค่ปูไม้ไผ่กับปูอิฐตัวหนอนเท่านั้นเอง”

สิปาเลิกคิ้ว สระว่ายน้ำในแบบของเพื่อนคงไม่เหมือนสระว่ายน้ำที่พบเห็นได้ทั่วไป “เออ ไปดิ..แต่กูคิดค่าแรงนะเว้ย”

“แจ๊ค แดเนียล พอไหม”

“สองขวด ไหวป่ะล่ะ”

“ไม่คุ้มเลยไอ้สัด กูไปจ้างคนอื่นดีกว่าไหม” ตรัยบ่นอุบ เฉพาะมันคนเดียวก็หมดไปหลายพันแล้ว

“ผมครับ ผมว่าง!”

“ผมก็ว่าง!”

“ผมด้วย!”

พอลูกพี่นำ ลูกน้องก็ส่งเสียงตามกันเป็นทิวแถว ตรัยส่ายหัว ไม่น่าพูดให้ได้ยินเลย “ร้องจะไปกันเนี่ย งานตัวเองเสร็จแล้วเหรอ”

“เอาไว้ทำพรุ่งนี้ก็ได้ ไม่รีบเนอะ”

“มึงเนอะกับใคร”

“เนอะกับพี่รุ่งนั่นแหละ วันนี้ไม่ทำหรอก ไม่มีสมาธิ..ไปทำสระว่ายกันดีกว่า เนอะๆ” หันไปพยักหน้าเออออกับเพื่อน มันจะไปมีสมาธิได้ยังไง เอาของดีมาล่อกันแบบนี้

“เอ้า จะไปก็ไป” ตรัยออกปากอนุญาตอย่างจนใจ พร้อมใจกันขนาดนี้ไม่ได้อยากช่วยอะไรหรอก อยากเหล้ากันมากว่า

สระว่ายน้ำประจำรีสอร์ทแวดล้อมไปด้วยแมกไม้สีเขียวขจี แม้จะอยู่ไม่ไกลจากชายหาดแต่ก็เข้ามาลึกพอสมควรจนมองไม่เห็นวิวทะเล ตอนพวกเราไปถึงคนงานกำลังผสมปูนซีเมนต์กันอยู่ บริเวณก้นสระปูไม้ไผ่เสร็จแล้ว เหลือแต่ผนังสี่ด้านและอิฐตัวหนอนบริเวณขอบสระ

“ฮื่อ..อย่ายุ่งน่า” ป๊อกผลักหมาอ้วนให้พ้นทาง มันสะบัดตูดแล้วเดินนวยนาดไปก่อกวนคนอื่นต่อ

“อีอ้วน กูเพิ่งฉาบปูนไปแหมบๆ มึงย่ำอีกแล้วเหรอ!” อ้นร้องโวยวายเสียงแหลม เหยาะปูนทับรอยเท้าแล้วฉาบใหม่อีกครั้ง เด็กหนุ่มกางแขนทั้งสองข้างออก ปกป้องผลงานของตัวเอง “ไปหาพ่อมึงเลย ชิ่วๆ”

ฟึ่ดดดดดดด

มันส่งเสียงฟึดฟัดแล้วสะบัดหน้าไปหาคนคุ้มกะลาหัว หลังจากเดินป่วนชาวบ้านเขาไปทั่วก็เดินไปนอนตากพุงอยู่แทบเท้าเจ้าของเกาะ สร้างความแค้นเคืองให้กับคนมองยิ่งนัก จะแกล้งก็ไม่กล้าเพราะเป็นหมาตัวโปรดของเจ้านาย

ตรัยลูบหัวมันแล้วยิ้มขำ เขาเห็นมันโดนไล่ตั้งแต่เข้าไปป่วนรุ่งภพแล้ว ปกติมันไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าไหร่นัก คงจะเหงาเพราะบนเกาะไม่มีเพื่อนตัวอื่นเลย

เอามาเลี้ยงเพิ่มอีกสักตัวดีไหมนะ?

สระน้ำรูปทรงแปลกตาเสร็จสมบูรณ์เป็นรูปเป็นร่างในตอนเย็นย่ำ เราทำความสะอาดและชะล้างคราบปูนออกจนเห็นผิวไม้ไผ่สีเขียวสด หลังจากนั้นก็ทิ้งให้แห้งสัก 2-3 วัน แล้วค่อยทำกาลักน้ำถ่ายเทน้ำจากลำธารมาลงสระในภายหลัง

“น้องแจ๊คจ๋า พี่มาล้าววววว” เสียงลั้นลาจากเด็กๆ ดังขึ้นทันทีที่เสร็จงาน พอล้างเนื้อล้างตัวกันเสร็จก็วิ่งตามผู้ใหญ่กันเป็นพรวน

“ใครอายุไม่ถึง 18 ห้ามกิน”

คนอายุไม่ถึงโดนเบรคจนหัวทิ่ม อ้าปากเหวอหลังจากโดนหลอกใช้ แง้~ อายุไม่ถึงกี่คนวะ “มึง 18 ยัง?” หันไปถามกันจ้าละหวั่น สรุปมีกินได้อยู่สองคน นอกนั้นต่ำกว่าเกณฑ์ “ขอกินอึกนึงได้ไหมครับ”

“ไม่ได้ ห้ามลักไก่นะ ฉันจะดูบัตรประชาชน”

คนอายุถึงเกณฑ์ทำหน้าเลิ่กลั่ก พอเห็นเพื่อนสลดหดหู่ ความอยากก็ลดลงไปจนเหลือศูนย์ “เอ่อ..พวกผมไม่อยากกินแล้วครับ รอกินพร้อมเพื่อนดีกว่า”

“แน่ใจนะ?”

พยักหน้ารับด้วยแววตาเสียดาย รุ่งภพเลยปลอบใจด้วยตบไหล่ปั้กๆ “ไม่เป็นไรเว้ย เดี๋ยวพวกมึงครบ 18 กันเมื่อไหร่ กูพาไปเลี้ยงเอง”

“อ้าว พวกผมไม่กิน พี่ก็ต้องไม่กินดิ เราทีมเดียวกันนะ”

“เฮ้ย! ไม่เกี่ยว ทีมเทอมอะไร? ไม่รู้จักชั่วคราวเว้ย” รุ่งภพปฏิเสธ สลัดเด็กๆ ออกแล้ววิ่งไปเกาะอยู่หลังตรัย

“โห่ รีบตีตัวออกห่างเชียว”

“คนใจร้าย”

“พอได้เขาแล้วก็ทิ้ง”

“พอๆ เดี๋ยวคราวหลังฉันเลี้ยงเอง อยากกินอะไรก็ไปนึกมา โอเคไหม” ตรัยรีบห้ามเมื่อคนข้างหลังเต้นโหยงเหยงท้าตีท้าต่อยกับเด็กห้าคน

“ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอ้พวกบ้า”

“พอได้แล้วน่า คนเดียวสู้ไหวเหรอ? ฉันไม่ช่วยนะ พูดเลย”

“ใจร้าย”

“วันนี้กูจะได้แดกไหม เหล้าเนี่ย?” สิปาเท้าสะเอวถาม เรื่องเท่าขี้ผงก็เอามาทะเลาะกันได้ ทั้งเจ้านายทั้งลูกน้องนั่นแหละ พอกัน

กว่าจะแยกย้ายกันได้ก็มืดค่ำ เราตั้งโต๊ะดื่มกันบริเวณบ้านพักส่วนตัวซึ่งอยู่ในโซนโขดหิน แถวนี้ไม่มีหาดทรายเหมือนหน้าเกาะ ใกล้ทะเลก็จริงแต่เล่นน้ำไม่ได้เพราะคลื่นแรง ถัดไปบนเชิงเขาขนาดย่อมมีบ้านพักสร้างกระจายอยู่สามหลัง ค่อนข้างห่างกันพอสมควรและถูกบดบังได้แมกไม้แผ่กว้าง

“นึกไงไปอยู่เบตงวะ”

สิปาไม่ได้ตอบเพื่อนในทันที เขารินอเมริกันวิสกี้ลงแก้วแล้วละเลียดจิบทีละนิดไม่ได้ซัดเอาๆ เหมือนแต่ก่อน “ไม่มีใครไปไง กูก็เลยอาสาแม่ง”

“เหรอ..แล้วสาวเบตงน่ารักไหม”

รุ่งภพเขม้นมองคนถาม พยายามดับอาการว้าวุ่นด้วยการกรอกเหล้าเพียวๆ ลงคอ “ถามทำไมครับ จะจีบสาวเบตงเหรอ?”

“ใช่ที่ไหนเล่า ถามไปงั้นเอง”

“ถ้าไม่คิดจะถามเหรอ?”

“เออ จริง..ถ้าไม่สนใจจะถามเหรอ” สิปาสุมไฟ ความร้าวฉานคืองานของเขา

ตรัยเตะขาเพื่อน ถลึงตาใส่แล้วหันมาพูดเสียงอ่อนกับอีกคน “ฉันแค่อยากรู้ว่ามันเปิดใจให้ใครบ้างหรือยังเท่านั้นเอง ไปอยู่เบตงตั้งนาน ต้องสนใจใครบ้างแหละ”

“งั้นก็ถามไปตรงๆ เลยสิครับ ทำไมต้องถามว่าสาวเบตงน่ารักไหมด้วยล่ะ”

สิปาหัวเราะลั่น ตบโต๊ะด้วยความถูกใจ เด็กเพื่อนแม่งตรงจนทะลุเพดาน ตรัยถึงกับกุมขมับ ไปไม่เป็นเลยทีนี้

“ก็ถามแบบอ้อมๆ ก่อนไง เดี๋ยวมันไม่ตอบ”

ทำหน้าคิดหนัก เทเหล้าเป็นว่าเล่น “เชื่อก็ได้”

ถึงกับถอนหายใจโล่งอก กลายเป็นเสือสิ้นลายไปแล้วเพื่อนเขา “เทเอาๆ เดี๋ยวก็เมาหรอกมึง”

“คนอย่างผมไม่รู้จักคำว่าเมา”

“อ๋อเหรอ” กูยังจำวันที่มึงรัดคอกูได้อยู่นะไอ้เด็กเวร

“แล้วสาวเบตงน่ารักไหม”

“อะแฮ่ม” ตรัยกระแอมไอเสียงแข็ง ตวัดตามองอย่างเคืองขุ่น ไม่ให้เขาถามแต่ดันถามซะเองเนี่ยนะ

“ผมถามแทนคุณไงครับ ถ้าถามตรงๆ เดี๋ยวคุณสิปาไม่ตอบ”

“ไม่ทันแล้วไหม มันรู้แล้วว่าเราจะหลอกถาม”

สิปากลั้วเสียงหัวเราะ ทอดมองแสงไฟประดับในรีสอร์ทด้วยสายตาผ่อนคลาย “สาวเบตงก็น่ารักดี แต่กูไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษหรอก วันๆ อยู่แต่ในไซต์ เจอแต่ผู้ชาย จะเอาเวลาที่ไหนไปจีบสาว”

“งั้นก็จีบผู้ชายสิครับ”

“ตลกละไอ้รุ่ง ผู้ชายไม่อยู่ในไทป์ที่กูชอบเว่ย” เขายังชอบผู้หญิงอยู่ ตอนนี้ไม่มีสเปคที่ตายตัวแล้ว ขอแค่อยู่ด้วยแล้วสบายใจเป็นพอ

“ไม่ลองหน่อยเหรอ”

“เผื่อจะติดใจ”

“พวกมึงนี่นะ บทจะเข้ากันก็เข้ากันได้ดีฉิบหายเลย” สิปาส่ายหน้า ละเลียดเหล้าในแก้วดื่มทีละนิด ได้กลิ่นหอมของไม้โอ๊คและถ่านเมเปิ้ลแทรกอยู่ในรสเหล้าสมราคา

พระจันทร์กลมโตเคลื่อนจากฟากฟ้าอีกด้านมาอยู่ตรงกลางศีรษะเมื่อผ่านไปเกือบครึ่งคืน ชายสองคนเริ่มพบอุปสรรคในการดื่มเหล้าเมื่อใครคนหนึ่งเริ่มเมาแล้วอาละวาดด้วยการปัดขวดเหล้าจนหกเรี่ยราด

“อ่อนสัด เพิ่งจะสองขวดเอง”

ตรัยยกยิ้มขณะมองคนเมาพยายามกระดกหัวขึ้นด้วยสายตาเอ็นดู ความจริงแล้วรุ่งภพก็คอแข็งพอตัวถ้าไม่ซัดเอาๆ แบบนี้ ในขณะที่พวกเขานั่งจิบกันเรื่อยๆ กินกับแกล้มบ้าง พูดคุยกันบ้าง สติเลยยังครบถ้วนสมบูรณ์ดี

“ทำใจได้แล้วสิมึง”

“ก็ยังเจ็บอยู่บ้างเวลานึกถึง..แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่จุดศูนย์กลางของกูอีกต่อไปแล้ว”

“สักวันมึงจะเจอคนที่ใช่”

“ถ้าไม่แก่ตายไปซะก่อน”

ตรัยยิ้มขำกับคำประชดประชันของเพื่อน พยายามดึงแก้วเหล้าออกจากมือของรุ่งภพ “ง่วงยังหืม?”

คนเมาส่ายหน้า พอไม่มีแก้วเหล้าก็คว้าช้อนคว้าส้อมมาเล่นแทน ตรัยไม่ได้ห้ามอะไรเพราะเห็นจิ้มแต่กับแกล้มในจาน ไม่ได้เล่นอะไรจนเลอะเทอะ

“เมียหรือลูกวะนั่น”

จึก!!

"อ๊ากกกกกกกก!”

เสียงร้องโหยหวนดังลั่น สิปารีบชักมือออก มองดูรอยจิ้มสี่จุดบนหลังมือของตัวเอง “เจ็บเหี้ยๆ!!”

“ลึกไหม? เลือดออกเปล่า” ตรัยรีบดึงช้อนส้อมในมือของคนรักออก พยายามจับให้นั่งนิ่งๆ เมื่อชายหนุ่มร้องงอแง

“ซี้ด..เลือดซิบเลยไอ้ห่า มึงโกรธอะไรกูเนี่ยฮะ!”

“น้องมันเมาไอ้สัด”

“มันจะฆาตกรรมกูสองรอบแล้วนะ นี่เป็นจิตใต้สำนึกของมึงใช่ไหม บอกกูมานะไอ้รุ่ง”

“มึงก็บ้าบอ พอเลย..แยกย้าย” ตรัยรวบตัวคนรักขึ้นอุ้ม สิปาผงะหงายหลบปลายเท้าของคนเมาที่ถูกยกอุ้มจนตัวลอย

“หน้ากูไอ้เหี้ย!”

“โทษๆ ไม่ทันมอง มึงไปทำแผลที่ล็อบบี้เถอะไป รุ่งให้คนขนกระเป๋ามึงมาไว้ที่นี่แล้ว บ้านพักหลังแรกเลย ตามสบายเว่ย”

พอพูดจบก็รีบอุ้มคนเมาเข้าบ้าน หนุ่มใต้ทำตาหวานเยิ้มไม่ร้องโวยวายแต่นัวเนียแทน หลังยังไม่ทันแตะฟูกก็ตะเกียกตะกายขึ้นมานอนคล่อมบนตัวของเขาแล้ว ไล่จูบสะเปะสะปะทั้งยังดึงทึ้งเสื้อผ้าจนหลุดรุ่ย

“ไม่เอาน่า เดี๋ยวเช็ดตัวก่อน กลิ่นเหล้าทั้งนั้นเลยเนี่ย”

“อื้อ..จะเอา”

ตรัยกัดฟันข่มกลั้นอารมณ์ พยายามอดทนกับฝ่ามือซุกซนที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ตรงหัวเข็มขัด หนุ่มใต้คำรามด้วยความขัดใจเมื่อแกะไม่ออก พยายามล้วงมือผ่านซิปกางเกงและนวดคลึงด้านนอกจนมันตื่นตัว

“จะมาร้องทีหลังไม่ได้นะเด็กบ้า”

คนเมาถูกผลักให้นอนราบเพื่อรองรับอารมณ์ที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เสื้อผ้าถูกเปลื้องออกอย่างรวดเร็วเผยให้เห็นผิวกายสม่ำเสมอหลังจากไม่ได้ออกเรือมาเป็นเวลาหลายเดือน ตรัยจับชายหนุ่มพลิกตัวนอนคว่ำ ทาบฝ่ามือลงบนแผ่นหลังแล้วลากไล้ลงมาตรงตามสันกระดูก คนใต้ร่างบิดเร่าด้วยความพึงพอใจ ส่งเสียงครางแผ่วเมื่อเขาดูดดึงผิวเนื้อบริเวณหลังคอ

กลิ่นเหล้าจากเนื้อตัวของชายหนุ่มมอมเมาเขาจนร่างกายเครียดขึง รุ่งภพเหยียดแผ่นหลังตรงแล้วหันมาอ้อนวอนเขาด้วยดวงตาปรือปรอย ผิวเนื้อตึงแน่นน่าขบกัดยั่วเย้าอยู่ตรงหน้า สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ฝังเขี้ยวลงไปจนเกิดรอย

“ฮึก..”

“เจ็บเหรอ?”

สั่นหัวแล้วซุกหน้าลงกับหมอน ไม่พูดไม่จาแต่ยกสะโพกเชิญชวน ตรัยยกยิ้มแล้วบีบเคล้นบั้นท้ายกลมกลึง สอดปลายนิ้วถูไถแล้วล่วงล้ำเข้าไปในจีบพับ รุ่งภพครางแผ่ว กอบกุมท่อนเนื้อของตัวเองแล้วรูดรั้งตามอารมณ์

ตรัยปัดมือของชายหนุ่มออก รั้งตัวของคนใต้ร่างขึ้นแล้วกอดกระชับหน้าท้องแบนเรียบ เขาลูบไล้ผิวเนื้อตั้งแต่ใต้อกลงไปจนถึงเนินเนื้อด้านล่าง เกี่ยวพันปลายนิ้วตรงไรขนอ่อนแล้วเลื่อนระดับลงต่ำเพื่อกอบกุมส่วนที่แข็งชันไว้ในอุ้งมือ

“เร็วอีก”

“อย่าใจร้อนสิ”

“อื้อ..” ครางประท้วงด้วยความขัดใจแล้วส่ายสะโพกถูไถกับท่อนเนื้อของเขา ตรัยกัดฟันแล้วสาวมือเร่งจังหวะ จนกระทั่งรีดเค้นหยาดหยดออกมาจนเต็มมือ

เขารูดรั้งเบาๆ เมื่อคนใต้ร่างกระตุกกายถี่ รุ่งภพทิ้งตัวลงไปบนหมอนอีกครั้ง หายใจหอบจนแผ่นหลังสะท้านไหว ตรัยไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มเนียนหลับ รีบป้ายของเหลวเหนียวลื่นลงไปบนช่องทางด้านหลังแล้วสอดใส่ตัวตนของเขาเข้าไปอย่างเชื่องช้า รุ่งภพครางเสียงต่ำเมื่อเขาประคองกอดจากทางด้านหลังแล้วกระทุ้งกายเข้าไปอย่างหนักหน่วงไม่ออมแรง

“อะ..อ๊า..อือ ไม่เอาแล้ว..จะนอน”

“อย่าเอาแต่ใจสิครับ อ่า..เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว..ไม่งอแงนะ” ตรัยชะโงกตัวข้ามไหล่แล้วกดจูบลงไปบนแก้มอิ่ม รั้งแขนของคนใต้ร่างขึ้นจนแผ่นหลังเหยียดโค้ง ได้ยินเสียงของบั้นท้ายกระทบกับหน้าขาฟังดูหยาบโลน พอเขาเร่งจังหวะขับเคลื่อนกาย ชายหนุ่มก็ครางสะท้านเสียงดังลั่น ตรัยฝังกายลึกเป็นครั้งสุดท้าย กล้ามเนื้อภายในบีบรัดเร่งให้ปลดปล่อยจนหน้าท้องบิดเกร็ง

ความสุขระเบิดพร่างราวกับพลุที่ถูกจุด ตรัยถอนตัวออกแล้วแนบใบหน้าลงบนแผ่นหลังที่ฉ่ำชื้น เปลือกตาพับปิดลงซึมซับไออุ่นจากคนใต้ร่าง






   

รุ่งภพตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกแปลกประหลาดตามเนื้อตัว เขาขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณสะบักหลัง พอเข้าไปส่องกระจกในห้องน้ำก็เห็นรอยฟันเขียวจ้ำและจุดแดงๆ กระจายอยู่บนเนื้อตัว

อะไรกันเนี่ย..แอบลักหลักคนเมาเหรอ?

เขาบ่นคนทำแล้วตีหน้ายุ่ง ยังดีที่เช็ดตัวให้เลยไม่ต้องเสียเวลาอาบน้ำนาน พอแต่งตัวเสร็จก็ออกไปโรงเรือนไม้ไผ่ตามปกติ ยังไม่ทันจะก้าวพ้นจากเขตบ้านก็เห็นเพื่อนของคนรักเดินเล่นอยู่แถวโขดหิน หนุ่มใต้ยิ้มกว้างเตรียมอ้าปากจะเอ่ยทัก แต่สายตาดันไปสะดุดที่ผ้าพันแผลบนหลังมือเข้าซะก่อน จากคำทักเลยเปลี่ยนเป็นคำถามแทน

“อ้าว มือไปโดนอะไรมาครับ?”

“หมากัด”

“หมา? ไอ้ตังน่ะเหรอ? แต่มันไม่เคยกัดใครเลยนะ คุณไปแหย่อะไรมันหรือเปล่า”

คนโดนกัดตอบเสียงแค้น “ไม่ใช่ตังเกหรอก..เจ้าของมันต่างหาก”

รุ่งภพอ้าปากเหวอ เกาหัวตัวเองอย่างงุนงง..

เจ้าของหมาก็เขาน่ะสิ..แต่เขาไม่ใช่หมานะ จะไปกัดสิปาทำไมกัน?



END



สวัสดีวันหยุดค่า จบจริงๆ แล้วน้า อาจจะมีตอนพิเศษมาอีกเรื่อยๆ แต่คงไม่ได้อัพถี่เหมือนตอนลงเรื่องหลักนะคะ ขอบคุณนักอ่านทุกคนเลยที่กดเข้ามาอ่านและคอยให้กำลังใจ คอมเมนต์ให้ตลอด อาจจะดูขัดใจไปบ้าง ไม่สมเหตุสมผลบ้าง แสงจะรับฟังและนำไปปรับปรุงในเรื่องหน้านะคะ ถ้ามีเวลาแต่ง 55555

หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ 1 l 27/10/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 27-10-2019 16:35:42
น่ารักกันเหมือนเดิมเลยค่าา

ขอบคุณคนเขียนที่มาลงตอนพิเศษให้อ่านกันนะคะ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ 1 l 27/10/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Frankdar ที่ 28-10-2019 22:43:58
น้องรุ่งน่ารักกก  :z1: อยากให้คุณสิปามีคู่จัง  :katai2-1: :katai2-1: 
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ 1 l 27/10/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-10-2019 02:06:40
ดีจายยยยย​ แอบหวังตลอดนะคะว่าจะมีตอนพิเศษ​ให้อ่าน​ แล้วก็มีจริงๆด้วย
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ 1 l 27/10/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 29-10-2019 17:29:55
กว่าจะได้กิน ..
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ 1 l 27/10/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 29-10-2019 20:51:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ 1 l 27/10/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 31-10-2019 22:35:34
รุ่งเมาแล้ว :jul1:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ 1 l 27/10/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: BM_CBC ที่ 06-11-2019 01:16:55
  :pig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISTMAS l 26/12/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 26-12-2019 20:44:18
ตอนพิเศษ PARTY CHRISTMAS



               “มันจะดีเหรอวะไอ้รุ่ง”


               “ทำไมอ่ะ มันก็ได้อยู่นะ”


               “เออ ทรงน่ะคล้ายแต่แม่งไม่ได้จริงๆ ว่ะ” มิ่งขวัญเหล่มองกองสะตอเกลื่อนกลาดและผลกาหยีแดงก่ำที่อยู่ในมือเพื่อน “มึงจะปาร์ตี้คริสต์มาสหรือมึงจะปาร์ตี้น้ำพริกสะตอ”

               “พูดมาก มือไม่พายยังเอาตีนมาราอีก มาช่วยกูตกแต่งต้นคริสต์มาสนี่ อย่าทำตัวไร้ประโยชน์” รุ่งภพเขวี้ยงผลกาหยีใส่เพื่อน มิ่งขวัญกางมือคว้ารับแล้วโยนเล่นเหมือนเดาะบอล

               “มึงเรียกไอ้พวงสะตอนี่ว่าต้นคริสต์มาสเหรอ”

               “มึงก็มองให้มันเป็นต้นคริสต์มาสสิ”

               มิ่งขวัญส่ายหน้า เหนื่อยใจจะเถียงกับเพื่อน อุตส่าห์ถ่อจากแพปลาเอาสะตอมาให้เป็นเข่ง หลงคิดว่าเชฟในรีสอร์ทจะทำเมนูน้ำพริกสะตอ ที่ไหนได้...เอามาให้เมียเจ้าของรีสอร์ทเล่นแท้ๆ

               “เถียงอะไรกันเด็กๆ ได้ยินไปถึงท่าเรือ”

               “วิน ดูไอ้รุ่งมันทำดิ” เด็กโข่งรีบฟ้องทันที ธาวินเลิกคิ้วมองไปยังต้นคริสต์มาสสายพันธุ์ปักษ์ใต้

               “ทำไมอ่ะ เก๋ๆ”

               “เนอะ” รุ่งภพรีบเออออ กวักมือเรียกคนพี่มาช่วยทำ “คุณตรัยบอกยังครับว่าเย็นนี้มีจับของขวัญ”

               “บอกแล้ว แต่พี่หาไม่ทันอ่ะ เอามิ่งไปแทนของขวัญได้ไหม”

               “จะมีคนเอาเหรอครับ”

               “ให้มันน้อยๆ หน่อยไอ้รุ่ง หน้าตาไฮโซอย่างกู มีแต่คนอยากจะแย่งชิงโว้ย”

               “ไฮโซข้าวเปลือกน่ะสิ รวยแต่เขืออ่ะมึงน่ะ”

               ธาวินหัวเราะจนกรามโยก จะมีก็แต่รุ่งภพนี่แหละที่มิ่งขวัญเถียงไม่สู้ “เอาสายรุ้งมา เดี๋ยวพี่ช่วยแต่ง”

               ทำไป ทะเลาะไปจนฟ้ามืด ทั่วทั้งรีสอร์ทในเวลานี้เปิดไฟสว่างไสวเป็นแสงสีเหลืองนวล ต้นคริสต์มาสสายพันธุ์ปักษ์ใต้ถูกยกมาไว้กลางห้องโถงสำหรับจัดเลี้ยง กล่องของขวัญหลากสีสันถูกวางซ้อนกันอยู่ใต้ต้น เสียงเพลงจิงกาเบลที่เจ้าของงานเปิดเอาไว้ในตอนแรกถูกเปลี่ยนเป็นเพลงแดนซ์ตามใจพนักงาน กลายเป็นคริสต์มาสที่ไม่เหมือนคริสต์มาสเข้าไปทุกที

               “มันพังตั้งแต่มึงเอาสะตอมาทำต้นคริสต์มาสแล้วแหละ”

               “เออน่ะ อย่างน้อยก็มีซานต้าล่ะวะ”

               มิ่งขวัญเลิกคิ้ว “ใครเป็นซานต้าวะ?”

               รุ่งภพยิ้มกริ่ม เอนกายพิงพนักเก้าอี้แล้วจิบคอกเทลเรียกน้ำย่อย “นั่นไง ซานตาครอสของเรา”

               มิ่งขวัญมองตามสายตาเพื่อน ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มเฝื่อนแต่คงไม่เท่าชายที่อยู่ในชุดซานตาครอส “อะไรดลใจให้เขาทำแบบนั้นวะ”

               “ก็...มีข้อแลกเปลี่ยนกันนิดหน่อย”

               “ข้อแลกเปลี่ยนอะไรวะ” มิ่งขวัญกระซิบถาม

               “อย่ารู้เลย เดี๋ยวใจแตก”

               “โอ้โห มึงปูมาขนาดนี้แล้ว กูเดาไม่ถูกเลยมั้ง”

               “เออ อย่างที่มึงคิดนั่นแหละ”

               “อ้าว แล้วปกติมึงกับ...” หนุ่มใต้ตัวโตชี้ไปยังซานต้ารูปหล่อที่เดินแจกซองโบนัสให้กับพนักงาน “ไม่...” ทำท่ากำมือแล้วชักกะเย่อเข้าหาตัว “เหรอวะ ทำไมไม่ตกลงกันเรื่องอื่น”

               “มันก็ต้องมีอะไรพิเศษบ้าง ชีวิตจะได้มีรสชาติไง”

               “อ๋อเหรอออ รสชาติคาวๆ ป่ะ”

               “อยากลองไหมล่ะ”

               “ไม่ต้องเผื่อแผ่หรอก กูมีของกูแล้ว”

               รุ่งภพส่ายหน้ายิ้มๆ แววตาเป็นประกายเมื่อซานต้าหมวกแดงเดินเข้ามาหา กล่องของขวัญใบใหญ่ถูกให้ เป็นกล่องแบนๆ น้ำหนักเบา อาจจะเป็นเสื้อผ้าแบรนด์ต่างๆ เหมือนที่เคยให้เกือบทุกปี

               “เดี๋ยวมีจับฉลากของขวัญกันนะครับ ทำแบบนี้มันผิดกติกานะ”

               ตรัยส่ายหน้า แม้ห้องจัดเลี้ยงจะเปิดแอร์เย็นฉ่ำแต่ชุดที่สวมทำให้รู้สึกอบอ้าวมากกว่าปกติถึงสองเท่า “อันนี้ให้ส่วนตัว ของคนพิเศษก็ต้องพิเศษอยู่แล้วป่ะ”

               “อะไรอ่ะครับ” รุ่งภพเขย่าของในกล่อง ได้ยินเสียงก๊องแก๊งคล้ายกระดิ่งห้อยปลอกคอของตังเก

               “ไม่บอก เอาไว้ไปแกะที่ห้องก็แล้วกัน” ตรัยหยิบพัดลมมือถือในกระเป๋าเสื้อสีแดงส่งให้มิ่งขวัญ สั่งงานผ่านสายตา ไม่นานลมเย็นๆ ก็พัดโกรกระบายร้อน “ฉันไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย รู้สึกแปลก...แต่ก็สนุกดี”

               “หลังจากนี้พวกพี่ๆ คงหายเกร็งเวลาคุยกับคุณสักที ต่อไปนี้เขาจะนึกถึงแต่ซานต้าใจดีเดินแจกของขวัญ ถึงซานต้าจะหน้าบูดไปหน่อยก็เถอะ”

               “ชุดนี้มันร้อนนะ มาใส่เองไหมล่ะ”

               “ผมใส่ต่อจากคุณก็ได้...แต่สัญญาเป็นอันยกเลิก”

               “ไม่มีทาง” ตรัยกัดฟันพูด อดทนต่อความร้อนจนเหงื่อเปียกซ่ก ทำตัวเป็นมาสคอสเดินให้พนักงานถ่ายรูปไปทั่วงาน ยิ่งดึกเพลงก็ยิ่งแอดวานซ์ตามสติของคนดื่ม งานเลี้ยงปีใหม่ที่จัดขึ้นก่อนวันหยุดยาวราวกับงานปล่อยผี ทุกคนปล่อยตัวปล่อยใจกันเต็มที่ เสียงหัวเราะครื้นเครงและเสียงพูดคุยเฮฮาลอยเข้าหูไม่มีขาด กว่างานเลี้ยงจะเลิกราก็ดึกดื่นค่อนคืนเข้าไปแล้ว

               “สนุกจัง ปีหน้าจัดแบบนี้อีกนะครับ”

               “ตามใจเธอ แต่ปีหน้าไม่เป็นซานต้าแล้วนะ” ตรัยนั่งลงขอบเตียงข้างคนรัก เขายังอยู่ในชุดซานตาครอสสีแดงเพราะเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยง “เอาของขวัญมาแกะสิ”

               รุ่งภพเลิกคิ้ว ไม่เคยเห็นตรัยเซ้าซี้เช่นนี้มาก่อน “แปลก ไม่ทวงสัญญาเหรอครับ”

               “ทวงสิ แต่แกะของขวัญก่อน”

               หนุ่มใต้รู้สึกไม่ชอบมาพากล ระหว่างแกะกล่องของขวัญก็เหลือบมองคนให้เป็นระยะ

               กิ๊ง!

               ลูกกระดิ่งสีขาวแวววาวคือสิ่งแรกที่เห็นเมื่อเปิดกล่อง มันถูกร้อยกับปลอกคอสีขาวและวางทับอยู่บน...อะไรสักอย่างที่นุ่มฟู

               รุ่งภพคีบมันออกมาจากกล่อง พอเห็นเต็มตาเท่านั้นล่ะ...เกือบจะปาทิ้งแทบไม่ทัน

               นี่มันหางหมากับปลอกคอ!

 

               ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตรัยคิดอะไรอยู่





Merry Christmas ย้อนหลังจ้า ลืมกันหรือยางงงค้า คิดถึงน้า เดี๋ยวจะมีข่าวดีนะคะ ไว้จะแจ้งอย่างเป็นทางการอีกครั้งนะคะ เลิฟ เลิฟ ^^


หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISTMAS l 26/12/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: แสงเหนือ/Aurora ที่ 26-12-2019 20:50:24
ตอนพิเศษ PARTY CHRISTMAS




               “มันจะดีเหรอวะไอ้รุ่ง”

               “ทำไมอ่ะ มันก็ได้อยู่นะ”

               “เออ ทรงน่ะคล้ายแต่แม่งไม่ได้จริงๆ ว่ะ” มิ่งขวัญเหล่มองกองสะตอเกลื่อนกลาดและผลกาหยีแดงก่ำที่อยู่ในมือเพื่อน “มึงจะปาร์ตี้คริสต์มาสหรือมึงจะปาร์ตี้น้ำพริกสะตอ”

               “พูดมาก มือไม่พายยังเอาตีนมาราอีก มาช่วยกูตกแต่งต้นคริสต์มาสนี่ อย่าทำตัวไร้ประโยชน์” รุ่งภพเขวี้ยงผลกาหยีใส่เพื่อน มิ่งขวัญกางมือคว้ารับแล้วโยนเล่นเหมือนเดาะบอล

               “มึงเรียกไอ้พวงสะตอนี่ว่าต้นคริสต์มาสเหรอ”

               “มึงก็มองให้มันเป็นต้นคริสต์มาสสิ”

               มิ่งขวัญส่ายหน้า เหนื่อยใจจะเถียงกับเพื่อน อุตส่าห์ถ่อจากแพปลาเอาสะตอมาให้เป็นเข่ง หลงคิดว่าเชฟในรีสอร์ทจะทำเมนูน้ำพริกสะตอ ที่ไหนได้...เอามาให้เมียเจ้าของรีสอร์ทเล่นแท้ๆ

               “เถียงอะไรกันเด็กๆ ได้ยินไปถึงท่าเรือ”

               “วิน ดูไอ้รุ่งมันทำดิ” เด็กโข่งรีบฟ้องทันที ธาวินเลิกคิ้วมองไปยังต้นคริสต์มาสสายพันธุ์ปักษ์ใต้

               “ทำไมอ่ะ เก๋ๆ”

               “เนอะ” รุ่งภพรีบเออออ กวักมือเรียกคนพี่มาช่วยทำ “คุณตรัยบอกยังครับว่าเย็นนี้มีจับของขวัญ”

               “บอกแล้ว แต่พี่หาไม่ทันอ่ะ เอามิ่งไปแทนของขวัญได้ไหม”

               “จะมีคนเอาเหรอครับ”

               “ให้มันน้อยๆ หน่อยไอ้รุ่ง หน้าตาไฮโซอย่างกู มีแต่คนอยากจะแย่งชิงโว้ย”

               “ไฮโซข้าวเปลือกน่ะสิ รวยแต่เขืออ่ะมึงน่ะ”

               ธาวินหัวเราะจนกรามโยก จะมีก็แต่รุ่งภพนี่แหละที่มิ่งขวัญเถียงไม่สู้ “เอาสายรุ้งมา เดี๋ยวพี่ช่วยแต่ง”

               ทำไป ทะเลาะไปจนฟ้ามืด ทั่วทั้งรีสอร์ทในเวลานี้เปิดไฟสว่างไสวเป็นแสงสีเหลืองนวล ต้นคริสต์มาสสายพันธุ์ปักษ์ใต้ถูกยกมาไว้กลางห้องโถงสำหรับจัดเลี้ยง กล่องของขวัญหลากสีสันถูกวางซ้อนกันอยู่ใต้ต้น เสียงเพลงจิงกาเบลที่เจ้าของงานเปิดเอาไว้ในตอนแรกถูกเปลี่ยนเป็นเพลงแดนซ์ตามใจพนักงาน กลายเป็นคริสต์มาสที่ไม่เหมือนคริสต์มาสเข้าไปทุกที

               “มันพังตั้งแต่มึงเอาสะตอมาทำต้นคริสต์มาสแล้วแหละ”

               “เออน่ะ อย่างน้อยก็มีซานต้าล่ะวะ”

               มิ่งขวัญเลิกคิ้ว “ใครเป็นซานต้าวะ?”

               รุ่งภพยิ้มกริ่ม เอนกายพิงพนักเก้าอี้แล้วจิบคอกเทลเรียกน้ำย่อย “นั่นไง ซานตาครอสของเรา”

               มิ่งขวัญมองตามสายตาเพื่อน ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มเฝื่อนแต่คงไม่เท่าชายที่อยู่ในชุดซานตาครอส “อะไรดลใจให้เขาทำแบบนั้นวะ”

               “ก็...มีข้อแลกเปลี่ยนกันนิดหน่อย”

               “ข้อแลกเปลี่ยนอะไรวะ” มิ่งขวัญกระซิบถาม

               “อย่ารู้เลย เดี๋ยวใจแตก”

               “โอ้โห มึงปูมาขนาดนี้แล้ว กูเดาไม่ถูกเลยมั้ง”

               “เออ อย่างที่มึงคิดนั่นแหละ”

               “อ้าว แล้วปกติมึงกับ...” หนุ่มใต้ตัวโตชี้ไปยังซานต้ารูปหล่อที่เดินแจกซองโบนัสให้กับพนักงาน “ไม่...” ทำท่ากำมือแล้วชักกะเย่อเข้าหาตัว “เหรอวะ ทำไมไม่ตกลงกันเรื่องอื่น”

               “มันก็ต้องมีอะไรพิเศษบ้าง ชีวิตจะได้มีรสชาติไง”

               “อ๋อเหรอออ รสชาติคาวๆ ป่ะ”

               “อยากลองไหมล่ะ”

               “ไม่ต้องเผื่อแผ่หรอก กูมีของกูแล้ว”

               รุ่งภพส่ายหน้ายิ้มๆ แววตาเป็นประกายเมื่อซานต้าหมวกแดงเดินเข้ามาหา กล่องของขวัญใบใหญ่ถูกให้ เป็นกล่องแบนๆ น้ำหนักเบา อาจจะเป็นเสื้อผ้าแบรนด์ต่างๆ เหมือนที่เคยให้เกือบทุกปี

               “เดี๋ยวมีจับฉลากของขวัญกันนะครับ ทำแบบนี้มันผิดกติกานะ”

               ตรัยส่ายหน้า แม้ห้องจัดเลี้ยงจะเปิดแอร์เย็นฉ่ำแต่ชุดที่สวมทำให้รู้สึกอบอ้าวมากกว่าปกติถึงสองเท่า “อันนี้ให้ส่วนตัว ของคนพิเศษก็ต้องพิเศษอยู่แล้วป่ะ”

               “อะไรอ่ะครับ” รุ่งภพเขย่าของในกล่อง ได้ยินเสียงก๊องแก๊งคล้ายกระดิ่งห้อยปลอกคอของตังเก

               “ไม่บอก เอาไว้ไปแกะที่ห้องก็แล้วกัน” ตรัยหยิบพัดลมมือถือในกระเป๋าเสื้อสีแดงส่งให้มิ่งขวัญ สั่งงานผ่านสายตา ไม่นานลมเย็นๆ ก็พัดโกรกระบายร้อน “ฉันไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย รู้สึกแปลก...แต่ก็สนุกดี”

               “หลังจากนี้พวกพี่ๆ คงหายเกร็งเวลาคุยกับคุณสักที ต่อไปนี้เขาจะนึกถึงแต่ซานต้าใจดีเดินแจกของขวัญ ถึงซานต้าจะหน้าบูดไปหน่อยก็เถอะ”

               “ชุดนี้มันร้อนนะ มาใส่เองไหมล่ะ”

               “ผมใส่ต่อจากคุณก็ได้...แต่สัญญาเป็นอันยกเลิก”

               “ไม่มีทาง” ตรัยกัดฟันพูด อดทนต่อความร้อนจนเหงื่อเปียกซ่ก ทำตัวเป็นมาสคอสเดินให้พนักงานถ่ายรูปไปทั่วงาน ยิ่งดึกเพลงก็ยิ่งแอดวานซ์ตามสติของคนดื่ม งานเลี้ยงปีใหม่ที่จัดขึ้นก่อนวันหยุดยาวราวกับงานปล่อยผี ทุกคนปล่อยตัวปล่อยใจกันเต็มที่ เสียงหัวเราะครื้นเครงและเสียงพูดคุยเฮฮาลอยเข้าหูไม่มีขาด กว่างานเลี้ยงจะเลิกราก็ดึกดื่นค่อนคืนเข้าไปแล้ว

               “สนุกจัง ปีหน้าจัดแบบนี้อีกนะครับ”

               “ตามใจเธอ แต่ปีหน้าไม่เป็นซานต้าแล้วนะ” ตรัยนั่งลงขอบเตียงข้างคนรัก เขายังอยู่ในชุดซานตาครอสสีแดงเพราะเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยง “เอาของขวัญมาแกะสิ”

               รุ่งภพเลิกคิ้ว ไม่เคยเห็นตรัยเซ้าซี้เช่นนี้มาก่อน “แปลก ไม่ทวงสัญญาเหรอครับ”

               “ทวงสิ แต่แกะของขวัญก่อน”

               หนุ่มใต้รู้สึกไม่ชอบมาพากล ระหว่างแกะกล่องของขวัญก็เหลือบมองคนให้เป็นระยะ

               กิ๊ง!

               ลูกกระดิ่งสีขาวแวววาวคือสิ่งแรกที่เห็นเมื่อเปิดกล่อง มันถูกร้อยกับปลอกคอสีขาวและวางทับอยู่บน...อะไรสักอย่างที่นุ่มฟู

               รุ่งภพคีบมันออกมาจากกล่อง พอเห็นเต็มตาเท่านั้นล่ะ...เกือบจะปาทิ้งแทบไม่ทัน

               นี่มันหางหมากับปลอกคอ!

 

               ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตรัยคิดอะไรอยู่






Merry Christmas ย้อนหลังจ้า ลืมกันหรือยางงงค้า คิดถึงน้า เดี๋ยวจะมีข่าวดีนะคะ ไว้จะแจ้งอย่างเป็นทางการอีกครั้งนะคะ เลิฟ เลิฟ ^^



หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-12-2019 02:17:11
อัยย่ะ​ มีตอนพิเศษ​ๆแบบนี้ด้วย​  :hao7:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: tangtey59 ที่ 05-01-2020 10:13:45
นิยายเรื่องนี้ดีมากเลยค่ะ ทั้งสรุกและได้ความรู้
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: jojobuffy ที่ 10-02-2020 22:44:53
สนุกค่า
กำลังใจ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 14-02-2020 20:44:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: FeRnChOi ที่ 21-02-2020 21:53:45
สนุกมากๆเลยค่ะ ได้ความรู้เรื่องการทำประมงเยอะมากเลย
เป็นกำลังใจให้อต่งเรื่องสนุกๆเเบบนี้ต่อไปนะคะ

 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 23-02-2020 11:40:50
สนุก น่ารักดีค่ะ
ชอบรุ่ง น่ารักดี
ขอบคุณนิยายน่ารักๆๆๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: numildkub ที่ 15-03-2020 20:30:00
เนื้อเรื่องดีมากเลย สอดแทรกความรู้เยอะมากทำให้รู้หลายเรื่องเลย
แต่ว่าเบตงไม่ได้น่ากลัวน้า เราอยู่เบตง เที่ยงคืน-ตี2เรายังซิ่งไปเซเว่นอยู่เลย 5555
ชอบนิสัยนายเอก แต่พระเอกคล้ายๆไพโบล่านิดหน่อย55555
ขอบคุณมากนะเขียนมากนะคะ
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: brapair ที่ 19-03-2020 12:39:01
แงงง น่ารักกก สนุกมากเลยค่าาา  :mew1:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 02-04-2020 22:53:39
 :z13: จิ้มไว้
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 14-04-2020 13:31:11
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: bnmshhhhhhh ที่ 23-01-2022 00:21:25
เป็นเรื่องที่อบอุ่นหัวใจมากก :3123:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 07-04-2022 17:44:12
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 09-04-2022 10:43:55
 :impress2:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 01-07-2022 06:12:56
 :z13:
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: sakura_sung ที่ 16-12-2022 13:52:27
ดีอะ พูดถึงการประมงด้วย
หัวข้อ: Re: Hunter of the sea พรานทะเล l อัพ! ตอนพิเศษ PARTY CHRISMAS l 26/12/62 P.7
เริ่มหัวข้อโดย: pedgampong ที่ 25-12-2022 23:43:23
 :pig4: