รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 100% จบ [30/12/2019]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 100% จบ [30/12/2019]  (อ่าน 13211 ครั้ง)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

เจ็ด(ครั้งที่สอง)...และเราทั้งสองก็ใจตรงกัน



“เอ้า ดื่มน้ำซะก่อน”



เสียงก๊องแก๊งจากแก้วใส่น้ำซึ่งบรรจุเต็มด้วยน้ำแข็งถูกยื่นส่งมาให้ เปรียบได้ดั่งน้ำใจไมตรีของคนเป็นผู้ใหญ่แลกกับการใช้ ‘คนที่มาจีบลูกชาย’ ทำงานบ้านงานสวน

ด้วยหน้านิ่งๆไม่บ่งถึงความเป็นมิตรและศัตรูจึงสร้างความใจชื้นให้กับฝ่ายเข้าหา จากที่เคยระแวงไปว่าปราการด่านนี้จะหินขนาดไหนกลับกลายเป็นความเข้าใจในอุปนิสัยของคนตรงหน้า

เพื่อไม่ให้น้ำใจนั้นรอคอยนานท่ามกลางแดดเปรี้ยงยามเที่ยงวัน จึงละจากกรรไกรเหล็กขนาดใหญ่ สะบัดถุงมือผ้าดิบสีขาวขอบเหลืองออกจากสองมือ ยื่นไปรับความเย็นฉ่ำปล่อยให้มันไหลกลืนลงคอ

“ขอบคุณครับ”

“วันนี้พอเท่านี้ก่อนเถอะ เดี๋ยวเจ้าอิมกับแม่ก็กลับมาแล้ว ไปล้างไม้ล้างมือ นั่งพักผ่อนรอในบ้านละกัน”

ต่อให้คุณพ่อบอกว่าให้รอนอกบ้าน ผมคงรอได้ ในเมื่อมาจีบลูกชายเขาทั้งคน

ผมเก็บข้าวเก็บของเสร็จแล้วเดินตามคุณพ่อของ ‘ว่าที่แฟน’ ไปไม่ห่าง ตั้งแต่วันแห่งการผูกมัดช่องห่างระหว่างอิมกับผมดูเหมือนจะแคบลง อีกฝ่ายเปิดใจให้ผมมากขึ้น จนผมมักเหลิงเผลอตัวตัดคำว่า ‘ว่าที่’ ทิ้งอยู่บ่อยครั้ง ทำให้อิมต้องเตือนด้วยวาจาจิกกัดแบบทีเล่นทีจริงตามแบบฉบับของเขาเสมอ

แต่สิ่งที่แฝงมาจากคำตำหนิแบบไม่จริงจังคือใบหน้าขาวซึ่งรื้นแดงซับสีเลือดจางๆชวนมอง ซึ่งถือว่าคุ้มค่ากับการโดนเหน็บอย่างไม่ต้องสงสัย

ทันทีที่เท้าก้าวสู่ไอเย็นในเขตพื้นที่ชั้นล่างของบ้าน ความรู้สึกสบายตัวจึงบังเกิด ผมเดินเลี่ยงไปล้างไม้ล้างมือใช้น้ำลูบหน้าชำระความเหนอะหนะไม่สบายตัวตรงโซนห้องน้ำเล็ก ก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อ แต่กลับเฉลียวใจเมื่อมองเห็นลายผืนผ้าที่คุ้นเคยในครรลองสายตา

ผ้าชิ้นน้อยลายตารางผืนเดียวในความทรงจำกำอยู่บนฝ่ามือ วันที่ชวนอิมเดทครั้งแรก เจ้าตัวสำลักกาแฟจนผมต้องส่งผ้าเช็ดหน้าให้ แต่ใครจะนึกว่าการตอบแทนในแบบเดียวกันจะถูกส่งกลับมายังตนในทันที

ผมเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไว้อย่างดีภายใต้ลิ้นชักตู้เสื้อผ้า หากแต่คราแรกเป็นการเก็บในความรู้สึกกังขากับของใช้ส่วนตัวของคนแปลกหน้า แต่มาวันนี้กลับรู้สึกว่ามันเป็นของชิ้นสำคัญจนต้องทะนุถนอมเก็บมันไว้อย่างดี

มือชะงักค้าง หยุดความคิดจะนำมันซับเหงื่อในบัดดล ผมยกมันขึ้นสูดดมกลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่ม ราวกับหวังให้กลิ่นอายจางๆจากเจ้าของเก่ายังคงเหลือค้างไว้ก่อนยัดกลับลงใส่กระเป๋ากางเกง ใช้แขนเสื้อซับเหงื่อตนเองเบาๆแทน ณ ขณะนั้นปรากฏเห็นเงาสะท้อนของสายตาคู่หนึ่งในกระจกพลันทำสะดุ้งใจหาย

“ค...คุณพ่อ”

“ดมมันอยู่นั่น อย่างกับพวกโรคจิต” ในใจถึงขั้นหลอนเมื่อคนเป็นบิดาเอ่ยกว่าคำนี้ออกมา แต่ทว่า... “เหมือนตอนข้าดมจดหมายฉบับแรกจากแม่เจ้าอิมไม่มีผิด”

ฮะ?

พ่ออิมทิ้งประโยคนี้ไว้ก่อนเดินกระย่องกระแย่งกลับไปยังเก้าอี้ตรงโซนโต๊ะอาหารทิ้งตัวลงนั่ง ผมตามอย่างระมัดระวังไปจบที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกัน

วันนี้พ่ออิมดูแปลก เหมือนพยายามจะเข้าหา ทั้งที่ปกติใช้งานอย่างเดียวจนพอใจก็ปล่อยให้เป็นอิสระอยู่กับอิมแท้ๆ แต่มาคราวนี้สายตาท่านพยายามลอบมองทางผมอยู่เสมอ ราวกับจับผิดก็ไม่ปาน

“คุณพ่อ”

“ว่าไง มีอะไรก็พูดมา”

“คุณพ่อมีอะไรจะพูดกับผมรึเปล่าครับ”

ความเงียบเข้าครอบครองพื้นที่บริเวณนี้ชั่วขณะ พวกเราเหมือนเล่นสงครามประสาท ก่อนคนเป็นพ่อจะตวัดสายตาจ้องพร้อมโพล่งคำหนึ่งออกมา

“ลุง”

“ฮะ? ครับ?” ผมเปล่งเสียงอุทาน เกิดความสงสัย

“ใครให้เรียกพ่อ ให้เรียกลุง”

“...” ได้ยินแบบนี้กำลังใจหดหายไปหลายส่วน นั่งหน้าหงอใจฝ่อเลยทีเดียว จนในที่สุดความเงียบก็ถูกทำลายจากการที่อีกฝ่ายเรียกผมอีกครั้ง

“เราน่ะ”

“ครับ” ตามมารยาทควรจะสบตาผู้ถาม ผมขยับสายตาไปสบ ภาวะตอนนี้คนเป็นผู้ใหญ่ดูจริงจังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พ่อขออิมขยับตัวเท้าแขนกับขอบโต๊ะพลางกล่าวเสียงนิ่ง

“ชอบเจ้าอิมมันมากขนาดนั้นเลยเหรอ”

สีหน้าไม่ออกเชิงว่าล้อเล่น ความเงียบเข้าครอบงำเราทั้งคู่ภายใต้เสียงเครื่องปรับอากาศเปลี่ยนทิศทางใบพัดซ้ำไปมา ผมจ้องใบหน้าชายวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งเจนจัดและอยู่บนโลกมานานกว่า ริ้วรอยตรงร่องแก้มและหางตาสื่อถึงวัยและประสบการณ์ที่ผ่านอะไรมานักต่อนัก คนตรงหน้ากำลังถามคำถามสำคัญกับผมในฐานะพ่อคนนึงที่ห่วงลูกชาย จึงอดไม่ได้ที่เห็นภาพซ้อนทับกับใครอีกคนในห้วงความคิด

“ครับ...ผมชอบลูกชายของคุณลุงครับ” ไอน้ำข้างแก้วใบเดียวกับที่อีกฝ่ายหยิบให้เริ่มหยดไหลเป็นวงซึมลงโต๊ะหิน “มันเหมือนหยดน้ำที่ค่อยๆซึมผ่านลงหินทีละนิดแหละครับ อิมเข้ามาในชีวิตผมแบบไม่ใช่ก้าวกระโดด แต่ค่อยๆซึมเข้ามาในจิตใจ”

“...”

“แปลกดีนะครับ กับคนที่ไม่เคยคิดว่าจะรักมาก่อน แต่ตอนนี้ผมกลับห่างจากเขาไม่ได้เลย พออยู่ใกล้แล้วมีความสุข...อบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก”

ทุกอย่างดูเงียบ จนรู้สึกตัวว่าตนพลาด เผลอพูดอะไรบางอย่างออกไปตามอารมณ์ต่อหน้าอีกฝ่ายเข้าให้แล้ว

“ข...ขอโทษนะครับ ที่พูดอะไรไร้สาระ” ยกมือลูบหลังคออย่างฝืดเฝื่อน อีกใจก็รู้สึกขัดเขินอย่างช่วยไม่ได้

“ถ้ารักขนาดนั้นก็ดูแลเขาดีดีล่ะ”

“...” ความนัยบางอย่างแฝงมาในประโยคที่อีกฝ่ายโพล่งออกมา ไม่ยากเกินจะคาดเดา แต่หวั่นเกรงเกินจะคิดเข้าข้างตนเอง ผมประสานสายตากับผู้เป็นพ่อ เหมือนค้นหาความต่อจากประโยคนั้น

“หนึ่งเดือนกว่าอาจจะน้อยไป ถ้าเทียบกับพวกที่คบหาดูใจกันมาเป็นปีๆ แต่การคบกันนานไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าจะไปกันได้รอดหรอก”

สายตาคุณลุงมองเลยไปทางด้านหลัง กรอบรูปที่ตั้งไว้บนโต๊ะเล็กรับแขก ภาพคนสี่คนซึ่งนั่งคล้องคอกอดกันบนพื้นหญ้ายิ้มร่าอย่างมีความสุข

“แต่ชั้นพอจะเดาได้จากสีหน้าเจ้าอิม มันดูมีความสุขทุกครั้งที่อยู่กับเอ็ง” รอยยิ้มที่มาพร้อมกับริ้วรอยแห่งกาลเวลาปรากฏบนใบหน้าของผู้เป็นพ่อ

“ฝากดูแลเจ้าอิมมันด้วยนะ”

เหมือนเสี้ยวนาทีที่พูดยาวนานนับเป็นชั่วโมง ผมนั่งเก็บกลืนทุกคำในประโยค ตรึกตรองทุกความหมาย ร้อยเรียงในห้วงความคิด ก่อนตอบประโยคด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นและมั่นคง

“ครับ ผมจะดูแลอิมให้ดี ให้สมกับที่คุณลุงไว้ใจ”

...จะรักเขาให้มาก ให้สมกับที่ผ่านอะไรหลายอย่างมาด้วยกัน...

ช่วงเสี้ยวความคิดคะนึงหา เสียงความเคลื่อนไหวบางอย่างตรงหน้าประตูดังเข้าแทรก ผมหันไปมองทางหน้าต่าง เห็นอิมเมจและแม่ของเขา รวมถึงน้องมายด์กลับมาจากการไปเดินห้างร้านตลาดแล้ว ร่างกายขยับตามสัญชาตญาณ ขมีขมันลุกขึ้นหวังไปช่วยหิ้วของ กลับปรากฏเสียงคู่สนทนาเก่าก่อนดังแว่วเข้าหู

“เรียกใหม่”

“...” ผมชะงักเท้า หันไปมองด้วยสีหน้าแปลกใจ รอยยิ้มจางๆขึ้นใบหน้าทรงภูมิของผู้เป็นบิดา

“ไม่ใช่ลุง แต่เป็นพ่อ”

“...”

“พ่อคะ พี่เกรท อยู่มั้ยเนี่ย หน้าบ้านเงียบเชียวไหนบอกว่าจะตัดหญ้ากันไง” เสียงสดใสเจื้อยแจ้วจากน้องมายด์ดังขึ้นขัด ผมสะดุ้งตัวจากภวังค์ ยืนยิ้มบางโค้งศีรษะลงต่ำดั่งเอ่ยคำขอบคุณ

“ยัยมายด์อย่าเสียงดัง ถ้าพ่อเขานอนกลางวันอยู่ เดี๋ยวก็ตกใจตื่นพอดี” คนเป็นแม่ปรามน้องสาวตัวน้อยที่วิ่งลิ่วนำชาวบ้านเข้ามา ส่วนคนที่ผมคะนึงหากำลังยืนอมยิ้มหิ้วของเต็มมืออยู่ด้านหลัง

“อ้าวพี่เกรท พ่อ ไหงมาอยู่ตรงนี้เนี่ย” มายด์เอ่ยทัก ทำให้สายตาของเราสองคนสบกัน ร่างโปร่งมีทีท่าชะงักไปก่อนล้มหลบ พักนี้เหมือนอิมจะขี้อายขึ้นอย่างบอกไม่ถูก แต่นี่คือส่วนหนึ่งในนิสัยของเขาที่ผมค้นพบ มันยิ่งเติมให้คนข้างหน้าดูน่ารักขึ้นเรื่อยๆ

“ทานข้าวกันเถอะค่ะ หิวกันแล้วใช่มั้ยคุณพ่อนก ลูกนก” ผู้เป็นมารดาชูถุงกับข้าวต่างๆนานาในวงแขน ส่วนผมได้แต่ยิ้มรับแล้วหันไปยังคนเป็นพ่อ

“ครับ คุณพ่อนก กับลูกนกกำลังหิวพอดี”













ผ่านมาแล้วหลายวัน เรียกให้ถูกน่าจะเป็นหลายสัปดาห์จนปาไปครึ่งเดือนแล้วมากกว่าที่ผมกลับมาคบกับเกรท ช่วงชีวิตตอนนี้เหมือนย้อนกลับไปเมื่อในอดีตที่คบกัน แต่จะต่างก็ตรงที่ความสัมพันธ์มันเหมือนมีอะไรหวานๆซึมผ่านเข้ามาเป็นระยะ

อย่างวันนี้ก็เช่นกันที่ผมต้องกลับกับเกรท พาเขาไปบ้านตามคำชวนของแม่ซึ่งตั้งใจทำอาหารเย็นให้เด็กๆทาน ถึงแม้งานจะหนัก แต่ก็ยังกระตือรือร้นที่จะกลับมาให้ทันทำมื้อค่ำที่บ้าน ด้วยความเกรงใจเกรทเลยไม่ปฏิเสธคำชวน เจ้าตัวกลับเอ่ยปากบอกดีใจเสียอีกที่ได้เข้าใกล้แม่ของผมไปอีกขั้น...สรุปคือจะมาจีบผม หรือแม่ผมช่วยบอกที

“พี่พาส”

คิดอะไรเพลินๆพอเดินหลุดออกมาจากห้องน้ำไม่คิดว่าจะเจอแจ็กพอต ตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเจอ ‘ใยไหม’ เพราะตราบใดที่เรียนอยู่คณะเดียวกัน การเดินเฉียด ผ่าน สวนกัน ในบางครั้งย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่ไม่คิดว่าจะมาเจอเธอยืนโทรศัพท์เรียกชื่อบุคคลในปลายสายที่ไม่น่าจะได้ยินจากสองคนที่เลิกกันไปนานแล้ว

“เลิกแล้วค่ะ กำลังจะออก พี่พาสรออยู่ที่เดิมใช่มั้ย”

“...”

“ได้ค่ะ เดี๋ยวไหมไปหา”

“...”

“ค่ะ คิดถึงจะแย่เหมือนกันค่ะ”

น่าจะรู้สึกถึงสายตาผม หญิงสาวหันขวับมาทางหน้าห้องน้ำชายในทันทีทันใด ผมไหวตัวทันหมุนตัวเหวี่ยงหลบเข้าห้องน้ำ แต่ไม่ทันคิดว่าจะมีคนดึงประตูเปิดจากอีกฟาก สองมือแทนที่จะดันประตูกลับกลายเป็นดันอกใครบางคนจนเซถลันบั้นท้ายอีกฝ่ายไปกระแทกยังเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าอย่างจัง

บึ่ก!!

“อูยยย”

“เฮ้ย!! โทษทีคุณ เป็นอะไรมั้ย” มือผมขยับไปเหมือนตั้งใจจะจับส่วนที่ได้รับความบอบช้ำของชายร่างสูงตรงหน้า หากใจกลับยั้งว่าไม่ควบจาบจ้วงเลยหยุดชะงักมือไว้เพียงครึ่ง แต่ใครบางคนกลับสัมผัสมือดึงเข้าไปแนบสะโพกแกร่งเสียสนิท

“จะแต๊ะอั๋งผมเหรอ” เงยหน้าไปเจอรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเชิงหยอกเย้า จนให้ได้อุทานชื่อใครบางคนออกมา

“เกรท?”

“ครับ” คุณชายคิรากรในชุดนักศึกษาถูกระเบียบกำลังยกมุมปากมองมาด้วยสายตาเป็นประกาย เราสองคนแทบยืนใกล้จนตัวติดกันส่วนมืออีกฝ่ายนั้นก็พยายามดึงดันจับให้ผมลูบไล้ไปตามกล้ามเนื้อแข็งตรงบั้นท้ายอย่างจงใจ

“ไม่ได้จะแต๊ะอั๋งสักหน่อย!” ผมขู่ปรามเสียงเบาพยายามดึงมือกลับ ตรงกันข้ามแรงมือนิ้วทั้งห้าที่ออกแรงหนักหน่วงต่อต้าน เกาะหนึบยิ่งกว่าตีนตุ๊กแกจนเอาไม่ออก พอเห็นอย่างนี้ก็อยากจะตีโต้กลับเสียให้เข็ดเลยขยับนิ้วไปขยำเนื้อแข็งด้วยอารมณ์ต่อต้านแต่แฝงแววไว้ด้วยความซุกซนจนร่างเกรทสะดุ้ง

“เฮ้ย อิม!”

หึ สะใจจริงแท้...

แกร๊ก!

เสียงเปิดประตูดังขัด สองคนหันไปหาผู้มาใหม่เป็นตาเดียว

คนแปลกหน้ามาใหม่เป็นเพื่อนร่วมมหา’ลัย ที่ดันปวดเบาตอนไหนไม่ปวดมาปวดตอนเขาสองคนกำลังชิงไหวชิงพริบกัน พอโผล่หัวเข้ามาเท่านั้นสองสายตาประสานใบหน้า หนึ่งเนตรมองลงมาบนสะโพกของใครคนหนึ่งซึ่งเหมือนกำลังถูกคุกคามทางเพศ ริมฝีปากค้างเติ่งมองกลับไปมาระหว่างสองมือกับหน้าพลางยิ้มแหยขึ้นมาในบัดดล ดั่งโดนคนหรือผีหลอกกลางวันแสกๆ

“ข...ขอโทษครับ ผมไปเข้าชั้นสองก็ได้” ชี้ออกนอกห้องไปแบบไร้ทิศ พอเสร็จกิจปิดประตูเสร็จสรรพแล้วหายลับไปจากห้องน้ำ ไวยิ่งกว่าคำเรียกขานของจำเลยสองคนที่ซึ่งยืนงงอยู่ในนั้นเสียอีก

แววตื่นๆกับเหงื่อจางๆผุดซึมมาตามขมับ เมื่อครู่ต้องถูกเข้าใจผิดแน่ๆ เวรแล้ว

“เกรท คุณปล่อยมือผมได้ยัง”

“อิมต่างหากปล่อยมือจากสะโพกผมได้ยังเนี่ย”

อ้าว เชี่ย! ผมยังกำก้นเกรทอยู่! ชักมือออกราวกันโดนของร้อน หน้าเห่อจนแทบไฟลุกออกมา ฝ่ามือพยายามลูบไปมาที่ขากางเกงเหมือนเช็ดร่องรอยทำลายหลักฐาน

“ม...มาตั้งแต่เมื่อไร” ร่างสูงยังคงยิ้มใส่ผมแบบนึกขัน

“จะมารับอิมแหละครับ แต่บังเอิญปวดขี้ เลยแวะมาเข้าห้องน้ำก่อน”

“อย่าพูดว่าขี้ด้วยหน้าตาแบบนี้ได้มั้ย ไม่เห็นเข้ากันเลย” ผมเบี่ยงหน้าออกข้างตำหนิเบาๆ จนเจ้าตัวเลิกคิ้วแปลกใจ

“ทำไมล่ะครับ ผมชอบขี้จะตาย”

“...”

“ขี้หวง”

“...”

“ขี้หึง”

“...”

“ขี้อ้อน...”

ท้ายประโยคเกรทก้มลงใช้ริมฝีปากงับที่ติ่งหูนุ่ม

“แล้วก็ขี้เอา...”

“ทะลึ่งแล้ว!” สะดุ้งสุดตัว ดีดกระหม่อมเจ้าตัวไปหนึ่งยก เกรทปล่อยมือจากผมในบัดดลยกมือขึ้นกุมหน้าผาก

“โอ๊ย อิม ผมหมายถึงขี้เอาใจต่างหาก ดีดลงมาซะแรงเลย” พอปล่อยออกก็เห็นรอยแดงจุดหนึ่งตรงกลาง ท่าจะแรงจริงตามว่าเลยอดสงสารยกนิ้วโป้งขึ้นเกลี่ยไม่ได้

“ก็ชอบพูดอะไรไม่ชัดเจนนี่หว่า” รอยยิ้มหล่อเหลาปรากฏขึ้นหน้าทั้งที่ปากยังบ่นว่าเจ็บ

“โอเค พูดให้ชัดก็ได้ ผมชอบอิมครับ”

“...!”

“ผมชอบคนตรงหน้าผมตอนนี้มากๆเลย”

“...”

“และไม่คิดว่าจะเลิกชอบได้ง่ายๆด้วย”

“...”

“ผมชอบ...” ผมยกมือขึ้นปิดปากเกรท

“เลิกพูดได้แล้ว คุณกำลังจะทำให้ผมเขินตายรู้มั้ย” ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ หน้าแดงๆร้อนๆตอนนี้ของผมคงเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดี



มีต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เราสองคนเดินออกจากห้องน้ำมาตามทางเดินในตัวตึก ใยไหมหายไปแล้ว ส่วนฝูงชนที่เลิกเรียนเวลาไล่เลี่ยกันเมื่อครู่ก็เหลืออยู่อย่างเจือจาง พวกที่ยังนั่งอยู่ตามมุมต่างๆกลับเป็นสายชิลที่ไม่เคร่งกับตัวเองว่าจะต้องไปไหนมาไหน ถึงบ้านเมื่อไรก็ได้

“เมื่อกี้ไปเจออะไรมาเหรอครับ ถึงต้องรีบพรวดพราดเข้าห้องน้ำขนาดนั้น” ต่อให้คนไม่มีไหวพริบยังไงก็ต้องสงสัย เพราะผมพรวดพราดเข้าห้องน้ำไปหลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำธุระหนักเบาอะไรแล้วออกมาเฉย

“ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่ลืมไปว่าเข้าห้องน้ำแล้วน่ะ” ร่างสูงหลุดหัวเราะออกมาทันที

“อย่างนี้ต้องพาไปเลี้ยงปลาแล้ว”

“เลี้ยงปลา? หมายถึง...ให้อาหารปลาเหรอ” เกรทเลิกคิ้ว ก่อนเม้มปากกลั้นยิ้ม

“อันนั้นก็อยากพาไปครับ วันไหนเราชวนคุณพ่อคุณแม่ให้มาเจอกัน แล้วไปทำบุญที่วัดกันมั้ยครับ” ใบหน้าเปี่ยมสุขของเกรท ทำเอาสู้ออร่าสว่างไสวแทบไม่ได้จึงต้องเบี่ยงสายตาหลบ

“ก็ดีเหมือนกัน เอาเป็นวันปีใหม่มั้ยล่ะ”

“ดีเลยครับ ไปทำบุญกับอิมในวันเกิด”

“...” ยังจำวันเกิดผมได้ด้วย

“แต่วันนี้ต้องพาอิมไปเลี้ยงปลาก่อนนะ เดี๋ยวแวะซื้อกับข้าวริมทางแล้วไปทานที่บ้านอิมกันมั้ยครับ”

“แต่แม่ผมบอกว่าจะทำกับข้าวให้”

“เผื่อกับข้าวนั้นไม่มีปลาไง” เจ้าตัวยิ้มหยอก จนผมต้องทุบแรงๆไปหนึ่งรักให้เลิกล้อกันสักที พวกเราเดินคุยกันเรื่อยเปื่อยจนเท้าก้าวมาตรงส่วนกลางที่ต้องเลือกทางเดินระหว่างลงบันได กับลิฟต์ ผมสะกิดแขนเกรทเบาๆ

“เกรท ลงบันไดเถอะ”

“แต่นี่ชั้นสาม”

“เอาเถอะ ลงบันได นะ” ผมจับแขนเส้นอีกฝ่าย เกรทไม่เคยต้านคำขอร้องได้เลยสักครั้ง จึงผงกศีรษะรับ ก่อนเดินตามกันมาถึงบันได

“อิม” ระหว่างก้าวลงทีละขั้นร่างสูงซึ่งนำหน้าอยู่เรียกชื่อ ผมจึงได้แต่ส่งเสียงอืมในลำคอขานตอบว่าฟังอยู่ “นี่อิมกำลังหลบหน้าพี่เบสอยู่ใช่มั้ย”

“...!”

ขาผมแทบจะหยุดก้าวในทันที เกรทนิ่งอยู่กับที่หมุนตัวมาทางผม มองคนที่อยู่สูงกว่าด้วยสายตาจริงจัง

“ที่เลือกไม่ขึ้นลิฟต์เพราะกลัวจะเจอพี่เบสที่ไม่รู้ว่ากลับไปรึยังใช่มั้ยครับ” ผมเสตาลงต่ำมองขั้นบันไดพลางเดินลงต่อ

“รู้ด้วยเหรอ”

“แค่เดาน่ะครับ” ขนาดแค่เดายังตรงเป้าได้ขนาดนี้

“ก็คุณบอกว่าไม่ค่อยอยากให้ผมกลับกับเบสสักเท่าไรหนิ” ผมทำปากบิด

“ผมไม่ได้บังคับ” ร่างสูงถอนหายใจเบา “แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกลับกับ ‘ว่าที่แฟน’ ชาวบ้านเขาทุกวัน”

คำเรียกขานที่ยังไม่เต็มฐานะกลับทำให้ดวงหน้าเห่อร้อนอย่างประหลาด

“ตอนนั้นที่อิมบอกกับผม อิมสัญญาอะไรกับพี่เบสไว้เหรอครับ” เมื่อกระโดดตามลงมาจนห่างจากเกรทสองขั้น แขนแกร่งก็พลันยื่นส่งมาตรงหน้า ประหนึ่งว่าหมายมาดให้จับประคับประคอง ผมไม่ปฏิเสธความหวังดีของเด็กหนุ่มรุ่นน้องขยับมือออกไปคว้าไว้ ก่อนจะตอบคำถามเบาๆ

“ผมผิดเอง ที่ทำเพื่อนเสียใจ” คราวนี้คงเลี่ยงไม่ตอบไม่ได้แล้ว เลยตั้งใจจะบอกให้หมดทุกอย่าง แต่ทว่า...

“เกรท?” เสียงหวานๆเสียงหนึ่งดังขึ้นยามที่เท้าก้าวถึงบันไดขั้นสุดท้าย ผมแปลก ณ จุดนี้ ว่าทำไมฝ่ายที่รับคำคนเป็นหนักหนา บอกว่าจะรีบไปหา ถึงยังมายืนอยู่ตรงนี้

“พี่ใยไหม?” เสียงคนข้างกายเรียกชื่ออีกฝ่ายตอบรับมันทำให้ผมชะงักค้าง เกรทมีสีหน้านิ่งงันไม่แสดงอารมณ์ผันแปรตามผู้มาใหม่ มือใหญ่กระชับจับมือผมไว้แนบแน่น ก่อนอีกข้างย้ายมาประคองท้องแขน จับจูงให้ผมเดินทิ้งก้าวสุดท้ายมายังชั้นล่าง

“อิมเมจ?” ทันทีที่เห็นผมสีหน้าเธอออกอาการสงสัยเต็มเปี่ยม ดวงตาคู่สวยภายใต้คอนแทคเลนส์สีอ่อนสร้างเสน่ห์ดึงดูดให้จ้องมองอย่างตราตรึง ใยไหมมองหน้าผมสลับกับมือใหญ่ที่จับต้นแขนไว้อย่างมึนงง

“เกรทกับอิมเมจ...” เกรทขยับตั้งใจจะก้าวไปขวางหน้า

แต่ผมกลับประกาศโพล่งออกมาก่อน “พวกเรากลับมาคบกันแล้วน่ะ”

“เอ๊ะ?” เสียงเล็กสูงดังอย่างฉงนกับสถานการณ์ ส่วนร่างสูงได้แต่หันกลับมามองตามเจ้าของคำพูด

“หรือว่าผมเข้าใจผิด?” ผมช้อนสายตามองหญิงสาว จดจ้องสังเกตพฤติกรรม ใบหน้าใสซึ่งแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางชั้นดีนั้นชืดลงทันตา วาจาท่าทีที่ตามมาดูกระอักกระอ่วน

“ล...แล้วมาบอกไหมทำไมล่ะ”

“ผมไม่อยากให้ใยไหมคิดมากน่ะ”

“...”

“กลัวจะคิดว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เราสองคนเลิกกัน วันนั้นขอโทษจริงๆที่หุนหันพลันแล่น เห็นฉากเลิฟซีนในละครเวทีเป็นจริงเป็นจังไปได้ พอหลังจากนั้นเกรทก็พยายามปฏิเสธกับผมว่าเขาไม่ได้คิดอะไร”

“...”

“ตอนนี้เราเข้าใจกันแล้วนะ ขอบคุณใยไหมจริงๆที่ทำให้ผมรู้ใจตนเอง”

หญิงสาวสีหน้าดูเจื่อนไปถนัดตา เธอกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างแต่ผมขัดโดยการขอตัวแล้วลากเกรทออกมาก่อน

ต้นแขนแกร่งโดนผมลากจูงมาจนถึงที่จอดประจำอันคุ้นเคยซึ่งรถคันนั้นจอดอยู่ เสียงสัญญาณปลดล็อกอัตโนมัติดังขึ้นทันทีที่พวกเราเข้าใกล้ ผมเผลอชะงักหยุดเท้า แต่คนที่มาด้วยกันกลับดันผมให้ไปทางฝั่งที่นั่งข้างคนขับ

“วันนี้อิมนั่งสบายๆ เถอะนะ เดี๋ยวผมขับเอง”

“อืม” ผมพยักหน้าเบาๆทำตัวว่าง่าย หย่อนก้นลงบนเบาะนุ่มก่อนปิดประตู

ความรู้สึกเหมือนรถยวบลงเมื่อที่นั่งด้านข้างถูกอีกคนจับจอง ร่างสูงโค้งตัวก้มหน้ามามองจ้องสบ สายตาเราทั้งคู่ประสานกันจนพลันเกิดความกระอักกระอ่วนในใจ

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ คุณแฟน” กะพริบตาถี่ๆอย่างไม่เชื่อหู ผมกลืนน้ำลายลงคอก่อนกล่าวท้วง

“แฟนเฟินอะไรกัน”

“อ้าว เมื่อกี้ยังบอกว่าเป็นแฟนผมเลย” ผมนิ่งสะท้อนใจอย่างเสียไม่ได้ ก้มหน้าลงต่ำหนักขึ้นอย่างสำนึกผิด

“ขอโทษนะ ที่พูดออกไปอย่างนั้น คุณจะโกรธผมก็ได้นะ แต่ผม...” หวังดีกับคุณ

“ทำไมผมต้องโกรธอิมด้วยล่ะ”

“ก็คุณ...” คำกล่าวท้วงกลืนหายไปกับอากาศ เมื่อรอยยิ้มบานเท่าโลกปรากฏตรงหน้า

“ตอนนี้ดีใจจนความสุขแทบจะล้นออกมาจากตาด้วยซ้ำ”

“แต่เมื่อกี้ที่ผมพูดกับใยไหมมัน...”

“อิม ผมไม่ได้ชอบพี่ใยไหมแล้วนะ”

“...”

“ที่ผมบอกอยู่ทุกวันนี้ อิมยังจำไม่ได้อีกเหรอ สงสัยต้องพาไปเลี้ยงปลาจริงๆซะแล้ว”

“ผมอาจจะขาดโอเมก้าสามจริงๆอย่างคุณว่าก็ได้” ติดจะงอนตำหนิตัวเอง ขยับไปจับเข็มขัดนิรภัยมาคาดไว้กับตัวอย่างเนือยๆ

“ถ้าซื้อมาผมยกให้อิมกินคนเดียวเลยละกัน”

“ทำไม...” เหมือนโดนกล่าวหาว่าปลาทองแต่ฝ่ายเดียวเลยตั้งใจจะท้วง แต่นิ้วเรียวยาวขอคนข้างๆกลับยกขึ้นมาปิดปากผม รอยยิ้มอ่อนละมุนส่งตรงมาเปล่งออร่าเฉิดฉาย

“เพราะผมจำอิมเมจลงไปในความทรงจำระยะยาวของผมได้แล้วไง”

















นั่งอิ่มเอมกับความรู้สึกชวนหัวใจฟูอยู่ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขัดบทสนทนาว่าด้วยเรื่องเมนูปลาของพวกเรา อิมยกมือถือตนเองขึ้นดู ก่อนกดรับ

“ว่าไงยัยตัวแสบ มีอะไรรึเปล่า” ดูท่าคงเป็นน้องสาว บางทีน้องมายด์ก็มีฝากซื้อของอะไรกลับไปที่บ้านอยู่บ่อยครั้ง คราวนี้คงหนีไม่พ้นของใช้ส่วนตัวในชีวิตประจำวันที่ขาดไป อย่างคราวก่อนยังใช้ให้ไปซื้อผ้าอนามัย อิมเมจกับผมต้องบากหน้าเข้าไปยังโซนผู้หญิงแล้วแกล้งทำทีมาซื้อผ้าอ้อมให้ลูกอ่อนๆของพวกเรากลับบ้าน

ผมนิ่งเงียบตั้งใจฟัง เผื่อผ่านแหล่งซื้อของที่น้องสาวอยากได้ จะได้หักเลี้ยวแวะเข้า แต่ปรากฏฉับพลันสีหน้าร่างโปร่งซึ่งนั่งอยู่เคียงข้างกลับบ่งสัญญาณที่เปลี่ยนไป

“เดี๋ยว ใจเย็น ค่อยๆพูดสิ เกิดอะไรขึ้น” อิมยกมือขึ้นกุมอก กำเสื้อตนเองแน่น อาการส่อแววหายใจหอบด้วยความตระหนก

“แม่ล่ะ เราโทรบอกแม่รึยัง รอพี่ก่อน เดี๋ยวพี่รีบไป” คนเป็นรุ่นพี่ยกโทรศัพท์ห่างจากหู เอ่ยด้วยน้ำเสียงติดสั่น “เกรท”

“ครับอิม เป็นอะไรรึเปล่า?” อยากจะเอื้อมไปจับมือของอีกฝ่ายไว้ แต่ขณะนี้ต้องมีสมาธิกับถนนตรงหน้าเลยไม่อาจทำตามใจคิดได้

“คุณขับให้เร็วกว่านี้ได้มั้ย”

“เกิดอะไรขึ้นครับ”

“พ่อผมล้ม” จบคำสมองผมสั่งการให้หักหลบเข้าจอดข้างทางทันที ก่อนแบมือขอโทรศัพท์จากอีกฝ่าย

“ขอผมคุยกับมายด์” ผมคว้าโทรศัพท์อิมมาแบบไม่รอคำอนุญาต “มายด์”

[พ...พี่เกรท] เสียงปลายสายดูสั่นพร่าผิดปกติ เหมือนมีน้ำตาครืนเครือในลำคอ

“มายด์ อาการพ่อก่อนล้มเป็นไงบ้าง”

[พ่อ...พ่อเขา...ล้มลงไป ไม่รู้สึกตัวเลย พ...พี่เกรท มายด์...มายด์ควรทำไงดี]

“เดี๋ยวพี่เรียกรถพยาบาล” เด็กผู้หญิงตัวคนเดียวพอเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นตรงหน้า ย่อมเกิดภาวะร้อนรน ครองสติไม่อยู่ ผมสอบถามอาการจากมายด์ต่ออีกนิดก่อนกำชับให้คอยสำรวจอาการพ่อ ระหว่างคุยกับน้อง รู้สึกได้ถึงใครบางคนที่พยายามเอื้อมมือเพื่อจะปลดเข็มขัดนิรภัยผมออก จึงยกมือไปห้ามไว้ กอบกุมฝ่ามือเย็นๆซึ่งเต็มไปด้วยความตระหนกก่อนกดและกำไว้แน่น

“อิมจะทำอะไรครับ”

“ผ...ผมจะขับแทนคุณ” ตอนนี้ในใจเจ้าตัวคงอย่างจะโจนทะยานกลับบ้าน แต่ในสภาพที่จิตใจไม่มั่นคงผมคงยอมไม่ได้ มือข้างที่ว่างถือมือถืออิมกดเบอร์ 1669 โทรออก พยายามมองสลับดวงหน้าส่อแววซีดเซียวอย่างสร้างความเชื่อมั่น

“อิมใจเย็นๆนะ เดี๋ยวผมจะรีบพาอิมกลับ แต่อิมต้องช่วยผมอย่างนึงก่อน”











รถพยาบาลไปถึงที่บ้านอิมอย่างรวดเร็ว ผมโทรสอบถามตามติดสถานการณ์จากน้องมายด์เป็นระยะก่อนรีบรุดไปยังโรงพยาบาลที่หมาย ด้วยความที่รถติดมาก กว่าจะไปถึงคุณพ่อของอิมก็ถูกย้ายมายังเตียงพักฟื้นแล้ว

“พ่อ” ทันทีที่เปิดประตูร่างโปร่งแทบวิ่งเข้าไปทรุดตัวลงด้านข้างคนป่วย ผู้เป็นบิดานั่งมองบุตรชายจากบนเตียงนิ่งพลางกล่าวเอ็ด

“ส่งเสียงดังเอะอะมะเทิ่งอะไรฮะเจ้าอิม” สภาพที่เคยดูแข็งแรงร่าเริงพอโดนอาการป่วยรุมเร้าเลยเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด อิมมองหน้าพ่อก่อนหันไปสบตามารดาของตนซึ่งอยู่ข้างเตียงอีกฟาก สีหน้าของคนเป็นแม่ซึมเศร้าเจือกลิ่นอายความกังวลเบาๆ “แม่ พ่อเป็นอะไร”

“พ่อเขา...” แม่อ้าปากขยับ

 “จะเป็นอะไรซะอีกล่ะ ก็แค่ขาไม่มีแรงแล้วล้มไปเท่านั้นเอง แต่ละคนก็ทำเป็นเรื่องใหญ่โตไปได้ รถพยาบาลนี่วิ่งมารับในซอยคนมามุงซะจนนึกว่ามีคนตายในบ้าน” ถามแม่แต่คนเป็นพ่อตอบขัด เลยโดนภรรยาบิดเข้าที่แขนไปหนึ่งยก เล่นเอาร้องโอดครวญไม่เป็นภาษา

“ใครบอกว่าไม่เป็นไรล่ะ เมื่อกี้คุณก็ได้ยินผลเอกซเรย์แล้วไม่ใช่เหรอ”

“ผลเอกซเรย์อะไรเหรอครับ” คนเป็นลูกชายมีอาการจับต้นชนปลายไม่ถูก ทุกคนในบ้านพร้อมใจกันเงียบ คนของผมกวาดตามองทั้งสามคนไปโดยรอบ ไม่มีใครยอมปริปากก่อน เหมือนโดนใครบางคนบังคับ อิมหันกลับไปจ้องหน้าบิดาอีกครั้งขมวดคิ้วมุ่น “พ่อ...ผลเอกซเรย์อะไร”

“ไม่มีอะไรหรอกก็แค่เช็กไว้เผื่อเฉยๆ”

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วทำไมไม่ยอมบอกผมล่ะ!”

“หมอเขาบอกว่า พ่อเป็นเส้นเลือดในสมองตีบชั่วขณะน่ะ” คนเป็นแม่พูดแทรกเฉลย ทำลายสภาวะอึดอัดลงพริบตา ผมเห็นมายด์นั่งกอดหมอนอิงแน่น ซุกหน้าลงทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น ส่วนคนของผมมีสีหน้านิ่งงันอย่างฉับพลัน ก่อนหันไปสบตาพ่อ ทิ้งไว้ให้เห็นเพียงแผ่นหลังบาง

นิ้วเรียวยาวของคนเป็นลูกชายจากผ่อนคลายกลับถูกกลืนหายในอุ้งมือ แรงบีบกำแน่นขึ้นทุกขณะ ไม่ต่างกับข้างที่จับขอบเตียงเหล็กแน่น

“เป็นเปินที่ไหนล่ะคุณ ผมบอกแล้วไงว่าแค่หน้ามืดไปเพราะโดนแดดเผาตอนตัดหญ้า หมอก็ว่าไปเรื่อย...”

“เป็นอย่างนี้แล้วยังจะปิดปากเงียบอีกเหรอครับ” เสียงเครือในลำคอทำเอาคนเป็นพ่อหยุดพูดล้อเล่น

“...”

“พ่อจะปิดผมจนมารู้อีกทีตอนที่มาถึงโรงพยาบาลอย่างนี้เหรอ! ผมบอกพ่อแล้วไงว่าให้ดูแลตัวเองน่ะ!” อิมตะโกนจนคนในห้องสะดุ้งกันหมด โชคดีที่เป็นห้องเดี่ยวจึงไม่เป็นการรบกวนผู้อื่น น้ำเสียงเข้มข้นออกแนวตำหนิ แต่หากตั้งใจฟังอีกนิดแววเจือที่สั่นไหวกลับบ่งบอกถึงความทุกข์ทรมานในใจที่ไม่มีทางระบาย ทั้งห่วงทั้งท้อแท้กับคำเตือนที่ไร้ผล

ร่างโปร่งดูโงนเงนไร้ที่พึ่งก้มหน้าลงต่ำสกัดกั้นอารมณ์โมโห ความไม่พอใจต่างๆวิ่งเวียนเข้ามากระทบจนทนที่จะเงียบต่อไปไม่ไหว “รู้มั้ยผมตกใจแค่ไหนตอนได้ยินยัยมายด์บอกว่าพ่อล้ม ในใจผมโคตรกลัว กลัวว่าพ่อจะเป็นอะไรไป อย่าคิดนะว่าผมไม่เห็นผลตรวจร่างกายที่อยู่ในลิ้นชักน่ะ ไขมันในเลือดสูงแล้วทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเอง ถ้าพ่อเป็นอะไรไป...เป็นอะไรไป...”

แว่วสะอื้นดังก้องในห้องสี่เหลี่ยม ผมเห็นเพียงแผ่นหลังที่สั่นเทาของคนตรงหน้า ร่างโปร่งยกแขนขึ้นปาดน้ำตาของตนเองซ้ำไปมาอย่างน่าสงสาร

“อย่างน้อยไม่คิดถึงตัวเอง ก็คิดถึงแม่บ้าง มายด์มันอยากมีพ่อ อยากให้พ่ออยู่กับพวกเราไปนานๆนะ” ไม่มีใครในโลกอยากจะเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปหรอก ถ้าขอได้คงอยากให้หมดอายุขัยไปพร้อมกัน แต่ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ มีเกิด มีแก่ ก็ย่อมต้องมีความตายรออยู่ทุกคน เป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น ขึ้นอยู่กับจะมาเร็วมาช้า ในทุกวันจึงได้แต่ภาวนาว่าให้คนที่เรารักอยู่กับเรา...ไปนานๆ

ดวงตาอีกฝ่ายคงแดงก่ำไม่แพ้พ่อซึ่งเริ่มส่ออาการรื้นคอเบ้า ท่อนแขนที่ปาดน้ำตาทิ้งลงข้างลำตัวดูเปียกชื้นไปหมด มือใหญ่อันหยาบกร้านยื่นมาหวังไขว่คว้าแขนลูกชายตน ทันทีที่ขยับนิ้วราวกับกล่าวเรียก อิมเมจก็เดินเข้าไปใกล้ให้บิดาจับแขนตนเองดึงเข้าหา

“พ่อขอโทษ ไม่น่าทำให้แกร้องไห้ขนาดนี้เลย” นิ้วใหญ่ยกขึ้นปาดขอบตาของลูกชาย

“ไขมันพ่อสูงจนน่าใจหายเลยรู้มั้ย ผมกังวล ผมเป็นห่วง รู้ว่าจุกจิกจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่อง แต่ก็...ก็...”

“ไม่เอา อย่าร้องได้มั้ยเจ้าอิม เหมือนเห็นแกตอนเด็กๆไม่มีผิด ตอนเห็นน้องสาวตัวเองป่วยเป็นอิสุกอิไสไข้ขึ้นจนเข้าโรงพยาบาล อยากจะเยี่ยมก็โดนห้ามเพราะกลัวติดไปกับเขาอีกคน” คนเป็นพ่อยิ้มอุ่นเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตพลางไล่สายตาไปมองลูกสาวคนเล็กซึ่งนั่งกอดหมอนซบหน้าร้องไห้จนแดงก่ำ เมื่อโดนพาดพิงถึงร่างเล็กจึงเงยหน้าขึ้นปาหมอนลงโซฟาเบื้องหลังผุดตัววิ่งไปยังคนเป็นพ่อกอดร่างบนเตียงอย่างแนบแน่น

“พ่อ...พ่อ...”

“พ่อยังไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย พ่อสัญญา พ่อจะดูแลตัวเอง”



...ดีจริงๆที่ไม่มีใครเป็นอะไร...

...เพราะคนเรากว่าจะเห็นคุณค่าของการมีชีวิต ก็ตอนที่เกือบจะเสียมันไป มาถึงตอนนั้นต่อให้พยายามเอื้อมมือคว้าไว้ให้ตายขนาดไหน ก็ไม่อาจย้อนกลับมาแก้ไขได้...



ภาพตรงหน้าทำให้ผมนึกถึงใครบางคน คนที่ผมไม่แม้แต่จะมีโอกาสกล่าวคำลาเป็นครั้งสุดท้าย ผมเปิดประตูปลีกตัวออกมาอย่างเงียบเชียบ อยากให้ครอบครัวของอิมได้ใช้เวลาส่วนตัวกันอย่างเต็มที่โดยปราศจากคนแปลกหน้า

เมื่อประตูงับปิด เงาจากแดดสาดส่องสร้างเส้นสายบางอย่างทอดผ่านเบื้องหน้า ดวงตาเหม่อลอยออกไปไกลสุดสายตา บนพื้นทางเดินอันว่างเปล่าและเย็นเฉียบ ที่นี่ช่างเงียบเชียบและไร้ผู้คน ภาพจำยังคงเวียนวนฉายซ้ำอยู่ในสมอง แวดล้อมดูสงบแต่ใจกลับโหวงเปล่า

มวลอากาศความเงียบเหงาโศกเศร้ายังคงบรรจุอัดแน่นอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เป็นความรู้สึกที่ตามองไม่เห็น แต่ใจกลับสัมผัสได้ ไม่เคยชอบบรรยากาศแบบนี้เลย ไม่ชอบการมาโรงพยาบาลเป็นประจำจนเคยชิน ไม่ชอบกลิ่นอายที่ทำให้หัวใจโหวงหวิวอย่างบอกไม่ถูก

โรงพยาบาลในสายตาของผมคือความเศร้าและการสูญเสีย ผมยกเท้าขยับผ้าใบตน เดินไปตามทางยาวซึ่งมุ่งตรงสู่โถงลิฟต์ ทอดมองแสงแดดยามเย็นส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามา บรรยากาศเหงาๆอันเป็นภาพจำยังคงเดิมเสมอเฉกเช่นทุกครั้ง จวบจนเท้าก้าวออกไปยังกลางโถงอันเงียบสงัดไร้วี่แววของผู้คน

“เกรท”

เสียงเสียงหนึ่งเรียกผมเอาไว้ ใครบางคนวิ่งตามออกมา เหมือนฉุกใจถึงการหายไปของใครอีกคน ผมหันหลังกลับไป เห็นคนของผมยืนอยู่ตรงนั้น เจ้าตัวหอบหายใจแรง ดวงหน้าขาวส่อแววร้อนรน ผมคะเนว่าด้วยระยะทางเท่านี้ไม่อาจทำให้คนของผมเหนื่อยได้ แต่อาจเป็นเพราะตกใจเมื่อไม่เห็นวี่แววของผม

“คุณจะไปไหน”

“ผมว่าจะกลับ...”

กว่าจะรู้ตัวอีกทีแรงเบาๆกระทบตกมายังหัวไหล่ ความอบอุ่นของร่างกายคนนึงถ่ายทอดส่งผ่านมายังอีกคน อิมเมจกระโจนเข้าหาผม สองมือคล้องกอด จับกำผืนเสื้อบนแผ่นหลังไม่ปล่อย ใบหน้าของว่าที่แฟนก้มซบลงมา ลมหายใจปรกตรงลาดไหล่

“อ...อิม”

“อย่าพึ่งกลับเลยนะ” เหมือนกำลังถูกอ้อน หัวใจอ่อนยวบทันทีจากพฤติการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน ตัดสินใจสอดมือเข้าโอบเอวบางกระชับร่างของเราทั้งคู่เข้าหากัน

“ก็ได้ครับ ผมยังไม่กลับก็ได้”









ตรงที่นั่งส่วนจัดสรรให้ญาติผู้ป่วยมีผู้คนบางตา พวกเรานั่งจับจองโซฟาหลังใหญ่ซึ่งพอทิ้งตัวกลับอ่อนนุ่มจนแทบจมหายไปกับเบาะ สองมือของผมยังกำมืออีกข้างหนึ่งของอิมเมจไว้แน่นจวบจนย้ายตัวลงนั่ง

ใบหน้าที่ไม่ทันเห็นชัดเมื่อครู่ยังเหลือรอยแดงจางๆตรงปลายจมูก ขอบตาเหลือคราบน้ำกับอาการบวมเบาๆให้เห็น

“ตาบวมเลย” ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา มันเป็นผ้าเช็ดหน้าผืนเดิมอีกแล้ว ผืนที่อิมเคยให้ ผมมักจะพลาดถูกมันหลอกล่อทุกครั้งยามวางอยู่เหนือสุดของผ้า แรงปรารถนาทำให้ผมหยิบมันขึ้นมาพกติดตัวเสมอ โดยไม่เคยใช้ให้แปดเปื้อนเลยสักนิด

“ขอบคุณนะ”

“...” อิมกระชับมือผมแน่นขึ้นจ้องสบดวงตา

“ถ้าไม่มีคุณ วันนี้ผมคงไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง” ตอนอยู่บนรถร่างโปร่งประคองสติไม่ค่อยอยู่ เมื่อผมกดโทรเรียกรถพยาบาลจึงขอให้เขาช่วยบอกรายละเอียดทุกอย่างของบิดา แจ้งบ้านที่อยู่โดยละเอียด ส่วนอาการได้แต่บอกเล่าตามคำของน้องมายด์ โรงพยาบาลถึงเตรียมการตรวจได้ฉับไวทันทีที่รถพยาบาลมาถึง

“ตอนนั้นผมเอาแต่คิดว่าอยากกลับไปถึงบ้านให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่แค่จะโรงพยาบาลรถยังติดอยู่ตั้งสองชั่วโมงกว่า หมอบอกว่าถ้าพ่อล้มไปเพราะเส้นเลือดในสมองตีบเฉียบพลัน แล้วพามาไม่ทันในสี่ชั่วโมงครึ่งมีโอกาสที่จะพิการ”

“แต่พ่อของอิมยังไม่เป็นไรนะ แค่มีภาวะเสี่ยง” ผมพยายามปลอบ เมื่อเห็นน้ำตาเริ่มมากองที่ขอบตาอีกครั้ง

“เกรท...คุณรู้ได้ไงว่าต้องทำอะไรบ้าง”

“...”

“ผมเห็นคุณพูดกับยัยมายด์ว่าให้ชวนพ่อคุยถ้ายังมีสติอยู่ ถามว่าพ่อพูดชัดมั้ย” อิมตั้งข้อสงสัยในตัวผม ราวกับเจ้าตัวจับสัญญาณอะไรได้บางอย่าง “คุณรู้เรื่อง F.A.S.T. ได้ยังไง”

ถ้าเป็นคนที่ครอบครัวทุกคนสุขภาพปกติ ทุกอย่างสมบูรณ์พร้อมคงไม่มีใครมาใครสนใจศึกษาวิธีสังเกตอาการเบื้องต้นหรอก

“ถ้าผมบอกว่า ผมเคยอยากเป็นหมอล่ะ อิมจะเชื่อมั้ย”

คนของผมนิ่งไปชั่วอึดใจ “นายแพทย์คิรากร...อือ ไม่เหมาะอ่ะ ชื่อเหมือนจะทั้งช่วยและฆ่าคนในคราเดียว” อิมส่ายหัวแบบไม่อยากจินตนาการ ผมยิ้มกับมุกเล็กๆชวนอารมณ์ดีของเขาพลางหลับตานึกถึงวันเวลาเก่าๆ เรื่องราวในอดีตที่พร้อมจะบอกว่าที่คนรัก

“อิมยังจำได้มั้ย ผมเคยบอกว่าโกนหนวดใครคงนึงจนคล่อง” ศีรษะเล็กผงกขึ้นลงเบาๆ

“จำได้สิ พ่อของคุณ”

“ผมโกนให้พ่อ ตอนที่ท่านป่วย”

“ป่วย?”

“เป็นโรคเส้นเลือดในสมองแตกเฉียบพลัน เข้ารักษาในโรงพยาบาลอยู่หลายเดือน” เหมือนคำพูดนี้สะเทือนไปถึงจิตใจอีกฝ่าย อิมนั่งนิ่งมองหน้าผม คราวนี้เป็นเจ้าตัวที่กำมือผมแน่นเข้าจนรู้สึก

“ช่วงนั้นผมพึ่งเรียนอยู่ม.ต้น แม่ผมเป็นดาราโหมงานหนัก ต่างฝ่ายต่างไม่มีเวลาให้กัน ใช้ชีวิตไปวันๆแบบอยู่ง่ายทานง่าย แต่ไม่เคยคิดถึงอันตรายที่ตามมา จนช่วงนึงพ่อเริ่มรู้สึกถึงอาการแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ไปหาหมอให้รักษา เพราะคิดว่าอาการชาที่เกิดขึ้นมาเพราะแค่ร่างกายอ่อนเพลียกับอายุที่มากขึ้น ท่านอดทนอยู่เฉยจนท้ายที่สุดก็ล้มลง ในตอนที่ไม่มีใครอยู่ดูแลเลยสักคน” ฉากเก่าๆผุดขึ้นมาในสมองเป็นตอนที่กว่าหลายคนจะรู้มันก็สายไปเสียแล้ว “พ่อถึงโรงพยาบาลช้าไป เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทันเป็นอัมพาต”

“ต...ตอนนี้ท่านหายรึยัง” เจ้าตัวยื่นใบหน้าเข้ามามองอย่างเป็นห่วงสองมือเกาะกุม ดวงตาสั่นไหวระริกจนน้ำที่คลอหน่วงกำลังจะร่วงหลุด ผมรีบขยับผ้าเช็ดหน้าไปแตะแนบโหนกแก้มขาวนุ่มนวลนั้นไว้

“ท่านเสียไปแล้วครับ” ตอนนี้จิตใจผมสงบ ผมผ่านจุดนั้นมาได้นานแล้ว หากแต่คนฟังกลับนิ่งชะงักค้าง พวงแก้มใสเปรอะเปื้อนคราบน้ำหลั่งริน จนดวงแก้วสีอ่อนพร่าเบลอ

“อิม” ผมตกใจกับท่าที่ซึ่งเกิดกะทันหัน คว้าไหล่ดึงตัวเขาเข้าใกล้ ใช้นิ้วปาดผสมร่วมกับผ้าผืนนุ่มซับหยาดหยดน้ำตาที่ร่วงลงมาไม่หยุด “อิมร้องไห้ทำไมครับ”

“ผมขอโทษ”

“อิมขอโทษทำไม”

“ขอโทษที่ถามอะไรไม่คิด”

“ไม่มีใครผิดหรอกครับเรื่องนี้ มันผ่านไปนานมากแล้ว” ผมดึงตัวเขาเข้ามากอด กดศีรษะลาดไหล่ ให้แนบซับน้ำตาที่ไหลลงมา “ไม่ใช่เพราะโรคที่พรากเขาจากไป พ่อผมตรอมใจเพราะอ่อนแอ เขามักโทษตัวเองเสมอที่จู่ๆจากคนที่เคยทำอะไรได้กลับกลายต้องพึ่งพาคนอื่น ทำให้ใครต่อใครเดือดร้อนมาช่วยเหลือ”

“แต่พ่ออิมไม่ใช่นะครับ คุณลุงเป็นคนเข้มแข็งมาก” ถอนตัวคนขี้แยออกมาประคองใบหน้า ปาดน้ำตาออกจากพวงแก้มสองข้าง “แค่เห็นน้ำตาลูกชายคนนี้ เห็นความรักที่มีให้ต่อพ่อคนนี้ คุณลุงต้องยอมใจหันมาดูแลสุขภาพเพื่อลูกชายและครอบครัวของเขา...อย่างแน่นอนครับ”

“เกรท...” เสียงอิมแหบพร่ากระทั่งผมยังแอบจนใจ

“อย่าร้องไห้เลยนะครับ คนดี” ผมหอมไปที่กระหม่อมของเขาด้วยความรู้สึกรัก คนที่ร้องไห้เพื่อครอบครัวคนอื่นได้มากขนาดนี้ คงไม่มีที่ไหนอีกแล้ว



“ผมรักคุณนะ เกรท”



แว่วเสียงประโยคสุดท้าย...ที่ซึมลึก...ทุกอย่างตราตรึงสลักลงในจิตใจ...



…TBC…

++++++++++++++++++++++++


หายไปเกินอาทิตย์ โฮกกกกก ขออภัยค่า

อ่านตอนนี้แล้วอยากให้ทุกคนดูแลรักษาสุขภาพ
ไม่ว่าจะของตนเองหรือคนในครอบครัว
โรคภัยไข้เจ็บบนโลกนี้มีเยอะมาก
ถ้าอยากตนเองและคนที่เรารักอยู่กับเราไปนานๆ หันมาทำสาม อ. ให้ดีกันเถอะค่ะ
อาหาร อารมณ์ และออกกำลังกาย
สู้ๆไปด้วยกันนะคะ

ส่วนความหวานนั้นเติมได้จากเรื่องนี้(มาเติมให้แล้วน้า)
ไม่มีดราม่าใดใดเลยจริงๆสาบาน...(เหรอออ)

ยังเห็นคอมเมนต์ก็อุ่นใจ ถึงแม้ตอนนี้จะอากาศหนาวจนไม่อยากอาบน้ำแล้วก็ตาม

เขียนต่อไป ตามความฝันค่า
ขอบคุณนะคะนักอ่านทุกคน... :pig4:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง ก็เริ่มก้าวใหม่ได้(จบ) 80%



“มึงกลับไปคบกับพี่อิมแล้วเหรอวะ”



ผมช้อนตามองคนถามขณะที่ก้มหน้าตั้งตากินราดหน้าอยู่ตรงโต๊ะยาวกลางโรงอาหาร

ไม่แปลกใจเลย ช่วงหลายวันให้หลังมาโดนคำถามแบบนี้มาเป็นร้อยร้อยครั้ง แต่จากคนแวดล้อมซึ่งถือคติเรื่องชาวบ้านคืองานของเรา หากวันนี้กลับเป็นไอ้นัทเพื่อนซี้ผมที่มันทำราวกับคนรู้ดีเลยไม่ใส่ใจใยดีอะไรจนกระทั่งถึงตอนนี้

“ทำไมพึ่งถามวะ” ดูดเส้นใหญ่เข้าปากพรวดเดียวเลยเคี้ยวหมุบหมับถาม เพื่อนสองคนมันมองหน้ากันเหมือนมีความนัย ก่อนไอ้ไลค์จะยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่มให้โล่งคออึกนึงพร้อมเฉลย

“ก็ไม่แน่ใจไง วันก่อนพี่ใยไหมยังทักมึงอยู่เลย”

“ก็ทักธรรมดาเปล่าวะ”

“แต่หน้าพี่เขา กูดูยังไงก็ไม่ธรรมดาว่ะ ดูยังไงก็ยังคิดอะไรอยู่กับมึงชัวร์” ไอ้นัทสันนิษฐาน ไอ้ไลค์เห็นด้วยเลยพยักหน้าหงึกหงักตามจนหัวแทบหลุด ผมเลยวางช้อนลงอารมณ์ชักหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

“เชี่ยพวกมึงพูดให้มันดีดีหน่อย พี่ใยไหมเขาคบกับพี่พาสอยู่ แล้วเขาจะมายุ่งกับกูเพื่อ”

“แต่เขาเคยเลิกกันแล้ว”

“แล้วตอนที่เลิกเขาก็มาบอกชอบมึง”

“...” เป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ



วันที่มีละครเวทีหลังจากโดนอิมบอกเลิก คนที่อยู่กับผมตอนนั้นคือพี่ใยไหม เธอคอยเดินตามผมที่สติล่องลอยออกมาอยู่ห่างๆ จนกระทั่งผมสังเกตเห็น

‘พี่ตามผมมาทำไม’ ผมถามขึ้น

เธอมีภาวะอ้ำอึ้งหลุบสายตาลง ดวงหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางถูกลบเลือนไปบางส่วนตามเหงื่อซึ่งผุดพราย นี่คงเป็นหลักฐานจากการวิ่งตามคนที่หนีการโค้งขอบคุณผู้ชมลงจากเวทีมาอย่างผม หากเป็นเมื่อก่อนผมยังคงมองว่ามันงดงามน่าหลงใหล แต่ตอนนี้ภายในใจกลับไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด ในหัวผมคิดถึงแต่ดวงหน้าขาวและรอยยิ้มที่ดูกับราวฝืดเฝือนยกขึ้นประดับใบหน้าซึ่งแต่ไหนแต่ไรมามักจะทำให้ผมยิ้มได้เสมอเมื่อครู่ มันดูไม่เหมาะกับอิมเลยสักนิด กระบอกตาผมเริ่มร้อนขึ้นมาอีกครั้ง ผมเดาเหตุผลที่อีกฝ่ายตามมาพลางพูดปัด

‘ถ้าเรื่องลงจากเวทีกะทันหัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะขอโทษพวกพี่ๆเขาเอง พี่ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนว่าหรอก’ ต้องหยุดเท้าเมื่อแขนเสื้อเหมือนมีบางอย่างรั้งไว้ ผมหมุนตัวหันไปมองยังต้นเรื่องคนกระทำ ร่างบอบบางในชุดสตรีสูงศักดิ์เข้ามาประชิดใกล้หนีบแขนเสื้อผมไว้แน่น ใบหน้าอิ่มดูเว้าวอนร้องขอ

‘เกรท ไม่เป็นไรใช่มั้ย’ ทันทีที่ได้ยินผมเผลอหัวเราะขึ้นจมูกราวกับเยาะเย้ยในชะตาชีวิตตนเอง

‘ไม่เป็นไรได้ไงล่ะ ผมเพิ่งโดนบอกเลิกนะ’

‘ไหมขอโทษ’ แปลกใจที่ไม่แทนตัวเองว่าพี่ กลับแทนตนเองด้วยชื่อเล่น ราวกับลดอายุมาเสมอผม

‘พี่จะขอโทษผมเรื่องอะไรล่ะ’

‘ก็เรื่องที่...!’ เหมือนเงยหน้าขึ้นก่อนชะงักไป สายตาก้มลงมองพื้นอย่างเก่า ‘เรื่องที่ทำแบบนั้นบนเวที’

‘แล้วพี่ทำไปเพื่ออะไร’

‘...’ ผมไล่ต้อนอีกฝ่าย รู้สึกทนไม่ได้ จนอย่างจะเอาอารมณ์ทั้งหมดมาใส่คนคนนี้ที่ทำให้ทุกอย่างดูแย่จนไม่เหลือชิ้นดี ผมไม่ใช่พ่อพระ หากบอกไม่คิดแค้นโทษโกรธอะไรคนตรงหน้าคงเป็นการโกหก

‘พี่บอกผมมาสิพี่ทำไปเพื่ออะไร’ ทำไมต้องทำให้เราสองคนเลิกกันด้วย

‘ไหม...ไหมชอบเกรท’





“ตอนนั้นกูวิ่งตามไปติดๆ ได้ยินเต็มสองรูหูเลย” วันนั้นไอ้นัทที่ไปดูด้วยเห็นท่าไม่ดีมันเลยวิ่งตามมาดูอยู่ห่างๆ

“กูยังคิดว่า มึงสมหวังแล้ว...ซะอีก” ส่วนไอ้ไลค์ก็ตามมาเป็นเพื่อนไอ้นัท

“สมหวังบ้าอะไรล่ะ มึงก็รู้ว่ากูชอบอิม”

“นั่งด้วยคนได้มั้ย”

“...!!!”

ใจผมแทบหยุดเต้น ทั้งสามคนหมุนหัวไปทางต้นเสียงหมด จ้องร่างโปร่งผู้มาใหม่ไม่วางตา ทันทีที่เห็นก้อนเนื้อด้านอกทางซ้ายผมเต้นระรัวหนักกว่าเก่า

“อ...อิม”

“อ้าวพี่อิม ทำไมวันนี้มาคนเดียวล่ะ” ไอ้ไลค์เหมือนตั้งสติได้คนแรกกล่าวทัก สองมืออิมถือชามก๋วยเตี๋ยวหน้าดูบิดเบี้ยวพิลึก ปากเจ้าตัวขมุบขมิบพึมพำออกมาเบาๆผมอ่านออกมาเป็นประโยคได้ว่า ‘ทนไม่ไหวแล้ว’

ฮะ?

จบคำจึงพรวดพราดเข้ามาตรงเก้าอี้ด้านข้างตัวผม แขนอิมสัมผัสโดนตัวเบาๆอย่างอีกฝ่ายไม่นึกรู้ ความอบอุ่นมาแทรกแทนที่ลมเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศในโรงปิด ผมจ้องใบหน้าด้านข้างของรุ่นพี่ โครงร่างที่ดูไม่อ่อนช้อยงดงามเหมือนผู้หญิง แต่แฝงแววละมุนน่าหลงใหล ผิวออกไปทางขาวใสไม่ซีดเซียว ปลายผมสีดำแกมน้ำตาลที่ระต้นคอนวลเนียน จมูกโด่งเชิดรั้น ริมฝีปากชมพูอ่อน กับดวงตาสีอ่อนคมสวย...

“จ้องอะไรน่ะ”

เฮ้ย...อ...อิมหันมาตั้งแต่เมื่อไรวะ...

“อ...เออ...คือ” ผมอ้ำอึ้งคลำทางไปไม่ถูก เป็นครั้งแรกที่เผลอพลาดมองคนรักอยู่นานจนเขารู้ตัว

“ไอ้เชี่ยเกรท น้ำลายหกแล้ว” ยกมือขึ้นปาดขอบปากทันควันแต่ไม่มีสักหยด ก่อนเพื่อนสองคนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“เออๆ พวกกูเข้าใจแล้วว่าชอบจริง” ไอ้นัทว่า อิมหันไปมองตามคนพูด เชี่ยไอ้เพื่อนเวรเดี๋ยวก็รู้ตัวกันพอดี

“พูดเรื่องอะไรกันน่ะ”

“อิมไม่ต้องรู้แหละดีแล้ว” ผมยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นจะเช็ดให้คนมือเปื้อนน้ำก๋วยเตี๋ยว แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจคว้ามืออิมมาเช็ดกับกางเกงนักศึกษาตัวเอง

“เฮ้ย เกรททำอะไร” อิมกดเสียงมองดูการกระทำผมอย่างงุนงง

“ก็มืออิมเลอะ” วันนี้เผลอเอาผ้าเช็ดหน้าอิมมาอีกแล้ว ลืมไปว่ากลัวเลอะ เลยจับข้อมือเล็กมาเช็ดลงต้นขาแทน

“เลอะก็ไม่เห็นจำเป็นต้อง...!” อิมกระตุกมือออกทันที หน้าแดงเถือกเหมือนโดนของร้อน เมื่อกี้แกล้งหยอกแบบทะลึ่งตึงตังดึงข้อมือเล็กไปแตะโดนเบาๆยังส่วนนั้น จนคนโดนกระทำไม่กล้าพูดต่อชักแขนกลับเอามือไปซ่อน ทำท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ผมเหมือนคาดโทษ ผมยิ้มหยอก เรื่องแบบนี้มาถึงตอนนี้แทบจะไม่ต้องสมควรอายกันแล้ว “ไอ้ดาวกับฟ่างมันกินใต้ตึก ส่วนไอ้เบสมันติดวิชาโท ผมเลยมาคนเดียว”

“ทุกวันศุกร์เหรอ”

“เออ” ตอบแบบเสียงยังมีเหวี่ยงอยู่นิดๆ

“งั้นทุกวันศุกร์ก็มากินกับพวกผมสิ” ไอ้นัทมันเสนอ ผมได้แต่อุทานว่ากู๊ดจ๊อบมายเฟรนในใจ อิมยังสะบัดข้อมือไปมา ในที่สุดผมก็เข้าใจเมื่อกี้คงถือชามแล้วร้อนจนลวกมือเลยต้องพรวดพราดวิ่งเข้ามานั่งข้างผม

“นั่นสิ มานั่งกินกับพวกผมก็ได้นะ” ผมดันแก้วพลาสติกใส่น้ำหวานไปด้านหน้าเขา อิมขยับมือขึ้นมาจับไอน้ำเย็นเกาะข้างแก้วคลายความแสบร้อน ก่อนยกน้ำขึ้นดูดอย่างเป็นธรรมชาติ ผมสังเกตที่นิ้วเขา

...ยังไม่ยอมใส่อีกเหรอ...

“ถ้าขยันมานะ บางครั้งขี้เกียจ” เรื่องอาหารการกินของคนนี้ทานง่ายอยู่ง่ายอยู่แล้ว บางครั้งอิมเลยมักจะนั่งใต้ตึกทานขนมปังง่ายๆไม่ออกมาทานอาหารไกลถึงที่นี่

“ขี้เกียจมาเจอหน้าไอ้เกรทมันเหรอครับ พูดอย่างนี้มันเสียใจแย่” อิมสูดก๋วยเตี๋ยวได้หนึ่งคำเสร็จเหลือบตามามองหน้าผม

“ใช่” ชัดเจนตรงๆแบบไม่ถนอมน้ำใจคนฟังเลยสักนิด แต่ผมเดาทางได้อยู่แล้วเลยไม่ต่อความ รอจนเขาพูดจบ “ก็เจอหน้ากันทุกวันอยู่แล้ว” ใครไม่รู้อาจจะคิดว่าผมแค่ไปรับไปส่งอิมตอนเลิกเรียน แต่ความจริงทุกวันเป็นผมไม่ก็เขาที่ไปค้างหอหรือบ้านของกันและกันเป็นประจำ

“ทำไมกูฟังแล้วเหมือนคู่สามีภรรยาที่หมดโปรแล้วเลยวะ” ไอ้ไลค์มันทำท่ากระซิบใส่ให้ผมได้ยินคนเดียว หึ ใครจะรู้ว่าความสัมพันธ์ของเราก้าวมาไกลกว่านั้นแล้ว ผมสบตาเจออิมหันมามองพอดี

“กินมั้ย” เจ้าตัวยกตะเกียบขึ้นโชว์เส้น ป้าเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวมักเห็นอิมผอมกว่ามาตรฐานเลยจัดให้ชามใหญ่ ผมเลื่อนชามคนเสนอมาตอบสนองโดยใช้ตะเกียบคู่เดียวกับเขาหนีบลูกชิ้นไปให้อีกฝ่าย

“อิมกินเนื้อไป เดี๋ยวผมกินเส้นให้” แล้วเจ้าตัวก็อ้าปากรับอย่างว่าง่าย ริมฝีปากสีชมพูสวยเปิดกว้างขึ้นมองเพลินตา ผมกลับมาตั้งหน่าตั้งตาดูดเส้นขึ้น หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็โพล่งคำถามหนึ่งออกมาทำเอาเส้นแทบไหลไปติดหลอดลม

“ใยไหมเคยบอกว่าชอบคุณเหรอ” ผมสำลักค่อกแค่กยกหลังมือขึ้นปาดน้ำซุปบนริมฝีปาก เบิกตาโพลงมองหน้าเจ้าของคำถามชวนขนพองสยองเกล้า เจ้าตัวเผยรอยยิ้มเย็นใส่ผม “ใจตรงกันแล้วนี่หนา”

“อิม” ความรู้สึกเผยบนสีหน้า รู้ได้ทันทีว่าโดนแกล้ง ถึงจะบอกว่าหยอกเล่นก็ทำเอาใจเสียได้ไม่ใช่น้อย แต่เจ้าตัวกลับไม่สนหยิบแก้วขึ้นมาดูดน้ำหวานต่อจนหมดแล้ว

“เดี๋ยวผมไปซื้อน้ำหวานเพิ่ม คุณจะเอาอะไรมั้ย” ผมนิ่ง อิมเลยไม่รอให้ผมตอบเดินถือแก้วพลาสติกออกไปทิ้ง ไอ้นัทไอ้ไลค์ถึงกับทำหน้าเหวอ

“เรื่องนี้พวกกูไม่เกี่ยวนะ”

“ใช่ๆ ไม่เกี่ยว”

เกี่ยวเต็มประตูเลยล่ะพวกมึง!!









ถึงคราวกลับบ้านผมมารออิมตรงที่เดิม ม้านั่งใต้อาคารเรียนรวม ดูมือถือฆ่าเวลาพลางเงยมองอยู่เสมอเผื่อเจอว่าอิมลงมา สายตาผมปะกับร่างๆหนึ่งซึ่งปกติหากเลี่ยงได้ก็จะทำเป็นหมางเมินแกล้งไม่เห็น หากคราวนี้กลับเกิดเหตุสุดวิสัยเมื่อสองสายตาสบกัน รองเท้าส้นสูงของเธอพลันสะดุดกับร่องหินขัดที่ไม่เรียบจนข้าวของในอ้อมกอดร่วงกระจายหล่นเต็มพื้น

คนแวดล้อมสะดุ้งหันตัวมอง แต่ไม่มีใครรุดไปช่วย พอรู้เหตุการณ์ต่างหันกลับเหมือนไม่เกิดอะไร แม้แต่พวกผู้ชายที่เคยเข้าหาต่างแสร้งนิ่งไม่สนใจ

อาจเพราะช่วงหลังมานี้ข่าวลือเรื่องที่ฝ่ายหญิงมีตัวจริงอยู่คณะนิเทศ แถมดุขี้หวงอย่างกับหมากระจายไปทั่วแล้วล่ะมั้ง มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวเรียบง่ายตามสิ่งแวดล้อม เลยเข้าทำนองที่ว่าอย่าหาเหาใส่หัวจะดีกว่า สิ่งของกระจายตามพื้นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลิ้งไปทุกทิศเก็บเท่าไรก็ไม่หมด ความรู้สึกเห็นใจจึงบังเกิด

ผมขยับลุกก้าวเข้าไปใกล้ ก้มหยิบกองปากกาที่ปลายเท้ากางนิ้วรวบทั้งหมดมาทีเดียว นั่งย่อตัวยื่นส่งให้

“นี่ครับ” เธอชะงักไปเสี้ยววิ พวกเราสบตากัน ก่อนมืออันบอบบางจะยื่นมาจับ และราวกับเกิดเหตุสุดวิสัย ร่างที่นั่งยองบนส้นสูงเกิดอาการเซจนต้องประคองตัวเธอไว้แน่น คนหนึ่งคุกเข่าลงพื้นยื่นตัวเข้ารับ ส่วนอีกคนกลับซบหน้าเข้ากับอก มวลอากาศแวดล้อมราวกับหยุดนิ่งชั่วขณะ อยากจะผละออกแต่กลัวอีกฝ่ายจะหน้าคว่ำซ้ำเติมอีกรอบจนต้องเป็นธุระพาไปส่งห้องพยาบาล ลำบากไปอีกหนึ่งยกเลยรอให้การทรงตัวของเธอกลับมาประคองเธอให้ลุกขึ้น ก่อนจัดการรวบเก็บทุกอย่างที่อยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว

“นี่ครับ” อยากให้เธอรับไปเร็วๆจะได้จบ แต่ ‘พี่ใยไหม’ กลับช้อนตามองกอดกระเป๋าตนเองไว้แน่น ท่าทางกล้าๆกลัวๆขยับมารับเอกสารและกล่องดินสอจากผม เหมือนจงใจสัมผัสนิ้วมือเล็กเกี่ยวนิ้วของผมไว้จนเป็นทางนี้ที่ต้องรีบดึงออก

“ขอบใจนะ เกรท”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมหันหลังตั้งใจกลับไปนั่งที่เดิม แต่ใครจะคิดคนเดิมกับที่เคยช่วยเหลือกลับหนีบแขนเสื้อผมไว้จนเดินต่อไปไม่ได้ “พี่ใยไหม?” ผมหันไปมองด้วยความกังขา

“เกรทยังโกรธไหมอยู่เหรอ”

“ผมไม่ได้โกรธ” แปลกใจที่เธอถามอย่างนี้



‘ไหม...ไหมชอบเกรท’ พลันประโยคนี้แล่นเข้าสมอง แทนที่ผมจะดีใจผมกลับเฉยชา ถ้าชอบแล้วจะมายัดเยียดความรู้สึกให้กันอย่างนี้ นี่ไม่เรียกว่าหวังดีกับคนที่ชอบเลยสักนิด

‘…’ ประหลาดใจกับตนเองที่ผุดความคิดแบบนี้ขึ้นสมอง ทุกอย่างมันฟ้องว่าผมชอบอิม ผมกำลังเสียใจกับการกระทำของคนตรงหน้า การกระทำที่ทำให้ผมเสียอิมไป

‘เกรทชอบไหมมั้ย’ ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสามเดือนก่อนผมคงตอบรับว่า ‘อืม’ ทันทีแบบไม่ต้องคิดให้เสียเวลา แต่ตอนนี้มันเจ็บปวดและแสนชาในใจจนอยากจะย้อนกลับไปยังก่อนหน้า ผมสาบานว่าจะไม่มีวันรับเล่นละครเวทีเรื่องนี้เลย ความจริงบทที่ผมยืนอยู่ควรเป็นของพี่พาส เจ้าชายแห่งวงการละครเวที แต่มีเหตุที่ทั้งสองคนทะเลาะกันจนเลิกรา เจ้าชายคนนั้นเลยยอมสละจากบัลลังก์ที่เคยอยู่

‘ไม่ครับ’ ผมตอบเสียงชัดเจนและดังพอ มือของเธอสั่นเบาน้ำตาคลอหน่วงราวกับเจอเรื่องสะเทือนใจ

‘แล้วที่ผ่านๆมา’

‘ที่ผ่านมาผมทำอะไร’

ไม่เคยก้าวก่ายกันนับจากวินาทีที่รู้ว่าต่างฝ่ายต่างมีเจ้าของ พร้อมกับสายใยบางๆผ่านโซเซียลที่ผมหยุดไว้ไม่กดไลค์หรือทำอะไรให้เป็นข่าวลือเสียๆหายๆกระทบระหว่างคู่ผมกับอิมอีก ยกเว้นแต่เธอที่พยายามทิ้งร่องรอยลงทุกอย่างทุกโพสต์ที่ผมแชร์

‘ผมยังอยากให้เราเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ดีต่อกันอยู่นะครับ’ ผมแกะมือเธอออก รักษาสัญญากับรอยยิ้มการค้าทุกครั้งที่เจอหน้า เรื่องราวของผมกับพี่ใยไหมควรจบลงเท่านั้น แต่มันพลาดตรงที่ผู้คนพยายามขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีต เดากันส่งเดชคุยกันสนุกปากกับภาพที่เธอจงใจแท็กผมโดยเอาคำว่ารุ่นน้องมาบังหน้า โดยที่ผมคิดว่าคงไม่เป็นไรแต่ใครบางคนกลับแอบดูอยู่ตลอด คนๆนั้นที่เคยเป็นของผม พอหลังจากรับรู้วันนั้นผมก็อันเฟรนด์เธอ

...สถานะเราเลยคงอยู่มา ณ ปัจจุบัน...





“ดีแล้วล่ะ” เธอยิ้มน้อยๆมองต่ำ จังหวะที่ผมอยากหมดธุระจะกระตุกแขนให้หลุดจากนิ้วเล็ก เสียงบางอย่างกลับดังลั่นขึ้นด้านข้าง มันดังมาจากลานเปิดใจ

“น้องอิมเมจครับ!!” ชื่อที่โคตรจะคุ้นหูดึงให้ผมหันศีรษะไปทางต้นเสียงไม่รั้งรอ อิมที่ก้าวอย่างเร่งรีบราวกับจะพุ่งตัวมาทิศนี้โดนขวางด้วยร่างที่สูงกว่าเขา เจ้าตัวสบตากับผมที่มองไป มันเป็นหลักฐานชิ้นดีว่าอิมมองมาทางนี้ตลอด แต่กลับถูกร่างสูงใหญ่ขัดขวางจนต้องหยุดขา สะดุ้งตกใจมองหน้าคนจู่โจม

“ค...ครับ” ร่างโปร่งมีแววตื่นผิดปกติ เหมือนสติไปตกอยู่ที่ใดไม่ทันได้ย้อนกลับมา สายตาเบนไปทางคนทักซึ่งยืนประจันหน้าอยู่

“น้องยังไม่มีแฟนใช่มั้ย”

“เอ๋?”

“ถ้ายังไม่มีใครช่วยมาคบกับพี่หน่อยได้มั้ย พี่ชอบน้องครับ!”

เหี้ย!

คนแวดล้อมแทบสะดุ้ง ส่วนผมเหมือนเดจาวูเห็นภาพตัวเองในอดีตซ้อนทับกับฉากตรงหน้า นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ! ผมขยับตัวจะรีบรุดไปหา แต่ทว่าแขนกลับถูกจับไว้มั่น

“พี่ใยไหม ปล่อยผม” น้ำตาที่คลอหน่วงไม่ได้ช่วยให้รู้สึกสงสารหรือเห็นใจไปมากกว่านี้เลย

“เกรท...”

“แค่ครั้งนึงก็พอแล้ว”

“...”

“อย่าทำให้ผมต้องเกลียดพี่เลยนะ” ผมสะบัดแขนวิ่งตรงไปยังเป้าหมาย มองไม่เห็นอิมเพราะโดนแผ่นหลังรุ่นพี่ตัวเขื่องบังไว้ เลยสูดหายใจตะโกนออกไปเสียงดัง

“อิม!!”

อิมอยู่ไหน ไม่มีสัญญาณตอบรับ ไอ้ด้านหน้าก็บังเสียเหลือเกินจึงตะโกนออกไปอีกรอบ “อิม!!” ใบหน้าขาวเอนตัวโผล่ออกมาจากฉากมนุษย์ อิมเบิกตาโตมองผมอย่างประหลาดใจ

“เกรท...?”

“ผมรักอิม!”

“...”

“ผมรักพี่อิมเมจ!”

“...”

“ผมรักพี่อิมเมจครับ!”

“...”

“รัก...อิมเมจ!”

“...”

“อย่ารักใครไปมากกว่านี้เลยนะครับ!” คราวนี้ถึงวาระที่คนใต้ตึกจะมองเราเป็นตาเดียว อยากประกาศให้โลกรู้ ไม่อยากให้ใครมายุ่งอีก ร่างโปร่งรีบหลบจากคนตรงหน้าพุ่งตัวมาอุดปากผมไว้

“พูดบ้าอะไรเนี่ย” เสียงปรามกระซิบดุใส่ หน้าตาตื่นๆดูหวั่นๆ แต่น่ามองทุกครั้งทุกอิริยาบถ

“น้องอิม” เสียงไอ้รุ่นพี่บ้าคนนั้น ยังมีหน้ามากล้าเรียกอีกเหรอวะ ผมตะโกนขนาดนี้แล้ว

“พี่ครับขอโทษด้วย”

“...!” ผมสะดุ้ง อิมตะโกนกลับ คนของผมยังหันไปตอบคำให้รู้สึกขึ้นกันไปอีกเหรอเนี่ย

“ผมมีแฟนแล้วครับ”

“...”

“กลับเถอะเกรท”



ในที่สุดอิมก็จูงข้อมือผมออกไป ทิ้งไว้แต่เพียงพี่ใยไหมกับรุ่นพี่ชายไทยที่แสนร้อนแรงให้ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น




มีต่อด้านล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2020 20:54:02 โดย sakutaka »

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
<Nuttipat
@Greatเทศ ไอ้เหี้ย ร้อนแรงนะมึง

<Likeme
คลิปแม่งส่งมาถึงกูเลย



<Greatเทศ
อิมต้องโกรธกูแน่เลยว่ะ
ตั้งแต่ขับรถมานี่นั่งเงียบไม่หือไม่อือกับกูเลย



ผมเหลือบมองคนข้างๆเป็นระยะแบบไม่สู้ดี เมื่อครู่เดินถึงรถไม่พูดพล่ำทำเพลงมุดเข้าฝั่งคนขับแล้วแปลงร่างเป็นสารถีบึ่งเจ้ามินิคันนี้ออกมาทันที

“อิม” ผมเรียก

“อะไร ผมขับรถอยู่” อิมตอบเสียงนิ่ง

เชี่ย...โกรธจริงๆด้วย อนาคตผมไม่เหลือแล้ว ผมปิดปากยอมทำตัวสงบเสงี่ยมไม่วอแวอีกฝ่าย จนกระทั่งมาจอดใต้หอ ทุกอย่างยังตกอยู่ในความเงียบ วันนี้เรียกได้ว่ากลับเร็วเพราะท้องฟ้ายังสว่างแสงสาดส่องเข้ามาในตัวรถ หวังว่าเจ้าตัวคงไม่พรวดพราดวิ่งไปป้ายรถเมล์ให้ผมวิ่งตามเหมือนคราวที่แล้วอีกนะ  แค่คิดก็แอบกลัวนิดๆเลยรีบกระโดดอ้อมหน้ารถไปขวางประตูไว้ หน้าต่างด้านคนขับถูกเลื่อนลง เจ้าตัวไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าผม

“ทำอะไรของคุณน่ะ”

“จะไม่วิ่งไปป้ายรถเมล์อีกเหรอครับ”

“พูดอะไรบ้าๆ หลบๆผมจะลง” มืออิมดันผมให้หลบ เปิดประตูเดินดุ่มเข้าตึกไปแบบไม่รอ

พอถึงห้องเจ้าตัวหายวับเข้าห้องน้ำ ปิดประตูเงียบ หายไปอยู่นานจนผมเริ่มใจเสีย เดินไปแนบหูเคาะประตูเรียก

“อิม”

ไม่ยอมแพ้ ผมเคาะอีกครั้งจนกระทั่งประตูห้องน้ำเปิดออก “เฮ้ย!!”

เผลออุทานตกใจเพราะใบหน้าของอีกฝ่ายเปียกปอนราวกับลูกแมวตกน้ำ อิมยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดหน้าผมเลยรีบห้าม

“เดี๋ยวๆ” วิ่งไปคว้าผ้าเช็ดหน้าประจำตัวของเขามากางออกคลุมหัว ฉวยปลายมาซับตรงแก้มนวลสีเรื่อเบาๆ “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมเปียกอย่างนี้”

“...” เจ้าตัวไม่ตอบแถมยังก้มหน้าหนักขึ้นอีกเท่าตัว ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย ไม่อยากเงียบ ผมจูงอีกฝ่ายมานั่งโซฟา นึกไปถึงวันที่ไปหาพ่ออิมที่โรงพยาบาลในวันนี้เป็นครั้งแรกที่อิมบอกกับผมว่า...



‘ผมรักคุณนะ เกรท’

เหมือนฝัน คำที่ผมรอคอยมาตลอด ต่อให้ทุกอย่างของอิมมันชัดเจนในการกระทำ แต่ผมก็ยังอยากได้ยินคำยืนยันนี้

คนที่โดนบอกเลิกมาทีนึง คงไม่มีความภูมิใจคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขารัก เขาชอบเราอย่างเต็มเปี่ยมได้หรอก มันเป็นวินาทีที่ผมอึ้ง อยากจะเอื้อมมือไปกระชับถามย้ำกับคนข้างหน้า

‘อิม’ แต่ปรากฏว่าพี่เบสกลับโผล่มาเสียก่อน ผมมองคนที่ลุกไปตามคำเรียกขาน เพื่อนสนิทของเขาบอกเล่าที่มาว่ามายด์โทรหาตอนที่พี่ชายเธอไม่รับสาย น้ำตาร่างโปร่งคลอหน่วงเหมือนพาลจะไหลลงมาอีกรอบ ก่อนที่คนนั้นจะขยับผมก็ยืนผ้าเช็ดหน้าผืนสำคัญไปให้อิมแล้ว เจ้าตัวมีท่าทีแปลกใจก่อนดันมือผมกลับปฏิเสธว่าไม่เป็นไร ผ้าสีขาวผืนน้อยคุ้นตาโผล่มาแทนที อิมล้วงมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง ซึ่งผมจำมันได้ดีว่าเป็นของ...

แผ่นหลังของอิมห่างออกไปเรื่อยๆ หลังโดนคะยั้นคะยอจากคนนั้นว่าจะไปเยี่ยมคุณพ่อ

‘อิม!’ ผมตัดสินใจก้าวเท้าตามไปคว้าไหล่

‘เกรท คุณ...’ สีหน้าอีกฝ่ายปะปนด้วยอารมณ์หลากหลายจนแยกไม่ออก

‘ให้ตายยังไงผมก็ไม่มีทางลืมคำพูดเมื่อกี้หรอกนะครับ!’

‘ไม่มีทางลืมแน่’ ผมยัดเยียดผ้าเช็ดหน้าลายตารางเทาดำของที่ระลึกในวันแรกที่เราพบกันให้ ในนั้นแอบซ่อนบางสิ่งบางอย่างไว้ บางสิ่งบางอย่างที่ผมอยากให้มาอยู่บนนิ้วเรียวยาวนั้น



“ทำไมไม่ใส่ล่ะครับ” ผมหลุดสิ่งที่ค้างคาในใจออกไป ก่อนรู้สึกผิดที่ถาม เพราะในใจไม่อยากเร่งรัด อิมเงยมองหน้าผมเหมือนงุนงง จังหวะนั้นผมผงะที่เห็นแก้มใสแดงเถือกทั้งใบหน้า เหมือนจะรู้ตัวเลยก้มลงมองพื้นอย่างเดิม เบี่ยงตัวเดินเลี่ยงไปยังโซฟาโดยไม่ทันห้ามปราม

ผมทรุดตัวลงข้างกายเขา จับจ้องใบหน้าซึ่งถูกซ่อนอยู่ใต้ผ้า ไม่กล้าเอ่ยปาก แต่หากไม่ถามก็จะไม่รู้ไปเรื่อยๆ

“โกรธผมเหรอครับ” เจ้าตัวยันเท้ากับเบาะโซฟายกขึ้นกอดเข่าขดตัวเป็นก้อนกลม ท่าทีเหมือนเด็กตัวน้อยๆ

“คุณทำอย่างนั้นได้ยังไง”

“อิม...ผมไม่ได้คิดอะไร”

“ถ้าไม่คิดอะไรทำไมไม่คิดถึงหน้าผมบ้าง”

“ที่ผมไม่คิดอะไร ก็หมายความว่าผมไม่เคยรู้สึกชอบพี่ใยไหมแล้วไง!”

“ที่ตะโกนออกมากลางลาน ไม่คิดว่าผมจะหน้าบางบ้างหรือไง!”

หา???

พวกเราเถียงออกมาพร้อมกัน ต่างฝ่ายต่างงงที่ไม่ตรงกับความคิด ผ้าบนหัวอิมตกลงพื้นดังตุบในจังหวะที่เรายืดตัวจ้องหน้า สภาวะในห้องดูเงียบงันชั่วขณะ

“เมื่อกี้อิมว่าไงนะ”

“เอ๊ะ”

“เมื่อกี้อิมหมายความว่ายังไง”

“ท...ที่คุณตะโกนออกไปตรงกลางลาน ผมยังไม่ยอมให้อภัยคุณหรอกนะ” อิมหันออกข้างหลบตา หูเรียกได้ว่าแดงมะเขือเทศเรียกพี่

“ที่อิมโกรธนี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องพี่ใยไหม”

“เรื่องใยไหมอะไร? คุณก็แค่เก็บของให้เขาไม่ใช่เหรอ”

เชี่ย...ผมคิดเป็นตุเป็นตะไปเองเสียยกใหญ่ อิมแทบไม่ได้คิดอะไรเลย แต่ทุกอย่างยังไม่คลาย มีอยู่เรื่องที่ผมคิดยังไงก็ไม่ตก “แล้วทำไมอิมไม่ใส่แหวนที่ผมให้ หรือเป็นเพราะวันนั้นพี่เบส...”

“คิดอะไรน่ะฮะ” กำปั้นน้อยๆเขกใส่หัวผมจนต้องร้องโอดครวญ “แค่ผมพูดต่อหน้าวันนั้น ยังไม่พออีกเหรอ”



‘จากนี้ไปกูคงกลับกับมึงไม่ได้แล้วล่ะ’



ใช่...อิมพูดอย่างนั้นใส่พี่เบสต่อหน้าผม

วันนั้นราวกับสุ่มเลือกที่นั่งเก้าอี้ดนตรี พ่อของอิมอาการไม่ถึงต้องผ่าตัดคุณหมอเลยให้กลับบ้าน ปัญหาเลยมาตกที่จะเลือกกลับรถใคร พี่เบสยืนยันให้อีกฝ่ายกลับด้วยกัน แต่ทุกอย่างมันจบที่คำๆเดียว อิมเลือกที่จะนั่งกลับกับผมรวมถึงทุกคนในบ้านเจ้าตัว

แต่คำพูดนั้น ผมไม่คิดว่ามันจะแฝงความนัยอะไรไว้มากมายเว้นเสียแต่...

“ทำไมอิมต้องกลับบ้านกับพี่เบสทุกวันครับ”

“เพราะผมสัญญากับเบสไว้”

“ทำไมต้องสัญญา”

“สัญญาแลกกับการที่ไม่ตอบรับเขา ด้วยการกลับบ้านด้วยกันในฐานะ ‘เพื่อน’ ทุกวัน”

“...”

“ตอนนั้นคุณก็รู้ว่าผมอกหักจากคุณ”

“อิมพูดอะไรน่ะ ผมต่างหากที่โดนอิมหัก...” มือข้างซ้ายอันเรียวยาวขาวผ่องเคลื่อนมาเบื้องหน้า รอยยิ้มละมุนตาสะท้อนภาพในรูปถ่ายเมื่อเก่าก่อน ผมชอบรอยยิ้มนี้ของอิม มันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะเอามาเป็นพื้นหลังโทรศัพท์ของผมตั้งแต่วันนั้น หากแต่ใจยังกังขาเพราะเป็นรอยยิ้มแฝงความรู้สึกที่มอบให้เพื่อนสนิทของเขา

...แต่บัดนี้มันกลับปรากฏฉายชัดบนใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลาดวงนี้...

“ใส่ให้ผมหน่อย....นะ” อิมลากสายสร้อยเส้นบางสีเงินออกจากเสื้อ ปรากฏแหวนเงินเกลี้ยงทองคำขาวแวววาวสะท้อนแสงไฟห้อยคล้องอยู่ ผมเคยเข้าใจว่ามันคือสร้อยพระ เพราะอิมใส่นับตั้งแต่วันที่ไปโรงพยาบาลวันนั้น ที่แท้เจ้าตัวไม่เคยให้มันห่างตัวเลยสักครั้งนับจากที่ได้รับไป ด้านหลังผมจงใจสลักชื่ออีกฝ่ายต่อท้ายด้วยนามสกุลผม

...Tangjitpanitan Jitmankong...

สองแขนอ้อมหลังเข้าไปกึ่งโอบ เจ้าตัวยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี ก้มหน้าเอนตัวมาซบอกจนเผยให้เห็นลำคอขาว ผมปลดสร้อยออกอย่างเชื่องช้า อดไม่ได้ที่จะโน้มหน้าเข้าไปจุมพิตผิวนวลเนียนเหนือคอเสื้อจนร่างโปร่งสะดุ้งตัวน้อยๆ แต่ยังคงนิ่งต้านรับริมฝีปาก

เสียงก๊องแก๊งจากเหล็กกระทบดังหวานกังวานในหู ฝ่ามืออิมเย็นจัดเลยจับคลึงและนวดไปมาเบาๆ ความอบอุ่นถูกถ่ายทอดให้กัน ก่อนวงแหวนแทนความรู้สึกจะถูกสวมเข้ากับนิ้วนางข้างซ้ายของคนรัก สายตาสีอ่อนมองมันอย่างชื่นชมกึ่งนึกเขินพลางใช้นิ้วโป้งขยับมันไปมา

“พอดีเลย”

“น่าจะทำมาให้เล็กกว่านี้” ผมกล่าวออกไปจนอิมเลิกคิ้วสงสัย

“ทำไม”

“จะได้ถอดไม่ออก ใส่ไปตลอดชีวิต”

“ถึงเวลานั้น ผมอาจจะตัดนิ้วทิ้งก็ได้”

“อย่าพูดอะไรน่ากลัวอย่างนั้น...” ลมหายใจอุ่นร้อนปะทะใบหน้ากะทันหัน จูบจากคนตรงหน้า จูบจากริมฝีปากของอิม เป็นความรู้สึกที่พิเศษเกินกว่าจะหาคำบรรยาย เจ้าตัวมาเพียงชั่วครู่แล้วทำท่าจะผละออกแต่ผมกลับคว้าท้ายทอยเขาไว้ ก่อนหลับตาบดกลีบปากลงไปอย่างหนักหน่วง

+++++++++++++++++++

ขออนุญาตมาลงก่อน 80% นะคะ
เรื่องนี้อาจจะเนิบนาบ แต่เราอยากสานสัมพันธ์ตัวละครให้เกิดความผูกพันไปเรื่อยๆค่ะ
ขอบคุณทุกคนจริงๆที่ติดตามมาถึงตอนนี้
ไว้จะมาต่ออีก20% ให้จบนะคะ
ขาดตกบกพร่องอะไรจะรับไว้พิจารณาแก้ไขค่ะ
ขอบคุณกำลังใจจากทุกคนจริงๆค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2020 21:03:35 โดย sakutaka »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
เพิ่งมาอ่านเจอ เราชอบมากๆ เลยค่ะ

อิพี่ใยไหมนี่นิสัยไม่ดีเลยนะ
เจ้าชู้กะจะคว้า ผช.ไว้ทั้งหมดรึไง
ดีนะที่เกรทหมดความสนใจในตัวหล่อนไปแล้ว
ไม่งั้นคงช้ำใจไปตลอดแน่ๆ

มารักอิมดีกว่า ซื่อๆ ตรงๆ ดี  :hao6:

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ขออนุญาตลงเป็นตอนใหม่นะคะ เพราะแต่งฉากยาวเกิน :m25:


รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง (จบ) 100%


“ใส่ให้ผมหน่อย....นะ” อิมลากสายสร้อยเส้นบางสีเงินออกจากเสื้อ ปรากฏแหวนเงินเกลี้ยงทองคำขาวแวววาวสะท้อนแสงไฟห้อยคล้องอยู่ ผมเคยเข้าใจว่ามันคือสร้อยพระ เพราะอิมใส่นับตั้งแต่วันที่ไปโรงพยาบาลวันนั้น ที่แท้เจ้าตัวไม่เคยให้มันห่างตัวเลยสักครั้งนับจากที่ได้รับไป ด้านหลังผมจงใจสลักชื่ออีกฝ่ายต่อท้ายด้วยนามสกุลผม

...Tangjitpanitan Jitmankong...

สองแขนอ้อมหลังเข้าไปกึ่งโอบ เจ้าตัวยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี ก้มหน้าเอนตัวมาซบอกจนเผยให้เห็นลำคอขาว ผมปลดสร้อยออกอย่างเชื่องช้า อดไม่ได้ที่จะโน้มหน้าเข้าไปจุมพิตผิวนวลเนียนเหนือคอเสื้อจนร่างโปร่งสะดุ้งตัวน้อยๆ แต่ยังคงนิ่งต้านรับริมฝีปาก

เสียงก๊องแก๊งจากเหล็กกระทบดังหวานกังวานในหู ฝ่ามืออิมเย็นจัดเลยจับคลึงและนวดไปมาเบาๆ ความอบอุ่นถูกถ่ายทอดให้กัน ก่อนวงแหวนแทนความรู้สึกจะถูกสวมเข้ากับนิ้วนางข้างซ้ายของคนรัก สายตาสีอ่อนมองมันอย่างชื่นชมกึ่งนึกเขินพลางใช้นิ้วโป้งขยับมันไปมา

“พอดีเลย”

“น่าจะทำมาให้เล็กกว่านี้” ผมกล่าวออกไปจนอิมเลิกคิ้วสงสัย

“ทำไม”

“จะได้ถอดไม่ออก ใส่ไปตลอดชีวิต”

“ถึงเวลานั้น ผมอาจจะตัดนิ้วทิ้งก็ได้”

“อย่าพูดอะไรน่ากลัวอย่างนั้น...” ลมหายใจอุ่นร้อนปะทะใบหน้ากะทันหัน จูบจากคนตรงหน้า จูบจากริมฝีปากของอิม เป็นความรู้สึกที่พิเศษเกินกว่าจะหาคำบรรยาย เจ้าตัวมาเพียงชั่วครู่แล้วทำท่าจะผละออกแต่ผมกลับคว้าท้ายทอยเขาไว้ ก่อนหลับตาบดกลีบปากลงไปอย่างหนักหน่วง

พอทุกอย่างเนิบนาบเชื่องช้า การกลั้นหายใจของคนตรงหน้าเลยเป็นอันโมฆะ อิมเผยอกลีบปากคล้ายทรมาน สูดลมหายใจเข้าปอดขนานใหญ่จนกลายเป็นเสียงครางเบา

“อือ...” โดยไม่ปล่อยให้โอกาสหนีหาย ลิ้นอ่อนชำแรกแทรกซึมเข้าโพรงปากอีกฝ่ายที่พร้อมเปิดรับเต็มที่ ผมคว้าเอวของเขาไว้ดึงให้เข้าหา จัดท่วงท่าให้กวาดชิมความอ่อนนุ่มได้สะดวก สองแขนประคองตัวโอบรัดราวกับงูพร้อมกินเหยื่อจนแผ่นอกเราทั้งคู่แนบชิด ช่วงจังหวะนั้นอิมสะดุ้งคล้ายเจอความผิดปกติบางอย่าง

 “เดี๋ยวๆ” สองมือดันเบาๆให้ตัวออกห่าง คลายจากอาการมึนเมาในรสสัมผัส ก้มหน้ามองเบื้องล่างสลับกับมองหน้าผมอย่างตกใจ

“ทำไม...” ผมถามโดยอดที่จะคลอเคลียกับติ่งหูนิ่มด้วยปลายจมูกเบาๆไปมาไม่ได้ พรูลมหายใจอุ่นร้อนลงอย่างหยอกเย้า

“รอยลิปสติก?”

ฮะ?

แทบจะดันตัวออกดูทันที ...มีรอยลิปสติกอย่างที่อิมบอกจริง อยู่กลางเสื้อเชิ้ตตรงบริเวณท้องผม รอยทั้งเด่นและชัดเสียจนน่ากลัว

“เลอะได้ไงเนี่ย...” นึกที่มาที่ไปไม่ออก แต่แฟนผมกลับเหมือนรู้ ทำท่าครุ่นคิด

“ตอนนั้นแน่ๆเลย”

“ตอนไหน...เฮ้ยอิม” ไม่ทันคาดคิดมือของอิมจัดการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตผม ก่อนลากชายเสื้อออกจากกางเกง การกระทำอย่างรวดเร็วทำให้อึ้ง ใบหน้าขาวชื้นน้ำก้มลงต่ำความเย็นและนุ่มนิ่มของริมฝีปากแนบลงกล้ามเนื้อที่เป็นลอนบริเวณท้องขบเม้มกับผิวจริงดูดกัดจนร่างกายสั่นกระตุกด้วยความเสียวซ่าน

“อ...อิม” มือที่ทาบบนแผ่นอกเพื่อการทรงตัวเผยให้เห็นนิ้วนางข้างซ้ายสวยเสลาประดับวงแหวนแวววาวสีเงินยวงอันน่าอิ่มเอมใจ ผมจับมือของเขาไว้พลางจูบซับเบาๆที่ปลายนิ้ว รู้สึกเจ็บเพราะแรงฟันกัดเบาที่หน้าท้อง อิมดันตัวเงยขึ้นพรวดพราดแสดงสีหน้าเหมือนเด็กอวดผลงานตน

“ผมไม่ต้องทำที่เสื้อ...” แต่คำนั้นกลับจบลงที่ใบหน้าแดงๆยามเห็นผมจูบแหวนวงนี้อย่างรักใคร่ รู้สึกแปลกใจกับประโยคที่หายไปจึงเปิดเปลือกตามามองคนที่นั่งอ้ำอึ้งน้ำท่วมปาก

“หืม...ทำไมนะครับ” ร่างโปร่งนิ่งเงียบไม่ตอบแถมก้มหน้างุดกว่าเดิม “อิมว่าอะไรนะ” หลุบตาลงมองเห็นรอยห้อเลือดกับคราบน้ำลายเปรอะเปื้อนช่วงท้อง ถ้ามันลงต่ำไปมากกว่านี้...คิดดีไม่ได้เลย...

“ผม...พูดว่าอย่างผมไม่ต้องทำที่เสื้อก็ได้”

“เลยมาลงที่ท้องผมโดยตรงเนี่ยนะ” อดอมยิ้มไม่ได้กับการต่อสู้เล็กๆน้อยๆระหว่างอิมกับพี่ใยไหมที่เจ้าตัวไม่อาจรู้ว่าปฏิกิริยาหึงหวงแบบเล็กๆของเขามันน่ารักน่ากัดให้จมเขี้ยวขนาดไหน “ให้ทำหมดทั้งตัวยังได้เลยครับ”

“ม...ไม่ทำหรอก” เหมือนจะแหย่หนักไป อิมเลยลุกจากโซฟาทำท่าจะผละออกไปทางอื่น ดีที่ข้อมือยังคว้ารั้งไว้ได้ทัน

“อิมจะไปไหน” เจ้าตัวผินหน้ามาทางผมที่ยังกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนโซฟา กวาดสายตามองผ่านๆตั้งแต่หัวจรดเท้าลำคอขาวกระเพื่อมเบาหนึ่งครั้งเหมือนกำลังกลืนน้ำลาย

“ไปห้องน้ำ” ผมกะพริบตานิ่งรอเหมือนอีกฝ่ายมีเรื่องจะพูดต่อ “ไปอาบน้ำก่อน ตัวผมเหนียวจะแย่อยู่แล้ว” แดงไปหมดทุกอณูผิว อิมไม่มองหน้าผมอีกแล้ว เจ้าตัวกำลังเขินเกินทำใจยอมรับ

“งั้นอาบด้วยกันนะครับ จะได้ไม่เสียเวลา”









คิดว่าจะโดนปฏิเสธ แต่อิมกลับเดินนำหน้ามาอย่างเงียบๆ ไม่เอ่ยบทสนทนาใดใด รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายความขัดเขินที่โอบคลุมรอบกายอีกฝ่าย ประตูห้องน้ำถูกปิดลงอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวสัตว์เล็กตื่นกลัวกับเสียง อิมกวาดตาสำรวจไปรอบห้อง สายตาสีอ่อนตกอยู่ที่อ่างล้างหน้าใบหน้าเผยยิ้มอ่อนออกมา น้ำเสียงขึ้นจมูกสะท้อนกำแพงห้องน้ำ ดังพอให้ได้ยิน

“หัวเราะอะไรครับ” ผมทัก อีกฝ่ายเลิกคิ้วเปลี่ยนสีหน้าฉับพลันหมุนตัวกลับมา

“เคยทำอะไรไว้จำได้มั้ย”

“ฮะ?” จู่ๆก็ถูกถามระบบคิดคำตอบในสมองเลยรวน

“ช่างเถอะ ไม่ต้องใส่ใจหรอก ผมแค่ถามไป...” ไม่ทันพูดจบผมสืบเท้าเข้าหา อีกฝ่ายเห็นเงาร่างที่ทาบทับรู้สึกถึงสัญญาณแฝงของอันตรายเลยกล่าวเสียงตะกุกตะกักใส่ “จ...จะทำอะไรน่ะ เฮ้ยๆๆเดี๋ยว!!”

เสื้อนักศึกษาถูกระเบียบโดนดึงชายออกจนหลุดลุ่ย สองแขนล่ำสันช้อนกอดลอดรักแร้จับปลายเสื้อเชิ้ตขาวถลกขึ้น แขนผู้หนึ่งเหมือนฝืนบังคับให้อีกฝ่ายต้องยกขึ้นสูงอย่างยอมจำนน ถูกถอดปลอกลอกครึ่งบนออกมาจนหมด ผมไม่รอช้าโยนเชิ้ตขาวพร้อมเสื้อกล้ามของเขาลงอ่างพลางเปิดก๊อกน้ำราดแบบไม่เกรงใจเจ้าของ

“เฮ้ยๆๆๆ เกรท!!!” อิมตะโกนลั่น ตกใจหน้าซีดวิ่งพรวดพราดไปคว้าเสื้อตัวเองยกขึ้น แต่ไม่ทันการมันทั้งชุ่มทั้งโชกจนไม่เหลือสภาพเดิมแล้ว “ทำอะไรของคุณวะ!!”

“ใครว่าผมจำไม่ได้ล่ะ”

“เออ ก็รู้แล้ว แค่บอกมาดีดีก็ได้นี่หว่า แล้วอย่างนี้ผมจะใส่อะไรกลับบ้าน!”

“ยังไงวันนี้ก็ไม่ได้กลับอยู่แล้วหนิครับ”

“...!” อิมสะดุ้ง หน้าขึ้นสี เจ้าตัวลนลานหลบตาก่อนพูดออกมาเสียงแผ่ว “บางที...อาจจะกลับได้นี่หว่า” โดยไม่ปล่อยให้เสียโอกาส ผมก้าวเข้าหาก่อนกระซิบข้างหูอีกฝ่าย

“ถ้าคิดว่ามีแรงเดินกลับไหวก็ลองดูครับ”

จบคำมือคว้าเอวบางได้ก็สืบเท้าเข้าหาแบบไม่พูดพร่ำทำเพลง ระหว่างร่างกายของเราทั้งสองมีเพียงซากเสื้อชุ่มน้ำที่เจ้าตัวถือขวางเอาไว้ อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยแถมใช้กำปั้นดันอกผมสุดชีวิตจนเชิ้ตบนตัวผมพลอยเปียกปอนไปด้วย ใครจะรู้ว่าคนสูงกว่าย่อมมีชัย เพียงแค่โก่งตัวหัวก็ถึงซอกคอ จึงเริ่มซุกไซร้สูดดมกลิ่นความหอมหวานของร่างขาวอย่างจาบจ้วง

“ยะ...เกรทจักจี้...หยุด...พอได้แล้ว”

อิมสะดุ้งตัวโยกคอหลบ แต่สุดท้ายขาทั้งสองก็พาร่างเจ้านายมันมาถึงสุดทาง แผ่นหลังแตะสัมผัสกับกำแพงเย็นเยียบ เจ้าตัวชะงักเท้าหมุนหัวมองหน้า ผมจ้องตอบเขานิ่งราวกับท้าทาย

“ล...เลิกเล่นได้แล้ว” ลมหายใจอุ่นร้อนของคนทั้งสองปะทะกัน มันอดไม่ได้ที่จะรู้วาบหวามไปทั้งหัวใจ

“งั้นเอาจริงล่ะนะ”

“หา?”

ผมกดท้ายทอยกันอิมหลบ แนบกลีบปากประกบคลึงหนัก จนเจ้าตัวส่งเสียงในลำคออู้อี้เชิงประท้วงว่า ‘ที่ให้เลิกเล่นไม่ใช่หมายความว่าอย่างนี้’ อดเอ็นดูจนห้ามมุมปากที่ยกขึ้นไม่ได้ ลิ้นอ่อนเคลื่อนคล้อยแตะชิมริมฝีปากนุ่มหยุ่นสีชมพู เลียจนเปียกชื้นพอใจ ก่อนแทรกส่วนปลายเข้าร่องกลีบปากเบาๆ เจ้าตัวเหมือนต่อสู้ไม่ยอมแพ้ กัดฟันฝืนโต้กลับทั้งที่จนมุม

“อิม” เปล่งเสียงทุ้มต่ำเรียกเขาราวกับอ้อนขอ จังหวะที่ถอนออกก็โดนเสื้อชุ่มน้ำแปะเข้าเต็มหน้าจนสำลักผงะถอย คนเป็นรุ่นพี่เห็นสภาพผมที่หน้างอดึงผ้าเปียกลงถึงกับหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความสะใจ

“ฝีมือคุณเองนะ” ผมเขวี้ยงผ้าผ่อนของอีกฝ่ายไปด้านหลัง รวบเอวบางลากให้ร่างกายช่วงล่างแนบชิดกัน อิมถึงขั้นทำตาโตมองหน้า คงรู้ตัวแล้วว่าผมมีอารมณ์

“ทำไมครับ? ทำไมต้องทำหน้าแบบนี้” ผมยกนิ้วคลึงคิ้วได้รูปที่ย่นเข้าหากันมุ่น เจ้าตัวเหมือนรู้เลยย้อนถาม

“ท...ทำไมคุณเป็นคนขึ้นง่ายอย่างนี้นะ”

“อย่าว่าแต่ผมเลย อิมก็ ‘ขึ้น’ เถอะ” พอขยับเสียดสีหยอกเย้า หน้าใสใสถึงกลับเปลี่ยนอารมณ์ไปมาเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดปะปนกัน

“ช...ใช่ผม ‘ขึ้น’ เถอะ!” เจ้าตัวกระแทกเสียงเหมือนกลบเกลื่อน กำแขนเสื้อที่เกาะผมเสียแน่น “ต...แต่หมายถึงโกรธนะ!”

“งั้นก็ ‘โกรธ’ ผมมากๆหน่อยนะครับ” ผมกระซิบข้างใบหูด้วยเสียงแผ่วเบา “เพราะผมจะ ‘โกรธ’อย่างนี้เฉพาะกับแค่อิมเนี่ยแหละ” จบคำมือขยับสอดเข้าชั้นในไปขยำสะโพกหนั่นอย่างมันเขี้ยว อิมตกใจโยกตัวมาข้างหน้าเหมือนจำยอมให้ส่วนนั้นของพวกเราใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่ยังไม่หยุดขยับตัวยุกยิกเหมือนพยายามดิ้นให้หลุด ผิวเนื้อลื่นมือตรงบั้นท้ายถูกทั้งฝ่ามือลูบตะโบม นิ้วยาวไล้สัมผัสจนหมดทางหนี เป็นสัมผัสที่ให้ความรู้สึกโคตรดี ทำไมแฟนผมถึงน่ากินได้มากขนาดนี้นะ

พอเผลอไผลขยับเข้าร่องแนบของเนื้อนุ่มสะกิดเบาตรงช่องทางน่าหวงแหน ร่างโปร่งถึงกับจิกเล็บลงแขนผมไม่บันยะบันยังถลึงตาใส่

“ค...ใครบอกว่าคุณ ‘โกรธ’ แบบนี้เฉพาะแค่กับผมเล่า! อย่ามาขี้โม้เลย!” คำท้วงคำเดียวเล่นเอาหยุดทุกการกระทำ ผมมองหน้าอิมด้วยความสงสัย

“ผมเคยไป ‘โกรธ’ แบบนี้กับใครด้วยเหรอครับ”

“อย่ามาทำเป็นลืมนะ ตอนที่คุณมาห้องผมวันแรกไง!”

“อิมพูดไม่เพราะเลย” ผมบิดปากมองหน้าเขา รู้สึกอยากกวนประสาทคนตรงหน้าขึ้นมาเสียดื้อๆ

เป็นอย่างที่คิด สายตาสีอ่อนและใบหน้าแสดงความประหลาดใจถูกส่งตรงมาพร้อมการขานรับว่า “หา?”

“เรียกผมว่าเกรทสิ”

“ทำไมผมจะต้อง...”

“ถ้าเรียกว่า ‘เกรท’ ผมจะยอมเฉลยทุกข้อข้องใจที่คุณตั้งจิตปณิธานอยากรู้เลยครับ”

“ผมก็เรียกอยู่แล้วนี่หว่า”

“แต่บางครั้งยังหลุดคำว่า ‘คุณ’ ออกมาเลยนี่ครับ”

“ทำไมคุณถึงเรื่องมากอย่างนี้นะ”

“นั่นไงล่ะ หลุดคำว่าคุณออกมาอีกแล้ว” ช่วงจังหวะที่อารมณ์ ‘โกรธ’ นั้นพาไป ผมใช้แรงมือดันสะโพกอิมขึ้นหน้า ปลดตะขอลากซิปลงอย่างว่องไว ก่อนใช้นิ้วทั้งห้าลูบตะโบมส่วนอ่อนไหวผ่านเนื้อผ้าชั้นในที่เผยให้เห็น

“ฮะ...ยะ...!!” อิมหลับตาสีหน้าเปลี่ยน เจ้าตัวรีบก้มเอาศีรษะซุกอกผม เกาะแขนกำเสื้อเชิ้ตแน่น โก่งตัวหลบเลี่ยงแต่สุดท้ายก็ไม่พ้นกำแพงที่คอยขวาง ร่างตรงหน้าเริ่มหอบครางสั่นไหว

“จะเรียกเกรทรึยังครับ”

“อย่าแกล้ง...ฮะ...” เสียงหายใจรุนแรงรดใต้อก ลำคอขาวก้มโค้งต่ำล่อลวงให้จุมพิตดูดกัดสร้างรอยห้อเลือดแดงช้ำไปทั่ว เหมือนอิมรู้ตัวจึงเงยหน้า ส่งดวงตาฉ่ำเยิ้มหวั่นไหวกับใบหน้าบิดเบี้ยวมองมาอย่างอ้อนขอ

“เกรท...เกรท” เสียงสั่นแต่หวานรื่นหูกระตุ้นให้ความรู้สึกปะทุ ขยับมือสอดเข้าใต้ผ้าสัมผัสเนื้อแท้ของคนตรงหน้าทันที ไม่ทันให้อิมต่อต้านความรุ่มร้อนก็โดนกอบกุม รูดรั้งขึ้นลงอย่างไม่ปรานี “ยะ...ฮึก...น...ไหนบอกว่า...ฮือ”

เหมือนความรู้สึกเจ้าตัวมาถึงเกือบปลายทางอยู่แล้ว พอขยับสะกิดเพียงนิดหน่อย ธารน้ำอุ่นก็รินหยาดเป็นสายพรั่งพรูออกมาเต็มฝ่ามือ ตอนนี้ทั้งตัวอิมแดงเหมือนกุ้งสุกมุดหน้าเข้าแผ่นอกผมราวกับอับอาย แต่ไม่วายสักพักจับข้อมือผมลากไปยังอ่างเปิดก๊อกน้ำชำระล้าง

“ห้ามยกขึ้นเลียแล้วกลืนเข้าไปน่ะ ผมไม่ยอมจริงๆด้วย” ผมเลิกคิ้วประหลาดใจในขณะที่เจ้าตัวยังจับข้อมือผมทำความสะอาด

“ทำไมอิมรู้ว่าผมจะทำ”

สองมืออิมหยุดชะงัก ปิดก๊อกน้ำ มือผมสะอาดเอี่ยมแถมยังมีกลิ่นซีตรัสของสบู่ล้างมือฟุ้งไปหมด  เขาหันกลับมาทางผม ในสายตาพาเอาอารมณ์เกือบขึ้นแต่ต้องห้ามไว้ ร่างกายท่อนบนที่ไม่ได้ใส่อะไรโชว์แผ่นอกขาวเนียน กับกางเกงสแล็กที่ถูกปลดลากซิปเผยให้เห็นชั้นในโผล่แพลมออกมามันน่าเย้ายวนใจสิ้นดี

“ก...เกรทยังไม่คืนนิยายให้ไอ้พี่สิทธิ์ใช่มั้ย”

คำเรียก ‘เกรท’ มันดึงความสนใจผมไปหมด แอบขำเจ้าตัวที่เหมือนพยายามเพราะกลัวเจอบทลงโทษแบบเมื่อครู่

“ในนั้นมีฉากอย่างว่า คงไม่คิดจะเอามาเลียนแบบหรอกนะ”

กะว่าจะลองทำตามมันทุกท่าเลยต่างหาก ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้ทัน

“ผมบอกแล้วไงว่าอย่าไปยุ่งอะไรกับหนังสือในห้อง”

“ทำไมอิมถึงรู้ว่าผมเอามา” ทั้งที่ตอนนั้นอิมก็ไม่ได้อยู่ด้วย แต่ทำไม...

“ไอ้พี่สิทธิ์มันมาทวงกับผม ว่า ‘นิเทศฝุดๆสะดุดรัก’ ของมันเมื่อไรจะได้คืน” โป๊ะแตก...เผยหางแบบนี้คงไม่ต้องปิดบังกันแล้วมั้ง

“พี่สิทธิ์เขายัดมาใส่มือผมเอง ตอนแรกก็ตั้งใจแล้วว่าจะไม่อ่าน แต่ก็อดเผลอจินตนาการเป็นตัวเองกับอิมไม่ได้”

“จินตนาการกับคนอื่นแล้วอย่ามาอ้างผม!”

“ตอนที่มาห้องอิมวันแรก ผมคิดถึงแต่ขาสวยๆกับกางเกงบ๊อกเซอร์ของอิมนะครับ”

“...!!” เซอร์ไพรสสินะ เรื่องนี้ผมไม่เคยบอกใครเลย

“เพราะอย่างนั้นเลยของขึ้น แต่กลัวอิมตกใจเลยอุทานชื่อคนอื่นให้อิมสบายใจแทน” คนของผมอ้าปากค้างไปแล้ว “หึ...หน้าเหมือนเจ้าลาโง่ของตาเวลเลย”

“นี่คุณ!!” โดนด่าว่าเหมือนเจ้าเน่าเลยมีฟึดฟัด ผมคว้ามือซ้ายอีกฝ่ายขึ้นมา หลับตากดจูบระหว่างแหวนของเราอย่างหวงแหน ก่อนตวัดสายตาจ้องมองใบหน้าขาวใสในระยะประชิด

“พี่อิม...จูบผมหน่อย”

“...!”

“จูบผมหน่อยนะ...พี่อิม” ร่างตรงหน้าสั่นเทาเล็กน้อยเหมือนกระอักกระอ่วนใจทำอะไรไม่ถูก ไม่ได้คาดหวังให้เขาทำตามหรอก แค่อยากอ้อนตามประสาคนรัก แต่เรื่องมันเหนือคาดหมายตรงที่อิมกลับสืบเท้าเข้ามาประชิดโอบแผ่นหลังก่อนออกคำสั่งดุจดั่งราชินี

“ก้มหน้าลงมาสิ” จะขำก็ขำ จะหวั่นไหวก็หวั่นไหว แต่ไม่แฝงแววโรแมนติกสักนิด ผมยกยิ้มเบาโก่งคอ ทิ้งหน้าผากลงสัมผัส ขยับปลายจมูกให้ชนกัน ก่อนต่างฝ่ายต่างยื่นริมฝีปากออกมาแตะกันเบาๆ จนเกิดเสียงจุ๊บดังสะท้อนทั่วห้องน้ำ

หนึ่งก้าวถอยคือหนึ่งจูบ สองก้าวคือตอกย้ำ สามก้าวคือกระทำซ้ำให้มั่นใจ พวกเราถอยไปจนสุดท้ายกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็กลับมายืนใต้ฝักบัวที่เก่า สถานที่แห่งความทรงจำของเรา สมาธิอิมหลุดตอนที่แผ่นหลังผมสัมผัสผนังแล้วหยุดนิ่ง เจ้าตัวผินหน้ากวาดตามองไปรอบๆ เหมือนสายตาไปสะดุดกับของบางอย่าง จึงเปล่งเสียงดังเอ๊ะเบาๆจากลำคอ

“มีอะไรรึเปล่าครับ”

“ทำไมไม่มีแล้ว”

“ไม่มีอะไรครับ” ผมรู้ว่าอิมพูดเรื่องอะไรเลยไม่หันไปมองตาม ได้แต่ฉวยโอกาสนี้จับจ้องหน้าใสใสกับพวงแก้มสีชมพูตรงหน้า

“ก็ซัน...”

“ซันซิล” ผมเอ่ย อิมกระตุกตัวหันหน้ามาทันทีพลางขมวดคิ้ว

“ทำไมถึงรู้”

“คิดแล้วก็อยากทึ้งหัวตัวเองนะครับ ปากพล่อยพูดไปตามอารมณ์ต่อหน้าแฟนคนปัจจุบันได้ไง สมควรแล้วที่จะโดนอิมกัดเรื่องยาสระผมตั้งแต่วันนั้น”

“แล้วทำไมไม่ทำซะล่ะ” เสียงแทรกเข้ามา ก่อนเจ้าตัวจะส่งมือมาขยำขยี้หัวผมจนเละ จะหลบก็หลบไม่ได้เพราะหลังติดกำแพง

“เฮ้ย...ไม่ใช่อย่างนี้สิอิม พอพอหยุดครับหยุด” อิมหยุดจริงแถมนิ่งมองผมตาแป๋ว สักพักก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่ เจ้าตัวขยับมือลงไปกุมท้องหัวเราะ

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

“หัวเราะอะไรเนี่ย” ผมยืนจัดทรงผมอยู่กับที่ ส่งสายตาตำหนิใส่คนหัวเราะแบบไม่ไว้หน้าผมสักนิด

“อยากให้แฟนคลับนายมาเห็นสภาพตอนนี้จัง...” อิมถอยหลังกวาดสายตามองทั้งร่างผม อุทานบ่นพึมพำจนได้ยินเป็นคำว่า ‘แต่ก็ไม่เลวหรอกนะ’ ก่อนหยุดชะงักเปลี่ยนสีหน้าฉับพลันเป็นรื้นแดง เสตาหลบไปทางอื่นอย่างประดักประเดิด

“คุณดูอึดอัดนะ”

“ฮะ?”

“หะ...ให้ผมช่วยเอามั้ย” ผมก้มลงมองตามสายตาสีอ่อน รู้เลยว่าต่อให้เล่นหยอกล้อกันนานเท่าไรเจ้าลูกชายผมก็ไม่เคยสงบลงเลยสักนิด มันถูกกระตุ้นจากสภาพของคนตรงหน้าตลอดเวลา

โดยไม่รอคำตอบอิมกระเถิบตัวเข้ามาแกะตะขอเกี่ยวซิปลง ผมยืนดูการกระทำของเขาโดยไม่ห้าม ผ้าผืนน้อยสีแดงที่ดูคับข้องทรมานจากการโป่งนูนเห็นแล้วชวนอึดอัด หากร่างที่คุกเข่าลงกลับดูประหลาดใจกับเรื่องอื่นเสียมากกว่า

“กางเกงในตัวนี้” อิมเงยมองหน้าผม

“ใช่ครับ ตัวที่อิมให้ผมเป็นของขวัญไง”

“ยังจะกล้าใส่อีกนะ”

“ผมใส่...” มือขยับไปเชยคางคนที่อยู่ต่ำกว่า สายตาส่อแววซุกซนและลามกหน่อยๆ “เพื่อจะได้ให้อิมถอดให้ไง”

จบคำอิมหลบคางออกจากมือผม ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดผ่านเนื้อผ้าแทบทะลุสัมผัสส่วนอัดแน่นไปด้วยอารมณ์ เจ้าตัวกดหน้าลงต่ำใช้ริมฝีปากอ่อนนุ่มกัดเบาๆผ่านผืนผ้าเหมือนต้องการหยอกล้อ ก่อนใช้นิ้วข้างหนึ่งเกี่ยวขอบชั้นในลง ส่วนอีกข้างพยายามเกี่ยวปลายผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากเข้าทัดหู หากแต่ดูจะไร้ผลเมื่อผมอีกฝ่ายสั้นเกินไป

โพรงปากอุ่นร้อนเข้าครอบครอง ลิ้นอ่อนไล้เลียส่วนปลายหยอกเย้าเบาๆ ก่อนห่อหุ้มด้วยความชุ่มชื้นไว้ทั้งหมด อิมคุกเข่ายกตัวสูงปรับให้ท่วงท่าสะดวกและไม่ทรมานตัว สายตาสีอ่อนพยายามลอบสังเกตอาการผ่านสีหน้าของผม ลมหายใจหอบสั่นถูกปล่อยออกมาอย่างเก็บกักไม่อยู่ ยามเจ้าตัวใช้ผนังอ่อนในโพรงปากถูไถและลิ้นนุ่มเล้าโลมไปมาอย่างเอาใจมันทำให้ผมเผลอไผลประคองแก้มนิ่มนวลใช้นิ้วโป้งลูบไล้ไปมา

เมื่อเห็นท่าทางแสดงถึงความพอใจ อิมจึงปิดเปลือกตาเหมือนตั้งมั่นทำสมาธิกับส่วนนั้น ดูดกินปรนเปรอ ใช้ความอ่อนนุ่มสร้างความสุข ไปพร้อมกับระมัดระวังไม่ให้เรียวฟันสัมผัสโดน การดูแลเอาใจใส่เช่นนี้มันทำให้หัวใจผมฟู ความรู้สึกจึงเริ่มไต่ทะยานอย่างรวดเร็ว หากแทนที่อยากจะปลดปล่อยกลับเป็นรู้สึกอยากจะกดจูบร่างของคนที่อยู่ต่ำลงไปหนักๆ ประทับทำรอยให้ทั่วร่าง จึงดันตัวอิมออกห่างทั้งที่ยังไม่สุดทาง

พอโดนอย่างนั้นดูท่าจะเสียขวัญพอดู อิมย่นหัวคิ้ว ผมเห็นดวงตาสีอ่อนของเขาชื้นน้ำขึ้นเรื่อยๆเหมือนเกิดข้อสงสัย

“ทำไม? มันแย่เหรอ?”

“ถ้าแย่มันคงไม่เป็นถึงขนาดนี้” ผมหอบตัวร้อนไปหมด สายตาชี้ชวนให้คนข้างใต้มองดูบางสิ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า อิมมองได้สักพักใบหน้าก็ซับสีเลือดบ่นงึมงำอยู่เบาๆแต่ผมดันได้ยิน

“ตอนแรกมันก็ไม่เท่านี้หรอก แต่มันใหญ่ขึ้นเพราะอิมต่างหาก” เพื่อให้อารมณ์สร่างซาจึงเปิดฝักบัวส่งสายน้ำสาดซัดชำระล้างพวกเรา อิมสะดุ้งตกใจยกแขนขึ้นบังน้ำกระเด็นเข้าตาลุกพรวดพราดขึ้นมากำปกเสื้อต่อว่าผม

“ทำอะไรของคุณน่ะ อยู่ดีดีก็เปิดน้ำ!”

“ไหนอิมบอกว่าอยากจะอาบน้ำไง หรือหวังจะเข้ามาทำอะไรกันแน่” มุมปากบางกระตุกเหมือนหัวเสียที่โดนย้อน แต่ก่อนจะเข้าสู่ศึกฟาดฟันฝีปาก “มาอาบน้ำกันก่อนเถอะครับ เอาให้สะอาดเลย”

จบคำผมเริ่มกดจูบลงริมฝีปากที่พึงปรนเปรอเบื้องล่างของตนไปอย่างไม่รังเกียจ รวบตัวร่างบางสอดมือเข้าขอบชั้นในลากทั้งหมดลงให้พ้นสะโพก อดไม่ได้ที่จะหยอกเย้าบีบบั้นท้ายจนอิมสะดุ้งตัวเข้าหา ส่วนเร้าอารมณ์เสียดสีกันไปมาพาให้ร้องครางในใจ ก่อนหมุนตัวสร้างความเป็นต่อพลิกบทปรับเปลี่ยนตำแหน่ง ให้หลังและร่างปลอดอาภรณ์พึ่งพิงกำแพงกระเบื้องเย็นชื้น ช่วงขาซึ่งโดนกางเกงกรอมรั้งเปรียบเหมือนดั่งพันธนาการ ร่างในอ้อมกอดเสียการทรงตัวจนหลังชนฝา ไม่รอให้อิมตั้งตัวทันแขนข้างหนึ่งยกขาเรียวขึ้นมาเกี่ยวเอวพลางกระซิบข้างหู


มีต่อด้านล่างค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
“เกาะไหล่ผมไว้” ร่างเสียเปรียบยอมทำตามคล้องแขนสองข้างเข้าคอเกาะผมไว้แน่น ขาสองข้างถูกยกขึ้นสูงในคราเดียวก่อนกางเกงสแล็กสีดำและผ้าผืนน้อยจะถูกกระชากลากออกจากร่าง หมดสิ้นพันธนาการทั้งหมดในตัว เพราะกลัวร่วงตก ขาขาวเพรียวจึงไขว้เกาะเกี่ยวเอวผมไว้มั่น พลันอดที่จะหยอกล้อด้วยการดันส่วนซึ่งเหลืออารมณ์เกินกว่าครึ่งเข้าเสียดสีร่องสะโพกเครียดตึงไม่ได้

“เกรท!” เจ้าตัวถึงตาใส่ ผมยิ้มร้ายแบบไม่รู้สึกถึงบทลงโทษ ย่อตัวให้อีกฝ่ายไถลลงนั่งกับพื้น น้ำฝักบัวที่สาดลงมาทำให้ทุลักทุเลกับการมองไปนิด แต่มุมติดผนังเป็นจุดอับ เลยรีบขยับตัวเข้าหา รวบข้อมือสองข้างของอิมยกขึ้นเหนือศีรษะตรึงไว้กับกำแพงด้วยมือเดียว อิมหอบมองหน้าผม ไม่รู้ว่าโมโหหรือเริ่มทนไม่ไหว แต่สายตาที่ฉ่ำน้ำก็ชวนให้ใจสั่นได้ดี

“เดี๋ยวผมอาบน้ำให้”

“อ...อาบแบบไหนกันวะเนี่ย” ตื่นเต้นทีไรสบถคำหยาบทุกทีรายนี้

“อาบแบบแมวไงครับ” ใบหน้าเคลื่อนเข้าใกล้เริ่มจากซอกคอลงไปยังไหปลาร้า หากเป็นแมวคงแค่ใช้ลิ้นสากๆลากไปตามขนนุ่มๆของมัน แต่ผมกลับใช้ทั้งฟันขบกัด กลีบปากเม้มหนักๆสร้างรอย ผิวขาวถูกแต่งแต้มไปด้วยสัญลักษณ์แสดงความเป็นเจ้าของทุกตารางนิ้ว จนไปหยุดที่แผ่นอกขาวเนียนจึงเริ่มใช้ริมฝีปากเข้าครอบครองประดุจเด็กน้อยยังไม่ถึงวัยหย่านม เม้มหนีบปลายยอดดึงเบา ดูดรั้งจนขึ้นสี ร่างของอิมกระตุกทุกครั้งที่ลิ้นอ่อนสัมผัสสลับกับการดูดดึงขบกัดด้วยไรฟันเบาๆ

“ฮึก....เกรท ทำไมชอบกัด” คำพูดเดียวกระตุ้นให้ผมหยุด นิ่งคิด ก่อนคำตอบบางอย่างจะพรั่งพรูออกมาจากหัว

“ผมอยากสร้างรอย...อยากทำให้มองดูก็รู้ว่าอิมเป็นของผม ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว ดวงตา ปลายจมูก กกหู หรือริมฝีปาก ตรงไหปลาร้า กับแผ่นอกก็ใช่” ปลายนิ้วลากผ่านไปตามอวัยวะที่บอกกล่าว ก่อนสะกิดเบาตรงยอดอ่อนสีชมพูนั้น อิมปิดเปลือกตากระตุกกายจนเหมือนปลายส่วนแข็งขืนเริ่มมีหยาดน้ำใสไหลออกมา ผมยิ้มอย่างพอใจและนึกเอ็นดู ดีที่เขามีความรู้สึกกับผม ไม่ใช่เพียงการฝืนใจ ร่างข้างใต้ปรือตาเบาๆ เอ่ยคำ

“งั้นก็ทำทั้งตัวเลยสิ วันนี้วันศุกร์...ผมอนุญาต” ผมคลายมือของอีกฝ่ายออก รู้สึกร่างกายมีปฏิกิริยากับคำกล่าวยินยอมทั้งที่ไม่มีความหยาบโลนอยู่ในนั้นเพียงนิด ก้มลงจัดการกับยอดอ่อนสีสวยอีกข้าง อ้อมฝ่ามือกดแผ่นหลังเนียนลื่นให้ป้อนส่วนซึ่งเริ่มแข็งขืนเป็นไตเข้าในโพรงปาก ดูดดึงดื่มด่ำจนปลายยอดสีแดงก่ำเด่นตา อีกฝ่ายได้แต่ครางในลำคอจับขยุ้มเส้นผมระบายอารมณ์ ก่อนเล่นซนไปจับอีกข้างของตนบี้ด้วยปลายนิ้วจนแดง ผมจับข้อมือของเขาออก ใบหน้างอง้ำกล่าวตำหนิ

“ไหนบอกให้ผมทำไง”

“ข...ขอโทษ” อีกฝ่ายหน้าแดงเขินจนไม่รู้จะไปมุดที่ไหน รู้ทั้งรู้ว่าทำเพราะอารมณ์พาไป แต่อดที่จะแกล้งหยอกไม่ได้

“ให้อภัยก็ได้ครับ” สุดท้ายก็ปรนเปรออีกข้างให้เท่าเทียมกันจนหนำใจ ไล่ปลายลิ้นลงต่ำถึงแอ่งสะดือ จุมพิตขบกัดวนเวียนเป็นวัฏจักรซ้ำๆแต่พยายามไม่ลงมากระทำกับส่วนอ่อนไหว วนเวียนไปอย่างไม่รู้เบื่อ พอประพรมทั่วจนพอใจจึงอ้อมมือไปลูบไล้สะโพกลื่นมือ ยกขาเรียวยาวพาดไหล่ให้ช่องทางหุบแน่นเปิดเผย อิมหอบสะท้านตัวแดงพาดแขนขึ้นปิดดวงตาหันหน้าหลบออกด้านข้าง เจ้าตัวกัดริมฝีปากอย่างแพ้ทิฐิตนเอง

“อือ...” เสียงครางเครือแผ่วเบาเล็ดลอดจากลำคอยามนิ้วคลึงเคล้นเข้าผิวเนื้อที่ปิดแน่น นวดเฟ้นเคล้าคลึงจนเริ่มผ่อนคลาย ปลายนิ้วขยับแช่มช้าพยายามสร้างความตระหนกให้น้อยที่สุดกับร่างข้างใต้ เคลื่อนคล้อยล่วงล้ำเข้าสู่ภายในทีละนิด อิมมีทีท่ากระตุกเกร็งในคราแรกแต่ก็ฝืนแสร้งทำตัวนิ่งกัดฟัน

“เจ็บหลังมั้ยครับ ทนไหวมั้ย”

“ด...ได้” ร่างโปร่งพยักหน้าเผยดวงตาคู่สวยสบปรือปรอย ทำเอาคนเห็นแอบนึกสงสารไม่ได้ ตัดสินใจปล่อยมือแตะจูบเข้าปลีน่องขาวนวลอย่างหวงแหน

“เกรท” เสียงหวานพยายามเรียกย้ำให้ผมหันกลับไปมอง ความจริงแค่อิมยอมถึงขนาดนี้ก็ถือว่ามากพอแล้ว ผมไม่ได้ต้องการเร่งเร้าให้อีกฝ่ายยกทุกอย่างให้ภายในวันเดียว อยากจะสานต่อสัมพันธ์ของเราให้ค่อยเป็นค่อยไป อยากให้อิมมีความสุข อยากจะอยู่กับเขาไปนานๆ

ขณะความคิดยังดื่มด่ำ คนของผมกลับขยับตัวลุกขึ้นอย่างซวนเซหมุนตัวคุกเข่าเกาะผนัง ฉับพลันที่เห็นการกระทำผมแทบเบิกตาค้างคว้ามือของเขาไว้

“อิม ทำอะไรน่ะ!”

“ก...ก็คุณหยุด”

“แต่ก็ไม่ต้องถึงกับ...!” อยากตีให้ก้นแดง ก็เล่นเอานิ้วสอดเข้าด้านหลังตัวเองแบบนั้นไม่ให้ผมอารมณ์ขึ้นได้ไง!

“ก็...เกรท...เกรทไม่ทำต่อ...นี่หน่า” ดวงตารื้นแดงจนแทบจะเรียกได้ว่าร้องไห้อยู่รอมร่อ เห็นแล้วอยากกัดให้จมเขี้ยว ทำให้ทรมานไม่กล้าทำอะไรแผลงๆแบบนั้นอีก ไม่รู้ใครไปเป่าหูอะไรให้เจ้าตัวน้อยเนื้อต่ำใจเรื่องที่ผมเคยชอบผู้หญิงอย่างพี่ใยไหมมาก่อนอีกรึเปล่า แต่แค่ทุกวันนี้ผมก็รักเขาจนแทบโงหัวไม่ขึ้นอยู่แล้ว

ผมสวมกอดร่างชื้นน้ำจากด้านหลัง ผิวกายเรียบลื่นของพวกเราสัมผัสกันสร้างอารมณ์ให้หวั่นไหว ความแข็งขืนที่ซ่อนไว้แตะแนบสัมผัสบั้นท้ายของคนตรงหน้าอย่างไม่ปิดบัง “ทำครับ ผมอยากกอดอิมนะ อยากกอดจะตายอยู่แล้ว”

“งั้นก็กอดสิ” อิมแตะที่แขนผินหน้ามามอง “กอดเท่าที่คุณทำได้เลย”

เหมือนเส้นความอดทนขาดผึ่ง มือล็อกคางเล็กป้อนจูบอุ่นร้อนตะโบมสู่ริมฝีปากอิ่ม ห้านิ้วลูบไล้จากไหปลาร้า แผ่นอก จนจบที่แกนกลาง ขยับชักนำอย่างรวดเร็วรุนแรงส่งอารมณ์ให้ร่างในอ้อมกอดมาจนถึงขีดสุด น้ำวิสุทธิ์ในกายอิมหลั่งไหล ความเปียกชื้นถูกใช้มาแทนที่สิ่งซึ่งขาด กดนิ้วแทรกเข้าร่องเนื้อคับแน่นในคราเดียวจนสุดปลาย ก่อนขยับสร้างความเคยชิน ผลักตัวอิมให้ก้มลง กดจูบไล้เลียช่องทางแน่นตึงอย่างสุดความสามารถ เหมือนอิมค้านอยู่ในที แต่สุดท้ายก็ยอมจำนนยกสะโพกขึ้นสูงก้มหน้างุดกับแขน

“ทนอีกนิดนะครับ” สามนิ้วสอดเข้าขยายจนดูอึดอัด แต่จังหวะงอนิ้วเสียงครางของร่างที่กลายกุ้งสุกก็ดังแทรกขึ้นมา

“อะ...ฮือ...” อิมกลั้นเสียงร้อง กัดฟันกับแขน เมื่อกดซ้ำลงไปที่เดิมอีกครั้ง เสียงครวญครางแหบพร่ารัญจวนใจจึงดังขึ้น

“ตรงนี้เหรอครับ”

“ฮือ...” ศีรษะเล็กทั้งผงกขึ้นลงและส่ายหัวเหมือนสับสนในตนเอง ผมยกยิ้มอย่างเอ็นดูในความพยายามของคนรัก ก่อนถอดถอนปลายนิ้วทั้งสามออกฝืนกายลุกขึ้นทั้งที่ยังโหยหาอาวรณ์ในรสสัมผัส ปิดฝักบัวถอดเสื้อเชิ้ตออกจากตัวโยนทิ้งด้านข้าง ล้วงบางอย่างที่เตรียมไว้ในกระเป๋ามาคาบก่อนจัดการถอดกางออกจากตัว

“ไม่ชินเลย” อิมทรุดตัวนอนตะแคงมองผมอย่างคนหมดแรง ฝ่ามือยกขึ้นปิดหน้าทั้งที่ถ่างนิ้วทั้งสี่ออกจากกัน

“ไม่ชินอะไรครับ” ผมยกยิ้มน้อยๆให้กับคนที่พยายามหุบขากระถดตัวแทบเป็นแทบตายบดบังส่วนสำคัญไว้ “ทั้งที่เคยเห็นแล้วแท้ๆ”

“หมายถึงเจ้านั่นต่างหาก” อิมยกนิ้วชี้มาตรงท่อนล่างผม “ทำไมพออยู่บนตัวนายแล้วมันถึงดูดีได้ขนาดนี้วะ...ทำไมทีอยู่บนตัวผม...” อ๋อ...ที่แท้ก็ชั้นในสีแดงตัวนี้

“เดี๋ยวมันก็ไม่อยู่บนตัวผมให้อิมรำคาญใจแล้ว”

ไม่ต้องรอให้จบประโยค ผมจัดการลากเจ้าผ้าผืนน้อยที่เคยบอกว่ามันชอบบาดขายามเล่นกีฬาออกจากตัว วันนี้พึ่งเห็นถึงความสำคัญของมันที่ทำให้แฟนผมอารมณ์โยกไหวได้ทุกเมื่อ อิมรีบหุบนิ้วทำราวกับคนไม่เคยเห็น จนผมต้องฝืนย่อตัวดึงมืออีกฝ่ายให้มาสัมผัสหน้าท้องเป็นลอนสวย จัดวางในตำแหน่งที่หมิ่นเหม่ราวกับให้โดนหรือไม่โดนอยู่ในที

“ใส่ให้ผมหน่อย” อิมคงหาว่าผมได้คืบแล้วจะเอาศอก แต่มือขาวยังคงยื่นมารับหยัดกาย ฉีกซองสีเงินอย่างทุลักทุเล เจ้าตัวบ่นอุบว่าฉีกยากฉีกเย็น จนผมต้องเข้าไปจับสองมือเขาไว้ “ก็มืออิมสั่น” ซองขาดลงฉับพลันนับจากสิ้นเสียง นิ้วสั่นเทาของเจ้าของใบหน้านวลซับสีเลือดขยับมาวางยางลื่นแตะลงส่วนปลาย ร่างกายผมกระตุกแต่ยังห้ามไว้ได้ทัน ปลายมือของอิมรูดรั้งจนสุด

“ม...มาเถอะ” อิมเปล่งเสียงสั่น กลัวเหลือเกินว่าเขาจะหันหลังก้มหน้ายกบั้นท้ายกลมกลึงขึ้นสูงเพื่อโชว์ผม แต่เปล่าเลยเจ้าตัวค่อยๆเอนตามลงไปในขณะที่แขนเกาะเกี่ยวไหล่ไว้อยู่ ผมลูบดวงแก้มเนียนคลอเคลียเบาๆ

“ถ้าเจ็บก็อย่าฝืนนะครับ”

“อื้อ”

“จำไว้ว่าความสัมพันธ์ตรงนี้ไม่ได้เป็นตัวกำหนดและตัดสินทุกอย่าง”

“อืม”

“เรามาพยายามไปด้วยกันนะครับ” ผมกดจูบริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบา ก่อนเริ่มแทรกกายเข้าช้าๆ เรียวขาขาวสองข้างเปิดกว้างยกขึ้นเกาะเกี่ยวสะโพกอย่างมีปฏิกิริยากระตุกเกร็ง ก่อนผ่อนคลายหายใจถะถี่สลับวนเวียนซ้ำๆยามขยับเข้าส่วนลึก อิมกัดริมฝีปากหลับตา หยาดเหงื่อผุดพรายบนหน้าผากสวย สองมือจิกรั้งบ่ากลั้นเสียง

“อิมเจ็บมั้ยครับ” ผมถามขณะร่างโปร่งหอบฮั่กครางเครือออกมา

“ม...ไม่”

“รู้สึกยังไงบอกผม”

“รู้สึกแปลกๆ มันอึดอัด...ฮั่ก!” ระหว่างหันเหความสนใจของอีกฝ่าย ผมก็เสือกกายเข้าจนสุด หยุดค้างอยู่ท่านั้นควบคุมลมหายใจไม่ให้รู้สึกปะทุไปมากกว่านี้ ภายในร่างกายของอิมร้อนเกินกว่าจินตนาการไว้ แทบจะทำสติให้เตลิดอยู่รอมร่อ

ดวงตาอิมคลอไปด้วยหยาดน้ำ ใบหน้าแดงก่ำ เอ่ยถามเสียงสั่นๆ “ข...เข้ามาหมดแล้วเหรอ” แทนหลักฐานจากคำพูด ผมจับมือขาวเข้าส่วนสอดประสานระหว่างเรา พร้อมช้อนท้ายทอยยกตัวให้คนรักมองเห็นได้ถนัดตา

“เห็นมั้ยครับ” เพราะร่างกายขยับจึงเกิดการเสียดสีอิมถึงกับนิ่วหน้ากลืนลมหายใจ แต่ไม่ใช่แค่อิมผมก็แทบทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ความร้อนที่สั่งสมกอปรกับส่วนนั้นของร่างกายที่จวนเจียนปะทุทำให้ต้องกัดฟันเอ่ยถาม “อิม...ผมขยับได้มั้ย”

“ร...รีบขยับได้แล้ว”

“อิมไม่เป็นไรแน่นะ” ผมปาดเหงื่อออกจากหน้าผากเจ้าตัว ยังไม่วายอดที่จะเป็นห่วงเขาอยู่

“รีบขยับเถอะ...ของคุณมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผมอึดอัดจะตายอยู่แล้วเจ้าบ้าเกรท...ฮั่ก!!” คำพูดอิมทำความตั้งใจของผมล้มไม่เป็นท่า จากที่พยายามมาทุกอย่างสูญสิ้น ต้นขาซึ่งเคยติดแนบกับสะโพกถูกถอนออกห่างก่อนทิ้งน้ำหนักเข้าหาอย่างรวดเร็ว

“ฮือ...” เสียงแรกฟังดูทรมาน แต่เมื่อทำเวียนซ้ำเหมือนดั่งเอาใจคนรัก จากเสียงร้องอุทธรณ์จึงเปลี่ยนเป็นความสุขสม ความเต็มอิ่มเริ่มก่อตัวบางๆระหว่างเรา “เกรท...จูบผมที” จะกี่ทีผมก็ทำให้ได้ แรงเสือกกายหนักเบาตามจังหวะตะโบมจูบ

“อิม...อิม” จังหวะเร่งเร้ากระชั้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ เสียงต้นขากระแทกสะโพกดังสะท้อนก้องไปทั่วห้องน้ำ ความชื้นแฉะเหนอะหนะไหลหลั่งออกมาฟังดูหยาบโลนจนอารมณ์พุ่งสูง

“เกรท...ฮือ...ฮั่ก อะ...” จุดที่เสียงหวานร้องครางถี่โดนกระแทกซ้ำๆสร้างความรัญจวนใจ สองมือกกกอดร่างเย็นชื้นไว้มอบความอบอุ่นให้จนแทนร้อนรุ่ม ราวกับโดนแผดเผาในกายอุ่นร้อนจนจุดเชื่อมต่อระหว่างเราหลอมรวมเป็นจุดเดียว

ยามรู้สึกว่าตนมาจวบจนโค้งสุดท้ายกลับพลิกตัวเอาแผ่นหลังลงพื้นอันชื้นเปียก ร่างของอิมปรับเปลี่ยนมาเบื้องบน ผมส่งมือเข้ากอบกำคลายความตึงเครียดให้ส่วนแกนกลางของร่างบาง อิมนิ่วหน้าเหมือนปรับอารมณ์ไม่ทัน ก่อนพยายามใช้ของขาอันอ่อนแรงยกตัวขึ้นลงเพื่อช่วยผม

“อิม...ไม่ต้อง” ผมจับแขนของเขาไว้ เพราะต้องการให้เขารู้สึกดีไปพร้อมกันเลยจับมาทำท่านี้

“ไม่เป็นไร...ผมไหว” คำว่าอยากให้คนรักเป็นสุขของต่างฝ่ายต่างถ่ายทอดออกมาในแววตา ไม่อยากให้คนรักพยายามจนเจ็บตัวจึงย้อนกลับมาพลิกตัวแล้วเริ่มต้นเคลื่อนกายอย่างรวดเร็วพร้อมกับปรนเปรอเบื้องหน้าให้อีกครั้ง

“เกรท...เกรท...ผมไม่ไหวแล้ว”

“ออกมาเลยครับ อิม”

“ฮือ...อึก อา!” สิ้นเสียงความเปียกชื้นอุ่นร้อนพวยพุ่งกระจายเปรอะเปื้อนทั่วแผ่นท้อง ผมขยับอีกสองสามครั้งความปวดตึงก็ถูกปลดปล่อย เหมือนน้ำในร่างพุ่งโถมถะถั่ง ดั่งมีประกายไฟแล่นแปลบปลาบในดวงตา สองมือประคองร่างคนรักขึ้นตระกองกอดอย่างแนบแน่น

“ขอบคุณนะครับอิม...” ผมกระซิบข้างหูเขา “ขอบคุณจริงๆ” ที่ยอมทรมานเพื่อผม

“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ” อิมกอดตอบทั้งที่อยู่บนตักผมเหมือนเด็กตัวน้อยๆ ลมหายใจหอบแรงระใบหู “ผมมีความสุขมากมากเลย...อึ๊!!” แต่ความหวานกลับถูกบางอย่างขัดอิมดันตัวออกมาทุบตัวแขนผมดังตุบ ใบหน้ารื้นแดงเห่อร้อนอย่างกับเหล็กหลอมในเตาถ่าน

“ทะ....ทำไมมันใหญ่ขึ้นอีกแล้วล่ะ!”

“ก็เพราะอิมพูดจาน่ารักไง”

“ไม่เอาแล้วปล่อยผมนะ...เฮ้ยแล้วมือเนี่ย ขยำสะโพกผมทำไมเนี่ย!”

“แค่จับเองครับ ยังไม่ได้ขยำซะหน่อย”

“ปล่อยได้แล้วเกรท ปล่อยยยยยยยยยยยย”



จุดจบสายยอม ก็ต้องโดนตระกองกอดมันอีกสามยกแหละครับ หลังจากนั้นอิมก็ไม่กล้าออกจากห้องไปไหน เพราะกลัวคนเห็นรอยแดงเป็นปื้นเต็มพื้นที่ทั้งลำคอ











“พี่อิม ยินดีด้วยนะครับ” ดอกไม้ช่อใหญ่เท่าบ้านประดับตกแต่งอย่างสวยงามยื่นมาให้ ผมเบิกตามองอย่างประหลาดใจกับคนส่งดอกไม้ ซึ่งเป็นเด็กชายตัวเล็กในชุดไปรเวทธรรมดาหน้าตาหล่อเหลา เจ้าตัวอุ้มดอกไม้ช่อโตเต็มสองวงแขน ความแปลกมันอยู่ที่ตุ๊กตาลาโง่ที่อยู่ตรงกลางเนี่ยแหละ

หากนี่เป็นกลางลานเปิดใจในสมัยก่อนผมจะขำ แต่นี่ผ่านมาสองปีแล้วแถมตรงนี้ดันเป็นลานกว้างซึ่งละลานไปด้วยคนใส่เสื้อผ้าโปร่งขาวตัวยาวๆยืนกันเต็มไปหมด เสียงกลองสันทนาการ เสียงการโห่ร้องยินดีกับบัณฑิตจบใหม่ให้บรรยากาศที่หัวใจฟูฟ่องตื่นตัว กลิ่นอายความสดชื่นกระจายฟุ้งไปทั่วบริเวณ

“น้องเวล ขอบคุณนะครับ” ผมยื่นมือออกไปรับเพราะกลัวมันจะหนักเกินไปสำหรับร่างเล็กๆของเขา

“น้องอิมยินดีด้วยนะจ๊ะ ช่อนี้เป็นตัวแทนของคนทั้งบ้านจิตต์มั่นคงน้า แต่คนเสนอไอเดียเป็นตาเวลเขา” น้าแก้วซึ่งยืนเยื้องไปด้านหลังอธิบาย เธอยิ้มกว้างราวกับลูกชายตนเองเรียนจบ

“พี่เกรทบอกว่าเวลาให้ของขวัญใครถ้าคิดไม่ออก ก็ให้เอาของสำคัญของเรามอบให้คนที่เรารักครับ เวลรักพี่อิมครับ” เด็กน้อยพูดจากเจื้อยแจ้วเกาะชายผ้าโปร่งสีขาวบนตัวผมอย่างเรียกร้องความสนใจ ผมย่อตัวลงไปรวบเขามากอดไว้เต็มสองแขนพร้อมช่อดอกไม้ กลิ่นหอมละเอียดบริสุทธิ์ให้ความรู้สึกดีสำหรับวันดีดีแบบนี้เหลือเกิน

“อิจฉาตาเวลจริงๆ ได้หน้าไปเต็มๆ” โดยไม่ทันสังเกต ใครบางคนเดินเข้ามาใกล้พร้อมย่อตัวคู้ตามลงมา มือใหญ่อันอบอุ่นแตะลูบศีรษะ ผมหมุนหัวไปมองอีกฝ่ายแบบไม่กะพริบตา ลืมตัวไปว่าถ้าพลาดเผลอเมื่อไรอีกฝ่ายมักฉวยโอกาสทุกที และเป็นอย่างที่คิดไว้เลย เกรทแตะริมฝีปากผมเบาๆโดยที่ฉากหน้าเป็นดอกไม้ช่อโตกับลูกพี่ลูกน้องของเขาที่มองมาตาแป๋ว ผมทุบอกเขาไปดังตุบ

“ทำอะไรเกรงใจเด็กบ้าง”

“ไม่เห็นต้องเกรงใจเลยเนอะตาเวล เนอะ” หัวเล็กพยักหน้าหงึกหงั่ก ก็เป็นซะอย่างนี้ ลูกพี่ลูกน้องคู่นี้ถึงเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

“ทำไมครับ เมื่อกี้นึกว่าเป็นผม ที่เลือกเจ้าอียอร์นี้มาเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยถาม เปล่งรอยยิ้มออร่าหล่อเหลาชวนหลงใหล

“แล้วจะมีใครเจ้าวางแผนได้อย่างนี้อีกล่ะ”

“มีสิครับ ลาโง่” ผมโดนลูบหัวอีกแล้ว ไม่รู้จะชอบอะไรกันนักหนา นี่ถ้าไม่ถือสาว่าเป็นรุ่นน้องรุ่นพี่มีหวังได้ตั๊นหน้าไปแล้ว

“อะ...แฮ่ม!! แฮ่มแฮ่มแฮ่มแฮ่ม” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครแทรกจังหวะเข้ามา พ่อผมคงเดินมาพร้อมกับแม่แล้วหลังจากยัยมายด์นำทางพาไปห้องน้ำ

“แหมพ่อมามหา’ลัยเจ้าอิมวันแรกก็หวัดรับประทานเลยเหรอคะ” แม่ผมกระเซ้า

“อย่างมากก็เป็นหวัด ไม่ได้เป็นโรคอะไรมากมายไปกว่านี้แล้วล่ะ”

“แหม...ทำเป็นพูด เดี๋ยวนี้ทำตัวดีเข้าหน่อยก็เหลิงเลยนะคะ” ยัยมายด์แซะต่อ ตั้งแต่วันนั้นหลังจากพ่อเข้าโรงพยาบาล ชีวิตประจำวันทุกอย่างก็ถูกปรับเปลี่ยนไปแบบชนิดจากหน้ามือเป็นหลังมือ เริ่มหันมาใส่ใจกับสุขภาพออกกำลังกายจนเสพติดเป็นนิสัย รับประทานแต่พอดีเลี่ยงหวาน มัน เค็ม คอยสังเกตอาการของร่างกายตลอดเวลา จนตอนนี้สิ่งซึ่งบ่งชี้ความเป็นโรคนั้นหายไป แต่ก็ไม่เคยทำให้กิจวัตรประจำวันนั้นหย่อนยาน

พอคนในบ้านสุขทั้งกายสุขทั้งใจก็พลอยทำให้ในบ้านอบอวลไปด้วยความสุขแช่มชื่น

ผมปล่อยมือจากน้องเวล ผุดตัวลุกขึ้นประคองช่อดอกไม้ไว้ เกรทหันไปไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ของฝั่งผม กลับกันผมก็หันไปไหว้น้าแก้วกับแม่เกรทที่เดินตามหลังมา ตลอดเวลาสองปีที่คบกันคนของบ้านเราทั้งคู่ไปมาหาสู่กันตลอดและทุกปีใหม่ก็จะไปเที่ยววัดทำบุญวันเกิดผมด้วยกัน เลยทำให้ต่างฝ่ายต่างสนิทกันไปโดยปริยาย

“ทำไมมาทีหลังน้าแก้วล่ะ” ผมใช้แขนสะกิดถามแฟน...แฟน...เออ...สองปีผ่านไปแล้วเรียกยังไงก็ไม่ชิน

“ไปหาที่จอดรถมาครับ หายากมาแทบไม่มีที่จอดเลย ความจริงน่าจะมาเช้ากว่านี้ แต่คุณน้าขี้เซาเลยไม่ตื่น”

“นี่อย่ามาอ้างน้านะ ไวสุดในพ.ศ.นี้ในการอาบน้ำแต่งตัวไม่มีใครสู้น้าได้อยู่แล้ว

“ขอบคุณที่มานะครับน้าแก้ว ก็บอกแล้วไม่ต้องลำบากมาก็ได้” ประโยคแรกผมบอกตอบรับคุณน้า แล้วประโยคหลังผมหันมาต่อว่าเกรท

“ถึงผมไม่มาหาอิมยังไงก็ต้องโดนลากไปร่วมบูมพี่บัณฑิตอยู่ดี อย่างนี้ไม่สู้มาหาอิมแล้วเอาครอบครัวมาเป็นข้ออ้างไม่ดีกว่าเหรอ” แม่กับพ่อผมหันไปยืนคุยกับแม่เกรทแล้ว ส่วนคุณน้าพาตาเวลไปเดินดูป้ายตาซุ้มต่างๆ เด็กน้อยดูมีความสุขยิ้มแย้มหัวเราะชอบใจ

“ทานข้าวเช้ามารึยัง” ผมหยิบห่อขนมบิสกิตสอดไส้ครีมมะนาวที่เก็บไว้กันหิวออกมาจากกระเป๋ากางเกง แกะซองยื่นให้เกรท

“ยังจะเป็นห่วงผมอีก”

“ก็บางวันตื่นเช้ามากๆคุณไม่ชอบกิน” เมื่อเห็นเจ้าตัวไม่ยื่นมือมารับ ผมเลยหยิบออกจากซองมาชิ้นแล้วยื่นจ่อปากเขา

“อิม” เกรทงับเข้าไปกัดพลางเคี้ยวหงุบหงับอยู่สองสามคำ “นั่งไหวเหรอครับวันนี้”

“ก...ก็ต้องไหวสิ” รู้แหละว่าพูดเรื่องอะไร แต่ขอแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจได้มั้ย

“ขอโทษนะครับที่เมื่อวานทำแบบไม่บันยะบันยังเลย”

“ถ้ารู้สึกผิดทีหลังก็อย่าทำ”

“ก็เพราะไม่รู้สึกผิดเนี่ยสิ” ผมกระแทกศอกใส่เขาอย่างไม่ออมแรงและเจ้าตัวก็ไม่ยอมหลบแถมยิ้ม ไม่อยากจะคิดเลยเช้ามืดวันนี้โคตรทุลักทุเล ทั้งที่ทำกิจกรรมจนดึกแต่เกรทต้องรีบตื่นเช้ามาเปิดประตูหอต้อนรับช่างแต่งหน้าของแม่เจ้าตัว เพื่อแต่งหน้าให้ผม กว่าจะแต่งเสร็จพาผมส่งกลับบ้าน แล้วตัวเองยังต้องขับรถกลับไปรับแม่น้ากับน้องเวลมาอีก อะไรจะอึดขนาดนี้

“แล้วนี่มีง่วงนอนระหว่างขับรถมั้ย”

“ไม่ครับ”

“ถ้าง่วงก็อย่าขับนะ”

“ครับ”

“ให้จอดหยุดพักข้างทางหรืออะไรก็ได้ ความจริงถ้าง่วงมากไม่ต้องฝืนมาก็ได้นะ”

“อิมเนี่ยนะ” เกรททอดถอนหายใจส่ายศีรษะไปมา

“หืม...ผมทำไม”

“นอกจากจะสอนให้ผมแข็ง...” มือนี่ไปก่อนอีกฝ่ายจะพูดจบประโยคเสียอีก “เฮ้ยอิมตีผมทำไมเนี่ย...ผมหมายถึงขับรถแข็งต่างหาก”

“ก็คุณน่ะชอบพูดจาสองแง่สองง่ามตลอด”

“ก็อยากหยอกนี่หนา ถูกคนน่ารักเป็นห่วงผมขนาดนี้ ไม่ให้รักแทบตายยังไงไหวล่ะครับ”

“...” หยอกไปหยอกมาหน้าผมจะระเบิดอยู่แล้ว ถ้าเอาหัวจุ่มกองดอกไม้ตายไปกับอียอร์ได้ผมคงทำไปแล้ว

“อีกอย่างวันเป็นสำคัญของอิมทั้งที ไม่ให้ผมมาได้ไงครับ”

“ใช่วันสำคัญของผมทั้งที...” ผมเงยหน้าขึ้นใช้มือดึงเสื้อของเขา “ไม่ให้คนสำคัญอย่างคุณมาได้ยังไง”

“อยากจูบจัง”

“พอเลยที่สาธารณะ”

“งั้นไว้กลับบ้าน”

“...”

“ยินดีด้วยนะครับบัณฑิตใหม่ ในฐานะคนรักปัจจุบันและตลอดไปของผม”

เป็นผมเสียอีกที่อยากจะจูบเขาแทน แต่เสียงตะโกนเรียกจากไอ้เบส ข้าวฟ่าง และดาว ที่บอกให้ไปถ่ายรูปด้วยกันดันดังมาเสียก่อน



วันนี้พวกเราจบด้วยการถ่ายรูปกันหลายยก จากช่างภาพที่คุณแม่ของเกรทหามาให้อีกแล้ว ภาพถ่ายรวมครอบครัวของพวกเราเป็นภาพที่ผมหวงแหนที่สุด ส่วนภาพที่เกรทหวงแหวนที่สุดกลับเป็น



...ภาพผมในชุดครุยยิ้มแทบตาปิดให้กับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า คนที่ผมยื่นบิสกิตรสมะนาวให้เขาทาน...


...จบบริบูรณ์...

+++++++++++++++


ที่ขออนุญาตขึ้นตอนใหม่เพราะมันยาวจริงๆค่ะ
ไม่คิดว่าตัวเองจะแต่งยาวขนาดนี้คิดว่าแต่งฉากอีกนิดเดียวน่า เดี๋ยวก็จบ
โอ้โห้...ปาไป...สิบหน้า(แค่ฉาก...คืออะไรฮะ!!)

ขอบคุณคุณ DrSlump ที่อยู่กับเรามาโดยตลอดเลยยย รักนะคะ

คุณ mab เจอกันอีกแล้ว นึกถึงนุ้งเรเลย555 ขอบคุณจริงๆที่เข้ามาอ่านค่ะ

เกรทกับอิมเป็นอีกคู่นึงที่เรารักค่ะ(ความจริงก็รักทุกตัวละคร รักคนละแบบ)
สองคนนี้เราตั้งใจปั้นเขาให้ขึ้นมาด้วยอารมณ์ชั่ววูบ555
แบบอยากได้โมเมนต์สารภาพรัก โมเมนต์การคบกันโดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่เคยรู้สึกรักกันมาก่อน
จนก่อนตัวสานสัมพันธ์เป็นความรู้สึกที่ดีต่อกันมาเรื่อยๆจนเรียกได้ว่าความรัก
แล้วก็เกิดภาวะลังเลในความรู้สึก จนแยกทาง และตอกย้ำด้วยความรักที่มีให้กันอีกครั้ง

เราถึงตั้งชื่อให้ว่ารีเทิร์นค่ะ
ไม่อยากให้ดราม่าเลยใส่มาน้อยมาก ปกติไม่ถนัดสายมาม่าอยู่แล้ว(ยกเว้นช่วงใกล้เงินเดือนออก)

ใครเข้ามาอ่านใหม่ฝากสองคนนี้ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ
ไว้เจอกันเรื่องหน้าค่า(น่าจะมีเพราะเป็นพวกกระหายในการแต่ง...เป็นม้าตีนต้นน่ะค่ะ555)

รักนะคะทุกคน ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ
:mew1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
เกรท..อะไรสะกดใจให้ไปตกหลุมใยไหมได้อ่ะ
สวยเหรอ หุหุ

อิม น่าร้ากกกกกกกกกกกก
ตั้งแต่แรกแล้วว้อยยยยยย
55555++++

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ตอนจบแซ่บจังเลย พี่อิมนี่ไม่เหนียมเลยนะ 5555
เกรทจัดหนักจัดเต็ม อิอิ

จริงๆ อยากให้อิพี่ใยไหมโดนผลกระทบจากการทำให้อิมบอกเลิกเกรทมากกว่านี้นะ เพราะหล่อนรู้ทั้งรู้ว่าเขาคบกันยังจะมาพยายามแทรกกลางให้เขาเลิกกันอีก แถมตัวเองก็เหมือนจะคบซ้อนอีกตางหาก...เราโหดนิสสสสสนึง :katai4: :katai4:


อ่าาาาา จำเราได้ด้วย เรายังคงรักและคิดถึงน้องเรอยู่นะคะ   :กอด1: :กอด1:

ชอบนิยายของคุณน๊าาาา
ยังไงก็ถ้าแต่งเรื่องใหม่มาอีกจะตามอ่านอีกนะคะ ขอบคุณที่ผลิตนิยายดีๆ ที่ถูกใจเรา 5555555

รัก.....​ :mew1: :mew1:


ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด