รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 100% จบ [30/12/2019]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 100% จบ [30/12/2019]  (อ่าน 13214 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ตกลงเรื่องมันเป็นยังไง ไหนเล่าออกมาซิ. มีปมมาเพิ่มเรื่อยๆ,,,

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ไรท์เตอร์จ๊ะ เราจะลงแดงแล้วเด้อ~

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบหก(ครั้งที่สอง)...ถึงเวลาย้อนกลับ



“เราเลิกกันเถอะ”



การบอก ‘รัก’ และ ‘เลิก’ ใน ‘ลานเปิดใจ’ ศักดิ์สิทธิ์เสมอ ทุกคนในมหา’ลัยเชื่ออย่างนั้น วันนั้นผมถึงได้ตัดสินใจเดินเข้ามาสารภาพความในใจ ณ สถานที่แห่งนี้

แต่ใครจะรู้ ถ้าหากพูดว่า ‘รัก’ และ ‘เลิก’ กับคนๆเดียวกัน สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นจะมองคำแรกหรือคำหลัง และให้ความสำคัญกับคำไหนมากกว่า ในใจตอนนี้ผมได้แต่ภาวนาว่า...ขอให้ท่านเลือกคำว่า ‘รัก’ มากกว่า...การทำให้คนข้างหน้านั้น ‘ลืม’ กัน

ผมยังอยากอยู่ในความทรงจำของเขา นับตั้งแต่วันที่ก้าวผ่านคำว่า ‘สารภาพรักผิดคน’ จนมายืนตรงจุดนี้





‘พี่อิมเมจโหดจะตาย’

เสียงไอ้นัทกล่าวลอยขึ้นมาหลังเหตุการณ์เซ่อๆของผม ณ ลานเปิดใจซึ่งผ่านไปไม่กี่วัน

‘โหดยังไง’ ผมเงยหน้าขึ้นมาจากมือถือที่ไถหน้าเฟซบุ๊กพี่ใยไหมอย่างเสียไม่ได้ วันนี้พี่ใยไหมก็สวยเหมือนเคย ภาพถ่ายทีเผลอตอนเดินก่อนเข้าคลาสเรียน โดนอัพด้วยมือถือของพี่เขาขึ้นมาโชว์ให้เห็นเป็นหน้าแรก แน่ล่ะ...ก็ผมเซตพี่เขาไว้แบบเห็นโพสต์ก่อน

‘กูได้ยินข่าวมา ว่าไม่ใช่ครั้งแรกหรอกนะ ที่พี่เขาโดนสารภาพกลางลาน’ ผมเลิกคิ้วมองไอ้นัทที่เป็นคนพูดอย่างสงสัย

‘ก็ไม่เห็นจะแปลกนี่ หน้าตาเขาก็ดีออก’ เห็นแบบใกล้ๆมาแล้ว เต็มสองตาเลย ทั้งที่วืบแรกเห็นแค่ปลายตีน รู้อย่างนี้ตอนแรกน่าจะเงยหน้าขึ้นไปมองให้ดี ไม่น่าตื่นเต้นจนเสียเรื่องเลยไอ้เกรท เสียใจอย่างสุดซึ้ง แทนที่จะได้มีโอกาสเปิดใจกับพี่ใยไหมสักครั้งหนึ่งในชีวิต แล้วผมก็คิดว่าโอกาสได้คบไม่น่าจะเท่ากับศูนย์ ความมั่นใจในหน้าตาที่มีมาแต่เด็ก กอปรกับการตอบรับเฟซบุ๊กหลังเพิ่มเพื่อนกันไป และกดไลค์อย่างประปรายแต่ไม่ห่างหาย ทำให้ผมรู้สึกได้ลึกๆว่าตนเองยังพอมีโอกาสอยู่บ้าง

‘มันไม่ใช่แค่หน้าตาดีอ่ะดิ’

‘เออ เรื่องนี้กูเคยได้ยิน เรื่องฤทธิ์พี่อิมเมจใช่มั้ย’ ไอ้ไลค์ที่นั่งจกขนมกลางโต๊ะเคี้ยวแจ๊บพลางพูด

‘ฤทธิ์พี่อิมเมจ? ฤทธิ์อะไรวะ’ เล่นเอากูนึกถึงหนังจอมยุทธแบบ ฤทธิ์กระบี่ปราบมาร เดจไอ้ด้วน หรือปรมาจารย์ลัทธิมารขึ้นมาเลย

‘ใครที่อยู่ใกล้อิมเมจ ต่างก็ต้องหลงรักอิมเมจ’ ผมนิ่งไป มีคนแบบนั้นอยู่บนโลกนี้ด้วยเหรอ

‘เหมือนโดนพวกยาเสน่ห์อะไรแบบนี้ป่ะ’

‘เออ ที่เขาเล่ากันมาก็คล้ายๆ แบบกูเคยได้ยินมานะ ว่าคนที่ชอบเขาใครๆก็บอกว่าเขาน่ารัก’

‘...’ ผมกับไอ้ไลค์ถึงกับเงียบมองหน้ากัน ไม่นานคนงงเป็นเพื่อนดันถามขึ้นมาก่อน

‘ไอ้เรื่องแบบนี้คงไม่รวมผู้ชายไปด้วยหรอกนะมึง’

‘จะเหลือเร้อ’ ไอ้นัทเฉลย

‘เชี่ย จริงเปล่าเนี่ย มึงนั่นผู้ชายเลยนะ แค่มองก็รู้ว่าผู้ชายอ่ะมึง’

‘ไม่งั้นพี่เขาจะนิ่งขนาดนั้นเหรอ ตอนที่ไอ้เกรทมันเข้าไปสารภาพน่ะ’

จะว่าใช่ก็ใช่...ตอนนั้นพี่อิมเมจแกนิ่งมาก ไม่มีความแปลกใจแสดงอยู่บนสีหน้าเลยสักนิด นิ่งประดุจรูปหล่อทองคำซึ่งตั้งไว้ให้คนสักการบูชา

‘แล้วพอโดนสารภาพพี่เขาทำยังไงวะ ทำแบบที่ทำกับไอ้เกรทอย่างนี้เหรอ แบบว่าถ้าชอบก็คบเนี่ยนะ ป่านนี้แม่งไม่มีแฟนเป็นหมื่นแสนล้านคนแล้วเหรอ ถ้าจะป๊อปขนาดนั้น’ แฟนคนปัจจุบันผมคงสำส่อนน่าดู คบๆเลิกๆสนุกสนานเฮฮา

‘เปล่าไม่ใช่อย่างที่มึงคิดเลยไอ้ไลค์’

‘ฮะ? แล้วมันยังไงวะ’

‘พี่แกน่ะปฏิเสธแบบไร้เยื่อใย พอถึงตอนนั้นต่อให้คิดว่าเจ้าตัวน่ารักขนาดไหนคนนั้นก็ตายเอาล่ะวะ’

‘เหี้ย แล้วทำไมไอ้เกรท...’

‘กูถึงได้แปลกใจไง ปกติอย่างมันน่ะ ไม่รู้จักพี่เขาด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็ต้องโดนคำว่า ไม่เคยเห็นมันอยู่ในสายตาต่อให้ชาตินี้หรือชาติหน้าชาติไหนอะไรทำนองนี้อยู่แล้ว แต่ทำไมคราวนี้ถึงโดนพี่เขารับรักได้วะ ไม่อยากเชื่อ’

ผมก็งง...ตอนแรกคิดว่าอีกฝ่ายคงมีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน แต่ไปๆมาๆเรื่องทำไมกลายเป็นว่าขัดแย้งกับข่าวลือขนาดนี้วะ ไม่ใช่ว่าพี่เขาตกหลุมรักผมเข้าให้แล้วนะ...ซวยแล้วกู



ตอนนั้นผมตัดสินใจออกมาให้ห่าง เผื่อพี่เขาจะได้ลืม ส่วนผมก็พยายามหักห้ามใจไม่ไปป้วนเปี้ยนแถวคณะพี่เขาทั้งที่อยากเจอพี่ใยไหมใจจะขาด แล้วทดแทนด้วยการส่องหน้าเฟซบุ๊กคนที่ชอบอย่างอดทนต่อไป

จนกระทั่งวันแห่งโชคชะตาอันพลิกผันได้เริ่มต้นขึ้น ไอ้นัทมันกระตุ้นให้ผมไปเคลียร์กับพี่เขา

‘มึงเลิกทำอะไรให้มันค้างๆคาๆอยู่อย่างนี้เถอะ’

‘แต่กูยังไม่อยากเจอนี่หว่า กูไม่รู้จะทำหน้ายังไง ยิ่งถ้าบังเอิญไปเจอพี่ใยไหมเขาเข้า กูทำตัวไม่ถูกเลยนะเว้ย’

‘แต่ถ้ามึงไม่ไป มึงก็จะเดินหน้าต่อกับพี่ใยไหมไม่ได้ มึงจะนั่งบื้อไถเฟซบุ๊กพี่เขาไปจนถึงปีสี่เลยเหรอวะ เป็นกู กูไม่ทน’ จริงของมัน ทำไมผมต้องมานั่งทิ้งอนาคตที่ดูเหมือนจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ไว้กับการหลบหน้าพี่อิมเมจคนที่ไม่เคยจะรู้จัก ไม่เคยจะต้องแคร์ความรู้สึกเลยด้วยวะ อย่างมากจากนี้ไปก็แกล้งทำให้เขารำคาญ จนกระทั่งบอกมาว่าไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตาไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน อย่างที่ไอ้นัทมันบอกก็จบ

‘เออๆก็ได้ งั้นกูไปเย็นนี้เลย’





ใครจะรู้...ว่าหลังจากตอนนั้น มันทำให้ใจผมติดกับพี่อิมเมจคนดังเป็นตังเม

ความประทับใจแรกคือวาจาจิกกัดสำหรับคนที่หายหน้าไปสามสัปดาห์อย่างสนุกปาก และความเป็นคนถามอะไรโต้งๆ แบบเน้นเจาะตรงจุด จี้ใจดำผมเต็มๆ ว่าที่สารภาพรักมาน่ะชอบเขามั้ย รวมถึงการชมรูปลักษณ์ในเดทแรกของเรา ณ ตอนที่ผมไม่ได้ตั้งใจทำตัวหล่อเหลาในสายตาเขาด้วยซ้ำ กับหลายเรื่องที่รวมกันเป็น ‘อิมเมจ’ มันบอกผมได้เพียงคำเดียวว่า...

...เขาเป็นสิ่งที่น่าค้นหาสำหรับผม...

น่าแปลก ในตอนที่ผมนึกไม่สบายใจ อย่างวันที่เผลอเหลือบไปเห็นพี่ใยไหมเดินมากับผู้ชายอีกคน ซึ่งผมรู้จัก และต่างฝ่ายต่างดูสนิทสนมเกินคำว่าเพื่อน ถึงตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูก และกลัวการสบตาจากพี่ใยไหมที่อยู่ห่าง เลยก้มตัวกอดคนตรงหน้าไว้ ไม่ถึงนาทีเขากลับล้อผมจนอารมณ์หมองหม่นหายไปเหมือนกลับไม่เคยเกิด

จนถึงวันถัดมาความขัดข้องหมองใจเริ่มปรากฏจากการเซตเฟซบุ๊กให้เห็นโพสต์ก่อน หงุดหงิดตนเองจนต้องออกมาเที่ยวเล่นเปลี่ยนบรรยากาศ เผลอไผลนั่งรถจนมาถึงหน้าบ้านอิม ทำไมผมถึงนึกว่าเขาเหมือนยาซึ่งถ้ามาหาจะทำให้ผมหายจากอาการปวดหน่วงจิตใจนี้ได้

ผมเริ่มรักที่จะอยู่ใกล้เขา เริ่มชอบที่จะได้ยืนอยู่ใต้ร่มคันเดียวกับเขา

...เริ่มที่จะอยากนับก้าวเพื่อเดินไปข้างหน้าพร้อมกันกับเขา...

การแหกกฎกลับบ้านเกินสามสี่ทุ่มคงเป็นเรื่องที่ใครคุ้นชินในช่วงประถม แต่กับคนอย่างอิมเมจนั่นเป็นเรื่องที่ยากที่สุด การไม่สนใจกลับบ้านเพื่อเฝ้าไข้เป็นสิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจ

ความผิดหวังที่คนถือผ้าขนหนูสีแดงผืนนั้นเป็น ‘พี่ใยไหม’ แทนที่จะเป็น ‘อิมเมจ’ มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร...

ตอนนั้นผมต้องไล่สะบัดความคิดสับสนในหัวทิ้ง แล้วหันมาจดจ่อกับความจริงที่ถูกแฟนพี่ใยไหมต่อย เหตุเพราะเพื่อนปากดีสองตัว แซวเรื่องคนซึ่งผมไม่สมควรจะยุ่งต่อหน้าแฟนเขา ซ้ำร้ายระหว่างเรื่องราวชุลมุน ผมยังโดนฝ่ายหญิงตอกย้ำสถานะใหม่กระแทกใส่หน้า ด้วยคำที่ว่าไม่คิดเกินเลยไปจาก ‘รุ่นน้อง’ เลย

มาถึงตอนนี้ น้ำเมาเป็นเครื่องระบายที่ดีที่สุด...ผมทุ่มให้มันทั้งคืนราวกับนั่งอาบ

กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าทำให้ใครอีกคนต้องลำบากมาแบกผมส่งถึงหอก็เป็นตอนรุ่งสาง ผมเปิดตามาเจอกับใบหน้าเรียบเนียนสะคราญ ซึ่งนอนพักผ่อนหายใจสม่ำเสมออยู่ข้างกาย

อิมหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว แพขนตายาวขยับยุกยิกตามการเคลื่อนของตัวผม ใบหน้าที่เหนื่อยอ่อนยังผลให้อยากเอื้อมมือไปเกี่ยวเส้นผมซึ่งจับต้องแก้มคนเบื้องหน้า ทำไมคนๆนี้ถึงมาอยู่ตรงนี้ได้

‘บอกแล้วไงว่าอย่าตามมาน่ะ!’ เจ้าตัวโวยวายทั้งที่หลับตา ทำท่าเหมือนหมาฝันกลางวันว่าได้วิ่งบนลานกว้าง ตะกุยผ้าปูเตียงจนผมสะดุ้ง

เชี่ย...ละเมอ...

ผมเผลอยกมือกุมอก ก่อนต้องกลั้นขำเป็นบ้าเป็นหลังในลำคอ

...ทำไม...ถึงน่ารัก...ได้ขนาดนี้นะ...

ในหัววนเวียนอยู่สองคำเวลามองหน้าอิมเมจ ลืมเรื่องที่ถูกต่อยไปเสียสนิท และโคตรเจ็บใจเมื่อรู้ว่าเมื่อคืนเป็นคืนแรกของเรา

...เสียดาย...อยากทำอีกรอบ...อยากกอด...

แต่แทนที่ผมจะดีใจตอนอิมเฉลยว่าเราไม่ได้มีอะไรกัน ผมกลับผิดหวัง ในใจนึกอยากเหมาเอาคนตรงหน้ามาเป็นของตัวให้ได้สักนิดก็ยังดี ถ้าทำให้ท้องจนมีลูกได้ผมอาจจะทำไปนานแล้ว

ข้าวไข่เจียวเหมือนเป็นของปลอบใจอาการผิดหวังมากกว่า การทำอาหารเพื่อเยียวยาคนปากแตกอย่างผม มันเป็นอาหารมื้อแรกที่ ‘แฟน’ ทำให้ ตอนนี้ผมพูดได้เต็มปากแบบไม่ตะขิดตะขวงใจอีก

จากบทสนทนาเหมือนอิมพยายามปิดบังเรื่องราวบางส่วนที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ความทรงจำสีจางๆยามค่ำคืนยังแอบหลงเหลืออยู่ เมื่อทุกอย่างมาบรรจบที่กางเกงในตัวเก่งของผม

ภาพร่างขาวซึ่งยืนเปลือยเปล่าใต้ฝักบัวในห้องอาบน้ำก็ผุดพรายขึ้นมาในสมอง เจ้าของเนื้อตัวเปียกปอนคลำไปตามชั้นวางแชมพูอย่างเก้ๆกังๆ ไม่คุ้นชินกับการจัดวาง ผมจำได้ว่ามีโอกาสได้สัมผัสกอดร่างไร้อาภรณ์ของคนตรงหน้านี้ด้วย เสียดายจริงๆ เสียดายเหลือเกินที่จำไม่ได้เต็มร้อย อยากจะกอดอีก...อยากแนบชิดสูดกลิ่นไอประจำตัวของอีกฝ่ายเพื่อรื้อฟื้นมันให้ได้อีกครั้ง...หลังจากนั้นผมก็นึกได้ว่า...

...ผมมีอารมณ์กับอิม นับตั้งแต่วันแรกที่เห็นขาขาวๆของเจ้าตัวแล้วเสียด้วยซ้ำ...

ด้วยอารมณ์ที่พาลพาไปการจะดึงสติกลับมาใหม่จึงเต็มไปด้วยความยากลำบาก ทันทีเมื่อรู้ว่าสบตากับร่างบางผ่านกระจก ผมจึงฝืนกลับลำ ครางชื่อคนที่คิดว่าแอบชอบซ้ำๆขึ้นมา อายเกินกว่าจะให้เขารับรู้



ผมเพิ่งรู้ว่าคนโหดๆอย่างอิมก็มีช่วงเวลาที่น่ารักแบบหลุดๆได้เหมือนกัน ตอนแรกที่จับสังเกตเรื่องนั้นได้เป็นตอนโฆษณาภาพยนตร์เรื่องหนึ่งฉายขึ้นหน้าจอทีวี ผมชวนเขาไปดู วันนั้นผมเลยรับรู้ว่าอิมจะนอนไม่หลับหากได้ดูหนังผีหรืออะไรแบบที่มิติลี้ลับ เจ้าตัวจะนอนคลุมโปง งอนิ้วเท้าจิกผ้าห่มหวาดหวั่นเหมือนกลัวว่าจะมีตัวอะไรมุดเข้ามา

กลายเป็นว่า ผมกลับต้องมาพิสูจน์เรื่องนี้อีกครั้งในตอนที่ดูหนังจาก NETFLIX ในคืนหนึ่งที่อิมอยู่ดึกจนต้องค้าง



‘อย่าปิดไฟได้มั้ย’ ผมแปลกใจที่เจ้าตัวโพล่งออกมาอย่างนั้น

‘อิมยังไม่นอนเหรอ’

‘อื้อ คุณนอนไปก่อนเถอะ’ ยังไม่นอนแต่หาวหวอดๆใส่หน้าผมเป็นครั้งที่ร้อยแล้วมั้ง

‘มีการบ้านเหรอ แล้วทำไมไม่ทำ มัวแต่นั่งพับเสื้อผ้า ล้างจานอยู่ได้’

‘ก็คุณเปิด...’ เหมือนจะโวยวายแต่สุดท้ายกลับหุบปากเงียบแล้วกล่าวปัดด้วยคำพูดที่ว่า ‘ช่างเถอะ’ เจ้าตัวเบนสายตาไปทางอื่นทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ มือยังคงนิ่งเกินกว่าจะบอกได้ว่ามีการบ้านเร่งร้อนที่ต้องทำให้เสร็จภายในคืนนี้

‘หรือว่า อิมกลัวผี’

‘เปล่าซะหน่อย!’ เต้นขึ้นมาเชียว ผมแอบยกยิ้มลุกจากเตียงเดินเข้าไปหา เจ้าตัวทำหน้าฉงนยามมีเงามาบังสายตา เงยศีรษะขึ้นท้วงอย่างไม่พอใจ ‘อะไร?’

‘ไปนอนกันเถอะ’ ใช้แขนดึงเขาขึ้นมาทั้งตัว ร่างที่ยืนเต็มความสูงแนบกับอกผมดูตื่นๆ ...น่ารักฉิบหาย... ผมเผลอยิ้มอีกแล้ว ‘ไม่ต้องกลัวหรอก ผมไม่ปิดไฟ จะอยู่ข้างๆอิมทั้งคืนเลย’

ยอมแบบไม่ต้องคิด อิมยอมให้ผมกอดแล้วนอนหลับตาปี๋ไปตลอดคืน...



ผมเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลระหว่างอิมกับพี่เบส ตอนที่พี่ดาวกับข้าวฟ่างมักแซวเจ้าคนตัวสูงผิวขาวข้างๆกับเพื่อนสนิทเจ้าตัวให้ผมได้ยิน และอาจจะเป็นเพราะสายตาของอิมที่ใช้มองไปยังคนๆนั้น มันนึกคุ้นคล้ายกับเคยเจอที่ไหนสักแห่ง...

ใช่แล้ว...ผมจำได้แล้ว สายตามันคล้ายกับตอนที่ผมกล่าวหาเจ้าตัวว่านอกใจ รอยยิ้มในภาพใบนั้น

ความไม่พอใจบางส่วนก่อตัวขึ้นมาอย่างเงียบๆ ทำไมต้องอยากรู้เรื่องเพื่อนสนิทขนาดนั้น ขนาดผมกับไอ้นัทยังไม่ถึงขั้นนี้เลย

ผมไม่อยากให้อิมรับรู้แม้กระทั่งเรื่องที่เขาเข้าใจผิดกันว่าพี่เบสเป็นแฟนกับพี่ใยไหม มันเป็นอะไรที่เห็นแก่ตัวสุดๆ

ผมลากอิมออกมาที่ร้านคอฟฟี่ช้อป พยายามกุมมือประสานนิ้วประกาศตัวให้ทุกคนรับรู้ว่าคนนี้ของผม แต่คนที่ขับไล่ไสส่งกลับดูเหมือนจะเป็นเจ้าตัวเสียเอง

‘มันอาจจะเป็นโอกาสของคุณก็ได้นะ’

‘โอกาส?’

ผมจะได้โอกาสอะไร เจ้าตัวไม่บอกแถมยังไล่ผมไปนั่งฝั่งตรงข้ามราวกับรำคาญที่ถูกเนื้อต้องตัว ผมเลยจัดไปยกหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ น่าแปลกใจตรงที่ว่ากางเกงใน CK ตัวที่ผมไม่เคยใส่และให้เจ้าตัวยืมไปนั้น มันกลับมาโผล่ในตัวอิมครั้งนี้ แค่เห็นขอบแนบไปกับเอวสอบยามเผลอยกมือสูง ใจผมก็เต้นไม่เป็นส่ำ กระดูกเชิงกรานในร่างอันเรียบเนียนนั้นเห็นแล้ว อยากกัด อยากสร้างรอย แสดงความเป็นเจ้าของ...

‘ของผมนี่’

‘นี่ก็...ของผม’

อิมคือ...คนของผม...

‘ผมชอบ...’ ช่วงจังหวะหนึ่งที่ผมเห็นภาพพี่ใยไหมกับพี่เบสหลุดมาในหัว...กลัวจนไม่กล้าบอกความจริง...



จนในที่สุดวันนี้ก็มาถึง...



“เราเลิกกันเถอะ”



ประโยคเดียวสั้นๆที่ผมเคยหวังให้เขาพูดตลอดมานับจากวันแรกที่เจอกัน...แต่พอมาวันนี้...

“อิม...ผม...” ไม่อยากเลิก...

“เกรท!!” เสียงพี่ใยไหมดังแว่วมาแต่ไกล เธอตามผมมาในภาวะร้อนรน ผมทิ้งละครเวที ทิ้งสิ่งซึ่งเป็นที่เชิดหน้าชูตาของคณะ หลังผละจากการบังคับให้มีสัมผัสแปลกๆซึ่งมันไม่ควรจะเกิดขึ้นในฉาก คนของผมคงเห็นมันเต็มสองตาและต้องไม่พอใจกับเรื่องนี้เป็นแน่ แม้แต่ตัวผมก็เถอะ...หากมีใครมาจูบอิม...แค่คิดผมก็รับไม่ได้แล้ว

“เกรท...ผมให้โอกาสคุณ” ร่างตรงหน้าเหมือนเงียบไปสักพัก ก่อนเกริ่นบางอย่างออกมา

“โอกาส? โอกาสอะไร?” ในหัวตีความอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง มันสับสนปนเปกันไปหมด ผมเริ่มเกิดอาการเจ็บจี๊ดที่ศีรษะด้านหลังอย่างบอกสาเหตุไม่ได้

“โอกาสที่คุณจะกลับมาโสดอีกครั้งไง”

“อิมพูดบ้าอะไรเนี่ย”

...ผมไม่อยากโสด...

“ถ้าผมบ้า คุณก็โคตรสติไม่ดีเลยล่ะ ที่ยังทนคบกับผมมาได้ถึงตอนนี้”

...กับคนน่ารักขนาดนี้ บอกว่าผมสติไม่ดีมาคบเนี่ยนะ...อิมบ้ารึเปล่า...

“อย่าบอกนะว่าเรื่องบนเวทีเมื่อกี้”

“ไม่ใช่” ร่างโปร่งส่ายหัว

“...แล้วทำไม”

“ผมเบื่อแล้วล่ะ”

“...”

“...”

“อิม...เบื่ออะไร” เจ็บ...กระบอกตาอยู่ดีดีก็ร้อนผ่าวราวกับน้ำตาจะไหล

ผมให้คำตอบตัวเองไม่ได้ ตอนแรกผมไม่ได้ชอบ ไม่ได้คิดอะไรกับคนตรงหน้าเลยสักนิด แต่ตอนนี้...ผม...

รักเขาไปแล้ว...

หรือว่าเขารู้...

“เกรท...”

หรือว่าเขาจะรู้...เรื่องพี่เบสกับพี่ใยไหม...



“เรากลับไปเป็นเหมือนเดิม เหมือนตอนที่ยังไม่รู้จักกันเถอะนะ”



...การปฏิเสธแบบไร้เยื่อใยมันเป็นแบบนี้สินะ...

...แม้แต่สถานะของคนรู้จัก เขาก็ยัง...ไม่ให้ผมเลย...




มีต่อด้านล่างจ้า

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
“อิมๆ นั่นน้องเกรทไม่ใช่เหรอ”


ข้าวฟ่างทักขึ้นมาในวันแรกหลังจากที่ผมบอกเลิกเกรทกลางที่สาธารณะ ร่างสูงซึ่งดูโดดเด่นในสายตาคนกำลังยืนกำมือถือ ชะโงกหน้ามองไปมารอบๆราวกับรอใครสักคน ผมรีบหลบหลังประตูทันทีตามสัญชาตญาณ ไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายมาหา แต่ยังไม่อยากจะเห็นหน้าตอนนี้ เพราะมันเป็นตอนที่ผมยังเคลียร์ความรู้สึกตนเองไม่ได้


อาการปวดหนึบหน่วงหนักที่อกข้างซ้าย หลังจากพยายามวิ่งหนีกายสูงในชุดสูทซึ่งเดินลงจากเวทีอย่างกะทันหันในวันนั้น ผมได้คำตอบมันหลังจากที่ปฏิเสธคนตรงหน้าไป มันเป็นความรู้สึกหวง ไม่อยากให้ใครแตะต้องเขา ความรู้สึกอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ และความรู้สึกทรมานไม่อยากแยกจากหลังบอกคำเลิกรา

แต่ใจนึงก็รู้ดีว่าผมไม่อาจเห็นแก่ตัว ความสัมพันธ์ของพวกเราเริ่มต้นแบบบิดเบี้ยว อีกคนหนึ่งตื่นเต้นจนสารภาพผิดไม่ดูตาม้าตาเรือ ส่วนอีกคนก็ตอบรับความรู้สึกนั้นไปโดยที่มีใครอีกคนอยู่ในใจ

บางทีถ้าตอนนั้นผมไม่รู้ว่า ‘พี่พาส’ เลิกกับใยไหม ผมอาจจะยังไม่อยากปล่อยมือจากเกรทก็เป็นได้...

‘คนของนายกำลังล้ำเส้น’ เสียงของพี่ปีสี่ผู้ครองตำแหน่งพระเอกละครเวทีทุกชั้นปียังดังก้องอยู่ในหัว และมันเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉุกใจคิดได้ว่าเกรทไม่ใช่คนของผม และหากใยไหมไม่ใช่คนของเขาแล้ว อะไรๆคงง่ายขึ้น

การตัดสินใจบอกคำลาเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย หลังจากได้เห็นฉากสุดท้ายของละครเวทีนั้น

...ใยไหมก็ชอบเกรท...

ผมควรจะดีใจที่คนๆนึงซึ่งผมคิดว่าดีเกินกว่าที่จะได้รับการตอบแทนคำสารภาพรักเป็น ‘ผม’ จะได้สมหวังในความรักกับคนที่ตนเองชอบจริงๆเสียที

ทั้งที่ไม่ควรจะลากเรื่องราวให้ยาวนานมาถึงขั้นนี้เลยแท้ๆ...ผมควรจะตัดจบตั้งแต่ตอนแรกที่รู้ความจริงจากสายตาคมคู่นั้น...

ได้แต่นึกโทษตัวเองในใจเบาๆ แต่ไม่เคยนึกเสียใจที่ได้รู้จักกับเกรท...ได้รู้จักคนดีๆอย่างเขา...ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง...และขอโทษนะที่ทำร้ายคุณ...



“วันนี้ก็หลบอีกแล้วเหรอนี่มันจะปาไปครึ่งเดือนแล้วนะ”

ครึ่งเดือนก็แค่สองอาทิตย์เอง ความทรงจำของเขายังไม่จืดจางไปจากสมองผมด้วยซ้ำ ทุกอย่างยังชัดเจนเกินกว่าจะเรียกได้ว่าผ่านมานาน

และน่าแปลกที่คนอย่างเกรทซึ่งมีแฟนแล้วกลับมายืนรอผม อยู่ที่เก่า ซ้ำเดิม ในทุกๆวัน

เกรทคุณควรจะเอาเวลาไปสนใจแฟนให้มากกว่านี้...

หรือผมควรจะเดินเข้าหา ไปตัดบัวให้ไม่เหลือใย เดินออกไปบอกว่าอย่าได้มาอีก แต่ทว่าระหว่างคิดกลับมีใครอีกคนเดินพุ่งตรงไปหาเขา แทนที่จะเป็นผม...

ใยไหม...

ร่างสูงยกยิ้มที่มุมปากเบาๆ ส่วนหญิงสาวยิ้มหวานราวกับความสุขเอ่อล้นในอก ถึงจุดนี้ผมได้แต่พูดกับตนเองเบาๆว่า

...อิมเอ๋ย...

...อย่าสำคัญตัวเองผิด...

ที่เขามายืนอยู่ตรงนั้นทุกวันไม่ใช่ว่าเขามาหาแก แต่เพราะใยไหมที่อยู่คณะเดียวกับแก เรียนอยู่ใกล้กันกับแกต่างหาก ที่เขามาหา

พอเถอะกับความรู้สึกที่ว่ายังมีความหวัง...

พอเถอะกับการคิดในใจว่าถ้าเขาทำครบสามสิบวัน ผมจะใช้ความกล้าเดินเข้าไปหาแล้วถามเขาว่าทำไปเพื่ออะไร...

นายต้องตัดใจนะอิมเมจ...

และหลังจากนั้นถึงแม้เกรทจะทำตามที่ผมคาดการณ์ไว้ แต่ผมก็ไม่คิดจะเดินเข้าไปหาเขาอีกเลย...

จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนถึงสอบปิดปลายภาค ผมพยายามปิดกระแสทุกอย่างที่เข้ามา ไม่ยอมรับรู้แม้กระทั่งว่าสองคนนั้นเขาคบกัน







“กี่เดือนแล้วเนี่ย”

“กี่เดือนแล้วน้า”

“ที่อิมของพวกเราโสด”

“จนต้องมานั่งเป็นหมาหงอยอยู่ตรงนี้เนี่ย”

“เดี๋ยวไอ้ดาว แกอย่าลืมสิ ว่านู่น ยังมีคนโสดนั่งอยู่ตรงนู้นอีกคน”

“ชะอุ๊ย ลืมไปเลย เฮียเบสของเรา”



เสียงหัวเราะร่วนดังมาจากเพื่อนสาวทั้งสองคน ผมน่ะไม่เท่าไรหรอก โดนหยอกตั้งแต่วันนั้นจนนิ่งชาไร้ความรู้สึกไปแล้ว แต่ปฏิกิริยาตอบรับของไอ้เบสเนี่ยสิ เงียบเสียจนน่ากลัว สุดท้ายทางนี้เลยเป็นฝ่ายทนไม่ได้ต้องลุกขึ้นปรามคนในกลุ่ม

“ข้าวฟ่างดาว แกก็เลิกแซวเรื่องนี้ซะทีเถอะ” หัดมองหน้าเพื่อนมันบ้างว่าอยู่อารมณ์ไหน

“อ้าว ไม่ให้แซวได้ไงอ่ะอิม ก็มันเรื่องจริงนี่หน่า”

“คนอะไรก็ไม่รู้ มีไอ้อิมเป็นไอดอลหรือไง เวลาไอ้อิมมีแฟนก็มีตาม พอไอ้อิมมันเลิกกับน้องเกรท นี่ก็เลิกกับแฟนตาม”

“แล้วมันหนักหัวอะไรพวกแกวะ” เหมือนเอาน้ำมันราดบนกองเพลิง ไอ้เบสบทจะนิ่งมันก็นิ่งทนฟังได้ตลอด ไม่สนใจแต่ไม่เก็บสีหน้า แต่ถ้ามันทนไม่ได้ขึ้นมา บทจะโวยวายก็ตวาดดังไปสามบ้านแปดบ้าน จนเพื่อนในกลุ่มมันสะดุ้งขวัญกระเจิงไปตามๆกัน

เพื่อนผมมันลุกขึ้นยืนเต็มความสูง กระชับเป้ตนเอง ก่อนคว้ากระเป๋าสะพายข้างผมพลางตะโกนให้เดินตามไป แบบไม่สนใจใครหน้าไหนอีก...

เฮ้อ...เอาอีกแล้ว...

ผมพยายามวิ่งตามหลังมัน รู้ทั้งรู้ว่ามันพยายามชะลอให้ผมได้เข้าใกล้ พอประชิดตัวได้ก็คว้าสายที่พาดบ่ามันไว้ก่อนดึงเข้าหาตัว แต่ไอ้เบสไม่ปล่อย แถมยุดยื้อกลับไปถืออย่างเก่า

“ทำอะไร”

“กูจะเอากระเป๋า”

“เอาไปทำอะไร”

“กูจะถือ”

“กูไม่ให้ถือ”

“อ้าวเฮ้ย...” ไอ้เหี้ยปฏิเสธอย่างนี้แล้วเดินต่อเฉยเนี่ยนะ ยื้อยุดได้สามประโยคพวกเราก็เดินมาถึงลานจอดรถ ไอ้เบสมันกดรีโมตเปิดประตูรถก่อนโยนกระเป๋าผมไปด้านหลังแบบส่งๆ ทิ้งตัวลงประจำตรงที่คนขับ ส่วนผมที่กำลังจะคว้าที่จับเปิดประตูกลับโดนไอ้เบสรู้ดักล็อกไว้เสียก่อน “เชี่ยเบส!”

เสียงหวี่ๆจากกระจกที่นั่งข้างคนขับไถลลง เพื่อนผมมันยื่นหน้าออกมาพลางตะโกนเสียงดัง

“มึงจะเปิดประตูหลังทำไม มานี่ มานั่งหน้า”

“กูไม่ได้จะเปิดประตูหลัง แต่กูกำลังจะเอากระเป๋ากู!!” เชี่ยมันปิดกระจกไปแล้ว

สุดท้ายก็ได้แต่จำใจ ยอมกระโดดลงข้างคนขับ

“มึงทำอย่างนี้เพื่ออะไรวะ”

“มึงต่างหาก หนักใจที่จะกลับกับกูหรือไง”

“กูไม่ได้...” เหลือบไปเห็นหน้ามันแล้วแม่ง ผมพูดไม่ออก เลยนั่งไถลตัวลงต่ำ ล้วงมือถือออกจากกระเป๋า กะให้เล่นเพลินๆเผื่อจะได้หลับไปแบบไม่ต้องคิดอะไรมากอีก

วันนี้ไอ้เบสก็ขับมารับไปส่งบ้านผมเหมือนเคย อะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปนับจากเดือนก่อนหน้า ตั้งแต่เรื่องราววุ่นวายต่างๆเกิดขึ้นในชีวิตผม ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างสงบและลงตัวกว่าเดิมเยอะ สงบจนบางครั้งก็รู้สึกเหงา อาจเป็นเพราะความเคยชินกับการมี ‘เขา’ เลยทำให้สีสันในชีวิตตอนนี้ดูจืดจางไป

รถพวกเราแล่นออกจากลานจอดมาถึงทางตัวตึกตรงโซนส่วนต่อของสองคณะ บริเวณนี้ผู้คนพลุกพล่าน หากนับรวมเวลาที่คณะต่างๆเลิกเรียนแล้วก็ถือเป็นเรื่องปกติ สี่ล้อจอดนิ่งรอให้คนข้ามทางม้าลายจำนวนหนึ่งเดินผ่านไป ผมเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งก้มหน้ามาเอี้ยวตัวออกด้านข้าง จดจ่อกับมือถือที่ไถเฟซบุ๊กไปยังหน้าของคนที่แอบชอบ

...เขายังสุขสบายดีอยู่ และดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีกับแฟน...

แต่สักพักต้องมีอันสะดุ้งหันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนขับทันที เพราะไอ้เบสมันเอากำปั้นทุบพวงมาลัยรถซะเสียงดัง

“เป็นบ้าอะไรของมึงวะ” สายตามันเหมือนจับจ้องกับอะไรบางอย่าง ผมรีบชักสายตาไปตามแต่ก็ไม่เห็นใครแล้วจึงรีบมองซ้ายมองขวา จนสะดุดกับแผ่นหลังของใครบางคนที่พึ่งจะเดินเยื้องย่างห่างออกไป มันคุ้นเสียจน...เหมือนนึกรู้

แต่ไม่ทันไรคันเร่งก็ถูกเหยียบเสียจม เครื่องยนต์ซึ่งโดนกระตุ้นกะทันหันส่งเสียงเครือดังหึ่มๆก่อนพุ่งตัวออกมา หลังผมแทบจมลงไปกับเบาะรถ

“ไอ้เบส มึงจะรีบไปตายที่ไหน” มันเงียบ ผมด่ามันอย่างนั้นแต่ใจนึงกลับคิดถึงแผ่นหลังของคนที่เดินผ่านไป จำได้ว่าไอ้เบสมันจอดตั้งนานแล้ว รู้สึกถึงวี่แววใครบางคนมาหยุดยืนที่หน้ารถจากหางตา แต่ใจกำลังจดจ่อกับมือถือเลยขี้เกียจยกมาเป็นประเด็น

ช่างเถอะ...ตอนนี้กลายเป็นคนดังของสังคมแล้ว...จะมีคนมายืนจ้องสักคนสองคนตอนเห็นหน้าก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร







“พี่เบสมาส่งอีกแล้วเหรอคะ”



เสียงแข็งๆราวกับไม่พอใจถามขึ้นโดยที่เท้ายังข้ามผ่านธรณีประตูไม่ถึงครึ่งก้าวด้วยซ้ำ ยัยมายด์ที่นั่งชันขาพิงหลังกับโซฟาดูทีวีมองตรงมาทางนี้ ราวกับภรรยาจับผิดสามีก็ไม่ปาน เสี้ยวหน้าคล้ายคลึงกับผมบิดปากเป็นรูปสระอิ บ่งบอกให้รู้ว่าเรื่องที่ออกจากปากคงหนีไม่พ้นจากเรื่องเดิมๆ

ใช่ว่าข่าวเรื่องที่ตะโกนบอกเลิกเกรทกลางลานเปิดใจมันดังแค่วงในเสียเมื่อไรล่ะ...

ตอนนั้นยัยมายด์โวยวายว่าเรือล่มคนตายไปเป็นแสน ยิ่งกว่าไททานิกชนภูเขาน้ำแข็งที่แอตแลนติก เพียงแต่อันนี้เป็นแค่อิมเมจบอกเลิกเกรทในวันเกิดอีกฝ่าย แถมอดีตดาราเด็กยังแต่งองค์ทรงเครื่องซะครบยศราวกับเจ้าชายที่ถูกสั่งปลดตำแหน่งกลางคัน

“เบสมาส่งแล้วมีปัญหาอะไรฮะ เราเนี่ยยังไง ทีตอนม.ห้านี่ติดไอ้เบสอย่างกับอะไร แต่มาคราวนี้กลับ”

“ก็น้องย้ายเรือมาฝั่งเกรทอิมแล้วนี่นา”

“เรือแตกแล้ว เดี๋ยวให้ยืมเสื้อชูชีพ”

“พี่อิมอย่ามาตลก!” ผมหัวเราะ หนึ่งในความสุขของผมตอนนี้คือการได้หยอกน้องตัวเองเนี่ยแหละ

“สุดท้ายเรือของพี่กับเกรทมันก็เป็นได้แค่เรือแจวแหละ พอโดนหนวดหมึกเดวี่ โจนส์สะกิดก็พลิกล่มแล้ว อย่าเกาะขอบเรือให้เหนื่อยเปล่าเลย” ใช่...มันเป็นเรือที่ไม่มีวันสมหวังมาตั้งแต่แรกต่างหาก

“โห พูดซะเห็นภาพเลย เดี๋ยวเรียกกัปตันเกรทสแปร์โรว์ให้ค่ะ” ยัยมายด์ทำท่าจะยกมือถือขึ้นจนผมต้องรีบปราม

“พอเลยยัยมายด์ อย่าหาเรื่อง พี่ยังไม่อยากมีแฟนเป็นจอห์นนี่ เดปป์นะ”

“แหนะ มายด์บอกรึยังว่าจะให้พี่อิมเป็นนางเอกน่ะ แหมร้อนตัวเชียวนะ”

“...!”

สะดุ้งเลย อยู่ๆก็รู้สึกรังเกียจตนเองขึ้นมาจับใจ เพราะเผลอก้าวล้ำเส้นขอบเขตที่ขีดไว้ มันเป็นสิ่งที่ผิด ผมไม่ควรคิดกับอีกฝ่ายที่มีแฟนอยู่แล้ว...

“พี่เป็น...นางเอกไม่ได้หรอก”

ผมพึมพำ เหมือนมายด์จะไม่ทันได้ยินเลยได้แต่เอียงคอสงสัย

“...พี่อิม”

“จะกินข้าวแล้วค่อยเรียกพี่นะ” ผละออกมา กลัวน้องรู้เพราะปิดอาการเศร้าไม่มิด

ทันทีที่ประตูห้องนอนปิดลง หน้าจอมือถือที่ยังคงสว่างปรากฏเป็นภาพยิ้มแย้มของคนคู่หนึ่ง

...ช่างเหมาะสมกันดี...













เคร้ง!!

เสียงเหมือนอะไรหนักๆบางอย่างกระทบกับกำแพงตะแกรงเหล็ก เรียกสติผมให้ตื่นจากภวังค์

คนทะเลาะกัน?

ทุกอย่างดังมาจากในสนาม เสียงห้ามปรามวุ่นวายปะปนมากับเสียงหมัดกระทบผิวเนื้อหลายระลอก ก่อนเกิดเสียงฝีเท้าที่วิ่งอย่างเร่งร้อนดังเข้ามาใกล้

ตายละ! มาทางนี้ทำไม ไปทางโน้นดิไป ไอ้อิมทำไมดวงเอ็งซวยอย่างนี้วะ!

“เชี่ยมันไปทางนั้นแล้ว!” ผมสะดุ้งเมื่อรู้ว่าเส้นทางที่อีกฝ่ายมุ่งมาเป็นทางที่ผมยืนอยู่ กะจะเบี่ยงตัวหลบแต่ก็กลัวตกคูข้างทางเลยได้แต่นิ่งจับสายกระเป๋ากลั้นหายใจอยู่ตรงนั้น ทำราวกับอีกฝ่ายเป็นผีจีนเผื่อมองไม่เห็น

“โธ่เว้ย!ตื๊อชะมัดยากเลย” เสียงสบถดังเข้ามาใกล้ ผมเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างเผลอตัว ผู้ชายสามคนวิ่งตะลีตะลานพุ่งตรงมาทางนี้ การปรากฏกายของหนึ่งในนั้นเป็นอะไรที่ทำให้ผมต้องเบิกตาโพลง ร่างทั้งร่างยืนนิ่งแข็งค้างอยู่ตรงนั้นหนักกว่าเก่า

หนีมาตั้งนาน แต่กลับมาเจอเอาวันนี้ วันที่ผมเดินผ่านมาคืนหนังสือห้องสมุดเนี่ยนะ...

หลบตาทันควันเผื่ออีกฝ่ายจะจับสังเกตไม่ได้ เสียงกระแทกเท้าเข้ามาใกล้จนใจหาย แต่สุดท้ายสองมือที่จับกระเป๋ากลับดันโดนบางอย่างคว้าฉุดไปตามแรงดึง

“เชี่ยเว้ย พวกมึงทางนี้” เสียงตะโกนบอกทาง มาพร้อมการโดนลากดึงถูลู่ถูกังให้วิ่งตุเลงตุเลงตามไป



“แฮ่กๆๆๆ”

พวกเราวิ่งมาหลบหลังตึกคณะนิเทศ เหนื่อยฉิบหาย ไม่เคยรู้สึกว่าได้ออกกำลังกายหนักอะไรขนาดนี้มาก่อนเลย เหนื่อยจนหัวใจแทบหลุดออกมา ผมกุมอกเผื่อบรรเทาอาการทรมานนี้ได้ ก่อนเบนสายตาไปมองร่างสูงที่มองจ้องผมอยู่นาน ความรู้สึกประหม่าจากคนที่ไม่ได้เจอหน้าถึงเดือนนึงบังเกิด

ขี้เกียจทวงถามความเป็นไปเพราะยังไงพวกเราก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรกันแล้ว เลยเอาแต่ก้มหน้าหลบพลางค่อยๆเดินเลี่ยงออกมาอย่างเงียบ แต่จู่ๆอีกฝ่ายก็เดินมาขวางจนเท้าสะดุดชะงัก ผมรีบเงยหน้าขึ้นเหมือนตั้งใจจะหาเรื่อง แต่พอเห็นสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคำพูดทุกอย่างกลับกลืนหายไปในลำคอ

“เกรท”

ทั้งมุมปาก โหนกแก้ม แต่ละจุดต่างมีรอยแดงช้ำ และบางตำแหน่งมีเลือดสดๆซึมออกมา ด้วยความเคยชินจึงขยับมือไปสัมผัสหน้าอีกฝ่าย “เกิดอะไรขึ้นทำไมหน้าเป็นแบบนี้”

“...” เจ้าตัวไม่ตอบได้แต่ยืนเงียบมองหน้าผม จนฉุกใจคิดได้ว่าเรื่องตรงหน้าเป็นสิ่งไม่สมควรทำจึงรีบชักมือออก

“ขะ...ขอโทษ”

“แหมๆ หวานได้ครับ เชิญตามสะดวกเลย” ลืมไปว่ามีเพื่อนอีกสองคนของเกรทยืนอยู่ น่าอายเกินจนอดที่จะหน้าเห่อร้อนไม่ได้ ผมไม่มีธุระอะไร ณ ที่ตรงนี้ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ พอคิดได้ดังนั้นจึงเริ่มก้าว ตั้งใจจะออกไปจากจุดนี้ แต่ข้อมือกลับถูกรั้งไว้ให้หันไปสบตากายสูง

“อิมพอจะมีเวลามั้ย”

“หา?”

“ช่วยทำแผลให้ผมหน่อย”

“คุณทำเองไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้ผมมองไม่เห็น”

“งั้นก็ให้เพื่อนคุณทำให้สิ”

“เพื่อนผมมันก็เจ็บเหมือนกันไม่มีปัญญาทำให้หรอก”

“งั้นก็ให้แฟน”

“ผมยังไม่มีแฟน”

“...”

“ผมโดนหักอกจากแฟนคนเก่า ทั้งที่ผมยังไม่ทันได้บอกว่าจะเลิกเลยด้วยซ้ำ”



...TBC…


+++++++++++++++++++++++++



ตอนนี้เป็นการสารภาพความในใจและเหตุผลของการกระทำของเกรทค่ะ
น่าจะคลี่คลายปมไปเยอะพอสมควร...
แก้ทีเดียวเกือบหมด...เฉกเช่นเกรทตอนเล่นเกมถอดเสื้อผ้า
ขอบคุณทุกคอมเมนท์นะคะอาจจะลงช้าความถี่น้อยกว่าเดิม
แต่ไปทิ้งไปไหนแน่นอนค่า
ช่วยให้กำลังใจคนที่กำลังจะ 'รีเทิร์น' อย่างเกรทกันหน่อยน้า
สุดท้ายคือ ขอบคุณทุกคนที่ตามจริงๆ ขอบคุณค่า
:pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ทั้งๆที่เกรทก็รู้ว่าสารภาพรักผิดคน​ แล้วไม่เอะใจอะไรเลยหรือไงว่าคนอื่นเขาจะไม่รู้ว่าแอบรักใครอยู่

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อีน้องเกรททททท ขอให้ง้อให้ได้ก็แล้วกัน :katai1:

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ผู้ชายแบบเกรทคือแย่นะ
ไม่เคยคิดว่าตัวเองทำผิดเลย
และไม่ชัดเจน แบบนี้ใครคบด้วยก็เจ็บ
ทุกครั้งที่เจอใยไหมอาการออกขนาดนี้
ยังหวังให้อิมเข้าใจอีกเหรอ

และเราไม่ชอบเพื่อนผู้หญิงของอิม
คือนางชอบขยี้ หรือพูดเล่นโดยไม่ใส่ใจ
ความรู้สึกเพื่อน เหมือนคบกันแบบนั่นแหละ แต่ไม่มีทางกลายเป็นเพื่อนสนิทได้

เป็นการคลายปมแบบที่เรางงๆ อ่ะ
เหตุการณ์ดูขัดๆ กันไม่สัมพันธ์กันยังไงไม่รู้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ปมถูกแก้หมดแล้ว. เอาล่ะสิ จะคุยไรทีนี้,,,

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบห้า(ครั้งที่สอง)...ประคับประคองความสัมพันธ์



เดินผ่านสนามกีฬาทุกครั้งมันทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น...วันที่ผมเอาหนังสือที่ยืมจากห้องสมุดไปคืน...



ผมเจอนัทกับไลค์แล้วแสร้งทำเป็นพยายามจับกิ๊กของเกรท ปั่นหัวให้เพื่อนสองคนของคนตัวสูงมึนงงก่อนผละออกมา จนกระทั่งขากลับจากหอสมุดคนที่กำลังเตะบอลกลุ่มนั้นก็ยังอยู่ ในเมื่อรู้ตัวไปแล้ว เลยอดไม่ได้ที่จะมองตามไปยังฝ่ายซึ่งตกเป็นประเด็นข้อสงสัยทุกหมู่มวลท่ามกลางกลุ่มเพื่อนฝูง แต่ทว่าสายตากลับสะดุดกับคนที่อยู่ข้างเคียงนั้นแทน เราทั้งคู่ต่างหยุดชะงัก

นี่มัน...

ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว...

แค่มีสื่อทางผ่านอย่างยัยดาว ไม่งั้นทั้งชาตินี้ผมคงยังไม่รู้ว่าคนที่พุ่งสายตามาจะมีนามว่า ‘สิง’ รุ่นพี่ปีสี่คณะนิเทศศาสตร์อดีตแฟนเพื่อนสาวผมเป็นแน่

‘หายหงุดหงิดยังวะไอ้พาส แม่งเตะไม่บันยะบันยัง พรุ่งนี้กูขาหักพิการไปจะว่าไง’ หนึ่งคนถือถุงมือผู้รักษาประตูกล่าวบ่น

‘ให้มันระบายอารมณ์บ้างเถอะ เพิ่งเลิกกับแฟนแถมยังมาเจอพวกเพื่อนไอ้เด็กหล่อนั่นมากระตุ้นประสาทมันอีก เป็นกู กูก็เตะยับวะ’

‘ยับที่มือกูเนี่ยดิ!!’ เสียงหัวเราะขบขันหลังคนที่คาดว่าทำหน้าที่เป็นผู้รักษาประตูกำลังประท้วง หากไม่บันเทิงเพียงพอจะทำให้เจ้าของประเด็นอารมณ์ดีตามไปด้วย อีกฝ่ายยังคงทำหน้านิ่งโดยมีแววคุกรุ่นกลายๆ เหลือบมองทางเพื่อนฝูงราวกับหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจ จนกระทั่งหันไปเห็นสายตาของเพื่อนตัวสูงอีกคน ที่เงียบไม่พูดไม่จามองตรงมาอีกฟากให้ได้ฉุกใจคิดสงสัย

‘เป็นไรวะไอ้สิง’ แววตาดุดันจับจ้องไปทางเพื่อนก่อนหันตรงมาทางนี้อย่างฉับพลัน...

ผมสะดุ้งสุดตัว จู่ๆลมหายใจก็ติดขัด ถ่ายเทไม่ทั่วปอด จากจุดนี้ควรทำเป็นคนสายตาไม่ดีแล้วปล่อยผ่าน หรือเดินหันหลังเอาตัวออกห่างไปให้พ้นทางดี คนที่สาบานว่าทั้งชาติคงไม่มีทางได้รู้จักกลับกระตุกหางคิ้ว เอ่ยปากเบาให้ผมได้ยินเพียงแค่สองพยางค์

‘นั่นมัน’

‘...!’

‘เฮ้ย ไอ้พาส!’

การเผชิญหน้ากันระหว่างคนที่ซึ่งไม่เคยมีความเกี่ยวข้องใดใดกันเลยเป็นอะไรที่โคตรน่ากระอักกระอ่วน ผมเงยมองรุ่นพี่ตัวสูงซึ่งเดินเข้ามาประชิดติดขอบเวที ค้ำหัวผมไปอย่างใจดีสู้เสือ

‘นาย...’

‘...’

‘แฟนไอ้เด็กนั่นใช่มั้ย’ สรรพนามเรียกคนไม่บ่งถึงว่าเป็นใคร การจะให้ตอบรับอีกฝ่ายว่าใช่คงเป็นการด่วนสรุปไปสำหรับผม เลยได้แต่ยืนนิ่งจ้องตอบราวกับตอไม้ อีกฝ่ายขมวดคิ้วมุ่นดูไม่สบอารมณ์มากขึ้น หากยังคงประวิงความหน่วงหนักของมวลกระแสความตึงเครียดไว้อยู่

‘...’

‘ทีหลังก็หัดเตือนคนของตัวเองซะบ้าง’

‘เฮ้ยพอเถอะไอ้พาส’ คนชื่อสิงจับไหล่เพื่อนแต่โดนสะบัดใส่อย่างไม่ยอมฟัง ความรู้สึกกลัวว่าเรื่องราวจะลุกลามใหญ่โตก่อเชื้อจางๆขึ้นในสมอง ผมกระชับกระเป๋าสะพายถอยครึ่งก้าวอย่างรอบคอบไม่กระโตกกระตาก ยืนรอฟังคำต่อไปของคนเบื้องหน้าอย่างใจเย็น

‘คนของนาย กำลังล้ำเส้น’

‘คนของผม?’

‘ใช่ คนของนาย อย่าบอกว่าไม่ใช่ เรื่องที่มันไปสารภาพกลางลานเปิดใจใครๆก็รู้’

เรื่องวันนั้นดังอย่างที่ยัยมายด์บอกจริง ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมเกรทถึงได้กลัวเสียหน้าหนักหนา หากจะมีใครล่วงรู้ว่าเจ้าตัวสารภาพรักผิด...แต่น่าแปลก ที่เจ้าตัวยอมถูกตราหน้าว่าชอบผู้ชาย ดีกว่าให้ใครมาหาว่าสายตาเพี้ยน ถึงขั้นมองคนสูงร้อยแปดสิบเอ็ดไร้หน้าอกอย่างผม เป็นผู้หญิงมีนมผมสีน้ำตาลคาราเมลอย่างใยไหมได้

‘หึ...’

‘หัวเราะอะไร’ เสียงกลั้วคอนี้อาจไปสะกิดบันดาลโทสะอีกฝ่าย ผมรู้ดี แต่มันก็อดที่จะ...

‘เปล่าหรอกครับ’

‘เปล่าแล้วหัวเราะทำไม’ ผมนิ่งคิดสักพัก ก่อนเงยขึ้นสบดวงตาที่คุกรุ่นไปด้วยอารมณ์

‘เมื่อกี้ เพื่อนพี่บอกว่าพี่เลิกกับใยไหมแล้ว’

‘เชี่ยนี่!’

‘เฮ้ย! ใจเย็นก่อนดิพาส’ พี่สิงพุ่งเข้ามาดึงไหล่คนชื่อพาสเอาไว้ มองหน้าผมเป็นเชิงปรามให้อย่ายั่วโทสะอีกฝ่าย แต่ผมไม่ได้ตั้งใจสื่อความอย่างนั้น

‘ถ้าคนสองคนต่างฝ่ายต่างไม่มีพันธะ จะรักกัน มันก็ไม่ผิดใช่มั้ยครับ’

‘แต่มันยังเป็นคนของมึง!’ ผมจบท้ายคำลาด้วยรอยยิ้ม เดินออกด้วยท่วงท่านิ่งๆ ไม่ท้วงติงต่อสิ่งใดอีก สองเท้าก้าวยาวไร้การหยุดพัก เร่งร้อนผ่านรายทางเดิมๆที่ดูเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด ต้องโทษทีไม่เคยท้าตีท้าต่อยใครมาแต่เด็ก ยามมนุษย์ต้องเจอกับสิ่งที่ขลาดกลัวเลยพยายามหนี นำพาร่างตนเองมาถึงใต้ถุนคณะ เมื่อถึงที่หมายทุกอย่างซึ่งเก็บกักเอาไว้เลยล้นทะลักออกมาในคราเดียว มือสั่นๆตรงหน้าช่างน่าสมเพชเสียเหลือเกิน

‘ใจเย็นดิวะอิม’ ผมกำมือตัวเองให้หยุดสั่น ยอมรับว่าเมื่อครู่ขลาดเขลา กลัวเสียจนไม่อยากอยู่ตรงนั้น ‘เกรท ไม่ผิด’ เรื่องที่ต้องเผชิญผมไม่นึกโทษเกรทเลย เพราะหากตนเองไม่ยื้อมันมานานขนาดนี้ เรื่องราวมันคงไม่เลยเถิดจนยากจะกลับ ถ้าจะผิดมันก็คงผิดที่ผม

...ที่ยังคงทู่ซี้ไม่ยอมหยุดความสัมพันธ์ตรงนี้ให้จบไปเสียที...









“อิม”

“...”

“อิม”



เหมือนตกอยู่ในภวังค์ย้อนความทรงจำชั่วครู่ เสียงทุ้มต่ำเรียกสติให้คืนกลับ สายตากวาดมองไปรอบๆ ผมยังอยู่ตรงตึกคณะนิเทศโดยมีเกรทกับผองเพื่อนยืนอยู่ ใบหน้าฟกช้ำ รอยแตกมุมปาก ดึงเรื่องราวมากมายในวันวานยามเกรทเมาให้ปรากฏในสมอง รวมถึงการพบเจอผู้ชายซึ่งปรากฏกายพร้อมใยไหมในร้านกะเพรา ณ วันเดทแรกของผมอีกครั้งที่สนามแห่งนั้น

และนี่เป็นอีกเหตุผลนึงว่าทำไมยัยดาวถึงพยายามบอกว่าสิ่งที่พี่สิงของเธอรู้มันไม่ใช่สิ่งที่ผมคิด

เบสไม่ใช่แฟนใยไหม แต่เป็นแฟนพี่พาสรุ่นพี่นิเทศศาสตร์ปีสี่เอกสื่อสารการแสดงคนนั้น รุ่นพี่ตัวสูงหน้าตาดีที่ครองตำแหน่งพระเอกละครเวทีมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีสี่...

แล้วทำไมเขาคนนั้นยังถึงตามมารังควานร่างสูงได้...ผมแอบเหลือบมองแผลคนตรงหน้าอีกครั้ง...

หรือว่าที่เกรทพูดเมื่อกี้ บอกว่าอกหักจากแฟนทั้งที่ยังไม่บอกเลิกจะหมายความว่า...



“นี่คุณ...”

“ครับ?” อดีตแฟนตอบรับก่อนนิ่งเงียบจดจ้อง ราวกับลุ้นในสิ่งที่ผมกำลังจะพูดออกมา

“ถูกใยไหมหักอกแล้วเหรอ”



สภาวะเดดแอร์เข้าจับบรรยากาศฉับพลัน เพื่อนสองคนของเกรทอ้าปากค้างมองหน้าผมอย่างตื่นตะลึง

“เชี่ยเกรท กูเห็นใจมึงวะ” เพื่อนนัทตบบ่าเหมือนต้องการปลอบร่างสูงด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง

“กูขอถอนคำพูดว่าพี่อิมฉลาดว่ะ” อ้าวเฮ้ย ประโยคนี้ไม่ต้องตีความก็รู้ว่าเพื่อนเกรทอย่างไอ้ไลค์มันด่าผม

“นี่พวกคุณหมายความว่ายังไง” ผมขมวดคิ้ว แต่มือใหญ่ของเกรทกลับแบทิ่มเข้าหน้าผมซะก่อน เจ้าตัวทำหน้าเครียดผิดปกติ กระตุกมือเร่งเร้าให้ตอบสนองบางอย่าง หรือว่าต้องการขอมือ...เฮ้ย ผมไม่ใช่หมานะอยู่ดีดีมาของมือได้ไงวะ เดาไปก็เสียเวลาเปล่าเลยตัดสินใจเอ่ยปากถาม “อะไร?”

“มือถือ”

“ฮะ?”

“เอามือถือมาให้ผม”

“เอาไปเพื่อ”

“ขอผมดูหน่อย”

“จะเอาไปดูเพื่อ” ร้อนตัว

...แน่ล่ะ ขืนส่งให้ตอนนี้รู้กันพอดีว่าเปิดค้างไว้หน้าไหน ไม่มีทางให้แน่ๆ...

ผมไม่ขยับ ไม่ทำตามคำสั่ง ยืนนิ่งสยบทุกสิ่งอัน จนฝ่ายนั้นไม่พอใจตัดรำคาญด้วยการก้าวเท้ายาวๆเข้าหายืดแขนมาจะคว้าของในกระเป๋ากางเกง

“เฮ้ยจะทำอะไรวะ เกรท” ชักขาหลบพร้อมกุมต้นขาแน่น

“โอเค ไม่ให้ใช่มั้ย” จบคำร่างสูงสาวเท้าพรวดพราดหมุนคว้างมาซ้อนหลัง เพราะไม่ทันระวังแขนยาวจึงโอบรอบคอดึงตัวสวมกอดอย่างแนบชิด ผมรีบตะลีตะลานล้วงของกลางออกจากกระเป๋า เพราะกลัวเกรทมาเอามันได้เสียก่อน สุดท้ายจึงโดนฝ่ามือใหญ่ตะปบออกแรงยึดเจ้าวัตถุสี่เหลี่ยมให้ถือค้างไว้เสมอหน้า เพราะตั้งค่าให้มันตรวจจับดวงตาทุกอย่างเลยถูกปลดล็อกอย่างอัตโนมัติ

เชี่ยๆๆๆๆ เซ็นเซอร์แม่งดีเกินไปแล้ว!

ในขณะที่คิดว่าตัวเองกำลังจะตายด้วยสกิลเสือกโซเชียล ของในมือกลับสั่นครืดคราดพร้อมข้อความบางอย่างเด้งเข้ามา รู้สึกได้ว่าแรงมือของเกรทแข็งค้างในบัดดล



อิมมึงอยู่ไหนวะ

คืนหนังสือเสร็จก็รีบกลับมาดิ

กูรออยู่...




ไอ้เชี่ยเบส...ส่งมาทำไมตอนนี้!! แล้วไหนที่กูบอกให้กลับก่อน มึงจะเสือกอยู่รอทำเพื่อ!! ทำไมชอบทำตัวให้กูลำบากใจ มาตั้งแต่วันนั้นแล้ววะ ตั้งแต่วันที่ผมบอกเลิกกับ...

“ช่วงนี้กลับกับพี่เบสทุกวันเลยนะครับ”

“...!” ผมหมุนหัวไปมองคนทัก ซึ่งพูดเหมือนรับรู้เรื่องทุกอย่างราวกับคอยเฝ้ามองดูอยู่ตลอด

...จู่ๆก็รู้สึกเชื่อมโยงกับแผ่นหลังกว้างนั้น...แผ่นหลังของคนแปลกหน้าที่กลางทางม้าลาย...

 “เกรท คุณปล่อยเถอะ” พยายามหาทางหนี คำนี้กลับเหมือนไปกระตุ้นอารมณ์บางอย่าง เกรทออกอาการจะยื้อแย่งมือถืออีกครั้ง จนต้องสะบัดแขนหนีการกระทำดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมาบนแผ่นอกกว้าง ยักแย่ยักยันแย่งอุปกรณ์สี่อสารกันอย่างทุลักทุเล นิ้วสองคนซึ่งยื้อยุดแตะโดนหน้าจอจนมั่วซั่วไปหมด ไม่นานเสียงบางอย่างซึ่งแจ่มชัดดังขึ้นขัด เทียบได้กับระฆังช่วยชีวิตในเวทีมวยราชดำเนิน

ตึ่งดึงดึ๊ง~

หากเสียงคราวนี้กลับไม่ใช่แจ้งเตือนมาจากมือถือผม มันมาจากคนที่ยืนซ้อนตัวอยู่ด้านหลัง

เกรทปล่อยมือทันควัน แต่ยังรั้นไม่คลายวงแขน ขยับหยิบมือถือในกระเป๋าของเจ้าตัวยกขึ้นสูงในระดับสายตาจนพอเห็นหน้าจอหลัก เท่านั้นแหละนี่แทบสะดุ้งเลย...

เชี่ยเอ้ย ทำไมพื้นหลังมันเป็นภาพผมได้วะ...

นิ้วยาวไม่ปล่อยให้ผมงงนาน จิ้มเข้าส่วนแจ้งเตือน เป็นเฟซบุ๊กเจ้าตัวที่ร้องลั่น และผลจากการคลิกดูนั้น...

Tangjitpanitan Chamnanvittaya ถูกใจรูปภาพที่มีคุณอยู่ในแท็ก

!!!

ชะ...เชี่ย! ชื่อผม!!

“ทำไมคนนี้ชื่อคล้ายอิมจัง”

ระ...หรือว่า เมื่อกี้ที่ชุลมุนแย่งกันไปมา มือผมแม่งเสือกไปจิ้มปุ่มไลค์ตรงหน้าที่เปิดค้างไว้เข้าให้วะ!! เวรเอ้ย อิมทำไมเอ็งมันซวยซ้ำซวยซ้อนอย่างนี้ ก้มหน้านิ่งราวกับปลงตกก่อนตัดสินใจผงกหัวอย่างจำใจ

“ไม่ใช่คล้าย นั่นชื่อผม”

“...”

“ผิดเหรอที่ส่องเฟซบุ๊กแฟนเก่า”

“...”

“มีกฎหมายข้อไหนระบุไว้มั้ย ว่าห้ามไม่ให้ส่องเฟซบุ๊กชาวบ้าน ถ้ามีคุณก็ไปตามตำรวจมาจับผมได้เลย”

“ก็อยากจับเหมือนกันครับ แต่คนร้ายคนนี้มันเก่ง หลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ได้ตลอด แต่คราวนี้คงไม่รู้ตัวว่าก้าวขาพลาดมาก่อคดีที่มีอายุความตลอดชีวิตเข้าให้แล้วล่ะมั้ง”

“หมายความว่าไง”

“อีกหน่อยเดี๋ยวก็รู้ครับ ถ้ากดไลค์แล้ว อย่ามัวแต่กดรูปที่คนอื่นแท็กผมมา ช่วยกดรูปเดี่ยวให้เป็นหน้าเป็นตากับผมด้วย” ดีไม่บอกให้ผมสับตะไคร้แล้วกดกระดิ่ง

เกรทขยี้ซ้ำ คนมันมือลั่นทำไมไม่เข้าใจกันบ้างวะ ฉุกใจคิดได้จึงยกมือถือขึ้นมาเสมอหน้าประหนึ่งว่าประชด แล้วกดไล่แม่งตั้งแต่ท้ายยันหัวรัวไอ้รูปชูนิ้วโป้งด้านซ้ายเป็นปืนกล เสียงร้องเตือนระงมเป็นห่าใหญ่

“เฮ้ยเดี๋ยว อิม เดี๋ยว” เสียงทุ้มร้องห้ามอย่างลนลาน

“ก็อยากให้กดไลค์ไม่ใช่เหรอ”

“ไอ้ที่อยากน่ะใช่ แต่อย่ากดปุ่มค้างไว้แล้วเลื่อนไปขวาสุดได้มั้ยครับ”

หน้าหัวร้อนขึ้นยาวเป็นแถบเลย...ป่านนี้คงมีคนคิดว่าแอนตี้แฟนเกรทมันหลงเข้ามาในเฟซเจ้าตัว ผมแกล้งทำหูทวนลมไม่ฟัง ไถมือไล่กดจากรูปบนหน้าจอปัจจุบันไปยังบนสุด จนสะดุดกับรูปถ่ายบางอย่าง นิ้วถึงกับค้างอยู่ตรงนั้นไม่แม้แต่จะกล้าจิ้มไปยังปุ่มไลค์

ใต้ภาพเป็นท็อปคอมเมนต์ที่มีคนกดไลค์มากที่สุด



XXX XXXXX

กล่องอะไรของใครกันเนี่ย #คนอยากแซว

Kirakorn Jitmankong

ของคนสำคัญครับ




“เกรท...”

“ครับ”

“นี่อะไร”

“อะไรเหรอครับ” เสียงนิ่งจนรู้ว่าเจ้าตัวแกล้งทำไขสือ เป็นคนลงรูปเองแท้ๆแต่ไม่รู้เนี่ยนะ

“คุณเจอมันได้ยังไง” เสียงผมเริ่มสั่นอย่างห้ามไม่อยู่

“ตอนทำความสะอาดห้อง ผมเจอมันอยู่ใต้เตียง” หันขวับไปมองคนที่ยอมรับอย่างตื่นตะลึง

“ละ แล้วคุณ...แกะมันออกดูรึยัง”

“อิมหมายถึงอะไร?”

“ผมถามว่าคุณแกะออกดูรึยัง!” ใจมันอยู่ไม่สุขอีกต่อไป ผมหมุนตัวในอ้อมกอดคนด้านหลัง หันคว้าคอเสื้อเกรทกำไว้อย่างแรง

ไม่น่าเชื่อเลย ว่ากล่องกระดาษสีเทาในรูป กล่องเล็กซึ่งตัวตนในอดีตของผมเคยบรรจงผูกไว้ด้วยเชือกป่าน จับมัดมันเป็นโบอย่างสวยงาม จะไปตกในมือคนตรงหน้าเสียได้ ความตั้งใจจะให้ในวันเกิดแต่สุดท้ายก็เลิกรา จนลืมไปแล้วว่าเผลอทำสิ่งนี้ตกไว้อยู่ใต้เตียงห้องเจ้าตัว

“ถ้าผมบอกว่ายัง...” เหมือนยังเห็นความหวัง ผมรีบกระชากคอเสื้อเกรทเบาๆเบิกตาโพลง เปล่งเสียงกึ่งตะโกนกึ่งสั่งออกมา

“งั้นเอามาคืนผม!”

“ฮะ?”

“ถ้ายังก็เอามาคืนผม!”

“ทำไม...” เกรทถาม ไม่ทันเตรียมใจคิดหาข้ออ้าง แรงกำมือจางลงผมเสหลบตาคมพลางนึก

“ผะ...ผมทำตกไว้ คนเราจะทวงของตัวเองคืนไม่ได้เหรอ”

“ได้ครับ” อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าสิ่งใด ผมแหงนหน้าขึ้นไปมองเกรทอย่างดีใจ

“ถ้างั้นก็...”

“ถ้ามันเป็นของอิมจริงๆล่ะนะ”

“หมายความว่าไง”

“ตามที่พูดแหละครับ”

“ทำไมจะไม่ใช่ของผมก็ในเมื่อ...” ผมเงยขึ้นสบดวงตาคมกร้าว สายตาเกรทดูแปลก มันราวกับทำให้ผมนึกรู้ว่า...  “นะไหนว่า...ยังไม่แกะ” ผมเผลอคลายมือออกอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ปรากฏ เกรทนิ่งเงียบแต่ไม่หลบดวงตา เจ้าตัวเม้มปากได้รูปเบาๆก่อนเอ่ย

“ผมแค่กำลังจะถามว่า ถ้ายังไม่แกะ อิมจะนัดรอบแก้ตัวมาแฮปปี้เบิร์ดเดย์ผมใหม่รึเปล่า”

“...” ลูกตาใสในแววคมเข้มกำลังสั่น ขัดกับคำเอ่ยถามอันหนักแน่น

“นัดมั้ยครับ” แขนรอบแผ่นหลังกระตุ้นคำตอบด้วยการสัมผัสกอดกระชับ

“มะ...ไม่นัด”

“ทำไมถึงไม่นัด”

“ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว จะนัดแฮปปี้เบิร์ดเดย์กันทำไม” อยากตอกย้ำสถานะตนเอง แต่ไม่คิดว่าจะมีคนทำหน้าเหมือนกลืนถูกยาขม

“งั้นก็กลับมาเป็นใหม่”

“จะทำอย่างนั้นได้ยังไงเล่า” คราวนี้ผมไม่กล้ามองตาเขาแล้ว เลยทิ้งเสี้ยวหน้าด้านข้างไว้

“ได้สิ”

“คุณอย่าพูดอะไรมั่วๆนะ พออกหักจากใยไหมก็จะกลับมาเอาคนอย่างผมเลยเหรอ ผมไม่ได้ง่ายอย่างนั้นนะ!”

“...” เกรทดูอึ้งกับคำพูดนี้ ผมหลุดตะโกนออกไป แค่อารมณ์ชั่ววูบ ไม่ได้ตั้งใจทำร้ายคนอกหักแท้ๆ อยากตีปากตัวเองให้แตก

“พี่อิม ไอ้เกรทมันไม่ได้อกหักจากพี่ไหมนะ”

เพื่อนของร่างสูงโพล่งขึ้นมา “...” เกรทยืนนิ่งเหมือนสติหลุดไปนานแล้ว

“แล้ววันที่มันไม่มีร่ม ก็ใช่ว่ามันเสนอหน้าไปยื่นให้ใคร คนเขาจงใจตื้อขอมันเอง จะไม่ให้ก็ยังไงอยู่”

“ไอ้นัท มึงเลิกพูดเถอะ” เกรทพูดเหมือนปราม

“แต่เรื่องราววุ่นวายมันเริ่มตั้งแต่วันนั้น มึงก็ควรจะเคลียร์มันให้จบ” ร่างสูงไม่หือไม่อือเอาแต่จ้องหน้าผม ความน้อยใจระคนปะปนอยู่ในชั้นบรรยากาศ

“กูผิดเองตั้งแต่แรก ความจริงวันนั้นกูควรจะยอมหน้าแตก แล้วบอกความจริง แต่ถ้าบอกไป...กูก็คงจะไม่ได้เจอ...” ร่างสูงจดจ้องใบหน้าก่อนเม้มปากเบาเหมือนห้ามตนเอง หากยังไม่วายไปซ้ำโดนแผลช้ำที่มุมปากจนออกอาการสะดุ้งเจ็บให้เห็น ผมเผลอไผลลืมตัวอีกระลอก ยกมือขึ้นประคองดวงหน้าหล่อเหลาซึ่งไม่เหลือสภาพความสะอาดเกลี้ยงดุจเช่นเคยมี แผลขนาดนี้ต้องพาไปห้องพยาบาล

“อิม”

“เจ็บมั้ย”

“เจ็บสุดๆ”

“...”

“ตอนที่อิมทิ้งกันไป” ร่างสูงขยับตัวโอบแขนแกร่งเข้าเอวกระชับ โน้มหน้าเข้าหาสัมผัสริมฝีปากอย่างแผ่วเบา กลิ่นคาวเลือดจางๆถูกถ่ายทอดตรงมา ความนุ่มละมุนผะผ่าวแนบชิดถอนออกเพียงนิดก่อนสลับหนีบบนล่างของกลีบปากนิ่ม นี่มันไม่ใช่...ผมไม่ควรมาทำอะไรแบบนี้

“กะ...เกรท” ผมผลักอกเขาเบาๆ โหยหา คิดถึงสัมผัส แต่ความย้อนแย้งในจิตใจกลับมากกว่า จนกระทั่งคนร้องออกมากลับเป็นเสียงทุ้มนั่นเสียเอง

“อะ...โอ้ย”

“...”

“...”

ความเงียบเข้าปกคลุมในชั่วพริบตา ริมฝีปากของเกรทกระแทกเข้ากับฟันผม ได้แต่เบิกตาโตใส่ก่อนผลักอกแกร่งให้ตัวออกห่าง ยกหลังมือเช็ดริมฝีปากที่ชุ่มชื้นของตนถูไปมา อย่ามาทำท่าหมาหงอต่อหน้าผมได้มั้ย ใจแม่งอ่อนจนเหลวเป็นขี้แล้ว ไม่ทันไรผมตัดสินใจฉุดแขนเขาไว้แล้วลากเท้าให้เดินตามอย่างดื้อดึง

“ฮะ เฮ้ย อิมจะไปไหน”

“ไปในที่ที่ควรจะไปไงล่ะ”

“ที่ไหน?”

“เงียบๆแล้วก็เดินตามผมมาก็พอ”

หมดสิ้นคำพูดท้วงร่างสูงได้แต่เดินตามผมมาเงียบๆ



มีต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อิมลากผมเดินยาวมาจากคณะนิเทศศาสตร์ จนผ่านตึกเรียนรวมมหา’ลัยสถานที่ประจำของเจ้าตัว ลัดเลาะอ้อมอาคารมาด้านหลัง จนมาบรรจบที่บ้านหลังเล็กหนึ่งชั้นที่ตั้งอยู่โดดๆกลางสนามหญ้า ป้ายด้านหน้าทั้งฝุ่นเขรอะและสีซีดจางเสียตัวหนังสือบางตัวอ่านแทบไม่ออก แต่ผมพอเดาได้ว่ามันถูกเขียนไว้ว่าสโมสรนิสิตคณะ  พอร่างบางผลักประตูเข้ามาด้านในยิ่งดูซอมซ่อพอพอกับหน้าตาภายนอกเป็นไหนๆ สิ่งมีชีวิตบางอย่างกำลังนอนเอนกายพาดขากระดิกตีนบนเก้าอี้เปลพับและอ่านหนังสืออย่างจริงจัง

“พี่สิทธิ์” ร่างนั้นผงกหัวมาดูอย่างแปลกใจนิดนึงก่อนเอนตัวลงนอนต่อ

“เออไอ้อิม มึงมาได้ไง”

“ให้ผมยืมใช้ห้องด้านในหน่อยดิ”

“ตามดวก แต่รกหน่อยนะ”

“เออไม่เป็นไร ใช้แป๊บเดียว” เหมือนทำไม่สนใจแต่ตาแม่งแอบเหลือบจนแทบหลุดมาจากเบ้า เชี่ยเอ้ยน่ากลัวฉิบหาย

พี่สิทธิ์คนนี้คนที่อิมทักไม่รู้ว่ามารู้จักหน้าค่าตาอิมได้ยังไง แต่หน้าพี่มันไม่ค่อยน่าผูกมิตรสักเท่าไร ด้วยส่วนสูงเตี้ยกว่าเฉลี่ยชายไทย ผมยาวฟูรกรังเส้นหนาแต่ยังดีที่ขมวดมัดหางม้าไว้เรียบร้อย เจ้าตัวสวมแว่นดำทรงเดียวกับอัลปาชิโน่ไว้หนวดเคราครึ้มยิ่งกว่าป่าอเมซอน สิ่งเดียวที่ดูไม่เหมือนโจรป่าคือผิวที่ค่อนข้างไปทางขาว นอกนั้นรวมรูปลักษณ์ของพี่มันถ้าใครได้เห็นเรียกได้ว่าเหมาะแก่การไปก่ออาชญากรรมแทนที่จะมานั่งเรียนหนังสือเป็นไหนๆ

“ใช้นานๆก็ได้ พี่ไม่ถือ” รอยยิ้มกรุ้มกริ่มนี่มันอะไร ช่างเถอะไม่ควรจะไปใส่ใจอะไรกับพี่มันให้มาก ผมเดินตามอิมมาเรื่อยๆ ตัวไม่ทันข้ามห้องอีกห้อง เท้าก็เหยียบถูกอะไรบางอย่างบนพื้นจนเสียงดังสวบสาบ

“...!!” กวาดตามองถึงกับตะลึง ไอ้เหี้ยนี่ไม่เรียกว่ารกหน่อยแล้ว สภาพแม่งกองขยะสดชัดๆ

“เชี่ยพี่สิทธิ์ ทำไมไม่เก็บห้องวะ”

“รอมึงมาเก็บอยู่นี่ไง”

“แต่ผมพึ่งเก็บไปให้เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วนะเว้ย!” ร่างโปร่งดูหงุดหงิดเตะของขวางเท้ากรุยทางไปจนจุดที่มีเก้าอี้พลาสติกนอนระเกะระกะอยู่สองสามตัว เจ้าตัวยกมันขึ้นตั้ง “คุณนั่งลงก่อน เดี๋ยวผมเคลียร์ของแป๊บ”

คำว่าเคลียร์ของของอิมมันคือการกวาดเอาแผ่นพลาสติก มันเรียกว่าอะไรนะ ไอ้ที่กดเล่นแก้เครียดน่ะ โกยลงถุงใหญ่ แล้วหยิบฉีกกล่องพัสดุหลายสิบกล่อง กางเป็นแผ่นยาวขึ้นพับซ้อนกัน ย้ายไปตั้งพิงกำแพง โกยเชือกกับสายรัดกล่องลงถังอย่างลวกๆ

“เชี่ย!” อิมอุทานเบาเสียจนถ้าคนไม่สังเกตอาจปล่อยผ่าน

“มีอะไรรึเปล่า”

“เปล่า แค่เจอแมลงสาบ”

“ไหน?” ขยับตัวตั้งใจช่วยจับ อิมหันกลับมาห้าม

“ไม่เป็นไร คุณนั่งไปเหอะ มันหนีไปแล้ว” ก่อนหมุนตัวไปเปิดลิ้นชักโต๊ะตัวนึงซึ่งวางคอมพิวเตอร์อยู่ หยิบกล่องบางอย่างออกมา

เจ้าตัวเปิดกล่องคุ้ยหาของบางอย่างในนั้นอยู่สักพัก แล้วจู่ๆก็ตวาดขึ้นมาเสียงดัง

“เชี่ยพี่สิทธิ์ ผมบอกแล้วไงว่าอย่าเอาน้ำเกลือไปดื่มแทนน้ำ!”

หา? ดื่มน้ำเกลือแทนน้ำ??...นี่พี่มันกะจะดีท็อกซ์ลำไส้หรือไง แต่ก่อนจะล้างเครื่องในพี่ควรจะไปทำความสะอาดรูปลักษณ์ภาพนอกของพี่ก่อนจะดีกว่านะ

“วันนั้นน้ำในแท๊งก์มันหมด กูขี้เกียจไปซื้อ กูเจ็บขาอ่ะอิม~” เสียงโอดครวญอ้างข้ออ้างนับสิบประการลอดช่องประตูเข้ามา ร่างโปร่งไม่พอใจส่งเสียงจิ๊ปากเบาๆ

“มามุกนี้อีกแล้ว เป็นอะไรขึ้นมาใครจะหามไปส่งโรงพยาบาลวะ” อิมคราง หันมาสบตากับผมพอดี “มองอะไร”

“เปล่า ผมแค่แปลกใจ” เหมือนอิมจะอ่านใจผมออก ร่างบางทอดถอนหายใจออกมากองใหญ่

“พี่สิทธิ์เห็นอย่างนี้แต่แกก็เป็นอดีตหัวหน้าสโมนะคุณ อย่าดูคนแค่ภายนอก”

“อิมรู้จักกับพี่เขาได้ยังไง” สภาพดูไม่น่าจับคู่กันได้เลยสักนิด ร่างโปร่งเดินกลับมาพร้อมอะไรบางอย่างในมือ

“รู้จักตอนปีหนึ่ง ตอนที่ผมมาลี้ภัย...อ่ะ ผมหาได้แค่นี้ เอาใช้ไปก่อนละกัน” ขวดน้ำเกลือในมือถูกยื่นมาให้เสร็จสรรพ เจ้าตัวหยิบมัดสำลีดึงออกมาปั้นก้อน “เวรกรรม ผมลืมล้างมือ”

“มาผมช่วย” วางขวดน้ำเกลือลงพื้น เกือบจะพรวดพราดลุกตามแล้วแต่ทว่า...

“ไม่ต้อง” อิมพูดเสียงแข็ง โยนมัดสำลีในมือมาให้ จนผมต้องหย่อนก้นกลับที่เดิม “นั่งนิ่งๆอยู่ตรงนี้ก็พอ เข้าใจ๋” ชี้หน้าจบหมุนตัวเดินเข้าหาซิงค์น้ำที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางห้อง พอสังเกตดูดีดีการจัดข้าวของในห้องนี้ดูแปลกตา ถ้าไม่นับกองขยะที่วางเกลื่อนกลาดอยู่ตรงหน้า ดูเหมือนว่าเจ้าของสะดวกจะจัดจะวางเฟอร์นิเจอร์ไว้ตรงไหนก็วางมันลงไปทั้งอย่างนั้น

“ไม่ต้องมองมากหรอก พี่สิทธิ์เขาจัดเอง เอาตามสะดวก รายนั้นเขาไม่ชอบขยับตัวเยอะ หาว่าเปลืองพลังงาน คุณก็อย่าแตะอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าล่ะ เดี๋ยวเจองูฉกเอา” ไอ้เหี้ยมีงูด้วยเหรอ แมลงสาบกับสัตว์ไม่มีพิษยังพอว่า แต่ให้สู้กับงูเงี้ยวเขี้ยวขอก็ต้องห่วงชีวิตและสุขภาพตัวเองบ้าง ยกขาลอยสูงกวาดตารอบพื้นเคลียร์ความปลอดภัยยังไงกันไว้ก่อนดีกว่าแก้ จนสายตาไปสะดุดกับบางอย่างที่ไม่น่ามาอยู่ในรังงูได้

หนังสือเล่มไซส์เอห้าหนาประมาณนิ้วกว่านอนซุกอยู่ในกองการ์ตูนแนวโชเน็นจัมป์ ดึงออกมาดูอย่างระวังแบบไม่ให้ตั้งกองพูนสูงของหนังสือร่วงลงมาตาม หน้าปกเป็นลายเส้นสวยงามเหมือนที่เคยเห็นจากหนังสือการ์ตูนผู้หญิงทั่วไป แต่ที่น่าแปลกใจคือไม่ได้เป็นแบบคู่หญิงชาย กลับปรากฏเป็นรูปวาดผู้ชายสองคนหน้าตาหล่อเหลา สูงยาวเข่าดีทั้งคู่ยืนจับมือกันอยู่อย่างแปลกๆ

“นิเทศฝุดๆสะดุดรัก?” เล่นตั้งชื่อเอาง่ายแบบนี้เลยเหรอ หรือไอ้สองตัวข้างหน้ามันจะทะเลาะกันแย่งผู้หญิงวะ ผมพลิกดูด้านหลังเห็นเป็นตัวการ์ตูนหัวโตๆน่าเอ็นดู แต่ยังไม่มีแววนางเอกให้เห็นสักคน

“ทำอะไรน่ะ” ปล่อยตกลงพื้นทันควัน หันไปมองคนทักแบบกลบเกลื่อน

“ปะ...เปล่านี่” ก็อิมบอกไม่ให้แตะ นี่เผลอแตะไปแล้วขืนรู้โดนเอ็ดแย่

“อย่าไปหยิบหนังสือห้องนี้อ่านสุ่มสี่สุ่มห้านะ มันอันตราย” โหย อันตรายแม้กระทั่งหนังสือ

“นี่ถ้าอิมบอกว่ากระดาษอาบยาพิษผมคงเชื่อไปแล้ว ห้องนี้นี่มันยังไงอันตรายไปทุกที่” อิมเดินกลับมาหยิบสำลีม้วนจากตัก ก้มลงคว้าขวดน้ำเกลือเปิดฝาเทลงปุยฝ้ายจนชุ่ม

“อย่าหาว่าผมไม่เตือน หนังสือพวกนั้นอันตรายกว่างูในห้องนี้อีก” ผมจ้องคนที่คิดถึงมานานปีไม่วางตา มีแค่โอกาสนี้เท่านั้นตอนที่อิมมัวแต่จดจ่อกับสำลีในมือ ถึงถือโอกาสมองหน้าเขาได้ เจ้าตัวก้มลงไปวางขวดน้ำเกลือที่เหลืออยู่น้อยแสนน้อยกับพื้น ใช้ปลายนิ้วจีบยู่จนเป็นก้อนกลม เลื่อนมาตรงมุมปากผม

“เดี๋ยว” ผมเอ่ยห้าม จับรั้งข้อมือบางไว้ ฉวยก้อนปุยสีขาวเปียกชุ่มมาถือแทน มือข้างสัมผัสต้องตัวเปลี่ยนมาประสานมืออีกฝ่ายไว้แน่น อิมเบ้หน้าส่งเสียงซี๊ดทันทีที่น้ำเกลือสัมผัสโดนแผล พอฝืนอดทนต่อความเจ็บปวดได้จึงเปิดเปลือกตาขึ้นมาจ้องสบนิ่ง

“รู้ได้ไง”

“ทำไมจะไม่รู้”

“...”

“ผมมองอิมอยู่ตลอด จะไม่รู้ได้ไง” แผลเป็นทางยาวเชียว ถึงแม้น้ำจะชะออกไปแล้ว แต่เลือดล็อตใหม่ก็ยังซึมไหลออกมารอยแตกของผิวเนื้อ

“ผมไม่เป็นไรหรอก” อดีตแฟนดื้อดึงจะชักมือกลับ ผมเลยยึดไว้มั่น

“รอทำแผลให้เสร็จก่อน อย่าดื้อ”

“ใครกันแน่วะที่ดื้อ” จะต่อว่าที่ผมไม่ยอมปล่อยมือสินะ

“แมลงสาบตัวเมื่อกี้กัดเหรอครับ แผลถึงได้ยาวขนาดนี้ เห็นทีแมลงสาบคงตัวโตเท่าบ้าน”

“เกรท” คนเป็นรุ่นพี่ส่งเสียงปราม อิมด่าแต่ทำไมผมมีความสุข ท่าจะเพี้ยนแล้วสมอง

ผมเช็ดแผลให้คนตรงหน้าไปเรื่อย ขโมยพลาสเตอร์ยาที่อิมหยิบติดมือมาบรรจงแปะเข้ากับรอยบนมือขาวๆของเขา “มีปากกาเมจิกมั้ย” ผมถาม อิมถึงกับขมวดคิ้ว

“เอาไปทำไม”

“จะเขียนชื่อผมลงไปที่พลาสเตอร์”

“สายรัดพลาสติกบาด ไม่ใช่ขาหักจนเข้าเฝือก เว่อร์ไปได้ ถ้าคุณเป็นนักแสดงผมคงหาว่าเล่นเกินจริง จ่ายสิบบาทเล่นหนึ่งร้อยให้มันน้อยๆหน่อย” เจ้าตัวเอามือผลักอกผม ก้มลงไปหยิบน้ำเกลือมาจุ่มสำลีใหม่ ก่อนจี้มาที่โหนกแก้มแบบไม่ทันตั้งตัว

“โอ๊ยๆๆ เบาหน่อยอิม ผมเจ็บ”

“เลิกเรียกอิมได้แล้ว”

“ทำไมล่ะ”

“พวกเราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วนะ”

“...”

ประโยคเดียวเสียดวาบไปทั้งอก จู่ๆก็โดนทวงคำเรียกคืนกะทันหัน ผมถึงกับไปต่อไม่เป็น ได้แต่ก้มหน้านิ่งอย่างจำยอม

“แล้วให้ผมเรียกว่าอะไรดี”

“เราคงไม่ได้เจอกันบ่อย ถึงขนาดต้องหาคำเรียกชื่อแทนกันหรอก”

...นี่สินะ...ที่เขาเรียกว่าโหด ถ้าตัดแล้วคือตัด...จะไม่มาใส่ใจอีกฝ่ายอีก ทุกอย่างของคนนั้นจะกลายเป็นอากาศธาตุไปสำหรับเขา

“ก็...เผื่อๆไว้ไง เผื่อเราเจอกัน” ทั้งๆที่ผมเคยหมดหวังที่จะเจอ รู้ตัวดีว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาเอาแต่หลบหน้า เหมือนตั้งใจตัดตัวตนผมออกไปจากชีวิต

“ไม่น่าจะเจอ”

“อย่างวันนี้ยังเจอเลย” ผมดื้อรั้นจนอิมนิ่งไป สงสัยคงนึกโทษโชคชะตาอยู่ อย่าว่าแต่เขาเลย ทางนี้ยังแปลกใจ วิ่งหนีไอ้พี่พาสจอมขี้หึงอยู่ดีๆเพราะไม่อยากมีเรื่องท้าตีท้าต่อย กลับมาเจอคนที่หนีหน้าผมเป็นเดือนกว่าตรงริมทางเดินเสียได้ โชคดีมือไวไม่งั้นคงเผลอปล่อยให้โอกาสตรงหน้าหลุดมือไปเสียแล้ว

“ก็แค่บังเอิญ ครั้งหน้าก็ใช่ว่าจะมี”

“ความบังเอิญบนโลกนี้ไม่มีอะไรมากะเกณฑ์ได้หรอกนะครับ”

...เหมือนกับที่ผมเจออิมในวันนั้นไง ผมต้องขอบคุณในความบังเอิญนี้...

“กะเกณฑ์ไม่ได้ แต่ขึ้นชื่อว่าบังเอิญ ก็ใช่ว่าโอกาสจะสูง มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ความจำสั้น ไม่เจอกัน นานวันก็ลืม”

“แล้วใครว่าผมจะปล่อยให้เป็นแค่เรื่องบังเอิญล่ะ”

“...”

“...”

อิมดูงุนงงในคำโต้แย้งผม

“คุณหมายความว่ายังไง”

“เลิกถาม แล้วทำแผลให้น้องคนนี้ได้แล้วครับพี่อิม”

“...!” คำเรียกชื่อที่กลับมาเป็นสถานะปกติตอนเริ่มคบกันใหม่ๆ ที่ผมเลือกใช้คำนี้ เพราะผมตัดสินใจแล้วว่าจะกลับมาเริ่มต้นกับคนที่ผมต้องการ

อย่างน้อยตอนนี้ไม่ได้เป็นแฟนขอแค่เป็นน้องในนามก็ยังดี ผมจะตื้อให้อิมเลิกเถียงผมเลย

อิมจัดการกับแผลผมต่อ วันนี้พลาดไปนิดไม่งั้นคงไม่โดนต่อยหลายจุดขนาดนี้หรอก น้ำเกลือซับแผลตรงมุมปากไหลซึมเข้ามาให้ความรู้สึกเค็มปร่า ลิ้นพาลแตะโดนรสชาติไม่เป็นมิตรนั้นเท่าไร แต่อิมก็ถนอมน้ำใจโดยพยายามเช็ดแผลให้เบาที่สุดเท่าที่อีกฝ่ายจะทำได้

“อ้าปากสิ”

“ฮะ?”

“ให้ผมเช็ดแผลในปากคุณ”

“แผลในปาก?”

“ปากคุณเมื่อกี้มีแต่กลิ่นเลือด”

“หา? โอ้ยๆๆอิม เอี๋ยว!” เจ้าตัวรั้งริมฝีปากล่างผมไม่ปรานี ขยับตัวเข้าใกล้ดันคางผมให้เงยหน้าในระยะสูงเพื่อโดนแสง ศีรษะอิมบังหลอดไฟเบื้องบนจนเห็นสีหน้าคนไม่ชัดเท่าเมื่อครู่ แต่ความขี้เขินของเจ้าตัวปิดยังไงก็ไม่มิด ต่อให้ไม่มีความรื้นแดง ไร้การเบี่ยงหลบของใบหน้า แต่ริมฝีปากน่าจูบที่เม้มหากันน้อยๆก็ทำให้ผมตีความได้

เพราะจูบที่ผมบังคับทำ เมื่อกี้สินะ...

“รังเกียจมั้ย” ผมพูดเสียงอู้อี้ ปล่อยให้อิมเช็ดแผลไป

“รังเกียจอะไร”

“เมื่อกี้ตอนผมกัดปากอิม อิมหนีผม”

“รังเกียจดิ”

“...!” คำตอบเดียวใจพี่นี่แฟ่บลงทันตา

“ผมไม่ชอบกลิ่นเลือด” หากคำที่ตามออกมา กลับทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองมากขึ้น ว่า...

“แต่ไม่ได้รังเกียจ...ที่จะจูบผม...ใช่มั้ย” นิ้วเรียวยาวกดแผลผมหนักขึ้นจนต้องร้องโอดครวญ

“โอ๊ย อิม เบาๆสิ อย่ามือหนัก”

“ไหนบอกจะเรียกพี่ไง” หงุดหงิดอีกแล้ว อีกไม่นานคงเดินหนี ผมเลยอ้อมแขนไปโอบสะโพกดึงร่างโปร่งเข้าหา ดันคางไว้กับแผ่นท้องเรียบเนียนซึ่งมีเสื้อเชิ้ตบางๆกั้นพลางเงยหน้ามอง “พี่อิมครับ ตอบน้องเกรทมาก่อนสิครับ นะครับ นะ” เอามารยานี้มาจากไหน แอบนึกขนลุกตัวเองในใจ มันเป็นอาการที่มักปรากฏตอนคนมาสัมภาษณ์แล้วบอกให้ผมเลียนแบบบทบาทในวัยเยาว์ แต่เรื่องแค่นี้กับอิมผมยอมว่ะ อยากออดอ้อนวอนตีนคนตรงหน้าไปเรื่อยๆ จะทำไม

“ทำอะไรอายตัวเองบ้างมั้ย” อิมยันไหล่ผมไว้ เออ ไม่อาย สปิริตเป็นนักแสดงมันสูงมาตั้งแต่เด็ก กับอิมไม่เคยเฟค แค่โอเว่อร์แอคติ้งไปนิดนึง เผื่อเขาจะเห็นใจ ร่างกายอิมเหมือนจะโอนอ่อน ผมเลยฉวยโอกาสจับมือเขา ยืดตัวเข้าไปใกล้ใบหน้า

“อิม...”

“...”

“ไม่ว่าพวกเราจะเริ่มต้นกันแบบไหน”

“...”

“แต่ผมอยากให้อิมรู้ไว้ว่า...”

“ไอ้เชี่ยพี่สิทธิ์”

“ฮะ?” ร่างบางสบถชื่อคนอื่นออกมา เล่นเอาผมเบิกตาค้าง ท่าทางของคนตรงหน้าเปลี่ยน เกิดอะไรขึ้น “เลิกหันกล้องมาทางนี้ แล้วกลับไปที่เก่าเลยไป!” คว้าขยะอะไรได้อิมปาใส่เจ้าที่แบบไม่ออมแรง เหมือนผมจะเห็นรองเท้าผ้าใบแบบสภาพไม่เหลือความขาวลอยละลิ่วปลิวละล่องไป ดีนะที่พลาดไปชนวงกบประตู ไม่งั้นเงาที่แวบไปแวบมาคงได้หน้าแหกไปแล้ว

“เลิกเอาผมไปจิ้นเป็นตัวละครในนิยายทีเถอะ!” อิมกัดปากหายใจฟึดฟัด ผมยังนั่งเอ๋อมองตามแบบจับเรื่องราวไม่ถูก

“นิยาย?”

“ก็ใช่สินิยาย...!” อิมสะดุดมองหน้าผม เจ้าตัวงับปากไม่พูดต่อ แต่เหมือนก็อดไม่ได้เมื่อเผยไต๋ออกมาขนาดนี้ เลยจ้องตอบผมแบบสงบสติอารมณ์ได้ “พี่สิทธิ์แกมาสายเดียวกับยัยมายด์ ที่ผมบอกว่าอย่าหยิบของสุ่มสี่สุ่มห้าก็เพราะคุณจะได้เจอหนังสือประหลาดๆเข้าให้เนี่ยดิ”

‘นิเทศฝุดๆสะดุดรัก’ ชื่อเรื่องนี้ขึ้นมาในหัวผมทันที









พอทำแผลเสร็จ อิมยังคงอาการหัวเสียอยู่ เดินออกไม่กล่าวลารุ่นพี่เลยสักคำ ปล่อยผมยกมือไหว้ปลกๆตามมารยาท จนกระทั่งอดีตหัวหน้าสโมยกมือกวักเรียกหย็อยๆให้เข้าหา ตอนลับหลังอิมซึ่งเดินนำหน้าออกไปได้สักพัก

“ครับ?” เมื่อเดินเข้าใกล้อดีตหัวสโมฯ รีบดันของบางอย่างใส่อกผมทันที ของบางอย่างนี้มีน้ำหนักพอสมควรจนผมต้องยกแขนโอบประคองไว้

“ให้ยืม”

“ฮะ?” ผมเหลือบไปมองหนังสือสองสามเล่มในอ้อมกอด หนึ่งในนั้นเป็นอันเดียวกับที่ผมเห็นในห้องเมื่อครู่ ‘นิเทศฝุดๆสะดุดรัก’

หมายความว่าไงวะ?

“เดี๋ยว นี่พี่ให้ผมเหรอ?”

“ให้ยืม ไม่ได้ให้เลย เล่มนี้ของรักของหวงกู หน้าปกมีลายเซ็นคนเขียนด้วย นี่กูใจดีขนาดไหนมึงรู้มั้ย” ดูมีบุญคุณใหญ่หลวงเลยว่ะ

“ไม่เป็นไร ผมไม่ยืมก็ได้พี่” ไม่ได้ต้องการ อิมบอกไว้ว่าอย่าอ่านด้วย ผมยัดเล่มคืนใส่มืออีกฝ่าย แต่โดนดันกลับ

“เอาไปเหอะน่า หน้าตาอย่างมึง ดูก็รู้ ว่าไม่เคยมีประสบการณ์กับผู้ชาย ในนิยายมันอาจจะไม่ชัดเจนเท่าวิดีโอ แต่มันก็ยังพอทำให้มึงมโนได้”

“มโน? มโนเรื่อง” ผมขมวดคิ้ว

“วิธีการมีเซ็กส์กับไอ้อิมไง”

“...!” ใจแม่งสะดุ้งโหยง จู่ๆเหงื่อกาฬก็ผุดพรายขึ้นใบหน้าและแผ่นหลัง พะ...พี่สิทธิ์...มันว่าอะไรนะ

...วิธีการ...มีเซ็กส์...กับอิม...

ในหัวสมองมันปั่นป่วนตีกันให้วุ่น รู้แหละว่าตนเองมีอารมณ์กับคนที่ชอบ แต่ไม่เคยคิดเกินไปถึงคำว่าเซ็กส์ อย่างมากแค่ได้แตะเนื้อต้องตัวร่างบางก็คิดว่าสมอยากพอสมควรแล้ว ผมยืนนิ่งเป็นสากกะเบือ ส่วนไอ้คนเป็นรุ่นพี่มันก็กระตือรืนร้นเริ่มเปิดหน้าหนังสือในมือพรึ่บพรับแล้วยกโชว์ให้ดู แล้วหน้าที่มันกางอยู่ก็เสือกมีภาพการ์ตูนประกอบ

“อย่างหน้านี้อ่ะนะ”

เชร้ดดดดดด ผู้ชายหน้าดีสองคนที่อยู่ในหน้าปกกำลังโจ๊ะพรึ่มๆกันอยู่

“ก่อนใส่มึงต้องเล้าโลมไอ้อิมก่อน จะจูบจะลูบคลำหรือเลียเลออะไรก็ได้ แต่ละคนจุดอ่อนไหวมันต่างกัน หนึ่งในนั้นอาจจะมียอดอก ให้มึงลองเลีย ลองดูดดู ถ้าแข็งแสดงว่าใช่”

“...” แทบจะยกมือคลุมหน้า...ผมทำไปแล้วเถอะตรงนั้นแล้วรู้ว่าอิมมีอารมณ์ด้วย

“แล้วจากนั้นก็ตรงน้องน้อยลูบไล้ถูไถหลอกล่อให้มีอารมณ์...แล้วก็ค่อยใช้เจลหล่อลื่นกับด้าน...”

“ไอ้เชี่ยพี่สิทธิ์!!สอนอะไรน้องมันวะ!!” เสียงอิมมาอย่างเกรี้ยวกราด เกือบกระโดดถีบพี่สิทธิ์อยู่รอมร่อ “คุณอย่าไปฟังพี่มันนะ มันโรคจิต ไปเหอะ” อิมคว้าแขนผมได้ ก็พาลากเดินดุ่มออกมา


...โดยหารู้ไม่ว่า ‘นิเทศฝุดๆสะดุดรัก’ ได้โดนจับยัดใส่มือ นอนนิ่งในกระเป๋าผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...



…TBC…

++++++++++++++++++++


ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ทุกคนนะคะ

เรื่องคลายปม มีตรงไหนที่ขัดบอกเราได้นะคะจะได้เอาไปปรับปรุง

ตอนสร้างเส้นเรื่องนี้ขึ้นมา มันมีตอนที่วางปมเป็นหย่อมๆแฟลชแบล็คกันไปมาก็แอบกลัวคนอ่านจะงงเหมือนกัน

เรื่องความไม่ชัดเจนของเกรทที่ในตอนแรก
อันนี้เราคิดในมุมมองของเราเอง ในแง่ความรู้สึกของคนทั่วไป
มนุษย์เราถ้าเป็นเรื่องที่มีผลต่อจิตใจ
มันจะยังเหมือนมีสารอะไรบางอย่างที่เป็นเหมือนก้อนก่อเชื้อจางๆฝังอยู่ในตัวเรา
การที่จะทำให้ลืมหรือเลิกรู้สึกกับมันอาจจะต้องใช้เวลา หรือต้องออกห่างให้ได้จากสิ่งเร้า
หรือเอาเรื่องอื่นมาเจือจางสิ่งนั้น
และเราคิดว่าอิมคือสิ่งที่ทำให้เกรทเจือจางความหวั่นไหวต่อใยไหมได้ค่ะ

เรื่องเกรทรู้หรือเปล่าที่อิมรู้ว่าเจ้าตัวชอบคนอื่นตอนสารภาพรัก...อันนี้อาจจะรู้แต่ไม่แน่ชัด
เพราะความที่อิมดันตอบรับความรู้สึกตนเอง...
แต่มีเรื่องที่เกรทกับอิม คนอ่าน แม้แต่ผู้เขียน? ยังไม่รู้อีกนะ ลองตามอ่านกันต่อไปนะคะ
ถ้าชอบให้กดไลค์ ถ้ามีใจให้กดแคร์

เรารักทุกคอนเมนต์ที่ทำให้เราเติบโตค่า รักนะ
:mew1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เหมือนจะรู้อะไรเพิ่มเติมแต่ก็ไม่รู้อะไรเหมือนเดิม

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบสี่(ครั้งที่สอง)...สารภาพซ้อนสารภาพไม่อาจหักล้างกันได้



“อิม”

“...”

“อิม”

“...”



เรียกเท่าไรก็ไม่หัน ไม่คิดว่าแขนบางๆนั้นจะมีกำลังเหลือหลาย กับการลากให้ผมเดินผ่านสนามหญ้าทะลุออกมายังทางเดินปกติ การได้อยู่กับอิมเมจเป็นอะไรที่ทำให้ผมมีความสุข ความจริงแล้วหากเจ้าตัวจะจูงมือผมเดินจากเหนือสุดดอยอินทนนท์ลงไปถึงเบตงจังหวัดยะลาก็ย่อมได้ คิดซะว่าแลกกับการได้เมียในอนาคตมา การโดนรองเท้าแดกขาถือว่าคุ้ม แต่ก่อนจะไปถึงภาวะนั้นผมควรถามอิมสักนิดว่า...



“นี่อิมจะไปไหนน่ะ” จับมือขาวดึงไว้อย่างหนักหน่วงช่วงชิงประวิงเวลา ใครล่ะจะคิดว่าการแตะเนื้อต้องตัวเพียงแค่นี้จะทำให้คนลากจูงหยุดเท้าฉับพลันหันขวับมากุมมือ นิ้วเรียวยาวจับกุมส่งผ่านไอเย็นทาบทับมือข้างเดียวกับที่ผมจับเจ้าตัวอยู่ เมื่อครู่ไม่ได้อยู่ห้องแอร์แท้ๆแต่ทำร่างกายอีกฝ่ายถึงได้เย็นขนาดนี้

“ร...เรื่องเมื่อกี้คุณลืมไปซะเถอะนะ ไม่ต้องไปคิดถึงมัน”

“ฮะ?” ผมงง จับต้นชนปลายไม่ถูก เจ้าตัวพูดออกมาโดยไม่มีบทเกริ่นนำเลยสักนิด

“ผมไม่น่าพาคุณไปที่นั่นเลยจริงๆ” อิมทำหน้าราวกับสำนึกผิด ผมมองมือสลับใบหน้าขาวเนียนที่ก้มต่ำ พอรู้ถึงสายตาเจ้าตัวจึงชักมือหลุดจากการจับกุม “ข...ขอโทษ”

ร่างโปร่งกำข้อมือตนเองแน่น บิดไปมาในวงนิ้วโดยไม่ยอมปล่อยให้แกว่งไกวเป็นอิสระอีก

“อิม” เกิดอะไรขึ้น?

“คุณก็หัดดูแลตัวเองให้ดีซะบ้าง อย่าปล่อยให้ใครมาชกเอาง่ายๆอีก ผ...ผมไปล่ะ” อิมหมุนตัวรีบจ้ำอ้าวเดินไปอีกทาง ผมพยายามจะก้าวขาตามเพื่อยื้อเขาไว้ แต่เสียงใครบางคนกลับขัดขึ้นมาเสียก่อน

“พี่อิม” ร่างเล็กของหญิงสาวไม่คุ้นหน้ายืนอยู่ห่างออกไปราวสามก้าว ท่าทีแปลกประหลาดระคนดีใจปนมากับกลิ่นอายต่างๆรอบตัวเธอ แค่เพียงได้สบตารอยยิ้มหวานก็เผยให้เห็น

“ต้า มาได้ไงเนี่ย”

“พี่อิ๊มมมม” เธอขึ้นเสียงสูงลากชื่ออิมเสียยาว พอเข้ามาใกล้ก็กระโดดโหยงเหยงกอดแขน แนบแก้มถูไถไปกับไหล่ร่างโปร่งโดยเกรงใจคนแวดล้อมเลยสักนิด “คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึงพี่อิมจังเลยค่ะ” เพียงเสี้ยวจังหวะแก้มยุ้ยๆนั้นห่างแขนยาวของอิม วืบความเย็นก็แทรกกลาง หนังสือไซส์หนาไม่รู้ที่มาที่ไปกั้นขวางระหว่างคนทั้งคู่ไว้ ดวงตากลมโตของหญิงสาวเงยขึ้นสบ ส่วนผมไม่ยอมแพ้จ้องกลับ รู้สึกเหมือนสายฟ้าระเบิดเปรี้ยงมาปะทะท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรีโรยตัวที่แจ่มใส

เอาสิ เรื่องเก้าอี้บนรถประจำทางยอมเสียสละให้เด็กสตรีและคนชราได้ รวมถึงใช้ให้ไปเปิดประตู เลื่อนเก้าอี้ยอมบริการให้เลดี้เฟิร์สก่อน แต่กับคนชื่ออิมเมจต่อให้ตายก็ไม่ยอมยกให้เป็นอันขาด ไม่เคยรู้สึกทำตัวเย็นชาอะไรกับผู้หญิงได้เท่านี้มาก่อนเลย

ถ้าเรื่อง ‘ฤทธิ์พี่อิมเมจ’ เป็นจริงอย่างที่ไอ้นัทว่า ผู้หญิงตรงหน้านี่ก็ไม่น่าไว้ใจ ไอ้นัทมันกล่าวไว้ว่าอิมไม่ได้เนื้อหอมธรรมดา ถ้าใครได้รู้จักคนที่ชื่อว่าอิมเมจไม่ว่าเพศชาย เพศหญิงหรือเพศที่สามมีแต่จะทั้งรักทั้งหลงไปตามๆกัน และผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ตกหลุมรักอิมคนนั้น อันตรายว่ะ อันตรายชะมัด อันตรายเหลือเกินโว้ย

งานสบตาผ่านไปสั้นๆ หากไม่หงุดหงิด เธอคงคิดว่าอิหยังของผมกันแน่วะ แต่สิ่งที่เดากลับผิดหมด เธอเบิกตาโตขึ้นเรื่อยๆ ปล่อยแขนจากอิม ก่อนหันมาชี้หน้าพลางตะโกนใส่

“พ...พี่เกรท!!”

“...” หา? เรารู้จักกันด้วยเหรอ ทำไมรู้ชื่อ

“พ...พี่เกรทเลิกกับพี่อิมแล้วหนิ” โอ้โหยยยย จี้ใจดำว่ะ ผมถึงกับชักมือกลับ มาเท้าสะเอวสองข้าง หลับตาพ่นลมเอนศีรษะไปทางอื่นอย่างเหลืออด เฮ้ย เดี๋ยวนะ ขอทำใจแป๊บ ทักมาแบบนี้พี่ไม่ปลื้มเลยว่ะ

“ใครบอกว่าพี่เลิกกับ...”

“ใช่ พวกเราเลิกกันแล้ว” ผมนี่หันขวับเลย เหมือนฝาปี๊บตีหัวตอนเล่นมุกแป้ก ชักสีหน้ากะหาเรื่องคนพูดเต็มที่ แต่แค่เห็นว่าใครโพล่งออกมาแค่นี้แหละ วิญญาณพ่อบ้านใจกล้าเข้าสิงทันที อนาคตคนที่ตั้งใจให้เป็นศรีภรรยากำลังขมิบปากด้วยอาการโคตรนิ่งสุดๆ

“อ...อิม” เสียงตอนนี้โคตรพ่อโคตรแม่ตัดพ้อ ถ้าบอกให้เห็นภาพได้คงประมาณเด็กเอาแต่ใจกระทืบเท้าให้ซื้อของเล่นล่ะมั้ง

“ไม่ต้องถามอะไรมากนะยัยต้า ส่วนคุณน่ะ ก็ไปได้แล้ว” เย็นชาหาใดเปรียบ ท้ายประโยคมีหันมาพยักพเยิดกึ่งไล่ใส่อีก ใจตอนนี้เห็นทีจะไม่ได้แล้ว ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปความสัมพันธ์ของผมกับอิมมีแต่จะถอยหลังเข้าคลอง

สูดหายใจเข้าลึกดึงความกล้าที่มีเกินพิกัดจับข้อแขนคนตัวเล็กกว่าเอาไว้ ลากให้เดินตามไปแบบไม่สนใจคำค้าน

“เฮ้ย เกรท เดี๋ยว จะพาผมไปไหน” เจ้าตัวบิดแขนดึงข้อมือต้าน ด้วยแรงที่น้อยกว่าจึงไม่อาจต้านทานความดื้อด้านของผมได้ พวกเราลากยื้อกันจนเดินมาถึงใต้ตึกเรียนรวม สีหน้าอิมดูแปลกไปราวกับรู้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“พี่อิม!” น้องผู้หญิงวิ่งตามพวกเรามาด้วยความตื่นตูม อุทานเรียกชื่อคนรู้จัก ผมหันไปสบตาเธอก่อนเอ่ยถาม

“น้องชื่ออะไร”

“ค...คะ?”

“พี่ถามว่าน้องชื่ออะไร” เสียงแข็งกว่าหัวเสียอีกตอนนี้

“เกรท คุณอย่าดุน้อง” ใจดีกับน้องเสียจริงอิมของผม

“ผมไม่ได้ดุ ผมแค่ถามชื่อเฉยๆ เราน่ะชื่อต้าใช่มั้ย”

“เอ๊ะ! ช...ใช่ค่ะ”

“พี่วานอะไรเราหน่อย”

“ว...วาน? เรื่องอะไรคะ?” เธอมีสีหน้าแหยงๆกึ่งจะรับปากดีไม่รับปากดี

“เกรทคุณจะทำอะไรน่ะ” อิมพยายามกระตุกมือดึงความสนใจ แต่ผมยังพูดธุระกับน้องเขาไม่เสร็จ สายตาจดจ้องหญิงสาวที่เหมือนมีท่าทางทำอะไรไม่ถูก ก่อนขยับปากกล่าว

“ช่วยเป็นพยานให้พี่ด้วย” โดยไม่รอคำตอบ หมุนหันอย่างไวกลับมาทางอิมจนเจ้าตัวสะดุ้งโหยงราวกับเจอผี กลืนน้ำลายจนลำคอขาวขยับ

“อิมรู้มั้ยว่าที่นี่ที่ไหน”

“ต...ใต้ตึกเรียนรวมไง”

“ไม่ใช่”

“...”

“ลานเปิดใจต่างหาก”

เจ้าตัวรู้ แต่แสร้งทำเป็นไขสือ อาจเพราะต้องการเลี่ยงความทรงจำในอดีต การยืนอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากอาจทำให้อิมกลัว เขาผ่านอะไรมาเยอะ ผมรู้ เพราะตั้งแต่บอกเลิกกันคราวก่อน อิมก็โดนกระแสบางส่วนแอนตี้ โดยเฉพาะคนที่คอยเชียร์คู่ปกติอย่างเกรทกับใยไหมแบบเงียบๆ

การโดนตราหน้าว่าทำให้คนอื่นเบี่ยงเบนทางเพศนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ และคงไม่รอดพ้นการรับรู้ของร่างสั่นเทาตรงหน้าผม

“เกรท”

“ครับ?”

“ผมขอล่ะ คุณอย่าคิดทำอะไรบ้าๆนะ”

“มาถึงลานเปิดใจสถานที่ที่ใครก็คิดว่ามันศักดิ์สิทธิ์ ผมคงไม่มีความคิดชั่ววูบจะทำอะไรแผลงๆหรอกครับ”

“ทีตอนนั้นยังทำเลย เจ้าเด็กบ้า” อิมหันข้างบ่นงึมงำเชิงตำหนิ

“ตอนนั้นผมอาจจะบ้าจริงๆ ที่ไปสารภาพรักคนที่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะคบด้วย”

“...!”

ร่างกายอิมสะดุ้ง เพียงฉับพลันแววตาที่เคยจ้องสบเสหลบสั่นระริก วี่แววจางๆของหยาดน้ำเคลื่อนคล้อยมากลบแก้วตาใส เจ้าตัวเหมือนทำอะไรไม่ถูก เขาดูลนลาน น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาต่อจากนั้นมันช่างแผ่วเบาไร้กำลัง

“ผ...ผมขอโทษ”

“อิมขอโทษผมทำไม”

“ที่ไม่ปฏิเสธคุณ” น้ำตาอิมหยดลงมาต่อหน้าผมอย่างไว และทุกอย่างบนโลกก็เหมือนหยุดนิ่งฉับพลัน

...มันเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นอิม...ร้องไห้ เหมือนมีบางอย่างมาบีบรัดหัวใจกะทันหัน ผมพลาดขั้นตอนสำคัญอะไรไปงั้นเหรอ ทำไม...ทำไมอิมต้องร้องไห้ด้วยทั้งๆที่ผม...

“อิม”

“ป...ปล่อย ผมไปเถอะ” ร่างเล็กกว่าตรงหน้าเริ่มสะบัดมือต่อต้าน ผมพยายามจับข้อมือเขาไว้ ครั้งนี้ถ้าพลาด ผมอาจจะไม่ได้เจอเขาอีก

“อิมฟังผมก่อน”

“ค...คุณอยากได้อะไร อยากเป็นคนบอกเลิกกลางลานเปิดใจอย่างนั้นเหรอ ผมยืนฟังให้คุณได้นะ แต่ขอเวลา...”

ฟืด...

พอเห็นร่างโปร่งตรงหน้าพยายามสูดน้ำมูกน้ำตาให้กลับไปทางเก่ามันก็อดจะเอ็นดูเขาไม่ได้ อิมยกแขนถูไถไปบนจมูกจนแดงก่ำ สูดหายใจเข้าลึกอีกครั้ง ทำหน้ามุ่งมั่นจ้องสบแววตาผม

“มา ผมพร้อมแล้ว”

...นี่ผม คิดเข้าข้างตัวเองได้มั้ย...

“...”

“ก...กายพร้อมแต่ใจอาจจะไม่ค่อยพร้อมสักเท่าไรนะ ถ้าคุณพูดมา ผมอาจจะต้องรีบเดินออกไป...”

มันเขี้ยวโว้ยยยย

ผมไม่ได้ลืมตัว แต่จงใจยื่นมือสัมผัสดวงแก้มนวลเนียนพลางเกลี่ยไล่ความชื้นอย่างแผ่วเบา อิมที่กำลังซีเรียสกับเรื่องที่พูดค่อยๆเผยอริมฝีปากออกเบาๆราวกับอึ้งในการกระทำ

“อิม...พวกเราน่ะ...” สิ่งเกะกะซึ่งคงค้างอยู่ในมือถูกยื่นส่งให้บุคคลที่สาม “น้องต้า พี่ฝากถือหน่อย” ร่างเล็กรับไปอุ้มกอดไว้กับอกอย่างเสียไม่ได้ ใบหน้าของเธอยังคงล่อกแล่กมองผมสลับกับอิม กลืนน้ำลายลงคออย่างเนืองนิจ

คราวนี้ผมตั้งใจยกมือขึ้นประคองใบหน้าขาวใสของอิมไว้ ร่างโปร่งดูไม่มีสมาธิกับผม เพราะเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังโดนสายตาหลายคนที่นั่งอยู่แวดล้อมจับจ้อง

“อิม มองผมนี่”

“ฮ...ฮะ?” หันกลับมามองแล้ว...น่ารักจะแย่...

“มองว่าที่สามีในอนาคตหน่อย”

“ฮะ...คุณว่าอะไรนะ”

“พวกเรากลับมาคบกันใหม่เถอะนะ อิมเมจ”

เห็นจากปลายหางตา ว่าน้องต้าพนมมือขึ้นปิดปากตาโตราวกับลูกมะนาว เกือบทำหนังสือพี่สิทธิ์ที่ผมฝากถือในมือตกพื้น ส่วนคนของผมเหมือนโดนกระชากสายออกซิเจนออกจากปาก ถ้าความกว้างของลูกตาสามารถเบิกได้ไม่มีที่สิ้นสุด ป่านนี้มันคงโตเท่าลูกกอล์ฟได้แล้วมั้ง

“เกรท” มือเล็กกว่ายกขึ้นแตะหน้าผากกะทันหัน สัมผัสจากคนตรงหน้า สัมผัสที่ผมโคตรโหยหา “คุณไม่สบายรึเปล่า”

“ผมโคตรสบายดีเลยล่ะอิม พาผมไปหาหมอตรวจพิสูจน์ก็ได้ หรือไม่ก็...” ใช้แรงมือช้อนคางให้อิมเงยหน้า ก่อนแตะบนกลีบปากเบาบาง ยิ่งสัมผัสก็ยิ่งอยากรุกหนัก แต่ไม่อยากให้กระโตกกระตากไก่ตื่น จึงเพิ่มแรงกดแนบอย่างเชื่องช้าส่งผ่านความอุ่นร้อนของอุณหภูมิร่างกาย เหมือนเจ้าตัวกำลังโดนเวทมนต์สาปให้กลายเป็นหิน ร่างกายอิมแข็งทื่อ เกาะเกี่ยวมือกับแขนเสื้อผม

 “พี่เกรท...” ผมหันไปตามเสียงที่แทรกบรรยากาศหวามไหวกะทันหัน น้องต้ากอดหนังสือด้วยมือข้างเดียว กำลังยืนตัวตรงแน่วมองมา ก่อนเผยยิ้มเขินจนผมงง

“ครับ?” เธอกระแอมไอหนึ่งครั้ง หลับตาสูดหายใจเข้าเปลี่ยนท่าทีราวกับสวมบทบาทอะไรบางอย่าง เชิดหน้าพูดออกมาเสียงดังฉะฉาน

“พี่เกรทจะรับพี่อิมเป็นภรรยา และสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อเขา ทั้งในยามทุกข์ ยามสุข และยามไข้ จะรักและให้เกียรติพี่อิมไปตลอดชั่วชีวิตหรือไม่คะ”

“...”

“...”

อึ้งทั้งสารบบ คนแวดล้อมแม่งแทบกลั้นหายใจรอคำตอบ ผมสาบานได้ อิมยึดแขนเสื้อกระเด้งตัวตวาดใส่น้องทันควัน

“ยัยต้า! พูดอะไรออกมา อื้อออ” มือผมไวกว่าปิดปากอิมได้หมับก็หันใส่บาทหลวงต้าทันที

“รับครับ”

“เอ้ดดด อุน!” อิมถลึงตาดุ แต่ผมไม่สนใจ

“พี่รับครับ” หมายถึงยอมรับนะ ไม่ใช่ยอมเป็นฝ่ายรับ

“ดีมากค่ะ งั้นขอถ่ายรูปเป็นหลักฐานรูปนึง” ไม่รอช้าผมหอมเข้าแก้มอิมดังฟอด น้องต้ามือฉมังกับการถ่ายรูปกดชัตเตอร์มือถือปุ๊บก็ยัดใส่กระเป๋าปั๊บ

“ส่งให้พี่ด้วยนะ” ผมรบเร้าขอรูปแห่งความทรงจำทันที

“เดี๋ยวส่งผ่านมายด์ละกันนะคะ ต้าไม่มีไลน์พี่เกรท” พอเอ่ยชื่อมายด์น้องของอิม ผมนึกได้ทันทีว่าเคยได้ยินชื่อน้องคนนี้จากทางไหน ที่แท้ก็ต้าเพื่อนน้องมายด์คนนั้นที่เป็นหัวเรือใหญ่เกรทอิมนี่เอง ระหว่างเผลอคิดอะไรเพลินๆอิมก็ดิ้นจนหลุดจากมือผม เจ้าตัวเปล่งเสียงไม่ดังไม่ค่อยตอกกลับมาฉับพลัน

“ไม่ร้งไม่รับอะไรทั้งนั้นแหละ ยัยต้าลบรูปในมือถือทิ้งเดี๋ยวนี้เลย” เหมือนเพื่อนน้องสาวคนนี้จะหัวอ่อนกว่ามายด์ พอโดนพี่ชายเพื่อนดุเลยทำท่าจะกดลบ แต่ไม่วายบ่นกระเง้ากระงอดเสียดายรูปไปตลอดทาง แต่มีเหรอที่ผมจะยอม คว้ามือถือจากน้องต้ามาอย่างถือวิสาสะ เสร็จสรรพส่งให้น้องมายด์แบบไม่ต้องคิด มีแต่วิธีการนี้แหละที่จะเก็บรูปได้อย่างยาวนานที่สุด

“เกรท”

“ครับ”

“คุณทำอะไร”

“ส่งรูป”

“ให้ใคร”

“น้องพี่ไง”

“เฮ้ยเอามานี่” อิมกระโดดกระย่องกระแย่งจะแย่ง

“บัดนี้ขอประกาศว่า ท่านทั้งสองเป็นสามีภรรยาตามกฎหมาย ขอเชิญเข้าหอไปปั่มปั๊มกันได้เลยค่ะ”

“ต้า!!” น้องต้าที่ฉีกยิ้มตัวเท่าบ้านยืนกอดหนังสือดิ้นอยู่ตรงนั้น

“ไปปั่มปั๊มกันเถอะครับ” อิมนี่หน้าเหวอไปเลย

“เกรทเดี๋ยว!” คิดว่าจะลากจูงกันไปอย่างในละครที่เจ้าบ่าวพาเจ้าสาวหนีจากแม่ผัวใจยักษ์ เท้ากลับต้องสะดุดลงเมื่อร่างสูงใหญ่ของใครบางคนมายืนขวาง ผู้ซึ่งผมไม่อยากเจอที่สุด...

“มึงจะพาอิมไปไหน” เสียงทุ้มของเพื่อนคนตัวเล็กกว่าดังก้องไปทั่วบริเวณ ไอ้พี่เบส...ไอ้คงหวงก้าง









‘เลิกมาตามไอ้อิมมันต้อยๆได้แล้ว อย่าทำให้มันลำบากใจ’



คนที่คาดหวังไว้กลับไม่เจอ ส่วนคนที่ไม่อยากเจอกลับโผล่หน้ามาซะได้ ในวันที่ยี่สิบกว่าซึ่งเป็นวันที่ความหวังริบหรี่เต็มทน แต่ไม่เคยคิดย่อท้อละความพยายาม เพื่อนสนิทของอีกฝ่ายกลับปรากฏกายตรงหน้า ไม่พูดพร่ำทำเพลงเอ่ยปากไล่ทันทีเจอ น่าแปลกทั้งที่ยังเห็นรุ่นพี่คนนี้ไปไหนมาไหนกับเขาบ้าง แต่กลับไม่เห็นเงาร่างของคนที่คะนึงหาเลยสักนิด

ผมจ้องมองลึกลงไปในดวงตาของอีกฝ่าย นี่เหรอคนที่อิมชอบ ช่วงหลังมาสัญญาณหลายๆอย่างบ่งบอกให้รู้ มันทำให้ใจว้าวุ่น อิมบอกว่าเขามักจะไปเที่ยวกับเพื่อนสนิทคนนี้เสมอทุกสุดสัปดาห์ ไปหาอะไรกินสัพเพเหระ แต่ช่วงหลังเพื่อนคนสำคัญมีแฟน...เลยไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน

...ทุกครั้งที่อิมเอ่ยว่าอีกฝ่ายมีแฟน มักจะแสดงออกอะไรบางอย่างให้ผมเห็น...

เป็นสิ่งที่ระบุความหมายไม่ได้ หากรับรู้ได้ถึงความน้อยใจในน้ำเสียง จนกระทั่งวันที่ผมรับรู้ว่ารอยยิ้มเปี่ยมสุขของอิมนั้นใครได้มันไป



‘ไอ้เบสไง’

‘พี่เบสเหรอครับ?’
เกมพิเรนทร์ตอบคำถามถอดเสื้อนำมาซึ่งคำตอบของทุกอย่าง

...อิม รู้สึกกับพี่เบสเกินกว่าเพื่อน...



‘อิมบอกว่าอย่างนั้นเหรอครับ’ ไม่มีอะไรจะไปสู้ แต่ความรู้สึกตอนนี้บอกได้แค่เพียงมันพุ่งไปหาแค่คนชื่ออิมเมจเท่านั้น

‘จะบอกให้รู้ไว้ อิมมันรู้แต่แรกแล้ว ว่าคนที่มึงต้องการสารภาพไม่ใช่มัน’



...ที่มาขอคบด้วย...ความจริงแล้วคุณชอบผมหรือเปล่าล่ะ...

...ความจริงคุณไม่ต้องโทรหาผมตลอดเวลา ไม่ต้องพาไปเดท ไม่ต้องสงเมสเสจมาบอกฝันดี หรือไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้นะ ให้เหมือนกับตอนสามสัปดาห์ที่ผ่านมา...




‘แต่ที่มันยังยอมทนคบมาจนถึงตอนนั้นก็เพราะว่ามันสงสาร’



...กับคนไม่มีร่มน่ะ เลิกบ่นเถอะ...

...กับความรักน่ะ มันไม่ต้องทุ่มเทขนาดต้องทำให้ตัวเองเดือดร้อนหรอก ก็เหมือนทำทานแหละให้เขาได้แต่ตัวเองต้องไม่เดือดร้อนไม่งั้นจะไม่ใช่ทาน...


 

‘เพราะสิ่งที่มึงทำให้มันมาตั้งแต่ต้นก็เพื่อใยไหมไม่ใช่เพื่อมัน’



...คุณไม่ต้องทำเรื่องโง่ๆขนาดนั้นก็ได้นะ...

...ผมรู้อยู่แล้วว่ายังไงผมก็เป็นแฟนคุณ...




ฉากเก่าๆยามได้อยู่เคียงข้างผุดขึ้นมาในสมอง หากหัวใจผมกำลังถูกบีบรัดกับความเป็นจริงที่ได้รู้

อิมไม่เคยคิดว่า สิ่งที่ผมทำไปตั้งแต่ต้น เป็นสิ่งที่ทำเพื่อเขาเลย...



ยอมรับว่าเคยชอบพี่ใยไหม แต่ไม่ใช่คนที่จะดันทุรังแยกใครจากแฟนเพื่อให้ได้สิ่งต้องการ ในยามทำใจออกห่างอาจมีอาการไขว้เขวอยู่บ้าง หากทุกอย่างค่อยๆถูกความเป็นอิมเมจมากลบ เติมเต็มและลบคำว่าใยไหมจนออกไปจากหัวใจได้

...อิมเมจคือที่สุดของผม ณ ตอนนี้...

รอยยิ้มเอื้ออารีที่มีให้พี่ใยไหม คงเหลือไว้แค่รอยยิ้มการค้า ในฐานะเพื่อนร่วมโลกคนนึง...



‘ทุกวันที่ผมคบกับอิม ทุกการกระทำ ผมสาบานว่าผมมีแต่เรื่องอิมในสมอง’

‘มึงอย่ามาตอแหล’ คอเสื้อเชิ้ตถูกขยำรั้งไปด้านหน้า ดูท่าคนเป็นรุ่นพี่คงอยากวางมวยกับผมเต็มแก่

‘ผมยอมรับว่าผิดที่โกหกไปตอนแรก แต่ทุกการกระทำ...ผมซื่อสัตย์กับใจผมเสมอ’

‘…’

‘พี่ต่างหาก’

‘กูทำไม’

‘ซื่อสัตย์กับใจตัวเองรึยัง’

‘…’



ผมยังจำใบหน้าพี่เบสตอนนั้นได้ดี สับสน เหมือนคนทำอะไรไม่ถูก พอพูดออกไปพึ่งมานึกกลัว...กลัวว่าพี่เบสจะหันไปซื่อตรงกับความรู้สึกตนเองในตอนนั้น





ตัดกลับมาที่ปัจจุบันเสียงทุ้มต่ำของพี่เบสกำลังเรียกสติคนของผม

“อิมกลับบ้าน” ราวกับเล่นชักเย่อกัน เพื่อนคนสำคัญของอิมเมจยื้อแขนร่างโปร่งเข้าหาตัว สายตาอิมหลุกหลิกสลับมองหน้าผมกับอีกคนอย่างลนลาน

“เดี๋ยวไอ้เบสกูพิมพ์บอกมึงไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าให้กลับ...”

“กูก็พิมพ์บอกมึงแล้วเหมือนกัน ว่ากูรอได้”

“...” เถียงไม่ออกตั้งแต่ห่างจากห้องสโมฯมาอิมแทบไม่มีเวลามองหน้าจอโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรกับคำตอบของพี่เบสกัน

“มึงจะกลับกับใคร” เสียงพี่เบสเอ่ยเหมือนถามความต้องการ แต่ใบหน้าเหี้ยมเกรียมเหมือนบังคับกลายๆ

“ก็ต้องกลับกับม...”

“พี่อิมผมเจ็บขา” ขยับแขนเข้าพาดบ่าร่างตรงหน้ากะทันหัน อิมถึงกับสะดุ้งกับเสียงออดอ้อนตีนชวนคลื่นเหียนของเด็กโข่งเกรท “วันนี้อิมสัญญาว่าจะทำแผลให้เสร็จจนไปส่งผมถึงที่หอนี่หน่า”

“มึงอย่ามาสำออย” แรงหนักๆกระชากแขนผมออกจากไหล่อิม ความจริงคือไม่สะดุ้งสะเทือน แต่ร่างทั้งร่างกลับร่วงลงกระแทกพื้นเสียงดัง อิมแทบทรุดลงมาเกาะแขนดูอาการผม

“เชี่ยเบส ทำอะไรวะ น้องมันเจ็บอยู่นะเว้ย!” ร่างสูงใหญ่โดนตำหนิหน้าซีดด้วยความตกใจ อิมพยายามพยุงผมขึ้นด้วยความทุลักทุเล เสียงแผ่วเบาเจือด้วยความเป็นห่วงถามกระซิบ “ยืนไหวมั้ย”

“ไหวครับ พี่อิมกลับไปกับพี่เบสเถอะ”

“อิมเลิกยุ่งกับมันเถอะ กลับกัน” พี่เบสเร่ง

“มึงกลับไปก่อน”

“ฮะ?”

“กูจะไปส่งน้องเขา ต้าเอาของเกรทมานี่” น้องสาวยื่นของที่ฝากไว้ในมืออย่างรู้งาน ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศโดยรอบ อิมหันหลังให้พี่เบสโดยประคองผมเดินกระเตงออกมาอย่างไม่สนใจสิ่งใดอีก









“ไหวมั้ย” ผมเอาแต่จ้องใบหน้าด้านข้างอย่างเผลอไผล จนสองสายตาสบปะทะกันยามเสียงละมุนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง อิมรีบหลบหันมองทางอื่นแก้เก้อ แสงไฟสลัวตัดความมืดมิดยามพระอาทิตย์ตกดิน เสียงรถผ่านไปมาประปรายบางตา ดูเหมือนนักศึกษาจะเริ่มกลับบ้านกันไปหมดแล้ว

“ไม่มีมอเตอร์ไซต์รับจ้างเลย คุณมีเบอร์แท็กซี่มั้ยจะได้โทรเรียกเข้ามารับ ขาคุณแบบนี้เดินไปไม่ถึงหอหรอก” อิมไม่ยอมหันหน้ามาอีกเลย ทิ้งเส้นผมนิ่มกับหัวทุยๆไว้ด้านหลังให้ผมดูเล่น กลิ่นแชมพูจางๆประจำตัวลอยเข้าจมูก ผมเผลอแนบจมูกสูดดมอย่างคิดถึง

“ทำอะไรน่ะ” เจ้าตัวหันมาพอดี โน้มน้าวตัวออกห่าง ใจแอบนึกเสียดายแกมน้อยใจราวกับโดนใครบางคนรังเกียจ

“ผมอิมหอม...ผมแค่เผลอ” ท่องไว้เดี๋ยวไก่ตื่น จำไว้ดิวะเกรท

“ผมไม่ได้ใช้ซันซิลนะ มันคงไม่หอมสำหรับคุณหรอก”

“หา?”

“ตกลงคุณมีเบอร์แท็กซี่มั้ย จะได้โทร...”

“รถผมจอดอยู่ตรงโน้น” ชี้คางไปทางที่จอด จากตรงนี้เรียกว่าระยะไม่ได้ไกลแต่ก็ไม่ใกล้

“คุณขับรถเป็นตั้งแต่เมื่อไร” อิมแปลกใจ ในช่วงหนึ่งเดือนผมเห็นว่าพี่เบสไปรับไปส่งอิมตลอด ผมไม่ยอมให้คนช่วงชิงโอกาสไปด้วยเหตุผลที่ว่าขับรถไม่ได้ หรือไม่มีรถใช้แน่ๆ ความพยายามด้วยหลักสูตรเร่งรัดและการสนับสนุนจากพ่อ ตังค์เก็บซึ่งมีไม่เพียงพอจึงถูกเติมเต็มด้วยกองทุนบิดามารดา รู้สึกเหมือนเป็นลูกอกตัญญูกลายๆแต่ถ้าโตขึ้นทำงานเก็บตังค์ได้ผมสัญญาครับว่าจะมาใช้คืน

“ก็ตั้งแต่เดือนก่อน แต่ยังขับไม่แข็งหรอก รออิมมาสอนน่ะ ไปเถอะ” วาดมือลงจากบ่ากระชากแขนเล็กให้เดินไปตามทางเดินมืดๆ แบบตัวปลิวปร๋อ ส่วนคนโดนลากได้แต่มองหน้าสลับกับเท้า

“ด...เดี๋ยวเกรท นี่ขาคุณ!!”

“ขาผมทำไมเหรอ กลับบ้านกันเถอะครับอิม ดึกแล้ว”



...ใช่ครับ ผมสำออยตามที่พี่เบสเขาว่าจริงๆ...



TBC

++++++++++++++++++++++++++++++


ถึงแม้จะยอมรับ แต่ได้เวลารุกๆๆๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-10-2019 09:03:12 โดย sakutaka »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:


งั้นจากนี้ก็เป็นเหตุการณ์ย้อนหลังไปเรื่อย ๆ จนถึง 1 ในพาร์ทของเกรทสินะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบสาม(ครั้งที่สอง)...ย้อนกลับไปเป็นเรา



ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอน่าทุเรศได้มากขนาดนี้เลยโว้ยยยยยยยยยยย



กับแค่คนเก่าคนแก่ วัวเคยค้ามาเคยขี่ลากไปกลางลานเปิดใจแค่นี้ ผมก็ร้องไห้เป็นเผาเต่าเพราะกลัวเขาจะบอกเลิกแสกหน้ากลางลานแล้ว เชี่ยอิม มึงเป็นอะไรวะ กับตอนเบสน้ำตาลูกผู้ชายมึงยังไม่ไหลตอนที่รู้ว่าเพื่อนคนสนิทที่คิดอยากรู้ใจมีแฟนเลย เหตุผลมันมีอย่างเดียวแหละ มันอยู่ที่คนตรงหน้า คนที่กำลังลากผมอยู่ตอนนี้ไง

เบื้องหน้ามีแต่ภาพแผ่นหลังกว้างพาผมเดินท่อมๆมาตรงกลางลานจอดรถ ผมเหลือบซ้ายมองขวา เอายังไงดีสะบัดแขนแล้ววิ่งหนีเลยดีมั้ย พอตั้งใจนับหนึ่งสองสาม เชี่ยแม่ง ของบางอย่างที่ทำให้ผมแทบสติหลุด

“จริงป่ะเนี่ย”

อุทานอย่างลืมตัว ขาสองข้างเปลี่ยนก้าวขึ้นหน้าลากคนจับข้อมือออกเดินแทน ไม่อยากจะเชื่อเลย ไอ้สิ่งที่ผมพูดคุยพร่ำบ่นกระปอดกระแปดว่าอยากได้อยากขับมันนักหนากลับมาปรากฏตรงหน้า

รถออกแนวสปอร์ตกึ่งคูเป้ คันค่อนไปทางอีโก้คาร์ที่เคยเอาแต่นั่งเปิดตารางราคาผ่อนดูอยู่ทุกวี่ทุกวัน แล้วภาวนาว่าถ้าทำงานหาตังค์ได้จะซื้อ กลับมาอยู่ตรงนี้ หรือว่า...

“นี่คุณซื้อคันนี้เหรอ” เกรทยิ้มๆมองจับผิดท่าที จนผมต้องกระแอมไอสำรวมอาการ ฝืนยืนหน้านิ่งอยู่ตรงนั้น “เออ พามาส่งถึงรถแล้ว ก็รีบกลับหอดิ”

“อิมก็ขึ้นรถสิ”

“ขึ้นทำไม ผมแค่มาส่ง”

“แต่ผมเจ็บขา”

“ตัดให้หมามันไปแดกเลยมั้ยล่ะ มีไว้ก็ไร้ประโยชน์น่ะ”

“ใจร้ายจังตั้งแต่เลิกกัน”

“ผมมันใจร้ายมาตั้งแต่ต้นแล้ว แค่คุณไม่รู้เท่านั้นแหละ”

“อยากรู้จักครับ”

“หา?”

“อยากรู้จักคนที่ชื่ออิมเมจให้มากกว่านี้” ต้องรีบประคองหนังสือในมือไว้ เพราะเกือบทำมันตก เฮ้ยนี่มันหนังสือเกรทนี่หว่า

“อ่ะ คุณเอาคืนไปแล้วรีบกลับบ้านไปได้แล้ว” ดันเจ้าเล่มหนาสี่เหลี่ยมใส่อก เจ้าตัวมองมันอยู่แวบนึงก่อนสายตาวาวโรจน์แบบแปลกๆ อีหยังวะเนี่ย

“โอเคครับ กลับก็กลับ” ของบางอย่างถูกยัดใส่มือ พอแบออกเสียงกรุ๊งกริ๊งของพวงกระดิ่งผูกด้วยเชือกป่านก็ดังขึ้น ผมตื่นตะลึงวิ่งเข้าไปคว้าที่จับประตูซึ่งเกรทพึ่งมุดตัวเข้าไปแทบในทันที ก่อนกระชากเปิดออก

“เกรท นี่มันอะไรของคุณวะ” เจ้าตัวปรายตามองของซึ่งห้อยต่องแต่งอยู่ในมือผม อย่างไม่ทุกข์ร้อนก่อนตอบนิ่งๆ

“กุญแจรถ”

“ให้มาเพื่อ”

“ให้อิมขับ”

...อย่าพูดอย่างนั้น...

“ให้คุณตั้งจิตปณิธานขับไปส่งผมครับ”

...บอกแล้วไงว่าอย่าพูด...

“หรืออิมไม่อยากขับ”

...ใครมันจะไม่อยาก...

“ไม่อยากขับก็ตามใจนะ”

“อยากดิ!!”

“...”

“อยาก อยากมากๆ” น้ำตาผมคลอแล้ว โดนล่อด้วยของชอบแบบนี้ไอ้เด็กนี่มันใจร้ายสุดๆ รอยยิ้มหล่อเหลาปนเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นเต็มใบหน้า

“อยากก็ขึ้นมาสิครับ”

ไม่ต้องรอให้เกรทกระตุ้นเป็นคำรบสอง ผมเดินอ้อมโดดผลุงขึ้นนั่งฝั่งคนขับในบัดดล ประตูปิดลงฉับ จังหวะนั้นในรถอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความเงียบ

สติ!!อิมสติ!! นี่มึงก้าวขึ้นรถคนที่วิ่งหนีมาตลอดเดือนกว่าเพื่อ!!

อึดอัดจนหูอื้อตามัว นิ้วมือเคลื่อนกดปุ่มสตาร์ทโดยหวังให้เสียงเครื่องยนต์ทำงาน ดังตัดบรรยากาศหายใจติดขัดนี้ไปได้บ้าง

“เอาคืนไป” ในมือเขวี้ยงของที่ไม่สมควรถือ มุ่งหมายให้ลงตักอีกฝ่าย กลับพลาดกระเด้งลงพื้นรถข้างคนขับเสียได้ “เฮ้ยๆๆ รับดีดีดิวะคุณ” เหมือนปฏิกิริยาตอบรับมันพาให้คนตัวสูงโค้งตัวโดยฉับพลันแล้วสิ่งที่ตามมานั้น

โป๊ก!!

เห็นดาวล่ะครับงานนี้ เสียงดังลั่นทุ่งเหมือนใครเอาของหนักๆไปทุบกับคอนโซลรถด้วยความเกรี้ยวกราด เกรทถึงกับตัวงอกุมหัวเป็นกุ้ง

“เฮ้ย คุณ เป็นอะไรรึเปล่า” ตกใจว่ะ แต่ก็อดขำไม่ได้เมื่อเห็นสภาพ ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ “หึ...ค...ใครใช้ให้คุณนั่งอยู่ตั้งนานไม่ยอมปรับเบาะเนี่ย

“หา?” เกรทผุดตัวขึ้นโวยเสียงดัง พอเห็นใบหน้าเท่านั้นแหละ โอ๊ยสงสาร

“หัวโนเลย” ผมหลุดก๊าก สภาพตอนนี้อย่าว่าแต่พระเอกละครเวทีเลย ไหนจะรอยช้ำ ปากแตก หัวโน ความหล่อหายลงไปกว่าครึ่ง หยุดๆหยุดหัวเราะ คนโบราณว่าไม้ล้มอย่าซ้ำ ต้องชี้นำให้ดีขึ้นสิ “ปรับเบาะสิคุณ ปรับเบาะ”

เกรทหมุนรอบตัวหา ดูเก้กังขั้นสุด จนผมทนไม่ไหวดันตัวเขาให้หลังพิงเบาะ ใช้หลังมือตีปลีน่องให้หลบก่อนดึงก้านเหล็กเบาๆ

“เฮ้ย!!” ไอ้เหี้ย แขนดันอกอีกฝ่ายแรงไปหน่อยจนไถลออกด้านหลังจนสุด หน้าทิ่มพรวดลงต้นขาใต้ผืนผ้ากางเกงสีดำแบบไม่ปรึกษากูสักคำ ตอนจมูกได้กลิ่นอายจากน้ำยาปรับผ้านุ่ม แนบชิดสัมผัสต้นขาของอีกฝ่าย

“อิม” เสียงทุ้มเรียกผมเหมือนฉุดสติ รีบยันแขนกับขาของอีกฝ่ายขึ้นนั่ง

“ข...ขอโทษ กะแรงไม่ถูก”

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเบามือกับน้องผมด้วยได้มั้ย” สองสายตาประสานมองไปยังทางเดียวกัน แค่นั้นผมแทบกรี๊ด มือชักกลับราวกับโดนของร้อน

ไอ้เหี้ย มือเกือบโดน มือเกือบโดน มือเกือบโดน โว้ยยยย เกือบลูบโดนเกรทน้อยแล้วไง!!

“อีกนิดมีจุกนะครับ”

“ข...ขอโทษ”

“เล่นแบบนี้คิดอะไรรึเปล่า”

“ก...ก็บอกว่าขอโทษไง”

“ทีหลังเล็งให้มันแม่นๆกว่านี้ได้มั้ยครับ”

“แล้วใครบอกว่าผมอยากจะจับเกรทน้อยกันล่ะวะฮะ!!”

กรุ๊งกริ้ง~~

เจ้ากระพรวนสีทองวาวมาห้อยต่องแต่งอยู่ตรงหน้า แถมถูกสั่นแหย่อารมณ์ไปมาอีก

“ผมหมายถึงเรื่องโยนกุญแจต่างหาก อิมคิดไปถึงอะไร” โว้ยยยยอยากฆ่าคน! ผมไม่ได้คิดว่าอยากจะจับตัวเดียวอันเดียวในโลกของมันซะหน่อยโว้ยยยย มือนี่แทบขยับไปบีบคอแกร่งแล้วเขย่าไปมาให้หัวหลุดจากบ่ากว้างๆนั้นเลย

“เลื่อนเบาะดีดีแล้วกลับกันได้แล้ว” อารมณ์เสียแบบอาภาภรณ์ นครปฐม จึงกดปุ่มเปิดเครื่องปรับอากาศไล่ความหงุดหงิดหัวร้อนให้คลี่คลาย ดึงสายจะคาดเบลล์หากแต่เงาร่างสูงใหญ่กลับขวางไว้จนผมสะดุ้งหลังพิงพนัก แขนแกร่งข้างหนึ่งโอบเบาะ ส่วนอีกข้างอ้อมมาจับบางอย่างข้างเก้าอี้ เกรทเหมือนจงใจหันมาเผชิญหน้า ริมฝีปากได้รูปห่างปลายคางไปไม่กี่เซนต์

จนกระทั่งร่างเอนไหววืบหงายหลังกะทันหัน สารร่างหนักๆกระแทกเข้าอกเต็มกำลัง ถึงได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

“อึก!” หัวเกรทโหม่งลงคาอก ส่วนทางนี้แทบหยุดหายใจ เบิกตาค้าง เหมือนกำลังร่วงจากเครื่องเล่นผาดโผนอันใหม่ ไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่าจะปล่อยตก

เชี่ย! วันนี้มันวันเล่นเบาะรถเจ็ทโคลสเตอร์ หรือไวกิ้งพนักพิงหรือไงวะ ทำไมผลัดกันเอนผลักกันล้มใส่กันขนาดนี้ เกรทที่นอนหน้าทิ่มอยู่กับอก ยังทรงตัวลุกขึ้นไม่ถูกหลัก หมุนหัวมาสบตาในระยะประชิด ส่วนผมได้แต่กะพริบตาปริบๆทำตัวไม่ถูกจ้องสู้

“โทษครับ”

“เล่นอะไรวะ”

“กะว่าจะปรับเบาะให้ เห็นแขนอิมห่าง”

“งั้นก็บอกกันก่อนดิ”

“ขอโทษครับ ตกใจเหรอ”

“อ...เออดิวะ”

“มิน่าล่ะใจเต้นแรงเชียว”

“...”

“...”

รู้สึกแหม่งๆ ไม่ใช่ ที่ใจมันเต้นแรงไม่ใช่เพราะตกใจ แต่ใจมันเต้นตึกหนักๆเพราะใครบางคนที่นอนทับอกผมอยู่ต่างหากเล่า!! แล้วใครใช้ให้เล่นตลกเอาหูมากกที่หน้าอกข้างซ้ายแนบกับหัวใจผมได้วะ!

“เอาถึงเช้าเลยมั้ย”

“หา?”

“ผมถามคุณ จะนอนท่านี้ไปถึงเช้าเลยมั้ย”

“ถ้าอิมให้”

ร่ำเรียนมาจากไหนไอ้สกิลออดอ้อนพูดจาอ่อนหวาน กับสายตาหยาดเยิ้มปานหยดน้ำผึ้งเนี่ย ถ้าจำไม่ผิดคลับคล้ายคลับคลาว่าพักหลังก่อนจะเลิกคบกันเจ้าตัวก็อาการหนักประมาณนึง แต่ไม่ถึงขั้นนี้นี่หน่า

“เกรท ถ้าคุณง่วงก็รีบกลับไปนอนที่หอ”

“ยังไม่ง่วงครับ”

“คุณจะเอายังไงกันแน่วะ เจ็บตัวแทนที่จะรีบกลับไปพักผ่อน”

“เป็นห่วงผมเหรอ”

หนึ่งคำถามสะท้านไปถึงทรวง ถ้าบอกว่าเป็นห่วง เป็นห่วงมากๆมันก็คงจะเกินคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง แอบสะท้อนใจกับสถานะใหม่ที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง เมื่อกี้ที่เขากล่าวกลางลานอาจจะเป็นเพราะไหลไปตามน้ำ ตามบทที่ยัยต้าเพื่อนน้องสาวผมเป็นคนส่งก็ได้

แต่เอาให้จริง เรื่องนี้ผมไม่อยากเป็นคนปากไม่ตรงกับใจ

“เป็นห่วงสิ”

“...”

ทอดสายตามองคนอายุน้อยกว่าปิดปากเงียบ มองรอยช้ำซึ่งไม่ได้ดูแย่แต่ก็ใจไม่ดีเอาเสียเลยทุกครั้งที่ผ่านตา ไม่อยากให้คนตรงหน้าต้องเจ็บตัวซ้ำๆ

“รีบกลับไปนอนได้แล้ว พักผ่อนเยอะๆ แผลจะได้หายไวไว” ต้องใช้ความพยายามขนาดไหนในการเกร็งกล้ามเนื้อท้อง โยกที่ปรับเบาะดันตัวขึ้นด้วยท่าทีเก้กัง เกรทยังคงเงียบอาจจะนึกเสียใจที่ไม่ควรมาเล่นอะไรแบบนี้กับผม พลาดที่คนเลิกห่างร้างราไม่ยอมปฏิเสธทางวาจาเพื่อตัดสัมพันธ์

“อย่าทำให้ผมหลงพี่ไปมากกว่านี้เลย”

“หา?” เสียงดังแผ่ว เกินกว่าจะจับใจความได้ทั้งหมด ไม่สำคัญ ช่างมันเถอะ วันนี้ขับไปส่งถึงหอก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไร นิเทศศาสตร์ก็ใช่ว่าใกล้กับคณะผม พอคิดได้สองมือจึงจับสายเข็มขัดนิรภัยตั้งใจจะคาด หากมือใหญ่กลับฉวยไปไว้ในมือ ใบหน้าราวกับเด็กขี้งอนชอบทำปากงุ้มปรากฏในครรลองสายตา

“ผมคาดให้”

“ผมคาดเองได้ ไม่ใช่เด็กๆซะหน่อย”

“ทีตอนนั้นอิมยังคาดให้ผมเลย”

“หืม?ตอนนั้น ตอนนะ...”

แกร๊ก!

เสียงเหล็กลงล็อกดังแว่วกะทันหัน จังหวะนั้นหมุนหัวไปสนใจต้นเสียงโดยไม่ทันเมียงมองคนใกล้ตัว วืบหนึ่งรู้สึกบางอย่างที่นุ่มหยุ่นมาแตะแนบ ก่อนถอยห่างอย่างไวราวกับงูฉก ผมเบิกตาโพลงด้วยความงงงวย ไม่อาจนึกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเพียงความรู้สึกอุ่นร้อนที่ยังประทับตราตรึงตรงจุดนั้น ใบหน้าร่างสูงอยู่โคตรใกล้

“เกรท...เมื่อกี้คุณ”

“ครับ” เจ้าตัวยิ้มเบาๆ หน้านิ่งไร้พิรุธเสียยิ่งกว่าอะไร หรือเมื่อกี้ผมคิดไปเองคนเดียววะ “มีอะไรรึเปล่าครับ?”

“เปล่า” ถามไปก็คงไม่ได้คำตอบ

“นึกออกรึยังครับว่าตอนไหน”

“หา?”

“วันนั้นที่อิมเอาหน้าเข้ามาใกล้ผมแบบเนี๊ยะ” เริ่มนึกคุ้นขึ้นมาแล้ว ราวกับเกรทกำลังจำลองเหตุการณ์เสมือน วันนั้นคงเป็นวันที่ผมขับรถพ่อไปส่งเจ้าตัวที่หอ

“...”

“ทำไปเพื่ออะไรครับ”

“ทำไปเพื่ออะไร...ผมก็แค่...”

“เพราะอยากจะลองใจผมใช่มั้ย” จะมีใครรู้ดีไปกว่านายคิรากรได้อีกล่ะ ไม่มีแล้ว ตอนนี้รู้ทั้งแผนการที่ลากเจ้าตัวไปหาใยไหมในวันหลังฝนตก รู้ทั้งตอนขึ้นรถคาดเข็มขัดนิรภัยให้เด็กน้อย ที่ไม่รู้อาจจะมีอยู่อย่าง...

“ถ้าบอกว่าใช่...”

“ตอนนั้นผมเกือบจูบอิม”

“...!”

“ถ้าอิมไม่ถอยไปก่อน” ร่างสูงแย้มริมฝีปากได้รูป ใช้ลิ้นตนเองแลบเลียไล่ความแห้งผากเบาๆ ภาพนั้นแทบทำให้ผมต้องกลืนน้ำลาย

“เก็บไว้ให้คนที่คุณรักเถอะ” ผมดันให้เกรทกลับไปที่เบาะ คราวนี้คนเป็นน้องยอมเลิกราอย่างว่าง่ายเกินคาด ย้ายสารร่างสูงใหญ่มารัดเข็มขัดนิรภัยอยู่กับที่ ก่อนนั่งนิ่งไม่ไหวติง ออกจะงงอยู่สักนิดกับท่าทีซึ่งผิดแผกจากเดิมราวฟ้ากับเหว ถ้าบอกว่าเกรทเป็นไบโพล่าผมนี่จะเชื่อเอาเสียตอนนี้

มีเพียงลมของเครื่องปรับอากาศที่พัดหึ่งๆเป็นเพื่อน เริ่มอึดอัดพิกลจนต้องหันไปมอง

“ผมบอกให้คุณเก็บไว้ให้คนที่รัก ไม่ได้บอกให้กลับไปนั่งเป็นคนใบ้”

“ผมไม่ได้ใบ้ แต่ผมกำลังห้ามใจไม่ให้จูบคนที่รักจนปากเบิร์นคารถคันแรกของตัวเองอยู่ครับ”

“...!”

พูดไม่ออก ไม่อยากเรียนการเชื่อมความใหม่ บอกไม่ให้จูบคนที่รักแล้วมันมาโยงกับบนรถคันแรกได้ไง แล้วตอนนี้มันจะมีใครนอกจากผมที่นั่งโง่อยู่บนรถคันนี้เล่า

ใจสั่งเหยียบเบรกโยกคันเกียร์มาตัวดี แล้วขยับตีนไปที่คันเร่งทันใด

“ก...กลับบ้าน กลับบ้าน”

“ครับ กลับบ้าน”

หืม? ผมหันไปมองใบหน้าหล่อเหลาเปื้อนรอยช้ำ ยอมง่ายๆแล้วเหรอ กว่าจะฟัดเหวี่ยงกับเก้าอี้และเข็มขัดนิรภัยเมื่อกี้ยังยื้อกันแทบตาย แต่ตอนนี้มาทำตัวว่าง่าย นั่งนิ่งกอดกระเป๋าทำหน้าตาใสราวกับคนต่างถิ่นเข้าเมืองมาตื่นแสงไฟยังไงอย่างนั้น ถ้านานกว่านี้อีกนิดผมเกือบคิดเข้าข้างตัวเองแล้วว่า ที่โดนเจ้าตัวดึงเกมไปมาเพราะต้องการอยู่ด้วยกันให้นานๆ

“โอเค กลับบ้าน”

“ใช่ครับ กลับบ้านพวกเรากัน”

ผมเหมือนพลาดที่ลืมฟังประโยคสุดท้ายไป...









“ช่วงนี้กลับกับพี่เบสตลอดเหรอครับ”

ขับออกจากลานจอดรถมาได้เพียงครู่ เบื้องหน้าคนกำลังจะเดินข้ามทางม้าลายเลยต้องหยุดจอด เลยเหมือนปล่อยโอกาสให้ร่างสูงได้เอ่ยบทสนทนาขึ้นมาอีกครั้ง

“อื้อ” ผมตอบแบบไม่ค่อยได้คิด เพราะจิตใจจดจ่ออยู่กับรถคันใหม่ของเกรท ถึงจะเล็กเกินกว่าไซส์เจ้าตัว แต่กลับขับสบายคล่องตัว เวลาเปลี่ยนเลนว่องไวราวกับสั่งได้ ผมชักจะปลื้มแล้วสิ

เท้าค้างอยู่แป้นเบรกยังคงมองหญิงสาวสองคนที่วิ่งกระหืบกระหอบตัดหน้าไป แล้วให้ได้เอะใจนึงถึงยัยต้ากับน้องผม ทำไมวันนี้เพื่อนน้องสาวตัวดีถึงมาโผล่ที่ศูนย์เรียนรวมได้ หรือว่าจะมีนัดกับพี่สิทธิ์ยืมหนังสือนิยายตามเคย

“ทำไมถึงมากลับด้วยกันล่ะครับ เมื่อก่อนเห็นอิมกลับรถไฟฟ้าตลอด แต่นี่เล่นนั่งรถพี่เบสกลับเกือบทุกวัน”

“สัญญากับเขาไว้น่ะ” ผมปล่อยขาให้รถออกตัวต่อ ขับด้วยสปีดที่กำหนดมาจนถึงประตูทางออกมหาวิทยาลัย ช่วงทางเดินที่ขับผ่านมาอาจดูเงียบเหงา แต่ถนนใหญ่กลับพลุกพล่านไม่เบา ผมเหยียบเบรกมองซ้ายมองขวารอให้เจ้าพวกสปีดเร็ววิ่งผ่านหน้าไปก่อน

“สัญญา? สัญญาอะไรครับ”

“ก็สัญญาว่า...” ช่วงจังหวะที่มองซ้ายกะระยะให้พ้นฟุตบาทกลับเห็นสายตาคมจดจ้องมาแบบโคตรตั้งใจฟัง มันแปลกพิลึก “ทำไมต้องสนใจขนาดนั้น แล้วก็ทำอย่างกับมาเฝ้าดูผมอยู่ตลอดน่ะ ทำไมถึงรู้ว่าผมกลับกับเบสทุกวัน” ต้องใช่แน่ๆ คนที่ผมเห็นวันนั้นคือเกรท ไม่งั้นเบสคงไม่มีอารมณ์เกรี้ยวกราดหัวเสียได้มากขนาดนั้นหรอก

“ถ้าไม่ให้สนใจตั้งแต่พรุ่งนี้ไปอิมต้องกลับกับผม”

“แล้วทำไมตั้งแต่พรุ่งนี้ไปผมต้องกลับกับคุณด้วยล่ะครับ ช่วยเล่าความสมเหตุสมผลให้ผมฟังหน่อยคุณคิรากร” คันเร่งเริ่มเหยียบแรงขึ้นเพื่อพุ่งตัวออกไป

“ผมยังขับไม่แข็ง”

“เหตุผลนี้ไม่ผ่าน ถ้าตราบใดที่คุณให้ผมขับตราบนั้นคุณก็ยังขับไม่แข็งอยู่ดี”

“ผมเจ็บเท้า”

“ผมเกิดมาเพื่อเป็นสารถีของคุณหรือไง เจ็บเท้าก็หยุดไป รอหายแล้วค่อยมา”

“ผมอยากกลับกับพี่”

“...!”

“เหตุผลแค่นี้ พอมั้ยครับ”

เกรทเรียกผมว่าอิมจนชินพอมาเจอดาเมจแววตาใสซื่อ และบทบาทอ้อนตีนของอดีตดาราเด็กผมเลยไปต่อไม่ถูก ปล่อยให้หน้าเห่อร้อนอย่างไร้สาเหตุต่อ

ปี๊นๆๆ

“อิม ไฟเขียวแล้ว”

“อะ...อื้อ”

ใจมันเหยียบเบรกห้ามล้ออยู่ มาบอกว่าไฟขงไฟเขียว ยังไม่ทันได้เตรียมตัวก็ต้องพุ่งไปด้านหน้าด้วยอาการเตลิด

“ตกลงอิมสัญญาอะไรกับพี่เบสไว้”

“บ...เบสมันบอกว่าถ้าปฏิเสธก็ขอแลกกับการกลับด้วย” สมาธิ ผมไม่มีสมาธิจริงๆนะระหว่างขับรถ เวลาโดนถามอะไรมักจะเผลอตอบไปแบบปกปิดไม่หมด

“ปฏิเสธ? ปฏิเสธอะไรครับ”

เอี๊ยดดดดดด!

เบรกหน้าทิ่ม ผู้โดยสารถึงกับตกใจเอามือยันคอนโซลรถ

“อิมเป็นอะ...”

“ถ...ถึงหอคุณแล้ว” ขอบคุณสวรรค์จริงๆที่หอไอ้ดารามันอยู่ใกล้ ไม่งั้นคงโดนสอบสวนไปถึงไหนต่อไหน เกรทกวาดตามองโดยรอบ เหมือนแปลกใจว่าทำไมมาถึงหอเร็วเกินคาด แตกต่างจากผมที่รีบเข้าเกียร์จอดปลดเข็มขัดนิรภัยเปิดประตูได้ก็กล่าวคำลา “ผมกลับก่อนนะ”

แค่ขับจอดอีกฝ่ายคงมีปัญญา ไม่ต้องมาลำบากผมแล้วล่ะ เหมือนจะได้ยินเสียงเปิดปิดประตูไล่จากด้านหลัง แต่คนออกตัวสตาร์ทก่อนย่อมได้เปรียบ

ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาจนถึงป้ายรถเมล์ใกล้สุด นับเป็นโชคดีที่ไม่ต้องรอนานเพราะสายผ่านสถานีรถไฟฟ้ากำลังตะบึงห้อมาทางนี้ แต่สภาพดำทะมึนที่มองทะลุไม่ถึงท้ายรถ เห็นแล้วมันหวั่นๆจนใจอยากร้องตะโกนให้ก้องดัง ว่าทำไมตรูต้องมาเจอสงครามปลากระป๋องอีกแล้วฟระเนี่ย พอรถใหญ่จอดเปิดประตูคนแม่งแทบหลุดกรูกับออกมา

เชร้ดดดดดยัดไปได้ไงวะ

“ขึ้นเลยครับ ขึ้นเลย ไวไวเลยพี่” แต่ตอนนี้กูอยากกินมาม่า~

ฝืนถีบตัวเองขึ้นเบียดเสียดกับผู้คนจนเข้าอาณาเขตตัวรถ พนักงานเก็บสตางค์เอาแต่ตะโกนสั่งให้ชิดใน มึงดูบ้างมั้ยว่าข้างในมีรูให้กูชิดด้วยรึเปล่า นับว่ายังดีที่มีคนวิ่งขึ้นต่อหลังเลยโดนดันเบียดเข้าอัตโนมัติ ไม่เสี่ยงต่อการโดนจิกกัดว่าไม่ให้ความร่วมมือ

เสียงเหล็กแช่บๆ ค่อยๆดังไล่จากด้านหลัง โล่งใจฉับพลันเพราะวิ่งแบบไม่ทันเตรียมสตางค์ไว้ล่วงหน้า เดี๋ยวได้มีพนักงานมันด่ารอบสองว่าทำไมไม่เตรียมตังค์ก่อนขึ้นรถ ผมคลำมือตั้งใจคว้ากระเป๋าสะพายข้าง แต่บางอย่างทำให้ผมใจหาย

...ไอ้เหี้ย...กระเป๋า!! กระเป๋าสะพายข้างหายไปไหนวะ!!...

หมุนรอบตัวมองหาจนเกือบโดนคนแวดล้อมด่าว่าเบียดมาทำไม ชะโงกหน้ากวาดตาไปตามพื้นเผื่อว่าจะเผลอไผลตกไประหว่างเบียดผู้คนเข้ามา แต่กลับหาไม่เจอเลยสักนิด ฉิบหาย แล้วกูจะเอาอะไรจ่ายเขา ที่สำคัญผมเผลอทำกระเป๋าตกไปตอนไหน ข้างในมีแต่ของสำคัญ ไหนจะโทรศัพท์ มือถือ กระเป๋าสตางค์ อีกทั้งบัตรต่างๆนานา

แช่บแช่บแช่บ!!

เหี้ยมาถึงมาแล้ว! ผมหมุนตัวขวับหันหลังใส่กระเป๋ารถเมล์ งานนี้คงต้องเนียนปั้นหน้าแบบว่ากูจ่ายตังค์แล้วเท่านั้น

“ขึ้นใหม่ ส่งด้วยคร้าบ”

ผมขึ้นเก่าคร้าบ ขึ้นมานานสองนาทีแล้ว อย่าสังเกตเห็นกูเลยน้า

“พี่ขึ้นใหม่ป่ะเนี่ย ส่งด้วย”

ฉิบหาย!! ทำไมไม่มองผ่านตูไปเนี่ย!! พยายามโหนราวก็ว่าแย่อยู่แล้ว ยังต้องเบนหัวไปทางอื่นหลบสายตากระเป๋ารถเมล์ ส่วนคนขับก็เสี่ยโก๋มาเองเหยียบคันเร่งไปตามอารมณ์เพลงที่เปิด เพลินจนบางครั้งเบรกกะทันหันจนตัวโก่ง ทรมานร่างกายฉิบหายวายวอดเลยเว้ย!

“พี่คร้าบ ขึ้นใหม่ส่งด้วยน้า” จะถามถี่ขนาดนี้เอ็งอัดเสียงแล้วเปิดเป็นวีดิโอวนซ้ำให้มันรู้แล้วรู้รอดเลยเหอะ! “พี่คนนั้นน่ะ”

เฮือก!! สะดุ้งในจังหวะเดียวกับรถเบรก มือพลาดปล่อยหลุดจากราวจับตัวเซไปด้านหน้า งานนี้ไม่เหยียบตีนคนแวดล้อมจนโดนด่า ก็คงหน้าทิ่มพื้นเป็นแน่!!

หมับ!!

แต่แล้วบางอย่างกลับทำให้ประหลาดใจ ทั้งตัวไม่ล้มเอนเป็นพินลูกโบว์ลิ่งระเนระนาด แถมยังมีใครบางคนจับต้นแขนพยุงไว้แน่น

“พี่ครับ จะจ่ายป่ะ”

“บีทีเอสสองคนครับ”

เสียงทุ้มนุ่มหูดังข้ามหัวไป เป๋ารถเมล์ตะโกนบอกราคาสี่สิบบาทก่อนฉีกตั๋วยื่นส่งให้ คนจ่ายตังค์รับมันมาไว้ในมือ แล้วหันไปตอแยคนอื่นต่อ

บ้าน่ะ เป็นไปไม่ได้...ต้องเป็นคนอื่นที่บังเอิญไปบีทีเอสขึ้นมาพร้อมกันสองคนแน่ๆ

“ก็ดีเหมือนกัน ยืนเกาะผมไปแบบนี้ ไม่ต้องโหนราวก็ได้” เป็นความจริงที่ไม่อยากรับรู้ แต่ถ้าไม่เงยหัวไปดูก็ไม่อาจรู้ถึงความเป็นจริง ผมชักหน้าขึ้นมอง และก็เป็นอย่างที่คิดไว้

“มาได้ไง”

“วิ่งตามมาครับ”

“ผมหมายความว่าทำไมต้องตามมาด้วย”

“ตามคนเอ๋อ คนเซ่อซ่ามา”

“ใคร?”

“เขียนไว้กลางหน้าผากเลยครับ” เจ้าตัวยกบางอย่างที่พาดไหล่โชว์ให้เห็นแวบๆ

“เฮ้ย กระเป๋าผม” มือจะฉวยกลับคืนมาแต่ทว่า

“ไม่ได้”

“เกรท!”

“ของที่ทำตกไว้ไม่มีชื่อเจ้าของ ก็ถือว่าคนเก็บได้เป็นเจ้าของ” เปิดมาดูบัตรประชาชนพิสูจน์เลยมั้ย พี่ไม่เข้าใจน้องเกรทเลยครับ!

“อยากได้ก็เอาไป” ถ้าลงไปได้คงมีแต่ต้องโกโฮมด้วยแท็กซี่แล้วไปเบิกตังค์แม่สินะ ผมยืนคิดแผนการต่อจากนี้ พื้นที่ที่เคยมีราวให้จับมันกลับไม่มีช่องให้แทรกแล้ว เลยมีแต่ต้องรับกรรมยืนตัวลีบไปกับคนข้างหน้า แต่รู้สึกจั๊กกะเดียมแปลกๆคงเป็นแขนที่โอบรอบเอวกระชับเสียดิบดีไม่มีเอนล้มเนี่ยสิ







“บีทีเอสคร้าบบบบ”



เหมือนได้กลับสู่อิสรภาพ หลังจากเบียดบู้บี้เป็นปลากระป๋อง พอแหวกผู้คนลงมาเดินด้านล่างได้เลยสูดอากาศหายใจให้เต็มปอดจนสะลักไอค่อกแค่ก

“คิดไงสูดควันท่อไอเสียเข้าปอดขนาดนั้นเนี่ย” มือใหญ่ลูบหลังผมปอยๆ เหมือนจะช่วยแต่กลับทำให้บริเวณผิวที่ต้องสัมผัสร้อนหนักกว่าเก่า ผมไม่คิดจะตอบอยู่แล้ว เดินสิบก้าวให้ห่างจากป้ายรถเมล์พอเห็นแท็กซี่ป้ายไฟเขียวจึงโบกไม่รีรอ แต่โชคร้ายโบกกี่รายกี่รายก็ไม่มีใครรับ น่าจะเป็นเพราะขากลับไม่คุ้มค่าไม่น่ามีคนเรียกแท็กซี่ล่ะมั้ง

“อิมเรียกแท็กซี่ทำไม” คนด้านหลังถาม หันไปทำตาค้อนขวับ

“ถามมาได้ ไม่มีตังค์วุ้ย!” ตอบรับแบบนี้ อีกฝ่ายมีแต่ยิ้มเหมือนคนบ้า ไปบ้าใกล้ๆตีนผมเลย เดี๋ยวบั๊ด หงุดหงิด กวนส้นว่ะ

“ให้เสี่ยเกรทเลี้ยงมั้ยล่ะ” ร่างสูงยกกระเป๋าสตางค์ชูขึ้นสูงแกว่งไปมาให้ผมเห็น หน้าตาคุ้นๆนะเราเหมือนกระเป๋าตังค์พี่ไม่มีผิด เออ...ของผมเอง ไอ้เด็กเกรทมันกวนประสาท เอามาแกว่งตรงหน้าผม

“ไม่เป็นไรครับที่บ้านมีฐานะ”

“ฐานะ? ฐานะอะไรครับ”

“ยากจน”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” น่าจะชินกับผมมาบ้าง ใช่ว่าช่วงหลังอยู่ด้วยกันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วจะสร้างภาพปั้นหน้านิ่งเป็นสิงห์อิมจอมโหดแบบใครเขาว่ากันได้ เกรทเลยมีโอกาสรู้จักมุมประหลาดของผมอยู่บ้าง

ผมถอนหายใจหนึ่งวืบ ก่อนตั้งหน้าตั้งตาหาแท็กซี่ใจดีไม่มีไปส่งรถต่อ

“เลิกโบกเถอะครับ”

“หรือจะให้ผมโบกหน้าคุณแทนล่ะ”

“เอาสิ ให้โบกด้วยปากนะ”

“ชาติหน้าเหอะ”

“ไป...ไปขึ้นรถไฟฟ้า” เกรทฉวยข้อมือผมไว้ก่อนทันได้โบกคันถัดไป

“ผมไม่มีบัตร”

“อยู่ในมือแล้วไงครับ”

มือ?

มือที่จับประสานกันแนบสนิทมีแผ่นแข็งๆแทรกตรงกลาง นี่ผมต้องเคลียร์ด่านไปเรื่อยๆถึงจะได้ไอเทมกลับบ้านมาหนึ่งอย่างใช่มั้ย

...เมื่อไรจะเกมโอเวอร์วะ...



…TBC…

+++++++++++++++++++++++


จากนี้จะเป็นการรีเทิร์นย้อนกลับไปเรื่อยๆค่ะ ตามชื่อเรื่องเลย
อาจจะมีเอ๊ะ อ๊ะ ตอนไหนหว่าสักเล็กน้อย...ขออภัยถ้าต้องย้อนไปเปิดดูค่า

ใครจะเจ้าเล่ห์กว่ากันระหว่างเกรทกับอิม555

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
 อ่านมาไม่งงนะ แต่อ่านย้อนกลับนี่แหละจะงงหนักกว่าเดิม555

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด