รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 100% จบ [30/12/2019]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 100% จบ [30/12/2019]  (อ่าน 13223 ครั้ง)

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
หมายถึงอะไร มันต้องมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอยู่แน่ๆเลยครับ,,,

ออฟไลน์ i.am.wee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เรื่องมันจะเป็นยังไงต่อไปน้า...ใยไหมกับเบส...อิมเมทกับเกรท...หรือ...ใยไหมเกรท...อิมเมทเบส

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบเอ็ด...คนตะลุมบอล


“น้องอิม แม่ว่าจะถามเลย” ผมเงยขึ้นมองหน้าแม่ขณะที่กำลังเล่นโทรศัพท์อยู่ตรงโซฟาหน้าทีวี โดยมีพ่อนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ข้างๆ

“ครับ?”

“ผ้าขนหนูผืนยาวๆนี่ของลูกใช่มั้ย”

“ผ้าขนหนู?” ไม่ปล่อยให้สงสัยนาน แม่ผมยกผืนผ้าสีแดงแทรกลายตัวอักษรสีขาวภาษาอังกฤษซึ่งพับเรียบร้อยอยู่ในมือขึ้นมา

“ผืนนี้น่ะ” ของใครทำไมลายคุ้นๆ จ้องอยู่สักพักจึงเขย่งตัวจากโซฟาด้วยขาข้างเดียวไปคว้าสิ่งที่อยู่ในมือมารดามา

...นี่มัน...

“ของผมเอง แม่” มองแบรนด์บนผืนผ้าปราดเดียวรู้ทันทีว่าของใครและได้มาตอนไหน ผมรับมันไว้กับตัว เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายืมมาในวันฝนตกแล้วยังไม่มีโอกาสคืน จนป่านนี้จะมาคิดว่าเจ้าตัวมีใช้หรือไม่คงสายไปเสียแล้ว แต่ขึ้นชื่อว่ายืมของคนอื่นมายังไงก็ต้องส่งมันกลับเจ้าของ และก่อนอื่นต้องหาทางไปพบเจ้าตัว...

‘จากนี้ไปผมจะเปิดแจ้งเตือน...แค่เฉพาะกับพี่ละกันนะครับ’

“...”

คำพูดสะกิดใจผุดขึ้นในห้วงความทรงจำ วันที่เกรทลาป่วยสองสามวันผมบากบั่นปั้นหน้าไปหาเจ้าตัวแล้วเผลอหลุดคำตำหนิกล่าวขานออกไป จนพึ่งมาเข้าใจสาเหตุว่าทำไมเกรทถึงไม่อ่านข้อความ ไม่ใช่เป็นเพราะคนส่งสารแต่คนรับข้อความต่างหากที่เป็นปัญหา เจ้าตัวไม่สนใจเลยว่าใครจะเป็นตายร้ายดียังไง สนแต่ทักเขาไปคนนั้นจะต้องตอบ มันเลยเป็นที่มาของการที่ข้อความส่งไปสามชาติกว่าแต่ไม่แสดงว่า ‘อ่านแล้ว’ ไงล่ะ

วันก่อนที่ทักไปแล้วเจ้าตัวสนใจ นั่นถือว่าใช้แต้มบุญไปมากเลยสินะ แต่ความจริงแล้ว...

...ไม่ต้องเปิดแค่เฉพาะของผมก็ได้นี่หน่า...

ถ้าไม่สนใจ ก็ไม่ต้องเปิดให้หมด ถ้ามีธุระสำคัญเดี๋ยวก็โทรไปหาเอง ไม่เห็นต้องทำให้ผมดูพิเศษขึ้นมาก็ได้

“หวงขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ฮะ?”

ผมประหลาดใจที่แม่เอ่ยทักขึ้นมาพลางส่งสายจามาตรงหมอนอิงนุ่มนิ่มประดับโซฟาที่ผมกอดอยู่ ผ้าสีแดงซึ่งรับมาจากแม่ถูกวางพาดไว้ โดยมีผมแนบปากลงไปงึมงำใส่มัน รู้สึกกระดากแปลกๆจนต้องยกหน้าขึ้นหยิบผ้ามาเล่นกับมือ

“หวงอะไร ไม่ได้หวง”

“รสนิยมน้องอิมเปลี่ยนไปนะ เดี๋ยวนี้ชอบแนวสตรีทโย่วว๊อทซับตั้งแต่เมื่อไร” แม่ทำท่าเดอะแร๊ปเปอร์ใส่พลางฉวยปลายผ้าสีแดงหอมฟุ้งกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ผมจับไว้มาลูบเล่นกับปลายมือ

“ตั้งแต่เมื่อเดือนก่อนไงคะแม่” เสียงยัยมายด์นั่งเล่นมือถืออยู่ตรงโต๊ะทานข้าวพูดแทรกขึ้นมาพลางยิ้มล้อ เหมือนแกจะรู้สไตล์ว่าคนแบบไหนที่อยู่ใกล้ผมแล้วใช้ของแบบนี้

แต่ท่าทีหรี่ตาพลางร้อง ‘อ๋อ’ ของแม่ซึ่งตามหลังมามันหมายความว่ายังไงครับ

“ไม่ได้ชอบหรอกครับ” ก่อนโดนรุมโจมตีจนแพ้พ่าย ผมรีบบ่ายหน้าลุกขึ้นสืบเท้าไปถึงบันได ปล่อยสายตาสงสัยทิ้งไว้ด้านหลัง ขึ้นมายังชั้นสอง เปิดประตูห้องนอนแล้วปิดฉับลงทันที

“ไม่ได้ชอบสักหน่อย” ผมยืนมองผืนผ้าสีแดงนั้นนิ่งนาน

...แค่บังเอิญคนที่ผ่านไปตอนนั้น และยืนอยู่ตรงนั้น ดันเป็นผม เท่านั้นเอง...

“ใช่มั้ยวะ เกรท”

พูดชื่อเลยนึกใบหน้าขึ้นได้ ผมยังไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำเลยนี่หว่า พอรู้ตัวเลยรีบคว้าโทรศัพท์มากดอัดข้อความลงไป



<Greatเทศ


เกรท


ครับ


ผมสะดุ้ง คำว่า ‘อ่านแล้ว’ ขึ้นไวไม่พอแถมเจ้าตัวตอบกลับมาราวกับว่าเปิดหน้าจอไว้ตลอด


พรุ่งนี้พอมีเวลารึเปล่า


มีอะไรรึเปล่าครับ


ผมจะเอาผ้าขนหนูที่ยืมคุณมาไปคืน


ผ้าขนหนู?


อันที่สีแดงลายSupreme
ที่คุณเคยให้ผมยืมมาตอนวันฝนตกไง


อ๋อ


‘แต่ถ้าไม่สะดวกไว้คราวหน้าก็ได้นะ...’ ผมกำลังพิมพ์อยู่แต่คู่สนทนากลับตัดบทขึ้นมาก่อน


พรุ่งนี้พี่มาหาผมที่สนามกีฬาตอนห้าโมงเย็นได้มั้ย
ผมนัดมีเตะบอลกับเพื่อน
พอดีเลย
จะได้เอาผ้าขนหนูไปใช้



สนามกีฬา? หมายถึงสเตเดียมอย่างงั้นเหรอ...ไม่ไกลจากคณะเท่าไรน่าจะพอไปได้


ได้ เดี๋ยวผมไปหา


ครับ
*สติ๊กเกอร์...*



เด็กเกรทตอบมาสั้นๆ แต่พอสติ๊กเกอร์ขึ้นมาเท่านั้น ผมแทบสะดุ้ง

...ไอ้เหี้ย...อารมณ์ไหนเนี่ย...


เจ้าคุกกี้สีน้ำตาลกำลังส่งจูบเป็นรูปหัวใจให้ผมรัวๆ









...ให้มันได้อย่างนี้ดิ...


ภาพตรงหน้าทำให้ผมยืนค้างอยู่ที่เก่า ค้างอยู่ตรงนั้นแบบทำอะไรไม่ถูก ตั้งแต่เรื่องคุกกี้เมื่อคราวก่อนแล้ว ผมก็ว่ามันกลิ่นทะแม่งทะแม่งมาตั้งแต่ตอนนั้น แต่ไม่นึกว่าคนสำคัญของผมจะไปลงเอยกับคนที่ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่อาจคิดได้ว่าจะมาบรรจบกันได้

ใยไหมกับไอ้เบส...

ผมเห็นสองคนลงมาจากรถของเพื่อนสนิทผม ยามเมื่อจอดนิ่งอยู่กลางลานกว้าง ต่างฝ่ายต่างเดินตามกันมุ่งหน้าไปยังตึกเรียน ความรู้สึกเหมือนคลื่นเหียนวิงเวียนอยู่ในหัว ผมทำตัวไม่ถูกเมื่อรู้ว่า ‘เพื่อนสนิทคนสำคัญ’ มีบางอย่างกับ ‘คนที่แฟนผมกำลังชอบ’

เฮ้ยมันต้องไม่ใช่สิ ก็ในเมื่อคนที่ผมเห็นตอนไปร้านกะเพรากับเกรทมันไม่ใช่ไอ้เบสชัดๆ แล้วผมก็เชื่อว่าคนที่เกรทเห็นตรงร้านไข่มุกมันคนละคนกับเพื่อนผมแน่ นี่โลกกำลังเล่นตลกอะไรกับผมอยู่เนี่ย หรือทางที่ดีผมควรจะถามไอ้เบสให้แน่ใจเสียก่อน แต่ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างสองคนที่ผมรู้จักนั้น ให้ทำอย่างไรก็ไม่อาจนึกออก เพราะมันแทบไม่ต่างอะไรกับสถานะของใยไหมกับผมที่เป็นเพื่อนร่วมคณะ แต่ไอ้เบสกลับมากับเขา อย่างนี้มันหมายความว่ายังไง


“อิม...”

“...”

“เฮ้ย ไอ้อิม”

“ฮะ...ฮะ?”

“เป็นบ้าอะไรวะ เหม่ออยู่ได้ทั้งวัน” มือของไอ้เบสที่กำม้วนชีทตีหัวผมลดต่ำลง พลางร่างสูงส่งสายตายิ้มกึ่งหัวเราะให้มันโคตรตรึงอยู่ในใจ ผีตัวไหนมาเข้าไอ้เบสวะมันถึงได้โชว์ฟันสามสิบสองซี่ให้ผมได้หวานขนาดนี้ เจ้าตัวขยับลงนั่งข้างๆ เท้าแขนกับโต๊ะเรียนที่หน้าตาเหมือนโพเดียมก่อนหันมามอง

“เย็นนี้ไปไหนป่ะ” ตอนนี้เป็นวิชาสุดท้ายของวัน นาฬิกาบอกเวลาปาไปสี่โมงประจวบเหมาะกับเวลาที่ผมควรจะไปหาเกรท แต่ทว่า...

“มึงจะชวนกูไปไหนเหรอ”

“กูกะว่าจะไปหาอะไรแดก ไม่ได้ไปหาอะไรอร่อยกินกันนานแล้วหนิ มึงติดอะไรป่ะ”

“ไม่...” ไม่ติดบ้าอะไรล่ะ ผมต้องไปหาเกรท...แต่นี่มันโอกาสทองที่นานๆไอ้เบสมันจะมาชวนผมทีเลยนะ แล้วอย่างนี้ผมจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไงวะ แต่สัญญากับอีกฝ่ายก็สำคัญ ตกลงกันไว้ล่วงหน้าเสียดิบดีแต่กลับเป็นผมที่จะเทเกรทเนี่ยนะ มันไม่แฟร์เลยว่ะ

“กูต้องเอาของไปคืน...เออ...คืนที่หอสมุดกลางก่อน มึงรอกูได้เปล่าล่ะ”

“ได้ดิ ให้กูขับไปส่งมึงที่หอสมุดก็ได้นะ” ภาพของใยไหมที่ลงจากรถไอ้เบสวาบขึ้นมาในสมอง

“ไม่เป็นไร” ผมเอาชีทตีหน้ามัน “กูไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็มา”

“ได้งั้นกูรออยู่ใต้ถุน...”

“เบส” ผมเรียกขานพลางจ้องหน้ามันที่เลิกคิ้วสงสัยในใบหน้าจริงจังของผม

“มีอะไรก็พูดมาดิวะ อ้ำอึ้งเพื่อ”

“คุกกี้วันก่อนนั้นของแฟนมึงเหรอวะ”









ล่องลอย ไม่มีอะไรจะระบุจิตใจตอนนี้ได้ตรงมากเท่าคำนี้แล้ว มันเคว้งไปหมดในตอนที่จับต้นชนปลายเรื่องราวทุกอย่างได้ถูก การมาเจอกันของเกรทกับผมแม่งแทบเอาไปตั้งชมรมรวมคนอกหักได้เลย พอถามคำถามนั้นจบไอ้เบสมันนิ่งใส่ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า

‘อือ ของแฟนกูเอง’

ผมค่อนข้างแน่ใจว่าคุกกี้นั้นเป็นฝีมือของใยไหมเพราะทั้งหน้าตา รสชาติ รวมถึงกระดาษที่ห่อลามไปถึงตัวริบบิ้นมันเป็นของที่ผมเคยได้รับมาจากเธอทั้งสิ้น ถ้าอย่างนั้นแล้วคนที่ใยไหมไปด้วยวันนั้นล่ะ หรือว่าจะเป็นคนเก่าที่เพิ่งเลิกกันก่อนมาคบไอ้เบส หรือใยไหมจะคบซ้อน หรือ...หรือเป็นแค่น้องชาย...

คิดจนแทบหัวแตกตายก็คิดไม่ออก ผมหยุดยืนนิ่งหันมามองภาพสะท้อนตัวเองในกระจกร้านกาแฟข้างทาง ไม่นานก็รู้ตระหนักรู้ดีว่าไม่ว่าเรื่องราวจะมาทางไหน...จุดจบสุดท้ายผมก็เป็นได้แค่อะไรที่ไม่สำคัญสำหรับมัน...

สะท้อนใจฉิบเป๋ง ไม่น่าจะอยากรู้อยากเห็นอะไรแบบนี้เลย ถ้าปล่อยให้ไม่รู้ต่อไป แฟนไอ้เบสก็ยังเป็นคนลึกลับ หาตัวจับยาก แล้วผมก็ไม่ต้องมารับรู้ว่าผมแม่งแทบจะสู้อะไรอีกฝ่ายไม่ได้เลยสักกระเบียดนิ้ว ทั้งความสวย ความนุ่มนิ่มน่ารัก อ่อนโยนนิสัยดี และความมีมารยาท กอปรกับความแม่บ้านแม่เรือนด้วยแล้ว

ใช่สิ...ผมมันสู้ไม่ได้ตั้งแต่เกิดมาเป็นผู้ชายแล้วล่ะ

ระหว่างเดินจิตตกทำร้ายตัวเองอยู่สักพักกลับเหลือบไปเห็นแผ่นหลังคุ้นตาซึ่งกำลังเดินมุ่งหน้าไปทางเดียวกัน

“ใยไหม?” ร่างตรงหน้าหมุนตัวกลับมาทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก เป็นคนที่ผมคิดไว้จริงๆใยไหมคนที่ใครๆต่างก็ตกหลุมรัก

“อ้าวอิมเมจ มาทำอะไรแถวนี้เนี่ย” ตรงนี้เป็นทางเดินไปยังหอสมุดซึ่งต้องผ่านสนามกีฬากลางสถานที่นัดหมายของผมกับเกรท มันเป็นอุบายในการมาคืนผ้าโดยหลีกเลี่ยงความบาดหมางไม่พอใจของเพื่อนสนิทซึ่งไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นมาจากอะไร แต่ยามที่เบสได้ยินชื่อเกรทที่ไรเจ้าตัวต้องไม่พอใจทุกครั้ง

“ผมกำลังจะไป...” ถ้าใยไหมเป็นแฟนไอ้เบสจริง เธออาจจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าเม้ามอยตามภาษาผู้หญิงเหมือนอย่างยัยมายด์ก็เป็นได้ ผมเลยงับปากเอาไว้พลางบอกโป้ปดออกไป “หอสมุดน่ะ แล้วใยไหมล่ะ”

“ไหมกำลังจะไปสนามกีฬากลาง”

“หา?”

“ไปดูเพื่อนเตะบอลน่ะ”

“...”

เหมือนไอเดียชั่วร้ายบางอย่างผุดขึ้นในสมอง ไม่นานผมก็คว้าของบางอย่างจากกระเป๋าข้างขึ้นมาถือไว้

“เออ ใยไหม”

“หืม?” เธอเอียงคอทำเสียงขึ้นจมูกอย่างน่าเอ็นดูตอบรับ

“ผม...มีเรื่องจะวานหน่อย”









“ทำไมไปไวจังวะ” เสียงไอ้เบสทักตอนที่ผมวิ่งตึกตักหน้าตาตื่นกลับมา

“เออ..กูลืมไปว่าไม่ได้เอาหนังสือมา กว่าจะรู้ตัวก็เดินไปถึงกลางทางแล้ว เลยรีบกลับมา”

“อ้าว แล้วทำไงวะ นี่ต้องส่งคืนวันนี้รึเปล่า ให้กูขับไปส่งบ้านมั้ย แล้วค่อยกลับมาอีกรอบนึง”

“ช่างเถอะ เสียค่าปรับก็เสีย ไม่คุ้มค่ารถ ไปกันเถอะ” ผมคว้าแขนไอ้เบสให้ลุกขึ้น

ใจตื่นเต้นมือเย็นจนหมดเรี่ยวแรง เหมือนคนทำความผิดครั้งแรกในชีวิต เมื่อกี้ผมทำไปได้ไงวะ ผม...ทำอะไรลงไป จนถึงตอนนี้แทบไม่อยากจะเชื่อตัวเอง

...ผมให้ผ้าผืนนั้นกับใยไหมฝากไปคืนเกรท อ้างสารพัดว่าผมต้องรีบไปหอสมุดแล้วรีบกลับเลยไปหาอีกฝ่ายไม่ได้ ไหนๆใยไหมก็ต้องแวะไปแถวนั้นเลยฝากผ้าขนหนูสีแดงส่งให้ไปคืน...

ถ้าใยไหมเลิกกับเบสได้...เกรทก็คงได้คบกับคนที่ตัวเองรัก...ส่วนผม...ก็จะได้เพื่อนตรงหน้ากลับคืนมา...

มารร้ายในสมองเอาแต่สั่งให้ผมทำเป็นว่าทุกอย่างไม่ผิด ผมก็แค่เปลี่ยนทางน้ำให้ไหลลงลำธารสายเล็กแทนที่จะเป็นทะเลสาบกว้างใหญ่...เปลี่ยนบางสิ่งไม่ให้มันดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น...

การมาทานอาหารในสภาพกระวนกระวายใจไม่ช่วยให้มีความสุขเอาเสียเลย ผมนั่งจิ้มผักในจาน เหลือบมองหน้าจอมือถือเป็นระยะ เหมือนอย่างคนกลัวความผิดอะไรบางอย่าง พลันหน้าจอสว่างวาบก็สะดุ้งทุกครั้งแล้วมุ่งมั่นนั่งจิ้มอยู่แต่หน้าจอ

“มากับกูแต่มัวแต่ห่วงมือถือ ได้ไงวะ”

“หา?” ไอ้เบสมันคว้าโทรศัพท์ไปจากมือผม จ้องหน้าจอที่เปิดค้างพลางขมวดคิ้ว

“ไอ้เด็กเกรทอีกแล้วเหรอ” ผมรีบคว้ากลับ กลัวไอ้เบสเห็นข้อความที่คุยล่าสุด เรื่องที่จะไปคืนผ้าขนหนู โชคดีที่เพื่อนผมมันไม่ติดใจอะไรพลางหั่นเนื้อสเต็กของมันกินต่อไป “ทำไมมึงไม่เลิกกับมันสักทีวะ”

“หา?”

“มึงเป็นคนบอกกับกูเองไม่ใช่เหรอ ว่ามันมาสารภาพกับมึงเพราะไม่ทันมองหน้า เข้าใจผิดไปว่าเป็นคนอื่นที่มันชอบ”

“อะ...อ๋อ เออ ก็นะ”

“ก็นะบ้านมึงดิ” เนื้อสเต็กที่มันหั่นจิ้มเข้าปากผมพอดิบพอดี ไอ้เบสมันเล็งไว้อยู่แล้ว มันชอบแกล้งขุนให้ผมกินเยอะๆเป็นตัวตายตัวแทนซิกแพ็คของมัน

“อู...กู รอจังหวะอยู่” ผมเคี้ยวหมุบหมับเอื้องเอื่อยอยู่ชั่วครู่ก่อนกลืนเนื้อลงคอ

“จังหวะอะไรวะ”

“จังหวะที่จะบอกเลิกไง”

“ไม่เห็นต้องรอจังหวะเลย จะบอกก็บอกไป จุดจบสุดท้ายก็คือแยกย้ายแล้วจบเปล่าวะ ไม่เห็นต่าง”

“จะบอกรักบอกเลิกมันไม่ได้ง่ายๆขนาดนั้นนะเว้ย”

“มันจะไม่ง่ายก็ต่อเมื่อมึงคิดอะไรกับมัน”

“...”

“กูถึงบอกให้มึงทำให้ชัดเจนไง” ไอ้เบสดูอารมณ์คุกกรุ่นอยู่ในที มันวางส้อมกับมีดลงพลางลุกขึ้นทำทีจะไปตักสลัด แต่กลับทิ้งท้ายคำพูดไว้ประโยคนึงให้ผมคิด “มึงคิดดูให้ดีนะ พื้นเพมึงก็ไม่ได้ชอบผู้ชาย ดูอย่างกูก็ได้ คบกับผู้หญิงน่ารัก ดีกว่าเป็นไหนๆ อย่ามาทำให้เรื่องไร้สาระมีอิทธิพลกับชีวิตมึงไปมากกว่านี้เลย”

“...”

...เรื่องไร้สาระอย่างนั้นเหรอ...

ผมจิ้มชิ้นไก่ที่ถูกหั่นไว้เข้าปาก...

...ทำไม...อาหารมื้อนี้โคตรจะไม่อร่อยเลยวะ...



ผมเดินซึมออกมาจากร้าน ทั้งที่มื้อนี้ไอ้เบสบอกเลี้ยงแต่กลับไม่รู้สึกดีเลยสักนิด มีแต่จะรู้สึกแย่ มันอึนไปหมดจนผมต้องมานั่งคิดทบทวนว่า ที่ผ่านมาผมทำไปเพื่ออะไร

การที่มุ่งหน้าตั้งใจจะเป็นตัวร้ายตามแบบฉบับนิยายเรื่องนึงคงเป็นเรื่องยากสำหรับคนทำเลวไม่ขึ้นอย่างผม

...รู้งี้...เอาผ้าขนหนูไปคืนเองก็ดี...

ผมตบปากตัวเอง เคยประกาศก้องด้วยความตั้งใจว่าจะไม่เสียใจกับสิ่งที่ทำไปด้วยคำว่า...รู้งี้...เป็นอันขาด แต่ทำไมคราวนี้กลับ...

“ปากเป็นอะไร” เสียงไอ้เบสที่เดินอยู่ข้างๆเรียกให้หันไปมอง ผมช้อนตาให้ความสนใจกับคนที่ขยับเข้ามาใกล้ “ตีปากตัวเองทำไมวะ” ไอ้เบสคว้าข้อมือที่ปิดปากผมไว้ออก พลางขยับหน้าเข้าใกล้จนรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ มันจิ้มเข้ามาเกินกว่าคำว่าสำรวจ สายตาคมสีอ่อนของมันกำลังจ้องมาที่ริมฝีปากผม ลมหายใจอุ่นร้อน มันบ่งบอกถึงความแนบชิดสนิทเกินจำเป็น

เสียงเรียกเข้าของข้อความเหมือนระฆังช่วยชีวิตให้หลุดจากวิกฤตินี้

ผมรีบถอยก่อนหยิบมือถือตนเองขึ้นมามองแจ้งเตือนที่มาจาก...เกรท...


<Greatเทศ

พี่อิมอยู่ไหนอ่ะ



สำเนียงการพิมพ์ดูประหลาดเหมือนไม่ใช่เกรทคนที่ผมรู้จัก มีคำว่า ‘อ่งอ่ะ’ ถ้าไม่คิดว่าผีเข้าผมคงเดาว่าคนอื่น มาถึงตอนนี้เจ้าตัวคงรู้แผนการผมดีแล้วล่ะ เลยทำใจเตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้า


อยู่ห้าง มากินข้าวเย็นกับเพื่อน


รอคำต่อว่าต่อขานของเกรท หรือไม่ก็คำประเภทแสดงอารมณ์ตื่นเต้นไม่สมกับเป็นเจ้าตัวยามได้เจอคนที่ตนเองชอบ แต่ทว่าทุกอย่างดันกลับตาลปัตร


ยังอยู่แถวมหา’ลัยมั้ย พี่มารับไอ้เกรทไปที


หา?


นี่ผมนัทนะ
ไอ้เกรทแม่งเมา เมาจนไม่รู้จะหามมันกลับยังไง
ส่วนไอ้ไลค์แม่งก็สภาพไม่ต่างอะไรกับเชี่ยเกรทเลย
ผมต้องแบกไอ้ไลค์ไปส่ง แบกกลับสองคนไม่ไหว
พี่มาช่วยหามไอ้เกรทกลับให้ผมได้มั้ย
ผมไม่รู้จะเรียกใครแล้ว



เตะบอลเสร็จหัวใจยังสูบฉีดไม่พอนี่เล่นไปดวดแอลกอฮอล์ต่อกันเลยเหรอวะ

ผมงงกับพฤติกรรมประหลาดของเกรท

จุดจบที่ควรได้รับจากการจับผ้าขนหนูร่วมกันคือการไปฉลองจนเมาหัวราน้ำที่ร้านเหล้าเนี่ยนะ


พวกคุณอยู่ไหนกัน


เดี๋ยวผมแชร์โลเคชั่นให้





ร้านที่มาอยู่โคตรใกล้มหา’ลัย มันไม่ใช่ผับหรือบาร์ แต่เป็นร้านอาหารธรรมดาที่มีการขายสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บรรยากาศร้านดูชิลๆสบายๆตามสายแดก จะผิดแผกก็แค่หนึ่งคนที่หน้างอคอหักหลังพับอยู่บนโต๊ะกับอีกคนที่นั่งหลังตรงเหมือนไม้กระดานใบหน้านิ่งเฉยราวกับเทพปูนปั้นที่สวรรค์สรรค์สร้างไว้ประดับบารมีศรีนิเทศศาสตร์แห่งมหา’ลัย

“พี่อิม” เสียงหนึ่งในสมาชิกที่ดูสติยังดีอยู่ทักขึ้นมา คนชื่อนัทลุกพรวดพราดวิ่งมาหาผม “หูย โคตรโชคดีที่พี่ตอบ”

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเมาเรื้อนขนาดนี้”

“เอามาอีก!! เอามา” ทำไมถึงบอกเรื้อนก็ดูอย่างเด็กไลค์ที่ชักหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหันพลางยกแก้วเหล้าชูสูงถึงเหนือหัวเนี่ยดิตัวดีเลย

“เชี่ยไลค์ มึงเบาๆเดี๋ยวก็โดนเตะออกจากร้านหรอก”

“กูจาดื่มเป็นเพื่อนไอ้เกรท...แด่โคนโอกหากกกก”

“สัด!”

นัทตบกบาลเพื่อนไปหนึ่งทีพลางหันมายิ้มแหยใส่ผมราวกับคนทำความผิด

“พี่อย่าไปฟังไอ้ไลค์มัน เมาแล้วเอ๋อ พูดมั่วซั่วไปเรื่อย”

“แล้วไหนที่ผมให้แบก” ผมถามออกไป เพราะเห็นสภาพของเกรทยังดีอยู่ทุกประการ เจ้าตัวนั่งนิ่งแถมยังยกแก้วในมือกระดกอึกๆแบบนอนสต็อป

“เชี่ยๆๆๆไอ้เกรท มึงเลิกดื่ม” เด็กนัทวิ่งตาลีตาเหลือกไปคว้าแก้วคนตัวสูงเอาไว้ เกรทส่งสายตาปรือปรอยมองไปทางคนช่างขัดแล้วสลับมามองหน้าผม

“อาการก็ยังดีอยู่นี่”

“ดีที่ไหนล่ะพี่ นี่แหละตัวดีเลย เห็นนิ่งๆแบบนี้น่ะ มันเมา!!”

หา?

“ตอนแรกๆที่คบกับมันใหม่ๆก็คิดว่าคนอะไรวะโคตรคอแข็ง แต่พอมาวันรุ่งขึ้นแม่งเดินกลับไม่ถึงหอเสือกไปนอนรอหน้าคณะ ยุงกัดแม่งลายทั้งตัว นี่ยังไม่เท่าไรนะ ครั้งที่สองทุกคนก็ยังไม่เชื่อ แล้วเป็นไง นู้นครับไปนอนกลางสนามกีฬากลาง ต้องให้คนมาหามมันกลับบ้าน โคตรขายขี้หน้าเลย”

โห...วีรกรรม..

“แล้วผมต้องทำไง”

“แค่แบกมันกลับหอให้ได้ แค่นั้นก็พอแล้วพี่ แค่นี่มันมีแรงเดินตามพี่ไปแหละ แต่แค่ถ้าไม่มีคนนำทางมันก็กลับบ้านไม่ถูกเท่านั้นเอง”

“เกรท”

“พี่อิม..อึก...”

“กลับบ้านกัน”

“อือ”

เจ้าตัวลุกขึ้นเดินตามผมมาอย่างว่าง่าย เหมือนหมาน้อยที่เดินตามเจ้าของต้อยๆ แอบมองเห็นรอยช้ำปนเลือดแปลกๆที่มุมปาก...เคยมีมันอยู่ตรงนี้มาก่อนเหรอ

“วันนี้เกิดอะไรขึ้น”

“...” หน้าเด็กนัทดูตื่นๆเหมือนคำถามของผมไปจี้ใจดำอะไรบางอย่าง เจ้าตัวทำท่าอึกอักก่อนย้อนถาม “ทำไมพี่ถึงถามอย่างนั้นล่ะ” ผมยืนเผชิญหน้ากับเกรทที่ยืนเต็มความสูง เจ้าตัวเหมือนเบลอแบบพร้อมจะเดินเมื่อผมก้าว และเท้าพร้อมหยุดเมื่อผมนิ่งอยู่กับที่ ผมกระตุกหัวให้เพื่อนเกรทหันไปดูสิ่งที่ผิดแปลกไปจากเดิม

“ที่ปากมีรอยช้ำ เหมือนไปโดนใครต่อยมา”

เด็กนัทนิ่งเงียบอยู่ไม่กี่วิ สุดท้ายก็ยอมเปิดปาก

“มิน่าล่ะทำไมไอ้เกรทถึงบอกว่าแฟนมันฉลาด”

“อย่าเฉไฉ สรุปแล้วเรื่องมันเป็นยังไง”

“ไอ้เกรทมันโดยต่อยปากแตกมาน่ะพี่”

หา?

“ต่อย? ใครต่อย?”

“เออ...พี่อิม คือ”

“นัท ผมถามว่าใครต่อย”

“พี่อิม ผมขอเถอะนะ พี่ไปถามมันเองเถอะ ผมไม่อยากยุ่ง” เด็กนัทแทบจะยกมือกราบผม จนใจที่จะบีบคั้นให้พูดต่อ ผมถอนหายใจหนึ่งวืบเงยขึ้นมองหน้าเกรท

“ไปกันเถอะเกรท”







สรุปจวบจนมาถึงที่หมายผมก็ยังไม่รู้อะไรสักอย่าง ได้แต่มองตามเจ้าเด็กตัวโตเดินต๊อกแต๊ก และคอยระวังรถรายามข้ามถนนจนมาถึงหน้าห้อง

“เกรท กุญแจ”

แหมะ...

แบมือไปก็ยื่นให้มาฉับพลัน

คีย์การ์ดแปะโดนเซนเซอร์ปั๊บ เปิดประตูฉับเดินเข้าไปเท่านั้นแหละ

“เฮ้ยๆๆ เกรทถอดรองเท้าก่อน”

ฟึ่บ...ฟึ่บ...

ถอดตามที่สั่งนะ แต่ขวาไปทาง ซ้ายไปทาง โคตรกระจัดกระจาย ผมตัดใจทิ้งไว้แบบนั้นก่อนเดินนำมายังห้องนอน วันนี้คงต้องปล่อยเจ้าตัวลงเตียงให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยจากไปสินะ

“เกรท มานอนนี่เร็ว”

ผมดึงผ้าห่มที่จัดเรียบตึงแบนราบไปกับเตียงแหวกพื้นที่ให้ตัวดีได้นอนก่อนตีเบาะนุ่มตุบๆ ร่างสูงเดินตามมาทิ้งตัวลงผ่านจมูกผมไป กลิ่นเหงื่อไคลและกลิ่นกายเฉพาะเริ่มทำให้รู้สึกตัวว่าคิดผิด...

...ผมควรพาเกรทไปอาบน้ำก่อน ไม่ใช่ให้นอนจมกองเหงื่อกับเหล้าตัวเน่าๆแบบนี้

“ทำไงดีวะ”

“...อิ...” เสียงครางเครือดังอยู่ใกล้ๆแต่เบาเกินไปจนต้องเงี่ยหูฟังด้วยความไม่มั่นใจ

“เกรท...คุณว่าอะไรนะ”

“พี่...อิม” เจ้าตัวหันหน้ามาทางผมฉับ สายตาปรือปรอยบวกกับแก้มแดงๆเหมือนคนเพ้อครางเรียกชื่อผม

“คุณต้องไปอาบน้ำ”

“อาบ...น้าม...”

“ใช่...คุณต้องไปอาบน้ำนะเกรท กลิ่นตัวคุณได้เรื่องเลยล่ะ”

เจ้าตัวนิ่ง นี่อย่าบอกนะว่าผมต้องเดินไปเคาะประตูห้องน้ำเรียกน่ะ!! โอ๊ย เอาไงดีวะ

“เกรทมานี่เร็ว” ผมตัดใจมองซ้ายมองขวาหาอะไรก็ได้ที่คล้ายกับผ้าเช็ดตัว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มี ก่อนนึกอะไรบางอย่างออกเลยวิ่งไปที่กระเป๋าเกรทที่กองอยู่ตรงพื้นหน้าทางเข้าห้องนับตั้งแต่เจ้าตัวเดินเข้ามา ผ้าสีแดงผืนนั้นใยไหมคืนมันให้กับเกรทได้จริง

“พี่...อิม” เสียงแว่วดังเบื้องหลัง เกรทเดินโงกโยกเยกออกมา

“ตามผมมาทำไม”

“...”

เจ้าตัวไม่ตอบ เอาแต่ยืนนิ่งมองหน้าผม

“เออๆคุณถอดเสื้อเถอะ”

พรึ่บ!!

ง่ายและไวดั่งใจสั่ง สาบานว่านี่คนเมาไม่ใช่ผีหุ่นยนต์เข้าสิง คิดพิลึกอยากพิสูจน์ความจริงว่าร่างสูงจะทำทุกอย่างตามที่พูดมั้ย

“เกรท ถอดกางเกง”

พรึ่บ!!

%&@%)@%_#*%_#@%&)(#_#)

“เชี่ย...ผมบอกให้ถอดกางเกง ไม่ได้บอกให้ถอดกางเกงใน!!”

หัวใจกูจะวาย!!

บอกเลยเมื่อกี้ปิดตาไม่ทัน เห็นเต็มๆมันทั้งดุ้น!!

ฮือ...แม่ครับผมแต่งงานไม่ได้แล้ว...

พอเถอะจะเอาอะไรนักหนากับแค่เห็นของผู้ชายด้วยกันวะไอ้อิม ทำตัวตุ้งติ้งน่ารำคาญไปได้ ตัดใจเปิดตาขึ้นมาใหม่อย่างคนใจกล้า สุดท้ายเกรทดันกลับมาใส่กางเกงในแบบทรังค์เข้าไปกับตัวอย่างเก่า

เฮ้ออออออ

ถอนหายใจโล่งอกที่ไม่ต้องถูกมัดมือชกให้ดูเกรทน้อยพลางรีบขยับตัวพาดผ้าขนหนูผืนยาวไว้กับบ่า ดันหลังให้คนตรงหน้าพาตัวเองไปห้องน้ำ



การอาบน้ำของพวกเราเป็นไปอย่าง ‘ง่าย’ และ ‘จบไว’ เพราะเกรทไม่งอแงวอแว เจ้าตัวเอาแต่ยืนนิ่งมองผมทำนู่นทำนี่กับร่างกายสารพัด ไม่ว่าจะเอาฟองน้ำขัดไปตามตัวฟอกสบู่ถูรักแร้ ยิ่งกว่าเลี้ยงเด็กอ่อนเสียอีก มีเพียงส่วนเดียวที่ผมเว้นไว้ไม่ไปแตะต้อง...คือส่วนใต้ร่มผ้าของเจ้าผืนยางยืดชิ้นน้อยนั้น เช็ดตัวปะแป้งจนตัวหอมฟุ้งเดินออกมาขาดเพียงแต่ว่า

...เจ้าผืนผ้าชิ้นน้อยเปียกน้ำมันยังคาอยู่ส่วนล่างของเจ้าตัว...

“เกรท คุณเปลี่ยนเองได้มั้ย” เอียงคอมองหน้าอย่างนี้มันหมายความว่าอะไร ทำเองไม่ได้ใช่มั้ย หรือข้อความคำสั่งมันพลิกแพลงเกินไปจนหุ่นยนต์เกรททำไม่เป็น

สุดท้ายผมเลยอ้อมมือรอบเอวจับอีกฝ่ายถอดแบบไม่มองส่วนล่าง คว้าผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่ซึ่งหามาได้จากห้องน้ำพันร่างกายอีกฝ่ายแบบลวกๆ ก่อนสั่งประโยคสุดท้ายที่เป็นเหมือนคำบ๊ายบายลาขาด

“เกรทไปนอน” ร่างสูงเดินเตาะแตะคว่ำหน้าทิ่มหมอนลงไปนอนยังเบาะนุ่ม ลมหายใจยาวเหยียดของผมทอดถอนออกมาเมื่อรู้ว่าเสร็จภารกิจแล้ว

ก้มมองสภาพตัวเองก็เละไม่ใช่น้อย ทั้งน้ำที่กระเด็นมาตอนจับเด็กเกรทล้างเหงื่อไคล เชิ้ตขาวซึมเปียกเป็นวงกว้าง อีกทั้งกางเกงที่ชื้นจนไม่เหลือสภาพให้น่าใส่ เอาเถอะกลับบ้านแล้วค่อยไปอาบน้ำนอนก็ยังไม่สาย ผมสะพายกระเป๋าเดินผ่านประตูห้องนอนออกมาจนเกือบถึงหน้าทางเข้า ฉับพลันกับเสียงก่อกๆแก่กๆเบื้องหลังทำให้ต้องหันไปมอง

“เชี่ยเกรท!!” ออกมาทำไมวะ จะเดินตามผมมาเพื่อ!! เจ้าตัวในสภาพรุ่งริ่งแหล่ไม่รุ่งริ่งแหล่ ผ้าขนหนูขมวดปมเปิดโชว์ขายาววับแวบที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เดินเตาะแตะมาทำใจสั่นทุกครั้งที่สีขาวนั้นเลิกขึ้นถึงกระดูกเชิงกราน พอมาหยุดตรงหน้าผมก็ทำยืนนิ่งเหมือนหุ่นยนต์แบตหมด

“...”

“เกรทกลับไปนอน”

“ม่ายยยยกาบบบ”

“ผมบอกให้ไปนอน”

“พี่จาปายหนายยย”

“กลับบ้านน่ะดิถามได้”

“ปายยยด้วยยยย”

“ไม่ได้ คุณต้องนอนที่นี่”

“ปายยยยด้วยยย” เกรทเดินโงนเงนเข้ามาใกล้ ชายเสื้อผมโดนจับ แน่นซะด้วย เหมือนมือเด็กอ่อนที่กำนิ้วพ่อแม่ไม่ยอมปล่อย วันนี้ต้องถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ ตอนนี้รู้เพียงแต่ว่านิ้วผมได้กดโทรศัพท์ออกไปหาที่บ้านแล้ว


“แม่เหรอครับ...แม่...วันนี้ผมไม่กลับนะ”


…TBC…

+++++++++++++++++++++++++++++++++++


เกรทเมาแล้วตื้อได้โล่เลย...

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่า ความสัมพันธ์ทั้งสี่?คนค่อยๆกระดึบกระดึบไปเรื่อยๆแล้วน้า

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิเบสนี่ยังไงเนี่ย?  ปากไม่ตรงกับใจ

ส่วนอิเกรท ใครต่อยมัน?

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ตกลงโดนใครต่อยเนี๊ยะ,,,

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เกิดอะไรขึ้นกับเกรทเนี่ย  :katai2-1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบสอง...นาฬิกาเวลาเที่ยงคืน



“เกรท คุณนอนเถอะนะ ผมขอล่ะ”



แทบจะยกมือไหว้เลยงานนี้...

เด็กงอแงตรงหน้าไม่ยอมปล่อยให้ผมกลับ แค่ขยับตัวนิดหน่อยก็ชักสีหน้าลุกขึ้นจากเตียงเดินตามตูดมาต้อยๆ ไม่ใช่ว่าผมค้างห้องเกรทไม่ได้นะ ผมเป็นคนอยู่ง่ายมีพื้นนอนพื้น มีโซฟานอนโซฟา แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าเจ้าตัวไม่ยอมปล่อยผมให้ห่างสายตาสักวินาทีเนี่ยดิ

...อย่างกับลูกไก่เปิดตามาเจอใครก็คิดว่าเป็นแม่มัน...

“คุณนอนก่อนได้มั้ย ผมแค่จะไปอาบน้ำ เดี๋ยวผมกลับมา แป๊บเดียวรับรอง” เหมือนจะดีขึ้นแฮะ ดูเด็กเกรทสีหน้าเริ่มอิดโรยดวงตาคล้อยคล้ายจะหลับ พอผมได้ใจขยับตัวเท่านั้นแหละ...

พรึ่บ!!

ร่างสูงลุกมานั่งโยกเยกมองหน้าผมแล้วตั้งท่าว่าจะลุกขึ้นมาจากเตียงอีกระลอก

เวรกรรม ทำไมไม่น้อนนนน!!

“เออก็ได้วะ คุณอยู่นิ่งๆนะตามผมเข้ามาได้แต่ช่วยนั่งนิ่งๆอยู่ที่ชักโครกสักห้านาทีจะได้มั้ย”

...ไม่ตอบแต่ทำหน้านิ่งไร้อารมณ์ผมถือว่าตกลงนะ...

ถอนหายใจ ปลงกับนิสัยรักสะอาดของตนเองแบบประเภทที่ว่าถ้าไม่ป่วยเป็นตายร้ายดีอะไรจะไม่ยอมนอนทั้งที่ตัวเหม็นเหงื่อแบบนี้มาทั้งวันเป็นแน่

ผมขยับตัวถือวิสาสะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า กวาดตามองหาสิ่งที่พอเรียกได้ว่าเป็นชุดนอนคว้าได้เสร็จจึงเดินดุ่มเข้าห้องน้ำโดยมีร่างสูงตามมาติดๆ เมื่อถึงที่หมายปิดฝาชักโครกดันไหล่เด็กน้อยลงชี้หน้าสั่งว่าอย่าดื้ออย่าซนทำตัวเป็นเด็กดีนั่งนิ่งอยู่ตรงนี้สักพัก ก่อนหันมาจับเสื้อแสงตนเอง

...เมาแบบนี้คงไม่มีปัญญาจะมาจำตอนที่ผมกำลังโป๊ได้ล่ะมั้ง...

ผมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตขาวพิสุทธิ์กึ่งใหม่ซึ่งได้มาหลังจากปลดประจำการตัวเก่าไปก่อนขึ้นปีสาม ถอดเสื้อกล้ามซึ่งใส่ซับเหงื่อด้านในกันความไม่สบายตัวเหนอะหนะระหว่างวัน วางเครื่องชุดครึ่งบนพาดกับราวแขวน ก่อนจัดแจงปลดตะขอกางเกงสแล็กเอวต่ำลากซิปจนดันขอบบนออกจากบั้นท้ายยกขากวาดปลายเท้าจนหลุดพ้นช่วงล่างก่อนลากเจ้ายางยืดผืนน้อยออกจากสะโพก

แกร่ก...

“หืม?” เสียงประหลาดดังเบาขึ้นด้านหลัง ผมหันครึ่งตัวไปมองฉับพลัน แต่ดันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างดูปกติจนเหมือนผมคิดไปเอง หากช่วงเวลานี้เกรทสร่างเมาขึ้นมาผมคงโดนหาว่าเป็นไอ้โจรโรคจิตที่คิดบุกรุกเข้าหอ คิดได้ตามนั้นเลยรีบวิ่งไวว่องไปยังใต้ฝักบัว เปิดน้ำสาดซัดหัวจนตัวเตอเปียก เหตุเพราะน้ำเข้าตามือเลยคลำสะเปะสะปะไปมา จากจะจับสบู่ดันโดนแชมพูเข้าให้ พอจะจับใหม่กลับไปโดยครีมนวดเละเทะมั่วซั่วไปหมด

“เชี่ย...สบู่อยู่ไหนวะ”

บ่นอุบไม่ทันไรเหมือนสวรรค์ดลใจให้มือถูกดึงยึดไปด้านหน้าพร้อมกับของเหลวบางอย่างไหลลงมาสัมผัสมือ

“อันนี้ครับ”

“เออ ขอบใจ”

“...”

“...”

หืม?

เมื่อกี้มัน...

“เกรท?”

“ครับ”

“เกรท??”

“ครับ”

“เกรท!!!”

“ค้าบบบ”

เชี่ยยยยยยยย ตอบรับกูทุกประโยคเลย!!!

รีบเลี่ยงตัวออกจากใต้ฝักบัวแบบตะลีตะลานหลบจากสายธารที่ทิ่มเข้าหน้าไม่หยุดหย่อน เชี่ยปั๊มน้ำที่นี่ก็แรงจริงไม่มีประวิงหน่วงเวลาให้ผมได้หายใจหายคอกันบ้างเลย ตอนนี้สภาพไม่ต่างจากปลาทองสำลัก อึกอัก บุ๋งบุ๋ง ค่อกแค่ก คร่อกแคร่ จะตายแหล่ไม่ตายแหล่อยู่แล้ว

“แค่กๆๆๆๆ”

“พี่อิม”

เหมือนมีคนช่วยผมจากการสำลักน้ำโดยดึงตัวออกห่างจากห่าฝน เซไปซบอกใครบางคนจนต้องกระเด้งตัวออกมาจ้องหน้าตามสัญชาตญาณ

สายตาร่างสูงยิ่งกว่าปรือปรอยไร้สติผิดเพี้ยนกับคำพูดเหมือนรู้ความเมื่อครู่ ได้แต่เฝ้าดูสีหน้าเจ้าของหางตาตกๆด้วยความกังขา ทั้งที่ลมหายใจหอบส่ายไปมาแทบไม่เป็นจังหวะ

“เกรท คุณ”

“...”

“เมื่อกี้คุณ”

“ซา...”

“หืมซา?”

“ซา...”

“ซาอะไร?”

“บู่...”

“...”

“บู่” เกรททำท่าห่อปากเหมือนเด็กๆ พยายามพูดพยางค์เดิมซ้ำๆ...หากใครได้มาเห็นเหมือนอย่างที่ผมเห็น ถึงเจ้าตัวจะเป็นแค่ ‘อดีต’ ดาราเด็กก็เถอะ รับรองเลยว่าแม่งต้องหลงรักท่าทางใสซื่อน่าเอ็นดูของเขา จนรีบเข้าสมัครเป็นแม่ยกกันยกใหญ่แน่ๆ

ผมทวนสองคำในใจก่อนเอ่ยออกมา “สบู่?” ร่างสูงพยักหน้าน้อยๆ เป็นสัญญาณว่าผมตอบคำถามถูก อย่าบอกนะว่านี่ที่เดินเข้ามาแบบไม่รู้ตัวก็เพื่อช่วยผมตามหาสบู่เนี่ย

การคาดเดาไม่ทำให้ได้คำตอบอะไร มันต้องใช้วิธีการพิสูจน์ ผมจึงพูดออกมาประโยคสั้นๆ

“แชมพู...แล้วแชมพูผมล่ะ” ข้อมือโดนจับกระชากไปจ่อรอที่ปากขวดปั๊มทันที ร่างสูงบรรจงบีบเจ้าของเหลวสีชมพูนวลเหมือนไข่มุกใส่มือผม เป็นจริงตามคาด เกรทในยามเมามาย สติสัมปชัญญะสูญหาย แต่ความรู้ในกายหยาบยังอยู่ ผมรีบดึงมือกลับไปล้างเพราะไม่ต้องการจะสระผมจึงพลันได้ยินเสียงใครบางคนครางบ่นในลำคอ

“ซัน...”

เอาอีกแล้วเหรอ?

“ซัน? ซันอะไรของคุณน่ะฮะ?” ผมแอบยิ้มขำอดเอ็นดูไม่ได้

“ซิล...” สิ้นเสียงสุดท้าย เกรทเหมือนชะงักไป ไม่รู้ว่าถ่านหมดหรืออะไรผมเลยยกมือกางนิ้วแกว่งไหวไปทั่วหน้า...

“เกรท”

“ฮึก...”

หืม?

“พี่อิม”

“...”

“คนใจร้าย”

“เฮ้ย ผมใจร้ายอะไร คุณจะบ้าเหรอ ผมยังไม่ทันทำอะไรเลยด้วยซ้ำ อุตส่าห์พามาถึงห้องยังถูกหาว่าใจร้าย มันน่าน้อยใจนักเชียว” ผมหยอก อดไม่ได้ที่จะไปหนีบจมูกได้รูปเป็นสันโด่งสวยเบื้องหน้า แต่เกรทยังสนใจกับการกล่าวคำซ้ำเหมือนกำลังขยันอ่านออกเสียง

“ซิล...”

“ซิลอีกแล้ว ซิลอะไรของคุณฮะ”

“ซิลก็ใจร้าย”

“หา?”

หมับ!!

กว่าจะคิดออกว่าเกรทเล่นใบ้คำอะไร ผมก็โดนอีกฝ่ายรวบเข้าไปในอ้อมอกกว้าง ร่างกายชะงักค้างเหมือนโดนความรู้สึกทุกอย่างเล่นงานใส่ แขนแกร่งกระชับกอดไว้แน่นทั้งที่ตัวยังลื่นเต็มไปด้วยคราบครีมนวดและแชมพู พอขยับตัวจะหนีแรงกอดก็เพิ่มขึ้นเท่าทวีจนกระดูกแทบลั่น

“กะ เกรท” นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ

“พี่...อิม”

“คุณเป็นอะไร ปล่อยผมก่อน”

“พี่อิม...ฮึก”

“...”

แรงสั่นสะท้านของร่างกายคนตรงหน้าส่งผ่านมายังผม ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แค่รู้สึกว่าไม่สามารถผลักไสร่างสูงนี้ออกไปได้

“พี่...อิม” เสียงเหมือนคนเมากาว เมายาสระผม ครีมนวดผมหรือแชมพูอะไรไม่รู้ไหลเข้าโสด มันเจือความรู้สึกเศร้าไว้อย่างน่าประหลาด อาจเพราะไม่เคยเห็นคนตัวโตๆร้องไห้อย่างใครเขา ความอ่อนแอซึ่งไม่เคยแสดงให้เห็นเลยเพิ่มเติมมาเป็นหลายเท่า

“ไม่เอาครับ ไม่ร้อง”

ยกมือที่ไร้พันธนาการจากแขนแกร่งท่อนล่างขึ้นตบแผ่นหลังชื้นน้ำเบาๆ เกรทกอดผมร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักพัก น้ำจากฝักบัวยังสาดซัดใส่พื้นไม่หยุดหย่อน ผิวกายเราแนบชิดกันแต่ยังดีที่ช่วงล่างของอีกฝ่ายมีผ้าขนหนู ผมก็ได้แต่หวังว่าพอเกรทตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นจะฟื้นความทรงจำอะไรไม่ได้ ลืมเรื่องน่าอายอย่างการเปลือยกายกอดกันระหว่างผมกับเขามันไปให้หมด คงไม่ใช่เรื่องน่าภิรมย์สำหรับคนที่ชอบผู้หญิงเป็นปกติอย่างเขา

คิดจัดแจงเรื่องในอนาคตกับสมองตัวเองอยู่อย่างนั้นฉับพลันร่างสูงก็จับต้นแขนผมดันตัวออกห่าง

...หรือว่าจะสร้างเมา...บ้าไปแล้ว...

เรื่องที่ผมคิดมักเลวร้ายกว่าความเป็นจริง คนยืนนิ่งเจือความเมาส่งสายตามองหน้าผมอย่างปรือปรอยก่อนหันขวับไปทางประตู เดินและผละห่างออกไป

...อิหยังวะ...

ตั้งคำถามกับตัวเองเสร็จ ผมแม่งแทบกรีดร้องออกมาเป็นกลอนสี่สุภาพ เสื้อผ้าที่แขวนอยู่โดนเกรทจับเอามาปู้ยี่ปู้ยำขยำลงอ่างล้างหน้าเจ้าตัวเปิดก๊อกน้ำคว้าสบู่ล้างมือได้ก็ราดเข้าใส่แบบไม่เกรงใจเจ้าของมันเลยสักนิด

“เหี้ย เกรท!!คุณทำอะไรวะ!”

“ซักผ้า”

“ซักเพื่อ!!” แล้วคุณมึงซักด้วยน้ำยาล้างมือเนี่ยนะ ไอ้บ้าเอ้ยยยยยยย “หยุดเว้ย หยุดๆ” ผมวิ่งตาลีตาเหลือกไปจับข้อมือแกร่งพลางปิดก๊อกน้ำ แต่สภาพเสื้อผ้าผมแม่ง...ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...

คอตกคอพับหลับตาไม่รู้จะด่าเป็นภาษาอะไร สุดท้ายกลับเหมือนมีอะไรหนักๆมาทับไหล่ ถึงได้รู้ว่าเจ้าตัวทิ้งหัวสลบคาตัวผมไปแล้ว...

โอ้ยยยนี่มันวันเหี้ยอะไรวะ!!













เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือลั่นดังพลันทำให้ตื่น เปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างเบลอจัดแต่กลับมาเจอกับสายตาใครอีกคนที่นอนจ้องอยู่ข้างๆ

“ชะเชี่ยยยยยย”

“เฮ้ยพี่อิม!!” มือใหญ่ตะปบปากผมไว้ทันควัน “อย่าเสียงดังเดี๋ยวห้องข้างๆก็ตื่นกันหมด” พอผมนิ่งเขาจึงยอมปล่อยปากให้เป็นอิสระ

“คุณทำอะไร”

“ผมทำอะไร? ผมไม่ได้ทำอะไรหนิครับ”

“แล้วคุณมาจ้องหน้าผมตอนนอนทำไม”

“ก็แค่ตื่นมาเจอพี่แล้วตกใจ”

“หน้าผมเหมือนผีนักหรือไง ถึงได้ตกใจจนต้องจ้องขนาดนั้น”

“ตรงกันข้ามต่างหาก”

“หา?”

“อ๋อ เปล่าครับ” เกรทไม่ยอมสบตาผมทำท่าเหมือนคนคิดหนัก เอ๊ะ หรืออีกฝ่ายกำลังเข้าใจผิดอะไร ไม่ใช่ว่าความทรงจำเมื่อวานปรากฏเป็นห้วงๆ แล้วเด็กเกรทดันเอาเรื่องราวทั้งปวงมาปะติดปะต่อจนเละเทะมั่วซั่วไปแล้วหรอกนะ

“คือเรื่องเมื่อวาน...” ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่โตเลยตั้งใจจะแก้ต่าง แต่อีกฝ่ายดันมองผมด้วยหางตาแล้วพูดขัดขึ้นมา

“เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ผมจำได้แค่ว่าไปร้านอาหาร นั่งกินข้าวกับเพื่อนอยู่ดีดี แล้วหลังจากนั้น...” สายตาคมมองสลับใบหน้าผมกับช่วงล่างอย่างมีพิรุธ นี่อย่าบอกนะว่าวีรกรรมที่คุณทำมันเลือนหายไปกับกองเสื้อผ้าเปียกๆที่แขวนอยู่ตรงราวตากผ้าบนระเบียงแล้วน่ะ

“ทำไมพี่มาค้างห้องผม?”

“...”

“ที่บ้านพี่ไม่ว่าเหรอครับ”

“...”

“แล้วยังมานอนเตียงเดียวกันอีก...”

“...”

“ผมขอโทษนะครับที่อาจจะรุกพี่หนักเกินไป อย่างคำว่าเป็น ‘แฟนกันทำไมจูบกันไม่ได้’ ที่ผมพูดไปไม่ได้หมายความว่า พวกเราจะต้องมาลงเอยกันที่...”

ยิ่งฟังยิ่งหมั่นไส้ว่ะ...

“คุณทำผมแสบมากรู้มั้ย”

“หา?”

“ทั้งๆที่อยากให้มันง่ายๆแล้วก็จบไว”

“...”

“แต่คุณดันไม่ยอมปล่อยผมไปสักที”

“...”

“บอกว่าให้ปล่อยก็เอาแต่กอดอยู่ได้”

“...”

“ตัวก็หนักยังจะทับมาอีก”

“...!!”

“ตอนนั้นตัวเหนียวเหนอะหนะอึดอัดจะตายชักอยู่แล้ว”

จบหกประโยคเจ้าร่างสูงเบิกตาโตค้าง รีบลุกพรวดพราดยกมือทาบหน้าอกที่เปลือยเปล่า แตะซ้ำไปมาราวกับต้องการหาบางอย่างที่ควรอยู่ติดกาย แล้วชายตามองเบื้องล่างด้วยอาการตื่นตระหนกก่อนถกผืนผ้านวมขึ้นสายตาตื่นตะลึงแทบช็อค

ปมผ้าสีขาวรัดเอวดั่งเงื่อนผูกตายของผมนั้นโคตรแน่น มันทำให้เจ้าขาวผืนใหญ่ยังคงติดกายสูงมาได้ถึงตอนเช้าแต่จะพลาดตรงที่เจ้าตัวแหกขามากไปจนอะไรๆเกือบโผล่พ้นออกมา

“เชี่ย!!” นี่เสียงผมเองไม่ใช่ของเกรท อยากบอกว่าตกอกตกใจองค์ลงไม่แพ้กัน ลุกพรวดพราดขมีขมันจับผ้านวมไปกำพันรอบเอวสอบ “ทำบ้าอะไรของคุณฮะ”

ผมตวาดตำหนิ แต่ไม่คิดว่าหน้าของเราจะอยู่ใกล้กันมาก พอเงยหน้าไปค้อนจึงได้แต่มองดวงตาโศกเบิกตาโตตะลึงค้างจ้องสบอยู่นานในท่านั้น

“พะ...พี่อิม” สายตาของเกรทมีแววสับสนปนความไม่แน่ใจ ยังไม่ทันที่แขนแกร่งมาแตะไหล่ผมก็ปล่อยให้บทสนทนานั้นไหลต่อ

“จะรับผิดชอบผมยังไง”

“...!”

(เสื้อ)ผมเสียหายนะ รู้มั้ย”

“เออ...คือ”

“ถ้าวันนี้ผมล้า(เพราะต้องแบกคนตัวหนักอย่างคุณมาบนเตียง)จนไปเรียนไม่ไหว คุณจะไถ่โทษยังไง”

เกรททำท่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกพยายามเสมองไปทางอื่น ดี ดีมาก ผมจะแกล้งเขาจนกว่าจะพอใจให้สาสมกับเรื่องที่ผมต้องมาแบกร่างสูงไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แถมยังต้องมาพาเข้านอนอย่างกับคนใช้นี้เลย

“พี่อิม คือผม..”

“ว่าไงจะแก้ตัวอะไรอีก”

“ผมไม่ได้จะแก้ตัว”

“แล้วคุณจะพูดอะไร”

“เรื่องเมื่อวานผมจำไม่ได้จริงๆ”

“แค่บอกว่าจำไม่ได้คุณคิดว่ามันจะจบเหรอ”

“เปล่า ไม่ใช่ คือผม”

“คือผม คือผม คืออะไรล่ะ อย่ามัวแต่อ้ำอึ้งสิ”

“คือผมขอทำกับพี่อีกรอบจะได้มั้ย!”

“...!”

จบประโยคเสียงทุ้มต่ำที่โพล่งออกมาตัวผมแม่งแทบค้าง นี่ต้องขบคิดตีความกับสิ่งที่ร่างสูงพูดออกมากะทันหันกี่สเต็ปกันวะ เกรทขอทำกับผมอีกรอบ...หมายถึงขอเอาเสื้อผมไปซักด้วยสบู่ล้างมืออีกรอบงั้นเหรอ???

“ผมจำไม่ได้ไงว่าผมทำอะไรลงไป ถ้าได้ทำกับพี่อีกรอบ ผมอาจจะจำได้ แล้วผมจะไม่โทษพี่ จะยอมรับแต่โดยดี”

“ยอมรับแต่โดยดี? แล้วทำไมผมจะต้อง...อื้ออ” ‘เอาเสื้อผมไปบูชายัญอีกวะ’ ยังไม่ทันต่อประโยคนี้จนจบ ร่างสูงก็ผลักผมลงเตียงล็อกคอพร้อมกับประเคนจูบร้อนๆจากริมฝีปากบางเฉียบมาให้ ข้อมือข้างหนึ่งถูกเกรทตรึงไว้กับเบาะขยับหนีไม่ได้ อย่างนี้มันไม่ใช่แล้ว นายกำลังเข้าใจผิดนะ

“เกรท...อื้อ...เกรท...” เสียงขาดห้วงเป็นพักๆ จากความนิ่มหยุ่นซึ่งแนบลงแล้วถอนออกซ้ำไปมา นะ...นี่กี่ครั้งแล้ววะ สาม ไม่สิ ห้า ...โว้ยจะครบสิบแล้ว “เกรท...เดี๋ยว...อย่าพึ่ง...นายกำลัง...อ๊ะ!!”

เข่าของเกรทโดนกับหว่างขาของผมที่โล่งโจ้งไร้เครื่องป้องกัน เจ้าตัวไม่มีทางรู้หรอกว่ากางเกงในตัวน้อยของผมมันต้องมาเปียกแฉะจนหมดหนทางใส่เพราะใครกัน ช่วงล่างที่อิสระตลอดทั้งคืนนั้นมันทั้ง...โตงเตง และรู้สึกโหวงหวิวจนถึงที่สุด เกรทมองตาผมด้วยอาการออกอึ้งๆ ก่อนขยับมือไปลูบมันเบาๆ

“เดี๋ยว!! ทำอะไรน่ะ!!” ผมคว้ามือเขาแน่น ฟันบนกัดริมฝีปากล่างอย่างแรงจนเจ็บไปถึงโลกหน้า รู้สึกเหมือนน้ำตาคลอหน่วยอย่างช่วยไม่ได้ ผมกำลังจะเสียเชิงชายให้แฟนจอมปลอมอย่างเขาเหรอวะ แล้วเหมือนสภาพน่าทุเรศของผมตอนนี้จะทำให้ร่างเบื้องบนมีใจคิดได้ มือใหญ่ขยับมาประคองแก้มพลางลูบไล้อย่างแผ่วเบา

“พี่...อิม เมื่อวานผมทำเจ็บเหรอ”

ผมส่ายหัวจนกระจายไปกับหมอน หลับตาไม่อยากรับรู้ว่าคนตรงหน้าทำท่าอย่างไร

“ผม...ขอโทษนะครับ ที่ทำแรงไปโดยไม่รู้ตัว...วันนี้ผมสัญญา ว่าจะทำเบาๆ”

หา? คุณว่าอะไรนะ?

พูดแค่นั้นจบก็กดจูบมาที่ซอกคอ ความรู้สึกจั้กจี้เข้าแทรกก่อนเหมือนมีแรงดูดดึงเบาๆ เรียวลิ้นนุ่มนิ่มไล้ผ่านจุดเดิมซ้ำๆจนรู้สึกถึงความเปียกที่ซึมซับลงมา

“เกรทเดี๋ยวคุณ อ๊ะ ยะ... คุณ...คุณ จับตรงไหนเนี่ย” มือใหญ่ไหลไวราวกับใบไม้บนผิวน้ำที่ล่องไปตามกระแสลำธารที่เชี่ยวกราก ลงลูบผ่านกลางลำตัวซึ่งปกคลุมด้วยกางเกงผืนบางเหมือนทีเล่นทีจริง สัมผัสยังไงให้เหมือนไม่สัมผัสเทคนิคอันนี้ถามคนเบื้องบนตัวผมได้ สายตาคมตวัดมองหน้าผมก่อนเปล่งเสียงเบา

“พี่...อิม”

“...!!” เซ็กซี่เกินไปแล้ว!! เกรทมองหน้าผมด้วยดวงตาเหมือนคนอารมณ์มาเต็มเปี่ยม ไม่จริงน่ะ คุณดูดีดีสิว่านี่ใคร ผมไม่ใช่ใยไหมนะ!!

“พี่...อิม” เออ ก็เรียกชื่อผมถูกนี่หว่าแล้วทำไม

“อื้อ ยะ อย่าจับ” แรงมือเข้มขึ้นบีบกำส่วนเร้นรับที่ยังกึ่งนิ่งกึ่งตอบสนอง ผมก้มลงไปมองอย่างตื่นตะลึงเมื่อเห็นร่างสูงกำลังทั้งคลึงและเฟ้นส่วนนั้นของผม “เกรท...คุณ...อึก...” บ้าไปแล้ว ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ไม่น่าไปแหย่ให้เข้าใจผิดแบบนั้นเลย ตอนนี้เหมือนตัวเองกลายร่างเป็นปลาหมอที่กำลังจะตายเพราะปาก ส่วนศูนย์รวมอารมณ์ตรงกลางเริ่มขยายอย่างห้ามไม่ได้ น่าอายเกินจะมอง แต่พอเบนหลบสายตาขึ้นกลับเจอสิ่งที่ทำให้ตื่นตะลึงไม่แพ้กัน

...บางอย่างใต้ผ้าขาวผืนนั้นที่ขัดเอวสอบแบบหมิ่นเหม่นั้นกำลังตื่นตัวอย่างเต็มที่...

เกรท...มีอารมณ์ กับผม?

“เกรท...คุณ” เหมือนเจ้าตัวจะสังเกตเห็นสายตาของผม ใบหน้าสีน้ำผึ้งหอบเบาปรากฏรื้นแดงเล็กๆอยู่ในที

“พี่อิม...อย่ามอง” เสียงคล้ายคนจะครางก็ไม่ใช่คนหายใจติดขัดก็ไม่เชิง ความขวยเขินผลักดันให้ ข้อนิ้วแกร่งกดส่วนละเอียดอ่อนอย่างรุนแรงและจาบจ้วงมากขึ้น

“อื้อ...ยะ...เกรท พอ โอเค ผมไม่มอง ไม่มองแล้ว ฮั่ก!” ช่วยเลิกแกล้งของผมสักที ผมขอ!! ราวกับสิ่งที่อธิษฐานจะได้ผล เกรทผละมือออกไป...ใช่ที่ไหนล่ะ เจ้าตัวเปลี่ยนมาเกี่ยวขอบกางเกงผมลงต่างหาก!!

ส่วนที่ควรจะปกปิดไม่เหลืออะไรให้ปกปิดอีกแล้ว น่าอาย!! อายจนอยากจะมุดแผ่นดินหนี แล้วยิ่งสายตาที่จ้องมองราวกับเห็นของแปลก สิ่งมหัศจรรย์ของโลกของเจ้าเด็กด้านบนด้วยแล้วผมยิ่งอยากจะตายให้ได้

“ของพี่ทำไม...ขาวจัง”

“พูดบ้าอะไรน่ะฮะ! บอกว่าอย่ามอง แต่ตัวเองก็มองของคนอื่นอยู่ชัดๆ โคตรไม่ยุติธรรมเลย!” ท้วงไปก็จะร้องไห้ ไม่ได้อยากเท่าเทียมอีกฝ่ายเลยสักนิด แต่เหมือนเกรทจะไม่ฟัง อีกฝ่ายโถมลงมาทั้งตัวทับร่าง มือหนาจาบจ้วงและว่องไวมุดหายเข้าไปหลังสะโพกผม “กะ กะ กะ เกรท คุณ คุณจะทำอะไรอีก!!”

“พี่อิม ยกสะโพกขึ้น” เจ้าตัวส่งเสียงเบาข้างหูเชิงออกคำสั่ง ใครมันจะไปยอมทำตามง่ายๆวะ

“ไม่!” ผมตะโกนปฏิเสธ แต่มือที่ขยำบั้นท้ายกลับออกแรงดันแค่วืบเดียวตัวผมก็ลอยขึ้นจากเตียงได้สองเซ็นต์ พอน้ำหนักตัวหายขอบกางเกงยางยืดก็ร่นคลายลงเบื้องล่าง ร่างกายเป็นอิสระต่ออาภรณ์ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังในทันที “...!!”

ไม่รู้ปู่ไต่หรืองูเลื้อย พอช่วงล่างเปลือยเปล่าขยับเข้าชิดกายสูงเลื่อนมือเข้าจับความอ่อนไหวของเราทั้งคู่เข้าหากัน ความรู้สึกวืบแรกที่ได้สัมผัสตัวตนของอีกฝ่าย คือความร้อนรุ่มที่ขยายตัวเต็มที่ เมื่อมาถึงขีดสุดความอดทนเกรทจึงเริ่มรูดรั้งไปมา...

“เกรท ฮะ...พอ...พอได้แล้ว!”

จุดจบสายแกล้ง...มันเป็นแบบนี้สินะ...ผมไม่ไหวแล้วล่ะ ผมคงต้องคายความจริงออกไปไม่งั้นเจ้าตัวไม่หยุดแน่ๆ!!

“เกรท หยุด หยุด พอ พอ เมื่อวานพวกเราไม่ได้มีอะไรกัน คุณเข้าใจผิด ที่ผมพูดทั้งหมดมันหมายถึงเสื้อผมที่โดนคุณซักจนเละต่างหาก แล้วเมื่อวานคุณยังเมามากจนผมต้องแบกคุณอาบน้ำเข้านอนอย่างนี้ไม่ให้ผมบ่นหนักได้ยังไง!!”

“หา?”

จังหวะขยับมือหยุดลงทันที...

ในห้องตอนนี้ แม่งยิ่งกว่าเดดแอร์อีกสัด...





“ผมขอโทษครับพี่อิม” เกรทนั่งอยู่ขอบเตียงเท้าแขนกับเข่าภายใต้ผ้าขนหนูผืนเดิมยกมือข้างหนึ่งปิดหน้าแบบหาทางไปไม่ถูก ส่วนผมก็ได้แต่นั่งทับเท้านิ่งชันมือกับน่องบนเตียง...

หลังจากผลัดกันวิ่งแจ้นเข้าห้องน้ำเพราะต่างฝ่ายต่างถูกกระตุ้นจนเสียศูนย์ พวกเราก็กลับมานั่งสำนึกตนที่เตียงใหม่ในสภาพไม่สู้ดี

พอออกจากห้องน้ำมาเด็กเกรทไม่กล้าสู้หน้าผม เอาแต่หันเข้าหากำแพงพลางบ่นงึมงำฟังไม่เป็นภาษา ส่วนผมก็ได้แต่ก้มหน้าทั้งที่เรื่องที่เกิดขึ้นมาแทบไม่ใช่ความผิดผม

ใครใช้ให้เจ้าตัวด่วนคิดไปเรื่องนั้นล่ะ ยิ่งกับผมที่เป็นผู้ชายเหมือนกันยิ่งไม่ควรจินตนาการพาลหมกมุ่นไปได้ด้วยซ้ำ

“ช่างเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ถือว่าเป็นบทเรียนระหว่างผมกับคุณละกัน” บอกให้อภัยก็แล้วแต่ไม่แคล้วยังนั่งนิ่งอยู่ ผมเอื้อมมือมาลูบท้องรู้สึกได้ถึงอาการน้ำย่อยในกระเพาะทำงานโครกคราก จึงพึ่งสังวรณ์ว่าไม่ควรมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ พวกเรายังมีอะไรต้องทำอีกเยอะ

“เกรท วันนี้คุณไม่มีเรียนเช้าใช่มั้ย”

“คะ...ครับ” เจ้าตัวรีบหันขวับมาตอบรับผมอย่าลนๆ จนเพิ่งสังเกตบางอย่างบนใบหน้าร่างสูง

...ป่านนี้จะยังทันมั้ยนะ...แต่ช่างเถอะ...

ผมขยับตัวคลานเข่าไปหาคนอีกฟาก ยื่นมือไปจะจับคางและศีรษะของอีกฝ่าย

“พะ...พี่จะทำอะไร” เกรทกระตุกตัวเล็กๆเหมือนโดนไฟจี้ แต่ผมเอ่ยปรามไว้

“อยู่นิ่งๆเถอะน่ะ แล้วอ้าปากด้วย”

“หา?”

“ผมบอกให้ทำก็ทำสิ” ส่งเสียงสั่งจนเกรทต้องยอมทำตามเงยหน้าอ้าปากใส่ผม พอเห็นอีกฝ่ายนิ่งผมเลยเอื้อมมือไปจับคางพลางดึงกระพุ้งแก้มเบาๆ “อ้ากว้างๆสิ”

“อะ...โอ๊ย” เหมือนจะโดนแผลปากแตกเมื่อวานเข้าให้

“ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก วันนี้ก็กินอาหารอ่อนๆแล้วดื่มน้ำให้เยอะเข้าไว้ล่ะ” ผมปล่อยมือ ทิ้งให้เกรทลูบกระพุ้งแก้มขมวดคิ้วหงุดหงิดอยู่ตรงนั้น

“ทำอะไรของพี่น่ะ”

“ทำเป็นบ่นไป ทีตอนนี้มาสำออยนะ ทีตอนจูบผมไม่เห็นทำท่าจะเจ็บ”

“...!!”

ร่างสูงหยุดชะงัก รู้สึกเหมือนดวงหน้าสีน้ำผึ้งนั้นขึ้นสีทันควัน...

หา?

...ไม่ใช่หรอกมั้ง นอนดึก ตาฝาด คิดมากไปเอง คนอย่างเด็กเกรทน่ะเหรอจะมาเขินกับเรื่องงุ้งงิ้งที่ทำกับผม หรือจะมาพิศวาสผมลงได้น่ะ ให้พระอาทิตย์มาขึ้นทางทิศตะวันตกยังจะน่าเชื่อเสียมากกว่า....

แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่า...



...เด็กเกรทไม่เหมือนเดิม...


...TBC...

++++++++++++++++++++



เกรทเด็กหื่น2019...

เล้าเป็ดก็ปล่อยลูกเป็ดลูกไก่เกรทเลยค่า555

เห็นคนคอมเมนต์แล้วน้ำตาไหล
:hao5:

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เกรททททท มันไม่ธรรมดา มีขอทำอีกรอบ 555555555 :hao6:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบสาม...อาทิตย์ที่คบกัน


“อุก...ซีดสสส”



รอยซ้ำตัดสีผิวที่มุมปากส่ออาการเจ็บปวดทุกครั้งยามมีการเคลื่อนไหวขบริมฝีปากบนล่าง ดูท่าอาหารมื้อนี้คงไม่อร่อยสำหรับเกรทไปเสียแล้ว

“ทานไหวมั้ย ผมว่าไปหาอะไรอ่อนๆทาน...” มือผมตั้งท่าจะคว้าจานตรงหน้าอีกฝ่ายเก็บแต่กลับโดนล็อกไว้เสียก่อน

“ไม่เป็นไรครับ พี่อิมอุตส่าห์ทำให้กินทั้งที” เจ้าตัวโปรยรอยยิ้มมาให้ แต่มันทั้งเจื่อนและฝืดเฝือนอยู่ในที

“ข้าวไข่เจียวจะกินที่ไหนก็ได้ ไปเถอะออกไปกินข้างนอกกัน” ผมตีมือเกรทเบาๆเกลี้ยกล่อม

“แต่เสื้อผ้าพี่ยังไม่แห้งเลยนะครับ” เกรทเตือนสติผม เหตุผลส่วนหนึ่งที่พวกเราไม่ยอมออกไปข้างนอกนั้นมาจากการที่เสื้อผ้าซึ่งเกรทได้ทิ้งซากวีรกรรมยามเมาไว้มันยังไม่แห้ง ในเมื่อไร้เครื่องในสารพันสิ่งอันผมเลยไม่มีปัญญาห้อยเจ้าลูกชายน้อยเดินโตงเตงไปไหน เลยได้แต่วนเวียนอยู่ในห้องของเกรท

“แต่ถึงยังไงผมก็มีเรียนตอนสิบโมง ให้รอจนกว่าจะแห้งยังไงก็ไม่ทัน ทนใส่ชื้นๆไปก่อนได้ไม่เป็นไรหรอก” เกรททำหน้าครุ่นคิดอยู่สักพักเหมือนกลัวแทนลูกชายผมที่จะเจอกับความอับชื้น ไม่นานเจ้าตัวก็โพล่งขึ้นมา

“ยังไงถ้าไม่รังเกียจ ใส่ของผมไปก่อนมั้ยครับ ผมมีตัวใหม่ที่พึ่งแกะกล่อง” มาถึงตอนนี้ เอ่ยปากขนาดนี้ ถ้าผมบอกว่ารังเกียจจะเสียมารยาทมั้ย ดูจากความรักสะอาดระดับหนึ่งของเด็กเกรทอย่างการพกผ้าเช็ดหน้าไปไหนต่อไหน หรือจะการพกผ้าขนหนูไว้เผื่อหลังเล่นกีฬา ก็ดูไม่น่าจะรังเกียจอะไร แต่ทว่า...







“นี่มัน...สีอะไรของคุณกันเนี่ย”

ผ้าชิ้นน้อยสีแดงสดขอบดำลายตัวอักษร CALVIN KLEIN 1981 รูปทรงบรีฟถูกส่งมาให้ผมจากในตู้เสื้อผ้า มันเป็นสีที่ผมไม่เคยถูกจริตคิดซื้อมาใช้ใส่บั้นท้ายเลยสักครั้ง

“ของใหม่ก็มีแค่ตัวนี้แหละครับ เพื่อนผมมันซื้อมาให้เป็นของขวัญวันเกิด”

“ของขวัญวันเกิด เฮ้ยแล้วเอามาให้ผมใส่เนี่ยนะ ไม่เอาอ่ะ” ผมดันมือเขาออกอิดออดที่จะรับมันไว้

“ไม่เป็นไรหรอกพี่ เอาไปเถอะ ปกติผมไม่หยิบขึ้นมาใส่อยู่แล้ว”

“ทำไมถึงไม่ใส่ สีไม่ถูกใจ”

“เปล่าครับ ปกติผมไม่ชอบใส่แบบบรีฟอยู่แล้ว เวลาขยับตัวออกกำลังกายหนักๆมันชอบบาดขา”

“ชอบใส่แบบทรังค์สินะ” ผมหยิบกางเกงในในมือเขามาพินิจพิเคราะห์ เอาวะ ก็ใส่แค่ชั่วคราวเอง สีแดงแล้วไงทำอย่างกับจะมีใครมามอง ภาวะเงียบงันจากสภาพแวดล้อมเกิดขึ้นมาอย่างผิดสังเกต ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของกางเกงในตัวจิ๋วที่กำลังเม้มปากย่นคิ้วข้างหนึ่งมองหน้าผมนิ่ง

“อะ...อะไร...อยู่ๆก็หวงขึ้นมาเหรอ ผมไม่ยืมก็ได้นะ” ผมยื่นกลับไปแต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับ

“เปล่าครับ แค่สงสัย พี่รู้ได้ไงว่าผมชอบใส่แบบทรังค์”

“...!!”

“พี่เคยมารื้อตู้เสื้อผ้าผมเหรอ”

“คะ เคยดิ...ก็รื้อเอาชุดนอนไง แต่ไม่ถึงกับเปิดชั้นกางเกงในดูหรอกนะ”

“ถ้างั้นแล้วทำไมถึง...”

“...” เล่นถูกจ้องจับผิดขนาดนี้ จากที่ไม่คิดก็ทำให้คิดได้ ผมไม่ได้ตั้งใจมองซะหน่อยเมื่อวานน่ะ เขาเป็นคนถอดเองทั้งนั้น

“จริงด้วยสิ เมื่อวานพี่บอกว่ามีพาผมไปอาบน้ำ พี่พาผมไปอาบน้ำยังไง ดันหลังเข้าไปในห้องน้ำให้ผมอาบเองเหรอ แต่ทำไมผมไม่เห็นจะจำได้เลยว่าอาบน้ำ อย่างน้อยมันก็น่าจะมีอยู่ในความทรงจำบ้าง แล้วหุ่นอย่างพี่เนี่ยนะ...” เจ้าตัวลากสายตาตั้งแต่หัวยันไปจรดปลายนิ้วหัวแม่โป้งตีนผม “ไม่อ่ะ ไม่มีทางแบกผมกลับได้หรอก”

ตุบ!!

จบคำผมตบตู้เสื้อผ้าดังฉาดจนเกรทสะดุ้ง แอบมีฉุนเด็กบ้าไม่รู้จักบุญคุณคนที่หามมา แถมยังมากราดมองสายตาดูถูกหุ่นชาวบ้านเขาได้ ร่างกายผมไม่ได้แย่ สูงร้อยแปดสิบเอ็ดจะติดก็แค่ตัวผอมบางจนเมื่อก่อนคนชอบทักว่าขาดสารอาหารแม่เลยหมั่นทำแต่ของดีดีให้กิน ตอนนี้ที่มีน้ำมีนวลมาได้ขนาดนี้ฝีมือแม่ผมล้วนๆ ถ้าจะมาดูถูกรูปร่างกันสู้เอาตีนมายันหน้าผมดีกว่า

“ไอ้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคุณเนี่ยแหละเป็นคนแบกคุณกลับ ถ้าเพื่อนคุณไม่ใช้ข้อความไลน์คุณส่งมาป่านนี้นู้น...” ผมยกมือชี้ขึ้นมั่วซั่ว “คุณไปนอนกับเสาธงที่หน้าแปลงเพาะคณะเกษตรแล้ว หัดเห็นความลำบากของคนอื่นซะบ้าง คนอุตส่าห์เห็นว่าเตะบอลมาตัวเหม็นเหงื่ออย่างกับอะไรจะปล่อยให้นอนจนกองขี้ไคลกองเหล้าตายก็ใช่ที่ ผมก็หวังดีเถอะ ถึงพาคุณไปเข้าห้องน้ำ พอให้อาบเองก็ทำไมได้ แต่พอสั่งให้ถอดก็ถอดมันซะโล่งเตียน แล้วอย่างนี้ไม่ให้ผมเห็นอะไรๆก็บ้าแล้ว!”

“...” เป็นคำด่าที่ยาวที่สุดตั้งแต่เกิดมาในชีวิต ผมหอบเพราะพูดเร็วเกิน เซ็งจิตอุตส่าห์ช่วยแท้ๆแต่ไม่เห็นบุณคุณ ส่วนเกรทนั้นก็นิ่งไปแล้ว เจ้าตัวเหมือนค่อยๆฟื้นความทรงจำก่อนหน้าจะรื้นแดงขึ้นสีจนต้องยกมือปิดปากกุมคาง

“จำได้แล้วใช่มั้ย” ผมกระแทกเสียงเหมือนตั้งใจจะสมน้ำหน้าอยู่นิดๆด้วยคำพูดว่า ‘เห็นมั้ยล่ะ’

“ตอนนั้น...”

“เออถ้าจำได้แล้วก็ช่างมันเถอะ ทีหลังก็อย่า...”

“ผมตามพี่เข้าไป...ตอนพี่อาบน้ำด้วยใช่มั้ย”

หา?

ผมรู้สึกว่าคำมันทะแม่งทะแม่งจึงยกนิ้วชี้หน้าตนเอง

“ผม...”

“ครับ”

“อาบน้ำ?”

เกรทพยักหน้าหงึกหงักยืนยันว่าผมไม่ได้ฟังผิด

“ผมอาบน้ำตอนไหน?”

จู่ๆเสียง ‘แกร่ก’ ดังขึ้นมาในห้วงภวังค์

อย่าบอกนะ ตอนนั้น ตอนนั้นเหรอวะ!!

สายตาตื่นๆตวัดขึ้นมองหน้าคนที่อยู่สูงกว่าเกรทเม้มปากเสตาลงพื้นเขี่ยเท้าเล่นไปมา

“ขอโทษครับ...ดันนึกออกพอดี” สีหน้าของเกรท...แดงแจ๊ด

“มะมะมะมะมะไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่!! คุณเอาเรื่องอะไรมาพูด ฝันเปล่าฮะ คะคะคะใครกันวะจะเอาคนเข้าไปอาบน้ำด้วย บ้าเปล่าเนี่ย!!”

เนียน!! บอกได้เลยว่าเนียนมาก ณ จุดนี้ ร่างสูงเลิกคิ้วมองเหมือนเห็นตัวตลกและจับผิดอยู่ในทีจนผมต้องพูดหาข้ออ้างต่อ

“คะ...คุณอาจจะฝันแล้วคิดว่ามันเป็นความจริงก็ได้ คนตอนเมาจะเอาอะไรมาคิดก็คิดได้ทั้งนั้นแหละ” รวมถึงผมที่สร้างฉากมโนฉากใหญ่มาให้เกรทตรงนี้ด้วย

“อ้าว...งั้นเหรอครับ งั้นก็ช่วยไม่ได้แฮะ”

ช่วยไม่ได้? ช่วยไม่ได้อะไร?

“ตอนแรกผมก็คิดว่าจะให้ต่างคนต่างเห็นเจ๊าๆกันไปแท้ๆเลย” ร่างสูงขยับเข้าประชิดจนผมต้องทำตัวลีบไปกับบานตู้เสื้อผ้าเงยหน้ายกมือที่ยังมีกางเกงในสีแดงถือค้างอยู่ตั้งการ์ดอย่างกล้าๆกลัวๆ

“คะ...คุณจะทำอะไรน่ะ” เกรทหลุดหัวเราะขึ้นจมูก รอยยิ้มหล่อราวเทพบุตรอดีตดาราส่งตรงมาให้ผม

“อิม”

!!!

ความรู้สึกแปลกๆปรากฏขึ้น แววตาผมสับสน คนตรงหน้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ามึนงงจนเกินเข้าใจ

“มะ...เมื่อกี้คุณเรียกผมว่าอะไรนะ” เจ้าตัวเลิกคิ้วก่อนตอบมาอย่างฉะฉานว่า

“อิมครับ”

“ใครให้เรียก”

“ขี้เกียจเรียกพี่แล้ว”

“ขี้เกียจ? ของอย่างนี้มันขี้เกียจกันได้ด้วยเหรอวะ”

“มีให้เลือกสามช้อยครับ ระหว่างอิม ดาร์ลิ้ง หรือตัวเอง”

“ไม่เอามันทั้งนั้นแหละ!”

“ถ้าไม่เลือก ผมก็จะเรียกมันสลับทั้งสามข้อ”

“เกรท!”

“ชอบจังเวลาพี่เรียกชื่อผมน่ะ”

“เกรท!”

“ครับ!” กวนโว้ยยย

“บอกมาดิว่าชื่อจริงคุณชื่ออะไร”

“ทำไมครับ”

“ผมจะได้เรียก”

“งั้นไม่บอก”

“บอกมา!”

“บอกแค่นามสกุลได้มั้ยครับ เผื่อเอาไปใช้”

“ใช้บ้าใช้บออะไร”

“ใช้ต่อชื่อจริงพี่”

“ผมมีนามสกุลของผมอยู่แล้ว!”

“ไม่อยากเป็นภรรยาผมเหรอ”

“ไม่อยาก ไม่ต้องการ ไม่เอาโว้ย แล้วต่อให้เป็นจริงมีภรรยาบ้านไหนเขาไม่รู้จักชื่อสามีกันบ้างวะ!”

“คิรากร”

“...!!”

“ผมชื่อคิรากรครับ คุณภรรยา”

“คิรากร?”

“หืม?”

“ชื่อแปลก”

“แต่นามสกุลไม่แปลกนะ คุณ ‘ตั้งปณิธาน จิตต์มั่นคง’ ” เกรทรู้จักชื่อจริงผม แถมยังเอามาต่อท้ายนามสกุลเจ้าตัวอย่างหยอกเย้า

“คุณนี่มันไม่ใช่คิรากร...แต่เป็นคิลเล่อร์ชัดๆ”

“ได้ครับ ให้ผมเป็นคิลเล่อร์ก็ได้ จะทำให้สมชื่อเลย” มือใหญ่เคลื่อนมาดึงชายเสื้อผมยกขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวเลยต้องจับล็อกไว้พร้อมมือที่กำกางเกงในไม่ปล่อยเป็นระวิง

“เชี่ยเกรท! คุณจะทำอะไรน่ะ!!”

“ผมขาดทุน”

“ขาดทุนอะไร!”

“ก็อิมเห็นแต่ของผม แต่ผมไม่เห็นของอิมสักกะนิด” มือใหญ่ขยันดึงจนกลัวว่าเสื้อจะขาด ผมฝืนไหลไปตามแรงจนต้องดันตัวเบียดคนขี้แกล้งพยายามแกะมือเขาออก แรงอีกฝ่ายมีมากกว่าที่คิด จนเริ่มจะต้านไม่ไหว

“ปล่อยดิวะเกรท”

“ไม่ปล่อย”

“ปล่อยดิโว้ย”

“ไม่ปล่อยครับ”

“เชี่ยเกรท คุณจะขาดทุนได้ไงในเมื่อคุณก็เห็นผมเปลือยทั้งตัวแล้วน่ะ!!”

“...!!”

“...!”

วินาทีนี้คือเกรทอึ้ง ส่วนผม...อยากจะตีปากตัวเองให้แตก พูดให้ตัวเองขายหน้าทำไมวะไอ้อิม!!

“ไม่ใช่ความฝันจริงๆด้วย”

“...!!”

“อิมแม่ง...โคตรน่ารัก”

“...!!!” โว้ยยยยยย ช่วยพาผมไปส่งโรงพยาบาลที วินาทีนี้ไม่เกรทก็ผมเนี่ยแหละบ้า!! ทำไมต้องมาเขินด้วยวะกับการโดนเพศเดียวกันเห็นตอนแก้ผ้า

...ผมจะบ้าตายอยู่แล้ว!!...













“เย็นนี้กลับด้วยกันนะครับ”

“ทำไมต้องกลับด้วยกัน”

“เป็น ‘แฟน’ กันก็ต้องกลับด้วยกัน”

“...”

พักนี้แปลกๆ เหมือนคนตัวสูงจะอ้างผมด้วยสถานะว่า ‘แฟน’ มากยิ่งขึ้น และจากที่สามสัปดาห์ไม่เห็นหน้ากลายเป็นว่าโผล่หัวมาทุกวันให้ผมเจอเท่าที่จะเป็นได้ มันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเท่าไร เพราะผมรู้สึกถึงกลิ่นอายไม่ชอบมาพากลจากตรงนี้

แทนที่ความสัมพันธ์ของพวกเราจะถอยหลังเข้าคลอง แต่นี่กลับคืบหน้าเหมือนเรือหางยาวติดเทอร์โบแล่นในแม่น้ำเจ้าพระยา...บางครั้งมันก็จะน้ำเน่าอยู่หน่อยๆตอนที่เกรทเหมือนจะอ้อนผม...ฟังไม่ผิดหรอกครับ...เขาเริ่มจะอ้อนผมตั้งแต่วันนั้น

“ไปดูหนังด้วยกันมั้ยครับ”

“เรื่องอะไร”

“แอนนาเบลล่า”

“ไอ้หนังตุ๊กตาผีนั่นใช่มั้ย ผมไม่ดูหรอก ไม่ชอบดูหนังผี ดูแล้วมันติดตา”

“ไม่ใช่หนังผีนะครับ หนังรักโรแมนติกต่างหาก”

“นั่นล่ะยิ่งไม่ชอบดูเลย คุณไปชวนคนอื่นเถอะ”

“หนังรักไม่ให้ดูกับ ‘แฟน’ แล้วจะให้ดูกับใครล่ะครับ”

“จะดูกับใครมันก็เรื่องของคุณดิวะ”









“เชี่ยเกรท ไอ้เด็กบ้า ผมบอกแล้วไงว่าไม่ดูไม่ดูน่ะ!”



สุดท้ายก็ได้แต่โวยวายหลังจากโดนจับลากมาโรงหนังแบบโคตรบังคับฝืนใจ แล้วไอ้ที่เด็กเกรทบอกหนังรัก แม่งรักมากเลยจ้า รักจนข่วนเลือดสาดนางเอกแปลงร่างเป็นแวมไพร์เลยเว้ย!!



“อ้าว ก็ผมบอกแล้วไงว่าหนังรัก ความรักที่เกิดจากคนธรรมดาที่กลายเป็นแวมไพร์สาวสิงร่างอยู่ในตุ๊กตาค่อยจับฆ่าคนที่เป็นเจ้าของคนแล้วคนเล่าเพราะเหม็นความรักที่เขามีให้กับหล่อน”

“เรื่องอย่างนี้แหละที่ไม่อยากดู! ดูแล้วมันติดตารู้มั้ยแล้วคืนนี้ใครมันจะนอนหลับลงวะ!” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ผมกล้าสบถ กล้าโจมตีใช้คำด่าหยาบๆกับเจ้าตัว ความรู้สึกที่เหมือนเห็นหัวผมเป็นรุ่นพี่นับวันจะไม่มี แล้วอย่างนี้ผมจะใจดีกับเขาไปเพื่อ

“มานอนห้องผมดิ ถ้ากลัว”

“กลัวคุณยิ่งกว่าอ่ะดิ!”

“ผมน่ากลัวตรงไหน”

“...”

...ทุกตรงบอกเลย...

ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ความสัมพันธ์ของเรายังเข้ารูปเข้ารอย คบกันเป็นแฟนได้อย่างราบรื่นเสียจนน่าตกใจ เห็นเถียงกันเป็นเจ้าเด็กน้อยอย่างนี้แต่พวกเรากลับเข้ากันได้ดีเหลือเชื่อ

ไม่ว่าจะเป็นรสนิยมการกิน ที่เป็นคนง่ายๆกินอะไรก็ได้ทั้งคู่ พวกเราชอบขลุกกันนั่งเล่นเกมมือถืออยู่ในห้อง บางครั้งเบื่อๆก็ออกไปนั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือ หรือต่อให้เป็นเรื่องที่ต่างคนต่างไม่ถนัดอีกฝ่ายก็จะเฝ้าดูกิจกรรมของอีกคนด้วยความเพลิดเพลินไม่รู้จักเบื่อ

อย่างวันไหนเกรทไปเตะบอลผมก็ชอบที่จะนั่งดูและเชียร์อยู่ข้างๆสนาม อีกฝ่ายเล่นเกมรุกได้มันถึงใจสุดๆไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำประตูได้เลย ส่วนวันไหนว่างๆผมก็จะชอบนั่งวาดรูปอยู่ในห้อง อันนี้น่ะงานอดิเรกผมเลยล่ะ แล้วเจ้าตัวมักจะอาสาเป็นแบบวาดให้ แถมบางทียังเสนอตัวว่าจะถอดเสื้อเหลือแต่กางเกงในโชว์ซิกแพคให้ผมวาดนู้ดเก็บไว้เป็นที่ระทึกอีก...โคตรระอา...

ตอนแรกๆไอ้เบส มักจะเตือนผมอยู่เสมอว่าจะให้เลิกเสียทีก่อนอะไรมันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ ส่วนไอ้ฟ่างกับดาวก็เอาแต่เชียร์ให้พวกเราป้าบป้าบในเชิงของคนคิดเรื่องสัปดนอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งการไปมาหาสู่ระหว่างผมกับเกรทเป็นเรื่องที่ชินตา...เออ ก็ไม่เชิงชินตาเท่าไรหรอก แค่ผมไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกับเพื่อนจนพวกมันชินกัน แล้วก็ไม่ได้มีการเอ่ยถึงเกรท การแจ้งเตือนต่างๆเลยดูเหมือนจะน้อยลงไปราวกับว่า การที่ผมมีแฟนนั้นเป็นความฝัน

“ไปนอนห้องผมเถอะ ดึกแล้ว”

“ดึกที่ไหนนี่มันพึ่งจะสามทุ่ม”

“อิมกล้านอนคนเดียวเหรอ”

...นี่เป็นอีกอย่างที่เปลี่ยนไป เด็กเกรทมันจะแทนผมว่า ‘อิม’ โดยไม่เรียกพี่อีกแล้ว...

“กล้า”

“เชื่อตาย คราวก่อนจำได้ว่าตาโหลมาเรียนเลย”

คราวก่อน...มันก็คราวเดียวกับที่โดนนายหลอกไปดูหนังผีนั่นแหละ!

“เออ บอกว่ากล้าก็กล้าดิ!”

“ค้างสักคืนไม่เห็นจะเป็นไร เสื้อผ้าอิมที่หอก็มีพร้อมอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้คุณน้าก็ไม่ว่าอะไรแล้วด้วย”

“...” นี่แหละที่ไม่ยินดี หลังจากเคยหิ้วปีกเกรทกลับเพราะเมาไปครั้ง ต่อจากนั้นพวกเพื่อนเจ้าเด็กบ้านี่มันก็คิดว่าผมเป็นสารถี เป็นคนใช้ที่แสนดีคอยแสตนด์บายช่วยแบกคุณชายคิรากรกลับบ้านยามเมาเสมอๆ จนทุกวันนี้ต้องหอบผ้าหอบผ่อนย้ายตาม ‘สามี’ อย่างที่ไอ้ฟ่าง ไอ้ดาวมันเรียกกัน มาฝังตัวในห้องใหญ่ๆสี่เหลี่ยมห้องนั้น ส่วนแม่ผมก็ทำใจได้แล้วเรื่องที่ว่าหากกลับบ้านเกินสี่ทุ่มคือเข้าใจตรงกันว่า...ค้างหอเกรท

“ค้างเถอะครับ ดึกแล้ว ไม่อยากให้อิมกลับดึกๆคนเดียว”

...นี่แหละสกิลการอ้อนของเขา...









แปลกดีนะ...ทั้งที่เตียงออกจะกว้าง แต่ผมกับเกรทกลับนอนกอดกันจนเป็นนิสัย จะมีบ้างบางครั้งที่รู้สึกจะตะขิดตะขวงใจที่ตื่นมาแล้วไอ้ตรงนั้นเด่เพราะฝันเปียกตามประสาผู้ชาย

พวกเรา...แค่กอดกัน...ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้นซึ่งมันเป็นเรื่องที่แปลก...

ผมไม่เข้าใจว่าคนอย่างเกรทที่ชอบผู้หญิงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะมายินดีอะไรกับการได้กอด ‘ผู้ชาย’ อย่างผมนอน อาจจะแค่กอดแทนหมอนข้างล่ะมั้ง

แล้วพักนี้เหมือนเกรทจะไม่ค่อยพูดถึงใยไหม ไม่มีการมองหาตอนอยู่ใต้ตึก เหมือนตัวตนของใยไหมค่อยๆเจือจางออกไปจากความคิด...

“กินที่ กินที่ กินที่” ผมเอามือเขี่ยดันเกรทให้หลบไปอีกข้าง เตียงออกจะกว้างเรื่องอะไรมายืนกางแขนกางขาเกะกะชาวบ้านคนจะล้มตัวลงนอนขนาดนี้เนี่ย

“หึ” เกรทหลุดขำออกมายามผมทำหน้ามู่ทู่

“หัวเราะอะไร”

“ขยับยังไงสุดท้ายก็ต้องนอนกอดกันอยู่ดี”

“งั้นวันนี้ก็ไม่ต้องกอดดิ ผมไม่ได้ขอด้วยซ้ำ”

“เดียวอิมจะฝันร้ายนะ”

“...”

ไม่เถียง...ผมแม่งฝันร้ายจริงหากตอนนอนแล้วนึกถึงหนังสยองขวัญเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ไปดูมาวันนั้น

เกรทเอี้ยวตัวให้ผมคลานขึ้นเตียงแค่เสี้ยวเดียว ผมเลยล้มตัวลงไปในอ้อมแขนเขาอย่างง่ายดาย

“นอนเถอะครับ” ไฟในห้องยังสว่างโร่ เจ้าตัวรู้ดีว่าผมจะไม่ยอมนอนปิดไฟหากเป็นวันใดที่ผ่านโรงหนังมา แขนเกรทขยับโอบกระชับผม ตอนแรกแปลกแต่ตอนนี้ชิน...ผมชุกหน้าเข้าไปกับแผ่นอกเขาพรูลมหายใจยาวเหยียด ไม่นานก็อยู่ในสภาวะที่นิ่งเรียบสม่ำเสมอ ความง่วงเริ่มบังเกิดครอบงำสมองส่วนหนึ่ง

“ไม่เมื่อยบ้างเหรอไงให้นอนบนแขนทุกครั้ง” เสียงผมถามงึมงำด้วยความสงสัยตลอดเวลาที่ผ่านมา ครั้งแรกคิดว่าแกล้งหากแต่หลังจากนั้นกลับทำจนเป็นนิสัย กลายเป็นเรื่องเคยชินของเราไปในที่สุด

“หัวอิมไม่ได้หนักขนาดนั้นซะหน่อย” รู้สึกถึงสัมผัสนุ่มหยุ่นเบาๆแนบลงบนหน้าผาก แต่ผมง่วงเกินกว่าจะเงยหน้าไปยืนยันว่าเกรททำอะไร

“เลิกแกล้งได้แล้ว...นอนเถอะ”

“ครับ...คนดีของผม”













“อะแฮ่ม!!” เสียงราวกับกระแทกเสลดที่ติดค้างอยู่ในลำคอมาสามชาติดังขึ้นขัด ผมกับเกรทเดินคุยกันไปพลางระหว่างทางมุ่งหน้าสู่อาคารเรียนถึงกับต้องเหลียวมองเพราะพึ่งรู้ตัวว่าเพลินจนเดินขวางทางชาวบ้าน แต่สิ่งที่ทำให้แปลกใจกลับไม่ใช่ใครอื่น ใบหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยราวกับอยากแซวพวกผมเต็มแก่ของไอ้ดาวกำลังมองมาตามพวกผมจากทางด้านหลัง

“ไอ้ดาว”

“มาด้วยกันเหรอ”

“แยกกันมา”

“โอเค เชื่อจ้า” หน้ามันไม่เชื่อสักนิด แล้วถ้าเชื่อก็เรียกว่าโง่แล้ว

“พี่ดาว หวัดดีครับ” เกรทเรียกร้องความสนใจโดยการยกมือไหว้เพื่อนผม

“หวัดดีจ้าน้องเกรท ไหว้พระเถอะนะ”

“ไหว้พี่แหละครับ” ไอ้สองคนนี้มันยิ้มใส่กันบรรยากาศกวนส้นตีนพิลึกเลย

“ทำไมถึงมาพร้อมกันได้ล่ะ นัดกันมาด้วยกันทุกวันเลยเหรอ”

“เปล่าครับคือ...”

“วันนี้บังเอิญเจอน่ะ” เกรทไม่ทันตอบผมก็ดักคอเขาไปเสียก่อน เข้าใจว่าทุกวันนี้ต่างคนรู้กันดีว่าพวกเราเป็นอะไรกัน หากเรื่องไม่อึกทึกครึกโครมขนาดนั้นป่านนี้เราคงเป็นแฟนแล้วจบกันแบบเงียบๆไปแล้ว แต่เรื่องราวกลับดำเนินมาถึงตรงนี้คงมีเพียงการคงสถานะไว้ไม่ให้หวือหวาเตะสายตาชาวบ้านมากเกินไป แล้วพอถึงเวลาที่คนอื่นเขาลืมกันถึงตอนนั้นค่อย...

ไม่คิดเลยว่าการเดินก้าวน้อยคิดเรื่องอนาคตของพวกเราจะถูกสายตาคมจับจ้องทุกอิริยาบถ ใบหน้าคมคายจางหายสิ้นซึ่งความขี้เล่นเมื่อครู่ เกรทสบตาผมไม่หลบเหมือนราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง มันจริงจังเสียจนผมต้องเอาศอกเข้าสะกิด

“เฮ้ย...จู่ๆมามองหน้าผมทำไมล่ะ”

“มองหน้า ‘แฟน’ ไม่ได้เหรอครับ”

“...” ลมหายใจสะดุดเมื่อเจอคำหยอกปนสายตาตัดพ้อ...

...ตัดพ้อ? ไม่หรอก เจ้าตัวคงพยายามแกล้งผมเหมือนทุกที แต่ทำไมคราวนี้กลับดูซีเรียสจริงจังกว่าครั้งไหนๆ

“อย่าหวานออกสื่อนักได้มั้ยชั้นขอร้อง อิจฉาจนจะอ้วกตายอยู่แล้ว” เสียงผู้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์อีกหนึ่งแทรกขึ้นมา ไอ้ดาวมองเย้ยผมที่หันไปทำหน้าดุใส่ เพื่อนสาวขมุบขมิบส่งเสียงข่มขู่เบาๆให้เฉพาะเราสองคนได้ยิน “ชั้นจะไปฟ้องไอ้เบส ว่าแกยังไม่เลิกกับน้องเขา”

“เชี่ยดาว อย่าบอกไอ้เบสนะ!” เรื่องนี้รู้ถึงหูมัน มีหวังโดนบ่นงุ้งงิ้งจนหูชา เรื่องอุตส่าห์ซาเพราะผมพยายามไม่พูดถึงเกรทให้เพื่อนซี้ผมได้ยิน จนหลอกมันให้ตายใจว่าผมเลิกกับเกรทไปถึงไหนต่อไหน ไม่มาซักไซ้ไล่เลียงแล้วแท้ๆ

แต่จะว่าไปก็ไม่ถูก ให้พูดจริงคือพักหลังมานี้เหมือนเบสไม่ค่อยมีเวลาโผล่หน้ามาหา ทั้งดาวและข้าวฟ่างต่างคิดไปเองว่ามันน่ะติดแฟน เห่อจนไม่เห็นหัวเพื่อนจนเลิกคิดที่จะสนใจ แต่ถึงยังไงผมก็ไม่อยากให้มันมาทำหน้าเหม็นเบื่อแบบผู้หญิงมีเมนส์ใส่อีกแล้ว

“เรื่องอะไรที่บอกพี่เบสไม่ได้” เย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งในช่องฟรีสเห็นทีคงไม่พ้นเสียงเกรทตอนนี้ เจ้าตัวดูไม่ยินดีกับสิ่งที่ผมกล่าว รอยยิ้มบนใบหน้าเรียกได้ว่าติดลบด้วยซ้ำ

“เออคือ...”

“เชี่ยอิม นั่นมันไอ้เบสเปล่าวะ” เหมือนสวรรค์เมตตาหยิบยื่นโอกาสหนีมาให้ ผมตัดสินใจคว้าเอาไว้อย่างไม่ลังเล ปลายนิ้วของดาวกำลังชี้ไปยังจุดหนึ่งตรงลานจอดรถ

รถคันหนึ่งพึ่งจอดนิ่งพร้อมการปรากฏกายของร่างคุ้นตาเปิดประตูก้าวเดินออกมาในคลองจักษุ รถคันนั้นเป็นของเบสผมจำได้ ตามด้วยหญิงสาวรูปร่างอ้อนแอ้นซึ่งนั่งข้างกายคนขับ...อันนี้ผมก็จำได้เหมือนกัน เพราะเป็นคนที่เกรทมองตามอยู่ทุกวันอย่าง...ใยไหม...

...หรือว่าเรื่องที่แก๊งเพื่อนอย่างพวกเราคิดไว้...อาจจะเป็นเรื่องจริง...

มันเป็นภาพที่ไม่เคยคิดอยากจะชินตาแต่ก็ไม่ทำให้ประหลาดใจสำหรับผม ส่วนคนที่เหลือ...

“เชี่ยโว้ย...ไอ้เบสจริงๆด้วยอ่ะแก” ไอ้ดาวอุทานไม่เป็นภาษายกมือขึ้นมากระตุกแขนเสื้อผม พอสติกลับมาผมรีบหันขวับไปมองดวงหน้าด้านข้างของเกรททันที

ร่างสูงยืนนิ่งมองไปทางเป้าสายตาของสามคน แววตาเหมือนตกอยู่ในห้วงภวังค์ความตกใจ มันดูสั่นไหวแปลกๆ

“เกรท...”

“พี่...ใยไหม” เสียงเกรทเบาและเจือจางราวกับจะหายไปในอากาศอยู่ทุกเมื่อแต่มันกลับดังก้องในสมองของผม

“เอ๊ะ...นั่นใยไหมคณะเราเหรอ”

ใช่...เป็นใยไหมตัวจริงเสียงจริง ผมจำรูปร่าง บุคลิก ลักษณะท่าทาง และความเป็นตัวตนของเธอได้ อาจจะเพราะเคยชินกับการต้องไล่ตามสายตาคู่คมของคนด้านข้างที่หันไปมองอยู่เสมอ เลยทำให้เห็นเพียงแวบเดียวก็สามารถบ่งชี้ ‘ผู้หญิงที่แฟนผมชอบ’ ได้

“บ้าน่ะ ไม่ใช่หรอก....ใยไหมกับไอ้เบสเนี่ยนะ อย่างนี้เรื่องที่พี่สิงบอก...”

หนึ่งประโยคจากดาวสะกิดใจผม เหมือนทฤษฎีทุกอย่างที่มาขมวดปมมันผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวไปจากความจริง การเชื่อมโยงปะติดปะต่อเรื่องราวยิ่งดูซับซ้อนมากขึ้น จนวัตถุดิบในสมองผมไม่เพียงพอ ผมจับต้นแขนดาวให้หันมาเผชิญหน้า

“พี่สิง? พี่สิงบอกอะไรแก”

“หะ...ฮะ? เป็นอะไรของแกน่ะอิม จู่ๆก็...” สีหน้าคนตัวสูงดูสลดลงไปขนาดนั้น หากไม่จัดการอะไรสักอย่างความรู้สึกหนักๆนี้คงคั่งค้างไปทั้งวัน ไอ้ดาวคงเห็นท่าทีผิดวิสัยเลยขมวดคิ้วมองหน้าผม

“ไอ้อิม แกก็นะ ถ้าเป็นเรื่องไอ้เบสเนี่ยท่าทีเปลี่ยนเลย รู้หรอกว่าสนิทกับมันมากกว่าชั้นกับฟ่างแต่ก็ไม่ต้องทำตัวเหมือนหวงแฟนขนาดนี้ก็ได้เปล่าวะ ไอ้เบสก็อีกตัว พอแกไม่ได้โผล่หัวมาเข้ากลุ่มบ่อยๆก็เอาแต่ถามชั้นอยู่นั่นแหละว่าแกไปไหน ยังคบกับน้องเขาอยู่รึเปล่า...ชะอุ๊ย” ไอ้ดาวเอามือปิดปากย่นคอทำหน้าตาตื่น สายตามองเลยผมไปทางด้านหลัง

ผมหันไปมองตาม คนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างซ้ายผมกำลังจับจ้องตรงมา สีหน้าแสดงอารมณ์หลากหลายแต่หนึ่งในนั้นที่ผมระบุได้คือความไม่พอใจที่ทวีขึ้นคูณสิบ

...หรือว่าหงุดหงิดที่รู้ว่าใยไหมคบกับเบส...

“เกรท...”

“พี่เบสกับอิมสนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

ฮะ?

“อย่าว่าสนิทเล้ย ตัวติดกันอย่างกับตังเม พวกมันเจอกันตอนปีหนึ่งพร้อมกับพี่ แต่สนิทกันมากกว่าเพราะเจอตั้งแต่ปฐมนิเทศน์” ไอ้ดาวขยายความ มันเป็นสิ่งที่ผมไม่ต้องการในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ ผมพยายาม...พยายามอ่านสีหน้าเกรทตอนที่ได้ฟังจนจบประโยค แล้วรีบยกมือจับข้อศอกของเขาแน่น

“สนิท แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นรู้ทุกเรื่องหรอกนะ” ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ กลับมาเป็นเหมือนเดิมสิ ยิ้มสิยิ้ม “เรื่องแฟนก็ด้วย ผมไม่รู้...”

“พี่อยากรู้เรื่องแฟนเพื่อนสนิทไปทำไม?” คำสรรพนามเรียกผมเปลี่ยนไปจนรู้สึกขัดใจแปลกๆ

“อ้าวจะไม่อยากได้ไง ก็เขาเป็นคนที่...”

เพี้ยะ!!

เสียงดังลั่นจากมือข้างหนึ่งที่ยกขึ้นตีปาก ทั้งเกรทและดาวต่างยืนอึ้งมองผมราวกับคนบ้า

กะ...เกือบไปแล้ว...

ผมขยับสายตาไปเห็นร่างสูงที่เลิกคิ้วมองผมหนักกว่าเก่า ความกระอักกระอ่วนเกิดขึ้นในจิต ลืมไปเลยว่าเกรทไม่เคยเอะใจเรื่องที่ผมทราบความรู้สึกของเขาที่มีต่อใยไหม

“เชี่ยโว้ย ไอ้อิมพวกแกจะเสียงดังทำไม...ไอ้เบสมันหันมาแล้ว!” หา? ทุกอย่างเกิดไวจนผมอึ้ง กว่าจะรู้ตัว สองคนที่เคยยืนอยู่ที่ไกลๆกลับเดินเข้าใกล้ การกระทำสดใหม่เป็นของใยไหมที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา

“อิมเมจ น้องเกรท” ยิ้มเริงร่าขัดกับดวงตาและสีหน้าอิดโรยซึ่งฉาบชัดไว้ภายใต้เครื่องประทินโฉม ผมผละแขนออกจากศอกเกรทโดยอัตโนมัติย้ายมันมาไว้ด้วยหลังอย่างกระอักกระอ่วนใจ ไม่มีเวลาแม้แต่สำรวจสีหน้าคนข้างกายว่าจะรู้สึกแย่เพียงไหนที่ผมสัมผัสเขาต่อหน้าหญิงสาวที่แอบชอบ

“บังเอิญจัง เจอเพื่อนเบสตั้งสองคน แถมยังเจอน้องเกรทอีก” รอยยิ้มอ่อนหวานส่งตรงให้คนตัวสูง ผมเสตาลงมองพื้น ความรู้สึกไม่อยากมองที่ผุดขึ้นมานี้คืออะไร?

“สวัสดีครับ พี่ใยไหม” เสียงทุ้มบ่งอาการประหม่าจนเกือบสั่น แต่ความนุ่มนวลยามเรียกชื่อคนตรงหน้านั้นยังอยู่

“แหม ไอ้เบส ยืนนิ่งเป็นเป่าสากเลยนะ ไม่คิดจะแนะนำตัวแฟนให้เพื่อนหน่อยเหรอ” ดาวยิงใส่คนยืนจับสายกระเป๋าหน้ายู่เป็นตูดอยู่ด้านหลัง ไอ้เบสเขม้นมอง ‘แฟนผม’ ไม่ปิดบังเหมือนทุกครา คล้ายตอนได้ยินชื่อร่างสูงในบทสนทนาของกลุ่ม

“แฟน?” ใยไหมหันมองไอ้เบสหน้าตาเลิ่กลั่ก “นี่อย่าบอกนะว่า คิดว่าเรากับเบส...”

ฮะ?

“อิม” เสียงทุ้มจากคนข้างกายเรียกชื่อ ผมไม่รู้ว่าเกรทคิดอะไร ร่างสูงสอดมือคล้องเกี่ยวนิ้วผมไว้มั่น จ้องลงมาลึกในดวงตา “ไปเถอะครับ ผมมีเรียนเช้า”

“หา?” ร่างโดนฉุดรั้งให้สับขาตามจังหวะการก้าวยาว พวกเราเดินห่างออกมาจากทั้งสามคนเรื่อยๆ ผมไม่เห็นสีหน้าของเกรท แผ่นหลังกว้างที่เผชิญอยู่ไม่อาจบอกความจริงอะไรได้ แต่มือที่อีกฝ่ายกระชับมันแน่นราวกับพันธนาการที่มิอาจสะบัดหลุด

...ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ แค่นี้ผมก็รู้สึกเหมือนจะสะบัดคุณออกไปจากชีวิตไม่ได้แล้ว...



…TBC….


++++++++++++++


เมาเรื้อนจนจำไม่ได้ แต่จำร่างเปลือยพี่อิมดันได้ เอ๊ะยังไง

มโนสำนึกนายช่างร้ายกาจนัก
:-[

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมไม่ฟังให้จบฮะเจ้าเกรท  จะรีบหลบไปทำไม?

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
เรื่องนี้มีปมเยอะมาก,,, รอครับ อยากรู้,,,

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบสี่...คำถาม รำคาญก็ไม่ตอบ



“เฮ้ย เกรท”

“...”

“เกรท”

“...”

“ไอ้คุณคิรากร!”



เลยป้ายโว้ยยยย นี่มันเลยหน้าทางเข้าตึกเรียนแล้วนะ ผมออกแรงต้านร่างสูงที่จับจูงมืออยู่ให้หยุดเดิน เหมือนจะได้ผลคนที่เกี่ยวนิ้วแน่นไม่ปล่อยพอโดนกระตุกไปต่อได้ยากจึงหันมาใช้สายตาตกๆเลิกคิ้วมอง

“จะไปไหนเนี่ย”

“...” กายสูงกะพริบตากวาดมองไปรอบๆก่อนวนมาดังเก่าก่อนอย่างไม่รู้ตัว ยืนนึกหาคำพูดที่สูญหายแต่จนแล้วจนรอดความเงียบกลับเข้าแทนที่เราทั้งคู่ จนผมต้องทอดถอนหายใจ

“ผมสงสัยจริงๆ ทั้งที่เมื่อกี้...”

“ไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ยืนอยู่ตรงนั้น” เสียงทุ้มขัดผมกลางปล้องเฉลยคำตอบเมื่อสักครู่

“หา?”

“ที่อิมถามผมเมื่อกี้ ผมไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ยืนอยู่ตรงนั้น”

“ทำไม?”

“ผมไม่รู้”

“หรือว่าเมื่อกี้...”

“อย่าถามผม”

“อย่าบอกนะว่าเรื่องใย...อื้ออ” มือใหญ่แปะป้าบลงมา ผมแม่งเหมือนอย่างกับหมาโดนตะกร้อครอบปาก พอจะถอยหนี มืออีกข้างของคนตัวสูงก็ทำหน้าที่ตะปบท้ายทอยล็อกคอซะอยู่หมัด

“วันนี้อิมพูดมากจัง”

“อื้อ อื้อออ อื้อออ” ก็ใครมันเสือกทำให้ผมอยากถามกันล่ะวะไอ้เด็กนี่ หาวิธีไม่ได้ผมเลยเล่นสกปรกเอา รับรองคราวนี้ปล่อยแน่

“เฮ้ย” เกรทกระชากมือกลับแทบจะในทันที “อิมเลียมือผมทำไมเนี่ย” ก็ไม่ปล่อยเองนี่หว่า ไม่กัดเป็นหมาก็บุญแล้ว

“อีกนิดเดียวแท้ๆก็จะรู้อยู่แล้ว”

“รู้อะไร”

“ก็รู้ว่า...”

“ถ้าเรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้ว”

หา?

“ไม่ต้องบอก...ผมก็รู้อยู่แล้ว”

หมายความว่ายังไง?

“ที่รู้นี่หมายถึง? เฮ้ย!” คราวนี้มือโดนคว้าไปต่อแบบไม่ยอมรับฟังคำขออุทธรณ์ใดใด ช่างแม่งแล้วเว้ย จะลากไปไหนก็เอาเถอะ!















ไหนว่ามีเรียนเช้าไง แล้วทำไมผมถึงมานั่งแกร่วในร้านกาแฟ รอคนตัวสูงที่เดินไปสั่งเครื่องดื่มตรงเคาน์เตอร์ได้ล่ะ



ผมโดนเกรทหลอกเต็มประตู หลังจากเจ้าตัวประสานมือกับผมเสร็จ ก็กำไว้แน่นไม่พูดไม่จาจนลากมาจบที่ร้านกาแฟแบบโคเวิร์คกิ้งสเปซใกล้มหา’ลัย ภายในร้านดูเงียบเหงาผู้คนบางตา เนื่องจากไม่ใช่เวลายอดฮิต ยามนี้บางคนยังติดอยู่กับเตียงนอนด้วยซ้ำ แถมยังเป็นช่วงที่ไม่ใช่ฤดูกาลสอบ ความสงบจึงมีมากเกินจำเป็น

พื้นไม้ยกระดับซึ่งแวดล้อมไปด้วยโต๊ะญี่ปุ่นทรงเตี้ยสีเขียวกับเบาะสีเดียวกันเข้าชุดเป็นจุดที่เกรทพาผมมานั่ง ร่างสูงกำลังมีใจจดจ่อกับการสั่งอาหารผมเลยได้แต่ยืดแขนเหยียดกว้างแนบแก้มขนานไปกับโต๊ะเฝ้ามองอย่างเกียจคร้าน

...เขาคิดอะไรอยู่นะ... ที่ว่ารู้เนี่ยรู้อะไร กำลังจะถึงไคลแม็กซ์แท้ๆ แต่ดันลากกันออกมาซะได้ หรือว่ารู้เลยไม่อยากได้ยินอีกฝ่ายพูดจากปากโดยตรง  “อย่าว่าแต่คุณเลยตอนแรกที่รู้ผมยังรับไม่ได้เลย”

“บ่นงึมงำอะไรครับ” ด้านที่ผมตะแคงข้างพอมองเพียงร้อยยี่สิบองศาจากเคาน์เตอร์ไล่มาด้านซ้ายเลยไม่ทันได้รู้ว่าเจ้าตัวเดินมาด้านหลังเมื่อไร ผมพลิกตัวซึ่งนอนตะแคงมาแนบแก้มกับแขนอีกข้างจ้องมองเกรทที่วางแก้วเครื่องดื่มลงพลางทิ้งตัวลงนั่งข้างผมอย่างนิ่งนานเสียจนเจ้าตัวประหลาดใจ

“จ้องผมทำไม”

“มอง-หน้า- ‘แฟน’- ไม่ได้-เหรอ-คร้าบ”

เน้นมันตรงๆคำเดียวกับที่อีกฝ่ายเคยกล่าววาจาก่อนหน้า ป่านนี้เกรทคงหาว่าผมช่างย้อน หากเจ้าตัวกลับจุดยิ้มที่มุมปากเบาๆไม่ต่อปากต่อคำ ผมเลยไล่สายตาไปตั้งศีรษะจรดท่านั่งขัดสมาธิและกิริยาหยิบแก้วอเมริกาโน่เย็นขึ้นดูดอย่างเชื่องช้า

“ต้องไม่ใช่แน่ๆ”

“หืม?” ผมเปรยขึ้นมางงๆแบบทำเจ้าตัวฉงน

“ให้ลองคิดยังไงก็น่าจะเป็นการเข้าใจผิด”

“บ่นอะไรของอิมน่ะ”

“ไม่อยากฟังต่อจริงๆเหรอ”

“ฟังต่ออะไรครับ”

“มันอาจจะเป็นโอกาสของคุณก็ได้นะ”

“โอกาส?” ผมขยับตัวอย่างรำคาญความไม่รู้หรือแกล้งโง่ของอีกฝ่าย จนน่องไปชนกับคนที่ขัดสมาธิอยู่ให้หงุดหงิด

“ไป ไป ไปนั่งนู้นไป ที่ก็ออกจะกว้าง ทำไมมานั่งตรงนี้” นิ้วแขนซึ่งเหยียดตรงไปกับผิวโต๊ะกระดิกชี้ไปอีกฟากเป็นเชิงไล่

“มีคนเขียนชื่อจองไว้ครับ”

“หา?” พรวดพราดยันมือเข้ากับโต๊ะยืดตัวมองเบาะสีเขียวมิ้นท์อีกฟาก ไม่เห็นจะมีแม้แต่กระดาษเขียนแปะอย่างที่เจ้าตัวว่าไว้

“เกรทไหน...”

“ใส่เสื้อลอยชาย กับกางเกงหลวมๆเวลานั่งก็หัดระวังบ้างสิครับ”

หา?

ผมหันไปทันมองมือใหญ่จับขอบกางเกงหลุดเอวของผม กางเกงตัวนี้ออกจะเก่าไปนิด หลุดคิวซีการโดนโละทิ้งมาได้เพราะโชคช่วยจัดๆ ตอนนั้นเหมือนแม่จะไปสัมมนาที่ต่างจังหวัดส่วนผมลืมทำหน้าที่ซักกางเกงตัวเองเลยต้องไปขุดเจ้าโอเวอร์ไซส์ซึ่งซื้อมาผิดขนาดตอนปีหนึ่งทนทู่ซี้ใส่คู่เข็มขัดที่มีไปก่อน จนมาถึงตอนนี้มันได้กลายเป็นเพื่อนยามยากของผมตอนโดนพายุลมมรสุมจนผ้าที่ตากไว้ไม่แห้งขาดแคลนกางเกงไปเสียแล้ว

วันนี้ก็เช่นกันบังเอิญประเทศไทยยังอยู่ในช่วงฤดูฝนยาว ผ้าที่ตากไว้เลยไม่แห้งจำต้องทนหยิบน้องมาใช้อย่างจำใจ แต่ในขณะเดียวกันก็พลาดที่ลืมคว้าเข็มขัดมาใส่ด้วย

“เออ รู้แล้วน่า” กำลังจะขอบคุณที่เตือนกัน แต่มือเกรทดันรั้งขอบกางเกงจนร่วงลงเห็นขอบผ้าผืนน้อยโผล่พ้นออกมา “เฮ้ย!”

นิ้วยาวไล้ไปตามแถบสีดำลายตัวอักษรขาวอย่างเบามือ สายตาคมกริบจับจ้องมาที่สะโพกซึ่งแพลมโผล่ผืนผ้าสีแดงถัดจากขอบผ้าสีดำ

“ของผมนี่” เสียงทุ้มต่ำเหมือนมีมนต์สะกดบางอย่างให้ผมต้องค้างอยู่ท่านั้น ของเหลวเหนียวๆในปากถูกกลืนเข้าช่องคอด้วยความลำบากยากเย็นราวกับเกรงว่าเพียงเสียงกลืนน้ำลายจะทำให้สัตว์นักล่าง้างกรงเล็บขึ้นมาตะครุบเหยื่อ หากแต่สายตาคมที่มองไปตามนิ้วเรียวยาวซึ่งไล้ขอบกางเกงตัวน้อยกลับตวัดขึ้นสบอย่างกะทันหัน

“นี่ก็...ของผม”

หา?

นอกจากกางเกงในแล้วมีอะไรอีกวะ...

“คุณหมายถึง...”

“อิมผอมลงรึเปล่า?”

“หา?” มือใหญ่จับหยอกบีบเอวผมจนสะดุ้ง “เชี่ย!!อย่าจับดิวะเกรทมันจักจี้” ผมคว้ามืออีกฝ่ายกุมไว้แน่น ทำหน้าปรามเด็กดื้อระดับสิบจนเจ้าตัวหัวเราะออกมาเสียงดัง

“อย่าหยอกกันได้มั้ย เดี๋ยวผมก็คืนแล้วน่า” พอซักตากครั้งนึงตั้งใจจะส่งคืนแต่กลับต้องมีเหตุอะไรบางอย่างให้ต้องใส่แล้วกลับมาซักตากอีกรอบ เลยไม่ได้ส่งคืนให้เสียที “ผมว่าผมซื้อคืนให้คุณใหม่ดีกว่า” คิดๆไป ใส่มาตั้งหลายรอบ ป่านนี้เจ้าตัวคงรังเกียจที่จะได้มันคืนแล้วล่ะ “คุณเกิดวันไหน”

“ฮะ?” เกรทมองหน้าผมซึ่งขยับลงมานั่งเป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียที แต่มือใหญ่ยังจับตอบมือผมแน่นแถมไล้ไปตามข้อนิ้วราวกับมีความนัยแฝงจนผมต้องชักมือกลับ

“ผมถามว่าเกิดวันไหน”

“31 ตุลาครับ”

“31 ตุลา?”

“วันฮัลโลวีน อิมกลัวผีไม่ใช่เหรอ แต่อยากกลัวผมนะ”

“หน้าตาอย่างนี้ใครจะไปกลัวลง”

“แต่สาวๆชอบกรี๊ดใส่ผมเวลาเจอหน้า”

“นั่นเขากรี๊ดก็เพราะว่าคุณหน้า...” ผมสะดุด...ตาคมเนี่ยเป็นประกายจ้องผมระยิบระยับเชียว หวังจะให้ชมซึ่งหน้าสินะ อย่าได้สมหวังเลย

“หน้าอะไรครับ”

“หน้าลาเต้อาร์ตผมจะละลายไปกับกาแฟอยู่แล้ว ส่งมาได้แล้วกาแฟผมชืดหมด” กระดิกนิ้วให้ร่างสูงดันแก้วมัคมาให้ กาแฟเมนูประจำที่พักหลังจะถูกคนตรงหน้าสั่งให้ตลอด จนสกิลการเดินเข้าเคาน์เตอร์สั่งชื่อเมนูร้อนเย็นขนาดไซส์เท่าไรทานในร้านหรือนำกลับไปดื่มที่บ้านของผมมันอันตรธานหายไปจากสมองซะแล้ว

ผมยกกาแฟที่เกรทดันมาขึ้นเป่าไอร้อน สายตาอีกฝ่ายยังคงจ้องมองกลับมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“อิมไม่ต้องซื้อใหม่ก็ได้ เอาตัวนี้แหละมาคืนให้ผม”

“ได้ไง ผมใส่มาตั้งหลายรอบแล้ว ให้ผมซื้อใช้คืนเถอะ เอายี่ห้อเดียวกันแต่เป็นแบบทรังค์ละกัน เดี๋ยวผมเลือกแบบที่สีไม่ฉูดฉาดให้ หรือว่าคุณอยากได้สีอะไรที่มันแจ๊ดๆแบบแสดสะท้อนแสง ชมพูบานเย็น หรือเขียวมะนาว”

“กางเกงในนะครับไม่ใช่โพสอิท” เจ้าตัวเอื้อมมือมาเกี่ยวยางยืดกางเกงในผมดีดเข้าเอวจนสะดุ้ง

“เกรท! เล่นอย่างนี้อีกแล้ว ต้องให้เตือนกี่ครั้งว่าอย่าฮะ!”

“ผมชอบ...”

ตึกตัก...

สองคำแทบทำผมหยุดลมหายใจ สีหน้าไม่หวั่นไหวดูสงบจนเกือบค่อนไปทางจริงจังมันเหมือนแฝงความนัยบางอย่างที่ไม่อาจระบุได้

“ชอบตัวนี้...วันเกิดผม อิมคืนตัวนี้ให้ผมนะ”

เหมือนยกบางอย่างออกจากอก ในใจหนึ่งก็โล่ง อีกใจหนึ่งก็โหวงอย่างบอกไม่ถูก เจ้าตัวบอกว่าชอบ...กางเกงในตัวนี้ แล้วทำไมตอนแรกถึงบอกว่าไม่ใส่แบบบรีฟ?

“ชอบแล้วยกให้ผมทำไม” หน้าตาตอนนี้ของผมคงดูแทบไม่ได้ มันเหมือนเด็กแบะปากงอนกับอะไรบางอย่าง

“อิม?”

“ทีหลังถ้าชอบก็อย่าตัดใจจากมันง่ายๆสิ แสดงออกไปเลยว่าชอบ อย่างน้อยคุณจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังตอนที่มันโดนคนอื่นแย่งไป”

...และอย่า...มามัวเสียเวลา กับสิ่งที่ไม่ชอบเลย...













ผมนั่งจ้องดูกางเกงในแบบบรีฟสีแดงซึ่งแขวนอยู่ตรงราวห้อยหมวกอยู่นาน ถอนหายใจซ้ำๆเมื่อเลื่อนสายตามาเจอกับของที่เกลื่อนกลาดบนพื้น กล่องกระดาษแบบมีฝาลายเรียบสีเทาขนาดเล็ก เชือกกระสอบ และซองพร้อมกระดาษจดหมายไร้ลายพื้นสีเทาเข้ม บอกถึงความอินกับสถานการณ์อันเกินจำเป็นของผม

กับแค่เกรทบอกว่าเกิดวันไหนและต้องการอะไรผมกับถึงต้องวิ่งโร่ไปซื้อของมาเตรียมไว้เลยเหรอ แล้วกว่าจะถึงวันเกิดเกรทก็อีกหลายสัปดาห์ อิม...มึงเป็นบ้าอะไรวะ...

เกลียดโมเมนต์นี้ เกลียดตัวเองที่เหมือนคนกำลังมีรัก...ทั้งที่เป็นรักที่ต่างฝ่ายต่างสร้างภาพมันขึ้นมา...

เมื่อไรเกรทจะบอกเลิกผม...หรือว่าปลงจากเรื่องใยไหมจนตัดใจไปแล้ว...

แล้วการที่คบกับผมอยู่มันหมายความว่ายังไง

‘ผมชอบ...’

พยายามจะเติมชื่อตนคำใส่ช่องว่างอย่างงงๆ ทั้งที่คนพูดก็บอกชัดมาเสียขนาดนั้น ว่าเขาชอบกางเกงในสีแดงดำที่ห้อยอยู่ตรงปลายสายตา ผมลุกขึ้นจากพื้นเดินไปหยิบมันมาถือไว้ ก่อนย้อนกลับมาทิ้งตัวลงนั่งสำรวจกลิ่นหอมสะอาดที่ถูกซักแล้วตากอย่างประณีต ใจนึกครึ้มอยากเดินบึ่งไปหยิบเตารีดมาจัดการทำให้เรียบแล้วพับเก็บ

...ชักจะไปกันใหญ่แล้ว บ้านไหนเขารีดกางเกงในบ้างวะ...

ตำหนิความประสาทของตัวเองก่อนพับเก็บลงกล่องอย่างลวกๆ ปิดฝา ผมพร้อมจะนำไปคืนเมื่อถึงเวลาแล้ว

แอบเสียดายกระดาษที่อุตส่าห์ซื้อ จึงแกะจากห่อพลาสติกดึงออกมาสามสี่แผ่น แล้วเริ่มจรดปากกาทิ้งห้วงคำนึงไปถึงคนซึ่งอยู่อีกฟากของจิตใจ บรรจงถักทอเรื่องราวลงไปในผืนแผ่นสี่เหลี่ยมของกระดาษ

กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เพลินจนหมดไปสามหน้ากระดาษแถมเหมือนจะขาดตอนหากหยุดเขียนเอาเสียดื้อๆตรงนี้ ผมถอนใจส่ายหัวระอากับตนเอง ต่อให้เขียนแค่ไหน...สักวันมันก็ต้องจบ...

พอคิดได้ปลายที่เขียนเปิดไปเลยขมวดปมไปลงไปยังตอนจบ...

ท้ายประโยคที่ผมคิดได้ตอนนี้...มันเป็นท้ายประโยคที่ดีที่สุด















“อิม ทำอะไรน่ะครับ” ผมสะดุ้ง เผลอปล่อยของที่อยู่ในมือระหว่างก้มๆเงยๆตกพื้น พอลุกขึ้นยืนเลยใช้ตีนยาวๆเตะมันจนไถลไปสุดใต้มุมเตียง หัวใจเต้นกระหน่ำบ่งบอกถึงคนมีพิรุธ ผมกุมอกก่อนแสดงท่าทีเสแสร้งบอกตอบ

“เมื่อกี้ผมทำดินสอตก” เจ้าแท่งยาวสีดำที่ถือในมือชูขึ้นสูง “แต่เจอแล้ว”

“วันนี้ก็จะเอาสมุดมาสเก็ตซ์ภาพเหรอครับ” เจ้าของห้องวางถ้วยกาแฟกับซองขนมขบเคี้ยวที่ขนมาลงตรงหน้า “ผมพร้อมให้อิมวาดภาพนู้ดแล้วนะ” เจ้าตัวยิ้มยั่วส่วนผมก็ได้แต่เหลือบตาดูขนมก่อนยิ้มเยาะในใจ

“หึ...ก่อนให้วาดภาพนู้ด มั่นใจนักหรือไง พักนี้กินแต่ของพวกนั้น แล้วผมไม่เห็นคุณจะไปเตะบอลอะไรกับเขาเลย เลิกเล่นแล้วเหรอกีฬาน่ะ”

“มีพวกเด็กนิเทศแก๊งอื่นมาจองสนามน่ะครับ เลยขี้เกียจไปแย่งกับชาวบ้านเขา”

“สนามก็ของสาธารณะเรียกว่าไปแย่งได้ไง แบ่งกันเล่นแบ่งกันใช้ก็ได้นี่” เกรทที่พยายามจะแกะถุงขนมมันฝรั่งชะงักมือฉับพลันก่อนตอบ

“แบ่งไม่ได้หรอกครับ พวกนั้นมันขี้หวง” พวกนั้น?

“อย่าบอกนะ ว่าวันก่อนที่ปากแตกมาก็เพราะไปมีเรื่องกับ ‘พวกนั้น’ ของคุณที่ว่าน่ะ” เหมือนจะรำลึกได้อยู่นิดๆ ครั้งก่อนที่ผมฝากผ้าขนหนูให้ใยไหมไปคืน จนกระทั่งมาเจอเด็กเกรทเมามายอยู่ร้านอาหารพร้อมผองเพื่อน กับรอยปากแตกเหมือนโดนชก ที่เจ้าตัวต้องฝืนทนเจ็บกว่าจะหายไปเกือบหนึ่งสัปดาห์

“หา? วันก่อน?”

“วันที่คุณไปเมาจนผมต้องแบกกลับบ้าน”

“อ๋อ วันนั้น”

“นัทเพื่อนคุณ บอกให้ผมถามคุณเอง ว่าไปโดนอะไรมา”

“โดนต่อยไงครับ”

“ใครต่อย?”

“มาเล่นเกมกันดีกว่าครับ”

“ก็ได้ เล่นเกมถามตอบละกัน” เจ้าตัวพยายามเบี่ยงประเด็นเพราะเห็นหยิบจอยนินเทนโด้ออกมา ผมรู้ทันเลยดักคอไว้

“ถามตอบธรรมดามันไม่สนุก เอาเป็นว่า ถ้าถามแล้วยอมตอบ คนถามถอดหนึ่งชิ้น ถ้าถามไม่ยอมตอบ คนไม่ยอมตอบถอดหนึ่งชิ้น” หา? ทำไมมาไม้นี้วะ ช่างเถอะ ยังไงคนเลี่ยงคำตอบก็หนีไม่พ้นเจ้าตัว ผมชนะใสใส

“ก็ได้ ตามนั้น จัดไป งั้นผมถามก่อน วันนั้นใครต่อยคุณจนปากแตก”

“เด็กนิเทศที่มาเตะบอลที่สนาม” โชคดีของผมที่ใส่อุปกรณ์มาเยอะเนื่องจากเป็นคนขี้หนาว เลยจัดการถอดคาดิแกนสีเทาอ่อนตัวใหญ่ลายคาดส้มออกเป็นชิ้นแรก

“ผู้ชายชุดขาว ที่ยืนหันหลังให้กล้อง ในภาพที่อิมยิ้มสวยๆนั่นใคร”

“ไอ้เบสไง”

“พี่เบสเหรอครับ?” ผมผงกศีรษะ มองหน้าประหลาดใจของเกรท ที่ผุดขึ้นแบบปิดไม่มิด

“อย่างนี้ถือว่าผมตอบคุณสองคำถามได้มั้ยนะ”

“ไม่ได้ อิมอย่าโกง”

“อ้าว ก็คุณถามย้ำอ่ะ”

“ก็ผมสงสัย แต่ก็ไม่เกินกว่าที่คาดไว้หรอก”

“แล้วทำไมถึงเดาว่าเป็นเบส”

“นี่อิมยังไม่รู้ตัวอีกเหรอครับ”

หา?

“จากสายตาครับ” เกรทขยับถอดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นปกฮาวายสีฟ้าโทนม่วงหม่นซึ่งใส่ทับเสื้อยืดออก ก่อนขยับมือมาจับชายเสื้อยืดสีขาวของผมกะทันหัน

“เดี๋ยว ทำอะไร”

“ผมตอบคำถามอิมแล้ว”

“เฮ้ย อันนั้นไม่นับดิ ผมก็ไหลไปตามบทสนทนารึเปล่าวะ”

“แต่พวกเราเล่นเกมอยู่นะครับ”

“งั้นที่คุณถามผมสองครั้งเมื่อกี้ก็ต้องนับ!”

“โอเค นับก็นับ” เสื้อยืดสีขาวของเจ้าตัวโดนถอดออกอย่างเร่งร้อน ปรากฏแผงอกรวมถึงมัดกล้ามบนผิวสีน้ำผึ้งเป็นลอนจางๆสวยงามให้เห็น ผมโคตรอิจฉา เลยมองตาค้างอยู่นาน “บอกแล้วผมเป็นแบบให้อิมได้ ไม่เกี่ยวกับช่วงนี้เตะหรือไม่เตะบอลสักหน่อย”

“หยุดเลย อย่าเบี่ยงประเด็นให้ผมออกอ่าว เด็กนิเทศคนนั้นเกี่ยวข้องกับคุณยังไง ทำไมถึงต้องต่อยคุณ”

“เป็นรุ่นพี่ที่คณะครับ” เจ้าตัวถอดสร้อยเงินเส้นบาง กอปรด้วยจี้ยาวรูปร่างดูล้ำสมัย ซึ่งผมเห็นใส่ประจำออก แล้วขยับมาจะถอดเสื้อผมให้ได้ รู้เลยว่ายอมตอบคำถามแรกแต่เลี่ยงคำถามหลัง

“เดี๋ยวๆๆ” ผมดันมือเขาออก ก่อนจับแว่นสายตาที่พึ่งถอยมาหมาดๆขยับห่างจากใบหน้า แว่นนี้ผมตัดใจซื้อมาเพราะตั้งใจว่าจะไม่ปล่อยให้ตนเองมองพลาดอะไรง่ายๆอีกแล้ว

“ขี้โกงนี่ อิมเล่นถามติดสองคำถามเลยนะ”

“ทีคุณยังถอดสร้อยเลย”

“โอเค...ยอมก็ได้ครับ งั้นผมถามต่อนะ ก่อนมาคบกับผม อิมเคยมีแฟนมาก่อนหรือเปล่า”

“ไม่เคย”

“โกหก หน้าตาอย่างอิมเนี่ยนะ”

“ไม่เคยจริงๆ ผมจะโกหกคุณไปทำไม”

“กับผู้ชายก็ไม่เคยเหรอครับ...แบบคบกัน จับมือกัน จูบกัน มีอะไรกันแบบนี้น่ะ...อะ..โอ๊ย!” กำปั้นเขกกะโหลกเกรทแบบไม่ยั้งแรง

“ถามอย่างนี้ ถ้าผมตอบหมด คุณคงต้องถอดหนังเลาะกระดูกออกมาแล้วมั้ง แก้แค้นคืนที่ผมถามคุณสองคำถามซ้อนหรือไง”

“ถ้าอิมยอมตอบคำถามทั้งหมด ผมยอมถอดหนังเลาะกระดูกก็ได้”

“ไม่เอาว่ะ ไม่อยากฝันร้าย แค่แอนนาเบลล่าผมก็แทบตายแล้ว”

“งั้นอิมก็ไม่ต้องตอบ...”

“ไม่เป็นไร คำถามคุณง่ายจะตาย ผมบอกเลยว่าคุณเป็นคนแรกในทุกอย่างที่ถามมา”

“...”

“พอใจยัง งั้นถึงตาผมถามบ้าง”

“เดี๋ยว” ขณะผมยกมือขึ้นมานับคำตอบเมื่อกี้ ซึ่งเทียบเท่ากับเป็นชิ้นส่วนที่เกรทติดหนี้ต้องถอด พลางคิดคำถามถัดไป มือใหญ่กลับเอื้อมเข้ามาจับสองนิ้วที่โชว์ขึ้นมาไม่ถึงวินาทีด้วยซ้ำ

เกรทนิ่ง สายตาจับจ้องผมไม่กะพริบ สักพักเจ้าตัวกลับเหมือนกระอักกระอ่วน เก็บท่าทีไม่ได้ทันควัน

“เป็นอะไรของคุณ”

“อิมแม่ง”

“พูดจาไม่เพราะเลยนะ”

“ทำไมชอบทำผมเขินวะ”

“...!”

...ตกใจว่ะ...

ผมทำผู้ชายที่ชอบผู้หญิง เขินได้ด้วยคำพูดที่ว่า ‘เขาเป็นคนแรกของผมในทุกๆอย่าง’ น่ะเหรอ

...ผมควรจะตอบกลับเขายังไง?

ผมแกล้งจิ้มไปที่แก้มเขาจึกจึกอยู่หลายๆที

“หน้าหนาขนาดนี้ไม่น่าจะเขินเป็น”

“โหว่าอย่างนี้เลยเหรอ...โอเค...หนาก็หนา” พูดจบอดีตดาราเด็กยิ้ม ลุกยืนเต็มความสูง ขยับถอดเข็มขัดเสียงก๊องแก๊ง ดึงรูดทีเดียวออกมาจากบั้นเอวโดยฉับพลัน เสร็จใช้นิ้วโป้งดันหัวกระดุมโลหะจากรัง ก่อนลากซิปลงต่ำ

“โว้โว้โว้ เดี๋ยว เกรทโว้ย!” ผมกระโดดผลุงเตะมือห้ามเป็นระวิง

“อ้าว ทำไมล่ะครับ ขาดอีกกี่ชิ้นเดี๋ยวผมถอด...”

“แหวน! แหวนก็มีทำไมไม่ถอดวะ!”

“...”

“...”

“เออ จริงด้วยสิ” เกรทขำแห้ง ส่วนผมหน้าซีดเข้าขั้นหลุดไปยังวงโคจรของต่างดาว ร่างสูงทรุดลงนั่งอย่างเก่า ทุกอย่างดูเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม

“งั้นมาถามต่อ”

“ยังไม่จบเหรอครับ”

“ยัง ผมยังไม่ได้ถามในสิ่งที่ต้องการเลย”

“โอเค ก็ได้ งั้นผมถามนะ”

“เฮ้ยได้ไง นั่นมันตา...” ห้ามไม่ทันขาดคำ อีกฝ่ายก็โพล่งเสียงดังออกมาเสียก่อน

“วันนั้นอิมวางแผนอะไรไว้”

“ฮะ?”

คำถามทำงงเล่นเอาไปไม่ถูก เจ้าตัวเอ่ยถึง วันนั้น? ว่าแต่วันนั้นมันวันไหน อิหยังอะไรของเกรทวะ

“วันที่อิมส่งไลน์มาชวนผมกลับบ้าน”

“ส่งไลน์? ช่วงนี้ผมก็ชวนคุณกลับบ่อยๆหนิ”

“ผมหมายถึงช่วงแรกๆเลย”

“ช่วงไหน?”

“ช่วงที่อิมเป็นหวัด”

“ผมจำไม่ได้”

“งั้นถอด”

“เฮ้ย เดี๋ยวดิ” มือใหญ่มาจับชายเสื้อผมถอดผลุงหลุดจากหัวอย่างไว ไม่ทันหายใจและดิ้นขัดขืนด้วยซ้ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิงรกรุงรังตามผืนผ้าที่ถูกดึงออก ตอนนี้ท่อนบนยังคงเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวหนึ่งตัวไว้ติดกาย “เล่นโกงนี่หว่าให้ผมนึกก่อนดิ!”

“วันที่อิมทำเหมือนลืมนัดผม ทั้งที่ตัวเองเป็นคนนัดไว้ไง”

“วะ...วันไหนวะ” โอ๊ยนี่มันเล่นรายการยี่สิบคำถามสามตัวช่วย ส่วนผมแม่งก็โคตรซวยที่นึกตามเกรทไม่ออกเหรอวะ วันไหนวะเนี่ย วันไหน!!

“ถอด”

“ดะ...เดี๋ยว เดี๋ยวดิ ผมนึกไม่ออกจริงๆนะ!” ปะ...ไปแล้วกางเกงกู ตู้วู้~ปลิวไปกองอยู่หน้าประตูแล้วแม่ง โชคดีแค่ไหนที่วันนี้ใส่บ็อกเซอร์ซ้อนกางเกงในมา ฮู่!!!

“วันที่จู่ๆอิมก็เดินกลับเข้าใต้ตึกเรียนรวมไป แล้วบังเอิญไปเจอกับพี่ใยไหมไง”

“!!!”

น้ำลายผมติดคอได้แต่เบิกตาโตมองคนตรงหน้าอย่างอึ้งๆ

...เชี่ย...เกรทรู้...รู้ว่าตอนนั้นผม...ไม่ปกติ...รู้ได้ไงวะ...

“จำได้ยังครับ จะตอบไม่ตอบ”

พรึ่บ!!

ผมถอดเสื้อกล้ามเขวี้ยงไปทางเดียวกับกางเกงแบบไม่ต้องครั่นคร้าม ให้ตายยังไง...ก็บอกไม่ได้

ส่วนเกรทนิ่ง มองอย่างอึ้ง เหมือนการกระทำของผมจะเกินคาดสำหรับเจ้าตัว ตอนนี้เลยได้แต่ก้มหัวหลบตาคมไม่พร้อมสู้

“ผะ...ผม..จั๊ม...ไหม้ได้” ไอ้เหี้ยตื่นเต้นจนสำเนียงกูเพี้ยนไปหมดเลย กะเนียนว่าจำไม่ได้แล้วจำยอมว่าต้องถอด มิใช่ไม่กล้าบอกว่าวางแผนอันใดไว้ แต่ไหงไม่เนียนขนาดนี้วะ

ชั่ววูบที่คิดว่าความคงแตก เรื่องลึกหลายๆอย่างรวมถึงการล่วงรู้ความรู้สึกของเจ้าตัวกับใยไหม เป็นอะไรที่ซับซ้อนจนถ้าย้อนมาดูพัฒนาการระหว่างพวกเรามันไม่ควรเข้ามาถึงขั้นนี้ แต่ทว่า...

“ฮึก...ยะ...”

นะ...นิ้ว?

บนแผ่นอกมีความร้อนของใครอีกคนวางทาบทับ สองมือจับประคองช้อนลำตัวด้านข้าง ปลายนิ้วโป้งเรียวยาวเหมือนจงใจกึ่งหยอกเย้าอยู่ในที แต่พอพิศให้ดีราวกับไม่ใช่ มาอีกแล้วเหรอ...ผมชักหน้าตวัดสายตาขึ้นไปมองใบหน้าหล่อเหลานั้นทันที

สัมผัสยังไงให้เหมือนไม่สัมผัส

“กะ...เกรท” ร่างสูงย้ายตัวมาใกล้ตั้งแต่เมื่อไร ท่อนบนที่ไร้อาภรณ์ มันดูสัปดนและหมิ่นเหม่อยู่ในที หัวใจเริ่มเต้นจังหวะถี่แรงอย่างนึกกลัว ผสมความตื่นเต้น ระคนความเสียวซ่านในอกอย่างประหลาด “ยะ...อือ...”

มือสองข้างจับท่อนแขนแกร่งเหมือนจะห้ามการปัดป่ายนิ้วโป้งไปมาบนเม็ดชมพูอันน้อย ใช่!! อย่างนี้มันไม่ใช่สัมผัสยังไงให้เหมือนไม่สัมผัสแล้วล่ะ! เกรทมันจงใจบี้หัวนมผมชัดๆ!!

“อิม...” เกรทก้มจนแก้มแนบหน้าลมหายใจอุ่นร้อนของเจ้าตัวรดใบหูผม อึก...บ้าบอ พอได้แล้ว

“เกรท!! หยุดก่อน ผมถามคุณ!! เด็กนิเทศคนนั้นเกี่ยวข้องกับใยไหมใช่มั้ย”

“...!!”

“...”

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ทุกอย่างหยุดชะงัก อ้อมกอดเกรทแข็งค้างราวกับใครไปกระทำอุกอาจปิดสวิตซ์เจ้าโจรหื่นขืนใจผมตรงหน้า หากไม่นานร่างสูงกลับดันตัวออกห่างลุกขึ้นยืนพรวดพราดจนผมประหลาดใจ

“เกรท?”

เจ้าตัวปล่อยเวลาให้ผมหายใจได้สองวิ หลังจากนั้นสติก็มีอันเป็นไป ในเมื่อร่างสูงใหญ่ไม่พูดพร่ำทำเพลง จับขอบกางเกงตนเองซึ่งปลดซิบค้างไว้ กระชากลงไปจนกรอมเท้า ยกขาแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามให้พ้นจากพันธนาการผืนผ้า เตะซากอารยธรรมตรงหน้าปลิวไปตกใกล้ประตูรวมอยู่กับชุดผม

ตอนนี้ร่างกำยำตรงหน้าไม่เหลืออาภรณ์ติดตัวสักชิ้น ทิ้งไว้ให้ผมมองร่างเปลือยเปล่าซึ่งดูแข็งแกร่งจนใจหายวาบ

“เชี่ยเกรท! คุณทำอะไรเนี่ย” ผมแทบจะหลับตาในทันที

“ตามกฎ ไม่ใช่เหรอครับ”

...เสียงเบาดังก้องในโสต ก่อนบางอย่างซึ่งมีน้ำหนักจะทาบทับลงมา...



…TBC…

++++++++++++++++++++++++++++


ถึงไม่วาดภาพนู้ด ผมก็จะถอดดดดดด เกรทไม่ได้กล่าวไว้5555
อยากโชว์ก็ไม่บอก ตาบ้า คนทะลึ่ง
:hao6:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ดึงกันไปดึงกันมาสรุปก็ไม่รู้อะไรสักที

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ kosmos

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
คือยังไงนะ! ความสัมพันธ์ซับซ้อนจริงๆ

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เกรทนี้ยังไง ตกลงชอบใครกันแน่ :katai1:

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบห้า...ความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์


“คุณผิดกติกา! คุณถอดเกินรู้มั้ย!”


แม้แต่กางเกงในแบบทรังค์แม่งก็ยังไม่เหลือ บันเทิงสายตากูนักเชียว...

พยายามเบี่ยงตัวดันแผ่นอกแกร่งตรงหน้าออก ทั้งสภาพนั่งขัดสมาธิอยู่กลางพื้น ร่างสูงคุกเข่าทิ้งน้ำหนักตัวลงมาแบบไม่ฝืนร่างกายเลยสักนิด ผิดกับผมต้องบิดเอวต้านรั้งแรงอย่างหนัก ต้นแขนโดนจับตรึงแน่น จนร่างแทบหงายแหงนเอนกายลงไป เมื่อรู้ชัดว่าใกล้ขนาดนี้ ยิ่งไม่มีทางพลาดเห็นเครื่องทรงอันองอาจกอปรด้วยความเป็นบุรุษเพศอันเข้มข้นของคนเบื้องหน้าได้ ผมเลยเปิดเปลือกตาส่งเสียงขู่ปรามอย่างข่มขวัญ

“เกรท คุณ กลับไปใส่กางเกงเดี๋ยวนี้เลยนะ!!”

“ไม่ครับ”

“ทำไมวะ!”

“เมื่อกี้อิมนับตั้งเยอะ ผมยังติดหนี้อิมอยู่เลยนะ” แกล้งแน่ๆ แกล้งชัวร์เลย ไอ้เด็กนี่มันแกล้งผม

“ไม่ต้องแล้ว ยกยอด ยกหนี้ ยกแม่งให้หมดเลย คุณไม่ถ่งไม่ต้องถอดมันแล้ว!”

“ไม่ได้ ผมไม่ชอบติดหนี้ใคร”

“ผมต้องส่งคุณไปเรียนสายบัญชีใช่มั้ย คุณถึงจะเข้าใจคำว่ายกหนี้ให้น่ะ!” กัดฟันกรอดจ้องใบหน้าคมคายไม่ยอมแพ้ อย่างน้อยผมต้องรอดพ้นจากสภาพแย่ๆ เลี่ยงจากแผงอกแกร่งและกล้ามเนื้อท้อง อีกทั้งกระดูกเชิงกรานที่โค้งงอนสวยงามนี้ให้ได้!

“ผมเรียนนิเทศศาสตร์นะอิม”

“เรียนนิเทศศาสตร์แล้วทำไมวะครับ!”

“ผมชอบมองอะไรให้มันเป็นศิลปะในการสื่อสารมากกว่า”

“แต่ผมไม่มองว่ามันเป็นศิลปะอ่ะ!”

“งั้นมาวาดภาพนู้ดผมมั้ย”

“ไม่วาดเว้ย!!!” เมื่อเห็นว่าจวนตัว ผ้านวมผืนเดียวบนเตียงด้านหลังจึงเป็นโอกาสสุดท้าย ให้ผมได้คว้าตะกุยตะกายก่อนจับเหวี่ยงมันราวกับแหกว้านปลา ผืนผ้าหนักหนากระแทกเข้ากับศีรษะคนเบื้องหน้าจนเจ้าตัวทำท่าจะหนี แต่ไม่ทันจังหวะผมโถมน้ำหนักลงไปเต็มที่ทาบทับร่างสูง พลางดีดตัวกลิ้งหมุนไปตามพื้นจนสุดทาง

ตุบตุบตุบ บึ่ก!!

เหี้ย หลังกระแทก โคตรเจ็บ

“โอ๊ยยย” ปกติถ้าเป็นตอนนี้ เสียงโอดครวญของผมต้องดึงอีกคนให้พรวดพราดลุกมาดูอาการแล้วแท้ๆ แต่นี่กลับแน่นิ่งไร้สัญญาณ พอตาประสานกับกระจกข้างหัวเตียง ผมแทบหลุดขำกลิ้งอยู่ตรงนั้น

“อุ๊บ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!”

สองร่างดั่งเปาะเปี๊ยะทอด ห่อกลมดิกด้วยผ้านวม ส่วนหัวเป็นผม ส่วนหางกุ้งกลับเป็นขาแกร่งแสนยาวคู่นั้นของอีกฝ่าย

“เกรท หึ เกรท ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

“อั๋วเอ๊าะอะไอ” เสียงอู้อี้ดังเบาหลุดจากผ้านวมฟังไม่เป็นภาษา เกรทกำลังประท้วง แม้ตอนนี้จะขยับตัวไม่ได้ แถมหัวไม่อาจมุดออกมากล่าวคำใด ได้แต่ดิ้นสะบัดศีรษะไปมาตรงอกผม

“ฮะฮะฮะ อยาก อยาก ถ่ายภาพไว้จริงๆ” อย่าว่าแต่เกรทเลย ผมก็ไม่มีมือ แขนสองข้างโดนพันธนาการจากผ้านวมเทียมแป้งเปาะเปี๊ยะ ร่างที่สั่นกระเพื่อมจากความขบขันคงไปกระแทกกระทั้นหัวเกรทในผ้าห่มไม่น้อย เจ้าตัวถึงเริ่มดิ้นไปมาสร้างความยุบยิบตรงแผ่นอก ก่อนจบด้วยความนุ่มหยุ่นเปียกชื้นที่เข้ามาสัมผัส

ฮะ??

นุ่มหยุ่น? เปียกชื้น?

เหงื่อเหรอ

“อื้ออออออออ” คิดในแง่ดีไม่ทันไร ใจผมแม่งร่วงไปถึงตาตุ่ม ในเมื่อความนุ่มหยุ่นสร้างความเสียวซ่านลามไปถึงช่วงล่างให้เริ่มเกิดการขยายตัว

ดะ...เดี๋ยว...เกรททำอะไร?...

จะขยับตัวหนีไปดันผ้านวมออก แต่ไม่รอดเพราะติดปลายซึ่งโดนน้ำหนักชายสองคนทับไว้ เสียงหัวใจผมเต้นแรงแทรกแซงด้วยจังหวะขบเม้มดูดรั้ง จนต้องร้องเสียงดังออกมาไม่เป็นภาษา

“ยะ...ฮือออ” ทั้งร่างเหมือนมีปลาตัวเล็กตัวน้อยตอดไปมา มันทั้งขบกัด ดูดเม้ม ก่อนปลอบประโลมเกินจำเป็นด้วยความนุ่มชุ่มชื้นที่ไล้เลีย

ลิ้น!! ต้องเป็นลิ้นของเกรทแน่ๆ

“เกรท คุณ ทำเหี้ยอะไรเนี่ย อึ๊!” ผมกัดปากระงับเสียงน่าอายที่ครวญครางราวกับคนสุขสมในแรงปรารถนา ยอดติ่งเนื้ออ่อนสองข้างใต้ผืนผ้าโดนสัมผัสปริศนาขบรั้งจนเริ่มแข็งชูชันในความรู้สึก

ลมหายใจอุ่นร้อนของเกรทคลอเคลียไปตามแผ่นอก มันหอบถี่ ผมรู้สึกได้ แถมความเป็นชายที่พาดผ่านน่องขาทำเอาผมหลุดไม่เป็นภาษาออกมา

“เกรท!! คุณ!! ของคุณ!!”

พรึ่บ!!

แค่ร่างโก่งโค้งดันแผ่นหลังกว้างออกเพียงครู่ ทุกอย่างเหมือนเข้าสู่สภาวะหยุดนิ่ง ผ้านวมผืนโตโดนร่างสูงกระชากหลุดออกง่ายภายในชั่วพริบตา ราวกับว่าแรงดิ้นของผมเมื่อครู่มันเป็นแรงของเจ้าหนูแฮมสเตอร์ตัวเล็กที่พยายามดิ้นขลุกขลักให้หลุดจากอุ้งมือเจ้าของ คนเบื้องบนก้มมองด้วยสายตาคม ยืดตัวออกห่างด้วยสองมือซึ่งพาดพ้นหัวไหล่ก่อนช้อนหลังผมให้ลุกขึ้นไปนั่งบนตักเขา

“...” ลมหายใจอุ่นร้อนส่งผ่านมาปะทะใบหน้า

เกรทกำลังหอบหนัก เจ้าตัวหลบตาผม ใบหน้าคมได้รูปส่อแววเห่อร้อนรื้นแดง เจ้าตัวกัดริมฝีปากล่างจนบิดเบี้ยวอย่างทรมาน...หากแฟนคลับคนไหนได้เห็นคงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันคือความเซ็กซี่...

“เกรท”

“อิม”

“อื้ออออ”

จูบอีกแล้ว...โดนอีกแล้ว ท้ายทอยโดนคว้าเข้าหาไร้ซึ่งทางหนี ร่างสูงมอบจุมพิตร้อนแรงดุจใบหน้ายามนี้มาให้ ใบหน้าซึ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์ห้วงถวิลหา เว้าวอนร้องขอคนเบื้องหน้าให้สนองตอบ อวัยวะหนึ่งเดียวซึ่งเคยทำการอุกอาจกับแผ่นอกของผมได้ไล้ลิ้มชิมลงสัมผัสปาก

“อิม”

“อือฮือ...”

“อ้าปากหน่อยครับ” เสียงเรียกร้องอ้อนวอนอุทธรณ์ มันทั้งหอมหวาน วาบหวามพลางหยอกเย้า แต่ผมไม่มีวันตกหลุมพรางตรงนั้นได้หรอก มือสองข้างที่ปราศจากพันธนาการจึงยกขึ้นขวางปิดปากเกรท

“...!”

“ไหนว่าจะให้วาดภาพนู้ด ไหงมาตกเอาท่านี้ได้ล่ะ!!”

“...!”

นิ่งไปเลย...

ผมเนี่ยขยันสร้างสภาวะเดดแอร์ให้คนตรงหน้าได้เดดตายไปเลยจริงๆ ดวงตาเกรทหลุกหลิกสับสนมองใบหน้าผมสลับกับหลบลงล่าง เหมือนต้องการจะเอ่ยคำบางอย่างแต่พูดไม่ได้ จนผมต้องจำใจยอมละมือให้เจ้าตัวได้เฉลยสิ่งที่คิดออกมา

“เออคือ...”

“ปล่อยผมได้ยัง”

ไม่ใช่อะไรนะ...นั่งท่านี้แม่งโคตรน่าอาย แถมอีกฝ่ายเสื้อผ้าไม่มีติดกายสักชิ้น จะให้ผมนั่งนิ่งเป็นพระอิฐพระปูน ตอไม้นะเหรอ...อู้หู...กูทำไม่ได้ว่ะ

“ไม่ได้อ่ะ”

“ไม่ได้อะไร”

“ถ้าอิมลุก อิมก็เห็นของผมหมดดิ”

“ป่านนี้ยังจะมาอาย เมื่อกี้ทำไมถึงกล้าทำได้ล่ะ”

“เมื่อกี้มันยังไม่มีอารมณ์หนิครับ”

“!!!”

มิน่าล่ะ...ก็ว่ามีอะไรมาดันส่วนบั้นท้ายอยู่ ผมหน้าถอดสีเดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดง ไม่รู้จะทำตัวยังไง

“ละ...แล้วต้องให้ผมนั่งท่านี้มันต่อไปจนกว่าคุณจะไร้อารมณ์หรือไงกัน”

“นั่นก็ไม่ได้ ถ้าพี่นั่งตักผมอยู่ในสภาพนี้ยังไงผมก็มีอารมณ์!”

“!!!”

สายตาเล้าโลมจ้องมองมายังแผ่นอกขาวเนียนเปื้อนคราบน้ำ กับสองติ่งไตยังคงแข็งค้างเป็นรูปร่าง สีแดงชาดสดเปล่งที่ไม่อาจกลบความนูนเด่นสวยงามอันคั่งค้างด้วยหยาดอารมณ์นี้ได้ เมื่อกี้จากที่ยกมือปิดปากจำต้องเลื่อนปิดเนตรคู่คมสองข้างของคนตรงหน้ากะทันหัน

“ยะ...อย่ามองดิวะ นู่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่ได้แล้วให้ผมทำไงเนี่ย” กระแทกเสียงเบาๆด้วยความหัวเสีย จนข้อมือโดนอีกฝ่ายจับรั้งไปสัมผัสกับแผ่นท้อง หน้าผากแทบทิ่มกระแทกคางของอีกฝ่ายตามแรงฉุด “กะ...เกรท”

“คราวนี้พี่ต้องช่วยผมจริงๆแล้วล่ะ”

“...!!!”

“ได้มั้ยครับ”

“ถ้าผมไม่รับปาก”

“ก็นั่งอยู่ตรงนี้มันยันหว่างเนี่ยแหละ”

“แค่นี้ก็หว่างอยู่แล้วเปล่าวะ”

“หว่างขาผมเนี่ยนะ” เกรทหัวเราะน้อยๆมองหน้าผม

...นี่มันชักจะเลยเถิดไปไกลแล้วนะ...แต่ถ้าผมไม่จบตรงนี้มีหวังได้ลงจากตักเกรทอีกทีรุ่งสาง...

“เออๆ...ก็ได้”

จบคำตอบรับเกรทเบิกตาโพลง ถ้าไม่ถึงขั้นมีอะไรกัน มันก็แค่ทำให้อีกฝ่ายมีความสุขได้ด้วยมือรึเปล่าวะ ไม่เสียหายหรอก ไม่เสียหาย...

...ไม่เสียหายบ้าอะไรล่ะ...คนที่เกรทชอบมันไม่ใช่ผมนะ...

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจขยับมือไปจับ...


บิดหยิกแก้มคนที่ผมนั่งทับตัก แล้วดึงยืดออกสองข้างอย่างแรง


“โย้ยๆๆ อิมอำอาอายย(โอ๊ยๆๆ อิมทำอะไร)” เกรทย้ายมาจับข้อมือผมไว้สองข้างแล้วพยายามดึงออกแต่ไม่สุดกำลัง เหมือนไม่อยากให้ผมบอบช้ำเจ็บตัว

“ทำให้คุณอารมณ์หมดไปไง” นิ้วเคลื่อนไปดีดหน้าผากเจ้าของตักดังเป๊าะ “นี่แหนะ อายุก็ไม่ใช่เด็กสามขวบ สมองมีน่ะหัดคิดซะบ้าง ไม่ใช่ว่าจะมามีอารมณ์กับผู้ชายพร่ำเพรื่อได้ทุกวันขนาดนี้”

“โอ๊ยอิมอ่ะ แล้วมันผิดตรงไหนที่ผมจะมีอารมณ์กับ ‘แฟน’ ล่ะครับ” แขนผมยังโดนเกรทจับไว้อยู่ เจ้าตัวส่งสายตากระเง้ากระงอดจริงจังผิดจากทุกวันที่ผ่านมา ส่วนผมได้แต่จ้องสบแววสะท้อนในดวงตาแก้วใสสีดำสนิทคู่นั้น

“ผิดตรงที่มันเป็นผมไง”

“...”

“...”

ความเงียบกลืนกินบรรยากาศรอบตัวอย่างไม่ได้นัดหมาย เจ้าของร่างกายกำยำแววตาสั่นไหวเหมือนกำลังสับสนในความคิด

“อิม...หมายความถึง...”

“เพราะผมไม่ให้คุณมาหื่นกับผมได้ทุกวันหรอกนะ!” ว่าจบเหยียดกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จนข้อมือหลุดพ้นจากพันธนาการ ก่อนลากผ้าห่มผืนหนามากลบปิดท่อนล่างอันกำยำล่ำสันของอีกฝ่าย จากนั้นจึงคว้าเสื้อผ้าตนเองซึ่งหมกอยู่หลังประตู เดินตรงแด่วเข้ามาหลบขังตัวในห้องน้ำ

ปัง!!

ต้องให้ทอดถอนลมหายใจอีกสักเท่าไร ผมถึงจะเตือนสติตัวเองได้ว่า มันไม่ใช่เรื่องที่ผมควรจะได้รับจากร่างสูง พื้นที่ซึ่งผมยืนอยู่ตรงนี้มันไม่ควรมีกลิ่นอายของอิมเมจคงไว้แต่แรก

...อย่าทำเหมือนสุนัขแสดงอาณาเขต หรือแมวหวงเจ้าของไปมากกว่านี้เลยอิมเมจ...

ผมกวาดตามองบรรยากาศโดยรอบห้องอาบน้ำโซนเปียกและโซนแห้ง เก็บกินภาพซึ่งกลายเป็นที่ชินตานับตั้งแต่เริ่มติดนิสัย ‘กลับหลังสี่ทุ่ม’ มาในตอนนั้น ความทรงจำมันซุกซ่อนอยู่ทุกซอกมุมของห้อง รู้สึกหวงแหนอย่างประหลาดจนสร้างอาการขบขันขึ้นในจิตใจ

อิมเอ๋ยแกจะมาหวงห้องน้ำชาวบ้านชาวช่องเขาไม่ได้นะ...เพราะหากวันใดวันหนึ่ง มันถูกกลืนกินด้วยกลิ่นแชมพูอันหอมหวาน หรือครีมอาบน้ำสีสดใส อีกไหนออยล้างหน้าของผู้หญิงคนใด ถึงตอนนั้นผมต่างหากที่ต้องถอยออกไปจากตรงนี้

สองเท้าเดินเข้าไปใกล้ใต้ฝักบัวสถานที่ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำอันน่าขบขันของผมกับเขา ตอนที่เกรทเมาแล้วตามผมเข้ามาอาบน้ำ...ตอนนั้นต่อให้คลำหาแทบตายก็ไม่ได้สบู่เสียที แต่มาคราวนี้ผมกลับจัดลำดับเรียงทุกอย่างได้ในสมอง แค่หลับตาแล้วยื่นมือไปรองเท่านั้นแหละ จะครีมอาบน้ำโพรเทคส์ หรือยาสระผมยี่ห้อซัน...

“ซัน...”

‘ซัน’

“ซิล...”

‘ซิลก็ใจร้าย’

“...”

จู่ๆความทรงจำบางอย่างก็วาบขึ้นสอง มารวมตัวอัดแน่นอยู่ในหีบใบเล็กซึ่งเคยสงบนิ่งอยู่เนิ่นนาน เหมือนมีอะไรบางอย่างส่งกุญแจดอกเล็กจากที่ห่างไกลมาไขมันออกอย่างนี้นี่เอง...

...ที่แท้มันก็เป็น...อย่างนี้นี่เอง...


มีต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
“เป็นอะไรรึเปล่า”

“ฮะ?” เสียงเพื่อนสาวอย่างดาวถามโพล่งขึ้นมา พลันสายตากระตุกหันไปจับจ้องแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย “เป็นอะไร? ดาวหมายถึง...”

“ก็อิมดูไม่สดใสเลย ทะเลาะกับเกรทมาเหรอ”

ทะเลาะ...

“เฮ้ยบ้าเหรอ จะเป็นไปได้ไง ไม่เคยทะเลาะอ่ะ กับรายนี้”

“จะอวดว่ารักใคร่กันกลมเกลียวดีหรือไงยะ” เสียงข้าวฟ่างดังเข้ามาแทรก เธอเหยียดยิ้มเต็มสองตาพลางชักมุมปากเหมือนหมั่นไส้คนกำลังมีความรัก ก่อนวางถุงของว่างอย่างลูกชิ้นปิ้ง เกี๊ยวทอดที่ถือมาพะรุงพะรังเต็มมือแล้วทรุดตัวนั่งข้างผม

“ขนอะไรมาเยอะแยะ”

“เสบียงไงจ๊ะ ได้ไงล่ะ พวกเราต้องนั่งตรงนี้ไปอีกหลายชั่วโมงเลยนะ ขาดเสบียงหัวไม่แล่นตายพอดี” เยอะขนาดนี้หัวคงแล่นเป็นขีปนาวุธเลยมั้งนั่น ผมหัวเราะแห้ง พยายามมองไล่สายตาหาใครอีกคนที่ยังไม่เข้ามา

“เบสเหรอ ไม่ต้องมองหาหรอก ป่านนี้อยู่กับใยไหมนู่น”

“...!” ผมสะดุ้ง เบื่อการรู้ลึกรู้จริงไปเสียทุกอย่าง แม้กระทั่งท่าทางมองหาที่ยังไม่เอ่ยชื่อด้วยซ้ำว่าใคร เพื่อนผมมันก็ตอบให้ได้

“มีแฟนแล้วก็เพลาๆลงบ้างเถอะแก ชั้นสงสารเกรทที่มีเมียติดเพื่อนมากกว่าแฟนว่ะ”

“ถึงกูจะติดใครรายนั้นก็ไม่สนใจหรอก แล้วถึงกูจะติดไอ้เบสจริง มันก็ไม่มาสนใจกูจนเป็นเรื่องได้หรอก พักหลังมันติดแฟนจะตาย”

ปกติข้าวฟ่างกับไอ้ดาวจะต้องต่อปากต่อคำมาทันทีหลังจากผมเถียงเสร็จ แต่คราวนี้มันกลับเงียบคู่ มองหน้ากันอย่างมีความใน แล้วดวงตาสองคู่ก็ขึ้นมาสบจ้องเขม็งที่หน้าผมพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“นี่ขนาดชั้นคิดว่ามันสนิทกันมากที่สุดแล้วนะ”

“ชั้นไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้เบสมันทำแบบนี้ว่ะ”

“อีกฝ่ายเขากำลังเสียใจน่ะแก เอาเถอะ”

“ปลอบก็ส่วนปลอบสิ นี่ถึงขั้นต้องลงทุนปิดปากเงียบ ทำตัวน่าสงสัยให้คนอื่นเข้าใจผิดด้วยเหรอแก แล้วผู้หญิงก็นะทำตัวไม่น่ารักเลย” ไอ้ดาวโวยวายใส่ข้าวฟ่าง พวกมันงุ้งงิ้งคุยกันสองคนโดยเมินความสนใจจากผมโดยสิ้นเชิง

“นี่พวกแกพูดเรื่องอะไรกันน่ะ”

“แกอย่ารู้เลยอิม”

โอ้โห!! สวนกลับมาพร้อมกันไม่พอ แถมความไวในการตอบแม่งเทียบเท่าตีนสองคู่กรูกันมาถีบผมให้ Left the group chat เปิดประเด็นมาขนาดนี้แล้วบอกว่าอย่ารู้เนี่ยนะ คิดได้ไงวะ

“มีเรื่องอะไรที่กูรู้ไม่ได้วะ” งอนว่ะ ผมเลิกสนใจงานทุกอย่างตรงหน้า คู้ตัวเอาคางแนบหนังสือเล่มหนาซึ่งเปิดกางพลางกำปากกาถือตั้งไว้แน่นในมือ

“โอ๊ย ไอ้อิมเอ๊ย ชั้นเอ็นดูแกจริงๆ” เอาอีกแล้ว ไอ้ดาวมันดึงหัวผมไปแนบนมมันอีกแล้ว

“กูบอกแล้วไงว่าให้เลิกทำแบบนี้ซะทีน่ะไอ้ดาว”

แทบจะพร้อมกันกับเสียงเอ่ยแทรก ร่างผมถูกจับแยกกับไอ้ดาวกะทันหัน จนตัวเกือบหงายไปด้านข้าง เคราะห์ดีที่มีบางอย่างแข็งๆมาคานไว้ก่อนโดนดึงกลับไปยังจุดเก่า หากคราวนี้จากอกแบนๆไข่ดาวฟองดีของเพื่อนสาวแปรเปลี่ยนเป็นความหนาแน่นของกล้ามเนื้อใต้ผืนผ้าสีขาว และกลิ่นสะอาดของผงซักฟองเบาๆที่คุ้นเคย พอเงยขึ้นมองกลับพบเงาสะท้อนของตนเองภายใต้แก้วตาสีดำสนิทของคนที่ผมใกล้ชิดมานาน

“ไอ้...เบส”

“ไง” มันทักสั้นๆทำหน้านิ่ง คราวนี้มาแปลกแต่จริงตรงเบสยอมให้ผมแนบคางกับอกมันค้างไว้ท่านั้น แต่ก่อนที่จะโดนมันด่าผมรีบฉุดตัวลุกขึ้นมาปรับสีหน้าอย่างลนลาน

“มาตั้งแต่เมื่อไรวะ”

“ตั้งแต่พวกมันนินทาเรื่องกู” มันยักคางชี้ไปทางคนโดนพาดพิง ฟ่างกับดาวถึงกับทนไม่ได้จนต้องลุกมาเรียกร้องความเป็นธรรม

“พวกชั้นเปล่านินทานะยะ ก็มันเรื่องจริงนี่หน่า”

“แกผิดเองนะเบสที่ทำตัวลับๆล่อๆเกินจำเป็นกับลูกพี่ลูกน้องแกน่ะ”

หา?

“แล้วเวลากูทำอะไรต้องรายงานพวกแกทุกเรื่องเลยเหรอวะ”

“อย่างน้อยก็ควรรายงานอิมมันป่ะ มันเป็นเพื่อนสนิทแกนะ” ไอ้เบสมันหันมาทางผมทันควัน จนทำให้สะดุ้ง ดวงตาได้รูปจ้องสบอย่างเปิดเผย

“มึงมีอะไรจะถามกูเปล่า” ผมส่ายหัวหวือเพราะโดนถามแบบให้ตอบกะทันหัน

“อ้าวอะไรว้า ไอ้อิม ไอ้ท่าทีกระเง้ากระงอดงอนจนแก้มป่องน่าเอ็นดูเมื่อกี้นี่ชั้นตาฝาดเหรอ ไม่อยากรู้เรื่องแล้วได้ไง ไม่มันเลยอ่ะ” เจ้าแม่แหล่งข่าวเหมือนถูกผมขัดใจที่ไม่ยอมให้ยืมมือเค้นความบีบคอไอ้เบส ส่วนเจ้าตัวน่ะเหรอ ไม่สนใจอะไรมันทั้งนั้นแต่หันมาจ้องหน้าผมแล้วพูดต่อ

“ทำให้กูดูหน่อย”

“อะไร”

“ท่าที่ไอ้ดาวบอกเมื่อกี้”

“แล้วทำไมกูต้องทำวะ”

“ถ้ามึงทำ กูยอมบอกมึงทุกเรื่องเลย”

“...”

มาแปลก ข้อเสนอแบบนี้กับไอ้เบสไม่ควรจะมีเกิดขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ ไอ้เบสมันชอบทำตัวลึกลับ ตามใจตน แบบอารมณ์คูลมาคูลกลับไม่โกง แต่คราวนี้ทำไม

“ทำดิอิม ทำดิ ทำเลย ไอ้เบสมันยอมขนาดนี้แล้ว” อย่ายุไอ้ฟ่าง!! เดี๋ยวพี่ทำแม่ม แต่เมื่อกี้ผมทำท่าแบบไหนไป ตอนนั้นไม่มีกระจกด้วยซ้ำจะรู้มันมั้ยเนี่ย ไม่ได้อยู่นิเทศศาสตร์เอกการแสดง ไม่เคยเป็นดารามาก่อนถึงจะมาให้เล่นละครต่อหน้า...

ละคร...

สามคำผุดขึ้นมาในหัว หัวใจมันกลับจี๊ดๆเต้นรัวไม่หยุด สมองพาลพาให้นึกถึงคนในห้วงคำนึง ปานนี้แล้วไม่รู้จะเลิกเรียนรึยัง เห็นว่าต้องรีบไปทำกิจกรรมต่อ วันนี้คงไม่ได้กลับบ้านด้วยกันสินะ ผมไม่ได้นัดเกรทไว้ เพราะรู้ว่าตัวเองยังไงก็ต้องทำงานหลังเลิกคาบ

“อิม”

“...”

“ไอ้อิม!”

“ฮะ? ฮะ? อะไร”

“เหม่ออะไรของแกเนี่ย” เสียงไอ้ฟ่างเอ็ด ส่วนไอ้เบสนั่งนิ่งหันหัวมาทางนี้ตลอดเหมือนลอบสังเกตการณ์ผมอยู่ มันขยับริมฝีปากน้อยๆก่อนเอื้อนเอ่ยบางอย่างออกมา

“กูกับใยไหม”

“ฮะ?” เพื่อนสนิทโพล่งมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนงงเป็นไก่ตาแตก หรือว่ามันรู้ว่าผมติดใจในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่อย่างหนัก หรือมันจับได้ว่าผม...

พอคิดได้เช่นนั้นก่อนที่ความจริงทุกอย่างจะทำร้ายด้วยการบอกจากปากโดยตรงของคนตรงหน้า ผมรีบอ้าปากเปล่งเสียงตะกุกตะกักตั้งใจร้องห้าม

“ดะ...เดี๋ยวไอ้เบส” แต่มันกลับสายเกินไป ในเมื่อคนข้างๆพ่นประโยคหลังที่ตามมาทันที

“เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน”

“ฮะ?” สายตาไอ้เบสไม่มีคำว่าล้อเล่น หากไร้ซึ่งที่มาของคำตอบอันปราศจากคำถามนี้ด้วยเช่นกัน แค่ประโยคเดียวเท่านั้นผมถึงกับเป็นใบ้ ที่ไอ้ข้าวฟ่างกับดาวซุบซิบกันเมื่อครู่ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้เหรอ

“นั่นไงล่ะชั้นว่าแล้ว” ผมหันหัวไปตามเสียงไอ้ฟ่างซึ่งกำลังมองผมอย่างวิเคราะห์ “ขนาดไอ้อิมยังอึ้งเลย ก็แน่ล่ะนางฟ้าอย่างใย...”

“ไอ้ดาว ชั้นไม่ชอบคำนี้เลยว่ะ ไม่เหมาะ แกอย่าพูดจะได้มั้ย” ดาวแทรกขึ้นมาทำหน้าเหมือนใครเหยียบตีน อาจเพราะรายนั้นเป็นคนมีเสน่ห์ดึงดูดผู้ชายให้เข้าหา เพื่อนผมเลยเกิดอาการหมั่นไส้นิดๆยามได้ยินฉายานี้

“อุ๊บสสส โอเค ไม่พูดไม่พูด ชั้นชินน่ะแก คราวหน้าจะระวังละกัน เห็นมั้ยแก ขนาดไอ้อิมยังอึ้ง ไม่คิดว่าคนอย่างใยไหมจะเป็นลูกพี่ลูกน้องไอ้เบสเลย”

“ก็เบ้าหน้ามันใช่ที่ไหนล่ะ” ไอ้ดาวยังพาลหงุดหงิดเรื่องอะไรก็ไม่อาจทราบจนมาลงที่เบ้าหน้าของใยไหมแทน ส่วนไอ้เบสพอได้ยินแบบนั้นก็อ้าปากแย้งขึ้นทันที

“มีลูกพี่ลูกน้องคนไหนเบ้าหน้าเหมือนกันบ้างวะ”

“ถึงไม่เหมือน แกก็ไม่เคยคุยหรือทักเขาให้พวกชั้นได้เห็นนี่หว่า”

“ก็ไม่ได้สนิทขนาดนั้น”

“ไม่สนิท แต่ไปรับไปส่งกันเนี่ยนะ”

“ช่วงนี้ พ่อแม่เขาวานกูมา”

“ทำไมต้องวานช่วงนี้ด้วย”

“ก็...”

“แล้วแฟนแกอ่ะเบส มัวแต่ไปส่งใยไหมป่านนี้ไม่งอนตายแล้วเหรอ”

“แฟนกูเขาไม่...”

“ทำงานกันเถอะพวกแก”

ผมพูดแทรกบทสนทนาที่กำลังออกรส ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะทวนกระแสความเป็นไปของทั้งสามฝ่าย แต่ผมคำนวณดูแล้ว...มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะฟังต่อ...เพราะต่อให้ใยไหมเป็นลูกพี่ลูกน้องไอ้เบส...

มันก็กลบความจริงเรื่องที่ว่า...ไอ้เบสมีแฟนแล้ว...ไม่ได้อยู่ดี...




พวกเราสี่คนนั่งทำงานจนความมืดเริ่มโรยตัว ไอ้เบสยังติดรับส่งใยไหม มันทำท่าเหมือนจำใจต้องทิ้งหนังสือกองโตให้เพื่อนอีกสามคนแบกไปส่งคืนที่หอสมุดกลาง จำนวนอาจจะดูไม่น้อยแต่ก็ไม่หนักเกินกว่าคนเดียวจะหิ้วไหว

“เอาจริงแน่นะอิม”

“ความจริงช่วยๆกันแบกไปสามคนก็ได้นะ”

“พวกแกก็เว่อร์ไป ยังเห็นกูเป็นผู้ชายอยู่รึเปล่า กลับบ้านไปได้แล้วไป” ผมปัดมือไล่ อุ้มกองหนังสือขึ้น เยอะขนาดนี้คงยัดใส่กระเป๋าไม่ไหว แต่หอสมุดกลางใช่ว่าไกลอะไร เดินเรื่อยๆแป๊บเดียว เดี๋ยวก็ถึง “กูไปก่อนนะ ฝากส่งเล่มด้วย”

“ชั้นรักแกอิมมม” ไอ้ดาวทำท่าซึ้งจนเบาหวานขึ้นตา

“พอเถอะไอ้ดาว พูดเยอะซะ ชั้นล่ะกลัวจริงๆว่าสักวันแกจะได้เป็นเมียไอ้อิมไปจริงๆ” ไอ้ฟ่างขัดเพื่อนซึ่งทำท่าจะวิ่งรี่เข้ามาดึงผมไปซบอกมันอีกรอบ

“ไม่หรอกน่า กันชนหนาซะขนาดนั้น แล้วไม่ใช่อันเดียวนะ มาถึงสองเลยจ้า” แอบขำกับท่าทีเพ้อฝันของเพื่อนสาว หัวเราะก้มหน้าพลางส่ายหัวไปมา

“ไม่ต้องมาขำเลยไอ้อิม ไอ้ดาวมันพูดเรื่องจริงย่ะ”

หา?

“ทำซื่อบื้อไป สักวันมาโดนมะรุมมะตุ้มรุมรักอิมเมจแล้วจะหนาวน้า”

“หึ...” ยกนิ้วชี้จิ้มศีรษะไอ้ดาวดันออกเบาๆอย่างเอ็นดู “บ้านะแก จะมีแบบนั้นได้ยังไง”

“มีสิแกจำตอนปีหนึ่งไม่ได้เหรอ”

“พอเถอะ” ผมสะบัดมือไล่เพื่อนผู้ซึ่งกำลังจะฟื้นฝอยขุดเรื่องเก่าๆมาพูด “เดี๋ยวกูไปคืนหนังสือแล้ว กลับดีดีล่ะ”

ก่อนจะโดนเล่าให้นึกถึงเรื่องราวในอดีตแสนปวดหัว ผมผละตัวออกมาจากสองสาว อุ้มหนังสือกองไม่เล็กไม่ใหญ่มาตามทางเดินซึ่งมีแสงไฟทางสาดส่อง วันนี้ไม่ได้นัดกลับกับเกรท อีกฝ่ายดูเหมือนจะติดเตรียมงานละครเวทีนิเทศศาสตร์ ประจวบเหมาะพอดีกับที่ผมต้องนั่งทำรายงานกับเพื่อน เลยต่างคงต่างกลับเป็นวันแรกในรอบสัปดาห์

ตลอดช่วงทางผ่านแวดล้อมรายทางดูเงียบเหงา หากยังมีแสงไฟเจือจางเบาๆจากตัวอาคารและเสียงนักศึกษาที่นั่งทำงานและทำกิจกรรมอยู่ไกลๆ เข้าสู่ช่วงตุลาคมฝนเริ่มจะจางหายทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายจางๆของความชื้นที่หลงเหลือ สัมผัสจากลมเย็นเบาพัดผ่านใบหน้า ผมเดินสวนทางกับคนสองสามคน ที่ไร้การรู้จัก ไร้การทักทาย การเป็นคนเรียบง่ายกับการใช้ชีวิตในมหา’ลัยมันดีอย่างนี้นี่เอง ไม่ต้องรู้จักคนให้มากจนเหนื่อยทัก

“อ้าวพี่อิม” คิดไม่ทันขาดคำเสียงแม่งมาเลย ใครวะมาเรียกผมที่กำลังมุ่งหน้าไปสนามกีฬากลางระหว่างทางไปหอสมุดได้ ผมเงยหน้าขึ้นจากฟุตบาทพลางจับสังเกต ปรากฏเงาเบื้องหน้าเป็นคนในชุดกีฬาขาสั้นยืนอยู่ท่ามกลางแสงสลัวของโคมไฟเหนือหัวสองคน หนึ่งในนั้นผมจำได้ว่าเป็นใคร

“นัท?” พยางค์เดียวเท่านั้นตบมือดีใจเหมือนญาติใครถูกหวย เจ้าตัววิ่งรี่กระวีกระวาดมาหาโดยคนข้างๆตามมาติดๆ

“โอ๊ย ดีใจว่ะในที่สุดแฟนเพื่อนก็จำกูได้”

“พี่อิม พี่อิม” ส่วนอีกคนพยายามเรียกชื่อผม ฉีกยิ้มกว้างพลางชี้ที่หน้าตนเอง “แล้วผมล่ะ”

“คุณ...”

“...” ผมเกริ่นออกไป ทุกคนต่างกลั้นหายใจมองกันราวกับลุ้นฟังประกาศรางวัลเลขท้ายสองตัว

“ไอซ์ใช่ป่ะ”

“ก็คนมันรอเธอมาตั้งนานข้างเดียว แค่อยากจะเกี่ยวเธอมาไว้กอดทั้งตัวและจายย...”

“เชี่ย มึงนั่นมันไอซ์ ปรีชญา!”

“จะบ้าเหรอ นั่นมันไอซ์ อภิษฎาเว้ย!”

“ใช่ที่ไหนล่ะ นั่นมันไอซ์...”

“ศรันยู พอเถอะ ‘คุณควายไลค์’ ”

“!!!” ทั้งคู่นิ่งมองหน้าผมแบบอึ้งๆ ก่อนไลค์จะพูดขึ้นมา

“โหย รู้สึกพิเศษกว่าใครเลยว่ะ โดนเรียกว่าควายไลค์ด้วย”

“ก็เพื่อนคุณเรียกคุณว่าอย่างนี้”

“โหยเรียกซะห่างเหิน เพื่อนผมก็แฟนพี่แหละคร้าบ” ผมไม่ปฏิเสธ แถมยิ้มรับพลางส่ายหัวกับความกวน เอาจริงป่ะ คือช่วงนี้อยู่กับเกรทบ่อยเกิน เจ้าตัวชอบเล่าเรื่องราวของเพื่อนตามนิสัยคนช่างจ้อช่างคุย แล้วใครมันจะไปจำชื่อเพื่อนสนิทสองคนของคนตัวสูงไม่ได้

“แล้วนี่พี่จะไปไหน ไปหอสมุดเหรอ?” นัทส่งสายตามาตรงกองหนังสือในมือ ผมกอดกระชับมันให้แน่นอีกครั้งก่อนพยักหน้าตอบอือออกไป

“ให้พวกผมช่วยมั้ย”

“ไม่เป็นไรหรอกพวกคุณไปเตะบอลเถอะ” พูดไปก็ให้นึกถึงเกรท เจ้าตัวชอบเตะบอลจะตาย ป่านนี้คงโวยวายที่ต้องเสียสละทั้งกายและใจไปทุ่มให้กับละครเวทีอยู่ล่ะมั้ง

“ไม่เตะแล้วแหละพี่ โดนคนแม่งมาแย่งที่” ไลค์ดึงคอเสื้อขึ้นลงพัดกระพือไอร้อนออกจากตัว

“เออเสียอารมณ์หมดกะจะโต้รุ่งซะหน่อย” เด็กนัทบ่นอุบพลางดันลูกกลมในมือกับเอวแน่น ว่าแต่เตะบอลหรือดวลเหล้าวะนั่น

“ดีนะที่ไอ้เชี่ยเกรทไม่มา ไม่งั้นเป็นเรื่อง”

“เชี่ยไลค์” เด็กนัทตีปากปรามเพื่อนที่เหมือนจะหลุดบางอย่างออกมาเกินจำเป็น สองคนส่ออาการพิรุธให้เห็นจนความเอะใจบางอย่างผุดขึ้นในสมอง

“นัท วันนั้นที่คุณ...”

“พี่อิมพวกผมไปก่อนนะ” เจ้าคนฉลาดคว้าแขนเพื่อนเหมือนตั้งใจหนี พอเห็นอย่างนี้เลยรีบทิ้งภาระให้แขนข้างเดียวอุ้มกองหนังสืออย่างทุลักทุเล ก่อนฉวยชายเสื้อผ้าลื่นชุดกีฬาของคนใกล้ตัวกว่าอย่างไลค์กำไว้แน่น หากแรงเดินของเพื่อนตัวสูงกลับต้านจนตัวแขนโดนกระชากหนังสงหนังสือในมือร่วงหลุดตกหล่นลงพื้นกระจัดกระจาย

“เฮ้ย พี่อิม! ปล่อยผม” ผมไม่สนหนังสือ แถมยังจับเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่นแบบไม่กะปล่อยหนี

“คนเดียวกับที่ต่อยเกรทเมื่อวันนั้นใช่มั้ย!”

“เฮ้ยไม่ใช่...” ไม่ต้องถามแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะถาม ผมจัดการหมุนตัวใส่แรงออกวิ่งไปสุดกำลัง จนในที่สุดก็มาถึงสถานที่ซึ่งแวดล้อมด้วยรั้วตะแกรงเหล็กที่สานเป็นช่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก แสงไฟจากสปอร์ตไลต์สาดส่องจนมองเห็นกว้างไปทั่วลาน คนสามสี่คนตะโกนเสียงดังเอะอะโวยวายเชียร์คู่เตะกันอย่างออกรส เสียงตุบตับจากการเตะอัดฟุตบอลดังเข้าหูมาเป็นระยะ

ผมเดินเข้าใกล้ไปเกาะตะแกรงกรงอย่างหมดแรง หอบหายใจเอาลมอุ่นร้อนออกจากร่าง เหงื่อเริ่มผุดพรายเกาะหน้าผากจนไหลย้อยลงมาตามขมับ รู้สึกเหนียวตัวเมื่อร่างที่เคยแห้งสบายกลับชื้นไปทั่วแผ่นหลัง

พอฉุกใจคิดว่านี่ไม่ใช่เวลามานั่งห่วงความเหนื่อย จึงเริ่มกวาดสายตามองหาคนที่คิดว่าใช่ไปทั่วบริเวณ

“พี่อิม!” เด็กนัทกับไลค์วิ่งตามมาทันตะโกนใส่หลังอย่างร้อนรน หากผมยังมองหาโดยไม่สนใจการห้ามปรามเพื่อนแฟนเลนสักนิด “พี่อิม ทำไมอยู่ๆก็ทิ้งหนังสืออ่ะ ผมกับไอ้เชี่ยไลค์แม่งตกใจหมด แล้วนี่มองหาอะไร ไม่มีหรอกคนที่ต่อยเต่ยเชี่ยเกรทอะไรนั่นน่ะ” ไหล่ผมโดนจับดึงให้หันไปสนใจคนพูด ผมอุทานคำหนึ่งขึ้นมาจนสองคนตรงหน้างงเป็นไก่ตาแตก

“ไม่มี”

“ฮะ?”

“ไม่มีใช่มั้ย” มือยกจับยึดชายเสื้อเด็กนัทพลางกระตุกเร่งของคำตอบ

“ไม่มีอะไรนะพี่” ร่างที่สูงพอพอกับผมเริ่มกระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูก สายตาไม่กล้าสบกันโดยตรงแถมหันไปมองเพื่อนซึ่งยืนอุ้มหนังสืออยู่ด้านหลังแบบขอความช่วยเหลือ เด็กไลค์กลืนน้ำลายลงคอหน้าถอดสี ที่สองคนนี้ตามผมมาช้าอาจเพราะโดนขัดกับกองหนังสือซึ่งตกกระจัดระจายอยู่บนพื้นฟุตบาทเป็นแน่

การแกล้งคนกลางเป็นอะไรที่ดูน่าสงสารในความรู้สึก

 “เฮ้ออออออ วิ่งมาเก้อเลยยยย”

“หา?” ปล่อยอุทานออกมาหนึ่งประโยคเล่นเอาคนอึ้งกันทั้งบาง

“กะว่าจะมาจับกิ๊กเพื่อนคุณซะหน่อย ที่ไหนได้ในสนามมีแต่ผู้ชาย” ผมยกมือขึ้นเกาหัวอย่างเซ็งๆแสร้งแสดงละคร ก่อนเดินไปตบไหล่ รับกองหนังสือจากมือไลค์ “ขอบใจนะ”

“คะ...ครับ?” ให้มากกว่านี้มั้ย สภาพเอ๋อระดับสิบของเด็กไลค์ ผมนึกขำในใจ

“ขอบใจเรื่องหนังสือไง เออ...เมื่อกี้ผมก็พูดได้เนอะว่ามีแต่เด็กผู้ชาย ผมก็ผู้ชายนี่หว่า ฮ่าฮ่าฮ่า”

“...” ตาถลนกันใหญ่แล้ว

“แต่จะให้มานั่งระแวงเด็กเกรทว่าเป็นกิ๊กกับคนทั้งตำบล สู้ผมไปทำให้เจ้านั่นทั้งรักทั้งหลงไม่ดีกว่าเหรอ” หัวเราะฝืดๆเหมือนจงใจกลบความขายหน้า ก่อนกระชับกองหนังสือในอกไว้แล้วตั้งใจกล่าวคำลา แต่ทว่า...

“แค่นี้ไอ้เกรทมันก็หลงพี่อย่างกับอะไรดีแล้ว”

“...” หนึ่งประโยคที่โพล่งออกมาทำให้ผมอึ้ง สายตาเด็กนัทดูจริงจังเกินล้อเล่น แต่อย่าได้คิดเยอะไป นี่อาจเป็นการประเมินจากสายตาคนภายนอกในความที่เราสนิทสนมกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยมากขึ้น

“พูดอะไรของคุณ” ผมกระทุ้งศอกเข้าต้นแขนอีกฝ่าย ยิ้มบางใส่ทำท่าเหมือนขวยเขิน “ผมเขินแย่”

“...”

“ผมไปก่อนนะ”

หมุนตัวกลับไปยังทิศทางเป้าหมายเก่า สองเท้าก้าวเดินผ่านสนามกีฬากลางอย่างเชื่องช้า จับจ้องไปยังคนซึ่งอยู่อีกฟากของรั้วเหล็กไม่วางตา ผมจำคนนั้นได้

...คนที่ผมเจอที่ร้านกะเพรา...

…TBC…
+++++++++++++++++++++


ปมจงคลายยยย
ป.ล.ด้านบนที่เขียนว่าน้องถอด คือเกรทถอดหมดนะ...
อิมเห็นมันตั้งแต่หัวยันหางเลยล่ะ...
จะสงสารใครดี

ป.ล.อีกรอบขอบคุณคอมเมนต์ค่าาาาา ดีใจมากมายเขียนออกมาเป็นตัวอักษรไม่ได้เลย
:hao5:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ใครฟระ   ร้านกะเพรา   จำไม่ได้อ่ะ   สงสัยต้องย้อนเวลาไปหา

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2

ออฟไลน์ Maple

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เกรท​แกรู้สึก​อะไร​แกต้อง​บอก​ไม่​มีใครเดาได้​ไอเด็ก​บ้าาาา​  วงวานน้องอิมมม​  ไม่ต้องน้อยใจนะลูก​

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อยากรู้ๆ เด็กเกรทมันปิดบังอะไรอยู่

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบหก...เราจบกันมั้ย


“ตั้งแต่คบกันมา มีเรื่องอะไรที่คุณไม่ชอบเกี่ยวกับตัวผมมั้ย”


ผมเกริ่นแบบไม่ดูสถานการณ์ ระหว่างนั่งพักทานข้าวเที่ยง ช่วงนี้เกรทเตรียมกิจกรรมหนักจนตอนเย็นหมดปัญญามาหา เจ้าตัวเลยตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียวว่าอย่างน้อยขอแค่เวลาช่วงพักเที่ยง ขอให้ได้เจอหน้า ให้สมฐานะ ‘แฟน’ ก็ยังดี

“มีครับ”

“หา? เรื่องอะไร” รีบเงยมองคนนั่งฝั่งตรงข้าม นี่แหละเรื่องที่ต้องการจะฟัง แต่สิ่งที่ร่างสูงโพล่งออกมากลับไม่ใช่สิ่งที่ผมคิด...

“หน้าตาดีเกินไป”

“หา?”

“ตัวสูง ผิวขาว หน้าใส จนคนจับไม่ได้ว่าเรียนอยู่ปีสาม เห็นแล้วมันก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ครับ”

“เดี๋ยวก่อนนั่นมันใช่...” ข้อเสียซะทีไหนล่ะ ฟังยังไงก็คนอวยกันชัดๆ แต่ผมยังแย้งไม่ทันจบก็โดนอีกฝ่ายพูดขัด

“อิมรู้ตัวมั้ยว่าชอบตกเป็นประเด็นสนทนาของคนอื่นบ่อยๆ”

ผมส่ายหัวหวือ มีด้วยเหรอคนพวกนั้น ผมเก็บตัวจะตาย อย่างมากถ้าได้เจอก็มีแต่คนของคณะ

“ไม่รู้ก็ดีแล้วครับ อย่าไปสนใจเลย”

อ้าวเฮ้ย อะไรของคนพวกนี้วะ เปิดประเด็นมาทีไรเป็นอันตัดจบก่อนผมจะซักไซ้ไล่เลียงทุกที ผมอ้าปากจะกล่าวท้วง แต่ทว่า...

“อิมเมจ”

เสียงหวานใสของใครบางคนดังเข้าโสต ร่างคุ้นตาเดินเข้าใกล้ในมือถือจานอาหารที่มีกับข้าวอยู่เต็มจาน

“ใยไหม”

“ไหมนั่งด้วยได้มั้ย” ผมเหลือบไปมองหน้าเกรท สีหน้าคนตัวสูงดูเจื่อนไปแบบแปลกๆ หรือเพราะผมยังนั่งอยู่ตรงนี้ในขณะที่ตัวจริงเดินเข้าหาอย่างนั้นเหรอ “คือพยายามมองหาแล้วแต่ไม่มีที่เลยน่ะ บังเอิญเห็นข้างเกรทว่างพอดี”

“เอาสิ” ผมยิ้มรับใช้ตีนสะกิดขาฝ่ายตรงข้ามเบาๆให้รู้ตัว พลางพยักพเยิดให้ขยับขยายพื้นที่แก่หญิงสาว เป็นบ้าอะไรกับแค่เจอผู้หญิงที่ชอบถึงกับไปไม่ถูกเลยเหรอ ใยไหมวางจานข้าวทรุดตัวลงนั่งแขนไปโดนคนตัวสูงแบบไม่ได้ตั้งใจ เกรทมีท่าทีลนชักหลบเบาๆอยู่ชั่วครู่ เจ้าตัวผงกหัวเหมือนขอขมา ส่วนใยไหมก็ยิ้มรับอย่างเอื้ออารี

...จะว่าไปก็สมกันดีนะ...

“มองอะไรครับ” ท่าทางเกรทดูหงุดหงิดงุ่นง่านแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“เปล่าซะหน่อย”

“เปล่าอะไรเห็นมองอยู่ชัดๆ” เกรทเอาตีนมาเตะหน้าแข้งผม จนต้องสะดุ้งหลบส่งเสียงปราม

“เกรท”

“ทำไม ผมทำไมได้เหรอ” คราวนี้มาหนักเลยทั้งเอาหน้าแข้งหนีบดึงขาผมเข้าไปใกล้เหมือนใช้ช่วงล่างเกาะผมไว้แน่น

“ไม่ใช่ไม่ได้แต่...” เฮ้ยๆๆ นี่มันจะรวบเข้าไปทั้งสองข้างแล้วนะ มันเยอะไปแล้ว

บึก!!สุดท้ายขาเราสองคนก็กระเด้งไปโดนใยไหม หญิงสาวมีท่าทีตกใจก้มต่ำ เหมือนกำลังจะสื่อว่ามันเกิดอะไรที่เบื้องล่างของเรา

“ขะ...ขอโทษ!”

“อะ...เออ” สีหน้าใยไหมดูเก้อๆ เธอเม้มปากก่อนพูดบางอย่างออกมา “ไม่เป็นไร สองคนดู รักกันดีเนอะ”

“เฮ้ยเปล่า!” คิ้วเกรทกระตุกตอนผมเผลอหลุดพูดออกไป แย่แล้ว...เล่นอะไรของคุณวะผู้หญิงเขาจะรู้สึกยังไง ความไม่พอใจเจือจางเบาบางหลุดออกทางสีหน้าของคนตัวสูง ผมชักเท้าหลบมุดใต้เก้าอี้ตนเอง อย่ามาทำหน้าแบบนี้นะตัวเองทำตัวเองแท้ๆ

“เออจริงด้วยสิ อิมเมจจะมาดูละครเวทีมั้ย”

“หา?”

“ละครเวทีที่เกรทเล่นไง”

“หา?...” ตกใจหนักเข้าไปใหญ่ ผินหน้าไปสบตาเจ้าของประเด็นที่นั่งเม้มปากนิ่งไม่หายงอน “ไหนว่าไปช่วยงาน”

“คัดตัวนักแสดงไม่ได้ เลยโดนบังคับเล่นน่ะ” ใยไหมยิ้มหวานอย่างอ่อนโยน สายตาคมสวยภายใต้การตกแต่งของอายไลน์เนอร์บางๆ กับเครื่องสำอางเบาๆอย่างเป็นธรรมชาติ กำลังจับจ้องไปยังใบหน้าหล่อเหลาซึ่งนั่งตั้งหน้าตั้งตาตักข้าวเข้าปาก

...ไม่รู้ตัวซะบ้างเลยไอ้เด็กนี่...

“โอ๊ย!” ผมเตะป้าบไปที่หน้าแข้งเขาอีกรอบ จนเกรทร้องเสียงหลง ขึงตามองผมอย่างเกรี้ยวกราด เจ้าตัวปาดแขนมาคว้ามือที่จับช้อนส้อมพูนอาหารไปกุมไว้ ไอ้เหี้ย ผมแค่กะเตือนสติใครบอกให้ทำแบบนี้วะ “ทำอะไรของอิมน่ะ”

“ตีนยาว เลยเตะไปโดน อย่าโกรธกันดิ”

“ไม่ใช่แล้วล่ะ จงใจชัดๆ”

ใช่แล้วจงใจ ที่ทำไปเพราะอยากเตือนสติแบบเนียนๆ แต่ไหงผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม จากไม่เนียนกลายเป็นปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มไปได้วะ ปล่อยมือผมก่อนเซ่ ผมดึงยื้อยุดกับแรงของเกรทไปมาจนมือต้องปล่อยช้อนส้อมลงจานหันมาจริงจังกับร่างสูง

“เกรท ปล่อยดิวะ”

“ไม่ปล่อย”

“เกรท”

“ทำไมผมต้องปล่อยด้วย ในเมื่ออิมกวนประสาทผมน่ะ”

“โอ๊ย ไอ้เด็กนี่เนี่ย!”

“ไหมมาเกะกะอะไรรึเปล่า”

“เกะกะ!/ไม่เกะ!”

สองคนหันหน้าไปทางหญิงสาวผู้ร่วมวง วาไรตี้ฉิบหายเลยงานนี้ เกรทคนเดียวกับที่บอกชอบใยไหมแต่ทำไมไปตะโกนต่อหน้าเธอว่าเกะกะได้วะ ถึงเอ็งจะตื่นเต้นแค่ไหนแต่ต้องไม่ทำกับคนที่ชอบแบบนี้!

“อะเออ ถ้างั้นไหมขอตัว”

“เฮ้ยเดี๋ยวดิใยไหม นั่งๆ นั่งลงก่อน ข้าวยังกินไม่เสร็จแล้วจะไปไหน” ผมคว้ามือเธอไว้ จนเธอยอมวางจาน ทิ้งตัวลงนั่งยังที่เก่า ข้าวในจานพร่องไปราวกับหนูแทะจนแอบสงสารเธอที่ต้องมาเจอเด็กซึนปากไม่ตรงกับใจอย่างเกรท

ความเงียบทำให้ทุกอย่างดูอึดอัด ผมพยายามหาบทสนทนามาดันให้บรรยากาศนั้นดีขึ้น

“ละครเวทีวันไหนนะ”

“วันที่ 31 ตุลา ผมบอกอิมไปแล้วนะ” ถามใยไหมแต่เกรทตอบ แล้วท่าทีงอนๆนี่มัน อิหยังวะ

“อื้อ ธีมวันฮัลโลวีนน่ะ เล่นเรื่อง‘เจ้าสาวศพสวย’” เอะใจขึ้นมาอยู่เล็กๆ เมื่อทุกประโยคที่ถามเรื่องละครเวทีส่วนใหญ่ใยไหมจะตอบ

“ใยไหมชอบละครเวทีเหรอ”

“เอ๊ะ?”

“ดูเหมือนรู้ละเอียดจัง ผมก็แค่...สงสัย”

“อา...เออ คือ” ใยไหมอึกอัก ความเงียบชั่วอึดใจ ทวีความเคลือบแคลงให้เพิ่มพูน

“จะไม่รู้ละเอียดได้ไง พี่ใยไหมเขาเล่นเป็นนางเอกน่ะ” เกรทตอบหน้านิ่งไม่เจาะจงมองใครเป็นพิเศษ เจ้าตัวตักอาหารเข้าปากเคี้ยวเรียบเรื่อยราวกับไม่สนใจเรื่องราวใดใด

“นางเอก?”

“อื้อ” เป็นไปได้ไง...

“แต่ใยไหมอยู่คณะ...”

“เราไปเล่นเป็นนางเอกรับเชิญแทบทุกปีน่ะ อิมเมจอาจจะไม่รู้” ผมไม่รู้ และมันเป็นอีกหนึ่งความจริงในความบังเอิญที่ทำให้ผมอึ้ง

“ปีนี้พระเอกคนประจำไม่ขอร่วมกิจกรรม เลยหาพระเอกไม่ได้ เกรทเลยต้องเล่นให้ พอรู้ว่าเกรทเล่น ไหมก็วางใจ ได้คนที่มีดีกรีเป็นถึงดาราเก่ามาเล่น งานนี้ต้องออกมาดีแน่ๆ”

รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างจากรอยยิ้มของใยไหม ที่เป็นอะไรซึ่งมากเกินกว่าความปลาบปลื้มใจในคำพูดนั้น

 





 

ทุกๆวันเกรทจะเหนื่อยจากการซ้อมละครเวที ด้วยความที่อยากให้เขาสบายหลังกลับมาหอ จานชามที่เคยทิ้งแช่ในซิงค์น้ำจึงถูกล้างเก็บ เสื้อผ้าที่ใส่แล้วถูกยัดเข้าตู้ ซักรอจนเสร็จสรรพ จับขึ้นราวตากอย่างเป็นระเบียบ อาหารเย็น...เหมือนเกรทจะรู้ดีว่าผมเตรียมให้ พอตกเย็นอีกวันจึงเห็นมันโดนกินจนเกลี้ยงจานส่วนชามก็ยังวางที่โซนล้างอีกเช่นเคย

...อิม ขอบคุณนะ โจ๊กอิมโคตรอร่อย...

กระดาษโพสต์อิทใบเล็กมักจะวางแปะไว้ที่หน้าตู้เย็นเสมอ ในทุกๆวัน

...ไม่ต้องล้างจานจนหมดก็ได้ เดี๋ยวผมกลับมาทำเอง...

และผมก็มักจะตอบกลับไปในแบบเดียวกันเสมอ

...คนเหนื่อยก็พักผ่อนเถอะ อย่าพูดมาก...

...ผมเขียน ไม่ได้พูดซะหน่อย...

...กวน...

...อิมเขียนสั้นจัง เอายาวๆ เอายาวๆ...

...ยาววววววววววววววว พอใจยัง...

...ขอเป็นกระดาษเอสาม พ่อจะให้เขียนจนเมื่อยมือเลย...

...งั้นเลิกเขียน...

...เฮ้ย ไม่ได้ดิ ไลน์ก็ไม่ได้คุย โทรศัพท์ก็แทบไม่ได้โทร นี่จะตัดโพสต์อิทออกอีกเหรอ สามเอ็มขาดทุนแย่...

...เดี๋ยวผมซื้อสก็อตไบรท์ให้คุณไปขัดตัวแทนละกัน...

...เอามาขัดกางเกงในผมแทนละกัน กางเกงในตัวโปรดผมอิมซักแล้วไปเก็บไว้ไหน ผมหาไม่เจอ...


เขียนทุกอย่างจนกระดาษสีเขียวมะนาว แสดสะท้อนแสง รวมถึงชมพูบานเย็น เก็บเต็มสมุดบันทึกเล่มประจำของผม

 



แต่วันนี้คงไม่ต้องแล้ว เจ้าตัวชวนมาดูซ้อมใหญ่หลังเลิก มันเป็นการซ้อมที่ตัวละครทุกตัวจะใส่ชุดในวันงานจริงทุกฉากเปิดแสงสีเสียงเหมือนจริง ซึ่งโดยปกติแล้วจะไม่ถูกเปิดให้คนนอกเข้า ต่อให้เป็นคนสนิทนักแสดงกับสตาฟขนาดไหนก็ตาม แต่ทว่าไม่รู้ว่าเกรทมันไปใช้อำนาจอะไรถึงขโมยป้ายสตาฟมาให้ผมเข้าไปดูเจ้าตัวซ้อมได้

ผมไม่ค่อยถนัดถนนหนทางในคณะนิเทศศาสตร์สักเท่าไร แต่ก็ไม่อยากให้กระโตกกระตากเกินไปจนทำคนในแตกตื่น เลยพยายามเดินอ้อมมาหลังโรงละครหาทางเข้าเฉพาะเจ้าหน้าที่อยู่นานสองนาน จนในที่สุดก็เจอ...


“ไม่ค่อยถนัดใส่ส้นสูงน่ะ”

ผมชะงัก แว่วเสียงดังมาจากที่ใกล้ๆ มันคุ้นหูเกินไปจนต้องสอดส่ายสายตามองหา ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดผู้ดีอังกฤษโบราณงามสง่า ร่างกายโอนเอนเซไปมาไม่มั่นคง เท้าข้างที่ควรยืนอยู่บนพื้นกลับมีมือหนึ่งมาประคอง ให้เหยียบทับลงบนตักของคนผู้นั้นซึ่งย่อกายลงต่ำ สองมือกำลังจับข้อเท้าอันบอบบางไว้มั่นให้บรรยากาศที่ยากเกินจะบรรยาย

“เกาะไหล่ผมไว้” มือเล็กเชื่อฟังว่าง่ายขยับไปจับไหล่อันแข็งแกร่งมั่นคง สายตาที่ทอดต่ำแสดงถึงความปลาบปลื้มหวานล้ำอยู่ในที

“เดี๋ยวผมติดพลาสเตอร์ให้ แล้วก็ไม่ต้องใส่รองเท้าเข้าไปอีกแล้วนะ”

“แต่ว่า ถ้าไม่ฝึกเดิน เดี๋ยวขาจะไม่ชิน”

“แต่ถ้าขาเจ็บพิการไปก่อนวันจริงจะทำไง”

“...”

“เชื่อผมเถอะ ยังไม่ต้องใส่เข้าไป”

“อื้อ”

บรรยากาศมันอวลไปด้วยไอพิเศษบางอย่างที่ผมอธิบายไม่ถูก หากมองจากสายตาคนทั่วไป ใครๆคงคิดว่า

...เขาสองคนนั้นเป็นแฟนกัน...

ใบหน้าสวยสะคราญยิ้มนิ่ง แววตาฉายชัดถึงความรักเสน่หาซึ่งมีให้ต่ออีกฝ่าย

“เกรทนี่ใจดีจัง”

“งั้นเหรอครับ ผมว่าไม่นะ อิมชอบหาว่าผมดื้อ ชอบกวนตีนบ่อยๆ”

“ไหมอิจฉาอิมเมจจัง ถ้าเกรทยังไม่มีแฟน...ป่านนี้ไหมอาจจะจีบเกรทก็ได้”

“...!”

เกรทชักหน้าขึ้น สบสายตาร่างที่อยู่เหนือกว่า ใบหน้าหล่อเหลามันแฝงอารมณ์หลากหลายจนยากจะบรรยาย ความสงบที่เกิดขึ้นฉับพลันสร้างแรงปั่นป่วนในมวนท้องของบุคคลซึ่งอยู่ในเหตุการณ์อย่างหนัก แม้เพียงเสียงลมพัดหรือกิ่งไม้ไหว ยังอาจทำให้สะดุ้งตกใจจนใจเตลิดไปได้

ณ ตรงนี้ ตรงที่ผมยืนอยู่ ไม่มีใครเลยสักคนที่ผมพอจะภาวนาให้มากดปุ่มเพลย์ เพื่อเล่นภาพนิ่งอันสุดแสนอึดอัดนี้ จึงได้แต่ยืนมองอยู่อย่างนั้นนิ่งนาน จนกระทั่งร่างเล็กของหญิงสาวยกแขนขึ้นตีคนตัวสูงเบาๆ

“แหม เกรทก็ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ...ไหมก็แค่...พูดเล่น...”

ถ้าเป็นจริงก็คงจะดี...นายคิดอยู่อย่างนี้ใช่มั้ยเกรท

ขาผมถูกตรึงไว้กับที่...ในใจกำลังรู้สึกผิดอย่างมากมาย...อยากเดินออกไปจากตรงนี้ อยากเหลือไว้ให้มีเพียงเขาสองคน แต่ทว่าโชคกลับไม่เข้าข้างผมเลย ใบหน้าที่จงใจหลบคนเบื้องบน หันมาสบรับรู้การมีตัวตนของผมพอดิบพอดี

“อิม” เกรทพรวดพราดลุกยืนเต็มความสูง ลืมไปเสียสนิทว่ามีอีกคนอยู่บนตัก ร่างเล็กกว่าถึงกับเสียหลักเซถลาไปซบอกอีกฝ่าย...

“เฮ้ยพี่ไหม!”

ยิ่งกว่าจังหวะในละครเสียอีก คนสวยกับหล่อยืนนิ่งกอดกันราวกับปูนปั้น ถึงแม้จะทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะแต่ผมก็พยายามที่จะก้าวขาออกไปด้วยใจสั่นเทา พลางยกยิ้มอ่อนที่มุมปากอย่างฝืดเฝือน

“คิดว่าเป็นวิคเตอร์กับวิคตอเรียหรือไง อินกับบทเกินไปแล้วนะสองคน” ร่างสองร่างผละจากกันอย่างเลิ่กลั่กกระอักกระอ่วน ใยไหมทักทายผมก่อน

“อะ...อิมเมจ มาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย” ตามด้วยเกรทที่เดินเข้ามาจับต้นแขนผม

“อิมหลงมั้ย”

เสียงทุ้มต่ำถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ผมลอบมองดวงหน้าที่ผ่านการตกแต่งด้วยเครื่องสำอางจางๆ วันนี้ร่างสูงดูหล่อเหลาแตกต่างกว่าทุกวัน ชุดสูทสีเทาเข้มสามชิ้นนั้น กับกางเกงลายทางดำสีเทาอ่อน...

วิคเตอร์ แวน ดอร์ท รุ่นนี้ถูกปรับให้รูปลักษณ์ดูดีเข้าสมัย เปรียบได้กับดารานักร้องเคป๊อบยังไงก็ไม่ปาน สายตาตกๆกับผมซึ่งโดนหวีเสยเผยให้เห็นเครื่องหน้าคมคายงดงามครึ่งซีก ส่วนอีกครึ่งร่วงลงมาปรกหน้าผาก นี่สินะ สิ่งที่ใครต่างเรียกกันว่ารูปโฉมประดุจคมมีดที่บาดดวงใจใครให้เจ็บตัวมานักต่อนัก

“หลง...”

“จริงป่ะเนี่ย ทำไมไม่โทรตามจะได้ออกไปรับ” เวร...ผมเผลอหลุดคำว่าหลงคนละความหมายออกไปเลยรีบไล่อาการหน้าเห่อร้อนพร้อมกล่าวปฏิเสธ

“จะบ้าเหรอออกไปรับในสภาพนี้เนี่ยนะ แล้วที่คณะอุตส่าห์ปิดข่าวละครเวทีไว้ซะเงียบเชียบจะทำไปเพื่ออะไร คุณน่ะก็รีบเข้าไปได้แล้ว เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”

“อย่าดุสิครับ”

“ก็คุณทำตัว”

“มาก็ดุเลยอ่ะ”

จากที่โดนจับเพียงต้นแขน ร่างทั้งร่างถูกดึงเข้าหาสวมกอดเข้าอกแกร่งกะทันหันไม่ทันได้ตั้งตัว ใยไหมตัวเป็นๆยืนอยู่ด้านหลัง คุณมึงเกรททำไปได้ยังไง!!

“ให้กำลังใจผมหน่อย” ชะ...ชักจะเอาใหญ่แล้ว “ผมตื่นเต้น ไม่ได้แสดงตั้งนาน นะอิมนะ” ถูกอ้อนขนาดนี้ผมเลยได้แต่ตบหลังปุๆ มองใยไหมอย่างเกรงๆ หญิงสาวมีท่าทีตะขิดตะขวงก้มมองต้นหญ้าอย่างหาจุดตกของสายตาไม่ได้ ขาขยับเคลื่อนยังเหมือนเดินติดขัดจากอาการเจ็บเมื่อครู่

“เกรท...” คุณควรจะไปดูคนด้านหลัง...

จุ๊บ!!

ผมสะดุ้งโหยง ก็ว่ามันแปลกๆตั้งแต่ลมอุ่นร้อนมาคลอเคลียซอกคอแล้ว ริมฝีปากเปื้อนลิปบาล์มประทับความลื่นนุ่มเข้าหลังใบหู ถึงกับต้องยืดตัวออกมาจับต้นคอ ดูหน้าคนกระทำการอุกอาจ

“อวยพรผมหน่อยนะครับ แม่”

“หา? คะ...คุณเรียกผมว่าไงนะ”

“แม่ไง”

“กลับเข้าไปได้แล้ว!!” ทั้งกระโดดเตะทั้งถีบเลยงานนี้ไม่ต้องมีความเกรงจงเกรงใจมันแล้ว

“เฮ้ยอิม เดี๋ยวชุดเปื้อน” ร่างสูงหัวเราะเฮฮาก่อนวิ่งหายเข้าไปในตัวตึก

ปล่อยให้ผมเผชิญหน้ากับใยไหมที่มีสีหน้าแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด...เธอเดินผ่านผมเข้าตัวตึกไปโดยไม่ทักทายอะไรอีก









 

 

และแล้วก็ถึงวันจริง ผม...ตัดสินใจมาดูรอบสุดท้ายเผื่อจะได้กลับพร้อมเกรท...
 

“ไม่ได้ นี่มันผิด ฉันเป็นเจ้าสาว ความฝันถูกพรากไปจากฉัน แต่ตอนนี้ฉันขโมยมันมาจากคนอื่น ฉันรักคุณวิคเตอร์ แต่คุณไม่ใช่ของฉัน”



ผู้หญิงในชุดแต่งงานสีขาวค่อนไปทางฟ้าหม่น แต่งแก้มเป็นรอยโครงกระดูกอย่างน่ากลัว เอ่ยบทออกมาอย่างเชี่ยวชาญ ส่งอารมณ์ถึงคู่แสดงด้วยใบหน้าอาบน้ำตาเต็มสองแก้ม

เธอแสดงเก่ง ผมอิน...จนร้องไห้...แย่ชะมัด...

เหมือนตัวเองอินกับเอมิลี่เกินไป ทั้งที่ผมไม่ใช่ผีที่ตกหลุมรักวิคเตอร์ ไม่ใช่เจ้าสาวศพสวยซึ่งโดนพรากความฝันอันเพียงต้องการแต่งงานกับคนที่รักไป และไม่เคยนึกขโมยมันมาจากวิคเตอร์เลยสักนิด...

...ต้องโทษวิคเตอร์สิ ที่หยิบยื่นโอกาสนี้มาให้ผม...

บทโศกดำเนินผ่านไปเพียงไม่นาน ตามมาด้วยความตื่นเต้นจากฉากต่อสู้ กับการปรากฏกายของวายร้ายที่เข้ามาทำลายพิธีแต่ง เกรทแสดงได้ดีทุกกระเบียดนิ้วแม้กระทั่งท่วงท่าต่อสู้ด้วยส้อมอันสง่างาม สมกับที่เป็นอดีตดาราเด็ก ผมนึกชื่นชมอยู่ในใจ

จนกระทั่งเรื่องดำเนินมาเกือบถึงบทส่งท้าย วิคเตอร์ปราบตัวร้ายได้สำเร็จ เอมิลี่ยอมยกตำแหน่งเจ้าสาวให้กับวิคตอเรียผู้หญิงซึ่งสมควรจะได้รับมันมาตั้งแต่แรก เธอโยนช่อดอกไม้แสนสวยในมือ ที่กอปรด้วยดอกกุหลาบสำหรับรักนิรันดร์ ลิลลี่เพื่อความหวาน ดอกยิปโซแห่งรักแรกพบ มอบให้กับคนเบื้องหลัง

...แต่ทว่ากลับพลาดปลิวมาตกใส่มือผม...

แสงไฟที่เคยส่องตัวละครซึ่งโลดแล่นอยู่บนเวทีไหลมากองรวมกันตรงนี้ราวกับแมวไล่จับหนู คนทั้งฮอลล์จับจ้องมองมา ไม่เว้นแม้กระทั่งนักแสดงซึ่งยังคงอยู่บนเวที เกรทกำลังมองผมอยู่ ร่างสูงอมยิ้มน้อยๆจ้องมองช่อดอกกุหลาบสีน้ำเงินสดในมือผม พลางสบสายตานิ่ง มันเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นราวกับเทพบุตร ผู้ชมไม่น้อยที่อยู่แวดล้อมต่างพากันส่งเสียงฮือฮาพาลพาละลายไปพร้อมๆกัน

จนในที่สุดทุกอย่างก็กลับเข้าเนื้อเรื่องอีกครั้ง ฉากสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ตระการตา เอมิลี่มองบนท้องฟ้าก่อนหลับตาลงช้าๆ ผีเสื้อกระดาษนับร้อยนับพันโบยบินปลิวพลิ้วไหวออกมาจากร่างไม่ขาดสาย มันงดงามพร่างพรายราวกับดวงดาวนับหมื่นแสนบนท้องฟ้าอันห่างไกล

ฉากนี้ผมจำได้ดีว่า มันเป็นฉากที่วิคเตอร์กับนางเอกยืนซบไหล่ จ้องมองการจากไปอันสุดแสนประทับใจของเอมิลี่....

“กรี๊ดดดดดด”

แต่ทว่าเรื่องไม่คาดคิดกลับเกิด เสียงหวีดเล็กๆดังระงมไปทั่วฮอลล์ ผู้ชมบางคนแสดงอาการแตกตื่นกับภาพตรงหน้า

...ภาพที่ใยไหมกำลังคว้าคอร่างสูงให้เข้าหาจุมพิตของเธอ...

 

...นี่มันอะไร...



ในสมองผมว่างเปล่า...มีเพียงประสาทการรับรู้คือดวงตาที่จ้องภาพตรงหน้านิ่ง ก่อนความคิดจะหมุนแล่นร่างกายก็สั่งการราวกับประสาทอัตโนมัติให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพุ่งตรงออกไปจากฮอลล์

 

...นี่มันอะไร...ใจ...รู้สึกเจ็บแปลกๆ...

 

ผมกุมมือเข้าอกราวกับโรคหัวใจกำเริบ สับสน...จนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร สองขาได้แต่ก้าวยาวออกมาจากจุดนั้น ในแรกเริ่มเชื่องช้า แต่ต่อมากลับเร่งร้อน จนกลายสภาพเป็นกึ่งวิ่งกึ่งเดินในที่สุด ราวกับตนเองกำลังหนีบางอย่าง...หนีจากจิตใจที่เจ็บปวดทรมานแบบแปลกๆของตน

 

เกิดอะไรขึ้นกันแน่วะ...ไม่ชอบ...แบบนี้เลย

 

ผมวิ่งมาจนสุดทาง ทั้งหอบเหนื่อยและไร้เรี่ยวแรง กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็ยืนอยู่ที่ ‘ลานเปิดใจ’ สถานที่ที่ความทรงจำหลายอย่างระหว่างผมกับเกรทเคยเกิดขึ้น

“อิม!!” เสียงตะโกนไล่หลังตามมาอย่างรวดเร็ว

...เกรทเขา...ตามผมมา...

“อิม!!”

ไหล่ผมโดนกระชากให้หันไปเผชิญหน้ากับร่างสูง เกรทมีท่าทีเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลโทรมกาย ใบหน้าแดงๆพ่นลมร้อนออกจากปากไม่หยุด เขาตามผมมาทันทีหลังจากที่ผมหนีออกมา ชุดสูทสามชิ้นกับอากาศร้อนชื้นหลังฝนตกคงทำให้เจ้าตัวทรมานไม่น้อย ผมเผลอหยิบผ้าเช็ดหน้าลายน้ำตาลแถบดำซึ่งผมชอบใช้ขึ้นซับเหงื่อบนใบหน้าอันหล่อเหลา

“วิ่งมาทำไม”

“อิมต่างหากวิ่งออกมาทำไม”

“ผมไม่รู้”

“อิม...” เหมือนคำตอบจะไม่ถูกใจเกรท เจ้าตัวแสดงสีหน้ายุ่งยาก จนผมชักมือที่จับผ้าเช็ดหน้ามากำไว้

“อิมอย่าบอกนะว่าเรื่องเมื่อกี้...”

“เกรท...”

“...” ผมยกนิ้วชี้ขึ้นปิดปากเขา ไม่อยากให้เดาใจได้เลย

“เมื่อกี้คุณแสดงดีมากเลยนะ” อันนี้น่าจะต้องเป็นใบหน้ายิ้มแย้มสินะ ทำไมมุมปากมันทั้งหนาและหนักได้ขนาดนี้ “จนผมอยากจะให้รางวัลเลย”

“...” สายตาเกรทปิดความลนลานไว้ไม่มิด ถ้าเป็นปกติผมอาจนึกสนุก อยากแกล้ง แต่ทว่า...

“เอาเป็นอะไรดีล่ะ”

“...”

“เอาเป็นจูบจากผมมั้ย”

“...!” ร่างสูงดูสติหลุดไปแล้ว แต่ผมกลับไม่อยากหยุด นิ้วมือออกห่างจากริมปาก สองมือเกาะเกี่ยวไหล่กว้างพลางโน้มตัวเข้าหา เกรทหลับตาฉับพลันจนหัวคิ้วได้รูปย่นยู่ แต่สิ่งที่ผมทำกลับเป็นเพียงการกระซิบข้างหูของเขา

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”

“...!” สายตาคมเบิกโพลง ผมถอนตัวออกมาทั้งที่มือยังเกาะเกี่ยวไหล่ของเขาไว้ จ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาในระยะประชิด

“ขอบคุณสำหรับความทรงจำที่ดี” ผมหลับตาหวนนึกสิ่งที่ผ่านมาตามคำพูดนี้ เหมือนได้ยินเสียงผู้หญิงตะโกนเรียกชื่อเกรทจากที่ไกลๆ เมื่อลืมตาขึ้น กลับพบว่าเป็นใยไหม เธอคงวิ่งตามพระเอกของเธอซึ่งหนีลงจากเวทีมา

พอดีเลย...นี่อาจจะเป็นรอยยิ้มสุดท้าย...รอยยิ้มที่ดีที่สุดที่ผมจะมีให้แก่เขา...ในฐานะ‘แฟน’

ผมสูดหายใจเข้าลึก...คราวนี้ต้องเอาให้ดังที่สุด เหมือนตอนพวกเราเคยประกาศว่าเป็นแฟนกัน เอาให้อีกฝ่ายนั้นได้ยิน...



“เราเลิกกันเถอะ”

 



...ในตอนนั้น ผมนึกถึงบทพูดประโยคนึงของเอมิลี่ขึ้นมา...

 

...คุณได้รักษาสัญญา คุณปลดปล่อยชั้น ขอให้ชั้นได้ทำอย่างเดียวกับคุณ...

 

…TBC…


+++++++++++++++++++++++++


มีใครพลิกไปอ่านตอนร้านกะเพราบ้างมั้ยนะ ขอมือหน่อยยย
ขอบคุณที่ตามนะคะ รักมากๆเลยทุกคน
ตอนหน้าเกรทเขาจะมาแล้วน้า รอเลยย

ละครเวทีที่เกรทเล่นนำมาจากภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ ทิม เบอร์ตัน กำกับ
ชื่อเรื่องว่า 'Corpse bride' หรือชื่อไทย 'เจ้าสาวศพสวย' ค่ะ

เล่าเรื่องราวของ วิคเตอร์ กับ วิคตอเรีย ที่ถูกพ่อแม่บังคับให้แต่งงานกัน
แต่ในวันแรกที่เจอหน้ากันก็เหมือนจะประทับใจกัน จนในพิธีซ้อมกล่าวคำสาบานงานแต่งวิคเตอร์กลับท่องคำสาบานไม่ถูก
จนต้องไปซ้อมเองคนเดียวในป่าแล้วพลาดตรงที่ว่าไปซ้อมใส่แหวนเข้ากับมือของเอมิลี่เจ้าสาวศพสวยที่เจ้าตัวคิดว่าเป็นกิ่งไม้
จนต้องเข้าพิธีแต่งงานกับศพอย่างเอมิลี่ แต่สุดท้ายเอมิลี่ก็ยอมปล่อยวิคเตอร์ไปค่ะ ตามที่คำพูดในละครเวทีว่า

“ไม่ได้ นี่มันผิด ฉันเป็นเจ้าสาว ความฝันถูกพรากไปจากฉัน แต่ตอนนี้ฉันขโมยมันมาจากคนอื่น ฉันรักคุณวิคเตอร์ แต่คุณไม่ใช่ของฉัน”

ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้นะคะ รักนะ
:mew1:

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อะไรกันเนี่ยยนน อิเด็กเกรทแกไม่ชัดเจน แกชอบใครกันแน่ อิมชอบเกรทโดยที่ไม่รู้ตัวเลยอ่ะ :serius2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด