รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 100% จบ [30/12/2019]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 100% จบ [30/12/2019]  (อ่าน 13208 ครั้ง)

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
งงกับเกรทมากกว่านะ
พฤติกรรมสับสนเกินไป

เดี๋ยวอิม..เดี๋ยวใยไหม
ใครจะไปรู้ ไหนจริงไหนเท็จ

เป็นเรา..เราก็ไม่กล้าไว้วางใจ
จะให้แน่ใจ..ก็ลำบากเกิ๊นนนน

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบสอง(ครั้งที่สอง)...อย่าล้อเล่นกับธาตุแท้



“สองคนครับ”



ให้มันได้อย่างนี้ดิ...

ผมจ้องหน้าคนที่คว้าแบงก์ยี่สิบจากกระเป๋าตนเองมายื่นส่งให้พนักงานเก็บสตางค์เสื้อสีฟ้า หลังจากผ่านเวลามาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่า เจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าว่าจะคืนกระเป๋าผม

จ้องอยู่นานจนนึกพาลดวงประจำวัน ตั้งแต่บังเอิญเดินเจอเกรทที่กำลังโดนต่อย ก่อนถูกสอยไปยังลานเปิดใจ แล้วไหนจะโดนบังคับให้กลับด้วย แถมยังซวยโดนตัวกั้นสีแดงบนรถไฟฟ้างับตูดเข้าให้อีก จะมีอะไรเลวร้ายไปมากกว่านี้ก็มาดิคร้าบ ผมรออยู่

เจ้าตัวสูงกำลังยัดเงินทอนลงกระเป๋ากางเกงเงยขึ้นมาสบตาด้วยท่าทีฉงน

“คนละสิบบาทครับ อิมไม่ต้องออกก็ได้แค่นี้เอง”

เออ...รู้ว่าสายเปย์ ต่อจากบีทีเอสก็ตามด้วยรถเมล์ เจ้าพ่อตัวดีคนนี้คอยคุมกระเป๋าสะพายผมไม่ได้ห่าง จะแปลกก็ตรงเวลาควักสตางค์แต่ละที มีแต่ดึงออกจากกระเป๋าตนเอง ส่วนกระเป๋าตังค์ผมน่ะเหรอ ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยสักนิด คิดคิดไปก็ไม่ใช่ยินดีหรอกนะ กลัวว่าตอนหลังเจ้าตัวจะมานั่งทวงทั้งต้นทบดอกจนไม่มีปัญญาจ่ายคืนเนี่ยสิ

ในที่สุดรถก็มาจอดป้ายประจำ จะดีหน่อยตรงไม่ต้องตาลีตาเหลือกแทรกตัวออกมา เพราะคนเริ่มบางตาไปบ้างแล้ว

ถือได้ว่าวันนี้กลับดึกกว่าปกติ สังเกตได้จากท้องฟ้าสีน้ำเงินหม่นจางกลายเป็นเทาอ่อน ชำเลืองมองนาฬิกาข้อมือระหว่างเดินเข้าซอยมันระบุว่าขณะนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่าของวัน ผมหยุดเท่าฉับพลันหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับคนที่ตามตูดต้อยๆ

“กลับไปได้แล้ว”

“ไล่อีกแล้ว”

“เดี๋ยวดึก”

“ถ้าดึกก็ไม่ต้องกลับ”

“เกรท”

“พอถึงบ้าน อิมก็จะทิ้งกระเป๋าเลยเหรอ”

ก็ไม่อยากทิ้ง แต่มันมีคนดื้อแพ่งไม่ยอมให้นี่หว่า!

“ตามใจ อยากจะทำอะไรก็เรื่องของคุณ ผมไม่สนแล้ว”

ผมหมุนตัวกลับ โดยมีร่างสูงยิ้มร่าวิ่งมาเสมอเทียบเคียง ต้นแขนของเจ้าตัวชนผมเป็นระยะอย่างไม่ได้ตั้งใจ การกระทำของพวกเราทั้งคู่ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติ ถ้าได้เกิดเป็นผู้หญิงใครคงคิดว่าเป็นแฟน หากเป็นผู้ชายก็ดูคล้ายสนิทกันมากจนเกินความจำเป็น

เรื่องราวในวันนี้แอบมีส่วนคล้ายอดีต มันเป็นวันที่เกรทมาส่งคนป่วยตากฝน ยอมรับน้ำหนักผู้ชายคนหนึ่งให้ยืนซบอก โหนรถเมล์ด้วยมือข้างเดียวมาตลอดทาง พอกลับถึงบ้านเจ้าคนป่วยคนนั้นก็นอนสลบไสลไม่เป็นอันทำอะไร จนกระทั่งจากฤทธิ์ยาแก้แพ้หมด ฟื้นจากความง่วงงุน ร่างกายที่ควรจะเหนอะหนะเหนียวตัวเพราะกรำศึกมาทั้งวันกลับสัมผัสได้แต่ความสบาย ผ้าขนหนูชื้นน้ำเจ้าหลักฐานชิ้นเลิศยังวางพาดหัวเตียงอยู่ใกล้กายอีกฝ่าย เบื้องหน้าของเขามีเพียงแผ่นหลังกว้างที่ยกแขนขึ้นปรามยัยตัวเล็กประจำบ้านไม่ให้เสียงดังสร้างความรำคาญให้อีกคนนึง

ผมแอบมองใบหน้าด้านข้างของร่างสูงที่ก้าวเดินไปด้วยกันอย่างไม่รู้ตัว เคยคิดว่าถ้าเกรทไม่ได้ชอบใยไหมจริง เขากับผมจะลงเอยอย่างไร แต่แล้วก็ต้องไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมอง ก่อนย้อนกลับมายืนยังฐานะเดิมของตน

ตอนนี้เกรทอาจกำลังสับสน คนพลาดหวังจากผู้หญิงที่แอบมองมาโดยตลอด การคว้าจับฟางเส้นสุดท้ายอาจเกิดขึ้นได้ในยามตรรกะผิดเพี้ยน ไม่เปลี่ยนไปจากตอนที่อีกฝ่ายตะโกนใส่ว่าอยากคบกับ ‘พี่อิมเมจ’ ในวันนั้นเลยสักนิด











“แม่ พ่อ”

“กลับมาแล้วเหรอน้องอิม กินข้าวมายัง ทำไมวันนี้กลับ...” คนเป็นแม่ชะงักเมื่อเห็นแขกตัวสูงเดินเข้าบ้าน เกรทยกมือไหว้ ก้มโค้งอย่างมีมารยาทด้วยท่วงท่าสง่างาม เสร็จจึงโยกตัวพนมไปยังคนเป็นพ่อซึ่งกำลังนั่งยกล้อเกาพุงดูข่าวภาคค่ำอย่างเพลิดเพลิน คนเป็นผู้ใหญ่เห็นแค่นั้นก็แทบกระวีกระวาดห้อยตีนลงมาในบัดดล

“สวัสดีครับ คุณน้าคุณอา”

“สวัสดีจ๊ะ” แม่ผมรับไหว้ ส่วนพ่อกลายมานั่งหุบขาเสียเรียบร้อยผิดวิสัย ผมสังเกตเห็นหน้าแม่ดูเจื่อนไป และนึกรู้ในทันทีว่าสายตาบุพการีไปตกที่รอยฟกช้ำดำเขียวบนใบหน้าและมุมปากของร่างสูง “ไปทำอะไรมาเนี่ย ดูสะบักสะบอม อย่าบอกนะว่าเราสองคนทะเลาะกัน”

“เปล่าครับ คุณน้า ไม่ใช่ เออ อันนี้ผมเดินซุ่มซ่ามเอง ไปชนประตูเข้า” เกรทแตะปลายนิ้วที่มุมปากทอดสายตาลงต่ำ คงรู้สึกผิดที่ต้องโกหกพ่อแม่ผม โอเค ประตูมันมีมือครับแม่ ชนทีได้รอยที่ปากกับโหนกแก้มมาเน้นๆเลย เชื่อก็บ้าแล้ว โกหกยังไงให้ไม่เนียน เอากับคุณคิรากรสิ เรื่องแบบนี้ใครมันจะไป...

“โถโถ ตายจริง ใครเป็นคนออกแบบประตูเนี่ย เดี๋ยวแม่เขียนจดหมายส่งเรื่องไปร้องเรียน” เฮ้ยแม่กูเชื่อว่ะ ผมหันไปเจอกับสายตาแม่ เธอกำลังหรี่ตามองมา ที่แท้มารดากำลังตามน้ำ ไม่อยากให้เรื่องมันกระโตกกระตากถึงพ่อผม “แล้วอย่างนี้งานแสดงทำยังไงล่ะ ไม่เป็นอะไรเหรอ” เกรทแปลกใจเบิกตาวูบนึง รอยยิ้มละมุนผุดขึ้นมาฉับพลัน

“คุณน้าได้ดูด้วยเหรอครับ”

“แหม เปิดถี่จะตาย เปลี่ยนไปช่องไหนก็เจอ อย่างกับบังคับดู” เกรทขำเบา

“ผมถ่ายแค่ตัวนั้นแหละครับ หลังจากนั้นคงไม่มีอีกแล้ว แล้วอีกอย่างอิมก็ทำแผลให้ผมแล้ว” จบประโยคชายตามองมาทางนี้เฉย ผมได้แต่สะดุ้งตัวหลบสายตา

“แค่ก!” เสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง พ่อผมไอ ยกกำปั้นขึ้นป้องปากเป็นการใหญ่ น้ำลายติดคอเหรอไง เล่นไอไม่หยุดจนดังลั่นบ้าน แถมยังทำตาเกร็งตาเขียวมาทางนี้อีก เฮ้ยดูท่าไม่ดีแฮะ จะรีบเดินเข้าไปดูอาการผมกลับโดนแม่คว้าแขนไว้ก่อน

“แม่ พ่อเขา”

“ไม่เป็นหรอกน่า พ่อแกแค่เจอคำเรียกไม่คุ้นน่ะ เลยเกิดอาการหวงลูก ช่างเขาเถอะ”

“หา?”

“ไปๆ ไปพักผ่อนตามอัธยาศัยกันในห้องก่อน เราสองคนกินข้าวมารึยังล่ะ ปากเจ็บอย่างนี้ เดี๋ยวแม่อุ่นแกงจืดให้ แล้วค่อยลงมากิน” แม่พยายามดันหลังให้ผมออกเดิน แวบหนึ่งเห็นเกรทยิ้มเฝื่อนไปทางพ่อพลางยกมือไหว้

ไหว้ทำไม? พ่อผมเป็นหวัด ไหว้เพื่อ? สวดมนต์ให้หายป่วยไวไวเหรอ?









พวกเราขึ้นมาพักที่ห้องระหว่างรอตามคำแนะนำของแม่...ห้องส่วนตัวของผม ร่างสูงเดินเอากระเป๋าสะพายที่รับ ‘ฝาก’ ไว้ไปพาดยังเสาแขวนหมวกแล้วห้อยสัมภาระของตนเองซ้อนทับ ส่วนผมแบตเตอรี่หัวใจติดๆดับๆเลยทิ้งดิ่งลงเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรง

เฮ้อ ทำไมเตียงบ้านตัวเองมันสบายอย่างนี้นะ นุ่มนิ่มซะจนหนังตาหลักใกล้หลับรอมร่อ เสียงเปิดเครื่องปรับอากาศดังแทรกเข้ามา ผมตะแคงหน้าเหลือบตามองร่างสูงที่ยืนเสียบรีโมตเข้ากับผนัง สุดท้ายก็ไม่ยอมกลับจริงๆสินะ

“ไม่ร้อนเหรอครับ” ผมส่ายหัวเบาๆทั้งที่แก้มแนบกับผิวเตียง

“ไม่ถึงขั้นนั้น” ร่างสูงยกแขนจ่อกับช่องแอร์ รับลมที่พัดปลิวลงมา

“เดี๋ยวก็เย็นแล้วครับ ทนอีกนิด” มือใหญ่หยิบพัดที่เสียบตรงกลางกล่องเอกสารเดินเข้ามา ทิ้งตัวลงนั่งขอบเตียงระดับเดียวกับศีรษะ ใช้มือปาดปัดไว้ยังหน้าผากชื้นเหงื่อจางๆอย่างเบามือพลางเริ่มโบกพัดวี ลมเบาๆต้องใบหน้าทำให้ความร้อนบริเวณลำคอเจือจางลง บวกกับแอร์ที่เริ่มทำงานร่างกายจึงรู้สึกสบายตัวขึ้น

“เกรท” ผมผุดตัวลุกขึ้นมานั่งพับขาจ้องหน้าอีกฝ่าย เกรทมีอาการแปลกใจถือพัดค้าง ก่อนเม้มปากเหมือนเตรียมพร้อมฟังสิ่งที่ผมกำลังจะกล่าวต่อ “ผมถามคุณจริงๆเถอะ”

“ครับ” แววกังวลปรากฏในคำตอบรับ

“ทำไมถึงกลับมา”

“ผมไม่เคยหายไป”

“แล้วทำไมคุณถึงยังอยู่”

“เพราะผมรู้แล้ว ว่าผมต้องการอะไร”

“คุณกำลังสับสนใช่มั้ย”

“ถ้าเมื่อก่อนน่ะใช่ แต่ตอนนี้ผมไม่”

“คุณไม่ได้ชอบผมมาตั้งแต่แรก”

“ใช่ครับ” เป็นครั้งแรกที่ความจริงหลุดออกจากปากเกรท ตั้งแต่คบกันไม่เขาไม่เคยเอ่ยบอกเรื่องสำคัญแบบนี้กับผมเลยสักครั้ง มีแต่บิดเบือนเฉไฉไปทางอื่น

“แล้วคุณรู้มั้ยว่าผมก็ไม่เคยชอบคุณมาตั้งแต่แรก”

“เรื่องนั้นผมรู้” ใบหน้าเกรทดูสลดลง เขาก้มหน้าน้อยๆ ว่าแต่เกรทรู้ได้ไง “อิมมีคนที่คบด้วยแล้วเหรอครับ” จู่ๆก็โดนสวนคำถามกลับ ผมถึงกับส่ายหัวหวือปฏิเสธ

“เปล่า จะมีได้ไงล่ะ” ร่างสูงชักหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ

“แล้วพี่เบสล่ะ”

“รายนั้นเขาเกี่ยวอะไร”

“อิมยังไม่มีแฟนใช่มั้ย” ร่างสูงรุกคืบขึ้นเตียง คลานเข่าเข้าใกล้ ผมถึงกับต้องหดคอเอนตัวไปด้านหลังเพื่อถอยให้ห่าง จู่ๆทำไมกลายเป็นผมที่โดนยิงคำถามได้ล่ะ

“ถึงจะไม่ แต่ผมก็ไม่คิดจะกลับไปคบกับคุณหรอกนะ”

ถึงปากเกรทจะบอกว่าไม่สับสน แต่ผมยังคงไม่คิดอาจวางใจได้ ไม่อยากเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายกับความรู้สึกแปลกๆที่ผุดขึ้นมาในสมองยามที่มองเห็นเกรทกับใยไหม แต่พอได้เจออีกฝ่ายเมื่อไรใจนึงมันก็...

“แต่ถ้าคุณกลับมาในฐานะรุ่นน้อง” ผมหลุบตาลง

“...”

“ก็อาจจะยังพอให้ได้”

แวดล้อมดูเงียบไปอึดใจ ทำไม...ไม่ตอบโต้อะไรเลยล่ะ สุดท้ายผมยอมพ่ายต่อความอดทน เงยหน้ามาสบตาเขา เกรทดูมีอาการดีใจไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ผมบอกไม่ถูกว่าเป็นอารมณ์ไหน ชั่วอึดใจมือใหญ่ย้ายมาจับต้นแขนสองข้างของผมกำแน่น

“ระ...รุ่นน้องก็ได้ครับ!!” ผมสะดุ้ง เกรทยื่นหน้ามาตอบแบบไม่รีรอ พอใกล้เข้าหน่อย เลยเอนหลังหงายร่วงลงไปนอนกับเตียงดัง...

ตุบ!

“อ...อิม” เกรทโค้งตัวมาใช้ฝ่ามือสัมผัสขมับข้างศีรษะ ใบหน้าออกแนววิตกกังวล “เป็นอะไรรึเปล่า”

“ป...เป็น...”

“ฮะ? เป็นอะไร ตรงไหน”

“เป็นน้องก็ต้องหัดเรียกพี่สิวะ!” ผมดีดกะโหลกหนาๆไปหนึ่งป๊อก มีอย่างที่ไหน ได้คืบแล้วเอาศอกให้ตายเถอะเด็กนี่ มาโหมดนี้เกรทคงช็อกเพราะนอกจากคนในบ้านผมไม่เคยแสดงให้ใครที่ไหนได้เห็นเลยสักครั้ง

“นี่หรือครับตัวตนอิมเมจตัวจริงที่เขาว่าโหด”

“ถ้าใช่แล้วไง”

“ก็โหดดี” ยังมีน่ามายิ้มอีก

“เห็นตอนแรกอิมบอกว่าจะ ‘สร้างภาพ’ แล้วทำไมอยู่ดีดีถึงแสดงให้ผมเห็นล่ะ” ยัง ยังไม่หยุด ยังเรียกอิมอีก

ไอ้ที่แสดงออกมาให้เห็นน่ะ คือสร้างไม่ไหวแล้วไง อยู่ใกล้กันเกินเหตุ...

“ผมดีใจนะ”

“...”

“ได้เห็นอิมในแบบที่ใครก็ไม่เคยเห็น” ผมขมวดคิ้วมองคนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นี่ดีใจเหรอเนี่ย เกรทนายบ้าไปแล้ว

“งั้นทีหลังก็หัดเผยธาตุแท้ของคุณให้เห็นบ้างดิ แบบชอบพี่ใยไหมคร้าบ ที่ขอพี่อิมเมจคบด้วยก็เพราะกลัวหน้าแตกคร้าบ อะไรแบบนั้นน่ะ” ผมกัดเน้นๆ มาถึงจุดนี้ไม่สนว่าจะแทงใจดำแล้ว ต่างคนต่างไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอีก

“คนชื่ออิมเมจปากร้ายนะครับ” นิ้วเรียวยาวของเกรทยกขึ้นเกลี่ยปอยผมที่โดนลมพัดมาระหน้าผาก ก่อนแตะริมฝีปากผมแล้วจ้องมองมันอย่างหมิ่นเหม่ “ความจริงธาตุแท้ของผมก็เผยให้อิมเห็นเกือบหมดแล้วนะ จะมีก็แต่...”

“ต...แต่อะไร...” ร่างสูงยอมถอยมือออกไปก่อนเผยยิ้มเบาบาง

“ด้านมืดในจิตใจ”

“จะด้านมืดด้านสว่างด้านอะไรแน่จริง ก็มาดิคร้าบ ไม่ได้ดีแต่ขู่” โชว์ไม่กลัว กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่กล้าโชว์ให้เห็นมากกว่า พูดจบใบหน้าเกรทกระตุก เหมือนเสียสมดุลที่โดนท้าทายอำนาจมืด รู้สึกสะใจที่ได้ตอกกลับอีกฝ่ายเสียบ้าง แต่ไม่ทันไรก็เอะใจกับเงามืดที่เคลื่อนคล้อยบังใบหน้า เกรทกระโดดตัวผลุงขึ้นเตียงมาตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจทราบได้ แต่สองแขนแกร่งตอนนี้กำลังยันน้ำหนักคร่อมผมไว้ทั้งตัว

“อิมท้าผมก่อนนะ”

“หา? เออท้าแล้วไง คุณไม่มีทางมาจริงจังกับคำท้าของผมหรอก” ยกมือดันอกอีกฝ่าย ใจลึกๆชักทะแม่งรู้สึกเหมือนเรื่องที่เขาพูดจะไม่ใช่เรื่องที่ผมคิด แต่มาถึงตอนนี้จะตีโพยตีพายกระโดดหนีหายไปจากห้อง มันก็เสียเชิงชายน่าดู แต่อีกใจก็หวั่นๆกลัวว่าเด็กมันจะเอาจริงอยู่ลึกๆ

“ใครว่าผมไม่จริงจัง” เกรทจับข้อมือสองข้างผมไว้

“...”

“เรื่องด้านมืดผมจริงจังเสมอ”

จบคำร่างสูงแหวกแขนแทรกตัวเข้าหา โน้มต่ำเอียงหน้ายื่นริมฝีปากมาแนบประกบ มือสองข้างถูกจับตรึงไว้ข้างตัว สัมผัสอบอุ่นของลมหายใจปะทะสันจมูก ความนุ่มหยุ่นอันแห้งผากเหนี่ยวนำให้กลีบปากแนบติดถูกดึงขึ้นตามการถอนออก เกรททิ้งระยะห่างไปแค่สามเซนต์ หน้าผากได้รูปจรดลงบนกระหม่อม ถอนลมหายใจรดผิวแก้มทำเอาใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด

“ขอโทษครับ...” เกรทหายใจหอบสั่น “วันนี้ผมไม่ได้ทาลิปบาล์มมา” อะโด่...ผมก็คิดว่าขอโทษอะไร...

มันใช่ประเด็นที่ไหนกันเล่า!!

“ข...ขอโทษผิดจุดมั้ย”

“ฮะ?” ร่างสูงส่งเสียงประหลาดใจพลางมองตา

“คุณควรจะขอโทษที่จู่ๆก็จูบผมต่างหาก” ฉับพลันรอยยิ้มหล่อเหลาประดับด้วยรอยช้ำก็ปรากฏขึ้นใบหน้า

“อิมครับ ปกติคนเขาพูดขอโทษตอนไหนกัน” จู่ๆเหมือนโดนปัญหาเชาวน์ทดสอบสมองน้อยๆของผม จนต้องนิ่งคิด

“ก็...ตอนที่รู้สึกผิดล่ะมั้ง”

“ใช่ ตอนที่รู้สึกผิด” นั่นไงผมว่าแล้ว แล้วเจ้าตัวจะมาแย้งอะไรผม “แต่ตอนนี้ผมไม่รู้สึกผิดอะไรเลยเนี่ยสิ”

จบคำผมได้แต่ตื่นตะลึง ก่อนความร้อนผ่าวระลอกสองตามมาติดๆ เกรทปล่อยมือข้างหนึ่งย้ายมาประคองท้ายทอยดึงเบาๆเข้าหา แนบความแห้งผากไร้ลิปบาล์มลงมาอีกครั้ง ก่อนกดย้ำพลางบดเบียดอย่างเนิบนาบ เจ้าตัวขยับคางเข้าออกหนักเบาเคล้าคลึงไปมา เลื่อนมืออีกข้างมากุมประสาน ความสั่นเทาจากมือส่งผ่านมาสู่อีกฝั่ง ทำให้ผมรู้ว่าเจ้าตัวกำลังประหม่ากับการจุมพิต...

เฮ้ย...ไม่ได้ไม่ได้...ใจผมกำลังจะเตลิด จู่ๆรู้สึกเห็นใจอยากจูบตอบความเว้าวอนของรุ่นน้อง อยากเอื้อมแขนไปคล้องกอดอีกฝ่าย

หลับตาไล่ความคิดจนสมาธิถูกดึงกลับไปรวมตัวยังจุดที่โดนกระทำ ริมฝีปากบนล่างโดนดูดรั้งราวกับปลาตัวเล็กเข้าตอด เทะเล็มอาหารซึ่งเป็นกลีบปากแดงนุ่มซ้ำไปมา สลับจากบนไปล่าง จากล่างขึ้นบน ก่อนแนบประกบขบเม้มพร้อมกันในคราเดียว พื้นที่เหนือคางก็โดนจัดการเสียเรียบ โดยการแนบริมฝีปากที่เริ่มเปียกชื้นจูบซับไต่ระดับขึ้นมาราวกับลิฟต์

“เกรท...อ...อื้อ” จังหวะที่อ้าปากพลางหุบหลบการรุกล้ำกลับกลายเหมือนกำลังตอบสนอง เพราะมันดึงรั้งริมฝีปากล่างนุ่มหยุ่นของอีกฝ่ายให้ตามติดมาด้วย ดวงตาสีเข้มกำลังจ้องสบผม เปี่ยมอารมณ์ดีใจเกินปิดมิดไว้ จนเผลอแย้มเยื้อนเป็นรอยยิ้ม

เจ้าเด็กบ้า...

คิดด่าในใจเพลินๆดันถูกเกรทฉกจูบโต้กลับเบาๆ ผมเนี่ยสิตกใจจนแทบสติหลุด นึกว่าอีกฝ่ายจะงับลงมาจนจมเขี้ยวเลยเผลอส่งเสียงร้องประท้วงออกไป

“อ๊ะ”

เสียงนั้นทำคนตัวสูงประหลาดใจถึงกับชะงักถอนตัวขึ้นมามองหน้า แต่เพียงไม่นานที่ผมยกมือขึ้นปิดปาก เกรทกลับปล่อยมือจากท้ายทอยปาดเอาสิ่งกั้นขวางออก พลางรวบผมเข้าไปกอดทั้งตัว น้ำหนักกายสูงทาบทับลงมาเบาๆก่อนพลิกตัวตะแคงข้าง สายตาเจ้าตัวดูเปี่ยมอารมณ์หวานล้ำลึกเป็นพิเศษ

“กะ...เกรท”

“พี่อิม...ชอบนะครับ”

ใจผมสั่นกระตุก เหมือนทุกอย่างจะหลุดมานอกอก ใบหน้าร้อนวูบวาบไปหมดเหมือนระเบิดเวลาที่ตั้งทิ้งไว้เตรียมนับถอยหลังทำลายตนเอง

เกรทกระชับอ้อมกอด ย้ายมือมาประคองช่วงคอ เอียงศีรษะกดจูบเข้ามา มันเป็นจุมพิตที่หนักแน่นและลึกซึ้งเกินกว่าหาคำบรรยาย คนครองสติได้ตอนนี้คงมีแต่เกรทที่เม้มปากซ้ำๆ เผยอส่งเรียวลิ้นอ่อนตวัดชิมริมฝีปากแดงสด เบื้องต้นสัมผัสแผ่วเบาเจือจางราวกับปลอบประโลมให้ตายใจ ก่อนตีเนียนใสใสเวียนมาไล้กลีบปากบน กดคลึงเน้นจูบหนักๆพลางดูดซ้ำไปมา แนบสนิทถอนถอยราวกับหยอกล้อ ก่อนเบี่ยงเปลี่ยนองศาย้ำความเป็นเจ้าของจุมพิตไปรอบบริเวณ

“ก...เกรท”

เสียบจุ๊บเบาแต่ถี่หนักอันน่าอายเริ่มทำร้ายโสตประสาท แต่ไม่เทียบเท่าความด้านชาของปลายกลีบปากซึ่งไม่หยุดแนบประสานกัน เกรทสานต่อด้วยการรุกล้ำร่องกลีบปากที่เผยอน้อยๆ ใช้ความอ่อนนุ่มดุนดันให้แย้มเปิด หลอกล่อให้เผลอไผลลืมตัวรับบทจูบอันหนักหน่วงเสน่หาลึกซึ้งมากมายกว่าเก่า

“ฮือ...” เสียงหายใจขึ้นจมูก ดวงตาปิดสนิทรับรู้ประสาทสัมผัสปลายลิ้นซึ่งเกี่ยวกระหวัด เหมือนมีกระแสไฟเล็กๆแล่นผ่านยามมือใหญ่เคล้าคลึงไปตามช่วงเอวและแผ่นหลัง จนต้องบิดตัวเข้าหาอกแกร่งราวกับหนี แขนแข็งแรงกระชับอ้อมกอดที่มีให้กันอย่างหนักหน่วง ช่วงอกรู้สึกถึงแรงกระทุ้งหนักๆดังเป็นจังหวะประสาน

ตึกตัก...

ไม่รู้ว่าเสียงมาจากไหน แต่ใจผมเต้นแรงจนแทบทะลุออกมานอกอก แขนข้างหนึ่งสอดลอดใต้ระหว่างเตียงและร่างหนา ส่วนอีกข้างอ้อมมาจับแผ่นหลัง พลางใช้สองมือขยุ้มเสื้อเชิ้ตอีกฝ่ายจนยับ

“...เกรท” ลิ้นสากกวาดทั่วโพรงปาก ลัดเลาะไปตามไรฟัน หลอกล่อให้ความนุ่มหยุ่นแบบเดียวกันคืบคลานออกมาก่อนใช้ริมฝีปากดูดคลึงจากด้านนอก น้ำใสเริ่มไหลคลอจากมุมปากรินหลั่งมายังปลายคาง

คนเป็นรุ่นน้องถอนริมฝีปากมาจูบรับหยาดหยดความชื้น ขบกดเบาๆพลางดูดอย่างมันเขี้ยว

“เกรท อย่ากัด”

เหมือนนิสัยชอบกัดจะมาทุกครั้งที่ลืมตัว ทุกคราที่เคยจูบกัน เกรทมักจะแอบขบซ้ำๆตรงริมฝีปาก บางครั้งก็ลามไปถึงซอกคอจนน่ากลัว

“ขอโทษครับ” เจ้าตัวไล้เลียส่วนนั้นแทนราวกับปลอบประโลม จากใต้คางเริ่มลามปามไปตรงสันกรามและใต้กกหู แต่พอเอ่ยปากจะห้าม ริมฝีปากกลับแนบมาซ้ำแล้วเริ่มบทจูบหวานล้ำยกสอง

“อือ...”

“อิม...” ผมยกแนวคางขึ้นกดตอบสนองเพิ่มความหนักหน่วง ดูดริมฝีปากของร่างสูง อ้าปากพร้อมกัดดึงเบาๆ ขยับแขนขึ้นโอบรอบลำคอดึงลงให้ชิดใกล้ยิ่งขึ้น เมื่อฝ่ายหนึ่งคลึงกลีบปากบน อีกฝ่ายหนึ่งจะดูดดึงกลีบปากล่างอย่างไม่ยอมแพ้ ยกนี้ไม่มีใครแพ้ชนะ เหมือนต่างคนต่างมาเพื่อสนองตอบความต้องการของกันและกัน

“เกรท” ผมครางชื่อเขาอย่างห้ามไม่อยู่ มือของเกรทลูบแผ่นหลังหนักหน่วงขึ้นทุกครั้งที่โดนเรียกชื่อ ขาเริ่มก่ายเกี่ยวซ้อนทับดันตัวเข้าหากันและกัน จนกระทั่งไปโดนส่วนกลางตรงหว่างขา

“...!”

“...!”

ทุกอย่างเหมือนตกอยู่ในความเงียบ...

เกรทนิ่ง...

ผมก็นิ่ง...

ไอ้เหี้ย...เหงื่อนี่ไหลมาเป็นน้ำเลยคร้าบบบบบบบ!!!

“อะ...เออ เออ เออ”

“อิม”

“นี่มันไม่ใช่รุ่นพี่รุ่นน้องแล้ว” ผมยกหลังมือขึ้นเช็ดปาก พยายามถอยตัวออกห่างจากเขา

“นี่เป็นจูบแสดงความรักจากรุ่นน้องที่อยากเลื่อนขั้นเป็นแฟนครับ”















“ทำไมปากดูช้ำหนักกว่าเก่า”

ผมแทบสำลักแกงจืดตอนพ่อพูดออกมา วันนี้ประหลาดทั้งที่บุพการีทั้งสองต่างทานข้าวกันไปเรียบร้อยแล้ว แต่ผู้เป็นบิดากลับย้ายร่างที่กำลังสนุกกับการชมข่าวภาคค่ำมานั่งร่วมดูพวกเราสองคนกินข้าวด้วยกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งแม่ของผม

“เฮ้ยพ่อ เป็นแผลนะ ไม่ใช่มดกัด แบบทายาหม่องปุ๊บหายปั๊บมีที่ไหน มันอาจจะบวมช้ำขึ้นมากว่าเก่าเมื่อไรก็ได้ใครจะไปรู้ ดูอย่างวันนั้นดิที่ตอนพ่อเดินเตะขอบเตียงอ่ะ เป็นไงวันถัดมา เล็บหลุด เจ็บตีนเดินไม่ได้ไปสามวัน” ผมพยายามหาข้ออ้างแก้ต่างให้เกรท เพื่อไม่ให้หลักฐานจากการทำอะไรกันก่อนมานั่งกินข้าวมันเด่นชัดจนเกินไป

หลังจากตอนนั้นความดื้อดึงของ ‘รุ่นน้อง’ ที่พยายามต่อก๊อกสองก๊อกสามก๊อกสี่ก็มีมาไม่หยุด ความรู้สึกหวานนัวยังคงซึมซาบอยู่ในโพรงปาก รู้สึกชาจนด้านทั้งสันกราม เสียงความชุ่มชื้นซึ่งดังเหนอะหนะยังคงค้างอยู่ในสมอง แต่ที่แปลกคือเจ้าตัวยังเคารพความเป็น ‘รุ่นน้อง’ ไม่เตะต้องช่วงล่างซึ่งบังเอิญเกิดอารมณ์จนพองคับแน่นขึ้นมาทั้งคู่

‘รุ่นน้องคนนี้ขอแค่จูบพี่อิม ไม่ขออะไรมาก’

จ้า แค่จูบก็จะทำผมตายทั้งเป็นได้แล้ว แล้วมีอย่างที่ไหนรุ่นน้องจูบรุ่นพี่ได้ ตำราเล่มไหนเขาบอกกันวะ

“ที่แกพูดมาก็ถูก” เสียงพ่อดึงสติที่คิดออกไปไกลจนนอกอ่าว ผมลอบถอนหายใจ นึกว่ารอดแล้ว แต่สิ่งที่บิดาโพล่งหลังจากนั้นกลับทำให้ผมตะลึง “แต่พ่อหมายถึงเอ็ง ไม่ใช่เพื่อนเอ็ง!”

เหี้ย!! รีบยกมือขึ้นบังปาก ตาหลุกหลิกซ้ายขวา คิดว่านานจนไม่น่าเห็นริมฝีปากที่บวมเจ่อจากความพยายามของเกรทในการสร้างฉากจูบประมาณหน้ากระดาษเศษได้ แล้วทำไมยังจะ...

“ไม่ต้องปิดหรอกอิม พ่อเขารู้แล้วว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน”

หา?! พ่อรู้? ผมเหลือบไปมองแม่ที่เฉลยขึ้นมา ก่อนสบตาเกรท คราวนี้ร่างสูงถึงกับวางช้อนส้อมลง ทำสีหน้าจริงจังตั้งใจฟัง

“ความจริงแม่ก็กะว่าจะค่อยๆบอก แต่พักหลังมานี้เห็นลูกเกรทไม่ค่อยมา เลยแอบเผลอคิดไปว่าพวกเราสองคนน่ะเลิกกันแล้ว” เกรทขยับตัวเหมือนจะพยายามพูดแทรกอะไรบางอย่างแต่ผมจิกต้นขาห้ามเขาไว้

“โอ๊ย อิมทำอะไรน่ะ”

“นิ่งไว้เลย” ผมส่งสายตาดุ กระซิบปราม

“แต่พอเรียกเจ้าอิมให้ดูโฆษณาที่เราออกทีนะ หน้าเนี่ยยิ้มบานเป็นกะโล่ ทำท่าดีใจอย่างกับเห็นความสำเร็จของคนในครอบครัวยังไงอย่างนั้น ตอนนั้นเลยไม่แน่ใจเลยจ้าว่าเลิกกันจริงเหรอ”

“แม่!” อย่าเอาผมมาเผาได้มั้ย!! ขอร้อง!

“อ้าวทำไมล่ะ ก็พูดเรื่องจริง พอบอกว่าน้องเขาหล่อเนอะ ก็พยักหน้าเออออห่อหมกเห็นด้วยอย่างกับอะไร” เกรทจ้องผมใหญ่ ดวงตาเป็นประกายขัดกับแวววิตกกังวลเมื่อสักครู่ เจ้าตัวแอบขยับมากุมมือผมไว้ใต้โต๊ะ จะดิ้นหนีก็กลัวมีพิรุธจนพ่อแม่จับได้ จึงเกร็งแขนนิ่งอยู่อย่างนั้น

“แล้วพ่อเขาก็จับได้ตอนลูกเกรทเรียก ‘อิม’ แทนที่จะเรียก ‘พี่อิม’ เมื่อครู่นี้เนี่ยสิ”

“ใช่ตอนนั้นซะเมื่อไรล่ะ” พ่อพูดขัด ทุกคนหันขวับไปทางพ่อเป็นตาเดียว “จับได้ตั้งแต่ตอนที่ตะโกนเรียกกันให้ ‘มาดูโฆษณาคุณแฟน’ แล้ว” แม่ผมยกมือปิดปากทำท่าชะอุ๊ยพลาดซะแล้วปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่ม ส่วนผมแทบจะเอาหัวโขกโต๊ะทานข้าว ใครกันวะครับที่บอกว่าพ่อไม่อยู่ ใครกับวะครับที่บอกว่าพ่อไม่ได้ยินน่ะ คุณแม่!!

“อ้าววันนั้นคุณอยู่เหรอ คิดว่าไปตัดหญ้าที่สนามซะอีก”

“นั่งอ่านข่าวในมือถืออยู่ตรงโน้น” นิ้วผู้เป็นพ่อพุ่งไปยังมุมหนึ่งซึ่งเป็นที่วางโซฟาเดี่ยวตัวเตี้ย “มุมห้อง”

เชร้ดดดด...พ่อผมเป็นนินจา!!

ระหว่างที่ทุกคนยังคงวอแวกับพ่อ เสียงขาเก้าอี้เสียดสีกับพื้นเบาๆดังขึ้นขัด ตัดความสนใจของทุกคนไปยังร่างสูง เกรทปล่อยมือผม ลุกเดินมายังหัวโต๊ะ สีหน้าดูจริงจังผิดกว่าครั้งไหนๆ ก่อนร่างทั้งร่างจะทรุดตัวคุกเข่าลง ทุกคนกลั้นหายใจกับการกระทำของร่างสูง การสนทนาทุกอย่างหยุดนิ่ง

“คุณน้าคุณอาครับ”

“ลูกเกรท ทำอะไรน่ะ” เหมือนแม่จะลุกไปห้าม แต่เกรทกลับเงยหน้าขึ้นพูดบางอย่างออกมาก่อน

“ผมชอบอิมครับ”

“...!”

ทุกคนเงียบรวมถึงแม่ผมที่ยืนค้างอยู่ตรงที่เดิมด้วย

“ร...เรื่องนั้นแม่ก็รู้อยู่แล้ว ไม่งั้นเราสองคนจะคบกันทำไมล่ะ ลุกขึ้นมาคุยกันดีดีก่อน ลุก” แม่จับแขนแกร่งดึงเบาเหมือนโน้มนำให้ขยับ แต่เจ้าตัวยังทู่ซี้คุกเข่านิ่งอยู่กับที่

“ผมโดนอิมปฏิเสธไปแล้วครับ”

“หา?” ประสานเสียงกันดังฟังชัดไม่เว้นแม้พ่อผม ที่นั่งทำท่างุนงงอยู่

“ที่มาคุกเข่าตรงนี้ เพราะผมตัดสินใจแล้ว ผมอยากจะขออนุญาตจีบพี่อิมอย่างเป็นทางการ และผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้เขาต้องเสียใจอีกเป็นครั้งที่สอง” เล่นใหญ่เว่อร์! นี่ไม่ได้ทางผมก็จะเอาทางพ่อแม่เหรอวะ โว้ยเด็กเกรทโว้ย ไอ้เด็กบ้า!

“แล้วถ้าเขาเสียใจเพราะเอ็งขึ้นมาล่ะ” เสียงพ่อผมแทรกขึ้นมา หน้าตาผู้เป็นบิดาดูเคร่งขรึม จริงจัง จนบรรยากาศโวยวายแวดล้อมดูสงบลงทันตา

ปกติพ่อผมจะเป็นคนใจดีที่หนึ่งในบ้าน ถ้าเทียบกับแม่แล้ว รายนั้นโหดเสียยิ่งกว่า พ่อเป็นผู้ชายสายไม่มีพิษมีภัย เอ็นดูอารีเลี้ยงลูกให้เติบใหญ่เป็นเด็กที่เข้าใจโลก ไม่อ่อนแอ แต่สู้คน หากในความสู้คนนั้นก็ไม่ล้ำเส้นจนหาญกล้าถึงขั้นไประรานใคร และหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกทั้งสองเมื่อไรพ่อก็พร้อมจะเต็มใจออกหน้า ปกป้องด้วยความยุติธรรมเสมอ

“ผู้ชายหน้าตาดี เป็นดาราอย่างเอ็ง ทางเลือกมันเยอะเกินกว่าจะมาจบกับคนที่เป็นผู้ชายด้วยกันอย่างไอ้อิมมัน ถึงตอนนั้นถ้าไขว้เขว ทำให้อิมมันเสียใจ เอ็งจะทำยังไง”

เจอด่านหินเข้าแล้วไง บอกให้อยู่นิ่งๆไว้ทำไมไม่ฟังกันบ้าง ผมถอนหายใจ เกรทคงไม่ทำอะไรเพื่อคนที่หลงมารู้จักกันอย่างผมได้หรอก การโดนคนเป็นพ่อสอบสวน อาจจะเป็นการกระตุ้นให้ความสัมพันธ์ที่ควรห่างกันนั้นมาไวมากขึ้น แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็ไม่เปลี่ยน เหลือเพียงเกรทและผมต่างเดินกันคนละทาง

“เกรท คุณยังกลับตัวได้นะ” ผมยิ้มให้เขา ไม่ใช่การทำหน้าเศร้าหม่นหมอง แต่เป็นยิ้มที่พร้อมรับกับทุกสิ่งที่เป็นคำตอบของอีกฝ่าย บางทีการทำหน้าเสียใจอาจทำให้เกรทไม่กล้าพอที่จะบอกปฏิเสธผม ความสับสนอาจทำให้ใครบางคนทำอะไรผิดพลาด และมันจะรู้สึกแย่เป็นอย่างมากหากได้รู้ว่าเขารู้สึกผิดที่เลือกผม

“ต่อให้อิมบอกให้ผมกลับตัวกี่ครั้ง แต่ถ้าปลายทางยังเป็นอิม สุดท้ายผมก็ต้องวกกลับมาหาอิมอยู่ดี”

“...”

“ผมยอมรับนะ ว่าเคยไขว้เขวมาแล้วครั้งนึง แล้วมันก็ทำให้ผมเกือบเสียอิมไป ผมไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกเสียใจกับเรื่องวันนั้นอีกแล้ว”

“ขอจีบได้มั้ยครับพี่อิม”

…TBC…

+++++++++++++++++++++++



ไม่ถนัดฉากเลยยยยยยยยยยย

เกรทต้องแสดงความจริงใจว่าอยากคบกับพี่อิมอย่างบริสุทธิ์ใจ ให้เต็มแม็กแล้วค่า

บุก!!

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ ตามอ่านอยู่เสมอ เพราะคุณคือกำลังใจ
:mew1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ชัดเจนแล้วนะเกรท
แน่ใจจริงๆๆใช่ไหม

อ่ะ..จีบอิมได้
อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบเอ็ด(ครั้งที่สอง)...ดูช้างให้ดูหาง แต่จะจีบตั้งปณิธานให้เข้าทางพ่อ


“ขอจีบได้มั้ยครับพี่อิม”


น้ำเสียงแน่วแน่มั่นคงจนคนบางคนฟังแล้วยังขนลุก สายตาคมจ้องสบไม่หลบหรือวอกแวกไปไหน เหมือนมีกระแสไฟอ่อนๆเข้ามากระตุ้นที่อกด้านซ้าย จนต้องกุมมันไว้อย่างลืมตัว

“ย...อยากจีบนักก็ไปเซเว่นหน้าปากซอย” ผมไม่ให้จีบโว้ย จะทำไม

แกร๊บ

เสียงถุงพลาสติกยื่นมาขวางหน้าผมกับเกรทกะทันหัน มันยังห้อยต่องแต่งแกว่งไปมา ผมไล่สายตาไปตามแขนคนที่ถือมัน ที่แท้ก็เป็นผู้บุกรุกยามวิกาลยัยมายด์น้องสาวผม สภาพเหมือนพึ่งกลับมาถึงบ้านหมาดๆ ไหล่ข้างขวายังสะพายกระเป๋าข้างยามไปเรียนหนังสือ ตามมาด้านหลังติดๆด้วย...

“สวัสดีค่ะคุณแม่คุณพ่อ” สาวแว่นหางม้าตัวเล็กตะมุตะมิยกมือขึ้นไหว้ย่อซ้ายย่อขวา...ยัยต้าเพื่อนยัยมายด์

“อ้าวลูกต้า มาได้ไงเนี่ย”

“วันนี้ยัยต้าจะมาค้างน่ะแม่”

ค้าง? ฮะ? ผมหันขวับไปจ้องร่างน้อยเขม็ง พลางทำจมูกฟุดฟิด กลิ่นชักไม่ค่อยดีแฮะ

“ไม่ต้องมองเพื่อนมายด์เลย” ยัยน้องสาวดันเพื่อนไปด้านหลังให้พ้นสายตา ยกถุงพลาสติกห้อยรังควานขวางใบหน้าผม

“นี่อะไรเนี่ย เอามาขวางหน้าพี่อยู่ได้”

“ก็ของที่พี่อิมอยากได้ไม่ใช่เหรอ”

“ของที่พี่อยากได้? อะไรวะ?”

“ขนมจีบไง”

“พี่ไม่ได้อยากได้โว้ย โน่นคนนั้น คนที่อยากได้น่ะ” ผมตัดรำคาญด้วยการคว้าถุงจากมือน้อง ลุกขึ้นไปโยนใส่มือเกรท “อ่ะ อยากได้นักก็เอาไปดิ” มอบให้เสร็จ หันหลัง ตั้งใจจะกลับมานั่งโต๊ะ แต่ร่างสูงคว้าแขนผมไว้พร้อมพูดเสียงดังฟังชัดใส่แทบจะในทันที

“ให้จีบแล้วนะครับ”

หา?

เจ้าตัวชูถุงพลาสติกใสที่มีขนมจีบอยู่สองไม้ในมือขึ้นมาแกว่งไกวไปมากวนประสาท

“อูยยยย เด็กสมัยนี้มันกล้าเล่นเนอะแม่เนอะ” เสียงพ่อผมกระซิบคุยกับแม่เข้าหู เออกล้าเล่น เดี๋ยวนี้ใครหน้าไหนมันยังเล่นทุกขนมจีบกันอีกวะ พอพอกับมุก ‘ไปเลยก็ไม่ถึงเด้’ ฉิบหาย

“นั่นมันขนมจีบที่น้องผมซื้อมา คุณจะเอาไปให้ใครง่ายๆได้ยังไง” ผมยกมือขึ้นชี้ของทานเล่นในมือใหญ่อย่างประท้วง

“ไม่เป็นไรค่า มายด์ให้พี่เกรท พี่อิมกับพี่เกรทกินกันตามสะดวกเลยนะ จะกินกันเท่าไรก็ได้น้องไม่ขัดข้อง น้องชอบ” ทำไมน้องผมมันเน้นเสียงคำว่า กินกัน เหลือเกินวะ ผิดสังเกต ขัดหูขัดใจเว้ย แล้วไหนจะยังยัยต้าที่ทำหน้าฟินไปสามโลกเนี่ยอีก

กินกันมั้ยครับ”

“ไม่กินโว้ย!” ผมสะบัดมือ เตรียมหันหนี ร่างสูงลุกขึ้นพรวดพราด มือยื่นไปวางถุงขนมจีบบนโต๊ะ ก่อนพลิกตัวมาขวางด้านหน้า ความขัดใจทำให้อ้าปากจะตำหนิ หวังฉะให้เละ แต่สุดท้ายเจ้าก้อนสีเหลืองกลิ่นหอมกระเทียมเจียวเย้ายวนดันพุ่งเข้าใส่ปาก

“อู้!!” เกรทจับต้นแขนข้างหนึ่ง มองผมด้วยแววตาอ่อนหวาน ในขณะที่ปากผมเริ่มเคี้ยวตุ้ยกัดเจ้าก้อนหมูผสมกุ้ง จนเผลองับเบาโดนปลายนิ้วของเขาเข้าให้ เจ้าตัวไม่มีท่าทีติดใจ ไม่ยอมถอยมือออกห่าง หากยังคนจ้องอาการของผมไม่วางตา

“อร่อยมั้ยครับ” รอยยิ้มเอ็นดูภายใต้กรอบหน้าคมคายทำให้ผมเผลอมองตามจนตาค้าง “ขอโทษนะครับที่ใช้มือ แต่ผมล้างมือแล้ว เมื่อกี้กลัวยกไปยกมาแล้วไม้จะแทงปากอิมเข้า” เจ้าตัวเอานิ้วโป้งไล้ตามกลีบปากที่เปื้อนน้ำมันเจียว โดยไม่กริ่งเกรงผู้ชมอีกสี่คนแปดตาซึ่งนั่งมองยืนชมอยู่ตรงนี้ ผมเร่งเคี้ยวหมุบหมับอย่างสุดกำลัง เจ้าขนมจีบนี้ก็ช่างก้อนใหญ่ กลืนยากกลืนเย็นอะไรขนาดนี้วะ พอคำสุดท้ายลงคอ จังหวะเดียวกับตอนอ้าปากจะโต้แย้ง ผมกลับโดนดักทางด้วยเสียงนุ่มราวเทพบุตรของคนตรงหน้า

“ทำบ้าอะไรของ...”

“ผมก็ให้จีบ”

หา?

“จีบได้ตามอิสระเลยครับ ถ้าอิมจีบยังไงก็ติด”

ติดบ้าบอกับผีน่ะเด้!! อยากโวยวายแต่กลัวคนคิดว่าหน้าบางกับแค่การแซวเบาๆด้วยคำพูดของรุ่นน้องจะเอาอะไร ผมเม้มปากแน่นสนิทอดทนกับทั้งสีหน้าและวาจายียวนกวนส้นของอีกฝ่าย ทนได้ไม่ทันไรใครบางคนก็เรียกร้องความสนใจด้วยการสะกิดต้นแขนแกร่งเบาๆ

ทุกสายตาหันไปมองต้นทางการกระทำ คนเป็นพ่อปประจำบ้านกำลังยืนเทียบความสูงซึ่งดูยังไงก็เตี้ยกว่าคนที่มีดีกรีเป็นถึงนายแบบโฆษณา บิดาผมยิ้มร่าผิดวิสัยก่อนยื่นส่งสิ่งที่อยู่ในมือไปถือค้างไว้หน้าเกรท

ขนมจีบไม้เดียวกับที่โดนคนนั้นคนนี้กระทำชำเราถูกส่งประเคนจนถึงริมฝีปากได้รูป โครงคิ้วคมเข้มเลิกขึ้นอย่างประหลาดใจ พลางส่งเสียงตะกุกตะกักออกมาจากในลำคอ

“อ...อะไรครับ”

“ให้จีบไง”

“หา?”

“พ่อให้จีบลูกพ่อได้” จบประโยคอนุญาต เกรททำหน้าดีใจอยู่วูบนึง ก่อนพ่อจะต่อบนสนทนาด้วยคำสันธานเชื่อมประโยคขัดแย้งราวกับหนังหักมุม แต่...”

“ต...แต่?” เจ้าคนตัวสูงกลืนน้ำลายลงคออย่างระแวงในคำพูด

“จากนี้ไปสิ่งที่แกจะทำกับเจ้าอิม”

“...”

“ห้ามเอาไปทำกับเจ้าอิม”

“...”

“แต่เอ็งต้องเอามาทำกับพ่อก่อนนี่ เข้าใจ?”

“หา!!”


ตะโกนดังลั่นทุ่ง งงเป็นไก่ตาแตกกันทั้งบ้าน ร่างสูงอ้าปากพะงาบพะงาบมองดูพ่อผมราวกับคนตรงหน้าพูดจาล้อเล่น

...เชี่ย! นี่พ่อผม กำลังคิดอะไรอยู่วะ...











“ขยับตัวออกมาอีกนิด แล้วเอนตัวไปด้านหลังได้เลยครับ”

“ชั้นหลับรอเลยได้มั้ย”

“ได้ครับ แล้วแต่คุณอาเลย แต่พยายามอย่าอ้าปากนะครับ”

พอทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ร่างสูงก็ขยับตัวอย่างคล่องแคล่ว โดยเริ่มจากการเอาคลีนเซอร์มาล้างทำความสะอาดผิว ตามด้วยผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น เจ้าตัวกระตือรือร้นตั้งแต่เสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อนต้มจนเทลงกะละมัง สัมผัสด้วยหลังมือกะอุณหภูมิว่าเหมาะสมหรือยังแล้วโยนเจ้าผ้าขนหนูผืนนั้นลงไป ผ้าผืนนุ่มอุ่นกำลังพอดีถูกวางทาบทับบนใบหน้าช่วงล่างของผู้เป็นพ่อ

“อุ่นกำลังพอดีมั้ยครับ”

“อื้อกำลังสบาย” เสียงพ่อตอบรับดูอารมณ์กำลังเคลิบเคลิ้มพร้อมผล็อยหลับได้ทุกเมื่อ

เมื่อจัดการสครับจนไร้เซลล์ผิวเก่า จึงเริ่มบรรจงทาน้ำมันก่อนโกน บีบโฟมสีขาวฟูแตะตั้งแต่ใต้คางขึ้นมาด้านบนจนเต็มพื้นที่ มีดโกนคุณภาพดีทาบลงโฟมฟองไล้ตามผิวของคนเป็นผู้ใหญ่อย่างเบามือ จากใต้คางไล่มาเหนือปาก จากด้านในออกสู่ด้านนอก ท่าทีทั้งบรรจงและประณีตดูเป็นมืออาชีพอย่างมากจนผมอดมองตาค้างไม่ได้

“อย่างกับมืออาชีพจากร้านตัดผมแหนะ นี่เหรอคะสิ่งที่พี่เกรทอยากทำกับพี่อิม” ด้วยคำพ่อประกาศกร้าว ว่าสิ่งใดที่อยากทำกับผมให้มาลงที่บิดาก่อน นับจากวันนั้นทุกอย่างที่เกรททำเหมือนจะผ่านมือพ่อผมมาแล้วทั้งนั้น

แต่คราวนี้...

“ไม่น่าจะใช่นะ พี่ว่าพ่อเขาขี้เกียจโกนเองมากกว่า จะไปที่ร้านก็รำคาญเลยให้หมอนั่นโกนให้แทนล่ะมั้ง” พ่อคงเห็นใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาไร้ตอหนวดของอีกฝ่ายเป็นตัวอย่าง พอซักไซ้ไล่เลียงว่าเจ้าตัวโกนเองทุกวันเลยไว้ใจฝีมือล่ะมั้ง

“พี่เกรทเขาหน้าเกลี้ยงจริงๆนะ รูขุนขนไม่มีสักนิด คนอะไรหน้าตาดีไร้ที่ติขนาดนี้” ยัยมายด์นั่งกัดป๊อกกี้ดังกรุ๊บ เคี้ยวกรุบๆ พลางชะโงกมอง ที่นั่งของพ่อกับช่างตัดผมจำเป็นห่างจากเราซึ่งอยู่กันตรงโต๊ะอาหาร เยื้องไปใกล้ทางเข้าห้องน้ำเพื่อสะดวกในการจัดการต่างๆ ผมนั่งลูบแก้มลูบคางของตนเองเบาๆ อดที่จะเปรียบเทียบกับหนุ่มหล่อนิเทศขวัญใจแม่ยกคนนี้ไม่ได้

“ทำเป็นพูดเหมือนรู้ดี เคยจับแล้วเหรอหน้าหมอนั่นน่ะ”

“ใครจะไปเคยได้ล่ะพี่อิม มายด์ก็เดาเอา หน้าใสขนาดนั้นมันก็ต้องใช่อยู่แล้ว” ผมมองเกรทที่กำลังเพลิดเพลินกับการโกนหนวดให้ผู้เป็นพ่อพลางกล่าวแย้ง

“ไม่ได้ใสตลอดทั้งวันหรอก บางวันเอาหน้ามาถูแก้มทีนี่แทบสะดุ้งหลบไม่ทัน”

“หนวดขึ้นเหรอคะ”

“อื้อ บางวันก็ตื่นสายเลยลืมโกนน่ะ” อย่างวันนี้ดูก็รู้ว่าไม่ได้โกนมา หน้าเนี่ยเป็นไรเขียวเชียว สักพักผมรู้สึกได้ถึงความเงียบ ยัยมายด์มองมาด้วยสายกรุ้มกริ่มยิ้มเล็กยิ้มน้อย “ยิ้มอะไรน่ะ”

“เห็นเงียบๆ แต่อวดผัวนะคะคุณพี่ชาย”

“เฮ้ย เปล่าอวดซะหน่อย พูดตามที่เคยเจอต่างหาก”

“โดนพี่เกรทเขาทำอะไรไปบ้างล่ะช่วงนี้ นี่ยังไม่ผ่านโปรเลยนะคะพนักงานคนนี้เนี่ย”

“ไม่ต้องผ่านไปตลอดชีวิตน่ะดีแล้ว”

“แหมก็พูดไป แอบมองเขาอยู่ตลอดแท้ๆ” แอบมองเพราะว่าอยากรู้ว่าเด็กเกรทจะมีความอดทนได้สักกี่น้ำ จากที่จะได้เป็นอิสระใช้ชีวิตตามประสาคนโสด ได้ตามผู้หญิงที่ชอบเพื่อทำคะแนนให้ตนเองสมหวัง กลับต้องมาออดอ้อนเอาใจพ่อผมแทน

“ทำอะไรคิดสั้นแท้ๆ” ผมส่ายหัวระอา ก่อนน้องสาวผมจะแย้งขึ้นมา

“พี่เกรทเขาอาจจะไม่ได้คิดสั้นก็ได้นะ” มายด์มีสีหน้าจริงจัง “ทำไมพี่อิมไม่เชื่อบ้างล่ะคะว่าพี่เกรทเขาอาจจะจริงจังกับพี่อิมจริงๆก็ได้”

เป็นผมที่ไม่อยากเชื่องั้นเหรอ...บางทีผมอาจจะแค่ไม่อยากคาดหวังมากกว่า เพราะการคาดหวังกับบางสิ่ง หากสิ่งนั้นไม่เป็นไปตามที่คิด ความพลาดหวังนี้อาจจะทำให้คนๆนึงเจ็บหนักก็เป็นได้

“พี่ให้โอกาสเขาต่างหาก” ผมพูดให้ตัวเองดูดี แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงการป้องกันตัวเองไม่ให้เจ็บตัวซ้ำสอง “ถ้าพี่ทำตัวฟูมฟายโวยวายต่อหน้าเขาตอนที่เขาอยากจากเราไป เขาอาจจะรู้สึกไม่ดีจนไม่กล้าไปจากเราก็ได้”

“แต่ถ้าเป็นมายด์กับคนที่อยากเลิกแล้วเขามาบอกต่อหน้าเองว่าให้เลิกกัน มายด์คงไม่ดั้นด้นมาหาเขาแล้วประกาศต่อหน้าชาวบ้านว่าอยากจะขอคืนดีอีกครั้งให้ยุ่งยากหรอกค่ะ ในเมื่อเขาเป็นคนบอกเลิกเราเองแล้วเราก็อยากเลิกกับเขาอยู่แล้วเราจะรู้สึกผิดทำไม ถ้าไม่ใช่อยากจะกลับมาคบกับคนๆนั้นอีกครั้งจริงๆ” เรื่องนี้น่าจะได้ฟังมาจากยัยต้า เก็บรายละเอียดหมดทุกเม็ดราวกับอยู่ในเหตุการณ์ จนผมเกือบจะคล้อยตาม

“อิม” เสียงเกรทเรียกผมดังในระยะใกล้ เจ้าตัวโกนหนวดให้พ่อเสร็จแล้ว เดินยิ้มร่าออกมาโดยมีผู้เป็นบิดาเดินถือผ้าขนหนูซับแก้มมาด้วย “คุณอาบอกว่าให้ออกไปทานข้าวเที่ยงกับอิมได้”

“ชั้นหมายถึงให้สั่งข้าวเที่ยงมาทานที่นี่ด้วยกันก็ได้ต่างหาก”

“อ้าว คุณอาครับไหนบอกว่าถ้าโกนเกลี้ยงจะให้ไป ไหนกลับคำได้ล่ะครับเนี่ย”

“ชั้นหมายถึงให้กินข้าวกับเจ้าอิมได้ อยู่บ้านก็กินข้าวกับเจ้าอิมได้ไม่ใช่เหรอ” จ้า พ่อศรีธนญชัย บิดาผมแผลงฤทธิ์เข้าให้แล้ว เกรทมีสีหน้าผิดหวังแค่วูบเดียว ก่อนเผยยิ้มออกมา

“นั่นสินะครับ อยู่บ้านก็ทานข้าวกับอิมได้” ความอ่อนหวานหยอกเย้าซึมซาบมาผ่านแววตาคมคู่นั้น จนผมต้องหลบสายตา

“มายด์อยากกินพิซซ่า” น้องผมชูมือจนสุดแกว่งไปมาเหมือนเสนอ

“เออ ก็ดีเหมือนกัน อยากกินหน้าอะไรโทรสั่งเลยยัยมายด์” คนเป็นพ่อสนับสนุนพลางลูบคางไปมาราวกับพอใจในผลงานของคนตัวสูง

“ค่า” น้องสาววิ่งแจ้นไปแบบไม่รอคำค้าน ผมรีบหันหน้าขวับ ทำสายตาดุใส่บิดา

“หมอเขาห้ามกินมันๆไม่ใช่เหรอพ่อ”

“เอาน่านานๆกินที แม่เขาไม่รู้หรอก” นั่นแหละผมจะฟ้องแม่ ไขมันในเลือดสูงแล้วยังไม่เจียม ผมชักสีหน้าหงุดหงิด เหลือบเห็นเกรทย้อนกลับไปเก็บข้าวของที่วางกระจัดกระจายตรงพื้น พวกอุปกรณ์โกนหนวดต่างๆซึ่งเจ้าตัวแบกมาเองโยนลงใส่ตะกร้า จึงเดินเข้าไปใกล้

“ของพวกนี้ผมซื้อมาใหม่อิมเก็บไปใช้ได้เลยนะ” ไม่มีเสียงตอบรับ ความประหลาดใจจึงบังเกิด เกรทเหลือบขึ้นมามองหน้าผมพลางเม้มปากนิ่ง “มีอะไรรึเปล่าครับ”

“คุณน่ะ มานี่มา” ผมคว้าข้อมือเกรทข้างที่ไม่ได้อุ้มตะกร้าให้ออกเดิมตามมา สองเท้าเหยียบย่างก้าวขึ้นบันไดไปทีละขึ้น มีเพียงเสียงเกรทที่ถามเป็นระยะว่าจะพาเขาไปไหน จนเปิดประตูเข้ามาในห้องผม

“อ...อิม เป็นอะไรรึเปล่าครับ” สีหน้านิ่งเกินจำเป็นทำให้ร่างสูงอดเป็นกังวลไม่ได้

“นั่งตรงนี้” ผมออกคำสั่ง เจ้าตัวทำเสียงฮึฮะอยู่ชั่วครู่จึงโดนจับไหล่ให้นั่งลงบนเตียง นิ้วขยับไปแตะต้องใบหน้าหล่อเหลาแทนจะในทันที ร่างสูงสะดุ้งตัวแต่ไม่ถอยหลบ ยังคงปล่อยให้ผมใช้มือลูบไล้ไปตามแนวสันกรามและผิวแก้ม “ทำไมถึงโกนเก่ง” เกรทเบิกตาประหลาดใจ พอจับใจความได้ถึงค่อยเริ่มพูดออกมา

“ทำไมครับ ดูเหมือนเก่งเหรอ”

“ดูเป็นมืออาชีพ” ผมว่าตามความจริง คนมีความสามารถก็ไม่เคยเหนียมที่จะชมอยู่แล้ว

“เวลาผมจะทำอะไรผมจริงจังเสมอ” นิ้วยาวเลื่อนมาแตะข้างแก้มผมเสมือนอยากทำให้เท่าเทียมกัน หรือต้องการจะประกาศว่าสิ่งที่ทำให้เห็นตรงหน้าก็เป็นสิ่งที่เขาจริงจังเสมอ เกรทไล้ไปตามผิวเนื้อซึ่งดูลื่นมือกว่าส่วนไหน “อิมก็โกนเก่งออก”

“ผมเป็นคนไม่ค่อยมีขนต่างหาก” ไม่ขึ้นไวพรึ่บพรั่บ ไม่โกนทุกวันก็ไม่น่าเกลียด อย่างบางคนโกนเช้าพอตกเย็นก็ขึ้นแล้ว ลำบากน่าดู

“ส่วนผมที่โกนเก่ง เพราะช่วงนึงเคยโกนให้คนๆนึงอยู่บ่อยๆ” เกรทเฉลยออกมา

“โกนให้ใคร?”

“พ่อผมเองครับ” ช่างน่าแปลก สีหน้าของเกรทจากสดใสดูแฝงแววบางอย่างเคลือบจางๆฉาบในแววตา ร่างสูงก้มหน้าน้อยๆ ทอดมองผ่านผมไปยังอย่างเหม่อลอย แก้วตาสุกใสชื้นน้ำแวววาวดุจดั่งอัญมณีซึ่งลอยเด่นท่ามกลางทะเลสาบอันมืดมิด ผมเอื้อมมือไปแตะยังใบหน้าเขา เอื้อนเอ่ยด้วยความเป็นห่วง

“คุณ...เกรท...เป็นอะไรรึเปล่า” อีกฝ่ายเลื่อนดวงเนตรมาจ้องตอบพลางยกมุมปากเบาๆ

“เหมือนโดนเรียกว่าคุณเกรทเลย ไม่เป็นไรหรอกครับ..คุณอิม” ถึงปากจะบอกอย่างนั้นแต่ต้องมีอะไรแน่ๆ ผมลูบใบหน้าฝ่ายนั้นอย่างเบามือด้วยปลายนิ้วทั้งสองข้างอย่างเผลอไผลวนซ้ำไปมา

“คุณ...เกรท”

“ครับ”

“ให้ผม...โกนให้คุณ...ได้มั้ย” ความขมุกขมัวภายในใจพลันจางหาย แทนที่ด้วยรอยยิ้มสดใสฉายชัด ร่างสูงกล่าวตอบรับผม

“ถ้าเป็นคุณอิม...คุณเกรทให้ได้อยู่แล้วครับ”


มีต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เกรทเขาสอนผมตั้งแต่เรื่องการล้างหน้าให้สะอาดก่อนเริ่มการโกนหนวด ไปจนถึงประโยชน์ของการใช้น้ำอุ่นล้างหน้าก่อนลงมือ

“น้ำอุ่นจะช่วยให้รูขุมขนเปิด ทำให้โกนง่ายขึ้นครับ”

“ผมไม่รู้มาก่อนเลย คิดว่าใช้น้ำเย็นตามปกติจะดีกว่าผิวจะได้ไม่แห้ง”

“น้ำเย็นไว้ตอนสุดท้ายครับ เอาไว้ปิดรูขุนขน แล้วจากนั้นค่อยทาด้วยออยหรือโลชั่นแก้เรื่องอาการแสบหลังโกนแล้วก็ช่วยเรื่องหน้าแห้งด้วย”

“อุ่นประมาณนี้พอมั้ย” ผมทาบผ้าขนหนูเข้ากับเครื่องหน้าอันหล่อเหลาครึ่งล่าง เกรทกำลังนั่งอยู่บนพื้นหลังพิงขอบเตียงด้วยท่วงท่าสบายๆ หงายศีรษะลงบนฟูกนุ่ม ปล่อยให้ผมซึ่งนั่งอยู่บนเตียงทำหน้าที่ที่ตนเองเรียกร้องอยากจะทำไป

“ครับ กำลังสบายเลย” เสียงอู้อี้เล็ดลอดผ่านผ้าขนหนูซึ่งทับใบหน้าอยู่ออกมา

“ผมจะเริ่มแล้วนะ”

“ตามที่ผมสอน จำได้ใช่มั้ยครับ”

“แน่อยู่แล้ว”

“งั้นผมหลับรอเลยนะ”

“ฝันหวานได้ตามสะดวกเลยครับคุณชาย” เสียงหัวเราะขบขันดังแว่วเข้าหู เหมือนร่างสูงแอบหมิ่นความตั้งใจ จนผมอดแบะปากมองบนใส่ไปทีนึงไม่ได้ ผ้าขนหนูบนใบหน้าอีกฝ่ายถูกยกออกเมื่อถึงพร้อมแก่เวลา แต่ใครจะคิดว่าคนตรงหน้ากลับนึกพิเรนทร์ ยืดตัวขึ้นมาจนสุดตะปบแขนเข้าท้ายทอย ก่อนกระชากให้ผมทั้งตัวให้ไหววูบตกลงตามแรงโน้มถ่วงราวกับดิ่งพสุธา

“เฮ้ย!!” ผมตะลีตะลานยันศอกเข้ากับผิวเบาะนุ่มพยุงตัว แต่แรงโน้มถ่วงผสานกับแรงแขนแกร่งย่อมได้เปรียบกว่า ใบหน้าผมจึงวูบไหวลงสู่ด้านล่าง

จุ๊บ!!

ฮะ?

ผมเบิกตาโพลง ภาพตรงหน้าเป็นมุมมองในแนวดิ่ง เห็นเพียงแผ่นอกแกร่งขยับกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจ พร้อมกางเกงยีนตัวเก่งของอีกฝ่ายที่ส่วนนั้นตรงกับสายตาของผมแบบพอดิบพอดี

แต่สิ่งที่แปลกไปยิ่งกว่า คือความรู้สึกราวกับว่า ริมฝีปากกำลังแนบกับบางสิ่งบางอย่างที่นุ่มหยุ่น แต่คงไว้ซึ่งความรู้สึกที่ดี แรงหนักหน่วงสลับกับเบาบางเข้ามาแทนที่เป็นระยะ ก่อนเปลี่ยนเป็นการกัดรั้งริมฝีปากล่างเบาๆอย่างหยอกเย้า

...เดี๋ยวๆๆนี่มัน...

ไม่ทันรู้ตัวว่าโดนล่วงเกินเข้าให้ ส่วนนั้นก็ซุกไซร้คืบคลานไปยังปลายคาง ลามไปถึงซอกคอ จมจ่ออยู่ที่ไหปลาร้าซึ่งเผยออกมาจากเสื้อเชิ้ตสีขาวโคร่ง

“เฮ้ยเกรท...” บางอยากยุกยิกบนเสื้อ กว่าจะรู้ว่าตัวคืออะไรผมก็ถูกมือใหญ่ปลดกระดุมไปเกือบสามเม็ด เกรทยันขายกตัวแทรกกายเข้ามาระหว่างเตียงกับผมดั่งคนสวมวิญญาณนักยิมนาสติก ก่อนกระทำการบางอย่างที่ทำเอาสะดุ้งจนตัวโยน พร้อมเปล่งเสียงออกมาแทบไม่เป็นภาษา

“ฮือ!!” กระเด้งตัวออกหลังถอยกรูดไปชนกำแพงที่ติดชิดกับเตียงด้านหลัง มือยังกำฟูกอย่างใจเต้นระส่ำไม่หยุด สายตาทอดต่ำมองส่วนที่ยังคงค้างถึงความรู้สึก บนแผ่นอกมีรอยเปียกลื่น โดยเฉพาะเจ้าติ่งไตที่แข็งขืนขึ้นมามันทั้งชุ่มฉ่ำสุกสกาวด้วยรอยน้ำอย่างเห็นได้ชัด “เกรท!!ทำอะไรของคุณน่ะ!!”

“...”

“เกรท?”

“...” ร่างตรงหน้านิ่งสนิท ไม่ขยับเขยื้อนใดใด

“อย่ามาเนียน ถ้าคุณหลอกผมเอาคุณตายจริงๆด้วย”

“...”

เสียงลมหายใจเบาบางสม่ำเสมอดังมาเป็นระยะ ผมค่อยๆขยับคลานเข่าเข้าไปหาอย่างเจ้านกกระจอกตัวน้อยระแวงท่าทีคนให้อาหาร ร่างของเกรทขยับตามลมหายใจ เห็นเพียงแพขนตาเป็นระเบียบจากมุมสูงซึ่งไม่ช่วยพิสูจน์อะไรได้ เลยกลั้นใจเคลื่อนตัวเข้าใกล้ให้ได้เห็น ใบหน้าได้คมคายกำลังหลับตาพริ้มภายใต้กรอบรอยยิ้มบางๆตรงมุมปาก ดูราวกันเด็กน้อยหลับฝันถึงเรื่องราวดีดีอะไรบางอย่าง

หลับงั้นเหรอ?

ผมปัดมือผ่านหน้าไปมาหลายๆที กระซิบเสียงแผ่วระดับคนหลับไม่ได้ยินคนตื่นต้องรู้สึก จนในที่สุดก็ต้องทอดถอนหายใจออกมา

“หลับ...จริงๆเหรอเนี่ย” แอบเหม่ออย่างโล่งใจ นั่งนิ่งค้างอยู่สักพักหากไม่วายสายตาเหลือบไปพบภาพสะท้อนในกระจกขนาดเท่าคนยืนทางขวามือข้างตู้เสื้อผ้า

เชิ้ตขาวปกฮาวายตัวใหญ่หลุดลุ่ยจนหมิ่นเหม่อยู่ที่ไหล่ ชายเสื้อถูกยัดเข้าในกางเกงเลยพอช่วยให้อาภรณ์ยังคงอยู่บนร่าง แต่ที่น่าอายคือแผ่นอกซึ่งสะท้อนฉายชัดให้เห็นถึงความขาวอย่างเต็มตา มือรีบยกขอบเสื้อมาปกคลุมส่วนที่โดนลิ้นร้อนกระทำซึ่งยังคงค้างถึงความรู้สึกบางอย่าง

“ทำบ้าอะไรวะเนี่ย”

ผมอุทานเบาๆ ก้าวขาลงจากเตียง แล้วเริ่มขยับตัวไปจัดการกับสิ่งที่ทำค้างอยู่ต่อ











“อิม?”

ไม่แน่ใจว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่เมื่อไร แต่พอตื่นขึ้นมาก็พบว่ากำลังหลับอยู่บนเตียงนอนในห้องอันคุ้นเคยโดยมีร่างของ ‘อิมเมจ’ นอนขดตัวเบียดอยู่ข้างๆ ร่างโปร่งกำลังหลับสนิทสังเกตได้จากลมหายใจซึ่งทอดถอนยาวก่อนสูดเข้าเบาๆวนซ้ำไปมา แต่ยังคงเหลือท่าทีไม่เป็นสุข เบียดตัวเข้าหาพอมองลงไปยังเบื้องล่างจึงรู้ว่าเป็นเพราะอะไร

ห้องนี้เปิดเครื่องปรับอากาศทิ้งไว้อยู่นาน การที่อุณหภูมิร่างกายจะต่ำลงจนเกิดอาการหนาวสั่นมากกว่าครั้นที่เพิ่งก้าวเข้าห้องย่อมเป็นเรื่องปกติ หากแต่รุ่นพี่คนนี้กลับทิ้งผ้าห่มที่มีอยู่ผืนเดียวมาให้ กรรมเลยไปตกที่เขาซึ่งต้องมานอนทนหนาวอย่างตอนนี้

“พี่อิม...” ผมกระซิบแผ่วๆข้างใบหู ก่อนถอนถอยมามองในระยะประชิด อีกฝ่ายมีปฏิกิริยานิดๆตรงที่โขกหน้าผากเข้าอกผมโดยตรง มือขยับมาสวมกอดอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมรีบยกมือขึ้นเหนือหัวเหมือนคนร้ายกำลังโดนตำรวจจับทำให้อิมเมจมีโอกาสขยับใบหน้าเข้าใกล้ แนบแก้มกับแผ่นอกผม ก่อนเผยยิ้มอิ่มราวกับยินดี

เห็นแบบนี้ มันอดไม่ได้จริงๆที่จะสอดมือเข้าไปสวมกอดตอบเขา...พลางหอมลงกลางขวัญ ผมอิมหอมอย่างนี้เสมอ แถมยังลื่นมือน่าสัมผัส ผมใช้ปลายคางแนบไปกับศีรษะเขา ขยับผ้าห่มที่เคยมีเจ้าของคนเดียวให้ปกคลุมเราทั้งคู่

“แบกผมขึ้นมาได้ไงเนี่ย แรงเยอะจริง” คงจะกลัวผมคอเคล็ดหากขืนปล่อยให้นอนริมขอบเตียง แถมยังโกนหนวดที่ขึ้นเป็นตอให้เสียสะอาดเกลี้ยงเกลาอีก คนอะไรช่างน่าเอ็นดูได้ขนาดนี้ “อย่างนี้ ผมไปไหนไม่ได้แล้วจริงๆนะ อย่าทิ้งผมไปเลยนะ อิม”

“ฮั่นแน่ ทำอะไรกันอยู่คะ”

เสียงดังมาจากทางประตู ผมเหลือบไปมอง เป็นน้องสาวอิมที่ยืนเกาะวงกบประตูยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่

“มายด์” โชคดีจริงที่ผ้าห่มถึงดึงขึ้นมาคลุมเกือบถึงไหล่ เธอเลยไม่มีโอกาสได้เห็นแขนของอิมที่ตระกองกอดผม ไม่งั้นมีหวังได้โดนอิมด่าเช็ด เรื่องนี้กับใครจะเห็นก็ช่างมัน แต่กับน้องสาวเจ้าตัวพยายามปิดสุดฤทธิ์ ด้วยเหตุผลที่ว่ายัยมายด์รู้ ต้ารู้ ยัยต้ารู้ แก๊งชิปเปอร์ก็รู้

“พ่อให้มาเรียกไปทานข้าวค่ะ สะดวกมั้ย” เธอโค้งตัวยื่นหน้าเข้ามาอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ร่างในอ้อมกอดพลันได้ยินเสียงก็ขยับตัวเบาๆ ผมรีบคลายวงแขนกลัวคนเพิ่งตื่นจะตกใจกระโตกกระตาก อิมเมจขยับตัวอย่างเกียจคร้าน ยันศอกเข้ากับเตียงชันตัวขึ้น พลางยกกำปั้นขยี้ตา ก่อนเบนศีรษะไปทางประตู

“ยัยมายด์?”

“พ่อให้มาเรียกไปกินข้าวค่ะพี่อิม”

“อื้อ เดี๋ยวลงไป” ยังขยี้ตาไม่หยุดจนผมกลัวว่ามันจะหลุดออกมา เลยขยับไปจับข้อมือเล็กห้าม

“อย่าขยี้แรงสิครับ เดี๋ยวตาก็อักเสบหมด”

“ก็มันง่วงนี่หน่า” อิมตอบทั้งที่หลับตา

“ไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่าครับ แล้วค่อยลงไปทานข้าวกัน” ผมยันตัวขึ้น ประคองตัวร่างโปร่งให้ค่อยๆนั่ง ระหว่างกระโดดลงจากเตียงดันเหลือบไปเห็นกะละมังใบเล็กที่ใส่น้ำสะอาดอยู่ใบนึงวางอยู่ “น้ำในกะละมังตรงนี้สะอาดมั้ยครับ” อิมปรือตาขึ้นมามองก่อนพยักหน้า ผมจึงคว้าผ้าเช็ดตัวผืนเล็กไร้การใช้งานมาจุ่มน้ำในนั้นก่อนบิดแห้ง

“เย็นนิดนะครับ จะได้ตื่น” มือค่อยๆบรรจงประกบผ้ากับผิวหน้าอย่างแผ่วเบา แล้วไล่ไปตามแก้มจนทั่วไม่เว้นแม้เปลือกตา เจ้าตัวส่งเสียงอืออาในลำคอราวกับพอใจ เวลาพึ่งตื่นอิมจะไม่ค่อยมีสติสัมปชัญญะสักเท่าไรเขาถึงยอมให้ผมทำแบบนี้อย่างว่าง่าย ร่างโปร่งยังนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่ ผมหันไปทางมายด์ยกนิ้วชี้ขึ้นในระดับปากพลางทำท่าออกเสียงชู่ เธอกลั้นยิ้มจนแทบทะลักออกจากแก้ม โค้งหัวน้อยๆเหมือนตอบรับ

เมื่อได้สัญญาณอนุญาต ผมจึงหันมาจัดการคนที่นั่งละเมออยู่ ด้วยการแนบจุมพิตอย่างแผ่วเบาแล้วรีบถอนถอย อิมเปิดตาพรึ่บ ยกมือทุบต้นแขนผมอย่างแรงแทบจะในทันที หน้าดุๆแอบเขม่นเข่นเขี้ยวเล็กน้อย

“เชี่ยเกรท เมื่อกี้คุณทำอะไรวะ ต่อหน้าน้อง...”

“มายด์ไม่อยู่แล้วครับ” อิมหันไปมองตามคำบอก น้องสาวไม่อยู่แล้วจริง “แล้วเมื่อกี้ผมก็ไม่ได้ทำอะไรด้วย”

“ไม่ได้ทำอะไรได้ไง ก็เมื่อกี้...” หันขวับกลับมาเปล่งท้ายประโยคเสียงเข้มเหมือนประท้วง ผมยกผ้าขนหนูขึ้นแนบกลีบปากแดงหยุดทุกคำพูดแล้วลูบเช็ดอย่างแผ่วเบา

“ผมก็เช็ดหน้าให้อิมอยู่ไง”

“หา?” เสียงอู้อี้ดังลอดออกมา

“คิดว่าเป็นอะไรเหรอครับ” เจ้ามือปัดมือผมออก

“จะเป็นผ้าขนหมูได้ไงก็เมื่อกี้มัน...”

“หนูครับไม่ใช่หมู” อยากเถียงจนลนลิ้นพันกันสินะ

“เออ หมูก็หมู” เฮ้ย หนู ดิอิม “อย่าพาผมออกประเด็นได้มั้ย เมื่อกี้มันไม่ใช่ผ้าขนหนูชัดๆ”

“ทำไมถึงรู้ว่ามันไม่ใช่ผ้าขนหนูล่ะครับ”

“ก็มัน!” อิมเหมือนงับปากไว้ทัน หน้าตื่นๆทำให้ว่าเจ้าตัวกำลังจะพูดบางอย่างที่ไม่น่าเอ่ยออกมา

“มัน...มันทำไมเหรอครับ”

“มัน”

“ว่ามาสิไม่งั้นผมไม่เข้าใจนะ”

“มันอุ่นกว่า”

“แล้ว”

“นุ่มกว่า”

“แล้ว”

“เออ เออ ช่างมันเถอะ ผ้าขนหนูก็ผ้าขนหนู ผมไม่สงสัยแล้วก็ได้”

หึ อย่างนี้ทุกที พอให้พูดอะไรที่น่าอายเข้าหน่อยก็ยอมแพ้ เจ้าตัวพรวดพราดลุกจากเตียง มีแอบเดินเซนิดๆจนต้องเข้าไปช่วยประคอง ก่อนจะโดนสะบัดออกทำปากแบะงอนใส่เหมือนเด็กๆหนีออกจากห้องไป









“เฮ้ยยัยมายด์ นี่จะไปจัดปาร์ตี้ที่ไหนเนี่ย”

ทั้งโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายอย่างละลานตา ทั้งที่ก่อนจะลากสังขารไปพักผ่อนด้านบนยังจำได้ว่าน้องสาวผมแค่บ่นอยากกินพิซซ่า แต่ที่โผล่ขึ้นมาเพิ่มเติมกลับมีทั้งเมี่ยงปลานิลเผา แกงจืดตำลึงหมูสับ ผัดผักรวมมิตรที่ใส่บล็อกโคลี่เต็มไปหมด น้ำพริกเห็ดฟาง พร้อมกับข้าวซ้อมมืออีกหนึ่งโถ น้ำตะไคร้เย็นฉ่ำที่ใส่เหยือกใบโต ตามด้วยลูกแตงโมที่นอนอยู่บนโต๊ะ

ส่วนพิซซ่าของยัยมายด์นะเหรอหดลงเหลือถาดเล็กซะงั้น...

“ถ้าบอกว่าปาร์ตี้เลี้ยงรับพี่เขยพี่อิมจะเชื่อมั้ยล่ะ” ยัยน้องแซวไม่ทันไร เสียงไอในลำคอค่อกแค่กก็ดังขัดจังหวะการแซว “แหมพ่อ ยังไม่หายหวัดอีกเหรอคะ ผ่านไปหลายวันแล้วนะ”

“เลิกพูดมากแล้วมาตักข้าวให้พี่ๆเขาได้แล้ว” พ่อผมพยักพเยิดส่งสายตามายังโถข้าว ส่วนยัยมายด์ยังคงยืนใช้หลังมือป้องปากเหมือนต้องการจะบอกความลับบางอย่างให้ฟัง

“ไม่ใช่ฝีมือน้องหรอกค่ะ นู้นฝีมือพี่เกรทเขา ตอนพี่อิมเถียงกับพ่ออยู่เขามาลากหนูมาบอกให้โทรสั่งร้านนี้ บอกว่ามีแต่อาหารดีต่อสุขภาพ ส่วนแตงโมน่ะสั่งแกร๊บมาส่งค่ะ” เดี๋ยวนี้แกร๊บฟู้ดมีส่งแตงโมด้วยเหรอวะ เหลือเชื่อ ผมมองไปทางเจ้าผลไม้ลูกกลมอย่างอึ้งๆ ก่อนเหลือบเห็นคนที่ยืนอยู่ถือมีดยาวมาวางใกล้ๆมัน เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาสบตาเข้ากับผมอย่างพอดิบพอดี

“พี่อิมครับ”

“หะ ฮะ? อะไร?” เสียงผมแอบมีพิรุธ กลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะจับได้ว่าแอบจ้องมองอยู่ หากร่างสูงทำเพียงแค่ยกยิ้มละมุน ก่อนยกมีดขึ้นโชว์

“มาช่วยผมหั่นแตงโมหน่อยเร็ว จะได้แช่เย็นไว้ให้ทันก่อนกิน”

รอยยิ้มโคตรแสนอบอุ่นอวลในใจส่งตรงมาไม่หยุดหย่อน ตอนนี้เหมือนผมกำลังโดนพรีเซนต์เตอร์โฆษณาขายมีดสุดหล่อตกเหยื่อ ด้วยท่วงท่าเสนอขายที่ไม่เป็นสองรองใคร...

เพื่อให้ไปช่วยร่วมหั่นผลไม้ด้วยกันอีกระลอก...


…TBC…

+++++++++++++++++++++++++


ตอนนี้เรื่อยๆแต่แต่งไปก็ละมุนใจเหลือเกิน
รักพี่ต้องเข้าทางพ่อ อุอุ
แต่พอพ่อเผลอ ให้มาเจอกันที่เตียง เอิ๊กกกก

คนอ่านเปิดไฟเขียวแล้ว เกรทเลยเร่งเครื่องหนักเลยค่า555

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2

ออฟไลน์ Funnycoco

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบ(ครั้งที่สอง)...ช่วยน้องผม จะตอบแทนด้วยการช่วยพี่



ผมกำลังยืนอยู่ตรงทางม้าลาย มองไปอีกฟากหนึ่งของถนนอันเป็นที่ตั้งของตึกคอนโดสูง ในชีวิตนี้คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้มาเหยียบที่นี่ซะแล้ว ทำไมเรื่องราวมันถึงได้กลับตาลปัตรมาถึงขั้นนี้ได้นะ

ยืนถอนหายใจกับตัวเอง ยอมรับว่าชะตาเล่นตลกนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำให้ผมได้มาเจอกับเกรท บนโลกนี้คนมีเป็นหมื่นเป็นแสนแต่ทำไมต้องให้ผมไปยืนอยู่ตรงลานเปิดใจในวันนั้น ทำไมต้องให้ผมดันเป็นคนที่ถูกเลือกให้เอาหนังสือไปส่งคืนห้องสมุดเสมอๆ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนี่ก็ผ่านมาเกือบสามอาทิตย์แล้ว คนที่ประกาศตัวว่าจะจีบผมต่อหน้าพ่อแม่ ยังไม่มีทีท่าว่าจะถอดใจยอมแพ้ หรือเบื่อหน่ายอะไรทั้งสิ้น

...แถมวันนี้ยังชวนผมมาช่วยจัดห้องที่คอนโด ซึ่งอีกฝ่ายมักจะเรียกติดปากว่าหอนอกอีก...

ใจนึงคิดขอบคุณโชคชะตา ใจนึงกลับย้อนแย้งเสียเหลือเกินว่ามันดีแล้วจริงเหรอที่ผมมายืนตรงนี้

“น้องเวลรอแม่ก่อนนะครับ เดียวแม่เลือกผลไม้เสร็จแล้วค่อยไปกันนะ” หญิงสาววัยกลางคนหน้าตาสะสวยโน้มกายบอกลูกชายตัวเล็กของเธอหน้าร้านผลไม้ใกล้ทางม้าลาย ให้หยุดนิ่งและรออย่างว่าง่าย เด็กชายตัวเล็กพยักหน้าอย่างเชื่อฟังก่อนหันไปสนใจกับเจ้าโมเดลรถถังที่อยู่ในมือ เจ้าตัวเล็กสะบัดแขนหยุกหยิกไปมา จนผมที่มองอยู่อดยิ้มเอ็นดูไม่ได้

เห็นแล้วพลันให้หวนคิดถึงยัยมายด์ตอนเด็กๆ เมื่อก่อนแกชอบเล่นอะไรไม่สมกับเป็นเด็กผู้หญิง อย่างเจ้าโมเดลรถถึงนี่ก็เหมือนกัน เล่นแข่งกับเพื่อนผู้ชายแถวบ้านบ้าระห่ำกันไป ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโตขึ้นมาถึงได้ก๋ากั่นเกินคนได้มากเสียขนาดนั้น

แอบเผลอหัวเราะในลำคอ หยิบมือถือที่สั่นดังขัดจังหวะห้วงคำนึงขึ้นมา ข้อความจากเกรทโชว์หราอยู่หน้าจอ เจ้าตัวกำลังถามไถ่ว่าผมเดินทางมาถึงหรือยัง



กำลังจะถึงครับ



ข้ามถนนดีดีนะครับ ผมรออยู่



รอยยิ้มจุดที่มุมปาก ความอบอุ่นแผ่ซ่านกับเพียงคำแสดงความห่วงใยใส่ใจในการสัญจรเดินทางจากอีกฝ่าย  ผมยกมือขึ้นเคาะหัวตัวเองเบาๆ นี่ชักจะเอาใหญ่แล้ว เพิ่งปากแข็งบอกไปว่าไม่ให้จีบ แต่ไหงกลับมาลิงโลดกับข้อความพวกนี้เสียเองได้ ระหว่างตำหนิตนเอง บางอย่างกระแทกรองเท้าผมเบาๆ เมื่อก้มมองกลับพบเจ้ารถถังสีเขียวขยับเคลื่อนราวกับเจ้าด้วงกวางตัวเล็กกำลังงัดข้อกับรองเท้าผมอยู่ ก่อนมันจะกระโดดผลุงเกลือกกลิ้งไปบนถนนใหญ่ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กวิ่งผ่านผมไปอย่างฉับพลัน สองมือไขว่คว้าจะเอาของเล่นของตนกลับคืนมา

“เฮ้ย!” ผมอุทาน ใจหายวืบ สัญชาตญาณ ณ ตอนนั้นสั่งการให้สองขาก้าวออกไป โถมตัวเอื้อมจนสุดแขนช้อนรักแร้ร่างเล็กขึ้น กระชากด้วยแรงทั้งหมดที่มี จนร่างทั้งร่างหงายหลังลงบนฟุตบาท ศอกและสีข้างรับแรงกระแทกอย่างจัง น้ำหนักก้อนหนึ่งพุ่งมาทับยังช่วงอกค่อนไปทางท้อง ก่อนโลกทั้งใบเหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่

“ตาเวล!!” เสียงใครบางคนดึงสติผมให้กลับมา พอได้ยินเสียงมารดาเด็กชายก็รีบตะลีตะลานกระโดดผลุงลงจากตัวผม ก่อนวิ่งไปด้านหลัง

“เป็นอะไรมั้ยลูก!” ผมตะแคงตัวหันมองคนเป็นแม่ที่ส่อแววตื่นตกใจ ลูบหัวลูบหางลูกชายสำรวจความปลอดภัยไปทั่ว พอเห็นว่าเด็กชายปลอดภัยดี ผมพลันโล่งใจขยับตัวลุกขึ้นจัดเสื้อแสงปัดฝุ่นที่เปรอะเปื้อนออกจากร่างกาย จนเบื้องหน้าเหมือนมีเงาร่างบางคนมาขวาง ที่แท้ก็เป็นแม่ลูกคู่เมื่อกี้ที่กำลังยืนมองมาทางผม ใบหน้าเธอแฝงแววสำนึกผิดขมวดคิ้วเศร้า

“ขอโทษนะหนู เป็นอะไรมากมั้ยลูก” คนเป็นแม่จับไหล่กึ่งกอดคอลูกชายเอาไว้เหมือนกลัวจะวิ่งออกไปก่อเรื่องอีก ส่วนเจ้าตัวน้อยก็ยืนก้มหน้างุดกำนิ้วแม่บนไหล่ตนแน่น สีหน้าไม่สดใส

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่น้องไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ” ผมยกแขนชี้เป้าไปยังเด็กชายตัวเล็ก คนเป็นแม่ส่ายหัวพลางตอบ

“น้องไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เพราะหนูช่วยไว้แท้ๆเลย น้าขอโทษนะที่ดูแลลูกไม่ดี”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมยกมือขึ้นบอกปัดพลางยิ้มให้เธอสบายใจ สีหน้าเธอดูเปลี่ยนไป ณ จังหวะนั้น

“ตายจริง นั่นเราเลือดไหลหนิ” ผมมองตามสายตาของอีกฝ่าย พอพลิกข้อศอกดู ข้างที่เมื่อครู่รองน้ำหนักของสองคนไว้มันถลอกจนมีเลือดสีแดงสดซึมออกมา

จริงด้วย มิน่าล่ะ แสบขึ้นมาเชียว เดี๋ยวก่อน ทำตื่นไปมีแต่ให้อีกฝ่ายใจเสีย ผมเลิกมองแขนยกยิ้มแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้เอง ไกลหัวใจ”

“ไปทำแผลเถอะจ้ะ พอดีเลย ห้องหลานน้าอยู่ในตึกคอนโดตรงนั้นพอดี อย่างน้อยก็ไปทำแผลที่นั่น...”

“ไม่เป็นไรจริงๆครับ” ผมขัดเธอเสียก่อน สังเกตเห็นเจ้าตัวเล็กสีหน้าไม่ดีเอาเสียเลย จึงยกฝ่ามือไปโยกหัวเบาๆ “ทีหลังอย่ากระโดดออกไปอย่างนั้นอีกนะครับ”

“ขอโทษครับ” เสียงแหลมเล็กน่าเอ็นดูหลุดจากปากเด็กน้อย เจ้าตัวไม่มองหน้าได้แต่กำมือผู้ปกครองบิดไปมาอย่างประหม่า ผมชักเอ็นดูเด็กคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆแล้วสิ พ่อแม่สอนมาดีมาก แม้กระทั่งมารยาทเรื่องการขอโทษคนยังเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อนโดยไม่ต้องให้ผู้ใหญ่เอ่ยเตือน

“ผมไปนะครับ” พอเห็นว่าถนนว่างผมเลยรีบเดินข้ามไปอีกฟาก ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องมารู้สึกผิดถ้าผมยังยืนอยู่ต่อ



ผมก้าวเข้าเขตคอนโด หลบเข้ามาในตัวตึก ผ่านพนักงานรักษาความปลอดภัยไปยังลิฟต์ขึ้นชั้นสูง ใช้คีย์การ์ดสำรองที่ได้มาจากเจ้าของห้องเตะบัตรจนขึ้นมาถึงชั้นที่ต้องการ พอประตูลิฟต์เปิดก็เดินตามเส้นทางประจำไปจนถึงหน้าห้องอีกฝ่าย ถึงแม้เกรทจะบอกว่าให้ใช้คีย์การ์ดเข้าห้องได้ตามสบาย แต่ตราบใดที่ห้องยังไม่ใช่ของเรามันก็อดรู้สึกเกรงใจไม่ได้ เลยเคาะประตูตามมารยาทไปสองสามทีก่อนยกคีย์การ์ดขึ้นแตะเปิดเข้าไป

“เกรท ผมมาแล้วนะ”

“ใครค้า”

หา? เสียงผู้หญิงดังขานตอบ ผมยืนอึ้งแปลกใจอยู่ตรงนั้น หรือว่าผมเข้าห้องผิด เฮ้ยเป็นไปไม่ได้ ก็ในเมื่อผมใช้คีย์การ์ดที่ได้มาจากเกรทเข้าห้องมาได้นี่หน่าแล้วทำไม...

“ใครคะ” หญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดภูมิฐานห่มคลุมด้วยผ้ากันเปื้อนมาหยุดยืนตรงหน้า ท่าทางส่อแววประหลาดใจอย่างสุดซึ้งในการปรากฏตัวของผม

ใคร? ไม่ใช่มีแต่เธอที่ตั้งคำถาม แม้แต่ในหัวผมเองก็ยังเกิดความสงสัย

“เอ๊ะ...เดี๋ยวนะ เธอๆๆๆ” ถุงมือกันความร้อนในมือถูกชี้มาตรงหน้า เธอเบิกตากว้างเหมือนแม่บ้านกำลังเจอของเซลล์ลดราคาห้าสิบเปอร์เซ็นต์ “เธอใช่มั้ย?”

“เอ๊ะ...หะ...ผม ผมทำไม อะไรครับ”

“แม่ ทำไมเปิดเตาทิ้งไว้อ่ะ” เสียงทุ้มต่ำขานเรียกสรรพนามของผู้หญิงตรงหน้ามาแต่ไกล ผมเบิกตาค้างอย่างห้ามไม่อยู่

อะไรนะ? แม่เหรอ!?

“ขะ...ขอโทษครับ! ผมเข้าห้องผิด!” ถอยหลังปิดประตูดังปังมือกำลูกบิดประตูแน่น ใจนี่กระหน่ำเต้นระรัวเป็นกลองศึก

ม...แม่? แม่เกรทเหรอวะ มาได้ไงเนี่ย! ผมตัดสินใจก้าวเท้าเดินออกในทันทีก่อนชีวิตนี้จะหาไม่ แต่กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

“อ้าวหนูคนเมื่อกี้หนิ” ผู้หญิงคนเดียวกับที่เจอตรงถนนเธอกำลังเดิมจูงน้องเวลมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้า เจ้าตัวเล็กพอเห็นหน้าผมเหมือนนึกคุ้นว่าจำได้ จึงยกยิ้มร่าพนมไหว้ทั้งรถถังที่ยังอยู่ในมือ “พี่จายใจดี หวัดดีฮับ”

ออร่าความสดใส ผิวขาวนุ่มนิ่ม แก้มยุ้ยน่าหยิกหยอก สร้างความน่ารักน่าทะนุถนอมให้เด็กชายอีกเท่าตัว หากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวแวะรายทาง ผมขยี้หัวทุยหนึ่งที ส่งยิ้มให้

“สวัสดีครับน้องเวล พี่ไปก่อนนะ” ตั้งใจผละตัวออกในทันที แต่อุปสรรคร้อยแปดพันเก้ายังเข้ามาถาโถมไม่หยุดหย่อน มือของแม่น้องเวลขยับมาจับแขนผมเหมือนจะรั้งไว้

“อ้าวเดี๋ยวสิ นี่เราจะรีบไปไหนน่ะ” เสียงความเคลื่อนไหวเบื้องหลังพลันทำใจหายวูบ รีบแตะมือหญิงสาววัยกลางคนเบาๆให้อย่าถือสาหาความปล่อยผมจากพันธนาการนี้ไปเสียที

“คุณน้าคือผมต้องรีบ...”

“อิม!”

ฉิบหาย! เสียงเกรท! ตอนนี้มีแต่ต้องสวมวิญญาณนักวิ่งระยะสั้นเท่านั้นถึงจะรอด โดยไม่รอช้าผมสับขาทันที แล้วมันก็จบลงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น แค่นั้นจริงๆ อย่าสงสัยเลยครับ ไม่ใช่ว่ามีประตูข้ามมิติโผล่มาอย่างในหนังแล้วผมพลันหนีได้อย่างฉิวเฉียด เพียงแต่ยังไม่ทันจะก้าวสอง เจ้าคนตัวสูงที่เรียกชื่อผมก็พุ่งตรงมาคว้าไหล่เอาไว้แล้ว

“อิม!” เกรทหายใจแรง หน้าตาเหมือนคนทำกระเป๋าเงินหล่นหาย เขาตกใจเพราะใครบางคนวิ่งพรวดพราดหนีมา “เข้าห้องผิดที่ไหนล่ะ มาห้องผมตั้งกี่รอบแล้วทำไมไม่จำ!” ผมยืนอึ้ง เหมือนเด็กเล็กกำลังโดนผู้ใหญ่อย่างเกรทดุ

“ก็...ก็...” เหตุผลติดค้างอยู่ที่ริมฝีปาก ผมไม่ได้คิดว่าจำห้องผิด ห้องเกรทตั้งแต่ตอนคบกันมา ที่วางรองเท้า ลิ้นชักใส่ช้อนส้อมจานชาม กล่องปฐมพยาบาล ที่เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดต่างๆในห้องผมจำได้หมด นับว่าเดินจนพรุนเป็นร้อยครั้ง หลับตาคลำยังรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

แต่ที่หนีมา เพราะคิดว่าการปรากฏกายของผมอาจจะทำให้คนตัวสูงต้องเดือดร้อน แม่เกรทไม่เคยรู้จักคนที่ชื่อว่าอิมเมจ ไม่เคยรู้สถานการณ์ความมีตัวตนของผม แล้วใครมันจะวิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปโดยไม่เตี๊ยมกันมาก่อนได้ล่ะ

แล้วหาก...เกรทยังไม่เคยบอกเรื่องผมกับแม่ตน อย่างนี้ผมยิ่งไม่ควรแสดงตนว่าอยู่ในฐานะอะไรทั้งสิ้น...

“เกรท วันนี้คุณน่าจะไม่ว่าง ให้ผมกลับก่อนก็ได้นะ” ผมจับมือบนหัวไหล่ บีบกระชับแสดงความมุ่งมั่นของเจตนา หากแต่ฝ่ายนั้นยังคนยืนนิ่งไม่พูดไม่จา สายตาขยับไปสบกับบุคคลที่สามซึ่งมองมาจากอีกทางอยู่ตลอดนับตั้งแต่ต้น

“น้าแก้ว?” แม่น้องเวลยกมุมปากเผยยิ้มอ่อนหวาน ส่วนเจ้าตัวเล็กที่โดนล็อกไว้ก็ตะเบ็งเสียงดังแข่งใส่ทุกคน

“พี่เก๊ด หวัดดีฮับ”

ผมรู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เคยได้ยินเกรทพูดถึงบ่อยๆว่ามีญาติสนิทอีกคนซึ่งเป็นน้องสาวแม่ เป็นลูกหลงอายุห่างกับมารดาตนเองมาก แถมยังควบสถานะคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมีลูกชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องวัยห่างจากเขารอบกว่า เกรทหันกลับมามองทางผม จับสังเกตได้ว่าสายตาคมพุ่งตรงไปทางต้นแขน ที่แท้เป็นผมเองที่ตกใจจนเกาะไหล่อีกฝ่ายไว้แน่น ผมรีบสะบัดมือออกราวกับแตะโดนของร้อนก่อนยกไปไพล่หลังก้มหน้า แวดล้อมมีคนนอกยืนอยู่ทำตัวเหมือนสนิทสนมไปได้นะเจ้าอิม

“ถ้าน้าเดาไม่ผิด คนนี้ใช่มั้ยเกรท” เธอพยักคางมาทางผม เผลอสบตาเพียงนิดก็กลัวจนต้องชักกลับ แต่ไม่ลืมกล่าวคำทักทาย

“สวัสดีครับ” ยกมือไหว้จบด้วยประโยคสั้นเท่าห่างอึ่ง ไม่รู้จะกล่าวคำเรียกแทนตนอย่างไร ถ้าเผลอโพล่งชื่อออกไปเหมือนจะติดปากต้องตามด้วยคำว่าเป็นรุ่นพี่ที่มหา’ลัย ร่างสูงยิ่งชอบทำท่าน้อยใจแบบแปลกๆเวลาผมแนะนำตัวยามเจอเพื่อนฝูงของกันและกัน ผมกล่าวปัดว่าเป็นเพียงคนรู้จักเท่านั้นแหละได้เรื่องเลย

“ครับ” เกรทขานตอบสั้นกว่าผมเสียอีก “พี่อิมเมจ นี่น้าแก้ว คนที่ผมเล่าให้ฟังบ่อยๆ”

“สวัสดีครับ น้าแก้ว” เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะขึ้นจมูก หญิงสาวผินหน้าเหล่ตาไปยังร่างสูงอย่างมีความนัยก่อนเผยรอยยิ้มออกมา

“เกรทเพื่อนเราจะไหว้ทำไมบ่อยๆฮะ ไหว้จนน้าคิดว่าเป็นครูหน้าประตูโรงเรียนของเจ้าเวลมันซะแล้ว” ดอกบัวตูมบนอกผมนี่เหี่ยวขึ้นมาทันทีเลย เกรทยิ้มให้น้าก่อนจับมือผมดึงลงไปไขว่หลังเกี่ยวนิ้วประสานกำแน่น เจ้าตัวก้มหน้ามองลงมา “ทานข้าวเช้ามายังครับ”

“ท...ทานมาแล้ว...นิดหน่อย”

“งั้นกินเป็นเพื่อนผมอีกนะ แม่ผมทำไว้เยอะเลย”

“เดี๋ยวเกรท” ผมยกมือข้างที่เป็นอิสระตีอกเขาเบาๆ ก่อนเริ่มกระซิบ “แม่คุณมาผมกลับก่อนไม่ดีกว่าเหรอ”

“ทำไมต้องกลับด้วยล่ะครับ” เจ้าตัวเลิกคิ้วแสดงความประหลาดใจ ทำไมเป็นคนคิดน้อยแบบนี้นะ ถ้าขืนผมอยู่แม่เจ้าตัวจับพิรุธรู้เรื่องราว ไม่เป็นลมเป็นแล้งแย่เลยเหรอ ผมไม่ยินดีเลยสักนิดหากเกรทต้องหมางใจกับครอบครัว

“ก็...” กำลังจะบอกเหตุผล แต่คนเป็นน้ากลับเดินกางแขนกว้างมาประชิดแตะไหล่เราทั้งคู่

“ไปจ้ะ ไม่ต้องเถียงกันแล้ว” น้าแก้วขยับมือมาดุนหลังพวกเราสองคนให้เดิน เด็กชายเวลตัวจ้อยวิ่งตัดหน้า ยกคีย์การ์ดแนบประตูอย่างรู้งาน

ผมถอนหายใจ ในที่สุดผมก็ต้องจำใจเดินเข้าเคหสถานทั้งที่ในนั้นมีทั้ง แม่ น้า และลูกพี่ลูกน้อง ญาติโกโหติกาของอีกฝ่ายอยู่เต็มไปหมด



มีต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
“แม่ครับ”

“อ้าวมากันแล้วเหรอ แม่ก็ว่าทำไมออกไปนาน” หญิงสาววัยกลางคนในชุดผ้ากันเปื้อนหมุนตัวเอ่ยทัก ขณะกำลังมีสมาธิกับของในเตา ทันทีที่ก้าวเข้ามาผมรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมน่าอร่อยของบางอย่างลอยเข้ามาเตะจมูก มันลอยอบอวลอยู่ในห้อง ความรู้สึกแรกที่คุ้นเคยคือกลิ่นกระเทียม พริกไทยดำอันหอมหวน บวกกับ...อืม...รากผักชี...ใช่แน่ กลิ่นอย่างนี้ไม่พ้นสามเกลอ รากผักชี กระเทียม พริกไทยที่มารดาตนชอบตำแล้วนำมาผัดทำอาหารบ่อยๆ ชักเริ่มกระตุ้นต่อมน้ำลายให้ทำงาน น้ำย่อยในกระเพาะพลุ่งพล่านร้องประท้วง นี่จากใจคนที่ทานอะไรมาแล้วนิดหน่อยเลยนะ

“มีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยน่ะพี่” น้าแก้วตอบกลับ รีบวางถุงพลาสติกที่ใส่ผลไม้กับของกินเล่นนิดหน่อยอย่างพวก ขนมครก ขนมตาล ถั่วแปบ กล้วยปิ้ง ที่หาซื้อได้ตามตลาดยามเช้าลงบนโต๊ะ ถึงแม้จะคล่องแคล่ว แต่ขึ้นชื่อว่าครัวในคอนโดก็ยังแคบไปสำหรับการทำอาหารเมนูใหญ่ แม่เกรทปิดเตาไฟทุลักทุเลวิ่งหยิบน้ำแข็งจากตู้เย็นมาเทใส่ชามแก้ว หันรีหันขวางไปคว้ากระชอนมาตักไข่ต้มจากน้ำร้อน

“เอ๊ะ?” พอผมก้าวเข้าไปอย่างไม่รีรอรองน้ำใส่ชามพร้อมยื่นส่งให้ จึงเกิดเสียงดังอุทานอย่างประหลาดใจมาจากผู้เป็นแม่

"ระวังลวกนะครับ รีบตักใส่เร็ว” ผมร้องเตือน คนเป็นผู้ใหญ่ท่าทางงงงวยเล็กน้อยก่อนเทไข่ต้มให้มันกลิ้งลงในชามอย่างระมัดระวัง พอเสร็จจึงนำมาวางข้างสำรับอาหารตรงเคาน์เตอร์ด้านหลัง ละลานตาเหลือเกิน ปลากะพงทอดหั่นชิ้นพอดีคำ กุ้งหมึกผัดใส่ขึ้นฉ่าย...อ๋อเจ้านี่เองต้นตอของกลิ่น ไหนจะกากหมู พร้อมข้าวหอมมะลิเม็ดสวยขึ้นหม้อที่ใส่โถอบกับ... “คุณน้าครับ เดี๋ยวผมช่วย” หันไปเจอแม่เกรทกำลังจะจับหูหม้อสเตนเลสยกลงจากเตาพอดี ในนั้นมีน้ำซุปหัวไชเท้าใสซดแล้วท่าจะโล่งคอน่าดู

“มาอิมผมช่วย” เกรทฉวยรับไม้ต่อไปจากผม “แม่ ผมเอาไปวางที่โต๊ะเลยนะ” หม้อน้ำแกงหนักเอาการ แต่เจ้าตัวเหมือนยกได้อย่างสบายๆเดินมุ่งตรงไปทางโต๊ะทานข้าว แล้วผมต้องทำอะไรต่อล่ะ

...อย่าปล่อยให้ผมยืนเคว้งอย่างนี้เซ่...

พึ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้กล่าวคำทักทายสักแอะ ผมตัดใจยอมเผชิญหน้ากับคนที่มีศักดิ์เป็นบุพการีของเกรท

“สวัสดีครับคุณน้า” เสียงหลุดหัวเราะขบขันดังมาจากคุณน้าแก้ว ขนาดพี่สาวยังแปลกใจหันไปถาม

“หัวเราะอะไรน่ะยัยแก้ว”

“เปล่าค่ะ แค่เอ็นดูน่ะ ดูท่าพี่อิมเมจของเกรทคนนี้จะชอบไหว้นะคะพี่” ผมพึ่งไหว้แม่เกรทครั้งแรกเองนะครับ อย่าเหมารวมกับสองครั้งก่อนหน้านี้สิ แม่เกรทส่ายหัวเบาๆอย่างอ่อนใจให้น้องสาว ถึงแม้จะขึ้นชื่อว่ามีลูกชายอายุอานามปาไปยี่สิบปีเรียนอยู่มหา’ลัย แต่คนมีพื้นฐานสวยยังไงก็ไม่สร่าง เกรทเคยเล่าว่าแม่เจ้าตัวเป็นดารามาก่อน การที่ได้ไปออกหน้ากล้องแสดงละครเอ่ยคำว่า ‘แม่’ สั้นๆก็เป็นเพราะผลพวงจากการที่มีแม่เป็นคนดังนี่แหละ

ใบหน้าแม่เกรทดูเจ้าระเบียบน่าเกรงขามต่างจากน้าแก้วซึ่งดูขี้เล่นและเป็นมิตร ผมเลยติดจะเกร็งจนขยับตัวทำอะไรก็ดูเก้งก้างไปหมด สายตาเธอมองเหมือนประเมินผมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า อดกลืนน้ำลายลงคออย่างประหม่าไม่ได้ ผมหลบออกจากเคาน์เตอร์ ไม่กล้าสบตา ใจนึกอยากจะหนีไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดแต่ข้อศอกกลับโดนจับไว้

“แขนไปโดนอะไรมาน่ะเรา” เสียงคนเป็นผู้ใหญ่ถาม พลางดึงส่วนที่เคยมีเลือดติดผิวหนังซึ่งบัดนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ำและเริ่มแห้ง

“ตายจริง แก้วลืมไปเลย” คนเป็นน้องเดินมาสลับตัวคว้าต้นแขนผมลากเดินออกไป เธอตะโกนบอกพี่สาว “เมื่อกี้น้องอิมช่วยตาเวลไว้จนล้มน่ะพี่ เดี๋ยวแก้วมาน้องไปทำแผลก่อน”

“อิมเป็นแผลเหรอครับ!!” เกรทที่เดินเข้ามาทันฟังพอดีพรวดพราดใส่ผม จับไหล่ได้หมุนพลิกตัวจนตาลาย

“เดี๋ยวเกรท”

“ถลอกไปทั้งตัวเลย เยอะด้วย เจ็บมั้ยเนี่ย”

“...”

“...”

แม่เกรทเงียบ น้าแก้วนิ่ง ทุกคนในที่นี้ยืนมองเราสองคนเป็นตาเดียว ผมนี่แทบจะกัดฟันหลับตาทำท่าเหลืออดใส่

“เกรท” ผมกดเสียงต่ำ เปล่งเบาลอดไรฟัน

“ครับ”

“ให้มันน้อยๆหน่อย” อย่าเล่นใหญ่ให้เว่อร์ไม่งั้นมันจะมาซวยพวกเราโว้ย!! เกรทยังคงไม่เข้าใจมองหน้าผมตาแป๋ว ไม่พอยังยกมือมาอังหน้าผากราวกับกลัวแผลอักเสบจนไข้ขึ้น

“เจ็บเหรออิม” หัวคิ้วมุ่นจนแทบเป็นโบว์ อีกฝ่ายแสดงออกว่าเป็นห่วงผมจริงๆ ใจผมเขวไปชั่วครู่ แสร้งหลบตากล่าวอ้อมแอ้ม

“ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น”

“พี่เก๊ด พี่เก๊ด” เสียงแหลมขึ้นแทรกกลางปล้อง พอก้มมองปรากฏเจ้าตัวเล็กประจำบ้านกำลังกระตุกกางเกงคนตัวสูงยิกยิก “เล่นรถถังกันคับ”

“มาเลยเจ้าตัวดี” เกรทย่อตัวลงไปรวบน้องไว้ในแขน “ไปทำอะไรให้พี่อิมเขาเจ็บตัวกันฮะเรา” ลงมือจิกพุงกลมๆจนเด็กร้องเอิ๊กอ๊ากด้วยความจักจี้ บิดตัวหนีหลับตาปี๋ หัวเราะอย่างสนุกสนาน

“ผมขอโทษแทนเวลด้วยนะครับ” มือของเกรทซึ่งนั่งยองเอื้อมมาจับประคองมือผมไว้ ทั้งที่ยังมีเจ้าตัวดีอยู่ในอ้อมแขนและหว่างขา “ไม่เป็นไร คุณก็ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ แผลแค่นี้เอง”

“คนที่ผมชอบมักทำตัวเข้มแข็งเสมอ”

“...”

...และคนที่คุณกำลังสนทนาด้วย ก็มักจะโดนทำหวั่นไหว ด้วยคำพูดสั้นๆง่ายๆกินใจของคุณเนี่ยแหละ

“เอาล่ะเลิกจีบกัน แล้วพาพี่อิมไปทำแผลเถอะเกรท” คุณน้าเดินมาแตะไหล่กว้าง กะพริบตาวิ้งให้ผมข้าง พาน้องเวลปลีกตัวออกไป เห็นนิ่งๆอย่างนี้แต่ใจผมฝ่อจนแทบหายจากอกข้างซ้าย คล้ายเหงื่อกาฬผุดเต็มหลัง เพราะกลัวเหลือเกินว่าคนที่ยังยืนมองอยู่ตรงนั้นจะได้ยินคำว่า ‘จีบกัน’ จากปากน้องสาวตนเอง









ปัง...

พอประตูห้องส่วนตัวของเกรทงับปิด ผมหมุนตัวไปจับต้นแขนร่างสูงกำแน่น จนเกรทตกใจเซถอยหลังไปพิงบานประตูพร้อมกล่องปฐมพยาบาลในมือ

“เกรท แม่คุณยังไม่รู้ใช่มั้ย”

“รู้เรื่องอะไรครับ”

“ก็เรื่องพวกเรา”

“เป็นแฟนกัน”

“ใช่...”

เฮ้ย...แปลกๆแฮะ พึ่งมารู้ตัวว่าสถานะผิดเมื่อกล่าวตอบรับไปค่อนคำ

“ใช่ที่ไหนเล่า ผมหมายถึงที่คุณกำลัง...”

“จีบอิมอยู่” ผมเผลอกลั้นหายใจ ฟังกี่ทีกี่ทีก็ยังไม่ชิน มันให้ความรู้สึกคันยุบคันยิบแบบแปลกๆ

“เออ...จีบผมอยู่”

“ไม่รู้หรอกครับ เพียงแต่...” เจ้าตัวเว้นวรรคจนอดที่จะพูดเร่งคำต่อไปไม่ไหว

“แต่อะไร”

“เพียงแต่ผมชอบเล่าเรื่องอิมให้แม่ฟังบ่อยๆ บางครั้งก็ไม่ได้ตั้งใจเล่าหรอกครับ แค่เผลอพูดขึ้นมา ผมชอบเผลอโยงทุกอย่างรอบตัวเข้ากับเรื่องอิมน่ะ เวลาเห็นแม่ทำอาหารก็ชอบบอกว่ามีพี่คนนึงที่ชอบออกตัวปกป้องกะเพราไม่ให้ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาหารสิ้นคิด พอเห็นพวกข่าวงานศิลป์ก็ชอบพูดว่ามีพี่คนนึงวาดรูปสวยมากจนผมอยากให้วาดรูปนู๊ดให้ พอเห็นโฆษณาเปิดตัวรถใหม่ก็ชอบบ่นบ่อยๆว่าอยากมีตังค์ซื้อไปให้เขาลองขับ เลยได้รถคันนั้นมาไง”

“น...นี่คุณพูดจนแม่คุณซื้อให้เนี่ยนะ!” จะบ้าตาย ทำไมแม่เกรทตามใจลูกเหลือเกิน

“ครับ นานๆผมจะกลับบ้านที แม่เลยชอบใช้เวลาทั้งวันอยู่กับผมมากกว่าจะออกไปไหน พวกเราเลยได้คุยอะไรหลายอย่างรวมถึงเรื่องอิม” เกรทพูดไปพลางจ้องหน้าผาก ใช้อุ้งมือที่กรอมแขนเสื้อเช็ดเหงื่อให้ หากไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนเจ้าตัวจะใส่เสวตแขนยาวตัวหนาพร้อมกางเกงขายาวสีเดียวกัน เพราะเครื่องปรับอากาศในห้องมักทำให้ตัวเย็น

“ล...แล้ว...”

“ไว้ค่อยคุยกันเถอะครับ ทำแผลก่อนนะ” โดนจูงลากมานั่งบนเตียงทั้งสภาพจิตใจไม่เสถียร เกรทวางกล่องปฐมพยาบาลลงข้างกาย เปิดเสร็จคว้าสำลีปั้นก้อนจุ่มแอลกอฮอล์จนชุ่ม

“ยื่นแขนมาครับ” ผมทำตามอย่างว่าง่ายมองคนคุกเข่าค่อยๆเตะก้อนฝ้ายลงแผลอย่างเบามือ พอโดนเท่านั้นสะดุ้งชักแขนหลบอย่างตกใจ

“อูย...” เสียงครางฟังไม่ได้เอาเสียเลย

“เจ็บเหรอครับ”

“นิดหน่อยน่ะ” โดนน้ำล้างไปก่อนหน้ายังไม่แสบเท่านี้เลย

“แล้วทีเมื่อกี้ทำปากเก่ง ‘ไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้น’ ” ดวงตาพราวระยับเป็นประกาย นึกรู้ทันทีเลยว่าประโยคนี้แฝงวาจาจิกกัด ย้อนคำวันเจ้าตัวโดนตำหนิว่าปากแตกจะจุมพิตทีกลับไร้ความเจ็บ แต่มาตกมาตายเอาตอนทำแผลเสียได้

“ไม่ต้องทำให้แล้ว ผมทำเอง” คิดว่าเร็วพอ แต่เกรทกลับไวกว่าชักมือหลบรักษาก้อนสำลีไว้ได้

“อยู่นิ่งๆ อย่าดื้อ อย่าซน ให้ผมทำแผลให้เสร็จก่อน”

“ดุเป็นเด็กไปได้ ผมไม่ใช่น้องเวลสามขวบ ที่ต้องคอยให้ผู้ใหญ่มาป้อนข้าวป้อนน้ำทำแผลให้แล้วนะ” ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่สนใจคำค้าน มือใหญ่จับแขนผมพลิกอีกข้างหยิบปุยขาวเปียกแอลกอฮอล์ก้อนใหม่เช็ดให้อย่างพิถีพิถัน

“ไม่ใช่เด็ก ผมรู้” ผมนิ่วหน้ายามเกรทจี้ทิงเจอร์ไอโอดีนเข้ามา “แต่ก็ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย” อยู่เหนือบนจนมองเห็นขวัญ เรือนผมสีน้ำตาลจากการโกรกดูพลิ้วสลวยน่าจับ วันนี้เกรทไม่ได้เซตผมให้แข็งเพราะไม่จำเป็นต้องออกจากบ้าน แพขนตาเหนือดวงตาตกๆที่เห็นผ่านแสกข้างของเขาช่างดูดี

“เหนื่อยงั้นเหรอ ถ้าเหนื่อยก็เลิก...”

“เลิกที่จะห่วงมันเหนื่อยกว่าครับ” ดวงเนตรสีเข้มเสขึ้นจังหวะประจวบเหมาะพอดี ผมจ้องตอบเขานิ่ง “เพราะคิดถึงแทบทุกเวลา”

เหมือนสิ่งมีชีวิตในอกด้านซ้ายบีบรัดรุนแรงจนหายใจไม่ออก รู้สึกพ่ายแพ้ เลยได้แต่เบือนหน้าหลบออกข้างพลางกำมือแน่น

“อิมถอดกางเกงออกได้มั้ย”

“ฮะ?” แปลกใจกับคำถามจนร้องเสียงหลง

“เห็นน้าแก้วบอกอิมล้มไปทั้งตัว” สำลีใช้แล้วโดนทิ้งข้างกล่องขาว มือใหญ่หยิบก้อนใหม่ขึ้นมาเทแอลกอฮอล์ลงจนชุ่ม “ตรงขาต้องถลอกแน่ๆเลยครับ”

ผมลังเลอยู่ชั่วครู่ ไม่อยากโดนหาว่าเป็นเด็ก โวยวายกับแค่เรื่องถอดกางเกงทำแผลเลยขยับตัวลุกขึ้น ยังแสบและตึงตรงแผลที่โดนทิงเจอร์ไอโอดีนทำพิษไว้ไม่หาย ได้แต่ฝืนใจดึงกางเกงลำลองขากว้างใส่สบายลงจากเอวอย่างช้าๆ รั้งมาจนถึงหัวเข่าแล้วปล่อยมันค้างเติ่งไว้อย่างนั้น

เกรทมองหน้าผมสลับกับขอบกางเกงไปมาไม่ยอมเริ่มลงมือทำอะไรเสียที

“ทำไมล่ะ ก็ถอดให้แล้วไง”

“ทำไมไม่ถอดออกให้หมดล่ะครับ”

“แล้วทำไมจะต้องถอด...โอ๊ย!” นิ้วยาวบีบมาที่ขาท่อนล่างอย่างจัง เจ็บจนห้ามเสียงร้องไม่อยู่

“นี่ไง ตรงหน้าแข้งกับน่อง เจ็บอย่างนี้มีแผลแน่นอน” ก่อนจะเจอแผลผม ทำให้คนข้างหน้ามีแผลบนกบาลสักสามสี่จุดได้มั้ย! ยกต้นขาอย่างไม่พอใจสะบัดกางเกงออกจากปลายเท้าได้ก็เร่งทันที โชคดีของผมที่ใส่เสื้อยาวพอจะปกปิดไปถึงส่วนไม่น่ามองได้

“ถอดแล้ว จะทำอะไรก็ทำ”

“งั้นนอนคว่ำบนเตียงเลยครับ” สั่งได้สั่งดี สั่งทีเหมือนเป็นคนใช้ ผมคุกเข่าคลานขึ้นเตียงดึงชายเสื้อปกปิดเจ้าบ็อกเซอร์เต็มทีก่อนนอนราบเอาแก้มนาบกับผืนผ้าลื่น กลิ่นหอมสะอาดผสมกลิ่นสบู่และยาสระผมประจำตัวของเกรทเคลื่อนผ่านจมูกเข้ามาอย่างหาทางหลีกเลี่ยงไม่ได้ พอเป็นแบบนี้แล้วเหมือนตอนโดนร่างสูงกอดกดหัวลงซบไหล่อีกฝ่ายไม่ผิดเพี้ยน

อีกฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหว น้ำหนักผู้ชายหนึ่งคนเพิ่มขึ้นมาเสริมทัพทำเตียงอ่อนยวบเด้งต้าน นิ้วเย็นเข้าจับปลายข้อเท้าร่างกายแอบสั่นไหวเบาๆอย่างเก็บอาการไว้สุดชีวิต จนกระทั่งความชื้นเย็นของแอลกอฮอล์เข้าสัมผัส ความเจ็บเบาบางจากแผลถลอกทำให้ผมนิ่วหน้าฟุบลงกับเตียงอย่างห้ามไม่อยู่

ฮือ...เจ็บว่ะ...

ลมอุ่นพัดผ่านบริเวณนั้นไป เสียงฟู่เบาราวกับเป่าให้ใบไม้ไหวดังเข้าหู ผมตั้งศอก เหลียวหลังไปมองคุณหมอเจ้าของไข้ ใบหน้าอ่อนโยนเกินกำลังเล่นทำเอามองค้าง เกรทค่อยๆละเลียดแต้มยาสีเหลืองน้ำตาลจางๆลงบนแผล เป่าให้มันแห้งเสมือนประหนึ่งปลอบประโลม เรื่องที่ไม่คาดฝันอีกหนึ่งอย่างคือการที่เจ้าตัวแนบกลีบปากตามทุกครั้งยามทำแผลเสร็จไปทีละจุด

...จะพรุนไปทั้งตัว ทุกอณูของร่างกายอยู่แล้ว...

เหมือนเกรทตกอยู่ในภวังค์ ไม่รู้แม้กระทั่งสายตาผม เจ้าตัวตั้งหน้าตั้งตาไล้นิ้วหารอยแผล แต้มทำความสะอาด ทายา พร้อมจุมพิตตีตราตรงส่วนใกล้เคียง วนซ้ำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนถึงต้นขาใกล้กับส่วนใต้ร่มผ้าของผม กระบวนการนี้ยังคงเวียนเป็นวัฏจักร เช็ด เป่า ทา เป่า จุมพิตและ...ไล้เลีย

“อื้อ!” เหมือนลิ้นร้อนที่แตะลงมาจะพาใจให้ผมเตลิด พฤติกรรมอันอ่อนโยนแต่คงไว้ซึ่งความเย้ายวนทำให้กลางลำตัวเกิดความรู้สึกบางอย่าง จนเผลอหลุดเสียงครางเจ้าปัญหาออกมา...

เกรทสะดุ้งยกตัวขึ้นมองผม ส่วนผมยังคงยันศอกคว่ำหน้านอนกัดปากอยู่ตรงนั้น

“อิม?”

“...”

“อิม เมื่อกี้เสียง...”

“หยุดพูดเลยนะ!” ผมชักขาออกจากมือใหญ่ เปลี่ยนมาเป็นนอนขดตัวตะแคงข้าง น้ำตาแทบรื้นมาคลอเบ้า บ้าเอ๊ยไอ้อิม ทำไมต้องมาเป็น...

“อิม...รู้สึก...เหรอครับ”

ไม่เอา...อย่าพูดดิวะ...ไม่อยากรับรู้เลยโว้ย...

“ให้ผมช่วยเอามั้ย”



ผมกระตุกตัวมองคนที่ปลายเท้า ดวงตาคมจ้องสบมีแววนิ่งไม่ปรากฏเชิงล้อเล่นใดใด มันทำให้ผมนึกอายตัวเอง หากแต่ปากกลับเผลอพูดออกไปว่า...



“รบกวนด้วยครับ”



...TBC…



++++++++++++++++++++++



อุกอุกอั่กอั่กอุ๋งอุ๋ง
คร่อกกกกกกกกก
ลงดึกมากกกก ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ
ม๊วพๆคนคอมเมนต์คนอ่าน ปากอิมไม่แข็งเล้ยยยย555
คราวนี้ตาเกรทพาแม่กับน้า แถมลูกพี่ลูกน้องตัวเล็กๆมาค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-11-2019 21:32:37 โดย sakutaka »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Stiiiii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

เก้า(ครั้งที่สอง)...ขนมหวานก่อนมื้อเช้า



เกรทจ้องผมนิ่งเหมือนรูปปูนปั้นหินแกะสลัก พอถูกสายตาคมปราดมองเท่านั้นเลยทำตัวไม่ถูก ได้แต่คู้ตัวซุกหน้ากับเตียง อยากจะมุดหายไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

“ผ...ผมพูดเล่น” เสียงอู้อี้เล็ดลอดออกมา มือสองข้างกำผ้าปูแน่น ยกขึ้นแนบชิดปาก โดยคิดอยากให้มันกรองกากตะกอนแห่งความเขินอายไม่ให้ส่งผ่านไปถึงอีกคน จังหวะนั้นเองที่รู้สึกได้ถึงการยวบยุบสั่นไหวของผืนเตียงก่อนคืนกลับตามน้ำหนักอีกฝ่ายที่หายไป เกรทลุกออกไปจากตรงนี้แล้ว เจ้าตัวคงช็อกและรับไม่ได้ที่ผมจะเอาจริง เพราะก่อนหน้านี้ผมมีแต่จะต่อต้าน

มันแน่อยู่แล้ว...คนที่มีพื้นฐานว่าชอบผู้หญิง เจออย่างนี้เข้าไปคงฝืนใจให้ใกล้ชิดไม่ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายคงเป็นอะไรที่เกินจินตนาการของอีกฝ่าย และดูจะล้ำเส้นไปนิด...แต่เกรท...คุณคิดผิดตั้งแต่จะจีบผมแล้ว...การโหยหาถึงความสัมพันธ์ทางกายเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้สำหรับผม

ไม่รู้อะไรมาดลใจให้กระบอกตาที่เคยแห้งสนิทกลับร้อนผ่าว ผมก้มหน้าซุกกับผ้าปูเตียงซึ่งยังคงกลิ่นอายของคนที่ทำให้ผมใจเต้นแรง คนที่คอยทำให้อุ่นอวลหัวใจ และมักจะทำให้เหมือนดิ่งวูบตกเหวในฉับพลัน ด้วยความที่สำคัญตัวเองผิด ความชื้นเปียกไหลจากขอบดวงตาสู่สันจมูกและปลายขมับ

กริ๊ก...

ผมสะดุ้ง ผินหน้าออกไปทางต้นตอของเสียง กลอนประตูกำลังถูกร่างสูงลงสลัก ใบหน้าเกรทส่อแววแดงแฝงเร้นภายใต้ผิวคล้ำแดด ดวงตาของพวกเราสบกัน เจ้าตัวจ้องมองผมอย่างนิ่งนาน ก่อนจะเริ่มย่างก้าวเข้าหาอย่างเนินนาบ

“อิม?” ขอบเตียงอ่อนยวบลงอีกครั้งขณะที่ผมพยายามสะบัดหน้าเช็ดน้ำตากับผ้าลื่น “ทำอะไรน่ะ” มือใหญ่จับกลุ่มผมอย่างแผ่วเบาพลางเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือไปมาตรงบริเวณใกล้ขมับ ใบหน้าตอนนี้ของผมคงดูแทบไม่ได้ แต่ก็ยังฝืนหันไปมองเจ้าของสัมผัสอันอ่อนโยน

“ทำอะไรน่ะครับ จมูกแดงเลย” เกรทใช้สันนิ้วชี้เกลี่ยปลายจมูกอย่างหยอกเย้า ดวงตามองลงมาแฝงแววอิ่มอุ่นหัวใจอย่างหาใดเปรียบ

“นี่คุณไม่ได้จะออกไปเหรอ”

“ออกไปแล้วครับ”

“แล้วทำไม...”

“ออกไปบอกแม่กับน้าว่าขอกินข้าวช้าหน่อย”

“...”

“ผมไม่รู้ว่านานรึเปล่า ความจริงก็อยากให้แม่กับน้าทานข้าวไปก่อน แต่พวกเขาอุตส่าห์มา คงจะอยากทานด้วยกันกับพวกเรา” เกรทยกมุมปากสองข้างขึ้น “อิมครับ”

“ค...ครับ” ผมขานตอบอย่างตื่นตูมเพราะจู่ๆก็โดนเรียกชื่อ

“พวกเราคงต้องเร่งมือกันหน่อยแล้วล่ะ”

“ห...หา?”

จบคำผมถูกเกรทจับพลิกตัวแบบไม่ให้สัญญาณ ตกใจเบิกตาโตเท่าไข่ห่านก่อนหยีตาหลบความเจิดจ้าเมื่อเจ้าตัวโปรยยิ้มหล่อมาแบบกะทันหัน แขนแกร่งสอดรวบเอวแล้วทิ้งร่างลงมาอย่างน่าใจหาย ผมเผลอกดแผ่นหลังลงต่ำ ดันผิวเตียงยุบยวบ ย่นคอหลบใบหน้าซึ่งใกล้เข้ามาตามสัญชาตญาณ มีเพียงปลายสันโด่งได้รูปเท่านั้นที่กำลังเตะต้องปลายจมูกของผม

“ห้ามดูนะครับ” เสียงทุ้มดังใกล้ปราม ลมหายใจอุ่นร้อนของอีกคนประพรมใบหน้า

“ด...ดูอะไร”

“หน้าตอนผมอาย” อีกฝ่ายขยับคางแตะลงมาเบาๆหนึ่งครั้งก่อนยิ้มเขิน สิ่งที่ผมต้องเผชิญคือความอ่อนนุ่มซึ่งยังคงเหลือค้างในความรู้สึก

“ม...ไม่เห็นจะแดงเลย” มือสองข้างดันอกกว้างไว้ ราวกับกลัวว่าจังหวะจะมาแบบระรัวจนความดันขึ้นตาย แต่ใช่ว่าป้องกันได้เสียเมื่อไร เกรทฉกจูบเบาๆซ้ำลงมาอีกครั้ง

“แดงยังครับ”

“ม...ไม่แดง”

จุ๊บ

“แดงยัง”

“ไม่เลย”

จุ๊บจุ๊บ

“ต้องแดงได้แล้วนะ”

“ก็ผิวคุณคล้ำจะให้ผมบอกแดงได้ยัง...อื้อออ” เข้าใจถ่องแท้เลยว่าอะไรคือหยอกเล่นอะไรคือจริงจัง กลีบปากนุ่มของเกรทแนบประกบลงมา ความอุ่นร้อนจากลมหายใจต้องใบหน้าเรียกไรขนอ่อนตรงท้ายทอยให้ลุกเกรียว รู้สึกตัวเบาหวิวเพราะช่วงแขนแข็งๆโอบกอดช้อนเอวขึ้นสูง แผ่นอกเราสองคนทาบทับกัน พลันเผลอตัวใช้นิ้วมือเกาะเกี่ยวไปยังชิ้นผ้าซึ่งปกคลุมต้นแขนแกร่งพลางกำแน่น ช่วงคอโดนประคองช้อนรั้งให้เข้าใกล้

“เกรท...ฮื้อ” เผลออ้าปากอย่างไม่ทันระวัง ลิ้นอุ่นร้อนพลันชำแรกแทรก จุมพิตสุดลึกล้ำเริ่มต้นนับแต่นาทีนั้น เกรทบอกว่าจะเร่งก็เร่งจริง เร่งหนักจนความรู้สึกเจือจางเบาบางซึ่งเลือนหายไปเมื่อครู่ จู่ๆถูกดึงดูดกลับมาใหม่ให้ปรากฏ บางอย่างในร่างกายผมกำลังร่ำร้อง ก่อตัวเป็นรูปร่างนูนเด่นโดดดุนต้นขาอีกฝ่าย ได้แต่ร้องอู้อี้ในลำคอกลั้นอารมณ์สุดกำลัง หลับตาปี๋เหมือนอยากหนีไปจากความจริง แต่ยิ่งปิดหนึ่งประสาทอีกหนึ่งประสาทยิ่งอ่อนไหวและไวความรู้สึกมากขึ้น เสียงเหนอะหนะเปียกชื้นในช่องปากดังก้องอยู่ข้างกกหู น้ำใสจากโพรงปากคนทั้งคู่ไหลล้นมาถึงปลายคาง ประสาทสัมผัสจากผิวกายและการได้ยินดูจะโคม่าหนักขึ้นเรื่อยๆ

ลิ้นนุ่มถูกดูดดึงซ้ำ จนกระทั่งกลีบปากบนล่างเริ่มรู้สึกด้านชา ร่างสูงจึงถอนใบหน้าออกห่างแล้วเริ่มดูดกัดบริเวณซอกคอใต้คาง หอมดังฟอดอย่างมันเขี้ยว

“...เกรท พอ หยุด” ตอนกระตุ้นทุกครั้งกลับเผลอดันสะโพกเข้าแนบ หวาดหวั่นเมื่อรับรู้ถึงความพองขยายใหญ่โตซึ่งเพิ่มขึ้นทุกขณะที่กระแทกโดนอีกฝ่าย มือใหญ่ลูบสัมผัสลงต่ำทิ้งร่องรอยร้อนไว้ตามผิวเนื้อที่ต้นขา เคลื่อนปลายนิ้วมาจับเกี่ยวขอบบ็อกเซอร์รวมถึงชั้นใน ก่อนสองมือร่วมใจออกแรงดันสะโพกผมให้ลอยสูง ลากทุกอย่างลงมากรอมถึงหัวเข่าในคราเดียว

จังหวะรุกไล่กะทันหันเสียจนใจหาย เกรงว่าส่วนแสดงความเป็นชายซึ่งเปี่ยมล้นด้วยอารมณ์จะโดนสายตาคมจับจ้องจนอายไปสิบชาติ เลยขยับตัวบิดตั้งใจตะแคงหลบ สะโพกนิ่มกลับโดนมือใหญ่จับบีบเบาให้สะดุ้งน้ำตารื้น

“ก...เกรท อย่าแกล้งกันได้มั้ย” ผมร้องท้วง เจ้าตัวใช้แขนยันกับเตียงยกกายช่วงบนออกห่าง เกรทหอบหนักประหนึ่งเกจอารมณ์เพิ่มจนถึงระดับสูงสุด

“ผมไม่เคยแกล้งนะ” มือใหญ่ขยับมาจับขอบเสื้อที่ระต้นขา “ผมบอกแล้วไง ว่าผมจริงจังกับเรื่องนี้เสมอ”

จบคำเกรทเลิกเสื้อยืดตัวโคร่งในมือขึ้นถึงคาง บดบังทัศนียภาพช่วงล่างไปจากสายตา ผิวกายไร้อาภรณ์ปกปิดต้องอากาศเย็นทำให้รู้เช่นเห็นชาติว่าทั้งแผ่นอก ช่วงล่าง รวมถึงหน้าท้องแบนราบไม่อาจหลบเลี่ยงจากสายตาคมของคนเบื้องบนไปได้

จะโค้งตัวเบี่ยงหลบ ผิวเนื้อหยุ่นตรงสะโพกกลับโดนกลั่นแกล้ง แถมยังลากปลายนิ้วยาวเข้าร่องเนินนุ่มเตะโดนส่วนดอกตูมในสวนลับแลอย่างเผลอไผล ก่อนแสร้งทำท่าทีเฉไฉไม่ตั้งใจ ณ จุดนี้ผมกลั่นกรองความคิดตัดสินใจเพียงชั่ววูบ อย่างน้อยวันนี้มื้อใหญ่ยังไม่ตกถึงท้อง การโชว์เนื้อหนังมังสาและพุงน้อยๆ คงดีว่าการเผยส่วนที่ตนไม่เคยแม้แต่ได้ยิลยลให้คนอื่นเห็นเป็นไหนๆ แต่พอตัดสินใจยืดแผ่นท้องเข้าท้าเสียงน้ำย่อยก็ดังขึ้นมาราวกับจังหวะซิทคอม

โครกกกก

“...”

“...” เกรทชะงักมือ

ส่วนผม...ได้แต่อึ้ง

อ...ไอ้เหี้ย!! อายมั้ยล่ะ ดังตอนไหนไม่ดังมาดังทำไมตอนนี้!

“หิวแล้วใช่มั้ยครับอิม” นิ้วเกรทลูบเบาบนแผ่นท้องไปมา จนผมอดเกร็งตัวตั้งรับสัมผัสของเขาไม่ได้ “อดทนอีกนิดนะครับ” เกรทส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผม

“กินผมก่อนแล้วค่อยไปกินข้าว”

ใครกินใครกันแน่ฟระ!!

ในที่สุดก็ถ่องแท้กับคำว่า ‘กิน’ ของเกรท เกรทเริ่มลงมือประพรมริมฝีปากไปทั่วแผ่นอก ทำสัญลักษณ์ดูดเม้มที่หน้าท้อง กัดเบาๆที่กระดูกเชิงกราน ก่อนไปจบตรงร่องตัววี ความเย็นเยียบกะทันหันแล่นเข้าเตะต้องช่วงกลางลำตัวอย่างผะแผ่วจนผมสะดุ้ง เจ้าตัวเชิงคล้ายจงใจในคราบไม่ตั้งใจ มือใหญ่ไล้แผ่วจุดศูนย์รวมแห่งอารมณ์ แกว่งหลังมือลูบผ่านเหมือนสายลมยามวสันต์ ก่อนจบลงยังโพรงปากขยับเคลื่อนเข้าครอบครอง

“เกรท!!ฮือ!!”

ผมตกใจสะดุ้งสุดตัว ทั้งชีวิตไม่คิดว่าจะมีใครมาทำแบบนี้ให้ หัวใจข้างซ้ายกระตุกเกร็งเต้นรัวอย่างประหวั่นพรั่นพรึง ขยับมือจับกลุ่มผมนุ่มของอีกฝ่าย ออกแรงต้านให้โพรงปากละออกจาก จนขอบตาเริ่มร้อนผะผ่าว

“เกรท...อย่า”

อะไรทำให้ร่างสูงยอมถึงขนาดนี้ จะบอกว่าเป็นเพราะผมเอ่ยปากว่ารบกวนด้วยงั้นเหรอ

“เกรท ไม่เอา ฮะ...คุณ ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้”

ลมหายใจพรูเบาระท้องน้อย แขนอ้อมหลังรั้งสะโพกให้ยกสูง ส่งสัดส่วนเร่าร้อนปลายเอ่อหยาดน้ำเข้าลึกในช่องปากอันอบอุ่น มือใหญ่ทำหน้าที่หยอกเย้าเคล้าคลึงผิวเนื้อเนินนิ่มอย่างรักใคร่ จังหวะดูดดุนเริ่มต้นอย่างเนินนาบ หากต่างกับสิ่งซึ่งเคยเผชิญมาอย่างสิ้นเชิง อย่างมากขึ้นชื่อว่าผู้ชายผมทำได้แค่ใช้สองมือปลดปล่อยยามมีอารมณ์ แต่ตอนนี้ใครบางคนกำลังทำรักกับส่วนที่ไม่เคยคิดอยากให้ใครจับต้องตั้งแต่รู้ความ ปลายเท้าจิกลงเตียงนอนผืนนิ่มอย่างเก็บอาการไม่อยู่ พยายามระงับอารมณ์สุดกำลัง

...ไปรู้เรื่องนี้มาจากไหนเนี่ย...

รู้ว่าไม่ได้เชี่ยวชาญ แต่ไม่ถึงขั้นไม่รู้ความ ร่างสูงถอดถอนสลับเก็บกินด้วยลิ้นร้อน พร้อมห่อหุ้มด้วยโพรงปากชื้นเปียกมาอีกครั้งทำราวกับรักใคร่เอ็นดูเจ้าของมันนักหนา สายตาเสพิศใบหน้าซึ่งปรากฏน้ำตาคลอเบ้า ขยับศีรษะได้รูปขึ้นลงอย่างหลงใหล

“อิม...อร่อย”

“...!” อย่าพูดแบบนี้ได้มั้ย มันไม่ใช่ไอติม ไม่ใช่อาหารอันโอชะของคุณนะ!!

ได้แต่ส่งเสียงฮึกฮักในลำคอยกมือปิดปาก เกรงการปรนเปรอเบื้องล่างจะเร้าอาการจนเผลอร้องครางเสียงประหลาดไม่น่าฟังออกมา

“อิม...” ช่วงจังหวะบางอย่างหายไป ผมเปิดเปลือกตามาเจอร่างสูงนั่งคุกเข่าเอามือยันเตียงในสภาพเสื้อแสงครบถ้วน อดเปรียบเทียบกับตนเองซึ่งไม่เหลือสิ่งที่สมควรเรียกว่า ‘เสื้อผ้า’ เอาไว้ปกปิดร่างกายได้เลย ประกายตาสีเข้มช้อนมอง ดึงข้อมือออกจากปากเคลื่อนหน้ามาประชิดใกล้ “ไม่ต้องกลั้นเสียงครับ”

“ไม่กลั้นได้ไง แม่คุณ! น้าคุณ! แถมลูกพี่ลูกน้องคุณ! ยังอยู่ข้างนอกนะ!” กดเสียงต่ำแต่ยังทำเป็นเชิงตวาดแหว ส่งสายตาชื้นน้ำจ้องตอบทั้งตัวเกร็งเสียงเครียด

“ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ ยังไงสักวันต้องรู้อยู่ดี”

“สักวันก็ต้องรู้อยู่ดี? นี่คุณคงไม่คิดจะบอกเรื่องพวกเรากับแม่คุณใช่มั้ย!” ผมจุดประเด็น เกรทนิ่งไป สีหน้าเปลี่ยนจากแววขี้เล่นกลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง

“ทำไมถึงบอกไม่ได้ล่ะครับ”

“ฮะ?”

“ถ้าคิดจะจริงจังกับคนนี้ไปตลอด ทำไมถึงบอกไม่ได้ล่ะครับ” ใจผมสั่นกระตุก เหมือนมีบางอย่างจุกในลำคอ คำพูดเกรททำให้เข้าใจผิดได้มาก เหมือนคนตรงหน้าคิดกับผมไปไกลมากกว่านั้น คิดไปถึงชีวิตปั้นปลายที่มีคุณปู่คุณตาสองคนนั่งจมรำลึกถึงความหลังกันริมทะเลสาบ ผมก้มหน้า รู้สึกสับสนและหวั่นไหว

“คุณคิดว่า เราจะไปกัน...ถึงขั้นนั้น ได้จริงๆเหรอ”

“ต้องได้สิ” เสียงทุ้มตอบหนักแน่นทันที แฝงแววนุ่มละมุนอบอุ่นหัวใจ

“คุณจะไม่เป็นไรจริงๆเหรอ จะไม่ทะเลาะกับแม่ กับน้าในเรื่องที่จะมาคบกับผม” ร่างสูงหลับตาพยักหน้าด้วยท่าทีสงบ

“ท่านต้องเข้าใจพวกเรา” เกรทจับมือผมขึ้นแนบแก้มของเขาลูบไล้ไปมาอย่างรักใคร่ เปลือกสีเนื้อระเรื่อเคลื่อนเปิดเผยดวงเนตรสีเข้มสะท้อนภาพผม

“ผมไม่อยาก...ให้คุณเดือดร้อน”

“การได้คบกับอิมเป็นความโชคดีของผม ผมไม่เคยเดือดร้อนเลย” ผมย่นจมูกมองอย่างไม่เชื่อความคิด

“คุณมันบ้า”

“ยอมบ้าครับกับเรื่องนี้”

 “...”

“ผม...ขออนุญาตบอกแม่ผมนะครับอิม” จู่ๆผิวหน้าก็ร้อนผะผ่าวราวกับเดินกลางทะเลทรายแดดจ้า ก้มใบหน้าหลบเลี่ยงสายตา ยากเหลือเกินที่จะกล่าวออกไปตรงๆ เสียงเลยวนอยู่ที่ลำคอว่า...

...อืม...

รอยยิ้มดุจแสงตะวันเผยชัด เจ้าตัวโน้มหน้าลงมากดจูบแนบชิด ปิดความเขินอายด้วยไออุ่นร้อน ประคองท้ายทอยแลกเกี่ยวชิมรสความหอมอวลในปากตอบโต้กันและกันไปมา หากครานี้รสสัมผัสต่างจากตอนต้นอยู่มาก มันหวานแผ่วๆประแล่มผสมความตื่นเต้น ลิ้นทั้งสองดูดดุนลิงโลดกวาดไล้ทั่วผนังอ่อนและแนวฟัน ขบดึงกลีบปากนุ่มนิ่มซ้ำๆราวกับมันเป็นแป้งขนมปังที่อบใหม่

อร่อย...

เกรทไม่ปล่อยให้หยาดน้ำหวานจากแป้งปังก้อนหลุดระปลายคางอย่างเสียเปล่า จึงถอนตามไปเก็บกิน ลิ้นอ่อนลามปามลงแนวคอ บดกดตรงสันกรามจนรู้สึกเจ็บจี๊ดเล็กๆ

“เกรท...อย่าทำรอย” ผมแตะไหล่เขา อีกฝ่ายหยัดตัวส่งแววตาลึกล้ำมาให้

“ก็ได้ครับ” นิ้วโป้งเกลี่ยจุดเมื่อครู่ไปมาราวกับว่าจะช่วยให้รอยจางหาย ก่อนรอยยิ้มแฝงแววเจ้าเล่ห์ผุดพรายเผยให้เห็นบนใบหน้าได้รูป “แค่ตรงส่วนที่มองเห็นตอนใส่เสื้อผ้านะครับ”

“หา?” พูดจบเจ้าตัวลงมือดึงเสื้อยืดของผมออกทางศีรษะ แต่ไม่ลืมจับแขนยกสูงหลบเลี่ยงแผลถลอกจากการถากโดนของเนื้อผ้า ร่างกายส่วนบนกลับมาไร้อาภรณ์ ช่วงล่างเหลือเพียงบ๊อกเซอร์กับกางเกงชั้นในซึ่งกองอยู่เหนือเข่า สภาพตอนนี้บอกเลยว่า...โคตรน่าอาย

ผมเผลอขดตัวตามการตอบสนองของร่างกาย แต่เกรทกลับทิ้งร่างจมลงบนแผ่นอก ฝ่ามือใหญ่จับแผ่นหลังดันผิวเนื้อป้อนเข้าสู้ปลายปากที่ดูดขบเม้มระรัว กระจายประปรายไปทั่วทุกอณูผิว

“ฮะ...ยะ...อื้อ!” เกรทกัดเบา บดริมฝีปาก ส่งความชื้นเปียกมาในบางคราว จากแผ่นอกลุกลามไปถึงหน้าท้องวนรอบบริเวณใกล้สะดือ มือใหญ่สองข้างกำแก้มผิวนุ่มตรงบั้นท้ายออกแรงบีบคลึงหนักๆ ผลักดันให้ต้องยกสะโพกหนีเสือ...แต่ส่วนกลางลำตัวกลับไปปะจระเข้ด้านหน้าเสียได้...

ส่วนที่หลงเหลืออารมณ์อยู่ผะแผ่วกระทบโดนไหปลาร้าของเกรทเข้าอย่างจัง

“อึ๊!” เผลอเปล่งเสียงไม่เป็นภาษายกสองมือขึ้นปิดปากแน่นด้วยอารามตกใจ เกรทถอนตัวขึ้นนั่งทับส้นเท้ากะทันหัน จัดการถอดเสื้อของเจ้าตัวก่อนโยนเหวี่ยงมันออกไปแบบไม่สนใจใยดี ท่าทางดิบเถื่อนของผู้ชายอ่อนโยนคนนี้ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

ไม่ทันให้เอ่ยปากห้ามมือหนึ่งที่เคยเคล้นคลึงสะโพกย้ายมากอบกุมกลางลำตัว ศีรษะได้รูปก้มจรดรับส่วนบ่งถึงรสเพศเข้าโพรงปาก ความอ่อนนุ่มแตะสัมผัสทำเอาเสียววาบไปทั้งตัว

ครั้งแรกยังเก้อกระดาก หากครั้งสองนั้นยิ่งกว่า ร่างสูงห่อปากขยับศีรษะขึ้นลงอย่างเนิบนาบราวกับปลอบขวัญ สร้างความเสียวตึงมวนท้องอย่างหนักหน่วง ดวงใจทั้งดวงแทบกระโจนออกมานอกอก เสียงเต้นราวกลองศึกของก้อนเนื้อด้านซ้ายสร้างเหงื่อผุดพรายให้ร่างทั้งสองในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก แรงเสียดสีส่วนอ่อนไหวพลางถอดถอนแตะเกลี่ยด้วยปลายจมูก ริมฝีปาก และเรียวลิ้นสากตวัดเลีย กอบกุมลูบสัมผัสประคับประคองด้วยอุ้งมือแกร่งและนิ้วทั้งห้า สร้างให้เกิดหยาดน้ำปริ่มขึ้นที่ส่วนปลาย

ได้แต่เกร็งตัวจิกนิ้วเท้าทั้งสิบลงผืนเตียง พาดแขนข้างหนึ่งจับขยำลงบนกลุ่มผมนุ่ม บิดตัวยกมือขึ้นกั้นเสียงสุดกำลังจนน้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้า หอบหายใจหนักรับรู้ถึงความรู้สึกที่สะสมจนกลั่นตัวเป็นหยาดน้ำไหลอาบส่วนน่าอายซึ่งแข็งขืนเต็มที่

มือของเกรทไล้วนหยอกเย้าโดยรอบ ไม่พ้นแม้เครื่องเพศอีกส่วน กอบประคองขยำคลึง พร้อมเร่งจังหวะดูดรั้งให้หนักขึ้นกว่าเก่าก่อน บางครั้งปลายฟันเหมือนขบโดนเบาๆจนทั้งร่างสะดุ้ง เสียงครางอืออาเข้มขึ้นราวกับปราม กายสูงปลอบขวัญด้วยการตวัดลิ้นตรงส่วนปลาย แล้วกลับมาห่อรัดด้วยผนังนุ่ม เพิ่มจังหวะความเร็วถะถี่ ส่วนหน้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอวัยวะที่มักใช้เอ่ยคำหวานเจื้อยแจ้ว  ขยับขึ้นลงสร้างความสุขสม ก่อนย้ายสองมือมาจับสะโพกขาวที่ตึงเครียดขยำหนัก พลางลากนิ้วเข้าร่องเนื้อเกลี่ยเบาตรงส่วนเร้นลับจนร่างโปร่งสะดุ้ง

“ฮั่ก!” ผมปล่อยลมหายใจออกปาก เปล่งครางอย่างกลั้นไม่อยู่ “เกรท...ผม” มือแกร่งยังคงทำหน้าที่เป็นพันธนาการผลักดันสะโพกขยับส่งส่วนแข็งขืนเบื้องหน้าเข้าลึก บีบแก้มก้มนิ่มให้ถอนถอยสลับไปมาเร่งจังหวะ จนลมหายใจหอบหนัก ปวดตึงเสียวซ่านแปลบปลาบทั้งช่วงล่าง สุดกำลังจะยั้งมือจนกระทั่งแรงอารมณ์ผลักดันมาถึงขั้นขีดสุด สองมือยกประคองศีรษะได้รูปรั้งออกด้วยแรงอันน้อยนิดที่มี พลางส่งเสียงครวญคราง

“ฮะ...เกรทจะออก ผมจะออก!” ของเหลวอุ่นร้อนเข้มข้นถะถังออกมาอย่างไม่ทันห้าม ร่างกายกระตุกเกร็งซ้ำๆรีดเร้นสิ่งซึ่งยังคั่งค้างถะถี่ สะท้านใจอย่างไม่เคยมีคือการที่ร่างสูงยังคงนิ่งจมจ่อกับการกอบปากดูดกินส่วนนั้น เก็บกลืนไอร้อนซึ่งท่วมทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง ช่วงคอกระเพื่อมเบาบางหลายครั้งบ่งถึงการรับรักทั้งหมดลงท้อง

“กะ...เกรท...คุณ...บ้าไปแล้ว” ผมย้ายมือไปล็อกศีรษะได้รูป เชยคางอีกฝ่ายเช็ดของเหลวอันน่าอายของตนที่มุมปาก น้ำตาทางกายภาพไม่หลั่งแต่น้ำตาในใจนั้นแทบท่วมโลก โคตรน่าอาย น่าอายที่สุด ร่างสูงไม่ส่งสายตาหยอกล้อกลับเผยยิ้มอ่อนละมุนหัวใจ หากเป็นใครได้เห็นมีหวังคงได้ละลายลาตายไปยังโลกหน้า

“ของอิม...อร่อยมากๆเลยครับ”

ถ้าอร่อยก็ไม่ต้องกินข้าวแล้วสินะ ฮือ...ผมจะร้อง ยกท่อนแขนขึ้นก่ายหน้าผากปิดบังใบหน้าด้วยความอับอาย

เกรทหยัดกายขึ้นนั่ง พลันให้สายตาใต้ท่อนแขนที่บดบังปะเข้ากับสิ่งซึ่งนูนโตพองขยายภายใต้กางเกงลำลอง

อย่าบอกนะว่า...เกรทก็...

ขณะเอื้อมมือจะไปจับ เจ้าตัวกลับลุกออกจากเตียง ผมรีบกระวีกระวาดคว้าข้อมือของร่างสูงไว้ เกรทกระตุกตัวหันมามองทำหน้าแปลกใจ

“อิม?”

“ข...ของคุณ” เกรทก้มหน้ามองตามสายตาผมแวบหนึ่ง

“อ...อ๋อ...ไอ้นี่เหรอครับ” เจ้าตัวยกมือลูบท้ายทอยเหมือนแก้เก้อ “ขอโทษครับ พอทำให้อิม...มันก็อยู่ไม่สุขขึ้นมา”

“ให้ผมช่วย...” นิ้วชี้ของเกรทยกขึ้นแตะริมฝีปากผม

“ให้มันค่อยเป็นค่อยไปเถอะครับ” รอยยิ้มอบอุ่นดุจแสงอาทิตย์ เจิดจ้าเสียจนต้องหยีตามอง “และอีกอย่าง ผมกลัวใจตัวเอง กลัวว่าถ้าอิมทำให้...มันจะไม่จบแค่นี้” วาจาอ่อนโยนแผงแววขู่อยู่เล็กน้อย มันทำให้หัวคิดเผลอไผลจินตนาการไปถึงยามได้ตระกองกอด รับสัดส่วนใหญ่โตของอีกฝ่ายไว้ภายในร่าง สัดส่วนซึ่งเคยเห็นเนื้อแท้ผ่านสายตาแค่ประปรายอยู่หลายต่อหลายครั้ง

จินตนาการนั้นทำให้หน้าผมขึ้นสี รีบดึงผ้าห่มมาคลุมไหล่ขดตัวกอดเข่าก้มศีรษะงุด เสียงก่อกแก่กดังมา ในมือใหญ่ถือกระดาษทิชชูเปียกห่อโต ทรุดตัวลงนั่งขอบเตียง

“ให้ผมเช็ดตัวให้นะ” ผ้าห่มถูกดึงออก ท่านั่งชันเข่าดูหมิ่นเหม่เกินไปจนต้องปรับลุกมานั่งพับขา คว้าเสื้อยืดมาปิดตรงกลาง เกรทจับแขนผมค่อยๆเช็ดซับเหงื่อหลีกเลี่ยงส่วนที่พึ่งทาทิงเจอร์ไอโอดีนไป “ทำอะไรทำไมไม่คิดถึงตัวเองบ้างครับ” เจ้าตัวกำลังตำหนิเรื่องแผลผมอยู่แน่นอน

“ถ้าไม่ช่วยน้องคุณก็โดนรถเฉี่ยวนะ” เกรทถอนหายใจ

“ไม่ใช่แค่เรื่องนั้นครับ ผมหมายถึงหลายๆเรื่อง” มือใหญ่ขยับลูบผ้าเปียกผืนเย็นกับแผ่นอกซึ่งตอนนี้โดนรอยปื้นห้อแดงตีตราจองแทบทุกตารางนิ้ว

“หลายๆเรื่อง? หมายถึงเรื่องไหนบ้างล่ะ”

...หมายถึงเรื่องอิมเป็นห่วงว่าผมจะทะเลาะกับแม่กับน้า มาก่อนเรื่องสถานะและตัวตนของตนเองเสมอ...

สายตาคมได้แต่จ้อง...และจ้อง โดยไม่กล่าวอะไร ปล่อยให้ความเงียบฝังตัวอยู่ในห้องได้สักพัก เมื่อมือขยับมาเช็ดแผ่นหลังด้วยท่าราวกับคนกอดกัน เสียงทุ้มต่ำจึงเริ่มเอ่ย

“ทีหลังอยากได้อะไรก็บอกมาเถอะครับ อย่าเก็บไว้เลย” ราวกับตนยืนอยู่บนเส้นขีดแบ่งระหว่างเบื้องหลังกับหน้าเวที คำพูดเกรทเป็นแรงผลักดันชั้นดีให้หลุดคำพูดในสิ่งที่คิด สิ่งที่อยากได้แต่ไม่เคยได้พูดออกไป

“...ณ” ผมเอ่ยเสียงแผ่วจนอีกฝ่ายแทบไม่รู้สึก “ผมอยากได้คุณ”



มีต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1

น่ากระดากอายเหลือเกินกับการเดินจูงมือเกรทออกมาจากห้องเขา ผมก้มหน้างุดมุดตัวหลบแผ่นหลังกว้าง เจ้าตัวเดินอย่างมุ่งมั่นมาทางโต๊ะอาหารที่ยังมีอีกสามชีวิตรอทานเข้าเช้าด้วยกันอยู่

คนเป็นมารดานั่งตัวตรงหันมองทางทีวีซึ่งมีรายการวาไรตี้ไลฟ์สไตล์กำลังเล่นอยู่ ก่อนจะโดนตัดด้วยโฆษณานมเปรี้ยวไขมันต่ำหวานน้อยที่พรีเซนเตอร์เป็นคนหนุ่มสาวหน้าตาสดใสสุขภาพดี ใส่ชุดออกกำลังกายโชว์ซิกแพคกับเลขสิบเอ็ดให้เห็นวับแวบแบบเรียกคะแนนนิยมของคนหนุ่มสาวได้เต็มเปี่ยม เชิญชวนให้หันมาใส่ใจสุขภาพรับประทานอาหารที่น้ำตาลน้อย ไขมันต่ำและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

“หุ่นตาเกรทนี่อย่างแซ่บ”

น้าแก้ววิจารณ์พลางหยิบขนมครกเข้าปากเคี้ยว “หูยวันนั้นนะพี่ อย่าให้พูดถึงเลย อย่างน้อยก็น้องผู้หญิงที่เล่นโฆษณาด้วยคนนึงเนี่ยแหละ ผู้หญิงที่กองถ่ายนี่เงี๊ยะ ทำตาเล็กตาน้อย” คนเป็นน้าใช้นิ้วยกบีบตาแสดงท่าทางประกอบ “ใส่ตาเกรทไม่หยุด จ้องอย่างกับจะกลืนลูกพี่ไปทั้งตัว แถมพอเลิกกองเสร็จไม่พอยังมีมาส่งน้ำส่งขนมแอบเขียนเบอร์ลงถุงกล้วยแขกให้อีก วันนั้นน่ะ ชั้นน่ะกลัวซะเหลือเกิน กลัวลูกพี่จะเสียความบริสุทธิ์ให้ใครสักคนในกองเนี่ยแหละ” น้าแก้วเผาร่างสูงซะยับ

เกรทเคยเล่าให้ฟังว่าที่ตนเองไปถ่ายโฆษณาก็เพราะบริษัทของคุณน้าขาดนายแบบกะทันหันไม่ใช่ว่าตั้งใจจะเข้าวงการแต่อย่างใด จบคำนินทาเกรทปรายตามองผมพลางยิ้มแห้ง อดไม่ได้ที่จะแกล้งทำท่าทีเย็นชาปั้นปึ่งใส่จนร่างสูงทำท่าทีกระวนกระวาย

“ยัยแก้ว” แม่เกรทพูดแทรกขึ้นเสียงแข็ง “อย่ากินจุกจิกให้เยอะ เดี๋ยวพวกเด็กออกมาจะกินข้าวกันไม่ลง” ขนมกล้วยชะงักคาอยู่ในมือ น้าแก้วยิ้มแหย รู้ตัวทันทีว่าไปสะกิดจุดอ่อนของคนเป็นพี่เข้าให้ ความไม่พอใจเลยถูกเอามาใส่ในคำเหน็บเรื่องนิสัยกินของตน แต่น้าแก้วรู้ดีว่าพี่สาวแค่ต้องการตอกกลับใช่ถึงกับจะโกรธจะเกลียดกัน

“แต่ตาเกรทก็สมกับเป็นตาเกรทแหละค่ะ ไม่รู้ใครสั่งใครสอนหรือบังคับมารึเปล่า ขนมกับน้ำที่ได้มาไม่แตะไม่จิบสักอึกแถมแบ่งให้พี่ๆคนงานที่กองเฉย ถุงกล้วยแขก กับถาดขนมครกพร้อมเบอร์โทรเลยลงถังขยะไปตามระเบียบ ไม่ตกมาถึงมือลูกชายพี่หรอกค่ะ”

“อย่าพูดว่าบังคับ กับเรื่องนี้ชั้นไม่เคยบังคับลูก”

“แต่เข้มงวดมาก” คนเป็นน้าลากเสียงยาวเพราะรู้นิสัยพี่สาวดี “ตาเกรทแกถึงไม่กล้าทำอะไรไงคะ ไม่เคยพาสาวเข้าบ้าน จนป่านนี้น่าจะยังไม่เคยมีแฟนด้วยซ้ำล่ะมั้ง โถโถน่าสงสารหลานน้าจริงๆที่ทิ้งประสบการณ์กว่ายี่สิบปีให้สูญเปล่า” สุดท้ายขนมกล้วยก็ถูกสำเร็จโทษ คุณน้าเคี้ยวหมุบหมับพลางยกมือกดรีโมตเปลี่ยนช่องโทรทัศน์

“นี่เธอกะจะให้ลูกชั้นมีแฟนตั้งแต่ไม่ถึงขวบหรือไง” คนเป็นมารดาชักสีหน้า ตวัดตาดุใส่น้อง

“อะ อะ ประสบการณ์สิบปีก็ได้ค่ะ สิบปีนับตั้งแต่วัยเจริญพันธุ์ อืม...จะว่าไปก็แปลกนะคะ โสดมานานขนาดนี้ ทำไมคราวนี้ลูกชายพี่กลับเปิดตัวซะยิ่งใหญ่ เรียกร้องให้เรามาเจอว่าที่แฟนตัวเองได้ล่ะ แก้วน่ะแอบลุ้นจริง เอ...ว่าแต่ทำไมตาเกรทช้าจัง ไหนบอกว่าทำแผลให้พี่เขาเสร็จแล้วจะรีบออกมาไง แล้วทำไม...” น้าแก้วหันมามอง ผมยืนตัวแข็งทื่อไปนับตั้งแต่วินาทีที่คำว่า ‘ว่าที่แฟน’ แล่นเข้าสมอง เกรทกระตุกแขนข้างที่จับกุมกันไว้จนผมสะดุ้ง รู้สึกตื่นกลัวขึ้นมาเสียดื้อๆเลยตั้งท่าจะชักมือที่ประสานกันอย่างประเจิดประเจ้อกลับ แต่แรงนิ้วเกรทมีมากกว่าเลยกำต้านไว้แน่น

“ทำแผลให้พี่เขาเสร็จแล้วเหรอ” คนเป็นมารดาเอ่ยทัก

“ครับ”

“งั้นมานั่งนี่สิ มาทานข้าว” เสียงแม่เกรทเรียบนิ่งดุจไม่เห็นมือสองคนที่เกาะเกี่ยวกัน เกรทจูงผมอ้อมโต๊ะมาตรงเก้าอี้สองตัวที่จัดไว้ พอนั่งลงได้เลยก้มหน้าจ้องตักตัวเองท่าเดียว

“ตาเวลไปไหนล่ะ” เหลือเก้าอี้ว่างอีกหนึ่งตัว แต่ไม่เห็นวี่แววของน้องลูกชายคุณน้า

“ออกไปเดินด้านนอกแต่เช้าจนเหนื่อยเลยหลับไปค่ะ พวกเราก็กินกันก่อนเถอะ เดี๋ยวหิวก็ตื่นขึ้นมาเอง”

“ทานข้าวเถอะครับอิม” เกรทส่งยิ้มให้ผม เหมือนว่าตรงหน้าของทุกคนจะมีหม้อดินใส่ข้าวอบขนาดย่อมหนึ่งใบวางอยู่ บนหม้อปิดฝาไว้เรียบร้อย พอเปิดดูกลิ่นอาหารอันโอชะก็ลอยเตะเข้าจมูก มันคือเมนูเดียวกับเมื่อครู่ที่ผมช่วยแม่เกรทยกมา หากตอนนี้มันถูกจัดเรียงซะสวยจนน่ายกคะแนนเต็มสิบให้กับการจัดจาน

“ข้าวต้มแห้งทะเล” คนเป็นลูกชายแนะนำเมนูตรงหน้า ความหลากหลายบนจานอาหารสร้างความตระการตาห็สิบเท่า จนอดที่จะเผลอทำหน้าตื่นตาตื่นใจไม่ได้

“น่ากินจังเลยครับ” ขนาดคนทานอะไรมาแล้วยังน้ำลายสอ หรือเป็นเพราะเมื่อครู่ออกแรงมากเกินไปเลยรู้สึกท้องไส้เริ่มปั่นป่วนน้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำงาน

“น่ากินก็ทานเลยสิจ๊ะ” น้าแก้วสำทับกระตุ้นให้หยิบช้อนขึ้นตัก เนื้อกุ้งชิ้นโตเนื้อหยุ่นเด้งสีส้มสวยผัดปะปนกับสีน้ำตาลระเรื่อของกระเทียมพริกไทยดำส่งกลิ่นกำจายหอมฟุ้ง โปะหน้าบนข้าวหอมมะลิหุงสุกเรียงเม็ดสวย ผมบรรจงตักสองอย่างพร้อมกันคำโตๆเข้าปาก กลิ่นเครื่องเทศรากผักชีรวมทั้งกระเทียมเจียวอบอวลหอมหวนขึ้นจมูก พอเริ่มกัดก็เกิดเสียงดังกร๊วบจากกากหมูกรุบกรอบกลิ่นน้ำมันหอมกระจายทั้งปาก ผมเคี้ยวนิ่งค่อยๆละเมียดละไมตะล่อมรับรสชาติก่อนกลืนเข้าคอ

“อร่อย...จังเลยครับ” คำสองจ้วงเข้าไม่รั้งรอ เจอหมึกชิ้นโตเนื้อกรอบ ปลากะพงสดทอดผสมขึ้นฉ่ายดับกลิ่นคาวได้พอดีกัน เหมือนตนเองกำลังเจอขุมทรัพย์ที่อร่อยมากกว่าข้าวกะเพราหมูสับไข่ดาวไม่สุกในความคิด

“เพื่อนเราทานดูน่าอร่อยจัง” เสียงน้าแก้วทักจนเคี้ยวค้าง เงยหน้าไปเห็นสามสายตาจ้องมา กลืนข้าวดังเอื๊อกแทบจุกอก

“ซดน้ำแกงก่อน” แม่เกรทตักน้ำแกงใส่ถ้วยเล็กยื่นส่ง ผมรับไว้แล้วเป่าให้คลายร้อนแล้วซดอึกอัก

“ค่อยๆกินก็ได้อิม เดี๋ยวติดคอ” เกรทยกมือลูบหลังผม ยิ้มบางอย่างเอ็นดู หลังจากนั้นทุกคนจึงเริ่มตักข้าวหม้อของตนทาน ระหว่างนั่งทานอย่างเงียบๆก็ยกแขนกระทุ้งศอกร่างข้างๆเบาๆ

“เกรทผมเจออะไรที่อร่อยกว่ากะเพราแล้ว” ผมกระซิบทั้งที่ยังเคี้ยวหมุบ มือขยับไม่หยุด ป้อนข้าวเข้าปากอย่างต่อเนื่อง ร่างสูงหัวเราะเบาเคี้ยวข้าวในปากจนหมดแล้วพูด

“แต่เมนูนี้ไม่มีขายที่ไหนนะครับ ต้องมาทานที่บ้านผมอย่างเดียว”

“...” อร่อยจนลืมไปเลย ว่าอยู่ต่อหน้าแม่และน้าของเจ้าตัว ผมค่อยๆกลับมาสู่ท่าทีสงบเสงี่ยม เหล่มองซ้ายชายตาขวา สำรวจท่าทีผู้ใหญ่ทั้งสอง พลางซดน้ำแกงเบาๆให้โล่งทั้งคอและใจ นั่งกินไปอย่างเงียบเชียบ

จนกระทั่งทุกคนทานเสร็จ น้าแก้วก็ผุดตัวลุกจากเก้าอี้ “เดี๋ยวแก้วไปเอาสละลอยแก้วมาให้”

“ผมช่วยครับ” ผมอาสา ลุกจากโต๊ะเดินตามไป จะให้นั่งเฉยไม่ทำอะไร รอผู้ใหญ่เดินมาเสิร์ฟก็แอบรู้สึกขัดๆ ถือว่าอาศัยจังหวะหลุดพ้นจากบรรยากาศอึดอัดของสายตาแม่เกรทที่พุ่งมองมาตลอด หนีร้อนไปพึ่งเย็นอย่างน้าแก้วคงดีกว่า

เดินตามผู้เป็นน้ามาจนถึงโซนครัว น้าแก้วหยิบน้ำแข็งถุงจากช่องฟรีสมาถึงไว้ คว้าขวดแก้วเปล่าใกล้ๆตัวยกขึ้นตั้งท่าจะตี “ให้ผมทำให้มั้ยครับ” ยื่นมือออกไปรับขวดหนาคว้าน้ำแข็งได้ก็ทุบตุบตับไปสามสี่ที ด้วยแรงผู้ชายจึงดูง่ายไร้ความยุ่งยาก ชั่วพริบตาน้ำแข็งก้อนใหญ่จึงกลายเป็นบดละเอียด เอามาโรยในสละลอยแก้วสีส้มเนื้อในน้ำเชื่อมใสน่ารับประทานอย่างยิ่งยวด ช้อนใส่ชิ้นสละถูกยื่นมาจ่อที่ปาก

“อ่ะ ไหนเราลองชิมสิ น้าทำเองเลยนะ”

“ฮะ?” ผมเก้อกระดากเกินกว่าจะอ้าปากรับ

“เวลาเรากินน้าเห็นว่าน่าอร่อยดี อยากเห็นเราทานของที่น้าทำบ้าง แต่ขออย่างเดียว”

“ขอ...ขออะไรครับ” ผมตื่นๆกับท่าทีเป็นมิตรเกินเหตุของญาติผู้ใหญ่ท่านนี้ของร่างสูง

“ห้ามบอกว่าไม่อร่อย” เผลอหลุดหัวเราะอย่างเคยตัว น้าแก้วร่วมยิ้มตอบ ผมเริ่มอ้าปากรับความหวังดีของน้ามา กลิ่นหอมของใบเตย ความนุ่มกรอบหวานอมเปรี้ยวของสละ บวกกับน้ำเชื่อมดูเข้ากันดี

“อร่อยครับ หวานหอมสดชื่น ล้างคอกำลังดีเลย”

“ใช่มั้ยล่ะ มีแค่เมนูนี้แหละที่น่าภูมิใจ แต่คงไม่ใช่...” คุณน้ายกขวดเปล่าที่เอากลับไปถือชี้หน้าผม “พูดเพราะเอาใจที่เป็นน้าแฟนหรอกนะ”

ฮะ?

กว่าจะตีความได้ร่างกายก็ตอบสนองด้วยการยกมือแกว่งไหวระดับอกซ้ำๆ ส่ายปฏิเสธสุดกำลัง

“ผ...ผมไม่ใช่แฟนเกรทครับ คุณน้าเข้าใจผิดแล้ว”

“อ้าว ไหนวันนี้เกรทบอกว่าจะพาคนพิเศษมาเปิดตัว”

“ผ...ผมแค่บังเอิญมาหาเขาเท่านั้นเอง” ประสาทตอบรับมันสั่งให้ผมตอบโต้คนเป็นน้าว่าอย่างนั้น

“หืม...ไม่น่าจะนะ” น้าแก้วย่นคิ้วจ้องหน้า ก่อนคว้ามือถือในกระเป๋ากางเกงมากดอะไรบางอย่างยุกยิก “เราใช่คนนี้รึเปล่า” ปรากฏภาพที่เกรทเคยส่งมาโชว์ผมตอนที่คบกันใหม่ๆ เป็นภาพซึ่งผมเผยรอยยิ้มเบิกบานสุดชีวิตต่อหน้าไอ้เบส ทำไมไปอยู่บนมือถือของคนที่เพิ่งเจอกันวันแรกอย่างน้าแก้วได้ล่ะ ผมพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ในเมื่อคำตอบมันคือคำว่าใช่

“ถ้างั้นก็ไม่ผิดแล้ว”

“ไม่ผิดอะไรครับ น้าแก้วคือผมไม่ได้เป็น...”

“ทำเสร็จรึยังครับ ผมมาช่วยยก” เสียงทุ้มขัดจังหวะบทสนทนา ผมสะดุ้งอย่างวัวสันหลังหวะหันไปทางคนมาใหม่ จนเกรททำหน้าฉงนเอียงคอมอง ก่อนเดินมาประชิดยกมือลูบศีรษะอย่างแผ่วเบา “ทำหน้าอะไรแบบนั้นล่ะครับ” เกรทยกยิ้มอิ่ม ทำใจผมเต้นระรัว เจ้าตัวหยิบถ้วยเล็กจนเต็มมือสองชามเดินออกไป

...มาลูบอะไรจังหวะนี้เนี่ย...

“ไม่ผิดแล้วล่ะน้า~” ผู้เป็นญาติฝ่ายแม่คว้าอีกสองถ้วยกล่าวเปรยเดินตัวปลิวผ่านผมตรงไปยังโต๊ะอาหาร พอกลับมานั่งโต๊ะได้ก็คอตกอย่างไร้สาเหตุ

เกรทถึงกับมอง “เป็นอะไรรึเปล่าอิม”

สละลอยแก้วเริ่มจะไม่อร่อยแล้วล่ะ ผมรู้สึกผิด...รู้สึกผิดจริงๆที่ทำให้หลานชาย รวมถึงลูกของคุณต้องกลายเป็นแบบนี้ ถึงเกรทจะประกาศขอบอกเรื่องนี้กับแม่ แต่ความกลัวมันค่อยๆครอบงำเข้ามาในจิตใจ ยามต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง

“...” นั่งนิ่งค่อยๆ ตักขนมเข้าปากอย่างเหม่อลอย ผมรู้สึกได้ถึงสายตาของมารดาร่างสูงซึ่งจ้องอยู่ตลอดราวกับจับผิดก็ไม่ปาน จนต้องนั่งงอตัวก้มหน้าก้มตากิน

“เกรท แฟนเราไม่สบายเหรอ หรือขนมยัยแก้วไม่อร่อยจนเสียดท้อง” ไม่อยากให้เกรทต้องอึดอัด หรือทำให้น้าแก้วต้องรู้สึกไม่สบายใจที่โดนตำหนิรสมือ จึงเงยหน้าฝืนยิ้มเข้าสู้

“ผมสบายดี...” กว่าจะรู้ตัวว่าคำเรียกของคนเป็นแม่ช่างดูแปลก...

หา!!?? เมื่อครู่แม่เกรทเรียกผมว่าอะไรนะ!!



…TBC…


+++++++++++++++++++



แต่งออก หรือแต่งเข้าดีน้า

คนที่ได้ทานขนมหวานรองท้องก่อนกินข้าวไม่ใช่อิมหรอกน้า555
เรื่องนี้เราแต่งเอาสบายๆเนื้อเรื่องเรื่อยๆค่ะ ไม่ม่า ไม่เครียด ไม่มีสาระ ไม่มีอะไรเลยย เอร๊ยย
กอดนักอ่านที่เข้ามาคอมเมนต์และส่งกำลังใจให้เสมอ ทั้งหน้าเก่าและหน้าปัจจุบันเคนค่ะ
รักนะคะ
เจอกันตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

สามผ่านแน่ ๆ ทั้งแม่น้าและหลาน  อิอิ

ออฟไลน์ sakutaka

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

แปด(ครั้งที่สอง)...ผูกมัด



“ผมท่าจะไม่สบาย” ฝ่ามือแตะไหล่คนข้างเคียงเบาๆอย่างเสียไม่ได้ สายตาเหม่อลอยอย่างไม่ยอมรับความจริง เกรทเบนตัวให้ผมเกาะไหล่ได้สะดวกขึ้น เลยเผลอกำแขนเสื้อเขาเสียแน่น แววกังวลฉายชัดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ก่อนริมฝีปากได้รูปจะขยับ

“อิม...”

หากไม่ทันไรกลับมีเสียงเพื่อนร่วมโต๊ะอย่างน้าแก้วขานรับทันที “อ้าว ไม่สบายจริงๆเหรอ” ผมเงยหน้ามองเจ้าของคำถามแล้วเบนสายตาไปทางผู้เป็นมารดาของรุ่นน้องอย่างกล้าๆกลัวๆ พยักหน้าเบาๆแบบแทบไม่รู้สึก

“ผม...ได้ยินคุณน่าเรียกผมแปลกๆ” และเป็นคนเดิมที่สวนกลับทันควัน

“น้าเนี่ยนะ น้าพูดอะไรแปลก” น้าแก้วยกนิ้วขึ้นชี้หน้าตนเอง

“ป...เปล่าครับ ไม่ใช่น้าแก้ว แต่เป็นคุณน้า” ใช้สายตาชี้ไปทางเจ้าของใบหน้าเรียบเฉย ซึ่งนั่งตักสละลอยแก้วของน้องสาวเข้าปากด้วยท่วงท่าสงบดุจไม่เคยก่อเรื่องอันได้ไว้

“น้า?” น้าแก้วยังคงงง ขึ้นเสียงสูงที่ท้ายคำ

“คือผมหมายถึงคุณน้า” จิ๊ปากในใจเนื่องจากสิ่งที่ต้องการสื่อยังไปไม่ถึงคนฟัง เลยกำมือแน่นพลางตะเบ็งเสียงดังเพราะอัดอั้นเกินทน

“คือผมหมายถึงคุณแม่น่ะครับ!”

จบคำผู้เป็นมารดาหยุดมือจากการตักเนื้อสละอวบๆเข้าปากอย่างฉับพลัน

ส่วนน้าแก้วนั้นยกมือปิดปากทำตาโต

ผมนั่งนิ่งสะท้อนใจไปทั้งร่าง ชักมือกลับมาวางบนตักเหมือนใบหน้าร้อนลามไปถึงลำคอ คะ...ใครว่าผมตั้งใจจะเรียกว่าแม่กันล่ะ! แค่ไม่มีคำเจาะจงไปมากกว่านี้แล้วต่างหาก อีกอย่างผมไม่รู้ชื่อแม่เกรทเสียด้วย เข้ามาก็เจอแต่ลูกเรียกว่า ‘แม่’ น้าเรียกว่า ‘พี่’ แล้วผมจะไปตรัสรู้ได้ไง

ผิดเองที่เรียกท่านทั้งสองว่าน้าตั้งแต่แรก อยากให้เกียรติคนทั้งคู่เพราะดูคล้ายยังเยาว์วัยกว่าบุพการีตน ไม่อยากเรียกป้าให้ต้องตะขิดตะขวงใจ แต่ทำไมกลับ...

แวบหนึ่งผมนึกว่าตาฝาด ผมแอบเห็นเกรทลอบอมยิ้มเสียจนแก้มแทบปริ

“แม่เรียกอะไรแปลก?” เสียงนิ่งเย็นเรียกสติราวกับมีคนยกถังน้ำแข็งมาราดใส่หัว ผมขยับสายตาไปมอง ยืดหลังตรงตัดใจเผชิญหน้า รู้สึกตัวตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เข้ามาในห้องไม่มีรอยยิ้มใดปรากฏที่มุมปากเคลือบลิปสติกสีกุหลาบเก่านั้นเลย รู้สึกเหมือนโดนอีกฝ่ายจับผิดตลอดเวลาโดยเฉพาะตอนยืนอยู่ใกล้ร่างสูง หรือแม่เกรทจะไม่ชอบหน้าผม หรือเพราะผมเป็นผู้ชายเลย...

“เออะ...คุณน้าครับ”

“จ๊ะ”

ร้องไห้ได้มั้ย น้าแก้วไม่รับมุกผมอีกแล้ว เธอหันมาจนผมต้องยอมม้านหน้าเรียก “ไม่ใช่ครับ คือผมหมายถึงคุณแม่”

“อ๋อ” คนเป็นน้องสาวขานรับเสียงดังแบบเดินจากสุพรรณมาถึงบางอ้อ

“ท...ที่คุณแม่เรียกว่าแฟน คือผมไม่ใช่...” ใครบางคนขยับมากุมมือบนตักเหมือนห้ามทัพไว้ ผมเหลียวไปมอง เกรทระบายรอยยิ้มอ่อนสบตา ก่อนหันไปหามารดาอีกครั้ง

“รุ่นพี่ที่สนิทครับ” เสียงทุ้มเอ่ยตอบ แผ่นหลังเหยียดตรงมองคนเป็นผู้ใหญ่ไม่หวั่นไหว ปลายนิ้วยังคงจับกุมผมไว้ไม่ห่าง “อิมเป็น...รุ่นพี่ที่ผมสนิทมาก” ราวกับคัดลอกกิริยาของผู้เป็นมารดามาทุกกระเบียดนิ้ว ร่างสูงดูสง่าทุกท่วงท่าบุคลิก ปฏิบัติตัวเหมือนทุกครั้งยามเจอคนในบ้านผม

ระหว่างชื่นชมรูปลักษณ์ยามสนทนา อีกใจนึงก็พาลโหวงขึ้นมาเสียดื้อ เหมือนโดนตอกกลับยังไงชอบกล ทั้งที่มันเป็นสถานะที่ปลอดภัยที่สุด และตนมักใช้อ้างเสมอยามเจอคนรู้จัก แต่พอหลุดออกจากริมฝีปากได้รูปตรงหน้ามันถึงได้ตอกย้ำใจได้ขนาดนี้

“ช...ใช่ครับ รุ่นพี่ที่สนิทกันมาก” เปล่งเสียงต่ำพยักหน้าเบาๆพลางทอดสายตามองไปบนโต๊ะอาหารอย่างไรจุดตก

“อยู่คนละคณะ แต่บังเอิญไปรู้จักกันครับ” นิ้วได้รูปตีหลังมือผมเบาๆราวกับปลอบและเหมือนเป็นเชิงบอกว่าเรื่องทุกอย่างฝากให้เขาจัดการเอง ผมจึงได้แต่พยักหน้าน้อยๆส่งเสริมคำพูดเขา

“ช...ใช่ครับ”

“คนที่ผมเคยเล่าให้แม่กับน้ำแก้วฟังบ่อยๆไง”

เล่าให้ฟังบ่อยๆ? คงเป็นเรื่องที่เกรทบอกว่าเล่าจนได้รถคันนั้นมาสินะ

“คนที่บอกว่าอยากได้เขามาเป็นแฟน”

“...”

ราวกับโลกหยุดหมุน เหมือนเกรทช่วยผมจากการโดนจับถ่วงน้ำก่อนเตะโด่งย้ายมือมากดหัวให้จมลงไปใหม่ ผมหันขวับไปทางเขาแสร้งอยู่นิ่งต่อไปไม่ไหว พลิกมือมากุมนิ้วที่ตีผมแปะแปะเอาไว้กำแน่น

เมื่อครู่ที่พยายามเลี่ยงและปกปิด นั่นเพราะผมยอมให้อำนาจการตัดสินใจที่จะบอกผู้ปกครองตกไปอยู่ในมือเกรท ถ้าร่างสูงไม่เอ่ยผมจะไม่บอก ถ้าร่างสูงไม่ร่ำร้องผมจะไม่อุทธรณ์ใดใด ตอนนี้ในเมื่อทุกอย่างหลุดออกไปหมดแล้วจึงได้แต่ก้มหน้ามองตักตัวเองท่าเดียว

บรรยากาศจากคนแวดล้อมเงียบสนิทขนาดเสียงโทรทัศน์ยังพลอยดังเบาราวกับต้องการเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหว

“ยังไม่ได้เป็นแฟนกันใช่มั้ย” โทนน้ำเสียงเรียบลื่นของมารดาเกรทดุจทะเลไร้คลื่นก่อนพายุโหมกระหน่ำ ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอไม่แสดงการตอบกลับได้แต่รอฟังว่าร่างสูงจะกล่าวคำเช่นไร

“ครับ”

“งั้นถ้าให้เลิกติดต่อกันก็ยังไม่สายสินะ”

“...”

ใจสะท้านเหมือนโดนสายฟ้าฝ่ากลางศีรษะ ทุกอย่างรอบตัวเหมือนหยุดอยู่กับที่ ตอนนี้ราวกับมีใครมากระชากลมหายใจออกไปจากร่างกาย

ไม่ให้ติดต่อกันงั้นเหรอ...

ผมนั่งนิ่ง ไม่คิดว่าเรื่องราวจะออกมาเป็นแบบนี้ เกรทสร้างความเชื่อมั่นให้ผมว่าพวกท่านต้องเข้าใจพวกเรา แต่การให้เลิกติดต่อกับมันไม่ต่างอะไรกับตอนที่เลิกกันใหม่ๆตอนนั้นเลย ถ้าแม่ของเกรทเข้ามาในจังหวะละครเวทีเลิก ผมจะตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่าผมทำ แต่มาตอนนี้...

มือเกรทกำผมแรงขึ้นดึงสติผมกลับ อีกฝ่ายขมวดคิ้วมุ่นเหมือนต้องการจะแย้ง แต่พออ้าปากปล่อยคำออกมาได้ไม่ถึงประโยค “แม่ครับเรื่องนี้...”

“เราน่ะอยู่นิ่งๆไป” ความหนาวเหน็บแทรกเข้ากลางสันหลัง “แม่กำลังถามเพื่อนเราอยู่” สายตาประดุจเหยี่ยวมองหาเหยื่อตวัดมาทางผม เล่นเอาลมหายใจสะดุด ในหัวตอนนี้ความคิดช่างสับสนตีรวน ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยชอบคำถามอะไรที่ต้องให้ตัดสินใจกะทันหัน และในเมื่อคำตอบในใจที่ว่านั้นกลับพูดออกมาไม่ได้ ความรู้สึกกดดันยิ่งเท่าทวี

“ว่าไงล่ะ จะเงียบอีกนานมั้ย”

ผมไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนด้วยสภาวะอารมณ์แปรปรวนอย่างหนัก ก่อนขยับปากตอบรับอย่างแผ่วเบา “ถ้าคุณแม่อยากให้ทำ...”

 “อิม...” เสียงแผ่วเบาเรียกขานชื่อ เกรทมีสีหน้าวิตกกังวลกับคำตอบของผมอย่างเห็นได้ชัด แต่มันสายไปเสียแล้ว ในเมื่อสิ่งที่ผมตั้งใจจะกล่าว...

“ผมก็พร้อมจะทำครับ” ผมพยายามไม่มองหน้าที่แสดงอาการผิดหวังออกมาอย่างปิดไม่มิดของเกรท ก่อนกลั้นใจถอดถอนมือจากอีกฝ่ายมาวางนิ่งบนตัก สูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมเอ่ยคำต่อมา “แต่ผมอยากทราบเหตุผลครับ”

“เหตุผลอะไร” แม่เกรทถาม

“เหตุผลที่อยากให้พวกเราเลิกติดต่อกัน” ในที่สุดผมก็กล้าจ้องหน้าแม่เกรทเต็มๆตา หัวคิ้วผู้เป็นมารดาเลิกสูงเล็กน้อยต่างจากท่าทีเงียบขรึมสุขุมที่ผ่านๆมา ริมฝีปากสีกุหลาบเก่าขยับ เปล่งเสียงนิ่งเย็นออกมา

“เธอจะอยากรู้เหตุผลไปทำไม ถ้าตราบใดที่ชั้นอยากให้พวกเธอเลิก...”

“ผมอยากให้เขารู้ว่าคุณแม่หวังดีต่อเขาเสมอ”

“...”

มือถือถูกหยิบขึ้นจากกระเป๋ากางเกงด้านหลังมาวางไว้บนโต๊ะ มันถูกดันผ่านชามสละลอยแก้วจากอีกฝ่ายสู่อีกฝั่ง ยื่นส่งตรงให้คนเป็นผู้ใหญ่ “ถ้าคุณแม่บอกเหตุผลนั้นให้ผมฟังเสร็จ คุณแม่ก็ลบช่องทางติดต่อเกรททั้งหมดออกจากมือถือผมได้เลยครับ”

ผมยิ้มเบาให้กับตนเอง ต่อให้ต้องเลิกกัน ผมก็อยากจะยอมรับว่ามันเป็นความหวังดีจากมารดาที่มีให้ต่อเขา ไม่อยากให้ขัดข้องหมองใจ ถ้าเป็นสิ่งที่เสียสละได้ก็อยากเลือกสิ่งนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสุขของอีกฝ่าย การทะเลาะกับมารดาไม่ใช่สิ่งที่เกรทปรารถนาอย่างแน่นอน

ตั้งแต่รู้จักกับเกรทมาพวกเราต่างก็เล่าเรื่องส่วนตัวของกันและกันให้ฟังตลอด บทสนทนาของเกรทมักมีเรื่องของคุณแม่ปะปนอยู่ในนั้น จนตอนนี้ต่อให้ไม่เคยเห็นหน้าก็รู้สึกราวกับว่าเคยได้เจอ จากการได้สัมผัสตัวตนของเขาทำให้ผมทราบว่าเกรทรักแม่ของเขามาก และผมก็ไม่อยากให้คนที่เขารักต้องทุกข์ใจกับแค่เรื่องคนนอกที่เข้ามาในชีวิตเขา

ผมกำขากางเกงหนักขึ้น เหมือนมันเป็นที่พึ่งเดียวของผมในตอนนี้

“มนุษย์เป็นสัตว์ที่ความจำสั้นนะครับ ถ้าไม่สร้างมันขึ้นมาเป็นความทรงจำระยะยาว โอกาสที่จะลืมก็ง่ายมาก”

“...”

“ผมยังเป็นความทรงจำระยะสั้นสำหรับเกรทอยู่ ถ้าจะให้ลืมก็คงทำได้ มากกว่าความทรงจำระยะยาวที่อยู่กับเขา คอยประคับประคองเขามาตลอดทั้งชีวิต...อย่างคุณแม่”

“...”

“แค่ลบความทรงจำสั้นๆตรงนี้ออกไป...” หยดน้ำชื้นอุ่นไหลหยดจากขอบตาร่วงบนตัก บทสนทนาหยุดชะงักฉับพลัน ผมยกปลายนิ้วขึ้นแตะเบาด้วยความฉงนใจจนความชื้นเปื้อนติดมือออกมา เมื่อกี้อะไรเข้าตาอย่างนั้นเหรอ ทำไมผม..ถึงร้องไห้

ลมหายใจถูกสูดเข้าลึกอีกครั้ง มาถึงตอนนี้ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้อีกฝ่าย ว่าไม่เป็นไรเลยหากพวกเราจะไม่ต้องเจอกันอีก...

“โถโถ คุณพี่แหวนคะ เลิกแสร้งเป็นแกล้งเด็กสักทีเถอะ เด็กมันร้องไห้แล้วเห็นมั้ย” เสียงผู้ใหญ่อีกคนพูดแทรกขึ้นมา น้าแก้วพรวดพราดลุกจากเก้าอี้ดึงทิชชู่สองแผ่นจากกล่องบนโต๊ะ เดินอ้อมมาทางผม มือของคนเป็นน้าทาบลงบนแผ่นหลังค่อนมาทางช่วงคอ ยกทิชชู่แตะซับน้ำตรงหัวตา

“ยัยแก้ว เรื่องนี้เธออย่ายุ่ง”

“ไม่ยุ่งได้ไงคะ น้องอิมแกช่วยตาเวลไว้นะ ถือว่ามีบุญคุณกับแก้ว ถ้าน้องอิมจีบตาเวลนะแก้วจะไม่ห้ามเลย ยกให้เลยจ้า” ระหว่างที่สองคนถกเถียงกันสัมผัสอุ่นนุ่มนิ่มบางอย่างโดนแขน ผมหมุนศีรษะไปมองสำรวจ เด็กชายเวลตัวน้อยเดินตาปรือหน้าง่วงออกมายืนข้างผมตั้งแต่เมื่อไร ในอ้อมแขนเจ้าตัวอุ้มตุ๊กตาเจ้าอียอร์แทนที่รถถัง กอดมันไว้แนบอก จริงสินะ กอดเจ้านี้ยังไงก็ย่อมนิ่มกว่ากอดเจ้าหุ่นพลาสติกนอนอยู่แล้ว

“พี่อิมร้องไห้ทำไมฮับ” เสียงกะปุ๊กกะปิ๊กน่ารักน่าเอ็นดู ถามราวกับเป็นห่วง ผมไล้นิ้วไปตามจมูกน้อยๆยกประคองแก้มอูมๆ เจ้าตัวกางแขนข้างที่ว่างออกกว้างแสดงสัญลักษณ์ว่าอยากให้อุ้ม มันอดไม่ได้ที่จะช้อนแขนยกเจ้าตัวเล็กขึ้นมานั่งบนตัก น้องเวลจ้องตาแป๋วมือเล็กยกแตะร่องรอยน้ำที่เคยไหลออกมา ก่อนโน้มหน้าลงมาจุ๊บเบาๆที่ปาก

การกระทำของเด็กตัวน้อยแอบทำให้อึ้งหน่อยๆ มันเหมือนเจ้าตัวต้องการจะปลอบผม

“นั่นไงคะ ยกให้ตาเวลเถอะ ห่างกันสิบกว่าปีคงไม่ใช่อุปสรรคอะไร แล้วอีกอย่างแก้วก็ไม่ซีเรียสว่าถ้าน้องเกิดมาแล้วอยากจะคบใคร”

“พี่ก็ไม่ซีเรียส”

“แล้วทำไมต้องห้ามตาเกรทไม่ให้คบกับน้องอิมด้วยล่ะคะ ทั้งๆที่ใจก็แทบยกลูกชายให้ตั้งแต่อ่านจดหมายฉบับนั้นแล้วแท้ๆ”

จดหมาย?

คีย์เวิร์ดบางอย่างกระแทกเข้าหน้าแบบไม่ทันคิด น้าแก้วบีบไหล่ก้มมองผมพลางส่งยิ้มน้อยๆให้ อะไรคือความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคนี้กันแน่ แล้วจดหมาย? น้าแก้วหมายถึงจดหมายอะไร

“แก้วอ่านแล้ว ยังรับรู้ได้เลยว่าคนเขียนน่ะรักหลานชายเราขนาดไหน”

“...” ผมอึ้งไปแล้ว ตอนนี้เหมือนสติกำลังปลิวหายไปจากตัว พยายามเอื้อมมือไปแตะเรียกน้าแก้วให้สนใจ “น้าแก้วครับจดหมายที่ว่า...” เธอมีสีหน้าเหมือนพึ่งรับรู้ว่าผมไม่เข้าใจความหมาย รอยยิ้มอ่อนโยนระบายบนใบหน้า ก่อนกล่าวเฉลย

“แม่เจ้าเกรทน่ะ วันนี้เข้าไปทำความสะอาดในห้องนอนของลูกชายแล้วเจอซองจดหมายที่เราเขียนหล่นอยู่ใต้เตียงเข้าให้น่ะ”

หา!!!!

ซองสีเทาถูกหยิบจากอกเสื้อผู้เป็นมารดามาวางบนโต๊ะ ความทรงจำทุกอย่างในสมองผมกลับคืนมา นี่มันซองที่ผมทำหล่นไว้ตอนจะซ่อนกล่องของขวัญนี่หน่า!!

แขนแกร่งเอื้อมไปคว้ามันมาไว้กับมือ ผมสะดุ้งมองตามผู้รับที่ผมเขียนจ่าหน้าไว้ เกรทพลิกมองมันไปมาด้วยความสงสัย

“แต่ตอนนี้ผมกลับชอบทุกอย่างในความเป็นคุณ อยากให้คุณมีความสุขในทุกๆวัน ไม่ใช่แค่เฉพาะวันเกิดของคุณในวันนี้ รู้สึกขอบคุณจริงๆที่ได้เจอกับคุณ ขอบคุณคุณแม่คุณนะที่คลอดลูกชายอย่างคุณออกมา” ผมจ้องหน้าเกรท แต่เสียงบรรยายสิ่งที่ผมเขียนในจดหมายดังข้ามหัวไป ผมคล้องกอดน้องเวลไว้กันตก ก่อนหมุนตัวไปทางน้าแก้วอย่างตื่นๆ

“น...น้าแก้ว” อยากหายตัวไปจากตรงนี้ แววตาแฝงรอยยิ้มของน้าแก้วอย่างเอ็นดูกำลังจะทำผมหมดลมหายใจ ผมซุกหน้าเข้ากับอกเล็กๆของน้องเวลแนบจมูกกับเจ้าอียอร์เน่าไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอีก

“สนใจมารักตาเวลแทนมั้ยจ๊ะ”

“ว่าแต่ชั้นเธอก็ขยันแกล้งเด็กมันเหมือนกัน” แม่เกรทวางช้อนตักสละ แสดงถึงช่วงเวลาในการรับประทานของหวานได้สิ้นสุดลง “ไม่ต้องไปสนใจเรื่องที่ยัยแก้วพูด เรื่องที่เราสองคนคบกัน แม่รู้อยู่แล้ว ไม่ต้องร้องไห้”

“แต่ว่า...”

“แม่ไม่ได้ว่าอะไร แค่อยากลองใจคนที่ลูกชายแม่เพ้อหาอยู่ทุกวันก็เท่านั้น”

“เล่นแรงนะครับเนี่ย” เสียงทุ้มเอ่ยเปรยทำหน้าหงิกงอไม่พอใจอยู่หน่อยๆ ผมสะดุ้งเมื่อเขาหันกลับมาสบสายตาที่พยายามแอบลอบมอง เกรทยกมือขึ้นโยกหัวเล็กของเด็กในอ้อมกอด “ผมเกือบเสียอิมให้ตาเวลแล้วไง”

อียอร์เป็นที่พึ่งพิงของผมอีกแล้ว ไม่อยากให้อ่าน ไม่อยากให้เกรทรู้เนื้อความในจดหมายฉบับนั้นเลย มันเป็นเหมือนข้อความสุดท้ายที่ผมคิดว่าอยากจะเขียนให้เขาได้รับรู้ เป็นข้อความสุดท้ายที่ผมพรั่งพรูความรู้สึกออกมาจากภายใน

วันนี้จบลงที่น้าแก้วอุ้มตาเวลแยกออกมา ส่วนผมได้แต่ก้มหน้าตักสละลอยแก้วกินไปเงียบ ในสภาพที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว





พอตกบ่าย พวกเรามายืนส่งคุณแม่และน้าของเกรทกลับบ้าน วันนี้ได้ฟังเรื่องราวของบ้านเกรทหลายอย่าง รู้ว่าแม่ของเกรททำงานเป็นผู้จัดละครได้เจอนักแสดงรุ่นใหม่ใหญ่ดังมากหน้าหลายตา มีเรื่องเม้ามอยดารามาให้ฟังได้เพลินทั้งวัน ส่วนน้าแก้วแกทำงานอยู่บริษัทสื่อโฆษณาชอบมีเรื่องประหลาดอย่างนายแบบนางแบบโดดงานกะทันหันให้ใจหายใจคว่ำจนบางครั้งต้องลากเกรทเข้าไปมีเอี่ยวด้วยเสมอ

“กลับดีดีนะครับแม่”

ไม่ใช่ว่าแม่เกรทเป็นเสือยิ้มยากแต่ที่ผ่านมาคือเจ้าตัวจงใจแกล้งผมล้วนๆ ยามนี้รอยยิ้มของพี่แหวนตามที่น้าแก้วเรียกขานเผยขึ้นมาอย่างอบอุ่นอ่อนโยน ผู้เป็นแม่ลูบหัวลูกชายตนเบาๆ

“ดูแลตัวเองดีดีนะ”

“ตาเวลบ๊ายบายพวกพี่ๆเขาสิครับ” น้าแก้วที่ยืนอยู่ด้านหลังสะพายถุงผ้าหลายใบที่เคยใส่ของกินสารพัดสารเพมาเป็นเสบียงให้ จับหัวทุยๆของลูกชายรั้งไว้ไม่ให้เดินเพ่นพ่านด้วยความซน คนเป็นเด็กช้อนตาแววใส ก่อนกระพุ่มมือขึ้นไหว้อย่างน่าเอ็นดู

“สวัสดีฮับพี่อิม สวัสดีฮับพี่เก้ด” ผมค้อมตัวลงรวบร่างเล็กไว้ในอ้อมกอดอย่างมันเขี้ยว แขนป้อมๆคล้องเข้ากับคอทั้งที่ยังมีโมเดลรถถังคาอยู่กับมือ ใบหน้าเล็กทิ่มลงมาที่แก้มจนได้ยินเสียงหอมดังฟอด ไม่นานผมก็โดนจับแยกกับน้องทันที

“ได้ไงเนี่ยตาเวล” เสียงทุ้มร้องท้วง คล้องคอผมแทนแขนป้อมเมื่อครู่ “เจ้าชู้แต่เด็กนะเรา แล้วไหงบอกลาพี่อิมก่อนพี่เกรทได้ล่ะครับเนี่ย” ร่างสูงจิ้มพุ่งน้องจนเจ้าตัวเล็กหัวเราะเอิ๊กอ๊าก พลอยทำให้อดยิ้มตามไม่ได้ สักพักรู้สึกใบหน้าโดนของนุ่มหยุ่นบางอย่างเข้าแตะ พอหันไปริมฝีปากของเกรทอยู่ใกล้แค่เซนต์ฯผมกลั้นหายใจสะดุ้งเฮือก สะบัดหน้าหนีก้มแทบมุดลงไปกับหว่างขา

“อย่าหวานกันออกนอกหน้าสิจ๊ะ” เสียงน้าแก้วเข้าแทงจุดหน้าบางของผมอย่างจัง ผมยังคงก้มตัวเกาะเข่าซุกหน้าพลางส่งเสียงอู้อี้ประท้วง

“อย่าแซวกันสิครับ”

“คนอะไร๊น่าเอ็นดูขนาดนี้เนี่ย ว่าไงคะพี่อนุมัติเลยเนอะคนนี้น่ะ”

“มาถึงขั้นนี้แล้วจะให้ชั้นพูดอะไรอีก” แม่ของเกรทตอบเสียงเรียบ

“หึ ทำเป็นวางท่าไป” น้าแก้วยิ้ม ยกมือป้องปากย่อตัวกระซิบ “อย่าให้น้ามอยเลยนะ วันก่อนขากลับจากกองถ่ายผ่านมหา’ลัยพอดีเลยแวะไปหาเจ้าเกรท เจอน้องผู้หญิงน่ารักๆคนนึงวิ่งเข้าหา แม่ตาเกรทค้านหัวชนฝาอย่างกับอะไร”

“กับคนนั้นชั้นไม่ค่อยปลื้ม” แม่เกรทพูดห้วนน้ำเสียงเจืออารมณ์หงุดหงิดอยู่หน่อยๆ

“อือ...แต่หน้าตาสวยใช้ได้เลยนะคะ ชื่อก็ดูอ่อนหวานน่ารัก น้องเขาชื่อใยไหมใช่มั้ยคะ”

“จะชื่ออะไรก็ช่างเถอะ กลับกันได้แล้ว” ร่างสูงเพรียวสง่าเดินนำหน้าออกไป ปล่อยให้น้าสาวกระวีกระวาดจับอุ้งมือน้อยของน้องเวล กระชับถุงผ้าก่อนหันมาทิ้งท้ายถ้อยคำบางอย่างกับผม

“ดูแลตัวเองด้วยนะเรา”

“ค..ครับ”

“แล้วก็ฝากตาเกรทด้วยนะ”

ผมพยักหน้ารับก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ครับ”

“ไม่ใช่จากน้าหรอก ข้อความสุดท้ายมาจากแม่เจ้าหลานชายมันน่ะ”





จนกระทั่งร่างของน้าแก้วกับตาเวลหายลับไปจากสายตา ผมเดินตามเกรทกลับเข้าห้อง ช่วงเสี้ยววินาทีที่ประตูงับปิดลง ข้อมือโดนแรงบางอย่างดึงเข้าหา ช่วงเอวถูกแขนแกร่งโอบรอบรัดแน่นจนแผ่นหลังแนบสนิทกับอกกว้าง แขนของเกรทอีกข้างอ้อมมาล้อมบ่า พลางซุกใบหน้าเข้ากับซอกคอสูดกลิ่นสบู่จางๆ

“ก...เกรท”

“ผมก็รู้สึกขอบคุณจริงๆที่ได้เจออิม”

“...!” แว่วประโยคข้อความในจดหมายฉายเป็นเสียงดังก้องอยู่ข้างหู



“มันเป็นความประทับใจแรกที่อาจไม่เรียกว่าประทับใจ ผมอาจจะไม่รู้ตัวว่าเกือบจะเดินชนคุณคนที่ผมสารภาพรักไปไม่กี่วัน วันนั้นผมเอาแต่จ้องมือถือ จมอยู่ในโลกโซเซียล จดจ่ออยู่แต่หน้าเฟซบุ๊กมองหาคนที่สนใจ ไล่สายตาไปยังคนที่ผมต้องการจะสารภาพรัก จนกระทั่งวันที่ผมโดนเพื่อนๆกระตุ้นให้รีบมาเคลียร์ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือนี้ ผมนัดกับคุณให้เราไปเดทกัน นับตั้งแต่ตอนนั้นความสนใจในคนชื่อ ‘อิม’ ก็ผุดขึ้นมาในสมองของผม

รู้มั้ย...เดทแรกของเราผมแทบจะลืมไปเลยว่าต้องบอกเลิกคุณ และเป็นวันนั้นที่ทำให้เรื่องของเราพลิกผันมาอีกทาง ผมเห็นคนที่ผมตั้งใจจะสารภาพเดินมากับแฟนเขา

ผมอกหัก...ส่วนคุณกลับเป็นคนที่ทำให้ผมยิ้มได้หลังผ่านไปไม่กี่นาที คำตัดพ้อทีเล่นทีจริงที่มีอย่างห้วนๆทำให้ผมสนใจในตัวคุณ คุณทำให้ผมลืมเรื่องราวของคนๆนั้น ทำให้ผมยิ้มเพียงเพราะต้องการให้คุณยิ้มกลับ รอยยิ้มของคุณเป็นแหล่งพลังงานชั้นดีในการดำเนินชีวิตของผม ทุกๆวันผมอยากเจอคุณ คุณเป็นคนใจดีนะอิม เอาใจใส่ผมทุกเรื่อง ทั้งที่ผมทำตัวไม่ดีทิ้งคุณไว้ตั้งเกือบเดือน ตอนแรกคุณอาจจะไม่ใช่คนๆนั้นของผม แต่ตอนนี้ผมกลับอยากเป็นคนๆนั้นของคุณ ผมเคยนึกจินตนาการแบบเลวร้าย...

...ว่าถ้าหากคุณรู้เรื่องที่ผมเคยชอบคนอื่นขึ้นมา คุณหายตัวไปจากผมรึเปล่า...

...แล้วทุกอย่างที่ผมคิดไว้มันก็เกิด ในตอนที่ผมอยากเป็นคนๆนั้นของคุณ อยากได้รับความรักมากมายจากคุณ...

...ตั้งแต่ตอนนั้นผมรักในตัวคุณจนโงหัวไม่ขึ้น...

ผมอยากสมหวังกับคุณ...

ตอนแรกผมอาจรู้สึกราวกับโลกจะแตกเมื่อรู้ตัวว่าสารภาพรักผิด กับคนที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จัก

แต่มาถึงตอนนี้ผมกลับชอบทุกอย่างในความเป็นคุณ อยากให้คุณมีความสุขในทุกๆวัน รู้สึกขอบคุณจริงๆที่ได้เจอกับคุณ ขอบคุณที่ทุกอย่างทำให้เจออิม”




เกรทย้อนคำพูดในจดหมายของผม ทุกพยางค์และตัวอักษร หากในเนื้อหากลับแทรกแทนความรู้สึกในมุมมองของเขาแทน...



“อิมรู้มั้ย ว่าทำไมผมถึงชวนอิมมาหาวันนี้”



ผมส่ายหัว เหมือนทุกอย่างมันตื้อในอกจนพูดไม่ออก



“เพื่อผูกมัดไงล่ะ”









ในที่ที่ห่างออกไปกระดาษถนอมสายตาสองสามแผ่นถูกพับครึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ลมจากเครื่องปรับอากาศพัดแรงจนเกิดเสียงดังพึ่บพั่บเบาๆ จนเจ้ากระดาษแผ่นน้อยปลิวไปกระทบซองจดหมายสีเทาที่อยู่ด้านข้าง



[มันเป็นความประทับใจแรกที่อาจไม่เรียกว่าประทับใจ คุณรู้ตัวมั้ยว่าผมเกือบโดนคุณชนใส่หลังจากวันที่คุณสารภาพรักผมไปไม่กี่วัน วันนั้นผมอยากต่อว่าคุณด้วยซ้ำที่เอาแต่จ้องมือถือ จมอยู่ในโลกโซเซียล จดจ่ออยู่แต่หน้าเฟซบุ๊กของคนที่คุณสนใจ เหม่อมองสายตาไล่ตามหาคนที่คุณคิดว่าใช่อยู่คนเดียวไปวันๆ จนกระทั่งวันที่ผมคิดว่าคุณจะมาตัดสายสัมพันธ์ที่ไม่แม้แต่จะได้เริ่มต้นด้วยซ้ำของพวกเรา คุณกลับทำให้ผมประหลาดใจ ด้วยการเอ่ยปากให้เราไปเดทกัน นับตั้งแต่ตอนนั้นความสนใจในคนชื่อ ‘เกรท’ ก็ผุดขึ้นมาในสมองของผม

รู้มั้ย...เดทแรกของเราผมเฝ้านับวินาทีรอให้คุณบอกเลิก แต่จนแล้วจนรอดเรื่องราวกลับดำเนินมาอีกทาง

คุณอกหัก...ส่วนผมกลับเริ่มอยากปลอบใจคุณเข้าให้ทุกวัน ใบหน้าตอนยิ้มของคุณช่วยสร้างพลังงานในการดำเนินชีวิตของผมอย่างไม่รู้ตัว ผมรู้สึกเหมือนเด็กที่เล่นเกมชนะถ้าหากทำให้คุณยิ้มได้ คุณเป็นคนดีนะเกรท ช่างเอาใจใส่ ทั้งที่ผมไม่ใช่คนๆนั้นของคุณ แต่คุณก็ยังตามมาส่ง ตามมาเฝ้าไข้ผมถึงบ้าน และไม่เคยละเลยจุดสังเกตเล็กน้อยอย่างการที่ผมกลัวหนังผีจนขี้ขึ้นสมอง ตื่นมาตาคลำจนทำให้คุณจับผิดได้เลย ผมเคยจินตนาการนะ...

...ว่าถ้าได้เป็นคนๆนั้นของคุณ ผมจะได้รับความรักมากมายขนาดไหน...

มันต้องมาก...มาเสียจนล้นออกมาจากหัวใจ และผมพนันได้เลยว่าร้อยทั้งร้อยคนๆนั้นของคุณต้องใจอ่อน จนตอบรับความรู้สึกคุณ

...เขาต้องรักในตัวคุณจนโงหัวไม่ขึ้นอย่างผม...

ผมอยากให้คุณสมหวัง...

ตอนแรกผมอาจจะไม่ชอบเด็กหน้ามึนที่เดินทะเล่อทะล่าเข้ามาโกหกคำโตว่ารัก

แต่มาถึงตอนนี้ผมกลับชอบทุกอย่างในความเป็นคุณ อยากให้คุณมีความสุขในทุกๆวัน ไม่ใช่แค่เฉพาะวันเกิดของคุณในวันนี้ รู้สึกขอบคุณจริงๆที่ได้เจอกับคุณ ขอบคุณคุณแม่คุณนะที่คลอดลูกชายอย่างคุณออกมา]




...TBC…

+++++++++++++++++


สารภาพจากใจยังไม่ได้ตรวจภาษาเลยค่ะ แง้นนน
อ่านแล้วแปร่งๆบอกได้ติชมได้นะคะ
ขอบคุณคนที่ติดตามและคอมเมนต์ให้กำลังใจอยู่เสมอค่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2019 12:18:45 โดย sakutaka »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่  อาคุงแม่เล่นแรงนาจา

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด