พิมพ์หน้านี้ - รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 100% จบ [30/12/2019]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: sakutaka ที่ 18-08-2019 11:22:43

หัวข้อ: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 100% จบ [30/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 18-08-2019 11:22:43
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


❤รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ❤

กาวตราช้างหลอดนึงตั้งกี่บาท
แค่รักษาหน้าบางๆของอีกฝ่ายไว้ไม่เสียอะไรไม่ใช่เหรอ
เสียสิ...เสียหัวใจของผมไปทั้งดวง


+++++++++++++++++++++

ฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ
กะให้เป็นเรื่องชิลๆ สบายๆ รักโรแมนติกธรรมดา
ติชมได้ตามสะดวกนะคะ ขอบคุณค่ะ


หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : บทนำ+ตอนที่1
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 18-08-2019 11:27:15
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

บทนำ

“ผมชอบพี่ครับ เป็นแฟนผมเถอะ ผมรู้ว่าพี่ยังไม่มีใคร ยังไงก็อย่าพึ่งปฏิเสธผม ลองคบกับผมดูสักครั้ง ผมจะไม่ทำให้พี่ผิดหวัง เชื่อใจผมได้เลย”

“เออแต่...”

“ผมจะไม่ยอมเงยหน้า แล้วจะยืนอยู่ตรงนี้จนกว่าพี่จะรับรักผม”

หมับ!

“แล้วพี่ก็ห้ามไปไหนด้วย รับรักผมก่อนแล้วผมจะปล่อยให้ไป อย่าหาว่าผมขี้ตื้อเลยนะ แต่ถ้าไม่ลองคบกันก่อนแล้วจะพี่รู้ว่าชอบไม่ชอบได้ไง นะครับพี่ยะ....หย้า...”


ทันทีที่ดวงตาเราทั้งคู่สบประสาน ท้ายเสียงของอีกฝ่ายก็กลายเป็นท่วงทำนองขับขานราวกับคนร้องเพลงผิดจังหวะคร่อมคีย์ ขัดกับใบหน้าซึ่งไร้ที่ติกับหางตาตกๆคู่นี้ที่ล้อมรอบแววตาสุกใสราวกับคนซึ่งเต็มไปด้วยความหวัง แต่แล้วมันกลับหม่นแสงลงเปลี่ยนเป็นท่าทีเหมือนคนสติหลุด กระอักกระอ่วน ริมฝีปากหยักรั้งอ้าค้างก่อนสั่นไหวเหมือนมีก้อนน้ำลายกระจุกอยู่ที่ต้นทางของลำคอซึ่งเหยียดตรงลายเส้นโค้งสวยนั้น

ใบหน้าซีดลงถูกบดบังด้วยผิวของคนคล้ำแดดเบาๆ หากปิดซ่อนผมไว้ไม่มิด มันบ่งถึงอาการตกใจแบบไม่ต้องเดาให้มากความ ยิ่งสายตาพลันไปสบกับคนที่วิ่งตามมาร่างสูงมาแล้วหยุดเท้าในที่ห่างไกลออกไปยิ่งเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่าง ทางท่ากึ่งโบกไม้โบกมือพลางกระซิบกระซาบให้อีกฝ่ายรู้ตัวเหมือนเป็นสิ่งเชื่อมต่อเรื่องราวบอกให้รับรู้ว่า

...คนตรงหน้าสารภาพผิดคน...

ในเมื่อสี่ตีนยังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้งแล้วนับประสาอะไรกับคนที่กำลังยืนอยู่หน้าผม เพราะฉะนั้นผมควรจะเคลียร์ทุกอย่างให้จบลง เพื่อยุติกระแสผู้คนที่เริ่มเดินมาออเป็นไทยมุงตรงนี้เสียที

“เออคือว่าคุณคงเข้าใจผิด...”

“ไม่ครับ!”

หา?

มือที่จับถูกกระชับแน่นขึ้นพลางยกสูงดึงจนแนบอกอีกฝ่าย รับรู้ได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจซึ่งถี่รัว แต่มันคงไม่ใช่อาการตื่นเต้นจากคนที่ลุ้นคำตอบ หากเป็นเพราะคนตรงหน้ากำลังตกใจและลนลานต่างหาก

“ผม...ผมสารภาพกับพี่...เออพี่...”

“อิมเมจ มายืนทำอะไรตรงนี้วะ” แว่วเสียงด้านหลังดังมาแต่ไกล ผมรับรู้ได้เลยว่าเป็นไอ้เบสที่เดินตามหลังมาเรียก ด้วยความสูงระดับมันกับผู้คนที่ล้อมกั้นพวกเราขนาดนี้คงหนีไม่พ้นสายตาของเพื่อนตัวสูงผมไปได้

“พี่อิมเมจ” เสียงทุ้มดึงสติผมกลับมา คนแปลกหน้ากำลังเรียกชื่อผม ร่างที่สูงเกินกว่าผมไปหลายเซนฯกำลังทำหน้าเหมือนท่องจำชื่อผมราวกับว่ามันเป็นศัพท์ภาษาอังกฤษที่จะออกในควิสท้ายคาบ สายตาคมเลื่อนมาสบอีกรอบแล้วเอ่ยคำยืนกรานสิ่งที่อยู่ตรงหน้า “ผมสารภาพกับพี่อิมเมจอยู่ครับ”

เสียงฮือฮาอื้ออึงขึ้นมาทันใด เป็นไปได้ไงกับคนที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อผม จะมาสารภาพกันกลางที่สาธารณะได้

ผมเงียบไปนาน มือใหญ่ออกแรงกระชับจนกลายเป็นบีบหนัก เหงื่อชื้นๆเริ่มถ่ายทอดมาตามผิวหนังของเราทั้งคู่ที่สัมผัสกัน แววตากึ่งอ้อนวอน หัวคิ้วที่บูดเบี้ยวราวกับคนเป็นกังวล ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาที่ผมรู้จักจากการมองอยู่ห่างๆ ผิดเพี้ยนไปจากภาพร่างในสมอง

...เขาเป็นอะไร...

ร่างสูงเหมือนตกที่นั่งลำบากมากกว่าผมซึ่งโดนคาดคั้นคำตอบ

...ผมต้องตอบรับหรือเปล่า...

คนที่มีความเชื่อมั่นและภาคภูมิใจขนาดนี้คงไม่คิดอยากจะทำตัวเอ๋อๆอยู่กลางลานกว้างซึ่งเป็นแหล่งรวมพลของคนมหา’ลัยได้หรอก ยิ่งกับคนที่เดินเหยียดตัวตรงพุ่งมาหาอีกฝ่ายตรงจุดที่ได้ชื่อว่า ‘ลานเปิดใจ’ ด้วยแล้ว ปัดประเด็นการโดนปฏิเสธคำรักต่อหน้าสาธารณะชนไปได้เลย

“ก็ได้ครับ ถ้าคุณรักผม”

ไม่ดังแบบจงใจและไม่เบาจนคนแวดล้อมไม่รู้สึก จากความอื้ออึงที่มีอยู่แล้วยิ่งทวีหนักขึ้น แต่ผมสนใจแค่ปฏิกิริยาของคนตัวสูง ดวงตาคมคายเบิกกว้างขึ้นมองอย่างไม่เชื่อหู มือที่จับเหมือนจะปล่อยคลายลงจนผมหลุดจากการเกาะกุม

หรือนี่จะไม่ใช่คำตอบที่อีกฝ่ายต้องการ แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่ ตอบแบบไว้หน้าความโป๊ะแตกกลางหมู่คน ผมยืนนิ่งตีอาการความมึนงงของอีกฝ่าย ระยะห่างระหว่างกันเพียงหนึ่งไม้บรรทัดถูกเพิ่มขนาดเรื่อยๆจนใจผมเริ่มลังเลกับสิ่งที่พูดไป

“เออคือ...หรือว่าจะไม่...”

“ขอบคุณครับ”

“...”

“ไว้ผมจะติดต่อไป”

อีกฝ่ายยืนตอบจ้องพื้น คงอยากจะคบหินขัดเป็นแฟนมากกว่ามองหน้าผม มือใหญ่จับสายกระเป๋าหมุนตัวกลับ เดาว่าเจ้าของแผ่นหลังกว้างคงกำลังแสดงสีหน้าบางอย่างให้เพื่อน มันน่าจะหลอนจนฝ่ายที่ยืนเยื้องไปด้านหลังแสดงอาการตาโตเลิกคิ้วยกกำลังสิบ แต่ผมไม่เห็นแล้วว่าร่างสูงแสดงอาการอะไร เจ้าตัวเดินท่อมท่อมไปเกี่ยวคอเพื่อนเข้าหาอย่างแรงพลางบ่นงึมงำเหมือนสวดมนต์กับพื้นก่อนเดินจากไป

“อิมเมจ”

ไอ้เบสแหวกฝูงชนจนมาถึงตัวผม แตะไหล่พลางถามไถ่ถึงเหตุการณ์

“เกิดเรื่องอะไรวะ”

“ไม่มีอะไรหรอก”

“ไม่มีอะไรได้ไง เมื่อกี้กูเห็นน้องมันทำอะไรมึง”

“เบส”

“อะไร”

“กูมีแฟนแล้วว่ะ”



...TBC...

หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : บทนำ+ตอนที่1
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 18-08-2019 11:39:13
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

หนึ่ง...วันอันแสนงุงงน

มีแฟนแบบงงๆและเริ่มต้นเหมือนความฝัน ใช่...เหมือนความฝัน เพราะหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็หายไปสองอาทิตย์เต็ม จนกระทั่งผมเกือบลืมไปว่าพวกเราทั้งคู่...

“อ๊ะ...โทษครับ”

“...”

ก้มดูมือถือแบบไม่มองทางขนาดนี้บางทีผมก็เบื่อเหมือนกัน ทั้งที่เดินอยู่บนทางสาธารณะก็ควรหัดเกรงใจชาวบ้านบ้าง ผมเงยหน้าขึ้นตั้งใจจะต่อว่าเบาๆ แต่พอเห็นคู่กรณีเสียงกลับสะดุดเหมือนหายไปในมิติลี้ลับ กลืนคำต่อว่าทิ้งไปได้เลย

“นาย...”

“ขอโทษครับ”

อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบก่อนเดินผ่านไปช้าๆ ทิ้งปรากฏการณ์มึนงงของอีกคนไว้ด้านหลัง ผมหมุนตัวหันไปมอง ในใจไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เจอ

อีกฝ่ายจำผมไม่ได้เหรอ หรือมันแน่อยู่แล้วกับบทจะไม่ใส่ใจแฟนที่มาจากความผิดพลาด แถมรูปร่างภายนอกของแฟนคนนั้นทุกกระเบียดนิ้วรวมถึงเครื่องเพศยังบ่งบอกความเป็นชาย

ขยับหมุนตัวไปยืนตรงมองงงอย่างเคารพธงชาติ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหันมาเลยจ้องนาน พลันสะดุ้งเมื่อภาพแผ่นหลังกว้างแปรเปลี่ยนเป็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่ม

...แย่แล้ว...

เขาจะหาว่าผมตั้งใจเอาเรื่องหรือเปล่า หรือจะนึกจำได้ว่าเคยทำอะไรไว้

เปล่าเลยผมเดาผิดหมด เพราะปลายสายตาเจ้าตัวมองไปทางคนกลุ่มหนึ่งซึ่งส่งเสียงดังเอะอะมะเทิ่งจนเป็นจุดเด่นทางฟากซ้ายมือ ดวงตาหม่นแสงแลดูเป็นประกาย พาลให้นึกถึงเจ้าตัวตอนเดินมาบอกคำรัก ผิดแต่คราวนี้มันสวนทางกัน คราวก่อนจากดีใจเป็นผิดหวัง คราวนี้จากตกในภวังค์มาเป็นชื่นมื่น

...อย่างนี้นี่เอง...

ผมจำหนึ่งในนั้นที่เคยยืนอยู่กลาง ‘ลานเปิดใจ’ ในวันเกิดเหตุของเราได้

...คนนี้นี่เอง...

เพื่อนร่วมภาค ไม่สนิท แต่พอรู้เรื่องราวจากการเม้ามอยทุกเช้าของยัยดาวเพื่อนผม เธอคนนั้นมีแฟนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไม...

...ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ผมต้องไปใส่ใจ...

ไอ้เบสมันรอเอกสารซีรอกซ์จากผมอยู่ ผมควรรีบไป








“พี่อิมเมจ”

ผ่านไปเกือบเดือน ถ้าบอกลืมก็น่าจะถูก

...ผมเกือบลืมไปว่าเคยมีแฟน...

การเอ่ยออกไปว่า ‘ใครครับ’ มันดูงี่เง่าชอบกล เหมือนการประชดกันของเด็กๆ เลยเปลี่ยนใจหันมาพูดจาดีดี

“เออ...น้อง...”

ตลกตรงที่ไม่เคยถามชื่ออีกฝ่ายไว้ เคยแต่มองอยู่ห่างๆ พอจะเรียกคำพูดเลยติดค้างอยู่ที่ลำคอ ร่างสูงทำหน้าฉงนที่ผมเงียบไป

“ครับ”

“มีธุระอะไรรึเปล่า” แปลกมั้ยที่ถามแบบนี้ ไม่สิคนเดินเข้าหาควรเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน อันนี้มันตามความคิดพื้นฐานไม่ใช่เหรอ ว่าแต่ลมอะไรแบกเอาคนที่เมินผมตั้งเกือบเดือนมาหาถึงนี่ได้ล่ะ หรือว่า...

...คงได้เวลามาเคลียร์แล้วสินะ...

“คือผมอยากจะมาขอโทษ”

“ไม่เป็นไร” ยกมือขึ้นปัดปฏิเสธ ผมเดาไปล่วงหน้าเรื่องเหตุของทุกอย่าง ถ้าอีกฝ่ายขอจบมันจะแปลกมั้ย สามสัปดาห์ก่อนขอคบไม่พบหน้าสักวันครั้นมาเจอกันอีกทั้งก็บอกเลิกเลย อันนี้เรียกลำดับของความรักหรือการอนุมัติเงินติดล้อกันแน่

“ที่ว่าไม่เป็นไรนี่คือ...” เด็กเอ๋ยเด็กน้อย วันนี้ได้เห็นอีกฝ่ายเต็มๆตาเสียที ผมไม่ค่อยตามหรอกโซเซียลมหา’ลัย แต่ได้ข่าวว่าน้องเขาดังอยู่วงใน ปกติคนหล่อจะต้องโดนจับไปทำเดือนทำดาวมหา’ลัยแต่รายนี้ไม่ใช่ ไอ้ดาวเพื่อนผมเคยเม้ามอยกรอกหูตอนข่าวฮือฮาเรื่องที่น้องมันมาสารภาพรักกับผมเป็นเรื่องใหญ่ ว่าอีกฝ่ายไม่กระจอกเพราะเคยเป็นดาราเด็กแบบออกหน้ากล้องแค่สามวิแต่กลับสะกดจิตคนดูได้อยู่หมัดด้วยบทสั้นๆอย่างคำว่า ‘แม่’ หน้าตาแบบนี้จะมีแฟนอีกเป็นโหลก็ได้ทำไมต้องมาเลือกคนมีเจ้าของอยู่แล้วด้วยนะ อาภัพชีวิตรักเสียจริง

“พี่”

“หะ...ฮะ?” พลาดเหม่อได้ไงกัน

“เมื่อกี้ได้ยินที่ผมพูดมั้ย” ผมส่ายหัว ก่อนจะพยักหน้าเหมือนเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไร

“งั้นตกลงตามนี้นะครับ” ได้สิ ผมมันคนง่ายๆอยู่แล้ว ไม่ได้รักจะยื้อเขาเป็นแฟนไปเพื่ออะไร แต่แทนที่อีกฝ่ายพอเสร็จธุระแล้วจะเดินจากไป มือใหญ่ที่กอปรด้วยนิ้วเรียวยาวกลับยื่นมาตรงหน้า ผมมองตามไล่ขึ้นไปถึงแขนที่ปกคลุมด้วยเสื้อนักศึกษาสีขาวก่อนไปจบตรงหน้านิ่งๆของเจ้าตัว

“อะไร”

“ขอมือถือหน่อยครับ” เกือบฟังผิดว่า ‘ขอมือ’ แล้วยื่นอุ้งเท้าหน้าไปวางซะแล้ว ผมเหมือนโดนสะกดจิตเพราะเพลินกับสิ่งที่ตัวเองคิดหยิบมือถือซึ่งเสียบอยู่กระเป๋าหลังของกางเกงส่งให้ “รหัสพี่อะไร”

“600001”

“คนแรกของคณะ?” เจ้าตัวผินหน้ามาส่งสายตาแปลกใจ เลยได้แต่พยักหน้าอย่างงกๆเงิ่นๆพลางตอบ

“อือ”

“ผมไม่ได้ขอรหัสนิสิต”

“ฮะ?”

“เกิดวันไหน”

“หนึ่งมกรา”

“ได้ละ”

ได้? ได้อะไร แล้วนั่นเขากำลังทำอะไรกับมือถือผม เจ้าตัวเหมือนยกกล้องหลังมาถ่ายมือถือของผมก่อนส่งกลับมาไว้ในอุ้งมือ ที่หน้าจอปรากฏคิวอาร์โค้ดอันใหญ่กับสัญลักษณ์สีเขียวตรงกลาง ผมรู้แล้วว่าโดนทำอะไร แต่ทำไม...

“ไว้ตอนใกล้ๆจะไลน์ไปหา”

“...”

“ผมไปก่อนนะครับ”

ภาพกระชับกระเป๋าเหมือนกับวันวานไม่มีผิด ผมจะเดจาวูแบบเดิมซ้ำๆอย่างนี้ไม่ได้ ต่อให้ความหมายของวันนั้นเป็นการบอกรักให้คบกัน ส่วนวันนี้จะเป็นการบอกเลิกเพื่อตีตัวออกห่างก็ตาม

“เดี๋ยว” ผมตะโกนเรียกตามร่างสูงที่ดูโดดเด่นนั้น คนถูกรั้งเบรกเท้าหมุนตัวกลับด้วยท่าทีไม่มีด่างพร้อย ถ้าคนจะหลงก็คงตั้งแต่บุคลิกภาพล่ะมั้ง

“ครับ” เสียงทุ้มลื่นหูตอบรับอย่างสุภาพ หากไม่มีท่าทีว่าจะเดินกลับมาประชิดตัว

“น้องชื่ออะไรพี่ยังไม่รู้จักเลย”






“เกรท” ผมหมุนมือถือเล่นไปมาบนโต๊ะหนังสือ จ้องมองชื่อซึ่งเด่นหราอยู่ตรงด้านบนสุดกลางแอพพลิเคชั่นสีเขียว
แสงสลัวจากโคมไฟปกติจะทำให้ง่วงนอน แต่มาวันนี้สมองผมกลับตีรวนทำให้สติไม่อยู่กับร่องกับรอยพาลเอานอนไม่หลับ

...ผมจะถามชื่อคนที่ไม่จำเป็นต้องรู้จักไปเพื่ออะไร...

สร้างคอนเนกชั่นเอาไว้เผื่ออนาคตเหรอ? น้องเขาเรียนอยู่คณะอะไรผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรจะไปทำเส้นก๋วยจั๊บกระชับมิตรได้ล่ะ คิดสิ

จิ้มเข้าไปดูในห้องแชทของพวกเราเป็นครั้งที่ล้าน ก็ปรากฏเพียงสติ๊กเกอร์อัลปาก้าผูกผ้าพันคอสีแดงโค้งคำนับให้อยู่

...มันโค้งคำนับให้ผมเป็นรอบที่ล้านแล้ว...

งงกับจุดประสงค์ที่แอดไลน์มา ผมไม่ได้ตอบกลับไปด้วยสติ๊กเกอร์ไหนเลย หรือแม้แต่ส่งเป็นตัวอักษรคำถามว่าแอดผมมาเพื่ออะไรด้วยซ้ำ


<Greatเทศ

*สติ๊กเกอร์อัลปาก้าผูกผ้าพันคอสีแดงโค้งคำนับ* 18:37



หลับยังครับ 22:55


“...!!”

ผมสะดุ้งกดปุ่มตรงกลางออกมาจากหน้าแชทแทบไม่ทัน ความรู้สึกเหมือนตอนเห็นฉากตุ๊กตาผีขยับตัวกะทันหันในหนังสยองขวัญไม่มีผิด

แย่แล้ว เมื่อกี้มันต้องขึ้น ‘อ่านแล้ว’ แน่ๆ ผมควรตอบกลับหรือควรแกล้งหลับ ไม่สิมันแกล้งได้ที่ไหนในเมื่อมันขึ้นว่าอ่านแล้วน่ะ จำใจจิ้มกดเข้าไปใหม่ จะกลัวทำไมกับข้อความของคนแปลกหน้า ผมรัวแป้นบนหน้าจอเบาๆอ่านทวนอย่างถี่ถ้วนแล้วตัดสินใจเคาะนิ้วตรงเครื่องบินกระดาษสีฟ้า

ปรากฏข้อความขึ้นที่หน้าจอของผมทันที


ยังครับ


...อ่านทวนอะไรนักหนาแค่สองคำ...


จะรบกวนมั้ยครับถ้าจะคุย


คุย? คุยเรื่องอะไร? นึกไม่ออกว่าผมกับอีกฝ่ายมีเรื่องอะไรต้องคุยกัน


ได้ครับ ผมยังไม่นอน


ไอ้เบสมันเคยต่อว่าผมว่าชอบพูดจาอ้อมค้อม ถ้าสงสัยอะไรจะไม่ถามออกไปตรงๆ อาจคงเพราะนิสัยขี้เกรงใจที่ติดตัวมาแต่กำเนิด หรือไม่...ผมก็แค่อยากคลายความสงสัยด้วยการสังเกตจากพฤติกรรมเสียมากกว่า


พี่อิมเมจชอบกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ


หืม? อยากรู้ไปทำไม?


ถ้าไม่ใช่ของที่มนุษย์กินไม่ได้ผมทานได้หมด
แต่ถ้าให้เลือกผมชอบกะเพราหมูสับใส่ไข่ดาว


นิ่งไปเลย ผ่านไปเกือบนาทีแล้วที่ข้อความขึ้นว่าอ่านแล้วแต่ไม่มีการพิมพ์ตอบกลับ


โจทย์ยาก ทำผมอึ้งเลย
https://www.wongnai.com/listings/holy-basil-restaurants
15 ร้านผัดกะเพรารสเด็ด แซ่บขั้นเทพสะท้านวงการ!



ผมจิ้มเข้าไปในลิงค์ หน้าเว็บปรากฏหลากหลายร้านกะเพราชวนกินกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆในกรุงเทพฯ ดึกแล้วลงของกินได้ ท่าจะเป็นคติพจน์ของเด็กเกรทนั่น แต่ตอนนี้ห้าทุ่มมีใครบอกบ้างมั้ยว่าอย่าแชร์ภาพของกินมันทำให้คนหิวจนถึงขั้นลุกไปต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้น่ะ


หยุดเลย
*สติ๊กเกอร์ มูนกระทืบเท้ากับพื้นอย่างดุเดือด*


เดี๋ยวนะ
ไม่ชอบเหรอครับ


ชอบ

แล้วกระทืบเท้าทำไม

*รูปถ่ายซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป*

เดี๋ยว ผมไม่ได้ตั้งใจจะดราม่านะ

แต่ผมกำลังจะไปต้มมาม่า!!
อย่าให้ผมต้องไลฟ์สดโชว์วิดีโอกินมาม่ากลางดึกเลยนะผมขอ

5555555555


เฮ้อ...เหนื่อย...ทำไมคนอยากผมต้องมาทนความหิวโหยกลางดึกด้วยเนี่ย


อดทนหน่อยครับเดี๋ยวผมพาไปเลี้ยงแล้ว


หา?

เริ่มสงสัยตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว นี่คือปฏิกิริยาของคนที่อยากจะตัดสัมพันธ์กันงั้นเหรอ


เลี้ยง?


งานนี้พี่ไม่ต้องออกนะผมขอ
สรุปเสาร์นี้เจอกัน 11:00 ที่สถานีรถไฟฟ้าสยามตรงทางออกสแควร์วันละกัน
ถึงแล้วยังไงโทรมานะครับ
เลิกฉีกซองมาม่าได้แล้ว
*รูปถ่ายซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ผมถ่ายแต่มีเส้นกากบาทสีแดงคาดเต็มภาพ*
ฝันดี ฝันถึงซองบะหมี่สำเร็จรูปนะครับ
*สติ๊กเกอร์น้องม้าห่มผ้าโบกมือบ๊ายบายเตรียมตัวนอน*



ผมวางซองมาม่าลงบนโต๊ะ เดินมาที่เตียงปัดผ้าห่มสอดตัวเข้าข้างใต้อย่างลวกๆ สายตายังคงจับจ้องตีความหนึ่งบรรทัดนั้นซ้ำไปมา

เสาร์นี้เท่ากับวันหยุด เจอกันหมายถึงผมเจอกับเกรท ที่สถานีรถไฟฟ้าสยามแสดงว่านอกมหา’ลัย งั้นก็หมายความว่า...

‘ในเมื่อพวกเราเป็นแฟนกัน พวกเราก็ควรไปเดทกัน’

จำได้แล้วเด็กเกรทพูดคำนี้ออกมาในขณะที่สติผมเอาแต่คิดว่าอีกฝ่ายมาตัดความสัมพันธ์...เอาจริงดิวะ...


...TBC...


หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สอง+สาม[20-08-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 20-08-2019 21:06:03
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สอง...จานกับอาหารสิ้นคิด


“ยิ้มอะไรอ่ะอิม”

จู่ๆข้าวฟ่างก็ทักขึ้นมาตอนผมกำลังเลื่อนมือถือดูแบบเพลินๆ ปกติถ้าเป็นเฟสบุ๊กผมคงไม่แสดงพิรุธนี้ มันเป็นท่าทีที่เผลอยกยิ้มค้างจนแม้แต่ตัวเองยังแปลกใจว่าภาพซองมาม่ากับกากบาทสีแดงนั้นมีดีอะไร

“ปะ...เปล่าหนิ”

“อย่าโกหก ฉันเห็นแกยกมุมปาก กำลังดูอะไรในมือถือฮะ” ข้าวฟ่างเพื่อนในกลุ่มชะโงกหน้ามา จนต้องดึงหลบกดล็อคหน้าจอแล้วยัดใส่กระเป๋า

“ปะ...เปล่าก็ไม่ได้ดูอะไร”

“เดี๋ยวนี้อิมเมจของเราหัดโกหกเป็นแล้วเหรอ” ทำไมทุกคนต้องหาว่าผมโกหกไม่เป็นกันด้วยนะ ทั้งๆที่ความจริงแล้วผมก็แค่อึดอัดกับการต้องพูดอะไรตรงข้ามกับใจออกไปต่างหาก

“ก็...ก็แค่เห็นแชทจากรุ่นน้องแล้วฮาเท่านั้นเอง” สุดท้ายก็ต้องบอกออกไป

“รุ่นน้องคนไหน”

“นะ...น้องเกรทที่อยู่นิเทศศาสตร์” ผมพูดไปตามตรง ไม่มีเหตุผลต้องปิดบัง

“เกรท? เกรทไหน? เชี่ย แกอย่าบอกนะว่าน้องคนนั้น ไหนบอกว่าเคลียร์กันแล้วไง”

“เออ...ก็ไม่เชิง”

“ไม่เชิงยังไง”

“นั่นดิยังไง เมื่อวันก่อนชั้นอุตส่าห์ปล่อยให้แกกับน้องอยู่กันสองคนนะ” อันนี้เจ้าแม่จอมวางแผนอย่างดาวหนึ่งเพื่อนสาวในกลุ่มพูดขึ้น วันก่อนที่ได้มีโอกาสคุยกับอีกฝ่ายก็เพราะดาวคนนี้แหละที่คอยกันคนให้

“กูบอกแล้วไงว่าไม่ได้เรื่อง ไอ้อิมมันเคยพูดชัดเจนจริงจังกับเขาเป็นที่ไหน”

ไอ้เบสซึ่งนั่งหน้าเครียดอยู่แล้วพูดเสียงเข้มพลางขมวดคิ้วมุ่น เพื่อนคนนี้ผมเจอตอนปีหนึ่ง มันเป็นเพื่อนที่รู้ใจและสนิทกับผมที่สุด ทุกมุมของมันดูจริงจังกับชีวิตเสมอ โดยเฉพาะชีวิตผมที่ชอบทำตัวเอ๋อๆให้ตามเก็บตามเช็ดอยู่เรื่อย ความจริงด้วยระดับหน้าตาอย่างมันถ้าไม่ต้องมาติดแหง็กอยู่กับผมทุกวันขนาดนี้ ป่านนี้คงมีแฟนไปนานแล้ว แต่ผมก็ชอบที่มันเป็นแบบนี้นะ...

“เดี๋ยวกูไปบอกให้ละกัน เรื่องมันจะได้จบ” นั่นไงว่าไม่ทันขาดคำ มันทำท่าจะลุกพรวดพราดออกไปจนดาวกับข้าวฟ่างต้องรั้งแขนห้ามทัพเป็นระวิง

“เฮ้ย เดี๋ยว เบสแกจะไปเสือกเรื่องของอิมเมจมันทำไมวะ”

“ไม่ได้เสือก แต่มันไม่ได้เต็มใจจะคบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

“แกรู้ได้ไง!” ดาวกับข้าวฟ่างถึงกับตะโกนถาม คราวนี้ความสนใจทุกอย่างเลยตกมาอยู่ที่ผมซึ่งตอบรับอีกฝ่ายไป สายตาสามคู่หันมามองอย่างคาดคั้นคำตอบ จนผมอึกอัก

“กะ...ก็แค่บอกไปว่า...ถ้ารักก็คบได้”

“เชี่ยอิม!!/โธ่เอ๊ยไอ้อิม!!”

โดนเพื่อนสบถใส่พร้อมกันด้วยคำไม่เป็นภาษา อ้าว ไม่เคยได้ยินเหรอ ว่ารักคนที่เขารักเรา ดีกว่ารักคนที่เรารักเขาน่ะ

ชั่วครู่หนึ่งที่ผมแอบเหลือบไปมองไอ้เบส...

“แล้วความรู้สึกแกล่ะฮะไอ้อิม ความรู้สึกแกล่ะ” ผมถูกดาวจับไหล่เขย่าจนหน้าแทบทิ่ม

“เฮ้ยเดี๋ยวดาว” สมองผมกำลังจะไหล

“แกชอบเขาใช่มั้ย ชั้นถาม” คราวนี้ข้าวฟ่างเป็นคนถาม

“ไม่หรอก” แต่คนที่ตอบกลับเป็นไอ้เบสซะงั้น “ไอ้อิมมันไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปรัก” ปัญญาน่ะผมมี แต่เรื่องเอาไปรัก...ผมคงทุ่มเทกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้...ก็ในเมื่อ...

“นั่นสินะ” ข้าวฟ่างพยักหน้าสนับสนุน

“ตั้งแต่คบกับมันมา ชั้นยังไม่เห็นมันตอบตกลงหรือไปจีบใครก่อนเลยสักครั้ง”

...ไม่ใช่ไม่จีบ...แต่จีบไม่ได้ต่างหาก...

“แล้วทำไมคราวนี้แกตอบล่ะ”

“เออ...เรื่องนั้น” ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน อาจเป็นเพราะเห็นอีกฝ่ายกำลังตกที่นั่งลำบาก ไม่ใช่ลำบากในแง่เสียใจที่กำลังจะโดนปฏิเสธรัก หากลำบากที่ถูกคนรอบข้างจับจ้อง ลำบากที่กำลังจะถูกฉีกหน้าต่อทุกคนว่าสารภาพผิดคนไป ผมจงใจเก็บมันไว้โดยไม่บอกเพื่อน “ช่างมันเถอะ”

“ช่างได้ไง ชีวิตรักแกทั้งคนเลยนะ” ไอ้ดาวดิ้นโวยวาย ส่วนไอ้เบสมันเอาศอกมาสะกิดมองตาผม

“ตอบกูมาคำเดียว ว่ามึงไม่ได้ชอบมัน พรุ่งนี้กูจะได้ไปบอกให้เขาเลิกยุ่งกับมึงซะ”

ใช่...กูไม่ได้ชอบเขา...แต่กูชอบ...

ผมงับปากตัวเอง ความรู้สึกแปลกๆเอ่อล้นขึ้นมา ช่วงเวลาสามปีเหมือนมีบางอย่างสะสมตกตะกอนอยู่ข้างในตัวผม และผมก็ไม่เคยหวังให้ใครมาปั่นป่วนตะกองที่นองก้นจนทำให้น้ำใสที่อยู่ในใจนั้นขุ่นคลัก แม้คนๆนั้นจะเป็นผมเองก็ตาม

ที่ผมทำทุกอย่างไปอาจเป็นเพราะช่วงนี้ว่างเสียจนเอาเวลามาจับผิดสีหน้าคนผ่านอารมณ์และสายตา ไม่งั้นวันนั้นผมคงไม่ตอบรับคำว่า ‘ชอบ’ ด้วยการบอกว่าพร้อมจะคบหากอีกฝ่ายรักได้หรอก

ผมแค่มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ชอบผม...และผมแค่สงสารเพราะเหมือนอีกฝ่ายกำลังหมดหนทางรอด

มือที่ถูกจับวันนั้นยังจำอารมณ์สั่นและลนลานผ่านทุกการกระทำได้ดี และการที่คนไม่มีพันธะอย่างผมจะได้ลงเอยกับรุ่นน้องมันคงไม่เดือนร้อนอะไร ดีเสียอีกที่ผมจะได้หลุดพ้นจากการโดนคนแปลกหน้าที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนตามจีบ คงต้องอาศัยการตักตวงผลประโยชน์จากตรงนี้ให้เต็มที่ ก่อนจะโดนอีกฝ่ายบอกเลิกและต่างฝ่ายต่างกลับไปเป็นคนแปลกหน้าอย่างเดิมเหมือนเคย

ที่ผมเล่ามาทั้งหมดมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรเลยหนิ...จริงมั้ย

ผมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนตัวสูงที่ยังรอคำตอบก่อนยิ้มออกมา

“ไอ้เบสมึงไม่ต้องทำอะไรหรอก”

“ได้ไงวะ แล้วมึงกับ...”

“ ‘เขา’ ไม่ได้ยุ่งกับกูมาตั้งแต่แรกแล้ว”

จะมีแค่เมื่อวานที่โลกมันบิดเบี้ยวไปนิด หากการ ‘เข้ามายุ่ง’ เมื่อวานเป็นผลจากการตอบรับรัก การหักอกอีกฝ่ายเพียงชั่วข้ามคืนมันคงจะดูแปลกเกินไป

ผมเมินข้อเสนอของเบส ตั้งใจจะปล่อยเรื่องราวผ่านไปสักระยะรอให้ซาแล้วค่อยล้างรากัน ผมสงสารรุ่นน้องเจ้าของหางตาตกๆคู่นั้น คนที่ชื่อมีความหมายคล้ายกันกับเพื่อนผมว่า ‘ดีเยี่ยม’








แน่นอนว่าเพื่อนรู้แค่ผมได้คุยกับรุ่นน้อง แต่ผมไม่ได้เล่าเรื่องนัดของเราในวันเสาร์ให้ใครฟัง ถ้ารู้ไอ้เบสคนนึงแหละที่น่าจะต่อต้านแล้วให้ผมจัดการตัดไฟแต่ต้นลม หรือไม่ก็มาตามคุมพฤติกรรมถึงที่แน่ๆ

พอถึงวันจริงผมมาถึงที่นัดก่อนเวลาเกือบชั่วโมง ยอมรับว่าตื่นเต้นเพราะไม่เคยนัดคนแปลกหน้า ช่วงเวลานี้ห้างร้านรวงต่างๆเริ่มทยอยกันเปิด แต่ถึงอย่างนั้นร้านกาแฟที่ขยันทำงานกันแต่เช้าก็มีคนจับจองที่นั่งไปมากกว่าครึ่งแล้ว ผมมองนาฬิกาพลางเหลือบไปยังร้านกาแฟเงือกเขียว คำนวณกับตัวเองว่าคงใช้เวลาหนึ่งถ้วยกาแฟรอคอยเดทแรกของผม ก่อนตัดสินใจย่ำเท้าเข้าไปยังร้านที่ใกล้ที่สุดเผื่อจะได้มองเห็นอีกฝ่ายได้ถนัดหากเขามาเร็วกว่านัด

“ลาเต้ร้อนไซส์เล็กแก้วนึงครับ”

เครื่องปรับอากาศในนี้ค่อนข้างเย็น การสั่งเครื่องดื่มร้อนน่าจะทำให้นั่งได้นานกว่า ผมกวาดสายตามองไปรอบร้านหาที่นั่งว่าง นับว่าโชคดีที่ถัดจากมุมสุดของโต๊ะบาร์ยาวยังเหลือโซฟาเบาะเดี่ยวสีเทาเว้นเป็นฟันหลอไร้การจับจองอยู่

พอได้รับเครื่องดื่มจึงรีบรุดไปวางถ้วยปลดกระเป๋าจากไหล่พาดไว้ข้างเก้าอี้แล้วทิ้งตัวลงนั่งยังเบาะนุ่มนั้น ขยับตัวจนเข้าที่เข้าทาง สายตาเลื่อนไปจับจ้องยังทางเดินคอนกรีตซึ่งเป็นชั้นลดหลั่นลงไปด้านล่างพลางยกถ้วยกาแฟขึ้นเป่า ยังไม่เห็นวี่แววของคนที่คล้ายมารอใครเลยสักคน

...ใครจะมาก่อนเวลาบ้าบอได้เท่ากับผมบ้างล่ะ...

ผมเลิกเพ่งสมาธิไปกับทางเดินเปลี่ยนมาเป็นมองเหม่อไปรอบๆอย่างฆ่าเวลา พลันสายตาไปสะดุดกับเงาสะท้อนกระจกตรงหน้าจากคนข้างเคียง...

อึก...เดี๋ยวนะ...

ถ้าเป็นหนังผีคุณคงคิดว่ามีพลังงานบางอย่างอยู่เบื้องหลังใช่มั้ย แต่เปล่าเลย ผมกำลังมองเงาสะท้อนของคนข้างๆที่เสียบหูฟังกดมือถืออย่างมุ่งมั่นตั้งใจอยู่ต่างหาก

แต่เงาสะท้อนกลับกลืนไปกับพื้นหลังสีเข้ม แสงสลัวไร้ไฟเจิดจ้า ทำให้ผมไม่กล้าฟันธงกับการตัดสินใจ เลยได้แต่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยถือถ้วยกาแฟติดมือปิดบังหน้า แอบเหลือบสายตาไปมองเป็นระยะอย่างคนมีพิรุธ

สายตาผมสั้น แต่สั้นไม่มาก เลยพยศกับการใส่แว่นที่ทำให้รำคาญจมูก แต่พอมาเจอกับสถานการณ์อย่างนี้รู้สึกอยากให้ตัวเองตาดีสักสิบเท่า

“แซนวิชทูน่าค่ะ” เสียงข้างหูดังขึ้น พลันสะดุ้งหันไปสบตากับพนักงานสาวที่ยืนยิ้มยื่นถาดดำมาให้ บนนั้นมีกระทงจีบใบเล็กสีขาวใส่ของทดลองชิมเป็นขนมปังสีน้ำตาลประกบคู่ตัดชิ้นพอดีคำอยู่หนึ่ง มันคงส่งผ่านหลายคนจนเหลือรอดมาถึงตรงนี้

“เออ คือ...” ผมมักมีภาวะลังเลเสมอยามโดนให้ตัดสินใจอะไรกะทันหัน มือที่ยกขึ้นมาเผลอโบกไหวปฏิเสธ แต่คิดไปคิดมากลับเปลี่ยนใจอยากรับไว้เนื่องจากข้าวเช้ายังไม่ตกถึงท้อง พอขยับมือจะคว้า พนักงานคนนั้นกลับหันไปมองคนข้างเคียงพลางยิ้มให้เสียแล้ว

“แซนวิชทูน่า...อ๊ะ!”

พลาดตรงที่ชักมือออกไปแต่ดันดึงกลับไม่ทัน มือของผมสัมผัสกับคนข้างๆ อีกฝ่ายขยับมาคว้าโดยไม่ทันมองเต็มตาเพราะเพ่งสมาธิอยู่แต่กับหน้าจอ มือผมเลยกลายเป็นแซนวิชทูน่าสำหรับเขาไปเสียแล้ว

“ขอโทษครับ...” ดวงตาตกๆคู่นั้นหันมองมาทางผม

“ไม่เป็นไรครับ เอาเลยครับ” รู้สึกหน้าชา ผมหันตัวมายกกาแฟดื่ม ลืมว่าพึ่งสั่งมาเลยทำลาเต้ลวกปาก สะดุ้งจนกระชากถ้วยออกแทบไม่ทัน ฉับพลันกับที่รู้สึกถึงสายตาใครบางคนผมเลยหันไปมอง

“ยิ้มอะไรครับ” ใบหน้าขบขันของอีกฝ่ายทำเสียงผมห้วนกว่าปกติ รู้สึกไม่สบอารมณ์ที่โดนรุ่นน้องเล่นหัว คนไม่สนิทมีสิทธิ์อะไรมาหัวเราะ พอจบคำอีกฝ่ายได้แต่ทำหน้าอึ้งมองตาผม

“เปล่าครับ ไม่คิดว่าพี่อิมเมจจะมีอารมณ์แบบนี้กับเขาด้วย” เสียงทุ้มเอ่ยก่อนหลุดยิ้มออกมาอีกรอบ

“ใครกันอิมเมจ คนรู้จักของคุณเหรอ”

เจ้าตัวเบิกตาโตหนักกว่าเดิม งงว่าผมมาไม้ไหน ในเมื่อเคยเดินชนแล้วจำผมไม่ได้งั้นก็อย่ามาสนิทสนมเรียกชื่อเล่นคนอื่นเขาง่ายๆแบบนี้เลย ความเย็นชาทำให้เจ้าตัวนิ่งไป ผมไม่สนใจหันมายกถ้วยกาแฟจรดริมฝีปากเป่าอย่างประณีต สงวนท่าทีความเป็นรุ่นพี่ให้น้องเคารพและยำเกรง แต่ปลายสายตายังคงชำเลืองมองอีกฝ่ายตลอดเวลา

“อิมเมจแฟนผมครับ”

แค่กๆ ผมสำลักลาเต้ อุตส่าห์เป่าอย่างดีจนแน่ใจแล้วว่าไม่ลวกปาก ตอนนี้ลิ้นพองไปหมด รู้สึกได้ถึงมือคนข้างเคียงยื่นเข้ามาลูบไหล่ ก่อนยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ ผมเผลอรับมาแนบปากอย่างลืมตัว

“ขอบคุณ ไว้ผม...” เชร้ด ผ้าเช็ดหน้าสีขาว แล้วสภาพตอนนี้มันก็เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบกาแฟ

“อย่างนี้จะซักออกได้ไง”

“ไม่ต้องคืนก็ได้ครับ” อุทานกับตัวเองแต่อีกฝ่ายกลับตอบมาอย่างเอื้ออารี ไม่รู้บ้านอื่นเป็นกันอย่างบ้านผมมั้ย ว่าการให้ผ้าเช็ดหน้าเป็นลางไม่ดี ผ้าผืนเล็กๆชิ้นนี้เป็นตัวแทนรองรับความโศกเศร้า ผมจับผ้าเปื้อนคราบกาแฟแต่ยังฟุ้งกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มของอีกฝ่ายเข้าอกเสื้อ ขยับมือล้วงเข้ากระเป๋ากางเกงด้านหลัง ก่อนเอื้อมไปจับมือคู่กรณีไว้แล้ววางสิ่งที่หยิบออกมาลงไปแทน

“แลกกัน”

“ฮะ?”

“ผมยังไม่ได้ใช้ พึ่งซักมาใหม่ๆ ถือว่าหายกัน” เจ้าตัวกำผ้าผืนนุ่มลายตารางสีดำเทาในมือมองดูพลางยกยิ้มเบาๆ

“พี่อิมเมจเป็นคนคิดมากกว่าที่ผมคิดไว้นะครับ”

“ก็ยังดีกว่าคนคิดน้อยละกัน” ไม่ได้เหน็บ แค่พูดให้เจ็บเล่น มีคนบ้าที่ไหนบนโลกนี้บ้างที่เห็นหน้าผาแล้วเหยียบคันเร่งทั้งที่มีเลนทางแยกอยู่ด้านข้าง และถึงแม้จะเป็นทางเดินที่โคตรขรุขระแต่มันก็อาจจะทำให้กลับมามีชีวิตรอดได้ไม่ใช่หรือไง

...ไอ้เด็กโง่...ไม่มีอารมณ์เดทละ...

ผมขยับตัวยุกยิก ก้ำกึ่งระหว่างการตัดสินใจทิ้งกาแฟที่พร่องไม่ถึงครึ่ง หรือรอดื่มให้หมดก่อนแล้วค่อยจากไปเพราะเงินที่จมอยู่ในนั้นก็หลายบาท ความคิดผมสะดุดตอนที่กระทงกระดาษสีขาวโดนแขนยาวๆดันมาตรงหน้า แทบจะต้องหันไปหาคนกระทำอีกรอบ

“ผมให้” เสียงทุ้มกล่าวเรียบไม่มีท่าทีขี้เล่นเหมือนอย่างเดิม

“ไม่เป็นไรครับ คุณทานเถอะ” ผมดันกลับ

“เห็นพี่ลังเลอยู่ ดูเหมือนอยากกิน”  หมดอารมณ์กินแล้ว อยากพูดแบบนั้นแต่ขึ้นชื่อว่าคนแปลกหน้า ผมไม่มีทางแสดงธาตุแท้ออกมาให้เห็นตั้งแต่แรกหรอก

“เปล่า ผมแค่คิดว่าถ้าเมื่อกี้คุณไม่หยิบพนักงานคนนั้นก็ต้องเดินวนซ้ำอีก”

“เขาไม่ลงทุนขนาดนั้นหรอกครับ แค่เดินกลับไปวางที่เคาน์เตอร์เดี๋ยวก็มีคนหยิบแล้ว พี่ทานเถอะครับผมยังไม่หิว”

“ของเหลือเหรอ” มีใครเคยบอกมั้ยว่าผมร้าย ท่าทางผมจะทำให้อีกฝ่ายประหลาดใจกับพฤติกรรมแปลกใหม่ที่ไม่เคยเห็นจากคนชื่ออิมเมจ ถ้าไม่ใช่คนที่อยู่ใกล้กันจริงไม่มีทางรับรู้ข้อนี้ได้

“ไม่ใช่ของเหลือครับ ผมให้”

“ไม่ลงทุนเลย”

“หา?”

“ให้ของฟรี”

คนตัวสูงที่ผมเคยเห็นแต่ในคราบนักศึกษามาวันนี้เขาใส่เสื้อฮาวายพื้นดำลายสับปะรดเส้นขยุกขยิกทำหน้าเหวอไป ความเงียบเข้ามาแทนที่ระหว่างเราสองคน ผมกำลังทำให้บรรยากาศเดทแรกขมุกขมัวในความคิด

สักพักเด็กเกรทก็กระทำสิ่งที่ผมไม่คาดฝัน มือใหญ่ขยับมาหยิบแซนวิชทูน่ายัดเข้าปากตนเองเคี้ยวหมุบหมับ จนทางนี้ได้แต่มองตามแบบประหลาดใจปนเสียดาย พอจะทำเป็นเลิกสนใจ มือข้างเดียวกันนั้นกลับคว้ามาที่แขน เจ้าตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเหนือหัวผม

“อะไร จับแขนผมทำไมเนี่ย”

“ไปกันเถอะครับ”

“หา?”

“ไปหาของไม่ฟรีกินกัน ลุกเร็ว”

“เฮ้ยเดี๋ยวดิ”

สรุปสุดท้ายผมแม่งต้องทิ้งกาแฟแก้วละร้อย เพราะโดนผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่า ‘แฟนคนปัจจุบัน’ ลากออกจากร้านมาแบบกะทันหัน






“ทานเผ็ดได้มั้ยครับ”

“พอได้”

“พี่ครับเอาข้าวกะเพราหมูสับไข่ดาวครับ เอาเผ็ดปานกลาง แล้วอีกจานเอาเป็นหมูกระเทียม”

“ไข่ดาวจานนึงเอาไม่สุกนะครับ”

รู้เลยเด็กเกรทมันอมยิ้มทันทีที่ผมรีบตะลีตะลานบอกพนักงานที่กำลังจะรวบเมนูกลับไป ในที่สุดก็พาผมมาร้านตามที่เจ้าตัวเคยส่งลิงค์มาให้ ใจนึงก็อยากกลับแต่ผมบังคับท้องไม่ได้ตอนนี้หิวเสียจนไส้แทบบิด ช่างมันจบกันด้วยหนึ่งมื้อแล้วค่อยลาขาดไม่น่าจะยากอะไร

พวกเรานั่งรออาหารมาเสิร์ฟในภวังค์ความเงียบ ไม่มีใครเริ่มบทสนทนาก่อน หรืออาจเพราะไม่รู้จะเริ่มคุยเรื่องอะไรมากกว่า การจูนกันของพวกเรามันเริ่มจากคำว่า ‘ผิดพลาด’ แล้วผมจะมีปัญญาไปทำอะไรได้ล่ะ

“ทำไมถึงชอบกินกะเพรา” สุดท้ายเด็กเกรทก็ตีแตกความเงียบให้พ่ายแพ้ ผมมองหน้าคนที่ถือแก้วน้ำเปล่าคาบหลอดไว้คาปาก

“ก็มันอร่อย”

“ผมคิดว่าพี่ตอบไปส่งๆ”

“เพื่ออะไร”

“ตัดรำคาญคนอย่างผม”

“กะเพราไม่ผิดอะไร มันอร่อยของมันอยู่แล้ว ไม่ต้องใช้ให้ใครเอามันไปเป็นข้ออ้างเรื่องอื่น”

“ดูท่าจะชอบจริง มีปกป้องกะเพราด้วย”

“ถ้าใครบอกว่ามันเป็นอาหารสิ้นคิดผมจะตีปากแตกเลย คนเรามักเลือกของอร่อยมาก่อนเสมอ ร้านอาหารตามสั่งทั่วไปยังไงก็ต้องมีไข่ไก่อยู่แล้ว แล้วทำไมไม่สั่งข้าวไข่เจียวแล้วบอกว่ามันเป็นอาหารสิ้นคิดให้รู้เรื่องรู้ราวเลยล่ะทำไมต้องมาสั่งกะเพราแล้วกล่าวหาว่ามันเป็นอาหารสิ้นคิดด้วย”

“กะเพราเผ็ดปานกลางจ้า” พนักงานเสิร์ฟวางจานกะเพราราดข้าวโปะไข่ดาวลงบนโต๊ะ แทรกบทสนทนาดุเด็ดเผ็ดมันของผมอย่างกะทันหัน ผมนั่งจ้องผิวเนียนที่เคลือบด้วยน้ำมันของไข่ดาวไม่สุกตาค้าง

“พูดอย่างนี้ไข่ดาวน้อยใจแย่เลยนะครับ” เสียงทุ้มกล่าวตัดพ้อแทนน้องไข่ดาวก่อนเลื่อนจานข้าวเข้ามาใกล้ทางฝั่งผม “ไข่ดาวก็เหมือนเป็นญาติของไข่เจียว” เหมือนหยดน้ำมันที่ไหลมาออตรงร่องไข่ขาวจะเป็นน้ำตาของไข่ดาวฟองน้อย ผมนิ่งไปอึดใจก่อนรู้สึกเหมือนต้องพูดอะไรสักอย่าง

“ขอโทษนะที่กล่าวหาว่าญาติของแกเป็นอาหารสิ้นคิด” ผมมองไข่ดาวแล้วกล่าวอย่างคนเพ้อ “อย่างนี้แหละเขาถึงชอบพูดว่าของที่อยู่ใกล้ตัวหาง่ายคนมักไม่ได้รับความสำคัญ”

“ทำไมถึงไปออกประเด็นนั้นล่ะ” ผมมองตาอีกฝ่ายพยายามหาคำตอบสำหรับคำถามนั้นให้ได้ แต่สุดท้ายก็มาจบที่...

“ผมก็แค่คนบ้าคนนึง”

“เป็นคนบ้าที่น่ารักดีนะครับ” ผมรู้สึกว่าเกรทเป็นเด็กหน้าตาดีที่ชอบยิ้มเรี่ยราด มิน่าล่ะ สาวๆที่ภาคผมถึงได้เคลิ้มนักเคลิ้มหนา

“ผมควรโฟกัสที่คำว่าบ้า หรือคำว่าน่ารักดีล่ะ”

“ทั้งสองอย่างสิครับ ดูบาลานซ์ดี”

“ขอบคุณครับที่ชมผมว่าบ้า” เบื่อรอยยิ้มนี้แล้วล่ะ ผมหันมาจ้องน้องไข่ดาวน้อยมันดูจะอารมณ์ดีขึ้นตามความมันวาวและสวยน่าทาน ก่อนขยับมือไปหยิบแก้วน้ำยกหลอดขึ้นดื่ม

“กินก่อนได้เลยนะครับ”

“แต่ข้าวของคุณยังไม่มา”

“สงสัยเขาไปปลูกต้นกระเทียมอยู่”

“อีกสักพักคงไปเลี้ยงหมูด้วยล่ะมั้ง จานผมมีส่วนประกอบเดียวกับคุณแท้ๆ แต่ทำไมของคุณยังไม่มาล่ะ”

“สงสัยทำยากกว่ามั้งครับ”

...หมูกระเทียมจะไม่ทำยากกว่ากะเพราได้ยังไง...

ผมส่ายหัวเอ็นดูให้กับเหตุผลแบบเด็กๆ สักพักจึงเห็นปลายนิ้วของคนสั่งหมูกระเทียมชี้มาที่จานผม

“ไหนๆก็วัตถุดิบเดียวกันแล้ว ขอผมชิมของพี่ได้มั้ย” เผลอกระพริบตาปริบๆใส่อีกฝ่าย คราวนี้มาไม้ไหนเนี่ย ไม่อยากคิดให้มากความผมดันจานให้ไปใกล้ฝ่ายตรงข้ามโดยพยายามไม่ให้ช้อนส้อมตกลงมา

“เอาสิ”

“พี่กินก่อนดิ”

...อ้าว เอาไงกันแน่วะ...

“ถ้าพี่ไม่เปิดก่อนแล้วผมจะกล้ากินได้ยังไง”

เรื่องมากชะมัด ผมต้องดึงจานกลับหยิบช้อนส้อมขึ้นตักข้าวกะเพราเข้าปากพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย  รสชาติกะเพราเจ้านี้อร่อยกลมกล่อมกว่าที่คิด เหมือนทางร้านจะคัดกะเพราป่าที่มีกลิ่นฉุนพิเศษมาเป็นวัตถุดิบ ผมชักเริ่มติดใจแล้วแฮะ

แต่ก่อนที่จะตักมันเข้าปาก ผมควรจะให้อาหารนกตรงนี้ที่ทำตาเป็นประกายตัวนี้เสียก่อน

“อ่ะ...ผมกินแล้ว คุณก็กินซะสิ”

“อา....”

ไอ้เหี้ย...ท่าทางหลับตาอ้าปากตรงหน้ามันคืออะไร จู่ๆเด็กเกรทก็จับขอบโต๊ะแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ใบหน้าซึ่งมองไม่เห็นแววตาดูกึ่งทีเล่นทีจริง จนเหมือนกับว่าเจ้าตัวกำลังล้อเลียนผมอยู่

คิดว่าผมไม่กล้าป้อนกะเพราป่าให้กับเดทแรกของผมสินะ

ไม่ใช่ชอบเอาชนะแต่กับเด็กเกรทผมไม่อยากแพ้ เพราะเหมือนยิ่งแสดงจุดอ่อนให้เห็นเจ้าตัวก็ยิ่งได้ใจ ผมเลยตักกะเพราหมูสับใส่ช้อนหวังแค่ยื่นไปป้อนคนตรงหน้า แต่ไอ้หลังที่ตรงแด่วแบบไร้ความร่วมมือทำให้ระยะทางของเราไกลเกินเอื้อม การป้อนครั้งนี้จึงเป็นอะไรที่ทุลักทุเลสำหรับผม เพราะทั้งต้องยกตัวจากเก้าอี้โน้มตัวไปข้างหน้าแล้วยังต้องเอามือเท้าโต๊ะ ก่อนเล็งศูนย์ช้อนให้ตรงกับปาก เหมือนเจ้าตัวจะรอนานจนต้องลืมตาขึ้นมา ผมเลยชะงักค้างอยู่ท่านั้น...

อึก...ใกล้กว่าทุกที...แล้วแทนที่จะจ้องไปมองกะเพราที่ช้อนกลับมองแต่หน้าผม...

ผมเสียศูนย์จนช้อนข้าวเกือบตวัด โชคดีที่มือใหญ่คว้าเข้ามาได้ทันการ ก่อนบรรจงเลื่อนมันเข้าปากที่อ้าค้างไว้

ใบหน้าหยอกเย้าส่งตรงมาเต็มสตรีม แต่สักพักคิ้วรูปสวยกลับต้องหมวดเป็นปม รีบปล่อยมือผม ก่อนเม้มปากหนัก ลำคอเหยียดกระเพื่อมแรงเหมือนเจ้าตัวพยายามกลืนข้าวก้อนใหญ่ลงท้อง

“เชี่ยพี่อิมเมจ พี่ตักพริกให้ผมทั้งเม็ดเลยเหรอ” เหมือนจะโดนฤทธิ์เจ้าพืชสีแดงแค่เพียงน้อย เลยมีแรงด่าผมก่อนยกน้ำขึ้นดื่ม

“ผมไม่ได้หลอก พริกเม็ดเบ้อเริ่มวางอยู่บนช้อน แต่กลับไม่ดูเอง” เด็กเกรทเกาท้ายทอยแกรกๆ ก้มหัวบ่นงึมงำ

“ก็ตรงหน้ามีของที่น่าดูมากกว่านี่หว่า”

“อะไรนะ”

“ปะ...เปล่าครับ”

“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เราสองคนมาพูดกันให้ชัดเจนเลยดีกว่า” ผมว่าจะไม่เป็นคนเริ่มก่อนแล้วนะ

“เรื่องอะไรครับ”

“ก็เรื่องที่ว่า...” เหมือนทำเสียงหล่นหายไปกลางอากาศ ผมนิ่งค้างไปกับจุดตกสายตาของผม

“หืม...ด้านหลังมีอะไรหรือครับ” เด็กน้อยกำลังจะหันหน้าไปตาม แต่เขาต้องชะงักค้างแล้วหันกลับมาทางเก่าทันทีที่ผมตะโกนเรียกออกไป

“เกรทมองตาผม!”

“หา?” เจ้าตัวสะดุ้ง เริ่มจับอาการคนบ้าคนนี้ไม่ถูกทำอะไรต่อไปไม่เป็น

“พวกเรามาคบกันให้เป็นกิจจะลักษณะซะทีเถอะ”


...TBC...

++++++++++++++++++++


เรื่องนี้อาจจะเรียบๆเรื่อยๆ ไม่ค่อยฮาๆอารมณ์ขึ้นๆลงๆเหมือนเรื่องก่อนๆ

แต่คิดว่าอยากแต่งแนวนี้พอดีเลยลองแต่งดูค่ะ

ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สอง+สาม[20-08-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 20-08-2019 21:14:28
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สาม...อย่างคุณจะทำวันเดียวในเดทแรกไม่ได้นะ


ถึงแม้ผมจะไม่ถนัดกับการตัดสินใจอะไรกะทันหัน แต่ผมก็เป็นนักคำนวณและวางแผน ผมจะมองทุกอย่างตรงหน้าเหมือนวัตถุดิบในการตัดสินใจ เอาอันนี้มาใส่ จับบวกกับอันนี้แล้วผลลัพธ์คืออะไรที่ดีที่สุดก็จะเลือกอันนั้น

แล้ววันนี้ความสามารถพิเศษนั้นก็ถูกนำมาใช้...

“คบกันให้เป็นกิจจะลักษณะ? พี่หมายถึง”

“ก็หมายความตามที่พูด”

“แล้วมันต่างจากตอนนี้ยังไง”

“ต่างสิ คนเป็นแฟนกันมันไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายรอถึงสามสัปดาห์หรอกนะ”

“...”

เหมือนผมจะจี้ใจดำอีกฝ่าย เจ้าตัวหน้าหมองคอหักลงอย่างเห็นได้ชัด คงรู้สึกผิดกับการกระทำที่เหมือนทิ้งขว้าง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เรียกได้ว่ายังมีความดีอยู่

พอมานั่งคิดทบทวนแล้ว แรกเริ่มเดิมทีผมไม่ได้ต้องการจะคบอีกฝ่ายด้วยความชอบพอ ส่วนเด็กเกรทน่ะเหรอตัดคำว่า ‘ชอบ’ ออกไปจากสารบบได้เลย ต่างฝ่ายต่างไม่รัก ต่างฝ่ายต่างชอบ...คนที่มีแฟนแล้ว...การที่พวกเราสองคนจะมาคบกันมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร

หลังจากนั้นถ้าไม่ชอบก็แค่เลิกคบแล้วจบกัน

“พี่อิมเมจผมถามอะไรอย่างได้มั้ย”

อีกฝ่ายทำหน้าจริงจังผิดปกติ ผมเลยพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงอนุญาต

“พี่เป็นเกย์เหรอครับ”

“...” ผมอึ้ง อะไรทำให้เจ้าตัวคิดอย่างนั้น อ๋อ...จริงด้วยสิ การตอบรับคบอีกฝ่ายทั้งที่เป็นผู้ชายมันทำให้คิดไปได้แบบนั้นสินะ เด็กเกรทลอบมองปฏิกิริยาทำท่ากล้าๆกลัวๆใส่ ผมเลยอ้าปากตอบออกไป

“ถ้าอย่างนั้นคุณที่มาสารภาพรักกับผู้ชายอย่างผมก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

“จะ....บ้าเหรอผมแค่” ผมยกคิ้วข้างหนึ่งใส่เจ้าตัว จนอีกฝ่ายชะงักยกมือเกาศีรษะแกรกแกรก “เออ...นั่นสินะ”

“หรือจะเลิกกันดีล่ะ” ผมยิงออกไป บางทีจบตอนนี้อาจจะยังไม่สาย

“...” อีกฝ่ายมีท่าทีอึ้ง แต่สักพักสีหน้าดีใจยินดีที่ผมเปิดโอกาสให้กลับผุดขึ้นมาอย่างปิดไม่มิด มันดูน่าหมั่นไส้ชวนให้กลั่นแกล้ง

“ไม่เอาดีกว่า ไม่เลิกแล้ว”

“ฮะ?” อารมณ์เปลี่ยนไวยิ่งกว่าสีของกิ้งก่า

“หรืออยากให้เลิก?”

“เดี๋ยวพี่...” เกรทยกมือขึ้นเหมือนจะห้ามให้ผมหยุด แต่อย่าหวังเลย

“ไม่ต้องเลิกละกันเนอะ”

“เฮ้ยพี่อิมเมจ พี่จะเอาไงกันแน่ เดี๋ยวเลิกเดี๋ยวไม่เลิก สรุปแล้วพี่...”

“คุณชอบผมรึเปล่าล่ะ”


“...!”

“ที่มาขอคบด้วย...ความจริงแล้วคุณชอบผมหรือเปล่าล่ะ”

“...”

“...”

พวกเราต่างฝ่ายต่างเงียบใส่กัน คงจุกสินะ ขอโทษที ผมอดไม่ได้จริงๆที่จะเอานิ้วชี้จี้ไปที่ใจสีดำของเขา

“กะ...ก็ต้องชอบสิครับ” ปากแข็ง ไม่มีความรู้สึกรักปะปนอยู่ในคำพูดนั้นเลยสักนิด

“งั้นพวกเราก็คบกัน ตกลงตามนั้นนะ” ผมกลับมาสนใจข้าวราดกะเพราในจาน ลมของเครื่องปรับอากาศที่ตกลงตรงกลางเริ่มทำให้อาหารดูเย็นชืดคล้ายกับเดทของพวกเราในวันนี้

ผมรู้สึกเหมือนกำลังมาเจรจาธุรกิจบางอย่างซึ่งตนเองไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไร จะมีก็แต่คู่ค้าที่ดูจะขาดทุนไปเสียทุกอย่าง ทั้งหมดโอกาสเดินตามตัวจริงซึ่งมีคนรักแล้วต้อยๆไปสารภาพ แล้วยังต้องทึกทักแสดงบทบาทเป็นคนรักของผมอีก

“ข้าวหมูกระเทียมจ้า” เสียงสวรรค์เหมือนหยุดความตึงเครียดป่วนปั่นที่ปะทุขึ้นมา ข้าวสวยจานร้อนพร้อมราดด้วยหมูชิ้นสีเหลืองทองปะปนกระเทียมกองใหญ่ถูกวางลงตรงหน้า กลิ่นหอมของมันยังคั่งค้างอยู่ในระบบประสาทของผม ดูมันน่ากินกว่ากะเพราจานจืดชืดตรงหน้าเป็นไหนๆ

นี่คืออภิสิทธิ์ของคนที่รอสินะ มีโอกาสข่มขู่ด้วยกับข้าวที่สดใหม่กว่า

“น่ากินจัง”

“ฮะ?” หลังจากหลุดอุทานเสียงทุ้มของอีกฝ่ายก็ดังดึงความสนใจไปจากข้าวราดหมูกระเทียมตรงหน้า อาจคงเพราะเพิ่งจบประเด็นคำถามเพศสภาพของผมไป เจ้าตัวเลยยังคงทิ้งสีหน้าตื่นๆไว้มองผม

“ขอชิมได้มั้ย”

“เอ๊ะ!?”

“ผมหมายถึง ‘หมูกระเทียม’ ไม่ใช่ ‘เกรท’ ”

จบคำเฉลยเจ้าตัวนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะดันจานตรงหน้ามาให้

“อะ...เอาเลยครับ” มองท่าทีอีกฝ่าย แล้วนึกสนุกอยากลองเล่นพิเรนทร์ขึ้นมา เลยแกล้งปิดเปลือกตาลง แย้มเยื้อนริมฝีปากเล็กน้อย เปล่งเสียงเบาๆออกมาจากลำคอ

“อา.....”

“ฮะ?”

“ป้อนผมบ้างสิ”

“พะ...พี่อิมเมจ” เสียงสั่นจนน่าสงสาร วันนี้พอแค่นี้ละกัน ผมลืมตาขึ้นสบกับเจ้าตัวที่ยังมีท่าทีลนๆอยู่เล็กๆ

“ไม่เอาน่า ผมล้อเล่น” เอื้อมไปตั้งท่าจะหยิบช้อนขึ้นมาตักหมูกระเทียมเข้าปาก แต่ทว่ามือใหญ่กลับยื่นมาจับมือผมไว้เสียอยู่หมัดก่อนปลดช้อนออกบังคับไม่ให้แตะต้องอาหารของเขา

ช้อนที่โดยแย่งไปจ้วงลงชิ้นหมูคำใหญ่ก่อนส่งมาจ่อที่ปากผม

“อ้าปากสิครับ”

“...”

“ไหนบอกให้ป้อนไง อยากให้ป้อนก็อ้าปากสิครับ อ้ามมมม”

บทสนทนาของพวกเราอาจทำให้คนที่ได้ฟังครึ่งๆกลางๆแอบคิดอกุศลไปไกลโข ผมค่อยๆอ้าปากอย่างเก้อๆ พลังใจที่กล้าทำอะไรต่อมิอะไรมันหดหายไปหมด ทันทีที่ริมฝีปากแตะช้อนกลิ่นหอมๆของกระเทียมก็ซึมเข้ามา

“อืม” ผมเคี้ยวราวกับสวมวิญญาณคณะกรรมการในมาสเตอร์เชฟ รสชาติดีใช้ได้ ถึงแม้จะเป็นอาหารตามสั่งที่คิดว่าหาที่ไหนได้ก็ตามที “อร่อย”

“แน่อยู่แล้ว”

“ร้านนี้เขาดัง?”

“เพราะผมป้อนให้ต่างหาก”

อยากจะสำรอกให้กับความมั่นหน้า ผมหันมาสนใจทานอาหารต่อโดยพยายามหลบชิ้นพริกเม็ดที่มองเห็นอยู่เนืองๆ ร่างสูงเริ่มลงมือทานบ้าง ปากเขาเคี้ยวตุ้ยๆราวกับเด็กเล็กซึ่งโดนพ่อแม่สั่งงดขนมจนพ้นโทษ ทำไมถึงเป็นธรรมชาติกับคนแปลกหน้าได้ขนาดนี้นะ ทั้งที่ผมออกจะไม่สนิทใจเท่าไรยามอยู่กับใครที่ไม่รู้จัก

“จ้องผมทำไมน่ะ เดี๋ยวผมก็ทานไม่ลงพอดี” นี่นะทานไม่ลงปาไปเกินครึ่งจานแล้วพ่อคุณ

“ปกติสนิทกับคนแปลกหน้าได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ”

“พี่ไม่ใช่คนแปลกหน้าแล้วหนิ”

“...”

“พี่เป็นแฟนผมแล้ว”

“...!” เกือบสำลักเป็นรอบที่สองของวัน เล่นเองทำไมไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย ผมยกน้ำขึ้นซดยกหลังมือเช็ดมุมปากก่อนมองหน้าตัวป่วน สำรวมอาการก่อนพูด “โอเค แฟนสามอาทิตย์ให้หลังเนอะ”

“มีคนเคยบอกมั้ยว่าพี่ปากร้ายขัดกับหน้าตา” ผมเลิกคิ้วแปลกใจกับคำพูดเอ่ยตรงๆของอีกฝ่าย

“ไม่เคยมีใครนินทาให้เห็นต่อหน้า”

“เขาคงไม่กล้าพูดมากกว่า”

“หน้าตาผมใจดีงั้นเหรอ” จากที่ก้มตัวกินข้าวอยู่เด็กเกรทก็ยืดตัวตรงมองหน้าผม

“ใจดีไม่ดีไม่รู้ รู้แต่ว่า...หน้าตา...ดีใช้ได้”

หืม...ชมมกันอย่างนี้เลย

“ชมในฐานะแฟน?”

“ในฐานะผู้ชายคนนึงที่มองผู้ชายคนนึงว่าดูดีครับ” ผมเผลอยิ้ม แปลกพิลึกที่มีคนหน้าดี รูปร่างดี สูงกว่า บุคลิกดีกว่ามาชม

“ต้องดูดีให้เข้ากับชื่อเล่นของผมไง”

“ชื่อเล่นที่แปลว่าสร้างภาพหรือครับ” หุบยิ้มทันควัน นอกจากคุณสมบัติที่เขียนด้านบนแล้ว หมอนี่ยังกวนตีนกว่าและปากหมากว่าผมด้วย

“ใช่แปลว่าสร้างภาพ...แล้วต่อให้เป็นแฟนผมก็ไม่มีทางแสดงเบื้องหลังภาพอันนั้นออกมาให้คุณเห็นแน่” กะเพราเริ่มอร่อยขึ้นมายังไงไม่รู้ จานผมพร่องไปมากกว่าอีกฝ่านด้วยความที่ถูกเสิร์ฟมาก่อนนานมาก แต่แล้วมันกลับถูกเติมเต็มด้วยข้าวหมูกระเทียมของใครบางคนที่ตักย้ายมาที่จานผม

“อิ่มแล้วเหรอ” ผมเงยหน้าไปถามเจ้าของการกระทำ

“เห็นพี่กินแล้วน่าอร่อยเลยอยากเห็นอีก” ต่อเวลาการกิน หรือขุนให้อ้วนกันแน่

“พอแล้ว ตักมาให้เยอะกว่านี้จุกแน่” สุดท้ายก็ยอมกินต่อไปเงียบๆกันสองคน

พวกเราใช้เวลาไม่นานในช่วงครึ่งแรก แต่ครึ่งหลังต่างชวนกันคุยสัพเพเหระ กว่าจะออกจากร้านได้ก็เป็นตอนเลยเวลาบ่ายมานิดๆ โชคดีที่เจ้าตัวไม่ทันสังเกตเห็นความเป็นไปบางอย่างซึ่งบางทีอาจจะเปลี่ยนแปลงให้วันทั้งวันมัวหมองลงชั่วพริบตา

...ส่วนผมก็แทบจะลืมไปว่ากำลังมาเดทกับคนแปลกหน้า...





ป้ายสีแดงใหญ่ตัวอักษรสีขาวตามรายทางที่เดินผ่านแบบมั่วซั่ว ดึงดูดคนตัวสูงไม่ใช่น้อย ผมไม่ใช่เจ้าพอแฟชั่น แต่ให้เดินเป็นเพื่อนก็ได้ ส่วนอีกฝ่ายนะเหรอดูจากการแต่งตัวก็รู้แล้วว่า...สายโหด

“หมวกนี้ดีมั้ยครับ” หมวกซาฟารีสีดำเรียบมีสายถูกหยิบขึ้นมาสวมใส่ เจ้าตัวหันไปมองกระจกวืบหนึ่งก่อนมองมาทางผมอย่างถามความคิดเห็น

“ก็ดีนะ” พอรวมทุกอย่างในตัวแล้ว เรียกได้ว่าครบเครื่อง เสื้อฮาวายสีดำลายสับปะรดซึ่งมีขายดาษดื่นทั่วไปจนเหมือนโหลพอมาลงทับเสื้อยืดสีขาวที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษสีแดงพาดบนอกเหน็บด้วยแว่นกันแดดโอ๊คเล่ย์สีน้ำเงินด้านใน กับกางเกงขายาวสีดำคุมโทนนี้ จะเอาหมวกแก๊ป หมวกปีกกว้าง หรือหมวกทหารคุกกี้อาร์เซนอลอะไรมาใส่ก็ดูเข้ากันกับคนตรงหน้าไม่หมด

“ไม่ดีเหรอครับ” เจ้าตัวเห็นผมตอบสั้นๆ เลยคิดว่ายังไม่พอหันไปจับหมวกไหมพรมสีดำมาสวมอีก ดูลุคเท่แบบสตรีทสัดๆ “แล้วนี้ล่ะ”

“อืม โอเค”

“ไม่มีอารมณ์ร่วมเลย”

จะมีอารมณ์ร่วมได้ไง เล่นใส่อะไรก็เข้าไปหมด เจ้าตัวหันไปทางเสื้อแจ็คเก็ตเป้าหมายใหม่ที่ปักป้ายลด50% หยิบตัวสีขาวแถบดำแนวสปอร์ตมาสวมทับเสื้อสับปะรด ดึงปลายแขนซึ่งเป็นผ้ารัดขึ้นเกือบถึงศอกจัดท่าทางในกระจก แล้วหมุนตัวมาสบตาอีกครั้ง เหมือนได้ยินเสียงหวีดเล็กๆดังมาจากโซนเสื้อผ้าผู้หญิงที่อยู่ห่างจุดนี้ไปด้านหลังสองช่วงตัว คงโดนดาเมจพิษดาราเด็กที่มีคำพูดฮิตติดปากอย่างคำว่า ‘แม่’ ตกเข้าให้แล้วสินะ แต่โชคดีที่ผมมีภูมิต้านทาน

“แล้วอันนี้ล่ะครับ”

ผมพยักหน้าเบาๆมองตาเขา ซึ่งมันยังส่งผลเหมือนเดิมคือเจ้าตัวไม่พอใจที่ผมตอบสั้นเกินไป เลยถอดเสื้อแขวนกลับเข้าที่ก่อนเดินตึงตังตรงมาทางผม

“อย่างไหนที่จะทำให้พี่หลุดปากว่าหล่อออกมาได้เหรอครับ ผมว่าให้พี่เลือก....”

“ปก...”

“หา?” ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ คงเพราะเมื่อกี้รีบร้อนถอดเสื้อล่ะนะ ผมเอื้อมมือไปจัดปกที่ยุ่งเหยิงของคนตัวสูงกว่า มันพับตลบลามไปถึงข้างหลังจนผมต้องยืดตัวชะโงกหน้าไปดูว่าเข้าที่เข้าทางรึยัง

“พี่อิมเมจ”

“แต่เดิมเป็นยังไงนะ ตั้งหรือนอน”

“หะ...ฮะ!” ผมหมุนหัวไปสบตาเขาซึ่งมีท่าทีแปลกไป

“ผมถามว่าแต่เดิมปกคุณตั้งหรือนอน”

“...ตะ...ตั้ง...เอ๊ย เออ คือ นะ...นอนครับ” ใช้ปลายนิ้วไล้ปกจนมันเรียบไปกับแนวสันคอก่อนตบเบาๆ

“หล่อแล้ว”

“...!” เด็กเกรททำท่าเหมือนคนได้กลิ่นอะไรไม่พึ่งประสงค์ เจ้าตัวเบิกตาโตก่อนหมุนศีรษะออกด้านข้าง ก้มหน้ายกมือข้างขวาที่เกือบจะเป็นกำปั้นขึ้นแตะจมูกเบาๆ “ทีอย่างนี้ล่ะพูดง่ายเชียว”

“ว่าไงนะ”

“เปล่าครับ...พี่ว่าผมควรจะซื้อแจ็คเก็ตสีขาวตัวนั้นมั้ย”

“ที่บ้านคุณมีแบบนั้นรึยังล่ะ”

“อืม ก็มีที่คล้ายๆกันอยู่นะครับ”

“งั้นไม่ต้องซื้อ”

“...”

“ยังหาเงินเองไม่ได้ ประหยัดๆไว้บ้างก็ดี”

“ครับแม่”

“...!” เรียกแม่เหรอ? สรุปนี่ผมไปร่วมแสดงละครตอนเด็กของหมอนี่แล้วใช่มั้ย “อย่าล้อเลียน”

“ก็ผมเรียกพี่ว่า ‘อิมเมจ’ แล้ว แต่พี่แทบไม่เรียกผมว่า ‘เกรท’ เลย”

“ทำไมจะต้องเรียกด้วย ผมถนัดแบบนี้”

“งั้นถ้าผมบอกว่าผมถนัดเรียกพี่ว่า ‘แม่’ ผมก็เรียกพี่ว่าแม่ได้สิ”

“...” เด็กนี่ย้อนผม แต่ก็ถูกของเขา

“พี่ไม่คิดว่าคนเป็นแฟนกันมาเรียกว่า ‘คุณ’ ว่า ‘ผม’ มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ”

“แต่ผมไม่ถนัดเรียกชื่อคนสักเท่าไร” ผมละคำว่า ‘แปลกหน้า’ เอาไว้ไม่ให้เขารู้ จบประโยคเหตุผล อีกฝ่ายถอนหายใจยิ้มปลงอย่างจนปัญญา จากสองคนที่เคยชิดใกล้กลายเป็นห่างออกไปเมื่อคนตัวสูงสืบเท้าถอยหลัง

“ผมดูเสร็จแล้ว พี่จะไปแวะไหน...”

“เฮ้ยเกรท!!” เชี่ยละ...ผมสบถในใจทันทีที่เห็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเดินตัดขาเขา เด็กน้อยตัวจ้อยวิ่งห้อไปหาแม่ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกหา เธอทะยานผ่านราวแขวนเสื้อผ้ากองใหญ่ที่สูงท่วมหัวแต่ไม่ทันพ้นขาเพรียวยาวของเด็กเกรท

ฉิบหาย แบนแน่!!

ผมพุ่งตัวออกตามสัญชาตญาณคว้าแขนแกร่งกระชากเข้าหาตัวอย่างไม่สนสิ่งใด ร่างสูงกว่าผมไปหลายเซนต์กระแทกเข้ากับอกผมจังๆ ร่างกายได้แค่ยืนค้างอยู่ตรงนั้นใจสั่นให้กับความฉับพลันหวุดหวิดจนนึกกลัว ผมหายใจถี่เหลือบไปมองเด็กหญิงที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวซึ่งถูกยกตัวขึ้นอุ้มในอ้อมกอดแม่แต่ไกล

...เกือบไปแล้ว...

ผมสนใจสิ่งแวดล้อมไกลตัวเกินกว่าคนข้างกาย กว่าจะรู้ตัวอีกที เสียงทุ้มก็พุ่งเข้าประสาทเรียกสติผมกลับมา

“ก็เรียกได้หนิครับ”

“...”

“ชื่อผมน่ะ”

สายตาที่สบกัน ฉับพลันรอยยิ้มร้ายผสมยินดีก็ผุดขึ้นกลางใบหน้าสีโทนอบอุ่นของคนตรงหน้า

...โอเคครับ ยอมแล้วครับ เกรทก็เกรท...




ผมเดาว่าบ้านของคนขายาวซึ่งเดินนำลิ่วไปไกลกว่าผมคงมีฐานะพอสมควร การเข้าๆออกๆร้านแบรนด์ชื่อดังที่อยู่ตามห้างโดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจมันบ่งบอกถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี

ถ้าไม่โดนผมห้ามไว้ป่านนี้ในมือคงถือของใหญ่ไปแล้ว...

ผมเดินตามเขามาเรื่อยๆ ทันบ้างไม่ทันบ้าง บางครั้งก็ห่างไปหลายช่วงตัว แต่สุดท้ายก็ไล่จนทัน มีใครเคยบอกมั้ยว่า ‘เด็กเกรท’ มักจะไม่สนใจคนตามหลังว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง เพราะหันมาอีกทีผมก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาประชิดตัวเขาได้แล้ว แต่ต้องเป็นสถานการณ์ที่แวดล้อมมีผู้คนเจือจางนะ

ไอ้แบบตอนข้างหน้านี้ ณ ตอนนี้เนี่ยสิ ที่ถือว่าเป็นข้อยกเว้น...

พวกเราเดินเพลินมาจนถึงส่วนทางเชื่อมรถไฟฟ้า ผู้คนมากมายจากไหนไม่รู้กรูกันหลั่งไหลเข้าห้าง เบียดเสียดจอแจกันจนเกือบชนกระทบกระทั่งกัน ไม่คิดว่ากับแค่ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือเพียงครู่เดียวจะพลัดหลงกับคนตัวสูงได้ แล้วความโดดเด่นที่คิดว่าจะช่วยให้มองหาเจอได้ง่ายดายกลับกลืนหายไปกับพื้นหลัง คนร่วมหลักร้อยใส่เสื้อผ้าหลากสไตล์ไร้จุดเด่นขนาดนี้มองหาให้ตายก็ไม่เจอหรอก

ผ่านมาเกือบนาทีแล้วมันแปลกเกินไป หรืออีกฝ่ายจะทิ้งผมไว้กลับบ้านไปเสียแล้ว ความจริงไม่จำเป็นต้องใส่ใจคนที่ไหนก็ไม่รู้ที่จู่ๆดันรับคำสารภาพทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่ใช่ว่าอยากได้มันนักหรอก

...หรือผมควรจะพุ่งตรงกลับบ้านดี...

มือถือในกระเป๋าถูกหยิบขึ้นมากดเข้าหาหน้าแอพพลิเคชั่นสีเขียว เกรทไม่ได้ให้เบอร์มือถือไว้ เจ้าตัวมีแต่ใช้เจ้าแอพฟองคำพูดเขียวอื๋อนี้ติดต่อมา ผมเลยมีปัญญาแค่จิ้มเข้าไปที่หน้าแชทแล้วกดปุ่มด้านบนเพื่อเริ่มการโทร

รออยู่นานจนเหมือนจะไร้การตอบรับ ผู้คนก็เดินสวนกันกลับไปมาจนต้องเบี่ยงตัวหลบไม่หยุดจนชนคนนั้นคนนี้เข้า ต้องขอโทษกันเป็นระวิง หนักสุดเห็นจะเป็นตอนที่ผมหมุนตัวไปกระแทกไหล่ของใครบางคนจนเซ คำขอขมาไม่ทันหลุดปากมือผมก็ถูกบางอย่างคว้าจับไว้แน่น

หา?

“อยู่นี่เอง มองหาแทบแย่” คราวนี้ผมเห็นแล้ว เต็มตาเลย คนที่มองหาอยู่เกือบหลายนาที

“เกรท”

“มาทางนี้เถอะครับ” จบคำผมโดนลากจูงออกห่างจากฝูงคน เดินมาไกลมาก เดินๆๆๆๆ เฮ้ยนี่จะลากไปจนสุดห้างเลยใช่มั้ยวะ

“ชานมไข่มุกแก้วครับ”

หืม?

พวกผมมาหยุดตรงหน้าเคาน์เตอร์ร้านน้ำตั้งแต่เมื่อไร...

เจ้าตัวจ่ายตังค์เสร็จสรรพ ยืนรอแค่พักเดียวก็ได้แก้วที่อุดมไปด้วยสีน้ำตาลนวลมา ร่างสูงยกดูดอึกอึกจนเห็นเม็ดดำๆนั่นไหลผ่านหลอดไปหลายชุด ใบหน้าคมๆมีแก้มอวบอูมขึ้นเหมือนคนเจ้าเนื้อ สักพักก็เอะใจรู้ตัวว่ามีคนมอง

“ดื่มมั้ยครับ” หลอดมาจ่อที่ปาก ผมส่ายหน้ากำลังจะขยับริมฝีปากต่อว่าคนที่อ่านความคิดไม่ออก แต่หลอดดันถูกเสียบเข้าปากแบบไม่พูดพล่ำทำเพลง

“ดื่มเถอะ แชร์เบาหวานกัน”

มันจะไม่ใช่แค่เบาหวานเนี่ยสิ น้ำลายเจ้าตัวด้วย แต่ผมจะแคร์ทำไมในเมื่อกับจานกะเพราและหมูกระเทียมก่อนหน้าก็ฟาดน้ำลายนัวเนียกันไปหลายยกแล้ว

ผมดูดน้ำหวานๆอย่างว่าง่าย ร่างกายซึ่งเหนื่อยจากผู้คนเหมือนได้รับการเติมเต็ม จริงสิตั้งแต่เดินด้วยกันมาก็ยังไม่ได้ดื่มน้ำหาอะไรทานเล่นเลย สมควรแล้วที่จะกระหาย

แต่ผมติดใจอยู่อย่างนึง ตั้งแต่เดินมาจนถึงตรงนี้แล้ว ทั้งที่มันควรจะหยุดตั้งแต่ช่วงที่กระแสคนเบาบางลง หากแต่มันยังคงค้างอยู่อย่างนั้น ใช่...

...เกรทยังจับมือผมไว้ไม่ยอมปล่อย...

แปลกรึเปล่า ถ้าบอกให้เลิกจับ

แปลกรึเปล่า หากคนเป็นฝ่ายเอ่ยปากว่าคบกันดันทำตัวพิลึกกับแค่เรื่องจับมือ

คนเป็นแฟนกันเดินจับมือกันมันเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ

เหงื่อผมเริ่มแตก เกร็งอย่างบอกไม่ถูก เครื่องปรับอากาศในห้างช่วยได้กับอากาศชื้นที่ลามมาตามซอกนิ้ว แต่ไม่ช่วยให้ความตื่นเต้นกับมือเย็นๆนั้นหายไป

แล้วนี่กะจะดื่มให้หมดตรงนี้เลยใช่มั้ย...

มาถึงไคลเม็กซ์ ผมชัวร์ว่าคนตัวสูงต้องปล่อยมือผมแน่ๆ ก็มันเป็นตอนที่เจ้าไข่มุกอวบอ้วนที่นองก้นมันหลบพ้นกระแสน้ำหวานจนไม่ไหลตามไปเข้าคอคนตรงหน้าเนี่ยสิ

สิ่งที่คำนวณมาผิดเพี้ยนไปทุกอย่าง เจ้าไข่มุกโชคร้ายโดนโยนลงถังขยะพร้อมกันกับแก้วเปล่า แทนที่ร่างสูงจะปล่อยมือไปจับหลอดควงแก้วหมุนวนสักสองสามรอบเพื่อสำเร็จโทษมันจนเม็ดดำๆหมดไป

“ไม่กินต่อแล้วเหรอ”

“ผมแค่หิวน้ำ กินเยอะๆเดี๋ยวอ้วนพอดี เอ๊ะ หรือว่าพี่อยากกิน”

“เปล่า ไม่ใช่” ผมอยากให้ปล่อยมือต่างหาก

เจ้าตัวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู

“ป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย ก็ว่าทำไมรู้สึกหิว พี่หิวยัง ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ไปกินข้าวเย็นด้วยกันเลยมั้ย”

“ก็ได้อยู่หรอก...” แต่ช่วยปล่อยมือผมก่อนได้มั้ย

“มีอะไรที่อยากกิน...” เสียงทุ้มสะดุดไปจนผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง

“เกรท?” จู่ๆสีหน้าสดใสเหมือนถูกฉาบทับด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ผมอ่านอาการไม่ออก เจ้าตัวมองค้างนิ่งเลยผ่านผมไปอยู่อย่างนั้น

“มีอะไร...เฮ้ย!!” หมุนหัวจะไปยืนยันตามสายตาคนที่จ้องมองบางอย่างอยู่นาน ไหล่กลับโดนแรงดันบางอย่างให้หันกลับ ศีรษะของเด็กเกรทฟุบลงมาระดับไหล่ผม

มือผมเป็นอิสระแล้ว...

แต่ผม...กำลังโดนอีกฝ่ายกอดอยู่!!!

นะนะนะนะนะนะนะนะนะนะ นี่มันอะไรฟะ!!!!




วันนี้ทั้งวันผมโดนเด็กเกรททำซะครบเครื่อง...

ไหนจะ...จับมือ...

...จูบทางอ้อม(ด้วยกะเพรากระเทียมและชานมที่รัก)...

รวมถึง...กอด...


แต่ใครจะรู้ว่ากอดที่ผมสัมผัสอยู่...ทำไมมันถึงดูเศร้าสร้อยได้ขนาดนี้นะ...


...TBC...

++++++++++++++
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สอง+สาม[20-08-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 20-08-2019 22:27:56
………


เกรทคงเห็นอะไรบางอย่าง เหมือนที่ พี่อิมเห็น…มั้ง


 :ling2:  :ling2:   :ling2:   :ling2:   :ling2:   :ling2:   :ling2:


……
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สอง+สาม[20-08-19]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 20-08-2019 22:37:56
 :katai1:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สอง+สาม[20-08-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 20-08-2019 23:54:39
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : (แต้ม)สี่...ชั้นโคตรบันเทิง[22-08-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 22-08-2019 23:18:28
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

(แต้ม)สี่...ชั้นโคตรบันเทิง


“วันแรกขอคบ วันสองขอไลน์ วันสามขอกอด ส่วนวันที่สี่ก็ขอขึ้นเตียงเลยมั้ยล่ะ”

“เฮ้ย!!” เด็กเกรทสะดุ้ง ผละกอดออกมามองหน้าผม “พะ...พี่อิมเมจ” ผมแบมือยกขึ้นระดับหัว เจ้าตัวหลับตาทันควันเหมือนกำลังตั้งรับให้กับการประทุษร้าย

หากแต่ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นเมื่อการกระทำของคนเป็นรุ่นพี่มันเกินคาด มือไล้ไปตามผมเส้นเล็กซึ่งเสียจากการทำสีแต่ส่วนที่งอกมาใหม่กลับให้สัมผัสลื่นมือดีเหลือเกิน

“อยากอ้อน ‘แม่’ ก็ไม่บอก”

“หา?”

“อ้อนสิ อ้อนให้เต็มที่เลย” รอยยิ้มกวนผุดขึ้นบนใบหน้าผม จากหม่นหมองคนตรงหน้ากลายเป็นหลุดขำพรืดออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ อีกฝ่ายงอตัวกุมท้องเปล่งเสียงหัวเราะออกมาหึหึ เหมือนพยายามกักเอาไว้อย่างเต็มที่

แค่เห็นหยาดน้ำซึ่งอยู่ปลายตา ก็รู้แล้วว่าขำหนักมาก สักพักเรื่องประหลาดใจก็มาอีกกระทง มือหนายื่นมาจับเอวผมดึงเข้าหาก่อนสอดแขนทำวงอ้อมกอดขึ้นมา ใบหน้าตอนนี้ของพวกเราโคตรใกล้กัน

“ขออ้อนหน่อยนะครับ ‘แม่’ ”

ผมว่าผมร้ายแล้วนะ เด็กเกรทมันร้ายกว่า หัดแคร์สายตาชาวบ้านด้วย คิดว่าไอ้คำเหน็บสำทับความอ่อนแอราวกับเด็กจะช่วยดึงสติให้คนตัวสูงออกห่างจากผมเพราะความหน้าบางได้ แต่โคตรคิดผิด นี่มันใกล้กว่าเก่าเสียอีก ดีที่อีกฝ่ายไม่ได้เป็นดาราที่มีชื่อเสียงตอนวัยรุ่นไม่งั้นผมว่าอนาคตคงดับจากการตกเป็นเป้าของข่าวซุบซิบนินทาตามสื่อต่างๆไม่มากก็น้อย

จนถึงสุดท้าย ผมก็ไม่รู้ว่าเกรทเห็นอะไร หรือผมคิดไปเอง อารมณ์เจ้าตัวเปลี่ยนไวจนยากจะตามทัน ในเมื่อกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมแล้วก็ช่วยไม่ได้

วันนั้นพวกเราไปจบที่ร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำมะนาวแท้ข้างทาง ก่อนเกรทจะกระตือรือร้นขอมาส่งผมถึงบ้าน....

ฟังไม่ผิดหรอก เจ้าตัวขอมาส่งผมถึงบ้าน

“กลับบ้านดีดีล่ะ” เดินไม่ทันถึงรั้ว ผมคล้ายทิ้งท้ายเหมือนบอกไล่ให้ไปได้แล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังเดินตามมา จนผมต้องหันไปมอง “กลับบ้านคุณไปสิ”

ท่ามกลางแสงสลัวจากไฟซอย ท่าทีคนตัวสูงดูแปลกๆเหมือนกำลังเก้อเขิน เขิน?เขินเพื่อ ผมต้องคิดไปเองแน่ๆ

“วันนี้ขอบคุณนะครับ”

“ขอบคุณ? ขอบคุณเรื่อง? ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ อุตส่าห์เลี้ยงข้าวเช้ากลางวันเย็น ถ้ายังไงไว้คราวหน้า...”

“พี่อิม” เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง ผมหันไปมองทันควันกับจังหวะที่เสียงนั้นว่าความต่อ “มายืนทำอะไรหน้าบ้านอ่ะ ทำไมไม่เข้า...”

ตุบ!

น้องสาวผมทำถุงพลาสติกกองใหญ่ในมือหล่น แค่เห็นหน้าเกรทเธอก็ตาถลนยกนิ้วสั่นระริกขึ้นชี้หน้า

“พะพะพะพะพะ...”

สาบานเลย ว่าไม่ใช่คำว่า ‘ผี’

“พี่เกรท!!”

นั่นไงล่ะ

“พี่เกรท พี่เกรทจริงเหรอเนี่ย พี่เกรทตัวเป็นๆ พี่เกรท พี่เกรท พี่เกรท โอ๊ยจะบ้าตาย”

“สงบสติอารมณ์หน่อยมายด์ อย่าพึ่งบ้า พี่ยังเรียนไม่จบ หาเงินส่งเราเข้าศรีธัญญาไม่ได้”

“พี่อิม!” ข้าวของเนี่ยขว้างทิ้งไม่สนใจ วิ่งมากระตุกแขนเสื้อผมแบบไร้ความปรานี จนเสื้อเชิ้ตที่ใส่แทบร่วงจากไหล่ “พี่เกรทมาได้ไง”

“นั่งรถเมล์มา”

“ไหนบอกว่าไม่ใช่ไง”

“ไม่ใช่อะไร”

“ก็พี่อิมบอกว่าพี่เกรทไม่ใช่แฟนพี่น่ะ!”

เงียบขึ้นมาในบัดดล

ผมยืนนิ่ง เกรทก็ยืนนิ่ง ส่วนยัยมายด์รู้เลยเงียบเพราะรอคำตอบ

ผมเหล่มองสีหน้าของร่างสูง ดูว่าจะเหยเกขนาดไหน แต่ผิดคาดที่นิ่งกว่าปกติแถมยังทำตัวกึกกึกกักกักมองหน้าผมอีก

“เอาไงล่ะ” ผมจ้องถามไม่ปิดบัง

“ถะ...ถามผม”

“อือ”

“ยังไงก็ได้ ตามที่พี่สะดวกเลย” เหนี่ยวไกปล่อยกระสุนให้เริ่มสตาร์ท ผมก็จัดการจ้องหน้าน้องสาว

“สรุปเป็นคดีพลิกละกัน”

“ฮะ? คดีพลิก? จริงอ่ะ กรี๊ดน้องทนไม่ไหวแล้ว นังต้า นังต้า นังต้า”

“หยุดเลย” ผมฉวยมือถือน้องมาไว้ในมือ พอเดาได้ว่าเธอจะทำอะไร “เรื่องนี้รู้แค่เราสามคนพอ”

“แต่เรื่องที่พี่เกรทขอคบกับพี่คนเขารู้กันทั่วมหา’ลัยแล้วนะ กับต้ามายด์แค่บอกว่าไม่จริงเพราะพี่อิมยืนยันเอง มายด์ปล่อยให้ต้าทิ้งเรือที่อุตส่าห์สร้างมาไม่ได้ค่ะ มันน่าสงสารเกิน”

...แล้วเธอไม่สงสารพี่ชายเธอบ้างเหรอ...

“เอาเถอะ รู้เพิ่มอีกคนคงไม่ต่างกัน” ผมยื่นมือถือส่งคืนให้ เธอฉวยไปกดยิกยิกไวเป็นลิง ระหว่างนั้นเกรทโยกตัวเอาแขนมากระทบแล้วกระซิบข้างหู

“เรืออะไรเหรอพี่” ผมหันไปมองหน้าเกรท หมอนี่ไม่รู้จักคำว่าเรือ อยู่กับน้องสาวผมคนนี้ แทบจะมีคำศัพท์แปลกๆออกมาให้ได้ยินทุกวัน ไหนจะเรือหลัก หลวง ผี มีหมด

“โนอาร์”

“...”

“เพื่อนยัยมายด์มีนิมิตฝันว่าน้ำจะท่วมโลก” เกรทหลุดขำข้างหูผมอย่างจงใจ เจ้าตัวก้มหน้าก่อนเผยมุมปากยกขึ้นแบบติดตลก

“ผมหมายถึงชิพอะไรต่างหาก” ผมเลิกคิ้วหันไปมองหน้ายิ้มๆของหมอนั่น

“รู้?”

“รู้ดิ สมัยไหนแล้ว”

“เรือหลวงชิพกับเดล มีสองพี่น้องล่ะมั้ง”

“เอาดีดีดิพี่”

“เรือเกรทอิม”

“...”

“ผมเป็นรับซะด้วย” บอกไปทำไม ภูมิใจแย่เลย

“ก็เหมาะอยู่นะ” มองหน้าผมแล้วพูดมันหมายความว่าอะไรวะครับ ก่อนลงไม้ลงมือ เสียงน้องสาวผมที่เหมือนกำลังจะกดส่งสาส์นลับให้เพื่อนเสร็จก็แทรกเข้ามา เธอไม่ทันมองด้วยซ้ำว่าพี่ชายตัวเองกำลังกระซิบกระซาบกับคู่กรณี

“แล้ววันนี้ไปเดทกันมาเหรอคะ”

“ก็นิดหน่อย”

“ไปถึงขั้นไหนกันแล้วเนี่ย”

“ศูนย์”

“...” ตอบอย่างนี้แม้แต่เด็กเกรทยังแปลกใจ ยัยมายด์ตวัดสายตาชักสีหน้าไปทางเกรททันที

“พี่อิมพูดจริงเหรอคะ” เกรทเลิกคิ้วเหลือบมองผมเหมือนขอความเห็น แต่แล้วก็ยอมตอบด้วยตัวเอง

“จริงครับ”

“ศูนย์ที่ว่าเนี่ยต้องไม่มี๊ ไม่มีอะไรเลยนะคะ แม้แต่จ้องตา จับมือ กอด หรือกระทั่งจูจุ๊บน่ะ”

“ทีหลังตอนพวกพี่ไปเดทเธอมาดูด้วยเลยมั้ยล่ะ จะได้ไม่ต้องรายงาน” ผมกระแทกเสียงใส่น้องไปหนึ่งยกเพราะเธอเหมือนจะไม่หยุด พอหันกลับไปมองคนอยู่ด้านข้างอีกที คราวนี้ล่ะตัวโก่งเชียว เด็กเกรทขำจนสั่นไปทั้งร่าง ก่อนพยายามห้ามอารมณ์พูดออกมาได้เป็นคำๆ

“เดทกัน ไม่มองตากันเนี่ย ต่างคนต่างไปรึเปล่าครับน้อง”

“โอเค งั้นมีมองตา จับมือล่ะคะ จับมือ”

“ตอนหลงหากันไม่เจอตอนนั้นมั้ง พี่จับมือพี่อิมไว้กลัวหายไปไหนอีก”

“ไวขนาดนี้พี่เกรทกอดพี่อิมไปแล้วใช่มั้ย”

“น้อยๆหน่อยยัยมายด์เพิ่งเดทกันวันแรก...” ผมค้าน แต่คนข้างๆไม่ให้ความร่วมมือ

“เผลอกอดไปแล้วครับตอนที่...”

รอยยิ้มหุบลงฉับพลัน รู้เลยว่าพอไล่ไปถึงฉากนั้นภาพบางอย่างที่ไม่น่าจะทำให้ร่างสูงอารมณ์ดีเท่าไรนักคงผุดขึ้นมา

“พอเถอะ เลิกคุยเรื่องนี้แล้วเข้าบ้านไปได้แล้ว มีที่ไหนไปเที่ยวกลับซะดึกดื่น ป่านนี้แม่ไม่บ่นแย่”

“ทีพี่อิมยังกลับดึกเลย”

“พี่ผู้ชายเปล่าวะ เข้าบ้านไปเลย” ผมดันหลังน้องให้เดินเข้ารั้วบ้านที่ผมแอบไขกุญแจแล้วเลื่อนเปิดเตรียมไว้

อันตรายเถอะ...ให้สาววายอย่างน้องผมมายุ่งเรื่องนี้...

“คุณก็กลับไปได้แล้ว” หันไปมองคนยืนนิ่งที่เหมือนตกในภวังค์อยู่ชั่วครู่ เกรทมองผมเหมือนคนเพิ่งฟื้นจากการหมดสติ “กลับไปพักผ่อนเถอะ สภาพคุณดูไม่ได้แล้ว”

“ครับ ไว้ผมจะโทรหานะ”

“ไม่ต้องโทรมา นอนไปเถอะ”

“เป็นแฟนกันภาษาอะไรเรียกคุณอ่ะพี่อิม ดูห่างเหิ้น ห่างเหิน” ยัยตัวแสบยังรั้นไม่ยอมเดินเข้าบ้าน

“ ‘คุณ’ เป็นการแสดงความรักของพี่อย่างหนึ่ง เข้าบ้านได้แล้ว แล้วคุณก็ด้วย...”

จุ๊บ!

หา?

หันมาแค่แวบเดียวแทบต้องยกมือตัวเองขึ้นจับหน้าผาก สัมผัสนุ่มหยุ่นกลางกระหม่อมยังคงค้างอยู่ โดยมีแบล็คกราวน์เป็นไหปลาร้ากับลูกกระเดือกแสดงความเป็นผู้ชายของคนตรงหน้า หลักฐานการทำผิดยังคาอยู่บนคู่รองเท้าผ้าใบสีดำซึ่งเขย่งขึ้นสูง กับมือใหญ่ที่จับอยู่บนท้ายทอยผม

“กู๊ดไนท์ครับ”

หา?

หา? หา? หา? หา? หา? หา? หา? หา? หา? หา? หา? หา? หา? ห่า!!!

“น้องมายด์” สะดุ้งเมื่อเสียงทุ้มเรียกชื่ออีกคนด้านหลัง ตอนนี้น้องผมเป็นตายอาการหนักไม่แพ้กัน ให้หันหลังก็ไม่ได้ไปต่อก็ไม่ถูกเลยได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่

“พี่ทำครบแล้วนะ”

“คะ คะ???”

“จู จุ๊บไง ผมไปนะครับพี่อิม” ท้ายประโยคหันมาบอกกับผม ก่อนหมุนเดินตัวปลิวออกไป

ทำครบ? เดี๋ยว? สะสมแต้มเหรอ? ถาม?

ผมเอานิ้วถูหน้าผากสองสามที ก่อนเดินกลับเข้าบ้านอย่างมึนๆ ยัยมายด์ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ตรงที่เก่าทางเดินเข้าบ้าน

“ใจหนูสั่นอ่ะ พี่อิม”

เหรอ ส่วนใจพี่เธอบอกเลยว่า...ชา...












“ตื่นแล้วเหรอน้องอิม มีโจ๊กให้กินนะ กินมั้ย” กำลังเปิดตู้เย็นแอบดูของเหลือข้างใน แต่เสียงใสๆของแม่พระประจำบ้านกลับดังขึ้นมาพร้อมเสนอขายอาหารเช้าเมนูหนึ่งมาให้

“ไว้ตอนเย็นละกันแม่ รู้สึกไม่ค่อยหิว ผมขอแค่นมก็พอ”

“เดี๋ยวนี่พี่อิมยังดื่มนมได้อยู่เหรอ” เสียงร้ายของยัยมายด์ดังขึ้น แปลกที่วันนี้น้องสาวผมตื่นไว พอหยิบขวดพลาสติกสีขุ่นบรรจุนมพร่องมันเนยกับคว้าแก้วได้เสร็จ ผมก็เดินไปนั่งอีกฝั่งของโต๊ะทานข้าวแบบไม่สนใจ จนแม่ถึงกับเอ่ยด้วยความสงสัย

“น้องอิมแพ้แลคโตสเหรอ”

แค่ก!

นมแทบพุ่ง แม่ผมเข้าใจเป็นอย่างนั้นไปได้ไง

“ตายจริงนี่แค่กลิ่นยังอ้วกเลยเหรอ” ผมดึงทิชชู่จากกล่องขึ้นเช็ดปากก่อนที่มันจะไหลหยดมาเปื้อนเสื้อผ้า

“แม่ ถ้าผมแพ้แล้วผมจะหยิบมากินมั้ย อย่าไปฟังมายด์มัน พูดอะไรไร้สาระ” ยังมีหน้ามาหัวเราะคิกคักอีกยัยน้องคนนี้

“เก็บโจ๊กไว้กินเย็น วันนี้ออกนอกบ้านเหรอ แม่เห็นเมื่อวานก็พึ่งออกไป” เหมือนแม่จะมีลางสังหรณ์บางอย่าง ปกติผมไม่ค่อยออกจากบ้านติดกันเสาร์อาทิตย์ ส่วนใหญ่จะยกหนึ่งวันให้เพื่อนส่วนอีกวันให้ตัวเอง แต่อาทิตย์นี้มันพิเศษตรงที่นัดของเกรทดันเข้ามาแบบกะทันหันสองวันเลยต้องยกให้คนอื่นทั้งหมด

“วันนี้ไปกับไอ้เบสมันน่ะครับ”

“อ้าว คิดว่าเมื่อวานไปกับเบสซะอีก”

“ใช่ที่ไหนล่ะคะ เมื่อวานพี่อิมเขาไปกับแฟนมาต่างหาก” เชี่ย...ยัยมายด์ พูดอะไรออกมาวะ

“แฟน? น้องอิมมีแฟนแล้วเหรอ”

“เข้าใจผิดไปใหญ่แล้วแม่ วันนี้ผมจะออกไปกับเบสมัน ไปหาแฟนมันเนี่ยแหละ”

“หา!!” ยัยมายด์ถึงกับตีโต๊ะดังเปรี้ยงทำตาถลน “พี่เบสมีแฟน?”

“เออ ตกใจอะไรวะ”

“ไม่จริงน่ะ ก็เห็นตัวติดกันกับพี่อิมอย่างกับอะไรดี แถมไม่เคยมีแฟนด้วย ไม่คิดว่า...”

“คงถึงยุคทองของมันแล้วมั้ง”

...แต่มัน...เป็นยุคมืดของผม...

...ใครจะไปคิดว่าคนที่แอบชอบมากว่าสามปี จะมีแฟนกับเขาได้...








เพราะไม่อยากดราม่า ผมเลยเหยียบเบรกห้ามล้อตลอดเวลาทุกครั้งที่รู้สึกดีกับมัน คอยคิดเสมอว่าความห่วงใยใส่ใจที่ไอ้เบสมีให้ทุกคนมันเท่าเทียมกัน ไม่ว่ากับดาวหรือข้าวฟ่าง

แต่บางครั้งการสะสมความรู้สึกนั้นที่มันหลั่งรินมาเรื่อยๆก็ทำให้ผมเขวได้เหมือนกัน

อย่างที่เด็กเกรทถามว่าผมเป็นเกย์มั้ย ผมตอบไม่ได้หรอก เพราะเวลาผมรักใคร ถ้าใจคิดจะรักแล้ว

...ผมไม่เคยคิดคำนึงถึงเพศสภาพ...

“เฮ้ยไอ้อิม”

“ไง”

“โทษทีมาช้า” มันนั่งลงโต๊ะตัวข้างๆผม “เดี๋ยวกูสั่งเครื่องดื่มแป๊บ ร้อนฉิบเป๋ง” ว่าจบมันก็พรวดพราดไปที่เคาน์เตอร์ ผมมองตามแผ่นหลังมันก่อนย้อนกลับมาดูนาฬิกา รู้สึกแปลกใจทั้งที่เลขชี้เวลาเกินไปกว่าสิบนาทีแล้ว แต่ยังไม่เห็นวี่แววของ ‘แฟนมัน’ เลยสักนิด

ความจริงในใจแอบลังเลอยู่ตอนที่เบสชวน แอบสงสัยว่ามันจะให้ผมมานั่งเป็นกางขวางคอมันเพื่ออะไร ใช่ว่าฝ่ายหญิงจะยินดีด้วยสักหน่อยหากเดทวันนี้จะเป็นสามมากกว่าการเป็นสอง แต่โอกาสตอกย้ำตัวเองที่เพื่อนรักมันหยิบยื่นมาให้ ถ้าผมไม่คว้าไว้ตอนนี้อาจทำให้มีบาดเจ็บล้มตายในภายภาคหน้า

...อย่างนี้คงเข้าตำรา ‘โชคดีที่ตายก่อน’ สินะ ความเจ็บคงน้อยกว่าการทรมานแล้วค่อยตายลงอย่างช้าๆ...

“...อิม...ไอ้อิม!!”

“หะ...เหี้ย อะไรวะ” ตกใจจนเผลอยิงคำผรุสวาทใส่

“มึงนั่นแหละเป็นเหี้ยอะไร เหม่ออยู่ได้”

“อ้าวกูเหม่อเหรอ”

“เออ ไม่เหม่อก็หลับมั้งนั่น ทำไม มาเที่ยวกับกูมันไม่สนุกเหรอ” ผมขยับสายตาไปมองหน้ามัน ก่อนเม้มปากแล้วหยิบลาเต้เย็นขึ้นดูดหนึ่งอึก

“เที่ยวกับมึงที่ไหน มึงน่ะมาเที่ยวกับแฟน แต่โคตรป๊อด เรียกกูมาทำไมไม่รู้ ให้กูมาเป็นก้างขวางคอชัดๆ”

“แต่มึงก็ยอมมา”

“อยากมาดูหน้าแฟนมึง”

“ทำไมอิจฉาเหรอ”

“อยากรู้ว่าผู้หญิงคนไหนแม่งโคตรโชคร้าย ถึงมาได้กับมึง”

“สัด”

ใครไม่เคยเจอผมด้านนี้จำไว้เลย กับเพื่อนผมสุภาพพอประมาณ แต่กับคนไม่รู้จักผมมักจะพูดจาห่างเหิน แล้วอย่างไอ้เบสที่เป็นเพื่อนมากว่าสามปีจะเหลือเหรอ

“ทำไมแฟนมึงยังไม่มาอีกวะ นี่มันเลยมาจะครึ่งชั่วโมงอยู่แล้วนะเว้ย”

“เออ นั่นดิ”

“หรือเขาเห็นกูแล้วเขาไม่กล้าเข้ามาวะ เวรละ” ผมรีบหยิบกระเป๋าลุกขึ้นยืน ไอ้เบสมันถึงกับคว้าแขนไว้

“จะไปไหน”

“กูจะกลับ มึงก็รีบพิมพ์ไลน์หรือโทรอะไรไปบอกแฟนมึงก็ได้ ว่าไม่ต้องห่วง กูกลับไปแล้ว”

“เฮ้ยได้ไงวะ”

“มึงอย่ามาป๊อด กล้าๆดิวะ เรื่องต่อจากนี้ไปไม่ใช่ว่าให้กูไปแส่ทุกเรื่องได้นะเว้ย”

“แฟนกูเขาไม่มาแล้ว”

“หา?” ผมชะงักกึก มองหน้าเพื่อนรัก กระพริบตาใส่มันปริบปริบ “มึงหมายว่าไง”

“วันนี้กูโดนเท เธอบอกมาแล้ว”

“เหี้ย ได้ไงวะ”

ก้นแทบย้ายกลับมาแนบเก้าอี้ ท่าทางไอ้เบสจะประสาทเสียพอสมควร มันโดนบอกยกเลิกนัดกลางคัน ทั้งที่มาถึงที่แล้วเนี่ยนะ สาบานว่านี่เป็นแฟนคนที่มันเล่าว่ามาสารภาพรักกับมัน ทำไมไร้มนุษยธรรมอย่างนี้วะ

“แล้วเอาไงต่อ แฟนมึงติดธุระเหรอ ทางบ้านหรือทางมหา’ลัย มึงไปช่วยเขาดิ”

“ช่างเหอะ เรื่องของเขาก็ปล่อยให้เขาจัดการ ส่วนมึงน่ะ วันนี้ต้องอยู่กับกู เที่ยวกับกู ปลอบใจกู เข้าใจรึเปล่า”
ลงอีหรอบเดิมอีกแล้ว...




ท่าว่าดวงการเงินผมจะดี ช่วงนี้มีแต่คนเลี้ยงข้าว วันเสาร์แฟนปลอมๆอยากเด็กเกรท ส่วนวันอาทิตย์ก็คนที่อยากให้เป็นแฟนแท้ๆแต่ไม่มีทางได้เป็นอย่างไอ้เบส

แต่ใครมันกลั่นแกล้งให้ผมต้องเข้าร้านข้าวเดิมๆร้านเดียวกันถึงสองวันซ้อนเนี่ย

“เห็นมึงบ่นอยากกินข้าวกะเพราหมูสับไม่ใช่เหรอ ร้านนี้เด็ดนะ สั่งดิ”

“เออ...ไอ้เบส”

“พี่ พี่ครับ เอาข้าวกะเพราหมูสับสอง ไข่ดาวไม่...อื้อออ” ไอ้เบสโดนผมอุดปาก ก่อนหันไปยิ้มหวานกับพนักงานรับออเดอร์ที่ทำหน้างงแล้วถามย้อนมาทางผม

“เอาไข่ดาว...ไหม้เหรอคะ?”

เชี่ย...ใครจะกินไข่ดาวไหม้วะ

ผมรู้ว่าไอ้เบสมันกำลังจะพูดว่าไม่สุก มันรู้ว่าผมชอบกินแบบไหนถึงสั่งเอาใจผมเต็มที่

“พี่ครับ ที่สั่งไปเมื่อกี้อย่าพึ่งจดนะ เดี๋ยวขอผมดูเมนูก่อน แล้วผมเรียก”

พนักงานพยักหน้าก่อนเดินจากไป พอปล่อยปากไอ้เบสเป็นอิสระ มันก็รัวด่าผมทันที

“ทำบ้าอะไรวะ เหม็นขี้มือฉิบเป๋งเลย เมื่อกี้เข้าปากกูเต็มๆ” มันแลบลิ้นแหวะอยากกับจะสำรอกข้าวเช้าออกมาก่อนจะยกหลังมือขึ้นเช็ดปาก โอเคมือข้างนี้ผมจะไม่ล้างเก็บไว้ดูเล่นตลอดชีวิตเลย

“สั่งอะไรไม่ปรึกษากูเลยนะมึง”

“แต่ปกติมึงก็กินแต่ผัดกะเพราไข่ดาวไม่สุกนี่หว่า”

“บางวันกูก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้างเปล่าวะ”

“แล้วมึงจะกินอะไร”

เวรละ ไม่ทันคิด...ปกติในหัวก็มีแต่กะเพราหมูสับหมูสับมาตลอด พอต้องเปลี่ยนเมนูถึงกับหน้ามืดเลย

“เอาข้าวหมูกระเทียมละกัน ขอไข่ดาวไม่สุกด้วย”

“พี่ครับ” ไอ้เบสโบกมือเรียกพนักงานทันที ปฏิกิริยาโคตรไว พี่พนักงานคนเดิมที่เดินจากไปต้องวิ่งหลุนๆเข้ามาใหม่ “เอากะเพราหมูสับ ไข่ดาวไม่สุก กับข้าวราดหมูกระเทียมไข่ดาวไม่สุก อย่างละจาน น้ำแข็งเปล่าสองแก้ว”

“กะเพราหมูสับเอาเผ็ดปานกลางเหมือนเมื่อวานมั้ยคะ”

“...!!”

“เมื่อวาน? เมื่อวานนี้ผมไม่ได้มา”

“พี่หมายถึงน้องคนนี้ต่างหาก”

ไอ้ห่า....มองหน้ากูเพื่อออออออออออออออออออออออ

“เมื่อวานก็มากินกับเพื่อนอีกคน ถูกใจล่ะสิเนี่ย มากินบ่อยๆนะ เดี๋ยวทีหลังพี่ทำบัตรสะสมแต้มให้ กินสิบแถมหนึ่ง ดีมั้ย”

ไม่ดีคร้าบบบบบบบบบบบ ไม่เอาอะไรทั้งนั้นแหละคร้าบเนี่ยยยยยยย





ข้าวกะเพราหมูก็มาแล้วราดกระเทียมก็มาแล้วขาดแต่คนกินนี่แหละ มัวแต่จ้องผมอยู่ได้

“อย่าเอาแต่มองหน้ากูดิ กูกินไม่ลงนะ”

“ทีเมื่อวานยังกินลง พี่เขาบอกว่าเกลี้ยงจาน” ฮ่วย...รายงานมันโม้ดดดดด บอกด้วยเลยมั้ยว่าผมดื่มน้ำไปกี่แก้ว กินไข่แดงหรือไข่ขาวก่อนน่ะ

“เมื่อวานก็ส่วนเมื่อวานดิวะ วันนี้กูดื่มนมมาแล้วกูเลยอิ่ม” แถไป แถต่อไป

“เมื่อวานมึงมากับใคร”

“...”

“ไอ้ดาวกับไอ้ฟ่าง มันนัดกันไปกินแพนเค้กกันสองคน มึงไม่ไปแน่ ของหวานไม่ใช่สายมึงกูรู้”

เออ มึงรู้ มึงเห็นทุกอย่าง แต่มึงไม่เคยรู้ใจกูเลย ว่าคิดยังไงกับมึงเนี่ยนะ ให้ตายเหอะ

“กูมากินกับมายด์”

“เมื่อวานมายด์ไปซื้อเสื้อผ้าที่ไอคอนสยาม กูเพิ่งกดไลค์รูปในห้องลองชุดน้องมึงไป”

ยัยมายด์ ยัยเด็กติดโซเชียล! จะอัพรูปอะไรมากมาย เตรียมตัวเป็นเนตไอดอลหรือไงกันฮะ ยัยนี่!

“มึงปิดบังอะไรกูอยู่”

“กูเปล่า”

“เปล่าของมึงตอนพูดไปหลบตาไปคือใช่เสมอแหละ”

“ไอ้เบส มึงอย่าคาดคั้นกูดิวะ”

“กูคาดคั้นอะไรมึง กูแค่ถามความจริงว่ามึงมากับใคร มึงแค่บอก กูก็จบ”

ต่างคนต่างเงียบเหมือนดูเชิง ผมจ้องตามัน มันจ้องตากลับ สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายที่ทนกับความเงียบไม่ไหว

“เออ ก็ได้ก็ได้ กูมากับน้องเกรท”

เพื่อนผมมันเงียบเสียงไปทันที สีหน้าแปลกๆเหมือนกำลังสะกดอารมณ์บางอย่างไว้ แต่ผมเดาไม่ถูกว่าอะไร

“ทำไมมากับน้องมันได้”

“ไหนมึงบอกว่าจะจบไง”

“ไหนมึงบอกว่าเขาไม่ได้มายุ่งกับมึงแล้วไง”

“ก็ไม่ได้มายุ่ง ก็มีแค่วันนั้น”

“วันที่ไอ้ดาวปล่อยให้มึงอยู่กับน้องเขาสองคนเนี่ยนะ”

ผมพยักหน้า

“แล้วหลังจากนั้นก็มาอีก”

“อือ...ก็เขาชวนเดทนี่หว่า”

“ไอ้เชี่ยอิม!!” มันทุบโต๊ะเสียงดัง จนน้ำในแก้วกระเพื่อม ผมสะดุ้งงอตัวหรี่ตาไม่กล้ามองหน้ามันสักนิด

...มึงจะเอาอะไรกับกูวะไอ้เบส...

“ตกลงจะคบต่อเหรอวะ”

คราวนี้ไม่กล้าเงยขึ้นไปเลยจริงๆ ผมครุ่นคิด วันนั้นหลังจากแยกกันก็ไม่ได้บอกว่าคบต่อ ก็แค่บอกว่ามาคบกันให้เป็นกิจจะลักษณะ...

เชี่ย...ผมพูดอย่างนั้นออกไปได้ไงวะ น่าจะเป็นเพราะความลนลานตอนนั้นแน่ๆ

“เดี๋ยวน้องมันก็เลิกไปเองน่า มึงก็รู้ว่ามันสารภาพผิดคน มันไม่ได้ชอบกู” เรื่องนี้ไอ้เบสก็รู้ เพราะผมเคยพูดกับมันตั้งแต่วันแรกๆที่โดนของ เรื่องจับทางได้ว่าน้องมันไม่ได้ชอบผม แต่มีใครอีกคนอยู่ในใจ

“เชี่ยอิมมึงไม่รู้ตัวเลยเหรอ ว่าต่อให้คนนั้นไม่รู้สึกอะไรกับมึง แต่ถ้าใครได้อยู่ใกล้มึงมันจะ...”

หืม?

ไอ้เบสเหมือนโดนสตัฟฟ์ มันนิ่งไปแบบคนเสียงขาด กัดริมฝีปากทำหน้าเครียด

“เครียดไรวะมึง”

“...”

“ไม่เอาน่า กินๆกินกัน” ตีไหล่มันป้าบๆ จนตัวเอียง หยิบช้อนส้อมได้ก็จ้วงเกลี้ยงไม่สนใจ

โอ๊ย ทำไงดีวะ ผมทำพ่อเครียดดดดด

นั่งจกได้สักพักเสียงแจ้งเตือนในไลน์ผมก็ดังขึ้นมา ตั้งใจคว้าเอามาไถเล่นเบี่ยงเบนความสนใจ คลายความตึงเครียดที่มีอยู่ตรงหน้าได้สักนิดก็ยังดี



<Greatเทศ

ผมเจอคนนอกใจหนึ่งหน่วย


หา?



....TBC....

+++++++++++++++++++++

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์กำลังใจนะคะ
คุณๆเหมือนเราเคยเจอกัน

ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : (แต้ม)สี่...ชั้นโคตรบันเทิง[22-08-19]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-08-2019 02:46:49
ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : (แต้ม)สี่...ชั้นโคตรบันเทิง[22-08-19]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 23-08-2019 18:27:33
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : (แต้ม)สี่...ชั้นโคตรบันเทิง[22-08-19]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 24-08-2019 18:51:51
 :katai1:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : ห้า...ขั้น เราพัฒนาไปมากกว่านั้นเยอะ[24-08-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 24-08-2019 20:57:16
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

ห้า...ขั้น เราพัฒนาไปมากกว่านั้นเยอะ


<Greatเทศ
ผมเจอคนนอกใจหนึ่งหน่วย


ผมกลั้นใจจ้องอีกสักพัก ไม่นานรูปถ่ายก็เด้งขึ้นมา ได้แต่เบิกตาดูอย่างงงๆ


...นี่มัน...ภาพถ่ายผมตอนไหน...


ภาพแบบโคลสอัพรอยยิ้มกว้างเห็นฟันแทบครบสามสิบสองซี่ หน้าบานไปสิบตลบ สายตากำลังมองเงาคนตรงหน้า ซึ่งตากล้องจับแค่เพียงเสี้ยวแผ่นหลังในชุดเชิ้ตสีขาวเฉกเช่นเดียวกับผม


เจอที่เพจคิวต์บอยครับ
บังเอิญๆ



ตกใจหมด นึกว่าเจ้าตัวแอบตามผมมา...บ้าเหรอไอ้อิม จะเป็นไปได้ไง


คิดว่าส่งผิดคน


ไม่ผิดครับ รอยยิ้มนี้ของพี่แน่


ผมหมายถึงที่บอกนอกใจ


อ๋อ ก็รูปนี้ไง นอกใจผมชัดๆ ยิ้มให้คนอื่นหวานซะขนาดนี้
*สติ๊กเกอร์กระต่ายชมพูลงไปนอนคว่ำหน้าตีแขนตีขา*



นอกใจ...ใช้คำนี้ได้ไง ไม่ได้คบกันจริงๆเสียหน่อย ผมจ้องมองภาพอีกรอบ รู้แล้วเจ้าของแผ่นหลังนั้นคือใคร


“ทำอะไรวะ” เสียงทุ้มของไอ้เบสดึงสายตาให้ผมเงยขึ้นไปมอง...นี่ไงเจ้าของแผ่นหลังนั่น

“ดูรูป”

“รูปอะไร” มันเคี้ยวข้าวไปพูดไปมองหน้าผมไป จะทำอะไรมึงก็เลือกสักอย่างเถอะ ผมจิ้มให้ภาพนั้นเต็มจอก่อนหมุนไปให้อีกฝ่ายดู

“ยิ้มแก้มปริเชียวนะมึง ตอนไหนวะเนี่ย”

“น่าจะปีสองตอนช่วงรับน้องมั้ง”

“พี่คนถ่ายแม่งโคตรเก่ง ตอนนั้นตกผู้หยิงไปได้กี่คนวะ”

ตกผู้หญิงได้กี่คนไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนั้นความรู้สึกดีดีที่มีต่อมึงมันเพิ่มพูนขึ้นมาก จนเก็บทางสีหน้าไม่อยู่

“ไหนยิ้มแบบนี้ให้กูดูอีกทีดิ๊” รอยยิ้มมันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มึงจะให้กูฝืนธรรมชาติเหรอวะ เอาวะ เออก็ได้ ผมแยกเขี้ยวยิงฟันให้ตามที่มันขอ

“กระเทียมติดฟันกระต่ายมึง” หุบปากฉับพลันพลางเอาลิ้นดุนดันจนกระเทียมหลุด ไอ้เบส ไอ้เวร อุตส่าห์ยิ้ม หมดมู้ดเลย

“ใครส่งมาวะ...” แค่เสียงทักแบบฉุกใจของไอ้เบสผมก็พึงสังวรณ์ได้เลยว่าซวยแล้ว ต้องรีบเอามือถือกลับมา แต่ทว่า...

“Greatเทศ...” ฉิบหาย

หน้าไอ้เบสเปลี่ยนอารมณ์ฉับพลัน เหมือนหงุดหงิดใครมาแต่ชาติปางก่อน พอมาชาตินี้ก็ยังถอนไม่หาย ผมรีบฉวยโทรศัพท์ตนเองจากมือมันมากอดไว้

“มันก็แค่ส่งมาคุยเล่นๆ”

“เล่นๆด้วยคำว่านอกใจเนี่ยนะ” โอ๊ยดันเห็นอีก ให้ตายเหอะ ตาไวไปมั้ย

“มันล้อเล่นไงถึงได้หยอกกูว่านอกใจน่ะ” ผมยิ้มแหย จากไอ้ที่ตั้งใจจะทำตามรูปถ่ายใหม่เลยกลายเป็นปิ๋วไปเลย บรรยากาศขมุกขมัวชอบกล “ไอ้เบสมึงอย่าหวุดหงิดดิวะ เพื่อนมึงไม่ได้ใจง่ายคบกับใครง่ายๆขนาดนั้นหรอก มึงเชื่อใจเพื่อนมึงบ้างดิ”

ผม...พยายามเน้นย้ำคำว่าเพื่อน พยายามไม่คิดว่าท่าทีของอีกฝ่ายมันมีความหมายมากมายอะไรไปกว่านั้น

“เออ เรื่องของมึงเถอะ”

“...”

ผมเงียบไป ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง เพราะทุกอย่างที่มันพูดคือเรื่องจริง มันเป็นเรื่องของกูเสมอแหละ มันเป็นเรื่องของกูตลอด ซึ่งมึงไม่เคยมองว่าเป็นเรื่องของมึงเลย








ผมกลับมาจากการเที่ยวปลอบใจคนโดนแฟนเทอย่างหมองๆ หลังออกจากร้านข้าวภายนอกผมพยายามฝืนทำตัวร่าเริงให้มันสบายใจไม่คิดอะไรเพื่อซ้ำเติมมันซึ่งโดนแฟนเบี้ยวนัดไปมากกว่านี้

พอกลับมาถึงบ้านก็นั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่โต๊ะอาหารทอดถอนหายใจคิดทบทวนเรื่องตัวเองอยู่นาน มันจะไปยากอะไร อดทนมาตั้งสองปีกว่าแล้ว อดทนอีกสักนิด จนกว่าจะจบแล้วต่างคนต่างแยกกันไป ความรู้สึกอะไรอะไรในใจอาจจะเบาบางลงก็ได้...

“แฟนพี่เบสสวยมั้ย”

ก่อนมันจะเบาบางผมคงต้องหาทางย้ายออกไปอยู่หอ หรือขอตังค์แม่ไปซื้อคอนโดใกล้มหา’ลัยอยู่สักที ตราบใดที่ยังอยู่ใต้ชายหลังคาเดียวกับยัยตัวแสบ ชีวิตนี้ไม่มีทางสงบสุขได้หรอก

“ไม่รู้ พี่ไม่เจอ”

“เอ๊า ไหนว่าไปหาแฟนพี่เบส แล้วทำไม...”

“ไปหาแต่เขาไม่มา”

“ทำไมอ่ะ”

“ถามลึกไปแล้วเรา” ผมเอามือยันหัวน้องสาวเบาๆ เธอเอนตัวหงายหลังไปนิด ก่อนยกมือขึ้นลูบส่วนที่โดนดัน จัดผมที่เสียทรงเป็นการใหญ่

“พี่อิมเป็นเพื่อนพี่เบสภาษาอะไรเนี่ย ไม่รู้ว่าเขาไปมีแฟนเอาตอนไหน ตัวติดกันซะเปล่า”

“พี่ไม่ใช่จอมยุ่งเรื่องชาวบ้านอย่างเรานี่หน่า”

“ไม่ใช่เรื่องชาวบ้านค่ะ เรื่องของพี่ชายเราก็เหมือนเรื่องของเรา ต้องใส่ใจ”

“แต่นั่นเรื่องของเพื่อนพี่ชายเธอ”

“นั่นแหละค่ะ พี่เบสแหละตัวดีเลย”

หืม?

“พี่อิมจำตอนที่ไปคณะมายด์ได้มั้ยล่ะ ตอนที่พี่เบสก็ตามไป”

“อื้อ”

“ตกเป็นประเด็นของคนทั้งเอกค่า”

“ฮะ? ประเด็นอะไรแค่เดินตามไปเนี่ยนะ”

“ก็พี่ชายหนูหล่อนี่ พอไปถึงนะ เขาเปรียบพี่เบสอย่างกับองครักษ์ติดตามคุณชาย” เหอะ ช่างเปรียบ ฟังแล้วขนลุกพิลึก ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ หน้าตาแบบผมพอทำให้คนในเอกมายด์โวยวายได้ เข้าใจว่าคณะนั้นผู้ชายน้อย แต่มันไม่น่าขาดแคลนขนาดมาปลื้มผมที่หน้าตาบ้านๆขนาดนี้เปล่าวะ

“เพราะงั้นแหละ ถ้าองครักษ์คนนั้นจะห่างไปเนื่องจากไปมีแม่หญิงที่ไหน ใครๆก็ไม่ชอบแน่ๆ”

“งั้นก็อย่าเล่าต่อสิ”

“อ้าว แต่ถ้าพี่เบสไปไหนมาไหนกับแฟน ยังไงคนก็ต้องเห็นอยู่แล้วรึเปล่าล่ะ ต่อให้หนูไม่เล่าก็ตามเหอะ”

อืม น่าคิด แต่ประเด็นคือ...ขนาดผมที่เป็นเพื่อนสนิทมันยังไม่รู้ ไม่เคยเห็นเนี่ยดิ แล้วคนอื่นจะไปมีปัญญาเจอเหรอ แฟนไอ้เบสลึกลับฉิบหาย

แต่ต่อให้เห็นไม่เห็นยังไง ถ้าบอกว่ามีแฟนสุดท้ายผมก็เจ็บอยู่ดี ผลลัพธ์ไม่ต่างกัน

“แต่น้องไม่เชียร์แล้วนะพี่เบสน่ะ”

“อย่ามา ไหน ใครคนไหนที่ทำตัวปลื้มมันนักหนาตั้งแต่เจอหน้าตอนม.ห้า”

“ยิ่งพอรู้ว่ามีเมียยิ่งไม่เชียร์เลยค่ะ มายด์เก็บเสื่อกับหมอนย้ายมาปูนอนที่เรือเกรทอิมแล้ว” เธอมักจะตื่นเต้นและมุ่งมั่นเสมอเวลาเจอสิ่งที่ชื่นชอบ แม้ต่อให้เป็นเรื่องของพี่ชายตัวเอง ผมถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ในวันนี้ แต่คราวนี้อารมณ์อาจจะต่างไปสักหน่อย อาจจะดีก็ได้ที่ยัยมายด์อยู่บ้าน ดึงประเด็นความสนใจของผมจากไอ้เบสไปได้เยอะ

“เอาเถอะเดี๋ยวสักพัก...” จะพูดดับความฝันของสาวน้อยผู้คลั่งไคล้ความรักกุ๊กกิ๊กระดับแมนแมน แต่ผมกลับฉุกใจคิดขึ้นมาได้ว่า ถ้าบอกเรื่องที่ผมกับเกรทคบกันเป็นเรื่องเล่นๆให้น้องฟังตอนนี้ มันจะต่างอะไรกับการที่ผมไปประจานว่าเขาสารภาพผิดคนกลางลานเปิดใจล่ะ

ยิ่งคนอย่างยัยมายด์ใช่ว่าอดทนอดกลั้นไม่บอกใครกับเขาเป็นสักที่ไหน ถ้าบอกอย่างน้อยเรื่องต้องเข้ายัยต้าเพื่อนสนิทคอเดียวกันของนาง แล้วอีกไม่นานคงแผ่เป็นวงกว้างไปในไลน์กรุ๊ปประจำทีม แชร์เรื่องราวให้ด้อมกรี๊ดกันอีกแน่ๆ

ผมคงไม่คิดสั้นส่งเกรทไปตายหรอกนะ

เฮ้อ เอาเถอะ คบอย่างเนียนๆค่อยเป็นค่อยไปละกัน พอถึงวันนั้นวันที่มันอิ่มตัวค่อยบอกเลิก

“อือ ตามนั้น” ผมต่อประโยคแบบส่งๆ ก่อนหยิบมือถือขึ้นมาเบนความสนใจยัยน้องตัวแสบ หน้าจอค้างอยู่ที่แอพพลิเคชั่นแชทมาตั้งแต่ตอนที่ให้เบสดูรูปนั้น

ภาพที่เกรทหามาได้ มันทำให้หวนถึงวันเก่า ผมยังยิ้มให้กับเบสแบบนี้เสมอโดยที่เจ้าตัวไม่รู้

แชะ!

เสียงชัตเตอร์ดังลั่นจนต้องหันไปมอง ยัยมายด์ยกมือถือกำลังเล็งมาทางผม

“ทำอะไร”

“ถ่ายรูปคนยิ้มสวย”

“ลบทิ้งเลย”

“ไม่”

“ยัยมายด์”

“มายด์จะแชร์ให้กรุ๊ป”

“เฮ้ยยัยบ้า อย่าแชร์นะ”

ผมพรวดพราดจากเก้าอี้ จะคว้ามือถือเธอมา แต่ไม่ทันซะแล้ว ผมเห็นเธอกดส่งไปต่อหน้าต่อตาเลย

“เชี่ยแล้ว มายด์ ทำไรวะ” คำว่าอ่านแล้วขึ้นมารวดเร็วทันใจไม่ถึงวินาที เพื่อนยัยมายด์โคตรน่ากลัว นี่เปิดค้างหน้านี้ไว้ตลอดเลยเหรอ แต่น่าแปลกที่ไม่มีอะไรตอบสนองกลับมา มันยังคงค้างที่คำว่าอ่านแล้ว...ว่าแต่ทำไม...ไลน์กรุ๊ปแท้ๆ แต่ไม่มีตัวเลขว่าอ่านกี่คนห้อยติ่งอยู่ได้วะ ระบบรวนหรือว่า...

ผมเหลือบสายตาไปมองที่หัวห้องแชท

 !!!

“ยัยมายด์นี่แก”

“แหะแหะ”

“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย”

“มายด์ชอบอวยให้คนรักกันค่ะ”

“พี่กับมันไม่ได้...”

“แหนะๆอย่าบอกนะ ว่าไม่ได้รักกัน ไม่ได้รักกันแล้วรับคำขอคบทำไมคะคุณพี่ชาย เป็นแฟนกันจะเขินทำไมล่ะ น้องไม่เห็นจะซีเรียสเลย”

“แต่พี่ซีโว้ย!!”

ซีที่จู่ๆแกก็มีไลน์ไอ้เกรทเนี่ยแหละ ไปแอดกันตอนไหนวะ ทำไมไม่รู้ ผมยืนหมุนตัวไปมาเหมือนคนบ้าไม่รู้จะด่าน้องยังไง แต่สักพักเสียงแจ้งเตือนกับแรงสั่นในมือก็ดังขึ้นขัด ผมสะดุ้งยกมือถึอขึ้นมาดู


ได้ภาพคนยิ้มสวยมาใหม่ ไม่หึงแระ


หึง!!?? หึงเพื่อ!! ไปหึงใยไหมนู้นไปไม่ต้องมาหึงผม

ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจคนหัวอกเดียวกัน ผมคงพิมพ์ไปแล้ว

กะปิดหน้าจอนั้นทิ้งทำตัวไม่สนใจ แต่มีมือดีของคนตรงหน้ามาคว้ามือถือผมไปอย่างกับงูฉก

“เฮ้ย!!” ยัยตัวร้ายยิ้ม ก่อนพวกเราจะเริ่มเล่นวิ่งไล่จับเหมือนเด็กๆไปรอบโต๊ะอาหาร “มายด์! เอามือถือพี่มา”

“ไม่คืนหรอก แบร่!”

“เชี่ย นั่นเธอจะพิมพ์อะไรวะ หยุดเลยหยุด”

“อิอิ”

อิอิบ้านพ่...โอ๊ยเกือบปล่อยคำหยาบ ผมสติหลุด พอจับแขนข้างที่ว่างเปล่าของน้องได้ก็ยึดไว้ แล้วโยกตัวไปตามคว้ามือถือที่ยัยมายด์พยายามซ่อนไว้ด้านหลัง

“ทำอะไรกันน่ะสองคน” เสียงผู้เป็นแม่แทรกเข้ามาในฉาก พอยัยน้องตัวแสบเห็นก็รีบวิ่งเข้าไปหลบหลังมารดาทันที

“แม่ พี่อิมจะตีน้อง”

“ใช่ที่ไหนล่ะ พี่ยังไม่ได้...”

“จริงเหรอ อิมแกล้งน้องทำไม แม่บอกแล้วใช่มั้ย มีกันสองพี่น้องให้รักกัน” ท้ายประโยคหันมาเน้นย้ำกับผม

“ผมเปล่าซะหน่อย”

“แหนะๆ เปล่าที่ไหนล่ะคะ แม่ดูสิ ดูมือ” ยัยมายด์เอาแม่เป็นกำบัง มือผมที่จะคว้าตัวน้องเลยวืดแล้ววืดอีก

“อิมหยุดแกล้งน้องได้แล้ว” ใครแกล้งใครกันแน่ แม่หันไปดูก่อนดิคร้าบ ที่แลบลิ้นปลิ้นตาอยู่ด้านหลังอ่ะ หนอยยัยมายด์ มีคนให้ท้ายได้ทีก็ขี่แพะไล่เลยนะ

“ยัยมายด์เอามือถือผมไป”

“หนูไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แม่คะ การช่วยส่งเสริมให้คนสองคนเขารักกันมันผิดด้วยเหรอ” เธอดึงแขนเสื้อผู้เป็นแม่ ฝ่ายคนอยู่บนโลกมานานกว่าหันไปมองหน้าเธอพลางยิ้มอ่อน

“ไม่ผิดหรอกจ๊ะ”

ผมอาศัยจังหวะที่สองคนจ้องหน้ากัน ฉวยมือถือกลับมาได้สำเร็จ ไม่ต้องเตือนก็รู้ ผมรีบจิ้มดูหน้าจอแชทนั้นทันที แต่เพียงเสี้ยววิยัยมายด์ก็กลับมารังควานผม เธอเอามือมาปิดๆบังๆหน้าจอเหมือนยั่วประสาท ส่วนทางนี้ก็ปัดมือออกแล้วออกอีกจนเหนื่อย

“มายด์ เลิกเล่นซะทีเถอะ”

“ไม่ไม่ไม่”

“โอ๊ย ยัยนี่นี่” ใครสอนให้ซนขนาดนี้วะ หรือเป็นผมที่ทำตัวคลุกคลีกับน้องมากเกินไปมาตั้งแต่เด็กเลยทำให้น้องมันไม่เห็นหัวพี่ชายคนนี้เลยเนี่ย


ปิ๊งป่อง!


เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น วันอาทิตย์ไม่น่าจะมีใครมานอกจากเพื่อนแม่

“พี่อิมไปเปิดเลย”

“เฮ้ย!” ยัยน้องไม่ว่าเปล่าแถมดันหลังผมในสภาพที่พวกเรายังจับมือถือตัวปัญหาไว้กับมือทั้งคู่ ตั้งใจเบนความสนใจชัวร์ “เพื่อนแม่แน่ๆอยู่แล้วให้แม่ไป...”

“ไปเปิดเลย ทำโทษ” ทำโทษ? ทำโทษอะไรวะ สุดท้ายก็โดนดันจนเท้าเหยียบผ่านประตูบ้าน ผมละล้าละลังเอ็ดน้องที่เถียงคำไม่ตกฟาก ก่อนเหลือบสายตาไปเห็นใครบางคนซึ่งยืนห่างไปไกล วืบแรกที่เห็นเงาร่างสูงใหญ่ผมหน้ามืดลืมใส่รองเท้าวิ่งตีนเปล่าไปเกาะขอบรั้วทันที จ้องหน้าผู้มาใหม่ด้วยสายตาอึ้งๆอยู่นาน

“มาได้ไง”

“ก็มีคนบอกว่า อยากเห็นของจริงก็ให้มา” เจ้าตัวยกมือถือโชว์ให้ดู

มันเป็นหน้าจอแชทของผมกับคนตรงหน้า ที่มีฝีมือการพิมพ์เป็นยัยตัวร้ายด้านหลัง

“ยัยมายด์!!” หายไปแล้ว น้องผมหายไปอย่างกับซ่อนตัวในกลีบเมฆ ไวเสียยิ่งกว่าลิง! ปล่อยให้ผมอยู่สองคนกับคู่กรณีได้ยังไง

“ตะโกนเรียกน้องทำไมครับ ทำไมเกรี้ยวกราดจัง”

“ข้อความนั้นผมไม่ได้เขียน คุณกลับไปได้แล้ว”

“อุตส่าห์มา ก็ไล่ให้กลับเลย นี่ไม่กะจะชวนเข้าบ้านสักหน่อยเหรอ”

“แม่ผมอยู่”

“ดีเลยจะได้ไปไหว้แม่พี่”

“ไหว้ทำไม”

“ผู้ปกครองคนรู้จักควรทักทาย...”

“ไม่จำเป็นหรอก กลับไปเถอะ” เห็นยืนนิ่งไม่ขยับเลยต้องจัดฝ่ามืออ้อมไปด้านหลังดันให้อีกฝ่ายหมุนตัวเพื่อเดินกลับไป

“น้องอิม เพื่อนมาเหรอ” ไม่คิดเลย ว่าเรื่องราวมันจะใหญ่โตขนาดนี้ กะให้มีแค่สองคนที่รู้เรื่องเรา ทำไมมันลามไปถึงแม่ผมได้แล้วเนี่ย

ผมหันไป ยัยมายด์กำลังยืนเยื้องไปด้านหลังเกาะแขนหม่ามี้สุดที่รักเดินตามออกมา รู้เลยว่าตัวบงการนั้นคือใคร

“ไม่ชวนเพื่อนเข้าบ้านล่ะ ไปยืนคุยตากแดดทำไม”

“เดี๋ยวเขาก็กลับแล้วแม่ แค่มาเอาของ”

“แต่ผมยังไม่ได้ของเลยครับ!”

สะดุ้งเลย...เสียงทุ้มของเกรทตัดผ่านศีรษะผมไปอย่างจงใจ ผมเหลือบไปมองเจ้าตัวด้วยหางตา ยิ้มร้ายผุดขึ้นใบหน้าคมสีน้ำผึ้งนั้น

“งั้นก็เข้ามาก่อนสิจ๊ะ น้องอิมเปิดประตูให้เพื่อนเข้ามาสิ”

“ยังไม่ได้อะไรเล่า!” ผมกระซิบใส่คนตัวสูง เกรทได้แต่ยิ้มแล้วยกมือถือขึ้นเสมอหน้า

อ๋อ...จะเอาเหรอ ไม่ให้ ไม่มี ยังไงวันนี้ก็ไม่ได้หรอก รอยยิ้มนั้นผมให้ได้แค่คนเดียวเว้ย





“บอกให้กลับไปตั้งแต่แรกก็ไม่เชื่อ จะอยู่เพื่ออะไรผมไม่เข้าใจ” ห้องก็ยังไม่เก็บแถมยังมีแขกแปลกหน้าอีก กับคนนี้ภาพพจน์ผมคงไม่ต้องสร้างแล้วมั้ง

“เมื่อวานขอโทษนะครับที่ไม่ได้โทรหา”

ร่างสูงที่นั่งอยู่บนพื้นปูพรมโพล่งออกมา ขณะที่ผมขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงหลังจากเคลียร์ของที่รกรุงรังกระจัดกระจายตามพื้นเสร็จ

“ก็บอกแล้วไงว่าให้พักผ่อน ไม่ต้องซีเรียส” เห็นอาการจิตตกจนสุดกู้ขนาดนั้นใครจะไปบังคับอะไรได้ แล้วผมก็ไม่ได้เป็นฝ่ายที่เรียกร้องตีโพยตีพายว่าอยากจะคุยด้วยสักหน่อย

“ความจริงคุณไม่ต้องโทรหาผมตลอดเวลา ไม่ต้องพาไปเดท ไม่ต้องสงเมสเสจมาบอกฝันดี หรือไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้นะ ให้เหมือนกับตอนสามสัปดาห์ที่ผ่านมา...”

“พี่อิมอย่าประชด”

“เฮ้ย ผมไม่ได้ประชด” พูดด้วยความสัตย์จริงเลย

“ทำอย่างนั้นเขาเรียกว่าแฟนกันที่ไหนล่ะครับ”

“แล้วเขาเรียกว่าอะไรล่ะ”

“คนแปลกหน้า” ก็คนแปลกหน้าจริงๆไม่ใช่เหรอ “อย่างน้อยตอนนี้ผมก็เป็นแฟนพี่ เริ่มทำความรู้จักพี่ได้บ้างแล้ว ไม่มีทางเรียกว่าคนแปลกหน้าได้หรอก”

ยอมรับ...แต่คนเราต้องเจอหน้ากันกี่ครั้งถึงจะเรียกว่าคนรู้จัก เจอกันกี่ครั้งถึงจะเรียกว่าคนรักได้ล่ะ

“วันนี้ออกไปข้างนอกมาเหรอครับ”

“อื้อ” คงดูจากชุดผมล่ะมั้ง ผมยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า กางเกงยีนส์พอดีตัวกับเชิ้ตขาวทำให้อึดอัดยามอยากนั่งสบายๆอยู่บ้านพอสมควร “นี่คุณกะรอเอา ‘ของ’ จริงๆเหรอ” ผมลุกขึ้นจากเตียงกำลังจะเดินผ่านเขาไปยังตู้เสื้อผ้า แต่ทว่าเขากลับตอบผมมาก่อนว่า ‘ครับ’ ผมเลยเปลี่ยนเป้าหมายเป็นก้มหน้าโค้งตัวไปยังคนเบื้องล่างจนแทบประชิดพลางฉีกยิ้มให้แบบกวนประสาทสุดฤทธิ์ ก่อนหุบลงฉับพลันทำหน้านิ่ง

“ได้แล้วก็กลับไปดิ”

“...” ใบหน้าหล่อเหลาดูจะอึ้งๆไป แต่ผมไม่สน ผมปล่อยเกรทไว้อย่างนั้นก่อนหันตัวไปยังเป้าหมายดั้งเดิม เปิดลิ้นชักคุ้ยกางเกงขายาวลำลองสีเทาผ้านุ่มออกมากะเปลี่ยนใส่ พอปลดกระดุมร่นซิบลากกางเกงลงไปได้กว่าครึ่ง เสียงทุ้มก็ดังขึ้นขัด

“ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อยครับ” ขาเกือบจะหลุดจากกางเกงได้ข้างแล้ว แต่เจ้าตัวกลับทักแบบนั้นผมเลยหมุนตัวแบบเซๆหันไปเลิกคิ้วมอง

“อย่าบอกนะว่าเอาจริง”

“ไม่เอาจริงไม่มาหรอก คนอย่างผมน่ะ”

อยากเข้าไปอยู่ในหัวของคนๆนี้จริงๆ อยากรู้ว่าคิดอะไรอยู่ ถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาทำเรื่องไร้สาระกับเขาได้ขนาดนี้

“ถ้ายิ้มให้แล้วจะกลับมั้ย” อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนกล่าวหมายเหตุเหมือนตัวอักษรจางๆบางๆและเล็กเท่าหอยมดบนโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลังแบบห้ามดื่มวันละสองขวด

“แต่ไม่เอายิ้มแบบไม่จริงใจนะครับ เอาให้เหมือนกับภาพที่เคยถ่ายไว้” ในที่สุดกางเกงยีนส์ตัวแน่นก็หลุดออกจากสองขา ผมคว้ากางเกงลำลองสีเทาขึ้นมาพลางส่ายหัว

“ยาก”

“ยากตรงไหน” เสียงทุ้มเข้ามาใกล้จนผมสะดุ้ง หมุนตัวไปก็เจอกับลำคอและไหปลาร้าของอีกฝ่าย กับสายตาเย็นๆของเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่ขึ้นชื่อว่าเคยครองใจแม่ยกรักนักแสดงเด็กมาแล้ว

“รอยยิ้มนั้นมันธรรมชาติสร้าง ไม่ใช่ว่าเอะอะจะให้ยิ้มก็ยิ้มได้” แล้วยิ่งถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่...

รู้สึกเหมือนหนังหน้าโดนดึงยืดจากสองข้างระหว่างนิ่งคิดกับตัวเอง มือใหญ่กำลังจับหยิกแก้มผมดึงทึ้งแบบไร้ความปรานี

“หึ” เด็กเกรทหัวเราะ ยกยิ้มใหญ่

“ทำอะไรวะ” ผมปัดมืออีกฝ่ายทิ้ง ยกแขนขึ้นหยิกแก้มคนตัวสูงแก้แค้นคืน ท่าทางเมื่อกี้คงทำให้เห็นความพิลึกบนหนังหน้าผมเข้าให้แล้ว มีอย่างที่ไหนจะยอมเสียเปรียบฝ่ายเดียว อย่างนั้นก็ไม่ใช่อิมเมจคนนี้แล้ว

“เฮ้ยพี่อิม” เด็กเกรทพยายามถอยหนี ส่วนผมก็โจมตีกลับไม่หยุดจนขายาวๆสะดุดหงายหลัง ล้มลงไปบนเตียงมันทั้งคู่ มือใหญ่ประคองเอวผมไว้เหมือนกลัวตกจากเตียง ผมอาศัยจังหวะนี้คว้ามือถือที่เขวี้ยงส่งๆปะปนในหลุมผ้าห่มขึ้นมาทิ้งน้ำหนักลงไปบนตัวอีกฝ่ายเต็มที่ ในขณะที่อีกมือกำลังพยายามหยิกแก้มเด็กเกรทไม่ยั้ง

แชะ!แชะ!แชะ!

เสร็จผม...

ผมยกมือถือขึ้นดูผลงานความสำเร็จ แต่ละรูปหน้าพิลึกแต่ยังแฝงความดูดีไว้ได้ อิจฉาคนหนุ่มหน้าตาดีแต่กำเนิดฉิบหายก็วันนี้
ความรู้สึกแปลกๆผุดขึ้นตอนเลื่อนไปดูภาพที่สาม ต้นขารู้สึกเหมือนโดนจับลูบไปวืบหนึ่ง ส่วนสะโพกที่ยังคงมีกางเกงขาสั้นกึ่งบ็อกเซอร์ติดกายเหมือนโดนความร้อนจากอีกฝ่ายจับต้อง ผมเบิกตาโพลงมองหน้าคนใต้ร่าง เกรทมีลักษณะอาการนิ่งแบบคนไม่ทุกข์ร้อนอะไร...หรือผมจะรู้สึกไปเอง...

มือที่บนตัวก็เหมือนจะนิ่ง แต่อยู่ในตำแหน่งที่หมิ่นเหม่เกินทนระหว่างสะโพกผมกับเอว เจ้าตัวจงใจหรือไม่รู้ ผมดูไม่ออก รู้แต่เพียงว่าตรงด้านหน้าของพวกเราก็แนบชิดกันไม่ใช่น้อย

...แย่แล้ว...

มือหนึ่งถือโทรศัพท์ อีกมือนึงก็ยันอกแกร่งกันซวนเซ ตัวทาบทับเหมือนจะสิงร่างกันอยู่รอมร่อ บอกเลยว่าผมขยับตัวไม่ได้ยกเว้นแต่อีกฝ่ายจะดันให้ หรือไม่ผมก็ต้องสไลด์ออกไปด้านข้าง แต่ทว่า...ถ้าหากขยับตัวแรงไปผมกลัวว่ามันจะไม่ใช่แค่แนบแล้ว กางเกงวอร์มผ้าร่มของอีกฝ่ายมันเนื้อบางจนอาจเสียดสีกับของใหญ่โตที่อยู่ใต้ร่างนี้ได้พอดีเชียว

อีกวิธีหนึ่งคือการพลิกตัว จบความคิดนั้นยังไม่ทันจะขยับ มือเกรทก็คว้าหมับเข้ากุมมือข้างเดียวกับที่ผมถือโทรศัพท์เจ้าตัวพลิกหน้าจอมันหันเข้าหามองด้วยแววตาแปลกๆ

...ทำไมต้องทำหน้า...เหมือนกับ...

“ผมยอมให้ถ่ายก็ได้ แต่ห้ามแชร์”

“ไม่ให้แชร์แล้ว ผมจะถ่ายทำไม”

“ถ่ายเก็บไว้ดูเอง”

“ไม่ได้อยากดูซะหน่อย!”

“อึ๊!”

“!!!”

“...!”

ซวย...วันนี้เป็นวันซวยอะไรเนี่ย ผมเผลอขยับตัวจนเสียดสีเข้าถูกความแข็งแกร่งที่เริ่มออกอาการน้อยๆ

ตอนนี้ทั้งห้องกลายเป็นเดดแอร์ แถมเจ้าของห้องกำลังจะเดดหมดลมหายใจไปท่ามกลางความอึดอัดชวนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้

หน้าเด็กเกรทแดงขึ้นหน่อยๆ มือยังคงวนเวียนอยู่ตรงสะโพกผม ใช่!!คราวนี้มันลงมาที่สะโพกผมแล้วล่ะ อยากจะร้อง ผมต้องทำไง...ผลักคนตรงหน้าออกไปไกลๆแล้วตบเรียกสติอย่างงั้นเหรอ บ้าบอชะมัด แต่เด็กเกรทไม่ได้คิดอะไรกับผมแล้วทำไมถึงมาลงเอยแบบนี้วะ นายชอบใยไหมไม่ใช่เหรอ ตอบมา!!

“พี่อิม”

เสียงกระซิบกระเส่าจนน่ากลัว เจ้าตัวแนบหน้ากับข้างแก้มผม กดริมฝีปากกับใบหู พอทำเอาผมขนลุกซู่ได้ ใบหน้าเริ่มเห่อร้อนจนรู้สึก ผมพยายามดันแขนกับแผ่นอก จนสายตาพวกเราอยู่ในระดับเดียวกันฉับพลันเลยได้แต่จ้องหน้าลงเข้าไปในดวงตาเคลิ้มๆของอีกฝ่าย

“กะ...เกรท...อื้อออ” ท้ายทอยโดนจับดึงลงต่ำ ตามมาด้วยการมอบจุมพิตที่เหมือนฉากชวนคิดในนิยาย ริมฝีปากเราแนบสนิทกัน ผมได้แต่หลับตาปี๋แบบไร้ทางต่อต้าน รู้สึกถึงความอยากและโลภบางอย่างที่มาจากการขบเม้มกลีบปากบนล่างของผมเบาๆ

“เกรท...อือ” จบกัน...ผมกำลังทำอะไรอยู่ ด้านล่างเหมือนกำลังมีบางอย่างปะทุ มันโดนต้นขาที่ไร้ผืนผ้าของผมเข้า ความร้อนซึมผ่านมาจนน่าตกใจ...มามีอารมณ์อะไรตอนนี้วะเนี่ย เด็กบ้า!! นี่อย่าบอกว่าผมกำลังเป็นที่สนองตัณหาของอีกฝ่ายนะ แม่ไม่ปลื้มเลย!!

เสียงเปิดของประตูดังเข้าโสต ผมหยุดการกระทำของเกรทไม่ทัน

“พี่อิม แม่บอกว่าให้ชวนพี่เกรทลงไป...”

ตุบ!!

มือถือยัยมายด์กลายเป็นศพอยู่บนพรม พวกเราหันหัวขวับไปทางต้นเสียง หน้าตาแตกตื่นหนึ่งพันเปอร์เซ็นต์แบบไม่เว้นแม้ส่วนอวัยวะด้านล่างที่ตื่นตัวขึ้นมาแต่โดนบดบังให้พ้นจากสายตาน้องสาวผมได้ สภาพอนาถที่สุดตอนนี้คงหนีไม่พ้นท่อนล่างที่มีแต่บ็อกเซอร์ของผม

“มะ...มายด์ขอโทษ มายด์ไม่กวนแล้ว เดี๋ยวไปบอกแม่ให้ว่าพี่อิมกำลังทำการบ้านติดพันอยู่ ลงไปไม่ได้นะ”

หา!!??

“เฮ้ย เดี๋ยว ยัยมายด์!!”

เข่ากระแทกเข้าท้องคนด้านล่างดันตัวลุกพรวดพราดวิ่งพุ่งแต่ดันโดนน้องสาวปิดประตูใส่หน้าเสียแล้ว
การบ้านอะไรล่ะ การบ้านที่ไหนเล่า!

หูแว่วเหมือนได้ยินเสียงกรี๊ดจากอีกฟากของประตู ผมรีบหันตัวเดินกลับไปหาเด็กเกรทที่นอนยันศอกหน้านิ่งอยู่บนเตียง ก่อนกระชากแขนอีกฝ่ายดึงเข้าหาตัว

“ลุกลุกลุก ลงไปด้านล่าง ไม่งั้นตกเป็นขี้ปากยัยมายด์แน่” เกรทยอมลุกแต่โดยดี เดินตามได้สามก้าวก็จับแขนผมไว้ ผมหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย “อะไรอีก”

“ลงไปแบบนี้ไม่ได้”

“ทำไมจะ...”

เชี่ยเชี่ยเชี่ย...ลืมไปสนิทเลย ผมยังไม่ใส่กางเกง แล้วที่สำคัญท่อนล่างของเกรทมัน...ขยายใหญ่โตเกินกว่าจะรอดพ้นสายตาชาวบ้านไปได้

“ปะ...ไปห้องน้ำ” ห้องน้ำอยู่กลางตัวบ้าน ผมดันหลังเกรทแต่ต้องชะงักทั้งที่เท้ายังไม่ทันก้าวออกจากห้อง

ยัยมายด์น้องสาวผมยังยืนอยู่กลางทาง มันเป็นทางเดินระหว่างห้องน้ำกับห้องผมด้วยดิ เธอหันหลังให้พลางกดโทรศัพท์ยิกๆเลยไม่ทันสังเกตเห็นพวกเรา ผมรีบกระชากตัวเกรทกลับปิดประตูงับบานล็อคกุญแจเรียบร้อย ร่างสูงหลังพิงบานไม้มองหน้าผมอย่างลอยๆและมึนงง

“ยัยน้องบ้า แชทกับเพื่อนอีกแล้ว โว้ย” ด้อมเกรทอิมจะเฟื่องฟู ส่วนชีวิตตรูจะหาไม่ แล้วผมต้องทำยังไง เงยหน้าขึ้นไปดูสภาพคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้เพียงครู่ จู่ๆก็รู้สึกสงสาร เข้าใจความทรมานของคนที่อยาก ‘ออก’ แต่ ‘ออก’ ไม่ได้ขึ้นมาจับใจ จนอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นแตะหน้าชื้นเหงื่อเบาๆ

“เกรท คุณไหวมั้ย” อาการไม่ดีเลย เด็กเกรทพยักหน้าเหมือนคนโดนยาพิษก่อนจับจ้องมาที่ดวงหน้าผม

“จะไหวกว่านี้ถ้าพี่...”

“ผมทำไม?”

“ไปใส่กางเกง” หน้ากระตุก ผมมองตามสายตาของเกรทลงไปกลางหว่างขาของตน เชี่ย...มาอายอะไรเอาป่านนี้วะ รีบผละจากคนตัวสูงหมุนตัวตั้งใจเดินออก แต่เหมือนความย้อนแย้งยังอยู่ในใจของอีกฝ่าย มือใหญ่ฉวยแขนผมไว้ จ้องหน้าผมด้วยตาหยาดเยิ้ม “หรือไม่ก็ช่วยผม”

หา?

...TBC...

+++++++++++++++++


พี่อิมมมมมมมมใครทำโชว์น้องงงง


ขอบคุณที่ติดตามค่า  :sad4:
เจอกันอีกแล้วนะคะ
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : ห้า...ขั้น เราพัฒนาไปมากกว่านั้นเยอะ[24-08-19]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-08-2019 22:23:21
 :mew3:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก...ยังไง ก็ห้ามเลอะห้องผม[26-08-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 26-08-2019 22:03:01
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

หก...ยังไง ก็ห้ามเลอะห้องผม


“ล้อเล่นน่ะ”

 
เสียงทุ้มต่ำเอ่ย ร่างสูงยิ้มอ่อนก่อนปล่อยแขนผม

“พี่พอจะช่วยเสียบหูฟัง แล้วไปนั่งหันหลังตรงมุมนู้นก่อนได้มั้ย”

“อึ...อืม” ผมหมุนตัว พุ่งไปหยิบไอพอดบนโต๊ะหนังสือตามคำสั่ง ฉุกใจคิดได้เรื่องนึงจึงคว้าบางอย่างหันหลังกลับไปทางเก่า แต่ทว่าภาพตรงหน้ากลับทำให้ผมแทบผงะ

!!!

ฉะฉะฉะ ฉิบหาย...ไม่น่าหันไปเลย!!

ถึงจะหลบตาแต่ก็ทันเห็นส่วนเร้าอารมณ์ที่โป่งพองจนโผล่พ้นกางเกงผ้าร่มมามากกว่าครึ่ง!คนบ้าอะไรหน้าตาดีอย่างเดียวก็ว่าไปอย่าง สวรรค์ยังประทานให้ตรงนั้นใหญ่จนข่มขวัญกันได้อีก!!

ผมฝืนใจเบี่ยงสายตาแบมือยกขึ้นบังซีกหน้า เดินเตาะแตะต่างปูแปดขาตะแคงข้างเข้าหาอีกฝ่าย พอรู้สึกว่าใกล้ก็กระตุกมือดุ๊กดิ๊กขึ้นลง หวังเพียงแต่ให้เจ้าตัวคว้ากล่องกระดาษชำระในมือไป ไม่อยากให้ห้องต้องเปื้อนคราบของคนอื่นใดที่ไม่ใช่ผม

“เอาไปเช็ด ตอนเสร็จกิจ”

พูดออกไปราวกับสโลแกนโฆษณาทิชชู่ยี่ห้อไหนสักแห่ง สัมผัสร้อนจากผิวหนังสะกิดโดนมือจนเผลอปล่อยกล่องกระดาษร่วงลงพื้น ด้วยอารามตกใจเลยย่อตัวพรวดพราดลงไปหยิบจังหวะเดียวกับที่คนตัวสูงลดตัวก้มลงมาคว้าของจำเป็นใน ‘การช่วยตัวเอง’ พร้อมกัน

ตาของเราสองคนสบกัน นิ่งและนาน...จนผมเผลอกลืนน้ำลายลงคอไปหนึ่งอึก

“เหมือนในละครเลยนะครับ” สติผมถูกฉุดกลับมาตามเสียงทุ้มนุ่มลึก กับริมฝีปากบางได้รูปที่ขยับขึ้นลงตรงหน้า

“น้ำเน่าอ่ะดิ”

เกรทยิ้ม...สาบานว่าถ้าเป็นผู้หญิงได้มีละลายเป็นไอติมแท่งโดนแดดเผาแน่ๆ แต่ผมไม่...

“เอาไปได้แล้ว แล้วก็รีบทำให้เสร็จๆจะได้ลงไปด้านล่าง” ผมกระแทกเท้าปึงปังคว้าไอพอดแล้วมานั่งขัดสมาธิบนพรมหลับตาลงซบหน้าด้านข้างกับผืนเตียง

กดเปิดเพลงเสียงดังให้มากที่สุดจนแทบทะลุออกมาด้านนอก เสียใจที่ไม่รักเพลงร็อค หรือแดนซิ่งอิสมายไลฟ์อย่างที่ใครเขาว่าแนว ผมรักแต่เพลงช้าเลยต้องกลั้นหายใจทุกครั้งเมื่อทำนองอันเนิบนาบเบาลงจนกว่าจะเริ่มต้นเพลงถัดไป เสียงกุกกักจากด้านหลังดังขึ้นมาแทรกบางครั้งแต่ไม่ทำให้ถึงกับมึนงงจนไขว้เขว

...หากทุกอย่างมันจะผิด...ก็คงผิดที่ตนลืมการจัดวางข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในห้อง...

ผมเผลอเปิดเปลือกตาขึ้นมากะทันหัน ตั้งใจเปลี่ยนท่าทางกลับพบกับภาพสะท้อนที่เก็บกินเกือบทั่วบริเวณฟากหลังไม่พ้นแม้กระทั่งมุมห้อง มันเป็นกระจกบานใสใบใหญ่ที่ผมมักส่องตรวจความเรียบร้อยหลังแต่งตัว

ทำไมเมื่อกี้ไม่ทันคิดว่ามีเจ้าสิ่งนี้อยู่ในห้อง ทำไมไม่หาชัยภูมิที่ดีกว่านี้วะ ไอ้อิม!!

ใครจะไปรู้ เดินท่อมๆมาตรงมุมได้ก็ติ๊ต่างว่าตัวเองตายแล้วไปเกิดใหม่ยังโลกหน้า ใครมันจะรู้ว่าลืมตาขึ้นมาแล้วจะเจอกับแบบนี้วะ!!

ภาพสะท้อนของเกรทปรากฏขึ้นเต็มสองตา เจ้าตัวยังคงไม่รู้ หลับตาแหงนเงยใบหน้า ใช้ฟันกัดริมฝีปากล่างอย่างหนักหน่วง หายใจหอบแรงจนตัวโยนเบาๆ ใบหน้าซับสีรื้นแดงชื้นเหงื่อไหลรินไปตามขมับลงสู่ลำคอลายเส้นโค้งสวย ท่อนขาด้านล่างยังครบด้วยกางเกงวอร์มผ้าร่ม ยกชันเข่าขึ้นสูงจนปิดมิดส่วนอ่อนไหวไม่น่ามองของผู้ชายได้ แต่ท่าทีของแขนยาวที่ชักเข้าชักออกปรนเปรอสิ่งซึ่งอยู่เบื้องหลังอย่างบ้าคลั่ง รุนแรง และถี่รัวนั้น...มันทำให้ผมอึ้ง...

ผมรีบหลับตาลงทันที รู้ว่าอีกฝ่ายเริ่มเปิดประสาทการรับรู้ด้วยดวงเนตรคู่นั้น แถมยังจ้องมายังผม

เปลือกตาที่แกล้งหรี่ลงปิดไม่สนิท มองตอบกลับอีกฝ่ายซึ่งราวกับอยู่ในห้วงความฝัน ผมกำลังทำอะไร กำลังมองดูเด็กเกรทช่วยตัวเองทำไม รังแต่จะทำให้...อึก...ไม่ๆ ไม่คิด...

“พี่...” ผมสะดุ้งเปิดเปลือกตาจนสุด นึกโทษเพลงไอพอดในใจที่สะดุดลงกลางคัน เสียงเรียก ‘พี่’ ของเกรทเลยดังวนเวียนอยู่ในประสาท สายตากระตุกนำพาไปยังกระจกให้ได้พบเด็กเกรทที่จ้องตรงมาด้วยใบหน้าเต็มเปี่ยมอารมณ์ มันทั้งปรารถนาและยวนใจจนถึงที่สุด ร่างสูงที่เอนตัวพิงกับกำแพงขยับมืออย่างรุนแรงไม่ทิ้งช่วง เสี้ยวจังหวะหนึ่งเหมือนอีกฝ่ายจับสัญญาณอะไรได้เสียงครางเรียกพี่เลยสะดุด สีหน้าดูตื่นกลัวขาดเขลาสบมองผมก่อนสะบัดหัวไปทางอื่นราวกับจงใจ จนในที่สุดเสียงของบทเอื้อนสุดท้ายก็ถูกเปล่งออกมา

“พี่...ใยไหม”

“...!!”

 
...ใจผมกระตุก...

...ความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อครู่จางหายไปเหมือนฝนไล่ช้างที่สร่างซา...

...ผมเป็นอะไรไป...

...ทำไมถึงได้ตกใจกับคำเรียกชื่อนั้น...กันได้ล่ะเนี่ย...


 
 
 
 

“ถึงจะเร่งทำการบ้านขนาดไหนก็ต้องลงมากินข้าวก่อน เดี๋ยวป่วยเป็นโรคกระเพาะขึ้นมาแล้วจะทำยังไง”

ผมโดนแม่เอ็ด เพราะกว่าอีกฝ่ายจะเสร็จกิจก็ปาไปครึ่งชั่วโมงถึงจะเก็บข้าวของคลานตามกันมาด้านล่างได้ ยอมรับว่าอีกฝ่ายอึดมาก เล่นทำผมคอเคล็ดเพราะเอาหัวพาดเตียงไม่กล้าแม้แต่จะเบี่ยงสายตาไปไหน ได้แต่กลั้นหายใจนอนนิ่งอยู่กับที่ ถ้าเป็นไปได้ก็ขอไม่มีประสบการณ์แบบนี้อีก!

พ่อผม ยัยมายด์ กับแม่ทานข้าวเสร็จไปชาติกว่าแล้ว ตอนนี้บิดากำลังนั่งสบายเอกเขนกเอนกายอยู่หน้าทีวีดูข่าวภาคค่ำอย่างตั้งใจ ส่วนยัยมายด์ก็ถูกไล่ให้เข้าครัวเพราะโดนแม่ใช้ไปล้างจาน ผมกับเกรทเลยต้องนั่งเก้าอี้ตัวข้างกันทานข้าว โดยมีแม่นั่งเฝ้าคอยส่งอาหารเลี้ยงดูลูกหลานอย่างดี

“ทานเยอะๆนะจ๊ะ” คนเป็นมารดามอบรอยยิ้มอย่างมีไมตรีจิตให้แขก ส่วนคนเป็นแขกก็ผงกหัวยิ้มรับอย่างนอบน้อม

“ครับ”

“น้องเกรทบ้านอยู่ไหน” ขณะเจ้าตัวกำลังตักน้ำแกงผักกาดดองกระดูกหมูเข้าจานตัวเอง แม่ผมก็ถามขึ้น

“ผมอยู่หอนอกแถวๆมหา’ลัยครับ”

“อ้าวแล้วกลับดึกอย่างนี้ ไม่เป็นไรเหรอ ไกลอยู่นะจากที่นี่ไปน่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมกลับดึกบ่อยๆอยู่แล้ว บางครั้งก็ต้องทำรายงานนอกสถานที่ บางครั้งพวกพี่ๆที่คณะก็มีเลี้ยงสังสรรค์กันบ่อยๆ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วครับ”

ผมนั่งฟังคนสองคนคุยกันพลางตักกะเพราฝีมือแม่ใส่จาน โชคดีที่วันนี้ยั้งไอ้เบสไว้ไม่งั้นได้เอียนกะเพราไปจนตายแน่เลย

“ไม่เห็นอิมจะกลับบ้านดึกแบบเราเลยนี่หน่า”

“ใครจะกล้าล่ะครับ กลับดึกเกินสี่ทุ่มทีไรมีอันต้องโดนตีทุกที” ผมแย้งออกไป

“เราก็เว่อร์ไป แม่ไม่ได้ตีเราจริงๆซะหน่อย”

“แต่ว่าจนหูชา”

“คนเป็นแม่ก็ห่วงเวลาลูกกลับบ้านดึกๆดื่นๆเป็นธรรมดา เดี๋ยวนี้พอตกค่ำแล้วไว้ใจได้ที่ไหน แม่มีเรากับน้องแค่สองคนนะ” ดราม่าอีกแล้ว “ใช่มั้ยล่ะน้องเกรท”

ยัง ยังไม่พอ ยังหาแนวร่วมอีก เกรทยิ้มน้อยๆให้แม่ผมสีหน้าดูอ่อนโยนเป็นมิตร

“แต่จะว่าไป แม่ไม่เคยเห็นอิมพาเรามาบ้านเลยหนิ เห็นเอะอะก็พาเบสมา นี่ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกันเหรอ” คำถามพุ่งเป้าไปยังเกรท เจ้าตัวเลยรีบยัดผักดองเข้าปากเคี้ยวอย่างลำบากลำบนเพื่อลุกขึ้นมาตอบคำถามแม่ ส่วนคนทางนี้ก็ได้แต่เมียงมองไม่สนใจตักกับข้าวทานต่อไปเพราะหิว

“ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกันครับ ผมเป็นรุ่นน้องพี่อิมปีนึง”

“หือ? จริงน่ะ รุ่นน้องเหรอ แม่เคยเจอรุ่นน้องอิมนะ เอ...ที่ชื่ออะไรนะ ใช่ๆ น้องเนย”

“นั่นน้องรหัสผม” ผมแย้งไป

“แต่แม่ไม่เห็นจะเคยเจอเกรทเลย” นี่ชวนคุยหรือสอบสวนครับ ผมรู้เลยว่านิสัยยัยมายด์ปัจจุบันนี้ได้มาจากใคร เหลือบไปเห็นกระดูกหมูยังคาจานเด็กเกรทอยู่ก็นึกสงสาร เลยขยับช้อนส้อมไปหนีบมาวางที่จานตน ก่อนเลาะเนื้อทิ้งกระดูกส่งกลับคืนให้ เพิ่มเติมด้วยตักจากชามกลางลอกเนื้อแล้วถมใส่จานของอีกฝ่าย

ไม่นานนักเกรทก็หันมาพร้อมสะดุดกับเนื้อหมูกองใหญ่ที่เจ้าตัวไม่ได้ตัก คนมึนงงมองผมด้วยปลายหางตาพลางยิ้มเบาๆ

...ไม่ต้องรู้สึกขอบคุณหรอกครับ แค่สงสาร เข้าใจตรงกันนะ...

 



 
 
“กลับก่อนนะครับ วันนี้ขอบคุณที่เลี้ยงข้าวเย็นครับ” คนตัวสูงยกมือไหว้ตรงตามระเบียบทุกกระเบียดนิ้ว มันดูสง่างามและสุภาพตามแบบฉบับคนที่โดนอบรมสั่งสอนมาดี จนแม่ผมปลื้มไปสามตลบ เธอยิ้มแก้มปริยินดีปรีดายิ่งกว่าตอนรู้ว่าลูกเข้ามหา’ลัยได้เสียอีก

“กลับดีดีนะจ๊ะ ดึกแล้ว ความจริงนี่ถ้าไปส่ง...” ผมฉงนกับหางประโยคที่หายไป เหมือนแม่ฉุกใจคิดอะไรบางอย่างเลยหันมองมาทางผม

“อิมไปส่งน้องสิ”

“หา?”

“ขับรถพ่อไปไง”

“เฮ้ย อะไรอ่ะแม่ จู่ๆก็ ไม่เอาอ่ะ” ผมส่ายหัวดิ๊ก เรื่องอะไร ทำไมต้องไปส่ง มาเองก็กลับเองดิ

“ดึกแล้วให้น้องกลับคนเดียวมันอันตราย”

“แล้วให้ผมขับรถดึกๆไม่อันตรายเหรอ”

“เราขับรถเก่งหนิ ใบขับขี่ก็มี พ่อเป็นคนสอนเรากับมือ ตอนนั้นยังดื้อเพ่งไปไหนมาไหนก็ขันอาสาจะขับไปส่งตลอด ทำไมวันนี้ไม่อยากขับซะล่ะ”

“ผมเปล่าไม่อยากขับนะ แต่ว่า...” ผมชอบขับรถ ชอบมาก บอกเลย แต่ติดตรงที่พ่อไม่ยอมซื้อให้ ไม่มีปัญญาหารถส่วนตัวมาใช้เอง ทุกวันนี้เลยต้องทู่ซี้ขันอาสาเวลาคนในบ้านจะไปไหนมาไหนยกมือไปรับไปส่งอยู่เสมอ

“พ่อๆเอากุญแจรถมาให้ที น้องอิมจะขับไปส่งเพื่อน” แม่บ้านยุคใหม่ จัดการปัญหาฉับไว ไฟแรง คงหนีไม่พ้นคำนิยามของคุณแม่ผม พูดปุ๊บมาปั๊บเหมือนสั่งได้ แต่ไม่ใช่พ่อผมนะ

“นี่ค่ะกุญแจ” ยัยน้องสาวตัวดีที่เสนอหน้ามาทันทีแบบไม่ต้องเรียกหา ในมือควงกุญแจไปมาก่อนวางลงบนมือแม่ เธอทำหน้าเจ้าเล่ห์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนล้อเลียนผมในใจ ยัยตัวดี!!

“อ่ะ ขับก็ระวังระวังนะ อย่ารีบให้มาก” ของในมือถูกส่งต่อให้ผม จนต้องรับมาอย่างจำใจ

“ครับๆได้ครับ”

อยากอยู่ห่างให้ไวแต่ไหงกลับเป็นแบบนี้ได้วะ ผมนี่ล่ะเซ็ง

 



“คาดเข็มขัด”

“ผมใส่กางเกงวอร์มมา ไม่ได้คาด...”

“เกรท” ส่งสายตาดุๆใส่คนขี้แกล้งชวนตี เจ้าตัวคงรู้สินะว่าผมเห็นเลยกะจะหยอกเล่นให้อาย ฝันไปเถอะ

รอยยิ้มเย็นตามประสาผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา คนเป็นรุ่นน้องจ้องหน้าผมไม่ขยับเขยื้อนเหมือนครุ่นคิดบางอย่างจนสติพาลลอยตามไป ผมตัดใจปลดเข็มขัดนิรภัยฝั่งตนก่อนอ้อมผ่านร่างสูงเอื้อมไปหยิบสายคาดลากออก ในใจคิดติดสนุกว่า ถ้าแกล้งหยอกเขากลับจะทำสีหน้าเช่นไร เลยจงใจค้างแขนไว้ หันไปมองอีกฝ่ายในระยะประชิด

เกรทมีท่าทีสะดุ้งเบาๆเหมือนโดนกระแสไฟฟ้าขนาดเล็กจี้โดนตัว อีกฝ่ายย่นคอ แต่ไม่นานผมกลับรู้สึกว่ามันขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

กริ๊ก!!

เสียงเหล็กตัวยึดสายเบลท์ลงล็อค ผมตบอกคนข้างๆปุบๆบ่นพึมพำสองคำว่า ‘กลับบ้านกลับบ้าน’แล้วย้ายมาคาดเบลท์ของตนเองบ้าง


เมื่อกี้...

คิดไปเองมั้ง...



ผมเม้มปากบอกกับตัวเองในใจ

 

 
 
ระหว่างทางพวกเราคุยแต่เรื่องสัพเพเหระ เรื่องที่ว่าเกรทยังขับรถไม่เป็นบ้างล่ะ หรือรถยี่ห้อที่ผมเล็งไว้หากมีปัญญาซื้อบ้างล่ะ รวมไปถึงความยากลำบากในการได้มาซึ่งใบขับขี่ของผม

ขับไปเจ้าตัวก็ชมไปว่าผมขับรถนิ่มแล้วชอบจ้องท่าทางนั่งหลังตรง ชมจนคนขับแม่งเกร็ง...แต่ก็ต้องวางมาด ‘คุณชาย’อย่างที่ยัยมายด์เคยเรียกเอาไว้ จนในที่สุดก็ขับมาถึงจุดหมายปลายทาง

“ขอบคุณที่มาส่งนะครับ...พี่อิม?” ท้ายประโยคขึ้นเสียงสูงเหมือนตั้งคำถาม อาจเพราะผมนั่งนิ่งจนผิดสังเกต หนำซ้ำยังไม่ยอมหันไปทางเจ้าตัวเอาแต่สะบัดหลังมือไล่

“คุณไปเถอะ”

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”

“ผมปวดหลัง” เกรททำตาโตก่อนหลุดขำพรืดออกมา

“อย่าบอกนะ เพราะที่ผมชมเมื่อกี้”

“เออ นั่นแหละ ไปเถอะ”

“ขับกลับไหวแน่นะครับ”

“อือ” ผมพยักหน้า

“ให้ผมนวดให้เอามั้ย” มือใหญ่ขยับมากดปุ่มปลดเข็มขัดประคองเอวก่อนสอดอีกข้างเข้าไปนวดคลึงแผ่นหลังตรงเหนือกระดูกเชิงกรานของผม

“ไม่คิดว่าจู่ๆจะปวดเหมือนคนแก่ขนาดนี้” ตัวผมโยกไปตามแรงกดไม่เบาไม่ค่อยของอีกฝ่ายรู้สึกสบายตัวขึ้น

“นั่งท่าเดิมนานๆใครก็เป็น ไม่ต้องเล่นถึงคนแก่หรอกครับ ตรงนี้แข็งเป็นก้อนเลย”

“อือ” สบายตัวจนเผลอหลับตาจะเคลิ้มเข้าห้วงนิทราอยู่รอมร่อ

“ตอนขับกลับห้ามหลับนะครับ”

“รู้แล้วน่า”

“หรือจะค้างห้องผม” คำชวนไม่คาดคิดโพล่งออกมา ผมเปิดเปลือกตาหันไปมองหน้าคนข้างเคียง “เสื้อนักศึกษา ข้าวของเครื่องใช้ยืมผมก่อนก็ได้”

“ไม่ได้หรอก พรุ่งนี้พ่อผมต้องใช้รถแต่เช้า อีกอย่างผมไม่ได้เอาหนังสือเรียนมา ต้องกลับไปเอา” พูดจบขยับไปจับข้อมืออีกฝ่ายเป็นเชิงส่งสัญญาณ “ผมสบายขึ้นแล้ว คุณขึ้นห้องเถอะ”

เจ้าตัวจ้องหน้า หยุดมือแล้วถอนออกอย่างเชื่องช้า กลางทางระหว่างฝ่ามือของพวกเราผ่านกันมันให้ความรู้สึกแปลกๆเหมือนอีกฝ่ายพยายามจะเกาะกุมไว้แต่ก็ไม่ใช่อยู่ในที

“ขอบคุณนะครับ” เด็กเกรทยกมือไหว้ก่อนเปิดประตูรถ พฤติกรรมนั้นทำผมอึ้งก่อนหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังจนคนได้ฟังเอียงคอฉงน

“เป็นอะไรไปครับ”

“อ๋อ เปล่า ผมก็แค่รู้สึกแปลกๆ”

“รู้สึกแปลก?”

“ตั้งแต่คบกับคุณมา พึ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นพี่ก็วันนี้” ผมยังหยุดขำไม่ได้ เลยก้มหน้าฟุบแขนที่กอดพวงมาลัยไว้ ปล่อยตัวให้สั่นไหวน้อยๆ เหมือนเจ้าตัวยังยืนรอเลยยกมือปัดไปอีกรอบ

“โทษทีๆ คุณไปเถอะ”

“...” ร่างสูงยังยืนนิ่ง

“ยังไม่ไปอีก” ผมยิ้มส่ายหัวตลกกับท่าทางของคนตรงหน้า

“ไม่ใช่พี่”

“หา?”

“ตอนนี้เป็นแฟนต่างหากครับ”

“...”

ปัง!

เสียงประตูดังปิดประสาทการรับรู้ของผม ความแปลกใจ ความสงสัย ความรู้สึกจั้กจี้อย่างประหลาดประดังประเดเข้ามา สายตาได้แต่มองตามแผ่นหลังซึ่งเดิมอ้อมด้านหน้ารถมายังฝั่งคนขับ นิ้วเรียวยาวบรรจงเคาะกับกระจกหน้าต่าง

บานแผ่นใสเลื่อนเปิดอัตโนมัติ ผมหันหน้าไปทางเกรทพลางยิ้ม

“มีอะไรรึเปล่าครับ จะแจกใบสั่งเหรอ” อีกฝ่ายเอามือเท้ากรอบหน้าต่างโค้งตัวลงมาพูด

“ถ้าสั่งให้ไปซื้อผัดกะเพรา จะพอไหวมั้ยครับ”

“ไม่ไหวแล้ววันนี้ ผมเอียนกะเพราจะตายแล้ว ทำไมช่วงนี้มีแต่คนหวังดีเลี้ยงของที่ผมชอบนะ”

“ช่วงนี้?” คิ้วเข้มขมวดบิดพลางทำท่าคิด “ช่วงนี้ไปกินกับใครมาเหรอครับ นอกจากผม”

“เพื่อนน่ะ มันรู้ว่าผมชอบกินกะเพราเลยหวังดีจัดให้”

“เพื่อน? คนที่ชื่อเบสเหรอครับ”

“อื้อ” ผมหยักหน้า “คุณเข้าหอเถอะ ดึกแล้ว”

“วันนี้ขอบคุณมากนะครับ” ผมหันไปสบตาอีกฝ่ายทันควัน

“ขอบคุณอีกแล้ว ผมไปทำอะไรให้เนี่ย” ผมเฉไฉเกาะพวงมาลัยมองไปทางอื่น

“ผมมีความสุขขึ้นเยอะเลย ขอบคุณจริงๆครับ” ผมโบกมือปัดๆพลางออกรถ พอขับเลยมาจนสุดทางซอยจึงแอบจอดริมทาง ยกมือขึ้นสัมผัสแผ่นหลังที่เมื่อยขบซึ่งยังคงหลงเหลือไอร้อนจากมือของอีกฝ่ายค้างไว้

...ลืมไปได้ไงนะ...

หรืออาจเป็นเพราะหลายวันมานี้มีเรื่องต่างๆสุมเข้ามาจนเกินกว่าสมองผมจะรับได้

เลยทำให้ลืมไปว่า เด็กเกรทกำลัง ‘อกหัก’ มาจากใคร

...TBC...

+++++++++++++++++


สั้นๆ เรื่อยๆนะคะ
เรื่องนี้เราแต่งในเชิงความรู้สึกที่ค่อยๆพัฒนาน่ะค่ะ
ขอบคุณที่ยังตามกันน้า T^T
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : เจ็ด...ฝนแปดหนาว [29-08-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 29-08-2019 21:02:02
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

เจ็ด...ฝนแปดหนาว

“เอาทิชชู่ไปเก็บในห้องเพิ่มมั้ยน้องอิม”

“ฮะ? ครับ?”

“แม่เห็นใช้ซะเยอะเชียว ปกติเก็บไว้ในห้องแค่กล่องเดียวน่าจะไม่พอ”

“...”

 
...บทสนทนาแนวนี้สำหรับบ้านผมมันเป็นเรื่องปกติ...

 
คนเป็นแม่รู้หนึ่งในความจำเป็นของกระดาษทิชชู่สำหรับผู้ชายทุกคน ตลอดมาตั้งแต่เล็กจนโตแม่ไม่เคยปิดกั้น มีแต่พยายามจะสอนลูกทั้งสองคนให้มีพัฒนาการ เรียนรู้ และเท่าทัน เพื่อให้มีทักษะตามวัยชีวิตที่ควรจะเป็น แต่ทว่า...

“เดี๋ยวผมมา”

ผมวิ่งพรวดพราดกระโจนขึ้นบันได เปิดประตูห้องตนเองได้ไม่รอช้าคว้าถังขยะในห้องขึ้นมาดู...

โธ่เว้ย...ลืมเก็บไปทิ้ง...

ซากอารยธรรมของเกรทยังคงเหลือเป็นทิชชู่กองโตในห้อง นับเป็นเรื่องธรรมดาหากคนขยันทำความสะอาดอย่างแม่จะขึ้นมาเจอ ทางเดียวคงต้องยอมรับว่าเป็นของตัวเองไปสินะ...แต่ออกเยอะไปมั้ยวะ

ผมถอนหายใจ มัดปากถุง ก่อนเดินเตาะแตะหิ้วมันลงมา

“วางไว้ตรงนั้นก่อนก็ได้ เดี๋ยวแม่เก็บเอง เราน่ะรีบมากินข้าวก่อน เดี๋ยวไปสายกันพอดี” ผมทำตามที่แม่บอก เดินไปล้างมือแล้วกลับมาประจำที่ ยกมีดปาดนูเทลล่าซึ่งยังคาอยู่บนขนมปังสองแผ่นขึ้นมา ความหนืดของมันหลังนำออกจากตู้เย็นทำให้ละเลียดละเลงได้ช้ากว่าปกติ สร้างความยุ่งยากในมื้ออาหารเช้าได้สุดๆ จนผมตัดใจวางมีดแล้วทานมันเสียแบบนั้นทั้งที่ครีมสีน้ำตาลยังคลุมไม่ถึงพื้นที่สี่มุมด้วยซ้ำ

“เอานมข้นมั้ย” ผมเหลือบไปมองมารดาที่ยื่นกระป๋องนมข้นมา ราวกับว่าเธอจ้องผมทุกขณะและทุกการกระทำ

...นมข้นน่ะเหรอ...

สะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป ดูเหมือนในใจเมินเฉยแต่ตลอดคืนนอนแทบไม่หลับ พอกลับมาถึงห้องก็เฝ้าแต่สงสัยการกระทำทุกอย่างของรุ่นน้อง ว่าเจ้าตัวทำทั้งหมดไปได้ยังไง ไหนจะแนบริมฝีปากใกล้ชิดกับผู้ชายด้วยกัน ไหนจะทำ...นมข้น...

“กะ...เก็บไปเลยครับแม่ วันนี้ไม่ขอกินนมข้น” และวันนี้ไม่ขอเจอหน้าด้วยเถอะได้โปรด...ไม่รู้จะต้องทำตัวยังไง...ถ้าเป็นไปได้เลิกๆกันไปดีกว่ามั้ยวะ ปกติก็ไม่ได้คบเพราะชอบกันอยู่แล้ว

“เมื่อวานมีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า”

“เฮ้ย? เปล่าครับ ไม่มี๊!ไม่มีเลย!” อึ้งกันทั้งบาง รวมไปถึงน้องสาวในชุดนักศึกษาที่เพิ่งวิ่งตึงตังลงจากบันได มานั่งข้างผม

“พี่อิมตะโกนเสียงดังทำไม”

“พี่เปล่าซะหน่อย!”

“นั่นไงล่ะ ตะโกนเสียงดังชัดๆเลย” ยัยน้องตัวดียกนิ้วขึ้นชี้หน้า ผมเลยคว้ามือเธอลง ปากก็ขมุบขมิบเป็นเสียงกระซิบให้เลิกจับผิดผมซะที

“อิมมีอะไรจะบอกแม่รึเปล่า”

“จะมีได้ยังไงล่ะครับ”

“ไม่มีอะไรกับแม่ แต่มีอะไรกับแฟนแล้วใช่มั้ย!?”

“แค่ก!!”

ไอ้ก้อนขนมปังที่อยู่ในคอไหลไปชะงักค้างตรงหลอดลมจนสำลัก ทุบอกตุบๆ หวังให้หลุดออกก่อนติดคอตาย มือคว้าถ้วยกาแฟดำได้ก็ยกขึ้นซดลืมความร้อนและไอกรุ่นของมันไปชั่วสนิทใจ กว่าจะดันเจ้าก้อนขาวให้ไหลลงคอได้ก็เกือบลิ้นพองตายคาตรงนั้น

“ร้อนๆๆ”

“ใจเย็นสิเรา” แม่ยกแก้วน้ำเย็นส่งมาให้ได้หายใจหายคอ “ท่าจะเป็นเอาหนักนะ”

“ก็ใครกันล่ะ จู่ๆก็พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้” ผมแสร้งหลบตา แต่กลับโดนคำถามจี้กลับ

“สรุป คนเดียวกับเมื่อวานใช่มั้ย”

“ชะ...ใช่ที่ไหนเล่า”

“ชื่ออะไรนะ น้องเกรทเหรอ”

“เขาชื่อเกรท แต่ไม่ใช่แฟนผม”

“คบกันตั้งแต่เมื่อไร”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้คบ”

“ตั้งแต่เมื่อวานเหรอ?”

“ไม่ใช่เมื่อวานครับ!”

“งั้นหนึ่งสัปดาห์ก่อน?”

“หนึ่งสัปดาห์ก่อนก็ไม่ใช่”

“งั้นสองสัปดาห์?”

“ไม่ใช่สองสัปดาห์”

“งั้นสาม...”

“โอเคครับ!!ก็ได้ครับ สามก็สามสัปดาห์!!”

บอกเลย...ผม-ยอม-แพ้...

ผมเห็นมายด์ชูสองนิ้วให้แม่กล่าวชื่นชมว่ากู๊ดจ๊อบจากปลายหางตา แม่ควรอึ้งกับประโยคนี้ ไม่อึ้งผมให้ต่อยทีนึงเลย ผมเตรียมรับคำด่าตั้งการ์ด หากมารดามีแต่ทำตาโตยกมือขึ้นปิดปาก ทำตัวประหลาดมองหน้าผมสลับกับถุงขยะที่วางทิ้งไว้ตรงข้างกำแพงนั้น

ไอ้เหี้ยอย่าบอกนะ!!

“หรือว่าเมื่อวานลูกกับน้องเขา...”

“เปล่าครับ!!พวกเรายังไม่ได้มีอะไรกัน”

“แล้ว...แล้วทิชชู่กองนั้น”

“เกรทเป็นคนทำคนเดียว ผมไม่เกี่ยว!”

ฉิบหาย!! ผมอยากเอาหน้ามุดจาน!!

คราวนี้เงียบกันทุกสรรพางค์สรรพสิ่ง ต่างฝ่ายต่างนิ่งไม่ไหวติงใดใด

“อิม...” เสียงแม่เรียกเบาแผ่วหวิวจนใจหาย “จะมีแฟนได้แม่ไม่ว่า แต่ถ้ารู้สึก ‘อยาก’ขึ้นมาอย่าลืมถุงยางอนามัยนะ”

“คะ...ครับ”

ผมตกปากรับคำ แต่มันไม่ใช่แบบนี้ไม่ใช่เหรอ แม่ต้องไม่สนับสนุนผมดิ มันไม่ใช่แบบนี้ เสียงยัยมายด์หัวเราะคิกพลางกดมือถือ รู้เลยว่ากำลังรายงานสถานการณ์กับยัยต้า แต่ผมหมดแรงเกินจะคว้ามือถือแล้วเอ็ดเธอได้

“พกถุงยางเสร็จแล้วก็อย่าลืมพกร่มกันไปด้วยล่ะ พยากรณ์อากาศบอกวันนี้ฝนจะตกแปดสิบเปอร์เซ็นต์ทั่วกรุงเทพฯ”

...ย้ำกันเข้าไป ตอนนี้ในใจผมฝนมันตกห่าราวกับฤดูน้ำหลากไปได้สักประมาณนึงแล้วล่ะ...


 



 

 
“เมื่อวานมายด์คิดว่าพี่อิมจะไม่กลับซะอีก”

“มีเหตุอะไรที่พี่ต้องไม่กลับ มายด์อย่าเอาขอบร่มมากระแทกร่มพี่ น้ำมันกระเด็น” น้องสาวผมยิ้ม

...รู้เลยว่าที่เผลอกระแทกร่มเข้ามาเมื่อครู่เป็นเพราะตื่นเต้นเรื่องผมกับเกรทจนลืมตัว...

หน้าฝนตอนต้องเดินทางด้วยรถสาธารณะมาเรียนมหาวิทยาลัยไม่น่าปลื้มเท่าไร มีทั้งความเฉอะแฉะเจิ่งนองของน้ำไปทั่วฟุตบาท และบางคราวอาจจะเจอแจ็คพอตอย่างการโดนรถสวนผ่านสาดน้ำโคลนริมทางใส่ แต่เพราะฝนตกรถรับส่งภายในมหา’ลัยเลยดูจะเต็มไปเสียทุกคัน พวกเราเลยต้องจำใจเดินเท้า เพราะหากรอคงมีอันไปเรียนสาย

“คนตรงนั้นแปลกเนอะ นั่งรถส่วนตัวมาทั้งทีแทนที่จะให้คนขับไปส่งถึงหน้าตึกกลับลงกลางทางซะได้” น้องสาวคงบ่นประสาคนอิจฉาพวกที่ได้นั่งรถส่วนตัวมามหาวิทยาลัย หญิงสาวรูปร่างเล็กคนหนึ่งผมประกายสีน้ำตาลคาราเมลแต่งกายนักศึกษากระโปรงสอบรัดรูปดูโฉบเฉียวกำลังเดินจากรถมองซ้ายมองขวาตามถนนเพื่อวิ่งข้ามฟากมา ผมมองตามสายตาน้องแบบไม่หยุดเท้าก่อนจะละความสนใจเมื่อเดินผ่านจุดนั้นไป เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังเดินเข้ามาใกล้จากด้านหลัง

“ขอโทษค่ะ ขอทาง...”

“มายด์หลบมานี่มา” ผมดันตัวน้องสาวให้เบี่ยงออกด้านข้างมายืนแถวตอนเรียงหนึ่ง หลบการขวางทางของผู้ร่วมสัญจร ก่อนเงยหน้าขึ้นไปมองคนด้านหลัง “ขอโทษ...ครับ”

“...”

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ผมหยุดเท้าทันทีที่เห็นหน้าเธอ ส่วนคนที่มาใหม่ก็เบิกตาโตเมื่อเห็นผม

“อิมเมจ”

“ใยไหม”

อย่างที่เคยบอก ผมกับใยไหมเป็นเพื่อนร่วมคณะแต่ไม่สนิทกัน และไม่คิดว่าเธอจะจำชื่อเล่นผมได้

“เฮ้ย...ยืนตากฝนทำไม” ผมรีบเอนร่มไปทางตัวเธอ ส่งผลให้พื้นที่แผ่นหลังกับไหล่เริ่มโดนละอองฝนจนชื้นเปียก ใยไหมดูอึ้งๆในหลายอย่าง ท่าทางดูสับสน ผมเผ้าเปียกปอน ตาเธอดูแดงกว่าปกติ ผิวหน้าขาวซีดอาจเพราะโดนไอเย็นจากฝน แต่ร่องรอยเมคอัพซึ่งดูเหมือนแต่งใหม่ยังไม่หลุดลอก เลยคงความสวยในแบบฉบับของสาวน้อยขวัญใจของใครหลายคนในมหาวิทยาลัยได้อยู่

“เข้ามาในร่มเถอะ” ตอนแรกเธอยืนห่างจากผมเหมือนเว้นระยะ แต่สักพักกลับค่อยขยับตัวเข้าใกล้แบบเกร็งๆ

“ขอโทษทีนะ เราลืมเอาร่มมา”

“เดี๋ยวเดินไปกับเราก็ได้” ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็เกร็งไม่ต่างกับเธอ ใช่ว่าร่มที่พกมาจะคันใหญ่โตเท่าร่มสนามเสียเมื่อไร เหตุที่ใกล้ชิดกันไม่ได้มากอีกคนจึงต้องเสียสละไหล่บางส่วนให้กับสายฝนที่ร่วงหล่นจากม่านฟ้าแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

เกรท...คุณจงภูมิใจนะ ที่แฟนตอนนี้ของคุณช่วยปกป้องตัวจริงของคุณเอาไว้ไม่ให้เปียกฝน แต่สภาพไหล่ของผมเนี่ยสิ...
 



 
 
 
“ขอบคุณที่มาส่งนะ เราไปก่อนนะ” ใยไหมยกมือโบกให้ผมน้อยๆเหมือนกล่าวลา ก่อนวิ่งเข้าไปในตัวตึกโดยไม่หันหลังกลับมาอีก ผมมองตามแผ่นหลังเธอด้วยความรู้สึกแปลกๆ เคยได้ยินจากปากหลายคนรวมถึงเพื่อนสนิทในกลุ่มว่า ‘ใยไหม’เป็นคนสดใสร่าเริง เธอเปรียบดั่งนางฟ้าของคณะที่ถ้าใครได้รู้จักมีอันต้องหลงเสน่ห์ แต่วันนี้เหมือนบางอย่างดูบิดเบือนไปจากความจริง

ความเงียบหม่นหมองคล้ายเศร้าปกคลุมแผ่นหลังเล็กๆที่บอบบาง รอยยิ้มจางๆเมื่อครู่ดูขาดความมีชีวิตชีวาจนถึงที่สุด

“พี่อิมเปียกหมดเลย” ยัยมายด์ซึ่งเดินตามหลังพวกเราสองคนมาอย่างเงียบๆตลอดทางบ่นขึ้น เธอสะบัดน้ำออกจากร่มได้เสร็จก็รีบหยิบผ้าผืนน้อยมาเช็ดที่ไหล่ผม “ทำไมต้องอุตส่าห์ลงจากรถกลางทางด้วยน้า ทะเลาะกันหรือไง”

ยัยมายด์คงเดาไปตามภาษาเด็กที่คิดว่าคนมาส่งนางฟ้าจะต้องเป็นแฟนเสมอ บางทีคนในรถอาจจะเป็นพ่อหรือแม่ของใยไหม หรือจะเป็นใครก็ได้ แต่สิ่งเดียวที่ผมยืนยันได้ก็คือ...

...ดูเหมือนใยไหมจะร้องไห้มา...

“เอาเถอะ ก่อนจะยุ่งเรื่องคนอื่น ห่วงเรื่องตัวเองก่อนดีกว่ามั้ย จะวิ่งไปเรียนทันมั้ยล่ะเรา” หันไปเอ็ด แต่น้องกลับไม่สนใจดึงแขนเสื้อผมที่เธอพึ่งเช็ดเป็นการใหญ่ “เป็นอะไรของเธอ...”

“กรี๊ด พี่อิม พี่อิม พี่อิม!!” ยัยมายด์ระริกระรี้ชี้ไปที่อะไรบางอย่าง พอมองตามไปก็ให้เจอร่างสูงของใครบางคนกำลังเดินถือร่มสีดำใบใหญ่เข้ามา

“เกรท?”

โคตรบังเอิญ คนมีเป็นหมื่นเป็นแสนแต่กลับเจาะจงให้คนนี้มาเจอผมที่ใต้ตึกเรียนรวม

“พี่อิมเมจ” อีกฝ่ายลดร่มสะเด็ดน้ำออกเพื่อพับเก็บ ปากก็เจื้อยแจ้วเจรจาถามผมไปด้วย “รอใครอยู่เหรอครับ”

“เปล่าผม...”

“รอพี่เกรทไงคะ”

หา?

เสียงยัยมายด์ดังแทรกขึ้นมา จนผมต้องหันไปทำสีหน้ามองถามว่า...ใครคนไหนกันที่รอ

“พี่อิมรอเดินไปเรียนกับพี่เกรทไงเล่า พี่เกรทก็ทำตัวให้สมกับเป็นแฟนหน่อยสิ”

“ระ...รอพี่” เกรททำหน้าเอ๋อชี้นิ้วที่ตัวเอง พอมองนาฬิกาผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่ากำลังจะสาย ไม่ควรต่อความยาวเถียงกับเรื่องราวไร้สาระตรงหน้า

“เออ รอก็รอ คุณเรียนชั้นไหนเนี่ย”

“ชะ...ชั้นหกครับ”

“งั้นก็รีบไปเร็ว มา!” คว้าแขนเกรทได้ เป้าหมายคือลิฟต์ที่กำลังเปิดอ้า ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ใครกดเรียกไปชั้นอื่น ณ ตอนนี้ พอเบี่ยงตัวเข้าเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมได้เสร็จก็กดปุ่มเลือกชั้นแล้วมายืนถอนหายใจหอบแรงพิงกำแพงให้หายเหนื่อย

“เรียนกี่โมงครับเนี่ย”

“แปด...โคตรเช้า เหนื่อยจะบ้าอยู่แล้ว” ผมยืนเท้าสะเอวอยู่นาน เหมือนปอดจะเริ่มกลับมาทำงานได้ตามปกติ แต่อากาศที่อบอ้าวทำให้เหงื่อไหลออกมาปะปนกับเสื้อซึ่งชื้นน้ำฝนจนชุ่มไปหมด

“ทำไมเปียกขนาดนี้ล่ะครับ ไม่ได้เอาร่มมาเหรอ”

“เอามา แต่แบ่งให้คนอื่นใช้”

“แบ่งให้คนอื่นใช้? น้องมายด์เหรอครับ แต่เมื่อกี้ผมเห็น...”

“เปล่าไม่ใช่มายด์หรอก ใยไหมน่ะ”

“ฮะ?” เกรทดูมีปฏิกิริยาอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่ได้จงใจ แค่บอกไปตามความจริง แต่สิ่งที่ผมกำลังจะพูดต่อจากนี้มีความรู้สึกอยากแกล้งคนตัวสูงเจือปนอยู่เล็กๆ

“เออจริงสิ คุณรู้จักใยไหมรึเปล่า คนที่สวยๆเรียนคณะผม คนน่าจะรู้จักเยอะ”

“ก็พอ...รู้จักครับ”

ไม่ใช่ก็พอหรอกมั้ง

“เธอสวยเนอะ”

“ครับ สวยมาก” ร่างสูงจุดรอยยิ้มที่มุมปากเบาๆซึ่งไม่อาจรอดพ้นสายตาที่จ้องมองอยู่ตลอดเวลาของผมได้ อีกฝ่ายคงมีความภูมิใจอยู่เล็กๆเมื่อคนที่ตนเองชอบถูกชมว่าสวย “ว่าแต่พี่ไปให้ร่มเขายืมได้ยังไง”

“เขาลืมร่มมา ผมบังเอิญเจอเธอวิ่งฝ่าฝนมากลางทางพอดี เลยช่วยชีวิตลูกนกตกน้ำไว้หนึ่ง เก่งมั้ยล่ะ” เกรทยกกำปั้นขึ้นบังปากหัวเราะ ‘หึ’ เบาๆ ฉับพลันกับกระทำบางอย่างไม่คาดคิด มือใหญ่เอื้อมมาจับลูบเข้ากับศีรษะของผมพลางบอก “เด็กดี เด็กดี”

“อย่าเล่นหัวผู้ใหญ่” ผมปัดมือออกบิดปาก เด็กบ้าอะไรไม่มีสัมมาคารวะ หากอีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มใส่หน้าผม เสียงลิฟต์ดังขึ้นขัดก่อนที่ผมจะแสดงอารมณ์กระฟัดกระเฟียด เกรทกดปุ่มเปิดประตูค้างไว้ดันตัวให้ผมเดินออก

“อย่าพึ่งโกรธผม รีบไปเรียนเถอะครับเดี๋ยวสาย” คำทักประโยคนี้เรียกสติผมกลับมา

“ฉิบหาย!!” หมุนตัวกลับแต่ประตูลิฟต์กลับงับปิดลงไปเสียแล้ว แถมเลขชั้นซึ่งแสดงอยู่ตรงแผงแสตนเลสยังเอาแต่ขยับขึ้นไม่ยอมลง ส่วนลิฟต์อีกสองตัวด้านข้างก็ดูจะพึ่งพาไม่ได้เพราะกำลังนอนตายอยู่ชั้นหนึ่ง กว่าจะขยับขึ้นมาถึงชั้นนี้ผมคงได้ไปสายกันพอดี “โธ่เว้ย ทำไงดีวะ”

“เกิดอะไรขึ้นครับ”

“ผมลืมกดลิฟต์”

“ฮะ?”

“ผมเรียนชั้นสาม!!”

ปกติไม่กังวลหรอกโดดเรียนครั้งสองครั้ง แต่กับคาบนี้อาจารย์แม่งโคตรดุ สายห้านาทีล็อคประตู แล้วทุกครั้งดันจงใจให้มีควิสท้ายคาบเก็บคะแนนย่อย ขาดบ่อยๆคะแนนก็ร่อยหรอหมดสิทธิ์สอบกันพอดี ดูเหมือนผมจะปกปิดสีหน้าเป็นกังวลไว้ได้ไม่มิด เด็กเกรทจึงคว้าแขนผมแล้วออกคำสั่ง

“มานี่!”

“ฮะ?”

คนตัวสูงคว้าแขนผมได้ก็จับลากให้วิ่งตามทันที พอมาถึงบันไดขายาวๆก้าวลงฉับสับไม่ยั้งรวดเร็วว่องไวจนเกือบตามไม่ทัน และมีบางครั้งที่ผมเผลอสะดุดขาตัวเองจนเกือบทิ้งตัวกลิ้งหลุนๆตกจากบันไดชั้นหก คนแวดล้อมที่เดินสวนมามองตามกับท่าทีประหลาดด้วยสายตาแปลกใจประหนึ่งว่าพวกเราเป็นตัวตลก

“เดี๋ยวเกรท!!อย่าดึง!!ผมเดินลงบันไดไม่ถนัด” จะล้มแล้ว แล้วบันไดเหี้ยนี่แม่งก็ถี่เหลือเกิน ผมจะได้ตายก่อนไปเรียนมั้ยวะ เจ้าตัวสูงหันมาปะทะหน้าผมฉับพลันจนตกใจหยุดเท้า “อะ...อะไร”

“ถ้างั้น...”

งั้นอะไร?

ยังไม่ทันขบคิดตัวก็ลอยหวือถูกยกเอวขึ้นพาดกับไหล่ ใบหน้าคว่ำลงไปมองเห็นแผ่นหลังกว้าง ขาลอยโตงเตงอยู่กลางอากาศ

เชี่ย!!เกรทมันอุ้มผม!!

“ไอ้เหี้ยเกรท ปล่อยผมลง!!” เชี่ย สูง สูง กลัว จะตกมั้ย ทำไมบันไดมันมองเห็นลงไปถึงชั้นล่างได้สุดลูกหูตาและกว้างขนาดนี้ ไม่เอาแล้วผมกลัว หลับตาเอามือกำเสื้อนักศึกษาบนแผ่นหลังกว้างนั้นแน่น

“พี่เรียนห้องไหน”

“สะ...สะ...สามสี่ศูนย์เก้า!”

“ไกลสัด”

“งั้นก็ปล่อยผมลงดิวะ”

“ไม่เป็นไรผมรับผิดชอบเอง” รับผิดชอบ รับผิดชอบอะไร ไม่เอาโว้ยยยยย






 
ปังๆๆ

“เปิดประตูหน่อยครับ”

ปังๆๆ

“เปิดประตูหน่อย”

อาจารย์ประจำวิชาเปิดประตูออกมาทำสีหน้าเคร่งเครียด

“มีอะไรนักศึกษา ทำเสียงดังเอะอะ นี่มันรบกวนการเรียนการสอนรู้มั้ย”

“ผมพานักเรียนมาส่งครับ”

เธอขยับแว่นมองนักเรียนสองคนอย่างประเมิน คนนึงก็ยืนหลังตรงแน่วค้ำหัวไปส่วนอีกคนก็ตัวไหลเป็นศพโดนจับขึ้นบ่า...อย่างหมดสภาพ ก่อนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง

“มาสายเลยกำหนด ก็ต้องถูกลงโทษล็อคกุญแจห้ามเข้าห้อง”

“แต่พี่เขาช่วยคนบาดเจ็บกลางถนนเลยมาช้า ถ้าเห็นคนแก่ล้มลงหมดสภาพกลางสายฝนอาจารย์จะไม่ช่วยเหรอครับ ตอนที่ส่งโรงพยาบาลอาการยังไม่แน่ไม่นอนด้วยซ้ำ แต่พี่เขาเป็นห่วงกลัวว่าจะเข้าคาบอาจารย์ไม่ทันเลยวิ่งตาลีตาเหลือกฝ่าฝนมา มีคนบ้าที่ไหนพกร่มทั้งทีแต่ทำให้ตัวเองเปียกได้ขนาดนี้ล่ะครับ” เหมือนโลกหมุนอีกรอบ เกรทขยับตัวหันไหล่ผมไปแสดงหลักฐานโชว์ให้อาจารย์ดู

“อาจารย์จะไม่สนับสนุนคนทำความดี....”

“เออๆๆพอแล้ว เลิกบ่นได้แล้วนักศึกษา อยากเรียนก็เข้ามา”

เกรทปล่อยผมลงจากไหล่ในที่สุด ผมยังคงหันหน้าไปทางเขา เจ้าตัวกึ่งยิ้มกึ่งหัวเราะทันทีที่มองเห็น

“หน้านี่แดงเชียว สงสัยผมทำพี่เลือดขึ้นสมอง” เลือดขึ้นหน้าอ่ะดิไม่ว่า “รีบเข้าไปเรียนเถอะครับ เดี๋ยวอาจารย์แกล็อคอีกรอบ อย่าหาว่าผมไม่เตือนนะ”

“คุณก็กลับไปเข้าเรียนวิชาตัวเองได้แล้ว”

“ครับๆ” บอกครับแต่ไม่ไป แถมยังเปิดกระเป๋าสะพายข้างล้วงมือกุกกักหาอะไรบางอย่างก่อนโยนมันใส่หัวผม “เอาไปใช้นะครับถ้าไม่รังเกียจ” เจ้าตัวก้าวถอยหลัง กระพริบตาให้หนึ่งครั้งก่อนหมุนตัวเดินจากไป ผมหยิบผืนผ้านุ่มขนาดกลางที่พาดบนศีรษะลงมาดู เดาว่าน่าจะเป็นผ้าที่เอาไว้ใช้หลังเล่นกีฬา

...รางวัลแด่คนช่วยใยไหมสินะ...แต่ผมก็พอใจอยู่ดี...จนอดที่จะยิ้มไม่ได้...





 
 

 
“เชี่ย ชั้นก็คิดว่าใครวะโคตรกล้ามาเคาะประตูห้อง ที่แท้เพื่อนซี้พวกเราเอง”

“ไอ้อิม ทำไมมาสาย ปกติก็มาทันตลอดนี่” รู้สึกได้ถึงสายตาของใครต่อใครที่จับจ้องมา ดีที่ว่าเพื่อนผมและคนอื่นๆในคลาสมักจะนั่งอยู่ประจำการเป็นที่เลยไม่ต้องเสียเวลามองหา ลดเวลาแคร์สายตาชาวบ้านลงไปมาก

“ตรงนั้นน่ะ มาสายก็เลิกคุยกันได้แล้ว นั่งลงตั้งใจเรียน” ดาวกับข้าวฟ่างทำเสียงดังโหวกเหวกจนอาจารย์เอ็ด ต้องกลับไปนั่งหงอสงบเสงี่ยมเจียมตัวตั้งใจเรียนอย่างเก่า แต่ทว่าไอ้เบสที่นั่งอยู่ริมสุดและติดกับผมยังคงมองมาอยู่

“เมื่อกี้มึงไม่ได้เป็นคนเคาะประตูใช่มั้ย” ผมหย่อนตัววางกระเป๋าลงบนโต๊ะสบตามัน

“มึงรู้ได้ไง” เมื่อครู่เด็กเกรทไม่ได้โผล่หน้าเข้ามาในห้องเสียหน่อย สายตาไอ้เบสมองลงมาตามผ้าที่พาดอยู่บนคอผม

“ผ้าขนหนูใคร”

“ของเกรท”

“ทำไมของไอ้เด็กนั่นถึง...”

“มึงเงียบก่อน กูจะตั้งใจเรียน”

ต้องโดนทำโทษซะบ้าง โทษฐานวันอาทิตย์ที่ผ่านมาทำกูเกือบดาวน์ไปตั้งครึ่งวันนะ ไอ้เบส

 




 
 
วันนี้ฝนจะตกทั้งวัน พยากรณ์อากาศบอกอย่างนั้น เสียงฝนสาดซัดกระทบกับกำแพงตึกดังไปทั่ว ท้องฟ้าอึมครึมบรรยากาศขมุกขมัวไม่แจ่มใส ผมเดินลงจากตัวตึกอาคารเรียนรวมมองไปยังภายนอก

“เอาไงดีจะเดินไปกินที่โรงอาหารกลางป่ะ”

“ชั้นไป ชั้นหิวจะแย่อยู่แล้ว”

“อิมกับเบสล่ะ”

“ก็ไปดิ” เบสตอบ

“พวกแกไปเหอะ กูขออยู่นี่ ขี้เกียจออกไปโดนฝนอีกแล้วว่ะ” สาบานจริงว่าขี้เกียจตัวเปียกซ้ำรอยอีกรอบ แค่เมื่อกี้อากาศในห้องเรียนก็หนาวจะแย่ ให้เดินแช่ตากฝนอีกผมไม่เอาหรอก

“เอ๊า ร่มก็มี”

“อย่าบอกนะว่าแกลืมเอาร่มมาน่ะไอ้อิม เมื่อเช้าเห็นตัวเปียกมะลอกมะแลก แต่หัวก็ไม่เปียกนี่หว่า ตกห่ามาขนาดนี้ถ้าไม่มีร่มก็ลูกหมาตกน้ำกลายๆแล้วนะ”

“เปล่า กูเอามา ตกตั้งแต่เช้าแล้วทำไมจะไม่เอามา” แค่เผลอไปช่วยผู้อื่นตามประสาคนใจดีเท่านั้นเอง

“แต่ถึงจะไม่เอามา แกดูทางนั้นสิ ยืนบิดรอฝนนิดหน่อย ขี้คร้านเดี๋ยวก็มีคนเอาร่มมาให้ยืมแล้ว” ดาวพยักพเยิดไปปลายสุดสายตาตรงริมบันไดทางเดินออกไปข้างนอก มีคนๆหนึ่งยืนกระมิดกระเมี้ยนกระสับกระส่ายไปมาเหมือนโดนตรึงขาเอาไว้อยู่

...อ้าว...นั่นมันเกรทนี่หน่า...

ไม่นานก็มีคนวิ่งถือร่มมาให้ ร่มคันใหญ่บิ๊กเบิ้มเพียงพอสำหรับผู้ชายสองคนเดินตามไปไม่เบียดกัน แต่ไม่ถึงกับเท่าร่มบางคันในตลาดนัด

“บ้าเหรอแก นั่นมันเพื่อนเขา พูดอย่างกับจะมีผู้หญิงมารุมป้อยื่นช่อดอกไม้ให้น่ะ เดี๋ยวนี้มันสมัยไหนแล้ว เขามีแต่หวีดกันในโซเซียล ไม่มายืนกรี๊ดๆกันต่อหน้าให้สื่อถ่ายโฆษณาเล่นหรอก” ยิ่งฟังยิ่งจับใจความสำคัญไม่ถูก ข้าวฟ่างมันเรียนจบสายอะไรมาวะ สรุปความได้น่างง

ผมยืนมองคนมีเพื่อนเดินออกจากตึกไป จำได้คลับคล้ายคลับคาว่าผู้ชายที่ยื่นร่มให้คือคนเดียวกับเพื่อนสนิทเกรท

“ชั้นไม่ไปกินแล้วดีกว่า”

“หา? อะไรของแกยัยดาว อยู่ๆก็มาเท”

“ตรงหน้ามีเผือกร้อนๆรอให้รับประทานขนาดนี้ ชั้นจะไปโรงอาหารกลางให้เสียเวลาทำไมล่ะ”

“นั่นสินะ” ทำไมรู้ถึงรังสีบางอย่างที่จ้องมองมา กว่าจะหันไปทำความเข้าใจ ยัยดาวก็กระโดดมาโอบไหล่เสียแล้ว

“ป่ะ อิม ไปซื้อข้าวไข่เจียวที่ใต้ตึกกินกัน”

“หา? เดี๋ยวดิ จู่ๆทำไม”

“เรื่องของแกน่ะอร่อยกว่าข้าวไข่ข้นที่โรงอาหารกลางเยอะ”

...กลับไปหาข้าวไข่ข้นของแกเลยไปยัยดาว...


 
 

 
“สรุปคบกันแล้วใช่มั้ย”

ผมพยักหน้า

“เฮ้ยจริงอ่ะ ไอ้อิมแกแม่ง ไหนบอกว่าจะเลิกๆไง”

“ก็ตั้งใจว่าจะอย่างนั้น แต่สงสาร” หมายความในเชิงที่ว่าอีกฝ่ายจะโดนหักหน้าหากปฏิเสธคำสารภาพรักว่า ‘นายทักผิดคน’ แต่เพื่อนผมดันเข้าใจผิดคิดว่าสงสารเพราะเห็นใจไม่อยากให้อีกฝ่ายอกหัก...

“อย่ามาเป็นพ่อพระแถวนี้ ถ้าไม่มีความรู้สึกชอบแกไม่ควรจะตอบเขา”

“แต่จะพูดไปก็ไม่ถูกนะดาว คนเราถ้าไม่คบกันก่อนแล้วจะรู้ว่าชอบได้ยังไง”

“เออ ถูกของแกว่ะข้าวฟ่าง”

“อย่างนี้ชั้นก็ไม่สงสัยละ ว่าทำไมตอนเช้าถึงมาด้วยกัน ปล่อยให้งงอยู่นาน แต่พูดก็พูดเถอะ...” ข้าวฟ่างฉึกปากยิ้มมาทางผมจนแก้มปริ ยิ้มลามไปถึงดวงตา โคตรไม่น่าไว้วางใจ “มาส่งถึงที่แถมเคาะประตูกลางคาบอาจารย์วันเพ็ญให้ เอาใจชั้นไปเลย”

“นั่นดิ แฟนแกโคตรเฟียสอ่ะอิม เป็นใครใครกล้าแหยมอาจารย์แกวะ แล้วยังมีหน่วงเวลาปล่อยให้แกเดินหน้านิ่งเข้ามาในคลาสได้แบบไม่บาดเจ็บล้มตายอีก”

“แถมตอนท้ายคาบยังตะโกนเรียกให้มาเช็คชื่อที่หน้าห้องชั้นนี่อึ้งไปเลย ทำได้ไงอ่ะ เล่นเส้นใครยะ โอ้ยยยยอยากได้ผู้ชายแบบนี้ หาที่ไหนได้คะคุณอิม”

“เลิกพูดถึงมันสักแป๊บได้มั้ย”

เสียงไอ้เบสดังขึ้นขัดจนวงแตก ดาวกับข้างฟ่างมองตากันไปมาเลิ่กลั่ก ไม่ชัดเจนว่าเพื่อนอาจจะโดนผีเข้า

“หงุดหงิดอะไรวะ ไอ้เบส”

“นั่นดิ หงุดหงิดที่ไอ้อิมมันมีแฟนเหรอ อย่าว่าแต่คนอื่นเถอะ ทีตัวเองยังหนีไปมีแฟนก่อนหน้า เพื่อนสนิทอย่างไอ้อิมยังไม่ว่าอะไรเลย ปล่อยให้มันนั่งเหงากินข้าวกับพวกชั้นสามคนตั้งนาน โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะอิม มีอะไรมาซบอกดาวได้ ดาวไม่ใจร้ายอย่างไอ้เบสหรอก” ดาวอ้อมแขนมาดึงหัวผมเข้าไปซบอกมันตามที่ว่าจริง จะเรียกว่านิ่มหรืออะไรดีล่ะ ออกจะไม่ค่อยรู้สึก...

“เหอะ ไอ้ดาวแกมันไม่มีอกไอ้อิมซบไปก็ไม่ฟินหรอก”

“เชี่ยข้าวฟ่างนี่!”

เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดกันงานนี้ ผมยิ้มขำก่อนหันไปเจอกับสายตาของเพื่อนรัก มันไม่มีอารมณ์ร่วมเลยสักนิด ปากบิดเป็นรูประฆังคว่ำก่อนกระแทกกระทั้นผุดตัวลุกจากเก้าอี้

“อ้าวไอ้เบส จะไปไหนวะ” ผมรีบเรียกห้ามมัน

“กูท้องอืด แดกไม่ลงแล้วว่ะ” แล้วก็เดินจ้ำอ้าวขึ้นตึกเรียนไป

“อะไรของมัน” ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองตาม ส่วนดาวกับข้าวฟ่างมันจ้องหน้าผมก่อนทอดสายตาไปยังทางที่ส่วนหนึ่งในกลุ่มได้เดินจากไป แล้วพร้อมใจพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า

“มี-พิ-รุธ”

...จริง...ไอ้เบสมันทำตัวประหลาดนับตั้งแต่วันนัดเดทกับแฟนมันวันนั้นแล้ว...

...สงสัยจะเมนส์มา...




 
 
ตลอดคาบครึ่งบ่ายดาวกับข้าวฟ่างเอาแต่เม้ามอยแซะแหย่ผมตามประสา ส่วนไอ้เบสก็เอาแต่ซบหน้าฟุบหลับกับโต๊ะเหมือนคนตาย พอถึงคราวต้องแยกย้ายไม่อยากให้มันเสียอารมณ์มากเลยหยิบแซนด์วิชแบบใส่สารกันบูดสิบชนิดที่ซื้อเก็บไว้ตอนกลางวันมายื่นให้มัน

“มึงเอาไปกินรองท้องระหว่างทางกลับบ้านละกัน อย่าเป็นโรคกระเพาะตายล่ะ กูไม่อยากต้องมานั่งเตือนมึงดื่มอะลัมมิลค์สามเวลาเช้ากลางวันเย็น” ไอ้เบสมันเอาแต่จ้องเจ้าสามเหลี่ยมในมือผมก่อนยื่นมือมารับไป

“เพราะมึงชอบทำตัวแบบนี้แหละ”

“บ่นพึมพำอะไรของมึงอีกฮะ กูขอโทษละกันที่ทำให้มึงไม่สบายใจ”

พรึ่บ!!

เสียงกางร่มของคนเดินผ่านหลังเคลื่อนมายืนบังด้านหน้า เล่นเอาตกอกตกใจกันตามประสาคนสองคนที่ตกอยู่ในภวังค์บทสนทนาของกันและกัน พอหันไปมองกลับปรากฏร่างเพรียวบางที่คุ้นตาในชุดนักศึกษากระโปรงสอบสั้น สยายผมเกลี่ยระคออยู่ไม่ห่างจากกันไปเท่าไร เมื่อสังเกตทางเท้าไร้คนสัญจรไปมาร่างตรงหน้าจึงยกร่มสีดำออกเดินนำตัวปลิวหายลับไปจากครรลองสายตา

“อิม มึงเป็นอะไรวะ มองใคร...”

“เบส” ผมตบมือที่กำแซนด์วิชของมัน ทั้งที่สายตาไม่อาจละจากภาพสุดท้ายได้ “อย่าลืมกินแซนด์วิชกูนะ กูไปก่อนล่ะ”

“เฮ้ยเหี้ยอิม!”

 
ผมรีบวิ่งไปชั้นสาม...ตามตารางเรียนที่เคยได้จากอีกฝ่ายมา

 
...ฝนก็ตกหนักซะขนาดนี้ คิดสั้นอะไรแบบนั้นวะ เกรท...



...TBC...

++++++++++++++++++++++++++++


เขาอุ้มกันด้วยแหละ...คิดภาพคนแบกศพ...=_=

หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : แปด...หอก [1-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 01-09-2019 11:03:35
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

แปด...หอก


การมาหลังเสียงระฆังดังเป็นอะไรที่โคตรหมิ่นเหม่ หมิ่นเหม่แบบจะเจอหรือจะคลาดกับคนที่ผมอุตส่าห์วิ่งตามหา ตาลายกับขยะผู้คนที่เดินสวนกันไปมาน่าปวดหัว ผมไม่ได้มีความพยายามอะไรขนาดนั้นหรอกนะ

...ถ้าไม่เจอก็กลับ แค่นั้น...พอ...

“พี่อิม?” จังหวะที่หมุนตัวเหมือนตัดใจคนที่อยู่ในความคิดก็โผล่มาประชิดจากด้านหลังด้วยระยะห่างไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัดด้วยซ้ำ

“อุ่ย เชี่ยแม่ง!” ผมแทบสะดุ้งเอี้ยวตัวหลบยกมือกุมอกข้างซ้าย หัวใจเกือบวายคาตรงนั้น พอมองลูกกระเดือกด้านหน้ารู้เลยว่าใคร เด็กเกรทกำลังกลั้นขำกับท่าทีของผม

“อุบ...ฮ่าฮ่าฮ่า”

“ขำเพื่อ!” ผมเอ็ด ก่อนเอาร่มในมือฟาด

“เฮ้ยพี่ เดี๋ยวๆ” เกรทเบี่ยงตัวหลบเอามือมายึดวัตถุที่กลายร่างเป็นกระบองน้อยๆเอาไว้ ร่างสูงกระตุกมันเข้าหาตัวจนผมเหมือนโดนฉุดเข้าใกล้อีกฝ่ายไปหนึ่งเสต็ป “อย่าตีดิ”

ใกล้จนได้แต่ยืนโง่เบิกตาโตมองหน้าคนที่ใครต่างก็ว่าหล่อเหลา

“เดี๋ยวผมหวานใส่นะ”

“จะหวานใส่เพื่อ คุณไม่ใช่กระท้อน”

“แหนะ รู้ด้วย” พอโดนยิ้มกวนกระแทกหน้าเลยกลับมายืนตัวตรง มองหน้าคนตัวสูง

“จะกลับยัง”

“ฮะ?” อีกฝ่ายเลิกคิ้ว “ก็...กำลังจะกลับครับ มีอะไรรึเปล่า”

“ไม่มีหรอก แค่คิดว่าจะกลับด้วย”

“...” ร่างสูงเงียบไปก่อนเหมือนตัดสินใจอะไรได้ “แป๊บนะครับ เดี๋ยวผมบอก...”

“แต่ถ้าคุณจะกลับกับเพื่อนก็ไม่เป็นไรนะ” ถ้าเจ้าตัวมี ‘ร่มที่พึ่งพาได้’ อยู่แล้วผมก็จะกลับเพราะไม่ว่าทางไหนก็บรรลุวัตถุประสงค์ในการมาหาเหมือนกัน ผมไม่รอตั้งใจจะผละออกไป แขนกลับเหมือนโดนกระตุกจากจุดเชื่อมโยงเพียงหนึ่งเดียวของพวกเรา ร่มที่ผมถือไว้ เกรทจ้องหน้าผมเป็นเชิงปรามก่อนหันหลังไปทางเพื่อนฝูง

“ไอ้นัทกูกลับก่อนนะ!!” เพื่อนอีกฝ่ายทำท่าตกใจเลื่อนสายตามามองหน้าผมวืบหนึ่งก่อนโบกมือไล่

“จะทำอะไรก็ตามใจมึงเลย!” คนชื่อนัททำปากขมุบขมิบตอนท้ายเหมือนยังพูดไม่จบประโยคดีพอ หากคนตัวสูงเหมือนจับอะไรบางอย่างได้จึงทำสีหน้าเอือมๆใส่เพื่อนก่อนหมุนมาทางผมเต็มตัว

“ไปกันเถอะครับ” ไม่มีท่าทีใดที่เหมือนแสดงความเป็นคนของกันและกัน ไม่มีแม้กระทั่งการจับมือ แต่สิ่งที่ถืออยู่ก็เหมือนตัวเชื่อมโยงพวกเราสองคนไว้

เกรทจูงผมด้วยร่มเดินนำไปจนถึงบันได แปลกที่เจ้าตัวไม่ใช้ลิฟต์ ลมเย็นๆเข้ามาปะทะใบหน้าจากทางลงซึ่งเป็นซี่กรงเหล็กสีดำความสูงครึ่งตัว เปิดโล่งหันตัวไปทางถนนอันร่มรื่นของมหา’ลัยซึ่งเต็มไปด้วยแมกไม้ แม้ท้องฟ้าจะไม่สดใสจากสายฝนที่ร่วงหล่นลงมาไม่ขาด แต่ทว่าก้อนเมฆที่ควรครึ้มหม่นกลับทอแสงสีฟ้าเข้มขัดกับบรรยากาศ พลอยทำให้ดูชุ่มฉ่ำชื่นใจมากกว่าความเฉอะแฉะชื้นฝนที่ใครหลายคนคิดรำคาญเป็นไหนๆ

“เรื่องเมื่อเช้า...” ผมเปรยขึ้นมาระหว่างที่พวกเรายังเดินกระย่องกระแย่งกันลงบันได เจ้าตัวผินศีรษะมาพลางขานตอบ

“ครับ?”

“ขอบคุณนะ” จังหวะเดินของคนข้างหน้าสะดุดไปก่อนดึงมาดังเดิมเหมือนกำลังคิดอยู่ชั่วครู่

“เรื่องไหนครับ”

“คุณทำบุญคุณให้ผมกี่เรื่องกันเชียว”

“เยอะแยะ”

“นับผิดรึเปล่ามีแค่เรื่องเดียว”

“งั้นเรื่องไหนก็พูดมาให้ชัดสิครับ” เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็ง มีสั่งผมด้วย

“เรื่องที่พาไปส่งถึงห้องเรียน”

“อ๋อ เรื่องนั้นเหรอ ว่าแต่พี่โดนอาจารย์ตัดชื่อรึเปล่าเนี่ย” เกรทหันมาสลับกับมองทาง ส่งสัญญาณให้รู้ว่าตั้งใจฟังอยู่

“ไม่โดนหรอก ก็คุณเล่นใหญ่เว่อร์ซะขนาดนั้น ใครกันที่ไปช่วยคนแก่กลางถนน ไม่เห็นจะจำได้” ถ้าช่วยใยไหมก็ว่าไปอย่าง

“ถ้าไม่พูดอย่างนั้นพี่ก็เข้าห้องไม่ได้ ความจริงผมก็ผิดด้วยแหละที่ชวนคุยจนพี่ลืมกดลิฟต์”

“ผมเอ๋อเองแหละ ไม่ต้องโทษใคร”

“นานๆจะเห็นคนชื่ออิมเมจ เสียอาการกับเขาสักที”

“ไม่ได้เสียอาการแต่ผมเป็นของผมแบบนี้อยู่แล้ว เพียงแค่คุณไม่รู้” คราวนี้อีกฝ่ายหยุดเท้าจริงจัง หมุนตัวหันมาทางผมเต็มอัตราโดยที่ว่ามือยังกำร่มผมไว้อยู่

“ฟังแล้วรู้สึกขัดใจมานานแล้ว”

“ฮะ? ขัดใจ? เรื่องอะไร?”

“เป็นอย่างที่น้องสาวพี่ว่าจริงๆ เป็นแฟนกันมาเรียกคุณๆใส่กัน มันฟังดูแปลกๆ”

“อีกแล้วเหรอประเด็นนี้ ก็ผมถนัด...”

“แต่ผมไม่ถนัด”

“ทำไมล่ะกับแค่ คุณคุณคุณคุณคุณ มันผิดเหรอ”

“เอาเถอะครับ เอาที่สบายใจ” ร่างสูงถอนหายใจเหมือนเบื่อจะเถียง หมุนตัวกลับมาเดินลงบันไดที่กำลังจะก้าวไปสู่ขั้นสุดท้าย

“เดี๋ยวคุณก็ชิน”

ประโยคสั้นๆแต่ทำให้คนที่ตั้งใจเดินต่อผินหน้ากลับมามองได้

“ครับ?”

“เดี๋ยวคุณก็ชิน คำว่า ‘คุณ’ ของผม”

...เพราะคุณอย่าได้ชิน กับสิ่งที่เรียกว่า ‘ชั่วคราว’ เลย...






พรึ่บ!!

สายตาคมจ้องร่มที่กางออกปริบๆ

“สาบานนะครับว่านี่ไม่ใช่ร่มคนแคระ”

“จะบ้าเหรอ ร่มคนปกติ”

“พี่เผลอเปิดไฟฉายย่อส่วนทิ้งไว้ในกระเป๋ารึเปล่า” คนตัวสูงชะโงกหน้ามาจะคว้ากระเป๋าข้างผม จนคนทางนี้ได้แต่เบี่ยงตัวหลบแล้วดีดติ่งหูอีกฝ่ายไปหนึ่งที “โอ๊ย!”

“มันจะมีของแบบนั้นได้ที่ไหนเล่า ร่มนี้ผมซื้อมาจากญี่ปุ่นมันพอดีสำหรับคนเดียว แต่สองคนถ้าแค่หัวก็อาจจะรอดอยู่”

“โอเคครับ” จู่ๆกระเป๋าข้างที่พาดไหล่ขวาก็โดนคว้าแล้วโยนกลับมาใส่อก

“ทำอะไรน่ะ”

“ไว้ด้านนอกเดี๋ยวเปียกพี่เอาไปกอดไว้” สักพักก็หยิบของตัวเองมาโยนใส่ผม “ฝากของผมด้วย”

ผมขยับกระเป๋าของเราให้ทับกันดี รวบสายกระเป๋าพันรอบอย่างแน่นหนาแล้วกอดมันไว้แนบอก ขณะตั้งใจทำจึงไม่ทันสังเกตว่าคนตัวสูงเดินเข้ามาใกล้ จังหวะที่เงยขึ้นไปเลยเห็นสันกรามของอีกฝ่ายในระยะประชิด อ้อมแขนของเกรทโอบรอบไหล่ ดึงผมเข้าใกล้ก่อนมองหน้าเป็นเชิงให้สัญญาณ

“คนเดียวหัวหาย สองคนหัวแห้งแต่ไหล่กับหลังอาจจะเปียกได้ถ้าไม่เบียดกันเดินออกไป พี่พร้อมมั้ยครับ”

“หึ...มีมุกอีก พร้อมไม่พร้อมก็ต้องไปแล้วล่ะ ฝนมันมีทีท่าว่าจะหยุดที่ไหน”

“งั้นไปนะ” ทันทีที่ได้สัญญาณผมกับเกรทออกตัวเดินกึ่งวิ่งออกไปยังนอกตึก เพื่อไปให้ถึงหอนอกของอีกฝ่ายให้ไวที่สุด

...ถ้ามีร่มคันใหญ่สีดำของนาย...บางทีอาจจะไม่ต้องเปียกก็ได้นะ...





“อ่ะ กระเป๋าคุณ เอาร่มผมมา” ยืนแลกร่มกับกระเป๋ากันอยู่โถงด้านล่างของหอ เหมือนร่างสูงมีบางอย่างจะพูดจึงดูชะงักค้างไป

“ทำไมผมรู้สึกว่า พี่กำลังมาส่งผม แทนที่จะเรียกว่ากลับด้วยกัน”

“แล้วมันต่างกันตรงไหน”

“ทางไปบ้านพี่มันตั้งแต่ป้ายรถเมล์ที่พวกเราผ่านมา”

“แล้ว?”

“ความจริงถ้าเรียกว่า ‘กลับด้วยกัน’ เราควรจะแยกตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว”

“กับคนไม่มีร่มน่ะ เลิกบ่นเถอะ”

“...!” ผมปล่อยความประหลาดใจของเกรทให้ผ่านแล้วพูดต่อ

“กับความรักน่ะ มันไม่ต้องทุ่มเทขนาดต้องทำให้ตัวเองเดือดร้อนหรอก ก็เหมือนทำทานแหละให้เขาได้แต่ตัวเองต้องไม่เดือดร้อนไม่งั้นจะไม่ใช่ทาน”

“พี่...”

“ก็เหมือนกับผมตอนนี้ การมาส่งคุณไม่ได้ทำให้ผมเดือดร้อนเพราะหอคุณก็ไม่ได้ไกลจากป้ายรถเมล์ที่ผมนั่งกลับเท่าไร คุณจะได้ไม่เปียกเป็นหวัดไปส่วนผมก็ได้ออกกำลังกายเดินให้ครบหมื่นเก้าต่อวัน วินวินกัน เข้าใจนะ”

“...” ท่าจะโดนทฤษฎีบทง่อยๆของผมจนตะลึง ไม่ได้ตั้งใจจะกัด แต่ก็อยากให้คิดถึงตัวเองให้มาก ยิ่งคนที่อีกฝ่ายชอบเป็นคนมีพันธะอย่าง ‘ใยไหม’ อะไรๆก็ดูเหมือนไม่ง่ายสำหรับร่างสูง เพราะงั้นการทุ่มเทลงไปสุดตัวมันไม่ใช่เรื่องน่าทำสักเท่าไร ผมเลยอยากให้เจ้าตัวเผื่อใจไว้

“ผมกลับนะ”

“พี่อิม” ต้นแขนผมถูกใครบางคนดึงกลับไปพร้อมการเข้ามาประชิดของอีกฝ่าย ใบหน้าที่แหงนเงยถูกแนบสัมผัสหน้าผากต่อหน้าผาก ขนคิ้วติดคลึงกันอย่างจั๊กจี้ ปลายสันจมูกโค้งสวยของเกรทเข้ามาคลอเคลียที่จมูกผม ลมหายใจแทบถูกดึงกลับไปในปอด การกระทำของคนตรงหน้าทำให้ผมพาลพานึกไปถึงตอนที่พวกเราเล่นบ้าๆกันอยู่บนเตียงวันนั้น ผมกำลังอึ้ง...

“กลับ...ดีดีนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยเบา ก่อนถอนถอยทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าสีน้ำผึ้งที่ชื้นน้ำ

“อะ...อืม” ผมเดินออกมาด้วยท่าทางคนประสาทกลับ จิตใจล่องลอยสับสน

...เมื่อกี้...นึกว่าจะโดนซะแล้ว...






แล้วผลสุดท้ายเป็นไง เปียกฝนตอนช่วยใยไหม มาตากแอร์เย็นๆในห้องเรียน หวัดก็แดกไปตามระเบียบสิครับ...

“ฮัดเช้ยยยยยยย!!”

“หมดสภาพคุณชายของพวกเราเลยวันนี้”

“เห็นอิมที่ไหนเห็นกระดาษทิชชู่ที่นั่น โคตรคำขวัญประจำวันนี้เลยว่ะ”

ดาวกับข้าวฟ่างซึ่งเดินตามหลังระหว่างทางไปโรงอาหารพูดแซว ด้วยความที่น้ำมูกไหลอย่างกับฤดูน้ำหลาก ทำให้ต้องจำใจหยิบกระดาษทิชชู่ที่เตรียมไว้ใช้ในห้องส่วนตัวพกมันมาทั้งกล่องที่มหา’ลัย เดินถือไปไหนต่อไหนกันไว้ไม่ให้สังคมรังเกียจ

...แม่ต้องภูมิใจนะครับ ที่ผมได้ใช้ประโยชน์มันนอกเหนือจากทำอย่างว่าแล้ว...

ผมดึงทิชชู่ออกมาเพิ่มหนึ่งแผ่นสั่งเบาๆกันหูอื้อ ด้วยความทุลักทุเลไอ้เบสมันเลยคว้ากล่องไปถือให้

“ขอบใจ”

“ทำไมเป็นหวัดง่ายขนาดนี้วะ เมื่อวานมึงไม่ได้ไปตากฝนเพิ่มที่ไหนใช่มั้ย” จะพูดว่าไม่ใช่ก็ไม่ถูก เมื่อวานตอนกลับกับเกรทตัวผมแอบเปียกฝนอยู่นิดนึง พอถึงบ้านก็มัวแต่นั่งเหม่อหาสาระไม่ได้ กว่าจะได้อาบน้ำตัวก็ไร้อาการเปียกไปแล้ว

“ตอนกลับแหละ ฝนมันแรงเลยสาด...”

“ด่ากูเพื่อ นี่กูเป็นห่วงมึงนะ”

“ฟังกูให้จบก่อนดิวะ กูหมายถึงฝนแรงจนสาดใส่หน้าเว้ย”

“ฮาไอ้สองตัวนี้ว่ะ เล่นกันไปได้” ไอ้ดาวที่ดูอาการอยู่ด้านหลังแซะขึ้นมา

“แล้วทำไม เมื่อวานแกไม่กลับรถไอ้เบสวะอิม จะได้ไม่ต้องเปียกฝนกลับ” ในกลุ่มคนที่มีรถคือไอ้เบสคนเดียว ซึ่งใครต่างก็รู้ว่ามันต้องเอาไปรับส่งแฟนสาวอยู่แล้ว แล้วใครจะไปกล้า

“กูไม่อยากไปเป็นกอ ขอ คอ งอ จอ ไอ้เบสกับแฟนมันว่ะ”

“มึงก็เพื่อนเปล่าวะ ถ้าให้ไปส่ง กูก็ส่งได้” ไอ้เบสมันทำท่าเหมือนจะหงุดหงิดใส่ จนผมต้องกระโดดไปคล้องคอมันไว้

“แหมไม่เอาน่ะ อย่างอนเพื่อนคนนี้ดิวะ นี่กูหวังดีเลยนะที่อยากให้เพื่อนได้อยู่กับแฟนสักที” ใช่...เพื่อนคนนี้หวังดีกับมึงทุกประการ ไอ้เบสมันมองหน้าผมก่อนใช้ศอกดันอกต้าน

“ไม่ต้องมาเข้าใกล้กูเลย เดี๋ยวติดหวัด” สาบานว่าผมจะเอาทิชชู่เปื้อนขี้มูกแอบใส่กระเป๋ามัน ผมถอยตัวมาเดินตามปกติ ไอ้เบสมันสะกิดแล้วชี้ถังขยะให้เลยเดินแยกออกไปทิ้งกระดาษทิชชู่ พอกลับเข้ากลุ่มก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ข้าวฟ่างถามเพื่อนสนิทผมขึ้นมา

“ว่าแต่แกเถอะไอ้เบส สรุปเจอหน้าแฟนแล้วใช่มั้ย ถึงได้ไปรับไปส่งกันได้ คนอะไรวะบอกรักตอบรับกันในเฟส ทั้งที่ยังไม่เจอหน้าสักครั้ง มีอย่างที่ไหน”

“ก็อย่างกูไง”

“เออจ้า พ่อคนหล่อ พ่อคนยอดฟอลไอจีเยอะ”

“เป็นชั้นต้องขอมาดูหน้า ศึกษานิสัยใจคอกันซะก่อน ถึงจะตัดสินใจว่าชอบไม่ชอบ คบไม่คบ”

“แกเลยโสดมาจนถึงทุกวันนี้ไงล่ะฟ่าง”

“เงียบไปเลยไอ้ดาว ทำอย่างกับแกไม่โสด”

“ดาว” เสียงใครที่ไหนมาตะโกนเรียกชื่อเพื่อนผมกลางทาง คนทั้งกลุ่มพร้อมใจกันหันหน้าไปทางต้นเสียง ปรากฏผู้ชายหน้าตาดีแบบพอเรียกไปวัดไปวาได้ยืนอยู่ เขาโบกมือน้อยๆมาทางเดียวกับเจ้าของชื่อที่อีกฝ่ายเรียก

“พี่สิง” เสียงตอบรับของเพื่อนสาวทำเอาทุกคนอึ้ง เธอวิ่งแทรกผ่านตัวผมกับเบสไปหาคนแปลกหน้าที่มาใหม่ “มาได้ไงเนี่ย”

“พี่มากินข้าวกับเพื่อนน่ะแล้วเราล่ะ”

“ดาวก็กำลังจะมากินข้าวกับเพื่อนพอดี” สายตาคนชื่อสิงมองมาทางกลุ่มพวกเรา ก่อนหันไปให้ความสนใจกับสาวน้อยตรงหน้า

“ไปกินด้วยกันมั้ย”

“อื้อ ได้สิ” ยัยดาวระริกระรี้ออกหน้าออกตา ก่อนหันมาตะโกนเรียก “พวกแกชั้นไปกินข้าวกับแฟนนะ” กล่าวแค่นั้นก็เดินคล้องแขนคนแปลกหน้าออกไป

ตอนนี้บอกได้แค่ว่าอึ้งกันทั้งบาง ใครมันจะไปคิดว่าคนที่ชอบตัดพ้อน้อยเนื้อต่ำใจในความ ‘อกไข่ดาว’ ตามชื่อฉายาว่าจะหาแฟนไม่ได้ จู่ๆวันนึงกลับมีแฟนเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาต่อหน้าต่อตา

“แย่ล่ะสิ” อยู่ดีๆข้าวฟ่างก็ทำเสียงร้อนใจใบหน้าบิดเบี้ยว “ทุกคนมีแฟนหมดแล้ว แล้วชั้นจะอยู่ยังไงอ่า!!”

อยากจะยกมือโบกไหวไปมาเหลือเกิน ว่าชั้นยังอยู่ตรงนี้ ยังมีเพื่อนแกที่ไม่มีแฟนอยู่หนึ่งคน...แต่ทำไมได้

พอมาถึงโรงอาหารหาที่ทางจับจองได้ต่างฝ่ายต่างไปซื้อข้าวคนละจานมานั่งกินพลางเม้ามอย ประเด็นสำคัญส่วนจะไปตกที่ยัยดาว...ยัยเสือสาวที่ตกผู้ชายได้ภายในข้ามวัน ข้าวฟ่างมันชะโงกมองไปทางเพื่อนสาวที่นั่งห่างออกไปเป็นวาพลางสันนิษฐานว่าพี่คนนั้นน่าจะเป็นเด็กนิเทศศาสตร์

“ชั้นว่าชั้นเคยเห็นเขาเดินตะลอนๆถือกล่องบริจาคละครเวที หรือมาถ่ายละครสั้นส่งอาจารย์อะไรแถวนี้”

“แต่กูไม่ยักจะคุ้นหน้า” ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เบสพูด แต่ความจริงแล้วอาจจะเป็นเพราะปกติผมก็ไม่ค่อยสนใจใครอยู่แล้ว

“อย่าว่าแต่ยัยดาวเลย แล้วเด็กเกรทของพี่อิมเมจล่ะ วันนี้ไม่มาทานข้าวด้วยเหรอคะ หมั่นไส้คนมีแฟนค่ะบอกเลย” ไหงงานมาเข้าตรงนี้ได้วะ นั่งอยู่เฉยๆแท้ๆ

“ขึ้นชื่อว่าแฟนไม่จำเป็นต้องตัวติดกันเสมอไปหรอกนะข้าวฟ่าง”

“ใช่ซี้ดูอย่างไอ้เบสดิ มีแฟน แฟนก็ล่องหน ไม่รู้ไม่มีตัวตนหรือหวงคนจนไม่กล้าเอาออกงานกันแน่” ไอ้เบสที่กินราดหน้าอยู่ถึงกับสะอึก มันเงยหน้าขมึงทึงมามองข้าวฟ่างก่อนหันมามองผมซึ่งซับน้ำมูกอยู่ด้านข้างแบบแปลกๆ

“เรื่องของกูเปล่าวะ”

“จ๊ะ ไม่ยุ่งจ๊ะ ชั้นว่าชั้นยุ่งเรื่องของอิมดีกว่า มานั่นแล้วไง แฟนแกน่ะ” ผมหันไปมองตามสายตาของข้าวฟ่าง เวลาพักเบรกเที่ยงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเจอคนรู้จักมากินข้าวโรงนี้ จึงไม่แปลกใจที่เห็นร่างสูงของเกรทกำลังเดินเข้ามากับผองเพื่อนอีกสองสามคน สายตาคมกำลังกวาดมองหาที่นั่งว่าง ตอนที่ตาของพวกเราเกือบจะประสานกันกลับโดนขัดโดยเพื่อนคนนึงในกลุ่มซึ่งกระทุ้งศอกใส่อีกฝ่าย คนตัวสูงจึงได้แต่มองตามไปทางที่เพื่อนนัทบุ้ยใบ้ชี้หา

ขายาวๆก้าวไปตามทางข้างหน้าอย่างไม่ลังเล ใจผมเต้นตึกตักแต่ก็หยุดชะงักลงตรงนั้น มาถึงตอนนี้ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไม...

...สิ่งที่ร่างสูงโฟกัสไปไม่ใช่ผม แต่กลับเป็นที่นั่งว่างซึ่งชิดกับโต๊ะทานข้าวของใยไหมคนที่อีกฝ่ายรักสุดใจยังไงล่ะ...

“ตรงนี้ก็ว่างแท้ๆ” ข้าวฟางบ่นอุบเหมือนเสียดายโอกาสที่จะได้แกล้งผม

“บอกแล้วไงเป็นแฟนไม่จำเป็นต้องตัวติดกันเสมอไป”

“แล้วตอนไหนตัวถึงจะติดกันได้ยะ ตอนบ๊ะบ๊ะกันเท่านั้นเหรอ” ผมสะดุ้งหน้าออกสีเพราะไม่คิดว่าเพื่อนจะพูดเรื่องอย่างว่าขึ้นมากะทันหันกลางโต๊ะอาหาร

“เป็นสาวเป็นนางพูดอะไรเนี่ย” ไอ้เบสบ่นเอ็ด

“อายทำไมโตโตกันแล้ว ความจริงเรื่องเพศศึกษาควรบรรจุในวิชาเรียนตั้งแต่อนุบาลด้วยซ้ำ ว่าคนเราเกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมถึงเติบโตมาเป็นผู้ชายผู้หญิง เด็กมันจะได้เรียนรู้ความเป็นจริง รู้จักใช้ชีวิตในสังคมอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องมานั่งปิดกั้นปิดหูปิดตาทำทุกวิถีทางให้เด็กเหมือนคนตาบอดแบบนี้ กว่าจะรู้ตัวอีกทีอาชญากรรมก็เต็มบ้านเต็มเมืองแล้วจ้า”

“อยู่ๆก็มามีสาระ โดนเพื่อนเทจนสติกลับหรือไง” ไอ้เบสตักผักคะน้าเข้าปาก เคี้ยวไปพลางกัดไอ้ฟ่างไป

“เปล่า ชั้นแค่อยากเสือกว่าไอ้อิมมันเสร็จเด็กเกรทไปรึยัง”

พรวด!!

“แค่กๆๆ!!”

“ยี้ ทำอะไรอ่ะไอ้อิมสกปรก” ไม่พ่นใส่หน้าแกก็ดีขนาดไหนแล้วยัยข้าวฟ่าง เสียดายน้ำแร่ที่อุตส่าห์ซื้อมา สำลักไม่พอยังเผลอทำหกใส่โต๊ะอีก ฟ่างมันมองหน้าผมเหมือนสงสัยก่อนยกนิ้วขึ้นชี้หน้า “ไอ้อิมแกอย่าบอกนะว่าแกได้กับน้องมันแล้วน่ะ!”

โอ้ย! นี่ก็อีกคน ทำไมคนรอบข้างผมถึงเชียร์ให้ได้กับเกรทมันจัง

“ตะ...ตัวติดกันแล้วใช่มั้ย” อย่ามาทำท่าสอดประสานนิ้วทั้งสองมือเข้าหาแล้วขยับป๊าบป๊าบเหมือนสาธิตการรวมร่างให้กูคิดตามได้มั้ยวะ

“ตัวติดกันอะไร ใช่ที่ไหนเล่า ข้าวฟ่าง แกหยุดจินตนาการเลยนะ”

“ครั้งแรกเป็นไงวะ แกรู้วิธีเหรอ หรือให้น้องมันนำ เจ็บมั้ย ชั้นเคยได้ยินว่าผู้ชายด้วยกันจะเจ็บมาก เพราะมันเข้ายาก” ใครสอนให้เพื่อนผมทะลึ่งและถามตรงขนาดนี้วะ!! ผมตีโต๊ะลุกขึ้นเต็มความสูง หยิบทิชชู่ในมือที่ใช้แล้วขึ้นมา ปั้นเป็นก้อนกลมๆเหมือนจะปาลูกเบสบอลใส่หน้าข่มขู่แทน

“ไอ้ฟ่างแกเลิกพูด ถ้าไม่หยุดกูปาขี้มูกใส่หน้าแน่!”

“พี่อิม?”

หา? ใครเรียก?

เสียงทุ้มต่ำเข้าโสตประสาทฉับพลันกับที่ผมลุกขึ้นไม่ถึงหนึ่งนาที เกรทกำลังยืนอยู่ตรงปากทางซึ่งเป็นส่วนแบ่งระหว่างโซนนั่งกับโซนร้านค้า หยุดตัวหันหน้ามาทางผม เหมือนเจ้าตัวแค่บังเอิญจะเดินไปซื้อข้าวแต่กลับได้ยินเสียงคนเอะอะโวยวายจนหยุดเท้าหันมาดู

อะไรจะซวยขนาดนี้ ตอนนี้ผมรู้ตัวดีว่าหน้าแดง เพราะเผลอคิดจินตนาการตามความทะลึ่งตึงตังจากคำพูดของข้าวฟ่าง แล้วเด็กเกรทแทนที่จะเดินผ่านไม่สนใจกลับหมุนตัวย้อนมาหาผม

“มากินข้าวเหรอครับ”

“มากินน้องเกรทมั้งจ๊ะ”

“ยัยฟ่าง” กระทุ้งเข้ามาอีก อีกทีผมจะไม่ไหวแล้วนะ เกรทหันไปยิ้มให้เพื่อนผมแบบปล่อยผ่านก่อนเบนสายตามามองหน้าผมอย่างเก่า

“ทำไมหน้าแดงๆ อย่าบอกนะครับว่าไม่สบาย เมื่อวานกลับบ้านแล้วได้อาบน้ำสระผมเลยรึเปล่า”

“อาบ...ไม่อาบก็สกปรกเกินไปแล้ว คนอะไรไม่อาบน้ำตอนเย็น”

“ผมหมายถึงกลับไปแล้วอาบเลยมั้ยต่างหาก” สายตาคมที่เหลือบมองลงเหมือนสะดุดกับของบางอย่างในมือผม เจ้าตัวขยับมาจับข้อมือที่กำทิชชู่กองใหญ่ขึ้นสูงก่อนใช้มืออีกข้างหยิบมันออกมาดูแผ่นนึง

เชี่ยเชี่ยเชี่ย น้ำมูกโผ้มมมมมมม

“พี่เป็นหวัดเหรอ”

“นิดหน่อย”

“ว่าแล้วเชียว ร่มก็คันเล็กซะขนาดนั้น ตอนแยกกันฝนก็ตกหนักลงมาอีก ทานยาอะไรมารึยังครับเนี่ย”

“กินไม่ได้ เดี๋ยวง่ว...” ไม่ทันต่อจนจบประโยคมือใหญ่ก็มาทาบหน้าผากผม

“อุ่นๆ” เกรท...นายน่ะมือเย็นต่างหาก พึ่งออกจากคาบเรียนมาสินะ “วันนี้เลิกเรียนเสร็จแล้วก็กลับบ้านทันทีนะครับ”

“...”

“กลับไปพักผ่อน”

“...”

“รับปากผมสิ”

“อื้อ รู้แล้ว”

“เด็กดี” อึก...หมอนี่เอาอีกแล้วลูบหัวผมอีกแล้ว แต่ทำไมผมยอมวะ “ผมไปก่อนนะ”

“เฮ้ย เดี๋ยวเกรท” ผมคว้ามืออีกฝ่ายไว้ก่อนที่ร่างสูงจะไปไกลจนอีกฝ่ายต้องหมุนตัวหันมามองหน้าผมอย่างเก่า

“ครับ?”

“อย่าลืมล้างมือด้วย”

“...” สายตาคมเสไปยังฝ่ามือตนเองเงียบๆก่อนเงยขึ้นมองผม

“เดี๋ยวติดหวัด” รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากอดีตดาราเด็ก ไม่นานเจ้าตัวก็รวบกองทิชชู่ในมืออีกข้างของผมไปไว้กับตัวทั้งกอง

“ถ้างั้นผมเอาไปทิ้งให้ละกัน ไหนๆก็จะต้องล้างมือแล้ว”

“อะอือ”

ร่างสูงเดินจากไปแล้วปล่อยให้เสียงแซวของเพื่อนผมดังขึ้นมาตัดความเงียบ

“ใครใส่ขันฑสกรลงไปในข้าวแกงกะหรี่ชั้นหรือไงนะ ทำไมมันหว๊านหวาน”

“เอาขี้มูกกูใส่ลงไปมั้ยล่ะ จะได้ตัดหวาน” ผมหันไปดึงทิชชู่มาซับจมูกท้า

“ยี้สกปรก เลิกเลยไอ้อิม ใครสั่งใครสอนให้ทำตัวแบบนี้เนี่ย”

“สรุปเมื่อวานมึงกลับกับมันเหรอ” เสียงไม่ติดสนุกดังขึ้นตัดบทสนทนาชวนเฮฮาของพวกเรา ไอ้เบสทำหน้าเคร่งขรึมผิดจากเมื่อครู่ มันกำลังจ้องผมอยู่อย่างคาดคั้นเอาความ

“อือ...น้องมันไม่มีร่ม”

“คนเป็นแฟนกันจะกลับด้วยกันมันแปลกเหรอวะไอ้เบส แกแม่งก็ทำตัวหวงเพื่อนอย่างกับเมียไปได้”

“...”

“...”

ทักกันแบบนี้มีให้สะอึกดิวะ ผมขยับสายตาไปมองไอ้เบสซึ่งมีท่าทีเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก่อนจะหันไปแก้ข่าวให้มัน

“เมียมันก็มีอยู่แล้วยังจะไปแซวมันอีก เลิกพูดมากแล้วรีบๆกิน เดี๋ยวก็ไปเข้าเรียนสายกันพอดี” นับวันถ้าผมยิ่งสนิทกับมัน ความสัมพันธ์จะเลวร้ายขึ้นรึเปล่า ถึงไม่ได้เป็นคนที่รู้ใจแต่ผมก็ยังอยากคงสถานะความเป็น ‘เพื่อนสนิท’ ไว้ให้อยู่กับพวกเราตลอดไปนะ
หรือผมควรจะหายไปจากเบสแล้วอยู่กับเกรทให้มากกว่านี้...มันจะได้ไม่หงุดหงิดทุกครั้งที่ได้เจอได้ยินเรื่องของเกรทกับผม

...แต่ถ้าทำอย่างนั้น แล้วเกรทกับใยไหมล่ะ...

...บางทีคนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอาจจะเป็นผมเองก็ได้...

...สุดท้ายจึงได้แต่ย่ำอยู่กับปัจจุบันแบบไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง...ปอดแหกชะมัด...


...TBC...

+++++++++++++++++++++
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : แปด...หอก [1-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-09-2019 13:43:45
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : แปด...หอก [1-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 02-09-2019 14:40:48
ตกลงเบสมันมีแฟนจริงไหม   ติดตามจ้าาาา :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : แปด...หอก [1-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-09-2019 13:19:59
 :z1:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : กร้าว...ใจ [5-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 05-09-2019 22:35:54
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

กร้าว...ใจ


“อิมเมจ”

ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ร้อยวันพันปีผมไม่เคยได้รับคำทักทายจากบุคคลที่ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าเลยสักครั้ง แต่ทว่าวันนี้กลับเหมือนดั่งใครไปสะกิดกงล้อแห่งโชคชะตาให้เกิดเหตุการณ์ตรงหน้าขึ้น

วันนี้ดาวกับข้าวฟ่างชวนกันไปเดินตลาดนัด ส่วนไอ้เบสถูกอาจารย์เรียกไปช่วยงานแบกหาม ผมที่ว่างไม่มีอะไรทำและไม่คิดอยากจะไปเดินตลาดนัดขนาดนั้นเลยนั่งโง่รอทุกคนอยู่ใต้ถุนคณะ แต่กลับมีคนแปลกหน้าในเชิงคุ้นสายตาอย่าง ‘ใยไหม’ เดินเข้ามาเรียกขานชื่อเล่น จึงได้แต่ยืดตัวตรงมองหน้าสวยๆของคนมาใหม่นิ่ง ทำอะไรไม่ถูกไปหลายวิ

“อิมเมจ” เธอโบกมือผ่านหน้า ผมเลยหลุดจากภวังค์สะดุ้งมาทักตอบ

“คะ...ครับ?”

“ขอโทษนะที่จู่ๆก็ทัก อิมเมจจำเราได้หรือเปล่า ที่เจอกันตอนฝนตกวันนั้น” ยิ่งกว่าจำได้อีก ผมรู้สึกว่าเธอเข้ามาอยู่ในสายตาบ่อยครั้งขึ้นนับจากวันที่ได้รู้จักเกรท บางทีการที่เรารู้จักอะไรต่อมิอะไรของคนๆนึง อาจทำให้เราสนใจสิ่งนั้น อ่อนไหวกับสิ่งนั้นไปโดยปริยายก็เป็นได้

“จำได้สิ คนสวยๆอย่างใยไหมผู้ชายที่ไหนจะจำไม่ได้” จะเรียกปากหวานก็ไม่ แต่ผมเอ่ยกับเธอผ่านความเป็นจริง ตามมุมมองของใครหลายคนที่ต่างหลงใหลในตัวเธอ ใยไหมมีท่าทีเก้อเขิน อมยิ้มผุดขึ้นตรงมุมปากน้อยๆ เธอเสตาไปทางอื่นราวกับต้องการจะละลายความกระดากอายให้เจือจางลง

...พอเข้าใจแล้ว ว่าทำไมใครๆถึงได้หลงรักเธอ...

“เออ คือ วันนั้น ขอบคุณนะที่ให้อาศัยร่มไปด้วย”

“เฮ้ย ไม่เป็นไร แค่นั้นเอง ถ้าช่วยได้ผมก็ช่วย” ผมมองเธอสลับกับแกล้งดูโทรศัพท์ในมือ ไม่กล้าจ้องหน้าอีกฝ่ายตลอดเวลาเพราะรู้สึกขัดๆอย่างไรชอบกล แอพสีเขียวแจ้งเตือนได้จังหวะแม่นเหมาะ มันจั่วหัวถึงคนทักซึ่งเป็นคนเดียวกับที่ทำให้ผมได้รู้จักตัวตนของใยไหม

“ถ้าวันนั้นไม่มีอิมเมจ ไหมคงเปียกฝนมะลอกมะแลกแน่เลย” ผมสูดน้ำมูกจังหวะที่เธอพูด เหมือนอีกฝ่ายกระตุกสายตามามอง เกรงว่าเธอจะรังเกียจเลยหยิบทิชชู่ขึ้นซับก่อนสวมมาส์กที่พึ่งไปสอยมาจากร้านสะดวกซื้อใกล้โรงอาหารขึ้นปิดปากและจมูก

“อิมเมจเป็นหวัดเหรอ”

“อืม...ก็ นิดหน่อย” เสียงอู้อี้หลุดออกมาผ่านวัสดุสังเคราะห์แผ่นบางสีขาว

“อย่าบอกนะว่าเพราะเรา” สีหน้าตื่นๆของใยไหมทำให้ผมต้องแย้งไปทันที

“เฮ้ยเปล่า เปล่าเลย” แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจห้ามสีหน้าเศร้าเชิงสำนึกผิดของเธอได้ เลยต้องบอกต่อราวกับปลอบใจ “วันนั้นโดนฝนเบาๆ แต่เพราะไปนั่งตากแอร์ในห้องเรียนด้วยล่ะ เลยหวัดรับประทาน” บวกกับตอนนั่งโง่หลังกลับบ้านไม่ยอมไปอาบน้ำด้วย

“ขอโทษนะ ที่ทำให้ลำบาก” ใยไหมดูเป็นคนที่ใส่ใจในระดับนึง เธอยังไม่ยอมลดละกับการขอโทษขอโพยเป็นคำพูดให้กับผม

“ไม่เลย ไม่ลำบากเลยสักนิด อย่าคิดมากนะ”

“ไม่ใช่แค่อิมเมจหรอก”

“หา?”

“เมื่อวานไหมยังทำให้แฟนของอิมเมจลำบากไปด้วยน่ะสิ” ของบางอย่างถูกหยิบออกจากกระเป๋าทันทีที่เธอพูดจบ อย่างที่คิดไว้ เรื่องเมื่อวานต่อให้ร่างสูงไม่บอกตรงๆ สิ่งที่ผมคาดเดาก็เป็นความจริง บรรยากาศร่าเริงสดใสเต็มใจเข้าหาอย่างปิดไม่มิดของเกรทนั้น มันบ่งถึงอะไรบางอย่าง ราวกับว่าอีกฝ่ายได้เจอเรื่องอะไรดีดีมา ใยไหมเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำให้ความรู้สึกต่างๆของเกรทแปรผันตาม

“ไหมฝากอิมเมจไปคืนน้องเกรทให้หน่อยได้มั้ย” ผมเกือบจะเอื้อมมือไปรับ แต่กลับเปลี่ยนใจ เมื่อของที่ควรถูกส่งคืนให้กลับมีบางอย่างเพิ่มเติมเข้ามา สายตาเลื่อนไปจับจ้องใบหน้าสวยหวานซึ่งส่งยิ้มจางๆมาให้ “แทนคำขอบคุณนะ”

“...”

“อันนี้คุกกี้เราทำเอง พึ่งฝึกเลย ถึงหน้าตาจะไม่ผ่านแต่รสชาติโอเคนะ ลองให้ที่บ้านชิมแล้ว”

มีอะไรบางอย่างสะกิดใจผม แม้แต่ใยไหมยังรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยานั้น เธอเอียงคอมองมาด้วยความสงสัย

“เป็นอะไรรึเปล่าอิมเมจ”

“อะ...อ๋อ เปล่าคือ...” ซีนนี้...พระเอกของเราควรได้รับมันจากมืออีกฝ่าย...แทนที่จะเป็นผม

ใยไหมนิ่งมองปฏิกิริยาสักพักก่อนสะดุ้งตัวพูดออกมาเหมือนคนลิ้นพันกัน

“เอ้ย ไม่ใช่นะ เออคือ มันไม่ใช่แบบที่อิมเมจคิดนะ คือเรา เราทำคุกกี้มาให้ทั้งสองคนเลย ถุงนี้เอาไปแบ่งกัน...”

“ใยไหมเอาไปคืนเกรทเองก็ได้นะ”

“ฮะ?”

“เดี๋ยวหมอนั่นก็มา หาตัวไม่ยากหรอก”

“แต่...” แปลกไปมั้ยนะที่ไม่รับ...ทั้งที่ขึ้นชื่อว่าแฟน ของของเขาความจริงก็เหมือนของของเรา แต่ผมกลับ...อยากให้...

“เย็นนี้น่าจะมาที่ใต้ตึกเรียนรวมน่ะ ถ้าไม่ลำบากจนเกินไป ผมฝากใยไหมไปคืนเกรทเองได้มั้ย วันนี้บังเอิญผมมีธุระ”

“อะ...เออ อย่างนั้นเหรอ ก็ได้เดี๋ยวไหมจะพยายามมองหานะ แต่ถ้าไม่เจอจริงๆคงต้องฝากอิมเมจไปคืนแล้วล่ะ”

“ได้สิ”

...แต่เธอต้องได้เจอกับเกรทแน่นอน...


<Greatเทศ


เกรท
เย็นนี้คุณมาหาผมที่ใต้ตึกเรียนรวมได้มั้ย
ขอกลับบ้านด้วยอีกวัน






วิชาเรียนอีกสองคาบผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทิชชู่ซับน้ำมูกวางกองเกือบเป็นภูเขาบนโต๊ะ ผมสูดลมหายใจฟืดฟาดจนนึกรำคาญตัวเองและเกรงว่าคนรอบข้างจะประสาทเสีย พอใกล้จบคาบเลยซัดยาแก้แพ้ พร้อมเตรียมตัวจะกลับบ้านเข้านอนให้เต็มอิ่มในหนึ่งคืนนี้ ระหว่างเก็บกระเป๋าเจ้าของสายตาที่เฝ้าสังเกตผมมานานจนรู้สึกได้ก็เอ่ยทักขึ้นมา

“ให้กูไปส่งมั้ย” มือยัดชีทเข้ากระเป๋าหยุดชะงัก ผมเลื่อนสายตาไปมองหน้าไอ้เบส

...อยากให้มันส่ง อยากอยู่กับมัน แต่...

“กูเป็นหวัด ไม่ได้ขาหักพิการ ไม่ต้องดูแลขนาดนั้นหรอก” พักนี้อยู่ใกล้กันทีไร มันชอบทำท่าหงุดหงิดรำคาญใจใส่ โคตรไม่ชอบท่าทีแบบนั้นเอาเสียเลย ไม่ใช่ว่าโมโหเบส แต่ไม่อยากให้มันต้องมาอารมณ์เสียกับอะไรก็ตามที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องของผม

“ถ้างั้น” ทิชชูหนึ่งแผ่นถูกดึงออกจากกล่องมาแตะหน้า ผมชักสายตาขึ้นมองคนตัวสูงกว่าที่เดินเข้ามาประชิด ไอ้เบสมันกำลังจับกระดาษแผ่นนั้นใช้นิ้วเรียวยาวของมันหนีบไปตามสันจมูกผม แผ่นทิชชู่กดซับความเปียกอันน่ารังเกียจลูบเช็ดผิวเหนือริมฝีปากก่อนถูกเก็บรวบเข้ามืออีกฝ่าย “ก็ดูแลตัวเองดีดีล่ะ”

“ไอ้เบส มึง”

“ทำไม”

“ขี้มูกกู เช็ดลงมาได้”

“ที่ไอ้เด็กเกรทมันยังจับขี้มูกมึงได้เลย”

“แล้วมันใช่เรื่องน่าจับที่ไหนล่ะวะ” ผมฉวยเศษกระดาษในมือมันกลับ “กูกลับแล้ว แล้วมึงก็อย่าลืมไปล้างไม้ล้างมือด้วยล่ะ ไม่อยากโดนตราหน้าว่าทำให้เพื่อนป่วย”

ผมเดินก้าวยาวลงจากบันไดสโลปทีละสองขั้นกลบเกลื่อนอาการประหม่าใจสั่น ไอ้เบสมันต้องผีเข้าแน่ๆถึงมาวอแวผมได้ หรือไม่ก็เป็นแค่คนห่วงเพื่อนคนนึงเท่านั้น...อย่าได้คิดอะไรให้มากเลย

วันนี้ควรจะนอนลบล้างเรื่องราววุ่นวายสับสนทั้งหมด รีเซตตัวเองใหม่ให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงนอนคืนเดียวหาย แต่มาจนถึงตอนนี้บางทีก็แอบกลัวว่าน้ำที่เต็มแก้วสักวันมันจะล้นทะลักออกมา ร่างกายเหมือนมีสัญญาณเตือนภัยบางอย่างบอกให้ผมรีบก้าวออกจากลิฟต์ที่เคลื่อนตัวลงจนถึงชั้นล่าง แล้วเดินอาดๆออกนอกตัวตึก

พอถึงตีนบันไดมุ่งไปสู่ถนนใหญ่เหมือนเดินสวนกับเงาใครบางคน ณ จังหวะนั้นคอของผมโดนเกี่ยวร่างกายแทบจะเซหงายหลังลงไปในทีเดียว แต่ทว่า...

“โอ๊ะ! โต๊ะๆ” เสียงอุทานดังเบาขึ้นด้านหลังพร้อมกับใจที่ร่วงหล่นไปยังตาตุ่ม แรงกระทุ้งที่อกซ้ายส่อจังหวะถี่ขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่...เชี่ย เกือบไปแล้ว เกือบร่วงหงายหลัง ใครมันทำกับผมแบบนี้วะ หันไปตั้งใจตำหนิ แต่กลับไม่คิดว่าคนเล่นพิเรนทร์จะกลายมาเป็นคนที่ทำตัวไม่ชัดเจนอีกหนึ่งหน่วยเข้าให้ได้

“เกรท?”

“โทษที เห็นพี่รีบจนไม่มองทาง ถ้าไม่รั้งไว้แบบนี้ เห็นอีกทีคงไปโรงอาหารนู้นแล้ว จะรีบไปไหนเหรอครับ”

“กลับบ้าน” เสียงกล่าวตอบห้วน ผมจับแขนแกร่งออกจากคอทรงตัว ตั้งท่าจะเดินต่อหากแขนไม่โดนจับรั้งไว้

“กลับบ้าน? ไหนว่าจะกลับด้วยกันไง”

“...”

...โว้ย ลืมไปเลยว่าเคยส่งข้อความอะไรไว้ นั่นเป็นอุบายที่ทำให้นายได้เจอใยไหมต่างหากเล่า แต่มันผิดแผนตรงที่ผมมาเจอกับเกรทเสียก่อน...

รีบหมุนหันมองโถงด้านล่างที่วุ่นวายไปด้วยผู้คน “เฮ้ยพี่อิมจะไป...” เดินขึ้นบันไดย้อนกลับไปจนถึงลิฟต์กลางตึกโดยมีลูกลิงเกรทติดสอยห้อยตามจากการที่เจ้าตัวไม่ยอมปล่อยมือผมมาด้วย

ใยไหม...ใยไหม...ใยไหมอยู่มั้ย...

“พี่อิม มองหาใคร”

“เปล่าไม่ได้หา” มือใหญ่ยื่นมาบังระดับสายตาจนต้องย่นคอหลบ “ทำอะไรน่ะ” ตวัดสายตาจ้อง ดึงมืออีกฝ่ายให้ลดต่ำลง

“ไม่ได้มองหา ก็ไม่น่าจะเดือดร้อนถ้าผมเอามือบังหน้าพี่”

“ก็ไม่ได้มองหาจริง...”

“อิมเมจ”

“...!!” ผมสะดุ้งตัว เสียงพึ่งได้ฟังผ่านโสตไปไม่นานมีหรือจะจำไม่ได้ สมองแล่นคิดฉับพลัน “เกรท คุณอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวผมขอตัวไป..”

“ไปไหน!” แรงมือของเกรทที่จับแขนผมหนักขึ้น เจ้าตัวเลิกบังหน้าแต่สายตากลับจดจ้องกับสิ่งที่เยื้องออกไป มือใหญ่บิดเกร็งจนผมต้องเลิกกระตุกให้หลุดจากการจับกุม ฝืนไปมีแต่เจ็บตัวแขนช้ำเปล่าๆ มาถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

ที่เกรทยืนตัวเกร็งได้ขนาดนี้ จะมีสาเหตุจากอะไรได้ นอกเสียแต่ว่า ‘ใยไหม’ คนนั้นกำลังยืนอยู่ต่อหน้าพวกเรา

“พี่...ใยไหม” เสียงเบาราวกับจิตใจล่องลอยของร่างสูงดังและเลือนหายไปในอากาศ ผมเหลือบสายตาไปเจอความมึนงงและสับสนราวกับคนทำอะไรไม่เป็น ไปต่อไม่ถูก เลยรู้ถึงสาเหตุที่แรงมือของเกรทเพิ่มขึ้นทันที

อยู่ต่อหน้าคนที่ชอบถึงกับทำให้เสียอาการเลยเหรอ แล้วนี่ผมกำลังเป็นไม้กันลมกันหมาให้เกรทอยู่ใช่มั้ย

“ใยไหม”

“ไหนว่าวันนี้มีธุระไง” โป๊ะแตกไปหนึ่ง เกรทหันมามองหน้าผมแบบตั้งคำถามสักพักจึงโดนดึงความสนใจกลับเมื่อเจ้าของเสียงสวยพูดต่อ “แต่ไม่เป็นไร ดีแล้วล่ะ ไหมจะได้ให้สองคนพร้อมกันไปเลย”

“อะ...เออ...” ซีนนี้ไม่ควรมีตัวประกอบแบบผม ผมควรจะทำอย่างไรดี ก่อนจะคิดให้ออกควรจัดการอะไรกับตรงนี้เสียก่อน สายตามองไปยังจุดที่ร่างกายเราสัมผัสกัน ขยับมือไปดันการจับกุมให้เลื่อนออกทีละนิด

“น้องเกรท”

“คะ...ครับ!” มือเกรทหลุดออกจากตัวผมทันที ร่างสูงสะดุ้งโหยงหันไปเผชิญหน้าอีกฝ่ายตัวตรงราวกับเคารพธงชาติ ส่วนผมมองตามได้แต่ยิ้มๆ

...ทำไมคนหล่อ บุคลิกดี มาดนิ่ง เวลาเจอคนที่ชอบถึงได้หลุดเอ๋อ จนน่าเอ็นดูขนาดนี้นะ...

ขนาดใยไหมยังยืนมองตาโตก่อนหลุดยิ้มน้อยๆออกมา ภาพตรงหน้าตกหัวใจคนมองได้อีกเป็นโหล

“จำพี่ได้มั้ยวันก่อนที่บังเอิญเจอกันตอนรอฝนหยุดตก แล้วเราให้พี่ยืมร่ม”

“คะ...ครับ” เกรทเป็นใบ้ในชั่วเสี้ยวนาที

“พี่เอาร่มมาคืน” ร่มสีดำถูกหยิบยื่นมาให้ พร้อมกับถุงกระดาษสาสีฟ้าอ่อนซึ่งมัดปากด้วยโบว์สีน้ำเงินผสมขาว “แล้วก็อันนี้แทนคำขอบคุณนะ คุกกี้น่ะ บังเอิญเมื่อวานนี้ลองทำ อาจจะไม่ถูกปากอะไรขนาดนั้น แต่ถือว่าเป็นคำขอบคุณจากใจ แบ่งกันกินสองคนกับอิมเมจนะ อิมเมจ ไหมไปนะ” ท้ายประโยคเธอหันมาคุยกับผมด้วยรอยยิ้ม ก่อนวิ่งออกไป

สิ่งแรกที่ผมทำคือการหันไปสังเกตอาการคนข้างเคียง ร่างสูงยืนนิ่งมองตามแผ่นหลังคนที่เดินห่างออกไป ก่อนก้มลงจับจ้องสิ่งของในมือพิศดูอยู่นานราวกับตกในเพ้อภวังค์

...ผม...หมั่นไส้ได้มั้ย...แอบเหม็นความรักอยู่นิดๆ...

คิดแล้วเลยคว้าถุงกระดาษสามาไว้กับมือ

“เฮ้ย พี่อิม!” ร่างสูงเหมือนจะต่อว่าต่อขานผม แต่ทันงับปากไว้เพราะเห็นว่าไม่สมควร ในเมื่อใยไหมเอ่ยปากมาแล้วว่ามันเป็นของแทนคำขอบคุณจากหญิงสาวให้แก่เราทั้งคู่

“ทำไม...ผมกินไม่ได้เหรอ” ผมโยนถุงนั้นกับมือพลางยิ้มเย้ย

“เปล่าคือ...” น่าสงสาร แต่ก็น่าแกล้ง ผมกระตุกริบบิ้นเส้นลื่นสีน้ำเงินขาวจนหลุดออก ใช้นิ้วแหวกปากที่หุบชิดกันมองเข้าไปในนั้น ไส้ในมีถุงพลาสติกใสอีกชั้นบรรจุคุกกี้ช็อคโกแลตสีน้ำตาลค่อนไปทางดำ อารมณ์เหมือนบิทเทอร์คุกกี้ หยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้นพินิจเพียงครู่แล้วลองลิ้มชิมรสมันด้วยการกัดลงไปหนึ่งคำถ้วน

กลิ่นหอมของโกโก้ผสมช็อคโกแลตซึมซาบสู่ลิ้น ถ้าไม่บอกว่าหัดทำจริงคงไม่เชื่อ...คุกกี้ฝีมือใยไหมอร่อยไม่หวานจนเกินไป...แต่ผมไม่ชอบของหวานเลยจัดการยัดชิ้นที่ทิ้งรอยฟันกัดลงไปที่เก่า รวบปากถุงยื่นส่งคืนคนที่สมควรได้ชื่นชมความหอมหวานของมัน

“อ่ะ”

“ฮะ?”

“ผมลืมไปว่าไม่ชอบกินของหวาน”

เดินปลีกตัวออกมาโดยไม่สนใจคำทัดทานของเด็กเกรท สับขาไวแบบไม่ใคร่รู้อะไรอีก ตอนนี้ผมง่วง อยากกลับบ้านไปพักผ่อนจะแย่ ระหว่างทางจนกระทั่งก้าวขาขึ้นรถเมล์ยาวมาถึงสถานีรถไฟฟ้าก็ตั้งหน้าตั้งตาทาบบัตรหลบไอ้บานพับสามเหลี่ยมสีแดงที่พร้อมจะกระแทกปั้นท้ายหากมีอะไรไปขวางเซนเซอร์ของมัน ผ่านประตูพาหนะทรงหนอนแก้วชาเขียวที่พร้อมจะไต่ไปตามกิ่งไม้เข้าสู่วิถีตากแอบชุ่มฉ่ำชวนหนาวสั่นไปทั้งขบวน ถ้าไม่เป็นหวัดป่านนี้คงดีใจที่หลบร้อนมาเจอเย็นพร้อมนอนยาวไปจนสุดสถานี แต่ด้วยความป่วยผมเลยได้แต่ก้มหน้าก้มตาสั่งน้ำมูกเบาๆเกรงใจผู้ร่วมโดยสารไปตลอดทาง

“พี่อิม”

“...”

“พี่อิม”

“อืออ” ใครเรียก

“ถึงสถานีที่พี่ต้องลงแล้วนะ”

พรึ่บ!!

ผมเบิกตาโพลง ใจเต้นระรัวราวกับกลองศึกพยายามกวาดตามมองหาป้ายชื่อสถานี ฉิบหาย ถึงแล้ว!!

สัญชาตญาณผลักดันให้ถีบตัวผลุงวิ่งออกจากขบวนได้ทันอย่างฉิวเฉียด หยุดหอบหายใจตรงข้างชานชาลา เกือบไปแล้ว เกือบได้ลงไปสถานีหน้าแล้วกลับลงมาสลับขบวนเสียแล้ว

ให้ตายเหอะไอ้อิม สติอยู่ไหนวะสติ

“พี่ลืมกระเป๋า” เสียงทุ้มดังแทรกขึ้นมาให้ตกใจหมุนตัวขวับ ปรากฏเพียงร่างสูงของคนหนุ่มผู้คุ้นเคยยืนกำสายกระเป๋าสะพายข้างมองตรงมา

“เกรท...คุณมาได้ไง”

“ผมตามมาตั้งแต่มหา’ลัยแล้ว นี่พี่ไม่รู้ตัวเลยเหรอ”

“จริงป่ะเนี่ย”

“จริงดิ”

โว้ยยย ไอ้อิมมึงมึนเกินไปแล้ว

“กลับๆๆ กลับไปได้แล้ว” ดันหลังอีกฝ่ายไปทางบันไดมุ่งหมายให้เดินข้ามไปขึ้นรถอีกฟาก “แล้วนี่หยอดตังค์มาเท่าไร แพงจะตาย เสียดายค่ารถมั้ยเนี่ย” คนโดนดันหลังชักบัตรขึ้นมาแทงเข้าหน้าผม

“ซื้อมาแล้วครับบัตรเที่ยว”

“ซื้อเพื่อ!!”

“ก็คิดไว้แล้วว่าจากนี้ไปคงต้องมาหาพี่บ่อยๆ” โอ๊ย จนปัญญาจะพูดเลยว่ะ ผมทรุดตัวลงนั่งหมดเรี่ยวแรงเพราะยาแก้แพ้เริ่มออกฤทธิ์หนักกว่าเก่า ทำเอาเจ้าตัวตะลีตะลานรีบย่อลงมาประคองตัวผม “พี่อิม?”

“เอาเถอะ ก็ดีแล้ว” ผมเกาะชายเสื้ออีกฝ่ายไว้ “พาผมไปส่งที่บ้านหน่อย”

มีต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : กร้าว...ใจ [5-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 05-09-2019 22:36:44
เกรทเหมือนจะจำรถเมล์สายที่ผมพากลับมาบ้านในครั้งก่อนได้ดี เจ้าตัวสะพายกระเป๋าข้างของทั้งสองคนพลางโบกมือแสดงสัญลักษณ์ว่าจะขึ้นยามเมื่อรถแล่นมาด้วยความไวสูง รถที่ขับปาดจากเลนขวาสุดเข้าซ้ายอย่างโฉบเฉี่ยว พอได้เห็นแม่งโคตรเพลีย นี่ผมจะตายก่อนถึงบ้านมั้ยวะ

ความโชคร้ายไม่จบเท่านั้นเมื่อเหลือบมองเห็นความอัดแน่นของผู้โดยสารผมแทบครางในลำคอ ที่นั่ง...ผมต้องการที่นั่ง!!

เกรทรอให้ผมเดินขึ้นก่อนโดยยอมเดินก้าวมาติดๆ เท้าซ้ายเจ้าตัวพอก้าวขึ้นได้ พี่คนขับรถก็เหยียบคันเร่งออกไม่ลังเล แล่นปรืดจนสองคนเซแท่ดๆขึ้นรถมา เบียดคนเข้าจนถึงจุดที่พอมีที่ยืนสำหรับสองคน เห็นที่จับตรงพนักว่างผมจึงรีบคว้าราวกับเห็นขุมสมบัติของหมู่มวลมนุษยชาติบนรถเมล์

เฮ้อ ถอนหายใจออกมาหนึ่งวืบก่อนเหลือสายตามองคนที่เดินมาแสตนด์บายด้านหลังผมติดๆคนตัวสูงยืนโค้งตัวเล็กน้อยห้อยโหนราวจับด้านบนยืนซ้อนตัวผมอยู่ด้านหลัง ผมเหลือบไปมองใบหน้าหล่อเหลาที่เริ่มอิดโรยกับสถานการณ์นี้

“หึ...มาลำบากแล้วไงล่ะ” คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นมองหน้าผม

“ลำบาก? ลำบากตรงไหนครับ” แค่มองก็รู้ว่าอวดเก่ง กลบเกลื่อนไม่ให้รู้ถึงความอ่อนแอ ผมนิ่งเงียบไม่บอกปล่อยให้อีกฝ่ายคิดเอง พยายามยืนทรงตัวกางขาไม่ให้เซไปตามแรงเหยียบคันเร่งสลับเบรกของรถ “ไหวมั้ยครับ ไม่ไหวก็พิงผมมาได้นะ” ผมยังคงเงียบต่อ ไม่มีแรงตอบ เพราะสมาธิทุกอย่างไปลงที่ขาหมดแล้ว แต่จู่ๆช่วงเอวก็โดนรวบเข้าหาหลังไปชนอีกฝ่ายจนต้องหันไปมองหน้า “พิงมาเถอะครับ หน้าพี่ดูไม่ไหวแล้ว”

จะทำอะไรก็แล้วแต่คุณเถอะ ตอนนี้ผมไม่มีแรงห้าม สุดท้ายผมก็ปล่อยให้เกรทพยุงมาจนสุดปลายทาง

จากป้ายรถเมล์มาบ้านผมมันไม่ไกล ล้วงกุญแจเปิดรั้วบ้านได้ผมจึงหมุนตัวไปบอกลาคนที่หวังดีมาส่ง

“ขอบคุณที่มาส่งนะ ผมจะนอนแล้วล่ะ”

“บ้านพี่มีคนอยู่มั้ย”

“ไม่อ่ะ น้องสาวผมไปเรียน แม่กับพ่อไปทำงาน ทุกวันก็อย่างนี้อยู่แล้ว ปกติ”

“งั้นพี่เข้าไปเถอะ” มือใหญ่เลื่อนรั้วดันหลังให้ผมเข้าไปก่อนปิดมันใส่กุญแจล็อกเสร็จสรรพ

“หา?”

“ไปเถอะเข้าบ้าน”

“หา?เฮ้ยเดี๋ยว”

“อย่าบ่น ผมบอกให้เข้าบ้าน”

ขี้สั่งชะมัดเลย ไอ้เด็กบ้า แต่ผมก็ยอมทำตามเพราะขี้เกียจเถียง เหมือนเกรทบริการผมอย่างดีจนเกินจำเป็น ทั้งล็อกกุญแจบ้านหิ้วกระเป๋าเดินตามเข้ามาถึงในห้อง ก่อนจะจบที่การเดินไปหยิบผ้าชุบน้ำหมาดจากห้องน้ำ

“มีแรงอาบน้ำมั้ย”

“ไม่อ่ะ ขี้เกียจอาบ ผมจะนอนเลย” มือผมปลดกระดุมเสื้อแสงถอดเปลี่ยนชุดนอนสบายตัวได้ก็ทิ้งตัวคว่ำหน้าลงนอนทันที

“กี่ที กี่ทีไม่เคยจำ”

“คุณว่าอะไรนะ” ได้ยินแค่แว่วๆ ผมส่งเสียงัวเงียสุดกำลังของตัวเองออกไปถาม รู้สึกเหมือนเตียงอ่อนยวบลงตามน้ำหนักคน
“พี่เป็นอย่างนี้กับทุกคนเลยเหรอ” เสียงเข้ามาใกล้อยู่เหนือหัวผม

“เป็นยังไง”

“ก็ทำตัวง่ายๆสบายๆ”

“อันนั้นมันเป็นคำพูดที่ผมพูดกับคุณต่างหาก”

“...”

“ปกติทำตัวสนิทกับคนง่ายขนาดนี้เลยเหรอ”

“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องที่สนิทกับคนง่าย ผมหมายถึง...” ผมใช้แรงอันน้อยนิดตะแคงหน้าหันไปสังเกตท่าทีอีกฝ่าย เกรทมีสีหน้าลำบากใจซ่อนอยู่นิดๆ เจ้าตัวดึงผ้าห่มมาคลุมทับขาผมทอดถอนหายใจเบาก่อนหลับตาลง “ช่างเถอะ”

“ช่างอะไร”

“ก็หมายถึงช่างเถอะ เรื่องที่ผมพูดน่ะ” เกรทลืมตามาสบก่อนขยับมือใหญ่มาปิดแนบครึ่งซีกหน้าของผม “หลับเถอะครับ”

เบื้องหน้ามืดมิดดวงตาเริ่มปิดปรือ รู้สึกได้ถึงแพขนตาที่ขยับโดนฝ่ามือใหญ่เป็นบางครั้ง ก่อนความง่วงงุนจะเข้าโจมตีจนเอ่ยไม่เป็นภาษา

“อือ” ถึงไม่บอกผมก็จะนอนอยู่รอมร่อแล้ว ก่อนที่สติจะเลือนหายผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสอบอุ่นบางอย่าง...โดยเฉพาะที่กลีบปากตนเอง...





“พี่อิมกินข้าวค่า อุ๊ย พี่เกรท...”

“ชู่!!” เสียงยัยมายด์แทรกเข้ามาให้ห้วงภวังค์กึ่งความฝันและความจริงของผม ดวงตาครึ่งปิดครึ่งเปิดมองดูภาพแผ่นหลังกว้างที่ยกมือขึ้นมาทำสัญญาณอะไรบางอย่าง ซึ่งผมพอจะเดาได้ เด็กเกรทคงปรามยัยมายด์ให้เงียบเสียงเพราะเกรงว่าจะปลุกให้ผมซึ่งนอนหลับสนิทนั้นตื่น

ผมขยับร่างที่เหนื่อยล้าแถมยังไม่ตื่นเต็มตาขึ้นนั่งจนร่างสูงรู้ตัวจึงหันมามอง

“หลับต่อก็ได้นะครับ ถ้ายังง่วงอยู่”

“ไม่เป็นไร ผมตื่นแล้ว ขืนนอนต่อคืนนี้คงนอนไม่หลับ” นาฬิกาข้างกำแพงบ่งบอกถึงเวลาหนึ่งทุ่ม ร่างสูงยังคงอยู่ตรงนี้ ส่งสายตามองมาด้วยความเป็นห่วง “คุณไม่กลับหอเหรอ เดี๋ยวก็ดึกหรอก”

“แหมตื่นมาก็ไล่เลยนะคะ พี่เกรทเขาอุตส่าห์มาเฝ้าคนป่วยทั้งที พี่อิมก็นะ วันก่อนไม่น่าไปทำตัวใจดีกับชาวบ้านเล้ย แล้วเป็นไงล่ะคนอื่นไม่ป่วยตัวเองกลับป่วยแทน”

“คนไม่มีร่มพี่ก็ต้องช่วยเปล่าวะ แล้วเขากับพี่ก็รู้จักกันด้วย”

“แต่พี่คนนั้นเขาให้แฟนขับรถไปส่งก็ได้หนิ ไม่รู้จะรีบลงมาทำไม”

“ยัยมายด์” ผมส่งสายตาปรามน้องสาวตัวดี เรื่องนี้ไม่ควรพูดที่นี่ เพราะเกรทรู้ดีว่าผมช่วยใครไว้ การไปพูดถึงแฟนเหมือนเป็นการกระทุ้งใส่แผลเก่าของอีกฝ่าย ผมตัดสินใจปิดบทสนทนาทุกอย่างลงโดยการลุกขึ้นจากเตียง ร่างกายซวนเซเสียหลักเพียงนิดจนมือใหญ่ต้องเคลื่อนเข้ามาประคอง ผมจึงได้แต่จ้องเข้าไปในดวงตาของเกรท อ่านไม่ออกว่าเจ้าตัวรู้สึกอย่างไร แต่ไม่อยากทำให้ต้องเศร้า

“คุณจะกลับหรือจะอยู่กินข้าวที่นี่ก่อน”

“เออ ผม...”

“อยู่ต่อเถอะค่ะ อยู่กินข้าวด้วยกันนะคะพี่เกรท”

สกิลการตื๊อยัยมายด์ได้ผล คนตรงหน้ายอมตกลงอยู่ต่อ ทานข้าวกันพร้อมหน้า พ่อ น้องสาวและผม ส่วนวันนี้แม่ทำโอทีเลยไม่มีโอกาสได้ร่วมโต๊ะกับลูกชายคนใหม่สุดหวนแหนแสนเอ็นดูของนาง

พ่อผมเป็นคนเงียบๆต่างจากแม่ จะมีบางครั้งที่ขยับปากกระตุ้นให้คนตรงหน้าไม่ต้องเกรงใจกินเข้าไปเยอะๆ แต่ก็ไม่ได้สอบถามไต่สวนอะไรให้มากความเท่ากับมารดา รู้แค่ว่าเป็นเพื่อนลูกชายแค่นั้นก็เพียงพอ

“แล้วนี่จะกลับยังไงให้เจ้าอิมไปส่งอีกมั้ย เนี่ยไม่รู้ว่าแม่เขาจะกลับยังไงด้วยสิ ออกมาตอนนี้คงมีแต่เปียก” ตอนนี้ฝนตกลงอย่างหนักหน่วง เป็นที่เข้าใจกันของทุกคนในบ้านว่าต่างคนต่างใช้รถสาธารณะไปไหนต่อไหนกันตามปกติ มีแต่บิดาที่ยืนหนึ่งในการใช้รถ

“พ่อจะไปรับแม่รึเปล่า”

“กะว่าจะไป แต่ถ้าเอารถไปเราก็คงไปส่งเพื่อนไม่ได้” พ่อรู้ว่าทางไปมหา’ลัยกับบริษัทแม่ผมมันคนละทาง กว่าจะขับไปรับแม่แล้วย้อนกลับมาส่งเกรทคงใช้เวลาอยู่โข ไหนจะรถติดกรุงเทพอีก ไม่อยากจะคิดสภาพ

“ผมกลับเองได้ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

“ไม่ก็ให้พี่เกรทค้างคืนนึงสิคะ” ยัยมายด์เสนอไอเดียไม่สร้างสรรค์ขึ้นมา ผมหันไปมองค้อนขวับตาขวาง

“อ้าวไม่ดีเหรอ จะได้ไม่ต้องไปตากฝนให้ตัวเปียกเล่นเป็นหวัดแบบพี่อิมด้วยไง แล้วพ่อก็จะได้ไปรับแม่ได้”

“อือ นั่นสินะ เสื้อผ้าข้าวของก็ยืมเจ้าอิมใช้ไปก่อน”

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่รบกวน...”

“พรุ่งนี้พี่เกรทมีเรียนเช้ามั้ยคะ”

“พรุ่งนี้...อืม พี่ไม่มีนะ”

“งั้นก็ค้างสิคะ จะกลัวอะไร ยังไงพรุ่งนี้พี่อิมก็ต้องไปมหาลัยอยู่แล้ว จะได้ติดรถพ่อไปลงสถานีรถไฟฟ้าด้วย”

“แต่...”

สายตาคมมองมาทางผม เออ...ถามความสมัครใจผมรึยัง แต่ละคน ผมละเหนื่อยใจ แต่ช่างเถอะ อยากค้างก็ค้างไปไม่ได้ซีเรียสอะไรอยู่แล้ว

“ถือว่าสลับกันกับที่คุณชวนผมค้างวันก่อนละกัน แต่ต้องระวังติดหวัดจากผมก็พอ”

ผมพูดทิ้งท้ายก่อนยกจานชามไปล้างในครัว




เกรทไม่ได้เป็นคนเรื่องมากอะไร ต่อให้เขาดูสำอางจนเหมือนกับผู้ชายที่ต้องบำรุงผิวก่อนนอน แต่ถึงไม่มีอุปกรณ์ต่างๆเขาก็อยู่ได้ หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างอาบน้ำเสร็จมาขลุกตัวในห้อง ชุดที่เกรทยืมใส่ดูออกจะพอดีตัวไปสักนิดเลยทำให้เห็นโครงร่างมัดกล้ามมากกว่าเสื้อตัวโคร่งที่เจ้าตัวชอบใส่ออกไปเที่ยวเสมอ กางเกงยางยืดตัวใหญ่ที่ผมเคยซื้อไว้ผิดไซส์กลับได้ถูกใช้งานในวันนี้

เจ้าตัวล้วงกระเป๋าหามือถือก่อนนั่งลงขลุกตามพื้นหลังพิงเตียงแล้วเริ่มจดจ้องไปยังหน้าจอโดยไม่สนใจอะไร ผมที่นั่งเล่นคอมพิวเตอร์อยู่ตรงโต๊ะเรียนหมุนตัวชายตามองสักพักจึงเห็นอีกฝ่ายขยับเปิดกระเป๋าอีกครั้งเหมือนกำลังนึกอะไรบางอย่างได้
ซองคุกกี้กระดาษสาสีฟ้าถูกล้วงออกมา สภาพเหมือนหกคว่ำคะเมนตีลังกาไปหลายตลบ

“เฮ้ยๆๆๆ” ผมแทบกระโดดไปเกาะขอบสนามแหวกกระเป๋าหยิบคุกกี้บางชิ้นที่ตกอยู่ในนั้นขึ้นมายัดกลับใส่ถุงในมืออีกฝ่าย “เละหมด...ทำไมหกเลอะเทอะอย่างนี้ล่ะ ตอนผมส่งกลับคุณไม่ได้มัดปากถุงเหรอ”

นี่ก็ชิ้นที่ผมกัดเข้าไปใช่มั้ย เศษสีดำชาร์โคลกระจายเต็มก้นกระเป๋าเลย เห็นทีทิ้งไว้อย่างนี้ไม่ได้ ผมเลยหยิบเครื่องเขียนชีทเรียนออกจากกระเป๋า ลากถังขยะเข้ามาใกล้เคาะเศษฝุ่นลงไปในนั้น พอวางชีทลงบนพื้นถึงกับเอียงตัวย่นคอหลบแทบไม่ทัน

“อะไร?”

“ชิ้นที่พี่กินไป”

“ไม่เอาแล้ว ผมแปรงฟันแล้ว” ผมจับข้อมือของเขาออก หยิบกระเป๋าที่เขรอะเศษขนมหวานขึ้นมาเคาะลงถังขยะ “หรือรังเกียจที่ผมเป็นหวัด งั้นเอามานี่” ผมเขวี้ยงกระเป๋าเกรทลง คุกเข่ายันมืออีกข้างไปคว้าข้อมือนั้นไว้

“เฮ้ยพี่อิม...ผมเปล่า ผมไม่ได้รัง...” สายไปแล้ว ผมไม่ให้ใครกินน้ำลายต่อจากผมหรอก ปากผมอ้ากว้างเหมือนปลาตัวยักษ์ที่งับเหยื่อเข้าไปภายในคำเดียว ริมฝีปากแตะโดนปลายนิ้วของเกรทเล็กน้อยก่อนถอนออกมาคุกเข่าเคี้ยวหมุบหมับ

หวาน ไม่ชอบเลยแฮะ ขี้เกียจไปแปรงฟันอีกรอบ แต่เอาเถอะ...

ตุบ!!

ทุกอย่างมาไวเกินไป เกินกว่าจะตีความและรับรู้เรื่องราวทันหมดภายในเสี้ยววิ กายสูงกดผมจนหงายหลังไปกับพรมตอนที่ผมเผลอ เงาใหญ่ของอีกคนเข้ามาทาบทับ มือกดให้ศีรษะผมลดต่ำจนไปเสมอกับใบหน้าของอีกฝ่าย ปากที่หุบนิ่งทำได้เพียงอมเจ้าก้อนเนยผสมช็อคโกแลตที่เริ่มละลายนั้นไว้ไม่อาจเคี้ยวและแย้งใดใดออกมา

เกรท?

“อึ...”

ความนุ่มนิ่มสีชาดติดแนบลงบนริมฝีปากบนล่างพร้อมกัน กลิ่นหอมของช็อคโกแลตซึมขึ้นจมูกผสมปนเปกับความฟรุตตี้ของลิปบาล์มที่อีกฝ่ายทาหลังอาบน้ำ ใจผมกำลังเต้นโครมครามอย่างเอาไม่อยู่ ในเมื่อคนที่ขึ้นชื่อว่าแฟนโดยบังเอิญกลับกำลังแนบจุมพิตที่ติดจะเร่งร้อนมาให้

...นี่มันบ้าอะไรเนี่ย..

เกรทติดแนบถอนสลับวนเวียนเอียงใบหน้าเปลี่ยนองศา นานจนกระทั่งว่าเจ้าก้อนคุกกี้ในปากละลายจากไป เปลี่ยนมาเป็นรสหวานซึมลิ้นค้างไว้ฉับพลัน

“เกรท...ทำบ้าอะไรของคุณ เนี่ย” ผมพูดได้แล้วเลยดันอกอีกฝ่ายออกเบาๆ เจ้าตัวมีสีหน้าเพ้อเคลิ้มแบบแปลกๆ หากก่อนหน้านี้พวกเราได้ดื่มแอลกอฮอล์ด้วยกันผมคงหาว่าเขาเมา แต่นี่มันไม่ใช่ พวกเรามีสติครบถ้วนดีกันทุกประการ

“ก็พี่บอกว่าผมรังเกียจพี่”

“แล้วมันจำเป็นต้องพิสูจน์ด้วยแบบนี้เหรอวะ”

“เออ...คือ...” เด็กเกรทอ้ำอึ้งก่อนตอบบางอย่างที่ทำให้ผมหน้าชา “เป็นแฟนกันจูบกันไม่ได้เหรอครับ”

!!!

หะหา??? เป็นแฟนกันอะไรยังไง มันไม่ใช่แค่จูบด้วย เป็นแฟนกันสมัยนี้มันไปถึงขั้นสามสี่ห้าหกกันได้ด้วยซ้ำ แต่ว่าผมกับเกรทมัน...ผมกับ...เกรท...

“มะ...มันก็ได้แหละ...แต่...” ดูเสียงผมตอนนี้ดิ ฉิบหายตอนนี้ผมกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่เนี่ย รู้แต่ความร้อนมันไหลมารวมที่ใบหน้า จู่ๆร่างกายก็คันยิบขนลุกซู่ขึ้นฉับพลัน

“งั้นก็...” หะ?

จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ ในโสตผมได้ยินเพียงเสียงนี้ เกรทแนบริมฝีปากอิ่มน้ำมาซ้ำๆ ก่อนแทรกลิ้นร้อนเข้ามายังช่องทางที่เผยอน้อยๆอย่างจาบจ้วง ไม่ทวงถามถึงความยินยอมพร้อมใจของผมเลยสักนิด ใบหน้าหล่อเหลาดูเคลิ้มเพ้อก้มแนบดูดดึงกลีบปากบนพร้อมหยอกเย้าเรียวลิ้นอ่อนนุ่มที่พยายามหลบหลีกอย่างสุดกำลังเนื่องจากความไม่คุ้นชิน ตวัดทั่วกวาดโพรงปากไปมา ผมรับรู้ได้เพียงว่าช็อคโกแลตจากในตัวกำลังโดนอีกฝ่ายฉกกินลิ้มรสไป จนในที่สุดผมก็เผลอตอบรับสัมผัสของอีกฝ่ายด้วยเรียวลิ้นอ่อนนุ่มที่ตวัดคลอเคลียกันในโพรงปาก เสียงดูดลิ้น ริมฝีปาก และความเฉอะแฉะของน้ำลาย...ดังก้องอยู่ในหู ก่อนทุกอย่างจะจบลงที่เสียงเคาะประตูซึ่งดังแทรกเข้ามา

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“น้องอิมลูก น้องเกรทมาเหรอจ๊ะ”

พรึ่บ!!

โอ้โห เหี้ย ไวยิ่งกว่ารถไฟเหาะกำลังหมื่นแรงม้า ทะยานขึ้นฟ้าแล้วดิ่งลงมาเหมือนไวกิ้ง...อารมณ์กู...

ผมกับเกรทลุกขึ้นพรวดพราดใช้หลังมือเช็ดปากกันจ้าละหวั่น ลุกขึ้นยืนเหมือนคนแทบเดินไม่เป็นไปหน้าประตู จัดเสื้อแสงหันมองเกรทที่กลับขึ้นมานั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัวเก็บคุกกี้แล้ว ถึงได้เปิดประตู

“ครับแม่” ทุกอย่างเหมือนปกติยกเว้นลมหายใจ...คือผมหอบเข้าใจมั้ย ผมหอบแบบไม่รู้ว่าขาดอากาศหายใจเพราะเมื่อครู่หรือตื่นเต้น

“แม่ซื้อนมสดมา กำลังอุ่นๆเลยไปกินกันเร็ว”

“อะ...ได้ครับเดี๋ยวอีกสักพักพวกผมลงไป”

ปัง!

ผมยืนพิงประตูมองเพดาน มือยังไพล่หลังจับลูกบิดไว้แน่น หอบหายใจอยู่พักใหญ่ ก่อนลดสายตามายังคู่กรณี

“ปะ...ไปกินนมมั้ย” เจ้าตัวที่ดูเหมือนเอ๋อกว่าผมพยักหน้าก่อนตอบด้วยเสียงกระท่อนกระแท่นว่า...

“คะ...ครับ”

...TBC...

++++++++++++++++++++++++++



นมเนิมอะไร...สองคนนี้ดื่มมันไม่เป็นแล้ว

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : กร้าว...ใจ [5-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 07-09-2019 16:14:44
สนุกมากเลยครับ,,,
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : กร้าว...ใจ [5-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 07-09-2019 18:17:58
 :pig4: :hao5: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : กร้าว...ใจ [5-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 07-09-2019 19:29:16
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : กร้าว...ใจ [5-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-09-2019 23:17:03
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิเบส  มัวแต่อมพะนำ  ระวังเถอะ น้ำตาจะเช็ดหัวเข่า
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบ...ก้าวถอยกับอีกหนึ่งก้าวเริ่มต้น [8-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 08-09-2019 21:56:30
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบ...ก้าวถอยกับอีกหนึ่งก้าวเริ่มต้น


“เอาจ้า หนุ่มๆ ดื่มนมเสร็จแล้วค่อยไปนอนนะ”

นอน...วันนี้ผมจะนอนยังไงวะ

พอก้นหย่อนลงตรงเก้าอี้ผมก็ก้มหน้าก้มตาเป่าถ้วยเซรามิกในมือพลางเหลือบมองลอบสังเกตเด็กเกรทเป็นระยะ ท่าทีของคนตัวสูงเปลี่ยนไปนิดหน่อย ต่างจากตอนที่เราเผลอทิ่มปากใส่กันในวันแรก ซึ่งผมบอกไม่ได้ชัดเจนว่าคืออะไร แต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่างในการก้มหน้าเป่าควันจางๆจากไอนมร้อนของฝ่ายนั้น

หรือผมจะคิดไปเองวะ...คงไม่แล้วล่ะ ก็เล่นเอาลิ้นเข้ามาซะขนาดนั้น...

“เชี่ย!!”

“น้องอิม! แม่บอกแล้วไงว่าร้อน ให้เป่าก่อนน่ะ” ทิชชู่ถูกยื่นส่งมาให้ ไม่ใช่ฝีมือใครที่ไหน...ฝีมือเด็กเกรท อีกฝ่ายก็กำลังมองผมอยู่เหมือนกัน

“ขะ..ขอบใจ”

ไปไม่ถูกกันเลยทีนี้ ผมสงสัย สงสัยว่ะ สงสัยที่สุดว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ในหัวถึงทำเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างการ...จู...เออช่างเถอะ มันควรจะแปลกใจตั้งแต่ตอนโดนทำตรงหน้าผากแล้วกับแค่ยัยมายด์เชียร์ไม่เห็นจะต้องไปบ้าจี้ตามเลยนี่หว่า แล้วถ้าเป็นการแสดงออกว่าเราคบกันคนที่ไม่ได้ทำอะไรถึงขั้นนั้นจนก่อนแต่งงานยังมีดาษดื่น แต่นี่ต้องฝืนถึงกับขั้นทำเฟรนช์คิส เพื่อพิชิตความเชื่อใจเลยเหรอวะ

“เกรท”

“ครับ?”

“คุณไม่ต้องทำเรื่องโง่ๆขนาดนั้นก็ได้นะ”

“หา?”

“ผมรู้อยู่แล้วว่ายังไงผมก็เป็นแฟนคุณ” แม่ไม่อยู่หนีไปเก็บครัวผมเลยพูดได้ เด็กเกรทถึงกับร้องจ๊ากนมลวกปากเมื่อผมพูดจบประโยค เห็นอาการไม่ดีเลยรีบโยกตัวไปคว้ากระดาษมาตอบแทนบุญคุณบ้าง แต่ด้วยความหุนหันไม่ระวังเลยทำให้เกรทดึงทิชชู่ที่ผมกำไว้ไปเช็ดปากแทน

“ผม...ทำเรื่องโง่อะไร”

“โง่ตั้งแต่เอากระดาษทิชชู่ผมไปเช็ดแล้วล่ะ!” กระชากกระดาษเหี่ยวๆซึ่งโดนกระทำชำเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าออกมา แล้วปาแผ่นใหม่ใส่หน้าเด็กมัน!






อย่างน้อยก็มีหลักประกันว่าเกรทจะไม่หน้ามืดตามัว เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรอย่างผมเป็นดอกบัวแล้วคิดจะทำอะไรบ้าบอฉลองการเป็นแฟนกันไม่กี่วันของเราในคืนนี้ได้หรอกนะ

ผมยืนมองถุงคุกกี้ที่ถูกผูกริบบิ้นกลับอย่างดีบรรจงวางไว้บนโต๊ะหนังสือ ภายในถุงยังดูหนักหน่วงเพียงพอให้รู้ว่าเจ้าตัวเก็บส่วนที่หล่นในกระเป๋ากลับมาอย่างดีโดยไม่แตะต้องมันสักชิ้น คงรักมากสินะ แต่พอคิดถึงเรื่องที่ใยไหมมีคนรักแล้วก็ให้สงสารเด็กเกรทในพริบตา ช่วยไม่ได้คงต้องปล่อยเวลาให้ช่วยเยียวยาจิตใจ

...แล้วการที่ผมคบกับเกรทตอนนี้มันจะมีประโยชน์อะไรวะ...

คิดยังไงก็คิดไม่ออก หรือต้องการเล่นบทละครให้เนียนกว่านี้ หาวิธีทำให้ผมไม่พอใจแล้วบอกเลิกกันไป...

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ไม่เห็นต้องทำอะไรให้ยุ่งยากเลย ให้ผมบอกเลิกตอนนี้ก็ยังได้

แกร๊ก!

เสียงสลักประตูเปิดออกพร้อมการเดินเข้ามาของอีกฝ่าย ข้างแก้มและรอบปากที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำน้อยๆหลังแปรงฟันเสร็จใหม่ๆกับผ้าขนหนูที่พาดไหล่ถูกยกขึ้นเช็ดปากให้บรรยากาศดูราวกับกำลังเซ็ตฉากถ่ายแบบในสตูด้วยคอนเซ็ปต์ที่ว่าราตรีสวัสดิ์แล้วหลับฝันดีไปกับผม หรือเด็กน้อยทานลูกอมแล้วอย่าลืมแปรงฟันก่อนเข้านอน สาวๆที่ไหนได้เห็นคงหลอนจนอยากอุ้มท้องทำลูกให้

“เกรทเลิกกันมั้ย”

ตุบ!!

หา?

หน้าหล่อๆกลายร่างเป็นเด็กอ๊องในชั่วพริบตา เด็กเกรททำผ้าเช็ดหน้าตกยืนเบิกตาโพลงมองผม

“พะ...พี่อิมว่าไงนะครับ”

เฮ้อ...ช่างเถอะ ไม่เอาแล้วดีกว่า

“เลิกเล่นแล้วนอนเถอะ ผมเพลียแล้ว” ยาแก้แพ้ออกฤทธิ์ดีจนน้ำมูกหยุดไหล แต่กลายเป็นเริ่มระคายเคืองคอแทน ผมควรรีบนอนเผื่อจะได้หายวันหายคืนเร็วขึ้นกว่าชาวบ้านสักนิดก็ยังดี ผมหงายตัวลงฟากที่ชิดกับกำแพง เตียงขนาดสามฟุตครึ่งไม่ใช่กว้างแต่ยังพอนอนเบียดไหล่กันได้ หรือผมคิดผิดที่ไม่เอาฟูกมาปูให้อีกฝ่ายนอนกันวะ ตอนนี้ร่างที่เข้ามาในผ้าห่มถึงได้กึ่งกอดกึ่งช้อนซ้อนตัวผมอยู่อย่างนี้

รู้สึกหันหลังไม่ค่อยปลอดภัยเลยบิดตัวหักไหล่หันมาเผชิญหน้าอีกฝ่าย สัมผัสได้ว่าลมหายใจเกรทใกล้มากและมันกำลังรดหัวผม นี่คงประเมินร่างกายอีกฝ่ายผิด สูงใหญ่ขนาดนี้ให้นอนเตียงสามฟุตครึ่งด้วยกันมีแต่ต้องทำการรวมร่าง...

คิดพิเรนทร์อยู่ในใจแต่ไม่คิดว่าร่างสูงจะทำจริง แขนแกร่งสอดเข้าใต้ตัวผมได้ก็ดึงเข้าหาจนหน้าผมฝังไปยังอ้อมอก...เกินกว่าที่คิดไว้เยอะ บอกเลยว่าเกรทมันเกินกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ!

“เกรท...ผมอึดอัด”

“เปิดแอร์แรงขึ้นมั้ยครับ”

“เกี่ยวอะไร”

“จะได้กอดกันสบายขึ้น”

“หา?”

“ยิ่งอากาศหนาวก็ยิ่งไม่อึดอัดที่จะกอดกัน”

ใช้ทริคนี้เองเหรอ

“ช่างเถอะผมขี้เกียจลุก...แล้วก็...ง่วงแล้ว...”

ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ผมตกเข้าไปอยู่ในห้วงความฝัน





อืด อืดดด อืดดดด

ตึงดือดึ๊งตึ่งดึงดึ๊งดึ๊ง~



มือถือ...

ความเงียบเข้าแทนที่ฉับพลันหลังเลื่อนกดหน้าจอโทรศัพท์ปิดนาฬิกาตั้งปลุก เสียงนกร้อง บรรยากาศเย็นชื้นหลังฝนตกมันดีเกินกว่าจะลุกขึ้นจากเตียง แต่ความว่างเปล่าข้างกายกลับทำให้ผมต้องหยัดกายนั่งมองผืนผ้าข้างตัวด้วยความงงงันบวกกับประสาทยามเช้าที่เดินช้ากว่าปกติจึงคิดอะไรไม่ออก

...เมื่อวาน เหมือนมีอะไรอยู่ตรงนี้...มันคืออะไรวะ...

แกร๊ก!

เสียงประตูดึงดูดความสนใจ ใครถือวิสาสะเปิดเข้ามาแบบไม่ให้สัญญาณเคาะประตูกันแต่เช้า ถ้าผมกำลังเป้าตุงอยู่จะทำไง ด่าอยู่ในใจก็ต้องถอนคำพูด เพราะผู้มาใหม่อย่างเกรทคงไม่ผิดที่จะเดินเข้าห้องแบบไม่เคาะประตูหากรู้ว่าผู้ร่วมห้องยังนอนหลับอุดตุอยู่ภายใน

“ตื่นแล้วเหรอครับ” ผมมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าหงุดหงิดใจกับลักษณะทางกายภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้เลยทำตาขวางใส่คนซึ่งเดินมาใกล้ ร่างสูงใหญ่ดูจะจับสัญญาณไม่ได้เลยแนบหลังมือกับหน้าผากแตะแก้มซ้ายขวาแล้วมองหน้าผม “ดีขึ้นรึยังครับ”

“ใครบอกให้คุณใส่แบบนี้”

“หา?”

“ใครบอกให้คุณนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว เดินโทงเทงไปมาในบ้านแบบนี้ บ้านผมมีผู้หญิงสองคนแม่กับน้อง กับแม่ผมไม่ค่อยเท่าไรเพราะยังไงก็เห็นของผมมาตั้งแต่เด็ก แต่กับน้องสาวผมคุณรู้มั้ยว่ามันไม่เหมาะ”

เอ็ดเป็นชุด ผมรู้ดีว่าการอยู่ร่วมบ้านกับครอบครัวซึ่งมีคนต่างเพศก็ต้องระวังเรื่องกาลเทศะในระดับหนึ่ง ตั้งแต่เกิดผมไม่เคยแม้แต่ทำอะไรสัปดนให้ยัยมายด์เห็นเลยสักครั้ง

“พี่ไม่เคยถอดเสื้อเดินร่อนไปทั่วบ้านเหรอ”

“เคย” อากาศร้อนๆตอนเดือนเมษาฯใครๆก็เคยทั้งนั้น

“ก็ไม่เห็นต่างอะไรกับที่...”

“ต่างดิ ผ้าขนหนูมัดปมหมิ่นเหม่แค่เนี๊ยกระตุกครั้งเดียวก็หลุดแล้ว อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้คุณเข้าใจป่ะ” เหมือนเกรทจะนิ่งคิดไปสักพักแล้วจึงเอ่ยตอบผมพลางกระตุกปมผ้าขนหนูที่เอวเล่นเบาๆ

“นั่นสินะครับ”

“เสื้อชุดนักศึกษาคุณก็เลือกดูเอาในตู้ละกัน” ผมพยักเพยิดไปทางตู้เสื้อผ้าด้านหลังกายสูง

“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมใส่ชุดเก่า ยังพอมีเวลาเดี๋ยวกลับไปเปลี่ยนที่หอ”

“มีเวลา...” ผมเอะใจ ในเมื่อเจ้าตัวมีเวลาแล้วทำไมถึงไม่กลับหอไปอาบน้ำแต่งตัวให้รู้แล้วรู้รอด แถมยังขยันออกไปอาบส่วนกลางกลับมาก็ประกาศว่าจะใส่ชุดเก่าทั้งที่เปียกคราบไคลเหงื่อจนเน่าแล้วแท้ๆ งงกับตรรกะชะมัด นั่งคิดอยู่กับตัวเองสักพักก็เหลือบไปเห็นอีกฝ่ายกำลังรวบเสื้อผ้าชุดนอนที่ผมให้เจ้าตัวยืมใส่เข้ากระเป๋าตนเอง “อันนั้นทิ้งไว้ก็ได้ เดี๋ยวผมซักเอง”

“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมเอากลับไปซักแล้วเอามาคืน” เห็นความดื้อเพ่งของอีกฝ่ายก็ชักจะทนไม่ไหว ผมรีบลุกไปจับยื้อไว้กับมือ “เฮ้ยพี่อิม!”

“จะเอาไปให้ยุ่งยากทำไมวะ เดี๋ยวทางนี้ก็ซักอยู่แล้ว”

“ผมฝันเปียก”

พรืด...

ผมปล่อยกองผ้านั้นออกจากมือทันที...


แค่คืนเดียวทำไมรู้สึกประสบการณ์ระหว่างผมกับเกรทมันถึงได้เพิ่มพูนขนาดนี้วะ










ผ่านมาสองสามวันหลังจากเกรทมาค้างห้อง ทุกอย่างดูเหมือนปกติ...ปกติในแง่เหมือนย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ห้องแชทของเกรทถูกดันตกลงไปด้านล่างเรื่อยๆ ไร้การติดต่อ ขาดการพบหน้า หายไปแบบไม่ลามาไหว้อยู่สามวัน

“เลิกกันแล้วแน่ๆเลย” สะดุ้งโหยงเหมือนโดนจี้ใจดำจนต้องหันไปทางต้นเสียง ที่แท้ยัยข้าวฟ่างกำลังมองเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ห่างออกไป ช่วงนี้ยัยดาวดูไม่ค่อยสดใสเหมือนมีอะไรกลุ้มใจอยู่เนืองนิตย์

“หมายถึงกับพี่สิงเหรอ” เบสมันถาม

“ชั้นว่าใช่ ไม่งั้นจะอึนได้ขนาดนี้เหรอวะ” ผมรีบลุกจากเก้าอี้เดินเข้าไปหาเพื่อนดาวที่ไม่ยอมเข้ากลุ่มพลางยื่นลูกชิ้นปิ้งเสียบไม้เลื่อนไปให้ตรงหน้าก่อนทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม

“ทานอะไรหน่อยเหอะดาว”

“ไม่ล่ะแกชั้นไม่หิว” เธอดันถาดกระดาษที่ราดน้ำจิ้มท่วมลูกชิ้นเสียบไม้กลับ ผมได้แต่มองสลับหน้าไอ้ดาวกับเจ้าลูกกลมอยู่นาน

“ร้านนี้ลูกชิ้นปิ้งที่แกชอบไปต่อแถวซื้อเชียวน้า วันนี้กูไปยืนต่อแล้วได้แถมมาไม้นึงเพราะเขาเห็นว่ารอนาน กูกินไม่หมดเลยกะให้แกช่วย แต่ถ้าไม่มีใครกินกูคงต้องทิ้ง” ผมยกถาดลุกขึ้นทำท่าจะไปปาทิ้งลงถังขยะ แต่สะดุดกับคำทัดทานของไอ้ดาวที่โพล่งขึ้นมากะทันหัน

“เฮ้ยเดี๋ยวไอ้อิม!” สีหน้าตื่นวิตกตอนผมตั้งท่าจะปาลงทำเอาอดกลั้นขำไม่ได้ “เดี๋ยวชั้นกินเอง” ผมยิ้มออกมาน้อยๆก่อนเดินกลับไปหา ยัยดาวคว้าถาดในมือผมไปกอดไว้อย่างหวงแหน

“เหอกอดซะ นี่ถ้าไม่บอกว่าลูกชิ้นกูคงนึกว่าลูกมึง คลอดออกมาเป็นต่อนๆเป็นเม็ดๆ”

“อิมแกอย่าพูด ชั้นจินตนาการเป็นอย่างอื่นมากกว่าการคลอดลูก” เห็นเพื่อนเลิกเป็นใบ้ผมก็ดีใจ ไอ้ดาวละเลียดละไมลองลิ้มชิมรสลูกชิ้นเจ้าประจำ สีหน้าดูสดชื่นขึ้นเหมือนได้รับการเยียวยาจากน้ำจิ้มรสเด็ดกับเนื้อหมูแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์

“อร่อยมั้ย”

“แหงอยู่แล้ว” เห็นแกยังกินอาหารอร่อยกูก็ดีใจ “มาปลอบใจชั้นเหรอ” สายตาดาวเหลือบขึ้นมามอง ผมถึงกับส่ายหัว

“เปล่า มาขุนเพื่อน กลัวเพื่อนผอมแล้วสวยจนมีคนมาจีบ ขี้เกียจเป็นไม้กันหมา” ยัยดาวจิ๊ปากทำท่าจะเอาไม้เสียบลูกชิ้นตี ผมได้แต่หัวเราะมองท่าทีที่ดีขึ้นของเพื่อน แต่จู่ๆเธอก็ค้างไม้นั้นกลางอากาศพลางลดมือลงอย่างเชื่องช้าสีหน้าดูเปลี่ยนไป

“อิม...ถ้าเป็นแกก็ดีสินะ”

“อะไร จะมาดราม่าอะไรอีกล่ะ” ผมหัวเราะดึงไม้เปล่าออกจากมือเธอเสียบลูกชิ้นขึ้นมาป้อนเข้าปากตนเองบ้าง

“ทำไมคนเราต้องหลงรักคนที่ดูเหมือนจะไม่สมหวังด้วยวะ”

“...” สะกิดใจอยู่เล็กๆ แต่ผมทำเป็นนิ่งค่อยๆเคี้ยวลูกชิ้นกลบเกลื่อน “ก็อาจจะเป็นเพราะคนเราชอบความท้าทายที่ไม่ได้อะไรมาง่ายๆล่ะมั้ง”

“ดูอย่างแกสิ น้องเกรทมาสารภาพรักก็คบ ต่างคนต่างก็ลงเอยด้วยดี แต่ทำไมกับชั้นถึงจะต้องไปชอบคนที่ดูเหมือนไม่มีวันจะหันมาชอบชั้นได้วะ” ดาว...แกไม่รู้หรอก ว่ากูก็ชอบคนที่ดูเหมือนจะไม่มีทางหันมารักกูอยู่เหมือนกัน ผมหันสายตาไปปะทะกับไอ้เบสที่มองมาอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว ก่อนหลบเลี่ยงกลบเกลื่อนสนใจเพื่อนข้างตัว

“พี่สิงเหรอ”

ยัยดาวพยักหน้าเบา

“ไหนแกบอกว่าเป็นแฟน”

“ตอนนั้นชั้นก็พูดไปเรื่อย แค่อยากอวดน่ะ พี่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร คิดว่ารุ่นน้องหยอกเล่นขำขำ แต่ใครจะรู้ว่าชั้นจริงจัง”

“แล้วแกเคยบอกเขารึยัง”

“เคยแล้ว แต่พี่สิงเขาเป็นคนดัง การคบกันเป็นอะไรที่ยาก สถานะชั้นมันไม่ชัดเจนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พอจะทำอะไรหึงนิดหึงหน่อยก็ได้เป็นเรื่อง สุดท้ายฝ่ายที่ทนไม่ได้ก็คือทางนี้เลยตัดใจบอกเลิกไป แล้วไงล่ะบอกเลิกเขาไปแท้ๆ แต่ก็ต้องมาเศร้าซะเอง แต่ชั้นเบื่อแล้วล่ะกับการที่ต้องคอยมานั่งตามตื๊อตามหวง”

นับถือใจแกเลยดาว การกล้าที่จะพูดความในใจแล้วเจ็บเพื่อจบไป มันอาจจะดีกว่าการต้องมานั่งเห็นเขามีความสุขกับแฟนอยู่ทุกวัน เจ็บน้อยๆแต่ช้ำๆไปเรื่อยๆแบบนี้ก็ได้ ผมมันคนขี้ขลาดไม่กล้าพอกับการกระโดดเข้าไปเผชิญกับแผลใหญ่ กลัวเจ็บปางตายจนทนไม่ไหว เลยสร้างเกราะป้องกันภัยแล้วเอาแต่หลบตนเองอยู่ในนั้น

“กูหวังให้สักวันแกได้เจอรักแท้นะ” ผมจับไหล่เพื่อน ยัยดาวบิดปากทำท่าจะร้องไห้โฮออกมา

“ทำไมชั้นไม่ชอบแกวะไอ้อิม แกออกจะน่ารักน่าเอ็นดูแล้วก็เทคแคร์เก่งขนาดนี้ ทำมายยยยวะทำมายยย” ไอ้ดาวลุกพรวดพราดกระโดดมากอดคอผม ลากหัวไปซุกนมแบนๆของมัน เอาอีกแล้วท่านี้ไม่ชอบเลยว่ะ ทำบ่อยๆจนผมต้องรับผิดชอบแต่งงานกับยัยดาวเข้าสักวันรึเปล่าวะ แต่ห้ามเพื่อนไม่ได้ไงมันกำลังเศร้า

“พอพอปล่อยเลย ไอ้ดาว” เสียงทุ้มของเพื่อนดังขัด ก่อนที่มือใหญ่ของมันจะมาดันหัวเพื่อนสาวให้ตัวหลุดออกไป “เป็นสาวเป็นนางมากอดผู้ชายกลางที่สาธารณะใครรู้ใครเห็นได้เป็นข่าวเสียๆหายๆหมด”

“กลัวดาวเสียหาย หรือกลัวอิมเสียหายกันแน่จ๊ะ คุณเบส”

“...!”

เอาอีกแล้วประเด็นนี้ ทำไมเพื่อนตัวดีของผมชอบยกประเด็นมาให้กลุ้มหัวใจกันได้ตลอดวะ

“แหงล่ะ ก็ต้องกลัวแกเสียหายดิ ถามได้” ผมตีแขนไอ้ดาวมองหน้าไอ้เบสที่ไม่มีท่าทีล้อเล่นอย่างนึกกลัว

“นั่นสิน้า หนุ่มเนื้อหอมอย่างคุณเบสจะมีปัญญามาสนอะไรพวกเราได้ล่ะจริงมั้ย”

“พูดบ้าอะไรของพวกแกฮะไอ้ดาว”

“ฟ่าง แกเอาของที่อยู่ในกระเป๋าเบสมันออกมาดิ๊”

เหมือนรู้งานฟ่างที่นั่งแสตนด์บายตรงที่เดิมอยู่นานล้วงเข้ากระเป๋าข้างไอ้เบสได้ก็เขวี้ยงบางอย่างมาตรงโต๊ะพวกเรา จังหวะรับส่งเพื่อนสาวสองคนช่างแม่นเหมาะคนนึงปาอีกคนนึงก็รับไว้ก่อนวางมันลงบนโต๊ะ

...นี่มัน...

“เชี่ยพวกแกทำอะไรวะ” ไอ้เบสจะคว้ามันไว้ แต่โดนดาวฉวยกลับไปอย่างเก่า

“อย่าคิดว่าชั้นกำลังเศร้าแล้วไม่รู้ไม่เห็น สกิลหูตาสับปะรดของชั้นยังใช้ได้อยู่เว้ยคุณเพื่อน ขนมใครซุกในกระเป๋ามาตั้งแต่เช้าแล้ว ผูกโบว์กระจุ๋งกระจิ๋งน่ารักน่าเอ็นดูเชียว แฟนให้ไม่อยากแบ่งใครก็บอกมาดิไอ้เบส ไม่เห็นต้องทำงุบงิบซ่อนอยู่แต่ในกระเป๋าไม่เอาออกมาโชว์เลย เห็นอย่างนี้แล้วหมั่นไส้ แบบนี้มันต้อง” ไอ้ดาวแกะโบว์ดึงขนมออกมาหนึ่งชิ้นงับเข้าปาก

“เชี่ยดาว” เสียงไอ้เบสร้องห้าม แต่สายไปซะแล้ว ไอ้ดาวกินหมดคำไม่สนสี่สนแปดใดใด และไม่...มันไม่จบแค่นั้น ไอ้ฟ่างที่เดินมาเสริมทัพก็ดันไอ้เบสจนเซก่อนทำพฤติกรรมเดียวกับเพื่อนหยิบขนมสีคุ้นตาขึ้นมาลองลิ้มชิมรส ผมที่นั่งตกใจจะเอ่ยปากห้ามเพื่อนให้เลิกแกล้งมีอันต้องโดนมือยัยดาวยัดขนมอีกชิ้นเข้าปาก

...เหี้ย...รสชาตินี้มัน...

“เชี่ยเบส แฟนแกทำขนมโคตรอร่อย”

“เออจริง” ไอ้ดาวกับข้าวฟ่างเคี้ยวขนมหนุบหนับแก้มตุ่ยบ่นอุบเป็นเสียงเดียวกัน ส่วนผมนั้น...

“พวกมึงกูไปหาแฟนก่อนนะ”

ลุกพรวดพราดไปจับสายกระเป๋าแล้วเดินหนีออกมาทันที

...บ้าไปแล้ว...ไม่จริงน่า...เรื่องบ้าๆแบบนี้มันเกิดขึ้นมาได้ไงวะ...






อ้างว่ามาหาแฟนแต่ผมก็เดินเคว้งอยู่นาน ตะลอนไปทั่วโรงอาหารแวะลามถึงศูนย์หนังสือวนรอบตั้งแต่หนังสือเด็กไล่ไปยังเตรียมการอย่างไรให้พร้อมก่อนตั้งท้องไม่พึ่งประสงค์

“อิมเมจ”

เหม่ออยู่ดีดีเสียงหนึ่งเหมือนคุ้นอยู่ในทีดังแทรก ผมตามหาที่มาจนตาไปสบกับร่างเล็กของหญิงสาวคนนึงที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“ใยไหม”

“มาซื้อหนังสือเหรอ” เธอเดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มก่อนหยุดสายตาลงที่ชั้นหนังสือ “อิมเมจไปทำใครท้องเข้าให้ล่ะ”

“ฮึ่ย พูดอะไรน่ะ”

“ก็มายืนแถวชั้นหนังสือแนวนี้ไม่ให้คิดได้ไง” ผมมองลงไปที่ชั้นแล้วได้แต่ลอบถอนหายใจ

“ผมจะไปทำให้ใครท้องได้”

“เกรทเหรอ” เธอหัวเราะขำแบบกลั้นไม่อยู่ เอาจริงนะถึงทำได้ผมว่าคนที่ท้องน่าจะเป็นผมมากกว่าคนหื่นอย่างเจ้าเด็กเกรท “เออ เกรทเขาดีขึ้นรึยังล่ะ”

“หา?” เป็นคำถามที่อยู่เหนือความคาดหมายของผม สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจไม่ใช่การที่ใยไหมถามถึงเกรทแต่เป็นเนื้อความที่เธอถามกับผมต่างหาก

“เอ๊า เดี๋ยวนะนี่อิมเมจไม่รู้เรื่องเหรอ”

“เรื่องอะไร ผมไม่รู้ เกรทเป็นอะไร” ตั้งแต่วันนั้นไปก็หายสาบสูญแล้วคิดเหรอว่าผมจะรู้ความเป็นไป

“สองวันก่อนเดินสวนกันพอดีเลยมีโอกาสทักอาการดูก็ยังไม่แย่อะไรมากนะ แต่หลังจากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลย ปกติไหมจะเจอเกรทอยู่ตรงหน้าห้องที่เรียนประจำทุกวันจันทร์ถึงพุธไง แต่ก็แปลกใจที่เจอแต่กลุ่มเพื่อนเขา” ผมเคยสงสัยว่าเกรทปฏิสัมพันธ์กับใยไหมได้ไงทั้งที่อยู่ต่างคณะ แต่มาวันนี้ผมรู้แล้ว วิชาที่เจ้าตัวเรียนมักจะทำให้ได้เจอกับใยไหมจนกระทั่งฝ่ายชายตกหลุมรักในตัวหญิงสาว แล้วอย่างนี้ที่ใยไหมบอกว่าเกรทหายไป...

...คราวนี้ผมคงต้องไปหาแฟนจริงๆแล้วล่ะ...

“ใยไหมขอโทษด้วยนะ ผมพึ่งนึกได้ว่ามีธุระ”







หอเกรทผมมาเป็นครั้งที่สอง ระบบความปลอดภัยอยู่ในระดับดีเยี่ยมพอพอกับคอนโดมีเนียมราคาแพง ก่อนผมจะเดินทางมาได้ส่งข้อความหาเกรทแล้ว แต่ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะอ่าน เพราะเราสองคนต่างไม่มีใครเริ่มส่งข้อความหากันก่อนตั้งแต่วันนั้น

พื้นที่โซฟาที่รับรองแขกด้านล่างกลายเป็นที่นั่งปักหลักของผม จ้องมือถือปนกับมองผู้คนที่เดินผ่านไปมาและได้แต่ภาวนาว่าเจ้าหน้าจอ ‘Greatเทศ’ จะขึ้นคำว่า ‘อ่านแล้ว’ สักที รออย่างไม่มีความหวัง หรือจะโทรยิงเข้าไปก่อน แต่ถ้าเจ้าตัวกำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ล่ะ อย่างนี้ไม่เท่ากับเป็นการไปรบกวนคนป่วยอย่างงั้นเหรอ

คนเดินผ่านเข้าตัวตึกไปมา บ้างก็ใส่ชุดนักศึกษา บางคนผมก็คุ้นหน้าอยู่เล็กๆ เหมือนเป็นเด็กกิจกรรมในมหา’ลัย หรือตัวเต็งทำอะไรสักอย่าง แต่ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวผมเลยได้แต่มองผ่านไป

“อ้าว พี่อิมเมจป่ะเนี่ย”

“...” แต่จู่ๆกลับมีใครไม่รู้เดินเข้ามาทัก ใครวะ ไม่ยักจะคุ้นหน้า

“มาหาไอ้เกรทมันเหรอครับ มันยังไม่กลับห้องหรอก นู้น ป่านนี้เวลาเดินตลาดหาข้าวแดกของมัน”

“...”

“พี่อิมเมจ?”

“ใครอ่ะครับ” จบประโยคคำถามคนตรงหน้าหัวเราะร่วนก่อนหันไปทางด้านหลัง “เฮ้ยไอ้นัท พี่เขาจำกูไม่ได้ว่ะ ไอ้เกรทแม่งนิสัยเสียมีแฟนแล้วไม่รู้จักเอามาแนะนำเพื่อน”

นัท? คุ้นแฮะ ผมหันศีรษะไปมองตามเสียงเรียก ปรากฏเด็กชายร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตขาวแขนยาวกางเกงสีดำสะพายกระเป๋าเป้พาดบ่าข้างเดียวเดินเข้ามาหา ผมรู้ทันทีว่าเขาเป็นใคร

“พี่อิมเมจ?”

เชี่ยนี่มันเพื่อนเกรทนี่หว่า

“มาได้ไงเนี่ย นัดไอ้เกรทไว้เหรอ”

“นัดกับไอ้เกรทหรือนัดกับไอ้นัท มึงพูดให้ชัดกูสับสน”

“เชี่ยไลค์กูจะเกลียดชื่อมึงก็วันนี้แหละ แฟนเพื่อนมึงอย่าเล่น”

“ว่าแต่พี่อิมเมจมาหามันจริงป่ะเนี่ย” ทั้งสองคนจ้องหน้าผม กับคนแปลกหน้าให้มาสนทนาด้วยอึดอัดพิลึก ผมไม่ได้สนิทกับใครง่ายเหมือนอย่างเด็กเกรทด้วยสิ เลยทำแค่พยักหน้าใส่

“ไอ้เกรทวันนี้มันก็ลา แต่ป่านนี้คงไปหาอะไรแดกแหละ พี่ไม่โทรเข้ามือถือมันล่ะ”

“เห็นว่าป่วยกลัวนอนอยู่แล้วโทรไปรบกวน” สองคนทำตาโตหันไปมองหน้ากัน

“กูชักอิจฉาไอ้เกรทแล้วดิ”

“มีแฟนโคตรใส่ใจ”

ส่วนผม...เป็นบ้าอะไรของพวกมึง...คอมม่อนเซ้นส์เปล่าวะ คนนอนหลับอย่ารบกวน...เอ๊ะหรือว่าคนอื่นจะไม่คิดแบบผม...

“แล้วถ้าพี่ไม่โทรไปพี่ก็จะรอมันอย่างนี้เหรอ”

“คนเราเดี๋ยวหิวต้องลงมาหาของกินอยู่แล้ว”

“พี่ไม่คิดว่าในห้องมันจะมีตู้เย็นบ้างเลยเหรอ”

เออ...ลืมนึกไปเลย...

“เอาเถอะ ผมก็รอแค่ถึงจุดจุดนึงแล้วถ้าเห็นไม่ลงมาสักทีก็คงกลับ”

“จุดๆนึงของพี่มันถึงเมื่อไรกันล่ะ”

“หนึ่งทุ่ม?”

ผมส่ายหัว

“สองทุ่ม?”

นานกว่านั้น วันก่อนเกรทยังยอมกลับบ้านดึกเพื่อเฝ้าไข้ผมได้เลย

“สามทุ่ม?”

“คงจะสักสี่ทุ่ม รถไฟฟ้าหมดเที่ยงคืนก็จริงแต่ผมต้องต่อรถเมล์ไปก่อนถึงรถไฟฟ้า ถ้าสักสี่ทุ่มก็ยังพอมีกลับบ้านได้”

“เกรท...มึงจะปล่อยให้พี่เขารอจนถึงสี่ทุ่มเลยเหรอวะ”

“...” จบคำเหมือนเพื่อนสองคนไม่ได้ถามคำถามกับผม แต่มันมองเลยไปด้านหลังเหมือนมีใครบางคนกำลังยืนอยู่

“กลับบ้านเกินสี่ทุ่มแม่พี่จะว่าเอาไม่ใช่เหรอ” ผมสะดุ้งหมุนตัวไปมองเจ้าของเสียงด้านหลังทันที เกรทในสภาพเสื้อยืดหลวมสบายตัวกับกางเกงขาสั้นแบบคนทำตัวอยู่กับบ้านกำลังยืนถือถุงก๊อปแก๊ปพะรุงพะรังสองข้างมองตรงมา

ก็ดูสบายดีนี่...ใยไหมพูดอาการของอีกฝ่ายเว่อร์วังอลังการไปมั้ยวะ

“เกรท...คุณ สบายดีมั้ย”

“...”

“ทำไมกูเหมือนกำลังยืนอยู่คลาสภาษาอังกฤษยืนเคารพอาจารย์ที่กำลังทักแอมฟายแต้งกริ้วแอนด์ยูเลยวะ”

“เกรทควายชิทดาวน์พลีส”

“เอาชื่อมึงไปใส่แทนเลยไอ้ควายไลค์” ร่างสูงชะโงกไปด่าด้านหลังก่อนก้มมองหน้าผม “สบายดีหนิครับ พี่อิมต่างหากหายดีรึยัง”
“ไม่ได้เป็นหวัดเรื้อรัง ภูมิต้านทานต่ำขนาดนั้นซะหน่อย ตอนนี้ผมหายแล้วล่ะ”

“แต่เชื้อพี่แรงมากเลยนะทำเอาผมล้มเลย”

“...” สี่คนเงียบลงโดยมิได้นัดหมาย ผมมองตาเกรท เหงื่อเริ่มตกกับประโยคใสใสที่ร่างสูงพูดมาแบบไม่คิดอะไร แต่ไอ้คนที่เหลือเนี่ยดิ!!

“เชี่ยเกรทแม่งไวไฟ”

“สัดกูก็นึกว่าไปตากฝนที่ไหน ที่แท้แม่งก็เอาไข้มาจากแฟน”

ไอ้เหี้ย อย่ามาฉลาดกับเรื่องพวกนี้ได้มั้ยวะ

“พวกมึงอย่าแซวได้มั้ยวะ ทานอะไรมารึยังครับ” ท้ายประโยคเปลี่ยนเรื่องหันมาถามผม

“ยัง...”

“ยังครับ ผมอยากทานเกรทอ่ะครับ ให้ผมทานคุณคืนนี้เลยได้มั้ยเอ่าะ”

“เชี่ยไลค์” ไอ้ตัวสูงมันทำท่าจะปาถุงแกงใส่เพื่อนผมถึงต้องรีบห้ามไว้

“ผมมาหาแค่นี้แหละ คุณไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ผมกลับล่ะ”

“เฮ้ยพี่อิม!” ข้อแขนโดนจับรั้งไว้ เด็กเกรททำท่ากึ่งง้องอนเกินความคาดหมาย “อย่าไปฟังไอ้พวกบ้านี้มันพูดเลย อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนนะครับ”





ต้มแซ่บกระดูกหมูอ่อน กับข้าวเปล่าสามถ้วย ตบท้ายด้วยขนมครกหน้าสารพัด สาบานว่านี่คืออาหารคนหลังป่วย

“ตอนนอนซมไม่ค่อยได้กินอะไร พอหายเลยอยากมาก สั่งเยอะไปหน่อย พอดีเลยที่พี่มา”

“ชวนอีกสองคนนั้นมากินด้วยกันก็ได้นี่”

“ไอ้พวกนั้นวันนี้มันมีดื่มกัน พวกมันไม่มากินกับผมหรอก”

เจ้าตัวจัดทุกอย่างใส่ชามและจานพร้อม พลางวางช้อนส้อมให้ฝั่งแล้วย้ายตัวลงนั้นข้างๆกัน

“กินนี่ อันนี้ร้านเด็ดเลย แซ่บจัด ซดทีเลือดลมไหลเวียนดีนักแล”

ผมมองหน้าคนกระตือรือร้นยิ่งกว่าบุคคลที่ตั้งใจมาเฝ้าคนป่วย จนเกรทเอะใจสังเกตเห็น

“พี่อิม...มีอะไรจะพูดกับผมรึเปล่า”

“เกรท”

“ครับ” น้ำเสียงผมคงฟังดูจริงจังเกินเหตุ เด็กเกรทถึงกับวางช้อนแล้วนั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัว

“ทีหลังไม่เอาแบบนี้แล้วนะ เป็นห่วงว่ะ”

ห่วงหลายเรื่องเลย ทั้งเรื่องที่จู่ๆก็หายไป จู่ๆก็ป่วย แล้วไหนยังจะมีเรื่องใยไหมกับ...ไอ้....

เนื้อที่ติดกระดูกหมูอ่อนชิ้นโตถูกตักใส่จานผม บางอันก็โดนเลาะกระดูกออกจนเกลี้ยงเกลา ผมเงยขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาที่ปรากฏยิ้มอ่อนจางๆ

“งั้นก็ต้องทานข้าวเป็นเพื่อนผมเยอะๆนะครับ อย่าทำให้ผมเป็นห่วงเพราะพี่ไม่กินข้าวจนไม่สบาย”

“...”


..ทำไมหลังจากที่ผมก้าวถอยหลังออกห่างจากเบสแทบเป็นแทบตาย แต่ผมกลับได้อีกหนึ่งก้าวที่ทำให้หัวใจร้อนผ่าวแบบแปลกๆ...ได้ล่ะวะ...


...TBC...

+++++++++++++++++++++++++++




จูบเขาไปเป็นไงล่ะสมน้ำหน้า นอนซมไปสี่ซ้าห้าวันซะ!!

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ รู้สึกมีกำลังใจในการแต่งขึ้นอีกร้อยล้านเท่า

ขอบคุณทุกคอมเมนต์คำชม คำขอบคุณ และคอมเมนต์เนื้อเรื่อง ขอบคุณจากใจค่า

หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบ...ก้าวถอยกับอีกหนึ่งก้าวเริ่มต้น [8-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 09-09-2019 00:31:00
เกรทต้องแอบจุ๊บๆตอนอิมเมทหลับด้ยแน่ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบ...ก้าวถอยกับอีกหนึ่งก้าวเริ่มต้น [8-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-09-2019 04:08:01
 :pig4: :pig4: :pig4:

ชักสงสัยพฤติกรรมของเจ้าเบสกับไยไหมซะแล้วสิ

สงสัยตกลงวางแผนกันเพื่อให้นู่อิมหึง

สุดท้ายอิเบสแห้วแน่
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบ...ก้าวถอยกับอีกหนึ่งก้าวเริ่มต้น [8-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-09-2019 12:24:44
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบ...ก้าวถอยกับอีกหนึ่งก้าวเริ่มต้น [8-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 10-09-2019 23:10:21
หมายถึงอะไร มันต้องมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอยู่แน่ๆเลยครับ,,,
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบ...ก้าวถอยกับอีกหนึ่งก้าวเริ่มต้น [8-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: i.am.wee ที่ 11-09-2019 05:04:49
เรื่องมันจะเป็นยังไงต่อไปน้า...ใยไหมกับเบส...อิมเมทกับเกรท...หรือ...ใยไหมเกรท...อิมเมทเบส
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบเอ็ด...คนตะลุมบอล [11-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 11-09-2019 22:36:42
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบเอ็ด...คนตะลุมบอล


“น้องอิม แม่ว่าจะถามเลย” ผมเงยขึ้นมองหน้าแม่ขณะที่กำลังเล่นโทรศัพท์อยู่ตรงโซฟาหน้าทีวี โดยมีพ่อนั่งดูข่าวภาคค่ำอยู่ข้างๆ

“ครับ?”

“ผ้าขนหนูผืนยาวๆนี่ของลูกใช่มั้ย”

“ผ้าขนหนู?” ไม่ปล่อยให้สงสัยนาน แม่ผมยกผืนผ้าสีแดงแทรกลายตัวอักษรสีขาวภาษาอังกฤษซึ่งพับเรียบร้อยอยู่ในมือขึ้นมา

“ผืนนี้น่ะ” ของใครทำไมลายคุ้นๆ จ้องอยู่สักพักจึงเขย่งตัวจากโซฟาด้วยขาข้างเดียวไปคว้าสิ่งที่อยู่ในมือมารดามา

...นี่มัน...

“ของผมเอง แม่” มองแบรนด์บนผืนผ้าปราดเดียวรู้ทันทีว่าของใครและได้มาตอนไหน ผมรับมันไว้กับตัว เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายืมมาในวันฝนตกแล้วยังไม่มีโอกาสคืน จนป่านนี้จะมาคิดว่าเจ้าตัวมีใช้หรือไม่คงสายไปเสียแล้ว แต่ขึ้นชื่อว่ายืมของคนอื่นมายังไงก็ต้องส่งมันกลับเจ้าของ และก่อนอื่นต้องหาทางไปพบเจ้าตัว...

‘จากนี้ไปผมจะเปิดแจ้งเตือน...แค่เฉพาะกับพี่ละกันนะครับ’

“...”

คำพูดสะกิดใจผุดขึ้นในห้วงความทรงจำ วันที่เกรทลาป่วยสองสามวันผมบากบั่นปั้นหน้าไปหาเจ้าตัวแล้วเผลอหลุดคำตำหนิกล่าวขานออกไป จนพึ่งมาเข้าใจสาเหตุว่าทำไมเกรทถึงไม่อ่านข้อความ ไม่ใช่เป็นเพราะคนส่งสารแต่คนรับข้อความต่างหากที่เป็นปัญหา เจ้าตัวไม่สนใจเลยว่าใครจะเป็นตายร้ายดียังไง สนแต่ทักเขาไปคนนั้นจะต้องตอบ มันเลยเป็นที่มาของการที่ข้อความส่งไปสามชาติกว่าแต่ไม่แสดงว่า ‘อ่านแล้ว’ ไงล่ะ

วันก่อนที่ทักไปแล้วเจ้าตัวสนใจ นั่นถือว่าใช้แต้มบุญไปมากเลยสินะ แต่ความจริงแล้ว...

...ไม่ต้องเปิดแค่เฉพาะของผมก็ได้นี่หน่า...

ถ้าไม่สนใจ ก็ไม่ต้องเปิดให้หมด ถ้ามีธุระสำคัญเดี๋ยวก็โทรไปหาเอง ไม่เห็นต้องทำให้ผมดูพิเศษขึ้นมาก็ได้

“หวงขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ฮะ?”

ผมประหลาดใจที่แม่เอ่ยทักขึ้นมาพลางส่งสายจามาตรงหมอนอิงนุ่มนิ่มประดับโซฟาที่ผมกอดอยู่ ผ้าสีแดงซึ่งรับมาจากแม่ถูกวางพาดไว้ โดยมีผมแนบปากลงไปงึมงำใส่มัน รู้สึกกระดากแปลกๆจนต้องยกหน้าขึ้นหยิบผ้ามาเล่นกับมือ

“หวงอะไร ไม่ได้หวง”

“รสนิยมน้องอิมเปลี่ยนไปนะ เดี๋ยวนี้ชอบแนวสตรีทโย่วว๊อทซับตั้งแต่เมื่อไร” แม่ทำท่าเดอะแร๊ปเปอร์ใส่พลางฉวยปลายผ้าสีแดงหอมฟุ้งกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ผมจับไว้มาลูบเล่นกับปลายมือ

“ตั้งแต่เมื่อเดือนก่อนไงคะแม่” เสียงยัยมายด์นั่งเล่นมือถืออยู่ตรงโต๊ะทานข้าวพูดแทรกขึ้นมาพลางยิ้มล้อ เหมือนแกจะรู้สไตล์ว่าคนแบบไหนที่อยู่ใกล้ผมแล้วใช้ของแบบนี้

แต่ท่าทีหรี่ตาพลางร้อง ‘อ๋อ’ ของแม่ซึ่งตามหลังมามันหมายความว่ายังไงครับ

“ไม่ได้ชอบหรอกครับ” ก่อนโดนรุมโจมตีจนแพ้พ่าย ผมรีบบ่ายหน้าลุกขึ้นสืบเท้าไปถึงบันได ปล่อยสายตาสงสัยทิ้งไว้ด้านหลัง ขึ้นมายังชั้นสอง เปิดประตูห้องนอนแล้วปิดฉับลงทันที

“ไม่ได้ชอบสักหน่อย” ผมยืนมองผืนผ้าสีแดงนั้นนิ่งนาน

...แค่บังเอิญคนที่ผ่านไปตอนนั้น และยืนอยู่ตรงนั้น ดันเป็นผม เท่านั้นเอง...

“ใช่มั้ยวะ เกรท”

พูดชื่อเลยนึกใบหน้าขึ้นได้ ผมยังไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำเลยนี่หว่า พอรู้ตัวเลยรีบคว้าโทรศัพท์มากดอัดข้อความลงไป



<Greatเทศ


เกรท


ครับ


ผมสะดุ้ง คำว่า ‘อ่านแล้ว’ ขึ้นไวไม่พอแถมเจ้าตัวตอบกลับมาราวกับว่าเปิดหน้าจอไว้ตลอด


พรุ่งนี้พอมีเวลารึเปล่า


มีอะไรรึเปล่าครับ


ผมจะเอาผ้าขนหนูที่ยืมคุณมาไปคืน


ผ้าขนหนู?


อันที่สีแดงลายSupreme
ที่คุณเคยให้ผมยืมมาตอนวันฝนตกไง


อ๋อ


‘แต่ถ้าไม่สะดวกไว้คราวหน้าก็ได้นะ...’ ผมกำลังพิมพ์อยู่แต่คู่สนทนากลับตัดบทขึ้นมาก่อน


พรุ่งนี้พี่มาหาผมที่สนามกีฬาตอนห้าโมงเย็นได้มั้ย
ผมนัดมีเตะบอลกับเพื่อน
พอดีเลย
จะได้เอาผ้าขนหนูไปใช้



สนามกีฬา? หมายถึงสเตเดียมอย่างงั้นเหรอ...ไม่ไกลจากคณะเท่าไรน่าจะพอไปได้


ได้ เดี๋ยวผมไปหา


ครับ
*สติ๊กเกอร์...*



เด็กเกรทตอบมาสั้นๆ แต่พอสติ๊กเกอร์ขึ้นมาเท่านั้น ผมแทบสะดุ้ง

...ไอ้เหี้ย...อารมณ์ไหนเนี่ย...


เจ้าคุกกี้สีน้ำตาลกำลังส่งจูบเป็นรูปหัวใจให้ผมรัวๆ









...ให้มันได้อย่างนี้ดิ...


ภาพตรงหน้าทำให้ผมยืนค้างอยู่ที่เก่า ค้างอยู่ตรงนั้นแบบทำอะไรไม่ถูก ตั้งแต่เรื่องคุกกี้เมื่อคราวก่อนแล้ว ผมก็ว่ามันกลิ่นทะแม่งทะแม่งมาตั้งแต่ตอนนั้น แต่ไม่นึกว่าคนสำคัญของผมจะไปลงเอยกับคนที่ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่อาจคิดได้ว่าจะมาบรรจบกันได้

ใยไหมกับไอ้เบส...

ผมเห็นสองคนลงมาจากรถของเพื่อนสนิทผม ยามเมื่อจอดนิ่งอยู่กลางลานกว้าง ต่างฝ่ายต่างเดินตามกันมุ่งหน้าไปยังตึกเรียน ความรู้สึกเหมือนคลื่นเหียนวิงเวียนอยู่ในหัว ผมทำตัวไม่ถูกเมื่อรู้ว่า ‘เพื่อนสนิทคนสำคัญ’ มีบางอย่างกับ ‘คนที่แฟนผมกำลังชอบ’

เฮ้ยมันต้องไม่ใช่สิ ก็ในเมื่อคนที่ผมเห็นตอนไปร้านกะเพรากับเกรทมันไม่ใช่ไอ้เบสชัดๆ แล้วผมก็เชื่อว่าคนที่เกรทเห็นตรงร้านไข่มุกมันคนละคนกับเพื่อนผมแน่ นี่โลกกำลังเล่นตลกอะไรกับผมอยู่เนี่ย หรือทางที่ดีผมควรจะถามไอ้เบสให้แน่ใจเสียก่อน แต่ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างสองคนที่ผมรู้จักนั้น ให้ทำอย่างไรก็ไม่อาจนึกออก เพราะมันแทบไม่ต่างอะไรกับสถานะของใยไหมกับผมที่เป็นเพื่อนร่วมคณะ แต่ไอ้เบสกลับมากับเขา อย่างนี้มันหมายความว่ายังไง


“อิม...”

“...”

“เฮ้ย ไอ้อิม”

“ฮะ...ฮะ?”

“เป็นบ้าอะไรวะ เหม่ออยู่ได้ทั้งวัน” มือของไอ้เบสที่กำม้วนชีทตีหัวผมลดต่ำลง พลางร่างสูงส่งสายตายิ้มกึ่งหัวเราะให้มันโคตรตรึงอยู่ในใจ ผีตัวไหนมาเข้าไอ้เบสวะมันถึงได้โชว์ฟันสามสิบสองซี่ให้ผมได้หวานขนาดนี้ เจ้าตัวขยับลงนั่งข้างๆ เท้าแขนกับโต๊ะเรียนที่หน้าตาเหมือนโพเดียมก่อนหันมามอง

“เย็นนี้ไปไหนป่ะ” ตอนนี้เป็นวิชาสุดท้ายของวัน นาฬิกาบอกเวลาปาไปสี่โมงประจวบเหมาะกับเวลาที่ผมควรจะไปหาเกรท แต่ทว่า...

“มึงจะชวนกูไปไหนเหรอ”

“กูกะว่าจะไปหาอะไรแดก ไม่ได้ไปหาอะไรอร่อยกินกันนานแล้วหนิ มึงติดอะไรป่ะ”

“ไม่...” ไม่ติดบ้าอะไรล่ะ ผมต้องไปหาเกรท...แต่นี่มันโอกาสทองที่นานๆไอ้เบสมันจะมาชวนผมทีเลยนะ แล้วอย่างนี้ผมจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไงวะ แต่สัญญากับอีกฝ่ายก็สำคัญ ตกลงกันไว้ล่วงหน้าเสียดิบดีแต่กลับเป็นผมที่จะเทเกรทเนี่ยนะ มันไม่แฟร์เลยว่ะ

“กูต้องเอาของไปคืน...เออ...คืนที่หอสมุดกลางก่อน มึงรอกูได้เปล่าล่ะ”

“ได้ดิ ให้กูขับไปส่งมึงที่หอสมุดก็ได้นะ” ภาพของใยไหมที่ลงจากรถไอ้เบสวาบขึ้นมาในสมอง

“ไม่เป็นไร” ผมเอาชีทตีหน้ามัน “กูไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็มา”

“ได้งั้นกูรออยู่ใต้ถุน...”

“เบส” ผมเรียกขานพลางจ้องหน้ามันที่เลิกคิ้วสงสัยในใบหน้าจริงจังของผม

“มีอะไรก็พูดมาดิวะ อ้ำอึ้งเพื่อ”

“คุกกี้วันก่อนนั้นของแฟนมึงเหรอวะ”









ล่องลอย ไม่มีอะไรจะระบุจิตใจตอนนี้ได้ตรงมากเท่าคำนี้แล้ว มันเคว้งไปหมดในตอนที่จับต้นชนปลายเรื่องราวทุกอย่างได้ถูก การมาเจอกันของเกรทกับผมแม่งแทบเอาไปตั้งชมรมรวมคนอกหักได้เลย พอถามคำถามนั้นจบไอ้เบสมันนิ่งใส่ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า

‘อือ ของแฟนกูเอง’

ผมค่อนข้างแน่ใจว่าคุกกี้นั้นเป็นฝีมือของใยไหมเพราะทั้งหน้าตา รสชาติ รวมถึงกระดาษที่ห่อลามไปถึงตัวริบบิ้นมันเป็นของที่ผมเคยได้รับมาจากเธอทั้งสิ้น ถ้าอย่างนั้นแล้วคนที่ใยไหมไปด้วยวันนั้นล่ะ หรือว่าจะเป็นคนเก่าที่เพิ่งเลิกกันก่อนมาคบไอ้เบส หรือใยไหมจะคบซ้อน หรือ...หรือเป็นแค่น้องชาย...

คิดจนแทบหัวแตกตายก็คิดไม่ออก ผมหยุดยืนนิ่งหันมามองภาพสะท้อนตัวเองในกระจกร้านกาแฟข้างทาง ไม่นานก็รู้ตระหนักรู้ดีว่าไม่ว่าเรื่องราวจะมาทางไหน...จุดจบสุดท้ายผมก็เป็นได้แค่อะไรที่ไม่สำคัญสำหรับมัน...

สะท้อนใจฉิบเป๋ง ไม่น่าจะอยากรู้อยากเห็นอะไรแบบนี้เลย ถ้าปล่อยให้ไม่รู้ต่อไป แฟนไอ้เบสก็ยังเป็นคนลึกลับ หาตัวจับยาก แล้วผมก็ไม่ต้องมารับรู้ว่าผมแม่งแทบจะสู้อะไรอีกฝ่ายไม่ได้เลยสักกระเบียดนิ้ว ทั้งความสวย ความนุ่มนิ่มน่ารัก อ่อนโยนนิสัยดี และความมีมารยาท กอปรกับความแม่บ้านแม่เรือนด้วยแล้ว

ใช่สิ...ผมมันสู้ไม่ได้ตั้งแต่เกิดมาเป็นผู้ชายแล้วล่ะ

ระหว่างเดินจิตตกทำร้ายตัวเองอยู่สักพักกลับเหลือบไปเห็นแผ่นหลังคุ้นตาซึ่งกำลังเดินมุ่งหน้าไปทางเดียวกัน

“ใยไหม?” ร่างตรงหน้าหมุนตัวกลับมาทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก เป็นคนที่ผมคิดไว้จริงๆใยไหมคนที่ใครๆต่างก็ตกหลุมรัก

“อ้าวอิมเมจ มาทำอะไรแถวนี้เนี่ย” ตรงนี้เป็นทางเดินไปยังหอสมุดซึ่งต้องผ่านสนามกีฬากลางสถานที่นัดหมายของผมกับเกรท มันเป็นอุบายในการมาคืนผ้าโดยหลีกเลี่ยงความบาดหมางไม่พอใจของเพื่อนสนิทซึ่งไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นมาจากอะไร แต่ยามที่เบสได้ยินชื่อเกรทที่ไรเจ้าตัวต้องไม่พอใจทุกครั้ง

“ผมกำลังจะไป...” ถ้าใยไหมเป็นแฟนไอ้เบสจริง เธออาจจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าเม้ามอยตามภาษาผู้หญิงเหมือนอย่างยัยมายด์ก็เป็นได้ ผมเลยงับปากเอาไว้พลางบอกโป้ปดออกไป “หอสมุดน่ะ แล้วใยไหมล่ะ”

“ไหมกำลังจะไปสนามกีฬากลาง”

“หา?”

“ไปดูเพื่อนเตะบอลน่ะ”

“...”

เหมือนไอเดียชั่วร้ายบางอย่างผุดขึ้นในสมอง ไม่นานผมก็คว้าของบางอย่างจากกระเป๋าข้างขึ้นมาถือไว้

“เออ ใยไหม”

“หืม?” เธอเอียงคอทำเสียงขึ้นจมูกอย่างน่าเอ็นดูตอบรับ

“ผม...มีเรื่องจะวานหน่อย”









“ทำไมไปไวจังวะ” เสียงไอ้เบสทักตอนที่ผมวิ่งตึกตักหน้าตาตื่นกลับมา

“เออ..กูลืมไปว่าไม่ได้เอาหนังสือมา กว่าจะรู้ตัวก็เดินไปถึงกลางทางแล้ว เลยรีบกลับมา”

“อ้าว แล้วทำไงวะ นี่ต้องส่งคืนวันนี้รึเปล่า ให้กูขับไปส่งบ้านมั้ย แล้วค่อยกลับมาอีกรอบนึง”

“ช่างเถอะ เสียค่าปรับก็เสีย ไม่คุ้มค่ารถ ไปกันเถอะ” ผมคว้าแขนไอ้เบสให้ลุกขึ้น

ใจตื่นเต้นมือเย็นจนหมดเรี่ยวแรง เหมือนคนทำความผิดครั้งแรกในชีวิต เมื่อกี้ผมทำไปได้ไงวะ ผม...ทำอะไรลงไป จนถึงตอนนี้แทบไม่อยากจะเชื่อตัวเอง

...ผมให้ผ้าผืนนั้นกับใยไหมฝากไปคืนเกรท อ้างสารพัดว่าผมต้องรีบไปหอสมุดแล้วรีบกลับเลยไปหาอีกฝ่ายไม่ได้ ไหนๆใยไหมก็ต้องแวะไปแถวนั้นเลยฝากผ้าขนหนูสีแดงส่งให้ไปคืน...

ถ้าใยไหมเลิกกับเบสได้...เกรทก็คงได้คบกับคนที่ตัวเองรัก...ส่วนผม...ก็จะได้เพื่อนตรงหน้ากลับคืนมา...

มารร้ายในสมองเอาแต่สั่งให้ผมทำเป็นว่าทุกอย่างไม่ผิด ผมก็แค่เปลี่ยนทางน้ำให้ไหลลงลำธารสายเล็กแทนที่จะเป็นทะเลสาบกว้างใหญ่...เปลี่ยนบางสิ่งไม่ให้มันดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น...

การมาทานอาหารในสภาพกระวนกระวายใจไม่ช่วยให้มีความสุขเอาเสียเลย ผมนั่งจิ้มผักในจาน เหลือบมองหน้าจอมือถือเป็นระยะ เหมือนอย่างคนกลัวความผิดอะไรบางอย่าง พลันหน้าจอสว่างวาบก็สะดุ้งทุกครั้งแล้วมุ่งมั่นนั่งจิ้มอยู่แต่หน้าจอ

“มากับกูแต่มัวแต่ห่วงมือถือ ได้ไงวะ”

“หา?” ไอ้เบสมันคว้าโทรศัพท์ไปจากมือผม จ้องหน้าจอที่เปิดค้างพลางขมวดคิ้ว

“ไอ้เด็กเกรทอีกแล้วเหรอ” ผมรีบคว้ากลับ กลัวไอ้เบสเห็นข้อความที่คุยล่าสุด เรื่องที่จะไปคืนผ้าขนหนู โชคดีที่เพื่อนผมมันไม่ติดใจอะไรพลางหั่นเนื้อสเต็กของมันกินต่อไป “ทำไมมึงไม่เลิกกับมันสักทีวะ”

“หา?”

“มึงเป็นคนบอกกับกูเองไม่ใช่เหรอ ว่ามันมาสารภาพกับมึงเพราะไม่ทันมองหน้า เข้าใจผิดไปว่าเป็นคนอื่นที่มันชอบ”

“อะ...อ๋อ เออ ก็นะ”

“ก็นะบ้านมึงดิ” เนื้อสเต็กที่มันหั่นจิ้มเข้าปากผมพอดิบพอดี ไอ้เบสมันเล็งไว้อยู่แล้ว มันชอบแกล้งขุนให้ผมกินเยอะๆเป็นตัวตายตัวแทนซิกแพ็คของมัน

“อู...กู รอจังหวะอยู่” ผมเคี้ยวหมุบหมับเอื้องเอื่อยอยู่ชั่วครู่ก่อนกลืนเนื้อลงคอ

“จังหวะอะไรวะ”

“จังหวะที่จะบอกเลิกไง”

“ไม่เห็นต้องรอจังหวะเลย จะบอกก็บอกไป จุดจบสุดท้ายก็คือแยกย้ายแล้วจบเปล่าวะ ไม่เห็นต่าง”

“จะบอกรักบอกเลิกมันไม่ได้ง่ายๆขนาดนั้นนะเว้ย”

“มันจะไม่ง่ายก็ต่อเมื่อมึงคิดอะไรกับมัน”

“...”

“กูถึงบอกให้มึงทำให้ชัดเจนไง” ไอ้เบสดูอารมณ์คุกกรุ่นอยู่ในที มันวางส้อมกับมีดลงพลางลุกขึ้นทำทีจะไปตักสลัด แต่กลับทิ้งท้ายคำพูดไว้ประโยคนึงให้ผมคิด “มึงคิดดูให้ดีนะ พื้นเพมึงก็ไม่ได้ชอบผู้ชาย ดูอย่างกูก็ได้ คบกับผู้หญิงน่ารัก ดีกว่าเป็นไหนๆ อย่ามาทำให้เรื่องไร้สาระมีอิทธิพลกับชีวิตมึงไปมากกว่านี้เลย”

“...”

...เรื่องไร้สาระอย่างนั้นเหรอ...

ผมจิ้มชิ้นไก่ที่ถูกหั่นไว้เข้าปาก...

...ทำไม...อาหารมื้อนี้โคตรจะไม่อร่อยเลยวะ...



ผมเดินซึมออกมาจากร้าน ทั้งที่มื้อนี้ไอ้เบสบอกเลี้ยงแต่กลับไม่รู้สึกดีเลยสักนิด มีแต่จะรู้สึกแย่ มันอึนไปหมดจนผมต้องมานั่งคิดทบทวนว่า ที่ผ่านมาผมทำไปเพื่ออะไร

การที่มุ่งหน้าตั้งใจจะเป็นตัวร้ายตามแบบฉบับนิยายเรื่องนึงคงเป็นเรื่องยากสำหรับคนทำเลวไม่ขึ้นอย่างผม

...รู้งี้...เอาผ้าขนหนูไปคืนเองก็ดี...

ผมตบปากตัวเอง เคยประกาศก้องด้วยความตั้งใจว่าจะไม่เสียใจกับสิ่งที่ทำไปด้วยคำว่า...รู้งี้...เป็นอันขาด แต่ทำไมคราวนี้กลับ...

“ปากเป็นอะไร” เสียงไอ้เบสที่เดินอยู่ข้างๆเรียกให้หันไปมอง ผมช้อนตาให้ความสนใจกับคนที่ขยับเข้ามาใกล้ “ตีปากตัวเองทำไมวะ” ไอ้เบสคว้าข้อมือที่ปิดปากผมไว้ออก พลางขยับหน้าเข้าใกล้จนรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ มันจิ้มเข้ามาเกินกว่าคำว่าสำรวจ สายตาคมสีอ่อนของมันกำลังจ้องมาที่ริมฝีปากผม ลมหายใจอุ่นร้อน มันบ่งบอกถึงความแนบชิดสนิทเกินจำเป็น

เสียงเรียกเข้าของข้อความเหมือนระฆังช่วยชีวิตให้หลุดจากวิกฤตินี้

ผมรีบถอยก่อนหยิบมือถือตนเองขึ้นมามองแจ้งเตือนที่มาจาก...เกรท...


<Greatเทศ

พี่อิมอยู่ไหนอ่ะ



สำเนียงการพิมพ์ดูประหลาดเหมือนไม่ใช่เกรทคนที่ผมรู้จัก มีคำว่า ‘อ่งอ่ะ’ ถ้าไม่คิดว่าผีเข้าผมคงเดาว่าคนอื่น มาถึงตอนนี้เจ้าตัวคงรู้แผนการผมดีแล้วล่ะ เลยทำใจเตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้า


อยู่ห้าง มากินข้าวเย็นกับเพื่อน


รอคำต่อว่าต่อขานของเกรท หรือไม่ก็คำประเภทแสดงอารมณ์ตื่นเต้นไม่สมกับเป็นเจ้าตัวยามได้เจอคนที่ตนเองชอบ แต่ทว่าทุกอย่างดันกลับตาลปัตร


ยังอยู่แถวมหา’ลัยมั้ย พี่มารับไอ้เกรทไปที


หา?


นี่ผมนัทนะ
ไอ้เกรทแม่งเมา เมาจนไม่รู้จะหามมันกลับยังไง
ส่วนไอ้ไลค์แม่งก็สภาพไม่ต่างอะไรกับเชี่ยเกรทเลย
ผมต้องแบกไอ้ไลค์ไปส่ง แบกกลับสองคนไม่ไหว
พี่มาช่วยหามไอ้เกรทกลับให้ผมได้มั้ย
ผมไม่รู้จะเรียกใครแล้ว



เตะบอลเสร็จหัวใจยังสูบฉีดไม่พอนี่เล่นไปดวดแอลกอฮอล์ต่อกันเลยเหรอวะ

ผมงงกับพฤติกรรมประหลาดของเกรท

จุดจบที่ควรได้รับจากการจับผ้าขนหนูร่วมกันคือการไปฉลองจนเมาหัวราน้ำที่ร้านเหล้าเนี่ยนะ


พวกคุณอยู่ไหนกัน


เดี๋ยวผมแชร์โลเคชั่นให้





ร้านที่มาอยู่โคตรใกล้มหา’ลัย มันไม่ใช่ผับหรือบาร์ แต่เป็นร้านอาหารธรรมดาที่มีการขายสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บรรยากาศร้านดูชิลๆสบายๆตามสายแดก จะผิดแผกก็แค่หนึ่งคนที่หน้างอคอหักหลังพับอยู่บนโต๊ะกับอีกคนที่นั่งหลังตรงเหมือนไม้กระดานใบหน้านิ่งเฉยราวกับเทพปูนปั้นที่สวรรค์สรรค์สร้างไว้ประดับบารมีศรีนิเทศศาสตร์แห่งมหา’ลัย

“พี่อิม” เสียงหนึ่งในสมาชิกที่ดูสติยังดีอยู่ทักขึ้นมา คนชื่อนัทลุกพรวดพราดวิ่งมาหาผม “หูย โคตรโชคดีที่พี่ตอบ”

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเมาเรื้อนขนาดนี้”

“เอามาอีก!! เอามา” ทำไมถึงบอกเรื้อนก็ดูอย่างเด็กไลค์ที่ชักหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหันพลางยกแก้วเหล้าชูสูงถึงเหนือหัวเนี่ยดิตัวดีเลย

“เชี่ยไลค์ มึงเบาๆเดี๋ยวก็โดนเตะออกจากร้านหรอก”

“กูจาดื่มเป็นเพื่อนไอ้เกรท...แด่โคนโอกหากกกก”

“สัด!”

นัทตบกบาลเพื่อนไปหนึ่งทีพลางหันมายิ้มแหยใส่ผมราวกับคนทำความผิด

“พี่อย่าไปฟังไอ้ไลค์มัน เมาแล้วเอ๋อ พูดมั่วซั่วไปเรื่อย”

“แล้วไหนที่ผมให้แบก” ผมถามออกไป เพราะเห็นสภาพของเกรทยังดีอยู่ทุกประการ เจ้าตัวนั่งนิ่งแถมยังยกแก้วในมือกระดกอึกๆแบบนอนสต็อป

“เชี่ยๆๆๆไอ้เกรท มึงเลิกดื่ม” เด็กนัทวิ่งตาลีตาเหลือกไปคว้าแก้วคนตัวสูงเอาไว้ เกรทส่งสายตาปรือปรอยมองไปทางคนช่างขัดแล้วสลับมามองหน้าผม

“อาการก็ยังดีอยู่นี่”

“ดีที่ไหนล่ะพี่ นี่แหละตัวดีเลย เห็นนิ่งๆแบบนี้น่ะ มันเมา!!”

หา?

“ตอนแรกๆที่คบกับมันใหม่ๆก็คิดว่าคนอะไรวะโคตรคอแข็ง แต่พอมาวันรุ่งขึ้นแม่งเดินกลับไม่ถึงหอเสือกไปนอนรอหน้าคณะ ยุงกัดแม่งลายทั้งตัว นี่ยังไม่เท่าไรนะ ครั้งที่สองทุกคนก็ยังไม่เชื่อ แล้วเป็นไง นู้นครับไปนอนกลางสนามกีฬากลาง ต้องให้คนมาหามมันกลับบ้าน โคตรขายขี้หน้าเลย”

โห...วีรกรรม..

“แล้วผมต้องทำไง”

“แค่แบกมันกลับหอให้ได้ แค่นั้นก็พอแล้วพี่ แค่นี่มันมีแรงเดินตามพี่ไปแหละ แต่แค่ถ้าไม่มีคนนำทางมันก็กลับบ้านไม่ถูกเท่านั้นเอง”

“เกรท”

“พี่อิม..อึก...”

“กลับบ้านกัน”

“อือ”

เจ้าตัวลุกขึ้นเดินตามผมมาอย่างว่าง่าย เหมือนหมาน้อยที่เดินตามเจ้าของต้อยๆ แอบมองเห็นรอยช้ำปนเลือดแปลกๆที่มุมปาก...เคยมีมันอยู่ตรงนี้มาก่อนเหรอ

“วันนี้เกิดอะไรขึ้น”

“...” หน้าเด็กนัทดูตื่นๆเหมือนคำถามของผมไปจี้ใจดำอะไรบางอย่าง เจ้าตัวทำท่าอึกอักก่อนย้อนถาม “ทำไมพี่ถึงถามอย่างนั้นล่ะ” ผมยืนเผชิญหน้ากับเกรทที่ยืนเต็มความสูง เจ้าตัวเหมือนเบลอแบบพร้อมจะเดินเมื่อผมก้าว และเท้าพร้อมหยุดเมื่อผมนิ่งอยู่กับที่ ผมกระตุกหัวให้เพื่อนเกรทหันไปดูสิ่งที่ผิดแปลกไปจากเดิม

“ที่ปากมีรอยช้ำ เหมือนไปโดนใครต่อยมา”

เด็กนัทนิ่งเงียบอยู่ไม่กี่วิ สุดท้ายก็ยอมเปิดปาก

“มิน่าล่ะทำไมไอ้เกรทถึงบอกว่าแฟนมันฉลาด”

“อย่าเฉไฉ สรุปแล้วเรื่องมันเป็นยังไง”

“ไอ้เกรทมันโดยต่อยปากแตกมาน่ะพี่”

หา?

“ต่อย? ใครต่อย?”

“เออ...พี่อิม คือ”

“นัท ผมถามว่าใครต่อย”

“พี่อิม ผมขอเถอะนะ พี่ไปถามมันเองเถอะ ผมไม่อยากยุ่ง” เด็กนัทแทบจะยกมือกราบผม จนใจที่จะบีบคั้นให้พูดต่อ ผมถอนหายใจหนึ่งวืบเงยขึ้นมองหน้าเกรท

“ไปกันเถอะเกรท”







สรุปจวบจนมาถึงที่หมายผมก็ยังไม่รู้อะไรสักอย่าง ได้แต่มองตามเจ้าเด็กตัวโตเดินต๊อกแต๊ก และคอยระวังรถรายามข้ามถนนจนมาถึงหน้าห้อง

“เกรท กุญแจ”

แหมะ...

แบมือไปก็ยื่นให้มาฉับพลัน

คีย์การ์ดแปะโดนเซนเซอร์ปั๊บ เปิดประตูฉับเดินเข้าไปเท่านั้นแหละ

“เฮ้ยๆๆ เกรทถอดรองเท้าก่อน”

ฟึ่บ...ฟึ่บ...

ถอดตามที่สั่งนะ แต่ขวาไปทาง ซ้ายไปทาง โคตรกระจัดกระจาย ผมตัดใจทิ้งไว้แบบนั้นก่อนเดินนำมายังห้องนอน วันนี้คงต้องปล่อยเจ้าตัวลงเตียงให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยจากไปสินะ

“เกรท มานอนนี่เร็ว”

ผมดึงผ้าห่มที่จัดเรียบตึงแบนราบไปกับเตียงแหวกพื้นที่ให้ตัวดีได้นอนก่อนตีเบาะนุ่มตุบๆ ร่างสูงเดินตามมาทิ้งตัวลงผ่านจมูกผมไป กลิ่นเหงื่อไคลและกลิ่นกายเฉพาะเริ่มทำให้รู้สึกตัวว่าคิดผิด...

...ผมควรพาเกรทไปอาบน้ำก่อน ไม่ใช่ให้นอนจมกองเหงื่อกับเหล้าตัวเน่าๆแบบนี้

“ทำไงดีวะ”

“...อิ...” เสียงครางเครือดังอยู่ใกล้ๆแต่เบาเกินไปจนต้องเงี่ยหูฟังด้วยความไม่มั่นใจ

“เกรท...คุณว่าอะไรนะ”

“พี่...อิม” เจ้าตัวหันหน้ามาทางผมฉับ สายตาปรือปรอยบวกกับแก้มแดงๆเหมือนคนเพ้อครางเรียกชื่อผม

“คุณต้องไปอาบน้ำ”

“อาบ...น้าม...”

“ใช่...คุณต้องไปอาบน้ำนะเกรท กลิ่นตัวคุณได้เรื่องเลยล่ะ”

เจ้าตัวนิ่ง นี่อย่าบอกนะว่าผมต้องเดินไปเคาะประตูห้องน้ำเรียกน่ะ!! โอ๊ย เอาไงดีวะ

“เกรทมานี่เร็ว” ผมตัดใจมองซ้ายมองขวาหาอะไรก็ได้ที่คล้ายกับผ้าเช็ดตัว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มี ก่อนนึกอะไรบางอย่างออกเลยวิ่งไปที่กระเป๋าเกรทที่กองอยู่ตรงพื้นหน้าทางเข้าห้องนับตั้งแต่เจ้าตัวเดินเข้ามา ผ้าสีแดงผืนนั้นใยไหมคืนมันให้กับเกรทได้จริง

“พี่...อิม” เสียงแว่วดังเบื้องหลัง เกรทเดินโงกโยกเยกออกมา

“ตามผมมาทำไม”

“...”

เจ้าตัวไม่ตอบ เอาแต่ยืนนิ่งมองหน้าผม

“เออๆคุณถอดเสื้อเถอะ”

พรึ่บ!!

ง่ายและไวดั่งใจสั่ง สาบานว่านี่คนเมาไม่ใช่ผีหุ่นยนต์เข้าสิง คิดพิลึกอยากพิสูจน์ความจริงว่าร่างสูงจะทำทุกอย่างตามที่พูดมั้ย

“เกรท ถอดกางเกง”

พรึ่บ!!

%&@%)@%_#*%_#@%&)(#_#)

“เชี่ย...ผมบอกให้ถอดกางเกง ไม่ได้บอกให้ถอดกางเกงใน!!”

หัวใจกูจะวาย!!

บอกเลยเมื่อกี้ปิดตาไม่ทัน เห็นเต็มๆมันทั้งดุ้น!!

ฮือ...แม่ครับผมแต่งงานไม่ได้แล้ว...

พอเถอะจะเอาอะไรนักหนากับแค่เห็นของผู้ชายด้วยกันวะไอ้อิม ทำตัวตุ้งติ้งน่ารำคาญไปได้ ตัดใจเปิดตาขึ้นมาใหม่อย่างคนใจกล้า สุดท้ายเกรทดันกลับมาใส่กางเกงในแบบทรังค์เข้าไปกับตัวอย่างเก่า

เฮ้ออออออ

ถอนหายใจโล่งอกที่ไม่ต้องถูกมัดมือชกให้ดูเกรทน้อยพลางรีบขยับตัวพาดผ้าขนหนูผืนยาวไว้กับบ่า ดันหลังให้คนตรงหน้าพาตัวเองไปห้องน้ำ



การอาบน้ำของพวกเราเป็นไปอย่าง ‘ง่าย’ และ ‘จบไว’ เพราะเกรทไม่งอแงวอแว เจ้าตัวเอาแต่ยืนนิ่งมองผมทำนู่นทำนี่กับร่างกายสารพัด ไม่ว่าจะเอาฟองน้ำขัดไปตามตัวฟอกสบู่ถูรักแร้ ยิ่งกว่าเลี้ยงเด็กอ่อนเสียอีก มีเพียงส่วนเดียวที่ผมเว้นไว้ไม่ไปแตะต้อง...คือส่วนใต้ร่มผ้าของเจ้าผืนยางยืดชิ้นน้อยนั้น เช็ดตัวปะแป้งจนตัวหอมฟุ้งเดินออกมาขาดเพียงแต่ว่า

...เจ้าผืนผ้าชิ้นน้อยเปียกน้ำมันยังคาอยู่ส่วนล่างของเจ้าตัว...

“เกรท คุณเปลี่ยนเองได้มั้ย” เอียงคอมองหน้าอย่างนี้มันหมายความว่าอะไร ทำเองไม่ได้ใช่มั้ย หรือข้อความคำสั่งมันพลิกแพลงเกินไปจนหุ่นยนต์เกรททำไม่เป็น

สุดท้ายผมเลยอ้อมมือรอบเอวจับอีกฝ่ายถอดแบบไม่มองส่วนล่าง คว้าผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่ซึ่งหามาได้จากห้องน้ำพันร่างกายอีกฝ่ายแบบลวกๆ ก่อนสั่งประโยคสุดท้ายที่เป็นเหมือนคำบ๊ายบายลาขาด

“เกรทไปนอน” ร่างสูงเดินเตาะแตะคว่ำหน้าทิ่มหมอนลงไปนอนยังเบาะนุ่ม ลมหายใจยาวเหยียดของผมทอดถอนออกมาเมื่อรู้ว่าเสร็จภารกิจแล้ว

ก้มมองสภาพตัวเองก็เละไม่ใช่น้อย ทั้งน้ำที่กระเด็นมาตอนจับเด็กเกรทล้างเหงื่อไคล เชิ้ตขาวซึมเปียกเป็นวงกว้าง อีกทั้งกางเกงที่ชื้นจนไม่เหลือสภาพให้น่าใส่ เอาเถอะกลับบ้านแล้วค่อยไปอาบน้ำนอนก็ยังไม่สาย ผมสะพายกระเป๋าเดินผ่านประตูห้องนอนออกมาจนเกือบถึงหน้าทางเข้า ฉับพลันกับเสียงก่อกๆแก่กๆเบื้องหลังทำให้ต้องหันไปมอง

“เชี่ยเกรท!!” ออกมาทำไมวะ จะเดินตามผมมาเพื่อ!! เจ้าตัวในสภาพรุ่งริ่งแหล่ไม่รุ่งริ่งแหล่ ผ้าขนหนูขมวดปมเปิดโชว์ขายาววับแวบที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เดินเตาะแตะมาทำใจสั่นทุกครั้งที่สีขาวนั้นเลิกขึ้นถึงกระดูกเชิงกราน พอมาหยุดตรงหน้าผมก็ทำยืนนิ่งเหมือนหุ่นยนต์แบตหมด

“...”

“เกรทกลับไปนอน”

“ม่ายยยยกาบบบ”

“ผมบอกให้ไปนอน”

“พี่จาปายหนายยย”

“กลับบ้านน่ะดิถามได้”

“ปายยยด้วยยยย”

“ไม่ได้ คุณต้องนอนที่นี่”

“ปายยยยด้วยยย” เกรทเดินโงนเงนเข้ามาใกล้ ชายเสื้อผมโดนจับ แน่นซะด้วย เหมือนมือเด็กอ่อนที่กำนิ้วพ่อแม่ไม่ยอมปล่อย วันนี้ต้องถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ ตอนนี้รู้เพียงแต่ว่านิ้วผมได้กดโทรศัพท์ออกไปหาที่บ้านแล้ว


“แม่เหรอครับ...แม่...วันนี้ผมไม่กลับนะ”


…TBC…

+++++++++++++++++++++++++++++++++++


เกรทเมาแล้วตื้อได้โล่เลย...

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่า ความสัมพันธ์ทั้งสี่?คนค่อยๆกระดึบกระดึบไปเรื่อยๆแล้วน้า
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบเอ็ด...คนตะลุมบอล [11-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-09-2019 22:57:28
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิเบสนี่ยังไงเนี่ย?  ปากไม่ตรงกับใจ

ส่วนอิเกรท ใครต่อยมัน?
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบเอ็ด...คนตะลุมบอล [11-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 12-09-2019 00:03:22
ตกลงโดนใครต่อยเนี๊ยะ,,,
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบเอ็ด...คนตะลุมบอล [11-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 12-09-2019 04:32:59
เกิดอะไรขึ้นกับเกรทเนี่ย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบเอ็ด...คนตะลุมบอล [11-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-09-2019 19:28:41
 :z1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสอง...นาฬิกาเวลาเที่ยงคืน [16-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 16-09-2019 22:03:11
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบสอง...นาฬิกาเวลาเที่ยงคืน



“เกรท คุณนอนเถอะนะ ผมขอล่ะ”



แทบจะยกมือไหว้เลยงานนี้...

เด็กงอแงตรงหน้าไม่ยอมปล่อยให้ผมกลับ แค่ขยับตัวนิดหน่อยก็ชักสีหน้าลุกขึ้นจากเตียงเดินตามตูดมาต้อยๆ ไม่ใช่ว่าผมค้างห้องเกรทไม่ได้นะ ผมเป็นคนอยู่ง่ายมีพื้นนอนพื้น มีโซฟานอนโซฟา แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าเจ้าตัวไม่ยอมปล่อยผมให้ห่างสายตาสักวินาทีเนี่ยดิ

...อย่างกับลูกไก่เปิดตามาเจอใครก็คิดว่าเป็นแม่มัน...

“คุณนอนก่อนได้มั้ย ผมแค่จะไปอาบน้ำ เดี๋ยวผมกลับมา แป๊บเดียวรับรอง” เหมือนจะดีขึ้นแฮะ ดูเด็กเกรทสีหน้าเริ่มอิดโรยดวงตาคล้อยคล้ายจะหลับ พอผมได้ใจขยับตัวเท่านั้นแหละ...

พรึ่บ!!

ร่างสูงลุกมานั่งโยกเยกมองหน้าผมแล้วตั้งท่าว่าจะลุกขึ้นมาจากเตียงอีกระลอก

เวรกรรม ทำไมไม่น้อนนนน!!

“เออก็ได้วะ คุณอยู่นิ่งๆนะตามผมเข้ามาได้แต่ช่วยนั่งนิ่งๆอยู่ที่ชักโครกสักห้านาทีจะได้มั้ย”

...ไม่ตอบแต่ทำหน้านิ่งไร้อารมณ์ผมถือว่าตกลงนะ...

ถอนหายใจ ปลงกับนิสัยรักสะอาดของตนเองแบบประเภทที่ว่าถ้าไม่ป่วยเป็นตายร้ายดีอะไรจะไม่ยอมนอนทั้งที่ตัวเหม็นเหงื่อแบบนี้มาทั้งวันเป็นแน่

ผมขยับตัวถือวิสาสะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า กวาดตามองหาสิ่งที่พอเรียกได้ว่าเป็นชุดนอนคว้าได้เสร็จจึงเดินดุ่มเข้าห้องน้ำโดยมีร่างสูงตามมาติดๆ เมื่อถึงที่หมายปิดฝาชักโครกดันไหล่เด็กน้อยลงชี้หน้าสั่งว่าอย่าดื้ออย่าซนทำตัวเป็นเด็กดีนั่งนิ่งอยู่ตรงนี้สักพัก ก่อนหันมาจับเสื้อแสงตนเอง

...เมาแบบนี้คงไม่มีปัญญาจะมาจำตอนที่ผมกำลังโป๊ได้ล่ะมั้ง...

ผมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตขาวพิสุทธิ์กึ่งใหม่ซึ่งได้มาหลังจากปลดประจำการตัวเก่าไปก่อนขึ้นปีสาม ถอดเสื้อกล้ามซึ่งใส่ซับเหงื่อด้านในกันความไม่สบายตัวเหนอะหนะระหว่างวัน วางเครื่องชุดครึ่งบนพาดกับราวแขวน ก่อนจัดแจงปลดตะขอกางเกงสแล็กเอวต่ำลากซิปจนดันขอบบนออกจากบั้นท้ายยกขากวาดปลายเท้าจนหลุดพ้นช่วงล่างก่อนลากเจ้ายางยืดผืนน้อยออกจากสะโพก

แกร่ก...

“หืม?” เสียงประหลาดดังเบาขึ้นด้านหลัง ผมหันครึ่งตัวไปมองฉับพลัน แต่ดันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างดูปกติจนเหมือนผมคิดไปเอง หากช่วงเวลานี้เกรทสร่างเมาขึ้นมาผมคงโดนหาว่าเป็นไอ้โจรโรคจิตที่คิดบุกรุกเข้าหอ คิดได้ตามนั้นเลยรีบวิ่งไวว่องไปยังใต้ฝักบัว เปิดน้ำสาดซัดหัวจนตัวเตอเปียก เหตุเพราะน้ำเข้าตามือเลยคลำสะเปะสะปะไปมา จากจะจับสบู่ดันโดนแชมพูเข้าให้ พอจะจับใหม่กลับไปโดยครีมนวดเละเทะมั่วซั่วไปหมด

“เชี่ย...สบู่อยู่ไหนวะ”

บ่นอุบไม่ทันไรเหมือนสวรรค์ดลใจให้มือถูกดึงยึดไปด้านหน้าพร้อมกับของเหลวบางอย่างไหลลงมาสัมผัสมือ

“อันนี้ครับ”

“เออ ขอบใจ”

“...”

“...”

หืม?

เมื่อกี้มัน...

“เกรท?”

“ครับ”

“เกรท??”

“ครับ”

“เกรท!!!”

“ค้าบบบ”

เชี่ยยยยยยยย ตอบรับกูทุกประโยคเลย!!!

รีบเลี่ยงตัวออกจากใต้ฝักบัวแบบตะลีตะลานหลบจากสายธารที่ทิ่มเข้าหน้าไม่หยุดหย่อน เชี่ยปั๊มน้ำที่นี่ก็แรงจริงไม่มีประวิงหน่วงเวลาให้ผมได้หายใจหายคอกันบ้างเลย ตอนนี้สภาพไม่ต่างจากปลาทองสำลัก อึกอัก บุ๋งบุ๋ง ค่อกแค่ก คร่อกแคร่ จะตายแหล่ไม่ตายแหล่อยู่แล้ว

“แค่กๆๆๆๆ”

“พี่อิม”

เหมือนมีคนช่วยผมจากการสำลักน้ำโดยดึงตัวออกห่างจากห่าฝน เซไปซบอกใครบางคนจนต้องกระเด้งตัวออกมาจ้องหน้าตามสัญชาตญาณ

สายตาร่างสูงยิ่งกว่าปรือปรอยไร้สติผิดเพี้ยนกับคำพูดเหมือนรู้ความเมื่อครู่ ได้แต่เฝ้าดูสีหน้าเจ้าของหางตาตกๆด้วยความกังขา ทั้งที่ลมหายใจหอบส่ายไปมาแทบไม่เป็นจังหวะ

“เกรท คุณ”

“...”

“เมื่อกี้คุณ”

“ซา...”

“หืมซา?”

“ซา...”

“ซาอะไร?”

“บู่...”

“...”

“บู่” เกรททำท่าห่อปากเหมือนเด็กๆ พยายามพูดพยางค์เดิมซ้ำๆ...หากใครได้มาเห็นเหมือนอย่างที่ผมเห็น ถึงเจ้าตัวจะเป็นแค่ ‘อดีต’ ดาราเด็กก็เถอะ รับรองเลยว่าแม่งต้องหลงรักท่าทางใสซื่อน่าเอ็นดูของเขา จนรีบเข้าสมัครเป็นแม่ยกกันยกใหญ่แน่ๆ

ผมทวนสองคำในใจก่อนเอ่ยออกมา “สบู่?” ร่างสูงพยักหน้าน้อยๆ เป็นสัญญาณว่าผมตอบคำถามถูก อย่าบอกนะว่านี่ที่เดินเข้ามาแบบไม่รู้ตัวก็เพื่อช่วยผมตามหาสบู่เนี่ย

การคาดเดาไม่ทำให้ได้คำตอบอะไร มันต้องใช้วิธีการพิสูจน์ ผมจึงพูดออกมาประโยคสั้นๆ

“แชมพู...แล้วแชมพูผมล่ะ” ข้อมือโดนจับกระชากไปจ่อรอที่ปากขวดปั๊มทันที ร่างสูงบรรจงบีบเจ้าของเหลวสีชมพูนวลเหมือนไข่มุกใส่มือผม เป็นจริงตามคาด เกรทในยามเมามาย สติสัมปชัญญะสูญหาย แต่ความรู้ในกายหยาบยังอยู่ ผมรีบดึงมือกลับไปล้างเพราะไม่ต้องการจะสระผมจึงพลันได้ยินเสียงใครบางคนครางบ่นในลำคอ

“ซัน...”

เอาอีกแล้วเหรอ?

“ซัน? ซันอะไรของคุณน่ะฮะ?” ผมแอบยิ้มขำอดเอ็นดูไม่ได้

“ซิล...” สิ้นเสียงสุดท้าย เกรทเหมือนชะงักไป ไม่รู้ว่าถ่านหมดหรืออะไรผมเลยยกมือกางนิ้วแกว่งไหวไปทั่วหน้า...

“เกรท”

“ฮึก...”

หืม?

“พี่อิม”

“...”

“คนใจร้าย”

“เฮ้ย ผมใจร้ายอะไร คุณจะบ้าเหรอ ผมยังไม่ทันทำอะไรเลยด้วยซ้ำ อุตส่าห์พามาถึงห้องยังถูกหาว่าใจร้าย มันน่าน้อยใจนักเชียว” ผมหยอก อดไม่ได้ที่จะไปหนีบจมูกได้รูปเป็นสันโด่งสวยเบื้องหน้า แต่เกรทยังสนใจกับการกล่าวคำซ้ำเหมือนกำลังขยันอ่านออกเสียง

“ซิล...”

“ซิลอีกแล้ว ซิลอะไรของคุณฮะ”

“ซิลก็ใจร้าย”

“หา?”

หมับ!!

กว่าจะคิดออกว่าเกรทเล่นใบ้คำอะไร ผมก็โดนอีกฝ่ายรวบเข้าไปในอ้อมอกกว้าง ร่างกายชะงักค้างเหมือนโดนความรู้สึกทุกอย่างเล่นงานใส่ แขนแกร่งกระชับกอดไว้แน่นทั้งที่ตัวยังลื่นเต็มไปด้วยคราบครีมนวดและแชมพู พอขยับตัวจะหนีแรงกอดก็เพิ่มขึ้นเท่าทวีจนกระดูกแทบลั่น

“กะ เกรท” นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ

“พี่...อิม”

“คุณเป็นอะไร ปล่อยผมก่อน”

“พี่อิม...ฮึก”

“...”

แรงสั่นสะท้านของร่างกายคนตรงหน้าส่งผ่านมายังผม ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แค่รู้สึกว่าไม่สามารถผลักไสร่างสูงนี้ออกไปได้

“พี่...อิม” เสียงเหมือนคนเมากาว เมายาสระผม ครีมนวดผมหรือแชมพูอะไรไม่รู้ไหลเข้าโสด มันเจือความรู้สึกเศร้าไว้อย่างน่าประหลาด อาจเพราะไม่เคยเห็นคนตัวโตๆร้องไห้อย่างใครเขา ความอ่อนแอซึ่งไม่เคยแสดงให้เห็นเลยเพิ่มเติมมาเป็นหลายเท่า

“ไม่เอาครับ ไม่ร้อง”

ยกมือที่ไร้พันธนาการจากแขนแกร่งท่อนล่างขึ้นตบแผ่นหลังชื้นน้ำเบาๆ เกรทกอดผมร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักพัก น้ำจากฝักบัวยังสาดซัดใส่พื้นไม่หยุดหย่อน ผิวกายเราแนบชิดกันแต่ยังดีที่ช่วงล่างของอีกฝ่ายมีผ้าขนหนู ผมก็ได้แต่หวังว่าพอเกรทตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นจะฟื้นความทรงจำอะไรไม่ได้ ลืมเรื่องน่าอายอย่างการเปลือยกายกอดกันระหว่างผมกับเขามันไปให้หมด คงไม่ใช่เรื่องน่าภิรมย์สำหรับคนที่ชอบผู้หญิงเป็นปกติอย่างเขา

คิดจัดแจงเรื่องในอนาคตกับสมองตัวเองอยู่อย่างนั้นฉับพลันร่างสูงก็จับต้นแขนผมดันตัวออกห่าง

...หรือว่าจะสร้างเมา...บ้าไปแล้ว...

เรื่องที่ผมคิดมักเลวร้ายกว่าความเป็นจริง คนยืนนิ่งเจือความเมาส่งสายตามองหน้าผมอย่างปรือปรอยก่อนหันขวับไปทางประตู เดินและผละห่างออกไป

...อิหยังวะ...

ตั้งคำถามกับตัวเองเสร็จ ผมแม่งแทบกรีดร้องออกมาเป็นกลอนสี่สุภาพ เสื้อผ้าที่แขวนอยู่โดนเกรทจับเอามาปู้ยี่ปู้ยำขยำลงอ่างล้างหน้าเจ้าตัวเปิดก๊อกน้ำคว้าสบู่ล้างมือได้ก็ราดเข้าใส่แบบไม่เกรงใจเจ้าของมันเลยสักนิด

“เหี้ย เกรท!!คุณทำอะไรวะ!”

“ซักผ้า”

“ซักเพื่อ!!” แล้วคุณมึงซักด้วยน้ำยาล้างมือเนี่ยนะ ไอ้บ้าเอ้ยยยยยยย “หยุดเว้ย หยุดๆ” ผมวิ่งตาลีตาเหลือกไปจับข้อมือแกร่งพลางปิดก๊อกน้ำ แต่สภาพเสื้อผ้าผมแม่ง...ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...

คอตกคอพับหลับตาไม่รู้จะด่าเป็นภาษาอะไร สุดท้ายกลับเหมือนมีอะไรหนักๆมาทับไหล่ ถึงได้รู้ว่าเจ้าตัวทิ้งหัวสลบคาตัวผมไปแล้ว...

โอ้ยยยนี่มันวันเหี้ยอะไรวะ!!













เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือลั่นดังพลันทำให้ตื่น เปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างเบลอจัดแต่กลับมาเจอกับสายตาใครอีกคนที่นอนจ้องอยู่ข้างๆ

“ชะเชี่ยยยยยย”

“เฮ้ยพี่อิม!!” มือใหญ่ตะปบปากผมไว้ทันควัน “อย่าเสียงดังเดี๋ยวห้องข้างๆก็ตื่นกันหมด” พอผมนิ่งเขาจึงยอมปล่อยปากให้เป็นอิสระ

“คุณทำอะไร”

“ผมทำอะไร? ผมไม่ได้ทำอะไรหนิครับ”

“แล้วคุณมาจ้องหน้าผมตอนนอนทำไม”

“ก็แค่ตื่นมาเจอพี่แล้วตกใจ”

“หน้าผมเหมือนผีนักหรือไง ถึงได้ตกใจจนต้องจ้องขนาดนั้น”

“ตรงกันข้ามต่างหาก”

“หา?”

“อ๋อ เปล่าครับ” เกรทไม่ยอมสบตาผมทำท่าเหมือนคนคิดหนัก เอ๊ะ หรืออีกฝ่ายกำลังเข้าใจผิดอะไร ไม่ใช่ว่าความทรงจำเมื่อวานปรากฏเป็นห้วงๆ แล้วเด็กเกรทดันเอาเรื่องราวทั้งปวงมาปะติดปะต่อจนเละเทะมั่วซั่วไปแล้วหรอกนะ

“คือเรื่องเมื่อวาน...” ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่โตเลยตั้งใจจะแก้ต่าง แต่อีกฝ่ายดันมองผมด้วยหางตาแล้วพูดขัดขึ้นมา

“เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ผมจำได้แค่ว่าไปร้านอาหาร นั่งกินข้าวกับเพื่อนอยู่ดีดี แล้วหลังจากนั้น...” สายตาคมมองสลับใบหน้าผมกับช่วงล่างอย่างมีพิรุธ นี่อย่าบอกนะว่าวีรกรรมที่คุณทำมันเลือนหายไปกับกองเสื้อผ้าเปียกๆที่แขวนอยู่ตรงราวตากผ้าบนระเบียงแล้วน่ะ

“ทำไมพี่มาค้างห้องผม?”

“...”

“ที่บ้านพี่ไม่ว่าเหรอครับ”

“...”

“แล้วยังมานอนเตียงเดียวกันอีก...”

“...”

“ผมขอโทษนะครับที่อาจจะรุกพี่หนักเกินไป อย่างคำว่าเป็น ‘แฟนกันทำไมจูบกันไม่ได้’ ที่ผมพูดไปไม่ได้หมายความว่า พวกเราจะต้องมาลงเอยกันที่...”

ยิ่งฟังยิ่งหมั่นไส้ว่ะ...

“คุณทำผมแสบมากรู้มั้ย”

“หา?”

“ทั้งๆที่อยากให้มันง่ายๆแล้วก็จบไว”

“...”

“แต่คุณดันไม่ยอมปล่อยผมไปสักที”

“...”

“บอกว่าให้ปล่อยก็เอาแต่กอดอยู่ได้”

“...”

“ตัวก็หนักยังจะทับมาอีก”

“...!!”

“ตอนนั้นตัวเหนียวเหนอะหนะอึดอัดจะตายชักอยู่แล้ว”

จบหกประโยคเจ้าร่างสูงเบิกตาโตค้าง รีบลุกพรวดพราดยกมือทาบหน้าอกที่เปลือยเปล่า แตะซ้ำไปมาราวกับต้องการหาบางอย่างที่ควรอยู่ติดกาย แล้วชายตามองเบื้องล่างด้วยอาการตื่นตระหนกก่อนถกผืนผ้านวมขึ้นสายตาตื่นตะลึงแทบช็อค

ปมผ้าสีขาวรัดเอวดั่งเงื่อนผูกตายของผมนั้นโคตรแน่น มันทำให้เจ้าขาวผืนใหญ่ยังคงติดกายสูงมาได้ถึงตอนเช้าแต่จะพลาดตรงที่เจ้าตัวแหกขามากไปจนอะไรๆเกือบโผล่พ้นออกมา

“เชี่ย!!” นี่เสียงผมเองไม่ใช่ของเกรท อยากบอกว่าตกอกตกใจองค์ลงไม่แพ้กัน ลุกพรวดพราดขมีขมันจับผ้านวมไปกำพันรอบเอวสอบ “ทำบ้าอะไรของคุณฮะ”

ผมตวาดตำหนิ แต่ไม่คิดว่าหน้าของเราจะอยู่ใกล้กันมาก พอเงยหน้าไปค้อนจึงได้แต่มองดวงตาโศกเบิกตาโตตะลึงค้างจ้องสบอยู่นานในท่านั้น

“พะ...พี่อิม” สายตาของเกรทมีแววสับสนปนความไม่แน่ใจ ยังไม่ทันที่แขนแกร่งมาแตะไหล่ผมก็ปล่อยให้บทสนทนานั้นไหลต่อ

“จะรับผิดชอบผมยังไง”

“...!”

(เสื้อ)ผมเสียหายนะ รู้มั้ย”

“เออ...คือ”

“ถ้าวันนี้ผมล้า(เพราะต้องแบกคนตัวหนักอย่างคุณมาบนเตียง)จนไปเรียนไม่ไหว คุณจะไถ่โทษยังไง”

เกรททำท่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกพยายามเสมองไปทางอื่น ดี ดีมาก ผมจะแกล้งเขาจนกว่าจะพอใจให้สาสมกับเรื่องที่ผมต้องมาแบกร่างสูงไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แถมยังต้องมาพาเข้านอนอย่างกับคนใช้นี้เลย

“พี่อิม คือผม..”

“ว่าไงจะแก้ตัวอะไรอีก”

“ผมไม่ได้จะแก้ตัว”

“แล้วคุณจะพูดอะไร”

“เรื่องเมื่อวานผมจำไม่ได้จริงๆ”

“แค่บอกว่าจำไม่ได้คุณคิดว่ามันจะจบเหรอ”

“เปล่า ไม่ใช่ คือผม”

“คือผม คือผม คืออะไรล่ะ อย่ามัวแต่อ้ำอึ้งสิ”

“คือผมขอทำกับพี่อีกรอบจะได้มั้ย!”

“...!”

จบประโยคเสียงทุ้มต่ำที่โพล่งออกมาตัวผมแม่งแทบค้าง นี่ต้องขบคิดตีความกับสิ่งที่ร่างสูงพูดออกมากะทันหันกี่สเต็ปกันวะ เกรทขอทำกับผมอีกรอบ...หมายถึงขอเอาเสื้อผมไปซักด้วยสบู่ล้างมืออีกรอบงั้นเหรอ???

“ผมจำไม่ได้ไงว่าผมทำอะไรลงไป ถ้าได้ทำกับพี่อีกรอบ ผมอาจจะจำได้ แล้วผมจะไม่โทษพี่ จะยอมรับแต่โดยดี”

“ยอมรับแต่โดยดี? แล้วทำไมผมจะต้อง...อื้ออ” ‘เอาเสื้อผมไปบูชายัญอีกวะ’ ยังไม่ทันต่อประโยคนี้จนจบ ร่างสูงก็ผลักผมลงเตียงล็อกคอพร้อมกับประเคนจูบร้อนๆจากริมฝีปากบางเฉียบมาให้ ข้อมือข้างหนึ่งถูกเกรทตรึงไว้กับเบาะขยับหนีไม่ได้ อย่างนี้มันไม่ใช่แล้ว นายกำลังเข้าใจผิดนะ

“เกรท...อื้อ...เกรท...” เสียงขาดห้วงเป็นพักๆ จากความนิ่มหยุ่นซึ่งแนบลงแล้วถอนออกซ้ำไปมา นะ...นี่กี่ครั้งแล้ววะ สาม ไม่สิ ห้า ...โว้ยจะครบสิบแล้ว “เกรท...เดี๋ยว...อย่าพึ่ง...นายกำลัง...อ๊ะ!!”

เข่าของเกรทโดนกับหว่างขาของผมที่โล่งโจ้งไร้เครื่องป้องกัน เจ้าตัวไม่มีทางรู้หรอกว่ากางเกงในตัวน้อยของผมมันต้องมาเปียกแฉะจนหมดหนทางใส่เพราะใครกัน ช่วงล่างที่อิสระตลอดทั้งคืนนั้นมันทั้ง...โตงเตง และรู้สึกโหวงหวิวจนถึงที่สุด เกรทมองตาผมด้วยอาการออกอึ้งๆ ก่อนขยับมือไปลูบมันเบาๆ

“เดี๋ยว!! ทำอะไรน่ะ!!” ผมคว้ามือเขาแน่น ฟันบนกัดริมฝีปากล่างอย่างแรงจนเจ็บไปถึงโลกหน้า รู้สึกเหมือนน้ำตาคลอหน่วยอย่างช่วยไม่ได้ ผมกำลังจะเสียเชิงชายให้แฟนจอมปลอมอย่างเขาเหรอวะ แล้วเหมือนสภาพน่าทุเรศของผมตอนนี้จะทำให้ร่างเบื้องบนมีใจคิดได้ มือใหญ่ขยับมาประคองแก้มพลางลูบไล้อย่างแผ่วเบา

“พี่...อิม เมื่อวานผมทำเจ็บเหรอ”

ผมส่ายหัวจนกระจายไปกับหมอน หลับตาไม่อยากรับรู้ว่าคนตรงหน้าทำท่าอย่างไร

“ผม...ขอโทษนะครับ ที่ทำแรงไปโดยไม่รู้ตัว...วันนี้ผมสัญญา ว่าจะทำเบาๆ”

หา? คุณว่าอะไรนะ?

พูดแค่นั้นจบก็กดจูบมาที่ซอกคอ ความรู้สึกจั้กจี้เข้าแทรกก่อนเหมือนมีแรงดูดดึงเบาๆ เรียวลิ้นนุ่มนิ่มไล้ผ่านจุดเดิมซ้ำๆจนรู้สึกถึงความเปียกที่ซึมซับลงมา

“เกรทเดี๋ยวคุณ อ๊ะ ยะ... คุณ...คุณ จับตรงไหนเนี่ย” มือใหญ่ไหลไวราวกับใบไม้บนผิวน้ำที่ล่องไปตามกระแสลำธารที่เชี่ยวกราก ลงลูบผ่านกลางลำตัวซึ่งปกคลุมด้วยกางเกงผืนบางเหมือนทีเล่นทีจริง สัมผัสยังไงให้เหมือนไม่สัมผัสเทคนิคอันนี้ถามคนเบื้องบนตัวผมได้ สายตาคมตวัดมองหน้าผมก่อนเปล่งเสียงเบา

“พี่...อิม”

“...!!” เซ็กซี่เกินไปแล้ว!! เกรทมองหน้าผมด้วยดวงตาเหมือนคนอารมณ์มาเต็มเปี่ยม ไม่จริงน่ะ คุณดูดีดีสิว่านี่ใคร ผมไม่ใช่ใยไหมนะ!!

“พี่...อิม” เออ ก็เรียกชื่อผมถูกนี่หว่าแล้วทำไม

“อื้อ ยะ อย่าจับ” แรงมือเข้มขึ้นบีบกำส่วนเร้นรับที่ยังกึ่งนิ่งกึ่งตอบสนอง ผมก้มลงไปมองอย่างตื่นตะลึงเมื่อเห็นร่างสูงกำลังทั้งคลึงและเฟ้นส่วนนั้นของผม “เกรท...คุณ...อึก...” บ้าไปแล้ว ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ไม่น่าไปแหย่ให้เข้าใจผิดแบบนั้นเลย ตอนนี้เหมือนตัวเองกลายร่างเป็นปลาหมอที่กำลังจะตายเพราะปาก ส่วนศูนย์รวมอารมณ์ตรงกลางเริ่มขยายอย่างห้ามไม่ได้ น่าอายเกินจะมอง แต่พอเบนหลบสายตาขึ้นกลับเจอสิ่งที่ทำให้ตื่นตะลึงไม่แพ้กัน

...บางอย่างใต้ผ้าขาวผืนนั้นที่ขัดเอวสอบแบบหมิ่นเหม่นั้นกำลังตื่นตัวอย่างเต็มที่...

เกรท...มีอารมณ์ กับผม?

“เกรท...คุณ” เหมือนเจ้าตัวจะสังเกตเห็นสายตาของผม ใบหน้าสีน้ำผึ้งหอบเบาปรากฏรื้นแดงเล็กๆอยู่ในที

“พี่อิม...อย่ามอง” เสียงคล้ายคนจะครางก็ไม่ใช่คนหายใจติดขัดก็ไม่เชิง ความขวยเขินผลักดันให้ ข้อนิ้วแกร่งกดส่วนละเอียดอ่อนอย่างรุนแรงและจาบจ้วงมากขึ้น

“อื้อ...ยะ...เกรท พอ โอเค ผมไม่มอง ไม่มองแล้ว ฮั่ก!” ช่วยเลิกแกล้งของผมสักที ผมขอ!! ราวกับสิ่งที่อธิษฐานจะได้ผล เกรทผละมือออกไป...ใช่ที่ไหนล่ะ เจ้าตัวเปลี่ยนมาเกี่ยวขอบกางเกงผมลงต่างหาก!!

ส่วนที่ควรจะปกปิดไม่เหลืออะไรให้ปกปิดอีกแล้ว น่าอาย!! อายจนอยากจะมุดแผ่นดินหนี แล้วยิ่งสายตาที่จ้องมองราวกับเห็นของแปลก สิ่งมหัศจรรย์ของโลกของเจ้าเด็กด้านบนด้วยแล้วผมยิ่งอยากจะตายให้ได้

“ของพี่ทำไม...ขาวจัง”

“พูดบ้าอะไรน่ะฮะ! บอกว่าอย่ามอง แต่ตัวเองก็มองของคนอื่นอยู่ชัดๆ โคตรไม่ยุติธรรมเลย!” ท้วงไปก็จะร้องไห้ ไม่ได้อยากเท่าเทียมอีกฝ่ายเลยสักนิด แต่เหมือนเกรทจะไม่ฟัง อีกฝ่ายโถมลงมาทั้งตัวทับร่าง มือหนาจาบจ้วงและว่องไวมุดหายเข้าไปหลังสะโพกผม “กะ กะ กะ เกรท คุณ คุณจะทำอะไรอีก!!”

“พี่อิม ยกสะโพกขึ้น” เจ้าตัวส่งเสียงเบาข้างหูเชิงออกคำสั่ง ใครมันจะไปยอมทำตามง่ายๆวะ

“ไม่!” ผมตะโกนปฏิเสธ แต่มือที่ขยำบั้นท้ายกลับออกแรงดันแค่วืบเดียวตัวผมก็ลอยขึ้นจากเตียงได้สองเซ็นต์ พอน้ำหนักตัวหายขอบกางเกงยางยืดก็ร่นคลายลงเบื้องล่าง ร่างกายเป็นอิสระต่ออาภรณ์ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังในทันที “...!!”

ไม่รู้ปู่ไต่หรืองูเลื้อย พอช่วงล่างเปลือยเปล่าขยับเข้าชิดกายสูงเลื่อนมือเข้าจับความอ่อนไหวของเราทั้งคู่เข้าหากัน ความรู้สึกวืบแรกที่ได้สัมผัสตัวตนของอีกฝ่าย คือความร้อนรุ่มที่ขยายตัวเต็มที่ เมื่อมาถึงขีดสุดความอดทนเกรทจึงเริ่มรูดรั้งไปมา...

“เกรท ฮะ...พอ...พอได้แล้ว!”

จุดจบสายแกล้ง...มันเป็นแบบนี้สินะ...ผมไม่ไหวแล้วล่ะ ผมคงต้องคายความจริงออกไปไม่งั้นเจ้าตัวไม่หยุดแน่ๆ!!

“เกรท หยุด หยุด พอ พอ เมื่อวานพวกเราไม่ได้มีอะไรกัน คุณเข้าใจผิด ที่ผมพูดทั้งหมดมันหมายถึงเสื้อผมที่โดนคุณซักจนเละต่างหาก แล้วเมื่อวานคุณยังเมามากจนผมต้องแบกคุณอาบน้ำเข้านอนอย่างนี้ไม่ให้ผมบ่นหนักได้ยังไง!!”

“หา?”

จังหวะขยับมือหยุดลงทันที...

ในห้องตอนนี้ แม่งยิ่งกว่าเดดแอร์อีกสัด...





“ผมขอโทษครับพี่อิม” เกรทนั่งอยู่ขอบเตียงเท้าแขนกับเข่าภายใต้ผ้าขนหนูผืนเดิมยกมือข้างหนึ่งปิดหน้าแบบหาทางไปไม่ถูก ส่วนผมก็ได้แต่นั่งทับเท้านิ่งชันมือกับน่องบนเตียง...

หลังจากผลัดกันวิ่งแจ้นเข้าห้องน้ำเพราะต่างฝ่ายต่างถูกกระตุ้นจนเสียศูนย์ พวกเราก็กลับมานั่งสำนึกตนที่เตียงใหม่ในสภาพไม่สู้ดี

พอออกจากห้องน้ำมาเด็กเกรทไม่กล้าสู้หน้าผม เอาแต่หันเข้าหากำแพงพลางบ่นงึมงำฟังไม่เป็นภาษา ส่วนผมก็ได้แต่ก้มหน้าทั้งที่เรื่องที่เกิดขึ้นมาแทบไม่ใช่ความผิดผม

ใครใช้ให้เจ้าตัวด่วนคิดไปเรื่องนั้นล่ะ ยิ่งกับผมที่เป็นผู้ชายเหมือนกันยิ่งไม่ควรจินตนาการพาลหมกมุ่นไปได้ด้วยซ้ำ

“ช่างเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ถือว่าเป็นบทเรียนระหว่างผมกับคุณละกัน” บอกให้อภัยก็แล้วแต่ไม่แคล้วยังนั่งนิ่งอยู่ ผมเอื้อมมือมาลูบท้องรู้สึกได้ถึงอาการน้ำย่อยในกระเพาะทำงานโครกคราก จึงพึ่งสังวรณ์ว่าไม่ควรมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ พวกเรายังมีอะไรต้องทำอีกเยอะ

“เกรท วันนี้คุณไม่มีเรียนเช้าใช่มั้ย”

“คะ...ครับ” เจ้าตัวรีบหันขวับมาตอบรับผมอย่าลนๆ จนเพิ่งสังเกตบางอย่างบนใบหน้าร่างสูง

...ป่านนี้จะยังทันมั้ยนะ...แต่ช่างเถอะ...

ผมขยับตัวคลานเข่าไปหาคนอีกฟาก ยื่นมือไปจะจับคางและศีรษะของอีกฝ่าย

“พะ...พี่จะทำอะไร” เกรทกระตุกตัวเล็กๆเหมือนโดนไฟจี้ แต่ผมเอ่ยปรามไว้

“อยู่นิ่งๆเถอะน่ะ แล้วอ้าปากด้วย”

“หา?”

“ผมบอกให้ทำก็ทำสิ” ส่งเสียงสั่งจนเกรทต้องยอมทำตามเงยหน้าอ้าปากใส่ผม พอเห็นอีกฝ่ายนิ่งผมเลยเอื้อมมือไปจับคางพลางดึงกระพุ้งแก้มเบาๆ “อ้ากว้างๆสิ”

“อะ...โอ๊ย” เหมือนจะโดนแผลปากแตกเมื่อวานเข้าให้

“ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก วันนี้ก็กินอาหารอ่อนๆแล้วดื่มน้ำให้เยอะเข้าไว้ล่ะ” ผมปล่อยมือ ทิ้งให้เกรทลูบกระพุ้งแก้มขมวดคิ้วหงุดหงิดอยู่ตรงนั้น

“ทำอะไรของพี่น่ะ”

“ทำเป็นบ่นไป ทีตอนนี้มาสำออยนะ ทีตอนจูบผมไม่เห็นทำท่าจะเจ็บ”

“...!!”

ร่างสูงหยุดชะงัก รู้สึกเหมือนดวงหน้าสีน้ำผึ้งนั้นขึ้นสีทันควัน...

หา?

...ไม่ใช่หรอกมั้ง นอนดึก ตาฝาด คิดมากไปเอง คนอย่างเด็กเกรทน่ะเหรอจะมาเขินกับเรื่องงุ้งงิ้งที่ทำกับผม หรือจะมาพิศวาสผมลงได้น่ะ ให้พระอาทิตย์มาขึ้นทางทิศตะวันตกยังจะน่าเชื่อเสียมากกว่า....

แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่า...



...เด็กเกรทไม่เหมือนเดิม...


...TBC...

++++++++++++++++++++



เกรทเด็กหื่น2019...

เล้าเป็ดก็ปล่อยลูกเป็ดลูกไก่เกรทเลยค่า555

เห็นคนคอมเมนต์แล้วน้ำตาไหล :hao5:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสอง...นาฬิกาเวลาเที่ยงคืน [16-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 16-09-2019 22:50:32
เกรททททท มันไม่ธรรมดา มีขอทำอีกรอบ 555555555 :hao6:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสอง...นาฬิกาเวลาเที่ยงคืน [16-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 16-09-2019 23:36:33
555. ขอทำอีกรอบ,,,
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสอง...นาฬิกาเวลาเที่ยงคืน [16-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-09-2019 23:42:04
 :laugh:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสอง...นาฬิกาเวลาเที่ยงคืน [16-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-09-2019 00:04:56
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสาม...อาทิตย์ที่คบกัน [19-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 19-09-2019 21:05:03
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบสาม...อาทิตย์ที่คบกัน


“อุก...ซีดสสส”



รอยซ้ำตัดสีผิวที่มุมปากส่ออาการเจ็บปวดทุกครั้งยามมีการเคลื่อนไหวขบริมฝีปากบนล่าง ดูท่าอาหารมื้อนี้คงไม่อร่อยสำหรับเกรทไปเสียแล้ว

“ทานไหวมั้ย ผมว่าไปหาอะไรอ่อนๆทาน...” มือผมตั้งท่าจะคว้าจานตรงหน้าอีกฝ่ายเก็บแต่กลับโดนล็อกไว้เสียก่อน

“ไม่เป็นไรครับ พี่อิมอุตส่าห์ทำให้กินทั้งที” เจ้าตัวโปรยรอยยิ้มมาให้ แต่มันทั้งเจื่อนและฝืดเฝือนอยู่ในที

“ข้าวไข่เจียวจะกินที่ไหนก็ได้ ไปเถอะออกไปกินข้างนอกกัน” ผมตีมือเกรทเบาๆเกลี้ยกล่อม

“แต่เสื้อผ้าพี่ยังไม่แห้งเลยนะครับ” เกรทเตือนสติผม เหตุผลส่วนหนึ่งที่พวกเราไม่ยอมออกไปข้างนอกนั้นมาจากการที่เสื้อผ้าซึ่งเกรทได้ทิ้งซากวีรกรรมยามเมาไว้มันยังไม่แห้ง ในเมื่อไร้เครื่องในสารพันสิ่งอันผมเลยไม่มีปัญญาห้อยเจ้าลูกชายน้อยเดินโตงเตงไปไหน เลยได้แต่วนเวียนอยู่ในห้องของเกรท

“แต่ถึงยังไงผมก็มีเรียนตอนสิบโมง ให้รอจนกว่าจะแห้งยังไงก็ไม่ทัน ทนใส่ชื้นๆไปก่อนได้ไม่เป็นไรหรอก” เกรททำหน้าครุ่นคิดอยู่สักพักเหมือนกลัวแทนลูกชายผมที่จะเจอกับความอับชื้น ไม่นานเจ้าตัวก็โพล่งขึ้นมา

“ยังไงถ้าไม่รังเกียจ ใส่ของผมไปก่อนมั้ยครับ ผมมีตัวใหม่ที่พึ่งแกะกล่อง” มาถึงตอนนี้ เอ่ยปากขนาดนี้ ถ้าผมบอกว่ารังเกียจจะเสียมารยาทมั้ย ดูจากความรักสะอาดระดับหนึ่งของเด็กเกรทอย่างการพกผ้าเช็ดหน้าไปไหนต่อไหน หรือจะการพกผ้าขนหนูไว้เผื่อหลังเล่นกีฬา ก็ดูไม่น่าจะรังเกียจอะไร แต่ทว่า...







“นี่มัน...สีอะไรของคุณกันเนี่ย”

ผ้าชิ้นน้อยสีแดงสดขอบดำลายตัวอักษร CALVIN KLEIN 1981 รูปทรงบรีฟถูกส่งมาให้ผมจากในตู้เสื้อผ้า มันเป็นสีที่ผมไม่เคยถูกจริตคิดซื้อมาใช้ใส่บั้นท้ายเลยสักครั้ง

“ของใหม่ก็มีแค่ตัวนี้แหละครับ เพื่อนผมมันซื้อมาให้เป็นของขวัญวันเกิด”

“ของขวัญวันเกิด เฮ้ยแล้วเอามาให้ผมใส่เนี่ยนะ ไม่เอาอ่ะ” ผมดันมือเขาออกอิดออดที่จะรับมันไว้

“ไม่เป็นไรหรอกพี่ เอาไปเถอะ ปกติผมไม่หยิบขึ้นมาใส่อยู่แล้ว”

“ทำไมถึงไม่ใส่ สีไม่ถูกใจ”

“เปล่าครับ ปกติผมไม่ชอบใส่แบบบรีฟอยู่แล้ว เวลาขยับตัวออกกำลังกายหนักๆมันชอบบาดขา”

“ชอบใส่แบบทรังค์สินะ” ผมหยิบกางเกงในในมือเขามาพินิจพิเคราะห์ เอาวะ ก็ใส่แค่ชั่วคราวเอง สีแดงแล้วไงทำอย่างกับจะมีใครมามอง ภาวะเงียบงันจากสภาพแวดล้อมเกิดขึ้นมาอย่างผิดสังเกต ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของกางเกงในตัวจิ๋วที่กำลังเม้มปากย่นคิ้วข้างหนึ่งมองหน้าผมนิ่ง

“อะ...อะไร...อยู่ๆก็หวงขึ้นมาเหรอ ผมไม่ยืมก็ได้นะ” ผมยื่นกลับไปแต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับ

“เปล่าครับ แค่สงสัย พี่รู้ได้ไงว่าผมชอบใส่แบบทรังค์”

“...!!”

“พี่เคยมารื้อตู้เสื้อผ้าผมเหรอ”

“คะ เคยดิ...ก็รื้อเอาชุดนอนไง แต่ไม่ถึงกับเปิดชั้นกางเกงในดูหรอกนะ”

“ถ้างั้นแล้วทำไมถึง...”

“...” เล่นถูกจ้องจับผิดขนาดนี้ จากที่ไม่คิดก็ทำให้คิดได้ ผมไม่ได้ตั้งใจมองซะหน่อยเมื่อวานน่ะ เขาเป็นคนถอดเองทั้งนั้น

“จริงด้วยสิ เมื่อวานพี่บอกว่ามีพาผมไปอาบน้ำ พี่พาผมไปอาบน้ำยังไง ดันหลังเข้าไปในห้องน้ำให้ผมอาบเองเหรอ แต่ทำไมผมไม่เห็นจะจำได้เลยว่าอาบน้ำ อย่างน้อยมันก็น่าจะมีอยู่ในความทรงจำบ้าง แล้วหุ่นอย่างพี่เนี่ยนะ...” เจ้าตัวลากสายตาตั้งแต่หัวยันไปจรดปลายนิ้วหัวแม่โป้งตีนผม “ไม่อ่ะ ไม่มีทางแบกผมกลับได้หรอก”

ตุบ!!

จบคำผมตบตู้เสื้อผ้าดังฉาดจนเกรทสะดุ้ง แอบมีฉุนเด็กบ้าไม่รู้จักบุญคุณคนที่หามมา แถมยังมากราดมองสายตาดูถูกหุ่นชาวบ้านเขาได้ ร่างกายผมไม่ได้แย่ สูงร้อยแปดสิบเอ็ดจะติดก็แค่ตัวผอมบางจนเมื่อก่อนคนชอบทักว่าขาดสารอาหารแม่เลยหมั่นทำแต่ของดีดีให้กิน ตอนนี้ที่มีน้ำมีนวลมาได้ขนาดนี้ฝีมือแม่ผมล้วนๆ ถ้าจะมาดูถูกรูปร่างกันสู้เอาตีนมายันหน้าผมดีกว่า

“ไอ้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคุณเนี่ยแหละเป็นคนแบกคุณกลับ ถ้าเพื่อนคุณไม่ใช้ข้อความไลน์คุณส่งมาป่านนี้นู้น...” ผมยกมือชี้ขึ้นมั่วซั่ว “คุณไปนอนกับเสาธงที่หน้าแปลงเพาะคณะเกษตรแล้ว หัดเห็นความลำบากของคนอื่นซะบ้าง คนอุตส่าห์เห็นว่าเตะบอลมาตัวเหม็นเหงื่ออย่างกับอะไรจะปล่อยให้นอนจนกองขี้ไคลกองเหล้าตายก็ใช่ที่ ผมก็หวังดีเถอะ ถึงพาคุณไปเข้าห้องน้ำ พอให้อาบเองก็ทำไมได้ แต่พอสั่งให้ถอดก็ถอดมันซะโล่งเตียน แล้วอย่างนี้ไม่ให้ผมเห็นอะไรๆก็บ้าแล้ว!”

“...” เป็นคำด่าที่ยาวที่สุดตั้งแต่เกิดมาในชีวิต ผมหอบเพราะพูดเร็วเกิน เซ็งจิตอุตส่าห์ช่วยแท้ๆแต่ไม่เห็นบุณคุณ ส่วนเกรทนั้นก็นิ่งไปแล้ว เจ้าตัวเหมือนค่อยๆฟื้นความทรงจำก่อนหน้าจะรื้นแดงขึ้นสีจนต้องยกมือปิดปากกุมคาง

“จำได้แล้วใช่มั้ย” ผมกระแทกเสียงเหมือนตั้งใจจะสมน้ำหน้าอยู่นิดๆด้วยคำพูดว่า ‘เห็นมั้ยล่ะ’

“ตอนนั้น...”

“เออถ้าจำได้แล้วก็ช่างมันเถอะ ทีหลังก็อย่า...”

“ผมตามพี่เข้าไป...ตอนพี่อาบน้ำด้วยใช่มั้ย”

หา?

ผมรู้สึกว่าคำมันทะแม่งทะแม่งจึงยกนิ้วชี้หน้าตนเอง

“ผม...”

“ครับ”

“อาบน้ำ?”

เกรทพยักหน้าหงึกหงักยืนยันว่าผมไม่ได้ฟังผิด

“ผมอาบน้ำตอนไหน?”

จู่ๆเสียง ‘แกร่ก’ ดังขึ้นมาในห้วงภวังค์

อย่าบอกนะ ตอนนั้น ตอนนั้นเหรอวะ!!

สายตาตื่นๆตวัดขึ้นมองหน้าคนที่อยู่สูงกว่าเกรทเม้มปากเสตาลงพื้นเขี่ยเท้าเล่นไปมา

“ขอโทษครับ...ดันนึกออกพอดี” สีหน้าของเกรท...แดงแจ๊ด

“มะมะมะมะมะไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่!! คุณเอาเรื่องอะไรมาพูด ฝันเปล่าฮะ คะคะคะใครกันวะจะเอาคนเข้าไปอาบน้ำด้วย บ้าเปล่าเนี่ย!!”

เนียน!! บอกได้เลยว่าเนียนมาก ณ จุดนี้ ร่างสูงเลิกคิ้วมองเหมือนเห็นตัวตลกและจับผิดอยู่ในทีจนผมต้องพูดหาข้ออ้างต่อ

“คะ...คุณอาจจะฝันแล้วคิดว่ามันเป็นความจริงก็ได้ คนตอนเมาจะเอาอะไรมาคิดก็คิดได้ทั้งนั้นแหละ” รวมถึงผมที่สร้างฉากมโนฉากใหญ่มาให้เกรทตรงนี้ด้วย

“อ้าว...งั้นเหรอครับ งั้นก็ช่วยไม่ได้แฮะ”

ช่วยไม่ได้? ช่วยไม่ได้อะไร?

“ตอนแรกผมก็คิดว่าจะให้ต่างคนต่างเห็นเจ๊าๆกันไปแท้ๆเลย” ร่างสูงขยับเข้าประชิดจนผมต้องทำตัวลีบไปกับบานตู้เสื้อผ้าเงยหน้ายกมือที่ยังมีกางเกงในสีแดงถือค้างอยู่ตั้งการ์ดอย่างกล้าๆกลัวๆ

“คะ...คุณจะทำอะไรน่ะ” เกรทหลุดหัวเราะขึ้นจมูก รอยยิ้มหล่อราวเทพบุตรอดีตดาราส่งตรงมาให้ผม

“อิม”

!!!

ความรู้สึกแปลกๆปรากฏขึ้น แววตาผมสับสน คนตรงหน้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ามึนงงจนเกินเข้าใจ

“มะ...เมื่อกี้คุณเรียกผมว่าอะไรนะ” เจ้าตัวเลิกคิ้วก่อนตอบมาอย่างฉะฉานว่า

“อิมครับ”

“ใครให้เรียก”

“ขี้เกียจเรียกพี่แล้ว”

“ขี้เกียจ? ของอย่างนี้มันขี้เกียจกันได้ด้วยเหรอวะ”

“มีให้เลือกสามช้อยครับ ระหว่างอิม ดาร์ลิ้ง หรือตัวเอง”

“ไม่เอามันทั้งนั้นแหละ!”

“ถ้าไม่เลือก ผมก็จะเรียกมันสลับทั้งสามข้อ”

“เกรท!”

“ชอบจังเวลาพี่เรียกชื่อผมน่ะ”

“เกรท!”

“ครับ!” กวนโว้ยยย

“บอกมาดิว่าชื่อจริงคุณชื่ออะไร”

“ทำไมครับ”

“ผมจะได้เรียก”

“งั้นไม่บอก”

“บอกมา!”

“บอกแค่นามสกุลได้มั้ยครับ เผื่อเอาไปใช้”

“ใช้บ้าใช้บออะไร”

“ใช้ต่อชื่อจริงพี่”

“ผมมีนามสกุลของผมอยู่แล้ว!”

“ไม่อยากเป็นภรรยาผมเหรอ”

“ไม่อยาก ไม่ต้องการ ไม่เอาโว้ย แล้วต่อให้เป็นจริงมีภรรยาบ้านไหนเขาไม่รู้จักชื่อสามีกันบ้างวะ!”

“คิรากร”

“...!!”

“ผมชื่อคิรากรครับ คุณภรรยา”

“คิรากร?”

“หืม?”

“ชื่อแปลก”

“แต่นามสกุลไม่แปลกนะ คุณ ‘ตั้งปณิธาน จิตต์มั่นคง’ ” เกรทรู้จักชื่อจริงผม แถมยังเอามาต่อท้ายนามสกุลเจ้าตัวอย่างหยอกเย้า

“คุณนี่มันไม่ใช่คิรากร...แต่เป็นคิลเล่อร์ชัดๆ”

“ได้ครับ ให้ผมเป็นคิลเล่อร์ก็ได้ จะทำให้สมชื่อเลย” มือใหญ่เคลื่อนมาดึงชายเสื้อผมยกขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวเลยต้องจับล็อกไว้พร้อมมือที่กำกางเกงในไม่ปล่อยเป็นระวิง

“เชี่ยเกรท! คุณจะทำอะไรน่ะ!!”

“ผมขาดทุน”

“ขาดทุนอะไร!”

“ก็อิมเห็นแต่ของผม แต่ผมไม่เห็นของอิมสักกะนิด” มือใหญ่ขยันดึงจนกลัวว่าเสื้อจะขาด ผมฝืนไหลไปตามแรงจนต้องดันตัวเบียดคนขี้แกล้งพยายามแกะมือเขาออก แรงอีกฝ่ายมีมากกว่าที่คิด จนเริ่มจะต้านไม่ไหว

“ปล่อยดิวะเกรท”

“ไม่ปล่อย”

“ปล่อยดิโว้ย”

“ไม่ปล่อยครับ”

“เชี่ยเกรท คุณจะขาดทุนได้ไงในเมื่อคุณก็เห็นผมเปลือยทั้งตัวแล้วน่ะ!!”

“...!!”

“...!”

วินาทีนี้คือเกรทอึ้ง ส่วนผม...อยากจะตีปากตัวเองให้แตก พูดให้ตัวเองขายหน้าทำไมวะไอ้อิม!!

“ไม่ใช่ความฝันจริงๆด้วย”

“...!!”

“อิมแม่ง...โคตรน่ารัก”

“...!!!” โว้ยยยยยย ช่วยพาผมไปส่งโรงพยาบาลที วินาทีนี้ไม่เกรทก็ผมเนี่ยแหละบ้า!! ทำไมต้องมาเขินด้วยวะกับการโดนเพศเดียวกันเห็นตอนแก้ผ้า

...ผมจะบ้าตายอยู่แล้ว!!...













“เย็นนี้กลับด้วยกันนะครับ”

“ทำไมต้องกลับด้วยกัน”

“เป็น ‘แฟน’ กันก็ต้องกลับด้วยกัน”

“...”

พักนี้แปลกๆ เหมือนคนตัวสูงจะอ้างผมด้วยสถานะว่า ‘แฟน’ มากยิ่งขึ้น และจากที่สามสัปดาห์ไม่เห็นหน้ากลายเป็นว่าโผล่หัวมาทุกวันให้ผมเจอเท่าที่จะเป็นได้ มันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเท่าไร เพราะผมรู้สึกถึงกลิ่นอายไม่ชอบมาพากลจากตรงนี้

แทนที่ความสัมพันธ์ของพวกเราจะถอยหลังเข้าคลอง แต่นี่กลับคืบหน้าเหมือนเรือหางยาวติดเทอร์โบแล่นในแม่น้ำเจ้าพระยา...บางครั้งมันก็จะน้ำเน่าอยู่หน่อยๆตอนที่เกรทเหมือนจะอ้อนผม...ฟังไม่ผิดหรอกครับ...เขาเริ่มจะอ้อนผมตั้งแต่วันนั้น

“ไปดูหนังด้วยกันมั้ยครับ”

“เรื่องอะไร”

“แอนนาเบลล่า”

“ไอ้หนังตุ๊กตาผีนั่นใช่มั้ย ผมไม่ดูหรอก ไม่ชอบดูหนังผี ดูแล้วมันติดตา”

“ไม่ใช่หนังผีนะครับ หนังรักโรแมนติกต่างหาก”

“นั่นล่ะยิ่งไม่ชอบดูเลย คุณไปชวนคนอื่นเถอะ”

“หนังรักไม่ให้ดูกับ ‘แฟน’ แล้วจะให้ดูกับใครล่ะครับ”

“จะดูกับใครมันก็เรื่องของคุณดิวะ”









“เชี่ยเกรท ไอ้เด็กบ้า ผมบอกแล้วไงว่าไม่ดูไม่ดูน่ะ!”



สุดท้ายก็ได้แต่โวยวายหลังจากโดนจับลากมาโรงหนังแบบโคตรบังคับฝืนใจ แล้วไอ้ที่เด็กเกรทบอกหนังรัก แม่งรักมากเลยจ้า รักจนข่วนเลือดสาดนางเอกแปลงร่างเป็นแวมไพร์เลยเว้ย!!



“อ้าว ก็ผมบอกแล้วไงว่าหนังรัก ความรักที่เกิดจากคนธรรมดาที่กลายเป็นแวมไพร์สาวสิงร่างอยู่ในตุ๊กตาค่อยจับฆ่าคนที่เป็นเจ้าของคนแล้วคนเล่าเพราะเหม็นความรักที่เขามีให้กับหล่อน”

“เรื่องอย่างนี้แหละที่ไม่อยากดู! ดูแล้วมันติดตารู้มั้ยแล้วคืนนี้ใครมันจะนอนหลับลงวะ!” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ผมกล้าสบถ กล้าโจมตีใช้คำด่าหยาบๆกับเจ้าตัว ความรู้สึกที่เหมือนเห็นหัวผมเป็นรุ่นพี่นับวันจะไม่มี แล้วอย่างนี้ผมจะใจดีกับเขาไปเพื่อ

“มานอนห้องผมดิ ถ้ากลัว”

“กลัวคุณยิ่งกว่าอ่ะดิ!”

“ผมน่ากลัวตรงไหน”

“...”

...ทุกตรงบอกเลย...

ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ความสัมพันธ์ของเรายังเข้ารูปเข้ารอย คบกันเป็นแฟนได้อย่างราบรื่นเสียจนน่าตกใจ เห็นเถียงกันเป็นเจ้าเด็กน้อยอย่างนี้แต่พวกเรากลับเข้ากันได้ดีเหลือเชื่อ

ไม่ว่าจะเป็นรสนิยมการกิน ที่เป็นคนง่ายๆกินอะไรก็ได้ทั้งคู่ พวกเราชอบขลุกกันนั่งเล่นเกมมือถืออยู่ในห้อง บางครั้งเบื่อๆก็ออกไปนั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือ หรือต่อให้เป็นเรื่องที่ต่างคนต่างไม่ถนัดอีกฝ่ายก็จะเฝ้าดูกิจกรรมของอีกคนด้วยความเพลิดเพลินไม่รู้จักเบื่อ

อย่างวันไหนเกรทไปเตะบอลผมก็ชอบที่จะนั่งดูและเชียร์อยู่ข้างๆสนาม อีกฝ่ายเล่นเกมรุกได้มันถึงใจสุดๆไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำประตูได้เลย ส่วนวันไหนว่างๆผมก็จะชอบนั่งวาดรูปอยู่ในห้อง อันนี้น่ะงานอดิเรกผมเลยล่ะ แล้วเจ้าตัวมักจะอาสาเป็นแบบวาดให้ แถมบางทียังเสนอตัวว่าจะถอดเสื้อเหลือแต่กางเกงในโชว์ซิกแพคให้ผมวาดนู้ดเก็บไว้เป็นที่ระทึกอีก...โคตรระอา...

ตอนแรกๆไอ้เบส มักจะเตือนผมอยู่เสมอว่าจะให้เลิกเสียทีก่อนอะไรมันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ ส่วนไอ้ฟ่างกับดาวก็เอาแต่เชียร์ให้พวกเราป้าบป้าบในเชิงของคนคิดเรื่องสัปดนอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งการไปมาหาสู่ระหว่างผมกับเกรทเป็นเรื่องที่ชินตา...เออ ก็ไม่เชิงชินตาเท่าไรหรอก แค่ผมไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกับเพื่อนจนพวกมันชินกัน แล้วก็ไม่ได้มีการเอ่ยถึงเกรท การแจ้งเตือนต่างๆเลยดูเหมือนจะน้อยลงไปราวกับว่า การที่ผมมีแฟนนั้นเป็นความฝัน

“ไปนอนห้องผมเถอะ ดึกแล้ว”

“ดึกที่ไหนนี่มันพึ่งจะสามทุ่ม”

“อิมกล้านอนคนเดียวเหรอ”

...นี่เป็นอีกอย่างที่เปลี่ยนไป เด็กเกรทมันจะแทนผมว่า ‘อิม’ โดยไม่เรียกพี่อีกแล้ว...

“กล้า”

“เชื่อตาย คราวก่อนจำได้ว่าตาโหลมาเรียนเลย”

คราวก่อน...มันก็คราวเดียวกับที่โดนนายหลอกไปดูหนังผีนั่นแหละ!

“เออ บอกว่ากล้าก็กล้าดิ!”

“ค้างสักคืนไม่เห็นจะเป็นไร เสื้อผ้าอิมที่หอก็มีพร้อมอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้คุณน้าก็ไม่ว่าอะไรแล้วด้วย”

“...” นี่แหละที่ไม่ยินดี หลังจากเคยหิ้วปีกเกรทกลับเพราะเมาไปครั้ง ต่อจากนั้นพวกเพื่อนเจ้าเด็กบ้านี่มันก็คิดว่าผมเป็นสารถี เป็นคนใช้ที่แสนดีคอยแสตนด์บายช่วยแบกคุณชายคิรากรกลับบ้านยามเมาเสมอๆ จนทุกวันนี้ต้องหอบผ้าหอบผ่อนย้ายตาม ‘สามี’ อย่างที่ไอ้ฟ่าง ไอ้ดาวมันเรียกกัน มาฝังตัวในห้องใหญ่ๆสี่เหลี่ยมห้องนั้น ส่วนแม่ผมก็ทำใจได้แล้วเรื่องที่ว่าหากกลับบ้านเกินสี่ทุ่มคือเข้าใจตรงกันว่า...ค้างหอเกรท

“ค้างเถอะครับ ดึกแล้ว ไม่อยากให้อิมกลับดึกๆคนเดียว”

...นี่แหละสกิลการอ้อนของเขา...









แปลกดีนะ...ทั้งที่เตียงออกจะกว้าง แต่ผมกับเกรทกลับนอนกอดกันจนเป็นนิสัย จะมีบ้างบางครั้งที่รู้สึกจะตะขิดตะขวงใจที่ตื่นมาแล้วไอ้ตรงนั้นเด่เพราะฝันเปียกตามประสาผู้ชาย

พวกเรา...แค่กอดกัน...ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้นซึ่งมันเป็นเรื่องที่แปลก...

ผมไม่เข้าใจว่าคนอย่างเกรทที่ชอบผู้หญิงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะมายินดีอะไรกับการได้กอด ‘ผู้ชาย’ อย่างผมนอน อาจจะแค่กอดแทนหมอนข้างล่ะมั้ง

แล้วพักนี้เหมือนเกรทจะไม่ค่อยพูดถึงใยไหม ไม่มีการมองหาตอนอยู่ใต้ตึก เหมือนตัวตนของใยไหมค่อยๆเจือจางออกไปจากความคิด...

“กินที่ กินที่ กินที่” ผมเอามือเขี่ยดันเกรทให้หลบไปอีกข้าง เตียงออกจะกว้างเรื่องอะไรมายืนกางแขนกางขาเกะกะชาวบ้านคนจะล้มตัวลงนอนขนาดนี้เนี่ย

“หึ” เกรทหลุดขำออกมายามผมทำหน้ามู่ทู่

“หัวเราะอะไร”

“ขยับยังไงสุดท้ายก็ต้องนอนกอดกันอยู่ดี”

“งั้นวันนี้ก็ไม่ต้องกอดดิ ผมไม่ได้ขอด้วยซ้ำ”

“เดียวอิมจะฝันร้ายนะ”

“...”

ไม่เถียง...ผมแม่งฝันร้ายจริงหากตอนนอนแล้วนึกถึงหนังสยองขวัญเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ไปดูมาวันนั้น

เกรทเอี้ยวตัวให้ผมคลานขึ้นเตียงแค่เสี้ยวเดียว ผมเลยล้มตัวลงไปในอ้อมแขนเขาอย่างง่ายดาย

“นอนเถอะครับ” ไฟในห้องยังสว่างโร่ เจ้าตัวรู้ดีว่าผมจะไม่ยอมนอนปิดไฟหากเป็นวันใดที่ผ่านโรงหนังมา แขนเกรทขยับโอบกระชับผม ตอนแรกแปลกแต่ตอนนี้ชิน...ผมชุกหน้าเข้าไปกับแผ่นอกเขาพรูลมหายใจยาวเหยียด ไม่นานก็อยู่ในสภาวะที่นิ่งเรียบสม่ำเสมอ ความง่วงเริ่มบังเกิดครอบงำสมองส่วนหนึ่ง

“ไม่เมื่อยบ้างเหรอไงให้นอนบนแขนทุกครั้ง” เสียงผมถามงึมงำด้วยความสงสัยตลอดเวลาที่ผ่านมา ครั้งแรกคิดว่าแกล้งหากแต่หลังจากนั้นกลับทำจนเป็นนิสัย กลายเป็นเรื่องเคยชินของเราไปในที่สุด

“หัวอิมไม่ได้หนักขนาดนั้นซะหน่อย” รู้สึกถึงสัมผัสนุ่มหยุ่นเบาๆแนบลงบนหน้าผาก แต่ผมง่วงเกินกว่าจะเงยหน้าไปยืนยันว่าเกรททำอะไร

“เลิกแกล้งได้แล้ว...นอนเถอะ”

“ครับ...คนดีของผม”













“อะแฮ่ม!!” เสียงราวกับกระแทกเสลดที่ติดค้างอยู่ในลำคอมาสามชาติดังขึ้นขัด ผมกับเกรทเดินคุยกันไปพลางระหว่างทางมุ่งหน้าสู่อาคารเรียนถึงกับต้องเหลียวมองเพราะพึ่งรู้ตัวว่าเพลินจนเดินขวางทางชาวบ้าน แต่สิ่งที่ทำให้แปลกใจกลับไม่ใช่ใครอื่น ใบหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยราวกับอยากแซวพวกผมเต็มแก่ของไอ้ดาวกำลังมองมาตามพวกผมจากทางด้านหลัง

“ไอ้ดาว”

“มาด้วยกันเหรอ”

“แยกกันมา”

“โอเค เชื่อจ้า” หน้ามันไม่เชื่อสักนิด แล้วถ้าเชื่อก็เรียกว่าโง่แล้ว

“พี่ดาว หวัดดีครับ” เกรทเรียกร้องความสนใจโดยการยกมือไหว้เพื่อนผม

“หวัดดีจ้าน้องเกรท ไหว้พระเถอะนะ”

“ไหว้พี่แหละครับ” ไอ้สองคนนี้มันยิ้มใส่กันบรรยากาศกวนส้นตีนพิลึกเลย

“ทำไมถึงมาพร้อมกันได้ล่ะ นัดกันมาด้วยกันทุกวันเลยเหรอ”

“เปล่าครับคือ...”

“วันนี้บังเอิญเจอน่ะ” เกรทไม่ทันตอบผมก็ดักคอเขาไปเสียก่อน เข้าใจว่าทุกวันนี้ต่างคนรู้กันดีว่าพวกเราเป็นอะไรกัน หากเรื่องไม่อึกทึกครึกโครมขนาดนั้นป่านนี้เราคงเป็นแฟนแล้วจบกันแบบเงียบๆไปแล้ว แต่เรื่องราวกลับดำเนินมาถึงตรงนี้คงมีเพียงการคงสถานะไว้ไม่ให้หวือหวาเตะสายตาชาวบ้านมากเกินไป แล้วพอถึงเวลาที่คนอื่นเขาลืมกันถึงตอนนั้นค่อย...

ไม่คิดเลยว่าการเดินก้าวน้อยคิดเรื่องอนาคตของพวกเราจะถูกสายตาคมจับจ้องทุกอิริยาบถ ใบหน้าคมคายจางหายสิ้นซึ่งความขี้เล่นเมื่อครู่ เกรทสบตาผมไม่หลบเหมือนราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง มันจริงจังเสียจนผมต้องเอาศอกเข้าสะกิด

“เฮ้ย...จู่ๆมามองหน้าผมทำไมล่ะ”

“มองหน้า ‘แฟน’ ไม่ได้เหรอครับ”

“...” ลมหายใจสะดุดเมื่อเจอคำหยอกปนสายตาตัดพ้อ...

...ตัดพ้อ? ไม่หรอก เจ้าตัวคงพยายามแกล้งผมเหมือนทุกที แต่ทำไมคราวนี้กลับดูซีเรียสจริงจังกว่าครั้งไหนๆ

“อย่าหวานออกสื่อนักได้มั้ยชั้นขอร้อง อิจฉาจนจะอ้วกตายอยู่แล้ว” เสียงผู้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์อีกหนึ่งแทรกขึ้นมา ไอ้ดาวมองเย้ยผมที่หันไปทำหน้าดุใส่ เพื่อนสาวขมุบขมิบส่งเสียงข่มขู่เบาๆให้เฉพาะเราสองคนได้ยิน “ชั้นจะไปฟ้องไอ้เบส ว่าแกยังไม่เลิกกับน้องเขา”

“เชี่ยดาว อย่าบอกไอ้เบสนะ!” เรื่องนี้รู้ถึงหูมัน มีหวังโดนบ่นงุ้งงิ้งจนหูชา เรื่องอุตส่าห์ซาเพราะผมพยายามไม่พูดถึงเกรทให้เพื่อนซี้ผมได้ยิน จนหลอกมันให้ตายใจว่าผมเลิกกับเกรทไปถึงไหนต่อไหน ไม่มาซักไซ้ไล่เลียงแล้วแท้ๆ

แต่จะว่าไปก็ไม่ถูก ให้พูดจริงคือพักหลังมานี้เหมือนเบสไม่ค่อยมีเวลาโผล่หน้ามาหา ทั้งดาวและข้าวฟ่างต่างคิดไปเองว่ามันน่ะติดแฟน เห่อจนไม่เห็นหัวเพื่อนจนเลิกคิดที่จะสนใจ แต่ถึงยังไงผมก็ไม่อยากให้มันมาทำหน้าเหม็นเบื่อแบบผู้หญิงมีเมนส์ใส่อีกแล้ว

“เรื่องอะไรที่บอกพี่เบสไม่ได้” เย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งในช่องฟรีสเห็นทีคงไม่พ้นเสียงเกรทตอนนี้ เจ้าตัวดูไม่ยินดีกับสิ่งที่ผมกล่าว รอยยิ้มบนใบหน้าเรียกได้ว่าติดลบด้วยซ้ำ

“เออคือ...”

“เชี่ยอิม นั่นมันไอ้เบสเปล่าวะ” เหมือนสวรรค์เมตตาหยิบยื่นโอกาสหนีมาให้ ผมตัดสินใจคว้าเอาไว้อย่างไม่ลังเล ปลายนิ้วของดาวกำลังชี้ไปยังจุดหนึ่งตรงลานจอดรถ

รถคันหนึ่งพึ่งจอดนิ่งพร้อมการปรากฏกายของร่างคุ้นตาเปิดประตูก้าวเดินออกมาในคลองจักษุ รถคันนั้นเป็นของเบสผมจำได้ ตามด้วยหญิงสาวรูปร่างอ้อนแอ้นซึ่งนั่งข้างกายคนขับ...อันนี้ผมก็จำได้เหมือนกัน เพราะเป็นคนที่เกรทมองตามอยู่ทุกวันอย่าง...ใยไหม...

...หรือว่าเรื่องที่แก๊งเพื่อนอย่างพวกเราคิดไว้...อาจจะเป็นเรื่องจริง...

มันเป็นภาพที่ไม่เคยคิดอยากจะชินตาแต่ก็ไม่ทำให้ประหลาดใจสำหรับผม ส่วนคนที่เหลือ...

“เชี่ยโว้ย...ไอ้เบสจริงๆด้วยอ่ะแก” ไอ้ดาวอุทานไม่เป็นภาษายกมือขึ้นมากระตุกแขนเสื้อผม พอสติกลับมาผมรีบหันขวับไปมองดวงหน้าด้านข้างของเกรททันที

ร่างสูงยืนนิ่งมองไปทางเป้าสายตาของสามคน แววตาเหมือนตกอยู่ในห้วงภวังค์ความตกใจ มันดูสั่นไหวแปลกๆ

“เกรท...”

“พี่...ใยไหม” เสียงเกรทเบาและเจือจางราวกับจะหายไปในอากาศอยู่ทุกเมื่อแต่มันกลับดังก้องในสมองของผม

“เอ๊ะ...นั่นใยไหมคณะเราเหรอ”

ใช่...เป็นใยไหมตัวจริงเสียงจริง ผมจำรูปร่าง บุคลิก ลักษณะท่าทาง และความเป็นตัวตนของเธอได้ อาจจะเพราะเคยชินกับการต้องไล่ตามสายตาคู่คมของคนด้านข้างที่หันไปมองอยู่เสมอ เลยทำให้เห็นเพียงแวบเดียวก็สามารถบ่งชี้ ‘ผู้หญิงที่แฟนผมชอบ’ ได้

“บ้าน่ะ ไม่ใช่หรอก....ใยไหมกับไอ้เบสเนี่ยนะ อย่างนี้เรื่องที่พี่สิงบอก...”

หนึ่งประโยคจากดาวสะกิดใจผม เหมือนทฤษฎีทุกอย่างที่มาขมวดปมมันผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวไปจากความจริง การเชื่อมโยงปะติดปะต่อเรื่องราวยิ่งดูซับซ้อนมากขึ้น จนวัตถุดิบในสมองผมไม่เพียงพอ ผมจับต้นแขนดาวให้หันมาเผชิญหน้า

“พี่สิง? พี่สิงบอกอะไรแก”

“หะ...ฮะ? เป็นอะไรของแกน่ะอิม จู่ๆก็...” สีหน้าคนตัวสูงดูสลดลงไปขนาดนั้น หากไม่จัดการอะไรสักอย่างความรู้สึกหนักๆนี้คงคั่งค้างไปทั้งวัน ไอ้ดาวคงเห็นท่าทีผิดวิสัยเลยขมวดคิ้วมองหน้าผม

“ไอ้อิม แกก็นะ ถ้าเป็นเรื่องไอ้เบสเนี่ยท่าทีเปลี่ยนเลย รู้หรอกว่าสนิทกับมันมากกว่าชั้นกับฟ่างแต่ก็ไม่ต้องทำตัวเหมือนหวงแฟนขนาดนี้ก็ได้เปล่าวะ ไอ้เบสก็อีกตัว พอแกไม่ได้โผล่หัวมาเข้ากลุ่มบ่อยๆก็เอาแต่ถามชั้นอยู่นั่นแหละว่าแกไปไหน ยังคบกับน้องเขาอยู่รึเปล่า...ชะอุ๊ย” ไอ้ดาวเอามือปิดปากย่นคอทำหน้าตาตื่น สายตามองเลยผมไปทางด้านหลัง

ผมหันไปมองตาม คนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างซ้ายผมกำลังจับจ้องตรงมา สีหน้าแสดงอารมณ์หลากหลายแต่หนึ่งในนั้นที่ผมระบุได้คือความไม่พอใจที่ทวีขึ้นคูณสิบ

...หรือว่าหงุดหงิดที่รู้ว่าใยไหมคบกับเบส...

“เกรท...”

“พี่เบสกับอิมสนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

ฮะ?

“อย่าว่าสนิทเล้ย ตัวติดกันอย่างกับตังเม พวกมันเจอกันตอนปีหนึ่งพร้อมกับพี่ แต่สนิทกันมากกว่าเพราะเจอตั้งแต่ปฐมนิเทศน์” ไอ้ดาวขยายความ มันเป็นสิ่งที่ผมไม่ต้องการในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ ผมพยายาม...พยายามอ่านสีหน้าเกรทตอนที่ได้ฟังจนจบประโยค แล้วรีบยกมือจับข้อศอกของเขาแน่น

“สนิท แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นรู้ทุกเรื่องหรอกนะ” ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ กลับมาเป็นเหมือนเดิมสิ ยิ้มสิยิ้ม “เรื่องแฟนก็ด้วย ผมไม่รู้...”

“พี่อยากรู้เรื่องแฟนเพื่อนสนิทไปทำไม?” คำสรรพนามเรียกผมเปลี่ยนไปจนรู้สึกขัดใจแปลกๆ

“อ้าวจะไม่อยากได้ไง ก็เขาเป็นคนที่...”

เพี้ยะ!!

เสียงดังลั่นจากมือข้างหนึ่งที่ยกขึ้นตีปาก ทั้งเกรทและดาวต่างยืนอึ้งมองผมราวกับคนบ้า

กะ...เกือบไปแล้ว...

ผมขยับสายตาไปเห็นร่างสูงที่เลิกคิ้วมองผมหนักกว่าเก่า ความกระอักกระอ่วนเกิดขึ้นในจิต ลืมไปเลยว่าเกรทไม่เคยเอะใจเรื่องที่ผมทราบความรู้สึกของเขาที่มีต่อใยไหม

“เชี่ยโว้ย ไอ้อิมพวกแกจะเสียงดังทำไม...ไอ้เบสมันหันมาแล้ว!” หา? ทุกอย่างเกิดไวจนผมอึ้ง กว่าจะรู้ตัว สองคนที่เคยยืนอยู่ที่ไกลๆกลับเดินเข้าใกล้ การกระทำสดใหม่เป็นของใยไหมที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา

“อิมเมจ น้องเกรท” ยิ้มเริงร่าขัดกับดวงตาและสีหน้าอิดโรยซึ่งฉาบชัดไว้ภายใต้เครื่องประทินโฉม ผมผละแขนออกจากศอกเกรทโดยอัตโนมัติย้ายมันมาไว้ด้วยหลังอย่างกระอักกระอ่วนใจ ไม่มีเวลาแม้แต่สำรวจสีหน้าคนข้างกายว่าจะรู้สึกแย่เพียงไหนที่ผมสัมผัสเขาต่อหน้าหญิงสาวที่แอบชอบ

“บังเอิญจัง เจอเพื่อนเบสตั้งสองคน แถมยังเจอน้องเกรทอีก” รอยยิ้มอ่อนหวานส่งตรงให้คนตัวสูง ผมเสตาลงมองพื้น ความรู้สึกไม่อยากมองที่ผุดขึ้นมานี้คืออะไร?

“สวัสดีครับ พี่ใยไหม” เสียงทุ้มบ่งอาการประหม่าจนเกือบสั่น แต่ความนุ่มนวลยามเรียกชื่อคนตรงหน้านั้นยังอยู่

“แหม ไอ้เบส ยืนนิ่งเป็นเป่าสากเลยนะ ไม่คิดจะแนะนำตัวแฟนให้เพื่อนหน่อยเหรอ” ดาวยิงใส่คนยืนจับสายกระเป๋าหน้ายู่เป็นตูดอยู่ด้านหลัง ไอ้เบสเขม้นมอง ‘แฟนผม’ ไม่ปิดบังเหมือนทุกครา คล้ายตอนได้ยินชื่อร่างสูงในบทสนทนาของกลุ่ม

“แฟน?” ใยไหมหันมองไอ้เบสหน้าตาเลิ่กลั่ก “นี่อย่าบอกนะว่า คิดว่าเรากับเบส...”

ฮะ?

“อิม” เสียงทุ้มจากคนข้างกายเรียกชื่อ ผมไม่รู้ว่าเกรทคิดอะไร ร่างสูงสอดมือคล้องเกี่ยวนิ้วผมไว้มั่น จ้องลงมาลึกในดวงตา “ไปเถอะครับ ผมมีเรียนเช้า”

“หา?” ร่างโดนฉุดรั้งให้สับขาตามจังหวะการก้าวยาว พวกเราเดินห่างออกมาจากทั้งสามคนเรื่อยๆ ผมไม่เห็นสีหน้าของเกรท แผ่นหลังกว้างที่เผชิญอยู่ไม่อาจบอกความจริงอะไรได้ แต่มือที่อีกฝ่ายกระชับมันแน่นราวกับพันธนาการที่มิอาจสะบัดหลุด

...ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ แค่นี้ผมก็รู้สึกเหมือนจะสะบัดคุณออกไปจากชีวิตไม่ได้แล้ว...



…TBC….


++++++++++++++


เมาเรื้อนจนจำไม่ได้ แต่จำร่างเปลือยพี่อิมดันได้ เอ๊ะยังไง

มโนสำนึกนายช่างร้ายกาจนัก  :-[
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสาม...อาทิตย์ที่คบกัน [19-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-09-2019 02:15:16
 :pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมไม่ฟังให้จบฮะเจ้าเกรท  จะรีบหลบไปทำไม?
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสาม...อาทิตย์ที่คบกัน [19-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 20-09-2019 08:55:02
 :m28:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสาม...อาทิตย์ที่คบกัน [19-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 20-09-2019 21:46:23
เรื่องนี้มีปมเยอะมาก,,, รอครับ อยากรู้,,,
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสี่...คำถาม รำคาญก็ไม่ตอบ [22-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 22-09-2019 10:32:03
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบสี่...คำถาม รำคาญก็ไม่ตอบ



“เฮ้ย เกรท”

“...”

“เกรท”

“...”

“ไอ้คุณคิรากร!”



เลยป้ายโว้ยยยย นี่มันเลยหน้าทางเข้าตึกเรียนแล้วนะ ผมออกแรงต้านร่างสูงที่จับจูงมืออยู่ให้หยุดเดิน เหมือนจะได้ผลคนที่เกี่ยวนิ้วแน่นไม่ปล่อยพอโดนกระตุกไปต่อได้ยากจึงหันมาใช้สายตาตกๆเลิกคิ้วมอง

“จะไปไหนเนี่ย”

“...” กายสูงกะพริบตากวาดมองไปรอบๆก่อนวนมาดังเก่าก่อนอย่างไม่รู้ตัว ยืนนึกหาคำพูดที่สูญหายแต่จนแล้วจนรอดความเงียบกลับเข้าแทนที่เราทั้งคู่ จนผมต้องทอดถอนหายใจ

“ผมสงสัยจริงๆ ทั้งที่เมื่อกี้...”

“ไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ยืนอยู่ตรงนั้น” เสียงทุ้มขัดผมกลางปล้องเฉลยคำตอบเมื่อสักครู่

“หา?”

“ที่อิมถามผมเมื่อกี้ ผมไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ยืนอยู่ตรงนั้น”

“ทำไม?”

“ผมไม่รู้”

“หรือว่าเมื่อกี้...”

“อย่าถามผม”

“อย่าบอกนะว่าเรื่องใย...อื้ออ” มือใหญ่แปะป้าบลงมา ผมแม่งเหมือนอย่างกับหมาโดนตะกร้อครอบปาก พอจะถอยหนี มืออีกข้างของคนตัวสูงก็ทำหน้าที่ตะปบท้ายทอยล็อกคอซะอยู่หมัด

“วันนี้อิมพูดมากจัง”

“อื้อ อื้อออ อื้อออ” ก็ใครมันเสือกทำให้ผมอยากถามกันล่ะวะไอ้เด็กนี่ หาวิธีไม่ได้ผมเลยเล่นสกปรกเอา รับรองคราวนี้ปล่อยแน่

“เฮ้ย” เกรทกระชากมือกลับแทบจะในทันที “อิมเลียมือผมทำไมเนี่ย” ก็ไม่ปล่อยเองนี่หว่า ไม่กัดเป็นหมาก็บุญแล้ว

“อีกนิดเดียวแท้ๆก็จะรู้อยู่แล้ว”

“รู้อะไร”

“ก็รู้ว่า...”

“ถ้าเรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้ว”

หา?

“ไม่ต้องบอก...ผมก็รู้อยู่แล้ว”

หมายความว่ายังไง?

“ที่รู้นี่หมายถึง? เฮ้ย!” คราวนี้มือโดนคว้าไปต่อแบบไม่ยอมรับฟังคำขออุทธรณ์ใดใด ช่างแม่งแล้วเว้ย จะลากไปไหนก็เอาเถอะ!















ไหนว่ามีเรียนเช้าไง แล้วทำไมผมถึงมานั่งแกร่วในร้านกาแฟ รอคนตัวสูงที่เดินไปสั่งเครื่องดื่มตรงเคาน์เตอร์ได้ล่ะ



ผมโดนเกรทหลอกเต็มประตู หลังจากเจ้าตัวประสานมือกับผมเสร็จ ก็กำไว้แน่นไม่พูดไม่จาจนลากมาจบที่ร้านกาแฟแบบโคเวิร์คกิ้งสเปซใกล้มหา’ลัย ภายในร้านดูเงียบเหงาผู้คนบางตา เนื่องจากไม่ใช่เวลายอดฮิต ยามนี้บางคนยังติดอยู่กับเตียงนอนด้วยซ้ำ แถมยังเป็นช่วงที่ไม่ใช่ฤดูกาลสอบ ความสงบจึงมีมากเกินจำเป็น

พื้นไม้ยกระดับซึ่งแวดล้อมไปด้วยโต๊ะญี่ปุ่นทรงเตี้ยสีเขียวกับเบาะสีเดียวกันเข้าชุดเป็นจุดที่เกรทพาผมมานั่ง ร่างสูงกำลังมีใจจดจ่อกับการสั่งอาหารผมเลยได้แต่ยืดแขนเหยียดกว้างแนบแก้มขนานไปกับโต๊ะเฝ้ามองอย่างเกียจคร้าน

...เขาคิดอะไรอยู่นะ... ที่ว่ารู้เนี่ยรู้อะไร กำลังจะถึงไคลแม็กซ์แท้ๆ แต่ดันลากกันออกมาซะได้ หรือว่ารู้เลยไม่อยากได้ยินอีกฝ่ายพูดจากปากโดยตรง  “อย่าว่าแต่คุณเลยตอนแรกที่รู้ผมยังรับไม่ได้เลย”

“บ่นงึมงำอะไรครับ” ด้านที่ผมตะแคงข้างพอมองเพียงร้อยยี่สิบองศาจากเคาน์เตอร์ไล่มาด้านซ้ายเลยไม่ทันได้รู้ว่าเจ้าตัวเดินมาด้านหลังเมื่อไร ผมพลิกตัวซึ่งนอนตะแคงมาแนบแก้มกับแขนอีกข้างจ้องมองเกรทที่วางแก้วเครื่องดื่มลงพลางทิ้งตัวลงนั่งข้างผมอย่างนิ่งนานเสียจนเจ้าตัวประหลาดใจ

“จ้องผมทำไม”

“มอง-หน้า- ‘แฟน’- ไม่ได้-เหรอ-คร้าบ”

เน้นมันตรงๆคำเดียวกับที่อีกฝ่ายเคยกล่าววาจาก่อนหน้า ป่านนี้เกรทคงหาว่าผมช่างย้อน หากเจ้าตัวกลับจุดยิ้มที่มุมปากเบาๆไม่ต่อปากต่อคำ ผมเลยไล่สายตาไปตั้งศีรษะจรดท่านั่งขัดสมาธิและกิริยาหยิบแก้วอเมริกาโน่เย็นขึ้นดูดอย่างเชื่องช้า

“ต้องไม่ใช่แน่ๆ”

“หืม?” ผมเปรยขึ้นมางงๆแบบทำเจ้าตัวฉงน

“ให้ลองคิดยังไงก็น่าจะเป็นการเข้าใจผิด”

“บ่นอะไรของอิมน่ะ”

“ไม่อยากฟังต่อจริงๆเหรอ”

“ฟังต่ออะไรครับ”

“มันอาจจะเป็นโอกาสของคุณก็ได้นะ”

“โอกาส?” ผมขยับตัวอย่างรำคาญความไม่รู้หรือแกล้งโง่ของอีกฝ่าย จนน่องไปชนกับคนที่ขัดสมาธิอยู่ให้หงุดหงิด

“ไป ไป ไปนั่งนู้นไป ที่ก็ออกจะกว้าง ทำไมมานั่งตรงนี้” นิ้วแขนซึ่งเหยียดตรงไปกับผิวโต๊ะกระดิกชี้ไปอีกฟากเป็นเชิงไล่

“มีคนเขียนชื่อจองไว้ครับ”

“หา?” พรวดพราดยันมือเข้ากับโต๊ะยืดตัวมองเบาะสีเขียวมิ้นท์อีกฟาก ไม่เห็นจะมีแม้แต่กระดาษเขียนแปะอย่างที่เจ้าตัวว่าไว้

“เกรทไหน...”

“ใส่เสื้อลอยชาย กับกางเกงหลวมๆเวลานั่งก็หัดระวังบ้างสิครับ”

หา?

ผมหันไปทันมองมือใหญ่จับขอบกางเกงหลุดเอวของผม กางเกงตัวนี้ออกจะเก่าไปนิด หลุดคิวซีการโดนโละทิ้งมาได้เพราะโชคช่วยจัดๆ ตอนนั้นเหมือนแม่จะไปสัมมนาที่ต่างจังหวัดส่วนผมลืมทำหน้าที่ซักกางเกงตัวเองเลยต้องไปขุดเจ้าโอเวอร์ไซส์ซึ่งซื้อมาผิดขนาดตอนปีหนึ่งทนทู่ซี้ใส่คู่เข็มขัดที่มีไปก่อน จนมาถึงตอนนี้มันได้กลายเป็นเพื่อนยามยากของผมตอนโดนพายุลมมรสุมจนผ้าที่ตากไว้ไม่แห้งขาดแคลนกางเกงไปเสียแล้ว

วันนี้ก็เช่นกันบังเอิญประเทศไทยยังอยู่ในช่วงฤดูฝนยาว ผ้าที่ตากไว้เลยไม่แห้งจำต้องทนหยิบน้องมาใช้อย่างจำใจ แต่ในขณะเดียวกันก็พลาดที่ลืมคว้าเข็มขัดมาใส่ด้วย

“เออ รู้แล้วน่า” กำลังจะขอบคุณที่เตือนกัน แต่มือเกรทดันรั้งขอบกางเกงจนร่วงลงเห็นขอบผ้าผืนน้อยโผล่พ้นออกมา “เฮ้ย!”

นิ้วยาวไล้ไปตามแถบสีดำลายตัวอักษรขาวอย่างเบามือ สายตาคมกริบจับจ้องมาที่สะโพกซึ่งแพลมโผล่ผืนผ้าสีแดงถัดจากขอบผ้าสีดำ

“ของผมนี่” เสียงทุ้มต่ำเหมือนมีมนต์สะกดบางอย่างให้ผมต้องค้างอยู่ท่านั้น ของเหลวเหนียวๆในปากถูกกลืนเข้าช่องคอด้วยความลำบากยากเย็นราวกับเกรงว่าเพียงเสียงกลืนน้ำลายจะทำให้สัตว์นักล่าง้างกรงเล็บขึ้นมาตะครุบเหยื่อ หากแต่สายตาคมที่มองไปตามนิ้วเรียวยาวซึ่งไล้ขอบกางเกงตัวน้อยกลับตวัดขึ้นสบอย่างกะทันหัน

“นี่ก็...ของผม”

หา?

นอกจากกางเกงในแล้วมีอะไรอีกวะ...

“คุณหมายถึง...”

“อิมผอมลงรึเปล่า?”

“หา?” มือใหญ่จับหยอกบีบเอวผมจนสะดุ้ง “เชี่ย!!อย่าจับดิวะเกรทมันจักจี้” ผมคว้ามืออีกฝ่ายกุมไว้แน่น ทำหน้าปรามเด็กดื้อระดับสิบจนเจ้าตัวหัวเราะออกมาเสียงดัง

“อย่าหยอกกันได้มั้ย เดี๋ยวผมก็คืนแล้วน่า” พอซักตากครั้งนึงตั้งใจจะส่งคืนแต่กลับต้องมีเหตุอะไรบางอย่างให้ต้องใส่แล้วกลับมาซักตากอีกรอบ เลยไม่ได้ส่งคืนให้เสียที “ผมว่าผมซื้อคืนให้คุณใหม่ดีกว่า” คิดๆไป ใส่มาตั้งหลายรอบ ป่านนี้เจ้าตัวคงรังเกียจที่จะได้มันคืนแล้วล่ะ “คุณเกิดวันไหน”

“ฮะ?” เกรทมองหน้าผมซึ่งขยับลงมานั่งเป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียที แต่มือใหญ่ยังจับตอบมือผมแน่นแถมไล้ไปตามข้อนิ้วราวกับมีความนัยแฝงจนผมต้องชักมือกลับ

“ผมถามว่าเกิดวันไหน”

“31 ตุลาครับ”

“31 ตุลา?”

“วันฮัลโลวีน อิมกลัวผีไม่ใช่เหรอ แต่อยากกลัวผมนะ”

“หน้าตาอย่างนี้ใครจะไปกลัวลง”

“แต่สาวๆชอบกรี๊ดใส่ผมเวลาเจอหน้า”

“นั่นเขากรี๊ดก็เพราะว่าคุณหน้า...” ผมสะดุด...ตาคมเนี่ยเป็นประกายจ้องผมระยิบระยับเชียว หวังจะให้ชมซึ่งหน้าสินะ อย่าได้สมหวังเลย

“หน้าอะไรครับ”

“หน้าลาเต้อาร์ตผมจะละลายไปกับกาแฟอยู่แล้ว ส่งมาได้แล้วกาแฟผมชืดหมด” กระดิกนิ้วให้ร่างสูงดันแก้วมัคมาให้ กาแฟเมนูประจำที่พักหลังจะถูกคนตรงหน้าสั่งให้ตลอด จนสกิลการเดินเข้าเคาน์เตอร์สั่งชื่อเมนูร้อนเย็นขนาดไซส์เท่าไรทานในร้านหรือนำกลับไปดื่มที่บ้านของผมมันอันตรธานหายไปจากสมองซะแล้ว

ผมยกกาแฟที่เกรทดันมาขึ้นเป่าไอร้อน สายตาอีกฝ่ายยังคงจ้องมองกลับมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“อิมไม่ต้องซื้อใหม่ก็ได้ เอาตัวนี้แหละมาคืนให้ผม”

“ได้ไง ผมใส่มาตั้งหลายรอบแล้ว ให้ผมซื้อใช้คืนเถอะ เอายี่ห้อเดียวกันแต่เป็นแบบทรังค์ละกัน เดี๋ยวผมเลือกแบบที่สีไม่ฉูดฉาดให้ หรือว่าคุณอยากได้สีอะไรที่มันแจ๊ดๆแบบแสดสะท้อนแสง ชมพูบานเย็น หรือเขียวมะนาว”

“กางเกงในนะครับไม่ใช่โพสอิท” เจ้าตัวเอื้อมมือมาเกี่ยวยางยืดกางเกงในผมดีดเข้าเอวจนสะดุ้ง

“เกรท! เล่นอย่างนี้อีกแล้ว ต้องให้เตือนกี่ครั้งว่าอย่าฮะ!”

“ผมชอบ...”

ตึกตัก...

สองคำแทบทำผมหยุดลมหายใจ สีหน้าไม่หวั่นไหวดูสงบจนเกือบค่อนไปทางจริงจังมันเหมือนแฝงความนัยบางอย่างที่ไม่อาจระบุได้

“ชอบตัวนี้...วันเกิดผม อิมคืนตัวนี้ให้ผมนะ”

เหมือนยกบางอย่างออกจากอก ในใจหนึ่งก็โล่ง อีกใจหนึ่งก็โหวงอย่างบอกไม่ถูก เจ้าตัวบอกว่าชอบ...กางเกงในตัวนี้ แล้วทำไมตอนแรกถึงบอกว่าไม่ใส่แบบบรีฟ?

“ชอบแล้วยกให้ผมทำไม” หน้าตาตอนนี้ของผมคงดูแทบไม่ได้ มันเหมือนเด็กแบะปากงอนกับอะไรบางอย่าง

“อิม?”

“ทีหลังถ้าชอบก็อย่าตัดใจจากมันง่ายๆสิ แสดงออกไปเลยว่าชอบ อย่างน้อยคุณจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังตอนที่มันโดนคนอื่นแย่งไป”

...และอย่า...มามัวเสียเวลา กับสิ่งที่ไม่ชอบเลย...













ผมนั่งจ้องดูกางเกงในแบบบรีฟสีแดงซึ่งแขวนอยู่ตรงราวห้อยหมวกอยู่นาน ถอนหายใจซ้ำๆเมื่อเลื่อนสายตามาเจอกับของที่เกลื่อนกลาดบนพื้น กล่องกระดาษแบบมีฝาลายเรียบสีเทาขนาดเล็ก เชือกกระสอบ และซองพร้อมกระดาษจดหมายไร้ลายพื้นสีเทาเข้ม บอกถึงความอินกับสถานการณ์อันเกินจำเป็นของผม

กับแค่เกรทบอกว่าเกิดวันไหนและต้องการอะไรผมกับถึงต้องวิ่งโร่ไปซื้อของมาเตรียมไว้เลยเหรอ แล้วกว่าจะถึงวันเกิดเกรทก็อีกหลายสัปดาห์ อิม...มึงเป็นบ้าอะไรวะ...

เกลียดโมเมนต์นี้ เกลียดตัวเองที่เหมือนคนกำลังมีรัก...ทั้งที่เป็นรักที่ต่างฝ่ายต่างสร้างภาพมันขึ้นมา...

เมื่อไรเกรทจะบอกเลิกผม...หรือว่าปลงจากเรื่องใยไหมจนตัดใจไปแล้ว...

แล้วการที่คบกับผมอยู่มันหมายความว่ายังไง

‘ผมชอบ...’

พยายามจะเติมชื่อตนคำใส่ช่องว่างอย่างงงๆ ทั้งที่คนพูดก็บอกชัดมาเสียขนาดนั้น ว่าเขาชอบกางเกงในสีแดงดำที่ห้อยอยู่ตรงปลายสายตา ผมลุกขึ้นจากพื้นเดินไปหยิบมันมาถือไว้ ก่อนย้อนกลับมาทิ้งตัวลงนั่งสำรวจกลิ่นหอมสะอาดที่ถูกซักแล้วตากอย่างประณีต ใจนึกครึ้มอยากเดินบึ่งไปหยิบเตารีดมาจัดการทำให้เรียบแล้วพับเก็บ

...ชักจะไปกันใหญ่แล้ว บ้านไหนเขารีดกางเกงในบ้างวะ...

ตำหนิความประสาทของตัวเองก่อนพับเก็บลงกล่องอย่างลวกๆ ปิดฝา ผมพร้อมจะนำไปคืนเมื่อถึงเวลาแล้ว

แอบเสียดายกระดาษที่อุตส่าห์ซื้อ จึงแกะจากห่อพลาสติกดึงออกมาสามสี่แผ่น แล้วเริ่มจรดปากกาทิ้งห้วงคำนึงไปถึงคนซึ่งอยู่อีกฟากของจิตใจ บรรจงถักทอเรื่องราวลงไปในผืนแผ่นสี่เหลี่ยมของกระดาษ

กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เพลินจนหมดไปสามหน้ากระดาษแถมเหมือนจะขาดตอนหากหยุดเขียนเอาเสียดื้อๆตรงนี้ ผมถอนใจส่ายหัวระอากับตนเอง ต่อให้เขียนแค่ไหน...สักวันมันก็ต้องจบ...

พอคิดได้ปลายที่เขียนเปิดไปเลยขมวดปมไปลงไปยังตอนจบ...

ท้ายประโยคที่ผมคิดได้ตอนนี้...มันเป็นท้ายประโยคที่ดีที่สุด















“อิม ทำอะไรน่ะครับ” ผมสะดุ้ง เผลอปล่อยของที่อยู่ในมือระหว่างก้มๆเงยๆตกพื้น พอลุกขึ้นยืนเลยใช้ตีนยาวๆเตะมันจนไถลไปสุดใต้มุมเตียง หัวใจเต้นกระหน่ำบ่งบอกถึงคนมีพิรุธ ผมกุมอกก่อนแสดงท่าทีเสแสร้งบอกตอบ

“เมื่อกี้ผมทำดินสอตก” เจ้าแท่งยาวสีดำที่ถือในมือชูขึ้นสูง “แต่เจอแล้ว”

“วันนี้ก็จะเอาสมุดมาสเก็ตซ์ภาพเหรอครับ” เจ้าของห้องวางถ้วยกาแฟกับซองขนมขบเคี้ยวที่ขนมาลงตรงหน้า “ผมพร้อมให้อิมวาดภาพนู้ดแล้วนะ” เจ้าตัวยิ้มยั่วส่วนผมก็ได้แต่เหลือบตาดูขนมก่อนยิ้มเยาะในใจ

“หึ...ก่อนให้วาดภาพนู้ด มั่นใจนักหรือไง พักนี้กินแต่ของพวกนั้น แล้วผมไม่เห็นคุณจะไปเตะบอลอะไรกับเขาเลย เลิกเล่นแล้วเหรอกีฬาน่ะ”

“มีพวกเด็กนิเทศแก๊งอื่นมาจองสนามน่ะครับ เลยขี้เกียจไปแย่งกับชาวบ้านเขา”

“สนามก็ของสาธารณะเรียกว่าไปแย่งได้ไง แบ่งกันเล่นแบ่งกันใช้ก็ได้นี่” เกรทที่พยายามจะแกะถุงขนมมันฝรั่งชะงักมือฉับพลันก่อนตอบ

“แบ่งไม่ได้หรอกครับ พวกนั้นมันขี้หวง” พวกนั้น?

“อย่าบอกนะ ว่าวันก่อนที่ปากแตกมาก็เพราะไปมีเรื่องกับ ‘พวกนั้น’ ของคุณที่ว่าน่ะ” เหมือนจะรำลึกได้อยู่นิดๆ ครั้งก่อนที่ผมฝากผ้าขนหนูให้ใยไหมไปคืน จนกระทั่งมาเจอเด็กเกรทเมามายอยู่ร้านอาหารพร้อมผองเพื่อน กับรอยปากแตกเหมือนโดนชก ที่เจ้าตัวต้องฝืนทนเจ็บกว่าจะหายไปเกือบหนึ่งสัปดาห์

“หา? วันก่อน?”

“วันที่คุณไปเมาจนผมต้องแบกกลับบ้าน”

“อ๋อ วันนั้น”

“นัทเพื่อนคุณ บอกให้ผมถามคุณเอง ว่าไปโดนอะไรมา”

“โดนต่อยไงครับ”

“ใครต่อย?”

“มาเล่นเกมกันดีกว่าครับ”

“ก็ได้ เล่นเกมถามตอบละกัน” เจ้าตัวพยายามเบี่ยงประเด็นเพราะเห็นหยิบจอยนินเทนโด้ออกมา ผมรู้ทันเลยดักคอไว้

“ถามตอบธรรมดามันไม่สนุก เอาเป็นว่า ถ้าถามแล้วยอมตอบ คนถามถอดหนึ่งชิ้น ถ้าถามไม่ยอมตอบ คนไม่ยอมตอบถอดหนึ่งชิ้น” หา? ทำไมมาไม้นี้วะ ช่างเถอะ ยังไงคนเลี่ยงคำตอบก็หนีไม่พ้นเจ้าตัว ผมชนะใสใส

“ก็ได้ ตามนั้น จัดไป งั้นผมถามก่อน วันนั้นใครต่อยคุณจนปากแตก”

“เด็กนิเทศที่มาเตะบอลที่สนาม” โชคดีของผมที่ใส่อุปกรณ์มาเยอะเนื่องจากเป็นคนขี้หนาว เลยจัดการถอดคาดิแกนสีเทาอ่อนตัวใหญ่ลายคาดส้มออกเป็นชิ้นแรก

“ผู้ชายชุดขาว ที่ยืนหันหลังให้กล้อง ในภาพที่อิมยิ้มสวยๆนั่นใคร”

“ไอ้เบสไง”

“พี่เบสเหรอครับ?” ผมผงกศีรษะ มองหน้าประหลาดใจของเกรท ที่ผุดขึ้นแบบปิดไม่มิด

“อย่างนี้ถือว่าผมตอบคุณสองคำถามได้มั้ยนะ”

“ไม่ได้ อิมอย่าโกง”

“อ้าว ก็คุณถามย้ำอ่ะ”

“ก็ผมสงสัย แต่ก็ไม่เกินกว่าที่คาดไว้หรอก”

“แล้วทำไมถึงเดาว่าเป็นเบส”

“นี่อิมยังไม่รู้ตัวอีกเหรอครับ”

หา?

“จากสายตาครับ” เกรทขยับถอดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นปกฮาวายสีฟ้าโทนม่วงหม่นซึ่งใส่ทับเสื้อยืดออก ก่อนขยับมือมาจับชายเสื้อยืดสีขาวของผมกะทันหัน

“เดี๋ยว ทำอะไร”

“ผมตอบคำถามอิมแล้ว”

“เฮ้ย อันนั้นไม่นับดิ ผมก็ไหลไปตามบทสนทนารึเปล่าวะ”

“แต่พวกเราเล่นเกมอยู่นะครับ”

“งั้นที่คุณถามผมสองครั้งเมื่อกี้ก็ต้องนับ!”

“โอเค นับก็นับ” เสื้อยืดสีขาวของเจ้าตัวโดนถอดออกอย่างเร่งร้อน ปรากฏแผงอกรวมถึงมัดกล้ามบนผิวสีน้ำผึ้งเป็นลอนจางๆสวยงามให้เห็น ผมโคตรอิจฉา เลยมองตาค้างอยู่นาน “บอกแล้วผมเป็นแบบให้อิมได้ ไม่เกี่ยวกับช่วงนี้เตะหรือไม่เตะบอลสักหน่อย”

“หยุดเลย อย่าเบี่ยงประเด็นให้ผมออกอ่าว เด็กนิเทศคนนั้นเกี่ยวข้องกับคุณยังไง ทำไมถึงต้องต่อยคุณ”

“เป็นรุ่นพี่ที่คณะครับ” เจ้าตัวถอดสร้อยเงินเส้นบาง กอปรด้วยจี้ยาวรูปร่างดูล้ำสมัย ซึ่งผมเห็นใส่ประจำออก แล้วขยับมาจะถอดเสื้อผมให้ได้ รู้เลยว่ายอมตอบคำถามแรกแต่เลี่ยงคำถามหลัง

“เดี๋ยวๆๆ” ผมดันมือเขาออก ก่อนจับแว่นสายตาที่พึ่งถอยมาหมาดๆขยับห่างจากใบหน้า แว่นนี้ผมตัดใจซื้อมาเพราะตั้งใจว่าจะไม่ปล่อยให้ตนเองมองพลาดอะไรง่ายๆอีกแล้ว

“ขี้โกงนี่ อิมเล่นถามติดสองคำถามเลยนะ”

“ทีคุณยังถอดสร้อยเลย”

“โอเค...ยอมก็ได้ครับ งั้นผมถามต่อนะ ก่อนมาคบกับผม อิมเคยมีแฟนมาก่อนหรือเปล่า”

“ไม่เคย”

“โกหก หน้าตาอย่างอิมเนี่ยนะ”

“ไม่เคยจริงๆ ผมจะโกหกคุณไปทำไม”

“กับผู้ชายก็ไม่เคยเหรอครับ...แบบคบกัน จับมือกัน จูบกัน มีอะไรกันแบบนี้น่ะ...อะ..โอ๊ย!” กำปั้นเขกกะโหลกเกรทแบบไม่ยั้งแรง

“ถามอย่างนี้ ถ้าผมตอบหมด คุณคงต้องถอดหนังเลาะกระดูกออกมาแล้วมั้ง แก้แค้นคืนที่ผมถามคุณสองคำถามซ้อนหรือไง”

“ถ้าอิมยอมตอบคำถามทั้งหมด ผมยอมถอดหนังเลาะกระดูกก็ได้”

“ไม่เอาว่ะ ไม่อยากฝันร้าย แค่แอนนาเบลล่าผมก็แทบตายแล้ว”

“งั้นอิมก็ไม่ต้องตอบ...”

“ไม่เป็นไร คำถามคุณง่ายจะตาย ผมบอกเลยว่าคุณเป็นคนแรกในทุกอย่างที่ถามมา”

“...”

“พอใจยัง งั้นถึงตาผมถามบ้าง”

“เดี๋ยว” ขณะผมยกมือขึ้นมานับคำตอบเมื่อกี้ ซึ่งเทียบเท่ากับเป็นชิ้นส่วนที่เกรทติดหนี้ต้องถอด พลางคิดคำถามถัดไป มือใหญ่กลับเอื้อมเข้ามาจับสองนิ้วที่โชว์ขึ้นมาไม่ถึงวินาทีด้วยซ้ำ

เกรทนิ่ง สายตาจับจ้องผมไม่กะพริบ สักพักเจ้าตัวกลับเหมือนกระอักกระอ่วน เก็บท่าทีไม่ได้ทันควัน

“เป็นอะไรของคุณ”

“อิมแม่ง”

“พูดจาไม่เพราะเลยนะ”

“ทำไมชอบทำผมเขินวะ”

“...!”

...ตกใจว่ะ...

ผมทำผู้ชายที่ชอบผู้หญิง เขินได้ด้วยคำพูดที่ว่า ‘เขาเป็นคนแรกของผมในทุกๆอย่าง’ น่ะเหรอ

...ผมควรจะตอบกลับเขายังไง?

ผมแกล้งจิ้มไปที่แก้มเขาจึกจึกอยู่หลายๆที

“หน้าหนาขนาดนี้ไม่น่าจะเขินเป็น”

“โหว่าอย่างนี้เลยเหรอ...โอเค...หนาก็หนา” พูดจบอดีตดาราเด็กยิ้ม ลุกยืนเต็มความสูง ขยับถอดเข็มขัดเสียงก๊องแก๊ง ดึงรูดทีเดียวออกมาจากบั้นเอวโดยฉับพลัน เสร็จใช้นิ้วโป้งดันหัวกระดุมโลหะจากรัง ก่อนลากซิปลงต่ำ

“โว้โว้โว้ เดี๋ยว เกรทโว้ย!” ผมกระโดดผลุงเตะมือห้ามเป็นระวิง

“อ้าว ทำไมล่ะครับ ขาดอีกกี่ชิ้นเดี๋ยวผมถอด...”

“แหวน! แหวนก็มีทำไมไม่ถอดวะ!”

“...”

“...”

“เออ จริงด้วยสิ” เกรทขำแห้ง ส่วนผมหน้าซีดเข้าขั้นหลุดไปยังวงโคจรของต่างดาว ร่างสูงทรุดลงนั่งอย่างเก่า ทุกอย่างดูเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม

“งั้นมาถามต่อ”

“ยังไม่จบเหรอครับ”

“ยัง ผมยังไม่ได้ถามในสิ่งที่ต้องการเลย”

“โอเค ก็ได้ งั้นผมถามนะ”

“เฮ้ยได้ไง นั่นมันตา...” ห้ามไม่ทันขาดคำ อีกฝ่ายก็โพล่งเสียงดังออกมาเสียก่อน

“วันนั้นอิมวางแผนอะไรไว้”

“ฮะ?”

คำถามทำงงเล่นเอาไปไม่ถูก เจ้าตัวเอ่ยถึง วันนั้น? ว่าแต่วันนั้นมันวันไหน อิหยังอะไรของเกรทวะ

“วันที่อิมส่งไลน์มาชวนผมกลับบ้าน”

“ส่งไลน์? ช่วงนี้ผมก็ชวนคุณกลับบ่อยๆหนิ”

“ผมหมายถึงช่วงแรกๆเลย”

“ช่วงไหน?”

“ช่วงที่อิมเป็นหวัด”

“ผมจำไม่ได้”

“งั้นถอด”

“เฮ้ย เดี๋ยวดิ” มือใหญ่มาจับชายเสื้อผมถอดผลุงหลุดจากหัวอย่างไว ไม่ทันหายใจและดิ้นขัดขืนด้วยซ้ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิงรกรุงรังตามผืนผ้าที่ถูกดึงออก ตอนนี้ท่อนบนยังคงเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวหนึ่งตัวไว้ติดกาย “เล่นโกงนี่หว่าให้ผมนึกก่อนดิ!”

“วันที่อิมทำเหมือนลืมนัดผม ทั้งที่ตัวเองเป็นคนนัดไว้ไง”

“วะ...วันไหนวะ” โอ๊ยนี่มันเล่นรายการยี่สิบคำถามสามตัวช่วย ส่วนผมแม่งก็โคตรซวยที่นึกตามเกรทไม่ออกเหรอวะ วันไหนวะเนี่ย วันไหน!!

“ถอด”

“ดะ...เดี๋ยว เดี๋ยวดิ ผมนึกไม่ออกจริงๆนะ!” ปะ...ไปแล้วกางเกงกู ตู้วู้~ปลิวไปกองอยู่หน้าประตูแล้วแม่ง โชคดีแค่ไหนที่วันนี้ใส่บ็อกเซอร์ซ้อนกางเกงในมา ฮู่!!!

“วันที่จู่ๆอิมก็เดินกลับเข้าใต้ตึกเรียนรวมไป แล้วบังเอิญไปเจอกับพี่ใยไหมไง”

“!!!”

น้ำลายผมติดคอได้แต่เบิกตาโตมองคนตรงหน้าอย่างอึ้งๆ

...เชี่ย...เกรทรู้...รู้ว่าตอนนั้นผม...ไม่ปกติ...รู้ได้ไงวะ...

“จำได้ยังครับ จะตอบไม่ตอบ”

พรึ่บ!!

ผมถอดเสื้อกล้ามเขวี้ยงไปทางเดียวกับกางเกงแบบไม่ต้องครั่นคร้าม ให้ตายยังไง...ก็บอกไม่ได้

ส่วนเกรทนิ่ง มองอย่างอึ้ง เหมือนการกระทำของผมจะเกินคาดสำหรับเจ้าตัว ตอนนี้เลยได้แต่ก้มหัวหลบตาคมไม่พร้อมสู้

“ผะ...ผม..จั๊ม...ไหม้ได้” ไอ้เหี้ยตื่นเต้นจนสำเนียงกูเพี้ยนไปหมดเลย กะเนียนว่าจำไม่ได้แล้วจำยอมว่าต้องถอด มิใช่ไม่กล้าบอกว่าวางแผนอันใดไว้ แต่ไหงไม่เนียนขนาดนี้วะ

ชั่ววูบที่คิดว่าความคงแตก เรื่องลึกหลายๆอย่างรวมถึงการล่วงรู้ความรู้สึกของเจ้าตัวกับใยไหม เป็นอะไรที่ซับซ้อนจนถ้าย้อนมาดูพัฒนาการระหว่างพวกเรามันไม่ควรเข้ามาถึงขั้นนี้ แต่ทว่า...

“ฮึก...ยะ...”

นะ...นิ้ว?

บนแผ่นอกมีความร้อนของใครอีกคนวางทาบทับ สองมือจับประคองช้อนลำตัวด้านข้าง ปลายนิ้วโป้งเรียวยาวเหมือนจงใจกึ่งหยอกเย้าอยู่ในที แต่พอพิศให้ดีราวกับไม่ใช่ มาอีกแล้วเหรอ...ผมชักหน้าตวัดสายตาขึ้นไปมองใบหน้าหล่อเหลานั้นทันที

สัมผัสยังไงให้เหมือนไม่สัมผัส

“กะ...เกรท” ร่างสูงย้ายตัวมาใกล้ตั้งแต่เมื่อไร ท่อนบนที่ไร้อาภรณ์ มันดูสัปดนและหมิ่นเหม่อยู่ในที หัวใจเริ่มเต้นจังหวะถี่แรงอย่างนึกกลัว ผสมความตื่นเต้น ระคนความเสียวซ่านในอกอย่างประหลาด “ยะ...อือ...”

มือสองข้างจับท่อนแขนแกร่งเหมือนจะห้ามการปัดป่ายนิ้วโป้งไปมาบนเม็ดชมพูอันน้อย ใช่!! อย่างนี้มันไม่ใช่สัมผัสยังไงให้เหมือนไม่สัมผัสแล้วล่ะ! เกรทมันจงใจบี้หัวนมผมชัดๆ!!

“อิม...” เกรทก้มจนแก้มแนบหน้าลมหายใจอุ่นร้อนของเจ้าตัวรดใบหูผม อึก...บ้าบอ พอได้แล้ว

“เกรท!! หยุดก่อน ผมถามคุณ!! เด็กนิเทศคนนั้นเกี่ยวข้องกับใยไหมใช่มั้ย”

“...!!”

“...”

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ทุกอย่างหยุดชะงัก อ้อมกอดเกรทแข็งค้างราวกับใครไปกระทำอุกอาจปิดสวิตซ์เจ้าโจรหื่นขืนใจผมตรงหน้า หากไม่นานร่างสูงกลับดันตัวออกห่างลุกขึ้นยืนพรวดพราดจนผมประหลาดใจ

“เกรท?”

เจ้าตัวปล่อยเวลาให้ผมหายใจได้สองวิ หลังจากนั้นสติก็มีอันเป็นไป ในเมื่อร่างสูงใหญ่ไม่พูดพร่ำทำเพลง จับขอบกางเกงตนเองซึ่งปลดซิบค้างไว้ กระชากลงไปจนกรอมเท้า ยกขาแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามให้พ้นจากพันธนาการผืนผ้า เตะซากอารยธรรมตรงหน้าปลิวไปตกใกล้ประตูรวมอยู่กับชุดผม

ตอนนี้ร่างกำยำตรงหน้าไม่เหลืออาภรณ์ติดตัวสักชิ้น ทิ้งไว้ให้ผมมองร่างเปลือยเปล่าซึ่งดูแข็งแกร่งจนใจหายวาบ

“เชี่ยเกรท! คุณทำอะไรเนี่ย” ผมแทบจะหลับตาในทันที

“ตามกฎ ไม่ใช่เหรอครับ”

...เสียงเบาดังก้องในโสต ก่อนบางอย่างซึ่งมีน้ำหนักจะทาบทับลงมา...



…TBC…

++++++++++++++++++++++++++++


ถึงไม่วาดภาพนู้ด ผมก็จะถอดดดดดด เกรทไม่ได้กล่าวไว้5555
อยากโชว์ก็ไม่บอก ตาบ้า คนทะลึ่ง :hao6:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสี่...คำถาม รำคาญก็ไม่ตอบ [22-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-09-2019 11:03:46
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสี่...คำถาม รำคาญก็ไม่ตอบ [22-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-09-2019 18:27:49
ดึงกันไปดึงกันมาสรุปก็ไม่รู้อะไรสักที
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสี่...คำถาม รำคาญก็ไม่ตอบ [22-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 22-09-2019 23:23:24
ถอดหมดเลย,,,
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสี่...คำถาม รำคาญก็ไม่ตอบ [22-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: kosmos ที่ 23-09-2019 00:14:52
คือยังไงนะ! ความสัมพันธ์ซับซ้อนจริงๆ
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสี่...คำถาม รำคาญก็ไม่ตอบ [22-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 23-09-2019 03:14:28
เกรทนี้ยังไง ตกลงชอบใครกันแน่ :katai1:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบห้า...ความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์ [28-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 28-09-2019 09:40:33
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบห้า...ความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์


“คุณผิดกติกา! คุณถอดเกินรู้มั้ย!”


แม้แต่กางเกงในแบบทรังค์แม่งก็ยังไม่เหลือ บันเทิงสายตากูนักเชียว...

พยายามเบี่ยงตัวดันแผ่นอกแกร่งตรงหน้าออก ทั้งสภาพนั่งขัดสมาธิอยู่กลางพื้น ร่างสูงคุกเข่าทิ้งน้ำหนักตัวลงมาแบบไม่ฝืนร่างกายเลยสักนิด ผิดกับผมต้องบิดเอวต้านรั้งแรงอย่างหนัก ต้นแขนโดนจับตรึงแน่น จนร่างแทบหงายแหงนเอนกายลงไป เมื่อรู้ชัดว่าใกล้ขนาดนี้ ยิ่งไม่มีทางพลาดเห็นเครื่องทรงอันองอาจกอปรด้วยความเป็นบุรุษเพศอันเข้มข้นของคนเบื้องหน้าได้ ผมเลยเปิดเปลือกตาส่งเสียงขู่ปรามอย่างข่มขวัญ

“เกรท คุณ กลับไปใส่กางเกงเดี๋ยวนี้เลยนะ!!”

“ไม่ครับ”

“ทำไมวะ!”

“เมื่อกี้อิมนับตั้งเยอะ ผมยังติดหนี้อิมอยู่เลยนะ” แกล้งแน่ๆ แกล้งชัวร์เลย ไอ้เด็กนี่มันแกล้งผม

“ไม่ต้องแล้ว ยกยอด ยกหนี้ ยกแม่งให้หมดเลย คุณไม่ถ่งไม่ต้องถอดมันแล้ว!”

“ไม่ได้ ผมไม่ชอบติดหนี้ใคร”

“ผมต้องส่งคุณไปเรียนสายบัญชีใช่มั้ย คุณถึงจะเข้าใจคำว่ายกหนี้ให้น่ะ!” กัดฟันกรอดจ้องใบหน้าคมคายไม่ยอมแพ้ อย่างน้อยผมต้องรอดพ้นจากสภาพแย่ๆ เลี่ยงจากแผงอกแกร่งและกล้ามเนื้อท้อง อีกทั้งกระดูกเชิงกรานที่โค้งงอนสวยงามนี้ให้ได้!

“ผมเรียนนิเทศศาสตร์นะอิม”

“เรียนนิเทศศาสตร์แล้วทำไมวะครับ!”

“ผมชอบมองอะไรให้มันเป็นศิลปะในการสื่อสารมากกว่า”

“แต่ผมไม่มองว่ามันเป็นศิลปะอ่ะ!”

“งั้นมาวาดภาพนู้ดผมมั้ย”

“ไม่วาดเว้ย!!!” เมื่อเห็นว่าจวนตัว ผ้านวมผืนเดียวบนเตียงด้านหลังจึงเป็นโอกาสสุดท้าย ให้ผมได้คว้าตะกุยตะกายก่อนจับเหวี่ยงมันราวกับแหกว้านปลา ผืนผ้าหนักหนากระแทกเข้ากับศีรษะคนเบื้องหน้าจนเจ้าตัวทำท่าจะหนี แต่ไม่ทันจังหวะผมโถมน้ำหนักลงไปเต็มที่ทาบทับร่างสูง พลางดีดตัวกลิ้งหมุนไปตามพื้นจนสุดทาง

ตุบตุบตุบ บึ่ก!!

เหี้ย หลังกระแทก โคตรเจ็บ

“โอ๊ยยย” ปกติถ้าเป็นตอนนี้ เสียงโอดครวญของผมต้องดึงอีกคนให้พรวดพราดลุกมาดูอาการแล้วแท้ๆ แต่นี่กลับแน่นิ่งไร้สัญญาณ พอตาประสานกับกระจกข้างหัวเตียง ผมแทบหลุดขำกลิ้งอยู่ตรงนั้น

“อุ๊บ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!”

สองร่างดั่งเปาะเปี๊ยะทอด ห่อกลมดิกด้วยผ้านวม ส่วนหัวเป็นผม ส่วนหางกุ้งกลับเป็นขาแกร่งแสนยาวคู่นั้นของอีกฝ่าย

“เกรท หึ เกรท ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

“อั๋วเอ๊าะอะไอ” เสียงอู้อี้ดังเบาหลุดจากผ้านวมฟังไม่เป็นภาษา เกรทกำลังประท้วง แม้ตอนนี้จะขยับตัวไม่ได้ แถมหัวไม่อาจมุดออกมากล่าวคำใด ได้แต่ดิ้นสะบัดศีรษะไปมาตรงอกผม

“ฮะฮะฮะ อยาก อยาก ถ่ายภาพไว้จริงๆ” อย่าว่าแต่เกรทเลย ผมก็ไม่มีมือ แขนสองข้างโดนพันธนาการจากผ้านวมเทียมแป้งเปาะเปี๊ยะ ร่างที่สั่นกระเพื่อมจากความขบขันคงไปกระแทกกระทั้นหัวเกรทในผ้าห่มไม่น้อย เจ้าตัวถึงเริ่มดิ้นไปมาสร้างความยุบยิบตรงแผ่นอก ก่อนจบด้วยความนุ่มหยุ่นเปียกชื้นที่เข้ามาสัมผัส

ฮะ??

นุ่มหยุ่น? เปียกชื้น?

เหงื่อเหรอ

“อื้ออออออออ” คิดในแง่ดีไม่ทันไร ใจผมแม่งร่วงไปถึงตาตุ่ม ในเมื่อความนุ่มหยุ่นสร้างความเสียวซ่านลามไปถึงช่วงล่างให้เริ่มเกิดการขยายตัว

ดะ...เดี๋ยว...เกรททำอะไร?...

จะขยับตัวหนีไปดันผ้านวมออก แต่ไม่รอดเพราะติดปลายซึ่งโดนน้ำหนักชายสองคนทับไว้ เสียงหัวใจผมเต้นแรงแทรกแซงด้วยจังหวะขบเม้มดูดรั้ง จนต้องร้องเสียงดังออกมาไม่เป็นภาษา

“ยะ...ฮือออ” ทั้งร่างเหมือนมีปลาตัวเล็กตัวน้อยตอดไปมา มันทั้งขบกัด ดูดเม้ม ก่อนปลอบประโลมเกินจำเป็นด้วยความนุ่มชุ่มชื้นที่ไล้เลีย

ลิ้น!! ต้องเป็นลิ้นของเกรทแน่ๆ

“เกรท คุณ ทำเหี้ยอะไรเนี่ย อึ๊!” ผมกัดปากระงับเสียงน่าอายที่ครวญครางราวกับคนสุขสมในแรงปรารถนา ยอดติ่งเนื้ออ่อนสองข้างใต้ผืนผ้าโดนสัมผัสปริศนาขบรั้งจนเริ่มแข็งชูชันในความรู้สึก

ลมหายใจอุ่นร้อนของเกรทคลอเคลียไปตามแผ่นอก มันหอบถี่ ผมรู้สึกได้ แถมความเป็นชายที่พาดผ่านน่องขาทำเอาผมหลุดไม่เป็นภาษาออกมา

“เกรท!! คุณ!! ของคุณ!!”

พรึ่บ!!

แค่ร่างโก่งโค้งดันแผ่นหลังกว้างออกเพียงครู่ ทุกอย่างเหมือนเข้าสู่สภาวะหยุดนิ่ง ผ้านวมผืนโตโดนร่างสูงกระชากหลุดออกง่ายภายในชั่วพริบตา ราวกับว่าแรงดิ้นของผมเมื่อครู่มันเป็นแรงของเจ้าหนูแฮมสเตอร์ตัวเล็กที่พยายามดิ้นขลุกขลักให้หลุดจากอุ้งมือเจ้าของ คนเบื้องบนก้มมองด้วยสายตาคม ยืดตัวออกห่างด้วยสองมือซึ่งพาดพ้นหัวไหล่ก่อนช้อนหลังผมให้ลุกขึ้นไปนั่งบนตักเขา

“...” ลมหายใจอุ่นร้อนส่งผ่านมาปะทะใบหน้า

เกรทกำลังหอบหนัก เจ้าตัวหลบตาผม ใบหน้าคมได้รูปส่อแววเห่อร้อนรื้นแดง เจ้าตัวกัดริมฝีปากล่างจนบิดเบี้ยวอย่างทรมาน...หากแฟนคลับคนไหนได้เห็นคงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันคือความเซ็กซี่...

“เกรท”

“อิม”

“อื้ออออ”

จูบอีกแล้ว...โดนอีกแล้ว ท้ายทอยโดนคว้าเข้าหาไร้ซึ่งทางหนี ร่างสูงมอบจุมพิตร้อนแรงดุจใบหน้ายามนี้มาให้ ใบหน้าซึ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์ห้วงถวิลหา เว้าวอนร้องขอคนเบื้องหน้าให้สนองตอบ อวัยวะหนึ่งเดียวซึ่งเคยทำการอุกอาจกับแผ่นอกของผมได้ไล้ลิ้มชิมลงสัมผัสปาก

“อิม”

“อือฮือ...”

“อ้าปากหน่อยครับ” เสียงเรียกร้องอ้อนวอนอุทธรณ์ มันทั้งหอมหวาน วาบหวามพลางหยอกเย้า แต่ผมไม่มีวันตกหลุมพรางตรงนั้นได้หรอก มือสองข้างที่ปราศจากพันธนาการจึงยกขึ้นขวางปิดปากเกรท

“...!”

“ไหนว่าจะให้วาดภาพนู้ด ไหงมาตกเอาท่านี้ได้ล่ะ!!”

“...!”

นิ่งไปเลย...

ผมเนี่ยขยันสร้างสภาวะเดดแอร์ให้คนตรงหน้าได้เดดตายไปเลยจริงๆ ดวงตาเกรทหลุกหลิกสับสนมองใบหน้าผมสลับกับหลบลงล่าง เหมือนต้องการจะเอ่ยคำบางอย่างแต่พูดไม่ได้ จนผมต้องจำใจยอมละมือให้เจ้าตัวได้เฉลยสิ่งที่คิดออกมา

“เออคือ...”

“ปล่อยผมได้ยัง”

ไม่ใช่อะไรนะ...นั่งท่านี้แม่งโคตรน่าอาย แถมอีกฝ่ายเสื้อผ้าไม่มีติดกายสักชิ้น จะให้ผมนั่งนิ่งเป็นพระอิฐพระปูน ตอไม้นะเหรอ...อู้หู...กูทำไม่ได้ว่ะ

“ไม่ได้อ่ะ”

“ไม่ได้อะไร”

“ถ้าอิมลุก อิมก็เห็นของผมหมดดิ”

“ป่านนี้ยังจะมาอาย เมื่อกี้ทำไมถึงกล้าทำได้ล่ะ”

“เมื่อกี้มันยังไม่มีอารมณ์หนิครับ”

“!!!”

มิน่าล่ะ...ก็ว่ามีอะไรมาดันส่วนบั้นท้ายอยู่ ผมหน้าถอดสีเดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดง ไม่รู้จะทำตัวยังไง

“ละ...แล้วต้องให้ผมนั่งท่านี้มันต่อไปจนกว่าคุณจะไร้อารมณ์หรือไงกัน”

“นั่นก็ไม่ได้ ถ้าพี่นั่งตักผมอยู่ในสภาพนี้ยังไงผมก็มีอารมณ์!”

“!!!”

สายตาเล้าโลมจ้องมองมายังแผ่นอกขาวเนียนเปื้อนคราบน้ำ กับสองติ่งไตยังคงแข็งค้างเป็นรูปร่าง สีแดงชาดสดเปล่งที่ไม่อาจกลบความนูนเด่นสวยงามอันคั่งค้างด้วยหยาดอารมณ์นี้ได้ เมื่อกี้จากที่ยกมือปิดปากจำต้องเลื่อนปิดเนตรคู่คมสองข้างของคนตรงหน้ากะทันหัน

“ยะ...อย่ามองดิวะ นู่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่ได้แล้วให้ผมทำไงเนี่ย” กระแทกเสียงเบาๆด้วยความหัวเสีย จนข้อมือโดนอีกฝ่ายจับรั้งไปสัมผัสกับแผ่นท้อง หน้าผากแทบทิ่มกระแทกคางของอีกฝ่ายตามแรงฉุด “กะ...เกรท”

“คราวนี้พี่ต้องช่วยผมจริงๆแล้วล่ะ”

“...!!!”

“ได้มั้ยครับ”

“ถ้าผมไม่รับปาก”

“ก็นั่งอยู่ตรงนี้มันยันหว่างเนี่ยแหละ”

“แค่นี้ก็หว่างอยู่แล้วเปล่าวะ”

“หว่างขาผมเนี่ยนะ” เกรทหัวเราะน้อยๆมองหน้าผม

...นี่มันชักจะเลยเถิดไปไกลแล้วนะ...แต่ถ้าผมไม่จบตรงนี้มีหวังได้ลงจากตักเกรทอีกทีรุ่งสาง...

“เออๆ...ก็ได้”

จบคำตอบรับเกรทเบิกตาโพลง ถ้าไม่ถึงขั้นมีอะไรกัน มันก็แค่ทำให้อีกฝ่ายมีความสุขได้ด้วยมือรึเปล่าวะ ไม่เสียหายหรอก ไม่เสียหาย...

...ไม่เสียหายบ้าอะไรล่ะ...คนที่เกรทชอบมันไม่ใช่ผมนะ...

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจขยับมือไปจับ...


บิดหยิกแก้มคนที่ผมนั่งทับตัก แล้วดึงยืดออกสองข้างอย่างแรง


“โย้ยๆๆ อิมอำอาอายย(โอ๊ยๆๆ อิมทำอะไร)” เกรทย้ายมาจับข้อมือผมไว้สองข้างแล้วพยายามดึงออกแต่ไม่สุดกำลัง เหมือนไม่อยากให้ผมบอบช้ำเจ็บตัว

“ทำให้คุณอารมณ์หมดไปไง” นิ้วเคลื่อนไปดีดหน้าผากเจ้าของตักดังเป๊าะ “นี่แหนะ อายุก็ไม่ใช่เด็กสามขวบ สมองมีน่ะหัดคิดซะบ้าง ไม่ใช่ว่าจะมามีอารมณ์กับผู้ชายพร่ำเพรื่อได้ทุกวันขนาดนี้”

“โอ๊ยอิมอ่ะ แล้วมันผิดตรงไหนที่ผมจะมีอารมณ์กับ ‘แฟน’ ล่ะครับ” แขนผมยังโดนเกรทจับไว้อยู่ เจ้าตัวส่งสายตากระเง้ากระงอดจริงจังผิดจากทุกวันที่ผ่านมา ส่วนผมได้แต่จ้องสบแววสะท้อนในดวงตาแก้วใสสีดำสนิทคู่นั้น

“ผิดตรงที่มันเป็นผมไง”

“...”

“...”

ความเงียบกลืนกินบรรยากาศรอบตัวอย่างไม่ได้นัดหมาย เจ้าของร่างกายกำยำแววตาสั่นไหวเหมือนกำลังสับสนในความคิด

“อิม...หมายความถึง...”

“เพราะผมไม่ให้คุณมาหื่นกับผมได้ทุกวันหรอกนะ!” ว่าจบเหยียดกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จนข้อมือหลุดพ้นจากพันธนาการ ก่อนลากผ้าห่มผืนหนามากลบปิดท่อนล่างอันกำยำล่ำสันของอีกฝ่าย จากนั้นจึงคว้าเสื้อผ้าตนเองซึ่งหมกอยู่หลังประตู เดินตรงแด่วเข้ามาหลบขังตัวในห้องน้ำ

ปัง!!

ต้องให้ทอดถอนลมหายใจอีกสักเท่าไร ผมถึงจะเตือนสติตัวเองได้ว่า มันไม่ใช่เรื่องที่ผมควรจะได้รับจากร่างสูง พื้นที่ซึ่งผมยืนอยู่ตรงนี้มันไม่ควรมีกลิ่นอายของอิมเมจคงไว้แต่แรก

...อย่าทำเหมือนสุนัขแสดงอาณาเขต หรือแมวหวงเจ้าของไปมากกว่านี้เลยอิมเมจ...

ผมกวาดตามองบรรยากาศโดยรอบห้องอาบน้ำโซนเปียกและโซนแห้ง เก็บกินภาพซึ่งกลายเป็นที่ชินตานับตั้งแต่เริ่มติดนิสัย ‘กลับหลังสี่ทุ่ม’ มาในตอนนั้น ความทรงจำมันซุกซ่อนอยู่ทุกซอกมุมของห้อง รู้สึกหวงแหนอย่างประหลาดจนสร้างอาการขบขันขึ้นในจิตใจ

อิมเอ๋ยแกจะมาหวงห้องน้ำชาวบ้านชาวช่องเขาไม่ได้นะ...เพราะหากวันใดวันหนึ่ง มันถูกกลืนกินด้วยกลิ่นแชมพูอันหอมหวาน หรือครีมอาบน้ำสีสดใส อีกไหนออยล้างหน้าของผู้หญิงคนใด ถึงตอนนั้นผมต่างหากที่ต้องถอยออกไปจากตรงนี้

สองเท้าเดินเข้าไปใกล้ใต้ฝักบัวสถานที่ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำอันน่าขบขันของผมกับเขา ตอนที่เกรทเมาแล้วตามผมเข้ามาอาบน้ำ...ตอนนั้นต่อให้คลำหาแทบตายก็ไม่ได้สบู่เสียที แต่มาคราวนี้ผมกลับจัดลำดับเรียงทุกอย่างได้ในสมอง แค่หลับตาแล้วยื่นมือไปรองเท่านั้นแหละ จะครีมอาบน้ำโพรเทคส์ หรือยาสระผมยี่ห้อซัน...

“ซัน...”

‘ซัน’

“ซิล...”

‘ซิลก็ใจร้าย’

“...”

จู่ๆความทรงจำบางอย่างก็วาบขึ้นสอง มารวมตัวอัดแน่นอยู่ในหีบใบเล็กซึ่งเคยสงบนิ่งอยู่เนิ่นนาน เหมือนมีอะไรบางอย่างส่งกุญแจดอกเล็กจากที่ห่างไกลมาไขมันออกอย่างนี้นี่เอง...

...ที่แท้มันก็เป็น...อย่างนี้นี่เอง...


มีต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบห้า...ความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์ [28-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 28-09-2019 09:41:58
“เป็นอะไรรึเปล่า”

“ฮะ?” เสียงเพื่อนสาวอย่างดาวถามโพล่งขึ้นมา พลันสายตากระตุกหันไปจับจ้องแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย “เป็นอะไร? ดาวหมายถึง...”

“ก็อิมดูไม่สดใสเลย ทะเลาะกับเกรทมาเหรอ”

ทะเลาะ...

“เฮ้ยบ้าเหรอ จะเป็นไปได้ไง ไม่เคยทะเลาะอ่ะ กับรายนี้”

“จะอวดว่ารักใคร่กันกลมเกลียวดีหรือไงยะ” เสียงข้าวฟ่างดังเข้ามาแทรก เธอเหยียดยิ้มเต็มสองตาพลางชักมุมปากเหมือนหมั่นไส้คนกำลังมีความรัก ก่อนวางถุงของว่างอย่างลูกชิ้นปิ้ง เกี๊ยวทอดที่ถือมาพะรุงพะรังเต็มมือแล้วทรุดตัวนั่งข้างผม

“ขนอะไรมาเยอะแยะ”

“เสบียงไงจ๊ะ ได้ไงล่ะ พวกเราต้องนั่งตรงนี้ไปอีกหลายชั่วโมงเลยนะ ขาดเสบียงหัวไม่แล่นตายพอดี” เยอะขนาดนี้หัวคงแล่นเป็นขีปนาวุธเลยมั้งนั่น ผมหัวเราะแห้ง พยายามมองไล่สายตาหาใครอีกคนที่ยังไม่เข้ามา

“เบสเหรอ ไม่ต้องมองหาหรอก ป่านนี้อยู่กับใยไหมนู่น”

“...!” ผมสะดุ้ง เบื่อการรู้ลึกรู้จริงไปเสียทุกอย่าง แม้กระทั่งท่าทางมองหาที่ยังไม่เอ่ยชื่อด้วยซ้ำว่าใคร เพื่อนผมมันก็ตอบให้ได้

“มีแฟนแล้วก็เพลาๆลงบ้างเถอะแก ชั้นสงสารเกรทที่มีเมียติดเพื่อนมากกว่าแฟนว่ะ”

“ถึงกูจะติดใครรายนั้นก็ไม่สนใจหรอก แล้วถึงกูจะติดไอ้เบสจริง มันก็ไม่มาสนใจกูจนเป็นเรื่องได้หรอก พักหลังมันติดแฟนจะตาย”

ปกติข้าวฟ่างกับไอ้ดาวจะต้องต่อปากต่อคำมาทันทีหลังจากผมเถียงเสร็จ แต่คราวนี้มันกลับเงียบคู่ มองหน้ากันอย่างมีความใน แล้วดวงตาสองคู่ก็ขึ้นมาสบจ้องเขม็งที่หน้าผมพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“นี่ขนาดชั้นคิดว่ามันสนิทกันมากที่สุดแล้วนะ”

“ชั้นไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้เบสมันทำแบบนี้ว่ะ”

“อีกฝ่ายเขากำลังเสียใจน่ะแก เอาเถอะ”

“ปลอบก็ส่วนปลอบสิ นี่ถึงขั้นต้องลงทุนปิดปากเงียบ ทำตัวน่าสงสัยให้คนอื่นเข้าใจผิดด้วยเหรอแก แล้วผู้หญิงก็นะทำตัวไม่น่ารักเลย” ไอ้ดาวโวยวายใส่ข้าวฟ่าง พวกมันงุ้งงิ้งคุยกันสองคนโดยเมินความสนใจจากผมโดยสิ้นเชิง

“นี่พวกแกพูดเรื่องอะไรกันน่ะ”

“แกอย่ารู้เลยอิม”

โอ้โห!! สวนกลับมาพร้อมกันไม่พอ แถมความไวในการตอบแม่งเทียบเท่าตีนสองคู่กรูกันมาถีบผมให้ Left the group chat เปิดประเด็นมาขนาดนี้แล้วบอกว่าอย่ารู้เนี่ยนะ คิดได้ไงวะ

“มีเรื่องอะไรที่กูรู้ไม่ได้วะ” งอนว่ะ ผมเลิกสนใจงานทุกอย่างตรงหน้า คู้ตัวเอาคางแนบหนังสือเล่มหนาซึ่งเปิดกางพลางกำปากกาถือตั้งไว้แน่นในมือ

“โอ๊ย ไอ้อิมเอ๊ย ชั้นเอ็นดูแกจริงๆ” เอาอีกแล้ว ไอ้ดาวมันดึงหัวผมไปแนบนมมันอีกแล้ว

“กูบอกแล้วไงว่าให้เลิกทำแบบนี้ซะทีน่ะไอ้ดาว”

แทบจะพร้อมกันกับเสียงเอ่ยแทรก ร่างผมถูกจับแยกกับไอ้ดาวกะทันหัน จนตัวเกือบหงายไปด้านข้าง เคราะห์ดีที่มีบางอย่างแข็งๆมาคานไว้ก่อนโดนดึงกลับไปยังจุดเก่า หากคราวนี้จากอกแบนๆไข่ดาวฟองดีของเพื่อนสาวแปรเปลี่ยนเป็นความหนาแน่นของกล้ามเนื้อใต้ผืนผ้าสีขาว และกลิ่นสะอาดของผงซักฟองเบาๆที่คุ้นเคย พอเงยขึ้นมองกลับพบเงาสะท้อนของตนเองภายใต้แก้วตาสีดำสนิทของคนที่ผมใกล้ชิดมานาน

“ไอ้...เบส”

“ไง” มันทักสั้นๆทำหน้านิ่ง คราวนี้มาแปลกแต่จริงตรงเบสยอมให้ผมแนบคางกับอกมันค้างไว้ท่านั้น แต่ก่อนที่จะโดนมันด่าผมรีบฉุดตัวลุกขึ้นมาปรับสีหน้าอย่างลนลาน

“มาตั้งแต่เมื่อไรวะ”

“ตั้งแต่พวกมันนินทาเรื่องกู” มันยักคางชี้ไปทางคนโดนพาดพิง ฟ่างกับดาวถึงกับทนไม่ได้จนต้องลุกมาเรียกร้องความเป็นธรรม

“พวกชั้นเปล่านินทานะยะ ก็มันเรื่องจริงนี่หน่า”

“แกผิดเองนะเบสที่ทำตัวลับๆล่อๆเกินจำเป็นกับลูกพี่ลูกน้องแกน่ะ”

หา?

“แล้วเวลากูทำอะไรต้องรายงานพวกแกทุกเรื่องเลยเหรอวะ”

“อย่างน้อยก็ควรรายงานอิมมันป่ะ มันเป็นเพื่อนสนิทแกนะ” ไอ้เบสมันหันมาทางผมทันควัน จนทำให้สะดุ้ง ดวงตาได้รูปจ้องสบอย่างเปิดเผย

“มึงมีอะไรจะถามกูเปล่า” ผมส่ายหัวหวือเพราะโดนถามแบบให้ตอบกะทันหัน

“อ้าวอะไรว้า ไอ้อิม ไอ้ท่าทีกระเง้ากระงอดงอนจนแก้มป่องน่าเอ็นดูเมื่อกี้นี่ชั้นตาฝาดเหรอ ไม่อยากรู้เรื่องแล้วได้ไง ไม่มันเลยอ่ะ” เจ้าแม่แหล่งข่าวเหมือนถูกผมขัดใจที่ไม่ยอมให้ยืมมือเค้นความบีบคอไอ้เบส ส่วนเจ้าตัวน่ะเหรอ ไม่สนใจอะไรมันทั้งนั้นแต่หันมาจ้องหน้าผมแล้วพูดต่อ

“ทำให้กูดูหน่อย”

“อะไร”

“ท่าที่ไอ้ดาวบอกเมื่อกี้”

“แล้วทำไมกูต้องทำวะ”

“ถ้ามึงทำ กูยอมบอกมึงทุกเรื่องเลย”

“...”

มาแปลก ข้อเสนอแบบนี้กับไอ้เบสไม่ควรจะมีเกิดขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ ไอ้เบสมันชอบทำตัวลึกลับ ตามใจตน แบบอารมณ์คูลมาคูลกลับไม่โกง แต่คราวนี้ทำไม

“ทำดิอิม ทำดิ ทำเลย ไอ้เบสมันยอมขนาดนี้แล้ว” อย่ายุไอ้ฟ่าง!! เดี๋ยวพี่ทำแม่ม แต่เมื่อกี้ผมทำท่าแบบไหนไป ตอนนั้นไม่มีกระจกด้วยซ้ำจะรู้มันมั้ยเนี่ย ไม่ได้อยู่นิเทศศาสตร์เอกการแสดง ไม่เคยเป็นดารามาก่อนถึงจะมาให้เล่นละครต่อหน้า...

ละคร...

สามคำผุดขึ้นมาในหัว หัวใจมันกลับจี๊ดๆเต้นรัวไม่หยุด สมองพาลพาให้นึกถึงคนในห้วงคำนึง ปานนี้แล้วไม่รู้จะเลิกเรียนรึยัง เห็นว่าต้องรีบไปทำกิจกรรมต่อ วันนี้คงไม่ได้กลับบ้านด้วยกันสินะ ผมไม่ได้นัดเกรทไว้ เพราะรู้ว่าตัวเองยังไงก็ต้องทำงานหลังเลิกคาบ

“อิม”

“...”

“ไอ้อิม!”

“ฮะ? ฮะ? อะไร”

“เหม่ออะไรของแกเนี่ย” เสียงไอ้ฟ่างเอ็ด ส่วนไอ้เบสนั่งนิ่งหันหัวมาทางนี้ตลอดเหมือนลอบสังเกตการณ์ผมอยู่ มันขยับริมฝีปากน้อยๆก่อนเอื้อนเอ่ยบางอย่างออกมา

“กูกับใยไหม”

“ฮะ?” เพื่อนสนิทโพล่งมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนงงเป็นไก่ตาแตก หรือว่ามันรู้ว่าผมติดใจในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่อย่างหนัก หรือมันจับได้ว่าผม...

พอคิดได้เช่นนั้นก่อนที่ความจริงทุกอย่างจะทำร้ายด้วยการบอกจากปากโดยตรงของคนตรงหน้า ผมรีบอ้าปากเปล่งเสียงตะกุกตะกักตั้งใจร้องห้าม

“ดะ...เดี๋ยวไอ้เบส” แต่มันกลับสายเกินไป ในเมื่อคนข้างๆพ่นประโยคหลังที่ตามมาทันที

“เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน”

“ฮะ?” สายตาไอ้เบสไม่มีคำว่าล้อเล่น หากไร้ซึ่งที่มาของคำตอบอันปราศจากคำถามนี้ด้วยเช่นกัน แค่ประโยคเดียวเท่านั้นผมถึงกับเป็นใบ้ ที่ไอ้ข้าวฟ่างกับดาวซุบซิบกันเมื่อครู่ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้เหรอ

“นั่นไงล่ะชั้นว่าแล้ว” ผมหันหัวไปตามเสียงไอ้ฟ่างซึ่งกำลังมองผมอย่างวิเคราะห์ “ขนาดไอ้อิมยังอึ้งเลย ก็แน่ล่ะนางฟ้าอย่างใย...”

“ไอ้ดาว ชั้นไม่ชอบคำนี้เลยว่ะ ไม่เหมาะ แกอย่าพูดจะได้มั้ย” ดาวแทรกขึ้นมาทำหน้าเหมือนใครเหยียบตีน อาจเพราะรายนั้นเป็นคนมีเสน่ห์ดึงดูดผู้ชายให้เข้าหา เพื่อนผมเลยเกิดอาการหมั่นไส้นิดๆยามได้ยินฉายานี้

“อุ๊บสสส โอเค ไม่พูดไม่พูด ชั้นชินน่ะแก คราวหน้าจะระวังละกัน เห็นมั้ยแก ขนาดไอ้อิมยังอึ้ง ไม่คิดว่าคนอย่างใยไหมจะเป็นลูกพี่ลูกน้องไอ้เบสเลย”

“ก็เบ้าหน้ามันใช่ที่ไหนล่ะ” ไอ้ดาวยังพาลหงุดหงิดเรื่องอะไรก็ไม่อาจทราบจนมาลงที่เบ้าหน้าของใยไหมแทน ส่วนไอ้เบสพอได้ยินแบบนั้นก็อ้าปากแย้งขึ้นทันที

“มีลูกพี่ลูกน้องคนไหนเบ้าหน้าเหมือนกันบ้างวะ”

“ถึงไม่เหมือน แกก็ไม่เคยคุยหรือทักเขาให้พวกชั้นได้เห็นนี่หว่า”

“ก็ไม่ได้สนิทขนาดนั้น”

“ไม่สนิท แต่ไปรับไปส่งกันเนี่ยนะ”

“ช่วงนี้ พ่อแม่เขาวานกูมา”

“ทำไมต้องวานช่วงนี้ด้วย”

“ก็...”

“แล้วแฟนแกอ่ะเบส มัวแต่ไปส่งใยไหมป่านนี้ไม่งอนตายแล้วเหรอ”

“แฟนกูเขาไม่...”

“ทำงานกันเถอะพวกแก”

ผมพูดแทรกบทสนทนาที่กำลังออกรส ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะทวนกระแสความเป็นไปของทั้งสามฝ่าย แต่ผมคำนวณดูแล้ว...มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะฟังต่อ...เพราะต่อให้ใยไหมเป็นลูกพี่ลูกน้องไอ้เบส...

มันก็กลบความจริงเรื่องที่ว่า...ไอ้เบสมีแฟนแล้ว...ไม่ได้อยู่ดี...




พวกเราสี่คนนั่งทำงานจนความมืดเริ่มโรยตัว ไอ้เบสยังติดรับส่งใยไหม มันทำท่าเหมือนจำใจต้องทิ้งหนังสือกองโตให้เพื่อนอีกสามคนแบกไปส่งคืนที่หอสมุดกลาง จำนวนอาจจะดูไม่น้อยแต่ก็ไม่หนักเกินกว่าคนเดียวจะหิ้วไหว

“เอาจริงแน่นะอิม”

“ความจริงช่วยๆกันแบกไปสามคนก็ได้นะ”

“พวกแกก็เว่อร์ไป ยังเห็นกูเป็นผู้ชายอยู่รึเปล่า กลับบ้านไปได้แล้วไป” ผมปัดมือไล่ อุ้มกองหนังสือขึ้น เยอะขนาดนี้คงยัดใส่กระเป๋าไม่ไหว แต่หอสมุดกลางใช่ว่าไกลอะไร เดินเรื่อยๆแป๊บเดียว เดี๋ยวก็ถึง “กูไปก่อนนะ ฝากส่งเล่มด้วย”

“ชั้นรักแกอิมมม” ไอ้ดาวทำท่าซึ้งจนเบาหวานขึ้นตา

“พอเถอะไอ้ดาว พูดเยอะซะ ชั้นล่ะกลัวจริงๆว่าสักวันแกจะได้เป็นเมียไอ้อิมไปจริงๆ” ไอ้ฟ่างขัดเพื่อนซึ่งทำท่าจะวิ่งรี่เข้ามาดึงผมไปซบอกมันอีกรอบ

“ไม่หรอกน่า กันชนหนาซะขนาดนั้น แล้วไม่ใช่อันเดียวนะ มาถึงสองเลยจ้า” แอบขำกับท่าทีเพ้อฝันของเพื่อนสาว หัวเราะก้มหน้าพลางส่ายหัวไปมา

“ไม่ต้องมาขำเลยไอ้อิม ไอ้ดาวมันพูดเรื่องจริงย่ะ”

หา?

“ทำซื่อบื้อไป สักวันมาโดนมะรุมมะตุ้มรุมรักอิมเมจแล้วจะหนาวน้า”

“หึ...” ยกนิ้วชี้จิ้มศีรษะไอ้ดาวดันออกเบาๆอย่างเอ็นดู “บ้านะแก จะมีแบบนั้นได้ยังไง”

“มีสิแกจำตอนปีหนึ่งไม่ได้เหรอ”

“พอเถอะ” ผมสะบัดมือไล่เพื่อนผู้ซึ่งกำลังจะฟื้นฝอยขุดเรื่องเก่าๆมาพูด “เดี๋ยวกูไปคืนหนังสือแล้ว กลับดีดีล่ะ”

ก่อนจะโดนเล่าให้นึกถึงเรื่องราวในอดีตแสนปวดหัว ผมผละตัวออกมาจากสองสาว อุ้มหนังสือกองไม่เล็กไม่ใหญ่มาตามทางเดินซึ่งมีแสงไฟทางสาดส่อง วันนี้ไม่ได้นัดกลับกับเกรท อีกฝ่ายดูเหมือนจะติดเตรียมงานละครเวทีนิเทศศาสตร์ ประจวบเหมาะพอดีกับที่ผมต้องนั่งทำรายงานกับเพื่อน เลยต่างคงต่างกลับเป็นวันแรกในรอบสัปดาห์

ตลอดช่วงทางผ่านแวดล้อมรายทางดูเงียบเหงา หากยังมีแสงไฟเจือจางเบาๆจากตัวอาคารและเสียงนักศึกษาที่นั่งทำงานและทำกิจกรรมอยู่ไกลๆ เข้าสู่ช่วงตุลาคมฝนเริ่มจะจางหายทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายจางๆของความชื้นที่หลงเหลือ สัมผัสจากลมเย็นเบาพัดผ่านใบหน้า ผมเดินสวนทางกับคนสองสามคน ที่ไร้การรู้จัก ไร้การทักทาย การเป็นคนเรียบง่ายกับการใช้ชีวิตในมหา’ลัยมันดีอย่างนี้นี่เอง ไม่ต้องรู้จักคนให้มากจนเหนื่อยทัก

“อ้าวพี่อิม” คิดไม่ทันขาดคำเสียงแม่งมาเลย ใครวะมาเรียกผมที่กำลังมุ่งหน้าไปสนามกีฬากลางระหว่างทางไปหอสมุดได้ ผมเงยหน้าขึ้นจากฟุตบาทพลางจับสังเกต ปรากฏเงาเบื้องหน้าเป็นคนในชุดกีฬาขาสั้นยืนอยู่ท่ามกลางแสงสลัวของโคมไฟเหนือหัวสองคน หนึ่งในนั้นผมจำได้ว่าเป็นใคร

“นัท?” พยางค์เดียวเท่านั้นตบมือดีใจเหมือนญาติใครถูกหวย เจ้าตัววิ่งรี่กระวีกระวาดมาหาโดยคนข้างๆตามมาติดๆ

“โอ๊ย ดีใจว่ะในที่สุดแฟนเพื่อนก็จำกูได้”

“พี่อิม พี่อิม” ส่วนอีกคนพยายามเรียกชื่อผม ฉีกยิ้มกว้างพลางชี้ที่หน้าตนเอง “แล้วผมล่ะ”

“คุณ...”

“...” ผมเกริ่นออกไป ทุกคนต่างกลั้นหายใจมองกันราวกับลุ้นฟังประกาศรางวัลเลขท้ายสองตัว

“ไอซ์ใช่ป่ะ”

“ก็คนมันรอเธอมาตั้งนานข้างเดียว แค่อยากจะเกี่ยวเธอมาไว้กอดทั้งตัวและจายย...”

“เชี่ย มึงนั่นมันไอซ์ ปรีชญา!”

“จะบ้าเหรอ นั่นมันไอซ์ อภิษฎาเว้ย!”

“ใช่ที่ไหนล่ะ นั่นมันไอซ์...”

“ศรันยู พอเถอะ ‘คุณควายไลค์’ ”

“!!!” ทั้งคู่นิ่งมองหน้าผมแบบอึ้งๆ ก่อนไลค์จะพูดขึ้นมา

“โหย รู้สึกพิเศษกว่าใครเลยว่ะ โดนเรียกว่าควายไลค์ด้วย”

“ก็เพื่อนคุณเรียกคุณว่าอย่างนี้”

“โหยเรียกซะห่างเหิน เพื่อนผมก็แฟนพี่แหละคร้าบ” ผมไม่ปฏิเสธ แถมยิ้มรับพลางส่ายหัวกับความกวน เอาจริงป่ะ คือช่วงนี้อยู่กับเกรทบ่อยเกิน เจ้าตัวชอบเล่าเรื่องราวของเพื่อนตามนิสัยคนช่างจ้อช่างคุย แล้วใครมันจะไปจำชื่อเพื่อนสนิทสองคนของคนตัวสูงไม่ได้

“แล้วนี่พี่จะไปไหน ไปหอสมุดเหรอ?” นัทส่งสายตามาตรงกองหนังสือในมือ ผมกอดกระชับมันให้แน่นอีกครั้งก่อนพยักหน้าตอบอือออกไป

“ให้พวกผมช่วยมั้ย”

“ไม่เป็นไรหรอกพวกคุณไปเตะบอลเถอะ” พูดไปก็ให้นึกถึงเกรท เจ้าตัวชอบเตะบอลจะตาย ป่านนี้คงโวยวายที่ต้องเสียสละทั้งกายและใจไปทุ่มให้กับละครเวทีอยู่ล่ะมั้ง

“ไม่เตะแล้วแหละพี่ โดนคนแม่งมาแย่งที่” ไลค์ดึงคอเสื้อขึ้นลงพัดกระพือไอร้อนออกจากตัว

“เออเสียอารมณ์หมดกะจะโต้รุ่งซะหน่อย” เด็กนัทบ่นอุบพลางดันลูกกลมในมือกับเอวแน่น ว่าแต่เตะบอลหรือดวลเหล้าวะนั่น

“ดีนะที่ไอ้เชี่ยเกรทไม่มา ไม่งั้นเป็นเรื่อง”

“เชี่ยไลค์” เด็กนัทตีปากปรามเพื่อนที่เหมือนจะหลุดบางอย่างออกมาเกินจำเป็น สองคนส่ออาการพิรุธให้เห็นจนความเอะใจบางอย่างผุดขึ้นในสมอง

“นัท วันนั้นที่คุณ...”

“พี่อิมพวกผมไปก่อนนะ” เจ้าคนฉลาดคว้าแขนเพื่อนเหมือนตั้งใจหนี พอเห็นอย่างนี้เลยรีบทิ้งภาระให้แขนข้างเดียวอุ้มกองหนังสืออย่างทุลักทุเล ก่อนฉวยชายเสื้อผ้าลื่นชุดกีฬาของคนใกล้ตัวกว่าอย่างไลค์กำไว้แน่น หากแรงเดินของเพื่อนตัวสูงกลับต้านจนตัวแขนโดนกระชากหนังสงหนังสือในมือร่วงหลุดตกหล่นลงพื้นกระจัดกระจาย

“เฮ้ย พี่อิม! ปล่อยผม” ผมไม่สนหนังสือ แถมยังจับเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่นแบบไม่กะปล่อยหนี

“คนเดียวกับที่ต่อยเกรทเมื่อวันนั้นใช่มั้ย!”

“เฮ้ยไม่ใช่...” ไม่ต้องถามแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะถาม ผมจัดการหมุนตัวใส่แรงออกวิ่งไปสุดกำลัง จนในที่สุดก็มาถึงสถานที่ซึ่งแวดล้อมด้วยรั้วตะแกรงเหล็กที่สานเป็นช่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก แสงไฟจากสปอร์ตไลต์สาดส่องจนมองเห็นกว้างไปทั่วลาน คนสามสี่คนตะโกนเสียงดังเอะอะโวยวายเชียร์คู่เตะกันอย่างออกรส เสียงตุบตับจากการเตะอัดฟุตบอลดังเข้าหูมาเป็นระยะ

ผมเดินเข้าใกล้ไปเกาะตะแกรงกรงอย่างหมดแรง หอบหายใจเอาลมอุ่นร้อนออกจากร่าง เหงื่อเริ่มผุดพรายเกาะหน้าผากจนไหลย้อยลงมาตามขมับ รู้สึกเหนียวตัวเมื่อร่างที่เคยแห้งสบายกลับชื้นไปทั่วแผ่นหลัง

พอฉุกใจคิดว่านี่ไม่ใช่เวลามานั่งห่วงความเหนื่อย จึงเริ่มกวาดสายตามองหาคนที่คิดว่าใช่ไปทั่วบริเวณ

“พี่อิม!” เด็กนัทกับไลค์วิ่งตามมาทันตะโกนใส่หลังอย่างร้อนรน หากผมยังมองหาโดยไม่สนใจการห้ามปรามเพื่อนแฟนเลนสักนิด “พี่อิม ทำไมอยู่ๆก็ทิ้งหนังสืออ่ะ ผมกับไอ้เชี่ยไลค์แม่งตกใจหมด แล้วนี่มองหาอะไร ไม่มีหรอกคนที่ต่อยเต่ยเชี่ยเกรทอะไรนั่นน่ะ” ไหล่ผมโดนจับดึงให้หันไปสนใจคนพูด ผมอุทานคำหนึ่งขึ้นมาจนสองคนตรงหน้างงเป็นไก่ตาแตก

“ไม่มี”

“ฮะ?”

“ไม่มีใช่มั้ย” มือยกจับยึดชายเสื้อเด็กนัทพลางกระตุกเร่งของคำตอบ

“ไม่มีอะไรนะพี่” ร่างที่สูงพอพอกับผมเริ่มกระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูก สายตาไม่กล้าสบกันโดยตรงแถมหันไปมองเพื่อนซึ่งยืนอุ้มหนังสืออยู่ด้านหลังแบบขอความช่วยเหลือ เด็กไลค์กลืนน้ำลายลงคอหน้าถอดสี ที่สองคนนี้ตามผมมาช้าอาจเพราะโดนขัดกับกองหนังสือซึ่งตกกระจัดระจายอยู่บนพื้นฟุตบาทเป็นแน่

การแกล้งคนกลางเป็นอะไรที่ดูน่าสงสารในความรู้สึก

 “เฮ้ออออออ วิ่งมาเก้อเลยยยย”

“หา?” ปล่อยอุทานออกมาหนึ่งประโยคเล่นเอาคนอึ้งกันทั้งบาง

“กะว่าจะมาจับกิ๊กเพื่อนคุณซะหน่อย ที่ไหนได้ในสนามมีแต่ผู้ชาย” ผมยกมือขึ้นเกาหัวอย่างเซ็งๆแสร้งแสดงละคร ก่อนเดินไปตบไหล่ รับกองหนังสือจากมือไลค์ “ขอบใจนะ”

“คะ...ครับ?” ให้มากกว่านี้มั้ย สภาพเอ๋อระดับสิบของเด็กไลค์ ผมนึกขำในใจ

“ขอบใจเรื่องหนังสือไง เออ...เมื่อกี้ผมก็พูดได้เนอะว่ามีแต่เด็กผู้ชาย ผมก็ผู้ชายนี่หว่า ฮ่าฮ่าฮ่า”

“...” ตาถลนกันใหญ่แล้ว

“แต่จะให้มานั่งระแวงเด็กเกรทว่าเป็นกิ๊กกับคนทั้งตำบล สู้ผมไปทำให้เจ้านั่นทั้งรักทั้งหลงไม่ดีกว่าเหรอ” หัวเราะฝืดๆเหมือนจงใจกลบความขายหน้า ก่อนกระชับกองหนังสือในอกไว้แล้วตั้งใจกล่าวคำลา แต่ทว่า...

“แค่นี้ไอ้เกรทมันก็หลงพี่อย่างกับอะไรดีแล้ว”

“...” หนึ่งประโยคที่โพล่งออกมาทำให้ผมอึ้ง สายตาเด็กนัทดูจริงจังเกินล้อเล่น แต่อย่าได้คิดเยอะไป นี่อาจเป็นการประเมินจากสายตาคนภายนอกในความที่เราสนิทสนมกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยมากขึ้น

“พูดอะไรของคุณ” ผมกระทุ้งศอกเข้าต้นแขนอีกฝ่าย ยิ้มบางใส่ทำท่าเหมือนขวยเขิน “ผมเขินแย่”

“...”

“ผมไปก่อนนะ”

หมุนตัวกลับไปยังทิศทางเป้าหมายเก่า สองเท้าก้าวเดินผ่านสนามกีฬากลางอย่างเชื่องช้า จับจ้องไปยังคนซึ่งอยู่อีกฟากของรั้วเหล็กไม่วางตา ผมจำคนนั้นได้

...คนที่ผมเจอที่ร้านกะเพรา...

…TBC…
+++++++++++++++++++++


ปมจงคลายยยย
ป.ล.ด้านบนที่เขียนว่าน้องถอด คือเกรทถอดหมดนะ...
อิมเห็นมันตั้งแต่หัวยันหางเลยล่ะ...
จะสงสารใครดี

ป.ล.อีกรอบขอบคุณคอมเมนต์ค่าาาาา ดีใจมากมายเขียนออกมาเป็นตัวอักษรไม่ได้เลย :hao5:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบห้า...ความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์ [28-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-09-2019 10:37:33
 :pig4: :pig4: :pig4:

ใครฟระ   ร้านกะเพรา   จำไม่ได้อ่ะ   สงสัยต้องย้อนเวลาไปหา
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบห้า...ความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์ [28-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 28-09-2019 23:44:55
ใครกันนะ??

อยากรู้,,,
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบห้า...ความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์ [28-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Maple ที่ 29-09-2019 01:16:04
เกรท​แกรู้สึก​อะไร​แกต้อง​บอก​ไม่​มีใครเดาได้​ไอเด็ก​บ้าาาา​  วงวานน้องอิมมม​  ไม่ต้องน้อยใจนะลูก​
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบห้า...ความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์ [28-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 29-09-2019 03:34:06
อยากรู้ๆ เด็กเกรทมันปิดบังอะไรอยู่
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบหก...เราจบกันมั้ย [30-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 30-09-2019 19:31:57
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบหก...เราจบกันมั้ย


“ตั้งแต่คบกันมา มีเรื่องอะไรที่คุณไม่ชอบเกี่ยวกับตัวผมมั้ย”


ผมเกริ่นแบบไม่ดูสถานการณ์ ระหว่างนั่งพักทานข้าวเที่ยง ช่วงนี้เกรทเตรียมกิจกรรมหนักจนตอนเย็นหมดปัญญามาหา เจ้าตัวเลยตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียวว่าอย่างน้อยขอแค่เวลาช่วงพักเที่ยง ขอให้ได้เจอหน้า ให้สมฐานะ ‘แฟน’ ก็ยังดี

“มีครับ”

“หา? เรื่องอะไร” รีบเงยมองคนนั่งฝั่งตรงข้าม นี่แหละเรื่องที่ต้องการจะฟัง แต่สิ่งที่ร่างสูงโพล่งออกมากลับไม่ใช่สิ่งที่ผมคิด...

“หน้าตาดีเกินไป”

“หา?”

“ตัวสูง ผิวขาว หน้าใส จนคนจับไม่ได้ว่าเรียนอยู่ปีสาม เห็นแล้วมันก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ครับ”

“เดี๋ยวก่อนนั่นมันใช่...” ข้อเสียซะทีไหนล่ะ ฟังยังไงก็คนอวยกันชัดๆ แต่ผมยังแย้งไม่ทันจบก็โดนอีกฝ่ายพูดขัด

“อิมรู้ตัวมั้ยว่าชอบตกเป็นประเด็นสนทนาของคนอื่นบ่อยๆ”

ผมส่ายหัวหวือ มีด้วยเหรอคนพวกนั้น ผมเก็บตัวจะตาย อย่างมากถ้าได้เจอก็มีแต่คนของคณะ

“ไม่รู้ก็ดีแล้วครับ อย่าไปสนใจเลย”

อ้าวเฮ้ย อะไรของคนพวกนี้วะ เปิดประเด็นมาทีไรเป็นอันตัดจบก่อนผมจะซักไซ้ไล่เลียงทุกที ผมอ้าปากจะกล่าวท้วง แต่ทว่า...

“อิมเมจ”

เสียงหวานใสของใครบางคนดังเข้าโสต ร่างคุ้นตาเดินเข้าใกล้ในมือถือจานอาหารที่มีกับข้าวอยู่เต็มจาน

“ใยไหม”

“ไหมนั่งด้วยได้มั้ย” ผมเหลือบไปมองหน้าเกรท สีหน้าคนตัวสูงดูเจื่อนไปแบบแปลกๆ หรือเพราะผมยังนั่งอยู่ตรงนี้ในขณะที่ตัวจริงเดินเข้าหาอย่างนั้นเหรอ “คือพยายามมองหาแล้วแต่ไม่มีที่เลยน่ะ บังเอิญเห็นข้างเกรทว่างพอดี”

“เอาสิ” ผมยิ้มรับใช้ตีนสะกิดขาฝ่ายตรงข้ามเบาๆให้รู้ตัว พลางพยักพเยิดให้ขยับขยายพื้นที่แก่หญิงสาว เป็นบ้าอะไรกับแค่เจอผู้หญิงที่ชอบถึงกับไปไม่ถูกเลยเหรอ ใยไหมวางจานข้าวทรุดตัวลงนั่งแขนไปโดนคนตัวสูงแบบไม่ได้ตั้งใจ เกรทมีท่าทีลนชักหลบเบาๆอยู่ชั่วครู่ เจ้าตัวผงกหัวเหมือนขอขมา ส่วนใยไหมก็ยิ้มรับอย่างเอื้ออารี

...จะว่าไปก็สมกันดีนะ...

“มองอะไรครับ” ท่าทางเกรทดูหงุดหงิดงุ่นง่านแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“เปล่าซะหน่อย”

“เปล่าอะไรเห็นมองอยู่ชัดๆ” เกรทเอาตีนมาเตะหน้าแข้งผม จนต้องสะดุ้งหลบส่งเสียงปราม

“เกรท”

“ทำไม ผมทำไมได้เหรอ” คราวนี้มาหนักเลยทั้งเอาหน้าแข้งหนีบดึงขาผมเข้าไปใกล้เหมือนใช้ช่วงล่างเกาะผมไว้แน่น

“ไม่ใช่ไม่ได้แต่...” เฮ้ยๆๆ นี่มันจะรวบเข้าไปทั้งสองข้างแล้วนะ มันเยอะไปแล้ว

บึก!!สุดท้ายขาเราสองคนก็กระเด้งไปโดนใยไหม หญิงสาวมีท่าทีตกใจก้มต่ำ เหมือนกำลังจะสื่อว่ามันเกิดอะไรที่เบื้องล่างของเรา

“ขะ...ขอโทษ!”

“อะ...เออ” สีหน้าใยไหมดูเก้อๆ เธอเม้มปากก่อนพูดบางอย่างออกมา “ไม่เป็นไร สองคนดู รักกันดีเนอะ”

“เฮ้ยเปล่า!” คิ้วเกรทกระตุกตอนผมเผลอหลุดพูดออกไป แย่แล้ว...เล่นอะไรของคุณวะผู้หญิงเขาจะรู้สึกยังไง ความไม่พอใจเจือจางเบาบางหลุดออกทางสีหน้าของคนตัวสูง ผมชักเท้าหลบมุดใต้เก้าอี้ตนเอง อย่ามาทำหน้าแบบนี้นะตัวเองทำตัวเองแท้ๆ

“เออจริงด้วยสิ อิมเมจจะมาดูละครเวทีมั้ย”

“หา?”

“ละครเวทีที่เกรทเล่นไง”

“หา?...” ตกใจหนักเข้าไปใหญ่ ผินหน้าไปสบตาเจ้าของประเด็นที่นั่งเม้มปากนิ่งไม่หายงอน “ไหนว่าไปช่วยงาน”

“คัดตัวนักแสดงไม่ได้ เลยโดนบังคับเล่นน่ะ” ใยไหมยิ้มหวานอย่างอ่อนโยน สายตาคมสวยภายใต้การตกแต่งของอายไลน์เนอร์บางๆ กับเครื่องสำอางเบาๆอย่างเป็นธรรมชาติ กำลังจับจ้องไปยังใบหน้าหล่อเหลาซึ่งนั่งตั้งหน้าตั้งตาตักข้าวเข้าปาก

...ไม่รู้ตัวซะบ้างเลยไอ้เด็กนี่...

“โอ๊ย!” ผมเตะป้าบไปที่หน้าแข้งเขาอีกรอบ จนเกรทร้องเสียงหลง ขึงตามองผมอย่างเกรี้ยวกราด เจ้าตัวปาดแขนมาคว้ามือที่จับช้อนส้อมพูนอาหารไปกุมไว้ ไอ้เหี้ย ผมแค่กะเตือนสติใครบอกให้ทำแบบนี้วะ “ทำอะไรของอิมน่ะ”

“ตีนยาว เลยเตะไปโดน อย่าโกรธกันดิ”

“ไม่ใช่แล้วล่ะ จงใจชัดๆ”

ใช่แล้วจงใจ ที่ทำไปเพราะอยากเตือนสติแบบเนียนๆ แต่ไหงผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม จากไม่เนียนกลายเป็นปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มไปได้วะ ปล่อยมือผมก่อนเซ่ ผมดึงยื้อยุดกับแรงของเกรทไปมาจนมือต้องปล่อยช้อนส้อมลงจานหันมาจริงจังกับร่างสูง

“เกรท ปล่อยดิวะ”

“ไม่ปล่อย”

“เกรท”

“ทำไมผมต้องปล่อยด้วย ในเมื่ออิมกวนประสาทผมน่ะ”

“โอ๊ย ไอ้เด็กนี่เนี่ย!”

“ไหมมาเกะกะอะไรรึเปล่า”

“เกะกะ!/ไม่เกะ!”

สองคนหันหน้าไปทางหญิงสาวผู้ร่วมวง วาไรตี้ฉิบหายเลยงานนี้ เกรทคนเดียวกับที่บอกชอบใยไหมแต่ทำไมไปตะโกนต่อหน้าเธอว่าเกะกะได้วะ ถึงเอ็งจะตื่นเต้นแค่ไหนแต่ต้องไม่ทำกับคนที่ชอบแบบนี้!

“อะเออ ถ้างั้นไหมขอตัว”

“เฮ้ยเดี๋ยวดิใยไหม นั่งๆ นั่งลงก่อน ข้าวยังกินไม่เสร็จแล้วจะไปไหน” ผมคว้ามือเธอไว้ จนเธอยอมวางจาน ทิ้งตัวลงนั่งยังที่เก่า ข้าวในจานพร่องไปราวกับหนูแทะจนแอบสงสารเธอที่ต้องมาเจอเด็กซึนปากไม่ตรงกับใจอย่างเกรท

ความเงียบทำให้ทุกอย่างดูอึดอัด ผมพยายามหาบทสนทนามาดันให้บรรยากาศนั้นดีขึ้น

“ละครเวทีวันไหนนะ”

“วันที่ 31 ตุลา ผมบอกอิมไปแล้วนะ” ถามใยไหมแต่เกรทตอบ แล้วท่าทีงอนๆนี่มัน อิหยังวะ

“อื้อ ธีมวันฮัลโลวีนน่ะ เล่นเรื่อง‘เจ้าสาวศพสวย’” เอะใจขึ้นมาอยู่เล็กๆ เมื่อทุกประโยคที่ถามเรื่องละครเวทีส่วนใหญ่ใยไหมจะตอบ

“ใยไหมชอบละครเวทีเหรอ”

“เอ๊ะ?”

“ดูเหมือนรู้ละเอียดจัง ผมก็แค่...สงสัย”

“อา...เออ คือ” ใยไหมอึกอัก ความเงียบชั่วอึดใจ ทวีความเคลือบแคลงให้เพิ่มพูน

“จะไม่รู้ละเอียดได้ไง พี่ใยไหมเขาเล่นเป็นนางเอกน่ะ” เกรทตอบหน้านิ่งไม่เจาะจงมองใครเป็นพิเศษ เจ้าตัวตักอาหารเข้าปากเคี้ยวเรียบเรื่อยราวกับไม่สนใจเรื่องราวใดใด

“นางเอก?”

“อื้อ” เป็นไปได้ไง...

“แต่ใยไหมอยู่คณะ...”

“เราไปเล่นเป็นนางเอกรับเชิญแทบทุกปีน่ะ อิมเมจอาจจะไม่รู้” ผมไม่รู้ และมันเป็นอีกหนึ่งความจริงในความบังเอิญที่ทำให้ผมอึ้ง

“ปีนี้พระเอกคนประจำไม่ขอร่วมกิจกรรม เลยหาพระเอกไม่ได้ เกรทเลยต้องเล่นให้ พอรู้ว่าเกรทเล่น ไหมก็วางใจ ได้คนที่มีดีกรีเป็นถึงดาราเก่ามาเล่น งานนี้ต้องออกมาดีแน่ๆ”

รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างจากรอยยิ้มของใยไหม ที่เป็นอะไรซึ่งมากเกินกว่าความปลาบปลื้มใจในคำพูดนั้น

 





 

ทุกๆวันเกรทจะเหนื่อยจากการซ้อมละครเวที ด้วยความที่อยากให้เขาสบายหลังกลับมาหอ จานชามที่เคยทิ้งแช่ในซิงค์น้ำจึงถูกล้างเก็บ เสื้อผ้าที่ใส่แล้วถูกยัดเข้าตู้ ซักรอจนเสร็จสรรพ จับขึ้นราวตากอย่างเป็นระเบียบ อาหารเย็น...เหมือนเกรทจะรู้ดีว่าผมเตรียมให้ พอตกเย็นอีกวันจึงเห็นมันโดนกินจนเกลี้ยงจานส่วนชามก็ยังวางที่โซนล้างอีกเช่นเคย

...อิม ขอบคุณนะ โจ๊กอิมโคตรอร่อย...

กระดาษโพสต์อิทใบเล็กมักจะวางแปะไว้ที่หน้าตู้เย็นเสมอ ในทุกๆวัน

...ไม่ต้องล้างจานจนหมดก็ได้ เดี๋ยวผมกลับมาทำเอง...

และผมก็มักจะตอบกลับไปในแบบเดียวกันเสมอ

...คนเหนื่อยก็พักผ่อนเถอะ อย่าพูดมาก...

...ผมเขียน ไม่ได้พูดซะหน่อย...

...กวน...

...อิมเขียนสั้นจัง เอายาวๆ เอายาวๆ...

...ยาววววววววววววววว พอใจยัง...

...ขอเป็นกระดาษเอสาม พ่อจะให้เขียนจนเมื่อยมือเลย...

...งั้นเลิกเขียน...

...เฮ้ย ไม่ได้ดิ ไลน์ก็ไม่ได้คุย โทรศัพท์ก็แทบไม่ได้โทร นี่จะตัดโพสต์อิทออกอีกเหรอ สามเอ็มขาดทุนแย่...

...เดี๋ยวผมซื้อสก็อตไบรท์ให้คุณไปขัดตัวแทนละกัน...

...เอามาขัดกางเกงในผมแทนละกัน กางเกงในตัวโปรดผมอิมซักแล้วไปเก็บไว้ไหน ผมหาไม่เจอ...


เขียนทุกอย่างจนกระดาษสีเขียวมะนาว แสดสะท้อนแสง รวมถึงชมพูบานเย็น เก็บเต็มสมุดบันทึกเล่มประจำของผม

 



แต่วันนี้คงไม่ต้องแล้ว เจ้าตัวชวนมาดูซ้อมใหญ่หลังเลิก มันเป็นการซ้อมที่ตัวละครทุกตัวจะใส่ชุดในวันงานจริงทุกฉากเปิดแสงสีเสียงเหมือนจริง ซึ่งโดยปกติแล้วจะไม่ถูกเปิดให้คนนอกเข้า ต่อให้เป็นคนสนิทนักแสดงกับสตาฟขนาดไหนก็ตาม แต่ทว่าไม่รู้ว่าเกรทมันไปใช้อำนาจอะไรถึงขโมยป้ายสตาฟมาให้ผมเข้าไปดูเจ้าตัวซ้อมได้

ผมไม่ค่อยถนัดถนนหนทางในคณะนิเทศศาสตร์สักเท่าไร แต่ก็ไม่อยากให้กระโตกกระตากเกินไปจนทำคนในแตกตื่น เลยพยายามเดินอ้อมมาหลังโรงละครหาทางเข้าเฉพาะเจ้าหน้าที่อยู่นานสองนาน จนในที่สุดก็เจอ...


“ไม่ค่อยถนัดใส่ส้นสูงน่ะ”

ผมชะงัก แว่วเสียงดังมาจากที่ใกล้ๆ มันคุ้นหูเกินไปจนต้องสอดส่ายสายตามองหา ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดผู้ดีอังกฤษโบราณงามสง่า ร่างกายโอนเอนเซไปมาไม่มั่นคง เท้าข้างที่ควรยืนอยู่บนพื้นกลับมีมือหนึ่งมาประคอง ให้เหยียบทับลงบนตักของคนผู้นั้นซึ่งย่อกายลงต่ำ สองมือกำลังจับข้อเท้าอันบอบบางไว้มั่นให้บรรยากาศที่ยากเกินจะบรรยาย

“เกาะไหล่ผมไว้” มือเล็กเชื่อฟังว่าง่ายขยับไปจับไหล่อันแข็งแกร่งมั่นคง สายตาที่ทอดต่ำแสดงถึงความปลาบปลื้มหวานล้ำอยู่ในที

“เดี๋ยวผมติดพลาสเตอร์ให้ แล้วก็ไม่ต้องใส่รองเท้าเข้าไปอีกแล้วนะ”

“แต่ว่า ถ้าไม่ฝึกเดิน เดี๋ยวขาจะไม่ชิน”

“แต่ถ้าขาเจ็บพิการไปก่อนวันจริงจะทำไง”

“...”

“เชื่อผมเถอะ ยังไม่ต้องใส่เข้าไป”

“อื้อ”

บรรยากาศมันอวลไปด้วยไอพิเศษบางอย่างที่ผมอธิบายไม่ถูก หากมองจากสายตาคนทั่วไป ใครๆคงคิดว่า

...เขาสองคนนั้นเป็นแฟนกัน...

ใบหน้าสวยสะคราญยิ้มนิ่ง แววตาฉายชัดถึงความรักเสน่หาซึ่งมีให้ต่ออีกฝ่าย

“เกรทนี่ใจดีจัง”

“งั้นเหรอครับ ผมว่าไม่นะ อิมชอบหาว่าผมดื้อ ชอบกวนตีนบ่อยๆ”

“ไหมอิจฉาอิมเมจจัง ถ้าเกรทยังไม่มีแฟน...ป่านนี้ไหมอาจจะจีบเกรทก็ได้”

“...!”

เกรทชักหน้าขึ้น สบสายตาร่างที่อยู่เหนือกว่า ใบหน้าหล่อเหลามันแฝงอารมณ์หลากหลายจนยากจะบรรยาย ความสงบที่เกิดขึ้นฉับพลันสร้างแรงปั่นป่วนในมวนท้องของบุคคลซึ่งอยู่ในเหตุการณ์อย่างหนัก แม้เพียงเสียงลมพัดหรือกิ่งไม้ไหว ยังอาจทำให้สะดุ้งตกใจจนใจเตลิดไปได้

ณ ตรงนี้ ตรงที่ผมยืนอยู่ ไม่มีใครเลยสักคนที่ผมพอจะภาวนาให้มากดปุ่มเพลย์ เพื่อเล่นภาพนิ่งอันสุดแสนอึดอัดนี้ จึงได้แต่ยืนมองอยู่อย่างนั้นนิ่งนาน จนกระทั่งร่างเล็กของหญิงสาวยกแขนขึ้นตีคนตัวสูงเบาๆ

“แหม เกรทก็ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ...ไหมก็แค่...พูดเล่น...”

ถ้าเป็นจริงก็คงจะดี...นายคิดอยู่อย่างนี้ใช่มั้ยเกรท

ขาผมถูกตรึงไว้กับที่...ในใจกำลังรู้สึกผิดอย่างมากมาย...อยากเดินออกไปจากตรงนี้ อยากเหลือไว้ให้มีเพียงเขาสองคน แต่ทว่าโชคกลับไม่เข้าข้างผมเลย ใบหน้าที่จงใจหลบคนเบื้องบน หันมาสบรับรู้การมีตัวตนของผมพอดิบพอดี

“อิม” เกรทพรวดพราดลุกยืนเต็มความสูง ลืมไปเสียสนิทว่ามีอีกคนอยู่บนตัก ร่างเล็กกว่าถึงกับเสียหลักเซถลาไปซบอกอีกฝ่าย...

“เฮ้ยพี่ไหม!”

ยิ่งกว่าจังหวะในละครเสียอีก คนสวยกับหล่อยืนนิ่งกอดกันราวกับปูนปั้น ถึงแม้จะทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะแต่ผมก็พยายามที่จะก้าวขาออกไปด้วยใจสั่นเทา พลางยกยิ้มอ่อนที่มุมปากอย่างฝืดเฝือน

“คิดว่าเป็นวิคเตอร์กับวิคตอเรียหรือไง อินกับบทเกินไปแล้วนะสองคน” ร่างสองร่างผละจากกันอย่างเลิ่กลั่กกระอักกระอ่วน ใยไหมทักทายผมก่อน

“อะ...อิมเมจ มาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย” ตามด้วยเกรทที่เดินเข้ามาจับต้นแขนผม

“อิมหลงมั้ย”

เสียงทุ้มต่ำถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ผมลอบมองดวงหน้าที่ผ่านการตกแต่งด้วยเครื่องสำอางจางๆ วันนี้ร่างสูงดูหล่อเหลาแตกต่างกว่าทุกวัน ชุดสูทสีเทาเข้มสามชิ้นนั้น กับกางเกงลายทางดำสีเทาอ่อน...

วิคเตอร์ แวน ดอร์ท รุ่นนี้ถูกปรับให้รูปลักษณ์ดูดีเข้าสมัย เปรียบได้กับดารานักร้องเคป๊อบยังไงก็ไม่ปาน สายตาตกๆกับผมซึ่งโดนหวีเสยเผยให้เห็นเครื่องหน้าคมคายงดงามครึ่งซีก ส่วนอีกครึ่งร่วงลงมาปรกหน้าผาก นี่สินะ สิ่งที่ใครต่างเรียกกันว่ารูปโฉมประดุจคมมีดที่บาดดวงใจใครให้เจ็บตัวมานักต่อนัก

“หลง...”

“จริงป่ะเนี่ย ทำไมไม่โทรตามจะได้ออกไปรับ” เวร...ผมเผลอหลุดคำว่าหลงคนละความหมายออกไปเลยรีบไล่อาการหน้าเห่อร้อนพร้อมกล่าวปฏิเสธ

“จะบ้าเหรอออกไปรับในสภาพนี้เนี่ยนะ แล้วที่คณะอุตส่าห์ปิดข่าวละครเวทีไว้ซะเงียบเชียบจะทำไปเพื่ออะไร คุณน่ะก็รีบเข้าไปได้แล้ว เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”

“อย่าดุสิครับ”

“ก็คุณทำตัว”

“มาก็ดุเลยอ่ะ”

จากที่โดนจับเพียงต้นแขน ร่างทั้งร่างถูกดึงเข้าหาสวมกอดเข้าอกแกร่งกะทันหันไม่ทันได้ตั้งตัว ใยไหมตัวเป็นๆยืนอยู่ด้านหลัง คุณมึงเกรททำไปได้ยังไง!!

“ให้กำลังใจผมหน่อย” ชะ...ชักจะเอาใหญ่แล้ว “ผมตื่นเต้น ไม่ได้แสดงตั้งนาน นะอิมนะ” ถูกอ้อนขนาดนี้ผมเลยได้แต่ตบหลังปุๆ มองใยไหมอย่างเกรงๆ หญิงสาวมีท่าทีตะขิดตะขวงก้มมองต้นหญ้าอย่างหาจุดตกของสายตาไม่ได้ ขาขยับเคลื่อนยังเหมือนเดินติดขัดจากอาการเจ็บเมื่อครู่

“เกรท...” คุณควรจะไปดูคนด้านหลัง...

จุ๊บ!!

ผมสะดุ้งโหยง ก็ว่ามันแปลกๆตั้งแต่ลมอุ่นร้อนมาคลอเคลียซอกคอแล้ว ริมฝีปากเปื้อนลิปบาล์มประทับความลื่นนุ่มเข้าหลังใบหู ถึงกับต้องยืดตัวออกมาจับต้นคอ ดูหน้าคนกระทำการอุกอาจ

“อวยพรผมหน่อยนะครับ แม่”

“หา? คะ...คุณเรียกผมว่าไงนะ”

“แม่ไง”

“กลับเข้าไปได้แล้ว!!” ทั้งกระโดดเตะทั้งถีบเลยงานนี้ไม่ต้องมีความเกรงจงเกรงใจมันแล้ว

“เฮ้ยอิม เดี๋ยวชุดเปื้อน” ร่างสูงหัวเราะเฮฮาก่อนวิ่งหายเข้าไปในตัวตึก

ปล่อยให้ผมเผชิญหน้ากับใยไหมที่มีสีหน้าแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด...เธอเดินผ่านผมเข้าตัวตึกไปโดยไม่ทักทายอะไรอีก









 

 

และแล้วก็ถึงวันจริง ผม...ตัดสินใจมาดูรอบสุดท้ายเผื่อจะได้กลับพร้อมเกรท...
 

“ไม่ได้ นี่มันผิด ฉันเป็นเจ้าสาว ความฝันถูกพรากไปจากฉัน แต่ตอนนี้ฉันขโมยมันมาจากคนอื่น ฉันรักคุณวิคเตอร์ แต่คุณไม่ใช่ของฉัน”



ผู้หญิงในชุดแต่งงานสีขาวค่อนไปทางฟ้าหม่น แต่งแก้มเป็นรอยโครงกระดูกอย่างน่ากลัว เอ่ยบทออกมาอย่างเชี่ยวชาญ ส่งอารมณ์ถึงคู่แสดงด้วยใบหน้าอาบน้ำตาเต็มสองแก้ม

เธอแสดงเก่ง ผมอิน...จนร้องไห้...แย่ชะมัด...

เหมือนตัวเองอินกับเอมิลี่เกินไป ทั้งที่ผมไม่ใช่ผีที่ตกหลุมรักวิคเตอร์ ไม่ใช่เจ้าสาวศพสวยซึ่งโดนพรากความฝันอันเพียงต้องการแต่งงานกับคนที่รักไป และไม่เคยนึกขโมยมันมาจากวิคเตอร์เลยสักนิด...

...ต้องโทษวิคเตอร์สิ ที่หยิบยื่นโอกาสนี้มาให้ผม...

บทโศกดำเนินผ่านไปเพียงไม่นาน ตามมาด้วยความตื่นเต้นจากฉากต่อสู้ กับการปรากฏกายของวายร้ายที่เข้ามาทำลายพิธีแต่ง เกรทแสดงได้ดีทุกกระเบียดนิ้วแม้กระทั่งท่วงท่าต่อสู้ด้วยส้อมอันสง่างาม สมกับที่เป็นอดีตดาราเด็ก ผมนึกชื่นชมอยู่ในใจ

จนกระทั่งเรื่องดำเนินมาเกือบถึงบทส่งท้าย วิคเตอร์ปราบตัวร้ายได้สำเร็จ เอมิลี่ยอมยกตำแหน่งเจ้าสาวให้กับวิคตอเรียผู้หญิงซึ่งสมควรจะได้รับมันมาตั้งแต่แรก เธอโยนช่อดอกไม้แสนสวยในมือ ที่กอปรด้วยดอกกุหลาบสำหรับรักนิรันดร์ ลิลลี่เพื่อความหวาน ดอกยิปโซแห่งรักแรกพบ มอบให้กับคนเบื้องหลัง

...แต่ทว่ากลับพลาดปลิวมาตกใส่มือผม...

แสงไฟที่เคยส่องตัวละครซึ่งโลดแล่นอยู่บนเวทีไหลมากองรวมกันตรงนี้ราวกับแมวไล่จับหนู คนทั้งฮอลล์จับจ้องมองมา ไม่เว้นแม้กระทั่งนักแสดงซึ่งยังคงอยู่บนเวที เกรทกำลังมองผมอยู่ ร่างสูงอมยิ้มน้อยๆจ้องมองช่อดอกกุหลาบสีน้ำเงินสดในมือผม พลางสบสายตานิ่ง มันเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นราวกับเทพบุตร ผู้ชมไม่น้อยที่อยู่แวดล้อมต่างพากันส่งเสียงฮือฮาพาลพาละลายไปพร้อมๆกัน

จนในที่สุดทุกอย่างก็กลับเข้าเนื้อเรื่องอีกครั้ง ฉากสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ตระการตา เอมิลี่มองบนท้องฟ้าก่อนหลับตาลงช้าๆ ผีเสื้อกระดาษนับร้อยนับพันโบยบินปลิวพลิ้วไหวออกมาจากร่างไม่ขาดสาย มันงดงามพร่างพรายราวกับดวงดาวนับหมื่นแสนบนท้องฟ้าอันห่างไกล

ฉากนี้ผมจำได้ดีว่า มันเป็นฉากที่วิคเตอร์กับนางเอกยืนซบไหล่ จ้องมองการจากไปอันสุดแสนประทับใจของเอมิลี่....

“กรี๊ดดดดดด”

แต่ทว่าเรื่องไม่คาดคิดกลับเกิด เสียงหวีดเล็กๆดังระงมไปทั่วฮอลล์ ผู้ชมบางคนแสดงอาการแตกตื่นกับภาพตรงหน้า

...ภาพที่ใยไหมกำลังคว้าคอร่างสูงให้เข้าหาจุมพิตของเธอ...

 

...นี่มันอะไร...



ในสมองผมว่างเปล่า...มีเพียงประสาทการรับรู้คือดวงตาที่จ้องภาพตรงหน้านิ่ง ก่อนความคิดจะหมุนแล่นร่างกายก็สั่งการราวกับประสาทอัตโนมัติให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพุ่งตรงออกไปจากฮอลล์

 

...นี่มันอะไร...ใจ...รู้สึกเจ็บแปลกๆ...

 

ผมกุมมือเข้าอกราวกับโรคหัวใจกำเริบ สับสน...จนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร สองขาได้แต่ก้าวยาวออกมาจากจุดนั้น ในแรกเริ่มเชื่องช้า แต่ต่อมากลับเร่งร้อน จนกลายสภาพเป็นกึ่งวิ่งกึ่งเดินในที่สุด ราวกับตนเองกำลังหนีบางอย่าง...หนีจากจิตใจที่เจ็บปวดทรมานแบบแปลกๆของตน

 

เกิดอะไรขึ้นกันแน่วะ...ไม่ชอบ...แบบนี้เลย

 

ผมวิ่งมาจนสุดทาง ทั้งหอบเหนื่อยและไร้เรี่ยวแรง กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็ยืนอยู่ที่ ‘ลานเปิดใจ’ สถานที่ที่ความทรงจำหลายอย่างระหว่างผมกับเกรทเคยเกิดขึ้น

“อิม!!” เสียงตะโกนไล่หลังตามมาอย่างรวดเร็ว

...เกรทเขา...ตามผมมา...

“อิม!!”

ไหล่ผมโดนกระชากให้หันไปเผชิญหน้ากับร่างสูง เกรทมีท่าทีเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลโทรมกาย ใบหน้าแดงๆพ่นลมร้อนออกจากปากไม่หยุด เขาตามผมมาทันทีหลังจากที่ผมหนีออกมา ชุดสูทสามชิ้นกับอากาศร้อนชื้นหลังฝนตกคงทำให้เจ้าตัวทรมานไม่น้อย ผมเผลอหยิบผ้าเช็ดหน้าลายน้ำตาลแถบดำซึ่งผมชอบใช้ขึ้นซับเหงื่อบนใบหน้าอันหล่อเหลา

“วิ่งมาทำไม”

“อิมต่างหากวิ่งออกมาทำไม”

“ผมไม่รู้”

“อิม...” เหมือนคำตอบจะไม่ถูกใจเกรท เจ้าตัวแสดงสีหน้ายุ่งยาก จนผมชักมือที่จับผ้าเช็ดหน้ามากำไว้

“อิมอย่าบอกนะว่าเรื่องเมื่อกี้...”

“เกรท...”

“...” ผมยกนิ้วชี้ขึ้นปิดปากเขา ไม่อยากให้เดาใจได้เลย

“เมื่อกี้คุณแสดงดีมากเลยนะ” อันนี้น่าจะต้องเป็นใบหน้ายิ้มแย้มสินะ ทำไมมุมปากมันทั้งหนาและหนักได้ขนาดนี้ “จนผมอยากจะให้รางวัลเลย”

“...” สายตาเกรทปิดความลนลานไว้ไม่มิด ถ้าเป็นปกติผมอาจนึกสนุก อยากแกล้ง แต่ทว่า...

“เอาเป็นอะไรดีล่ะ”

“...”

“เอาเป็นจูบจากผมมั้ย”

“...!” ร่างสูงดูสติหลุดไปแล้ว แต่ผมกลับไม่อยากหยุด นิ้วมือออกห่างจากริมปาก สองมือเกาะเกี่ยวไหล่กว้างพลางโน้มตัวเข้าหา เกรทหลับตาฉับพลันจนหัวคิ้วได้รูปย่นยู่ แต่สิ่งที่ผมทำกลับเป็นเพียงการกระซิบข้างหูของเขา

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”

“...!” สายตาคมเบิกโพลง ผมถอนตัวออกมาทั้งที่มือยังเกาะเกี่ยวไหล่ของเขาไว้ จ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาในระยะประชิด

“ขอบคุณสำหรับความทรงจำที่ดี” ผมหลับตาหวนนึกสิ่งที่ผ่านมาตามคำพูดนี้ เหมือนได้ยินเสียงผู้หญิงตะโกนเรียกชื่อเกรทจากที่ไกลๆ เมื่อลืมตาขึ้น กลับพบว่าเป็นใยไหม เธอคงวิ่งตามพระเอกของเธอซึ่งหนีลงจากเวทีมา

พอดีเลย...นี่อาจจะเป็นรอยยิ้มสุดท้าย...รอยยิ้มที่ดีที่สุดที่ผมจะมีให้แก่เขา...ในฐานะ‘แฟน’

ผมสูดหายใจเข้าลึก...คราวนี้ต้องเอาให้ดังที่สุด เหมือนตอนพวกเราเคยประกาศว่าเป็นแฟนกัน เอาให้อีกฝ่ายนั้นได้ยิน...



“เราเลิกกันเถอะ”

 



...ในตอนนั้น ผมนึกถึงบทพูดประโยคนึงของเอมิลี่ขึ้นมา...

 

...คุณได้รักษาสัญญา คุณปลดปล่อยชั้น ขอให้ชั้นได้ทำอย่างเดียวกับคุณ...

 

…TBC…


+++++++++++++++++++++++++


มีใครพลิกไปอ่านตอนร้านกะเพราบ้างมั้ยนะ ขอมือหน่อยยย
ขอบคุณที่ตามนะคะ รักมากๆเลยทุกคน
ตอนหน้าเกรทเขาจะมาแล้วน้า รอเลยย

ละครเวทีที่เกรทเล่นนำมาจากภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ ทิม เบอร์ตัน กำกับ
ชื่อเรื่องว่า 'Corpse bride' หรือชื่อไทย 'เจ้าสาวศพสวย' ค่ะ

เล่าเรื่องราวของ วิคเตอร์ กับ วิคตอเรีย ที่ถูกพ่อแม่บังคับให้แต่งงานกัน
แต่ในวันแรกที่เจอหน้ากันก็เหมือนจะประทับใจกัน จนในพิธีซ้อมกล่าวคำสาบานงานแต่งวิคเตอร์กลับท่องคำสาบานไม่ถูก
จนต้องไปซ้อมเองคนเดียวในป่าแล้วพลาดตรงที่ว่าไปซ้อมใส่แหวนเข้ากับมือของเอมิลี่เจ้าสาวศพสวยที่เจ้าตัวคิดว่าเป็นกิ่งไม้
จนต้องเข้าพิธีแต่งงานกับศพอย่างเอมิลี่ แต่สุดท้ายเอมิลี่ก็ยอมปล่อยวิคเตอร์ไปค่ะ ตามที่คำพูดในละครเวทีว่า

“ไม่ได้ นี่มันผิด ฉันเป็นเจ้าสาว ความฝันถูกพรากไปจากฉัน แต่ตอนนี้ฉันขโมยมันมาจากคนอื่น ฉันรักคุณวิคเตอร์ แต่คุณไม่ใช่ของฉัน”

ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้นะคะ รักนะ :mew1:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบหก...เราจบกันมั้ย [30-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 30-09-2019 20:10:43
อะไรกันเนี่ยยนน อิเด็กเกรทแกไม่ชัดเจน แกชอบใครกันแน่ อิมชอบเกรทโดยที่ไม่รู้ตัวเลยอ่ะ :serius2:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบหก...เราจบกันมั้ย [30-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-09-2019 20:38:11
รออีกจ้ะ
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบหก...เราจบกันมั้ย [30-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 01-10-2019 03:04:29
ปมเยอะมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบหก...เราจบกันมั้ย [30-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-10-2019 15:24:56
 :L2: :pig4:  :L2:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบหก...เราจบกันมั้ย [30-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 02-10-2019 22:58:12
ตกลงเรื่องมันเป็นยังไง ไหนเล่าออกมาซิ. มีปมมาเพิ่มเรื่อยๆ,,,
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบหก...เราจบกันมั้ย [30-09-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 03-10-2019 04:56:46
ไรท์เตอร์จ๊ะ เราจะลงแดงแล้วเด้อ~
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบหก(ครั้งที่สอง)...ถึงเวลาย้อนกลับ P.3 [3-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 03-10-2019 20:21:56
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบหก(ครั้งที่สอง)...ถึงเวลาย้อนกลับ



“เราเลิกกันเถอะ”



การบอก ‘รัก’ และ ‘เลิก’ ใน ‘ลานเปิดใจ’ ศักดิ์สิทธิ์เสมอ ทุกคนในมหา’ลัยเชื่ออย่างนั้น วันนั้นผมถึงได้ตัดสินใจเดินเข้ามาสารภาพความในใจ ณ สถานที่แห่งนี้

แต่ใครจะรู้ ถ้าหากพูดว่า ‘รัก’ และ ‘เลิก’ กับคนๆเดียวกัน สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นจะมองคำแรกหรือคำหลัง และให้ความสำคัญกับคำไหนมากกว่า ในใจตอนนี้ผมได้แต่ภาวนาว่า...ขอให้ท่านเลือกคำว่า ‘รัก’ มากกว่า...การทำให้คนข้างหน้านั้น ‘ลืม’ กัน

ผมยังอยากอยู่ในความทรงจำของเขา นับตั้งแต่วันที่ก้าวผ่านคำว่า ‘สารภาพรักผิดคน’ จนมายืนตรงจุดนี้





‘พี่อิมเมจโหดจะตาย’

เสียงไอ้นัทกล่าวลอยขึ้นมาหลังเหตุการณ์เซ่อๆของผม ณ ลานเปิดใจซึ่งผ่านไปไม่กี่วัน

‘โหดยังไง’ ผมเงยหน้าขึ้นมาจากมือถือที่ไถหน้าเฟซบุ๊กพี่ใยไหมอย่างเสียไม่ได้ วันนี้พี่ใยไหมก็สวยเหมือนเคย ภาพถ่ายทีเผลอตอนเดินก่อนเข้าคลาสเรียน โดนอัพด้วยมือถือของพี่เขาขึ้นมาโชว์ให้เห็นเป็นหน้าแรก แน่ล่ะ...ก็ผมเซตพี่เขาไว้แบบเห็นโพสต์ก่อน

‘กูได้ยินข่าวมา ว่าไม่ใช่ครั้งแรกหรอกนะ ที่พี่เขาโดนสารภาพกลางลาน’ ผมเลิกคิ้วมองไอ้นัทที่เป็นคนพูดอย่างสงสัย

‘ก็ไม่เห็นจะแปลกนี่ หน้าตาเขาก็ดีออก’ เห็นแบบใกล้ๆมาแล้ว เต็มสองตาเลย ทั้งที่วืบแรกเห็นแค่ปลายตีน รู้อย่างนี้ตอนแรกน่าจะเงยหน้าขึ้นไปมองให้ดี ไม่น่าตื่นเต้นจนเสียเรื่องเลยไอ้เกรท เสียใจอย่างสุดซึ้ง แทนที่จะได้มีโอกาสเปิดใจกับพี่ใยไหมสักครั้งหนึ่งในชีวิต แล้วผมก็คิดว่าโอกาสได้คบไม่น่าจะเท่ากับศูนย์ ความมั่นใจในหน้าตาที่มีมาแต่เด็ก กอปรกับการตอบรับเฟซบุ๊กหลังเพิ่มเพื่อนกันไป และกดไลค์อย่างประปรายแต่ไม่ห่างหาย ทำให้ผมรู้สึกได้ลึกๆว่าตนเองยังพอมีโอกาสอยู่บ้าง

‘มันไม่ใช่แค่หน้าตาดีอ่ะดิ’

‘เออ เรื่องนี้กูเคยได้ยิน เรื่องฤทธิ์พี่อิมเมจใช่มั้ย’ ไอ้ไลค์ที่นั่งจกขนมกลางโต๊ะเคี้ยวแจ๊บพลางพูด

‘ฤทธิ์พี่อิมเมจ? ฤทธิ์อะไรวะ’ เล่นเอากูนึกถึงหนังจอมยุทธแบบ ฤทธิ์กระบี่ปราบมาร เดจไอ้ด้วน หรือปรมาจารย์ลัทธิมารขึ้นมาเลย

‘ใครที่อยู่ใกล้อิมเมจ ต่างก็ต้องหลงรักอิมเมจ’ ผมนิ่งไป มีคนแบบนั้นอยู่บนโลกนี้ด้วยเหรอ

‘เหมือนโดนพวกยาเสน่ห์อะไรแบบนี้ป่ะ’

‘เออ ที่เขาเล่ากันมาก็คล้ายๆ แบบกูเคยได้ยินมานะ ว่าคนที่ชอบเขาใครๆก็บอกว่าเขาน่ารัก’

‘...’ ผมกับไอ้ไลค์ถึงกับเงียบมองหน้ากัน ไม่นานคนงงเป็นเพื่อนดันถามขึ้นมาก่อน

‘ไอ้เรื่องแบบนี้คงไม่รวมผู้ชายไปด้วยหรอกนะมึง’

‘จะเหลือเร้อ’ ไอ้นัทเฉลย

‘เชี่ย จริงเปล่าเนี่ย มึงนั่นผู้ชายเลยนะ แค่มองก็รู้ว่าผู้ชายอ่ะมึง’

‘ไม่งั้นพี่เขาจะนิ่งขนาดนั้นเหรอ ตอนที่ไอ้เกรทมันเข้าไปสารภาพน่ะ’

จะว่าใช่ก็ใช่...ตอนนั้นพี่อิมเมจแกนิ่งมาก ไม่มีความแปลกใจแสดงอยู่บนสีหน้าเลยสักนิด นิ่งประดุจรูปหล่อทองคำซึ่งตั้งไว้ให้คนสักการบูชา

‘แล้วพอโดนสารภาพพี่เขาทำยังไงวะ ทำแบบที่ทำกับไอ้เกรทอย่างนี้เหรอ แบบว่าถ้าชอบก็คบเนี่ยนะ ป่านนี้แม่งไม่มีแฟนเป็นหมื่นแสนล้านคนแล้วเหรอ ถ้าจะป๊อปขนาดนั้น’ แฟนคนปัจจุบันผมคงสำส่อนน่าดู คบๆเลิกๆสนุกสนานเฮฮา

‘เปล่าไม่ใช่อย่างที่มึงคิดเลยไอ้ไลค์’

‘ฮะ? แล้วมันยังไงวะ’

‘พี่แกน่ะปฏิเสธแบบไร้เยื่อใย พอถึงตอนนั้นต่อให้คิดว่าเจ้าตัวน่ารักขนาดไหนคนนั้นก็ตายเอาล่ะวะ’

‘เหี้ย แล้วทำไมไอ้เกรท...’

‘กูถึงได้แปลกใจไง ปกติอย่างมันน่ะ ไม่รู้จักพี่เขาด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็ต้องโดนคำว่า ไม่เคยเห็นมันอยู่ในสายตาต่อให้ชาตินี้หรือชาติหน้าชาติไหนอะไรทำนองนี้อยู่แล้ว แต่ทำไมคราวนี้ถึงโดนพี่เขารับรักได้วะ ไม่อยากเชื่อ’

ผมก็งง...ตอนแรกคิดว่าอีกฝ่ายคงมีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน แต่ไปๆมาๆเรื่องทำไมกลายเป็นว่าขัดแย้งกับข่าวลือขนาดนี้วะ ไม่ใช่ว่าพี่เขาตกหลุมรักผมเข้าให้แล้วนะ...ซวยแล้วกู



ตอนนั้นผมตัดสินใจออกมาให้ห่าง เผื่อพี่เขาจะได้ลืม ส่วนผมก็พยายามหักห้ามใจไม่ไปป้วนเปี้ยนแถวคณะพี่เขาทั้งที่อยากเจอพี่ใยไหมใจจะขาด แล้วทดแทนด้วยการส่องหน้าเฟซบุ๊กคนที่ชอบอย่างอดทนต่อไป

จนกระทั่งวันแห่งโชคชะตาอันพลิกผันได้เริ่มต้นขึ้น ไอ้นัทมันกระตุ้นให้ผมไปเคลียร์กับพี่เขา

‘มึงเลิกทำอะไรให้มันค้างๆคาๆอยู่อย่างนี้เถอะ’

‘แต่กูยังไม่อยากเจอนี่หว่า กูไม่รู้จะทำหน้ายังไง ยิ่งถ้าบังเอิญไปเจอพี่ใยไหมเขาเข้า กูทำตัวไม่ถูกเลยนะเว้ย’

‘แต่ถ้ามึงไม่ไป มึงก็จะเดินหน้าต่อกับพี่ใยไหมไม่ได้ มึงจะนั่งบื้อไถเฟซบุ๊กพี่เขาไปจนถึงปีสี่เลยเหรอวะ เป็นกู กูไม่ทน’ จริงของมัน ทำไมผมต้องมานั่งทิ้งอนาคตที่ดูเหมือนจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ไว้กับการหลบหน้าพี่อิมเมจคนที่ไม่เคยจะรู้จัก ไม่เคยจะต้องแคร์ความรู้สึกเลยด้วยวะ อย่างมากจากนี้ไปก็แกล้งทำให้เขารำคาญ จนกระทั่งบอกมาว่าไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตาไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน อย่างที่ไอ้นัทมันบอกก็จบ

‘เออๆก็ได้ งั้นกูไปเย็นนี้เลย’





ใครจะรู้...ว่าหลังจากตอนนั้น มันทำให้ใจผมติดกับพี่อิมเมจคนดังเป็นตังเม

ความประทับใจแรกคือวาจาจิกกัดสำหรับคนที่หายหน้าไปสามสัปดาห์อย่างสนุกปาก และความเป็นคนถามอะไรโต้งๆ แบบเน้นเจาะตรงจุด จี้ใจดำผมเต็มๆ ว่าที่สารภาพรักมาน่ะชอบเขามั้ย รวมถึงการชมรูปลักษณ์ในเดทแรกของเรา ณ ตอนที่ผมไม่ได้ตั้งใจทำตัวหล่อเหลาในสายตาเขาด้วยซ้ำ กับหลายเรื่องที่รวมกันเป็น ‘อิมเมจ’ มันบอกผมได้เพียงคำเดียวว่า...

...เขาเป็นสิ่งที่น่าค้นหาสำหรับผม...

น่าแปลก ในตอนที่ผมนึกไม่สบายใจ อย่างวันที่เผลอเหลือบไปเห็นพี่ใยไหมเดินมากับผู้ชายอีกคน ซึ่งผมรู้จัก และต่างฝ่ายต่างดูสนิทสนมเกินคำว่าเพื่อน ถึงตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูก และกลัวการสบตาจากพี่ใยไหมที่อยู่ห่าง เลยก้มตัวกอดคนตรงหน้าไว้ ไม่ถึงนาทีเขากลับล้อผมจนอารมณ์หมองหม่นหายไปเหมือนกลับไม่เคยเกิด

จนถึงวันถัดมาความขัดข้องหมองใจเริ่มปรากฏจากการเซตเฟซบุ๊กให้เห็นโพสต์ก่อน หงุดหงิดตนเองจนต้องออกมาเที่ยวเล่นเปลี่ยนบรรยากาศ เผลอไผลนั่งรถจนมาถึงหน้าบ้านอิม ทำไมผมถึงนึกว่าเขาเหมือนยาซึ่งถ้ามาหาจะทำให้ผมหายจากอาการปวดหน่วงจิตใจนี้ได้

ผมเริ่มรักที่จะอยู่ใกล้เขา เริ่มชอบที่จะได้ยืนอยู่ใต้ร่มคันเดียวกับเขา

...เริ่มที่จะอยากนับก้าวเพื่อเดินไปข้างหน้าพร้อมกันกับเขา...

การแหกกฎกลับบ้านเกินสามสี่ทุ่มคงเป็นเรื่องที่ใครคุ้นชินในช่วงประถม แต่กับคนอย่างอิมเมจนั่นเป็นเรื่องที่ยากที่สุด การไม่สนใจกลับบ้านเพื่อเฝ้าไข้เป็นสิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจ

ความผิดหวังที่คนถือผ้าขนหนูสีแดงผืนนั้นเป็น ‘พี่ใยไหม’ แทนที่จะเป็น ‘อิมเมจ’ มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร...

ตอนนั้นผมต้องไล่สะบัดความคิดสับสนในหัวทิ้ง แล้วหันมาจดจ่อกับความจริงที่ถูกแฟนพี่ใยไหมต่อย เหตุเพราะเพื่อนปากดีสองตัว แซวเรื่องคนซึ่งผมไม่สมควรจะยุ่งต่อหน้าแฟนเขา ซ้ำร้ายระหว่างเรื่องราวชุลมุน ผมยังโดนฝ่ายหญิงตอกย้ำสถานะใหม่กระแทกใส่หน้า ด้วยคำที่ว่าไม่คิดเกินเลยไปจาก ‘รุ่นน้อง’ เลย

มาถึงตอนนี้ น้ำเมาเป็นเครื่องระบายที่ดีที่สุด...ผมทุ่มให้มันทั้งคืนราวกับนั่งอาบ

กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าทำให้ใครอีกคนต้องลำบากมาแบกผมส่งถึงหอก็เป็นตอนรุ่งสาง ผมเปิดตามาเจอกับใบหน้าเรียบเนียนสะคราญ ซึ่งนอนพักผ่อนหายใจสม่ำเสมออยู่ข้างกาย

อิมหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว แพขนตายาวขยับยุกยิกตามการเคลื่อนของตัวผม ใบหน้าที่เหนื่อยอ่อนยังผลให้อยากเอื้อมมือไปเกี่ยวเส้นผมซึ่งจับต้องแก้มคนเบื้องหน้า ทำไมคนๆนี้ถึงมาอยู่ตรงนี้ได้

‘บอกแล้วไงว่าอย่าตามมาน่ะ!’ เจ้าตัวโวยวายทั้งที่หลับตา ทำท่าเหมือนหมาฝันกลางวันว่าได้วิ่งบนลานกว้าง ตะกุยผ้าปูเตียงจนผมสะดุ้ง

เชี่ย...ละเมอ...

ผมเผลอยกมือกุมอก ก่อนต้องกลั้นขำเป็นบ้าเป็นหลังในลำคอ

...ทำไม...ถึงน่ารัก...ได้ขนาดนี้นะ...

ในหัววนเวียนอยู่สองคำเวลามองหน้าอิมเมจ ลืมเรื่องที่ถูกต่อยไปเสียสนิท และโคตรเจ็บใจเมื่อรู้ว่าเมื่อคืนเป็นคืนแรกของเรา

...เสียดาย...อยากทำอีกรอบ...อยากกอด...

แต่แทนที่ผมจะดีใจตอนอิมเฉลยว่าเราไม่ได้มีอะไรกัน ผมกลับผิดหวัง ในใจนึกอยากเหมาเอาคนตรงหน้ามาเป็นของตัวให้ได้สักนิดก็ยังดี ถ้าทำให้ท้องจนมีลูกได้ผมอาจจะทำไปนานแล้ว

ข้าวไข่เจียวเหมือนเป็นของปลอบใจอาการผิดหวังมากกว่า การทำอาหารเพื่อเยียวยาคนปากแตกอย่างผม มันเป็นอาหารมื้อแรกที่ ‘แฟน’ ทำให้ ตอนนี้ผมพูดได้เต็มปากแบบไม่ตะขิดตะขวงใจอีก

จากบทสนทนาเหมือนอิมพยายามปิดบังเรื่องราวบางส่วนที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ความทรงจำสีจางๆยามค่ำคืนยังแอบหลงเหลืออยู่ เมื่อทุกอย่างมาบรรจบที่กางเกงในตัวเก่งของผม

ภาพร่างขาวซึ่งยืนเปลือยเปล่าใต้ฝักบัวในห้องอาบน้ำก็ผุดพรายขึ้นมาในสมอง เจ้าของเนื้อตัวเปียกปอนคลำไปตามชั้นวางแชมพูอย่างเก้ๆกังๆ ไม่คุ้นชินกับการจัดวาง ผมจำได้ว่ามีโอกาสได้สัมผัสกอดร่างไร้อาภรณ์ของคนตรงหน้านี้ด้วย เสียดายจริงๆ เสียดายเหลือเกินที่จำไม่ได้เต็มร้อย อยากจะกอดอีก...อยากแนบชิดสูดกลิ่นไอประจำตัวของอีกฝ่ายเพื่อรื้อฟื้นมันให้ได้อีกครั้ง...หลังจากนั้นผมก็นึกได้ว่า...

...ผมมีอารมณ์กับอิม นับตั้งแต่วันแรกที่เห็นขาขาวๆของเจ้าตัวแล้วเสียด้วยซ้ำ...

ด้วยอารมณ์ที่พาลพาไปการจะดึงสติกลับมาใหม่จึงเต็มไปด้วยความยากลำบาก ทันทีเมื่อรู้ว่าสบตากับร่างบางผ่านกระจก ผมจึงฝืนกลับลำ ครางชื่อคนที่คิดว่าแอบชอบซ้ำๆขึ้นมา อายเกินกว่าจะให้เขารับรู้



ผมเพิ่งรู้ว่าคนโหดๆอย่างอิมก็มีช่วงเวลาที่น่ารักแบบหลุดๆได้เหมือนกัน ตอนแรกที่จับสังเกตเรื่องนั้นได้เป็นตอนโฆษณาภาพยนตร์เรื่องหนึ่งฉายขึ้นหน้าจอทีวี ผมชวนเขาไปดู วันนั้นผมเลยรับรู้ว่าอิมจะนอนไม่หลับหากได้ดูหนังผีหรืออะไรแบบที่มิติลี้ลับ เจ้าตัวจะนอนคลุมโปง งอนิ้วเท้าจิกผ้าห่มหวาดหวั่นเหมือนกลัวว่าจะมีตัวอะไรมุดเข้ามา

กลายเป็นว่า ผมกลับต้องมาพิสูจน์เรื่องนี้อีกครั้งในตอนที่ดูหนังจาก NETFLIX ในคืนหนึ่งที่อิมอยู่ดึกจนต้องค้าง



‘อย่าปิดไฟได้มั้ย’ ผมแปลกใจที่เจ้าตัวโพล่งออกมาอย่างนั้น

‘อิมยังไม่นอนเหรอ’

‘อื้อ คุณนอนไปก่อนเถอะ’ ยังไม่นอนแต่หาวหวอดๆใส่หน้าผมเป็นครั้งที่ร้อยแล้วมั้ง

‘มีการบ้านเหรอ แล้วทำไมไม่ทำ มัวแต่นั่งพับเสื้อผ้า ล้างจานอยู่ได้’

‘ก็คุณเปิด...’ เหมือนจะโวยวายแต่สุดท้ายกลับหุบปากเงียบแล้วกล่าวปัดด้วยคำพูดที่ว่า ‘ช่างเถอะ’ เจ้าตัวเบนสายตาไปทางอื่นทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ มือยังคงนิ่งเกินกว่าจะบอกได้ว่ามีการบ้านเร่งร้อนที่ต้องทำให้เสร็จภายในคืนนี้

‘หรือว่า อิมกลัวผี’

‘เปล่าซะหน่อย!’ เต้นขึ้นมาเชียว ผมแอบยกยิ้มลุกจากเตียงเดินเข้าไปหา เจ้าตัวทำหน้าฉงนยามมีเงามาบังสายตา เงยศีรษะขึ้นท้วงอย่างไม่พอใจ ‘อะไร?’

‘ไปนอนกันเถอะ’ ใช้แขนดึงเขาขึ้นมาทั้งตัว ร่างที่ยืนเต็มความสูงแนบกับอกผมดูตื่นๆ ...น่ารักฉิบหาย... ผมเผลอยิ้มอีกแล้ว ‘ไม่ต้องกลัวหรอก ผมไม่ปิดไฟ จะอยู่ข้างๆอิมทั้งคืนเลย’

ยอมแบบไม่ต้องคิด อิมยอมให้ผมกอดแล้วนอนหลับตาปี๋ไปตลอดคืน...



ผมเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลระหว่างอิมกับพี่เบส ตอนที่พี่ดาวกับข้าวฟ่างมักแซวเจ้าคนตัวสูงผิวขาวข้างๆกับเพื่อนสนิทเจ้าตัวให้ผมได้ยิน และอาจจะเป็นเพราะสายตาของอิมที่ใช้มองไปยังคนๆนั้น มันนึกคุ้นคล้ายกับเคยเจอที่ไหนสักแห่ง...

ใช่แล้ว...ผมจำได้แล้ว สายตามันคล้ายกับตอนที่ผมกล่าวหาเจ้าตัวว่านอกใจ รอยยิ้มในภาพใบนั้น

ความไม่พอใจบางส่วนก่อตัวขึ้นมาอย่างเงียบๆ ทำไมต้องอยากรู้เรื่องเพื่อนสนิทขนาดนั้น ขนาดผมกับไอ้นัทยังไม่ถึงขั้นนี้เลย

ผมไม่อยากให้อิมรับรู้แม้กระทั่งเรื่องที่เขาเข้าใจผิดกันว่าพี่เบสเป็นแฟนกับพี่ใยไหม มันเป็นอะไรที่เห็นแก่ตัวสุดๆ

ผมลากอิมออกมาที่ร้านคอฟฟี่ช้อป พยายามกุมมือประสานนิ้วประกาศตัวให้ทุกคนรับรู้ว่าคนนี้ของผม แต่คนที่ขับไล่ไสส่งกลับดูเหมือนจะเป็นเจ้าตัวเสียเอง

‘มันอาจจะเป็นโอกาสของคุณก็ได้นะ’

‘โอกาส?’

ผมจะได้โอกาสอะไร เจ้าตัวไม่บอกแถมยังไล่ผมไปนั่งฝั่งตรงข้ามราวกับรำคาญที่ถูกเนื้อต้องตัว ผมเลยจัดไปยกหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ น่าแปลกใจตรงที่ว่ากางเกงใน CK ตัวที่ผมไม่เคยใส่และให้เจ้าตัวยืมไปนั้น มันกลับมาโผล่ในตัวอิมครั้งนี้ แค่เห็นขอบแนบไปกับเอวสอบยามเผลอยกมือสูง ใจผมก็เต้นไม่เป็นส่ำ กระดูกเชิงกรานในร่างอันเรียบเนียนนั้นเห็นแล้ว อยากกัด อยากสร้างรอย แสดงความเป็นเจ้าของ...

‘ของผมนี่’

‘นี่ก็...ของผม’

อิมคือ...คนของผม...

‘ผมชอบ...’ ช่วงจังหวะหนึ่งที่ผมเห็นภาพพี่ใยไหมกับพี่เบสหลุดมาในหัว...กลัวจนไม่กล้าบอกความจริง...



จนในที่สุดวันนี้ก็มาถึง...



“เราเลิกกันเถอะ”



ประโยคเดียวสั้นๆที่ผมเคยหวังให้เขาพูดตลอดมานับจากวันแรกที่เจอกัน...แต่พอมาวันนี้...

“อิม...ผม...” ไม่อยากเลิก...

“เกรท!!” เสียงพี่ใยไหมดังแว่วมาแต่ไกล เธอตามผมมาในภาวะร้อนรน ผมทิ้งละครเวที ทิ้งสิ่งซึ่งเป็นที่เชิดหน้าชูตาของคณะ หลังผละจากการบังคับให้มีสัมผัสแปลกๆซึ่งมันไม่ควรจะเกิดขึ้นในฉาก คนของผมคงเห็นมันเต็มสองตาและต้องไม่พอใจกับเรื่องนี้เป็นแน่ แม้แต่ตัวผมก็เถอะ...หากมีใครมาจูบอิม...แค่คิดผมก็รับไม่ได้แล้ว

“เกรท...ผมให้โอกาสคุณ” ร่างตรงหน้าเหมือนเงียบไปสักพัก ก่อนเกริ่นบางอย่างออกมา

“โอกาส? โอกาสอะไร?” ในหัวตีความอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง มันสับสนปนเปกันไปหมด ผมเริ่มเกิดอาการเจ็บจี๊ดที่ศีรษะด้านหลังอย่างบอกสาเหตุไม่ได้

“โอกาสที่คุณจะกลับมาโสดอีกครั้งไง”

“อิมพูดบ้าอะไรเนี่ย”

...ผมไม่อยากโสด...

“ถ้าผมบ้า คุณก็โคตรสติไม่ดีเลยล่ะ ที่ยังทนคบกับผมมาได้ถึงตอนนี้”

...กับคนน่ารักขนาดนี้ บอกว่าผมสติไม่ดีมาคบเนี่ยนะ...อิมบ้ารึเปล่า...

“อย่าบอกนะว่าเรื่องบนเวทีเมื่อกี้”

“ไม่ใช่” ร่างโปร่งส่ายหัว

“...แล้วทำไม”

“ผมเบื่อแล้วล่ะ”

“...”

“...”

“อิม...เบื่ออะไร” เจ็บ...กระบอกตาอยู่ดีดีก็ร้อนผ่าวราวกับน้ำตาจะไหล

ผมให้คำตอบตัวเองไม่ได้ ตอนแรกผมไม่ได้ชอบ ไม่ได้คิดอะไรกับคนตรงหน้าเลยสักนิด แต่ตอนนี้...ผม...

รักเขาไปแล้ว...

หรือว่าเขารู้...

“เกรท...”

หรือว่าเขาจะรู้...เรื่องพี่เบสกับพี่ใยไหม...



“เรากลับไปเป็นเหมือนเดิม เหมือนตอนที่ยังไม่รู้จักกันเถอะนะ”



...การปฏิเสธแบบไร้เยื่อใยมันเป็นแบบนี้สินะ...

...แม้แต่สถานะของคนรู้จัก เขาก็ยัง...ไม่ให้ผมเลย...




มีต่อด้านล่างจ้า
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบหก(ครั้งที่สอง)...ถึงเวลาย้อนกลับ P.3 [3-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 03-10-2019 20:28:43
“อิมๆ นั่นน้องเกรทไม่ใช่เหรอ”


ข้าวฟ่างทักขึ้นมาในวันแรกหลังจากที่ผมบอกเลิกเกรทกลางที่สาธารณะ ร่างสูงซึ่งดูโดดเด่นในสายตาคนกำลังยืนกำมือถือ ชะโงกหน้ามองไปมารอบๆราวกับรอใครสักคน ผมรีบหลบหลังประตูทันทีตามสัญชาตญาณ ไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายมาหา แต่ยังไม่อยากจะเห็นหน้าตอนนี้ เพราะมันเป็นตอนที่ผมยังเคลียร์ความรู้สึกตนเองไม่ได้


อาการปวดหนึบหน่วงหนักที่อกข้างซ้าย หลังจากพยายามวิ่งหนีกายสูงในชุดสูทซึ่งเดินลงจากเวทีอย่างกะทันหันในวันนั้น ผมได้คำตอบมันหลังจากที่ปฏิเสธคนตรงหน้าไป มันเป็นความรู้สึกหวง ไม่อยากให้ใครแตะต้องเขา ความรู้สึกอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ และความรู้สึกทรมานไม่อยากแยกจากหลังบอกคำเลิกรา

แต่ใจนึงก็รู้ดีว่าผมไม่อาจเห็นแก่ตัว ความสัมพันธ์ของพวกเราเริ่มต้นแบบบิดเบี้ยว อีกคนหนึ่งตื่นเต้นจนสารภาพผิดไม่ดูตาม้าตาเรือ ส่วนอีกคนก็ตอบรับความรู้สึกนั้นไปโดยที่มีใครอีกคนอยู่ในใจ

บางทีถ้าตอนนั้นผมไม่รู้ว่า ‘พี่พาส’ เลิกกับใยไหม ผมอาจจะยังไม่อยากปล่อยมือจากเกรทก็เป็นได้...

‘คนของนายกำลังล้ำเส้น’ เสียงของพี่ปีสี่ผู้ครองตำแหน่งพระเอกละครเวทีทุกชั้นปียังดังก้องอยู่ในหัว และมันเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉุกใจคิดได้ว่าเกรทไม่ใช่คนของผม และหากใยไหมไม่ใช่คนของเขาแล้ว อะไรๆคงง่ายขึ้น

การตัดสินใจบอกคำลาเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย หลังจากได้เห็นฉากสุดท้ายของละครเวทีนั้น

...ใยไหมก็ชอบเกรท...

ผมควรจะดีใจที่คนๆนึงซึ่งผมคิดว่าดีเกินกว่าที่จะได้รับการตอบแทนคำสารภาพรักเป็น ‘ผม’ จะได้สมหวังในความรักกับคนที่ตนเองชอบจริงๆเสียที

ทั้งที่ไม่ควรจะลากเรื่องราวให้ยาวนานมาถึงขั้นนี้เลยแท้ๆ...ผมควรจะตัดจบตั้งแต่ตอนแรกที่รู้ความจริงจากสายตาคมคู่นั้น...

ได้แต่นึกโทษตัวเองในใจเบาๆ แต่ไม่เคยนึกเสียใจที่ได้รู้จักกับเกรท...ได้รู้จักคนดีๆอย่างเขา...ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง...และขอโทษนะที่ทำร้ายคุณ...



“วันนี้ก็หลบอีกแล้วเหรอนี่มันจะปาไปครึ่งเดือนแล้วนะ”

ครึ่งเดือนก็แค่สองอาทิตย์เอง ความทรงจำของเขายังไม่จืดจางไปจากสมองผมด้วยซ้ำ ทุกอย่างยังชัดเจนเกินกว่าจะเรียกได้ว่าผ่านมานาน

และน่าแปลกที่คนอย่างเกรทซึ่งมีแฟนแล้วกลับมายืนรอผม อยู่ที่เก่า ซ้ำเดิม ในทุกๆวัน

เกรทคุณควรจะเอาเวลาไปสนใจแฟนให้มากกว่านี้...

หรือผมควรจะเดินเข้าหา ไปตัดบัวให้ไม่เหลือใย เดินออกไปบอกว่าอย่าได้มาอีก แต่ทว่าระหว่างคิดกลับมีใครอีกคนเดินพุ่งตรงไปหาเขา แทนที่จะเป็นผม...

ใยไหม...

ร่างสูงยกยิ้มที่มุมปากเบาๆ ส่วนหญิงสาวยิ้มหวานราวกับความสุขเอ่อล้นในอก ถึงจุดนี้ผมได้แต่พูดกับตนเองเบาๆว่า

...อิมเอ๋ย...

...อย่าสำคัญตัวเองผิด...

ที่เขามายืนอยู่ตรงนั้นทุกวันไม่ใช่ว่าเขามาหาแก แต่เพราะใยไหมที่อยู่คณะเดียวกับแก เรียนอยู่ใกล้กันกับแกต่างหาก ที่เขามาหา

พอเถอะกับความรู้สึกที่ว่ายังมีความหวัง...

พอเถอะกับการคิดในใจว่าถ้าเขาทำครบสามสิบวัน ผมจะใช้ความกล้าเดินเข้าไปหาแล้วถามเขาว่าทำไปเพื่ออะไร...

นายต้องตัดใจนะอิมเมจ...

และหลังจากนั้นถึงแม้เกรทจะทำตามที่ผมคาดการณ์ไว้ แต่ผมก็ไม่คิดจะเดินเข้าไปหาเขาอีกเลย...

จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนถึงสอบปิดปลายภาค ผมพยายามปิดกระแสทุกอย่างที่เข้ามา ไม่ยอมรับรู้แม้กระทั่งว่าสองคนนั้นเขาคบกัน







“กี่เดือนแล้วเนี่ย”

“กี่เดือนแล้วน้า”

“ที่อิมของพวกเราโสด”

“จนต้องมานั่งเป็นหมาหงอยอยู่ตรงนี้เนี่ย”

“เดี๋ยวไอ้ดาว แกอย่าลืมสิ ว่านู่น ยังมีคนโสดนั่งอยู่ตรงนู้นอีกคน”

“ชะอุ๊ย ลืมไปเลย เฮียเบสของเรา”



เสียงหัวเราะร่วนดังมาจากเพื่อนสาวทั้งสองคน ผมน่ะไม่เท่าไรหรอก โดนหยอกตั้งแต่วันนั้นจนนิ่งชาไร้ความรู้สึกไปแล้ว แต่ปฏิกิริยาตอบรับของไอ้เบสเนี่ยสิ เงียบเสียจนน่ากลัว สุดท้ายทางนี้เลยเป็นฝ่ายทนไม่ได้ต้องลุกขึ้นปรามคนในกลุ่ม

“ข้าวฟ่างดาว แกก็เลิกแซวเรื่องนี้ซะทีเถอะ” หัดมองหน้าเพื่อนมันบ้างว่าอยู่อารมณ์ไหน

“อ้าว ไม่ให้แซวได้ไงอ่ะอิม ก็มันเรื่องจริงนี่หน่า”

“คนอะไรก็ไม่รู้ มีไอ้อิมเป็นไอดอลหรือไง เวลาไอ้อิมมีแฟนก็มีตาม พอไอ้อิมมันเลิกกับน้องเกรท นี่ก็เลิกกับแฟนตาม”

“แล้วมันหนักหัวอะไรพวกแกวะ” เหมือนเอาน้ำมันราดบนกองเพลิง ไอ้เบสบทจะนิ่งมันก็นิ่งทนฟังได้ตลอด ไม่สนใจแต่ไม่เก็บสีหน้า แต่ถ้ามันทนไม่ได้ขึ้นมา บทจะโวยวายก็ตวาดดังไปสามบ้านแปดบ้าน จนเพื่อนในกลุ่มมันสะดุ้งขวัญกระเจิงไปตามๆกัน

เพื่อนผมมันลุกขึ้นยืนเต็มความสูง กระชับเป้ตนเอง ก่อนคว้ากระเป๋าสะพายข้างผมพลางตะโกนให้เดินตามไป แบบไม่สนใจใครหน้าไหนอีก...

เฮ้อ...เอาอีกแล้ว...

ผมพยายามวิ่งตามหลังมัน รู้ทั้งรู้ว่ามันพยายามชะลอให้ผมได้เข้าใกล้ พอประชิดตัวได้ก็คว้าสายที่พาดบ่ามันไว้ก่อนดึงเข้าหาตัว แต่ไอ้เบสไม่ปล่อย แถมยุดยื้อกลับไปถืออย่างเก่า

“ทำอะไร”

“กูจะเอากระเป๋า”

“เอาไปทำอะไร”

“กูจะถือ”

“กูไม่ให้ถือ”

“อ้าวเฮ้ย...” ไอ้เหี้ยปฏิเสธอย่างนี้แล้วเดินต่อเฉยเนี่ยนะ ยื้อยุดได้สามประโยคพวกเราก็เดินมาถึงลานจอดรถ ไอ้เบสมันกดรีโมตเปิดประตูรถก่อนโยนกระเป๋าผมไปด้านหลังแบบส่งๆ ทิ้งตัวลงประจำตรงที่คนขับ ส่วนผมที่กำลังจะคว้าที่จับเปิดประตูกลับโดนไอ้เบสรู้ดักล็อกไว้เสียก่อน “เชี่ยเบส!”

เสียงหวี่ๆจากกระจกที่นั่งข้างคนขับไถลลง เพื่อนผมมันยื่นหน้าออกมาพลางตะโกนเสียงดัง

“มึงจะเปิดประตูหลังทำไม มานี่ มานั่งหน้า”

“กูไม่ได้จะเปิดประตูหลัง แต่กูกำลังจะเอากระเป๋ากู!!” เชี่ยมันปิดกระจกไปแล้ว

สุดท้ายก็ได้แต่จำใจ ยอมกระโดดลงข้างคนขับ

“มึงทำอย่างนี้เพื่ออะไรวะ”

“มึงต่างหาก หนักใจที่จะกลับกับกูหรือไง”

“กูไม่ได้...” เหลือบไปเห็นหน้ามันแล้วแม่ง ผมพูดไม่ออก เลยนั่งไถลตัวลงต่ำ ล้วงมือถือออกจากกระเป๋า กะให้เล่นเพลินๆเผื่อจะได้หลับไปแบบไม่ต้องคิดอะไรมากอีก

วันนี้ไอ้เบสก็ขับมารับไปส่งบ้านผมเหมือนเคย อะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปนับจากเดือนก่อนหน้า ตั้งแต่เรื่องราววุ่นวายต่างๆเกิดขึ้นในชีวิตผม ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างสงบและลงตัวกว่าเดิมเยอะ สงบจนบางครั้งก็รู้สึกเหงา อาจเป็นเพราะความเคยชินกับการมี ‘เขา’ เลยทำให้สีสันในชีวิตตอนนี้ดูจืดจางไป

รถพวกเราแล่นออกจากลานจอดมาถึงทางตัวตึกตรงโซนส่วนต่อของสองคณะ บริเวณนี้ผู้คนพลุกพล่าน หากนับรวมเวลาที่คณะต่างๆเลิกเรียนแล้วก็ถือเป็นเรื่องปกติ สี่ล้อจอดนิ่งรอให้คนข้ามทางม้าลายจำนวนหนึ่งเดินผ่านไป ผมเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งก้มหน้ามาเอี้ยวตัวออกด้านข้าง จดจ่อกับมือถือที่ไถเฟซบุ๊กไปยังหน้าของคนที่แอบชอบ

...เขายังสุขสบายดีอยู่ และดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีกับแฟน...

แต่สักพักต้องมีอันสะดุ้งหันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนขับทันที เพราะไอ้เบสมันเอากำปั้นทุบพวงมาลัยรถซะเสียงดัง

“เป็นบ้าอะไรของมึงวะ” สายตามันเหมือนจับจ้องกับอะไรบางอย่าง ผมรีบชักสายตาไปตามแต่ก็ไม่เห็นใครแล้วจึงรีบมองซ้ายมองขวา จนสะดุดกับแผ่นหลังของใครบางคนที่พึ่งจะเดินเยื้องย่างห่างออกไป มันคุ้นเสียจน...เหมือนนึกรู้

แต่ไม่ทันไรคันเร่งก็ถูกเหยียบเสียจม เครื่องยนต์ซึ่งโดนกระตุ้นกะทันหันส่งเสียงเครือดังหึ่มๆก่อนพุ่งตัวออกมา หลังผมแทบจมลงไปกับเบาะรถ

“ไอ้เบส มึงจะรีบไปตายที่ไหน” มันเงียบ ผมด่ามันอย่างนั้นแต่ใจนึงกลับคิดถึงแผ่นหลังของคนที่เดินผ่านไป จำได้ว่าไอ้เบสมันจอดตั้งนานแล้ว รู้สึกถึงวี่แววใครบางคนมาหยุดยืนที่หน้ารถจากหางตา แต่ใจกำลังจดจ่อกับมือถือเลยขี้เกียจยกมาเป็นประเด็น

ช่างเถอะ...ตอนนี้กลายเป็นคนดังของสังคมแล้ว...จะมีคนมายืนจ้องสักคนสองคนตอนเห็นหน้าก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร







“พี่เบสมาส่งอีกแล้วเหรอคะ”



เสียงแข็งๆราวกับไม่พอใจถามขึ้นโดยที่เท้ายังข้ามผ่านธรณีประตูไม่ถึงครึ่งก้าวด้วยซ้ำ ยัยมายด์ที่นั่งชันขาพิงหลังกับโซฟาดูทีวีมองตรงมาทางนี้ ราวกับภรรยาจับผิดสามีก็ไม่ปาน เสี้ยวหน้าคล้ายคลึงกับผมบิดปากเป็นรูปสระอิ บ่งบอกให้รู้ว่าเรื่องที่ออกจากปากคงหนีไม่พ้นจากเรื่องเดิมๆ

ใช่ว่าข่าวเรื่องที่ตะโกนบอกเลิกเกรทกลางลานเปิดใจมันดังแค่วงในเสียเมื่อไรล่ะ...

ตอนนั้นยัยมายด์โวยวายว่าเรือล่มคนตายไปเป็นแสน ยิ่งกว่าไททานิกชนภูเขาน้ำแข็งที่แอตแลนติก เพียงแต่อันนี้เป็นแค่อิมเมจบอกเลิกเกรทในวันเกิดอีกฝ่าย แถมอดีตดาราเด็กยังแต่งองค์ทรงเครื่องซะครบยศราวกับเจ้าชายที่ถูกสั่งปลดตำแหน่งกลางคัน

“เบสมาส่งแล้วมีปัญหาอะไรฮะ เราเนี่ยยังไง ทีตอนม.ห้านี่ติดไอ้เบสอย่างกับอะไร แต่มาคราวนี้กลับ”

“ก็น้องย้ายเรือมาฝั่งเกรทอิมแล้วนี่นา”

“เรือแตกแล้ว เดี๋ยวให้ยืมเสื้อชูชีพ”

“พี่อิมอย่ามาตลก!” ผมหัวเราะ หนึ่งในความสุขของผมตอนนี้คือการได้หยอกน้องตัวเองเนี่ยแหละ

“สุดท้ายเรือของพี่กับเกรทมันก็เป็นได้แค่เรือแจวแหละ พอโดนหนวดหมึกเดวี่ โจนส์สะกิดก็พลิกล่มแล้ว อย่าเกาะขอบเรือให้เหนื่อยเปล่าเลย” ใช่...มันเป็นเรือที่ไม่มีวันสมหวังมาตั้งแต่แรกต่างหาก

“โห พูดซะเห็นภาพเลย เดี๋ยวเรียกกัปตันเกรทสแปร์โรว์ให้ค่ะ” ยัยมายด์ทำท่าจะยกมือถือขึ้นจนผมต้องรีบปราม

“พอเลยยัยมายด์ อย่าหาเรื่อง พี่ยังไม่อยากมีแฟนเป็นจอห์นนี่ เดปป์นะ”

“แหนะ มายด์บอกรึยังว่าจะให้พี่อิมเป็นนางเอกน่ะ แหมร้อนตัวเชียวนะ”

“...!”

สะดุ้งเลย อยู่ๆก็รู้สึกรังเกียจตนเองขึ้นมาจับใจ เพราะเผลอก้าวล้ำเส้นขอบเขตที่ขีดไว้ มันเป็นสิ่งที่ผิด ผมไม่ควรคิดกับอีกฝ่ายที่มีแฟนอยู่แล้ว...

“พี่เป็น...นางเอกไม่ได้หรอก”

ผมพึมพำ เหมือนมายด์จะไม่ทันได้ยินเลยได้แต่เอียงคอสงสัย

“...พี่อิม”

“จะกินข้าวแล้วค่อยเรียกพี่นะ” ผละออกมา กลัวน้องรู้เพราะปิดอาการเศร้าไม่มิด

ทันทีที่ประตูห้องนอนปิดลง หน้าจอมือถือที่ยังคงสว่างปรากฏเป็นภาพยิ้มแย้มของคนคู่หนึ่ง

...ช่างเหมาะสมกันดี...













เคร้ง!!

เสียงเหมือนอะไรหนักๆบางอย่างกระทบกับกำแพงตะแกรงเหล็ก เรียกสติผมให้ตื่นจากภวังค์

คนทะเลาะกัน?

ทุกอย่างดังมาจากในสนาม เสียงห้ามปรามวุ่นวายปะปนมากับเสียงหมัดกระทบผิวเนื้อหลายระลอก ก่อนเกิดเสียงฝีเท้าที่วิ่งอย่างเร่งร้อนดังเข้ามาใกล้

ตายละ! มาทางนี้ทำไม ไปทางโน้นดิไป ไอ้อิมทำไมดวงเอ็งซวยอย่างนี้วะ!

“เชี่ยมันไปทางนั้นแล้ว!” ผมสะดุ้งเมื่อรู้ว่าเส้นทางที่อีกฝ่ายมุ่งมาเป็นทางที่ผมยืนอยู่ กะจะเบี่ยงตัวหลบแต่ก็กลัวตกคูข้างทางเลยได้แต่นิ่งจับสายกระเป๋ากลั้นหายใจอยู่ตรงนั้น ทำราวกับอีกฝ่ายเป็นผีจีนเผื่อมองไม่เห็น

“โธ่เว้ย!ตื๊อชะมัดยากเลย” เสียงสบถดังเข้ามาใกล้ ผมเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างเผลอตัว ผู้ชายสามคนวิ่งตะลีตะลานพุ่งตรงมาทางนี้ การปรากฏกายของหนึ่งในนั้นเป็นอะไรที่ทำให้ผมต้องเบิกตาโพลง ร่างทั้งร่างยืนนิ่งแข็งค้างอยู่ตรงนั้นหนักกว่าเก่า

หนีมาตั้งนาน แต่กลับมาเจอเอาวันนี้ วันที่ผมเดินผ่านมาคืนหนังสือห้องสมุดเนี่ยนะ...

หลบตาทันควันเผื่ออีกฝ่ายจะจับสังเกตไม่ได้ เสียงกระแทกเท้าเข้ามาใกล้จนใจหาย แต่สุดท้ายสองมือที่จับกระเป๋ากลับดันโดนบางอย่างคว้าฉุดไปตามแรงดึง

“เชี่ยเว้ย พวกมึงทางนี้” เสียงตะโกนบอกทาง มาพร้อมการโดนลากดึงถูลู่ถูกังให้วิ่งตุเลงตุเลงตามไป



“แฮ่กๆๆๆ”

พวกเราวิ่งมาหลบหลังตึกคณะนิเทศ เหนื่อยฉิบหาย ไม่เคยรู้สึกว่าได้ออกกำลังกายหนักอะไรขนาดนี้มาก่อนเลย เหนื่อยจนหัวใจแทบหลุดออกมา ผมกุมอกเผื่อบรรเทาอาการทรมานนี้ได้ ก่อนเบนสายตาไปมองร่างสูงที่มองจ้องผมอยู่นาน ความรู้สึกประหม่าจากคนที่ไม่ได้เจอหน้าถึงเดือนนึงบังเกิด

ขี้เกียจทวงถามความเป็นไปเพราะยังไงพวกเราก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรกันแล้ว เลยเอาแต่ก้มหน้าหลบพลางค่อยๆเดินเลี่ยงออกมาอย่างเงียบ แต่จู่ๆอีกฝ่ายก็เดินมาขวางจนเท้าสะดุดชะงัก ผมรีบเงยหน้าขึ้นเหมือนตั้งใจจะหาเรื่อง แต่พอเห็นสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคำพูดทุกอย่างกลับกลืนหายไปในลำคอ

“เกรท”

ทั้งมุมปาก โหนกแก้ม แต่ละจุดต่างมีรอยแดงช้ำ และบางตำแหน่งมีเลือดสดๆซึมออกมา ด้วยความเคยชินจึงขยับมือไปสัมผัสหน้าอีกฝ่าย “เกิดอะไรขึ้นทำไมหน้าเป็นแบบนี้”

“...” เจ้าตัวไม่ตอบได้แต่ยืนเงียบมองหน้าผม จนฉุกใจคิดได้ว่าเรื่องตรงหน้าเป็นสิ่งไม่สมควรทำจึงรีบชักมือออก

“ขะ...ขอโทษ”

“แหมๆ หวานได้ครับ เชิญตามสะดวกเลย” ลืมไปว่ามีเพื่อนอีกสองคนของเกรทยืนอยู่ น่าอายเกินจนอดที่จะหน้าเห่อร้อนไม่ได้ ผมไม่มีธุระอะไร ณ ที่ตรงนี้ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ พอคิดได้ดังนั้นจึงเริ่มก้าว ตั้งใจจะออกไปจากจุดนี้ แต่ข้อมือกลับถูกรั้งไว้ให้หันไปสบตากายสูง

“อิมพอจะมีเวลามั้ย”

“หา?”

“ช่วยทำแผลให้ผมหน่อย”

“คุณทำเองไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้ผมมองไม่เห็น”

“งั้นก็ให้เพื่อนคุณทำให้สิ”

“เพื่อนผมมันก็เจ็บเหมือนกันไม่มีปัญญาทำให้หรอก”

“งั้นก็ให้แฟน”

“ผมยังไม่มีแฟน”

“...”

“ผมโดนหักอกจากแฟนคนเก่า ทั้งที่ผมยังไม่ทันได้บอกว่าจะเลิกเลยด้วยซ้ำ”



...TBC…


+++++++++++++++++++++++++



ตอนนี้เป็นการสารภาพความในใจและเหตุผลของการกระทำของเกรทค่ะ
น่าจะคลี่คลายปมไปเยอะพอสมควร...
แก้ทีเดียวเกือบหมด...เฉกเช่นเกรทตอนเล่นเกมถอดเสื้อผ้า
ขอบคุณทุกคอมเมนท์นะคะอาจจะลงช้าความถี่น้อยกว่าเดิม
แต่ไปทิ้งไปไหนแน่นอนค่า
ช่วยให้กำลังใจคนที่กำลังจะ 'รีเทิร์น' อย่างเกรทกันหน่อยน้า
สุดท้ายคือ ขอบคุณทุกคนที่ตามจริงๆ ขอบคุณค่า :pig4:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบหก(ครั้งที่สอง)...ถึงเวลาย้อนกลับ P.3 [3-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-10-2019 21:28:46
ทั้งๆที่เกรทก็รู้ว่าสารภาพรักผิดคน​ แล้วไม่เอะใจอะไรเลยหรือไงว่าคนอื่นเขาจะไม่รู้ว่าแอบรักใครอยู่
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบหก(ครั้งที่สอง)...ถึงเวลาย้อนกลับ P.3 [3-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 03-10-2019 22:28:13
อีน้องเกรททททท ขอให้ง้อให้ได้ก็แล้วกัน :katai1:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบหก(ครั้งที่สอง)...ถึงเวลาย้อนกลับ P.3 [3-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 03-10-2019 23:33:50
ผู้ชายแบบเกรทคือแย่นะ
ไม่เคยคิดว่าตัวเองทำผิดเลย
และไม่ชัดเจน แบบนี้ใครคบด้วยก็เจ็บ
ทุกครั้งที่เจอใยไหมอาการออกขนาดนี้
ยังหวังให้อิมเข้าใจอีกเหรอ

และเราไม่ชอบเพื่อนผู้หญิงของอิม
คือนางชอบขยี้ หรือพูดเล่นโดยไม่ใส่ใจ
ความรู้สึกเพื่อน เหมือนคบกันแบบนั่นแหละ แต่ไม่มีทางกลายเป็นเพื่อนสนิทได้

เป็นการคลายปมแบบที่เรางงๆ อ่ะ
เหตุการณ์ดูขัดๆ กันไม่สัมพันธ์กันยังไงไม่รู้
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบหก(ครั้งที่สอง)...ถึงเวลาย้อนกลับ P.3 [3-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 03-10-2019 23:40:02
ปมถูกแก้หมดแล้ว. เอาล่ะสิ จะคุยไรทีนี้,,,
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบหก(ครั้งที่สอง)...ถึงเวลาย้อนกลับ P.3 [3-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 04-10-2019 03:12:38
ขอให้ง้อสำเร็จนะหนูเกรท
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบหก(ครั้งที่สอง)...ถึงเวลาย้อนกลับ P.3 [3-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-10-2019 07:59:27
 :z1:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบห้า(ครั้งที่สอง)...ประคับประคองความสัมพันธ์ P.3 [5-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 05-10-2019 19:38:34
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบห้า(ครั้งที่สอง)...ประคับประคองความสัมพันธ์



เดินผ่านสนามกีฬาทุกครั้งมันทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น...วันที่ผมเอาหนังสือที่ยืมจากห้องสมุดไปคืน...



ผมเจอนัทกับไลค์แล้วแสร้งทำเป็นพยายามจับกิ๊กของเกรท ปั่นหัวให้เพื่อนสองคนของคนตัวสูงมึนงงก่อนผละออกมา จนกระทั่งขากลับจากหอสมุดคนที่กำลังเตะบอลกลุ่มนั้นก็ยังอยู่ ในเมื่อรู้ตัวไปแล้ว เลยอดไม่ได้ที่จะมองตามไปยังฝ่ายซึ่งตกเป็นประเด็นข้อสงสัยทุกหมู่มวลท่ามกลางกลุ่มเพื่อนฝูง แต่ทว่าสายตากลับสะดุดกับคนที่อยู่ข้างเคียงนั้นแทน เราทั้งคู่ต่างหยุดชะงัก

นี่มัน...

ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว...

แค่มีสื่อทางผ่านอย่างยัยดาว ไม่งั้นทั้งชาตินี้ผมคงยังไม่รู้ว่าคนที่พุ่งสายตามาจะมีนามว่า ‘สิง’ รุ่นพี่ปีสี่คณะนิเทศศาสตร์อดีตแฟนเพื่อนสาวผมเป็นแน่

‘หายหงุดหงิดยังวะไอ้พาส แม่งเตะไม่บันยะบันยัง พรุ่งนี้กูขาหักพิการไปจะว่าไง’ หนึ่งคนถือถุงมือผู้รักษาประตูกล่าวบ่น

‘ให้มันระบายอารมณ์บ้างเถอะ เพิ่งเลิกกับแฟนแถมยังมาเจอพวกเพื่อนไอ้เด็กหล่อนั่นมากระตุ้นประสาทมันอีก เป็นกู กูก็เตะยับวะ’

‘ยับที่มือกูเนี่ยดิ!!’ เสียงหัวเราะขบขันหลังคนที่คาดว่าทำหน้าที่เป็นผู้รักษาประตูกำลังประท้วง หากไม่บันเทิงเพียงพอจะทำให้เจ้าของประเด็นอารมณ์ดีตามไปด้วย อีกฝ่ายยังคงทำหน้านิ่งโดยมีแววคุกรุ่นกลายๆ เหลือบมองทางเพื่อนฝูงราวกับหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจ จนกระทั่งหันไปเห็นสายตาของเพื่อนตัวสูงอีกคน ที่เงียบไม่พูดไม่จามองตรงมาอีกฟากให้ได้ฉุกใจคิดสงสัย

‘เป็นไรวะไอ้สิง’ แววตาดุดันจับจ้องไปทางเพื่อนก่อนหันตรงมาทางนี้อย่างฉับพลัน...

ผมสะดุ้งสุดตัว จู่ๆลมหายใจก็ติดขัด ถ่ายเทไม่ทั่วปอด จากจุดนี้ควรทำเป็นคนสายตาไม่ดีแล้วปล่อยผ่าน หรือเดินหันหลังเอาตัวออกห่างไปให้พ้นทางดี คนที่สาบานว่าทั้งชาติคงไม่มีทางได้รู้จักกลับกระตุกหางคิ้ว เอ่ยปากเบาให้ผมได้ยินเพียงแค่สองพยางค์

‘นั่นมัน’

‘...!’

‘เฮ้ย ไอ้พาส!’

การเผชิญหน้ากันระหว่างคนที่ซึ่งไม่เคยมีความเกี่ยวข้องใดใดกันเลยเป็นอะไรที่โคตรน่ากระอักกระอ่วน ผมเงยมองรุ่นพี่ตัวสูงซึ่งเดินเข้ามาประชิดติดขอบเวที ค้ำหัวผมไปอย่างใจดีสู้เสือ

‘นาย...’

‘...’

‘แฟนไอ้เด็กนั่นใช่มั้ย’ สรรพนามเรียกคนไม่บ่งถึงว่าเป็นใคร การจะให้ตอบรับอีกฝ่ายว่าใช่คงเป็นการด่วนสรุปไปสำหรับผม เลยได้แต่ยืนนิ่งจ้องตอบราวกับตอไม้ อีกฝ่ายขมวดคิ้วมุ่นดูไม่สบอารมณ์มากขึ้น หากยังคงประวิงความหน่วงหนักของมวลกระแสความตึงเครียดไว้อยู่

‘...’

‘ทีหลังก็หัดเตือนคนของตัวเองซะบ้าง’

‘เฮ้ยพอเถอะไอ้พาส’ คนชื่อสิงจับไหล่เพื่อนแต่โดนสะบัดใส่อย่างไม่ยอมฟัง ความรู้สึกกลัวว่าเรื่องราวจะลุกลามใหญ่โตก่อเชื้อจางๆขึ้นในสมอง ผมกระชับกระเป๋าสะพายถอยครึ่งก้าวอย่างรอบคอบไม่กระโตกกระตาก ยืนรอฟังคำต่อไปของคนเบื้องหน้าอย่างใจเย็น

‘คนของนาย กำลังล้ำเส้น’

‘คนของผม?’

‘ใช่ คนของนาย อย่าบอกว่าไม่ใช่ เรื่องที่มันไปสารภาพกลางลานเปิดใจใครๆก็รู้’

เรื่องวันนั้นดังอย่างที่ยัยมายด์บอกจริง ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมเกรทถึงได้กลัวเสียหน้าหนักหนา หากจะมีใครล่วงรู้ว่าเจ้าตัวสารภาพรักผิด...แต่น่าแปลก ที่เจ้าตัวยอมถูกตราหน้าว่าชอบผู้ชาย ดีกว่าให้ใครมาหาว่าสายตาเพี้ยน ถึงขั้นมองคนสูงร้อยแปดสิบเอ็ดไร้หน้าอกอย่างผม เป็นผู้หญิงมีนมผมสีน้ำตาลคาราเมลอย่างใยไหมได้

‘หึ...’

‘หัวเราะอะไร’ เสียงกลั้วคอนี้อาจไปสะกิดบันดาลโทสะอีกฝ่าย ผมรู้ดี แต่มันก็อดที่จะ...

‘เปล่าหรอกครับ’

‘เปล่าแล้วหัวเราะทำไม’ ผมนิ่งคิดสักพัก ก่อนเงยขึ้นสบดวงตาที่คุกรุ่นไปด้วยอารมณ์

‘เมื่อกี้ เพื่อนพี่บอกว่าพี่เลิกกับใยไหมแล้ว’

‘เชี่ยนี่!’

‘เฮ้ย! ใจเย็นก่อนดิพาส’ พี่สิงพุ่งเข้ามาดึงไหล่คนชื่อพาสเอาไว้ มองหน้าผมเป็นเชิงปรามให้อย่ายั่วโทสะอีกฝ่าย แต่ผมไม่ได้ตั้งใจสื่อความอย่างนั้น

‘ถ้าคนสองคนต่างฝ่ายต่างไม่มีพันธะ จะรักกัน มันก็ไม่ผิดใช่มั้ยครับ’

‘แต่มันยังเป็นคนของมึง!’ ผมจบท้ายคำลาด้วยรอยยิ้ม เดินออกด้วยท่วงท่านิ่งๆ ไม่ท้วงติงต่อสิ่งใดอีก สองเท้าก้าวยาวไร้การหยุดพัก เร่งร้อนผ่านรายทางเดิมๆที่ดูเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด ต้องโทษทีไม่เคยท้าตีท้าต่อยใครมาแต่เด็ก ยามมนุษย์ต้องเจอกับสิ่งที่ขลาดกลัวเลยพยายามหนี นำพาร่างตนเองมาถึงใต้ถุนคณะ เมื่อถึงที่หมายทุกอย่างซึ่งเก็บกักเอาไว้เลยล้นทะลักออกมาในคราเดียว มือสั่นๆตรงหน้าช่างน่าสมเพชเสียเหลือเกิน

‘ใจเย็นดิวะอิม’ ผมกำมือตัวเองให้หยุดสั่น ยอมรับว่าเมื่อครู่ขลาดเขลา กลัวเสียจนไม่อยากอยู่ตรงนั้น ‘เกรท ไม่ผิด’ เรื่องที่ต้องเผชิญผมไม่นึกโทษเกรทเลย เพราะหากตนเองไม่ยื้อมันมานานขนาดนี้ เรื่องราวมันคงไม่เลยเถิดจนยากจะกลับ ถ้าจะผิดมันก็คงผิดที่ผม

...ที่ยังคงทู่ซี้ไม่ยอมหยุดความสัมพันธ์ตรงนี้ให้จบไปเสียที...









“อิม”

“...”

“อิม”



เหมือนตกอยู่ในภวังค์ย้อนความทรงจำชั่วครู่ เสียงทุ้มต่ำเรียกสติให้คืนกลับ สายตากวาดมองไปรอบๆ ผมยังอยู่ตรงตึกคณะนิเทศโดยมีเกรทกับผองเพื่อนยืนอยู่ ใบหน้าฟกช้ำ รอยแตกมุมปาก ดึงเรื่องราวมากมายในวันวานยามเกรทเมาให้ปรากฏในสมอง รวมถึงการพบเจอผู้ชายซึ่งปรากฏกายพร้อมใยไหมในร้านกะเพรา ณ วันเดทแรกของผมอีกครั้งที่สนามแห่งนั้น

และนี่เป็นอีกเหตุผลนึงว่าทำไมยัยดาวถึงพยายามบอกว่าสิ่งที่พี่สิงของเธอรู้มันไม่ใช่สิ่งที่ผมคิด

เบสไม่ใช่แฟนใยไหม แต่เป็นแฟนพี่พาสรุ่นพี่นิเทศศาสตร์ปีสี่เอกสื่อสารการแสดงคนนั้น รุ่นพี่ตัวสูงหน้าตาดีที่ครองตำแหน่งพระเอกละครเวทีมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีสี่...

แล้วทำไมเขาคนนั้นยังถึงตามมารังควานร่างสูงได้...ผมแอบเหลือบมองแผลคนตรงหน้าอีกครั้ง...

หรือว่าที่เกรทพูดเมื่อกี้ บอกว่าอกหักจากแฟนทั้งที่ยังไม่บอกเลิกจะหมายความว่า...



“นี่คุณ...”

“ครับ?” อดีตแฟนตอบรับก่อนนิ่งเงียบจดจ้อง ราวกับลุ้นในสิ่งที่ผมกำลังจะพูดออกมา

“ถูกใยไหมหักอกแล้วเหรอ”



สภาวะเดดแอร์เข้าจับบรรยากาศฉับพลัน เพื่อนสองคนของเกรทอ้าปากค้างมองหน้าผมอย่างตื่นตะลึง

“เชี่ยเกรท กูเห็นใจมึงวะ” เพื่อนนัทตบบ่าเหมือนต้องการปลอบร่างสูงด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง

“กูขอถอนคำพูดว่าพี่อิมฉลาดว่ะ” อ้าวเฮ้ย ประโยคนี้ไม่ต้องตีความก็รู้ว่าเพื่อนเกรทอย่างไอ้ไลค์มันด่าผม

“นี่พวกคุณหมายความว่ายังไง” ผมขมวดคิ้ว แต่มือใหญ่ของเกรทกลับแบทิ่มเข้าหน้าผมซะก่อน เจ้าตัวทำหน้าเครียดผิดปกติ กระตุกมือเร่งเร้าให้ตอบสนองบางอย่าง หรือว่าต้องการขอมือ...เฮ้ย ผมไม่ใช่หมานะอยู่ดีดีมาของมือได้ไงวะ เดาไปก็เสียเวลาเปล่าเลยตัดสินใจเอ่ยปากถาม “อะไร?”

“มือถือ”

“ฮะ?”

“เอามือถือมาให้ผม”

“เอาไปเพื่อ”

“ขอผมดูหน่อย”

“จะเอาไปดูเพื่อ” ร้อนตัว

...แน่ล่ะ ขืนส่งให้ตอนนี้รู้กันพอดีว่าเปิดค้างไว้หน้าไหน ไม่มีทางให้แน่ๆ...

ผมไม่ขยับ ไม่ทำตามคำสั่ง ยืนนิ่งสยบทุกสิ่งอัน จนฝ่ายนั้นไม่พอใจตัดรำคาญด้วยการก้าวเท้ายาวๆเข้าหายืดแขนมาจะคว้าของในกระเป๋ากางเกง

“เฮ้ยจะทำอะไรวะ เกรท” ชักขาหลบพร้อมกุมต้นขาแน่น

“โอเค ไม่ให้ใช่มั้ย” จบคำร่างสูงสาวเท้าพรวดพราดหมุนคว้างมาซ้อนหลัง เพราะไม่ทันระวังแขนยาวจึงโอบรอบคอดึงตัวสวมกอดอย่างแนบชิด ผมรีบตะลีตะลานล้วงของกลางออกจากกระเป๋า เพราะกลัวเกรทมาเอามันได้เสียก่อน สุดท้ายจึงโดนฝ่ามือใหญ่ตะปบออกแรงยึดเจ้าวัตถุสี่เหลี่ยมให้ถือค้างไว้เสมอหน้า เพราะตั้งค่าให้มันตรวจจับดวงตาทุกอย่างเลยถูกปลดล็อกอย่างอัตโนมัติ

เชี่ยๆๆๆๆ เซ็นเซอร์แม่งดีเกินไปแล้ว!

ในขณะที่คิดว่าตัวเองกำลังจะตายด้วยสกิลเสือกโซเชียล ของในมือกลับสั่นครืดคราดพร้อมข้อความบางอย่างเด้งเข้ามา รู้สึกได้ว่าแรงมือของเกรทแข็งค้างในบัดดล



อิมมึงอยู่ไหนวะ

คืนหนังสือเสร็จก็รีบกลับมาดิ

กูรออยู่...




ไอ้เชี่ยเบส...ส่งมาทำไมตอนนี้!! แล้วไหนที่กูบอกให้กลับก่อน มึงจะเสือกอยู่รอทำเพื่อ!! ทำไมชอบทำตัวให้กูลำบากใจ มาตั้งแต่วันนั้นแล้ววะ ตั้งแต่วันที่ผมบอกเลิกกับ...

“ช่วงนี้กลับกับพี่เบสทุกวันเลยนะครับ”

“...!” ผมหมุนหัวไปมองคนทัก ซึ่งพูดเหมือนรับรู้เรื่องทุกอย่างราวกับคอยเฝ้ามองดูอยู่ตลอด

...จู่ๆก็รู้สึกเชื่อมโยงกับแผ่นหลังกว้างนั้น...แผ่นหลังของคนแปลกหน้าที่กลางทางม้าลาย...

 “เกรท คุณปล่อยเถอะ” พยายามหาทางหนี คำนี้กลับเหมือนไปกระตุ้นอารมณ์บางอย่าง เกรทออกอาการจะยื้อแย่งมือถืออีกครั้ง จนต้องสะบัดแขนหนีการกระทำดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมาบนแผ่นอกกว้าง ยักแย่ยักยันแย่งอุปกรณ์สี่อสารกันอย่างทุลักทุเล นิ้วสองคนซึ่งยื้อยุดแตะโดนหน้าจอจนมั่วซั่วไปหมด ไม่นานเสียงบางอย่างซึ่งแจ่มชัดดังขึ้นขัด เทียบได้กับระฆังช่วยชีวิตในเวทีมวยราชดำเนิน

ตึ่งดึงดึ๊ง~

หากเสียงคราวนี้กลับไม่ใช่แจ้งเตือนมาจากมือถือผม มันมาจากคนที่ยืนซ้อนตัวอยู่ด้านหลัง

เกรทปล่อยมือทันควัน แต่ยังรั้นไม่คลายวงแขน ขยับหยิบมือถือในกระเป๋าของเจ้าตัวยกขึ้นสูงในระดับสายตาจนพอเห็นหน้าจอหลัก เท่านั้นแหละนี่แทบสะดุ้งเลย...

เชี่ยเอ้ย ทำไมพื้นหลังมันเป็นภาพผมได้วะ...

นิ้วยาวไม่ปล่อยให้ผมงงนาน จิ้มเข้าส่วนแจ้งเตือน เป็นเฟซบุ๊กเจ้าตัวที่ร้องลั่น และผลจากการคลิกดูนั้น...

Tangjitpanitan Chamnanvittaya ถูกใจรูปภาพที่มีคุณอยู่ในแท็ก

!!!

ชะ...เชี่ย! ชื่อผม!!

“ทำไมคนนี้ชื่อคล้ายอิมจัง”

ระ...หรือว่า เมื่อกี้ที่ชุลมุนแย่งกันไปมา มือผมแม่งเสือกไปจิ้มปุ่มไลค์ตรงหน้าที่เปิดค้างไว้เข้าให้วะ!! เวรเอ้ย อิมทำไมเอ็งมันซวยซ้ำซวยซ้อนอย่างนี้ ก้มหน้านิ่งราวกับปลงตกก่อนตัดสินใจผงกหัวอย่างจำใจ

“ไม่ใช่คล้าย นั่นชื่อผม”

“...”

“ผิดเหรอที่ส่องเฟซบุ๊กแฟนเก่า”

“...”

“มีกฎหมายข้อไหนระบุไว้มั้ย ว่าห้ามไม่ให้ส่องเฟซบุ๊กชาวบ้าน ถ้ามีคุณก็ไปตามตำรวจมาจับผมได้เลย”

“ก็อยากจับเหมือนกันครับ แต่คนร้ายคนนี้มันเก่ง หลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ได้ตลอด แต่คราวนี้คงไม่รู้ตัวว่าก้าวขาพลาดมาก่อคดีที่มีอายุความตลอดชีวิตเข้าให้แล้วล่ะมั้ง”

“หมายความว่าไง”

“อีกหน่อยเดี๋ยวก็รู้ครับ ถ้ากดไลค์แล้ว อย่ามัวแต่กดรูปที่คนอื่นแท็กผมมา ช่วยกดรูปเดี่ยวให้เป็นหน้าเป็นตากับผมด้วย” ดีไม่บอกให้ผมสับตะไคร้แล้วกดกระดิ่ง

เกรทขยี้ซ้ำ คนมันมือลั่นทำไมไม่เข้าใจกันบ้างวะ ฉุกใจคิดได้จึงยกมือถือขึ้นมาเสมอหน้าประหนึ่งว่าประชด แล้วกดไล่แม่งตั้งแต่ท้ายยันหัวรัวไอ้รูปชูนิ้วโป้งด้านซ้ายเป็นปืนกล เสียงร้องเตือนระงมเป็นห่าใหญ่

“เฮ้ยเดี๋ยว อิม เดี๋ยว” เสียงทุ้มร้องห้ามอย่างลนลาน

“ก็อยากให้กดไลค์ไม่ใช่เหรอ”

“ไอ้ที่อยากน่ะใช่ แต่อย่ากดปุ่มค้างไว้แล้วเลื่อนไปขวาสุดได้มั้ยครับ”

หน้าหัวร้อนขึ้นยาวเป็นแถบเลย...ป่านนี้คงมีคนคิดว่าแอนตี้แฟนเกรทมันหลงเข้ามาในเฟซเจ้าตัว ผมแกล้งทำหูทวนลมไม่ฟัง ไถมือไล่กดจากรูปบนหน้าจอปัจจุบันไปยังบนสุด จนสะดุดกับรูปถ่ายบางอย่าง นิ้วถึงกับค้างอยู่ตรงนั้นไม่แม้แต่จะกล้าจิ้มไปยังปุ่มไลค์

ใต้ภาพเป็นท็อปคอมเมนต์ที่มีคนกดไลค์มากที่สุด



XXX XXXXX

กล่องอะไรของใครกันเนี่ย #คนอยากแซว

Kirakorn Jitmankong

ของคนสำคัญครับ




“เกรท...”

“ครับ”

“นี่อะไร”

“อะไรเหรอครับ” เสียงนิ่งจนรู้ว่าเจ้าตัวแกล้งทำไขสือ เป็นคนลงรูปเองแท้ๆแต่ไม่รู้เนี่ยนะ

“คุณเจอมันได้ยังไง” เสียงผมเริ่มสั่นอย่างห้ามไม่อยู่

“ตอนทำความสะอาดห้อง ผมเจอมันอยู่ใต้เตียง” หันขวับไปมองคนที่ยอมรับอย่างตื่นตะลึง

“ละ แล้วคุณ...แกะมันออกดูรึยัง”

“อิมหมายถึงอะไร?”

“ผมถามว่าคุณแกะออกดูรึยัง!” ใจมันอยู่ไม่สุขอีกต่อไป ผมหมุนตัวในอ้อมกอดคนด้านหลัง หันคว้าคอเสื้อเกรทกำไว้อย่างแรง

ไม่น่าเชื่อเลย ว่ากล่องกระดาษสีเทาในรูป กล่องเล็กซึ่งตัวตนในอดีตของผมเคยบรรจงผูกไว้ด้วยเชือกป่าน จับมัดมันเป็นโบอย่างสวยงาม จะไปตกในมือคนตรงหน้าเสียได้ ความตั้งใจจะให้ในวันเกิดแต่สุดท้ายก็เลิกรา จนลืมไปแล้วว่าเผลอทำสิ่งนี้ตกไว้อยู่ใต้เตียงห้องเจ้าตัว

“ถ้าผมบอกว่ายัง...” เหมือนยังเห็นความหวัง ผมรีบกระชากคอเสื้อเกรทเบาๆเบิกตาโพลง เปล่งเสียงกึ่งตะโกนกึ่งสั่งออกมา

“งั้นเอามาคืนผม!”

“ฮะ?”

“ถ้ายังก็เอามาคืนผม!”

“ทำไม...” เกรทถาม ไม่ทันเตรียมใจคิดหาข้ออ้าง แรงกำมือจางลงผมเสหลบตาคมพลางนึก

“ผะ...ผมทำตกไว้ คนเราจะทวงของตัวเองคืนไม่ได้เหรอ”

“ได้ครับ” อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าสิ่งใด ผมแหงนหน้าขึ้นไปมองเกรทอย่างดีใจ

“ถ้างั้นก็...”

“ถ้ามันเป็นของอิมจริงๆล่ะนะ”

“หมายความว่าไง”

“ตามที่พูดแหละครับ”

“ทำไมจะไม่ใช่ของผมก็ในเมื่อ...” ผมเงยขึ้นสบดวงตาคมกร้าว สายตาเกรทดูแปลก มันราวกับทำให้ผมนึกรู้ว่า...  “นะไหนว่า...ยังไม่แกะ” ผมเผลอคลายมือออกอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ปรากฏ เกรทนิ่งเงียบแต่ไม่หลบดวงตา เจ้าตัวเม้มปากได้รูปเบาๆก่อนเอ่ย

“ผมแค่กำลังจะถามว่า ถ้ายังไม่แกะ อิมจะนัดรอบแก้ตัวมาแฮปปี้เบิร์ดเดย์ผมใหม่รึเปล่า”

“...” ลูกตาใสในแววคมเข้มกำลังสั่น ขัดกับคำเอ่ยถามอันหนักแน่น

“นัดมั้ยครับ” แขนรอบแผ่นหลังกระตุ้นคำตอบด้วยการสัมผัสกอดกระชับ

“มะ...ไม่นัด”

“ทำไมถึงไม่นัด”

“ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว จะนัดแฮปปี้เบิร์ดเดย์กันทำไม” อยากตอกย้ำสถานะตนเอง แต่ไม่คิดว่าจะมีคนทำหน้าเหมือนกลืนถูกยาขม

“งั้นก็กลับมาเป็นใหม่”

“จะทำอย่างนั้นได้ยังไงเล่า” คราวนี้ผมไม่กล้ามองตาเขาแล้ว เลยทิ้งเสี้ยวหน้าด้านข้างไว้

“ได้สิ”

“คุณอย่าพูดอะไรมั่วๆนะ พออกหักจากใยไหมก็จะกลับมาเอาคนอย่างผมเลยเหรอ ผมไม่ได้ง่ายอย่างนั้นนะ!”

“...” เกรทดูอึ้งกับคำพูดนี้ ผมหลุดตะโกนออกไป แค่อารมณ์ชั่ววูบ ไม่ได้ตั้งใจทำร้ายคนอกหักแท้ๆ อยากตีปากตัวเองให้แตก

“พี่อิม ไอ้เกรทมันไม่ได้อกหักจากพี่ไหมนะ”

เพื่อนของร่างสูงโพล่งขึ้นมา “...” เกรทยืนนิ่งเหมือนสติหลุดไปนานแล้ว

“แล้ววันที่มันไม่มีร่ม ก็ใช่ว่ามันเสนอหน้าไปยื่นให้ใคร คนเขาจงใจตื้อขอมันเอง จะไม่ให้ก็ยังไงอยู่”

“ไอ้นัท มึงเลิกพูดเถอะ” เกรทพูดเหมือนปราม

“แต่เรื่องราววุ่นวายมันเริ่มตั้งแต่วันนั้น มึงก็ควรจะเคลียร์มันให้จบ” ร่างสูงไม่หือไม่อือเอาแต่จ้องหน้าผม ความน้อยใจระคนปะปนอยู่ในชั้นบรรยากาศ

“กูผิดเองตั้งแต่แรก ความจริงวันนั้นกูควรจะยอมหน้าแตก แล้วบอกความจริง แต่ถ้าบอกไป...กูก็คงจะไม่ได้เจอ...” ร่างสูงจดจ้องใบหน้าก่อนเม้มปากเบาเหมือนห้ามตนเอง หากยังไม่วายไปซ้ำโดนแผลช้ำที่มุมปากจนออกอาการสะดุ้งเจ็บให้เห็น ผมเผลอไผลลืมตัวอีกระลอก ยกมือขึ้นประคองดวงหน้าหล่อเหลาซึ่งไม่เหลือสภาพความสะอาดเกลี้ยงดุจเช่นเคยมี แผลขนาดนี้ต้องพาไปห้องพยาบาล

“อิม”

“เจ็บมั้ย”

“เจ็บสุดๆ”

“...”

“ตอนที่อิมทิ้งกันไป” ร่างสูงขยับตัวโอบแขนแกร่งเข้าเอวกระชับ โน้มหน้าเข้าหาสัมผัสริมฝีปากอย่างแผ่วเบา กลิ่นคาวเลือดจางๆถูกถ่ายทอดตรงมา ความนุ่มละมุนผะผ่าวแนบชิดถอนออกเพียงนิดก่อนสลับหนีบบนล่างของกลีบปากนิ่ม นี่มันไม่ใช่...ผมไม่ควรมาทำอะไรแบบนี้

“กะ...เกรท” ผมผลักอกเขาเบาๆ โหยหา คิดถึงสัมผัส แต่ความย้อนแย้งในจิตใจกลับมากกว่า จนกระทั่งคนร้องออกมากลับเป็นเสียงทุ้มนั่นเสียเอง

“อะ...โอ้ย”

“...”

“...”

ความเงียบเข้าปกคลุมในชั่วพริบตา ริมฝีปากของเกรทกระแทกเข้ากับฟันผม ได้แต่เบิกตาโตใส่ก่อนผลักอกแกร่งให้ตัวออกห่าง ยกหลังมือเช็ดริมฝีปากที่ชุ่มชื้นของตนถูไปมา อย่ามาทำท่าหมาหงอต่อหน้าผมได้มั้ย ใจแม่งอ่อนจนเหลวเป็นขี้แล้ว ไม่ทันไรผมตัดสินใจฉุดแขนเขาไว้แล้วลากเท้าให้เดินตามอย่างดื้อดึง

“ฮะ เฮ้ย อิมจะไปไหน”

“ไปในที่ที่ควรจะไปไงล่ะ”

“ที่ไหน?”

“เงียบๆแล้วก็เดินตามผมมาก็พอ”

หมดสิ้นคำพูดท้วงร่างสูงได้แต่เดินตามผมมาเงียบๆ



มีต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบห้า(ครั้งที่สอง)...ประคับประคองความสัมพันธ์ P.3 [5-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 05-10-2019 19:52:25
อิมลากผมเดินยาวมาจากคณะนิเทศศาสตร์ จนผ่านตึกเรียนรวมมหา’ลัยสถานที่ประจำของเจ้าตัว ลัดเลาะอ้อมอาคารมาด้านหลัง จนมาบรรจบที่บ้านหลังเล็กหนึ่งชั้นที่ตั้งอยู่โดดๆกลางสนามหญ้า ป้ายด้านหน้าทั้งฝุ่นเขรอะและสีซีดจางเสียตัวหนังสือบางตัวอ่านแทบไม่ออก แต่ผมพอเดาได้ว่ามันถูกเขียนไว้ว่าสโมสรนิสิตคณะ  พอร่างบางผลักประตูเข้ามาด้านในยิ่งดูซอมซ่อพอพอกับหน้าตาภายนอกเป็นไหนๆ สิ่งมีชีวิตบางอย่างกำลังนอนเอนกายพาดขากระดิกตีนบนเก้าอี้เปลพับและอ่านหนังสืออย่างจริงจัง

“พี่สิทธิ์” ร่างนั้นผงกหัวมาดูอย่างแปลกใจนิดนึงก่อนเอนตัวลงนอนต่อ

“เออไอ้อิม มึงมาได้ไง”

“ให้ผมยืมใช้ห้องด้านในหน่อยดิ”

“ตามดวก แต่รกหน่อยนะ”

“เออไม่เป็นไร ใช้แป๊บเดียว” เหมือนทำไม่สนใจแต่ตาแม่งแอบเหลือบจนแทบหลุดมาจากเบ้า เชี่ยเอ้ยน่ากลัวฉิบหาย

พี่สิทธิ์คนนี้คนที่อิมทักไม่รู้ว่ามารู้จักหน้าค่าตาอิมได้ยังไง แต่หน้าพี่มันไม่ค่อยน่าผูกมิตรสักเท่าไร ด้วยส่วนสูงเตี้ยกว่าเฉลี่ยชายไทย ผมยาวฟูรกรังเส้นหนาแต่ยังดีที่ขมวดมัดหางม้าไว้เรียบร้อย เจ้าตัวสวมแว่นดำทรงเดียวกับอัลปาชิโน่ไว้หนวดเคราครึ้มยิ่งกว่าป่าอเมซอน สิ่งเดียวที่ดูไม่เหมือนโจรป่าคือผิวที่ค่อนข้างไปทางขาว นอกนั้นรวมรูปลักษณ์ของพี่มันถ้าใครได้เห็นเรียกได้ว่าเหมาะแก่การไปก่ออาชญากรรมแทนที่จะมานั่งเรียนหนังสือเป็นไหนๆ

“ใช้นานๆก็ได้ พี่ไม่ถือ” รอยยิ้มกรุ้มกริ่มนี่มันอะไร ช่างเถอะไม่ควรจะไปใส่ใจอะไรกับพี่มันให้มาก ผมเดินตามอิมมาเรื่อยๆ ตัวไม่ทันข้ามห้องอีกห้อง เท้าก็เหยียบถูกอะไรบางอย่างบนพื้นจนเสียงดังสวบสาบ

“...!!” กวาดตามองถึงกับตะลึง ไอ้เหี้ยนี่ไม่เรียกว่ารกหน่อยแล้ว สภาพแม่งกองขยะสดชัดๆ

“เชี่ยพี่สิทธิ์ ทำไมไม่เก็บห้องวะ”

“รอมึงมาเก็บอยู่นี่ไง”

“แต่ผมพึ่งเก็บไปให้เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วนะเว้ย!” ร่างโปร่งดูหงุดหงิดเตะของขวางเท้ากรุยทางไปจนจุดที่มีเก้าอี้พลาสติกนอนระเกะระกะอยู่สองสามตัว เจ้าตัวยกมันขึ้นตั้ง “คุณนั่งลงก่อน เดี๋ยวผมเคลียร์ของแป๊บ”

คำว่าเคลียร์ของของอิมมันคือการกวาดเอาแผ่นพลาสติก มันเรียกว่าอะไรนะ ไอ้ที่กดเล่นแก้เครียดน่ะ โกยลงถุงใหญ่ แล้วหยิบฉีกกล่องพัสดุหลายสิบกล่อง กางเป็นแผ่นยาวขึ้นพับซ้อนกัน ย้ายไปตั้งพิงกำแพง โกยเชือกกับสายรัดกล่องลงถังอย่างลวกๆ

“เชี่ย!” อิมอุทานเบาเสียจนถ้าคนไม่สังเกตอาจปล่อยผ่าน

“มีอะไรรึเปล่า”

“เปล่า แค่เจอแมลงสาบ”

“ไหน?” ขยับตัวตั้งใจช่วยจับ อิมหันกลับมาห้าม

“ไม่เป็นไร คุณนั่งไปเหอะ มันหนีไปแล้ว” ก่อนหมุนตัวไปเปิดลิ้นชักโต๊ะตัวนึงซึ่งวางคอมพิวเตอร์อยู่ หยิบกล่องบางอย่างออกมา

เจ้าตัวเปิดกล่องคุ้ยหาของบางอย่างในนั้นอยู่สักพัก แล้วจู่ๆก็ตวาดขึ้นมาเสียงดัง

“เชี่ยพี่สิทธิ์ ผมบอกแล้วไงว่าอย่าเอาน้ำเกลือไปดื่มแทนน้ำ!”

หา? ดื่มน้ำเกลือแทนน้ำ??...นี่พี่มันกะจะดีท็อกซ์ลำไส้หรือไง แต่ก่อนจะล้างเครื่องในพี่ควรจะไปทำความสะอาดรูปลักษณ์ภาพนอกของพี่ก่อนจะดีกว่านะ

“วันนั้นน้ำในแท๊งก์มันหมด กูขี้เกียจไปซื้อ กูเจ็บขาอ่ะอิม~” เสียงโอดครวญอ้างข้ออ้างนับสิบประการลอดช่องประตูเข้ามา ร่างโปร่งไม่พอใจส่งเสียงจิ๊ปากเบาๆ

“มามุกนี้อีกแล้ว เป็นอะไรขึ้นมาใครจะหามไปส่งโรงพยาบาลวะ” อิมคราง หันมาสบตากับผมพอดี “มองอะไร”

“เปล่า ผมแค่แปลกใจ” เหมือนอิมจะอ่านใจผมออก ร่างบางทอดถอนหายใจออกมากองใหญ่

“พี่สิทธิ์เห็นอย่างนี้แต่แกก็เป็นอดีตหัวหน้าสโมนะคุณ อย่าดูคนแค่ภายนอก”

“อิมรู้จักกับพี่เขาได้ยังไง” สภาพดูไม่น่าจับคู่กันได้เลยสักนิด ร่างโปร่งเดินกลับมาพร้อมอะไรบางอย่างในมือ

“รู้จักตอนปีหนึ่ง ตอนที่ผมมาลี้ภัย...อ่ะ ผมหาได้แค่นี้ เอาใช้ไปก่อนละกัน” ขวดน้ำเกลือในมือถูกยื่นมาให้เสร็จสรรพ เจ้าตัวหยิบมัดสำลีดึงออกมาปั้นก้อน “เวรกรรม ผมลืมล้างมือ”

“มาผมช่วย” วางขวดน้ำเกลือลงพื้น เกือบจะพรวดพราดลุกตามแล้วแต่ทว่า...

“ไม่ต้อง” อิมพูดเสียงแข็ง โยนมัดสำลีในมือมาให้ จนผมต้องหย่อนก้นกลับที่เดิม “นั่งนิ่งๆอยู่ตรงนี้ก็พอ เข้าใจ๋” ชี้หน้าจบหมุนตัวเดินเข้าหาซิงค์น้ำที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางห้อง พอสังเกตดูดีดีการจัดข้าวของในห้องนี้ดูแปลกตา ถ้าไม่นับกองขยะที่วางเกลื่อนกลาดอยู่ตรงหน้า ดูเหมือนว่าเจ้าของสะดวกจะจัดจะวางเฟอร์นิเจอร์ไว้ตรงไหนก็วางมันลงไปทั้งอย่างนั้น

“ไม่ต้องมองมากหรอก พี่สิทธิ์เขาจัดเอง เอาตามสะดวก รายนั้นเขาไม่ชอบขยับตัวเยอะ หาว่าเปลืองพลังงาน คุณก็อย่าแตะอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าล่ะ เดี๋ยวเจองูฉกเอา” ไอ้เหี้ยมีงูด้วยเหรอ แมลงสาบกับสัตว์ไม่มีพิษยังพอว่า แต่ให้สู้กับงูเงี้ยวเขี้ยวขอก็ต้องห่วงชีวิตและสุขภาพตัวเองบ้าง ยกขาลอยสูงกวาดตารอบพื้นเคลียร์ความปลอดภัยยังไงกันไว้ก่อนดีกว่าแก้ จนสายตาไปสะดุดกับบางอย่างที่ไม่น่ามาอยู่ในรังงูได้

หนังสือเล่มไซส์เอห้าหนาประมาณนิ้วกว่านอนซุกอยู่ในกองการ์ตูนแนวโชเน็นจัมป์ ดึงออกมาดูอย่างระวังแบบไม่ให้ตั้งกองพูนสูงของหนังสือร่วงลงมาตาม หน้าปกเป็นลายเส้นสวยงามเหมือนที่เคยเห็นจากหนังสือการ์ตูนผู้หญิงทั่วไป แต่ที่น่าแปลกใจคือไม่ได้เป็นแบบคู่หญิงชาย กลับปรากฏเป็นรูปวาดผู้ชายสองคนหน้าตาหล่อเหลา สูงยาวเข่าดีทั้งคู่ยืนจับมือกันอยู่อย่างแปลกๆ

“นิเทศฝุดๆสะดุดรัก?” เล่นตั้งชื่อเอาง่ายแบบนี้เลยเหรอ หรือไอ้สองตัวข้างหน้ามันจะทะเลาะกันแย่งผู้หญิงวะ ผมพลิกดูด้านหลังเห็นเป็นตัวการ์ตูนหัวโตๆน่าเอ็นดู แต่ยังไม่มีแววนางเอกให้เห็นสักคน

“ทำอะไรน่ะ” ปล่อยตกลงพื้นทันควัน หันไปมองคนทักแบบกลบเกลื่อน

“ปะ...เปล่านี่” ก็อิมบอกไม่ให้แตะ นี่เผลอแตะไปแล้วขืนรู้โดนเอ็ดแย่

“อย่าไปหยิบหนังสือห้องนี้อ่านสุ่มสี่สุ่มห้านะ มันอันตราย” โหย อันตรายแม้กระทั่งหนังสือ

“นี่ถ้าอิมบอกว่ากระดาษอาบยาพิษผมคงเชื่อไปแล้ว ห้องนี้นี่มันยังไงอันตรายไปทุกที่” อิมเดินกลับมาหยิบสำลีม้วนจากตัก ก้มลงคว้าขวดน้ำเกลือเปิดฝาเทลงปุยฝ้ายจนชุ่ม

“อย่าหาว่าผมไม่เตือน หนังสือพวกนั้นอันตรายกว่างูในห้องนี้อีก” ผมจ้องคนที่คิดถึงมานานปีไม่วางตา มีแค่โอกาสนี้เท่านั้นตอนที่อิมมัวแต่จดจ่อกับสำลีในมือ ถึงถือโอกาสมองหน้าเขาได้ เจ้าตัวก้มลงไปวางขวดน้ำเกลือที่เหลืออยู่น้อยแสนน้อยกับพื้น ใช้ปลายนิ้วจีบยู่จนเป็นก้อนกลม เลื่อนมาตรงมุมปากผม

“เดี๋ยว” ผมเอ่ยห้าม จับรั้งข้อมือบางไว้ ฉวยก้อนปุยสีขาวเปียกชุ่มมาถือแทน มือข้างสัมผัสต้องตัวเปลี่ยนมาประสานมืออีกฝ่ายไว้แน่น อิมเบ้หน้าส่งเสียงซี๊ดทันทีที่น้ำเกลือสัมผัสโดนแผล พอฝืนอดทนต่อความเจ็บปวดได้จึงเปิดเปลือกตาขึ้นมาจ้องสบนิ่ง

“รู้ได้ไง”

“ทำไมจะไม่รู้”

“...”

“ผมมองอิมอยู่ตลอด จะไม่รู้ได้ไง” แผลเป็นทางยาวเชียว ถึงแม้น้ำจะชะออกไปแล้ว แต่เลือดล็อตใหม่ก็ยังซึมไหลออกมารอยแตกของผิวเนื้อ

“ผมไม่เป็นไรหรอก” อดีตแฟนดื้อดึงจะชักมือกลับ ผมเลยยึดไว้มั่น

“รอทำแผลให้เสร็จก่อน อย่าดื้อ”

“ใครกันแน่วะที่ดื้อ” จะต่อว่าที่ผมไม่ยอมปล่อยมือสินะ

“แมลงสาบตัวเมื่อกี้กัดเหรอครับ แผลถึงได้ยาวขนาดนี้ เห็นทีแมลงสาบคงตัวโตเท่าบ้าน”

“เกรท” คนเป็นรุ่นพี่ส่งเสียงปราม อิมด่าแต่ทำไมผมมีความสุข ท่าจะเพี้ยนแล้วสมอง

ผมเช็ดแผลให้คนตรงหน้าไปเรื่อย ขโมยพลาสเตอร์ยาที่อิมหยิบติดมือมาบรรจงแปะเข้ากับรอยบนมือขาวๆของเขา “มีปากกาเมจิกมั้ย” ผมถาม อิมถึงกับขมวดคิ้ว

“เอาไปทำไม”

“จะเขียนชื่อผมลงไปที่พลาสเตอร์”

“สายรัดพลาสติกบาด ไม่ใช่ขาหักจนเข้าเฝือก เว่อร์ไปได้ ถ้าคุณเป็นนักแสดงผมคงหาว่าเล่นเกินจริง จ่ายสิบบาทเล่นหนึ่งร้อยให้มันน้อยๆหน่อย” เจ้าตัวเอามือผลักอกผม ก้มลงไปหยิบน้ำเกลือมาจุ่มสำลีใหม่ ก่อนจี้มาที่โหนกแก้มแบบไม่ทันตั้งตัว

“โอ๊ยๆๆ เบาหน่อยอิม ผมเจ็บ”

“เลิกเรียกอิมได้แล้ว”

“ทำไมล่ะ”

“พวกเราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วนะ”

“...”

ประโยคเดียวเสียดวาบไปทั้งอก จู่ๆก็โดนทวงคำเรียกคืนกะทันหัน ผมถึงกับไปต่อไม่เป็น ได้แต่ก้มหน้านิ่งอย่างจำยอม

“แล้วให้ผมเรียกว่าอะไรดี”

“เราคงไม่ได้เจอกันบ่อย ถึงขนาดต้องหาคำเรียกชื่อแทนกันหรอก”

...นี่สินะ...ที่เขาเรียกว่าโหด ถ้าตัดแล้วคือตัด...จะไม่มาใส่ใจอีกฝ่ายอีก ทุกอย่างของคนนั้นจะกลายเป็นอากาศธาตุไปสำหรับเขา

“ก็...เผื่อๆไว้ไง เผื่อเราเจอกัน” ทั้งๆที่ผมเคยหมดหวังที่จะเจอ รู้ตัวดีว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาเอาแต่หลบหน้า เหมือนตั้งใจตัดตัวตนผมออกไปจากชีวิต

“ไม่น่าจะเจอ”

“อย่างวันนี้ยังเจอเลย” ผมดื้อรั้นจนอิมนิ่งไป สงสัยคงนึกโทษโชคชะตาอยู่ อย่าว่าแต่เขาเลย ทางนี้ยังแปลกใจ วิ่งหนีไอ้พี่พาสจอมขี้หึงอยู่ดีๆเพราะไม่อยากมีเรื่องท้าตีท้าต่อย กลับมาเจอคนที่หนีหน้าผมเป็นเดือนกว่าตรงริมทางเดินเสียได้ โชคดีมือไวไม่งั้นคงเผลอปล่อยให้โอกาสตรงหน้าหลุดมือไปเสียแล้ว

“ก็แค่บังเอิญ ครั้งหน้าก็ใช่ว่าจะมี”

“ความบังเอิญบนโลกนี้ไม่มีอะไรมากะเกณฑ์ได้หรอกนะครับ”

...เหมือนกับที่ผมเจออิมในวันนั้นไง ผมต้องขอบคุณในความบังเอิญนี้...

“กะเกณฑ์ไม่ได้ แต่ขึ้นชื่อว่าบังเอิญ ก็ใช่ว่าโอกาสจะสูง มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ความจำสั้น ไม่เจอกัน นานวันก็ลืม”

“แล้วใครว่าผมจะปล่อยให้เป็นแค่เรื่องบังเอิญล่ะ”

“...”

“...”

อิมดูงุนงงในคำโต้แย้งผม

“คุณหมายความว่ายังไง”

“เลิกถาม แล้วทำแผลให้น้องคนนี้ได้แล้วครับพี่อิม”

“...!” คำเรียกชื่อที่กลับมาเป็นสถานะปกติตอนเริ่มคบกันใหม่ๆ ที่ผมเลือกใช้คำนี้ เพราะผมตัดสินใจแล้วว่าจะกลับมาเริ่มต้นกับคนที่ผมต้องการ

อย่างน้อยตอนนี้ไม่ได้เป็นแฟนขอแค่เป็นน้องในนามก็ยังดี ผมจะตื้อให้อิมเลิกเถียงผมเลย

อิมจัดการกับแผลผมต่อ วันนี้พลาดไปนิดไม่งั้นคงไม่โดนต่อยหลายจุดขนาดนี้หรอก น้ำเกลือซับแผลตรงมุมปากไหลซึมเข้ามาให้ความรู้สึกเค็มปร่า ลิ้นพาลแตะโดนรสชาติไม่เป็นมิตรนั้นเท่าไร แต่อิมก็ถนอมน้ำใจโดยพยายามเช็ดแผลให้เบาที่สุดเท่าที่อีกฝ่ายจะทำได้

“อ้าปากสิ”

“ฮะ?”

“ให้ผมเช็ดแผลในปากคุณ”

“แผลในปาก?”

“ปากคุณเมื่อกี้มีแต่กลิ่นเลือด”

“หา? โอ้ยๆๆอิม เอี๋ยว!” เจ้าตัวรั้งริมฝีปากล่างผมไม่ปรานี ขยับตัวเข้าใกล้ดันคางผมให้เงยหน้าในระยะสูงเพื่อโดนแสง ศีรษะอิมบังหลอดไฟเบื้องบนจนเห็นสีหน้าคนไม่ชัดเท่าเมื่อครู่ แต่ความขี้เขินของเจ้าตัวปิดยังไงก็ไม่มิด ต่อให้ไม่มีความรื้นแดง ไร้การเบี่ยงหลบของใบหน้า แต่ริมฝีปากน่าจูบที่เม้มหากันน้อยๆก็ทำให้ผมตีความได้

เพราะจูบที่ผมบังคับทำ เมื่อกี้สินะ...

“รังเกียจมั้ย” ผมพูดเสียงอู้อี้ ปล่อยให้อิมเช็ดแผลไป

“รังเกียจอะไร”

“เมื่อกี้ตอนผมกัดปากอิม อิมหนีผม”

“รังเกียจดิ”

“...!” คำตอบเดียวใจพี่นี่แฟ่บลงทันตา

“ผมไม่ชอบกลิ่นเลือด” หากคำที่ตามออกมา กลับทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองมากขึ้น ว่า...

“แต่ไม่ได้รังเกียจ...ที่จะจูบผม...ใช่มั้ย” นิ้วเรียวยาวกดแผลผมหนักขึ้นจนต้องร้องโอดครวญ

“โอ๊ย อิม เบาๆสิ อย่ามือหนัก”

“ไหนบอกจะเรียกพี่ไง” หงุดหงิดอีกแล้ว อีกไม่นานคงเดินหนี ผมเลยอ้อมแขนไปโอบสะโพกดึงร่างโปร่งเข้าหา ดันคางไว้กับแผ่นท้องเรียบเนียนซึ่งมีเสื้อเชิ้ตบางๆกั้นพลางเงยหน้ามอง “พี่อิมครับ ตอบน้องเกรทมาก่อนสิครับ นะครับ นะ” เอามารยานี้มาจากไหน แอบนึกขนลุกตัวเองในใจ มันเป็นอาการที่มักปรากฏตอนคนมาสัมภาษณ์แล้วบอกให้ผมเลียนแบบบทบาทในวัยเยาว์ แต่เรื่องแค่นี้กับอิมผมยอมว่ะ อยากออดอ้อนวอนตีนคนตรงหน้าไปเรื่อยๆ จะทำไม

“ทำอะไรอายตัวเองบ้างมั้ย” อิมยันไหล่ผมไว้ เออ ไม่อาย สปิริตเป็นนักแสดงมันสูงมาตั้งแต่เด็ก กับอิมไม่เคยเฟค แค่โอเว่อร์แอคติ้งไปนิดนึง เผื่อเขาจะเห็นใจ ร่างกายอิมเหมือนจะโอนอ่อน ผมเลยฉวยโอกาสจับมือเขา ยืดตัวเข้าไปใกล้ใบหน้า

“อิม...”

“...”

“ไม่ว่าพวกเราจะเริ่มต้นกันแบบไหน”

“...”

“แต่ผมอยากให้อิมรู้ไว้ว่า...”

“ไอ้เชี่ยพี่สิทธิ์”

“ฮะ?” ร่างบางสบถชื่อคนอื่นออกมา เล่นเอาผมเบิกตาค้าง ท่าทางของคนตรงหน้าเปลี่ยน เกิดอะไรขึ้น “เลิกหันกล้องมาทางนี้ แล้วกลับไปที่เก่าเลยไป!” คว้าขยะอะไรได้อิมปาใส่เจ้าที่แบบไม่ออมแรง เหมือนผมจะเห็นรองเท้าผ้าใบแบบสภาพไม่เหลือความขาวลอยละลิ่วปลิวละล่องไป ดีนะที่พลาดไปชนวงกบประตู ไม่งั้นเงาที่แวบไปแวบมาคงได้หน้าแหกไปแล้ว

“เลิกเอาผมไปจิ้นเป็นตัวละครในนิยายทีเถอะ!” อิมกัดปากหายใจฟึดฟัด ผมยังนั่งเอ๋อมองตามแบบจับเรื่องราวไม่ถูก

“นิยาย?”

“ก็ใช่สินิยาย...!” อิมสะดุดมองหน้าผม เจ้าตัวงับปากไม่พูดต่อ แต่เหมือนก็อดไม่ได้เมื่อเผยไต๋ออกมาขนาดนี้ เลยจ้องตอบผมแบบสงบสติอารมณ์ได้ “พี่สิทธิ์แกมาสายเดียวกับยัยมายด์ ที่ผมบอกว่าอย่าหยิบของสุ่มสี่สุ่มห้าก็เพราะคุณจะได้เจอหนังสือประหลาดๆเข้าให้เนี่ยดิ”

‘นิเทศฝุดๆสะดุดรัก’ ชื่อเรื่องนี้ขึ้นมาในหัวผมทันที









พอทำแผลเสร็จ อิมยังคงอาการหัวเสียอยู่ เดินออกไม่กล่าวลารุ่นพี่เลยสักคำ ปล่อยผมยกมือไหว้ปลกๆตามมารยาท จนกระทั่งอดีตหัวหน้าสโมยกมือกวักเรียกหย็อยๆให้เข้าหา ตอนลับหลังอิมซึ่งเดินนำหน้าออกไปได้สักพัก

“ครับ?” เมื่อเดินเข้าใกล้อดีตหัวสโมฯ รีบดันของบางอย่างใส่อกผมทันที ของบางอย่างนี้มีน้ำหนักพอสมควรจนผมต้องยกแขนโอบประคองไว้

“ให้ยืม”

“ฮะ?” ผมเหลือบไปมองหนังสือสองสามเล่มในอ้อมกอด หนึ่งในนั้นเป็นอันเดียวกับที่ผมเห็นในห้องเมื่อครู่ ‘นิเทศฝุดๆสะดุดรัก’

หมายความว่าไงวะ?

“เดี๋ยว นี่พี่ให้ผมเหรอ?”

“ให้ยืม ไม่ได้ให้เลย เล่มนี้ของรักของหวงกู หน้าปกมีลายเซ็นคนเขียนด้วย นี่กูใจดีขนาดไหนมึงรู้มั้ย” ดูมีบุญคุณใหญ่หลวงเลยว่ะ

“ไม่เป็นไร ผมไม่ยืมก็ได้พี่” ไม่ได้ต้องการ อิมบอกไว้ว่าอย่าอ่านด้วย ผมยัดเล่มคืนใส่มืออีกฝ่าย แต่โดนดันกลับ

“เอาไปเหอะน่า หน้าตาอย่างมึง ดูก็รู้ ว่าไม่เคยมีประสบการณ์กับผู้ชาย ในนิยายมันอาจจะไม่ชัดเจนเท่าวิดีโอ แต่มันก็ยังพอทำให้มึงมโนได้”

“มโน? มโนเรื่อง” ผมขมวดคิ้ว

“วิธีการมีเซ็กส์กับไอ้อิมไง”

“...!” ใจแม่งสะดุ้งโหยง จู่ๆเหงื่อกาฬก็ผุดพรายขึ้นใบหน้าและแผ่นหลัง พะ...พี่สิทธิ์...มันว่าอะไรนะ

...วิธีการ...มีเซ็กส์...กับอิม...

ในหัวสมองมันปั่นป่วนตีกันให้วุ่น รู้แหละว่าตนเองมีอารมณ์กับคนที่ชอบ แต่ไม่เคยคิดเกินไปถึงคำว่าเซ็กส์ อย่างมากแค่ได้แตะเนื้อต้องตัวร่างบางก็คิดว่าสมอยากพอสมควรแล้ว ผมยืนนิ่งเป็นสากกะเบือ ส่วนไอ้คนเป็นรุ่นพี่มันก็กระตือรืนร้นเริ่มเปิดหน้าหนังสือในมือพรึ่บพรับแล้วยกโชว์ให้ดู แล้วหน้าที่มันกางอยู่ก็เสือกมีภาพการ์ตูนประกอบ

“อย่างหน้านี้อ่ะนะ”

เชร้ดดดดดด ผู้ชายหน้าดีสองคนที่อยู่ในหน้าปกกำลังโจ๊ะพรึ่มๆกันอยู่

“ก่อนใส่มึงต้องเล้าโลมไอ้อิมก่อน จะจูบจะลูบคลำหรือเลียเลออะไรก็ได้ แต่ละคนจุดอ่อนไหวมันต่างกัน หนึ่งในนั้นอาจจะมียอดอก ให้มึงลองเลีย ลองดูดดู ถ้าแข็งแสดงว่าใช่”

“...” แทบจะยกมือคลุมหน้า...ผมทำไปแล้วเถอะตรงนั้นแล้วรู้ว่าอิมมีอารมณ์ด้วย

“แล้วจากนั้นก็ตรงน้องน้อยลูบไล้ถูไถหลอกล่อให้มีอารมณ์...แล้วก็ค่อยใช้เจลหล่อลื่นกับด้าน...”

“ไอ้เชี่ยพี่สิทธิ์!!สอนอะไรน้องมันวะ!!” เสียงอิมมาอย่างเกรี้ยวกราด เกือบกระโดดถีบพี่สิทธิ์อยู่รอมร่อ “คุณอย่าไปฟังพี่มันนะ มันโรคจิต ไปเหอะ” อิมคว้าแขนผมได้ ก็พาลากเดินดุ่มออกมา


...โดยหารู้ไม่ว่า ‘นิเทศฝุดๆสะดุดรัก’ ได้โดนจับยัดใส่มือ นอนนิ่งในกระเป๋าผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...



…TBC…

++++++++++++++++++++


ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ทุกคนนะคะ

เรื่องคลายปม มีตรงไหนที่ขัดบอกเราได้นะคะจะได้เอาไปปรับปรุง

ตอนสร้างเส้นเรื่องนี้ขึ้นมา มันมีตอนที่วางปมเป็นหย่อมๆแฟลชแบล็คกันไปมาก็แอบกลัวคนอ่านจะงงเหมือนกัน

เรื่องความไม่ชัดเจนของเกรทที่ในตอนแรก
อันนี้เราคิดในมุมมองของเราเอง ในแง่ความรู้สึกของคนทั่วไป
มนุษย์เราถ้าเป็นเรื่องที่มีผลต่อจิตใจ
มันจะยังเหมือนมีสารอะไรบางอย่างที่เป็นเหมือนก้อนก่อเชื้อจางๆฝังอยู่ในตัวเรา
การที่จะทำให้ลืมหรือเลิกรู้สึกกับมันอาจจะต้องใช้เวลา หรือต้องออกห่างให้ได้จากสิ่งเร้า
หรือเอาเรื่องอื่นมาเจือจางสิ่งนั้น
และเราคิดว่าอิมคือสิ่งที่ทำให้เกรทเจือจางความหวั่นไหวต่อใยไหมได้ค่ะ

เรื่องเกรทรู้หรือเปล่าที่อิมรู้ว่าเจ้าตัวชอบคนอื่นตอนสารภาพรัก...อันนี้อาจจะรู้แต่ไม่แน่ชัด
เพราะความที่อิมดันตอบรับความรู้สึกตนเอง...
แต่มีเรื่องที่เกรทกับอิม คนอ่าน แม้แต่ผู้เขียน? ยังไม่รู้อีกนะ ลองตามอ่านกันต่อไปนะคะ
ถ้าชอบให้กดไลค์ ถ้ามีใจให้กดแคร์

เรารักทุกคอนเมนต์ที่ทำให้เราเติบโตค่า รักนะ :mew1:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบห้า(ครั้งที่สอง)...ประคับประคองความสัมพันธ์ P.3 [5-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-10-2019 20:24:25
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบห้า(ครั้งที่สอง)...ประคับประคองความสัมพันธ์ P.3 [5-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-10-2019 21:17:35
เหมือนจะรู้อะไรเพิ่มเติมแต่ก็ไม่รู้อะไรเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบห้า(ครั้งที่สอง)...ประคับประคองความสัมพันธ์ P.3 [5-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-10-2019 10:17:19
ก็ยังคง งงอยู่
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบห้า(ครั้งที่สอง)...ประคับประคองความสัมพันธ์ P.3 [5-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-10-2019 12:20:00
 :z1:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบห้า(ครั้งที่สอง)...ประคับประคองความสัมพันธ์ P.3 [5-10-19]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 06-10-2019 23:56:50
เดินหน้าจีบเลยครับเกรท,,,
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสี่(ครั้งที่สอง)...สารภาพซ้อนสารภาพไม่อาจหักล้างกัน P.3 [1310
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 13-10-2019 00:34:22
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบสี่(ครั้งที่สอง)...สารภาพซ้อนสารภาพไม่อาจหักล้างกันได้



“อิม”

“...”

“อิม”

“...”



เรียกเท่าไรก็ไม่หัน ไม่คิดว่าแขนบางๆนั้นจะมีกำลังเหลือหลาย กับการลากให้ผมเดินผ่านสนามหญ้าทะลุออกมายังทางเดินปกติ การได้อยู่กับอิมเมจเป็นอะไรที่ทำให้ผมมีความสุข ความจริงแล้วหากเจ้าตัวจะจูงมือผมเดินจากเหนือสุดดอยอินทนนท์ลงไปถึงเบตงจังหวัดยะลาก็ย่อมได้ คิดซะว่าแลกกับการได้เมียในอนาคตมา การโดนรองเท้าแดกขาถือว่าคุ้ม แต่ก่อนจะไปถึงภาวะนั้นผมควรถามอิมสักนิดว่า...



“นี่อิมจะไปไหนน่ะ” จับมือขาวดึงไว้อย่างหนักหน่วงช่วงชิงประวิงเวลา ใครล่ะจะคิดว่าการแตะเนื้อต้องตัวเพียงแค่นี้จะทำให้คนลากจูงหยุดเท้าฉับพลันหันขวับมากุมมือ นิ้วเรียวยาวจับกุมส่งผ่านไอเย็นทาบทับมือข้างเดียวกับที่ผมจับเจ้าตัวอยู่ เมื่อครู่ไม่ได้อยู่ห้องแอร์แท้ๆแต่ทำร่างกายอีกฝ่ายถึงได้เย็นขนาดนี้

“ร...เรื่องเมื่อกี้คุณลืมไปซะเถอะนะ ไม่ต้องไปคิดถึงมัน”

“ฮะ?” ผมงง จับต้นชนปลายไม่ถูก เจ้าตัวพูดออกมาโดยไม่มีบทเกริ่นนำเลยสักนิด

“ผมไม่น่าพาคุณไปที่นั่นเลยจริงๆ” อิมทำหน้าราวกับสำนึกผิด ผมมองมือสลับใบหน้าขาวเนียนที่ก้มต่ำ พอรู้ถึงสายตาเจ้าตัวจึงชักมือหลุดจากการจับกุม “ข...ขอโทษ”

ร่างโปร่งกำข้อมือตนเองแน่น บิดไปมาในวงนิ้วโดยไม่ยอมปล่อยให้แกว่งไกวเป็นอิสระอีก

“อิม” เกิดอะไรขึ้น?

“คุณก็หัดดูแลตัวเองให้ดีซะบ้าง อย่าปล่อยให้ใครมาชกเอาง่ายๆอีก ผ...ผมไปล่ะ” อิมหมุนตัวรีบจ้ำอ้าวเดินไปอีกทาง ผมพยายามจะก้าวขาตามเพื่อยื้อเขาไว้ แต่เสียงใครบางคนกลับขัดขึ้นมาเสียก่อน

“พี่อิม” ร่างเล็กของหญิงสาวไม่คุ้นหน้ายืนอยู่ห่างออกไปราวสามก้าว ท่าทีแปลกประหลาดระคนดีใจปนมากับกลิ่นอายต่างๆรอบตัวเธอ แค่เพียงได้สบตารอยยิ้มหวานก็เผยให้เห็น

“ต้า มาได้ไงเนี่ย”

“พี่อิ๊มมมม” เธอขึ้นเสียงสูงลากชื่ออิมเสียยาว พอเข้ามาใกล้ก็กระโดดโหยงเหยงกอดแขน แนบแก้มถูไถไปกับไหล่ร่างโปร่งโดยเกรงใจคนแวดล้อมเลยสักนิด “คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึงพี่อิมจังเลยค่ะ” เพียงเสี้ยวจังหวะแก้มยุ้ยๆนั้นห่างแขนยาวของอิม วืบความเย็นก็แทรกกลาง หนังสือไซส์หนาไม่รู้ที่มาที่ไปกั้นขวางระหว่างคนทั้งคู่ไว้ ดวงตากลมโตของหญิงสาวเงยขึ้นสบ ส่วนผมไม่ยอมแพ้จ้องกลับ รู้สึกเหมือนสายฟ้าระเบิดเปรี้ยงมาปะทะท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรีโรยตัวที่แจ่มใส

เอาสิ เรื่องเก้าอี้บนรถประจำทางยอมเสียสละให้เด็กสตรีและคนชราได้ รวมถึงใช้ให้ไปเปิดประตู เลื่อนเก้าอี้ยอมบริการให้เลดี้เฟิร์สก่อน แต่กับคนชื่ออิมเมจต่อให้ตายก็ไม่ยอมยกให้เป็นอันขาด ไม่เคยรู้สึกทำตัวเย็นชาอะไรกับผู้หญิงได้เท่านี้มาก่อนเลย

ถ้าเรื่อง ‘ฤทธิ์พี่อิมเมจ’ เป็นจริงอย่างที่ไอ้นัทว่า ผู้หญิงตรงหน้านี่ก็ไม่น่าไว้ใจ ไอ้นัทมันกล่าวไว้ว่าอิมไม่ได้เนื้อหอมธรรมดา ถ้าใครได้รู้จักคนที่ชื่อว่าอิมเมจไม่ว่าเพศชาย เพศหญิงหรือเพศที่สามมีแต่จะทั้งรักทั้งหลงไปตามๆกัน และผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ตกหลุมรักอิมคนนั้น อันตรายว่ะ อันตรายชะมัด อันตรายเหลือเกินโว้ย

งานสบตาผ่านไปสั้นๆ หากไม่หงุดหงิด เธอคงคิดว่าอิหยังของผมกันแน่วะ แต่สิ่งที่เดากลับผิดหมด เธอเบิกตาโตขึ้นเรื่อยๆ ปล่อยแขนจากอิม ก่อนหันมาชี้หน้าพลางตะโกนใส่

“พ...พี่เกรท!!”

“...” หา? เรารู้จักกันด้วยเหรอ ทำไมรู้ชื่อ

“พ...พี่เกรทเลิกกับพี่อิมแล้วหนิ” โอ้โหยยยย จี้ใจดำว่ะ ผมถึงกับชักมือกลับ มาเท้าสะเอวสองข้าง หลับตาพ่นลมเอนศีรษะไปทางอื่นอย่างเหลืออด เฮ้ย เดี๋ยวนะ ขอทำใจแป๊บ ทักมาแบบนี้พี่ไม่ปลื้มเลยว่ะ

“ใครบอกว่าพี่เลิกกับ...”

“ใช่ พวกเราเลิกกันแล้ว” ผมนี่หันขวับเลย เหมือนฝาปี๊บตีหัวตอนเล่นมุกแป้ก ชักสีหน้ากะหาเรื่องคนพูดเต็มที่ แต่แค่เห็นว่าใครโพล่งออกมาแค่นี้แหละ วิญญาณพ่อบ้านใจกล้าเข้าสิงทันที อนาคตคนที่ตั้งใจให้เป็นศรีภรรยากำลังขมิบปากด้วยอาการโคตรนิ่งสุดๆ

“อ...อิม” เสียงตอนนี้โคตรพ่อโคตรแม่ตัดพ้อ ถ้าบอกให้เห็นภาพได้คงประมาณเด็กเอาแต่ใจกระทืบเท้าให้ซื้อของเล่นล่ะมั้ง

“ไม่ต้องถามอะไรมากนะยัยต้า ส่วนคุณน่ะ ก็ไปได้แล้ว” เย็นชาหาใดเปรียบ ท้ายประโยคมีหันมาพยักพเยิดกึ่งไล่ใส่อีก ใจตอนนี้เห็นทีจะไม่ได้แล้ว ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปความสัมพันธ์ของผมกับอิมมีแต่จะถอยหลังเข้าคลอง

สูดหายใจเข้าลึกดึงความกล้าที่มีเกินพิกัดจับข้อแขนคนตัวเล็กกว่าเอาไว้ ลากให้เดินตามไปแบบไม่สนใจคำค้าน

“เฮ้ย เกรท เดี๋ยว จะพาผมไปไหน” เจ้าตัวบิดแขนดึงข้อมือต้าน ด้วยแรงที่น้อยกว่าจึงไม่อาจต้านทานความดื้อด้านของผมได้ พวกเราลากยื้อกันจนเดินมาถึงใต้ตึกเรียนรวม สีหน้าอิมดูแปลกไปราวกับรู้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“พี่อิม!” น้องผู้หญิงวิ่งตามพวกเรามาด้วยความตื่นตูม อุทานเรียกชื่อคนรู้จัก ผมหันไปสบตาเธอก่อนเอ่ยถาม

“น้องชื่ออะไร”

“ค...คะ?”

“พี่ถามว่าน้องชื่ออะไร” เสียงแข็งกว่าหัวเสียอีกตอนนี้

“เกรท คุณอย่าดุน้อง” ใจดีกับน้องเสียจริงอิมของผม

“ผมไม่ได้ดุ ผมแค่ถามชื่อเฉยๆ เราน่ะชื่อต้าใช่มั้ย”

“เอ๊ะ! ช...ใช่ค่ะ”

“พี่วานอะไรเราหน่อย”

“ว...วาน? เรื่องอะไรคะ?” เธอมีสีหน้าแหยงๆกึ่งจะรับปากดีไม่รับปากดี

“เกรทคุณจะทำอะไรน่ะ” อิมพยายามกระตุกมือดึงความสนใจ แต่ผมยังพูดธุระกับน้องเขาไม่เสร็จ สายตาจดจ้องหญิงสาวที่เหมือนมีท่าทางทำอะไรไม่ถูก ก่อนขยับปากกล่าว

“ช่วยเป็นพยานให้พี่ด้วย” โดยไม่รอคำตอบ หมุนหันอย่างไวกลับมาทางอิมจนเจ้าตัวสะดุ้งโหยงราวกับเจอผี กลืนน้ำลายจนลำคอขาวขยับ

“อิมรู้มั้ยว่าที่นี่ที่ไหน”

“ต...ใต้ตึกเรียนรวมไง”

“ไม่ใช่”

“...”

“ลานเปิดใจต่างหาก”

เจ้าตัวรู้ แต่แสร้งทำเป็นไขสือ อาจเพราะต้องการเลี่ยงความทรงจำในอดีต การยืนอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากอาจทำให้อิมกลัว เขาผ่านอะไรมาเยอะ ผมรู้ เพราะตั้งแต่บอกเลิกกันคราวก่อน อิมก็โดนกระแสบางส่วนแอนตี้ โดยเฉพาะคนที่คอยเชียร์คู่ปกติอย่างเกรทกับใยไหมแบบเงียบๆ

การโดนตราหน้าว่าทำให้คนอื่นเบี่ยงเบนทางเพศนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ และคงไม่รอดพ้นการรับรู้ของร่างสั่นเทาตรงหน้าผม

“เกรท”

“ครับ?”

“ผมขอล่ะ คุณอย่าคิดทำอะไรบ้าๆนะ”

“มาถึงลานเปิดใจสถานที่ที่ใครก็คิดว่ามันศักดิ์สิทธิ์ ผมคงไม่มีความคิดชั่ววูบจะทำอะไรแผลงๆหรอกครับ”

“ทีตอนนั้นยังทำเลย เจ้าเด็กบ้า” อิมหันข้างบ่นงึมงำเชิงตำหนิ

“ตอนนั้นผมอาจจะบ้าจริงๆ ที่ไปสารภาพรักคนที่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะคบด้วย”

“...!”

ร่างกายอิมสะดุ้ง เพียงฉับพลันแววตาที่เคยจ้องสบเสหลบสั่นระริก วี่แววจางๆของหยาดน้ำเคลื่อนคล้อยมากลบแก้วตาใส เจ้าตัวเหมือนทำอะไรไม่ถูก เขาดูลนลาน น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาต่อจากนั้นมันช่างแผ่วเบาไร้กำลัง

“ผ...ผมขอโทษ”

“อิมขอโทษผมทำไม”

“ที่ไม่ปฏิเสธคุณ” น้ำตาอิมหยดลงมาต่อหน้าผมอย่างไว และทุกอย่างบนโลกก็เหมือนหยุดนิ่งฉับพลัน

...มันเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นอิม...ร้องไห้ เหมือนมีบางอย่างมาบีบรัดหัวใจกะทันหัน ผมพลาดขั้นตอนสำคัญอะไรไปงั้นเหรอ ทำไม...ทำไมอิมต้องร้องไห้ด้วยทั้งๆที่ผม...

“อิม”

“ป...ปล่อย ผมไปเถอะ” ร่างเล็กกว่าตรงหน้าเริ่มสะบัดมือต่อต้าน ผมพยายามจับข้อมือเขาไว้ ครั้งนี้ถ้าพลาด ผมอาจจะไม่ได้เจอเขาอีก

“อิมฟังผมก่อน”

“ค...คุณอยากได้อะไร อยากเป็นคนบอกเลิกกลางลานเปิดใจอย่างนั้นเหรอ ผมยืนฟังให้คุณได้นะ แต่ขอเวลา...”

ฟืด...

พอเห็นร่างโปร่งตรงหน้าพยายามสูดน้ำมูกน้ำตาให้กลับไปทางเก่ามันก็อดจะเอ็นดูเขาไม่ได้ อิมยกแขนถูไถไปบนจมูกจนแดงก่ำ สูดหายใจเข้าลึกอีกครั้ง ทำหน้ามุ่งมั่นจ้องสบแววตาผม

“มา ผมพร้อมแล้ว”

...นี่ผม คิดเข้าข้างตัวเองได้มั้ย...

“...”

“ก...กายพร้อมแต่ใจอาจจะไม่ค่อยพร้อมสักเท่าไรนะ ถ้าคุณพูดมา ผมอาจจะต้องรีบเดินออกไป...”

มันเขี้ยวโว้ยยยย

ผมไม่ได้ลืมตัว แต่จงใจยื่นมือสัมผัสดวงแก้มนวลเนียนพลางเกลี่ยไล่ความชื้นอย่างแผ่วเบา อิมที่กำลังซีเรียสกับเรื่องที่พูดค่อยๆเผยอริมฝีปากออกเบาๆราวกับอึ้งในการกระทำ

“อิม...พวกเราน่ะ...” สิ่งเกะกะซึ่งคงค้างอยู่ในมือถูกยื่นส่งให้บุคคลที่สาม “น้องต้า พี่ฝากถือหน่อย” ร่างเล็กรับไปอุ้มกอดไว้กับอกอย่างเสียไม่ได้ ใบหน้าของเธอยังคงล่อกแล่กมองผมสลับกับอิม กลืนน้ำลายลงคออย่างเนืองนิจ

คราวนี้ผมตั้งใจยกมือขึ้นประคองใบหน้าขาวใสของอิมไว้ ร่างโปร่งดูไม่มีสมาธิกับผม เพราะเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังโดนสายตาหลายคนที่นั่งอยู่แวดล้อมจับจ้อง

“อิม มองผมนี่”

“ฮ...ฮะ?” หันกลับมามองแล้ว...น่ารักจะแย่...

“มองว่าที่สามีในอนาคตหน่อย”

“ฮะ...คุณว่าอะไรนะ”

“พวกเรากลับมาคบกันใหม่เถอะนะ อิมเมจ”

เห็นจากปลายหางตา ว่าน้องต้าพนมมือขึ้นปิดปากตาโตราวกับลูกมะนาว เกือบทำหนังสือพี่สิทธิ์ที่ผมฝากถือในมือตกพื้น ส่วนคนของผมเหมือนโดนกระชากสายออกซิเจนออกจากปาก ถ้าความกว้างของลูกตาสามารถเบิกได้ไม่มีที่สิ้นสุด ป่านนี้มันคงโตเท่าลูกกอล์ฟได้แล้วมั้ง

“เกรท” มือเล็กกว่ายกขึ้นแตะหน้าผากกะทันหัน สัมผัสจากคนตรงหน้า สัมผัสที่ผมโคตรโหยหา “คุณไม่สบายรึเปล่า”

“ผมโคตรสบายดีเลยล่ะอิม พาผมไปหาหมอตรวจพิสูจน์ก็ได้ หรือไม่ก็...” ใช้แรงมือช้อนคางให้อิมเงยหน้า ก่อนแตะบนกลีบปากเบาบาง ยิ่งสัมผัสก็ยิ่งอยากรุกหนัก แต่ไม่อยากให้กระโตกกระตากไก่ตื่น จึงเพิ่มแรงกดแนบอย่างเชื่องช้าส่งผ่านความอุ่นร้อนของอุณหภูมิร่างกาย เหมือนเจ้าตัวกำลังโดนเวทมนต์สาปให้กลายเป็นหิน ร่างกายอิมแข็งทื่อ เกาะเกี่ยวมือกับแขนเสื้อผม

 “พี่เกรท...” ผมหันไปตามเสียงที่แทรกบรรยากาศหวามไหวกะทันหัน น้องต้ากอดหนังสือด้วยมือข้างเดียว กำลังยืนตัวตรงแน่วมองมา ก่อนเผยยิ้มเขินจนผมงง

“ครับ?” เธอกระแอมไอหนึ่งครั้ง หลับตาสูดหายใจเข้าเปลี่ยนท่าทีราวกับสวมบทบาทอะไรบางอย่าง เชิดหน้าพูดออกมาเสียงดังฉะฉาน

“พี่เกรทจะรับพี่อิมเป็นภรรยา และสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อเขา ทั้งในยามทุกข์ ยามสุข และยามไข้ จะรักและให้เกียรติพี่อิมไปตลอดชั่วชีวิตหรือไม่คะ”

“...”

“...”

อึ้งทั้งสารบบ คนแวดล้อมแม่งแทบกลั้นหายใจรอคำตอบ ผมสาบานได้ อิมยึดแขนเสื้อกระเด้งตัวตวาดใส่น้องทันควัน

“ยัยต้า! พูดอะไรออกมา อื้อออ” มือผมไวกว่าปิดปากอิมได้หมับก็หันใส่บาทหลวงต้าทันที

“รับครับ”

“เอ้ดดด อุน!” อิมถลึงตาดุ แต่ผมไม่สนใจ

“พี่รับครับ” หมายถึงยอมรับนะ ไม่ใช่ยอมเป็นฝ่ายรับ

“ดีมากค่ะ งั้นขอถ่ายรูปเป็นหลักฐานรูปนึง” ไม่รอช้าผมหอมเข้าแก้มอิมดังฟอด น้องต้ามือฉมังกับการถ่ายรูปกดชัตเตอร์มือถือปุ๊บก็ยัดใส่กระเป๋าปั๊บ

“ส่งให้พี่ด้วยนะ” ผมรบเร้าขอรูปแห่งความทรงจำทันที

“เดี๋ยวส่งผ่านมายด์ละกันนะคะ ต้าไม่มีไลน์พี่เกรท” พอเอ่ยชื่อมายด์น้องของอิม ผมนึกได้ทันทีว่าเคยได้ยินชื่อน้องคนนี้จากทางไหน ที่แท้ก็ต้าเพื่อนน้องมายด์คนนั้นที่เป็นหัวเรือใหญ่เกรทอิมนี่เอง ระหว่างเผลอคิดอะไรเพลินๆอิมก็ดิ้นจนหลุดจากมือผม เจ้าตัวเปล่งเสียงไม่ดังไม่ค่อยตอกกลับมาฉับพลัน

“ไม่ร้งไม่รับอะไรทั้งนั้นแหละ ยัยต้าลบรูปในมือถือทิ้งเดี๋ยวนี้เลย” เหมือนเพื่อนน้องสาวคนนี้จะหัวอ่อนกว่ามายด์ พอโดนพี่ชายเพื่อนดุเลยทำท่าจะกดลบ แต่ไม่วายบ่นกระเง้ากระงอดเสียดายรูปไปตลอดทาง แต่มีเหรอที่ผมจะยอม คว้ามือถือจากน้องต้ามาอย่างถือวิสาสะ เสร็จสรรพส่งให้น้องมายด์แบบไม่ต้องคิด มีแต่วิธีการนี้แหละที่จะเก็บรูปได้อย่างยาวนานที่สุด

“เกรท”

“ครับ”

“คุณทำอะไร”

“ส่งรูป”

“ให้ใคร”

“น้องพี่ไง”

“เฮ้ยเอามานี่” อิมกระโดดกระย่องกระแย่งจะแย่ง

“บัดนี้ขอประกาศว่า ท่านทั้งสองเป็นสามีภรรยาตามกฎหมาย ขอเชิญเข้าหอไปปั่มปั๊มกันได้เลยค่ะ”

“ต้า!!” น้องต้าที่ฉีกยิ้มตัวเท่าบ้านยืนกอดหนังสือดิ้นอยู่ตรงนั้น

“ไปปั่มปั๊มกันเถอะครับ” อิมนี่หน้าเหวอไปเลย

“เกรทเดี๋ยว!” คิดว่าจะลากจูงกันไปอย่างในละครที่เจ้าบ่าวพาเจ้าสาวหนีจากแม่ผัวใจยักษ์ เท้ากลับต้องสะดุดลงเมื่อร่างสูงใหญ่ของใครบางคนมายืนขวาง ผู้ซึ่งผมไม่อยากเจอที่สุด...

“มึงจะพาอิมไปไหน” เสียงทุ้มของเพื่อนคนตัวเล็กกว่าดังก้องไปทั่วบริเวณ ไอ้พี่เบส...ไอ้คงหวงก้าง









‘เลิกมาตามไอ้อิมมันต้อยๆได้แล้ว อย่าทำให้มันลำบากใจ’



คนที่คาดหวังไว้กลับไม่เจอ ส่วนคนที่ไม่อยากเจอกลับโผล่หน้ามาซะได้ ในวันที่ยี่สิบกว่าซึ่งเป็นวันที่ความหวังริบหรี่เต็มทน แต่ไม่เคยคิดย่อท้อละความพยายาม เพื่อนสนิทของอีกฝ่ายกลับปรากฏกายตรงหน้า ไม่พูดพร่ำทำเพลงเอ่ยปากไล่ทันทีเจอ น่าแปลกทั้งที่ยังเห็นรุ่นพี่คนนี้ไปไหนมาไหนกับเขาบ้าง แต่กลับไม่เห็นเงาร่างของคนที่คะนึงหาเลยสักนิด

ผมจ้องมองลึกลงไปในดวงตาของอีกฝ่าย นี่เหรอคนที่อิมชอบ ช่วงหลังมาสัญญาณหลายๆอย่างบ่งบอกให้รู้ มันทำให้ใจว้าวุ่น อิมบอกว่าเขามักจะไปเที่ยวกับเพื่อนสนิทคนนี้เสมอทุกสุดสัปดาห์ ไปหาอะไรกินสัพเพเหระ แต่ช่วงหลังเพื่อนคนสำคัญมีแฟน...เลยไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน

...ทุกครั้งที่อิมเอ่ยว่าอีกฝ่ายมีแฟน มักจะแสดงออกอะไรบางอย่างให้ผมเห็น...

เป็นสิ่งที่ระบุความหมายไม่ได้ หากรับรู้ได้ถึงความน้อยใจในน้ำเสียง จนกระทั่งวันที่ผมรับรู้ว่ารอยยิ้มเปี่ยมสุขของอิมนั้นใครได้มันไป



‘ไอ้เบสไง’

‘พี่เบสเหรอครับ?’
เกมพิเรนทร์ตอบคำถามถอดเสื้อนำมาซึ่งคำตอบของทุกอย่าง

...อิม รู้สึกกับพี่เบสเกินกว่าเพื่อน...



‘อิมบอกว่าอย่างนั้นเหรอครับ’ ไม่มีอะไรจะไปสู้ แต่ความรู้สึกตอนนี้บอกได้แค่เพียงมันพุ่งไปหาแค่คนชื่ออิมเมจเท่านั้น

‘จะบอกให้รู้ไว้ อิมมันรู้แต่แรกแล้ว ว่าคนที่มึงต้องการสารภาพไม่ใช่มัน’



...ที่มาขอคบด้วย...ความจริงแล้วคุณชอบผมหรือเปล่าล่ะ...

...ความจริงคุณไม่ต้องโทรหาผมตลอดเวลา ไม่ต้องพาไปเดท ไม่ต้องสงเมสเสจมาบอกฝันดี หรือไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้นะ ให้เหมือนกับตอนสามสัปดาห์ที่ผ่านมา...




‘แต่ที่มันยังยอมทนคบมาจนถึงตอนนั้นก็เพราะว่ามันสงสาร’



...กับคนไม่มีร่มน่ะ เลิกบ่นเถอะ...

...กับความรักน่ะ มันไม่ต้องทุ่มเทขนาดต้องทำให้ตัวเองเดือดร้อนหรอก ก็เหมือนทำทานแหละให้เขาได้แต่ตัวเองต้องไม่เดือดร้อนไม่งั้นจะไม่ใช่ทาน...


 

‘เพราะสิ่งที่มึงทำให้มันมาตั้งแต่ต้นก็เพื่อใยไหมไม่ใช่เพื่อมัน’



...คุณไม่ต้องทำเรื่องโง่ๆขนาดนั้นก็ได้นะ...

...ผมรู้อยู่แล้วว่ายังไงผมก็เป็นแฟนคุณ...




ฉากเก่าๆยามได้อยู่เคียงข้างผุดขึ้นมาในสมอง หากหัวใจผมกำลังถูกบีบรัดกับความเป็นจริงที่ได้รู้

อิมไม่เคยคิดว่า สิ่งที่ผมทำไปตั้งแต่ต้น เป็นสิ่งที่ทำเพื่อเขาเลย...



ยอมรับว่าเคยชอบพี่ใยไหม แต่ไม่ใช่คนที่จะดันทุรังแยกใครจากแฟนเพื่อให้ได้สิ่งต้องการ ในยามทำใจออกห่างอาจมีอาการไขว้เขวอยู่บ้าง หากทุกอย่างค่อยๆถูกความเป็นอิมเมจมากลบ เติมเต็มและลบคำว่าใยไหมจนออกไปจากหัวใจได้

...อิมเมจคือที่สุดของผม ณ ตอนนี้...

รอยยิ้มเอื้ออารีที่มีให้พี่ใยไหม คงเหลือไว้แค่รอยยิ้มการค้า ในฐานะเพื่อนร่วมโลกคนนึง...



‘ทุกวันที่ผมคบกับอิม ทุกการกระทำ ผมสาบานว่าผมมีแต่เรื่องอิมในสมอง’

‘มึงอย่ามาตอแหล’ คอเสื้อเชิ้ตถูกขยำรั้งไปด้านหน้า ดูท่าคนเป็นรุ่นพี่คงอยากวางมวยกับผมเต็มแก่

‘ผมยอมรับว่าผิดที่โกหกไปตอนแรก แต่ทุกการกระทำ...ผมซื่อสัตย์กับใจผมเสมอ’

‘…’

‘พี่ต่างหาก’

‘กูทำไม’

‘ซื่อสัตย์กับใจตัวเองรึยัง’

‘…’



ผมยังจำใบหน้าพี่เบสตอนนั้นได้ดี สับสน เหมือนคนทำอะไรไม่ถูก พอพูดออกไปพึ่งมานึกกลัว...กลัวว่าพี่เบสจะหันไปซื่อตรงกับความรู้สึกตนเองในตอนนั้น





ตัดกลับมาที่ปัจจุบันเสียงทุ้มต่ำของพี่เบสกำลังเรียกสติคนของผม

“อิมกลับบ้าน” ราวกับเล่นชักเย่อกัน เพื่อนคนสำคัญของอิมเมจยื้อแขนร่างโปร่งเข้าหาตัว สายตาอิมหลุกหลิกสลับมองหน้าผมกับอีกคนอย่างลนลาน

“เดี๋ยวไอ้เบสกูพิมพ์บอกมึงไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าให้กลับ...”

“กูก็พิมพ์บอกมึงแล้วเหมือนกัน ว่ากูรอได้”

“...” เถียงไม่ออกตั้งแต่ห่างจากห้องสโมฯมาอิมแทบไม่มีเวลามองหน้าจอโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรกับคำตอบของพี่เบสกัน

“มึงจะกลับกับใคร” เสียงพี่เบสเอ่ยเหมือนถามความต้องการ แต่ใบหน้าเหี้ยมเกรียมเหมือนบังคับกลายๆ

“ก็ต้องกลับกับม...”

“พี่อิมผมเจ็บขา” ขยับแขนเข้าพาดบ่าร่างตรงหน้ากะทันหัน อิมถึงกับสะดุ้งกับเสียงออดอ้อนตีนชวนคลื่นเหียนของเด็กโข่งเกรท “วันนี้อิมสัญญาว่าจะทำแผลให้เสร็จจนไปส่งผมถึงที่หอนี่หน่า”

“มึงอย่ามาสำออย” แรงหนักๆกระชากแขนผมออกจากไหล่อิม ความจริงคือไม่สะดุ้งสะเทือน แต่ร่างทั้งร่างกลับร่วงลงกระแทกพื้นเสียงดัง อิมแทบทรุดลงมาเกาะแขนดูอาการผม

“เชี่ยเบส ทำอะไรวะ น้องมันเจ็บอยู่นะเว้ย!” ร่างสูงใหญ่โดนตำหนิหน้าซีดด้วยความตกใจ อิมพยายามพยุงผมขึ้นด้วยความทุลักทุเล เสียงแผ่วเบาเจือด้วยความเป็นห่วงถามกระซิบ “ยืนไหวมั้ย”

“ไหวครับ พี่อิมกลับไปกับพี่เบสเถอะ”

“อิมเลิกยุ่งกับมันเถอะ กลับกัน” พี่เบสเร่ง

“มึงกลับไปก่อน”

“ฮะ?”

“กูจะไปส่งน้องเขา ต้าเอาของเกรทมานี่” น้องสาวยื่นของที่ฝากไว้ในมืออย่างรู้งาน ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศโดยรอบ อิมหันหลังให้พี่เบสโดยประคองผมเดินกระเตงออกมาอย่างไม่สนใจสิ่งใดอีก









“ไหวมั้ย” ผมเอาแต่จ้องใบหน้าด้านข้างอย่างเผลอไผล จนสองสายตาสบปะทะกันยามเสียงละมุนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง อิมรีบหลบหันมองทางอื่นแก้เก้อ แสงไฟสลัวตัดความมืดมิดยามพระอาทิตย์ตกดิน เสียงรถผ่านไปมาประปรายบางตา ดูเหมือนนักศึกษาจะเริ่มกลับบ้านกันไปหมดแล้ว

“ไม่มีมอเตอร์ไซต์รับจ้างเลย คุณมีเบอร์แท็กซี่มั้ยจะได้โทรเรียกเข้ามารับ ขาคุณแบบนี้เดินไปไม่ถึงหอหรอก” อิมไม่ยอมหันหน้ามาอีกเลย ทิ้งเส้นผมนิ่มกับหัวทุยๆไว้ด้านหลังให้ผมดูเล่น กลิ่นแชมพูจางๆประจำตัวลอยเข้าจมูก ผมเผลอแนบจมูกสูดดมอย่างคิดถึง

“ทำอะไรน่ะ” เจ้าตัวหันมาพอดี โน้มน้าวตัวออกห่าง ใจแอบนึกเสียดายแกมน้อยใจราวกับโดนใครบางคนรังเกียจ

“ผมอิมหอม...ผมแค่เผลอ” ท่องไว้เดี๋ยวไก่ตื่น จำไว้ดิวะเกรท

“ผมไม่ได้ใช้ซันซิลนะ มันคงไม่หอมสำหรับคุณหรอก”

“หา?”

“ตกลงคุณมีเบอร์แท็กซี่มั้ย จะได้โทร...”

“รถผมจอดอยู่ตรงโน้น” ชี้คางไปทางที่จอด จากตรงนี้เรียกว่าระยะไม่ได้ไกลแต่ก็ไม่ใกล้

“คุณขับรถเป็นตั้งแต่เมื่อไร” อิมแปลกใจ ในช่วงหนึ่งเดือนผมเห็นว่าพี่เบสไปรับไปส่งอิมตลอด ผมไม่ยอมให้คนช่วงชิงโอกาสไปด้วยเหตุผลที่ว่าขับรถไม่ได้ หรือไม่มีรถใช้แน่ๆ ความพยายามด้วยหลักสูตรเร่งรัดและการสนับสนุนจากพ่อ ตังค์เก็บซึ่งมีไม่เพียงพอจึงถูกเติมเต็มด้วยกองทุนบิดามารดา รู้สึกเหมือนเป็นลูกอกตัญญูกลายๆแต่ถ้าโตขึ้นทำงานเก็บตังค์ได้ผมสัญญาครับว่าจะมาใช้คืน

“ก็ตั้งแต่เดือนก่อน แต่ยังขับไม่แข็งหรอก รออิมมาสอนน่ะ ไปเถอะ” วาดมือลงจากบ่ากระชากแขนเล็กให้เดินไปตามทางเดินมืดๆ แบบตัวปลิวปร๋อ ส่วนคนโดนลากได้แต่มองหน้าสลับกับเท้า

“ด...เดี๋ยวเกรท นี่ขาคุณ!!”

“ขาผมทำไมเหรอ กลับบ้านกันเถอะครับอิม ดึกแล้ว”



...ใช่ครับ ผมสำออยตามที่พี่เบสเขาว่าจริงๆ...



TBC

++++++++++++++++++++++++++++++


ถึงแม้จะยอมรับ แต่ได้เวลารุกๆๆๆ
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสี่(ครั้งที่สอง)...สารภาพซ้อนสารภาพไม่อาจหักล้างกัน P.3 [1310
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-10-2019 00:45:49
 :pig4: :pig4: :pig4:


งั้นจากนี้ก็เป็นเหตุการณ์ย้อนหลังไปเรื่อย ๆ จนถึง 1 ในพาร์ทของเกรทสินะ
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสี่(ครั้งที่สอง)...สารภาพซ้อนสารภาพไม่อาจหักล้างกัน P.3 [1310
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-10-2019 10:04:34
:L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสี่(ครั้งที่สอง)...สารภาพซ้อนสารภาพไม่อาจหักล้างกัน P.3 [1310
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 13-10-2019 15:04:31
อิเกรทมันร้ายมากจ้าคุณผู้ชม :hao3:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสี่(ครั้งที่สอง)...สารภาพซ้อนสารภาพไม่อาจหักล้างกัน P.3 [1310
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 13-10-2019 17:37:24
เด็กมันร้าย,,,
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสี่(ครั้งที่สอง)...สารภาพซ้อนสารภาพไม่อาจหักล้างกัน P.3 [1310
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 13-10-2019 18:59:18
 o13 :katai2-1: o13 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสาม(ครั้งที่สอง)...ย้อนกลับไปเป็นเรา P.3 [19/10/19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 19-10-2019 23:32:09
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบสาม(ครั้งที่สอง)...ย้อนกลับไปเป็นเรา



ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอน่าทุเรศได้มากขนาดนี้เลยโว้ยยยยยยยยยยย



กับแค่คนเก่าคนแก่ วัวเคยค้ามาเคยขี่ลากไปกลางลานเปิดใจแค่นี้ ผมก็ร้องไห้เป็นเผาเต่าเพราะกลัวเขาจะบอกเลิกแสกหน้ากลางลานแล้ว เชี่ยอิม มึงเป็นอะไรวะ กับตอนเบสน้ำตาลูกผู้ชายมึงยังไม่ไหลตอนที่รู้ว่าเพื่อนคนสนิทที่คิดอยากรู้ใจมีแฟนเลย เหตุผลมันมีอย่างเดียวแหละ มันอยู่ที่คนตรงหน้า คนที่กำลังลากผมอยู่ตอนนี้ไง

เบื้องหน้ามีแต่ภาพแผ่นหลังกว้างพาผมเดินท่อมๆมาตรงกลางลานจอดรถ ผมเหลือบซ้ายมองขวา เอายังไงดีสะบัดแขนแล้ววิ่งหนีเลยดีมั้ย พอตั้งใจนับหนึ่งสองสาม เชี่ยแม่ง ของบางอย่างที่ทำให้ผมแทบสติหลุด

“จริงป่ะเนี่ย”

อุทานอย่างลืมตัว ขาสองข้างเปลี่ยนก้าวขึ้นหน้าลากคนจับข้อมือออกเดินแทน ไม่อยากจะเชื่อเลย ไอ้สิ่งที่ผมพูดคุยพร่ำบ่นกระปอดกระแปดว่าอยากได้อยากขับมันนักหนากลับมาปรากฏตรงหน้า

รถออกแนวสปอร์ตกึ่งคูเป้ คันค่อนไปทางอีโก้คาร์ที่เคยเอาแต่นั่งเปิดตารางราคาผ่อนดูอยู่ทุกวี่ทุกวัน แล้วภาวนาว่าถ้าทำงานหาตังค์ได้จะซื้อ กลับมาอยู่ตรงนี้ หรือว่า...

“นี่คุณซื้อคันนี้เหรอ” เกรทยิ้มๆมองจับผิดท่าที จนผมต้องกระแอมไอสำรวมอาการ ฝืนยืนหน้านิ่งอยู่ตรงนั้น “เออ พามาส่งถึงรถแล้ว ก็รีบกลับหอดิ”

“อิมก็ขึ้นรถสิ”

“ขึ้นทำไม ผมแค่มาส่ง”

“แต่ผมเจ็บขา”

“ตัดให้หมามันไปแดกเลยมั้ยล่ะ มีไว้ก็ไร้ประโยชน์น่ะ”

“ใจร้ายจังตั้งแต่เลิกกัน”

“ผมมันใจร้ายมาตั้งแต่ต้นแล้ว แค่คุณไม่รู้เท่านั้นแหละ”

“อยากรู้จักครับ”

“หา?”

“อยากรู้จักคนที่ชื่ออิมเมจให้มากกว่านี้” ต้องรีบประคองหนังสือในมือไว้ เพราะเกือบทำมันตก เฮ้ยนี่มันหนังสือเกรทนี่หว่า

“อ่ะ คุณเอาคืนไปแล้วรีบกลับบ้านไปได้แล้ว” ดันเจ้าเล่มหนาสี่เหลี่ยมใส่อก เจ้าตัวมองมันอยู่แวบนึงก่อนสายตาวาวโรจน์แบบแปลกๆ อีหยังวะเนี่ย

“โอเคครับ กลับก็กลับ” ของบางอย่างถูกยัดใส่มือ พอแบออกเสียงกรุ๊งกริ๊งของพวงกระดิ่งผูกด้วยเชือกป่านก็ดังขึ้น ผมตื่นตะลึงวิ่งเข้าไปคว้าที่จับประตูซึ่งเกรทพึ่งมุดตัวเข้าไปแทบในทันที ก่อนกระชากเปิดออก

“เกรท นี่มันอะไรของคุณวะ” เจ้าตัวปรายตามองของซึ่งห้อยต่องแต่งอยู่ในมือผม อย่างไม่ทุกข์ร้อนก่อนตอบนิ่งๆ

“กุญแจรถ”

“ให้มาเพื่อ”

“ให้อิมขับ”

...อย่าพูดอย่างนั้น...

“ให้คุณตั้งจิตปณิธานขับไปส่งผมครับ”

...บอกแล้วไงว่าอย่าพูด...

“หรืออิมไม่อยากขับ”

...ใครมันจะไม่อยาก...

“ไม่อยากขับก็ตามใจนะ”

“อยากดิ!!”

“...”

“อยาก อยากมากๆ” น้ำตาผมคลอแล้ว โดนล่อด้วยของชอบแบบนี้ไอ้เด็กนี่มันใจร้ายสุดๆ รอยยิ้มหล่อเหลาปนเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นเต็มใบหน้า

“อยากก็ขึ้นมาสิครับ”

ไม่ต้องรอให้เกรทกระตุ้นเป็นคำรบสอง ผมเดินอ้อมโดดผลุงขึ้นนั่งฝั่งคนขับในบัดดล ประตูปิดลงฉับ จังหวะนั้นในรถอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความเงียบ

สติ!!อิมสติ!! นี่มึงก้าวขึ้นรถคนที่วิ่งหนีมาตลอดเดือนกว่าเพื่อ!!

อึดอัดจนหูอื้อตามัว นิ้วมือเคลื่อนกดปุ่มสตาร์ทโดยหวังให้เสียงเครื่องยนต์ทำงาน ดังตัดบรรยากาศหายใจติดขัดนี้ไปได้บ้าง

“เอาคืนไป” ในมือเขวี้ยงของที่ไม่สมควรถือ มุ่งหมายให้ลงตักอีกฝ่าย กลับพลาดกระเด้งลงพื้นรถข้างคนขับเสียได้ “เฮ้ยๆๆ รับดีดีดิวะคุณ” เหมือนปฏิกิริยาตอบรับมันพาให้คนตัวสูงโค้งตัวโดยฉับพลันแล้วสิ่งที่ตามมานั้น

โป๊ก!!

เห็นดาวล่ะครับงานนี้ เสียงดังลั่นทุ่งเหมือนใครเอาของหนักๆไปทุบกับคอนโซลรถด้วยความเกรี้ยวกราด เกรทถึงกับตัวงอกุมหัวเป็นกุ้ง

“เฮ้ย คุณ เป็นอะไรรึเปล่า” ตกใจว่ะ แต่ก็อดขำไม่ได้เมื่อเห็นสภาพ ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ “หึ...ค...ใครใช้ให้คุณนั่งอยู่ตั้งนานไม่ยอมปรับเบาะเนี่ย

“หา?” เกรทผุดตัวขึ้นโวยเสียงดัง พอเห็นใบหน้าเท่านั้นแหละ โอ๊ยสงสาร

“หัวโนเลย” ผมหลุดก๊าก สภาพตอนนี้อย่าว่าแต่พระเอกละครเวทีเลย ไหนจะรอยช้ำ ปากแตก หัวโน ความหล่อหายลงไปกว่าครึ่ง หยุดๆหยุดหัวเราะ คนโบราณว่าไม้ล้มอย่าซ้ำ ต้องชี้นำให้ดีขึ้นสิ “ปรับเบาะสิคุณ ปรับเบาะ”

เกรทหมุนรอบตัวหา ดูเก้กังขั้นสุด จนผมทนไม่ไหวดันตัวเขาให้หลังพิงเบาะ ใช้หลังมือตีปลีน่องให้หลบก่อนดึงก้านเหล็กเบาๆ

“เฮ้ย!!” ไอ้เหี้ย แขนดันอกอีกฝ่ายแรงไปหน่อยจนไถลออกด้านหลังจนสุด หน้าทิ่มพรวดลงต้นขาใต้ผืนผ้ากางเกงสีดำแบบไม่ปรึกษากูสักคำ ตอนจมูกได้กลิ่นอายจากน้ำยาปรับผ้านุ่ม แนบชิดสัมผัสต้นขาของอีกฝ่าย

“อิม” เสียงทุ้มเรียกผมเหมือนฉุดสติ รีบยันแขนกับขาของอีกฝ่ายขึ้นนั่ง

“ข...ขอโทษ กะแรงไม่ถูก”

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเบามือกับน้องผมด้วยได้มั้ย” สองสายตาประสานมองไปยังทางเดียวกัน แค่นั้นผมแทบกรี๊ด มือชักกลับราวกับโดนของร้อน

ไอ้เหี้ย มือเกือบโดน มือเกือบโดน มือเกือบโดน โว้ยยยย เกือบลูบโดนเกรทน้อยแล้วไง!!

“อีกนิดมีจุกนะครับ”

“ข...ขอโทษ”

“เล่นแบบนี้คิดอะไรรึเปล่า”

“ก...ก็บอกว่าขอโทษไง”

“ทีหลังเล็งให้มันแม่นๆกว่านี้ได้มั้ยครับ”

“แล้วใครบอกว่าผมอยากจะจับเกรทน้อยกันล่ะวะฮะ!!”

กรุ๊งกริ้ง~~

เจ้ากระพรวนสีทองวาวมาห้อยต่องแต่งอยู่ตรงหน้า แถมถูกสั่นแหย่อารมณ์ไปมาอีก

“ผมหมายถึงเรื่องโยนกุญแจต่างหาก อิมคิดไปถึงอะไร” โว้ยยยยอยากฆ่าคน! ผมไม่ได้คิดว่าอยากจะจับตัวเดียวอันเดียวในโลกของมันซะหน่อยโว้ยยยย มือนี่แทบขยับไปบีบคอแกร่งแล้วเขย่าไปมาให้หัวหลุดจากบ่ากว้างๆนั้นเลย

“เลื่อนเบาะดีดีแล้วกลับกันได้แล้ว” อารมณ์เสียแบบอาภาภรณ์ นครปฐม จึงกดปุ่มเปิดเครื่องปรับอากาศไล่ความหงุดหงิดหัวร้อนให้คลี่คลาย ดึงสายจะคาดเบลล์หากแต่เงาร่างสูงใหญ่กลับขวางไว้จนผมสะดุ้งหลังพิงพนัก แขนแกร่งข้างหนึ่งโอบเบาะ ส่วนอีกข้างอ้อมมาจับบางอย่างข้างเก้าอี้ เกรทเหมือนจงใจหันมาเผชิญหน้า ริมฝีปากได้รูปห่างปลายคางไปไม่กี่เซนต์

จนกระทั่งร่างเอนไหววืบหงายหลังกะทันหัน สารร่างหนักๆกระแทกเข้าอกเต็มกำลัง ถึงได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

“อึก!” หัวเกรทโหม่งลงคาอก ส่วนทางนี้แทบหยุดหายใจ เบิกตาค้าง เหมือนกำลังร่วงจากเครื่องเล่นผาดโผนอันใหม่ ไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่าจะปล่อยตก

เชี่ย! วันนี้มันวันเล่นเบาะรถเจ็ทโคลสเตอร์ หรือไวกิ้งพนักพิงหรือไงวะ ทำไมผลัดกันเอนผลักกันล้มใส่กันขนาดนี้ เกรทที่นอนหน้าทิ่มอยู่กับอก ยังทรงตัวลุกขึ้นไม่ถูกหลัก หมุนหัวมาสบตาในระยะประชิด ส่วนผมได้แต่กะพริบตาปริบๆทำตัวไม่ถูกจ้องสู้

“โทษครับ”

“เล่นอะไรวะ”

“กะว่าจะปรับเบาะให้ เห็นแขนอิมห่าง”

“งั้นก็บอกกันก่อนดิ”

“ขอโทษครับ ตกใจเหรอ”

“อ...เออดิวะ”

“มิน่าล่ะใจเต้นแรงเชียว”

“...”

“...”

รู้สึกแหม่งๆ ไม่ใช่ ที่ใจมันเต้นแรงไม่ใช่เพราะตกใจ แต่ใจมันเต้นตึกหนักๆเพราะใครบางคนที่นอนทับอกผมอยู่ต่างหากเล่า!! แล้วใครใช้ให้เล่นตลกเอาหูมากกที่หน้าอกข้างซ้ายแนบกับหัวใจผมได้วะ!

“เอาถึงเช้าเลยมั้ย”

“หา?”

“ผมถามคุณ จะนอนท่านี้ไปถึงเช้าเลยมั้ย”

“ถ้าอิมให้”

ร่ำเรียนมาจากไหนไอ้สกิลออดอ้อนพูดจาอ่อนหวาน กับสายตาหยาดเยิ้มปานหยดน้ำผึ้งเนี่ย ถ้าจำไม่ผิดคลับคล้ายคลับคลาว่าพักหลังก่อนจะเลิกคบกันเจ้าตัวก็อาการหนักประมาณนึง แต่ไม่ถึงขั้นนี้นี่หน่า

“เกรท ถ้าคุณง่วงก็รีบกลับไปนอนที่หอ”

“ยังไม่ง่วงครับ”

“คุณจะเอายังไงกันแน่วะ เจ็บตัวแทนที่จะรีบกลับไปพักผ่อน”

“เป็นห่วงผมเหรอ”

หนึ่งคำถามสะท้านไปถึงทรวง ถ้าบอกว่าเป็นห่วง เป็นห่วงมากๆมันก็คงจะเกินคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง แอบสะท้อนใจกับสถานะใหม่ที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง เมื่อกี้ที่เขากล่าวกลางลานอาจจะเป็นเพราะไหลไปตามน้ำ ตามบทที่ยัยต้าเพื่อนน้องสาวผมเป็นคนส่งก็ได้

แต่เอาให้จริง เรื่องนี้ผมไม่อยากเป็นคนปากไม่ตรงกับใจ

“เป็นห่วงสิ”

“...”

ทอดสายตามองคนอายุน้อยกว่าปิดปากเงียบ มองรอยช้ำซึ่งไม่ได้ดูแย่แต่ก็ใจไม่ดีเอาเสียเลยทุกครั้งที่ผ่านตา ไม่อยากให้คนตรงหน้าต้องเจ็บตัวซ้ำๆ

“รีบกลับไปนอนได้แล้ว พักผ่อนเยอะๆ แผลจะได้หายไวไว” ต้องใช้ความพยายามขนาดไหนในการเกร็งกล้ามเนื้อท้อง โยกที่ปรับเบาะดันตัวขึ้นด้วยท่าทีเก้กัง เกรทยังคงเงียบอาจจะนึกเสียใจที่ไม่ควรมาเล่นอะไรแบบนี้กับผม พลาดที่คนเลิกห่างร้างราไม่ยอมปฏิเสธทางวาจาเพื่อตัดสัมพันธ์

“อย่าทำให้ผมหลงพี่ไปมากกว่านี้เลย”

“หา?” เสียงดังแผ่ว เกินกว่าจะจับใจความได้ทั้งหมด ไม่สำคัญ ช่างมันเถอะ วันนี้ขับไปส่งถึงหอก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไร นิเทศศาสตร์ก็ใช่ว่าใกล้กับคณะผม พอคิดได้สองมือจึงจับสายเข็มขัดนิรภัยตั้งใจจะคาด หากมือใหญ่กลับฉวยไปไว้ในมือ ใบหน้าราวกับเด็กขี้งอนชอบทำปากงุ้มปรากฏในครรลองสายตา

“ผมคาดให้”

“ผมคาดเองได้ ไม่ใช่เด็กๆซะหน่อย”

“ทีตอนนั้นอิมยังคาดให้ผมเลย”

“หืม?ตอนนั้น ตอนนะ...”

แกร๊ก!

เสียงเหล็กลงล็อกดังแว่วกะทันหัน จังหวะนั้นหมุนหัวไปสนใจต้นเสียงโดยไม่ทันเมียงมองคนใกล้ตัว วืบหนึ่งรู้สึกบางอย่างที่นุ่มหยุ่นมาแตะแนบ ก่อนถอยห่างอย่างไวราวกับงูฉก ผมเบิกตาโพลงด้วยความงงงวย ไม่อาจนึกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเพียงความรู้สึกอุ่นร้อนที่ยังประทับตราตรึงตรงจุดนั้น ใบหน้าร่างสูงอยู่โคตรใกล้

“เกรท...เมื่อกี้คุณ”

“ครับ” เจ้าตัวยิ้มเบาๆ หน้านิ่งไร้พิรุธเสียยิ่งกว่าอะไร หรือเมื่อกี้ผมคิดไปเองคนเดียววะ “มีอะไรรึเปล่าครับ?”

“เปล่า” ถามไปก็คงไม่ได้คำตอบ

“นึกออกรึยังครับว่าตอนไหน”

“หา?”

“วันนั้นที่อิมเอาหน้าเข้ามาใกล้ผมแบบเนี๊ยะ” เริ่มนึกคุ้นขึ้นมาแล้ว ราวกับเกรทกำลังจำลองเหตุการณ์เสมือน วันนั้นคงเป็นวันที่ผมขับรถพ่อไปส่งเจ้าตัวที่หอ

“...”

“ทำไปเพื่ออะไรครับ”

“ทำไปเพื่ออะไร...ผมก็แค่...”

“เพราะอยากจะลองใจผมใช่มั้ย” จะมีใครรู้ดีไปกว่านายคิรากรได้อีกล่ะ ไม่มีแล้ว ตอนนี้รู้ทั้งแผนการที่ลากเจ้าตัวไปหาใยไหมในวันหลังฝนตก รู้ทั้งตอนขึ้นรถคาดเข็มขัดนิรภัยให้เด็กน้อย ที่ไม่รู้อาจจะมีอยู่อย่าง...

“ถ้าบอกว่าใช่...”

“ตอนนั้นผมเกือบจูบอิม”

“...!”

“ถ้าอิมไม่ถอยไปก่อน” ร่างสูงแย้มริมฝีปากได้รูป ใช้ลิ้นตนเองแลบเลียไล่ความแห้งผากเบาๆ ภาพนั้นแทบทำให้ผมต้องกลืนน้ำลาย

“เก็บไว้ให้คนที่คุณรักเถอะ” ผมดันให้เกรทกลับไปที่เบาะ คราวนี้คนเป็นน้องยอมเลิกราอย่างว่าง่ายเกินคาด ย้ายสารร่างสูงใหญ่มารัดเข็มขัดนิรภัยอยู่กับที่ ก่อนนั่งนิ่งไม่ไหวติง ออกจะงงอยู่สักนิดกับท่าทีซึ่งผิดแผกจากเดิมราวฟ้ากับเหว ถ้าบอกว่าเกรทเป็นไบโพล่าผมนี่จะเชื่อเอาเสียตอนนี้

มีเพียงลมของเครื่องปรับอากาศที่พัดหึ่งๆเป็นเพื่อน เริ่มอึดอัดพิกลจนต้องหันไปมอง

“ผมบอกให้คุณเก็บไว้ให้คนที่รัก ไม่ได้บอกให้กลับไปนั่งเป็นคนใบ้”

“ผมไม่ได้ใบ้ แต่ผมกำลังห้ามใจไม่ให้จูบคนที่รักจนปากเบิร์นคารถคันแรกของตัวเองอยู่ครับ”

“...!”

พูดไม่ออก ไม่อยากเรียนการเชื่อมความใหม่ บอกไม่ให้จูบคนที่รักแล้วมันมาโยงกับบนรถคันแรกได้ไง แล้วตอนนี้มันจะมีใครนอกจากผมที่นั่งโง่อยู่บนรถคันนี้เล่า

ใจสั่งเหยียบเบรกโยกคันเกียร์มาตัวดี แล้วขยับตีนไปที่คันเร่งทันใด

“ก...กลับบ้าน กลับบ้าน”

“ครับ กลับบ้าน”

หืม? ผมหันไปมองใบหน้าหล่อเหลาเปื้อนรอยช้ำ ยอมง่ายๆแล้วเหรอ กว่าจะฟัดเหวี่ยงกับเก้าอี้และเข็มขัดนิรภัยเมื่อกี้ยังยื้อกันแทบตาย แต่ตอนนี้มาทำตัวว่าง่าย นั่งนิ่งกอดกระเป๋าทำหน้าตาใสราวกับคนต่างถิ่นเข้าเมืองมาตื่นแสงไฟยังไงอย่างนั้น ถ้านานกว่านี้อีกนิดผมเกือบคิดเข้าข้างตัวเองแล้วว่า ที่โดนเจ้าตัวดึงเกมไปมาเพราะต้องการอยู่ด้วยกันให้นานๆ

“โอเค กลับบ้าน”

“ใช่ครับ กลับบ้านพวกเรากัน”

ผมเหมือนพลาดที่ลืมฟังประโยคสุดท้ายไป...









“ช่วงนี้กลับกับพี่เบสตลอดเหรอครับ”

ขับออกจากลานจอดรถมาได้เพียงครู่ เบื้องหน้าคนกำลังจะเดินข้ามทางม้าลายเลยต้องหยุดจอด เลยเหมือนปล่อยโอกาสให้ร่างสูงได้เอ่ยบทสนทนาขึ้นมาอีกครั้ง

“อื้อ” ผมตอบแบบไม่ค่อยได้คิด เพราะจิตใจจดจ่ออยู่กับรถคันใหม่ของเกรท ถึงจะเล็กเกินกว่าไซส์เจ้าตัว แต่กลับขับสบายคล่องตัว เวลาเปลี่ยนเลนว่องไวราวกับสั่งได้ ผมชักจะปลื้มแล้วสิ

เท้าค้างอยู่แป้นเบรกยังคงมองหญิงสาวสองคนที่วิ่งกระหืบกระหอบตัดหน้าไป แล้วให้ได้เอะใจนึงถึงยัยต้ากับน้องผม ทำไมวันนี้เพื่อนน้องสาวตัวดีถึงมาโผล่ที่ศูนย์เรียนรวมได้ หรือว่าจะมีนัดกับพี่สิทธิ์ยืมหนังสือนิยายตามเคย

“ทำไมถึงมากลับด้วยกันล่ะครับ เมื่อก่อนเห็นอิมกลับรถไฟฟ้าตลอด แต่นี่เล่นนั่งรถพี่เบสกลับเกือบทุกวัน”

“สัญญากับเขาไว้น่ะ” ผมปล่อยขาให้รถออกตัวต่อ ขับด้วยสปีดที่กำหนดมาจนถึงประตูทางออกมหาวิทยาลัย ช่วงทางเดินที่ขับผ่านมาอาจดูเงียบเหงา แต่ถนนใหญ่กลับพลุกพล่านไม่เบา ผมเหยียบเบรกมองซ้ายมองขวารอให้เจ้าพวกสปีดเร็ววิ่งผ่านหน้าไปก่อน

“สัญญา? สัญญาอะไรครับ”

“ก็สัญญาว่า...” ช่วงจังหวะที่มองซ้ายกะระยะให้พ้นฟุตบาทกลับเห็นสายตาคมจดจ้องมาแบบโคตรตั้งใจฟัง มันแปลกพิลึก “ทำไมต้องสนใจขนาดนั้น แล้วก็ทำอย่างกับมาเฝ้าดูผมอยู่ตลอดน่ะ ทำไมถึงรู้ว่าผมกลับกับเบสทุกวัน” ต้องใช่แน่ๆ คนที่ผมเห็นวันนั้นคือเกรท ไม่งั้นเบสคงไม่มีอารมณ์เกรี้ยวกราดหัวเสียได้มากขนาดนั้นหรอก

“ถ้าไม่ให้สนใจตั้งแต่พรุ่งนี้ไปอิมต้องกลับกับผม”

“แล้วทำไมตั้งแต่พรุ่งนี้ไปผมต้องกลับกับคุณด้วยล่ะครับ ช่วยเล่าความสมเหตุสมผลให้ผมฟังหน่อยคุณคิรากร” คันเร่งเริ่มเหยียบแรงขึ้นเพื่อพุ่งตัวออกไป

“ผมยังขับไม่แข็ง”

“เหตุผลนี้ไม่ผ่าน ถ้าตราบใดที่คุณให้ผมขับตราบนั้นคุณก็ยังขับไม่แข็งอยู่ดี”

“ผมเจ็บเท้า”

“ผมเกิดมาเพื่อเป็นสารถีของคุณหรือไง เจ็บเท้าก็หยุดไป รอหายแล้วค่อยมา”

“ผมอยากกลับกับพี่”

“...!”

“เหตุผลแค่นี้ พอมั้ยครับ”

เกรทเรียกผมว่าอิมจนชินพอมาเจอดาเมจแววตาใสซื่อ และบทบาทอ้อนตีนของอดีตดาราเด็กผมเลยไปต่อไม่ถูก ปล่อยให้หน้าเห่อร้อนอย่างไร้สาเหตุต่อ

ปี๊นๆๆ

“อิม ไฟเขียวแล้ว”

“อะ...อื้อ”

ใจมันเหยียบเบรกห้ามล้ออยู่ มาบอกว่าไฟขงไฟเขียว ยังไม่ทันได้เตรียมตัวก็ต้องพุ่งไปด้านหน้าด้วยอาการเตลิด

“ตกลงอิมสัญญาอะไรกับพี่เบสไว้”

“บ...เบสมันบอกว่าถ้าปฏิเสธก็ขอแลกกับการกลับด้วย” สมาธิ ผมไม่มีสมาธิจริงๆนะระหว่างขับรถ เวลาโดนถามอะไรมักจะเผลอตอบไปแบบปกปิดไม่หมด

“ปฏิเสธ? ปฏิเสธอะไรครับ”

เอี๊ยดดดดดด!

เบรกหน้าทิ่ม ผู้โดยสารถึงกับตกใจเอามือยันคอนโซลรถ

“อิมเป็นอะ...”

“ถ...ถึงหอคุณแล้ว” ขอบคุณสวรรค์จริงๆที่หอไอ้ดารามันอยู่ใกล้ ไม่งั้นคงโดนสอบสวนไปถึงไหนต่อไหน เกรทกวาดตามองโดยรอบ เหมือนแปลกใจว่าทำไมมาถึงหอเร็วเกินคาด แตกต่างจากผมที่รีบเข้าเกียร์จอดปลดเข็มขัดนิรภัยเปิดประตูได้ก็กล่าวคำลา “ผมกลับก่อนนะ”

แค่ขับจอดอีกฝ่ายคงมีปัญญา ไม่ต้องมาลำบากผมแล้วล่ะ เหมือนจะได้ยินเสียงเปิดปิดประตูไล่จากด้านหลัง แต่คนออกตัวสตาร์ทก่อนย่อมได้เปรียบ

ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาจนถึงป้ายรถเมล์ใกล้สุด นับเป็นโชคดีที่ไม่ต้องรอนานเพราะสายผ่านสถานีรถไฟฟ้ากำลังตะบึงห้อมาทางนี้ แต่สภาพดำทะมึนที่มองทะลุไม่ถึงท้ายรถ เห็นแล้วมันหวั่นๆจนใจอยากร้องตะโกนให้ก้องดัง ว่าทำไมตรูต้องมาเจอสงครามปลากระป๋องอีกแล้วฟระเนี่ย พอรถใหญ่จอดเปิดประตูคนแม่งแทบหลุดกรูกับออกมา

เชร้ดดดดดยัดไปได้ไงวะ

“ขึ้นเลยครับ ขึ้นเลย ไวไวเลยพี่” แต่ตอนนี้กูอยากกินมาม่า~

ฝืนถีบตัวเองขึ้นเบียดเสียดกับผู้คนจนเข้าอาณาเขตตัวรถ พนักงานเก็บสตางค์เอาแต่ตะโกนสั่งให้ชิดใน มึงดูบ้างมั้ยว่าข้างในมีรูให้กูชิดด้วยรึเปล่า นับว่ายังดีที่มีคนวิ่งขึ้นต่อหลังเลยโดนดันเบียดเข้าอัตโนมัติ ไม่เสี่ยงต่อการโดนจิกกัดว่าไม่ให้ความร่วมมือ

เสียงเหล็กแช่บๆ ค่อยๆดังไล่จากด้านหลัง โล่งใจฉับพลันเพราะวิ่งแบบไม่ทันเตรียมสตางค์ไว้ล่วงหน้า เดี๋ยวได้มีพนักงานมันด่ารอบสองว่าทำไมไม่เตรียมตังค์ก่อนขึ้นรถ ผมคลำมือตั้งใจคว้ากระเป๋าสะพายข้าง แต่บางอย่างทำให้ผมใจหาย

...ไอ้เหี้ย...กระเป๋า!! กระเป๋าสะพายข้างหายไปไหนวะ!!...

หมุนรอบตัวมองหาจนเกือบโดนคนแวดล้อมด่าว่าเบียดมาทำไม ชะโงกหน้ากวาดตาไปตามพื้นเผื่อว่าจะเผลอไผลตกไประหว่างเบียดผู้คนเข้ามา แต่กลับหาไม่เจอเลยสักนิด ฉิบหาย แล้วกูจะเอาอะไรจ่ายเขา ที่สำคัญผมเผลอทำกระเป๋าตกไปตอนไหน ข้างในมีแต่ของสำคัญ ไหนจะโทรศัพท์ มือถือ กระเป๋าสตางค์ อีกทั้งบัตรต่างๆนานา

แช่บแช่บแช่บ!!

เหี้ยมาถึงมาแล้ว! ผมหมุนตัวขวับหันหลังใส่กระเป๋ารถเมล์ งานนี้คงต้องเนียนปั้นหน้าแบบว่ากูจ่ายตังค์แล้วเท่านั้น

“ขึ้นใหม่ ส่งด้วยคร้าบ”

ผมขึ้นเก่าคร้าบ ขึ้นมานานสองนาทีแล้ว อย่าสังเกตเห็นกูเลยน้า

“พี่ขึ้นใหม่ป่ะเนี่ย ส่งด้วย”

ฉิบหาย!! ทำไมไม่มองผ่านตูไปเนี่ย!! พยายามโหนราวก็ว่าแย่อยู่แล้ว ยังต้องเบนหัวไปทางอื่นหลบสายตากระเป๋ารถเมล์ ส่วนคนขับก็เสี่ยโก๋มาเองเหยียบคันเร่งไปตามอารมณ์เพลงที่เปิด เพลินจนบางครั้งเบรกกะทันหันจนตัวโก่ง ทรมานร่างกายฉิบหายวายวอดเลยเว้ย!

“พี่คร้าบ ขึ้นใหม่ส่งด้วยน้า” จะถามถี่ขนาดนี้เอ็งอัดเสียงแล้วเปิดเป็นวีดิโอวนซ้ำให้มันรู้แล้วรู้รอดเลยเหอะ! “พี่คนนั้นน่ะ”

เฮือก!! สะดุ้งในจังหวะเดียวกับรถเบรก มือพลาดปล่อยหลุดจากราวจับตัวเซไปด้านหน้า งานนี้ไม่เหยียบตีนคนแวดล้อมจนโดนด่า ก็คงหน้าทิ่มพื้นเป็นแน่!!

หมับ!!

แต่แล้วบางอย่างกลับทำให้ประหลาดใจ ทั้งตัวไม่ล้มเอนเป็นพินลูกโบว์ลิ่งระเนระนาด แถมยังมีใครบางคนจับต้นแขนพยุงไว้แน่น

“พี่ครับ จะจ่ายป่ะ”

“บีทีเอสสองคนครับ”

เสียงทุ้มนุ่มหูดังข้ามหัวไป เป๋ารถเมล์ตะโกนบอกราคาสี่สิบบาทก่อนฉีกตั๋วยื่นส่งให้ คนจ่ายตังค์รับมันมาไว้ในมือ แล้วหันไปตอแยคนอื่นต่อ

บ้าน่ะ เป็นไปไม่ได้...ต้องเป็นคนอื่นที่บังเอิญไปบีทีเอสขึ้นมาพร้อมกันสองคนแน่ๆ

“ก็ดีเหมือนกัน ยืนเกาะผมไปแบบนี้ ไม่ต้องโหนราวก็ได้” เป็นความจริงที่ไม่อยากรับรู้ แต่ถ้าไม่เงยหัวไปดูก็ไม่อาจรู้ถึงความเป็นจริง ผมชักหน้าขึ้นมอง และก็เป็นอย่างที่คิดไว้

“มาได้ไง”

“วิ่งตามมาครับ”

“ผมหมายความว่าทำไมต้องตามมาด้วย”

“ตามคนเอ๋อ คนเซ่อซ่ามา”

“ใคร?”

“เขียนไว้กลางหน้าผากเลยครับ” เจ้าตัวยกบางอย่างที่พาดไหล่โชว์ให้เห็นแวบๆ

“เฮ้ย กระเป๋าผม” มือจะฉวยกลับคืนมาแต่ทว่า

“ไม่ได้”

“เกรท!”

“ของที่ทำตกไว้ไม่มีชื่อเจ้าของ ก็ถือว่าคนเก็บได้เป็นเจ้าของ” เปิดมาดูบัตรประชาชนพิสูจน์เลยมั้ย พี่ไม่เข้าใจน้องเกรทเลยครับ!

“อยากได้ก็เอาไป” ถ้าลงไปได้คงมีแต่ต้องโกโฮมด้วยแท็กซี่แล้วไปเบิกตังค์แม่สินะ ผมยืนคิดแผนการต่อจากนี้ พื้นที่ที่เคยมีราวให้จับมันกลับไม่มีช่องให้แทรกแล้ว เลยมีแต่ต้องรับกรรมยืนตัวลีบไปกับคนข้างหน้า แต่รู้สึกจั๊กกะเดียมแปลกๆคงเป็นแขนที่โอบรอบเอวกระชับเสียดิบดีไม่มีเอนล้มเนี่ยสิ







“บีทีเอสคร้าบบบบ”



เหมือนได้กลับสู่อิสรภาพ หลังจากเบียดบู้บี้เป็นปลากระป๋อง พอแหวกผู้คนลงมาเดินด้านล่างได้เลยสูดอากาศหายใจให้เต็มปอดจนสะลักไอค่อกแค่ก

“คิดไงสูดควันท่อไอเสียเข้าปอดขนาดนั้นเนี่ย” มือใหญ่ลูบหลังผมปอยๆ เหมือนจะช่วยแต่กลับทำให้บริเวณผิวที่ต้องสัมผัสร้อนหนักกว่าเก่า ผมไม่คิดจะตอบอยู่แล้ว เดินสิบก้าวให้ห่างจากป้ายรถเมล์พอเห็นแท็กซี่ป้ายไฟเขียวจึงโบกไม่รีรอ แต่โชคร้ายโบกกี่รายกี่รายก็ไม่มีใครรับ น่าจะเป็นเพราะขากลับไม่คุ้มค่าไม่น่ามีคนเรียกแท็กซี่ล่ะมั้ง

“อิมเรียกแท็กซี่ทำไม” คนด้านหลังถาม หันไปทำตาค้อนขวับ

“ถามมาได้ ไม่มีตังค์วุ้ย!” ตอบรับแบบนี้ อีกฝ่ายมีแต่ยิ้มเหมือนคนบ้า ไปบ้าใกล้ๆตีนผมเลย เดี๋ยวบั๊ด หงุดหงิด กวนส้นว่ะ

“ให้เสี่ยเกรทเลี้ยงมั้ยล่ะ” ร่างสูงยกกระเป๋าสตางค์ชูขึ้นสูงแกว่งไปมาให้ผมเห็น หน้าตาคุ้นๆนะเราเหมือนกระเป๋าตังค์พี่ไม่มีผิด เออ...ของผมเอง ไอ้เด็กเกรทมันกวนประสาท เอามาแกว่งตรงหน้าผม

“ไม่เป็นไรครับที่บ้านมีฐานะ”

“ฐานะ? ฐานะอะไรครับ”

“ยากจน”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” น่าจะชินกับผมมาบ้าง ใช่ว่าช่วงหลังอยู่ด้วยกันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วจะสร้างภาพปั้นหน้านิ่งเป็นสิงห์อิมจอมโหดแบบใครเขาว่ากันได้ เกรทเลยมีโอกาสรู้จักมุมประหลาดของผมอยู่บ้าง

ผมถอนหายใจหนึ่งวืบ ก่อนตั้งหน้าตั้งตาหาแท็กซี่ใจดีไม่มีไปส่งรถต่อ

“เลิกโบกเถอะครับ”

“หรือจะให้ผมโบกหน้าคุณแทนล่ะ”

“เอาสิ ให้โบกด้วยปากนะ”

“ชาติหน้าเหอะ”

“ไป...ไปขึ้นรถไฟฟ้า” เกรทฉวยข้อมือผมไว้ก่อนทันได้โบกคันถัดไป

“ผมไม่มีบัตร”

“อยู่ในมือแล้วไงครับ”

มือ?

มือที่จับประสานกันแนบสนิทมีแผ่นแข็งๆแทรกตรงกลาง นี่ผมต้องเคลียร์ด่านไปเรื่อยๆถึงจะได้ไอเทมกลับบ้านมาหนึ่งอย่างใช่มั้ย

...เมื่อไรจะเกมโอเวอร์วะ...



…TBC…

+++++++++++++++++++++++


จากนี้จะเป็นการรีเทิร์นย้อนกลับไปเรื่อยๆค่ะ ตามชื่อเรื่องเลย
อาจจะมีเอ๊ะ อ๊ะ ตอนไหนหว่าสักเล็กน้อย...ขออภัยถ้าต้องย้อนไปเปิดดูค่า

ใครจะเจ้าเล่ห์กว่ากันระหว่างเกรทกับอิม555
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสาม(ครั้งที่สอง)...ย้อนกลับไปเป็นเรา P.3 [19/10/19]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-10-2019 01:32:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสาม(ครั้งที่สอง)...ย้อนกลับไปเป็นเรา P.3 [19/10/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 21-10-2019 00:55:50
 อ่านมาไม่งงนะ แต่อ่านย้อนกลับนี่แหละจะงงหนักกว่าเดิม555
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสาม(ครั้งที่สอง)...ย้อนกลับไปเป็นเรา P.3 [19/10/19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-10-2019 12:27:26
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสาม(ครั้งที่สอง)...ย้อนกลับไปเป็นเรา P.3 [19/10/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 21-10-2019 17:31:56
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสาม(ครั้งที่สอง)...ย้อนกลับไปเป็นเรา P.3 [19/10/19]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 22-10-2019 22:23:46
งงกับเกรทมากกว่านะ
พฤติกรรมสับสนเกินไป

เดี๋ยวอิม..เดี๋ยวใยไหม
ใครจะไปรู้ ไหนจริงไหนเท็จ

เป็นเรา..เราก็ไม่กล้าไว้วางใจ
จะให้แน่ใจ..ก็ลำบากเกิ๊นนนน
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสาม(ครั้งที่สอง)...ย้อนกลับไปเป็นเรา P.3 [19/10/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 24-10-2019 22:53:47
เกรทรุกหนักมากรอบนี้,,,
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสอง(ครั้งที่สอง)...อย่าล้อเล่นกับธาตุแท้ P.4 [26/10/19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 26-10-2019 21:13:06
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบสอง(ครั้งที่สอง)...อย่าล้อเล่นกับธาตุแท้



“สองคนครับ”



ให้มันได้อย่างนี้ดิ...

ผมจ้องหน้าคนที่คว้าแบงก์ยี่สิบจากกระเป๋าตนเองมายื่นส่งให้พนักงานเก็บสตางค์เสื้อสีฟ้า หลังจากผ่านเวลามาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่า เจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าว่าจะคืนกระเป๋าผม

จ้องอยู่นานจนนึกพาลดวงประจำวัน ตั้งแต่บังเอิญเดินเจอเกรทที่กำลังโดนต่อย ก่อนถูกสอยไปยังลานเปิดใจ แล้วไหนจะโดนบังคับให้กลับด้วย แถมยังซวยโดนตัวกั้นสีแดงบนรถไฟฟ้างับตูดเข้าให้อีก จะมีอะไรเลวร้ายไปมากกว่านี้ก็มาดิคร้าบ ผมรออยู่

เจ้าตัวสูงกำลังยัดเงินทอนลงกระเป๋ากางเกงเงยขึ้นมาสบตาด้วยท่าทีฉงน

“คนละสิบบาทครับ อิมไม่ต้องออกก็ได้แค่นี้เอง”

เออ...รู้ว่าสายเปย์ ต่อจากบีทีเอสก็ตามด้วยรถเมล์ เจ้าพ่อตัวดีคนนี้คอยคุมกระเป๋าสะพายผมไม่ได้ห่าง จะแปลกก็ตรงเวลาควักสตางค์แต่ละที มีแต่ดึงออกจากกระเป๋าตนเอง ส่วนกระเป๋าตังค์ผมน่ะเหรอ ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยสักนิด คิดคิดไปก็ไม่ใช่ยินดีหรอกนะ กลัวว่าตอนหลังเจ้าตัวจะมานั่งทวงทั้งต้นทบดอกจนไม่มีปัญญาจ่ายคืนเนี่ยสิ

ในที่สุดรถก็มาจอดป้ายประจำ จะดีหน่อยตรงไม่ต้องตาลีตาเหลือกแทรกตัวออกมา เพราะคนเริ่มบางตาไปบ้างแล้ว

ถือได้ว่าวันนี้กลับดึกกว่าปกติ สังเกตได้จากท้องฟ้าสีน้ำเงินหม่นจางกลายเป็นเทาอ่อน ชำเลืองมองนาฬิกาข้อมือระหว่างเดินเข้าซอยมันระบุว่าขณะนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่าของวัน ผมหยุดเท่าฉับพลันหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับคนที่ตามตูดต้อยๆ

“กลับไปได้แล้ว”

“ไล่อีกแล้ว”

“เดี๋ยวดึก”

“ถ้าดึกก็ไม่ต้องกลับ”

“เกรท”

“พอถึงบ้าน อิมก็จะทิ้งกระเป๋าเลยเหรอ”

ก็ไม่อยากทิ้ง แต่มันมีคนดื้อแพ่งไม่ยอมให้นี่หว่า!

“ตามใจ อยากจะทำอะไรก็เรื่องของคุณ ผมไม่สนแล้ว”

ผมหมุนตัวกลับ โดยมีร่างสูงยิ้มร่าวิ่งมาเสมอเทียบเคียง ต้นแขนของเจ้าตัวชนผมเป็นระยะอย่างไม่ได้ตั้งใจ การกระทำของพวกเราทั้งคู่ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติ ถ้าได้เกิดเป็นผู้หญิงใครคงคิดว่าเป็นแฟน หากเป็นผู้ชายก็ดูคล้ายสนิทกันมากจนเกินความจำเป็น

เรื่องราวในวันนี้แอบมีส่วนคล้ายอดีต มันเป็นวันที่เกรทมาส่งคนป่วยตากฝน ยอมรับน้ำหนักผู้ชายคนหนึ่งให้ยืนซบอก โหนรถเมล์ด้วยมือข้างเดียวมาตลอดทาง พอกลับถึงบ้านเจ้าคนป่วยคนนั้นก็นอนสลบไสลไม่เป็นอันทำอะไร จนกระทั่งจากฤทธิ์ยาแก้แพ้หมด ฟื้นจากความง่วงงุน ร่างกายที่ควรจะเหนอะหนะเหนียวตัวเพราะกรำศึกมาทั้งวันกลับสัมผัสได้แต่ความสบาย ผ้าขนหนูชื้นน้ำเจ้าหลักฐานชิ้นเลิศยังวางพาดหัวเตียงอยู่ใกล้กายอีกฝ่าย เบื้องหน้าของเขามีเพียงแผ่นหลังกว้างที่ยกแขนขึ้นปรามยัยตัวเล็กประจำบ้านไม่ให้เสียงดังสร้างความรำคาญให้อีกคนนึง

ผมแอบมองใบหน้าด้านข้างของร่างสูงที่ก้าวเดินไปด้วยกันอย่างไม่รู้ตัว เคยคิดว่าถ้าเกรทไม่ได้ชอบใยไหมจริง เขากับผมจะลงเอยอย่างไร แต่แล้วก็ต้องไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมอง ก่อนย้อนกลับมายืนยังฐานะเดิมของตน

ตอนนี้เกรทอาจกำลังสับสน คนพลาดหวังจากผู้หญิงที่แอบมองมาโดยตลอด การคว้าจับฟางเส้นสุดท้ายอาจเกิดขึ้นได้ในยามตรรกะผิดเพี้ยน ไม่เปลี่ยนไปจากตอนที่อีกฝ่ายตะโกนใส่ว่าอยากคบกับ ‘พี่อิมเมจ’ ในวันนั้นเลยสักนิด











“แม่ พ่อ”

“กลับมาแล้วเหรอน้องอิม กินข้าวมายัง ทำไมวันนี้กลับ...” คนเป็นแม่ชะงักเมื่อเห็นแขกตัวสูงเดินเข้าบ้าน เกรทยกมือไหว้ ก้มโค้งอย่างมีมารยาทด้วยท่วงท่าสง่างาม เสร็จจึงโยกตัวพนมไปยังคนเป็นพ่อซึ่งกำลังนั่งยกล้อเกาพุงดูข่าวภาคค่ำอย่างเพลิดเพลิน คนเป็นผู้ใหญ่เห็นแค่นั้นก็แทบกระวีกระวาดห้อยตีนลงมาในบัดดล

“สวัสดีครับ คุณน้าคุณอา”

“สวัสดีจ๊ะ” แม่ผมรับไหว้ ส่วนพ่อกลายมานั่งหุบขาเสียเรียบร้อยผิดวิสัย ผมสังเกตเห็นหน้าแม่ดูเจื่อนไป และนึกรู้ในทันทีว่าสายตาบุพการีไปตกที่รอยฟกช้ำดำเขียวบนใบหน้าและมุมปากของร่างสูง “ไปทำอะไรมาเนี่ย ดูสะบักสะบอม อย่าบอกนะว่าเราสองคนทะเลาะกัน”

“เปล่าครับ คุณน้า ไม่ใช่ เออ อันนี้ผมเดินซุ่มซ่ามเอง ไปชนประตูเข้า” เกรทแตะปลายนิ้วที่มุมปากทอดสายตาลงต่ำ คงรู้สึกผิดที่ต้องโกหกพ่อแม่ผม โอเค ประตูมันมีมือครับแม่ ชนทีได้รอยที่ปากกับโหนกแก้มมาเน้นๆเลย เชื่อก็บ้าแล้ว โกหกยังไงให้ไม่เนียน เอากับคุณคิรากรสิ เรื่องแบบนี้ใครมันจะไป...

“โถโถ ตายจริง ใครเป็นคนออกแบบประตูเนี่ย เดี๋ยวแม่เขียนจดหมายส่งเรื่องไปร้องเรียน” เฮ้ยแม่กูเชื่อว่ะ ผมหันไปเจอกับสายตาแม่ เธอกำลังหรี่ตามองมา ที่แท้มารดากำลังตามน้ำ ไม่อยากให้เรื่องมันกระโตกกระตากถึงพ่อผม “แล้วอย่างนี้งานแสดงทำยังไงล่ะ ไม่เป็นอะไรเหรอ” เกรทแปลกใจเบิกตาวูบนึง รอยยิ้มละมุนผุดขึ้นมาฉับพลัน

“คุณน้าได้ดูด้วยเหรอครับ”

“แหม เปิดถี่จะตาย เปลี่ยนไปช่องไหนก็เจอ อย่างกับบังคับดู” เกรทขำเบา

“ผมถ่ายแค่ตัวนั้นแหละครับ หลังจากนั้นคงไม่มีอีกแล้ว แล้วอีกอย่างอิมก็ทำแผลให้ผมแล้ว” จบประโยคชายตามองมาทางนี้เฉย ผมได้แต่สะดุ้งตัวหลบสายตา

“แค่ก!” เสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง พ่อผมไอ ยกกำปั้นขึ้นป้องปากเป็นการใหญ่ น้ำลายติดคอเหรอไง เล่นไอไม่หยุดจนดังลั่นบ้าน แถมยังทำตาเกร็งตาเขียวมาทางนี้อีก เฮ้ยดูท่าไม่ดีแฮะ จะรีบเดินเข้าไปดูอาการผมกลับโดนแม่คว้าแขนไว้ก่อน

“แม่ พ่อเขา”

“ไม่เป็นหรอกน่า พ่อแกแค่เจอคำเรียกไม่คุ้นน่ะ เลยเกิดอาการหวงลูก ช่างเขาเถอะ”

“หา?”

“ไปๆ ไปพักผ่อนตามอัธยาศัยกันในห้องก่อน เราสองคนกินข้าวมารึยังล่ะ ปากเจ็บอย่างนี้ เดี๋ยวแม่อุ่นแกงจืดให้ แล้วค่อยลงมากิน” แม่พยายามดันหลังให้ผมออกเดิน แวบหนึ่งเห็นเกรทยิ้มเฝื่อนไปทางพ่อพลางยกมือไหว้

ไหว้ทำไม? พ่อผมเป็นหวัด ไหว้เพื่อ? สวดมนต์ให้หายป่วยไวไวเหรอ?









พวกเราขึ้นมาพักที่ห้องระหว่างรอตามคำแนะนำของแม่...ห้องส่วนตัวของผม ร่างสูงเดินเอากระเป๋าสะพายที่รับ ‘ฝาก’ ไว้ไปพาดยังเสาแขวนหมวกแล้วห้อยสัมภาระของตนเองซ้อนทับ ส่วนผมแบตเตอรี่หัวใจติดๆดับๆเลยทิ้งดิ่งลงเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรง

เฮ้อ ทำไมเตียงบ้านตัวเองมันสบายอย่างนี้นะ นุ่มนิ่มซะจนหนังตาหลักใกล้หลับรอมร่อ เสียงเปิดเครื่องปรับอากาศดังแทรกเข้ามา ผมตะแคงหน้าเหลือบตามองร่างสูงที่ยืนเสียบรีโมตเข้ากับผนัง สุดท้ายก็ไม่ยอมกลับจริงๆสินะ

“ไม่ร้อนเหรอครับ” ผมส่ายหัวเบาๆทั้งที่แก้มแนบกับผิวเตียง

“ไม่ถึงขั้นนั้น” ร่างสูงยกแขนจ่อกับช่องแอร์ รับลมที่พัดปลิวลงมา

“เดี๋ยวก็เย็นแล้วครับ ทนอีกนิด” มือใหญ่หยิบพัดที่เสียบตรงกลางกล่องเอกสารเดินเข้ามา ทิ้งตัวลงนั่งขอบเตียงระดับเดียวกับศีรษะ ใช้มือปาดปัดไว้ยังหน้าผากชื้นเหงื่อจางๆอย่างเบามือพลางเริ่มโบกพัดวี ลมเบาๆต้องใบหน้าทำให้ความร้อนบริเวณลำคอเจือจางลง บวกกับแอร์ที่เริ่มทำงานร่างกายจึงรู้สึกสบายตัวขึ้น

“เกรท” ผมผุดตัวลุกขึ้นมานั่งพับขาจ้องหน้าอีกฝ่าย เกรทมีอาการแปลกใจถือพัดค้าง ก่อนเม้มปากเหมือนเตรียมพร้อมฟังสิ่งที่ผมกำลังจะกล่าวต่อ “ผมถามคุณจริงๆเถอะ”

“ครับ” แววกังวลปรากฏในคำตอบรับ

“ทำไมถึงกลับมา”

“ผมไม่เคยหายไป”

“แล้วทำไมคุณถึงยังอยู่”

“เพราะผมรู้แล้ว ว่าผมต้องการอะไร”

“คุณกำลังสับสนใช่มั้ย”

“ถ้าเมื่อก่อนน่ะใช่ แต่ตอนนี้ผมไม่”

“คุณไม่ได้ชอบผมมาตั้งแต่แรก”

“ใช่ครับ” เป็นครั้งแรกที่ความจริงหลุดออกจากปากเกรท ตั้งแต่คบกันไม่เขาไม่เคยเอ่ยบอกเรื่องสำคัญแบบนี้กับผมเลยสักครั้ง มีแต่บิดเบือนเฉไฉไปทางอื่น

“แล้วคุณรู้มั้ยว่าผมก็ไม่เคยชอบคุณมาตั้งแต่แรก”

“เรื่องนั้นผมรู้” ใบหน้าเกรทดูสลดลง เขาก้มหน้าน้อยๆ ว่าแต่เกรทรู้ได้ไง “อิมมีคนที่คบด้วยแล้วเหรอครับ” จู่ๆก็โดนสวนคำถามกลับ ผมถึงกับส่ายหัวหวือปฏิเสธ

“เปล่า จะมีได้ไงล่ะ” ร่างสูงชักหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ

“แล้วพี่เบสล่ะ”

“รายนั้นเขาเกี่ยวอะไร”

“อิมยังไม่มีแฟนใช่มั้ย” ร่างสูงรุกคืบขึ้นเตียง คลานเข่าเข้าใกล้ ผมถึงกับต้องหดคอเอนตัวไปด้านหลังเพื่อถอยให้ห่าง จู่ๆทำไมกลายเป็นผมที่โดนยิงคำถามได้ล่ะ

“ถึงจะไม่ แต่ผมก็ไม่คิดจะกลับไปคบกับคุณหรอกนะ”

ถึงปากเกรทจะบอกว่าไม่สับสน แต่ผมยังคงไม่คิดอาจวางใจได้ ไม่อยากเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายกับความรู้สึกแปลกๆที่ผุดขึ้นมาในสมองยามที่มองเห็นเกรทกับใยไหม แต่พอได้เจออีกฝ่ายเมื่อไรใจนึงมันก็...

“แต่ถ้าคุณกลับมาในฐานะรุ่นน้อง” ผมหลุบตาลง

“...”

“ก็อาจจะยังพอให้ได้”

แวดล้อมดูเงียบไปอึดใจ ทำไม...ไม่ตอบโต้อะไรเลยล่ะ สุดท้ายผมยอมพ่ายต่อความอดทน เงยหน้ามาสบตาเขา เกรทดูมีอาการดีใจไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ผมบอกไม่ถูกว่าเป็นอารมณ์ไหน ชั่วอึดใจมือใหญ่ย้ายมาจับต้นแขนสองข้างของผมกำแน่น

“ระ...รุ่นน้องก็ได้ครับ!!” ผมสะดุ้ง เกรทยื่นหน้ามาตอบแบบไม่รีรอ พอใกล้เข้าหน่อย เลยเอนหลังหงายร่วงลงไปนอนกับเตียงดัง...

ตุบ!

“อ...อิม” เกรทโค้งตัวมาใช้ฝ่ามือสัมผัสขมับข้างศีรษะ ใบหน้าออกแนววิตกกังวล “เป็นอะไรรึเปล่า”

“ป...เป็น...”

“ฮะ? เป็นอะไร ตรงไหน”

“เป็นน้องก็ต้องหัดเรียกพี่สิวะ!” ผมดีดกะโหลกหนาๆไปหนึ่งป๊อก มีอย่างที่ไหน ได้คืบแล้วเอาศอกให้ตายเถอะเด็กนี่ มาโหมดนี้เกรทคงช็อกเพราะนอกจากคนในบ้านผมไม่เคยแสดงให้ใครที่ไหนได้เห็นเลยสักครั้ง

“นี่หรือครับตัวตนอิมเมจตัวจริงที่เขาว่าโหด”

“ถ้าใช่แล้วไง”

“ก็โหดดี” ยังมีน่ามายิ้มอีก

“เห็นตอนแรกอิมบอกว่าจะ ‘สร้างภาพ’ แล้วทำไมอยู่ดีดีถึงแสดงให้ผมเห็นล่ะ” ยัง ยังไม่หยุด ยังเรียกอิมอีก

ไอ้ที่แสดงออกมาให้เห็นน่ะ คือสร้างไม่ไหวแล้วไง อยู่ใกล้กันเกินเหตุ...

“ผมดีใจนะ”

“...”

“ได้เห็นอิมในแบบที่ใครก็ไม่เคยเห็น” ผมขมวดคิ้วมองคนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นี่ดีใจเหรอเนี่ย เกรทนายบ้าไปแล้ว

“งั้นทีหลังก็หัดเผยธาตุแท้ของคุณให้เห็นบ้างดิ แบบชอบพี่ใยไหมคร้าบ ที่ขอพี่อิมเมจคบด้วยก็เพราะกลัวหน้าแตกคร้าบ อะไรแบบนั้นน่ะ” ผมกัดเน้นๆ มาถึงจุดนี้ไม่สนว่าจะแทงใจดำแล้ว ต่างคนต่างไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอีก

“คนชื่ออิมเมจปากร้ายนะครับ” นิ้วเรียวยาวของเกรทยกขึ้นเกลี่ยปอยผมที่โดนลมพัดมาระหน้าผาก ก่อนแตะริมฝีปากผมแล้วจ้องมองมันอย่างหมิ่นเหม่ “ความจริงธาตุแท้ของผมก็เผยให้อิมเห็นเกือบหมดแล้วนะ จะมีก็แต่...”

“ต...แต่อะไร...” ร่างสูงยอมถอยมือออกไปก่อนเผยยิ้มเบาบาง

“ด้านมืดในจิตใจ”

“จะด้านมืดด้านสว่างด้านอะไรแน่จริง ก็มาดิคร้าบ ไม่ได้ดีแต่ขู่” โชว์ไม่กลัว กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่กล้าโชว์ให้เห็นมากกว่า พูดจบใบหน้าเกรทกระตุก เหมือนเสียสมดุลที่โดนท้าทายอำนาจมืด รู้สึกสะใจที่ได้ตอกกลับอีกฝ่ายเสียบ้าง แต่ไม่ทันไรก็เอะใจกับเงามืดที่เคลื่อนคล้อยบังใบหน้า เกรทกระโดดตัวผลุงขึ้นเตียงมาตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจทราบได้ แต่สองแขนแกร่งตอนนี้กำลังยันน้ำหนักคร่อมผมไว้ทั้งตัว

“อิมท้าผมก่อนนะ”

“หา? เออท้าแล้วไง คุณไม่มีทางมาจริงจังกับคำท้าของผมหรอก” ยกมือดันอกอีกฝ่าย ใจลึกๆชักทะแม่งรู้สึกเหมือนเรื่องที่เขาพูดจะไม่ใช่เรื่องที่ผมคิด แต่มาถึงตอนนี้จะตีโพยตีพายกระโดดหนีหายไปจากห้อง มันก็เสียเชิงชายน่าดู แต่อีกใจก็หวั่นๆกลัวว่าเด็กมันจะเอาจริงอยู่ลึกๆ

“ใครว่าผมไม่จริงจัง” เกรทจับข้อมือสองข้างผมไว้

“...”

“เรื่องด้านมืดผมจริงจังเสมอ”

จบคำร่างสูงแหวกแขนแทรกตัวเข้าหา โน้มต่ำเอียงหน้ายื่นริมฝีปากมาแนบประกบ มือสองข้างถูกจับตรึงไว้ข้างตัว สัมผัสอบอุ่นของลมหายใจปะทะสันจมูก ความนุ่มหยุ่นอันแห้งผากเหนี่ยวนำให้กลีบปากแนบติดถูกดึงขึ้นตามการถอนออก เกรททิ้งระยะห่างไปแค่สามเซนต์ หน้าผากได้รูปจรดลงบนกระหม่อม ถอนลมหายใจรดผิวแก้มทำเอาใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด

“ขอโทษครับ...” เกรทหายใจหอบสั่น “วันนี้ผมไม่ได้ทาลิปบาล์มมา” อะโด่...ผมก็คิดว่าขอโทษอะไร...

มันใช่ประเด็นที่ไหนกันเล่า!!

“ข...ขอโทษผิดจุดมั้ย”

“ฮะ?” ร่างสูงส่งเสียงประหลาดใจพลางมองตา

“คุณควรจะขอโทษที่จู่ๆก็จูบผมต่างหาก” ฉับพลันรอยยิ้มหล่อเหลาประดับด้วยรอยช้ำก็ปรากฏขึ้นใบหน้า

“อิมครับ ปกติคนเขาพูดขอโทษตอนไหนกัน” จู่ๆเหมือนโดนปัญหาเชาวน์ทดสอบสมองน้อยๆของผม จนต้องนิ่งคิด

“ก็...ตอนที่รู้สึกผิดล่ะมั้ง”

“ใช่ ตอนที่รู้สึกผิด” นั่นไงผมว่าแล้ว แล้วเจ้าตัวจะมาแย้งอะไรผม “แต่ตอนนี้ผมไม่รู้สึกผิดอะไรเลยเนี่ยสิ”

จบคำผมได้แต่ตื่นตะลึง ก่อนความร้อนผ่าวระลอกสองตามมาติดๆ เกรทปล่อยมือข้างหนึ่งย้ายมาประคองท้ายทอยดึงเบาๆเข้าหา แนบความแห้งผากไร้ลิปบาล์มลงมาอีกครั้ง ก่อนกดย้ำพลางบดเบียดอย่างเนิบนาบ เจ้าตัวขยับคางเข้าออกหนักเบาเคล้าคลึงไปมา เลื่อนมืออีกข้างมากุมประสาน ความสั่นเทาจากมือส่งผ่านมาสู่อีกฝั่ง ทำให้ผมรู้ว่าเจ้าตัวกำลังประหม่ากับการจุมพิต...

เฮ้ย...ไม่ได้ไม่ได้...ใจผมกำลังจะเตลิด จู่ๆรู้สึกเห็นใจอยากจูบตอบความเว้าวอนของรุ่นน้อง อยากเอื้อมแขนไปคล้องกอดอีกฝ่าย

หลับตาไล่ความคิดจนสมาธิถูกดึงกลับไปรวมตัวยังจุดที่โดนกระทำ ริมฝีปากบนล่างโดนดูดรั้งราวกับปลาตัวเล็กเข้าตอด เทะเล็มอาหารซึ่งเป็นกลีบปากแดงนุ่มซ้ำไปมา สลับจากบนไปล่าง จากล่างขึ้นบน ก่อนแนบประกบขบเม้มพร้อมกันในคราเดียว พื้นที่เหนือคางก็โดนจัดการเสียเรียบ โดยการแนบริมฝีปากที่เริ่มเปียกชื้นจูบซับไต่ระดับขึ้นมาราวกับลิฟต์

“เกรท...อ...อื้อ” จังหวะที่อ้าปากพลางหุบหลบการรุกล้ำกลับกลายเหมือนกำลังตอบสนอง เพราะมันดึงรั้งริมฝีปากล่างนุ่มหยุ่นของอีกฝ่ายให้ตามติดมาด้วย ดวงตาสีเข้มกำลังจ้องสบผม เปี่ยมอารมณ์ดีใจเกินปิดมิดไว้ จนเผลอแย้มเยื้อนเป็นรอยยิ้ม

เจ้าเด็กบ้า...

คิดด่าในใจเพลินๆดันถูกเกรทฉกจูบโต้กลับเบาๆ ผมเนี่ยสิตกใจจนแทบสติหลุด นึกว่าอีกฝ่ายจะงับลงมาจนจมเขี้ยวเลยเผลอส่งเสียงร้องประท้วงออกไป

“อ๊ะ”

เสียงนั้นทำคนตัวสูงประหลาดใจถึงกับชะงักถอนตัวขึ้นมามองหน้า แต่เพียงไม่นานที่ผมยกมือขึ้นปิดปาก เกรทกลับปล่อยมือจากท้ายทอยปาดเอาสิ่งกั้นขวางออก พลางรวบผมเข้าไปกอดทั้งตัว น้ำหนักกายสูงทาบทับลงมาเบาๆก่อนพลิกตัวตะแคงข้าง สายตาเจ้าตัวดูเปี่ยมอารมณ์หวานล้ำลึกเป็นพิเศษ

“กะ...เกรท”

“พี่อิม...ชอบนะครับ”

ใจผมสั่นกระตุก เหมือนทุกอย่างจะหลุดมานอกอก ใบหน้าร้อนวูบวาบไปหมดเหมือนระเบิดเวลาที่ตั้งทิ้งไว้เตรียมนับถอยหลังทำลายตนเอง

เกรทกระชับอ้อมกอด ย้ายมือมาประคองช่วงคอ เอียงศีรษะกดจูบเข้ามา มันเป็นจุมพิตที่หนักแน่นและลึกซึ้งเกินกว่าหาคำบรรยาย คนครองสติได้ตอนนี้คงมีแต่เกรทที่เม้มปากซ้ำๆ เผยอส่งเรียวลิ้นอ่อนตวัดชิมริมฝีปากแดงสด เบื้องต้นสัมผัสแผ่วเบาเจือจางราวกับปลอบประโลมให้ตายใจ ก่อนตีเนียนใสใสเวียนมาไล้กลีบปากบน กดคลึงเน้นจูบหนักๆพลางดูดซ้ำไปมา แนบสนิทถอนถอยราวกับหยอกล้อ ก่อนเบี่ยงเปลี่ยนองศาย้ำความเป็นเจ้าของจุมพิตไปรอบบริเวณ

“ก...เกรท”

เสียบจุ๊บเบาแต่ถี่หนักอันน่าอายเริ่มทำร้ายโสตประสาท แต่ไม่เทียบเท่าความด้านชาของปลายกลีบปากซึ่งไม่หยุดแนบประสานกัน เกรทสานต่อด้วยการรุกล้ำร่องกลีบปากที่เผยอน้อยๆ ใช้ความอ่อนนุ่มดุนดันให้แย้มเปิด หลอกล่อให้เผลอไผลลืมตัวรับบทจูบอันหนักหน่วงเสน่หาลึกซึ้งมากมายกว่าเก่า

“ฮือ...” เสียงหายใจขึ้นจมูก ดวงตาปิดสนิทรับรู้ประสาทสัมผัสปลายลิ้นซึ่งเกี่ยวกระหวัด เหมือนมีกระแสไฟเล็กๆแล่นผ่านยามมือใหญ่เคล้าคลึงไปตามช่วงเอวและแผ่นหลัง จนต้องบิดตัวเข้าหาอกแกร่งราวกับหนี แขนแข็งแรงกระชับอ้อมกอดที่มีให้กันอย่างหนักหน่วง ช่วงอกรู้สึกถึงแรงกระทุ้งหนักๆดังเป็นจังหวะประสาน

ตึกตัก...

ไม่รู้ว่าเสียงมาจากไหน แต่ใจผมเต้นแรงจนแทบทะลุออกมานอกอก แขนข้างหนึ่งสอดลอดใต้ระหว่างเตียงและร่างหนา ส่วนอีกข้างอ้อมมาจับแผ่นหลัง พลางใช้สองมือขยุ้มเสื้อเชิ้ตอีกฝ่ายจนยับ

“...เกรท” ลิ้นสากกวาดทั่วโพรงปาก ลัดเลาะไปตามไรฟัน หลอกล่อให้ความนุ่มหยุ่นแบบเดียวกันคืบคลานออกมาก่อนใช้ริมฝีปากดูดคลึงจากด้านนอก น้ำใสเริ่มไหลคลอจากมุมปากรินหลั่งมายังปลายคาง

คนเป็นรุ่นน้องถอนริมฝีปากมาจูบรับหยาดหยดความชื้น ขบกดเบาๆพลางดูดอย่างมันเขี้ยว

“เกรท อย่ากัด”

เหมือนนิสัยชอบกัดจะมาทุกครั้งที่ลืมตัว ทุกคราที่เคยจูบกัน เกรทมักจะแอบขบซ้ำๆตรงริมฝีปาก บางครั้งก็ลามไปถึงซอกคอจนน่ากลัว

“ขอโทษครับ” เจ้าตัวไล้เลียส่วนนั้นแทนราวกับปลอบประโลม จากใต้คางเริ่มลามปามไปตรงสันกรามและใต้กกหู แต่พอเอ่ยปากจะห้าม ริมฝีปากกลับแนบมาซ้ำแล้วเริ่มบทจูบหวานล้ำยกสอง

“อือ...”

“อิม...” ผมยกแนวคางขึ้นกดตอบสนองเพิ่มความหนักหน่วง ดูดริมฝีปากของร่างสูง อ้าปากพร้อมกัดดึงเบาๆ ขยับแขนขึ้นโอบรอบลำคอดึงลงให้ชิดใกล้ยิ่งขึ้น เมื่อฝ่ายหนึ่งคลึงกลีบปากบน อีกฝ่ายหนึ่งจะดูดดึงกลีบปากล่างอย่างไม่ยอมแพ้ ยกนี้ไม่มีใครแพ้ชนะ เหมือนต่างคนต่างมาเพื่อสนองตอบความต้องการของกันและกัน

“เกรท” ผมครางชื่อเขาอย่างห้ามไม่อยู่ มือของเกรทลูบแผ่นหลังหนักหน่วงขึ้นทุกครั้งที่โดนเรียกชื่อ ขาเริ่มก่ายเกี่ยวซ้อนทับดันตัวเข้าหากันและกัน จนกระทั่งไปโดนส่วนกลางตรงหว่างขา

“...!”

“...!”

ทุกอย่างเหมือนตกอยู่ในความเงียบ...

เกรทนิ่ง...

ผมก็นิ่ง...

ไอ้เหี้ย...เหงื่อนี่ไหลมาเป็นน้ำเลยคร้าบบบบบบบ!!!

“อะ...เออ เออ เออ”

“อิม”

“นี่มันไม่ใช่รุ่นพี่รุ่นน้องแล้ว” ผมยกหลังมือขึ้นเช็ดปาก พยายามถอยตัวออกห่างจากเขา

“นี่เป็นจูบแสดงความรักจากรุ่นน้องที่อยากเลื่อนขั้นเป็นแฟนครับ”















“ทำไมปากดูช้ำหนักกว่าเก่า”

ผมแทบสำลักแกงจืดตอนพ่อพูดออกมา วันนี้ประหลาดทั้งที่บุพการีทั้งสองต่างทานข้าวกันไปเรียบร้อยแล้ว แต่ผู้เป็นบิดากลับย้ายร่างที่กำลังสนุกกับการชมข่าวภาคค่ำมานั่งร่วมดูพวกเราสองคนกินข้าวด้วยกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งแม่ของผม

“เฮ้ยพ่อ เป็นแผลนะ ไม่ใช่มดกัด แบบทายาหม่องปุ๊บหายปั๊บมีที่ไหน มันอาจจะบวมช้ำขึ้นมากว่าเก่าเมื่อไรก็ได้ใครจะไปรู้ ดูอย่างวันนั้นดิที่ตอนพ่อเดินเตะขอบเตียงอ่ะ เป็นไงวันถัดมา เล็บหลุด เจ็บตีนเดินไม่ได้ไปสามวัน” ผมพยายามหาข้ออ้างแก้ต่างให้เกรท เพื่อไม่ให้หลักฐานจากการทำอะไรกันก่อนมานั่งกินข้าวมันเด่นชัดจนเกินไป

หลังจากตอนนั้นความดื้อดึงของ ‘รุ่นน้อง’ ที่พยายามต่อก๊อกสองก๊อกสามก๊อกสี่ก็มีมาไม่หยุด ความรู้สึกหวานนัวยังคงซึมซาบอยู่ในโพรงปาก รู้สึกชาจนด้านทั้งสันกราม เสียงความชุ่มชื้นซึ่งดังเหนอะหนะยังคงค้างอยู่ในสมอง แต่ที่แปลกคือเจ้าตัวยังเคารพความเป็น ‘รุ่นน้อง’ ไม่เตะต้องช่วงล่างซึ่งบังเอิญเกิดอารมณ์จนพองคับแน่นขึ้นมาทั้งคู่

‘รุ่นน้องคนนี้ขอแค่จูบพี่อิม ไม่ขออะไรมาก’

จ้า แค่จูบก็จะทำผมตายทั้งเป็นได้แล้ว แล้วมีอย่างที่ไหนรุ่นน้องจูบรุ่นพี่ได้ ตำราเล่มไหนเขาบอกกันวะ

“ที่แกพูดมาก็ถูก” เสียงพ่อดึงสติที่คิดออกไปไกลจนนอกอ่าว ผมลอบถอนหายใจ นึกว่ารอดแล้ว แต่สิ่งที่บิดาโพล่งหลังจากนั้นกลับทำให้ผมตะลึง “แต่พ่อหมายถึงเอ็ง ไม่ใช่เพื่อนเอ็ง!”

เหี้ย!! รีบยกมือขึ้นบังปาก ตาหลุกหลิกซ้ายขวา คิดว่านานจนไม่น่าเห็นริมฝีปากที่บวมเจ่อจากความพยายามของเกรทในการสร้างฉากจูบประมาณหน้ากระดาษเศษได้ แล้วทำไมยังจะ...

“ไม่ต้องปิดหรอกอิม พ่อเขารู้แล้วว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน”

หา?! พ่อรู้? ผมเหลือบไปมองแม่ที่เฉลยขึ้นมา ก่อนสบตาเกรท คราวนี้ร่างสูงถึงกับวางช้อนส้อมลง ทำสีหน้าจริงจังตั้งใจฟัง

“ความจริงแม่ก็กะว่าจะค่อยๆบอก แต่พักหลังมานี้เห็นลูกเกรทไม่ค่อยมา เลยแอบเผลอคิดไปว่าพวกเราสองคนน่ะเลิกกันแล้ว” เกรทขยับตัวเหมือนจะพยายามพูดแทรกอะไรบางอย่างแต่ผมจิกต้นขาห้ามเขาไว้

“โอ๊ย อิมทำอะไรน่ะ”

“นิ่งไว้เลย” ผมส่งสายตาดุ กระซิบปราม

“แต่พอเรียกเจ้าอิมให้ดูโฆษณาที่เราออกทีนะ หน้าเนี่ยยิ้มบานเป็นกะโล่ ทำท่าดีใจอย่างกับเห็นความสำเร็จของคนในครอบครัวยังไงอย่างนั้น ตอนนั้นเลยไม่แน่ใจเลยจ้าว่าเลิกกันจริงเหรอ”

“แม่!” อย่าเอาผมมาเผาได้มั้ย!! ขอร้อง!

“อ้าวทำไมล่ะ ก็พูดเรื่องจริง พอบอกว่าน้องเขาหล่อเนอะ ก็พยักหน้าเออออห่อหมกเห็นด้วยอย่างกับอะไร” เกรทจ้องผมใหญ่ ดวงตาเป็นประกายขัดกับแวววิตกกังวลเมื่อสักครู่ เจ้าตัวแอบขยับมากุมมือผมไว้ใต้โต๊ะ จะดิ้นหนีก็กลัวมีพิรุธจนพ่อแม่จับได้ จึงเกร็งแขนนิ่งอยู่อย่างนั้น

“แล้วพ่อเขาก็จับได้ตอนลูกเกรทเรียก ‘อิม’ แทนที่จะเรียก ‘พี่อิม’ เมื่อครู่นี้เนี่ยสิ”

“ใช่ตอนนั้นซะเมื่อไรล่ะ” พ่อพูดขัด ทุกคนหันขวับไปทางพ่อเป็นตาเดียว “จับได้ตั้งแต่ตอนที่ตะโกนเรียกกันให้ ‘มาดูโฆษณาคุณแฟน’ แล้ว” แม่ผมยกมือปิดปากทำท่าชะอุ๊ยพลาดซะแล้วปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่ม ส่วนผมแทบจะเอาหัวโขกโต๊ะทานข้าว ใครกันวะครับที่บอกว่าพ่อไม่อยู่ ใครกับวะครับที่บอกว่าพ่อไม่ได้ยินน่ะ คุณแม่!!

“อ้าววันนั้นคุณอยู่เหรอ คิดว่าไปตัดหญ้าที่สนามซะอีก”

“นั่งอ่านข่าวในมือถืออยู่ตรงโน้น” นิ้วผู้เป็นพ่อพุ่งไปยังมุมหนึ่งซึ่งเป็นที่วางโซฟาเดี่ยวตัวเตี้ย “มุมห้อง”

เชร้ดดดด...พ่อผมเป็นนินจา!!

ระหว่างที่ทุกคนยังคงวอแวกับพ่อ เสียงขาเก้าอี้เสียดสีกับพื้นเบาๆดังขึ้นขัด ตัดความสนใจของทุกคนไปยังร่างสูง เกรทปล่อยมือผม ลุกเดินมายังหัวโต๊ะ สีหน้าดูจริงจังผิดกว่าครั้งไหนๆ ก่อนร่างทั้งร่างจะทรุดตัวคุกเข่าลง ทุกคนกลั้นหายใจกับการกระทำของร่างสูง การสนทนาทุกอย่างหยุดนิ่ง

“คุณน้าคุณอาครับ”

“ลูกเกรท ทำอะไรน่ะ” เหมือนแม่จะลุกไปห้าม แต่เกรทกลับเงยหน้าขึ้นพูดบางอย่างออกมาก่อน

“ผมชอบอิมครับ”

“...!”

ทุกคนเงียบรวมถึงแม่ผมที่ยืนค้างอยู่ตรงที่เดิมด้วย

“ร...เรื่องนั้นแม่ก็รู้อยู่แล้ว ไม่งั้นเราสองคนจะคบกันทำไมล่ะ ลุกขึ้นมาคุยกันดีดีก่อน ลุก” แม่จับแขนแกร่งดึงเบาเหมือนโน้มนำให้ขยับ แต่เจ้าตัวยังทู่ซี้คุกเข่านิ่งอยู่กับที่

“ผมโดนอิมปฏิเสธไปแล้วครับ”

“หา?” ประสานเสียงกันดังฟังชัดไม่เว้นแม้พ่อผม ที่นั่งทำท่างุนงงอยู่

“ที่มาคุกเข่าตรงนี้ เพราะผมตัดสินใจแล้ว ผมอยากจะขออนุญาตจีบพี่อิมอย่างเป็นทางการ และผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้เขาต้องเสียใจอีกเป็นครั้งที่สอง” เล่นใหญ่เว่อร์! นี่ไม่ได้ทางผมก็จะเอาทางพ่อแม่เหรอวะ โว้ยเด็กเกรทโว้ย ไอ้เด็กบ้า!

“แล้วถ้าเขาเสียใจเพราะเอ็งขึ้นมาล่ะ” เสียงพ่อผมแทรกขึ้นมา หน้าตาผู้เป็นบิดาดูเคร่งขรึม จริงจัง จนบรรยากาศโวยวายแวดล้อมดูสงบลงทันตา

ปกติพ่อผมจะเป็นคนใจดีที่หนึ่งในบ้าน ถ้าเทียบกับแม่แล้ว รายนั้นโหดเสียยิ่งกว่า พ่อเป็นผู้ชายสายไม่มีพิษมีภัย เอ็นดูอารีเลี้ยงลูกให้เติบใหญ่เป็นเด็กที่เข้าใจโลก ไม่อ่อนแอ แต่สู้คน หากในความสู้คนนั้นก็ไม่ล้ำเส้นจนหาญกล้าถึงขั้นไประรานใคร และหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกทั้งสองเมื่อไรพ่อก็พร้อมจะเต็มใจออกหน้า ปกป้องด้วยความยุติธรรมเสมอ

“ผู้ชายหน้าตาดี เป็นดาราอย่างเอ็ง ทางเลือกมันเยอะเกินกว่าจะมาจบกับคนที่เป็นผู้ชายด้วยกันอย่างไอ้อิมมัน ถึงตอนนั้นถ้าไขว้เขว ทำให้อิมมันเสียใจ เอ็งจะทำยังไง”

เจอด่านหินเข้าแล้วไง บอกให้อยู่นิ่งๆไว้ทำไมไม่ฟังกันบ้าง ผมถอนหายใจ เกรทคงไม่ทำอะไรเพื่อคนที่หลงมารู้จักกันอย่างผมได้หรอก การโดนคนเป็นพ่อสอบสวน อาจจะเป็นการกระตุ้นให้ความสัมพันธ์ที่ควรห่างกันนั้นมาไวมากขึ้น แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็ไม่เปลี่ยน เหลือเพียงเกรทและผมต่างเดินกันคนละทาง

“เกรท คุณยังกลับตัวได้นะ” ผมยิ้มให้เขา ไม่ใช่การทำหน้าเศร้าหม่นหมอง แต่เป็นยิ้มที่พร้อมรับกับทุกสิ่งที่เป็นคำตอบของอีกฝ่าย บางทีการทำหน้าเสียใจอาจทำให้เกรทไม่กล้าพอที่จะบอกปฏิเสธผม ความสับสนอาจทำให้ใครบางคนทำอะไรผิดพลาด และมันจะรู้สึกแย่เป็นอย่างมากหากได้รู้ว่าเขารู้สึกผิดที่เลือกผม

“ต่อให้อิมบอกให้ผมกลับตัวกี่ครั้ง แต่ถ้าปลายทางยังเป็นอิม สุดท้ายผมก็ต้องวกกลับมาหาอิมอยู่ดี”

“...”

“ผมยอมรับนะ ว่าเคยไขว้เขวมาแล้วครั้งนึง แล้วมันก็ทำให้ผมเกือบเสียอิมไป ผมไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกเสียใจกับเรื่องวันนั้นอีกแล้ว”

“ขอจีบได้มั้ยครับพี่อิม”

…TBC…

+++++++++++++++++++++++



ไม่ถนัดฉากเลยยยยยยยยยยย

เกรทต้องแสดงความจริงใจว่าอยากคบกับพี่อิมอย่างบริสุทธิ์ใจ ให้เต็มแม็กแล้วค่า

บุก!!

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ ตามอ่านอยู่เสมอ เพราะคุณคือกำลังใจ :mew1:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสอง(ครั้งที่สอง)...อย่าล้อเล่นกับธาตุแท้ P.4 [26/10/19]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-10-2019 21:53:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสอง(ครั้งที่สอง)...อย่าล้อเล่นกับธาตุแท้ P.4 [26/10/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 27-10-2019 00:02:13
ในที่สุดเกรทก็ชัดเจนสักที :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสอง(ครั้งที่สอง)...อย่าล้อเล่นกับธาตุแท้ P.4 [26/10/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-10-2019 00:40:39
ใจเจ้บางหมดแล้ว น้องเกรท~
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสอง(ครั้งที่สอง)...อย่าล้อเล่นกับธาตุแท้ P.4 [26/10/19]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 28-10-2019 00:23:01
ยอทให้จีบเหอะอิ ขนาดนี้แล้ว,,,
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสอง(ครั้งที่สอง)...อย่าล้อเล่นกับธาตุแท้ P.4 [26/10/19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-10-2019 08:56:52
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบสอง(ครั้งที่สอง)...อย่าล้อเล่นกับธาตุแท้ P.4 [26/10/19]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 29-10-2019 12:23:45
ชัดเจนแล้วนะเกรท
แน่ใจจริงๆๆใช่ไหม

อ่ะ..จีบอิมได้
อิอิ
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบเอ็ด(2)...ดูช้างให้ดูหาง แต่จะจีบตั้งปณิธานให้เข้าทางพ่อ [2/1
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 02-11-2019 22:23:53
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบเอ็ด(ครั้งที่สอง)...ดูช้างให้ดูหาง แต่จะจีบตั้งปณิธานให้เข้าทางพ่อ


“ขอจีบได้มั้ยครับพี่อิม”


น้ำเสียงแน่วแน่มั่นคงจนคนบางคนฟังแล้วยังขนลุก สายตาคมจ้องสบไม่หลบหรือวอกแวกไปไหน เหมือนมีกระแสไฟอ่อนๆเข้ามากระตุ้นที่อกด้านซ้าย จนต้องกุมมันไว้อย่างลืมตัว

“ย...อยากจีบนักก็ไปเซเว่นหน้าปากซอย” ผมไม่ให้จีบโว้ย จะทำไม

แกร๊บ

เสียงถุงพลาสติกยื่นมาขวางหน้าผมกับเกรทกะทันหัน มันยังห้อยต่องแต่งแกว่งไปมา ผมไล่สายตาไปตามแขนคนที่ถือมัน ที่แท้ก็เป็นผู้บุกรุกยามวิกาลยัยมายด์น้องสาวผม สภาพเหมือนพึ่งกลับมาถึงบ้านหมาดๆ ไหล่ข้างขวายังสะพายกระเป๋าข้างยามไปเรียนหนังสือ ตามมาด้านหลังติดๆด้วย...

“สวัสดีค่ะคุณแม่คุณพ่อ” สาวแว่นหางม้าตัวเล็กตะมุตะมิยกมือขึ้นไหว้ย่อซ้ายย่อขวา...ยัยต้าเพื่อนยัยมายด์

“อ้าวลูกต้า มาได้ไงเนี่ย”

“วันนี้ยัยต้าจะมาค้างน่ะแม่”

ค้าง? ฮะ? ผมหันขวับไปจ้องร่างน้อยเขม็ง พลางทำจมูกฟุดฟิด กลิ่นชักไม่ค่อยดีแฮะ

“ไม่ต้องมองเพื่อนมายด์เลย” ยัยน้องสาวดันเพื่อนไปด้านหลังให้พ้นสายตา ยกถุงพลาสติกห้อยรังควานขวางใบหน้าผม

“นี่อะไรเนี่ย เอามาขวางหน้าพี่อยู่ได้”

“ก็ของที่พี่อิมอยากได้ไม่ใช่เหรอ”

“ของที่พี่อยากได้? อะไรวะ?”

“ขนมจีบไง”

“พี่ไม่ได้อยากได้โว้ย โน่นคนนั้น คนที่อยากได้น่ะ” ผมตัดรำคาญด้วยการคว้าถุงจากมือน้อง ลุกขึ้นไปโยนใส่มือเกรท “อ่ะ อยากได้นักก็เอาไปดิ” มอบให้เสร็จ หันหลัง ตั้งใจจะกลับมานั่งโต๊ะ แต่ร่างสูงคว้าแขนผมไว้พร้อมพูดเสียงดังฟังชัดใส่แทบจะในทันที

“ให้จีบแล้วนะครับ”

หา?

เจ้าตัวชูถุงพลาสติกใสที่มีขนมจีบอยู่สองไม้ในมือขึ้นมาแกว่งไกวไปมากวนประสาท

“อูยยยย เด็กสมัยนี้มันกล้าเล่นเนอะแม่เนอะ” เสียงพ่อผมกระซิบคุยกับแม่เข้าหู เออกล้าเล่น เดี๋ยวนี้ใครหน้าไหนมันยังเล่นทุกขนมจีบกันอีกวะ พอพอกับมุก ‘ไปเลยก็ไม่ถึงเด้’ ฉิบหาย

“นั่นมันขนมจีบที่น้องผมซื้อมา คุณจะเอาไปให้ใครง่ายๆได้ยังไง” ผมยกมือขึ้นชี้ของทานเล่นในมือใหญ่อย่างประท้วง

“ไม่เป็นไรค่า มายด์ให้พี่เกรท พี่อิมกับพี่เกรทกินกันตามสะดวกเลยนะ จะกินกันเท่าไรก็ได้น้องไม่ขัดข้อง น้องชอบ” ทำไมน้องผมมันเน้นเสียงคำว่า กินกัน เหลือเกินวะ ผิดสังเกต ขัดหูขัดใจเว้ย แล้วไหนจะยังยัยต้าที่ทำหน้าฟินไปสามโลกเนี่ยอีก

กินกันมั้ยครับ”

“ไม่กินโว้ย!” ผมสะบัดมือ เตรียมหันหนี ร่างสูงลุกขึ้นพรวดพราด มือยื่นไปวางถุงขนมจีบบนโต๊ะ ก่อนพลิกตัวมาขวางด้านหน้า ความขัดใจทำให้อ้าปากจะตำหนิ หวังฉะให้เละ แต่สุดท้ายเจ้าก้อนสีเหลืองกลิ่นหอมกระเทียมเจียวเย้ายวนดันพุ่งเข้าใส่ปาก

“อู้!!” เกรทจับต้นแขนข้างหนึ่ง มองผมด้วยแววตาอ่อนหวาน ในขณะที่ปากผมเริ่มเคี้ยวตุ้ยกัดเจ้าก้อนหมูผสมกุ้ง จนเผลองับเบาโดนปลายนิ้วของเขาเข้าให้ เจ้าตัวไม่มีท่าทีติดใจ ไม่ยอมถอยมือออกห่าง หากยังคนจ้องอาการของผมไม่วางตา

“อร่อยมั้ยครับ” รอยยิ้มเอ็นดูภายใต้กรอบหน้าคมคายทำให้ผมเผลอมองตามจนตาค้าง “ขอโทษนะครับที่ใช้มือ แต่ผมล้างมือแล้ว เมื่อกี้กลัวยกไปยกมาแล้วไม้จะแทงปากอิมเข้า” เจ้าตัวเอานิ้วโป้งไล้ตามกลีบปากที่เปื้อนน้ำมันเจียว โดยไม่กริ่งเกรงผู้ชมอีกสี่คนแปดตาซึ่งนั่งมองยืนชมอยู่ตรงนี้ ผมเร่งเคี้ยวหมุบหมับอย่างสุดกำลัง เจ้าขนมจีบนี้ก็ช่างก้อนใหญ่ กลืนยากกลืนเย็นอะไรขนาดนี้วะ พอคำสุดท้ายลงคอ จังหวะเดียวกับตอนอ้าปากจะโต้แย้ง ผมกลับโดนดักทางด้วยเสียงนุ่มราวเทพบุตรของคนตรงหน้า

“ทำบ้าอะไรของ...”

“ผมก็ให้จีบ”

หา?

“จีบได้ตามอิสระเลยครับ ถ้าอิมจีบยังไงก็ติด”

ติดบ้าบอกับผีน่ะเด้!! อยากโวยวายแต่กลัวคนคิดว่าหน้าบางกับแค่การแซวเบาๆด้วยคำพูดของรุ่นน้องจะเอาอะไร ผมเม้มปากแน่นสนิทอดทนกับทั้งสีหน้าและวาจายียวนกวนส้นของอีกฝ่าย ทนได้ไม่ทันไรใครบางคนก็เรียกร้องความสนใจด้วยการสะกิดต้นแขนแกร่งเบาๆ

ทุกสายตาหันไปมองต้นทางการกระทำ คนเป็นพ่อปประจำบ้านกำลังยืนเทียบความสูงซึ่งดูยังไงก็เตี้ยกว่าคนที่มีดีกรีเป็นถึงนายแบบโฆษณา บิดาผมยิ้มร่าผิดวิสัยก่อนยื่นส่งสิ่งที่อยู่ในมือไปถือค้างไว้หน้าเกรท

ขนมจีบไม้เดียวกับที่โดนคนนั้นคนนี้กระทำชำเราถูกส่งประเคนจนถึงริมฝีปากได้รูป โครงคิ้วคมเข้มเลิกขึ้นอย่างประหลาดใจ พลางส่งเสียงตะกุกตะกักออกมาจากในลำคอ

“อ...อะไรครับ”

“ให้จีบไง”

“หา?”

“พ่อให้จีบลูกพ่อได้” จบประโยคอนุญาต เกรททำหน้าดีใจอยู่วูบนึง ก่อนพ่อจะต่อบนสนทนาด้วยคำสันธานเชื่อมประโยคขัดแย้งราวกับหนังหักมุม แต่...”

“ต...แต่?” เจ้าคนตัวสูงกลืนน้ำลายลงคออย่างระแวงในคำพูด

“จากนี้ไปสิ่งที่แกจะทำกับเจ้าอิม”

“...”

“ห้ามเอาไปทำกับเจ้าอิม”

“...”

“แต่เอ็งต้องเอามาทำกับพ่อก่อนนี่ เข้าใจ?”

“หา!!”


ตะโกนดังลั่นทุ่ง งงเป็นไก่ตาแตกกันทั้งบ้าน ร่างสูงอ้าปากพะงาบพะงาบมองดูพ่อผมราวกับคนตรงหน้าพูดจาล้อเล่น

...เชี่ย! นี่พ่อผม กำลังคิดอะไรอยู่วะ...











“ขยับตัวออกมาอีกนิด แล้วเอนตัวไปด้านหลังได้เลยครับ”

“ชั้นหลับรอเลยได้มั้ย”

“ได้ครับ แล้วแต่คุณอาเลย แต่พยายามอย่าอ้าปากนะครับ”

พอทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ร่างสูงก็ขยับตัวอย่างคล่องแคล่ว โดยเริ่มจากการเอาคลีนเซอร์มาล้างทำความสะอาดผิว ตามด้วยผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น เจ้าตัวกระตือรือร้นตั้งแต่เสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อนต้มจนเทลงกะละมัง สัมผัสด้วยหลังมือกะอุณหภูมิว่าเหมาะสมหรือยังแล้วโยนเจ้าผ้าขนหนูผืนนั้นลงไป ผ้าผืนนุ่มอุ่นกำลังพอดีถูกวางทาบทับบนใบหน้าช่วงล่างของผู้เป็นพ่อ

“อุ่นกำลังพอดีมั้ยครับ”

“อื้อกำลังสบาย” เสียงพ่อตอบรับดูอารมณ์กำลังเคลิบเคลิ้มพร้อมผล็อยหลับได้ทุกเมื่อ

เมื่อจัดการสครับจนไร้เซลล์ผิวเก่า จึงเริ่มบรรจงทาน้ำมันก่อนโกน บีบโฟมสีขาวฟูแตะตั้งแต่ใต้คางขึ้นมาด้านบนจนเต็มพื้นที่ มีดโกนคุณภาพดีทาบลงโฟมฟองไล้ตามผิวของคนเป็นผู้ใหญ่อย่างเบามือ จากใต้คางไล่มาเหนือปาก จากด้านในออกสู่ด้านนอก ท่าทีทั้งบรรจงและประณีตดูเป็นมืออาชีพอย่างมากจนผมอดมองตาค้างไม่ได้

“อย่างกับมืออาชีพจากร้านตัดผมแหนะ นี่เหรอคะสิ่งที่พี่เกรทอยากทำกับพี่อิม” ด้วยคำพ่อประกาศกร้าว ว่าสิ่งใดที่อยากทำกับผมให้มาลงที่บิดาก่อน นับจากวันนั้นทุกอย่างที่เกรททำเหมือนจะผ่านมือพ่อผมมาแล้วทั้งนั้น

แต่คราวนี้...

“ไม่น่าจะใช่นะ พี่ว่าพ่อเขาขี้เกียจโกนเองมากกว่า จะไปที่ร้านก็รำคาญเลยให้หมอนั่นโกนให้แทนล่ะมั้ง” พ่อคงเห็นใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาไร้ตอหนวดของอีกฝ่ายเป็นตัวอย่าง พอซักไซ้ไล่เลียงว่าเจ้าตัวโกนเองทุกวันเลยไว้ใจฝีมือล่ะมั้ง

“พี่เกรทเขาหน้าเกลี้ยงจริงๆนะ รูขุนขนไม่มีสักนิด คนอะไรหน้าตาดีไร้ที่ติขนาดนี้” ยัยมายด์นั่งกัดป๊อกกี้ดังกรุ๊บ เคี้ยวกรุบๆ พลางชะโงกมอง ที่นั่งของพ่อกับช่างตัดผมจำเป็นห่างจากเราซึ่งอยู่กันตรงโต๊ะอาหาร เยื้องไปใกล้ทางเข้าห้องน้ำเพื่อสะดวกในการจัดการต่างๆ ผมนั่งลูบแก้มลูบคางของตนเองเบาๆ อดที่จะเปรียบเทียบกับหนุ่มหล่อนิเทศขวัญใจแม่ยกคนนี้ไม่ได้

“ทำเป็นพูดเหมือนรู้ดี เคยจับแล้วเหรอหน้าหมอนั่นน่ะ”

“ใครจะไปเคยได้ล่ะพี่อิม มายด์ก็เดาเอา หน้าใสขนาดนั้นมันก็ต้องใช่อยู่แล้ว” ผมมองเกรทที่กำลังเพลิดเพลินกับการโกนหนวดให้ผู้เป็นพ่อพลางกล่าวแย้ง

“ไม่ได้ใสตลอดทั้งวันหรอก บางวันเอาหน้ามาถูแก้มทีนี่แทบสะดุ้งหลบไม่ทัน”

“หนวดขึ้นเหรอคะ”

“อื้อ บางวันก็ตื่นสายเลยลืมโกนน่ะ” อย่างวันนี้ดูก็รู้ว่าไม่ได้โกนมา หน้าเนี่ยเป็นไรเขียวเชียว สักพักผมรู้สึกได้ถึงความเงียบ ยัยมายด์มองมาด้วยสายกรุ้มกริ่มยิ้มเล็กยิ้มน้อย “ยิ้มอะไรน่ะ”

“เห็นเงียบๆ แต่อวดผัวนะคะคุณพี่ชาย”

“เฮ้ย เปล่าอวดซะหน่อย พูดตามที่เคยเจอต่างหาก”

“โดนพี่เกรทเขาทำอะไรไปบ้างล่ะช่วงนี้ นี่ยังไม่ผ่านโปรเลยนะคะพนักงานคนนี้เนี่ย”

“ไม่ต้องผ่านไปตลอดชีวิตน่ะดีแล้ว”

“แหมก็พูดไป แอบมองเขาอยู่ตลอดแท้ๆ” แอบมองเพราะว่าอยากรู้ว่าเด็กเกรทจะมีความอดทนได้สักกี่น้ำ จากที่จะได้เป็นอิสระใช้ชีวิตตามประสาคนโสด ได้ตามผู้หญิงที่ชอบเพื่อทำคะแนนให้ตนเองสมหวัง กลับต้องมาออดอ้อนเอาใจพ่อผมแทน

“ทำอะไรคิดสั้นแท้ๆ” ผมส่ายหัวระอา ก่อนน้องสาวผมจะแย้งขึ้นมา

“พี่เกรทเขาอาจจะไม่ได้คิดสั้นก็ได้นะ” มายด์มีสีหน้าจริงจัง “ทำไมพี่อิมไม่เชื่อบ้างล่ะคะว่าพี่เกรทเขาอาจจะจริงจังกับพี่อิมจริงๆก็ได้”

เป็นผมที่ไม่อยากเชื่องั้นเหรอ...บางทีผมอาจจะแค่ไม่อยากคาดหวังมากกว่า เพราะการคาดหวังกับบางสิ่ง หากสิ่งนั้นไม่เป็นไปตามที่คิด ความพลาดหวังนี้อาจจะทำให้คนๆนึงเจ็บหนักก็เป็นได้

“พี่ให้โอกาสเขาต่างหาก” ผมพูดให้ตัวเองดูดี แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงการป้องกันตัวเองไม่ให้เจ็บตัวซ้ำสอง “ถ้าพี่ทำตัวฟูมฟายโวยวายต่อหน้าเขาตอนที่เขาอยากจากเราไป เขาอาจจะรู้สึกไม่ดีจนไม่กล้าไปจากเราก็ได้”

“แต่ถ้าเป็นมายด์กับคนที่อยากเลิกแล้วเขามาบอกต่อหน้าเองว่าให้เลิกกัน มายด์คงไม่ดั้นด้นมาหาเขาแล้วประกาศต่อหน้าชาวบ้านว่าอยากจะขอคืนดีอีกครั้งให้ยุ่งยากหรอกค่ะ ในเมื่อเขาเป็นคนบอกเลิกเราเองแล้วเราก็อยากเลิกกับเขาอยู่แล้วเราจะรู้สึกผิดทำไม ถ้าไม่ใช่อยากจะกลับมาคบกับคนๆนั้นอีกครั้งจริงๆ” เรื่องนี้น่าจะได้ฟังมาจากยัยต้า เก็บรายละเอียดหมดทุกเม็ดราวกับอยู่ในเหตุการณ์ จนผมเกือบจะคล้อยตาม

“อิม” เสียงเกรทเรียกผมดังในระยะใกล้ เจ้าตัวโกนหนวดให้พ่อเสร็จแล้ว เดินยิ้มร่าออกมาโดยมีผู้เป็นบิดาเดินถือผ้าขนหนูซับแก้มมาด้วย “คุณอาบอกว่าให้ออกไปทานข้าวเที่ยงกับอิมได้”

“ชั้นหมายถึงให้สั่งข้าวเที่ยงมาทานที่นี่ด้วยกันก็ได้ต่างหาก”

“อ้าว คุณอาครับไหนบอกว่าถ้าโกนเกลี้ยงจะให้ไป ไหนกลับคำได้ล่ะครับเนี่ย”

“ชั้นหมายถึงให้กินข้าวกับเจ้าอิมได้ อยู่บ้านก็กินข้าวกับเจ้าอิมได้ไม่ใช่เหรอ” จ้า พ่อศรีธนญชัย บิดาผมแผลงฤทธิ์เข้าให้แล้ว เกรทมีสีหน้าผิดหวังแค่วูบเดียว ก่อนเผยยิ้มออกมา

“นั่นสินะครับ อยู่บ้านก็ทานข้าวกับอิมได้” ความอ่อนหวานหยอกเย้าซึมซาบมาผ่านแววตาคมคู่นั้น จนผมต้องหลบสายตา

“มายด์อยากกินพิซซ่า” น้องผมชูมือจนสุดแกว่งไปมาเหมือนเสนอ

“เออ ก็ดีเหมือนกัน อยากกินหน้าอะไรโทรสั่งเลยยัยมายด์” คนเป็นพ่อสนับสนุนพลางลูบคางไปมาราวกับพอใจในผลงานของคนตัวสูง

“ค่า” น้องสาววิ่งแจ้นไปแบบไม่รอคำค้าน ผมรีบหันหน้าขวับ ทำสายตาดุใส่บิดา

“หมอเขาห้ามกินมันๆไม่ใช่เหรอพ่อ”

“เอาน่านานๆกินที แม่เขาไม่รู้หรอก” นั่นแหละผมจะฟ้องแม่ ไขมันในเลือดสูงแล้วยังไม่เจียม ผมชักสีหน้าหงุดหงิด เหลือบเห็นเกรทย้อนกลับไปเก็บข้าวของที่วางกระจัดกระจายตรงพื้น พวกอุปกรณ์โกนหนวดต่างๆซึ่งเจ้าตัวแบกมาเองโยนลงใส่ตะกร้า จึงเดินเข้าไปใกล้

“ของพวกนี้ผมซื้อมาใหม่อิมเก็บไปใช้ได้เลยนะ” ไม่มีเสียงตอบรับ ความประหลาดใจจึงบังเกิด เกรทเหลือบขึ้นมามองหน้าผมพลางเม้มปากนิ่ง “มีอะไรรึเปล่าครับ”

“คุณน่ะ มานี่มา” ผมคว้าข้อมือเกรทข้างที่ไม่ได้อุ้มตะกร้าให้ออกเดิมตามมา สองเท้าเหยียบย่างก้าวขึ้นบันไดไปทีละขึ้น มีเพียงเสียงเกรทที่ถามเป็นระยะว่าจะพาเขาไปไหน จนเปิดประตูเข้ามาในห้องผม

“อ...อิม เป็นอะไรรึเปล่าครับ” สีหน้านิ่งเกินจำเป็นทำให้ร่างสูงอดเป็นกังวลไม่ได้

“นั่งตรงนี้” ผมออกคำสั่ง เจ้าตัวทำเสียงฮึฮะอยู่ชั่วครู่จึงโดนจับไหล่ให้นั่งลงบนเตียง นิ้วขยับไปแตะต้องใบหน้าหล่อเหลาแทนจะในทันที ร่างสูงสะดุ้งตัวแต่ไม่ถอยหลบ ยังคงปล่อยให้ผมใช้มือลูบไล้ไปตามแนวสันกรามและผิวแก้ม “ทำไมถึงโกนเก่ง” เกรทเบิกตาประหลาดใจ พอจับใจความได้ถึงค่อยเริ่มพูดออกมา

“ทำไมครับ ดูเหมือนเก่งเหรอ”

“ดูเป็นมืออาชีพ” ผมว่าตามความจริง คนมีความสามารถก็ไม่เคยเหนียมที่จะชมอยู่แล้ว

“เวลาผมจะทำอะไรผมจริงจังเสมอ” นิ้วยาวเลื่อนมาแตะข้างแก้มผมเสมือนอยากทำให้เท่าเทียมกัน หรือต้องการจะประกาศว่าสิ่งที่ทำให้เห็นตรงหน้าก็เป็นสิ่งที่เขาจริงจังเสมอ เกรทไล้ไปตามผิวเนื้อซึ่งดูลื่นมือกว่าส่วนไหน “อิมก็โกนเก่งออก”

“ผมเป็นคนไม่ค่อยมีขนต่างหาก” ไม่ขึ้นไวพรึ่บพรั่บ ไม่โกนทุกวันก็ไม่น่าเกลียด อย่างบางคนโกนเช้าพอตกเย็นก็ขึ้นแล้ว ลำบากน่าดู

“ส่วนผมที่โกนเก่ง เพราะช่วงนึงเคยโกนให้คนๆนึงอยู่บ่อยๆ” เกรทเฉลยออกมา

“โกนให้ใคร?”

“พ่อผมเองครับ” ช่างน่าแปลก สีหน้าของเกรทจากสดใสดูแฝงแววบางอย่างเคลือบจางๆฉาบในแววตา ร่างสูงก้มหน้าน้อยๆ ทอดมองผ่านผมไปยังอย่างเหม่อลอย แก้วตาสุกใสชื้นน้ำแวววาวดุจดั่งอัญมณีซึ่งลอยเด่นท่ามกลางทะเลสาบอันมืดมิด ผมเอื้อมมือไปแตะยังใบหน้าเขา เอื้อนเอ่ยด้วยความเป็นห่วง

“คุณ...เกรท...เป็นอะไรรึเปล่า” อีกฝ่ายเลื่อนดวงเนตรมาจ้องตอบพลางยกมุมปากเบาๆ

“เหมือนโดนเรียกว่าคุณเกรทเลย ไม่เป็นไรหรอกครับ..คุณอิม” ถึงปากจะบอกอย่างนั้นแต่ต้องมีอะไรแน่ๆ ผมลูบใบหน้าฝ่ายนั้นอย่างเบามือด้วยปลายนิ้วทั้งสองข้างอย่างเผลอไผลวนซ้ำไปมา

“คุณ...เกรท”

“ครับ”

“ให้ผม...โกนให้คุณ...ได้มั้ย” ความขมุกขมัวภายในใจพลันจางหาย แทนที่ด้วยรอยยิ้มสดใสฉายชัด ร่างสูงกล่าวตอบรับผม

“ถ้าเป็นคุณอิม...คุณเกรทให้ได้อยู่แล้วครับ”


มีต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบเอ็ด(2)...ดูช้างให้ดูหาง แต่จะจีบตั้งปณิธานให้เข้าทางพ่อ [2/1
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 02-11-2019 22:25:10
เกรทเขาสอนผมตั้งแต่เรื่องการล้างหน้าให้สะอาดก่อนเริ่มการโกนหนวด ไปจนถึงประโยชน์ของการใช้น้ำอุ่นล้างหน้าก่อนลงมือ

“น้ำอุ่นจะช่วยให้รูขุมขนเปิด ทำให้โกนง่ายขึ้นครับ”

“ผมไม่รู้มาก่อนเลย คิดว่าใช้น้ำเย็นตามปกติจะดีกว่าผิวจะได้ไม่แห้ง”

“น้ำเย็นไว้ตอนสุดท้ายครับ เอาไว้ปิดรูขุนขน แล้วจากนั้นค่อยทาด้วยออยหรือโลชั่นแก้เรื่องอาการแสบหลังโกนแล้วก็ช่วยเรื่องหน้าแห้งด้วย”

“อุ่นประมาณนี้พอมั้ย” ผมทาบผ้าขนหนูเข้ากับเครื่องหน้าอันหล่อเหลาครึ่งล่าง เกรทกำลังนั่งอยู่บนพื้นหลังพิงขอบเตียงด้วยท่วงท่าสบายๆ หงายศีรษะลงบนฟูกนุ่ม ปล่อยให้ผมซึ่งนั่งอยู่บนเตียงทำหน้าที่ที่ตนเองเรียกร้องอยากจะทำไป

“ครับ กำลังสบายเลย” เสียงอู้อี้เล็ดลอดผ่านผ้าขนหนูซึ่งทับใบหน้าอยู่ออกมา

“ผมจะเริ่มแล้วนะ”

“ตามที่ผมสอน จำได้ใช่มั้ยครับ”

“แน่อยู่แล้ว”

“งั้นผมหลับรอเลยนะ”

“ฝันหวานได้ตามสะดวกเลยครับคุณชาย” เสียงหัวเราะขบขันดังแว่วเข้าหู เหมือนร่างสูงแอบหมิ่นความตั้งใจ จนผมอดแบะปากมองบนใส่ไปทีนึงไม่ได้ ผ้าขนหนูบนใบหน้าอีกฝ่ายถูกยกออกเมื่อถึงพร้อมแก่เวลา แต่ใครจะคิดว่าคนตรงหน้ากลับนึกพิเรนทร์ ยืดตัวขึ้นมาจนสุดตะปบแขนเข้าท้ายทอย ก่อนกระชากให้ผมทั้งตัวให้ไหววูบตกลงตามแรงโน้มถ่วงราวกับดิ่งพสุธา

“เฮ้ย!!” ผมตะลีตะลานยันศอกเข้ากับผิวเบาะนุ่มพยุงตัว แต่แรงโน้มถ่วงผสานกับแรงแขนแกร่งย่อมได้เปรียบกว่า ใบหน้าผมจึงวูบไหวลงสู่ด้านล่าง

จุ๊บ!!

ฮะ?

ผมเบิกตาโพลง ภาพตรงหน้าเป็นมุมมองในแนวดิ่ง เห็นเพียงแผ่นอกแกร่งขยับกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจ พร้อมกางเกงยีนตัวเก่งของอีกฝ่ายที่ส่วนนั้นตรงกับสายตาของผมแบบพอดิบพอดี

แต่สิ่งที่แปลกไปยิ่งกว่า คือความรู้สึกราวกับว่า ริมฝีปากกำลังแนบกับบางสิ่งบางอย่างที่นุ่มหยุ่น แต่คงไว้ซึ่งความรู้สึกที่ดี แรงหนักหน่วงสลับกับเบาบางเข้ามาแทนที่เป็นระยะ ก่อนเปลี่ยนเป็นการกัดรั้งริมฝีปากล่างเบาๆอย่างหยอกเย้า

...เดี๋ยวๆๆนี่มัน...

ไม่ทันรู้ตัวว่าโดนล่วงเกินเข้าให้ ส่วนนั้นก็ซุกไซร้คืบคลานไปยังปลายคาง ลามไปถึงซอกคอ จมจ่ออยู่ที่ไหปลาร้าซึ่งเผยออกมาจากเสื้อเชิ้ตสีขาวโคร่ง

“เฮ้ยเกรท...” บางอยากยุกยิกบนเสื้อ กว่าจะรู้ว่าตัวคืออะไรผมก็ถูกมือใหญ่ปลดกระดุมไปเกือบสามเม็ด เกรทยันขายกตัวแทรกกายเข้ามาระหว่างเตียงกับผมดั่งคนสวมวิญญาณนักยิมนาสติก ก่อนกระทำการบางอย่างที่ทำเอาสะดุ้งจนตัวโยน พร้อมเปล่งเสียงออกมาแทบไม่เป็นภาษา

“ฮือ!!” กระเด้งตัวออกหลังถอยกรูดไปชนกำแพงที่ติดชิดกับเตียงด้านหลัง มือยังกำฟูกอย่างใจเต้นระส่ำไม่หยุด สายตาทอดต่ำมองส่วนที่ยังคงค้างถึงความรู้สึก บนแผ่นอกมีรอยเปียกลื่น โดยเฉพาะเจ้าติ่งไตที่แข็งขืนขึ้นมามันทั้งชุ่มฉ่ำสุกสกาวด้วยรอยน้ำอย่างเห็นได้ชัด “เกรท!!ทำอะไรของคุณน่ะ!!”

“...”

“เกรท?”

“...” ร่างตรงหน้านิ่งสนิท ไม่ขยับเขยื้อนใดใด

“อย่ามาเนียน ถ้าคุณหลอกผมเอาคุณตายจริงๆด้วย”

“...”

เสียงลมหายใจเบาบางสม่ำเสมอดังมาเป็นระยะ ผมค่อยๆขยับคลานเข่าเข้าไปหาอย่างเจ้านกกระจอกตัวน้อยระแวงท่าทีคนให้อาหาร ร่างของเกรทขยับตามลมหายใจ เห็นเพียงแพขนตาเป็นระเบียบจากมุมสูงซึ่งไม่ช่วยพิสูจน์อะไรได้ เลยกลั้นใจเคลื่อนตัวเข้าใกล้ให้ได้เห็น ใบหน้าได้คมคายกำลังหลับตาพริ้มภายใต้กรอบรอยยิ้มบางๆตรงมุมปาก ดูราวกันเด็กน้อยหลับฝันถึงเรื่องราวดีดีอะไรบางอย่าง

หลับงั้นเหรอ?

ผมปัดมือผ่านหน้าไปมาหลายๆที กระซิบเสียงแผ่วระดับคนหลับไม่ได้ยินคนตื่นต้องรู้สึก จนในที่สุดก็ต้องทอดถอนหายใจออกมา

“หลับ...จริงๆเหรอเนี่ย” แอบเหม่ออย่างโล่งใจ นั่งนิ่งค้างอยู่สักพักหากไม่วายสายตาเหลือบไปพบภาพสะท้อนในกระจกขนาดเท่าคนยืนทางขวามือข้างตู้เสื้อผ้า

เชิ้ตขาวปกฮาวายตัวใหญ่หลุดลุ่ยจนหมิ่นเหม่อยู่ที่ไหล่ ชายเสื้อถูกยัดเข้าในกางเกงเลยพอช่วยให้อาภรณ์ยังคงอยู่บนร่าง แต่ที่น่าอายคือแผ่นอกซึ่งสะท้อนฉายชัดให้เห็นถึงความขาวอย่างเต็มตา มือรีบยกขอบเสื้อมาปกคลุมส่วนที่โดนลิ้นร้อนกระทำซึ่งยังคงค้างถึงความรู้สึกบางอย่าง

“ทำบ้าอะไรวะเนี่ย”

ผมอุทานเบาๆ ก้าวขาลงจากเตียง แล้วเริ่มขยับตัวไปจัดการกับสิ่งที่ทำค้างอยู่ต่อ











“อิม?”

ไม่แน่ใจว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่เมื่อไร แต่พอตื่นขึ้นมาก็พบว่ากำลังหลับอยู่บนเตียงนอนในห้องอันคุ้นเคยโดยมีร่างของ ‘อิมเมจ’ นอนขดตัวเบียดอยู่ข้างๆ ร่างโปร่งกำลังหลับสนิทสังเกตได้จากลมหายใจซึ่งทอดถอนยาวก่อนสูดเข้าเบาๆวนซ้ำไปมา แต่ยังคงเหลือท่าทีไม่เป็นสุข เบียดตัวเข้าหาพอมองลงไปยังเบื้องล่างจึงรู้ว่าเป็นเพราะอะไร

ห้องนี้เปิดเครื่องปรับอากาศทิ้งไว้อยู่นาน การที่อุณหภูมิร่างกายจะต่ำลงจนเกิดอาการหนาวสั่นมากกว่าครั้นที่เพิ่งก้าวเข้าห้องย่อมเป็นเรื่องปกติ หากแต่รุ่นพี่คนนี้กลับทิ้งผ้าห่มที่มีอยู่ผืนเดียวมาให้ กรรมเลยไปตกที่เขาซึ่งต้องมานอนทนหนาวอย่างตอนนี้

“พี่อิม...” ผมกระซิบแผ่วๆข้างใบหู ก่อนถอนถอยมามองในระยะประชิด อีกฝ่ายมีปฏิกิริยานิดๆตรงที่โขกหน้าผากเข้าอกผมโดยตรง มือขยับมาสวมกอดอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมรีบยกมือขึ้นเหนือหัวเหมือนคนร้ายกำลังโดนตำรวจจับทำให้อิมเมจมีโอกาสขยับใบหน้าเข้าใกล้ แนบแก้มกับแผ่นอกผม ก่อนเผยยิ้มอิ่มราวกับยินดี

เห็นแบบนี้ มันอดไม่ได้จริงๆที่จะสอดมือเข้าไปสวมกอดตอบเขา...พลางหอมลงกลางขวัญ ผมอิมหอมอย่างนี้เสมอ แถมยังลื่นมือน่าสัมผัส ผมใช้ปลายคางแนบไปกับศีรษะเขา ขยับผ้าห่มที่เคยมีเจ้าของคนเดียวให้ปกคลุมเราทั้งคู่

“แบกผมขึ้นมาได้ไงเนี่ย แรงเยอะจริง” คงจะกลัวผมคอเคล็ดหากขืนปล่อยให้นอนริมขอบเตียง แถมยังโกนหนวดที่ขึ้นเป็นตอให้เสียสะอาดเกลี้ยงเกลาอีก คนอะไรช่างน่าเอ็นดูได้ขนาดนี้ “อย่างนี้ ผมไปไหนไม่ได้แล้วจริงๆนะ อย่าทิ้งผมไปเลยนะ อิม”

“ฮั่นแน่ ทำอะไรกันอยู่คะ”

เสียงดังมาจากทางประตู ผมเหลือบไปมอง เป็นน้องสาวอิมที่ยืนเกาะวงกบประตูยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่

“มายด์” โชคดีจริงที่ผ้าห่มถึงดึงขึ้นมาคลุมเกือบถึงไหล่ เธอเลยไม่มีโอกาสได้เห็นแขนของอิมที่ตระกองกอดผม ไม่งั้นมีหวังได้โดนอิมด่าเช็ด เรื่องนี้กับใครจะเห็นก็ช่างมัน แต่กับน้องสาวเจ้าตัวพยายามปิดสุดฤทธิ์ ด้วยเหตุผลที่ว่ายัยมายด์รู้ ต้ารู้ ยัยต้ารู้ แก๊งชิปเปอร์ก็รู้

“พ่อให้มาเรียกไปทานข้าวค่ะ สะดวกมั้ย” เธอโค้งตัวยื่นหน้าเข้ามาอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ร่างในอ้อมกอดพลันได้ยินเสียงก็ขยับตัวเบาๆ ผมรีบคลายวงแขนกลัวคนเพิ่งตื่นจะตกใจกระโตกกระตาก อิมเมจขยับตัวอย่างเกียจคร้าน ยันศอกเข้ากับเตียงชันตัวขึ้น พลางยกกำปั้นขยี้ตา ก่อนเบนศีรษะไปทางประตู

“ยัยมายด์?”

“พ่อให้มาเรียกไปกินข้าวค่ะพี่อิม”

“อื้อ เดี๋ยวลงไป” ยังขยี้ตาไม่หยุดจนผมกลัวว่ามันจะหลุดออกมา เลยขยับไปจับข้อมือเล็กห้าม

“อย่าขยี้แรงสิครับ เดี๋ยวตาก็อักเสบหมด”

“ก็มันง่วงนี่หน่า” อิมตอบทั้งที่หลับตา

“ไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่าครับ แล้วค่อยลงไปทานข้าวกัน” ผมยันตัวขึ้น ประคองตัวร่างโปร่งให้ค่อยๆนั่ง ระหว่างกระโดดลงจากเตียงดันเหลือบไปเห็นกะละมังใบเล็กที่ใส่น้ำสะอาดอยู่ใบนึงวางอยู่ “น้ำในกะละมังตรงนี้สะอาดมั้ยครับ” อิมปรือตาขึ้นมามองก่อนพยักหน้า ผมจึงคว้าผ้าเช็ดตัวผืนเล็กไร้การใช้งานมาจุ่มน้ำในนั้นก่อนบิดแห้ง

“เย็นนิดนะครับ จะได้ตื่น” มือค่อยๆบรรจงประกบผ้ากับผิวหน้าอย่างแผ่วเบา แล้วไล่ไปตามแก้มจนทั่วไม่เว้นแม้เปลือกตา เจ้าตัวส่งเสียงอืออาในลำคอราวกับพอใจ เวลาพึ่งตื่นอิมจะไม่ค่อยมีสติสัมปชัญญะสักเท่าไรเขาถึงยอมให้ผมทำแบบนี้อย่างว่าง่าย ร่างโปร่งยังนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่ ผมหันไปทางมายด์ยกนิ้วชี้ขึ้นในระดับปากพลางทำท่าออกเสียงชู่ เธอกลั้นยิ้มจนแทบทะลักออกจากแก้ม โค้งหัวน้อยๆเหมือนตอบรับ

เมื่อได้สัญญาณอนุญาต ผมจึงหันมาจัดการคนที่นั่งละเมออยู่ ด้วยการแนบจุมพิตอย่างแผ่วเบาแล้วรีบถอนถอย อิมเปิดตาพรึ่บ ยกมือทุบต้นแขนผมอย่างแรงแทบจะในทันที หน้าดุๆแอบเขม่นเข่นเขี้ยวเล็กน้อย

“เชี่ยเกรท เมื่อกี้คุณทำอะไรวะ ต่อหน้าน้อง...”

“มายด์ไม่อยู่แล้วครับ” อิมหันไปมองตามคำบอก น้องสาวไม่อยู่แล้วจริง “แล้วเมื่อกี้ผมก็ไม่ได้ทำอะไรด้วย”

“ไม่ได้ทำอะไรได้ไง ก็เมื่อกี้...” หันขวับกลับมาเปล่งท้ายประโยคเสียงเข้มเหมือนประท้วง ผมยกผ้าขนหนูขึ้นแนบกลีบปากแดงหยุดทุกคำพูดแล้วลูบเช็ดอย่างแผ่วเบา

“ผมก็เช็ดหน้าให้อิมอยู่ไง”

“หา?” เสียงอู้อี้ดังลอดออกมา

“คิดว่าเป็นอะไรเหรอครับ” เจ้ามือปัดมือผมออก

“จะเป็นผ้าขนหมูได้ไงก็เมื่อกี้มัน...”

“หนูครับไม่ใช่หมู” อยากเถียงจนลนลิ้นพันกันสินะ

“เออ หมูก็หมู” เฮ้ย หนู ดิอิม “อย่าพาผมออกประเด็นได้มั้ย เมื่อกี้มันไม่ใช่ผ้าขนหนูชัดๆ”

“ทำไมถึงรู้ว่ามันไม่ใช่ผ้าขนหนูล่ะครับ”

“ก็มัน!” อิมเหมือนงับปากไว้ทัน หน้าตื่นๆทำให้ว่าเจ้าตัวกำลังจะพูดบางอย่างที่ไม่น่าเอ่ยออกมา

“มัน...มันทำไมเหรอครับ”

“มัน”

“ว่ามาสิไม่งั้นผมไม่เข้าใจนะ”

“มันอุ่นกว่า”

“แล้ว”

“นุ่มกว่า”

“แล้ว”

“เออ เออ ช่างมันเถอะ ผ้าขนหนูก็ผ้าขนหนู ผมไม่สงสัยแล้วก็ได้”

หึ อย่างนี้ทุกที พอให้พูดอะไรที่น่าอายเข้าหน่อยก็ยอมแพ้ เจ้าตัวพรวดพราดลุกจากเตียง มีแอบเดินเซนิดๆจนต้องเข้าไปช่วยประคอง ก่อนจะโดนสะบัดออกทำปากแบะงอนใส่เหมือนเด็กๆหนีออกจากห้องไป









“เฮ้ยยัยมายด์ นี่จะไปจัดปาร์ตี้ที่ไหนเนี่ย”

ทั้งโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายอย่างละลานตา ทั้งที่ก่อนจะลากสังขารไปพักผ่อนด้านบนยังจำได้ว่าน้องสาวผมแค่บ่นอยากกินพิซซ่า แต่ที่โผล่ขึ้นมาเพิ่มเติมกลับมีทั้งเมี่ยงปลานิลเผา แกงจืดตำลึงหมูสับ ผัดผักรวมมิตรที่ใส่บล็อกโคลี่เต็มไปหมด น้ำพริกเห็ดฟาง พร้อมกับข้าวซ้อมมืออีกหนึ่งโถ น้ำตะไคร้เย็นฉ่ำที่ใส่เหยือกใบโต ตามด้วยลูกแตงโมที่นอนอยู่บนโต๊ะ

ส่วนพิซซ่าของยัยมายด์นะเหรอหดลงเหลือถาดเล็กซะงั้น...

“ถ้าบอกว่าปาร์ตี้เลี้ยงรับพี่เขยพี่อิมจะเชื่อมั้ยล่ะ” ยัยน้องแซวไม่ทันไร เสียงไอในลำคอค่อกแค่กก็ดังขัดจังหวะการแซว “แหมพ่อ ยังไม่หายหวัดอีกเหรอคะ ผ่านไปหลายวันแล้วนะ”

“เลิกพูดมากแล้วมาตักข้าวให้พี่ๆเขาได้แล้ว” พ่อผมพยักพเยิดส่งสายตามายังโถข้าว ส่วนยัยมายด์ยังคงยืนใช้หลังมือป้องปากเหมือนต้องการจะบอกความลับบางอย่างให้ฟัง

“ไม่ใช่ฝีมือน้องหรอกค่ะ นู้นฝีมือพี่เกรทเขา ตอนพี่อิมเถียงกับพ่ออยู่เขามาลากหนูมาบอกให้โทรสั่งร้านนี้ บอกว่ามีแต่อาหารดีต่อสุขภาพ ส่วนแตงโมน่ะสั่งแกร๊บมาส่งค่ะ” เดี๋ยวนี้แกร๊บฟู้ดมีส่งแตงโมด้วยเหรอวะ เหลือเชื่อ ผมมองไปทางเจ้าผลไม้ลูกกลมอย่างอึ้งๆ ก่อนเหลือบเห็นคนที่ยืนอยู่ถือมีดยาวมาวางใกล้ๆมัน เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาสบตาเข้ากับผมอย่างพอดิบพอดี

“พี่อิมครับ”

“หะ ฮะ? อะไร?” เสียงผมแอบมีพิรุธ กลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะจับได้ว่าแอบจ้องมองอยู่ หากร่างสูงทำเพียงแค่ยกยิ้มละมุน ก่อนยกมีดขึ้นโชว์

“มาช่วยผมหั่นแตงโมหน่อยเร็ว จะได้แช่เย็นไว้ให้ทันก่อนกิน”

รอยยิ้มโคตรแสนอบอุ่นอวลในใจส่งตรงมาไม่หยุดหย่อน ตอนนี้เหมือนผมกำลังโดนพรีเซนต์เตอร์โฆษณาขายมีดสุดหล่อตกเหยื่อ ด้วยท่วงท่าเสนอขายที่ไม่เป็นสองรองใคร...

เพื่อให้ไปช่วยร่วมหั่นผลไม้ด้วยกันอีกระลอก...


…TBC…

+++++++++++++++++++++++++


ตอนนี้เรื่อยๆแต่แต่งไปก็ละมุนใจเหลือเกิน
รักพี่ต้องเข้าทางพ่อ อุอุ
แต่พอพ่อเผลอ ให้มาเจอกันที่เตียง เอิ๊กกกก

คนอ่านเปิดไฟเขียวแล้ว เกรทเลยเร่งเครื่องหนักเลยค่า555
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบเอ็ด(2)...ดูช้างให้ดูหาง แต่จะจีบตั้งปณิธานให้เข้าทางพ่อ [2/1
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-11-2019 23:18:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบเอ็ด(2)...ดูช้างให้ดูหาง แต่จะจีบตั้งปณิธานให้เข้าทางพ่อ [2/1
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 04-11-2019 22:40:16
รอวันพ่อเผลอ ,,, 555
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบเอ็ด(2)...ดูช้างให้ดูหาง แต่จะจีบตั้งปณิธานให้เข้าทางพ่อ [2/1
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 05-11-2019 03:30:25
เกรทไม่ธรรมดาเข้าทางพ่อ 55555 o13
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบเอ็ด(2)...ดูช้างให้ดูหาง แต่จะจีบตั้งปณิธานให้เข้าทางพ่อ [2/1
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-11-2019 04:08:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบเอ็ด(2)...ดูช้างให้ดูหาง แต่จะจีบตั้งปณิธานให้เข้าทางพ่อ [2/1
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-11-2019 18:44:35
 :z1:


 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบเอ็ด(2)...ดูช้างให้ดูหาง แต่จะจีบตั้งปณิธานให้เข้าทางพ่อ [2/1
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 06-11-2019 21:41:56
ปากแข็ง..จริงๆ ให้ใจไปตั้งนานแว๊ววววว
555555
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบ(ครั้งที่สอง)...ช่วยน้องผม จะตอบแทนด้วยการช่วยพี่ P.4 [10/11/
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 10-11-2019 01:15:51
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

สิบ(ครั้งที่สอง)...ช่วยน้องผม จะตอบแทนด้วยการช่วยพี่



ผมกำลังยืนอยู่ตรงทางม้าลาย มองไปอีกฟากหนึ่งของถนนอันเป็นที่ตั้งของตึกคอนโดสูง ในชีวิตนี้คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้มาเหยียบที่นี่ซะแล้ว ทำไมเรื่องราวมันถึงได้กลับตาลปัตรมาถึงขั้นนี้ได้นะ

ยืนถอนหายใจกับตัวเอง ยอมรับว่าชะตาเล่นตลกนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำให้ผมได้มาเจอกับเกรท บนโลกนี้คนมีเป็นหมื่นเป็นแสนแต่ทำไมต้องให้ผมไปยืนอยู่ตรงลานเปิดใจในวันนั้น ทำไมต้องให้ผมดันเป็นคนที่ถูกเลือกให้เอาหนังสือไปส่งคืนห้องสมุดเสมอๆ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนี่ก็ผ่านมาเกือบสามอาทิตย์แล้ว คนที่ประกาศตัวว่าจะจีบผมต่อหน้าพ่อแม่ ยังไม่มีทีท่าว่าจะถอดใจยอมแพ้ หรือเบื่อหน่ายอะไรทั้งสิ้น

...แถมวันนี้ยังชวนผมมาช่วยจัดห้องที่คอนโด ซึ่งอีกฝ่ายมักจะเรียกติดปากว่าหอนอกอีก...

ใจนึงคิดขอบคุณโชคชะตา ใจนึงกลับย้อนแย้งเสียเหลือเกินว่ามันดีแล้วจริงเหรอที่ผมมายืนตรงนี้

“น้องเวลรอแม่ก่อนนะครับ เดียวแม่เลือกผลไม้เสร็จแล้วค่อยไปกันนะ” หญิงสาววัยกลางคนหน้าตาสะสวยโน้มกายบอกลูกชายตัวเล็กของเธอหน้าร้านผลไม้ใกล้ทางม้าลาย ให้หยุดนิ่งและรออย่างว่าง่าย เด็กชายตัวเล็กพยักหน้าอย่างเชื่อฟังก่อนหันไปสนใจกับเจ้าโมเดลรถถังที่อยู่ในมือ เจ้าตัวเล็กสะบัดแขนหยุกหยิกไปมา จนผมที่มองอยู่อดยิ้มเอ็นดูไม่ได้

เห็นแล้วพลันให้หวนคิดถึงยัยมายด์ตอนเด็กๆ เมื่อก่อนแกชอบเล่นอะไรไม่สมกับเป็นเด็กผู้หญิง อย่างเจ้าโมเดลรถถึงนี่ก็เหมือนกัน เล่นแข่งกับเพื่อนผู้ชายแถวบ้านบ้าระห่ำกันไป ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโตขึ้นมาถึงได้ก๋ากั่นเกินคนได้มากเสียขนาดนั้น

แอบเผลอหัวเราะในลำคอ หยิบมือถือที่สั่นดังขัดจังหวะห้วงคำนึงขึ้นมา ข้อความจากเกรทโชว์หราอยู่หน้าจอ เจ้าตัวกำลังถามไถ่ว่าผมเดินทางมาถึงหรือยัง



กำลังจะถึงครับ



ข้ามถนนดีดีนะครับ ผมรออยู่



รอยยิ้มจุดที่มุมปาก ความอบอุ่นแผ่ซ่านกับเพียงคำแสดงความห่วงใยใส่ใจในการสัญจรเดินทางจากอีกฝ่าย  ผมยกมือขึ้นเคาะหัวตัวเองเบาๆ นี่ชักจะเอาใหญ่แล้ว เพิ่งปากแข็งบอกไปว่าไม่ให้จีบ แต่ไหงกลับมาลิงโลดกับข้อความพวกนี้เสียเองได้ ระหว่างตำหนิตนเอง บางอย่างกระแทกรองเท้าผมเบาๆ เมื่อก้มมองกลับพบเจ้ารถถังสีเขียวขยับเคลื่อนราวกับเจ้าด้วงกวางตัวเล็กกำลังงัดข้อกับรองเท้าผมอยู่ ก่อนมันจะกระโดดผลุงเกลือกกลิ้งไปบนถนนใหญ่ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กวิ่งผ่านผมไปอย่างฉับพลัน สองมือไขว่คว้าจะเอาของเล่นของตนกลับคืนมา

“เฮ้ย!” ผมอุทาน ใจหายวืบ สัญชาตญาณ ณ ตอนนั้นสั่งการให้สองขาก้าวออกไป โถมตัวเอื้อมจนสุดแขนช้อนรักแร้ร่างเล็กขึ้น กระชากด้วยแรงทั้งหมดที่มี จนร่างทั้งร่างหงายหลังลงบนฟุตบาท ศอกและสีข้างรับแรงกระแทกอย่างจัง น้ำหนักก้อนหนึ่งพุ่งมาทับยังช่วงอกค่อนไปทางท้อง ก่อนโลกทั้งใบเหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่

“ตาเวล!!” เสียงใครบางคนดึงสติผมให้กลับมา พอได้ยินเสียงมารดาเด็กชายก็รีบตะลีตะลานกระโดดผลุงลงจากตัวผม ก่อนวิ่งไปด้านหลัง

“เป็นอะไรมั้ยลูก!” ผมตะแคงตัวหันมองคนเป็นแม่ที่ส่อแววตื่นตกใจ ลูบหัวลูบหางลูกชายสำรวจความปลอดภัยไปทั่ว พอเห็นว่าเด็กชายปลอดภัยดี ผมพลันโล่งใจขยับตัวลุกขึ้นจัดเสื้อแสงปัดฝุ่นที่เปรอะเปื้อนออกจากร่างกาย จนเบื้องหน้าเหมือนมีเงาร่างบางคนมาขวาง ที่แท้ก็เป็นแม่ลูกคู่เมื่อกี้ที่กำลังยืนมองมาทางผม ใบหน้าเธอแฝงแววสำนึกผิดขมวดคิ้วเศร้า

“ขอโทษนะหนู เป็นอะไรมากมั้ยลูก” คนเป็นแม่จับไหล่กึ่งกอดคอลูกชายเอาไว้เหมือนกลัวจะวิ่งออกไปก่อเรื่องอีก ส่วนเจ้าตัวน้อยก็ยืนก้มหน้างุดกำนิ้วแม่บนไหล่ตนแน่น สีหน้าไม่สดใส

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่น้องไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ” ผมยกแขนชี้เป้าไปยังเด็กชายตัวเล็ก คนเป็นแม่ส่ายหัวพลางตอบ

“น้องไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เพราะหนูช่วยไว้แท้ๆเลย น้าขอโทษนะที่ดูแลลูกไม่ดี”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมยกมือขึ้นบอกปัดพลางยิ้มให้เธอสบายใจ สีหน้าเธอดูเปลี่ยนไป ณ จังหวะนั้น

“ตายจริง นั่นเราเลือดไหลหนิ” ผมมองตามสายตาของอีกฝ่าย พอพลิกข้อศอกดู ข้างที่เมื่อครู่รองน้ำหนักของสองคนไว้มันถลอกจนมีเลือดสีแดงสดซึมออกมา

จริงด้วย มิน่าล่ะ แสบขึ้นมาเชียว เดี๋ยวก่อน ทำตื่นไปมีแต่ให้อีกฝ่ายใจเสีย ผมเลิกมองแขนยกยิ้มแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้เอง ไกลหัวใจ”

“ไปทำแผลเถอะจ้ะ พอดีเลย ห้องหลานน้าอยู่ในตึกคอนโดตรงนั้นพอดี อย่างน้อยก็ไปทำแผลที่นั่น...”

“ไม่เป็นไรจริงๆครับ” ผมขัดเธอเสียก่อน สังเกตเห็นเจ้าตัวเล็กสีหน้าไม่ดีเอาเสียเลย จึงยกฝ่ามือไปโยกหัวเบาๆ “ทีหลังอย่ากระโดดออกไปอย่างนั้นอีกนะครับ”

“ขอโทษครับ” เสียงแหลมเล็กน่าเอ็นดูหลุดจากปากเด็กน้อย เจ้าตัวไม่มองหน้าได้แต่กำมือผู้ปกครองบิดไปมาอย่างประหม่า ผมชักเอ็นดูเด็กคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆแล้วสิ พ่อแม่สอนมาดีมาก แม้กระทั่งมารยาทเรื่องการขอโทษคนยังเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อนโดยไม่ต้องให้ผู้ใหญ่เอ่ยเตือน

“ผมไปนะครับ” พอเห็นว่าถนนว่างผมเลยรีบเดินข้ามไปอีกฟาก ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องมารู้สึกผิดถ้าผมยังยืนอยู่ต่อ



ผมก้าวเข้าเขตคอนโด หลบเข้ามาในตัวตึก ผ่านพนักงานรักษาความปลอดภัยไปยังลิฟต์ขึ้นชั้นสูง ใช้คีย์การ์ดสำรองที่ได้มาจากเจ้าของห้องเตะบัตรจนขึ้นมาถึงชั้นที่ต้องการ พอประตูลิฟต์เปิดก็เดินตามเส้นทางประจำไปจนถึงหน้าห้องอีกฝ่าย ถึงแม้เกรทจะบอกว่าให้ใช้คีย์การ์ดเข้าห้องได้ตามสบาย แต่ตราบใดที่ห้องยังไม่ใช่ของเรามันก็อดรู้สึกเกรงใจไม่ได้ เลยเคาะประตูตามมารยาทไปสองสามทีก่อนยกคีย์การ์ดขึ้นแตะเปิดเข้าไป

“เกรท ผมมาแล้วนะ”

“ใครค้า”

หา? เสียงผู้หญิงดังขานตอบ ผมยืนอึ้งแปลกใจอยู่ตรงนั้น หรือว่าผมเข้าห้องผิด เฮ้ยเป็นไปไม่ได้ ก็ในเมื่อผมใช้คีย์การ์ดที่ได้มาจากเกรทเข้าห้องมาได้นี่หน่าแล้วทำไม...

“ใครคะ” หญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดภูมิฐานห่มคลุมด้วยผ้ากันเปื้อนมาหยุดยืนตรงหน้า ท่าทางส่อแววประหลาดใจอย่างสุดซึ้งในการปรากฏตัวของผม

ใคร? ไม่ใช่มีแต่เธอที่ตั้งคำถาม แม้แต่ในหัวผมเองก็ยังเกิดความสงสัย

“เอ๊ะ...เดี๋ยวนะ เธอๆๆๆ” ถุงมือกันความร้อนในมือถูกชี้มาตรงหน้า เธอเบิกตากว้างเหมือนแม่บ้านกำลังเจอของเซลล์ลดราคาห้าสิบเปอร์เซ็นต์ “เธอใช่มั้ย?”

“เอ๊ะ...หะ...ผม ผมทำไม อะไรครับ”

“แม่ ทำไมเปิดเตาทิ้งไว้อ่ะ” เสียงทุ้มต่ำขานเรียกสรรพนามของผู้หญิงตรงหน้ามาแต่ไกล ผมเบิกตาค้างอย่างห้ามไม่อยู่

อะไรนะ? แม่เหรอ!?

“ขะ...ขอโทษครับ! ผมเข้าห้องผิด!” ถอยหลังปิดประตูดังปังมือกำลูกบิดประตูแน่น ใจนี่กระหน่ำเต้นระรัวเป็นกลองศึก

ม...แม่? แม่เกรทเหรอวะ มาได้ไงเนี่ย! ผมตัดสินใจก้าวเท้าเดินออกในทันทีก่อนชีวิตนี้จะหาไม่ แต่กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

“อ้าวหนูคนเมื่อกี้หนิ” ผู้หญิงคนเดียวกับที่เจอตรงถนนเธอกำลังเดิมจูงน้องเวลมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้า เจ้าตัวเล็กพอเห็นหน้าผมเหมือนนึกคุ้นว่าจำได้ จึงยกยิ้มร่าพนมไหว้ทั้งรถถังที่ยังอยู่ในมือ “พี่จายใจดี หวัดดีฮับ”

ออร่าความสดใส ผิวขาวนุ่มนิ่ม แก้มยุ้ยน่าหยิกหยอก สร้างความน่ารักน่าทะนุถนอมให้เด็กชายอีกเท่าตัว หากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวแวะรายทาง ผมขยี้หัวทุยหนึ่งที ส่งยิ้มให้

“สวัสดีครับน้องเวล พี่ไปก่อนนะ” ตั้งใจผละตัวออกในทันที แต่อุปสรรคร้อยแปดพันเก้ายังเข้ามาถาโถมไม่หยุดหย่อน มือของแม่น้องเวลขยับมาจับแขนผมเหมือนจะรั้งไว้

“อ้าวเดี๋ยวสิ นี่เราจะรีบไปไหนน่ะ” เสียงความเคลื่อนไหวเบื้องหลังพลันทำใจหายวูบ รีบแตะมือหญิงสาววัยกลางคนเบาๆให้อย่าถือสาหาความปล่อยผมจากพันธนาการนี้ไปเสียที

“คุณน้าคือผมต้องรีบ...”

“อิม!”

ฉิบหาย! เสียงเกรท! ตอนนี้มีแต่ต้องสวมวิญญาณนักวิ่งระยะสั้นเท่านั้นถึงจะรอด โดยไม่รอช้าผมสับขาทันที แล้วมันก็จบลงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น แค่นั้นจริงๆ อย่าสงสัยเลยครับ ไม่ใช่ว่ามีประตูข้ามมิติโผล่มาอย่างในหนังแล้วผมพลันหนีได้อย่างฉิวเฉียด เพียงแต่ยังไม่ทันจะก้าวสอง เจ้าคนตัวสูงที่เรียกชื่อผมก็พุ่งตรงมาคว้าไหล่เอาไว้แล้ว

“อิม!” เกรทหายใจแรง หน้าตาเหมือนคนทำกระเป๋าเงินหล่นหาย เขาตกใจเพราะใครบางคนวิ่งพรวดพราดหนีมา “เข้าห้องผิดที่ไหนล่ะ มาห้องผมตั้งกี่รอบแล้วทำไมไม่จำ!” ผมยืนอึ้ง เหมือนเด็กเล็กกำลังโดนผู้ใหญ่อย่างเกรทดุ

“ก็...ก็...” เหตุผลติดค้างอยู่ที่ริมฝีปาก ผมไม่ได้คิดว่าจำห้องผิด ห้องเกรทตั้งแต่ตอนคบกันมา ที่วางรองเท้า ลิ้นชักใส่ช้อนส้อมจานชาม กล่องปฐมพยาบาล ที่เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดต่างๆในห้องผมจำได้หมด นับว่าเดินจนพรุนเป็นร้อยครั้ง หลับตาคลำยังรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

แต่ที่หนีมา เพราะคิดว่าการปรากฏกายของผมอาจจะทำให้คนตัวสูงต้องเดือดร้อน แม่เกรทไม่เคยรู้จักคนที่ชื่อว่าอิมเมจ ไม่เคยรู้สถานการณ์ความมีตัวตนของผม แล้วใครมันจะวิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปโดยไม่เตี๊ยมกันมาก่อนได้ล่ะ

แล้วหาก...เกรทยังไม่เคยบอกเรื่องผมกับแม่ตน อย่างนี้ผมยิ่งไม่ควรแสดงตนว่าอยู่ในฐานะอะไรทั้งสิ้น...

“เกรท วันนี้คุณน่าจะไม่ว่าง ให้ผมกลับก่อนก็ได้นะ” ผมจับมือบนหัวไหล่ บีบกระชับแสดงความมุ่งมั่นของเจตนา หากแต่ฝ่ายนั้นยังคนยืนนิ่งไม่พูดไม่จา สายตาขยับไปสบกับบุคคลที่สามซึ่งมองมาจากอีกทางอยู่ตลอดนับตั้งแต่ต้น

“น้าแก้ว?” แม่น้องเวลยกมุมปากเผยยิ้มอ่อนหวาน ส่วนเจ้าตัวเล็กที่โดนล็อกไว้ก็ตะเบ็งเสียงดังแข่งใส่ทุกคน

“พี่เก๊ด หวัดดีฮับ”

ผมรู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เคยได้ยินเกรทพูดถึงบ่อยๆว่ามีญาติสนิทอีกคนซึ่งเป็นน้องสาวแม่ เป็นลูกหลงอายุห่างกับมารดาตนเองมาก แถมยังควบสถานะคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมีลูกชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องวัยห่างจากเขารอบกว่า เกรทหันกลับมามองทางผม จับสังเกตได้ว่าสายตาคมพุ่งตรงไปทางต้นแขน ที่แท้เป็นผมเองที่ตกใจจนเกาะไหล่อีกฝ่ายไว้แน่น ผมรีบสะบัดมือออกราวกับแตะโดนของร้อนก่อนยกไปไพล่หลังก้มหน้า แวดล้อมมีคนนอกยืนอยู่ทำตัวเหมือนสนิทสนมไปได้นะเจ้าอิม

“ถ้าน้าเดาไม่ผิด คนนี้ใช่มั้ยเกรท” เธอพยักคางมาทางผม เผลอสบตาเพียงนิดก็กลัวจนต้องชักกลับ แต่ไม่ลืมกล่าวคำทักทาย

“สวัสดีครับ” ยกมือไหว้จบด้วยประโยคสั้นเท่าห่างอึ่ง ไม่รู้จะกล่าวคำเรียกแทนตนอย่างไร ถ้าเผลอโพล่งชื่อออกไปเหมือนจะติดปากต้องตามด้วยคำว่าเป็นรุ่นพี่ที่มหา’ลัย ร่างสูงยิ่งชอบทำท่าน้อยใจแบบแปลกๆเวลาผมแนะนำตัวยามเจอเพื่อนฝูงของกันและกัน ผมกล่าวปัดว่าเป็นเพียงคนรู้จักเท่านั้นแหละได้เรื่องเลย

“ครับ” เกรทขานตอบสั้นกว่าผมเสียอีก “พี่อิมเมจ นี่น้าแก้ว คนที่ผมเล่าให้ฟังบ่อยๆ”

“สวัสดีครับ น้าแก้ว” เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะขึ้นจมูก หญิงสาวผินหน้าเหล่ตาไปยังร่างสูงอย่างมีความนัยก่อนเผยรอยยิ้มออกมา

“เกรทเพื่อนเราจะไหว้ทำไมบ่อยๆฮะ ไหว้จนน้าคิดว่าเป็นครูหน้าประตูโรงเรียนของเจ้าเวลมันซะแล้ว” ดอกบัวตูมบนอกผมนี่เหี่ยวขึ้นมาทันทีเลย เกรทยิ้มให้น้าก่อนจับมือผมดึงลงไปไขว่หลังเกี่ยวนิ้วประสานกำแน่น เจ้าตัวก้มหน้ามองลงมา “ทานข้าวเช้ามายังครับ”

“ท...ทานมาแล้ว...นิดหน่อย”

“งั้นกินเป็นเพื่อนผมอีกนะ แม่ผมทำไว้เยอะเลย”

“เดี๋ยวเกรท” ผมยกมือข้างที่เป็นอิสระตีอกเขาเบาๆ ก่อนเริ่มกระซิบ “แม่คุณมาผมกลับก่อนไม่ดีกว่าเหรอ”

“ทำไมต้องกลับด้วยล่ะครับ” เจ้าตัวเลิกคิ้วแสดงความประหลาดใจ ทำไมเป็นคนคิดน้อยแบบนี้นะ ถ้าขืนผมอยู่แม่เจ้าตัวจับพิรุธรู้เรื่องราว ไม่เป็นลมเป็นแล้งแย่เลยเหรอ ผมไม่ยินดีเลยสักนิดหากเกรทต้องหมางใจกับครอบครัว

“ก็...” กำลังจะบอกเหตุผล แต่คนเป็นน้ากลับเดินกางแขนกว้างมาประชิดแตะไหล่เราทั้งคู่

“ไปจ้ะ ไม่ต้องเถียงกันแล้ว” น้าแก้วขยับมือมาดุนหลังพวกเราสองคนให้เดิน เด็กชายเวลตัวจ้อยวิ่งตัดหน้า ยกคีย์การ์ดแนบประตูอย่างรู้งาน

ผมถอนหายใจ ในที่สุดผมก็ต้องจำใจเดินเข้าเคหสถานทั้งที่ในนั้นมีทั้ง แม่ น้า และลูกพี่ลูกน้อง ญาติโกโหติกาของอีกฝ่ายอยู่เต็มไปหมด



มีต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบ(ครั้งที่สอง)...ช่วยน้องผม จะตอบแทนด้วยการช่วยพี่ P.4 [10/11/
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 10-11-2019 01:18:20
“แม่ครับ”

“อ้าวมากันแล้วเหรอ แม่ก็ว่าทำไมออกไปนาน” หญิงสาววัยกลางคนในชุดผ้ากันเปื้อนหมุนตัวเอ่ยทัก ขณะกำลังมีสมาธิกับของในเตา ทันทีที่ก้าวเข้ามาผมรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมน่าอร่อยของบางอย่างลอยเข้ามาเตะจมูก มันลอยอบอวลอยู่ในห้อง ความรู้สึกแรกที่คุ้นเคยคือกลิ่นกระเทียม พริกไทยดำอันหอมหวน บวกกับ...อืม...รากผักชี...ใช่แน่ กลิ่นอย่างนี้ไม่พ้นสามเกลอ รากผักชี กระเทียม พริกไทยที่มารดาตนชอบตำแล้วนำมาผัดทำอาหารบ่อยๆ ชักเริ่มกระตุ้นต่อมน้ำลายให้ทำงาน น้ำย่อยในกระเพาะพลุ่งพล่านร้องประท้วง นี่จากใจคนที่ทานอะไรมาแล้วนิดหน่อยเลยนะ

“มีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยน่ะพี่” น้าแก้วตอบกลับ รีบวางถุงพลาสติกที่ใส่ผลไม้กับของกินเล่นนิดหน่อยอย่างพวก ขนมครก ขนมตาล ถั่วแปบ กล้วยปิ้ง ที่หาซื้อได้ตามตลาดยามเช้าลงบนโต๊ะ ถึงแม้จะคล่องแคล่ว แต่ขึ้นชื่อว่าครัวในคอนโดก็ยังแคบไปสำหรับการทำอาหารเมนูใหญ่ แม่เกรทปิดเตาไฟทุลักทุเลวิ่งหยิบน้ำแข็งจากตู้เย็นมาเทใส่ชามแก้ว หันรีหันขวางไปคว้ากระชอนมาตักไข่ต้มจากน้ำร้อน

“เอ๊ะ?” พอผมก้าวเข้าไปอย่างไม่รีรอรองน้ำใส่ชามพร้อมยื่นส่งให้ จึงเกิดเสียงดังอุทานอย่างประหลาดใจมาจากผู้เป็นแม่

"ระวังลวกนะครับ รีบตักใส่เร็ว” ผมร้องเตือน คนเป็นผู้ใหญ่ท่าทางงงงวยเล็กน้อยก่อนเทไข่ต้มให้มันกลิ้งลงในชามอย่างระมัดระวัง พอเสร็จจึงนำมาวางข้างสำรับอาหารตรงเคาน์เตอร์ด้านหลัง ละลานตาเหลือเกิน ปลากะพงทอดหั่นชิ้นพอดีคำ กุ้งหมึกผัดใส่ขึ้นฉ่าย...อ๋อเจ้านี่เองต้นตอของกลิ่น ไหนจะกากหมู พร้อมข้าวหอมมะลิเม็ดสวยขึ้นหม้อที่ใส่โถอบกับ... “คุณน้าครับ เดี๋ยวผมช่วย” หันไปเจอแม่เกรทกำลังจะจับหูหม้อสเตนเลสยกลงจากเตาพอดี ในนั้นมีน้ำซุปหัวไชเท้าใสซดแล้วท่าจะโล่งคอน่าดู

“มาอิมผมช่วย” เกรทฉวยรับไม้ต่อไปจากผม “แม่ ผมเอาไปวางที่โต๊ะเลยนะ” หม้อน้ำแกงหนักเอาการ แต่เจ้าตัวเหมือนยกได้อย่างสบายๆเดินมุ่งตรงไปทางโต๊ะทานข้าว แล้วผมต้องทำอะไรต่อล่ะ

...อย่าปล่อยให้ผมยืนเคว้งอย่างนี้เซ่...

พึ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้กล่าวคำทักทายสักแอะ ผมตัดใจยอมเผชิญหน้ากับคนที่มีศักดิ์เป็นบุพการีของเกรท

“สวัสดีครับคุณน้า” เสียงหลุดหัวเราะขบขันดังมาจากคุณน้าแก้ว ขนาดพี่สาวยังแปลกใจหันไปถาม

“หัวเราะอะไรน่ะยัยแก้ว”

“เปล่าค่ะ แค่เอ็นดูน่ะ ดูท่าพี่อิมเมจของเกรทคนนี้จะชอบไหว้นะคะพี่” ผมพึ่งไหว้แม่เกรทครั้งแรกเองนะครับ อย่าเหมารวมกับสองครั้งก่อนหน้านี้สิ แม่เกรทส่ายหัวเบาๆอย่างอ่อนใจให้น้องสาว ถึงแม้จะขึ้นชื่อว่ามีลูกชายอายุอานามปาไปยี่สิบปีเรียนอยู่มหา’ลัย แต่คนมีพื้นฐานสวยยังไงก็ไม่สร่าง เกรทเคยเล่าว่าแม่เจ้าตัวเป็นดารามาก่อน การที่ได้ไปออกหน้ากล้องแสดงละครเอ่ยคำว่า ‘แม่’ สั้นๆก็เป็นเพราะผลพวงจากการที่มีแม่เป็นคนดังนี่แหละ

ใบหน้าแม่เกรทดูเจ้าระเบียบน่าเกรงขามต่างจากน้าแก้วซึ่งดูขี้เล่นและเป็นมิตร ผมเลยติดจะเกร็งจนขยับตัวทำอะไรก็ดูเก้งก้างไปหมด สายตาเธอมองเหมือนประเมินผมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า อดกลืนน้ำลายลงคออย่างประหม่าไม่ได้ ผมหลบออกจากเคาน์เตอร์ ไม่กล้าสบตา ใจนึกอยากจะหนีไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดแต่ข้อศอกกลับโดนจับไว้

“แขนไปโดนอะไรมาน่ะเรา” เสียงคนเป็นผู้ใหญ่ถาม พลางดึงส่วนที่เคยมีเลือดติดผิวหนังซึ่งบัดนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ำและเริ่มแห้ง

“ตายจริง แก้วลืมไปเลย” คนเป็นน้องเดินมาสลับตัวคว้าต้นแขนผมลากเดินออกไป เธอตะโกนบอกพี่สาว “เมื่อกี้น้องอิมช่วยตาเวลไว้จนล้มน่ะพี่ เดี๋ยวแก้วมาน้องไปทำแผลก่อน”

“อิมเป็นแผลเหรอครับ!!” เกรทที่เดินเข้ามาทันฟังพอดีพรวดพราดใส่ผม จับไหล่ได้หมุนพลิกตัวจนตาลาย

“เดี๋ยวเกรท”

“ถลอกไปทั้งตัวเลย เยอะด้วย เจ็บมั้ยเนี่ย”

“...”

“...”

แม่เกรทเงียบ น้าแก้วนิ่ง ทุกคนในที่นี้ยืนมองเราสองคนเป็นตาเดียว ผมนี่แทบจะกัดฟันหลับตาทำท่าเหลืออดใส่

“เกรท” ผมกดเสียงต่ำ เปล่งเบาลอดไรฟัน

“ครับ”

“ให้มันน้อยๆหน่อย” อย่าเล่นใหญ่ให้เว่อร์ไม่งั้นมันจะมาซวยพวกเราโว้ย!! เกรทยังคงไม่เข้าใจมองหน้าผมตาแป๋ว ไม่พอยังยกมือมาอังหน้าผากราวกับกลัวแผลอักเสบจนไข้ขึ้น

“เจ็บเหรออิม” หัวคิ้วมุ่นจนแทบเป็นโบว์ อีกฝ่ายแสดงออกว่าเป็นห่วงผมจริงๆ ใจผมเขวไปชั่วครู่ แสร้งหลบตากล่าวอ้อมแอ้ม

“ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น”

“พี่เก๊ด พี่เก๊ด” เสียงแหลมขึ้นแทรกกลางปล้อง พอก้มมองปรากฏเจ้าตัวเล็กประจำบ้านกำลังกระตุกกางเกงคนตัวสูงยิกยิก “เล่นรถถังกันคับ”

“มาเลยเจ้าตัวดี” เกรทย่อตัวลงไปรวบน้องไว้ในแขน “ไปทำอะไรให้พี่อิมเขาเจ็บตัวกันฮะเรา” ลงมือจิกพุงกลมๆจนเด็กร้องเอิ๊กอ๊ากด้วยความจักจี้ บิดตัวหนีหลับตาปี๋ หัวเราะอย่างสนุกสนาน

“ผมขอโทษแทนเวลด้วยนะครับ” มือของเกรทซึ่งนั่งยองเอื้อมมาจับประคองมือผมไว้ ทั้งที่ยังมีเจ้าตัวดีอยู่ในอ้อมแขนและหว่างขา “ไม่เป็นไร คุณก็ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ แผลแค่นี้เอง”

“คนที่ผมชอบมักทำตัวเข้มแข็งเสมอ”

“...”

...และคนที่คุณกำลังสนทนาด้วย ก็มักจะโดนทำหวั่นไหว ด้วยคำพูดสั้นๆง่ายๆกินใจของคุณเนี่ยแหละ

“เอาล่ะเลิกจีบกัน แล้วพาพี่อิมไปทำแผลเถอะเกรท” คุณน้าเดินมาแตะไหล่กว้าง กะพริบตาวิ้งให้ผมข้าง พาน้องเวลปลีกตัวออกไป เห็นนิ่งๆอย่างนี้แต่ใจผมฝ่อจนแทบหายจากอกข้างซ้าย คล้ายเหงื่อกาฬผุดเต็มหลัง เพราะกลัวเหลือเกินว่าคนที่ยังยืนมองอยู่ตรงนั้นจะได้ยินคำว่า ‘จีบกัน’ จากปากน้องสาวตนเอง









ปัง...

พอประตูห้องส่วนตัวของเกรทงับปิด ผมหมุนตัวไปจับต้นแขนร่างสูงกำแน่น จนเกรทตกใจเซถอยหลังไปพิงบานประตูพร้อมกล่องปฐมพยาบาลในมือ

“เกรท แม่คุณยังไม่รู้ใช่มั้ย”

“รู้เรื่องอะไรครับ”

“ก็เรื่องพวกเรา”

“เป็นแฟนกัน”

“ใช่...”

เฮ้ย...แปลกๆแฮะ พึ่งมารู้ตัวว่าสถานะผิดเมื่อกล่าวตอบรับไปค่อนคำ

“ใช่ที่ไหนเล่า ผมหมายถึงที่คุณกำลัง...”

“จีบอิมอยู่” ผมเผลอกลั้นหายใจ ฟังกี่ทีกี่ทีก็ยังไม่ชิน มันให้ความรู้สึกคันยุบคันยิบแบบแปลกๆ

“เออ...จีบผมอยู่”

“ไม่รู้หรอกครับ เพียงแต่...” เจ้าตัวเว้นวรรคจนอดที่จะพูดเร่งคำต่อไปไม่ไหว

“แต่อะไร”

“เพียงแต่ผมชอบเล่าเรื่องอิมให้แม่ฟังบ่อยๆ บางครั้งก็ไม่ได้ตั้งใจเล่าหรอกครับ แค่เผลอพูดขึ้นมา ผมชอบเผลอโยงทุกอย่างรอบตัวเข้ากับเรื่องอิมน่ะ เวลาเห็นแม่ทำอาหารก็ชอบบอกว่ามีพี่คนนึงที่ชอบออกตัวปกป้องกะเพราไม่ให้ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาหารสิ้นคิด พอเห็นพวกข่าวงานศิลป์ก็ชอบพูดว่ามีพี่คนนึงวาดรูปสวยมากจนผมอยากให้วาดรูปนู๊ดให้ พอเห็นโฆษณาเปิดตัวรถใหม่ก็ชอบบ่นบ่อยๆว่าอยากมีตังค์ซื้อไปให้เขาลองขับ เลยได้รถคันนั้นมาไง”

“น...นี่คุณพูดจนแม่คุณซื้อให้เนี่ยนะ!” จะบ้าตาย ทำไมแม่เกรทตามใจลูกเหลือเกิน

“ครับ นานๆผมจะกลับบ้านที แม่เลยชอบใช้เวลาทั้งวันอยู่กับผมมากกว่าจะออกไปไหน พวกเราเลยได้คุยอะไรหลายอย่างรวมถึงเรื่องอิม” เกรทพูดไปพลางจ้องหน้าผาก ใช้อุ้งมือที่กรอมแขนเสื้อเช็ดเหงื่อให้ หากไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนเจ้าตัวจะใส่เสวตแขนยาวตัวหนาพร้อมกางเกงขายาวสีเดียวกัน เพราะเครื่องปรับอากาศในห้องมักทำให้ตัวเย็น

“ล...แล้ว...”

“ไว้ค่อยคุยกันเถอะครับ ทำแผลก่อนนะ” โดนจูงลากมานั่งบนเตียงทั้งสภาพจิตใจไม่เสถียร เกรทวางกล่องปฐมพยาบาลลงข้างกาย เปิดเสร็จคว้าสำลีปั้นก้อนจุ่มแอลกอฮอล์จนชุ่ม

“ยื่นแขนมาครับ” ผมทำตามอย่างว่าง่ายมองคนคุกเข่าค่อยๆเตะก้อนฝ้ายลงแผลอย่างเบามือ พอโดนเท่านั้นสะดุ้งชักแขนหลบอย่างตกใจ

“อูย...” เสียงครางฟังไม่ได้เอาเสียเลย

“เจ็บเหรอครับ”

“นิดหน่อยน่ะ” โดนน้ำล้างไปก่อนหน้ายังไม่แสบเท่านี้เลย

“แล้วทีเมื่อกี้ทำปากเก่ง ‘ไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้น’ ” ดวงตาพราวระยับเป็นประกาย นึกรู้ทันทีเลยว่าประโยคนี้แฝงวาจาจิกกัด ย้อนคำวันเจ้าตัวโดนตำหนิว่าปากแตกจะจุมพิตทีกลับไร้ความเจ็บ แต่มาตกมาตายเอาตอนทำแผลเสียได้

“ไม่ต้องทำให้แล้ว ผมทำเอง” คิดว่าเร็วพอ แต่เกรทกลับไวกว่าชักมือหลบรักษาก้อนสำลีไว้ได้

“อยู่นิ่งๆ อย่าดื้อ อย่าซน ให้ผมทำแผลให้เสร็จก่อน”

“ดุเป็นเด็กไปได้ ผมไม่ใช่น้องเวลสามขวบ ที่ต้องคอยให้ผู้ใหญ่มาป้อนข้าวป้อนน้ำทำแผลให้แล้วนะ” ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่สนใจคำค้าน มือใหญ่จับแขนผมพลิกอีกข้างหยิบปุยขาวเปียกแอลกอฮอล์ก้อนใหม่เช็ดให้อย่างพิถีพิถัน

“ไม่ใช่เด็ก ผมรู้” ผมนิ่วหน้ายามเกรทจี้ทิงเจอร์ไอโอดีนเข้ามา “แต่ก็ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย” อยู่เหนือบนจนมองเห็นขวัญ เรือนผมสีน้ำตาลจากการโกรกดูพลิ้วสลวยน่าจับ วันนี้เกรทไม่ได้เซตผมให้แข็งเพราะไม่จำเป็นต้องออกจากบ้าน แพขนตาเหนือดวงตาตกๆที่เห็นผ่านแสกข้างของเขาช่างดูดี

“เหนื่อยงั้นเหรอ ถ้าเหนื่อยก็เลิก...”

“เลิกที่จะห่วงมันเหนื่อยกว่าครับ” ดวงเนตรสีเข้มเสขึ้นจังหวะประจวบเหมาะพอดี ผมจ้องตอบเขานิ่ง “เพราะคิดถึงแทบทุกเวลา”

เหมือนสิ่งมีชีวิตในอกด้านซ้ายบีบรัดรุนแรงจนหายใจไม่ออก รู้สึกพ่ายแพ้ เลยได้แต่เบือนหน้าหลบออกข้างพลางกำมือแน่น

“อิมถอดกางเกงออกได้มั้ย”

“ฮะ?” แปลกใจกับคำถามจนร้องเสียงหลง

“เห็นน้าแก้วบอกอิมล้มไปทั้งตัว” สำลีใช้แล้วโดนทิ้งข้างกล่องขาว มือใหญ่หยิบก้อนใหม่ขึ้นมาเทแอลกอฮอล์ลงจนชุ่ม “ตรงขาต้องถลอกแน่ๆเลยครับ”

ผมลังเลอยู่ชั่วครู่ ไม่อยากโดนหาว่าเป็นเด็ก โวยวายกับแค่เรื่องถอดกางเกงทำแผลเลยขยับตัวลุกขึ้น ยังแสบและตึงตรงแผลที่โดนทิงเจอร์ไอโอดีนทำพิษไว้ไม่หาย ได้แต่ฝืนใจดึงกางเกงลำลองขากว้างใส่สบายลงจากเอวอย่างช้าๆ รั้งมาจนถึงหัวเข่าแล้วปล่อยมันค้างเติ่งไว้อย่างนั้น

เกรทมองหน้าผมสลับกับขอบกางเกงไปมาไม่ยอมเริ่มลงมือทำอะไรเสียที

“ทำไมล่ะ ก็ถอดให้แล้วไง”

“ทำไมไม่ถอดออกให้หมดล่ะครับ”

“แล้วทำไมจะต้องถอด...โอ๊ย!” นิ้วยาวบีบมาที่ขาท่อนล่างอย่างจัง เจ็บจนห้ามเสียงร้องไม่อยู่

“นี่ไง ตรงหน้าแข้งกับน่อง เจ็บอย่างนี้มีแผลแน่นอน” ก่อนจะเจอแผลผม ทำให้คนข้างหน้ามีแผลบนกบาลสักสามสี่จุดได้มั้ย! ยกต้นขาอย่างไม่พอใจสะบัดกางเกงออกจากปลายเท้าได้ก็เร่งทันที โชคดีของผมที่ใส่เสื้อยาวพอจะปกปิดไปถึงส่วนไม่น่ามองได้

“ถอดแล้ว จะทำอะไรก็ทำ”

“งั้นนอนคว่ำบนเตียงเลยครับ” สั่งได้สั่งดี สั่งทีเหมือนเป็นคนใช้ ผมคุกเข่าคลานขึ้นเตียงดึงชายเสื้อปกปิดเจ้าบ็อกเซอร์เต็มทีก่อนนอนราบเอาแก้มนาบกับผืนผ้าลื่น กลิ่นหอมสะอาดผสมกลิ่นสบู่และยาสระผมประจำตัวของเกรทเคลื่อนผ่านจมูกเข้ามาอย่างหาทางหลีกเลี่ยงไม่ได้ พอเป็นแบบนี้แล้วเหมือนตอนโดนร่างสูงกอดกดหัวลงซบไหล่อีกฝ่ายไม่ผิดเพี้ยน

อีกฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหว น้ำหนักผู้ชายหนึ่งคนเพิ่มขึ้นมาเสริมทัพทำเตียงอ่อนยวบเด้งต้าน นิ้วเย็นเข้าจับปลายข้อเท้าร่างกายแอบสั่นไหวเบาๆอย่างเก็บอาการไว้สุดชีวิต จนกระทั่งความชื้นเย็นของแอลกอฮอล์เข้าสัมผัส ความเจ็บเบาบางจากแผลถลอกทำให้ผมนิ่วหน้าฟุบลงกับเตียงอย่างห้ามไม่อยู่

ฮือ...เจ็บว่ะ...

ลมอุ่นพัดผ่านบริเวณนั้นไป เสียงฟู่เบาราวกับเป่าให้ใบไม้ไหวดังเข้าหู ผมตั้งศอก เหลียวหลังไปมองคุณหมอเจ้าของไข้ ใบหน้าอ่อนโยนเกินกำลังเล่นทำเอามองค้าง เกรทค่อยๆละเลียดแต้มยาสีเหลืองน้ำตาลจางๆลงบนแผล เป่าให้มันแห้งเสมือนประหนึ่งปลอบประโลม เรื่องที่ไม่คาดฝันอีกหนึ่งอย่างคือการที่เจ้าตัวแนบกลีบปากตามทุกครั้งยามทำแผลเสร็จไปทีละจุด

...จะพรุนไปทั้งตัว ทุกอณูของร่างกายอยู่แล้ว...

เหมือนเกรทตกอยู่ในภวังค์ ไม่รู้แม้กระทั่งสายตาผม เจ้าตัวตั้งหน้าตั้งตาไล้นิ้วหารอยแผล แต้มทำความสะอาด ทายา พร้อมจุมพิตตีตราตรงส่วนใกล้เคียง วนซ้ำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนถึงต้นขาใกล้กับส่วนใต้ร่มผ้าของผม กระบวนการนี้ยังคงเวียนเป็นวัฏจักร เช็ด เป่า ทา เป่า จุมพิตและ...ไล้เลีย

“อื้อ!” เหมือนลิ้นร้อนที่แตะลงมาจะพาใจให้ผมเตลิด พฤติกรรมอันอ่อนโยนแต่คงไว้ซึ่งความเย้ายวนทำให้กลางลำตัวเกิดความรู้สึกบางอย่าง จนเผลอหลุดเสียงครางเจ้าปัญหาออกมา...

เกรทสะดุ้งยกตัวขึ้นมองผม ส่วนผมยังคงยันศอกคว่ำหน้านอนกัดปากอยู่ตรงนั้น

“อิม?”

“...”

“อิม เมื่อกี้เสียง...”

“หยุดพูดเลยนะ!” ผมชักขาออกจากมือใหญ่ เปลี่ยนมาเป็นนอนขดตัวตะแคงข้าง น้ำตาแทบรื้นมาคลอเบ้า บ้าเอ๊ยไอ้อิม ทำไมต้องมาเป็น...

“อิม...รู้สึก...เหรอครับ”

ไม่เอา...อย่าพูดดิวะ...ไม่อยากรับรู้เลยโว้ย...

“ให้ผมช่วยเอามั้ย”



ผมกระตุกตัวมองคนที่ปลายเท้า ดวงตาคมจ้องสบมีแววนิ่งไม่ปรากฏเชิงล้อเล่นใดใด มันทำให้ผมนึกอายตัวเอง หากแต่ปากกลับเผลอพูดออกไปว่า...



“รบกวนด้วยครับ”



...TBC…



++++++++++++++++++++++



อุกอุกอั่กอั่กอุ๋งอุ๋ง
คร่อกกกกกกกกก
ลงดึกมากกกก ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ
ม๊วพๆคนคอมเมนต์คนอ่าน ปากอิมไม่แข็งเล้ยยยย555
คราวนี้ตาเกรทพาแม่กับน้า แถมลูกพี่ลูกน้องตัวเล็กๆมาค่ะ
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบ(ครั้งที่สอง)...ช่วยน้องผม จะตอบแทนด้วยการช่วยพี่ P.4 [10/11/
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-11-2019 10:08:39
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบ(ครั้งที่สอง)...ช่วยน้องผม จะตอบแทนด้วยการช่วยพี่ P.4 [10/11/
เริ่มหัวข้อโดย: Stiiiii ที่ 10-11-2019 12:30:39
 :3125:
ติตามค่าาา น้องเกรทกับพี่อิม
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบ(ครั้งที่สอง)...ช่วยน้องผม จะตอบแทนด้วยการช่วยพี่ P.4 [10/11/
เริ่มหัวข้อโดย: Y-Darkness ที่ 12-11-2019 05:46:37
 :pig4 :pig4:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : สิบ(ครั้งที่สอง)...ช่วยน้องผม จะตอบแทนด้วยการช่วยพี่ P.4 [10/11/
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-11-2019 17:24:12
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : เก้า(ครั้งที่สอง)...ขนมหวานก่อนมื้อ P.4 [21/11/19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 18-11-2019 21:56:42
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

เก้า(ครั้งที่สอง)...ขนมหวานก่อนมื้อเช้า



เกรทจ้องผมนิ่งเหมือนรูปปูนปั้นหินแกะสลัก พอถูกสายตาคมปราดมองเท่านั้นเลยทำตัวไม่ถูก ได้แต่คู้ตัวซุกหน้ากับเตียง อยากจะมุดหายไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

“ผ...ผมพูดเล่น” เสียงอู้อี้เล็ดลอดออกมา มือสองข้างกำผ้าปูแน่น ยกขึ้นแนบชิดปาก โดยคิดอยากให้มันกรองกากตะกอนแห่งความเขินอายไม่ให้ส่งผ่านไปถึงอีกคน จังหวะนั้นเองที่รู้สึกได้ถึงการยวบยุบสั่นไหวของผืนเตียงก่อนคืนกลับตามน้ำหนักอีกฝ่ายที่หายไป เกรทลุกออกไปจากตรงนี้แล้ว เจ้าตัวคงช็อกและรับไม่ได้ที่ผมจะเอาจริง เพราะก่อนหน้านี้ผมมีแต่จะต่อต้าน

มันแน่อยู่แล้ว...คนที่มีพื้นฐานว่าชอบผู้หญิง เจออย่างนี้เข้าไปคงฝืนใจให้ใกล้ชิดไม่ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายคงเป็นอะไรที่เกินจินตนาการของอีกฝ่าย และดูจะล้ำเส้นไปนิด...แต่เกรท...คุณคิดผิดตั้งแต่จะจีบผมแล้ว...การโหยหาถึงความสัมพันธ์ทางกายเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้สำหรับผม

ไม่รู้อะไรมาดลใจให้กระบอกตาที่เคยแห้งสนิทกลับร้อนผ่าว ผมก้มหน้าซุกกับผ้าปูเตียงซึ่งยังคงกลิ่นอายของคนที่ทำให้ผมใจเต้นแรง คนที่คอยทำให้อุ่นอวลหัวใจ และมักจะทำให้เหมือนดิ่งวูบตกเหวในฉับพลัน ด้วยความที่สำคัญตัวเองผิด ความชื้นเปียกไหลจากขอบดวงตาสู่สันจมูกและปลายขมับ

กริ๊ก...

ผมสะดุ้ง ผินหน้าออกไปทางต้นตอของเสียง กลอนประตูกำลังถูกร่างสูงลงสลัก ใบหน้าเกรทส่อแววแดงแฝงเร้นภายใต้ผิวคล้ำแดด ดวงตาของพวกเราสบกัน เจ้าตัวจ้องมองผมอย่างนิ่งนาน ก่อนจะเริ่มย่างก้าวเข้าหาอย่างเนินนาบ

“อิม?” ขอบเตียงอ่อนยวบลงอีกครั้งขณะที่ผมพยายามสะบัดหน้าเช็ดน้ำตากับผ้าลื่น “ทำอะไรน่ะ” มือใหญ่จับกลุ่มผมอย่างแผ่วเบาพลางเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือไปมาตรงบริเวณใกล้ขมับ ใบหน้าตอนนี้ของผมคงดูแทบไม่ได้ แต่ก็ยังฝืนหันไปมองเจ้าของสัมผัสอันอ่อนโยน

“ทำอะไรน่ะครับ จมูกแดงเลย” เกรทใช้สันนิ้วชี้เกลี่ยปลายจมูกอย่างหยอกเย้า ดวงตามองลงมาแฝงแววอิ่มอุ่นหัวใจอย่างหาใดเปรียบ

“นี่คุณไม่ได้จะออกไปเหรอ”

“ออกไปแล้วครับ”

“แล้วทำไม...”

“ออกไปบอกแม่กับน้าว่าขอกินข้าวช้าหน่อย”

“...”

“ผมไม่รู้ว่านานรึเปล่า ความจริงก็อยากให้แม่กับน้าทานข้าวไปก่อน แต่พวกเขาอุตส่าห์มา คงจะอยากทานด้วยกันกับพวกเรา” เกรทยกมุมปากสองข้างขึ้น “อิมครับ”

“ค...ครับ” ผมขานตอบอย่างตื่นตูมเพราะจู่ๆก็โดนเรียกชื่อ

“พวกเราคงต้องเร่งมือกันหน่อยแล้วล่ะ”

“ห...หา?”

จบคำผมถูกเกรทจับพลิกตัวแบบไม่ให้สัญญาณ ตกใจเบิกตาโตเท่าไข่ห่านก่อนหยีตาหลบความเจิดจ้าเมื่อเจ้าตัวโปรยยิ้มหล่อมาแบบกะทันหัน แขนแกร่งสอดรวบเอวแล้วทิ้งร่างลงมาอย่างน่าใจหาย ผมเผลอกดแผ่นหลังลงต่ำ ดันผิวเตียงยุบยวบ ย่นคอหลบใบหน้าซึ่งใกล้เข้ามาตามสัญชาตญาณ มีเพียงปลายสันโด่งได้รูปเท่านั้นที่กำลังเตะต้องปลายจมูกของผม

“ห้ามดูนะครับ” เสียงทุ้มดังใกล้ปราม ลมหายใจอุ่นร้อนของอีกคนประพรมใบหน้า

“ด...ดูอะไร”

“หน้าตอนผมอาย” อีกฝ่ายขยับคางแตะลงมาเบาๆหนึ่งครั้งก่อนยิ้มเขิน สิ่งที่ผมต้องเผชิญคือความอ่อนนุ่มซึ่งยังคงเหลือค้างในความรู้สึก

“ม...ไม่เห็นจะแดงเลย” มือสองข้างดันอกกว้างไว้ ราวกับกลัวว่าจังหวะจะมาแบบระรัวจนความดันขึ้นตาย แต่ใช่ว่าป้องกันได้เสียเมื่อไร เกรทฉกจูบเบาๆซ้ำลงมาอีกครั้ง

“แดงยังครับ”

“ม...ไม่แดง”

จุ๊บ

“แดงยัง”

“ไม่เลย”

จุ๊บจุ๊บ

“ต้องแดงได้แล้วนะ”

“ก็ผิวคุณคล้ำจะให้ผมบอกแดงได้ยัง...อื้อออ” เข้าใจถ่องแท้เลยว่าอะไรคือหยอกเล่นอะไรคือจริงจัง กลีบปากนุ่มของเกรทแนบประกบลงมา ความอุ่นร้อนจากลมหายใจต้องใบหน้าเรียกไรขนอ่อนตรงท้ายทอยให้ลุกเกรียว รู้สึกตัวเบาหวิวเพราะช่วงแขนแข็งๆโอบกอดช้อนเอวขึ้นสูง แผ่นอกเราสองคนทาบทับกัน พลันเผลอตัวใช้นิ้วมือเกาะเกี่ยวไปยังชิ้นผ้าซึ่งปกคลุมต้นแขนแกร่งพลางกำแน่น ช่วงคอโดนประคองช้อนรั้งให้เข้าใกล้

“เกรท...ฮื้อ” เผลออ้าปากอย่างไม่ทันระวัง ลิ้นอุ่นร้อนพลันชำแรกแทรก จุมพิตสุดลึกล้ำเริ่มต้นนับแต่นาทีนั้น เกรทบอกว่าจะเร่งก็เร่งจริง เร่งหนักจนความรู้สึกเจือจางเบาบางซึ่งเลือนหายไปเมื่อครู่ จู่ๆถูกดึงดูดกลับมาใหม่ให้ปรากฏ บางอย่างในร่างกายผมกำลังร่ำร้อง ก่อตัวเป็นรูปร่างนูนเด่นโดดดุนต้นขาอีกฝ่าย ได้แต่ร้องอู้อี้ในลำคอกลั้นอารมณ์สุดกำลัง หลับตาปี๋เหมือนอยากหนีไปจากความจริง แต่ยิ่งปิดหนึ่งประสาทอีกหนึ่งประสาทยิ่งอ่อนไหวและไวความรู้สึกมากขึ้น เสียงเหนอะหนะเปียกชื้นในช่องปากดังก้องอยู่ข้างกกหู น้ำใสจากโพรงปากคนทั้งคู่ไหลล้นมาถึงปลายคาง ประสาทสัมผัสจากผิวกายและการได้ยินดูจะโคม่าหนักขึ้นเรื่อยๆ

ลิ้นนุ่มถูกดูดดึงซ้ำ จนกระทั่งกลีบปากบนล่างเริ่มรู้สึกด้านชา ร่างสูงจึงถอนใบหน้าออกห่างแล้วเริ่มดูดกัดบริเวณซอกคอใต้คาง หอมดังฟอดอย่างมันเขี้ยว

“...เกรท พอ หยุด” ตอนกระตุ้นทุกครั้งกลับเผลอดันสะโพกเข้าแนบ หวาดหวั่นเมื่อรับรู้ถึงความพองขยายใหญ่โตซึ่งเพิ่มขึ้นทุกขณะที่กระแทกโดนอีกฝ่าย มือใหญ่ลูบสัมผัสลงต่ำทิ้งร่องรอยร้อนไว้ตามผิวเนื้อที่ต้นขา เคลื่อนปลายนิ้วมาจับเกี่ยวขอบบ็อกเซอร์รวมถึงชั้นใน ก่อนสองมือร่วมใจออกแรงดันสะโพกผมให้ลอยสูง ลากทุกอย่างลงมากรอมถึงหัวเข่าในคราเดียว

จังหวะรุกไล่กะทันหันเสียจนใจหาย เกรงว่าส่วนแสดงความเป็นชายซึ่งเปี่ยมล้นด้วยอารมณ์จะโดนสายตาคมจับจ้องจนอายไปสิบชาติ เลยขยับตัวบิดตั้งใจตะแคงหลบ สะโพกนิ่มกลับโดนมือใหญ่จับบีบเบาให้สะดุ้งน้ำตารื้น

“ก...เกรท อย่าแกล้งกันได้มั้ย” ผมร้องท้วง เจ้าตัวใช้แขนยันกับเตียงยกกายช่วงบนออกห่าง เกรทหอบหนักประหนึ่งเกจอารมณ์เพิ่มจนถึงระดับสูงสุด

“ผมไม่เคยแกล้งนะ” มือใหญ่ขยับมาจับขอบเสื้อที่ระต้นขา “ผมบอกแล้วไง ว่าผมจริงจังกับเรื่องนี้เสมอ”

จบคำเกรทเลิกเสื้อยืดตัวโคร่งในมือขึ้นถึงคาง บดบังทัศนียภาพช่วงล่างไปจากสายตา ผิวกายไร้อาภรณ์ปกปิดต้องอากาศเย็นทำให้รู้เช่นเห็นชาติว่าทั้งแผ่นอก ช่วงล่าง รวมถึงหน้าท้องแบนราบไม่อาจหลบเลี่ยงจากสายตาคมของคนเบื้องบนไปได้

จะโค้งตัวเบี่ยงหลบ ผิวเนื้อหยุ่นตรงสะโพกกลับโดนกลั่นแกล้ง แถมยังลากปลายนิ้วยาวเข้าร่องเนินนุ่มเตะโดนส่วนดอกตูมในสวนลับแลอย่างเผลอไผล ก่อนแสร้งทำท่าทีเฉไฉไม่ตั้งใจ ณ จุดนี้ผมกลั่นกรองความคิดตัดสินใจเพียงชั่ววูบ อย่างน้อยวันนี้มื้อใหญ่ยังไม่ตกถึงท้อง การโชว์เนื้อหนังมังสาและพุงน้อยๆ คงดีว่าการเผยส่วนที่ตนไม่เคยแม้แต่ได้ยิลยลให้คนอื่นเห็นเป็นไหนๆ แต่พอตัดสินใจยืดแผ่นท้องเข้าท้าเสียงน้ำย่อยก็ดังขึ้นมาราวกับจังหวะซิทคอม

โครกกกก

“...”

“...” เกรทชะงักมือ

ส่วนผม...ได้แต่อึ้ง

อ...ไอ้เหี้ย!! อายมั้ยล่ะ ดังตอนไหนไม่ดังมาดังทำไมตอนนี้!

“หิวแล้วใช่มั้ยครับอิม” นิ้วเกรทลูบเบาบนแผ่นท้องไปมา จนผมอดเกร็งตัวตั้งรับสัมผัสของเขาไม่ได้ “อดทนอีกนิดนะครับ” เกรทส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผม

“กินผมก่อนแล้วค่อยไปกินข้าว”

ใครกินใครกันแน่ฟระ!!

ในที่สุดก็ถ่องแท้กับคำว่า ‘กิน’ ของเกรท เกรทเริ่มลงมือประพรมริมฝีปากไปทั่วแผ่นอก ทำสัญลักษณ์ดูดเม้มที่หน้าท้อง กัดเบาๆที่กระดูกเชิงกราน ก่อนไปจบตรงร่องตัววี ความเย็นเยียบกะทันหันแล่นเข้าเตะต้องช่วงกลางลำตัวอย่างผะแผ่วจนผมสะดุ้ง เจ้าตัวเชิงคล้ายจงใจในคราบไม่ตั้งใจ มือใหญ่ไล้แผ่วจุดศูนย์รวมแห่งอารมณ์ แกว่งหลังมือลูบผ่านเหมือนสายลมยามวสันต์ ก่อนจบลงยังโพรงปากขยับเคลื่อนเข้าครอบครอง

“เกรท!!ฮือ!!”

ผมตกใจสะดุ้งสุดตัว ทั้งชีวิตไม่คิดว่าจะมีใครมาทำแบบนี้ให้ หัวใจข้างซ้ายกระตุกเกร็งเต้นรัวอย่างประหวั่นพรั่นพรึง ขยับมือจับกลุ่มผมนุ่มของอีกฝ่าย ออกแรงต้านให้โพรงปากละออกจาก จนขอบตาเริ่มร้อนผะผ่าว

“เกรท...อย่า”

อะไรทำให้ร่างสูงยอมถึงขนาดนี้ จะบอกว่าเป็นเพราะผมเอ่ยปากว่ารบกวนด้วยงั้นเหรอ

“เกรท ไม่เอา ฮะ...คุณ ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้”

ลมหายใจพรูเบาระท้องน้อย แขนอ้อมหลังรั้งสะโพกให้ยกสูง ส่งสัดส่วนเร่าร้อนปลายเอ่อหยาดน้ำเข้าลึกในช่องปากอันอบอุ่น มือใหญ่ทำหน้าที่หยอกเย้าเคล้าคลึงผิวเนื้อเนินนิ่มอย่างรักใคร่ จังหวะดูดดุนเริ่มต้นอย่างเนินนาบ หากต่างกับสิ่งซึ่งเคยเผชิญมาอย่างสิ้นเชิง อย่างมากขึ้นชื่อว่าผู้ชายผมทำได้แค่ใช้สองมือปลดปล่อยยามมีอารมณ์ แต่ตอนนี้ใครบางคนกำลังทำรักกับส่วนที่ไม่เคยคิดอยากให้ใครจับต้องตั้งแต่รู้ความ ปลายเท้าจิกลงเตียงนอนผืนนิ่มอย่างเก็บอาการไม่อยู่ พยายามระงับอารมณ์สุดกำลัง

...ไปรู้เรื่องนี้มาจากไหนเนี่ย...

รู้ว่าไม่ได้เชี่ยวชาญ แต่ไม่ถึงขั้นไม่รู้ความ ร่างสูงถอดถอนสลับเก็บกินด้วยลิ้นร้อน พร้อมห่อหุ้มด้วยโพรงปากชื้นเปียกมาอีกครั้งทำราวกับรักใคร่เอ็นดูเจ้าของมันนักหนา สายตาเสพิศใบหน้าซึ่งปรากฏน้ำตาคลอเบ้า ขยับศีรษะได้รูปขึ้นลงอย่างหลงใหล

“อิม...อร่อย”

“...!” อย่าพูดแบบนี้ได้มั้ย มันไม่ใช่ไอติม ไม่ใช่อาหารอันโอชะของคุณนะ!!

ได้แต่ส่งเสียงฮึกฮักในลำคอยกมือปิดปาก เกรงการปรนเปรอเบื้องล่างจะเร้าอาการจนเผลอร้องครางเสียงประหลาดไม่น่าฟังออกมา

“อิม...” ช่วงจังหวะบางอย่างหายไป ผมเปิดเปลือกตามาเจอร่างสูงนั่งคุกเข่าเอามือยันเตียงในสภาพเสื้อแสงครบถ้วน อดเปรียบเทียบกับตนเองซึ่งไม่เหลือสิ่งที่สมควรเรียกว่า ‘เสื้อผ้า’ เอาไว้ปกปิดร่างกายได้เลย ประกายตาสีเข้มช้อนมอง ดึงข้อมือออกจากปากเคลื่อนหน้ามาประชิดใกล้ “ไม่ต้องกลั้นเสียงครับ”

“ไม่กลั้นได้ไง แม่คุณ! น้าคุณ! แถมลูกพี่ลูกน้องคุณ! ยังอยู่ข้างนอกนะ!” กดเสียงต่ำแต่ยังทำเป็นเชิงตวาดแหว ส่งสายตาชื้นน้ำจ้องตอบทั้งตัวเกร็งเสียงเครียด

“ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ ยังไงสักวันต้องรู้อยู่ดี”

“สักวันก็ต้องรู้อยู่ดี? นี่คุณคงไม่คิดจะบอกเรื่องพวกเรากับแม่คุณใช่มั้ย!” ผมจุดประเด็น เกรทนิ่งไป สีหน้าเปลี่ยนจากแววขี้เล่นกลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง

“ทำไมถึงบอกไม่ได้ล่ะครับ”

“ฮะ?”

“ถ้าคิดจะจริงจังกับคนนี้ไปตลอด ทำไมถึงบอกไม่ได้ล่ะครับ” ใจผมสั่นกระตุก เหมือนมีบางอย่างจุกในลำคอ คำพูดเกรททำให้เข้าใจผิดได้มาก เหมือนคนตรงหน้าคิดกับผมไปไกลมากกว่านั้น คิดไปถึงชีวิตปั้นปลายที่มีคุณปู่คุณตาสองคนนั่งจมรำลึกถึงความหลังกันริมทะเลสาบ ผมก้มหน้า รู้สึกสับสนและหวั่นไหว

“คุณคิดว่า เราจะไปกัน...ถึงขั้นนั้น ได้จริงๆเหรอ”

“ต้องได้สิ” เสียงทุ้มตอบหนักแน่นทันที แฝงแววนุ่มละมุนอบอุ่นหัวใจ

“คุณจะไม่เป็นไรจริงๆเหรอ จะไม่ทะเลาะกับแม่ กับน้าในเรื่องที่จะมาคบกับผม” ร่างสูงหลับตาพยักหน้าด้วยท่าทีสงบ

“ท่านต้องเข้าใจพวกเรา” เกรทจับมือผมขึ้นแนบแก้มของเขาลูบไล้ไปมาอย่างรักใคร่ เปลือกสีเนื้อระเรื่อเคลื่อนเปิดเผยดวงเนตรสีเข้มสะท้อนภาพผม

“ผมไม่อยาก...ให้คุณเดือดร้อน”

“การได้คบกับอิมเป็นความโชคดีของผม ผมไม่เคยเดือดร้อนเลย” ผมย่นจมูกมองอย่างไม่เชื่อความคิด

“คุณมันบ้า”

“ยอมบ้าครับกับเรื่องนี้”

 “...”

“ผม...ขออนุญาตบอกแม่ผมนะครับอิม” จู่ๆผิวหน้าก็ร้อนผะผ่าวราวกับเดินกลางทะเลทรายแดดจ้า ก้มใบหน้าหลบเลี่ยงสายตา ยากเหลือเกินที่จะกล่าวออกไปตรงๆ เสียงเลยวนอยู่ที่ลำคอว่า...

...อืม...

รอยยิ้มดุจแสงตะวันเผยชัด เจ้าตัวโน้มหน้าลงมากดจูบแนบชิด ปิดความเขินอายด้วยไออุ่นร้อน ประคองท้ายทอยแลกเกี่ยวชิมรสความหอมอวลในปากตอบโต้กันและกันไปมา หากครานี้รสสัมผัสต่างจากตอนต้นอยู่มาก มันหวานแผ่วๆประแล่มผสมความตื่นเต้น ลิ้นทั้งสองดูดดุนลิงโลดกวาดไล้ทั่วผนังอ่อนและแนวฟัน ขบดึงกลีบปากนุ่มนิ่มซ้ำๆราวกับมันเป็นแป้งขนมปังที่อบใหม่

อร่อย...

เกรทไม่ปล่อยให้หยาดน้ำหวานจากแป้งปังก้อนหลุดระปลายคางอย่างเสียเปล่า จึงถอนตามไปเก็บกิน ลิ้นอ่อนลามปามลงแนวคอ บดกดตรงสันกรามจนรู้สึกเจ็บจี๊ดเล็กๆ

“เกรท...อย่าทำรอย” ผมแตะไหล่เขา อีกฝ่ายหยัดตัวส่งแววตาลึกล้ำมาให้

“ก็ได้ครับ” นิ้วโป้งเกลี่ยจุดเมื่อครู่ไปมาราวกับว่าจะช่วยให้รอยจางหาย ก่อนรอยยิ้มแฝงแววเจ้าเล่ห์ผุดพรายเผยให้เห็นบนใบหน้าได้รูป “แค่ตรงส่วนที่มองเห็นตอนใส่เสื้อผ้านะครับ”

“หา?” พูดจบเจ้าตัวลงมือดึงเสื้อยืดของผมออกทางศีรษะ แต่ไม่ลืมจับแขนยกสูงหลบเลี่ยงแผลถลอกจากการถากโดนของเนื้อผ้า ร่างกายส่วนบนกลับมาไร้อาภรณ์ ช่วงล่างเหลือเพียงบ๊อกเซอร์กับกางเกงชั้นในซึ่งกองอยู่เหนือเข่า สภาพตอนนี้บอกเลยว่า...โคตรน่าอาย

ผมเผลอขดตัวตามการตอบสนองของร่างกาย แต่เกรทกลับทิ้งร่างจมลงบนแผ่นอก ฝ่ามือใหญ่จับแผ่นหลังดันผิวเนื้อป้อนเข้าสู้ปลายปากที่ดูดขบเม้มระรัว กระจายประปรายไปทั่วทุกอณูผิว

“ฮะ...ยะ...อื้อ!” เกรทกัดเบา บดริมฝีปาก ส่งความชื้นเปียกมาในบางคราว จากแผ่นอกลุกลามไปถึงหน้าท้องวนรอบบริเวณใกล้สะดือ มือใหญ่สองข้างกำแก้มผิวนุ่มตรงบั้นท้ายออกแรงบีบคลึงหนักๆ ผลักดันให้ต้องยกสะโพกหนีเสือ...แต่ส่วนกลางลำตัวกลับไปปะจระเข้ด้านหน้าเสียได้...

ส่วนที่หลงเหลืออารมณ์อยู่ผะแผ่วกระทบโดนไหปลาร้าของเกรทเข้าอย่างจัง

“อึ๊!” เผลอเปล่งเสียงไม่เป็นภาษายกสองมือขึ้นปิดปากแน่นด้วยอารามตกใจ เกรทถอนตัวขึ้นนั่งทับส้นเท้ากะทันหัน จัดการถอดเสื้อของเจ้าตัวก่อนโยนเหวี่ยงมันออกไปแบบไม่สนใจใยดี ท่าทางดิบเถื่อนของผู้ชายอ่อนโยนคนนี้ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

ไม่ทันให้เอ่ยปากห้ามมือหนึ่งที่เคยเคล้นคลึงสะโพกย้ายมากอบกุมกลางลำตัว ศีรษะได้รูปก้มจรดรับส่วนบ่งถึงรสเพศเข้าโพรงปาก ความอ่อนนุ่มแตะสัมผัสทำเอาเสียววาบไปทั้งตัว

ครั้งแรกยังเก้อกระดาก หากครั้งสองนั้นยิ่งกว่า ร่างสูงห่อปากขยับศีรษะขึ้นลงอย่างเนิบนาบราวกับปลอบขวัญ สร้างความเสียวตึงมวนท้องอย่างหนักหน่วง ดวงใจทั้งดวงแทบกระโจนออกมานอกอก เสียงเต้นราวกลองศึกของก้อนเนื้อด้านซ้ายสร้างเหงื่อผุดพรายให้ร่างทั้งสองในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก แรงเสียดสีส่วนอ่อนไหวพลางถอดถอนแตะเกลี่ยด้วยปลายจมูก ริมฝีปาก และเรียวลิ้นสากตวัดเลีย กอบกุมลูบสัมผัสประคับประคองด้วยอุ้งมือแกร่งและนิ้วทั้งห้า สร้างให้เกิดหยาดน้ำปริ่มขึ้นที่ส่วนปลาย

ได้แต่เกร็งตัวจิกนิ้วเท้าทั้งสิบลงผืนเตียง พาดแขนข้างหนึ่งจับขยำลงบนกลุ่มผมนุ่ม บิดตัวยกมือขึ้นกั้นเสียงสุดกำลังจนน้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้า หอบหายใจหนักรับรู้ถึงความรู้สึกที่สะสมจนกลั่นตัวเป็นหยาดน้ำไหลอาบส่วนน่าอายซึ่งแข็งขืนเต็มที่

มือของเกรทไล้วนหยอกเย้าโดยรอบ ไม่พ้นแม้เครื่องเพศอีกส่วน กอบประคองขยำคลึง พร้อมเร่งจังหวะดูดรั้งให้หนักขึ้นกว่าเก่าก่อน บางครั้งปลายฟันเหมือนขบโดนเบาๆจนทั้งร่างสะดุ้ง เสียงครางอืออาเข้มขึ้นราวกับปราม กายสูงปลอบขวัญด้วยการตวัดลิ้นตรงส่วนปลาย แล้วกลับมาห่อรัดด้วยผนังนุ่ม เพิ่มจังหวะความเร็วถะถี่ ส่วนหน้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอวัยวะที่มักใช้เอ่ยคำหวานเจื้อยแจ้ว  ขยับขึ้นลงสร้างความสุขสม ก่อนย้ายสองมือมาจับสะโพกขาวที่ตึงเครียดขยำหนัก พลางลากนิ้วเข้าร่องเนื้อเกลี่ยเบาตรงส่วนเร้นลับจนร่างโปร่งสะดุ้ง

“ฮั่ก!” ผมปล่อยลมหายใจออกปาก เปล่งครางอย่างกลั้นไม่อยู่ “เกรท...ผม” มือแกร่งยังคงทำหน้าที่เป็นพันธนาการผลักดันสะโพกขยับส่งส่วนแข็งขืนเบื้องหน้าเข้าลึก บีบแก้มก้มนิ่มให้ถอนถอยสลับไปมาเร่งจังหวะ จนลมหายใจหอบหนัก ปวดตึงเสียวซ่านแปลบปลาบทั้งช่วงล่าง สุดกำลังจะยั้งมือจนกระทั่งแรงอารมณ์ผลักดันมาถึงขั้นขีดสุด สองมือยกประคองศีรษะได้รูปรั้งออกด้วยแรงอันน้อยนิดที่มี พลางส่งเสียงครวญคราง

“ฮะ...เกรทจะออก ผมจะออก!” ของเหลวอุ่นร้อนเข้มข้นถะถังออกมาอย่างไม่ทันห้าม ร่างกายกระตุกเกร็งซ้ำๆรีดเร้นสิ่งซึ่งยังคั่งค้างถะถี่ สะท้านใจอย่างไม่เคยมีคือการที่ร่างสูงยังคงนิ่งจมจ่อกับการกอบปากดูดกินส่วนนั้น เก็บกลืนไอร้อนซึ่งท่วมทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง ช่วงคอกระเพื่อมเบาบางหลายครั้งบ่งถึงการรับรักทั้งหมดลงท้อง

“กะ...เกรท...คุณ...บ้าไปแล้ว” ผมย้ายมือไปล็อกศีรษะได้รูป เชยคางอีกฝ่ายเช็ดของเหลวอันน่าอายของตนที่มุมปาก น้ำตาทางกายภาพไม่หลั่งแต่น้ำตาในใจนั้นแทบท่วมโลก โคตรน่าอาย น่าอายที่สุด ร่างสูงไม่ส่งสายตาหยอกล้อกลับเผยยิ้มอ่อนละมุนหัวใจ หากเป็นใครได้เห็นมีหวังคงได้ละลายลาตายไปยังโลกหน้า

“ของอิม...อร่อยมากๆเลยครับ”

ถ้าอร่อยก็ไม่ต้องกินข้าวแล้วสินะ ฮือ...ผมจะร้อง ยกท่อนแขนขึ้นก่ายหน้าผากปิดบังใบหน้าด้วยความอับอาย

เกรทหยัดกายขึ้นนั่ง พลันให้สายตาใต้ท่อนแขนที่บดบังปะเข้ากับสิ่งซึ่งนูนโตพองขยายภายใต้กางเกงลำลอง

อย่าบอกนะว่า...เกรทก็...

ขณะเอื้อมมือจะไปจับ เจ้าตัวกลับลุกออกจากเตียง ผมรีบกระวีกระวาดคว้าข้อมือของร่างสูงไว้ เกรทกระตุกตัวหันมามองทำหน้าแปลกใจ

“อิม?”

“ข...ของคุณ” เกรทก้มหน้ามองตามสายตาผมแวบหนึ่ง

“อ...อ๋อ...ไอ้นี่เหรอครับ” เจ้าตัวยกมือลูบท้ายทอยเหมือนแก้เก้อ “ขอโทษครับ พอทำให้อิม...มันก็อยู่ไม่สุขขึ้นมา”

“ให้ผมช่วย...” นิ้วชี้ของเกรทยกขึ้นแตะริมฝีปากผม

“ให้มันค่อยเป็นค่อยไปเถอะครับ” รอยยิ้มอบอุ่นดุจแสงอาทิตย์ เจิดจ้าเสียจนต้องหยีตามอง “และอีกอย่าง ผมกลัวใจตัวเอง กลัวว่าถ้าอิมทำให้...มันจะไม่จบแค่นี้” วาจาอ่อนโยนแผงแววขู่อยู่เล็กน้อย มันทำให้หัวคิดเผลอไผลจินตนาการไปถึงยามได้ตระกองกอด รับสัดส่วนใหญ่โตของอีกฝ่ายไว้ภายในร่าง สัดส่วนซึ่งเคยเห็นเนื้อแท้ผ่านสายตาแค่ประปรายอยู่หลายต่อหลายครั้ง

จินตนาการนั้นทำให้หน้าผมขึ้นสี รีบดึงผ้าห่มมาคลุมไหล่ขดตัวกอดเข่าก้มศีรษะงุด เสียงก่อกแก่กดังมา ในมือใหญ่ถือกระดาษทิชชูเปียกห่อโต ทรุดตัวลงนั่งขอบเตียง

“ให้ผมเช็ดตัวให้นะ” ผ้าห่มถูกดึงออก ท่านั่งชันเข่าดูหมิ่นเหม่เกินไปจนต้องปรับลุกมานั่งพับขา คว้าเสื้อยืดมาปิดตรงกลาง เกรทจับแขนผมค่อยๆเช็ดซับเหงื่อหลีกเลี่ยงส่วนที่พึ่งทาทิงเจอร์ไอโอดีนไป “ทำอะไรทำไมไม่คิดถึงตัวเองบ้างครับ” เจ้าตัวกำลังตำหนิเรื่องแผลผมอยู่แน่นอน

“ถ้าไม่ช่วยน้องคุณก็โดนรถเฉี่ยวนะ” เกรทถอนหายใจ

“ไม่ใช่แค่เรื่องนั้นครับ ผมหมายถึงหลายๆเรื่อง” มือใหญ่ขยับลูบผ้าเปียกผืนเย็นกับแผ่นอกซึ่งตอนนี้โดนรอยปื้นห้อแดงตีตราจองแทบทุกตารางนิ้ว

“หลายๆเรื่อง? หมายถึงเรื่องไหนบ้างล่ะ”

...หมายถึงเรื่องอิมเป็นห่วงว่าผมจะทะเลาะกับแม่กับน้า มาก่อนเรื่องสถานะและตัวตนของตนเองเสมอ...

สายตาคมได้แต่จ้อง...และจ้อง โดยไม่กล่าวอะไร ปล่อยให้ความเงียบฝังตัวอยู่ในห้องได้สักพัก เมื่อมือขยับมาเช็ดแผ่นหลังด้วยท่าราวกับคนกอดกัน เสียงทุ้มต่ำจึงเริ่มเอ่ย

“ทีหลังอยากได้อะไรก็บอกมาเถอะครับ อย่าเก็บไว้เลย” ราวกับตนยืนอยู่บนเส้นขีดแบ่งระหว่างเบื้องหลังกับหน้าเวที คำพูดเกรทเป็นแรงผลักดันชั้นดีให้หลุดคำพูดในสิ่งที่คิด สิ่งที่อยากได้แต่ไม่เคยได้พูดออกไป

“...ณ” ผมเอ่ยเสียงแผ่วจนอีกฝ่ายแทบไม่รู้สึก “ผมอยากได้คุณ”



มีต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : เก้า(ครั้งที่สอง)...ขนมหวานก่อนมื้อ P.4 [21/11/19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 18-11-2019 21:57:18

น่ากระดากอายเหลือเกินกับการเดินจูงมือเกรทออกมาจากห้องเขา ผมก้มหน้างุดมุดตัวหลบแผ่นหลังกว้าง เจ้าตัวเดินอย่างมุ่งมั่นมาทางโต๊ะอาหารที่ยังมีอีกสามชีวิตรอทานเข้าเช้าด้วยกันอยู่

คนเป็นมารดานั่งตัวตรงหันมองทางทีวีซึ่งมีรายการวาไรตี้ไลฟ์สไตล์กำลังเล่นอยู่ ก่อนจะโดนตัดด้วยโฆษณานมเปรี้ยวไขมันต่ำหวานน้อยที่พรีเซนเตอร์เป็นคนหนุ่มสาวหน้าตาสดใสสุขภาพดี ใส่ชุดออกกำลังกายโชว์ซิกแพคกับเลขสิบเอ็ดให้เห็นวับแวบแบบเรียกคะแนนนิยมของคนหนุ่มสาวได้เต็มเปี่ยม เชิญชวนให้หันมาใส่ใจสุขภาพรับประทานอาหารที่น้ำตาลน้อย ไขมันต่ำและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

“หุ่นตาเกรทนี่อย่างแซ่บ”

น้าแก้ววิจารณ์พลางหยิบขนมครกเข้าปากเคี้ยว “หูยวันนั้นนะพี่ อย่าให้พูดถึงเลย อย่างน้อยก็น้องผู้หญิงที่เล่นโฆษณาด้วยคนนึงเนี่ยแหละ ผู้หญิงที่กองถ่ายนี่เงี๊ยะ ทำตาเล็กตาน้อย” คนเป็นน้าใช้นิ้วยกบีบตาแสดงท่าทางประกอบ “ใส่ตาเกรทไม่หยุด จ้องอย่างกับจะกลืนลูกพี่ไปทั้งตัว แถมพอเลิกกองเสร็จไม่พอยังมีมาส่งน้ำส่งขนมแอบเขียนเบอร์ลงถุงกล้วยแขกให้อีก วันนั้นน่ะ ชั้นน่ะกลัวซะเหลือเกิน กลัวลูกพี่จะเสียความบริสุทธิ์ให้ใครสักคนในกองเนี่ยแหละ” น้าแก้วเผาร่างสูงซะยับ

เกรทเคยเล่าให้ฟังว่าที่ตนเองไปถ่ายโฆษณาก็เพราะบริษัทของคุณน้าขาดนายแบบกะทันหันไม่ใช่ว่าตั้งใจจะเข้าวงการแต่อย่างใด จบคำนินทาเกรทปรายตามองผมพลางยิ้มแห้ง อดไม่ได้ที่จะแกล้งทำท่าทีเย็นชาปั้นปึ่งใส่จนร่างสูงทำท่าทีกระวนกระวาย

“ยัยแก้ว” แม่เกรทพูดแทรกขึ้นเสียงแข็ง “อย่ากินจุกจิกให้เยอะ เดี๋ยวพวกเด็กออกมาจะกินข้าวกันไม่ลง” ขนมกล้วยชะงักคาอยู่ในมือ น้าแก้วยิ้มแหย รู้ตัวทันทีว่าไปสะกิดจุดอ่อนของคนเป็นพี่เข้าให้ ความไม่พอใจเลยถูกเอามาใส่ในคำเหน็บเรื่องนิสัยกินของตน แต่น้าแก้วรู้ดีว่าพี่สาวแค่ต้องการตอกกลับใช่ถึงกับจะโกรธจะเกลียดกัน

“แต่ตาเกรทก็สมกับเป็นตาเกรทแหละค่ะ ไม่รู้ใครสั่งใครสอนหรือบังคับมารึเปล่า ขนมกับน้ำที่ได้มาไม่แตะไม่จิบสักอึกแถมแบ่งให้พี่ๆคนงานที่กองเฉย ถุงกล้วยแขก กับถาดขนมครกพร้อมเบอร์โทรเลยลงถังขยะไปตามระเบียบ ไม่ตกมาถึงมือลูกชายพี่หรอกค่ะ”

“อย่าพูดว่าบังคับ กับเรื่องนี้ชั้นไม่เคยบังคับลูก”

“แต่เข้มงวดมาก” คนเป็นน้าลากเสียงยาวเพราะรู้นิสัยพี่สาวดี “ตาเกรทแกถึงไม่กล้าทำอะไรไงคะ ไม่เคยพาสาวเข้าบ้าน จนป่านนี้น่าจะยังไม่เคยมีแฟนด้วยซ้ำล่ะมั้ง โถโถน่าสงสารหลานน้าจริงๆที่ทิ้งประสบการณ์กว่ายี่สิบปีให้สูญเปล่า” สุดท้ายขนมกล้วยก็ถูกสำเร็จโทษ คุณน้าเคี้ยวหมุบหมับพลางยกมือกดรีโมตเปลี่ยนช่องโทรทัศน์

“นี่เธอกะจะให้ลูกชั้นมีแฟนตั้งแต่ไม่ถึงขวบหรือไง” คนเป็นมารดาชักสีหน้า ตวัดตาดุใส่น้อง

“อะ อะ ประสบการณ์สิบปีก็ได้ค่ะ สิบปีนับตั้งแต่วัยเจริญพันธุ์ อืม...จะว่าไปก็แปลกนะคะ โสดมานานขนาดนี้ ทำไมคราวนี้ลูกชายพี่กลับเปิดตัวซะยิ่งใหญ่ เรียกร้องให้เรามาเจอว่าที่แฟนตัวเองได้ล่ะ แก้วน่ะแอบลุ้นจริง เอ...ว่าแต่ทำไมตาเกรทช้าจัง ไหนบอกว่าทำแผลให้พี่เขาเสร็จแล้วจะรีบออกมาไง แล้วทำไม...” น้าแก้วหันมามอง ผมยืนตัวแข็งทื่อไปนับตั้งแต่วินาทีที่คำว่า ‘ว่าที่แฟน’ แล่นเข้าสมอง เกรทกระตุกแขนข้างที่จับกุมกันไว้จนผมสะดุ้ง รู้สึกตื่นกลัวขึ้นมาเสียดื้อๆเลยตั้งท่าจะชักมือที่ประสานกันอย่างประเจิดประเจ้อกลับ แต่แรงนิ้วเกรทมีมากกว่าเลยกำต้านไว้แน่น

“ทำแผลให้พี่เขาเสร็จแล้วเหรอ” คนเป็นมารดาเอ่ยทัก

“ครับ”

“งั้นมานั่งนี่สิ มาทานข้าว” เสียงแม่เกรทเรียบนิ่งดุจไม่เห็นมือสองคนที่เกาะเกี่ยวกัน เกรทจูงผมอ้อมโต๊ะมาตรงเก้าอี้สองตัวที่จัดไว้ พอนั่งลงได้เลยก้มหน้าจ้องตักตัวเองท่าเดียว

“ตาเวลไปไหนล่ะ” เหลือเก้าอี้ว่างอีกหนึ่งตัว แต่ไม่เห็นวี่แววของน้องลูกชายคุณน้า

“ออกไปเดินด้านนอกแต่เช้าจนเหนื่อยเลยหลับไปค่ะ พวกเราก็กินกันก่อนเถอะ เดี๋ยวหิวก็ตื่นขึ้นมาเอง”

“ทานข้าวเถอะครับอิม” เกรทส่งยิ้มให้ผม เหมือนว่าตรงหน้าของทุกคนจะมีหม้อดินใส่ข้าวอบขนาดย่อมหนึ่งใบวางอยู่ บนหม้อปิดฝาไว้เรียบร้อย พอเปิดดูกลิ่นอาหารอันโอชะก็ลอยเตะเข้าจมูก มันคือเมนูเดียวกับเมื่อครู่ที่ผมช่วยแม่เกรทยกมา หากตอนนี้มันถูกจัดเรียงซะสวยจนน่ายกคะแนนเต็มสิบให้กับการจัดจาน

“ข้าวต้มแห้งทะเล” คนเป็นลูกชายแนะนำเมนูตรงหน้า ความหลากหลายบนจานอาหารสร้างความตระการตาห็สิบเท่า จนอดที่จะเผลอทำหน้าตื่นตาตื่นใจไม่ได้

“น่ากินจังเลยครับ” ขนาดคนทานอะไรมาแล้วยังน้ำลายสอ หรือเป็นเพราะเมื่อครู่ออกแรงมากเกินไปเลยรู้สึกท้องไส้เริ่มปั่นป่วนน้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำงาน

“น่ากินก็ทานเลยสิจ๊ะ” น้าแก้วสำทับกระตุ้นให้หยิบช้อนขึ้นตัก เนื้อกุ้งชิ้นโตเนื้อหยุ่นเด้งสีส้มสวยผัดปะปนกับสีน้ำตาลระเรื่อของกระเทียมพริกไทยดำส่งกลิ่นกำจายหอมฟุ้ง โปะหน้าบนข้าวหอมมะลิหุงสุกเรียงเม็ดสวย ผมบรรจงตักสองอย่างพร้อมกันคำโตๆเข้าปาก กลิ่นเครื่องเทศรากผักชีรวมทั้งกระเทียมเจียวอบอวลหอมหวนขึ้นจมูก พอเริ่มกัดก็เกิดเสียงดังกร๊วบจากกากหมูกรุบกรอบกลิ่นน้ำมันหอมกระจายทั้งปาก ผมเคี้ยวนิ่งค่อยๆละเมียดละไมตะล่อมรับรสชาติก่อนกลืนเข้าคอ

“อร่อย...จังเลยครับ” คำสองจ้วงเข้าไม่รั้งรอ เจอหมึกชิ้นโตเนื้อกรอบ ปลากะพงสดทอดผสมขึ้นฉ่ายดับกลิ่นคาวได้พอดีกัน เหมือนตนเองกำลังเจอขุมทรัพย์ที่อร่อยมากกว่าข้าวกะเพราหมูสับไข่ดาวไม่สุกในความคิด

“เพื่อนเราทานดูน่าอร่อยจัง” เสียงน้าแก้วทักจนเคี้ยวค้าง เงยหน้าไปเห็นสามสายตาจ้องมา กลืนข้าวดังเอื๊อกแทบจุกอก

“ซดน้ำแกงก่อน” แม่เกรทตักน้ำแกงใส่ถ้วยเล็กยื่นส่ง ผมรับไว้แล้วเป่าให้คลายร้อนแล้วซดอึกอัก

“ค่อยๆกินก็ได้อิม เดี๋ยวติดคอ” เกรทยกมือลูบหลังผม ยิ้มบางอย่างเอ็นดู หลังจากนั้นทุกคนจึงเริ่มตักข้าวหม้อของตนทาน ระหว่างนั่งทานอย่างเงียบๆก็ยกแขนกระทุ้งศอกร่างข้างๆเบาๆ

“เกรทผมเจออะไรที่อร่อยกว่ากะเพราแล้ว” ผมกระซิบทั้งที่ยังเคี้ยวหมุบ มือขยับไม่หยุด ป้อนข้าวเข้าปากอย่างต่อเนื่อง ร่างสูงหัวเราะเบาเคี้ยวข้าวในปากจนหมดแล้วพูด

“แต่เมนูนี้ไม่มีขายที่ไหนนะครับ ต้องมาทานที่บ้านผมอย่างเดียว”

“...” อร่อยจนลืมไปเลย ว่าอยู่ต่อหน้าแม่และน้าของเจ้าตัว ผมค่อยๆกลับมาสู่ท่าทีสงบเสงี่ยม เหล่มองซ้ายชายตาขวา สำรวจท่าทีผู้ใหญ่ทั้งสอง พลางซดน้ำแกงเบาๆให้โล่งทั้งคอและใจ นั่งกินไปอย่างเงียบเชียบ

จนกระทั่งทุกคนทานเสร็จ น้าแก้วก็ผุดตัวลุกจากเก้าอี้ “เดี๋ยวแก้วไปเอาสละลอยแก้วมาให้”

“ผมช่วยครับ” ผมอาสา ลุกจากโต๊ะเดินตามไป จะให้นั่งเฉยไม่ทำอะไร รอผู้ใหญ่เดินมาเสิร์ฟก็แอบรู้สึกขัดๆ ถือว่าอาศัยจังหวะหลุดพ้นจากบรรยากาศอึดอัดของสายตาแม่เกรทที่พุ่งมองมาตลอด หนีร้อนไปพึ่งเย็นอย่างน้าแก้วคงดีกว่า

เดินตามผู้เป็นน้ามาจนถึงโซนครัว น้าแก้วหยิบน้ำแข็งถุงจากช่องฟรีสมาถึงไว้ คว้าขวดแก้วเปล่าใกล้ๆตัวยกขึ้นตั้งท่าจะตี “ให้ผมทำให้มั้ยครับ” ยื่นมือออกไปรับขวดหนาคว้าน้ำแข็งได้ก็ทุบตุบตับไปสามสี่ที ด้วยแรงผู้ชายจึงดูง่ายไร้ความยุ่งยาก ชั่วพริบตาน้ำแข็งก้อนใหญ่จึงกลายเป็นบดละเอียด เอามาโรยในสละลอยแก้วสีส้มเนื้อในน้ำเชื่อมใสน่ารับประทานอย่างยิ่งยวด ช้อนใส่ชิ้นสละถูกยื่นมาจ่อที่ปาก

“อ่ะ ไหนเราลองชิมสิ น้าทำเองเลยนะ”

“ฮะ?” ผมเก้อกระดากเกินกว่าจะอ้าปากรับ

“เวลาเรากินน้าเห็นว่าน่าอร่อยดี อยากเห็นเราทานของที่น้าทำบ้าง แต่ขออย่างเดียว”

“ขอ...ขออะไรครับ” ผมตื่นๆกับท่าทีเป็นมิตรเกินเหตุของญาติผู้ใหญ่ท่านนี้ของร่างสูง

“ห้ามบอกว่าไม่อร่อย” เผลอหลุดหัวเราะอย่างเคยตัว น้าแก้วร่วมยิ้มตอบ ผมเริ่มอ้าปากรับความหวังดีของน้ามา กลิ่นหอมของใบเตย ความนุ่มกรอบหวานอมเปรี้ยวของสละ บวกกับน้ำเชื่อมดูเข้ากันดี

“อร่อยครับ หวานหอมสดชื่น ล้างคอกำลังดีเลย”

“ใช่มั้ยล่ะ มีแค่เมนูนี้แหละที่น่าภูมิใจ แต่คงไม่ใช่...” คุณน้ายกขวดเปล่าที่เอากลับไปถือชี้หน้าผม “พูดเพราะเอาใจที่เป็นน้าแฟนหรอกนะ”

ฮะ?

กว่าจะตีความได้ร่างกายก็ตอบสนองด้วยการยกมือแกว่งไหวระดับอกซ้ำๆ ส่ายปฏิเสธสุดกำลัง

“ผ...ผมไม่ใช่แฟนเกรทครับ คุณน้าเข้าใจผิดแล้ว”

“อ้าว ไหนวันนี้เกรทบอกว่าจะพาคนพิเศษมาเปิดตัว”

“ผ...ผมแค่บังเอิญมาหาเขาเท่านั้นเอง” ประสาทตอบรับมันสั่งให้ผมตอบโต้คนเป็นน้าว่าอย่างนั้น

“หืม...ไม่น่าจะนะ” น้าแก้วย่นคิ้วจ้องหน้า ก่อนคว้ามือถือในกระเป๋ากางเกงมากดอะไรบางอย่างยุกยิก “เราใช่คนนี้รึเปล่า” ปรากฏภาพที่เกรทเคยส่งมาโชว์ผมตอนที่คบกันใหม่ๆ เป็นภาพซึ่งผมเผยรอยยิ้มเบิกบานสุดชีวิตต่อหน้าไอ้เบส ทำไมไปอยู่บนมือถือของคนที่เพิ่งเจอกันวันแรกอย่างน้าแก้วได้ล่ะ ผมพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ในเมื่อคำตอบมันคือคำว่าใช่

“ถ้างั้นก็ไม่ผิดแล้ว”

“ไม่ผิดอะไรครับ น้าแก้วคือผมไม่ได้เป็น...”

“ทำเสร็จรึยังครับ ผมมาช่วยยก” เสียงทุ้มขัดจังหวะบทสนทนา ผมสะดุ้งอย่างวัวสันหลังหวะหันไปทางคนมาใหม่ จนเกรททำหน้าฉงนเอียงคอมอง ก่อนเดินมาประชิดยกมือลูบศีรษะอย่างแผ่วเบา “ทำหน้าอะไรแบบนั้นล่ะครับ” เกรทยกยิ้มอิ่ม ทำใจผมเต้นระรัว เจ้าตัวหยิบถ้วยเล็กจนเต็มมือสองชามเดินออกไป

...มาลูบอะไรจังหวะนี้เนี่ย...

“ไม่ผิดแล้วล่ะน้า~” ผู้เป็นญาติฝ่ายแม่คว้าอีกสองถ้วยกล่าวเปรยเดินตัวปลิวผ่านผมตรงไปยังโต๊ะอาหาร พอกลับมานั่งโต๊ะได้ก็คอตกอย่างไร้สาเหตุ

เกรทถึงกับมอง “เป็นอะไรรึเปล่าอิม”

สละลอยแก้วเริ่มจะไม่อร่อยแล้วล่ะ ผมรู้สึกผิด...รู้สึกผิดจริงๆที่ทำให้หลานชาย รวมถึงลูกของคุณต้องกลายเป็นแบบนี้ ถึงเกรทจะประกาศขอบอกเรื่องนี้กับแม่ แต่ความกลัวมันค่อยๆครอบงำเข้ามาในจิตใจ ยามต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง

“...” นั่งนิ่งค่อยๆ ตักขนมเข้าปากอย่างเหม่อลอย ผมรู้สึกได้ถึงสายตาของมารดาร่างสูงซึ่งจ้องอยู่ตลอดราวกับจับผิดก็ไม่ปาน จนต้องนั่งงอตัวก้มหน้าก้มตากิน

“เกรท แฟนเราไม่สบายเหรอ หรือขนมยัยแก้วไม่อร่อยจนเสียดท้อง” ไม่อยากให้เกรทต้องอึดอัด หรือทำให้น้าแก้วต้องรู้สึกไม่สบายใจที่โดนตำหนิรสมือ จึงเงยหน้าฝืนยิ้มเข้าสู้

“ผมสบายดี...” กว่าจะรู้ตัวว่าคำเรียกของคนเป็นแม่ช่างดูแปลก...

หา!!?? เมื่อครู่แม่เกรทเรียกผมว่าอะไรนะ!!



…TBC…


+++++++++++++++++++



แต่งออก หรือแต่งเข้าดีน้า

คนที่ได้ทานขนมหวานรองท้องก่อนกินข้าวไม่ใช่อิมหรอกน้า555
เรื่องนี้เราแต่งเอาสบายๆเนื้อเรื่องเรื่อยๆค่ะ ไม่ม่า ไม่เครียด ไม่มีสาระ ไม่มีอะไรเลยย เอร๊ยย
กอดนักอ่านที่เข้ามาคอมเมนต์และส่งกำลังใจให้เสมอ ทั้งหน้าเก่าและหน้าปัจจุบันเคนค่ะ
รักนะคะ
เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : เก้า(ครั้งที่สอง)...ขนมหวานก่อนมื้อเช้า P.4 [21/11/19]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-11-2019 22:32:44
 :pig4: :pig4: :pig4:

สามผ่านแน่ ๆ ทั้งแม่น้าและหลาน  อิอิ
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : แปด(ครั้งที่สอง)...ผูกมัด P.4 [24/11/19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 24-11-2019 23:36:48
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

แปด(ครั้งที่สอง)...ผูกมัด



“ผมท่าจะไม่สบาย” ฝ่ามือแตะไหล่คนข้างเคียงเบาๆอย่างเสียไม่ได้ สายตาเหม่อลอยอย่างไม่ยอมรับความจริง เกรทเบนตัวให้ผมเกาะไหล่ได้สะดวกขึ้น เลยเผลอกำแขนเสื้อเขาเสียแน่น แววกังวลฉายชัดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ก่อนริมฝีปากได้รูปจะขยับ

“อิม...”

หากไม่ทันไรกลับมีเสียงเพื่อนร่วมโต๊ะอย่างน้าแก้วขานรับทันที “อ้าว ไม่สบายจริงๆเหรอ” ผมเงยหน้ามองเจ้าของคำถามแล้วเบนสายตาไปทางผู้เป็นมารดาของรุ่นน้องอย่างกล้าๆกลัวๆ พยักหน้าเบาๆแบบแทบไม่รู้สึก

“ผม...ได้ยินคุณน่าเรียกผมแปลกๆ” และเป็นคนเดิมที่สวนกลับทันควัน

“น้าเนี่ยนะ น้าพูดอะไรแปลก” น้าแก้วยกนิ้วขึ้นชี้หน้าตนเอง

“ป...เปล่าครับ ไม่ใช่น้าแก้ว แต่เป็นคุณน้า” ใช้สายตาชี้ไปทางเจ้าของใบหน้าเรียบเฉย ซึ่งนั่งตักสละลอยแก้วของน้องสาวเข้าปากด้วยท่วงท่าสงบดุจไม่เคยก่อเรื่องอันได้ไว้

“น้า?” น้าแก้วยังคงงง ขึ้นเสียงสูงที่ท้ายคำ

“คือผมหมายถึงคุณน้า” จิ๊ปากในใจเนื่องจากสิ่งที่ต้องการสื่อยังไปไม่ถึงคนฟัง เลยกำมือแน่นพลางตะเบ็งเสียงดังเพราะอัดอั้นเกินทน

“คือผมหมายถึงคุณแม่น่ะครับ!”

จบคำผู้เป็นมารดาหยุดมือจากการตักเนื้อสละอวบๆเข้าปากอย่างฉับพลัน

ส่วนน้าแก้วนั้นยกมือปิดปากทำตาโต

ผมนั่งนิ่งสะท้อนใจไปทั้งร่าง ชักมือกลับมาวางบนตักเหมือนใบหน้าร้อนลามไปถึงลำคอ คะ...ใครว่าผมตั้งใจจะเรียกว่าแม่กันล่ะ! แค่ไม่มีคำเจาะจงไปมากกว่านี้แล้วต่างหาก อีกอย่างผมไม่รู้ชื่อแม่เกรทเสียด้วย เข้ามาก็เจอแต่ลูกเรียกว่า ‘แม่’ น้าเรียกว่า ‘พี่’ แล้วผมจะไปตรัสรู้ได้ไง

ผิดเองที่เรียกท่านทั้งสองว่าน้าตั้งแต่แรก อยากให้เกียรติคนทั้งคู่เพราะดูคล้ายยังเยาว์วัยกว่าบุพการีตน ไม่อยากเรียกป้าให้ต้องตะขิดตะขวงใจ แต่ทำไมกลับ...

แวบหนึ่งผมนึกว่าตาฝาด ผมแอบเห็นเกรทลอบอมยิ้มเสียจนแก้มแทบปริ

“แม่เรียกอะไรแปลก?” เสียงนิ่งเย็นเรียกสติราวกับมีคนยกถังน้ำแข็งมาราดใส่หัว ผมขยับสายตาไปมอง ยืดหลังตรงตัดใจเผชิญหน้า รู้สึกตัวตั้งนานแล้ว ตั้งแต่เข้ามาในห้องไม่มีรอยยิ้มใดปรากฏที่มุมปากเคลือบลิปสติกสีกุหลาบเก่านั้นเลย รู้สึกเหมือนโดนอีกฝ่ายจับผิดตลอดเวลาโดยเฉพาะตอนยืนอยู่ใกล้ร่างสูง หรือแม่เกรทจะไม่ชอบหน้าผม หรือเพราะผมเป็นผู้ชายเลย...

“เออะ...คุณน้าครับ”

“จ๊ะ”

ร้องไห้ได้มั้ย น้าแก้วไม่รับมุกผมอีกแล้ว เธอหันมาจนผมต้องยอมม้านหน้าเรียก “ไม่ใช่ครับ คือผมหมายถึงคุณแม่”

“อ๋อ” คนเป็นน้องสาวขานรับเสียงดังแบบเดินจากสุพรรณมาถึงบางอ้อ

“ท...ที่คุณแม่เรียกว่าแฟน คือผมไม่ใช่...” ใครบางคนขยับมากุมมือบนตักเหมือนห้ามทัพไว้ ผมเหลียวไปมอง เกรทระบายรอยยิ้มอ่อนสบตา ก่อนหันไปหามารดาอีกครั้ง

“รุ่นพี่ที่สนิทครับ” เสียงทุ้มเอ่ยตอบ แผ่นหลังเหยียดตรงมองคนเป็นผู้ใหญ่ไม่หวั่นไหว ปลายนิ้วยังคงจับกุมผมไว้ไม่ห่าง “อิมเป็น...รุ่นพี่ที่ผมสนิทมาก” ราวกับคัดลอกกิริยาของผู้เป็นมารดามาทุกกระเบียดนิ้ว ร่างสูงดูสง่าทุกท่วงท่าบุคลิก ปฏิบัติตัวเหมือนทุกครั้งยามเจอคนในบ้านผม

ระหว่างชื่นชมรูปลักษณ์ยามสนทนา อีกใจนึงก็พาลโหวงขึ้นมาเสียดื้อ เหมือนโดนตอกกลับยังไงชอบกล ทั้งที่มันเป็นสถานะที่ปลอดภัยที่สุด และตนมักใช้อ้างเสมอยามเจอคนรู้จัก แต่พอหลุดออกจากริมฝีปากได้รูปตรงหน้ามันถึงได้ตอกย้ำใจได้ขนาดนี้

“ช...ใช่ครับ รุ่นพี่ที่สนิทกันมาก” เปล่งเสียงต่ำพยักหน้าเบาๆพลางทอดสายตามองไปบนโต๊ะอาหารอย่างไรจุดตก

“อยู่คนละคณะ แต่บังเอิญไปรู้จักกันครับ” นิ้วได้รูปตีหลังมือผมเบาๆราวกับปลอบและเหมือนเป็นเชิงบอกว่าเรื่องทุกอย่างฝากให้เขาจัดการเอง ผมจึงได้แต่พยักหน้าน้อยๆส่งเสริมคำพูดเขา

“ช...ใช่ครับ”

“คนที่ผมเคยเล่าให้แม่กับน้ำแก้วฟังบ่อยๆไง”

เล่าให้ฟังบ่อยๆ? คงเป็นเรื่องที่เกรทบอกว่าเล่าจนได้รถคันนั้นมาสินะ

“คนที่บอกว่าอยากได้เขามาเป็นแฟน”

“...”

ราวกับโลกหยุดหมุน เหมือนเกรทช่วยผมจากการโดนจับถ่วงน้ำก่อนเตะโด่งย้ายมือมากดหัวให้จมลงไปใหม่ ผมหันขวับไปทางเขาแสร้งอยู่นิ่งต่อไปไม่ไหว พลิกมือมากุมนิ้วที่ตีผมแปะแปะเอาไว้กำแน่น

เมื่อครู่ที่พยายามเลี่ยงและปกปิด นั่นเพราะผมยอมให้อำนาจการตัดสินใจที่จะบอกผู้ปกครองตกไปอยู่ในมือเกรท ถ้าร่างสูงไม่เอ่ยผมจะไม่บอก ถ้าร่างสูงไม่ร่ำร้องผมจะไม่อุทธรณ์ใดใด ตอนนี้ในเมื่อทุกอย่างหลุดออกไปหมดแล้วจึงได้แต่ก้มหน้ามองตักตัวเองท่าเดียว

บรรยากาศจากคนแวดล้อมเงียบสนิทขนาดเสียงโทรทัศน์ยังพลอยดังเบาราวกับต้องการเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหว

“ยังไม่ได้เป็นแฟนกันใช่มั้ย” โทนน้ำเสียงเรียบลื่นของมารดาเกรทดุจทะเลไร้คลื่นก่อนพายุโหมกระหน่ำ ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอไม่แสดงการตอบกลับได้แต่รอฟังว่าร่างสูงจะกล่าวคำเช่นไร

“ครับ”

“งั้นถ้าให้เลิกติดต่อกันก็ยังไม่สายสินะ”

“...”

ใจสะท้านเหมือนโดนสายฟ้าฝ่ากลางศีรษะ ทุกอย่างรอบตัวเหมือนหยุดอยู่กับที่ ตอนนี้ราวกับมีใครมากระชากลมหายใจออกไปจากร่างกาย

ไม่ให้ติดต่อกันงั้นเหรอ...

ผมนั่งนิ่ง ไม่คิดว่าเรื่องราวจะออกมาเป็นแบบนี้ เกรทสร้างความเชื่อมั่นให้ผมว่าพวกท่านต้องเข้าใจพวกเรา แต่การให้เลิกติดต่อกับมันไม่ต่างอะไรกับตอนที่เลิกกันใหม่ๆตอนนั้นเลย ถ้าแม่ของเกรทเข้ามาในจังหวะละครเวทีเลิก ผมจะตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่าผมทำ แต่มาตอนนี้...

มือเกรทกำผมแรงขึ้นดึงสติผมกลับ อีกฝ่ายขมวดคิ้วมุ่นเหมือนต้องการจะแย้ง แต่พออ้าปากปล่อยคำออกมาได้ไม่ถึงประโยค “แม่ครับเรื่องนี้...”

“เราน่ะอยู่นิ่งๆไป” ความหนาวเหน็บแทรกเข้ากลางสันหลัง “แม่กำลังถามเพื่อนเราอยู่” สายตาประดุจเหยี่ยวมองหาเหยื่อตวัดมาทางผม เล่นเอาลมหายใจสะดุด ในหัวตอนนี้ความคิดช่างสับสนตีรวน ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยชอบคำถามอะไรที่ต้องให้ตัดสินใจกะทันหัน และในเมื่อคำตอบในใจที่ว่านั้นกลับพูดออกมาไม่ได้ ความรู้สึกกดดันยิ่งเท่าทวี

“ว่าไงล่ะ จะเงียบอีกนานมั้ย”

ผมไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนด้วยสภาวะอารมณ์แปรปรวนอย่างหนัก ก่อนขยับปากตอบรับอย่างแผ่วเบา “ถ้าคุณแม่อยากให้ทำ...”

 “อิม...” เสียงแผ่วเบาเรียกขานชื่อ เกรทมีสีหน้าวิตกกังวลกับคำตอบของผมอย่างเห็นได้ชัด แต่มันสายไปเสียแล้ว ในเมื่อสิ่งที่ผมตั้งใจจะกล่าว...

“ผมก็พร้อมจะทำครับ” ผมพยายามไม่มองหน้าที่แสดงอาการผิดหวังออกมาอย่างปิดไม่มิดของเกรท ก่อนกลั้นใจถอดถอนมือจากอีกฝ่ายมาวางนิ่งบนตัก สูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมเอ่ยคำต่อมา “แต่ผมอยากทราบเหตุผลครับ”

“เหตุผลอะไร” แม่เกรทถาม

“เหตุผลที่อยากให้พวกเราเลิกติดต่อกัน” ในที่สุดผมก็กล้าจ้องหน้าแม่เกรทเต็มๆตา หัวคิ้วผู้เป็นมารดาเลิกสูงเล็กน้อยต่างจากท่าทีเงียบขรึมสุขุมที่ผ่านๆมา ริมฝีปากสีกุหลาบเก่าขยับ เปล่งเสียงนิ่งเย็นออกมา

“เธอจะอยากรู้เหตุผลไปทำไม ถ้าตราบใดที่ชั้นอยากให้พวกเธอเลิก...”

“ผมอยากให้เขารู้ว่าคุณแม่หวังดีต่อเขาเสมอ”

“...”

มือถือถูกหยิบขึ้นจากกระเป๋ากางเกงด้านหลังมาวางไว้บนโต๊ะ มันถูกดันผ่านชามสละลอยแก้วจากอีกฝ่ายสู่อีกฝั่ง ยื่นส่งตรงให้คนเป็นผู้ใหญ่ “ถ้าคุณแม่บอกเหตุผลนั้นให้ผมฟังเสร็จ คุณแม่ก็ลบช่องทางติดต่อเกรททั้งหมดออกจากมือถือผมได้เลยครับ”

ผมยิ้มเบาให้กับตนเอง ต่อให้ต้องเลิกกัน ผมก็อยากจะยอมรับว่ามันเป็นความหวังดีจากมารดาที่มีให้ต่อเขา ไม่อยากให้ขัดข้องหมองใจ ถ้าเป็นสิ่งที่เสียสละได้ก็อยากเลือกสิ่งนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสุขของอีกฝ่าย การทะเลาะกับมารดาไม่ใช่สิ่งที่เกรทปรารถนาอย่างแน่นอน

ตั้งแต่รู้จักกับเกรทมาพวกเราต่างก็เล่าเรื่องส่วนตัวของกันและกันให้ฟังตลอด บทสนทนาของเกรทมักมีเรื่องของคุณแม่ปะปนอยู่ในนั้น จนตอนนี้ต่อให้ไม่เคยเห็นหน้าก็รู้สึกราวกับว่าเคยได้เจอ จากการได้สัมผัสตัวตนของเขาทำให้ผมทราบว่าเกรทรักแม่ของเขามาก และผมก็ไม่อยากให้คนที่เขารักต้องทุกข์ใจกับแค่เรื่องคนนอกที่เข้ามาในชีวิตเขา

ผมกำขากางเกงหนักขึ้น เหมือนมันเป็นที่พึ่งเดียวของผมในตอนนี้

“มนุษย์เป็นสัตว์ที่ความจำสั้นนะครับ ถ้าไม่สร้างมันขึ้นมาเป็นความทรงจำระยะยาว โอกาสที่จะลืมก็ง่ายมาก”

“...”

“ผมยังเป็นความทรงจำระยะสั้นสำหรับเกรทอยู่ ถ้าจะให้ลืมก็คงทำได้ มากกว่าความทรงจำระยะยาวที่อยู่กับเขา คอยประคับประคองเขามาตลอดทั้งชีวิต...อย่างคุณแม่”

“...”

“แค่ลบความทรงจำสั้นๆตรงนี้ออกไป...” หยดน้ำชื้นอุ่นไหลหยดจากขอบตาร่วงบนตัก บทสนทนาหยุดชะงักฉับพลัน ผมยกปลายนิ้วขึ้นแตะเบาด้วยความฉงนใจจนความชื้นเปื้อนติดมือออกมา เมื่อกี้อะไรเข้าตาอย่างนั้นเหรอ ทำไมผม..ถึงร้องไห้

ลมหายใจถูกสูดเข้าลึกอีกครั้ง มาถึงตอนนี้ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้อีกฝ่าย ว่าไม่เป็นไรเลยหากพวกเราจะไม่ต้องเจอกันอีก...

“โถโถ คุณพี่แหวนคะ เลิกแสร้งเป็นแกล้งเด็กสักทีเถอะ เด็กมันร้องไห้แล้วเห็นมั้ย” เสียงผู้ใหญ่อีกคนพูดแทรกขึ้นมา น้าแก้วพรวดพราดลุกจากเก้าอี้ดึงทิชชู่สองแผ่นจากกล่องบนโต๊ะ เดินอ้อมมาทางผม มือของคนเป็นน้าทาบลงบนแผ่นหลังค่อนมาทางช่วงคอ ยกทิชชู่แตะซับน้ำตรงหัวตา

“ยัยแก้ว เรื่องนี้เธออย่ายุ่ง”

“ไม่ยุ่งได้ไงคะ น้องอิมแกช่วยตาเวลไว้นะ ถือว่ามีบุญคุณกับแก้ว ถ้าน้องอิมจีบตาเวลนะแก้วจะไม่ห้ามเลย ยกให้เลยจ้า” ระหว่างที่สองคนถกเถียงกันสัมผัสอุ่นนุ่มนิ่มบางอย่างโดนแขน ผมหมุนศีรษะไปมองสำรวจ เด็กชายเวลตัวน้อยเดินตาปรือหน้าง่วงออกมายืนข้างผมตั้งแต่เมื่อไร ในอ้อมแขนเจ้าตัวอุ้มตุ๊กตาเจ้าอียอร์แทนที่รถถัง กอดมันไว้แนบอก จริงสินะ กอดเจ้านี้ยังไงก็ย่อมนิ่มกว่ากอดเจ้าหุ่นพลาสติกนอนอยู่แล้ว

“พี่อิมร้องไห้ทำไมฮับ” เสียงกะปุ๊กกะปิ๊กน่ารักน่าเอ็นดู ถามราวกับเป็นห่วง ผมไล้นิ้วไปตามจมูกน้อยๆยกประคองแก้มอูมๆ เจ้าตัวกางแขนข้างที่ว่างออกกว้างแสดงสัญลักษณ์ว่าอยากให้อุ้ม มันอดไม่ได้ที่จะช้อนแขนยกเจ้าตัวเล็กขึ้นมานั่งบนตัก น้องเวลจ้องตาแป๋วมือเล็กยกแตะร่องรอยน้ำที่เคยไหลออกมา ก่อนโน้มหน้าลงมาจุ๊บเบาๆที่ปาก

การกระทำของเด็กตัวน้อยแอบทำให้อึ้งหน่อยๆ มันเหมือนเจ้าตัวต้องการจะปลอบผม

“นั่นไงคะ ยกให้ตาเวลเถอะ ห่างกันสิบกว่าปีคงไม่ใช่อุปสรรคอะไร แล้วอีกอย่างแก้วก็ไม่ซีเรียสว่าถ้าน้องเกิดมาแล้วอยากจะคบใคร”

“พี่ก็ไม่ซีเรียส”

“แล้วทำไมต้องห้ามตาเกรทไม่ให้คบกับน้องอิมด้วยล่ะคะ ทั้งๆที่ใจก็แทบยกลูกชายให้ตั้งแต่อ่านจดหมายฉบับนั้นแล้วแท้ๆ”

จดหมาย?

คีย์เวิร์ดบางอย่างกระแทกเข้าหน้าแบบไม่ทันคิด น้าแก้วบีบไหล่ก้มมองผมพลางส่งยิ้มน้อยๆให้ อะไรคือความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคนี้กันแน่ แล้วจดหมาย? น้าแก้วหมายถึงจดหมายอะไร

“แก้วอ่านแล้ว ยังรับรู้ได้เลยว่าคนเขียนน่ะรักหลานชายเราขนาดไหน”

“...” ผมอึ้งไปแล้ว ตอนนี้เหมือนสติกำลังปลิวหายไปจากตัว พยายามเอื้อมมือไปแตะเรียกน้าแก้วให้สนใจ “น้าแก้วครับจดหมายที่ว่า...” เธอมีสีหน้าเหมือนพึ่งรับรู้ว่าผมไม่เข้าใจความหมาย รอยยิ้มอ่อนโยนระบายบนใบหน้า ก่อนกล่าวเฉลย

“แม่เจ้าเกรทน่ะ วันนี้เข้าไปทำความสะอาดในห้องนอนของลูกชายแล้วเจอซองจดหมายที่เราเขียนหล่นอยู่ใต้เตียงเข้าให้น่ะ”

หา!!!!

ซองสีเทาถูกหยิบจากอกเสื้อผู้เป็นมารดามาวางบนโต๊ะ ความทรงจำทุกอย่างในสมองผมกลับคืนมา นี่มันซองที่ผมทำหล่นไว้ตอนจะซ่อนกล่องของขวัญนี่หน่า!!

แขนแกร่งเอื้อมไปคว้ามันมาไว้กับมือ ผมสะดุ้งมองตามผู้รับที่ผมเขียนจ่าหน้าไว้ เกรทพลิกมองมันไปมาด้วยความสงสัย

“แต่ตอนนี้ผมกลับชอบทุกอย่างในความเป็นคุณ อยากให้คุณมีความสุขในทุกๆวัน ไม่ใช่แค่เฉพาะวันเกิดของคุณในวันนี้ รู้สึกขอบคุณจริงๆที่ได้เจอกับคุณ ขอบคุณคุณแม่คุณนะที่คลอดลูกชายอย่างคุณออกมา” ผมจ้องหน้าเกรท แต่เสียงบรรยายสิ่งที่ผมเขียนในจดหมายดังข้ามหัวไป ผมคล้องกอดน้องเวลไว้กันตก ก่อนหมุนตัวไปทางน้าแก้วอย่างตื่นๆ

“น...น้าแก้ว” อยากหายตัวไปจากตรงนี้ แววตาแฝงรอยยิ้มของน้าแก้วอย่างเอ็นดูกำลังจะทำผมหมดลมหายใจ ผมซุกหน้าเข้ากับอกเล็กๆของน้องเวลแนบจมูกกับเจ้าอียอร์เน่าไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอีก

“สนใจมารักตาเวลแทนมั้ยจ๊ะ”

“ว่าแต่ชั้นเธอก็ขยันแกล้งเด็กมันเหมือนกัน” แม่เกรทวางช้อนตักสละ แสดงถึงช่วงเวลาในการรับประทานของหวานได้สิ้นสุดลง “ไม่ต้องไปสนใจเรื่องที่ยัยแก้วพูด เรื่องที่เราสองคนคบกัน แม่รู้อยู่แล้ว ไม่ต้องร้องไห้”

“แต่ว่า...”

“แม่ไม่ได้ว่าอะไร แค่อยากลองใจคนที่ลูกชายแม่เพ้อหาอยู่ทุกวันก็เท่านั้น”

“เล่นแรงนะครับเนี่ย” เสียงทุ้มเอ่ยเปรยทำหน้าหงิกงอไม่พอใจอยู่หน่อยๆ ผมสะดุ้งเมื่อเขาหันกลับมาสบสายตาที่พยายามแอบลอบมอง เกรทยกมือขึ้นโยกหัวเล็กของเด็กในอ้อมกอด “ผมเกือบเสียอิมให้ตาเวลแล้วไง”

อียอร์เป็นที่พึ่งพิงของผมอีกแล้ว ไม่อยากให้อ่าน ไม่อยากให้เกรทรู้เนื้อความในจดหมายฉบับนั้นเลย มันเป็นเหมือนข้อความสุดท้ายที่ผมคิดว่าอยากจะเขียนให้เขาได้รับรู้ เป็นข้อความสุดท้ายที่ผมพรั่งพรูความรู้สึกออกมาจากภายใน

วันนี้จบลงที่น้าแก้วอุ้มตาเวลแยกออกมา ส่วนผมได้แต่ก้มหน้าตักสละลอยแก้วกินไปเงียบ ในสภาพที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว





พอตกบ่าย พวกเรามายืนส่งคุณแม่และน้าของเกรทกลับบ้าน วันนี้ได้ฟังเรื่องราวของบ้านเกรทหลายอย่าง รู้ว่าแม่ของเกรททำงานเป็นผู้จัดละครได้เจอนักแสดงรุ่นใหม่ใหญ่ดังมากหน้าหลายตา มีเรื่องเม้ามอยดารามาให้ฟังได้เพลินทั้งวัน ส่วนน้าแก้วแกทำงานอยู่บริษัทสื่อโฆษณาชอบมีเรื่องประหลาดอย่างนายแบบนางแบบโดดงานกะทันหันให้ใจหายใจคว่ำจนบางครั้งต้องลากเกรทเข้าไปมีเอี่ยวด้วยเสมอ

“กลับดีดีนะครับแม่”

ไม่ใช่ว่าแม่เกรทเป็นเสือยิ้มยากแต่ที่ผ่านมาคือเจ้าตัวจงใจแกล้งผมล้วนๆ ยามนี้รอยยิ้มของพี่แหวนตามที่น้าแก้วเรียกขานเผยขึ้นมาอย่างอบอุ่นอ่อนโยน ผู้เป็นแม่ลูบหัวลูกชายตนเบาๆ

“ดูแลตัวเองดีดีนะ”

“ตาเวลบ๊ายบายพวกพี่ๆเขาสิครับ” น้าแก้วที่ยืนอยู่ด้านหลังสะพายถุงผ้าหลายใบที่เคยใส่ของกินสารพัดสารเพมาเป็นเสบียงให้ จับหัวทุยๆของลูกชายรั้งไว้ไม่ให้เดินเพ่นพ่านด้วยความซน คนเป็นเด็กช้อนตาแววใส ก่อนกระพุ่มมือขึ้นไหว้อย่างน่าเอ็นดู

“สวัสดีฮับพี่อิม สวัสดีฮับพี่เก้ด” ผมค้อมตัวลงรวบร่างเล็กไว้ในอ้อมกอดอย่างมันเขี้ยว แขนป้อมๆคล้องเข้ากับคอทั้งที่ยังมีโมเดลรถถังคาอยู่กับมือ ใบหน้าเล็กทิ่มลงมาที่แก้มจนได้ยินเสียงหอมดังฟอด ไม่นานผมก็โดนจับแยกกับน้องทันที

“ได้ไงเนี่ยตาเวล” เสียงทุ้มร้องท้วง คล้องคอผมแทนแขนป้อมเมื่อครู่ “เจ้าชู้แต่เด็กนะเรา แล้วไหงบอกลาพี่อิมก่อนพี่เกรทได้ล่ะครับเนี่ย” ร่างสูงจิ้มพุ่งน้องจนเจ้าตัวเล็กหัวเราะเอิ๊กอ๊าก พลอยทำให้อดยิ้มตามไม่ได้ สักพักรู้สึกใบหน้าโดนของนุ่มหยุ่นบางอย่างเข้าแตะ พอหันไปริมฝีปากของเกรทอยู่ใกล้แค่เซนต์ฯผมกลั้นหายใจสะดุ้งเฮือก สะบัดหน้าหนีก้มแทบมุดลงไปกับหว่างขา

“อย่าหวานกันออกนอกหน้าสิจ๊ะ” เสียงน้าแก้วเข้าแทงจุดหน้าบางของผมอย่างจัง ผมยังคงก้มตัวเกาะเข่าซุกหน้าพลางส่งเสียงอู้อี้ประท้วง

“อย่าแซวกันสิครับ”

“คนอะไร๊น่าเอ็นดูขนาดนี้เนี่ย ว่าไงคะพี่อนุมัติเลยเนอะคนนี้น่ะ”

“มาถึงขั้นนี้แล้วจะให้ชั้นพูดอะไรอีก” แม่ของเกรทตอบเสียงเรียบ

“หึ ทำเป็นวางท่าไป” น้าแก้วยิ้ม ยกมือป้องปากย่อตัวกระซิบ “อย่าให้น้ามอยเลยนะ วันก่อนขากลับจากกองถ่ายผ่านมหา’ลัยพอดีเลยแวะไปหาเจ้าเกรท เจอน้องผู้หญิงน่ารักๆคนนึงวิ่งเข้าหา แม่ตาเกรทค้านหัวชนฝาอย่างกับอะไร”

“กับคนนั้นชั้นไม่ค่อยปลื้ม” แม่เกรทพูดห้วนน้ำเสียงเจืออารมณ์หงุดหงิดอยู่หน่อยๆ

“อือ...แต่หน้าตาสวยใช้ได้เลยนะคะ ชื่อก็ดูอ่อนหวานน่ารัก น้องเขาชื่อใยไหมใช่มั้ยคะ”

“จะชื่ออะไรก็ช่างเถอะ กลับกันได้แล้ว” ร่างสูงเพรียวสง่าเดินนำหน้าออกไป ปล่อยให้น้าสาวกระวีกระวาดจับอุ้งมือน้อยของน้องเวล กระชับถุงผ้าก่อนหันมาทิ้งท้ายถ้อยคำบางอย่างกับผม

“ดูแลตัวเองด้วยนะเรา”

“ค..ครับ”

“แล้วก็ฝากตาเกรทด้วยนะ”

ผมพยักหน้ารับก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ครับ”

“ไม่ใช่จากน้าหรอก ข้อความสุดท้ายมาจากแม่เจ้าหลานชายมันน่ะ”





จนกระทั่งร่างของน้าแก้วกับตาเวลหายลับไปจากสายตา ผมเดินตามเกรทกลับเข้าห้อง ช่วงเสี้ยววินาทีที่ประตูงับปิดลง ข้อมือโดนแรงบางอย่างดึงเข้าหา ช่วงเอวถูกแขนแกร่งโอบรอบรัดแน่นจนแผ่นหลังแนบสนิทกับอกกว้าง แขนของเกรทอีกข้างอ้อมมาล้อมบ่า พลางซุกใบหน้าเข้ากับซอกคอสูดกลิ่นสบู่จางๆ

“ก...เกรท”

“ผมก็รู้สึกขอบคุณจริงๆที่ได้เจออิม”

“...!” แว่วประโยคข้อความในจดหมายฉายเป็นเสียงดังก้องอยู่ข้างหู



“มันเป็นความประทับใจแรกที่อาจไม่เรียกว่าประทับใจ ผมอาจจะไม่รู้ตัวว่าเกือบจะเดินชนคุณคนที่ผมสารภาพรักไปไม่กี่วัน วันนั้นผมเอาแต่จ้องมือถือ จมอยู่ในโลกโซเซียล จดจ่ออยู่แต่หน้าเฟซบุ๊กมองหาคนที่สนใจ ไล่สายตาไปยังคนที่ผมต้องการจะสารภาพรัก จนกระทั่งวันที่ผมโดนเพื่อนๆกระตุ้นให้รีบมาเคลียร์ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือนี้ ผมนัดกับคุณให้เราไปเดทกัน นับตั้งแต่ตอนนั้นความสนใจในคนชื่อ ‘อิม’ ก็ผุดขึ้นมาในสมองของผม

รู้มั้ย...เดทแรกของเราผมแทบจะลืมไปเลยว่าต้องบอกเลิกคุณ และเป็นวันนั้นที่ทำให้เรื่องของเราพลิกผันมาอีกทาง ผมเห็นคนที่ผมตั้งใจจะสารภาพเดินมากับแฟนเขา

ผมอกหัก...ส่วนคุณกลับเป็นคนที่ทำให้ผมยิ้มได้หลังผ่านไปไม่กี่นาที คำตัดพ้อทีเล่นทีจริงที่มีอย่างห้วนๆทำให้ผมสนใจในตัวคุณ คุณทำให้ผมลืมเรื่องราวของคนๆนั้น ทำให้ผมยิ้มเพียงเพราะต้องการให้คุณยิ้มกลับ รอยยิ้มของคุณเป็นแหล่งพลังงานชั้นดีในการดำเนินชีวิตของผม ทุกๆวันผมอยากเจอคุณ คุณเป็นคนใจดีนะอิม เอาใจใส่ผมทุกเรื่อง ทั้งที่ผมทำตัวไม่ดีทิ้งคุณไว้ตั้งเกือบเดือน ตอนแรกคุณอาจจะไม่ใช่คนๆนั้นของผม แต่ตอนนี้ผมกลับอยากเป็นคนๆนั้นของคุณ ผมเคยนึกจินตนาการแบบเลวร้าย...

...ว่าถ้าหากคุณรู้เรื่องที่ผมเคยชอบคนอื่นขึ้นมา คุณหายตัวไปจากผมรึเปล่า...

...แล้วทุกอย่างที่ผมคิดไว้มันก็เกิด ในตอนที่ผมอยากเป็นคนๆนั้นของคุณ อยากได้รับความรักมากมายจากคุณ...

...ตั้งแต่ตอนนั้นผมรักในตัวคุณจนโงหัวไม่ขึ้น...

ผมอยากสมหวังกับคุณ...

ตอนแรกผมอาจรู้สึกราวกับโลกจะแตกเมื่อรู้ตัวว่าสารภาพรักผิด กับคนที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จัก

แต่มาถึงตอนนี้ผมกลับชอบทุกอย่างในความเป็นคุณ อยากให้คุณมีความสุขในทุกๆวัน รู้สึกขอบคุณจริงๆที่ได้เจอกับคุณ ขอบคุณที่ทุกอย่างทำให้เจออิม”




เกรทย้อนคำพูดในจดหมายของผม ทุกพยางค์และตัวอักษร หากในเนื้อหากลับแทรกแทนความรู้สึกในมุมมองของเขาแทน...



“อิมรู้มั้ย ว่าทำไมผมถึงชวนอิมมาหาวันนี้”



ผมส่ายหัว เหมือนทุกอย่างมันตื้อในอกจนพูดไม่ออก



“เพื่อผูกมัดไงล่ะ”









ในที่ที่ห่างออกไปกระดาษถนอมสายตาสองสามแผ่นถูกพับครึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ลมจากเครื่องปรับอากาศพัดแรงจนเกิดเสียงดังพึ่บพั่บเบาๆ จนเจ้ากระดาษแผ่นน้อยปลิวไปกระทบซองจดหมายสีเทาที่อยู่ด้านข้าง



[มันเป็นความประทับใจแรกที่อาจไม่เรียกว่าประทับใจ คุณรู้ตัวมั้ยว่าผมเกือบโดนคุณชนใส่หลังจากวันที่คุณสารภาพรักผมไปไม่กี่วัน วันนั้นผมอยากต่อว่าคุณด้วยซ้ำที่เอาแต่จ้องมือถือ จมอยู่ในโลกโซเซียล จดจ่ออยู่แต่หน้าเฟซบุ๊กของคนที่คุณสนใจ เหม่อมองสายตาไล่ตามหาคนที่คุณคิดว่าใช่อยู่คนเดียวไปวันๆ จนกระทั่งวันที่ผมคิดว่าคุณจะมาตัดสายสัมพันธ์ที่ไม่แม้แต่จะได้เริ่มต้นด้วยซ้ำของพวกเรา คุณกลับทำให้ผมประหลาดใจ ด้วยการเอ่ยปากให้เราไปเดทกัน นับตั้งแต่ตอนนั้นความสนใจในคนชื่อ ‘เกรท’ ก็ผุดขึ้นมาในสมองของผม

รู้มั้ย...เดทแรกของเราผมเฝ้านับวินาทีรอให้คุณบอกเลิก แต่จนแล้วจนรอดเรื่องราวกลับดำเนินมาอีกทาง

คุณอกหัก...ส่วนผมกลับเริ่มอยากปลอบใจคุณเข้าให้ทุกวัน ใบหน้าตอนยิ้มของคุณช่วยสร้างพลังงานในการดำเนินชีวิตของผมอย่างไม่รู้ตัว ผมรู้สึกเหมือนเด็กที่เล่นเกมชนะถ้าหากทำให้คุณยิ้มได้ คุณเป็นคนดีนะเกรท ช่างเอาใจใส่ ทั้งที่ผมไม่ใช่คนๆนั้นของคุณ แต่คุณก็ยังตามมาส่ง ตามมาเฝ้าไข้ผมถึงบ้าน และไม่เคยละเลยจุดสังเกตเล็กน้อยอย่างการที่ผมกลัวหนังผีจนขี้ขึ้นสมอง ตื่นมาตาคลำจนทำให้คุณจับผิดได้เลย ผมเคยจินตนาการนะ...

...ว่าถ้าได้เป็นคนๆนั้นของคุณ ผมจะได้รับความรักมากมายขนาดไหน...

มันต้องมาก...มาเสียจนล้นออกมาจากหัวใจ และผมพนันได้เลยว่าร้อยทั้งร้อยคนๆนั้นของคุณต้องใจอ่อน จนตอบรับความรู้สึกคุณ

...เขาต้องรักในตัวคุณจนโงหัวไม่ขึ้นอย่างผม...

ผมอยากให้คุณสมหวัง...

ตอนแรกผมอาจจะไม่ชอบเด็กหน้ามึนที่เดินทะเล่อทะล่าเข้ามาโกหกคำโตว่ารัก

แต่มาถึงตอนนี้ผมกลับชอบทุกอย่างในความเป็นคุณ อยากให้คุณมีความสุขในทุกๆวัน ไม่ใช่แค่เฉพาะวันเกิดของคุณในวันนี้ รู้สึกขอบคุณจริงๆที่ได้เจอกับคุณ ขอบคุณคุณแม่คุณนะที่คลอดลูกชายอย่างคุณออกมา]




...TBC…

+++++++++++++++++


สารภาพจากใจยังไม่ได้ตรวจภาษาเลยค่ะ แง้นนน
อ่านแล้วแปร่งๆบอกได้ติชมได้นะคะ
ขอบคุณคนที่ติดตามและคอมเมนต์ให้กำลังใจอยู่เสมอค่า
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : แปด(ครั้งที่สอง)...ผูกมัด P.4 [24/11/19]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-11-2019 01:28:07
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่  อาคุงแม่เล่นแรงนาจา
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : แปด(ครั้งที่สอง)...ผูกมัด P.4 [24/11/19]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-11-2019 22:39:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : แปด(ครั้งที่สอง)...ผูกมัด P.4 [24/11/19]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-11-2019 00:02:52
 :man1:

 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : เจ็ด(ครั้งที่สอง)...และเราทั้งสองก็ใจตรงกัน P.5 [5/12/19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 05-12-2019 21:19:25
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

เจ็ด(ครั้งที่สอง)...และเราทั้งสองก็ใจตรงกัน



“เอ้า ดื่มน้ำซะก่อน”



เสียงก๊องแก๊งจากแก้วใส่น้ำซึ่งบรรจุเต็มด้วยน้ำแข็งถูกยื่นส่งมาให้ เปรียบได้ดั่งน้ำใจไมตรีของคนเป็นผู้ใหญ่แลกกับการใช้ ‘คนที่มาจีบลูกชาย’ ทำงานบ้านงานสวน

ด้วยหน้านิ่งๆไม่บ่งถึงความเป็นมิตรและศัตรูจึงสร้างความใจชื้นให้กับฝ่ายเข้าหา จากที่เคยระแวงไปว่าปราการด่านนี้จะหินขนาดไหนกลับกลายเป็นความเข้าใจในอุปนิสัยของคนตรงหน้า

เพื่อไม่ให้น้ำใจนั้นรอคอยนานท่ามกลางแดดเปรี้ยงยามเที่ยงวัน จึงละจากกรรไกรเหล็กขนาดใหญ่ สะบัดถุงมือผ้าดิบสีขาวขอบเหลืองออกจากสองมือ ยื่นไปรับความเย็นฉ่ำปล่อยให้มันไหลกลืนลงคอ

“ขอบคุณครับ”

“วันนี้พอเท่านี้ก่อนเถอะ เดี๋ยวเจ้าอิมกับแม่ก็กลับมาแล้ว ไปล้างไม้ล้างมือ นั่งพักผ่อนรอในบ้านละกัน”

ต่อให้คุณพ่อบอกว่าให้รอนอกบ้าน ผมคงรอได้ ในเมื่อมาจีบลูกชายเขาทั้งคน

ผมเก็บข้าวเก็บของเสร็จแล้วเดินตามคุณพ่อของ ‘ว่าที่แฟน’ ไปไม่ห่าง ตั้งแต่วันแห่งการผูกมัดช่องห่างระหว่างอิมกับผมดูเหมือนจะแคบลง อีกฝ่ายเปิดใจให้ผมมากขึ้น จนผมมักเหลิงเผลอตัวตัดคำว่า ‘ว่าที่’ ทิ้งอยู่บ่อยครั้ง ทำให้อิมต้องเตือนด้วยวาจาจิกกัดแบบทีเล่นทีจริงตามแบบฉบับของเขาเสมอ

แต่สิ่งที่แฝงมาจากคำตำหนิแบบไม่จริงจังคือใบหน้าขาวซึ่งรื้นแดงซับสีเลือดจางๆชวนมอง ซึ่งถือว่าคุ้มค่ากับการโดนเหน็บอย่างไม่ต้องสงสัย

ทันทีที่เท้าก้าวสู่ไอเย็นในเขตพื้นที่ชั้นล่างของบ้าน ความรู้สึกสบายตัวจึงบังเกิด ผมเดินเลี่ยงไปล้างไม้ล้างมือใช้น้ำลูบหน้าชำระความเหนอะหนะไม่สบายตัวตรงโซนห้องน้ำเล็ก ก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อ แต่กลับเฉลียวใจเมื่อมองเห็นลายผืนผ้าที่คุ้นเคยในครรลองสายตา

ผ้าชิ้นน้อยลายตารางผืนเดียวในความทรงจำกำอยู่บนฝ่ามือ วันที่ชวนอิมเดทครั้งแรก เจ้าตัวสำลักกาแฟจนผมต้องส่งผ้าเช็ดหน้าให้ แต่ใครจะนึกว่าการตอบแทนในแบบเดียวกันจะถูกส่งกลับมายังตนในทันที

ผมเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไว้อย่างดีภายใต้ลิ้นชักตู้เสื้อผ้า หากแต่คราแรกเป็นการเก็บในความรู้สึกกังขากับของใช้ส่วนตัวของคนแปลกหน้า แต่มาวันนี้กลับรู้สึกว่ามันเป็นของชิ้นสำคัญจนต้องทะนุถนอมเก็บมันไว้อย่างดี

มือชะงักค้าง หยุดความคิดจะนำมันซับเหงื่อในบัดดล ผมยกมันขึ้นสูดดมกลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่ม ราวกับหวังให้กลิ่นอายจางๆจากเจ้าของเก่ายังคงเหลือค้างไว้ก่อนยัดกลับลงใส่กระเป๋ากางเกง ใช้แขนเสื้อซับเหงื่อตนเองเบาๆแทน ณ ขณะนั้นปรากฏเห็นเงาสะท้อนของสายตาคู่หนึ่งในกระจกพลันทำสะดุ้งใจหาย

“ค...คุณพ่อ”

“ดมมันอยู่นั่น อย่างกับพวกโรคจิต” ในใจถึงขั้นหลอนเมื่อคนเป็นบิดาเอ่ยกว่าคำนี้ออกมา แต่ทว่า... “เหมือนตอนข้าดมจดหมายฉบับแรกจากแม่เจ้าอิมไม่มีผิด”

ฮะ?

พ่ออิมทิ้งประโยคนี้ไว้ก่อนเดินกระย่องกระแย่งกลับไปยังเก้าอี้ตรงโซนโต๊ะอาหารทิ้งตัวลงนั่ง ผมตามอย่างระมัดระวังไปจบที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกัน

วันนี้พ่ออิมดูแปลก เหมือนพยายามจะเข้าหา ทั้งที่ปกติใช้งานอย่างเดียวจนพอใจก็ปล่อยให้เป็นอิสระอยู่กับอิมแท้ๆ แต่มาคราวนี้สายตาท่านพยายามลอบมองทางผมอยู่เสมอ ราวกับจับผิดก็ไม่ปาน

“คุณพ่อ”

“ว่าไง มีอะไรก็พูดมา”

“คุณพ่อมีอะไรจะพูดกับผมรึเปล่าครับ”

ความเงียบเข้าครอบครองพื้นที่บริเวณนี้ชั่วขณะ พวกเราเหมือนเล่นสงครามประสาท ก่อนคนเป็นพ่อจะตวัดสายตาจ้องพร้อมโพล่งคำหนึ่งออกมา

“ลุง”

“ฮะ? ครับ?” ผมเปล่งเสียงอุทาน เกิดความสงสัย

“ใครให้เรียกพ่อ ให้เรียกลุง”

“...” ได้ยินแบบนี้กำลังใจหดหายไปหลายส่วน นั่งหน้าหงอใจฝ่อเลยทีเดียว จนในที่สุดความเงียบก็ถูกทำลายจากการที่อีกฝ่ายเรียกผมอีกครั้ง

“เราน่ะ”

“ครับ” ตามมารยาทควรจะสบตาผู้ถาม ผมขยับสายตาไปสบ ภาวะตอนนี้คนเป็นผู้ใหญ่ดูจริงจังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พ่อขออิมขยับตัวเท้าแขนกับขอบโต๊ะพลางกล่าวเสียงนิ่ง

“ชอบเจ้าอิมมันมากขนาดนั้นเลยเหรอ”

สีหน้าไม่ออกเชิงว่าล้อเล่น ความเงียบเข้าครอบงำเราทั้งคู่ภายใต้เสียงเครื่องปรับอากาศเปลี่ยนทิศทางใบพัดซ้ำไปมา ผมจ้องใบหน้าชายวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งเจนจัดและอยู่บนโลกมานานกว่า ริ้วรอยตรงร่องแก้มและหางตาสื่อถึงวัยและประสบการณ์ที่ผ่านอะไรมานักต่อนัก คนตรงหน้ากำลังถามคำถามสำคัญกับผมในฐานะพ่อคนนึงที่ห่วงลูกชาย จึงอดไม่ได้ที่เห็นภาพซ้อนทับกับใครอีกคนในห้วงความคิด

“ครับ...ผมชอบลูกชายของคุณลุงครับ” ไอน้ำข้างแก้วใบเดียวกับที่อีกฝ่ายหยิบให้เริ่มหยดไหลเป็นวงซึมลงโต๊ะหิน “มันเหมือนหยดน้ำที่ค่อยๆซึมผ่านลงหินทีละนิดแหละครับ อิมเข้ามาในชีวิตผมแบบไม่ใช่ก้าวกระโดด แต่ค่อยๆซึมเข้ามาในจิตใจ”

“...”

“แปลกดีนะครับ กับคนที่ไม่เคยคิดว่าจะรักมาก่อน แต่ตอนนี้ผมกลับห่างจากเขาไม่ได้เลย พออยู่ใกล้แล้วมีความสุข...อบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก”

ทุกอย่างดูเงียบ จนรู้สึกตัวว่าตนพลาด เผลอพูดอะไรบางอย่างออกไปตามอารมณ์ต่อหน้าอีกฝ่ายเข้าให้แล้ว

“ข...ขอโทษนะครับ ที่พูดอะไรไร้สาระ” ยกมือลูบหลังคออย่างฝืดเฝื่อน อีกใจก็รู้สึกขัดเขินอย่างช่วยไม่ได้

“ถ้ารักขนาดนั้นก็ดูแลเขาดีดีล่ะ”

“...” ความนัยบางอย่างแฝงมาในประโยคที่อีกฝ่ายโพล่งออกมา ไม่ยากเกินจะคาดเดา แต่หวั่นเกรงเกินจะคิดเข้าข้างตนเอง ผมประสานสายตากับผู้เป็นพ่อ เหมือนค้นหาความต่อจากประโยคนั้น

“หนึ่งเดือนกว่าอาจจะน้อยไป ถ้าเทียบกับพวกที่คบหาดูใจกันมาเป็นปีๆ แต่การคบกันนานไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าจะไปกันได้รอดหรอก”

สายตาคุณลุงมองเลยไปทางด้านหลัง กรอบรูปที่ตั้งไว้บนโต๊ะเล็กรับแขก ภาพคนสี่คนซึ่งนั่งคล้องคอกอดกันบนพื้นหญ้ายิ้มร่าอย่างมีความสุข

“แต่ชั้นพอจะเดาได้จากสีหน้าเจ้าอิม มันดูมีความสุขทุกครั้งที่อยู่กับเอ็ง” รอยยิ้มที่มาพร้อมกับริ้วรอยแห่งกาลเวลาปรากฏบนใบหน้าของผู้เป็นพ่อ

“ฝากดูแลเจ้าอิมมันด้วยนะ”

เหมือนเสี้ยวนาทีที่พูดยาวนานนับเป็นชั่วโมง ผมนั่งเก็บกลืนทุกคำในประโยค ตรึกตรองทุกความหมาย ร้อยเรียงในห้วงความคิด ก่อนตอบประโยคด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นและมั่นคง

“ครับ ผมจะดูแลอิมให้ดี ให้สมกับที่คุณลุงไว้ใจ”

...จะรักเขาให้มาก ให้สมกับที่ผ่านอะไรหลายอย่างมาด้วยกัน...

ช่วงเสี้ยวความคิดคะนึงหา เสียงความเคลื่อนไหวบางอย่างตรงหน้าประตูดังเข้าแทรก ผมหันไปมองทางหน้าต่าง เห็นอิมเมจและแม่ของเขา รวมถึงน้องมายด์กลับมาจากการไปเดินห้างร้านตลาดแล้ว ร่างกายขยับตามสัญชาตญาณ ขมีขมันลุกขึ้นหวังไปช่วยหิ้วของ กลับปรากฏเสียงคู่สนทนาเก่าก่อนดังแว่วเข้าหู

“เรียกใหม่”

“...” ผมชะงักเท้า หันไปมองด้วยสีหน้าแปลกใจ รอยยิ้มจางๆขึ้นใบหน้าทรงภูมิของผู้เป็นบิดา

“ไม่ใช่ลุง แต่เป็นพ่อ”

“...”

“พ่อคะ พี่เกรท อยู่มั้ยเนี่ย หน้าบ้านเงียบเชียวไหนบอกว่าจะตัดหญ้ากันไง” เสียงสดใสเจื้อยแจ้วจากน้องมายด์ดังขึ้นขัด ผมสะดุ้งตัวจากภวังค์ ยืนยิ้มบางโค้งศีรษะลงต่ำดั่งเอ่ยคำขอบคุณ

“ยัยมายด์อย่าเสียงดัง ถ้าพ่อเขานอนกลางวันอยู่ เดี๋ยวก็ตกใจตื่นพอดี” คนเป็นแม่ปรามน้องสาวตัวน้อยที่วิ่งลิ่วนำชาวบ้านเข้ามา ส่วนคนที่ผมคะนึงหากำลังยืนอมยิ้มหิ้วของเต็มมืออยู่ด้านหลัง

“อ้าวพี่เกรท พ่อ ไหงมาอยู่ตรงนี้เนี่ย” มายด์เอ่ยทัก ทำให้สายตาของเราสองคนสบกัน ร่างโปร่งมีทีท่าชะงักไปก่อนล้มหลบ พักนี้เหมือนอิมจะขี้อายขึ้นอย่างบอกไม่ถูก แต่นี่คือส่วนหนึ่งในนิสัยของเขาที่ผมค้นพบ มันยิ่งเติมให้คนข้างหน้าดูน่ารักขึ้นเรื่อยๆ

“ทานข้าวกันเถอะค่ะ หิวกันแล้วใช่มั้ยคุณพ่อนก ลูกนก” ผู้เป็นมารดาชูถุงกับข้าวต่างๆนานาในวงแขน ส่วนผมได้แต่ยิ้มรับแล้วหันไปยังคนเป็นพ่อ

“ครับ คุณพ่อนก กับลูกนกกำลังหิวพอดี”













ผ่านมาแล้วหลายวัน เรียกให้ถูกน่าจะเป็นหลายสัปดาห์จนปาไปครึ่งเดือนแล้วมากกว่าที่ผมกลับมาคบกับเกรท ช่วงชีวิตตอนนี้เหมือนย้อนกลับไปเมื่อในอดีตที่คบกัน แต่จะต่างก็ตรงที่ความสัมพันธ์มันเหมือนมีอะไรหวานๆซึมผ่านเข้ามาเป็นระยะ

อย่างวันนี้ก็เช่นกันที่ผมต้องกลับกับเกรท พาเขาไปบ้านตามคำชวนของแม่ซึ่งตั้งใจทำอาหารเย็นให้เด็กๆทาน ถึงแม้งานจะหนัก แต่ก็ยังกระตือรือร้นที่จะกลับมาให้ทันทำมื้อค่ำที่บ้าน ด้วยความเกรงใจเกรทเลยไม่ปฏิเสธคำชวน เจ้าตัวกลับเอ่ยปากบอกดีใจเสียอีกที่ได้เข้าใกล้แม่ของผมไปอีกขั้น...สรุปคือจะมาจีบผม หรือแม่ผมช่วยบอกที

“พี่พาส”

คิดอะไรเพลินๆพอเดินหลุดออกมาจากห้องน้ำไม่คิดว่าจะเจอแจ็กพอต ตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเจอ ‘ใยไหม’ เพราะตราบใดที่เรียนอยู่คณะเดียวกัน การเดินเฉียด ผ่าน สวนกัน ในบางครั้งย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่ไม่คิดว่าจะมาเจอเธอยืนโทรศัพท์เรียกชื่อบุคคลในปลายสายที่ไม่น่าจะได้ยินจากสองคนที่เลิกกันไปนานแล้ว

“เลิกแล้วค่ะ กำลังจะออก พี่พาสรออยู่ที่เดิมใช่มั้ย”

“...”

“ได้ค่ะ เดี๋ยวไหมไปหา”

“...”

“ค่ะ คิดถึงจะแย่เหมือนกันค่ะ”

น่าจะรู้สึกถึงสายตาผม หญิงสาวหันขวับมาทางหน้าห้องน้ำชายในทันทีทันใด ผมไหวตัวทันหมุนตัวเหวี่ยงหลบเข้าห้องน้ำ แต่ไม่ทันคิดว่าจะมีคนดึงประตูเปิดจากอีกฟาก สองมือแทนที่จะดันประตูกลับกลายเป็นดันอกใครบางคนจนเซถลันบั้นท้ายอีกฝ่ายไปกระแทกยังเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าอย่างจัง

บึ่ก!!

“อูยยย”

“เฮ้ย!! โทษทีคุณ เป็นอะไรมั้ย” มือผมขยับไปเหมือนตั้งใจจะจับส่วนที่ได้รับความบอบช้ำของชายร่างสูงตรงหน้า หากใจกลับยั้งว่าไม่ควบจาบจ้วงเลยหยุดชะงักมือไว้เพียงครึ่ง แต่ใครบางคนกลับสัมผัสมือดึงเข้าไปแนบสะโพกแกร่งเสียสนิท

“จะแต๊ะอั๋งผมเหรอ” เงยหน้าไปเจอรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเชิงหยอกเย้า จนให้ได้อุทานชื่อใครบางคนออกมา

“เกรท?”

“ครับ” คุณชายคิรากรในชุดนักศึกษาถูกระเบียบกำลังยกมุมปากมองมาด้วยสายตาเป็นประกาย เราสองคนแทบยืนใกล้จนตัวติดกันส่วนมืออีกฝ่ายนั้นก็พยายามดึงดันจับให้ผมลูบไล้ไปตามกล้ามเนื้อแข็งตรงบั้นท้ายอย่างจงใจ

“ไม่ได้จะแต๊ะอั๋งสักหน่อย!” ผมขู่ปรามเสียงเบาพยายามดึงมือกลับ ตรงกันข้ามแรงมือนิ้วทั้งห้าที่ออกแรงหนักหน่วงต่อต้าน เกาะหนึบยิ่งกว่าตีนตุ๊กแกจนเอาไม่ออก พอเห็นอย่างนี้ก็อยากจะตีโต้กลับเสียให้เข็ดเลยขยับนิ้วไปขยำเนื้อแข็งด้วยอารมณ์ต่อต้านแต่แฝงแววไว้ด้วยความซุกซนจนร่างเกรทสะดุ้ง

“เฮ้ย อิม!”

หึ สะใจจริงแท้...

แกร๊ก!

เสียงเปิดประตูดังขัด สองคนหันไปหาผู้มาใหม่เป็นตาเดียว

คนแปลกหน้ามาใหม่เป็นเพื่อนร่วมมหา’ลัย ที่ดันปวดเบาตอนไหนไม่ปวดมาปวดตอนเขาสองคนกำลังชิงไหวชิงพริบกัน พอโผล่หัวเข้ามาเท่านั้นสองสายตาประสานใบหน้า หนึ่งเนตรมองลงมาบนสะโพกของใครคนหนึ่งซึ่งเหมือนกำลังถูกคุกคามทางเพศ ริมฝีปากค้างเติ่งมองกลับไปมาระหว่างสองมือกับหน้าพลางยิ้มแหยขึ้นมาในบัดดล ดั่งโดนคนหรือผีหลอกกลางวันแสกๆ

“ข...ขอโทษครับ ผมไปเข้าชั้นสองก็ได้” ชี้ออกนอกห้องไปแบบไร้ทิศ พอเสร็จกิจปิดประตูเสร็จสรรพแล้วหายลับไปจากห้องน้ำ ไวยิ่งกว่าคำเรียกขานของจำเลยสองคนที่ซึ่งยืนงงอยู่ในนั้นเสียอีก

แววตื่นๆกับเหงื่อจางๆผุดซึมมาตามขมับ เมื่อครู่ต้องถูกเข้าใจผิดแน่ๆ เวรแล้ว

“เกรท คุณปล่อยมือผมได้ยัง”

“อิมต่างหากปล่อยมือจากสะโพกผมได้ยังเนี่ย”

อ้าว เชี่ย! ผมยังกำก้นเกรทอยู่! ชักมือออกราวกันโดนของร้อน หน้าเห่อจนแทบไฟลุกออกมา ฝ่ามือพยายามลูบไปมาที่ขากางเกงเหมือนเช็ดร่องรอยทำลายหลักฐาน

“ม...มาตั้งแต่เมื่อไร” ร่างสูงยังคงยิ้มใส่ผมแบบนึกขัน

“จะมารับอิมแหละครับ แต่บังเอิญปวดขี้ เลยแวะมาเข้าห้องน้ำก่อน”

“อย่าพูดว่าขี้ด้วยหน้าตาแบบนี้ได้มั้ย ไม่เห็นเข้ากันเลย” ผมเบี่ยงหน้าออกข้างตำหนิเบาๆ จนเจ้าตัวเลิกคิ้วแปลกใจ

“ทำไมล่ะครับ ผมชอบขี้จะตาย”

“...”

“ขี้หวง”

“...”

“ขี้หึง”

“...”

“ขี้อ้อน...”

ท้ายประโยคเกรทก้มลงใช้ริมฝีปากงับที่ติ่งหูนุ่ม

“แล้วก็ขี้เอา...”

“ทะลึ่งแล้ว!” สะดุ้งสุดตัว ดีดกระหม่อมเจ้าตัวไปหนึ่งยก เกรทปล่อยมือจากผมในบัดดลยกมือขึ้นกุมหน้าผาก

“โอ๊ย อิม ผมหมายถึงขี้เอาใจต่างหาก ดีดลงมาซะแรงเลย” พอปล่อยออกก็เห็นรอยแดงจุดหนึ่งตรงกลาง ท่าจะแรงจริงตามว่าเลยอดสงสารยกนิ้วโป้งขึ้นเกลี่ยไม่ได้

“ก็ชอบพูดอะไรไม่ชัดเจนนี่หว่า” รอยยิ้มหล่อเหลาปรากฏขึ้นหน้าทั้งที่ปากยังบ่นว่าเจ็บ

“โอเค พูดให้ชัดก็ได้ ผมชอบอิมครับ”

“...!”

“ผมชอบคนตรงหน้าผมตอนนี้มากๆเลย”

“...”

“และไม่คิดว่าจะเลิกชอบได้ง่ายๆด้วย”

“...”

“ผมชอบ...” ผมยกมือขึ้นปิดปากเกรท

“เลิกพูดได้แล้ว คุณกำลังจะทำให้ผมเขินตายรู้มั้ย” ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ หน้าแดงๆร้อนๆตอนนี้ของผมคงเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดี



มีต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : เจ็ด(ครั้งที่สอง)...และเราทั้งสองก็ใจตรงกัน P.5 [5/12/19]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 05-12-2019 21:20:13
เราสองคนเดินออกจากห้องน้ำมาตามทางเดินในตัวตึก ใยไหมหายไปแล้ว ส่วนฝูงชนที่เลิกเรียนเวลาไล่เลี่ยกันเมื่อครู่ก็เหลืออยู่อย่างเจือจาง พวกที่ยังนั่งอยู่ตามมุมต่างๆกลับเป็นสายชิลที่ไม่เคร่งกับตัวเองว่าจะต้องไปไหนมาไหน ถึงบ้านเมื่อไรก็ได้

“เมื่อกี้ไปเจออะไรมาเหรอครับ ถึงต้องรีบพรวดพราดเข้าห้องน้ำขนาดนั้น” ต่อให้คนไม่มีไหวพริบยังไงก็ต้องสงสัย เพราะผมพรวดพราดเข้าห้องน้ำไปหลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำธุระหนักเบาอะไรแล้วออกมาเฉย

“ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่ลืมไปว่าเข้าห้องน้ำแล้วน่ะ” ร่างสูงหลุดหัวเราะออกมาทันที

“อย่างนี้ต้องพาไปเลี้ยงปลาแล้ว”

“เลี้ยงปลา? หมายถึง...ให้อาหารปลาเหรอ” เกรทเลิกคิ้ว ก่อนเม้มปากกลั้นยิ้ม

“อันนั้นก็อยากพาไปครับ วันไหนเราชวนคุณพ่อคุณแม่ให้มาเจอกัน แล้วไปทำบุญที่วัดกันมั้ยครับ” ใบหน้าเปี่ยมสุขของเกรท ทำเอาสู้ออร่าสว่างไสวแทบไม่ได้จึงต้องเบี่ยงสายตาหลบ

“ก็ดีเหมือนกัน เอาเป็นวันปีใหม่มั้ยล่ะ”

“ดีเลยครับ ไปทำบุญกับอิมในวันเกิด”

“...” ยังจำวันเกิดผมได้ด้วย

“แต่วันนี้ต้องพาอิมไปเลี้ยงปลาก่อนนะ เดี๋ยวแวะซื้อกับข้าวริมทางแล้วไปทานที่บ้านอิมกันมั้ยครับ”

“แต่แม่ผมบอกว่าจะทำกับข้าวให้”

“เผื่อกับข้าวนั้นไม่มีปลาไง” เจ้าตัวยิ้มหยอก จนผมต้องทุบแรงๆไปหนึ่งรักให้เลิกล้อกันสักที พวกเราเดินคุยกันเรื่อยเปื่อยจนเท้าก้าวมาตรงส่วนกลางที่ต้องเลือกทางเดินระหว่างลงบันได กับลิฟต์ ผมสะกิดแขนเกรทเบาๆ

“เกรท ลงบันไดเถอะ”

“แต่นี่ชั้นสาม”

“เอาเถอะ ลงบันได นะ” ผมจับแขนเส้นอีกฝ่าย เกรทไม่เคยต้านคำขอร้องได้เลยสักครั้ง จึงผงกศีรษะรับ ก่อนเดินตามกันมาถึงบันได

“อิม” ระหว่างก้าวลงทีละขั้นร่างสูงซึ่งนำหน้าอยู่เรียกชื่อ ผมจึงได้แต่ส่งเสียงอืมในลำคอขานตอบว่าฟังอยู่ “นี่อิมกำลังหลบหน้าพี่เบสอยู่ใช่มั้ย”

“...!”

ขาผมแทบจะหยุดก้าวในทันที เกรทนิ่งอยู่กับที่หมุนตัวมาทางผม มองคนที่อยู่สูงกว่าด้วยสายตาจริงจัง

“ที่เลือกไม่ขึ้นลิฟต์เพราะกลัวจะเจอพี่เบสที่ไม่รู้ว่ากลับไปรึยังใช่มั้ยครับ” ผมเสตาลงต่ำมองขั้นบันไดพลางเดินลงต่อ

“รู้ด้วยเหรอ”

“แค่เดาน่ะครับ” ขนาดแค่เดายังตรงเป้าได้ขนาดนี้

“ก็คุณบอกว่าไม่ค่อยอยากให้ผมกลับกับเบสสักเท่าไรหนิ” ผมทำปากบิด

“ผมไม่ได้บังคับ” ร่างสูงถอนหายใจเบา “แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกลับกับ ‘ว่าที่แฟน’ ชาวบ้านเขาทุกวัน”

คำเรียกขานที่ยังไม่เต็มฐานะกลับทำให้ดวงหน้าเห่อร้อนอย่างประหลาด

“ตอนนั้นที่อิมบอกกับผม อิมสัญญาอะไรกับพี่เบสไว้เหรอครับ” เมื่อกระโดดตามลงมาจนห่างจากเกรทสองขั้น แขนแกร่งก็พลันยื่นส่งมาตรงหน้า ประหนึ่งว่าหมายมาดให้จับประคับประคอง ผมไม่ปฏิเสธความหวังดีของเด็กหนุ่มรุ่นน้องขยับมือออกไปคว้าไว้ ก่อนจะตอบคำถามเบาๆ

“ผมผิดเอง ที่ทำเพื่อนเสียใจ” คราวนี้คงเลี่ยงไม่ตอบไม่ได้แล้ว เลยตั้งใจจะบอกให้หมดทุกอย่าง แต่ทว่า...

“เกรท?” เสียงหวานๆเสียงหนึ่งดังขึ้นยามที่เท้าก้าวถึงบันไดขั้นสุดท้าย ผมแปลก ณ จุดนี้ ว่าทำไมฝ่ายที่รับคำคนเป็นหนักหนา บอกว่าจะรีบไปหา ถึงยังมายืนอยู่ตรงนี้

“พี่ใยไหม?” เสียงคนข้างกายเรียกชื่ออีกฝ่ายตอบรับมันทำให้ผมชะงักค้าง เกรทมีสีหน้านิ่งงันไม่แสดงอารมณ์ผันแปรตามผู้มาใหม่ มือใหญ่กระชับจับมือผมไว้แนบแน่น ก่อนอีกข้างย้ายมาประคองท้องแขน จับจูงให้ผมเดินทิ้งก้าวสุดท้ายมายังชั้นล่าง

“อิมเมจ?” ทันทีที่เห็นผมสีหน้าเธอออกอาการสงสัยเต็มเปี่ยม ดวงตาคู่สวยภายใต้คอนแทคเลนส์สีอ่อนสร้างเสน่ห์ดึงดูดให้จ้องมองอย่างตราตรึง ใยไหมมองหน้าผมสลับกับมือใหญ่ที่จับต้นแขนไว้อย่างมึนงง

“เกรทกับอิมเมจ...” เกรทขยับตั้งใจจะก้าวไปขวางหน้า

แต่ผมกลับประกาศโพล่งออกมาก่อน “พวกเรากลับมาคบกันแล้วน่ะ”

“เอ๊ะ?” เสียงเล็กสูงดังอย่างฉงนกับสถานการณ์ ส่วนร่างสูงได้แต่หันกลับมามองตามเจ้าของคำพูด

“หรือว่าผมเข้าใจผิด?” ผมช้อนสายตามองหญิงสาว จดจ้องสังเกตพฤติกรรม ใบหน้าใสซึ่งแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางชั้นดีนั้นชืดลงทันตา วาจาท่าทีที่ตามมาดูกระอักกระอ่วน

“ล...แล้วมาบอกไหมทำไมล่ะ”

“ผมไม่อยากให้ใยไหมคิดมากน่ะ”

“...”

“กลัวจะคิดว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เราสองคนเลิกกัน วันนั้นขอโทษจริงๆที่หุนหันพลันแล่น เห็นฉากเลิฟซีนในละครเวทีเป็นจริงเป็นจังไปได้ พอหลังจากนั้นเกรทก็พยายามปฏิเสธกับผมว่าเขาไม่ได้คิดอะไร”

“...”

“ตอนนี้เราเข้าใจกันแล้วนะ ขอบคุณใยไหมจริงๆที่ทำให้ผมรู้ใจตนเอง”

หญิงสาวสีหน้าดูเจื่อนไปถนัดตา เธอกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างแต่ผมขัดโดยการขอตัวแล้วลากเกรทออกมาก่อน

ต้นแขนแกร่งโดนผมลากจูงมาจนถึงที่จอดประจำอันคุ้นเคยซึ่งรถคันนั้นจอดอยู่ เสียงสัญญาณปลดล็อกอัตโนมัติดังขึ้นทันทีที่พวกเราเข้าใกล้ ผมเผลอชะงักหยุดเท้า แต่คนที่มาด้วยกันกลับดันผมให้ไปทางฝั่งที่นั่งข้างคนขับ

“วันนี้อิมนั่งสบายๆ เถอะนะ เดี๋ยวผมขับเอง”

“อืม” ผมพยักหน้าเบาๆทำตัวว่าง่าย หย่อนก้นลงบนเบาะนุ่มก่อนปิดประตู

ความรู้สึกเหมือนรถยวบลงเมื่อที่นั่งด้านข้างถูกอีกคนจับจอง ร่างสูงโค้งตัวก้มหน้ามามองจ้องสบ สายตาเราทั้งคู่ประสานกันจนพลันเกิดความกระอักกระอ่วนในใจ

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ คุณแฟน” กะพริบตาถี่ๆอย่างไม่เชื่อหู ผมกลืนน้ำลายลงคอก่อนกล่าวท้วง

“แฟนเฟินอะไรกัน”

“อ้าว เมื่อกี้ยังบอกว่าเป็นแฟนผมเลย” ผมนิ่งสะท้อนใจอย่างเสียไม่ได้ ก้มหน้าลงต่ำหนักขึ้นอย่างสำนึกผิด

“ขอโทษนะ ที่พูดออกไปอย่างนั้น คุณจะโกรธผมก็ได้นะ แต่ผม...” หวังดีกับคุณ

“ทำไมผมต้องโกรธอิมด้วยล่ะ”

“ก็คุณ...” คำกล่าวท้วงกลืนหายไปกับอากาศ เมื่อรอยยิ้มบานเท่าโลกปรากฏตรงหน้า

“ตอนนี้ดีใจจนความสุขแทบจะล้นออกมาจากตาด้วยซ้ำ”

“แต่เมื่อกี้ที่ผมพูดกับใยไหมมัน...”

“อิม ผมไม่ได้ชอบพี่ใยไหมแล้วนะ”

“...”

“ที่ผมบอกอยู่ทุกวันนี้ อิมยังจำไม่ได้อีกเหรอ สงสัยต้องพาไปเลี้ยงปลาจริงๆซะแล้ว”

“ผมอาจจะขาดโอเมก้าสามจริงๆอย่างคุณว่าก็ได้” ติดจะงอนตำหนิตัวเอง ขยับไปจับเข็มขัดนิรภัยมาคาดไว้กับตัวอย่างเนือยๆ

“ถ้าซื้อมาผมยกให้อิมกินคนเดียวเลยละกัน”

“ทำไม...” เหมือนโดนกล่าวหาว่าปลาทองแต่ฝ่ายเดียวเลยตั้งใจจะท้วง แต่นิ้วเรียวยาวขอคนข้างๆกลับยกขึ้นมาปิดปากผม รอยยิ้มอ่อนละมุนส่งตรงมาเปล่งออร่าเฉิดฉาย

“เพราะผมจำอิมเมจลงไปในความทรงจำระยะยาวของผมได้แล้วไง”

















นั่งอิ่มเอมกับความรู้สึกชวนหัวใจฟูอยู่ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขัดบทสนทนาว่าด้วยเรื่องเมนูปลาของพวกเรา อิมยกมือถือตนเองขึ้นดู ก่อนกดรับ

“ว่าไงยัยตัวแสบ มีอะไรรึเปล่า” ดูท่าคงเป็นน้องสาว บางทีน้องมายด์ก็มีฝากซื้อของอะไรกลับไปที่บ้านอยู่บ่อยครั้ง คราวนี้คงหนีไม่พ้นของใช้ส่วนตัวในชีวิตประจำวันที่ขาดไป อย่างคราวก่อนยังใช้ให้ไปซื้อผ้าอนามัย อิมเมจกับผมต้องบากหน้าเข้าไปยังโซนผู้หญิงแล้วแกล้งทำทีมาซื้อผ้าอ้อมให้ลูกอ่อนๆของพวกเรากลับบ้าน

ผมนิ่งเงียบตั้งใจฟัง เผื่อผ่านแหล่งซื้อของที่น้องสาวอยากได้ จะได้หักเลี้ยวแวะเข้า แต่ปรากฏฉับพลันสีหน้าร่างโปร่งซึ่งนั่งอยู่เคียงข้างกลับบ่งสัญญาณที่เปลี่ยนไป

“เดี๋ยว ใจเย็น ค่อยๆพูดสิ เกิดอะไรขึ้น” อิมยกมือขึ้นกุมอก กำเสื้อตนเองแน่น อาการส่อแววหายใจหอบด้วยความตระหนก

“แม่ล่ะ เราโทรบอกแม่รึยัง รอพี่ก่อน เดี๋ยวพี่รีบไป” คนเป็นรุ่นพี่ยกโทรศัพท์ห่างจากหู เอ่ยด้วยน้ำเสียงติดสั่น “เกรท”

“ครับอิม เป็นอะไรรึเปล่า?” อยากจะเอื้อมไปจับมือของอีกฝ่ายไว้ แต่ขณะนี้ต้องมีสมาธิกับถนนตรงหน้าเลยไม่อาจทำตามใจคิดได้

“คุณขับให้เร็วกว่านี้ได้มั้ย”

“เกิดอะไรขึ้นครับ”

“พ่อผมล้ม” จบคำสมองผมสั่งการให้หักหลบเข้าจอดข้างทางทันที ก่อนแบมือขอโทรศัพท์จากอีกฝ่าย

“ขอผมคุยกับมายด์” ผมคว้าโทรศัพท์อิมมาแบบไม่รอคำอนุญาต “มายด์”

[พ...พี่เกรท] เสียงปลายสายดูสั่นพร่าผิดปกติ เหมือนมีน้ำตาครืนเครือในลำคอ

“มายด์ อาการพ่อก่อนล้มเป็นไงบ้าง”

[พ่อ...พ่อเขา...ล้มลงไป ไม่รู้สึกตัวเลย พ...พี่เกรท มายด์...มายด์ควรทำไงดี]

“เดี๋ยวพี่เรียกรถพยาบาล” เด็กผู้หญิงตัวคนเดียวพอเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นตรงหน้า ย่อมเกิดภาวะร้อนรน ครองสติไม่อยู่ ผมสอบถามอาการจากมายด์ต่ออีกนิดก่อนกำชับให้คอยสำรวจอาการพ่อ ระหว่างคุยกับน้อง รู้สึกได้ถึงใครบางคนที่พยายามเอื้อมมือเพื่อจะปลดเข็มขัดนิรภัยผมออก จึงยกมือไปห้ามไว้ กอบกุมฝ่ามือเย็นๆซึ่งเต็มไปด้วยความตระหนกก่อนกดและกำไว้แน่น

“อิมจะทำอะไรครับ”

“ผ...ผมจะขับแทนคุณ” ตอนนี้ในใจเจ้าตัวคงอย่างจะโจนทะยานกลับบ้าน แต่ในสภาพที่จิตใจไม่มั่นคงผมคงยอมไม่ได้ มือข้างที่ว่างถือมือถืออิมกดเบอร์ 1669 โทรออก พยายามมองสลับดวงหน้าส่อแววซีดเซียวอย่างสร้างความเชื่อมั่น

“อิมใจเย็นๆนะ เดี๋ยวผมจะรีบพาอิมกลับ แต่อิมต้องช่วยผมอย่างนึงก่อน”











รถพยาบาลไปถึงที่บ้านอิมอย่างรวดเร็ว ผมโทรสอบถามตามติดสถานการณ์จากน้องมายด์เป็นระยะก่อนรีบรุดไปยังโรงพยาบาลที่หมาย ด้วยความที่รถติดมาก กว่าจะไปถึงคุณพ่อของอิมก็ถูกย้ายมายังเตียงพักฟื้นแล้ว

“พ่อ” ทันทีที่เปิดประตูร่างโปร่งแทบวิ่งเข้าไปทรุดตัวลงด้านข้างคนป่วย ผู้เป็นบิดานั่งมองบุตรชายจากบนเตียงนิ่งพลางกล่าวเอ็ด

“ส่งเสียงดังเอะอะมะเทิ่งอะไรฮะเจ้าอิม” สภาพที่เคยดูแข็งแรงร่าเริงพอโดนอาการป่วยรุมเร้าเลยเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด อิมมองหน้าพ่อก่อนหันไปสบตามารดาของตนซึ่งอยู่ข้างเตียงอีกฟาก สีหน้าของคนเป็นแม่ซึมเศร้าเจือกลิ่นอายความกังวลเบาๆ “แม่ พ่อเป็นอะไร”

“พ่อเขา...” แม่อ้าปากขยับ

 “จะเป็นอะไรซะอีกล่ะ ก็แค่ขาไม่มีแรงแล้วล้มไปเท่านั้นเอง แต่ละคนก็ทำเป็นเรื่องใหญ่โตไปได้ รถพยาบาลนี่วิ่งมารับในซอยคนมามุงซะจนนึกว่ามีคนตายในบ้าน” ถามแม่แต่คนเป็นพ่อตอบขัด เลยโดนภรรยาบิดเข้าที่แขนไปหนึ่งยก เล่นเอาร้องโอดครวญไม่เป็นภาษา

“ใครบอกว่าไม่เป็นไรล่ะ เมื่อกี้คุณก็ได้ยินผลเอกซเรย์แล้วไม่ใช่เหรอ”

“ผลเอกซเรย์อะไรเหรอครับ” คนเป็นลูกชายมีอาการจับต้นชนปลายไม่ถูก ทุกคนในบ้านพร้อมใจกันเงียบ คนของผมกวาดตามองทั้งสามคนไปโดยรอบ ไม่มีใครยอมปริปากก่อน เหมือนโดนใครบางคนบังคับ อิมหันกลับไปจ้องหน้าบิดาอีกครั้งขมวดคิ้วมุ่น “พ่อ...ผลเอกซเรย์อะไร”

“ไม่มีอะไรหรอกก็แค่เช็กไว้เผื่อเฉยๆ”

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วทำไมไม่ยอมบอกผมล่ะ!”

“หมอเขาบอกว่า พ่อเป็นเส้นเลือดในสมองตีบชั่วขณะน่ะ” คนเป็นแม่พูดแทรกเฉลย ทำลายสภาวะอึดอัดลงพริบตา ผมเห็นมายด์นั่งกอดหมอนอิงแน่น ซุกหน้าลงทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น ส่วนคนของผมมีสีหน้านิ่งงันอย่างฉับพลัน ก่อนหันไปสบตาพ่อ ทิ้งไว้ให้เห็นเพียงแผ่นหลังบาง

นิ้วเรียวยาวของคนเป็นลูกชายจากผ่อนคลายกลับถูกกลืนหายในอุ้งมือ แรงบีบกำแน่นขึ้นทุกขณะ ไม่ต่างกับข้างที่จับขอบเตียงเหล็กแน่น

“เป็นเปินที่ไหนล่ะคุณ ผมบอกแล้วไงว่าแค่หน้ามืดไปเพราะโดนแดดเผาตอนตัดหญ้า หมอก็ว่าไปเรื่อย...”

“เป็นอย่างนี้แล้วยังจะปิดปากเงียบอีกเหรอครับ” เสียงเครือในลำคอทำเอาคนเป็นพ่อหยุดพูดล้อเล่น

“...”

“พ่อจะปิดผมจนมารู้อีกทีตอนที่มาถึงโรงพยาบาลอย่างนี้เหรอ! ผมบอกพ่อแล้วไงว่าให้ดูแลตัวเองน่ะ!” อิมตะโกนจนคนในห้องสะดุ้งกันหมด โชคดีที่เป็นห้องเดี่ยวจึงไม่เป็นการรบกวนผู้อื่น น้ำเสียงเข้มข้นออกแนวตำหนิ แต่หากตั้งใจฟังอีกนิดแววเจือที่สั่นไหวกลับบ่งบอกถึงความทุกข์ทรมานในใจที่ไม่มีทางระบาย ทั้งห่วงทั้งท้อแท้กับคำเตือนที่ไร้ผล

ร่างโปร่งดูโงนเงนไร้ที่พึ่งก้มหน้าลงต่ำสกัดกั้นอารมณ์โมโห ความไม่พอใจต่างๆวิ่งเวียนเข้ามากระทบจนทนที่จะเงียบต่อไปไม่ไหว “รู้มั้ยผมตกใจแค่ไหนตอนได้ยินยัยมายด์บอกว่าพ่อล้ม ในใจผมโคตรกลัว กลัวว่าพ่อจะเป็นอะไรไป อย่าคิดนะว่าผมไม่เห็นผลตรวจร่างกายที่อยู่ในลิ้นชักน่ะ ไขมันในเลือดสูงแล้วทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเอง ถ้าพ่อเป็นอะไรไป...เป็นอะไรไป...”

แว่วสะอื้นดังก้องในห้องสี่เหลี่ยม ผมเห็นเพียงแผ่นหลังที่สั่นเทาของคนตรงหน้า ร่างโปร่งยกแขนขึ้นปาดน้ำตาของตนเองซ้ำไปมาอย่างน่าสงสาร

“อย่างน้อยไม่คิดถึงตัวเอง ก็คิดถึงแม่บ้าง มายด์มันอยากมีพ่อ อยากให้พ่ออยู่กับพวกเราไปนานๆนะ” ไม่มีใครในโลกอยากจะเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปหรอก ถ้าขอได้คงอยากให้หมดอายุขัยไปพร้อมกัน แต่ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ มีเกิด มีแก่ ก็ย่อมต้องมีความตายรออยู่ทุกคน เป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น ขึ้นอยู่กับจะมาเร็วมาช้า ในทุกวันจึงได้แต่ภาวนาว่าให้คนที่เรารักอยู่กับเรา...ไปนานๆ

ดวงตาอีกฝ่ายคงแดงก่ำไม่แพ้พ่อซึ่งเริ่มส่ออาการรื้นคอเบ้า ท่อนแขนที่ปาดน้ำตาทิ้งลงข้างลำตัวดูเปียกชื้นไปหมด มือใหญ่อันหยาบกร้านยื่นมาหวังไขว่คว้าแขนลูกชายตน ทันทีที่ขยับนิ้วราวกับกล่าวเรียก อิมเมจก็เดินเข้าไปใกล้ให้บิดาจับแขนตนเองดึงเข้าหา

“พ่อขอโทษ ไม่น่าทำให้แกร้องไห้ขนาดนี้เลย” นิ้วใหญ่ยกขึ้นปาดขอบตาของลูกชาย

“ไขมันพ่อสูงจนน่าใจหายเลยรู้มั้ย ผมกังวล ผมเป็นห่วง รู้ว่าจุกจิกจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่อง แต่ก็...ก็...”

“ไม่เอา อย่าร้องได้มั้ยเจ้าอิม เหมือนเห็นแกตอนเด็กๆไม่มีผิด ตอนเห็นน้องสาวตัวเองป่วยเป็นอิสุกอิไสไข้ขึ้นจนเข้าโรงพยาบาล อยากจะเยี่ยมก็โดนห้ามเพราะกลัวติดไปกับเขาอีกคน” คนเป็นพ่อยิ้มอุ่นเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตพลางไล่สายตาไปมองลูกสาวคนเล็กซึ่งนั่งกอดหมอนซบหน้าร้องไห้จนแดงก่ำ เมื่อโดนพาดพิงถึงร่างเล็กจึงเงยหน้าขึ้นปาหมอนลงโซฟาเบื้องหลังผุดตัววิ่งไปยังคนเป็นพ่อกอดร่างบนเตียงอย่างแนบแน่น

“พ่อ...พ่อ...”

“พ่อยังไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย พ่อสัญญา พ่อจะดูแลตัวเอง”



...ดีจริงๆที่ไม่มีใครเป็นอะไร...

...เพราะคนเรากว่าจะเห็นคุณค่าของการมีชีวิต ก็ตอนที่เกือบจะเสียมันไป มาถึงตอนนั้นต่อให้พยายามเอื้อมมือคว้าไว้ให้ตายขนาดไหน ก็ไม่อาจย้อนกลับมาแก้ไขได้...



ภาพตรงหน้าทำให้ผมนึกถึงใครบางคน คนที่ผมไม่แม้แต่จะมีโอกาสกล่าวคำลาเป็นครั้งสุดท้าย ผมเปิดประตูปลีกตัวออกมาอย่างเงียบเชียบ อยากให้ครอบครัวของอิมได้ใช้เวลาส่วนตัวกันอย่างเต็มที่โดยปราศจากคนแปลกหน้า

เมื่อประตูงับปิด เงาจากแดดสาดส่องสร้างเส้นสายบางอย่างทอดผ่านเบื้องหน้า ดวงตาเหม่อลอยออกไปไกลสุดสายตา บนพื้นทางเดินอันว่างเปล่าและเย็นเฉียบ ที่นี่ช่างเงียบเชียบและไร้ผู้คน ภาพจำยังคงเวียนวนฉายซ้ำอยู่ในสมอง แวดล้อมดูสงบแต่ใจกลับโหวงเปล่า

มวลอากาศความเงียบเหงาโศกเศร้ายังคงบรรจุอัดแน่นอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เป็นความรู้สึกที่ตามองไม่เห็น แต่ใจกลับสัมผัสได้ ไม่เคยชอบบรรยากาศแบบนี้เลย ไม่ชอบการมาโรงพยาบาลเป็นประจำจนเคยชิน ไม่ชอบกลิ่นอายที่ทำให้หัวใจโหวงหวิวอย่างบอกไม่ถูก

โรงพยาบาลในสายตาของผมคือความเศร้าและการสูญเสีย ผมยกเท้าขยับผ้าใบตน เดินไปตามทางยาวซึ่งมุ่งตรงสู่โถงลิฟต์ ทอดมองแสงแดดยามเย็นส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามา บรรยากาศเหงาๆอันเป็นภาพจำยังคงเดิมเสมอเฉกเช่นทุกครั้ง จวบจนเท้าก้าวออกไปยังกลางโถงอันเงียบสงัดไร้วี่แววของผู้คน

“เกรท”

เสียงเสียงหนึ่งเรียกผมเอาไว้ ใครบางคนวิ่งตามออกมา เหมือนฉุกใจถึงการหายไปของใครอีกคน ผมหันหลังกลับไป เห็นคนของผมยืนอยู่ตรงนั้น เจ้าตัวหอบหายใจแรง ดวงหน้าขาวส่อแววร้อนรน ผมคะเนว่าด้วยระยะทางเท่านี้ไม่อาจทำให้คนของผมเหนื่อยได้ แต่อาจเป็นเพราะตกใจเมื่อไม่เห็นวี่แววของผม

“คุณจะไปไหน”

“ผมว่าจะกลับ...”

กว่าจะรู้ตัวอีกทีแรงเบาๆกระทบตกมายังหัวไหล่ ความอบอุ่นของร่างกายคนนึงถ่ายทอดส่งผ่านมายังอีกคน อิมเมจกระโจนเข้าหาผม สองมือคล้องกอด จับกำผืนเสื้อบนแผ่นหลังไม่ปล่อย ใบหน้าของว่าที่แฟนก้มซบลงมา ลมหายใจปรกตรงลาดไหล่

“อ...อิม”

“อย่าพึ่งกลับเลยนะ” เหมือนกำลังถูกอ้อน หัวใจอ่อนยวบทันทีจากพฤติการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน ตัดสินใจสอดมือเข้าโอบเอวบางกระชับร่างของเราทั้งคู่เข้าหากัน

“ก็ได้ครับ ผมยังไม่กลับก็ได้”









ตรงที่นั่งส่วนจัดสรรให้ญาติผู้ป่วยมีผู้คนบางตา พวกเรานั่งจับจองโซฟาหลังใหญ่ซึ่งพอทิ้งตัวกลับอ่อนนุ่มจนแทบจมหายไปกับเบาะ สองมือของผมยังกำมืออีกข้างหนึ่งของอิมเมจไว้แน่นจวบจนย้ายตัวลงนั่ง

ใบหน้าที่ไม่ทันเห็นชัดเมื่อครู่ยังเหลือรอยแดงจางๆตรงปลายจมูก ขอบตาเหลือคราบน้ำกับอาการบวมเบาๆให้เห็น

“ตาบวมเลย” ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา มันเป็นผ้าเช็ดหน้าผืนเดิมอีกแล้ว ผืนที่อิมเคยให้ ผมมักจะพลาดถูกมันหลอกล่อทุกครั้งยามวางอยู่เหนือสุดของผ้า แรงปรารถนาทำให้ผมหยิบมันขึ้นมาพกติดตัวเสมอ โดยไม่เคยใช้ให้แปดเปื้อนเลยสักนิด

“ขอบคุณนะ”

“...” อิมกระชับมือผมแน่นขึ้นจ้องสบดวงตา

“ถ้าไม่มีคุณ วันนี้ผมคงไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง” ตอนอยู่บนรถร่างโปร่งประคองสติไม่ค่อยอยู่ เมื่อผมกดโทรเรียกรถพยาบาลจึงขอให้เขาช่วยบอกรายละเอียดทุกอย่างของบิดา แจ้งบ้านที่อยู่โดยละเอียด ส่วนอาการได้แต่บอกเล่าตามคำของน้องมายด์ โรงพยาบาลถึงเตรียมการตรวจได้ฉับไวทันทีที่รถพยาบาลมาถึง

“ตอนนั้นผมเอาแต่คิดว่าอยากกลับไปถึงบ้านให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่แค่จะโรงพยาบาลรถยังติดอยู่ตั้งสองชั่วโมงกว่า หมอบอกว่าถ้าพ่อล้มไปเพราะเส้นเลือดในสมองตีบเฉียบพลัน แล้วพามาไม่ทันในสี่ชั่วโมงครึ่งมีโอกาสที่จะพิการ”

“แต่พ่อของอิมยังไม่เป็นไรนะ แค่มีภาวะเสี่ยง” ผมพยายามปลอบ เมื่อเห็นน้ำตาเริ่มมากองที่ขอบตาอีกครั้ง

“เกรท...คุณรู้ได้ไงว่าต้องทำอะไรบ้าง”

“...”

“ผมเห็นคุณพูดกับยัยมายด์ว่าให้ชวนพ่อคุยถ้ายังมีสติอยู่ ถามว่าพ่อพูดชัดมั้ย” อิมตั้งข้อสงสัยในตัวผม ราวกับเจ้าตัวจับสัญญาณอะไรได้บางอย่าง “คุณรู้เรื่อง F.A.S.T. ได้ยังไง”

ถ้าเป็นคนที่ครอบครัวทุกคนสุขภาพปกติ ทุกอย่างสมบูรณ์พร้อมคงไม่มีใครมาใครสนใจศึกษาวิธีสังเกตอาการเบื้องต้นหรอก

“ถ้าผมบอกว่า ผมเคยอยากเป็นหมอล่ะ อิมจะเชื่อมั้ย”

คนของผมนิ่งไปชั่วอึดใจ “นายแพทย์คิรากร...อือ ไม่เหมาะอ่ะ ชื่อเหมือนจะทั้งช่วยและฆ่าคนในคราเดียว” อิมส่ายหัวแบบไม่อยากจินตนาการ ผมยิ้มกับมุกเล็กๆชวนอารมณ์ดีของเขาพลางหลับตานึกถึงวันเวลาเก่าๆ เรื่องราวในอดีตที่พร้อมจะบอกว่าที่คนรัก

“อิมยังจำได้มั้ย ผมเคยบอกว่าโกนหนวดใครคงนึงจนคล่อง” ศีรษะเล็กผงกขึ้นลงเบาๆ

“จำได้สิ พ่อของคุณ”

“ผมโกนให้พ่อ ตอนที่ท่านป่วย”

“ป่วย?”

“เป็นโรคเส้นเลือดในสมองแตกเฉียบพลัน เข้ารักษาในโรงพยาบาลอยู่หลายเดือน” เหมือนคำพูดนี้สะเทือนไปถึงจิตใจอีกฝ่าย อิมนั่งนิ่งมองหน้าผม คราวนี้เป็นเจ้าตัวที่กำมือผมแน่นเข้าจนรู้สึก

“ช่วงนั้นผมพึ่งเรียนอยู่ม.ต้น แม่ผมเป็นดาราโหมงานหนัก ต่างฝ่ายต่างไม่มีเวลาให้กัน ใช้ชีวิตไปวันๆแบบอยู่ง่ายทานง่าย แต่ไม่เคยคิดถึงอันตรายที่ตามมา จนช่วงนึงพ่อเริ่มรู้สึกถึงอาการแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ไปหาหมอให้รักษา เพราะคิดว่าอาการชาที่เกิดขึ้นมาเพราะแค่ร่างกายอ่อนเพลียกับอายุที่มากขึ้น ท่านอดทนอยู่เฉยจนท้ายที่สุดก็ล้มลง ในตอนที่ไม่มีใครอยู่ดูแลเลยสักคน” ฉากเก่าๆผุดขึ้นมาในสมองเป็นตอนที่กว่าหลายคนจะรู้มันก็สายไปเสียแล้ว “พ่อถึงโรงพยาบาลช้าไป เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทันเป็นอัมพาต”

“ต...ตอนนี้ท่านหายรึยัง” เจ้าตัวยื่นใบหน้าเข้ามามองอย่างเป็นห่วงสองมือเกาะกุม ดวงตาสั่นไหวระริกจนน้ำที่คลอหน่วงกำลังจะร่วงหลุด ผมรีบขยับผ้าเช็ดหน้าไปแตะแนบโหนกแก้มขาวนุ่มนวลนั้นไว้

“ท่านเสียไปแล้วครับ” ตอนนี้จิตใจผมสงบ ผมผ่านจุดนั้นมาได้นานแล้ว หากแต่คนฟังกลับนิ่งชะงักค้าง พวงแก้มใสเปรอะเปื้อนคราบน้ำหลั่งริน จนดวงแก้วสีอ่อนพร่าเบลอ

“อิม” ผมตกใจกับท่าที่ซึ่งเกิดกะทันหัน คว้าไหล่ดึงตัวเขาเข้าใกล้ ใช้นิ้วปาดผสมร่วมกับผ้าผืนนุ่มซับหยาดหยดน้ำตาที่ร่วงลงมาไม่หยุด “อิมร้องไห้ทำไมครับ”

“ผมขอโทษ”

“อิมขอโทษทำไม”

“ขอโทษที่ถามอะไรไม่คิด”

“ไม่มีใครผิดหรอกครับเรื่องนี้ มันผ่านไปนานมากแล้ว” ผมดึงตัวเขาเข้ามากอด กดศีรษะลาดไหล่ ให้แนบซับน้ำตาที่ไหลลงมา “ไม่ใช่เพราะโรคที่พรากเขาจากไป พ่อผมตรอมใจเพราะอ่อนแอ เขามักโทษตัวเองเสมอที่จู่ๆจากคนที่เคยทำอะไรได้กลับกลายต้องพึ่งพาคนอื่น ทำให้ใครต่อใครเดือดร้อนมาช่วยเหลือ”

“แต่พ่ออิมไม่ใช่นะครับ คุณลุงเป็นคนเข้มแข็งมาก” ถอนตัวคนขี้แยออกมาประคองใบหน้า ปาดน้ำตาออกจากพวงแก้มสองข้าง “แค่เห็นน้ำตาลูกชายคนนี้ เห็นความรักที่มีให้ต่อพ่อคนนี้ คุณลุงต้องยอมใจหันมาดูแลสุขภาพเพื่อลูกชายและครอบครัวของเขา...อย่างแน่นอนครับ”

“เกรท...” เสียงอิมแหบพร่ากระทั่งผมยังแอบจนใจ

“อย่าร้องไห้เลยนะครับ คนดี” ผมหอมไปที่กระหม่อมของเขาด้วยความรู้สึกรัก คนที่ร้องไห้เพื่อครอบครัวคนอื่นได้มากขนาดนี้ คงไม่มีที่ไหนอีกแล้ว



“ผมรักคุณนะ เกรท”



แว่วเสียงประโยคสุดท้าย...ที่ซึมลึก...ทุกอย่างตราตรึงสลักลงในจิตใจ...



…TBC…

++++++++++++++++++++++++


หายไปเกินอาทิตย์ โฮกกกกก ขออภัยค่า

อ่านตอนนี้แล้วอยากให้ทุกคนดูแลรักษาสุขภาพ
ไม่ว่าจะของตนเองหรือคนในครอบครัว
โรคภัยไข้เจ็บบนโลกนี้มีเยอะมาก
ถ้าอยากตนเองและคนที่เรารักอยู่กับเราไปนานๆ หันมาทำสาม อ. ให้ดีกันเถอะค่ะ
อาหาร อารมณ์ และออกกำลังกาย
สู้ๆไปด้วยกันนะคะ

ส่วนความหวานนั้นเติมได้จากเรื่องนี้(มาเติมให้แล้วน้า)
ไม่มีดราม่าใดใดเลยจริงๆสาบาน...(เหรอออ)

ยังเห็นคอมเมนต์ก็อุ่นใจ ถึงแม้ตอนนี้จะอากาศหนาวจนไม่อยากอาบน้ำแล้วก็ตาม

เขียนต่อไป ตามความฝันค่า
ขอบคุณนะคะนักอ่านทุกคน... :pig4:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : เจ็ด(ครั้งที่สอง)...และเราทั้งสองก็ใจตรงกัน P.5 [5/12/19]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 05-12-2019 21:39:11
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : เจ็ด(ครั้งที่สอง)...และเราทั้งสองก็ใจตรงกัน P.5 [5/12/19]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-12-2019 22:01:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 80% (จบ)[21/12
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 21-12-2019 23:56:01
รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง ก็เริ่มก้าวใหม่ได้(จบ) 80%



“มึงกลับไปคบกับพี่อิมแล้วเหรอวะ”



ผมช้อนตามองคนถามขณะที่ก้มหน้าตั้งตากินราดหน้าอยู่ตรงโต๊ะยาวกลางโรงอาหาร

ไม่แปลกใจเลย ช่วงหลายวันให้หลังมาโดนคำถามแบบนี้มาเป็นร้อยร้อยครั้ง แต่จากคนแวดล้อมซึ่งถือคติเรื่องชาวบ้านคืองานของเรา หากวันนี้กลับเป็นไอ้นัทเพื่อนซี้ผมที่มันทำราวกับคนรู้ดีเลยไม่ใส่ใจใยดีอะไรจนกระทั่งถึงตอนนี้

“ทำไมพึ่งถามวะ” ดูดเส้นใหญ่เข้าปากพรวดเดียวเลยเคี้ยวหมุบหมับถาม เพื่อนสองคนมันมองหน้ากันเหมือนมีความนัย ก่อนไอ้ไลค์จะยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่มให้โล่งคออึกนึงพร้อมเฉลย

“ก็ไม่แน่ใจไง วันก่อนพี่ใยไหมยังทักมึงอยู่เลย”

“ก็ทักธรรมดาเปล่าวะ”

“แต่หน้าพี่เขา กูดูยังไงก็ไม่ธรรมดาว่ะ ดูยังไงก็ยังคิดอะไรอยู่กับมึงชัวร์” ไอ้นัทสันนิษฐาน ไอ้ไลค์เห็นด้วยเลยพยักหน้าหงึกหงักตามจนหัวแทบหลุด ผมเลยวางช้อนลงอารมณ์ชักหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

“เชี่ยพวกมึงพูดให้มันดีดีหน่อย พี่ใยไหมเขาคบกับพี่พาสอยู่ แล้วเขาจะมายุ่งกับกูเพื่อ”

“แต่เขาเคยเลิกกันแล้ว”

“แล้วตอนที่เลิกเขาก็มาบอกชอบมึง”

“...” เป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ



วันที่มีละครเวทีหลังจากโดนอิมบอกเลิก คนที่อยู่กับผมตอนนั้นคือพี่ใยไหม เธอคอยเดินตามผมที่สติล่องลอยออกมาอยู่ห่างๆ จนกระทั่งผมสังเกตเห็น

‘พี่ตามผมมาทำไม’ ผมถามขึ้น

เธอมีภาวะอ้ำอึ้งหลุบสายตาลง ดวงหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางถูกลบเลือนไปบางส่วนตามเหงื่อซึ่งผุดพราย นี่คงเป็นหลักฐานจากการวิ่งตามคนที่หนีการโค้งขอบคุณผู้ชมลงจากเวทีมาอย่างผม หากเป็นเมื่อก่อนผมยังคงมองว่ามันงดงามน่าหลงใหล แต่ตอนนี้ภายในใจกลับไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด ในหัวผมคิดถึงแต่ดวงหน้าขาวและรอยยิ้มที่ดูกับราวฝืดเฝือนยกขึ้นประดับใบหน้าซึ่งแต่ไหนแต่ไรมามักจะทำให้ผมยิ้มได้เสมอเมื่อครู่ มันดูไม่เหมาะกับอิมเลยสักนิด กระบอกตาผมเริ่มร้อนขึ้นมาอีกครั้ง ผมเดาเหตุผลที่อีกฝ่ายตามมาพลางพูดปัด

‘ถ้าเรื่องลงจากเวทีกะทันหัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะขอโทษพวกพี่ๆเขาเอง พี่ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนว่าหรอก’ ต้องหยุดเท้าเมื่อแขนเสื้อเหมือนมีบางอย่างรั้งไว้ ผมหมุนตัวหันไปมองยังต้นเรื่องคนกระทำ ร่างบอบบางในชุดสตรีสูงศักดิ์เข้ามาประชิดใกล้หนีบแขนเสื้อผมไว้แน่น ใบหน้าอิ่มดูเว้าวอนร้องขอ

‘เกรท ไม่เป็นไรใช่มั้ย’ ทันทีที่ได้ยินผมเผลอหัวเราะขึ้นจมูกราวกับเยาะเย้ยในชะตาชีวิตตนเอง

‘ไม่เป็นไรได้ไงล่ะ ผมเพิ่งโดนบอกเลิกนะ’

‘ไหมขอโทษ’ แปลกใจที่ไม่แทนตัวเองว่าพี่ กลับแทนตนเองด้วยชื่อเล่น ราวกับลดอายุมาเสมอผม

‘พี่จะขอโทษผมเรื่องอะไรล่ะ’

‘ก็เรื่องที่...!’ เหมือนเงยหน้าขึ้นก่อนชะงักไป สายตาก้มลงมองพื้นอย่างเก่า ‘เรื่องที่ทำแบบนั้นบนเวที’

‘แล้วพี่ทำไปเพื่ออะไร’

‘...’ ผมไล่ต้อนอีกฝ่าย รู้สึกทนไม่ได้ จนอย่างจะเอาอารมณ์ทั้งหมดมาใส่คนคนนี้ที่ทำให้ทุกอย่างดูแย่จนไม่เหลือชิ้นดี ผมไม่ใช่พ่อพระ หากบอกไม่คิดแค้นโทษโกรธอะไรคนตรงหน้าคงเป็นการโกหก

‘พี่บอกผมมาสิพี่ทำไปเพื่ออะไร’ ทำไมต้องทำให้เราสองคนเลิกกันด้วย

‘ไหม...ไหมชอบเกรท’





“ตอนนั้นกูวิ่งตามไปติดๆ ได้ยินเต็มสองรูหูเลย” วันนั้นไอ้นัทที่ไปดูด้วยเห็นท่าไม่ดีมันเลยวิ่งตามมาดูอยู่ห่างๆ

“กูยังคิดว่า มึงสมหวังแล้ว...ซะอีก” ส่วนไอ้ไลค์ก็ตามมาเป็นเพื่อนไอ้นัท

“สมหวังบ้าอะไรล่ะ มึงก็รู้ว่ากูชอบอิม”

“นั่งด้วยคนได้มั้ย”

“...!!!”

ใจผมแทบหยุดเต้น ทั้งสามคนหมุนหัวไปทางต้นเสียงหมด จ้องร่างโปร่งผู้มาใหม่ไม่วางตา ทันทีที่เห็นก้อนเนื้อด้านอกทางซ้ายผมเต้นระรัวหนักกว่าเก่า

“อ...อิม”

“อ้าวพี่อิม ทำไมวันนี้มาคนเดียวล่ะ” ไอ้ไลค์เหมือนตั้งสติได้คนแรกกล่าวทัก สองมืออิมถือชามก๋วยเตี๋ยวหน้าดูบิดเบี้ยวพิลึก ปากเจ้าตัวขมุบขมิบพึมพำออกมาเบาๆผมอ่านออกมาเป็นประโยคได้ว่า ‘ทนไม่ไหวแล้ว’

ฮะ?

จบคำจึงพรวดพราดเข้ามาตรงเก้าอี้ด้านข้างตัวผม แขนอิมสัมผัสโดนตัวเบาๆอย่างอีกฝ่ายไม่นึกรู้ ความอบอุ่นมาแทรกแทนที่ลมเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศในโรงปิด ผมจ้องใบหน้าด้านข้างของรุ่นพี่ โครงร่างที่ดูไม่อ่อนช้อยงดงามเหมือนผู้หญิง แต่แฝงแววละมุนน่าหลงใหล ผิวออกไปทางขาวใสไม่ซีดเซียว ปลายผมสีดำแกมน้ำตาลที่ระต้นคอนวลเนียน จมูกโด่งเชิดรั้น ริมฝีปากชมพูอ่อน กับดวงตาสีอ่อนคมสวย...

“จ้องอะไรน่ะ”

เฮ้ย...อ...อิมหันมาตั้งแต่เมื่อไรวะ...

“อ...เออ...คือ” ผมอ้ำอึ้งคลำทางไปไม่ถูก เป็นครั้งแรกที่เผลอพลาดมองคนรักอยู่นานจนเขารู้ตัว

“ไอ้เชี่ยเกรท น้ำลายหกแล้ว” ยกมือขึ้นปาดขอบปากทันควันแต่ไม่มีสักหยด ก่อนเพื่อนสองคนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“เออๆ พวกกูเข้าใจแล้วว่าชอบจริง” ไอ้นัทว่า อิมหันไปมองตามคนพูด เชี่ยไอ้เพื่อนเวรเดี๋ยวก็รู้ตัวกันพอดี

“พูดเรื่องอะไรกันน่ะ”

“อิมไม่ต้องรู้แหละดีแล้ว” ผมยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นจะเช็ดให้คนมือเปื้อนน้ำก๋วยเตี๋ยว แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจคว้ามืออิมมาเช็ดกับกางเกงนักศึกษาตัวเอง

“เฮ้ย เกรททำอะไร” อิมกดเสียงมองดูการกระทำผมอย่างงุนงง

“ก็มืออิมเลอะ” วันนี้เผลอเอาผ้าเช็ดหน้าอิมมาอีกแล้ว ลืมไปว่ากลัวเลอะ เลยจับข้อมือเล็กมาเช็ดลงต้นขาแทน

“เลอะก็ไม่เห็นจำเป็นต้อง...!” อิมกระตุกมือออกทันที หน้าแดงเถือกเหมือนโดนของร้อน เมื่อกี้แกล้งหยอกแบบทะลึ่งตึงตังดึงข้อมือเล็กไปแตะโดนเบาๆยังส่วนนั้น จนคนโดนกระทำไม่กล้าพูดต่อชักแขนกลับเอามือไปซ่อน ทำท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ผมเหมือนคาดโทษ ผมยิ้มหยอก เรื่องแบบนี้มาถึงตอนนี้แทบจะไม่ต้องสมควรอายกันแล้ว “ไอ้ดาวกับฟ่างมันกินใต้ตึก ส่วนไอ้เบสมันติดวิชาโท ผมเลยมาคนเดียว”

“ทุกวันศุกร์เหรอ”

“เออ” ตอบแบบเสียงยังมีเหวี่ยงอยู่นิดๆ

“งั้นทุกวันศุกร์ก็มากินกับพวกผมสิ” ไอ้นัทมันเสนอ ผมได้แต่อุทานว่ากู๊ดจ๊อบมายเฟรนในใจ อิมยังสะบัดข้อมือไปมา ในที่สุดผมก็เข้าใจเมื่อกี้คงถือชามแล้วร้อนจนลวกมือเลยต้องพรวดพราดวิ่งเข้ามานั่งข้างผม

“นั่นสิ มานั่งกินกับพวกผมก็ได้นะ” ผมดันแก้วพลาสติกใส่น้ำหวานไปด้านหน้าเขา อิมขยับมือขึ้นมาจับไอน้ำเย็นเกาะข้างแก้วคลายความแสบร้อน ก่อนยกน้ำขึ้นดูดอย่างเป็นธรรมชาติ ผมสังเกตที่นิ้วเขา

...ยังไม่ยอมใส่อีกเหรอ...

“ถ้าขยันมานะ บางครั้งขี้เกียจ” เรื่องอาหารการกินของคนนี้ทานง่ายอยู่ง่ายอยู่แล้ว บางครั้งอิมเลยมักจะนั่งใต้ตึกทานขนมปังง่ายๆไม่ออกมาทานอาหารไกลถึงที่นี่

“ขี้เกียจมาเจอหน้าไอ้เกรทมันเหรอครับ พูดอย่างนี้มันเสียใจแย่” อิมสูดก๋วยเตี๋ยวได้หนึ่งคำเสร็จเหลือบตามามองหน้าผม

“ใช่” ชัดเจนตรงๆแบบไม่ถนอมน้ำใจคนฟังเลยสักนิด แต่ผมเดาทางได้อยู่แล้วเลยไม่ต่อความ รอจนเขาพูดจบ “ก็เจอหน้ากันทุกวันอยู่แล้ว” ใครไม่รู้อาจจะคิดว่าผมแค่ไปรับไปส่งอิมตอนเลิกเรียน แต่ความจริงทุกวันเป็นผมไม่ก็เขาที่ไปค้างหอหรือบ้านของกันและกันเป็นประจำ

“ทำไมกูฟังแล้วเหมือนคู่สามีภรรยาที่หมดโปรแล้วเลยวะ” ไอ้ไลค์มันทำท่ากระซิบใส่ให้ผมได้ยินคนเดียว หึ ใครจะรู้ว่าความสัมพันธ์ของเราก้าวมาไกลกว่านั้นแล้ว ผมสบตาเจออิมหันมามองพอดี

“กินมั้ย” เจ้าตัวยกตะเกียบขึ้นโชว์เส้น ป้าเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวมักเห็นอิมผอมกว่ามาตรฐานเลยจัดให้ชามใหญ่ ผมเลื่อนชามคนเสนอมาตอบสนองโดยใช้ตะเกียบคู่เดียวกับเขาหนีบลูกชิ้นไปให้อีกฝ่าย

“อิมกินเนื้อไป เดี๋ยวผมกินเส้นให้” แล้วเจ้าตัวก็อ้าปากรับอย่างว่าง่าย ริมฝีปากสีชมพูสวยเปิดกว้างขึ้นมองเพลินตา ผมกลับมาตั้งหน่าตั้งตาดูดเส้นขึ้น หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็โพล่งคำถามหนึ่งออกมาทำเอาเส้นแทบไหลไปติดหลอดลม

“ใยไหมเคยบอกว่าชอบคุณเหรอ” ผมสำลักค่อกแค่กยกหลังมือขึ้นปาดน้ำซุปบนริมฝีปาก เบิกตาโพลงมองหน้าเจ้าของคำถามชวนขนพองสยองเกล้า เจ้าตัวเผยรอยยิ้มเย็นใส่ผม “ใจตรงกันแล้วนี่หนา”

“อิม” ความรู้สึกเผยบนสีหน้า รู้ได้ทันทีว่าโดนแกล้ง ถึงจะบอกว่าหยอกเล่นก็ทำเอาใจเสียได้ไม่ใช่น้อย แต่เจ้าตัวกลับไม่สนหยิบแก้วขึ้นมาดูดน้ำหวานต่อจนหมดแล้ว

“เดี๋ยวผมไปซื้อน้ำหวานเพิ่ม คุณจะเอาอะไรมั้ย” ผมนิ่ง อิมเลยไม่รอให้ผมตอบเดินถือแก้วพลาสติกออกไปทิ้ง ไอ้นัทไอ้ไลค์ถึงกับทำหน้าเหวอ

“เรื่องนี้พวกกูไม่เกี่ยวนะ”

“ใช่ๆ ไม่เกี่ยว”

เกี่ยวเต็มประตูเลยล่ะพวกมึง!!









ถึงคราวกลับบ้านผมมารออิมตรงที่เดิม ม้านั่งใต้อาคารเรียนรวม ดูมือถือฆ่าเวลาพลางเงยมองอยู่เสมอเผื่อเจอว่าอิมลงมา สายตาผมปะกับร่างๆหนึ่งซึ่งปกติหากเลี่ยงได้ก็จะทำเป็นหมางเมินแกล้งไม่เห็น หากคราวนี้กลับเกิดเหตุสุดวิสัยเมื่อสองสายตาสบกัน รองเท้าส้นสูงของเธอพลันสะดุดกับร่องหินขัดที่ไม่เรียบจนข้าวของในอ้อมกอดร่วงกระจายหล่นเต็มพื้น

คนแวดล้อมสะดุ้งหันตัวมอง แต่ไม่มีใครรุดไปช่วย พอรู้เหตุการณ์ต่างหันกลับเหมือนไม่เกิดอะไร แม้แต่พวกผู้ชายที่เคยเข้าหาต่างแสร้งนิ่งไม่สนใจ

อาจเพราะช่วงหลังมานี้ข่าวลือเรื่องที่ฝ่ายหญิงมีตัวจริงอยู่คณะนิเทศ แถมดุขี้หวงอย่างกับหมากระจายไปทั่วแล้วล่ะมั้ง มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวเรียบง่ายตามสิ่งแวดล้อม เลยเข้าทำนองที่ว่าอย่าหาเหาใส่หัวจะดีกว่า สิ่งของกระจายตามพื้นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลิ้งไปทุกทิศเก็บเท่าไรก็ไม่หมด ความรู้สึกเห็นใจจึงบังเกิด

ผมขยับลุกก้าวเข้าไปใกล้ ก้มหยิบกองปากกาที่ปลายเท้ากางนิ้วรวบทั้งหมดมาทีเดียว นั่งย่อตัวยื่นส่งให้

“นี่ครับ” เธอชะงักไปเสี้ยววิ พวกเราสบตากัน ก่อนมืออันบอบบางจะยื่นมาจับ และราวกับเกิดเหตุสุดวิสัย ร่างที่นั่งยองบนส้นสูงเกิดอาการเซจนต้องประคองตัวเธอไว้แน่น คนหนึ่งคุกเข่าลงพื้นยื่นตัวเข้ารับ ส่วนอีกคนกลับซบหน้าเข้ากับอก มวลอากาศแวดล้อมราวกับหยุดนิ่งชั่วขณะ อยากจะผละออกแต่กลัวอีกฝ่ายจะหน้าคว่ำซ้ำเติมอีกรอบจนต้องเป็นธุระพาไปส่งห้องพยาบาล ลำบากไปอีกหนึ่งยกเลยรอให้การทรงตัวของเธอกลับมาประคองเธอให้ลุกขึ้น ก่อนจัดการรวบเก็บทุกอย่างที่อยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว

“นี่ครับ” อยากให้เธอรับไปเร็วๆจะได้จบ แต่ ‘พี่ใยไหม’ กลับช้อนตามองกอดกระเป๋าตนเองไว้แน่น ท่าทางกล้าๆกลัวๆขยับมารับเอกสารและกล่องดินสอจากผม เหมือนจงใจสัมผัสนิ้วมือเล็กเกี่ยวนิ้วของผมไว้จนเป็นทางนี้ที่ต้องรีบดึงออก

“ขอบใจนะ เกรท”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมหันหลังตั้งใจกลับไปนั่งที่เดิม แต่ใครจะคิดคนเดิมกับที่เคยช่วยเหลือกลับหนีบแขนเสื้อผมไว้จนเดินต่อไปไม่ได้ “พี่ใยไหม?” ผมหันไปมองด้วยความกังขา

“เกรทยังโกรธไหมอยู่เหรอ”

“ผมไม่ได้โกรธ” แปลกใจที่เธอถามอย่างนี้



‘ไหม...ไหมชอบเกรท’ พลันประโยคนี้แล่นเข้าสมอง แทนที่ผมจะดีใจผมกลับเฉยชา ถ้าชอบแล้วจะมายัดเยียดความรู้สึกให้กันอย่างนี้ นี่ไม่เรียกว่าหวังดีกับคนที่ชอบเลยสักนิด

‘…’ ประหลาดใจกับตนเองที่ผุดความคิดแบบนี้ขึ้นสมอง ทุกอย่างมันฟ้องว่าผมชอบอิม ผมกำลังเสียใจกับการกระทำของคนตรงหน้า การกระทำที่ทำให้ผมเสียอิมไป

‘เกรทชอบไหมมั้ย’ ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสามเดือนก่อนผมคงตอบรับว่า ‘อืม’ ทันทีแบบไม่ต้องคิดให้เสียเวลา แต่ตอนนี้มันเจ็บปวดและแสนชาในใจจนอยากจะย้อนกลับไปยังก่อนหน้า ผมสาบานว่าจะไม่มีวันรับเล่นละครเวทีเรื่องนี้เลย ความจริงบทที่ผมยืนอยู่ควรเป็นของพี่พาส เจ้าชายแห่งวงการละครเวที แต่มีเหตุที่ทั้งสองคนทะเลาะกันจนเลิกรา เจ้าชายคนนั้นเลยยอมสละจากบัลลังก์ที่เคยอยู่

‘ไม่ครับ’ ผมตอบเสียงชัดเจนและดังพอ มือของเธอสั่นเบาน้ำตาคลอหน่วงราวกับเจอเรื่องสะเทือนใจ

‘แล้วที่ผ่านๆมา’

‘ที่ผ่านมาผมทำอะไร’

ไม่เคยก้าวก่ายกันนับจากวินาทีที่รู้ว่าต่างฝ่ายต่างมีเจ้าของ พร้อมกับสายใยบางๆผ่านโซเซียลที่ผมหยุดไว้ไม่กดไลค์หรือทำอะไรให้เป็นข่าวลือเสียๆหายๆกระทบระหว่างคู่ผมกับอิมอีก ยกเว้นแต่เธอที่พยายามทิ้งร่องรอยลงทุกอย่างทุกโพสต์ที่ผมแชร์

‘ผมยังอยากให้เราเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ดีต่อกันอยู่นะครับ’ ผมแกะมือเธอออก รักษาสัญญากับรอยยิ้มการค้าทุกครั้งที่เจอหน้า เรื่องราวของผมกับพี่ใยไหมควรจบลงเท่านั้น แต่มันพลาดตรงที่ผู้คนพยายามขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีต เดากันส่งเดชคุยกันสนุกปากกับภาพที่เธอจงใจแท็กผมโดยเอาคำว่ารุ่นน้องมาบังหน้า โดยที่ผมคิดว่าคงไม่เป็นไรแต่ใครบางคนกลับแอบดูอยู่ตลอด คนๆนั้นที่เคยเป็นของผม พอหลังจากรับรู้วันนั้นผมก็อันเฟรนด์เธอ

...สถานะเราเลยคงอยู่มา ณ ปัจจุบัน...





“ดีแล้วล่ะ” เธอยิ้มน้อยๆมองต่ำ จังหวะที่ผมอยากหมดธุระจะกระตุกแขนให้หลุดจากนิ้วเล็ก เสียงบางอย่างกลับดังลั่นขึ้นด้านข้าง มันดังมาจากลานเปิดใจ

“น้องอิมเมจครับ!!” ชื่อที่โคตรจะคุ้นหูดึงให้ผมหันศีรษะไปทางต้นเสียงไม่รั้งรอ อิมที่ก้าวอย่างเร่งรีบราวกับจะพุ่งตัวมาทิศนี้โดนขวางด้วยร่างที่สูงกว่าเขา เจ้าตัวสบตากับผมที่มองไป มันเป็นหลักฐานชิ้นดีว่าอิมมองมาทางนี้ตลอด แต่กลับถูกร่างสูงใหญ่ขัดขวางจนต้องหยุดขา สะดุ้งตกใจมองหน้าคนจู่โจม

“ค...ครับ” ร่างโปร่งมีแววตื่นผิดปกติ เหมือนสติไปตกอยู่ที่ใดไม่ทันได้ย้อนกลับมา สายตาเบนไปทางคนทักซึ่งยืนประจันหน้าอยู่

“น้องยังไม่มีแฟนใช่มั้ย”

“เอ๋?”

“ถ้ายังไม่มีใครช่วยมาคบกับพี่หน่อยได้มั้ย พี่ชอบน้องครับ!”

เหี้ย!

คนแวดล้อมแทบสะดุ้ง ส่วนผมเหมือนเดจาวูเห็นภาพตัวเองในอดีตซ้อนทับกับฉากตรงหน้า นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ! ผมขยับตัวจะรีบรุดไปหา แต่ทว่าแขนกลับถูกจับไว้มั่น

“พี่ใยไหม ปล่อยผม” น้ำตาที่คลอหน่วงไม่ได้ช่วยให้รู้สึกสงสารหรือเห็นใจไปมากกว่านี้เลย

“เกรท...”

“แค่ครั้งนึงก็พอแล้ว”

“...”

“อย่าทำให้ผมต้องเกลียดพี่เลยนะ” ผมสะบัดแขนวิ่งตรงไปยังเป้าหมาย มองไม่เห็นอิมเพราะโดนแผ่นหลังรุ่นพี่ตัวเขื่องบังไว้ เลยสูดหายใจตะโกนออกไปเสียงดัง

“อิม!!”

อิมอยู่ไหน ไม่มีสัญญาณตอบรับ ไอ้ด้านหน้าก็บังเสียเหลือเกินจึงตะโกนออกไปอีกรอบ “อิม!!” ใบหน้าขาวเอนตัวโผล่ออกมาจากฉากมนุษย์ อิมเบิกตาโตมองผมอย่างประหลาดใจ

“เกรท...?”

“ผมรักอิม!”

“...”

“ผมรักพี่อิมเมจ!”

“...”

“ผมรักพี่อิมเมจครับ!”

“...”

“รัก...อิมเมจ!”

“...”

“อย่ารักใครไปมากกว่านี้เลยนะครับ!” คราวนี้ถึงวาระที่คนใต้ตึกจะมองเราเป็นตาเดียว อยากประกาศให้โลกรู้ ไม่อยากให้ใครมายุ่งอีก ร่างโปร่งรีบหลบจากคนตรงหน้าพุ่งตัวมาอุดปากผมไว้

“พูดบ้าอะไรเนี่ย” เสียงปรามกระซิบดุใส่ หน้าตาตื่นๆดูหวั่นๆ แต่น่ามองทุกครั้งทุกอิริยาบถ

“น้องอิม” เสียงไอ้รุ่นพี่บ้าคนนั้น ยังมีหน้ามากล้าเรียกอีกเหรอวะ ผมตะโกนขนาดนี้แล้ว

“พี่ครับขอโทษด้วย”

“...!” ผมสะดุ้ง อิมตะโกนกลับ คนของผมยังหันไปตอบคำให้รู้สึกขึ้นกันไปอีกเหรอเนี่ย

“ผมมีแฟนแล้วครับ”

“...”

“กลับเถอะเกรท”



ในที่สุดอิมก็จูงข้อมือผมออกไป ทิ้งไว้แต่เพียงพี่ใยไหมกับรุ่นพี่ชายไทยที่แสนร้อนแรงให้ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น




มีต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 80% (จบ)[21/12
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 21-12-2019 23:56:47
<Nuttipat
@Greatเทศ ไอ้เหี้ย ร้อนแรงนะมึง

<Likeme
คลิปแม่งส่งมาถึงกูเลย



<Greatเทศ
อิมต้องโกรธกูแน่เลยว่ะ
ตั้งแต่ขับรถมานี่นั่งเงียบไม่หือไม่อือกับกูเลย



ผมเหลือบมองคนข้างๆเป็นระยะแบบไม่สู้ดี เมื่อครู่เดินถึงรถไม่พูดพล่ำทำเพลงมุดเข้าฝั่งคนขับแล้วแปลงร่างเป็นสารถีบึ่งเจ้ามินิคันนี้ออกมาทันที

“อิม” ผมเรียก

“อะไร ผมขับรถอยู่” อิมตอบเสียงนิ่ง

เชี่ย...โกรธจริงๆด้วย อนาคตผมไม่เหลือแล้ว ผมปิดปากยอมทำตัวสงบเสงี่ยมไม่วอแวอีกฝ่าย จนกระทั่งมาจอดใต้หอ ทุกอย่างยังตกอยู่ในความเงียบ วันนี้เรียกได้ว่ากลับเร็วเพราะท้องฟ้ายังสว่างแสงสาดส่องเข้ามาในตัวรถ หวังว่าเจ้าตัวคงไม่พรวดพราดวิ่งไปป้ายรถเมล์ให้ผมวิ่งตามเหมือนคราวที่แล้วอีกนะ  แค่คิดก็แอบกลัวนิดๆเลยรีบกระโดดอ้อมหน้ารถไปขวางประตูไว้ หน้าต่างด้านคนขับถูกเลื่อนลง เจ้าตัวไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าผม

“ทำอะไรของคุณน่ะ”

“จะไม่วิ่งไปป้ายรถเมล์อีกเหรอครับ”

“พูดอะไรบ้าๆ หลบๆผมจะลง” มืออิมดันผมให้หลบ เปิดประตูเดินดุ่มเข้าตึกไปแบบไม่รอ

พอถึงห้องเจ้าตัวหายวับเข้าห้องน้ำ ปิดประตูเงียบ หายไปอยู่นานจนผมเริ่มใจเสีย เดินไปแนบหูเคาะประตูเรียก

“อิม”

ไม่ยอมแพ้ ผมเคาะอีกครั้งจนกระทั่งประตูห้องน้ำเปิดออก “เฮ้ย!!”

เผลออุทานตกใจเพราะใบหน้าของอีกฝ่ายเปียกปอนราวกับลูกแมวตกน้ำ อิมยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดหน้าผมเลยรีบห้าม

“เดี๋ยวๆ” วิ่งไปคว้าผ้าเช็ดหน้าประจำตัวของเขามากางออกคลุมหัว ฉวยปลายมาซับตรงแก้มนวลสีเรื่อเบาๆ “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมเปียกอย่างนี้”

“...” เจ้าตัวไม่ตอบแถมยังก้มหน้าหนักขึ้นอีกเท่าตัว ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย ไม่อยากเงียบ ผมจูงอีกฝ่ายมานั่งโซฟา นึกไปถึงวันที่ไปหาพ่ออิมที่โรงพยาบาลในวันนี้เป็นครั้งแรกที่อิมบอกกับผมว่า...



‘ผมรักคุณนะ เกรท’

เหมือนฝัน คำที่ผมรอคอยมาตลอด ต่อให้ทุกอย่างของอิมมันชัดเจนในการกระทำ แต่ผมก็ยังอยากได้ยินคำยืนยันนี้

คนที่โดนบอกเลิกมาทีนึง คงไม่มีความภูมิใจคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขารัก เขาชอบเราอย่างเต็มเปี่ยมได้หรอก มันเป็นวินาทีที่ผมอึ้ง อยากจะเอื้อมมือไปกระชับถามย้ำกับคนข้างหน้า

‘อิม’ แต่ปรากฏว่าพี่เบสกลับโผล่มาเสียก่อน ผมมองคนที่ลุกไปตามคำเรียกขาน เพื่อนสนิทของเขาบอกเล่าที่มาว่ามายด์โทรหาตอนที่พี่ชายเธอไม่รับสาย น้ำตาร่างโปร่งคลอหน่วงเหมือนพาลจะไหลลงมาอีกรอบ ก่อนที่คนนั้นจะขยับผมก็ยืนผ้าเช็ดหน้าผืนสำคัญไปให้อิมแล้ว เจ้าตัวมีท่าทีแปลกใจก่อนดันมือผมกลับปฏิเสธว่าไม่เป็นไร ผ้าสีขาวผืนน้อยคุ้นตาโผล่มาแทนที อิมล้วงมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง ซึ่งผมจำมันได้ดีว่าเป็นของ...

แผ่นหลังของอิมห่างออกไปเรื่อยๆ หลังโดนคะยั้นคะยอจากคนนั้นว่าจะไปเยี่ยมคุณพ่อ

‘อิม!’ ผมตัดสินใจก้าวเท้าตามไปคว้าไหล่

‘เกรท คุณ...’ สีหน้าอีกฝ่ายปะปนด้วยอารมณ์หลากหลายจนแยกไม่ออก

‘ให้ตายยังไงผมก็ไม่มีทางลืมคำพูดเมื่อกี้หรอกนะครับ!’

‘ไม่มีทางลืมแน่’ ผมยัดเยียดผ้าเช็ดหน้าลายตารางเทาดำของที่ระลึกในวันแรกที่เราพบกันให้ ในนั้นแอบซ่อนบางสิ่งบางอย่างไว้ บางสิ่งบางอย่างที่ผมอยากให้มาอยู่บนนิ้วเรียวยาวนั้น



“ทำไมไม่ใส่ล่ะครับ” ผมหลุดสิ่งที่ค้างคาในใจออกไป ก่อนรู้สึกผิดที่ถาม เพราะในใจไม่อยากเร่งรัด อิมเงยมองหน้าผมเหมือนงุนงง จังหวะนั้นผมผงะที่เห็นแก้มใสแดงเถือกทั้งใบหน้า เหมือนจะรู้ตัวเลยก้มลงมองพื้นอย่างเดิม เบี่ยงตัวเดินเลี่ยงไปยังโซฟาโดยไม่ทันห้ามปราม

ผมทรุดตัวลงข้างกายเขา จับจ้องใบหน้าซึ่งถูกซ่อนอยู่ใต้ผ้า ไม่กล้าเอ่ยปาก แต่หากไม่ถามก็จะไม่รู้ไปเรื่อยๆ

“โกรธผมเหรอครับ” เจ้าตัวยันเท้ากับเบาะโซฟายกขึ้นกอดเข่าขดตัวเป็นก้อนกลม ท่าทีเหมือนเด็กตัวน้อยๆ

“คุณทำอย่างนั้นได้ยังไง”

“อิม...ผมไม่ได้คิดอะไร”

“ถ้าไม่คิดอะไรทำไมไม่คิดถึงหน้าผมบ้าง”

“ที่ผมไม่คิดอะไร ก็หมายความว่าผมไม่เคยรู้สึกชอบพี่ใยไหมแล้วไง!”

“ที่ตะโกนออกมากลางลาน ไม่คิดว่าผมจะหน้าบางบ้างหรือไง!”

หา???

พวกเราเถียงออกมาพร้อมกัน ต่างฝ่ายต่างงงที่ไม่ตรงกับความคิด ผ้าบนหัวอิมตกลงพื้นดังตุบในจังหวะที่เรายืดตัวจ้องหน้า สภาวะในห้องดูเงียบงันชั่วขณะ

“เมื่อกี้อิมว่าไงนะ”

“เอ๊ะ”

“เมื่อกี้อิมหมายความว่ายังไง”

“ท...ที่คุณตะโกนออกไปตรงกลางลาน ผมยังไม่ยอมให้อภัยคุณหรอกนะ” อิมหันออกข้างหลบตา หูเรียกได้ว่าแดงมะเขือเทศเรียกพี่

“ที่อิมโกรธนี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องพี่ใยไหม”

“เรื่องใยไหมอะไร? คุณก็แค่เก็บของให้เขาไม่ใช่เหรอ”

เชี่ย...ผมคิดเป็นตุเป็นตะไปเองเสียยกใหญ่ อิมแทบไม่ได้คิดอะไรเลย แต่ทุกอย่างยังไม่คลาย มีอยู่เรื่องที่ผมคิดยังไงก็ไม่ตก “แล้วทำไมอิมไม่ใส่แหวนที่ผมให้ หรือเป็นเพราะวันนั้นพี่เบส...”

“คิดอะไรน่ะฮะ” กำปั้นน้อยๆเขกใส่หัวผมจนต้องร้องโอดครวญ “แค่ผมพูดต่อหน้าวันนั้น ยังไม่พออีกเหรอ”



‘จากนี้ไปกูคงกลับกับมึงไม่ได้แล้วล่ะ’



ใช่...อิมพูดอย่างนั้นใส่พี่เบสต่อหน้าผม

วันนั้นราวกับสุ่มเลือกที่นั่งเก้าอี้ดนตรี พ่อของอิมอาการไม่ถึงต้องผ่าตัดคุณหมอเลยให้กลับบ้าน ปัญหาเลยมาตกที่จะเลือกกลับรถใคร พี่เบสยืนยันให้อีกฝ่ายกลับด้วยกัน แต่ทุกอย่างมันจบที่คำๆเดียว อิมเลือกที่จะนั่งกลับกับผมรวมถึงทุกคนในบ้านเจ้าตัว

แต่คำพูดนั้น ผมไม่คิดว่ามันจะแฝงความนัยอะไรไว้มากมายเว้นเสียแต่...

“ทำไมอิมต้องกลับบ้านกับพี่เบสทุกวันครับ”

“เพราะผมสัญญากับเบสไว้”

“ทำไมต้องสัญญา”

“สัญญาแลกกับการที่ไม่ตอบรับเขา ด้วยการกลับบ้านด้วยกันในฐานะ ‘เพื่อน’ ทุกวัน”

“...”

“ตอนนั้นคุณก็รู้ว่าผมอกหักจากคุณ”

“อิมพูดอะไรน่ะ ผมต่างหากที่โดนอิมหัก...” มือข้างซ้ายอันเรียวยาวขาวผ่องเคลื่อนมาเบื้องหน้า รอยยิ้มละมุนตาสะท้อนภาพในรูปถ่ายเมื่อเก่าก่อน ผมชอบรอยยิ้มนี้ของอิม มันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะเอามาเป็นพื้นหลังโทรศัพท์ของผมตั้งแต่วันนั้น หากแต่ใจยังกังขาเพราะเป็นรอยยิ้มแฝงความรู้สึกที่มอบให้เพื่อนสนิทของเขา

...แต่บัดนี้มันกลับปรากฏฉายชัดบนใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลาดวงนี้...

“ใส่ให้ผมหน่อย....นะ” อิมลากสายสร้อยเส้นบางสีเงินออกจากเสื้อ ปรากฏแหวนเงินเกลี้ยงทองคำขาวแวววาวสะท้อนแสงไฟห้อยคล้องอยู่ ผมเคยเข้าใจว่ามันคือสร้อยพระ เพราะอิมใส่นับตั้งแต่วันที่ไปโรงพยาบาลวันนั้น ที่แท้เจ้าตัวไม่เคยให้มันห่างตัวเลยสักครั้งนับจากที่ได้รับไป ด้านหลังผมจงใจสลักชื่ออีกฝ่ายต่อท้ายด้วยนามสกุลผม

...Tangjitpanitan Jitmankong...

สองแขนอ้อมหลังเข้าไปกึ่งโอบ เจ้าตัวยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี ก้มหน้าเอนตัวมาซบอกจนเผยให้เห็นลำคอขาว ผมปลดสร้อยออกอย่างเชื่องช้า อดไม่ได้ที่จะโน้มหน้าเข้าไปจุมพิตผิวนวลเนียนเหนือคอเสื้อจนร่างโปร่งสะดุ้งตัวน้อยๆ แต่ยังคงนิ่งต้านรับริมฝีปาก

เสียงก๊องแก๊งจากเหล็กกระทบดังหวานกังวานในหู ฝ่ามืออิมเย็นจัดเลยจับคลึงและนวดไปมาเบาๆ ความอบอุ่นถูกถ่ายทอดให้กัน ก่อนวงแหวนแทนความรู้สึกจะถูกสวมเข้ากับนิ้วนางข้างซ้ายของคนรัก สายตาสีอ่อนมองมันอย่างชื่นชมกึ่งนึกเขินพลางใช้นิ้วโป้งขยับมันไปมา

“พอดีเลย”

“น่าจะทำมาให้เล็กกว่านี้” ผมกล่าวออกไปจนอิมเลิกคิ้วสงสัย

“ทำไม”

“จะได้ถอดไม่ออก ใส่ไปตลอดชีวิต”

“ถึงเวลานั้น ผมอาจจะตัดนิ้วทิ้งก็ได้”

“อย่าพูดอะไรน่ากลัวอย่างนั้น...” ลมหายใจอุ่นร้อนปะทะใบหน้ากะทันหัน จูบจากคนตรงหน้า จูบจากริมฝีปากของอิม เป็นความรู้สึกที่พิเศษเกินกว่าจะหาคำบรรยาย เจ้าตัวมาเพียงชั่วครู่แล้วทำท่าจะผละออกแต่ผมกลับคว้าท้ายทอยเขาไว้ ก่อนหลับตาบดกลีบปากลงไปอย่างหนักหน่วง

+++++++++++++++++++

ขออนุญาตมาลงก่อน 80% นะคะ
เรื่องนี้อาจจะเนิบนาบ แต่เราอยากสานสัมพันธ์ตัวละครให้เกิดความผูกพันไปเรื่อยๆค่ะ
ขอบคุณทุกคนจริงๆที่ติดตามมาถึงตอนนี้
ไว้จะมาต่ออีก20% ให้จบนะคะ
ขาดตกบกพร่องอะไรจะรับไว้พิจารณาแก้ไขค่ะ
ขอบคุณกำลังใจจากทุกคนจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 80% (จบ)[21/12
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-12-2019 00:26:33
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 80% (จบ)[21/12
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 24-12-2019 01:11:35
เพิ่งมาอ่านเจอ เราชอบมากๆ เลยค่ะ

อิพี่ใยไหมนี่นิสัยไม่ดีเลยนะ
เจ้าชู้กะจะคว้า ผช.ไว้ทั้งหมดรึไง
ดีนะที่เกรทหมดความสนใจในตัวหล่อนไปแล้ว
ไม่งั้นคงช้ำใจไปตลอดแน่ๆ

มารักอิมดีกว่า ซื่อๆ ตรงๆ ดี  :hao6:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 100% [30/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 30-12-2019 10:52:16
ขออนุญาตลงเป็นตอนใหม่นะคะ เพราะแต่งฉากยาวเกิน :m25:


รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ

หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง (จบ) 100%


“ใส่ให้ผมหน่อย....นะ” อิมลากสายสร้อยเส้นบางสีเงินออกจากเสื้อ ปรากฏแหวนเงินเกลี้ยงทองคำขาวแวววาวสะท้อนแสงไฟห้อยคล้องอยู่ ผมเคยเข้าใจว่ามันคือสร้อยพระ เพราะอิมใส่นับตั้งแต่วันที่ไปโรงพยาบาลวันนั้น ที่แท้เจ้าตัวไม่เคยให้มันห่างตัวเลยสักครั้งนับจากที่ได้รับไป ด้านหลังผมจงใจสลักชื่ออีกฝ่ายต่อท้ายด้วยนามสกุลผม

...Tangjitpanitan Jitmankong...

สองแขนอ้อมหลังเข้าไปกึ่งโอบ เจ้าตัวยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี ก้มหน้าเอนตัวมาซบอกจนเผยให้เห็นลำคอขาว ผมปลดสร้อยออกอย่างเชื่องช้า อดไม่ได้ที่จะโน้มหน้าเข้าไปจุมพิตผิวนวลเนียนเหนือคอเสื้อจนร่างโปร่งสะดุ้งตัวน้อยๆ แต่ยังคงนิ่งต้านรับริมฝีปาก

เสียงก๊องแก๊งจากเหล็กกระทบดังหวานกังวานในหู ฝ่ามืออิมเย็นจัดเลยจับคลึงและนวดไปมาเบาๆ ความอบอุ่นถูกถ่ายทอดให้กัน ก่อนวงแหวนแทนความรู้สึกจะถูกสวมเข้ากับนิ้วนางข้างซ้ายของคนรัก สายตาสีอ่อนมองมันอย่างชื่นชมกึ่งนึกเขินพลางใช้นิ้วโป้งขยับมันไปมา

“พอดีเลย”

“น่าจะทำมาให้เล็กกว่านี้” ผมกล่าวออกไปจนอิมเลิกคิ้วสงสัย

“ทำไม”

“จะได้ถอดไม่ออก ใส่ไปตลอดชีวิต”

“ถึงเวลานั้น ผมอาจจะตัดนิ้วทิ้งก็ได้”

“อย่าพูดอะไรน่ากลัวอย่างนั้น...” ลมหายใจอุ่นร้อนปะทะใบหน้ากะทันหัน จูบจากคนตรงหน้า จูบจากริมฝีปากของอิม เป็นความรู้สึกที่พิเศษเกินกว่าจะหาคำบรรยาย เจ้าตัวมาเพียงชั่วครู่แล้วทำท่าจะผละออกแต่ผมกลับคว้าท้ายทอยเขาไว้ ก่อนหลับตาบดกลีบปากลงไปอย่างหนักหน่วง

พอทุกอย่างเนิบนาบเชื่องช้า การกลั้นหายใจของคนตรงหน้าเลยเป็นอันโมฆะ อิมเผยอกลีบปากคล้ายทรมาน สูดลมหายใจเข้าปอดขนานใหญ่จนกลายเป็นเสียงครางเบา

“อือ...” โดยไม่ปล่อยให้โอกาสหนีหาย ลิ้นอ่อนชำแรกแทรกซึมเข้าโพรงปากอีกฝ่ายที่พร้อมเปิดรับเต็มที่ ผมคว้าเอวของเขาไว้ดึงให้เข้าหา จัดท่วงท่าให้กวาดชิมความอ่อนนุ่มได้สะดวก สองแขนประคองตัวโอบรัดราวกับงูพร้อมกินเหยื่อจนแผ่นอกเราทั้งคู่แนบชิด ช่วงจังหวะนั้นอิมสะดุ้งคล้ายเจอความผิดปกติบางอย่าง

 “เดี๋ยวๆ” สองมือดันเบาๆให้ตัวออกห่าง คลายจากอาการมึนเมาในรสสัมผัส ก้มหน้ามองเบื้องล่างสลับกับมองหน้าผมอย่างตกใจ

“ทำไม...” ผมถามโดยอดที่จะคลอเคลียกับติ่งหูนิ่มด้วยปลายจมูกเบาๆไปมาไม่ได้ พรูลมหายใจอุ่นร้อนลงอย่างหยอกเย้า

“รอยลิปสติก?”

ฮะ?

แทบจะดันตัวออกดูทันที ...มีรอยลิปสติกอย่างที่อิมบอกจริง อยู่กลางเสื้อเชิ้ตตรงบริเวณท้องผม รอยทั้งเด่นและชัดเสียจนน่ากลัว

“เลอะได้ไงเนี่ย...” นึกที่มาที่ไปไม่ออก แต่แฟนผมกลับเหมือนรู้ ทำท่าครุ่นคิด

“ตอนนั้นแน่ๆเลย”

“ตอนไหน...เฮ้ยอิม” ไม่ทันคาดคิดมือของอิมจัดการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตผม ก่อนลากชายเสื้อออกจากกางเกง การกระทำอย่างรวดเร็วทำให้อึ้ง ใบหน้าขาวชื้นน้ำก้มลงต่ำความเย็นและนุ่มนิ่มของริมฝีปากแนบลงกล้ามเนื้อที่เป็นลอนบริเวณท้องขบเม้มกับผิวจริงดูดกัดจนร่างกายสั่นกระตุกด้วยความเสียวซ่าน

“อ...อิม” มือที่ทาบบนแผ่นอกเพื่อการทรงตัวเผยให้เห็นนิ้วนางข้างซ้ายสวยเสลาประดับวงแหวนแวววาวสีเงินยวงอันน่าอิ่มเอมใจ ผมจับมือของเขาไว้พลางจูบซับเบาๆที่ปลายนิ้ว รู้สึกเจ็บเพราะแรงฟันกัดเบาที่หน้าท้อง อิมดันตัวเงยขึ้นพรวดพราดแสดงสีหน้าเหมือนเด็กอวดผลงานตน

“ผมไม่ต้องทำที่เสื้อ...” แต่คำนั้นกลับจบลงที่ใบหน้าแดงๆยามเห็นผมจูบแหวนวงนี้อย่างรักใคร่ รู้สึกแปลกใจกับประโยคที่หายไปจึงเปิดเปลือกตามามองคนที่นั่งอ้ำอึ้งน้ำท่วมปาก

“หืม...ทำไมนะครับ” ร่างโปร่งนิ่งเงียบไม่ตอบแถมก้มหน้างุดกว่าเดิม “อิมว่าอะไรนะ” หลุบตาลงมองเห็นรอยห้อเลือดกับคราบน้ำลายเปรอะเปื้อนช่วงท้อง ถ้ามันลงต่ำไปมากกว่านี้...คิดดีไม่ได้เลย...

“ผม...พูดว่าอย่างผมไม่ต้องทำที่เสื้อก็ได้”

“เลยมาลงที่ท้องผมโดยตรงเนี่ยนะ” อดอมยิ้มไม่ได้กับการต่อสู้เล็กๆน้อยๆระหว่างอิมกับพี่ใยไหมที่เจ้าตัวไม่อาจรู้ว่าปฏิกิริยาหึงหวงแบบเล็กๆของเขามันน่ารักน่ากัดให้จมเขี้ยวขนาดไหน “ให้ทำหมดทั้งตัวยังได้เลยครับ”

“ม...ไม่ทำหรอก” เหมือนจะแหย่หนักไป อิมเลยลุกจากโซฟาทำท่าจะผละออกไปทางอื่น ดีที่ข้อมือยังคว้ารั้งไว้ได้ทัน

“อิมจะไปไหน” เจ้าตัวผินหน้ามาทางผมที่ยังกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนโซฟา กวาดสายตามองผ่านๆตั้งแต่หัวจรดเท้าลำคอขาวกระเพื่อมเบาหนึ่งครั้งเหมือนกำลังกลืนน้ำลาย

“ไปห้องน้ำ” ผมกะพริบตานิ่งรอเหมือนอีกฝ่ายมีเรื่องจะพูดต่อ “ไปอาบน้ำก่อน ตัวผมเหนียวจะแย่อยู่แล้ว” แดงไปหมดทุกอณูผิว อิมไม่มองหน้าผมอีกแล้ว เจ้าตัวกำลังเขินเกินทำใจยอมรับ

“งั้นอาบด้วยกันนะครับ จะได้ไม่เสียเวลา”









คิดว่าจะโดนปฏิเสธ แต่อิมกลับเดินนำหน้ามาอย่างเงียบๆ ไม่เอ่ยบทสนทนาใดใด รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายความขัดเขินที่โอบคลุมรอบกายอีกฝ่าย ประตูห้องน้ำถูกปิดลงอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวสัตว์เล็กตื่นกลัวกับเสียง อิมกวาดตาสำรวจไปรอบห้อง สายตาสีอ่อนตกอยู่ที่อ่างล้างหน้าใบหน้าเผยยิ้มอ่อนออกมา น้ำเสียงขึ้นจมูกสะท้อนกำแพงห้องน้ำ ดังพอให้ได้ยิน

“หัวเราะอะไรครับ” ผมทัก อีกฝ่ายเลิกคิ้วเปลี่ยนสีหน้าฉับพลันหมุนตัวกลับมา

“เคยทำอะไรไว้จำได้มั้ย”

“ฮะ?” จู่ๆก็ถูกถามระบบคิดคำตอบในสมองเลยรวน

“ช่างเถอะ ไม่ต้องใส่ใจหรอก ผมแค่ถามไป...” ไม่ทันพูดจบผมสืบเท้าเข้าหา อีกฝ่ายเห็นเงาร่างที่ทาบทับรู้สึกถึงสัญญาณแฝงของอันตรายเลยกล่าวเสียงตะกุกตะกักใส่ “จ...จะทำอะไรน่ะ เฮ้ยๆๆเดี๋ยว!!”

เสื้อนักศึกษาถูกระเบียบโดนดึงชายออกจนหลุดลุ่ย สองแขนล่ำสันช้อนกอดลอดรักแร้จับปลายเสื้อเชิ้ตขาวถลกขึ้น แขนผู้หนึ่งเหมือนฝืนบังคับให้อีกฝ่ายต้องยกขึ้นสูงอย่างยอมจำนน ถูกถอดปลอกลอกครึ่งบนออกมาจนหมด ผมไม่รอช้าโยนเชิ้ตขาวพร้อมเสื้อกล้ามของเขาลงอ่างพลางเปิดก๊อกน้ำราดแบบไม่เกรงใจเจ้าของ

“เฮ้ยๆๆๆ เกรท!!!” อิมตะโกนลั่น ตกใจหน้าซีดวิ่งพรวดพราดไปคว้าเสื้อตัวเองยกขึ้น แต่ไม่ทันการมันทั้งชุ่มทั้งโชกจนไม่เหลือสภาพเดิมแล้ว “ทำอะไรของคุณวะ!!”

“ใครว่าผมจำไม่ได้ล่ะ”

“เออ ก็รู้แล้ว แค่บอกมาดีดีก็ได้นี่หว่า แล้วอย่างนี้ผมจะใส่อะไรกลับบ้าน!”

“ยังไงวันนี้ก็ไม่ได้กลับอยู่แล้วหนิครับ”

“...!” อิมสะดุ้ง หน้าขึ้นสี เจ้าตัวลนลานหลบตาก่อนพูดออกมาเสียงแผ่ว “บางที...อาจจะกลับได้นี่หว่า” โดยไม่ปล่อยให้เสียโอกาส ผมก้าวเข้าหาก่อนกระซิบข้างหูอีกฝ่าย

“ถ้าคิดว่ามีแรงเดินกลับไหวก็ลองดูครับ”

จบคำมือคว้าเอวบางได้ก็สืบเท้าเข้าหาแบบไม่พูดพร่ำทำเพลง ระหว่างร่างกายของเราทั้งสองมีเพียงซากเสื้อชุ่มน้ำที่เจ้าตัวถือขวางเอาไว้ อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยแถมใช้กำปั้นดันอกผมสุดชีวิตจนเชิ้ตบนตัวผมพลอยเปียกปอนไปด้วย ใครจะรู้ว่าคนสูงกว่าย่อมมีชัย เพียงแค่โก่งตัวหัวก็ถึงซอกคอ จึงเริ่มซุกไซร้สูดดมกลิ่นความหอมหวานของร่างขาวอย่างจาบจ้วง

“ยะ...เกรทจักจี้...หยุด...พอได้แล้ว”

อิมสะดุ้งตัวโยกคอหลบ แต่สุดท้ายขาทั้งสองก็พาร่างเจ้านายมันมาถึงสุดทาง แผ่นหลังแตะสัมผัสกับกำแพงเย็นเยียบ เจ้าตัวชะงักเท้าหมุนหัวมองหน้า ผมจ้องตอบเขานิ่งราวกับท้าทาย

“ล...เลิกเล่นได้แล้ว” ลมหายใจอุ่นร้อนของคนทั้งสองปะทะกัน มันอดไม่ได้ที่จะรู้วาบหวามไปทั้งหัวใจ

“งั้นเอาจริงล่ะนะ”

“หา?”

ผมกดท้ายทอยกันอิมหลบ แนบกลีบปากประกบคลึงหนัก จนเจ้าตัวส่งเสียงในลำคออู้อี้เชิงประท้วงว่า ‘ที่ให้เลิกเล่นไม่ใช่หมายความว่าอย่างนี้’ อดเอ็นดูจนห้ามมุมปากที่ยกขึ้นไม่ได้ ลิ้นอ่อนเคลื่อนคล้อยแตะชิมริมฝีปากนุ่มหยุ่นสีชมพู เลียจนเปียกชื้นพอใจ ก่อนแทรกส่วนปลายเข้าร่องกลีบปากเบาๆ เจ้าตัวเหมือนต่อสู้ไม่ยอมแพ้ กัดฟันฝืนโต้กลับทั้งที่จนมุม

“อิม” เปล่งเสียงทุ้มต่ำเรียกเขาราวกับอ้อนขอ จังหวะที่ถอนออกก็โดนเสื้อชุ่มน้ำแปะเข้าเต็มหน้าจนสำลักผงะถอย คนเป็นรุ่นพี่เห็นสภาพผมที่หน้างอดึงผ้าเปียกลงถึงกับหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความสะใจ

“ฝีมือคุณเองนะ” ผมเขวี้ยงผ้าผ่อนของอีกฝ่ายไปด้านหลัง รวบเอวบางลากให้ร่างกายช่วงล่างแนบชิดกัน อิมถึงขั้นทำตาโตมองหน้า คงรู้ตัวแล้วว่าผมมีอารมณ์

“ทำไมครับ? ทำไมต้องทำหน้าแบบนี้” ผมยกนิ้วคลึงคิ้วได้รูปที่ย่นเข้าหากันมุ่น เจ้าตัวเหมือนรู้เลยย้อนถาม

“ท...ทำไมคุณเป็นคนขึ้นง่ายอย่างนี้นะ”

“อย่าว่าแต่ผมเลย อิมก็ ‘ขึ้น’ เถอะ” พอขยับเสียดสีหยอกเย้า หน้าใสใสถึงกลับเปลี่ยนอารมณ์ไปมาเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดปะปนกัน

“ช...ใช่ผม ‘ขึ้น’ เถอะ!” เจ้าตัวกระแทกเสียงเหมือนกลบเกลื่อน กำแขนเสื้อที่เกาะผมเสียแน่น “ต...แต่หมายถึงโกรธนะ!”

“งั้นก็ ‘โกรธ’ ผมมากๆหน่อยนะครับ” ผมกระซิบข้างใบหูด้วยเสียงแผ่วเบา “เพราะผมจะ ‘โกรธ’อย่างนี้เฉพาะกับแค่อิมเนี่ยแหละ” จบคำมือขยับสอดเข้าชั้นในไปขยำสะโพกหนั่นอย่างมันเขี้ยว อิมตกใจโยกตัวมาข้างหน้าเหมือนจำยอมให้ส่วนนั้นของพวกเราใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่ยังไม่หยุดขยับตัวยุกยิกเหมือนพยายามดิ้นให้หลุด ผิวเนื้อลื่นมือตรงบั้นท้ายถูกทั้งฝ่ามือลูบตะโบม นิ้วยาวไล้สัมผัสจนหมดทางหนี เป็นสัมผัสที่ให้ความรู้สึกโคตรดี ทำไมแฟนผมถึงน่ากินได้มากขนาดนี้นะ

พอเผลอไผลขยับเข้าร่องแนบของเนื้อนุ่มสะกิดเบาตรงช่องทางน่าหวงแหน ร่างโปร่งถึงกับจิกเล็บลงแขนผมไม่บันยะบันยังถลึงตาใส่

“ค...ใครบอกว่าคุณ ‘โกรธ’ แบบนี้เฉพาะแค่กับผมเล่า! อย่ามาขี้โม้เลย!” คำท้วงคำเดียวเล่นเอาหยุดทุกการกระทำ ผมมองหน้าอิมด้วยความสงสัย

“ผมเคยไป ‘โกรธ’ แบบนี้กับใครด้วยเหรอครับ”

“อย่ามาทำเป็นลืมนะ ตอนที่คุณมาห้องผมวันแรกไง!”

“อิมพูดไม่เพราะเลย” ผมบิดปากมองหน้าเขา รู้สึกอยากกวนประสาทคนตรงหน้าขึ้นมาเสียดื้อๆ

เป็นอย่างที่คิด สายตาสีอ่อนและใบหน้าแสดงความประหลาดใจถูกส่งตรงมาพร้อมการขานรับว่า “หา?”

“เรียกผมว่าเกรทสิ”

“ทำไมผมจะต้อง...”

“ถ้าเรียกว่า ‘เกรท’ ผมจะยอมเฉลยทุกข้อข้องใจที่คุณตั้งจิตปณิธานอยากรู้เลยครับ”

“ผมก็เรียกอยู่แล้วนี่หว่า”

“แต่บางครั้งยังหลุดคำว่า ‘คุณ’ ออกมาเลยนี่ครับ”

“ทำไมคุณถึงเรื่องมากอย่างนี้นะ”

“นั่นไงล่ะ หลุดคำว่าคุณออกมาอีกแล้ว” ช่วงจังหวะที่อารมณ์ ‘โกรธ’ นั้นพาไป ผมใช้แรงมือดันสะโพกอิมขึ้นหน้า ปลดตะขอลากซิปลงอย่างว่องไว ก่อนใช้นิ้วทั้งห้าลูบตะโบมส่วนอ่อนไหวผ่านเนื้อผ้าชั้นในที่เผยให้เห็น

“ฮะ...ยะ...!!” อิมหลับตาสีหน้าเปลี่ยน เจ้าตัวรีบก้มเอาศีรษะซุกอกผม เกาะแขนกำเสื้อเชิ้ตแน่น โก่งตัวหลบเลี่ยงแต่สุดท้ายก็ไม่พ้นกำแพงที่คอยขวาง ร่างตรงหน้าเริ่มหอบครางสั่นไหว

“จะเรียกเกรทรึยังครับ”

“อย่าแกล้ง...ฮะ...” เสียงหายใจรุนแรงรดใต้อก ลำคอขาวก้มโค้งต่ำล่อลวงให้จุมพิตดูดกัดสร้างรอยห้อเลือดแดงช้ำไปทั่ว เหมือนอิมรู้ตัวจึงเงยหน้า ส่งดวงตาฉ่ำเยิ้มหวั่นไหวกับใบหน้าบิดเบี้ยวมองมาอย่างอ้อนขอ

“เกรท...เกรท” เสียงสั่นแต่หวานรื่นหูกระตุ้นให้ความรู้สึกปะทุ ขยับมือสอดเข้าใต้ผ้าสัมผัสเนื้อแท้ของคนตรงหน้าทันที ไม่ทันให้อิมต่อต้านความรุ่มร้อนก็โดนกอบกุม รูดรั้งขึ้นลงอย่างไม่ปรานี “ยะ...ฮึก...น...ไหนบอกว่า...ฮือ”

เหมือนความรู้สึกเจ้าตัวมาถึงเกือบปลายทางอยู่แล้ว พอขยับสะกิดเพียงนิดหน่อย ธารน้ำอุ่นก็รินหยาดเป็นสายพรั่งพรูออกมาเต็มฝ่ามือ ตอนนี้ทั้งตัวอิมแดงเหมือนกุ้งสุกมุดหน้าเข้าแผ่นอกผมราวกับอับอาย แต่ไม่วายสักพักจับข้อมือผมลากไปยังอ่างเปิดก๊อกน้ำชำระล้าง

“ห้ามยกขึ้นเลียแล้วกลืนเข้าไปน่ะ ผมไม่ยอมจริงๆด้วย” ผมเลิกคิ้วประหลาดใจในขณะที่เจ้าตัวยังจับข้อมือผมทำความสะอาด

“ทำไมอิมรู้ว่าผมจะทำ”

สองมืออิมหยุดชะงัก ปิดก๊อกน้ำ มือผมสะอาดเอี่ยมแถมยังมีกลิ่นซีตรัสของสบู่ล้างมือฟุ้งไปหมด  เขาหันกลับมาทางผม ในสายตาพาเอาอารมณ์เกือบขึ้นแต่ต้องห้ามไว้ ร่างกายท่อนบนที่ไม่ได้ใส่อะไรโชว์แผ่นอกขาวเนียน กับกางเกงสแล็กที่ถูกปลดลากซิปเผยให้เห็นชั้นในโผล่แพลมออกมามันน่าเย้ายวนใจสิ้นดี

“ก...เกรทยังไม่คืนนิยายให้ไอ้พี่สิทธิ์ใช่มั้ย”

คำเรียก ‘เกรท’ มันดึงความสนใจผมไปหมด แอบขำเจ้าตัวที่เหมือนพยายามเพราะกลัวเจอบทลงโทษแบบเมื่อครู่

“ในนั้นมีฉากอย่างว่า คงไม่คิดจะเอามาเลียนแบบหรอกนะ”

กะว่าจะลองทำตามมันทุกท่าเลยต่างหาก ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้ทัน

“ผมบอกแล้วไงว่าอย่าไปยุ่งอะไรกับหนังสือในห้อง”

“ทำไมอิมถึงรู้ว่าผมเอามา” ทั้งที่ตอนนั้นอิมก็ไม่ได้อยู่ด้วย แต่ทำไม...

“ไอ้พี่สิทธิ์มันมาทวงกับผม ว่า ‘นิเทศฝุดๆสะดุดรัก’ ของมันเมื่อไรจะได้คืน” โป๊ะแตก...เผยหางแบบนี้คงไม่ต้องปิดบังกันแล้วมั้ง

“พี่สิทธิ์เขายัดมาใส่มือผมเอง ตอนแรกก็ตั้งใจแล้วว่าจะไม่อ่าน แต่ก็อดเผลอจินตนาการเป็นตัวเองกับอิมไม่ได้”

“จินตนาการกับคนอื่นแล้วอย่ามาอ้างผม!”

“ตอนที่มาห้องอิมวันแรก ผมคิดถึงแต่ขาสวยๆกับกางเกงบ๊อกเซอร์ของอิมนะครับ”

“...!!” เซอร์ไพรสสินะ เรื่องนี้ผมไม่เคยบอกใครเลย

“เพราะอย่างนั้นเลยของขึ้น แต่กลัวอิมตกใจเลยอุทานชื่อคนอื่นให้อิมสบายใจแทน” คนของผมอ้าปากค้างไปแล้ว “หึ...หน้าเหมือนเจ้าลาโง่ของตาเวลเลย”

“นี่คุณ!!” โดนด่าว่าเหมือนเจ้าเน่าเลยมีฟึดฟัด ผมคว้ามือซ้ายอีกฝ่ายขึ้นมา หลับตากดจูบระหว่างแหวนของเราอย่างหวงแหน ก่อนตวัดสายตาจ้องมองใบหน้าขาวใสในระยะประชิด

“พี่อิม...จูบผมหน่อย”

“...!”

“จูบผมหน่อยนะ...พี่อิม” ร่างตรงหน้าสั่นเทาเล็กน้อยเหมือนกระอักกระอ่วนใจทำอะไรไม่ถูก ไม่ได้คาดหวังให้เขาทำตามหรอก แค่อยากอ้อนตามประสาคนรัก แต่เรื่องมันเหนือคาดหมายตรงที่อิมกลับสืบเท้าเข้ามาประชิดโอบแผ่นหลังก่อนออกคำสั่งดุจดั่งราชินี

“ก้มหน้าลงมาสิ” จะขำก็ขำ จะหวั่นไหวก็หวั่นไหว แต่ไม่แฝงแววโรแมนติกสักนิด ผมยกยิ้มเบาโก่งคอ ทิ้งหน้าผากลงสัมผัส ขยับปลายจมูกให้ชนกัน ก่อนต่างฝ่ายต่างยื่นริมฝีปากออกมาแตะกันเบาๆ จนเกิดเสียงจุ๊บดังสะท้อนทั่วห้องน้ำ

หนึ่งก้าวถอยคือหนึ่งจูบ สองก้าวคือตอกย้ำ สามก้าวคือกระทำซ้ำให้มั่นใจ พวกเราถอยไปจนสุดท้ายกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็กลับมายืนใต้ฝักบัวที่เก่า สถานที่แห่งความทรงจำของเรา สมาธิอิมหลุดตอนที่แผ่นหลังผมสัมผัสผนังแล้วหยุดนิ่ง เจ้าตัวผินหน้ากวาดตามองไปรอบๆ เหมือนสายตาไปสะดุดกับของบางอย่าง จึงเปล่งเสียงดังเอ๊ะเบาๆจากลำคอ

“มีอะไรรึเปล่าครับ”

“ทำไมไม่มีแล้ว”

“ไม่มีอะไรครับ” ผมรู้ว่าอิมพูดเรื่องอะไรเลยไม่หันไปมองตาม ได้แต่ฉวยโอกาสนี้จับจ้องหน้าใสใสกับพวงแก้มสีชมพูตรงหน้า

“ก็ซัน...”

“ซันซิล” ผมเอ่ย อิมกระตุกตัวหันหน้ามาทันทีพลางขมวดคิ้ว

“ทำไมถึงรู้”

“คิดแล้วก็อยากทึ้งหัวตัวเองนะครับ ปากพล่อยพูดไปตามอารมณ์ต่อหน้าแฟนคนปัจจุบันได้ไง สมควรแล้วที่จะโดนอิมกัดเรื่องยาสระผมตั้งแต่วันนั้น”

“แล้วทำไมไม่ทำซะล่ะ” เสียงแทรกเข้ามา ก่อนเจ้าตัวจะส่งมือมาขยำขยี้หัวผมจนเละ จะหลบก็หลบไม่ได้เพราะหลังติดกำแพง

“เฮ้ย...ไม่ใช่อย่างนี้สิอิม พอพอหยุดครับหยุด” อิมหยุดจริงแถมนิ่งมองผมตาแป๋ว สักพักก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่ เจ้าตัวขยับมือลงไปกุมท้องหัวเราะ

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

“หัวเราะอะไรเนี่ย” ผมยืนจัดทรงผมอยู่กับที่ ส่งสายตาตำหนิใส่คนหัวเราะแบบไม่ไว้หน้าผมสักนิด

“อยากให้แฟนคลับนายมาเห็นสภาพตอนนี้จัง...” อิมถอยหลังกวาดสายตามองทั้งร่างผม อุทานบ่นพึมพำจนได้ยินเป็นคำว่า ‘แต่ก็ไม่เลวหรอกนะ’ ก่อนหยุดชะงักเปลี่ยนสีหน้าฉับพลันเป็นรื้นแดง เสตาหลบไปทางอื่นอย่างประดักประเดิด

“คุณดูอึดอัดนะ”

“ฮะ?”

“หะ...ให้ผมช่วยเอามั้ย” ผมก้มลงมองตามสายตาสีอ่อน รู้เลยว่าต่อให้เล่นหยอกล้อกันนานเท่าไรเจ้าลูกชายผมก็ไม่เคยสงบลงเลยสักนิด มันถูกกระตุ้นจากสภาพของคนตรงหน้าตลอดเวลา

โดยไม่รอคำตอบอิมกระเถิบตัวเข้ามาแกะตะขอเกี่ยวซิปลง ผมยืนดูการกระทำของเขาโดยไม่ห้าม ผ้าผืนน้อยสีแดงที่ดูคับข้องทรมานจากการโป่งนูนเห็นแล้วชวนอึดอัด หากร่างที่คุกเข่าลงกลับดูประหลาดใจกับเรื่องอื่นเสียมากกว่า

“กางเกงในตัวนี้” อิมเงยมองหน้าผม

“ใช่ครับ ตัวที่อิมให้ผมเป็นของขวัญไง”

“ยังจะกล้าใส่อีกนะ”

“ผมใส่...” มือขยับไปเชยคางคนที่อยู่ต่ำกว่า สายตาส่อแววซุกซนและลามกหน่อยๆ “เพื่อจะได้ให้อิมถอดให้ไง”

จบคำอิมหลบคางออกจากมือผม ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดผ่านเนื้อผ้าแทบทะลุสัมผัสส่วนอัดแน่นไปด้วยอารมณ์ เจ้าตัวกดหน้าลงต่ำใช้ริมฝีปากอ่อนนุ่มกัดเบาๆผ่านผืนผ้าเหมือนต้องการหยอกล้อ ก่อนใช้นิ้วข้างหนึ่งเกี่ยวขอบชั้นในลง ส่วนอีกข้างพยายามเกี่ยวปลายผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากเข้าทัดหู หากแต่ดูจะไร้ผลเมื่อผมอีกฝ่ายสั้นเกินไป

โพรงปากอุ่นร้อนเข้าครอบครอง ลิ้นอ่อนไล้เลียส่วนปลายหยอกเย้าเบาๆ ก่อนห่อหุ้มด้วยความชุ่มชื้นไว้ทั้งหมด อิมคุกเข่ายกตัวสูงปรับให้ท่วงท่าสะดวกและไม่ทรมานตัว สายตาสีอ่อนพยายามลอบสังเกตอาการผ่านสีหน้าของผม ลมหายใจหอบสั่นถูกปล่อยออกมาอย่างเก็บกักไม่อยู่ ยามเจ้าตัวใช้ผนังอ่อนในโพรงปากถูไถและลิ้นนุ่มเล้าโลมไปมาอย่างเอาใจมันทำให้ผมเผลอไผลประคองแก้มนิ่มนวลใช้นิ้วโป้งลูบไล้ไปมา

เมื่อเห็นท่าทางแสดงถึงความพอใจ อิมจึงปิดเปลือกตาเหมือนตั้งมั่นทำสมาธิกับส่วนนั้น ดูดกินปรนเปรอ ใช้ความอ่อนนุ่มสร้างความสุข ไปพร้อมกับระมัดระวังไม่ให้เรียวฟันสัมผัสโดน การดูแลเอาใจใส่เช่นนี้มันทำให้หัวใจผมฟู ความรู้สึกจึงเริ่มไต่ทะยานอย่างรวดเร็ว หากแทนที่อยากจะปลดปล่อยกลับเป็นรู้สึกอยากจะกดจูบร่างของคนที่อยู่ต่ำลงไปหนักๆ ประทับทำรอยให้ทั่วร่าง จึงดันตัวอิมออกห่างทั้งที่ยังไม่สุดทาง

พอโดนอย่างนั้นดูท่าจะเสียขวัญพอดู อิมย่นหัวคิ้ว ผมเห็นดวงตาสีอ่อนของเขาชื้นน้ำขึ้นเรื่อยๆเหมือนเกิดข้อสงสัย

“ทำไม? มันแย่เหรอ?”

“ถ้าแย่มันคงไม่เป็นถึงขนาดนี้” ผมหอบตัวร้อนไปหมด สายตาชี้ชวนให้คนข้างใต้มองดูบางสิ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า อิมมองได้สักพักใบหน้าก็ซับสีเลือดบ่นงึมงำอยู่เบาๆแต่ผมดันได้ยิน

“ตอนแรกมันก็ไม่เท่านี้หรอก แต่มันใหญ่ขึ้นเพราะอิมต่างหาก” เพื่อให้อารมณ์สร่างซาจึงเปิดฝักบัวส่งสายน้ำสาดซัดชำระล้างพวกเรา อิมสะดุ้งตกใจยกแขนขึ้นบังน้ำกระเด็นเข้าตาลุกพรวดพราดขึ้นมากำปกเสื้อต่อว่าผม

“ทำอะไรของคุณน่ะ อยู่ดีดีก็เปิดน้ำ!”

“ไหนอิมบอกว่าอยากจะอาบน้ำไง หรือหวังจะเข้ามาทำอะไรกันแน่” มุมปากบางกระตุกเหมือนหัวเสียที่โดนย้อน แต่ก่อนจะเข้าสู่ศึกฟาดฟันฝีปาก “มาอาบน้ำกันก่อนเถอะครับ เอาให้สะอาดเลย”

จบคำผมเริ่มกดจูบลงริมฝีปากที่พึงปรนเปรอเบื้องล่างของตนไปอย่างไม่รังเกียจ รวบตัวร่างบางสอดมือเข้าขอบชั้นในลากทั้งหมดลงให้พ้นสะโพก อดไม่ได้ที่จะหยอกเย้าบีบบั้นท้ายจนอิมสะดุ้งตัวเข้าหา ส่วนเร้าอารมณ์เสียดสีกันไปมาพาให้ร้องครางในใจ ก่อนหมุนตัวสร้างความเป็นต่อพลิกบทปรับเปลี่ยนตำแหน่ง ให้หลังและร่างปลอดอาภรณ์พึ่งพิงกำแพงกระเบื้องเย็นชื้น ช่วงขาซึ่งโดนกางเกงกรอมรั้งเปรียบเหมือนดั่งพันธนาการ ร่างในอ้อมกอดเสียการทรงตัวจนหลังชนฝา ไม่รอให้อิมตั้งตัวทันแขนข้างหนึ่งยกขาเรียวขึ้นมาเกี่ยวเอวพลางกระซิบข้างหู


มีต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 100% [30/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: sakutaka ที่ 30-12-2019 10:52:55
“เกาะไหล่ผมไว้” ร่างเสียเปรียบยอมทำตามคล้องแขนสองข้างเข้าคอเกาะผมไว้แน่น ขาสองข้างถูกยกขึ้นสูงในคราเดียวก่อนกางเกงสแล็กสีดำและผ้าผืนน้อยจะถูกกระชากลากออกจากร่าง หมดสิ้นพันธนาการทั้งหมดในตัว เพราะกลัวร่วงตก ขาขาวเพรียวจึงไขว้เกาะเกี่ยวเอวผมไว้มั่น พลันอดที่จะหยอกล้อด้วยการดันส่วนซึ่งเหลืออารมณ์เกินกว่าครึ่งเข้าเสียดสีร่องสะโพกเครียดตึงไม่ได้

“เกรท!” เจ้าตัวถึงตาใส่ ผมยิ้มร้ายแบบไม่รู้สึกถึงบทลงโทษ ย่อตัวให้อีกฝ่ายไถลลงนั่งกับพื้น น้ำฝักบัวที่สาดลงมาทำให้ทุลักทุเลกับการมองไปนิด แต่มุมติดผนังเป็นจุดอับ เลยรีบขยับตัวเข้าหา รวบข้อมือสองข้างของอิมยกขึ้นเหนือศีรษะตรึงไว้กับกำแพงด้วยมือเดียว อิมหอบมองหน้าผม ไม่รู้ว่าโมโหหรือเริ่มทนไม่ไหว แต่สายตาที่ฉ่ำน้ำก็ชวนให้ใจสั่นได้ดี

“เดี๋ยวผมอาบน้ำให้”

“อ...อาบแบบไหนกันวะเนี่ย” ตื่นเต้นทีไรสบถคำหยาบทุกทีรายนี้

“อาบแบบแมวไงครับ” ใบหน้าเคลื่อนเข้าใกล้เริ่มจากซอกคอลงไปยังไหปลาร้า หากเป็นแมวคงแค่ใช้ลิ้นสากๆลากไปตามขนนุ่มๆของมัน แต่ผมกลับใช้ทั้งฟันขบกัด กลีบปากเม้มหนักๆสร้างรอย ผิวขาวถูกแต่งแต้มไปด้วยสัญลักษณ์แสดงความเป็นเจ้าของทุกตารางนิ้ว จนไปหยุดที่แผ่นอกขาวเนียนจึงเริ่มใช้ริมฝีปากเข้าครอบครองประดุจเด็กน้อยยังไม่ถึงวัยหย่านม เม้มหนีบปลายยอดดึงเบา ดูดรั้งจนขึ้นสี ร่างของอิมกระตุกทุกครั้งที่ลิ้นอ่อนสัมผัสสลับกับการดูดดึงขบกัดด้วยไรฟันเบาๆ

“ฮึก....เกรท ทำไมชอบกัด” คำพูดเดียวกระตุ้นให้ผมหยุด นิ่งคิด ก่อนคำตอบบางอย่างจะพรั่งพรูออกมาจากหัว

“ผมอยากสร้างรอย...อยากทำให้มองดูก็รู้ว่าอิมเป็นของผม ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว ดวงตา ปลายจมูก กกหู หรือริมฝีปาก ตรงไหปลาร้า กับแผ่นอกก็ใช่” ปลายนิ้วลากผ่านไปตามอวัยวะที่บอกกล่าว ก่อนสะกิดเบาตรงยอดอ่อนสีชมพูนั้น อิมปิดเปลือกตากระตุกกายจนเหมือนปลายส่วนแข็งขืนเริ่มมีหยาดน้ำใสไหลออกมา ผมยิ้มอย่างพอใจและนึกเอ็นดู ดีที่เขามีความรู้สึกกับผม ไม่ใช่เพียงการฝืนใจ ร่างข้างใต้ปรือตาเบาๆ เอ่ยคำ

“งั้นก็ทำทั้งตัวเลยสิ วันนี้วันศุกร์...ผมอนุญาต” ผมคลายมือของอีกฝ่ายออก รู้สึกร่างกายมีปฏิกิริยากับคำกล่าวยินยอมทั้งที่ไม่มีความหยาบโลนอยู่ในนั้นเพียงนิด ก้มลงจัดการกับยอดอ่อนสีสวยอีกข้าง อ้อมฝ่ามือกดแผ่นหลังเนียนลื่นให้ป้อนส่วนซึ่งเริ่มแข็งขืนเป็นไตเข้าในโพรงปาก ดูดดึงดื่มด่ำจนปลายยอดสีแดงก่ำเด่นตา อีกฝ่ายได้แต่ครางในลำคอจับขยุ้มเส้นผมระบายอารมณ์ ก่อนเล่นซนไปจับอีกข้างของตนบี้ด้วยปลายนิ้วจนแดง ผมจับข้อมือของเขาออก ใบหน้างอง้ำกล่าวตำหนิ

“ไหนบอกให้ผมทำไง”

“ข...ขอโทษ” อีกฝ่ายหน้าแดงเขินจนไม่รู้จะไปมุดที่ไหน รู้ทั้งรู้ว่าทำเพราะอารมณ์พาไป แต่อดที่จะแกล้งหยอกไม่ได้

“ให้อภัยก็ได้ครับ” สุดท้ายก็ปรนเปรออีกข้างให้เท่าเทียมกันจนหนำใจ ไล่ปลายลิ้นลงต่ำถึงแอ่งสะดือ จุมพิตขบกัดวนเวียนเป็นวัฏจักรซ้ำๆแต่พยายามไม่ลงมากระทำกับส่วนอ่อนไหว วนเวียนไปอย่างไม่รู้เบื่อ พอประพรมทั่วจนพอใจจึงอ้อมมือไปลูบไล้สะโพกลื่นมือ ยกขาเรียวยาวพาดไหล่ให้ช่องทางหุบแน่นเปิดเผย อิมหอบสะท้านตัวแดงพาดแขนขึ้นปิดดวงตาหันหน้าหลบออกด้านข้าง เจ้าตัวกัดริมฝีปากอย่างแพ้ทิฐิตนเอง

“อือ...” เสียงครางเครือแผ่วเบาเล็ดลอดจากลำคอยามนิ้วคลึงเคล้นเข้าผิวเนื้อที่ปิดแน่น นวดเฟ้นเคล้าคลึงจนเริ่มผ่อนคลาย ปลายนิ้วขยับแช่มช้าพยายามสร้างความตระหนกให้น้อยที่สุดกับร่างข้างใต้ เคลื่อนคล้อยล่วงล้ำเข้าสู่ภายในทีละนิด อิมมีทีท่ากระตุกเกร็งในคราแรกแต่ก็ฝืนแสร้งทำตัวนิ่งกัดฟัน

“เจ็บหลังมั้ยครับ ทนไหวมั้ย”

“ด...ได้” ร่างโปร่งพยักหน้าเผยดวงตาคู่สวยสบปรือปรอย ทำเอาคนเห็นแอบนึกสงสารไม่ได้ ตัดสินใจปล่อยมือแตะจูบเข้าปลีน่องขาวนวลอย่างหวงแหน

“เกรท” เสียงหวานพยายามเรียกย้ำให้ผมหันกลับไปมอง ความจริงแค่อิมยอมถึงขนาดนี้ก็ถือว่ามากพอแล้ว ผมไม่ได้ต้องการเร่งเร้าให้อีกฝ่ายยกทุกอย่างให้ภายในวันเดียว อยากจะสานต่อสัมพันธ์ของเราให้ค่อยเป็นค่อยไป อยากให้อิมมีความสุข อยากจะอยู่กับเขาไปนานๆ

ขณะความคิดยังดื่มด่ำ คนของผมกลับขยับตัวลุกขึ้นอย่างซวนเซหมุนตัวคุกเข่าเกาะผนัง ฉับพลันที่เห็นการกระทำผมแทบเบิกตาค้างคว้ามือของเขาไว้

“อิม ทำอะไรน่ะ!”

“ก...ก็คุณหยุด”

“แต่ก็ไม่ต้องถึงกับ...!” อยากตีให้ก้นแดง ก็เล่นเอานิ้วสอดเข้าด้านหลังตัวเองแบบนั้นไม่ให้ผมอารมณ์ขึ้นได้ไง!

“ก็...เกรท...เกรทไม่ทำต่อ...นี่หน่า” ดวงตารื้นแดงจนแทบจะเรียกได้ว่าร้องไห้อยู่รอมร่อ เห็นแล้วอยากกัดให้จมเขี้ยว ทำให้ทรมานไม่กล้าทำอะไรแผลงๆแบบนั้นอีก ไม่รู้ใครไปเป่าหูอะไรให้เจ้าตัวน้อยเนื้อต่ำใจเรื่องที่ผมเคยชอบผู้หญิงอย่างพี่ใยไหมมาก่อนอีกรึเปล่า แต่แค่ทุกวันนี้ผมก็รักเขาจนแทบโงหัวไม่ขึ้นอยู่แล้ว

ผมสวมกอดร่างชื้นน้ำจากด้านหลัง ผิวกายเรียบลื่นของพวกเราสัมผัสกันสร้างอารมณ์ให้หวั่นไหว ความแข็งขืนที่ซ่อนไว้แตะแนบสัมผัสบั้นท้ายของคนตรงหน้าอย่างไม่ปิดบัง “ทำครับ ผมอยากกอดอิมนะ อยากกอดจะตายอยู่แล้ว”

“งั้นก็กอดสิ” อิมแตะที่แขนผินหน้ามามอง “กอดเท่าที่คุณทำได้เลย”

เหมือนเส้นความอดทนขาดผึ่ง มือล็อกคางเล็กป้อนจูบอุ่นร้อนตะโบมสู่ริมฝีปากอิ่ม ห้านิ้วลูบไล้จากไหปลาร้า แผ่นอก จนจบที่แกนกลาง ขยับชักนำอย่างรวดเร็วรุนแรงส่งอารมณ์ให้ร่างในอ้อมกอดมาจนถึงขีดสุด น้ำวิสุทธิ์ในกายอิมหลั่งไหล ความเปียกชื้นถูกใช้มาแทนที่สิ่งซึ่งขาด กดนิ้วแทรกเข้าร่องเนื้อคับแน่นในคราเดียวจนสุดปลาย ก่อนขยับสร้างความเคยชิน ผลักตัวอิมให้ก้มลง กดจูบไล้เลียช่องทางแน่นตึงอย่างสุดความสามารถ เหมือนอิมค้านอยู่ในที แต่สุดท้ายก็ยอมจำนนยกสะโพกขึ้นสูงก้มหน้างุดกับแขน

“ทนอีกนิดนะครับ” สามนิ้วสอดเข้าขยายจนดูอึดอัด แต่จังหวะงอนิ้วเสียงครางของร่างที่กลายกุ้งสุกก็ดังแทรกขึ้นมา

“อะ...ฮือ...” อิมกลั้นเสียงร้อง กัดฟันกับแขน เมื่อกดซ้ำลงไปที่เดิมอีกครั้ง เสียงครวญครางแหบพร่ารัญจวนใจจึงดังขึ้น

“ตรงนี้เหรอครับ”

“ฮือ...” ศีรษะเล็กทั้งผงกขึ้นลงและส่ายหัวเหมือนสับสนในตนเอง ผมยกยิ้มอย่างเอ็นดูในความพยายามของคนรัก ก่อนถอดถอนปลายนิ้วทั้งสามออกฝืนกายลุกขึ้นทั้งที่ยังโหยหาอาวรณ์ในรสสัมผัส ปิดฝักบัวถอดเสื้อเชิ้ตออกจากตัวโยนทิ้งด้านข้าง ล้วงบางอย่างที่เตรียมไว้ในกระเป๋ามาคาบก่อนจัดการถอดกางออกจากตัว

“ไม่ชินเลย” อิมทรุดตัวนอนตะแคงมองผมอย่างคนหมดแรง ฝ่ามือยกขึ้นปิดหน้าทั้งที่ถ่างนิ้วทั้งสี่ออกจากกัน

“ไม่ชินอะไรครับ” ผมยกยิ้มน้อยๆให้กับคนที่พยายามหุบขากระถดตัวแทบเป็นแทบตายบดบังส่วนสำคัญไว้ “ทั้งที่เคยเห็นแล้วแท้ๆ”

“หมายถึงเจ้านั่นต่างหาก” อิมยกนิ้วชี้มาตรงท่อนล่างผม “ทำไมพออยู่บนตัวนายแล้วมันถึงดูดีได้ขนาดนี้วะ...ทำไมทีอยู่บนตัวผม...” อ๋อ...ที่แท้ก็ชั้นในสีแดงตัวนี้

“เดี๋ยวมันก็ไม่อยู่บนตัวผมให้อิมรำคาญใจแล้ว”

ไม่ต้องรอให้จบประโยค ผมจัดการลากเจ้าผ้าผืนน้อยที่เคยบอกว่ามันชอบบาดขายามเล่นกีฬาออกจากตัว วันนี้พึ่งเห็นถึงความสำคัญของมันที่ทำให้แฟนผมอารมณ์โยกไหวได้ทุกเมื่อ อิมรีบหุบนิ้วทำราวกับคนไม่เคยเห็น จนผมต้องฝืนย่อตัวดึงมืออีกฝ่ายให้มาสัมผัสหน้าท้องเป็นลอนสวย จัดวางในตำแหน่งที่หมิ่นเหม่ราวกับให้โดนหรือไม่โดนอยู่ในที

“ใส่ให้ผมหน่อย” อิมคงหาว่าผมได้คืบแล้วจะเอาศอก แต่มือขาวยังคงยื่นมารับหยัดกาย ฉีกซองสีเงินอย่างทุลักทุเล เจ้าตัวบ่นอุบว่าฉีกยากฉีกเย็น จนผมต้องเข้าไปจับสองมือเขาไว้ “ก็มืออิมสั่น” ซองขาดลงฉับพลันนับจากสิ้นเสียง นิ้วสั่นเทาของเจ้าของใบหน้านวลซับสีเลือดขยับมาวางยางลื่นแตะลงส่วนปลาย ร่างกายผมกระตุกแต่ยังห้ามไว้ได้ทัน ปลายมือของอิมรูดรั้งจนสุด

“ม...มาเถอะ” อิมเปล่งเสียงสั่น กลัวเหลือเกินว่าเขาจะหันหลังก้มหน้ายกบั้นท้ายกลมกลึงขึ้นสูงเพื่อโชว์ผม แต่เปล่าเลยเจ้าตัวค่อยๆเอนตามลงไปในขณะที่แขนเกาะเกี่ยวไหล่ไว้อยู่ ผมลูบดวงแก้มเนียนคลอเคลียเบาๆ

“ถ้าเจ็บก็อย่าฝืนนะครับ”

“อื้อ”

“จำไว้ว่าความสัมพันธ์ตรงนี้ไม่ได้เป็นตัวกำหนดและตัดสินทุกอย่าง”

“อืม”

“เรามาพยายามไปด้วยกันนะครับ” ผมกดจูบริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบา ก่อนเริ่มแทรกกายเข้าช้าๆ เรียวขาขาวสองข้างเปิดกว้างยกขึ้นเกาะเกี่ยวสะโพกอย่างมีปฏิกิริยากระตุกเกร็ง ก่อนผ่อนคลายหายใจถะถี่สลับวนเวียนซ้ำๆยามขยับเข้าส่วนลึก อิมกัดริมฝีปากหลับตา หยาดเหงื่อผุดพรายบนหน้าผากสวย สองมือจิกรั้งบ่ากลั้นเสียง

“อิมเจ็บมั้ยครับ” ผมถามขณะร่างโปร่งหอบฮั่กครางเครือออกมา

“ม...ไม่”

“รู้สึกยังไงบอกผม”

“รู้สึกแปลกๆ มันอึดอัด...ฮั่ก!” ระหว่างหันเหความสนใจของอีกฝ่าย ผมก็เสือกกายเข้าจนสุด หยุดค้างอยู่ท่านั้นควบคุมลมหายใจไม่ให้รู้สึกปะทุไปมากกว่านี้ ภายในร่างกายของอิมร้อนเกินกว่าจินตนาการไว้ แทบจะทำสติให้เตลิดอยู่รอมร่อ

ดวงตาอิมคลอไปด้วยหยาดน้ำ ใบหน้าแดงก่ำ เอ่ยถามเสียงสั่นๆ “ข...เข้ามาหมดแล้วเหรอ” แทนหลักฐานจากคำพูด ผมจับมือขาวเข้าส่วนสอดประสานระหว่างเรา พร้อมช้อนท้ายทอยยกตัวให้คนรักมองเห็นได้ถนัดตา

“เห็นมั้ยครับ” เพราะร่างกายขยับจึงเกิดการเสียดสีอิมถึงกับนิ่วหน้ากลืนลมหายใจ แต่ไม่ใช่แค่อิมผมก็แทบทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ความร้อนที่สั่งสมกอปรกับส่วนนั้นของร่างกายที่จวนเจียนปะทุทำให้ต้องกัดฟันเอ่ยถาม “อิม...ผมขยับได้มั้ย”

“ร...รีบขยับได้แล้ว”

“อิมไม่เป็นไรแน่นะ” ผมปาดเหงื่อออกจากหน้าผากเจ้าตัว ยังไม่วายอดที่จะเป็นห่วงเขาอยู่

“รีบขยับเถอะ...ของคุณมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผมอึดอัดจะตายอยู่แล้วเจ้าบ้าเกรท...ฮั่ก!!” คำพูดอิมทำความตั้งใจของผมล้มไม่เป็นท่า จากที่พยายามมาทุกอย่างสูญสิ้น ต้นขาซึ่งเคยติดแนบกับสะโพกถูกถอนออกห่างก่อนทิ้งน้ำหนักเข้าหาอย่างรวดเร็ว

“ฮือ...” เสียงแรกฟังดูทรมาน แต่เมื่อทำเวียนซ้ำเหมือนดั่งเอาใจคนรัก จากเสียงร้องอุทธรณ์จึงเปลี่ยนเป็นความสุขสม ความเต็มอิ่มเริ่มก่อตัวบางๆระหว่างเรา “เกรท...จูบผมที” จะกี่ทีผมก็ทำให้ได้ แรงเสือกกายหนักเบาตามจังหวะตะโบมจูบ

“อิม...อิม” จังหวะเร่งเร้ากระชั้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ เสียงต้นขากระแทกสะโพกดังสะท้อนก้องไปทั่วห้องน้ำ ความชื้นแฉะเหนอะหนะไหลหลั่งออกมาฟังดูหยาบโลนจนอารมณ์พุ่งสูง

“เกรท...ฮือ...ฮั่ก อะ...” จุดที่เสียงหวานร้องครางถี่โดนกระแทกซ้ำๆสร้างความรัญจวนใจ สองมือกกกอดร่างเย็นชื้นไว้มอบความอบอุ่นให้จนแทนร้อนรุ่ม ราวกับโดนแผดเผาในกายอุ่นร้อนจนจุดเชื่อมต่อระหว่างเราหลอมรวมเป็นจุดเดียว

ยามรู้สึกว่าตนมาจวบจนโค้งสุดท้ายกลับพลิกตัวเอาแผ่นหลังลงพื้นอันชื้นเปียก ร่างของอิมปรับเปลี่ยนมาเบื้องบน ผมส่งมือเข้ากอบกำคลายความตึงเครียดให้ส่วนแกนกลางของร่างบาง อิมนิ่วหน้าเหมือนปรับอารมณ์ไม่ทัน ก่อนพยายามใช้ของขาอันอ่อนแรงยกตัวขึ้นลงเพื่อช่วยผม

“อิม...ไม่ต้อง” ผมจับแขนของเขาไว้ เพราะต้องการให้เขารู้สึกดีไปพร้อมกันเลยจับมาทำท่านี้

“ไม่เป็นไร...ผมไหว” คำว่าอยากให้คนรักเป็นสุขของต่างฝ่ายต่างถ่ายทอดออกมาในแววตา ไม่อยากให้คนรักพยายามจนเจ็บตัวจึงย้อนกลับมาพลิกตัวแล้วเริ่มต้นเคลื่อนกายอย่างรวดเร็วพร้อมกับปรนเปรอเบื้องหน้าให้อีกครั้ง

“เกรท...เกรท...ผมไม่ไหวแล้ว”

“ออกมาเลยครับ อิม”

“ฮือ...อึก อา!” สิ้นเสียงความเปียกชื้นอุ่นร้อนพวยพุ่งกระจายเปรอะเปื้อนทั่วแผ่นท้อง ผมขยับอีกสองสามครั้งความปวดตึงก็ถูกปลดปล่อย เหมือนน้ำในร่างพุ่งโถมถะถั่ง ดั่งมีประกายไฟแล่นแปลบปลาบในดวงตา สองมือประคองร่างคนรักขึ้นตระกองกอดอย่างแนบแน่น

“ขอบคุณนะครับอิม...” ผมกระซิบข้างหูเขา “ขอบคุณจริงๆ” ที่ยอมทรมานเพื่อผม

“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ” อิมกอดตอบทั้งที่อยู่บนตักผมเหมือนเด็กตัวน้อยๆ ลมหายใจหอบแรงระใบหู “ผมมีความสุขมากมากเลย...อึ๊!!” แต่ความหวานกลับถูกบางอย่างขัดอิมดันตัวออกมาทุบตัวแขนผมดังตุบ ใบหน้ารื้นแดงเห่อร้อนอย่างกับเหล็กหลอมในเตาถ่าน

“ทะ....ทำไมมันใหญ่ขึ้นอีกแล้วล่ะ!”

“ก็เพราะอิมพูดจาน่ารักไง”

“ไม่เอาแล้วปล่อยผมนะ...เฮ้ยแล้วมือเนี่ย ขยำสะโพกผมทำไมเนี่ย!”

“แค่จับเองครับ ยังไม่ได้ขยำซะหน่อย”

“ปล่อยได้แล้วเกรท ปล่อยยยยยยยยยยยย”



จุดจบสายยอม ก็ต้องโดนตระกองกอดมันอีกสามยกแหละครับ หลังจากนั้นอิมก็ไม่กล้าออกจากห้องไปไหน เพราะกลัวคนเห็นรอยแดงเป็นปื้นเต็มพื้นที่ทั้งลำคอ











“พี่อิม ยินดีด้วยนะครับ” ดอกไม้ช่อใหญ่เท่าบ้านประดับตกแต่งอย่างสวยงามยื่นมาให้ ผมเบิกตามองอย่างประหลาดใจกับคนส่งดอกไม้ ซึ่งเป็นเด็กชายตัวเล็กในชุดไปรเวทธรรมดาหน้าตาหล่อเหลา เจ้าตัวอุ้มดอกไม้ช่อโตเต็มสองวงแขน ความแปลกมันอยู่ที่ตุ๊กตาลาโง่ที่อยู่ตรงกลางเนี่ยแหละ

หากนี่เป็นกลางลานเปิดใจในสมัยก่อนผมจะขำ แต่นี่ผ่านมาสองปีแล้วแถมตรงนี้ดันเป็นลานกว้างซึ่งละลานไปด้วยคนใส่เสื้อผ้าโปร่งขาวตัวยาวๆยืนกันเต็มไปหมด เสียงกลองสันทนาการ เสียงการโห่ร้องยินดีกับบัณฑิตจบใหม่ให้บรรยากาศที่หัวใจฟูฟ่องตื่นตัว กลิ่นอายความสดชื่นกระจายฟุ้งไปทั่วบริเวณ

“น้องเวล ขอบคุณนะครับ” ผมยื่นมือออกไปรับเพราะกลัวมันจะหนักเกินไปสำหรับร่างเล็กๆของเขา

“น้องอิมยินดีด้วยนะจ๊ะ ช่อนี้เป็นตัวแทนของคนทั้งบ้านจิตต์มั่นคงน้า แต่คนเสนอไอเดียเป็นตาเวลเขา” น้าแก้วซึ่งยืนเยื้องไปด้านหลังอธิบาย เธอยิ้มกว้างราวกับลูกชายตนเองเรียนจบ

“พี่เกรทบอกว่าเวลาให้ของขวัญใครถ้าคิดไม่ออก ก็ให้เอาของสำคัญของเรามอบให้คนที่เรารักครับ เวลรักพี่อิมครับ” เด็กน้อยพูดจากเจื้อยแจ้วเกาะชายผ้าโปร่งสีขาวบนตัวผมอย่างเรียกร้องความสนใจ ผมย่อตัวลงไปรวบเขามากอดไว้เต็มสองแขนพร้อมช่อดอกไม้ กลิ่นหอมละเอียดบริสุทธิ์ให้ความรู้สึกดีสำหรับวันดีดีแบบนี้เหลือเกิน

“อิจฉาตาเวลจริงๆ ได้หน้าไปเต็มๆ” โดยไม่ทันสังเกต ใครบางคนเดินเข้ามาใกล้พร้อมย่อตัวคู้ตามลงมา มือใหญ่อันอบอุ่นแตะลูบศีรษะ ผมหมุนหัวไปมองอีกฝ่ายแบบไม่กะพริบตา ลืมตัวไปว่าถ้าพลาดเผลอเมื่อไรอีกฝ่ายมักฉวยโอกาสทุกที และเป็นอย่างที่คิดไว้เลย เกรทแตะริมฝีปากผมเบาๆโดยที่ฉากหน้าเป็นดอกไม้ช่อโตกับลูกพี่ลูกน้องของเขาที่มองมาตาแป๋ว ผมทุบอกเขาไปดังตุบ

“ทำอะไรเกรงใจเด็กบ้าง”

“ไม่เห็นต้องเกรงใจเลยเนอะตาเวล เนอะ” หัวเล็กพยักหน้าหงึกหงั่ก ก็เป็นซะอย่างนี้ ลูกพี่ลูกน้องคู่นี้ถึงเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

“ทำไมครับ เมื่อกี้นึกว่าเป็นผม ที่เลือกเจ้าอียอร์นี้มาเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยถาม เปล่งรอยยิ้มออร่าหล่อเหลาชวนหลงใหล

“แล้วจะมีใครเจ้าวางแผนได้อย่างนี้อีกล่ะ”

“มีสิครับ ลาโง่” ผมโดนลูบหัวอีกแล้ว ไม่รู้จะชอบอะไรกันนักหนา นี่ถ้าไม่ถือสาว่าเป็นรุ่นน้องรุ่นพี่มีหวังได้ตั๊นหน้าไปแล้ว

“อะ...แฮ่ม!! แฮ่มแฮ่มแฮ่มแฮ่ม” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครแทรกจังหวะเข้ามา พ่อผมคงเดินมาพร้อมกับแม่แล้วหลังจากยัยมายด์นำทางพาไปห้องน้ำ

“แหมพ่อมามหา’ลัยเจ้าอิมวันแรกก็หวัดรับประทานเลยเหรอคะ” แม่ผมกระเซ้า

“อย่างมากก็เป็นหวัด ไม่ได้เป็นโรคอะไรมากมายไปกว่านี้แล้วล่ะ”

“แหม...ทำเป็นพูด เดี๋ยวนี้ทำตัวดีเข้าหน่อยก็เหลิงเลยนะคะ” ยัยมายด์แซะต่อ ตั้งแต่วันนั้นหลังจากพ่อเข้าโรงพยาบาล ชีวิตประจำวันทุกอย่างก็ถูกปรับเปลี่ยนไปแบบชนิดจากหน้ามือเป็นหลังมือ เริ่มหันมาใส่ใจกับสุขภาพออกกำลังกายจนเสพติดเป็นนิสัย รับประทานแต่พอดีเลี่ยงหวาน มัน เค็ม คอยสังเกตอาการของร่างกายตลอดเวลา จนตอนนี้สิ่งซึ่งบ่งชี้ความเป็นโรคนั้นหายไป แต่ก็ไม่เคยทำให้กิจวัตรประจำวันนั้นหย่อนยาน

พอคนในบ้านสุขทั้งกายสุขทั้งใจก็พลอยทำให้ในบ้านอบอวลไปด้วยความสุขแช่มชื่น

ผมปล่อยมือจากน้องเวล ผุดตัวลุกขึ้นประคองช่อดอกไม้ไว้ เกรทหันไปไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ของฝั่งผม กลับกันผมก็หันไปไหว้น้าแก้วกับแม่เกรทที่เดินตามหลังมา ตลอดเวลาสองปีที่คบกันคนของบ้านเราทั้งคู่ไปมาหาสู่กันตลอดและทุกปีใหม่ก็จะไปเที่ยววัดทำบุญวันเกิดผมด้วยกัน เลยทำให้ต่างฝ่ายต่างสนิทกันไปโดยปริยาย

“ทำไมมาทีหลังน้าแก้วล่ะ” ผมใช้แขนสะกิดถามแฟน...แฟน...เออ...สองปีผ่านไปแล้วเรียกยังไงก็ไม่ชิน

“ไปหาที่จอดรถมาครับ หายากมาแทบไม่มีที่จอดเลย ความจริงน่าจะมาเช้ากว่านี้ แต่คุณน้าขี้เซาเลยไม่ตื่น”

“นี่อย่ามาอ้างน้านะ ไวสุดในพ.ศ.นี้ในการอาบน้ำแต่งตัวไม่มีใครสู้น้าได้อยู่แล้ว

“ขอบคุณที่มานะครับน้าแก้ว ก็บอกแล้วไม่ต้องลำบากมาก็ได้” ประโยคแรกผมบอกตอบรับคุณน้า แล้วประโยคหลังผมหันมาต่อว่าเกรท

“ถึงผมไม่มาหาอิมยังไงก็ต้องโดนลากไปร่วมบูมพี่บัณฑิตอยู่ดี อย่างนี้ไม่สู้มาหาอิมแล้วเอาครอบครัวมาเป็นข้ออ้างไม่ดีกว่าเหรอ” แม่กับพ่อผมหันไปยืนคุยกับแม่เกรทแล้ว ส่วนคุณน้าพาตาเวลไปเดินดูป้ายตาซุ้มต่างๆ เด็กน้อยดูมีความสุขยิ้มแย้มหัวเราะชอบใจ

“ทานข้าวเช้ามารึยัง” ผมหยิบห่อขนมบิสกิตสอดไส้ครีมมะนาวที่เก็บไว้กันหิวออกมาจากกระเป๋ากางเกง แกะซองยื่นให้เกรท

“ยังจะเป็นห่วงผมอีก”

“ก็บางวันตื่นเช้ามากๆคุณไม่ชอบกิน” เมื่อเห็นเจ้าตัวไม่ยื่นมือมารับ ผมเลยหยิบออกจากซองมาชิ้นแล้วยื่นจ่อปากเขา

“อิม” เกรทงับเข้าไปกัดพลางเคี้ยวหงุบหงับอยู่สองสามคำ “นั่งไหวเหรอครับวันนี้”

“ก...ก็ต้องไหวสิ” รู้แหละว่าพูดเรื่องอะไร แต่ขอแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจได้มั้ย

“ขอโทษนะครับที่เมื่อวานทำแบบไม่บันยะบันยังเลย”

“ถ้ารู้สึกผิดทีหลังก็อย่าทำ”

“ก็เพราะไม่รู้สึกผิดเนี่ยสิ” ผมกระแทกศอกใส่เขาอย่างไม่ออมแรงและเจ้าตัวก็ไม่ยอมหลบแถมยิ้ม ไม่อยากจะคิดเลยเช้ามืดวันนี้โคตรทุลักทุเล ทั้งที่ทำกิจกรรมจนดึกแต่เกรทต้องรีบตื่นเช้ามาเปิดประตูหอต้อนรับช่างแต่งหน้าของแม่เจ้าตัว เพื่อแต่งหน้าให้ผม กว่าจะแต่งเสร็จพาผมส่งกลับบ้าน แล้วตัวเองยังต้องขับรถกลับไปรับแม่น้ากับน้องเวลมาอีก อะไรจะอึดขนาดนี้

“แล้วนี่มีง่วงนอนระหว่างขับรถมั้ย”

“ไม่ครับ”

“ถ้าง่วงก็อย่าขับนะ”

“ครับ”

“ให้จอดหยุดพักข้างทางหรืออะไรก็ได้ ความจริงถ้าง่วงมากไม่ต้องฝืนมาก็ได้นะ”

“อิมเนี่ยนะ” เกรททอดถอนหายใจส่ายศีรษะไปมา

“หืม...ผมทำไม”

“นอกจากจะสอนให้ผมแข็ง...” มือนี่ไปก่อนอีกฝ่ายจะพูดจบประโยคเสียอีก “เฮ้ยอิมตีผมทำไมเนี่ย...ผมหมายถึงขับรถแข็งต่างหาก”

“ก็คุณน่ะชอบพูดจาสองแง่สองง่ามตลอด”

“ก็อยากหยอกนี่หนา ถูกคนน่ารักเป็นห่วงผมขนาดนี้ ไม่ให้รักแทบตายยังไงไหวล่ะครับ”

“...” หยอกไปหยอกมาหน้าผมจะระเบิดอยู่แล้ว ถ้าเอาหัวจุ่มกองดอกไม้ตายไปกับอียอร์ได้ผมคงทำไปแล้ว

“อีกอย่างวันเป็นสำคัญของอิมทั้งที ไม่ให้ผมมาได้ไงครับ”

“ใช่วันสำคัญของผมทั้งที...” ผมเงยหน้าขึ้นใช้มือดึงเสื้อของเขา “ไม่ให้คนสำคัญอย่างคุณมาได้ยังไง”

“อยากจูบจัง”

“พอเลยที่สาธารณะ”

“งั้นไว้กลับบ้าน”

“...”

“ยินดีด้วยนะครับบัณฑิตใหม่ ในฐานะคนรักปัจจุบันและตลอดไปของผม”

เป็นผมเสียอีกที่อยากจะจูบเขาแทน แต่เสียงตะโกนเรียกจากไอ้เบส ข้าวฟ่าง และดาว ที่บอกให้ไปถ่ายรูปด้วยกันดันดังมาเสียก่อน



วันนี้พวกเราจบด้วยการถ่ายรูปกันหลายยก จากช่างภาพที่คุณแม่ของเกรทหามาให้อีกแล้ว ภาพถ่ายรวมครอบครัวของพวกเราเป็นภาพที่ผมหวงแหนที่สุด ส่วนภาพที่เกรทหวงแหวนที่สุดกลับเป็น



...ภาพผมในชุดครุยยิ้มแทบตาปิดให้กับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า คนที่ผมยื่นบิสกิตรสมะนาวให้เขาทาน...


...จบบริบูรณ์...

+++++++++++++++


ที่ขออนุญาตขึ้นตอนใหม่เพราะมันยาวจริงๆค่ะ
ไม่คิดว่าตัวเองจะแต่งยาวขนาดนี้คิดว่าแต่งฉากอีกนิดเดียวน่า เดี๋ยวก็จบ
โอ้โห้...ปาไป...สิบหน้า(แค่ฉาก...คืออะไรฮะ!!)

ขอบคุณคุณ DrSlump ที่อยู่กับเรามาโดยตลอดเลยยย รักนะคะ

คุณ mab เจอกันอีกแล้ว นึกถึงนุ้งเรเลย555 ขอบคุณจริงๆที่เข้ามาอ่านค่ะ

เกรทกับอิมเป็นอีกคู่นึงที่เรารักค่ะ(ความจริงก็รักทุกตัวละคร รักคนละแบบ)
สองคนนี้เราตั้งใจปั้นเขาให้ขึ้นมาด้วยอารมณ์ชั่ววูบ555
แบบอยากได้โมเมนต์สารภาพรัก โมเมนต์การคบกันโดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่เคยรู้สึกรักกันมาก่อน
จนก่อนตัวสานสัมพันธ์เป็นความรู้สึกที่ดีต่อกันมาเรื่อยๆจนเรียกได้ว่าความรัก
แล้วก็เกิดภาวะลังเลในความรู้สึก จนแยกทาง และตอกย้ำด้วยความรักที่มีให้กันอีกครั้ง

เราถึงตั้งชื่อให้ว่ารีเทิร์นค่ะ
ไม่อยากให้ดราม่าเลยใส่มาน้อยมาก ปกติไม่ถนัดสายมาม่าอยู่แล้ว(ยกเว้นช่วงใกล้เงินเดือนออก)

ใครเข้ามาอ่านใหม่ฝากสองคนนี้ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ
ไว้เจอกันเรื่องหน้าค่า(น่าจะมีเพราะเป็นพวกกระหายในการแต่ง...เป็นม้าตีนต้นน่ะค่ะ555)

รักนะคะทุกคน ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 100% [30/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 30-12-2019 12:25:52
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 100% [30/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 31-12-2019 13:25:38
เกรท..อะไรสะกดใจให้ไปตกหลุมใยไหมได้อ่ะ
สวยเหรอ หุหุ

อิม น่าร้ากกกกกกกกกกกก
ตั้งแต่แรกแล้วว้อยยยยยย
55555++++
หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 100% [30/12/2019]
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 02-01-2020 12:42:04
ตอนจบแซ่บจังเลย พี่อิมนี่ไม่เหนียมเลยนะ 5555
เกรทจัดหนักจัดเต็ม อิอิ

จริงๆ อยากให้อิพี่ใยไหมโดนผลกระทบจากการทำให้อิมบอกเลิกเกรทมากกว่านี้นะ เพราะหล่อนรู้ทั้งรู้ว่าเขาคบกันยังจะมาพยายามแทรกกลางให้เขาเลิกกันอีก แถมตัวเองก็เหมือนจะคบซ้อนอีกตางหาก...เราโหดนิสสสสสนึง :katai4: :katai4:


อ่าาาาา จำเราได้ด้วย เรายังคงรักและคิดถึงน้องเรอยู่นะคะ   :กอด1: :กอด1:

ชอบนิยายของคุณน๊าาาา
ยังไงก็ถ้าแต่งเรื่องใหม่มาอีกจะตามอ่านอีกนะคะ ขอบคุณที่ผลิตนิยายดีๆ ที่ถูกใจเรา 5555555

รัก.....​ :mew1: :mew1:

หัวข้อ: Re: รักรีเทิร์นกับคนเดิมๆที่หมดใจ : หก(ครั้งที่สอง)...ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหนึ่ง 100% จบ [30/12/20
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 14:27:36
 :pig4: